• ในขณะที่แคนาดา ฝรั่งเศส สเปน เบลเยียม ไอร์แลนด์ อิตาลี เนเธอร์แลนด์ และสวิตเซอร์แลนด์ ประกาศว่าพวกเขาพร้อมจับกุมเนทันยาฮู หากเขาเดินทางเข้ามาในเขตดินแดนเหล่านี้

    "ยกเว้น" สหรัฐอเมริกาที่ยืนยันอย่างแน่วแน่ถึงการปฏิเสธจับกัมเนทันยาฮู "เราปฏิเสธ เพราะเรามีความเห็นที่แตกต่างกันในเรื่องนี้"
    ในขณะที่แคนาดา ฝรั่งเศส สเปน เบลเยียม ไอร์แลนด์ อิตาลี เนเธอร์แลนด์ และสวิตเซอร์แลนด์ ประกาศว่าพวกเขาพร้อมจับกุมเนทันยาฮู หากเขาเดินทางเข้ามาในเขตดินแดนเหล่านี้ "ยกเว้น" สหรัฐอเมริกาที่ยืนยันอย่างแน่วแน่ถึงการปฏิเสธจับกัมเนทันยาฮู "เราปฏิเสธ เพราะเรามีความเห็นที่แตกต่างกันในเรื่องนี้"
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 435 มุมมอง 9 0 รีวิว
  • 💬 ประธานาธิบดี ปูติน: เรากำลังดำเนินการทดสอบการรบของระบบขีปนาวุธ #Oreshnik เพื่อตอบโต้การกระทำที่ก้าวร้าวของนาโต้ต่อรัสเซีย

    การตัดสินใจของเราในการนำขีปนาวุธพิสัยกลางและพิสัยใกล้ไปใช้งานเพิ่มเติม จะขึ้นอยู่กับการกระทำของสหรัฐอเมริกาและดาวเทียมของสหรัฐฯ
    .
    💬 President Putin: We are conducting combat tests of the #Oreshnik missile system in response to NATO’s aggressive actions against Russia.

    Our decision on further deployment of intermediate-range and shorter-range missiles will depend on the actions of the US and its satellites.

    http://t.me/RusEmbUK/1870
    .
    5:31 AM · Nov 22, 2024 · 13K Views
    https://x.com/RussianEmbassy/status/1859726419661611401
    💬 ประธานาธิบดี ปูติน: เรากำลังดำเนินการทดสอบการรบของระบบขีปนาวุธ #Oreshnik เพื่อตอบโต้การกระทำที่ก้าวร้าวของนาโต้ต่อรัสเซีย การตัดสินใจของเราในการนำขีปนาวุธพิสัยกลางและพิสัยใกล้ไปใช้งานเพิ่มเติม จะขึ้นอยู่กับการกระทำของสหรัฐอเมริกาและดาวเทียมของสหรัฐฯ . 💬 President Putin: We are conducting combat tests of the #Oreshnik missile system in response to NATO’s aggressive actions against Russia. Our decision on further deployment of intermediate-range and shorter-range missiles will depend on the actions of the US and its satellites. http://t.me/RusEmbUK/1870 . 5:31 AM · Nov 22, 2024 · 13K Views https://x.com/RussianEmbassy/status/1859726419661611401
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 212 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทรัมป์เลือก "แพม บอนดี" อดีตอัยการสูงสุดแห่งฟลอริดาเป็นอัยการสูงสุดสหรัฐคนใหม่แทนที่ "แมตต์ เกตซ์" ที่ประกาศถอนตัว

    ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากแมตต์ เกตซ์ถอนตัวจากการพิจารณา ทรัมป์ได้เสนอชื่อแพม บอนดี อดีตอัยการสูงสุดแห่งฟลอริดาให้ดำรงตำแหน่งอัยการสูงสุดแห่งสหรัฐอมเริกา (ตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม)

    ทางด้าน แมตต์ เกตซ์ สส.วัย 42 ปี ประกาศถอนตัวหลังจากเข้าร่วมประชุมกับสมาชิกวุฒิสภาของพรรครีพับลิกัน ซึ่งก่อนหน้านี้มีข่าวมาตลอดว่าวุฒิสมาชิกจะไม่ยกมือสนับสนุนเขา

    ทั้งนี้เกตซ์ถูกกล่าวหาหลายกรณีก่อนที่ทรัมป์เสนอชื่อเขาเป็นอัยการสูงสุดสหรัฐอเมริกา (รัฐมนตรียุติธรรม) เช่น กระผิดทางเพศและใช้ยาเสพติด และคณะกรรมาธิการจริยธรรมของสภาผู้แทนฯ ได้ดำเนินการสืบสวนหาความจริงมาระยะหนึ่งเเล้ว จนกระทั้งเกตซ์ลาออกจากการเป็นส.ส. เพื่อเตรียมเข้ารับตำแหน่งอัยการสูงสุดสหรัฐอเมริกา ซึ่งการลาออกของเขาทำให้การสืบสวนของคณะกรรมาธิการยุติลง
    ทรัมป์เลือก "แพม บอนดี" อดีตอัยการสูงสุดแห่งฟลอริดาเป็นอัยการสูงสุดสหรัฐคนใหม่แทนที่ "แมตต์ เกตซ์" ที่ประกาศถอนตัว ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากแมตต์ เกตซ์ถอนตัวจากการพิจารณา ทรัมป์ได้เสนอชื่อแพม บอนดี อดีตอัยการสูงสุดแห่งฟลอริดาให้ดำรงตำแหน่งอัยการสูงสุดแห่งสหรัฐอมเริกา (ตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม) ทางด้าน แมตต์ เกตซ์ สส.วัย 42 ปี ประกาศถอนตัวหลังจากเข้าร่วมประชุมกับสมาชิกวุฒิสภาของพรรครีพับลิกัน ซึ่งก่อนหน้านี้มีข่าวมาตลอดว่าวุฒิสมาชิกจะไม่ยกมือสนับสนุนเขา ทั้งนี้เกตซ์ถูกกล่าวหาหลายกรณีก่อนที่ทรัมป์เสนอชื่อเขาเป็นอัยการสูงสุดสหรัฐอเมริกา (รัฐมนตรียุติธรรม) เช่น กระผิดทางเพศและใช้ยาเสพติด และคณะกรรมาธิการจริยธรรมของสภาผู้แทนฯ ได้ดำเนินการสืบสวนหาความจริงมาระยะหนึ่งเเล้ว จนกระทั้งเกตซ์ลาออกจากการเป็นส.ส. เพื่อเตรียมเข้ารับตำแหน่งอัยการสูงสุดสหรัฐอเมริกา ซึ่งการลาออกของเขาทำให้การสืบสวนของคณะกรรมาธิการยุติลง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 256 มุมมอง 0 รีวิว
  • ระบบขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียง Oreshnik ของรัสเซีย แสดงให้เห็นว่าการที่นาโต้จะยกระดับความรุนแรงขึ้นนั้น ต้องแลกมาด้วยราคาที่ต้องจ่าย - ผู้เชี่ยวชาญ

    "วลาดิมีร์ ปูติน ส่งสารอันทรงพลังไปยังตะวันตกว่าพวกเขาควรแก้ไขการตัดสินใจยกระดับความขัดแย้ง," ดมิทรี ซุสลอฟ, รองผู้อำนวยการศูนย์การศึกษายุโรปและระหว่างประเทศของโรงเรียนเศรษฐศาสตร์ชั้นสูงของรัสเซีย, ซึ่งมีส่วนร่วมในการให้คำแนะนำแก่ผู้นำในการแก้ไขหลักคำสอนนิวเคลียร์ของรัสเซียและการนำหลักคำสอนใหม่มาใช้, กล่าวกับสปุตนิก

    เมื่อวันพฤหัสบดี, ประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย เปิดตัวขีปนาวุธพิสัยกลางความเร็วเหนือเสียง Oreshnik ซึ่งถูกยิงเมื่อคืนวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน เพื่อตอบโต้การใช้ระบบ ATACMS และ Storm Shadows ระยะไกลของนาโต้โจมตีภูมิภาค Bryansk และ Kursk ของรัสเซีย ผลจากการโจมตี, ทำให้ Yuzhmash (หรือที่รู้จักกันในชื่อ Pivdenmash), ซึ่งเป็นผู้ผลิตอาวุธของยูเครนถูกโจมตีที่เมือง Dnepropetrovsk ได้สำเร็จ

    ด้วยการเคลื่อนไหวครั้งนี้, ปูตินได้ชี้แจงอย่างชัดเจนว่า หากประเทศสมาชิก NATO ยังคงใช้ขีปนาวุธ ATACMS และ Storm Shadow โจมตีรัสเซีย, "รัสเซียอาจใช้ขีปนาวุธพิสัยกลางโจมตีประเทศเหล่านั้น, โจมตีวัตถุทางทหารของประเทศตะวันตกเหล่านี้," ซุสลอฟ กล่าวต่อ

    ยิ่งไปกว่านั้น, ผู้เชี่ยวชาญยังกล่าวอีกว่า, รัสเซียพร้อมที่จะเพิ่มความรุนแรงมากขึ้น "หากตะวันตกตอบสนองต่อการกระทำของรัสเซียด้วยวิธีการที่รุนแรงขึ้น, รัสเซียก็จะยิ่งรุนแรงขึ้น, และการนำหลักคำสอนนิวเคลียร์ใหม่ล่าสุดของรัสเซียมาใช้ แสดงให้เห็นว่ารัสเซียพร้อมที่จะใช้อาวุธนิวเคลียร์ชั่วร้ายในระดับหนึ่งแล้ว," เขากล่าวเน้นย้ำ

    ขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียงรุ่นใหม่ของรัสเซียเป็นเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำ, ยูริ คนูตอฟ, ผู้เชี่ยวชาญด้านการทหารและนักประวัติศาสตร์ของกองกำลังป้องกันภัยทางอากาศ กล่าวกับสปุตนิก

    "ความเร็วของขีปนาวุธรุ่นนี้, ตามที่ประธานาธิบดีกล่าวไว้, คือ ๑๐ มัค ปัจจุบันไม่มีประเทศใดในโลกที่มีขีปนาวุธแบบนี้," เขากล่าว

    ผู้เชี่ยวชาญเน้นย้ำว่า ขณะนี้ทั้งสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่นๆในโลกต่างไม่มีระบบป้องกันภัยทางอากาศ ที่สามารถสกัดกั้นขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียงรุ่นใหม่ของรัสเซียได้

    "เราได้สาธิตขีปนาวุธที่สามารถโจมตีไม่เพียงแต่เมืองยูซมาชเท่านั้น, แต่ยังรวมถึงลอนดอนและปารีสด้วย หากฝรั่งเศสและบริเตนใหญ่ยังคงเดินหน้ายกระดับการโจมตีรัสเซีย, และยังคงแทรกแซงโดยตรงต่อฝ่ายยูเครน," คนูตอฟ กล่าวสรุป
    .
    RUSSIA'S HYPERSONIC ORESHNIK MISSILE SYSTEM SHOWS NATO ESCALATION WILL COME AT PRICE - EXPERTS

    "Vladimir Putin delivered a very powerful message to the West that they should revise the decision to escalate the conflict," Dmitry Suslov, deputy director of the Center for European and International Studies at Russia’s Higher School of Economics, who participated in advising the leadership on amendment of the Russian nuclear doctrine and adoption of the new one, tells Sputnik.

    On Thursday, Russian President Vladimir Putin unveiled the Oreshnik medium-range hypersonic ballistic missile that was fired on the night of November 21 in response to Ukraine's use of NATO's long-range ATACMS and Storm Shadows against Russia's Bryansk and Kursk regions. As a result of the strike, Yuzhmash (also known as Pivdenmash), a Ukrainian arms manufacturer was successfully hit in Dnepropetrovsk.

    With this move, Putin made it clear that if NATO countries continue to use their ATACMS and Storm Shadow missiles against Russia, "then Russia might use its medium range missiles against those countries, against the military objects of these Western countries," Suslov continued.

    Moreover, Russia is ready for further escalation, according to the pundit. "If the West will respond to these Russian actions in the escalatory way, then Russia will escalate further. And the recent adoption of the newest Russian nuclear doctrine tells that Russia is basically ready at a certain stage to use evil nuclear weapons," he stresses.

    Russia's new hypersonic missile is a breakthrough technology, Yuri Knutov, military expert and historian of the Air Defense Forces, tells Sputnik

    "Its speed, as the president said, is 10 Mach. Today, no other country in the world has such missiles," he says.

    The pundit underscored that neither the US nor other countries of the world currently possess air defense systems capable of intercepting Russia's new hypersonic missiles.

    "We demonstrated a missile that can strike not only Yuzhmash, but also London and Paris if France and Great Britain continue their escalation course towards Russia, continue their direct intervention on the side of Ukraine," Knutov concludes.
    .
    1:48 AM · Nov 22, 2024 · 5,207 Views
    https://x.com/SputnikInt/status/1859670274335236138
    ระบบขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียง Oreshnik ของรัสเซีย แสดงให้เห็นว่าการที่นาโต้จะยกระดับความรุนแรงขึ้นนั้น ต้องแลกมาด้วยราคาที่ต้องจ่าย - ผู้เชี่ยวชาญ "วลาดิมีร์ ปูติน ส่งสารอันทรงพลังไปยังตะวันตกว่าพวกเขาควรแก้ไขการตัดสินใจยกระดับความขัดแย้ง," ดมิทรี ซุสลอฟ, รองผู้อำนวยการศูนย์การศึกษายุโรปและระหว่างประเทศของโรงเรียนเศรษฐศาสตร์ชั้นสูงของรัสเซีย, ซึ่งมีส่วนร่วมในการให้คำแนะนำแก่ผู้นำในการแก้ไขหลักคำสอนนิวเคลียร์ของรัสเซียและการนำหลักคำสอนใหม่มาใช้, กล่าวกับสปุตนิก เมื่อวันพฤหัสบดี, ประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย เปิดตัวขีปนาวุธพิสัยกลางความเร็วเหนือเสียง Oreshnik ซึ่งถูกยิงเมื่อคืนวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน เพื่อตอบโต้การใช้ระบบ ATACMS และ Storm Shadows ระยะไกลของนาโต้โจมตีภูมิภาค Bryansk และ Kursk ของรัสเซีย ผลจากการโจมตี, ทำให้ Yuzhmash (หรือที่รู้จักกันในชื่อ Pivdenmash), ซึ่งเป็นผู้ผลิตอาวุธของยูเครนถูกโจมตีที่เมือง Dnepropetrovsk ได้สำเร็จ ด้วยการเคลื่อนไหวครั้งนี้, ปูตินได้ชี้แจงอย่างชัดเจนว่า หากประเทศสมาชิก NATO ยังคงใช้ขีปนาวุธ ATACMS และ Storm Shadow โจมตีรัสเซีย, "รัสเซียอาจใช้ขีปนาวุธพิสัยกลางโจมตีประเทศเหล่านั้น, โจมตีวัตถุทางทหารของประเทศตะวันตกเหล่านี้," ซุสลอฟ กล่าวต่อ ยิ่งไปกว่านั้น, ผู้เชี่ยวชาญยังกล่าวอีกว่า, รัสเซียพร้อมที่จะเพิ่มความรุนแรงมากขึ้น "หากตะวันตกตอบสนองต่อการกระทำของรัสเซียด้วยวิธีการที่รุนแรงขึ้น, รัสเซียก็จะยิ่งรุนแรงขึ้น, และการนำหลักคำสอนนิวเคลียร์ใหม่ล่าสุดของรัสเซียมาใช้ แสดงให้เห็นว่ารัสเซียพร้อมที่จะใช้อาวุธนิวเคลียร์ชั่วร้ายในระดับหนึ่งแล้ว," เขากล่าวเน้นย้ำ ขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียงรุ่นใหม่ของรัสเซียเป็นเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำ, ยูริ คนูตอฟ, ผู้เชี่ยวชาญด้านการทหารและนักประวัติศาสตร์ของกองกำลังป้องกันภัยทางอากาศ กล่าวกับสปุตนิก "ความเร็วของขีปนาวุธรุ่นนี้, ตามที่ประธานาธิบดีกล่าวไว้, คือ ๑๐ มัค ปัจจุบันไม่มีประเทศใดในโลกที่มีขีปนาวุธแบบนี้," เขากล่าว ผู้เชี่ยวชาญเน้นย้ำว่า ขณะนี้ทั้งสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่นๆในโลกต่างไม่มีระบบป้องกันภัยทางอากาศ ที่สามารถสกัดกั้นขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียงรุ่นใหม่ของรัสเซียได้ "เราได้สาธิตขีปนาวุธที่สามารถโจมตีไม่เพียงแต่เมืองยูซมาชเท่านั้น, แต่ยังรวมถึงลอนดอนและปารีสด้วย หากฝรั่งเศสและบริเตนใหญ่ยังคงเดินหน้ายกระดับการโจมตีรัสเซีย, และยังคงแทรกแซงโดยตรงต่อฝ่ายยูเครน," คนูตอฟ กล่าวสรุป . RUSSIA'S HYPERSONIC ORESHNIK MISSILE SYSTEM SHOWS NATO ESCALATION WILL COME AT PRICE - EXPERTS "Vladimir Putin delivered a very powerful message to the West that they should revise the decision to escalate the conflict," Dmitry Suslov, deputy director of the Center for European and International Studies at Russia’s Higher School of Economics, who participated in advising the leadership on amendment of the Russian nuclear doctrine and adoption of the new one, tells Sputnik. On Thursday, Russian President Vladimir Putin unveiled the Oreshnik medium-range hypersonic ballistic missile that was fired on the night of November 21 in response to Ukraine's use of NATO's long-range ATACMS and Storm Shadows against Russia's Bryansk and Kursk regions. As a result of the strike, Yuzhmash (also known as Pivdenmash), a Ukrainian arms manufacturer was successfully hit in Dnepropetrovsk. With this move, Putin made it clear that if NATO countries continue to use their ATACMS and Storm Shadow missiles against Russia, "then Russia might use its medium range missiles against those countries, against the military objects of these Western countries," Suslov continued. Moreover, Russia is ready for further escalation, according to the pundit. "If the West will respond to these Russian actions in the escalatory way, then Russia will escalate further. And the recent adoption of the newest Russian nuclear doctrine tells that Russia is basically ready at a certain stage to use evil nuclear weapons," he stresses. Russia's new hypersonic missile is a breakthrough technology, Yuri Knutov, military expert and historian of the Air Defense Forces, tells Sputnik "Its speed, as the president said, is 10 Mach. Today, no other country in the world has such missiles," he says. The pundit underscored that neither the US nor other countries of the world currently possess air defense systems capable of intercepting Russia's new hypersonic missiles. "We demonstrated a missile that can strike not only Yuzhmash, but also London and Paris if France and Great Britain continue their escalation course towards Russia, continue their direct intervention on the side of Ukraine," Knutov concludes. . 1:48 AM · Nov 22, 2024 · 5,207 Views https://x.com/SputnikInt/status/1859670274335236138
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 317 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🇺🇸🇺🇦 ฝ่ายบริหารของไบเดนกล่าวว่า 🤣"การช่วยให้ยูเครนได้รับชัยชนะเป็นผลประโยชน์ของชาติสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป, กลุ่ม G7+, และพันธมิตรนาโต"🤣
    .
    JUST IN: 🇺🇸🇺🇦 Biden administration says "helping Ukraine prevail is in the national interest of the United States and its EU, G7+, and NATO partners."
    .
    10:23 AM · Nov 21, 2024 · 140.3K Views
    https://x.com/BRICSinfo/status/1859437426382397483
    🇺🇸🇺🇦 ฝ่ายบริหารของไบเดนกล่าวว่า 🤣"การช่วยให้ยูเครนได้รับชัยชนะเป็นผลประโยชน์ของชาติสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป, กลุ่ม G7+, และพันธมิตรนาโต"🤣 . JUST IN: 🇺🇸🇺🇦 Biden administration says "helping Ukraine prevail is in the national interest of the United States and its EU, G7+, and NATO partners." . 10:23 AM · Nov 21, 2024 · 140.3K Views https://x.com/BRICSinfo/status/1859437426382397483
    Haha
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 141 มุมมอง 0 รีวิว
  • สหรัฐใช้สิทธิ์คัดค้านร่างมติที่เรียกร้อง "ให้มีการหยุดยิงในฉนวนกาซาโดยทันที และอย่างถาวร โดยไม่มีเงื่อนไข รวมถึงการปล่อยตัวตัวประกันทั้งหมด" ในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติวันนี้

    ประเทศอื่นๆ ทั้งหมดในคณะมนตรีฯซึ่งมีสมาชิก 15 ชาติ ลงมติเห็นชอบกัน 14 เสียง ยกเว้นสหรัฐเพียงประเทศเดียว!

    ผลการลงคะแนน
    เห็นด้วย: 14
    ไม่เห็นด้วย: 1 (สหรัฐอเมริกา)
    งดออกเสียง: 0

    นี่เป็นมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติฉบับที่สี่ที่เรียกร้องให้หยุดยิงในฉนวนกาซาซึ่งถูกสหรัฐใช้สิทธิ์ยับยั้งนับตั้งแต่สงครามเริ่มต้น

    เจ้าหน้าที่ของสหรัฐรายหนึ่งที่ไม่เปิดเผยชื่อ กล่าวกับสื่อว่า สหรัฐจะสนับสนุนเฉพาะมติที่เรียกร้องให้ปล่อยตัวตัวประกันโดยทันทีเท่านั้น แต่จะไม่สนับสนุนการหยุดยิงโดยไม่มีเงื่อนไข ซึ่งสหรัฐต้องการให้มีการกำหนดเงื่อนไขข้อตกลงในการหยุดยิงด้วย

    ในเดือนมิถุนายน คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติได้ผ่านมติหยุดยิงที่เสนอโดยสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีการเสนอเงื่อนไขการหยุดยิงที่จัดทำขึ้นโดยสหรัฐ อย่างไรก็ตามกรอบเงื่อนไขดังกล่าวยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้จนถึงขณะนี้ ซึ่งเป็นไปตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์ เนื่องจากเงื่อนไขของสหรัฐถูกมองว่าเข้าข้างอิสราเอลมากเกินไป
    สหรัฐใช้สิทธิ์คัดค้านร่างมติที่เรียกร้อง "ให้มีการหยุดยิงในฉนวนกาซาโดยทันที และอย่างถาวร โดยไม่มีเงื่อนไข รวมถึงการปล่อยตัวตัวประกันทั้งหมด" ในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติวันนี้ ประเทศอื่นๆ ทั้งหมดในคณะมนตรีฯซึ่งมีสมาชิก 15 ชาติ ลงมติเห็นชอบกัน 14 เสียง ยกเว้นสหรัฐเพียงประเทศเดียว! ผลการลงคะแนน เห็นด้วย: 14 ไม่เห็นด้วย: 1 (สหรัฐอเมริกา) งดออกเสียง: 0 นี่เป็นมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติฉบับที่สี่ที่เรียกร้องให้หยุดยิงในฉนวนกาซาซึ่งถูกสหรัฐใช้สิทธิ์ยับยั้งนับตั้งแต่สงครามเริ่มต้น เจ้าหน้าที่ของสหรัฐรายหนึ่งที่ไม่เปิดเผยชื่อ กล่าวกับสื่อว่า สหรัฐจะสนับสนุนเฉพาะมติที่เรียกร้องให้ปล่อยตัวตัวประกันโดยทันทีเท่านั้น แต่จะไม่สนับสนุนการหยุดยิงโดยไม่มีเงื่อนไข ซึ่งสหรัฐต้องการให้มีการกำหนดเงื่อนไขข้อตกลงในการหยุดยิงด้วย ในเดือนมิถุนายน คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติได้ผ่านมติหยุดยิงที่เสนอโดยสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีการเสนอเงื่อนไขการหยุดยิงที่จัดทำขึ้นโดยสหรัฐ อย่างไรก็ตามกรอบเงื่อนไขดังกล่าวยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้จนถึงขณะนี้ ซึ่งเป็นไปตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์ เนื่องจากเงื่อนไขของสหรัฐถูกมองว่าเข้าข้างอิสราเอลมากเกินไป
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 117 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีรายงานจากสื่อของยูเครนว่า รัสเซียอาจจะกำลังเตรียมพร้อมในการยิงขีปนาวุธข้ามทวีป RS-26 Rubezh (ซึ่งปลดประจำการไปแล้ว) ด้วย "หัวรบแบบธรรมดา" เพื่อโจมตีดินแดนยูเครนโดยตรง

    ขีปนาวุธข้ามทวีป RS-26 เป็นขีปนาวุธที่รวดเร็วและทรงพลัง มีน้ำหนักหัวรบ 1.2 ตัน มีฐานยิงอยู่ที่เมืองคาปุสติน (เมืองอัสตราคาน) Kapustin (Astrakhan) ทางตะวันออกไกลของรัสเซีย
    มีรายละเอียดดังนี้:
    - พิสัยการยิงสูงสุด 6,000 กม.
    - ความแม่นยำ 150 ม. จากเป้าหมาย
    - น้ำหนักขีปนาวุธเริ่มต้นที่ 50 ตัน
    - น้ำหนักหัวรบ 1.2 ตัน

    วันนี้หน่วยข่าวกรองของสหรัฐฯ ส่งข้อความแจ้งเตือนไปยังอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี และโปแลนด์ ถึงการโจมตีทางอากาศที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในเคียฟ

    สถานทูตสหรัฐอเมริกา สเปน กรีซ และอิตาลีในกรุงเคียฟหยุดงานกระทันหัน เนื่องจากอาจเกิดการโจมตีครั้งใหญ่ในยูเครน
    มีรายงานจากสื่อของยูเครนว่า รัสเซียอาจจะกำลังเตรียมพร้อมในการยิงขีปนาวุธข้ามทวีป RS-26 Rubezh (ซึ่งปลดประจำการไปแล้ว) ด้วย "หัวรบแบบธรรมดา" เพื่อโจมตีดินแดนยูเครนโดยตรง ขีปนาวุธข้ามทวีป RS-26 เป็นขีปนาวุธที่รวดเร็วและทรงพลัง มีน้ำหนักหัวรบ 1.2 ตัน มีฐานยิงอยู่ที่เมืองคาปุสติน (เมืองอัสตราคาน) Kapustin (Astrakhan) ทางตะวันออกไกลของรัสเซีย มีรายละเอียดดังนี้: - พิสัยการยิงสูงสุด 6,000 กม. - ความแม่นยำ 150 ม. จากเป้าหมาย - น้ำหนักขีปนาวุธเริ่มต้นที่ 50 ตัน - น้ำหนักหัวรบ 1.2 ตัน วันนี้หน่วยข่าวกรองของสหรัฐฯ ส่งข้อความแจ้งเตือนไปยังอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี และโปแลนด์ ถึงการโจมตีทางอากาศที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในเคียฟ สถานทูตสหรัฐอเมริกา สเปน กรีซ และอิตาลีในกรุงเคียฟหยุดงานกระทันหัน เนื่องจากอาจเกิดการโจมตีครั้งใหญ่ในยูเครน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 105 มุมมอง 0 รีวิว
  • ยูเครนมีขีปนาวุธ ATACMS เหลืออยู่เท่าไหร่ หลังจากใช้ไปแล้ว 6 ลูกเมื่อวานนี้

    เคียฟและวอชิงตันไม่เคยยืนยันจำนวนขีปนาวุธ ATACMS อย่างเป็นทางการ มีการส่งมอบที่ทราบเพียง 2 ครั้งเท่านั้น ครั้งหนึ่งในช่วงปลายปี 2023 แต่เป็นรุ่นเก่าระยะสูงสุดเพียง 160 กม. หรือ 100 ไมล์ และอีกครั้งซึ่งส่งมอบอย่างลับๆในเดือนมีนาคมปี 2024 นี้(แต่ข่าวเพิ่งมาเปิดเผยทีหลัง) ซึ่งเป็นรุ่นใหม่กว่ามีพิสัยสูงสุด 300 กม. หรือ 190 ไมล์ นอกจากนี้ ยังไม่มีความชัดเจนว่ายูเครนได้ใช้ไปแล้วกี่ครั้ง

    ตามข้อมูลอย่างไม่เป็นทางการ ขณะนี้ยูเครนเหลือขีปนาวุธ ATACMS ไม่เกิน 50 ลูกเท่านั้น และไม่ยืนยันว่าที่เหลืออยู่เป็นรุ่นเก่าหรือรุ่นใหม่!!

    - ยูเครนได้รับขีปนาวุธ ATACMS เท่าไหร่:
    ตามรายงานของสื่อ แพ็คเกจความช่วยเหลือช่วงต้นปีของสหรัฐ คือช่วงเดือนกุมภาพันธ์ มูลค่า 300 ล้านดอลลาร์ เมื่อพิจารณาราคาของขีปนาวุธ ATACMS จะอยู่ที่ 1 ล้านดอลลาร์ต่อหนึ่งลูก อ้างอิงตามสัญญาที่ทำขึ้นระหว่างสหรัฐอเมริกากับ Lockheed Martin จึงมีการคาดเดาว่ายูเครนได้รับขีปนาวุธ ATACMS รุ่นใหม่เพียง 2-3 โหล( 24-36 ลูก)

    เนื่องจากความช่วยเหลือในครั้งนั้น ยังมีอย่างอื่นซึ่งประกอบไปด้วยขีปนาวุธต่อต้านอากาศยาน Stinger จรวดสำหรับ HIMARS ตลอดจนกระสุนปืนใหญ่ขนาด 155 มม. และ 105 มม. และรายงานยังระบุว่ารวมถึงระบบต่อต้านรถถัง 84 ระบบ อาวุธขนาดเล็ก และชิ้นส่วนอะไหล่สำหรับอุปกรณ์และอุปกรณ์เสริมอื่นๆ

    - ยูเครนใช้ขีปนาวุธ ATACMS ไปแล้วกี่ลูก:
    หลังจากได้รับ ATACMS รุ่นระยะ 300 กม. ในเดือนมีนาคม 2024 นี่เป็นบันทึกที่ "ยังไม่ได้รับการยืนยัน" อย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการโจมตีที่เก็บรวบรวมไว้

    ➡️เดือนเมษายน มีการอ้างว่าใช้ขีปนาวุธ ATACMS โจมตีในไครเมีย
    ➡️เดือนพฤษภาคม มีการอ้างว่าใช้ขีปนาวุธ ATACMS โจมตีฐานทัพอากาศเบลเบกในไครเมีย
    ➡️ช่วงปลายเดือนพฤษภาคม มีการอ้างว่าใช้ขีปนาวุธ ATACMS โจมตีใกล้กับเมืองลูฮันสค์
    ➡️ช่วงปลายเดือนมิถุนายน มีการอ้างว่าใช้ขีปนาวุธ ATACMS เพื่อโจมตีระบบต่อต้านขีปนาวุธ S-500 ของรัสเซีย
    ➡️เดือนกรกฎาคม มีการอ้างว่าใช้ขีปนาวุธ ATACMS โจมตีฐานทัพอากาศ Saki ในไครเมีย
    ➡️อีกครั้งในเดือนกรกฎาคม มีการอ้างว่าใช้ขีปนาวุธ ATACMS สี่ลูก โจมตีระบบต่อต้านขีปนาวุธ S-300 ใกล้กับเมือง Mariupol
    ➡️ในช่วงต้นเดือนตุลาคม มีการอ้างว่าใช้ขีปนาวุธ ATACMS โจมตีสถานีเรดาร์ "Nebo-M" ของรัสเซีย
    ➡️ขอเน้นย้ำว่า การใช้ขีปนาวุธ ATACMS ในการโจมตีบางกรณียังไม่ได้รับการยืนยัน และบางกรณีอาจเป็นรุ่นเก่าที่จัดหาในปี 2023 นอกจากนี้ ยูเครนยังมีแนวโน้มที่จะยิง ATACMS ในระยะที่เป้าหมายห่างไปเพียง 20 กิโลเมตร (12 ไมล์) จากแนวหน้าเพื่อให้ปลอดภัยจากการโจมตีของรัสเซียด้วย
    ➡️จนถึงปัจจุบัน การโจมตีครั้งเดียวที่ทราบโดยใช้ ATACMS ที่มีพิสัยไกลกว่าคือการโจมตีเมื่อวันที่ 17 เมษายนที่สนามบิน Dzhankoi ในไครเมีย แม้ว่าในทางเทคนิคแล้วอยู่ในระยะการโจมตีของ ATACMS รุ่นเก่า แต่หากต้องการหวังผลอย่างมีประสิทธิภาพ อาจต้องใช้รุ่นใหม่ที่มีพิสัยไกลกว่า
    ยูเครนมีขีปนาวุธ ATACMS เหลืออยู่เท่าไหร่ หลังจากใช้ไปแล้ว 6 ลูกเมื่อวานนี้ เคียฟและวอชิงตันไม่เคยยืนยันจำนวนขีปนาวุธ ATACMS อย่างเป็นทางการ มีการส่งมอบที่ทราบเพียง 2 ครั้งเท่านั้น ครั้งหนึ่งในช่วงปลายปี 2023 แต่เป็นรุ่นเก่าระยะสูงสุดเพียง 160 กม. หรือ 100 ไมล์ และอีกครั้งซึ่งส่งมอบอย่างลับๆในเดือนมีนาคมปี 2024 นี้(แต่ข่าวเพิ่งมาเปิดเผยทีหลัง) ซึ่งเป็นรุ่นใหม่กว่ามีพิสัยสูงสุด 300 กม. หรือ 190 ไมล์ นอกจากนี้ ยังไม่มีความชัดเจนว่ายูเครนได้ใช้ไปแล้วกี่ครั้ง ตามข้อมูลอย่างไม่เป็นทางการ ขณะนี้ยูเครนเหลือขีปนาวุธ ATACMS ไม่เกิน 50 ลูกเท่านั้น และไม่ยืนยันว่าที่เหลืออยู่เป็นรุ่นเก่าหรือรุ่นใหม่!! - ยูเครนได้รับขีปนาวุธ ATACMS เท่าไหร่: ตามรายงานของสื่อ แพ็คเกจความช่วยเหลือช่วงต้นปีของสหรัฐ คือช่วงเดือนกุมภาพันธ์ มูลค่า 300 ล้านดอลลาร์ เมื่อพิจารณาราคาของขีปนาวุธ ATACMS จะอยู่ที่ 1 ล้านดอลลาร์ต่อหนึ่งลูก อ้างอิงตามสัญญาที่ทำขึ้นระหว่างสหรัฐอเมริกากับ Lockheed Martin จึงมีการคาดเดาว่ายูเครนได้รับขีปนาวุธ ATACMS รุ่นใหม่เพียง 2-3 โหล( 24-36 ลูก) เนื่องจากความช่วยเหลือในครั้งนั้น ยังมีอย่างอื่นซึ่งประกอบไปด้วยขีปนาวุธต่อต้านอากาศยาน Stinger จรวดสำหรับ HIMARS ตลอดจนกระสุนปืนใหญ่ขนาด 155 มม. และ 105 มม. และรายงานยังระบุว่ารวมถึงระบบต่อต้านรถถัง 84 ระบบ อาวุธขนาดเล็ก และชิ้นส่วนอะไหล่สำหรับอุปกรณ์และอุปกรณ์เสริมอื่นๆ - ยูเครนใช้ขีปนาวุธ ATACMS ไปแล้วกี่ลูก: หลังจากได้รับ ATACMS รุ่นระยะ 300 กม. ในเดือนมีนาคม 2024 นี่เป็นบันทึกที่ "ยังไม่ได้รับการยืนยัน" อย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการโจมตีที่เก็บรวบรวมไว้ ➡️เดือนเมษายน มีการอ้างว่าใช้ขีปนาวุธ ATACMS โจมตีในไครเมีย ➡️เดือนพฤษภาคม มีการอ้างว่าใช้ขีปนาวุธ ATACMS โจมตีฐานทัพอากาศเบลเบกในไครเมีย ➡️ช่วงปลายเดือนพฤษภาคม มีการอ้างว่าใช้ขีปนาวุธ ATACMS โจมตีใกล้กับเมืองลูฮันสค์ ➡️ช่วงปลายเดือนมิถุนายน มีการอ้างว่าใช้ขีปนาวุธ ATACMS เพื่อโจมตีระบบต่อต้านขีปนาวุธ S-500 ของรัสเซีย ➡️เดือนกรกฎาคม มีการอ้างว่าใช้ขีปนาวุธ ATACMS โจมตีฐานทัพอากาศ Saki ในไครเมีย ➡️อีกครั้งในเดือนกรกฎาคม มีการอ้างว่าใช้ขีปนาวุธ ATACMS สี่ลูก โจมตีระบบต่อต้านขีปนาวุธ S-300 ใกล้กับเมือง Mariupol ➡️ในช่วงต้นเดือนตุลาคม มีการอ้างว่าใช้ขีปนาวุธ ATACMS โจมตีสถานีเรดาร์ "Nebo-M" ของรัสเซีย ➡️ขอเน้นย้ำว่า การใช้ขีปนาวุธ ATACMS ในการโจมตีบางกรณียังไม่ได้รับการยืนยัน และบางกรณีอาจเป็นรุ่นเก่าที่จัดหาในปี 2023 นอกจากนี้ ยูเครนยังมีแนวโน้มที่จะยิง ATACMS ในระยะที่เป้าหมายห่างไปเพียง 20 กิโลเมตร (12 ไมล์) จากแนวหน้าเพื่อให้ปลอดภัยจากการโจมตีของรัสเซียด้วย ➡️จนถึงปัจจุบัน การโจมตีครั้งเดียวที่ทราบโดยใช้ ATACMS ที่มีพิสัยไกลกว่าคือการโจมตีเมื่อวันที่ 17 เมษายนที่สนามบิน Dzhankoi ในไครเมีย แม้ว่าในทางเทคนิคแล้วอยู่ในระยะการโจมตีของ ATACMS รุ่นเก่า แต่หากต้องการหวังผลอย่างมีประสิทธิภาพ อาจต้องใช้รุ่นใหม่ที่มีพิสัยไกลกว่า
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 157 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไบเดนอนุญาตให้ยูเครนใช้อาวุธโจมตีลึกเข้าไปในดินแดนรัสเซียแล้ว!

    โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา อนุญาตให้ยูเครนใช้อาวุธที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯโจมตีเข้าไปในดินแดนของรัสเซียได้แล้ว

    นับเป็นการตัดสินใจเปลี่ยนแปลงนโยบายครั้งสำคัญของไบเดน ก่อนพ้นจากตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากที่โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯเริ่มกระบวนการแต่งตั้งตัวแทนในการเจรจาเพื่อยุติสงครามในยูเครนโดยเร็วที่สุด พร้อมให้คำมั่นที่จะจำกัดการสนับสนุนยูเครน

    คาดว่าอาวุธที่สามารถโจมตีดินแดนรัสเซียในระยะไกลได้นั้นคือ ขีปนาวุธ ATACMS ที่มีพิสัยทำการถึง 300 กม. ตามที่เจ้าหน้าระดับสูงของสหรัฐรายหนึ่งระบุ และสามารถติดตั้งหัวรบที่บรรจุลูกระเบิดคลัสเตอร์ได้หลายร้อยลูก
    ไบเดนอนุญาตให้ยูเครนใช้อาวุธโจมตีลึกเข้าไปในดินแดนรัสเซียแล้ว! โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา อนุญาตให้ยูเครนใช้อาวุธที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯโจมตีเข้าไปในดินแดนของรัสเซียได้แล้ว นับเป็นการตัดสินใจเปลี่ยนแปลงนโยบายครั้งสำคัญของไบเดน ก่อนพ้นจากตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากที่โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯเริ่มกระบวนการแต่งตั้งตัวแทนในการเจรจาเพื่อยุติสงครามในยูเครนโดยเร็วที่สุด พร้อมให้คำมั่นที่จะจำกัดการสนับสนุนยูเครน คาดว่าอาวุธที่สามารถโจมตีดินแดนรัสเซียในระยะไกลได้นั้นคือ ขีปนาวุธ ATACMS ที่มีพิสัยทำการถึง 300 กม. ตามที่เจ้าหน้าระดับสูงของสหรัฐรายหนึ่งระบุ และสามารถติดตั้งหัวรบที่บรรจุลูกระเบิดคลัสเตอร์ได้หลายร้อยลูก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 131 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🔸️นับตั้งแต่ทศวรรษ 1980 เป็นต้นมา ปริมาณอะลูมิเนียมในวัคซีนสำหรับเด็กเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเพิ่มขึ้นเป็นสี่เท่าของปริมาณทั้งหมด
    ในขณะเดียวกัน การวินิจฉัยโรคออทิซึมก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วถึง 27,000%
    https://thepeoplesvoice.tv/aluminum-levels-in-childhood.../
    ในขณะที่การเพิ่มขึ้นของอะลูมิเนียมในวัคซีนมักเกี่ยวข้องกับบทบาทของอะลูมิเนียมในฐานะสารเสริมภูมิคุ้มกัน—ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันตอบสนองต่อวัคซีนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น—การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนี้ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับความเชื่อมโยงที่อาจเกิดขึ้นระหว่างส่วนประกอบของวัคซีนและอัตราการเกิดออทิซึมที่เพิ่มมากขึ้น
    อัตราการเกิดโรคออทิซึมในสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นอย่างมากตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1980 เมื่อครั้งนั้น อัตราการวินิจฉัยโรคออทิซึมโดยประมาณอยู่ที่ 1 ใน 10,000 เด็ก ในช่วงต้นทศวรรษ 2000 อัตราดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็น 1 ใน 150 และข้อมูลล่าสุดจากปี 2023 ระบุว่าอัตราดังกล่าวอยู่ที่ 1 ใน 36 เด็ก
    ดร. คริส เอ็กซ์ลีย์ จากมหาวิทยาลัยคีลในอังกฤษและเพื่อนร่วมงานได้ตีพิมพ์งานวิจัยที่ทำการศึกษาเนื้อเยื่อสมองของผู้ป่วยออทิสติกเป็นครั้งแรก เพื่อตรวจสอบระดับอะลูมิเนียม (หมายเหตุ: ในสหราชอาณาจักรผู้ป่วยสะกดคำว่า “อะลูมิเนียม” เป็น “อะลูมิเนียม”) ที่พบในเนื้อเยื่อสมอง
    สำหรับใครก็ตามที่พยายามจะโน้มน้าวโลกให้เชื่อว่า “วิทยาศาสตร์ได้รับการพิสูจน์แล้วและวัคซีนไม่ได้ทำให้เกิดโรคออทิซึม” ผลการศึกษานี้ขัดแย้งกับคำกล่าวนี้อย่างมาก
    ในโพสต์บล็อกที่เขียนโดยศาสตราจารย์เอ็กซ์ลีย์ในวันที่ผลการศึกษาของเขาได้รับการตีพิมพ์
    เขาได้อธิบายผลลัพธ์อันล้ำสมัยดังต่อไปนี้:
    “…ในขณะที่ปริมาณอะลูมิเนียมในสมองของผู้ป่วยออทิสติกทั้ง 5 รายนั้นสูงอย่างน่าตกใจ แต่ตำแหน่งในเนื้อเยื่อสมองต่างหากที่เป็นจุดสังเกตที่โดดเด่น…หลักฐานใหม่ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าอะลูมิเนียมเข้าสู่สมองของผู้ป่วย ASD [กลุ่มอาการออทิสติก] ผ่านทางเซลล์ที่ก่อให้เกิดการอักเสบซึ่งมีอะลูมิเนียมสะสมอยู่ในเลือดและ/หรือน้ำเหลือง ซึ่งก็เหมือนกับที่ได้รับการพิสูจน์แล้วในโมโนไซต์ที่บริเวณที่ฉีดวัคซีนรวมถึงสารเสริมฤทธิ์อะลูมิเนียม”
    คำพูดของดร. เอ็กซ์ลีย์รวมถึงการอ้างถึง “โมโนไซต์ที่บริเวณฉีด” และความจริงที่ว่าปฏิสัมพันธ์ระหว่างโมโนไซต์เหล่านี้กับอะลูมิเนียมได้รับการพิสูจน์แล้วในวิทยาศาสตร์ที่ตีพิมพ์ก่อนหน้านี้
    ฉันรู้ว่ามันฟังดูเป็นเทคนิคมาก แต่ลองฟังฉันก่อน
    “โมโนไซต์” คือเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่ง ซึ่งโมโนไซต์ชนิดหนึ่งคือ “แมคโครฟาจ” แมคโครฟาจอาจเปรียบได้กับมนุษย์ขยะในระบบภูมิคุ้มกันที่คอยกัดกินสิ่งแปลกปลอม เศษเซลล์ ฯลฯ
    อย่างที่คุณจะสังเกตเห็นในอีกไม่ช้านี้ ดูเหมือนว่าแมคโครฟาจจะมีบทบาทสำคัญและร้ายแรงในการกระตุ้นให้เกิดออทิซึม โดยทำหน้าที่นำอะลูมิเนียมที่มนุษย์สร้างขึ้นซึ่งฉีดจากวัคซีนโดยตรงเข้าไปในสมอง ซึ่งสามารถขัดขวางการพัฒนาของสมองและกระตุ้นให้เกิดออทิซึมได้
    การศึกษาวิจัยของดร. เอ็กซ์ลีย์เรื่อง “ อะลูมิเนียมในเนื้อเยื่อสมองและออทิซึม ” ถือได้ว่าเป็นชิ้นส่วนสุดท้ายของปริศนาที่เริ่มประกอบเข้าด้วยกันในปี 2004 และได้รับความสนใจมากขึ้นหลังปี 2010 ซึ่งช่วยส่งเสริมความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์อย่างมากว่าวัคซีนสามารถกระตุ้นให้เกิดออทิซึมได้อย่างไร
    ไทม์ไลน์นี้ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องตระหนัก เนื่องจากศาลวัคซีนในสหรัฐฯ ได้ยกฟ้องสมมติฐานเกี่ยวกับวัคซีน-ออทิซึมในปี 2009 นานก่อนที่สิ่งที่ฉันจะอธิบายต่อไปนี้จะเกิดขึ้นเสียอีก
    วิทยาศาสตร์คือความต่อเนื่อง ความจริงที่ปรากฏผ่านการศึกษาหลาย ๆ อย่างซึ่งมักต้องนำมาประกอบเข้าด้วยกันก่อนจึงจะมองเห็นภาพรวมได้ชัดเจน และบางครั้งความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์อาจดำเนินไปอย่างช้า ๆ จนกระทั่งถึงจุดที่ความจริงที่ปรากฏปรากฏขึ้นในลักษณะที่ไม่สามารถปฏิเสธได้อีกต่อไป
    ในความเห็นของฉัน การศึกษาของดร. เอ็กซ์ลีย์ให้ข้อมูลเพียงส่วนเดียวที่ขาดหายไปจากคำอธิบายที่รัดกุมเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับลูกชายของฉันและเด็กอีกหลายๆ คน และได้ให้ "ความน่าจะเป็นทางชีววิทยา" แก่ผู้ที่ไม่เชื่อทั้งหมดว่าวัคซีนที่ฉีดเข้าที่ไหล่ของทารกสามารถกระตุ้นให้เกิดโรคออทิซึมได้อย่างไร
    สำหรับชาวอเมริกัน การแข่งขันเพื่อค้นหาสาเหตุของโรคออทิซึมทั้งหมดนั้นน่าจะชนะได้ในต่างแดน ดังที่คุณจะเห็นในไม่ช้านี้ วิทยาศาสตร์ทั้งหมดที่อธิบายสาเหตุของโรคออทิซึมมาจากต่างประเทศ แม้ว่านักวิทยาศาสตร์จาก Caltech จะเป็นคนผลักโดมิโนตัวแรกไปเมื่อปี 2549 ก็ตาม
    ทำไมถึงมีอะลูมิเนียมอยู่ในวัคซีน?
    อะลูมิเนียมเป็นส่วนประกอบสำคัญของวัคซีนส่วนใหญ่ที่ให้กับเด็ก อะลูมิเนียมทำหน้าที่เป็น “สารเสริมภูมิคุ้มกัน” ซึ่งหมายความว่าอะลูมิเนียมทำหน้าที่ “ปลุก” ระบบภูมิคุ้มกันให้ตื่นขึ้น กระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันจดจำ “แอนติเจน” ในวัคซีนเพื่อป้องกันโรคต่างๆ ที่วัคซีนทำหน้าที่ป้องกันโรค
    ปริมาณอะลูมิเนียมในวัคซีนที่ให้กับเด็ก ๆพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเริ่มตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1990 ด้วยสาเหตุสองประการ: 1) มีการเพิ่มวัคซีนเข้าไปในตารางวัคซีนสำหรับเด็กมากขึ้น และ 2) อัตราการฉีดวัคซีนสำหรับวัคซีนทุกชนิดที่ให้กับเด็กเพิ่มขึ้น (จาก 50–60% ของเด็ก ๆ ที่ได้รับวัคซีนในช่วงกลางทศวรรษ 1980 เป็นมากกว่า 90% ในปัจจุบัน)
    ในช่วงกลางทศวรรษ 1980 เด็กจะได้รับอะลูมิเนียมจากวัคซีน 1,250 ไมโครกรัมภายในอายุ 18 เดือนหากได้รับวัคซีนครบถ้วน ปัจจุบัน ตัวเลขดังกล่าวอยู่ที่ 4,925 ไมโครกรัม ซึ่งเพิ่มขึ้นเกือบสี่เท่าจากปริมาณอะลูมิเนียมทั้งหมด
    คุณสามารถอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ในผลการศึกษาที่ยอดเยี่ยม ซึ่งตีพิมพ์โดย Neil Miller
    ที่น่าประหลาดใจก็คือ อะลูมิเนียมไม่เคยผ่านการทดสอบทางชีวภาพเพื่อพิจารณาถึงความปลอดภัยในการฉีดเข้าไปในทารก เนื่องจากอะลูมิเนียมได้รับการ "ยกเว้น" ไว้ในมาตรฐานความปลอดภัยสมัยใหม่ของเรา นักวิทยาศาสตร์ชาวแคนาดา ดร. คริส ชอว์ และ ดร. ลูซิจา ทอมเยโนวิช ได้กล่าวถึงการละเว้นนี้ในการศึกษาวิจัยเชิงวิจารณ์ที่พวกเขาตีพิมพ์ในปี 2011 ในวารสารCurrent Medicinal Chemistryชื่อว่า “ สารเสริมฤทธิ์วัคซีนอะลูมิเนียม: ปลอดภัยหรือไม่ ” พวกเขาเขียนว่า:
    “อะลูมิเนียมเป็นสารพิษต่อระบบประสาทที่ได้รับการพิสูจน์แล้วจากการทดลองและเป็นสารเสริมฤทธิ์วัคซีนที่ใช้กันทั่วไป แม้ว่าจะมีการใช้สารเสริมฤทธิ์อะลูมิเนียมอย่างแพร่หลายมานานเกือบ 90 ปีแล้ว แต่ความเข้าใจของวิทยาศาสตร์การแพทย์เกี่ยวกับกลไกการออกฤทธิ์ของสารเสริมฤทธิ์อะลูมิเนียมยังคงต่ำอย่างน่าตกใจนอกจากนี้ยังมีข้อมูลเกี่ยวกับพิษวิทยาและเภสัชจลนศาสตร์ของสารประกอบเหล่านี้อย่างขาดแคลน ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่ากังวล แม้จะเป็นเช่นนั้น แนวคิดที่ว่าอะลูมิเนียมในวัคซีนนั้นปลอดภัยก็ยังได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางอย่างไรก็ตาม การวิจัยเชิงทดลองแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าสารเสริมฤทธิ์อะลูมิเนียมมีศักยภาพในการทำให้เกิดความผิดปกติทางภูมิคุ้มกันที่ร้ายแรงในมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อะลูมิเนียมในรูปแบบสารเสริมฤทธิ์มีความเสี่ยงต่อภูมิคุ้มกันตนเอง การอักเสบของสมองในระยะยาว และภาวะแทรกซ้อนทางระบบประสาทที่เกี่ยวข้อง และอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างกว้างขวางและรุนแรง”
    ICANตัดสินใจทดสอบความสามารถของ CDC และ NIH ในการผลิตงานวิจัยใดๆ เพื่อแสดงให้เห็นความปลอดภัยของสารเสริมฤทธิ์วัคซีนผ่านการฟ้องร้องภายใต้ FOIA ตอนนี้ฉันเดาว่าคุณคงรู้ว่าคดีจบลงอย่างไร... อ่านบทความฉบับสมบูรณ์
    “คำตอบของ CDC และ NIH ต่อคำร้องขอภายใต้พระราชบัญญัติเสรีภาพในการเข้าถึงข้อมูล (FOIA) ของ ICAN เกี่ยวกับสารเสริมฤทธิ์อะลูมิเนียมเผยให้เห็นการยอมรับที่น่าตกตะลึง นั่นคือ พวกเขาไม่มีการศึกษาแม้แต่ชิ้นเดียวที่จะสนับสนุนความปลอดภัยในการแนะนำให้ฉีดสารพิษต่อเซลล์และระบบประสาทนี้ซ้ำๆ เป็นส่วนหนึ่งของตารางการฉีดวัคซีนสำหรับเด็กของ CDC”
    🔸️นับตั้งแต่ทศวรรษ 1980 เป็นต้นมา ปริมาณอะลูมิเนียมในวัคซีนสำหรับเด็กเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเพิ่มขึ้นเป็นสี่เท่าของปริมาณทั้งหมด ในขณะเดียวกัน การวินิจฉัยโรคออทิซึมก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วถึง 27,000% https://thepeoplesvoice.tv/aluminum-levels-in-childhood.../ ในขณะที่การเพิ่มขึ้นของอะลูมิเนียมในวัคซีนมักเกี่ยวข้องกับบทบาทของอะลูมิเนียมในฐานะสารเสริมภูมิคุ้มกัน—ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันตอบสนองต่อวัคซีนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น—การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนี้ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับความเชื่อมโยงที่อาจเกิดขึ้นระหว่างส่วนประกอบของวัคซีนและอัตราการเกิดออทิซึมที่เพิ่มมากขึ้น อัตราการเกิดโรคออทิซึมในสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นอย่างมากตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1980 เมื่อครั้งนั้น อัตราการวินิจฉัยโรคออทิซึมโดยประมาณอยู่ที่ 1 ใน 10,000 เด็ก ในช่วงต้นทศวรรษ 2000 อัตราดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็น 1 ใน 150 และข้อมูลล่าสุดจากปี 2023 ระบุว่าอัตราดังกล่าวอยู่ที่ 1 ใน 36 เด็ก ดร. คริส เอ็กซ์ลีย์ จากมหาวิทยาลัยคีลในอังกฤษและเพื่อนร่วมงานได้ตีพิมพ์งานวิจัยที่ทำการศึกษาเนื้อเยื่อสมองของผู้ป่วยออทิสติกเป็นครั้งแรก เพื่อตรวจสอบระดับอะลูมิเนียม (หมายเหตุ: ในสหราชอาณาจักรผู้ป่วยสะกดคำว่า “อะลูมิเนียม” เป็น “อะลูมิเนียม”) ที่พบในเนื้อเยื่อสมอง สำหรับใครก็ตามที่พยายามจะโน้มน้าวโลกให้เชื่อว่า “วิทยาศาสตร์ได้รับการพิสูจน์แล้วและวัคซีนไม่ได้ทำให้เกิดโรคออทิซึม” ผลการศึกษานี้ขัดแย้งกับคำกล่าวนี้อย่างมาก ในโพสต์บล็อกที่เขียนโดยศาสตราจารย์เอ็กซ์ลีย์ในวันที่ผลการศึกษาของเขาได้รับการตีพิมพ์ เขาได้อธิบายผลลัพธ์อันล้ำสมัยดังต่อไปนี้: “…ในขณะที่ปริมาณอะลูมิเนียมในสมองของผู้ป่วยออทิสติกทั้ง 5 รายนั้นสูงอย่างน่าตกใจ แต่ตำแหน่งในเนื้อเยื่อสมองต่างหากที่เป็นจุดสังเกตที่โดดเด่น…หลักฐานใหม่ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าอะลูมิเนียมเข้าสู่สมองของผู้ป่วย ASD [กลุ่มอาการออทิสติก] ผ่านทางเซลล์ที่ก่อให้เกิดการอักเสบซึ่งมีอะลูมิเนียมสะสมอยู่ในเลือดและ/หรือน้ำเหลือง ซึ่งก็เหมือนกับที่ได้รับการพิสูจน์แล้วในโมโนไซต์ที่บริเวณที่ฉีดวัคซีนรวมถึงสารเสริมฤทธิ์อะลูมิเนียม” คำพูดของดร. เอ็กซ์ลีย์รวมถึงการอ้างถึง “โมโนไซต์ที่บริเวณฉีด” และความจริงที่ว่าปฏิสัมพันธ์ระหว่างโมโนไซต์เหล่านี้กับอะลูมิเนียมได้รับการพิสูจน์แล้วในวิทยาศาสตร์ที่ตีพิมพ์ก่อนหน้านี้ ฉันรู้ว่ามันฟังดูเป็นเทคนิคมาก แต่ลองฟังฉันก่อน “โมโนไซต์” คือเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่ง ซึ่งโมโนไซต์ชนิดหนึ่งคือ “แมคโครฟาจ” แมคโครฟาจอาจเปรียบได้กับมนุษย์ขยะในระบบภูมิคุ้มกันที่คอยกัดกินสิ่งแปลกปลอม เศษเซลล์ ฯลฯ อย่างที่คุณจะสังเกตเห็นในอีกไม่ช้านี้ ดูเหมือนว่าแมคโครฟาจจะมีบทบาทสำคัญและร้ายแรงในการกระตุ้นให้เกิดออทิซึม โดยทำหน้าที่นำอะลูมิเนียมที่มนุษย์สร้างขึ้นซึ่งฉีดจากวัคซีนโดยตรงเข้าไปในสมอง ซึ่งสามารถขัดขวางการพัฒนาของสมองและกระตุ้นให้เกิดออทิซึมได้ การศึกษาวิจัยของดร. เอ็กซ์ลีย์เรื่อง “ อะลูมิเนียมในเนื้อเยื่อสมองและออทิซึม ” ถือได้ว่าเป็นชิ้นส่วนสุดท้ายของปริศนาที่เริ่มประกอบเข้าด้วยกันในปี 2004 และได้รับความสนใจมากขึ้นหลังปี 2010 ซึ่งช่วยส่งเสริมความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์อย่างมากว่าวัคซีนสามารถกระตุ้นให้เกิดออทิซึมได้อย่างไร ไทม์ไลน์นี้ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องตระหนัก เนื่องจากศาลวัคซีนในสหรัฐฯ ได้ยกฟ้องสมมติฐานเกี่ยวกับวัคซีน-ออทิซึมในปี 2009 นานก่อนที่สิ่งที่ฉันจะอธิบายต่อไปนี้จะเกิดขึ้นเสียอีก วิทยาศาสตร์คือความต่อเนื่อง ความจริงที่ปรากฏผ่านการศึกษาหลาย ๆ อย่างซึ่งมักต้องนำมาประกอบเข้าด้วยกันก่อนจึงจะมองเห็นภาพรวมได้ชัดเจน และบางครั้งความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์อาจดำเนินไปอย่างช้า ๆ จนกระทั่งถึงจุดที่ความจริงที่ปรากฏปรากฏขึ้นในลักษณะที่ไม่สามารถปฏิเสธได้อีกต่อไป ในความเห็นของฉัน การศึกษาของดร. เอ็กซ์ลีย์ให้ข้อมูลเพียงส่วนเดียวที่ขาดหายไปจากคำอธิบายที่รัดกุมเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับลูกชายของฉันและเด็กอีกหลายๆ คน และได้ให้ "ความน่าจะเป็นทางชีววิทยา" แก่ผู้ที่ไม่เชื่อทั้งหมดว่าวัคซีนที่ฉีดเข้าที่ไหล่ของทารกสามารถกระตุ้นให้เกิดโรคออทิซึมได้อย่างไร สำหรับชาวอเมริกัน การแข่งขันเพื่อค้นหาสาเหตุของโรคออทิซึมทั้งหมดนั้นน่าจะชนะได้ในต่างแดน ดังที่คุณจะเห็นในไม่ช้านี้ วิทยาศาสตร์ทั้งหมดที่อธิบายสาเหตุของโรคออทิซึมมาจากต่างประเทศ แม้ว่านักวิทยาศาสตร์จาก Caltech จะเป็นคนผลักโดมิโนตัวแรกไปเมื่อปี 2549 ก็ตาม ทำไมถึงมีอะลูมิเนียมอยู่ในวัคซีน? อะลูมิเนียมเป็นส่วนประกอบสำคัญของวัคซีนส่วนใหญ่ที่ให้กับเด็ก อะลูมิเนียมทำหน้าที่เป็น “สารเสริมภูมิคุ้มกัน” ซึ่งหมายความว่าอะลูมิเนียมทำหน้าที่ “ปลุก” ระบบภูมิคุ้มกันให้ตื่นขึ้น กระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันจดจำ “แอนติเจน” ในวัคซีนเพื่อป้องกันโรคต่างๆ ที่วัคซีนทำหน้าที่ป้องกันโรค ปริมาณอะลูมิเนียมในวัคซีนที่ให้กับเด็ก ๆพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเริ่มตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1990 ด้วยสาเหตุสองประการ: 1) มีการเพิ่มวัคซีนเข้าไปในตารางวัคซีนสำหรับเด็กมากขึ้น และ 2) อัตราการฉีดวัคซีนสำหรับวัคซีนทุกชนิดที่ให้กับเด็กเพิ่มขึ้น (จาก 50–60% ของเด็ก ๆ ที่ได้รับวัคซีนในช่วงกลางทศวรรษ 1980 เป็นมากกว่า 90% ในปัจจุบัน) ในช่วงกลางทศวรรษ 1980 เด็กจะได้รับอะลูมิเนียมจากวัคซีน 1,250 ไมโครกรัมภายในอายุ 18 เดือนหากได้รับวัคซีนครบถ้วน ปัจจุบัน ตัวเลขดังกล่าวอยู่ที่ 4,925 ไมโครกรัม ซึ่งเพิ่มขึ้นเกือบสี่เท่าจากปริมาณอะลูมิเนียมทั้งหมด คุณสามารถอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ในผลการศึกษาที่ยอดเยี่ยม ซึ่งตีพิมพ์โดย Neil Miller ที่น่าประหลาดใจก็คือ อะลูมิเนียมไม่เคยผ่านการทดสอบทางชีวภาพเพื่อพิจารณาถึงความปลอดภัยในการฉีดเข้าไปในทารก เนื่องจากอะลูมิเนียมได้รับการ "ยกเว้น" ไว้ในมาตรฐานความปลอดภัยสมัยใหม่ของเรา นักวิทยาศาสตร์ชาวแคนาดา ดร. คริส ชอว์ และ ดร. ลูซิจา ทอมเยโนวิช ได้กล่าวถึงการละเว้นนี้ในการศึกษาวิจัยเชิงวิจารณ์ที่พวกเขาตีพิมพ์ในปี 2011 ในวารสารCurrent Medicinal Chemistryชื่อว่า “ สารเสริมฤทธิ์วัคซีนอะลูมิเนียม: ปลอดภัยหรือไม่ ” พวกเขาเขียนว่า: “อะลูมิเนียมเป็นสารพิษต่อระบบประสาทที่ได้รับการพิสูจน์แล้วจากการทดลองและเป็นสารเสริมฤทธิ์วัคซีนที่ใช้กันทั่วไป แม้ว่าจะมีการใช้สารเสริมฤทธิ์อะลูมิเนียมอย่างแพร่หลายมานานเกือบ 90 ปีแล้ว แต่ความเข้าใจของวิทยาศาสตร์การแพทย์เกี่ยวกับกลไกการออกฤทธิ์ของสารเสริมฤทธิ์อะลูมิเนียมยังคงต่ำอย่างน่าตกใจนอกจากนี้ยังมีข้อมูลเกี่ยวกับพิษวิทยาและเภสัชจลนศาสตร์ของสารประกอบเหล่านี้อย่างขาดแคลน ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่ากังวล แม้จะเป็นเช่นนั้น แนวคิดที่ว่าอะลูมิเนียมในวัคซีนนั้นปลอดภัยก็ยังได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางอย่างไรก็ตาม การวิจัยเชิงทดลองแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าสารเสริมฤทธิ์อะลูมิเนียมมีศักยภาพในการทำให้เกิดความผิดปกติทางภูมิคุ้มกันที่ร้ายแรงในมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อะลูมิเนียมในรูปแบบสารเสริมฤทธิ์มีความเสี่ยงต่อภูมิคุ้มกันตนเอง การอักเสบของสมองในระยะยาว และภาวะแทรกซ้อนทางระบบประสาทที่เกี่ยวข้อง และอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างกว้างขวางและรุนแรง” ICANตัดสินใจทดสอบความสามารถของ CDC และ NIH ในการผลิตงานวิจัยใดๆ เพื่อแสดงให้เห็นความปลอดภัยของสารเสริมฤทธิ์วัคซีนผ่านการฟ้องร้องภายใต้ FOIA ตอนนี้ฉันเดาว่าคุณคงรู้ว่าคดีจบลงอย่างไร... อ่านบทความฉบับสมบูรณ์ “คำตอบของ CDC และ NIH ต่อคำร้องขอภายใต้พระราชบัญญัติเสรีภาพในการเข้าถึงข้อมูล (FOIA) ของ ICAN เกี่ยวกับสารเสริมฤทธิ์อะลูมิเนียมเผยให้เห็นการยอมรับที่น่าตกตะลึง นั่นคือ พวกเขาไม่มีการศึกษาแม้แต่ชิ้นเดียวที่จะสนับสนุนความปลอดภัยในการแนะนำให้ฉีดสารพิษต่อเซลล์และระบบประสาทนี้ซ้ำๆ เป็นส่วนหนึ่งของตารางการฉีดวัคซีนสำหรับเด็กของ CDC”
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 233 มุมมอง 0 รีวิว
  • อเมริกาพ่าย “สงครามเทคโนโลยี” จีนแซงหน้า.ประโยคติดปากกับสโลแกนของนายทรัมป์ คือ "ทำอเมริกาให้กลับมายิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง" หรือ Make America Great Again ผมไม่รู้ว่าลึกๆ นายทรัมป์ ให้ความหมายของคำนี้ว่าอย่างไร ทุกวันนี้แม้ว่าอเมริกายังถือว่าตัวเองยังคงเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจอันดับหนึ่งของโลก 28.7 ล้านล้านดอลลาร์ ตามมาด้วยจีน ที่ 28.5 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ถ้าเราวัดขนาดเศรษฐกิจเทียบกับอำนาจการซื้อ คือขนาดเศรษฐกิจ กับอำนาจการซื้อ PPP (Purchasing Power Priority)ถ้าวัดกันตรงนี้ เศรษฐกิจจีนถือว่าแซงหน้าอเมริกาเรื่องอำนาจในการซื้อข้าวซื้อของ .แต่สิ่งสำคัญกว่าขนาดหรือตัวเลขเศรษฐกิจ คือ เศรษฐกิจและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของประเทศนั้นๆ โดยเฉพาะสิ่งที่เขาเรียกว่า "เทคโนโลยีที่มาชี้ขาด" (Critical Technology) มีคำเปรียบเปรยว่า รัฐใดสามารถผูกขาดเทคโนโลยีได้ รัฐนั้นสามารถปกครองโลกได้ จีนกลายเป็นศูนย์กลางการกำหนดทิศทางของศตวรรษที่ 21.เมื่อเดือนสิงหาคม หรือ2-3 เดือนที่ผ่านมานี้ มีสถาบันนโยบายเชิงกลยุทธ์ออสเตรเลีย ที่เขาเรียกว่า Australian Politics Policy Institute ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากอเมริกา ได้เผยแพร่รายงานเรื่อง"เทคโนโลยีชี้ขาด"(Critical Technology Tracker)ว่า จีนก้าวขึ้นเป็นผู้นำในการวิจัยเทคโนโลยีที่สำคัญด้านการป้องกันประเทศ อวกาศ พลังงาน เทคโนโลยีชีวภาพ เทคโนโลยีเกิดใหม่ของโลกเกือบ 90% หรือมีมากถึง 57 หมวดหมู่ จาก 64 หมวดหมู่เทคโนโลยี แต่ยังเหลืออยู่ 7 สาขา ที่อเมริกายังเป็นผู้นำเช่น สาขาประมวลผลภาษาธรรมชาติ สาขาพันธุวิศวกรรม (Genetic Engineering) ,เวชศาสตร์นิวเคลียร์และรังสีบำบัด,วัคซีน ,ดาวเทียมขนาดเล็ก,Quantum Computing และนาฬิกาอะตอม.สื่อThe Economist รายงานและ Voice of America รายงานเมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมานี้ ออกมายอมรับว่าจีนได้แซงหน้าสหรัฐฯ กลายเป็นผู้นำ เขาพบว่าอเมริกาตอนนี้กลายเป็นอันดับสองไปแล้ว ไม่ใช่อันดับหนึ่งด้านการวิจัยเทคโนโลยีชี้ขาดเรียบร้อยแล้ว .ข้อมูลที่ผมเล่าให้ฟังนี้ มันชี้ให้เราเห็นว่าช่วงเวลาสำคัญที่ระเบียบโลกกำลังเปลี่ยนแปลง โดยมีจีนเป็นศูนย์กลาง การกำหนดทิศทางของศตวรรษที่ 21 การเติบโตของจีนเป็นปรากฏการณ์อันซับซ้อนที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง โดยเป็นเรื่องราวของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ นวัตกรรมทางเทคโนโลยี ผลกระทบทางภูมิรัฐศาสตร์ จีนกำลังผงาดขึ้นมาแทนที่สหรัฐอเมริกาในฐานะผู้นำเศรษฐกิจโลกยุคใหม่ นี่คือบทเรียนที่สหรัฐฯ และประเทศทางตะวันตกต้องรีบทำความเข้าใจ.นี่ไม่ใช่แค่เกมหมากรุกทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เป็นนามธรรม เพราะธุรกิจอเมริกาที่ควบคุมทุกอย่างในการแข่งขัน ตอนนี้ต้องมาเผชิญความจริงที่ยากขึ้นไปอีก เพราะต้องเผชิญหน้ากับคู่แข่งทางจีน ซึ่งมีเทคโนโลยีสูงกว่าตัวเอง อเมริกาตอนนี้กลายเป็นอันดับสองไปแล้ว ไม่ใช่อันดับหนึ่ง.ทั้งนี้และทั้งนั้นอนาคตเศรษฐกิจโลกจะถูกกำหนดโดยความสัมพันธ์สหรัฐฯ และจีน ไม่ว่าจะเป็นความร่วมมือ หรือแข่งขัน หรือสงครามแห่งความขัดแย้ง ความแข็งแกร่งและนวัตกรรมด้านอุตสาหกรรมของจีนผลักดันให้จีนก้าวสู่ตำแหน่งผู้นำยุคใหม่ที่มีอิทธิพลระดับโลก ท้าทายระเบียบโลกเก่าที่นำโดยสหรัฐฯ
    อเมริกาพ่าย “สงครามเทคโนโลยี” จีนแซงหน้า.ประโยคติดปากกับสโลแกนของนายทรัมป์ คือ "ทำอเมริกาให้กลับมายิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง" หรือ Make America Great Again ผมไม่รู้ว่าลึกๆ นายทรัมป์ ให้ความหมายของคำนี้ว่าอย่างไร ทุกวันนี้แม้ว่าอเมริกายังถือว่าตัวเองยังคงเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจอันดับหนึ่งของโลก 28.7 ล้านล้านดอลลาร์ ตามมาด้วยจีน ที่ 28.5 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ถ้าเราวัดขนาดเศรษฐกิจเทียบกับอำนาจการซื้อ คือขนาดเศรษฐกิจ กับอำนาจการซื้อ PPP (Purchasing Power Priority)ถ้าวัดกันตรงนี้ เศรษฐกิจจีนถือว่าแซงหน้าอเมริกาเรื่องอำนาจในการซื้อข้าวซื้อของ .แต่สิ่งสำคัญกว่าขนาดหรือตัวเลขเศรษฐกิจ คือ เศรษฐกิจและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของประเทศนั้นๆ โดยเฉพาะสิ่งที่เขาเรียกว่า "เทคโนโลยีที่มาชี้ขาด" (Critical Technology) มีคำเปรียบเปรยว่า รัฐใดสามารถผูกขาดเทคโนโลยีได้ รัฐนั้นสามารถปกครองโลกได้ จีนกลายเป็นศูนย์กลางการกำหนดทิศทางของศตวรรษที่ 21.เมื่อเดือนสิงหาคม หรือ2-3 เดือนที่ผ่านมานี้ มีสถาบันนโยบายเชิงกลยุทธ์ออสเตรเลีย ที่เขาเรียกว่า Australian Politics Policy Institute ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากอเมริกา ได้เผยแพร่รายงานเรื่อง"เทคโนโลยีชี้ขาด"(Critical Technology Tracker)ว่า จีนก้าวขึ้นเป็นผู้นำในการวิจัยเทคโนโลยีที่สำคัญด้านการป้องกันประเทศ อวกาศ พลังงาน เทคโนโลยีชีวภาพ เทคโนโลยีเกิดใหม่ของโลกเกือบ 90% หรือมีมากถึง 57 หมวดหมู่ จาก 64 หมวดหมู่เทคโนโลยี แต่ยังเหลืออยู่ 7 สาขา ที่อเมริกายังเป็นผู้นำเช่น สาขาประมวลผลภาษาธรรมชาติ สาขาพันธุวิศวกรรม (Genetic Engineering) ,เวชศาสตร์นิวเคลียร์และรังสีบำบัด,วัคซีน ,ดาวเทียมขนาดเล็ก,Quantum Computing และนาฬิกาอะตอม.สื่อThe Economist รายงานและ Voice of America รายงานเมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมานี้ ออกมายอมรับว่าจีนได้แซงหน้าสหรัฐฯ กลายเป็นผู้นำ เขาพบว่าอเมริกาตอนนี้กลายเป็นอันดับสองไปแล้ว ไม่ใช่อันดับหนึ่งด้านการวิจัยเทคโนโลยีชี้ขาดเรียบร้อยแล้ว .ข้อมูลที่ผมเล่าให้ฟังนี้ มันชี้ให้เราเห็นว่าช่วงเวลาสำคัญที่ระเบียบโลกกำลังเปลี่ยนแปลง โดยมีจีนเป็นศูนย์กลาง การกำหนดทิศทางของศตวรรษที่ 21 การเติบโตของจีนเป็นปรากฏการณ์อันซับซ้อนที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง โดยเป็นเรื่องราวของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ นวัตกรรมทางเทคโนโลยี ผลกระทบทางภูมิรัฐศาสตร์ จีนกำลังผงาดขึ้นมาแทนที่สหรัฐอเมริกาในฐานะผู้นำเศรษฐกิจโลกยุคใหม่ นี่คือบทเรียนที่สหรัฐฯ และประเทศทางตะวันตกต้องรีบทำความเข้าใจ.นี่ไม่ใช่แค่เกมหมากรุกทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เป็นนามธรรม เพราะธุรกิจอเมริกาที่ควบคุมทุกอย่างในการแข่งขัน ตอนนี้ต้องมาเผชิญความจริงที่ยากขึ้นไปอีก เพราะต้องเผชิญหน้ากับคู่แข่งทางจีน ซึ่งมีเทคโนโลยีสูงกว่าตัวเอง อเมริกาตอนนี้กลายเป็นอันดับสองไปแล้ว ไม่ใช่อันดับหนึ่ง.ทั้งนี้และทั้งนั้นอนาคตเศรษฐกิจโลกจะถูกกำหนดโดยความสัมพันธ์สหรัฐฯ และจีน ไม่ว่าจะเป็นความร่วมมือ หรือแข่งขัน หรือสงครามแห่งความขัดแย้ง ความแข็งแกร่งและนวัตกรรมด้านอุตสาหกรรมของจีนผลักดันให้จีนก้าวสู่ตำแหน่งผู้นำยุคใหม่ที่มีอิทธิพลระดับโลก ท้าทายระเบียบโลกเก่าที่นำโดยสหรัฐฯ
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 231 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ครุฑ" ประดับกุญแจเมืองทองคำที่เห็นนี้ นายกเทศมนตรีเมืองไวท์เพลนส์ สหรัฐอเมริกา ทูลเกล้าฯ ถวายแด่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ เมื่อวันที่ ๒ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๗๔ และปัจจุบันจัดแสดง ณ พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เชิงสะพานผ่านฟ้า
    "ครุฑ" ประดับกุญแจเมืองทองคำที่เห็นนี้ นายกเทศมนตรีเมืองไวท์เพลนส์ สหรัฐอเมริกา ทูลเกล้าฯ ถวายแด่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ เมื่อวันที่ ๒ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๗๔ และปัจจุบันจัดแสดง ณ พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เชิงสะพานผ่านฟ้า
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 133 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปูติน ผู้นำรัสเซีย ประกาศจำกัดการส่งออกยูเรเนียมเสริมสมรรถนะ (Enriched Uranium) หรือยูเรเนียมที่ใช้ในการผลิตนิวเคลียร์ไปยังสหรัฐอเมริกาเป็นการชั่วคราว!

    จากสถานการณ์นี้ ส่งผลให้ราคาเสนอซื้อยูเรเนียมสำหรับการส่งมอบในเดือนพฤศจิกายน 2025 พุ่งขึ้นอีก 4 ดอลลาร์ เป็น 84 ดอลลาร์ต่อปอนด์

    นี่เป็นมาตรการตอบโต้จากทางรัสเซีย หลังจากกระทรวงการคลังสหรัฐฯห้ามการนำเข้ายูเรเนียมจากรัสเซียจนถึงปี 2040 โดยอนุญาตให้มีข้อยกเว้นได้จนถึงปี 2028 แม้จะมีคำเตือนว่าการดำเนินการดังกล่าวอาจส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจของสหรัฐฯ

    การประกาศของรัสเซียครั้งนี้ ส่งผลต่อการจัดหาวัตถุดิบด้านนิวเคลียร์ในสหรัฐฯ ส่งผลให้เกิดความกังวลในอุตสาหกรรมพลังงานนิวเคลียร์ของอเมริกาในระยะใกล้นี้อย่างแน่นอน

    ข้อจำกัดดังกล่าว ครอบคลุมถึงประเทศอื่นที่ทำข้อตกลงการค้าต่างประเทศกับสหรัฐอเมริกาด้วย

    หลังการจำกัดการส่งมอบยูเรเนียมเสริมสมรรถนะให้กับสหรัฐฯ คาดว่ารัสเซียจะพื่อเส้นทางไปยังอินเดีย อิหร่าน และจีน ซึ่งเป็นประเทศที่มีการติดตั้งเครื่องปฏิกรณ์ที่ผลิตในประเทศ

    รัสเซียมีกำลังการผลิตยูเรเนียมเสริมสมรรถนะประมาณ 44% ของโลก
    ปูติน ผู้นำรัสเซีย ประกาศจำกัดการส่งออกยูเรเนียมเสริมสมรรถนะ (Enriched Uranium) หรือยูเรเนียมที่ใช้ในการผลิตนิวเคลียร์ไปยังสหรัฐอเมริกาเป็นการชั่วคราว! จากสถานการณ์นี้ ส่งผลให้ราคาเสนอซื้อยูเรเนียมสำหรับการส่งมอบในเดือนพฤศจิกายน 2025 พุ่งขึ้นอีก 4 ดอลลาร์ เป็น 84 ดอลลาร์ต่อปอนด์ นี่เป็นมาตรการตอบโต้จากทางรัสเซีย หลังจากกระทรวงการคลังสหรัฐฯห้ามการนำเข้ายูเรเนียมจากรัสเซียจนถึงปี 2040 โดยอนุญาตให้มีข้อยกเว้นได้จนถึงปี 2028 แม้จะมีคำเตือนว่าการดำเนินการดังกล่าวอาจส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจของสหรัฐฯ การประกาศของรัสเซียครั้งนี้ ส่งผลต่อการจัดหาวัตถุดิบด้านนิวเคลียร์ในสหรัฐฯ ส่งผลให้เกิดความกังวลในอุตสาหกรรมพลังงานนิวเคลียร์ของอเมริกาในระยะใกล้นี้อย่างแน่นอน ข้อจำกัดดังกล่าว ครอบคลุมถึงประเทศอื่นที่ทำข้อตกลงการค้าต่างประเทศกับสหรัฐอเมริกาด้วย หลังการจำกัดการส่งมอบยูเรเนียมเสริมสมรรถนะให้กับสหรัฐฯ คาดว่ารัสเซียจะพื่อเส้นทางไปยังอินเดีย อิหร่าน และจีน ซึ่งเป็นประเทศที่มีการติดตั้งเครื่องปฏิกรณ์ที่ผลิตในประเทศ รัสเซียมีกำลังการผลิตยูเรเนียมเสริมสมรรถนะประมาณ 44% ของโลก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 190 มุมมอง 0 รีวิว
  • คณะรัฐมนตรีของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา, กลยุทธ์การพัฒนากองทัพเรือรัสเซีย, และสายตรงของ วลาดิมีร์ ปูติน กับประเทศ เรื่องราวเหล่านี้กลายเป็นพาดหัวข่าวในหนังสือพิมพ์ทั่วรัสเซีย:

    บทวิเคราะห์ข่าว: สหรัฐฯจะรักษาความช่วยเหลือแก่อิสราเอล ขณะที่ระบอบเคียฟเผชิญกับความท้าทายในการรักษาความช่วยเหลือ
    .
    US President-elect Donald Trump’s potential cabinet, the development strategy for the Russian Navy, and Vladimir Putin’s Direct Line with the country. These stories topped the headlines in newspapers across Russia:

    Press review: US to maintain aid to Israel while Kiev regime faces challenge to retain it
    https://tass.com/pressreview/1872115
    .
    5:22 PM · Nov 14, 2024 · 2,404 Views
    https://x.com/tassagency_en/status/1857006252603130161
    คณะรัฐมนตรีของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา, กลยุทธ์การพัฒนากองทัพเรือรัสเซีย, และสายตรงของ วลาดิมีร์ ปูติน กับประเทศ เรื่องราวเหล่านี้กลายเป็นพาดหัวข่าวในหนังสือพิมพ์ทั่วรัสเซีย: บทวิเคราะห์ข่าว: สหรัฐฯจะรักษาความช่วยเหลือแก่อิสราเอล ขณะที่ระบอบเคียฟเผชิญกับความท้าทายในการรักษาความช่วยเหลือ . US President-elect Donald Trump’s potential cabinet, the development strategy for the Russian Navy, and Vladimir Putin’s Direct Line with the country. These stories topped the headlines in newspapers across Russia: Press review: US to maintain aid to Israel while Kiev regime faces challenge to retain it https://tass.com/pressreview/1872115 . 5:22 PM · Nov 14, 2024 · 2,404 Views https://x.com/tassagency_en/status/1857006252603130161
    Haha
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 231 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทรัมป์เสนอชื่อแมตต์ เกตซ์(Matt Gaetz) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากฟลอริดา ให้ดำรงตำแหน่งอัยการสูงสุดสหรัฐ (Attorney General of the United States) ซึ่งก็คือควบคุมดูแลกระทรวงยุติธรรมของสหรัฐอเมริกา ตำแหน่งนี้เป็นเพียงตำแหน่งเดียวในคณะรัฐมนตรีที่ไม่ใช้ชื่อว่า "รัฐมนตรี" (secretary)

    เกตซ์ เป็นเพียงหนึ่งในสองของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ไม่ยอมปรบมือให้เซเลนสกีระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์ต่อรัฐสภา (วิดีโอ1) และยังเรียกร้องให้มีการลงมติเพื่อหยุดให้ความช่วยเหลือยูเครนอีกด้วย

    ปฏิกิริยาจากชุมชนยิว หลังมีข่าวทรัมป์แต่งตั้ง เกตซ์ เป็นอัยการสูงสุดของสหรัฐฯ โจนาธาน กรีนแบลตต์ ซีอีโอของ ADL และคณะกรรมการชาวยิวอเมริกัน ประณามการแต่ตั้งครั้งนี้ทันที!

    นอกจากนี้ ตามรายงานของ TrackAIPAC ซึ่งทำหน้าที่ตรวจสอบนักการเมืองสหรัฐกับความเชื่อมโยงระหว่างอิสราเอล ระบุว่า เกตซ์ไม่เคยรับเงินสนับสนุนจาก AIPAC ซึ่งเป็นกลุ่มล็อบบี้ของอิสราเอล

    อย่างไรก็ตาม เกตซ์ อาจเผชิญอุปสรรคในการเข้ารับตำแหน่งนี้ เนื่องจากเขาเคยถูกกล่าวหาว่ามีสัมพันธ์กับเด็กสาววัยเพียง 17 ปี และทันทีที่เขาได้รับเลือกจากทรัมป์ ข่าวนี้ได้ถูกนำมาเผยแพร่จนกลายเป็นประแสต่อต้านเล็กๆ รวมถึงนักการเมืองในซีกรีพับลิกันด้วยกันเองด้วย
    ทรัมป์เสนอชื่อแมตต์ เกตซ์(Matt Gaetz) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากฟลอริดา ให้ดำรงตำแหน่งอัยการสูงสุดสหรัฐ (Attorney General of the United States) ซึ่งก็คือควบคุมดูแลกระทรวงยุติธรรมของสหรัฐอเมริกา ตำแหน่งนี้เป็นเพียงตำแหน่งเดียวในคณะรัฐมนตรีที่ไม่ใช้ชื่อว่า "รัฐมนตรี" (secretary) เกตซ์ เป็นเพียงหนึ่งในสองของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ไม่ยอมปรบมือให้เซเลนสกีระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์ต่อรัฐสภา (วิดีโอ1) และยังเรียกร้องให้มีการลงมติเพื่อหยุดให้ความช่วยเหลือยูเครนอีกด้วย ปฏิกิริยาจากชุมชนยิว หลังมีข่าวทรัมป์แต่งตั้ง เกตซ์ เป็นอัยการสูงสุดของสหรัฐฯ โจนาธาน กรีนแบลตต์ ซีอีโอของ ADL และคณะกรรมการชาวยิวอเมริกัน ประณามการแต่ตั้งครั้งนี้ทันที! นอกจากนี้ ตามรายงานของ TrackAIPAC ซึ่งทำหน้าที่ตรวจสอบนักการเมืองสหรัฐกับความเชื่อมโยงระหว่างอิสราเอล ระบุว่า เกตซ์ไม่เคยรับเงินสนับสนุนจาก AIPAC ซึ่งเป็นกลุ่มล็อบบี้ของอิสราเอล อย่างไรก็ตาม เกตซ์ อาจเผชิญอุปสรรคในการเข้ารับตำแหน่งนี้ เนื่องจากเขาเคยถูกกล่าวหาว่ามีสัมพันธ์กับเด็กสาววัยเพียง 17 ปี และทันทีที่เขาได้รับเลือกจากทรัมป์ ข่าวนี้ได้ถูกนำมาเผยแพร่จนกลายเป็นประแสต่อต้านเล็กๆ รวมถึงนักการเมืองในซีกรีพับลิกันด้วยกันเองด้วย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 266 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศาลแพ่งยกฟ้อง "ม.ร.ว.ปรียนันทนา"ฟ้อง"ณัฐพล-สำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน" เขียนวิทยานิพนธ์-ทำหนังสือ พาดพิงบรรพบุรุษ เรียก 50 ล้าน ชี้ไม่มีอำนาจฟ้อง

    13 พฤศจิกายน 2567- เมื่อเวลา 09.00 น.วันนี้ ที่ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก นัดอ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ พ1135/2564 ที่ ม.ร.ว.ปรียนันทนา รังสิต เป็นโจทก์ฟ้อง ผศ.ดร.ณัฐพล ใจจริง ผู้เขียนวิทยานิพนธ์และหนังสือ เป็นจำเลยที่ 1 รศ.ดร.กุลลดา เกษบุญชู มี้ด อดีตอาจารย์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ เป็นจำเลยที่ 2 นายชัยธวัช ตุลาธน บรรณาธิการหนังสือขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ เป็นจำเลยที่ 3 น.ส.อัญชลี มณีโรจน์ บรรณาธิการหนังสือ ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี เป็นจำเลยที่ 4 ห้างหุ้นส่วนจำกัดสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน ผู้จัดพิมพ์หนังสือทั้ง 2 เล่ม เป็นจำเลยที่ 5 นายธนาพล อิ๋วสกุล บรรณาธิการบริหารสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน เป็นจำเลยที่ 6 ในข้อหา “ละเมิดไขข่าวด้วยข้อความฝ่าฝืนความจริง” และเรียกค่าเสียหายจำนวน 50 ล้านบาท

    กรณีจำเลยเกี่ยวข้องกับวิทยานิพนธ์ การเมืองไทยสมัยรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม ภายใต้ระเบียบโลกของสหรัฐอเมริกา (พ.ศ. 2491-2500), หนังสือขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อและ ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี

    ต่อมาเมื่อเดือน มิถุนายน 2566 โจทก์ได้ถอนฟ้อง รศ.ดร.กุลลดา เกษบุญชู มี้ด

    ศาลแพ่ง พิเคราะห์ประเด็นข้อพิพาทที่ต้องวินิจฉัยประการแรกมีว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งหกร่วมกันรับผิดฐานละเมิดโดยอ้างว่าร่วมกันกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายแก่ชื่อเสียง เกียรติคุณ ทางทำมาหาได้ และทางเจริญของโจทก์ การกระทำจะเป็นการละเมิดและจำเลยทั้งหกต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ ต่อเมื่อข้อความที่กล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายฝ่าฝืนความจริงและโจทก์ได้รับความเสียหายจากข้อความดังกล่าว ซึ่งหมายถึงเป็นความเสียหายแก่โจทก์ผู้ฟ้องโดยเฉพาะ มิใช่ความเสียหายแก่ผู้อื่นผู้ใด แต่ตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์กล่าวว่าเมื่อปี 2552 จนถึงปัจจุบัน จำเลยทั้งหกร่วมกันบิดเบือนข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์โดยนำข้อความอันเป็นเท็จจัดทำเอกสารไขข่าวแพร่หลายสู่สาธารณะเพื่อมุ่งประสงค์กล่าวหาให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์โดยทำเป็นกระบวนการเพื่อใช้ในการปลุกระดมให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง เริ่มจากจำเลยที่ 1 โดยความเห็นชอบและร่วมมือของจำเลยที่ 2 ปั้นแต่งความเท็จขึ้นใส่ความสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ขณะที่ทรงดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการว่าทรงประพฤติตนไม่สมต่อตำแหน่งหน้าที่ ทั้งการใช้พระราชอำนาจสนับสนุนรับรองการรัฐประหารปี 2490 และการเข้าแทรกแซงการปกครองในสมัยรัฐบาลจอมพล ป.เพื่อปูทางการเมืองที่ราบรื่นให้แก่สถาบันกษัตริย์ โดยเจตนาเพื่อให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์ ด้วยการทำวิทยานิพนธ์ด้วยข้อความอันเป็นเท็จ และโจทก์ได้บรรยายฟ้องระบุถึงข้อความอันเป็นเท็จในวิทยานิพนธ์ หน้า 63 วรรคแรก และหน้า 105 วรรคแรก และบรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1 นำข้อความอันเป็นเท็จในวิทยานิพนธ์ไปพูดในการเสวนาที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2553 กล่าวหากรมขุนชัยนาทนเรนทรว่าก้าวก่ายรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ด้วยการเข้าไปนั่งเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี อันเป็นความเท็จ และเมื่อปี 2556 จำเลยที่ 1 เขียนหนังสือ ขอฝันใฝ่ในผันอันเหลือเชื่อ : ความเคลื่อนไหวของขบวนการปฏิปักษ์ปฏิวัติสยาม (พ.ศ.2475-2500) เนื้อหาโจมตีให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์ ตั้งแต่รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 9) ต่อเนื่องจนถึงพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ 9) และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ด้วยความเท็จ และโจทก์บรรยายฟ้องถึงข้อความอันเป็นเท็จ เนื้อหาหน้า 120 -121 และหน้า 124-125 และเมื่อปี 2563 จำเลยที่ 1 เขียนหนังสือ ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี กล่าวหาสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร และมีข้อความโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร หลายแห่ง และโจทก์บรรยายฟ้องข้อความอันเป็นเท็จที่หน้า 60,63,66,73,77และข้อความเท็จใต้ภาพสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร หน้า 69 และโจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1 แต่งความเท็จใส่ร้ายกล่าวหาสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร และสถาบันพระมหากษัตริย์ในหนังสือต่างประเทศที่จำหน่ายทั่วโลก ชื่อ “Saying the Unsayable Monarchy and Democracy in Thailand” ใส่ร้ายสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทรว่ามีส่วนร่วมในการรัฐประหาร ปี 2490 แทรกแซงการเมืองโดยการเข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรี

    เมื่อข้อความอันเป็นเท็จตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์ มิได้กล่าวพาดพิงถึงโจทก์หรือความเป็นอยู่ส่วนตัวของโจทก์และครอบครัว ทั้งเรื่องการรับรองรัฐประหาร ปี 2490 และการเข้าแทรกแซงการเมืองสมัยรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม ก็ไม่ปรากฏว่ามีความเกี่ยวข้องกับโจทก์ อันจะทำให้ผู้ที่อ่านข้อความในวิทยานิพนธ์และในหนังสือที่จำเลยที่ 1 เขียนดังกล่าวเข้าใจผิดในตัวโจทก์ ซึ่งโจทก์ก็บรรยายฟ้องว่าการที่จำเลยที่ 1 เขียนข้อความเท็จในวิทยานิพนธ์และหนังสือดังกล่าว ทำให้ผู้อ่านเข้าใจผิดว่าสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร เป็นผู้ไม่นิยมการปกครองระบอบประชาธิปไตย ฝักใฝ่อำนาจทางการเมือง สนับสนุนการรัฐประหาร กระทำการก้าวก่ายการบริหารราชการของรัฐบาล ฟ้องของโจทก์จึงมิได้กล่าวอ้างว่าโจทก์ได้รับความเสียหายจากข้อความดังกล่าว ทั้งการบรรยายฟ้องของโจทก์ที่ระบุว่าสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ได้รับความเสียหาย แต่เมื่อสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ได้สิ้นพระชนม์แล้วก่อนที่จะมีการกระทำอันเป็นละเมิดตามคำฟ้อง จึงเป็นฟ้องที่กล่าวอ้างว่ามีการกระทำละเมิดต่อหรือความเสียหายของผู้ที่ไม่มีสภาพบุคคลแล้ว แม้โจทก์เป็นหลานของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทรซึ่งสิ้นพระชนม์แล้วและข้อความกล่าวพาดพิงสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร

    แม้หากฟังได้ว่าข้อความดังกล่าวบิดเบือนไม่เป็นความจริงตามที่โจทก์บรรยายฟ้อง และทำให้ผู้อ่านเข้าใจผิดในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ก็ไม่ได้เสียหายต่อโจทก์ทายาทชั้นหลานด้วย เพราะข้อความตามคำบรรยายฟ้องมิได้กล่าวหรือแสดงเรื่องราวที่ไม่ตรงต่อความจริงเกี่ยวกับโจทก์และครอบครัวและไม่ได้สื่อความหมายเกี่ยวกับโจทก์ ซึ่งโจทก์ก็เบิกความตอบทนายจำเลยที่ 1 ถามค้านว่าหนังสือขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี หนังสือขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ รวมถึงวิทยานิพนธ์ของจำเลยที่ 1 กล่าวถึงสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ไม่ได้กล่าวถึงโจทก์และทายาทของโจทก์ ข้อเท็จจริงตามข้อความในวิทยานิพนธ์ดังกล่าวจะเป็นความจริงหรือไม่ โจทก์ไม่ทราบเนื่องจากขณะนั้นโจทก์ยังไม่เกิด ดังนั้น เมื่อข้อความที่จำเลยที่ 1 แสดงในวิทยานิพนธ์ ในหนังสือ และที่จำเลยที่ 1 นำไปพูดตามคำฟ้องไม่ได้สื่อความหมายถึงโจทก์ ย่อมไม่อาจทำให้ผู้อ่านหรือผู้ฟังเข้าใจผิดในตัวโจทก์ซึ่งเป็นทายาทชั้นหลานอันจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงหรือเกียรติคุณ และทางทำมาหาได้หรือทางเจริญ

    ส่วนที่โจทก์เบิกความว่ามีการชุมนุมและอาฆาดมาดร้ายสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร โดยมีผู้นำสีแดงมาสาดใส่ที่พระอนุสาวรีย์ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทรซึ่งประดิษฐานอยู่ที่กระทรวงสาธารณสุขนั้น เหตุการณ์ตามภาพข่าวและสถานที่เกิดเหตุไม่ได้เกี่ยวข้องกับความเสียหายของโจทก์ ไม่ปรากฏว่าบุคคลผู้ก่อเหตุเป็นใครและการกระทำสืบเนื่องมาจากสาเหตุใด และที่โจทก์เบิกความว่ามีการชุมนุมของกลุ่มเยาวชนที่ถนนวิภาวดีรังสิตปลุกระดมให้มีการยกเลิกชื่อถนนซึ่งเป็นพระนามของพระเจ้าวงวงศ์เธอพระองค์เจ้าวิภาวดีรังสิต ก็มิได้ระบุว่าเป็นการชุมนุมปลุกระดมสืบเนื่องจากข้อความในวิทยานิพนธ์หรือในหนังสือคดีนี้และไม่ได้เกี่ยวข้องกับความเสียหายของโจทก์โดยตรง

    ทั้งการฟ้องเรียกค่าเสียหายของโจทก์ โจทก์เบิกความตอบทนายจำเลยที่ 1 ถามค้านถึงมูลเหตุที่โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายเป็นเงิน 50,000,000 บาท เนื่องจากสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ทรงทำคุณความดีและประโยชน์ให้ประเทศไทยเป็นจำนวนมากมายมหาศาล การฟ้องเรียกค่าเสียหายของโจทก์จึงมิได้มีความสัมพันธ์กับที่โจทก์ระบุในฟ้องว่าโจทก์ได้รับความเสียหาย ดังนั้น โจทก์จึงมิใช่ผู้ได้รับความเสียหายจากข้อความของจำเลยที่ 1 ตามคำฟ้องและไม่ได้ถูกโต้แย้งสิทธิ

    ส่วนที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริงตามคำฟ้องทำให้ราชสกุลรังสิต รวมถึงโจทก์ผู้สืบราชสกุลและเป็นผู้แทนราชสกุลได้รับความเสียหายนั้น เห็นว่า ตามคำฟ้องของโจทก์มิได้ว่าระบุว่าโจทก์ฟ้องคดีนี้โดยได้รับมอบอำนาจจากบุคคลอื่นในราชสกุลรังสิตด้วย ทั้งราชสกุลรังสิตก็ไม่ปรากฏว่ามีสภาพบุคคลตามกฎหมายทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล เมื่อโจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายคดีนี้ในฐานะส่วนตัว มิได้เป็นการฟ้องโดยได้รับมอบอำนาจจากบุคคลอื่นด้วย โจทก์จึงมิอาจกล่าวอ้างความเสียหายของราชสกุลรังสิตซึ่งไม่มีสภาพบุคคล ส่วนที่โจทก์ฟ้องและเบิกความว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 ทำให้เกิดความเสื่อมศรัทธาต่อมูลนิธิวิภาวดีรังสิต ที่โจทก์เป็นประธานและมูลนิธิสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ซึ่งโจทก์เป็นกรรมการ กระทบต่อการหารายได้โดยการรับบริจาคเงินจากสาธารณชนซึ่งรายได้นำไปช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสนั้น เมื่อมูลนิธิดังกล่าวมีสภาพเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายต่างหากจากโจทก์ และโจทก์ฟ้องคดีนี้ในฐานะส่วนตัวไม่ได้ฟ้องโดยได้รับมอบอำนาจจากมูลนิธิ

    โจทก์จึงไม่อาจอ้างว่ามูลนิธิดังกล่าว ซึ่งมิได้เป็นคู่ความในคดีนี้ได้รับความเสียหายเพื่อให้มีการใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ เมื่อโจทก์ไม่ได้ถูกโต้แย้งสิทธิตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง เมื่อฟังว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องแล้ว ก็ไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นอื่นต่อไป พิพากษายกฟ้อง

    https://mgronline.com/crime/detail/9670000109449#google_vignette

    #Thaitimes
    ศาลแพ่งยกฟ้อง "ม.ร.ว.ปรียนันทนา"ฟ้อง"ณัฐพล-สำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน" เขียนวิทยานิพนธ์-ทำหนังสือ พาดพิงบรรพบุรุษ เรียก 50 ล้าน ชี้ไม่มีอำนาจฟ้อง 13 พฤศจิกายน 2567- เมื่อเวลา 09.00 น.วันนี้ ที่ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก นัดอ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ พ1135/2564 ที่ ม.ร.ว.ปรียนันทนา รังสิต เป็นโจทก์ฟ้อง ผศ.ดร.ณัฐพล ใจจริง ผู้เขียนวิทยานิพนธ์และหนังสือ เป็นจำเลยที่ 1 รศ.ดร.กุลลดา เกษบุญชู มี้ด อดีตอาจารย์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ เป็นจำเลยที่ 2 นายชัยธวัช ตุลาธน บรรณาธิการหนังสือขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ เป็นจำเลยที่ 3 น.ส.อัญชลี มณีโรจน์ บรรณาธิการหนังสือ ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี เป็นจำเลยที่ 4 ห้างหุ้นส่วนจำกัดสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน ผู้จัดพิมพ์หนังสือทั้ง 2 เล่ม เป็นจำเลยที่ 5 นายธนาพล อิ๋วสกุล บรรณาธิการบริหารสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน เป็นจำเลยที่ 6 ในข้อหา “ละเมิดไขข่าวด้วยข้อความฝ่าฝืนความจริง” และเรียกค่าเสียหายจำนวน 50 ล้านบาท กรณีจำเลยเกี่ยวข้องกับวิทยานิพนธ์ การเมืองไทยสมัยรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม ภายใต้ระเบียบโลกของสหรัฐอเมริกา (พ.ศ. 2491-2500), หนังสือขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อและ ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี ต่อมาเมื่อเดือน มิถุนายน 2566 โจทก์ได้ถอนฟ้อง รศ.ดร.กุลลดา เกษบุญชู มี้ด ศาลแพ่ง พิเคราะห์ประเด็นข้อพิพาทที่ต้องวินิจฉัยประการแรกมีว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งหกร่วมกันรับผิดฐานละเมิดโดยอ้างว่าร่วมกันกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายแก่ชื่อเสียง เกียรติคุณ ทางทำมาหาได้ และทางเจริญของโจทก์ การกระทำจะเป็นการละเมิดและจำเลยทั้งหกต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ ต่อเมื่อข้อความที่กล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายฝ่าฝืนความจริงและโจทก์ได้รับความเสียหายจากข้อความดังกล่าว ซึ่งหมายถึงเป็นความเสียหายแก่โจทก์ผู้ฟ้องโดยเฉพาะ มิใช่ความเสียหายแก่ผู้อื่นผู้ใด แต่ตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์กล่าวว่าเมื่อปี 2552 จนถึงปัจจุบัน จำเลยทั้งหกร่วมกันบิดเบือนข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์โดยนำข้อความอันเป็นเท็จจัดทำเอกสารไขข่าวแพร่หลายสู่สาธารณะเพื่อมุ่งประสงค์กล่าวหาให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์โดยทำเป็นกระบวนการเพื่อใช้ในการปลุกระดมให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง เริ่มจากจำเลยที่ 1 โดยความเห็นชอบและร่วมมือของจำเลยที่ 2 ปั้นแต่งความเท็จขึ้นใส่ความสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ขณะที่ทรงดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการว่าทรงประพฤติตนไม่สมต่อตำแหน่งหน้าที่ ทั้งการใช้พระราชอำนาจสนับสนุนรับรองการรัฐประหารปี 2490 และการเข้าแทรกแซงการปกครองในสมัยรัฐบาลจอมพล ป.เพื่อปูทางการเมืองที่ราบรื่นให้แก่สถาบันกษัตริย์ โดยเจตนาเพื่อให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์ ด้วยการทำวิทยานิพนธ์ด้วยข้อความอันเป็นเท็จ และโจทก์ได้บรรยายฟ้องระบุถึงข้อความอันเป็นเท็จในวิทยานิพนธ์ หน้า 63 วรรคแรก และหน้า 105 วรรคแรก และบรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1 นำข้อความอันเป็นเท็จในวิทยานิพนธ์ไปพูดในการเสวนาที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2553 กล่าวหากรมขุนชัยนาทนเรนทรว่าก้าวก่ายรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ด้วยการเข้าไปนั่งเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี อันเป็นความเท็จ และเมื่อปี 2556 จำเลยที่ 1 เขียนหนังสือ ขอฝันใฝ่ในผันอันเหลือเชื่อ : ความเคลื่อนไหวของขบวนการปฏิปักษ์ปฏิวัติสยาม (พ.ศ.2475-2500) เนื้อหาโจมตีให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์ ตั้งแต่รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 9) ต่อเนื่องจนถึงพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ 9) และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ด้วยความเท็จ และโจทก์บรรยายฟ้องถึงข้อความอันเป็นเท็จ เนื้อหาหน้า 120 -121 และหน้า 124-125 และเมื่อปี 2563 จำเลยที่ 1 เขียนหนังสือ ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี กล่าวหาสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร และมีข้อความโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร หลายแห่ง และโจทก์บรรยายฟ้องข้อความอันเป็นเท็จที่หน้า 60,63,66,73,77และข้อความเท็จใต้ภาพสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร หน้า 69 และโจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1 แต่งความเท็จใส่ร้ายกล่าวหาสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร และสถาบันพระมหากษัตริย์ในหนังสือต่างประเทศที่จำหน่ายทั่วโลก ชื่อ “Saying the Unsayable Monarchy and Democracy in Thailand” ใส่ร้ายสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทรว่ามีส่วนร่วมในการรัฐประหาร ปี 2490 แทรกแซงการเมืองโดยการเข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อข้อความอันเป็นเท็จตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์ มิได้กล่าวพาดพิงถึงโจทก์หรือความเป็นอยู่ส่วนตัวของโจทก์และครอบครัว ทั้งเรื่องการรับรองรัฐประหาร ปี 2490 และการเข้าแทรกแซงการเมืองสมัยรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม ก็ไม่ปรากฏว่ามีความเกี่ยวข้องกับโจทก์ อันจะทำให้ผู้ที่อ่านข้อความในวิทยานิพนธ์และในหนังสือที่จำเลยที่ 1 เขียนดังกล่าวเข้าใจผิดในตัวโจทก์ ซึ่งโจทก์ก็บรรยายฟ้องว่าการที่จำเลยที่ 1 เขียนข้อความเท็จในวิทยานิพนธ์และหนังสือดังกล่าว ทำให้ผู้อ่านเข้าใจผิดว่าสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร เป็นผู้ไม่นิยมการปกครองระบอบประชาธิปไตย ฝักใฝ่อำนาจทางการเมือง สนับสนุนการรัฐประหาร กระทำการก้าวก่ายการบริหารราชการของรัฐบาล ฟ้องของโจทก์จึงมิได้กล่าวอ้างว่าโจทก์ได้รับความเสียหายจากข้อความดังกล่าว ทั้งการบรรยายฟ้องของโจทก์ที่ระบุว่าสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ได้รับความเสียหาย แต่เมื่อสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ได้สิ้นพระชนม์แล้วก่อนที่จะมีการกระทำอันเป็นละเมิดตามคำฟ้อง จึงเป็นฟ้องที่กล่าวอ้างว่ามีการกระทำละเมิดต่อหรือความเสียหายของผู้ที่ไม่มีสภาพบุคคลแล้ว แม้โจทก์เป็นหลานของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทรซึ่งสิ้นพระชนม์แล้วและข้อความกล่าวพาดพิงสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร แม้หากฟังได้ว่าข้อความดังกล่าวบิดเบือนไม่เป็นความจริงตามที่โจทก์บรรยายฟ้อง และทำให้ผู้อ่านเข้าใจผิดในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ก็ไม่ได้เสียหายต่อโจทก์ทายาทชั้นหลานด้วย เพราะข้อความตามคำบรรยายฟ้องมิได้กล่าวหรือแสดงเรื่องราวที่ไม่ตรงต่อความจริงเกี่ยวกับโจทก์และครอบครัวและไม่ได้สื่อความหมายเกี่ยวกับโจทก์ ซึ่งโจทก์ก็เบิกความตอบทนายจำเลยที่ 1 ถามค้านว่าหนังสือขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี หนังสือขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ รวมถึงวิทยานิพนธ์ของจำเลยที่ 1 กล่าวถึงสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ไม่ได้กล่าวถึงโจทก์และทายาทของโจทก์ ข้อเท็จจริงตามข้อความในวิทยานิพนธ์ดังกล่าวจะเป็นความจริงหรือไม่ โจทก์ไม่ทราบเนื่องจากขณะนั้นโจทก์ยังไม่เกิด ดังนั้น เมื่อข้อความที่จำเลยที่ 1 แสดงในวิทยานิพนธ์ ในหนังสือ และที่จำเลยที่ 1 นำไปพูดตามคำฟ้องไม่ได้สื่อความหมายถึงโจทก์ ย่อมไม่อาจทำให้ผู้อ่านหรือผู้ฟังเข้าใจผิดในตัวโจทก์ซึ่งเป็นทายาทชั้นหลานอันจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงหรือเกียรติคุณ และทางทำมาหาได้หรือทางเจริญ ส่วนที่โจทก์เบิกความว่ามีการชุมนุมและอาฆาดมาดร้ายสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร โดยมีผู้นำสีแดงมาสาดใส่ที่พระอนุสาวรีย์ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทรซึ่งประดิษฐานอยู่ที่กระทรวงสาธารณสุขนั้น เหตุการณ์ตามภาพข่าวและสถานที่เกิดเหตุไม่ได้เกี่ยวข้องกับความเสียหายของโจทก์ ไม่ปรากฏว่าบุคคลผู้ก่อเหตุเป็นใครและการกระทำสืบเนื่องมาจากสาเหตุใด และที่โจทก์เบิกความว่ามีการชุมนุมของกลุ่มเยาวชนที่ถนนวิภาวดีรังสิตปลุกระดมให้มีการยกเลิกชื่อถนนซึ่งเป็นพระนามของพระเจ้าวงวงศ์เธอพระองค์เจ้าวิภาวดีรังสิต ก็มิได้ระบุว่าเป็นการชุมนุมปลุกระดมสืบเนื่องจากข้อความในวิทยานิพนธ์หรือในหนังสือคดีนี้และไม่ได้เกี่ยวข้องกับความเสียหายของโจทก์โดยตรง ทั้งการฟ้องเรียกค่าเสียหายของโจทก์ โจทก์เบิกความตอบทนายจำเลยที่ 1 ถามค้านถึงมูลเหตุที่โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายเป็นเงิน 50,000,000 บาท เนื่องจากสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ทรงทำคุณความดีและประโยชน์ให้ประเทศไทยเป็นจำนวนมากมายมหาศาล การฟ้องเรียกค่าเสียหายของโจทก์จึงมิได้มีความสัมพันธ์กับที่โจทก์ระบุในฟ้องว่าโจทก์ได้รับความเสียหาย ดังนั้น โจทก์จึงมิใช่ผู้ได้รับความเสียหายจากข้อความของจำเลยที่ 1 ตามคำฟ้องและไม่ได้ถูกโต้แย้งสิทธิ ส่วนที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริงตามคำฟ้องทำให้ราชสกุลรังสิต รวมถึงโจทก์ผู้สืบราชสกุลและเป็นผู้แทนราชสกุลได้รับความเสียหายนั้น เห็นว่า ตามคำฟ้องของโจทก์มิได้ว่าระบุว่าโจทก์ฟ้องคดีนี้โดยได้รับมอบอำนาจจากบุคคลอื่นในราชสกุลรังสิตด้วย ทั้งราชสกุลรังสิตก็ไม่ปรากฏว่ามีสภาพบุคคลตามกฎหมายทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล เมื่อโจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายคดีนี้ในฐานะส่วนตัว มิได้เป็นการฟ้องโดยได้รับมอบอำนาจจากบุคคลอื่นด้วย โจทก์จึงมิอาจกล่าวอ้างความเสียหายของราชสกุลรังสิตซึ่งไม่มีสภาพบุคคล ส่วนที่โจทก์ฟ้องและเบิกความว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 ทำให้เกิดความเสื่อมศรัทธาต่อมูลนิธิวิภาวดีรังสิต ที่โจทก์เป็นประธานและมูลนิธิสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ซึ่งโจทก์เป็นกรรมการ กระทบต่อการหารายได้โดยการรับบริจาคเงินจากสาธารณชนซึ่งรายได้นำไปช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสนั้น เมื่อมูลนิธิดังกล่าวมีสภาพเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายต่างหากจากโจทก์ และโจทก์ฟ้องคดีนี้ในฐานะส่วนตัวไม่ได้ฟ้องโดยได้รับมอบอำนาจจากมูลนิธิ โจทก์จึงไม่อาจอ้างว่ามูลนิธิดังกล่าว ซึ่งมิได้เป็นคู่ความในคดีนี้ได้รับความเสียหายเพื่อให้มีการใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ เมื่อโจทก์ไม่ได้ถูกโต้แย้งสิทธิตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง เมื่อฟังว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องแล้ว ก็ไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นอื่นต่อไป พิพากษายกฟ้อง https://mgronline.com/crime/detail/9670000109449#google_vignette #Thaitimes
    MGRONLINE.COM
    ศาลแพ่งยกฟ้อง "ม.ร.ว.ปรียนันทนา" ฟ้อง"ณัฐพล-ฟ้าเดียวกัน" เขียนวิทยานิพนธ์-ทำหนังสือ พาดพิงบรรพบุรุษ ชี้โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
    ศาลแพ่งยกฟ้อง ม.ร.ว.ปรียนันทนาฟ้องณัฐพล-สำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน เขียนวิทยานิพนธ์-ทำหนังสือ พาดพิงบรรพบุรุษ เรียก 50 ล้าน ชี้ไม่มีอำนาจฟ้อง
    Sad
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 514 มุมมอง 0 รีวิว
  • ❗️ทรัมป์ประกาศเลือก แมตต์ เกตซ์ เป็นอัยการสูงสุด

    ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กล่าวเมื่อวันพุธว่า เขาจะเสนอชื่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แมตต์ เกตซ์ ให้ดำรงตำแหน่งอัยการสูงสุดของสหรัฐอเมริกา

    ทรัมป์กล่าวในรายการ Truth Social ว่า "ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่จะประกาศว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แมตต์ เกตซ์, จากฟลอริดา,ได้รับการเสนอชื่อให้เป็นอัยการสูงสุดของสหรัฐอเมริกา,"

    ทรัมป์อธิบายถึงเกตซ์ว่าเป็น "ทนายความที่มีพรสวรรค์และดื้อรั้น," ซึ่งระหว่างดำรงตำแหน่งในรัฐสภา เขาได้ผลักดันให้มีการปฏิรูปกระทรวงยุติธรรมที่จำเป็นอย่างยิ่ง

    เขายังเน้นย้ำถึง "บทบาทสำคัญของเขาในการเอาชนะเรื่องรัสเซีย, รัสเซีย, ข่าวลวงรัสเซีย, และการเปิดโปงการทุจริตของรัฐบาลที่น่าตกใจและเป็นระบบ รวมถึงการใช้อาวุธ" ในขณะที่อยู่ในคณะกรรมาธิการตุลาการของสภาผู้แทนราษฎร

    “แมตต์จะยุติรัฐบาลที่ใช้อาวุธ, ปกป้องพรมแดนของเรา, ยุบองค์กรอาชญากร และฟื้นคืนศรัทธาและความเชื่อมั่นที่บอบช้ำของชาวอเมริกันที่มีต่อกระทรวงยุติธรรม,” ทรัมป์กล่าว
    .
    ❗️ TRUMP ANNOUNCES MATT GAETZ AS HIS PICK FOR ATTORNEY GENERAL

    President-elect Donald Trump said on Wednesday that he will nominate Congressman Matt Gaetz to serve as US Attorney General.

    "It is my Great Honor to announce that Congressman Matt Gaetz, of Florida, is hereby nominated to be The Attorney General of the United States," Trump said on Truth Social.

    Trump described Gaetz as a "deeply gifted and tenacious attorney," who during his term in Congress has pushed for "desperately needed reform at the Department of Justice."

    He also highlighted his "key role in defeating the Russia, Russia, Russia Hoax, and exposing alarming and systemic Government Corruption and Weaponization" while on the House Judiciary Committee.

    "Matt will end Weaponized Government, protect our Borders, dismantle Criminal Organizations and restore Americans’ badly-shattered Faith and Confidence in the Justice Department," Trump said.
    .
    3:40 AM · Nov 14, 2024 · 3,157 Views
    https://x.com/SputnikInt/status/1856799318692200585
    ❗️ทรัมป์ประกาศเลือก แมตต์ เกตซ์ เป็นอัยการสูงสุด ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กล่าวเมื่อวันพุธว่า เขาจะเสนอชื่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แมตต์ เกตซ์ ให้ดำรงตำแหน่งอัยการสูงสุดของสหรัฐอเมริกา ทรัมป์กล่าวในรายการ Truth Social ว่า "ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่จะประกาศว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แมตต์ เกตซ์, จากฟลอริดา,ได้รับการเสนอชื่อให้เป็นอัยการสูงสุดของสหรัฐอเมริกา," ทรัมป์อธิบายถึงเกตซ์ว่าเป็น "ทนายความที่มีพรสวรรค์และดื้อรั้น," ซึ่งระหว่างดำรงตำแหน่งในรัฐสภา เขาได้ผลักดันให้มีการปฏิรูปกระทรวงยุติธรรมที่จำเป็นอย่างยิ่ง เขายังเน้นย้ำถึง "บทบาทสำคัญของเขาในการเอาชนะเรื่องรัสเซีย, รัสเซีย, ข่าวลวงรัสเซีย, และการเปิดโปงการทุจริตของรัฐบาลที่น่าตกใจและเป็นระบบ รวมถึงการใช้อาวุธ" ในขณะที่อยู่ในคณะกรรมาธิการตุลาการของสภาผู้แทนราษฎร “แมตต์จะยุติรัฐบาลที่ใช้อาวุธ, ปกป้องพรมแดนของเรา, ยุบองค์กรอาชญากร และฟื้นคืนศรัทธาและความเชื่อมั่นที่บอบช้ำของชาวอเมริกันที่มีต่อกระทรวงยุติธรรม,” ทรัมป์กล่าว . ❗️ TRUMP ANNOUNCES MATT GAETZ AS HIS PICK FOR ATTORNEY GENERAL President-elect Donald Trump said on Wednesday that he will nominate Congressman Matt Gaetz to serve as US Attorney General. "It is my Great Honor to announce that Congressman Matt Gaetz, of Florida, is hereby nominated to be The Attorney General of the United States," Trump said on Truth Social. Trump described Gaetz as a "deeply gifted and tenacious attorney," who during his term in Congress has pushed for "desperately needed reform at the Department of Justice." He also highlighted his "key role in defeating the Russia, Russia, Russia Hoax, and exposing alarming and systemic Government Corruption and Weaponization" while on the House Judiciary Committee. "Matt will end Weaponized Government, protect our Borders, dismantle Criminal Organizations and restore Americans’ badly-shattered Faith and Confidence in the Justice Department," Trump said. . 3:40 AM · Nov 14, 2024 · 3,157 Views https://x.com/SputnikInt/status/1856799318692200585
    Wow
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 265 มุมมอง 0 รีวิว
  • ✳ ขอให้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายสมศักดิ์ เทพสุทินรีบดำเนินการทบทวนการอนุญาตวัคซีนโควิดของบริษัทไฟเซอร์และโมเดอร์นา
    วันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๗

    เอกสารแนบ
    ๑. สำเนาหนังสือถึง นายกรัฐมนตรี เรื่อง ขอให้ระงับการฉีดวัคซีน mRNA ของบริษัทไฟเซอร์ และโมเดอร์นา ลงวันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๗
    ๒. สำเนาหนังสือที่กลุ่มคนไทยพิทักษ์สิทธิ์ส่งให้ส่วนราชการภายใต้ความรับผิดชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเกี่ยวกับปัญหาของวัคซีนโควิด

    ตามที่ท่านเป็นรัฐมนตรีที่รักษาการตามพระราชบัญญัติยา พุทธศักราช ๒๕๑๐ โดยมาตรา ๘๖ ได้บัญญัติไว้ว่า “ยาใดที่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับยาไว้แล้ว หากภายหลัง ปรากฏว่ายานั้นไม่มีสรรพคุณตามที่ขึ้นทะเบียนไว้ หรืออาจไม่ปลอดภัยแก่ผู้ใช้ .............ให้รัฐมนตรีโดยคำแนะนำของ คณะกรรมการมีอำนาจสั่งให้เพิกถอนทะเบียนตำรับยานั้นได้ การเพิกถอน ให้กระทำโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา คำสั่งของรัฐมนตรีให้เป็นที่สุด” ปัจจุบันมีข้อมูลยืนยันชัดเจนว่า วัคซีน mRNA ของบริษัทไฟเซอร์และโมเดอร์นา ไม่มีสรรพคุณตามที่ขึ้นทะเบียนไว้ กล่าวคือ ไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อ ไม่สามารถป้องกันการแพร่เชื้อ ไม่สามารถลดการป่วยหนัก และไม่สามารถลดการเสียชีวิตลงได้ อีกทั้งอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายถึงชีวิตต่อผู้บริโภค อาจไม่ปลอดภัยต่อผู้ใช้ ท่านในฐานะรัฐมนตรีที่รักษาการตามพระราชบัญญัติดังกล่าว จึงมีอำนาจและหน้าที่ ในการสั่งให้เพิกถอนทะเบียนตำรับยาดังกล่าว ทั้งนี้หากท่านไม่รีบดำเนินการทันทีที่ได้รับหนังสือฉบับนี้ อาจเข้าข่ายการกระทำผิดในฐาน ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ซึ่งส่งผลให้ท่านต้องรับผิดทางอาญาและรับผิดทางละเมิดหากมีผู้ได้รับผลกระทบจากวัคซีนดังกล่าวฟ้องร้องกล่าวโทษท่านในอนาคต ในทางตรงกันข้ามหากท่านดำเนินการเพิกถอนทะเบียนตำรับยาวัคซีน mRNA ท่านจะกลายเป็นวีรบุรุษของประชาชน และยังเปิดโอกาสให้มีการพัฒนาสมุนไพรไทยเพื่อใช้ในการรักษาผลข้างเคียงจากวัคซีนดังกล่าวด้วย

    อนึ่งจากผลการเลือกตั้งในประเทศสหรัฐอเมริกา ว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ประกาศนโยบายในการปฏิรูปสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (FDA) ของประเทศสหรัฐ พร้อมทั้งฟ้องร้องเอาผิดกับบริษัทยาทั้งสองข้างต้นในข้อหาให้ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับประสิทธิภาพและความปลอดภัยของวัคซีน อีกทั้งยังจะทำการสอบสวนสื่อมวลชนในการให้ข้อมูลเท็จ ปกปิดข้อเท็จจริงเกี่ยวกับผลกระทบที่เกิดขึ้นจากวัคซีนโควิดด้วย นโยบายดังกล่าวย่อมสงผลให้ประชาคมโลกรวมทั้งประเทศไทยรับรู้ข้อมูลที่แท้จริงเกี่ยวกับประสิทธิภาพและความปลอดภัยของวัคซีน mRNA อันจะส่งผลให้ ผู้บริโภคที่ได้รับผลกระทบจากวัคซีนดังกล่าวฟ้องร้องเอาผิดกับบริษัทยา และหน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่กำกับดูแลความปลอดภัยของผู้บริโภคในที่สุด
    จึงเรียนมาเพื่อให้ท่านดำเนินการเพิกถอนตำรับยา และแถลงข่าวในเรื่องนี้ให้สาธารณชนได้รับรู้โดยเร็วต่อไป

    กลุ่มแพทย์และจิตอาสาคนไทยพิทักษ์สิทธิ์

    เอกสารแนบ
    🔸️๑. วันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๗ สำเนาหนังสือถึง นายกรัฐมนตรี ขอให้ระงับการฉีดวัคซีน mRNA ของบริษัทไฟเซอร์ และโมเดอร์นา https://drive.google.com/file/d/194Tdo5zsHVbln0QgcEHR4w0vqQKkKKT8/view?usp=drivesdk

    🔸️๒. วันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๖๗ ขอให้กรมควบคุมโรคให้ข้อมูลที่เป็นจริงกับประชาชน https://docs.google.com/document/d/1UiTSqJLYwCJjMDHVKdLxvsRYSJt-pTkY/edit?usp=drive_link&ouid=114317915619449341642&rtpof=true&sd=true

    วันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ ขอให้ทบทวนการอนุญาตให้ใช้วัคซีนชนิด mRNA
    https://docs.google.com/document/d/1VE4buQ0_cFnq0skvZZBeMsrhKj4Y1WWO/edit?usp=drive_link&ouid=114317915619449341642&rtpof=true&sd=true

    วันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ ขอให้กรมควบคุมโรคเปิดเผย สัญญาทาส ที่ทำไว้กับบริษัทไฟเซอร์
    https://drive.google.com/file/d/1yJ0G2ZYqtSiGLyqfNcYh815zAw4wPt21/view?usp=drivesdk

    วันที่ ๔ มีนาคม ๒๕๖๗ ขอให้ชี้แจงกับสังคมว่ายาฉีด mRNA เป็นวัคซีนหรือพันธุกรรมบำบัด (gene therapy) https://drive.google.com/file/d/1ywJleVBY-n4azNvy-Vq8VZXkX16J8gP2/view?usp=drivesdk

    วันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๖๗ ขอให้เพิกถอนกสนอนุญาตผลิตภัณฑ์ยาฉีด ชนิด mRNA
    https://drive.google.com/file/d/19mD3aUoAB3t-ciwUXNS9QY4EqtWS7LJ5/view?usp=drivesdk

    วันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๖๗ ขอให้สอบสวนพฤติกรรมการเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทยากรณีปัญหาผลกระทบจากวัคซีนโคเมอร์เนตี้
    https://drive.google.com/file/d/17-QJnIzFImsBVN2ELU_3NxOIQxo5pzW3/view?usp=drivesdk

    วันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๖๗ ขอให้ทบทวนวิสัยทัศน์ พันธกิจ เป้าหมาย ค่านิยมองค์กร ตลอดจนแนวนโยบายของกระทรวงสาธารณสุขเสียใหม่ https://drive.google.com/file/d/1GIDGcv1jafx3O9bwgDUOgfohvuxNat0q/view?usp=drivesdk

    วันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๖๗ ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขยืนยันการเสียชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติของคนไทย
    https://drive.google.com/file/d/1lvGImexMXmKdpRPdvJSq9Oqm3wrVovKK/view?usp=drivesdk

    วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๗ กระทรวงสาธารณสุขมีเจตนาที่จะบิดเบือนความจริงเกี่ยวกับการเสียชีวิตที่เพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติของคนไทย https://drive.google.com/file/d/1uuKi_PTKtO48LBRbcLV_JbsVHTo6zKzI/view?usp=drive_link

    วันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๖๗ ขอให้สอบสวนการกระทำผิดสัญญาของบริษัทไฟเซอร์
    https://drive.google.com/file/d/1bGwVKoRQUyNt7dXpWbTJJ_AzRyRRsgMH/view?usp=drivesdk

    วันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๖๗ ขอติดตามความคืบหน้าในการเพิกถอนการอนุญาตผลิตภัณฑ์ยาฉีด mRNA (modified RNA) https://drive.google.com/file/d/1AFg_Ilr8vyPjJtUeM277UX6tl3yGNB5c/view?usp=drivesdk

    วันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๖๗ คำเตือนครั้งสุดท้ายถึงผู้มีอำนาจหน้าที่ในกระทรวงสาธารณสุข “ขอให้ระงับการฉีด mRNA ทุกชนิดทันที”
    https://drive.google.com/file/d/1cugBtvCskQFxw8VdwqJs8jEwZNjhhFVh/view?usp=drivesdk

    วันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๗ ขอให้รมต.สธ. ระงับการฉีดวัคซีน mRNA ของบริษัทไฟเซอร์ และโมเดอร์นา
    https://drive.google.com/file/d/1BR1vKiDPMrlXMykJqZUVgj3aAK-KkyjH/view?usp=drivesdk

    รวมจดหมายเปิดผนึกและหนังสือต่างๆที่ทางกลุ่มฯได้ยื่นให้หน่วยงานภาครัฐ
    https://drive.google.com/drive/folders/1xAV-r3WhU5mt1WvTp8DBZktDPRatYrna
    ✳ ขอให้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายสมศักดิ์ เทพสุทินรีบดำเนินการทบทวนการอนุญาตวัคซีนโควิดของบริษัทไฟเซอร์และโมเดอร์นา วันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๗ เอกสารแนบ ๑. สำเนาหนังสือถึง นายกรัฐมนตรี เรื่อง ขอให้ระงับการฉีดวัคซีน mRNA ของบริษัทไฟเซอร์ และโมเดอร์นา ลงวันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๗ ๒. สำเนาหนังสือที่กลุ่มคนไทยพิทักษ์สิทธิ์ส่งให้ส่วนราชการภายใต้ความรับผิดชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเกี่ยวกับปัญหาของวัคซีนโควิด ตามที่ท่านเป็นรัฐมนตรีที่รักษาการตามพระราชบัญญัติยา พุทธศักราช ๒๕๑๐ โดยมาตรา ๘๖ ได้บัญญัติไว้ว่า “ยาใดที่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับยาไว้แล้ว หากภายหลัง ปรากฏว่ายานั้นไม่มีสรรพคุณตามที่ขึ้นทะเบียนไว้ หรืออาจไม่ปลอดภัยแก่ผู้ใช้ .............ให้รัฐมนตรีโดยคำแนะนำของ คณะกรรมการมีอำนาจสั่งให้เพิกถอนทะเบียนตำรับยานั้นได้ การเพิกถอน ให้กระทำโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา คำสั่งของรัฐมนตรีให้เป็นที่สุด” ปัจจุบันมีข้อมูลยืนยันชัดเจนว่า วัคซีน mRNA ของบริษัทไฟเซอร์และโมเดอร์นา ไม่มีสรรพคุณตามที่ขึ้นทะเบียนไว้ กล่าวคือ ไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อ ไม่สามารถป้องกันการแพร่เชื้อ ไม่สามารถลดการป่วยหนัก และไม่สามารถลดการเสียชีวิตลงได้ อีกทั้งอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายถึงชีวิตต่อผู้บริโภค อาจไม่ปลอดภัยต่อผู้ใช้ ท่านในฐานะรัฐมนตรีที่รักษาการตามพระราชบัญญัติดังกล่าว จึงมีอำนาจและหน้าที่ ในการสั่งให้เพิกถอนทะเบียนตำรับยาดังกล่าว ทั้งนี้หากท่านไม่รีบดำเนินการทันทีที่ได้รับหนังสือฉบับนี้ อาจเข้าข่ายการกระทำผิดในฐาน ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ซึ่งส่งผลให้ท่านต้องรับผิดทางอาญาและรับผิดทางละเมิดหากมีผู้ได้รับผลกระทบจากวัคซีนดังกล่าวฟ้องร้องกล่าวโทษท่านในอนาคต ในทางตรงกันข้ามหากท่านดำเนินการเพิกถอนทะเบียนตำรับยาวัคซีน mRNA ท่านจะกลายเป็นวีรบุรุษของประชาชน และยังเปิดโอกาสให้มีการพัฒนาสมุนไพรไทยเพื่อใช้ในการรักษาผลข้างเคียงจากวัคซีนดังกล่าวด้วย อนึ่งจากผลการเลือกตั้งในประเทศสหรัฐอเมริกา ว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ประกาศนโยบายในการปฏิรูปสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (FDA) ของประเทศสหรัฐ พร้อมทั้งฟ้องร้องเอาผิดกับบริษัทยาทั้งสองข้างต้นในข้อหาให้ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับประสิทธิภาพและความปลอดภัยของวัคซีน อีกทั้งยังจะทำการสอบสวนสื่อมวลชนในการให้ข้อมูลเท็จ ปกปิดข้อเท็จจริงเกี่ยวกับผลกระทบที่เกิดขึ้นจากวัคซีนโควิดด้วย นโยบายดังกล่าวย่อมสงผลให้ประชาคมโลกรวมทั้งประเทศไทยรับรู้ข้อมูลที่แท้จริงเกี่ยวกับประสิทธิภาพและความปลอดภัยของวัคซีน mRNA อันจะส่งผลให้ ผู้บริโภคที่ได้รับผลกระทบจากวัคซีนดังกล่าวฟ้องร้องเอาผิดกับบริษัทยา และหน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่กำกับดูแลความปลอดภัยของผู้บริโภคในที่สุด จึงเรียนมาเพื่อให้ท่านดำเนินการเพิกถอนตำรับยา และแถลงข่าวในเรื่องนี้ให้สาธารณชนได้รับรู้โดยเร็วต่อไป กลุ่มแพทย์และจิตอาสาคนไทยพิทักษ์สิทธิ์ เอกสารแนบ 🔸️๑. วันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๗ สำเนาหนังสือถึง นายกรัฐมนตรี ขอให้ระงับการฉีดวัคซีน mRNA ของบริษัทไฟเซอร์ และโมเดอร์นา https://drive.google.com/file/d/194Tdo5zsHVbln0QgcEHR4w0vqQKkKKT8/view?usp=drivesdk 🔸️๒. วันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๖๗ ขอให้กรมควบคุมโรคให้ข้อมูลที่เป็นจริงกับประชาชน https://docs.google.com/document/d/1UiTSqJLYwCJjMDHVKdLxvsRYSJt-pTkY/edit?usp=drive_link&ouid=114317915619449341642&rtpof=true&sd=true วันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ ขอให้ทบทวนการอนุญาตให้ใช้วัคซีนชนิด mRNA https://docs.google.com/document/d/1VE4buQ0_cFnq0skvZZBeMsrhKj4Y1WWO/edit?usp=drive_link&ouid=114317915619449341642&rtpof=true&sd=true วันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ ขอให้กรมควบคุมโรคเปิดเผย สัญญาทาส ที่ทำไว้กับบริษัทไฟเซอร์ https://drive.google.com/file/d/1yJ0G2ZYqtSiGLyqfNcYh815zAw4wPt21/view?usp=drivesdk วันที่ ๔ มีนาคม ๒๕๖๗ ขอให้ชี้แจงกับสังคมว่ายาฉีด mRNA เป็นวัคซีนหรือพันธุกรรมบำบัด (gene therapy) https://drive.google.com/file/d/1ywJleVBY-n4azNvy-Vq8VZXkX16J8gP2/view?usp=drivesdk วันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๖๗ ขอให้เพิกถอนกสนอนุญาตผลิตภัณฑ์ยาฉีด ชนิด mRNA https://drive.google.com/file/d/19mD3aUoAB3t-ciwUXNS9QY4EqtWS7LJ5/view?usp=drivesdk วันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๖๗ ขอให้สอบสวนพฤติกรรมการเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทยากรณีปัญหาผลกระทบจากวัคซีนโคเมอร์เนตี้ https://drive.google.com/file/d/17-QJnIzFImsBVN2ELU_3NxOIQxo5pzW3/view?usp=drivesdk วันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๖๗ ขอให้ทบทวนวิสัยทัศน์ พันธกิจ เป้าหมาย ค่านิยมองค์กร ตลอดจนแนวนโยบายของกระทรวงสาธารณสุขเสียใหม่ https://drive.google.com/file/d/1GIDGcv1jafx3O9bwgDUOgfohvuxNat0q/view?usp=drivesdk วันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๖๗ ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขยืนยันการเสียชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติของคนไทย https://drive.google.com/file/d/1lvGImexMXmKdpRPdvJSq9Oqm3wrVovKK/view?usp=drivesdk วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๗ กระทรวงสาธารณสุขมีเจตนาที่จะบิดเบือนความจริงเกี่ยวกับการเสียชีวิตที่เพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติของคนไทย https://drive.google.com/file/d/1uuKi_PTKtO48LBRbcLV_JbsVHTo6zKzI/view?usp=drive_link วันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๖๗ ขอให้สอบสวนการกระทำผิดสัญญาของบริษัทไฟเซอร์ https://drive.google.com/file/d/1bGwVKoRQUyNt7dXpWbTJJ_AzRyRRsgMH/view?usp=drivesdk วันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๖๗ ขอติดตามความคืบหน้าในการเพิกถอนการอนุญาตผลิตภัณฑ์ยาฉีด mRNA (modified RNA) https://drive.google.com/file/d/1AFg_Ilr8vyPjJtUeM277UX6tl3yGNB5c/view?usp=drivesdk วันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๖๗ คำเตือนครั้งสุดท้ายถึงผู้มีอำนาจหน้าที่ในกระทรวงสาธารณสุข “ขอให้ระงับการฉีด mRNA ทุกชนิดทันที” https://drive.google.com/file/d/1cugBtvCskQFxw8VdwqJs8jEwZNjhhFVh/view?usp=drivesdk วันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๗ ขอให้รมต.สธ. ระงับการฉีดวัคซีน mRNA ของบริษัทไฟเซอร์ และโมเดอร์นา https://drive.google.com/file/d/1BR1vKiDPMrlXMykJqZUVgj3aAK-KkyjH/view?usp=drivesdk รวมจดหมายเปิดผนึกและหนังสือต่างๆที่ทางกลุ่มฯได้ยื่นให้หน่วยงานภาครัฐ https://drive.google.com/drive/folders/1xAV-r3WhU5mt1WvTp8DBZktDPRatYrna
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 476 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีรายงานว่า "Asif W. Rahman" ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ CIA ถูกเจ้าหน้าที่จากหน่วยงาน FBI จับกุมเมื่อเดือนที่แล้วในประเทศกัมพูชา

    เขาถูกตั้งข้อหาสองกระทงคือ "ครอบครองและเปิดเผยเอกสารข่าวกรองระดับลับสุดยอด" เกี่ยวกับแผนการลับทางการทหารของอิสราเอลก่อนการโจมตีอิหร่านเมื่อกลางเดือนที่แล้ว

    เอกสารดังกล่าว ซึ่งเป็นของสำนักงานข่าวกรองภูมิสารสนเทศแห่งชาติ (National Geospatial-Intelligence Agency) ซึ่งสนับสนุนภารกิจทางทหารและข่าวกรองของสหรัฐ ถูกเผยแพร่ครั้งแรกออกมาทาง Telegram ซึ่งระบุรายละเอียดชัดถึงการประเมินของสหรัฐฯ เกี่ยวกับแผนการของอิสราเอลเพื่อเตรียมการโจมตีอิหร่าน (หลังจากอิหร่านโจมตีอิสราเอลไปเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม)

    ขณะนี้ Rahman ถูกนำตัวไปที่ศาลรัฐบาลกลางในกวม ซึ่งเป็นเป็นดินแดนของสหรัฐอเมริกาในแปซิฟิกตะวันตก

    สำหรับเนื้อหาในเอกสารนั้น เป็นการประเมินเกี่ยวกับการเตรียมการของอิสราเอลที่มุ่งเป้าโจมตีเป้าหมายในอิหร่าน โดยอ้างอิงจากข้อมูลข่าวกรองที่สำนักข่าวกรองภูมิสารสนเทศแห่งชาติสหรัฐฯ

    ในเอกสารลับยังมีการกล่าวถึงระบบขีปนาวุธนำวิถีทางอากาศ (ABLM) 2 ระบบ ได้แก่:
    1-Golden Horizon ซึ่งเชื่อกันว่าหมายถึงระบบขีปนาวุธ Blue Sparrow ที่มีระยะการบินประมาณ 2,000 กิโลเมตร

    2-Rocks คือระบบขีปนาวุธพิสัยไกลที่ผลิตโดยบริษัท Rafael ของอิสราเอล ได้รับการออกแบบมาเพื่อโจมตีเป้าหมายต่างๆ ทั้งบนและใต้ดิน

    จากข้อมูลลับเหล่านี้ ทำให้รู้ว่า กองทัพอากาศอิสราเอลกำลังวางแผนโจมตีอิหร่านอีกครั้งในลักษณะที่คล้ายคลึงกับช่วงเดือนเมษายน และด้วยวิธีการนี้อิสราเอลก็ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องบินรบบินผ่านน่านฟ้าของประเทศใกล้เคียง เช่น จอร์แดน เป็นต้น
    มีรายงานว่า "Asif W. Rahman" ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ CIA ถูกเจ้าหน้าที่จากหน่วยงาน FBI จับกุมเมื่อเดือนที่แล้วในประเทศกัมพูชา เขาถูกตั้งข้อหาสองกระทงคือ "ครอบครองและเปิดเผยเอกสารข่าวกรองระดับลับสุดยอด" เกี่ยวกับแผนการลับทางการทหารของอิสราเอลก่อนการโจมตีอิหร่านเมื่อกลางเดือนที่แล้ว เอกสารดังกล่าว ซึ่งเป็นของสำนักงานข่าวกรองภูมิสารสนเทศแห่งชาติ (National Geospatial-Intelligence Agency) ซึ่งสนับสนุนภารกิจทางทหารและข่าวกรองของสหรัฐ ถูกเผยแพร่ครั้งแรกออกมาทาง Telegram ซึ่งระบุรายละเอียดชัดถึงการประเมินของสหรัฐฯ เกี่ยวกับแผนการของอิสราเอลเพื่อเตรียมการโจมตีอิหร่าน (หลังจากอิหร่านโจมตีอิสราเอลไปเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม) ขณะนี้ Rahman ถูกนำตัวไปที่ศาลรัฐบาลกลางในกวม ซึ่งเป็นเป็นดินแดนของสหรัฐอเมริกาในแปซิฟิกตะวันตก สำหรับเนื้อหาในเอกสารนั้น เป็นการประเมินเกี่ยวกับการเตรียมการของอิสราเอลที่มุ่งเป้าโจมตีเป้าหมายในอิหร่าน โดยอ้างอิงจากข้อมูลข่าวกรองที่สำนักข่าวกรองภูมิสารสนเทศแห่งชาติสหรัฐฯ ในเอกสารลับยังมีการกล่าวถึงระบบขีปนาวุธนำวิถีทางอากาศ (ABLM) 2 ระบบ ได้แก่: 1-Golden Horizon ซึ่งเชื่อกันว่าหมายถึงระบบขีปนาวุธ Blue Sparrow ที่มีระยะการบินประมาณ 2,000 กิโลเมตร 2-Rocks คือระบบขีปนาวุธพิสัยไกลที่ผลิตโดยบริษัท Rafael ของอิสราเอล ได้รับการออกแบบมาเพื่อโจมตีเป้าหมายต่างๆ ทั้งบนและใต้ดิน จากข้อมูลลับเหล่านี้ ทำให้รู้ว่า กองทัพอากาศอิสราเอลกำลังวางแผนโจมตีอิหร่านอีกครั้งในลักษณะที่คล้ายคลึงกับช่วงเดือนเมษายน และด้วยวิธีการนี้อิสราเอลก็ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องบินรบบินผ่านน่านฟ้าของประเทศใกล้เคียง เช่น จอร์แดน เป็นต้น
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 229 มุมมอง 0 รีวิว
  • "นี่ไม่ใช่เรือบรรทุกเครื่องบิน อับราฮัม ลินคอล์น" ของสหรัฐอเมริกา หลังจากมีรายงานว่าถูกเยเมนโจมตีด้วยขีปนาวุธเมื่อวานนี้

    นี่คือเหตุการณ์ไฟไหม้เรือ USS Bonhomme Richard (LHD 6) ที่ฐานทัพเรือซานดิเอโก เมื่อเช้าวันที่ 12 กรกฎาคม 2563 (2020)
    "นี่ไม่ใช่เรือบรรทุกเครื่องบิน อับราฮัม ลินคอล์น" ของสหรัฐอเมริกา หลังจากมีรายงานว่าถูกเยเมนโจมตีด้วยขีปนาวุธเมื่อวานนี้ นี่คือเหตุการณ์ไฟไหม้เรือ USS Bonhomme Richard (LHD 6) ที่ฐานทัพเรือซานดิเอโก เมื่อเช้าวันที่ 12 กรกฎาคม 2563 (2020)
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 135 มุมมอง 0 รีวิว
  • Elon Musk ประกาศว่า Donald Trump แต่งตั้งเขาและ Vivek Ramaswamy นักธุรกิจชาวอเมริกันเชื้อสายอินเดีย ผู้ก่อตั้งบริษัทยา Roivant Sciences เป็นผู้นำ (ร่วม) ของ Department of Government Efficiency (ตัวย่อ DOGE) หน่วยงานที่รัฐบาล Trump เตรียมตั้งขึ้นมาใหม่เพื่อปฏิรูปหน่วยงานภาครัฐของสหรัฐอเมริกาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นการตั้ง Elon เป็นผู้นำของ Department of Government Efficiency ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะเป็นสิ่งที่ Trump เคยประกาศไว้เมื่อเดือนกันยายน ว่าหากเขาชนะเลือกตั้งจะเดินหน้าทำสิ่งนี้ตอนนี้ยังมีข้อมูลเพียงว่า Department of Government Efficiency จะเป็นหน่วยงานนอกรัฐบาล (outside of Government) และจะทำงานร่วมกับหน่วยงานด้านงบประมาณของทำเนียบขาว เพื่อแนะนำแนวทางการปฏิรูปโครงสร้างระบบราชการให้เล็กลง มีประสิทธิภาพมากขึ้น งานนี้เป็นงานชั่วคราวที่จะเสร็จสิ้นภายใน 4 กรกฎาคม 2026 ซึ่งเป็นวันฉลอง 250 ปีการประกาศเอกราชของสหรัฐอเมริกา
    Elon Musk ประกาศว่า Donald Trump แต่งตั้งเขาและ Vivek Ramaswamy นักธุรกิจชาวอเมริกันเชื้อสายอินเดีย ผู้ก่อตั้งบริษัทยา Roivant Sciences เป็นผู้นำ (ร่วม) ของ Department of Government Efficiency (ตัวย่อ DOGE) หน่วยงานที่รัฐบาล Trump เตรียมตั้งขึ้นมาใหม่เพื่อปฏิรูปหน่วยงานภาครัฐของสหรัฐอเมริกาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นการตั้ง Elon เป็นผู้นำของ Department of Government Efficiency ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะเป็นสิ่งที่ Trump เคยประกาศไว้เมื่อเดือนกันยายน ว่าหากเขาชนะเลือกตั้งจะเดินหน้าทำสิ่งนี้ตอนนี้ยังมีข้อมูลเพียงว่า Department of Government Efficiency จะเป็นหน่วยงานนอกรัฐบาล (outside of Government) และจะทำงานร่วมกับหน่วยงานด้านงบประมาณของทำเนียบขาว เพื่อแนะนำแนวทางการปฏิรูปโครงสร้างระบบราชการให้เล็กลง มีประสิทธิภาพมากขึ้น งานนี้เป็นงานชั่วคราวที่จะเสร็จสิ้นภายใน 4 กรกฎาคม 2026 ซึ่งเป็นวันฉลอง 250 ปีการประกาศเอกราชของสหรัฐอเมริกา
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 299 มุมมอง 0 รีวิว
  • Elon Musk ประกาศว่า Donald Trump แต่งตั้งเขาและ Vivek Ramaswamy นักธุรกิจชาวอเมริกันเชื้อสายอินเดีย ผู้ก่อตั้งบริษัทยา Roivant Sciences เป็นผู้นำ (ร่วม) ของ Department of Government Efficiency (ตัวย่อ DOGE) หน่วยงานที่รัฐบาล Trump เตรียมตั้งขึ้นมาใหม่เพื่อปฏิรูปหน่วยงานภาครัฐของสหรัฐอเมริกาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นการตั้ง Elon เป็นผู้นำของ Department of Government Efficiency ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะเป็นสิ่งที่ Trump เคยประกาศไว้เมื่อเดือนกันยายน ว่าหากเขาชนะเลือกตั้งจะเดินหน้าทำสิ่งนี้ตอนนี้ยังมีข้อมูลเพียงว่า Department of Government Efficiency จะเป็นหน่วยงานนอกรัฐบาล (outside of Government) และจะทำงานร่วมกับหน่วยงานด้านงบประมาณของทำเนียบขาว เพื่อแนะนำแนวทางการปฏิรูปโครงสร้างระบบราชการให้เล็กลง มีประสิทธิภาพมากขึ้น งานนี้เป็นงานชั่วคราวที่จะเสร็จสิ้นภายใน 4 กรกฎาคม 2026 ซึ่งเป็นวันฉลอง 250 ปีการประกาศเอกราชของสหรัฐอเมริกา
    Elon Musk ประกาศว่า Donald Trump แต่งตั้งเขาและ Vivek Ramaswamy นักธุรกิจชาวอเมริกันเชื้อสายอินเดีย ผู้ก่อตั้งบริษัทยา Roivant Sciences เป็นผู้นำ (ร่วม) ของ Department of Government Efficiency (ตัวย่อ DOGE) หน่วยงานที่รัฐบาล Trump เตรียมตั้งขึ้นมาใหม่เพื่อปฏิรูปหน่วยงานภาครัฐของสหรัฐอเมริกาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นการตั้ง Elon เป็นผู้นำของ Department of Government Efficiency ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะเป็นสิ่งที่ Trump เคยประกาศไว้เมื่อเดือนกันยายน ว่าหากเขาชนะเลือกตั้งจะเดินหน้าทำสิ่งนี้ตอนนี้ยังมีข้อมูลเพียงว่า Department of Government Efficiency จะเป็นหน่วยงานนอกรัฐบาล (outside of Government) และจะทำงานร่วมกับหน่วยงานด้านงบประมาณของทำเนียบขาว เพื่อแนะนำแนวทางการปฏิรูปโครงสร้างระบบราชการให้เล็กลง มีประสิทธิภาพมากขึ้น งานนี้เป็นงานชั่วคราวที่จะเสร็จสิ้นภายใน 4 กรกฎาคม 2026 ซึ่งเป็นวันฉลอง 250 ปีการประกาศเอกราชของสหรัฐอเมริกา
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 227 มุมมอง 0 รีวิว
  • นายพลฮามิด วาเฮดี ผู้บัญชาการกองทัพอากาศอิหร่าน กำลังตรวจสอบเครื่องบินขับไล่ J-10 ของจีนในวันนี้

    มีข่าวมาตลอดเกี่ยวกับความสนใจของอิหร่านกับ J-10 ของจีน

    เครื่องบินขับไล่ J-10 ราคาต่อลำอยู่ที่ 40 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งมีข่าวว่าอิหร่านสนใจมากถึง 100 ลำ

    นอกจากนี้ประสิทธิภาพด้านอาวุธและการบินยังมีรายงานว่า J-10C มีคุณสมบัติพอๆ กับ F-16 Block 70/72 ของสหรัฐอเมริกาอีกด้วย
    นายพลฮามิด วาเฮดี ผู้บัญชาการกองทัพอากาศอิหร่าน กำลังตรวจสอบเครื่องบินขับไล่ J-10 ของจีนในวันนี้ มีข่าวมาตลอดเกี่ยวกับความสนใจของอิหร่านกับ J-10 ของจีน เครื่องบินขับไล่ J-10 ราคาต่อลำอยู่ที่ 40 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งมีข่าวว่าอิหร่านสนใจมากถึง 100 ลำ นอกจากนี้ประสิทธิภาพด้านอาวุธและการบินยังมีรายงานว่า J-10C มีคุณสมบัติพอๆ กับ F-16 Block 70/72 ของสหรัฐอเมริกาอีกด้วย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 77 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🇬🇪 นายกรัฐมนตรีจอร์เจีย โคบาคิดเซ เรียกร้องให้มีการ "รีบูต" ความสัมพันธ์กับสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป, พร้อมระบุว่าสงครามรัสเซีย-ยูเครนจะยุติลงในเร็วๆ นี้
    .
    🇬🇪 Georgian Prime Minister Kobakhidze calls for a "reboot" of relations with the United States and European Union, stating that the Russia-Ukraine war will end soon.
    .
    12:03 PM · Nov 12, 2024 · 51.2K Views
    https://x.com/BRICSinfo/status/1856201235793072161
    🇬🇪 นายกรัฐมนตรีจอร์เจีย โคบาคิดเซ เรียกร้องให้มีการ "รีบูต" ความสัมพันธ์กับสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป, พร้อมระบุว่าสงครามรัสเซีย-ยูเครนจะยุติลงในเร็วๆ นี้ . 🇬🇪 Georgian Prime Minister Kobakhidze calls for a "reboot" of relations with the United States and European Union, stating that the Russia-Ukraine war will end soon. . 12:03 PM · Nov 12, 2024 · 51.2K Views https://x.com/BRICSinfo/status/1856201235793072161
    Haha
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 157 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทันทีที่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการ เขาจะยกเลิกคำสั่งฝ่ายบริหาร 94 ฉบับที่ออกโดยรัฐบาลไบเดนและแฮร์ริส ซึ่งทำให้เกิดวิกฤตชายแดนและวิกฤตเศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกา

    Fox News รายงาน
    ทันทีที่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการ เขาจะยกเลิกคำสั่งฝ่ายบริหาร 94 ฉบับที่ออกโดยรัฐบาลไบเดนและแฮร์ริส ซึ่งทำให้เกิดวิกฤตชายแดนและวิกฤตเศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกา Fox News รายงาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 61 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts