ข่าวออนไลน์ อารมณ์หนังสือพิมพ์ กับเรื่องราวทั้งไทยและอาเซียน
อัปเดตล่าสุด
- นายกฯ สิงคโปร์ บินโลว์คอสต์กลับบ้าน
กลายเป็นเรื่องฮือฮาของชาวสิงคโปร์ เมื่อ ลอว์เรนซ์ หว่อง นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ เดินทางกลับจากการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ที่นครหลวงเวียงจันทน์ ประเทศลาว เมื่อวันเสาร์ที่ 12 ต.ค. ด้วยสายการบินสกู๊ต (Scoot) โลว์คอสต์แอร์ไลน์ของกลุ่มสิงคโปร์แอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ TR351 ออกจากท่าอากาศยานวัตไต เวลา 12.55 น. ถึงท่าอากาศยานชางงี เวลา 17.05 น.
เที่ยวบินดังกล่าว มีคณะทัวร์ผู้สูงอายุชาวสิงคโปร์กว่า 40 คน เพิ่งกลับจากการท่องเที่ยวในประเทศลาว เมื่อพบเห็นนายหว่องก็ความแปลกใจและตื่นเต้น วีดีโอคลิปของผู้สื่อข่าวสำนักข่าวซีเอ็นเอ (CNA) ของสิงคโปร์ เผยให้เห็นนายหว่องขึ้นไปบนเครื่องบิน ได้รับเสียงปรบมือและเสียงเชียร์ นายหว่องจึงโบกมือทักทายด้วยรอยยิ้มแล้วนั่งลงบนที่นั่ง 1C ซึ่งอยู่หน้าสุด
เมื่อกลับถึงประเทศสิงคโปร์ นายหว่องได้โพสต์วีดีโอคลิป พร้อมข้อความระบุว่า "เมื่อกลับจากลาว รู้สึกเหมือนอยู่บ้านเมื่อขึ้นเครื่องบิน ขอบคุณทุกคนสำหรับการต้อนรับอย่างอบอุ่น" โดยเป็นภาพที่ผู้โดยสารต่างส่งเสียงเชียร์และปรบมือบนเครื่องบิน ซึ่งผู้สนับสนุนนายหว่องต่างชื่นชมในความอ่อนน้อมถ่อมตน เป็นคนติดดิน แทนที่จะนั่งเครื่องบินส่วนตัวหรือเที่ยวบินชั้นธุรกิจ
อย่างไรก็ตาม เที่ยวบินจากสิงคโปร์ไปเวียงจันทน์ มีเพียงสายการบินสกู๊ต ให้บริการสัปดาห์ละ 3 เที่ยวบิน ถ้าจะนั่งแบบฟลูเซอร์วิสต้องไปต่อเครื่องที่กรุงเทพฯ ซึ่งนายหว่องเปิดเผยว่า จะเพิ่มเป็น 4 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ ตั้งแต่เดือน ธ.ค. 2567 โดยชาวสิงคโปร์จำนวนมากนิยมเดินทางไปยังหลวงพระบาง รวมทั้งมายังประเทศลาวเพื่อทำงานพัฒนาชุมชนและงานอาสาสมัคร
ด้านสื่อฝ่ายต่อต้านรัฐบาลสิงคโปร์อย่าง ดิออนไลน์ซิตีเซน (TOC) ที่ย้ายไปตั้งสำนักงานที่ไต้หวัน วิจารณ์ว่าการกลับบ้านของนายหว่องมีอะไรน่าตื่นเต้น แทนที่การหารือระดับภูมิภาคเกี่ยวกับการทูต การค้า และความร่วมมือทางเศรษฐกิจ สมควรได้รับความสนใจมากกว่า และกังวลว่ากรณีนี้จะถูกใช้เพื่อสร้างภาพลักษณ์ว่าเข้าถึงได้และเป็นกันเอง การดึงดูดความสนใจเที่ยวบินราคาประหยัด ย้ำให้เห็นถึงพลังในการกำหนดวาระทางการเมือง แต่ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาค่าครองชีพและเศรษฐกิจของประเทศ
สำหรับลอว์เรนซ์ หว่อง วัย 51 ปี เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 4 ของสิงคโปร์ รับตำแหน่งต่อจากนายลี เซียนลุง ที่ดำรงตำแหน่งมานานถึง 20 ปี เคยเป็นนักเศรษฐศาสตร์ อดีตข้าราชการ และประธานกรรมการบริหารของธนาคารกลางแห่งสิงคโปร์ (MAS) มีผลงานโดดเด่นในด้านการเป็นประธานร่วมของคณะทำงานของรัฐบาลเพื่อต่อสู้โรคระบาดโควิด-19
#Newskit #LawrenceWong #Scootนายกฯ สิงคโปร์ บินโลว์คอสต์กลับบ้าน กลายเป็นเรื่องฮือฮาของชาวสิงคโปร์ เมื่อ ลอว์เรนซ์ หว่อง นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ เดินทางกลับจากการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ที่นครหลวงเวียงจันทน์ ประเทศลาว เมื่อวันเสาร์ที่ 12 ต.ค. ด้วยสายการบินสกู๊ต (Scoot) โลว์คอสต์แอร์ไลน์ของกลุ่มสิงคโปร์แอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ TR351 ออกจากท่าอากาศยานวัตไต เวลา 12.55 น. ถึงท่าอากาศยานชางงี เวลา 17.05 น. เที่ยวบินดังกล่าว มีคณะทัวร์ผู้สูงอายุชาวสิงคโปร์กว่า 40 คน เพิ่งกลับจากการท่องเที่ยวในประเทศลาว เมื่อพบเห็นนายหว่องก็ความแปลกใจและตื่นเต้น วีดีโอคลิปของผู้สื่อข่าวสำนักข่าวซีเอ็นเอ (CNA) ของสิงคโปร์ เผยให้เห็นนายหว่องขึ้นไปบนเครื่องบิน ได้รับเสียงปรบมือและเสียงเชียร์ นายหว่องจึงโบกมือทักทายด้วยรอยยิ้มแล้วนั่งลงบนที่นั่ง 1C ซึ่งอยู่หน้าสุด เมื่อกลับถึงประเทศสิงคโปร์ นายหว่องได้โพสต์วีดีโอคลิป พร้อมข้อความระบุว่า "เมื่อกลับจากลาว รู้สึกเหมือนอยู่บ้านเมื่อขึ้นเครื่องบิน ขอบคุณทุกคนสำหรับการต้อนรับอย่างอบอุ่น" โดยเป็นภาพที่ผู้โดยสารต่างส่งเสียงเชียร์และปรบมือบนเครื่องบิน ซึ่งผู้สนับสนุนนายหว่องต่างชื่นชมในความอ่อนน้อมถ่อมตน เป็นคนติดดิน แทนที่จะนั่งเครื่องบินส่วนตัวหรือเที่ยวบินชั้นธุรกิจ อย่างไรก็ตาม เที่ยวบินจากสิงคโปร์ไปเวียงจันทน์ มีเพียงสายการบินสกู๊ต ให้บริการสัปดาห์ละ 3 เที่ยวบิน ถ้าจะนั่งแบบฟลูเซอร์วิสต้องไปต่อเครื่องที่กรุงเทพฯ ซึ่งนายหว่องเปิดเผยว่า จะเพิ่มเป็น 4 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ ตั้งแต่เดือน ธ.ค. 2567 โดยชาวสิงคโปร์จำนวนมากนิยมเดินทางไปยังหลวงพระบาง รวมทั้งมายังประเทศลาวเพื่อทำงานพัฒนาชุมชนและงานอาสาสมัคร ด้านสื่อฝ่ายต่อต้านรัฐบาลสิงคโปร์อย่าง ดิออนไลน์ซิตีเซน (TOC) ที่ย้ายไปตั้งสำนักงานที่ไต้หวัน วิจารณ์ว่าการกลับบ้านของนายหว่องมีอะไรน่าตื่นเต้น แทนที่การหารือระดับภูมิภาคเกี่ยวกับการทูต การค้า และความร่วมมือทางเศรษฐกิจ สมควรได้รับความสนใจมากกว่า และกังวลว่ากรณีนี้จะถูกใช้เพื่อสร้างภาพลักษณ์ว่าเข้าถึงได้และเป็นกันเอง การดึงดูดความสนใจเที่ยวบินราคาประหยัด ย้ำให้เห็นถึงพลังในการกำหนดวาระทางการเมือง แต่ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาค่าครองชีพและเศรษฐกิจของประเทศ สำหรับลอว์เรนซ์ หว่อง วัย 51 ปี เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 4 ของสิงคโปร์ รับตำแหน่งต่อจากนายลี เซียนลุง ที่ดำรงตำแหน่งมานานถึง 20 ปี เคยเป็นนักเศรษฐศาสตร์ อดีตข้าราชการ และประธานกรรมการบริหารของธนาคารกลางแห่งสิงคโปร์ (MAS) มีผลงานโดดเด่นในด้านการเป็นประธานร่วมของคณะทำงานของรัฐบาลเพื่อต่อสู้โรคระบาดโควิด-19 #Newskit #LawrenceWong #Scootกรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อกดถูกใจ แชร์ และแสดงความคิดเห็น! - ๑๓ ตุลาคม วันนวมินทรมหาราช
วันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้
ข้าพระพุทธเจ้า ผู้จัดทำเพจ Newskit๑๓ ตุลาคม วันนวมินทรมหาราช วันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ข้าพระพุทธเจ้า ผู้จัดทำเพจ Newskit - LRT เกาะปีนัง คาดตอกเข็ม ธ.ค.นี้
โครงการรถไฟฟ้ารางเบา สายมูเทียรา ไลน์ (LRT Mutiara Line) ซึ่งเป็นรถไฟฟ้าสายแรกบนเกาะปีนัง ประเทศมาเลเซีย กำลังจะเกิดขึ้นในเดือน ธ.ค. 2567 ที่จะถึงนี้ เมื่อสำนักข่าวเดอะสตาร์ของมาเลเซีย รายงานว่า นายแอนโทนี่ ลก รมว.คมนาคมมาเลเซีย ได้อนุมัติวันเริ่มต้นก่อสร้าง โดยสถานีแรกจะสร้างขึ้นที่ถนนแมคคัลลัม ขณะที่บริษัท MRT Corp ซึ่งเป็นผู้พัฒนาโครงการ อาจเลือกใช้ระบบรถไฟฟ้าแบบล้อยาง เพื่อประหยัดต้นทุนการดำเนินงานและการบำรุงรักษา
ส่วนกลุ่มกิจการค้าร่วมเอสอาร์เอส (SRS Consortium) ที่นำโดยกามูดา เบอร์ฮัด (Gamuda Berhad) บริษัทก่อสร้างรายใหญ่ของมาเลเซีย กำลังสรุปเงื่อนไขและข้อกำหนดสำหรับงานโยธา ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างประมาณ 7,600 ล้านริงกิต ซึ่งกามูดาก็กำลังวางแผนประมูลงานระบบไฟฟ้าและอาณัติสัญญาณ ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 1,200 ล้านริงกิต
โครงการรถไฟฟ้ารางเบา สายมูเทียรา ไลน์ ระยะทาง 29 กิโลเมตร แบ่งการก่อสร้างออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ งานโยธาตอนที่ 1 ตั้งแต่เกาะซิลิคอนถึงอาคารคอมตาร์ (Komtar) งานโยธาตอนที่ 2 จากอาคารคอมตาร์ข้ามทะเลไปยังอาคารปีนังเซ็นทรัล (Penang Sentral) และสัญญาแบบเทิร์นคีย์สำหรับงานระบบและจัดหาขบวนรถ
แนวเส้นทางเริ่มต้นจากเกาะซิลิคอน ทางตอนใต้ของเกาะปีนัง ซึ่งจะเป็นศูนย์ซ่อมบำรุง (Depot) ข้ามทะเลขึ้นไปบนหมู่บ้านเปร์มาตัง ดามาร์ ลาอุต (Permatang Damar Laut) จากนั้นผ่านท่าอากาศยานนานาชาติปีนัง (Penang International Airport) เขตอุตสาหกรรมเสรี (Free Industrial Zone) สนามกีฬาสไปซ์อารีน่า (SPICE) ผ่านถนนมหาวิทยาลัย (Jalan Universiti) ที่จะไปมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์แห่งมาเลเซีย (USM)
ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังอาคารคอมตาร์ (Komtar) ที่จะรองรับเส้นทางไปตันจุงบูงะฮ์ (Tanjung Bungah) และอาเยอร์อีตัม (Air Itam) ในอนาคต แล้วข้ามทะเลไปสิ้นสุดที่อาคารปีนังเซ็นทรัล โดยมีสถานีให้บริการทั้งหมด 22 สถานี เวลาเปิดให้บริการ 06.00-24.00 น. มีที่จอดรถยนต์ 1,220 คัน และรถจักรยานยนต์ 1,315 คัน
ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 29 มี.ค. รมว.คมนาคมมาเลเซีย กล่าวว่า รัฐบาลกลางได้เข้ารับช่วงต่อโครงการรถไฟฟ้า LRT จากรัฐบาลของรัฐปีนัง โดยแต่งตั้งให้ MRT Corp เป็นผู้พัฒนาและเจ้าของโครงการ คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2573 หรืออีก 6 ปีข้างหน้า
#Newskit #LRTMutiaraLine #เกาะปีนังLRT เกาะปีนัง คาดตอกเข็ม ธ.ค.นี้ โครงการรถไฟฟ้ารางเบา สายมูเทียรา ไลน์ (LRT Mutiara Line) ซึ่งเป็นรถไฟฟ้าสายแรกบนเกาะปีนัง ประเทศมาเลเซีย กำลังจะเกิดขึ้นในเดือน ธ.ค. 2567 ที่จะถึงนี้ เมื่อสำนักข่าวเดอะสตาร์ของมาเลเซีย รายงานว่า นายแอนโทนี่ ลก รมว.คมนาคมมาเลเซีย ได้อนุมัติวันเริ่มต้นก่อสร้าง โดยสถานีแรกจะสร้างขึ้นที่ถนนแมคคัลลัม ขณะที่บริษัท MRT Corp ซึ่งเป็นผู้พัฒนาโครงการ อาจเลือกใช้ระบบรถไฟฟ้าแบบล้อยาง เพื่อประหยัดต้นทุนการดำเนินงานและการบำรุงรักษา ส่วนกลุ่มกิจการค้าร่วมเอสอาร์เอส (SRS Consortium) ที่นำโดยกามูดา เบอร์ฮัด (Gamuda Berhad) บริษัทก่อสร้างรายใหญ่ของมาเลเซีย กำลังสรุปเงื่อนไขและข้อกำหนดสำหรับงานโยธา ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างประมาณ 7,600 ล้านริงกิต ซึ่งกามูดาก็กำลังวางแผนประมูลงานระบบไฟฟ้าและอาณัติสัญญาณ ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 1,200 ล้านริงกิต โครงการรถไฟฟ้ารางเบา สายมูเทียรา ไลน์ ระยะทาง 29 กิโลเมตร แบ่งการก่อสร้างออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ งานโยธาตอนที่ 1 ตั้งแต่เกาะซิลิคอนถึงอาคารคอมตาร์ (Komtar) งานโยธาตอนที่ 2 จากอาคารคอมตาร์ข้ามทะเลไปยังอาคารปีนังเซ็นทรัล (Penang Sentral) และสัญญาแบบเทิร์นคีย์สำหรับงานระบบและจัดหาขบวนรถ แนวเส้นทางเริ่มต้นจากเกาะซิลิคอน ทางตอนใต้ของเกาะปีนัง ซึ่งจะเป็นศูนย์ซ่อมบำรุง (Depot) ข้ามทะเลขึ้นไปบนหมู่บ้านเปร์มาตัง ดามาร์ ลาอุต (Permatang Damar Laut) จากนั้นผ่านท่าอากาศยานนานาชาติปีนัง (Penang International Airport) เขตอุตสาหกรรมเสรี (Free Industrial Zone) สนามกีฬาสไปซ์อารีน่า (SPICE) ผ่านถนนมหาวิทยาลัย (Jalan Universiti) ที่จะไปมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์แห่งมาเลเซีย (USM) ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังอาคารคอมตาร์ (Komtar) ที่จะรองรับเส้นทางไปตันจุงบูงะฮ์ (Tanjung Bungah) และอาเยอร์อีตัม (Air Itam) ในอนาคต แล้วข้ามทะเลไปสิ้นสุดที่อาคารปีนังเซ็นทรัล โดยมีสถานีให้บริการทั้งหมด 22 สถานี เวลาเปิดให้บริการ 06.00-24.00 น. มีที่จอดรถยนต์ 1,220 คัน และรถจักรยานยนต์ 1,315 คัน ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 29 มี.ค. รมว.คมนาคมมาเลเซีย กล่าวว่า รัฐบาลกลางได้เข้ารับช่วงต่อโครงการรถไฟฟ้า LRT จากรัฐบาลของรัฐปีนัง โดยแต่งตั้งให้ MRT Corp เป็นผู้พัฒนาและเจ้าของโครงการ คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2573 หรืออีก 6 ปีข้างหน้า #Newskit #LRTMutiaraLine #เกาะปีนัง - มรสุมดิไอคอนฯ เอาผิดยากแต่แบรนด์พัง
การออกมาเปิดประเด็นบริษัทธุรกิจขายตรงของนายกรรชัย กำเนิดพลอย พิธีกรชื่อดัง ชัดเจนว่าเป็น บริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด ซึ่งมีนายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือบอสพอล เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทำให้มีผู้เสียหายที่เคยร่วมทำธุรกิจรวมตัวกันไปแจ้งความกับตำรวจอย่างน้อย 3 กลุ่ม ได้แก่ 1. กลุ่มที่มาจากมูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม ของนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ 2. กลุ่มที่มาจากทีมงานทนายคลายทุกข์ ของนายเดชา กิตติวิทยานันท์ และกลุ่มที่มาจากศูนย์ประสานงานส่งเสริมเครือข่ายออนไลน์ (ศคอ.) และ 3. ศูนย์ข่าวต้านโกง นำโดย น.ส.กฤษอนงค์ สุวรรณวงศ์
แม้ว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รักษาราชการแทน ผบ.ตร. แต่งตั้ง พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. เป็นผู้ควบคุมดูแลคดี แต่การทำคดีดูเหมือนว่าเป็นไปได้ยาก เพราะผู้เสียหายที่เข้าแจ้งความจริงมีน้อยเกินไป ทนายเดชา ระบุว่า มีผู้เสียหายแจ้งความกับตำรวจ บก.ปคบ. เพียง 91 ราย ต้องมีผู้เสียหายตั้งแต่ 200 คนขึ้นไปจึงเพียงพอดำเนินคดี ขณะที่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า ข้อมูลเบื้องต้นที่ได้จากผู้เสียหายที่สอบไปแล้ว 80 ปาก รวมมูลค่าความเสียหายประมาณ 31 ล้านบาท
จุดเริ่มต้นของจุดจบ มาจากช่วงสถานการณ์โควิด-19 เมื่อปี 2563 ที่ประชาชนต่างขาดรายได้จากมาตรการล็อกดาวน์ กระทั่งได้พบเห็นโฆษณาคอร์สเรียนออนไลน์ 97, 98, 99 บาท เกี่ยวกับการตลาดบนโซเชียลมีเดีย เมื่อมีคนหลงเชื่อเข้าไปเรียนจะพบว่ามีการขายฝันถึงความร่ำรวย ก่อนโน้มน้าวให้เปิดบิลซื้อสินค้าไปขาย และลงโฆษณาบนโซเชียลฯ ที่เรียกว่ายิงแอด ที่ผ่านมาดิไอคอนกรุ๊ปมีรายได้รวมจากเดิมประมาณ 378 ล้านบาท แต่ปี 2564 ก้าวกระโดดถึง 4,950 ล้านบาท กำไรสุทธิ 813 ล้านบาท แต่หลังจากนั้นจึงลดลงมา แม้จะใช้งบ 500 ล้านบาทซื้อบิลบอร์ดโฆษณา แต่สินค้าก็ยังไม่เป็นที่รู้จักโดยทั่วไป
ส่วนลูกข่ายสต็อกสินค้า ทีแรกขายได้ แต่หลังๆ กลับขายไม่ได้ แม้จะยิงแอดไปเท่าไหร่ก็ตาม นอกจากสินค้าไม่เป็นที่รู้จักแล้ว ยังแพงกว่าท้องตลาด ทำให้ลูกข่ายต้องเปลี่ยนมาเป็นตามหาลูกข่ายที่เรียกว่า นักเรียนใหม่ เพื่อให้ได้เงิน กลายเป็นวงจรอุบาทว์ที่นำไปสู่ปรากฎการณ์ฝีแตกในวันนี้ แม้ว่าบอสพอล รวมทั้งดารานักแสดงที่เกี่ยวข้อง ยังเป็นผู้ถูกกล่าวหา แต่แบรนด์ดิไอคอนในวันนี้ก็ติดลบในสายตาของผู้คนในสังคม เช่นเดียวกับดารานักแสดงที่เกี่ยวข้อง ที่ลูกข่ายหรือแฟนคลับเคยไว้เนื้อเชื่อใจเพราะชื่อเสียง ก็เกิดแผลในใจ ถึงขั้นเลิกติดตามผลงาน
#Newskit #ดิไอคอนกรุ๊ป #THEiCONมรสุมดิไอคอนฯ เอาผิดยากแต่แบรนด์พัง การออกมาเปิดประเด็นบริษัทธุรกิจขายตรงของนายกรรชัย กำเนิดพลอย พิธีกรชื่อดัง ชัดเจนว่าเป็น บริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด ซึ่งมีนายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือบอสพอล เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทำให้มีผู้เสียหายที่เคยร่วมทำธุรกิจรวมตัวกันไปแจ้งความกับตำรวจอย่างน้อย 3 กลุ่ม ได้แก่ 1. กลุ่มที่มาจากมูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม ของนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ 2. กลุ่มที่มาจากทีมงานทนายคลายทุกข์ ของนายเดชา กิตติวิทยานันท์ และกลุ่มที่มาจากศูนย์ประสานงานส่งเสริมเครือข่ายออนไลน์ (ศคอ.) และ 3. ศูนย์ข่าวต้านโกง นำโดย น.ส.กฤษอนงค์ สุวรรณวงศ์ แม้ว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รักษาราชการแทน ผบ.ตร. แต่งตั้ง พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. เป็นผู้ควบคุมดูแลคดี แต่การทำคดีดูเหมือนว่าเป็นไปได้ยาก เพราะผู้เสียหายที่เข้าแจ้งความจริงมีน้อยเกินไป ทนายเดชา ระบุว่า มีผู้เสียหายแจ้งความกับตำรวจ บก.ปคบ. เพียง 91 ราย ต้องมีผู้เสียหายตั้งแต่ 200 คนขึ้นไปจึงเพียงพอดำเนินคดี ขณะที่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า ข้อมูลเบื้องต้นที่ได้จากผู้เสียหายที่สอบไปแล้ว 80 ปาก รวมมูลค่าความเสียหายประมาณ 31 ล้านบาท จุดเริ่มต้นของจุดจบ มาจากช่วงสถานการณ์โควิด-19 เมื่อปี 2563 ที่ประชาชนต่างขาดรายได้จากมาตรการล็อกดาวน์ กระทั่งได้พบเห็นโฆษณาคอร์สเรียนออนไลน์ 97, 98, 99 บาท เกี่ยวกับการตลาดบนโซเชียลมีเดีย เมื่อมีคนหลงเชื่อเข้าไปเรียนจะพบว่ามีการขายฝันถึงความร่ำรวย ก่อนโน้มน้าวให้เปิดบิลซื้อสินค้าไปขาย และลงโฆษณาบนโซเชียลฯ ที่เรียกว่ายิงแอด ที่ผ่านมาดิไอคอนกรุ๊ปมีรายได้รวมจากเดิมประมาณ 378 ล้านบาท แต่ปี 2564 ก้าวกระโดดถึง 4,950 ล้านบาท กำไรสุทธิ 813 ล้านบาท แต่หลังจากนั้นจึงลดลงมา แม้จะใช้งบ 500 ล้านบาทซื้อบิลบอร์ดโฆษณา แต่สินค้าก็ยังไม่เป็นที่รู้จักโดยทั่วไป ส่วนลูกข่ายสต็อกสินค้า ทีแรกขายได้ แต่หลังๆ กลับขายไม่ได้ แม้จะยิงแอดไปเท่าไหร่ก็ตาม นอกจากสินค้าไม่เป็นที่รู้จักแล้ว ยังแพงกว่าท้องตลาด ทำให้ลูกข่ายต้องเปลี่ยนมาเป็นตามหาลูกข่ายที่เรียกว่า นักเรียนใหม่ เพื่อให้ได้เงิน กลายเป็นวงจรอุบาทว์ที่นำไปสู่ปรากฎการณ์ฝีแตกในวันนี้ แม้ว่าบอสพอล รวมทั้งดารานักแสดงที่เกี่ยวข้อง ยังเป็นผู้ถูกกล่าวหา แต่แบรนด์ดิไอคอนในวันนี้ก็ติดลบในสายตาของผู้คนในสังคม เช่นเดียวกับดารานักแสดงที่เกี่ยวข้อง ที่ลูกข่ายหรือแฟนคลับเคยไว้เนื้อเชื่อใจเพราะชื่อเสียง ก็เกิดแผลในใจ ถึงขั้นเลิกติดตามผลงาน #Newskit #ดิไอคอนกรุ๊ป #THEiCON - ฮ็อป อินน์ สปินออฟ ขยายโรงแรมทั่วเอเชีย
สปินออฟ (Spin-off) คือการนำบริษัทย่อยหรือบริษัทร่วม แยกออกมาจากบริษัทแม่ ที่เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อให้มีความอิสระในการบริหารงาน สามารถระดมทุนผ่านการเสนอขายหุ้นครั้งแรกให้แก่ประชาชน (IPO) และเพิ่มทางเลือกให้แก่นักลงทุน ตัวอย่างเช่น บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR ที่แยกออกมาจาก บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP ที่แยกออกมาจาก บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC (เครื่องหมายการค้า SCG)
บริษัท เอราวัณ ฮ็อป อินน์ จำกัด เจ้าของโรงแรทฮ็อป อินน์ (Hop Inn) บัดเจ็ทโฮเทลที่มีสาขามากกว่า 70 แห่ง ห้องพักรวมกว่า 7,000 ห้องใน 3 ประเทศ ได้แก่ ประเทศไทย ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น กำลังมีแผนจะสปินออฟออกจากบริษัทแม่ คือ บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ERW โดยคาดว่าจะยื่นเสนอบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในปี 2570 หรืออีก 3 ปีข้างหน้า อีกทั้งได้พันธมิตรเชิงกลยุทธ์ คือ ลาพิส ฮอสปิทอลิตี้ พีทีอี ลิมิเต็ด (Lapis Hospitality Pte. Ltd.) บริษัทที่บริหารจัดการโดยกองทุนลอมบาร์ด เอเชีย วี, แอล.พี. (Lombard Asia V, L.P.) เข้าร่วมลงทุน 16.09% มูลค่า 700 ล้านบาท
น.ส.พิชานันท์ บุญพร้อมกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานพัฒนาธุรกิจโรงแรม กล่าวว่า ปีนี้เป็นปีที่ 10 ของโรงแรมฮ็อป อินน์ ทำได้ตามแผนทั้งการขยายสาขาและรักษาคุณภาพบริการ ในปี 2030 มีเป้าหมายจะขึ้นเป็นเครือข่ายโรงแรมบัดเจ็ทที่ดีที่สุดในเอเซียแปซิฟิค โดยจะขยายเครือข่ายโรงแรมเพิ่มอย่างน้อยในอีก 3 ประเทศ ขณะที่ น.ส.นลินี กฤษฎาวิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานบริหารธุรกิจโรงแรม กล่าวว่า บริษัทฯ มีนโยบายที่เป็นเจ้าของและบริหารโรงแรมทั้งหมดเอง เพื่อรักษาคุณภาพให้ได้ 100% ของทั้งเครือ โดย 95% เป็นโรงแรมที่สร้างขึ้นมาใหม่ ให้บริการลูกค้ามากกว่า 2.5 ล้านคนต่อปี มีความพร้อมที่จะมอบการบริการที่ดีมีคุณภาพ ในทุกประเทศที่ไปขยาย และมั่นใจว่าแบรนด์จะเป็นที่ยอมรับในระดับสากล
อนึ่ง โรงแรมฮ็อป อินน์ เปิดให้บริการครั้งแรกเมื่อวันที่ 11 เม.ย. 2557 ที่สาขาหนองคายและมุกดาหาร กระทั่งขยายสาขาไปยังประเทศฟิลิปปินส์ในปี 2559 และญี่ปุ่นในปี 2566 สำหรับไตรมาส 4 ปี 2567 มีแผนเปิดสาขาสงขลาและพะเยา ก่อนหน้านี้กำลังศึกษาเปิดสาขาเพิ่มในประเทศอื่นๆ เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย เวียดนาม เกาหลีใต้ และออสเตรเลีย
#Newskit #HopInnฮ็อป อินน์ สปินออฟ ขยายโรงแรมทั่วเอเชีย สปินออฟ (Spin-off) คือการนำบริษัทย่อยหรือบริษัทร่วม แยกออกมาจากบริษัทแม่ ที่เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อให้มีความอิสระในการบริหารงาน สามารถระดมทุนผ่านการเสนอขายหุ้นครั้งแรกให้แก่ประชาชน (IPO) และเพิ่มทางเลือกให้แก่นักลงทุน ตัวอย่างเช่น บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR ที่แยกออกมาจาก บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP ที่แยกออกมาจาก บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC (เครื่องหมายการค้า SCG) บริษัท เอราวัณ ฮ็อป อินน์ จำกัด เจ้าของโรงแรทฮ็อป อินน์ (Hop Inn) บัดเจ็ทโฮเทลที่มีสาขามากกว่า 70 แห่ง ห้องพักรวมกว่า 7,000 ห้องใน 3 ประเทศ ได้แก่ ประเทศไทย ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น กำลังมีแผนจะสปินออฟออกจากบริษัทแม่ คือ บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ERW โดยคาดว่าจะยื่นเสนอบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในปี 2570 หรืออีก 3 ปีข้างหน้า อีกทั้งได้พันธมิตรเชิงกลยุทธ์ คือ ลาพิส ฮอสปิทอลิตี้ พีทีอี ลิมิเต็ด (Lapis Hospitality Pte. Ltd.) บริษัทที่บริหารจัดการโดยกองทุนลอมบาร์ด เอเชีย วี, แอล.พี. (Lombard Asia V, L.P.) เข้าร่วมลงทุน 16.09% มูลค่า 700 ล้านบาท น.ส.พิชานันท์ บุญพร้อมกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานพัฒนาธุรกิจโรงแรม กล่าวว่า ปีนี้เป็นปีที่ 10 ของโรงแรมฮ็อป อินน์ ทำได้ตามแผนทั้งการขยายสาขาและรักษาคุณภาพบริการ ในปี 2030 มีเป้าหมายจะขึ้นเป็นเครือข่ายโรงแรมบัดเจ็ทที่ดีที่สุดในเอเซียแปซิฟิค โดยจะขยายเครือข่ายโรงแรมเพิ่มอย่างน้อยในอีก 3 ประเทศ ขณะที่ น.ส.นลินี กฤษฎาวิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานบริหารธุรกิจโรงแรม กล่าวว่า บริษัทฯ มีนโยบายที่เป็นเจ้าของและบริหารโรงแรมทั้งหมดเอง เพื่อรักษาคุณภาพให้ได้ 100% ของทั้งเครือ โดย 95% เป็นโรงแรมที่สร้างขึ้นมาใหม่ ให้บริการลูกค้ามากกว่า 2.5 ล้านคนต่อปี มีความพร้อมที่จะมอบการบริการที่ดีมีคุณภาพ ในทุกประเทศที่ไปขยาย และมั่นใจว่าแบรนด์จะเป็นที่ยอมรับในระดับสากล อนึ่ง โรงแรมฮ็อป อินน์ เปิดให้บริการครั้งแรกเมื่อวันที่ 11 เม.ย. 2557 ที่สาขาหนองคายและมุกดาหาร กระทั่งขยายสาขาไปยังประเทศฟิลิปปินส์ในปี 2559 และญี่ปุ่นในปี 2566 สำหรับไตรมาส 4 ปี 2567 มีแผนเปิดสาขาสงขลาและพะเยา ก่อนหน้านี้กำลังศึกษาเปิดสาขาเพิ่มในประเทศอื่นๆ เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย เวียดนาม เกาหลีใต้ และออสเตรเลีย #Newskit #HopInn - ฉีกหน้ากากขายตรง ขายฝันจนตัวตาย
การออกมาเปิดประเด็นบริษัทธุรกิจขายตรงแห่งหนึ่ง ของนายกรรชัย กำเนิดพลอย พิธีกรรายการโหนกระแส ทางไทยทีวีสีช่อง 3 เมื่อวันที่ 8 ต.ค. กลายเป็นที่วิจารณ์อย่างมากในสังคม เจ้าตัวกล่าวว่า “เหล่าแม่ข่ายของบริษัทธุรกิจเครือข่ายดัง เริ่มมีการข่มขู่ไปทั่วกลัวโดนเปิดแผล มีการระดมคนติดแฮชแท็ก เซฟบอส เซฟบริษัทตัวเอง ไม่เซฟผู้เสียบ้างเหรอ?” ซึ่งจากแฮชแท็กที่บรรดาแม่ข่ายใช้แสดงพลัง พบว่าพยายามอธิบายอีกด้านเกี่ยวกับบริษัทดังกล่าว ว่าไม่ได้เป็นไปตามที่ถูกกล่าวหา พร้อมกับให้กำลังใจประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บริษัทดังกล่าว
ก่อนหน้านี้ นายกรรชัยกล่าวในรายการเที่ยงวันทันเหตุการณ์ เมื่อวันที่ 7 ต.ค. ว่า มีบริษัทดังบางบริษัทที่มีการมาขายตรง ไปให้ทางตัวแทนเปิดบิล โดยการให้มีเหล่านักแสดงทั้งหลายไปเป็นพ่อข่าย แม่ข่าย ตนเก็บรวบรวมข้อมูลทั้งหมดแล้ว มีโอกาสคุยกับผู้เสียหายแล้ว มีบางคนถึงขั้นฆ่าตัวตาย เพราะมีการไปซื้อของ จ่ายเงินไปแล้ว บอกว่าขายได้แน่นอน ถึงเวลาขายไม่ได้ ต้องเอาไปเร่ขายเอง กินเอง บางคนได้ยินมาว่าเป็น รปภ. เอาเงินไปซื้อสินค้าเก็บไว้ 200,000 บาท ซื้อเสร็จปรากฎว่า ไปขายก็ไม่ได้ ฆ่าตัวตาย แต่ข่าวเงียบ เร็วๆ นี้ เรื่องราวที่ส่งเข้ามา ตนเห็นตลอด รู้กันว่าที่ไหน ไม่ได้นิ่งนอนใจ เก็บรวบรวมข้อมูลอยู่ มีผู้เสียหายเข้ามาคุยหลายคน แล้วบอกไว้เลยว่าใหญ่
ด้านเฟซบุ๊ก "มูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม - CRSJ Foundation" ที่มีนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ทนายความชื่อดัง เป็นประธาน โพสต์ข้อความระบุว่า "บริษัทธุรกิจขนาดใหญ่ น่าเชื่อถือมาก ชาวบ้าน คนหนุ่มสาว คนสูงอายุ ลงทุนเสียหายกันเพียบ หลักหมื่น แสน ล้าน บางคนร้องไห้ บางคนที่บ้านด่า เร็วๆ นี้แน่นอน" และกล่าวว่า "ใครที่เสียหายจากบริษัทขนาดใหญ่ น่าเชื่อถือนี้ ทักกันมาให้ข้อมูลเพิ่มเติมนะครับ มูลนิธิรณรงค์ฯ จะพิจารณาให้ความช่วยเหลือ ด่วน! เห็นว่าเสียหายกันทั่วประเทศ เร็วๆ นี้เจอกันแน่นอน" โดยมีผู้เสียหายคอมเมนต์ให้ข้อมูลจำนวนมาก
รายงานข่าวเพิ่มเติมระบุว่า บริษัทดังกล่าวก่อตั้งไม่นานนัก แต่ใช้ดารานักแสดงเป็นผู้บริหารและพรีเซ็นเตอร์สินค้า ใช้สื่อโฆษณาบิลบอร์ดทั่วประเทศเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ และมีการซื้อเวลารายการโทรทัศน์ ให้แม่ข่ายชักชวนคนเข้ามาสมัครคอร์สเรียนออนไลน์การตลาดบนโซเชียลมีเดีย ในราคาไม่ถึง 100 บาท เมื่อมีผู้หลงเชื่อเข้ามาเรียนก็จะโน้มน้าวให้ลองนำสินค้าไปขาย แต่เนื่องจากมีผู้เสียหายหลายรูปแบบ จึงต้องคอยดูว่าในรายการโหนกระแส นายกรรชัยจะเปิดประเด็นอย่างไร ซึ่งจะเห็นภาพชัดเจนขึ้น
#Newskit #ขายตรงฉีกหน้ากากขายตรง ขายฝันจนตัวตาย การออกมาเปิดประเด็นบริษัทธุรกิจขายตรงแห่งหนึ่ง ของนายกรรชัย กำเนิดพลอย พิธีกรรายการโหนกระแส ทางไทยทีวีสีช่อง 3 เมื่อวันที่ 8 ต.ค. กลายเป็นที่วิจารณ์อย่างมากในสังคม เจ้าตัวกล่าวว่า “เหล่าแม่ข่ายของบริษัทธุรกิจเครือข่ายดัง เริ่มมีการข่มขู่ไปทั่วกลัวโดนเปิดแผล มีการระดมคนติดแฮชแท็ก เซฟบอส เซฟบริษัทตัวเอง ไม่เซฟผู้เสียบ้างเหรอ?” ซึ่งจากแฮชแท็กที่บรรดาแม่ข่ายใช้แสดงพลัง พบว่าพยายามอธิบายอีกด้านเกี่ยวกับบริษัทดังกล่าว ว่าไม่ได้เป็นไปตามที่ถูกกล่าวหา พร้อมกับให้กำลังใจประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บริษัทดังกล่าว ก่อนหน้านี้ นายกรรชัยกล่าวในรายการเที่ยงวันทันเหตุการณ์ เมื่อวันที่ 7 ต.ค. ว่า มีบริษัทดังบางบริษัทที่มีการมาขายตรง ไปให้ทางตัวแทนเปิดบิล โดยการให้มีเหล่านักแสดงทั้งหลายไปเป็นพ่อข่าย แม่ข่าย ตนเก็บรวบรวมข้อมูลทั้งหมดแล้ว มีโอกาสคุยกับผู้เสียหายแล้ว มีบางคนถึงขั้นฆ่าตัวตาย เพราะมีการไปซื้อของ จ่ายเงินไปแล้ว บอกว่าขายได้แน่นอน ถึงเวลาขายไม่ได้ ต้องเอาไปเร่ขายเอง กินเอง บางคนได้ยินมาว่าเป็น รปภ. เอาเงินไปซื้อสินค้าเก็บไว้ 200,000 บาท ซื้อเสร็จปรากฎว่า ไปขายก็ไม่ได้ ฆ่าตัวตาย แต่ข่าวเงียบ เร็วๆ นี้ เรื่องราวที่ส่งเข้ามา ตนเห็นตลอด รู้กันว่าที่ไหน ไม่ได้นิ่งนอนใจ เก็บรวบรวมข้อมูลอยู่ มีผู้เสียหายเข้ามาคุยหลายคน แล้วบอกไว้เลยว่าใหญ่ ด้านเฟซบุ๊ก "มูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม - CRSJ Foundation" ที่มีนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ทนายความชื่อดัง เป็นประธาน โพสต์ข้อความระบุว่า "บริษัทธุรกิจขนาดใหญ่ น่าเชื่อถือมาก ชาวบ้าน คนหนุ่มสาว คนสูงอายุ ลงทุนเสียหายกันเพียบ หลักหมื่น แสน ล้าน บางคนร้องไห้ บางคนที่บ้านด่า เร็วๆ นี้แน่นอน" และกล่าวว่า "ใครที่เสียหายจากบริษัทขนาดใหญ่ น่าเชื่อถือนี้ ทักกันมาให้ข้อมูลเพิ่มเติมนะครับ มูลนิธิรณรงค์ฯ จะพิจารณาให้ความช่วยเหลือ ด่วน! เห็นว่าเสียหายกันทั่วประเทศ เร็วๆ นี้เจอกันแน่นอน" โดยมีผู้เสียหายคอมเมนต์ให้ข้อมูลจำนวนมาก รายงานข่าวเพิ่มเติมระบุว่า บริษัทดังกล่าวก่อตั้งไม่นานนัก แต่ใช้ดารานักแสดงเป็นผู้บริหารและพรีเซ็นเตอร์สินค้า ใช้สื่อโฆษณาบิลบอร์ดทั่วประเทศเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ และมีการซื้อเวลารายการโทรทัศน์ ให้แม่ข่ายชักชวนคนเข้ามาสมัครคอร์สเรียนออนไลน์การตลาดบนโซเชียลมีเดีย ในราคาไม่ถึง 100 บาท เมื่อมีผู้หลงเชื่อเข้ามาเรียนก็จะโน้มน้าวให้ลองนำสินค้าไปขาย แต่เนื่องจากมีผู้เสียหายหลายรูปแบบ จึงต้องคอยดูว่าในรายการโหนกระแส นายกรรชัยจะเปิดประเด็นอย่างไร ซึ่งจะเห็นภาพชัดเจนขึ้น #Newskit #ขายตรง - กรณีศึกษา : คนร้ายบุกบ้านจับตัวประกัน
เหตุการณ์ที่นายสันติ เจ๊ะอะหลี อายุ 39 ปี ผู้ต้องหาหลบหนีการจับกุมของตำรวจ ปีนเข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง ภายในซอยอินทามาระ 29 แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพฯ เมื่อคืนวันที่ 3 ต.ค. 2567 ภายในบ้านมีแม่และลูกชาย 2 คน มีการนำเสนอข่าวว่ามีการจับตัวประกัน โดยมีแม่พักอยู่กับลูกชาย 2 คน แต่พบว่าแม่หลบหนีออกมาตั้งแต่ช่วงแรกที่เกิดเหตุ ส่วนลูกชายทั้งสองคนอยู่ภายในห้อง จากนั้นสถานการณ์คลี่คลายเมื่อเวลาประมาณ 00.50 น. วันที่ 4 ต.ค. 2567
พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รรท.ผบ.ตร. (ขณะนั้น) ระบุว่า คนร้ายไม่ได้จับใครเป็นตัวประกัน ไม่มีตำรวจได้รับบาดเจ็บจากการปะทะ ส่วนคนในบ้านทั้งสองคนเป็นหมอ สภาพจิตใจค่อนข้างดีมาก ขณะเกิดเหตุหมอทั้ง 2 คนอยู่ในห้อง ตำรวจแนะนำว่าให้ล็อกห้องและหาอะไรดันเอาไว้ อย่าอยู่ในแนวของประตู ซึ่งทั้งสองก็ให้ความร่วมมือดี และขวัญกำลังใจดีมาก ส่วนผู้ต้องหาพบว่าหลบหนีไปผ่านทางช่องระบายอากาศ ช่องทางเดียวกับที่เข้ามาตอนแรก ก่อนปีนออกไปที่หลังบ้าน
เหตุการณ์ผ่านไป 3 วัน ในที่สุดวันที่ 7 ต.ค. 2567 ตำรวจ สภ.โพธิ์กลาง จ.นครราชสีมา ได้รับการประสานจาก สน.เตาปูน สกัดจับรถแท็กซี่ต้องสงสัย ที่นายสันติจ้างให้ไปส่งที่จังหวัดอำนาจเจริญในราคา 8,000 บาท นายสันติวิ่งหนีออกจากรถ แต่สะดุดล้มได้รับบาดเจ็บ ตำรวจจับกุมเอาไว้ได้ ตอนหนึ่งเจ้าตัวกล่าวว่า ที่ยิงสวนตำรวจเพราะเปิดทางเพื่อหนีเท่านั้น ส่วนที่เข้าไปที่บ้านของตัวประกัน อ้างว่าแค่หิวน้ำเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาจับตัวประกัน และถ้าหมอเปิดประตูออกมา ก็คงจับเป็นตัวประกัน
บทเรียนจากเหตุโจรขึ้นบ้าน นอกจากหมั่นล็อกประตูบ้านทุกครั้งแล้ว อาจเสริมความแข็งแรงให้กับบ้าน ด้วยการสร้างรั้วให้สูงขึ้น อาจมีเหล็กแหลมด้านบนกำแพงเพื่อป้องกันคนร้ายปีนขึ้นไป ติดตั้งเหล็กดัดที่ประตู หน้าต่าง รวมทั้งช่องระบายอากาศ ติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัยในบ้าน เช่น กล้องวงจรปิด (CCTV) สัญญาณเตือนผู้บุกรุก จัดภูมิทัศน์รอบบ้านเพื่อลดจุดอับสายตา ติดตั้งไฟส่องสว่างรอบบ้าน รวมทั้งเลี้ยงสุนัขพันธุ์ใหญ่ไว้เฝ้าบ้าน
กรณีที่มีคนร้ายเข้ามาในบ้าน จับคนในบ้านเป็นตัวประกัน เพื่อใช้เป็นเครื่องมือต่อรองกับตำรวจ ช่วงแรกคนร้ายจะอยู่ในภาวะตึงเครียด หากตกอยู่ในเหตุการณ์แล้วหลบหนีไม่ทัน ให้พยายามตั้งสติ อยู่ในความสงบ ไม่ตื่นตระหนก ไม่ต่อสู้ขัดขืน อย่าพยายามหลบหนีด้วยตัวเอง สังเกตลักษณะของคนร้ายให้ได้มากที่สุด เช่น รูปร่าง หน้าตา เสื้อผ้า อาวุธ เส้นทางหลบหนี แล้วรอจังหวะตำรวจเข้าช่วยเหลือ
#Newskit #อินทามาระ29 #จับตัวประกันกรณีศึกษา : คนร้ายบุกบ้านจับตัวประกัน เหตุการณ์ที่นายสันติ เจ๊ะอะหลี อายุ 39 ปี ผู้ต้องหาหลบหนีการจับกุมของตำรวจ ปีนเข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง ภายในซอยอินทามาระ 29 แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพฯ เมื่อคืนวันที่ 3 ต.ค. 2567 ภายในบ้านมีแม่และลูกชาย 2 คน มีการนำเสนอข่าวว่ามีการจับตัวประกัน โดยมีแม่พักอยู่กับลูกชาย 2 คน แต่พบว่าแม่หลบหนีออกมาตั้งแต่ช่วงแรกที่เกิดเหตุ ส่วนลูกชายทั้งสองคนอยู่ภายในห้อง จากนั้นสถานการณ์คลี่คลายเมื่อเวลาประมาณ 00.50 น. วันที่ 4 ต.ค. 2567 พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รรท.ผบ.ตร. (ขณะนั้น) ระบุว่า คนร้ายไม่ได้จับใครเป็นตัวประกัน ไม่มีตำรวจได้รับบาดเจ็บจากการปะทะ ส่วนคนในบ้านทั้งสองคนเป็นหมอ สภาพจิตใจค่อนข้างดีมาก ขณะเกิดเหตุหมอทั้ง 2 คนอยู่ในห้อง ตำรวจแนะนำว่าให้ล็อกห้องและหาอะไรดันเอาไว้ อย่าอยู่ในแนวของประตู ซึ่งทั้งสองก็ให้ความร่วมมือดี และขวัญกำลังใจดีมาก ส่วนผู้ต้องหาพบว่าหลบหนีไปผ่านทางช่องระบายอากาศ ช่องทางเดียวกับที่เข้ามาตอนแรก ก่อนปีนออกไปที่หลังบ้าน เหตุการณ์ผ่านไป 3 วัน ในที่สุดวันที่ 7 ต.ค. 2567 ตำรวจ สภ.โพธิ์กลาง จ.นครราชสีมา ได้รับการประสานจาก สน.เตาปูน สกัดจับรถแท็กซี่ต้องสงสัย ที่นายสันติจ้างให้ไปส่งที่จังหวัดอำนาจเจริญในราคา 8,000 บาท นายสันติวิ่งหนีออกจากรถ แต่สะดุดล้มได้รับบาดเจ็บ ตำรวจจับกุมเอาไว้ได้ ตอนหนึ่งเจ้าตัวกล่าวว่า ที่ยิงสวนตำรวจเพราะเปิดทางเพื่อหนีเท่านั้น ส่วนที่เข้าไปที่บ้านของตัวประกัน อ้างว่าแค่หิวน้ำเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาจับตัวประกัน และถ้าหมอเปิดประตูออกมา ก็คงจับเป็นตัวประกัน บทเรียนจากเหตุโจรขึ้นบ้าน นอกจากหมั่นล็อกประตูบ้านทุกครั้งแล้ว อาจเสริมความแข็งแรงให้กับบ้าน ด้วยการสร้างรั้วให้สูงขึ้น อาจมีเหล็กแหลมด้านบนกำแพงเพื่อป้องกันคนร้ายปีนขึ้นไป ติดตั้งเหล็กดัดที่ประตู หน้าต่าง รวมทั้งช่องระบายอากาศ ติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัยในบ้าน เช่น กล้องวงจรปิด (CCTV) สัญญาณเตือนผู้บุกรุก จัดภูมิทัศน์รอบบ้านเพื่อลดจุดอับสายตา ติดตั้งไฟส่องสว่างรอบบ้าน รวมทั้งเลี้ยงสุนัขพันธุ์ใหญ่ไว้เฝ้าบ้าน กรณีที่มีคนร้ายเข้ามาในบ้าน จับคนในบ้านเป็นตัวประกัน เพื่อใช้เป็นเครื่องมือต่อรองกับตำรวจ ช่วงแรกคนร้ายจะอยู่ในภาวะตึงเครียด หากตกอยู่ในเหตุการณ์แล้วหลบหนีไม่ทัน ให้พยายามตั้งสติ อยู่ในความสงบ ไม่ตื่นตระหนก ไม่ต่อสู้ขัดขืน อย่าพยายามหลบหนีด้วยตัวเอง สังเกตลักษณะของคนร้ายให้ได้มากที่สุด เช่น รูปร่าง หน้าตา เสื้อผ้า อาวุธ เส้นทางหลบหนี แล้วรอจังหวะตำรวจเข้าช่วยเหลือ #Newskit #อินทามาระ29 #จับตัวประกัน - เทศบาลนครหัวหิน อัปเกรดเมืองตากอากาศ
วันคล้ายวันสถาปนาเทศบาลเมืองหัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ปีที่ 87 ผ่านพ้นไปเมื่อวันที่ 1 ต.ค. ที่ผ่านมา ถือเป็นปีสุดท้ายที่ใช้นามว่าเทศบาลเมืองหัวหิน เพราะในปี 2568 จะยกฐานะเป็นเทศบาลนครหัวหิน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสำหรับเมืองขนาดใหญ่ ที่มีประชากรตั้งแต่ 50,000 คนขึ้นไป และมีรายได้พอเพียงต่อการให้บริการสาธารณะ ตามหน้าที่ที่กฎหมายบัญญัติไว้
โดยเมื่อวันที่ 28 ก.ย. ที่ผ่านมา กระทรวงมหาดไทย ออกประกาศ เรื่อง เปลี่ยนแปลงฐานะเทศบาลเมืองหัวหิน อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบศรีชันธ์ เป็นเทศบาลนครหัวหิน ตั้งแต่วันที่ 28 มี.ค. 2568 เป็นต้นไป นายอนุทิน ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย นับเป็นเทศบาลนครแห่งที่ 32 ในประเทศไทย ต่อจากเทศบาลนครบุรีรัมย์ ที่จะมีผลในวันที่ 31 ต.ค. 2567 ที่จะถึงนี้ ซึ่งจะส่งผลให้มีเขตเลือกตั้งจาก 3 เขตเป็น 4 เขต มีรองนายกเทศมนตรีจาก 3 คนเป็น 4 คน พร้อมทั้งมีอำนาจหน้าที่ดูแลประชาชนมากขึ้น
สำหรับเทศบาลเมืองหัวหิน มีพื้นที่ 86.36 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุม 2 ตำบล ได้แก่ ตำบลหัวหิน และตำบลหนองแก จํานวน 40 ชุมชน มีประชากรจํานวน 62,111 คน สภาพของสังคม มีจํานวนครอบครัว 19,489 ครอบครัว ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง จํานวน 46,297 คน ปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 รายได้จริงไม่รวมเงินอุดหนุน 630,854,560.29 บาท รายจ่ายประจํา 320,219,300 บาท
ปัจจุบัน เทศบาลเมืองหัวหิน เป็นที่ตั้งของเขตพระราชฐาน คือ พระราชวังไกลกังวล มีอุทยานราชภักดิ์ พระบรมราชานุสาวรีย์ของพระมหากษัตริย์ไทย 7 พระองค์ เป็นแหล่งท่องเที่ยวตากอากาศยอดนิยมทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ มีชายหาด เช่น หาดหัวหิน หาดเขาเต่า หาดหัวดอน สวนสนประดิพัทธ์ มีตลาดโต้รุ่งหัวหิน มีโรงแรมทั้งหมด 125 แห่ง ร้านอาหาร 1,192 แห่ง มีศูนย์การค้าขนาดใหญ่ 2 แห่ง โรงภาพยนตร์ 2 แห่ง มีสวนน้ำ และสนามกอล์ฟทั้งในเขตเทศบาลและพื้นที่ใกล้เคียง
ส่วนโครงสร้างพื้นฐาน มีโครงการพัฒนาท่าอากาศยานหัวหิน รองรับเครื่องบินแอร์บัส A320 และโบอิ้ง B-737-800 และรองรับการเป็นท่าอากาศยานนานาชาติ ซึ่งเคยมีเที่ยวบินตรง หัวหิน-กัวลาลัมเปอร์ มาก่อน ปัจจุบันมีเที่ยวบินหัวหิน-เชียงใหม่วันละ 1 เที่ยว มีโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงนครปฐม-ชุมพร ซึ่งได้เปิดใช้สถานีรถไฟหัวหินแห่งใหม่ เมื่อวันที่ 11 ธ.ค. 2566 ที่ผ่านมา ซึ่งมีขบวนรถโดยสารให้บริการรวม 28 ขบวนต่อวัน
รถโดยสารประจำทาง มีสถานีเดินรถ 3 แห่ง ได้แก่ Bus & Van Station (มาร์เก็ตวิลเลจ หัวหิน), รุ่งเรืองโค้ช (ติดกับสนามบินหัวหิน) และสถานีเดินรถหัวหิน (สมบัติทัวร์ หัวหิน)
#Newskit #Huahin #เทศบาลนครหัวหินเทศบาลนครหัวหิน อัปเกรดเมืองตากอากาศ วันคล้ายวันสถาปนาเทศบาลเมืองหัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ปีที่ 87 ผ่านพ้นไปเมื่อวันที่ 1 ต.ค. ที่ผ่านมา ถือเป็นปีสุดท้ายที่ใช้นามว่าเทศบาลเมืองหัวหิน เพราะในปี 2568 จะยกฐานะเป็นเทศบาลนครหัวหิน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสำหรับเมืองขนาดใหญ่ ที่มีประชากรตั้งแต่ 50,000 คนขึ้นไป และมีรายได้พอเพียงต่อการให้บริการสาธารณะ ตามหน้าที่ที่กฎหมายบัญญัติไว้ โดยเมื่อวันที่ 28 ก.ย. ที่ผ่านมา กระทรวงมหาดไทย ออกประกาศ เรื่อง เปลี่ยนแปลงฐานะเทศบาลเมืองหัวหิน อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบศรีชันธ์ เป็นเทศบาลนครหัวหิน ตั้งแต่วันที่ 28 มี.ค. 2568 เป็นต้นไป นายอนุทิน ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย นับเป็นเทศบาลนครแห่งที่ 32 ในประเทศไทย ต่อจากเทศบาลนครบุรีรัมย์ ที่จะมีผลในวันที่ 31 ต.ค. 2567 ที่จะถึงนี้ ซึ่งจะส่งผลให้มีเขตเลือกตั้งจาก 3 เขตเป็น 4 เขต มีรองนายกเทศมนตรีจาก 3 คนเป็น 4 คน พร้อมทั้งมีอำนาจหน้าที่ดูแลประชาชนมากขึ้น สำหรับเทศบาลเมืองหัวหิน มีพื้นที่ 86.36 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุม 2 ตำบล ได้แก่ ตำบลหัวหิน และตำบลหนองแก จํานวน 40 ชุมชน มีประชากรจํานวน 62,111 คน สภาพของสังคม มีจํานวนครอบครัว 19,489 ครอบครัว ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง จํานวน 46,297 คน ปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 รายได้จริงไม่รวมเงินอุดหนุน 630,854,560.29 บาท รายจ่ายประจํา 320,219,300 บาท ปัจจุบัน เทศบาลเมืองหัวหิน เป็นที่ตั้งของเขตพระราชฐาน คือ พระราชวังไกลกังวล มีอุทยานราชภักดิ์ พระบรมราชานุสาวรีย์ของพระมหากษัตริย์ไทย 7 พระองค์ เป็นแหล่งท่องเที่ยวตากอากาศยอดนิยมทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ มีชายหาด เช่น หาดหัวหิน หาดเขาเต่า หาดหัวดอน สวนสนประดิพัทธ์ มีตลาดโต้รุ่งหัวหิน มีโรงแรมทั้งหมด 125 แห่ง ร้านอาหาร 1,192 แห่ง มีศูนย์การค้าขนาดใหญ่ 2 แห่ง โรงภาพยนตร์ 2 แห่ง มีสวนน้ำ และสนามกอล์ฟทั้งในเขตเทศบาลและพื้นที่ใกล้เคียง ส่วนโครงสร้างพื้นฐาน มีโครงการพัฒนาท่าอากาศยานหัวหิน รองรับเครื่องบินแอร์บัส A320 และโบอิ้ง B-737-800 และรองรับการเป็นท่าอากาศยานนานาชาติ ซึ่งเคยมีเที่ยวบินตรง หัวหิน-กัวลาลัมเปอร์ มาก่อน ปัจจุบันมีเที่ยวบินหัวหิน-เชียงใหม่วันละ 1 เที่ยว มีโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงนครปฐม-ชุมพร ซึ่งได้เปิดใช้สถานีรถไฟหัวหินแห่งใหม่ เมื่อวันที่ 11 ธ.ค. 2566 ที่ผ่านมา ซึ่งมีขบวนรถโดยสารให้บริการรวม 28 ขบวนต่อวัน รถโดยสารประจำทาง มีสถานีเดินรถ 3 แห่ง ได้แก่ Bus & Van Station (มาร์เก็ตวิลเลจ หัวหิน), รุ่งเรืองโค้ช (ติดกับสนามบินหัวหิน) และสถานีเดินรถหัวหิน (สมบัติทัวร์ หัวหิน) #Newskit #Huahin #เทศบาลนครหัวหิน - 3-6 ตุลาคม 2567
Newskit ขออนุญาตงดตีพิมพ์
พบกันอีกครั้ง 7 ตุลาคม 25673-6 ตุลาคม 2567 Newskit ขออนุญาตงดตีพิมพ์ พบกันอีกครั้ง 7 ตุลาคม 2567 - บีบหัวใจ
โศกนาฎกรรมเพลิงไหม้รถโดยสารบนถนนวิภาวดีรังสิต ต.คูคต อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี เมื่อช่วงเที่ยงวันที่ 1 ต.ค. 2567 ขณะนำครูและนักเรียน โรงเรียนวัดเขาพระยาสังฆาราม อ.ลานสัก จ.อุทัยธานี ออกจากอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา กำลังไปยังศูนย์การเรียนรู้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟฝ.) สำนักงานกลาง อ.บางกรวย จ.นนทบุรี ตามโครงการทัศนศึกษาแหล่งเรียนรู้นอกสถานที่ ประจำปีการศึกษา 2567 ทำให้นักเรียนและครูเสียชีวิต 23 ราย
ความสูญเสียครั้งนี้บีบหัวใจคนไทยทั้งประเทศ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รรท.ผบ.ตร. กล่าวว่า เบื้องต้นสอบถามครูและตำรวจในพื้นที่เกิดเหตุ ทราบว่ารถเกิดยางระเบิด แล้วเสียการควบคุมไปชนรถเบนซ์ แล้วชนแบริเออร์เกิดไฟลุกท่วมขึ้นมา สอดคล้องกับนายชาดา ไทยเศรษฐ์ อดีต รมช.มหาดไทย เปิดเผยว่า ครูเล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่าสาเหตุมาจากรถเกิดยางระเบิด ทำให้เสียหลักไปชนกระแทกกับแบริเออร์ข้างทาง กระแทกถูกถังก๊าซพอดี จึงทำให้เกิดประกายไฟขึ้น
แต่ข้อมูลที่เผยแพร่ผ่านสื่อ พบว่ารถโดยสารคันเกิดเหตุ จดทะเบียนครั้งแรก 19 ก.พ. 2513 หรือเมื่อ 54 ปีก่อน ระบุว่าเป็นรถโดยสารไม่ประจำทาง จำนวน 41 ที่นั่ง ดัดแปลงจากรถอีซูซุ แล้วเอาเครืองยนต์เบนซ์มาใส่ และในประวัติรถพบว่ามีถังก๊าซ 3 ถัง วันหมดอายุใบรับรองเมื่อวันที่ 18 มิ.ย. 2567 จึงถูกตั้งคำถามว่ารถโดยสารได้มาตรฐานหรือไม่ ถึงกระนั้น นายทรงวิทย์ ชินบุตร เจ้าของชินบุตรทัวร์ ยืนยันว่า รถคันเกิดเหตุผ่านการตรวจสอบมาตรฐานความปลอดภัย 2 ครั้งต่อปีทุกครั้งก่อนต่อภาษี
อีกด้านหนึ่ง ยังมีคนในสังคมเบี่ยงประเด็น เรียกร้องให้โรงเรียนยกเลิกทัศนศึกษาไปเลย อ้างว่าไม่มีประโยชน์ ทั้งที่การทัศนศึกษา คือกิจกรรมการเรียนรู้นอกห้องเรียน ซึ่งไม่ได้จัดขึ้นบ่อยครั้ง สถานที่บางแห่งอนุญาตเข้าชมเฉพาะหมู่คณะเท่านั้น และยังเป็นโอกาสดีที่เพื่อนทั้งห้องจะได้เที่ยวด้วยกัน เพราะบางครอบครัวไม่มีเวลา ไม่มีโอกาส ไม่มีกำลังทรัพย์พอที่จะเที่ยว ปัญหาที่แท้จริงจึงเกิดจากรถโดยสารที่ทางโรงเรียนจ้างมาไม่ได้มาตรฐาน ไม่มีความปลอดภัย
ปัญหาก็คือ รถโดยสารที่ได้มาตรฐานนั้นมีราคาแพง บางโรงเรียนที่มีงบประมาณจำกัด จึงเลือกผู้ประกอบการถูกที่สุดหรือที่คุ้นเคย ไม่นับรวมผู้ประกอบการต่างก็บอกว่ารถตัวเองได้มาตรฐาน แต่อาจประมาทที่ไม่ได้ตรวจสอบสภาพรถ สภาพคนขับรถ หรือพูดความจริงไม่หมด จึงเป็นโจทย์ที่แต่ละโรงเรียนจะต้องพิจารณารูปแบบการจัดกิจกรรม การคัดเลือกรถโดยสารจากผู้ประกอบการที่ได้มาตรฐานความปลอดภัย และองค์ประกอบอื่นๆ เพื่อไม่ให้ซ้ำรอยกับโศกนาฎกรรมเช่นนี้อีก
#Newskit #รถบัสทัศนศึกษาบีบหัวใจ โศกนาฎกรรมเพลิงไหม้รถโดยสารบนถนนวิภาวดีรังสิต ต.คูคต อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี เมื่อช่วงเที่ยงวันที่ 1 ต.ค. 2567 ขณะนำครูและนักเรียน โรงเรียนวัดเขาพระยาสังฆาราม อ.ลานสัก จ.อุทัยธานี ออกจากอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา กำลังไปยังศูนย์การเรียนรู้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟฝ.) สำนักงานกลาง อ.บางกรวย จ.นนทบุรี ตามโครงการทัศนศึกษาแหล่งเรียนรู้นอกสถานที่ ประจำปีการศึกษา 2567 ทำให้นักเรียนและครูเสียชีวิต 23 ราย ความสูญเสียครั้งนี้บีบหัวใจคนไทยทั้งประเทศ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รรท.ผบ.ตร. กล่าวว่า เบื้องต้นสอบถามครูและตำรวจในพื้นที่เกิดเหตุ ทราบว่ารถเกิดยางระเบิด แล้วเสียการควบคุมไปชนรถเบนซ์ แล้วชนแบริเออร์เกิดไฟลุกท่วมขึ้นมา สอดคล้องกับนายชาดา ไทยเศรษฐ์ อดีต รมช.มหาดไทย เปิดเผยว่า ครูเล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่าสาเหตุมาจากรถเกิดยางระเบิด ทำให้เสียหลักไปชนกระแทกกับแบริเออร์ข้างทาง กระแทกถูกถังก๊าซพอดี จึงทำให้เกิดประกายไฟขึ้น แต่ข้อมูลที่เผยแพร่ผ่านสื่อ พบว่ารถโดยสารคันเกิดเหตุ จดทะเบียนครั้งแรก 19 ก.พ. 2513 หรือเมื่อ 54 ปีก่อน ระบุว่าเป็นรถโดยสารไม่ประจำทาง จำนวน 41 ที่นั่ง ดัดแปลงจากรถอีซูซุ แล้วเอาเครืองยนต์เบนซ์มาใส่ และในประวัติรถพบว่ามีถังก๊าซ 3 ถัง วันหมดอายุใบรับรองเมื่อวันที่ 18 มิ.ย. 2567 จึงถูกตั้งคำถามว่ารถโดยสารได้มาตรฐานหรือไม่ ถึงกระนั้น นายทรงวิทย์ ชินบุตร เจ้าของชินบุตรทัวร์ ยืนยันว่า รถคันเกิดเหตุผ่านการตรวจสอบมาตรฐานความปลอดภัย 2 ครั้งต่อปีทุกครั้งก่อนต่อภาษี อีกด้านหนึ่ง ยังมีคนในสังคมเบี่ยงประเด็น เรียกร้องให้โรงเรียนยกเลิกทัศนศึกษาไปเลย อ้างว่าไม่มีประโยชน์ ทั้งที่การทัศนศึกษา คือกิจกรรมการเรียนรู้นอกห้องเรียน ซึ่งไม่ได้จัดขึ้นบ่อยครั้ง สถานที่บางแห่งอนุญาตเข้าชมเฉพาะหมู่คณะเท่านั้น และยังเป็นโอกาสดีที่เพื่อนทั้งห้องจะได้เที่ยวด้วยกัน เพราะบางครอบครัวไม่มีเวลา ไม่มีโอกาส ไม่มีกำลังทรัพย์พอที่จะเที่ยว ปัญหาที่แท้จริงจึงเกิดจากรถโดยสารที่ทางโรงเรียนจ้างมาไม่ได้มาตรฐาน ไม่มีความปลอดภัย ปัญหาก็คือ รถโดยสารที่ได้มาตรฐานนั้นมีราคาแพง บางโรงเรียนที่มีงบประมาณจำกัด จึงเลือกผู้ประกอบการถูกที่สุดหรือที่คุ้นเคย ไม่นับรวมผู้ประกอบการต่างก็บอกว่ารถตัวเองได้มาตรฐาน แต่อาจประมาทที่ไม่ได้ตรวจสอบสภาพรถ สภาพคนขับรถ หรือพูดความจริงไม่หมด จึงเป็นโจทย์ที่แต่ละโรงเรียนจะต้องพิจารณารูปแบบการจัดกิจกรรม การคัดเลือกรถโดยสารจากผู้ประกอบการที่ได้มาตรฐานความปลอดภัย และองค์ประกอบอื่นๆ เพื่อไม่ให้ซ้ำรอยกับโศกนาฎกรรมเช่นนี้อีก #Newskit #รถบัสทัศนศึกษา - Michelin Key ลูกเล่นใหม่มิชลินไกด์
นับเป็นครั้งแรกที่มิชลินไกด์ (Michelin Guide) คู่มือแนะนำร้านอาหารที่มีชื่อเสียงระดับโลก เปิดตัวรางวัลมิชลินคีย์ (Michelin Key) ตราสัญลักษณ์ที่มอบให้กับโรงแรมที่พักในประเทศไทย เมื่อวันที่ 25 ก.ย. ที่ผ่านมา หลังจากแนะนำที่พักมากกว่า 6,000 แห่งใน 120 ประเทศ โดยวัดจาก 1. ราคาเหมาะสมกับคุณภาพและประสบการณ์ที่ได้รับ 2. มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว สะท้อนถึงคุณลักษณะดั้งเดิมของโรงแรมที่พัก 3. คุณภาพและความสม่ำเสมอในการให้บริการ รวมถึงความสะดวกสบายและการบำรุงรักษา 4. สถาปัตยกรรมและการออกแบบตกแต่งภายใน และ 5. เป็นจุดหมายปลายทางในตัวเอง มีส่วนนำเสนอความเป็นท้องถิ่น
ปรากฎว่าในปี 2567 มีโรงแรมในประเทศไทยได้รางวัล 58 แห่ง โดยรางวัลกุญแจ 3 ดอก มี 8 แห่ง ได้แก่ แมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ, เดอะ สยาม กรุงเทพฯ, กีมาลา จ.ภูเก็ต, อมันปุรี จ.ภูเก็ต, โฟร์ซีซั่นส์ รีสอร์ต จ.เชียงใหม่, โซเนวา คีรี รีสอร์ท เกาะกูด จ.ตราด, ซามูจาน่า วิลล่า เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี และ ภูเล เบย์ อะ ริทซ์-คาร์ลตัน รีเซิร์ฟ จ.กระบี่ ส่วนรางวัลกุญแจ 2 ดอก มี 19 แห่ง และรางวัลกุญแจ 1 ดอก มี 31 แห่ง
แม้โรงแรมที่ได้รับรางวัลมิชลินคีย์ เป็นคนละรางวัลกับโรงแรมที่มีร้านอาหารรางวัลดาวมิชลิน แต่ก็มีโรงแรมได้ทั้งมิชลินคีย์และมิชลินไกด์ปี 2566 อาทิ แมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ (3 ดอก) มีร้านเลอ นอร์ม็องดี บาย อลัง รูซ์ (2 ดาว), ดิ โอกุระ เพรสทีจ กรุงเทพฯ (2 ดอก) มีร้านเอเลเมนท์ อินสไปร์ บาย เซล เบลอ (1 ดาว), โคโม เมโทรโพลิแทน กรุงเทพฯ (1 ดอก) มีห้องอาหารน้ำ (1 ดาว), ตรีสรา จ.ภูเก็ต (1 ดอก) มีร้านพรู (1 ดาว) เป็นต้น
สำหรับคู่มือมิชลินไกด์ ฉบับประจำปีครั้งที่ 8 (2025) มีกำหนดเปิดตัวในช่วงปลายปี 2567 โดยได้เพิ่มร้านอาหารจังหวัดชลบุรี ต่อจากกรุงเทพฯ, ภูเก็ต-พังงา, เชียงใหม่, พระนครศรีอยุธยา, ภาคอีสาน 4 จังหวัด (นครราชสีมา อุบลราชธานี อุดรธานี ขอนแก่น) และเกาะสมุย-สุราษฎร์ธานี
โครงการ The Michelin Guide Thailand มีการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เป็นเจ้าของโครงการ เปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 2560 ทำข้อตกลงสัญญา 5 ปีกับบริษัท Michelin Travel Partner France วงเงิน 4.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อมาวันที่ 5 ต.ค. 2564 คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้ ททท. ก่อหนี้ผูกพันสนับสนุนการจัดโครงการฯ ประจำปี 2565-2569 วงเงิน 4.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 135.3 ล้านบาท) โดยแบ่งจ่ายเป็นรายปี ปีละ 820,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 27.06 ล้านบาท)
#Newskit #MichelinKey #MichelinGuideThailandMichelin Key ลูกเล่นใหม่มิชลินไกด์ นับเป็นครั้งแรกที่มิชลินไกด์ (Michelin Guide) คู่มือแนะนำร้านอาหารที่มีชื่อเสียงระดับโลก เปิดตัวรางวัลมิชลินคีย์ (Michelin Key) ตราสัญลักษณ์ที่มอบให้กับโรงแรมที่พักในประเทศไทย เมื่อวันที่ 25 ก.ย. ที่ผ่านมา หลังจากแนะนำที่พักมากกว่า 6,000 แห่งใน 120 ประเทศ โดยวัดจาก 1. ราคาเหมาะสมกับคุณภาพและประสบการณ์ที่ได้รับ 2. มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว สะท้อนถึงคุณลักษณะดั้งเดิมของโรงแรมที่พัก 3. คุณภาพและความสม่ำเสมอในการให้บริการ รวมถึงความสะดวกสบายและการบำรุงรักษา 4. สถาปัตยกรรมและการออกแบบตกแต่งภายใน และ 5. เป็นจุดหมายปลายทางในตัวเอง มีส่วนนำเสนอความเป็นท้องถิ่น ปรากฎว่าในปี 2567 มีโรงแรมในประเทศไทยได้รางวัล 58 แห่ง โดยรางวัลกุญแจ 3 ดอก มี 8 แห่ง ได้แก่ แมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ, เดอะ สยาม กรุงเทพฯ, กีมาลา จ.ภูเก็ต, อมันปุรี จ.ภูเก็ต, โฟร์ซีซั่นส์ รีสอร์ต จ.เชียงใหม่, โซเนวา คีรี รีสอร์ท เกาะกูด จ.ตราด, ซามูจาน่า วิลล่า เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี และ ภูเล เบย์ อะ ริทซ์-คาร์ลตัน รีเซิร์ฟ จ.กระบี่ ส่วนรางวัลกุญแจ 2 ดอก มี 19 แห่ง และรางวัลกุญแจ 1 ดอก มี 31 แห่ง แม้โรงแรมที่ได้รับรางวัลมิชลินคีย์ เป็นคนละรางวัลกับโรงแรมที่มีร้านอาหารรางวัลดาวมิชลิน แต่ก็มีโรงแรมได้ทั้งมิชลินคีย์และมิชลินไกด์ปี 2566 อาทิ แมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ (3 ดอก) มีร้านเลอ นอร์ม็องดี บาย อลัง รูซ์ (2 ดาว), ดิ โอกุระ เพรสทีจ กรุงเทพฯ (2 ดอก) มีร้านเอเลเมนท์ อินสไปร์ บาย เซล เบลอ (1 ดาว), โคโม เมโทรโพลิแทน กรุงเทพฯ (1 ดอก) มีห้องอาหารน้ำ (1 ดาว), ตรีสรา จ.ภูเก็ต (1 ดอก) มีร้านพรู (1 ดาว) เป็นต้น สำหรับคู่มือมิชลินไกด์ ฉบับประจำปีครั้งที่ 8 (2025) มีกำหนดเปิดตัวในช่วงปลายปี 2567 โดยได้เพิ่มร้านอาหารจังหวัดชลบุรี ต่อจากกรุงเทพฯ, ภูเก็ต-พังงา, เชียงใหม่, พระนครศรีอยุธยา, ภาคอีสาน 4 จังหวัด (นครราชสีมา อุบลราชธานี อุดรธานี ขอนแก่น) และเกาะสมุย-สุราษฎร์ธานี โครงการ The Michelin Guide Thailand มีการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เป็นเจ้าของโครงการ เปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 2560 ทำข้อตกลงสัญญา 5 ปีกับบริษัท Michelin Travel Partner France วงเงิน 4.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อมาวันที่ 5 ต.ค. 2564 คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้ ททท. ก่อหนี้ผูกพันสนับสนุนการจัดโครงการฯ ประจำปี 2565-2569 วงเงิน 4.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 135.3 ล้านบาท) โดยแบ่งจ่ายเป็นรายปี ปีละ 820,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 27.06 ล้านบาท) #Newskit #MichelinKey #MichelinGuideThailand - เปิดตัว Thaitimes โซเชียลฯ สำหรับคนไทย
นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งสื่อในเครือผู้จัดการ และผู้ดำเนินรายการ คุยทุกเรื่องกับสนธิ เปิดตัวแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ "ไทยไทมส์" (Thaitimes) อย่างเป็นทางการ ที่หอประชุมเล็ก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 29 ก.ย. โดยได้แนะนำนายอาทิตย์ เซกาล และนายกฤษณะ ผู้อยู่เบื้องหลังในการพัฒนาแพลตฟอร์มดังกล่าวบนเวทีอีกด้วย คาดว่าภายในสิ้นปี 2567 จะมีผู้ใช้งานมากกว่า 5 หมื่นคน และปีหน้า (2568) จะมีสมาชิกหลักแสนคน
นายสนธิ กล่าวว่า ได้เปิดทดลองใช้แอปพลิเคชัน Thaitimes เป็นครั้งแรกตั้งแต่ช่วงปลายเดือน ส.ค. 2567 ที่ผ่านมา ถึงปัจจุบันเป็นเวลาประมาณ 1 เดือน มีผู้สมัครเข้าใช้แอปพลิเคชันนี้แล้วมากกว่า 2 หมื่นราย จุดเด่นของแอปพลิเคชันไทยไทมส์ คือ มีความเป็นสากลและความเป็นท้องถิ่นอยู่ในตัวเอง ซึ่งสิ่งโซเชียลมีเดียของต่างชาติขาดหายไป คือการใช้มาตรฐานเดียวกันหมดทั่วโลก ทั้งที่ทั่วโลกต้องการความหลากหลาย
"สิ่งที่สำคัญคือ โซเชียลมีเดียต่างชาตินั้น รับงานรัฐบาลของตัวเองปิดกั้นข้อมูลข้อเท็จจริง ที่คนไทยหรือคนทั่วโลกควรรับรู้อย่างเช่น เรื่องโควิด-19 วัคซีน ผลกระทบของวัคซีน ซึ่งเป็นเรื่องความเป็นความตายของผู้คนทั่วโลก ... ทุกคนมั่นใจว่าแอปฯ นี้จะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับคนไทย ในยุคที่แพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ต่างประเทศเซ็นเซอร์ ปิดกั้นข้อมูลข้อเท็จจริง และแสวงหากำไรเกินควร" นายสนธิ ระบุ
สำหรับแอปพลิเคชัน Thaitimes นอกจากจะมีหน้าโปร์ไฟล์สำหรับแบ่งปันเรื่องราวแล้ว ยังมีเพจ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" จากรายการคุยทุกเรื่องกับสนธิ เพจ "ความจริงมีหนึ่งเดียว" ถ่ายทอดสดงานความจริงมีหนึ่งเดียว เพจ "News1" ของสถานีข่าวนิวส์วัน เพจ "Thanong Fanclub" ของนายทนง ขันทอง ผู้เชี่ยวชาญด้านข่าวต่างประเทศ เรื่องราวด้านสุขภาพจากเพจ "ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์" ของ อ.ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต และเพจ "Thiravat Hemachudha" ของ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต เป็นต้น
ผู้ใช้งานสามารถสมัครฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย ดาวน์โหลดได้แล้ววันนี้ที่ App Store และ Google Play Store หากพบปัญหาการใช้งาน หรือดูวิธีการสมัครต่างๆ แจ้งได้ที่เพจ Thaitimes Help Center หรือแจ้งปัญหาการใช้งานได้ที่ไลน์ @sondhitalk
#Newskit #Thaitimes #ไทยไทมส์เปิดตัว Thaitimes โซเชียลฯ สำหรับคนไทย นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งสื่อในเครือผู้จัดการ และผู้ดำเนินรายการ คุยทุกเรื่องกับสนธิ เปิดตัวแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ "ไทยไทมส์" (Thaitimes) อย่างเป็นทางการ ที่หอประชุมเล็ก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 29 ก.ย. โดยได้แนะนำนายอาทิตย์ เซกาล และนายกฤษณะ ผู้อยู่เบื้องหลังในการพัฒนาแพลตฟอร์มดังกล่าวบนเวทีอีกด้วย คาดว่าภายในสิ้นปี 2567 จะมีผู้ใช้งานมากกว่า 5 หมื่นคน และปีหน้า (2568) จะมีสมาชิกหลักแสนคน นายสนธิ กล่าวว่า ได้เปิดทดลองใช้แอปพลิเคชัน Thaitimes เป็นครั้งแรกตั้งแต่ช่วงปลายเดือน ส.ค. 2567 ที่ผ่านมา ถึงปัจจุบันเป็นเวลาประมาณ 1 เดือน มีผู้สมัครเข้าใช้แอปพลิเคชันนี้แล้วมากกว่า 2 หมื่นราย จุดเด่นของแอปพลิเคชันไทยไทมส์ คือ มีความเป็นสากลและความเป็นท้องถิ่นอยู่ในตัวเอง ซึ่งสิ่งโซเชียลมีเดียของต่างชาติขาดหายไป คือการใช้มาตรฐานเดียวกันหมดทั่วโลก ทั้งที่ทั่วโลกต้องการความหลากหลาย "สิ่งที่สำคัญคือ โซเชียลมีเดียต่างชาตินั้น รับงานรัฐบาลของตัวเองปิดกั้นข้อมูลข้อเท็จจริง ที่คนไทยหรือคนทั่วโลกควรรับรู้อย่างเช่น เรื่องโควิด-19 วัคซีน ผลกระทบของวัคซีน ซึ่งเป็นเรื่องความเป็นความตายของผู้คนทั่วโลก ... ทุกคนมั่นใจว่าแอปฯ นี้จะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับคนไทย ในยุคที่แพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ต่างประเทศเซ็นเซอร์ ปิดกั้นข้อมูลข้อเท็จจริง และแสวงหากำไรเกินควร" นายสนธิ ระบุ สำหรับแอปพลิเคชัน Thaitimes นอกจากจะมีหน้าโปร์ไฟล์สำหรับแบ่งปันเรื่องราวแล้ว ยังมีเพจ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" จากรายการคุยทุกเรื่องกับสนธิ เพจ "ความจริงมีหนึ่งเดียว" ถ่ายทอดสดงานความจริงมีหนึ่งเดียว เพจ "News1" ของสถานีข่าวนิวส์วัน เพจ "Thanong Fanclub" ของนายทนง ขันทอง ผู้เชี่ยวชาญด้านข่าวต่างประเทศ เรื่องราวด้านสุขภาพจากเพจ "ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์" ของ อ.ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต และเพจ "Thiravat Hemachudha" ของ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต เป็นต้น ผู้ใช้งานสามารถสมัครฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย ดาวน์โหลดได้แล้ววันนี้ที่ App Store และ Google Play Store หากพบปัญหาการใช้งาน หรือดูวิธีการสมัครต่างๆ แจ้งได้ที่เพจ Thaitimes Help Center หรือแจ้งปัญหาการใช้งานได้ที่ไลน์ @sondhitalk #Newskit #Thaitimes #ไทยไทมส์ - PETA จากลิงเก็บมะพร้าว ถึงหมูเด้งฮิปโปแคระ
People for the Ethical Treatment of Animal หรือ พีต้า (PETA) องค์กรพิทักษ์สัตว์ในสหรัฐอเมริกา ออกแคมเปญแบบโลกไม่ลืม ล่าสุดจากกระแสความฮิตของหมูเด้ง ฮิปโปแคระเพศเมียในสวนสัตว์เปิดเขาเขียว จ.ชลบุรี ที่โด่งดังไปทั่วโลก พีต้ากลับโพสต์รณรงค์ให้ช่วยกันบอยคอตสวนสัตว์เปิดเขาเขียว ระบุว่า “TikTok ทำให้หมูเด้งกลายเป็นเซเลปดัง แต่ความจริงกลับไม่ได้น่ารักแบบนั้น เพราะสวนสัตว์ในประเทศไทยกำลังหาประโยชน์จากหมูเด้ง เพื่อแสวงหากำไร โดยโชว์หมูเด้งราวกับเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ทั้งๆ ที่บ้านของฮิปโป คือ ป่าในธรรมชาติ ขอชวนมาบอตคอต (Boycott) สวนสัตว์ที่กักขังสัตว์ป่ากัน !!”
ปรากฎว่าชาวเน็ตไทยต่างตอบโต้พีต้า ยืนยันว่าหมูเด้งไม่ได้ถูกทรมาน แต่ได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดี ยืนยันว่าการปกป้องสัตว์ป่าบางชนิดคือการเลี้ยงในสวนสัตว์ เพื่อความปลอดภัยจากการถูกล่าโดยมนุษย์ และยังเป็นแหล่งเรียนรู้สำหรับเยาวชน พร้อมถามกลับว่า การเอาสัตว์ในสวนสัตว์ไปปล่อยป่า จะแน่ใจได้อย่างไรว่าสัตว์ป่าจะปลอดภัย ไม่นับรวมคอมเมนต์ในเชิงตลกขบขัน ทำนองว่าในประเทศไทยใช้กบเหลาดินสอ ใช้เป็ดล้างห้องน้ำ ใช้กระต่ายขูดมะพร้าว ซึ่งเป็นชื่อเรียกสิ่งของบางชนิด แบบชนิดที่ว่าฝรั่งไม่เข้าใจแต่คนไทยเก็ต
ไม่ใช่ครั้งแรกที่องค์กรพิทักษ์สัตว์ กล่าวถึงประเทศไทยในทางเสื่อมเสีย ก่อนหน้านี้พีต้าเปิดประเด็นลิงเก็บมะพร้าวทางภาคใต้ของไทยทรมานสัตว์ ทั้งที่เป็นภูมิปัญญาดั้งเดิมของคนไทย และเป็นมิตรภาพต่างสายพันธุ์ระหว่างคนกับลิงที่มีความเมตตาและผูกพัน รักและเลี้ยงเหมือนลูกด้วยซ้ำ แต่พีต้ากลับเปิดเผยรายงานการสอบสวนทำนองว่า ลิงที่ถูกใช้เก็บมะพร้าวเพื่อนำมาผลิตเป็นน้ำกะทินั้นเป็นลิงเถื่อนที่ถูกพรากมาจากครอบครัว ถูกล่ามโซ่ตลอดเวลา ทำการฝึกสอนอย่างทารุณ และบังคับให้ลิงขึ้นต้นมะพร้าวเพื่อเก็บมะพร้าว ทำให้ห้างสรรพสินค้าชั้นนำในสหรัฐอเมริกา ยกเลิกการจำหน่ายกะทิจากประเทศไทย
กระทั่งสำนักข่าวไทยเอนไควเออร์ (Thai Enquirer) ตั้งข้อสังเกตว่า การสอบสวนของพีต้าในประเทศไทยมีข้อบกพร่องในระเบียบวิจัย เพราะส่งชาวต่างชาติ 2 คนเข้ามาในประเทศ จงใจที่จะไปยังสถานที่ท่องเที่ยวที่มีการแสดงลิงเก็บมะพร้าว ทั้งที่ผู้ผลิตกะทิจากประเทศไทย และองค์กรต่างๆ ตรวจสอบแล้วไม่พบห่วงโซ่อุปทานใดที่เกี่ยวข้องกับการใช้แรงงานทาสกับลิง ทำให้พีต้าใช้สำนักงานกฎหมาย TILLEKE & GIBBINS ยื่นโนติสให้ลบเนื้อหาออกจากเว็บไซต์ทันที ซึ่งเป็นการฟ้องร้องเพื่อปิดปากเสรีภาพสื่อ โดยไม่คาดคิดว่าจะมาจากองค์กรพัฒนาเอกชน (NGO)
#Newskit #PETA #หมูเด้งPETA จากลิงเก็บมะพร้าว ถึงหมูเด้งฮิปโปแคระ People for the Ethical Treatment of Animal หรือ พีต้า (PETA) องค์กรพิทักษ์สัตว์ในสหรัฐอเมริกา ออกแคมเปญแบบโลกไม่ลืม ล่าสุดจากกระแสความฮิตของหมูเด้ง ฮิปโปแคระเพศเมียในสวนสัตว์เปิดเขาเขียว จ.ชลบุรี ที่โด่งดังไปทั่วโลก พีต้ากลับโพสต์รณรงค์ให้ช่วยกันบอยคอตสวนสัตว์เปิดเขาเขียว ระบุว่า “TikTok ทำให้หมูเด้งกลายเป็นเซเลปดัง แต่ความจริงกลับไม่ได้น่ารักแบบนั้น เพราะสวนสัตว์ในประเทศไทยกำลังหาประโยชน์จากหมูเด้ง เพื่อแสวงหากำไร โดยโชว์หมูเด้งราวกับเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ทั้งๆ ที่บ้านของฮิปโป คือ ป่าในธรรมชาติ ขอชวนมาบอตคอต (Boycott) สวนสัตว์ที่กักขังสัตว์ป่ากัน !!” ปรากฎว่าชาวเน็ตไทยต่างตอบโต้พีต้า ยืนยันว่าหมูเด้งไม่ได้ถูกทรมาน แต่ได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดี ยืนยันว่าการปกป้องสัตว์ป่าบางชนิดคือการเลี้ยงในสวนสัตว์ เพื่อความปลอดภัยจากการถูกล่าโดยมนุษย์ และยังเป็นแหล่งเรียนรู้สำหรับเยาวชน พร้อมถามกลับว่า การเอาสัตว์ในสวนสัตว์ไปปล่อยป่า จะแน่ใจได้อย่างไรว่าสัตว์ป่าจะปลอดภัย ไม่นับรวมคอมเมนต์ในเชิงตลกขบขัน ทำนองว่าในประเทศไทยใช้กบเหลาดินสอ ใช้เป็ดล้างห้องน้ำ ใช้กระต่ายขูดมะพร้าว ซึ่งเป็นชื่อเรียกสิ่งของบางชนิด แบบชนิดที่ว่าฝรั่งไม่เข้าใจแต่คนไทยเก็ต ไม่ใช่ครั้งแรกที่องค์กรพิทักษ์สัตว์ กล่าวถึงประเทศไทยในทางเสื่อมเสีย ก่อนหน้านี้พีต้าเปิดประเด็นลิงเก็บมะพร้าวทางภาคใต้ของไทยทรมานสัตว์ ทั้งที่เป็นภูมิปัญญาดั้งเดิมของคนไทย และเป็นมิตรภาพต่างสายพันธุ์ระหว่างคนกับลิงที่มีความเมตตาและผูกพัน รักและเลี้ยงเหมือนลูกด้วยซ้ำ แต่พีต้ากลับเปิดเผยรายงานการสอบสวนทำนองว่า ลิงที่ถูกใช้เก็บมะพร้าวเพื่อนำมาผลิตเป็นน้ำกะทินั้นเป็นลิงเถื่อนที่ถูกพรากมาจากครอบครัว ถูกล่ามโซ่ตลอดเวลา ทำการฝึกสอนอย่างทารุณ และบังคับให้ลิงขึ้นต้นมะพร้าวเพื่อเก็บมะพร้าว ทำให้ห้างสรรพสินค้าชั้นนำในสหรัฐอเมริกา ยกเลิกการจำหน่ายกะทิจากประเทศไทย กระทั่งสำนักข่าวไทยเอนไควเออร์ (Thai Enquirer) ตั้งข้อสังเกตว่า การสอบสวนของพีต้าในประเทศไทยมีข้อบกพร่องในระเบียบวิจัย เพราะส่งชาวต่างชาติ 2 คนเข้ามาในประเทศ จงใจที่จะไปยังสถานที่ท่องเที่ยวที่มีการแสดงลิงเก็บมะพร้าว ทั้งที่ผู้ผลิตกะทิจากประเทศไทย และองค์กรต่างๆ ตรวจสอบแล้วไม่พบห่วงโซ่อุปทานใดที่เกี่ยวข้องกับการใช้แรงงานทาสกับลิง ทำให้พีต้าใช้สำนักงานกฎหมาย TILLEKE & GIBBINS ยื่นโนติสให้ลบเนื้อหาออกจากเว็บไซต์ทันที ซึ่งเป็นการฟ้องร้องเพื่อปิดปากเสรีภาพสื่อ โดยไม่คาดคิดว่าจะมาจากองค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) #Newskit #PETA #หมูเด้ง - (ภาพปกอยู่บนโพสต์ด้านบน)
PETA จากลิงเก็บมะพร้าว ถึงหมูเด้งฮิปโปแคระ
People for the Ethical Treatment of Animal หรือ พีต้า (PETA) องค์กรพิทักษ์สัตว์ในสหรัฐอเมริกา ออกแคมเปญแบบโลกไม่ลืม ล่าสุดจากกระแสความฮิตของหมูเด้ง ฮิปโปแคระเพศเมียในสวนสัตว์เปิดเขาเขียว จ.ชลบุรี ที่โด่งดังไปทั่วโลก พีต้ากลับโพสต์รณรงค์ให้ช่วยกันบอยคอตสวนสัตว์เปิดเขาเขียว ระบุว่า “TikTok ทำให้หมูเด้งกลายเป็นเซเลปดัง แต่ความจริงกลับไม่ได้น่ารักแบบนั้น เพราะสวนสัตว์ในประเทศไทยกำลังหาประโยชน์จากหมูเด้ง เพื่อแสวงหากำไร โดยโชว์หมูเด้งราวกับเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ทั้งๆ ที่บ้านของฮิปโป คือ ป่าในธรรมชาติ ขอชวนมาบอตคอต (Boycott) สวนสัตว์ที่กักขังสัตว์ป่ากัน !!”
ปรากฎว่าชาวเน็ตไทยต่างตอบโต้พีต้า ยืนยันว่าหมูเด้งไม่ได้ถูกทรมาน แต่ได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดี ยืนยันว่าการปกป้องสัตว์ป่าบางชนิดคือการเลี้ยงในสวนสัตว์ เพื่อความปลอดภัยจากการถูกล่าโดยมนุษย์ และยังเป็นแหล่งเรียนรู้สำหรับเยาวชน พร้อมถามกลับว่า การเอาสัตว์ในสวนสัตว์ไปปล่อยป่า จะแน่ใจได้อย่างไรว่าสัตว์ป่าจะปลอดภัย ไม่นับรวมคอมเมนต์ในเชิงตลกขบขัน ทำนองว่าในประเทศไทยใช้กบเหลาดินสอ ใช้เป็ดล้างห้องน้ำ ใช้กระต่ายขูดมะพร้าว ซึ่งเป็นชื่อเรียกสิ่งของบางชนิด แบบชนิดที่ว่าฝรั่งไม่เข้าใจแต่คนไทยเก็ต
ไม่ใช่ครั้งแรกที่องค์กรพิทักษ์สัตว์ กล่าวถึงประเทศไทยในทางเสื่อมเสีย ก่อนหน้านี้พีต้าเปิดประเด็นลิงเก็บมะพร้าวทางภาคใต้ของไทยทรมานสัตว์ ทั้งที่เป็นภูมิปัญญาดั้งเดิมของคนไทย และเป็นมิตรภาพต่างสายพันธุ์ระหว่างคนกับลิงที่มีความเมตตาและผูกพัน รักและเลี้ยงเหมือนลูกด้วยซ้ำ แต่พีต้ากลับเปิดเผยรายงานการสอบสวนทำนองว่า ลิงที่ถูกใช้เก็บมะพร้าวเพื่อนำมาผลิตเป็นน้ำกะทินั้นเป็นลิงเถื่อนที่ถูกพรากมาจากครอบครัว ถูกล่ามโซ่ตลอดเวลา ทำการฝึกสอนอย่างทารุณ และบังคับให้ลิงขึ้นต้นมะพร้าวเพื่อเก็บมะพร้าว ทำให้ห้างสรรพสินค้าชั้นนำในสหรัฐอเมริกา ยกเลิกการจำหน่ายกะทิจากประเทศไทย
กระทั่งสำนักข่าวไทยเอนไควเออร์ (Thai Enquirer) ตั้งข้อสังเกตว่า การสอบสวนของพีต้าในประเทศไทยมีข้อบกพร่องในระเบียบวิจัย เพราะส่งชาวต่างชาติ 2 คนเข้ามาในประเทศ จงใจที่จะไปยังสถานที่ท่องเที่ยวที่มีการแสดงลิงเก็บมะพร้าว ทั้งที่ผู้ผลิตกะทิจากประเทศไทย และองค์กรต่างๆ ตรวจสอบแล้วไม่พบห่วงโซ่อุปทานใดที่เกี่ยวข้องกับการใช้แรงงานทาสกับลิง ทำให้พีต้าใช้สำนักงานกฎหมาย TILLEKE & GIBBINS ยื่นโนติสให้ลบเนื้อหาออกจากเว็บไซต์ทันที ซึ่งเป็นการฟ้องร้องเพื่อปิดปากเสรีภาพสื่อ โดยไม่คาดคิดว่าจะมาจากองค์กรพัฒนาเอกชน (NGO)
#Newskit #PETA #หมูเด้ง(ภาพปกอยู่บนโพสต์ด้านบน) PETA จากลิงเก็บมะพร้าว ถึงหมูเด้งฮิปโปแคระ People for the Ethical Treatment of Animal หรือ พีต้า (PETA) องค์กรพิทักษ์สัตว์ในสหรัฐอเมริกา ออกแคมเปญแบบโลกไม่ลืม ล่าสุดจากกระแสความฮิตของหมูเด้ง ฮิปโปแคระเพศเมียในสวนสัตว์เปิดเขาเขียว จ.ชลบุรี ที่โด่งดังไปทั่วโลก พีต้ากลับโพสต์รณรงค์ให้ช่วยกันบอยคอตสวนสัตว์เปิดเขาเขียว ระบุว่า “TikTok ทำให้หมูเด้งกลายเป็นเซเลปดัง แต่ความจริงกลับไม่ได้น่ารักแบบนั้น เพราะสวนสัตว์ในประเทศไทยกำลังหาประโยชน์จากหมูเด้ง เพื่อแสวงหากำไร โดยโชว์หมูเด้งราวกับเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ทั้งๆ ที่บ้านของฮิปโป คือ ป่าในธรรมชาติ ขอชวนมาบอตคอต (Boycott) สวนสัตว์ที่กักขังสัตว์ป่ากัน !!” ปรากฎว่าชาวเน็ตไทยต่างตอบโต้พีต้า ยืนยันว่าหมูเด้งไม่ได้ถูกทรมาน แต่ได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดี ยืนยันว่าการปกป้องสัตว์ป่าบางชนิดคือการเลี้ยงในสวนสัตว์ เพื่อความปลอดภัยจากการถูกล่าโดยมนุษย์ และยังเป็นแหล่งเรียนรู้สำหรับเยาวชน พร้อมถามกลับว่า การเอาสัตว์ในสวนสัตว์ไปปล่อยป่า จะแน่ใจได้อย่างไรว่าสัตว์ป่าจะปลอดภัย ไม่นับรวมคอมเมนต์ในเชิงตลกขบขัน ทำนองว่าในประเทศไทยใช้กบเหลาดินสอ ใช้เป็ดล้างห้องน้ำ ใช้กระต่ายขูดมะพร้าว ซึ่งเป็นชื่อเรียกสิ่งของบางชนิด แบบชนิดที่ว่าฝรั่งไม่เข้าใจแต่คนไทยเก็ต ไม่ใช่ครั้งแรกที่องค์กรพิทักษ์สัตว์ กล่าวถึงประเทศไทยในทางเสื่อมเสีย ก่อนหน้านี้พีต้าเปิดประเด็นลิงเก็บมะพร้าวทางภาคใต้ของไทยทรมานสัตว์ ทั้งที่เป็นภูมิปัญญาดั้งเดิมของคนไทย และเป็นมิตรภาพต่างสายพันธุ์ระหว่างคนกับลิงที่มีความเมตตาและผูกพัน รักและเลี้ยงเหมือนลูกด้วยซ้ำ แต่พีต้ากลับเปิดเผยรายงานการสอบสวนทำนองว่า ลิงที่ถูกใช้เก็บมะพร้าวเพื่อนำมาผลิตเป็นน้ำกะทินั้นเป็นลิงเถื่อนที่ถูกพรากมาจากครอบครัว ถูกล่ามโซ่ตลอดเวลา ทำการฝึกสอนอย่างทารุณ และบังคับให้ลิงขึ้นต้นมะพร้าวเพื่อเก็บมะพร้าว ทำให้ห้างสรรพสินค้าชั้นนำในสหรัฐอเมริกา ยกเลิกการจำหน่ายกะทิจากประเทศไทย กระทั่งสำนักข่าวไทยเอนไควเออร์ (Thai Enquirer) ตั้งข้อสังเกตว่า การสอบสวนของพีต้าในประเทศไทยมีข้อบกพร่องในระเบียบวิจัย เพราะส่งชาวต่างชาติ 2 คนเข้ามาในประเทศ จงใจที่จะไปยังสถานที่ท่องเที่ยวที่มีการแสดงลิงเก็บมะพร้าว ทั้งที่ผู้ผลิตกะทิจากประเทศไทย และองค์กรต่างๆ ตรวจสอบแล้วไม่พบห่วงโซ่อุปทานใดที่เกี่ยวข้องกับการใช้แรงงานทาสกับลิง ทำให้พีต้าใช้สำนักงานกฎหมาย TILLEKE & GIBBINS ยื่นโนติสให้ลบเนื้อหาออกจากเว็บไซต์ทันที ซึ่งเป็นการฟ้องร้องเพื่อปิดปากเสรีภาพสื่อ โดยไม่คาดคิดว่าจะมาจากองค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) #Newskit #PETA #หมูเด้ง - ปิดตำนาน 20 ปี บัตรสมาร์ทเพิร์ส
ในขณะที่คนไทยกำลังตื่นเต้น ที่ร้านเซเว่นอีเลฟเว่น 480 สาขา สแกนจ่ายผ่านแอปพลิเคชันธนาคาร ผ่านบริการมายพร้อมคิวอาร์ (MyPromptQR) เฉพาะบางธนาคาร แต่อีกด้านหนึ่ง บัตรเซเว่นการ์ด (7-Card) ซึ่งเป็นบัตรสมาร์ทเพิร์สรุ่นสุดท้าย จะยกเลิกให้บริการ โดยปิดระบบเติมเงินในวันที่ 1 ม.ค. 2568 และสมาชิกสามารถใช้เงินภายในบัตรได้ถึง 31 ม.ค. 2568
หลังจากนั้นจะไม่สามารถใช้งานบัตรได้ สมาชิกต้องลงทะเบียนขอรับเงินคืน และนำบัตร 7-Card ที่ทำลายแล้วพร้อมสำเนาบัตรประชาชนและสำเนาสมุดบัญชีส่งทางไปรษณีย์ หากไม่ดำเนินการในอีก 120 วันจะหักแต้ม และหักค่ารักษาบัญชีจนหมด
บัตรสมาร์ทเพิร์ส เริ่มให้บริการเมื่อวันที่ 23 มิ.ย. 2548 โดยใช้ชื่อว่า "บัตรเชื่อมรัก" ของเคาน์เตอร์เซอร์วิส ใช้สำหรับส่งและรับเงินระหว่างกันที่ร้านเซเว่นอีเลฟเว่นที่เข้าร่วมโครงการ 1,000 สาขา ตลอด 24 ชั่วโมง คิดค่าบริการครั้งละ 20 บาท
กระทั่งวันที่ 15 ธ.ค. 2548 จึงได้เริ่มให้บริการบัตรสมาร์ทเพิร์ส นำร่องร้านเซเว่นอีเลฟเว่นในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล 1,500 สาขา ก่อนทยอยเปิดครบทุกสาขาในปี 2549 โดยบัตรจำหน่ายราคาใบละ 250 บาท เติมเงินขั้นต่ำ 50 บาท สูงสุด 10,000 บาท ผ่านไปปีแรก ในปี 2549 มีผู้ถือบัตรมากถึง 1.1 ล้านใบ และร้านค้ารับบัตร 7,000 แห่ง
นอกจากนี้ ยังมีบัตรโคแบรนด์ที่ออกร่วมกับภาคเอกชน ร้านค้า สถานศึกษา มากกว่า 100 องค์กร และยังมีบัตรที่ออกร่วมกับธนาคาร เช่น บัตรเอทีเอ็มซีไอเอ็มบีไทย สมาร์ทพอยต์ ร่วมกับธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย บัตรเค-เดบิต เซเว่นพอยต์ ร่วมกับธนาคารกสิกรไทย แต่เป็นไปในลักษณะแยกกันคนละกระเป๋าเงิน ได้แก่ กระเป๋าเงินสมาร์ทเพิร์ส กับบัญชีธนาคาร
กระทั่งเปิดตัวบัตรสมาชิก All Member ไปเมื่อวันที่ 24 ก.พ. 2562 จังหวะนั้นเอง บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ก็เข้าซื้อหุ้นสามัญของบริษัท ไทยสมาร์ทคาร์ด จํากัด จากผู้ถือหุ้นอื่นทุกราย เพื่อย้ายฐานสมาชิกบัตร 7-Card ไปเป็น ALL Member
อิทธิพลของดิจิทัลดิสรัปชัน โดยเฉพาะโมบายเพย์เมนต์ อีกทั้งร้านค้าต่างทยอยยกเลิกรับบัตรสมาร์ทเพิร์ส เหลือร้านเซเว่นอีเลฟเว่นที่ยังรับบัตรอยู่ ขณะนั้นมีฐานสมาชิกบัตรที่ยังไม่หมดอายุกว่า 3 ล้านใบ และมีบัตรที่ใช้งานต่อเนื่อง 1.5 ล้านใบต่อเดือน
แต่ระหว่างนั้นเซเว่นอีเลฟเว่นหันมาทำการตลาดกับทรูมันนี่วอลเล็ต ผ่านแอปพลิเคชัน TrueMoney และ 7-App แทน กระทั่งวันสุดท้ายของบัตรใบนี้ก็มาถึง
นับเป็นการปิดตำนานบัตรที่ใช้จ่ายแทนเงินสดในร้านเซเว่นอีเลฟเว่นอย่างถาวร หลังจากให้บริการมานาน 20 ปี
#Newskit #SmartPurse #7Cardปิดตำนาน 20 ปี บัตรสมาร์ทเพิร์ส ในขณะที่คนไทยกำลังตื่นเต้น ที่ร้านเซเว่นอีเลฟเว่น 480 สาขา สแกนจ่ายผ่านแอปพลิเคชันธนาคาร ผ่านบริการมายพร้อมคิวอาร์ (MyPromptQR) เฉพาะบางธนาคาร แต่อีกด้านหนึ่ง บัตรเซเว่นการ์ด (7-Card) ซึ่งเป็นบัตรสมาร์ทเพิร์สรุ่นสุดท้าย จะยกเลิกให้บริการ โดยปิดระบบเติมเงินในวันที่ 1 ม.ค. 2568 และสมาชิกสามารถใช้เงินภายในบัตรได้ถึง 31 ม.ค. 2568 หลังจากนั้นจะไม่สามารถใช้งานบัตรได้ สมาชิกต้องลงทะเบียนขอรับเงินคืน และนำบัตร 7-Card ที่ทำลายแล้วพร้อมสำเนาบัตรประชาชนและสำเนาสมุดบัญชีส่งทางไปรษณีย์ หากไม่ดำเนินการในอีก 120 วันจะหักแต้ม และหักค่ารักษาบัญชีจนหมด บัตรสมาร์ทเพิร์ส เริ่มให้บริการเมื่อวันที่ 23 มิ.ย. 2548 โดยใช้ชื่อว่า "บัตรเชื่อมรัก" ของเคาน์เตอร์เซอร์วิส ใช้สำหรับส่งและรับเงินระหว่างกันที่ร้านเซเว่นอีเลฟเว่นที่เข้าร่วมโครงการ 1,000 สาขา ตลอด 24 ชั่วโมง คิดค่าบริการครั้งละ 20 บาท กระทั่งวันที่ 15 ธ.ค. 2548 จึงได้เริ่มให้บริการบัตรสมาร์ทเพิร์ส นำร่องร้านเซเว่นอีเลฟเว่นในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล 1,500 สาขา ก่อนทยอยเปิดครบทุกสาขาในปี 2549 โดยบัตรจำหน่ายราคาใบละ 250 บาท เติมเงินขั้นต่ำ 50 บาท สูงสุด 10,000 บาท ผ่านไปปีแรก ในปี 2549 มีผู้ถือบัตรมากถึง 1.1 ล้านใบ และร้านค้ารับบัตร 7,000 แห่ง นอกจากนี้ ยังมีบัตรโคแบรนด์ที่ออกร่วมกับภาคเอกชน ร้านค้า สถานศึกษา มากกว่า 100 องค์กร และยังมีบัตรที่ออกร่วมกับธนาคาร เช่น บัตรเอทีเอ็มซีไอเอ็มบีไทย สมาร์ทพอยต์ ร่วมกับธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย บัตรเค-เดบิต เซเว่นพอยต์ ร่วมกับธนาคารกสิกรไทย แต่เป็นไปในลักษณะแยกกันคนละกระเป๋าเงิน ได้แก่ กระเป๋าเงินสมาร์ทเพิร์ส กับบัญชีธนาคาร กระทั่งเปิดตัวบัตรสมาชิก All Member ไปเมื่อวันที่ 24 ก.พ. 2562 จังหวะนั้นเอง บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ก็เข้าซื้อหุ้นสามัญของบริษัท ไทยสมาร์ทคาร์ด จํากัด จากผู้ถือหุ้นอื่นทุกราย เพื่อย้ายฐานสมาชิกบัตร 7-Card ไปเป็น ALL Member อิทธิพลของดิจิทัลดิสรัปชัน โดยเฉพาะโมบายเพย์เมนต์ อีกทั้งร้านค้าต่างทยอยยกเลิกรับบัตรสมาร์ทเพิร์ส เหลือร้านเซเว่นอีเลฟเว่นที่ยังรับบัตรอยู่ ขณะนั้นมีฐานสมาชิกบัตรที่ยังไม่หมดอายุกว่า 3 ล้านใบ และมีบัตรที่ใช้งานต่อเนื่อง 1.5 ล้านใบต่อเดือน แต่ระหว่างนั้นเซเว่นอีเลฟเว่นหันมาทำการตลาดกับทรูมันนี่วอลเล็ต ผ่านแอปพลิเคชัน TrueMoney และ 7-App แทน กระทั่งวันสุดท้ายของบัตรใบนี้ก็มาถึง นับเป็นการปิดตำนานบัตรที่ใช้จ่ายแทนเงินสดในร้านเซเว่นอีเลฟเว่นอย่างถาวร หลังจากให้บริการมานาน 20 ปี #Newskit #SmartPurse #7Card - ไม่ใหม่แต่แปลก เซเว่นฯ สแกนจ่ายได้
การเปิดทดลองชำระเงินผ่านคิวอาร์โค้ด My Prompt QR ผ่านร้านเซเว่นอีเลฟเว่น 480 สาขา หลังเฟซบุ๊ก "ผู้บริโภค" ทดสอบเมื่อเช้าวันที่ 27 ก.ย. 2567 ที่ผ่านมา กลายเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นสำหรับผู้บริโภค เพราะทราบกันดีว่า ร้านสะดวกซื้อที่มีสาขาอันดับ 1 ในไทย ไม่รับสแกนจ่าย แตกต่างจากร้านสะดวกซื้อรายอื่น อาทิ โลตัสโกเฟรช บิ๊กซีมินิ ซีเจเอ็กซ์เพรส ท็อปส์เดลี่ ลอว์สัน 108 เทอร์เทิล และร้านถุงเงินที่ขายของชำ สแกนจ่ายผ่านแอปพลิเคชันธนาคารได้ตั้งนานแล้ว
ถึงกระนั้น สาขาที่ใช้บริการได้ ห่างไกลจากจำนวนสาขารวม 14,854 แห่งทั่วประเทศ อีกทั้ง QR Code ที่สแกนจ่าย เป็นบริการ My Prompt QR ที่ให้ร้านค้าสแกนคิวอาร์โค้ดของลูกค้า รองรับเฉพาะแอปพลิเคชัน 5 ธนาคาร ได้แก่ K PLUS (ธนาคารกสิกรไทย) SCB Easy (ธนาคารไทยพาณิชย์) Krungthai NEXT (ธนาคารกรุงไทย) Bangkok Bank (ธนาคารกรุงเทพ) และ KMA (ธนาคารกรุงศรี) ซึ่งที่ผ่านมาได้นำมาใช้กับเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ 7-Eleven มาแล้ว
น่าเสียดาย เมื่อสอบถามไปยังสำนักบริหารการสื่อสารและภาพลักษณ์องค์กร บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) กลับได้รับคำตอบว่า รับทราบข้อมูล "เท่าที่เห็น" ในสื่อสังคมออนไลน์ขณะนี้ เพิ่งเปิดทดลองให้บริการเท่านั้น
ปัจจุบัน ร้านเซเว่นอีเลฟเว่นนอกจากรับชำระด้วยเงินสดแล้ว ยังมีแอปพลิเคชัน TrueMoney Wallet และ 7-App ทั้งรูปแบบเงินในวอลเล็ต ผูกกับบัตรเครดิต บัญชี My Saving รวมทั้งรับชำระผ่านบัตรเครดิต ขั้นต่ำ 200 บาท และอี-วอลเล็ทจากต่างประเทศ 13 แอปพลิเคชันในเครือข่าย Alipay+ แต่สำหรับบัตร 7-Card หรือบัตรสมาร์ทเพิร์ส ซึ่งใช้มาตั้งแต่วันที่ 15 ธ.ค. 2548 กำลังจะยกเลิกให้บริการ โดยสมาชิกบัตรสามารถใช้เงินภายในบัตรได้ถึงวันที่ 31 ม.ค. 2568
ที่ผ่านมา เซเว่นอีเลฟเว่นเน้นทำการตลาดกับผู้ใช้งาน TrueMoney Wallet เป็นหลัก แต่ไม่มีสแกนจ่าย เมื่อเทียบกับร้านสะดวกซื้อรายอื่น โดยเฉพาะซีเจเอ็กซ์เพรส ของกลุ่มคาราบาวกรุ๊ป กว่า 1,000 สาขา พบว่ามีหลายสาขาเปิดแข่งกัน นอกจากสินค้าราคาถูกกว่าแล้ว ยังสแกนจ่ายได้ไม่มีขั้นต่ำ กลายเป็นข้อเปรียบเทียบกับเซเว่นอีเลฟเว่น ที่กลับไม่มีตรงนี้
ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย ระบุว่า ในปี 2566 มีการโอนเงินและการชำระเงินผ่านระบบพร้อมเพย์ 19,900 ล้านครั้ง และธุรกรรมการชำระเงินผ่าน QR payment 5,700 ล้านครั้ง ซึ่งโมบายแบงกิ้งมีเจ้าตลาดหลักอย่าง K PLUS ธนาคารกสิกรไทย พบว่าในปี 2566 มีลูกค้าใช้งานมากถึง 21.7 ล้านราย และมีจำนวนธุรกรรมมากกว่า 9,600 ล้านธุรกรรม
#Newskit #เซเว่นอีเลฟเว่น #สแกนจ่ายไม่ใหม่แต่แปลก เซเว่นฯ สแกนจ่ายได้ การเปิดทดลองชำระเงินผ่านคิวอาร์โค้ด My Prompt QR ผ่านร้านเซเว่นอีเลฟเว่น 480 สาขา หลังเฟซบุ๊ก "ผู้บริโภค" ทดสอบเมื่อเช้าวันที่ 27 ก.ย. 2567 ที่ผ่านมา กลายเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นสำหรับผู้บริโภค เพราะทราบกันดีว่า ร้านสะดวกซื้อที่มีสาขาอันดับ 1 ในไทย ไม่รับสแกนจ่าย แตกต่างจากร้านสะดวกซื้อรายอื่น อาทิ โลตัสโกเฟรช บิ๊กซีมินิ ซีเจเอ็กซ์เพรส ท็อปส์เดลี่ ลอว์สัน 108 เทอร์เทิล และร้านถุงเงินที่ขายของชำ สแกนจ่ายผ่านแอปพลิเคชันธนาคารได้ตั้งนานแล้ว ถึงกระนั้น สาขาที่ใช้บริการได้ ห่างไกลจากจำนวนสาขารวม 14,854 แห่งทั่วประเทศ อีกทั้ง QR Code ที่สแกนจ่าย เป็นบริการ My Prompt QR ที่ให้ร้านค้าสแกนคิวอาร์โค้ดของลูกค้า รองรับเฉพาะแอปพลิเคชัน 5 ธนาคาร ได้แก่ K PLUS (ธนาคารกสิกรไทย) SCB Easy (ธนาคารไทยพาณิชย์) Krungthai NEXT (ธนาคารกรุงไทย) Bangkok Bank (ธนาคารกรุงเทพ) และ KMA (ธนาคารกรุงศรี) ซึ่งที่ผ่านมาได้นำมาใช้กับเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ 7-Eleven มาแล้ว น่าเสียดาย เมื่อสอบถามไปยังสำนักบริหารการสื่อสารและภาพลักษณ์องค์กร บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) กลับได้รับคำตอบว่า รับทราบข้อมูล "เท่าที่เห็น" ในสื่อสังคมออนไลน์ขณะนี้ เพิ่งเปิดทดลองให้บริการเท่านั้น ปัจจุบัน ร้านเซเว่นอีเลฟเว่นนอกจากรับชำระด้วยเงินสดแล้ว ยังมีแอปพลิเคชัน TrueMoney Wallet และ 7-App ทั้งรูปแบบเงินในวอลเล็ต ผูกกับบัตรเครดิต บัญชี My Saving รวมทั้งรับชำระผ่านบัตรเครดิต ขั้นต่ำ 200 บาท และอี-วอลเล็ทจากต่างประเทศ 13 แอปพลิเคชันในเครือข่าย Alipay+ แต่สำหรับบัตร 7-Card หรือบัตรสมาร์ทเพิร์ส ซึ่งใช้มาตั้งแต่วันที่ 15 ธ.ค. 2548 กำลังจะยกเลิกให้บริการ โดยสมาชิกบัตรสามารถใช้เงินภายในบัตรได้ถึงวันที่ 31 ม.ค. 2568 ที่ผ่านมา เซเว่นอีเลฟเว่นเน้นทำการตลาดกับผู้ใช้งาน TrueMoney Wallet เป็นหลัก แต่ไม่มีสแกนจ่าย เมื่อเทียบกับร้านสะดวกซื้อรายอื่น โดยเฉพาะซีเจเอ็กซ์เพรส ของกลุ่มคาราบาวกรุ๊ป กว่า 1,000 สาขา พบว่ามีหลายสาขาเปิดแข่งกัน นอกจากสินค้าราคาถูกกว่าแล้ว ยังสแกนจ่ายได้ไม่มีขั้นต่ำ กลายเป็นข้อเปรียบเทียบกับเซเว่นอีเลฟเว่น ที่กลับไม่มีตรงนี้ ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย ระบุว่า ในปี 2566 มีการโอนเงินและการชำระเงินผ่านระบบพร้อมเพย์ 19,900 ล้านครั้ง และธุรกรรมการชำระเงินผ่าน QR payment 5,700 ล้านครั้ง ซึ่งโมบายแบงกิ้งมีเจ้าตลาดหลักอย่าง K PLUS ธนาคารกสิกรไทย พบว่าในปี 2566 มีลูกค้าใช้งานมากถึง 21.7 ล้านราย และมีจำนวนธุรกรรมมากกว่า 9,600 ล้านธุรกรรม #Newskit #เซเว่นอีเลฟเว่น #สแกนจ่าย -
- มาเลเซียเอาบ้าง งดแจกถุงพลาสติก
ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2567 เป็นต้นไป ห้างสรรพสินค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านค้าปลีก ร้านสะดวกซื้อ ร้านขายยา และร้านเพื่อสุขภาพและความงามในประเทศมาเลเซียกว่า 8,000 แห่งทั่วประเทศ จะงดแจกถุงพลาสติดแบบใช้ครั้งเดียว (Single-use plastic bags) อย่างเป็นทางการ หากลูกค้าไม่ได้นำถุงพลาสติกมาเอง สามารถหาซื้อถุงรีไซเคิลได้ที่ร้านค้า ตามแคมเปญ "Say No to Single-Use Plastics" ของกระทรวงการเคหะและการปกครองส่วนท้องถิ่น
นายหงา กอร์ มิง รมว.การเคหะและการปกครองส่วนท้องถิ่น กล่าวว่า เครือข่ายร้านค้าปลีกชั้นนำบางแห่งได้เริ่มงดแจกถุงพลาสติกแล้ว แต่บัดนี้พวกเขาได้ลงนามความร่วมมือครั้งใหญ่ โดยจะเริ่มในสัปดาห์หน้า คาดว่าจะช่วยลดการใช้ถุงพลาสติกได้ปีละ 200 ล้านใบ ลดปริมาณขยะที่ต้องกำจัด และยืดอายุการใช้งานหลุมฝังกลบขยะที่มีอยู่
ที่ผ่านมารัฐบาลมาเลเซียต้องแบกรับต้นทุนการจัดการขยะมูลฝอยและการทำความสะอาดพื้นที่สาธารณะ สูงกว่า 2,000 ล้านริงกิตต่อปี และกำลังดำเนินการเพื่อลดการพึ่งพาหลุมฝังกลบ ซึ่งปัจจุบันประเทศมาเลเซียมีหลุมฝังกลบขยะที่ไม่ถูกสุขอนามัย 114 แห่ง มีเพียง 22 แห่งที่ถูกสุขอนามัย ซึ่งการเปิดหลุมฝังกลบขยะและการปรับปรุงหลุมฝังกลบขยะเดิมต้องใช้ต้นทุนสูงมาก
นอกจากนี้ ทางกระทรวงฯ กำลังจัดทำร่างกฎหมายจัดการผู้ที่ทิ้งขยะโดยขาดความรับผิดชอบ และจะนำเสนอต่อรัฐสภาในปี 2568 เพื่อแก้ปัญหาขยะล้นเมืองอย่างจริงจัง และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่ประเทศ เนื่องจากยุคนี้เป็นยุคของโซเชียลมีเดีย หากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมาเที่ยวที่นี่ แล้วถ่ายคลิปลงติ๊กต็อก ชื่อเสียงของประเทศจะได้รับผลกระทบ ที่ผ่านมามีการบังคับใช้กฎหมายและประสบความสำเร็จในประเทศที่พัฒนาแล้วหลายแห่ง การสร้างภาพลักษณ์ที่ดีจึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุด
ร้านค้าปลีกในมาเลเซียที่เข้าร่วมโครงการ ประกอบด้วย 99 Speedmart 2,533 สาขา 7-Eleven 2,400 สาขา KK Mart 808 สาขา Watsons 733 สาขา Guardian 602 สาขา emart24 65 สาขา ส่วนห้างสรรพสินค้า อาทิ กลุ่ม GCH Retail (Giant / Cold Storage / Mercato) 93 สาขา AEON 35 สาขา AEON Big 21 สาขา Mydin 78 สาขา Lotus's 68 สาขา The Store 50 สาขา TF Value Mart 45 สาขา Econsave 33 สาขา NSK Trade City 32 สาขา Lulu 5 สาขา เป็นต้น
สำหรับประเทศไทย ภาครัฐได้ผลักดันนโยบายงดแจกถุงพลาสติกตามห้างสรรพสินค้า ร้านค้าปลีก และร้านสะดวกซื้อ ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2563 เป็นต้นมา แต่ก็เป็นที่วิจารณ์ว่าการจำหน่ายถุงพลาสติกแทนการแจก เป็นการผลักภาระให้ผู้บริโภค
#Newskit #งดแจกถุงพลาสติก #มาเลเซียมาเลเซียเอาบ้าง งดแจกถุงพลาสติก ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2567 เป็นต้นไป ห้างสรรพสินค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านค้าปลีก ร้านสะดวกซื้อ ร้านขายยา และร้านเพื่อสุขภาพและความงามในประเทศมาเลเซียกว่า 8,000 แห่งทั่วประเทศ จะงดแจกถุงพลาสติดแบบใช้ครั้งเดียว (Single-use plastic bags) อย่างเป็นทางการ หากลูกค้าไม่ได้นำถุงพลาสติกมาเอง สามารถหาซื้อถุงรีไซเคิลได้ที่ร้านค้า ตามแคมเปญ "Say No to Single-Use Plastics" ของกระทรวงการเคหะและการปกครองส่วนท้องถิ่น นายหงา กอร์ มิง รมว.การเคหะและการปกครองส่วนท้องถิ่น กล่าวว่า เครือข่ายร้านค้าปลีกชั้นนำบางแห่งได้เริ่มงดแจกถุงพลาสติกแล้ว แต่บัดนี้พวกเขาได้ลงนามความร่วมมือครั้งใหญ่ โดยจะเริ่มในสัปดาห์หน้า คาดว่าจะช่วยลดการใช้ถุงพลาสติกได้ปีละ 200 ล้านใบ ลดปริมาณขยะที่ต้องกำจัด และยืดอายุการใช้งานหลุมฝังกลบขยะที่มีอยู่ ที่ผ่านมารัฐบาลมาเลเซียต้องแบกรับต้นทุนการจัดการขยะมูลฝอยและการทำความสะอาดพื้นที่สาธารณะ สูงกว่า 2,000 ล้านริงกิตต่อปี และกำลังดำเนินการเพื่อลดการพึ่งพาหลุมฝังกลบ ซึ่งปัจจุบันประเทศมาเลเซียมีหลุมฝังกลบขยะที่ไม่ถูกสุขอนามัย 114 แห่ง มีเพียง 22 แห่งที่ถูกสุขอนามัย ซึ่งการเปิดหลุมฝังกลบขยะและการปรับปรุงหลุมฝังกลบขยะเดิมต้องใช้ต้นทุนสูงมาก นอกจากนี้ ทางกระทรวงฯ กำลังจัดทำร่างกฎหมายจัดการผู้ที่ทิ้งขยะโดยขาดความรับผิดชอบ และจะนำเสนอต่อรัฐสภาในปี 2568 เพื่อแก้ปัญหาขยะล้นเมืองอย่างจริงจัง และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่ประเทศ เนื่องจากยุคนี้เป็นยุคของโซเชียลมีเดีย หากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมาเที่ยวที่นี่ แล้วถ่ายคลิปลงติ๊กต็อก ชื่อเสียงของประเทศจะได้รับผลกระทบ ที่ผ่านมามีการบังคับใช้กฎหมายและประสบความสำเร็จในประเทศที่พัฒนาแล้วหลายแห่ง การสร้างภาพลักษณ์ที่ดีจึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ร้านค้าปลีกในมาเลเซียที่เข้าร่วมโครงการ ประกอบด้วย 99 Speedmart 2,533 สาขา 7-Eleven 2,400 สาขา KK Mart 808 สาขา Watsons 733 สาขา Guardian 602 สาขา emart24 65 สาขา ส่วนห้างสรรพสินค้า อาทิ กลุ่ม GCH Retail (Giant / Cold Storage / Mercato) 93 สาขา AEON 35 สาขา AEON Big 21 สาขา Mydin 78 สาขา Lotus's 68 สาขา The Store 50 สาขา TF Value Mart 45 สาขา Econsave 33 สาขา NSK Trade City 32 สาขา Lulu 5 สาขา เป็นต้น สำหรับประเทศไทย ภาครัฐได้ผลักดันนโยบายงดแจกถุงพลาสติกตามห้างสรรพสินค้า ร้านค้าปลีก และร้านสะดวกซื้อ ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2563 เป็นต้นมา แต่ก็เป็นที่วิจารณ์ว่าการจำหน่ายถุงพลาสติกแทนการแจก เป็นการผลักภาระให้ผู้บริโภค #Newskit #งดแจกถุงพลาสติก #มาเลเซีย - ทิปโก้บอกลา สับปะรดกระป๋อง
บริษัท ทิปโก้ ไพน์แอบเปิ้ล จํากัด ผู้ผลิตสับปะรดกระป๋องเพื่อการส่งออกมาตั้งแต่ปี 2519 ตั้งอยู่ที่ ต.อ่าวน้อย อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์ บริษัทย่อยของ บริษัท ทิปโก้ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TIPCO ซึ่งมีรายได้ประมาณ 22% ของรายได้รวม ตัดสินใจหยุดดำเนินงานในธุรกิจการผลิตและจำหน่ายสับปะรดกระป๋อง สาเหตุหลักเนื่องจากผลการดําเนินงานขาดทุนต่อเนื่อง และสภาวะความผันผวนของปริมาณและราคาของผลสับปะรดสด ในช่วงเวลาที่ผ่านมา
คณะกรรมการของบริษัทย่อย อยู่ระหว่างการพิจารณาแผนการจัดการสื่อสาร และแจ้งให้คู่ค้า เจ้าหนี้ ลูกจ้าง พนักงาน ผู้มีส่วนได้เสียอื่นๆ ให้ทราบและดําเนินการให้เป็นธรรม สอดคล้องกับกฎหมาย การหยุดการดําเนินงานในธุรกิจดังกล่าวเป็นการปรับกลยุทธ์การดําเนินธุรกิจภายในของบริษัทฯ ซึ่งจะไม่ส่งผลกระทบต่อการดําเนินธุรกิจหลักของบริษัทฯ ที่ดําเนินการอยู่
ถือเป็นผู้ผลิตรายใหญ่รายที่สอง ที่เปลี่ยนแปลงธุรกิจสับปะรดกระป๋องในไทย ต่อจาก บริษัท โดลไทยแลนด์ จำกัด มีโรงงานอยู่ที่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เปิดเมื่อปี 2517 โรงงานชุมพร อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร เปิดเมื่อปี 2535 และโรงงานระยอง อ.บ้านค่าย จ.ระยอง ได้ยุติการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ผลไม้แปรรูป เครื่องหมายการค้าโดล (Dole) ช่องทางค้าปลีกและฟูดเซอร์วิสในประเทศไทย ยังคงดำเนินการผลิตตามปกติ แต่เน้นส่งออกต่างประเทศเพียงอย่างเดียว
ปัจจุบัน ในประเทศไทย มีผลิตภัณฑ์สับปะรดกระป๋องจำหน่าย เช่น สับปะรดเต็มแว่นในน้ำเชื่อมเข้มข้น ตราแม็กกาแรต (McGarrett) ผลิตโดย บริษัท ผลไม้กระป๋องประจวบ จำกัด (PRAFT) ก่อตั้งเมื่อปี 2528 ตั้งอยู่ใน อ.กุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ สับปะรดแว่นในน้ำเชื่อม ตรามาลี (MALEE) ผลิตโดย บริษัท กุยบุรีผลไม้กระป๋อง จำกัด ก่อตั้งเมื่อปี 2535 ตั้งอยู่ใน อ.กุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ สับปะรดแว่นในน้ำเชื่อม ตราโคลี่ (KOLLY) ผลิตโดย บริษัท เถกิงอุตสาหกรรมสับปะรดกระป๋อง จำกัด ก่อตั้งเมื่อปี 2536 ตั้งอยู่ใน อ.สามร้อยยอด จ.ประจวบคีรีขันธ์ เป็นต้น
ข้อมูลจากศูนย์อัจฉริยะเพื่ออุตสาหกรรมอาหาร เมื่อปี 2563 ระบุว่า ประเทศไทยมีโรงงานแปรรูปสับปะรด 38 แห่ง เน้นไปที่ส่งออก 75% จำหน่ายในประเทศ 25% โดยพบว่าส่งออกสับปะรดกระป๋องมากที่สุด 71% กำลังการผลิตเฉพาะสับปะรดกระป๋อง 1.28 ล้านตัน ตลาดส่งออกที่สำคัญได้แก่ สหรัฐอเมริกา 33% สหภาพยุโรป 21.2% รัสเซีย 5.9% จีน 4.2% ญี่ปุ่น 4.2% โดยไทยเป็นผู้ส่งออกสับปะรดอันดับ 3 รองจากคอสตาริกา และฟิลิปปินส์ และยังมีคู่แข่งอย่างเนเธอร์แลนด์และอินโดนีเซีย
#Newskit #Tipco #สับปะรดกระป๋องทิปโก้บอกลา สับปะรดกระป๋อง บริษัท ทิปโก้ ไพน์แอบเปิ้ล จํากัด ผู้ผลิตสับปะรดกระป๋องเพื่อการส่งออกมาตั้งแต่ปี 2519 ตั้งอยู่ที่ ต.อ่าวน้อย อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์ บริษัทย่อยของ บริษัท ทิปโก้ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TIPCO ซึ่งมีรายได้ประมาณ 22% ของรายได้รวม ตัดสินใจหยุดดำเนินงานในธุรกิจการผลิตและจำหน่ายสับปะรดกระป๋อง สาเหตุหลักเนื่องจากผลการดําเนินงานขาดทุนต่อเนื่อง และสภาวะความผันผวนของปริมาณและราคาของผลสับปะรดสด ในช่วงเวลาที่ผ่านมา คณะกรรมการของบริษัทย่อย อยู่ระหว่างการพิจารณาแผนการจัดการสื่อสาร และแจ้งให้คู่ค้า เจ้าหนี้ ลูกจ้าง พนักงาน ผู้มีส่วนได้เสียอื่นๆ ให้ทราบและดําเนินการให้เป็นธรรม สอดคล้องกับกฎหมาย การหยุดการดําเนินงานในธุรกิจดังกล่าวเป็นการปรับกลยุทธ์การดําเนินธุรกิจภายในของบริษัทฯ ซึ่งจะไม่ส่งผลกระทบต่อการดําเนินธุรกิจหลักของบริษัทฯ ที่ดําเนินการอยู่ ถือเป็นผู้ผลิตรายใหญ่รายที่สอง ที่เปลี่ยนแปลงธุรกิจสับปะรดกระป๋องในไทย ต่อจาก บริษัท โดลไทยแลนด์ จำกัด มีโรงงานอยู่ที่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เปิดเมื่อปี 2517 โรงงานชุมพร อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร เปิดเมื่อปี 2535 และโรงงานระยอง อ.บ้านค่าย จ.ระยอง ได้ยุติการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ผลไม้แปรรูป เครื่องหมายการค้าโดล (Dole) ช่องทางค้าปลีกและฟูดเซอร์วิสในประเทศไทย ยังคงดำเนินการผลิตตามปกติ แต่เน้นส่งออกต่างประเทศเพียงอย่างเดียว ปัจจุบัน ในประเทศไทย มีผลิตภัณฑ์สับปะรดกระป๋องจำหน่าย เช่น สับปะรดเต็มแว่นในน้ำเชื่อมเข้มข้น ตราแม็กกาแรต (McGarrett) ผลิตโดย บริษัท ผลไม้กระป๋องประจวบ จำกัด (PRAFT) ก่อตั้งเมื่อปี 2528 ตั้งอยู่ใน อ.กุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ สับปะรดแว่นในน้ำเชื่อม ตรามาลี (MALEE) ผลิตโดย บริษัท กุยบุรีผลไม้กระป๋อง จำกัด ก่อตั้งเมื่อปี 2535 ตั้งอยู่ใน อ.กุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ สับปะรดแว่นในน้ำเชื่อม ตราโคลี่ (KOLLY) ผลิตโดย บริษัท เถกิงอุตสาหกรรมสับปะรดกระป๋อง จำกัด ก่อตั้งเมื่อปี 2536 ตั้งอยู่ใน อ.สามร้อยยอด จ.ประจวบคีรีขันธ์ เป็นต้น ข้อมูลจากศูนย์อัจฉริยะเพื่ออุตสาหกรรมอาหาร เมื่อปี 2563 ระบุว่า ประเทศไทยมีโรงงานแปรรูปสับปะรด 38 แห่ง เน้นไปที่ส่งออก 75% จำหน่ายในประเทศ 25% โดยพบว่าส่งออกสับปะรดกระป๋องมากที่สุด 71% กำลังการผลิตเฉพาะสับปะรดกระป๋อง 1.28 ล้านตัน ตลาดส่งออกที่สำคัญได้แก่ สหรัฐอเมริกา 33% สหภาพยุโรป 21.2% รัสเซีย 5.9% จีน 4.2% ญี่ปุ่น 4.2% โดยไทยเป็นผู้ส่งออกสับปะรดอันดับ 3 รองจากคอสตาริกา และฟิลิปปินส์ และยังมีคู่แข่งอย่างเนเธอร์แลนด์และอินโดนีเซีย #Newskit #Tipco #สับปะรดกระป๋อง - สื่อญี่ปุ่น Nikkei Asia พลาดเรื่อง QR Payment
ในที่สุดนิกเกอิ เอเชีย (Nikkei Asia) สื่อจากประเทศญี่ปุ่น ยอมแก้ไขเนื้อหาข่าวหัวข้อ "Malaysia and Cambodia lead QR payment expansion in ASEAN" (มาเลเซียและกัมพูชาเป็นผู้นำการขยายตัวของระบบการชำระเงิน QR Payment ในอาเซียน) ซึ่งตีพิมพ์ไปเมื่อวันที่ 18 ก.ย. ที่ผ่านมา เป็น "QR payments expand in Thailand, Malaysia and Cambodia" (การชำระเงินด้วย QR ขยายตัวในประเทศไทย มาเลเซีย และกัมพูชา) เมื่อค่ำวันที่ 24 ก.ย.
พร้อมกับแก้ไขแผนภูมิหัวข้อ "QR code payments in Southeast Asia" (เปรียบเทียบการชำระเงินด้วยคิวอาร์โค้ดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้) จากเดิมไม่มีประเทศไทยอยู่ในการจัดอันดับ เป็นอันดับหนึ่งของแผนภูมิดังกล่าว
หลังเฟซบุ๊กทางการของธนาคารแห่งประเทศไทย ระบุว่า การโอนเงินและการชำระเงินผ่านระบบพร้อมเพย์เพิ่มขึ้นจาก 14,800 ล้านครั้งในปี 2022 เป็น 19,900 ล้านครั้งในปี 2023 ส่วนปริมาณธุรกรรมการชำระงินผ่าน QR payment ในประเทศไทยผ่านระบบพร้อมเพย์ เพิ่มขึ้นจาก 2,500 ล้านครั้งในปี 2022 เป็น 5,700 ล้านครั้งในปี 2023 พร้อมกับแนบลิงก์สถิติดังกล่าว กระทั่งเว็บไซต์ Nikkei Asia ได้แก้ไขเนื้อหาและแผนภูมิในที่สุด
ก่อนหน้านี้ Nikkei Asia ลงแผนภูมิเปรียบเทียบการชำระเงินด้วยคิวอาร์โค้ดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปรากฎว่าจัดอันดับประเทศไทยรั้งท้าย เมื่อผู้ใช้เฟซบุ๊กชาวไทยคอมเมนต์ว่าข้อมูลผิด จึงได้ลงแผนภูมิใหม่ โดยไม่มีประเทศไทยอยู่ในการจัดอันดับอีกเลย ผลก็คือคนไทยจำนวนมากไม่พอใจ และธนาคารแห่งประเทศไทยต้องให้ข้อมูลที่แท้จริง จึงยอมแก้ไข
หากไม่นับเรื่องการเมืองในไทย มีหลายกรณีที่การนำเสนอข่าวของ Nikkei Asia เป็นที่เคลือบแคลงสงสัยของผู้อ่านชาวไทย อาทิ วิจารณ์ค่ายรถยนต์จากจีนว่าเป็นวงจรอุบาทว์ในอุตสาหกรรมรถยนต์ไทย วิจารณ์ว่าประเทศไทยฟื้นตัวจากโควิด-19 ช้าที่สุด ทำให้เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโตเกียวขณะนั้นตอบโต้ และวิจารณ์การเปิดตัวศูนย์การค้าไอคอนสยามในแง่ลบ
แม้จะแก้ไขข้อมูลที่ถูกต้องในเวลานี้ แต่ผู้อ่านชาวไทยต่างมีภาพจำเรื่องดังกล่าว ย่อมกระทบไปถึงชื่อเสียงในระยะยาว ยิ่งเป็นระบบบอกรับสมาชิก (Subsciption) คือต้องจ่ายเงินก่อน ถึงจะอ่านเนื้อหาข่าวได้ ผู้บริโภคสื่อย่อมลังเลถึงความน่าเชื่อถือ ในฐานะสมาชิก ที่ยอมเสียเงินเพื่อหวังเสพเนื้อหาข่าวที่เชื่อว่ามีคุณภาพ จากสำนักข่าวที่มีชื่อเสียง
ถือเป็นบทเรียนของคนทำสื่อ ที่ต้องรักษาคุณภาพ ภายใต้การแบกรับความคาดหวังของสมาชิกเป็นเดิมพัน
#Newskit #NikkeiAsia #BankOfThailandสื่อญี่ปุ่น Nikkei Asia พลาดเรื่อง QR Payment ในที่สุดนิกเกอิ เอเชีย (Nikkei Asia) สื่อจากประเทศญี่ปุ่น ยอมแก้ไขเนื้อหาข่าวหัวข้อ "Malaysia and Cambodia lead QR payment expansion in ASEAN" (มาเลเซียและกัมพูชาเป็นผู้นำการขยายตัวของระบบการชำระเงิน QR Payment ในอาเซียน) ซึ่งตีพิมพ์ไปเมื่อวันที่ 18 ก.ย. ที่ผ่านมา เป็น "QR payments expand in Thailand, Malaysia and Cambodia" (การชำระเงินด้วย QR ขยายตัวในประเทศไทย มาเลเซีย และกัมพูชา) เมื่อค่ำวันที่ 24 ก.ย. พร้อมกับแก้ไขแผนภูมิหัวข้อ "QR code payments in Southeast Asia" (เปรียบเทียบการชำระเงินด้วยคิวอาร์โค้ดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้) จากเดิมไม่มีประเทศไทยอยู่ในการจัดอันดับ เป็นอันดับหนึ่งของแผนภูมิดังกล่าว หลังเฟซบุ๊กทางการของธนาคารแห่งประเทศไทย ระบุว่า การโอนเงินและการชำระเงินผ่านระบบพร้อมเพย์เพิ่มขึ้นจาก 14,800 ล้านครั้งในปี 2022 เป็น 19,900 ล้านครั้งในปี 2023 ส่วนปริมาณธุรกรรมการชำระงินผ่าน QR payment ในประเทศไทยผ่านระบบพร้อมเพย์ เพิ่มขึ้นจาก 2,500 ล้านครั้งในปี 2022 เป็น 5,700 ล้านครั้งในปี 2023 พร้อมกับแนบลิงก์สถิติดังกล่าว กระทั่งเว็บไซต์ Nikkei Asia ได้แก้ไขเนื้อหาและแผนภูมิในที่สุด ก่อนหน้านี้ Nikkei Asia ลงแผนภูมิเปรียบเทียบการชำระเงินด้วยคิวอาร์โค้ดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปรากฎว่าจัดอันดับประเทศไทยรั้งท้าย เมื่อผู้ใช้เฟซบุ๊กชาวไทยคอมเมนต์ว่าข้อมูลผิด จึงได้ลงแผนภูมิใหม่ โดยไม่มีประเทศไทยอยู่ในการจัดอันดับอีกเลย ผลก็คือคนไทยจำนวนมากไม่พอใจ และธนาคารแห่งประเทศไทยต้องให้ข้อมูลที่แท้จริง จึงยอมแก้ไข หากไม่นับเรื่องการเมืองในไทย มีหลายกรณีที่การนำเสนอข่าวของ Nikkei Asia เป็นที่เคลือบแคลงสงสัยของผู้อ่านชาวไทย อาทิ วิจารณ์ค่ายรถยนต์จากจีนว่าเป็นวงจรอุบาทว์ในอุตสาหกรรมรถยนต์ไทย วิจารณ์ว่าประเทศไทยฟื้นตัวจากโควิด-19 ช้าที่สุด ทำให้เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโตเกียวขณะนั้นตอบโต้ และวิจารณ์การเปิดตัวศูนย์การค้าไอคอนสยามในแง่ลบ แม้จะแก้ไขข้อมูลที่ถูกต้องในเวลานี้ แต่ผู้อ่านชาวไทยต่างมีภาพจำเรื่องดังกล่าว ย่อมกระทบไปถึงชื่อเสียงในระยะยาว ยิ่งเป็นระบบบอกรับสมาชิก (Subsciption) คือต้องจ่ายเงินก่อน ถึงจะอ่านเนื้อหาข่าวได้ ผู้บริโภคสื่อย่อมลังเลถึงความน่าเชื่อถือ ในฐานะสมาชิก ที่ยอมเสียเงินเพื่อหวังเสพเนื้อหาข่าวที่เชื่อว่ามีคุณภาพ จากสำนักข่าวที่มีชื่อเสียง ถือเป็นบทเรียนของคนทำสื่อ ที่ต้องรักษาคุณภาพ ภายใต้การแบกรับความคาดหวังของสมาชิกเป็นเดิมพัน #Newskit #NikkeiAsia #BankOfThailand - ส่องไทยเที่ยวมาเลย์ฯ ครึ่งปี 8.1 แสนคน
ในขณะที่กองเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาของไทย รายงานจำนวนนักท่องเที่ยวมาไทยสะสมระหว่าง 1 ม.ค. ถึง 15 ก.ย. 2567 พบว่ามีจำนวน 24,810,988 คน โดยพบว่ามีนักท่องเที่ยวจีนสูงสุด 5,002,975 คน รองลงมาคือ มาเลเซีย 3,517,586 คน อินเดีย 1,442,978 คน เกาหลีใต้ 1,316,895 คน และรัสเซีย 1,119,768 คน
มาดูกันที่การท่องเที่ยวมาเลเซีย (Tourism Malaysia) เปิดเผยจำนวนนักท่องเที่ยวมาไทยสะสมระหว่าง ม.ค. ถึง มิ.ย. 2567 รวม 11,808,937 คน สร้างรายได้ 45,422 ล้านริงกิต โดยพบว่ามีนักท่องเที่ยวสิงคโปร์สูงสุด 4,276,007 คน รองลงมาคือ อินโดนีเซีย 1,786,630 คน จีน 1,449,711 คน ไทย 813,783 คน และบรูไน 565,999 คน
ส่วนรูปแบบการเดินทาง พบว่าทางบก 5 อันดับแรก มีผู้เดินทางผ่านด่านทัมบักยะโฮร์ รัฐยะโฮร์มากที่สุด 2,711,430 คน รองลงมาคือ ด่านเกอลังปาตาห์ รัฐยะโฮร์ 1,976,578 คน ทั้งสองด่านติดกับสิงคโปร์ อันดับสาม ด่านสุไหงตูจูห์ รัฐซาราวัก 326,038 คน ติดกับบรูไน อันดับสี่ ด่านบูกิตกายูฮิตัม รัฐเคดะห์ 267,902 คน และด่านปาดังเบซาร์ รัฐปะลิส 198,546 คน ทั้งสองด่านติดกับประเทศไทย
ทางอากาศ 5 อันดับแรก มีผู้เดินทางผ่านสนามบินกัวลาลัมเปอร์ (KLIA) มากที่สุด 1,926,191 คน รองลงมาคือ กัวลาลัมเปอร์ 2 (KLIA 2) 1,749,623 คน อันดับสาม สนามบินบายันเลอปัซ รัฐปีนัง (PEN) 523,920 คน อันดับสี่ สนามบินโคตาคินาบาลู (BKI) ซาบาห์ 290,021 คน และอันดับ 5 สนามบินเซไน รัฐยะโฮร์ (JHB) 63,244 คน
ที่น่าสนใจก็คือ นักท่องเที่ยวแบบทัศนาจร (Excursionist Arrivals) รวม 5,670,061 คน โดยพบว่ามีนักท่องเที่ยวสิงคโปร์สูงสุด 4,121,879 คน รองลงมาคือ ไทย 361,035 คน บรูไน 319,421 คน อินโดนีเซีย 244,481 คน และจีน 157,702 คน โดยพบว่าเดินทางผ่านทางบกมากที่สุด 91.7% รองลงมาคือทางอากาศ 6.1% ทางรถไฟ 1.9% และทางทะเล 0.4%
ก่อนหน้านี้ในรายงานประจำปี 2023 พบว่าประเทศมาเลเซียต้อนรับนักท่องเที่ยวเข้าประเทศรวม 20,141,846 คน สร้างรายได้จากการท่องเที่ยว 71,308.5 ล้านริงกิต โดยพบว่าอันดับ 1 สิงคโปร์ 8,308,230 คน อันดับ 2 อินโดนีเซีย 3,108,165 คน อันดับ 3 ประเทศไทย 1,551,282 คน อันดับ 4 จีน 1,474,114 คน และอันดับ 5 บรูไน 811,833 คน
ส่วนนักท่องเที่ยวแบบทัศนาจร มีทั้งหมด 8,822,462 คน โดยพบว่าอันดับ 1 สิงคโปร์ 6,520,323 คน อันดับ 2 ประเทศไทย 748,876 คน อันดับ 3 อินโดนีเซีย 371,227 คน อันดับ 4 บรูไน 304,378 คน และอันดับ 5 จีน 139,198 คน
#Newskit #TourismMalaysia #การท่องเที่ยวมาเลเซียส่องไทยเที่ยวมาเลย์ฯ ครึ่งปี 8.1 แสนคน ในขณะที่กองเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาของไทย รายงานจำนวนนักท่องเที่ยวมาไทยสะสมระหว่าง 1 ม.ค. ถึง 15 ก.ย. 2567 พบว่ามีจำนวน 24,810,988 คน โดยพบว่ามีนักท่องเที่ยวจีนสูงสุด 5,002,975 คน รองลงมาคือ มาเลเซีย 3,517,586 คน อินเดีย 1,442,978 คน เกาหลีใต้ 1,316,895 คน และรัสเซีย 1,119,768 คน มาดูกันที่การท่องเที่ยวมาเลเซีย (Tourism Malaysia) เปิดเผยจำนวนนักท่องเที่ยวมาไทยสะสมระหว่าง ม.ค. ถึง มิ.ย. 2567 รวม 11,808,937 คน สร้างรายได้ 45,422 ล้านริงกิต โดยพบว่ามีนักท่องเที่ยวสิงคโปร์สูงสุด 4,276,007 คน รองลงมาคือ อินโดนีเซีย 1,786,630 คน จีน 1,449,711 คน ไทย 813,783 คน และบรูไน 565,999 คน ส่วนรูปแบบการเดินทาง พบว่าทางบก 5 อันดับแรก มีผู้เดินทางผ่านด่านทัมบักยะโฮร์ รัฐยะโฮร์มากที่สุด 2,711,430 คน รองลงมาคือ ด่านเกอลังปาตาห์ รัฐยะโฮร์ 1,976,578 คน ทั้งสองด่านติดกับสิงคโปร์ อันดับสาม ด่านสุไหงตูจูห์ รัฐซาราวัก 326,038 คน ติดกับบรูไน อันดับสี่ ด่านบูกิตกายูฮิตัม รัฐเคดะห์ 267,902 คน และด่านปาดังเบซาร์ รัฐปะลิส 198,546 คน ทั้งสองด่านติดกับประเทศไทย ทางอากาศ 5 อันดับแรก มีผู้เดินทางผ่านสนามบินกัวลาลัมเปอร์ (KLIA) มากที่สุด 1,926,191 คน รองลงมาคือ กัวลาลัมเปอร์ 2 (KLIA 2) 1,749,623 คน อันดับสาม สนามบินบายันเลอปัซ รัฐปีนัง (PEN) 523,920 คน อันดับสี่ สนามบินโคตาคินาบาลู (BKI) ซาบาห์ 290,021 คน และอันดับ 5 สนามบินเซไน รัฐยะโฮร์ (JHB) 63,244 คน ที่น่าสนใจก็คือ นักท่องเที่ยวแบบทัศนาจร (Excursionist Arrivals) รวม 5,670,061 คน โดยพบว่ามีนักท่องเที่ยวสิงคโปร์สูงสุด 4,121,879 คน รองลงมาคือ ไทย 361,035 คน บรูไน 319,421 คน อินโดนีเซีย 244,481 คน และจีน 157,702 คน โดยพบว่าเดินทางผ่านทางบกมากที่สุด 91.7% รองลงมาคือทางอากาศ 6.1% ทางรถไฟ 1.9% และทางทะเล 0.4% ก่อนหน้านี้ในรายงานประจำปี 2023 พบว่าประเทศมาเลเซียต้อนรับนักท่องเที่ยวเข้าประเทศรวม 20,141,846 คน สร้างรายได้จากการท่องเที่ยว 71,308.5 ล้านริงกิต โดยพบว่าอันดับ 1 สิงคโปร์ 8,308,230 คน อันดับ 2 อินโดนีเซีย 3,108,165 คน อันดับ 3 ประเทศไทย 1,551,282 คน อันดับ 4 จีน 1,474,114 คน และอันดับ 5 บรูไน 811,833 คน ส่วนนักท่องเที่ยวแบบทัศนาจร มีทั้งหมด 8,822,462 คน โดยพบว่าอันดับ 1 สิงคโปร์ 6,520,323 คน อันดับ 2 ประเทศไทย 748,876 คน อันดับ 3 อินโดนีเซีย 371,227 คน อันดับ 4 บรูไน 304,378 คน และอันดับ 5 จีน 139,198 คน #Newskit #TourismMalaysia #การท่องเที่ยวมาเลเซีย - found & found โออาร์จับธุรกิจความงาม
ในขณะที่ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือโออาร์ ตัดสินใจปิดตัวร้านไก่ทอด เท็กซัส ชิคเก้น (Texas Chicken) หนึ่งในธุรกิจนอนออยล์ที่ขณะนี้มีไม่ถึง 100 สาขา ในวันที่ 30 ก.ย. 2567 ที่จะถึงนี้ อีกด้านหนึ่ง หันมาจับธุรกิจไลฟ์สไตล์ ด้วยการเปิดร้านฟาวด์ แอนด์ ฟาวด์ (found & found) ร้านค้าปลีกด้านสินค้าสุขภาพและความงาม สาขาแรกที่ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ อาคาร B เมื่อเดือน มิ.ย. 2567 ตามมาด้วยสาขาพีทีที สเตชั่น สายไหม 56 เมื่อวันที่ 12 ก.ค. 2567 ต่อด้วยสาขาพีทีที สเตชั่น บรมราชชนนี 97 และสาขาล่าสุด โออาร์ สเปซ รามคำแหง 129
ภายใต้การบริหารงานของ บริษัท โออาร์ เฮลท์ แอนด์ เวลเนส จำกัด หรือ ORHW มีพันธมิตรหลักได้แก่ สุกิ โฮลดิ้งส์ (Suki Holdings) จากญี่ปุ่น และ คอนวี่ อินเตอร์เนชั่นแนล (Konvy International) เจ้าของร้านขายเครื่องสำอางออนไลน์ นอกจากนี้ ยังมี นายรวิศ หาญอุตสาหะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ศรีจันทร์สหโอสถ เจ้าของแบรนด์ SRICHAND เป็นกรรมการบริษัทอีกด้วย มีแผนเปิดให้บริการ 10 สาขาภายในปี 2567 และขยายเป็น 500 สาขาภายในปี 2573 เน้นไปที่พีทีที สเตชั่น และคอมมูนิตี้มอลล์
สำหรับร้านฟาวด์ แอนด์ ฟาวด์ จำหน่ายผลิตภัณฑ์สุขภาพและความงามจากประเทศไทย รวมทั้งนำเข้าจากญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ อาทิ เครื่องสำอาง สกินแคร์ อาหารเสริม และวิตามิน จัดวางสินค้าตามการดูแลผิว 5 ขั้นตอน ได้แก่ การทำความสะอาดผิว (Cleanse) การเตรียมผิว (Prep) การบำรุงผิว (Treat) การเติมผิวให้ชุ่มชื้น (Moisturize) และการป้องกันผิว (Protect) พร้อมมีผู้เชี่ยวชาญด้านความงาม หรือ บีเอ (Beauty Advisor) ให้คำปรึกษาและแนะนำผลิตภัณฑ์
ส่วนสมาชิกบลูพลัส (blueplus+) ที่มีมากกว่า 8 ล้านราย สามารถสมัครสมาชิกผ่านไลน์ @foundnfound ของทางร้าน แล้วเชื่อมต่อระบบสมาชิกเพื่อสะสมคะแนนผ่านการแจ้งเบอร์โทรศัพท์มือถือ ยอดซื้อทุก 25 บาทรับคะแนนสะสม 1 คะแนน และคะแนนสะสมบลูพลัสทุก 100 คะแนน มีมูลค่าแทนส่วนลดเงินสด 20 บาท นอกจากนี้ ยังมีโปรโมชันพิเศษในแอปพลิเคชัน xplORe อีกด้วย
ปัจจุบันการแข่งขันร้านค้าปลีกด้านสินค้าสุขภาพและความงามมีวัตสัน (Watsons) เป็นเจ้าตลาดในไทยด้วยจำนวนกว่า 700 สาขา ตามมาด้วยบู๊ทส์ (Boots) ราว 280 สาขา นอกจากนี้ยังมีกลุ่มค้าปลีกชิงส่วนแบ่งตลาด อาทิ กลุ่มเซ็นทรัล มีร้านมัทสึคิโยะ (Matsukiyo) และแผนกลุกส์ (LOOKS) ในท็อปส์ เครือสหพัฒน์มีร้านซูรูฮะ (Tsuruha) และซีเจ เอ็กซ์เพรส กรุ๊ป มีร้านเครื่องสำอางไนน์บิวตี้ (NINE Beauty) เป็นต้น
#Newskit #foundnfound #ORfound & found โออาร์จับธุรกิจความงาม ในขณะที่ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือโออาร์ ตัดสินใจปิดตัวร้านไก่ทอด เท็กซัส ชิคเก้น (Texas Chicken) หนึ่งในธุรกิจนอนออยล์ที่ขณะนี้มีไม่ถึง 100 สาขา ในวันที่ 30 ก.ย. 2567 ที่จะถึงนี้ อีกด้านหนึ่ง หันมาจับธุรกิจไลฟ์สไตล์ ด้วยการเปิดร้านฟาวด์ แอนด์ ฟาวด์ (found & found) ร้านค้าปลีกด้านสินค้าสุขภาพและความงาม สาขาแรกที่ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ อาคาร B เมื่อเดือน มิ.ย. 2567 ตามมาด้วยสาขาพีทีที สเตชั่น สายไหม 56 เมื่อวันที่ 12 ก.ค. 2567 ต่อด้วยสาขาพีทีที สเตชั่น บรมราชชนนี 97 และสาขาล่าสุด โออาร์ สเปซ รามคำแหง 129 ภายใต้การบริหารงานของ บริษัท โออาร์ เฮลท์ แอนด์ เวลเนส จำกัด หรือ ORHW มีพันธมิตรหลักได้แก่ สุกิ โฮลดิ้งส์ (Suki Holdings) จากญี่ปุ่น และ คอนวี่ อินเตอร์เนชั่นแนล (Konvy International) เจ้าของร้านขายเครื่องสำอางออนไลน์ นอกจากนี้ ยังมี นายรวิศ หาญอุตสาหะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ศรีจันทร์สหโอสถ เจ้าของแบรนด์ SRICHAND เป็นกรรมการบริษัทอีกด้วย มีแผนเปิดให้บริการ 10 สาขาภายในปี 2567 และขยายเป็น 500 สาขาภายในปี 2573 เน้นไปที่พีทีที สเตชั่น และคอมมูนิตี้มอลล์ สำหรับร้านฟาวด์ แอนด์ ฟาวด์ จำหน่ายผลิตภัณฑ์สุขภาพและความงามจากประเทศไทย รวมทั้งนำเข้าจากญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ อาทิ เครื่องสำอาง สกินแคร์ อาหารเสริม และวิตามิน จัดวางสินค้าตามการดูแลผิว 5 ขั้นตอน ได้แก่ การทำความสะอาดผิว (Cleanse) การเตรียมผิว (Prep) การบำรุงผิว (Treat) การเติมผิวให้ชุ่มชื้น (Moisturize) และการป้องกันผิว (Protect) พร้อมมีผู้เชี่ยวชาญด้านความงาม หรือ บีเอ (Beauty Advisor) ให้คำปรึกษาและแนะนำผลิตภัณฑ์ ส่วนสมาชิกบลูพลัส (blueplus+) ที่มีมากกว่า 8 ล้านราย สามารถสมัครสมาชิกผ่านไลน์ @foundnfound ของทางร้าน แล้วเชื่อมต่อระบบสมาชิกเพื่อสะสมคะแนนผ่านการแจ้งเบอร์โทรศัพท์มือถือ ยอดซื้อทุก 25 บาทรับคะแนนสะสม 1 คะแนน และคะแนนสะสมบลูพลัสทุก 100 คะแนน มีมูลค่าแทนส่วนลดเงินสด 20 บาท นอกจากนี้ ยังมีโปรโมชันพิเศษในแอปพลิเคชัน xplORe อีกด้วย ปัจจุบันการแข่งขันร้านค้าปลีกด้านสินค้าสุขภาพและความงามมีวัตสัน (Watsons) เป็นเจ้าตลาดในไทยด้วยจำนวนกว่า 700 สาขา ตามมาด้วยบู๊ทส์ (Boots) ราว 280 สาขา นอกจากนี้ยังมีกลุ่มค้าปลีกชิงส่วนแบ่งตลาด อาทิ กลุ่มเซ็นทรัล มีร้านมัทสึคิโยะ (Matsukiyo) และแผนกลุกส์ (LOOKS) ในท็อปส์ เครือสหพัฒน์มีร้านซูรูฮะ (Tsuruha) และซีเจ เอ็กซ์เพรส กรุ๊ป มีร้านเครื่องสำอางไนน์บิวตี้ (NINE Beauty) เป็นต้น #Newskit #foundnfound #OR - (ว่าที่) เซ็นทรัล บางรัก โรบินสันในตำนาน
เมื่อวันก่อนร้านแมคโดนัลด์ ภายในอาคารโรบินสัน บางรัก เปิดสาขาโฉมใหม่ใช้ชื่อว่า สาขาเซ็นทรัล บางรัก ออกแบบดีไซน์ ‘Geometry’ พร้อมเครื่องสั่งอาหารอัตโนมัติ (SOK- Self Ordering Kiosk), บริการชำระเงินแบบไร้เงินสด, พนักงานต้อนรับ (GEL – Guest Experience Leader), บริการเสิร์ฟอาหารที่โต๊ะ (Table Service) และ บริการฟรี Wifi เปิดบริการทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง เมนูอาหารเช้าเริ่มจำหน่ายเวลา 05.00-11.00 น. และเมนูไก่ทอดแมคเริ่มจำหน่ายเวลา 11.00-05.00 น.
เหตุผลที่แมคโดนัลด์ใช้คำว่าสาขาเซ็นทรัล บางรัก เพราะอีกไม่นาน ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน บางรัก ที่มีอายุประมาณ 32 ปี จะเปลี่ยนเป็นห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล บางรัก ตามกลยุทธ์ของกลุ่มเซ็นทรัล ที่ทยอยเปลี่ยนห้างโรบินสันบางสาขาเป็นห้างเซ็นทรัล มาตั้งแต่ปี 2563 เพื่อให้เข้ากับสภาพตลาดและทำเล เน้นไปที่กลุ่มคนรุ่นใหม่ วัยทำงานมีกำลังซื้อค่อนข้างสูง เริ่มจากสาขาแรกเมกาบางนา ตามมาด้วยสาขาอุดรธานี ขอนแก่น และแฟชั่นไอส์แลนด์
ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน บางรัก เปิดสาขาเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2535 เป็นอาคารห้างสรรพสินค้าขนาด 5 ชั้น (รวมชั้นใต้ดิน) ตั้งอยู่บนถนนเจริญกรุง ที่ผ่านมาได้ทยอยปรับปรุงพื้นที่มาตั้งแต่กลางปี 2567 โดยใช้อัตลักษณ์องค์กร (Corporate Identity) ของห้างเซ็นทรัลแทน เป็นสาขาในกลุ่ม Black Tier ระดับเดียวกับสาขาลาดพร้าว ปิ่นเกล้า บางนา จับกลุ่มลูกค้าระดับไฮเอนด์ เป็นรองก็แค่สาขาชิดลมที่้เป็นระดับ Rose Gold Tier ที่เจาะกลุ่มลูกค้าระดับ A+ ขึ้นไปและลูกค้าชาวต่างชาติ
การปรับโฉมครั้งนี้ทำให้ห้างโรบินสัน ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เหลือสาขาพระราม 9 สุขุมวิท ลาดกระบัง รังสิต ศรีสมาน ราชพฤกษ์ และสมุทรปราการ ซึ่งก่อนหน้านี้ปิดสาขาศรีนครินทร์ เพราะไม่ต่อสัญญาเช่ากับศูนย์การค้าซีคอนสแควร์ ถึงกระนั้นห้างเซ็นทรัลและโรบินสัน ยังคงจัดโปรโมชันร่วมกัน มีบริการผู้ช่วยช้อปปิ้งส่วนตัว (Personal Shopper) โทร. 1425 การจำหน่ายสินค้าผ่านเซ็นทรัลออนไลน์ และ Central App
ทำเลห้างโรบินสัน บางรักในปัจจุบัน อยู่ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส สะพานตากสิน และท่าเรือสาทร ใกล้แหล่งอาคารสำนักงานย่านสีลมและสาทร ใกล้โรงแรมหรูอย่างโรงแรมแชงกรีล่า โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล โรงแรมเลอบัว แอท สเตททาวเวอร์ ใกล้สถานศึกษาอย่างโรงเรียนอัสสัมชัญ รวมทั้งฝั่งตรงข้ามแม่น้ำเจ้าพระยายังมีศูนย์การค้าไอคอนสยาม ที่มีเรือเฟอร์รี่จากท่าเรือสาทร ถือเป็นอีกหนึ่งทำเลที่กลุ่มเซ็นทรัลไม่ปล่อยให้หลุดมือง่ายๆ
#Newskit #CentralBangrak #RobinsonBangrak(ว่าที่) เซ็นทรัล บางรัก โรบินสันในตำนาน เมื่อวันก่อนร้านแมคโดนัลด์ ภายในอาคารโรบินสัน บางรัก เปิดสาขาโฉมใหม่ใช้ชื่อว่า สาขาเซ็นทรัล บางรัก ออกแบบดีไซน์ ‘Geometry’ พร้อมเครื่องสั่งอาหารอัตโนมัติ (SOK- Self Ordering Kiosk), บริการชำระเงินแบบไร้เงินสด, พนักงานต้อนรับ (GEL – Guest Experience Leader), บริการเสิร์ฟอาหารที่โต๊ะ (Table Service) และ บริการฟรี Wifi เปิดบริการทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง เมนูอาหารเช้าเริ่มจำหน่ายเวลา 05.00-11.00 น. และเมนูไก่ทอดแมคเริ่มจำหน่ายเวลา 11.00-05.00 น. เหตุผลที่แมคโดนัลด์ใช้คำว่าสาขาเซ็นทรัล บางรัก เพราะอีกไม่นาน ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน บางรัก ที่มีอายุประมาณ 32 ปี จะเปลี่ยนเป็นห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล บางรัก ตามกลยุทธ์ของกลุ่มเซ็นทรัล ที่ทยอยเปลี่ยนห้างโรบินสันบางสาขาเป็นห้างเซ็นทรัล มาตั้งแต่ปี 2563 เพื่อให้เข้ากับสภาพตลาดและทำเล เน้นไปที่กลุ่มคนรุ่นใหม่ วัยทำงานมีกำลังซื้อค่อนข้างสูง เริ่มจากสาขาแรกเมกาบางนา ตามมาด้วยสาขาอุดรธานี ขอนแก่น และแฟชั่นไอส์แลนด์ ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน บางรัก เปิดสาขาเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2535 เป็นอาคารห้างสรรพสินค้าขนาด 5 ชั้น (รวมชั้นใต้ดิน) ตั้งอยู่บนถนนเจริญกรุง ที่ผ่านมาได้ทยอยปรับปรุงพื้นที่มาตั้งแต่กลางปี 2567 โดยใช้อัตลักษณ์องค์กร (Corporate Identity) ของห้างเซ็นทรัลแทน เป็นสาขาในกลุ่ม Black Tier ระดับเดียวกับสาขาลาดพร้าว ปิ่นเกล้า บางนา จับกลุ่มลูกค้าระดับไฮเอนด์ เป็นรองก็แค่สาขาชิดลมที่้เป็นระดับ Rose Gold Tier ที่เจาะกลุ่มลูกค้าระดับ A+ ขึ้นไปและลูกค้าชาวต่างชาติ การปรับโฉมครั้งนี้ทำให้ห้างโรบินสัน ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เหลือสาขาพระราม 9 สุขุมวิท ลาดกระบัง รังสิต ศรีสมาน ราชพฤกษ์ และสมุทรปราการ ซึ่งก่อนหน้านี้ปิดสาขาศรีนครินทร์ เพราะไม่ต่อสัญญาเช่ากับศูนย์การค้าซีคอนสแควร์ ถึงกระนั้นห้างเซ็นทรัลและโรบินสัน ยังคงจัดโปรโมชันร่วมกัน มีบริการผู้ช่วยช้อปปิ้งส่วนตัว (Personal Shopper) โทร. 1425 การจำหน่ายสินค้าผ่านเซ็นทรัลออนไลน์ และ Central App ทำเลห้างโรบินสัน บางรักในปัจจุบัน อยู่ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส สะพานตากสิน และท่าเรือสาทร ใกล้แหล่งอาคารสำนักงานย่านสีลมและสาทร ใกล้โรงแรมหรูอย่างโรงแรมแชงกรีล่า โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล โรงแรมเลอบัว แอท สเตททาวเวอร์ ใกล้สถานศึกษาอย่างโรงเรียนอัสสัมชัญ รวมทั้งฝั่งตรงข้ามแม่น้ำเจ้าพระยายังมีศูนย์การค้าไอคอนสยาม ที่มีเรือเฟอร์รี่จากท่าเรือสาทร ถือเป็นอีกหนึ่งทำเลที่กลุ่มเซ็นทรัลไม่ปล่อยให้หลุดมือง่ายๆ #Newskit #CentralBangrak #RobinsonBangrak - 21-22 กันยายน 2567
Newskit ขออนุญาตงดตีพิมพ์
พบกันอีกครั้ง 23 กันยายน 256721-22 กันยายน 2567 Newskit ขออนุญาตงดตีพิมพ์ พบกันอีกครั้ง 23 กันยายน 2567 - 3 ปี ไทยสมายล์บัส น้อมรับความไม่สะดวก
ก้าวเข้าสู่ปีที่ 3 ของไทย สมายล์ บัส ผู้ประกอบการเดินรถโดยสารประจำทางในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล นับตั้งแต่แถลงข่าวเปิดตัวอย่างเป็นทางการที่สาขาเอกชัย จ.สมุทรสาคร เมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2564 ปัจจุบันมีรถบัสพลังงานไฟฟ้า 2,350 คัน ให้บริการ 123 เส้นทาง พร้อมกัปตันเมล์ (พนักงานขับรถ) 2,500 คน บัสโฮสเตส (พนักงานเก็บค่าโดยสาร) 2,300 คน อู่สาขากว่า 24 สาขา เรือโดยสารพลังงานไฟฟ้ากว่า 40 ลำ ให้บริการ 3 เส้นทาง กัปตันและลูกเรือกว่า 200 คน อาจเรียกได้ว่าเป็น 3 ปีแบบก้าวกระโดด พร้อมกับการปฎิรูปรถเมล์ที่กรมการขนส่งทางบกเป็นเจ้าภาพหลัก
น.ส.กุลพรภัสร์ วงศ์มาจารภิญญา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ไทย สมายล์ บัส เปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา พิสูจน์ให้เห็นว่าสามารถทำให้ระบบขนส่งมวลชนที่ถูกละเลย มีรถเมล์พลังงานไฟฟ้าให้บริการกว่า 2,000 คัน และมีเทคโนโลยีทันสมัย มีโรงเรียนฝึกอบรมบุคลากร ปัจจุบันบริษัทฯ ลงทุนพัฒนาจุดชาร์จ อู่สาขาทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล ให้เป็นโครงสร้างพื้นฐานของการพัฒนา เติบโตไปพร้อมกับสังคม สิ่งแวดล้อม ด้วยแนวคิด ESG ในทุกมิติ เช่น ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สร้างการจ้างงาน ดูแลผู้โดยสาร ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ บริหารด้วยความโปร่งใส ตรวจสอบได้ มีธรรมาภิบาล
"ตนได้ลงพื้นที่ไปรอรถเมล์อยู่ข้างๆ ผู้โดยสารทุกคนตั้งแต่ช่วงเช้าถึงค่ำ เพื่อให้เข้าใจปัญหา ไปอยู่กับหน้างานจริง ซึ่งยอมรับว่า ยังได้เห็นความไม่สะดวกในหลายจุด ในฐานะผู้บริหารขอน้อมรับฟังทุกคำติชม และจะนำไปปรับปรุง พัฒนาต่อไปเพื่อให้พี่น้องคนไทยได้มีรถเมล์คุณภาพทัดเทียมกับต่างประเทศ"
ที่ผ่านมาได้พัฒนาระบบ Fleet Management งานบริหารจัดการหลังบ้าน กล้อง CCTV เพื่อตรวจสอบคุณภาพการให้บริการ พัฒนาการปล่อยรถ รวมถึงการนำเทคโนโลยีไปปรับปรุงข้อติดขัดต่างๆ พร้อมกับพัฒนาบุคลากร อาทิ โครงการสมาร์ทกัปตัน คัดเลือกพนักงานที่อยู่ในสายรถ ให้เข้ามาเป็นผู้ดูแลสายรถนั้นๆ เพื่อต่อยอดอาชีพ สร้างคุณค่า เพิ่มรายได้ให้กับพนักงานอีก 100 คน รวมทั้งพัฒนาแอปพลิเคชัน TSB Go Plus+ สามารถเติมเงินและอัปเดตยอดบัตร HOP CARD ผ่านระบบ NFC ได้ทันที
ในอนาคต ไทยสมายล์บัสจะจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อตอบแทนลูกค้า มีสิทธิประโยชน์เฉพาะผู้ถือบัตร HOP CARD ให้ร่วมสนุก มีฟังก์ชันใหม่ๆ ให้ได้ทดลองใช้ และมีพันธมิตรอีกหลายรายที่จะเข้าร่วม ควบคู่กับการแก้ไขปัญหา ยกระดับการให้บริการ หวังคนรุ่นใหม่หันมาใช้รถสาธารณะกันมากขึ้น
#Newskit #ThaiSmileBus #รถเมล์ไฟฟ้า3 ปี ไทยสมายล์บัส น้อมรับความไม่สะดวก ก้าวเข้าสู่ปีที่ 3 ของไทย สมายล์ บัส ผู้ประกอบการเดินรถโดยสารประจำทางในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล นับตั้งแต่แถลงข่าวเปิดตัวอย่างเป็นทางการที่สาขาเอกชัย จ.สมุทรสาคร เมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2564 ปัจจุบันมีรถบัสพลังงานไฟฟ้า 2,350 คัน ให้บริการ 123 เส้นทาง พร้อมกัปตันเมล์ (พนักงานขับรถ) 2,500 คน บัสโฮสเตส (พนักงานเก็บค่าโดยสาร) 2,300 คน อู่สาขากว่า 24 สาขา เรือโดยสารพลังงานไฟฟ้ากว่า 40 ลำ ให้บริการ 3 เส้นทาง กัปตันและลูกเรือกว่า 200 คน อาจเรียกได้ว่าเป็น 3 ปีแบบก้าวกระโดด พร้อมกับการปฎิรูปรถเมล์ที่กรมการขนส่งทางบกเป็นเจ้าภาพหลัก น.ส.กุลพรภัสร์ วงศ์มาจารภิญญา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ไทย สมายล์ บัส เปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา พิสูจน์ให้เห็นว่าสามารถทำให้ระบบขนส่งมวลชนที่ถูกละเลย มีรถเมล์พลังงานไฟฟ้าให้บริการกว่า 2,000 คัน และมีเทคโนโลยีทันสมัย มีโรงเรียนฝึกอบรมบุคลากร ปัจจุบันบริษัทฯ ลงทุนพัฒนาจุดชาร์จ อู่สาขาทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล ให้เป็นโครงสร้างพื้นฐานของการพัฒนา เติบโตไปพร้อมกับสังคม สิ่งแวดล้อม ด้วยแนวคิด ESG ในทุกมิติ เช่น ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สร้างการจ้างงาน ดูแลผู้โดยสาร ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ บริหารด้วยความโปร่งใส ตรวจสอบได้ มีธรรมาภิบาล "ตนได้ลงพื้นที่ไปรอรถเมล์อยู่ข้างๆ ผู้โดยสารทุกคนตั้งแต่ช่วงเช้าถึงค่ำ เพื่อให้เข้าใจปัญหา ไปอยู่กับหน้างานจริง ซึ่งยอมรับว่า ยังได้เห็นความไม่สะดวกในหลายจุด ในฐานะผู้บริหารขอน้อมรับฟังทุกคำติชม และจะนำไปปรับปรุง พัฒนาต่อไปเพื่อให้พี่น้องคนไทยได้มีรถเมล์คุณภาพทัดเทียมกับต่างประเทศ" ที่ผ่านมาได้พัฒนาระบบ Fleet Management งานบริหารจัดการหลังบ้าน กล้อง CCTV เพื่อตรวจสอบคุณภาพการให้บริการ พัฒนาการปล่อยรถ รวมถึงการนำเทคโนโลยีไปปรับปรุงข้อติดขัดต่างๆ พร้อมกับพัฒนาบุคลากร อาทิ โครงการสมาร์ทกัปตัน คัดเลือกพนักงานที่อยู่ในสายรถ ให้เข้ามาเป็นผู้ดูแลสายรถนั้นๆ เพื่อต่อยอดอาชีพ สร้างคุณค่า เพิ่มรายได้ให้กับพนักงานอีก 100 คน รวมทั้งพัฒนาแอปพลิเคชัน TSB Go Plus+ สามารถเติมเงินและอัปเดตยอดบัตร HOP CARD ผ่านระบบ NFC ได้ทันที ในอนาคต ไทยสมายล์บัสจะจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อตอบแทนลูกค้า มีสิทธิประโยชน์เฉพาะผู้ถือบัตร HOP CARD ให้ร่วมสนุก มีฟังก์ชันใหม่ๆ ให้ได้ทดลองใช้ และมีพันธมิตรอีกหลายรายที่จะเข้าร่วม ควบคู่กับการแก้ไขปัญหา ยกระดับการให้บริการ หวังคนรุ่นใหม่หันมาใช้รถสาธารณะกันมากขึ้น #Newskit #ThaiSmileBus #รถเมล์ไฟฟ้า - ข้าวเหนียวห่อใบตอง จากใจฅนดอยคำ
เมื่อวันก่อนมีภาพข้าวเหนียวไก่ย่างห่อใบตองติดป้ายดอยคำ ที่นำไปแจกจ่ายแก่ผู้ประสบภัยน้ำท่วมจังหวัดเชียงราย ถูกนำไปโจมตี ผลก็คือมีชาวเน็ตจำนวนมากตอบโต้ ถึงข้อดีของการนำอาหารห่อใบตอง เมื่อเทียบกับกล่องพลาสติกหรือโฟม เพราะเมื่อทิ้งเป็นขยะ ใบตองสามารถย่อยสลายตามธรรมชาติได้ นอกจากนี้ เมนูข้าวเหนียวสามารถเก็บไว้ได้นานโดยไม่เน่าเสียง่าย
ต่อมาเฟซบุ๊กเพจ ดอยคำ - Doi Kham ของบริษัท ดอยคำผลิตภัณฑ์อาหาร จำกัด เผยแพร่ภาพที่บริษัทฯ มอบหมายให้โรงงานหลวงอาหารสำเร็จรูปที่ 2 (แม่จัน) พร้อมด้วยฅนดอยคำ ร่วมแรงร่วมใจกัน จัดทำข้าวเหนียวไก่ทอดห่อใบตองเพิ่มจำนวน 500 ชุด สำหรับนำไปช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย และน้ำป่าไหลหลากในพื้นที่อำเภอแม่สาย และ อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย โดยได้รับสนับสนุนเงินบริจาคจากเจ้าหน้าที่ พนักงานฅนดอยคำ ประจำสำนักงานใหญ่และโรงงานหลวงฯ ทั้ง 3 แห่ง นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์น้ำดื่ม น้ำผลไม้พร้อมดื่ม ข้าวสารและอาหารแห้งอีกด้วย
หนึ่งในภาพที่นำมาเผยแพร่ เป็นกระบวนการผลิตข้าวเหนียวไก่ทอดห่อใบตอง ที่พบว่าพนักงานพิถีพัถัน โดยเฉพาะการสวมหมวกคุมศีรษะ การใช้ถุงมือในการปรุงอาหาร และหยิบจับอาหารมาบรรจุลงในใบตอง แสดงให้เห็นถึงการปฎิบัติตามหลักความปลอดภัยทางอาหาร (Food Safety) อย่างสม่ำเสมอ แม้จะเป็นกิจกรรมทำอาหารเพื่อแจกจ่ายก็ตาม
สำหรับดอยคำก่อตั้งเมื่อปี 2537 ดำเนินธุรกิจอุตสาหกรรมผลไม้แปรรูป ในรูปแบบธุรกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise) ส่งเสริมการเพาะปลูกและรับซื้อผลผลิตทางการเกษตรจากเกษตรกรในราคาที่เป็นธรรม โดยมีกำไรพอเพียงเลี้ยงตัวเองได้ ใช้ในการดูแลพนักงาน นำกลับมารับซื้อผลผลิตจากเกษตรกรในราคาที่สูงกว่าท้องตลาด และวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ปัจจุบันมีโรงงานอาหารสำเร็จรูป 3 แห่ง ในจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย และสกลนคร
ข้อมูลจากสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ เล่มที่ 30 กล่าวถึงการใช้ประโยชน์จากใบตองว่า ใช้ในการห่อผักสดและอาหาร เนื่องจากใบตองสดมีความชื้น ช่วยรักษาผักหรืออาหารให้สดอยู่เสมอ นอกจากนี้ยังทนทานต่อความเย็นและความร้อน เมื่อนำใบตองห่ออาหารแล้วเอาไปปิ้ง นึ่ง ต้ม จะไม่สลายหรือละลายเหมือนพลาสติก จึงมีอาหารหลายอย่างที่ห่อใบตองแล้วนำไปนึ่ง เช่น ห่อหมก ข้าวต้มผัด ขนมกล้วย ขนมตาล ขนมใส่ไส้ หรือเอาไปปิ้ง เช่น ข้าวเหนียวปิ้ง หรือนำไปต้ม เช่น ข้าวต้มมัด หรือข้าวต้มจิ้ม อาหารเหล่านี้ยังทำให้เกิดความหอมของใบตองอีกด้วย สำหรับใบตองแห้ง นำมาใช้ทำกระทงเพื่อใส่อาหาร ห่อกะละแม มวนบุหรี่ โดยใบตองแห้งก็จะมีกลิ่นหอมเช่นกัน
#Newskit #น้ำท่วมเชียงราย #ดอยคำข้าวเหนียวห่อใบตอง จากใจฅนดอยคำ เมื่อวันก่อนมีภาพข้าวเหนียวไก่ย่างห่อใบตองติดป้ายดอยคำ ที่นำไปแจกจ่ายแก่ผู้ประสบภัยน้ำท่วมจังหวัดเชียงราย ถูกนำไปโจมตี ผลก็คือมีชาวเน็ตจำนวนมากตอบโต้ ถึงข้อดีของการนำอาหารห่อใบตอง เมื่อเทียบกับกล่องพลาสติกหรือโฟม เพราะเมื่อทิ้งเป็นขยะ ใบตองสามารถย่อยสลายตามธรรมชาติได้ นอกจากนี้ เมนูข้าวเหนียวสามารถเก็บไว้ได้นานโดยไม่เน่าเสียง่าย ต่อมาเฟซบุ๊กเพจ ดอยคำ - Doi Kham ของบริษัท ดอยคำผลิตภัณฑ์อาหาร จำกัด เผยแพร่ภาพที่บริษัทฯ มอบหมายให้โรงงานหลวงอาหารสำเร็จรูปที่ 2 (แม่จัน) พร้อมด้วยฅนดอยคำ ร่วมแรงร่วมใจกัน จัดทำข้าวเหนียวไก่ทอดห่อใบตองเพิ่มจำนวน 500 ชุด สำหรับนำไปช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย และน้ำป่าไหลหลากในพื้นที่อำเภอแม่สาย และ อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย โดยได้รับสนับสนุนเงินบริจาคจากเจ้าหน้าที่ พนักงานฅนดอยคำ ประจำสำนักงานใหญ่และโรงงานหลวงฯ ทั้ง 3 แห่ง นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์น้ำดื่ม น้ำผลไม้พร้อมดื่ม ข้าวสารและอาหารแห้งอีกด้วย หนึ่งในภาพที่นำมาเผยแพร่ เป็นกระบวนการผลิตข้าวเหนียวไก่ทอดห่อใบตอง ที่พบว่าพนักงานพิถีพัถัน โดยเฉพาะการสวมหมวกคุมศีรษะ การใช้ถุงมือในการปรุงอาหาร และหยิบจับอาหารมาบรรจุลงในใบตอง แสดงให้เห็นถึงการปฎิบัติตามหลักความปลอดภัยทางอาหาร (Food Safety) อย่างสม่ำเสมอ แม้จะเป็นกิจกรรมทำอาหารเพื่อแจกจ่ายก็ตาม สำหรับดอยคำก่อตั้งเมื่อปี 2537 ดำเนินธุรกิจอุตสาหกรรมผลไม้แปรรูป ในรูปแบบธุรกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise) ส่งเสริมการเพาะปลูกและรับซื้อผลผลิตทางการเกษตรจากเกษตรกรในราคาที่เป็นธรรม โดยมีกำไรพอเพียงเลี้ยงตัวเองได้ ใช้ในการดูแลพนักงาน นำกลับมารับซื้อผลผลิตจากเกษตรกรในราคาที่สูงกว่าท้องตลาด และวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ปัจจุบันมีโรงงานอาหารสำเร็จรูป 3 แห่ง ในจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย และสกลนคร ข้อมูลจากสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ เล่มที่ 30 กล่าวถึงการใช้ประโยชน์จากใบตองว่า ใช้ในการห่อผักสดและอาหาร เนื่องจากใบตองสดมีความชื้น ช่วยรักษาผักหรืออาหารให้สดอยู่เสมอ นอกจากนี้ยังทนทานต่อความเย็นและความร้อน เมื่อนำใบตองห่ออาหารแล้วเอาไปปิ้ง นึ่ง ต้ม จะไม่สลายหรือละลายเหมือนพลาสติก จึงมีอาหารหลายอย่างที่ห่อใบตองแล้วนำไปนึ่ง เช่น ห่อหมก ข้าวต้มผัด ขนมกล้วย ขนมตาล ขนมใส่ไส้ หรือเอาไปปิ้ง เช่น ข้าวเหนียวปิ้ง หรือนำไปต้ม เช่น ข้าวต้มมัด หรือข้าวต้มจิ้ม อาหารเหล่านี้ยังทำให้เกิดความหอมของใบตองอีกด้วย สำหรับใบตองแห้ง นำมาใช้ทำกระทงเพื่อใส่อาหาร ห่อกะละแม มวนบุหรี่ โดยใบตองแห้งก็จะมีกลิ่นหอมเช่นกัน #Newskit #น้ำท่วมเชียงราย #ดอยคำ - ไทยเล็งใช้ระบบ ETA คัดกรองต่างชาติ
สำนักข่าวต่างประเทศบางสำนัก จากสิงคโปร์และอินเดีย รายงานข่าวว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. 2567 ประเทศไทยจะเริ่มใช้ระบบใบอนุญาตเดินทางผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือ Electronic Travel Authorization (ETA) สำหรับชาวต่างชาติจากประเทศที่ได้รับสิทธิยกเว้นการตรวจลงตราสามารถพำนักในประเทศไทยไม่เกิน 60 วัน (ผ.60) เพื่อการท่องเที่ยว การติดต่อธุรกิจ และการทำงานระยะสั้น รวม 93 ประเทศและดินแดน ยกเว้นนักท่องเที่ยวจากประเทศลาว กัมพูชา และมาเลเซีย ได้รับการยกเว้น
ตามรายงานข่าวระบุว่า กระทรวงการต่างประเทศ มีเป้าหมายที่จะปรับปรุงขั้นตอนการตรวจคนเข้าเมืองให้คล่องตัว พร้อมกับการติดตามชาวต่างชาติ เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการสร้างความมั่นคงและปรับปรุงการจัดการนักท่องเที่ยว โดยไม่กระทบต่อสถานะจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวที่สำคัญของโลก สอดคล้องกับการที่ประเทศไทยขยายการยกเว้นวีซ่าไปยังประเทศต่างๆ ซึ่งจะทำให้นักเดินทางชาวต่างชาติมีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น
โดยชาวต่างชาติจาก 93 ประเทศและดินแดน ที่ได้รับการยกเว้นวีซ่าเมื่อเดินทางเข้าประเทศไทยจะต้องทำ ETA แต่ละครั้งจะอนุญาตให้เข้าประเทศได้ครั้งเดียว มีอายุไม่เกิน 60 วันต่อการเข้าประเทศแต่ละครั้ง และยังสามารถขยายระยเวลาเดินทางออกไปอีก 30 วัน โดยขั้นตอนการลงทะเบียน ETA จะใช้ระบบออนไลน์ทั้งหมด โดยกรอกรายละเอียดผ่านแบบฟอร์มอิเล็กทรอนิกส์โดยไม่มีค่าธรรมเนียม และสามารถนำ QR Code ไปใช้กับประตูตรวจคนเข้าเมืองอัตโนมัติ ทำให้ผ่านกระบวนการเข้าเมืองเร็วขึ้น
ตามรายงานระบุว่า ระบบนี้จะนำร่องมาใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. 2567 เป็นต้นไป และจะใช้เต็มรูปแบบในเดือน มิ.ย. 2568 พร้อมกับแพลตฟอร์ม e-Visa ของประเทศไทย
เรื่องนี้ยังไม่มีการประกาศออกมาอย่างเป็นทางการจากกระทรวงการต่างประเทศ มีแต่การเปิดเผยจากนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศ ให้การต้อนรับนายรังสิมันต์ โรม สส.พรรคประชาชน (ปชน.) ประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐฯ สภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 23 ส.ค. 2567 ที่ระบุเพียงว่า "กระทรวงฯ ยังเร่งผลักดันการใช้ระบบ Electronic Travel Authorization (ETA) ซึ่งจะเป็นเครื่องมือสำคัญ ในการคัดกรอง และติดตามการเคลื่อนไหวของบุคคลชาวต่างชาติที่เข้ามาในประเทศไทย"
อนึ่ง ประเทศในอาเซียนมีการใช้ระบบ ETA ได้แก่ สิงคโปร์ แบบฟอร์ม SG Arrival Card (SGAC) และมาเลเซีย แบบฟอร์ม Malaysia Digital Arrival Card (MDAC) นอกจากนี้ ยังมีบางประเทศที่นำระบบคล้ายคลึงกันมาใช้ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา แคนาดา และเกาหลีใต้ เป็นต้น
#Newskit #ThailandETAไทยเล็งใช้ระบบ ETA คัดกรองต่างชาติ สำนักข่าวต่างประเทศบางสำนัก จากสิงคโปร์และอินเดีย รายงานข่าวว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. 2567 ประเทศไทยจะเริ่มใช้ระบบใบอนุญาตเดินทางผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือ Electronic Travel Authorization (ETA) สำหรับชาวต่างชาติจากประเทศที่ได้รับสิทธิยกเว้นการตรวจลงตราสามารถพำนักในประเทศไทยไม่เกิน 60 วัน (ผ.60) เพื่อการท่องเที่ยว การติดต่อธุรกิจ และการทำงานระยะสั้น รวม 93 ประเทศและดินแดน ยกเว้นนักท่องเที่ยวจากประเทศลาว กัมพูชา และมาเลเซีย ได้รับการยกเว้น ตามรายงานข่าวระบุว่า กระทรวงการต่างประเทศ มีเป้าหมายที่จะปรับปรุงขั้นตอนการตรวจคนเข้าเมืองให้คล่องตัว พร้อมกับการติดตามชาวต่างชาติ เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการสร้างความมั่นคงและปรับปรุงการจัดการนักท่องเที่ยว โดยไม่กระทบต่อสถานะจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวที่สำคัญของโลก สอดคล้องกับการที่ประเทศไทยขยายการยกเว้นวีซ่าไปยังประเทศต่างๆ ซึ่งจะทำให้นักเดินทางชาวต่างชาติมีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น โดยชาวต่างชาติจาก 93 ประเทศและดินแดน ที่ได้รับการยกเว้นวีซ่าเมื่อเดินทางเข้าประเทศไทยจะต้องทำ ETA แต่ละครั้งจะอนุญาตให้เข้าประเทศได้ครั้งเดียว มีอายุไม่เกิน 60 วันต่อการเข้าประเทศแต่ละครั้ง และยังสามารถขยายระยเวลาเดินทางออกไปอีก 30 วัน โดยขั้นตอนการลงทะเบียน ETA จะใช้ระบบออนไลน์ทั้งหมด โดยกรอกรายละเอียดผ่านแบบฟอร์มอิเล็กทรอนิกส์โดยไม่มีค่าธรรมเนียม และสามารถนำ QR Code ไปใช้กับประตูตรวจคนเข้าเมืองอัตโนมัติ ทำให้ผ่านกระบวนการเข้าเมืองเร็วขึ้น ตามรายงานระบุว่า ระบบนี้จะนำร่องมาใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. 2567 เป็นต้นไป และจะใช้เต็มรูปแบบในเดือน มิ.ย. 2568 พร้อมกับแพลตฟอร์ม e-Visa ของประเทศไทย เรื่องนี้ยังไม่มีการประกาศออกมาอย่างเป็นทางการจากกระทรวงการต่างประเทศ มีแต่การเปิดเผยจากนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศ ให้การต้อนรับนายรังสิมันต์ โรม สส.พรรคประชาชน (ปชน.) ประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐฯ สภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 23 ส.ค. 2567 ที่ระบุเพียงว่า "กระทรวงฯ ยังเร่งผลักดันการใช้ระบบ Electronic Travel Authorization (ETA) ซึ่งจะเป็นเครื่องมือสำคัญ ในการคัดกรอง และติดตามการเคลื่อนไหวของบุคคลชาวต่างชาติที่เข้ามาในประเทศไทย" อนึ่ง ประเทศในอาเซียนมีการใช้ระบบ ETA ได้แก่ สิงคโปร์ แบบฟอร์ม SG Arrival Card (SGAC) และมาเลเซีย แบบฟอร์ม Malaysia Digital Arrival Card (MDAC) นอกจากนี้ ยังมีบางประเทศที่นำระบบคล้ายคลึงกันมาใช้ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา แคนาดา และเกาหลีใต้ เป็นต้น #Newskit #ThailandETA - TEXAS CHICKEN อำลาไทย
ร้านไก่ทอดเท็กซัส ชิคเก้น (Texas Chicken) หนึ่งในธุรกิจนอนออยล์ของ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์ ปิดตัวลงทุกสาขาในวันที่ 30 ก.ย. 2567 นับเป็นการปิดตำนานร้านไก่ทอดสัญชาติอเมริกันที่ที่ติดอันดับ 1 ใน 3 ของโลก สร้างความทรงจำให้กับผู้บริโภคมานานถึง 9 ปี โดยข้อมูล ณ ไตรมาส 2 ปี 2567 พบว่าเหลือ 97 สาขา ลดลงจากเมื่อไตรมาส 4 ปี 2566 ที่มี 100 สาขา และไตรมาส 4 ปี 2565 ที่มี 107 สาขา
นายดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โออาร์ ระบุว่า อยู่ระหว่างทบทวนและปรับปรุงการลงทุนในธุรกิจต่างๆ ที่ได้เข้าไปลงทุนก่อนหน้านี้ เพื่อประเมินความเหมาะสม และปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน เป้าหมายในอนาคต รวมถึงกระจายการลงทุนไปสู่ธุรกิจใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจไลฟ์สไตล์ ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม (F&B)
"โออาร์ได้พิจารณาปัจจัยต่างๆ อย่างรอบคอบ และได้พิจารณายุติการดำเนินธุรกิจเท็กซัส ชิคเก้น โดยคาดว่าจะทยอยปิดทุกสาขาภายในเดือน ก.ย. นี้ โดยยังคงมุ่งมั่นแสวงหาโอกาสและพันธมิตรทางธุรกิจใหม่ๆ ให้สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายมุ่งสู่การเป็นหนึ่งในผู้นำด้านธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มต่อไป"
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 10 ก.ค. 2558 บริษัท ปตท จำกัด (มหาชน) ได้ลงนามสัญญาการให้สิทธิ์มาสเตอร์แฟรนไชส์ เท็กซัสชิคเก้น กับ Cajun Global LLC ก่อนเปิดสาขาแรกที่ชั้น 3 ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เวสต์เกต จ.นนทบุรี เมื่อวันที่ 28 พ.ย. 2558 สร้างความเปลี่ยนแปลงด้วยการจำหน่ายชุดไก่ทอดพร้อมเครื่องดื่มรีฟิล ทำให้แบรนด์ใหญ่อย่างเคเอฟซีถึงกับลงมาทำเครื่องดื่มรีฟิลแข่งกัน นอกจากนี้ ยังมีเมนูขนมหวานอย่างฮันนี่บิสกิตอันเป็นเอกลักษณ์อีกด้วย
ในระยะแรกร้านเท็กซัสชิคเก้นได้เปิดสาขาในศูนย์การค้าเป็นหลัก ก่อนที่แบรนด์จะเป็นที่ยอมรับและเปิดสาขาในสถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น ในเวลาต่อมา จากนั้น ปตท. ได้แยกธุรกิจสถานีบริการน้ำมันและค้าปลีกออกมาเป็นบริษัทใหม่อย่างโออาร์ ก่อนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 11 ก.พ. 2564 ทำให้ร้านเท็กซัส ชิคเก้น ในประเทศไทย จึงถูกรวมเข้าไปในกลุ่มธุรกิจ F&B ของโออาร์
แหล่งข่าวรายหนึ่งระบุว่า แม้ร้านเท็กซัส ชิคเก้นจะทำกำไร แต่ไม่ถึงเป้าพอที่จะต่อสัญญากับได้ โดยประเมินว่าหากต่อสัญญาแล้วเดินหน้าธุรกิจต่ออาจไม่คุ้ม นอกจากนี้ อดีตผู้บริหาร ปตท. ที่เคยเป็นแม่งานสำคัญอย่าง นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ที่เคยผลักดันธุรกิจเท็กซัส ชิคเก้น สมัยดำรงตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ หน่วยธุรกิจน้ำมัน ได้ออกจากตำแหน่งไปแล้ว
#Newskit #TexasChicken #ORTEXAS CHICKEN อำลาไทย ร้านไก่ทอดเท็กซัส ชิคเก้น (Texas Chicken) หนึ่งในธุรกิจนอนออยล์ของ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์ ปิดตัวลงทุกสาขาในวันที่ 30 ก.ย. 2567 นับเป็นการปิดตำนานร้านไก่ทอดสัญชาติอเมริกันที่ที่ติดอันดับ 1 ใน 3 ของโลก สร้างความทรงจำให้กับผู้บริโภคมานานถึง 9 ปี โดยข้อมูล ณ ไตรมาส 2 ปี 2567 พบว่าเหลือ 97 สาขา ลดลงจากเมื่อไตรมาส 4 ปี 2566 ที่มี 100 สาขา และไตรมาส 4 ปี 2565 ที่มี 107 สาขา นายดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โออาร์ ระบุว่า อยู่ระหว่างทบทวนและปรับปรุงการลงทุนในธุรกิจต่างๆ ที่ได้เข้าไปลงทุนก่อนหน้านี้ เพื่อประเมินความเหมาะสม และปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน เป้าหมายในอนาคต รวมถึงกระจายการลงทุนไปสู่ธุรกิจใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจไลฟ์สไตล์ ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม (F&B) "โออาร์ได้พิจารณาปัจจัยต่างๆ อย่างรอบคอบ และได้พิจารณายุติการดำเนินธุรกิจเท็กซัส ชิคเก้น โดยคาดว่าจะทยอยปิดทุกสาขาภายในเดือน ก.ย. นี้ โดยยังคงมุ่งมั่นแสวงหาโอกาสและพันธมิตรทางธุรกิจใหม่ๆ ให้สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายมุ่งสู่การเป็นหนึ่งในผู้นำด้านธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มต่อไป" ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 10 ก.ค. 2558 บริษัท ปตท จำกัด (มหาชน) ได้ลงนามสัญญาการให้สิทธิ์มาสเตอร์แฟรนไชส์ เท็กซัสชิคเก้น กับ Cajun Global LLC ก่อนเปิดสาขาแรกที่ชั้น 3 ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เวสต์เกต จ.นนทบุรี เมื่อวันที่ 28 พ.ย. 2558 สร้างความเปลี่ยนแปลงด้วยการจำหน่ายชุดไก่ทอดพร้อมเครื่องดื่มรีฟิล ทำให้แบรนด์ใหญ่อย่างเคเอฟซีถึงกับลงมาทำเครื่องดื่มรีฟิลแข่งกัน นอกจากนี้ ยังมีเมนูขนมหวานอย่างฮันนี่บิสกิตอันเป็นเอกลักษณ์อีกด้วย ในระยะแรกร้านเท็กซัสชิคเก้นได้เปิดสาขาในศูนย์การค้าเป็นหลัก ก่อนที่แบรนด์จะเป็นที่ยอมรับและเปิดสาขาในสถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น ในเวลาต่อมา จากนั้น ปตท. ได้แยกธุรกิจสถานีบริการน้ำมันและค้าปลีกออกมาเป็นบริษัทใหม่อย่างโออาร์ ก่อนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 11 ก.พ. 2564 ทำให้ร้านเท็กซัส ชิคเก้น ในประเทศไทย จึงถูกรวมเข้าไปในกลุ่มธุรกิจ F&B ของโออาร์ แหล่งข่าวรายหนึ่งระบุว่า แม้ร้านเท็กซัส ชิคเก้นจะทำกำไร แต่ไม่ถึงเป้าพอที่จะต่อสัญญากับได้ โดยประเมินว่าหากต่อสัญญาแล้วเดินหน้าธุรกิจต่ออาจไม่คุ้ม นอกจากนี้ อดีตผู้บริหาร ปตท. ที่เคยเป็นแม่งานสำคัญอย่าง นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ที่เคยผลักดันธุรกิจเท็กซัส ชิคเก้น สมัยดำรงตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ หน่วยธุรกิจน้ำมัน ได้ออกจากตำแหน่งไปแล้ว #Newskit #TexasChicken #OR - ท่วมแล้วไปไหน? จับตาอีสาน 7 จังหวัดริมโขง
อิทธิพลของพายุยางิ ที่อ่อนกำลังลงเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำ แต่ฝนตกทั้งวันอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่วันที่ 8 ก.ย. ที่ผ่านมา ส่งผลทำให้มวลน้ำจากประเทศเมียนมา ไหลเข้าท่วมพื้นที่จังหวัดเชียงราย โดยแม่น้ำสายและแม่น้ำรวก เข้าท่วมเขตเทศบาลตำบลแม่สาย ชายแดนไทย-เมียนมา ตามมาด้วยแม่น้ำกก เข้าท่วมเขตเทศบาลนครเชียงราย ข้อมูลสะสม ณ วันที่ 12 ก.ย. จังหวัดเชียงรายได้รับความเสียหายรวม 6 อำเภอ 25 ตำบล 125 หมู่บ้าน 1 เทศบาลนคร (22 ชุมชน) ตลาดชุมชนเศรษฐกิจ 2 แห่ง ร้านค้าและสถานประกอบการ 92 แห่ง ราษฎรได้รับผลกระทบ 51,353 ครัวเรือน เสียชีวิต 4 ราย บาดเจ็บ 2 ราย
ปลายทางของมวลน้ำทั้งสองสายอยู่ที่อำเภอเชียงแสน โดยแม่น้ำรวกไหลลงสู่แม่น้ำโขงที่สามเหลี่ยมทองคำ ส่วนแม่น้ำกกไหลลงสู่แม่น้ำโขงที่สบกก (ท่าเรือพาณิชย์เชียงแสน) แต่การระบายน้ำเป็นไปด้วยความยากลำบาก เนื่องจากแม่น้ำโขงมีระดับน้ำที่สูงขึ้น และเข้าท่วมเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ เมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว นอกจากนี้ ยังมีมวลน้ำสาขาจาก สปป.ลาว ไหลลงสู่แม่น้ำโขง โดยเฉพาะแม่น้ำทาจากแขวงหลวงน้ำทา ไหลลงสู่แม่น้ำโขงที่เมืองปากทา แขวงบ่อแก้ว รวมทั้งแขวงหลวงพระบาง แขวงอุดมไซ และแขวงไชยบุรี ยังประสบภัยน้ำท่วมอีกด้วย
สิ่งที่น่าเป็นห่วงนับจากนี้ คือ 7 จังหวัดภาคอีสานที่อยู่ริมแม่น้ำโขง สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) แจ้งเตือนระดับน้ำในแม่น้ำโขงมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ได้แก่ อ.เชียงคาน จ.เลย ระดับน้ำมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ประมาณ 3.00-3.60 เมตร คาดว่าระดับน้ำจะมีแนวโน้มสูงกว่าตลิ่ง 0.50-1.50 เมตร ในช่วงวันที่ 13-16 ก.ย. อ.เมือง จ.หนองคาย และ อ.เมือง จ.บึงกาฬ ระดับน้ำมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ประมาณ 3.50-3.90 เมตร และคาดว่าระดับน้ำจะมีแนวโน้มสูงกว่าตลิ่ง 1.50-2.50 เมตรในช่วงวันที่ 13-16 ก.ย. จ.นครพนม จ.มุกดาหาร จ.อำนาจเจริญ และ จ.อุบลราชธานี ระดับน้ำมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ประมาณ 2.00-2.60 เมตร ยังคงต่ำกว่าตลิ่ง 0.50-1.30 เมตร
ด้านเทศบาลเมืองหนองคาย ยกระดับการแจ้งเตือนภัยน้ำท่วมเป็นธงสีแดง (มากกว่า 12 เมตร) สภาวะน้ำอยู่ในเกณฑ์ที่มีความเสี่ยงอันตรายต่อการเกิดน้ำท่วมฉับพลัน ให้อาศัยอยู่ในสถานที่ปลอดภัยและปฏิบัติตามข้อสั่งการ โดยระดับน้ำยังคงมีระดับสูงขึ้นอย่างช้าๆ ล่าสุดเมื่อเวลา 00.00 น. วันนี้ (13 ก.ย.) ระดับน้ำที่ส่วนอุทกวิทยาหนองคาย กรมทรัพยากรน้ำ มีระดับอยู่ที่ 12.82 เมตร สูงกว่าระดับค่าเฉลี่ยของตลิ่งถึง 62 เซนติเมตร
(ระบบติดตามสถานการณ์แม่น้ำโขง https://monitoring.tnmc-is.org)
#Newskit #น้ำท่วม #แม่น้ำโขงท่วมแล้วไปไหน? จับตาอีสาน 7 จังหวัดริมโขง อิทธิพลของพายุยางิ ที่อ่อนกำลังลงเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำ แต่ฝนตกทั้งวันอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่วันที่ 8 ก.ย. ที่ผ่านมา ส่งผลทำให้มวลน้ำจากประเทศเมียนมา ไหลเข้าท่วมพื้นที่จังหวัดเชียงราย โดยแม่น้ำสายและแม่น้ำรวก เข้าท่วมเขตเทศบาลตำบลแม่สาย ชายแดนไทย-เมียนมา ตามมาด้วยแม่น้ำกก เข้าท่วมเขตเทศบาลนครเชียงราย ข้อมูลสะสม ณ วันที่ 12 ก.ย. จังหวัดเชียงรายได้รับความเสียหายรวม 6 อำเภอ 25 ตำบล 125 หมู่บ้าน 1 เทศบาลนคร (22 ชุมชน) ตลาดชุมชนเศรษฐกิจ 2 แห่ง ร้านค้าและสถานประกอบการ 92 แห่ง ราษฎรได้รับผลกระทบ 51,353 ครัวเรือน เสียชีวิต 4 ราย บาดเจ็บ 2 ราย ปลายทางของมวลน้ำทั้งสองสายอยู่ที่อำเภอเชียงแสน โดยแม่น้ำรวกไหลลงสู่แม่น้ำโขงที่สามเหลี่ยมทองคำ ส่วนแม่น้ำกกไหลลงสู่แม่น้ำโขงที่สบกก (ท่าเรือพาณิชย์เชียงแสน) แต่การระบายน้ำเป็นไปด้วยความยากลำบาก เนื่องจากแม่น้ำโขงมีระดับน้ำที่สูงขึ้น และเข้าท่วมเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ เมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว นอกจากนี้ ยังมีมวลน้ำสาขาจาก สปป.ลาว ไหลลงสู่แม่น้ำโขง โดยเฉพาะแม่น้ำทาจากแขวงหลวงน้ำทา ไหลลงสู่แม่น้ำโขงที่เมืองปากทา แขวงบ่อแก้ว รวมทั้งแขวงหลวงพระบาง แขวงอุดมไซ และแขวงไชยบุรี ยังประสบภัยน้ำท่วมอีกด้วย สิ่งที่น่าเป็นห่วงนับจากนี้ คือ 7 จังหวัดภาคอีสานที่อยู่ริมแม่น้ำโขง สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) แจ้งเตือนระดับน้ำในแม่น้ำโขงมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ได้แก่ อ.เชียงคาน จ.เลย ระดับน้ำมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ประมาณ 3.00-3.60 เมตร คาดว่าระดับน้ำจะมีแนวโน้มสูงกว่าตลิ่ง 0.50-1.50 เมตร ในช่วงวันที่ 13-16 ก.ย. อ.เมือง จ.หนองคาย และ อ.เมือง จ.บึงกาฬ ระดับน้ำมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ประมาณ 3.50-3.90 เมตร และคาดว่าระดับน้ำจะมีแนวโน้มสูงกว่าตลิ่ง 1.50-2.50 เมตรในช่วงวันที่ 13-16 ก.ย. จ.นครพนม จ.มุกดาหาร จ.อำนาจเจริญ และ จ.อุบลราชธานี ระดับน้ำมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ประมาณ 2.00-2.60 เมตร ยังคงต่ำกว่าตลิ่ง 0.50-1.30 เมตร ด้านเทศบาลเมืองหนองคาย ยกระดับการแจ้งเตือนภัยน้ำท่วมเป็นธงสีแดง (มากกว่า 12 เมตร) สภาวะน้ำอยู่ในเกณฑ์ที่มีความเสี่ยงอันตรายต่อการเกิดน้ำท่วมฉับพลัน ให้อาศัยอยู่ในสถานที่ปลอดภัยและปฏิบัติตามข้อสั่งการ โดยระดับน้ำยังคงมีระดับสูงขึ้นอย่างช้าๆ ล่าสุดเมื่อเวลา 00.00 น. วันนี้ (13 ก.ย.) ระดับน้ำที่ส่วนอุทกวิทยาหนองคาย กรมทรัพยากรน้ำ มีระดับอยู่ที่ 12.82 เมตร สูงกว่าระดับค่าเฉลี่ยของตลิ่งถึง 62 เซนติเมตร (ระบบติดตามสถานการณ์แม่น้ำโขง https://monitoring.tnmc-is.org) #Newskit #น้ำท่วม #แม่น้ำโขง - 14-16 กันยายน 2567
Newskit ขออนุญาตงดตีพิมพ์
พบกันอีกครั้ง 17 กันยายน 256714-16 กันยายน 2567 Newskit ขออนุญาตงดตีพิมพ์ พบกันอีกครั้ง 17 กันยายน 2567 - ปิดฉากบิ๊กซีราษฎร์บูรณะ ไม่ต่อที่ดินกลุ่มเซ็นทรัล
ก่อนหน้านี้ห้างบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จะปิดถาวร 2 สาขา ได้แก่ บิ๊กซี เอ็กซ์ตร้า สุขาภิบาล 3 (แยกบ้านม้า) และบิ๊กซี รังสิต 2 (ตลาดสี่มุมเมือง) ซึ่งเคยเป็นห้างคาร์ฟูร์ในอดีต ล่าสุด นายอัศวิน เตชะเจริญวิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บิ๊กซี ราษฎร์บูรณะ จะเปิดให้บริการ 31 ต.ค.เป็นวันสุดท้าย ซึ่งจะย้ายไปยังทำเลใหม่ที่ใกล้เคียง เป็นทำเลทองติดกับแม่น้ำเจ้าพระยา และเป็นที่ดิน Freehold (ที่ดินกรรมสิทธิ์) ในกลุ่มบีเจซี บิ๊กซี คาดว่าจะพร้อมเปิดให้บริการภายในปี 2568
นับเป็นการเปิดฉากยุติสัญญาเช่าที่ดินกับกลุ่มเซ็นทรัลอย่างชัดเจน พร้อมกับปิดตำนานห้างบิ๊กซี ราษฎร์บูรณะ ที่เปิดให้บริการมานานเกือบ 30 ปี นับตั้งแต่เปิดวันแรก 10 พ.ย. 2537 เดิมคือห้างเซ็นทรัล ซูเปอร์สโตร์ สาขาที่สองต่อจากสาขาวงศ์สว่าง แต่เมื่อกลุ่มเซ็นทรัลเปิดห้างบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ เป็นสาขาแรก เมื่อวันที่ 5 ม.ค. 2537 จึงต้องเปลี่ยนเป็นบิ๊กซี จากรายงานประจำปี 2556 ของบิ๊กซี พบว่าบริษัท เซ็นทรัลซูเปอร์สโตร์ จำกัด เช่าที่ดินกับบริษัท เซ็นทรัล ธนบุรี จำกัด บริษัทในเครือเซ็นทรัลกรุ๊ป สัญญา 30 ปี เริ่ม 1 พ.ค. 2538 ถึง 30 เม.ย. 2568
น่าสังเกตว่า ห้างบิ๊กซีบนที่ดินและสิทธิการเช่าของกลุ่มเซ็นทรัลจะอยู่หรือไป เช่น บิ๊กซี โคราช จ.นครราชสีมา เช่ากับบริษัท เตียง จิราธิวัฒน์ จำกัด สัญญา 30 ปี เริ่ม 1 ธ.ค. 2539 ถึง 30 พ.ย. 2569 บิ๊กซี ขอนแก่น เช่ากับ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา ขอนแก่น จำกัด สัญญา 30 ปี เริ่ม 17 ก.ค. 2539 (ถึง 16 ก.ค. 2569) และยังมีบิ๊กซี วงศ์สว่าง ในมาร์เก็ตเพลสวงศ์สว่าง บิ๊กซี หัวหมาก ในหัวหมากทาวน์เซ็นเตอร์ บิ๊กซี แฟชั่นไอส์แลนด์ ที่้เช่าช่วงจากสรรพสินค้าเซ็นทรัล บิ๊กซี พัทยาในเซ็นทรัลมารีน่า และบิ๊กซี ชลบุรี 3 ในเซ็นทรัล ชลบุรี (อดีตห้างคาร์ฟูร์) เป็นต้น
ในหนังสือชี้ชวนเสนอขายหลักทรัพย์ บริษัท บิ๊กซี รีเทล คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) พบว่าร้านค้าขนาดใหญ่ (Big Format) ตั้งอยู่บนที่ดินที่บริษัทฯ เป็นเจ้าของ มีจำนวน 66 แห่ง ส่วนร้านค้าขนาดใหญ่และร้านค้าปลีกสมัยใหม่ตั้งอยู่บนที่ดินที่บริษัทฯ เช่า มีจำนวน 123 แห่ง และจากการสืบค้นข้อมูลในแบบ 56-1 เมื่อปี 2558 พบว่าสาขาในกรุงเทพฯ และปริมณฑลที่บิ๊กซีเป็นเจ้าของที่ดินมีประมาณ 10 สาขา ได้แก่ แจ้งวัฒนะ ลาดพร้าว บางปะกอก สุขสวัสดิ์ ติวานนท์ บางใหญ่ ลำลูกกา นวนคร สมุทรปราการ บางพลี เป็นต้น
#Newskit #บิ๊กซีราษฎร์บูรณะ #กลุ่มเซ็นทรัล
ปิดฉากบิ๊กซีราษฎร์บูรณะ ไม่ต่อที่ดินกลุ่มเซ็นทรัล ก่อนหน้านี้ห้างบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จะปิดถาวร 2 สาขา ได้แก่ บิ๊กซี เอ็กซ์ตร้า สุขาภิบาล 3 (แยกบ้านม้า) และบิ๊กซี รังสิต 2 (ตลาดสี่มุมเมือง) ซึ่งเคยเป็นห้างคาร์ฟูร์ในอดีต ล่าสุด นายอัศวิน เตชะเจริญวิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บิ๊กซี ราษฎร์บูรณะ จะเปิดให้บริการ 31 ต.ค.เป็นวันสุดท้าย ซึ่งจะย้ายไปยังทำเลใหม่ที่ใกล้เคียง เป็นทำเลทองติดกับแม่น้ำเจ้าพระยา และเป็นที่ดิน Freehold (ที่ดินกรรมสิทธิ์) ในกลุ่มบีเจซี บิ๊กซี คาดว่าจะพร้อมเปิดให้บริการภายในปี 2568 นับเป็นการเปิดฉากยุติสัญญาเช่าที่ดินกับกลุ่มเซ็นทรัลอย่างชัดเจน พร้อมกับปิดตำนานห้างบิ๊กซี ราษฎร์บูรณะ ที่เปิดให้บริการมานานเกือบ 30 ปี นับตั้งแต่เปิดวันแรก 10 พ.ย. 2537 เดิมคือห้างเซ็นทรัล ซูเปอร์สโตร์ สาขาที่สองต่อจากสาขาวงศ์สว่าง แต่เมื่อกลุ่มเซ็นทรัลเปิดห้างบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ เป็นสาขาแรก เมื่อวันที่ 5 ม.ค. 2537 จึงต้องเปลี่ยนเป็นบิ๊กซี จากรายงานประจำปี 2556 ของบิ๊กซี พบว่าบริษัท เซ็นทรัลซูเปอร์สโตร์ จำกัด เช่าที่ดินกับบริษัท เซ็นทรัล ธนบุรี จำกัด บริษัทในเครือเซ็นทรัลกรุ๊ป สัญญา 30 ปี เริ่ม 1 พ.ค. 2538 ถึง 30 เม.ย. 2568 น่าสังเกตว่า ห้างบิ๊กซีบนที่ดินและสิทธิการเช่าของกลุ่มเซ็นทรัลจะอยู่หรือไป เช่น บิ๊กซี โคราช จ.นครราชสีมา เช่ากับบริษัท เตียง จิราธิวัฒน์ จำกัด สัญญา 30 ปี เริ่ม 1 ธ.ค. 2539 ถึง 30 พ.ย. 2569 บิ๊กซี ขอนแก่น เช่ากับ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา ขอนแก่น จำกัด สัญญา 30 ปี เริ่ม 17 ก.ค. 2539 (ถึง 16 ก.ค. 2569) และยังมีบิ๊กซี วงศ์สว่าง ในมาร์เก็ตเพลสวงศ์สว่าง บิ๊กซี หัวหมาก ในหัวหมากทาวน์เซ็นเตอร์ บิ๊กซี แฟชั่นไอส์แลนด์ ที่้เช่าช่วงจากสรรพสินค้าเซ็นทรัล บิ๊กซี พัทยาในเซ็นทรัลมารีน่า และบิ๊กซี ชลบุรี 3 ในเซ็นทรัล ชลบุรี (อดีตห้างคาร์ฟูร์) เป็นต้น ในหนังสือชี้ชวนเสนอขายหลักทรัพย์ บริษัท บิ๊กซี รีเทล คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) พบว่าร้านค้าขนาดใหญ่ (Big Format) ตั้งอยู่บนที่ดินที่บริษัทฯ เป็นเจ้าของ มีจำนวน 66 แห่ง ส่วนร้านค้าขนาดใหญ่และร้านค้าปลีกสมัยใหม่ตั้งอยู่บนที่ดินที่บริษัทฯ เช่า มีจำนวน 123 แห่ง และจากการสืบค้นข้อมูลในแบบ 56-1 เมื่อปี 2558 พบว่าสาขาในกรุงเทพฯ และปริมณฑลที่บิ๊กซีเป็นเจ้าของที่ดินมีประมาณ 10 สาขา ได้แก่ แจ้งวัฒนะ ลาดพร้าว บางปะกอก สุขสวัสดิ์ ติวานนท์ บางใหญ่ ลำลูกกา นวนคร สมุทรปราการ บางพลี เป็นต้น #Newskit #บิ๊กซีราษฎร์บูรณะ #กลุ่มเซ็นทรัล - หนุ่มทัณฑสถานสิงคโปร์ ที่หลงรักมวยไทย
เมื่อวันก่อน เฟซบุ๊ก Singapore Prison Service ขององค์กรทัณฑสถานสิงคโปร์ ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้กระทรวงมหาดไทยของสิงคโปร์ (Ministry of Home Affairs หรือ MHA) ได้เผยแพร่วีดีโอคลิปรายการที่ชื่อว่า Captain of lives, Outside of work สัมภาษณ์พันตำรวจตรี อาหมัด เนาฟัล (ASP Ahmad Naufal) เจ้าหน้าที่กองฟื้นฟูความร่วมมือชุมชนและการกลับคืนสู่สังคม ที่อีกด้านหนึ่งของชีวิตเป็นผู้ที่หลงรักมวยไทย
อาหมัดเล่าว่า ทำงานที่นี่มาเป็นเวลา 6 ปีแล้ว โดยได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับชุมชนพันธมิตร ช่วยเหลือด้านการวางแผนและพัฒนากลยุทธ์เพื่อเสริมสร้างการสนับสนุนด้านระบบความสัมพันธ์ สำหรับผู้ต้องขัง อดีตผู้กระทำความผิด และครอบครัวของพวกเขา แต่ละวันเกี่ยวข้องกับการสร้างการมีส่วนร่วมกับชุมชนพันธมิตร ทำอย่างไรที่จะทำให้อดีตผู้กระทำความผิด มีส่วนร่วมกับกิจกรรมเพื่อสังคม และเสริมสร้างอัตลักษณ์ทางสังคมของพวกเขา
แต่นอกเวลางาน อาหมัดใช้เวลาจำนวนมากไปกับการเข้ายิมเพื่อฝึกซ้อมมวยไทย
เขากล่าวว่า เมื่อ 7 ปีก่อนไปเที่ยวที่กรุงเทพฯ กับกลุ่มเพื่อนเมื่อปี 2560 สิ่งสำคัญที่ได้ทำในประเทศไทย คือการเยี่ยมชมเวทีมวยราชดำเนิน ทำให้ได้จุดประกายบางอย่างในตัวขึ้นมา เมื่อกลับมายังสิงคโปร์ก็เริ่มฝึกมวยไทย ผ่านมาแล้ว 7 ปี ก็ยังคงฝึกซ้อมมวยไทย 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์
"มวยไทยช่วยให้ผมคลายเครียด คลายความกดดันอย่างแท้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากวันทำงานอันยาวนาน ดังนั้นไม่มีอะไรดีไปกว่าการเตะและต่อยกระสอบทรายอีกแล้ว มันเป็นทางออกที่ดีจริงๆ สำหรับการคลายเครียด"
อาหมัดฝึกซ้อมมวยไทยกับยิมท้องถิ่นในศูนย์การค้าคิเนกซ์ (Kinex) สนิทกับผู้ฝึกสอนจากประเทศไทยที่ชื่อว่า "ครูตุ๊ก" เป็นพิเศษ ซึ่งได้เรียนรู้จากเขาทุกครั้งที่ทำการฝึกเข้าเป้า เขาจะลงมือลงแรงกับตนเป็นพิเศษ เมื่อเทียบกับผู้เข้ารับการฝึกคนอื่นๆ จำไม่ได้ว่าเคยมีช่วงเวลาไหนที่ไม่หมดแรง เมื่อต้องฝึกซ้อมร่วมกับเขา ดังนั้นพวกเราจึงเติบโตขึ้นอย่างใกล้ชิดตลอดหลายปีที่ผ่านมา และรู้สึกยินดีที่ได้พบกับเขาดังครูฝึกของตน
"ผมคิดว่า สิ่งสำคัญประการหนึ่งในการเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้ คือไม่เพียงแต่คุณจะสามารถรักษาความฟิตได้เท่านั้น แต่ยังทำให้จิตใจเฉียบแหลมขึ้น และมีสมาธิในการทำงานที่ดีขึ้นด้วย"
#Newskit #SingaporePrisonService #CaptainOfLivesหนุ่มทัณฑสถานสิงคโปร์ ที่หลงรักมวยไทย เมื่อวันก่อน เฟซบุ๊ก Singapore Prison Service ขององค์กรทัณฑสถานสิงคโปร์ ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้กระทรวงมหาดไทยของสิงคโปร์ (Ministry of Home Affairs หรือ MHA) ได้เผยแพร่วีดีโอคลิปรายการที่ชื่อว่า Captain of lives, Outside of work สัมภาษณ์พันตำรวจตรี อาหมัด เนาฟัล (ASP Ahmad Naufal) เจ้าหน้าที่กองฟื้นฟูความร่วมมือชุมชนและการกลับคืนสู่สังคม ที่อีกด้านหนึ่งของชีวิตเป็นผู้ที่หลงรักมวยไทย อาหมัดเล่าว่า ทำงานที่นี่มาเป็นเวลา 6 ปีแล้ว โดยได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับชุมชนพันธมิตร ช่วยเหลือด้านการวางแผนและพัฒนากลยุทธ์เพื่อเสริมสร้างการสนับสนุนด้านระบบความสัมพันธ์ สำหรับผู้ต้องขัง อดีตผู้กระทำความผิด และครอบครัวของพวกเขา แต่ละวันเกี่ยวข้องกับการสร้างการมีส่วนร่วมกับชุมชนพันธมิตร ทำอย่างไรที่จะทำให้อดีตผู้กระทำความผิด มีส่วนร่วมกับกิจกรรมเพื่อสังคม และเสริมสร้างอัตลักษณ์ทางสังคมของพวกเขา แต่นอกเวลางาน อาหมัดใช้เวลาจำนวนมากไปกับการเข้ายิมเพื่อฝึกซ้อมมวยไทย เขากล่าวว่า เมื่อ 7 ปีก่อนไปเที่ยวที่กรุงเทพฯ กับกลุ่มเพื่อนเมื่อปี 2560 สิ่งสำคัญที่ได้ทำในประเทศไทย คือการเยี่ยมชมเวทีมวยราชดำเนิน ทำให้ได้จุดประกายบางอย่างในตัวขึ้นมา เมื่อกลับมายังสิงคโปร์ก็เริ่มฝึกมวยไทย ผ่านมาแล้ว 7 ปี ก็ยังคงฝึกซ้อมมวยไทย 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ "มวยไทยช่วยให้ผมคลายเครียด คลายความกดดันอย่างแท้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากวันทำงานอันยาวนาน ดังนั้นไม่มีอะไรดีไปกว่าการเตะและต่อยกระสอบทรายอีกแล้ว มันเป็นทางออกที่ดีจริงๆ สำหรับการคลายเครียด" อาหมัดฝึกซ้อมมวยไทยกับยิมท้องถิ่นในศูนย์การค้าคิเนกซ์ (Kinex) สนิทกับผู้ฝึกสอนจากประเทศไทยที่ชื่อว่า "ครูตุ๊ก" เป็นพิเศษ ซึ่งได้เรียนรู้จากเขาทุกครั้งที่ทำการฝึกเข้าเป้า เขาจะลงมือลงแรงกับตนเป็นพิเศษ เมื่อเทียบกับผู้เข้ารับการฝึกคนอื่นๆ จำไม่ได้ว่าเคยมีช่วงเวลาไหนที่ไม่หมดแรง เมื่อต้องฝึกซ้อมร่วมกับเขา ดังนั้นพวกเราจึงเติบโตขึ้นอย่างใกล้ชิดตลอดหลายปีที่ผ่านมา และรู้สึกยินดีที่ได้พบกับเขาดังครูฝึกของตน "ผมคิดว่า สิ่งสำคัญประการหนึ่งในการเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้ คือไม่เพียงแต่คุณจะสามารถรักษาความฟิตได้เท่านั้น แต่ยังทำให้จิตใจเฉียบแหลมขึ้น และมีสมาธิในการทำงานที่ดีขึ้นด้วย" #Newskit #SingaporePrisonService #CaptainOfLives - มาแล้วลูกจ๋า รถเมล์บอนลัคที่หนูอยากได้
เมื่อวันที่ 9 ก.ย. 2567 องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) นำรถโดยสารปรับอากาศใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (NGV) ยี่ห้อบอนลัค (BLK) มาให้บริการล็อตแรก 100 คัน หลังจากกลุ่มร่วมทำงาน วินสตาร์ และ ดี.ที.ซี.ชนะการประกวดราคาจ้างเหมาซ่อมรถรุ่นดังกล่าว ซึ่งมีอายุการใช้งาน 7 ปี เสนอราคาเป็นเงิน 963.35 ล้านบาท ระยะเวลาสัญญา 3 ปี สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย. 2570 และได้ดำเนินการซ่อมแซมรถให้พร้อมใช้งาน หลังจากหยุดใช้รถ (ตัดจอด) ไปเมื่อวันที่ 8 มี.ค. 2567 ที่ผ่านมา
ตามแผนงานลำดับถัดไป จะต้องซ่อมแซมรถพร้อมให้บริการรวม 380 คันภายใน 90 วัน และกลับมาให้บริการได้ครบจำนวน 486 คันภายใน 120 วัน พร้อมดูแลซ่อมบำรุงเป็นเวลา 3 ปี
สำหรับการให้บริการรถโดยสารปรับอากาศ NGV ล็อตแรก 100 คัน แบ่งเป็นเขตการเดินรถละ 25 คัน ได้แก่ เขตการเดินรถที่ 1 สาย 510 (1-19) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (รังสิต)-อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ 13 คัน สาย A2 ท่าอากาศยานดอนเมือง-อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ (ทางด่วน) 5 คัน สาย A1 ท่าอากาศยานดอนเมือง-หมอชิต 2 (ทางด่วน) สาย 522 (1-22E) รังสิต-อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ (ทางด่วน) 2 คัน และสาย A3 ท่าอากาศยานดอนเมือง-สวนลุมพินี 1 คัน
เขตการเดินรถที่ 2 สาย 168 (1-50) เคหะร่มเกล้า-อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ 15 คัน สาย 60 (1-38) สวนสยาม-สถานีรถไฟฟ้าสนามไชย 8 คัน และสาย 26 (1-36) มีนบุรี-อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ 2 คัน เขตการเดินรถที่ 3 สาย 142 (3-17E) ปากน้ำ-แสมดำ (ทางด่วน) 9 คัน สาย 511 (3-22E) ปากน้ำ-สายใต้ใหม่ ตลิ่งชัน (ทางด่วน) 8 คัน สาย 23E (3-4E) ปากน้ำ-เทเวศร์ (ทางด่วน) 3 คัน สาย 102 (3-12E) แพรกษา-เซ็นทรัลพระราม 3 (ทางด่วน) 3 คัน และสาย 145 (3-18) แพรกษา-หมอชิต 2 2 คัน
เขตการเดินรถที่ 5 สาย 105 (4-18) สมุทรสาคร-สถานีรถไฟฟ้ากรุงธนบุรี 5 คัน สาย 138 (4-22E) พระประแดง (อู่ราชประชา)-หมอชิต 2 5 คัน สาย 21E (4-7E) วัดคู่สร้าง-จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 4 คัน สาย 76 (4-14) แสมดำ-ประตูน้ำ 3 คัน สาย 141 (4-24E) แสมดำ-จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 3 คัน สาย 20 (4-4) ป้อมพระจุลจอมเกล้า-ท่าเรือท่าดินแดง 2 คัน สาย 37 (4-9) ท่าน้ำพระประแดง-จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2 คัน และสาย 21 (4-6) วัดคู่สร้าง-มหานาค 1 คัน
ค่าโดยสารคิดตามระยะทาง เริ่มต้น 15 บาท สูงสุด 25 บาท (รถขึ้นทางด่วนเพิ่ม 2 บาท) รับชำระทั้งเงินสด บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ บัตรเครดิต บัตรเดบิต สแกนคิวอาร์โค้ด ตรวจสอบพิกัดรถเมล์ได้ที่แอปพลิเคชัน VIABUS สังเกตที่สัญลักษณ์วีลแชร์ หมายถึงรถโดยสารแบบชานต่ำรองรับผู้พิการ
#Newskit #ขสมก #บอนลัคมาแล้วลูกจ๋า รถเมล์บอนลัคที่หนูอยากได้ เมื่อวันที่ 9 ก.ย. 2567 องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) นำรถโดยสารปรับอากาศใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (NGV) ยี่ห้อบอนลัค (BLK) มาให้บริการล็อตแรก 100 คัน หลังจากกลุ่มร่วมทำงาน วินสตาร์ และ ดี.ที.ซี.ชนะการประกวดราคาจ้างเหมาซ่อมรถรุ่นดังกล่าว ซึ่งมีอายุการใช้งาน 7 ปี เสนอราคาเป็นเงิน 963.35 ล้านบาท ระยะเวลาสัญญา 3 ปี สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย. 2570 และได้ดำเนินการซ่อมแซมรถให้พร้อมใช้งาน หลังจากหยุดใช้รถ (ตัดจอด) ไปเมื่อวันที่ 8 มี.ค. 2567 ที่ผ่านมา ตามแผนงานลำดับถัดไป จะต้องซ่อมแซมรถพร้อมให้บริการรวม 380 คันภายใน 90 วัน และกลับมาให้บริการได้ครบจำนวน 486 คันภายใน 120 วัน พร้อมดูแลซ่อมบำรุงเป็นเวลา 3 ปี สำหรับการให้บริการรถโดยสารปรับอากาศ NGV ล็อตแรก 100 คัน แบ่งเป็นเขตการเดินรถละ 25 คัน ได้แก่ เขตการเดินรถที่ 1 สาย 510 (1-19) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (รังสิต)-อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ 13 คัน สาย A2 ท่าอากาศยานดอนเมือง-อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ (ทางด่วน) 5 คัน สาย A1 ท่าอากาศยานดอนเมือง-หมอชิต 2 (ทางด่วน) สาย 522 (1-22E) รังสิต-อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ (ทางด่วน) 2 คัน และสาย A3 ท่าอากาศยานดอนเมือง-สวนลุมพินี 1 คัน เขตการเดินรถที่ 2 สาย 168 (1-50) เคหะร่มเกล้า-อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ 15 คัน สาย 60 (1-38) สวนสยาม-สถานีรถไฟฟ้าสนามไชย 8 คัน และสาย 26 (1-36) มีนบุรี-อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ 2 คัน เขตการเดินรถที่ 3 สาย 142 (3-17E) ปากน้ำ-แสมดำ (ทางด่วน) 9 คัน สาย 511 (3-22E) ปากน้ำ-สายใต้ใหม่ ตลิ่งชัน (ทางด่วน) 8 คัน สาย 23E (3-4E) ปากน้ำ-เทเวศร์ (ทางด่วน) 3 คัน สาย 102 (3-12E) แพรกษา-เซ็นทรัลพระราม 3 (ทางด่วน) 3 คัน และสาย 145 (3-18) แพรกษา-หมอชิต 2 2 คัน เขตการเดินรถที่ 5 สาย 105 (4-18) สมุทรสาคร-สถานีรถไฟฟ้ากรุงธนบุรี 5 คัน สาย 138 (4-22E) พระประแดง (อู่ราชประชา)-หมอชิต 2 5 คัน สาย 21E (4-7E) วัดคู่สร้าง-จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 4 คัน สาย 76 (4-14) แสมดำ-ประตูน้ำ 3 คัน สาย 141 (4-24E) แสมดำ-จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 3 คัน สาย 20 (4-4) ป้อมพระจุลจอมเกล้า-ท่าเรือท่าดินแดง 2 คัน สาย 37 (4-9) ท่าน้ำพระประแดง-จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2 คัน และสาย 21 (4-6) วัดคู่สร้าง-มหานาค 1 คัน ค่าโดยสารคิดตามระยะทาง เริ่มต้น 15 บาท สูงสุด 25 บาท (รถขึ้นทางด่วนเพิ่ม 2 บาท) รับชำระทั้งเงินสด บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ บัตรเครดิต บัตรเดบิต สแกนคิวอาร์โค้ด ตรวจสอบพิกัดรถเมล์ได้ที่แอปพลิเคชัน VIABUS สังเกตที่สัญลักษณ์วีลแชร์ หมายถึงรถโดยสารแบบชานต่ำรองรับผู้พิการ #Newskit #ขสมก #บอนลัค - นับ 1 ถึง 100 ขอบคุณที่ติดตาม
วันที่ 9 เดือน 9 จำนวนผู้ติดตาม Newskit เพจที่นำเสนอเรื่องราวทั้งไทยและอาเซียน ในคอนเซปต์ "ข่าวออนไลน์ อารมณ์หนังสือพิมพ์" มีผู้ติดตามในแพลตฟอร์ม Thaitimes โซเชียลมีเดียของคนไทย 99 คน หมายความว่าก้าวต่อไปผู้ติดตามจะเริ่มเข้าสู่หลักร้อย แม้จะเป็นตัวเลขที่ดูเล็กน้อย แต่ก็ถือเป็นการเติบโตตามศักยภาพ ของแพลตฟอร์มน้องใหม่ ที่ตั้งใจเกิดขึ้นเพื่อนำเสนอความจริงแบบไม่ถูกปิดกั้น ไม่ถูกลดการมองเห็น เมื่อเทียบกับโซเชียลมีเดียฝั่งตะวันตก
จากจุดเริ่มต้นในการทำเพจ เพียงเพื่อถ่ายทอดสิ่งที่พบเห็นและเป็นไป ทดแทนงานคอลัมนิสต์ออนไลน์ ที่ถูกถอดออกไปเมื่อเดือนเมษายน 2567 ที่ผ่านมา เราตั้งใจที่จะคิด เขียน นำเสนอเรื่องราวที่แตกต่างไปจากสื่อกระแสหลักทั่วไป ทั้งเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจ สังคม การเมืองเพียงเล็กน้อยในประเทศไทย เรื่องราวแปลกใหม่และใกล้ตัวในภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิด และมีไลฟ์สไตล์ใกล้เคียงกับประเทศไทย ภายใต้ศักยภาพการทำงานแบบ One Man Journalist ที่มีอยู่
เราทำเฟซบุ๊กเพจโดยเริ่มต้นจากศูนย์ เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา โพสต์เรื่องราวโดยไม่มีผู้ติดตามแม้แต่คนเดียว กระทั่งทีมงาน Thaitimes แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียน้องใหม่ ได้ชักชวนให้เข้ามาผลิตคอนเทนต์ และร่วมทดสอบระบบไปในตัวด้วย เมื่อค้นพบตัวตนว่า จะทำเพจให้ออกมามีกลิ่นอายหนังสือพิมพ์ มีความลุ่มลึกของเนื้อหา ที่ไม่ได้มีเพียงแค่ใคร ทำอะไร ที่ไหน แต่จะแสวงหาข้อมูลไปพร้อมกันด้วย เพื่อให้เห็นภาพของสิ่งที่เกิดขึ้นได้กว้างและลงลึกมากขึ้น
ด้วยข้อจำกัดของบางแพลตฟอร์ม อย่างอินสตาแกรม (IG) ที่เราตั้งใจขยายฐานผู้อ่านเพิ่มเติม เผยแพร่ข้อความรวมกันได้ไม่เกิน 2,200 ตัวอักษร เนื้อหาจากเพจ Newskit นับจากนี้จะสั้น กระชับ สรุปความให้จบภายในโพสต์เดียว เหมือนหนังสือพิมพ์สมัยก่อนที่มีการจำกัดข้อความเพื่อให้พอดีกับกรอบที่วางไว้ และจะไม่หยุดพัฒนาเนื้อหาในรูปแบบอื่น แม้จะทำเพียงคนเดียวก็ตาม
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่ติดตามเนื้อหาจากเราตลอด 2 เดือนที่ผ่านมา เราอาจไม่ใช่สื่อมวลชนที่มีชื่อเสียง และไม่อาจเปรียบเทียบกับคนข่าวมืออาชีพ แต่สิ่งที่ตั้งใจทำ คือ ต้องการสื่อสารความเป็นไปให้ผู้อ่านเข้าใจ ด้วยความหวังว่า สิ่งที่นำเสนออาจนำไปสู่ความรู้ ความเข้าใจของผู้อ่านที่เพิ่มขึ้น หรืออย่างมากที่สุด อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงแก่บ้านเมืองและสังคมในอนาคต
#Newskit #Thaitimes #ขอบคุณผู้อ่านนับ 1 ถึง 100 ขอบคุณที่ติดตาม วันที่ 9 เดือน 9 จำนวนผู้ติดตาม Newskit เพจที่นำเสนอเรื่องราวทั้งไทยและอาเซียน ในคอนเซปต์ "ข่าวออนไลน์ อารมณ์หนังสือพิมพ์" มีผู้ติดตามในแพลตฟอร์ม Thaitimes โซเชียลมีเดียของคนไทย 99 คน หมายความว่าก้าวต่อไปผู้ติดตามจะเริ่มเข้าสู่หลักร้อย แม้จะเป็นตัวเลขที่ดูเล็กน้อย แต่ก็ถือเป็นการเติบโตตามศักยภาพ ของแพลตฟอร์มน้องใหม่ ที่ตั้งใจเกิดขึ้นเพื่อนำเสนอความจริงแบบไม่ถูกปิดกั้น ไม่ถูกลดการมองเห็น เมื่อเทียบกับโซเชียลมีเดียฝั่งตะวันตก จากจุดเริ่มต้นในการทำเพจ เพียงเพื่อถ่ายทอดสิ่งที่พบเห็นและเป็นไป ทดแทนงานคอลัมนิสต์ออนไลน์ ที่ถูกถอดออกไปเมื่อเดือนเมษายน 2567 ที่ผ่านมา เราตั้งใจที่จะคิด เขียน นำเสนอเรื่องราวที่แตกต่างไปจากสื่อกระแสหลักทั่วไป ทั้งเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจ สังคม การเมืองเพียงเล็กน้อยในประเทศไทย เรื่องราวแปลกใหม่และใกล้ตัวในภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิด และมีไลฟ์สไตล์ใกล้เคียงกับประเทศไทย ภายใต้ศักยภาพการทำงานแบบ One Man Journalist ที่มีอยู่ เราทำเฟซบุ๊กเพจโดยเริ่มต้นจากศูนย์ เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา โพสต์เรื่องราวโดยไม่มีผู้ติดตามแม้แต่คนเดียว กระทั่งทีมงาน Thaitimes แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียน้องใหม่ ได้ชักชวนให้เข้ามาผลิตคอนเทนต์ และร่วมทดสอบระบบไปในตัวด้วย เมื่อค้นพบตัวตนว่า จะทำเพจให้ออกมามีกลิ่นอายหนังสือพิมพ์ มีความลุ่มลึกของเนื้อหา ที่ไม่ได้มีเพียงแค่ใคร ทำอะไร ที่ไหน แต่จะแสวงหาข้อมูลไปพร้อมกันด้วย เพื่อให้เห็นภาพของสิ่งที่เกิดขึ้นได้กว้างและลงลึกมากขึ้น ด้วยข้อจำกัดของบางแพลตฟอร์ม อย่างอินสตาแกรม (IG) ที่เราตั้งใจขยายฐานผู้อ่านเพิ่มเติม เผยแพร่ข้อความรวมกันได้ไม่เกิน 2,200 ตัวอักษร เนื้อหาจากเพจ Newskit นับจากนี้จะสั้น กระชับ สรุปความให้จบภายในโพสต์เดียว เหมือนหนังสือพิมพ์สมัยก่อนที่มีการจำกัดข้อความเพื่อให้พอดีกับกรอบที่วางไว้ และจะไม่หยุดพัฒนาเนื้อหาในรูปแบบอื่น แม้จะทำเพียงคนเดียวก็ตาม ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่ติดตามเนื้อหาจากเราตลอด 2 เดือนที่ผ่านมา เราอาจไม่ใช่สื่อมวลชนที่มีชื่อเสียง และไม่อาจเปรียบเทียบกับคนข่าวมืออาชีพ แต่สิ่งที่ตั้งใจทำ คือ ต้องการสื่อสารความเป็นไปให้ผู้อ่านเข้าใจ ด้วยความหวังว่า สิ่งที่นำเสนออาจนำไปสู่ความรู้ ความเข้าใจของผู้อ่านที่เพิ่มขึ้น หรืออย่างมากที่สุด อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงแก่บ้านเมืองและสังคมในอนาคต #Newskit #Thaitimes #ขอบคุณผู้อ่าน - อำลาบิ๊กซี สุขาภิบาล 3 คาร์ฟูร์สาขาแรกในไทย
เดือนกันยายน 2567 ห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จะปิดสาขาถาวร 2 สาขา ได้แก่ บิ๊กซี เอ็กซ์ตร้า สุขาภิบาล 3 (แยกบ้านม้า) เปิดให้บริการวันสุดท้าย 15 ก.ย. 2567 และบิ๊กซี รังสิต 2 (ตลาดสี่มุมเมือง) เปิดวันสุดท้าย 30 ก.ย. 2567 ทั้งสองสาขาอดีตเคยเป็นห้างคาร์ฟูร์ 7 สาขา ในยุคที่กลุ่มเซ็นทรัลร่วมทุนกับคาร์ฟูร์ ฝรั่งเศส ก่อนที่กลุ่มเซ็นทรัลจะขายหุ้นออกไปในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 เพราะไม่สามารถเพิ่มทุนจดทะเบียนตามที่บริษัทแม่ต้องการเพื่อขยายสาขาได้
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 7 มี.ค. 2539 ห้างคาร์ฟูร์ เปิดสาขาแรกที่ถนนสุขาภิบาล 3 ก่อนขยายสาขาในช่วงปี 2539-2541 ได้แก่ ศรีนครินทร์ สุวินทวงศ์ บางใหญ่ รังสิต เชียงใหม่ (หนองป่าครั่ง) และเพชรเกษม (หนองแขม) เมื่อคาร์ฟูร์ ฝรั่งเศส เป็นเจ้าของเต็มตัว ในช่วงปี 2542-2543 จึงได้ขยายสาขารามอินทรา ตามมาด้วยแจ้งวัฒนะ รัตนาธิเบศร์ ที่ฮือฮามากที่สุดคือ สาขาพระราม 4 เปิดประจันหน้ากับห้างเทสโก้ โลตัส และต่อมายังเช่าที่ดินใจกลางเมืองระยะยาว 30 ปี เปิดห้างคาร์ฟูร์ รัชดาภิเษก
ผ่านมา 13 ปี เปิดสาขาไปแล้ว 42 สาขา มาถึงปี 2553 คาร์ฟูร์ขายกิจการให้กลุ่มกาสิโนกรุ๊ป เจ้าของห้างบิ๊กซี ด้วยมูลค่า 35,500 ล้านบาท ทำให้ห้างคาร์ฟูร์กลายสภาพเป็นบิ๊กซีในรูปแบบต่างๆ เช่น บิ๊กซี เอ็กซ์ตร้า, บิ๊กซี จัมโบ้ กระทั่งกลุ่มกาสิโน กรุ๊ป ขายกิจการให้กับกลุ่มบีเจซี ของตระกูลสิริวัฒนภักดี เจ้าของธุรกิจเครื่องดื่มและอสังหาริมทรัพย์ เมื่อปี 2559 ประกอบด้วยไฮเปอร์มาร์เก็ต 125 สาขา ซูเปอร์มาร์เก็ต 55 สาขา ร้านสะดวกซื้อ 391 สาขา
ปัจจุบัน บิ๊กซีกำลังจะกลับมาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ภายใต้ชื่อ บริษัท บิ๊กซี รีเทล คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) หรือ BRC จากข้อมูลเมื่อปี 2565 บิ๊กซี รีเทล มีร้านค้าขนาดใหญ่ (Big Format) บนที่ดินของบริษัทฯ 66 แห่ง เช่าที่ดิน 123 แห่ง และตลาด Open-Air ที่บริษัทฯ เป็นเจ้าของที่ดิน 2 แห่ง และเช่าที่ดิน 5 แห่ง
สำหรับบิ๊กซี สมัยที่กลุ่มเซ็นทรัลเป็นเจ้าของ บางสาขาเช่าที่ดินระยะยาวกับกลุ่มเซ็นทรัล 30 ปี กำลังจะหมดสัญญาในปี 2568-2569 ได้แก่ ราษฎร์บูรณะ โคราช และขอนแก่น ส่วนบางสาขายังคงเช่าพื้นที่ต่อเนื่อง ได้แก่ วงศ์สว่าง (เซ็นทรัล ซูเปอร์สโตร์ เดิม) หัวหมาก แฟชั่นไอส์แลนด์ ชลบุรี (เซ็นทรัล ชลบุรี) และพัทยา (เซ็นทรัลมารีน่า) จึงไม่น่าแปลกใจหากนับจากนี้จะได้พบเห็นการปิดสาขาบิ๊กซี เพราะหลังบิ๊กซีซื้อกิจการคาร์ฟูร์ในยุคนั้น มีทำเลของทั้งสองห้างซ้ำซ้อนกันหลายสาขา
#Newskit #บิ๊กซีสุขาภิบาล3 #คาร์ฟูร์อำลาบิ๊กซี สุขาภิบาล 3 คาร์ฟูร์สาขาแรกในไทย เดือนกันยายน 2567 ห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จะปิดสาขาถาวร 2 สาขา ได้แก่ บิ๊กซี เอ็กซ์ตร้า สุขาภิบาล 3 (แยกบ้านม้า) เปิดให้บริการวันสุดท้าย 15 ก.ย. 2567 และบิ๊กซี รังสิต 2 (ตลาดสี่มุมเมือง) เปิดวันสุดท้าย 30 ก.ย. 2567 ทั้งสองสาขาอดีตเคยเป็นห้างคาร์ฟูร์ 7 สาขา ในยุคที่กลุ่มเซ็นทรัลร่วมทุนกับคาร์ฟูร์ ฝรั่งเศส ก่อนที่กลุ่มเซ็นทรัลจะขายหุ้นออกไปในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 เพราะไม่สามารถเพิ่มทุนจดทะเบียนตามที่บริษัทแม่ต้องการเพื่อขยายสาขาได้ ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 7 มี.ค. 2539 ห้างคาร์ฟูร์ เปิดสาขาแรกที่ถนนสุขาภิบาล 3 ก่อนขยายสาขาในช่วงปี 2539-2541 ได้แก่ ศรีนครินทร์ สุวินทวงศ์ บางใหญ่ รังสิต เชียงใหม่ (หนองป่าครั่ง) และเพชรเกษม (หนองแขม) เมื่อคาร์ฟูร์ ฝรั่งเศส เป็นเจ้าของเต็มตัว ในช่วงปี 2542-2543 จึงได้ขยายสาขารามอินทรา ตามมาด้วยแจ้งวัฒนะ รัตนาธิเบศร์ ที่ฮือฮามากที่สุดคือ สาขาพระราม 4 เปิดประจันหน้ากับห้างเทสโก้ โลตัส และต่อมายังเช่าที่ดินใจกลางเมืองระยะยาว 30 ปี เปิดห้างคาร์ฟูร์ รัชดาภิเษก ผ่านมา 13 ปี เปิดสาขาไปแล้ว 42 สาขา มาถึงปี 2553 คาร์ฟูร์ขายกิจการให้กลุ่มกาสิโนกรุ๊ป เจ้าของห้างบิ๊กซี ด้วยมูลค่า 35,500 ล้านบาท ทำให้ห้างคาร์ฟูร์กลายสภาพเป็นบิ๊กซีในรูปแบบต่างๆ เช่น บิ๊กซี เอ็กซ์ตร้า, บิ๊กซี จัมโบ้ กระทั่งกลุ่มกาสิโน กรุ๊ป ขายกิจการให้กับกลุ่มบีเจซี ของตระกูลสิริวัฒนภักดี เจ้าของธุรกิจเครื่องดื่มและอสังหาริมทรัพย์ เมื่อปี 2559 ประกอบด้วยไฮเปอร์มาร์เก็ต 125 สาขา ซูเปอร์มาร์เก็ต 55 สาขา ร้านสะดวกซื้อ 391 สาขา ปัจจุบัน บิ๊กซีกำลังจะกลับมาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ภายใต้ชื่อ บริษัท บิ๊กซี รีเทล คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) หรือ BRC จากข้อมูลเมื่อปี 2565 บิ๊กซี รีเทล มีร้านค้าขนาดใหญ่ (Big Format) บนที่ดินของบริษัทฯ 66 แห่ง เช่าที่ดิน 123 แห่ง และตลาด Open-Air ที่บริษัทฯ เป็นเจ้าของที่ดิน 2 แห่ง และเช่าที่ดิน 5 แห่ง สำหรับบิ๊กซี สมัยที่กลุ่มเซ็นทรัลเป็นเจ้าของ บางสาขาเช่าที่ดินระยะยาวกับกลุ่มเซ็นทรัล 30 ปี กำลังจะหมดสัญญาในปี 2568-2569 ได้แก่ ราษฎร์บูรณะ โคราช และขอนแก่น ส่วนบางสาขายังคงเช่าพื้นที่ต่อเนื่อง ได้แก่ วงศ์สว่าง (เซ็นทรัล ซูเปอร์สโตร์ เดิม) หัวหมาก แฟชั่นไอส์แลนด์ ชลบุรี (เซ็นทรัล ชลบุรี) และพัทยา (เซ็นทรัลมารีน่า) จึงไม่น่าแปลกใจหากนับจากนี้จะได้พบเห็นการปิดสาขาบิ๊กซี เพราะหลังบิ๊กซีซื้อกิจการคาร์ฟูร์ในยุคนั้น มีทำเลของทั้งสองห้างซ้ำซ้อนกันหลายสาขา #Newskit #บิ๊กซีสุขาภิบาล3 #คาร์ฟูร์ - อัปเกรดเทศบาลนครบุรีรัมย์ ดึงอาณาจักรปราสาทสายฟ้า
การประกาศเปลี่ยนแปลงฐานะเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ เป็นเทศบาลนครบุรีรัมย์ ของกระทรวงมหาดไทย ที่ลงนามโดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย ตีพิมพ์ลงในราชกิจจานุเบกษา ฉบับวันที่ 6 ก.ย. 2567 และมีผลตั้งแต่วันที่ 31 ต.ค. 2567 ถือว่าเป็นไปตามแผนการยกอาณาจักร "ปราสาทสายฟ้า" ในพื้นที่ตำบลอิสาณ ได้แก่ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนลเซอร์กิต สนามช้างอารีนา โรงแรมบริคบอกซ์โฮเทลบุรีรัมย์ โรงแรมอมารี บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด และโรงโม่หินศิลาชัย ไปรวมกับตัวเมืองบุรีรัมย์
เดิมเทศบาลเมืองบุรีรัมย์จัดตั้งขึ้นเมื่อปี 2479 มีพื้นที่เพียง 6 ตารางกิโลเมตร มีประชากร 2.2 หมื่นคนจาก 18 ชุมชน แต่ได้นำเทศบาลตำบลอิสาณ พื้นที่ 36 ตารางกิโลเมตร ประชากร 2.2 หมื่นคนจาก 18 หมู่บ้าน และอีก 4 หมู่บ้านในตำบลเสม็ด ประชากรราว 5.5 พันคน มารวมกับเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ เพื่อให้มีประชากรรวมกันเกิน 50,000 คน ตามหลักเกณฑ์พระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496
ตำบลอิสาณ ที่โอบล้อมรอบเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ หรือตำบลในเมือง นอกจากเป็นที่ตั้งของบริษัทในเครือบุรีรัมย์ ยูไนเต็ดแล้ว ยังมีห้างบิ๊กซี แม็คโคร โฮมโปร และทวีกิจ ซุปเปอร์เซ็นเตอร์ ส่วน 4 หมู่บ้านของตำบลเสม็ด มีวนอุทยานเขากระโดง ศูนย์ราชการจังหวัดบุรีรัมย์ องค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์ สนามกีฬาบุรีรัมย์ซิตี้สเตเดียม โรงเรียนภัทรบพิตร แขวงทางหลวงบุรีรัมย์ มณฑลทหารบกที่ 26 ค่ายสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ และแคมป์บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เขากระโดง
ในการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีเมืองบุรีรัมย์ เมื่อวันที่ 18 มี.ค. 2567 ที่ผ่านมา นายวิกรม สมจิตต์อารี อดีตนายกเทศมนตรีปี 2547-2551 และอดีตประธานหอการค้าจังหวัดบุรีรัมย์ ชนะการเลือกตั้ง ซึ่งมีความใกล้ชิดกับนายเนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด แม้นายเนวินเลิกเล่นการเมืองมาตั้งแต่ปี 2555 หันมาเอาดีกับธุรกิจกีฬา แต่ก็มีบริวารโลดแล่นบนสนามการเมืองในนามพรรคภูมิใจไทย ที่มีนายอนุทินเป็นหัวหน้าพรรค
การแถลงนโยบายของนายวิกรม มีทั้งหมด 5 ด้าน ได้แก่ 1. ปรับปรุงประสิทธิภาพในการบริหาร และการบริการประชาชน 2. ปรับปรุงตลาดสด และตลาดไนท์บาซาร์ 3. เพิ่มต้นไม้ และพื้นที่สีเขียวให้กับเมือง 4. จัดตั้งและพัฒนาเขตเศรษฐกิจในเมือง และ 5. เตรียมพร้อมกับการยกฐานะเป็นเทศบาลนครบุรีรัมย์ นับจากนี้เมืองบุรีรัมย์อาจได้เห็นการเปลี่ยนแปลง ในฐานะองค์กรปกครองท้องถิ่นขนาดใหญ่ขึ้น มีรายได้จากการจัดเก็บภาษีเพิ่มขึ้น และได้รับการจัดสรรงบประมาณจากรัฐบาลเพิ่มขึ้น
#Newskit #บุรีรัมย์ #เทศบาลนครบุรีรัมย์อัปเกรดเทศบาลนครบุรีรัมย์ ดึงอาณาจักรปราสาทสายฟ้า การประกาศเปลี่ยนแปลงฐานะเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ เป็นเทศบาลนครบุรีรัมย์ ของกระทรวงมหาดไทย ที่ลงนามโดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย ตีพิมพ์ลงในราชกิจจานุเบกษา ฉบับวันที่ 6 ก.ย. 2567 และมีผลตั้งแต่วันที่ 31 ต.ค. 2567 ถือว่าเป็นไปตามแผนการยกอาณาจักร "ปราสาทสายฟ้า" ในพื้นที่ตำบลอิสาณ ได้แก่ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนลเซอร์กิต สนามช้างอารีนา โรงแรมบริคบอกซ์โฮเทลบุรีรัมย์ โรงแรมอมารี บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด และโรงโม่หินศิลาชัย ไปรวมกับตัวเมืองบุรีรัมย์ เดิมเทศบาลเมืองบุรีรัมย์จัดตั้งขึ้นเมื่อปี 2479 มีพื้นที่เพียง 6 ตารางกิโลเมตร มีประชากร 2.2 หมื่นคนจาก 18 ชุมชน แต่ได้นำเทศบาลตำบลอิสาณ พื้นที่ 36 ตารางกิโลเมตร ประชากร 2.2 หมื่นคนจาก 18 หมู่บ้าน และอีก 4 หมู่บ้านในตำบลเสม็ด ประชากรราว 5.5 พันคน มารวมกับเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ เพื่อให้มีประชากรรวมกันเกิน 50,000 คน ตามหลักเกณฑ์พระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 ตำบลอิสาณ ที่โอบล้อมรอบเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ หรือตำบลในเมือง นอกจากเป็นที่ตั้งของบริษัทในเครือบุรีรัมย์ ยูไนเต็ดแล้ว ยังมีห้างบิ๊กซี แม็คโคร โฮมโปร และทวีกิจ ซุปเปอร์เซ็นเตอร์ ส่วน 4 หมู่บ้านของตำบลเสม็ด มีวนอุทยานเขากระโดง ศูนย์ราชการจังหวัดบุรีรัมย์ องค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์ สนามกีฬาบุรีรัมย์ซิตี้สเตเดียม โรงเรียนภัทรบพิตร แขวงทางหลวงบุรีรัมย์ มณฑลทหารบกที่ 26 ค่ายสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ และแคมป์บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เขากระโดง ในการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีเมืองบุรีรัมย์ เมื่อวันที่ 18 มี.ค. 2567 ที่ผ่านมา นายวิกรม สมจิตต์อารี อดีตนายกเทศมนตรีปี 2547-2551 และอดีตประธานหอการค้าจังหวัดบุรีรัมย์ ชนะการเลือกตั้ง ซึ่งมีความใกล้ชิดกับนายเนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด แม้นายเนวินเลิกเล่นการเมืองมาตั้งแต่ปี 2555 หันมาเอาดีกับธุรกิจกีฬา แต่ก็มีบริวารโลดแล่นบนสนามการเมืองในนามพรรคภูมิใจไทย ที่มีนายอนุทินเป็นหัวหน้าพรรค การแถลงนโยบายของนายวิกรม มีทั้งหมด 5 ด้าน ได้แก่ 1. ปรับปรุงประสิทธิภาพในการบริหาร และการบริการประชาชน 2. ปรับปรุงตลาดสด และตลาดไนท์บาซาร์ 3. เพิ่มต้นไม้ และพื้นที่สีเขียวให้กับเมือง 4. จัดตั้งและพัฒนาเขตเศรษฐกิจในเมือง และ 5. เตรียมพร้อมกับการยกฐานะเป็นเทศบาลนครบุรีรัมย์ นับจากนี้เมืองบุรีรัมย์อาจได้เห็นการเปลี่ยนแปลง ในฐานะองค์กรปกครองท้องถิ่นขนาดใหญ่ขึ้น มีรายได้จากการจัดเก็บภาษีเพิ่มขึ้น และได้รับการจัดสรรงบประมาณจากรัฐบาลเพิ่มขึ้น #Newskit #บุรีรัมย์ #เทศบาลนครบุรีรัมย์ - การไฟฟ้าฯ จะตัดไฟ อำลาตั้งฮั่วเส็ง ธนบุรี
จากกระแสไวรัลบนโซเชียลฯ ถึงความเงียบเหงาของศูนย์การค้าฝั่งธนบุรี ท่ามกลางคำถามที่ว่าอนาคตจะไปทางไหน ในที่้สุดห้างสรรพสินค้าตั้งฮั่วเส็ง ธนบุรี ถนนสิรินธร ย่านบางพลัด แจ้งกับร้านค้าเป็นการภายในเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (6 ก.ย.) ว่าจำเป็นต้องปิดทำการห้างฯ อาคาร 12 ชั้น ซึ่งมีผลกระทบในพื้นที่ขายทั้งหมด เพราะได้รับหนังสือแจ้งจากการไฟฟ้านครหลวง ขอยุติการจ่ายกระแสไฟฟ้าในวันอังคารที่ 10 ก.ย. 2567 เวลา 08.00 น. เป็นต้นไป
"ทางบริษัทฯ อยู่ในระหว่างดำเนินการแก้ไขและเจรจากับผู้ร่วมทุนใหม่ยังไม่แล้วเสร็จ ซึ่งหากดำเนินการแล้วเสร็จ ทางห้างฯ จะเร่งกลับมาเปิดบริการในเร็วๆ นี้ และขออภัยในความไม่สะดวกกับเหตุการณ์ครั้งนี้" ประกาศฉบับดังกล่าว ระบุ
บรรดาร้านค้าที่ทราบข่าวเตรียมทยอยขนของออกจากห้างฯ โดยเฉพาะร้านขายโทรศัพท์มือถือ ที่ไม่ทราบเรื่องดังกล่าวมาก่อน กระทั่งได้รับจดหมายแจ้งว่าจะตัดไฟในวันอังคาร ต้องเก็บของย้ายออกจากห้างฯ มีผลกระทบมาก ส่วนร้านหมาล่าสายพาน "ฟุ่ยโหยว หมาล่า" ที่เปิดไม่ถึงครึ่งปี ต้องปรับเป็นบุฟเฟ่ต์แบบขาดทุน ก่อนปิดแบบไม่มีกำหนด กระแสโซเชียลฯ ต่างให้กำลังใจทางร้านและอุดหนุน ทำบางเมนูหมดลงไปแล้ว
ปริศนาคลี่คลายเมื่อมีชาวเน็ตต่างเผยแพร่ข้อมูลว่า บริษัท สรรพสินค้าตั้งฮั่วเส็ง จำกัด ถูกธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) ฟ้องต่อศาลแพ่งตลิ่งชัน คดีหมายเลขแดงที่ ผบ.7325/2562 แล้วกรมบังคับคดีได้ประกาศขายทรัพย์รวม 27 แปลง ราคาประเมิน 1,365,690,450 บาท โดยพบว่ามีบุคคลภายนอก (คาดว่ามาจากกลุ่มทุนอสังหาริมทรัพย์) ประมูลมาได้ แต่ต่ำกว่าราคาประเมิน ส่วนห้างตั้งฮั่วเส็ง สาขาบางลำภู ก็ขายทอดตลาดไปแล้วเช่นกัน
ห้างสรรพสินค้าตั้งฮั่วเส็ง ก่อตั้งขึ้นในปี 2505 ที่ย่านบางลำพู เดิมเป็นร้านจำหน่ายสินค้าอุปกรณ์เย็บปักถักร้อย เครื่องสำอาง ผ้าแฟชั่น และอุปกรณ์ตัดเย็บต่างๆ ก่อนจะเปิดห้างสรรพสินค้าตั้งฮั่วเส็ง บางลำพู ภายใต้การบริหารของนายวิโรจน์ จุนประทีปทอง กระทั่งปี 2534 เปิดห้างสรรพสินค้าตั้งฮั่วเส็ง ธนบุรี อาคารสูง 10 ชั้น ที่จอดรถมากกว่า 800 คัน ต่อมาในปี 2554 รีโนเวตโดยเปลี่ยนชื่อเป็น T-SQUARE
ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พบว่าบริษัทฯ ขาดทุนทุกปี ส่งงบการเงินปีสุดท้าย 2564 มีรายได้รวม 409,744,106.37 บาท ขาดทุนสุทธิ 43,784,884.68 บาท ขณะที่ นายวิโรจน์ จุนประทีปทอง กรรมการผู้จัดการใหญ่ เสียชีวิตไปนานแล้ว เหลือแต่นายมนัส รณกรกิจอนันต์ ลูกพี่ลูกน้องบริหารร่วมกับครอบครัวจุนประทีปทอง
#Newskit #ตั้งฮั่วเส็ง #ปิดกิจการการไฟฟ้าฯ จะตัดไฟ อำลาตั้งฮั่วเส็ง ธนบุรี จากกระแสไวรัลบนโซเชียลฯ ถึงความเงียบเหงาของศูนย์การค้าฝั่งธนบุรี ท่ามกลางคำถามที่ว่าอนาคตจะไปทางไหน ในที่้สุดห้างสรรพสินค้าตั้งฮั่วเส็ง ธนบุรี ถนนสิรินธร ย่านบางพลัด แจ้งกับร้านค้าเป็นการภายในเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (6 ก.ย.) ว่าจำเป็นต้องปิดทำการห้างฯ อาคาร 12 ชั้น ซึ่งมีผลกระทบในพื้นที่ขายทั้งหมด เพราะได้รับหนังสือแจ้งจากการไฟฟ้านครหลวง ขอยุติการจ่ายกระแสไฟฟ้าในวันอังคารที่ 10 ก.ย. 2567 เวลา 08.00 น. เป็นต้นไป "ทางบริษัทฯ อยู่ในระหว่างดำเนินการแก้ไขและเจรจากับผู้ร่วมทุนใหม่ยังไม่แล้วเสร็จ ซึ่งหากดำเนินการแล้วเสร็จ ทางห้างฯ จะเร่งกลับมาเปิดบริการในเร็วๆ นี้ และขออภัยในความไม่สะดวกกับเหตุการณ์ครั้งนี้" ประกาศฉบับดังกล่าว ระบุ บรรดาร้านค้าที่ทราบข่าวเตรียมทยอยขนของออกจากห้างฯ โดยเฉพาะร้านขายโทรศัพท์มือถือ ที่ไม่ทราบเรื่องดังกล่าวมาก่อน กระทั่งได้รับจดหมายแจ้งว่าจะตัดไฟในวันอังคาร ต้องเก็บของย้ายออกจากห้างฯ มีผลกระทบมาก ส่วนร้านหมาล่าสายพาน "ฟุ่ยโหยว หมาล่า" ที่เปิดไม่ถึงครึ่งปี ต้องปรับเป็นบุฟเฟ่ต์แบบขาดทุน ก่อนปิดแบบไม่มีกำหนด กระแสโซเชียลฯ ต่างให้กำลังใจทางร้านและอุดหนุน ทำบางเมนูหมดลงไปแล้ว ปริศนาคลี่คลายเมื่อมีชาวเน็ตต่างเผยแพร่ข้อมูลว่า บริษัท สรรพสินค้าตั้งฮั่วเส็ง จำกัด ถูกธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) ฟ้องต่อศาลแพ่งตลิ่งชัน คดีหมายเลขแดงที่ ผบ.7325/2562 แล้วกรมบังคับคดีได้ประกาศขายทรัพย์รวม 27 แปลง ราคาประเมิน 1,365,690,450 บาท โดยพบว่ามีบุคคลภายนอก (คาดว่ามาจากกลุ่มทุนอสังหาริมทรัพย์) ประมูลมาได้ แต่ต่ำกว่าราคาประเมิน ส่วนห้างตั้งฮั่วเส็ง สาขาบางลำภู ก็ขายทอดตลาดไปแล้วเช่นกัน ห้างสรรพสินค้าตั้งฮั่วเส็ง ก่อตั้งขึ้นในปี 2505 ที่ย่านบางลำพู เดิมเป็นร้านจำหน่ายสินค้าอุปกรณ์เย็บปักถักร้อย เครื่องสำอาง ผ้าแฟชั่น และอุปกรณ์ตัดเย็บต่างๆ ก่อนจะเปิดห้างสรรพสินค้าตั้งฮั่วเส็ง บางลำพู ภายใต้การบริหารของนายวิโรจน์ จุนประทีปทอง กระทั่งปี 2534 เปิดห้างสรรพสินค้าตั้งฮั่วเส็ง ธนบุรี อาคารสูง 10 ชั้น ที่จอดรถมากกว่า 800 คัน ต่อมาในปี 2554 รีโนเวตโดยเปลี่ยนชื่อเป็น T-SQUARE ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พบว่าบริษัทฯ ขาดทุนทุกปี ส่งงบการเงินปีสุดท้าย 2564 มีรายได้รวม 409,744,106.37 บาท ขาดทุนสุทธิ 43,784,884.68 บาท ขณะที่ นายวิโรจน์ จุนประทีปทอง กรรมการผู้จัดการใหญ่ เสียชีวิตไปนานแล้ว เหลือแต่นายมนัส รณกรกิจอนันต์ ลูกพี่ลูกน้องบริหารร่วมกับครอบครัวจุนประทีปทอง #Newskit #ตั้งฮั่วเส็ง #ปิดกิจการ - ลาก่อนกาดสวนแก้ว ประกาศขาย 3 พันล้าน
ทำเอาชาวเชียงใหม่ใจหายซ้ำสอง หลังธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ประกาศขายอุทยานการค้ากาดสวนแก้ว อดีตศูนย์การค้าเก่าแก่สูง 10 ชั้น บนเนื้อที่ 27 ไร่ 2 งาน 98 ตารางวา ริมถนนห้วยแก้ว เขตเทศบาลนครเชียงใหม่ ในราคา 3,000 ล้านบาท หลังศูนย์การค้าฯ ปิดให้บริการชั่วคราวเมื่อวันที่ 1 ก.ค. 2565 ที่ผ่านมา แต่ที่สุดแล้วกลายเป็นการปิดถาวร เป็นที่น่าเสียดายแก่ชาวเชียงใหม่ยุค 80 และ 90 ที่เคยมีประสบการณ์กับสถานที่แห่งนี้
อุทยานการค้ากาดสวนแก้ว เปิดให้บริการเมื่อวันที่ 29 ก.พ. 2535 ก่อตั้งโดย ร.ต.ท.สุชัย เก่งการค้า อดีตสถาปนิกกรมตำรวจ ที่ผันตัวมาเป็นนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดยด้านข้างยังมีโรงแรมโลตัสปางสวนแก้ว สูง 13 ชั้น ขนาด 420 ห้อง โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมแบบล้านนา ตัวอาคารก่อด้วยอิฐสีน้ำตาลเข้ม บุผนังด้านนอกอาคารทั้งหลัง จุดเด่นคือห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล สาขาแรกในต่างจังหวัด โรงภาพยนตร์วิสต้า ขนาด 7 โรง และโรงละครกาดเธียเตอร์ ชั้น 5 ความจุ 1,500 ที่นั่ง
แม้จะเป็นศูนย์การค้ายอดนิยมของคนเชียงใหม่ยุคนั้น แต่ด้วยการแข่งขันธุรกิจค้าปลีกที่สูงขึ้น กลุ่มทุนจากส่วนกลาง อาทิ เซ็นทรัลพัฒนา เปิดศูนย์การค้าเซ็นทรัล เฟสติวัล เชียงใหม่ บริเวณสี่แยกศาลเด็ก เพิ่มเติมจากศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา เชียงใหม่ แอร์พอร์ต รวมทั้งกลุ่มเอสเอฟ คอร์ปอเรชั่น เปิดศูนย์การค้าเม-ญ่า ไลฟ์สไตล์ ช้อปปิ้งเซ็นเตอร์ บริเวณสี่แยกรินคำ ไม่นับรวมห้างค้าปลีก คอมมูนิตีมอลล์จำนวนมาก แม้กาดสวนแก้วพยายามรีโนเวตให้ทันสมัย แต่ไม่อาจต้านทานได้
อีกทั้งสถานการณ์โควิด 19 ตั้งแต่ปลายปี 2562 ไม่มีนักท่องเที่ยว แม้จะช่วยลดค่าเช่า ค่าบริการ ผ่อนผันร้านค้าทุกวิถีทาง พร้อมกับปรับลดค่าใช้จ่ายต่างๆ แต่เนื่องจากการระบาดยังคงยืดเยื้อต่อเนื่อง อีกทั้งภาครัฐไม่มีนโยบายผ่อนปรนหรือช่วยเหลืออีกต่อไป จึงจำเป็นต้องปิดศูนย์การค้าฯ ชั่วคราว แต่ในที่สุดก็กลายเป็นการปิดถาวร
อนึ่ง ก่อนหน้านี้กรมบังคับคดีเพิ่งประกาศจำหน่ายทรัพย์ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ศูนย์การค้าพรอมเมนาดา เชียงใหม่ รีสอร์ตมอลล์ 24 แปลง เนื้อที่ประมาณ 54 ไร่ บริเวณแยกต่างระดับดอนจั่น ถนนวงแหวนรอบสอง ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ 10 กิโลเมตร กำหนดราคาประเมิน 2,058 ล้านบาท จำหน่ายครั้งแรก 21 ต.ค. 2567 หลังศูนย์การค้าฯ ประกาศปิดให้บริการไปเมื่อวันที่ 5 พ.ค. 2565 และศาลล้มละลายกลาง พิพากษาให้ บริษัท อีซีซี เชียงใหม่ โครงการ 1 จำกัด ล้มละลายเมื่อวันที่ 18 เม.ย. 2566
#Newskit #กาดสวนแก้ว #เชียงใหม่ลาก่อนกาดสวนแก้ว ประกาศขาย 3 พันล้าน ทำเอาชาวเชียงใหม่ใจหายซ้ำสอง หลังธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ประกาศขายอุทยานการค้ากาดสวนแก้ว อดีตศูนย์การค้าเก่าแก่สูง 10 ชั้น บนเนื้อที่ 27 ไร่ 2 งาน 98 ตารางวา ริมถนนห้วยแก้ว เขตเทศบาลนครเชียงใหม่ ในราคา 3,000 ล้านบาท หลังศูนย์การค้าฯ ปิดให้บริการชั่วคราวเมื่อวันที่ 1 ก.ค. 2565 ที่ผ่านมา แต่ที่สุดแล้วกลายเป็นการปิดถาวร เป็นที่น่าเสียดายแก่ชาวเชียงใหม่ยุค 80 และ 90 ที่เคยมีประสบการณ์กับสถานที่แห่งนี้ อุทยานการค้ากาดสวนแก้ว เปิดให้บริการเมื่อวันที่ 29 ก.พ. 2535 ก่อตั้งโดย ร.ต.ท.สุชัย เก่งการค้า อดีตสถาปนิกกรมตำรวจ ที่ผันตัวมาเป็นนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดยด้านข้างยังมีโรงแรมโลตัสปางสวนแก้ว สูง 13 ชั้น ขนาด 420 ห้อง โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมแบบล้านนา ตัวอาคารก่อด้วยอิฐสีน้ำตาลเข้ม บุผนังด้านนอกอาคารทั้งหลัง จุดเด่นคือห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล สาขาแรกในต่างจังหวัด โรงภาพยนตร์วิสต้า ขนาด 7 โรง และโรงละครกาดเธียเตอร์ ชั้น 5 ความจุ 1,500 ที่นั่ง แม้จะเป็นศูนย์การค้ายอดนิยมของคนเชียงใหม่ยุคนั้น แต่ด้วยการแข่งขันธุรกิจค้าปลีกที่สูงขึ้น กลุ่มทุนจากส่วนกลาง อาทิ เซ็นทรัลพัฒนา เปิดศูนย์การค้าเซ็นทรัล เฟสติวัล เชียงใหม่ บริเวณสี่แยกศาลเด็ก เพิ่มเติมจากศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา เชียงใหม่ แอร์พอร์ต รวมทั้งกลุ่มเอสเอฟ คอร์ปอเรชั่น เปิดศูนย์การค้าเม-ญ่า ไลฟ์สไตล์ ช้อปปิ้งเซ็นเตอร์ บริเวณสี่แยกรินคำ ไม่นับรวมห้างค้าปลีก คอมมูนิตีมอลล์จำนวนมาก แม้กาดสวนแก้วพยายามรีโนเวตให้ทันสมัย แต่ไม่อาจต้านทานได้ อีกทั้งสถานการณ์โควิด 19 ตั้งแต่ปลายปี 2562 ไม่มีนักท่องเที่ยว แม้จะช่วยลดค่าเช่า ค่าบริการ ผ่อนผันร้านค้าทุกวิถีทาง พร้อมกับปรับลดค่าใช้จ่ายต่างๆ แต่เนื่องจากการระบาดยังคงยืดเยื้อต่อเนื่อง อีกทั้งภาครัฐไม่มีนโยบายผ่อนปรนหรือช่วยเหลืออีกต่อไป จึงจำเป็นต้องปิดศูนย์การค้าฯ ชั่วคราว แต่ในที่สุดก็กลายเป็นการปิดถาวร อนึ่ง ก่อนหน้านี้กรมบังคับคดีเพิ่งประกาศจำหน่ายทรัพย์ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ศูนย์การค้าพรอมเมนาดา เชียงใหม่ รีสอร์ตมอลล์ 24 แปลง เนื้อที่ประมาณ 54 ไร่ บริเวณแยกต่างระดับดอนจั่น ถนนวงแหวนรอบสอง ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ 10 กิโลเมตร กำหนดราคาประเมิน 2,058 ล้านบาท จำหน่ายครั้งแรก 21 ต.ค. 2567 หลังศูนย์การค้าฯ ประกาศปิดให้บริการไปเมื่อวันที่ 5 พ.ค. 2565 และศาลล้มละลายกลาง พิพากษาให้ บริษัท อีซีซี เชียงใหม่ โครงการ 1 จำกัด ล้มละลายเมื่อวันที่ 18 เม.ย. 2566 #Newskit #กาดสวนแก้ว #เชียงใหม่ - ส่องไวรัลมาเลเซีย 2024
เฟซบุ๊กเพจ MGAG ในมาเลเซียเปิดเผยอินโฟกราฟิกที่ชื่อว่า "2024 Malaysia Meme Calender" รวบรวมประเด็นไวรัลเด่นที่เกิดขึ้นในแต่ละเดือนของประเทศมาเลเซีย จากการสืบค้นของ Newskit พบว่ามีเรื่องราวที่น่าสนใจดังนี้
ม.ค. 2567 - Derrick Gan แฟนบอลทีมชาติมาเลเซีย ประกาศขายรถจักรยานยนต์ 4,500 ริงกิต (ประมาณ 34,000 บาท) เพื่อใช้เดินทางไปเชียร์ฟุตบอลเอเชียนคัพ ที่ประเทศกาตาร์ หลังกลับมา ค่าย Modenas มอบรถจักรยานยนต์คันใหม่ให้เขา
ก.พ. 2567 - คลิปหญิงวัย 23 ปีจากอัมปัง กรุงกัวลาลัมเปอร์ ให้สัมภาษณ์ว่าไปเที่ยวไนต์คลับตั้งแต่อายุ 18 ปี กลับบ้านกับผู้ชายถึงสองครั้ง ถูกวิจารณ์ถึงความเหมาะสม ภายหลังอ้างว่าเป็นเรื่องที่แต่งขึ้น คลิปดังกล่าวมีจุดประสงค์ทางการตลาดเท่านั้น
มี.ค. 2567 - ชายชาวจีนที่อาศัยในมาเลเซีย เจ้าของร้านอาหารหมี่โกโล แต่งงานพร้อมกันกับภรรยา 2 คน ที่ทำงานในร้านเดียวกัน ที่เมืองกุชิง รัฐซาราวัก รัฐมนตรีวิจารณ์ว่าผู้ที่มิใช่ชาวมุสลิม ถ้าจดทะเบียนสมรสแล้ว ไม่สามารถมีคู่สมรสหลายคนได้
เม.ย. 2567 - Aliff Aziz นักร้องและนักแสดงชาวสิงคโปร์ ถูกกรมกิจการอิสลาม (JAWI) จับกุมพร้อมกับ Ruhainies Farehah นักแสดงสาว ขณะที่อดีตภรรยา Bella Astillah ชี้ว่า Aliff โกหกเรื่องเมียน้อยถึง 11 ครั้ง ยื่นฟ้องหย่าเมื่อเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา
พ.ค. 2567 - แอดมินเพจร้านอาหารฟาสฟู้ด DarSA Fried Chicken (DFC) ในเมืองราวัง รัฐสลังงอร์ ตอบกลับลูกค้าใช้คำว่า "พวก Type C" ถูกมองว่าเหยียดเชื้อชาติจีนในมาเลเซีย ทางร้านขอโทษและยืนยันว่ายินดีต้อนรับลูกค้าทุกเชื้อชาติและศาสนา
มิ.ย. 2567 - เจ้าของร้านขายของชำย่านเซเบอรัง จายา รัฐปีนัง กำราบลูกค้าขี้เมาด้วยคำว่า "One by One Gentleman" ภายหลังพบว่าเจ้าของร้านเคยเป็นครูสอนเทควันโดสายดำมาก่อน ส่วนลูกค้าขี้เมาก็กล่าวว่าตนเองเคยเป็นนักคาราเต้สายดำ
ก.ค. 2567 - เครื่องแต่งกายนักกีฬาทีมชาติมาเลเซีย ที่จะไปแข่งขันโอลิมปิก ปารีส 2024 ถูกวิจารณ์ว่าดีไซน์น่าเกลียด ดูราคาถูก ล้าสมัย และไร้แรงบันดาลใจ ทำให้สภาโอลิมปิกมาเลเซีย ตัดสินใจทำเสื้อแจ็กเก็ตลายใหม่เพื่อลดเสียงวิจารณ์
ส.ค. 2567 - ขบวนพาเหรดเนื่องในวันชาติมาเลเซีย 2024 ผู้คนให้ความสนใจผู้ชายในเครื่องแบบที่เรียกว่า Abang ปีนี้แข่งกันระหว่าง Abang Bomba ของดับเพลิงและกู้ภัย Abang JPJ ของกรมขนส่งทางบก และ Abang Askar จากกองทัพมาเลเซีย
#Newskit #Viral #Malaysiaส่องไวรัลมาเลเซีย 2024 เฟซบุ๊กเพจ MGAG ในมาเลเซียเปิดเผยอินโฟกราฟิกที่ชื่อว่า "2024 Malaysia Meme Calender" รวบรวมประเด็นไวรัลเด่นที่เกิดขึ้นในแต่ละเดือนของประเทศมาเลเซีย จากการสืบค้นของ Newskit พบว่ามีเรื่องราวที่น่าสนใจดังนี้ ม.ค. 2567 - Derrick Gan แฟนบอลทีมชาติมาเลเซีย ประกาศขายรถจักรยานยนต์ 4,500 ริงกิต (ประมาณ 34,000 บาท) เพื่อใช้เดินทางไปเชียร์ฟุตบอลเอเชียนคัพ ที่ประเทศกาตาร์ หลังกลับมา ค่าย Modenas มอบรถจักรยานยนต์คันใหม่ให้เขา ก.พ. 2567 - คลิปหญิงวัย 23 ปีจากอัมปัง กรุงกัวลาลัมเปอร์ ให้สัมภาษณ์ว่าไปเที่ยวไนต์คลับตั้งแต่อายุ 18 ปี กลับบ้านกับผู้ชายถึงสองครั้ง ถูกวิจารณ์ถึงความเหมาะสม ภายหลังอ้างว่าเป็นเรื่องที่แต่งขึ้น คลิปดังกล่าวมีจุดประสงค์ทางการตลาดเท่านั้น มี.ค. 2567 - ชายชาวจีนที่อาศัยในมาเลเซีย เจ้าของร้านอาหารหมี่โกโล แต่งงานพร้อมกันกับภรรยา 2 คน ที่ทำงานในร้านเดียวกัน ที่เมืองกุชิง รัฐซาราวัก รัฐมนตรีวิจารณ์ว่าผู้ที่มิใช่ชาวมุสลิม ถ้าจดทะเบียนสมรสแล้ว ไม่สามารถมีคู่สมรสหลายคนได้ เม.ย. 2567 - Aliff Aziz นักร้องและนักแสดงชาวสิงคโปร์ ถูกกรมกิจการอิสลาม (JAWI) จับกุมพร้อมกับ Ruhainies Farehah นักแสดงสาว ขณะที่อดีตภรรยา Bella Astillah ชี้ว่า Aliff โกหกเรื่องเมียน้อยถึง 11 ครั้ง ยื่นฟ้องหย่าเมื่อเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา พ.ค. 2567 - แอดมินเพจร้านอาหารฟาสฟู้ด DarSA Fried Chicken (DFC) ในเมืองราวัง รัฐสลังงอร์ ตอบกลับลูกค้าใช้คำว่า "พวก Type C" ถูกมองว่าเหยียดเชื้อชาติจีนในมาเลเซีย ทางร้านขอโทษและยืนยันว่ายินดีต้อนรับลูกค้าทุกเชื้อชาติและศาสนา มิ.ย. 2567 - เจ้าของร้านขายของชำย่านเซเบอรัง จายา รัฐปีนัง กำราบลูกค้าขี้เมาด้วยคำว่า "One by One Gentleman" ภายหลังพบว่าเจ้าของร้านเคยเป็นครูสอนเทควันโดสายดำมาก่อน ส่วนลูกค้าขี้เมาก็กล่าวว่าตนเองเคยเป็นนักคาราเต้สายดำ ก.ค. 2567 - เครื่องแต่งกายนักกีฬาทีมชาติมาเลเซีย ที่จะไปแข่งขันโอลิมปิก ปารีส 2024 ถูกวิจารณ์ว่าดีไซน์น่าเกลียด ดูราคาถูก ล้าสมัย และไร้แรงบันดาลใจ ทำให้สภาโอลิมปิกมาเลเซีย ตัดสินใจทำเสื้อแจ็กเก็ตลายใหม่เพื่อลดเสียงวิจารณ์ ส.ค. 2567 - ขบวนพาเหรดเนื่องในวันชาติมาเลเซีย 2024 ผู้คนให้ความสนใจผู้ชายในเครื่องแบบที่เรียกว่า Abang ปีนี้แข่งกันระหว่าง Abang Bomba ของดับเพลิงและกู้ภัย Abang JPJ ของกรมขนส่งทางบก และ Abang Askar จากกองทัพมาเลเซีย #Newskit #Viral #Malaysia - ล็อกบัญชี ฟีเจอร์สำหรับนักออม
ภัยทุจริตทางการเงิน จากการหลอกลวงทางออนไลน์ในปัจจุบัน นอกจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะแก้ไขปัญหาและยกระดับมาตรการจัดการ เช่น การกวาดล้างบัญชีม้าในระบบ ด้วยการจัดการทุกบัญชีในทุกธนาคารของเจ้าของบัญชีต้องสงสัย และการเพิ่มความเข้มงวดในการเปิดบัญชีใหม่ให้กับผู้ที่มีความเสี่ยงสูงหรือมีพฤติกรรมผิดปกติแล้ว ธนาคารบางแห่งก็เริ่มมีระบบจัดการความปลอดภัยทางบัญชี เพื่อป้องกันไม่ให้มิจฉาชีพโอนเงินออกจากบัญชี
เริ่มจาก ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ออกฟีเจอร์ Lock & Unlock สำหรับลูกค้าที่ใช้บริการโมบายแบงกิ้งจากธนาคารกรุงเทพ โดยลูกค้าบัญชีเงินฝากสะสมทรัพย์ และกระแสรายวัน บัญชีเงินฝากสะสมทรัพย์ e-Savings และบัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศ (FCD) สามารถกด "ล็อกการโอน / เติม / จ่าย ผ่านแอป" เพื้อป้องกันไม่ให้สามารถโอนเงิน เติมเงิน หรือจ่ายเงิน ออกจากบัญชีที่ล็อกไว้ได้ แก้ปัญหากรณีที่มิจฉาชีพใช้แอปฯ ดูดเงินเก็บข้อมูลรหัส PIN
ถ้าล็อกบัญชีแล้ว แม้ว่ามิจฉาชีพจะรู้รหัส PIN ก็ไม่สามารถผ่านขั้นตอนการยืนยันตัวตนด้วยใบหน้าเพื่อโอนเงินออกจากบัญชีได้ ลูกค้าต้องปลดล็อกด้วยการยืนยันตัวตนผ่านการสแกนใบหน้า แต่ธุรกรรมขาเข้ายังสามารถทำได้ เช่น การรับเงินเข้าบัญชี การรับเงินด้วยคิวอาร์โค้ด การฝากเงินเข้าบัญชีที่ตู้อัตโนมัติหรือสาขา
ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) เปิดบริการล็อกบัญชีเงินฝาก UOB Money Lock สำหรับบัญชีเงินฝากออมทรัพย์หรือกระแสรายวันสำหรับบุคคลธรรมดาได้ทุกประเภท เมื่อล็อกบัญชีแล้วจะไม่สามารถโอนเงินออกผ่านช่องทางออนไลน์ ลดความเสี่ยงจากมิจฉาชีพ สามารถถอนหรือโอนเงินได้ผ่านช่องทางสาขา หรือใช้บัตรเดบิต แต่ยังคงรับเงินเข้าได้ตามปกติ และสามารถขอปลดล็อกด้วยตนเองโดยการยืนยันตัวตนที่สาขาธนาคารยูโอบีเท่านั้น
สามารถสมัครบริการได้ด้วยตนเองที่สาขาธนาคารยูโอบี บริการ Live Chat บนแอปพลิเคชัน UOB TMRW หรือศูนย์บริการลูกค้ายูโอบี โทร. 0-2285-1555 แต่การขอยกเลิกบริการต้องติดต่อสาขาของธนาคารด้วยตนเองเท่านั้น เพื่อความปลอดภัยของบัญชี โดยจะจะดำเนินการภายในสิ้นวันทำการถัดไป ไม่รวมวันเสาร์ อาทิตย์ วันหยุดนักขัตฤกษ์ หรือวันหยุดทำการของธนาคาร
นอกจากนี้ ยังมีธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) มีฟีเจอร์ล็อกบัญชี ผ่านแอปฯ Krungthai NEXT สำหรับคนที่เเยกบัญชีเงินออมหรือคนที่มีบัญชีสำหรับเอาไว้เก็บเงินอย่างเดียว บัญชีที่ไม่ได้ใช้บ่อยๆและไม่ต้องการทำธุรกรรมออนไลน์หรือที่ตู้ ATM หรือผูกบัตร Travel card กับบัญชีนั้นๆ ป้องกันการโอนเงินออกโดยถูกหลอกอีกด้วย
#Newskit #ล็อกบัญชี #LockAccountล็อกบัญชี ฟีเจอร์สำหรับนักออม ภัยทุจริตทางการเงิน จากการหลอกลวงทางออนไลน์ในปัจจุบัน นอกจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะแก้ไขปัญหาและยกระดับมาตรการจัดการ เช่น การกวาดล้างบัญชีม้าในระบบ ด้วยการจัดการทุกบัญชีในทุกธนาคารของเจ้าของบัญชีต้องสงสัย และการเพิ่มความเข้มงวดในการเปิดบัญชีใหม่ให้กับผู้ที่มีความเสี่ยงสูงหรือมีพฤติกรรมผิดปกติแล้ว ธนาคารบางแห่งก็เริ่มมีระบบจัดการความปลอดภัยทางบัญชี เพื่อป้องกันไม่ให้มิจฉาชีพโอนเงินออกจากบัญชี เริ่มจาก ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ออกฟีเจอร์ Lock & Unlock สำหรับลูกค้าที่ใช้บริการโมบายแบงกิ้งจากธนาคารกรุงเทพ โดยลูกค้าบัญชีเงินฝากสะสมทรัพย์ และกระแสรายวัน บัญชีเงินฝากสะสมทรัพย์ e-Savings และบัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศ (FCD) สามารถกด "ล็อกการโอน / เติม / จ่าย ผ่านแอป" เพื้อป้องกันไม่ให้สามารถโอนเงิน เติมเงิน หรือจ่ายเงิน ออกจากบัญชีที่ล็อกไว้ได้ แก้ปัญหากรณีที่มิจฉาชีพใช้แอปฯ ดูดเงินเก็บข้อมูลรหัส PIN ถ้าล็อกบัญชีแล้ว แม้ว่ามิจฉาชีพจะรู้รหัส PIN ก็ไม่สามารถผ่านขั้นตอนการยืนยันตัวตนด้วยใบหน้าเพื่อโอนเงินออกจากบัญชีได้ ลูกค้าต้องปลดล็อกด้วยการยืนยันตัวตนผ่านการสแกนใบหน้า แต่ธุรกรรมขาเข้ายังสามารถทำได้ เช่น การรับเงินเข้าบัญชี การรับเงินด้วยคิวอาร์โค้ด การฝากเงินเข้าบัญชีที่ตู้อัตโนมัติหรือสาขา ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) เปิดบริการล็อกบัญชีเงินฝาก UOB Money Lock สำหรับบัญชีเงินฝากออมทรัพย์หรือกระแสรายวันสำหรับบุคคลธรรมดาได้ทุกประเภท เมื่อล็อกบัญชีแล้วจะไม่สามารถโอนเงินออกผ่านช่องทางออนไลน์ ลดความเสี่ยงจากมิจฉาชีพ สามารถถอนหรือโอนเงินได้ผ่านช่องทางสาขา หรือใช้บัตรเดบิต แต่ยังคงรับเงินเข้าได้ตามปกติ และสามารถขอปลดล็อกด้วยตนเองโดยการยืนยันตัวตนที่สาขาธนาคารยูโอบีเท่านั้น สามารถสมัครบริการได้ด้วยตนเองที่สาขาธนาคารยูโอบี บริการ Live Chat บนแอปพลิเคชัน UOB TMRW หรือศูนย์บริการลูกค้ายูโอบี โทร. 0-2285-1555 แต่การขอยกเลิกบริการต้องติดต่อสาขาของธนาคารด้วยตนเองเท่านั้น เพื่อความปลอดภัยของบัญชี โดยจะจะดำเนินการภายในสิ้นวันทำการถัดไป ไม่รวมวันเสาร์ อาทิตย์ วันหยุดนักขัตฤกษ์ หรือวันหยุดทำการของธนาคาร นอกจากนี้ ยังมีธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) มีฟีเจอร์ล็อกบัญชี ผ่านแอปฯ Krungthai NEXT สำหรับคนที่เเยกบัญชีเงินออมหรือคนที่มีบัญชีสำหรับเอาไว้เก็บเงินอย่างเดียว บัญชีที่ไม่ได้ใช้บ่อยๆและไม่ต้องการทำธุรกรรมออนไลน์หรือที่ตู้ ATM หรือผูกบัตร Travel card กับบัญชีนั้นๆ ป้องกันการโอนเงินออกโดยถูกหลอกอีกด้วย #Newskit #ล็อกบัญชี #LockAccount - แน่หรือ?พระราม 2 สุริยะบอกเสร็จ มิ.ย.68
สามโครงการ สองหน่วยงาน ที่ทำถนนพระรามที่ 2 ประตูสู่ภาคใต้ เกิดการจราจรติดขัดเวลานี้ คือ โครงการทางพิเศษสายพระราม 3-ดาวคะนอง-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันตก ของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย โครงการก่อสร้างทางยกระดับทางหลวงหมายเลข 35 ช่วงบางขุนเทียน-เอกชัย และโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) หมายเลข 82 ช่วงเอกชัย-บ้านแพ้ว รวมระยะทางประมาณ 46 กิโลเมตร เรียกเสียงบ่นแก่ผู้มช้รถใช้ถนน สมญานามถนนเจ็ดชั่วโคตร
มาคราวนี้ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคม ระบุว่า ภายใน 11 เดือนข้างหน้า ทั้งสามโครงการจะต้องแล้วเสร็จและเปิดให้บริการภายในเดือน มิ.ย. 2568 พร้อมสั่งการให้ทั้งสองหน่วยงานติดตามงานอย่างใกล้ชิด และรายงานความคืบหน้าทุกเดือน ซึ่งจากรายงานในช่วงที่ผ่านมา พบว่าทุกอย่างมีความพร้อมทั้งหมด รวมทั้งก่อนหน้านี้ทั้งสองหน่วยงานได้ไปดูกระบวนการตั้งแต่การหล่อคานที่โรงงานว่าทำได้กี่ตัว แล้วเสร็จทันไหม ดังนั้น อีก 11 เดือนที่เหลือ เชื่อว่าจะแล้วเสร็จได้ทันทั้งหมด
สำหรับภาพรวมการก่อสร้าง พบว่าโครงการทางพิเศษสายพระราม 3-ดาวคะนอง-วงแหวนรอบนอกฯ ตะวันตก คืบหน้า 80.92% โดยสะพานทศมราชัน หรือสะพานคู่ขนานสะพานพระราม 9 คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในช่วงปลายปี 2567 ส่วนโครงการก่อสร้างทางยกระดับฯ ช่วงบางขุนเทียน-เอกชัย คืบหน้าเฉลี่ย 95.42% คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือน พ.ย. 2567 โดยจะเปิดให้ประชาชนทดลองใช้บริการชั่วคราว ระหว่างด่านพันท้ายนรสิงห์ ถึงด่านมหาชัย ระยะทาง 4 กิโลเมตร ภายในปลายปีนี้
ส่วนโครงการมอเตอร์เวย์หมายเลข 82 ช่วงเอกชัย-บ้านแพ้ว แบ่งออกเป็น 10 ตอน คืบหน้าเฉลี่ย 57.50% โดยพบว่าคืบหน้ามากที่สุดตอนที่ 9 คืบหน้า 82.885% น้อยที่สุดตอนที่ 7 คืบหน้า 35.851% แต่ระยะเวลาแล้วเสร็จส่วนใหญ่ มิ.ย. 2568
ถนนพระรามที่ 2 ประสบปัญหาการจราจรติดขัด เกี่ยวพันมาแล้ว 3 รัฐบาล นับตั้งแต่ปี 2561 ที่มีโครงการปรับปรุงถนนพระรามที่ 2 ช่วงทางแยกต่างระดับบางขุนเทียน-เอกชัย กระทั่งมีการก่อสร้างทางยกระดับพระรามที่ 2 รวม 3 โครงการ และโครงการทางแยกต่างระดับบ้านแพ้ว อย่างไรก็ตาม การก่อสร้างบนถนนสายนี้ยังไม่หมดไป เพราะยังมีโครงการขยายถนนออกเป็น 14 ช่องจราจร ช่วงแยกบ้านแพ้วถึงนาโคก ระยะทาง 14.5 กิโลเมตร อยู่ระหว่างจ้างวิศวกรที่ปรึกษาสำรวจและออกแบบ
#Newskit #พระราม2 #Motorway82แน่หรือ?พระราม 2 สุริยะบอกเสร็จ มิ.ย.68 สามโครงการ สองหน่วยงาน ที่ทำถนนพระรามที่ 2 ประตูสู่ภาคใต้ เกิดการจราจรติดขัดเวลานี้ คือ โครงการทางพิเศษสายพระราม 3-ดาวคะนอง-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันตก ของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย โครงการก่อสร้างทางยกระดับทางหลวงหมายเลข 35 ช่วงบางขุนเทียน-เอกชัย และโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) หมายเลข 82 ช่วงเอกชัย-บ้านแพ้ว รวมระยะทางประมาณ 46 กิโลเมตร เรียกเสียงบ่นแก่ผู้มช้รถใช้ถนน สมญานามถนนเจ็ดชั่วโคตร มาคราวนี้ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคม ระบุว่า ภายใน 11 เดือนข้างหน้า ทั้งสามโครงการจะต้องแล้วเสร็จและเปิดให้บริการภายในเดือน มิ.ย. 2568 พร้อมสั่งการให้ทั้งสองหน่วยงานติดตามงานอย่างใกล้ชิด และรายงานความคืบหน้าทุกเดือน ซึ่งจากรายงานในช่วงที่ผ่านมา พบว่าทุกอย่างมีความพร้อมทั้งหมด รวมทั้งก่อนหน้านี้ทั้งสองหน่วยงานได้ไปดูกระบวนการตั้งแต่การหล่อคานที่โรงงานว่าทำได้กี่ตัว แล้วเสร็จทันไหม ดังนั้น อีก 11 เดือนที่เหลือ เชื่อว่าจะแล้วเสร็จได้ทันทั้งหมด สำหรับภาพรวมการก่อสร้าง พบว่าโครงการทางพิเศษสายพระราม 3-ดาวคะนอง-วงแหวนรอบนอกฯ ตะวันตก คืบหน้า 80.92% โดยสะพานทศมราชัน หรือสะพานคู่ขนานสะพานพระราม 9 คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในช่วงปลายปี 2567 ส่วนโครงการก่อสร้างทางยกระดับฯ ช่วงบางขุนเทียน-เอกชัย คืบหน้าเฉลี่ย 95.42% คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือน พ.ย. 2567 โดยจะเปิดให้ประชาชนทดลองใช้บริการชั่วคราว ระหว่างด่านพันท้ายนรสิงห์ ถึงด่านมหาชัย ระยะทาง 4 กิโลเมตร ภายในปลายปีนี้ ส่วนโครงการมอเตอร์เวย์หมายเลข 82 ช่วงเอกชัย-บ้านแพ้ว แบ่งออกเป็น 10 ตอน คืบหน้าเฉลี่ย 57.50% โดยพบว่าคืบหน้ามากที่สุดตอนที่ 9 คืบหน้า 82.885% น้อยที่สุดตอนที่ 7 คืบหน้า 35.851% แต่ระยะเวลาแล้วเสร็จส่วนใหญ่ มิ.ย. 2568 ถนนพระรามที่ 2 ประสบปัญหาการจราจรติดขัด เกี่ยวพันมาแล้ว 3 รัฐบาล นับตั้งแต่ปี 2561 ที่มีโครงการปรับปรุงถนนพระรามที่ 2 ช่วงทางแยกต่างระดับบางขุนเทียน-เอกชัย กระทั่งมีการก่อสร้างทางยกระดับพระรามที่ 2 รวม 3 โครงการ และโครงการทางแยกต่างระดับบ้านแพ้ว อย่างไรก็ตาม การก่อสร้างบนถนนสายนี้ยังไม่หมดไป เพราะยังมีโครงการขยายถนนออกเป็น 14 ช่องจราจร ช่วงแยกบ้านแพ้วถึงนาโคก ระยะทาง 14.5 กิโลเมตร อยู่ระหว่างจ้างวิศวกรที่ปรึกษาสำรวจและออกแบบ #Newskit #พระราม2 #Motorway82 - สยามพรีเมียมเอาท์เล็ต จากกรุงเทพฯ สู่ภูเก็ต
หลังจากเปิดให้บริการมานานกว่า 4 ปี ในที่สุด สยามพิวรรธน์ ไซม่อน (Siam Piwat Simon) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างสยามพิวรรธน์ กับไซม่อน บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จากสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศขยายการลงทุนศูนย์การค้าสยาม พรีเมียม เอาท์เล็ต (Siam Premium Outlet) แห่งที่ 2 ที่จังหวัดภูเก็ต แม้จะล่าช้าจากเดิมที่เคยประกาศเมื่อปี 2561 ว่าตั้งเป้า 3 ปี เปิด 3 แห่ง ในกรุงเทพฯ ภาคเหนือ และภาคใต้ ใช้งบลงทุน 1 หมื่นล้านบาท เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 และเศรษฐกิจซบเซา
แม้จะยังไม่เปิดเผยทำเลว่า สยาม พรีเมียม เอาท์เล็ต แห่งที่ 2 ตั้งอยู่ส่วนใด นอกจากระบุเพียงตั้งอยู่ใจกลางจังหวัดภูเก็ต แต่ได้ตั้งเป้าหมายเปิดให้บริการในปี 2569 หรืออีก 2 ปีข้างหน้า ท่ามกลางการแข่งขันของจำนวนห้างค้าปลีกที่มีมากถึง 14 แห่ง ไฮเปอร์มาร์เก็ตอีก 19 แห่ง รวมทั้งเป็นทำเลจุดหมายสำคัญ ที่กลุ่มผู้ประกอบการทั้งผู้เช่าเดิมในโครงการสยาม พรีเมียม เอาท์เล็ต กรุงเทพ และผู้เช่าใหม่จำนวนมาก ต่างแสดงความต้องการและให้ข้อเสนอแนะให้บริษัทฯ ลงทุนขยายโครงการใหม่
จุดเด่นของภูเก็ต ถือเป็นเมืองยอดนิยมของนักท่องเที่ยวอันดับ 2 รองจากกรุงเทพฯ เป็นหนึ่งใน Global Destination ของนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติจากทั่วโลก เดินทางเข้าสู่จังหวัดต่อปีไม่ต่ำกว่า 15 ล้านคน มีท่าอากาศยานภูเก็ต รองรับผู้โดยสารได้ถึง 20 ล้านคนต่อปี ค่าใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวค่อนข้างสูง เฉลี่ย 8,355 บาทต่อคนต่อวัน รวมถึงคนไทยในพื้นที่ และชาวต่างชาติที่มาพำนักอยู่เป็นระยะเวลานาน (Expat) มีกำลังซื้อสูง และมีโรงเรียนนานาชาติมากถึง 15 แห่ง
สำหรับการออกแบบ จะรังสรรค์ภายใต้คอนเซปต์พิเศษที่พัฒนาขึ้นโดยเฉพาะ คํานึงถึงการตอบสนองความต้องการในปัจจุบันและรองรับการเติบโตของภูเก็ตอีก 10 ปีข้างหน้า ซึ่งจะมีโครงการสนามบินนานาชาติอันดามัน จ.พังงา ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
สำหรับศูนย์การค้าสยาม พรีเมียม เอาท์เล็ต กรุงเทพ ตั้งอยู่ริมถนนมอเตอร์เวย์หมายเลข 7 (กรุงเทพฯ-ชลบุรี) เขตลาดกระบัง กรุงเทพฯ เปิดให้บริการเมื่อวันที่ 19 มิ.ย. 2563 ประกอบด้วยร้านค้ากว่า 300 ร้าน ทั้งร้านค้าลักชัวรี่แบรนด์ แบรนด์ระดับอินเตอร์เนชั่นแนล และแบรนด์ไทยต่างๆ ได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าทั้งคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ ผลประกอบการในปี 2566 ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ผู้เข้าใช้บริการเติบโตสูงอย่างต่อเนื่อง และอัตราการเช่าพื้นที่ของโครงการเต็ม 100%
#Newskit #SiamPiwat #SiamPremiumOutletsPhuketสยามพรีเมียมเอาท์เล็ต จากกรุงเทพฯ สู่ภูเก็ต หลังจากเปิดให้บริการมานานกว่า 4 ปี ในที่สุด สยามพิวรรธน์ ไซม่อน (Siam Piwat Simon) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างสยามพิวรรธน์ กับไซม่อน บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จากสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศขยายการลงทุนศูนย์การค้าสยาม พรีเมียม เอาท์เล็ต (Siam Premium Outlet) แห่งที่ 2 ที่จังหวัดภูเก็ต แม้จะล่าช้าจากเดิมที่เคยประกาศเมื่อปี 2561 ว่าตั้งเป้า 3 ปี เปิด 3 แห่ง ในกรุงเทพฯ ภาคเหนือ และภาคใต้ ใช้งบลงทุน 1 หมื่นล้านบาท เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 และเศรษฐกิจซบเซา แม้จะยังไม่เปิดเผยทำเลว่า สยาม พรีเมียม เอาท์เล็ต แห่งที่ 2 ตั้งอยู่ส่วนใด นอกจากระบุเพียงตั้งอยู่ใจกลางจังหวัดภูเก็ต แต่ได้ตั้งเป้าหมายเปิดให้บริการในปี 2569 หรืออีก 2 ปีข้างหน้า ท่ามกลางการแข่งขันของจำนวนห้างค้าปลีกที่มีมากถึง 14 แห่ง ไฮเปอร์มาร์เก็ตอีก 19 แห่ง รวมทั้งเป็นทำเลจุดหมายสำคัญ ที่กลุ่มผู้ประกอบการทั้งผู้เช่าเดิมในโครงการสยาม พรีเมียม เอาท์เล็ต กรุงเทพ และผู้เช่าใหม่จำนวนมาก ต่างแสดงความต้องการและให้ข้อเสนอแนะให้บริษัทฯ ลงทุนขยายโครงการใหม่ จุดเด่นของภูเก็ต ถือเป็นเมืองยอดนิยมของนักท่องเที่ยวอันดับ 2 รองจากกรุงเทพฯ เป็นหนึ่งใน Global Destination ของนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติจากทั่วโลก เดินทางเข้าสู่จังหวัดต่อปีไม่ต่ำกว่า 15 ล้านคน มีท่าอากาศยานภูเก็ต รองรับผู้โดยสารได้ถึง 20 ล้านคนต่อปี ค่าใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวค่อนข้างสูง เฉลี่ย 8,355 บาทต่อคนต่อวัน รวมถึงคนไทยในพื้นที่ และชาวต่างชาติที่มาพำนักอยู่เป็นระยะเวลานาน (Expat) มีกำลังซื้อสูง และมีโรงเรียนนานาชาติมากถึง 15 แห่ง สำหรับการออกแบบ จะรังสรรค์ภายใต้คอนเซปต์พิเศษที่พัฒนาขึ้นโดยเฉพาะ คํานึงถึงการตอบสนองความต้องการในปัจจุบันและรองรับการเติบโตของภูเก็ตอีก 10 ปีข้างหน้า ซึ่งจะมีโครงการสนามบินนานาชาติอันดามัน จ.พังงา ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต สำหรับศูนย์การค้าสยาม พรีเมียม เอาท์เล็ต กรุงเทพ ตั้งอยู่ริมถนนมอเตอร์เวย์หมายเลข 7 (กรุงเทพฯ-ชลบุรี) เขตลาดกระบัง กรุงเทพฯ เปิดให้บริการเมื่อวันที่ 19 มิ.ย. 2563 ประกอบด้วยร้านค้ากว่า 300 ร้าน ทั้งร้านค้าลักชัวรี่แบรนด์ แบรนด์ระดับอินเตอร์เนชั่นแนล และแบรนด์ไทยต่างๆ ได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าทั้งคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ ผลประกอบการในปี 2566 ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ผู้เข้าใช้บริการเติบโตสูงอย่างต่อเนื่อง และอัตราการเช่าพื้นที่ของโครงการเต็ม 100% #Newskit #SiamPiwat #SiamPremiumOutletsPhuket - เบื้องหลังธนาคารไทย ใช้'CFR'สกัดบัญชีม้า
นับตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. 2567 ที่ผ่านมา ธนาคารทุกแห่งใช้ระบบ CFR หรือ Central Fraud Registry ซึ่งเป็นระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลเส้นทางการเงินของภาคธนาคาร เพื่อใช้ในการสืบสวนสอบสวนและอายัดบัญชีของผู้ต้องสงสัย พัฒนาโดย บริษัท เนชั่นแนล ไอทีเอ็มเอ็กซ์ จำกัด (ITMX) ระบบนี้จะให้ธนาคารที่เป็นสมาชิกของ ITMX นำส่งข้อมูลธุรกรรมต้องสงสัย ที่ผู้เสียหายเป็นผู้แจ้ง หรือธนาคารตรวจพบรายการต้องสงสัย เพื่อดำเนินการกับบัญชีต้องสงสัยได้ครอบคลุมและรวดเร็วขึ้น เป็นมาตรฐานเดียวกัน
เมื่อมีผู้เสียหายแจ้งความ หรือธนาคารตรวจจับได้ว่ามีบัญชีต้องสงสัย จากเดิมระงับเฉพาะธนาคารที่เกี่ยวข้องในเส้นทางเงิน เปลี่ยนเป็น "ระงับทุกธนาคาร" ภายใต้ชื่อบัญชีและหมายเลขบัตรประชาชนเดียวกัน โดยจะเห็นผลเมื่อคนที่เคย "ขายบัญชีม้า" ให้กับกลุ่มมิจฉาชีพ หรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำบัญชีไปใช้ในการก่ออาชญากรรม เมื่อเข้าสู่ระบบ Mobile Banking จะขึ้นข้อความว่า "บัญชีของคุณถูกระงับ" หรือข้อความในลักษณะใกล้เคียง โดยไม่สามารถทำธุรกรรมโอนเงินหรือถอนเงินออกมาได้
ธนาคารจะระงับการทำธุรกรรมผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ ทุกบัญชี ทุกธนาคาร เพื่อให้เจ้าของบัญชีมาพิสูจน์ข้อเท็จจริงอย่างเข้มข้น และจะต้องให้ความร่วมมือกับศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ (Anti Online Scam Operation Center) หรือ AOC 1441 ติดต่อกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ได้รับมอบหมาย เพื่อดำเนินการสืบสวนสอบสวนความเกี่ยวข้องทางคดี แต่ถ้าเป็นบัญชีที่ธนาคารตรวจพบพฤติกรรมต้องสงสัย แต่ยังไม่มีการแจ้งความ จะดำเนินการตามความเสี่ยงด้วยมาตรฐานเดียวกัน
นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันภาคธนาคารได้ดำเนินมาตรการดังกล่าวไปแล้วกว่า 15,000 รายชื่อ ขอให้ประชาชนตระหนักถึงผลกระทบจากการยอมให้ผู้อื่นใช้บัญชีของตนเป็นบัญชีม้า ทั้งบัญชีเดิมหรือกำลังจะเปิดเพิ่มเติมใหม่ว่า มีโทษอาญาตามกฎหมาย รวมทั้งผลจากมาตรการที่เข้มงวด เช่น การพิจารณาระงับการใช้งานบัญชีทั้งหมดทันที รวมถึงจะพิจารณาไม่อนุญาตให้เปิดบัญชีใหม่ ซึ่งจะกระทบการใช้บริการทางการเงินของบุคคลดังกล่าวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
อนึ่ง การเปิดหรือขายให้คนอื่นใช้บัญชีเงินฝาก บัตร หรือ e-Wallet เป็นบัญชีม้า ให้เช่าหรือให้ยืมใช้ซิมการ์ดโทรศัพท์เพื่อนำไปใช้ในทางทุจริตและการทำผิดกฎหมาย ต้องรับโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 300,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
#Newskit #CFR #บัญชีม้าเบื้องหลังธนาคารไทย ใช้'CFR'สกัดบัญชีม้า นับตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. 2567 ที่ผ่านมา ธนาคารทุกแห่งใช้ระบบ CFR หรือ Central Fraud Registry ซึ่งเป็นระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลเส้นทางการเงินของภาคธนาคาร เพื่อใช้ในการสืบสวนสอบสวนและอายัดบัญชีของผู้ต้องสงสัย พัฒนาโดย บริษัท เนชั่นแนล ไอทีเอ็มเอ็กซ์ จำกัด (ITMX) ระบบนี้จะให้ธนาคารที่เป็นสมาชิกของ ITMX นำส่งข้อมูลธุรกรรมต้องสงสัย ที่ผู้เสียหายเป็นผู้แจ้ง หรือธนาคารตรวจพบรายการต้องสงสัย เพื่อดำเนินการกับบัญชีต้องสงสัยได้ครอบคลุมและรวดเร็วขึ้น เป็นมาตรฐานเดียวกัน เมื่อมีผู้เสียหายแจ้งความ หรือธนาคารตรวจจับได้ว่ามีบัญชีต้องสงสัย จากเดิมระงับเฉพาะธนาคารที่เกี่ยวข้องในเส้นทางเงิน เปลี่ยนเป็น "ระงับทุกธนาคาร" ภายใต้ชื่อบัญชีและหมายเลขบัตรประชาชนเดียวกัน โดยจะเห็นผลเมื่อคนที่เคย "ขายบัญชีม้า" ให้กับกลุ่มมิจฉาชีพ หรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำบัญชีไปใช้ในการก่ออาชญากรรม เมื่อเข้าสู่ระบบ Mobile Banking จะขึ้นข้อความว่า "บัญชีของคุณถูกระงับ" หรือข้อความในลักษณะใกล้เคียง โดยไม่สามารถทำธุรกรรมโอนเงินหรือถอนเงินออกมาได้ ธนาคารจะระงับการทำธุรกรรมผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ ทุกบัญชี ทุกธนาคาร เพื่อให้เจ้าของบัญชีมาพิสูจน์ข้อเท็จจริงอย่างเข้มข้น และจะต้องให้ความร่วมมือกับศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ (Anti Online Scam Operation Center) หรือ AOC 1441 ติดต่อกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ได้รับมอบหมาย เพื่อดำเนินการสืบสวนสอบสวนความเกี่ยวข้องทางคดี แต่ถ้าเป็นบัญชีที่ธนาคารตรวจพบพฤติกรรมต้องสงสัย แต่ยังไม่มีการแจ้งความ จะดำเนินการตามความเสี่ยงด้วยมาตรฐานเดียวกัน นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันภาคธนาคารได้ดำเนินมาตรการดังกล่าวไปแล้วกว่า 15,000 รายชื่อ ขอให้ประชาชนตระหนักถึงผลกระทบจากการยอมให้ผู้อื่นใช้บัญชีของตนเป็นบัญชีม้า ทั้งบัญชีเดิมหรือกำลังจะเปิดเพิ่มเติมใหม่ว่า มีโทษอาญาตามกฎหมาย รวมทั้งผลจากมาตรการที่เข้มงวด เช่น การพิจารณาระงับการใช้งานบัญชีทั้งหมดทันที รวมถึงจะพิจารณาไม่อนุญาตให้เปิดบัญชีใหม่ ซึ่งจะกระทบการใช้บริการทางการเงินของบุคคลดังกล่าวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อนึ่ง การเปิดหรือขายให้คนอื่นใช้บัญชีเงินฝาก บัตร หรือ e-Wallet เป็นบัญชีม้า ให้เช่าหรือให้ยืมใช้ซิมการ์ดโทรศัพท์เพื่อนำไปใช้ในทางทุจริตและการทำผิดกฎหมาย ต้องรับโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 300,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ #Newskit #CFR #บัญชีม้า - ขาย'พรอมเมนาดา' ตำนานห้างเชียงใหม่
นับเป็นการปิดฉากตำนานรีสอร์ตมอลล์ในเมืองเชียงใหม่ เมื่อกรมบังคับคดีเตรียมขายทรัพย์สินที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง โครงการพรอมเมนาดา รีสอร์ต มอลล์ บริเวณแยกดอนจั่น ถนนวงแหวนรอบ 2 ต.ท่าศาลา อ.เมือง จ.เชียงใหม่ จากคดีหมายเลขแดงที่ ล.2966/2562 ที่ บริษัท ฟลอยด์ จำกัด (มหาชน) ยื่นฟ้อง บริษัท อีซีซี เชียงใหม่ โครงการ 1 จำกัด และศาลได้พิพากษาให้จำเลยล้มละลายเมื่อวันที่ 18 เม.ย. 2566 โดยจะทำการขายรวม 24 แปลง กำหนดราคาประเมินรวม 2,058,375,055 บาท
ทั้งนี้ กรมบังคับคดีจะทำการขายโดยปลอดการจำนอง โดยได้กำหนดจำหน่ายทรัพย์ครั้งแรกวันที่ 21 ต.ค. 2567 ที่กรมบังคับคดี ถนนบางขุนนนท์ กรุงเทพฯ ผู้ประสงค์จะเข้าเสนอราคาต้องวางหลักประกันเป็นจำนวน 105,000,000.00 บาท จึงเป็นที่จับตามองว่า ผู้พัฒนาศูนย์การค้าหรืออสังหาริมทรัพย์รายใดจะคว้าศูนย์การค้านี้ไปครอง หลังจากถูกปล่อยทิ้งร้างมานานกว่า 2 ปี แม้ว่าทำเลจะอยู่ห่างออกไปจากใจกลางเมืองเชียงใหม่ ไปทางถนนซูเปอร์ไฮเวย์ประมาณ 10 กิโลเมตรก็ตาม
สำหรับพรอมเมนาดา เชียงใหม่ เป็นศูนย์การค้าสไตล์รีสอร์ต มอลล์ ตั้งอยู่บนพื้นที่ 58 ไร่ ลงทุนและบริหารโครงการโดยอีซีซี อินเตอร์เนชั่นแนล เรียลเอสเตท ซึ่งเป็นกลุ่มทุนจากประเทศเนเธอร์แลนด์ ใช้เงินลงทุนกว่า 2,900 ล้านบาท ก่อสร้างเสร็จและเริ่มเปิดให้บริการเฟสแรกเมื่อวันที่ 7 มิ.ย. 2556 แบ่งออกเป็น 2 อาคาร ได้แก่ อาคาร A และอาคาร B มีผู้เช่าหลักหลักประกอบด้วย ริมปิง ซูเปอร์มาร์เก็ต, ร้านชิชาง ดิ เอ็กซ์พีเรียน สโตร์, โรงภาพยนตร์เอสเอฟ ซีเนม่า จำนวน 8 โรง เป็นต้น
ในช่วงเปิดตัวได้รับความนิยม เนื่องจากสถาปัตยกรรมแปลกใหม่และความหรูหรา แต่ด้วยการแข่งขันด้านชอปปิ้งมอลล์ที่รุนแรงขึ้น อีกทั้งทำเลที่ตั้งอยู่ไกลจากเมือง ทำให้ความนิยมค่อยๆ ลดลง มีผู้ใช้บริการค่อนข้างน้อย ส่วนร้านดังต่างทยอยปิดตัวลง
ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 5 พ.ค. 2565 ศูนย์การค้าฯ แจ้งร้านค้าปิดให้บริการชั่วคราวอย่างไม่มีกำหนด เนื่องจากได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ตั้งแต่เดือน มี.ค. 2563 เป็นต้นมา แม้พยายามประคับประคองและต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายตลอด 3 ปี พยายามให้ส่วนลดค่าเช่ารวมถึงงดเก็บค่าเช่าในบางเดือน แต่ไม่อาจแบกรับภาระได้ ภายหลังยอมรับว่าค้างชำระค่าไฟฟ้ากับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคอยู่จำนวนหนึ่ง แม้ผ่อนชำระตามเงื่อนไข แต่กลับแจ้งให้ชำระเต็มจำนวน ซึ่งไม่สามารถหาเงินมาได้ทัน
#Newskit #กรมบังคับคดี #Promenadaขาย'พรอมเมนาดา' ตำนานห้างเชียงใหม่ นับเป็นการปิดฉากตำนานรีสอร์ตมอลล์ในเมืองเชียงใหม่ เมื่อกรมบังคับคดีเตรียมขายทรัพย์สินที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง โครงการพรอมเมนาดา รีสอร์ต มอลล์ บริเวณแยกดอนจั่น ถนนวงแหวนรอบ 2 ต.ท่าศาลา อ.เมือง จ.เชียงใหม่ จากคดีหมายเลขแดงที่ ล.2966/2562 ที่ บริษัท ฟลอยด์ จำกัด (มหาชน) ยื่นฟ้อง บริษัท อีซีซี เชียงใหม่ โครงการ 1 จำกัด และศาลได้พิพากษาให้จำเลยล้มละลายเมื่อวันที่ 18 เม.ย. 2566 โดยจะทำการขายรวม 24 แปลง กำหนดราคาประเมินรวม 2,058,375,055 บาท ทั้งนี้ กรมบังคับคดีจะทำการขายโดยปลอดการจำนอง โดยได้กำหนดจำหน่ายทรัพย์ครั้งแรกวันที่ 21 ต.ค. 2567 ที่กรมบังคับคดี ถนนบางขุนนนท์ กรุงเทพฯ ผู้ประสงค์จะเข้าเสนอราคาต้องวางหลักประกันเป็นจำนวน 105,000,000.00 บาท จึงเป็นที่จับตามองว่า ผู้พัฒนาศูนย์การค้าหรืออสังหาริมทรัพย์รายใดจะคว้าศูนย์การค้านี้ไปครอง หลังจากถูกปล่อยทิ้งร้างมานานกว่า 2 ปี แม้ว่าทำเลจะอยู่ห่างออกไปจากใจกลางเมืองเชียงใหม่ ไปทางถนนซูเปอร์ไฮเวย์ประมาณ 10 กิโลเมตรก็ตาม สำหรับพรอมเมนาดา เชียงใหม่ เป็นศูนย์การค้าสไตล์รีสอร์ต มอลล์ ตั้งอยู่บนพื้นที่ 58 ไร่ ลงทุนและบริหารโครงการโดยอีซีซี อินเตอร์เนชั่นแนล เรียลเอสเตท ซึ่งเป็นกลุ่มทุนจากประเทศเนเธอร์แลนด์ ใช้เงินลงทุนกว่า 2,900 ล้านบาท ก่อสร้างเสร็จและเริ่มเปิดให้บริการเฟสแรกเมื่อวันที่ 7 มิ.ย. 2556 แบ่งออกเป็น 2 อาคาร ได้แก่ อาคาร A และอาคาร B มีผู้เช่าหลักหลักประกอบด้วย ริมปิง ซูเปอร์มาร์เก็ต, ร้านชิชาง ดิ เอ็กซ์พีเรียน สโตร์, โรงภาพยนตร์เอสเอฟ ซีเนม่า จำนวน 8 โรง เป็นต้น ในช่วงเปิดตัวได้รับความนิยม เนื่องจากสถาปัตยกรรมแปลกใหม่และความหรูหรา แต่ด้วยการแข่งขันด้านชอปปิ้งมอลล์ที่รุนแรงขึ้น อีกทั้งทำเลที่ตั้งอยู่ไกลจากเมือง ทำให้ความนิยมค่อยๆ ลดลง มีผู้ใช้บริการค่อนข้างน้อย ส่วนร้านดังต่างทยอยปิดตัวลง ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 5 พ.ค. 2565 ศูนย์การค้าฯ แจ้งร้านค้าปิดให้บริการชั่วคราวอย่างไม่มีกำหนด เนื่องจากได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ตั้งแต่เดือน มี.ค. 2563 เป็นต้นมา แม้พยายามประคับประคองและต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายตลอด 3 ปี พยายามให้ส่วนลดค่าเช่ารวมถึงงดเก็บค่าเช่าในบางเดือน แต่ไม่อาจแบกรับภาระได้ ภายหลังยอมรับว่าค้างชำระค่าไฟฟ้ากับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคอยู่จำนวนหนึ่ง แม้ผ่อนชำระตามเงื่อนไข แต่กลับแจ้งให้ชำระเต็มจำนวน ซึ่งไม่สามารถหาเงินมาได้ทัน #Newskit #กรมบังคับคดี #Promenada - คณิตศาสตร์การเมือง สนามเลือกตั้งราชบุรี
การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดราชบุรี เมื่อวันที่ 1 ก.ย. 2567 นายวิวัฒน์ นิติกาญจนา หรือกำนันตุ้ย อดีตนายก อบจ.ราชบุรี ได้ 242,297 คะแนน เอาชนะ นายชัยรัตน์ ศักดิ์อิสระพงศ์ หรือ หวุน ผู้สมัครจากพรรคประชาชน อดีตพรรคก้าวไกล ได้ 175,353 คะแนน ห่างกัน 66,944 คะแนน โดยมีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง 455,400 คน คิดเป็น 67.31% จากจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 676,526 คน มีบัตรดี 417,650 ใบ บัตรเสีย 16,500 ใบ และบัตรไม่เลือกผู้สมัครรายใด 21,250 ใบ คิดเป็น 4.67%
เมื่อพิจารณาผลคะแนนเลือกตั้งแบบรายอำเภอทั้ง 10 อำเภอ พบว่านายชัยรัตน์มีคะแนนสูสีกับนายวิวัฒน์ในอำเภอเมืองราชบุรี นายชัยรัตน์ได้ 43,584 คะแนน นายวิวัฒน์ได้ 45,390 คะแนน ห่างกัน 1,806 คะแนน หรือ 3.98% และอำเภอสวนผึ้ง นายชัยรัตน์ได้ 7,468 คะแนน นายวิวัฒน์ได้ 8,027 คะแนน ห่างกัน 559 คะแนน หรือ 6.96% ส่วนอำเภอที่มีคะแนนห่างกันมากที่สุด คืออำเภอโพธาราม นายชัยรัตน์ได้ 27,833 คะแนน นายวิวัฒน์ได้ 46,354 คะแนน ห่างกัน 18,521 คะแนน หรือ 39.96%
ถึงกระนั้น เมื่อเทียบกับผลการเลือกตั้งนายก อบจ.ราชบุรี เมื่อวันที่ 20 ธ.ค. 2563 หรือเมื่อ 4 ปีก่อน พบว่า นายวิวัฒน์ได้ 241,952 คะแนน เทียบกับการเลือกตั้งครั้งนี้ เพิ่มขึ้น 345 คะแนน ส่วนนางภรมน นรการกุมพล ผู้สมัครจากคณะก้าวหน้าของนายธนาธร ได้ 74,929 คะแนน เทียบกับการเลือกตั้งครั้งนี้ เพิ่มขึ้น 100,424 คะแนน อันดับสาม นายอรรถพงศ์ ห้องริ้ว ผู้สมัครกลุ่ม New Gen ที่พรรคเพื่อไทยให้การสนับสนุน ได้ 54,153 คะแนน
เนื่องจากการเลือกตั้ง อบจ.ราชบุรีครั้งนี้ พรรคประชาชนและผู้สนับสนุนคนสำคัญลงพื้นที่ อาทิ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน และ สส.พรรคคนอื่นๆ รวมทั้งสื่อมวลชนให้พื้นที่ข่าวนายชัยรัตน์ เปรียบได้กับสนามการเมืองระดับชาติ แต่นายวิวัฒน์แทบไม่มีพื้นที่ข่าวบนหน้าสื่อมวลชนเลย จึงต้องพิจารณาสนามเลือกตั้ง สส.ราชบุรี เมื่อปี 2566 ที่ผ่านมา
แม้เก้าอี้ สส.แบบแบ่งเขตจะเป็นของพรรคพลังประชารัฐ 3 ที่นั่ง และพรรครวมไทยสร้างชาติ 2 ที่นั่ง แต่คะแนนบัตรเลือกตั้ง สส.แบบบัญชีรายชื่อ (ปาร์ตี้ลิสต์) พบว่า พรรคก้าวไกลนำเป็นอันดับหนึ่ง รวม 5 เขตได้ไป 233,608 คะแนน ส่วนอันดับ 2 เป็นของพรรคเพื่อไทย แม้จะไม่ได้ สส. แต่ได้คะแนนปาร์ตี้ลิสต์มากถึง 102,757 คะแนน ส่วนพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้ 90,598 คะแนน และพรรคพลังประชารัฐ ได้ 10,192 คะแนน เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว คะแนนพรรคก้าวไกลหายไป 58,255 คะแนน
นักการเมืองในพื้นที่ราชบุรีวิเคราะห์กันว่า คะแนนนิยมของนายชัยรัตน์และพรรคประชาชนช่วงแรก โดยเฉพาะหลังยุบพรรคก้าวไกลคะแนนดีมาก ทำให้ตระกูลนิติกาญจนาหวั่นไหวพอสมควร แต่ถูกโจมตีจากการปราศรัยพาดพิงโรงเรียนและโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ขณะที่หลายกลุ่มการเมืองในราชบุรีช่วยกันจับมือช่วยนายวิวัฒน์สู้กับพรรคประชาชน หลังพรรคก้าวไกลแม้ไม่ได้ สส.เขต แต่ได้คะแนนปาร์ตี้ลิสต์อันดับหนึ่ง จึงช่วยกันสกัดไม่ให้พรรคประชาชนแจ้งเกิดการเมืองท้องถิ่นที่นี่
#Newskit #อบจราชบุรี #เลือกตั้งราชบุรีคณิตศาสตร์การเมือง สนามเลือกตั้งราชบุรี การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดราชบุรี เมื่อวันที่ 1 ก.ย. 2567 นายวิวัฒน์ นิติกาญจนา หรือกำนันตุ้ย อดีตนายก อบจ.ราชบุรี ได้ 242,297 คะแนน เอาชนะ นายชัยรัตน์ ศักดิ์อิสระพงศ์ หรือ หวุน ผู้สมัครจากพรรคประชาชน อดีตพรรคก้าวไกล ได้ 175,353 คะแนน ห่างกัน 66,944 คะแนน โดยมีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง 455,400 คน คิดเป็น 67.31% จากจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 676,526 คน มีบัตรดี 417,650 ใบ บัตรเสีย 16,500 ใบ และบัตรไม่เลือกผู้สมัครรายใด 21,250 ใบ คิดเป็น 4.67% เมื่อพิจารณาผลคะแนนเลือกตั้งแบบรายอำเภอทั้ง 10 อำเภอ พบว่านายชัยรัตน์มีคะแนนสูสีกับนายวิวัฒน์ในอำเภอเมืองราชบุรี นายชัยรัตน์ได้ 43,584 คะแนน นายวิวัฒน์ได้ 45,390 คะแนน ห่างกัน 1,806 คะแนน หรือ 3.98% และอำเภอสวนผึ้ง นายชัยรัตน์ได้ 7,468 คะแนน นายวิวัฒน์ได้ 8,027 คะแนน ห่างกัน 559 คะแนน หรือ 6.96% ส่วนอำเภอที่มีคะแนนห่างกันมากที่สุด คืออำเภอโพธาราม นายชัยรัตน์ได้ 27,833 คะแนน นายวิวัฒน์ได้ 46,354 คะแนน ห่างกัน 18,521 คะแนน หรือ 39.96% ถึงกระนั้น เมื่อเทียบกับผลการเลือกตั้งนายก อบจ.ราชบุรี เมื่อวันที่ 20 ธ.ค. 2563 หรือเมื่อ 4 ปีก่อน พบว่า นายวิวัฒน์ได้ 241,952 คะแนน เทียบกับการเลือกตั้งครั้งนี้ เพิ่มขึ้น 345 คะแนน ส่วนนางภรมน นรการกุมพล ผู้สมัครจากคณะก้าวหน้าของนายธนาธร ได้ 74,929 คะแนน เทียบกับการเลือกตั้งครั้งนี้ เพิ่มขึ้น 100,424 คะแนน อันดับสาม นายอรรถพงศ์ ห้องริ้ว ผู้สมัครกลุ่ม New Gen ที่พรรคเพื่อไทยให้การสนับสนุน ได้ 54,153 คะแนน เนื่องจากการเลือกตั้ง อบจ.ราชบุรีครั้งนี้ พรรคประชาชนและผู้สนับสนุนคนสำคัญลงพื้นที่ อาทิ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน และ สส.พรรคคนอื่นๆ รวมทั้งสื่อมวลชนให้พื้นที่ข่าวนายชัยรัตน์ เปรียบได้กับสนามการเมืองระดับชาติ แต่นายวิวัฒน์แทบไม่มีพื้นที่ข่าวบนหน้าสื่อมวลชนเลย จึงต้องพิจารณาสนามเลือกตั้ง สส.ราชบุรี เมื่อปี 2566 ที่ผ่านมา แม้เก้าอี้ สส.แบบแบ่งเขตจะเป็นของพรรคพลังประชารัฐ 3 ที่นั่ง และพรรครวมไทยสร้างชาติ 2 ที่นั่ง แต่คะแนนบัตรเลือกตั้ง สส.แบบบัญชีรายชื่อ (ปาร์ตี้ลิสต์) พบว่า พรรคก้าวไกลนำเป็นอันดับหนึ่ง รวม 5 เขตได้ไป 233,608 คะแนน ส่วนอันดับ 2 เป็นของพรรคเพื่อไทย แม้จะไม่ได้ สส. แต่ได้คะแนนปาร์ตี้ลิสต์มากถึง 102,757 คะแนน ส่วนพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้ 90,598 คะแนน และพรรคพลังประชารัฐ ได้ 10,192 คะแนน เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว คะแนนพรรคก้าวไกลหายไป 58,255 คะแนน นักการเมืองในพื้นที่ราชบุรีวิเคราะห์กันว่า คะแนนนิยมของนายชัยรัตน์และพรรคประชาชนช่วงแรก โดยเฉพาะหลังยุบพรรคก้าวไกลคะแนนดีมาก ทำให้ตระกูลนิติกาญจนาหวั่นไหวพอสมควร แต่ถูกโจมตีจากการปราศรัยพาดพิงโรงเรียนและโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ขณะที่หลายกลุ่มการเมืองในราชบุรีช่วยกันจับมือช่วยนายวิวัฒน์สู้กับพรรคประชาชน หลังพรรคก้าวไกลแม้ไม่ได้ สส.เขต แต่ได้คะแนนปาร์ตี้ลิสต์อันดับหนึ่ง จึงช่วยกันสกัดไม่ให้พรรคประชาชนแจ้งเกิดการเมืองท้องถิ่นที่นี่ #Newskit #อบจราชบุรี #เลือกตั้งราชบุรี - BRT สายแรกในลาว คาดแล้วเสร็จ ธ.ค.นี้
เมื่อวันก่อนสื่อออนไลน์ในประเทศลาว เผยแพร่ภาพความคืบหน้าการก่อสร้างที่นั่งรอรถเมล์ (Bus Shelter) เขตโพนสะอาด เมืองไชยเชษฐา นครหลวงเวียงจันทน์ ตามโครงการรถเมล์ด่วนพิเศษบีอาร์ที (Bus Rapid Transit หรือ BRT) ภายใต้ชื่อโครงการขนส่งแบบยั่งยืนในตัวเมือง (Vientiane Sustainable Urban Transport Project หรือ VSUTP) ซึ่งมึความคืบหน้าไปมาก
กระทรวงโยธาธิการและขนส่ง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ดำเนินโครงการทั้งหมด 5 สัญญา ได้แก่ ก่อสร้างช่องจราจรรถเมล์ด่วน และสถานี BRT ช่วงสวนเจ้าฟ้างุ้ม ถึงประตูชัย และช่วงประตูชัย ถึงมหาวิทยาลัยแห่งชาติลาว พร้อมก่อสร้างที่นั่งรอรถเมล์ (Bus Shelter)
นอกจากนี้ ยังก่อสร้างอู่รถเมล์ ศูนย์ซ่อมบำรุง และศูนย์ควบคุมการเดินรถเมล์ BRT วางสายใยแก้ว (Fiber Optic) ก่อสร้างทางร่วม ปรับปรุงทัศนียภาพ และก่อสร้างและติดตั้งไฟสัญญาณจราจร จำนวน 41 จุด ครอบคลุม 5 ตัวเมือง เริ่มต้นก่อสร้างเมื่อเดือน มิ.ย. 2567 ที่ผ่านมา โดยมีแผนจะก่อสร้างแล้วเสร็จในเดือน ธ.ค. 2567
สำหรับรูปแบบการให้บริการรถเมล์ด่วนพิเศษ BRT นครหลวงเวียงจันทน์ มีทั้งหมด 3 เส้นทาง ได้แก่ เส้นทาง A สถานีขนส่งสายเหนือ-สวนเจ้าฟ้างุ้ม-ตลาดเช้า-ประตูชัย-ศูนย์การค้าไอเต็ก มอลล์, เส้นทาง B ธาตุทอง-สวนเจ้าฟ้างุ้ม-ตลาดเช้า-ประตูชัย-ท่าง่อน และเส้นทาง D สวนเจ้าฟ้างุ้ม-ตลาดเช้า-ประตูชัย-ดงโดก (มหาวิทยาลัยแห่งชาติลาว)
ใช้รถโดยสารปรับอากาศพลังงานไฟฟ้าความยาว 12 เมตร ขนาด 40 ที่นั่ง มีที่นั่งพิเศษสำหรับผู้สูงอายุ สตรีมีครรภ์ และผู้พิการ รองรับรถเข็นวีลแชร์ เปิดให้บริการตั้งแต่ 06.00-22.00 น. คิดค่าโดยสารเป็น 2 ระยะ คือ ระยะสั้นใจกลางเมือง 3,500 กีบ ระยะยาวไปยังชานเมือง 8,000 กีบ ชำระเงินผ่านบัตรสมาร์ทการ์ด ที่สถานีหลัก BRT และร้านสะดวกซื้อที่ร่วมโครงการ
โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนเงินกู้จากธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (ADB) และองค์กรอื่นๆ เมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จ ADB คาดการณ์ว่าประชาชนจะหันมาใช้ระบบขนส่งสาธารณะเพิ่มขึ้น ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และรองรับนักท่องเที่ยว สามารถเดินทางไปยังแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของนครหลวงเวียงจันทน์ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
#Newskit #VientianeBRT #VSUTPBRT สายแรกในลาว คาดแล้วเสร็จ ธ.ค.นี้ เมื่อวันก่อนสื่อออนไลน์ในประเทศลาว เผยแพร่ภาพความคืบหน้าการก่อสร้างที่นั่งรอรถเมล์ (Bus Shelter) เขตโพนสะอาด เมืองไชยเชษฐา นครหลวงเวียงจันทน์ ตามโครงการรถเมล์ด่วนพิเศษบีอาร์ที (Bus Rapid Transit หรือ BRT) ภายใต้ชื่อโครงการขนส่งแบบยั่งยืนในตัวเมือง (Vientiane Sustainable Urban Transport Project หรือ VSUTP) ซึ่งมึความคืบหน้าไปมาก กระทรวงโยธาธิการและขนส่ง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ดำเนินโครงการทั้งหมด 5 สัญญา ได้แก่ ก่อสร้างช่องจราจรรถเมล์ด่วน และสถานี BRT ช่วงสวนเจ้าฟ้างุ้ม ถึงประตูชัย และช่วงประตูชัย ถึงมหาวิทยาลัยแห่งชาติลาว พร้อมก่อสร้างที่นั่งรอรถเมล์ (Bus Shelter) นอกจากนี้ ยังก่อสร้างอู่รถเมล์ ศูนย์ซ่อมบำรุง และศูนย์ควบคุมการเดินรถเมล์ BRT วางสายใยแก้ว (Fiber Optic) ก่อสร้างทางร่วม ปรับปรุงทัศนียภาพ และก่อสร้างและติดตั้งไฟสัญญาณจราจร จำนวน 41 จุด ครอบคลุม 5 ตัวเมือง เริ่มต้นก่อสร้างเมื่อเดือน มิ.ย. 2567 ที่ผ่านมา โดยมีแผนจะก่อสร้างแล้วเสร็จในเดือน ธ.ค. 2567 สำหรับรูปแบบการให้บริการรถเมล์ด่วนพิเศษ BRT นครหลวงเวียงจันทน์ มีทั้งหมด 3 เส้นทาง ได้แก่ เส้นทาง A สถานีขนส่งสายเหนือ-สวนเจ้าฟ้างุ้ม-ตลาดเช้า-ประตูชัย-ศูนย์การค้าไอเต็ก มอลล์, เส้นทาง B ธาตุทอง-สวนเจ้าฟ้างุ้ม-ตลาดเช้า-ประตูชัย-ท่าง่อน และเส้นทาง D สวนเจ้าฟ้างุ้ม-ตลาดเช้า-ประตูชัย-ดงโดก (มหาวิทยาลัยแห่งชาติลาว) ใช้รถโดยสารปรับอากาศพลังงานไฟฟ้าความยาว 12 เมตร ขนาด 40 ที่นั่ง มีที่นั่งพิเศษสำหรับผู้สูงอายุ สตรีมีครรภ์ และผู้พิการ รองรับรถเข็นวีลแชร์ เปิดให้บริการตั้งแต่ 06.00-22.00 น. คิดค่าโดยสารเป็น 2 ระยะ คือ ระยะสั้นใจกลางเมือง 3,500 กีบ ระยะยาวไปยังชานเมือง 8,000 กีบ ชำระเงินผ่านบัตรสมาร์ทการ์ด ที่สถานีหลัก BRT และร้านสะดวกซื้อที่ร่วมโครงการ โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนเงินกู้จากธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (ADB) และองค์กรอื่นๆ เมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จ ADB คาดการณ์ว่าประชาชนจะหันมาใช้ระบบขนส่งสาธารณะเพิ่มขึ้น ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และรองรับนักท่องเที่ยว สามารถเดินทางไปยังแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของนครหลวงเวียงจันทน์ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น #Newskit #VientianeBRT #VSUTP - BRT เก่าไปใหม่มา จาก NGV สู่รถบัส EV
เช้าตรู่ของวันอาทิตย์ที่ 1 ก.ย. 2567 รถโดยสารด่วนพิเศษบีอาร์ที (BRT) สายสาทร-ราชพฤกษ์ ใช้รถโดยสารปรับอากาศพลังงานไฟฟ้า (EV) เป็นวันแรก ทดแทนรถโดยสารปรับอากาศใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (NGV) ที่ให้บริการครั้งแรกเมื่อวันที่ 29 พ.ค. 2553 ยาวนานถึง 14 ปี โดยเดินรถวันสุดท้ายเมื่อวันที่ 31 ส.ค. ที่ผ่านมา ก่อนนำรถโดยสารคันเก่าจำนวน 15 คัน ไปไว้ที่ศูนย์ซ่อมบำรุงและควบคุมส่วนกลาง สายสะพานใหม่-คูคต เป็นการชั่วคราว เพื่อรอการปลดระวางต่อไป
รถโดยสารด่วนพิเศษบีอาร์ที BRT-EV โฉมใหม่ เป็นพื้นชานต่ำ มีที่นั่งรวม 30 ที่นั่ง ติดตั้งเข็มขัดนิรภัยทุกที่นั่ง มีประตูขึ้น-ลงบริเวณตอนกลางของรถทั้งสองฝั่ง พร้อมทางลาดสำหรับรถเข็นผู้พิการ หรือวีลแชร์ พร้อมติดตั้งกล้องซีซีทีวี 5 ตัว ติดตั้งระบบ GPS พร้อมหน้าจอแสดงตำแหน่งแบบเรียลไทม์ภายในรถ และประตูทางออกฉุกเฉิน ส่วนระบบเก็บค่าโดยสาร ปรับมาใช้ระบบจัดเก็บค่าโดยสารอัตโนมัติบนรถ แทนการซื้อตั๋วที่สถานี รับชำระผ่านบัตรแรบบิทหรือสแกน QR Code
สำนักการจราจรและขนส่ง กรุงเทพมหานคร (สจส.กทม.) และบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือบีทีเอสซี (BTSC) ให้บริการฟรีตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. ถึง 31 ต.ค. 2567 เปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 06.00-22.00 น. ทุกวัน พร้อมกันนี้ยังได้เพิ่มจุดรับ-ส่งผู้โดยสารเพิ่มเติมอีก 2 สถานี ได้แก่ สถานีถนนจันทน์เหนือ และสถานีถนนจันทน์ใต้ รวมจุดจอดทั้งหมด 14 สถานี สำหรับค่าโดยสาร กทม.จะเป็นผู้กำหนด เนื่องจากโครงการดังกล่าวเป็นไปในลักษณะจ้างเอกชนเดินรถ
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 2 ก.พ. บีทีเอสซี ชนะการประกวดราคาจ้างโครงการพัฒนาระบบการเดินรถโดยสารด่วนพิเศษ (BRT) ด้วยวิธีประกวดราคาทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) ของ กทม. เสนอราคาต่ำสุด วงเงิน 465 ล้านบาท โดยสัญญามีอายุ 5 ปี ระหว่างปี 2567-2572 จากนั้นได้สั่งซื้อรถโดยสารจากบริษัท อรุณพลัส จำกัด บริษัทย่อยของกลุ่ม ปตท. จำนวน 23 คัน โดยให้บริษัท เชิดชัย คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผลิตตัวถังรถโดยสารที่โรงงานในจังหวัดนครราชสีมา
สำหรับโครงการรถโดยสารประจำทางด่วนพิเศษบีอาร์ที (BRT หรือ Bus Rapid Transit) กทม.เริ่มดำเนินโครงการเมื่อวันที่ 29 พ.ค. 2550 มีระยะทาง 15.9 กิโลเมตร แนวเส้นทางเริ่มจากสถานีสาทร บริเวณแยกสาทร-นราธิวาสฯ ไปตามถนนนราธิวาสราชนครินทร์ ถึงแยกพระรามที่ 3-นราธิวาสฯ เลี้ยวขวาไปตามถนนพระรามที่ 3 ขึ้นสะพานพระราม 3 ไปตามถนนรัชดาภิเษก สิ้นสุดที่สถานีราชพฤกษ์ บริเวณแยกรัชดาฯ-ตลาดพลู โดยมีช่องทางการเดินรถแยกจากช่องทางปกติควบคู่กับระบบขนส่งอัจฉริยะ
โครงการนี้เกิดขึ้นในสมัยนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน เป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร แต่ได้เดินรถในสมัย ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร เป็นผู้ว่าฯ กทม. ใช้งบประมาณในการก่อสร้าง 2,078.47 ล้านบาท
ที่ผ่านมา กทม. ว่าจ้างบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด หรือ เคที (KT) วิสาหกิจของ กทม. ให้เป็นผู้บริหารจัดการเดินรถเป็นระยะเวลา 7 ปี โดยได้ให้สิทธิเอกชน คือ บีทีเอสซี เป็นผู้เดินรถ รายได้จากค่าโดยสารนำส่ง กทม. ทั้งหมด และ กทม. สนับสนุนค่าใช้จ่ายให้แก่โครงการฯ เมื่อสิ้นสุดสัญญาจึงมอบหมายให้เคทีเป็นผู้ดำเนินการโครงการ ตั้งแต่วันที่ 29 พ.ค. 2560 ถึง 31 ส.ค. 2566 โดยข้อมูล ณ เดือน มิ.ย. 2566 มีปริมาณผู้โดยสารรวม 258,415 เที่ยว-คน
อย่างไรก็ตาม การให้บริการรถเมล์ด่วนพิเศษ BRT ที่ผ่านมาขาดทุนสะสมต่อเนื่องปีละ 200 ล้านบาท เพราะผู้โดยสารเฉลี่ยวันละ 25,000 คน ส่วนหนึ่งเป็นนักเรียนที่ได้รับสิทธิใช้บริการฟรี และผู้สูงอายุที่ได้รับสิทธิลดหย่อนค่าโดยสาร ทำให้การให้บริการไม่ตรงกลุ่มเป้าหมาย อีกทั้งยังมีรถบางคันเข้ามาวิ่งในเลนรถด่วนพิเศษ จึงใช้เวลาเดินทางไม่ต่างกับรถโดยสารธรรมดา ทำให้ครั้งหนึ่ง กทม. เคยประกาศยกเลิกโครงการเมื่อปี 2560 แต่มีเสียงคัดค้าน ต้องเลื่อนแผนการยกเลิกโครงการฯ ออกไป
ถึงยุคนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. พบว่าจำนวนผู้โดยสารลดลงเหลือเฉลี่ยวันละ 900-1,000 คน และสัญญาได้หมดลงในวันที่ 31 ส.ค. 2566 จึงให้เดินรถต่อไปก่อนโดยไม่คิดค่าโดยสาร และให้ สจส.กทม. เป็นผู้ดำเนินการเองแทนเคที กระทั่งจัดการประมูลด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) วงเงินงบประมาณ 478,932,000 บาท สัญญาจ้าง 5 ปี มีเอกชนซื้อซองข้อเสนอจำนวน 2 ราย ได้แก่ บีทีเอสซี และบริษัท ไทยสมาล์บัส จำกัด หรือทีเอสบี กระทั่งบีทีเอสซีชนะประมูลในที่สุด
#Newskit #BRTEV #รถเมล์ด่วนพิเศษบีอาร์ทีBRT เก่าไปใหม่มา จาก NGV สู่รถบัส EV เช้าตรู่ของวันอาทิตย์ที่ 1 ก.ย. 2567 รถโดยสารด่วนพิเศษบีอาร์ที (BRT) สายสาทร-ราชพฤกษ์ ใช้รถโดยสารปรับอากาศพลังงานไฟฟ้า (EV) เป็นวันแรก ทดแทนรถโดยสารปรับอากาศใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (NGV) ที่ให้บริการครั้งแรกเมื่อวันที่ 29 พ.ค. 2553 ยาวนานถึง 14 ปี โดยเดินรถวันสุดท้ายเมื่อวันที่ 31 ส.ค. ที่ผ่านมา ก่อนนำรถโดยสารคันเก่าจำนวน 15 คัน ไปไว้ที่ศูนย์ซ่อมบำรุงและควบคุมส่วนกลาง สายสะพานใหม่-คูคต เป็นการชั่วคราว เพื่อรอการปลดระวางต่อไป รถโดยสารด่วนพิเศษบีอาร์ที BRT-EV โฉมใหม่ เป็นพื้นชานต่ำ มีที่นั่งรวม 30 ที่นั่ง ติดตั้งเข็มขัดนิรภัยทุกที่นั่ง มีประตูขึ้น-ลงบริเวณตอนกลางของรถทั้งสองฝั่ง พร้อมทางลาดสำหรับรถเข็นผู้พิการ หรือวีลแชร์ พร้อมติดตั้งกล้องซีซีทีวี 5 ตัว ติดตั้งระบบ GPS พร้อมหน้าจอแสดงตำแหน่งแบบเรียลไทม์ภายในรถ และประตูทางออกฉุกเฉิน ส่วนระบบเก็บค่าโดยสาร ปรับมาใช้ระบบจัดเก็บค่าโดยสารอัตโนมัติบนรถ แทนการซื้อตั๋วที่สถานี รับชำระผ่านบัตรแรบบิทหรือสแกน QR Code สำนักการจราจรและขนส่ง กรุงเทพมหานคร (สจส.กทม.) และบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือบีทีเอสซี (BTSC) ให้บริการฟรีตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. ถึง 31 ต.ค. 2567 เปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 06.00-22.00 น. ทุกวัน พร้อมกันนี้ยังได้เพิ่มจุดรับ-ส่งผู้โดยสารเพิ่มเติมอีก 2 สถานี ได้แก่ สถานีถนนจันทน์เหนือ และสถานีถนนจันทน์ใต้ รวมจุดจอดทั้งหมด 14 สถานี สำหรับค่าโดยสาร กทม.จะเป็นผู้กำหนด เนื่องจากโครงการดังกล่าวเป็นไปในลักษณะจ้างเอกชนเดินรถ ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 2 ก.พ. บีทีเอสซี ชนะการประกวดราคาจ้างโครงการพัฒนาระบบการเดินรถโดยสารด่วนพิเศษ (BRT) ด้วยวิธีประกวดราคาทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) ของ กทม. เสนอราคาต่ำสุด วงเงิน 465 ล้านบาท โดยสัญญามีอายุ 5 ปี ระหว่างปี 2567-2572 จากนั้นได้สั่งซื้อรถโดยสารจากบริษัท อรุณพลัส จำกัด บริษัทย่อยของกลุ่ม ปตท. จำนวน 23 คัน โดยให้บริษัท เชิดชัย คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผลิตตัวถังรถโดยสารที่โรงงานในจังหวัดนครราชสีมา สำหรับโครงการรถโดยสารประจำทางด่วนพิเศษบีอาร์ที (BRT หรือ Bus Rapid Transit) กทม.เริ่มดำเนินโครงการเมื่อวันที่ 29 พ.ค. 2550 มีระยะทาง 15.9 กิโลเมตร แนวเส้นทางเริ่มจากสถานีสาทร บริเวณแยกสาทร-นราธิวาสฯ ไปตามถนนนราธิวาสราชนครินทร์ ถึงแยกพระรามที่ 3-นราธิวาสฯ เลี้ยวขวาไปตามถนนพระรามที่ 3 ขึ้นสะพานพระราม 3 ไปตามถนนรัชดาภิเษก สิ้นสุดที่สถานีราชพฤกษ์ บริเวณแยกรัชดาฯ-ตลาดพลู โดยมีช่องทางการเดินรถแยกจากช่องทางปกติควบคู่กับระบบขนส่งอัจฉริยะ โครงการนี้เกิดขึ้นในสมัยนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน เป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร แต่ได้เดินรถในสมัย ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร เป็นผู้ว่าฯ กทม. ใช้งบประมาณในการก่อสร้าง 2,078.47 ล้านบาท ที่ผ่านมา กทม. ว่าจ้างบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด หรือ เคที (KT) วิสาหกิจของ กทม. ให้เป็นผู้บริหารจัดการเดินรถเป็นระยะเวลา 7 ปี โดยได้ให้สิทธิเอกชน คือ บีทีเอสซี เป็นผู้เดินรถ รายได้จากค่าโดยสารนำส่ง กทม. ทั้งหมด และ กทม. สนับสนุนค่าใช้จ่ายให้แก่โครงการฯ เมื่อสิ้นสุดสัญญาจึงมอบหมายให้เคทีเป็นผู้ดำเนินการโครงการ ตั้งแต่วันที่ 29 พ.ค. 2560 ถึง 31 ส.ค. 2566 โดยข้อมูล ณ เดือน มิ.ย. 2566 มีปริมาณผู้โดยสารรวม 258,415 เที่ยว-คน อย่างไรก็ตาม การให้บริการรถเมล์ด่วนพิเศษ BRT ที่ผ่านมาขาดทุนสะสมต่อเนื่องปีละ 200 ล้านบาท เพราะผู้โดยสารเฉลี่ยวันละ 25,000 คน ส่วนหนึ่งเป็นนักเรียนที่ได้รับสิทธิใช้บริการฟรี และผู้สูงอายุที่ได้รับสิทธิลดหย่อนค่าโดยสาร ทำให้การให้บริการไม่ตรงกลุ่มเป้าหมาย อีกทั้งยังมีรถบางคันเข้ามาวิ่งในเลนรถด่วนพิเศษ จึงใช้เวลาเดินทางไม่ต่างกับรถโดยสารธรรมดา ทำให้ครั้งหนึ่ง กทม. เคยประกาศยกเลิกโครงการเมื่อปี 2560 แต่มีเสียงคัดค้าน ต้องเลื่อนแผนการยกเลิกโครงการฯ ออกไป ถึงยุคนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. พบว่าจำนวนผู้โดยสารลดลงเหลือเฉลี่ยวันละ 900-1,000 คน และสัญญาได้หมดลงในวันที่ 31 ส.ค. 2566 จึงให้เดินรถต่อไปก่อนโดยไม่คิดค่าโดยสาร และให้ สจส.กทม. เป็นผู้ดำเนินการเองแทนเคที กระทั่งจัดการประมูลด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) วงเงินงบประมาณ 478,932,000 บาท สัญญาจ้าง 5 ปี มีเอกชนซื้อซองข้อเสนอจำนวน 2 ราย ได้แก่ บีทีเอสซี และบริษัท ไทยสมาล์บัส จำกัด หรือทีเอสบี กระทั่งบีทีเอสซีชนะประมูลในที่สุด #Newskit #BRTEV #รถเมล์ด่วนพิเศษบีอาร์ที - ฮอตพอต ซินีมา กินสุกี้ไปดูหนังไป
ในขณะที่ประเทศไทยกำลังดรามาเรื่อง 9 จังหวัดในประเทศไทยที่ไม่มีโรงภาพยนตร์ อันเนื่องมาจากภาพยนตร์ดรามาแนว LGBTQ เรื่อง วิมาณหนาม ของค่าย GDH ว่าด้วยความรักของชายสองคนที่ถูกแย่งชิงสวนทุเรียน ซึ่งเนื้อเรื่องระบุชื่อ "สวนแม่ฮ่องสอนหมอนทองคำเสก" และใช้จังหวัดตราดสถานที่ถ่ายทำ แต่ก็โยงไปว่าทั้งสองจังหวัดไม่มีโรงภาพยนตร์แม้แต่โรงเดียว
ที่ประเทศมาเลเซีย มีไวรัลที่โรงภาพยนตร์ดาดี้ ซินีมา (Dadi Cinema) ชั้น 5 ศูนย์การค้าพาวิเลียน เคแอล (Pavilion KL) ย่านบูกิต บินตัง (Bukit Bintang) ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ มีการโพสต์ภาพเมื่อวันที่ 24 ส.ค. เป็นการเนรมิตโรงภาพยนตร์ผสมผสานกับเมนูอาหารสุกียากี้ ภายใต้ชื่อ "ฮอตพอต ซินีมา" (Hotpot Cinema) เป็นแห่งแรก ซึ่งจะเปิดให้บริการเร็วๆ นี้
รูปแบบการให้บริการจะมีการเสิร์ฟสุกียากี้ที่ปรุงด้วยน้ำซุปพร้อมกับเนื้อสัตว์และผักต่างๆ ขณะชมภาพยนตร์เรื่องโปรด ซึ่งในภาพจะเป็นโรงภาพยนตร์ชั้นสตาร์พลัส แม้จะยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติม แต่ได้โพสต์ภาพดังกล่าวลงบนเฟซบุ๊กและอินสตาแกรมของทางโรงภาพยนตร์ ทำให้บรรดาผู้ชมภาพยนตร์ต่างตั้งตารอที่จะใช้บริการ
อย่างไรก็ตาม ก็มีเสียงวิจารณ์ว่าจะปรุงและรับประทานสุกียากี้อย่างไรภายในโรงภาพยนตร์ที่มืด อีกความเห็นหนึ่งระบุว่า ดูไม่สะดวกสบาย ถ้าในโรงภาพยนตร์มีหม้อไฟเสิร์ฟ จะทำให้มีสมาธิในการดูภาพยนตร์น้อยลง เพราะจะโฟกัสไปที่การกินมากเกินไป
สำหรับโรงภาพยนตร์ดาดี้ ซินีมา เป็นธุรกิจในเครือดาดี้ มีเดีย กลุ่มอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในประเทศจีน ก่อตั้งขึ้นในปี 2543 มีโรงภาพยนตร์ 2,936 โรง ใน 191 แห่งทั่วประเทศจีน ก่อนที่จะขยายกิจการมายังมาเลเซียเป็นประเทศแรกเมื่อปี 2564 ปัจจุบันมี 2 สาขา ได้แก่ ศูนย์การค้าพาวิเลียน เคแอล กรุงกัวลาลัมเปอร์ และศูนย์การค้าดาเมน มอลล์ เมืองสุบังจายา รัฐสลังงอร์
บริการ "ฮอตพอต ซินีมา" ปรากฎครั้งแรกที่โรงภาพยนตร์แห่งหนึ่งในเมืองฝัวชาน มณฑลกวางตุ้งของจีน สำนักข่าวเซาต์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ (SCMP) รายงานเมื่อเดือน ก.พ. 2567 ว่า ลูกค้าจะต้องจ่ายค่าบัตรชมภาพยนตร์แยกต่างหาก สนนราคาชุด 2 คน 188 หยวน (ประมาณ 900 บาท) ประกอบด้วยอาหารทะเลสด เนื้อวัว และผัก
แต่ละโต๊ะจะมีเตาแม่เหล็กไฟฟ้า และโคมไฟให้ผู้ชมมองเห็นอาหารและวัตถุดิบ มีหม้อขนาดเล็ก และน้ำซุปที่ใช้มีกลิ่นไม่แรง เพื่อลดผลกระทบต่อประสบการณ์การชมภาพยนตร์ อีกทั้งในโรงภาพยนตร์ยังมีจุดระบายอากาศหลายจุดเพื่อปรับคุณภาพอากาศ และมีระบบป้องกันอัคคีภัยเช่นเดียวกับภัตตาคารทั่วไป จึงไม่มีข้อกังวลด้านความปลอดภัย
ฮอตพอต ซินีมา กลายเป็นไวรัลในจีน และกำลังจะเปิดตัวขึ้นในมาเลเซีย ส่วนประเทศไทย ปัจจุบันธุรกิจโรงภาพยนตร์ผูกขาดอยู่สองรายหลัก ได้แก่ เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป (MAJOR) และ เอสเอฟ คอร์ปอเรชั่น (SF) ขึ้นอยู่กับว่าจะสนใจไอเดียนี้หรือไม่ จากที่ผ่านมาได้ทดลองโมเดลธุรกิจหลายรูปแบบ เช่น โรงภาพยนตร์สำหรับเด็ก โรงภาพยนตร์สำหรับสัตว์เลี้ยง เป็นต้น
#Newskit #HotpotCinema #DadiCinemaฮอตพอต ซินีมา กินสุกี้ไปดูหนังไป ในขณะที่ประเทศไทยกำลังดรามาเรื่อง 9 จังหวัดในประเทศไทยที่ไม่มีโรงภาพยนตร์ อันเนื่องมาจากภาพยนตร์ดรามาแนว LGBTQ เรื่อง วิมาณหนาม ของค่าย GDH ว่าด้วยความรักของชายสองคนที่ถูกแย่งชิงสวนทุเรียน ซึ่งเนื้อเรื่องระบุชื่อ "สวนแม่ฮ่องสอนหมอนทองคำเสก" และใช้จังหวัดตราดสถานที่ถ่ายทำ แต่ก็โยงไปว่าทั้งสองจังหวัดไม่มีโรงภาพยนตร์แม้แต่โรงเดียว ที่ประเทศมาเลเซีย มีไวรัลที่โรงภาพยนตร์ดาดี้ ซินีมา (Dadi Cinema) ชั้น 5 ศูนย์การค้าพาวิเลียน เคแอล (Pavilion KL) ย่านบูกิต บินตัง (Bukit Bintang) ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ มีการโพสต์ภาพเมื่อวันที่ 24 ส.ค. เป็นการเนรมิตโรงภาพยนตร์ผสมผสานกับเมนูอาหารสุกียากี้ ภายใต้ชื่อ "ฮอตพอต ซินีมา" (Hotpot Cinema) เป็นแห่งแรก ซึ่งจะเปิดให้บริการเร็วๆ นี้ รูปแบบการให้บริการจะมีการเสิร์ฟสุกียากี้ที่ปรุงด้วยน้ำซุปพร้อมกับเนื้อสัตว์และผักต่างๆ ขณะชมภาพยนตร์เรื่องโปรด ซึ่งในภาพจะเป็นโรงภาพยนตร์ชั้นสตาร์พลัส แม้จะยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติม แต่ได้โพสต์ภาพดังกล่าวลงบนเฟซบุ๊กและอินสตาแกรมของทางโรงภาพยนตร์ ทำให้บรรดาผู้ชมภาพยนตร์ต่างตั้งตารอที่จะใช้บริการ อย่างไรก็ตาม ก็มีเสียงวิจารณ์ว่าจะปรุงและรับประทานสุกียากี้อย่างไรภายในโรงภาพยนตร์ที่มืด อีกความเห็นหนึ่งระบุว่า ดูไม่สะดวกสบาย ถ้าในโรงภาพยนตร์มีหม้อไฟเสิร์ฟ จะทำให้มีสมาธิในการดูภาพยนตร์น้อยลง เพราะจะโฟกัสไปที่การกินมากเกินไป สำหรับโรงภาพยนตร์ดาดี้ ซินีมา เป็นธุรกิจในเครือดาดี้ มีเดีย กลุ่มอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในประเทศจีน ก่อตั้งขึ้นในปี 2543 มีโรงภาพยนตร์ 2,936 โรง ใน 191 แห่งทั่วประเทศจีน ก่อนที่จะขยายกิจการมายังมาเลเซียเป็นประเทศแรกเมื่อปี 2564 ปัจจุบันมี 2 สาขา ได้แก่ ศูนย์การค้าพาวิเลียน เคแอล กรุงกัวลาลัมเปอร์ และศูนย์การค้าดาเมน มอลล์ เมืองสุบังจายา รัฐสลังงอร์ บริการ "ฮอตพอต ซินีมา" ปรากฎครั้งแรกที่โรงภาพยนตร์แห่งหนึ่งในเมืองฝัวชาน มณฑลกวางตุ้งของจีน สำนักข่าวเซาต์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ (SCMP) รายงานเมื่อเดือน ก.พ. 2567 ว่า ลูกค้าจะต้องจ่ายค่าบัตรชมภาพยนตร์แยกต่างหาก สนนราคาชุด 2 คน 188 หยวน (ประมาณ 900 บาท) ประกอบด้วยอาหารทะเลสด เนื้อวัว และผัก แต่ละโต๊ะจะมีเตาแม่เหล็กไฟฟ้า และโคมไฟให้ผู้ชมมองเห็นอาหารและวัตถุดิบ มีหม้อขนาดเล็ก และน้ำซุปที่ใช้มีกลิ่นไม่แรง เพื่อลดผลกระทบต่อประสบการณ์การชมภาพยนตร์ อีกทั้งในโรงภาพยนตร์ยังมีจุดระบายอากาศหลายจุดเพื่อปรับคุณภาพอากาศ และมีระบบป้องกันอัคคีภัยเช่นเดียวกับภัตตาคารทั่วไป จึงไม่มีข้อกังวลด้านความปลอดภัย ฮอตพอต ซินีมา กลายเป็นไวรัลในจีน และกำลังจะเปิดตัวขึ้นในมาเลเซีย ส่วนประเทศไทย ปัจจุบันธุรกิจโรงภาพยนตร์ผูกขาดอยู่สองรายหลัก ได้แก่ เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป (MAJOR) และ เอสเอฟ คอร์ปอเรชั่น (SF) ขึ้นอยู่กับว่าจะสนใจไอเดียนี้หรือไม่ จากที่ผ่านมาได้ทดลองโมเดลธุรกิจหลายรูปแบบ เช่น โรงภาพยนตร์สำหรับเด็ก โรงภาพยนตร์สำหรับสัตว์เลี้ยง เป็นต้น #Newskit #HotpotCinema #DadiCinema - ชวนกรีดดีลฟ้า-แดง "คนรุ่นใหม่หาประโยชน์"
การประชุมคณะกรรมการบริหารและ สส. พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ที่จะมีขึ้นในวันที่ 29 ส.ค. มีเพียงวาระเดียว คือการเข้าร่วมรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร จากพรรคเพื่อไทย (พท.) ตามที่นายสรวงศ์ เทียนทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ยื่นหนังสือเชิญแก่นายเดชอิศม์ ขาวทอง สส.สงขลา และเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ท่ามกลางกระแสข่าวเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า มีความพยายามร่วมรัฐบาลของนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โดยมีเก้าอี้ 1 รัฐมนตรี และ 1 รัฐมนตรีช่วยรออยู่
เป็นที่ทราบกันดีว่า พรรคประชาธิปัตย์ กับพรรคการเมืองของนายทักษิณ ชินวัตร ต่อสู้ทางการเมืองมานานกว่า 23 ปี ตั้งแต่พรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน และพรรคเพื่อไทย ผ่านความขัดแย้งทั้งในสภาและนอกสภาในการชุมนุมกลุ่ม กปปส.
แต่สัญญาณในการเข้าร่วมรัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์ เริ่มต้นมาตั้งแต่ปีที่แล้ว (2566) นายเดชอิศม์เดินทางไปพบนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ฮ่องกง ก่อนที่นายทักษิณกลับมารับโทษที่ประเทศไทย ทีแรกปฎิเสธไม่พูดถึง ตอนหลังยอมรับไปเจอกันจริง และเห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์ควรร่วมรัฐบาลเพื่อผลักดันนโยบายพรรค กระทั่งการโหวตเลือกนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี พบว่ามี สส.ปชป. 16 คน นำโดยนายเดชอิศม์ โหวตสวนมติพรรค หนุนนายเศรษฐาเป็นนายกรัฐมนตรี
แต่ในการโหวตเลือก น.ส.แพทองธาร ครั้งล่าสุด สส.ปชป. 25 คน งดออกเสียง ตามมติพรรคที่ออกมาก่อนหน้านี้ แต่ทั้งนี้ สส.ปชป. กลุ่มนายเฉลิมชัย 21 คน สนใจที่จะเข้าร่วมรัฐบาลพรรคเพื่อไทยอยู่แล้ว มีเพียง 4 สส. ที่ไม่ยอม ได้แก่ นายชวน หลีกภัย นายบัญญัติ บรรทัดฐาน นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ สส.บัญชีรายชื่อ และนายสรรเพชร บุญญามณี สส.สงขลา แต่ก็ไม่อาจต้านทานกลุ่มนายเฉลิมชัยซึ่งเป็นเสียงข้างมากได้
นายเดชอิศม์ อ้างว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่มีความขัดแย้ง มีแต่ความรัก ความเข้าใจ และการให้อภัยกัน ต้องเข้าใจว่าเหตุการณ์เมื่อ 20-30 ปีที่ผ่านมา กับปัจจุบันไม่เหมือนกัน ปัญหาของประเทศ แนวคิด การพัฒนาประเทศ ไม่เหมือนกัน ดังนั้น พอถึงเวลาที่เราพูดคุยกันได้ ที่เรารักกัน เป็นสิ่งที่ดีงาม ส่วนที่นายชวนคัดค้านนั้น ก่อนหน้านี้อาจมีความคิดเห็นเป็นสองฝ่าย แต่เมื่อมีมติของพรรคก็ต้องปฏิบัติตาม จากนี้ถ้ามีคนในพรรคโหวตแตกต่างจากมติของพรรคคงทำเช่นนั้นไม่ได้
ส่วนนายสรวงศ์ กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยได้พูดคุยกับนายเฉลิมชัยและนายเดชอิศม์ เมื่อวันที่ 27 ส.ค. ว่าจะยื่นหนังสืออย่างเป็นทางการให้กับพรรคประชาธิปัตย์ ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการบริหารประเทศ และเป็นรัฐบาลร่วมกัน ส่วนโควตารัฐมนตรีเป็นเรื่องของนายกรัฐมนตรีตนไม่ขอก้าวล่วง ส่วนความขัดแย้งระหว่างสองพรรค เมื่อก่อนก็คือเมื่อก่อน แต่ปัจจุบันมั่นใจว่าในสภาฯ ทุกคน มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือ ทำให้ประชาชนและประเทศชาติไปได้ด้วยดี
"ไม่มี สส.พรรคเพื่อไทยคัดค้าน ขอให้นำคำสัมภาษณ์ของนายเดชอิศม์เป็นที่ตั้ง ว่าประเทศชาติต้องเดินหน้าต่อ ทุกอย่างผ่านไปแล้ว ประเทศชาติต้องเดินหน้าต่อ พรรคของพวกเราร่วมต่อสู้กันมานาน แต่วันนี้มาถึงคนรุ่นใหม่ ที่มาดูแลพรรค ส่วนอุดมการณ์ทางการเมือง ก็เป็นเรื่องของอุดมการณ์ ส่วนแนวทางการทำงานเราไปด้วยกันได้แน่นอน"
นายสรวงศ์ กล่าวว่า ในอดีตอุดมการณ์ทางการเมืองของเพื่อไทย และประชาธิปัตย์ ไม่เหมือนกันเลย แต่วันนี้คนรุ่นใหม่เข้ามาบริหารพรรค หัวหน้าทั้ง 2 พรรค รวมถึงเลขาฯ และสมาชิกพรรคทุกคน มุ่งหน้าไปในทิศทางเดียวกันว่า ปัญหาชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ต้องได้รับการแก้ไขให้ดีขึ้น เพราะประเทศชาติถอยหลังไปมาก ดังนั้น จึงถึงเวลาแล้วที่จะต้องเดินหน้าร่วมกัน อะไรไม่เข้าใจกันหรือความขัดแย้งต้องทิ้งไว้ข้างหลัง
ส่วนข้อกล่าวหาว่า พรรคเพื่อไทยตระบัดสัตย์นั้น นายสรวงศ์ กล่าวว่า คำนี้ฮิตเหลือเกิน ก็แล้วแต่ ทุกอย่างมองกันที่ผลงาน ต่อจากนี้ไปอีก 3 ปี ตนขออย่างเดียวให้โอกาสนายกฯ และ ครม.ชุดใหม่ได้ทำงาน ถ้าทำอะไรผิด หรือไม่ดีค่อยร้องเรียน ไม่ใช่ออกมาพูดเพียงอย่างเดียว ขอให้ดูที่ผลงาน ส่วนที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ยื่นร้องเรียนกรณีซุกหุ้นของ น.ส.แพทองธาร มีทีมกฎหมายดูอยู่แล้ว และคิดว่าจะไม่เป็นประเด็น
อย่างไรก็ตาม นายชวน หลีกภัย สส.บัญชีรายชื่อ และอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ส่วนตัวขอยืนยันในจุดยืนเดิม ไม่เห็นด้วยกับการเข้าร่วมรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ที่มีตั้งแต่วันแรกที่การตั้งรัฐบาลชุด ของนายเศรษฐา ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เพราะไม่สามารถทรยศประชาชนได้ ซึ่งตนเป็นคนขอร้องประชาชนไม่ให้เลือกพรรคไทยรักไทย พรรคเพื่อไทย ไม่ใช่เพราะความขัดแย้งส่วนตัว แต่เป็นเพราะพรรคเหล่านั้น ประกาศชัดเจนที่จะพัฒนาจังหวัดที่เลือกเขาก่อน ส่วนจังหวัดอื่นไว้ทีหลัง
"วิธีเหล่านี้เราไม่เคยเห็นมาก่อน นับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองมา 90 ปี ไม่เคยมีรัฐบาลชุดไหน ไม่ว่าจะมาจากการเลือกตั้ง หรือมาจากการยึดอำนาจ ยิ่งพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล จะให้ความเป็นธรรมกับทุกภาคอย่างยุติธรรม โดยไม่สนใจว่าใครจะเลือกใครเป็นรัฐบาล แต่จัดการบ้านเมืองด้วยความเป็นธรรม"
"ต้องยอมรับว่าเรื่องการเลือกปฏิบัติ ผมต่อสู้มาเพียงลำพัง ด้วยการขอว่าอย่าเลือกเขานะ ไม่ได้ไปกลั่นแกล้งหรือทำร้ายอย่างที่ นายราเมศ รัตนะเชวง อดีดโฆษกพรรคฯ เคยถูกกระทำ ทำให้เขาได้รับเลือกน้อยมาก ไม่มี สส.ภาคใต้แม้แต่คนเดียว ซึ่งเป็นผลมาจากที่ผมรณรงค์ แล้ววันหนึ่งจะมาบอกให้ผมสนับสนุนพรรคที่ผมบอกว่าอย่าเลือก มันชัดเจนว่าเป็นการทรยศชาวบ้านผมทำไม่ได้ จึงขอยืนยันว่า แม้เปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี แต่จุดยืนผมยังเหมือนเดิม"
นายชวนกล่าวอีกว่า มติของพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ใช่การเห็นด้วย เพราะมีการติดต่อกันแล้ว ที่มาถามว่า เขามาเชิญ ความจริง ตนคิดว่าคนของเราไปติดต่อเขาก่อนเขาเชิญ หรือสงสัยว่าไปขอให้เขามาเชิญด้วยซ้ำ แต่ตามมารยาท ก็มาเชิญด้วยวิธีนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะก่อนหน้าที่จะมีหนังสือเชิญ คนของเราบางคนก็ไปประสานติดต่อ จึงถูกสื่อมวลชนเรียกว่า พรรคอีแอบ พรรครอเสียบ จึงอยากขออย่าเรียกพรรคประชาธิปัตย์ แบบนี้ เพราะเป็นพฤติกรรมของคนส่วนหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่คนส่วนใหญ่
"การเรียกแบบนี้ทำให้พรรคเสื่อมเสีย ตนอยากปกป้องเกียรติภูมิของพรรค เราไม่ใช่พรรคเฉพาะกิจ ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อให้คนใดคนหนึ่งได้เป็นนายกฯ อยู่สัก 1-2 สมัยแล้วล้มไป แต่พรรคประชาธิปัตย์ อยู่มาเกือบ 80 ปี ปฏิบัติตามอุดมการณ์ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ยึดมั่นหลักประชาธิปไตยมาอย่างยาวนาน ไม่อยากให้เสื่อมเสียด้วยการกระทำของ กก.บห.พรรคชุดปัจจุบัน"
"ยอมรับว่าผมเป็นเสียงข้างน้อยในพรรคฯ ที่ชัดเจนตั้งแต่มีการลงมติเลือกนายเศรษฐาเป็นนายกฯ และผมได้หารือกับนายบัญญัติ นายจุรินทร์ และนายสรรเพชญ ว่าอย่างน้อย 4 คน จะยังคงยืนยันในจุดยืนเดิม แต่ไม่ว่ามติของพรรคฯเป็นอย่างไร ก็พร้อมจะเคารพ เพียงแต่ไม่เห็นด้วยที่จะร่วมกับพรรคการเมืองที่เคยกลั่นแกล้งประชาชน และเชื่อว่าการตัดสินใจร่วมรัฐบาลในครั้งนี้ จะส่งผลต่อฐานเสียงภาคใต้ไม่น้อย"
เมื่อถามว่าคนรุ่นใหม่มองว่าหมดยุคของนายชวนแล้ว นายชวน กล่าวว่า มันไม่มีกำหนดอายุ มีคนคิดเหมือนกันว่าตนเป็นขวากหนามของเขา ทำให้ไปร่วมรัฐบาลไม่ได้ จึงพยายามพูดว่าหมดยุคของผู้อาวุโส แต่ในความจริงแล้ว ตนเป็นผู้สร้างมากกว่าผู้ทำลาย และคนที่พูดเหล่านั้นอาศัยบารมีพรรค ที่พวกตนทำเอาไว้ แต่คนเหล่านั้นยังไม่เคยทำอะไรที่เป็นประโยชน์กับพรรคเลย เพียงแต่อาศัยชื่อพรรคเพื่อเข้ามาเป็นนักการเมือง ตนก็เคยได้ยินเรื่องนี้แต่ไม่ได้โกรธ แม้กระทั่ง เรื่องที่จะขับพ้นออกจากพรรค ก็มาดูว่าใครเป็นคนพูด พอทราบก็เข้าใจเพราะเขาก็เพิ่งเข้าพรรคมาอาศัยบารมีของพรรคที่คนรุ่นก่อนเขาสะสมสร้างมา นายเฉลิมชัย เป็นหัวหน้าพรรคฯ คนที่ 9 ยังไม่ได้สร้างความน่าเชื่อถือให้พรรคฯเท่ากับรุ่นก่อน
"ดังนั้น ใครที่คิดจะปลดต้องดูกฎหมาย ซึ่งไม่ได้กำหนดอายุ ผมยังคงทำหน้าที่ของตัวเองอยู่ ผมกลายเป็นคนหัวคัดค้าน ทั้งที่มีหลายคนไม่เห็นด้วย แต่เขาไม่อยากเปลืองตัว เป็นการกระทำของคนบางกลุ่ม ทำให้คนทั่วไปยังเข้าใจว่า ประชาธิปัตย์ยังพอใช้ได้อยู่ เพียงแต่คนบางกลุ่มเท่านั้นที่เข้ามาใช้ตำแหน่งในพรรคเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ของตัวเอง ซึ่งคนกลุ่มนั้นไม่รู้ว่าจะทำยังไงกับผม จนพยายามจะบอกว่าขัดแย้งมาแล้ว 20 ปี จึงอยากถามว่าขัดแย้งเรื่องอะไร ไม่ได้ทะเลาะเพื่อประโยชน์ส่วนตัวกัน แต่เป็นเรื่องของประชาชน"
เมื่อถามว่านายชวนจะลงสู้ศึกเลือกตั้งครั้งหน้าหรือไม่ นายชวน กล่าวว่า ไม่สามารถยืนยันชัดเจนได้ เพราะไม่อยากพูดอะไรไปล่วงหน้า
#Newskit #พรรคประชาธิปัตย์ #รัฐบาลแพทองธารชวนกรีดดีลฟ้า-แดง "คนรุ่นใหม่หาประโยชน์" การประชุมคณะกรรมการบริหารและ สส. พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ที่จะมีขึ้นในวันที่ 29 ส.ค. มีเพียงวาระเดียว คือการเข้าร่วมรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร จากพรรคเพื่อไทย (พท.) ตามที่นายสรวงศ์ เทียนทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ยื่นหนังสือเชิญแก่นายเดชอิศม์ ขาวทอง สส.สงขลา และเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ท่ามกลางกระแสข่าวเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า มีความพยายามร่วมรัฐบาลของนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โดยมีเก้าอี้ 1 รัฐมนตรี และ 1 รัฐมนตรีช่วยรออยู่ เป็นที่ทราบกันดีว่า พรรคประชาธิปัตย์ กับพรรคการเมืองของนายทักษิณ ชินวัตร ต่อสู้ทางการเมืองมานานกว่า 23 ปี ตั้งแต่พรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน และพรรคเพื่อไทย ผ่านความขัดแย้งทั้งในสภาและนอกสภาในการชุมนุมกลุ่ม กปปส. แต่สัญญาณในการเข้าร่วมรัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์ เริ่มต้นมาตั้งแต่ปีที่แล้ว (2566) นายเดชอิศม์เดินทางไปพบนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ฮ่องกง ก่อนที่นายทักษิณกลับมารับโทษที่ประเทศไทย ทีแรกปฎิเสธไม่พูดถึง ตอนหลังยอมรับไปเจอกันจริง และเห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์ควรร่วมรัฐบาลเพื่อผลักดันนโยบายพรรค กระทั่งการโหวตเลือกนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี พบว่ามี สส.ปชป. 16 คน นำโดยนายเดชอิศม์ โหวตสวนมติพรรค หนุนนายเศรษฐาเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ในการโหวตเลือก น.ส.แพทองธาร ครั้งล่าสุด สส.ปชป. 25 คน งดออกเสียง ตามมติพรรคที่ออกมาก่อนหน้านี้ แต่ทั้งนี้ สส.ปชป. กลุ่มนายเฉลิมชัย 21 คน สนใจที่จะเข้าร่วมรัฐบาลพรรคเพื่อไทยอยู่แล้ว มีเพียง 4 สส. ที่ไม่ยอม ได้แก่ นายชวน หลีกภัย นายบัญญัติ บรรทัดฐาน นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ สส.บัญชีรายชื่อ และนายสรรเพชร บุญญามณี สส.สงขลา แต่ก็ไม่อาจต้านทานกลุ่มนายเฉลิมชัยซึ่งเป็นเสียงข้างมากได้ นายเดชอิศม์ อ้างว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่มีความขัดแย้ง มีแต่ความรัก ความเข้าใจ และการให้อภัยกัน ต้องเข้าใจว่าเหตุการณ์เมื่อ 20-30 ปีที่ผ่านมา กับปัจจุบันไม่เหมือนกัน ปัญหาของประเทศ แนวคิด การพัฒนาประเทศ ไม่เหมือนกัน ดังนั้น พอถึงเวลาที่เราพูดคุยกันได้ ที่เรารักกัน เป็นสิ่งที่ดีงาม ส่วนที่นายชวนคัดค้านนั้น ก่อนหน้านี้อาจมีความคิดเห็นเป็นสองฝ่าย แต่เมื่อมีมติของพรรคก็ต้องปฏิบัติตาม จากนี้ถ้ามีคนในพรรคโหวตแตกต่างจากมติของพรรคคงทำเช่นนั้นไม่ได้ ส่วนนายสรวงศ์ กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยได้พูดคุยกับนายเฉลิมชัยและนายเดชอิศม์ เมื่อวันที่ 27 ส.ค. ว่าจะยื่นหนังสืออย่างเป็นทางการให้กับพรรคประชาธิปัตย์ ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการบริหารประเทศ และเป็นรัฐบาลร่วมกัน ส่วนโควตารัฐมนตรีเป็นเรื่องของนายกรัฐมนตรีตนไม่ขอก้าวล่วง ส่วนความขัดแย้งระหว่างสองพรรค เมื่อก่อนก็คือเมื่อก่อน แต่ปัจจุบันมั่นใจว่าในสภาฯ ทุกคน มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือ ทำให้ประชาชนและประเทศชาติไปได้ด้วยดี "ไม่มี สส.พรรคเพื่อไทยคัดค้าน ขอให้นำคำสัมภาษณ์ของนายเดชอิศม์เป็นที่ตั้ง ว่าประเทศชาติต้องเดินหน้าต่อ ทุกอย่างผ่านไปแล้ว ประเทศชาติต้องเดินหน้าต่อ พรรคของพวกเราร่วมต่อสู้กันมานาน แต่วันนี้มาถึงคนรุ่นใหม่ ที่มาดูแลพรรค ส่วนอุดมการณ์ทางการเมือง ก็เป็นเรื่องของอุดมการณ์ ส่วนแนวทางการทำงานเราไปด้วยกันได้แน่นอน" นายสรวงศ์ กล่าวว่า ในอดีตอุดมการณ์ทางการเมืองของเพื่อไทย และประชาธิปัตย์ ไม่เหมือนกันเลย แต่วันนี้คนรุ่นใหม่เข้ามาบริหารพรรค หัวหน้าทั้ง 2 พรรค รวมถึงเลขาฯ และสมาชิกพรรคทุกคน มุ่งหน้าไปในทิศทางเดียวกันว่า ปัญหาชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ต้องได้รับการแก้ไขให้ดีขึ้น เพราะประเทศชาติถอยหลังไปมาก ดังนั้น จึงถึงเวลาแล้วที่จะต้องเดินหน้าร่วมกัน อะไรไม่เข้าใจกันหรือความขัดแย้งต้องทิ้งไว้ข้างหลัง ส่วนข้อกล่าวหาว่า พรรคเพื่อไทยตระบัดสัตย์นั้น นายสรวงศ์ กล่าวว่า คำนี้ฮิตเหลือเกิน ก็แล้วแต่ ทุกอย่างมองกันที่ผลงาน ต่อจากนี้ไปอีก 3 ปี ตนขออย่างเดียวให้โอกาสนายกฯ และ ครม.ชุดใหม่ได้ทำงาน ถ้าทำอะไรผิด หรือไม่ดีค่อยร้องเรียน ไม่ใช่ออกมาพูดเพียงอย่างเดียว ขอให้ดูที่ผลงาน ส่วนที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ยื่นร้องเรียนกรณีซุกหุ้นของ น.ส.แพทองธาร มีทีมกฎหมายดูอยู่แล้ว และคิดว่าจะไม่เป็นประเด็น อย่างไรก็ตาม นายชวน หลีกภัย สส.บัญชีรายชื่อ และอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ส่วนตัวขอยืนยันในจุดยืนเดิม ไม่เห็นด้วยกับการเข้าร่วมรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ที่มีตั้งแต่วันแรกที่การตั้งรัฐบาลชุด ของนายเศรษฐา ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เพราะไม่สามารถทรยศประชาชนได้ ซึ่งตนเป็นคนขอร้องประชาชนไม่ให้เลือกพรรคไทยรักไทย พรรคเพื่อไทย ไม่ใช่เพราะความขัดแย้งส่วนตัว แต่เป็นเพราะพรรคเหล่านั้น ประกาศชัดเจนที่จะพัฒนาจังหวัดที่เลือกเขาก่อน ส่วนจังหวัดอื่นไว้ทีหลัง "วิธีเหล่านี้เราไม่เคยเห็นมาก่อน นับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองมา 90 ปี ไม่เคยมีรัฐบาลชุดไหน ไม่ว่าจะมาจากการเลือกตั้ง หรือมาจากการยึดอำนาจ ยิ่งพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล จะให้ความเป็นธรรมกับทุกภาคอย่างยุติธรรม โดยไม่สนใจว่าใครจะเลือกใครเป็นรัฐบาล แต่จัดการบ้านเมืองด้วยความเป็นธรรม" "ต้องยอมรับว่าเรื่องการเลือกปฏิบัติ ผมต่อสู้มาเพียงลำพัง ด้วยการขอว่าอย่าเลือกเขานะ ไม่ได้ไปกลั่นแกล้งหรือทำร้ายอย่างที่ นายราเมศ รัตนะเชวง อดีดโฆษกพรรคฯ เคยถูกกระทำ ทำให้เขาได้รับเลือกน้อยมาก ไม่มี สส.ภาคใต้แม้แต่คนเดียว ซึ่งเป็นผลมาจากที่ผมรณรงค์ แล้ววันหนึ่งจะมาบอกให้ผมสนับสนุนพรรคที่ผมบอกว่าอย่าเลือก มันชัดเจนว่าเป็นการทรยศชาวบ้านผมทำไม่ได้ จึงขอยืนยันว่า แม้เปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี แต่จุดยืนผมยังเหมือนเดิม" นายชวนกล่าวอีกว่า มติของพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ใช่การเห็นด้วย เพราะมีการติดต่อกันแล้ว ที่มาถามว่า เขามาเชิญ ความจริง ตนคิดว่าคนของเราไปติดต่อเขาก่อนเขาเชิญ หรือสงสัยว่าไปขอให้เขามาเชิญด้วยซ้ำ แต่ตามมารยาท ก็มาเชิญด้วยวิธีนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะก่อนหน้าที่จะมีหนังสือเชิญ คนของเราบางคนก็ไปประสานติดต่อ จึงถูกสื่อมวลชนเรียกว่า พรรคอีแอบ พรรครอเสียบ จึงอยากขออย่าเรียกพรรคประชาธิปัตย์ แบบนี้ เพราะเป็นพฤติกรรมของคนส่วนหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่คนส่วนใหญ่ "การเรียกแบบนี้ทำให้พรรคเสื่อมเสีย ตนอยากปกป้องเกียรติภูมิของพรรค เราไม่ใช่พรรคเฉพาะกิจ ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อให้คนใดคนหนึ่งได้เป็นนายกฯ อยู่สัก 1-2 สมัยแล้วล้มไป แต่พรรคประชาธิปัตย์ อยู่มาเกือบ 80 ปี ปฏิบัติตามอุดมการณ์ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ยึดมั่นหลักประชาธิปไตยมาอย่างยาวนาน ไม่อยากให้เสื่อมเสียด้วยการกระทำของ กก.บห.พรรคชุดปัจจุบัน" "ยอมรับว่าผมเป็นเสียงข้างน้อยในพรรคฯ ที่ชัดเจนตั้งแต่มีการลงมติเลือกนายเศรษฐาเป็นนายกฯ และผมได้หารือกับนายบัญญัติ นายจุรินทร์ และนายสรรเพชญ ว่าอย่างน้อย 4 คน จะยังคงยืนยันในจุดยืนเดิม แต่ไม่ว่ามติของพรรคฯเป็นอย่างไร ก็พร้อมจะเคารพ เพียงแต่ไม่เห็นด้วยที่จะร่วมกับพรรคการเมืองที่เคยกลั่นแกล้งประชาชน และเชื่อว่าการตัดสินใจร่วมรัฐบาลในครั้งนี้ จะส่งผลต่อฐานเสียงภาคใต้ไม่น้อย" เมื่อถามว่าคนรุ่นใหม่มองว่าหมดยุคของนายชวนแล้ว นายชวน กล่าวว่า มันไม่มีกำหนดอายุ มีคนคิดเหมือนกันว่าตนเป็นขวากหนามของเขา ทำให้ไปร่วมรัฐบาลไม่ได้ จึงพยายามพูดว่าหมดยุคของผู้อาวุโส แต่ในความจริงแล้ว ตนเป็นผู้สร้างมากกว่าผู้ทำลาย และคนที่พูดเหล่านั้นอาศัยบารมีพรรค ที่พวกตนทำเอาไว้ แต่คนเหล่านั้นยังไม่เคยทำอะไรที่เป็นประโยชน์กับพรรคเลย เพียงแต่อาศัยชื่อพรรคเพื่อเข้ามาเป็นนักการเมือง ตนก็เคยได้ยินเรื่องนี้แต่ไม่ได้โกรธ แม้กระทั่ง เรื่องที่จะขับพ้นออกจากพรรค ก็มาดูว่าใครเป็นคนพูด พอทราบก็เข้าใจเพราะเขาก็เพิ่งเข้าพรรคมาอาศัยบารมีของพรรคที่คนรุ่นก่อนเขาสะสมสร้างมา นายเฉลิมชัย เป็นหัวหน้าพรรคฯ คนที่ 9 ยังไม่ได้สร้างความน่าเชื่อถือให้พรรคฯเท่ากับรุ่นก่อน "ดังนั้น ใครที่คิดจะปลดต้องดูกฎหมาย ซึ่งไม่ได้กำหนดอายุ ผมยังคงทำหน้าที่ของตัวเองอยู่ ผมกลายเป็นคนหัวคัดค้าน ทั้งที่มีหลายคนไม่เห็นด้วย แต่เขาไม่อยากเปลืองตัว เป็นการกระทำของคนบางกลุ่ม ทำให้คนทั่วไปยังเข้าใจว่า ประชาธิปัตย์ยังพอใช้ได้อยู่ เพียงแต่คนบางกลุ่มเท่านั้นที่เข้ามาใช้ตำแหน่งในพรรคเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ของตัวเอง ซึ่งคนกลุ่มนั้นไม่รู้ว่าจะทำยังไงกับผม จนพยายามจะบอกว่าขัดแย้งมาแล้ว 20 ปี จึงอยากถามว่าขัดแย้งเรื่องอะไร ไม่ได้ทะเลาะเพื่อประโยชน์ส่วนตัวกัน แต่เป็นเรื่องของประชาชน" เมื่อถามว่านายชวนจะลงสู้ศึกเลือกตั้งครั้งหน้าหรือไม่ นายชวน กล่าวว่า ไม่สามารถยืนยันชัดเจนได้ เพราะไม่อยากพูดอะไรไปล่วงหน้า #Newskit #พรรคประชาธิปัตย์ #รัฐบาลแพทองธาร - ใบเหลืองชาญ เลือกตั้งใหม่ อบจ.ปทุมฯ
สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติสั่งให้มีการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ปทุมธานีใหม่ ตามมาตรา 106 วรรคสี่ แห่ง พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น ปี 2562 เมื่อวันที่ 27 ส.ค. หลังพิจารณาเรื่องการประกาศรับรองผล และพยานหลักฐานของสำนวนเรื่องร้องเรียนตามมาตรา 65 (3) แล้วเห็นว่า กรณีกล่าวหาว่านายชาญ พวงเพ็ชร์ ที่ได้รับการเลือกตั้ง จัดเลี้ยงและมหรสพเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งลงคะแนนให้ตนนั้น เป็นเหตุอันควรเชื่อได้ว่า การเลือกตั้งนายก อบจ.ปทุมธานี เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. ที่ผ่านมา มิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม
อย่างไรก็ตาม มติสั่งเลือกตั้งใหม่ของ กกต. ดังกล่าวเป็นการให้ใบเหลือง ดังนั้นการแข่งขันก็จะเป็นการใช้ผู้สมัครชุดเดิมโดยนายชาญ ซึ่งได้รับเลือกมาด้วยคะแนนสูงสุดในการเลือกตั้งคราวก่อน ยังคงสามารถลงแข่งขันได้ ส่วนวันเลือกตั้งผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยความเห็นชอบของผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัดจะเป็นผู้ประกาศ
ด้าน พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้สมัครเลือกตั้งนายก อบจ.ปทุมธานี กล่าวขอขอบคุณ กกต.ที่ให้ความเป็นธรรม และพร้อมลงสมัครรับเลือกตั้งอีกครั้ง ขอให้ กกต.เร่งจัดการเลือกตั้งโดยเร็ว ไม่ต้องรอ 45 วัน ใช้เวลา 2 สัปดาห์ก็พอ เพราะเป็นคนเดิมเพิ่งหาเสียงกันมา ถ้าปล่อยให้นานออกไปสถานการณ์จะล่อแหลมเพราะน้ำจะท่วม มั่นใจว่าคนปทุมธานีรู้แล้วว่าใครผู้สมัครรายใดที่มีปัญหา พร้อมเชิญชวนชาวจังหวัดปทุมธานีออกมาใช้สิทธิกันให้มากขึ้น เพื่อศักดิ์ศรีของจังหวัด อย่าให้คนไม่ดีมาซื้อเสียง
แหล่งข่าวจากผู้ใกล้ชิดการเมืองท้องถิ่นจังหวัดปทุมธานี เปิดเผยกับ Newskit ว่า เรื่องดังกล่าวทราบว่าเป็นที่ตกใจแก่ข้าราชการ อบจ.ปทุมธานีอยู่บ้าง เพราะรอผลการเลือกตั้งกว่า 2 เดือนก็ไม่มีความชัดเจน เมื่อเทียบกับจังหวัดอื่น ที่ประกาศรับรองผลไปแล้วอย่างรวดเร็ว ที่ผ่านมา อบจ.ปทุมธานีใช้งบประมาณจัดการเลือกตั้งกว่า 70 ล้านบาท โดยใช้งบกลาง ซึ่งการเลือกตั้งครั้งต่อไป ขึ้นอยู่กับ กกต.ปทุมธานีจะเป็นผู้กำหนด คาดว่าไม่เกิน 1 เดือนนับจากนี้ แต่เห็นว่าต้องจัดเลือกตั้ง 3 รอบ ยังเหลือการเลือกตั้งสมาชิกสภา อบจ.ปทุมธานี ที่จะหมดวาระในวันที่ 19 ธ.ค. และคาดว่าจะมีการเลือกตั้งในเดือน ก.พ. 2568
สำหรับผลใบเหลืองที่ออกมา ต้องดูว่านายชาญจะลงสมัครในนามพรรคเพื่อไทย หรือในนามอิสระ เพราะที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทยถูกโจมตีเรื่องการส่งผู้สมัครที่มีปัญหาคุณสมบัติ ซ้ำด้วยนายชาญถูก กกต.ให้ใบเหลือง ทำให้พรรคเพื่อไทยได้รับความเสียหาย ก่อนหน้านี้ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไปงานบวชลูกชายนายกฤษฎา หลีนวรัตน์ หรือนายกเบี้ยว นายกเทศมนตรีตำบลธัญบุรี ซึ่งเป็นคนของนายชาญ จากเหตุดังกล่าวทำให้ กกต.ให้ใบเหลือง ด้วยข้อหาจัดเลี้ยงและมหรสพเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งลงคะแนน ไม่นับรวมคดีค้างเก่าใน ป.ป.ช. อาจมีผลต่อการตัดสินใจของผู้มีสิทธิเลือกตั้งว่าจะเลือกใคร
ส่วน พล.ต.ท.คำรณวิทย์ คาดว่าทีมงานอาจมีความพร้อมในการเลือกตั้งครั้งนี้ ที่ผ่านมาจากทั้งหมด 7 อำเภอ ชนะเลือกตั้งในเขตอำเภอเมือง อำเภอที่มีความเจริญเนื่องมาจากเป็นพื้นที่บ้านจัดสรร หรืออำเภอที่อยู่ใกล้กรุงเทพฯ เช่น อ.หนองเสือ ที่คราวนี้ชนะคู่แข่งมาได้ แต่จะเสียเปรียบ 2 อำเภอ ซึ่งเป็นพื้นที่เกษตรกรรม คือ อ.สามโคก ซึ่งเป็นพื้นที่ฐานเสียงของนายชาญ มีความผูกพันมานาน และ อ.ลาดหลุมแก้ว ที่การเลือกตั้งครั้งนี้ พล.ต.ท.คำรณวิทย์แพ้ให้กับคู่แข่ง ประเมินว่าทีมงาน พล.ต.ท.คำรณวิทย์ อาจกำลังถอดบทเรียนตรงนี้สำหรับการเลือกตั้งรอบสองที่กำลังจะมาถึง
ส่วนการเลือกตั้งครั้งนี้ จะมีผู้มาใช้สิทธิมากน้อยขนาดไหน เมื่อเทียบกับคราวที่แล้วมีผู้มาใช้สิทธิไม่ถึง 50% แหล่งข่าวมองว่าอาจมีโอกาสเพิ่มขึ้นมาบ้าง เพราะจากการที่ผลเลือกตั้งออกมา ผู้ชนะคราวที่แล้วกลับแพ้ คราวนี้จึงแพ้ไม่ได้ อีกทั้งยังมีเหตุการณ์น้ำท่วมภาคเหนือ ที่เกรงกันว่ามวลน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาไหลลงมายังจังหวัดปทุมธานี จำเป็นต้องมีเจ้าภาพบริหารจัดการและดูแลประชาชน หากเกิดสูญญากาศทางการเมือง ประชาชนจะได้รับความเดือดร้อนมากขึ้น
สำหรับการเลือกตั้งนายก อบจ.ปทุมธานี เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. ที่ผ่านมา มีผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง 949,421 คน แต่มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง 472,536 คน คิดเป็น 49.77% โดยนายชาญ ซึ่งเป็นผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย ชนะ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ โดยนายชาญได้ 203,032 คะแนน พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ได้ 201,212 คะแนน ห่างกัน 1,820 คะแนน ส่วนอันดับสาม นายนพดล ลัดดาแย้ม ได้ 16,983 คะแนน และอันดับสี่ นายอธิวัฒน์ สอนเนย ได้ 7,122 คะแนน ส่วนบัตรเสียมี 11,302 ใบ คิดเป็น 2.39% และบัตรไม่ประสงค์ลงคะแนน 32,885 ใบ คิดเป็น 6.96%
#Newskit #อบจปทุมธานี #เลือกตั้งซ่อมใบเหลืองชาญ เลือกตั้งใหม่ อบจ.ปทุมฯ สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติสั่งให้มีการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ปทุมธานีใหม่ ตามมาตรา 106 วรรคสี่ แห่ง พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น ปี 2562 เมื่อวันที่ 27 ส.ค. หลังพิจารณาเรื่องการประกาศรับรองผล และพยานหลักฐานของสำนวนเรื่องร้องเรียนตามมาตรา 65 (3) แล้วเห็นว่า กรณีกล่าวหาว่านายชาญ พวงเพ็ชร์ ที่ได้รับการเลือกตั้ง จัดเลี้ยงและมหรสพเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งลงคะแนนให้ตนนั้น เป็นเหตุอันควรเชื่อได้ว่า การเลือกตั้งนายก อบจ.ปทุมธานี เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. ที่ผ่านมา มิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม อย่างไรก็ตาม มติสั่งเลือกตั้งใหม่ของ กกต. ดังกล่าวเป็นการให้ใบเหลือง ดังนั้นการแข่งขันก็จะเป็นการใช้ผู้สมัครชุดเดิมโดยนายชาญ ซึ่งได้รับเลือกมาด้วยคะแนนสูงสุดในการเลือกตั้งคราวก่อน ยังคงสามารถลงแข่งขันได้ ส่วนวันเลือกตั้งผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยความเห็นชอบของผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัดจะเป็นผู้ประกาศ ด้าน พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้สมัครเลือกตั้งนายก อบจ.ปทุมธานี กล่าวขอขอบคุณ กกต.ที่ให้ความเป็นธรรม และพร้อมลงสมัครรับเลือกตั้งอีกครั้ง ขอให้ กกต.เร่งจัดการเลือกตั้งโดยเร็ว ไม่ต้องรอ 45 วัน ใช้เวลา 2 สัปดาห์ก็พอ เพราะเป็นคนเดิมเพิ่งหาเสียงกันมา ถ้าปล่อยให้นานออกไปสถานการณ์จะล่อแหลมเพราะน้ำจะท่วม มั่นใจว่าคนปทุมธานีรู้แล้วว่าใครผู้สมัครรายใดที่มีปัญหา พร้อมเชิญชวนชาวจังหวัดปทุมธานีออกมาใช้สิทธิกันให้มากขึ้น เพื่อศักดิ์ศรีของจังหวัด อย่าให้คนไม่ดีมาซื้อเสียง แหล่งข่าวจากผู้ใกล้ชิดการเมืองท้องถิ่นจังหวัดปทุมธานี เปิดเผยกับ Newskit ว่า เรื่องดังกล่าวทราบว่าเป็นที่ตกใจแก่ข้าราชการ อบจ.ปทุมธานีอยู่บ้าง เพราะรอผลการเลือกตั้งกว่า 2 เดือนก็ไม่มีความชัดเจน เมื่อเทียบกับจังหวัดอื่น ที่ประกาศรับรองผลไปแล้วอย่างรวดเร็ว ที่ผ่านมา อบจ.ปทุมธานีใช้งบประมาณจัดการเลือกตั้งกว่า 70 ล้านบาท โดยใช้งบกลาง ซึ่งการเลือกตั้งครั้งต่อไป ขึ้นอยู่กับ กกต.ปทุมธานีจะเป็นผู้กำหนด คาดว่าไม่เกิน 1 เดือนนับจากนี้ แต่เห็นว่าต้องจัดเลือกตั้ง 3 รอบ ยังเหลือการเลือกตั้งสมาชิกสภา อบจ.ปทุมธานี ที่จะหมดวาระในวันที่ 19 ธ.ค. และคาดว่าจะมีการเลือกตั้งในเดือน ก.พ. 2568 สำหรับผลใบเหลืองที่ออกมา ต้องดูว่านายชาญจะลงสมัครในนามพรรคเพื่อไทย หรือในนามอิสระ เพราะที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทยถูกโจมตีเรื่องการส่งผู้สมัครที่มีปัญหาคุณสมบัติ ซ้ำด้วยนายชาญถูก กกต.ให้ใบเหลือง ทำให้พรรคเพื่อไทยได้รับความเสียหาย ก่อนหน้านี้ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไปงานบวชลูกชายนายกฤษฎา หลีนวรัตน์ หรือนายกเบี้ยว นายกเทศมนตรีตำบลธัญบุรี ซึ่งเป็นคนของนายชาญ จากเหตุดังกล่าวทำให้ กกต.ให้ใบเหลือง ด้วยข้อหาจัดเลี้ยงและมหรสพเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งลงคะแนน ไม่นับรวมคดีค้างเก่าใน ป.ป.ช. อาจมีผลต่อการตัดสินใจของผู้มีสิทธิเลือกตั้งว่าจะเลือกใคร ส่วน พล.ต.ท.คำรณวิทย์ คาดว่าทีมงานอาจมีความพร้อมในการเลือกตั้งครั้งนี้ ที่ผ่านมาจากทั้งหมด 7 อำเภอ ชนะเลือกตั้งในเขตอำเภอเมือง อำเภอที่มีความเจริญเนื่องมาจากเป็นพื้นที่บ้านจัดสรร หรืออำเภอที่อยู่ใกล้กรุงเทพฯ เช่น อ.หนองเสือ ที่คราวนี้ชนะคู่แข่งมาได้ แต่จะเสียเปรียบ 2 อำเภอ ซึ่งเป็นพื้นที่เกษตรกรรม คือ อ.สามโคก ซึ่งเป็นพื้นที่ฐานเสียงของนายชาญ มีความผูกพันมานาน และ อ.ลาดหลุมแก้ว ที่การเลือกตั้งครั้งนี้ พล.ต.ท.คำรณวิทย์แพ้ให้กับคู่แข่ง ประเมินว่าทีมงาน พล.ต.ท.คำรณวิทย์ อาจกำลังถอดบทเรียนตรงนี้สำหรับการเลือกตั้งรอบสองที่กำลังจะมาถึง ส่วนการเลือกตั้งครั้งนี้ จะมีผู้มาใช้สิทธิมากน้อยขนาดไหน เมื่อเทียบกับคราวที่แล้วมีผู้มาใช้สิทธิไม่ถึง 50% แหล่งข่าวมองว่าอาจมีโอกาสเพิ่มขึ้นมาบ้าง เพราะจากการที่ผลเลือกตั้งออกมา ผู้ชนะคราวที่แล้วกลับแพ้ คราวนี้จึงแพ้ไม่ได้ อีกทั้งยังมีเหตุการณ์น้ำท่วมภาคเหนือ ที่เกรงกันว่ามวลน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาไหลลงมายังจังหวัดปทุมธานี จำเป็นต้องมีเจ้าภาพบริหารจัดการและดูแลประชาชน หากเกิดสูญญากาศทางการเมือง ประชาชนจะได้รับความเดือดร้อนมากขึ้น สำหรับการเลือกตั้งนายก อบจ.ปทุมธานี เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. ที่ผ่านมา มีผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง 949,421 คน แต่มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง 472,536 คน คิดเป็น 49.77% โดยนายชาญ ซึ่งเป็นผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย ชนะ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ โดยนายชาญได้ 203,032 คะแนน พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ได้ 201,212 คะแนน ห่างกัน 1,820 คะแนน ส่วนอันดับสาม นายนพดล ลัดดาแย้ม ได้ 16,983 คะแนน และอันดับสี่ นายอธิวัฒน์ สอนเนย ได้ 7,122 คะแนน ส่วนบัตรเสียมี 11,302 ใบ คิดเป็น 2.39% และบัตรไม่ประสงค์ลงคะแนน 32,885 ใบ คิดเป็น 6.96% #Newskit #อบจปทุมธานี #เลือกตั้งซ่อม
เรื่องราวเพิ่มเติม