ข่าวออนไลน์ อารมณ์หนังสือพิมพ์ กับเรื่องราวทั้งไทยและอาเซียน
อย่าลืมกดไอคอนรูปหัวใจ เพื่อให้โพสต์ของเราปรากฎใน News Feed ของคุณ
อย่าลืมกดไอคอนรูปหัวใจ เพื่อให้โพสต์ของเราปรากฎใน News Feed ของคุณ
Recent Updates
- เผยโฉมรถไฟ RTS Link ยะโฮร์บาห์รู-สิงคโปร์
โครงการเชื่อมโยงระบบขนส่งมวลชนด่วนพิเศษ RTS Link (Rapid Transit System) ระหว่างย่านบูกิตชาการ์ (Bukit Chagar) เมืองยะโฮร์บาห์รู รัฐยะโฮร์ ประเทศมาเลเซีย กับย่านวู้ดแลนด์นอร์ท (Woodlands North) ประเทศสิงคโปร์ มีความคืบหน้าแล้ว 56% ซึ่งตามแผนกำหนดเปิดให้บริการในวันที่ 1 ม.ค.2570 ล่าสุดเมื่อวันที่ 30 มิ.ย.ที่ผ่านมา ได้เปิดตัวรถไฟขบวนแรก จากทั้งหมด 8 ขบวน ซึ่งผลิตโดย บริษัท ซีอาร์อาร์ซี จูโจว โลโคโมทีฟ (CRRC Zhuzhou Locomotive) ที่ศูนย์ทดสอบรถไฟสิงคโปร์ (SRTC) หลังขนส่งจากจีนมาถึงสิงคโปร์เมื่อเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา ส่วนขบวนที่ 2-5 กำลังประกอบที่โรงงานในเมืองบาตูกาจาห์ รัฐเประ มาเลเซีย ขบวนที่ 6-8 จะดำเนินการในภายหลัง
โดยขบวนรถไฟฟ้าดังกล่าวเป็นแบบไร้คนขับ มีทั้งหมด 8 ขบวน ขบวนละ 4 คัน ความยาวต่อขบวน 76 เมตร ลำตัวรถมีสีขาว แดง น้ำเงิน ซึ่งมาจากสีของธงชาติสิงคโปร์ ธงชาติมาเลเซีย และธงรัฐยะโฮร์ เดินรถด้วยความเร็ว 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใช้เวลาเดินทาง 5 นาที ภายในห้องโดยสารมีเก้าอี้ปกติ 126 ที่นั่ง และเก้าอี้แบบพับได้ 16 ที่นั่ง เพื่อรองรับรถเข็นวีลแชร์ รถเข็นเด็ก หรือกระเป๋าเดินทาง และรองรับกรณีมีผู้โดยสารหนาแน่น แต่ละขบวนรองรับผู้โดยสารได้สูงสุดกว่า 600 คนต่อขบวน พร้อมระบบ Hearing Loop สำหรับผู้พิการทางการได้ยิน ระบบสื่อสารไปยังศูนย์ปฎิบัติการและควบคุมการเดินรถ (OCC)
โครงการ RTS Link เป็นการร่วมทุนกันระหว่าง กลุ่มพราซารานา (Prasarana) ของมาเลเซีย และกลุ่มเอสเอ็มอาร์ที (SMRT) ของสิงคโปร์ ก่อสร้างขึ้นเพื่อเชื่อมต่อระหว่างมาเลเซียและสิงคโปร์ แบ่งเบาการจราจรระหว่างยะโฮร์บาห์รู กับด่านวู้ดแลนด์ ให้บริการสูงสุด 10,000 คนต่อชั่วโมงต่อทิศทาง เปิดบริการตั้งแต่เวลา 06.00-24.00 น. โดยมีความถี่ให้บริการเร็วที่สุดในชั่วโมงเร่งด่วน 3.6 นาที รองรับผู้โดยสารได้สูงสุด 180,000 คนต่อวัน พร้อมกันนี้ ยังมีศูนย์ศุลกากร ตรวจคนเข้าเมือง และกักกันโรค (CIQ) ที่สถานีวู้ดแลนด์นอร์ท ส่วนค่าโดยสารอยู่ในระหว่างศึกษาขั้นสุดท้าย ก่อนกำหนดราคาอย่างเป็นทางการต่อไป
อีกด้านหนึ่ง บริการรถไฟ Shuttle Tebrau ระหว่างสถานี JB Sentral ถึงสถานี Woodlands ของการรถไฟมาลายา (KTM Berhad) กำลังจะปิดตำนาน เพราะมีแผนจะยุติให้บริการภายใน 6 เดือน หลังรถไฟ RTS Link เปิดให้บริการ รถไฟดังกล่าวขนส่งผู้โดยสารระหว่างมาเลเซีย-สิงคโปร์ตั้งแต่เดือน ก.ค. 2558 เป็นต้นมา ค่าโดยสาร 5 ริงกิตต่อเที่ยวสำหรับชาวมาเลเซีย ใช้เวลาเดินทาง 5 นาที มีขบวนรถไป-กลับตามเวลาที่กำหนดวันละ 31 ขบวน
#Newskitเผยโฉมรถไฟ RTS Link ยะโฮร์บาห์รู-สิงคโปร์ โครงการเชื่อมโยงระบบขนส่งมวลชนด่วนพิเศษ RTS Link (Rapid Transit System) ระหว่างย่านบูกิตชาการ์ (Bukit Chagar) เมืองยะโฮร์บาห์รู รัฐยะโฮร์ ประเทศมาเลเซีย กับย่านวู้ดแลนด์นอร์ท (Woodlands North) ประเทศสิงคโปร์ มีความคืบหน้าแล้ว 56% ซึ่งตามแผนกำหนดเปิดให้บริการในวันที่ 1 ม.ค.2570 ล่าสุดเมื่อวันที่ 30 มิ.ย.ที่ผ่านมา ได้เปิดตัวรถไฟขบวนแรก จากทั้งหมด 8 ขบวน ซึ่งผลิตโดย บริษัท ซีอาร์อาร์ซี จูโจว โลโคโมทีฟ (CRRC Zhuzhou Locomotive) ที่ศูนย์ทดสอบรถไฟสิงคโปร์ (SRTC) หลังขนส่งจากจีนมาถึงสิงคโปร์เมื่อเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา ส่วนขบวนที่ 2-5 กำลังประกอบที่โรงงานในเมืองบาตูกาจาห์ รัฐเประ มาเลเซีย ขบวนที่ 6-8 จะดำเนินการในภายหลัง โดยขบวนรถไฟฟ้าดังกล่าวเป็นแบบไร้คนขับ มีทั้งหมด 8 ขบวน ขบวนละ 4 คัน ความยาวต่อขบวน 76 เมตร ลำตัวรถมีสีขาว แดง น้ำเงิน ซึ่งมาจากสีของธงชาติสิงคโปร์ ธงชาติมาเลเซีย และธงรัฐยะโฮร์ เดินรถด้วยความเร็ว 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใช้เวลาเดินทาง 5 นาที ภายในห้องโดยสารมีเก้าอี้ปกติ 126 ที่นั่ง และเก้าอี้แบบพับได้ 16 ที่นั่ง เพื่อรองรับรถเข็นวีลแชร์ รถเข็นเด็ก หรือกระเป๋าเดินทาง และรองรับกรณีมีผู้โดยสารหนาแน่น แต่ละขบวนรองรับผู้โดยสารได้สูงสุดกว่า 600 คนต่อขบวน พร้อมระบบ Hearing Loop สำหรับผู้พิการทางการได้ยิน ระบบสื่อสารไปยังศูนย์ปฎิบัติการและควบคุมการเดินรถ (OCC) โครงการ RTS Link เป็นการร่วมทุนกันระหว่าง กลุ่มพราซารานา (Prasarana) ของมาเลเซีย และกลุ่มเอสเอ็มอาร์ที (SMRT) ของสิงคโปร์ ก่อสร้างขึ้นเพื่อเชื่อมต่อระหว่างมาเลเซียและสิงคโปร์ แบ่งเบาการจราจรระหว่างยะโฮร์บาห์รู กับด่านวู้ดแลนด์ ให้บริการสูงสุด 10,000 คนต่อชั่วโมงต่อทิศทาง เปิดบริการตั้งแต่เวลา 06.00-24.00 น. โดยมีความถี่ให้บริการเร็วที่สุดในชั่วโมงเร่งด่วน 3.6 นาที รองรับผู้โดยสารได้สูงสุด 180,000 คนต่อวัน พร้อมกันนี้ ยังมีศูนย์ศุลกากร ตรวจคนเข้าเมือง และกักกันโรค (CIQ) ที่สถานีวู้ดแลนด์นอร์ท ส่วนค่าโดยสารอยู่ในระหว่างศึกษาขั้นสุดท้าย ก่อนกำหนดราคาอย่างเป็นทางการต่อไป อีกด้านหนึ่ง บริการรถไฟ Shuttle Tebrau ระหว่างสถานี JB Sentral ถึงสถานี Woodlands ของการรถไฟมาลายา (KTM Berhad) กำลังจะปิดตำนาน เพราะมีแผนจะยุติให้บริการภายใน 6 เดือน หลังรถไฟ RTS Link เปิดให้บริการ รถไฟดังกล่าวขนส่งผู้โดยสารระหว่างมาเลเซีย-สิงคโปร์ตั้งแต่เดือน ก.ค. 2558 เป็นต้นมา ค่าโดยสาร 5 ริงกิตต่อเที่ยวสำหรับชาวมาเลเซีย ใช้เวลาเดินทาง 5 นาที มีขบวนรถไป-กลับตามเวลาที่กำหนดวันละ 31 ขบวน #NewskitPlease log in to like, share and comment! - ผ่าดวง AI อุ๊งอิ๊งค์ไม่น่ารอด?
1 ก.ค. ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ให้รับคำร้องกรณีที่สมาชิกวุฒิสภาขอให้วินิจฉัยความเป็นรัฐมนตรีของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ จากกรณีคลิปเสียงสนทนากับ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา พร้อมกับมีมติ 7 ต่อ 2 ให้หยุดปฎิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีจนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัย ขณะที่เจ้าตัวกล่าวขอโทษคนไทยที่ไม่สบายใจหรือรู้สึกโกรธเคือง ยืนยันตั้งใจทำเพื่อประเทศชาติจริงๆ
เมื่อใช้ ChatGPT ทำนายดวงผู้หญิงที่เกิดวันที่ 21 ส.ค. 2529 ที่กรุงเทพมหานคร โดยไม่เจาะจงว่าเป็นใคร ใช้สถานการณ์สมมติว่าถูกฝ่ายตรวจสอบภายในบริษัทสั่งพักงานเพราะทำความผิดร้ายแรง มีคลิปเสียงที่ไปคุยกับบริษัทคู่แข่ง แต่บอกว่ามีเจตนาดี อยากช่วยบริษัท ไม่ได้ตั้งใจเป็นแบบนั้น พบว่าดาวเสาร์จร (Saturn transit) ซึ่งทำมุมตรงข้ามกับดวงอาทิตย์กำเนิดในราศีสิงห์ สะท้อนว่าเป็นช่วงที่ชีวิตโดนสอบสวนและต้องชดใช้ในสิ่งที่อาจทำไปโดยรู้หรือไม่รู้ตัว
ส่วนคลิปเสียงเกี่ยวข้องกับดาวพุธ (Mercury) ซึ่งมักเกี่ยวกับหลักฐานทางการสื่อสาร หากพุธจรสัมพันธ์กับดาวมฤตยูหรือดาวเสาร์ ก็หมายถึงความลับที่ถูกเปิดเผย หรือคำพูดที่ย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง ดาวพลูโตโคจรทำมุมกับดาวอังคารกำเนิดในราศีกันย์ ซึ่งดาวแห่งการกระทำเชิงงานสื่อถึงการถูกจับตา ถูกแฉ ถูกล้วงความลับ ซึ่งเกิดขึ้นกับคนที่มีอีโก้หรือเจตนาดี แต่ระบบไม่มองแบบนั้น ส่วนจะตกงานหรือไม่ มีโอกาสตกงานในตำแหน่งเดิม หรือต้องรีเซตใหม่สูง
ปี 2568 เป็นปีที่ดาวเสาร์บีบตัวตนแรงที่สุดในรอบ 14 ปี ผู้หญิงรายนี้มีพลังอาทิตย์ในราศีสิงห์ ภาคภูมิใจในตัวเอง แต่ตอนนี้ถูกทำให้หมดศักดิ์ศรีแบบไม่เต็มใจ ซึ่งคลิปเสียงเป็นสิ่งที่ย้อนมาทำร้ายดาวพุธ กับอาทิตย์ หากสามารถพิสูจน์เจตนาดีและมีคนในองค์กรระดับสูงช่วยพูดแทน จะอาจได้โอกาสเปลี่ยนตำแหน่ง ลดบทบาท หรือย้าย มากกว่าถูกให้ออก แต่กลางปี 2569 ดาวพฤหัสเข้าสู่มุมดีกับงาน อาจมีหน่วยงานใหม่ หรือบริษัทใหม่ที่รับผู้หญิงรายนี้ไปด้วยมุมมองต่างจากองค์กรเดิม
หากยังอยากอยู่ในที่เดิม ต้องยอมรับว่าเจตนาดีไม่เพียงพอในองค์กรระบบใหญ่ ต้องขอโทษแบบไม่มีข้อแม้ เพราะโหงวเฮ้งหรือดาวเสาร์ไม่เปิดรับข้ออ้าง อย่าปะทะกลับหรืออธิบายซ้ำซ้อนมากเกินไป คนไม่ชอบจะใช้เป็นเหตุขุดเพิ่ม และหาพยานบุคคลที่เคยเห็นความตั้งใจดี ขอให้พูดแทนแบบมืออาชีพ แต่หากพร้อมจะไปต่อที่ใหม่ ควรพักใจ รีเซตตัวเอง เลือกงานที่วางโครงสร้างชัดเจน ช่วงปลายปี 2568 ถึงต้นปี 2569 จะมีแสงสว่างจากผู้ใหญ่ใหม่ หรือโปรเจกต์ที่เคยมีบุญคุณไว้ หรือเคยช่วยไว้ในอดีต
#Newskitผ่าดวง AI อุ๊งอิ๊งค์ไม่น่ารอด? 1 ก.ค. ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ให้รับคำร้องกรณีที่สมาชิกวุฒิสภาขอให้วินิจฉัยความเป็นรัฐมนตรีของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ จากกรณีคลิปเสียงสนทนากับ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา พร้อมกับมีมติ 7 ต่อ 2 ให้หยุดปฎิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีจนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัย ขณะที่เจ้าตัวกล่าวขอโทษคนไทยที่ไม่สบายใจหรือรู้สึกโกรธเคือง ยืนยันตั้งใจทำเพื่อประเทศชาติจริงๆ เมื่อใช้ ChatGPT ทำนายดวงผู้หญิงที่เกิดวันที่ 21 ส.ค. 2529 ที่กรุงเทพมหานคร โดยไม่เจาะจงว่าเป็นใคร ใช้สถานการณ์สมมติว่าถูกฝ่ายตรวจสอบภายในบริษัทสั่งพักงานเพราะทำความผิดร้ายแรง มีคลิปเสียงที่ไปคุยกับบริษัทคู่แข่ง แต่บอกว่ามีเจตนาดี อยากช่วยบริษัท ไม่ได้ตั้งใจเป็นแบบนั้น พบว่าดาวเสาร์จร (Saturn transit) ซึ่งทำมุมตรงข้ามกับดวงอาทิตย์กำเนิดในราศีสิงห์ สะท้อนว่าเป็นช่วงที่ชีวิตโดนสอบสวนและต้องชดใช้ในสิ่งที่อาจทำไปโดยรู้หรือไม่รู้ตัว ส่วนคลิปเสียงเกี่ยวข้องกับดาวพุธ (Mercury) ซึ่งมักเกี่ยวกับหลักฐานทางการสื่อสาร หากพุธจรสัมพันธ์กับดาวมฤตยูหรือดาวเสาร์ ก็หมายถึงความลับที่ถูกเปิดเผย หรือคำพูดที่ย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง ดาวพลูโตโคจรทำมุมกับดาวอังคารกำเนิดในราศีกันย์ ซึ่งดาวแห่งการกระทำเชิงงานสื่อถึงการถูกจับตา ถูกแฉ ถูกล้วงความลับ ซึ่งเกิดขึ้นกับคนที่มีอีโก้หรือเจตนาดี แต่ระบบไม่มองแบบนั้น ส่วนจะตกงานหรือไม่ มีโอกาสตกงานในตำแหน่งเดิม หรือต้องรีเซตใหม่สูง ปี 2568 เป็นปีที่ดาวเสาร์บีบตัวตนแรงที่สุดในรอบ 14 ปี ผู้หญิงรายนี้มีพลังอาทิตย์ในราศีสิงห์ ภาคภูมิใจในตัวเอง แต่ตอนนี้ถูกทำให้หมดศักดิ์ศรีแบบไม่เต็มใจ ซึ่งคลิปเสียงเป็นสิ่งที่ย้อนมาทำร้ายดาวพุธ กับอาทิตย์ หากสามารถพิสูจน์เจตนาดีและมีคนในองค์กรระดับสูงช่วยพูดแทน จะอาจได้โอกาสเปลี่ยนตำแหน่ง ลดบทบาท หรือย้าย มากกว่าถูกให้ออก แต่กลางปี 2569 ดาวพฤหัสเข้าสู่มุมดีกับงาน อาจมีหน่วยงานใหม่ หรือบริษัทใหม่ที่รับผู้หญิงรายนี้ไปด้วยมุมมองต่างจากองค์กรเดิม หากยังอยากอยู่ในที่เดิม ต้องยอมรับว่าเจตนาดีไม่เพียงพอในองค์กรระบบใหญ่ ต้องขอโทษแบบไม่มีข้อแม้ เพราะโหงวเฮ้งหรือดาวเสาร์ไม่เปิดรับข้ออ้าง อย่าปะทะกลับหรืออธิบายซ้ำซ้อนมากเกินไป คนไม่ชอบจะใช้เป็นเหตุขุดเพิ่ม และหาพยานบุคคลที่เคยเห็นความตั้งใจดี ขอให้พูดแทนแบบมืออาชีพ แต่หากพร้อมจะไปต่อที่ใหม่ ควรพักใจ รีเซตตัวเอง เลือกงานที่วางโครงสร้างชัดเจน ช่วงปลายปี 2568 ถึงต้นปี 2569 จะมีแสงสว่างจากผู้ใหญ่ใหม่ หรือโปรเจกต์ที่เคยมีบุญคุณไว้ หรือเคยช่วยไว้ในอดีต #Newskit - ความตกต่ำของกระทรวงการต่างประเทศ
กระทรวงการต่างประเทศ ภายใต้การนำของ มาริษ เสงี่ยมพงษ์ คนใกล้ชิดอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ไม่มีผลงานโดดเด่น นอกจากไปเป็นพยานให้ทักษิณ ผู้ต้องหาคดี 112 ขออนุญาตศาลออกนอกประเทศ ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา ที่สองพ่อลูก ฮุน เซน และ ฮุน มาเนต ปลุกกระแสชาตินิยม นำปราสาทตาเมือนธม ตาเมือนโต๊ด ตาควาย และช่องบก ร้องต่อศาลโลก ขอให้ตกเป็นของกัมพูชา นอกจากจะแถลงข่าวรายวันก็ไม่มีอะไรโดดเด่น
การประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) นำโดย นายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย ประธานคณะกรรมาธิการเจบีซีฝ่ายไทย เป็นที่เคลือบแคลงสงสัย นอกจากจะเป็นคู่กรณีนายวีระ สมความคิด เคยบีบบังคับให้ยอมรับผิดว่าบุกรุกดินแดนกัมพูชาและด่าว่าเป็นตัวปัญหาแล้ว ในการประชุมเจบีซีมีไลน์หลุดออกมาว่า นายประศาสน์ พยายามโน้มน้าวให้ไทยยอมรับแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ที่ทำให้ไทยเสียดินแดน ทำให้เจ้าตัวถึงกับโกรธและไม่คุยด้วย หนำซ้ำ กัมพูชายังสรุปผลการประชุมว่าตกลงใช้แผนที่ 1 ต่อ 200,000 ทำให้คนไทยโกรธแค้นเพราะเสียเปรียบ ร้อนถึงกระทรวงต้องออกแถลงการณ์ตอนดึก ยืนยันว่าไม่ได้หารือ พร้อมแสดงความผิดหวังที่กัมพูชาเดินหน้านำพื้นที่ 4 จุดขึ้นสู่ศาลโลก
สนธิ ลิ้มทองกุล ตั้งคำถามว่า ตั้งแต่ MOU 2543 ถึง MOU 2544 รู้อยู่แล้วว่าเป็นตัวการที่จะทำให้ไทยเสียดินแดน มีการระบุว่าต้องใช้แผนที่ 1 ต่อ 200,000 ไม่ใช่ 1 ต่อ 50,000 เคยถามตัวเองหรือไม่ว่าทำไมกัมพูชาเจรจากับเวียดนามใช้แผนที่ 1 ต่อ 50,000 ทำไมไทยถึงยอมใช้มาตรา 1 ต่อ 200,000 ส่วนนายประศาสน์ นับตั้งแต่ไปประชุมเจบีซี 3 สัปดาห์แล้วกลับมา ไม่เคยบอกคนไทยว่าไปพูดอะไรบ้าง และไม่บอกว่าไปลงนามข้อตกลงอะไรไว้ เปรียบเป็นไส้ศึกของกัมพูชา
ที่น่าสนใจ คือ บทความหัวข้อ Thai diplomacy is now in need of a reset เขียนโดย กวี จงกิจถาวร ในหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ระบุในตอนหนึ่งว่า แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ทำผิดพลาดทางการทูตร้ายแรงจากคลิปเสียงสนทนากับ ฮุน เซน แม้กระทรวงการต่างประเทศพยายามอย่างหนักเพื่อกอบกู้สถานการณ์ทางการทูตที่เหลืออยู่ แต่ขวัญกำลังใจตกต่ำเป็นประวัติการณ์ นักการทูตและเจ้าหน้าที่รู้สึกว่าถูกละเลยและเพิกเฉย นับตั้งแต่แพทองธารเข้ารับตำแหน่ง การตัดสินใจเกี่ยวกับกิจการต่างประเทศก็ดำเนินการโดยทักษิณ และกลุ่มคนใกล้ชิด
"นับตั้งแต่ ปานปรีย์ พหิทธานุกร อดีต รมว.ต่างประเทศ ก้าวลงจากตำแหน่งเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา กระทรวงฯ ก็ไร้ทิศทาง ไม่มีผู้นำที่เข้มแข็งมาควบคุม และไม่มีผู้ใดมีอำนาจที่จะควบคุมความเสียหายหรือวางแผนกลยุทธ์"
#Newskitความตกต่ำของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ ภายใต้การนำของ มาริษ เสงี่ยมพงษ์ คนใกล้ชิดอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ไม่มีผลงานโดดเด่น นอกจากไปเป็นพยานให้ทักษิณ ผู้ต้องหาคดี 112 ขออนุญาตศาลออกนอกประเทศ ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา ที่สองพ่อลูก ฮุน เซน และ ฮุน มาเนต ปลุกกระแสชาตินิยม นำปราสาทตาเมือนธม ตาเมือนโต๊ด ตาควาย และช่องบก ร้องต่อศาลโลก ขอให้ตกเป็นของกัมพูชา นอกจากจะแถลงข่าวรายวันก็ไม่มีอะไรโดดเด่น การประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) นำโดย นายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย ประธานคณะกรรมาธิการเจบีซีฝ่ายไทย เป็นที่เคลือบแคลงสงสัย นอกจากจะเป็นคู่กรณีนายวีระ สมความคิด เคยบีบบังคับให้ยอมรับผิดว่าบุกรุกดินแดนกัมพูชาและด่าว่าเป็นตัวปัญหาแล้ว ในการประชุมเจบีซีมีไลน์หลุดออกมาว่า นายประศาสน์ พยายามโน้มน้าวให้ไทยยอมรับแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ที่ทำให้ไทยเสียดินแดน ทำให้เจ้าตัวถึงกับโกรธและไม่คุยด้วย หนำซ้ำ กัมพูชายังสรุปผลการประชุมว่าตกลงใช้แผนที่ 1 ต่อ 200,000 ทำให้คนไทยโกรธแค้นเพราะเสียเปรียบ ร้อนถึงกระทรวงต้องออกแถลงการณ์ตอนดึก ยืนยันว่าไม่ได้หารือ พร้อมแสดงความผิดหวังที่กัมพูชาเดินหน้านำพื้นที่ 4 จุดขึ้นสู่ศาลโลก สนธิ ลิ้มทองกุล ตั้งคำถามว่า ตั้งแต่ MOU 2543 ถึง MOU 2544 รู้อยู่แล้วว่าเป็นตัวการที่จะทำให้ไทยเสียดินแดน มีการระบุว่าต้องใช้แผนที่ 1 ต่อ 200,000 ไม่ใช่ 1 ต่อ 50,000 เคยถามตัวเองหรือไม่ว่าทำไมกัมพูชาเจรจากับเวียดนามใช้แผนที่ 1 ต่อ 50,000 ทำไมไทยถึงยอมใช้มาตรา 1 ต่อ 200,000 ส่วนนายประศาสน์ นับตั้งแต่ไปประชุมเจบีซี 3 สัปดาห์แล้วกลับมา ไม่เคยบอกคนไทยว่าไปพูดอะไรบ้าง และไม่บอกว่าไปลงนามข้อตกลงอะไรไว้ เปรียบเป็นไส้ศึกของกัมพูชา ที่น่าสนใจ คือ บทความหัวข้อ Thai diplomacy is now in need of a reset เขียนโดย กวี จงกิจถาวร ในหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ระบุในตอนหนึ่งว่า แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ทำผิดพลาดทางการทูตร้ายแรงจากคลิปเสียงสนทนากับ ฮุน เซน แม้กระทรวงการต่างประเทศพยายามอย่างหนักเพื่อกอบกู้สถานการณ์ทางการทูตที่เหลืออยู่ แต่ขวัญกำลังใจตกต่ำเป็นประวัติการณ์ นักการทูตและเจ้าหน้าที่รู้สึกว่าถูกละเลยและเพิกเฉย นับตั้งแต่แพทองธารเข้ารับตำแหน่ง การตัดสินใจเกี่ยวกับกิจการต่างประเทศก็ดำเนินการโดยทักษิณ และกลุ่มคนใกล้ชิด "นับตั้งแต่ ปานปรีย์ พหิทธานุกร อดีต รมว.ต่างประเทศ ก้าวลงจากตำแหน่งเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา กระทรวงฯ ก็ไร้ทิศทาง ไม่มีผู้นำที่เข้มแข็งมาควบคุม และไม่มีผู้ใดมีอำนาจที่จะควบคุมความเสียหายหรือวางแผนกลยุทธ์" #Newskit - ทุกการเดินทาง ย่อมมีก้าวที่หนึ่ง
ครบรอบ 1 ปี สำหรับเพจ Newskit ในคอนเซปต์ "ข่าวออนไลน์ อารมณ์หนังสือพิมพ์" ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 1 ก.ค.2567 ยืนหยัดนำเสนอเรื่องราวที่แตกต่างไปจากสื่อกระแสหลักและเพจข่าวทั่วไป ทั้งเศรษฐกิจ สังคม การเมืองเพียงเล็กน้อยในประเทศไทย เรื่องราวแปลกใหม่และใกล้ตัวในภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิดกับประเทศไทย เผยแพร่ผ่าน 3 แพลตฟอร์ม ในรูปแบบที่สั้น กระชับ สรุปความในโพสต์เดียว ไม่เกิน 2,200 ตัวอักษร
นับตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 2567 ถึงปัจจุบัน Newskit เผยแพร่เรื่องราวไปแล้ว 240 ตอน มากกว่า 360 เรื่อง (บางวันมี 2 เรื่อง) ยอดผู้ติดตามในแพลตฟอร์ม Thaitimes โซเชียลมีเดียของคนไทย 1,147 ราย เฟซบุ๊ก 294 ราย นอกจากนี้ยังได้โพสต์เรื่องราวในอินสตาแกรม @newskit.th สามารถติดตามกันได้
หลังเว้นวรรคจากคอลัมนิสต์ประจำ ที่ผ่านมาการทำเพจของเรา เดินทางด้วยใจล้วนๆ แม้จะมีอุปสรรคทั้งเรื่องหน้าที่การงานภารกิจ และปัญหาสุขภาพ ทำให้ต้องลาหยุดผู้อ่านไปบ้าง แต่ทุกเช้าวันจันทร์ถึงศุกร์ ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์ ก็พยายามพบกันให้เหมือนกับหนังสือพิมพ์กรอบเช้าที่สมัยก่อนวางแผงแต่เช้าตรู่ แต่ปัจจุบันถูกเปลี่ยนผ่านจากกระดาษสู่หน้าจอมือถือ
และเมื่อเดินทางด้วยใจล้วนๆ นี่เอง ตลอด 1 ปีที่ผ่านมา เราแทบไม่มีรายได้จากการทำเพจเลย จะมีก็แต่ครั้งหนึ่งที่เคยเล่นกิมมิกกับ THAI QR PAYMENT แต่ก็ไม่ได้มีรายได้เยอะมาก ถึงกระนั้นเรายังคงใช้หัวใจทำหน้าที่ถ่ายทอดเรื่องราวที่เราพบเจอและน่าสนใจ จากคำสอนของผู้ใหญ่ที่ให้เริ่มจากสิ่งที่อยากทำมากกว่ารายได้ แล้วจะมีความสุขในการทำงาน
อย่างไรก็ตาม เมื่อหน้าที่การงานหนักขึ้น นับแต่นี้ต่อไปอาจจะไม่ได้พบกับคุณผู้อ่านบ่อยครั้งทุกเช้าวันจันทร์-ศุกร์ แต่จะพยายามพบกับคุณผู้อ่านให้ได้มากที่สุดตามแต่โอกาส จนกว่าหน้าที่การงานจะลงตัว อาจจะได้พบกันทุกวันตราบเท่าที่เรายังพอไหว เพราะด้วยอายุมากขึ้น การปรับสมดุลระหว่างงานและชีวิต (Work-Life Balance) ย่อมจำเป็น ขออภัยในความไม่สะดวก ณ ที่นี้
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่ติดตามและให้การสนับสนุนเพจ Newskit มาโดยตลอด เราอาจเป็นเพจเล็กในซอยลึก ที่คนอ่านมีไม่เยอะ แต่สิ่งที่เรายึดมั่นตั้งใจมาโดยตลอด คือ พยายามแสวงหาเรื่องราวที่หาอ่านจากที่ไหนไม่ได้ พร้อมถ่ายทอดเรื่องราวอย่างซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมา บนพื้นฐานของความจริง
กิตตินันท์ นาคทอง
ผู้ก่อตั้งเพจ Newskit
#Newskitทุกการเดินทาง ย่อมมีก้าวที่หนึ่ง ครบรอบ 1 ปี สำหรับเพจ Newskit ในคอนเซปต์ "ข่าวออนไลน์ อารมณ์หนังสือพิมพ์" ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 1 ก.ค.2567 ยืนหยัดนำเสนอเรื่องราวที่แตกต่างไปจากสื่อกระแสหลักและเพจข่าวทั่วไป ทั้งเศรษฐกิจ สังคม การเมืองเพียงเล็กน้อยในประเทศไทย เรื่องราวแปลกใหม่และใกล้ตัวในภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิดกับประเทศไทย เผยแพร่ผ่าน 3 แพลตฟอร์ม ในรูปแบบที่สั้น กระชับ สรุปความในโพสต์เดียว ไม่เกิน 2,200 ตัวอักษร นับตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 2567 ถึงปัจจุบัน Newskit เผยแพร่เรื่องราวไปแล้ว 240 ตอน มากกว่า 360 เรื่อง (บางวันมี 2 เรื่อง) ยอดผู้ติดตามในแพลตฟอร์ม Thaitimes โซเชียลมีเดียของคนไทย 1,147 ราย เฟซบุ๊ก 294 ราย นอกจากนี้ยังได้โพสต์เรื่องราวในอินสตาแกรม @newskit.th สามารถติดตามกันได้ หลังเว้นวรรคจากคอลัมนิสต์ประจำ ที่ผ่านมาการทำเพจของเรา เดินทางด้วยใจล้วนๆ แม้จะมีอุปสรรคทั้งเรื่องหน้าที่การงานภารกิจ และปัญหาสุขภาพ ทำให้ต้องลาหยุดผู้อ่านไปบ้าง แต่ทุกเช้าวันจันทร์ถึงศุกร์ ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์ ก็พยายามพบกันให้เหมือนกับหนังสือพิมพ์กรอบเช้าที่สมัยก่อนวางแผงแต่เช้าตรู่ แต่ปัจจุบันถูกเปลี่ยนผ่านจากกระดาษสู่หน้าจอมือถือ และเมื่อเดินทางด้วยใจล้วนๆ นี่เอง ตลอด 1 ปีที่ผ่านมา เราแทบไม่มีรายได้จากการทำเพจเลย จะมีก็แต่ครั้งหนึ่งที่เคยเล่นกิมมิกกับ THAI QR PAYMENT แต่ก็ไม่ได้มีรายได้เยอะมาก ถึงกระนั้นเรายังคงใช้หัวใจทำหน้าที่ถ่ายทอดเรื่องราวที่เราพบเจอและน่าสนใจ จากคำสอนของผู้ใหญ่ที่ให้เริ่มจากสิ่งที่อยากทำมากกว่ารายได้ แล้วจะมีความสุขในการทำงาน อย่างไรก็ตาม เมื่อหน้าที่การงานหนักขึ้น นับแต่นี้ต่อไปอาจจะไม่ได้พบกับคุณผู้อ่านบ่อยครั้งทุกเช้าวันจันทร์-ศุกร์ แต่จะพยายามพบกับคุณผู้อ่านให้ได้มากที่สุดตามแต่โอกาส จนกว่าหน้าที่การงานจะลงตัว อาจจะได้พบกันทุกวันตราบเท่าที่เรายังพอไหว เพราะด้วยอายุมากขึ้น การปรับสมดุลระหว่างงานและชีวิต (Work-Life Balance) ย่อมจำเป็น ขออภัยในความไม่สะดวก ณ ที่นี้ ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่ติดตามและให้การสนับสนุนเพจ Newskit มาโดยตลอด เราอาจเป็นเพจเล็กในซอยลึก ที่คนอ่านมีไม่เยอะ แต่สิ่งที่เรายึดมั่นตั้งใจมาโดยตลอด คือ พยายามแสวงหาเรื่องราวที่หาอ่านจากที่ไหนไม่ได้ พร้อมถ่ายทอดเรื่องราวอย่างซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมา บนพื้นฐานของความจริง กิตตินันท์ นาคทอง ผู้ก่อตั้งเพจ Newskit #Newskit - นับหนึ่งไล่อุ๊งอิ๊ง จุดเปราะบางชินวัตร
การชุมนุมของคณะรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตย ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (28 มิ.ย.) ซึ่งมีมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน เครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฎิรูปประเทศไทย (คปท.) กลุ่ม ศปปส. กองทัพธรรม ร่วมกับเครือข่ายภาคประชาชนอีกหลายภาคส่วน มีข้อเรียกร้องหลัก 3 ข้อ ได้แก่ 1. ให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 2. ให้พรรคร่วมรัฐบาลถอนตัว และ 3. ยืนเคียงข้างทหาร ปกป้องแผ่นดินและอธิปไตยของชาติ หลังมีการเผยแพร่คลิปเสียงสนทนาระหว่าง น.ส.แพทองธาร กับ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ในลักษณะขายชาติ ทำลายความมั่นคงของรัฐนอกราชอาณาจักร
แม้ว่าพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชนจะโจมตีกลุ่มผู้ชุมนุม กล่าวหาว่าเป็นข้ออ้างไปสู่รัฐประหาร แต่ก็เป็นเพียงการประดิษฐ์วาทกรรมเพื่อปกป้องตัวเอง แม้ผู้นำเหล่าทัพในยุค พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผบ.ทบ. ไม่ได้มีท่าทีแสดงออกอย่างโดดเด่น เมื่อเทียบกับ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ตาม ถึงกระนั้นพรรคประชาชนซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านทำได้แค่เรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภา โดยไม่ได้ใช้วิธียื่นขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรจะเปิดสมัยประชุมในวันที่ 3 ก.ค. ที่จะถึงนี้ จึงเป็นที่เคลือบแคลงสงสัยถึงความสัมพันธ์ระหว่างนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ กับนายทักษิณ ชินวัตร
ทิศทางข่าวในวันอังคารที่จะถึงนี้ (1 ก.ค.) ลุ้นศาลรัฐธรรมนูญจะมีมติรับคำร้องกรณีที่สมาชิกวุฒิสภา (สว.) 36 คน ยื่นถอดถอน น.ส.แพทองธาร ออกจากตำแหน่งหรือไม่ กรณีคลิปเสียงกับ ฮุน เซน และจะมีมติให้ น.ส.แพทองธารหยุดปฎิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีหรือไม่ เพราะเคยเกิดขึ้นมาแล้วกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และนายเศรษฐา ทวีสิน แม้ น.ส.แพทองธารจะใช้วิธีให้ตัวเองดำรงตำแหน่งควบ รมว.วัฒนธรรม เข้าประชุมคณะรัฐมนตรีก็ตาม ซึ่งกลุ่ม คปท. จะมีการประชุมเพื่อประเมินว่าจะยกระดับการชุมนุมไปในทิศทางใด โดยมีจุดยืนเดิม คือ นายกรัฐมนตรีลาออก และพรรคร่วมรัฐบาลถอนตัว
อีกด้านหนึ่ง ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดไต่สวนแสวงหาข้อเท็จจริง เกี่ยวกับการบังคับโทษจำคุกของนายทักษิณกรณีชั้น 14 จำนวน 6 นัด ตลอดเดือนกรกฎาคมนี้ ขณะที่ศาลอาญานัดสืบพยานคดีมาตรา 112 จากกรณีที่นายทักษิณให้สัมภาษณ์สื่อเกาหลีใต้ มีเนื้อหาพาดพิงสถาบันพระมหากษัตริย์เมื่อปี 2558 จำนวน 7 นัด ตลอดเดือนกรกฎาคมนี้เช่นกัน ซึ่งท่าทีนายทักษิณขณะนี้ นับตั้งแต่คลิปเสียงลูกสาวกับฮุน เซน ปล่อยให้ลูกสาวเผชิญหน้าอย่างโดดเดี่ยว ถือเป็นช่วงเวลาที่เปราะบางช่วงหนึ่งของตระกูลชินวัตร
#Newskitนับหนึ่งไล่อุ๊งอิ๊ง จุดเปราะบางชินวัตร การชุมนุมของคณะรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตย ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (28 มิ.ย.) ซึ่งมีมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน เครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฎิรูปประเทศไทย (คปท.) กลุ่ม ศปปส. กองทัพธรรม ร่วมกับเครือข่ายภาคประชาชนอีกหลายภาคส่วน มีข้อเรียกร้องหลัก 3 ข้อ ได้แก่ 1. ให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 2. ให้พรรคร่วมรัฐบาลถอนตัว และ 3. ยืนเคียงข้างทหาร ปกป้องแผ่นดินและอธิปไตยของชาติ หลังมีการเผยแพร่คลิปเสียงสนทนาระหว่าง น.ส.แพทองธาร กับ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ในลักษณะขายชาติ ทำลายความมั่นคงของรัฐนอกราชอาณาจักร แม้ว่าพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชนจะโจมตีกลุ่มผู้ชุมนุม กล่าวหาว่าเป็นข้ออ้างไปสู่รัฐประหาร แต่ก็เป็นเพียงการประดิษฐ์วาทกรรมเพื่อปกป้องตัวเอง แม้ผู้นำเหล่าทัพในยุค พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผบ.ทบ. ไม่ได้มีท่าทีแสดงออกอย่างโดดเด่น เมื่อเทียบกับ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ตาม ถึงกระนั้นพรรคประชาชนซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านทำได้แค่เรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภา โดยไม่ได้ใช้วิธียื่นขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรจะเปิดสมัยประชุมในวันที่ 3 ก.ค. ที่จะถึงนี้ จึงเป็นที่เคลือบแคลงสงสัยถึงความสัมพันธ์ระหว่างนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ กับนายทักษิณ ชินวัตร ทิศทางข่าวในวันอังคารที่จะถึงนี้ (1 ก.ค.) ลุ้นศาลรัฐธรรมนูญจะมีมติรับคำร้องกรณีที่สมาชิกวุฒิสภา (สว.) 36 คน ยื่นถอดถอน น.ส.แพทองธาร ออกจากตำแหน่งหรือไม่ กรณีคลิปเสียงกับ ฮุน เซน และจะมีมติให้ น.ส.แพทองธารหยุดปฎิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีหรือไม่ เพราะเคยเกิดขึ้นมาแล้วกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และนายเศรษฐา ทวีสิน แม้ น.ส.แพทองธารจะใช้วิธีให้ตัวเองดำรงตำแหน่งควบ รมว.วัฒนธรรม เข้าประชุมคณะรัฐมนตรีก็ตาม ซึ่งกลุ่ม คปท. จะมีการประชุมเพื่อประเมินว่าจะยกระดับการชุมนุมไปในทิศทางใด โดยมีจุดยืนเดิม คือ นายกรัฐมนตรีลาออก และพรรคร่วมรัฐบาลถอนตัว อีกด้านหนึ่ง ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดไต่สวนแสวงหาข้อเท็จจริง เกี่ยวกับการบังคับโทษจำคุกของนายทักษิณกรณีชั้น 14 จำนวน 6 นัด ตลอดเดือนกรกฎาคมนี้ ขณะที่ศาลอาญานัดสืบพยานคดีมาตรา 112 จากกรณีที่นายทักษิณให้สัมภาษณ์สื่อเกาหลีใต้ มีเนื้อหาพาดพิงสถาบันพระมหากษัตริย์เมื่อปี 2558 จำนวน 7 นัด ตลอดเดือนกรกฎาคมนี้เช่นกัน ซึ่งท่าทีนายทักษิณขณะนี้ นับตั้งแต่คลิปเสียงลูกสาวกับฮุน เซน ปล่อยให้ลูกสาวเผชิญหน้าอย่างโดดเดี่ยว ถือเป็นช่วงเวลาที่เปราะบางช่วงหนึ่งของตระกูลชินวัตร #Newskit - คุยกับ ChatGPT : เมื่อถูก Unfriend เพราะการเมือง ความต่างที่แลกมาด้วยความห่าง
ในยุคที่การเมืองกลายเป็นส่วนหนึ่งของอัตลักษณ์ผู้คน การแสดงความเห็นบนโลกออนไลน์อาจกลายเป็นเหตุให้ใครบางคน “Unfriend” เราไปอย่างเงียบงัน
มันเจ็บไม่น้อย โดยเฉพาะถ้าคนคนนั้นเคยเป็นเพื่อนที่ไว้ใจกันมาก่อน
บางครั้ง เราไม่ได้ตั้งใจจะโจมตีใคร เพียงแค่แสดงความคิดเห็นตามมุมมองของตนเอง ทว่าในสายตาของอีกฝ่าย ความเห็นนั้นอาจสะเทือนถึงคุณค่าที่เขายึดถือ จนเขาต้องปกป้องตัวเองด้วยการตัดความสัมพันธ์
ถูกลบ ไม่ได้แปลว่าเราเลว หรือเขาเลว
แต่มันคือภาพสะท้อนว่าความต่างบางอย่างยังหนักหนาสำหรับคนบางคน
หากคุณรู้สึกค้างคาใจ อาจเลือกส่งข้อความไปอย่างสุภาพว่า “หากความเห็นของเราทำให้ไม่สบายใจ ต้องขอโทษจริงๆ เราไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนั้น และยังเคารพในตัวคุณเสมอ”
แต่หากไม่มีพื้นที่ให้พูดจา สิ่งที่ควรทำคือไม่โทษตัวเอง ไม่ลดค่าความคิดของตน และไม่ฝืนวิ่งตามความสัมพันธ์ที่อีกฝ่ายปิดประตูใส่
สุดท้าย ความเห็นทางการเมืองควรเป็นเรื่องที่พูดคุยกันได้ ไม่ใช่สิ่งที่ทำลายความเป็นมนุษย์ของกันและกัน
แต่หากยังทำไม่ได้ เราแค่ต้องยืนอยู่ในความเป็นตัวเอง — อย่างไม่เกลียดคนที่คิดไม่เหมือน
#Newskitคุยกับ ChatGPT : เมื่อถูก Unfriend เพราะการเมือง ความต่างที่แลกมาด้วยความห่าง ในยุคที่การเมืองกลายเป็นส่วนหนึ่งของอัตลักษณ์ผู้คน การแสดงความเห็นบนโลกออนไลน์อาจกลายเป็นเหตุให้ใครบางคน “Unfriend” เราไปอย่างเงียบงัน มันเจ็บไม่น้อย โดยเฉพาะถ้าคนคนนั้นเคยเป็นเพื่อนที่ไว้ใจกันมาก่อน บางครั้ง เราไม่ได้ตั้งใจจะโจมตีใคร เพียงแค่แสดงความคิดเห็นตามมุมมองของตนเอง ทว่าในสายตาของอีกฝ่าย ความเห็นนั้นอาจสะเทือนถึงคุณค่าที่เขายึดถือ จนเขาต้องปกป้องตัวเองด้วยการตัดความสัมพันธ์ ถูกลบ ไม่ได้แปลว่าเราเลว หรือเขาเลว แต่มันคือภาพสะท้อนว่าความต่างบางอย่างยังหนักหนาสำหรับคนบางคน หากคุณรู้สึกค้างคาใจ อาจเลือกส่งข้อความไปอย่างสุภาพว่า “หากความเห็นของเราทำให้ไม่สบายใจ ต้องขอโทษจริงๆ เราไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนั้น และยังเคารพในตัวคุณเสมอ” แต่หากไม่มีพื้นที่ให้พูดจา สิ่งที่ควรทำคือไม่โทษตัวเอง ไม่ลดค่าความคิดของตน และไม่ฝืนวิ่งตามความสัมพันธ์ที่อีกฝ่ายปิดประตูใส่ สุดท้าย ความเห็นทางการเมืองควรเป็นเรื่องที่พูดคุยกันได้ ไม่ใช่สิ่งที่ทำลายความเป็นมนุษย์ของกันและกัน แต่หากยังทำไม่ได้ เราแค่ต้องยืนอยู่ในความเป็นตัวเอง — อย่างไม่เกลียดคนที่คิดไม่เหมือน #Newskit0 Comments 0 Shares 120 Views 0 Reviews - ถนนเชื่อมวิภาวดี-พหลโยธิน ทางเข้าใหม่สนามบินดอนเมือง
08.00 น. วันอาทิตย์ที่ 29 มิ.ย. กรุงเทพมหานคร จะเปิดใช้โครงการทางหลวงท้องถิ่นสายเชื่อมระหว่างถนนวิภาวดีกับถนนพหลโยธิน เชื่อมระหว่างถนนวิภาวดีรังสิต ไปยังถนนพหลโยธินและถนนเทพรักษ์ ระยะทาง 2.768 กิโลเมตร งบประมาณ 1,551.65 ล้านบาท หลังเริ่มต้นก่อสร้างตั้งแต่ต้นปี 2564 โดยผู้รับเหมาสองบริษัท ได้แก่ บริษัท สระหลวงก่อสร้าง จำกัด และบริษัท พรรณีวรกิจก่อสร้างและขนส่ง จำกัด แต่ล่าช้าจากบ้านเรือนรุกล้ำคลองถนน ท่ามกลางการเติบโตของเมือง หลังเปิดใช้ถนนเทพรักษ์เมื่อวันที่ 23 ธ.ค. 2558 และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต เมื่อปี 2563
จุดเริ่มต้นถนนเชื่อมวิภาวดี-พหลโยธิน อยู่ที่ด้านทิศใต้ของท่าอากาศยานดอนเมือง เลยร้านเจ้เล้งมาเล็กน้อย มีทางเชื่อมไปยังถนนเทวฤทธิ์พันลึก ไปยังอาคารคลังสินค้าท่าอากาศยานดอนเมือง ต่อเนื่องไปยังอาคารผู้โดยสาร จากนั้นจะมีทางแยกต่างระดับ แยกซ้ายไปถนนพหลโยธิน แยกขวาไปถนนเทพรักษ์ ข้ามคลองถนน รถที่มาจากถนนวิภาวดีรังสิตขาออก สามารถใช้จุดกลับรถอาคารคลังสินค้าเพื่อใช้ถนนตัดใหม่ได้ รถที่มาจากถนนพหลโยธินและถนนเทพรักษ์ สามารถใช้ถนนตัดใหม่ เพื่อไปออกถนนวิภาวดีรังสิต รวมทั้งไปยังถนนเทวฤทธิ์พันลึก เพื่อไปท่าอากาศยานดอนเมืองได้
เดิมคนที่จะไปสนามบินดอนเมือง ส่วนใหญ่ใช้ถนนวิภาวดีรังสิตเป็นหลัก ส่วนคนที่อยู่โซนสะพานใหม่ สายไหม ลำลูกกา วัชรพล ต้องอ้อมไปใช้ถนนแจ้งวัฒนะ หรืออนุสรณ์สถานแห่งชาติ ซึ่งหากเป็นรถแท็กซี่จะเสียค่าใช้จ่ายจำนวนมากเพราะต้องอ้อมและไกล ส่วนถนนธูปะเตมีย์ เชื่อมระหว่างถนนพหลโยธิน บริเวณแยก คปอ. กับถนนวิภาวดีรังสิต เนื่องจากเป็นพื้นที่กองทัพอากาศ จึงอนุญาตให้เฉพาะรถยนต์ที่มีสติกเกอร์บัตรผ่านยานพาหนะเข้า-ออก เขตพื้นที่กองทัพอากาศเท่านั้น นอกนั้นเปิดเฉพาะช่วงเช้า 06.00-09.00 น. และช่วงเย็น 15.00-18.00 น. แต่ไม่อนุญาตให้รถโดยสารและรถรับจ้างสาธารณะใช้งาน
ถนนเชื่อมวิภาวดี-พหลโยธิน ออกแบบบริเวณแยกห้างบิ๊กซีสะพานใหม่ ให้เป็นทางแยกที่ไม่มีสัญญาณไฟ เพื่อให้การจราจรลื่นไหลได้สะดวก โดยรถที่มาจากถนนเทพรักษ์สามารถขึ้นสะพานข้ามแยกได้เลย รวมทั้งการก่อสร้างสะพานข้ามไปยังถนนเทวฤทธิ์พันลึก เพื่อเข้าสู่ท่าอากาศยานดอนเมือง ช่วยแบ่งเบาการจราจรบริเวณถนนพหลโยธิน และถนนเทพรักษ์ ให้สามารถออกไปยังถนนวิภาวดีรังสิต และท่าอากาศยานดอนเมืองได้อย่างสะดวกยิ่งขึ้น สำหรับคนที่เดินทางด้วยรถไฟฟ้าบีทีเอส จะไปท่าอากาศยานดอนเมือง สามารถลงที่สถานีสายหยุดแล้วต่อรถแท็กซี่เข้าไปยังถนนสายใหม่ ช่วยประหยัดเวลามากขึ้น
#Newskitถนนเชื่อมวิภาวดี-พหลโยธิน ทางเข้าใหม่สนามบินดอนเมือง 08.00 น. วันอาทิตย์ที่ 29 มิ.ย. กรุงเทพมหานคร จะเปิดใช้โครงการทางหลวงท้องถิ่นสายเชื่อมระหว่างถนนวิภาวดีกับถนนพหลโยธิน เชื่อมระหว่างถนนวิภาวดีรังสิต ไปยังถนนพหลโยธินและถนนเทพรักษ์ ระยะทาง 2.768 กิโลเมตร งบประมาณ 1,551.65 ล้านบาท หลังเริ่มต้นก่อสร้างตั้งแต่ต้นปี 2564 โดยผู้รับเหมาสองบริษัท ได้แก่ บริษัท สระหลวงก่อสร้าง จำกัด และบริษัท พรรณีวรกิจก่อสร้างและขนส่ง จำกัด แต่ล่าช้าจากบ้านเรือนรุกล้ำคลองถนน ท่ามกลางการเติบโตของเมือง หลังเปิดใช้ถนนเทพรักษ์เมื่อวันที่ 23 ธ.ค. 2558 และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต เมื่อปี 2563 จุดเริ่มต้นถนนเชื่อมวิภาวดี-พหลโยธิน อยู่ที่ด้านทิศใต้ของท่าอากาศยานดอนเมือง เลยร้านเจ้เล้งมาเล็กน้อย มีทางเชื่อมไปยังถนนเทวฤทธิ์พันลึก ไปยังอาคารคลังสินค้าท่าอากาศยานดอนเมือง ต่อเนื่องไปยังอาคารผู้โดยสาร จากนั้นจะมีทางแยกต่างระดับ แยกซ้ายไปถนนพหลโยธิน แยกขวาไปถนนเทพรักษ์ ข้ามคลองถนน รถที่มาจากถนนวิภาวดีรังสิตขาออก สามารถใช้จุดกลับรถอาคารคลังสินค้าเพื่อใช้ถนนตัดใหม่ได้ รถที่มาจากถนนพหลโยธินและถนนเทพรักษ์ สามารถใช้ถนนตัดใหม่ เพื่อไปออกถนนวิภาวดีรังสิต รวมทั้งไปยังถนนเทวฤทธิ์พันลึก เพื่อไปท่าอากาศยานดอนเมืองได้ เดิมคนที่จะไปสนามบินดอนเมือง ส่วนใหญ่ใช้ถนนวิภาวดีรังสิตเป็นหลัก ส่วนคนที่อยู่โซนสะพานใหม่ สายไหม ลำลูกกา วัชรพล ต้องอ้อมไปใช้ถนนแจ้งวัฒนะ หรืออนุสรณ์สถานแห่งชาติ ซึ่งหากเป็นรถแท็กซี่จะเสียค่าใช้จ่ายจำนวนมากเพราะต้องอ้อมและไกล ส่วนถนนธูปะเตมีย์ เชื่อมระหว่างถนนพหลโยธิน บริเวณแยก คปอ. กับถนนวิภาวดีรังสิต เนื่องจากเป็นพื้นที่กองทัพอากาศ จึงอนุญาตให้เฉพาะรถยนต์ที่มีสติกเกอร์บัตรผ่านยานพาหนะเข้า-ออก เขตพื้นที่กองทัพอากาศเท่านั้น นอกนั้นเปิดเฉพาะช่วงเช้า 06.00-09.00 น. และช่วงเย็น 15.00-18.00 น. แต่ไม่อนุญาตให้รถโดยสารและรถรับจ้างสาธารณะใช้งาน ถนนเชื่อมวิภาวดี-พหลโยธิน ออกแบบบริเวณแยกห้างบิ๊กซีสะพานใหม่ ให้เป็นทางแยกที่ไม่มีสัญญาณไฟ เพื่อให้การจราจรลื่นไหลได้สะดวก โดยรถที่มาจากถนนเทพรักษ์สามารถขึ้นสะพานข้ามแยกได้เลย รวมทั้งการก่อสร้างสะพานข้ามไปยังถนนเทวฤทธิ์พันลึก เพื่อเข้าสู่ท่าอากาศยานดอนเมือง ช่วยแบ่งเบาการจราจรบริเวณถนนพหลโยธิน และถนนเทพรักษ์ ให้สามารถออกไปยังถนนวิภาวดีรังสิต และท่าอากาศยานดอนเมืองได้อย่างสะดวกยิ่งขึ้น สำหรับคนที่เดินทางด้วยรถไฟฟ้าบีทีเอส จะไปท่าอากาศยานดอนเมือง สามารถลงที่สถานีสายหยุดแล้วต่อรถแท็กซี่เข้าไปยังถนนสายใหม่ ช่วยประหยัดเวลามากขึ้น #Newskit - สงครามข่าวสาร ฮุน เซนขยี้ไทย
นับตั้งแต่ที่ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา โยนคลิปเสียงใส่นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร จากประเทศไทย ทำให้คนไทยทั้งประเทศเดือดดาล ประนามด้วยข้อกล่าวหา "ขายชาติ" แม้เจ้าตัวจะมั่นหน้ามั่นใจ ท่องคาถา "ดิฉันไม่ได้อะไร ไม่ได้ทำให้ประเทศเสียอะไร" พยายามลงพื้นที่ชายแดนอรัญประเทศ จ.สระแก้ว ให้กำลังใจทหารไทย ก็มีทั้งคนรักคนชัง ชูป้าย "นายกขายชาติ" "นายกเนรคุณ" และ "นายกไทยใจเขมร" สอดรับกับการชุมนุมรวมพลังแผ่นดิน ปกป้องอธิปไตย ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
ขณะที่สงครามข่าวสารผ่านเฟซบุ๊ก ทั้ง ฮุน เซน และ ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา หลังประสบความสำเร็จในการตีนายกฯ แพทองธาร ทำรัฐนาวาแตกฉานซ่านเซ็น บ้างหนีตาย บ้างโดดเกาะราวกับเห็บหมัด เพราะเป็นฝ่ายค้านแล้วอดอยากปากแห้ง ฮุน เซน ยังขยี้ด้วยการแฉหลักฐานความสัมพันธ์กับ ทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นบิดาแพทองธาร เปิดห้องนอนอดีตสองผู้นำ "ห้องทักษิณ" และ "ห้องยิ่งลักษณ์" ตอกย้ำความสัมพันธ์แนบแน่นในอดีต
ต่อมาคาดการณ์ว่า จะมีการเปลี่ยนแปลงนายกรัฐมนตรีในไทยอีก 3 เดือน แต่จากสถานการณ์แล้ว อาจจะเร็วกว่านั้นก็ได้ ซึ่งนายกรัฐมนตรีคนก่อนหน้า (พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา) ได้รับการสนับสนุนจากกองทัพและเป็นผู้นำประเทศไทยมาเกือบสิบปีไม่เคยมีปัญหากับกัมพูชาเลย
สอดรับกับนายกรัฐมนตรี ฮุน มาเนต กล่าวว่า กำลังรอบุคคลในไทยที่มีอำนาจแท้จริง มีจุดยืนที่ชัดเจนและสม่ำเสมอ เกี่ยวกับชายแดนไทย-กัมพูชา หลังนายกฯ แพทองธารประกาศปิดพรมแดนกับกัมพูชาเต็มรูปแบบ อ้างว่าเป็นศูนย์กลางอาชญากรรมออนไลน์ แต่ไม่ชัดเจนและไม่สอดคล้องกัน สังเกตว่าบางครั้งด่านพรมแดนถูกปิดสนิท แต่จะเปิดอีกครั้งในบางพื้นที่เท่านั้น ยืนยันว่ากัมพูชาไม่ได้เล่นเกมลับแบบนั้น หากลงมือทำก็จะรับผิดชอบ ซึ่งรัฐบาลได้แสดงจุดยืนชัดเจนแล้ว หากประเทศไทยปิดพรมแดน กัมพูชาจะปิดอย่างไม่มีกำหนด จนกว่าไทยจะเปิดพรมแดนอย่างเป็นทางการอีกครั้ง
ล่าสุด ฮุน เซน ประกาศว่า ทักษิณทรยศต่อเขา จะเปิดเผยการกระทำทรยศต่อกัมพูชา รวมถึงละเมิดพระมหากษัตริย์ไทย ในตอนหนึ่งระบุว่า อยากให้คนอื่นทรยศผมก่อนดีกว่า ผมไม่ทรยศคนอื่นก่อน ตอนนี้ผมถูกทรยศ ผมรู้สึกว่าผมต้องเปิดเผยสิ่งที่ครอบครัวทักษิณทำเพื่อทรยศต่อประเทศชาติ นี่คือคำเตือน ควรสอนลูกๆ และพวกเขาควรเข้าใจพ่อและคนอื่น ตนไม่เคยคิดว่าครอบครัวที่เคยช่วยจะก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีและก่อให้เกิดปัญหาเช่นนี้ ถ้าทักษิณทำตัวเย่อหยิ่ง จะเปิดเผยทุกอย่างที่เคยบอก รวมทั้งการดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ไทยด้วย อย่าเข้าใจผิดว่าเป็นคนที่ขัดใจได้ ตนไม่ได้เป็นหนี้ประเทศไทย
#Newskitสงครามข่าวสาร ฮุน เซนขยี้ไทย นับตั้งแต่ที่ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา โยนคลิปเสียงใส่นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร จากประเทศไทย ทำให้คนไทยทั้งประเทศเดือดดาล ประนามด้วยข้อกล่าวหา "ขายชาติ" แม้เจ้าตัวจะมั่นหน้ามั่นใจ ท่องคาถา "ดิฉันไม่ได้อะไร ไม่ได้ทำให้ประเทศเสียอะไร" พยายามลงพื้นที่ชายแดนอรัญประเทศ จ.สระแก้ว ให้กำลังใจทหารไทย ก็มีทั้งคนรักคนชัง ชูป้าย "นายกขายชาติ" "นายกเนรคุณ" และ "นายกไทยใจเขมร" สอดรับกับการชุมนุมรวมพลังแผ่นดิน ปกป้องอธิปไตย ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ขณะที่สงครามข่าวสารผ่านเฟซบุ๊ก ทั้ง ฮุน เซน และ ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา หลังประสบความสำเร็จในการตีนายกฯ แพทองธาร ทำรัฐนาวาแตกฉานซ่านเซ็น บ้างหนีตาย บ้างโดดเกาะราวกับเห็บหมัด เพราะเป็นฝ่ายค้านแล้วอดอยากปากแห้ง ฮุน เซน ยังขยี้ด้วยการแฉหลักฐานความสัมพันธ์กับ ทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นบิดาแพทองธาร เปิดห้องนอนอดีตสองผู้นำ "ห้องทักษิณ" และ "ห้องยิ่งลักษณ์" ตอกย้ำความสัมพันธ์แนบแน่นในอดีต ต่อมาคาดการณ์ว่า จะมีการเปลี่ยนแปลงนายกรัฐมนตรีในไทยอีก 3 เดือน แต่จากสถานการณ์แล้ว อาจจะเร็วกว่านั้นก็ได้ ซึ่งนายกรัฐมนตรีคนก่อนหน้า (พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา) ได้รับการสนับสนุนจากกองทัพและเป็นผู้นำประเทศไทยมาเกือบสิบปีไม่เคยมีปัญหากับกัมพูชาเลย สอดรับกับนายกรัฐมนตรี ฮุน มาเนต กล่าวว่า กำลังรอบุคคลในไทยที่มีอำนาจแท้จริง มีจุดยืนที่ชัดเจนและสม่ำเสมอ เกี่ยวกับชายแดนไทย-กัมพูชา หลังนายกฯ แพทองธารประกาศปิดพรมแดนกับกัมพูชาเต็มรูปแบบ อ้างว่าเป็นศูนย์กลางอาชญากรรมออนไลน์ แต่ไม่ชัดเจนและไม่สอดคล้องกัน สังเกตว่าบางครั้งด่านพรมแดนถูกปิดสนิท แต่จะเปิดอีกครั้งในบางพื้นที่เท่านั้น ยืนยันว่ากัมพูชาไม่ได้เล่นเกมลับแบบนั้น หากลงมือทำก็จะรับผิดชอบ ซึ่งรัฐบาลได้แสดงจุดยืนชัดเจนแล้ว หากประเทศไทยปิดพรมแดน กัมพูชาจะปิดอย่างไม่มีกำหนด จนกว่าไทยจะเปิดพรมแดนอย่างเป็นทางการอีกครั้ง ล่าสุด ฮุน เซน ประกาศว่า ทักษิณทรยศต่อเขา จะเปิดเผยการกระทำทรยศต่อกัมพูชา รวมถึงละเมิดพระมหากษัตริย์ไทย ในตอนหนึ่งระบุว่า อยากให้คนอื่นทรยศผมก่อนดีกว่า ผมไม่ทรยศคนอื่นก่อน ตอนนี้ผมถูกทรยศ ผมรู้สึกว่าผมต้องเปิดเผยสิ่งที่ครอบครัวทักษิณทำเพื่อทรยศต่อประเทศชาติ นี่คือคำเตือน ควรสอนลูกๆ และพวกเขาควรเข้าใจพ่อและคนอื่น ตนไม่เคยคิดว่าครอบครัวที่เคยช่วยจะก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีและก่อให้เกิดปัญหาเช่นนี้ ถ้าทักษิณทำตัวเย่อหยิ่ง จะเปิดเผยทุกอย่างที่เคยบอก รวมทั้งการดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ไทยด้วย อย่าเข้าใจผิดว่าเป็นคนที่ขัดใจได้ ตนไม่ได้เป็นหนี้ประเทศไทย #Newskit - RWMF2025 เทศกาลดนตรีเรือธงรัฐซาราวัก
เทศกาลดนตรี The Rainforest World Music Festival 2025 ที่หมู่บ้านวัฒนธรรมซาราวัก เมืองกูชิง รัฐซาราวัก ประเทศมาเลเซีย ถือเป็นหนึ่งในเทศกาลเรือธงของซาราวัก (Sarawak) รัฐที่ใหญ่ที่สุดในมาเลเซีย ที่เป็นกิจกรรมการท่องเที่ยวหลักของรัฐ โดยในช่วงกลางวัน จะมีการจัดแสดงทางวัฒนธรรมและงานฝีมือ การจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม ส่วนในตอนค่ำจะมีการแสดงบนเวทีหลัก ท่ามกลางบรรยากาศของป่าในฤดูฝน และฉากหลังเขาซานตูบง งานนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 28 นับตั้งแต่การจัดงานครั้งแรกในปี 1998 โดยในปีนี้มีศิลปินจาก 20 ประเทศ 20 วงดนตรี และนักดนตรีกว่า 200 คน
RWMF 2025 ในปีนี้คว้าศิลปินระดับตำนาน Earth, Wind & Fire Experience by Al McKay จากสหรัฐอเมริกา นำโดย อัล แมคเคย์ มือกีตาร์เจ้าของรางวัลแกรมมี่อวอร์ด เจ้าของเพลง September และ Let's groove พร้อมด้วยวง GAGA GUNDUL จากฝรั่งเศสและอินโดนีเซีย SEFFARINE จากโมรอกโก คิวบา สเปน สหรัฐอเมริกาและอิหร่าน OTYKEN จากไซบีเรียและรัสเซีย SEPPUKU PISTOLS จากญี่ปุ่น KULAIWI จากฮาวาย ROB RUHA จากเอาเตียรัว นิวซีแลนด์ MANHU จากจีน TAL FRY จากอินเดีย LA CHIVA GANTIVA จากโคลัมเบียและเบลเยียม และ N'FAMADY KOUYATE จากกินีและอังกฤษ
ส่วนในอาเซียน มีทั้งพาราไดซ์ แบงคอก หมอลำ อินเตอร์เนชันแนล จากไทย และ KUNTAW MINDANAO จากฟิลิปปินส์ สลับกับวงดนตรีจากมาเลเซียและซาราวัก อาทิ MATHEW NGAU JAU with LAN E TUYANG, NAUNGAN, MERUKED, BUDDHA BEAT ft. SINARAN COLLECTIVE, KANCET AJAJ WARRIOR DANCE, BULOH BERKOCAK, AT ADAU โดยจำหน่ายบัตรเหมา 3 วันในราคา 635 ริงกิต (4,900 บาท) และบัตร 1 วัน ขายล่วงหน้าราคา 235-285 ริงกิต (1,813-2,200 บาท) และขายหน้างานราคา 333 ริงกิต (2,570 บาท) โดยมีรถรับส่งฟรีสำหรับผู้ซื้อบัตร จากตัวเมืองกูชิงถึงบริเวณหาดดาไม และมีผู้ประกอบการท่องเที่ยวออกแพ็คเกจทัวร์ร่วมกับงาน RWMF 2025 แบบ 3 วัน 2 คืน หรือ 4 วัน 3 คืนพร้อมกิจกรรมอื่นๆ
สำหรับซาราวักเป็นประตูสู่เกาะบอร์เนียว เชื่อมโยงกับมาเลเซียทางอากาศ โดยท่าอากาศยานกูชิง (KCH) มีเที่ยวบินไปยังท่าอากาศยานกัวลาลัมเปอร์ (KUL) กว่า 140 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ ในปี 2568 รัฐซาราวักมีกิจกรรมตามปฎิทินท่องเที่ยวราว 250 กิจกรรม มีเป้าหมายดึงดูดนักท่องเที่ยวให้ได้ 5 ล้านคน จากปีที่แล้ว 4.8 ล้านคน ส่วนใหญ่จากประเทศบรูไน ประมาณเดือนละ 150,000 คน ขณะที่ชาวอินโดนีเซียก็สนใจอย่างมากเช่นกัน นอกจากนี้ ยังมีงาน Sarawak Regatta การแข่งขันพายเรือประจำปีบนแม่น้ำซาราวักในช่วงปลายปีอีกด้วย
#NewskitRWMF2025 เทศกาลดนตรีเรือธงรัฐซาราวัก เทศกาลดนตรี The Rainforest World Music Festival 2025 ที่หมู่บ้านวัฒนธรรมซาราวัก เมืองกูชิง รัฐซาราวัก ประเทศมาเลเซีย ถือเป็นหนึ่งในเทศกาลเรือธงของซาราวัก (Sarawak) รัฐที่ใหญ่ที่สุดในมาเลเซีย ที่เป็นกิจกรรมการท่องเที่ยวหลักของรัฐ โดยในช่วงกลางวัน จะมีการจัดแสดงทางวัฒนธรรมและงานฝีมือ การจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม ส่วนในตอนค่ำจะมีการแสดงบนเวทีหลัก ท่ามกลางบรรยากาศของป่าในฤดูฝน และฉากหลังเขาซานตูบง งานนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 28 นับตั้งแต่การจัดงานครั้งแรกในปี 1998 โดยในปีนี้มีศิลปินจาก 20 ประเทศ 20 วงดนตรี และนักดนตรีกว่า 200 คน RWMF 2025 ในปีนี้คว้าศิลปินระดับตำนาน Earth, Wind & Fire Experience by Al McKay จากสหรัฐอเมริกา นำโดย อัล แมคเคย์ มือกีตาร์เจ้าของรางวัลแกรมมี่อวอร์ด เจ้าของเพลง September และ Let's groove พร้อมด้วยวง GAGA GUNDUL จากฝรั่งเศสและอินโดนีเซีย SEFFARINE จากโมรอกโก คิวบา สเปน สหรัฐอเมริกาและอิหร่าน OTYKEN จากไซบีเรียและรัสเซีย SEPPUKU PISTOLS จากญี่ปุ่น KULAIWI จากฮาวาย ROB RUHA จากเอาเตียรัว นิวซีแลนด์ MANHU จากจีน TAL FRY จากอินเดีย LA CHIVA GANTIVA จากโคลัมเบียและเบลเยียม และ N'FAMADY KOUYATE จากกินีและอังกฤษ ส่วนในอาเซียน มีทั้งพาราไดซ์ แบงคอก หมอลำ อินเตอร์เนชันแนล จากไทย และ KUNTAW MINDANAO จากฟิลิปปินส์ สลับกับวงดนตรีจากมาเลเซียและซาราวัก อาทิ MATHEW NGAU JAU with LAN E TUYANG, NAUNGAN, MERUKED, BUDDHA BEAT ft. SINARAN COLLECTIVE, KANCET AJAJ WARRIOR DANCE, BULOH BERKOCAK, AT ADAU โดยจำหน่ายบัตรเหมา 3 วันในราคา 635 ริงกิต (4,900 บาท) และบัตร 1 วัน ขายล่วงหน้าราคา 235-285 ริงกิต (1,813-2,200 บาท) และขายหน้างานราคา 333 ริงกิต (2,570 บาท) โดยมีรถรับส่งฟรีสำหรับผู้ซื้อบัตร จากตัวเมืองกูชิงถึงบริเวณหาดดาไม และมีผู้ประกอบการท่องเที่ยวออกแพ็คเกจทัวร์ร่วมกับงาน RWMF 2025 แบบ 3 วัน 2 คืน หรือ 4 วัน 3 คืนพร้อมกิจกรรมอื่นๆ สำหรับซาราวักเป็นประตูสู่เกาะบอร์เนียว เชื่อมโยงกับมาเลเซียทางอากาศ โดยท่าอากาศยานกูชิง (KCH) มีเที่ยวบินไปยังท่าอากาศยานกัวลาลัมเปอร์ (KUL) กว่า 140 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ ในปี 2568 รัฐซาราวักมีกิจกรรมตามปฎิทินท่องเที่ยวราว 250 กิจกรรม มีเป้าหมายดึงดูดนักท่องเที่ยวให้ได้ 5 ล้านคน จากปีที่แล้ว 4.8 ล้านคน ส่วนใหญ่จากประเทศบรูไน ประมาณเดือนละ 150,000 คน ขณะที่ชาวอินโดนีเซียก็สนใจอย่างมากเช่นกัน นอกจากนี้ ยังมีงาน Sarawak Regatta การแข่งขันพายเรือประจำปีบนแม่น้ำซาราวักในช่วงปลายปีอีกด้วย #Newskit - 28มิถุนามาแน่ อุ๊งอิ๊งค์ต้องลาออก
สถานการณ์การเมืองไทยร้อนแรงขึ้นทุกนาที นับตั้งแต่การแฉ "คลิปเสียงอังเคิล" ระหว่าง แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ทำนองว่าอยากให้สงบสุข ไม่อยากฟังคนที่เป็นฝั่งตรงข้ามเรา ซึ่งหมายถึงกองทัพไทย ไปกล่าวหาว่าแม่ทัพภาคที่ 2 อยากจะดูเท่ พูดอะไรออกมาที่มันไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ พร้อมกับให้ฮุน เซน เห็นใจหลานหน่อย เพราะคนไทยไล่ไปเป็นนายกฯ ที่เขมรหมดแล้ว และ "อังเคิลอยากได้อะไรก็บอกมา เดี๋ยวจะจัดการให้"
แม้แพทองธารจะอ้างตอนแรกว่าเป็นเทคนิคการเจรจา ครั้งที่สองขอโทษที่ทำให้ไม่สบายใจ และครั้งล่าสุดอ้างว่า "ดิฉันไม่ได้อะไร ไม่ได้ทำให้ประเทศเสียอะไร" แต่คลิปเสียงความยาว 17 นาที สำทับด้วยภาพห้องนอน "ห้องทักษิณ" และ "ห้องยิ่งลักษณ์" ในคฤหาสน์ยักษ์ของฮุนเซน ย่อมทำให้คนไทยอีกส่วนหนึ่งรับไม่ได้ มองว่าแพทองธารและตระกูลชินวัตรกำลังขายชาติ จากกรณีความขัดแย้งเรื่องดินแดนไทย-กัมพูชา ที่ฝ่ายกัมพูชากำลังนำเรื่องเข้าสู่ศาลโลก ส่อประเทศไทยเสียดินแดนอีกครั้ง
การรวมตัวของฝ่ายที่ไม่เอารัฐบาลแพทองธารและตระกูลชินวัตร ในปี 2568 กลับมาในชื่อของ "กลุ่มรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตยไทย" จากจุดเริ่มต้นที่เครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฎิรูปประเทศไทย (คปท.) ศปปส. และกองทัพธรรมปักหลักชุมนุมก่อนหน้านี้ แต่กระแสเรื่องดินแดนทำให้คนที่มีจุดยืนเดียวกันรวมตัวกัน โดยนัดชุมนุมในวันที่ 28 มิ.ย. เวลา 16.00-21.00 น. ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ยืนยันข้อเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีต้องลาออก และพรรคร่วมรัฐบาลถอนตัว พร้อมกันนี้ ยังขอประชาชนติดแฮชแทก #28มิถุนามาแน่ ในโซเชียลมีเดียทุกแพลตฟอร์ม ติดธงชาติไทย สติกเกอร์ธงชาติไทยที่บ้านหรือยานพาหนะอีกด้วย
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน เปิดเผยว่า การจัดกิจกรรมทั้งหมดไม่มีนายทุนหนุนหลัง แต่ใช้บัญชีมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินเปิดรับบริจาคทำกิจกรรม โดยมีผู้สนับสนุนกว่า 10,000 ราย ร่วมบริจาคแล้ว 10 ล้านบาท หากจบกิจกรรมแล้วเงินที่เหลือจะบริจาคให้กองทัพภาคที่ 2 สนับสนุนภารกิจทหารทั้งหมด ยืนยันว่าวัตถุประสงค์เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี และพรรคร่วมรัฐบาลลาออก โดยไม่แตกประเด็น และการจัดชุมนุมใหญ่ครั้งนี้ไม่มีนายทุนหรือพรรคการเมืองใดหนุนหลัง
ส่วน จตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน กล่าวว่า มีคนสั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดว่า จังหวัดใดปล่อยให้ประชาชนเดินทางมาชุมนุมจะมีการคาดโทษ เตือนว่าควรเคารพสิทธิเสรีตามรัฐธรรมนูญ การชุมนุมอย่างสงบ ปราศจากอาวุธ และวาระที่สำคัญครั้งนี้เป็นวาระของบ้านเมืองเป็นหลัก
#Newskit28มิถุนามาแน่ อุ๊งอิ๊งค์ต้องลาออก สถานการณ์การเมืองไทยร้อนแรงขึ้นทุกนาที นับตั้งแต่การแฉ "คลิปเสียงอังเคิล" ระหว่าง แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ทำนองว่าอยากให้สงบสุข ไม่อยากฟังคนที่เป็นฝั่งตรงข้ามเรา ซึ่งหมายถึงกองทัพไทย ไปกล่าวหาว่าแม่ทัพภาคที่ 2 อยากจะดูเท่ พูดอะไรออกมาที่มันไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ พร้อมกับให้ฮุน เซน เห็นใจหลานหน่อย เพราะคนไทยไล่ไปเป็นนายกฯ ที่เขมรหมดแล้ว และ "อังเคิลอยากได้อะไรก็บอกมา เดี๋ยวจะจัดการให้" แม้แพทองธารจะอ้างตอนแรกว่าเป็นเทคนิคการเจรจา ครั้งที่สองขอโทษที่ทำให้ไม่สบายใจ และครั้งล่าสุดอ้างว่า "ดิฉันไม่ได้อะไร ไม่ได้ทำให้ประเทศเสียอะไร" แต่คลิปเสียงความยาว 17 นาที สำทับด้วยภาพห้องนอน "ห้องทักษิณ" และ "ห้องยิ่งลักษณ์" ในคฤหาสน์ยักษ์ของฮุนเซน ย่อมทำให้คนไทยอีกส่วนหนึ่งรับไม่ได้ มองว่าแพทองธารและตระกูลชินวัตรกำลังขายชาติ จากกรณีความขัดแย้งเรื่องดินแดนไทย-กัมพูชา ที่ฝ่ายกัมพูชากำลังนำเรื่องเข้าสู่ศาลโลก ส่อประเทศไทยเสียดินแดนอีกครั้ง การรวมตัวของฝ่ายที่ไม่เอารัฐบาลแพทองธารและตระกูลชินวัตร ในปี 2568 กลับมาในชื่อของ "กลุ่มรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตยไทย" จากจุดเริ่มต้นที่เครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฎิรูปประเทศไทย (คปท.) ศปปส. และกองทัพธรรมปักหลักชุมนุมก่อนหน้านี้ แต่กระแสเรื่องดินแดนทำให้คนที่มีจุดยืนเดียวกันรวมตัวกัน โดยนัดชุมนุมในวันที่ 28 มิ.ย. เวลา 16.00-21.00 น. ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ยืนยันข้อเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีต้องลาออก และพรรคร่วมรัฐบาลถอนตัว พร้อมกันนี้ ยังขอประชาชนติดแฮชแทก #28มิถุนามาแน่ ในโซเชียลมีเดียทุกแพลตฟอร์ม ติดธงชาติไทย สติกเกอร์ธงชาติไทยที่บ้านหรือยานพาหนะอีกด้วย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน เปิดเผยว่า การจัดกิจกรรมทั้งหมดไม่มีนายทุนหนุนหลัง แต่ใช้บัญชีมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินเปิดรับบริจาคทำกิจกรรม โดยมีผู้สนับสนุนกว่า 10,000 ราย ร่วมบริจาคแล้ว 10 ล้านบาท หากจบกิจกรรมแล้วเงินที่เหลือจะบริจาคให้กองทัพภาคที่ 2 สนับสนุนภารกิจทหารทั้งหมด ยืนยันว่าวัตถุประสงค์เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี และพรรคร่วมรัฐบาลลาออก โดยไม่แตกประเด็น และการจัดชุมนุมใหญ่ครั้งนี้ไม่มีนายทุนหรือพรรคการเมืองใดหนุนหลัง ส่วน จตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน กล่าวว่า มีคนสั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดว่า จังหวัดใดปล่อยให้ประชาชนเดินทางมาชุมนุมจะมีการคาดโทษ เตือนว่าควรเคารพสิทธิเสรีตามรัฐธรรมนูญ การชุมนุมอย่างสงบ ปราศจากอาวุธ และวาระที่สำคัญครั้งนี้เป็นวาระของบ้านเมืองเป็นหลัก #Newskit - #28มิถุนามาแน่ อุ๊งอิ๊งค์ต้องลาออก
สถานการณ์การเมืองไทยร้อนแรงขึ้นทุกนาที นับตั้งแต่การแฉ "คลิปเสียงอังเคิล" ระหว่าง แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ทำนองว่าอยากให้สงบสุข ไม่อยากฟังคนที่เป็นฝั่งตรงข้ามเรา ซึ่งหมายถึงกองทัพไทย ไปกล่าวหาว่าแม่ทัพภาคที่ 2 อยากจะดูเท่ พูดอะไรออกมาที่มันไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ พร้อมกับให้ฮุน เซน เห็นใจหลานหน่อย เพราะคนไทยไล่ไปเป็นนายกฯ ที่เขมรหมดแล้ว และ "อังเคิลอยากได้อะไรก็บอกมา เดี๋ยวจะจัดการให้"
แม้แพทองธารจะอ้างตอนแรกว่าเป็นเทคนิคการเจรจา ครั้งที่สองขอโทษที่ทำให้ไม่สบายใจ และครั้งล่าสุดอ้างว่า "ดิฉันไม่ได้อะไร ไม่ได้ทำให้ประเทศเสียอะไร" แต่คลิปเสียงความยาว 17 นาที สำทับด้วยภาพห้องนอน "ห้องทักษิณ" และ "ห้องยิ่งลักษณ์" ในคฤหาสน์ยักษ์ของฮุนเซน ย่อมทำให้คนไทยอีกส่วนหนึ่งรับไม่ได้ มองว่าแพทองธารและตระกูลชินวัตรกำลังขายชาติ จากกรณีความขัดแย้งเรื่องดินแดนไทย-กัมพูชา ที่ฝ่ายกัมพูชากำลังนำเรื่องเข้าสู่ศาลโลก ส่อประเทศไทยเสียดินแดนอีกครั้ง
การรวมตัวของฝ่ายที่ไม่เอารัฐบาลแพทองธารและตระกูลชินวัตร ในปี 2568 กลับมาในชื่อของ "กลุ่มรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตยไทย" จากจุดเริ่มต้นที่เครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฎิรูปประเทศไทย (คปท.) ศปปส. และกองทัพธรรมปักหลักชุมนุมก่อนหน้านี้ แต่กระแสเรื่องดินแดนทำให้คนที่มีจุดยืนเดียวกันรวมตัวกัน โดยนัดชุมนุมในวันที่ 28 มิ.ย. เวลา 16.00-21.00 น. ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ยืนยันข้อเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีต้องลาออก และพรรคร่วมรัฐบาลถอนตัว พร้อมกันนี้ ยังขอประชาชนติดแฮชแทก #28มิถุนามาแน่ ในโซเชียลมีเดียทุกแพลตฟอร์ม ติดธงชาติไทย สติกเกอร์ธงชาติไทยที่บ้านหรือยานพาหนะอีกด้วย
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน เปิดเผยว่า การจัดกิจกรรมทั้งหมดไม่มีนายทุนหนุนหลัง แต่ใช้บัญชีมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินเปิดรับบริจาคทำกิจกรรม โดยมีผู้สนับสนุนกว่า 10,000 ราย ร่วมบริจาคแล้ว 10 ล้านบาท หากจบกิจกรรมแล้วเงินที่เหลือจะบริจาคให้กองทัพภาคที่ 2 สนับสนุนภารกิจทหารทั้งหมด ยืนยันว่าวัตถุประสงค์เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี และพรรคร่วมรัฐบาลลาออก โดยไม่แตกประเด็น และการจัดชุมนุมใหญ่ครั้งนี้ไม่มีนายทุนหรือพรรคการเมืองใดหนุนหลัง
ส่วน จตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน กล่าวว่า มีคนสั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดว่า จังหวัดใดปล่อยให้ประชาชนเดินทางมาชุมนุมจะมีการคาดโทษ เตือนว่าควรเคารพสิทธิเสรีตามรัฐธรรมนูญ การชุมนุมอย่างสงบ ปราศจากอาวุธ และวาระที่สำคัญครั้งนี้เป็นวาระของบ้านเมืองเป็นหลัก
#Newskit#28มิถุนามาแน่ อุ๊งอิ๊งค์ต้องลาออก สถานการณ์การเมืองไทยร้อนแรงขึ้นทุกนาที นับตั้งแต่การแฉ "คลิปเสียงอังเคิล" ระหว่าง แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ทำนองว่าอยากให้สงบสุข ไม่อยากฟังคนที่เป็นฝั่งตรงข้ามเรา ซึ่งหมายถึงกองทัพไทย ไปกล่าวหาว่าแม่ทัพภาคที่ 2 อยากจะดูเท่ พูดอะไรออกมาที่มันไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ พร้อมกับให้ฮุน เซน เห็นใจหลานหน่อย เพราะคนไทยไล่ไปเป็นนายกฯ ที่เขมรหมดแล้ว และ "อังเคิลอยากได้อะไรก็บอกมา เดี๋ยวจะจัดการให้" แม้แพทองธารจะอ้างตอนแรกว่าเป็นเทคนิคการเจรจา ครั้งที่สองขอโทษที่ทำให้ไม่สบายใจ และครั้งล่าสุดอ้างว่า "ดิฉันไม่ได้อะไร ไม่ได้ทำให้ประเทศเสียอะไร" แต่คลิปเสียงความยาว 17 นาที สำทับด้วยภาพห้องนอน "ห้องทักษิณ" และ "ห้องยิ่งลักษณ์" ในคฤหาสน์ยักษ์ของฮุนเซน ย่อมทำให้คนไทยอีกส่วนหนึ่งรับไม่ได้ มองว่าแพทองธารและตระกูลชินวัตรกำลังขายชาติ จากกรณีความขัดแย้งเรื่องดินแดนไทย-กัมพูชา ที่ฝ่ายกัมพูชากำลังนำเรื่องเข้าสู่ศาลโลก ส่อประเทศไทยเสียดินแดนอีกครั้ง การรวมตัวของฝ่ายที่ไม่เอารัฐบาลแพทองธารและตระกูลชินวัตร ในปี 2568 กลับมาในชื่อของ "กลุ่มรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตยไทย" จากจุดเริ่มต้นที่เครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฎิรูปประเทศไทย (คปท.) ศปปส. และกองทัพธรรมปักหลักชุมนุมก่อนหน้านี้ แต่กระแสเรื่องดินแดนทำให้คนที่มีจุดยืนเดียวกันรวมตัวกัน โดยนัดชุมนุมในวันที่ 28 มิ.ย. เวลา 16.00-21.00 น. ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ยืนยันข้อเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีต้องลาออก และพรรคร่วมรัฐบาลถอนตัว พร้อมกันนี้ ยังขอประชาชนติดแฮชแทก #28มิถุนามาแน่ ในโซเชียลมีเดียทุกแพลตฟอร์ม ติดธงชาติไทย สติกเกอร์ธงชาติไทยที่บ้านหรือยานพาหนะอีกด้วย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน เปิดเผยว่า การจัดกิจกรรมทั้งหมดไม่มีนายทุนหนุนหลัง แต่ใช้บัญชีมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินเปิดรับบริจาคทำกิจกรรม โดยมีผู้สนับสนุนกว่า 10,000 ราย ร่วมบริจาคแล้ว 10 ล้านบาท หากจบกิจกรรมแล้วเงินที่เหลือจะบริจาคให้กองทัพภาคที่ 2 สนับสนุนภารกิจทหารทั้งหมด ยืนยันว่าวัตถุประสงค์เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี และพรรคร่วมรัฐบาลลาออก โดยไม่แตกประเด็น และการจัดชุมนุมใหญ่ครั้งนี้ไม่มีนายทุนหรือพรรคการเมืองใดหนุนหลัง ส่วน จตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน กล่าวว่า มีคนสั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดว่า จังหวัดใดปล่อยให้ประชาชนเดินทางมาชุมนุมจะมีการคาดโทษ เตือนว่าควรเคารพสิทธิเสรีตามรัฐธรรมนูญ การชุมนุมอย่างสงบ ปราศจากอาวุธ และวาระที่สำคัญครั้งนี้เป็นวาระของบ้านเมืองเป็นหลัก #Newskit - ศก.ทก. ไหวไหมทีมไทยแลนด์
เมื่อนายกฯ ฟันน้ำนม แพทองธาร ชินวัตร ถูกสังคมก่นด่าที่ไทยเสียท่ากัมพูชาต่อปัญหาชายแดนหลายครั้ง แบบไม่ทันเกมไม่ทันใจ มีอะไรเคลือบแคลงสงสัย ที่สุดแล้วจึงตัดสินใจใช้บริการน้องรักลุงตู่ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม สร้าง "ทีมไทยแลนด์" มอนิเตอร์ข่าวสารทั้งหมดและดำเนินการต่างๆ เพื่อย้ำว่ารัฐบาลกับกองทัพไม่มีปัญหากัน ขอให้ทุกคนช่วยกันสนับสนุนกองทัพและรัฐบาลให้เป็นหนึ่งเดียวกัน ด้านหนึ่งหวังให้คนกลุ่มหนึ่งคลายความหวาดระแวง ที่ตระกูลชินวัตรมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับตระกูลฮุนของกัมพูชา อีกด้านหนึ่งก็สะท้อนว่า แพทองธารทำงานไม่เป็น ฮุน เซนเย้ยหยันว่าคุมกองทัพไม่ได้
ในที่สุดทีมไทยแลนด์ของบิ๊กเล็กจึงได้ชื่ออย่างเป็นทางการว่า ศูนย์เฉพาะกิจสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา (ศก.ทก) ประชุมทุกวันจันทร์ถึงศุกร์ตอนเช้า ยกเว้นวันประชุม ครม. จะประชุมตอนบ่าย แล้วแถลงข่าวถ่ายทอดสดทางช่องเอ็นบีที เหมือนสมัยรัฐบาลลุงตู่รายงานสถานการณ์โควิด-19 เปี๊ยบ เพียงแต่วันเสาร์-อาทิตย์ไม่มีประชุม ถ้ามีอะไรให้ทุกคนสแตนบายคุยผ่านออนไลน์แทน ส่วนกรอบการทำงานเน้นบูรณาการและขับเคลื่อนงานระยะสั้น ติดตามและให้ข้อเสนอแนะและสนับสนุนงานระยะยาว แต่ย้ำว่าไม่ใช่ส่วนการบังคับบัญชา ทำงานระบบโต๊ะกลม เมื่อถึงเวลาก็จะจบภารกิจ
ศก.ทก. มีบทบาทให้ข้อเสนอแนะ ข้อพิจารณา และประสานการสื่อสารให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยเฉพาะปัญหาด้านการสื่อสารระหว่างไทยและกัมพูชา จะเร่งกำหนดแนวทางที่ชัดเจน กำหนดเวลาเผยแพร่ข่าวสารอย่างเป็นระบบ เพื่อให้สื่อมวลชนและสาธารณชนได้รับข้อมูลตรงกัน ลดความสับสนที่อาจส่งผลต่อความเข้าใจระหว่างสองประเทศ ยืนยันว่ารัฐบาลจะไม่ใช้มาตรการตอบโต้แบบตาต่อตาฟันต่อฟัน และจะหลีกเลี่ยงไม่ให้ส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ชายแดน
พล.อ.ณัฐพล ยังเห็นว่าในอนาคตอยากให้จัดเวทีสัมมนา ประสานงานกับสมาคมสื่อฯ เชิญนักวิชาการมาแลกเปลี่ยนถึงการแก้ไขปัญหาระหว่างไทย-กัมพูชา เพราะตอนนี้มุมมองความคิดเห็นไปคนละทิศทาง รัฐบาลทำงานลำบาก เพราะประชาชนเชื่อนักวิชาการ พอรัฐบาลทำตามนักวิชาการก็ถูกต่อว่า จึงอยากได้ความคิดเห็นจากนักวิชาการหลายคนมาเป็นข้อสรุป เพื่อเป็นทิศทางเดียวกัน นำมาเป็นแนวทางในการทำงานต่อไป
อย่างไรก็ตาม บทบาทของบิ๊กเล็กในช่วงที่ผ่านมาไม่โดดเด่น เมื่อเทียบกับภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ที่เคยจำขี้ปากนายใหญ่ว่าแผ่นดินไทยคือ No Man's Land มาแล้ว นับจากนี้ต้องดูว่าการทำงานจะราบรื่นและสัมฤทธิ์ผลหรือไม่ ด้วยความหวังว่าสุดท้าย ศก.ทก. จะไม่กลายเป็นศูนย์โศกทุกข์ เพราะไทยแพ้คดีและเสียดินแดน
#Newskitศก.ทก. ไหวไหมทีมไทยแลนด์ เมื่อนายกฯ ฟันน้ำนม แพทองธาร ชินวัตร ถูกสังคมก่นด่าที่ไทยเสียท่ากัมพูชาต่อปัญหาชายแดนหลายครั้ง แบบไม่ทันเกมไม่ทันใจ มีอะไรเคลือบแคลงสงสัย ที่สุดแล้วจึงตัดสินใจใช้บริการน้องรักลุงตู่ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม สร้าง "ทีมไทยแลนด์" มอนิเตอร์ข่าวสารทั้งหมดและดำเนินการต่างๆ เพื่อย้ำว่ารัฐบาลกับกองทัพไม่มีปัญหากัน ขอให้ทุกคนช่วยกันสนับสนุนกองทัพและรัฐบาลให้เป็นหนึ่งเดียวกัน ด้านหนึ่งหวังให้คนกลุ่มหนึ่งคลายความหวาดระแวง ที่ตระกูลชินวัตรมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับตระกูลฮุนของกัมพูชา อีกด้านหนึ่งก็สะท้อนว่า แพทองธารทำงานไม่เป็น ฮุน เซนเย้ยหยันว่าคุมกองทัพไม่ได้ ในที่สุดทีมไทยแลนด์ของบิ๊กเล็กจึงได้ชื่ออย่างเป็นทางการว่า ศูนย์เฉพาะกิจสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา (ศก.ทก) ประชุมทุกวันจันทร์ถึงศุกร์ตอนเช้า ยกเว้นวันประชุม ครม. จะประชุมตอนบ่าย แล้วแถลงข่าวถ่ายทอดสดทางช่องเอ็นบีที เหมือนสมัยรัฐบาลลุงตู่รายงานสถานการณ์โควิด-19 เปี๊ยบ เพียงแต่วันเสาร์-อาทิตย์ไม่มีประชุม ถ้ามีอะไรให้ทุกคนสแตนบายคุยผ่านออนไลน์แทน ส่วนกรอบการทำงานเน้นบูรณาการและขับเคลื่อนงานระยะสั้น ติดตามและให้ข้อเสนอแนะและสนับสนุนงานระยะยาว แต่ย้ำว่าไม่ใช่ส่วนการบังคับบัญชา ทำงานระบบโต๊ะกลม เมื่อถึงเวลาก็จะจบภารกิจ ศก.ทก. มีบทบาทให้ข้อเสนอแนะ ข้อพิจารณา และประสานการสื่อสารให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยเฉพาะปัญหาด้านการสื่อสารระหว่างไทยและกัมพูชา จะเร่งกำหนดแนวทางที่ชัดเจน กำหนดเวลาเผยแพร่ข่าวสารอย่างเป็นระบบ เพื่อให้สื่อมวลชนและสาธารณชนได้รับข้อมูลตรงกัน ลดความสับสนที่อาจส่งผลต่อความเข้าใจระหว่างสองประเทศ ยืนยันว่ารัฐบาลจะไม่ใช้มาตรการตอบโต้แบบตาต่อตาฟันต่อฟัน และจะหลีกเลี่ยงไม่ให้ส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ชายแดน พล.อ.ณัฐพล ยังเห็นว่าในอนาคตอยากให้จัดเวทีสัมมนา ประสานงานกับสมาคมสื่อฯ เชิญนักวิชาการมาแลกเปลี่ยนถึงการแก้ไขปัญหาระหว่างไทย-กัมพูชา เพราะตอนนี้มุมมองความคิดเห็นไปคนละทิศทาง รัฐบาลทำงานลำบาก เพราะประชาชนเชื่อนักวิชาการ พอรัฐบาลทำตามนักวิชาการก็ถูกต่อว่า จึงอยากได้ความคิดเห็นจากนักวิชาการหลายคนมาเป็นข้อสรุป เพื่อเป็นทิศทางเดียวกัน นำมาเป็นแนวทางในการทำงานต่อไป อย่างไรก็ตาม บทบาทของบิ๊กเล็กในช่วงที่ผ่านมาไม่โดดเด่น เมื่อเทียบกับภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ที่เคยจำขี้ปากนายใหญ่ว่าแผ่นดินไทยคือ No Man's Land มาแล้ว นับจากนี้ต้องดูว่าการทำงานจะราบรื่นและสัมฤทธิ์ผลหรือไม่ ด้วยความหวังว่าสุดท้าย ศก.ทก. จะไม่กลายเป็นศูนย์โศกทุกข์ เพราะไทยแพ้คดีและเสียดินแดน #Newskit - นิกรเดช พลางกูร นักการทูตที่ลิ่วล้อฮุน เซนดิ้น
คำว่าสถานการณ์สร้างวีรบุรุษไม่เกินไปจากความเป็นจริง ชื่อของ นิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กลายเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง เมื่อนายเจีย ธิริธ โฆษกส่วนตัวของฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา กล่าวตอบโต้ด้วยถ้อยคำที่รุนแรง หลังการแถลงข่าวเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา เมื่อวันที่ 16 มิ.ย. จากบทบาทโฆษกที่เป็นตัวแทนรัฐบาล พูดจาแบบเรียบๆ ดูน่าเบื่อบนช่องเอ็นบีที กลายเป็นบุคคลที่ชาวเน็ตในโหมด "ไทยนี้รักสงบแต่พร้อมตบลุงข้างบ้าน" เชียร์ให้โต้กลับแบบนักการทูต แบบดูดีมีชาติตระกูล
ย้อนกลับไปในการแถลงข่าววันนั้น นายนิกรเดชกล่าวว่า มาตรการตอบโต้ระหว่างไทย-กัมพูชาที่ปรากฏในโซเชียลมีเดีย รวมถึงคำขู่ยื่นคำขาดว่าจะปิดด่านและจะห้ามนำเข้าสิ่งของจากไทย ขอเรียนโดยหลักการและความเชื่อว่า ไทยปฏิบัติตามหลักสากลว่า การเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่ดี จะไม่ใช้การยื่นคำขาดต่อกัน (Ultimatum) โดยไม่ได้หารือเพื่อหาทางออกอย่างสร้างสรรค์ร่วมกัน ซึ่งจะมีผลเสียต่อประชาชนของทั้งสองฝ่ายมากที่สุด
"แนวทางการสื่อสารผ่านโซเชียลมีเดียถือว่าไม่ใช่ช่องทางที่เป็นทางการ การยื่นคำขาดอัลติเมตัมต่อกัน และข้อความที่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดระดับประชาชนนั้น สะท้อนถึงว่ากัมพูชาขาดความตั้งใจจริงในการใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ร่วมกัน บนพื้นฐานของความเป็นเพื่อนบ้านที่ดี รัฐบาลใช้วิจารณญาณ ความมีสติในการออกมาตรการตอบโต้อย่างรอบคอบ และมีวุฒิภาวะ ไม่ใช้อารมณ์ และจะไม่เอาเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมาเป็นประเด็นทางการเมือง"
ขณะที่โฆษกส่วนตัวของฮุน เซน ไปด่านายนิกรเดชว่าไร้ยางอาย ที่ว่าเพื่อนบ้านที่ดีไม่ควรทำเช่นนั้น แต่ประเทศไทยกลับปิดพรมแดนฝ่ายเดียว เป็นพฤติกรรมของเพื่อนบ้านที่ดีหรือไม่ ไทยปิดพรมแดนของตัวเองและต้องการให้กัมพูชาเจรจา กลัวที่จะถูกทำให้ขายหน้าและต้องการเล่นการทูตที่สกปรกกับพวกเขา งานนี้ชาวเน็ตไทยถึงกับทัวร์ลง
นิกรเดช พลางกูร มีชื่อเล่นว่า แจ็กกี้ เป็นบุตรชายของ นพ.พิลิปดา พลางกูร เจ้าของบ้านโบราณสมัยรัชกาลที่ ๕ ย่านบางรัก จบรัฐศาสตรบัณฑิต (ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปริญญาโท Master of Arts (International Affairs), The American University สหรัฐอเมริกา เคยมีผลงานเมื่อครั้งเป็นเจ้าหน้าที่การทูต ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติภารกิจช่วยเหลือคนไทยในลิเบีย เมื่อครั้งเกิดสงครามกลางเมือง ปี 2554 ปัจจุบันสมรสกับคุณหน่า ภูมิจิต พลางกูร ผู้บริหารสื่อในเครือโพสต์ อินเตอร์เนชั่นแนล มีเดีย มีลูกสาว 1 คน ชื่อว่าน้องซีรีน
#Newskitนิกรเดช พลางกูร นักการทูตที่ลิ่วล้อฮุน เซนดิ้น คำว่าสถานการณ์สร้างวีรบุรุษไม่เกินไปจากความเป็นจริง ชื่อของ นิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กลายเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง เมื่อนายเจีย ธิริธ โฆษกส่วนตัวของฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา กล่าวตอบโต้ด้วยถ้อยคำที่รุนแรง หลังการแถลงข่าวเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา เมื่อวันที่ 16 มิ.ย. จากบทบาทโฆษกที่เป็นตัวแทนรัฐบาล พูดจาแบบเรียบๆ ดูน่าเบื่อบนช่องเอ็นบีที กลายเป็นบุคคลที่ชาวเน็ตในโหมด "ไทยนี้รักสงบแต่พร้อมตบลุงข้างบ้าน" เชียร์ให้โต้กลับแบบนักการทูต แบบดูดีมีชาติตระกูล ย้อนกลับไปในการแถลงข่าววันนั้น นายนิกรเดชกล่าวว่า มาตรการตอบโต้ระหว่างไทย-กัมพูชาที่ปรากฏในโซเชียลมีเดีย รวมถึงคำขู่ยื่นคำขาดว่าจะปิดด่านและจะห้ามนำเข้าสิ่งของจากไทย ขอเรียนโดยหลักการและความเชื่อว่า ไทยปฏิบัติตามหลักสากลว่า การเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่ดี จะไม่ใช้การยื่นคำขาดต่อกัน (Ultimatum) โดยไม่ได้หารือเพื่อหาทางออกอย่างสร้างสรรค์ร่วมกัน ซึ่งจะมีผลเสียต่อประชาชนของทั้งสองฝ่ายมากที่สุด "แนวทางการสื่อสารผ่านโซเชียลมีเดียถือว่าไม่ใช่ช่องทางที่เป็นทางการ การยื่นคำขาดอัลติเมตัมต่อกัน และข้อความที่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดระดับประชาชนนั้น สะท้อนถึงว่ากัมพูชาขาดความตั้งใจจริงในการใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ร่วมกัน บนพื้นฐานของความเป็นเพื่อนบ้านที่ดี รัฐบาลใช้วิจารณญาณ ความมีสติในการออกมาตรการตอบโต้อย่างรอบคอบ และมีวุฒิภาวะ ไม่ใช้อารมณ์ และจะไม่เอาเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมาเป็นประเด็นทางการเมือง" ขณะที่โฆษกส่วนตัวของฮุน เซน ไปด่านายนิกรเดชว่าไร้ยางอาย ที่ว่าเพื่อนบ้านที่ดีไม่ควรทำเช่นนั้น แต่ประเทศไทยกลับปิดพรมแดนฝ่ายเดียว เป็นพฤติกรรมของเพื่อนบ้านที่ดีหรือไม่ ไทยปิดพรมแดนของตัวเองและต้องการให้กัมพูชาเจรจา กลัวที่จะถูกทำให้ขายหน้าและต้องการเล่นการทูตที่สกปรกกับพวกเขา งานนี้ชาวเน็ตไทยถึงกับทัวร์ลง นิกรเดช พลางกูร มีชื่อเล่นว่า แจ็กกี้ เป็นบุตรชายของ นพ.พิลิปดา พลางกูร เจ้าของบ้านโบราณสมัยรัชกาลที่ ๕ ย่านบางรัก จบรัฐศาสตรบัณฑิต (ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปริญญาโท Master of Arts (International Affairs), The American University สหรัฐอเมริกา เคยมีผลงานเมื่อครั้งเป็นเจ้าหน้าที่การทูต ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติภารกิจช่วยเหลือคนไทยในลิเบีย เมื่อครั้งเกิดสงครามกลางเมือง ปี 2554 ปัจจุบันสมรสกับคุณหน่า ภูมิจิต พลางกูร ผู้บริหารสื่อในเครือโพสต์ อินเตอร์เนชั่นแนล มีเดีย มีลูกสาว 1 คน ชื่อว่าน้องซีรีน #Newskit0 Comments 0 Shares 423 Views 0 Reviews - 5 ปีผ่านไป การบินไทยออกแผนฟื้นฟูฯ
ประวัติศาสตร์อีกหน้าหนึ่งของสายการบินแห่งชาติ ที่เกือบจะดับแต่กลับฟื้นมาได้ เมื่อวันที่ 16 มิ.ย. ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งยกเลิกการฟื้นฟูกิจการของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI หลังยื่นคำร้องขอยกเลิกการฟื้นฟูกิจการเมื่อวันที่ 28 เม.ย.ที่ผ่านมา หลังทำตามเงื่อนไขของแผนฟื้นฟูกิจการทั้ง 4 ข้อ ได้แก่ 1. จดทะเบียนเพิ่มทุน 2. ดำเนินการตามแผนฟื้นฟูโดยไม่เกิดเหตุผิดนัด 3. กำไรหลังหักค่าเช่าเครื่องบิน เกินกว่าที่กำหนดไว้ 20,000 ล้านบาท เพราะงบเฉพาะกิจการย้อนหลัง 12 เดือน มีกำไรประมาณ 40,308 ล้านบาท ก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) และกำไรส่วนของผู้ถือหุ้นเป็นบวก จากการปรับโครงสร้างทุน และ 4. ผู้ถือหุ้นอนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการใหม่เมื่อวันที่ 18 เม.ย. 2568
หลังจากนี้ การบินไทยจะขออนุญาตหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นำหุ้น THAI กลับเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ อีกครั้ง หลังหายไปจากตลาดหุ้นไทยเมื่อปี 2564 คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในช่วงต้นเดือน ส.ค. 2568
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 26 พ.ค. 2563 การบินไทยตัดสินใจยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายกลาง หลังประสบปัญหารายได้ลดลง ขาดทุนสะสมติดต่อกัน 8 ปี รวมกว่า 141,170 ล้านบาท และทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบประมาณ 128,000 ล้านบาท ซ้ำด้วยสถานการณ์โควิด-19 ที่ทำให้ธุรกิจการบินหยุดชะงัก กระทั่งศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการและแต่งตั้งผู้ทำแผนเมื่อวันที่ 14 ก.ย. 2563 ที่ผ่านมาการบินไทยพยายามปรับโครงสร้างองค์กร ทั้งการปรับลดพนักงานลงเหลือ 14,000 คน ปรับโครงสร้างธุรกิจ ยุบสายการบินไทยสมายล์รวมกับการบินไทย ปรับฝูงบินและเส้นทางการบินเพื่อเพิ่มรายได้และสร้างกำไรในทุกเส้นทาง ปรับโครงสร้างทางการเงิน บริหารจัดการทรัพย์สิน เช่น ขายอาคารสำนักงาน 7 แห่ง แล้วนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้
นอกจากนี้ ยังปรับโครงสร้างทางการเงิน เจรจากับเจ้าหนี้โดยไม่ตัดหนี้ (Hair Cut) แต่ปรับปรุงเงื่อนไขให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ทำให้ชำระหนี้ไปแล้วทั้งสิ้น 94,080 ล้านบาท ยังเหลือมูลหนี้ที่ต้องชำระจนถึงปี 2579 ประมาณ 95,498 ล้านบาท
แม้ในวันนี้การบินไทยออกจากแผนฟื้นฟูสำเร็จ แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงนับจากนี้ คือการแทรกแซงทางการเมืองในการบินไทย บริษัทเอกชนที่กระทรวงการคลังยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 38.90% จะกลับมาอีกครั้ง จากผู้มีอำนาจในรัฐบาลแต่ละยุคสมัย ส่งข้าราชการการเมืองจากฝ่ายตนเองเข้ามาเป็นบอร์ด ดำเนินนโยบายหวังทุจริตคอรัปชัน อาจทำให้สายการบินแห่งชาติ ที่เพิ่งฟื้นตัวกลับมาขาดทุน กลายเป็นผู้ป่วยโคม่ารอวันตายอีกครั้ง
#Newskit5 ปีผ่านไป การบินไทยออกแผนฟื้นฟูฯ ประวัติศาสตร์อีกหน้าหนึ่งของสายการบินแห่งชาติ ที่เกือบจะดับแต่กลับฟื้นมาได้ เมื่อวันที่ 16 มิ.ย. ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งยกเลิกการฟื้นฟูกิจการของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI หลังยื่นคำร้องขอยกเลิกการฟื้นฟูกิจการเมื่อวันที่ 28 เม.ย.ที่ผ่านมา หลังทำตามเงื่อนไขของแผนฟื้นฟูกิจการทั้ง 4 ข้อ ได้แก่ 1. จดทะเบียนเพิ่มทุน 2. ดำเนินการตามแผนฟื้นฟูโดยไม่เกิดเหตุผิดนัด 3. กำไรหลังหักค่าเช่าเครื่องบิน เกินกว่าที่กำหนดไว้ 20,000 ล้านบาท เพราะงบเฉพาะกิจการย้อนหลัง 12 เดือน มีกำไรประมาณ 40,308 ล้านบาท ก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) และกำไรส่วนของผู้ถือหุ้นเป็นบวก จากการปรับโครงสร้างทุน และ 4. ผู้ถือหุ้นอนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการใหม่เมื่อวันที่ 18 เม.ย. 2568 หลังจากนี้ การบินไทยจะขออนุญาตหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นำหุ้น THAI กลับเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ อีกครั้ง หลังหายไปจากตลาดหุ้นไทยเมื่อปี 2564 คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในช่วงต้นเดือน ส.ค. 2568 ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 26 พ.ค. 2563 การบินไทยตัดสินใจยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายกลาง หลังประสบปัญหารายได้ลดลง ขาดทุนสะสมติดต่อกัน 8 ปี รวมกว่า 141,170 ล้านบาท และทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบประมาณ 128,000 ล้านบาท ซ้ำด้วยสถานการณ์โควิด-19 ที่ทำให้ธุรกิจการบินหยุดชะงัก กระทั่งศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการและแต่งตั้งผู้ทำแผนเมื่อวันที่ 14 ก.ย. 2563 ที่ผ่านมาการบินไทยพยายามปรับโครงสร้างองค์กร ทั้งการปรับลดพนักงานลงเหลือ 14,000 คน ปรับโครงสร้างธุรกิจ ยุบสายการบินไทยสมายล์รวมกับการบินไทย ปรับฝูงบินและเส้นทางการบินเพื่อเพิ่มรายได้และสร้างกำไรในทุกเส้นทาง ปรับโครงสร้างทางการเงิน บริหารจัดการทรัพย์สิน เช่น ขายอาคารสำนักงาน 7 แห่ง แล้วนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ นอกจากนี้ ยังปรับโครงสร้างทางการเงิน เจรจากับเจ้าหนี้โดยไม่ตัดหนี้ (Hair Cut) แต่ปรับปรุงเงื่อนไขให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ทำให้ชำระหนี้ไปแล้วทั้งสิ้น 94,080 ล้านบาท ยังเหลือมูลหนี้ที่ต้องชำระจนถึงปี 2579 ประมาณ 95,498 ล้านบาท แม้ในวันนี้การบินไทยออกจากแผนฟื้นฟูสำเร็จ แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงนับจากนี้ คือการแทรกแซงทางการเมืองในการบินไทย บริษัทเอกชนที่กระทรวงการคลังยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 38.90% จะกลับมาอีกครั้ง จากผู้มีอำนาจในรัฐบาลแต่ละยุคสมัย ส่งข้าราชการการเมืองจากฝ่ายตนเองเข้ามาเป็นบอร์ด ดำเนินนโยบายหวังทุจริตคอรัปชัน อาจทำให้สายการบินแห่งชาติ ที่เพิ่งฟื้นตัวกลับมาขาดทุน กลายเป็นผู้ป่วยโคม่ารอวันตายอีกครั้ง #Newskit - อุ๊งอิ๊งค์-ฮุน เซน กินในที่ลับไขในที่แจ้ง
ท่าทีของนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวนายทักษิณ ชินวัตร นักโทษคดีทุจริต เพื่อนรักเพื่อนสนิท ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา หลังไทยเสียท่ากับกัมพูชา จากการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ที่กัมพูชาปล่อยข่าวมีการหารือแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ทำคนไทยทั้งประเทศเดือดดาลมาแล้ว ซ้ำด้วยการยื่นคำขาดของ ฮุน เซน ให้ไทยเปิดด่าน ไม่งั้นจะปิดด่านกลับ ไม่มีอะไรใหม่นอกจากทำตัวเป็นนางเอก อ้างว่าปล่อยข่าวแบบนี้ไม่เป็นผลดีทั้งสองประเทศ
แพทองธารอ้างว่าคุยกันหลังไมค์มีแน่นอน แต่ที่กัมพูชาสื่อสารผ่านโซเชียลฯ ที่นอกกรอบ พูดไทยคำอังกฤษคำ ไม่เป็นโปรเฟสชันแนล เกิดผลลบทั้งสองประเทศ แต่ก็ทำได้แค่ส่งข้อความไปหา ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ลูกชาย ฮุน เซน ให้จัดประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) ระดับกองทัพไปเลยไหม และว่าเคยตกลงกันแล้วว่าอย่าเพิ่งปล่อยข่าว เพราะต้องคุยกันก่อนว่าเอาอย่างไร เพราะคนหน้างานกับคนที่รับฟังข่าวสารคนละคนกัน
แต่ที่แพทองธารพูดให้คนกัมพูชาที่สนับสนุน ฮุน เซน ด่ากลับ คือ วันนี้ถ้าไม่เคารพกฎกติกา ก็จะไม่ถูกยอมรับโดยทั่วโลก เพราะทุกวันนี้ชาวเขมรพยายามท้าทาย หาเรื่องไทยให้ขึ้นศาลโลก กรณีพื้นที่ 3 ปราสาท 1 ดินแดนที่ไทยจะเสียดินแดน ขณะที่ ฮุน เซน ข่มหลานสาวเพื่อนรักทักษิณแบบเรียบๆ เข้าใจสถานการณ์ในไทย นายกรัฐมนตรีก็ยังไม่มีอำนาจเปิด-ปิดด่านชายแดน แต่ในกัมพูชา นายกรัฐมนตรีมีอำนาจเต็มที่ ตั้งแต่รัฐสภาและวุฒิสภา ไปจนถึงฝ่ายบริหารทุกระดับและกองทัพ
แพทองธารตั้ง พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหมสายบิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา องคมนตรี สร้าง "ทีมไทยแลนด์" มอนิเตอร์ข่าวสารทั้งหมดและดำเนินการต่างๆ และย้ำว่ารัฐบาลกับกองทัพไม่มีปัญหากัน ขอให้ทุกคนช่วยกันสนับสนุนกองทัพและรัฐบาลให้เป็นหนึ่งเดียวกัน แต่คนไทยมากกว่าครึ่งหวาดระแวงรัฐบาล จากความสัมพันธ์ลึกซึ้งระหว่างตระกูลฮุนของกัมพูชา และตระกูลชินวัตรของประเทศไทย มีแต่คนไว้ใจกองทัพแต่ไม่ไว้ใจรัฐบาล ไม่เชื่อว่าจะรักษาดินแดนอธิปไตยไว้ได้
ที่น่าสนใจคือ กรณีที่ ฮุน เซน ตอบโต้นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งสื่อเครือผู้จัดการ ปรากฎว่าพ่วงด้วยนายจตุพร พรหมพันธุ์ อดีตแกนนำเสื้อแดงในลักษณะทวงบุญคุณ เคยให้ข้าวให้น้ำ เลี้ยงดูปูเสื่ออย่างดี การส่งสัญญาณของ ฮุน เซน แสดงให้เห็นว่าทำไมช่วงนี้เพื่อนรักที่ชื่อทักษิณ บิดานายกฯ แพทองธาร ไม่กล้าขยับปากเรื่องนี้ เพราะอย่างน้อย ฮุน เซน กำความลับของทักษิณเอาไว้ หากวันใดสัมพันธ์ขาดสะบั้น พร้อมส่งสัญญาณ "ไขในที่แจ้ง" ตลอดเวลา
#Newskitอุ๊งอิ๊งค์-ฮุน เซน กินในที่ลับไขในที่แจ้ง ท่าทีของนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวนายทักษิณ ชินวัตร นักโทษคดีทุจริต เพื่อนรักเพื่อนสนิท ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา หลังไทยเสียท่ากับกัมพูชา จากการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ที่กัมพูชาปล่อยข่าวมีการหารือแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ทำคนไทยทั้งประเทศเดือดดาลมาแล้ว ซ้ำด้วยการยื่นคำขาดของ ฮุน เซน ให้ไทยเปิดด่าน ไม่งั้นจะปิดด่านกลับ ไม่มีอะไรใหม่นอกจากทำตัวเป็นนางเอก อ้างว่าปล่อยข่าวแบบนี้ไม่เป็นผลดีทั้งสองประเทศ แพทองธารอ้างว่าคุยกันหลังไมค์มีแน่นอน แต่ที่กัมพูชาสื่อสารผ่านโซเชียลฯ ที่นอกกรอบ พูดไทยคำอังกฤษคำ ไม่เป็นโปรเฟสชันแนล เกิดผลลบทั้งสองประเทศ แต่ก็ทำได้แค่ส่งข้อความไปหา ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ลูกชาย ฮุน เซน ให้จัดประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) ระดับกองทัพไปเลยไหม และว่าเคยตกลงกันแล้วว่าอย่าเพิ่งปล่อยข่าว เพราะต้องคุยกันก่อนว่าเอาอย่างไร เพราะคนหน้างานกับคนที่รับฟังข่าวสารคนละคนกัน แต่ที่แพทองธารพูดให้คนกัมพูชาที่สนับสนุน ฮุน เซน ด่ากลับ คือ วันนี้ถ้าไม่เคารพกฎกติกา ก็จะไม่ถูกยอมรับโดยทั่วโลก เพราะทุกวันนี้ชาวเขมรพยายามท้าทาย หาเรื่องไทยให้ขึ้นศาลโลก กรณีพื้นที่ 3 ปราสาท 1 ดินแดนที่ไทยจะเสียดินแดน ขณะที่ ฮุน เซน ข่มหลานสาวเพื่อนรักทักษิณแบบเรียบๆ เข้าใจสถานการณ์ในไทย นายกรัฐมนตรีก็ยังไม่มีอำนาจเปิด-ปิดด่านชายแดน แต่ในกัมพูชา นายกรัฐมนตรีมีอำนาจเต็มที่ ตั้งแต่รัฐสภาและวุฒิสภา ไปจนถึงฝ่ายบริหารทุกระดับและกองทัพ แพทองธารตั้ง พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหมสายบิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา องคมนตรี สร้าง "ทีมไทยแลนด์" มอนิเตอร์ข่าวสารทั้งหมดและดำเนินการต่างๆ และย้ำว่ารัฐบาลกับกองทัพไม่มีปัญหากัน ขอให้ทุกคนช่วยกันสนับสนุนกองทัพและรัฐบาลให้เป็นหนึ่งเดียวกัน แต่คนไทยมากกว่าครึ่งหวาดระแวงรัฐบาล จากความสัมพันธ์ลึกซึ้งระหว่างตระกูลฮุนของกัมพูชา และตระกูลชินวัตรของประเทศไทย มีแต่คนไว้ใจกองทัพแต่ไม่ไว้ใจรัฐบาล ไม่เชื่อว่าจะรักษาดินแดนอธิปไตยไว้ได้ ที่น่าสนใจคือ กรณีที่ ฮุน เซน ตอบโต้นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งสื่อเครือผู้จัดการ ปรากฎว่าพ่วงด้วยนายจตุพร พรหมพันธุ์ อดีตแกนนำเสื้อแดงในลักษณะทวงบุญคุณ เคยให้ข้าวให้น้ำ เลี้ยงดูปูเสื่ออย่างดี การส่งสัญญาณของ ฮุน เซน แสดงให้เห็นว่าทำไมช่วงนี้เพื่อนรักที่ชื่อทักษิณ บิดานายกฯ แพทองธาร ไม่กล้าขยับปากเรื่องนี้ เพราะอย่างน้อย ฮุน เซน กำความลับของทักษิณเอาไว้ หากวันใดสัมพันธ์ขาดสะบั้น พร้อมส่งสัญญาณ "ไขในที่แจ้ง" ตลอดเวลา #Newskit - คนกรุงฯ รอลุ้น นั่งรถไฟคิฮะติดแอร์
เฟซบุ๊ก "ทีมพีอาร์การรถไฟแห่งประเทศไทย" ได้เผยแพร่ภาพประชาสัมพันธ์ "รฟท. ยกระดับการเดินทางชานเมือง เตรียมเปิดให้บริการขบวน KIHA 40/48 ปรับอากาศ เสริมความสะดวก ปลอดภัย เชื่อมต่อการเดินทางระหว่างกรุงเทพฯ -ปริมณฑล อย่างไร้รอยต่อ" โดยระบุว่า ขบวนรถไฟญี่ปุ่น KIHA 40 และ KIHA 48 รถดีเซลรางปรับอากาศ ดำเนินการทดสอบและปรับปรุง พร้อมให้บริการปลายปีนี้ พร้อมระบุคุณสมบัติ อาทิ เบาะนั่งสบาย มีทั้งแบบนั่งยาวและนั่งขวาง ห้องน้ำสะอาดตามมาตรฐาน ตู้โดยสารปรับอากาศ เชื่อมต่อการเดินทางระหว่างกรุงเทพ-ปริมณฑล รวดเร็วไร้รอยต่อ ตอบโจทย์การเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะที่ประหยัด สะดวก และมีมาตรฐานความปลอดภัยสูง
สำหรับขบวนรถคิฮะ 40 จำนวน 9 คัน และคิฮะ 48 จำนวน 11 คัน การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ได้รับมอบจากบริษัท JR EAST ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเคยประจำการที่ศูนย์ Minami Akita เมื่อปี 2520 เพื่อใช้งานในสาย Gono และ สาย Oga ก่อนถูกปลดระวางในเดือน มี.ค. 2564 โดยมีการส่งมอบเมื่อวันที่ 27 มี.ค. 2567 และได้ออกเดินทางสู่ประเทศไทยโดยขนส่งทางเรือเมื่อวันที่ 21 พ.ค. 2567 ก่อนนำรถต้นแบบปรับขนาดเพลาล้อจาก 1.067 เมตร เป็น 1 เมตร ให้เข้ากับมาตรฐานรางรถไฟของประเทศไทย จากนั้นปรับปรุงสภาพตามมาตรฐานของการรถไฟฯ โดยเดินรถด้วยความเร็วสูงสุด 95 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
เมื่อเร็วๆ นี้ได้นำขบวนรถดีเซลรางปรับอากาศรุ่นคิฮะ 40 และคิฮะ 48 ที่ผ่านการปรับปรุงเรียบร้อยแล้วมาทดสอบ จำนวน 2 คัน เส้นทางมักกะสัน-หัวหมาก เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. ที่ผ่านมา หลังจากนี้จะปรับปรุงสีภายนอกและห้องสุขาเพิ่มเติม ก่อนที่จะนำออกให้บริการแก่ประชาชนในช่วงปลายปี 2568 จำนวน 6 คัน และจะทยอยปรับปรุงจนครบทั้ง 20 คันต่อไป รฟท. มีแผนจะนำขบวนรถคิฮะ 40 และคิฮะ 48 มาให้บริการในเส้นทางชานเมือง (FEEDER) ไปยังปลายทางสถานีชุมทางฉะเชิงเทรา สถานีอยุธยา และสถานีนครปฐม เพื่อเชื่อมต่อโครงข่ายรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ และปริมณฑล อาทิ รถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง รถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิงก์ เป็นต้น
เหตุที่ไม่สามารถนำขบวนรถคิฮะมาให้บริการในต่างจังหวัด มีการพูดกันในกลุ่มคนรักรถไฟว่า เนื่องจากเป็นรถได้รับบริจาคจากญี่ปุ่น ซึ่งเลิกผลิตไปแล้ว ไม่มีอะไหล่ จำเป็นต้องได้รับการดูแลและซ่อมบำรุงจากโรงงานรถไฟมักกะสันอย่างใกล้ชิด อาจต้องรอคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติสั่งซื้อรถดีเซลรางปรับอากาศ พร้อมอะไหล่ จำนวน 184 คัน วงเงินรวมทั้งสิ้น 24,150 ล้านบาท หรือรอปรับโฉมรถโดยสารชั้น 3 จากระบบพัดลมเป็นปรับอากาศ จำนวน 40 คันในปีงบประมาณ 2568 วงเงิน 295.60 ล้านบาท
#Newskitคนกรุงฯ รอลุ้น นั่งรถไฟคิฮะติดแอร์ เฟซบุ๊ก "ทีมพีอาร์การรถไฟแห่งประเทศไทย" ได้เผยแพร่ภาพประชาสัมพันธ์ "รฟท. ยกระดับการเดินทางชานเมือง เตรียมเปิดให้บริการขบวน KIHA 40/48 ปรับอากาศ เสริมความสะดวก ปลอดภัย เชื่อมต่อการเดินทางระหว่างกรุงเทพฯ -ปริมณฑล อย่างไร้รอยต่อ" โดยระบุว่า ขบวนรถไฟญี่ปุ่น KIHA 40 และ KIHA 48 รถดีเซลรางปรับอากาศ ดำเนินการทดสอบและปรับปรุง พร้อมให้บริการปลายปีนี้ พร้อมระบุคุณสมบัติ อาทิ เบาะนั่งสบาย มีทั้งแบบนั่งยาวและนั่งขวาง ห้องน้ำสะอาดตามมาตรฐาน ตู้โดยสารปรับอากาศ เชื่อมต่อการเดินทางระหว่างกรุงเทพ-ปริมณฑล รวดเร็วไร้รอยต่อ ตอบโจทย์การเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะที่ประหยัด สะดวก และมีมาตรฐานความปลอดภัยสูง สำหรับขบวนรถคิฮะ 40 จำนวน 9 คัน และคิฮะ 48 จำนวน 11 คัน การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ได้รับมอบจากบริษัท JR EAST ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเคยประจำการที่ศูนย์ Minami Akita เมื่อปี 2520 เพื่อใช้งานในสาย Gono และ สาย Oga ก่อนถูกปลดระวางในเดือน มี.ค. 2564 โดยมีการส่งมอบเมื่อวันที่ 27 มี.ค. 2567 และได้ออกเดินทางสู่ประเทศไทยโดยขนส่งทางเรือเมื่อวันที่ 21 พ.ค. 2567 ก่อนนำรถต้นแบบปรับขนาดเพลาล้อจาก 1.067 เมตร เป็น 1 เมตร ให้เข้ากับมาตรฐานรางรถไฟของประเทศไทย จากนั้นปรับปรุงสภาพตามมาตรฐานของการรถไฟฯ โดยเดินรถด้วยความเร็วสูงสุด 95 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เมื่อเร็วๆ นี้ได้นำขบวนรถดีเซลรางปรับอากาศรุ่นคิฮะ 40 และคิฮะ 48 ที่ผ่านการปรับปรุงเรียบร้อยแล้วมาทดสอบ จำนวน 2 คัน เส้นทางมักกะสัน-หัวหมาก เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. ที่ผ่านมา หลังจากนี้จะปรับปรุงสีภายนอกและห้องสุขาเพิ่มเติม ก่อนที่จะนำออกให้บริการแก่ประชาชนในช่วงปลายปี 2568 จำนวน 6 คัน และจะทยอยปรับปรุงจนครบทั้ง 20 คันต่อไป รฟท. มีแผนจะนำขบวนรถคิฮะ 40 และคิฮะ 48 มาให้บริการในเส้นทางชานเมือง (FEEDER) ไปยังปลายทางสถานีชุมทางฉะเชิงเทรา สถานีอยุธยา และสถานีนครปฐม เพื่อเชื่อมต่อโครงข่ายรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ และปริมณฑล อาทิ รถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง รถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิงก์ เป็นต้น เหตุที่ไม่สามารถนำขบวนรถคิฮะมาให้บริการในต่างจังหวัด มีการพูดกันในกลุ่มคนรักรถไฟว่า เนื่องจากเป็นรถได้รับบริจาคจากญี่ปุ่น ซึ่งเลิกผลิตไปแล้ว ไม่มีอะไหล่ จำเป็นต้องได้รับการดูแลและซ่อมบำรุงจากโรงงานรถไฟมักกะสันอย่างใกล้ชิด อาจต้องรอคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติสั่งซื้อรถดีเซลรางปรับอากาศ พร้อมอะไหล่ จำนวน 184 คัน วงเงินรวมทั้งสิ้น 24,150 ล้านบาท หรือรอปรับโฉมรถโดยสารชั้น 3 จากระบบพัดลมเป็นปรับอากาศ จำนวน 40 คันในปีงบประมาณ 2568 วงเงิน 295.60 ล้านบาท #Newskit0 Comments 0 Shares 259 Views 0 Reviews - ปฐมบท ไทยเสียดินแดน?
7 โมงเช้า 15 มิ.ย. พล.อ.ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ประกาศส่งจดหมายอย่างเป็นทางการถึงศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) หรือศาลโลก เพื่อขอแก้ไขข้อพิพาทชายแดนในพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด ปราสาทตาควาย และสามเหลี่ยมมรกต อาศัยวันที่ศาลโลกตัดสินให้กัมพูชาชนะคดีปราสาทพระวิหารเมื่อ 63 ปีก่อน อ้างว่าต้องการแก้ไขข้อพิพาทชายแดนซึ่งเสี่ยงที่จะปะทะด้วยอาวุธ กลไกทวิภาคีไม่สามารถแก้ไขได้ และอ้างว่าขอความยุติธรรม ความเป็นธรรม และความชัดเจนในการกำหนดเขตแดนและขอบเขตกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อที่คนรุ่นหลังจะไม่มีปัญหากันอีกต่อไป
ขณะที่ผลการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) นอกจากจะอนุมัติวาระการประชุม 4 หัวข้อแล้ว นายลัม เจีย รัฐมนตรีประจำสำนักเลขาธิการกิจการชายแดน และประธานคณะกรรมาธิการชายแดนร่วมกัมพูชา ยังกล่าวว่า กัมพูชาจะนำข้อพิพาทชายแดนทั้ง 4 พื้นที่ขึ้นสู่ศาลโลก แม้ไทยจะไม่ยอมรับเขตอำนาจศาลโลกก็ตาม โดยจะไม่นำมาเป็นหัวข้อในการหารือภายใต้กรอบ JBC อีกต่อไป อีกทั้งนโยบายรัฐบาลกัมพูชายังยึดถือ MOU 2543 โดยใช้แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ.1904 และ 1907 และไม่ยอมรับแผนที่ฝ่ายไทยวาดขึ้นเพียงฝ่ายเดียว
ส่วนกระทรวงการต่างประเทศของไทย อ้างว่ามิได้มีการหารือในประเด็นที่กัมพูชาจะนำพื้นที่ 4 จุด เข้าสู่การพิจารณาของศาลโลก โดยมิได้มีการหารือประเด็นแผนที่ 1:200,000 คณะกรรมการปักปันสยาม-อินโดจีน ตามที่ฝ่ายกัมพูชาอ้างแต่อย่างใด
พรมแดนระหว่างประเทศไทยและกัมพูชามีระยะทาง 798 กิโลเมตร ปักปันเขตแดนแล้ว 603 กิโลเมตร ตั้งแต่ช่องสะงำ อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ ถึงบ้านหาดเล็ก อ.คลองใหญ่ จ.ตราด รวม 73 หลัก แต่ยังไม่ปักปันเขตแดน 195 กิโลเมตร ตั้งแต่ช่องสะงำ ถึงช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี กำหนดให้เป็นไปตามสันปันน้ำของเทือกเขาพนมดงรัก แต่ไทยและกัมพูชาถือแผนที่คนละฉบับ กัมพูชาใช้แผนที่ 1:200,000 ที่มีมาตราส่วนหยาบ คลาดเคลื่อนจากเส้นสันปันน้ำจริงหลายจุด คลาดเคลื่อนหลักเขตแดนมากถึง 200 เมตร ขณะที่ไทยถือแผนที่มาตราส่วน 1:50,000 ที่จัดทำโดยกรมแผนที่ทหาร มีความละเอียดของเส้นแบ่งเขตแดนที่ชัดเจน เห็นแนวสันเขา ร่องน้ำที่เกี่ยวข้องกับหลักฐานทางภูมิศาสตร์
ขณะที่ฝ่ายกัมพูชาทำสงครามข่าวสารอย่างต่อเนื่อง แต่รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร กลับไม่มีท่าทีใดๆ ออกมาชัดเจน ท่ามกลางสังคมเคลือบแคลงสงสัยถึงความสัมพันธ์ลึกซึ้งระหว่างตระกูลชินวัตรกับตระกูลฮุนของกัมพูชา และความไม่ไว้วางใจของประชาชนชาวไทย ที่ประเทศไทยกำลังจะเสียดินแดนอีกครั้งต่อจากเขาพระวิหาร
#Newskitปฐมบท ไทยเสียดินแดน? 7 โมงเช้า 15 มิ.ย. พล.อ.ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ประกาศส่งจดหมายอย่างเป็นทางการถึงศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) หรือศาลโลก เพื่อขอแก้ไขข้อพิพาทชายแดนในพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด ปราสาทตาควาย และสามเหลี่ยมมรกต อาศัยวันที่ศาลโลกตัดสินให้กัมพูชาชนะคดีปราสาทพระวิหารเมื่อ 63 ปีก่อน อ้างว่าต้องการแก้ไขข้อพิพาทชายแดนซึ่งเสี่ยงที่จะปะทะด้วยอาวุธ กลไกทวิภาคีไม่สามารถแก้ไขได้ และอ้างว่าขอความยุติธรรม ความเป็นธรรม และความชัดเจนในการกำหนดเขตแดนและขอบเขตกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อที่คนรุ่นหลังจะไม่มีปัญหากันอีกต่อไป ขณะที่ผลการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) นอกจากจะอนุมัติวาระการประชุม 4 หัวข้อแล้ว นายลัม เจีย รัฐมนตรีประจำสำนักเลขาธิการกิจการชายแดน และประธานคณะกรรมาธิการชายแดนร่วมกัมพูชา ยังกล่าวว่า กัมพูชาจะนำข้อพิพาทชายแดนทั้ง 4 พื้นที่ขึ้นสู่ศาลโลก แม้ไทยจะไม่ยอมรับเขตอำนาจศาลโลกก็ตาม โดยจะไม่นำมาเป็นหัวข้อในการหารือภายใต้กรอบ JBC อีกต่อไป อีกทั้งนโยบายรัฐบาลกัมพูชายังยึดถือ MOU 2543 โดยใช้แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ.1904 และ 1907 และไม่ยอมรับแผนที่ฝ่ายไทยวาดขึ้นเพียงฝ่ายเดียว ส่วนกระทรวงการต่างประเทศของไทย อ้างว่ามิได้มีการหารือในประเด็นที่กัมพูชาจะนำพื้นที่ 4 จุด เข้าสู่การพิจารณาของศาลโลก โดยมิได้มีการหารือประเด็นแผนที่ 1:200,000 คณะกรรมการปักปันสยาม-อินโดจีน ตามที่ฝ่ายกัมพูชาอ้างแต่อย่างใด พรมแดนระหว่างประเทศไทยและกัมพูชามีระยะทาง 798 กิโลเมตร ปักปันเขตแดนแล้ว 603 กิโลเมตร ตั้งแต่ช่องสะงำ อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ ถึงบ้านหาดเล็ก อ.คลองใหญ่ จ.ตราด รวม 73 หลัก แต่ยังไม่ปักปันเขตแดน 195 กิโลเมตร ตั้งแต่ช่องสะงำ ถึงช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี กำหนดให้เป็นไปตามสันปันน้ำของเทือกเขาพนมดงรัก แต่ไทยและกัมพูชาถือแผนที่คนละฉบับ กัมพูชาใช้แผนที่ 1:200,000 ที่มีมาตราส่วนหยาบ คลาดเคลื่อนจากเส้นสันปันน้ำจริงหลายจุด คลาดเคลื่อนหลักเขตแดนมากถึง 200 เมตร ขณะที่ไทยถือแผนที่มาตราส่วน 1:50,000 ที่จัดทำโดยกรมแผนที่ทหาร มีความละเอียดของเส้นแบ่งเขตแดนที่ชัดเจน เห็นแนวสันเขา ร่องน้ำที่เกี่ยวข้องกับหลักฐานทางภูมิศาสตร์ ขณะที่ฝ่ายกัมพูชาทำสงครามข่าวสารอย่างต่อเนื่อง แต่รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร กลับไม่มีท่าทีใดๆ ออกมาชัดเจน ท่ามกลางสังคมเคลือบแคลงสงสัยถึงความสัมพันธ์ลึกซึ้งระหว่างตระกูลชินวัตรกับตระกูลฮุนของกัมพูชา และความไม่ไว้วางใจของประชาชนชาวไทย ที่ประเทศไทยกำลังจะเสียดินแดนอีกครั้งต่อจากเขาพระวิหาร #Newskit0 Comments 0 Shares 352 Views 0 Reviews - น้องการ์ตูน เหยื่ออยุติธรรม
การเสียชีวิตอย่างสงบของ น.ส.ภิญญารัศมี (นราศิริ) ศักดิ์สิทธิพันธ์ หรือน้องการ์ตูน อายุ 16 ปี เมื่อวันที่ 11 มิ.ย. หลังได้รับการกระทบกระเทือนทางสมอง รักษาตัวด้วยร่างกายไม่สมบูรณ์ เจ็บปวดอย่างทรมานเมื่ออายุ 5 ขวบ ยาวนานกว่า 11 ปี น้องการ์ตูนเป็นเหยื่อรถกระบะแต่งซิ่ง เมาแล้วขับพุ่งชนร้านสเต็กลุงใหญ่ ขณะนั้นตั้งอยู่ปากซอยเอกชัย 119 ถนนเอกชัย แขวงและเขตบางบอน กรุงเทพฯ เมื่อคืนวันที่ 19 ก.ย. 2557 เป็นเหตุให้นายภาณุทัต ศักดิ์สิทธิพันธ์ อายุ 42 ปี บิดาเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ
แม้ศาลอาญาธนบุรีพิพากษาเมื่อปี 2558 จำคุก น.ส.น้ำผึ้ง ใจเสงี่ยม เป็นเวลา 1 ปีโดยไม่รอลงอาญา และสั่งชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ครอบครัวน้องการ์ตูน 6.3 ล้านบาท แต่ น.ส.น้ำผึ้งใช้วิธี "ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย" เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น น้ำทิพย์ ชื่นชัยแสงสุริยา และ วรรณธนันท์ ผิวเกลี้ยง ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย แถมโอนทรัพย์สินเพื่อหลบเลี่ยง ขณะที่แม่น้องการ์ตูนยังต้องเผชิญกับค่าใช้จ่ายดูแลน้องการ์ตูนที่สูงกว่า 20 ล้านบาท ขณะที่น้องการ์ตูนมีปัญหากระดูกสันหลังคดจากการติดเตียงตั้งแต่อายุ 5 ขวบ มีผลกับการหายใจ กระทั่งเดือน เม.ย.2568 มีอาการปอดบวมอย่างหนัก สุดท้ายแม่ตัดสินใจปล่อยน้องการ์ตูนไปอย่างสงบ
นางศรัญญา ชำนิ อายุ 45 ปี แม่น้องการ์ตูน กล่าวว่า น้องการ์ตูนเสียชีวิตโดยไม่ทันได้บอกลา บอกลูกว่าเหนื่อยมามากพอแล้ว หลับให้สบายไม่ต้องทรมานแล้ว ไม่ต้องห่วงแม่ ห่วงยาย ห่วงตา ให้ขึ้นไปอยู่บนสวรรค์กับคุณพ่อ โดยที่น้องการ์ตูนเสียชีวิตโดยตาไม่หลับ ยืนยันว่าจะสู้คดีต่อไป เพราะไม่เคยได้รับคำขอโทษจากฝ่ายคู่กรณีอย่างจริงใจ และที่ผ่านมาได้รับเงินค่าซ่อมแซมร้านเพียง 40,000 บาทเท่านั้น และไม่มีหน่วยงานใดช่วยเหลือบังคับคดีหรือช่วยสืบทรัพย์ให้อย่างจริงจัง
แม่น้องการ์ตูน กล่าวว่า ตอนนี้ไม่มีน้องการ์ตูนที่ต้องดูแลแล้ว ฉะนั้นไม่มีอะไรจะเสีย จะเดินหน้าทำทุกวิถีทาง สู้ให้ถึงที่สุด จะพยายามปิดช่องโหว่ทางกฎหมาย เป็นการเริ่มต้นต่อสู้ครั้งใหม่ จะทำให้คู่กรณีรู้สึกเหมือนตกนรก เหมือนเช่นครอบครัวตนเองให้น้องการ์ตูนอยู่บนสวรรค์ แต่แม่จะขอยืนหยัดต่อสู้เอง ให้เป็นกรณีตัวอย่างเหมือนกับผู้เสียหายรายอื่นที่ตกอยู่ในสภาพเดียวกับตนเอง หวังว่าจะมีสิ่งดีๆ เกิดขึ้นบ้าง ไม่ใช่มีแต่เรื่องแย่ๆ เพียงอย่างเดียว
คดีน้องการ์ตูน สะท้อนให้เห็นถึงช่องโหว่ของกระบวนการยุติธรรมไทย ในการดำเนินคดีข้อหาเมาแล้วขับ ที่ยังมีช่องให้หลบเลี่ยงความรับผิดชอบได้ แม้ศาลจะพิพากษาชนะคดี แต่ไม่สามารถทำอะไรได้ สุดท้ายภาระตกอยู่กับฝ่ายผู้เสียหายทั้งหมด
#Newskitน้องการ์ตูน เหยื่ออยุติธรรม การเสียชีวิตอย่างสงบของ น.ส.ภิญญารัศมี (นราศิริ) ศักดิ์สิทธิพันธ์ หรือน้องการ์ตูน อายุ 16 ปี เมื่อวันที่ 11 มิ.ย. หลังได้รับการกระทบกระเทือนทางสมอง รักษาตัวด้วยร่างกายไม่สมบูรณ์ เจ็บปวดอย่างทรมานเมื่ออายุ 5 ขวบ ยาวนานกว่า 11 ปี น้องการ์ตูนเป็นเหยื่อรถกระบะแต่งซิ่ง เมาแล้วขับพุ่งชนร้านสเต็กลุงใหญ่ ขณะนั้นตั้งอยู่ปากซอยเอกชัย 119 ถนนเอกชัย แขวงและเขตบางบอน กรุงเทพฯ เมื่อคืนวันที่ 19 ก.ย. 2557 เป็นเหตุให้นายภาณุทัต ศักดิ์สิทธิพันธ์ อายุ 42 ปี บิดาเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ แม้ศาลอาญาธนบุรีพิพากษาเมื่อปี 2558 จำคุก น.ส.น้ำผึ้ง ใจเสงี่ยม เป็นเวลา 1 ปีโดยไม่รอลงอาญา และสั่งชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ครอบครัวน้องการ์ตูน 6.3 ล้านบาท แต่ น.ส.น้ำผึ้งใช้วิธี "ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย" เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น น้ำทิพย์ ชื่นชัยแสงสุริยา และ วรรณธนันท์ ผิวเกลี้ยง ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย แถมโอนทรัพย์สินเพื่อหลบเลี่ยง ขณะที่แม่น้องการ์ตูนยังต้องเผชิญกับค่าใช้จ่ายดูแลน้องการ์ตูนที่สูงกว่า 20 ล้านบาท ขณะที่น้องการ์ตูนมีปัญหากระดูกสันหลังคดจากการติดเตียงตั้งแต่อายุ 5 ขวบ มีผลกับการหายใจ กระทั่งเดือน เม.ย.2568 มีอาการปอดบวมอย่างหนัก สุดท้ายแม่ตัดสินใจปล่อยน้องการ์ตูนไปอย่างสงบ นางศรัญญา ชำนิ อายุ 45 ปี แม่น้องการ์ตูน กล่าวว่า น้องการ์ตูนเสียชีวิตโดยไม่ทันได้บอกลา บอกลูกว่าเหนื่อยมามากพอแล้ว หลับให้สบายไม่ต้องทรมานแล้ว ไม่ต้องห่วงแม่ ห่วงยาย ห่วงตา ให้ขึ้นไปอยู่บนสวรรค์กับคุณพ่อ โดยที่น้องการ์ตูนเสียชีวิตโดยตาไม่หลับ ยืนยันว่าจะสู้คดีต่อไป เพราะไม่เคยได้รับคำขอโทษจากฝ่ายคู่กรณีอย่างจริงใจ และที่ผ่านมาได้รับเงินค่าซ่อมแซมร้านเพียง 40,000 บาทเท่านั้น และไม่มีหน่วยงานใดช่วยเหลือบังคับคดีหรือช่วยสืบทรัพย์ให้อย่างจริงจัง แม่น้องการ์ตูน กล่าวว่า ตอนนี้ไม่มีน้องการ์ตูนที่ต้องดูแลแล้ว ฉะนั้นไม่มีอะไรจะเสีย จะเดินหน้าทำทุกวิถีทาง สู้ให้ถึงที่สุด จะพยายามปิดช่องโหว่ทางกฎหมาย เป็นการเริ่มต้นต่อสู้ครั้งใหม่ จะทำให้คู่กรณีรู้สึกเหมือนตกนรก เหมือนเช่นครอบครัวตนเองให้น้องการ์ตูนอยู่บนสวรรค์ แต่แม่จะขอยืนหยัดต่อสู้เอง ให้เป็นกรณีตัวอย่างเหมือนกับผู้เสียหายรายอื่นที่ตกอยู่ในสภาพเดียวกับตนเอง หวังว่าจะมีสิ่งดีๆ เกิดขึ้นบ้าง ไม่ใช่มีแต่เรื่องแย่ๆ เพียงอย่างเดียว คดีน้องการ์ตูน สะท้อนให้เห็นถึงช่องโหว่ของกระบวนการยุติธรรมไทย ในการดำเนินคดีข้อหาเมาแล้วขับ ที่ยังมีช่องให้หลบเลี่ยงความรับผิดชอบได้ แม้ศาลจะพิพากษาชนะคดี แต่ไม่สามารถทำอะไรได้ สุดท้ายภาระตกอยู่กับฝ่ายผู้เสียหายทั้งหมด #Newskit - หมอชนะ
ที่ประชุมคณะกรรมการแพทยสภา เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. มีมติมากกว่า 2 ใน 3 ไม่รับการยับยั้งมติลงโทษผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมของคณะกรรมการแพทยสภา จากนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข ในฐานะสภานายกพิเศษแห่งแพทยสภา ยืนยันตามมติเดิมเมื่อวันที่ 8 พ.ค. พักใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรม 2 ราย และตักเตือน 1 ราย ที่เกี่ยวข้องกับการส่งตัวและรักษาอาการป่วยนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และนักโทษคดีทุจริต จากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ มายังชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ โดยไม่ติดคุกแม้แต่วันเดียว และไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ชัดเจนว่ามีภาวะวิกฤตเกิดขึ้น โดยมีกรรมการแพทยสภาเข้าร่วมประชุม 68 คน จากจำนวนกรรมการที่มีสิทธิ์ลงคะแนนทั้งสิ้น 69 คน
แม้นายสมศักดิ์พยายามเข้าไปชี้แจงในที่ประชุมแพทยสภา ซึ่งให้เวลาเพียง 15 นาที และออกหนังสือยับยั้งมติ (วีโต้) อ้างว่าเป็นการตีวัวกระทบคราดนายทักษิณ ที่ได้รับการส่งต่อไปยังโรงพยาบาลที่มีศักยภาพรักษาเฉพาะทาง ทำให้แพทย์อีกหลายคนไม่กล้าเสี่ยงเพื่อช่วยชีวิตคนไข้ให้ดีที่สุด กล่าวหาว่าเป็นการลงโทษที่เกิดจากอคติในใจ โทษรุนแรงเกินไป อาจมีบางอย่างไม่ถูกต้องในกระบวนการนี้ และหากเป็นแพทย์รุ่นหลังที่อ่อนประสบการณ์ที่สุด จะเมตตาหรือเย็นชาโดยมีปัจจัยภายนอกชี้นำ แต่ที่ประชุมแพทยสภาได้นำข้อมูลมาเปรียบเทียบมติของกรรมการแพทยสภา และมีบทวิเคราะห์ออกมา
ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา อุปนายกแพทยสภา คนที่ 1 ยืนยันว่า กรณีจริยธรรมทางการแพทย์ไม่สามารถเปรียบเทียบข้อมูลวิชาชีพไม่เหมือนกัน วิชาการไม่เหมือนกัน คอนเซปต์ไม่เหมือนกัน จะเอามาเทียบเคียงกันคงไม่เหมาะสม ขณะเดียวกันมีบางกลุ่มที่ใช้กลไกบางอย่างพยายามจะทำให้กรรมการแพทยสภาไม่ได้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง หรือขัดกับจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพ บางกรณีเข้าเกณฑ์เหมือนข่มขู่ด้วยซ้ำ
ส่วนที่นายสมศักดิ์อ้างว่าจะเป็นการสร้างบรรทัดฐานใหม่ให้แพทย์รุ่นใหม่มีความกลัวหรือไม่ เห็นว่า ไม่ว่าจะเป็นแพทย์รุ่นใหม่หรือแพทย์รุ่นเดิม เราได้รับการอบรมสั่งสอนมาเหมือนกัน เราเข้าใจจรรยาบรรณวิชาชีพ เข้าใจความถูกต้อง เข้าใจบทบาทและหน้าที่เหมือนกัน อยากจะย้ำว่าวันนี้เราทำตามสิ่งที่เราถูกสอนมา และคิดว่าวันนี้แพทย์ทั้งหลายที่เรียนอยู่ก็ได้เห็นกรณีนี้เป็นกรณีศึกษาต่อไปว่า บทบาทของแพทย์มากมายกว่ารักษาคนไข้อย่างเดียว คือการรักษาไว้ซึ่งมาตรฐานการรักษา
สำหรับแพทย์ที่ถูกพักใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรม ได้แก่ พล.ต.ท.โสภณรัชต์ สิงหจารุ และ พล.ต.ท.ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ จากโรงพยาบาลตำรวจ ส่วนแพทย์ที่ถูกว่ากล่าวตักเตือน คือ พญ.รวมทิพย์ สุภานันท์ จากทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์
#Newskitหมอชนะ ที่ประชุมคณะกรรมการแพทยสภา เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. มีมติมากกว่า 2 ใน 3 ไม่รับการยับยั้งมติลงโทษผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมของคณะกรรมการแพทยสภา จากนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข ในฐานะสภานายกพิเศษแห่งแพทยสภา ยืนยันตามมติเดิมเมื่อวันที่ 8 พ.ค. พักใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรม 2 ราย และตักเตือน 1 ราย ที่เกี่ยวข้องกับการส่งตัวและรักษาอาการป่วยนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และนักโทษคดีทุจริต จากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ มายังชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ โดยไม่ติดคุกแม้แต่วันเดียว และไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ชัดเจนว่ามีภาวะวิกฤตเกิดขึ้น โดยมีกรรมการแพทยสภาเข้าร่วมประชุม 68 คน จากจำนวนกรรมการที่มีสิทธิ์ลงคะแนนทั้งสิ้น 69 คน แม้นายสมศักดิ์พยายามเข้าไปชี้แจงในที่ประชุมแพทยสภา ซึ่งให้เวลาเพียง 15 นาที และออกหนังสือยับยั้งมติ (วีโต้) อ้างว่าเป็นการตีวัวกระทบคราดนายทักษิณ ที่ได้รับการส่งต่อไปยังโรงพยาบาลที่มีศักยภาพรักษาเฉพาะทาง ทำให้แพทย์อีกหลายคนไม่กล้าเสี่ยงเพื่อช่วยชีวิตคนไข้ให้ดีที่สุด กล่าวหาว่าเป็นการลงโทษที่เกิดจากอคติในใจ โทษรุนแรงเกินไป อาจมีบางอย่างไม่ถูกต้องในกระบวนการนี้ และหากเป็นแพทย์รุ่นหลังที่อ่อนประสบการณ์ที่สุด จะเมตตาหรือเย็นชาโดยมีปัจจัยภายนอกชี้นำ แต่ที่ประชุมแพทยสภาได้นำข้อมูลมาเปรียบเทียบมติของกรรมการแพทยสภา และมีบทวิเคราะห์ออกมา ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา อุปนายกแพทยสภา คนที่ 1 ยืนยันว่า กรณีจริยธรรมทางการแพทย์ไม่สามารถเปรียบเทียบข้อมูลวิชาชีพไม่เหมือนกัน วิชาการไม่เหมือนกัน คอนเซปต์ไม่เหมือนกัน จะเอามาเทียบเคียงกันคงไม่เหมาะสม ขณะเดียวกันมีบางกลุ่มที่ใช้กลไกบางอย่างพยายามจะทำให้กรรมการแพทยสภาไม่ได้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง หรือขัดกับจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพ บางกรณีเข้าเกณฑ์เหมือนข่มขู่ด้วยซ้ำ ส่วนที่นายสมศักดิ์อ้างว่าจะเป็นการสร้างบรรทัดฐานใหม่ให้แพทย์รุ่นใหม่มีความกลัวหรือไม่ เห็นว่า ไม่ว่าจะเป็นแพทย์รุ่นใหม่หรือแพทย์รุ่นเดิม เราได้รับการอบรมสั่งสอนมาเหมือนกัน เราเข้าใจจรรยาบรรณวิชาชีพ เข้าใจความถูกต้อง เข้าใจบทบาทและหน้าที่เหมือนกัน อยากจะย้ำว่าวันนี้เราทำตามสิ่งที่เราถูกสอนมา และคิดว่าวันนี้แพทย์ทั้งหลายที่เรียนอยู่ก็ได้เห็นกรณีนี้เป็นกรณีศึกษาต่อไปว่า บทบาทของแพทย์มากมายกว่ารักษาคนไข้อย่างเดียว คือการรักษาไว้ซึ่งมาตรฐานการรักษา สำหรับแพทย์ที่ถูกพักใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรม ได้แก่ พล.ต.ท.โสภณรัชต์ สิงหจารุ และ พล.ต.ท.ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ จากโรงพยาบาลตำรวจ ส่วนแพทย์ที่ถูกว่ากล่าวตักเตือน คือ พญ.รวมทิพย์ สุภานันท์ จากทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ #Newskit - คุยกับ ChatGPT : Reset ชีวิตใหม่ได้คุ้มเสีย?
ในยุคที่โลกหมุนเร็วและเต็มไปด้วยความวุ่นวาย อาจมีบางคนเคยคิดถึงการรีเซตชีวิตด้วยการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เช่น ย้ายที่อยู่ ลบบัญชีโซเชียลฯ เปลี่ยนชื่อ นามสกุล หรือแม้แต่ตัดขาดจากอดีตทั้งหมด เพื่อหนีปัญหาและสร้างโอกาสใหม่ให้ชีวิต แต่คำถามคือ การรีเซตชีวิตแบบนี้จะได้คุ้มเสียหรือไม่?
การรีเซตชีวิต ให้โอกาสที่ดีในการตัดขาดจากอดีตที่เจ็บปวดหรือเป็นพิษหนักในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่ดี ความทรงจำที่บั่นทอนใจ หรือแม้แต่สถานการณ์ที่ไม่ปลอดภัย เช่น การถูกคุกคามทางกายใจหรือจิตใจ ซึ่งการย้ายที่อยู่ ลบบัญชีและเปลี่ยนชื่อ อาจช่วยเพิ่มความเป็นส่วนตัว ความปลอดภัย และเปิดพื้นที่ให้สร้างตัวตนใหม่อย่างอิสระ ปลดล็อกความคิดเก่าๆ ที่เคยจำกัดความก้าวหน้าในชีวิต ทำให้มีโอกาสเริ่มต้นสร้างงานใหม่ พบเพื่อนใหม่ และเติบโตในทางที่ต้องการ
อย่างไรก็ตาม ยังมีความเสี่ยงและข้อจำกัดที่ควรระวัง เพราะการตัดขาดจากอดีตโดยสมบูรณ์หมายถึงการสูญเสียเครือข่ายสังคมเดิม ครอบครัว หรือคนที่ยังสำคัญในชีวิต การเปลี่ยนชื่อและย้ายที่อยู่ยังซับซ้อนทั้งด้านกฎหมายและเอกสารสำคัญ เช่น บัตรประชาชน บัญชีธนาคาร รวมถึงความยุ่งยากในการปรับตัวในที่ใหม่ที่ไม่มีความคุ้นเคย และความโดดเดี่ยวที่อาจเกิดขึ้นเมื่อตัดขาดจากคนใกล้ตัว ยิ่งไปกว่านั้น เทคโนโลยีในยุคนี้ทำให้ข้อมูลเก่าอาจถูกค้นพบได้ง่าย การเริ่มต้นใหม่จึงไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิด
วิธีนี้จึงเหมาะกับคนที่มีเหตุผลจำเป็นและชัดเจน เช่น ผู้ที่อยู่ในสถานการณ์คุกคามรุนแรง หรือคนที่พยายามทุกวิธีแล้วแต่ปัญหายังแก้ไม่ตก และพร้อมจะรับมือกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตทั้งทางกายและใจ รวมถึงมีแผนรองรับชีวิตใหม่อย่างชัดเจน มีงาน เงินทุน และผู้สนับสนุน แต่ในทางตรงกันข้าม หากปัญหาแก้ไขได้ด้วยการสื่อสารหรือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมภายในกรอบเดิม การตัดขาดสุดโต่งอาจเป็นทางเลือกที่เกินความจำเป็น เสียโอกาสในการเติบโตอย่างสร้างสรรค์
การรีเซตชีวิต อาจเป็นทางเลือกที่มีพลังสำหรับคนบางกลุ่ม แต่ต้องแลกมาด้วยความเสี่ยง ความยุ่งยาก และการสูญเสียบางอย่างที่ไม่อาจประเมินค่าได้ จึงควรทำด้วยความรอบคอบ ประเมินสถานการณ์และความพร้อมทั้งด้านกาย ใจ และสังคมอย่างละเอียด หากต้องการความมั่นใจ การขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยา ทนายความ หรือที่ปรึกษาชีวิตจะช่วยให้เส้นทางนี้ปลอดภัยและเหมาะสมมากขึ้น เพราะสุดท้ายแล้วการเริ่มต้นใหม่ไม่ได้หมายความว่าต้องหนีจากอดีตเสมอไป บางครั้งการเผชิญหน้าและเรียนรู้จากอดีตก็สามารถนำไปสู่ชีวิตที่ดีกว่าได้เช่นกัน
#Newskitคุยกับ ChatGPT : Reset ชีวิตใหม่ได้คุ้มเสีย? ในยุคที่โลกหมุนเร็วและเต็มไปด้วยความวุ่นวาย อาจมีบางคนเคยคิดถึงการรีเซตชีวิตด้วยการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เช่น ย้ายที่อยู่ ลบบัญชีโซเชียลฯ เปลี่ยนชื่อ นามสกุล หรือแม้แต่ตัดขาดจากอดีตทั้งหมด เพื่อหนีปัญหาและสร้างโอกาสใหม่ให้ชีวิต แต่คำถามคือ การรีเซตชีวิตแบบนี้จะได้คุ้มเสียหรือไม่? การรีเซตชีวิต ให้โอกาสที่ดีในการตัดขาดจากอดีตที่เจ็บปวดหรือเป็นพิษหนักในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่ดี ความทรงจำที่บั่นทอนใจ หรือแม้แต่สถานการณ์ที่ไม่ปลอดภัย เช่น การถูกคุกคามทางกายใจหรือจิตใจ ซึ่งการย้ายที่อยู่ ลบบัญชีและเปลี่ยนชื่อ อาจช่วยเพิ่มความเป็นส่วนตัว ความปลอดภัย และเปิดพื้นที่ให้สร้างตัวตนใหม่อย่างอิสระ ปลดล็อกความคิดเก่าๆ ที่เคยจำกัดความก้าวหน้าในชีวิต ทำให้มีโอกาสเริ่มต้นสร้างงานใหม่ พบเพื่อนใหม่ และเติบโตในทางที่ต้องการ อย่างไรก็ตาม ยังมีความเสี่ยงและข้อจำกัดที่ควรระวัง เพราะการตัดขาดจากอดีตโดยสมบูรณ์หมายถึงการสูญเสียเครือข่ายสังคมเดิม ครอบครัว หรือคนที่ยังสำคัญในชีวิต การเปลี่ยนชื่อและย้ายที่อยู่ยังซับซ้อนทั้งด้านกฎหมายและเอกสารสำคัญ เช่น บัตรประชาชน บัญชีธนาคาร รวมถึงความยุ่งยากในการปรับตัวในที่ใหม่ที่ไม่มีความคุ้นเคย และความโดดเดี่ยวที่อาจเกิดขึ้นเมื่อตัดขาดจากคนใกล้ตัว ยิ่งไปกว่านั้น เทคโนโลยีในยุคนี้ทำให้ข้อมูลเก่าอาจถูกค้นพบได้ง่าย การเริ่มต้นใหม่จึงไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิด วิธีนี้จึงเหมาะกับคนที่มีเหตุผลจำเป็นและชัดเจน เช่น ผู้ที่อยู่ในสถานการณ์คุกคามรุนแรง หรือคนที่พยายามทุกวิธีแล้วแต่ปัญหายังแก้ไม่ตก และพร้อมจะรับมือกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตทั้งทางกายและใจ รวมถึงมีแผนรองรับชีวิตใหม่อย่างชัดเจน มีงาน เงินทุน และผู้สนับสนุน แต่ในทางตรงกันข้าม หากปัญหาแก้ไขได้ด้วยการสื่อสารหรือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมภายในกรอบเดิม การตัดขาดสุดโต่งอาจเป็นทางเลือกที่เกินความจำเป็น เสียโอกาสในการเติบโตอย่างสร้างสรรค์ การรีเซตชีวิต อาจเป็นทางเลือกที่มีพลังสำหรับคนบางกลุ่ม แต่ต้องแลกมาด้วยความเสี่ยง ความยุ่งยาก และการสูญเสียบางอย่างที่ไม่อาจประเมินค่าได้ จึงควรทำด้วยความรอบคอบ ประเมินสถานการณ์และความพร้อมทั้งด้านกาย ใจ และสังคมอย่างละเอียด หากต้องการความมั่นใจ การขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยา ทนายความ หรือที่ปรึกษาชีวิตจะช่วยให้เส้นทางนี้ปลอดภัยและเหมาะสมมากขึ้น เพราะสุดท้ายแล้วการเริ่มต้นใหม่ไม่ได้หมายความว่าต้องหนีจากอดีตเสมอไป บางครั้งการเผชิญหน้าและเรียนรู้จากอดีตก็สามารถนำไปสู่ชีวิตที่ดีกว่าได้เช่นกัน #Newskit - Jetstar Asia โบกมือลา ยุติกิจการ 31 ก.ค.นี้
ธุรกิจการบินในอาเซียนเริ่มมีผู้ออกจากเกม เมื่อเจ็ทสตาร์ กรุ๊ป (Jetstar Group) ประกาศปิดกิจการสายการบินเจ็ทสตาร์ เอเชีย (Jetstar Asia) ซึ่งมีฐานการบินอยู่ในประเทศสิงคโปร์ ภายใต้รหัส 3K โดยทยอยลดเที่ยวบินลง ก่อนยุติกิจการในวันที่ 31 ก.ค. 2568 ให้เหตุผลว่าสายการบินฯ ต้องเผชิญกับความท้าทายมากขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทั้งต้นทุนจากผู้ให้บริการที่เพิ่มขึ้น ค่าธรรมเนียมสนามบิน และค่าบริการด้านการบิน รวมถึงการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นในภูมิภาค แม้จะพยายามลดผลกระทบจากต้นทุนที่สูงขึ้น แต่ก็ยังไม่สามารถรักษาราคาค่าโดยสารให้ถูกลงได้อย่างยั่งยืน
สำหรับเที่ยวบินของเจ็ทสตาร์เอเชีย (รหัส 3K) ยังคงให้บริการตามปกติ แต่อาจมีการลดจำนวนเที่ยวบินลง หากมีการเปลี่ยนแปลงเที่ยวบินจะติดต่อกลับไปยังผู้โดยสาร หากไม่ได้รับการติดต่อแสดงว่าเที่ยวบินยังคงให้บริการตามปกติ แต่หากเดินทางหลังวันที่ 31 ก.ค. มีสิทธิ์ขอคืนเงินเต็มจำนวนไปยังช่องทางที่ใช้ชำระเงิน และจะมีการติดต่อกลับโดยตรง หรือเข้าไปที่หน้า Manage Booking เพื่อดำเนินการคืนเงินด้วยตนเอง อย่างไรก็ตาม ผู้โดยสารที่จองเที่ยวบินกับสายการบินเจ็ทสตาร์แอร์เวย์ส (รหัส JQ) หรือเจ็ทสตาร์ เจแปน (รหัส GK) จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเที่ยวบินใดๆ
สายการบินเจ็ทสตาร์ เอเชีย (3K) เป็นสายการบินราคาประหยัดในกลุ่มเจ็ทสตาร์ กรุ๊ป ซึ่งมีบริษัทเวสต์บรู๊ค อินเวสต์เมนต์ ประเทศสิงคโปร์ ถือหุ้น 51% และกลุ่มบริษัทสายการบินแควนตัส (Qantas) จากออสเตรเลียถือหุ้น 49% มีฐานการบินที่ประเทศสิงคโปร์ เปิดให้บริการครั้งแรกเมื่อวันที่ 13 ธ.ค. 2546 เส้นทางสิงคโปร์-ฮ่องกง ปัจจุบันให้บริการเส้นทางบินระหว่างประเทศระยะสั้น จากท่าอากาศยานชางงี ประเทศสิงคโปร์ ไปยัง 16 เส้นทางใน 9 ประเทศ เช่น ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น จีน มาเลเซีย ศรีลังกา อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และประเทศไทย ไปยังปลายทางกรุงเทพฯ (สุวรรณภูมิ) ภูเก็ต และกระบี่
เส้นทางยอดนิยมของสายการบินนี้ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร (สุวรรณภูมิ) ไป-กลับสัปดาห์ละ 28 เที่ยวบิน เดนปาซาร์ (บาหลี) อินโดนีเซีย 28 เที่ยวบิน จาการ์ตา อินโดนีเซีย 21 เที่ยวบิน กัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย 21 เที่ยวบิน มะนิลา ฟิลิปปินส์ 18 เที่ยวบิน และภูเก็ต 15 เที่ยวบิน การปิดกิจการของเจ็ทสตาร์ เอเชีย จะกระทบกับพนักงานมากกว่า 500 คนในสิงคโปร์ที่ถูกเลิกจ้าง ส่วนเครื่องบินแอร์บัส A320 จำนวน 13 ลำ จะทยอยถูกนำกลับไปใช้ให้บริการเส้นทางบินภายในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ช่วยเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินให้กลุ่มแควนตัสได้ถึง 500 ล้านเหรียญออสเตรเลีย
#NewskitJetstar Asia โบกมือลา ยุติกิจการ 31 ก.ค.นี้ ธุรกิจการบินในอาเซียนเริ่มมีผู้ออกจากเกม เมื่อเจ็ทสตาร์ กรุ๊ป (Jetstar Group) ประกาศปิดกิจการสายการบินเจ็ทสตาร์ เอเชีย (Jetstar Asia) ซึ่งมีฐานการบินอยู่ในประเทศสิงคโปร์ ภายใต้รหัส 3K โดยทยอยลดเที่ยวบินลง ก่อนยุติกิจการในวันที่ 31 ก.ค. 2568 ให้เหตุผลว่าสายการบินฯ ต้องเผชิญกับความท้าทายมากขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทั้งต้นทุนจากผู้ให้บริการที่เพิ่มขึ้น ค่าธรรมเนียมสนามบิน และค่าบริการด้านการบิน รวมถึงการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นในภูมิภาค แม้จะพยายามลดผลกระทบจากต้นทุนที่สูงขึ้น แต่ก็ยังไม่สามารถรักษาราคาค่าโดยสารให้ถูกลงได้อย่างยั่งยืน สำหรับเที่ยวบินของเจ็ทสตาร์เอเชีย (รหัส 3K) ยังคงให้บริการตามปกติ แต่อาจมีการลดจำนวนเที่ยวบินลง หากมีการเปลี่ยนแปลงเที่ยวบินจะติดต่อกลับไปยังผู้โดยสาร หากไม่ได้รับการติดต่อแสดงว่าเที่ยวบินยังคงให้บริการตามปกติ แต่หากเดินทางหลังวันที่ 31 ก.ค. มีสิทธิ์ขอคืนเงินเต็มจำนวนไปยังช่องทางที่ใช้ชำระเงิน และจะมีการติดต่อกลับโดยตรง หรือเข้าไปที่หน้า Manage Booking เพื่อดำเนินการคืนเงินด้วยตนเอง อย่างไรก็ตาม ผู้โดยสารที่จองเที่ยวบินกับสายการบินเจ็ทสตาร์แอร์เวย์ส (รหัส JQ) หรือเจ็ทสตาร์ เจแปน (รหัส GK) จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเที่ยวบินใดๆ สายการบินเจ็ทสตาร์ เอเชีย (3K) เป็นสายการบินราคาประหยัดในกลุ่มเจ็ทสตาร์ กรุ๊ป ซึ่งมีบริษัทเวสต์บรู๊ค อินเวสต์เมนต์ ประเทศสิงคโปร์ ถือหุ้น 51% และกลุ่มบริษัทสายการบินแควนตัส (Qantas) จากออสเตรเลียถือหุ้น 49% มีฐานการบินที่ประเทศสิงคโปร์ เปิดให้บริการครั้งแรกเมื่อวันที่ 13 ธ.ค. 2546 เส้นทางสิงคโปร์-ฮ่องกง ปัจจุบันให้บริการเส้นทางบินระหว่างประเทศระยะสั้น จากท่าอากาศยานชางงี ประเทศสิงคโปร์ ไปยัง 16 เส้นทางใน 9 ประเทศ เช่น ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น จีน มาเลเซีย ศรีลังกา อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และประเทศไทย ไปยังปลายทางกรุงเทพฯ (สุวรรณภูมิ) ภูเก็ต และกระบี่ เส้นทางยอดนิยมของสายการบินนี้ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร (สุวรรณภูมิ) ไป-กลับสัปดาห์ละ 28 เที่ยวบิน เดนปาซาร์ (บาหลี) อินโดนีเซีย 28 เที่ยวบิน จาการ์ตา อินโดนีเซีย 21 เที่ยวบิน กัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย 21 เที่ยวบิน มะนิลา ฟิลิปปินส์ 18 เที่ยวบิน และภูเก็ต 15 เที่ยวบิน การปิดกิจการของเจ็ทสตาร์ เอเชีย จะกระทบกับพนักงานมากกว่า 500 คนในสิงคโปร์ที่ถูกเลิกจ้าง ส่วนเครื่องบินแอร์บัส A320 จำนวน 13 ลำ จะทยอยถูกนำกลับไปใช้ให้บริการเส้นทางบินภายในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ช่วยเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินให้กลุ่มแควนตัสได้ถึง 500 ล้านเหรียญออสเตรเลีย #Newskit - เตือนทักษิณ-อุ๊งอิ๊งค์ ระวังประวัติศาสตร์ซ้ำรอย
เมื่อวันที่ 10 มิ.ย. นายสนธิ ลิ้มทองกุล นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน พร้อมคณะยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อให้ทำหน้าที่ปกป้องรักษาอธิปไตย และความมั่นคงของชาติ โดยมีข้อเรียกร้อง 6 ข้อ ได้แก่ 1. รัฐบาลไทยต้องประกาศย้ำไม่ยอมรับอำนาจศาลโลก และจะใช้กลไกการเจรจาเรื่องเขตแดนผ่านคณะกรรมาธิการร่วมเขตแดนไทย-กัมพูชา (JBC) เท่านั้น
2. รัฐบาลไทยต้องประท้วงอย่างเป็นทางการทั้งต่อกัมพูชาและสากลว่า ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด ปราสาทตาควาย และสามเหลี่ยมมรกต ศาลาตรีมุข เป็นดินแดนไทย และไม่ใช่ No man’s land 3. ยกเลิก MOU 2543 เพื่อยกเลิกแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ที่จัดทำขึ้นโดยฝรั่งเศสแต่เพียงฝ่ายเดียว และให้ใช้กลไก JBC กำหนดจัดทำหลักเขตที่สูญหาย ตามสันปันน้ำและขอบหน้าผาตามธรรมชาติ โดยใช้เทคโนโลยีที่เป็นวิทยาศาสตร์
4. ยกเลิก MOU 2544 เพื่อยกเลิกเส้นไหล่ทวีปที่รุกล้ำอธิปไตยน่านน้ำไทย ให้ใช้กลไกของคณะกรรมาธิการทางเทคนิคในทะเลไทย-กัมพูชา (JTC) กำหนดใช้เส้นมัธยะตามกฎหมายทะเลสากล 5. สั่งการและมีมติเพิ่มอำนาจต่อรองก่อนการประชุม JBC ยังคงหรือลดเวลาเปิดด่านไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะพื้นที่บ่อนคาสิโน เพื่อต่อรองให้หยุดการก่ออาชญากรรมทางเทคโนโลยี และ 6. หากสถานการณ์ไทย-กัมพูชาเลวร้ายลง ให้กองทัพไทยสามารถประกาศกฎอัยการศึก เพื่อป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อน
นายสนธิ กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ เพราะนายวีระ สมความคิด เป็นเหยื่อของคนที่ต้องการยกพื้นที่ประเทศไทยให้กัมพูชา ข้อเท็จจริงซึ่งพิสูจน์และปฎิเสธไม่ได้เลย คือ นายวีระตอนถูกจับยังไม่ถึงหมู่บ้านหนองจาน อีกทั้งตนไม่ได้สนใจเลยว่านายทักษิณ ชินวัตร และกรณีชั้น 14 จะตายโหงตายห่ายังไง เพราะรู้ว่าเมื่อเข้าสู่กระบวนการแล้วก็ต้องเป็นไปตามกระบวนการ แต่ตนสนใจคนที่ทรยศต่อชาติบ้านเมืองที่อยู่ในประเทศไทย ที่แอบส่งเสริมให้กัมพูชามายึดพื้นที่ของเรา
"ผมยังยืนยันว่าเวลาที่จะต้องออกมาแสดงพลังกันทั่วประเทศนั้น มันคุกรุ่นมากและใกล้จะมาถึงแล้ว เพราะฉะนั้นแล้วถ้าคุณจะถามผมว่าจะมีการลงถนนไหม ก็ถ้าจำเป็นเพื่อที่จะปกป้องอธิปไตยไทย แล้วขับไล่รัฐบาลชั่วช้าแบบนี้ไป ถ้าจะลงถนนผมไม่ขัดข้อง ถึงอายุ 78 ปีแล้ว จะเป็นการลงถนนครั้งสุดท้ายก่อนตายผมก็ยินดี และผมก็เชื่อว่าพี่น้องเยอะแยะ อย่างน้อยทุกคนที่บนโต๊ะนี้ ผมเชื่อว่าเอากับผมแน่นอน เอากับพวกเรากันแน่นอน เพราะฉะนั้นแล้วผมจะฝากถึงแพทองธาร ชินวัตร ภูมิธรรม เวชยชัย และทักษิณ ชินวัตร ว่าประวัติศาสตร์กำลังจะซ้ำรอยพวกคุณ"
#Newskitเตือนทักษิณ-อุ๊งอิ๊งค์ ระวังประวัติศาสตร์ซ้ำรอย เมื่อวันที่ 10 มิ.ย. นายสนธิ ลิ้มทองกุล นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน พร้อมคณะยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อให้ทำหน้าที่ปกป้องรักษาอธิปไตย และความมั่นคงของชาติ โดยมีข้อเรียกร้อง 6 ข้อ ได้แก่ 1. รัฐบาลไทยต้องประกาศย้ำไม่ยอมรับอำนาจศาลโลก และจะใช้กลไกการเจรจาเรื่องเขตแดนผ่านคณะกรรมาธิการร่วมเขตแดนไทย-กัมพูชา (JBC) เท่านั้น 2. รัฐบาลไทยต้องประท้วงอย่างเป็นทางการทั้งต่อกัมพูชาและสากลว่า ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด ปราสาทตาควาย และสามเหลี่ยมมรกต ศาลาตรีมุข เป็นดินแดนไทย และไม่ใช่ No man’s land 3. ยกเลิก MOU 2543 เพื่อยกเลิกแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ที่จัดทำขึ้นโดยฝรั่งเศสแต่เพียงฝ่ายเดียว และให้ใช้กลไก JBC กำหนดจัดทำหลักเขตที่สูญหาย ตามสันปันน้ำและขอบหน้าผาตามธรรมชาติ โดยใช้เทคโนโลยีที่เป็นวิทยาศาสตร์ 4. ยกเลิก MOU 2544 เพื่อยกเลิกเส้นไหล่ทวีปที่รุกล้ำอธิปไตยน่านน้ำไทย ให้ใช้กลไกของคณะกรรมาธิการทางเทคนิคในทะเลไทย-กัมพูชา (JTC) กำหนดใช้เส้นมัธยะตามกฎหมายทะเลสากล 5. สั่งการและมีมติเพิ่มอำนาจต่อรองก่อนการประชุม JBC ยังคงหรือลดเวลาเปิดด่านไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะพื้นที่บ่อนคาสิโน เพื่อต่อรองให้หยุดการก่ออาชญากรรมทางเทคโนโลยี และ 6. หากสถานการณ์ไทย-กัมพูชาเลวร้ายลง ให้กองทัพไทยสามารถประกาศกฎอัยการศึก เพื่อป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อน นายสนธิ กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ เพราะนายวีระ สมความคิด เป็นเหยื่อของคนที่ต้องการยกพื้นที่ประเทศไทยให้กัมพูชา ข้อเท็จจริงซึ่งพิสูจน์และปฎิเสธไม่ได้เลย คือ นายวีระตอนถูกจับยังไม่ถึงหมู่บ้านหนองจาน อีกทั้งตนไม่ได้สนใจเลยว่านายทักษิณ ชินวัตร และกรณีชั้น 14 จะตายโหงตายห่ายังไง เพราะรู้ว่าเมื่อเข้าสู่กระบวนการแล้วก็ต้องเป็นไปตามกระบวนการ แต่ตนสนใจคนที่ทรยศต่อชาติบ้านเมืองที่อยู่ในประเทศไทย ที่แอบส่งเสริมให้กัมพูชามายึดพื้นที่ของเรา "ผมยังยืนยันว่าเวลาที่จะต้องออกมาแสดงพลังกันทั่วประเทศนั้น มันคุกรุ่นมากและใกล้จะมาถึงแล้ว เพราะฉะนั้นแล้วถ้าคุณจะถามผมว่าจะมีการลงถนนไหม ก็ถ้าจำเป็นเพื่อที่จะปกป้องอธิปไตยไทย แล้วขับไล่รัฐบาลชั่วช้าแบบนี้ไป ถ้าจะลงถนนผมไม่ขัดข้อง ถึงอายุ 78 ปีแล้ว จะเป็นการลงถนนครั้งสุดท้ายก่อนตายผมก็ยินดี และผมก็เชื่อว่าพี่น้องเยอะแยะ อย่างน้อยทุกคนที่บนโต๊ะนี้ ผมเชื่อว่าเอากับผมแน่นอน เอากับพวกเรากันแน่นอน เพราะฉะนั้นแล้วผมจะฝากถึงแพทองธาร ชินวัตร ภูมิธรรม เวชยชัย และทักษิณ ชินวัตร ว่าประวัติศาสตร์กำลังจะซ้ำรอยพวกคุณ" #Newskit - รวบหมอแอร์คนดังค้ายาเสียสาว
หลังหายเงียบไปนาน หมอแอร์ พ.ต.อ.พญ.อัญชุลี ธีระวงศ์ไพศาล นายแพทย์ (สัญญาบัตร 5) กลุ่มงานเวชศาสตร์ครอบครัว โรงพยาบาลตำรวจ วัย 46 ปี ตกเป็นข่าวอีกครั้ง เมื่อคณะทำงานปราบปรามยาเสพติด กระทรวงสาธารณสุข นำเจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ตรวจค้นแฟลตตำรวจเฉลิมลาภ ย่านพญาไท กทม. ยึดของกลางยาอัลปราโซแลม หรือยาเสียสาว ซึ่งเป็นกลุ่มยานอนหลับ บรรจุอยู่ในกล่องลังกว่า 10 กล่อง นอกจากนี้ ยังจับกุมหมอแอร์ที่บ้านพักในย่านราชดำริ กทม. ได้ผู้ต้องหาทั้งหมดรวม 4 ราย
จากการสืบสวนพบว่าหมอแอร์สั่งซื้อยาตั้งแต่ปี 2565-2568 จำนวน 15 ล้านบาท ทาง อย. เห็นความผิดปกติ จึงร่วมกับตำรวจตรวจสอบเส้นทางการเงิน พบว่ามีการแอบอ้างคลินิก 11 แห่งสั่งซื้อยา มีเงินหมุนเวียนสูงถึง 400 ล้านบาท โดยหมอแอร์เป็นคนสั่งซื้อ และจ่ายเงินเพียงคนเดียว ตรวจสอบผู้ป่วยที่มารับยาจากคลินิกของหมอแอร์ พบว่ามีสถานะเสียชีวิตก่อนรับยาตั้งแต่ปี 2567-2568 รวม 370 คน และเมื่อตรวจสอบเส้นทางเงินของหมอแอร์ พบความผิดปกติ มีเงินหมุนเวียนในบัญชีกว่า 80 ล้านบาท ซึ่งไม่พบแหล่งที่มาชัดเจน อีกทั้งยังมีเส้นทางการเงินร่วมกับบุคคลอื่นอีกกว่า 400 ล้านบาท
หมอแอร์เป็นชาวอำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ ในครอบครัวคนไทยเชื้อสายจีน จบปริญญาตรีแพทยศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยขอนแก่น แล้วศึกษาต่อด้านจิตเวชศาสตร์เด็กและวัยรุ่น คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล มีชื่อเสียงจากการเป็นจิตแพทย์รับเชิญในรายการโทรทัศน์ช่วงปี 2550 แต่ที่เป็นข่าวโด่งดังในปี 2558 ถูกกล่าวหาว่าเป็นมือที่สามระหว่าง พ.ต.ท.อรรถพล อิทธโยภาสกุล หรือรองอั๋น กับไฮโซตั๋ม วิชชุดา ลีนุตพงษ์ ลูกสาวคนโตของนายวิเชียร ลีนุตพงษ์ หนึ่งในผู้บริหารใหญ่ค่ายรถยนต์ยนตรกิจ เกิดการเผชิญหน้าพร้อมวาทะคู่กรณี "มีอะไรพูดต่อหน้า ไม่ต้องแอ๊บแบ๊วแบบนี้ คนเค้าดูออก"
อย่างไรก็ตาม ในปี 2559 ชีวิตคู่ของหมอแอร์ก็ลงเอยกับ นายอธิษฐาน เพ็ชรรัตน์ หรือปราณ ทายาทธุรกิจค้าไม้และอสังหาริมทรัพย์ มีลูก 2 คน หนึ่งในนั้นไปคลอดที่ไมอามี่ สหรัฐอเมริกา เมืิ่อปี 2562 อ้างว่าเพื่ออนาคตและโอกาสที่ดีของลูก และในปี 2564 เคยออกมาคอลเอาต์คัดค้านการจัดซื้อวัคซีนโควิด-19 ยี่ห้อซิโนแวค 12 ล้านโดส สมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในห้วงเวลาเดียวกับกลุ่มม็อบราษฎร และกลุ่มผู้สนับสนุนนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ออกมาเรียกร้องให้จัดซื้อวัคซีน mRNA เช่น ไฟเซอร์ โมเดอร์นา ก่อนเงียบหายไปจากพื้นที่ข่าว แล้วมีข่าวว่าถูกจับกุมในวันนี้
#Newskitรวบหมอแอร์คนดังค้ายาเสียสาว หลังหายเงียบไปนาน หมอแอร์ พ.ต.อ.พญ.อัญชุลี ธีระวงศ์ไพศาล นายแพทย์ (สัญญาบัตร 5) กลุ่มงานเวชศาสตร์ครอบครัว โรงพยาบาลตำรวจ วัย 46 ปี ตกเป็นข่าวอีกครั้ง เมื่อคณะทำงานปราบปรามยาเสพติด กระทรวงสาธารณสุข นำเจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ตรวจค้นแฟลตตำรวจเฉลิมลาภ ย่านพญาไท กทม. ยึดของกลางยาอัลปราโซแลม หรือยาเสียสาว ซึ่งเป็นกลุ่มยานอนหลับ บรรจุอยู่ในกล่องลังกว่า 10 กล่อง นอกจากนี้ ยังจับกุมหมอแอร์ที่บ้านพักในย่านราชดำริ กทม. ได้ผู้ต้องหาทั้งหมดรวม 4 ราย จากการสืบสวนพบว่าหมอแอร์สั่งซื้อยาตั้งแต่ปี 2565-2568 จำนวน 15 ล้านบาท ทาง อย. เห็นความผิดปกติ จึงร่วมกับตำรวจตรวจสอบเส้นทางการเงิน พบว่ามีการแอบอ้างคลินิก 11 แห่งสั่งซื้อยา มีเงินหมุนเวียนสูงถึง 400 ล้านบาท โดยหมอแอร์เป็นคนสั่งซื้อ และจ่ายเงินเพียงคนเดียว ตรวจสอบผู้ป่วยที่มารับยาจากคลินิกของหมอแอร์ พบว่ามีสถานะเสียชีวิตก่อนรับยาตั้งแต่ปี 2567-2568 รวม 370 คน และเมื่อตรวจสอบเส้นทางเงินของหมอแอร์ พบความผิดปกติ มีเงินหมุนเวียนในบัญชีกว่า 80 ล้านบาท ซึ่งไม่พบแหล่งที่มาชัดเจน อีกทั้งยังมีเส้นทางการเงินร่วมกับบุคคลอื่นอีกกว่า 400 ล้านบาท หมอแอร์เป็นชาวอำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ ในครอบครัวคนไทยเชื้อสายจีน จบปริญญาตรีแพทยศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยขอนแก่น แล้วศึกษาต่อด้านจิตเวชศาสตร์เด็กและวัยรุ่น คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล มีชื่อเสียงจากการเป็นจิตแพทย์รับเชิญในรายการโทรทัศน์ช่วงปี 2550 แต่ที่เป็นข่าวโด่งดังในปี 2558 ถูกกล่าวหาว่าเป็นมือที่สามระหว่าง พ.ต.ท.อรรถพล อิทธโยภาสกุล หรือรองอั๋น กับไฮโซตั๋ม วิชชุดา ลีนุตพงษ์ ลูกสาวคนโตของนายวิเชียร ลีนุตพงษ์ หนึ่งในผู้บริหารใหญ่ค่ายรถยนต์ยนตรกิจ เกิดการเผชิญหน้าพร้อมวาทะคู่กรณี "มีอะไรพูดต่อหน้า ไม่ต้องแอ๊บแบ๊วแบบนี้ คนเค้าดูออก" อย่างไรก็ตาม ในปี 2559 ชีวิตคู่ของหมอแอร์ก็ลงเอยกับ นายอธิษฐาน เพ็ชรรัตน์ หรือปราณ ทายาทธุรกิจค้าไม้และอสังหาริมทรัพย์ มีลูก 2 คน หนึ่งในนั้นไปคลอดที่ไมอามี่ สหรัฐอเมริกา เมืิ่อปี 2562 อ้างว่าเพื่ออนาคตและโอกาสที่ดีของลูก และในปี 2564 เคยออกมาคอลเอาต์คัดค้านการจัดซื้อวัคซีนโควิด-19 ยี่ห้อซิโนแวค 12 ล้านโดส สมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในห้วงเวลาเดียวกับกลุ่มม็อบราษฎร และกลุ่มผู้สนับสนุนนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ออกมาเรียกร้องให้จัดซื้อวัคซีน mRNA เช่น ไฟเซอร์ โมเดอร์นา ก่อนเงียบหายไปจากพื้นที่ข่าว แล้วมีข่าวว่าถูกจับกุมในวันนี้ #Newskit - สหรัฐฯ ใช้คำหยาบคาย มากที่สุดบนโลกออนไลน์
เมื่อวันก่อน สองนักวิจัย ดร.มาร์ติน ชไวน์เบอร์เกอร์ จากมหาวิทยาลัยควีนส์แลนด์ และ ศ.เคท เบอร์ริดจ์ จากมหาวิทยาลัยโมนาช ประเทศออสเตรเลีย เปิดเผยผลการศึกษาในหัวข้อ "Vulgarity in online discourse around the English-speaking world" (ความหยาบคายในบทสนทนาออนไลน์ทั่วโลกที่ใช้ภาษาอังกฤษ) ตีพิมพ์ลงในวารสารวิชาการลินกัว (Lingua) วิเคราะห์คำหยาบจากเนื้อหาออนไลน์กว่า 1.7 พันล้านคำในคลังข้อมูล GloWbE (Global Web-Based English Corpus)
ผลการศึกษาพบว่า จาก 20 ประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน สหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักรมีการใช้คำหยาบมากกว่าออสเตรเลีย โดย สหรัฐอเมริกามีคำหยาบคิดเป็น 0.036% ของเนื้อหาออนไลน์ รองลงมาคือ สหราชอาณาจักร 0.025% และออสเตรเลีย 0.022% ถึงกระนั้น แม้ออสเตรเลียจะมีสัดส่วนการใช้คำหยาบน้อยกว่า แต่การศึกษาพบว่าออสเตรเลียมีความคิดสร้างสรรค์ในการใช้คำหยาบสูง เช่น คำว่า “cockknuckle” ที่ไม่พบในประเทศอื่นๆ
สำหรับศัพท์ที่ใช้บ่อยที่สุดในแต่ละประเทศ สหรัฐอเมริกานิยมใช้คำว่า “*******” ส่วนสหราชอาณาจักรนิยมใช้คำว่า “cunt” ขณะที่ออสเตรเลียใช้คำว่า “crap” บ่อยที่สุด ส่วนประเทศในภูมิภาคอาเซียน พบว่าสิงคโปร์ใช้คำหยาบคายอันดับที่ 4 มาเลเซียอยู่อันดับที่ 6 แต่ประเทศที่ใช้คำหยาบคายต่ำที่สุดคือบังคลาเทศ กานา และแทนซาเนีย
อย่างไรก็ตาม การศึกษานี้อาจมีข้อจำกัด เนื่องจากข้อมูลจากบล็อกของออสเตรเลียไม่ได้รวมอยู่ในชุดข้อมูล ซึ่งอาจทำให้สัดส่วนการใช้คำหยาบของออสเตรเลียต่ำกว่าความเป็นจริง นอกจากนี้ การใช้คำหยาบยังมีบริบทและความหมายที่แตกต่างกันในแต่ละวัฒนธรรม เช่น คำว่า “cunt” ที่ถือว่าเป็นคำหยาบรุนแรงในหลายประเทศ แต่ในหมู่คนรุ่นใหม่ของออสเตรเลียกลับมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ของออสเตรเลียที่มองว่าเป็นเรื่องปกติ
ผู้เขียนงานวิจัยกล่าวในตอนหนึ่งว่า ภาษาหยาบคายเป็นสนามเด็กเล่นตามธรรมชาติ สำหรับการปลดปล่อยความคิดสร้างสรรค์ทางภาษา ภาษาหยาบคายใช้ประโยชน์จากข้อห้ามและความกลัวทางสังคม เพื่อสร้างผลกระทบผ่านปริมาณความสั่นสะเทือน พลังทางอารมณ์ และผลกระทบทางสังคมเมื่อละเมิดขอบเขต
นอกจากนี้ เป็นไปได้ว่าในสหรัฐอเมริกา ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับลัทธิที่เคร่งครัดของนิกายโปรเตสแตนต์ ความศรัทธาในศาสนาคริสต์ และความถือตัว ผู้คนมักไม่ค่อยใช้คำหยาบคายในที่สาธารณะ นั่นอาจหมายความว่าพวกเขามีแนวโน้มที่จะเปิดเผยเรื่องเหล่านี้ทางออนไลน์มากขึ้น ส่วนชาวออสเตรเลียมีแนวโน้มที่จะพูดคุยแบบเห็นหน้ามากขึ้น และที่ทำได้ดีกว่าคือความคิดสร้างสรรค์
#Newskitสหรัฐฯ ใช้คำหยาบคาย มากที่สุดบนโลกออนไลน์ เมื่อวันก่อน สองนักวิจัย ดร.มาร์ติน ชไวน์เบอร์เกอร์ จากมหาวิทยาลัยควีนส์แลนด์ และ ศ.เคท เบอร์ริดจ์ จากมหาวิทยาลัยโมนาช ประเทศออสเตรเลีย เปิดเผยผลการศึกษาในหัวข้อ "Vulgarity in online discourse around the English-speaking world" (ความหยาบคายในบทสนทนาออนไลน์ทั่วโลกที่ใช้ภาษาอังกฤษ) ตีพิมพ์ลงในวารสารวิชาการลินกัว (Lingua) วิเคราะห์คำหยาบจากเนื้อหาออนไลน์กว่า 1.7 พันล้านคำในคลังข้อมูล GloWbE (Global Web-Based English Corpus) ผลการศึกษาพบว่า จาก 20 ประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน สหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักรมีการใช้คำหยาบมากกว่าออสเตรเลีย โดย สหรัฐอเมริกามีคำหยาบคิดเป็น 0.036% ของเนื้อหาออนไลน์ รองลงมาคือ สหราชอาณาจักร 0.025% และออสเตรเลีย 0.022% ถึงกระนั้น แม้ออสเตรเลียจะมีสัดส่วนการใช้คำหยาบน้อยกว่า แต่การศึกษาพบว่าออสเตรเลียมีความคิดสร้างสรรค์ในการใช้คำหยาบสูง เช่น คำว่า “cockknuckle” ที่ไม่พบในประเทศอื่นๆ สำหรับศัพท์ที่ใช้บ่อยที่สุดในแต่ละประเทศ สหรัฐอเมริกานิยมใช้คำว่า “asshole” ส่วนสหราชอาณาจักรนิยมใช้คำว่า “cunt” ขณะที่ออสเตรเลียใช้คำว่า “crap” บ่อยที่สุด ส่วนประเทศในภูมิภาคอาเซียน พบว่าสิงคโปร์ใช้คำหยาบคายอันดับที่ 4 มาเลเซียอยู่อันดับที่ 6 แต่ประเทศที่ใช้คำหยาบคายต่ำที่สุดคือบังคลาเทศ กานา และแทนซาเนีย อย่างไรก็ตาม การศึกษานี้อาจมีข้อจำกัด เนื่องจากข้อมูลจากบล็อกของออสเตรเลียไม่ได้รวมอยู่ในชุดข้อมูล ซึ่งอาจทำให้สัดส่วนการใช้คำหยาบของออสเตรเลียต่ำกว่าความเป็นจริง นอกจากนี้ การใช้คำหยาบยังมีบริบทและความหมายที่แตกต่างกันในแต่ละวัฒนธรรม เช่น คำว่า “cunt” ที่ถือว่าเป็นคำหยาบรุนแรงในหลายประเทศ แต่ในหมู่คนรุ่นใหม่ของออสเตรเลียกลับมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ของออสเตรเลียที่มองว่าเป็นเรื่องปกติ ผู้เขียนงานวิจัยกล่าวในตอนหนึ่งว่า ภาษาหยาบคายเป็นสนามเด็กเล่นตามธรรมชาติ สำหรับการปลดปล่อยความคิดสร้างสรรค์ทางภาษา ภาษาหยาบคายใช้ประโยชน์จากข้อห้ามและความกลัวทางสังคม เพื่อสร้างผลกระทบผ่านปริมาณความสั่นสะเทือน พลังทางอารมณ์ และผลกระทบทางสังคมเมื่อละเมิดขอบเขต นอกจากนี้ เป็นไปได้ว่าในสหรัฐอเมริกา ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับลัทธิที่เคร่งครัดของนิกายโปรเตสแตนต์ ความศรัทธาในศาสนาคริสต์ และความถือตัว ผู้คนมักไม่ค่อยใช้คำหยาบคายในที่สาธารณะ นั่นอาจหมายความว่าพวกเขามีแนวโน้มที่จะเปิดเผยเรื่องเหล่านี้ทางออนไลน์มากขึ้น ส่วนชาวออสเตรเลียมีแนวโน้มที่จะพูดคุยแบบเห็นหน้ามากขึ้น และที่ทำได้ดีกว่าคือความคิดสร้างสรรค์ #Newskit - ลดเวลาพำนักไทย-เขมร จาก 60 เหลือ 7 วัน
ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา ก่อให้เกิดมาตรการตอบโต้ระหว่างสองประเทศ จากการจำกัดเวลาเปิด-ปิดด่านพรมแดน และการให้ผ่านแดนเฉพาะบุคคลที่มีเหตุจำเป็น เช่น การค้าขาย การขนส่งสินค้า แรงงาน และงานจำเป็นอื่นๆ แต่ปิดตายห้ามนักท่องเที่ยวและนักพนันชาวไทยข้ามไปยังฝั่งกัมพูชา ล่าสุดกัมพูชาจำกัดระยะเวลาพำนักของชาวไทยที่เดินทางเข้ากัมพูชา จากเดิม 60 วัน เหลือเพียง 7 วัน ตามคำสั่งของผู้นำกัมพูชา เมื่อครบกำหนดต้องเดินทางออกนอกประเทศและประทับตราหนังสือเดินทางใหม่ ทำให้กระทรวงการต่างประเทศของไทยประกาศว่า ฝ่ายไทยได้ปรับลดระยะเวลาพำนักของชาวกัมพูชาเหลือเพียง 7 วันเช่นกัน
นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ตอบคำถามผู้สื่อข่าวเมื่อวันที่ 9 มิ.ย. ระบุว่า ได้รับทราบเหมือนกันว่ากัมพูชาลดจำนวนวันสำหรับการเดินทางเข้ากัมพูชาเหลือ 7 วัน ส่วนฝ่ายไทยได้ปรับลดเป็น 7 วันเช่นเดียวกัน ส่วนจะมีไปถึงเมื่อใดนั้น ทั้งสองฝ่ายยังไม่กำหนดจึงยังตอบไม่ได้ รอให้สถานการณ์ดีขึ้นคงจะหันมาคุยกันเรื่องการเพิ่มวันเป็นลำดับต่อไป แต่ยังไม่ใช่ความสำคัญอันดับต้นในขณะนี้
นอกจากนี้ ศูนย์อำนวยการขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยคุกคามที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน (ศอ.ปชด.) เตรียมเสนอสภาความมั่นคงแห่งชาติ ยกระดับมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมเทคโนโลยี และการค้ามนุษย์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา เช่น การตัดกระแสไฟฟ้า การระงับสัญญาณอินเทอร์เน็ต ที่ส่งเข้าไปในพื้นที่ที่เป็นบ่อนการพนันและสแกมเมอร์ การควบคุมสินค้าและยุทโธปกรณ์ที่อาจนำไปใช้ในการก่ออาชญากรรมทางเทคโนโลยี และอาชญากรรมข้ามชาติอื่นๆ อีกด้วย
สำหรับกัมพูชา เคยเป็น 1 ใน 93 ประเทศที่ทางการไทยมีมาตรการฟรีวีซ่า กำหนดให้เข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเพื่อการท่องเที่ยว ทำงานหรือติดต่อธุรกิจระยะสั้นได้รับการยกเว้นการตรวจลงตรา และให้อยู่ในราชอาณาจักรได้ไม่เกิน 60 วัน เป็นกรณีพิเศษ แต่ที่ผ่านมาภาคการท่องเที่ยวเคยเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนปรับมาตรการฟรีวีซ่าจาก 60 วัน เหลือ 30 วัน หลังพบว่ามีชาวต่างชาติเข้ามาอยู่ไทยนานเกินไป ทำธุรกิจแบบผิดกฎหมาย แย่งงานแย่งอาชีพคนไทย อีกทั้งชาวต่างชาติที่เข้ามาเพื่อท่องเที่ยวจริงๆ ในไทยส่วนใหญ่อยู่ไม่เกิน 15 วัน ทำให้ภาคการท่องเที่ยวเผชิญปัญหาความมั่นคง กระทบความเชื่อมั่นต่อการเดินทาง
ถึงกระนั้น การปรับลดเวลาพำนักชาวกัมพูชาเหลือ 7 วันครั้งนี้ อาจไม่ได้ตั้งใจให้เกิด แต่เมื่อกัมพูชาเป็นฝ่ายเริ่มก่อน ไทยจึงต้องออกมาตรการตอบโต้ตามมา
#Newskitลดเวลาพำนักไทย-เขมร จาก 60 เหลือ 7 วัน ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา ก่อให้เกิดมาตรการตอบโต้ระหว่างสองประเทศ จากการจำกัดเวลาเปิด-ปิดด่านพรมแดน และการให้ผ่านแดนเฉพาะบุคคลที่มีเหตุจำเป็น เช่น การค้าขาย การขนส่งสินค้า แรงงาน และงานจำเป็นอื่นๆ แต่ปิดตายห้ามนักท่องเที่ยวและนักพนันชาวไทยข้ามไปยังฝั่งกัมพูชา ล่าสุดกัมพูชาจำกัดระยะเวลาพำนักของชาวไทยที่เดินทางเข้ากัมพูชา จากเดิม 60 วัน เหลือเพียง 7 วัน ตามคำสั่งของผู้นำกัมพูชา เมื่อครบกำหนดต้องเดินทางออกนอกประเทศและประทับตราหนังสือเดินทางใหม่ ทำให้กระทรวงการต่างประเทศของไทยประกาศว่า ฝ่ายไทยได้ปรับลดระยะเวลาพำนักของชาวกัมพูชาเหลือเพียง 7 วันเช่นกัน นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ตอบคำถามผู้สื่อข่าวเมื่อวันที่ 9 มิ.ย. ระบุว่า ได้รับทราบเหมือนกันว่ากัมพูชาลดจำนวนวันสำหรับการเดินทางเข้ากัมพูชาเหลือ 7 วัน ส่วนฝ่ายไทยได้ปรับลดเป็น 7 วันเช่นเดียวกัน ส่วนจะมีไปถึงเมื่อใดนั้น ทั้งสองฝ่ายยังไม่กำหนดจึงยังตอบไม่ได้ รอให้สถานการณ์ดีขึ้นคงจะหันมาคุยกันเรื่องการเพิ่มวันเป็นลำดับต่อไป แต่ยังไม่ใช่ความสำคัญอันดับต้นในขณะนี้ นอกจากนี้ ศูนย์อำนวยการขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยคุกคามที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน (ศอ.ปชด.) เตรียมเสนอสภาความมั่นคงแห่งชาติ ยกระดับมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมเทคโนโลยี และการค้ามนุษย์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา เช่น การตัดกระแสไฟฟ้า การระงับสัญญาณอินเทอร์เน็ต ที่ส่งเข้าไปในพื้นที่ที่เป็นบ่อนการพนันและสแกมเมอร์ การควบคุมสินค้าและยุทโธปกรณ์ที่อาจนำไปใช้ในการก่ออาชญากรรมทางเทคโนโลยี และอาชญากรรมข้ามชาติอื่นๆ อีกด้วย สำหรับกัมพูชา เคยเป็น 1 ใน 93 ประเทศที่ทางการไทยมีมาตรการฟรีวีซ่า กำหนดให้เข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเพื่อการท่องเที่ยว ทำงานหรือติดต่อธุรกิจระยะสั้นได้รับการยกเว้นการตรวจลงตรา และให้อยู่ในราชอาณาจักรได้ไม่เกิน 60 วัน เป็นกรณีพิเศษ แต่ที่ผ่านมาภาคการท่องเที่ยวเคยเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนปรับมาตรการฟรีวีซ่าจาก 60 วัน เหลือ 30 วัน หลังพบว่ามีชาวต่างชาติเข้ามาอยู่ไทยนานเกินไป ทำธุรกิจแบบผิดกฎหมาย แย่งงานแย่งอาชีพคนไทย อีกทั้งชาวต่างชาติที่เข้ามาเพื่อท่องเที่ยวจริงๆ ในไทยส่วนใหญ่อยู่ไม่เกิน 15 วัน ทำให้ภาคการท่องเที่ยวเผชิญปัญหาความมั่นคง กระทบความเชื่อมั่นต่อการเดินทาง ถึงกระนั้น การปรับลดเวลาพำนักชาวกัมพูชาเหลือ 7 วันครั้งนี้ อาจไม่ได้ตั้งใจให้เกิด แต่เมื่อกัมพูชาเป็นฝ่ายเริ่มก่อน ไทยจึงต้องออกมาตรการตอบโต้ตามมา #Newskit0 Comments 0 Shares 357 Views 0 Reviews
More Stories