• ปีใหม่ 69 เปิดมอเตอร์เวย์ M6 วิ่งฉิวบางปะอินถึงนครราชสีมา

    ทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) หมายเลข 6 บางปะอิน-นครราชสีมา จะเปิดให้ประชาชนสัญจรเป็นการชั่วคราว ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2569 ช่วงบางปะอิน-ปากช่อง-นครราชสีมา ระยะทาง 196 กิโลเมตร ตั้งแต่วันที่ 26 ธ.ค. 2568 ถึง 5 ม.ค. 2569 โดยไม่เก็บค่าผ่านทาง เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทาง ลดความแออัดของเส้นทางหลักอย่างถนนพหลโยธิน และถนนมิตรภาพ รวมทั้งแบ่งเบาภาระการจราจรสู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

    โดยทิศทางขาออกกรุงเทพฯ จากด่านบางปะอิน-ปากช่อง เปิดให้สัญจรระหว่างวันที่ 26 ธ.ค. 2568 เวลา 00.01 น. ถึง 1 ม.ค. 2569 เวลา 24.00 น. เท่านั้น เนื่องจากการก่อสร้างตอน 4 (สะพานข้ามหนองน้ำ) ยังไม่แล้วเสร็จ จึงต้องเบี่ยงการจราจรตั้งแต่กิโลเมตรที่ 10+150 ถึง 30+800 หลังจากนั้นทิศทางขาเข้ากรุงเทพฯ จากปากช่อง-บางปะอิน เปิดให้สัญจรระหว่างวันที่ 2 ม.ค. 2569 เวลา 06.00 น. ถึง 5 ม.ค. 2569 เวลา 24.00 น. ส่วนช่วงปากช่อง-นครราชสีมา เปิดให้สัญจรสองทิศทางตลอด 24 ชั่วโมง

    สำหรับทางเข้า-ออกด่านบางปะอินจะมี 3 ทิศทาง ได้แก่ 1. ด้านถนนกาญจนาภิเษก (ทางหลวงหมายเลข 9) เลยทางแยกต่างระดับเชียงราก (ทางหลวงหมายเลข 347) มุ่งหน้าบางปะอินเล็กน้อย 2. ด้านถนนพหลโยธิน เลยปั๊มน้ำมัน ปตท.บ้านใหญ่วังน้อย ขาขึ้น กม.54 3. ด้านทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) หมายเลข 9 ก่อนถึงทางออกบางปะอิน โปรดสังเกตป้ายบอกทางสีน้ำเงิน ระบุว่า "มอเตอร์เวย์ M6 ปากช่อง นครราชสีมา" เนื่องจากแอปพลิเคชันบอกทางอาจยังไม่อัปเดตเส้นทาง

    เนื่องจากการเปิดใช้มอเตอร์เวย์ครั้งนี้ยังไม่เต็มรูปแบบ เพราะฉะนั้นใช้ได้เฉพาะรถยนต์ 4 ล้อ อีกทั้งไม่มีปั๊มน้ำมันหรือ EV Charger กลางทาง จึงควรเติมน้ำมันหรือชาร์จไฟให้เพียงพอต่อการเดินทางระยะยาว ถ้ามาจากถนนพหลโยธิน เมื่อเลยทางแยกต่างระดับบางปะอิน กม.53-54 จะมีปั๊มน้ำมันเชลล์, บางจาก และ PTT Station แต่ถ้ามาจากมอเตอร์เวย์หมายเลข 9 เลยทางแยกต่างระดับธัญบุรีไปแล้ว ใช้ทางออก 2 (คลองหลวง-หนองเสือ) จะมีปั๊มน้ำมัน PTT Station, บางจาก และคาลเท็กซ์ ที่เข้า-ออกทางหลักได้

    สำหรับผู้ที่มาจากภาคใต้ ผ่านถนนพระรามที่ 2 และจังหวัดสมุทรสาคร สามารถใช้ทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) หมายเลข 82 ที่ด่านมหาชัย 1 ต่อเนื่องทางพิเศษกาญจนาภิเษกที่ด่านบางขุนเทียน ต่อเนื่องมอเตอร์เวย์หมายเลข 9 ที่ด่านบางแก้ว เสียค่าผ่านทางที่ด่านทับช้าง และด่านธัญบุรี เพื่อเข้ามอเตอร์เวย์หมายเลข 6 ได้ ซึ่งจากด่านมหาชัย 1 ถึงจังหวัดนครราชสีมา คิดเป็นระยะทางประมาณ 320 กิโลเมตร

    #Newskit
    ปีใหม่ 69 เปิดมอเตอร์เวย์ M6 วิ่งฉิวบางปะอินถึงนครราชสีมา ทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) หมายเลข 6 บางปะอิน-นครราชสีมา จะเปิดให้ประชาชนสัญจรเป็นการชั่วคราว ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2569 ช่วงบางปะอิน-ปากช่อง-นครราชสีมา ระยะทาง 196 กิโลเมตร ตั้งแต่วันที่ 26 ธ.ค. 2568 ถึง 5 ม.ค. 2569 โดยไม่เก็บค่าผ่านทาง เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทาง ลดความแออัดของเส้นทางหลักอย่างถนนพหลโยธิน และถนนมิตรภาพ รวมทั้งแบ่งเบาภาระการจราจรสู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยทิศทางขาออกกรุงเทพฯ จากด่านบางปะอิน-ปากช่อง เปิดให้สัญจรระหว่างวันที่ 26 ธ.ค. 2568 เวลา 00.01 น. ถึง 1 ม.ค. 2569 เวลา 24.00 น. เท่านั้น เนื่องจากการก่อสร้างตอน 4 (สะพานข้ามหนองน้ำ) ยังไม่แล้วเสร็จ จึงต้องเบี่ยงการจราจรตั้งแต่กิโลเมตรที่ 10+150 ถึง 30+800 หลังจากนั้นทิศทางขาเข้ากรุงเทพฯ จากปากช่อง-บางปะอิน เปิดให้สัญจรระหว่างวันที่ 2 ม.ค. 2569 เวลา 06.00 น. ถึง 5 ม.ค. 2569 เวลา 24.00 น. ส่วนช่วงปากช่อง-นครราชสีมา เปิดให้สัญจรสองทิศทางตลอด 24 ชั่วโมง สำหรับทางเข้า-ออกด่านบางปะอินจะมี 3 ทิศทาง ได้แก่ 1. ด้านถนนกาญจนาภิเษก (ทางหลวงหมายเลข 9) เลยทางแยกต่างระดับเชียงราก (ทางหลวงหมายเลข 347) มุ่งหน้าบางปะอินเล็กน้อย 2. ด้านถนนพหลโยธิน เลยปั๊มน้ำมัน ปตท.บ้านใหญ่วังน้อย ขาขึ้น กม.54 3. ด้านทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) หมายเลข 9 ก่อนถึงทางออกบางปะอิน โปรดสังเกตป้ายบอกทางสีน้ำเงิน ระบุว่า "มอเตอร์เวย์ M6 ปากช่อง นครราชสีมา" เนื่องจากแอปพลิเคชันบอกทางอาจยังไม่อัปเดตเส้นทาง เนื่องจากการเปิดใช้มอเตอร์เวย์ครั้งนี้ยังไม่เต็มรูปแบบ เพราะฉะนั้นใช้ได้เฉพาะรถยนต์ 4 ล้อ อีกทั้งไม่มีปั๊มน้ำมันหรือ EV Charger กลางทาง จึงควรเติมน้ำมันหรือชาร์จไฟให้เพียงพอต่อการเดินทางระยะยาว ถ้ามาจากถนนพหลโยธิน เมื่อเลยทางแยกต่างระดับบางปะอิน กม.53-54 จะมีปั๊มน้ำมันเชลล์, บางจาก และ PTT Station แต่ถ้ามาจากมอเตอร์เวย์หมายเลข 9 เลยทางแยกต่างระดับธัญบุรีไปแล้ว ใช้ทางออก 2 (คลองหลวง-หนองเสือ) จะมีปั๊มน้ำมัน PTT Station, บางจาก และคาลเท็กซ์ ที่เข้า-ออกทางหลักได้ สำหรับผู้ที่มาจากภาคใต้ ผ่านถนนพระรามที่ 2 และจังหวัดสมุทรสาคร สามารถใช้ทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) หมายเลข 82 ที่ด่านมหาชัย 1 ต่อเนื่องทางพิเศษกาญจนาภิเษกที่ด่านบางขุนเทียน ต่อเนื่องมอเตอร์เวย์หมายเลข 9 ที่ด่านบางแก้ว เสียค่าผ่านทางที่ด่านทับช้าง และด่านธัญบุรี เพื่อเข้ามอเตอร์เวย์หมายเลข 6 ได้ ซึ่งจากด่านมหาชัย 1 ถึงจังหวัดนครราชสีมา คิดเป็นระยะทางประมาณ 320 กิโลเมตร #Newskit
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 70 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไหวเหรอยศชนัน ลูกสมชายเจ๊แดง

    การเปิดตัวแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย ในช่วงการปะทะระหว่างไทย-กัมพูชา นอกจากกระแสสังคมจะเงียบเชียบแล้ว แคนดิเดต 3 คนที่เสนอมา สองคนแรกไม่มีอะไรใหม่ นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ไม่มีผลงานโดดเด่น แม้สมัยรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร จะอยู่กระทรวงเกรดเอ ในตำแหน่ง รมช.คลัง หนำซ้ำนโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาทก็ล้มเหลว ส่วนนายสุุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ คนที่ติดตามการเมืองมานานจะร้องยี้ เพราะเวียนวนเป็นรัฐมนตรี ตั้งแต่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยันรัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่คุมกระทรวงคมนาคม หนำซ้ำยังถูกเคลือบแคลงสงสัยกรณี CTX9000

    จะมีหน้าใหม่อยู่คนเดียว คือ นายยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ หรือ เชน แม้จะมีโปร์ไฟล์เป็นถึงอดีตรองคณบดีฝ่ายวิจัยและวิเทศสัมพันธ์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล มีผลงานวิจัยมากมาย แต่สังคมไม่ได้สนใจเท่ากับเป็นลูกชาย นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาวนายทักษิณ ชินวัตร และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี จึงถูกจับตามองทันทีว่าสืบทอดอำนาจทางการเมืองในตระกูลชินวัตรหรือไม่ หลังครอบครัวและเครือญาติตั้งแต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หนีโทษจำคุกคดีโครงการรับจำนำข้าว และ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง กรณีคลิปเสียงนายฮุน เซน แห่งกัมพูชา

    พรรคเพื่อไทยพยายามยกเครื่องพรรคเพื่อสลัดภาพความเป็นพรรครากหญ้า พรรคประชานิยมแจกแหลก ด้วยวาทกรรม "ยกเครื่องประเทศไทย" ออกแบบด้วยวิทยาศาสตร์และเหตุผล ไปสู้กับกลุ่มคนรุ่นใหม่อย่างพรรคประชาชน แต่ก็ยังมีนโยบายประชานิยมติดมาด้วย ทั้งรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ที่ถูกตั้งคำถามว่าจะยั่งยืนหรือไม่ รวมไปถึงนโยบายล้างหนี้ให้คนไทย สูงสุด 100,000 บาท แต่ไม่พูดถึงนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตที่เป็นบาดแผลของพรรค รวมทั้งปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ที่มีข้อกล่าวหาผลประโยชน์ทับซ้อนระหว่างตระกูลชินวัตร กับครอบครัวนายฮุน เซน

    อีกด้านหนึ่ง พรรคเพื่อไทยยังคงเลือดไหลไม่หยุด สส. มากกว่า 10 คน เห็นท่าไม่ดีย้ายไปพรรคอื่น โดยเฉพาะพรรคภูมิใจไทย ของนายอนุทิน ชาญวีรกูล ยังเหลืออีกส่วนหนึ่งที่เคียงบ่าเคียงไหล่กับตระกูลชินวัตร แม้นายทักษิณที่เป็นศาสดาของพรรค จะถูกจำคุกในคดีทุจริต รวมทั้งคดีมาตรา 112 ที่อัยการสูงสุดสั่งให้อุทธรณ์ แถมยังแพ้คดีภาษีหุ้นชินคอร์ปฯ 1.76 หมื่นล้านบาท กลายเป็นมีดปักหลังตระกูลการเมืองผู้มั่งคั่ง ที่หากดึงออกเมื่อไหร่ก็ตายเมื่อนั้น ความล้มเหลวของรัฐบาลแพทองธาร รวมทั้งข้อกล่าวหาขายชาติ อาจทำให้หาเสียงยากที่สุด จึงกลายเป็นคำถามว่า ทั้งคนทั้งพรรคจะเข็นกันไหวหรือ?

    #Newskit
    ไหวเหรอยศชนัน ลูกสมชายเจ๊แดง การเปิดตัวแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย ในช่วงการปะทะระหว่างไทย-กัมพูชา นอกจากกระแสสังคมจะเงียบเชียบแล้ว แคนดิเดต 3 คนที่เสนอมา สองคนแรกไม่มีอะไรใหม่ นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ไม่มีผลงานโดดเด่น แม้สมัยรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร จะอยู่กระทรวงเกรดเอ ในตำแหน่ง รมช.คลัง หนำซ้ำนโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาทก็ล้มเหลว ส่วนนายสุุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ คนที่ติดตามการเมืองมานานจะร้องยี้ เพราะเวียนวนเป็นรัฐมนตรี ตั้งแต่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยันรัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่คุมกระทรวงคมนาคม หนำซ้ำยังถูกเคลือบแคลงสงสัยกรณี CTX9000 จะมีหน้าใหม่อยู่คนเดียว คือ นายยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ หรือ เชน แม้จะมีโปร์ไฟล์เป็นถึงอดีตรองคณบดีฝ่ายวิจัยและวิเทศสัมพันธ์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล มีผลงานวิจัยมากมาย แต่สังคมไม่ได้สนใจเท่ากับเป็นลูกชาย นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาวนายทักษิณ ชินวัตร และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี จึงถูกจับตามองทันทีว่าสืบทอดอำนาจทางการเมืองในตระกูลชินวัตรหรือไม่ หลังครอบครัวและเครือญาติตั้งแต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หนีโทษจำคุกคดีโครงการรับจำนำข้าว และ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง กรณีคลิปเสียงนายฮุน เซน แห่งกัมพูชา พรรคเพื่อไทยพยายามยกเครื่องพรรคเพื่อสลัดภาพความเป็นพรรครากหญ้า พรรคประชานิยมแจกแหลก ด้วยวาทกรรม "ยกเครื่องประเทศไทย" ออกแบบด้วยวิทยาศาสตร์และเหตุผล ไปสู้กับกลุ่มคนรุ่นใหม่อย่างพรรคประชาชน แต่ก็ยังมีนโยบายประชานิยมติดมาด้วย ทั้งรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ที่ถูกตั้งคำถามว่าจะยั่งยืนหรือไม่ รวมไปถึงนโยบายล้างหนี้ให้คนไทย สูงสุด 100,000 บาท แต่ไม่พูดถึงนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตที่เป็นบาดแผลของพรรค รวมทั้งปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ที่มีข้อกล่าวหาผลประโยชน์ทับซ้อนระหว่างตระกูลชินวัตร กับครอบครัวนายฮุน เซน อีกด้านหนึ่ง พรรคเพื่อไทยยังคงเลือดไหลไม่หยุด สส. มากกว่า 10 คน เห็นท่าไม่ดีย้ายไปพรรคอื่น โดยเฉพาะพรรคภูมิใจไทย ของนายอนุทิน ชาญวีรกูล ยังเหลืออีกส่วนหนึ่งที่เคียงบ่าเคียงไหล่กับตระกูลชินวัตร แม้นายทักษิณที่เป็นศาสดาของพรรค จะถูกจำคุกในคดีทุจริต รวมทั้งคดีมาตรา 112 ที่อัยการสูงสุดสั่งให้อุทธรณ์ แถมยังแพ้คดีภาษีหุ้นชินคอร์ปฯ 1.76 หมื่นล้านบาท กลายเป็นมีดปักหลังตระกูลการเมืองผู้มั่งคั่ง ที่หากดึงออกเมื่อไหร่ก็ตายเมื่อนั้น ความล้มเหลวของรัฐบาลแพทองธาร รวมทั้งข้อกล่าวหาขายชาติ อาจทำให้หาเสียงยากที่สุด จึงกลายเป็นคำถามว่า ทั้งคนทั้งพรรคจะเข็นกันไหวหรือ? #Newskit
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 187 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปาดังเบซาร์-JB Sentral นั่งรถไฟยาวๆ จากไทยไปยะโฮร์

    เมื่อวันที่ 16 ธ.ค. การรถไฟมาเลเซีย (KTM Berhad) ประกาศว่าจะเปิดเดินรถไฟ ETS เพิ่มเติมตามตารางเดินรถใหม่ ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2569 ได้แก่ เส้นทาง KL Sentral - JB Sentral ระหว่างกรุงกัวลาลัมเปอร์ กับเมืองยะโฮร์บาห์รู รัฐยะโฮร์ จากเดิมให้บริการวันละ 2 ขบวน เพิ่มเป็นวันละ 4 ขบวน ไป-กลับรวมวันละ 8 ขบวน รวมทั้งเส้นทางปาดังเบซาร์ (Padang Besar) ใกล้ชายแดนไทย-มาเลเซีย จากเดิมสิ้นสุดที่สถานีเซกามัต (Segamat) รัฐยะโฮร์ ได้ขยายการเดินรถไปถึงสถานี JB Sentral ใช้เวลาเดินทางประมาณ 10 ชั่วโมง 30 นาที

    โดยรถไฟจากปาดังเบซาร์ ไป JB Sentral ได้แก่ ขบวนที่ EG9449 ออกจากสถานีปาดังเบซาร์ 12.05 น. (หรือ 11.05 น. ตามเวลาประเทศไทย) ผ่านสถานี KL Sentral เวลา 17.50 น. ถึงปลายทาง JB Sentral เวลา 22.30 น.

    สำหรับผู้ที่มาจากประเทศไทย เพื่อไปยังขบวนดังกล่าว มีขบวนรถด่วนพิเศษที่ 45 กรุงเทพอภิวัฒน์-ปาดังเบซาร์ ออกจากกรุงเทพฯ เมื่อวานนี้ เวลา 16.10 น. ถึงสถานีปาดังเบซาร์ 07.59 น. (08.59 น. เวลามาเลเซีย) นอกจากนี้ ยังมีขบวนรถพิเศษโดยสารที่ 947 ชุมทางหาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ ออกจากต้นทางเวลา 08.55 น. ถึงสถานีปาดังเบซาร์ 09.40 น. (10.40 น. เวลามาเลเซีย) แต่ถ้าเร็วกว่านั้นใช้บริการรถตู้จากสถานีขนส่งผู้โดยสารหาดใหญ่ ถึงหน้าด่านปาดังเบซาร์ ประทับตราหนังสือเดินทางแล้วขึ้นสะพานลอยมายังตัวสถานีได้ทันที

    ส่วนผู้ที่จะไปประเทศสิงคโปร์ด้วยรถไฟชัตเติลเตบราว (Shuttle Tebrau) เนื่องจากเที่ยวสุดท้าย 22.45 น. จึงคาดว่าไม่ทันเพราะต้องเผื่อเวลาอย่างน้อย 30 นาทีก่อนรถออก อาจต้องค้างคืนที่ยะโฮร์บาห์รู หรือเรียกแท็กซี่ข้ามแดนซึ่งเสียค่าใช้จ่ายสูงมาก

    ส่วนเที่ยวกลับ ขบวนที่ EG9442 ออกจากสถานี JB Sentral เวลา 07.35 น. ผ่านสถานี KL Sentral เวลา 12.16 น. ถึงปลายทางปาดังเบซาร์ 17.53 น. (หรือ 16.53 น. ตามเวลาประเทศไทย) ซึ่งไม่ทันขบวนรถพิเศษโดยสารที่ 950 ปาดังเบซาร์-ชุมทางหาดใหญ่ รถออกเวลา 15.40 น. และรถตู้ประจำทางไปหาดใหญ่ ออกจากปาดังเบซาร์ 17.30 น. จำเป็นต้องนั่งรถตู้ป้ายดำ ค่าโดยสาร 30 ริงกิต

    สำหรับขบวนรถไฟ ETS ระหว่างสถานี KL Sentral ถึง JB Sentral แบ่งเป็นดังนี้

    จาก KL Sentral ถึง JB Sentral

    EP9523 ออก 07.55 ถึง 12.15 น.
    EP9531 ออก 15.15 ถึง 19.35 น.
    EP9533 ออก 17.35 ถึง 21.55 น.
    EP9537 ออก 21.10 ถึง 01.30 น.

    จาก JB Sentral ถึง KL Sentral

    EP9524 ออก 08.40 ถึง 13.00 น.
    EP9528 ออก 12.45 ถึง 17.05 น.
    EP9532 ออก 16.20 ถึง 20.40 น.
    EP9536 ออก 20.30 ถึง 00.50 น.

    #Newskit
    ปาดังเบซาร์-JB Sentral นั่งรถไฟยาวๆ จากไทยไปยะโฮร์ เมื่อวันที่ 16 ธ.ค. การรถไฟมาเลเซีย (KTM Berhad) ประกาศว่าจะเปิดเดินรถไฟ ETS เพิ่มเติมตามตารางเดินรถใหม่ ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2569 ได้แก่ เส้นทาง KL Sentral - JB Sentral ระหว่างกรุงกัวลาลัมเปอร์ กับเมืองยะโฮร์บาห์รู รัฐยะโฮร์ จากเดิมให้บริการวันละ 2 ขบวน เพิ่มเป็นวันละ 4 ขบวน ไป-กลับรวมวันละ 8 ขบวน รวมทั้งเส้นทางปาดังเบซาร์ (Padang Besar) ใกล้ชายแดนไทย-มาเลเซีย จากเดิมสิ้นสุดที่สถานีเซกามัต (Segamat) รัฐยะโฮร์ ได้ขยายการเดินรถไปถึงสถานี JB Sentral ใช้เวลาเดินทางประมาณ 10 ชั่วโมง 30 นาที โดยรถไฟจากปาดังเบซาร์ ไป JB Sentral ได้แก่ ขบวนที่ EG9449 ออกจากสถานีปาดังเบซาร์ 12.05 น. (หรือ 11.05 น. ตามเวลาประเทศไทย) ผ่านสถานี KL Sentral เวลา 17.50 น. ถึงปลายทาง JB Sentral เวลา 22.30 น. สำหรับผู้ที่มาจากประเทศไทย เพื่อไปยังขบวนดังกล่าว มีขบวนรถด่วนพิเศษที่ 45 กรุงเทพอภิวัฒน์-ปาดังเบซาร์ ออกจากกรุงเทพฯ เมื่อวานนี้ เวลา 16.10 น. ถึงสถานีปาดังเบซาร์ 07.59 น. (08.59 น. เวลามาเลเซีย) นอกจากนี้ ยังมีขบวนรถพิเศษโดยสารที่ 947 ชุมทางหาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ ออกจากต้นทางเวลา 08.55 น. ถึงสถานีปาดังเบซาร์ 09.40 น. (10.40 น. เวลามาเลเซีย) แต่ถ้าเร็วกว่านั้นใช้บริการรถตู้จากสถานีขนส่งผู้โดยสารหาดใหญ่ ถึงหน้าด่านปาดังเบซาร์ ประทับตราหนังสือเดินทางแล้วขึ้นสะพานลอยมายังตัวสถานีได้ทันที ส่วนผู้ที่จะไปประเทศสิงคโปร์ด้วยรถไฟชัตเติลเตบราว (Shuttle Tebrau) เนื่องจากเที่ยวสุดท้าย 22.45 น. จึงคาดว่าไม่ทันเพราะต้องเผื่อเวลาอย่างน้อย 30 นาทีก่อนรถออก อาจต้องค้างคืนที่ยะโฮร์บาห์รู หรือเรียกแท็กซี่ข้ามแดนซึ่งเสียค่าใช้จ่ายสูงมาก ส่วนเที่ยวกลับ ขบวนที่ EG9442 ออกจากสถานี JB Sentral เวลา 07.35 น. ผ่านสถานี KL Sentral เวลา 12.16 น. ถึงปลายทางปาดังเบซาร์ 17.53 น. (หรือ 16.53 น. ตามเวลาประเทศไทย) ซึ่งไม่ทันขบวนรถพิเศษโดยสารที่ 950 ปาดังเบซาร์-ชุมทางหาดใหญ่ รถออกเวลา 15.40 น. และรถตู้ประจำทางไปหาดใหญ่ ออกจากปาดังเบซาร์ 17.30 น. จำเป็นต้องนั่งรถตู้ป้ายดำ ค่าโดยสาร 30 ริงกิต สำหรับขบวนรถไฟ ETS ระหว่างสถานี KL Sentral ถึง JB Sentral แบ่งเป็นดังนี้ จาก KL Sentral ถึง JB Sentral EP9523 ออก 07.55 ถึง 12.15 น. EP9531 ออก 15.15 ถึง 19.35 น. EP9533 ออก 17.35 ถึง 21.55 น. EP9537 ออก 21.10 ถึง 01.30 น. จาก JB Sentral ถึง KL Sentral EP9524 ออก 08.40 ถึง 13.00 น. EP9528 ออก 12.45 ถึง 17.05 น. EP9532 ออก 16.20 ถึง 20.40 น. EP9536 ออก 20.30 ถึง 00.50 น. #Newskit
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 98 มุมมอง 0 รีวิว
  • แห่ร้องยี้ Trip.com จับมือกัมพูชาไม่บอกกล่าว

    แพลตฟอร์มออนไลน์ทราเวลเอเจนซี (OTA) สัญชาติจีนอย่าง Trip.com ซึ่งมีผู้ใช้งานกว่า 400 ล้านคนทั่วโลก ครองตลาดจีนแผ่นดินใหญ่ 60-70% และมีแพลตฟอร์มเทียบราคาตั๋วเครื่องบินในเครืออย่าง Skyscanner กำลังเกิดวิกฤตศรัทธาอย่างหนักทั้งในจีนและประเทศไทย เมื่อการท่องเที่ยวแห่งชาติกัมพูชา นำโดยนายคิม มีเนีย (Kim Minea) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ได้ลงนามข้อตกลงความร่วมมือด้านการตลาดและดิจิทัลกับ Trip.com โดยมีนายเฉิน กว่านฉี (Chen Guanqi) รองประธานบริษัทฯ เป็นผู้แทน เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. ที่ผ่านมา

    ก่อนหน้านี้ ผู้บริหาร Trip.com อย่างนางเจน ซัน (Jane Sun) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ไปพบปะนอกรอบกับ นายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา เมื่อวันที่ 16 ม.ค. 2567 ที่เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ระหว่างการประชุมเวิลด์ อีโคโนมิค ฟอรัม 2024 เพื่อแสวงหาความร่วมมือ ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยือนกัมพูชามากขึ้น นอกจากนี้ สายการบินแห่งชาติอย่าง แคมโบเดียอังกอร์แอร์ ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MoU) กับ Trip.com เพื่อจัดตั้งบริการสนามบินอัจฉริยะ ที่สนามบินเสียมราฐ-อังกอร์อีกด้วย

    หลังชาวจีนทราบข่าวผ่านโซเชียลมีเดีย ต่างกังวลถึงข้อมูลเชิงลึกของผู้ใช้งาน อาจถูกนำไปออกแบบแคมเปญและผลิตภัณฑ์ท่องเที่ยวสำหรับกัมพูชา ยิ่งที่ผ่านมาประเทศกัมพูชา ถูกมองว่าเป็นแหล่งอาชญากรรมข้ามชาติ ขบวนการสแกมเมอร์ และคอลเซ็นเตอร์ผิดกฎหมาย เคยมีชาวจีนเคยตกเป็นเหยื่อมากมาย เมื่อ Trip.com เดินหน้าความร่วมมือเชิงลึกกับกัมพูชา โดยไม่มีคำอธิบายที่ชัดเจน เกี่ยวกับมาตรการคุ้มครองข้อมูลแก่ผู้ใช้งาน ทำให้มีผู้ใช้งานในจีนจำนวนมากต่างลบบัญชีผู้ใช้งาน และลบแอปพลิเคชัน เพื่อแสดงจุดยืนไม่ยอมรับความร่วมมือดังกล่าว

    ส่วนประเทศไทย นอกจากความกังวลถึงข้อมูลส่วนบุคคลจะตกไปอยู่ในมือกัมพูชาแล้ว กระแสชาตินิยมต่อต้านกัมพูชาทำสงครามกับไทย และมีทหารไทย รวมทั้งพลเรือนไทยสูญเสียเลือดเนื้อและชีวิต เมื่อทราบข่าวนี้ก็ทำให้ผู้ใช้งานในไทยจำนวนมากต่างลบบัญชีผู้ใช้งาน และลบแอปพลิเคชันตามมาอีกด้วย

    ร้อนถึง Trip.com Group ต้องออกแถลงการณ์ชี้แจงว่า การลงนามดังกล่าวเป็นเพียงความร่วมมือโปรโมทการท่องเที่ยวบนแพลตฟอร์ม Ctrip ในประเทศจีนเท่านั้น ซึ่งได้ตกลงความร่วมมือร่วมกับประเทศอื่นๆ ทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย อีกทั้งความร่วมมือดังกล่าวจำกัดขอบเขตอย่างเคร่งครัด เฉพาะการส่งเสริมผลิตภัณฑ์ท่องเที่ยวและนำเสนอจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวเพื่อรองรับความต้องการของตลาดเท่านั้น ไม่มีการแบ่งปันหรือแลกเปลี่ยนข้อมูลผู้ใช้ใดๆ ทั้งสิ้น

    #Newskit
    แห่ร้องยี้ Trip.com จับมือกัมพูชาไม่บอกกล่าว แพลตฟอร์มออนไลน์ทราเวลเอเจนซี (OTA) สัญชาติจีนอย่าง Trip.com ซึ่งมีผู้ใช้งานกว่า 400 ล้านคนทั่วโลก ครองตลาดจีนแผ่นดินใหญ่ 60-70% และมีแพลตฟอร์มเทียบราคาตั๋วเครื่องบินในเครืออย่าง Skyscanner กำลังเกิดวิกฤตศรัทธาอย่างหนักทั้งในจีนและประเทศไทย เมื่อการท่องเที่ยวแห่งชาติกัมพูชา นำโดยนายคิม มีเนีย (Kim Minea) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ได้ลงนามข้อตกลงความร่วมมือด้านการตลาดและดิจิทัลกับ Trip.com โดยมีนายเฉิน กว่านฉี (Chen Guanqi) รองประธานบริษัทฯ เป็นผู้แทน เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. ที่ผ่านมา ก่อนหน้านี้ ผู้บริหาร Trip.com อย่างนางเจน ซัน (Jane Sun) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ไปพบปะนอกรอบกับ นายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา เมื่อวันที่ 16 ม.ค. 2567 ที่เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ระหว่างการประชุมเวิลด์ อีโคโนมิค ฟอรัม 2024 เพื่อแสวงหาความร่วมมือ ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยือนกัมพูชามากขึ้น นอกจากนี้ สายการบินแห่งชาติอย่าง แคมโบเดียอังกอร์แอร์ ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MoU) กับ Trip.com เพื่อจัดตั้งบริการสนามบินอัจฉริยะ ที่สนามบินเสียมราฐ-อังกอร์อีกด้วย หลังชาวจีนทราบข่าวผ่านโซเชียลมีเดีย ต่างกังวลถึงข้อมูลเชิงลึกของผู้ใช้งาน อาจถูกนำไปออกแบบแคมเปญและผลิตภัณฑ์ท่องเที่ยวสำหรับกัมพูชา ยิ่งที่ผ่านมาประเทศกัมพูชา ถูกมองว่าเป็นแหล่งอาชญากรรมข้ามชาติ ขบวนการสแกมเมอร์ และคอลเซ็นเตอร์ผิดกฎหมาย เคยมีชาวจีนเคยตกเป็นเหยื่อมากมาย เมื่อ Trip.com เดินหน้าความร่วมมือเชิงลึกกับกัมพูชา โดยไม่มีคำอธิบายที่ชัดเจน เกี่ยวกับมาตรการคุ้มครองข้อมูลแก่ผู้ใช้งาน ทำให้มีผู้ใช้งานในจีนจำนวนมากต่างลบบัญชีผู้ใช้งาน และลบแอปพลิเคชัน เพื่อแสดงจุดยืนไม่ยอมรับความร่วมมือดังกล่าว ส่วนประเทศไทย นอกจากความกังวลถึงข้อมูลส่วนบุคคลจะตกไปอยู่ในมือกัมพูชาแล้ว กระแสชาตินิยมต่อต้านกัมพูชาทำสงครามกับไทย และมีทหารไทย รวมทั้งพลเรือนไทยสูญเสียเลือดเนื้อและชีวิต เมื่อทราบข่าวนี้ก็ทำให้ผู้ใช้งานในไทยจำนวนมากต่างลบบัญชีผู้ใช้งาน และลบแอปพลิเคชันตามมาอีกด้วย ร้อนถึง Trip.com Group ต้องออกแถลงการณ์ชี้แจงว่า การลงนามดังกล่าวเป็นเพียงความร่วมมือโปรโมทการท่องเที่ยวบนแพลตฟอร์ม Ctrip ในประเทศจีนเท่านั้น ซึ่งได้ตกลงความร่วมมือร่วมกับประเทศอื่นๆ ทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย อีกทั้งความร่วมมือดังกล่าวจำกัดขอบเขตอย่างเคร่งครัด เฉพาะการส่งเสริมผลิตภัณฑ์ท่องเที่ยวและนำเสนอจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวเพื่อรองรับความต้องการของตลาดเท่านั้น ไม่มีการแบ่งปันหรือแลกเปลี่ยนข้อมูลผู้ใช้ใดๆ ทั้งสิ้น #Newskit
    Haha
    1
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 177 มุมมอง 0 รีวิว
  • สะพานเกอร์นีย์ ปีนัง เข้าสู่เกาะเทียมอันดามัน

    อีกหนึ่งความเปลี่ยนแปลงบนเกาะปีนัง ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 12 ธ.ค. นายโจว คอน เยียว (Chow Kon Yeow) มุขมนตรีรัฐปีนัง เป็นประธานในพิธีเปิดสะพานเกอร์นีย์ (Gurney Bridge) เชื่อมระหว่างเกาะปีนัง บริเวณวงเวียนเกอร์นีย์ ไดร์ฟ (Gurney Drive) กับอันดามันไอส์แลนด์ (Andaman Island) โครงการอสังหาริมทรัพย์บนเกาะเทียมที่ผ่านการถมทะเล ของบริษัทอีสเทิร์น แอนด์ โอเรียนทัล (E&O) เป็นสะพานขนาด 8 ช่องจราจร ความยาว 1.2 กิโลเมตร พร้อมทางเดินเท้ากว้าง 4 เมตร มูลค่าโครงการ 350 ล้านริงกิต (2,700 ล้านบาท)

    นอกจากเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์คริมชายฝั่งของอ่าวเกอร์นีย์แล้ว ยังช่วยย่นเวลาเดินทางเข้าโครงการฯ จากเดิมต้องเข้าจากถนนใหญ่ (ถนนตันจง โตคง) บริเวณห้างโลตัส ตันจงปีนัง ได้เพิ่มอีกหนึ่งช่องทางไปออกย่านเกอร์นีย์ไดร์ฟ บริเวณศูนย์การค้าเกอร์นีย์พลาซ่าได้ทันที ซึ่งนายก๊ก ตั๊ก เชียง (Kok Tuck Cheong) กรรมการผู้จัดการของ E&O ตั้งใจว่าจะสร้างเมืองที่เข้าถึงได้ภายใน 15 นาที เชื่อมต่อถึงกัน และมุ่งเน้นอนาคต นับจากนี้จะพัฒนาโครงการบนเกาะ ทั้งที่อยู่อาศัยและพื้นที่เชิงพาณิชย์ในระยะต่อไป ซึ่งได้รับการสนับสนุนอย่างมากจากรัฐบาล

    นายก๊กยังกล่าวกับหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น บูเลทิน มูเทียรา (Buletin Mutiara) ระบุว่า โครงการนี้เริ่มต้นในปี 2533 ที่รัฐบาลมอบสิทธิ์สัมปทานในการถมทะเลทั้งหมด 960 เอเคอร์ โดยพื้นที่แรก สเตรตส์คีย์ (Straits Quay) แล้วเสร็จมาหลายปี ตามมาด้วยเฟส 2A เปิดตัวห้องชุดไปแล้ว 3,700 ยูนิต กำลังขายแก่ผู้สนใจ รวมถึงที่ดินเปล่าที่หันหน้าไปทางสเตรตส์คีย์ด้วย ส่วนเฟส 2B ยังอยู่ระหว่างปรับปรุงพื้นที่ รวมทั้งหมด 506 เอเคอร์ พื้นที่ถมทะเลบางส่วนจะถูกส่งมอบให้แก่รัฐตามข้อตกลงการพัฒนาพื้นที่ นอกจากนี้ ยังมีถนนด้านข้างโครงการคอนโดมิเนียมซิตี้ออฟดรีม (COD) ที่มีแผนจะสร้างสะพานไปยังถนนเกอร์นีย์ในอนาคต

    อย่างไรก็ตาม ยังมีชาวปีนังอีกส่วนหนึ่งวิจารณ์ว่า โครงการนี้จะก่อให้เกิดการจราจรติดขัด ซึ่งมุขมนตรีรัฐปีนังยืนยันว่า กำลังให้ความสำคัญกับการจัดการจราจรอย่างมีความรับผิดชอบ ย้ำว่าสะพานแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเชื่อมต่อกับเกาะอันดามัน บรรเทาปัญหาการจราจรติดขัด ถึงกระนั้น เนื่องจากย่านเกอร์นีย์ไดร์ฟเป็นย่านศูนย์การค้า ทั้งเกอร์นีย์พลาซา เกอร์นีย์พารากอนมอลล์ แหล่งรวมสตรีทฟู้ด (Gurney Drive Hawker Center) และคอนโดมิเนียมจำนวนมาก รถติดทุกวันไม่เว้นวันหยุด ชาวปีนังจึงยังคงกังวลถึงปัญหาการจราจร จากโครงการมิกซ์ยูสมูลค่า 6 หมื่นล้านริงกิต (462,000 ล้านบาท) กันต่อไป

    #Newskit
    สะพานเกอร์นีย์ ปีนัง เข้าสู่เกาะเทียมอันดามัน อีกหนึ่งความเปลี่ยนแปลงบนเกาะปีนัง ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 12 ธ.ค. นายโจว คอน เยียว (Chow Kon Yeow) มุขมนตรีรัฐปีนัง เป็นประธานในพิธีเปิดสะพานเกอร์นีย์ (Gurney Bridge) เชื่อมระหว่างเกาะปีนัง บริเวณวงเวียนเกอร์นีย์ ไดร์ฟ (Gurney Drive) กับอันดามันไอส์แลนด์ (Andaman Island) โครงการอสังหาริมทรัพย์บนเกาะเทียมที่ผ่านการถมทะเล ของบริษัทอีสเทิร์น แอนด์ โอเรียนทัล (E&O) เป็นสะพานขนาด 8 ช่องจราจร ความยาว 1.2 กิโลเมตร พร้อมทางเดินเท้ากว้าง 4 เมตร มูลค่าโครงการ 350 ล้านริงกิต (2,700 ล้านบาท) นอกจากเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์คริมชายฝั่งของอ่าวเกอร์นีย์แล้ว ยังช่วยย่นเวลาเดินทางเข้าโครงการฯ จากเดิมต้องเข้าจากถนนใหญ่ (ถนนตันจง โตคง) บริเวณห้างโลตัส ตันจงปีนัง ได้เพิ่มอีกหนึ่งช่องทางไปออกย่านเกอร์นีย์ไดร์ฟ บริเวณศูนย์การค้าเกอร์นีย์พลาซ่าได้ทันที ซึ่งนายก๊ก ตั๊ก เชียง (Kok Tuck Cheong) กรรมการผู้จัดการของ E&O ตั้งใจว่าจะสร้างเมืองที่เข้าถึงได้ภายใน 15 นาที เชื่อมต่อถึงกัน และมุ่งเน้นอนาคต นับจากนี้จะพัฒนาโครงการบนเกาะ ทั้งที่อยู่อาศัยและพื้นที่เชิงพาณิชย์ในระยะต่อไป ซึ่งได้รับการสนับสนุนอย่างมากจากรัฐบาล นายก๊กยังกล่าวกับหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น บูเลทิน มูเทียรา (Buletin Mutiara) ระบุว่า โครงการนี้เริ่มต้นในปี 2533 ที่รัฐบาลมอบสิทธิ์สัมปทานในการถมทะเลทั้งหมด 960 เอเคอร์ โดยพื้นที่แรก สเตรตส์คีย์ (Straits Quay) แล้วเสร็จมาหลายปี ตามมาด้วยเฟส 2A เปิดตัวห้องชุดไปแล้ว 3,700 ยูนิต กำลังขายแก่ผู้สนใจ รวมถึงที่ดินเปล่าที่หันหน้าไปทางสเตรตส์คีย์ด้วย ส่วนเฟส 2B ยังอยู่ระหว่างปรับปรุงพื้นที่ รวมทั้งหมด 506 เอเคอร์ พื้นที่ถมทะเลบางส่วนจะถูกส่งมอบให้แก่รัฐตามข้อตกลงการพัฒนาพื้นที่ นอกจากนี้ ยังมีถนนด้านข้างโครงการคอนโดมิเนียมซิตี้ออฟดรีม (COD) ที่มีแผนจะสร้างสะพานไปยังถนนเกอร์นีย์ในอนาคต อย่างไรก็ตาม ยังมีชาวปีนังอีกส่วนหนึ่งวิจารณ์ว่า โครงการนี้จะก่อให้เกิดการจราจรติดขัด ซึ่งมุขมนตรีรัฐปีนังยืนยันว่า กำลังให้ความสำคัญกับการจัดการจราจรอย่างมีความรับผิดชอบ ย้ำว่าสะพานแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเชื่อมต่อกับเกาะอันดามัน บรรเทาปัญหาการจราจรติดขัด ถึงกระนั้น เนื่องจากย่านเกอร์นีย์ไดร์ฟเป็นย่านศูนย์การค้า ทั้งเกอร์นีย์พลาซา เกอร์นีย์พารากอนมอลล์ แหล่งรวมสตรีทฟู้ด (Gurney Drive Hawker Center) และคอนโดมิเนียมจำนวนมาก รถติดทุกวันไม่เว้นวันหยุด ชาวปีนังจึงยังคงกังวลถึงปัญหาการจราจร จากโครงการมิกซ์ยูสมูลค่า 6 หมื่นล้านริงกิต (462,000 ล้านบาท) กันต่อไป #Newskit
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 181 มุมมอง 0 รีวิว
  • "หนึ่งหญิงสองชาย" ไวรัลสะใภ้มาเลเซีย

    กลายเป็นที่ฮือฮาแก่ชาวเน็ตมาเลเซีย เมื่อผู้ใช้เฟซบุ๊ก Ekin Derahim (เอคิน เดราฮิม) ออกมาโพสต์ข้อความขอความช่วยเหลือ เมื่อวันที่ 11 ธ.ค. ระบุว่า น้องสะใภ้ของตน ซึ่งมาจากรัฐตรังกานู แต่งงานกับพี่ชายอย่างถูกต้องตามกฎหมายเป็นเวลา 1 ปี 1 เดือน และอยู่กินฉันสามีภรรยามา 3 ปีแล้ว แต่กลับพบว่าน้องสะใภ้ไปอยู่กับชายอื่น ที่แต่งงานด้วยกันที่จังหวัดสงขลา ประเทศไทย เป็นเวลา 1 ปี 1 เดือน โดยสลับไปอยู่บ้านชายอื่นที่บ้านเช่าในรัฐยะโฮร์ตอนกลางวัน เมื่อพี่ชายออกไปทำงาน แล้วกลับมาอยู่บ้านพี่ชายเวลากลางคืน ซึ่งห่างกัน 19 กิโลเมตร

    เธอกล่าวว่า แม้จะถูกจับได้ น้องสะใภ้ก็ยังคงหลอกลวงและเล่นเกมกับครอบครัวตน อีกทั้งยังไปแจ้งความเท็จใส่ร้าย กล่าวหาว่าไปรบกวน ส่งผลกระทบต่อครอบครัวอย่างหนัก ส่วนพี่ชายกลับเชื่อคำพูดของน้องสะใภ้ เพราะคอยอ้อนวอนและโทรศัพท์หาพี่ชายอยู่ตลอด ถามว่าทำไมตลอดระยะเวลา 1 ปี 1 เดือน น้องสะใภ้ถึงโกหกพี่ชายและครอบครัวโดยไม่พูดความจริงตั้งแต่แรก? ขอความกรุณาช่วยอธิษฐานให้พี่ชายกลับคืนสู่ครอบครัวด้วย ตอนนี้น้องสะใภ้ยังดื้อดึงไม่ยอมออกจากบ้านพี่ชาย และผ่านมาเกือบหนึ่งสัปดาห์แล้ว ยังไม่มีการดำเนินการใดๆ จากสำนักงานศาสนาเลย

    โพสต์ดังกล่าวถูกแชร์จากบรรดาชาวเน็ตมาเลเซียและวิจารณ์อย่างกว้างขวาง รวมทั้งสื่อมวลชนทั้งในมาเลเซียและต่างประเทศต่างนำเสนอข่าวนี้ เนื่องจากตามบทบัญญัติทางศาสนาอิสลามของมาเลเซีย แม้จะสามารถมีคู่สมรสได้มากกว่า 1 คน แต่ต้องได้รับความยินยอมจากคู่สมรสคนแรก แต่ที่ผ่านมา คนที่มีความสัมพันธ์ซ้อนกันโดยคู่สมรสคนแรกไม่ยินยอม หรือไปมีคนรักใหม่โดยไม่อยากทำเรื่องหย่าให้ยุ่งยาก มักจะใช้วิธีข้ามพรมแดนไปประเทศไทย โดยเฉพาะจังหวัดสงขลาและ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประกอบพิธีนิกะห์ เพื่อหลีกเลี่ยงการขออนุญาตแต่งงาน หรือหย่าร้างที่ไม่ได้รับการรับรองในมาเลเซีย

    กรมกิจการศาสนาอิสลามของรัฐกลันตัน ระบุเมื่อวันอาทิตย์ (14 ธ.ค.) ว่า ได้สอบปากคำหญิงรายดังกล่าวแล้ว ที่สำนักงานศาสนาเขตตันห์เมอราห์ เพื่อประกอบการสอบสวน ด้านกรมกิจการศาสนาแห่งรัฐตรังกานู กำลังอยู่ในระหว่างเรียกสองสามีภรรยามาชี้แจง ส่วนชาวเน็ตมาเลเซียวิจารณ์ว่าการแต่งงานลักษณะเช่นนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย และถือเป็นบาปต่อศาสนา

    อนึ่ง ตามกฎหมายครอบครัวอิสลามของมาเลเซีย หญิงชาวมุสลิมที่แต่งงานกับชายอื่นในขณะที่ยังมีสถานะสมรสตามกฎหมาย อาจต้องรับโทษทางอาญา ส่วนชายชาวมุสลิมต้องได้รับอนุญาตล่วงหน้าจากศาลชารีอะห์ หากไม่ปฏิบัติตามอาจถูกปรับหลายพันริงกิต จำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือทั้งจำทั้งปรับ

    #Newskit
    "หนึ่งหญิงสองชาย" ไวรัลสะใภ้มาเลเซีย กลายเป็นที่ฮือฮาแก่ชาวเน็ตมาเลเซีย เมื่อผู้ใช้เฟซบุ๊ก Ekin Derahim (เอคิน เดราฮิม) ออกมาโพสต์ข้อความขอความช่วยเหลือ เมื่อวันที่ 11 ธ.ค. ระบุว่า น้องสะใภ้ของตน ซึ่งมาจากรัฐตรังกานู แต่งงานกับพี่ชายอย่างถูกต้องตามกฎหมายเป็นเวลา 1 ปี 1 เดือน และอยู่กินฉันสามีภรรยามา 3 ปีแล้ว แต่กลับพบว่าน้องสะใภ้ไปอยู่กับชายอื่น ที่แต่งงานด้วยกันที่จังหวัดสงขลา ประเทศไทย เป็นเวลา 1 ปี 1 เดือน โดยสลับไปอยู่บ้านชายอื่นที่บ้านเช่าในรัฐยะโฮร์ตอนกลางวัน เมื่อพี่ชายออกไปทำงาน แล้วกลับมาอยู่บ้านพี่ชายเวลากลางคืน ซึ่งห่างกัน 19 กิโลเมตร เธอกล่าวว่า แม้จะถูกจับได้ น้องสะใภ้ก็ยังคงหลอกลวงและเล่นเกมกับครอบครัวตน อีกทั้งยังไปแจ้งความเท็จใส่ร้าย กล่าวหาว่าไปรบกวน ส่งผลกระทบต่อครอบครัวอย่างหนัก ส่วนพี่ชายกลับเชื่อคำพูดของน้องสะใภ้ เพราะคอยอ้อนวอนและโทรศัพท์หาพี่ชายอยู่ตลอด ถามว่าทำไมตลอดระยะเวลา 1 ปี 1 เดือน น้องสะใภ้ถึงโกหกพี่ชายและครอบครัวโดยไม่พูดความจริงตั้งแต่แรก? ขอความกรุณาช่วยอธิษฐานให้พี่ชายกลับคืนสู่ครอบครัวด้วย ตอนนี้น้องสะใภ้ยังดื้อดึงไม่ยอมออกจากบ้านพี่ชาย และผ่านมาเกือบหนึ่งสัปดาห์แล้ว ยังไม่มีการดำเนินการใดๆ จากสำนักงานศาสนาเลย โพสต์ดังกล่าวถูกแชร์จากบรรดาชาวเน็ตมาเลเซียและวิจารณ์อย่างกว้างขวาง รวมทั้งสื่อมวลชนทั้งในมาเลเซียและต่างประเทศต่างนำเสนอข่าวนี้ เนื่องจากตามบทบัญญัติทางศาสนาอิสลามของมาเลเซีย แม้จะสามารถมีคู่สมรสได้มากกว่า 1 คน แต่ต้องได้รับความยินยอมจากคู่สมรสคนแรก แต่ที่ผ่านมา คนที่มีความสัมพันธ์ซ้อนกันโดยคู่สมรสคนแรกไม่ยินยอม หรือไปมีคนรักใหม่โดยไม่อยากทำเรื่องหย่าให้ยุ่งยาก มักจะใช้วิธีข้ามพรมแดนไปประเทศไทย โดยเฉพาะจังหวัดสงขลาและ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประกอบพิธีนิกะห์ เพื่อหลีกเลี่ยงการขออนุญาตแต่งงาน หรือหย่าร้างที่ไม่ได้รับการรับรองในมาเลเซีย กรมกิจการศาสนาอิสลามของรัฐกลันตัน ระบุเมื่อวันอาทิตย์ (14 ธ.ค.) ว่า ได้สอบปากคำหญิงรายดังกล่าวแล้ว ที่สำนักงานศาสนาเขตตันห์เมอราห์ เพื่อประกอบการสอบสวน ด้านกรมกิจการศาสนาแห่งรัฐตรังกานู กำลังอยู่ในระหว่างเรียกสองสามีภรรยามาชี้แจง ส่วนชาวเน็ตมาเลเซียวิจารณ์ว่าการแต่งงานลักษณะเช่นนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย และถือเป็นบาปต่อศาสนา อนึ่ง ตามกฎหมายครอบครัวอิสลามของมาเลเซีย หญิงชาวมุสลิมที่แต่งงานกับชายอื่นในขณะที่ยังมีสถานะสมรสตามกฎหมาย อาจต้องรับโทษทางอาญา ส่วนชายชาวมุสลิมต้องได้รับอนุญาตล่วงหน้าจากศาลชารีอะห์ หากไม่ปฏิบัติตามอาจถูกปรับหลายพันริงกิต จำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือทั้งจำทั้งปรับ #Newskit
    Love
    1
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 146 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปราสาทตาควาย อยู่ให้เป็น-เย็นให้พอ-รอทวงคืน

    หลังจากที่ประเทศไทยต้องสูญเสียปราสาทตาควาย ชายแดนไทย-กัมพูชา อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ ตามข้อตกลงหยุดยิงที่นำโดย นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน เมื่อเที่ยงคืนวันที่ 28 ก.ค. ที่ผ่านมา ผลจากทหารกัมพูชายึดตัวปราสาท แลมีทหารไทยหลายนายต้องสูญเสียเลือดเนื้อและชีวิตบนพื้นที่แห่งนี้ ผ่านไปกว่า 4 เดือน ในที่สุดวันนี้ที่รอคอยก็มาถึง 15 ธ.ค. ทหารไทยสามารถผลักดันทหารกัมพูชาออกจากบริเวณพื้นที่ตัวปราสาทตาควาย และเข้าควบคุมพื้นที่ได้แล้ว นับเป็นข่าวดีแก่คนไทยผู้รักชาติรักแผ่นดินทุกคน

    ที่ผ่านมาการทวงคืนปราสาทตาควายของกองทัพไทยเป็นไปได้ยาก เพราะตัวปราสาทตั้งอยู่บริเวณตีนเนิน 350 ซึ่งเป็นจุดสูงข่ม และมีทหารกัมพูชาคอยวางกำลังอยู่บนนั้น รวมทั้งการยิงสนับสนุนจากกัมพูชา ทั้งการใช้จรวด BM-21 และอาวุธอื่นๆ คอยระดมยิงใส่ทหารไทยไม่มีหยุด อีกทั้งทหารกัมพูชายังตั้งบังเกอร์มากมาย และวางทุ่นระเบิด คอยกันไม่ให้ทหารไทยแทรกซึมเข้าไป ทำให้ในช่วงที่มีข้อตกลงหยุดยิง ทหารไทยทำได้แค่วางกำลัง ห่างจากตัวปราสาทเพียง 30 เมตร ขณะที่ทหารกัมพูชากลับใช้ปราสาทตาควายเป็นฐานปฏิบัติการทางทหารอยู่ด้านใน พร้อมกับติดตั้งทุ่นระเบิดโดยรอบตัวปราสาท

    อย่างไรก็ตาม ผลของการปะทะครั้งล่าสุดระหว่างไทย-กัมพูชา เมื่อวันที่ 8 ธ.ค. ทำให้ตัวปราสาทได้รับความเสียหาย แม้กระทรวงวัฒนธรรมและวิจิตรศิลป์ของกัมพูชาจะประท้วง แต่กองทัพบกไทยยืนยันว่า แม้อนุสัญญากรุงเฮก ค.ศ. 1954 จะห้ามโจมตีโบราณสถาน แต่ฝ่ายกัมพูชานำโบราณสถานไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางทหาร เช่น การตั้งฐานที่มั่น การควบคุมการปฏิบัติการ การเป็นจุดซุ่มยิง หรือใช้เป็นพื้นที่เตรียมการโจมตี เข้าข่ายเป็นพื้นที่ "สูญเสียความคุ้มครองชั่วคราว" ฝ่ายไทยจึงมีสิทธิ์อันชอบธรรมที่จะปกป้องภัยคุกคาม ตามความเหมาะสมและได้สัดส่วนตามหลักกติกาสากล เนื่องจากฝ่ายกัมพูชาเป็นผู้บีบบังคับ

    ส่วนความกังวลเกี่ยวกับตัวปราสาทที่ได้รับความเสียหาย นายพนมบุตร จันทรโชติ อธิบดีกรมศิลปากร แสดงจุดยืนว่า แม้ไม่ควรมีโบราณสถานแห่งใดในโลก ได้รับความเสียหายจากสงคราม แต่เมื่อกัมพูชาละเลยกติกา เป็นธรรมดาที่ทางฝ่ายไทยต้องใช้ปฏิบัติการทางทหาร เป็นไปตามความจำเป็น ซึ่งก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงความเสียหายได้ แต่กรมศิลปากรยืนยันว่า สามารถบูรณะปราสาทตาควายหรือปราสาทใดๆ ที่เป็นของไทยได้อย่างแน่นอน และก่อนหน้านี้ปราสาทหินพนมรุ้ง ปราสาทหินพิมาย และปราสาทหินสด๊กก๊อกธม ที่มีความสลับซับซ้อน มีลวดลายอันวิจิตรมากกว่าปราสาทตาควาย ก็สามารถซ่อมกลับมาได้

    #Newskit
    ปราสาทตาควาย อยู่ให้เป็น-เย็นให้พอ-รอทวงคืน หลังจากที่ประเทศไทยต้องสูญเสียปราสาทตาควาย ชายแดนไทย-กัมพูชา อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ ตามข้อตกลงหยุดยิงที่นำโดย นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน เมื่อเที่ยงคืนวันที่ 28 ก.ค. ที่ผ่านมา ผลจากทหารกัมพูชายึดตัวปราสาท แลมีทหารไทยหลายนายต้องสูญเสียเลือดเนื้อและชีวิตบนพื้นที่แห่งนี้ ผ่านไปกว่า 4 เดือน ในที่สุดวันนี้ที่รอคอยก็มาถึง 15 ธ.ค. ทหารไทยสามารถผลักดันทหารกัมพูชาออกจากบริเวณพื้นที่ตัวปราสาทตาควาย และเข้าควบคุมพื้นที่ได้แล้ว นับเป็นข่าวดีแก่คนไทยผู้รักชาติรักแผ่นดินทุกคน ที่ผ่านมาการทวงคืนปราสาทตาควายของกองทัพไทยเป็นไปได้ยาก เพราะตัวปราสาทตั้งอยู่บริเวณตีนเนิน 350 ซึ่งเป็นจุดสูงข่ม และมีทหารกัมพูชาคอยวางกำลังอยู่บนนั้น รวมทั้งการยิงสนับสนุนจากกัมพูชา ทั้งการใช้จรวด BM-21 และอาวุธอื่นๆ คอยระดมยิงใส่ทหารไทยไม่มีหยุด อีกทั้งทหารกัมพูชายังตั้งบังเกอร์มากมาย และวางทุ่นระเบิด คอยกันไม่ให้ทหารไทยแทรกซึมเข้าไป ทำให้ในช่วงที่มีข้อตกลงหยุดยิง ทหารไทยทำได้แค่วางกำลัง ห่างจากตัวปราสาทเพียง 30 เมตร ขณะที่ทหารกัมพูชากลับใช้ปราสาทตาควายเป็นฐานปฏิบัติการทางทหารอยู่ด้านใน พร้อมกับติดตั้งทุ่นระเบิดโดยรอบตัวปราสาท อย่างไรก็ตาม ผลของการปะทะครั้งล่าสุดระหว่างไทย-กัมพูชา เมื่อวันที่ 8 ธ.ค. ทำให้ตัวปราสาทได้รับความเสียหาย แม้กระทรวงวัฒนธรรมและวิจิตรศิลป์ของกัมพูชาจะประท้วง แต่กองทัพบกไทยยืนยันว่า แม้อนุสัญญากรุงเฮก ค.ศ. 1954 จะห้ามโจมตีโบราณสถาน แต่ฝ่ายกัมพูชานำโบราณสถานไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางทหาร เช่น การตั้งฐานที่มั่น การควบคุมการปฏิบัติการ การเป็นจุดซุ่มยิง หรือใช้เป็นพื้นที่เตรียมการโจมตี เข้าข่ายเป็นพื้นที่ "สูญเสียความคุ้มครองชั่วคราว" ฝ่ายไทยจึงมีสิทธิ์อันชอบธรรมที่จะปกป้องภัยคุกคาม ตามความเหมาะสมและได้สัดส่วนตามหลักกติกาสากล เนื่องจากฝ่ายกัมพูชาเป็นผู้บีบบังคับ ส่วนความกังวลเกี่ยวกับตัวปราสาทที่ได้รับความเสียหาย นายพนมบุตร จันทรโชติ อธิบดีกรมศิลปากร แสดงจุดยืนว่า แม้ไม่ควรมีโบราณสถานแห่งใดในโลก ได้รับความเสียหายจากสงคราม แต่เมื่อกัมพูชาละเลยกติกา เป็นธรรมดาที่ทางฝ่ายไทยต้องใช้ปฏิบัติการทางทหาร เป็นไปตามความจำเป็น ซึ่งก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงความเสียหายได้ แต่กรมศิลปากรยืนยันว่า สามารถบูรณะปราสาทตาควายหรือปราสาทใดๆ ที่เป็นของไทยได้อย่างแน่นอน และก่อนหน้านี้ปราสาทหินพนมรุ้ง ปราสาทหินพิมาย และปราสาทหินสด๊กก๊อกธม ที่มีความสลับซับซ้อน มีลวดลายอันวิจิตรมากกว่าปราสาทตาควาย ก็สามารถซ่อมกลับมาได้ #Newskit
    Like
    1
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 216 มุมมอง 0 รีวิว
  • กาสิโนพนมเปญ ใต้ทุนมาเลเซีย

    การแข่งขันกีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 33 ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ มีประเด็นนักกีฬาทีมชาติกัมพูชาสวมเสื้อแจ็กเก็ตที่มีโลโก้กาสิโน "NAGAWORLD" อยู่บนหน้าอกด้านซ้ายใต้ธงชาติกัมพูชา แม้นายก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย จะให้ตรวจสอบว่าเข้าข่ายโฆษณาการพนันตามกฎหมายไทยหรือไม่ แต่นักกีฬาและเจ้าหน้าที่กัมพูชารวม 137 คน ถอนตัวออกจากการแข่งขันเสียก่อน สิ่งที่ซ่อนอยู่ภายในเรื่องนี้คือ นากาเวิลด์ เป็นกาสิโนหนึ่งเดียวในกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ที่นายทุนเป็นชาวมาเลเซีย

    นากาเวิลด์ ก่อตั้งโดย นายเฉิน ลิบ เกียง (Chen Lip Keong) นักธุรกิจชาวมาเลเซียเชื้อสายจีน เกิดในครอบครัวผู้อพยพจากจีนรุ่นที่ 2 เติบโตที่เหมืองแร่ดีบุกบนหุบเขาคินตา ทางตอนกลางของมาเลเซีย จบการศึกษาด้านการแพทย์จากมหาวิทยาลัยมาลายา เริ่มต้นเป็นแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไป แต่กลับสนใจทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และผลิตชิ้นส่วนการบิน ต่อมาในปี 2533 นายเฉินไปกัมพูชาเพื่อสำรวจน้ำมันในอ่าวไทย แต่เมื่อรัฐบาลกัมพูชาเปิดประมูลใบอนุญาตกาสิโน เขากลับคว้าใบอนุญาตนั้นมาได้

    นายเฉินจัดตั้งกาสิโนเมื่อปี 2538 โดยใช้เรือเช่าตามแม่น้ำบาสัก (Bassac River) ซึ่งเป็นสาขาของแม่น้ำโขง ใกล้กับพระบรมราชวังจตุมุขสิริมงคล (พระราชวังหลวง) ในกรุงพนมเปญ กระทั่งได้ซื้อที่ดินและก่อสร้างอาคารนากาเวิลด์ ย้ายมาอยู่ที่ตั้งปัจจุบันในปี 2546 จากนั้นในปี 2549 บริษัทนากาคอร์ปฯ (NagaCorp) ที่จัดตั้งขึ้นในหมู่เกาะเคย์แมนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง และขยายอาคารหลังที่สองในปี 2560 โดยมีนากาซิตี้วอล์ก (Naga City Walk) เป็นทางเชื่อมใต้ดิน

    กาสิโนแห่งนี้ได้รับใบอนุญาตถึงปี 2608 โดยผูกขาดเพียงรายเดียวในรัศมี 200 กิโลเมตร ถึงปี 2588 ประกอบด้วยโรงแรม 1,658 ห้อง ภัตตาคารและไนต์คลับ 20 แห่ง สปา 2 แห่ง ศูนย์การค้าใต้ดิน ร้านค้าปลอดภาษีจาก China Duty Free Group สถานที่จัดประชุมสัมมนา (MICE) รองรับผู้เข้าร่วมประชุม 1,000 คน และโรงละคร NABA ความจุ 2,000 ที่นั่ง

    นายเฉินถูกจัดให้เป็นมหาเศรษฐีมาเลเซียอันดับ 7 จากการจัดอันดับของนิตยสารฟอร์บส์เมื่อเดือน พ.ค. 2566 ด้วยมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 2.8 พันล้านเหรียญสหรัญฯ เขาเคยมีโครงการก่อตั้งกาสิโนอีกแห่งในเมืองวลาดิโวสต็อก ประเทศรัสเซีย แต่กลับระงับการก่อสร้างอย่างไม่มีกำหนด เนื่องจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน

    นายเฉินเสียชีวิตที่สหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 8 ธ.ค. 2566 เนื่องจากอาการเจ็บป่วย รวมอายุได้ 75 ปี ส่งมอบอำนาจให้แก่นายเฉิน ยี่ ฟอน (Chen Yiy Fon) ลูกชายเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มคนใหม่

    #Newskit
    กาสิโนพนมเปญ ใต้ทุนมาเลเซีย การแข่งขันกีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 33 ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ มีประเด็นนักกีฬาทีมชาติกัมพูชาสวมเสื้อแจ็กเก็ตที่มีโลโก้กาสิโน "NAGAWORLD" อยู่บนหน้าอกด้านซ้ายใต้ธงชาติกัมพูชา แม้นายก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย จะให้ตรวจสอบว่าเข้าข่ายโฆษณาการพนันตามกฎหมายไทยหรือไม่ แต่นักกีฬาและเจ้าหน้าที่กัมพูชารวม 137 คน ถอนตัวออกจากการแข่งขันเสียก่อน สิ่งที่ซ่อนอยู่ภายในเรื่องนี้คือ นากาเวิลด์ เป็นกาสิโนหนึ่งเดียวในกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ที่นายทุนเป็นชาวมาเลเซีย นากาเวิลด์ ก่อตั้งโดย นายเฉิน ลิบ เกียง (Chen Lip Keong) นักธุรกิจชาวมาเลเซียเชื้อสายจีน เกิดในครอบครัวผู้อพยพจากจีนรุ่นที่ 2 เติบโตที่เหมืองแร่ดีบุกบนหุบเขาคินตา ทางตอนกลางของมาเลเซีย จบการศึกษาด้านการแพทย์จากมหาวิทยาลัยมาลายา เริ่มต้นเป็นแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไป แต่กลับสนใจทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และผลิตชิ้นส่วนการบิน ต่อมาในปี 2533 นายเฉินไปกัมพูชาเพื่อสำรวจน้ำมันในอ่าวไทย แต่เมื่อรัฐบาลกัมพูชาเปิดประมูลใบอนุญาตกาสิโน เขากลับคว้าใบอนุญาตนั้นมาได้ นายเฉินจัดตั้งกาสิโนเมื่อปี 2538 โดยใช้เรือเช่าตามแม่น้ำบาสัก (Bassac River) ซึ่งเป็นสาขาของแม่น้ำโขง ใกล้กับพระบรมราชวังจตุมุขสิริมงคล (พระราชวังหลวง) ในกรุงพนมเปญ กระทั่งได้ซื้อที่ดินและก่อสร้างอาคารนากาเวิลด์ ย้ายมาอยู่ที่ตั้งปัจจุบันในปี 2546 จากนั้นในปี 2549 บริษัทนากาคอร์ปฯ (NagaCorp) ที่จัดตั้งขึ้นในหมู่เกาะเคย์แมนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง และขยายอาคารหลังที่สองในปี 2560 โดยมีนากาซิตี้วอล์ก (Naga City Walk) เป็นทางเชื่อมใต้ดิน กาสิโนแห่งนี้ได้รับใบอนุญาตถึงปี 2608 โดยผูกขาดเพียงรายเดียวในรัศมี 200 กิโลเมตร ถึงปี 2588 ประกอบด้วยโรงแรม 1,658 ห้อง ภัตตาคารและไนต์คลับ 20 แห่ง สปา 2 แห่ง ศูนย์การค้าใต้ดิน ร้านค้าปลอดภาษีจาก China Duty Free Group สถานที่จัดประชุมสัมมนา (MICE) รองรับผู้เข้าร่วมประชุม 1,000 คน และโรงละคร NABA ความจุ 2,000 ที่นั่ง นายเฉินถูกจัดให้เป็นมหาเศรษฐีมาเลเซียอันดับ 7 จากการจัดอันดับของนิตยสารฟอร์บส์เมื่อเดือน พ.ค. 2566 ด้วยมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 2.8 พันล้านเหรียญสหรัญฯ เขาเคยมีโครงการก่อตั้งกาสิโนอีกแห่งในเมืองวลาดิโวสต็อก ประเทศรัสเซีย แต่กลับระงับการก่อสร้างอย่างไม่มีกำหนด เนื่องจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน นายเฉินเสียชีวิตที่สหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 8 ธ.ค. 2566 เนื่องจากอาการเจ็บป่วย รวมอายุได้ 75 ปี ส่งมอบอำนาจให้แก่นายเฉิน ยี่ ฟอน (Chen Yiy Fon) ลูกชายเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มคนใหม่ #Newskit
    Like
    3
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 388 มุมมอง 0 รีวิว
  • วาดฝันนั่งรถไฟ คุนหมิง-สิงคโปร์

    การเปิดเดินรถไฟ ETS ตั้งแต่สถานี KL Sentral กรุงกัวลาลัมเปอร์ ถึงสถานี JB Sentral รัฐยะโฮร์ ประเทศมาเลเซีย แม้จะไม่มีขบวนรถสายยาวจากสถานีปาดังเบซาร์ ชายแดนไทย-มาเลเซีย แต่คนที่วาดฝันว่าจะนั่งรถไฟจากคุนหมิง ประเทศจีน ไปประเทศสิงคโปร์ย่อมไม่ไกลเกินฝัน แต่ต้องจองตั๋วล่วงหน้า เมื่อลองร่างโปรแกรมการเดินทางคร่าวๆ ผลออกมาดังนี้

    วันที่ 1 ออกจากสถานีรถไฟคุนหมิงใต้ (Kunmingnan) ด้วยรถไฟ EMU ขบวนที่ D87 เวลา 08.08 น. (ตามเวลาประเทศจีน) ตามกำหนดจะถึงสถานีนครหลวงเวียงจันทน์ เวลา 16.44 น. (ตามเวลาประเทศลาว) แต่อาจมีขบวนรถล่าช้า ถึงปลายทางประมาณ 17.00 น.

    จากนั้นมี 2 ตัวเลือก คือ 1. ใช้บริการรถรับจ้างไปสถานีเวียงจันทน์ (คำสะหวาด) ต่อขบวนรถเร็วที่ 134 เวียงจันทน์-กรุงเทพอภิวัฒน์ ออกจากสถานีเวลา 18.25 น. ถึงปลายทาง 07.30 น. หรือ 2. ต่อรถประจำทางหรือรถรับจ้างไปสะพานมิตรภาพ เข้าประเทศไทยไปสถานีหนองคาย ต่อขบวนรถด่วนพิเศษอีสานมรรคาที่ 26 หนองคาย-กรุงเทพอภิวัฒน์ ออกจากสถานีเวลา 19.40 น. ถึงปลายทาง 05.30 น.

    วันที่ 2 ออกจากสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ มี 2 ตัวเลือก คือ 1. ขบวนรถด่วนพิเศษที่ 45 กรุงเทพอภิวัฒน์-ปาดังเบซาร์ ออกจากสถานีเวลา 16.10 น. ถึงปลายทางสถานีปาดังเบซาร์ ประเทศมาเลเซีย 08.05 น. แต่อาจมีขบวนรถล่าช้า ถึงปลายทางประมาณ 09.00 น. (หรือ 10.00 น. ตามเวลามาเลเซีย) หรือ 2. ขบวนรถด่วนพิเศษทักษิณารัถย์ที่ 31 กรุงเทพอภิวัฒน์-ชุมทางหาดใหญ่ ออกจากสถานีเวลา 16.50 น. ถึงปลายทาง 07.05 น. แต่อาจมีขบวนรถล่าช้า ถึงปลายทางประมาณ 08.00 น. แล้วต่อขบวนรถพิเศษโดยสารที่ 947 ชุมทางหาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ ออกจากสถานีเวลา 08.55 น. ถึงปลายทาง 09.40 น. (หรือ 10.40 น. ตามเวลามาเลเซีย)

    จากนั้นต่อรถไฟ ETS ไปยังปลายทาง KL Sentral อ้างอิงตารางเดินรถวันที่ 1 ม.ค. 2569 เป็นต้นไป (ตามเวลามาเลเซีย) มีให้เลือกได้แก่ 1. ขบวน EG9449 ออกจากสถานีเวลา 12.05 น. ถึง KL Sentral ประมาณ 17.50 น. (ถึงปลายทางสถานีเซกามัตประมาณ 20.36 น.) หรือ 2. ขบวน EX9209 ออกจากสถานีเวลา 13.50 น. ถึงปลายทางประมาณ 18.40 น. และ 3. ขบวน EP9233 ออกจากสถานีเวลา 17.00 น. ถึงปลายทางประมาณ 22.45 น. ค้างที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ 1 คืน

    วันที่ 3 ออกจากสถานี KL Sentral ด้วยรถไฟ ETS ขบวน EP9523 ออกจากสถานีเวลา 07.55 น. ถึงปลายทางสถานี JB Sentral รัฐยะโฮร์ ประมาณ 12.15 น. ต่อรถไฟ Shuttle Tebrau ไปสถานีวู้ดแลนด์ ประเทศสิงคโปร์ ขบวน ST79 ออกจากสถานีเวลา 12.45 น. หรือขบวน ST81 ออกจากสถานีเวลา 14.00 น. ใช้เวลา 5 นาที

    #Newskit
    วาดฝันนั่งรถไฟ คุนหมิง-สิงคโปร์ การเปิดเดินรถไฟ ETS ตั้งแต่สถานี KL Sentral กรุงกัวลาลัมเปอร์ ถึงสถานี JB Sentral รัฐยะโฮร์ ประเทศมาเลเซีย แม้จะไม่มีขบวนรถสายยาวจากสถานีปาดังเบซาร์ ชายแดนไทย-มาเลเซีย แต่คนที่วาดฝันว่าจะนั่งรถไฟจากคุนหมิง ประเทศจีน ไปประเทศสิงคโปร์ย่อมไม่ไกลเกินฝัน แต่ต้องจองตั๋วล่วงหน้า เมื่อลองร่างโปรแกรมการเดินทางคร่าวๆ ผลออกมาดังนี้ วันที่ 1 ออกจากสถานีรถไฟคุนหมิงใต้ (Kunmingnan) ด้วยรถไฟ EMU ขบวนที่ D87 เวลา 08.08 น. (ตามเวลาประเทศจีน) ตามกำหนดจะถึงสถานีนครหลวงเวียงจันทน์ เวลา 16.44 น. (ตามเวลาประเทศลาว) แต่อาจมีขบวนรถล่าช้า ถึงปลายทางประมาณ 17.00 น. จากนั้นมี 2 ตัวเลือก คือ 1. ใช้บริการรถรับจ้างไปสถานีเวียงจันทน์ (คำสะหวาด) ต่อขบวนรถเร็วที่ 134 เวียงจันทน์-กรุงเทพอภิวัฒน์ ออกจากสถานีเวลา 18.25 น. ถึงปลายทาง 07.30 น. หรือ 2. ต่อรถประจำทางหรือรถรับจ้างไปสะพานมิตรภาพ เข้าประเทศไทยไปสถานีหนองคาย ต่อขบวนรถด่วนพิเศษอีสานมรรคาที่ 26 หนองคาย-กรุงเทพอภิวัฒน์ ออกจากสถานีเวลา 19.40 น. ถึงปลายทาง 05.30 น. วันที่ 2 ออกจากสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ มี 2 ตัวเลือก คือ 1. ขบวนรถด่วนพิเศษที่ 45 กรุงเทพอภิวัฒน์-ปาดังเบซาร์ ออกจากสถานีเวลา 16.10 น. ถึงปลายทางสถานีปาดังเบซาร์ ประเทศมาเลเซีย 08.05 น. แต่อาจมีขบวนรถล่าช้า ถึงปลายทางประมาณ 09.00 น. (หรือ 10.00 น. ตามเวลามาเลเซีย) หรือ 2. ขบวนรถด่วนพิเศษทักษิณารัถย์ที่ 31 กรุงเทพอภิวัฒน์-ชุมทางหาดใหญ่ ออกจากสถานีเวลา 16.50 น. ถึงปลายทาง 07.05 น. แต่อาจมีขบวนรถล่าช้า ถึงปลายทางประมาณ 08.00 น. แล้วต่อขบวนรถพิเศษโดยสารที่ 947 ชุมทางหาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ ออกจากสถานีเวลา 08.55 น. ถึงปลายทาง 09.40 น. (หรือ 10.40 น. ตามเวลามาเลเซีย) จากนั้นต่อรถไฟ ETS ไปยังปลายทาง KL Sentral อ้างอิงตารางเดินรถวันที่ 1 ม.ค. 2569 เป็นต้นไป (ตามเวลามาเลเซีย) มีให้เลือกได้แก่ 1. ขบวน EG9449 ออกจากสถานีเวลา 12.05 น. ถึง KL Sentral ประมาณ 17.50 น. (ถึงปลายทางสถานีเซกามัตประมาณ 20.36 น.) หรือ 2. ขบวน EX9209 ออกจากสถานีเวลา 13.50 น. ถึงปลายทางประมาณ 18.40 น. และ 3. ขบวน EP9233 ออกจากสถานีเวลา 17.00 น. ถึงปลายทางประมาณ 22.45 น. ค้างที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ 1 คืน วันที่ 3 ออกจากสถานี KL Sentral ด้วยรถไฟ ETS ขบวน EP9523 ออกจากสถานีเวลา 07.55 น. ถึงปลายทางสถานี JB Sentral รัฐยะโฮร์ ประมาณ 12.15 น. ต่อรถไฟ Shuttle Tebrau ไปสถานีวู้ดแลนด์ ประเทศสิงคโปร์ ขบวน ST79 ออกจากสถานีเวลา 12.45 น. หรือขบวน ST81 ออกจากสถานีเวลา 14.00 น. ใช้เวลา 5 นาที #Newskit
    Like
    2
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 215 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปิดตำนาน 18 ปีมาสวิง สู่แอร์บอร์เนียวรัฐซาราวัก

    สายการบินน้องใหม่ของมาเลเซียที่ชื่อว่า แอร์บอร์เนียว (Air Borneo) จะเริ่มจำหน่ายตั๋วโดยสารผ่านเว็บไซต์ในวันที่ 10 ธ.ค. 2568 ก่อนทำการบินครั้งแรกในวันที่ 14 ม.ค. 2569 หลังรัฐบาลท้องถิ่นรัฐซาราวัก ซื้อกิจการสายการบินมาสวิง (MASWings) จากกลุ่มมาเลเซีย เอวิเอชัน กรุ๊ป (MAG) เจ้าของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ (Malaysia Airlines) มาตั้งแต่เดือน ก.พ. 2568

    โดยตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2569 เที่ยวบินทั้งหมดของมาสวิงจะให้บริการโดยแอร์บอร์เนียว ภายหลังโอนสิทธิ์การบริหารให้แก่รัฐบาลท้องถิ่นรัฐซาราวัก ระหว่างนี้ การซื้อตั๋วใหม่สำหรับการเดินทางถึงวันที่ 13 ม.ค. 2569 ยังคงซื้อตั๋วผ่านเว็บไซต์ของมาสวิง หลังจากนั้นวันที่ 14 ม.ค. 2569 สามารถซื้อตั๋วเครื่องบินได้บนเว็บไซต์และคอลเซ็นเตอร์ของแอร์บอร์เนียว

    ส่วนโปรแกรมสะสมคะแนนเอนริช พอยต์ (Enrich Points) จะไม่สามารถสะสมหรือแลกใช้ได้กับเที่ยวบินของแอร์บอร์เนียวได้อีกต่อไป อย่างไรก็ตาม มาเลเซียแอร์ไลน์ยังมีเที่ยวบินจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ไปยังปลายทางบนเกาะบอร์เนียว ได้แก่ กูชิ่ง ซิบู บินตูลู มิริ ลาบวน โกตากินาบาลู ซันดากัน ตาเวา รวมถึงสายการบินไฟร์ฟลาย (Firefly) มีเส้นทางไปกูชิ่่ง ซิบู โกตากินาบาลู ตาเวา

    สำหรับมาสวิง เป็นสายการบินชุมชนระดับภูมิภาคสำหรับรัฐซาบาห์และซาราวักในมาเลเซียตะวันออก บนเกาะบอร์เนียว เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 ต.ค. 2550 เน้นเส้นทางไปยังพื้นที่ชนบท (RAS) ภายในรัฐซาบาห์และรัฐซาราวักเป็นหลัก โดยมีศูนย์กลางการบินหลัก (Hub) ที่โกตากินาบาลู มิริ และฮับรองที่กูชิ่ง ไปยังจุดหมายปลายทางหลัก รวม 23 แห่ง ใช้เครื่องบิน ATR72-500 มี 68 ที่นั่ง จำนวน 8 ลำ และ VIKING DHC-6-400 มี 19 ที่นั่ง จำนวน 6 ลำ ใช้สำหรับบริการการบินในชนบท โดยได้รับเงินอุดหนุนประจำปีจากรัฐบาลกลาง

    รัฐบาลท้องถิ่นรัฐซาราวัก ภายใต้การนำของนายอาบัง โจฮาริ โอเปง มุขมนตรีรัฐซาราวัก ได้ซื้อกิจการสายการบินมาสวิง เพื่อจัดตั้งสายการบินบูทีคแอร์ไลน์ (Boutique Airline) ที่ภาครัฐเป็นเจ้าของ กระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจในท้องถิ่น และผลักดันให้รัฐซาราวักเป็นศูนย์กลางการบินบนเกาะบอร์เนียว ก่อนหน้านี้ สำนักข่าวมาเลย์เมล์ (MalayMail) ของรายงานว่า แอร์บอร์เนียวมีแผนจะเปิดเส้นทางบินไปยังประเทศสิงคโปร์ และเกาะเชจูในเกาหลีใต้

    อนึ่ง รัฐซาราวัก มีเมืองหลักคือกูชิ่ง ใช้เวลาเดินทางจากกรุงกัวลาลัมเปอร์โดยเครื่องบินประมาณ 2 ชั่วโมง ตั้งอยู่บนเกาะบอร์เนียวซึ่งเป็นแผ่นดินรวมกัน 3 ประเทศ คือ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และบรูไน

    #Newskit
    ปิดตำนาน 18 ปีมาสวิง สู่แอร์บอร์เนียวรัฐซาราวัก สายการบินน้องใหม่ของมาเลเซียที่ชื่อว่า แอร์บอร์เนียว (Air Borneo) จะเริ่มจำหน่ายตั๋วโดยสารผ่านเว็บไซต์ในวันที่ 10 ธ.ค. 2568 ก่อนทำการบินครั้งแรกในวันที่ 14 ม.ค. 2569 หลังรัฐบาลท้องถิ่นรัฐซาราวัก ซื้อกิจการสายการบินมาสวิง (MASWings) จากกลุ่มมาเลเซีย เอวิเอชัน กรุ๊ป (MAG) เจ้าของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ (Malaysia Airlines) มาตั้งแต่เดือน ก.พ. 2568 โดยตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2569 เที่ยวบินทั้งหมดของมาสวิงจะให้บริการโดยแอร์บอร์เนียว ภายหลังโอนสิทธิ์การบริหารให้แก่รัฐบาลท้องถิ่นรัฐซาราวัก ระหว่างนี้ การซื้อตั๋วใหม่สำหรับการเดินทางถึงวันที่ 13 ม.ค. 2569 ยังคงซื้อตั๋วผ่านเว็บไซต์ของมาสวิง หลังจากนั้นวันที่ 14 ม.ค. 2569 สามารถซื้อตั๋วเครื่องบินได้บนเว็บไซต์และคอลเซ็นเตอร์ของแอร์บอร์เนียว ส่วนโปรแกรมสะสมคะแนนเอนริช พอยต์ (Enrich Points) จะไม่สามารถสะสมหรือแลกใช้ได้กับเที่ยวบินของแอร์บอร์เนียวได้อีกต่อไป อย่างไรก็ตาม มาเลเซียแอร์ไลน์ยังมีเที่ยวบินจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ไปยังปลายทางบนเกาะบอร์เนียว ได้แก่ กูชิ่ง ซิบู บินตูลู มิริ ลาบวน โกตากินาบาลู ซันดากัน ตาเวา รวมถึงสายการบินไฟร์ฟลาย (Firefly) มีเส้นทางไปกูชิ่่ง ซิบู โกตากินาบาลู ตาเวา สำหรับมาสวิง เป็นสายการบินชุมชนระดับภูมิภาคสำหรับรัฐซาบาห์และซาราวักในมาเลเซียตะวันออก บนเกาะบอร์เนียว เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 ต.ค. 2550 เน้นเส้นทางไปยังพื้นที่ชนบท (RAS) ภายในรัฐซาบาห์และรัฐซาราวักเป็นหลัก โดยมีศูนย์กลางการบินหลัก (Hub) ที่โกตากินาบาลู มิริ และฮับรองที่กูชิ่ง ไปยังจุดหมายปลายทางหลัก รวม 23 แห่ง ใช้เครื่องบิน ATR72-500 มี 68 ที่นั่ง จำนวน 8 ลำ และ VIKING DHC-6-400 มี 19 ที่นั่ง จำนวน 6 ลำ ใช้สำหรับบริการการบินในชนบท โดยได้รับเงินอุดหนุนประจำปีจากรัฐบาลกลาง รัฐบาลท้องถิ่นรัฐซาราวัก ภายใต้การนำของนายอาบัง โจฮาริ โอเปง มุขมนตรีรัฐซาราวัก ได้ซื้อกิจการสายการบินมาสวิง เพื่อจัดตั้งสายการบินบูทีคแอร์ไลน์ (Boutique Airline) ที่ภาครัฐเป็นเจ้าของ กระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจในท้องถิ่น และผลักดันให้รัฐซาราวักเป็นศูนย์กลางการบินบนเกาะบอร์เนียว ก่อนหน้านี้ สำนักข่าวมาเลย์เมล์ (MalayMail) ของรายงานว่า แอร์บอร์เนียวมีแผนจะเปิดเส้นทางบินไปยังประเทศสิงคโปร์ และเกาะเชจูในเกาหลีใต้ อนึ่ง รัฐซาราวัก มีเมืองหลักคือกูชิ่ง ใช้เวลาเดินทางจากกรุงกัวลาลัมเปอร์โดยเครื่องบินประมาณ 2 ชั่วโมง ตั้งอยู่บนเกาะบอร์เนียวซึ่งเป็นแผ่นดินรวมกัน 3 ประเทศ คือ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และบรูไน #Newskit
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 271 มุมมอง 0 รีวิว
  • สิ้นสุดการรอคอย รถไฟ KL-ยะโฮร์บาห์รู

    การรถไฟมาลายา (KTM Berhad) ประเทศมาเลเซีย เตรียมเปิดให้บริการรถไฟ ETS จากสถานี KL Sentral กรุงกัวลาลัมเปอร์ ถึงสถานี JB Sentral รัฐยะโฮร์ ตั้งแต่วันที่ 12 ธ.ค. 2568 เป็นต้นไป หลังโครงการรถไฟทางคู่ติดตั้งระบบไฟฟ้า เกอมัส-ยะโฮร์บาห์รู ระยะทาง 192 กิโลเมตร พร้อมปรับปรุงสถานีรถไฟ 11 แห่งแล้วเสร็จตามแผน โดย KTMB จะทยอยเปิดให้บริการตามลำดับ เริ่มจากภาคใต้ก่อนเชื่อมสู่เส้นทาง ETS เต็มรูปแบบ

    สำหรับตั๋วโดยสาร สามารถซื้อได้ผ่านแอป KITS Style ตู้จำหน่ายตั๋วอัตโนมัติ และเว็บไซต์ online.ktmb.com.my ครอบคลุมช่วงเดินทางล่วงหน้าตั้งแต่ 12 ธ.ค. 2568 ถึงเดือน พ.ค. 2569 โดยเส้นทาง KL Sentral ถึง JB Sentral ให้บริการวันละ 2 เที่ยว ได้แก่ รอบเช้า เฉพาะวันที่ 12-31 ธ.ค. 2568 ออกเวลา 07.45 น. ถึงปลายทาง 12.05 น. ส่วนวันที่ 1 ม.ค. 2569 เป็นต้นไป ออกเวลา 07.55 น. ถึงปลายทาง 12.15 น. และรอบเย็น ออกเวลา 17.35 น. ถึงปลายทาง 21.55 น.

    ส่วนเส้นทาง JB Sentral ถึง KL Sentral ให้บริการวันละ 2 เที่ยว ได้แก่ รอบเช้า ออกเวลา 08.40 น. ถึงปลายทางเวลา 13.00 น. และรอบเย็น ออกเวลา 16.20 น. ถึงปลายทางเวลา 20.40 น. โดยแนะนำให้ซื้อตั๋วล่วงหน้าเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาตั๋วโดยสารเต็ม และให้มาถึงชานชาลาผู้โดยสารขาออกอย่างน้อย 30 นาทีก่อนเวลาเดินทาง เพราะประตูจะปิด 5 นาทีก่อนออกจากสถานี

    นายอาหมัด นิซาม บิน โมฮาเหม็ด อามิน รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร KTM Berhad กล่าวว่า การเปิดให้บริการรถไฟ ETS ชาวรัฐยะโฮร์สามารถตรงไปยังสถานี KL Sentral ก่อนเชื่อมต่อไปยังจุดหมายปลายทางอื่นๆ ในภาคเหนือและชายฝั่งตะวันออก นอกจากจะอำนวยความสะดวกด้านการเดินทางในชีวิตประจำวันแล้ว ยังสนับสนุนการเติบโตของภาคอุตสาหกรรม การท่องเที่ยว และเศรษฐกิจของรัฐยะโฮร์ ซึ่งดึงดูดนักท่องเที่ยว รวมถึงชาวสิงคโปร์ ให้เดินทางมายังมาเลเซียด้วยบริการรถไฟมากขึ้น

    อนึ่ง สำหรับผู้ที่เดินทางด้วยรถไฟ ETS จากสถานีปาดังเบซาร์ (ชายแดนไทย-มาเลเซีย) เนื่องจากยังไม่มีการเดินรถไปถึงสถานี JB Sentral จึงต้องลงรถที่สถานี KL Sentral ก่อน แล้วต่อรถไฟอีกขบวนหนึ่ง ซึ่งจากตารางเดินรถใหม่ ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2569 จากสถานีปาดังเบซาร์ สามารถใช้ขบวนรถเที่ยวแรก ออกเวลา 07.20 น. ถึงสถานี KL Sentral เวลา 12.45 น. (เผื่อกรณีขบวนรถล่าช้า) แล้วต่อด้วยรถไฟเที่ยวเวลา 17.35 น. ไปปลายทาง JB Sentral

    ส่วนเที่ยวกลับจาก JB Sentral แนะนำว่าอาจต้องค้างคืนที่กัวลาลัมเปอร์ 1 คืน แล้วต่อรถไฟ ETS เช้าวันถัดไปเพื่อไปสถานีปาดังเบซาร์ กลับสู่ประเทศไทย

    #Newskit
    สิ้นสุดการรอคอย รถไฟ KL-ยะโฮร์บาห์รู การรถไฟมาลายา (KTM Berhad) ประเทศมาเลเซีย เตรียมเปิดให้บริการรถไฟ ETS จากสถานี KL Sentral กรุงกัวลาลัมเปอร์ ถึงสถานี JB Sentral รัฐยะโฮร์ ตั้งแต่วันที่ 12 ธ.ค. 2568 เป็นต้นไป หลังโครงการรถไฟทางคู่ติดตั้งระบบไฟฟ้า เกอมัส-ยะโฮร์บาห์รู ระยะทาง 192 กิโลเมตร พร้อมปรับปรุงสถานีรถไฟ 11 แห่งแล้วเสร็จตามแผน โดย KTMB จะทยอยเปิดให้บริการตามลำดับ เริ่มจากภาคใต้ก่อนเชื่อมสู่เส้นทาง ETS เต็มรูปแบบ สำหรับตั๋วโดยสาร สามารถซื้อได้ผ่านแอป KITS Style ตู้จำหน่ายตั๋วอัตโนมัติ และเว็บไซต์ online.ktmb.com.my ครอบคลุมช่วงเดินทางล่วงหน้าตั้งแต่ 12 ธ.ค. 2568 ถึงเดือน พ.ค. 2569 โดยเส้นทาง KL Sentral ถึง JB Sentral ให้บริการวันละ 2 เที่ยว ได้แก่ รอบเช้า เฉพาะวันที่ 12-31 ธ.ค. 2568 ออกเวลา 07.45 น. ถึงปลายทาง 12.05 น. ส่วนวันที่ 1 ม.ค. 2569 เป็นต้นไป ออกเวลา 07.55 น. ถึงปลายทาง 12.15 น. และรอบเย็น ออกเวลา 17.35 น. ถึงปลายทาง 21.55 น. ส่วนเส้นทาง JB Sentral ถึง KL Sentral ให้บริการวันละ 2 เที่ยว ได้แก่ รอบเช้า ออกเวลา 08.40 น. ถึงปลายทางเวลา 13.00 น. และรอบเย็น ออกเวลา 16.20 น. ถึงปลายทางเวลา 20.40 น. โดยแนะนำให้ซื้อตั๋วล่วงหน้าเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาตั๋วโดยสารเต็ม และให้มาถึงชานชาลาผู้โดยสารขาออกอย่างน้อย 30 นาทีก่อนเวลาเดินทาง เพราะประตูจะปิด 5 นาทีก่อนออกจากสถานี นายอาหมัด นิซาม บิน โมฮาเหม็ด อามิน รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร KTM Berhad กล่าวว่า การเปิดให้บริการรถไฟ ETS ชาวรัฐยะโฮร์สามารถตรงไปยังสถานี KL Sentral ก่อนเชื่อมต่อไปยังจุดหมายปลายทางอื่นๆ ในภาคเหนือและชายฝั่งตะวันออก นอกจากจะอำนวยความสะดวกด้านการเดินทางในชีวิตประจำวันแล้ว ยังสนับสนุนการเติบโตของภาคอุตสาหกรรม การท่องเที่ยว และเศรษฐกิจของรัฐยะโฮร์ ซึ่งดึงดูดนักท่องเที่ยว รวมถึงชาวสิงคโปร์ ให้เดินทางมายังมาเลเซียด้วยบริการรถไฟมากขึ้น อนึ่ง สำหรับผู้ที่เดินทางด้วยรถไฟ ETS จากสถานีปาดังเบซาร์ (ชายแดนไทย-มาเลเซีย) เนื่องจากยังไม่มีการเดินรถไปถึงสถานี JB Sentral จึงต้องลงรถที่สถานี KL Sentral ก่อน แล้วต่อรถไฟอีกขบวนหนึ่ง ซึ่งจากตารางเดินรถใหม่ ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2569 จากสถานีปาดังเบซาร์ สามารถใช้ขบวนรถเที่ยวแรก ออกเวลา 07.20 น. ถึงสถานี KL Sentral เวลา 12.45 น. (เผื่อกรณีขบวนรถล่าช้า) แล้วต่อด้วยรถไฟเที่ยวเวลา 17.35 น. ไปปลายทาง JB Sentral ส่วนเที่ยวกลับจาก JB Sentral แนะนำว่าอาจต้องค้างคืนที่กัวลาลัมเปอร์ 1 คืน แล้วต่อรถไฟ ETS เช้าวันถัดไปเพื่อไปสถานีปาดังเบซาร์ กลับสู่ประเทศไทย #Newskit
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 214 มุมมอง 0 รีวิว
  • มุกเดิมฮุนเซน งัดคลิปแบล็คเมล์

    การปะทะกันระหว่างไทยและกัมพูชาครั้งใหม่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 8 ธ.ค. ที่ผ่านมา ก่อนหน้านี้กัมพูชาใช้วิธีตีสองหน้า ลอบโจมตีทหารไทยบาดเจ็บ 2 นาย แล้วอ้างต่อประชาคมโลกว่าไม่ได้ทำ ปฎิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงและปฎิญญาสันติภาพ แบบเดียวกับเวลาทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิด PMN-2 สภาพใหม่เอี่ยม กัมพูชาก็อ้างว่าเป็นของเก่า งานนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย มีท่าทีแข็งกร้าว เรียกประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ ก่อนมีมติปฏิบัติการทางทหารในทุกกรณี ตามเงื่อนไขของสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และให้มีการปฏิบัติการทางทหารในเรื่องอื่นๆ ที่มีความจำเป็น

    นายอนุทินยืนยันว่าไม่เจรจากับกัมพูชาอีกแล้ว จากนี้ไปถ้ากัมพูชาจะหยุดสู้รบกันก็ต้องทำตามสิ่งที่ประเทศไทยกำหนด รวมถึงถ้อยแถลงร่วม (Joint Declaration) ระหว่างไทย-กัมพูชา ซึ่งลงนามที่ประเทศมาเลเซียก็ไม่มีแล้ว ไม่คุย และไม่แจ้งนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย หรือนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เพราะเป็นเรื่องของประเทศไทยและคู่กรณี และไม่กังวลว่าจะส่งผลต่อการเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ แต่อีกด้านหนึ่ง นายอนุทินยังคงไม่ยกเลิก MOU43 และ MOU44 แต่อย่างใด ทั้งที่ผ่านมากัมพูชามองว่าเป็นเพียงแค่เศษกระดาษ และมีพฤติกรรมรุกล้ำดินแดนไทยอย่างต่อเนื่อง

    ที่น่าสนใจก็คือ มุกเดิมๆ ของนายฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา และรักษาการประมุขแห่งรัฐ เอาคลิปที่นายอนุทินไปพบผู้ว่าราชการจังหวัดไพลิน ประเทศกัมพูชา โดยไม่ระบุวัน เวลา และสถานที่อย่างแน่ชัด โดยระบุข้อความว่า "ผมไม่คิดเลยว่านายกรัฐมนตรีอนุทินของไทย จะกล้าเอาชีวิตของทหารและประชาชนไปประกาศสงครามกับกัมพูชา เพื่อผลประโยชน์ในการเลือกตั้งครั้งหน้า เมื่อกองทัพกัมพูชาไม่ตอบโต้ ก่อนเป็นนายกรัฐมนตรี ท่านเป็นเพื่อน แต่เมื่อท่านเป็นนายกรัฐมนตรี ท่านกลับลืมมิตรภาพ ผมเข้าใจความรักชาติ แต่เราไม่ควรประกาศสงครามกับผู้ที่ไม่ตอบโต้"

    จุดอ่อนของนายฮุน เซน คือไม่ชอบให้ใครมาเหยียดหยาม เขาประสบความสำเร็จในการเผยแพร่คลิปเสียง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนก่อนหน้า สนทนาทางโทรศัพท์ ด้วยวลีที่ว่า "แม่ทัพภาคที่ 2 เป็นคนละพวกกับเรา" และ "อังเคิลอยากได้อะไรขอให้บอก เดี๋ยวจัดให้" ทำคนไทยทั้งประเทศโกรธและตราหน้าว่า "ขายชาติ" นำไปสู่การพ้นจากตำแหน่งตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ แต่สำหรับนายอนุทิน ขณะนี้ยังไม่พบว่าเคยมีผลประโยชน์อะไรกับกัมพูชา เมื่อเทียบกับตระกูลชินวัตร วิธีการแบล็คเมล์เดิมๆ ของนายฮุน เซน กลายเป็นที่เคลือบแคลงสงสัย และอาจทำให้มิตรประเทศต่างๆ ไม่น่าไว้วางใจยิ่งขึ้น

    #Newskit
    มุกเดิมฮุนเซน งัดคลิปแบล็คเมล์ การปะทะกันระหว่างไทยและกัมพูชาครั้งใหม่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 8 ธ.ค. ที่ผ่านมา ก่อนหน้านี้กัมพูชาใช้วิธีตีสองหน้า ลอบโจมตีทหารไทยบาดเจ็บ 2 นาย แล้วอ้างต่อประชาคมโลกว่าไม่ได้ทำ ปฎิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงและปฎิญญาสันติภาพ แบบเดียวกับเวลาทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิด PMN-2 สภาพใหม่เอี่ยม กัมพูชาก็อ้างว่าเป็นของเก่า งานนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย มีท่าทีแข็งกร้าว เรียกประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ ก่อนมีมติปฏิบัติการทางทหารในทุกกรณี ตามเงื่อนไขของสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และให้มีการปฏิบัติการทางทหารในเรื่องอื่นๆ ที่มีความจำเป็น นายอนุทินยืนยันว่าไม่เจรจากับกัมพูชาอีกแล้ว จากนี้ไปถ้ากัมพูชาจะหยุดสู้รบกันก็ต้องทำตามสิ่งที่ประเทศไทยกำหนด รวมถึงถ้อยแถลงร่วม (Joint Declaration) ระหว่างไทย-กัมพูชา ซึ่งลงนามที่ประเทศมาเลเซียก็ไม่มีแล้ว ไม่คุย และไม่แจ้งนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย หรือนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เพราะเป็นเรื่องของประเทศไทยและคู่กรณี และไม่กังวลว่าจะส่งผลต่อการเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ แต่อีกด้านหนึ่ง นายอนุทินยังคงไม่ยกเลิก MOU43 และ MOU44 แต่อย่างใด ทั้งที่ผ่านมากัมพูชามองว่าเป็นเพียงแค่เศษกระดาษ และมีพฤติกรรมรุกล้ำดินแดนไทยอย่างต่อเนื่อง ที่น่าสนใจก็คือ มุกเดิมๆ ของนายฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา และรักษาการประมุขแห่งรัฐ เอาคลิปที่นายอนุทินไปพบผู้ว่าราชการจังหวัดไพลิน ประเทศกัมพูชา โดยไม่ระบุวัน เวลา และสถานที่อย่างแน่ชัด โดยระบุข้อความว่า "ผมไม่คิดเลยว่านายกรัฐมนตรีอนุทินของไทย จะกล้าเอาชีวิตของทหารและประชาชนไปประกาศสงครามกับกัมพูชา เพื่อผลประโยชน์ในการเลือกตั้งครั้งหน้า เมื่อกองทัพกัมพูชาไม่ตอบโต้ ก่อนเป็นนายกรัฐมนตรี ท่านเป็นเพื่อน แต่เมื่อท่านเป็นนายกรัฐมนตรี ท่านกลับลืมมิตรภาพ ผมเข้าใจความรักชาติ แต่เราไม่ควรประกาศสงครามกับผู้ที่ไม่ตอบโต้" จุดอ่อนของนายฮุน เซน คือไม่ชอบให้ใครมาเหยียดหยาม เขาประสบความสำเร็จในการเผยแพร่คลิปเสียง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนก่อนหน้า สนทนาทางโทรศัพท์ ด้วยวลีที่ว่า "แม่ทัพภาคที่ 2 เป็นคนละพวกกับเรา" และ "อังเคิลอยากได้อะไรขอให้บอก เดี๋ยวจัดให้" ทำคนไทยทั้งประเทศโกรธและตราหน้าว่า "ขายชาติ" นำไปสู่การพ้นจากตำแหน่งตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ แต่สำหรับนายอนุทิน ขณะนี้ยังไม่พบว่าเคยมีผลประโยชน์อะไรกับกัมพูชา เมื่อเทียบกับตระกูลชินวัตร วิธีการแบล็คเมล์เดิมๆ ของนายฮุน เซน กลายเป็นที่เคลือบแคลงสงสัย และอาจทำให้มิตรประเทศต่างๆ ไม่น่าไว้วางใจยิ่งขึ้น #Newskit
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 443 มุมมอง 0 รีวิว
  • ขึ้นภาษีสนามบิน ระวังนักท่องเที่ยวหนี

    ที่ประชุมคณะกรรมการการบินพลเรือน (กบร.) เมื่อวันที่ 3 ธ.ค. เห็นชอบปรับอัตราค่าบริการผู้โดยสารขาออก (Passenger Service Charge หรือ PSC) หรือ ภาษีสนามบิน สำหรับเที่ยวบินระหว่างประเทศ แก่ท่าอากาศยานหลัก 6 แห่ง ได้แก่ สุวรรณภูมิ ดอนเมือง เชียงใหม่ หาดใหญ่ เชียงราย และภูเก็ต จาก 730 บาท เป็น 1,120 บาท หรือเพิ่มขึ้น 390 บาทต่อคน

    ที่ประชุมเห็นว่า หลายประเทศปรับเพิ่มค่า PSC เพื่อพัฒนาสนามบินให้ทันสมัยและมีประสิทธิภาพ คาดว่ารายได้เพิ่มขึ้นกว่า 10,000 ล้านบาทต่อปี จะใช้ปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ก่อสร้างอาคารผู้โดยสารด้านทิศใต้ (South Terminal) รองรับการเติบโตของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ส่งเสริมประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาค โดยไม่ต้องพึ่งงบประมาณหรือภาระหนี้สาธารณะ

    นับจากนี้ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT และสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) จะทำงานร่วมกัน จัดรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ก่อนเสนอ รมว.คมนาคมอนุมัติ และแจ้งประชาชนล่วงหน้า 4 เดือน ก่อนเริ่มจัดเก็บในอัตราใหม่

    ก่อนหน้านี้สมาคมสายการบินประเทศไทย เสนอขอให้ชะลอการปรับขึ้นค่าธรรมเนียมการบิน ทั้งค่าบริการการเดินอากาศ (ANSC) และค่า PSC ในช่วงเศรษฐกิจฟื้นตัว เพื่อช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว เพิ่มความถี่เที่ยวบิน และกระจายรายได้สู่ภูมิภาค พร้อมกับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องบินไอพ่น และโครงการซื้อบัตรโดยสารระหว่างประเทศ ฟรีภายในประเทศแก่นักท่องเที่ยวต่างชาติ

    ในภูมิภาคอาเซียน ท่าอากาศยานชางฮีของสิงคโปร์ ประกาศปรับค่า PSC ล่วงหน้าตั้งแต่ปี 2569-2573 ตั้งแต่ 65.2 ถึง 79.2 เหรียญสิงคโปร์ (1,600 ถึง 1,945 บาท) แต่ท่าอากาศยานซูการ์โน-ฮัตตา ของอินโดนีเซีย ยังคิคค่า PSC เพียง 177,600 รูเปียห์ (339 บาท) ส่วนท่าอากาศยานกัวลาลัมเปอร์ ของมาเลเซีย คิดค่า PSC แยกกันระหว่างสายการบินฟลูเซอร์วิส (KLIA1) 73 ริงกิต (565 บาท) และสายการบินโลว์คอสต์ (KLIA2) 50 ริงกิต (387 บาท) เท่านั้น

    บนโซเชียลฯ วิจารณ์ว่าท่าอากาศยานหลักทั้ง 6 แห่งยังให้บริการบกพร่อง โดยเฉพาะท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ห้องน้ำบริเวณประตูขึ้นเครื่อง (GATE) ไม่เพียงพอ สภาพเก่า มีกลิ่นเหม็น เก้าอี้นั่งไม่สบาย จุดชาร์จแบตเตอรี่มีน้อย ไวไฟฟรีมีจำกัดเวลา หากค่าตั๋วเครื่องบินแพงขึ้น อาจทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติลดลง

    ในปีงบประมาณ 2568 ท่าอากาศยานหลักของ AOT ทั้ง 6 แห่ง มีเที่ยวบินระหว่างประเทศ 444,944 เที่ยวบิน ผู้โดยสารรวม 76,636,387 คน

    #Newskit
    ขึ้นภาษีสนามบิน ระวังนักท่องเที่ยวหนี ที่ประชุมคณะกรรมการการบินพลเรือน (กบร.) เมื่อวันที่ 3 ธ.ค. เห็นชอบปรับอัตราค่าบริการผู้โดยสารขาออก (Passenger Service Charge หรือ PSC) หรือ ภาษีสนามบิน สำหรับเที่ยวบินระหว่างประเทศ แก่ท่าอากาศยานหลัก 6 แห่ง ได้แก่ สุวรรณภูมิ ดอนเมือง เชียงใหม่ หาดใหญ่ เชียงราย และภูเก็ต จาก 730 บาท เป็น 1,120 บาท หรือเพิ่มขึ้น 390 บาทต่อคน ที่ประชุมเห็นว่า หลายประเทศปรับเพิ่มค่า PSC เพื่อพัฒนาสนามบินให้ทันสมัยและมีประสิทธิภาพ คาดว่ารายได้เพิ่มขึ้นกว่า 10,000 ล้านบาทต่อปี จะใช้ปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ก่อสร้างอาคารผู้โดยสารด้านทิศใต้ (South Terminal) รองรับการเติบโตของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ส่งเสริมประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาค โดยไม่ต้องพึ่งงบประมาณหรือภาระหนี้สาธารณะ นับจากนี้ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT และสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) จะทำงานร่วมกัน จัดรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ก่อนเสนอ รมว.คมนาคมอนุมัติ และแจ้งประชาชนล่วงหน้า 4 เดือน ก่อนเริ่มจัดเก็บในอัตราใหม่ ก่อนหน้านี้สมาคมสายการบินประเทศไทย เสนอขอให้ชะลอการปรับขึ้นค่าธรรมเนียมการบิน ทั้งค่าบริการการเดินอากาศ (ANSC) และค่า PSC ในช่วงเศรษฐกิจฟื้นตัว เพื่อช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว เพิ่มความถี่เที่ยวบิน และกระจายรายได้สู่ภูมิภาค พร้อมกับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องบินไอพ่น และโครงการซื้อบัตรโดยสารระหว่างประเทศ ฟรีภายในประเทศแก่นักท่องเที่ยวต่างชาติ ในภูมิภาคอาเซียน ท่าอากาศยานชางฮีของสิงคโปร์ ประกาศปรับค่า PSC ล่วงหน้าตั้งแต่ปี 2569-2573 ตั้งแต่ 65.2 ถึง 79.2 เหรียญสิงคโปร์ (1,600 ถึง 1,945 บาท) แต่ท่าอากาศยานซูการ์โน-ฮัตตา ของอินโดนีเซีย ยังคิคค่า PSC เพียง 177,600 รูเปียห์ (339 บาท) ส่วนท่าอากาศยานกัวลาลัมเปอร์ ของมาเลเซีย คิดค่า PSC แยกกันระหว่างสายการบินฟลูเซอร์วิส (KLIA1) 73 ริงกิต (565 บาท) และสายการบินโลว์คอสต์ (KLIA2) 50 ริงกิต (387 บาท) เท่านั้น บนโซเชียลฯ วิจารณ์ว่าท่าอากาศยานหลักทั้ง 6 แห่งยังให้บริการบกพร่อง โดยเฉพาะท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ห้องน้ำบริเวณประตูขึ้นเครื่อง (GATE) ไม่เพียงพอ สภาพเก่า มีกลิ่นเหม็น เก้าอี้นั่งไม่สบาย จุดชาร์จแบตเตอรี่มีน้อย ไวไฟฟรีมีจำกัดเวลา หากค่าตั๋วเครื่องบินแพงขึ้น อาจทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติลดลง ในปีงบประมาณ 2568 ท่าอากาศยานหลักของ AOT ทั้ง 6 แห่ง มีเที่ยวบินระหว่างประเทศ 444,944 เที่ยวบิน ผู้โดยสารรวม 76,636,387 คน #Newskit
    Like
    2
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 427 มุมมอง 0 รีวิว
  • มาเลเซียนับหนึ่งอีกครั้ง ค้นหาเที่ยวบินปริศนา MH370

    กระทรวงคมนาคมมาเลเซียประกาศว่า ปฏิบัติการค้นหาเครื่องบินของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ MH370 จะเริ่มต้นใหม่ โดยบริษัท โอเชียน อินฟินิตี (Ocean Infinity) ภายในวันที่ 30 ธ.ค. ทั้งนี้ รัฐบาลมาเลเซียยังคงมั่นคงในความพยายามในการหาคําตอบ และแสดงออกถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันแก่ครอบครัวที่ได้รับผลกระทบทั้งหมด

    ถ้อยแถลงของกระทรวงฯ ระบุว่า บริษัท โอเชียน อินฟินิตี ได้ยืนยันต่อรัฐบาลมาเลเซียว่า จะเริ่มดำเนินการค้นหาใต้ทะเลอีกครั้งเป็นเวลา 55 วัน โดยจะดำเนินการเป็นระยะ มุ่งเน้นไปที่เป้าหมายที่ได้รับการประเมินว่ามีโอกาสสูงสุดที่จะระบุตำแหน่งของเครื่องบินได้ ตามข้อตกลงการให้บริการที่ลงนามระหว่างกัน เมื่อวันที่ 25 มี.ค. ที่ผ่านมา

    อย่างไรก็ตาม ยังคงมีเสียงวิจารณ์จากชาวมาเลเซีย ทั้งเห็นด้วยในการค้นหา เพราะต้องการคำตอบที่สมเหตุสมผลถึงสาเหตุที่เครื่องบินหายไป บ้างก็ไม่เห็นด้วยหากต้องใช้เงินภาษีประชาชน แนะว่าให้นำเงินจำนวนมหาศาลไปช่วยเหลือประชาชนผู้ที่ยากลำบากดีกว่า ถึงกระนั้น ข้อตกลงระหว่างรัฐบาลกับบริษัทเอกชนมีเงื่อนไขก็คือ รัฐบาลจะจ่ายเงินหากพบชิ้นส่วนเครื่องบินเท่านั้น

    หากค้นพบซากเครื่องบิน รัฐบาลมาเลเซียจะต้องจ่ายเงินให้บริษัทเอกชนดังกล่าว 70 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (2,230 ล้านบาท)

    เครื่องบินโบอิ้ง 777-200ER ของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ MH370 ออกจากท่าอากาศยานกัวลาลัมเปอร์ เมื่อวันที่ 8 มี.ค. 2557 มุ่งหน้าไปยังกรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีผู้โดยสาร 227 คน ส่วนใหญ่เป็นชาวจีน และลูกเรือ 12 คน รวม 239 คน แต่ขาดการติดต่อกับศูนย์ควบคุมการจราจรทางอากาศในเวลาไม่ถึง 1 ชั่วโมงหลังออกจากสนามบินต้นทาง

    ตามรายงานการสอบสวน 495 หน้า ระบุว่า ระบบควบคุมของเครื่องบิน อาจถูกบังคับให้ออกนอกเส้นทางโดยเจตนา แต่ยังไม่สามารถระบุได้ว่า ใครเป็นผู้รับผิดชอบ และยังไม่ได้สรุปผลว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะขึ้นอยู่กับการค้นพบซากเครื่องบิน

    แม้จะมีปฎิบัติการค้นหาร่วมกันทั้งมาเลเซีย ออสเตรเลีย และจีน แต่ก็ยังไม่พบซากเครื่องบิน มีเพียงค้นพบชิ้นส่วนเครื่องบินเล็กๆ ที่เชื่อว่ามาจากเครื่องบินลำดังกล่าวตามแนวชายฝั่งทางตะวันตกของมหาสมุทรอินเดีย รวมถึงประเทศโมซัมบิก มาดากัสการ์ และเกาะเรอูนียงของฝรั่งเศส

    กรณีนี้นอกจากจะเกิดทฤษฎีสมคบคิดมากมายแล้ว ยังเป็นบาดแผลทางจิตใจให้กับครอบครัวผู้สูญหาย ซึ่งเรียกร้องให้สายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ บริษัทโบอิ้ง บริษัทโรลส์รอยซ์ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องยนต์ และบริษัทประกันภัยอลิอันซ์จ่ายเงินเยียวยา

    #Newskit
    มาเลเซียนับหนึ่งอีกครั้ง ค้นหาเที่ยวบินปริศนา MH370 กระทรวงคมนาคมมาเลเซียประกาศว่า ปฏิบัติการค้นหาเครื่องบินของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ MH370 จะเริ่มต้นใหม่ โดยบริษัท โอเชียน อินฟินิตี (Ocean Infinity) ภายในวันที่ 30 ธ.ค. ทั้งนี้ รัฐบาลมาเลเซียยังคงมั่นคงในความพยายามในการหาคําตอบ และแสดงออกถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันแก่ครอบครัวที่ได้รับผลกระทบทั้งหมด ถ้อยแถลงของกระทรวงฯ ระบุว่า บริษัท โอเชียน อินฟินิตี ได้ยืนยันต่อรัฐบาลมาเลเซียว่า จะเริ่มดำเนินการค้นหาใต้ทะเลอีกครั้งเป็นเวลา 55 วัน โดยจะดำเนินการเป็นระยะ มุ่งเน้นไปที่เป้าหมายที่ได้รับการประเมินว่ามีโอกาสสูงสุดที่จะระบุตำแหน่งของเครื่องบินได้ ตามข้อตกลงการให้บริการที่ลงนามระหว่างกัน เมื่อวันที่ 25 มี.ค. ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ยังคงมีเสียงวิจารณ์จากชาวมาเลเซีย ทั้งเห็นด้วยในการค้นหา เพราะต้องการคำตอบที่สมเหตุสมผลถึงสาเหตุที่เครื่องบินหายไป บ้างก็ไม่เห็นด้วยหากต้องใช้เงินภาษีประชาชน แนะว่าให้นำเงินจำนวนมหาศาลไปช่วยเหลือประชาชนผู้ที่ยากลำบากดีกว่า ถึงกระนั้น ข้อตกลงระหว่างรัฐบาลกับบริษัทเอกชนมีเงื่อนไขก็คือ รัฐบาลจะจ่ายเงินหากพบชิ้นส่วนเครื่องบินเท่านั้น หากค้นพบซากเครื่องบิน รัฐบาลมาเลเซียจะต้องจ่ายเงินให้บริษัทเอกชนดังกล่าว 70 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (2,230 ล้านบาท) เครื่องบินโบอิ้ง 777-200ER ของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ MH370 ออกจากท่าอากาศยานกัวลาลัมเปอร์ เมื่อวันที่ 8 มี.ค. 2557 มุ่งหน้าไปยังกรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีผู้โดยสาร 227 คน ส่วนใหญ่เป็นชาวจีน และลูกเรือ 12 คน รวม 239 คน แต่ขาดการติดต่อกับศูนย์ควบคุมการจราจรทางอากาศในเวลาไม่ถึง 1 ชั่วโมงหลังออกจากสนามบินต้นทาง ตามรายงานการสอบสวน 495 หน้า ระบุว่า ระบบควบคุมของเครื่องบิน อาจถูกบังคับให้ออกนอกเส้นทางโดยเจตนา แต่ยังไม่สามารถระบุได้ว่า ใครเป็นผู้รับผิดชอบ และยังไม่ได้สรุปผลว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะขึ้นอยู่กับการค้นพบซากเครื่องบิน แม้จะมีปฎิบัติการค้นหาร่วมกันทั้งมาเลเซีย ออสเตรเลีย และจีน แต่ก็ยังไม่พบซากเครื่องบิน มีเพียงค้นพบชิ้นส่วนเครื่องบินเล็กๆ ที่เชื่อว่ามาจากเครื่องบินลำดังกล่าวตามแนวชายฝั่งทางตะวันตกของมหาสมุทรอินเดีย รวมถึงประเทศโมซัมบิก มาดากัสการ์ และเกาะเรอูนียงของฝรั่งเศส กรณีนี้นอกจากจะเกิดทฤษฎีสมคบคิดมากมายแล้ว ยังเป็นบาดแผลทางจิตใจให้กับครอบครัวผู้สูญหาย ซึ่งเรียกร้องให้สายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ บริษัทโบอิ้ง บริษัทโรลส์รอยซ์ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องยนต์ และบริษัทประกันภัยอลิอันซ์จ่ายเงินเยียวยา #Newskit
    Like
    2
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 441 มุมมอง 0 รีวิว
  • มาราธอนขายหน้าโลก โคตรจะแมนใช้บิบผู้หญิงวิ่ง

    การจัดงานอะเมซิ่ง ไทยแลนด์ มาราธอน 2025 ที่สนามหลวงเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (30 พ.ย.) นอกจากนักวิ่งกว่า 36,000 คน จะประสบปัญหาเรื่องการจัดการด้านเส้นทางวิ่ง จุดปฐมพยาบาล ห้องน้ำ อาหารและของว่างที่ยังบกพร่อง รวมไปถึงเสื้อ Finisher ที่แจกให้กับนักวิ่ง 42.195 และ 21.1 กิโลเมตร กลับมีข้อบกพร่องในการแจก นักวิ่งบางคนเห็นแก่ตัว วนไปรับเสื้อซ้ำแล้วเอาไปขาย ทำให้นักวิ่งที่มาทีหลังจำนวนมากไม่ได้รับแจกเสื้อ ผู้จัดการแข่งขันต้องให้นักวิ่งลงชื่อเอาไว้ แล้วจะส่งอีเมลแจ้งการส่งเสื้อภายหลัง

    แต่ที่หนักที่สุดคือการที่นักวิ่งชายนำบิบ (BIB) หรือป้ายหมายเลขประจำตัวนักวิ่งของผู้หญิง ซึ่งไม่ตรงกับเพศและอายุไปวิ่ง ทำให้ผู้เข้าแข่งขันหญิงคนอื่นที่ทำตามกติกาเสียโอกาสในการเก็บสถิติและรับรางวัล เช่น นักวิ่งชายรายหนึ่ง เอาบิบระยะ 21.1 กิโลเมตร ของเพศหญิง รุ่นอายุ 60 ปีขึ้นไปมาใส่ ติดถ้วยรางวัลหญิงอันดับ 1 ในรุ่นอายุ ทำให้นักวิ่งหญิงที่ทำตามกติกาพลาดโอกาสได้รางวัลที่ 1 เพราะลำดับที่ 1 กลับไม่มารายงานตัว พอไปตรวจสอบเลขบิบย้อนหลังปรากฎว่าเป็นนักวิ่งชาย

    รายต่อมามีทั้งนักวิ่งชายเอาบิบระยะ 21.1 กิโลเมตร ของเพศหญิง รุ่นอายุ 55-59 ปีมาใส่ ติดถ้วยรางวัลหญิงอันดับ 1 ในรุ่นอายุ นักวิ่งหญิงที่วิ่งตามกติกานอกจากพลาดโอกาสในการรับรางวัลแล้ว ในแต่ละอันดับเงินรางวัลก็แตกต่างกันอีกด้วย ภายหลังมีการแก้ไขอันดับใหม่และขยับอันดับขึ้น รายที่สาม นักวิ่งชายเอาบิบระยะ 10 กิโลเมตร ของเพศหญิง รุ่นอายุ 55-59 ปีมาใส่ ติดถ้วยรางวัลอันดับสอง นักวิ่งหญิงอีกคนพลาดโอกาสที่จะได้รางวัลที่สูงขึ้นเช่นกัน

    ที่หนักที่สุด คือนักวิ่งชายรายหนึ่งถอดบิบออก เอาชิปที่ติดด้านหลังบิบใส่ไว้ในเสื้อ แล้ววิ่งโดยไม่ติดบิบ จนติดอันดับ 3 รุ่น Overall Thai female แล้วทำให้นักวิ่งหญิงคนอื่นเดือดร้อน เพราะมีชื่อที่ไม่คุ้น ทีแรกกรรมการอ้างว่าเช็กทุกคนว่าหญิงหรือชาย ไม่ยอมให้ดูรูปตอนเข้าเส้นชัย ภายหลังมีระบบผิดพลาดหลายรุ่นจึงยอมให้ดูรูป พบว่าเป็นผู้ชายเอาบิบผู้หญิงมาวิ่ง แล้วซ่อนบิบไว้ในเสื้อไม่เห็นอะไรเลย แต่เวลาตรงตามชื่อผู้หญิงคนที่เข้าเส้นชัย กรรมการจึงขยับผู้ที่ทำตามกติกาขึ้นมา

    หลังจากที่เรื่องนี้ถูกตีแผ่ หญิงรายหนึ่งอ้างว่าเป็นแฟนของนักวิ่งชาย ส่งข้อความข่มขู่ให้ลบโพสต์ อ้างว่าแฟนเป็นตำรวจจะดำเนินคดี แต่ภายหลังนักวิ่งคนดังกล่าวอ้างว่าแจ้งเจ้าหน้าไปที่แล้วว่าซื้อบิบต่อมา และอ้างว่าไม่ทราบ ถ้ารับบิบต่อจากคนอื่นมาแล้วต้องแกะชิปออก ขอโทษที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ คนที่ข่มขู่จึงมีน้ำเสียงอ่อนลง

    #Newskit
    มาราธอนขายหน้าโลก โคตรจะแมนใช้บิบผู้หญิงวิ่ง การจัดงานอะเมซิ่ง ไทยแลนด์ มาราธอน 2025 ที่สนามหลวงเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (30 พ.ย.) นอกจากนักวิ่งกว่า 36,000 คน จะประสบปัญหาเรื่องการจัดการด้านเส้นทางวิ่ง จุดปฐมพยาบาล ห้องน้ำ อาหารและของว่างที่ยังบกพร่อง รวมไปถึงเสื้อ Finisher ที่แจกให้กับนักวิ่ง 42.195 และ 21.1 กิโลเมตร กลับมีข้อบกพร่องในการแจก นักวิ่งบางคนเห็นแก่ตัว วนไปรับเสื้อซ้ำแล้วเอาไปขาย ทำให้นักวิ่งที่มาทีหลังจำนวนมากไม่ได้รับแจกเสื้อ ผู้จัดการแข่งขันต้องให้นักวิ่งลงชื่อเอาไว้ แล้วจะส่งอีเมลแจ้งการส่งเสื้อภายหลัง แต่ที่หนักที่สุดคือการที่นักวิ่งชายนำบิบ (BIB) หรือป้ายหมายเลขประจำตัวนักวิ่งของผู้หญิง ซึ่งไม่ตรงกับเพศและอายุไปวิ่ง ทำให้ผู้เข้าแข่งขันหญิงคนอื่นที่ทำตามกติกาเสียโอกาสในการเก็บสถิติและรับรางวัล เช่น นักวิ่งชายรายหนึ่ง เอาบิบระยะ 21.1 กิโลเมตร ของเพศหญิง รุ่นอายุ 60 ปีขึ้นไปมาใส่ ติดถ้วยรางวัลหญิงอันดับ 1 ในรุ่นอายุ ทำให้นักวิ่งหญิงที่ทำตามกติกาพลาดโอกาสได้รางวัลที่ 1 เพราะลำดับที่ 1 กลับไม่มารายงานตัว พอไปตรวจสอบเลขบิบย้อนหลังปรากฎว่าเป็นนักวิ่งชาย รายต่อมามีทั้งนักวิ่งชายเอาบิบระยะ 21.1 กิโลเมตร ของเพศหญิง รุ่นอายุ 55-59 ปีมาใส่ ติดถ้วยรางวัลหญิงอันดับ 1 ในรุ่นอายุ นักวิ่งหญิงที่วิ่งตามกติกานอกจากพลาดโอกาสในการรับรางวัลแล้ว ในแต่ละอันดับเงินรางวัลก็แตกต่างกันอีกด้วย ภายหลังมีการแก้ไขอันดับใหม่และขยับอันดับขึ้น รายที่สาม นักวิ่งชายเอาบิบระยะ 10 กิโลเมตร ของเพศหญิง รุ่นอายุ 55-59 ปีมาใส่ ติดถ้วยรางวัลอันดับสอง นักวิ่งหญิงอีกคนพลาดโอกาสที่จะได้รางวัลที่สูงขึ้นเช่นกัน ที่หนักที่สุด คือนักวิ่งชายรายหนึ่งถอดบิบออก เอาชิปที่ติดด้านหลังบิบใส่ไว้ในเสื้อ แล้ววิ่งโดยไม่ติดบิบ จนติดอันดับ 3 รุ่น Overall Thai female แล้วทำให้นักวิ่งหญิงคนอื่นเดือดร้อน เพราะมีชื่อที่ไม่คุ้น ทีแรกกรรมการอ้างว่าเช็กทุกคนว่าหญิงหรือชาย ไม่ยอมให้ดูรูปตอนเข้าเส้นชัย ภายหลังมีระบบผิดพลาดหลายรุ่นจึงยอมให้ดูรูป พบว่าเป็นผู้ชายเอาบิบผู้หญิงมาวิ่ง แล้วซ่อนบิบไว้ในเสื้อไม่เห็นอะไรเลย แต่เวลาตรงตามชื่อผู้หญิงคนที่เข้าเส้นชัย กรรมการจึงขยับผู้ที่ทำตามกติกาขึ้นมา หลังจากที่เรื่องนี้ถูกตีแผ่ หญิงรายหนึ่งอ้างว่าเป็นแฟนของนักวิ่งชาย ส่งข้อความข่มขู่ให้ลบโพสต์ อ้างว่าแฟนเป็นตำรวจจะดำเนินคดี แต่ภายหลังนักวิ่งคนดังกล่าวอ้างว่าแจ้งเจ้าหน้าไปที่แล้วว่าซื้อบิบต่อมา และอ้างว่าไม่ทราบ ถ้ารับบิบต่อจากคนอื่นมาแล้วต้องแกะชิปออก ขอโทษที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ คนที่ข่มขู่จึงมีน้ำเสียงอ่อนลง #Newskit
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 381 มุมมอง 0 รีวิว
  • มาเลเซียกวาดล้างซาวนาชาย เอ็นจีโอโวยละเมิดเลือกปฎิบัติ

    การกวาดล้างสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ ที่ระบุว่าแฝงกิจกรรมทางเพศแบบเพศเดียวกันในมาเลเซีย เริ่มจากเมื่อวันที่ 29 พ.ย. กองบังคับการ 7 (D7) ปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอั่งยี่ การพนันและอบายมุข ของตำรวจกัวลาลัมเปอร์ ร่วมกับกรมศาสนาแห่งดินแดนสหพันธ์ (JAWI) และศาลาว่าการกรุงกัวลาลัมเปอร์ (DKBL) เข้าทลายคลับสุขภาพย่านโจวคิต (Chow Kit) หลังมีประชาชนร้องเรียน ก่อนสืบสวนและเฝ้าติดตามกว่า 2 สัปดาห์ รวบผู้ต้องสงสัยเป็นลูกค้า 201 ราย พนักงาน 7 ราย อายุระหว่าง 19-60 ปี พร้อมของกลางถุงยางอนามัยและสิ่งของอื่นๆ ที่เชื่อว่าถูกนำไปใช้ในทางที่ผิดศีลธรรม

    อาคารมีทั้งหมด 2 ชั้น เปิดมานานกว่า 8-10 เดือน มีการโปรโมตสถานที่ผ่านโซเชียลมีเดีย และบอกเล่าแบบปากต่อปากจากลูกค้าประจำ ผู้เข้าใช้บริการต้องลงทะเบียน 10 ริงกิตเพื่อเปิดบัตรสมาชิก หลังจากนั้นเสียค่าบริการครั้งละ 35 ริงกิต ลูกค้ามีทั้งผู้ประกอบวิชาชีพ นักศึกษา นักท่องเที่ยวจากเกาหลีใต้ อินโดนีเซีย เยอรมนี และจีน อย่างไรก็ตาม ภายหลังผู้ต้องหา 171 รายได้รับการปล่อยตัว เพราะศาลไปฎิเสธคำร้องขอส่งตัวผู้ต้องหา เนื่องจากยื่นคำร้องล่าช้า ส่วนชาวต่างชาติ 31 ราย ถูกควบคุมตัว

    ต่อมาวันที่ 30 พ.ย. กองกำกับการ 7 ของสำนักงานตำรวจเขตเซเบอรังเปอไร (Seberang Perai) รัฐปีนัง ร่วมกับหน่วยปฎิบัติการด้านใบอนุญาตของสภาเขตเซเบอรังเปอไร บุกซาวนาในอาคาร 3 ชั้น ย่านบูกิตเมอร์ตาจัม (Bukit Mertajam) หลังถูกร้องเรียนว่าถูกใช้เป็นสถานที่จัดกิจกรรมทางเพศที่ผิดกฎหมาย รวบผู้ดูแลสถานที่ 2 ราย ลูกค้า 11 ราย อายุระหว่าง 19 ถึง 66 ปี รวมถึงชาวต่างชาติ 2 คน ประกอบด้วยคนไทย 1 คน และชาวจีน 1 คน พร้อมตรวจยึดถุงยางอนามัย สารหล่อลื่น และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง จากการสืบสวนพบว่าซาวนาแห่งนี้เปิดมานานกว่า 5 ปี แต่เพิ่งเริ่มดึงดูดลูกค้าเข้าร่วมทำกิจกรรมทางเพศเมื่อ 2 เดือนที่ผ่านมา

    การบุกทลายสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ ด้วยข้อหามีเพศสัมพันธ์กับเพศเดียวกัน ซึ่งผิดกฎหมายอาญาและกฎหมายชารีอะห์ตามหลักศาสนาอิสลาม กำลังเป็นที่วิจารณ์จากองค์กรพัฒนาเอกชน 2 แห่ง ตำหนิว่ามีสื่อมวลชนละเมิดความเป็นส่วนตัวของผู้ถูกจับกุม ส่งผลกระทบในทางลบต่อชีวิต และการดำรงชีวิตของคนที่เปราะบางอยู่แล้วในสังคม เนื่องจากการเลือกปฏิบัติ รวมถึงกระทบต่อความพยายามของรัฐบาลมาเลเซีย ในการยับยั้งการติดเชื้อเอชไอวีในประเทศ อีกทั้งบทบัญญัติตามกฎหมายดังกล่าวหลงเหลือจากศีลธรรมในยุคอาณานิคม ที่มุ่งเป้า ตีตรา และเป็นอันตรายต่อชุมชนที่มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQ+)

    #Newskit
    มาเลเซียกวาดล้างซาวนาชาย เอ็นจีโอโวยละเมิดเลือกปฎิบัติ การกวาดล้างสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ ที่ระบุว่าแฝงกิจกรรมทางเพศแบบเพศเดียวกันในมาเลเซีย เริ่มจากเมื่อวันที่ 29 พ.ย. กองบังคับการ 7 (D7) ปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอั่งยี่ การพนันและอบายมุข ของตำรวจกัวลาลัมเปอร์ ร่วมกับกรมศาสนาแห่งดินแดนสหพันธ์ (JAWI) และศาลาว่าการกรุงกัวลาลัมเปอร์ (DKBL) เข้าทลายคลับสุขภาพย่านโจวคิต (Chow Kit) หลังมีประชาชนร้องเรียน ก่อนสืบสวนและเฝ้าติดตามกว่า 2 สัปดาห์ รวบผู้ต้องสงสัยเป็นลูกค้า 201 ราย พนักงาน 7 ราย อายุระหว่าง 19-60 ปี พร้อมของกลางถุงยางอนามัยและสิ่งของอื่นๆ ที่เชื่อว่าถูกนำไปใช้ในทางที่ผิดศีลธรรม อาคารมีทั้งหมด 2 ชั้น เปิดมานานกว่า 8-10 เดือน มีการโปรโมตสถานที่ผ่านโซเชียลมีเดีย และบอกเล่าแบบปากต่อปากจากลูกค้าประจำ ผู้เข้าใช้บริการต้องลงทะเบียน 10 ริงกิตเพื่อเปิดบัตรสมาชิก หลังจากนั้นเสียค่าบริการครั้งละ 35 ริงกิต ลูกค้ามีทั้งผู้ประกอบวิชาชีพ นักศึกษา นักท่องเที่ยวจากเกาหลีใต้ อินโดนีเซีย เยอรมนี และจีน อย่างไรก็ตาม ภายหลังผู้ต้องหา 171 รายได้รับการปล่อยตัว เพราะศาลไปฎิเสธคำร้องขอส่งตัวผู้ต้องหา เนื่องจากยื่นคำร้องล่าช้า ส่วนชาวต่างชาติ 31 ราย ถูกควบคุมตัว ต่อมาวันที่ 30 พ.ย. กองกำกับการ 7 ของสำนักงานตำรวจเขตเซเบอรังเปอไร (Seberang Perai) รัฐปีนัง ร่วมกับหน่วยปฎิบัติการด้านใบอนุญาตของสภาเขตเซเบอรังเปอไร บุกซาวนาในอาคาร 3 ชั้น ย่านบูกิตเมอร์ตาจัม (Bukit Mertajam) หลังถูกร้องเรียนว่าถูกใช้เป็นสถานที่จัดกิจกรรมทางเพศที่ผิดกฎหมาย รวบผู้ดูแลสถานที่ 2 ราย ลูกค้า 11 ราย อายุระหว่าง 19 ถึง 66 ปี รวมถึงชาวต่างชาติ 2 คน ประกอบด้วยคนไทย 1 คน และชาวจีน 1 คน พร้อมตรวจยึดถุงยางอนามัย สารหล่อลื่น และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง จากการสืบสวนพบว่าซาวนาแห่งนี้เปิดมานานกว่า 5 ปี แต่เพิ่งเริ่มดึงดูดลูกค้าเข้าร่วมทำกิจกรรมทางเพศเมื่อ 2 เดือนที่ผ่านมา การบุกทลายสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ ด้วยข้อหามีเพศสัมพันธ์กับเพศเดียวกัน ซึ่งผิดกฎหมายอาญาและกฎหมายชารีอะห์ตามหลักศาสนาอิสลาม กำลังเป็นที่วิจารณ์จากองค์กรพัฒนาเอกชน 2 แห่ง ตำหนิว่ามีสื่อมวลชนละเมิดความเป็นส่วนตัวของผู้ถูกจับกุม ส่งผลกระทบในทางลบต่อชีวิต และการดำรงชีวิตของคนที่เปราะบางอยู่แล้วในสังคม เนื่องจากการเลือกปฏิบัติ รวมถึงกระทบต่อความพยายามของรัฐบาลมาเลเซีย ในการยับยั้งการติดเชื้อเอชไอวีในประเทศ อีกทั้งบทบัญญัติตามกฎหมายดังกล่าวหลงเหลือจากศีลธรรมในยุคอาณานิคม ที่มุ่งเป้า ตีตรา และเป็นอันตรายต่อชุมชนที่มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQ+) #Newskit
    Like
    1
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 593 มุมมอง 0 รีวิว
  • นายกแป้น ทำหาดใหญ่พังคามือ

    เหตุการณ์น้ำท่วมหาดใหญ่ปี 2568 เป็นบทพิสูจน์การทำงานของนายกแป้น ณรงค์พร ณ พัทลุง นายกเทศมนตรีนครหาดใหญ่ จ.สงขลา จากความประมาทและความมั่นหน้ามั่นใจในตัวเอง คิดว่าการบริหารจัดการน้ำท่วมของตัวเองนั้น "เอาอยู่" แต่สุดท้ายมวลน้ำจำนวนมหาศาล พัดพาเมืองเศรษฐกิจหลักภาคใต้ ให้พังทลายราวกับวันสิ้นโลก ผู้เสียชีวิตมากกว่า 110 ศพ การบริหารจัดการที่ย่ำแย่ของรัฐบาลอนุทิน ชาญวีรกูล ประชาชนต้องดูแลกันเอง ท่ามกลางกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก และความป่าเถื่อนของชาวบ้านบางคนในเขต 8 ยิงปืนใส่เจ้าหน้าที่กู้ภัยจนล่าถอย ความวุ่นวายจากการที่ชาวบ้านบางคนลักทรัพย์ร้านสะดวกซื้อ ขบวนรถไฟ คลังสินค้าเหล้าเบียร์ และคนทำมาหากินจำนวนมากสิ้นเนื้อประดาตัว จากข้าวของเครื่องใช้ถูกน้ำพัดพังเสียหาย

    จากความฉิบหายของเมืองหาดใหญ่ในวันนั้น เขาหายไปจากพื้นที่โซเชียลมีเดีย ของเทศบาลนครหาดใหญ่ ที่เขาคุ้นเคยในการทำคอนเทนต์วีดีโอ 3 วัน ก่อนกลับมาให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนด้วยสารพัดข้ออ้าง ระบุว่า ผมเพิ่งเข้ามาแค่ 4 เดือน เรือสภาพเก่าและพังหมด ไม่ได้ซื้อมาเป็นสิบปี มีอยู่แค่ 4-5 ลำ ก็เลยต้องสู้เท่าที่สู้ได้ ส่วนการแจ้งเตือนที่ว่ายังปักธงเขียว อ้างว่ามีคนดึงธงไป ตนประกาศยกธงเองไม่ได้ ต้องมีคณะกรรมการอนุมัติ อีกทั้งชลประทานมั่นใจว่ามวลน้ำจาก อ.สะเดา (คลองอู่ตะเภา) ห่างจากตลิ่งกว่า 3 เมตร แต่กลับมีน้ำจากเขาคอหงส์มาด้วย ก่อนจะขอโทษและจะฟื้นฟูบ้านเมืองให้กลับมาเหมือนเดิมเร็วที่สุด

    แต่เสียงสะท้อนจากชาวหาดใหญ่ ส่วนใหญ่ไม่ต้องการข้ออ้างและคำแก้ตัว แต่ต้องการสปิริตทางการเมือง เรียกร้องให้เขาลาออก เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อผู้เสียชีวิต และความสูญเสียแบบประเมินค่าไม่ได้ พร้อมขุดดิจิทัลฟุตพรินท์เก่าๆ ที่เคยหาเสียงไว้ อ้างว่าการทำงานของนักปกครอง ระหว่างเกิดเหตุต้องเตรียมรถ เตรียมเรือ อุปกรณ์ เตรียมของกินให้พี่น้องประชาชน ... แต่สุดท้ายทำไม่ได้จริง

    ในการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีนครหาดใหญ่เมื่อเดือน พ.ค. 2568 ที่ผ่านมา นายกแป้นเอาชนะ "พี่หลวงคร" พล.ต.ท.สาคร ทองมุณี นายกเทศมนตรีคนก่อนหน้า ด้วยคะแนน 23,595 ต่อ 21,577 คะแนน หรือห่างกันแค่ 2,000 คะแนนเศษ โดยมีรายงานว่า ปลัดแป้น ถือเป็นข้าราชการนักปกครอง เคยเป็นนายอำเภอในหลายพื้นที่ของจังหวัดสงขลา และปลัดจังหวัดอีกหลายจังหวัด อีกทั้งมีความใกล้ชิดกับเครือข่ายพรรคสีน้ำเงิน ซึ่งเหตุการณ์น้ำท่วมหาดใหญ่ครั้งนี้ พี่หลวงครยังคงช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมตามกำลังที่มี แม้บ้านพี่หลวงครจะถูกน้ำท่วม และรถยนต์พังขณะแจกถุงยังชีพ กลายเป็นผู้ประสบภัยพร้อมกับชาวบ้านก็ตาม

    #Newskit
    นายกแป้น ทำหาดใหญ่พังคามือ เหตุการณ์น้ำท่วมหาดใหญ่ปี 2568 เป็นบทพิสูจน์การทำงานของนายกแป้น ณรงค์พร ณ พัทลุง นายกเทศมนตรีนครหาดใหญ่ จ.สงขลา จากความประมาทและความมั่นหน้ามั่นใจในตัวเอง คิดว่าการบริหารจัดการน้ำท่วมของตัวเองนั้น "เอาอยู่" แต่สุดท้ายมวลน้ำจำนวนมหาศาล พัดพาเมืองเศรษฐกิจหลักภาคใต้ ให้พังทลายราวกับวันสิ้นโลก ผู้เสียชีวิตมากกว่า 110 ศพ การบริหารจัดการที่ย่ำแย่ของรัฐบาลอนุทิน ชาญวีรกูล ประชาชนต้องดูแลกันเอง ท่ามกลางกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก และความป่าเถื่อนของชาวบ้านบางคนในเขต 8 ยิงปืนใส่เจ้าหน้าที่กู้ภัยจนล่าถอย ความวุ่นวายจากการที่ชาวบ้านบางคนลักทรัพย์ร้านสะดวกซื้อ ขบวนรถไฟ คลังสินค้าเหล้าเบียร์ และคนทำมาหากินจำนวนมากสิ้นเนื้อประดาตัว จากข้าวของเครื่องใช้ถูกน้ำพัดพังเสียหาย จากความฉิบหายของเมืองหาดใหญ่ในวันนั้น เขาหายไปจากพื้นที่โซเชียลมีเดีย ของเทศบาลนครหาดใหญ่ ที่เขาคุ้นเคยในการทำคอนเทนต์วีดีโอ 3 วัน ก่อนกลับมาให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนด้วยสารพัดข้ออ้าง ระบุว่า ผมเพิ่งเข้ามาแค่ 4 เดือน เรือสภาพเก่าและพังหมด ไม่ได้ซื้อมาเป็นสิบปี มีอยู่แค่ 4-5 ลำ ก็เลยต้องสู้เท่าที่สู้ได้ ส่วนการแจ้งเตือนที่ว่ายังปักธงเขียว อ้างว่ามีคนดึงธงไป ตนประกาศยกธงเองไม่ได้ ต้องมีคณะกรรมการอนุมัติ อีกทั้งชลประทานมั่นใจว่ามวลน้ำจาก อ.สะเดา (คลองอู่ตะเภา) ห่างจากตลิ่งกว่า 3 เมตร แต่กลับมีน้ำจากเขาคอหงส์มาด้วย ก่อนจะขอโทษและจะฟื้นฟูบ้านเมืองให้กลับมาเหมือนเดิมเร็วที่สุด แต่เสียงสะท้อนจากชาวหาดใหญ่ ส่วนใหญ่ไม่ต้องการข้ออ้างและคำแก้ตัว แต่ต้องการสปิริตทางการเมือง เรียกร้องให้เขาลาออก เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อผู้เสียชีวิต และความสูญเสียแบบประเมินค่าไม่ได้ พร้อมขุดดิจิทัลฟุตพรินท์เก่าๆ ที่เคยหาเสียงไว้ อ้างว่าการทำงานของนักปกครอง ระหว่างเกิดเหตุต้องเตรียมรถ เตรียมเรือ อุปกรณ์ เตรียมของกินให้พี่น้องประชาชน ... แต่สุดท้ายทำไม่ได้จริง ในการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีนครหาดใหญ่เมื่อเดือน พ.ค. 2568 ที่ผ่านมา นายกแป้นเอาชนะ "พี่หลวงคร" พล.ต.ท.สาคร ทองมุณี นายกเทศมนตรีคนก่อนหน้า ด้วยคะแนน 23,595 ต่อ 21,577 คะแนน หรือห่างกันแค่ 2,000 คะแนนเศษ โดยมีรายงานว่า ปลัดแป้น ถือเป็นข้าราชการนักปกครอง เคยเป็นนายอำเภอในหลายพื้นที่ของจังหวัดสงขลา และปลัดจังหวัดอีกหลายจังหวัด อีกทั้งมีความใกล้ชิดกับเครือข่ายพรรคสีน้ำเงิน ซึ่งเหตุการณ์น้ำท่วมหาดใหญ่ครั้งนี้ พี่หลวงครยังคงช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมตามกำลังที่มี แม้บ้านพี่หลวงครจะถูกน้ำท่วม และรถยนต์พังขณะแจกถุงยังชีพ กลายเป็นผู้ประสบภัยพร้อมกับชาวบ้านก็ตาม #Newskit
    Like
    2
    2 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 652 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตม.เข้ม Visa Run สกัดอาชญากรรมสีเทา

    นับตั้งแต่กลางเดือน พ.ย. 2568 เป็นต้นมา สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) ได้ออกมาตรการเพิ่มความเข้มงวดในการคัดกรองชาวต่างชาติ ที่เดินทางเข้าประเทศไทยโดยใช้สิทธิ์ฟรีวีซ่า (Free Visa) เป็นเวลา 90 วัน หลังพบว่ามีช่องโหว่เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรในฐานะนักท่องเที่ยว แต่กลับเข้าไปทำธุรกรรมต่างๆ ส่วนหนึ่งพัวพันกับอาชญากรรมไซเบอร์ ธุรกิจสีเทา การฟอกเงิน และการค้ามนุษย์

    โดยชาวต่างชาติที่เข้ามาในประเทศไทยในลักษณะวีซ่ารัน (Visa Run) หรือการใช้ฟรีวีซ่าพำนักอยู่ในประเทศไทย ครั้งละไม่เกิน 90 วัน แล้วเมื่อออกจากประเทศไม่ได้กลับประเทศภูมิลำเนา แต่กลับไปยังประเทศใกล้เคียงในระยะเวลาอันสั้น ก่อนกลับเข้าประเทศไทยโดยใช้ฟรีวีซ่า เพื่อพำนักครั้งละไม่เกิน 90 วันอีกครั้ง นับจากนี้จะจำกัดการขอวีซ่าได้เพียง 2 ครั้งเท่านั้น หากต้องการเข้าประเทศไทยมากกว่านี้ ต้องไปยื่นขอวีซ่าให้ถูกต้องตามวัตถุประสงค์ที่แท้จริง

    หากพบว่าชาวต่างชาติรายใดทำวีซ่ารันซ้ำเกินกว่า 2 ครั้ง โดยไม่มีเหตุผลที่ชี้แจงได้ ตม. จะพิจารณาปฎิเสธเข้าประเทศ แล้วให้ไปยื่นขอวีซ่าให้ถูกต้องตามวัตถุประสงค์ที่แท้จริง

    นอกจากนี้ ยังสกัดชาวต่างชาติที่เคยมีประวัติเคยถูกผลักดันจากชายแดนแหล่งสแกมเมอร์ หากพบว่าเดินทางเข้าประเทศไทยอีก จะถูกปฎิเสธการเข้าประเทศโดยไม่มีข้อยกเว้น รวมทั้งกำชับ ตม. ทุกจังหวัดเพิ่มความเข้มงวดในการอนุญาตให้ขออยู่ต่อเป็นการชั่วคราวสำหรับกลุ่มคนต่างด้าวที่ทำวีซ่ารันแล้วมายื่นขออยู่ต่อ และกวาดล้างชาวต่างชาติที่อยู่เกินกำหนด (Overstay) เป็นต้น

    หลังใช้มาตรการดังกล่าวเริ่มมีการปล่อยข่าวว่า ตม. จะตรวจเข้มเฉพาะชาวจีนหรือชาวต่างชาติ 16 สัญชาติ เช่น สิงคโปร์ เกาหลีใต้ รัสเซีย ทำให้กระทบการท่องเที่ยว พล.ต.ต.เชิงรณ ริมผดี รองผู้บัญชาการและโฆษก สตม. กล่าวว่า เริ่มมีต่างชาติที่เสียประโยชน์ รวมถึงผู้ประกอบการบางรายที่ทำธุรกิจวีซ่ารัน ปล่อยข่าวทางโซเชียล ทำให้ต่างชาติที่เป็นนักท่องเที่ยวที่จะมาเที่ยวในไทยจริงๆ มีความกังวล โดยเฉพาะชาวจีน และนักท่องเที่ยว 16 สัญชาติ

    ยืนยันว่ามาตรการนี้เป็นการคัดแยกนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเที่ยว สร้างรายได้ให้ไทยอย่างชัดเจนมากขึ้น ซึ่งตามสถิตินักท่องเที่ยวจริงจะใช้เวลาพำนักเฉลี่ยครั้งละ 15 วัน มีแผนท่องเที่ยว มีที่พัก และวันเดินทางกลับที่ชัดเจน กลุ่มนี้ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด แต่อาจกระทบกับชาวต่างชาติที่ใช้วีซ่ารันแฝงเข้าไทยมานานจนเคยตัว รวมถึงผู้ประกอบการวีซ่ารันแก่ชาวต่างชาติที่เสียประโยชน์ มาตรการนี้จะใช้กับคนต่างชาติทุกสัญชาติ ไม่ใช่เฉพาะ 16 สัญชาติ

    #Newskit
    ตม.เข้ม Visa Run สกัดอาชญากรรมสีเทา นับตั้งแต่กลางเดือน พ.ย. 2568 เป็นต้นมา สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) ได้ออกมาตรการเพิ่มความเข้มงวดในการคัดกรองชาวต่างชาติ ที่เดินทางเข้าประเทศไทยโดยใช้สิทธิ์ฟรีวีซ่า (Free Visa) เป็นเวลา 90 วัน หลังพบว่ามีช่องโหว่เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรในฐานะนักท่องเที่ยว แต่กลับเข้าไปทำธุรกรรมต่างๆ ส่วนหนึ่งพัวพันกับอาชญากรรมไซเบอร์ ธุรกิจสีเทา การฟอกเงิน และการค้ามนุษย์ โดยชาวต่างชาติที่เข้ามาในประเทศไทยในลักษณะวีซ่ารัน (Visa Run) หรือการใช้ฟรีวีซ่าพำนักอยู่ในประเทศไทย ครั้งละไม่เกิน 90 วัน แล้วเมื่อออกจากประเทศไม่ได้กลับประเทศภูมิลำเนา แต่กลับไปยังประเทศใกล้เคียงในระยะเวลาอันสั้น ก่อนกลับเข้าประเทศไทยโดยใช้ฟรีวีซ่า เพื่อพำนักครั้งละไม่เกิน 90 วันอีกครั้ง นับจากนี้จะจำกัดการขอวีซ่าได้เพียง 2 ครั้งเท่านั้น หากต้องการเข้าประเทศไทยมากกว่านี้ ต้องไปยื่นขอวีซ่าให้ถูกต้องตามวัตถุประสงค์ที่แท้จริง หากพบว่าชาวต่างชาติรายใดทำวีซ่ารันซ้ำเกินกว่า 2 ครั้ง โดยไม่มีเหตุผลที่ชี้แจงได้ ตม. จะพิจารณาปฎิเสธเข้าประเทศ แล้วให้ไปยื่นขอวีซ่าให้ถูกต้องตามวัตถุประสงค์ที่แท้จริง นอกจากนี้ ยังสกัดชาวต่างชาติที่เคยมีประวัติเคยถูกผลักดันจากชายแดนแหล่งสแกมเมอร์ หากพบว่าเดินทางเข้าประเทศไทยอีก จะถูกปฎิเสธการเข้าประเทศโดยไม่มีข้อยกเว้น รวมทั้งกำชับ ตม. ทุกจังหวัดเพิ่มความเข้มงวดในการอนุญาตให้ขออยู่ต่อเป็นการชั่วคราวสำหรับกลุ่มคนต่างด้าวที่ทำวีซ่ารันแล้วมายื่นขออยู่ต่อ และกวาดล้างชาวต่างชาติที่อยู่เกินกำหนด (Overstay) เป็นต้น หลังใช้มาตรการดังกล่าวเริ่มมีการปล่อยข่าวว่า ตม. จะตรวจเข้มเฉพาะชาวจีนหรือชาวต่างชาติ 16 สัญชาติ เช่น สิงคโปร์ เกาหลีใต้ รัสเซีย ทำให้กระทบการท่องเที่ยว พล.ต.ต.เชิงรณ ริมผดี รองผู้บัญชาการและโฆษก สตม. กล่าวว่า เริ่มมีต่างชาติที่เสียประโยชน์ รวมถึงผู้ประกอบการบางรายที่ทำธุรกิจวีซ่ารัน ปล่อยข่าวทางโซเชียล ทำให้ต่างชาติที่เป็นนักท่องเที่ยวที่จะมาเที่ยวในไทยจริงๆ มีความกังวล โดยเฉพาะชาวจีน และนักท่องเที่ยว 16 สัญชาติ ยืนยันว่ามาตรการนี้เป็นการคัดแยกนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเที่ยว สร้างรายได้ให้ไทยอย่างชัดเจนมากขึ้น ซึ่งตามสถิตินักท่องเที่ยวจริงจะใช้เวลาพำนักเฉลี่ยครั้งละ 15 วัน มีแผนท่องเที่ยว มีที่พัก และวันเดินทางกลับที่ชัดเจน กลุ่มนี้ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด แต่อาจกระทบกับชาวต่างชาติที่ใช้วีซ่ารันแฝงเข้าไทยมานานจนเคยตัว รวมถึงผู้ประกอบการวีซ่ารันแก่ชาวต่างชาติที่เสียประโยชน์ มาตรการนี้จะใช้กับคนต่างชาติทุกสัญชาติ ไม่ใช่เฉพาะ 16 สัญชาติ #Newskit
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 558 มุมมอง 0 รีวิว
  • ขออภัยที่ข่าวสารไปไม่ถึงคุณ

    สถานการณ์น้ำท่วมหาดใหญ่ จ.สงขลา และจังหวัดภาคใต้ในช่วงที่ผ่านมา หลายภาคส่วนต่างทำหน้าที่แก้ไขปัญหาสถานการณ์ในรูปแบบต่างๆ เช่นเดียวกับสื่อมวลชนแต่ละสำนัก ต่างทำหน้าที่นำเสนอปัญหาความเดือดร้อนของผู้ประสบภัย และประสานความช่วยเหลือกับภาคส่วนต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เช่น สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสล้มผังรายการปกติ จัดรายการพิเศษ "มหาอุทกภัยภาคใต้ 2568" ตั้งแต่ 05.30 ถึง 24.00 น.

    ขณะที่ น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สั่งการให้กรมประชาสัมพันธ์ และบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ปรับผังรายการและขยายการรายงานสถานการณ์แบบเรียลไทม์ ผ่านสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (เอ็นบีที) และสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 เอ็มคอต เอชดี รวมทั้งสื่อวิทยุและสื่อออนไลน์ในเครือข่ายสื่อรัฐ ไม่นับรวมความทุ่มเทของสื่อมวลชนสำนักอื่นๆ ต่างเหน็ดเหนื่อยและเสียสละไม่แพ้กัน

    แต่เนื่องจากปัจจุบันระบบ Algorithm ของโซเชียลมีเดียตะวันตก มักจะเลือกนำเสนอในสิ่งที่ผู้ใช้สนใจเป็นหลัก ทำให้ไม่ทราบว่าบ้านเมืองกำลังเกิดอะไรขึ้น เข้าใจผิดว่าสื่อมวลชนไม่ทำหน้าที่ เริ่มจากอินฟลูเอนเซอร์รายหนึ่ง ซึ่งมีผู้ติดตาม 1.7 ล้านราย ระบุว่า "อยากให้สื่อเสนอข่าวน้ำท่วมก่อนค่ะ ดาราเป็นหนี้ใดๆ ให้เขาหาเงินใช้หนี้ไป เพราะตอนนี้ทั่วพื้นที่หาดใหญ่มีทั้งเด็กทารกและคนชราติดอยู่ในพื้นที่รอหน่วยงานไปช่วยเหลือเยอะมากๆ ค่ะ"

    สื่อมวลชนต่างพากันวิจารณ์เป็นจำนวนมาก สุดท้ายอินฟลูเอนเซอร์รายดังกล่าวขอโทษสื่อมวลชนทุกคน ที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิด ไม่สบายใจ คนที่นำเสนออยู่แล้วไม่ได้ว่าอะไรเลย ไม่ได้โพสต์เพื่อล่าแม่มด ชวนทะเลาะหรือทำให้เกิดความแตกแยก แค่อยากทำให้คนสนใจน้ำท่วมมากขึ้นสักคน ก็บรรลุเป้าหมายของตนแล้ว และได้แก้ไขต้นโพสต์เพื่อความสบายใจ ตรงจุดประสงค์ที่จะสื่อมากขึ้น และไม่ทำให้เป็นการกล่าวโทษใครฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

    แต่สำหรับ "นารา เครปกะเทย" หรือนายอนิวัต ประทุมถิ่น อินฟลูเอนเซอร์ชื่อดัง ผู้ติดตามมากกว่า 2.4 ล้านคน กลับระบุว่า "สื่อช่วยหยุดลงข่าวดาราเรื่องเงินได้แล้วค่ะ แล้วมาช่วยลงข่าวน้ำท่วมภาคใต้หน่อยค่ะ มีคนเดือดร้อนมากมาย คิดเสียว่าเขาคือพ่อแม่เราเนอะ" ปรากฎว่ามีแฟนคลับต่างพากันคอมเมนต์เห็นด้วย แม้จะมีคนทักท้วงว่า คิดอะไรไม่ออก ด่าสื่อไว้ก่อน สื่อเขาทำข่าว ลงพื้นที่กันหมดแล้ว แต่กลับตอบคำถามอีกอย่าง

    นี่คือผลเสียของอิทธิพลจากโซเชียลมีเดียตะวันตกที่ระบบอัลกอริทึมครอบงำผู้คนในชีวิตประจำวัน กลายเป็นการปิดหูปิดตาทางอ้อม ทำให้ประชาชนไม่รู้ว่า ประเทศไทยเวลานี้กำลังเกิดหายนะอะไรขึ้น กว่าจะรู้ตัวก็สายเกินแก้

    #Newskit
    ขออภัยที่ข่าวสารไปไม่ถึงคุณ สถานการณ์น้ำท่วมหาดใหญ่ จ.สงขลา และจังหวัดภาคใต้ในช่วงที่ผ่านมา หลายภาคส่วนต่างทำหน้าที่แก้ไขปัญหาสถานการณ์ในรูปแบบต่างๆ เช่นเดียวกับสื่อมวลชนแต่ละสำนัก ต่างทำหน้าที่นำเสนอปัญหาความเดือดร้อนของผู้ประสบภัย และประสานความช่วยเหลือกับภาคส่วนต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เช่น สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสล้มผังรายการปกติ จัดรายการพิเศษ "มหาอุทกภัยภาคใต้ 2568" ตั้งแต่ 05.30 ถึง 24.00 น. ขณะที่ น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สั่งการให้กรมประชาสัมพันธ์ และบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ปรับผังรายการและขยายการรายงานสถานการณ์แบบเรียลไทม์ ผ่านสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (เอ็นบีที) และสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 เอ็มคอต เอชดี รวมทั้งสื่อวิทยุและสื่อออนไลน์ในเครือข่ายสื่อรัฐ ไม่นับรวมความทุ่มเทของสื่อมวลชนสำนักอื่นๆ ต่างเหน็ดเหนื่อยและเสียสละไม่แพ้กัน แต่เนื่องจากปัจจุบันระบบ Algorithm ของโซเชียลมีเดียตะวันตก มักจะเลือกนำเสนอในสิ่งที่ผู้ใช้สนใจเป็นหลัก ทำให้ไม่ทราบว่าบ้านเมืองกำลังเกิดอะไรขึ้น เข้าใจผิดว่าสื่อมวลชนไม่ทำหน้าที่ เริ่มจากอินฟลูเอนเซอร์รายหนึ่ง ซึ่งมีผู้ติดตาม 1.7 ล้านราย ระบุว่า "อยากให้สื่อเสนอข่าวน้ำท่วมก่อนค่ะ ดาราเป็นหนี้ใดๆ ให้เขาหาเงินใช้หนี้ไป เพราะตอนนี้ทั่วพื้นที่หาดใหญ่มีทั้งเด็กทารกและคนชราติดอยู่ในพื้นที่รอหน่วยงานไปช่วยเหลือเยอะมากๆ ค่ะ" สื่อมวลชนต่างพากันวิจารณ์เป็นจำนวนมาก สุดท้ายอินฟลูเอนเซอร์รายดังกล่าวขอโทษสื่อมวลชนทุกคน ที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิด ไม่สบายใจ คนที่นำเสนออยู่แล้วไม่ได้ว่าอะไรเลย ไม่ได้โพสต์เพื่อล่าแม่มด ชวนทะเลาะหรือทำให้เกิดความแตกแยก แค่อยากทำให้คนสนใจน้ำท่วมมากขึ้นสักคน ก็บรรลุเป้าหมายของตนแล้ว และได้แก้ไขต้นโพสต์เพื่อความสบายใจ ตรงจุดประสงค์ที่จะสื่อมากขึ้น และไม่ทำให้เป็นการกล่าวโทษใครฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่สำหรับ "นารา เครปกะเทย" หรือนายอนิวัต ประทุมถิ่น อินฟลูเอนเซอร์ชื่อดัง ผู้ติดตามมากกว่า 2.4 ล้านคน กลับระบุว่า "สื่อช่วยหยุดลงข่าวดาราเรื่องเงินได้แล้วค่ะ แล้วมาช่วยลงข่าวน้ำท่วมภาคใต้หน่อยค่ะ มีคนเดือดร้อนมากมาย คิดเสียว่าเขาคือพ่อแม่เราเนอะ" ปรากฎว่ามีแฟนคลับต่างพากันคอมเมนต์เห็นด้วย แม้จะมีคนทักท้วงว่า คิดอะไรไม่ออก ด่าสื่อไว้ก่อน สื่อเขาทำข่าว ลงพื้นที่กันหมดแล้ว แต่กลับตอบคำถามอีกอย่าง นี่คือผลเสียของอิทธิพลจากโซเชียลมีเดียตะวันตกที่ระบบอัลกอริทึมครอบงำผู้คนในชีวิตประจำวัน กลายเป็นการปิดหูปิดตาทางอ้อม ทำให้ประชาชนไม่รู้ว่า ประเทศไทยเวลานี้กำลังเกิดหายนะอะไรขึ้น กว่าจะรู้ตัวก็สายเกินแก้ #Newskit
    Like
    1
    1 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 621 มุมมอง 0 รีวิว
  • สั่งลบข้อมูล 1.2 ล้านราย สแกนม่านตาแลกเหรียญ

    ในช่วงกลางปี 2568 มีประชาชนจำนวนมาก รวมตัวกันที่ร้านจำหน่ายโทรศัพท์มือถือ และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์รายใหญ่นับร้อยแห่ง เพื่อรอคิวสแกนม่านตา แล้วจะได้รับเหรียญคริปโทเคอเรนซีที่ชื่อว่า เวิลด์คอยน์ เพื่อแลกเป็นเงินสด หรือเพื่อเก็งกำไรและใช้แลกเปลี่ยนระหว่างกัน บางคนบอกว่าสแกนเสร็จแล้วจะได้รับเงินโอนประมาณ 500-1,000 บาท กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์เรื่องความเสี่ยงด้านข้อมูลส่วนบุคคล เนื่องจากยังไม่ได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) รวมทั้งกรมการปกครองไม่มีนโยบายให้ประชาชนสแกนม่านตา เกรงว่าอาจกลายเป็นการหลอกลวงประชาชน

    ที่สุดแล้ว เมื่อวันที่ 24 พ.ย. สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) มีคำสั่งทางปกครองให้ World ประเทศไทย และบุคคลที่เกี่ยวข้อง ระงับหรืองดสแกนม่านตา เพื่อรับเหรียญคริปโทเคอเรนซีเพิ่มเติมโดยทันที และรายงานผลการดำเนินการแก่ สคส.ภายใน 7 วัน หลังจากตรวจสอบพบว่าใช้วิธีแจกเหรียญคริปโทฯ จูงใจประชาชน เพื่อแลกกับความยินยอมเก็บรวบรวมข้อมูลม่านตา ซึ่งไม่เป็นไปโดยอิสระตามที่กฎหมายกำหนด อีกทั้งผู้ที่เคยสแกนม่านตาไปแล้ว ไม่สามารถสแกนซ้ำได้ จึงเกินขอบเขตวัตถุประสงค์ที่ขอความยินยอมเพื่อยืนยันความเป็นมนุษย์เท่านั้น

    อีกทั้งสั่งให้ลบทำลายข้อมูลม่านตา และข้อมูลส่วนบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องของประชาชน 1.2 ล้านคนทั้งหมด เพื่อป้องกันการโอนย้ายถ่ายเทข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวไปยังต่างประเทศ โดยไม่ถูกกฎหมาย นอกจากนี้ ยังให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) และหน่วยงานอื่นๆ ตรวจสอบประเด็นที่น่าสงสัยอื่นๆ เช่น กรณีมีขบวนการจ้างคนมาสแกนม่านตาแลกเหรียญ เพื่อนำไปให้บุคคคอื่นใช้ ซึ่งสำนักงาน ก.ล.ต.และตำรวจไซเบอร์ตรวจพบ และจับกุมผู้รับแลกเหรียญดิจิทัลโดยไม่ได้รับอนุญาตมาแล้วหลายราย และพบว่าประเทศอื่นมีคำสั่งระงับชัดเจน 5 ประเทศ ได้แก่ เยอรมนี สเปน เกาหลีใต้ อินโดนีเซีย และบราซิล

    ด้าน World ประเทศไทย ชี้แจงว่าได้ระงับกระบวนการยืนยันความเป็นมนุษย์จริงในประเทศไทยชั่วคราว แม้ได้ให้ข้อมูลและความร่วมมือกับหน่วยงานกํากับดูแลอย่างเปิดเผย โปร่งใส และตรงไปตรงมาในทุกขั้นตอน ซึ่งยังคงหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในไทยอย่างใกล้ชิด รวมถึงกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และ สคส. เพื่อร่วมกันกําหนดแนวทางดําเนินงานที่เหมาะสมและยั่งยืนต่อไป ขณะที่สมาชิกที่เคยสแกนม่านตาไปแล้วบางส่วน ออกมาคัดค้านการสั่งลบข้อมูลแบบเหมาเข่ง อ้างว่ามีเพียง IrisCode และภาพถ่ายใบหน้าเท่านั้น และเกรงว่าจะกระทบกับเวิลด์คอยน์ที่ตนเองมีอยู่

    #Newskit
    สั่งลบข้อมูล 1.2 ล้านราย สแกนม่านตาแลกเหรียญ ในช่วงกลางปี 2568 มีประชาชนจำนวนมาก รวมตัวกันที่ร้านจำหน่ายโทรศัพท์มือถือ และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์รายใหญ่นับร้อยแห่ง เพื่อรอคิวสแกนม่านตา แล้วจะได้รับเหรียญคริปโทเคอเรนซีที่ชื่อว่า เวิลด์คอยน์ เพื่อแลกเป็นเงินสด หรือเพื่อเก็งกำไรและใช้แลกเปลี่ยนระหว่างกัน บางคนบอกว่าสแกนเสร็จแล้วจะได้รับเงินโอนประมาณ 500-1,000 บาท กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์เรื่องความเสี่ยงด้านข้อมูลส่วนบุคคล เนื่องจากยังไม่ได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) รวมทั้งกรมการปกครองไม่มีนโยบายให้ประชาชนสแกนม่านตา เกรงว่าอาจกลายเป็นการหลอกลวงประชาชน ที่สุดแล้ว เมื่อวันที่ 24 พ.ย. สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) มีคำสั่งทางปกครองให้ World ประเทศไทย และบุคคลที่เกี่ยวข้อง ระงับหรืองดสแกนม่านตา เพื่อรับเหรียญคริปโทเคอเรนซีเพิ่มเติมโดยทันที และรายงานผลการดำเนินการแก่ สคส.ภายใน 7 วัน หลังจากตรวจสอบพบว่าใช้วิธีแจกเหรียญคริปโทฯ จูงใจประชาชน เพื่อแลกกับความยินยอมเก็บรวบรวมข้อมูลม่านตา ซึ่งไม่เป็นไปโดยอิสระตามที่กฎหมายกำหนด อีกทั้งผู้ที่เคยสแกนม่านตาไปแล้ว ไม่สามารถสแกนซ้ำได้ จึงเกินขอบเขตวัตถุประสงค์ที่ขอความยินยอมเพื่อยืนยันความเป็นมนุษย์เท่านั้น อีกทั้งสั่งให้ลบทำลายข้อมูลม่านตา และข้อมูลส่วนบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องของประชาชน 1.2 ล้านคนทั้งหมด เพื่อป้องกันการโอนย้ายถ่ายเทข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวไปยังต่างประเทศ โดยไม่ถูกกฎหมาย นอกจากนี้ ยังให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) และหน่วยงานอื่นๆ ตรวจสอบประเด็นที่น่าสงสัยอื่นๆ เช่น กรณีมีขบวนการจ้างคนมาสแกนม่านตาแลกเหรียญ เพื่อนำไปให้บุคคคอื่นใช้ ซึ่งสำนักงาน ก.ล.ต.และตำรวจไซเบอร์ตรวจพบ และจับกุมผู้รับแลกเหรียญดิจิทัลโดยไม่ได้รับอนุญาตมาแล้วหลายราย และพบว่าประเทศอื่นมีคำสั่งระงับชัดเจน 5 ประเทศ ได้แก่ เยอรมนี สเปน เกาหลีใต้ อินโดนีเซีย และบราซิล ด้าน World ประเทศไทย ชี้แจงว่าได้ระงับกระบวนการยืนยันความเป็นมนุษย์จริงในประเทศไทยชั่วคราว แม้ได้ให้ข้อมูลและความร่วมมือกับหน่วยงานกํากับดูแลอย่างเปิดเผย โปร่งใส และตรงไปตรงมาในทุกขั้นตอน ซึ่งยังคงหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในไทยอย่างใกล้ชิด รวมถึงกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และ สคส. เพื่อร่วมกันกําหนดแนวทางดําเนินงานที่เหมาะสมและยั่งยืนต่อไป ขณะที่สมาชิกที่เคยสแกนม่านตาไปแล้วบางส่วน ออกมาคัดค้านการสั่งลบข้อมูลแบบเหมาเข่ง อ้างว่ามีเพียง IrisCode และภาพถ่ายใบหน้าเท่านั้น และเกรงว่าจะกระทบกับเวิลด์คอยน์ที่ตนเองมีอยู่ #Newskit
    Like
    1
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 665 มุมมอง 0 รีวิว
  • 12 ธ.ค. เปิดรถไฟ ETS3 ยะโฮร์บาห์รู-กัวลาลัมเปอร์

    เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (22 พ.ย.) นายแอนโธนี โลค รมว.คมนาคมมาเลเซีย เปิดเผยว่า บริการรถไฟ ETS3 ระหว่างสถานียะโฮร์บาห์รู รัฐยะโฮร์ กับกรุงกัวลาลัมเปอร์ เมืองหลวงของมาเลเซีย จะเริ่มให้บริการในวันที่ 12 ธ.ค. โดยสมเด็จพระราชาธิบดีสุลต่านอิบราฮิมแห่งมาเลเซีย จะเสด็จพระราชดำเนินในพิธีเปิด ที่เมืองยะโฮร์บาห์รู ในวันที่ 11 ธ.ค. ก่อนที่จะเปิดให้บริการแก่ประชาชนในวันถัดไป เบื้องต้นจะให้บริการเส้นทาง JB Sentral ถึง KL Sentral เป็นหลัก ส่วนเส้นทางไปยังสถานีบัตเตอร์เวอร์ธ (Butterworth) และ ปาดังเบซาร์ (Padang Besar) มีกำหนดให้บริการในระยะต่อไป

    ด้านการรถไฟมาลายา (KTM Berhad) ชี้แจงว่า กำลังเตรียมความพร้อมสำหรับบริการรถไฟ ETS3 โดยได้เตรียมกำหนดเวลาเดินรถ ระบบตั๋วโดยสาร และการจัดสรรพนักงานให้บริการในเส้นทางดังกล่าวแล้ว แต่ยังคงรอการอนุมัติขั้นตอนสุดท้ายจากหน่วยงานขนส่งสาธารณะทางบกและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ขณะที่ขบวนรถไฟ ETS3 รุ่นใหม่ล่าสุด 4 ขบวน จากทั้งหมด 10 ขบวน ผ่านการตรวจสอบรายละเอียดขั้นสุดท้าย (PCA) ซึ่งได้รับการรับรองและพร้อมใช้งานแล้ว เริ่มต้นจะให้บริการเส้นทาง JB Sentral ถึง KL Sentral รวม 4 เที่ยวต่อวัน ซึ่งจะเพิ่มความถี่ในการเดินทางควบคู่ไปกับการส่งมอบขบวนรถไฟเพิ่มเติม

    ส่วนเส้นทาง JB Sentral มุ่งหน้าไปยังรัฐทางเหนือ จะดำเนินการเป็นขั้นตอนตามความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐาน ข้อกำหนดด้านการจัดตารางเวลาเดินรถ และความพร้อมของสินทรัพย์ในการดำเนินงาน

    ก่อนหน้านี้เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (21 พ.ย.) นายโมฮัมหมัด ฟาซลี โมฮัมหมัด ซัลเลห์ ประธานคณะกรรมการด้านงานก่อสร้าง ขนส่ง โครงสร้างพื้นฐานและการสื่อสารของรัฐยะโฮร์ กล่าวต่อสภานิติบัญญัติของรัฐยะโฮร์ ว่า โครงการรถไฟทางคู่ติดระบบไฟฟ้า เกอมัส-ยะโฮร์บาห์รู (EDTP) ระยะทาง 192 กิโลเมตร มูลค่า 8,900 ล้านริงกิต (ประมาณ 70,000 ล้านบาท) ที่รอคอยกันมายาวนาน มีความคืบหน้าไปแล้ว 99.94% และคาดว่าจะแล้วเสร็จทั้งหมดภายในสิ้นเดือน พ.ย.

    โครงการนี้เริ่มก่อสร้างเมื่อวันที่ 1 ธ.ค.2559 ผ่านเมืองเซกามัต คลวง กูไล และยะโฮร์บาห์รู โดยงานโยธาในขั้นสุดท้ายกำลังดำเนินการอยู่ ก่อนที่เส้นทางรถไฟจะเปิดให้บริการเต็มรูปแบบ ซึ่งรูปแบบการให้บริการรถไฟ ETS จะให้บริการวันละ 12 เที่ยว ภายใต้ตารางเดินรถเต็มรูปแบบ ประกอบด้วยเส้นทางยะโฮร์บาห์รู-กัวลาลัมเปอร์ 8 เที่ยวต่อวัน เส้นทางยะโฮร์บาห์รู-ปาดังเบซาร์ 2 เที่ยวต่อวัน และเส้นทางยะโฮร์บาห์รู-บัตเตอร์เวอร์ธ 2 เที่ยวต่อวัน

    #Newskit
    12 ธ.ค. เปิดรถไฟ ETS3 ยะโฮร์บาห์รู-กัวลาลัมเปอร์ เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (22 พ.ย.) นายแอนโธนี โลค รมว.คมนาคมมาเลเซีย เปิดเผยว่า บริการรถไฟ ETS3 ระหว่างสถานียะโฮร์บาห์รู รัฐยะโฮร์ กับกรุงกัวลาลัมเปอร์ เมืองหลวงของมาเลเซีย จะเริ่มให้บริการในวันที่ 12 ธ.ค. โดยสมเด็จพระราชาธิบดีสุลต่านอิบราฮิมแห่งมาเลเซีย จะเสด็จพระราชดำเนินในพิธีเปิด ที่เมืองยะโฮร์บาห์รู ในวันที่ 11 ธ.ค. ก่อนที่จะเปิดให้บริการแก่ประชาชนในวันถัดไป เบื้องต้นจะให้บริการเส้นทาง JB Sentral ถึง KL Sentral เป็นหลัก ส่วนเส้นทางไปยังสถานีบัตเตอร์เวอร์ธ (Butterworth) และ ปาดังเบซาร์ (Padang Besar) มีกำหนดให้บริการในระยะต่อไป ด้านการรถไฟมาลายา (KTM Berhad) ชี้แจงว่า กำลังเตรียมความพร้อมสำหรับบริการรถไฟ ETS3 โดยได้เตรียมกำหนดเวลาเดินรถ ระบบตั๋วโดยสาร และการจัดสรรพนักงานให้บริการในเส้นทางดังกล่าวแล้ว แต่ยังคงรอการอนุมัติขั้นตอนสุดท้ายจากหน่วยงานขนส่งสาธารณะทางบกและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ขณะที่ขบวนรถไฟ ETS3 รุ่นใหม่ล่าสุด 4 ขบวน จากทั้งหมด 10 ขบวน ผ่านการตรวจสอบรายละเอียดขั้นสุดท้าย (PCA) ซึ่งได้รับการรับรองและพร้อมใช้งานแล้ว เริ่มต้นจะให้บริการเส้นทาง JB Sentral ถึง KL Sentral รวม 4 เที่ยวต่อวัน ซึ่งจะเพิ่มความถี่ในการเดินทางควบคู่ไปกับการส่งมอบขบวนรถไฟเพิ่มเติม ส่วนเส้นทาง JB Sentral มุ่งหน้าไปยังรัฐทางเหนือ จะดำเนินการเป็นขั้นตอนตามความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐาน ข้อกำหนดด้านการจัดตารางเวลาเดินรถ และความพร้อมของสินทรัพย์ในการดำเนินงาน ก่อนหน้านี้เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (21 พ.ย.) นายโมฮัมหมัด ฟาซลี โมฮัมหมัด ซัลเลห์ ประธานคณะกรรมการด้านงานก่อสร้าง ขนส่ง โครงสร้างพื้นฐานและการสื่อสารของรัฐยะโฮร์ กล่าวต่อสภานิติบัญญัติของรัฐยะโฮร์ ว่า โครงการรถไฟทางคู่ติดระบบไฟฟ้า เกอมัส-ยะโฮร์บาห์รู (EDTP) ระยะทาง 192 กิโลเมตร มูลค่า 8,900 ล้านริงกิต (ประมาณ 70,000 ล้านบาท) ที่รอคอยกันมายาวนาน มีความคืบหน้าไปแล้ว 99.94% และคาดว่าจะแล้วเสร็จทั้งหมดภายในสิ้นเดือน พ.ย. โครงการนี้เริ่มก่อสร้างเมื่อวันที่ 1 ธ.ค.2559 ผ่านเมืองเซกามัต คลวง กูไล และยะโฮร์บาห์รู โดยงานโยธาในขั้นสุดท้ายกำลังดำเนินการอยู่ ก่อนที่เส้นทางรถไฟจะเปิดให้บริการเต็มรูปแบบ ซึ่งรูปแบบการให้บริการรถไฟ ETS จะให้บริการวันละ 12 เที่ยว ภายใต้ตารางเดินรถเต็มรูปแบบ ประกอบด้วยเส้นทางยะโฮร์บาห์รู-กัวลาลัมเปอร์ 8 เที่ยวต่อวัน เส้นทางยะโฮร์บาห์รู-ปาดังเบซาร์ 2 เที่ยวต่อวัน และเส้นทางยะโฮร์บาห์รู-บัตเตอร์เวอร์ธ 2 เที่ยวต่อวัน #Newskit
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 458 มุมมอง 0 รีวิว
  • นับหนึ่งใหม่รถไฟฟ้าสายสีแดง วงเวียนใหญ่-มหาชัย

    การรถไฟแห่งประเทศไทย จะเปิดการประชุมปฐมนิเทศโครงการ เพื่อทบทวนผลการศึกษาความเหมาะสม แบบรายละเอียด จัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม และจัดทำร่างเอกสารประกวดราคา โครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงเข้มช่วงวงเวียนใหญ่-มหาชัย 2 เวที กรุงเทพฯ และสมุทรสาคร

    บริษัทที่ปรึกษาฯ ได้นำเสนอแนวเส้นทาง เริ่มจากสถานีรถไฟหัวลำโพง ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณศูนย์การค้าริเวอร์ซิตี้ ยกระดับที่ถนนลาดหญ้า เลี้ยวซ้ายที่วงเวียนใหญ่ ผ่านสถานีรถไฟวงเวียนใหญ่ ไปตามทางรถไฟสายวงเวียนใหญ่-มหาชัย แบ่งเป็น 5 ทางเลือก ได้แก่

    ทางเลือกที่ 1 ระยะทาง 37.3 กิโลเมตร ไปตามทางรถไฟสายวงเวียนใหญ่-มหาชัย เมื่อผ่านสถานีบ้านขอมแล้วเลี้ยวขวา ผ่านถนนเอกชัย ถนนพระรามที่ 2 ตัวสถานีมหาชัยแห่งใหม่จะอยู่ที่ห้างบิ๊กซีมหาชัย (คลองครุ) ส่วนใหญ่ 75% เป็นเขตทางรถไฟเดิม ปัญหาก็คือ ช่วงปลายทางผ่านแหล่งชุมชนขนาดใหญ่ เวนคืนที่ดินยุ่งยาก และเมื่อตัดผ่านถนนพระรามที่ 2 ต้องก่อสร้างเป็นทางยกระดับเสาสูง ซึ่งมีค่าก่อสร้างสูงมาก

    ทางเลือกที่ 2 ระยะทาง 35.9 กิโลเมตร ตรงไปตามทางรถไฟสายวงเวียนใหญ่-มหาชัย สิ้นสุดที่สถานีรถไฟมหาชัยเดิม กว่า 90% เป็นเขตทางรถไฟเดิม ทำให้ลดพื้นที่เวนคืนลง จัดการพื้นที่เวนคืนได้ง่ายที่สุด ผู้โดยสารคุ้นเคย และมีระยะทางสั้นที่สุด แต่สถานีมหาชัยเดิมอยู่ในพื้นที่แออัด การพัฒนาพื้นที่รอบสถานียุ่งยาก และฝั่งตรงข้ามแม่น้ำท่าจีน (ท่าฉลอม) เป็นพื้นที่อ่อนไหว การออกแบบวางแนวต่อเชื่อมในอนาคตจึงไม่ง่าย

    ทางเลือกที่ 3 ระยะทาง 36.8 กิโลเมตร คล้ายทางเลือกที่ 1 แต่ไม่ไปถนนพระรามที่ 2 ใช้ถนนเอกชัยแทน ตัวสถานีมหาชัยแห่งใหม่ อยู่ระหว่างโรงพยาบาลสมุทรสาคร กับสถานีตำรวจภูธรเมืองสมุทรสาคร (สี่แยกโรงพัก) ปัญหาก็คือ แนวเส้นทางเบี่ยงจากสถานีบ้านขอมไปทางถนนเอกชัย มีรัศมีสั้น อาจต้องลดความเร็วในการเดินรถ

    ทางเลือกที่ 4 ระยะทาง 36.6 กิโลเมตร เมื่อเลยสถานีคอกควายไปแล้ว เลี้ยวขวาไปออกถนนเอกชัย บริเวณคลังสินค้าอินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ เพื่อให้มีรัศมีความโค้งยาวขึ้น ใช้ความเร็วในการเดินรถได้อย่างราบรื่น ตัวสถานีมหาชัยแห่งใหม่เหมือนทางเลือกที่ 3

    ทางเลือกที่ 5 ระยะทาง 36.3 กิโลเมตร จากสถานีวงเวียนใหญ่ เมื่อเลยสถานีวุฒากาศไปแล้ว จะเบี่ยงขวาไปทางถนนเอกชัย ตั้งแต่วัดราชโอรส ตลอดเส้นทาง ตัวสถานีมหาชัยแห่งใหม่เหมือนทางเลือกที่ 3 แต่ต้องเวนคืนที่ดิน มีแนวกระทบกับอาคารของวัดราชโอรส รวมทั้งช่วงที่ถนนแคบต้องเวนคืนพื้นที่เพิ่มเติมพอสมควร และการก่อสร้างมีผลกระทบต่อชุมชนและสังคมค่อนข้างมาก

    #Newskit
    นับหนึ่งใหม่รถไฟฟ้าสายสีแดง วงเวียนใหญ่-มหาชัย การรถไฟแห่งประเทศไทย จะเปิดการประชุมปฐมนิเทศโครงการ เพื่อทบทวนผลการศึกษาความเหมาะสม แบบรายละเอียด จัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม และจัดทำร่างเอกสารประกวดราคา โครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงเข้มช่วงวงเวียนใหญ่-มหาชัย 2 เวที กรุงเทพฯ และสมุทรสาคร บริษัทที่ปรึกษาฯ ได้นำเสนอแนวเส้นทาง เริ่มจากสถานีรถไฟหัวลำโพง ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณศูนย์การค้าริเวอร์ซิตี้ ยกระดับที่ถนนลาดหญ้า เลี้ยวซ้ายที่วงเวียนใหญ่ ผ่านสถานีรถไฟวงเวียนใหญ่ ไปตามทางรถไฟสายวงเวียนใหญ่-มหาชัย แบ่งเป็น 5 ทางเลือก ได้แก่ ทางเลือกที่ 1 ระยะทาง 37.3 กิโลเมตร ไปตามทางรถไฟสายวงเวียนใหญ่-มหาชัย เมื่อผ่านสถานีบ้านขอมแล้วเลี้ยวขวา ผ่านถนนเอกชัย ถนนพระรามที่ 2 ตัวสถานีมหาชัยแห่งใหม่จะอยู่ที่ห้างบิ๊กซีมหาชัย (คลองครุ) ส่วนใหญ่ 75% เป็นเขตทางรถไฟเดิม ปัญหาก็คือ ช่วงปลายทางผ่านแหล่งชุมชนขนาดใหญ่ เวนคืนที่ดินยุ่งยาก และเมื่อตัดผ่านถนนพระรามที่ 2 ต้องก่อสร้างเป็นทางยกระดับเสาสูง ซึ่งมีค่าก่อสร้างสูงมาก ทางเลือกที่ 2 ระยะทาง 35.9 กิโลเมตร ตรงไปตามทางรถไฟสายวงเวียนใหญ่-มหาชัย สิ้นสุดที่สถานีรถไฟมหาชัยเดิม กว่า 90% เป็นเขตทางรถไฟเดิม ทำให้ลดพื้นที่เวนคืนลง จัดการพื้นที่เวนคืนได้ง่ายที่สุด ผู้โดยสารคุ้นเคย และมีระยะทางสั้นที่สุด แต่สถานีมหาชัยเดิมอยู่ในพื้นที่แออัด การพัฒนาพื้นที่รอบสถานียุ่งยาก และฝั่งตรงข้ามแม่น้ำท่าจีน (ท่าฉลอม) เป็นพื้นที่อ่อนไหว การออกแบบวางแนวต่อเชื่อมในอนาคตจึงไม่ง่าย ทางเลือกที่ 3 ระยะทาง 36.8 กิโลเมตร คล้ายทางเลือกที่ 1 แต่ไม่ไปถนนพระรามที่ 2 ใช้ถนนเอกชัยแทน ตัวสถานีมหาชัยแห่งใหม่ อยู่ระหว่างโรงพยาบาลสมุทรสาคร กับสถานีตำรวจภูธรเมืองสมุทรสาคร (สี่แยกโรงพัก) ปัญหาก็คือ แนวเส้นทางเบี่ยงจากสถานีบ้านขอมไปทางถนนเอกชัย มีรัศมีสั้น อาจต้องลดความเร็วในการเดินรถ ทางเลือกที่ 4 ระยะทาง 36.6 กิโลเมตร เมื่อเลยสถานีคอกควายไปแล้ว เลี้ยวขวาไปออกถนนเอกชัย บริเวณคลังสินค้าอินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ เพื่อให้มีรัศมีความโค้งยาวขึ้น ใช้ความเร็วในการเดินรถได้อย่างราบรื่น ตัวสถานีมหาชัยแห่งใหม่เหมือนทางเลือกที่ 3 ทางเลือกที่ 5 ระยะทาง 36.3 กิโลเมตร จากสถานีวงเวียนใหญ่ เมื่อเลยสถานีวุฒากาศไปแล้ว จะเบี่ยงขวาไปทางถนนเอกชัย ตั้งแต่วัดราชโอรส ตลอดเส้นทาง ตัวสถานีมหาชัยแห่งใหม่เหมือนทางเลือกที่ 3 แต่ต้องเวนคืนที่ดิน มีแนวกระทบกับอาคารของวัดราชโอรส รวมทั้งช่วงที่ถนนแคบต้องเวนคืนพื้นที่เพิ่มเติมพอสมควร และการก่อสร้างมีผลกระทบต่อชุมชนและสังคมค่อนข้างมาก #Newskit
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 591 มุมมอง 0 รีวิว
  • ซีไอเอ็มบีไทยขอลา ยกเลิกบริการบัตรเดบิตในไทย

    ผู้ใช้บริการบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ชิลดี พร้อมกับบัตรเดบิตชิลดี ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีจุดขายฟรีค่าธรรมเนียมรายปีตลอดอายุบัตร ถอนเงินสดฟรีทุกตู้ ATM ทั่วไทยไม่จำกัดจำนวนครั้ง และตู้ ATM ธนาคารในกลุ่มซีไอเอ็มบี ที่ประเทศมาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย กัมพูชา มากกว่า 5,900 เครื่อง รวมทั้งลูกค้าบัตรเดบิตซีไอเอ็มบีไทยทุกประเภท อาจต้องเตรียมเก็บบัตรไว้ในลิ้นชัก

    เมื่อธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ทยอยแจ้งลูกค้าที่เข้ามาสอบถามผ่านเฟซบุ๊กของธนาคาร ว่า บัตรเดบิต ซีไอเอ็มบี ไทย จะสิ้นสุดการให้บริการในวันที่ 3 เม.ย. 2569 เป็นต้นไป เพื่อความสะดวกและต่อเนื่องในการทำธุรกรรมกับธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย นอกจากการถอนเงินสดผ่านสาขาของธนาคารแล้ว สามารถใช้บริการแอปฯ CIMB THAI เพื่อทำธุรกรรมถอนเงินไม่ใช้บัตรที่เครื่องเอทีเอ็ม ธนาคารไทยพาณิชย์ ได้ตั้งแต่วันที่ 19 ม.ค. 2569 เป็นต้นไป

    ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ออกบัตรเดบิตรองรับระบบวีซ่า เพย์เวฟ (VISA Paywave) เป็นแห่งแรกเมื่อปี 2558 คิดค่าธรรมเนียมรายปี 300 บาท ก่อนที่จะออกผลิตภัณฑ์บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ดิจิทัล ซีไอเอ็มบี ไทย เมื่อวันที่ 3 เม.ย. 2562 ชูจุดขายดอกเบี้ย 2% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุกเดือน ฟรีค่าธรรมเนียมบัตรเดบิตทุกอย่าง ยกเว้นกรณีบัตรหาย กระทั่งวันที่ 21 ก.ค. 2563 ได้เปลี่ยนชื่อเป็นผลิตภัณฑ์เงินฝากออมทรัพย์ชิลดี ซีไอเอ็มบี ไทย และบัตรเดบิต ชิลดี ระหว่างนั้น ธนาคารก็ประกาศยกเลิกบริการตู้เอทีเอ็ม และเอทีเอ็มแบบทรีอินวันในประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. 2563 เป็นต้นมา แต่บัตรเดบิตของธนาคารยังสามารถทำรายการได้ฟรีผ่านตู้ ATM ทุกธนาคารทั่วไทย ไม่มีค่าธรรมเนียม

    ผลกระทบที่ตามมา หนึ่งในนั้นคือนักท่องเที่ยวชาวไทยส่วนหนึ่ง ที่นิยมไปท่องเที่ยวประเทศใกล้เคียงอย่างมาเลเซีย ที่ตั้งของสำนักงานใหญ่กลุ่มซีไอเอ็มบี ที่ผ่านมาสามารถกดเงินสดที่ตู้เอทีเอ็มธนาคาร CIMB และ CIMB Islamic ได้ฟรี แต่เมื่อไม่มีบัตรเดบิตซีไอเอ็มบี ไทย ในปีหน้า อาจต้องหาทางเลือกอื่น เช่น ใช้บัญชีและบัตรเดบิตธนาคารยูโอบี ซึ่งฟรีค่าธรรมเนียมเบิกถอนเงินสด หรือสอบถามยอดเงิน ได้จากตู้เอทีเอ็มของธนาคารยูโอบีที่อยู่ในประเทศสิงคโปร์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย แต่ก็มีค่าธรรมเนียมรายปี 300 บาท หรือไม่เช่นนั้นก็ต้องแลกเงินที่สนามบินดอนเมือง สนามบินสุวรรณภูมิ ขั้นต่ำ 50 ริงกิต หรือที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ก่อนเข้าประเทศมาเลเซีย

    #Newskit
    ซีไอเอ็มบีไทยขอลา ยกเลิกบริการบัตรเดบิตในไทย ผู้ใช้บริการบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ชิลดี พร้อมกับบัตรเดบิตชิลดี ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีจุดขายฟรีค่าธรรมเนียมรายปีตลอดอายุบัตร ถอนเงินสดฟรีทุกตู้ ATM ทั่วไทยไม่จำกัดจำนวนครั้ง และตู้ ATM ธนาคารในกลุ่มซีไอเอ็มบี ที่ประเทศมาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย กัมพูชา มากกว่า 5,900 เครื่อง รวมทั้งลูกค้าบัตรเดบิตซีไอเอ็มบีไทยทุกประเภท อาจต้องเตรียมเก็บบัตรไว้ในลิ้นชัก เมื่อธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ทยอยแจ้งลูกค้าที่เข้ามาสอบถามผ่านเฟซบุ๊กของธนาคาร ว่า บัตรเดบิต ซีไอเอ็มบี ไทย จะสิ้นสุดการให้บริการในวันที่ 3 เม.ย. 2569 เป็นต้นไป เพื่อความสะดวกและต่อเนื่องในการทำธุรกรรมกับธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย นอกจากการถอนเงินสดผ่านสาขาของธนาคารแล้ว สามารถใช้บริการแอปฯ CIMB THAI เพื่อทำธุรกรรมถอนเงินไม่ใช้บัตรที่เครื่องเอทีเอ็ม ธนาคารไทยพาณิชย์ ได้ตั้งแต่วันที่ 19 ม.ค. 2569 เป็นต้นไป ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ออกบัตรเดบิตรองรับระบบวีซ่า เพย์เวฟ (VISA Paywave) เป็นแห่งแรกเมื่อปี 2558 คิดค่าธรรมเนียมรายปี 300 บาท ก่อนที่จะออกผลิตภัณฑ์บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ดิจิทัล ซีไอเอ็มบี ไทย เมื่อวันที่ 3 เม.ย. 2562 ชูจุดขายดอกเบี้ย 2% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุกเดือน ฟรีค่าธรรมเนียมบัตรเดบิตทุกอย่าง ยกเว้นกรณีบัตรหาย กระทั่งวันที่ 21 ก.ค. 2563 ได้เปลี่ยนชื่อเป็นผลิตภัณฑ์เงินฝากออมทรัพย์ชิลดี ซีไอเอ็มบี ไทย และบัตรเดบิต ชิลดี ระหว่างนั้น ธนาคารก็ประกาศยกเลิกบริการตู้เอทีเอ็ม และเอทีเอ็มแบบทรีอินวันในประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. 2563 เป็นต้นมา แต่บัตรเดบิตของธนาคารยังสามารถทำรายการได้ฟรีผ่านตู้ ATM ทุกธนาคารทั่วไทย ไม่มีค่าธรรมเนียม ผลกระทบที่ตามมา หนึ่งในนั้นคือนักท่องเที่ยวชาวไทยส่วนหนึ่ง ที่นิยมไปท่องเที่ยวประเทศใกล้เคียงอย่างมาเลเซีย ที่ตั้งของสำนักงานใหญ่กลุ่มซีไอเอ็มบี ที่ผ่านมาสามารถกดเงินสดที่ตู้เอทีเอ็มธนาคาร CIMB และ CIMB Islamic ได้ฟรี แต่เมื่อไม่มีบัตรเดบิตซีไอเอ็มบี ไทย ในปีหน้า อาจต้องหาทางเลือกอื่น เช่น ใช้บัญชีและบัตรเดบิตธนาคารยูโอบี ซึ่งฟรีค่าธรรมเนียมเบิกถอนเงินสด หรือสอบถามยอดเงิน ได้จากตู้เอทีเอ็มของธนาคารยูโอบีที่อยู่ในประเทศสิงคโปร์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย แต่ก็มีค่าธรรมเนียมรายปี 300 บาท หรือไม่เช่นนั้นก็ต้องแลกเงินที่สนามบินดอนเมือง สนามบินสุวรรณภูมิ ขั้นต่ำ 50 ริงกิต หรือที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ก่อนเข้าประเทศมาเลเซีย #Newskit
    Like
    2
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 537 มุมมอง 0 รีวิว
  • แบงก์กรุงเทพ ลงสนามทราเวลการ์ด

    ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ บัตรทราเวลธนาคารกรุงเทพ (Bangkok Bank Travel Card) ผ่านเครือข่ายมาสเตอร์การ์ด เจาะตลาดนักท่องเที่ยวไทยไปต่างประเทศ ด้วยจุดขายไม่มีค่าธรรมเนียมรายปี ไม่เสียค่าความเสี่ยงจากการแปลงสกุลเงิน (FX Rate) 2.5% ในทุกการใช้จ่ายผ่านบัตรที่ต่างประเทศ พร้อมแลกเปลี่ยนสกุลเงินต่างประเทศภายในบัตรได้มากถึง 11 สกุลเงินตลอด 24 ชั่วโมง ผ่านโมบายแบงก์กิ้งธนาคารกรุงเทพ หรือมีเงินบาทก็ใช้ได้กว่า 150 ประเทศทั่วโลก

    ช่วงเปิดตัวนอกจากสมัครฟรี ไม่เสียค่าธรรมเนียมแรกเข้า 200 บาท ผ่านโมบายล์แบงกิ้งธนาคารกรุงเทพ ที่มีผู้ใช้งานกว่า 14.38 ล้านราย หรือแบบรับบัตรทันที (Instant Card) ผ่านสาขาธนาคารในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด 150 สาขาที่ร่วมรายการแล้ว ยังมีโปรโมชันและสิทธิพิเศษที่แตกต่างจากค่ายอื่น ได้แก่ เมื่อร้านค้าในต่างประเทศและร้านค้าออนไลน์ที่จดทะเบียนในต่างประเทศทุก 1,000 บาทขึ้นไป รับเงินคืน (Cashback) 3% สูงสุด 1,500 บาท ถึง 28 ก.พ. 2569 และเมื่อมียอดใช้จ่ายสะสม 50,000 บาทขึ้นไป รับสิทธิเข้าใช้บริการห้องรับรองพิเศษ Miracle Lounge สนามบินดอนเมือง หรือสุวรรณภูมิ มูลค่า 1,500 บาท ถึง 31 มี.ค. 2569

    หรือรับส่วนลดห้องรับรองพิเศษ Miracle Lounge สูงสุด 30% พร้อมผู้ติดตามสูงสุด 5 คน ไม่จำกัดจำนวนครั้ง ถึง 31 ธ.ค. 2569 รับความคุ้มครองประกันภัยการเดินทางต่างประเทศมูลค่ากว่า 3 ล้านบาท สิทธิประโยชน์ Mastercard Flight Delay Pass เข้าใช้ห้องรับรองสนามบินกว่า 1,500 แห่งทั่วโลกเมื่อเที่ยวบินล่าช้า ตั้งแต่วันที่ 15 ม.ค. 2569 เป็นต้นไป และสิทธิประโยชน์ Mastercard Priceless Specials จากร้านค้าชั้นนำทั่วโลกตลอดปี

    นายโชค ณ ระนอง ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้จัดการสายบัตรเครดิต ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปัจจุบันคนไทยนิยมเดินทางไปท่องเที่ยวในต่างประเทศเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สมาคมไทยบริการท่องเที่ยว (TTA) คาดการณ์ว่าในปี 2568 จะมีคนไทยไปเที่ยวต่างประเทศ (Outbound) ไม่ต่ำกว่า 10 ล้านคน ด้วยจุดเด่นของบัตรจึงมั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับจากนักเดินทางเป็นอย่างดี และมียอดสมัครใช้บริการในปีแรกไม่ต่ำกว่า 100,000 ใบ

    สำหรับการแข่งขันบัตรทราเวลการ์ดในไทยเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2561 เริ่มจากธนาคารกรุงไทย ออกบัตรกรุงไทยทราเวลการ์ด (ปัจจุบันพัฒนาเป็นบัตรเดบิต) ตามมาด้วยธนาคารไทยพาณิชย์ ออกบัตรพลาเน็ตเอสซีบี ธนาคารกสิกรไทยและยูทริปสิงคโปร์ ออกบัตรยูทริป ธนาคารกรุงศรีอยุธยาออกบัตรกรุงศรีบอร์ดดิ้งการ์ด กลุ่มแอร์เอเชียออกบัตรบิ๊กเพย์ เป็นต้น

    #Newskit
    แบงก์กรุงเทพ ลงสนามทราเวลการ์ด ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ บัตรทราเวลธนาคารกรุงเทพ (Bangkok Bank Travel Card) ผ่านเครือข่ายมาสเตอร์การ์ด เจาะตลาดนักท่องเที่ยวไทยไปต่างประเทศ ด้วยจุดขายไม่มีค่าธรรมเนียมรายปี ไม่เสียค่าความเสี่ยงจากการแปลงสกุลเงิน (FX Rate) 2.5% ในทุกการใช้จ่ายผ่านบัตรที่ต่างประเทศ พร้อมแลกเปลี่ยนสกุลเงินต่างประเทศภายในบัตรได้มากถึง 11 สกุลเงินตลอด 24 ชั่วโมง ผ่านโมบายแบงก์กิ้งธนาคารกรุงเทพ หรือมีเงินบาทก็ใช้ได้กว่า 150 ประเทศทั่วโลก ช่วงเปิดตัวนอกจากสมัครฟรี ไม่เสียค่าธรรมเนียมแรกเข้า 200 บาท ผ่านโมบายล์แบงกิ้งธนาคารกรุงเทพ ที่มีผู้ใช้งานกว่า 14.38 ล้านราย หรือแบบรับบัตรทันที (Instant Card) ผ่านสาขาธนาคารในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด 150 สาขาที่ร่วมรายการแล้ว ยังมีโปรโมชันและสิทธิพิเศษที่แตกต่างจากค่ายอื่น ได้แก่ เมื่อร้านค้าในต่างประเทศและร้านค้าออนไลน์ที่จดทะเบียนในต่างประเทศทุก 1,000 บาทขึ้นไป รับเงินคืน (Cashback) 3% สูงสุด 1,500 บาท ถึง 28 ก.พ. 2569 และเมื่อมียอดใช้จ่ายสะสม 50,000 บาทขึ้นไป รับสิทธิเข้าใช้บริการห้องรับรองพิเศษ Miracle Lounge สนามบินดอนเมือง หรือสุวรรณภูมิ มูลค่า 1,500 บาท ถึง 31 มี.ค. 2569 หรือรับส่วนลดห้องรับรองพิเศษ Miracle Lounge สูงสุด 30% พร้อมผู้ติดตามสูงสุด 5 คน ไม่จำกัดจำนวนครั้ง ถึง 31 ธ.ค. 2569 รับความคุ้มครองประกันภัยการเดินทางต่างประเทศมูลค่ากว่า 3 ล้านบาท สิทธิประโยชน์ Mastercard Flight Delay Pass เข้าใช้ห้องรับรองสนามบินกว่า 1,500 แห่งทั่วโลกเมื่อเที่ยวบินล่าช้า ตั้งแต่วันที่ 15 ม.ค. 2569 เป็นต้นไป และสิทธิประโยชน์ Mastercard Priceless Specials จากร้านค้าชั้นนำทั่วโลกตลอดปี นายโชค ณ ระนอง ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้จัดการสายบัตรเครดิต ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปัจจุบันคนไทยนิยมเดินทางไปท่องเที่ยวในต่างประเทศเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สมาคมไทยบริการท่องเที่ยว (TTA) คาดการณ์ว่าในปี 2568 จะมีคนไทยไปเที่ยวต่างประเทศ (Outbound) ไม่ต่ำกว่า 10 ล้านคน ด้วยจุดเด่นของบัตรจึงมั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับจากนักเดินทางเป็นอย่างดี และมียอดสมัครใช้บริการในปีแรกไม่ต่ำกว่า 100,000 ใบ สำหรับการแข่งขันบัตรทราเวลการ์ดในไทยเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2561 เริ่มจากธนาคารกรุงไทย ออกบัตรกรุงไทยทราเวลการ์ด (ปัจจุบันพัฒนาเป็นบัตรเดบิต) ตามมาด้วยธนาคารไทยพาณิชย์ ออกบัตรพลาเน็ตเอสซีบี ธนาคารกสิกรไทยและยูทริปสิงคโปร์ ออกบัตรยูทริป ธนาคารกรุงศรีอยุธยาออกบัตรกรุงศรีบอร์ดดิ้งการ์ด กลุ่มแอร์เอเชียออกบัตรบิ๊กเพย์ เป็นต้น #Newskit
    Like
    1
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 710 มุมมอง 0 รีวิว
  • วิบากกรรมทักษิณ คดี 112-ภาษีชินคอร์ปฯ

    17 พ.ย. ถือเป็นอีกวันหนึ่งที่มีข่าวใหญ่เกี่ยวกับอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร สองเรื่องในวันเดียว เรื่องแรก เมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา นายอิทธิพร แก้วทิพย์ อัยการสูงสุด มีความเห็นควรที่จะยื่นอุทธรณ์คดีมาตรา 112 ที่นายทักษิณให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวแห่งหนึ่งที่กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ เมื่อปี 2558 หลังศาลอาญาพิพากษายกฟ้องเมื่อวันที่ 22 ส.ค. ก่อนหน้านี้ อัยการสูงสุดยื่นขยายระยะเวลาต่อศาลอาญาครั้งที่ 2 ไปถึงวันที่ 21 พ.ย. หลังจากนี้ คำสั่งของอัยการสูงสุดจะถูกส่งไปยังอัยการสำนักงานคดีอาญา 8 ซึ่งเป็นเจ้าของสำนวน เพื่อยื่นอุทธรณ์คดีต่อศาลอุทธรณ์ต่อไป

    ก่อนหน้านี้เมื่อเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา อัยการสูงสุดคนที่แล้ว มีคำสั่งให้นำเรื่องการยื่นอุทธรณ์คดีมาตรา 112 ของนายทักษิณเข้าสู่การพิจารณากลั่นกรองของคณะกรรมการพิจารณาคดีมาตรา 112 ของอัยการสูงสุด ขณะนั้นมีมติ 8 ต่อ 2 เห็นควรไม่อุทธรณ์

    ผ่านไปไม่นาน เรื่องที่สองตามมา ศาลฎีกาพิพากษากลับศาลอุทธรณ์ และศาลภาษีอากรกลาง ยกฟ้องคดีที่นายทักษิณฟ้องกรมสรรพากร และคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้เพิกถอนการประเมินตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ที่แจ้งให้นายทักษิณจ่ายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากการขายหุ้น บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) มีผลให้นายทักษิณ ต้องจ่ายภาษีตามคำสั่งเรียกเก็บจำนวน 1.76 หมื่นล้านบาท

    ศาลเห็นว่าการที่นายทักษิณปกปิดหุ้นชินคอร์ปฯ โดยให้บุคคลอื่น รวมถึงนายพานทองเเท้ และ น.ส.พินทองทา ถือหุ้นแทน เพราะจะเข้ารับตำแหน่งทางการเมืองที่กฎหมายห้ามมิให้โจทก์ถือหุ้น ส่งผลให้รัฐไม่สามารถจัดเก็บภาษีได้อย่างถูกต้องและแน่นอนตามเจตนารมณ์แห่งกฎหมาย อีกทั้งเป็นธุรกรรมที่ไม่มีเหตุผลทางเศรษฐกิจ นอกเหนือจากการหาประโยชน์อื่น รวมถึงภาษีเงินได้ และเป็นธุรกรรมที่ทำขึ้นเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมายอย่างร้ายแรง จึงไม่มีเหตุงดและลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มแก่โจทก์

    คดีนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากนายทักษิณขายหุ้นชินคอร์ปฯ ให้กองทุนเทมาเส็กของสิงคโปร์ มูลค่า 73,271 ล้านบาท เมื่อปี 2549 ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นหุ้นที่ถือครองแทนนายทักษิณ ในชื่อนายพานทองแท้ ชินวัตร และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ ซื้อมาจากบริษัท แอมเพิลริช ในราคาหุ้นละ 1 บาท แล้วนำไปขายต่อให้กลุ่มเทมาเส็กในราคาหุ้นละ 49.25 บาท ซึ่งเป็นการทำธุรกรรมนอกตลาดหลักทรัพย์ ต่อมามีคดียึดทรัพย์นายทักษิณ ซึ่งระบุว่าเป็นเจ้าของทรัพย์สินที่แท้จริง กรมสรรพากรจึงตีความว่านายทักษิณควรเป็นผู้มีเงินได้และต้องเสียภาษีในฐานะบุคคลธรรมดา

    #Newskit
    วิบากกรรมทักษิณ คดี 112-ภาษีชินคอร์ปฯ 17 พ.ย. ถือเป็นอีกวันหนึ่งที่มีข่าวใหญ่เกี่ยวกับอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร สองเรื่องในวันเดียว เรื่องแรก เมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา นายอิทธิพร แก้วทิพย์ อัยการสูงสุด มีความเห็นควรที่จะยื่นอุทธรณ์คดีมาตรา 112 ที่นายทักษิณให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวแห่งหนึ่งที่กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ เมื่อปี 2558 หลังศาลอาญาพิพากษายกฟ้องเมื่อวันที่ 22 ส.ค. ก่อนหน้านี้ อัยการสูงสุดยื่นขยายระยะเวลาต่อศาลอาญาครั้งที่ 2 ไปถึงวันที่ 21 พ.ย. หลังจากนี้ คำสั่งของอัยการสูงสุดจะถูกส่งไปยังอัยการสำนักงานคดีอาญา 8 ซึ่งเป็นเจ้าของสำนวน เพื่อยื่นอุทธรณ์คดีต่อศาลอุทธรณ์ต่อไป ก่อนหน้านี้เมื่อเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา อัยการสูงสุดคนที่แล้ว มีคำสั่งให้นำเรื่องการยื่นอุทธรณ์คดีมาตรา 112 ของนายทักษิณเข้าสู่การพิจารณากลั่นกรองของคณะกรรมการพิจารณาคดีมาตรา 112 ของอัยการสูงสุด ขณะนั้นมีมติ 8 ต่อ 2 เห็นควรไม่อุทธรณ์ ผ่านไปไม่นาน เรื่องที่สองตามมา ศาลฎีกาพิพากษากลับศาลอุทธรณ์ และศาลภาษีอากรกลาง ยกฟ้องคดีที่นายทักษิณฟ้องกรมสรรพากร และคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้เพิกถอนการประเมินตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ที่แจ้งให้นายทักษิณจ่ายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากการขายหุ้น บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) มีผลให้นายทักษิณ ต้องจ่ายภาษีตามคำสั่งเรียกเก็บจำนวน 1.76 หมื่นล้านบาท ศาลเห็นว่าการที่นายทักษิณปกปิดหุ้นชินคอร์ปฯ โดยให้บุคคลอื่น รวมถึงนายพานทองเเท้ และ น.ส.พินทองทา ถือหุ้นแทน เพราะจะเข้ารับตำแหน่งทางการเมืองที่กฎหมายห้ามมิให้โจทก์ถือหุ้น ส่งผลให้รัฐไม่สามารถจัดเก็บภาษีได้อย่างถูกต้องและแน่นอนตามเจตนารมณ์แห่งกฎหมาย อีกทั้งเป็นธุรกรรมที่ไม่มีเหตุผลทางเศรษฐกิจ นอกเหนือจากการหาประโยชน์อื่น รวมถึงภาษีเงินได้ และเป็นธุรกรรมที่ทำขึ้นเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมายอย่างร้ายแรง จึงไม่มีเหตุงดและลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มแก่โจทก์ คดีนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากนายทักษิณขายหุ้นชินคอร์ปฯ ให้กองทุนเทมาเส็กของสิงคโปร์ มูลค่า 73,271 ล้านบาท เมื่อปี 2549 ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นหุ้นที่ถือครองแทนนายทักษิณ ในชื่อนายพานทองแท้ ชินวัตร และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ ซื้อมาจากบริษัท แอมเพิลริช ในราคาหุ้นละ 1 บาท แล้วนำไปขายต่อให้กลุ่มเทมาเส็กในราคาหุ้นละ 49.25 บาท ซึ่งเป็นการทำธุรกรรมนอกตลาดหลักทรัพย์ ต่อมามีคดียึดทรัพย์นายทักษิณ ซึ่งระบุว่าเป็นเจ้าของทรัพย์สินที่แท้จริง กรมสรรพากรจึงตีความว่านายทักษิณควรเป็นผู้มีเงินได้และต้องเสียภาษีในฐานะบุคคลธรรมดา #Newskit
    Like
    2
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 635 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts