• สงกรานต์ปี 68 ต่างชาติเที่ยวไทยลดลง

    สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) หรือ BDI เปิดเผยสถิติการเดินทางเข้าออกประเทศ ช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2568 เทียบกับปี 2567 โดยใช้ข้อมูลจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) ระหว่างวันที่ 1-20 เม.ย. พบว่าชาวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยลดลงกว่าปีก่อน ขณะที่นักท่องเที่ยวชาวจีนลดลงกว่า 43% อีกด้านหนึ่ง คนไทยเดินทางออกนอกประเทศมากกว่า 10% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

    โดยชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทย มีจำนวนประมาณ 2.1 ล้านคน ลดลง 4.5% จากปี 2567 สัญชาติที่เข้าประเทศไทยมากที่สุด คือ มาเลเซีย ประมาณ 306,000 คน ลดลงจากปีที่แล้ว 6.53% อันดับสอง จีน ประมาณ 225,000 คน ลดลงจากปีที่แล้ว 43.06% อันดับสาม ลาว ประมาณ 189,000 คน ลดลงจากปีที่แล้ว 7.02% อันดับสี่ อินเดีย ประมาณ 141,000 คน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 23.43% และอันดับห้า รัสเซีย ประมาณ 118,000 คน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 15.43%

    ด่านตรวจคนเข้าเมืองที่ชาวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศมากที่สุด อันดับ 1 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ประมาณ 897,000 คน ลดลงจากปีที่แล้ว 3.18% อันดับสอง ท่าอากาศยานภูเก็ต ประมาณ 299,000 คน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 10.73% อันดับสาม ท่าอากาศยานกรุงเทพ (ดอนเมือง) ประมาณ 224,000 คน ลดลงจากปีที่แล้ว 18.63% อันดับสี่ ด่านตรวจคนเข้าเมืองสะเดา จ.สงขลา ประมาณ 122,000 คน ลดลงจากปีที่แล้ว 6.43% และอันดับห้า จุดตรวจสะพานมิตรภาพแห่งที่ 1 จ.หนองคาย ประมาณ 74,000 คน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 11.27% ส่วนเที่ยวบินขาเข้าจากต่างประเทศ มีประมาณ 12,000 เที่ยวบิน ลดลงจากปีที่แล้ว 5.24%

    ส่วนคนไทยที่เดินทางออกนอกประเทศ มีประมาณ 702,000 คน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 10.92% โดยพบว่าผ่านท่าอากาศยานสุวรรณภูมิมากที่สุด ประมาณ 196,000 คน ลดลงจากปีที่แล้ว 0.67% จุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก จ.สระแก้ว ประมาณ 97,000 คน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 20.02% ท่าอากาศยานกรุงเทพ (ดอนเมือง) ประมาณ 82,000 คน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 58.62% ด่านตรวจคนเข้าเมืองปาดังเบซาร์ จ.สงขลา ประมาณ 57,000 คน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 64.15% และ จุดตรวจสะพานข้ามแม่น้ำสุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ประมาณ 54,000 คน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 19.37%

    ก่อนหน้านี้ กองเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยจำนวนนักท่องเที่ยวสะสมตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. ถึง 20 เม.ย. 2568 พบว่ามีจำนวน 11,272,379 คน จำนวนนักท่องเที่ยวสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ จีน 1,524,697 คน มาเลเซีย 1,401,169 คน รัสเซีย 835,385 คน อินเดีย 677,793 คน และเกาหลีใต้ 549,982 คน

    #Newskit
    สงกรานต์ปี 68 ต่างชาติเที่ยวไทยลดลง สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) หรือ BDI เปิดเผยสถิติการเดินทางเข้าออกประเทศ ช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2568 เทียบกับปี 2567 โดยใช้ข้อมูลจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) ระหว่างวันที่ 1-20 เม.ย. พบว่าชาวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยลดลงกว่าปีก่อน ขณะที่นักท่องเที่ยวชาวจีนลดลงกว่า 43% อีกด้านหนึ่ง คนไทยเดินทางออกนอกประเทศมากกว่า 10% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทย มีจำนวนประมาณ 2.1 ล้านคน ลดลง 4.5% จากปี 2567 สัญชาติที่เข้าประเทศไทยมากที่สุด คือ มาเลเซีย ประมาณ 306,000 คน ลดลงจากปีที่แล้ว 6.53% อันดับสอง จีน ประมาณ 225,000 คน ลดลงจากปีที่แล้ว 43.06% อันดับสาม ลาว ประมาณ 189,000 คน ลดลงจากปีที่แล้ว 7.02% อันดับสี่ อินเดีย ประมาณ 141,000 คน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 23.43% และอันดับห้า รัสเซีย ประมาณ 118,000 คน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 15.43% ด่านตรวจคนเข้าเมืองที่ชาวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศมากที่สุด อันดับ 1 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ประมาณ 897,000 คน ลดลงจากปีที่แล้ว 3.18% อันดับสอง ท่าอากาศยานภูเก็ต ประมาณ 299,000 คน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 10.73% อันดับสาม ท่าอากาศยานกรุงเทพ (ดอนเมือง) ประมาณ 224,000 คน ลดลงจากปีที่แล้ว 18.63% อันดับสี่ ด่านตรวจคนเข้าเมืองสะเดา จ.สงขลา ประมาณ 122,000 คน ลดลงจากปีที่แล้ว 6.43% และอันดับห้า จุดตรวจสะพานมิตรภาพแห่งที่ 1 จ.หนองคาย ประมาณ 74,000 คน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 11.27% ส่วนเที่ยวบินขาเข้าจากต่างประเทศ มีประมาณ 12,000 เที่ยวบิน ลดลงจากปีที่แล้ว 5.24% ส่วนคนไทยที่เดินทางออกนอกประเทศ มีประมาณ 702,000 คน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 10.92% โดยพบว่าผ่านท่าอากาศยานสุวรรณภูมิมากที่สุด ประมาณ 196,000 คน ลดลงจากปีที่แล้ว 0.67% จุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก จ.สระแก้ว ประมาณ 97,000 คน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 20.02% ท่าอากาศยานกรุงเทพ (ดอนเมือง) ประมาณ 82,000 คน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 58.62% ด่านตรวจคนเข้าเมืองปาดังเบซาร์ จ.สงขลา ประมาณ 57,000 คน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 64.15% และ จุดตรวจสะพานข้ามแม่น้ำสุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ประมาณ 54,000 คน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 19.37% ก่อนหน้านี้ กองเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยจำนวนนักท่องเที่ยวสะสมตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. ถึง 20 เม.ย. 2568 พบว่ามีจำนวน 11,272,379 คน จำนวนนักท่องเที่ยวสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ จีน 1,524,697 คน มาเลเซีย 1,401,169 คน รัสเซีย 835,385 คน อินเดีย 677,793 คน และเกาหลีใต้ 549,982 คน #Newskit
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 171 มุมมอง 0 รีวิว
  • ยางคอนติเนนทอล ปิดโรงงานอลอร์สตาร์ มาเลเซีย

    คอนติเนนทอล (Continental) ผู้ผลิตและจำหน่ายยางรถยนต์อันดับ 1 จากประเทศเยอรมนี ที่มียอดขายสูงสุด 1 ใน 3 ของโลก กำลังเตรียมปิดโรงงานผลิตยางรถยนต์ สำหรับรถยนต์นั่งส่วนบุคคล รถบรรทุกขนาดเบา และจักรยานยนต์สำหรับตลาดภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ในเมืองอลอร์สตาร์ (Aloe Setar) รัฐเคดะห์ (Kedah) ทางภาคเหนือของมาเลเซีย ภายในสิ้นปี 2568 โดยให้เหตุผลว่าเพื่อต้องการคงความสามารถในการแข่งขันในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งเป็นผลจากการพิจารณาทบทวนธุรกิจเต็มรูปแบบ การตัดสินใจดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามปรับตัวให้เข้ากับความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนไป ปรับปรุงกลุ่มผลิตภัณฑ์ และสถานที่ตั้งโรงงาน

    สำหรับพนักงานทั้งหมด 950 คน ที่จะได้รับผลกระทบจากการปิดโรงงานในครั้งนี้ คอนติเนนทอลได้เสนอความช่วยเหลือ เช่น การให้คำปรึกษาด้านอาชีพ และการสำรวจโอกาสในการทำงานทั้งภายในและภายนอกบริษัทฯ การปิดโรงงานดังกล่าวนับเป็นการปิดฉากโรงงานผลิตยางรถยนต์ที่ดำเนินกิจการมาเป็นเวลา 46 ปี ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 20 ธ.ค. 2522 บนพื้นที่ 133,000 ตารางเมตร และกลายเป็นบริษัทในเครือคอนติเนนทอลมาตั้งแต่เดือน พ.ค. 2555 อย่างไรก็ตาม ยังเหลือโรงงานในมาเลเซียอีก 1 แห่ง ที่เมืองเปอตาลิง จายา รัฐสลังงอร์ ผลิตยางออฟโรดสำหรับขนย้ายวัสดุและใช้งานทางการเกษตร มีพนักงาน 500 คน

    ยางรถยนต์คอนติเนนทอลก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2414 นำเข้าและจำหน่ายในมาเลเซียช่วงต้นทศวรรษปี 1960-1970 กระทั่งในช่วงต้นทศวรรษปี 2000 คอนติเนนทอลเริ่มลงทุนโดยตรงมากขึ้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งมาเลเซีย โดยในปี 2549 เข้าซื้อหุ้นส่วนใหญ่ในบริษัท ไซม์ ไทร์ อินเตอร์เนชันแนล บริษัทในเครือ ไซม์ ดาร์บี้ (Sime Darby) หนึ่งในผู้นำธุรกิจยานยนต์ในมาเลเซีย ทำให้คอนติเนนตัลมีฐานการผลิตและการเข้าถึงตลาดที่สำคัญในมาเลเซียในที่สุด

    แม้ว่าโรงงานที่อลอร์สตาร์จะต้องปิดตัวลง แต่คอนติเนนทอลยืนยันที่จะให้มาเลเซียเป็นตลาดสำคัญเชิงกลยุทธ์สำหรับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เน้นย้ำถึงการมุ่งรักษาความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับลูกค้าและพันธมิตรในประเทศอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันคอนติเนนทอลมีโรงงานผลิตยางรถยนต์ 22 แห่งใน 17 ประเทศทั่วโลก โดยในภูมิภาคเอเชีย มีโรงงานทั้งที่มาเลเซีย เหอเฟย์ในจีน ระยองในไทย โมดิปุรัมในอินเดีย และกาลูทาราในศรีลังกา ก่อนหน้านี้เมื่อเดือน ต.ค. 2567 คอนติเนนทอล ประกาศว่า กำลังขยายกำลังการผลิตยางรถยนต์ในโรงงานจังหวัดระยอง ประเทศไทย อีก 3 ล้านเส้นต่อปี สร้างงานเพิ่ม 600 อัตรา วางแผนลงทุนมากกว่า 300 ล้านยูโร (13,000 ล้านบาท)

    #Newskit
    ยางคอนติเนนทอล ปิดโรงงานอลอร์สตาร์ มาเลเซีย คอนติเนนทอล (Continental) ผู้ผลิตและจำหน่ายยางรถยนต์อันดับ 1 จากประเทศเยอรมนี ที่มียอดขายสูงสุด 1 ใน 3 ของโลก กำลังเตรียมปิดโรงงานผลิตยางรถยนต์ สำหรับรถยนต์นั่งส่วนบุคคล รถบรรทุกขนาดเบา และจักรยานยนต์สำหรับตลาดภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ในเมืองอลอร์สตาร์ (Aloe Setar) รัฐเคดะห์ (Kedah) ทางภาคเหนือของมาเลเซีย ภายในสิ้นปี 2568 โดยให้เหตุผลว่าเพื่อต้องการคงความสามารถในการแข่งขันในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งเป็นผลจากการพิจารณาทบทวนธุรกิจเต็มรูปแบบ การตัดสินใจดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามปรับตัวให้เข้ากับความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนไป ปรับปรุงกลุ่มผลิตภัณฑ์ และสถานที่ตั้งโรงงาน สำหรับพนักงานทั้งหมด 950 คน ที่จะได้รับผลกระทบจากการปิดโรงงานในครั้งนี้ คอนติเนนทอลได้เสนอความช่วยเหลือ เช่น การให้คำปรึกษาด้านอาชีพ และการสำรวจโอกาสในการทำงานทั้งภายในและภายนอกบริษัทฯ การปิดโรงงานดังกล่าวนับเป็นการปิดฉากโรงงานผลิตยางรถยนต์ที่ดำเนินกิจการมาเป็นเวลา 46 ปี ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 20 ธ.ค. 2522 บนพื้นที่ 133,000 ตารางเมตร และกลายเป็นบริษัทในเครือคอนติเนนทอลมาตั้งแต่เดือน พ.ค. 2555 อย่างไรก็ตาม ยังเหลือโรงงานในมาเลเซียอีก 1 แห่ง ที่เมืองเปอตาลิง จายา รัฐสลังงอร์ ผลิตยางออฟโรดสำหรับขนย้ายวัสดุและใช้งานทางการเกษตร มีพนักงาน 500 คน ยางรถยนต์คอนติเนนทอลก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2414 นำเข้าและจำหน่ายในมาเลเซียช่วงต้นทศวรรษปี 1960-1970 กระทั่งในช่วงต้นทศวรรษปี 2000 คอนติเนนทอลเริ่มลงทุนโดยตรงมากขึ้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งมาเลเซีย โดยในปี 2549 เข้าซื้อหุ้นส่วนใหญ่ในบริษัท ไซม์ ไทร์ อินเตอร์เนชันแนล บริษัทในเครือ ไซม์ ดาร์บี้ (Sime Darby) หนึ่งในผู้นำธุรกิจยานยนต์ในมาเลเซีย ทำให้คอนติเนนตัลมีฐานการผลิตและการเข้าถึงตลาดที่สำคัญในมาเลเซียในที่สุด แม้ว่าโรงงานที่อลอร์สตาร์จะต้องปิดตัวลง แต่คอนติเนนทอลยืนยันที่จะให้มาเลเซียเป็นตลาดสำคัญเชิงกลยุทธ์สำหรับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เน้นย้ำถึงการมุ่งรักษาความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับลูกค้าและพันธมิตรในประเทศอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันคอนติเนนทอลมีโรงงานผลิตยางรถยนต์ 22 แห่งใน 17 ประเทศทั่วโลก โดยในภูมิภาคเอเชีย มีโรงงานทั้งที่มาเลเซีย เหอเฟย์ในจีน ระยองในไทย โมดิปุรัมในอินเดีย และกาลูทาราในศรีลังกา ก่อนหน้านี้เมื่อเดือน ต.ค. 2567 คอนติเนนทอล ประกาศว่า กำลังขยายกำลังการผลิตยางรถยนต์ในโรงงานจังหวัดระยอง ประเทศไทย อีก 3 ล้านเส้นต่อปี สร้างงานเพิ่ม 600 อัตรา วางแผนลงทุนมากกว่า 300 ล้านยูโร (13,000 ล้านบาท) #Newskit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 197 มุมมอง 0 รีวิว
  • สิงคโปร์ ยุบสภาก่อนได้เปรียบ?

    การประกาศยุบสภาของรัฐบาลสิงคโปร์ เมื่อวันที่ 15 เม.ย. และจัดการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 3 พ.ค.ที่จะถึงนี้ นายลอว์เรนซ์ หว่อง นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ให้เหตุผลว่า เพื่อต้องการให้ชาวสิงคโปร์ได้ตัดสินใจเลือกรัฐบาลซึ่งจะนำพาประเทศในช่วงเวลาวิกฤต หลังจากโลกกำลังเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงที่ไม่แน่นอนและอาจถึงขั้นไร้เสถียรภาพมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เดินหน้าขึ้นภาษีนำเข้า ซึ่งสิงคโปร์ถูกขึ้นภาษี 10% นายหว่องเคยกล่าวต่อรัฐสภาว่า ยุคของโลกาภิวัตน์ตามกฎเกณฑ์และการค้าเสรีได้สิ้นสุดลงแล้ว สิงคโปร์เสี่ยงที่จะถูกบีบให้หลุดจากการแข่งขัน ตกขอบ และถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

    การยุบสภาไม่ใช่เรื่องใหม่ของสิงคโปร์ ก่อนหน้านี้สมัยนายลี เซียน ลุง นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์คนที่ 3 ก็เคยยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 10 ก.ค.2563 เพื่อต้องการให้รัฐบาลชุดใหม่มีเวลาทำงานเต็ม 5 ปีในการรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และความท้าทายทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น สามารถตัดสินใจในเรื่องสำคัญได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้จะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับความเสี่ยงด้านสุขภาพจากการจัดเลือกตั้งในช่วงโควิด-19 ก็ตาม และนายลี เซียน ลุง ก็ลงจากตำแหน่งในวันที่ 15 พ.ค. 2567 เพื่อส่งต่อให้กับนายลอว์เรนซ์ หว่อง นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์คนที่ 4

    การเลือกตั้งทั่วไปของสิงคโปร์ในครั้งนี้ เป็นการเลือกสมาชิกรัฐสภา 97 คน จาก 33 เขตเลือกตั้ง มีผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนเสียง 2.7 ล้านคน นับเป็นการเลือกตั้งครั้งที่ 19 นับตั้งแค่การเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกในปี ค.ศ.1948 และเป็นครั้งที่ 14 นับตั้งแต่ได้รับเอกราชในปี ค.ศ.1965 รวมทั้งเป็นครั้งแรกที่นายลอว์เรนซ์ หว่อง รับบทบาทเป็นหัวหน้าพรรคกิจประชาชน (PAP) ซึ่งเป็นพรรคการเมืองเสียงข้างมากในรัฐสภาสิงคโปร์ ที่ครองอำนาจมายาวนาน สมัยที่แล้วได้มา 79 ที่นั่ง จะต้องแข่งกับพรรคแรงงาน (WP) ซึ่งสมัยที่แล้วได้มา 8 ที่นั่ง พรรคก้าวหน้าสิงคโปร์ (PSP) ได้มา 2 ที่นั่ง และพรรคอื่นๆ

    บทความจาก รศ.วิทยา ด่านธำรงกูล สถาบันวิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (TU-RAC) วิเคราะห์ตอนหนึ่งว่า การยุบสภาของนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ นอกจากจะเป็นการพยายามหาฉันทมติจากประชาชนว่าจะเห็นด้วยกับแนวทางการแก้ปัญหาของเขา และคณะรัฐมนตรีของเขามากน้อยเพียงใดแล้ว ยังเป็นการฉกฉวยโอกาสจากวิกฤติสงครามการค้า เพื่อให้ประชาชนได้เห็นว่ารัฐบาลของเขาเข้าใจวิกฤติครั้งนี้ และพร้อมจะเข้ามามีบทบาทเต็มที่ในการหาทางออกให้ประเทศ ย่อมเป็นการฉกฉวยคะแนนบนความกังวลใจของชาวสิงคโปร์

    #Newskit
    สิงคโปร์ ยุบสภาก่อนได้เปรียบ? การประกาศยุบสภาของรัฐบาลสิงคโปร์ เมื่อวันที่ 15 เม.ย. และจัดการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 3 พ.ค.ที่จะถึงนี้ นายลอว์เรนซ์ หว่อง นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ให้เหตุผลว่า เพื่อต้องการให้ชาวสิงคโปร์ได้ตัดสินใจเลือกรัฐบาลซึ่งจะนำพาประเทศในช่วงเวลาวิกฤต หลังจากโลกกำลังเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงที่ไม่แน่นอนและอาจถึงขั้นไร้เสถียรภาพมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เดินหน้าขึ้นภาษีนำเข้า ซึ่งสิงคโปร์ถูกขึ้นภาษี 10% นายหว่องเคยกล่าวต่อรัฐสภาว่า ยุคของโลกาภิวัตน์ตามกฎเกณฑ์และการค้าเสรีได้สิ้นสุดลงแล้ว สิงคโปร์เสี่ยงที่จะถูกบีบให้หลุดจากการแข่งขัน ตกขอบ และถูกทิ้งไว้ข้างหลัง การยุบสภาไม่ใช่เรื่องใหม่ของสิงคโปร์ ก่อนหน้านี้สมัยนายลี เซียน ลุง นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์คนที่ 3 ก็เคยยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 10 ก.ค.2563 เพื่อต้องการให้รัฐบาลชุดใหม่มีเวลาทำงานเต็ม 5 ปีในการรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และความท้าทายทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น สามารถตัดสินใจในเรื่องสำคัญได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้จะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับความเสี่ยงด้านสุขภาพจากการจัดเลือกตั้งในช่วงโควิด-19 ก็ตาม และนายลี เซียน ลุง ก็ลงจากตำแหน่งในวันที่ 15 พ.ค. 2567 เพื่อส่งต่อให้กับนายลอว์เรนซ์ หว่อง นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์คนที่ 4 การเลือกตั้งทั่วไปของสิงคโปร์ในครั้งนี้ เป็นการเลือกสมาชิกรัฐสภา 97 คน จาก 33 เขตเลือกตั้ง มีผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนเสียง 2.7 ล้านคน นับเป็นการเลือกตั้งครั้งที่ 19 นับตั้งแค่การเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกในปี ค.ศ.1948 และเป็นครั้งที่ 14 นับตั้งแต่ได้รับเอกราชในปี ค.ศ.1965 รวมทั้งเป็นครั้งแรกที่นายลอว์เรนซ์ หว่อง รับบทบาทเป็นหัวหน้าพรรคกิจประชาชน (PAP) ซึ่งเป็นพรรคการเมืองเสียงข้างมากในรัฐสภาสิงคโปร์ ที่ครองอำนาจมายาวนาน สมัยที่แล้วได้มา 79 ที่นั่ง จะต้องแข่งกับพรรคแรงงาน (WP) ซึ่งสมัยที่แล้วได้มา 8 ที่นั่ง พรรคก้าวหน้าสิงคโปร์ (PSP) ได้มา 2 ที่นั่ง และพรรคอื่นๆ บทความจาก รศ.วิทยา ด่านธำรงกูล สถาบันวิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (TU-RAC) วิเคราะห์ตอนหนึ่งว่า การยุบสภาของนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ นอกจากจะเป็นการพยายามหาฉันทมติจากประชาชนว่าจะเห็นด้วยกับแนวทางการแก้ปัญหาของเขา และคณะรัฐมนตรีของเขามากน้อยเพียงใดแล้ว ยังเป็นการฉกฉวยโอกาสจากวิกฤติสงครามการค้า เพื่อให้ประชาชนได้เห็นว่ารัฐบาลของเขาเข้าใจวิกฤติครั้งนี้ และพร้อมจะเข้ามามีบทบาทเต็มที่ในการหาทางออกให้ประเทศ ย่อมเป็นการฉกฉวยคะแนนบนความกังวลใจของชาวสิงคโปร์ #Newskit
    Like
    1
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 223 มุมมอง 0 รีวิว
  • สายสัมพันธ์ไทย-ภูฏาน สองราชวงศ์เชื่อมใจประชาชน

    การเสด็จพระราชดำเนินเยือนราชอาณาจักรภูฏานอย่างเป็นทางการ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ระหว่างวันที่ 25-28 เม.ย. 2568 ตามคำทูลเชิญของสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก แห่งภูฏาน นับเป็นการกระชับมิตรภาพและความร่วมมืออันใกล้ชิดระหว่างราชอาณาจักรทั้งสองให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น จากการมีมรดกทางวัฒนธรรมร่วมกันในความเลื่อมใสในบวรพระพุทธศาสนาและสายสัมพันธ์ระหว่างราชวงศ์ทั้งสอง รวมทั้งระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศ

    พระราชกรณียกิจที่น่าสนใจ อาทิ ทอดพระเนตรโครงการตามพระราชดำริของสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งภูฏาน เพื่อพัฒนาศักยภาพเยาวชน ได้แก่ โครงการฝึกอบรมเกียลซุง (Gyalsung National Service) ให้เยาวชนทุกคนที่มีอายุ 18 ปี เข้าร่วมการฝึกอบรมระยะเวลา 1 ปี เพื่อให้มีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ และมีทักษะประจำตัวในการประกอบอาชีพหรือศึกษาต่อ โครงการจิตอาสาเดซุง (De-suung) เพื่อส่งเสริมให้ชาวภูฏานมีบทบาทในการสร้างชาติและพัฒนาประเทศ มีจิตอาสาทำงานเพื่อสังคมและส่วนรวม ความสมานฉันท์ สามารถทำงานเป็นทีมและมีระเบียบวินัย

    การเสด็จพระราชดำเนินไปยังสถานที่ประดิษฐานพระพุทธรูปดอร์เดนมา เพื่อร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรชัยมงคล โดยคณะสงฆ์ฝ่ายภูฏานและคณะสงฆ์ไทย ฝ่ายละ 74 รูป การเสด็จพระราชดำเนินไปยังโครงการหลวงเดเชนโชลิง ทอดพระเนตรนิทรรศการความร่วมมือระหว่างมูลนิธิโครงการหลวงของไทย กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของภูฏาน ทอดพระเนตรโครงการเดชุง และโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์

    การเสด็จพระราชดำเนินไปยังพระราชวังลิงคานา เพื่อทอดพระเนตรการแสดงศิลปวัฒนธรรมของภูฏาน การยิงธนู และกีฬาพื้นบ้าน ทอดพระเนตรงานหัตถกรรมผ้าและสิ่งทอของราชอาณาจักรภูฏาน การเสด็จพระราชดำเนินไปยังตลาดกลางประจำกรุงทิมพู ทอดพระเนตรโครงการพัฒนาทักษะอาสาสมัครในโครงการเดซุง ทอดพระเนตรร้านค้าจำหน่ายพืชผลทางการเกษตร การเสด็จพระราชดำเนินไปยังป้อมดุงการ์ ทรงสักการะพระศากยมุนี ทอดพระเนตรกิจกรรมของราชวิทยาลัย และโครงการพัฒนาเมืองเกเลฟู ให้เป็นเมืองแห่งสติปัญญาในเขตปกครองพิเศษ

    นับเป็นพระราชไมตรีส่วนพระองค์ ที่มีค่านิยมร่วมกันในการพัฒนาประเทศอย่างสมดุล บนพื้นฐานของวัฒนธรรมและศรัทธา​ของประชาชนทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะการน้อมนำหลักการของพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาเป็นแนวทางในการพัฒนาประเทศ ตามนโยบายความสุขมวลรวมประชาชาติ (Gross National Happiness) ที่มุ่งเน้นความสุขของประชาชนมากกว่าตัวเลขทางเศรษฐกิจ

    #Newskit
    สายสัมพันธ์ไทย-ภูฏาน สองราชวงศ์เชื่อมใจประชาชน การเสด็จพระราชดำเนินเยือนราชอาณาจักรภูฏานอย่างเป็นทางการ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ระหว่างวันที่ 25-28 เม.ย. 2568 ตามคำทูลเชิญของสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก แห่งภูฏาน นับเป็นการกระชับมิตรภาพและความร่วมมืออันใกล้ชิดระหว่างราชอาณาจักรทั้งสองให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น จากการมีมรดกทางวัฒนธรรมร่วมกันในความเลื่อมใสในบวรพระพุทธศาสนาและสายสัมพันธ์ระหว่างราชวงศ์ทั้งสอง รวมทั้งระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศ พระราชกรณียกิจที่น่าสนใจ อาทิ ทอดพระเนตรโครงการตามพระราชดำริของสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งภูฏาน เพื่อพัฒนาศักยภาพเยาวชน ได้แก่ โครงการฝึกอบรมเกียลซุง (Gyalsung National Service) ให้เยาวชนทุกคนที่มีอายุ 18 ปี เข้าร่วมการฝึกอบรมระยะเวลา 1 ปี เพื่อให้มีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ และมีทักษะประจำตัวในการประกอบอาชีพหรือศึกษาต่อ โครงการจิตอาสาเดซุง (De-suung) เพื่อส่งเสริมให้ชาวภูฏานมีบทบาทในการสร้างชาติและพัฒนาประเทศ มีจิตอาสาทำงานเพื่อสังคมและส่วนรวม ความสมานฉันท์ สามารถทำงานเป็นทีมและมีระเบียบวินัย การเสด็จพระราชดำเนินไปยังสถานที่ประดิษฐานพระพุทธรูปดอร์เดนมา เพื่อร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรชัยมงคล โดยคณะสงฆ์ฝ่ายภูฏานและคณะสงฆ์ไทย ฝ่ายละ 74 รูป การเสด็จพระราชดำเนินไปยังโครงการหลวงเดเชนโชลิง ทอดพระเนตรนิทรรศการความร่วมมือระหว่างมูลนิธิโครงการหลวงของไทย กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของภูฏาน ทอดพระเนตรโครงการเดชุง และโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ การเสด็จพระราชดำเนินไปยังพระราชวังลิงคานา เพื่อทอดพระเนตรการแสดงศิลปวัฒนธรรมของภูฏาน การยิงธนู และกีฬาพื้นบ้าน ทอดพระเนตรงานหัตถกรรมผ้าและสิ่งทอของราชอาณาจักรภูฏาน การเสด็จพระราชดำเนินไปยังตลาดกลางประจำกรุงทิมพู ทอดพระเนตรโครงการพัฒนาทักษะอาสาสมัครในโครงการเดซุง ทอดพระเนตรร้านค้าจำหน่ายพืชผลทางการเกษตร การเสด็จพระราชดำเนินไปยังป้อมดุงการ์ ทรงสักการะพระศากยมุนี ทอดพระเนตรกิจกรรมของราชวิทยาลัย และโครงการพัฒนาเมืองเกเลฟู ให้เป็นเมืองแห่งสติปัญญาในเขตปกครองพิเศษ นับเป็นพระราชไมตรีส่วนพระองค์ ที่มีค่านิยมร่วมกันในการพัฒนาประเทศอย่างสมดุล บนพื้นฐานของวัฒนธรรมและศรัทธา​ของประชาชนทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะการน้อมนำหลักการของพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาเป็นแนวทางในการพัฒนาประเทศ ตามนโยบายความสุขมวลรวมประชาชาติ (Gross National Happiness) ที่มุ่งเน้นความสุขของประชาชนมากกว่าตัวเลขทางเศรษฐกิจ #Newskit
    Like
    Love
    6
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 225 มุมมอง 0 รีวิว
  • รถไฟลาว-จีน ดีเลย์เหมือนไทย

    เปิดให้บริการก้าวเข้าสู่ปีที่ 4 ของรถไฟลาว-จีน จากนครคุนหมิง มณฑลยูนนาน ประเทศจีน ลงใต้ไปถึงเวียงจันทน์ ประเทศลาว รวมระยะทาง 1,035 กิโลเมตร ปัจจุบันมีผู้โดยสารช่วงระหว่างหลวงพระบางถึงสิบสองปันนา มากกว่า 800 คนต่อวัน และสูงสุดถึง 1,200 คนต่อวัน นับตั้งแต่ประเทศจีนขยายนโยบายฟรีวีซ่ากับประเทศต่างๆ เพิ่มขึ้น รวมทั้งประเทศไทย แม้ที่ผ่านมาจะพัฒนาการบริการ โดยเฉพาะการซื้อตั๋วล่วงหน้าที่สะดวกยิ่งขึ้นผ่านแอปฯ LCR Ticket ที่เบอร์มือถือลาว จีน และไทยสามารถใช้ได้ แก้ปัญหาการกักตุนและขายต่อเกินราคา แต่ปัญหาที่ดูเหมือนจะแก้ไขได้ยาก คือขบวนรถล่าช้าเหมือนรถไฟไทย แถมหนักกว่าตรงที่เช็กไม่ได้ ไม่เหมือนรถไฟไทยที่มีระบบ TTS

    ช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2568 ที่ผ่านมา Newskit มีโอกาสไปเยือนเมืองบ่อเต็น แขวงหลวงน้ำทา เริ่มจากขาไป ขบวน C82 นครหลวงเวียงจันทน์-บ่อเต็น ออกจากสถานีนครหลวงเวียงจันทน์ 13.30 น. ตามกำหนดต้องถึงสถานีบ่อเต็น 17.25 น. แต่วันนั้นถึงจริง 18.26 น. เหตุเพราะรอรถหลีกช่วงสถานีวังเวียง ถึงสถานีหลวงพระบาง จากสถานีบ่อเต็นจะมีรถรับจ้างไปส่งที่ด่านบ่อเต็น และโรงแรมในเมืองบ่อเต็น คิดคนละ 50,000 กีบ (ประมาณ 78 บาท)

    ส่วนขากลับ ขบวน D87 คุนหมิงใต้-บ่อเต็น-นครหลวงเวียงจันทน์ ออกจากสถานีบ่อเต็น 13.27 น. ตามกำหนดต้องถึงสถานีนครหลวงเวียงจันทน์ 16.44 น. แต่ถึงจริง 17.00 น. เหตุเพราะรอรถหลีก โชคดีที่รถเมล์ของรัฐวิสาหกิจรถเมล์นครหลวงเวียงจันทน์ (VCSBE) ยังรอให้บริการ ไปสะพานมิตรภาพไทย-ลาว และตลาดซันเจียง แต่ต้องรีบออกจากสถานี ไม่เช่นนั้นต้องจ่ายค่าแท็กซี่ในราคาที่สูง

    สาเหตุที่ทำให้รถไฟลาว-จีนล่าช้า เพราะเส้นทางรถไฟส่วนใหญ่เป็นรถไฟทางเดียว และต้องลอดใต้อุโมงค์ช่วงสถานีวังเวียง ถึงสถานีบ่อเต็นแบบถี่ยิบ แต่เพราะเป็นรถไฟฟ้า EMU สามารถทำความเร็วมากกว่า 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จึงสามารถทำความเร็วเพื่อชดเชยเวลาที่เสียไปได้ โดยเฉพาะขบวนที่ D87 ซึ่งเป็นขบวนรถจากประเทศจีนมายังเมืองหลวงของ สปป.ลาว ด้วยข้อจำกัดดังกล่าว นักท่องเที่ยวที่จัดโปรแกรมหรือนักเดินทางที่มีนัดหมายแน่นอน ควรเผื่อเวลาไว้สัก 1-2 ชั่วโมง

    คำแนะนำเล็กๆ น้อยๆ รถไฟลาว-จีนมีสัญญาณมือถือเฉพาะช่วงที่ผ่านสถานี เมื่อออกจากสถานีสัญญาณจะค่อยๆ ขาดหาย ควรเปิดโหมดเครื่องบินตลอดการเดินทางเพื่อประหยัดแบตเตอรี ส่วนขากลับเมื่อออกจากสถานีวังเวียงแล้ว ก่อนถึงสถานีนครหลวงเวียงจันทน์ควรเข้าห้องน้ำบนรถไฟให้เรียบร้อย เพราะห้องน้ำตรงทางออกปิดบริการ ต้องไปเข้าห้องน้ำข้างนอกสถานีซึ่งเดินไกลมาก และจะได้ไม่พลาดรถเมล์อีกด้วย

    #Newskit
    รถไฟลาว-จีน ดีเลย์เหมือนไทย เปิดให้บริการก้าวเข้าสู่ปีที่ 4 ของรถไฟลาว-จีน จากนครคุนหมิง มณฑลยูนนาน ประเทศจีน ลงใต้ไปถึงเวียงจันทน์ ประเทศลาว รวมระยะทาง 1,035 กิโลเมตร ปัจจุบันมีผู้โดยสารช่วงระหว่างหลวงพระบางถึงสิบสองปันนา มากกว่า 800 คนต่อวัน และสูงสุดถึง 1,200 คนต่อวัน นับตั้งแต่ประเทศจีนขยายนโยบายฟรีวีซ่ากับประเทศต่างๆ เพิ่มขึ้น รวมทั้งประเทศไทย แม้ที่ผ่านมาจะพัฒนาการบริการ โดยเฉพาะการซื้อตั๋วล่วงหน้าที่สะดวกยิ่งขึ้นผ่านแอปฯ LCR Ticket ที่เบอร์มือถือลาว จีน และไทยสามารถใช้ได้ แก้ปัญหาการกักตุนและขายต่อเกินราคา แต่ปัญหาที่ดูเหมือนจะแก้ไขได้ยาก คือขบวนรถล่าช้าเหมือนรถไฟไทย แถมหนักกว่าตรงที่เช็กไม่ได้ ไม่เหมือนรถไฟไทยที่มีระบบ TTS ช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2568 ที่ผ่านมา Newskit มีโอกาสไปเยือนเมืองบ่อเต็น แขวงหลวงน้ำทา เริ่มจากขาไป ขบวน C82 นครหลวงเวียงจันทน์-บ่อเต็น ออกจากสถานีนครหลวงเวียงจันทน์ 13.30 น. ตามกำหนดต้องถึงสถานีบ่อเต็น 17.25 น. แต่วันนั้นถึงจริง 18.26 น. เหตุเพราะรอรถหลีกช่วงสถานีวังเวียง ถึงสถานีหลวงพระบาง จากสถานีบ่อเต็นจะมีรถรับจ้างไปส่งที่ด่านบ่อเต็น และโรงแรมในเมืองบ่อเต็น คิดคนละ 50,000 กีบ (ประมาณ 78 บาท) ส่วนขากลับ ขบวน D87 คุนหมิงใต้-บ่อเต็น-นครหลวงเวียงจันทน์ ออกจากสถานีบ่อเต็น 13.27 น. ตามกำหนดต้องถึงสถานีนครหลวงเวียงจันทน์ 16.44 น. แต่ถึงจริง 17.00 น. เหตุเพราะรอรถหลีก โชคดีที่รถเมล์ของรัฐวิสาหกิจรถเมล์นครหลวงเวียงจันทน์ (VCSBE) ยังรอให้บริการ ไปสะพานมิตรภาพไทย-ลาว และตลาดซันเจียง แต่ต้องรีบออกจากสถานี ไม่เช่นนั้นต้องจ่ายค่าแท็กซี่ในราคาที่สูง สาเหตุที่ทำให้รถไฟลาว-จีนล่าช้า เพราะเส้นทางรถไฟส่วนใหญ่เป็นรถไฟทางเดียว และต้องลอดใต้อุโมงค์ช่วงสถานีวังเวียง ถึงสถานีบ่อเต็นแบบถี่ยิบ แต่เพราะเป็นรถไฟฟ้า EMU สามารถทำความเร็วมากกว่า 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จึงสามารถทำความเร็วเพื่อชดเชยเวลาที่เสียไปได้ โดยเฉพาะขบวนที่ D87 ซึ่งเป็นขบวนรถจากประเทศจีนมายังเมืองหลวงของ สปป.ลาว ด้วยข้อจำกัดดังกล่าว นักท่องเที่ยวที่จัดโปรแกรมหรือนักเดินทางที่มีนัดหมายแน่นอน ควรเผื่อเวลาไว้สัก 1-2 ชั่วโมง คำแนะนำเล็กๆ น้อยๆ รถไฟลาว-จีนมีสัญญาณมือถือเฉพาะช่วงที่ผ่านสถานี เมื่อออกจากสถานีสัญญาณจะค่อยๆ ขาดหาย ควรเปิดโหมดเครื่องบินตลอดการเดินทางเพื่อประหยัดแบตเตอรี ส่วนขากลับเมื่อออกจากสถานีวังเวียงแล้ว ก่อนถึงสถานีนครหลวงเวียงจันทน์ควรเข้าห้องน้ำบนรถไฟให้เรียบร้อย เพราะห้องน้ำตรงทางออกปิดบริการ ต้องไปเข้าห้องน้ำข้างนอกสถานีซึ่งเดินไกลมาก และจะได้ไม่พลาดรถเมล์อีกด้วย #Newskit
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 205 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ร้อยนึง" ครั้งหนึ่งในเขมร

    กรณีเจ้าหน้าที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ปอยเปต จังหวัดบันทายมีชัย ประเทศกัมพูชา เรียกเก็บเงินครั้งละ 100-200 บาท จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวไทยเกิดขึ้นมานานแล้ว แม้จะมีการเคลื่อนไหวถึงขั้นนัดรวมตัวประท้วงที่หน้าสถานกงสุลกัมพูชา จ.สระแก้ว เพื่อเรียกร้องให้ทางการกัมพูชาแก้ไขปัญหาดังกล่าว กระทั่งกงสุลใหญ่กัมพูชาประจำจังหวัดสระแก้ว รับทราบปัญหาและรีบดำเนินการแก้ไข แต่ปัญหาก็ไม่หมดไป ใน TikTok มีคลิปที่คนไทยไปเที่ยวปอยเปตถูกเรียกเก็บเงิน แม้จะมีข้อความ "ไม่มีการชำระเงินที่นี่" ก็ตาม

    ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ มีโอกาสไปเยือนปอยเปต ตั้งใจจะไปเที่ยวชมบรรยากาศที่นั่น พบเจอมากับตัว!

    จากด่านพรมแดนบ้านคลองลึก จ.สระแก้ว หนังสือเดินทางประเทศไทย ชั้นล่าง ประทับตราขาออกตามปกติ เมื่อข้ามไปฝั่งประเทศกัมพูชา ประตู ARRIVAL ด้านขวามือขึ้นไปชั้น 2 ที่นี่ห้ามถ่ายรูปและห้ามใช้โทรศัพท์มือถือ นักท่องเที่ยวจะต้องเขียนใบขาเข้าแบบกระดาษ หากเขียนไม่เป็นก็ให้เจ้าหน้าที่เขียนให้ เสียเงิน 20 บาท หลังจากนั้นจึงเข้าคิวรอเจ้าหน้าที่ ตม.ประทับตราขาเข้าลงบนหนังสือเดินทาง สังเกตว่ามีช่องให้บริการ 6 ช่อง แต่เปิดเพียง 2 ช่อง คิวยาวเหยียด เมื่อมีกรุ๊ปทัวร์ตามมาจึงเปิดเพิ่มอีก 1 ช่อง ระหว่างนั้นนักท่องเที่ยวคนหน้ายังบ่นเรื่องเสียเงิน 100 บาท

    เมื่อถึงคิว เจ้าหน้าที่ ตม. สแกนหนังสือเดินทางตามขั้นตอน คำถามแรกคือ "อยู่ที่ไหน" ตอบไปว่าอยู่ปอยเปต คำถามต่อมาคือ "มาทำอะไร" ตอบไปว่ามาเที่ยว มาเดินเล่น ก่อนที่จะปิดท้ายด้วยคำว่า "ร้อยนึง" ถึงตอนนั้นรู้สึกอึ้ง แต่สมองสั่งให้ควักกระเป๋าสตางค์หยิบธนบัตรใบละ 100 บาท วางไว้ที่เคาน์เตอร์ เจ้าหน้าที่ ตม.วางหนังสือเดินทางที่ประทับตราแล้วคืน แล้วหยิบแบงก์ร้อยออกไป เราเดินลงไปด้านล่างพร้อมคำถามในหัวว่าต้องจ่ายด้วยหรือ ทั้งที่หน้าเคาน์เตอร์มีข้อความ "ไม่มีการชำระเงินที่นี่" ก็ตาม ส่วนเที่ยวกลับ เจ้าหน้าที่ ตม.ไม่เรียกเก็บ อาจเป็นเพราะสีหน้าที่วิตกกังวลและอยากกลับบ้าน

    ที่ผ่านมานักท่องเที่ยวชาวไทยที่ผ่านด่านปอยเปต เพื่อไปเที่ยวฝั่งกัมพูชา จะต้องเสียค่าใช้จ่ายกับกระบวนการ ตม. สูงถึง 100-420 บาท ทั้งที่หากเป็นประเทศอื่น เช่น สปป.ลาว จ่ายค่าเหยียบแผ่นดินขาละ 20 บาท ส่วนมาเลเซียและเมียนมาไม่มีการเรียกเก็บ แต่เงินที่เจ้าหน้าที่ ตม.กัมพูชาเรียกเก็บไม่ชัดเจนว่าเป็นค่าอะไร นอกจากคิดไปเองว่าเป็นค่าอำนวยความสะดวก ทั้งหมดเป็นการบอกเล่าประสบการณ์ที่ถูกเรียกเก็บเงินครั้งหนึ่งในชีวิต ส่วนจะแก้ไขปัญหาอย่างไร เป็นเรื่องของทางการกัมพูชา

    #Newskit
    "ร้อยนึง" ครั้งหนึ่งในเขมร กรณีเจ้าหน้าที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ปอยเปต จังหวัดบันทายมีชัย ประเทศกัมพูชา เรียกเก็บเงินครั้งละ 100-200 บาท จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวไทยเกิดขึ้นมานานแล้ว แม้จะมีการเคลื่อนไหวถึงขั้นนัดรวมตัวประท้วงที่หน้าสถานกงสุลกัมพูชา จ.สระแก้ว เพื่อเรียกร้องให้ทางการกัมพูชาแก้ไขปัญหาดังกล่าว กระทั่งกงสุลใหญ่กัมพูชาประจำจังหวัดสระแก้ว รับทราบปัญหาและรีบดำเนินการแก้ไข แต่ปัญหาก็ไม่หมดไป ใน TikTok มีคลิปที่คนไทยไปเที่ยวปอยเปตถูกเรียกเก็บเงิน แม้จะมีข้อความ "ไม่มีการชำระเงินที่นี่" ก็ตาม ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ มีโอกาสไปเยือนปอยเปต ตั้งใจจะไปเที่ยวชมบรรยากาศที่นั่น พบเจอมากับตัว! จากด่านพรมแดนบ้านคลองลึก จ.สระแก้ว หนังสือเดินทางประเทศไทย ชั้นล่าง ประทับตราขาออกตามปกติ เมื่อข้ามไปฝั่งประเทศกัมพูชา ประตู ARRIVAL ด้านขวามือขึ้นไปชั้น 2 ที่นี่ห้ามถ่ายรูปและห้ามใช้โทรศัพท์มือถือ นักท่องเที่ยวจะต้องเขียนใบขาเข้าแบบกระดาษ หากเขียนไม่เป็นก็ให้เจ้าหน้าที่เขียนให้ เสียเงิน 20 บาท หลังจากนั้นจึงเข้าคิวรอเจ้าหน้าที่ ตม.ประทับตราขาเข้าลงบนหนังสือเดินทาง สังเกตว่ามีช่องให้บริการ 6 ช่อง แต่เปิดเพียง 2 ช่อง คิวยาวเหยียด เมื่อมีกรุ๊ปทัวร์ตามมาจึงเปิดเพิ่มอีก 1 ช่อง ระหว่างนั้นนักท่องเที่ยวคนหน้ายังบ่นเรื่องเสียเงิน 100 บาท เมื่อถึงคิว เจ้าหน้าที่ ตม. สแกนหนังสือเดินทางตามขั้นตอน คำถามแรกคือ "อยู่ที่ไหน" ตอบไปว่าอยู่ปอยเปต คำถามต่อมาคือ "มาทำอะไร" ตอบไปว่ามาเที่ยว มาเดินเล่น ก่อนที่จะปิดท้ายด้วยคำว่า "ร้อยนึง" ถึงตอนนั้นรู้สึกอึ้ง แต่สมองสั่งให้ควักกระเป๋าสตางค์หยิบธนบัตรใบละ 100 บาท วางไว้ที่เคาน์เตอร์ เจ้าหน้าที่ ตม.วางหนังสือเดินทางที่ประทับตราแล้วคืน แล้วหยิบแบงก์ร้อยออกไป เราเดินลงไปด้านล่างพร้อมคำถามในหัวว่าต้องจ่ายด้วยหรือ ทั้งที่หน้าเคาน์เตอร์มีข้อความ "ไม่มีการชำระเงินที่นี่" ก็ตาม ส่วนเที่ยวกลับ เจ้าหน้าที่ ตม.ไม่เรียกเก็บ อาจเป็นเพราะสีหน้าที่วิตกกังวลและอยากกลับบ้าน ที่ผ่านมานักท่องเที่ยวชาวไทยที่ผ่านด่านปอยเปต เพื่อไปเที่ยวฝั่งกัมพูชา จะต้องเสียค่าใช้จ่ายกับกระบวนการ ตม. สูงถึง 100-420 บาท ทั้งที่หากเป็นประเทศอื่น เช่น สปป.ลาว จ่ายค่าเหยียบแผ่นดินขาละ 20 บาท ส่วนมาเลเซียและเมียนมาไม่มีการเรียกเก็บ แต่เงินที่เจ้าหน้าที่ ตม.กัมพูชาเรียกเก็บไม่ชัดเจนว่าเป็นค่าอะไร นอกจากคิดไปเองว่าเป็นค่าอำนวยความสะดวก ทั้งหมดเป็นการบอกเล่าประสบการณ์ที่ถูกเรียกเก็บเงินครั้งหนึ่งในชีวิต ส่วนจะแก้ไขปัญหาอย่างไร เป็นเรื่องของทางการกัมพูชา #Newskit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 259 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฟูดเดลิเวอรี ถึงยุคกึ่งผูกขาด

    การประกาศปิดกิจการของฟู้ดแพนด้า (Foodpanda) แพลตฟอร์มสั่งอาหารและของกินของใช้ออนไลน์ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 23 พ.ค.2568 นับเป็นการปิดฉากหนึ่งในผู้แข่งขันฟูดเดลิเวอรี (Food Delivery) ที่ให้บริการแก่ผู้บริโภคชาวไทยมานานถึง 13 ปี นับตั้งแต่สตาร์ทอัพจากประเทศเยอรมนี เปิดให้บริการเป็นเจ้าแรกในไทยเมื่อปี 2555 ท่ามกลางการแข่งขันของผู้ให้บริการรายอื่น ตั้งแต่อูเบอร์อีท (Uber Eats) แกร็บฟู้ด (Grab Food) ไลน์แมน (LINE MAN) โกเจ็ก (Gojek) โรบินฮู้ด (Robinhood) และช้อปปี้ฟู้ด (Shopee Food) ซึ่งแต่ละรายต่างช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดจากผู้บริโภคด้วยวิธีแตกต่างกันไป

    หากย้อนไปถึงงบกำไรขาดทุนของฟู้ดแพนด้าย้อนหลัง 9 ปี พบว่าขาดทุนสุทธิทุกปี โดยในช่วงแรกมีรายได้รวมหลักร้อยล้านบาท แต่ก็ขาดทุนสุทธิเกือบ 100 ล้านบาท แต่จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ผู้คนไม่ออกจากบ้าน พบว่าปี 2563 มีรายได้รวมกว่า 4,375.12 ล้านบาท แต่ขาดทุนสุทธิ 3,595.90 ล้านบาท ส่วนปี 2564 มีรายได้รวม 6,786.56 ล้านบาท แต่ก็ขาดทุนสุทธิถึง 4,721.59 ล้านบาท มาถึง 2 ปีหลังล่าสุด รายได้ลดลงเกือบครึ่งหนึ่ง โดยปีที่ส่งงบการเงินล่าสุด 2566 รายได้รวม 3,843.30 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 522.48 ล้านบาท ขณะที่ส่วนแบ่งตลาดปัจจุบันเหลือเพียง 5%

    การปิดกิจการของฟู้ดแพนด้า ทำให้แพลตฟอร์มฟูดเดลิเวอรีรายใหญ่สองเจ้าอย่าง LINE MAN Wongnai และ Grab ต่างสะท้อนมุมมองว่าการแข่งขันอาจเปลี่ยนแปลงไปสู่การแข่งขันแบบกึ่งผูกขาดอย่างชัดเจน ยอด ชินสุภัคกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LINE MAN Wongnai มองว่าอาจเป็นจุดเปลี่ยนจากสงครามราคา สู่สงครามคุณภาพ โดยจัดสมดุลระหว่างคุณภาพ บริการ และการบริหารต้นทุนได้ดีขึ้น ขณะที่ จันต์สุดา ธนานิตยะอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ แกร็บ ประเทศไทย เปิดเผยว่าในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ได้ปรับกลยุทธ์โดยรักษาสมดุลวงจรธุรกิจเป็นอันดับแรก และสามารถทำกำไรต่อเนื่องมาแล้ว 2 ปี

    "จากในยุคแรกที่เริ่มด้วยการเผาเงินผ่านการให้ส่วนลดมากๆ เพื่อสร้างตลาด ซึ่งถือเป็นการสร้างเฟกดีมานด์ (อุปสงค์เทียม) มาเป็นการโฟกัสที่คุณภาพและมาตรฐานของการให้บริการเป็นหัวใจสำคัญ" จันต์สุดา จากแกร็บ ประเทศไทย ระบุ

    อย่างไรก็ตาม ในมุมมองของไรเดอร์ (Rider) เฟซบุ๊กเพจสหภาพไรเดอร์กลับมองว่า การที่ผู้บริหารฟูดเดลิเวอรีรายใหญ่ระบุว่าจากสงครามราคามาเป็นสงครามคุณภาพ คนแบกรับเงื่อนไขการทำธุรกิจที่แสนเอาเปรียบคือไรเดอร์ ที่ผ่านมาประสบปัญหาถูกกดค่ารอบไรเดอร์ พ่วงงานให้ลูกค้ารอไป 1-2 ชั่วโมง ทำงานแล้วเงินลดทุกปีเพราะอ้างว่าขาดทุน

    #Newskit
    ฟูดเดลิเวอรี ถึงยุคกึ่งผูกขาด การประกาศปิดกิจการของฟู้ดแพนด้า (Foodpanda) แพลตฟอร์มสั่งอาหารและของกินของใช้ออนไลน์ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 23 พ.ค.2568 นับเป็นการปิดฉากหนึ่งในผู้แข่งขันฟูดเดลิเวอรี (Food Delivery) ที่ให้บริการแก่ผู้บริโภคชาวไทยมานานถึง 13 ปี นับตั้งแต่สตาร์ทอัพจากประเทศเยอรมนี เปิดให้บริการเป็นเจ้าแรกในไทยเมื่อปี 2555 ท่ามกลางการแข่งขันของผู้ให้บริการรายอื่น ตั้งแต่อูเบอร์อีท (Uber Eats) แกร็บฟู้ด (Grab Food) ไลน์แมน (LINE MAN) โกเจ็ก (Gojek) โรบินฮู้ด (Robinhood) และช้อปปี้ฟู้ด (Shopee Food) ซึ่งแต่ละรายต่างช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดจากผู้บริโภคด้วยวิธีแตกต่างกันไป หากย้อนไปถึงงบกำไรขาดทุนของฟู้ดแพนด้าย้อนหลัง 9 ปี พบว่าขาดทุนสุทธิทุกปี โดยในช่วงแรกมีรายได้รวมหลักร้อยล้านบาท แต่ก็ขาดทุนสุทธิเกือบ 100 ล้านบาท แต่จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ผู้คนไม่ออกจากบ้าน พบว่าปี 2563 มีรายได้รวมกว่า 4,375.12 ล้านบาท แต่ขาดทุนสุทธิ 3,595.90 ล้านบาท ส่วนปี 2564 มีรายได้รวม 6,786.56 ล้านบาท แต่ก็ขาดทุนสุทธิถึง 4,721.59 ล้านบาท มาถึง 2 ปีหลังล่าสุด รายได้ลดลงเกือบครึ่งหนึ่ง โดยปีที่ส่งงบการเงินล่าสุด 2566 รายได้รวม 3,843.30 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 522.48 ล้านบาท ขณะที่ส่วนแบ่งตลาดปัจจุบันเหลือเพียง 5% การปิดกิจการของฟู้ดแพนด้า ทำให้แพลตฟอร์มฟูดเดลิเวอรีรายใหญ่สองเจ้าอย่าง LINE MAN Wongnai และ Grab ต่างสะท้อนมุมมองว่าการแข่งขันอาจเปลี่ยนแปลงไปสู่การแข่งขันแบบกึ่งผูกขาดอย่างชัดเจน ยอด ชินสุภัคกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LINE MAN Wongnai มองว่าอาจเป็นจุดเปลี่ยนจากสงครามราคา สู่สงครามคุณภาพ โดยจัดสมดุลระหว่างคุณภาพ บริการ และการบริหารต้นทุนได้ดีขึ้น ขณะที่ จันต์สุดา ธนานิตยะอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ แกร็บ ประเทศไทย เปิดเผยว่าในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ได้ปรับกลยุทธ์โดยรักษาสมดุลวงจรธุรกิจเป็นอันดับแรก และสามารถทำกำไรต่อเนื่องมาแล้ว 2 ปี "จากในยุคแรกที่เริ่มด้วยการเผาเงินผ่านการให้ส่วนลดมากๆ เพื่อสร้างตลาด ซึ่งถือเป็นการสร้างเฟกดีมานด์ (อุปสงค์เทียม) มาเป็นการโฟกัสที่คุณภาพและมาตรฐานของการให้บริการเป็นหัวใจสำคัญ" จันต์สุดา จากแกร็บ ประเทศไทย ระบุ อย่างไรก็ตาม ในมุมมองของไรเดอร์ (Rider) เฟซบุ๊กเพจสหภาพไรเดอร์กลับมองว่า การที่ผู้บริหารฟูดเดลิเวอรีรายใหญ่ระบุว่าจากสงครามราคามาเป็นสงครามคุณภาพ คนแบกรับเงื่อนไขการทำธุรกิจที่แสนเอาเปรียบคือไรเดอร์ ที่ผ่านมาประสบปัญหาถูกกดค่ารอบไรเดอร์ พ่วงงานให้ลูกค้ารอไป 1-2 ชั่วโมง ทำงานแล้วเงินลดทุกปีเพราะอ้างว่าขาดทุน #Newskit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 297 มุมมอง 0 รีวิว
  • บ่อเต็น เมืองจีนในแดนลาว

    ถือเป็นครั้งแรกในชีวิตที่นำพาตัวเองมายังหมู่บ้านเล็กๆ ทางตอนเหนือของประเทศลาว เฉกเช่นเมืองบ่อเต็น แขวงหลวงน้ำทา ห่างจากนครหลวงเวียงจันทน์ผ่านทางรถไฟกว่า 400 กิโลเมตร ตรงข้ามกับด่านโม่ฮาน มณฑลยูนนาน ประเทศจีน เราเดินทางด้วยรถไฟขบวน C82 เวียงจันทน์-บ่อเต็น ออกจากสถานีนครหลวงเวียงจันทน์ 13.30 น. ตามกำหนดต้องถึงสถานีบ่อเต็น 17.25 น. แต่ถึงจริง 18.26 น. รวมระยะเวลา 5 ชั่วโมง เหตุต้องรอรถหลีกช่วงวังเวียงถึงหลวงพระบาง เมื่อออกจากสถานีจะมีรถรับจ้างหน้าสถานี เสียเงินคนละ 50,000 กีบ คนขับรถจะส่งชาวจีนไปยังด่านบ่อเต็นก่อน แล้วค่อยไปส่งที่โรงแรม

    ตลอดเส้นทางจะพบรถบรรทุกขนส่งสินค้าจำนวนมาก ระหว่างทางจะพบเห็นการตั้งสวนอุตสาหรรม รองรับโรงงานที่จะเข้ามาในอนาคต ถึงที่พักของเราเป็นคอนโดมิเนียม มีชาวจีนเป็นเจ้าของ นำห้องชุดมาทำเป็นโรงแรม ต้องขึ้นไปที่ชั้น 9 เพื่อลงทะเบียนและรับคีย์การ์ด ก่อนลงมาที่ห้องพักชั้น 8 ราคาที่ได้ผ่าน OTA เจ้าดังประมาณ 500 บาทเศษต่อคืน มีบริการรถส่งถึงสถานีรถไฟ ด้านข้างจะเป็นไซต์งานก่อสร้างคอนโดมิเนียมที่ทิ้งร้าง รู้สึกวังเวงไปบ้าง แต่ด้านหลังยังมีคอนโดมิเนียมที่มีผู้อาศัยอยู่

    เมื่อปี 2546 รัฐบาลลาวให้สัมปทานแก่บริษัท ฟุกฮิง ทราเวล จากฮ่องกงเพื่อก่อตั้งเขตเศรษฐกิจเฉพาะบ่อเต็นแดนคำ ประกอบด้วยพื้นที่โรงงาน สำนักงาน ร้านค้าปลอดภาษี และอื่นๆ หนึ่งในนั้นมีกาสิโนแต่นักเสี่ยงโชคชาวจีนถูกยิงเสียชีวิต สุดท้ายต้องปิดตัวลง ต่อมาปี 2555 เปลี่ยนผู้ถือสัมปทานเป็นกลุ่มบริษัท ไห่เฉิงยูนนาน และเปลี่ยนชื่อเป็น เขตเศรษฐกิจพิเศษบ่อเต็นแดนงาม

    ที่นี่ช่วงเย็นถึงกลางคืนจะเต็มไปด้วยชีวิตชีวา ร้านค้า ร้านอาหาร และร้านนวดที่มีสาวสวยนั่งรอให้บริการ แต่ไม่อนุญาตให้ถ่ายรูป ร้านอาหารส่วนใหญ่เป็นอาหารจีน ร้านสะดวกซื้อและซูเปอร์มาร์เก็ตส่วนใหญ่เป็นสินค้านำเข้าจากจีน บางส่วนมาจากไทย ราคาสินค้าติดป้ายสกุลเงินหยวน แนะนำให้แลกเงินหยวนจะใช้จ่ายง่ายขึ้น แต่เงินกีบก็ใช้ได้ในบางร้าน ส่วนอี-เพย์เมนต์นิยมใช้ WeChat Pay หรือ Weixin Pay โดยมีคิวอาร์โค้ดแสดงอยู่ นอกนั้นจะมีคิวอาร์โค้ดธนาคารลาว อากาศที่นี่เย็นสบาย ยามค่ำคืนอุณหภูมิเหลือ 19 องศาฯ

    สอบถามชาวลาวที่ทำงานในบ่อเต็น ระบุว่า คนที่นี่ส่วนใหญ่จะเป็นชาวจีนที่มาจากมณฑลต่างๆ ส่วนหนึ่งมีธุรกิจอยู่ในนครหลวงเวียงจันทน์ ก็มาพักค้างที่บ่อเต็น นอกจากนี้ ยังมีคนที่อยู่เมืองไทยมาทำธุรกิจที่บ่อเต็นก็มาพักค้างที่นี่เช่นกัน สำหรับค่าครองชีพถ้าเป็นอาหารจีนราคาจะสูง แต่อาหารลาวและอาหารพื้นถิ่นจะอยู่อีกฝั่งหนึ่ง ราคาถูกกว่า

    #Newskit
    บ่อเต็น เมืองจีนในแดนลาว ถือเป็นครั้งแรกในชีวิตที่นำพาตัวเองมายังหมู่บ้านเล็กๆ ทางตอนเหนือของประเทศลาว เฉกเช่นเมืองบ่อเต็น แขวงหลวงน้ำทา ห่างจากนครหลวงเวียงจันทน์ผ่านทางรถไฟกว่า 400 กิโลเมตร ตรงข้ามกับด่านโม่ฮาน มณฑลยูนนาน ประเทศจีน เราเดินทางด้วยรถไฟขบวน C82 เวียงจันทน์-บ่อเต็น ออกจากสถานีนครหลวงเวียงจันทน์ 13.30 น. ตามกำหนดต้องถึงสถานีบ่อเต็น 17.25 น. แต่ถึงจริง 18.26 น. รวมระยะเวลา 5 ชั่วโมง เหตุต้องรอรถหลีกช่วงวังเวียงถึงหลวงพระบาง เมื่อออกจากสถานีจะมีรถรับจ้างหน้าสถานี เสียเงินคนละ 50,000 กีบ คนขับรถจะส่งชาวจีนไปยังด่านบ่อเต็นก่อน แล้วค่อยไปส่งที่โรงแรม ตลอดเส้นทางจะพบรถบรรทุกขนส่งสินค้าจำนวนมาก ระหว่างทางจะพบเห็นการตั้งสวนอุตสาหรรม รองรับโรงงานที่จะเข้ามาในอนาคต ถึงที่พักของเราเป็นคอนโดมิเนียม มีชาวจีนเป็นเจ้าของ นำห้องชุดมาทำเป็นโรงแรม ต้องขึ้นไปที่ชั้น 9 เพื่อลงทะเบียนและรับคีย์การ์ด ก่อนลงมาที่ห้องพักชั้น 8 ราคาที่ได้ผ่าน OTA เจ้าดังประมาณ 500 บาทเศษต่อคืน มีบริการรถส่งถึงสถานีรถไฟ ด้านข้างจะเป็นไซต์งานก่อสร้างคอนโดมิเนียมที่ทิ้งร้าง รู้สึกวังเวงไปบ้าง แต่ด้านหลังยังมีคอนโดมิเนียมที่มีผู้อาศัยอยู่ เมื่อปี 2546 รัฐบาลลาวให้สัมปทานแก่บริษัท ฟุกฮิง ทราเวล จากฮ่องกงเพื่อก่อตั้งเขตเศรษฐกิจเฉพาะบ่อเต็นแดนคำ ประกอบด้วยพื้นที่โรงงาน สำนักงาน ร้านค้าปลอดภาษี และอื่นๆ หนึ่งในนั้นมีกาสิโนแต่นักเสี่ยงโชคชาวจีนถูกยิงเสียชีวิต สุดท้ายต้องปิดตัวลง ต่อมาปี 2555 เปลี่ยนผู้ถือสัมปทานเป็นกลุ่มบริษัท ไห่เฉิงยูนนาน และเปลี่ยนชื่อเป็น เขตเศรษฐกิจพิเศษบ่อเต็นแดนงาม ที่นี่ช่วงเย็นถึงกลางคืนจะเต็มไปด้วยชีวิตชีวา ร้านค้า ร้านอาหาร และร้านนวดที่มีสาวสวยนั่งรอให้บริการ แต่ไม่อนุญาตให้ถ่ายรูป ร้านอาหารส่วนใหญ่เป็นอาหารจีน ร้านสะดวกซื้อและซูเปอร์มาร์เก็ตส่วนใหญ่เป็นสินค้านำเข้าจากจีน บางส่วนมาจากไทย ราคาสินค้าติดป้ายสกุลเงินหยวน แนะนำให้แลกเงินหยวนจะใช้จ่ายง่ายขึ้น แต่เงินกีบก็ใช้ได้ในบางร้าน ส่วนอี-เพย์เมนต์นิยมใช้ WeChat Pay หรือ Weixin Pay โดยมีคิวอาร์โค้ดแสดงอยู่ นอกนั้นจะมีคิวอาร์โค้ดธนาคารลาว อากาศที่นี่เย็นสบาย ยามค่ำคืนอุณหภูมิเหลือ 19 องศาฯ สอบถามชาวลาวที่ทำงานในบ่อเต็น ระบุว่า คนที่นี่ส่วนใหญ่จะเป็นชาวจีนที่มาจากมณฑลต่างๆ ส่วนหนึ่งมีธุรกิจอยู่ในนครหลวงเวียงจันทน์ ก็มาพักค้างที่บ่อเต็น นอกจากนี้ ยังมีคนที่อยู่เมืองไทยมาทำธุรกิจที่บ่อเต็นก็มาพักค้างที่นี่เช่นกัน สำหรับค่าครองชีพถ้าเป็นอาหารจีนราคาจะสูง แต่อาหารลาวและอาหารพื้นถิ่นจะอยู่อีกฝั่งหนึ่ง ราคาถูกกว่า #Newskit
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 260 มุมมอง 0 รีวิว
  • นักท่องเที่ยวนับล้าน เยือนหลวงพระบาง

    สถานีวิทยุแห่งชาติลาว (Lao National Radio) รายงานเมื่อวันที่ 23 เม.ย. ว่า แขวงหลวงพระบาง ทางตอนเหนือของประเทศลาว ได้ต้อนรับนักท่องเที่ยว 1,167,581 คน ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2568 เพิ่มขึ้น 722,679 คน หรือเพิ่มขึ้นถึง 162% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2567 แบ่งออกเป็นนักท่องเที่ยวในประเทศ 459,091 คน เพิ่มขึ้น 297,081 คน หรือ 183% จากปีก่อน และนักท่องเที่ยวต่างชาติ 708,490 คน เพิ่มขึ้น 425,661 คน คิดเป็น 232% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สร้างรายได้กว่า 584,665,369 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (19,589.79 ล้านบาท)

    นางสุดาพอน คันทะวง หัวหน้าแผนกแถลงข่าว วัฒนธรรม และท่องเที่ยว แขวงหลวงพระบาง เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาในปี 2567 แขวงหลวงพระบาง ได้ต้อนรับนักท่องเที่ยว 2,326,758 ล้านคน เกินเป้าหมายประจำปี 30.8% สร้างรายได้ 1,209,189,549 เหรียญสหรัฐฯ (40,532.02 ล้านบาท) ด้านสำนักข่าวซินหัว รายงานว่า แขวงหลวงพระบางคาดการณ์ว่าในปีนี้จะดึงดูดนักท่องเที่ยวได้อย่างน้อย 2.3 ล้านคน โดยตั้งเป้าสร้างรายได้มากกว่า 1,200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (40,213 ล้านบาท)

    แขวงหลวงพระบาง ห่างจากนครหลวงเวียงจันทน์ประมาณ 220 กิโลเมตร เป็นหนึ่งในแขวงที่มีชื่อเสียงที่สุดของลาว และเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยว เนื่องจากมีวัดเก่าแก่ สถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงาม และทิวทัศน์ชนบท โดยรัฐบาลลาวถือว่าการท่องเที่ยวเป็นภาคเศรษฐกิจหลัก ซึ่งเน้นย้ำถึงบทบาทในการสร้างงาน สร้างรายได้ และการไหลเข้าของเงินตราต่างประเทศ ซึ่งมีส่วนสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ

    สถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงได้แก่ วัดเชียงทอง หอพิพิธภัณฑ์แห่งชาติหลวงพระบาง พระธาตุพูสี วัดใหม่สุวรรณภูมาราม น้ำตกตาดกวางสี ตลาดเช้าและตลาดมืด รวมทั้งกิจกรรมล่องเรือแม่น้ำโขง

    สำหรับนักท่องเที่ยวจากประเทศไทย การเดินทางสะดวกกว่าเมื่อก่อน เพราะมีรถไฟลาว-จีนให้บริการระหว่างสถานีนครหลวงเวียงจันทน์ ถึงสถานีหลวงพระบางวันละ 6 ขบวน เที่ยวแรก 07.20 น. เที่ยวสุดท้าย 16.05 น. รถไฟธรรมดาราคาเริ่มต้นที่ 234,000 กีบ (363 บาท) รถไฟ EMU ราคาเริ่มต้นที่ 330,000 กีบ (512 บาท) ซื้อตั๋วล่วงหน้า 3 วันก่อนเดินทางได้ที่แอปพลิเคชัน LCR Ticket สามารถใช้เบอร์มือถือไทยลงทะเบียน และชำระค่าตั๋วรถไฟผ่านบัตร VISA ได้

    นอกจากนี้ ยังมีเที่ยวบินไปยังหลวงพระบาง จากสนามบินสุวรรณภูมิ บางกอกแอร์เวย์บินทุกวัน ลาวแอร์ไลน์สัปดาห์ละ 3 เที่ยวบิน จากสนามบินดอนเมือง ไทยแอร์เอเชียบินทุกวัน และสนามบินเชียงใหม่ ลาวแอร์ไลน์สัปดาห์ละ 4 เที่ยวบิน

    #Newskit
    นักท่องเที่ยวนับล้าน เยือนหลวงพระบาง สถานีวิทยุแห่งชาติลาว (Lao National Radio) รายงานเมื่อวันที่ 23 เม.ย. ว่า แขวงหลวงพระบาง ทางตอนเหนือของประเทศลาว ได้ต้อนรับนักท่องเที่ยว 1,167,581 คน ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2568 เพิ่มขึ้น 722,679 คน หรือเพิ่มขึ้นถึง 162% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2567 แบ่งออกเป็นนักท่องเที่ยวในประเทศ 459,091 คน เพิ่มขึ้น 297,081 คน หรือ 183% จากปีก่อน และนักท่องเที่ยวต่างชาติ 708,490 คน เพิ่มขึ้น 425,661 คน คิดเป็น 232% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สร้างรายได้กว่า 584,665,369 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (19,589.79 ล้านบาท) นางสุดาพอน คันทะวง หัวหน้าแผนกแถลงข่าว วัฒนธรรม และท่องเที่ยว แขวงหลวงพระบาง เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาในปี 2567 แขวงหลวงพระบาง ได้ต้อนรับนักท่องเที่ยว 2,326,758 ล้านคน เกินเป้าหมายประจำปี 30.8% สร้างรายได้ 1,209,189,549 เหรียญสหรัฐฯ (40,532.02 ล้านบาท) ด้านสำนักข่าวซินหัว รายงานว่า แขวงหลวงพระบางคาดการณ์ว่าในปีนี้จะดึงดูดนักท่องเที่ยวได้อย่างน้อย 2.3 ล้านคน โดยตั้งเป้าสร้างรายได้มากกว่า 1,200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (40,213 ล้านบาท) แขวงหลวงพระบาง ห่างจากนครหลวงเวียงจันทน์ประมาณ 220 กิโลเมตร เป็นหนึ่งในแขวงที่มีชื่อเสียงที่สุดของลาว และเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยว เนื่องจากมีวัดเก่าแก่ สถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงาม และทิวทัศน์ชนบท โดยรัฐบาลลาวถือว่าการท่องเที่ยวเป็นภาคเศรษฐกิจหลัก ซึ่งเน้นย้ำถึงบทบาทในการสร้างงาน สร้างรายได้ และการไหลเข้าของเงินตราต่างประเทศ ซึ่งมีส่วนสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ สถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงได้แก่ วัดเชียงทอง หอพิพิธภัณฑ์แห่งชาติหลวงพระบาง พระธาตุพูสี วัดใหม่สุวรรณภูมาราม น้ำตกตาดกวางสี ตลาดเช้าและตลาดมืด รวมทั้งกิจกรรมล่องเรือแม่น้ำโขง สำหรับนักท่องเที่ยวจากประเทศไทย การเดินทางสะดวกกว่าเมื่อก่อน เพราะมีรถไฟลาว-จีนให้บริการระหว่างสถานีนครหลวงเวียงจันทน์ ถึงสถานีหลวงพระบางวันละ 6 ขบวน เที่ยวแรก 07.20 น. เที่ยวสุดท้าย 16.05 น. รถไฟธรรมดาราคาเริ่มต้นที่ 234,000 กีบ (363 บาท) รถไฟ EMU ราคาเริ่มต้นที่ 330,000 กีบ (512 บาท) ซื้อตั๋วล่วงหน้า 3 วันก่อนเดินทางได้ที่แอปพลิเคชัน LCR Ticket สามารถใช้เบอร์มือถือไทยลงทะเบียน และชำระค่าตั๋วรถไฟผ่านบัตร VISA ได้ นอกจากนี้ ยังมีเที่ยวบินไปยังหลวงพระบาง จากสนามบินสุวรรณภูมิ บางกอกแอร์เวย์บินทุกวัน ลาวแอร์ไลน์สัปดาห์ละ 3 เที่ยวบิน จากสนามบินดอนเมือง ไทยแอร์เอเชียบินทุกวัน และสนามบินเชียงใหม่ ลาวแอร์ไลน์สัปดาห์ละ 4 เที่ยวบิน #Newskit
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 280 มุมมอง 0 รีวิว
  • มาเลย์ถกไทย ทำรถไฟแพนเอเชีย

    หลังจากการมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เพื่อการเจรจาทำงาน (Working Visit) และหารือติดตามความคืบหน้าเกี่ยวกับความร่วมมือไทย-มาเลเซีย ระหว่างวันที่ 17-18 เม.ย. ล่าสุด นายแอนโทนี่ โลค รมว.คมนาคมมาเลเซีย มีกำหนดพบกับนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คมนาคม ในวันที่ 2 พ.ค. เพื่อหารือเกี่ยวกับการสร้างโครงข่ายรถไฟสายแพนเอเชีย (PARN) และเสริมสร้างความสัมพันธ์ทวิภาคีในภาคการขนส่ง

    โดยโครงการที่กำลังอยู่ในระหว่างการหารือ ได้แก่ การก่อสร้างสะพานสุไหงโก-ลกแห่งที่ 2 ระหว่างด่าน ICQS รันเตาปันยัง รัฐกลันตัน กับด่านพรมแดนสุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส การก่อสร้างถนนเชื่อมต่อระหว่างด่าน ICQS บูกิตกายูฮีตัม รัฐเคดะห์ กับด่านพรมแดนสะเดาแห่งใหม่ จ.สงขลา ถนนเชื่อมต่อระหว่างด่านปะลิสกับจังหวัดสตูล ซึ่งรัฐบาลมุ่งมั่นในการพัฒนาทางรถไฟทั่วโลก โดยตระหนักถึงโอกาสสำคัญของทางรถไฟในแต่ละประเทศ และบทบาทในการเสริมสร้างความร่วมมือในระดับภูมิภาค

    การประชุมครั้งถัดไปจะมุ่งเน้นไปที่การเสริมสร้างความร่วมมือในภาคส่วนรถไฟระหว่างสองประเทศ ซึ่งขณะนี้จำกัดอยู่เพียงการใช้งานภายในประเทศเท่านั้น แม้จะมีความร่วมมือระหว่างการรถไฟมาลายา (KTM Berhad) กับการรถไฟแห่งประเทศไทยอยู่แล้ว แต่การยกระดับความร่วมมือนี้จะนำไปสู่ระดับรัฐบาลต่อรัฐบาล เพื่อให้การพัฒนาระบบรถไฟเชิงยุทธศาสตร์เกิดขึ้นได้ การเชื่อมโยงเครือข่ายรถไฟระหว่างมาเลเซียและไทย จะสามารถเปิดเส้นทางข้ามอาเซียนและจีนได้ นำมาซึ่งประโยชน์มหาศาลให้กับภูมิภาคอาเซียน

    มีรายงานว่า มาเลเซียกำลังเตรียมความพร้อมสำหรับโครงข่ายรถไฟสายแพนเอเชีย เพื่อกระตุ้นอุตสาหกรรมการค้าฮาลาลระหว่างมาเลเซียและจีน ระหว่างประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของจีน เยือนมาเลเซียอย่างเป็นทางการเมื่อไม่นานนี้ ยังสนับสนุนโครงข่ายรถไฟสายแพนเอเชีย โดยเน้นย้ำถึงศักยภาพในการเปิดตลาดในจีนตะวันตก โดยเฉพาะในภูมิภาคมองโกเลียใน ก่อนหน้านี้เมื่อปีที่แล้ว มาเลเซียร่วมกับไทยและพันธมิตรจากจีน เปิดตัวโครงการ Asean Express นำร่องขนส่งสินค้าทางรถไฟไปยังเมืองฉงชิ่ง มณฑลเสฉวน ประเทศจีน ผ่านประเทศไทยและลาว โดยใช้เวลาเพียง 9 วัน

    สำหรับโครงข่ายรถไฟสายแพนเอเชีย มีจุดเริ่มต้นจากนครคุนหมิง มณฑลยูนนาน ประเทศจีน แบ่งเป็น 3 สาย ได้แก่ 1. คุนหมิง–ต้าหลี่-รุ่ยลี่-ย่างกุ้ง-กรุงเทพฯ 2. คุนหมิง–ยวี่ซี-โม่หาน-เวียงจันทน์–กรุงเทพฯ 3. คุนหมิง–ยวี่ซี–เหอโขว่-ฮานอย-โฮจิมินห์-พนมเปญ-กรุงเทพฯ จากนั้นลงสู่ทางใต้ ผ่านประเทศมาเลเซีย ปลายทางประเทศสิงคโปร์

    #Newskit
    มาเลย์ถกไทย ทำรถไฟแพนเอเชีย หลังจากการมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เพื่อการเจรจาทำงาน (Working Visit) และหารือติดตามความคืบหน้าเกี่ยวกับความร่วมมือไทย-มาเลเซีย ระหว่างวันที่ 17-18 เม.ย. ล่าสุด นายแอนโทนี่ โลค รมว.คมนาคมมาเลเซีย มีกำหนดพบกับนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คมนาคม ในวันที่ 2 พ.ค. เพื่อหารือเกี่ยวกับการสร้างโครงข่ายรถไฟสายแพนเอเชีย (PARN) และเสริมสร้างความสัมพันธ์ทวิภาคีในภาคการขนส่ง โดยโครงการที่กำลังอยู่ในระหว่างการหารือ ได้แก่ การก่อสร้างสะพานสุไหงโก-ลกแห่งที่ 2 ระหว่างด่าน ICQS รันเตาปันยัง รัฐกลันตัน กับด่านพรมแดนสุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส การก่อสร้างถนนเชื่อมต่อระหว่างด่าน ICQS บูกิตกายูฮีตัม รัฐเคดะห์ กับด่านพรมแดนสะเดาแห่งใหม่ จ.สงขลา ถนนเชื่อมต่อระหว่างด่านปะลิสกับจังหวัดสตูล ซึ่งรัฐบาลมุ่งมั่นในการพัฒนาทางรถไฟทั่วโลก โดยตระหนักถึงโอกาสสำคัญของทางรถไฟในแต่ละประเทศ และบทบาทในการเสริมสร้างความร่วมมือในระดับภูมิภาค การประชุมครั้งถัดไปจะมุ่งเน้นไปที่การเสริมสร้างความร่วมมือในภาคส่วนรถไฟระหว่างสองประเทศ ซึ่งขณะนี้จำกัดอยู่เพียงการใช้งานภายในประเทศเท่านั้น แม้จะมีความร่วมมือระหว่างการรถไฟมาลายา (KTM Berhad) กับการรถไฟแห่งประเทศไทยอยู่แล้ว แต่การยกระดับความร่วมมือนี้จะนำไปสู่ระดับรัฐบาลต่อรัฐบาล เพื่อให้การพัฒนาระบบรถไฟเชิงยุทธศาสตร์เกิดขึ้นได้ การเชื่อมโยงเครือข่ายรถไฟระหว่างมาเลเซียและไทย จะสามารถเปิดเส้นทางข้ามอาเซียนและจีนได้ นำมาซึ่งประโยชน์มหาศาลให้กับภูมิภาคอาเซียน มีรายงานว่า มาเลเซียกำลังเตรียมความพร้อมสำหรับโครงข่ายรถไฟสายแพนเอเชีย เพื่อกระตุ้นอุตสาหกรรมการค้าฮาลาลระหว่างมาเลเซียและจีน ระหว่างประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของจีน เยือนมาเลเซียอย่างเป็นทางการเมื่อไม่นานนี้ ยังสนับสนุนโครงข่ายรถไฟสายแพนเอเชีย โดยเน้นย้ำถึงศักยภาพในการเปิดตลาดในจีนตะวันตก โดยเฉพาะในภูมิภาคมองโกเลียใน ก่อนหน้านี้เมื่อปีที่แล้ว มาเลเซียร่วมกับไทยและพันธมิตรจากจีน เปิดตัวโครงการ Asean Express นำร่องขนส่งสินค้าทางรถไฟไปยังเมืองฉงชิ่ง มณฑลเสฉวน ประเทศจีน ผ่านประเทศไทยและลาว โดยใช้เวลาเพียง 9 วัน สำหรับโครงข่ายรถไฟสายแพนเอเชีย มีจุดเริ่มต้นจากนครคุนหมิง มณฑลยูนนาน ประเทศจีน แบ่งเป็น 3 สาย ได้แก่ 1. คุนหมิง–ต้าหลี่-รุ่ยลี่-ย่างกุ้ง-กรุงเทพฯ 2. คุนหมิง–ยวี่ซี-โม่หาน-เวียงจันทน์–กรุงเทพฯ 3. คุนหมิง–ยวี่ซี–เหอโขว่-ฮานอย-โฮจิมินห์-พนมเปญ-กรุงเทพฯ จากนั้นลงสู่ทางใต้ ผ่านประเทศมาเลเซีย ปลายทางประเทศสิงคโปร์ #Newskit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 271 มุมมอง 0 รีวิว
  • "อมพระมาพูด" ดรามาอันวาร์ อิบราฮิม

    การมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เพื่อการเจรจาทำงาน (Working Visit) และหารือติดตามความคืบหน้าเกี่ยวกับความร่วมมือไทย-มาเลเซีย ระหว่างวันที่ 17-18 เม.ย. ที่ผ่านมา กลายเป็นดรามาสนั่นโซเชียลฯ เมื่อกองสื่อสารมวลชนและกลยุทธ์ สำนักนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ได้เผยแพร่วีดีโอคลิป "LAWATAN KERJA KE THAILAND" (เยี่ยมชมและทำงานที่ประเทศไทย) เผยแพร่ภารกิจของนายอันวาร์และคณะในไทย แล้วปรากฎว่ามีการใช้เพลง "อมพระมาพูด" ของเบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์ และ เสกสรรค์ สุขพิมาย หรือ เสก โลโซ ซึ่งเป็นเพลงฮิตเมื่อปี 2547

    ด้วยเนื้อหาเพลงที่ออกแนวตอบโต้คนรักที่ไม่เชื่อใจกัน โดยเฉพาะท่อนฮุคที่ร้องว่า "อมพระมาพูดก็ไม่เชื่อ หน้าเนื้อใจเสืออย่างเธอ ใครเตือนไม่ฟังว่าอย่าเผลอ มีใจให้ อมพระมาพูดก็ไม่เชื่อ หน้าใสใจเสือเชื่อไม่ได้ ประวัติโชกโชนเชือดใจ มากี่คน เคยนับบ้างไหม" กลายเป็นที่วิจารณ์แก่ชาวเน็ตไทยว่าสื่อถึงอะไร มีนัยยะทางการเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศใดๆ หรือไม่ โดยเฉพาะกับ นายทักษิณ ชินวัตร ที่ปรึกษาประธานอาเซียน และ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ลูกสาวนายทักษิณ ภายหลังจึงได้ลบคลิปแล้วเปลี่ยนเพลงใหม่ไปใช้เพลงพระราชนิพนธ์ "ยามเย็น" ของในหลวงรัชกาลที่ ๙ แทน

    ที่ผ่านมามักจะพบเห็นเพลงไทยนำมาใช้กับสื่อประชาสัมพันธ์ของมาเลเซียนานๆ ครั้ง เช่น การรถไฟมาลายา (KTM Berhad) นำเพลง "ผมรักเมืองไทย" ของ Mocca Garden มาโปรโมตขบวนรถไฟ My Sawasdee บัตเตอร์เวิร์ธ-หาดใหญ่ เมื่อวันที่ 1 ม.ค. หรือย้อนกลับไปเมื่อเดือน ต.ค. 2565 เผยแพร่วิดีโอคลิป VLOG ที่ชื่อว่า "Syoknya Naik Keretapi ke Hatyai, Thailand" แนะนำการขึ้นรถไฟท่องเที่ยวที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ในช่วงเทศกาลวันมาเลเซีย ก็ใช้เพลง "ชอบเธออะ" ของ แมน ภัทรพล ซึ่งเป็นเพลงฮิตในติ๊กต็อก ส่วนผู้ใช้ทั่วไปพบว่าบัญชี @khairulnikahthailand ที่รับจ้างชาวมุสลิมมาเลเซียมาแต่งงานที่สงขลา ประเทศไทย ก็เคยใช้เพลง "คุณไสย" (อะนันตะปัตชะเย) ซึ่งมีเนื้อหาโจ๊ะๆ สนุกสนาน

    แม้ Newskit จะสอบถามแหล่งข่าวจากสื่อมวลชนชาวมาเลเซีย ที่ทำงานในประเทศไทย แต่ไม่ได้รับคำตอบใดๆ กลับมาก็ตาม ก็เป็นที่เข้าใจได้ว่า อาจเป็นความผิดพลาดของทางการมาเลเซียเลือกเพลงตามทำนอง (Melody) โดยมองข้ามเนื้อร้อง หรือเนื้อหาเพลง ที่คนท้องถิ่นซึ่งก็คือคนไทยอาจเข้าใจไปอีกทาง มองโลกในแง่ดีอาจเป็นเพียงแค่เรื่องตลกขบขัน ไม่ถึงขั้นกลายเป็นการเล่นการเมืองแบบสองหน้า จากปัญหาความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งไม่มีทีท่าว่าสงบลง

    #Newskit
    "อมพระมาพูด" ดรามาอันวาร์ อิบราฮิม การมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เพื่อการเจรจาทำงาน (Working Visit) และหารือติดตามความคืบหน้าเกี่ยวกับความร่วมมือไทย-มาเลเซีย ระหว่างวันที่ 17-18 เม.ย. ที่ผ่านมา กลายเป็นดรามาสนั่นโซเชียลฯ เมื่อกองสื่อสารมวลชนและกลยุทธ์ สำนักนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ได้เผยแพร่วีดีโอคลิป "LAWATAN KERJA KE THAILAND" (เยี่ยมชมและทำงานที่ประเทศไทย) เผยแพร่ภารกิจของนายอันวาร์และคณะในไทย แล้วปรากฎว่ามีการใช้เพลง "อมพระมาพูด" ของเบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์ และ เสกสรรค์ สุขพิมาย หรือ เสก โลโซ ซึ่งเป็นเพลงฮิตเมื่อปี 2547 ด้วยเนื้อหาเพลงที่ออกแนวตอบโต้คนรักที่ไม่เชื่อใจกัน โดยเฉพาะท่อนฮุคที่ร้องว่า "อมพระมาพูดก็ไม่เชื่อ หน้าเนื้อใจเสืออย่างเธอ ใครเตือนไม่ฟังว่าอย่าเผลอ มีใจให้ อมพระมาพูดก็ไม่เชื่อ หน้าใสใจเสือเชื่อไม่ได้ ประวัติโชกโชนเชือดใจ มากี่คน เคยนับบ้างไหม" กลายเป็นที่วิจารณ์แก่ชาวเน็ตไทยว่าสื่อถึงอะไร มีนัยยะทางการเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศใดๆ หรือไม่ โดยเฉพาะกับ นายทักษิณ ชินวัตร ที่ปรึกษาประธานอาเซียน และ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ลูกสาวนายทักษิณ ภายหลังจึงได้ลบคลิปแล้วเปลี่ยนเพลงใหม่ไปใช้เพลงพระราชนิพนธ์ "ยามเย็น" ของในหลวงรัชกาลที่ ๙ แทน ที่ผ่านมามักจะพบเห็นเพลงไทยนำมาใช้กับสื่อประชาสัมพันธ์ของมาเลเซียนานๆ ครั้ง เช่น การรถไฟมาลายา (KTM Berhad) นำเพลง "ผมรักเมืองไทย" ของ Mocca Garden มาโปรโมตขบวนรถไฟ My Sawasdee บัตเตอร์เวิร์ธ-หาดใหญ่ เมื่อวันที่ 1 ม.ค. หรือย้อนกลับไปเมื่อเดือน ต.ค. 2565 เผยแพร่วิดีโอคลิป VLOG ที่ชื่อว่า "Syoknya Naik Keretapi ke Hatyai, Thailand" แนะนำการขึ้นรถไฟท่องเที่ยวที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ในช่วงเทศกาลวันมาเลเซีย ก็ใช้เพลง "ชอบเธออะ" ของ แมน ภัทรพล ซึ่งเป็นเพลงฮิตในติ๊กต็อก ส่วนผู้ใช้ทั่วไปพบว่าบัญชี @khairulnikahthailand ที่รับจ้างชาวมุสลิมมาเลเซียมาแต่งงานที่สงขลา ประเทศไทย ก็เคยใช้เพลง "คุณไสย" (อะนันตะปัตชะเย) ซึ่งมีเนื้อหาโจ๊ะๆ สนุกสนาน แม้ Newskit จะสอบถามแหล่งข่าวจากสื่อมวลชนชาวมาเลเซีย ที่ทำงานในประเทศไทย แต่ไม่ได้รับคำตอบใดๆ กลับมาก็ตาม ก็เป็นที่เข้าใจได้ว่า อาจเป็นความผิดพลาดของทางการมาเลเซียเลือกเพลงตามทำนอง (Melody) โดยมองข้ามเนื้อร้อง หรือเนื้อหาเพลง ที่คนท้องถิ่นซึ่งก็คือคนไทยอาจเข้าใจไปอีกทาง มองโลกในแง่ดีอาจเป็นเพียงแค่เรื่องตลกขบขัน ไม่ถึงขั้นกลายเป็นการเล่นการเมืองแบบสองหน้า จากปัญหาความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งไม่มีทีท่าว่าสงบลง #Newskit
    Like
    1
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 390 มุมมอง 0 รีวิว
  • พระสันตะปาปาฟรังซิส สิ้นพระชนม์ด้วยพระชันษา 88 ปี

    “พี่น้องที่รัก ข้าพเจ้าขอแจ้งข่าวการสิ้นพระชนม์ของพระสันตะปาปาฟรังซิส เมื่อเวลา 07.35 น. ของวันนี้ พระสังฆราชแห่งโรม ฟรังซิส เสด็จฯ กลับมายังบ้านของพระสันตะปาปา พระองค์ทรงอุทิศชีวิตทั้งชีวิตของพระองค์ในการรับใช้พระเจ้าและคริสตจักรของพระองค์ พระองค์ทรงสอนเราให้ดำเนินชีวิตตามค่านิยมของพระกิตติคุณด้วยความซื่อสัตย์ กล้าหาญ และความรักสากล (Universal Love) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการช่วยเหลือผู้ยากไร้และผู้ที่ถูกเลือกปฎิบัติมากที่สุด ด้วยความขอบคุณอย่างสุดซึ้งสำหรับแบบอย่างของพระองค์ ในฐานะสาวกที่แท้จริงของพระเยซูคริสต์ เราขอฝากวิญญาณของพระสันตะปาปาฟรังซิสไว้กับความรักอันเมตตาอันไร้ขอบเขตของพระเจ้าองค์เดียวและตรีเอกภาพ”

    คำกล่าวของพระคาร์ดินัล เควิน ฟาร์เรลล์ ประกาศข่าวการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส ด้วยพระชันษา 88 ปี เมื่อวันที่ 21 เม.ย. นับเป็นการสูญเสียพระประมุขพระศาสนจักรโรมันคาทอลิก ที่ผู้นับถือศาสนาคริสต์และคนทั่วโลกเคารพนับถือ ด้วยพระกรณียกิจที่ทรงพระเมตตา โดยเฉพาะผู้ยากไร้และผู้ด้อยโอกาสทางสังคม หนึ่งในนั้น ทรงประทานอนุญาตให้บาทหลวงสามารถทำพิธีให้พรแก่คู่รักเพศทางเลือก (LGBTQ+) ได้ เมื่อปี 2023 แม้คริตจักรยังคงห้ามการสมรสเพศทางเลือกต่อไป แต่ได้รับการยกย่องว่าเป็นก้าวแห่งการเปลี่ยนแปลงที่จะยุติการกีดกันภายในคริตจักรคาทอลิก

    สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส พระนามเดิมคือ พระคาร์ดินัลฮอร์เก มาริโอ แบร์โกลิโอ พระราชสมภพเมื่อวันที่ 17 ธ.ค. 1936 (2479) ที่ประเทศอาร์เจนตินา ทรงมีพระอุปนิสัยเยือกเย็นสุขุม ใช้ชีวิตอย่างสมถะ เมื่อครั้งยังทรงเป็นพระอัครสังฆราช ที่พํานักของพระองค์ในกรุงบัวโนสไอเรส เป็นเพียงแฟลตที่ตบแต่งอย่างเรียบง่าย ทําอาหารรับประทานเองทุกวัน โดยไม่ต้องการแม่ครัว หรือแม่บ้านมารับใช้ตนเองตลอดชีวิตสงฆ์ อีกทั้งโดยสารรถไฟใต้ดิน และรถประจําทางเหมือนคนทั่วไป เมื่อเสด็จไปกรุงโรม ประเทศอิตาลี ก็ยังทรงเลือกบินชั้นประหยัด และมักทรงเลือกสวมชุดบาทหลวงสีดําธรรมดา แทนที่จะเป็นชุดสีแดง ตามศักดิ์และสิทธิของพระคาร์ดินัล ชาวกรุงบัวโนสไอเรสโดยทั่วไปรู้จักพระองค์ในนาม คุณพ่อฮอร์เก ได้รับเลือกเป็นพระสันตะปาปา เมื่อวันที่ 13 มี.ค. 2013 (2556)

    สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส เคยเสด็จเยือนราชอาณาจักรไทยเมื่อวันที่ 20-23 พ.ย. 2019 (2562) ทรงหวังให้ทุกฝ่ายตระหนักถึงความสำคัญของการเสวนาเพื่อศาสนสัมพันธ์ด้วยความเข้าใจ การร่วมมือทำงานกันฉันพี่น้อง โดยเฉพาะการช่วยเหลือคนยากจน ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ และการทำงานเพื่อสันติภาพ

    #Newskit
    พระสันตะปาปาฟรังซิส สิ้นพระชนม์ด้วยพระชันษา 88 ปี “พี่น้องที่รัก ข้าพเจ้าขอแจ้งข่าวการสิ้นพระชนม์ของพระสันตะปาปาฟรังซิส เมื่อเวลา 07.35 น. ของวันนี้ พระสังฆราชแห่งโรม ฟรังซิส เสด็จฯ กลับมายังบ้านของพระสันตะปาปา พระองค์ทรงอุทิศชีวิตทั้งชีวิตของพระองค์ในการรับใช้พระเจ้าและคริสตจักรของพระองค์ พระองค์ทรงสอนเราให้ดำเนินชีวิตตามค่านิยมของพระกิตติคุณด้วยความซื่อสัตย์ กล้าหาญ และความรักสากล (Universal Love) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการช่วยเหลือผู้ยากไร้และผู้ที่ถูกเลือกปฎิบัติมากที่สุด ด้วยความขอบคุณอย่างสุดซึ้งสำหรับแบบอย่างของพระองค์ ในฐานะสาวกที่แท้จริงของพระเยซูคริสต์ เราขอฝากวิญญาณของพระสันตะปาปาฟรังซิสไว้กับความรักอันเมตตาอันไร้ขอบเขตของพระเจ้าองค์เดียวและตรีเอกภาพ” คำกล่าวของพระคาร์ดินัล เควิน ฟาร์เรลล์ ประกาศข่าวการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส ด้วยพระชันษา 88 ปี เมื่อวันที่ 21 เม.ย. นับเป็นการสูญเสียพระประมุขพระศาสนจักรโรมันคาทอลิก ที่ผู้นับถือศาสนาคริสต์และคนทั่วโลกเคารพนับถือ ด้วยพระกรณียกิจที่ทรงพระเมตตา โดยเฉพาะผู้ยากไร้และผู้ด้อยโอกาสทางสังคม หนึ่งในนั้น ทรงประทานอนุญาตให้บาทหลวงสามารถทำพิธีให้พรแก่คู่รักเพศทางเลือก (LGBTQ+) ได้ เมื่อปี 2023 แม้คริตจักรยังคงห้ามการสมรสเพศทางเลือกต่อไป แต่ได้รับการยกย่องว่าเป็นก้าวแห่งการเปลี่ยนแปลงที่จะยุติการกีดกันภายในคริตจักรคาทอลิก สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส พระนามเดิมคือ พระคาร์ดินัลฮอร์เก มาริโอ แบร์โกลิโอ พระราชสมภพเมื่อวันที่ 17 ธ.ค. 1936 (2479) ที่ประเทศอาร์เจนตินา ทรงมีพระอุปนิสัยเยือกเย็นสุขุม ใช้ชีวิตอย่างสมถะ เมื่อครั้งยังทรงเป็นพระอัครสังฆราช ที่พํานักของพระองค์ในกรุงบัวโนสไอเรส เป็นเพียงแฟลตที่ตบแต่งอย่างเรียบง่าย ทําอาหารรับประทานเองทุกวัน โดยไม่ต้องการแม่ครัว หรือแม่บ้านมารับใช้ตนเองตลอดชีวิตสงฆ์ อีกทั้งโดยสารรถไฟใต้ดิน และรถประจําทางเหมือนคนทั่วไป เมื่อเสด็จไปกรุงโรม ประเทศอิตาลี ก็ยังทรงเลือกบินชั้นประหยัด และมักทรงเลือกสวมชุดบาทหลวงสีดําธรรมดา แทนที่จะเป็นชุดสีแดง ตามศักดิ์และสิทธิของพระคาร์ดินัล ชาวกรุงบัวโนสไอเรสโดยทั่วไปรู้จักพระองค์ในนาม คุณพ่อฮอร์เก ได้รับเลือกเป็นพระสันตะปาปา เมื่อวันที่ 13 มี.ค. 2013 (2556) สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส เคยเสด็จเยือนราชอาณาจักรไทยเมื่อวันที่ 20-23 พ.ย. 2019 (2562) ทรงหวังให้ทุกฝ่ายตระหนักถึงความสำคัญของการเสวนาเพื่อศาสนสัมพันธ์ด้วยความเข้าใจ การร่วมมือทำงานกันฉันพี่น้อง โดยเฉพาะการช่วยเหลือคนยากจน ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ และการทำงานเพื่อสันติภาพ #Newskit
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 300 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผ่านไป 13 วัน สตง.เพิ่งเปิดปาก

    นับเป็นการเปิดปากครั้งแรก สำหรับนายมณเฑียร เจริญผล ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน หลังเหตุการณ์แผ่นดินไหว ทำให้อาคารสูง 30 ชั้น โครงการสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แห่งใหม่ เขตจตุจักร กทม. ถล่มลงมาเมื่อวันที่ 28 มี.ค.มีผู้เสียชีวิตและสูญหายจำนวนมาก แต่กลับมีเพียงอีเมลภายใน ที่ทำให้สาธารณชนโกรธแค้น ผ่านพ้นไป 13 วัน เมื่อวันที่ 10 เม.ย. เจ้าตัวได้เข้าร่วมพิธีสวดพระพุทธมนต์เพื่อผู้ประสบภัยและผู้สูญหาย กล่าวว่า รู้สึกเสียใจ ไปงานศพทุกงาน ส่งเจ้าหน้าที่ไปร่วมทำบุญให้กับผู้เสียชีวิต ส่วนผู้บาดเจ็บตนกับผู้บริหารก็ไปเยี่ยมทุกโรงพยาบาล ทุกคน

    ส่วนที่สังคมทัวร์ลง สตง.นั้น ยืนยันว่าเราทำงานตลอดเวลา ตอนนี้ชีวิตคนกับความสูญเสียเป็นเรื่องสำคัญ จะต้องดูแลก่อนว่าญาติพี่น้องที่ลำบากและชีวิตที่สูญเสียไปจะทำอย่างไร ทุกครั้งที่คนของเราไปร่วมงานศพญาติผู้เสียชีวิตก็บอกว่ามีเพียง สตง.ที่เข้าไปดูแลเขา ส่วนผู้ป่วยที่อยู่โรงพยาบาลพวกเขาก็เข้าใจว่าเป็นอุบัติเหตุ ฉะนั้นสิ่งที่จะทำในวันนี้คือจะดูแล ซึ่งญาติได้ประสานใช้ล่ามที่ทำงานประจำอยู่ตลอด 24 ชั่วโมง พาญาติไปติดต่อตรวจ DNA และติดต่อเจ้าหน้าที่ส่วนต่างๆ ทำมาตั้งแต่วันเกิดเหตุ ผมก็อยู่ที่นี่ตั้งแต่วันแรก ว่างก็มา วันแรกที่มาก็กลับถึงบ้านเที่ยงคืน ส่วนการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการคาดว่าจะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้

    ด้านนายสุทธิพงษ์ บุญนิธ รองผู้ว่าฯ สตง.ชี้แจงในที่ประชุมคณะกรรมาธิการกิจการศาล องค์กรอิสระฯ ระบุว่า มั่นใจในการปฏิบัติหน้าที่ แต่ถนนสุดสายวิ่งมาที่ สตง.แมลงวันบินผ่านก็ด่าได้ ยืนยันว่าทุกอย่างยึดหลักกฎหมาย ส่วนกิจการร่วมค้า ไอทีดี-ซีอาร์อีซี ไม่พบช่องว่ามีการฮั้ว คำตอบที่ได้รับคือบริษัทดังกล่าวมีทุนและเทคโนโลยีจากจีน บริษัทก็อ้างว่าทำงานได้แม้จะได้งบประมาณตามที่เสนอราคาไว้ โดยมีระยะเวลาก่อสร้าง 3 ปี แต่ขยาย 2 ครั้ง เนื่องจากโควิดและมีการปรับรูปแบบ

    เมื่อผ่านไป 4 ปี เพิ่งได้ 33% เพราะผู้รับก่อสร้างมีปัญหาเรื่องทุน คณะกรรมการตรวจรับพัสดุจึงมีมติบอกเลิกสัญญาเมื่อวันที่ 15 ม.ค. อยู่ระหว่างเสนอเรื่องแต่มาเกิดเหตุเสียก่อน ยืนยันว่าไม่เคยรู้เรื่องบริษัทจีน เพราะอิตาเลียนไทยออกหน้าตลอด สตง.ยังดีอยู่เลยที่ได้บริษัทเบอร์ 1 ของประเทศ ถึงกระนั้น ยังคงจะต้องดำเนินการก่อสร้างอาคาร สตง. เช่นเดิม แต่จะไม่สร้างทับจุดที่ตึกถล่ม จะเลื่อนออกมาข้างหน้า ใช้งบประมาณไม่ถึง 2,000 ล้านบาท ใช้แอร์แบบธรรมดา เวลาเสียจะได้ไม่ต้องซ่อมยาก แต่ที่สำคัญต้องใส่เทคโนโลยีความทันสมัยในการทำงาน และคาดว่าจะต้องใช้งบประมาณที่เหลือนำมาสร้าง

    #Newskit
    ผ่านไป 13 วัน สตง.เพิ่งเปิดปาก นับเป็นการเปิดปากครั้งแรก สำหรับนายมณเฑียร เจริญผล ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน หลังเหตุการณ์แผ่นดินไหว ทำให้อาคารสูง 30 ชั้น โครงการสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แห่งใหม่ เขตจตุจักร กทม. ถล่มลงมาเมื่อวันที่ 28 มี.ค.มีผู้เสียชีวิตและสูญหายจำนวนมาก แต่กลับมีเพียงอีเมลภายใน ที่ทำให้สาธารณชนโกรธแค้น ผ่านพ้นไป 13 วัน เมื่อวันที่ 10 เม.ย. เจ้าตัวได้เข้าร่วมพิธีสวดพระพุทธมนต์เพื่อผู้ประสบภัยและผู้สูญหาย กล่าวว่า รู้สึกเสียใจ ไปงานศพทุกงาน ส่งเจ้าหน้าที่ไปร่วมทำบุญให้กับผู้เสียชีวิต ส่วนผู้บาดเจ็บตนกับผู้บริหารก็ไปเยี่ยมทุกโรงพยาบาล ทุกคน ส่วนที่สังคมทัวร์ลง สตง.นั้น ยืนยันว่าเราทำงานตลอดเวลา ตอนนี้ชีวิตคนกับความสูญเสียเป็นเรื่องสำคัญ จะต้องดูแลก่อนว่าญาติพี่น้องที่ลำบากและชีวิตที่สูญเสียไปจะทำอย่างไร ทุกครั้งที่คนของเราไปร่วมงานศพญาติผู้เสียชีวิตก็บอกว่ามีเพียง สตง.ที่เข้าไปดูแลเขา ส่วนผู้ป่วยที่อยู่โรงพยาบาลพวกเขาก็เข้าใจว่าเป็นอุบัติเหตุ ฉะนั้นสิ่งที่จะทำในวันนี้คือจะดูแล ซึ่งญาติได้ประสานใช้ล่ามที่ทำงานประจำอยู่ตลอด 24 ชั่วโมง พาญาติไปติดต่อตรวจ DNA และติดต่อเจ้าหน้าที่ส่วนต่างๆ ทำมาตั้งแต่วันเกิดเหตุ ผมก็อยู่ที่นี่ตั้งแต่วันแรก ว่างก็มา วันแรกที่มาก็กลับถึงบ้านเที่ยงคืน ส่วนการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการคาดว่าจะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ ด้านนายสุทธิพงษ์ บุญนิธ รองผู้ว่าฯ สตง.ชี้แจงในที่ประชุมคณะกรรมาธิการกิจการศาล องค์กรอิสระฯ ระบุว่า มั่นใจในการปฏิบัติหน้าที่ แต่ถนนสุดสายวิ่งมาที่ สตง.แมลงวันบินผ่านก็ด่าได้ ยืนยันว่าทุกอย่างยึดหลักกฎหมาย ส่วนกิจการร่วมค้า ไอทีดี-ซีอาร์อีซี ไม่พบช่องว่ามีการฮั้ว คำตอบที่ได้รับคือบริษัทดังกล่าวมีทุนและเทคโนโลยีจากจีน บริษัทก็อ้างว่าทำงานได้แม้จะได้งบประมาณตามที่เสนอราคาไว้ โดยมีระยะเวลาก่อสร้าง 3 ปี แต่ขยาย 2 ครั้ง เนื่องจากโควิดและมีการปรับรูปแบบ เมื่อผ่านไป 4 ปี เพิ่งได้ 33% เพราะผู้รับก่อสร้างมีปัญหาเรื่องทุน คณะกรรมการตรวจรับพัสดุจึงมีมติบอกเลิกสัญญาเมื่อวันที่ 15 ม.ค. อยู่ระหว่างเสนอเรื่องแต่มาเกิดเหตุเสียก่อน ยืนยันว่าไม่เคยรู้เรื่องบริษัทจีน เพราะอิตาเลียนไทยออกหน้าตลอด สตง.ยังดีอยู่เลยที่ได้บริษัทเบอร์ 1 ของประเทศ ถึงกระนั้น ยังคงจะต้องดำเนินการก่อสร้างอาคาร สตง. เช่นเดิม แต่จะไม่สร้างทับจุดที่ตึกถล่ม จะเลื่อนออกมาข้างหน้า ใช้งบประมาณไม่ถึง 2,000 ล้านบาท ใช้แอร์แบบธรรมดา เวลาเสียจะได้ไม่ต้องซ่อมยาก แต่ที่สำคัญต้องใส่เทคโนโลยีความทันสมัยในการทำงาน และคาดว่าจะต้องใช้งบประมาณที่เหลือนำมาสร้าง #Newskit
    Sad
    Like
    Wow
    5
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 385 มุมมอง 0 รีวิว
  • เนสกาแฟจ่อขาดตลาด ศาลสั่งห้ามผลิต-ขาย

    สร้างความตกใจแก่ผู้บริโภค เมื่อบริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ศาลแพ่งมีนบุรีออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวห้ามดำเนินการผลิต ว่าจ้างผลิต จำหน่าย และนำเข้าผลิตภัณฑ์กาแฟสำเร็จรูปโดยใช้เครื่องหมายการค้าเนสกาแฟ (Nescafé) ในประเทศไทย หลังจากนายเฉลิมชัย มหากิจศิริ ทายาทรุ่น 2 ของนายประยุทธ มหากิจศิริ เจ้าของฉายา "เจ้าพ่อเนสกาแฟ" ฟ้องดำเนินคดีแพ่งกับบริษัทในเครือเนสท์เล่และกรรมการ 2 คดี เป็นผลทำให้บริษัทฯ จะไม่สามารถรับคำสั่งซื้อผลิตภัณฑ์เนสกาแฟจากร้านค้าปลีกต่างๆ ทั่วประเทศ แต่ระหว่างนี้ร้านค้าปลีกที่มีผลิตภัณฑ์เนสกาแฟอยู่ในร้าน ยังสามารถจำหน่ายได้ตามปกติ

    เนสท์เล่ กล่าวถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นว่า ผู้ประกอบการรายย่อย ร้านกาแฟขนาดเล็ก และรถเข็นขายกาแฟจะสูญเสียรายได้ เพราะไม่มีผลิตภัณฑ์เนสกาแฟจำหน่าย หากปรับเปลี่ยนสูตรการชงและวัตถุดิบที่ใช้ อาจส่งผลต่อรสชาติที่เปลี่ยนไป กระทบโดยตรงต่อผู้ประกอบการรายย่อย อีกทั้งพนักงานของลูกค้าและคู่ค้าซัพพลายเออร์ ที่เคยสามารถจัดส่งวัตถุดิบต่างๆ ให้กับเนสกาแฟต้องหยุดชะงักลง ส่งผลให้ขาดรายได้ เกษตรกรผู้เพาะปลูกกาแฟ และเกษตรกรโคนมในไทยจะไม่สามารถจำหน่ายวัตถุดิบให้เนสกาแฟได้ ซึ่งทุกปีจะรับซื้อเมล็ดกาแฟดิบพันธุ์โรบัสต้ามากกว่าครึ่งหนึ่งของผลผลิตทั้งหมด นอกจากนี้ ผู้บริโภคหลายล้านคนในประเทศไทย และผู้บริโภคในตลาดส่งออกของเนสกาแฟจะไม่มีผลิตภัณฑ์เนสกาแฟดื่ม

    "เนสท์เล่ จะดำเนินการอย่างเต็มที่ในการแก้ไขสถานการณ์นี้ และกำลังดำเนินการยื่นคำร้องคัดค้านเพื่อขอให้เพิกถอนคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวดังกล่าวต่อศาล พร้อมยื่นข้อมูลที่ครบถ้วนแก่ศาลแพ่งมีนบุรีเพื่อการพิจารณาคำร้อง" แถลงการณ์ ระบุ

    เนสกาแฟวางตลาดในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2533-2567 ผลิตโดย บริษัท ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักท์ส จำกัด ซึ่งเป็นการร่วมทุนในสัดส่วนคนละครึ่ง ระหว่างเนสท์เล่ กับตระกูลมหากิจศิริ นำโดยนายประยุทธ มหากิจศิริ แต่อำนาจในการบริหารงานการผลิต การจัดจำหน่าย รวมทั้งการทำการตลาด เป็นของเนสท์เล่ รวมทั้งเทคโนโลยีที่ใช้ในการผลิตเนสกาแฟ เป็นทรัพย์สินทางปัญญาของเนสท์เล่

    เนสท์เล่ ได้แจ้งยุติสัญญากับบริษัท ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักท์ส เมื่อปี 2564 และศาลอนุญาโตตุลาการสากลตัดสินแล้ว โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 31 ธ.ค. 2567 แต่หลังยุติสัญญาทั้งสองฝ่ายตกลงกันไม่ได้ เนสท์เล่จึงยื่นคำร้องต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ขอให้ศาลมีคำสั่งเลิกบริษัท ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักท์ส แต่เมื่อเดือน มี.ค.-เม.ย. 2568 นายเฉลิมชัยฟ้องศาลแพ่งมีนบุรี ก่อนจะมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวดังกล่าว

    #Newskit
    เนสกาแฟจ่อขาดตลาด ศาลสั่งห้ามผลิต-ขาย สร้างความตกใจแก่ผู้บริโภค เมื่อบริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ศาลแพ่งมีนบุรีออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวห้ามดำเนินการผลิต ว่าจ้างผลิต จำหน่าย และนำเข้าผลิตภัณฑ์กาแฟสำเร็จรูปโดยใช้เครื่องหมายการค้าเนสกาแฟ (Nescafé) ในประเทศไทย หลังจากนายเฉลิมชัย มหากิจศิริ ทายาทรุ่น 2 ของนายประยุทธ มหากิจศิริ เจ้าของฉายา "เจ้าพ่อเนสกาแฟ" ฟ้องดำเนินคดีแพ่งกับบริษัทในเครือเนสท์เล่และกรรมการ 2 คดี เป็นผลทำให้บริษัทฯ จะไม่สามารถรับคำสั่งซื้อผลิตภัณฑ์เนสกาแฟจากร้านค้าปลีกต่างๆ ทั่วประเทศ แต่ระหว่างนี้ร้านค้าปลีกที่มีผลิตภัณฑ์เนสกาแฟอยู่ในร้าน ยังสามารถจำหน่ายได้ตามปกติ เนสท์เล่ กล่าวถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นว่า ผู้ประกอบการรายย่อย ร้านกาแฟขนาดเล็ก และรถเข็นขายกาแฟจะสูญเสียรายได้ เพราะไม่มีผลิตภัณฑ์เนสกาแฟจำหน่าย หากปรับเปลี่ยนสูตรการชงและวัตถุดิบที่ใช้ อาจส่งผลต่อรสชาติที่เปลี่ยนไป กระทบโดยตรงต่อผู้ประกอบการรายย่อย อีกทั้งพนักงานของลูกค้าและคู่ค้าซัพพลายเออร์ ที่เคยสามารถจัดส่งวัตถุดิบต่างๆ ให้กับเนสกาแฟต้องหยุดชะงักลง ส่งผลให้ขาดรายได้ เกษตรกรผู้เพาะปลูกกาแฟ และเกษตรกรโคนมในไทยจะไม่สามารถจำหน่ายวัตถุดิบให้เนสกาแฟได้ ซึ่งทุกปีจะรับซื้อเมล็ดกาแฟดิบพันธุ์โรบัสต้ามากกว่าครึ่งหนึ่งของผลผลิตทั้งหมด นอกจากนี้ ผู้บริโภคหลายล้านคนในประเทศไทย และผู้บริโภคในตลาดส่งออกของเนสกาแฟจะไม่มีผลิตภัณฑ์เนสกาแฟดื่ม "เนสท์เล่ จะดำเนินการอย่างเต็มที่ในการแก้ไขสถานการณ์นี้ และกำลังดำเนินการยื่นคำร้องคัดค้านเพื่อขอให้เพิกถอนคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวดังกล่าวต่อศาล พร้อมยื่นข้อมูลที่ครบถ้วนแก่ศาลแพ่งมีนบุรีเพื่อการพิจารณาคำร้อง" แถลงการณ์ ระบุ เนสกาแฟวางตลาดในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2533-2567 ผลิตโดย บริษัท ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักท์ส จำกัด ซึ่งเป็นการร่วมทุนในสัดส่วนคนละครึ่ง ระหว่างเนสท์เล่ กับตระกูลมหากิจศิริ นำโดยนายประยุทธ มหากิจศิริ แต่อำนาจในการบริหารงานการผลิต การจัดจำหน่าย รวมทั้งการทำการตลาด เป็นของเนสท์เล่ รวมทั้งเทคโนโลยีที่ใช้ในการผลิตเนสกาแฟ เป็นทรัพย์สินทางปัญญาของเนสท์เล่ เนสท์เล่ ได้แจ้งยุติสัญญากับบริษัท ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักท์ส เมื่อปี 2564 และศาลอนุญาโตตุลาการสากลตัดสินแล้ว โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 31 ธ.ค. 2567 แต่หลังยุติสัญญาทั้งสองฝ่ายตกลงกันไม่ได้ เนสท์เล่จึงยื่นคำร้องต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ขอให้ศาลมีคำสั่งเลิกบริษัท ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักท์ส แต่เมื่อเดือน มี.ค.-เม.ย. 2568 นายเฉลิมชัยฟ้องศาลแพ่งมีนบุรี ก่อนจะมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวดังกล่าว #Newskit
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 442 มุมมอง 0 รีวิว
  • รัฐบาลถอยแต่ไม่เลิก เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์

    หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 8 เม.ย. น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เรียกประชุมหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาล ก่อนแถลงข่าวระบุว่า จะแก้ปัญหาวิกฤตประเทศจากเหตุแผ่นดินไหว และการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกาเป็นเรื่องเร่งด่วนก่อน ส่วนการผลักดันร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร หรือเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ยืนยันจะนำเรื่องเข้าสู่วาระการประชุมสภาฯ สมัยประชุมหน้า และจะทำความเข้าใจอธิบาย สื่อสารให้ชัดเจนกับประชาชน เพราะกลายเป็นว่าความตั้งใจถูกเลือกให้เป็นการเปิดกาสิโนแทน

    แม้การรวมตัวของนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจะไม่ได้มืดฟ้ามัวดิน แต่ผลจากการออกแถลงการณ์หลายภาคส่วนทั้งกลุ่มนักกฎหมาย กลุ่มนักวิชาการ กลุ่มผู้ประกอบวิชาชีพแพทย์ รวมทั้งองค์กรทางศาสนา คัดค้านร่าง พ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจร และการตั้งบ่อนกาสิโนชัดเจน ถือเป็นการจุดติดกับสังคมไทยและรัฐบาลเริ่มหวั่นไหว การตัดสินใจถอนวาระดังกล่าวถือเป็นการดับชนวนความขัดแย้งรอบใหม่ แมัที่ผ่านมาท่าทีของบิดานายกรัฐมนตรี นายทักษิณ ชินวัตร ส่งสัญญาณว่าไม่กลัวใคร แม้กระทั่งมีข่าวว่าถ้าพรรคร่วมรัฐบาลไม่ลงมติเห็นชอบวาระรับหลักการ ก็จะพิจารณาให้ออกจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาลก็ตาม

    นางวิรังรอง ทัพพะรังสี ผู้จัดกิจกรรมดังกล่าว ระบุว่า ตั้งใจว่าจะส่งเสียงของพวกเราออกไปก่อนการประชุมสภาฯ ยืนยันว่าอะไรที่เป็นอบายมุขต่อต้านตลอด แม้จะถอนวาระดังกล่าว แต่วันหน้าถ้าพยายามเอาเข้ามาอีกก็จะทำเช่นนั้นอีก วันนี้สังคมตื่นแล้ว ด้วยหลายกลุ่มออกมา จึงไม่ได้หยุดเพียงแค่นี้ จะมีคนออกมาเรื่อยๆ เพราะประชาชนไม่มีความเชื่อมั่นในรัฐบาลว่าสิ่งที่ถอนวันนี้จะไม่ทำอย่างอื่นอีก เช่น ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ต้องจับตามองว่าจะถูกลักหลับหรือเปล่า

    "อยากส่งเสียงไปถึงรัฐบาลและในสภาฯ ทุกคน พรรคร่วมรัฐบาลด้วยว่า อย่าดูถูก อย่า Underestimate (ดูถูกดูแคลน) พลังประชาชน แม้จะออกมาน้อยนิด แต่ยังมีคนเป็นจำนวนมากที่ไม่ออกมาและไม่เห็นด้วย"

    นายทักษิณ กล่าวถึงข่าวที่ว่าถ้าพรรคร่วมรัฐบาลไม่เห็นชอบให้ออกจากรัฐบาลนั้น เป็นการพูดกันไปเรื่อย ไม่มีเรื่องข่มขู่ เป็นเพียงถามความคิดเห็นของแต่ละคนซึ่งไม่ขัดข้อง วันนี้นายกฯ บอกว่าจะพิจารณาเรื่องเร่งด่วนทางเศรษฐกิจก่อน ไม่ได้ยกเลิกเพียงแต่ขอเลื่อนการพิจารณาไปก่อน การมีพรรคร่วมฯ มากก็นานาจิตตัง ไม่สามารถชี้ให้ไปทางเดียวกันได้ ต้องอธิบายให้เขาเข้าใจ แต่ก็ไม่เหนือวิสัย พร้อมวอนอย่าขี้อิจฉาริษยากัน เปรียบเทียบกับบ่อนประเทศเพื่อนบ้านไม่ได้ทำแบบนั้น ถ้าทำแบบนั้นประเทศก็พัง

    #Newskit
    รัฐบาลถอยแต่ไม่เลิก เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 8 เม.ย. น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เรียกประชุมหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาล ก่อนแถลงข่าวระบุว่า จะแก้ปัญหาวิกฤตประเทศจากเหตุแผ่นดินไหว และการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกาเป็นเรื่องเร่งด่วนก่อน ส่วนการผลักดันร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร หรือเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ยืนยันจะนำเรื่องเข้าสู่วาระการประชุมสภาฯ สมัยประชุมหน้า และจะทำความเข้าใจอธิบาย สื่อสารให้ชัดเจนกับประชาชน เพราะกลายเป็นว่าความตั้งใจถูกเลือกให้เป็นการเปิดกาสิโนแทน แม้การรวมตัวของนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจะไม่ได้มืดฟ้ามัวดิน แต่ผลจากการออกแถลงการณ์หลายภาคส่วนทั้งกลุ่มนักกฎหมาย กลุ่มนักวิชาการ กลุ่มผู้ประกอบวิชาชีพแพทย์ รวมทั้งองค์กรทางศาสนา คัดค้านร่าง พ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจร และการตั้งบ่อนกาสิโนชัดเจน ถือเป็นการจุดติดกับสังคมไทยและรัฐบาลเริ่มหวั่นไหว การตัดสินใจถอนวาระดังกล่าวถือเป็นการดับชนวนความขัดแย้งรอบใหม่ แมัที่ผ่านมาท่าทีของบิดานายกรัฐมนตรี นายทักษิณ ชินวัตร ส่งสัญญาณว่าไม่กลัวใคร แม้กระทั่งมีข่าวว่าถ้าพรรคร่วมรัฐบาลไม่ลงมติเห็นชอบวาระรับหลักการ ก็จะพิจารณาให้ออกจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาลก็ตาม นางวิรังรอง ทัพพะรังสี ผู้จัดกิจกรรมดังกล่าว ระบุว่า ตั้งใจว่าจะส่งเสียงของพวกเราออกไปก่อนการประชุมสภาฯ ยืนยันว่าอะไรที่เป็นอบายมุขต่อต้านตลอด แม้จะถอนวาระดังกล่าว แต่วันหน้าถ้าพยายามเอาเข้ามาอีกก็จะทำเช่นนั้นอีก วันนี้สังคมตื่นแล้ว ด้วยหลายกลุ่มออกมา จึงไม่ได้หยุดเพียงแค่นี้ จะมีคนออกมาเรื่อยๆ เพราะประชาชนไม่มีความเชื่อมั่นในรัฐบาลว่าสิ่งที่ถอนวันนี้จะไม่ทำอย่างอื่นอีก เช่น ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ต้องจับตามองว่าจะถูกลักหลับหรือเปล่า "อยากส่งเสียงไปถึงรัฐบาลและในสภาฯ ทุกคน พรรคร่วมรัฐบาลด้วยว่า อย่าดูถูก อย่า Underestimate (ดูถูกดูแคลน) พลังประชาชน แม้จะออกมาน้อยนิด แต่ยังมีคนเป็นจำนวนมากที่ไม่ออกมาและไม่เห็นด้วย" นายทักษิณ กล่าวถึงข่าวที่ว่าถ้าพรรคร่วมรัฐบาลไม่เห็นชอบให้ออกจากรัฐบาลนั้น เป็นการพูดกันไปเรื่อย ไม่มีเรื่องข่มขู่ เป็นเพียงถามความคิดเห็นของแต่ละคนซึ่งไม่ขัดข้อง วันนี้นายกฯ บอกว่าจะพิจารณาเรื่องเร่งด่วนทางเศรษฐกิจก่อน ไม่ได้ยกเลิกเพียงแต่ขอเลื่อนการพิจารณาไปก่อน การมีพรรคร่วมฯ มากก็นานาจิตตัง ไม่สามารถชี้ให้ไปทางเดียวกันได้ ต้องอธิบายให้เขาเข้าใจ แต่ก็ไม่เหนือวิสัย พร้อมวอนอย่าขี้อิจฉาริษยากัน เปรียบเทียบกับบ่อนประเทศเพื่อนบ้านไม่ได้ทำแบบนั้น ถ้าทำแบบนั้นประเทศก็พัง #Newskit
    Love
    Sad
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 459 มุมมอง 0 รีวิว
  • เพื่อไทย 888 กาสิโนสุดซอย

    การประชุมสภาผู้แทนราษฎรนัดสุดท้าย ก่อนปิดสมัยประชุมสภาฯ สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง ในวันที่ 9 เม.ย. ที่จะถึงนี้ วาระที่สังคมกำลังจับตามอง คือการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ. .... หรือ เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ที่มีกาสิโนเป็นหลักใหญ่ใจความ หลังจากนายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย เสนอเลื่อนขึ้นมาพิจารณาเป็นอันดับ 1 พร้อมกับร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม และร่าง พ.ร.บ.สร้างเสริมสังคมสันติสุข 4 ฉบับ เสมือนเหล้าพ่วงเบียร์ที่ต้องการบีบให้ สส. ยอมรับเพื่อแลกกับได้พิจารณาร่างกฎหมายที่ค้างในสภาฯ

    สื่อหลายค่ายรายงานว่า นายใหญ่อย่างอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร บิดา น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้แจ้งแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลโดยตรง ให้ สส.ในพรรคลงมติวาระรับหลักการ ร่าง พ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจร หากพบว่าพรรคไหนแตกแถว ไม่เห็นชอบ จะพิจารณาให้ออกจากรัฐบาลทันที ท่ามกลางเสียง สส.ในสภาฯ จากการอภิปรายไม่ไว้วางใจล่าสุด 319 เสียง พบว่ามีบางพรรคลังเลใจ เช่น พรรคประชาชาติ ที่มี สส.ในสภา 8 คนเป็นชาวมุสลิมจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ก่อนหน้านี้ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ยื่นหนังสือถึงประธานวิปรัฐบาล กังวลว่าอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อเยาวชนในเรื่องการละเว้นอบายมุข ตามคำสอนและหลักการของแต่ละศาสนา จึงเห็นควรให้มีบทบัญญัติที่คำนึงถึงหลักการดังกล่าวด้วย

    อย่างไรก็ตาม นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมว.คลัง ให้สัมภาษณ์เครือเนชั่น มั่นใจว่าจะผ่านวาระรับหลักการ เตรียมตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ 31 คน เป็นประธานเอง คัดรายชื่อเอง เน้นคนเข้ามาทำงานจริง ตั้งตามจำนวนที่จำเป็น และให้พรรคร่วมรัฐบาลส่งคนที่มีภาพลักษณ์ดีไม่เข้ามาหาประโยชน์ คาดว่าจะเสนอพิจารณาวาระ 2-3 ในเดือน ก.ค.2568 รวมทั้งรัฐบาลตั้งเป้าผลักดันนโยบาย ตั้งสำนักงานคณะกรรมการนโยบายฯ ออกกฎหมายลูก อาจเปิดประมูลเพื่อให้เกิดการลงทุนได้ทันทีในรัฐบาลหน้า

    เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ชาวเน็ตต่างแห่ตั้งฉายาพรรคเพื่อไทยว่า "เพื่อไทย 888" ตอบโต้กรณีที่พรรคเพื่อไทยชี้แจงข้อกล่าวหาในการประชุมสภาฯ ว่า กาสิโนมาก่อนแผ่นดินไหวไม่เป็นความจริง อีกด้านหนึ่ง แม้การชุมนุมของเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฎิรูปประเทศไทย (คปท.) กลุ่ม ศปปส. และกองทัพธรรมยังไม่เป็นข่าวมากนัก แต่ก็พบว่าหลายองค์กรภาคประชาชนทั้งกลุ่มผู้นำทางศาสนา กลุ่มนักวิชาการ นักรัฐศาสตร์ ต่างออกแถลงการณ์ไม่เห็นด้วยกับกฎหมายเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ แม้จะห้ามไม่ได้ที่ฝ่ายรัฐบาลจะผลักดันกฎหมายฉบับนี้แบบสุดซอย ไม่สนใจเสียงคัดค้านก็ตาม

    #Newskit
    เพื่อไทย 888 กาสิโนสุดซอย การประชุมสภาผู้แทนราษฎรนัดสุดท้าย ก่อนปิดสมัยประชุมสภาฯ สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง ในวันที่ 9 เม.ย. ที่จะถึงนี้ วาระที่สังคมกำลังจับตามอง คือการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ. .... หรือ เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ที่มีกาสิโนเป็นหลักใหญ่ใจความ หลังจากนายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย เสนอเลื่อนขึ้นมาพิจารณาเป็นอันดับ 1 พร้อมกับร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม และร่าง พ.ร.บ.สร้างเสริมสังคมสันติสุข 4 ฉบับ เสมือนเหล้าพ่วงเบียร์ที่ต้องการบีบให้ สส. ยอมรับเพื่อแลกกับได้พิจารณาร่างกฎหมายที่ค้างในสภาฯ สื่อหลายค่ายรายงานว่า นายใหญ่อย่างอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร บิดา น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้แจ้งแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลโดยตรง ให้ สส.ในพรรคลงมติวาระรับหลักการ ร่าง พ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจร หากพบว่าพรรคไหนแตกแถว ไม่เห็นชอบ จะพิจารณาให้ออกจากรัฐบาลทันที ท่ามกลางเสียง สส.ในสภาฯ จากการอภิปรายไม่ไว้วางใจล่าสุด 319 เสียง พบว่ามีบางพรรคลังเลใจ เช่น พรรคประชาชาติ ที่มี สส.ในสภา 8 คนเป็นชาวมุสลิมจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ก่อนหน้านี้ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ยื่นหนังสือถึงประธานวิปรัฐบาล กังวลว่าอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อเยาวชนในเรื่องการละเว้นอบายมุข ตามคำสอนและหลักการของแต่ละศาสนา จึงเห็นควรให้มีบทบัญญัติที่คำนึงถึงหลักการดังกล่าวด้วย อย่างไรก็ตาม นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมว.คลัง ให้สัมภาษณ์เครือเนชั่น มั่นใจว่าจะผ่านวาระรับหลักการ เตรียมตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ 31 คน เป็นประธานเอง คัดรายชื่อเอง เน้นคนเข้ามาทำงานจริง ตั้งตามจำนวนที่จำเป็น และให้พรรคร่วมรัฐบาลส่งคนที่มีภาพลักษณ์ดีไม่เข้ามาหาประโยชน์ คาดว่าจะเสนอพิจารณาวาระ 2-3 ในเดือน ก.ค.2568 รวมทั้งรัฐบาลตั้งเป้าผลักดันนโยบาย ตั้งสำนักงานคณะกรรมการนโยบายฯ ออกกฎหมายลูก อาจเปิดประมูลเพื่อให้เกิดการลงทุนได้ทันทีในรัฐบาลหน้า เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ชาวเน็ตต่างแห่ตั้งฉายาพรรคเพื่อไทยว่า "เพื่อไทย 888" ตอบโต้กรณีที่พรรคเพื่อไทยชี้แจงข้อกล่าวหาในการประชุมสภาฯ ว่า กาสิโนมาก่อนแผ่นดินไหวไม่เป็นความจริง อีกด้านหนึ่ง แม้การชุมนุมของเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฎิรูปประเทศไทย (คปท.) กลุ่ม ศปปส. และกองทัพธรรมยังไม่เป็นข่าวมากนัก แต่ก็พบว่าหลายองค์กรภาคประชาชนทั้งกลุ่มผู้นำทางศาสนา กลุ่มนักวิชาการ นักรัฐศาสตร์ ต่างออกแถลงการณ์ไม่เห็นด้วยกับกฎหมายเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ แม้จะห้ามไม่ได้ที่ฝ่ายรัฐบาลจะผลักดันกฎหมายฉบับนี้แบบสุดซอย ไม่สนใจเสียงคัดค้านก็ตาม #Newskit
    Like
    Sad
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 586 มุมมอง 0 รีวิว
  • แอปฯ ViaBus สยายปีกสู่ลาว ติดตามรถเมล์เวียงจันทน์ได้แล้ว

    ในงานสัปดาห์ดิจิทัลลาว 2025 (Laos Digital Week 2025) ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 2-6 เม.ย.2568 ที่หอประชุมแห่งชาติ นครหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) หนึ่งในนวัตกรรมที่น่าสนใจ คือ รัฐวิสาหกิจรถเมล์นครหลวงเวียงจันทน์ (VCSBE) ได้ร่วมกับ บริษัท เวีย กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ให้บริการแอปพลิเคชันเวียบัส (ViaBus) เปิดบริการแจ้งติดตามรถเมล์แบบเรียลไทม์ แก่รถโดยสารในนครหลวงเวียงจันทน์ เพื่อพัฒนาการบริการ โดยนักท่องเที่ยวจากประเทศไทย สามารถติดตามรถเมล์ และจุดจอดรถเมล์ได้เหมือนที่ประเทศไทย

    ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 31 มี.ค. 2568 นายอินทัช มาศวงษ์ปกรณ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เวีย กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับท่านแก้ววันพร วอนทีวงสี ผู้อำนวยการใหญ่ รัฐวิสาหกิจรถเมล์นครหลวงเวียงจันทน์ ที่โรงแรมลาวพลาซ่า เพื่อพัฒนาระบบติดตามและบริหารจัดการรถโดยสารประจำทางผ่านแอปพลิเคชัน ViaBus โดยมีนายมรกต ศรีสวัสดิ์ เอกอัครราชทูตไทย ณ เวียงจันทน์ ร่วมเป็นสักขีพยาน ความร่วมมือดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อยกระดับระบบขนส่งสาธารณะในนครหลวงเวียงจันทน์ พร้อมเชื่อมโยงโครงข่ายการเดินทางกับภูมิภาคอาเซียนในมิติที่ทันสมัยและยั่งยืน

    สำหรับรัฐวิสาหกิจรถเมล์นครหลวงเวียงจันทน์ มีเส้นทางให้บริการประมาณ 16 เส้นทาง โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่สถานีขนส่งตลาดเช้า (Central Bus Station หรือ CBS) ไปยังจุดหมายปลายทางต่างๆ เช่น สะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 1, มหาวิทยาลัยแห่งชาติลาว ดงโดก, สนามบินสากลวัดไต, สถานีรถสายเหนือ, สถานีรถสายใต้, ศูนย์ประชุมลาวไอเต็ก (ITECC) รวมทั้งสถานีรถไฟนครหลวงเวียงจันทน์ (รถไฟลาว-จีน) และสถานีเวียงจันทน์ คำสะหวาด (รถไฟไทย-ลาว) เดิมมีเว็บไซต์ติดตามรถเมล์ https://lao.busnavi.asia อยู่แล้ว ความร่วมมือกับ ViaBus ที่มีผู้ใช้งาน 5 ล้านคน จะทำให้นักท่องเที่ยวชาวไทยกว่า 1.2 ล้านคนเดินทางในนครหลวงเวียงจันทน์สะดวกขึ้น รวมทั้งจูงใจชาวนครหลวงเวียงจันทน์กว่า 7 แสนคนหันมาใช้รถเมล์แทนรถส่วนตัว

    ก่อนหน้านี้ ViaBus ได้ทดลองติดตามรถเมล์แบบเรียลไทม์ที่ประเทศมาเลเซียใน 3 เมือง ได้แก่ กรุงกัวลาลัมเปอร์ เกาะปีนัง และเมืองยะโฮร์บาห์รู นับเป็นประเทศที่สองที่ ViaBus ร่วมมือกับผู้ประกอบการเดินรถต่างประเทศ สำหรับประเทศไทย ที่ผ่านมาได้ประกาศให้ผู้ประกอบการเดินรถทุกรายนำข้อมูล GPS รถเมล์มาเชื่อมระบบได้ฟรี โดยไม่ต้องพัฒนาระบบใหม่ และไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ เพื่อให้ผู้โดยสารติดตามและใช้บริการได้อย่างสะดวกสบาย

    #Newskit
    แอปฯ ViaBus สยายปีกสู่ลาว ติดตามรถเมล์เวียงจันทน์ได้แล้ว ในงานสัปดาห์ดิจิทัลลาว 2025 (Laos Digital Week 2025) ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 2-6 เม.ย.2568 ที่หอประชุมแห่งชาติ นครหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) หนึ่งในนวัตกรรมที่น่าสนใจ คือ รัฐวิสาหกิจรถเมล์นครหลวงเวียงจันทน์ (VCSBE) ได้ร่วมกับ บริษัท เวีย กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ให้บริการแอปพลิเคชันเวียบัส (ViaBus) เปิดบริการแจ้งติดตามรถเมล์แบบเรียลไทม์ แก่รถโดยสารในนครหลวงเวียงจันทน์ เพื่อพัฒนาการบริการ โดยนักท่องเที่ยวจากประเทศไทย สามารถติดตามรถเมล์ และจุดจอดรถเมล์ได้เหมือนที่ประเทศไทย ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 31 มี.ค. 2568 นายอินทัช มาศวงษ์ปกรณ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เวีย กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับท่านแก้ววันพร วอนทีวงสี ผู้อำนวยการใหญ่ รัฐวิสาหกิจรถเมล์นครหลวงเวียงจันทน์ ที่โรงแรมลาวพลาซ่า เพื่อพัฒนาระบบติดตามและบริหารจัดการรถโดยสารประจำทางผ่านแอปพลิเคชัน ViaBus โดยมีนายมรกต ศรีสวัสดิ์ เอกอัครราชทูตไทย ณ เวียงจันทน์ ร่วมเป็นสักขีพยาน ความร่วมมือดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อยกระดับระบบขนส่งสาธารณะในนครหลวงเวียงจันทน์ พร้อมเชื่อมโยงโครงข่ายการเดินทางกับภูมิภาคอาเซียนในมิติที่ทันสมัยและยั่งยืน สำหรับรัฐวิสาหกิจรถเมล์นครหลวงเวียงจันทน์ มีเส้นทางให้บริการประมาณ 16 เส้นทาง โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่สถานีขนส่งตลาดเช้า (Central Bus Station หรือ CBS) ไปยังจุดหมายปลายทางต่างๆ เช่น สะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 1, มหาวิทยาลัยแห่งชาติลาว ดงโดก, สนามบินสากลวัดไต, สถานีรถสายเหนือ, สถานีรถสายใต้, ศูนย์ประชุมลาวไอเต็ก (ITECC) รวมทั้งสถานีรถไฟนครหลวงเวียงจันทน์ (รถไฟลาว-จีน) และสถานีเวียงจันทน์ คำสะหวาด (รถไฟไทย-ลาว) เดิมมีเว็บไซต์ติดตามรถเมล์ https://lao.busnavi.asia อยู่แล้ว ความร่วมมือกับ ViaBus ที่มีผู้ใช้งาน 5 ล้านคน จะทำให้นักท่องเที่ยวชาวไทยกว่า 1.2 ล้านคนเดินทางในนครหลวงเวียงจันทน์สะดวกขึ้น รวมทั้งจูงใจชาวนครหลวงเวียงจันทน์กว่า 7 แสนคนหันมาใช้รถเมล์แทนรถส่วนตัว ก่อนหน้านี้ ViaBus ได้ทดลองติดตามรถเมล์แบบเรียลไทม์ที่ประเทศมาเลเซียใน 3 เมือง ได้แก่ กรุงกัวลาลัมเปอร์ เกาะปีนัง และเมืองยะโฮร์บาห์รู นับเป็นประเทศที่สองที่ ViaBus ร่วมมือกับผู้ประกอบการเดินรถต่างประเทศ สำหรับประเทศไทย ที่ผ่านมาได้ประกาศให้ผู้ประกอบการเดินรถทุกรายนำข้อมูล GPS รถเมล์มาเชื่อมระบบได้ฟรี โดยไม่ต้องพัฒนาระบบใหม่ และไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ เพื่อให้ผู้โดยสารติดตามและใช้บริการได้อย่างสะดวกสบาย #Newskit
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 636 มุมมอง 0 รีวิว
  • ชิงไหวชิงพริบ กาสิโนคอมเพล็กซ์

    การประชุมสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 3 เม.ย. เกิดการชิงไหวชิงพริบ หลังนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ผู้นำฝ่ายค้านฯ เสนอญัตติด่วน ขอให้สภาฯ พิจารณามาตรการในการจัดการผลกระทบจากแผ่นดินไหวอย่างเป็นระบบ เพื่อส่งคณะรัฐมนตรี (ครม.) ดำเนินการต่อไป ทันใดนั้น นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด สส.พรรคเพื่อไทย เสนอขอเปลี่ยนระเบียบวาระการประชุม โดยนำร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร ที่ ครม.เป็นผู้เสนอ พร้อมกับร่างกฎหมายนิรโทษกรรม 4 ฉบับ ได้แก่ ร่าง พ.ร.บ.สร้างเสริมสังคมสันติสุข ของพรรครวมไทยสร้างชาติ ร่างของพรรคครูไทยเพื่อประชาชน ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ของนายชัยธวัช ตุลาธน และร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมประชาชนของกลุ่มไอลอว์ มาพิจารณาในการประชุมครั้งหน้า

    จากนั้นความวุ่นวายในสภาฯ เกิดขึ้น ฝ่ายค้านเห็นว่าทำไมฝ่ายรัฐบาลต้องพยายามเร่งรัดเอาเรื่องเอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ขึ้นมา เป็นญัตติซ้อนญัตติหรือไม่ ควรให้รอญัตติเรื่องแผ่นดินไหวจบลงก่อน แต่ สส.ฝ่ายรัฐบาลพยายามขอให้เห็นชอบญัตติเลื่อนระเบียบวาระก่อน เพราะใช้เวลาไม่นาน แล้วค่อยมาถกญัตติแผ่นดินไหว การประท้วงผ่านไป 3 ชั่วโมง ในที่สุดเสียงข้างมากในสภาโหวตให้นายอนุสรณ์แทรกญัตติขึ้นมาก่อน จบลงด้วยมติเห็นชอบ 249 ต่อ 137 งดออกเสียง 2 ไม่ลงคะแนน 1 เสียง ทำให้กระแสสังคมฝ่ายที่ไม่สนับสนุนรัฐบาลมองว่า รัฐบาลเลือกกาสิโนมาก่อน แผ่นดินไหวมาทีหลัง ขณะที่พรรคเพื่อไทยชี้แจงว่าที่ต้องเลื่อนเพราะตามข้อบังคับหากเป็นเรื่อง พ.ร.บ. ต้องเสนอญัตติเลื่อนล่วงหน้า 1 สัปดาห์ แต่ฝ่ายค้านไม่เข้าใจ

    ด้านเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฎิรูปประเทศไทย (คปท.) พร้อมด้วยกลุ่ม ศปปส. และกองทัพธรรม เดินขบวนจากสะพานชมัยมรุเชษฐ์มายังอาคารรัฐสภา เพื่อคัดค้านร่าง พ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจร โดยมีนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาคนที่ 1 เป็นตัวแทนรับหนังสือ ด้านนายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เรียกร้องให้นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ มองหน้าชาวมุสลิม โดยเฉพาะใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า ต้องการบ่อนกาสิโนหรือไม่ และในฐานะที่เป็นผู้อาวุโสต้องกล้าเตือน น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนายทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นบิดาว่าบ้านเมืองจะพังจากบ่อนกาสิโน ทั้งนี้ คปท. เตรียมนัดอีกครั้งวันที่ 8 เม.ย.ประชุม ครม. และวันที่ 9 เม.ย.ประชุมสภาฯ ก่อนปิดสมัยประชุม

    อีกด้านหนึ่ง ภาคประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับกาสิโนออกแถลงการณ์อย่างต่อเนื่อง เช่น กลุ่มเพื่อนมหิดลเพื่อสังคม สภาการศึกษาคาทอลิกแห่งประเทศไทย ชมรมแพทย์อาวุโสและบุคลากรทางการแพทย์ เป็นต้น

    #Newskit
    ชิงไหวชิงพริบ กาสิโนคอมเพล็กซ์ การประชุมสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 3 เม.ย. เกิดการชิงไหวชิงพริบ หลังนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ผู้นำฝ่ายค้านฯ เสนอญัตติด่วน ขอให้สภาฯ พิจารณามาตรการในการจัดการผลกระทบจากแผ่นดินไหวอย่างเป็นระบบ เพื่อส่งคณะรัฐมนตรี (ครม.) ดำเนินการต่อไป ทันใดนั้น นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด สส.พรรคเพื่อไทย เสนอขอเปลี่ยนระเบียบวาระการประชุม โดยนำร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร ที่ ครม.เป็นผู้เสนอ พร้อมกับร่างกฎหมายนิรโทษกรรม 4 ฉบับ ได้แก่ ร่าง พ.ร.บ.สร้างเสริมสังคมสันติสุข ของพรรครวมไทยสร้างชาติ ร่างของพรรคครูไทยเพื่อประชาชน ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ของนายชัยธวัช ตุลาธน และร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมประชาชนของกลุ่มไอลอว์ มาพิจารณาในการประชุมครั้งหน้า จากนั้นความวุ่นวายในสภาฯ เกิดขึ้น ฝ่ายค้านเห็นว่าทำไมฝ่ายรัฐบาลต้องพยายามเร่งรัดเอาเรื่องเอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ขึ้นมา เป็นญัตติซ้อนญัตติหรือไม่ ควรให้รอญัตติเรื่องแผ่นดินไหวจบลงก่อน แต่ สส.ฝ่ายรัฐบาลพยายามขอให้เห็นชอบญัตติเลื่อนระเบียบวาระก่อน เพราะใช้เวลาไม่นาน แล้วค่อยมาถกญัตติแผ่นดินไหว การประท้วงผ่านไป 3 ชั่วโมง ในที่สุดเสียงข้างมากในสภาโหวตให้นายอนุสรณ์แทรกญัตติขึ้นมาก่อน จบลงด้วยมติเห็นชอบ 249 ต่อ 137 งดออกเสียง 2 ไม่ลงคะแนน 1 เสียง ทำให้กระแสสังคมฝ่ายที่ไม่สนับสนุนรัฐบาลมองว่า รัฐบาลเลือกกาสิโนมาก่อน แผ่นดินไหวมาทีหลัง ขณะที่พรรคเพื่อไทยชี้แจงว่าที่ต้องเลื่อนเพราะตามข้อบังคับหากเป็นเรื่อง พ.ร.บ. ต้องเสนอญัตติเลื่อนล่วงหน้า 1 สัปดาห์ แต่ฝ่ายค้านไม่เข้าใจ ด้านเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฎิรูปประเทศไทย (คปท.) พร้อมด้วยกลุ่ม ศปปส. และกองทัพธรรม เดินขบวนจากสะพานชมัยมรุเชษฐ์มายังอาคารรัฐสภา เพื่อคัดค้านร่าง พ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจร โดยมีนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาคนที่ 1 เป็นตัวแทนรับหนังสือ ด้านนายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เรียกร้องให้นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ มองหน้าชาวมุสลิม โดยเฉพาะใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า ต้องการบ่อนกาสิโนหรือไม่ และในฐานะที่เป็นผู้อาวุโสต้องกล้าเตือน น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนายทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นบิดาว่าบ้านเมืองจะพังจากบ่อนกาสิโน ทั้งนี้ คปท. เตรียมนัดอีกครั้งวันที่ 8 เม.ย.ประชุม ครม. และวันที่ 9 เม.ย.ประชุมสภาฯ ก่อนปิดสมัยประชุม อีกด้านหนึ่ง ภาคประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับกาสิโนออกแถลงการณ์อย่างต่อเนื่อง เช่น กลุ่มเพื่อนมหิดลเพื่อสังคม สภาการศึกษาคาทอลิกแห่งประเทศไทย ชมรมแพทย์อาวุโสและบุคลากรทางการแพทย์ เป็นต้น #Newskit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 641 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไฟไหม้ท่อก๊าซ ชานเมืองมาเลเซีย

    วันที่ 1 เม.ย. ที่ประเทศมาเลเซีย เป็นช่วงเวลาที่ชาวมุสลิมทั่วประเทศกำลังเฉลิมฉลองเทศกาลฮารีรายออีดิลฟิตรี แต่สำหรับชาวบ้านในย่านที่อยู่อาศัยชานเมืองอย่างปูตราไฮท์ส (Putra Heighs) ทางตอนใต้ของเมืองซูบังจายา รัฐสลังงอร์ ห่างจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ 28 กิโลเมตร กลับต้องหวาดผวา เมื่อเวลา 08.10 น.ตามเวลาท้องถิ่น ท่อส่งก๊าซธรรมชาติ ของบริษัท ปิโตรนาส ก๊าซ เบอร์ฮัด ระเบิดและเกิดเพลิงลุกไหม้ขนาดใหญ่ขึ้น สูงกว่า 30 เมตร บริเวณถนนปูตราฮาร์โมนี่ ทำให้ชาวบ้านต่างพากันอพยพหนีตาย มีผู้ได้รับบาดเจ็บทั้งแผลไฟไหม้ หายใจลำบาก การดับเพลิงใช้วิธีปิดวาล์วท่อก๊าซ 4 จุด ความยาว 32 กิโลเมตร เพื่อระงับการส่งก๊าซ ปล่อยให้ก๊าซที่ตกค้างค่อยๆ ลดลง และควบคุมเพลิงเอาไว้ได้เมื่อเวลา 15.45 น.

    หลังเพลิงสงบ พบหลุมขนาดใหญ่ประมาณ 70-80 ฟุต ลึก 32 ฟุต บ้านเรือนเสียหาย 235 หลัง ยานพาหนะ 399 คัน และทรัพย์สินเสียหายในรัศมี 500 เมตรจากจุดเกิดเหตุ มีผู้บาดเจ็บรวม 111 ราย อาการสาหัส 13 ราย ปานกลาง 55 ราย บาดเจ็บเล็กน้อย 43 ราย ยังไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต อีกทั้งมีผู้ประสบภัยอาศัยที่ศูนย์พักพิงชั่วคราวในมัสยิดต่างๆ รวม 485 คน และสภาเทศบาลเมืองซูบังจายา 44 คน นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ประกาศให้เงินช่วยเหลือครัวเรือนละ 5,000 ริงกิต (38,300 บาท) แก่บ้านเรือนที่เสียหายทั้งหลัง และ 2,500 ริงกิต (19,200 บาท) แก่บ้านเรือนที่เสียหายบางส่วน

    ไวรัลบนโซเชียลมีเดียคาดว่าเกิดจากงานขุดดินเพื่อติดตั้งท่อส่งน้ำเสีย โครงการพัฒนาพื้นที่ใกล้กับจุดเกิดเหตุ แต่บริษัทอินดะห์ วอเตอร์ คอนซอร์เตียม (IWK) บริษัทจัดการน้ำเสียของมาเลเซียปฎิเสธว่าไม่เกี่ยวข้อง เป็นความรับผิดชอบของผู้รับเหมาและผู้พัฒนาพื้นที่ สำหรับระบบท่อส่งก๊าซระยะทางกว่า 2,623 กิโลเมตร เริ่มต้นที่เมืองเกอร์เตะห์ รัฐตรังกานู เชื่อมต่อกับท่อก๊าซอีกเส้นหนึ่งที่เมืองเซกามัต รัฐยะโฮร์ ทอดยาวระหว่างรัฐเคดะห์ทางภาคเหนือ ถึงรัฐยะโฮร์ทางภาคใต้ และประเทศสิงคโปร์

    สำหรับประเทศไทย ปัจจุบันมีระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ความยาวรวม 4,255 กิโลเมตร โดยมีท่อบนบก ความยาว 2,119 กิโลเมตร เคยเกิดโศกนาฎกรรมท่อส่งก๊าซระเบิดที่ถนนหลวงแพ่ง ลาดกระบัง-ฉะเชิงเทรา ข้างสถานีตำรวจภูธรเปร็ง อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ เมื่อวันที่ 22 ต.ค.2563 มีผู้เสียชีวิต 3 ราย บาดเจ็บ 52 ราย บ้านเรือนเสียหาย 9 หลัง รถจักรยานยนต์เสียหายกว่า 20 คัน ปตท. มอบเงินช่วยเหลือครอบครัวผู้เสียชีวิต รายละ 5 ล้านบาท บาดเจ็บสาหัส 5 แสนบาท รวมกว่า 26 ล้านบาท

    #Newskit
    ไฟไหม้ท่อก๊าซ ชานเมืองมาเลเซีย วันที่ 1 เม.ย. ที่ประเทศมาเลเซีย เป็นช่วงเวลาที่ชาวมุสลิมทั่วประเทศกำลังเฉลิมฉลองเทศกาลฮารีรายออีดิลฟิตรี แต่สำหรับชาวบ้านในย่านที่อยู่อาศัยชานเมืองอย่างปูตราไฮท์ส (Putra Heighs) ทางตอนใต้ของเมืองซูบังจายา รัฐสลังงอร์ ห่างจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ 28 กิโลเมตร กลับต้องหวาดผวา เมื่อเวลา 08.10 น.ตามเวลาท้องถิ่น ท่อส่งก๊าซธรรมชาติ ของบริษัท ปิโตรนาส ก๊าซ เบอร์ฮัด ระเบิดและเกิดเพลิงลุกไหม้ขนาดใหญ่ขึ้น สูงกว่า 30 เมตร บริเวณถนนปูตราฮาร์โมนี่ ทำให้ชาวบ้านต่างพากันอพยพหนีตาย มีผู้ได้รับบาดเจ็บทั้งแผลไฟไหม้ หายใจลำบาก การดับเพลิงใช้วิธีปิดวาล์วท่อก๊าซ 4 จุด ความยาว 32 กิโลเมตร เพื่อระงับการส่งก๊าซ ปล่อยให้ก๊าซที่ตกค้างค่อยๆ ลดลง และควบคุมเพลิงเอาไว้ได้เมื่อเวลา 15.45 น. หลังเพลิงสงบ พบหลุมขนาดใหญ่ประมาณ 70-80 ฟุต ลึก 32 ฟุต บ้านเรือนเสียหาย 235 หลัง ยานพาหนะ 399 คัน และทรัพย์สินเสียหายในรัศมี 500 เมตรจากจุดเกิดเหตุ มีผู้บาดเจ็บรวม 111 ราย อาการสาหัส 13 ราย ปานกลาง 55 ราย บาดเจ็บเล็กน้อย 43 ราย ยังไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต อีกทั้งมีผู้ประสบภัยอาศัยที่ศูนย์พักพิงชั่วคราวในมัสยิดต่างๆ รวม 485 คน และสภาเทศบาลเมืองซูบังจายา 44 คน นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ประกาศให้เงินช่วยเหลือครัวเรือนละ 5,000 ริงกิต (38,300 บาท) แก่บ้านเรือนที่เสียหายทั้งหลัง และ 2,500 ริงกิต (19,200 บาท) แก่บ้านเรือนที่เสียหายบางส่วน ไวรัลบนโซเชียลมีเดียคาดว่าเกิดจากงานขุดดินเพื่อติดตั้งท่อส่งน้ำเสีย โครงการพัฒนาพื้นที่ใกล้กับจุดเกิดเหตุ แต่บริษัทอินดะห์ วอเตอร์ คอนซอร์เตียม (IWK) บริษัทจัดการน้ำเสียของมาเลเซียปฎิเสธว่าไม่เกี่ยวข้อง เป็นความรับผิดชอบของผู้รับเหมาและผู้พัฒนาพื้นที่ สำหรับระบบท่อส่งก๊าซระยะทางกว่า 2,623 กิโลเมตร เริ่มต้นที่เมืองเกอร์เตะห์ รัฐตรังกานู เชื่อมต่อกับท่อก๊าซอีกเส้นหนึ่งที่เมืองเซกามัต รัฐยะโฮร์ ทอดยาวระหว่างรัฐเคดะห์ทางภาคเหนือ ถึงรัฐยะโฮร์ทางภาคใต้ และประเทศสิงคโปร์ สำหรับประเทศไทย ปัจจุบันมีระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ความยาวรวม 4,255 กิโลเมตร โดยมีท่อบนบก ความยาว 2,119 กิโลเมตร เคยเกิดโศกนาฎกรรมท่อส่งก๊าซระเบิดที่ถนนหลวงแพ่ง ลาดกระบัง-ฉะเชิงเทรา ข้างสถานีตำรวจภูธรเปร็ง อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ เมื่อวันที่ 22 ต.ค.2563 มีผู้เสียชีวิต 3 ราย บาดเจ็บ 52 ราย บ้านเรือนเสียหาย 9 หลัง รถจักรยานยนต์เสียหายกว่า 20 คัน ปตท. มอบเงินช่วยเหลือครอบครัวผู้เสียชีวิต รายละ 5 ล้านบาท บาดเจ็บสาหัส 5 แสนบาท รวมกว่า 26 ล้านบาท #Newskit
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 542 มุมมอง 0 รีวิว
  • แม่น้ำหลายสาย หยุด พ.ร.บ.กาสิโน

    การประชุมสภาผู้แทนราษฎร วันที่ 3 เม.ย. หนึ่งในวาระการประชุมที่สังคมจับตามอง คือ พิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ.... หรือเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เป็นผู้เสนอ ก่อให้เกิดความเคลื่อนไหวจากฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย เช่น นายธนากร คมกฤส เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน นำตัวแทนเครือข่ายภาคประชาสังคม 100 องค์กร ยื่นหนังสือที่รัฐสภาคัดค้านการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าว พร้อมประณาม ครม.ที่เอาแต่ได้ สร้างประเด็นลวงว่ามีกาสิโนเป็นส่วนน้อย 10% ทั้งที่เป็นเป้าหมายใหญ่ และเรียกร้องให้ทุกพรรคการเมืองประกาศจุดยืนชัดเจน และให้วุฒิสภาเป็นเจ้าภาพจัดรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนทุกภาคส่วน และองค์กรท้องถิ่นต่างๆ อย่างเพียงพอและทั่วถึง

    ทั้งนี้ การพูดจากหลักลอยของนายกรัฐมนตรี และอาการรีบร้อนผิดสังเกตของรัฐบาล พยายามผลักดันกฎหมายให้ได้ ทั้งที่มีความหละหลวม เช่น การมีกาสิโนแบบไม่จำกัดจำนวน ไม่ชัดเจนเรื่องกลุ่มเป้าหมาย การตีเช็คเปล่าให้คณะกรรมการนโยบายฯ และคณะรัฐมนตรี เปิดช่องให้นำรายได้ไปใช้เพื่อประโยชน์ทางการเมืองแบบไร้ถ่วงดุล ไร้การตรวจสอบ ส่อทุจริตเชิงนโยบาย การให้สิทธิพิเศษแก่ผู้ลงทุน เปิดช่องให้เช่าที่ดิน 30 ปีไปเรื่อยๆ ยกเว้นกฎหมายหลายฉบับโดยออกซูเปอร์ไลเซนส์ เบิกทางให้ทำได้ทุกเรื่อง รวมทั้งการละเลยความจริงของการทุจริตคอรัปชั่นในหมู่นักการเมือง ข้าราชการ การไม่ตระหนักในความล้มเหลวขององค์กรกำกับดูแล ไม่ให้ความสำคัญต่อการรับฟังความเห็น แนวทางป้องกันแก้ไขและเยียวยาผลกระทบที่ตามมา

    นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร มองว่าประธานสภาฯ บรรจุระเบียบวาระผิดปกติ เหตุใดรัฐบาลจึงเร่งรีบ ทั้งที่นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง ยอมรับว่าศึกษาความเป็นไปได้ยังไม่เสร็จสิ้น ข้ออ้างที่ว่าแก้ปัญหาการพนันในประเทศโดยนำธุรกิจสีเทามาอุ้มไม่ได้แก้ปัญหาตรงจุด เอื้อประโยชน์กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหรือไม่ ฝ่ายค้านไม่อยากเห็นกระบวนการที่เร่งรัดผิดปกติ อยากให้พิจารณาอย่างตรงไปตรงมา และควรรับฟังเสียงประชาชนอย่างรอบด้าน ส่วนคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย เห็นว่าปัญหาใหญ่ในขณะนี้คือมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ วอนนายกรัฐมนตรีหยุดเดินหน้านำพาประเทศไทยให้กลายเป็นศูนย์กลางอบายมุขทันที

    เครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฎิรูปประเทศไทย (คปท.) พร้อมด้วยกลุ่ม ศปปส. และกองทัพธรรม ยังคงนัดรวมตัวเดินขบวนจากสะพานชมัยมรุเชษฐไปยังอาคารรัฐสภา เวลา 08.00 น. เพื่อคัดค้านการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าว

    #Newskit
    แม่น้ำหลายสาย หยุด พ.ร.บ.กาสิโน การประชุมสภาผู้แทนราษฎร วันที่ 3 เม.ย. หนึ่งในวาระการประชุมที่สังคมจับตามอง คือ พิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ.... หรือเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เป็นผู้เสนอ ก่อให้เกิดความเคลื่อนไหวจากฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย เช่น นายธนากร คมกฤส เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน นำตัวแทนเครือข่ายภาคประชาสังคม 100 องค์กร ยื่นหนังสือที่รัฐสภาคัดค้านการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าว พร้อมประณาม ครม.ที่เอาแต่ได้ สร้างประเด็นลวงว่ามีกาสิโนเป็นส่วนน้อย 10% ทั้งที่เป็นเป้าหมายใหญ่ และเรียกร้องให้ทุกพรรคการเมืองประกาศจุดยืนชัดเจน และให้วุฒิสภาเป็นเจ้าภาพจัดรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนทุกภาคส่วน และองค์กรท้องถิ่นต่างๆ อย่างเพียงพอและทั่วถึง ทั้งนี้ การพูดจากหลักลอยของนายกรัฐมนตรี และอาการรีบร้อนผิดสังเกตของรัฐบาล พยายามผลักดันกฎหมายให้ได้ ทั้งที่มีความหละหลวม เช่น การมีกาสิโนแบบไม่จำกัดจำนวน ไม่ชัดเจนเรื่องกลุ่มเป้าหมาย การตีเช็คเปล่าให้คณะกรรมการนโยบายฯ และคณะรัฐมนตรี เปิดช่องให้นำรายได้ไปใช้เพื่อประโยชน์ทางการเมืองแบบไร้ถ่วงดุล ไร้การตรวจสอบ ส่อทุจริตเชิงนโยบาย การให้สิทธิพิเศษแก่ผู้ลงทุน เปิดช่องให้เช่าที่ดิน 30 ปีไปเรื่อยๆ ยกเว้นกฎหมายหลายฉบับโดยออกซูเปอร์ไลเซนส์ เบิกทางให้ทำได้ทุกเรื่อง รวมทั้งการละเลยความจริงของการทุจริตคอรัปชั่นในหมู่นักการเมือง ข้าราชการ การไม่ตระหนักในความล้มเหลวขององค์กรกำกับดูแล ไม่ให้ความสำคัญต่อการรับฟังความเห็น แนวทางป้องกันแก้ไขและเยียวยาผลกระทบที่ตามมา นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร มองว่าประธานสภาฯ บรรจุระเบียบวาระผิดปกติ เหตุใดรัฐบาลจึงเร่งรีบ ทั้งที่นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง ยอมรับว่าศึกษาความเป็นไปได้ยังไม่เสร็จสิ้น ข้ออ้างที่ว่าแก้ปัญหาการพนันในประเทศโดยนำธุรกิจสีเทามาอุ้มไม่ได้แก้ปัญหาตรงจุด เอื้อประโยชน์กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหรือไม่ ฝ่ายค้านไม่อยากเห็นกระบวนการที่เร่งรัดผิดปกติ อยากให้พิจารณาอย่างตรงไปตรงมา และควรรับฟังเสียงประชาชนอย่างรอบด้าน ส่วนคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย เห็นว่าปัญหาใหญ่ในขณะนี้คือมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ วอนนายกรัฐมนตรีหยุดเดินหน้านำพาประเทศไทยให้กลายเป็นศูนย์กลางอบายมุขทันที เครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฎิรูปประเทศไทย (คปท.) พร้อมด้วยกลุ่ม ศปปส. และกองทัพธรรม ยังคงนัดรวมตัวเดินขบวนจากสะพานชมัยมรุเชษฐไปยังอาคารรัฐสภา เวลา 08.00 น. เพื่อคัดค้านการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าว #Newskit
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 593 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประกันภัย 10 บาท ถูกสุดในไทยขายเฉพาะเทศกาล

    เมื่อวันที่ 1 เม.ย. เคาน์เตอร์เซอร์วิส ที่ร้านเซเว่นอีเลฟเว่น จำหน่ายกรมธรรม์ประกันภัยสุขใจสงกรานต์ (ไมโครอินชัวร์รันส์) หรือ ประกันภัย 10 บาท คุ้มครอง 30 วัน รับเทศกาลสงกรานต์ปี 2568 คุ้มครองอุบัติเหตุกรณีเสียชีวิต การสูญเสียมือ เท้า การสูญเสียสายตา หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง สูงสุด 100,000 บาท และเพิ่มอีก 100,000 บาท หากเกิดอุบัติเหตุสาธารณะ รวมทั้งคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลจากอุบัติเหตุสูงสุด 5,000 บาท รับประกันภัยโดย เมืองไทยประกันชีวิต ในครั้งนี้จำกัด 300,000 สิทธิ์เท่านั้น ผู้ซื้อต้องมีอายุ 15-70 ปีบริบูรณ์ จำกัด 1 กรมธรรม์ต่อ 1 หมายเลขบัตรประชาชน

    โดยในปีนี้สมาชิก All Member ซื้อได้ผ่าน 7-App หรือเว็บไซต์ counterservice.co.th ชำระได้ทั้งบัตรเครดิต ทรูมันนี่วอลเล็ต และพร้อมเพย์คิวอาร์โค้ด หากซื้อประกันสำเร็จจะมี SMS และอีเมลแจ้งระยะความคุ้มครอง แต่ผู้ซื้อต้องศึกษาข้อมูลและเงื่อนไขก่อนซื้อ เช่น ไม่คุ้มครองขณะอยู่ภายใต้ฤทธิ์สุรา (150 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ขึ้นไป) สารเสพติดหรือยาเสพติด การจบชีวิตตัวเอง การได้รับเชื้อโรค การแท้งลูก (ยกเว้นจากอุบัติเหตุ) สงคราม อาวุธนิวเคลียร์ การก่อการร้าย ก่ออาชญากรรม และเป็นทหาร ตำรวจ หรืออาสาสมัครเข้าปฎิบัติสงครามหรือปราบปราม เป็นต้น

    นอกจากเคาน์เตอร์เซอร์วิสที่จำหน่ายประกันภัย 10 บาทแล้ว ยังมีผู้ประกอบการรายอื่นๆ แจกประกันภัยฟรี โดยมีความคุ้มครองคล้ายกัน เช่น ร้านอินทนิลในปั๊มบางจากแจกประกันภัยเมื่อซื้อเครื่องดื่ม เลือกได้ระหว่างประกันอุบัติเหตุหรือประกันอัคคีภัย ส่วนโออาร์แจกประกันอุบัติเหตุฟรีแก่สมาชิก Blueplus+ ผ่านแอปพลิเคชัน xplORe เป็นต้น

    ประกันภัย 10 บาท ไม่ใช่เรื่องใหม่ เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อ 7 ปีก่อน สมัยนายสุทธิพล ทวีชัยการ เป็นเลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เมื่อปี 2561 (ปัจจุบันเป็นคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์) เพื่อเพิ่มทางเลือกด้วยเบี้ยประกันภัยที่เหมาะสมกับความเสี่ยง โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย ซึ่งที่ผ่านมาได้ออกผลิตภัณฑ์ประกันภัย 100 และประกันภัย 222 คุ้มครอง 1 ปี มีผู้ซื้อประกันหลักหมื่นราย

    กระทั่งออกประกันภัย 10 บาท คุ้มครอง 30 วัน ในช่วงสงกรานต์ปี 2561 สร้างสถิติใหม่เป็นประวัติศาสตร์ด้วยผู้ซื้อมากกว่า 1.32 ล้านราย นอกจากนี้ ยังได้เชื่อมโยงเข้ากับสินค้าอุปโภคบริโภคและบริการ เพื่อให้ประชาชนได้รับความคุ้มครองอย่างทั่วถึงอีกด้วย กลายเป็นผลงานที่สร้างชื่อให้ คปภ. และประกันภัย 10 บาทในช่วงเทศกาลยังคงมีขายถึงปัจจุบัน

    #Newskit
    ประกันภัย 10 บาท ถูกสุดในไทยขายเฉพาะเทศกาล เมื่อวันที่ 1 เม.ย. เคาน์เตอร์เซอร์วิส ที่ร้านเซเว่นอีเลฟเว่น จำหน่ายกรมธรรม์ประกันภัยสุขใจสงกรานต์ (ไมโครอินชัวร์รันส์) หรือ ประกันภัย 10 บาท คุ้มครอง 30 วัน รับเทศกาลสงกรานต์ปี 2568 คุ้มครองอุบัติเหตุกรณีเสียชีวิต การสูญเสียมือ เท้า การสูญเสียสายตา หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง สูงสุด 100,000 บาท และเพิ่มอีก 100,000 บาท หากเกิดอุบัติเหตุสาธารณะ รวมทั้งคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลจากอุบัติเหตุสูงสุด 5,000 บาท รับประกันภัยโดย เมืองไทยประกันชีวิต ในครั้งนี้จำกัด 300,000 สิทธิ์เท่านั้น ผู้ซื้อต้องมีอายุ 15-70 ปีบริบูรณ์ จำกัด 1 กรมธรรม์ต่อ 1 หมายเลขบัตรประชาชน โดยในปีนี้สมาชิก All Member ซื้อได้ผ่าน 7-App หรือเว็บไซต์ counterservice.co.th ชำระได้ทั้งบัตรเครดิต ทรูมันนี่วอลเล็ต และพร้อมเพย์คิวอาร์โค้ด หากซื้อประกันสำเร็จจะมี SMS และอีเมลแจ้งระยะความคุ้มครอง แต่ผู้ซื้อต้องศึกษาข้อมูลและเงื่อนไขก่อนซื้อ เช่น ไม่คุ้มครองขณะอยู่ภายใต้ฤทธิ์สุรา (150 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ขึ้นไป) สารเสพติดหรือยาเสพติด การจบชีวิตตัวเอง การได้รับเชื้อโรค การแท้งลูก (ยกเว้นจากอุบัติเหตุ) สงคราม อาวุธนิวเคลียร์ การก่อการร้าย ก่ออาชญากรรม และเป็นทหาร ตำรวจ หรืออาสาสมัครเข้าปฎิบัติสงครามหรือปราบปราม เป็นต้น นอกจากเคาน์เตอร์เซอร์วิสที่จำหน่ายประกันภัย 10 บาทแล้ว ยังมีผู้ประกอบการรายอื่นๆ แจกประกันภัยฟรี โดยมีความคุ้มครองคล้ายกัน เช่น ร้านอินทนิลในปั๊มบางจากแจกประกันภัยเมื่อซื้อเครื่องดื่ม เลือกได้ระหว่างประกันอุบัติเหตุหรือประกันอัคคีภัย ส่วนโออาร์แจกประกันอุบัติเหตุฟรีแก่สมาชิก Blueplus+ ผ่านแอปพลิเคชัน xplORe เป็นต้น ประกันภัย 10 บาท ไม่ใช่เรื่องใหม่ เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อ 7 ปีก่อน สมัยนายสุทธิพล ทวีชัยการ เป็นเลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เมื่อปี 2561 (ปัจจุบันเป็นคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์) เพื่อเพิ่มทางเลือกด้วยเบี้ยประกันภัยที่เหมาะสมกับความเสี่ยง โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย ซึ่งที่ผ่านมาได้ออกผลิตภัณฑ์ประกันภัย 100 และประกันภัย 222 คุ้มครอง 1 ปี มีผู้ซื้อประกันหลักหมื่นราย กระทั่งออกประกันภัย 10 บาท คุ้มครอง 30 วัน ในช่วงสงกรานต์ปี 2561 สร้างสถิติใหม่เป็นประวัติศาสตร์ด้วยผู้ซื้อมากกว่า 1.32 ล้านราย นอกจากนี้ ยังได้เชื่อมโยงเข้ากับสินค้าอุปโภคบริโภคและบริการ เพื่อให้ประชาชนได้รับความคุ้มครองอย่างทั่วถึงอีกด้วย กลายเป็นผลงานที่สร้างชื่อให้ คปภ. และประกันภัย 10 บาทในช่วงเทศกาลยังคงมีขายถึงปัจจุบัน #Newskit
    Like
    Love
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 705 มุมมอง 0 รีวิว
  • สบช่องแผ่นดินไหว ดึงกาสิโนเข้าสภาฯ

    ในขณะที่ประเทศไทยกำลังเผชิญภัยพิบัติจากแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มี.ค. อีกทั้งสังคมยังคงให้ความสนใจปฎิบัติการค้นหาผู้สูญหายจากเหตุอาคารที่ทำการ สตง.แห่งใหม่ถล่มลงมา โดยมีตัวเลขผู้เสียชีวิตรวม 13 ราย บาดเจ็บ 19 ราย และผู้สูญหายประมาณ 70 คน ปรากฎว่ามีความพยายามจากฝ่ายการเมืองในการผลักดันร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร หรือเอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ (Entertainment Complex) ที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 27 มี.ค. ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ และเตรียมเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาตามขั้นตอน

    ปรากฎว่า ว่าที่ ร.ต.ต.อาพัทธ์ สุขะนันท์ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ได้ทำหนังสือถึงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แจ้งว่า นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ มีคำสั่งให้บรรจุเรื่องตามระเบียบวาระเรื่องด่วนที่ 15 เพิ่มเติม เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจร เข้าสู่การประชุมสภาผู้แทนราษฎร ในวันพฤหัสบดีที่ 3 เม.ย.นี้ โดยคาดว่าต้องการให้ สส. ลงมติเห็นชอบวาระรับหลักการ และตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวให้ได้ ก่อนปิดสมัยประชุมสภาฯ ในวันที่ 11 เม.ย. เพราะหากไม่ทันก็ต้องรอเปิดสมัยประชุมสภาฯ อีกครั้งเดือน ก.ค. ถือเป็นความรวดเร็วและเร่งรีบอย่างมีพิรุธ

    เพราะรัฐบาลมีเสียง สส. สนับสนุนอยู่ในมือ 319 เสียง เพียงพอที่จะล็อบบี้หรือสั่งการกรรมาธิการเสียงข้างมาก ที่เป็นคนของฝ่ายรัฐบาลให้พิจารณาร่าง พ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจรโดยเร็ว เมื่อเปิดสมัยประชุมสภาฯ อีกครั้งในเดือน ก.ค. กรรมาธิการส่งร่างกฎหมายเข้าสภาฯ วิปรัฐบาลที่มาจากพรรคเพื่อไทยก็จะผลักดันให้นำร่าง พ.ร.บ.เข้ามาพิจารณาโดยเร็ว และใช้เสียงข้างมากโหวตให้ผ่านสภาฯ วาระสาม ก่อนส่งต่อให้สมาชิกวุฒิสภา (สว.) พิจารณาต่อ หาก สว.สายสีน้ำเงินตกลงกันได้และไม่ขวาง ก็สามารถปิดเกมกฎหมาย พ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจร ภายในไม่เกินปลายปี 2568

    น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ต้องมีการคุยกันก่อน นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง อ้างว่ามีบริษัทต่างชาติระดับโลกสนใจลงทุน นายวิสุทธิ์ ไชณยรุณ ประธานวิปรัฐบาล กล่าวว่า ถ้าตัดสินใจจะทำอะไรก็ต้องทำ ถ้าไม่ตัดสินใจหรือตัดสินใจช้าก็ไม่ได้ทำ ใครไม่เห็นด้วยก็คัดค้านไป ไม่กังวลอะไร ถ้ากลัวก็ไม่ทำ ทำแล้วไม่กลัวแน่นอน ส่วนนายชูศักดิ์ ศิรินิล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี อ้างว่าอย่าไปคิดเร่งรัดเกินไป เป็นนโยบายของรัฐบาลซึ่งแถลงต่อรัฐสภาไปแล้ว ไม่ใช่คิดโดยพลการ และอ้างว่าไม่เกี่ยวกัน หากกฎหมายไม่ผ่านวาระแรกรัฐบาลจะยุบสภา

    #Newskit
    สบช่องแผ่นดินไหว ดึงกาสิโนเข้าสภาฯ ในขณะที่ประเทศไทยกำลังเผชิญภัยพิบัติจากแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มี.ค. อีกทั้งสังคมยังคงให้ความสนใจปฎิบัติการค้นหาผู้สูญหายจากเหตุอาคารที่ทำการ สตง.แห่งใหม่ถล่มลงมา โดยมีตัวเลขผู้เสียชีวิตรวม 13 ราย บาดเจ็บ 19 ราย และผู้สูญหายประมาณ 70 คน ปรากฎว่ามีความพยายามจากฝ่ายการเมืองในการผลักดันร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร หรือเอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ (Entertainment Complex) ที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 27 มี.ค. ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ และเตรียมเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาตามขั้นตอน ปรากฎว่า ว่าที่ ร.ต.ต.อาพัทธ์ สุขะนันท์ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ได้ทำหนังสือถึงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แจ้งว่า นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ มีคำสั่งให้บรรจุเรื่องตามระเบียบวาระเรื่องด่วนที่ 15 เพิ่มเติม เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจร เข้าสู่การประชุมสภาผู้แทนราษฎร ในวันพฤหัสบดีที่ 3 เม.ย.นี้ โดยคาดว่าต้องการให้ สส. ลงมติเห็นชอบวาระรับหลักการ และตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวให้ได้ ก่อนปิดสมัยประชุมสภาฯ ในวันที่ 11 เม.ย. เพราะหากไม่ทันก็ต้องรอเปิดสมัยประชุมสภาฯ อีกครั้งเดือน ก.ค. ถือเป็นความรวดเร็วและเร่งรีบอย่างมีพิรุธ เพราะรัฐบาลมีเสียง สส. สนับสนุนอยู่ในมือ 319 เสียง เพียงพอที่จะล็อบบี้หรือสั่งการกรรมาธิการเสียงข้างมาก ที่เป็นคนของฝ่ายรัฐบาลให้พิจารณาร่าง พ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจรโดยเร็ว เมื่อเปิดสมัยประชุมสภาฯ อีกครั้งในเดือน ก.ค. กรรมาธิการส่งร่างกฎหมายเข้าสภาฯ วิปรัฐบาลที่มาจากพรรคเพื่อไทยก็จะผลักดันให้นำร่าง พ.ร.บ.เข้ามาพิจารณาโดยเร็ว และใช้เสียงข้างมากโหวตให้ผ่านสภาฯ วาระสาม ก่อนส่งต่อให้สมาชิกวุฒิสภา (สว.) พิจารณาต่อ หาก สว.สายสีน้ำเงินตกลงกันได้และไม่ขวาง ก็สามารถปิดเกมกฎหมาย พ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจร ภายในไม่เกินปลายปี 2568 น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ต้องมีการคุยกันก่อน นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง อ้างว่ามีบริษัทต่างชาติระดับโลกสนใจลงทุน นายวิสุทธิ์ ไชณยรุณ ประธานวิปรัฐบาล กล่าวว่า ถ้าตัดสินใจจะทำอะไรก็ต้องทำ ถ้าไม่ตัดสินใจหรือตัดสินใจช้าก็ไม่ได้ทำ ใครไม่เห็นด้วยก็คัดค้านไป ไม่กังวลอะไร ถ้ากลัวก็ไม่ทำ ทำแล้วไม่กลัวแน่นอน ส่วนนายชูศักดิ์ ศิรินิล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี อ้างว่าอย่าไปคิดเร่งรัดเกินไป เป็นนโยบายของรัฐบาลซึ่งแถลงต่อรัฐสภาไปแล้ว ไม่ใช่คิดโดยพลการ และอ้างว่าไม่เกี่ยวกัน หากกฎหมายไม่ผ่านวาระแรกรัฐบาลจะยุบสภา #Newskit
    Like
    Sad
    Angry
    3
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 582 มุมมอง 0 รีวิว
  • 1 พ.ค.ต่างชาติต้องกรอก บัตรขาเข้าดิจิทัล TDAC

    หลังจากมาตรการยกเว้นการยื่นแบบ ตม.6 บริเวณด่านตรวจคนเข้าเมืองเป็นการชั่วคราวที่ด่านทางบกและทางน้ำ รวม 16 ด่าน จะสิ้นสุดลงในวันที่ 30 เม.ย.ที่จะถึงนี้ ชาวต่างชาติที่จะเข้ามาในราชอาณาจักรไทย จะต้องกรอกแบบฟอร์มบัตรขาเข้าดิจิทัล (Thailand Digital Arrival Card) หรือ TDAC ทางออนไลน์ภายใน 3 วัน (รวมวันเดินทางมาถึง) ก่อนเข้าประเทศ แล้วนำอีเมลที่ได้รับพร้อมเอกสารการเดินทาง เช่น หนังสือเดินทาง ไปแสดงกับเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) เพื่อยืนยันตัวตนก่อนเข้าประเทศ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค.2568 เป็นต้นไป

    แบบฟอร์ม TDAC กรอกได้ที่เว็บไซต์ https://tdac.immigration.go.th เท่านั้น โปรดระวังเว็บไซต์ปลอมหรือลอกเลียนแบบจากมิจฉาชีพ

    สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ให้เหตุผลว่า เพื่อปรับปรุงกระบวนการตรวจคนเข้าเมืองของประเทศไทยให้ทันสมัย และสอดคล้องกับกระแสโลกด้านเทคโนโลยีการเดินทางอัจฉริยะ โดยแบบฟอร์ม TDAC ทำหน้าที่บันทึกข้อมูลการเข้าประเทศของชาวต่างชาติ และให้ข้อมูลที่จำเป็นแก่เจ้าหน้าที่ ตม. ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ทดแทนบัตรขาเข้าแบบกระดาษ ซึ่งจะช่วยให้กระบวนการตรวจคนเข้าเมืองเร็วขึ้น ใช้เอกสารน้อยลง และความปลอดภัยตามแนวชายแดนที่ดีขึ้น

    สำหรับวิธีการกรอกแบบฟอร์ม TDAC จะต้องกรอกล่วงหน้า 3 วันก่อนเดินทาง ให้กรอกข้อมูลเป็นภาษาอังกฤษ ประกอบด้วย ข้อมูลส่วนตัว ได้แก่ ชื่อและนามสกุล สัญชาติ หมายเลขโทรศัพท์มือถือ อีเมล และข้อมูลหนังสือเดินทาง กับข้อมูลการเดินทาง ได้แก่ รหัสเที่ยวบิน (กรณีเดินทางด้วยเครื่องบิน) วัตถุประสงค์การเดินทาง ข้อมูลที่พำนักในประเทศไทย (เช่น ที่อยู่โรงแรม ที่อยู่บ้านพักอาศัย) และข้อมูลด้านสุขภาพสำหรับบางประเทศ หลังจากกรอกแบบฟอร์มออนไลน์แล้วเสร็จ จะได้รับอีเมลตอบรับ ให้นำไปแสดงกับเจ้าหน้าที่ ตม. พร้อมเอกสารการเดินทาง เมื่อมาถึงประเทศไทยเพื่อยืนยันตัวตน

    ผู้ที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องกรอกแบบฟอร์ม TDAC ได้แก่ ชาวต่างชาติที่เดินทางผ่านหรือเปลี่ยนเครื่องบินในประเทศไทย โดยไม่ผ่านกระบวนการตรวจคนเข้าเมือง (Transfer / Transit) และชาวต่างชาติที่เข้าประเทศไทยโดยหนังสือผ่านแดน (Border Pass) อย่างไรก็ตาม บัตรขาเข้าดิจิทัลของประเทศไทยไม่ใช่วีซ่า หากนักท่องเที่ยวจากประเทศใด ไม่ได้รับการยกเว้นการขอวีซ่าเข้าประเทศไทย ให้ดำเนินการขอวีซ่า ตามที่กระทรวงการต่างประเทศของไทยกำหนดไว้

    อนึ่ง กระบวนการดังกล่าวคล้ายกับบัตรขาเข้าดิจิทัลบางประเทศ เช่น SG Arrival Card (SGAC) ประเทศสิงคโปร์ Malaysia Digital Arrival Card (MDAC) ประเทศมาเลเซีย

    #Newskit
    1 พ.ค.ต่างชาติต้องกรอก บัตรขาเข้าดิจิทัล TDAC หลังจากมาตรการยกเว้นการยื่นแบบ ตม.6 บริเวณด่านตรวจคนเข้าเมืองเป็นการชั่วคราวที่ด่านทางบกและทางน้ำ รวม 16 ด่าน จะสิ้นสุดลงในวันที่ 30 เม.ย.ที่จะถึงนี้ ชาวต่างชาติที่จะเข้ามาในราชอาณาจักรไทย จะต้องกรอกแบบฟอร์มบัตรขาเข้าดิจิทัล (Thailand Digital Arrival Card) หรือ TDAC ทางออนไลน์ภายใน 3 วัน (รวมวันเดินทางมาถึง) ก่อนเข้าประเทศ แล้วนำอีเมลที่ได้รับพร้อมเอกสารการเดินทาง เช่น หนังสือเดินทาง ไปแสดงกับเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) เพื่อยืนยันตัวตนก่อนเข้าประเทศ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค.2568 เป็นต้นไป แบบฟอร์ม TDAC กรอกได้ที่เว็บไซต์ https://tdac.immigration.go.th เท่านั้น โปรดระวังเว็บไซต์ปลอมหรือลอกเลียนแบบจากมิจฉาชีพ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ให้เหตุผลว่า เพื่อปรับปรุงกระบวนการตรวจคนเข้าเมืองของประเทศไทยให้ทันสมัย และสอดคล้องกับกระแสโลกด้านเทคโนโลยีการเดินทางอัจฉริยะ โดยแบบฟอร์ม TDAC ทำหน้าที่บันทึกข้อมูลการเข้าประเทศของชาวต่างชาติ และให้ข้อมูลที่จำเป็นแก่เจ้าหน้าที่ ตม. ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ทดแทนบัตรขาเข้าแบบกระดาษ ซึ่งจะช่วยให้กระบวนการตรวจคนเข้าเมืองเร็วขึ้น ใช้เอกสารน้อยลง และความปลอดภัยตามแนวชายแดนที่ดีขึ้น สำหรับวิธีการกรอกแบบฟอร์ม TDAC จะต้องกรอกล่วงหน้า 3 วันก่อนเดินทาง ให้กรอกข้อมูลเป็นภาษาอังกฤษ ประกอบด้วย ข้อมูลส่วนตัว ได้แก่ ชื่อและนามสกุล สัญชาติ หมายเลขโทรศัพท์มือถือ อีเมล และข้อมูลหนังสือเดินทาง กับข้อมูลการเดินทาง ได้แก่ รหัสเที่ยวบิน (กรณีเดินทางด้วยเครื่องบิน) วัตถุประสงค์การเดินทาง ข้อมูลที่พำนักในประเทศไทย (เช่น ที่อยู่โรงแรม ที่อยู่บ้านพักอาศัย) และข้อมูลด้านสุขภาพสำหรับบางประเทศ หลังจากกรอกแบบฟอร์มออนไลน์แล้วเสร็จ จะได้รับอีเมลตอบรับ ให้นำไปแสดงกับเจ้าหน้าที่ ตม. พร้อมเอกสารการเดินทาง เมื่อมาถึงประเทศไทยเพื่อยืนยันตัวตน ผู้ที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องกรอกแบบฟอร์ม TDAC ได้แก่ ชาวต่างชาติที่เดินทางผ่านหรือเปลี่ยนเครื่องบินในประเทศไทย โดยไม่ผ่านกระบวนการตรวจคนเข้าเมือง (Transfer / Transit) และชาวต่างชาติที่เข้าประเทศไทยโดยหนังสือผ่านแดน (Border Pass) อย่างไรก็ตาม บัตรขาเข้าดิจิทัลของประเทศไทยไม่ใช่วีซ่า หากนักท่องเที่ยวจากประเทศใด ไม่ได้รับการยกเว้นการขอวีซ่าเข้าประเทศไทย ให้ดำเนินการขอวีซ่า ตามที่กระทรวงการต่างประเทศของไทยกำหนดไว้ อนึ่ง กระบวนการดังกล่าวคล้ายกับบัตรขาเข้าดิจิทัลบางประเทศ เช่น SG Arrival Card (SGAC) ประเทศสิงคโปร์ Malaysia Digital Arrival Card (MDAC) ประเทศมาเลเซีย #Newskit
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 667 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตามหาความจริง ตึกถล่มจตุจักร

    แผ่นดินไหวขนาด 8.2 ลึก 10 กิโลเมตร บริเวณเมืองลอยกอ ใกล้เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศเมียนมา เมื่อเวลา 13.20 น. ของวันศุกร์ที่ 28 มี.ค. สั่นสะเทือนมาถึงกรุงเทพฯ และปริมณฑล หนึ่งในนั้นคือโครงการสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แห่งใหม่ สูง 30 ชั้น บนถนนกำแพงเพชร 2 เขตจตุจักร พังถล่มลงมา ข้อมูล ณ วันที่ 31 มี.ค.มีผู้เสียชีวิตที่เกิดเหตุ 11 ราย เสียชีวิตที่โรงพยาบาล 1 ราย บาดเจ็บ 18 ราย สูญหายอีกจำนวนมาก

    สังคมตั้งข้อสงสัยไปที่การก่อสร้างอาคารที่ไม่ได้คุณภาพ โครงการนี้ใช้งบประมาณ 2,136 ล้านบาท ผู้รับจ้างคือ กิจการร่วมค้า ไอทีดี-ซีอาร์อีซี บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จํากัด (มหาชน) และบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จํากัด ส่วนผู้ควบคุมงานก่อสร้างคือ กิจการร่วมค้าพีเคดับเบิลยู บริษัท พี เอ็น ซิงค์โครไนซ์ จํากัด, บริษัท ว.และสหาย คอนซัลแตนส์ จํากัด และ บริษัท เคพี คอนซัลแทนส์ แอนด์ แมเนจเม้น จํากัด งบประมาณ 74.653 ล้านบาท

    มีการตรวจสอบบริษัทผู้รับจ้างอย่างไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) พบความผิดปกติตรงที่เมื่อปี 2567 ได้โพสต์ภาพและข่าวการเฉลิมฉลองปิดงานก่อสร้างชั้นดาดฟ้า ในบัญชีโซเชียลมีเดียของบริษัทฯ นำเสนอว่าใช้ระบบโครงสร้างแบบแกนกลางรับแรง และพื้นไร้คาน พอเกิดเหตุได้ลบบทความทิ้ง ไม่นับรวมการตรวจสอบที่ตั้งบริษัท พบว่าเป็นตึกแถวธรรมดาในซอยพุทธบูชา 44 แยก 11 เขตทุ่งครุ กรุงเทพฯ

    ขณะที่ สตง.เจ้าของโครงการ ชี้แจงว่าได้ประสานงานให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย และเร่งตรวจสอบสาเหตุที่เกิดขึ้น ยืนยีนว่ากระบวนการดำเนินโครงการฯ เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย ส่วนการแก้แบบโครงสร้างให้เล็กลงเป็นข้อมูลที่คลาดเคลื่อน เพราะออกแบบให้เสาสี่เหลี่ยมด้านหน้าอาคารสูงสามชั้นมีขนาด 1.40 x 1.40 เมตร ส่วนชั้น 29 ถึงดาดฟ้า เป็นเสากลมขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.80 เมตร เพื่อรองรับหลังคาตึก เป็นไปตามที่ผู้ออกแบบกำหนดไว้ไม่มีการแก้ไข

    กระทรวงอุตสาหกรรมได้เก็บตัวอย่างเหล็กที่ใช้ในการก่อสร้างไปตรวจสอบที่สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย พบว่ามีเหล็กบางส่วนไม่ได้มาตรฐานมาจากบริษัทที่สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) สั่งปิดไปเมื่อเดือน ธ.ค.2567 เนื่องจากจำหน่ายเหล็กไม่ได้ตามมาตรฐาน

    ถึงบัดนี้นอกจากความรับผิดชอบของผู้รับจ้างแล้ว การค้นหาความจริงถึงสาเหตุตึกถล่มมาจากภัยธรรมชาติหรือการก่อสร้างไม่ได้มาตรฐานยังคงดำเนินต่อไป ตามที่ รมว.มหาดไทยตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงที่มีวิศวกรใหญ่กรมโยธาธิการและผังเมืองเป็นประธาน ซึ่งให้เวลาสืบสวนภายใน 7 วัน

    #Newskit
    ตามหาความจริง ตึกถล่มจตุจักร แผ่นดินไหวขนาด 8.2 ลึก 10 กิโลเมตร บริเวณเมืองลอยกอ ใกล้เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศเมียนมา เมื่อเวลา 13.20 น. ของวันศุกร์ที่ 28 มี.ค. สั่นสะเทือนมาถึงกรุงเทพฯ และปริมณฑล หนึ่งในนั้นคือโครงการสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แห่งใหม่ สูง 30 ชั้น บนถนนกำแพงเพชร 2 เขตจตุจักร พังถล่มลงมา ข้อมูล ณ วันที่ 31 มี.ค.มีผู้เสียชีวิตที่เกิดเหตุ 11 ราย เสียชีวิตที่โรงพยาบาล 1 ราย บาดเจ็บ 18 ราย สูญหายอีกจำนวนมาก สังคมตั้งข้อสงสัยไปที่การก่อสร้างอาคารที่ไม่ได้คุณภาพ โครงการนี้ใช้งบประมาณ 2,136 ล้านบาท ผู้รับจ้างคือ กิจการร่วมค้า ไอทีดี-ซีอาร์อีซี บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จํากัด (มหาชน) และบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จํากัด ส่วนผู้ควบคุมงานก่อสร้างคือ กิจการร่วมค้าพีเคดับเบิลยู บริษัท พี เอ็น ซิงค์โครไนซ์ จํากัด, บริษัท ว.และสหาย คอนซัลแตนส์ จํากัด และ บริษัท เคพี คอนซัลแทนส์ แอนด์ แมเนจเม้น จํากัด งบประมาณ 74.653 ล้านบาท มีการตรวจสอบบริษัทผู้รับจ้างอย่างไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) พบความผิดปกติตรงที่เมื่อปี 2567 ได้โพสต์ภาพและข่าวการเฉลิมฉลองปิดงานก่อสร้างชั้นดาดฟ้า ในบัญชีโซเชียลมีเดียของบริษัทฯ นำเสนอว่าใช้ระบบโครงสร้างแบบแกนกลางรับแรง และพื้นไร้คาน พอเกิดเหตุได้ลบบทความทิ้ง ไม่นับรวมการตรวจสอบที่ตั้งบริษัท พบว่าเป็นตึกแถวธรรมดาในซอยพุทธบูชา 44 แยก 11 เขตทุ่งครุ กรุงเทพฯ ขณะที่ สตง.เจ้าของโครงการ ชี้แจงว่าได้ประสานงานให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย และเร่งตรวจสอบสาเหตุที่เกิดขึ้น ยืนยีนว่ากระบวนการดำเนินโครงการฯ เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย ส่วนการแก้แบบโครงสร้างให้เล็กลงเป็นข้อมูลที่คลาดเคลื่อน เพราะออกแบบให้เสาสี่เหลี่ยมด้านหน้าอาคารสูงสามชั้นมีขนาด 1.40 x 1.40 เมตร ส่วนชั้น 29 ถึงดาดฟ้า เป็นเสากลมขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.80 เมตร เพื่อรองรับหลังคาตึก เป็นไปตามที่ผู้ออกแบบกำหนดไว้ไม่มีการแก้ไข กระทรวงอุตสาหกรรมได้เก็บตัวอย่างเหล็กที่ใช้ในการก่อสร้างไปตรวจสอบที่สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย พบว่ามีเหล็กบางส่วนไม่ได้มาตรฐานมาจากบริษัทที่สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) สั่งปิดไปเมื่อเดือน ธ.ค.2567 เนื่องจากจำหน่ายเหล็กไม่ได้ตามมาตรฐาน ถึงบัดนี้นอกจากความรับผิดชอบของผู้รับจ้างแล้ว การค้นหาความจริงถึงสาเหตุตึกถล่มมาจากภัยธรรมชาติหรือการก่อสร้างไม่ได้มาตรฐานยังคงดำเนินต่อไป ตามที่ รมว.มหาดไทยตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงที่มีวิศวกรใหญ่กรมโยธาธิการและผังเมืองเป็นประธาน ซึ่งให้เวลาสืบสวนภายใน 7 วัน #Newskit
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 637 มุมมอง 0 รีวิว
  • ระบบสแกนจ่ายไม่ดี ระวังจะเสียลูกค้า

    ในช่วงนี้บรรดาผู้ใช้งานแอปพลิเคชันธนาคารบนมือถือ (Mobile Banking) กำลังวิตกกังวลเรื่องอี-สลิปปลอม ที่สร้างขึ้นจากเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เชิงสร้างสรรค์ (Generative AI) ซึ่งมีคนออกมาเตือนว่า สามารถปลอมได้ค่อนข้างแนบเนียน ไม่ต้องใช้โปรแกรมตัดต่อภาพอย่าง Photoshop อีกต่อไป แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีเห็นว่า สลิปที่สร้างโดยเอไอไม่แนบเนียน ลายเส้นมักไม่คม แนะนำว่าให้ผู้ค้าตรวจสอบโดยการนำ QR Code บนอี-สลิปไปสแกนผ่านแอปฯ ธนาคาร

    ขณะที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) แนะนำแก่ลูกค้าว่า หลังรับโอนเงินควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าสลิปโอนเงินนั้นของแท้ หรือของปลอม ด้วยการสแกน QR Code บนสลิป แต่จะมีอายุจำกัด ตั้งเเต่ 7 วัน ถึง 60 วัน แต่หากสลิปโอนเงินนั้นไม่มี QR Code ให้เข้าไปเช็กยอดเงินในโมบายแบงกิ้ง เพื่อตรวจสอบธุรกรรมที่แท้จริงได้

    ปัจจุบันการชำระเงินด้วยการสแกนจ่าย ยังคงใช้กันอย่างแพร่หลาย แต่ก็ยังคงเกิดปัญหาระหว่างลูกค้ากับร้านค้าเป็นระยะ เช่น แอปฯ ธนาคารล่ม หรือไม่แจ้งเตือนเงินเข้าในบางเวลา เมื่อสัปดาห์ก่อนที่จังหวัดแห่งหนึ่งติดกับกรุงเทพมหานคร เจ้าของร้านกาแฟแห่งหนึ่งโพสต์ภาพและข้อความลงในกลุ่มเฟซบุ๊กข่าวสารของจังหวัดดังกล่าว เรียกร้องให้ลูกค้ารายหนึ่งจ่ายเงินค่ากาแฟ 160 บาท อ้างว่าลูกค้าสแกนจ่ายแล้วเงินไม่เข้า มีการนำภาพจากกล้องวงจรปิดพร้อมใบหน้าลูกค้าเสมือนประจาน ทำให้ชาวเน็ตจำนวนมากต่างแชร์และประณามลูกค้าจำนวนมาก เพื่อกดดันให้กลับมาจ่ายเงินตามที่เจ้าของร้านกล่าวหา

    ปรากฎว่าในเวลาต่อมาคดีพลิก เพราะเจ้าของร้านโพสต์ข้อความขอโทษลูกค้าที่ถูกพาดพิง หลังพบว่ามีเงินเข้าแต่ระบบไม่ได้แจ้ง และยอมรับว่าทางร้านดูสลิปโอนเงินไม่ชัดเจน ไม่มีเจตนาที่จะประจานลูกค้าแต่อย่างใด ผลก็คือทัวร์ที่เคยลงลูกค้ากลับมาลงที่เจ้าของร้านแทน เรียกร้องให้ชดเชยเยียวยา บางคนแนะให้ลูกค้าแจ้งความเอาผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ เพราะเป็นผู้เสียหาย บางคนกล่าวว่าจะไม่อุดหนุนร้านนี้อีก เพราะไม่รู้ว่าวันไหนตัวเองจะโดนเช่นนั้น เมื่อดูสลิปที่เจ้าของร้านกาแฟโพสต์ ปรากฎว่าปลายทางเป็นแอปฯ รับเงินของลูกค้าจากค่ายอี-วอลเล็ต ซึ่งไม่ใช่ธนาคาร

    ปัจจุบันโมบายแบงกิ้งแต่ละธนาคารมักแจ้งเตือนเงินเข้าล่าช้าในบางเวลา ขณะที่บางธนาคารมีแอปฯ สำหรับให้ร้านค้ารับเงินจากลูกค้าโดยเฉพาะ และยังแจ้งเตือนเงินเข้าทั้งแบบข้อความแจ้งเตือน และเสียงแจ้งเตือนเงินเข้าที่ระบุจำนวนเงินชัดเจน อีกด้านหนึ่ง มีบางร้านค้าขอความร่วมมือให้พนักงานถ่ายภาพอี-สลิปจากลูกค้าเพื่อใช้ตรวจสอบภายหลังกรณีเงินไม่เข้าบัญชีและอื่นๆ ต่อไป

    #Newskit
    ระบบสแกนจ่ายไม่ดี ระวังจะเสียลูกค้า ในช่วงนี้บรรดาผู้ใช้งานแอปพลิเคชันธนาคารบนมือถือ (Mobile Banking) กำลังวิตกกังวลเรื่องอี-สลิปปลอม ที่สร้างขึ้นจากเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เชิงสร้างสรรค์ (Generative AI) ซึ่งมีคนออกมาเตือนว่า สามารถปลอมได้ค่อนข้างแนบเนียน ไม่ต้องใช้โปรแกรมตัดต่อภาพอย่าง Photoshop อีกต่อไป แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีเห็นว่า สลิปที่สร้างโดยเอไอไม่แนบเนียน ลายเส้นมักไม่คม แนะนำว่าให้ผู้ค้าตรวจสอบโดยการนำ QR Code บนอี-สลิปไปสแกนผ่านแอปฯ ธนาคาร ขณะที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) แนะนำแก่ลูกค้าว่า หลังรับโอนเงินควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าสลิปโอนเงินนั้นของแท้ หรือของปลอม ด้วยการสแกน QR Code บนสลิป แต่จะมีอายุจำกัด ตั้งเเต่ 7 วัน ถึง 60 วัน แต่หากสลิปโอนเงินนั้นไม่มี QR Code ให้เข้าไปเช็กยอดเงินในโมบายแบงกิ้ง เพื่อตรวจสอบธุรกรรมที่แท้จริงได้ ปัจจุบันการชำระเงินด้วยการสแกนจ่าย ยังคงใช้กันอย่างแพร่หลาย แต่ก็ยังคงเกิดปัญหาระหว่างลูกค้ากับร้านค้าเป็นระยะ เช่น แอปฯ ธนาคารล่ม หรือไม่แจ้งเตือนเงินเข้าในบางเวลา เมื่อสัปดาห์ก่อนที่จังหวัดแห่งหนึ่งติดกับกรุงเทพมหานคร เจ้าของร้านกาแฟแห่งหนึ่งโพสต์ภาพและข้อความลงในกลุ่มเฟซบุ๊กข่าวสารของจังหวัดดังกล่าว เรียกร้องให้ลูกค้ารายหนึ่งจ่ายเงินค่ากาแฟ 160 บาท อ้างว่าลูกค้าสแกนจ่ายแล้วเงินไม่เข้า มีการนำภาพจากกล้องวงจรปิดพร้อมใบหน้าลูกค้าเสมือนประจาน ทำให้ชาวเน็ตจำนวนมากต่างแชร์และประณามลูกค้าจำนวนมาก เพื่อกดดันให้กลับมาจ่ายเงินตามที่เจ้าของร้านกล่าวหา ปรากฎว่าในเวลาต่อมาคดีพลิก เพราะเจ้าของร้านโพสต์ข้อความขอโทษลูกค้าที่ถูกพาดพิง หลังพบว่ามีเงินเข้าแต่ระบบไม่ได้แจ้ง และยอมรับว่าทางร้านดูสลิปโอนเงินไม่ชัดเจน ไม่มีเจตนาที่จะประจานลูกค้าแต่อย่างใด ผลก็คือทัวร์ที่เคยลงลูกค้ากลับมาลงที่เจ้าของร้านแทน เรียกร้องให้ชดเชยเยียวยา บางคนแนะให้ลูกค้าแจ้งความเอาผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ เพราะเป็นผู้เสียหาย บางคนกล่าวว่าจะไม่อุดหนุนร้านนี้อีก เพราะไม่รู้ว่าวันไหนตัวเองจะโดนเช่นนั้น เมื่อดูสลิปที่เจ้าของร้านกาแฟโพสต์ ปรากฎว่าปลายทางเป็นแอปฯ รับเงินของลูกค้าจากค่ายอี-วอลเล็ต ซึ่งไม่ใช่ธนาคาร ปัจจุบันโมบายแบงกิ้งแต่ละธนาคารมักแจ้งเตือนเงินเข้าล่าช้าในบางเวลา ขณะที่บางธนาคารมีแอปฯ สำหรับให้ร้านค้ารับเงินจากลูกค้าโดยเฉพาะ และยังแจ้งเตือนเงินเข้าทั้งแบบข้อความแจ้งเตือน และเสียงแจ้งเตือนเงินเข้าที่ระบุจำนวนเงินชัดเจน อีกด้านหนึ่ง มีบางร้านค้าขอความร่วมมือให้พนักงานถ่ายภาพอี-สลิปจากลูกค้าเพื่อใช้ตรวจสอบภายหลังกรณีเงินไม่เข้าบัญชีและอื่นๆ ต่อไป #Newskit
    Like
    Love
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 543 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts