• 2 ด่านมาเลเซียการจราจรติดขัดเนื่องจากช่วงปิดเทอม

    เบอร์นามา - ด่านพรมแดนทั้งสองแห่งในรัฐเคดะห์ ประเทศมาเลเซีย การจราจรคับคั่งอย่างหนัก เนื่องจากรถยนต์จากประเทศมาเลเซียจำนวนมากมุ่งหน้าสู่ประเทศไทยในช่วงปิดภาคเรียนของมาเลเซีย โดยเมื่อเช้าวานนี้ (14 ก.ย.) มีรายงานว่ามีคนเข้าแถวยาวที่ศูนย์ตรวจคนเข้าเมือง ศุลกากร ด่านกักกันสัตว์ และความมั่นคง (ICQS) บูกิตกายูฮิตัม ตรงข้ามด่านพรมแดนสะเดา อ.สะเดา จ.สงขลา และศูนย์ ICQS โกตาปูตรา ตรงข้ามด่านพรมแดนบ้านประกอบ อ.นาทวี จ.สงขลา

    นายโมฮัมหมัด ริดชวน ซาอิน ผู้อำนวยการกรมตรวจคนเข้าเมือง (JIM) รัฐเคดะห์ กล่าวว่า ปริมาณการจราจรผ่านด่านตรวจศูนย์ ICQS บูกิตกายูฮิตัม เพิ่มขึ้นอย่างมากตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ 12 ก.ย. ที่ผ่านมา โดยมีผู้เดินทางเข้าออกจำนวน 30,754 ราย เนื่องจากชาวมาเลเซียแห่ไป อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา สวรรค์ของคนรักอาหาร ที่ขึ้นชื่อว่าอาหารราคาไม่แพงและรสชาติอร่อย หาดใหญ่เป็นเมืองยอดนิยมที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเที่ยวในช่วงวันหยุดนี้

    เพื่อรับมือกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จึงได้เพิ่มเคาน์เตอร์ตรวจหนังสือเดินทางทันที พร้อมกับเร่งตรวจสอบเอกสารการเดินทางและจัดการจราจรที่ชายแดน โดยมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดบนถนนสายหลักที่มุ่งหน้าสู่ชายแดนเพื่อลดปัญหาการจราจรติดขัดและการสัญจรไปมาเป็นไปอย่างราบรื่น

    พร้อมกันนี้ ผอ.กรมตรวจคนเข้าเมืองรัฐเคดะห์ ยังแนะนำให้ผู้ใช้รถใช้ถนนชาวมาเลเซียปฏิบัติตามกฎจราจร ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ และวางแผนการเดินทางล่วงหน้า โดยตรวจสอบข้อมูลการจราจรล่าสุดผ่านช่องทางอย่างเป็นทางการ และเลือกช่วงเวลาเดินทางที่เหมาะสม เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการจราจรคับคั่ง ขณะเดียวกัน ยังเตือนนักท่องเที่ยวตรวจสอบให้แน่ใจว่าเอกสารการเดินทางถูกต้องสมบูรณ์ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาที่ชายแดน

    นางซาฟารินา ออธมาน หัวหน้าสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ศูนย์ ICQS โกตาปูตรา รายงานว่า จำนวนนักท่องเที่ยวที่ข้ามพรมแดนเพิ่มขึ้นเกือบ 40% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาปกติ ประมาณ 400-600 รายต่อวัน แต่เมื่อวันศุกร์ (13 ก.ย.) จำนวนผู้เดินทางเพิ่มขึ้นเป็น 1,868 ราย

    https://bernama.com/en/general/news.php?id=2340430
    2 ด่านมาเลเซียการจราจรติดขัดเนื่องจากช่วงปิดเทอม เบอร์นามา - ด่านพรมแดนทั้งสองแห่งในรัฐเคดะห์ ประเทศมาเลเซีย การจราจรคับคั่งอย่างหนัก เนื่องจากรถยนต์จากประเทศมาเลเซียจำนวนมากมุ่งหน้าสู่ประเทศไทยในช่วงปิดภาคเรียนของมาเลเซีย โดยเมื่อเช้าวานนี้ (14 ก.ย.) มีรายงานว่ามีคนเข้าแถวยาวที่ศูนย์ตรวจคนเข้าเมือง ศุลกากร ด่านกักกันสัตว์ และความมั่นคง (ICQS) บูกิตกายูฮิตัม ตรงข้ามด่านพรมแดนสะเดา อ.สะเดา จ.สงขลา และศูนย์ ICQS โกตาปูตรา ตรงข้ามด่านพรมแดนบ้านประกอบ อ.นาทวี จ.สงขลา นายโมฮัมหมัด ริดชวน ซาอิน ผู้อำนวยการกรมตรวจคนเข้าเมือง (JIM) รัฐเคดะห์ กล่าวว่า ปริมาณการจราจรผ่านด่านตรวจศูนย์ ICQS บูกิตกายูฮิตัม เพิ่มขึ้นอย่างมากตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ 12 ก.ย. ที่ผ่านมา โดยมีผู้เดินทางเข้าออกจำนวน 30,754 ราย เนื่องจากชาวมาเลเซียแห่ไป อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา สวรรค์ของคนรักอาหาร ที่ขึ้นชื่อว่าอาหารราคาไม่แพงและรสชาติอร่อย หาดใหญ่เป็นเมืองยอดนิยมที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเที่ยวในช่วงวันหยุดนี้ เพื่อรับมือกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จึงได้เพิ่มเคาน์เตอร์ตรวจหนังสือเดินทางทันที พร้อมกับเร่งตรวจสอบเอกสารการเดินทางและจัดการจราจรที่ชายแดน โดยมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดบนถนนสายหลักที่มุ่งหน้าสู่ชายแดนเพื่อลดปัญหาการจราจรติดขัดและการสัญจรไปมาเป็นไปอย่างราบรื่น พร้อมกันนี้ ผอ.กรมตรวจคนเข้าเมืองรัฐเคดะห์ ยังแนะนำให้ผู้ใช้รถใช้ถนนชาวมาเลเซียปฏิบัติตามกฎจราจร ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ และวางแผนการเดินทางล่วงหน้า โดยตรวจสอบข้อมูลการจราจรล่าสุดผ่านช่องทางอย่างเป็นทางการ และเลือกช่วงเวลาเดินทางที่เหมาะสม เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการจราจรคับคั่ง ขณะเดียวกัน ยังเตือนนักท่องเที่ยวตรวจสอบให้แน่ใจว่าเอกสารการเดินทางถูกต้องสมบูรณ์ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาที่ชายแดน นางซาฟารินา ออธมาน หัวหน้าสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ศูนย์ ICQS โกตาปูตรา รายงานว่า จำนวนนักท่องเที่ยวที่ข้ามพรมแดนเพิ่มขึ้นเกือบ 40% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาปกติ ประมาณ 400-600 รายต่อวัน แต่เมื่อวันศุกร์ (13 ก.ย.) จำนวนผู้เดินทางเพิ่มขึ้นเป็น 1,868 ราย https://bernama.com/en/general/news.php?id=2340430
    BERNAMA.COM
    Congestion At National Border Gates Due To School Holiday Traffic
    Immigration, ICQS, border, tourists, vehicles, con
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 109 Views 0 Reviews
  • ส่องไวรัลมาเลเซีย 2024

    เฟซบุ๊กเพจ MGAG ในมาเลเซียเปิดเผยอินโฟกราฟิกที่ชื่อว่า "2024 Malaysia Meme Calender" รวบรวมประเด็นไวรัลเด่นที่เกิดขึ้นในแต่ละเดือนของประเทศมาเลเซีย จากการสืบค้นของ Newskit พบว่ามีเรื่องราวที่น่าสนใจดังนี้

    ม.ค. 2567 - Derrick Gan แฟนบอลทีมชาติมาเลเซีย ประกาศขายรถจักรยานยนต์ 4,500 ริงกิต (ประมาณ 34,000 บาท) เพื่อใช้เดินทางไปเชียร์ฟุตบอลเอเชียนคัพ ที่ประเทศกาตาร์ หลังกลับมา ค่าย Modenas มอบรถจักรยานยนต์คันใหม่ให้เขา

    ก.พ. 2567 - คลิปหญิงวัย 23 ปีจากอัมปัง กรุงกัวลาลัมเปอร์ ให้สัมภาษณ์ว่าไปเที่ยวไนต์คลับตั้งแต่อายุ 18 ปี กลับบ้านกับผู้ชายถึงสองครั้ง ถูกวิจารณ์ถึงความเหมาะสม ภายหลังอ้างว่าเป็นเรื่องที่แต่งขึ้น คลิปดังกล่าวมีจุดประสงค์ทางการตลาดเท่านั้น

    มี.ค. 2567 - ชายชาวจีนที่อาศัยในมาเลเซีย เจ้าของร้านอาหารหมี่โกโล แต่งงานพร้อมกันกับภรรยา 2 คน ที่ทำงานในร้านเดียวกัน ที่เมืองกุชิง รัฐซาราวัก รัฐมนตรีวิจารณ์ว่าผู้ที่มิใช่ชาวมุสลิม ถ้าจดทะเบียนสมรสแล้ว ไม่สามารถมีคู่สมรสหลายคนได้

    เม.ย. 2567 - Aliff Aziz นักร้องและนักแสดงชาวสิงคโปร์ ถูกกรมกิจการอิสลาม (JAWI) จับกุมพร้อมกับ Ruhainies Farehah นักแสดงสาว ขณะที่อดีตภรรยา Bella Astillah ชี้ว่า Aliff โกหกเรื่องเมียน้อยถึง 11 ครั้ง ยื่นฟ้องหย่าเมื่อเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา

    พ.ค. 2567 - แอดมินเพจร้านอาหารฟาสฟู้ด DarSA Fried Chicken (DFC) ในเมืองราวัง รัฐสลังงอร์ ตอบกลับลูกค้าใช้คำว่า "พวก Type C" ถูกมองว่าเหยียดเชื้อชาติจีนในมาเลเซีย ทางร้านขอโทษและยืนยันว่ายินดีต้อนรับลูกค้าทุกเชื้อชาติและศาสนา

    มิ.ย. 2567 - เจ้าของร้านขายของชำย่านเซเบอรัง จายา รัฐปีนัง กำราบลูกค้าขี้เมาด้วยคำว่า "One by One Gentleman" ภายหลังพบว่าเจ้าของร้านเคยเป็นครูสอนเทควันโดสายดำมาก่อน ส่วนลูกค้าขี้เมาก็กล่าวว่าตนเองเคยเป็นนักคาราเต้สายดำ

    ก.ค. 2567 - เครื่องแต่งกายนักกีฬาทีมชาติมาเลเซีย ที่จะไปแข่งขันโอลิมปิก ปารีส 2024 ถูกวิจารณ์ว่าดีไซน์น่าเกลียด ดูราคาถูก ล้าสมัย และไร้แรงบันดาลใจ ทำให้สภาโอลิมปิกมาเลเซีย ตัดสินใจทำเสื้อแจ็กเก็ตลายใหม่เพื่อลดเสียงวิจารณ์

    ส.ค. 2567 - ขบวนพาเหรดเนื่องในวันชาติมาเลเซีย 2024 ผู้คนให้ความสนใจผู้ชายในเครื่องแบบที่เรียกว่า Abang ปีนี้แข่งกันระหว่าง Abang Bomba ของดับเพลิงและกู้ภัย Abang JPJ ของกรมขนส่งทางบก และ Abang Askar จากกองทัพมาเลเซีย

    #Newskit #Viral #Malaysia
    ส่องไวรัลมาเลเซีย 2024 เฟซบุ๊กเพจ MGAG ในมาเลเซียเปิดเผยอินโฟกราฟิกที่ชื่อว่า "2024 Malaysia Meme Calender" รวบรวมประเด็นไวรัลเด่นที่เกิดขึ้นในแต่ละเดือนของประเทศมาเลเซีย จากการสืบค้นของ Newskit พบว่ามีเรื่องราวที่น่าสนใจดังนี้ ม.ค. 2567 - Derrick Gan แฟนบอลทีมชาติมาเลเซีย ประกาศขายรถจักรยานยนต์ 4,500 ริงกิต (ประมาณ 34,000 บาท) เพื่อใช้เดินทางไปเชียร์ฟุตบอลเอเชียนคัพ ที่ประเทศกาตาร์ หลังกลับมา ค่าย Modenas มอบรถจักรยานยนต์คันใหม่ให้เขา ก.พ. 2567 - คลิปหญิงวัย 23 ปีจากอัมปัง กรุงกัวลาลัมเปอร์ ให้สัมภาษณ์ว่าไปเที่ยวไนต์คลับตั้งแต่อายุ 18 ปี กลับบ้านกับผู้ชายถึงสองครั้ง ถูกวิจารณ์ถึงความเหมาะสม ภายหลังอ้างว่าเป็นเรื่องที่แต่งขึ้น คลิปดังกล่าวมีจุดประสงค์ทางการตลาดเท่านั้น มี.ค. 2567 - ชายชาวจีนที่อาศัยในมาเลเซีย เจ้าของร้านอาหารหมี่โกโล แต่งงานพร้อมกันกับภรรยา 2 คน ที่ทำงานในร้านเดียวกัน ที่เมืองกุชิง รัฐซาราวัก รัฐมนตรีวิจารณ์ว่าผู้ที่มิใช่ชาวมุสลิม ถ้าจดทะเบียนสมรสแล้ว ไม่สามารถมีคู่สมรสหลายคนได้ เม.ย. 2567 - Aliff Aziz นักร้องและนักแสดงชาวสิงคโปร์ ถูกกรมกิจการอิสลาม (JAWI) จับกุมพร้อมกับ Ruhainies Farehah นักแสดงสาว ขณะที่อดีตภรรยา Bella Astillah ชี้ว่า Aliff โกหกเรื่องเมียน้อยถึง 11 ครั้ง ยื่นฟ้องหย่าเมื่อเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา พ.ค. 2567 - แอดมินเพจร้านอาหารฟาสฟู้ด DarSA Fried Chicken (DFC) ในเมืองราวัง รัฐสลังงอร์ ตอบกลับลูกค้าใช้คำว่า "พวก Type C" ถูกมองว่าเหยียดเชื้อชาติจีนในมาเลเซีย ทางร้านขอโทษและยืนยันว่ายินดีต้อนรับลูกค้าทุกเชื้อชาติและศาสนา มิ.ย. 2567 - เจ้าของร้านขายของชำย่านเซเบอรัง จายา รัฐปีนัง กำราบลูกค้าขี้เมาด้วยคำว่า "One by One Gentleman" ภายหลังพบว่าเจ้าของร้านเคยเป็นครูสอนเทควันโดสายดำมาก่อน ส่วนลูกค้าขี้เมาก็กล่าวว่าตนเองเคยเป็นนักคาราเต้สายดำ ก.ค. 2567 - เครื่องแต่งกายนักกีฬาทีมชาติมาเลเซีย ที่จะไปแข่งขันโอลิมปิก ปารีส 2024 ถูกวิจารณ์ว่าดีไซน์น่าเกลียด ดูราคาถูก ล้าสมัย และไร้แรงบันดาลใจ ทำให้สภาโอลิมปิกมาเลเซีย ตัดสินใจทำเสื้อแจ็กเก็ตลายใหม่เพื่อลดเสียงวิจารณ์ ส.ค. 2567 - ขบวนพาเหรดเนื่องในวันชาติมาเลเซีย 2024 ผู้คนให้ความสนใจผู้ชายในเครื่องแบบที่เรียกว่า Abang ปีนี้แข่งกันระหว่าง Abang Bomba ของดับเพลิงและกู้ภัย Abang JPJ ของกรมขนส่งทางบก และ Abang Askar จากกองทัพมาเลเซีย #Newskit #Viral #Malaysia
    Like
    Haha
    5
    0 Comments 0 Shares 278 Views 0 Reviews
  • 6 กันยายน 2567
    "วันต่อต้านการคอรัปชันแห่งชาติ"
    กับความท้าทายที่สำคัญของประเทศไทย
    ในการยกระดับ การปราบปราม การต่อต้าน
    การทุจริต คอรัปชั่น การต่อต้านโกง ในทุกรูปแบบ
    เพื่อยกระดับมาตรฐาน สร้างความโปร่งใส
    และภาพลักษณ์ที่ดีในการลงทุน
    ของในประเทศ และต่างประเทศ

    โดยสำนักงาน คณะกรรมการการป้องกัน
    และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
    ได้เผยแพร่ข้อมูล ดัชนีการรับรู้การทุจริต
    (Corruption Perception Index : CPI)
    ประจำปี 2565 จัดทำโดยองค์กรความโปร่งใสแห่งชาติ
    (Transparency International : TI)
    จากประเทศที่ถูกจัดอันดับทั่วโลกทั้งสิ้น 180 ประเทศ
    พบประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 110 ของโลก
    ได้คะแนน 36 คะแนน จากคะแนนเต็ม 100 คะแนน
    และเป็นอันดับที่ 5 ของอาเซียน รองจาก สิงคโปร์,
    มาเลเซีย, ติมอร์เลสเต และ เวียดนาม
    ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #วันต่อต้านการคอรัปชันแห่งชาติ
    #thaitimes
    🔥🔥 6 กันยายน 2567 "วันต่อต้านการคอรัปชันแห่งชาติ" กับความท้าทายที่สำคัญของประเทศไทย ในการยกระดับ การปราบปราม การต่อต้าน การทุจริต คอรัปชั่น การต่อต้านโกง ในทุกรูปแบบ เพื่อยกระดับมาตรฐาน สร้างความโปร่งใส และภาพลักษณ์ที่ดีในการลงทุน ของในประเทศ และต่างประเทศ 🚩โดยสำนักงาน คณะกรรมการการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้เผยแพร่ข้อมูล ดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perception Index : CPI) ประจำปี 2565 จัดทำโดยองค์กรความโปร่งใสแห่งชาติ (Transparency International : TI) จากประเทศที่ถูกจัดอันดับทั่วโลกทั้งสิ้น 180 ประเทศ พบประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 110 ของโลก ได้คะแนน 36 คะแนน จากคะแนนเต็ม 100 คะแนน และเป็นอันดับที่ 5 ของอาเซียน รองจาก สิงคโปร์, มาเลเซีย, ติมอร์เลสเต และ เวียดนาม ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ #หุ้นติดดอย #การลงทุน #วันต่อต้านการคอรัปชันแห่งชาติ #thaitimes
    Like
    Yay
    3
    0 Comments 0 Shares 789 Views 0 Reviews
  • ส่วนสูงเฉลี่ยของประชากรในประเทศต่าง ๆ ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (วัย 19 ปี)
    .
    วัยรุ่นสิงคโปร์สูงที่สุดทั้งชายและหญิง
    ชายเฉลี่ย 173.5 ซม.
    หญิงเฉลี่ย 161.3 ซม.
    .
    วัยรุ่นไทยอันดับสองทั้งชายและหญิง
    ชายเฉลี่ย 171.61 ซม.
    หญิงเฉลี่ย 159.42 ซม.
    .
    วัยรุ่นชายมาเลเซีย มีส่วนสูงเฉลี่ยเป็นอันดับ 3 คือ 169.2 ซม.
    วัยรุ่นหญิงเวียดนาม มีส่วนสูงเฉลี่ยเป็นอันดับ 3 คือ 158.43 ซม.
    .
    ถ้าเคยชมคลิปวีดิโอชิ้นนี้ของ Vox เรื่อง How South Koreans got so much taller? (คนเกาหลีใต้สูงขึ้นมากได้อย่างไร?)
    https://www.youtube.com/watch?v=ZoLk6GUKzU0
    .
    ก็จะพบว่า "ปัจจัยด้านโภชนาการ" นั้นมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อส่วนสูงของประชากร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเปรียบกับชาติที่มีรากฐานเผ่าพันธุ์เเดียวกันอย่าง เกาหลีใต้ และเกาหลีเหนือ ก็จะเห็นได้ว่าอัตราการเพิ่มของส่วนสูงเฉลี่ยของประชากรเกาหลีใต้ และเกาหลีเหนือมีความแตกต่างกันอย่างมากในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่มีการแบ่งแยกประเทศเมื่อปี 2488 (ค.ศ.1945)
    .
    .
    Cr : FB Asian SEA Story
    ส่วนสูงเฉลี่ยของประชากรในประเทศต่าง ๆ ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (วัย 19 ปี) . วัยรุ่นสิงคโปร์สูงที่สุดทั้งชายและหญิง ชายเฉลี่ย 173.5 ซม. หญิงเฉลี่ย 161.3 ซม. . วัยรุ่นไทยอันดับสองทั้งชายและหญิง ชายเฉลี่ย 171.61 ซม. หญิงเฉลี่ย 159.42 ซม. . วัยรุ่นชายมาเลเซีย มีส่วนสูงเฉลี่ยเป็นอันดับ 3 คือ 169.2 ซม. วัยรุ่นหญิงเวียดนาม มีส่วนสูงเฉลี่ยเป็นอันดับ 3 คือ 158.43 ซม. . ถ้าเคยชมคลิปวีดิโอชิ้นนี้ของ Vox เรื่อง How South Koreans got so much taller? (คนเกาหลีใต้สูงขึ้นมากได้อย่างไร?) https://www.youtube.com/watch?v=ZoLk6GUKzU0 . ก็จะพบว่า "ปัจจัยด้านโภชนาการ" นั้นมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อส่วนสูงของประชากร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเปรียบกับชาติที่มีรากฐานเผ่าพันธุ์เเดียวกันอย่าง เกาหลีใต้ และเกาหลีเหนือ ก็จะเห็นได้ว่าอัตราการเพิ่มของส่วนสูงเฉลี่ยของประชากรเกาหลีใต้ และเกาหลีเหนือมีความแตกต่างกันอย่างมากในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่มีการแบ่งแยกประเทศเมื่อปี 2488 (ค.ศ.1945) . . Cr : FB Asian SEA Story
    Like
    Love
    11
    0 Comments 0 Shares 210 Views 0 Reviews
  • นายกรัฐมนตรี อันวาร์ อิบราฮิม ของมาเลเซีย เดินทางไปเยือนรัสเซีย เพื่อเข้าร่วมการประชุมเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Forum-EEF) ครั้งที่ 9 ระหว่าง 3-6 ก.ย.67 ณ เมืองวลาดิวอสตอก โดยมีกำหนดการปราศรัยต่อที่ประชุม และหารือทวิภาคีกับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน เป้าหมายหลักเพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ทวิภาคีและหารือด้านการค้า การลงทุน การศึกษา เกษตร ความมั่นคงทางอาหาร รวมถึงความร่วมมือในด้านเทคโนโลยีขั้นสูงและอวกาศ โอกาสนี้นายกรัฐมนตรี อันวาร์ อิบราฮิม ย้ำถึงความสนใจของมาเลเซียในการเข้าร่วมองค์กร BRICS และคาดว่าจะมีการหารือเกี่ยวกับสถานการณ์ระหว่างประเทศ โดยเฉพาะความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน รวมถึงความสัมพันธ์ในบริบทอาเซียน-รัสเซีย การเยือนครั้งนี้นับเป็นการเยือนรัสเซียครั้งแรกของนายกรัฐมนตรี อันวาร์ อิบราฮิม นับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง เมื่อปี 2565

    นายกฯอันวาร์ อิบราฮิม (Anwar Ibrahim) นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย กล่าวชื่นชมประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ที่รับปากว่ารัสเซียจะกระชับความสัมพันธ์และนำพาการพัฒนามาสู่ภูมิภาคที่ปูตินกล่าวว่ามี “ศักยภาพมหาศาล” จากการมุ่งเน้นไปยังอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ เมื่อวันที่ 4 กันยายน นอกรอบการประชุมเศรษฐกิจตะวันออก (Eastern Economic Forum) ของรัสเซีย ที่เมืองวลาดิวอสต๊อก ซึ่งอันวาร์ เยือนมอสโกว์เป็นเวลา 2 วัน

    อันวาร์กล่าวว่า จะเป็นประโยชน์ต่อมาเลเซียหากรัสเซียตกลงที่จะ “ร่วมมือกันในทุกด้าน” และแบ่งปันผลสัมฤทธิ์ให้กับมาเลเซีย โดยทั้งสองประเทศกำลังเจรจาหารือถึงความร่วมมือ ตั้งแต่ด้านการบิน อวกาศ และเทคโนโลยีขั้นสูง ไปจนถึงเกษตรกรรม และความมั่นคงด้านอาหาร

    อันวาร์กล่าวอีกว่า ประเทศในกลุ่มอาเซียนมีความข้องเกี่ยวกับรัสเซียเสมอมา และมี “การค้าเสรี” ที่มุ่งเน้นไปยังอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และสาขาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

    “ผมหวังว่าจะได้ร่วมงานกับคุณ (ปูติน) และทีมของคุณ แต่เหนือสิ่งอื่นใด ผมเห็นด้วยนะท่านประธานาธิบดี ศักยภาพมหาศาลจริง ๆ” ผู้นำมาเลย์กล่าว

    การประชุมเศรษฐกิจภาคตะวันออกเป็นเวทีหารือทางเศรษฐกิจที่รัสเซียผลักดันอย่างต่อเนื่องตามนโยบายหันหาตะวันออก (Look East) โดยภาคอุตสาหกรรมที่มีการเจรจาส่วนมาก ได้แก่ เหมืองแร่ พลังงาน และปุ๋ย ที่ผ่านมามีประเทศที่ส่งผู้แทนเข้าร่วมประชุม อาทิ จีน อินเดีย สิงคโปร์ เวียดนาม และมาเลเซีย

    นายกรัฐมนตรีมาเลเซียดำเนินตามรอยผู้นำเอเชียคนอื่น ๆ ในการพบปะกับปูติน โดยไม่สะทกสะท้านต่อการประณามและข้อกล่าวหาเรื่องอาชญากรรมสงครามจากฝ่ายตะวันตกที่มีต่อผู้นำรัสเซีย อันวาร์กล่าวว่า การตัดสินใจเยือนรัสเซีย “ไม่ใช่เรื่องง่าย” แต่ก็เป็น “การตัดสินใจที่ถูกต้อง”

    โดยตอนหนึ่งของ นายกรัฐมนตรีมาเลเซียกล่าวเกี่ยวกับสงครามฉนวนกาซาในงานนี้ที่รัสเซียว่า"เหตุการณ์นี้ไม่ได้เริ่มในวันที่ 7 ตุลาคม แต่เริ่มตั้งแต่การล่าอาณานิคมและขบวนการนัคบาในปี 1948... เหตุการณ์นี้ไม่ได้หยุดลงเพราะความดื้อรั้นของอิสราเอลที่ได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากสหรัฐฯ... ถึงเวลาแล้วที่ชาวปาเลสไตน์ควรได้รับการปฏิบัติเหมือนมนุษย์ ไม่ใช่ทาส"

    นอกจากนี้นายกฯอันวาร์โพสต์บนเฟซบุ๊กว่า ได้รับคำเชิญส่วนตัวจากปูตินให้มาเลเซียเข้าร่วมการประชุมสุดยอด BRICS ที่เมืองคาซานในเดือนตุลาคม ซึ่งถือเป็น “ก้าวสำคัญ” ในการเข้าร่วมกลุ่มของมาเลเซีย

    ที่มา : https://www.youtube.com/live/uAkJtZgyY-E?si=cOMnw5ebIsD8LAcL
    นายกรัฐมนตรี อันวาร์ อิบราฮิม ของมาเลเซีย เดินทางไปเยือนรัสเซีย เพื่อเข้าร่วมการประชุมเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Forum-EEF) ครั้งที่ 9 ระหว่าง 3-6 ก.ย.67 ณ เมืองวลาดิวอสตอก โดยมีกำหนดการปราศรัยต่อที่ประชุม และหารือทวิภาคีกับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน เป้าหมายหลักเพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ทวิภาคีและหารือด้านการค้า การลงทุน การศึกษา เกษตร ความมั่นคงทางอาหาร รวมถึงความร่วมมือในด้านเทคโนโลยีขั้นสูงและอวกาศ โอกาสนี้นายกรัฐมนตรี อันวาร์ อิบราฮิม ย้ำถึงความสนใจของมาเลเซียในการเข้าร่วมองค์กร BRICS และคาดว่าจะมีการหารือเกี่ยวกับสถานการณ์ระหว่างประเทศ โดยเฉพาะความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน รวมถึงความสัมพันธ์ในบริบทอาเซียน-รัสเซีย การเยือนครั้งนี้นับเป็นการเยือนรัสเซียครั้งแรกของนายกรัฐมนตรี อันวาร์ อิบราฮิม นับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง เมื่อปี 2565 นายกฯอันวาร์ อิบราฮิม (Anwar Ibrahim) นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย กล่าวชื่นชมประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ที่รับปากว่ารัสเซียจะกระชับความสัมพันธ์และนำพาการพัฒนามาสู่ภูมิภาคที่ปูตินกล่าวว่ามี “ศักยภาพมหาศาล” จากการมุ่งเน้นไปยังอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ เมื่อวันที่ 4 กันยายน นอกรอบการประชุมเศรษฐกิจตะวันออก (Eastern Economic Forum) ของรัสเซีย ที่เมืองวลาดิวอสต๊อก ซึ่งอันวาร์ เยือนมอสโกว์เป็นเวลา 2 วัน อันวาร์กล่าวว่า จะเป็นประโยชน์ต่อมาเลเซียหากรัสเซียตกลงที่จะ “ร่วมมือกันในทุกด้าน” และแบ่งปันผลสัมฤทธิ์ให้กับมาเลเซีย โดยทั้งสองประเทศกำลังเจรจาหารือถึงความร่วมมือ ตั้งแต่ด้านการบิน อวกาศ และเทคโนโลยีขั้นสูง ไปจนถึงเกษตรกรรม และความมั่นคงด้านอาหาร อันวาร์กล่าวอีกว่า ประเทศในกลุ่มอาเซียนมีความข้องเกี่ยวกับรัสเซียเสมอมา และมี “การค้าเสรี” ที่มุ่งเน้นไปยังอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และสาขาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง “ผมหวังว่าจะได้ร่วมงานกับคุณ (ปูติน) และทีมของคุณ แต่เหนือสิ่งอื่นใด ผมเห็นด้วยนะท่านประธานาธิบดี ศักยภาพมหาศาลจริง ๆ” ผู้นำมาเลย์กล่าว การประชุมเศรษฐกิจภาคตะวันออกเป็นเวทีหารือทางเศรษฐกิจที่รัสเซียผลักดันอย่างต่อเนื่องตามนโยบายหันหาตะวันออก (Look East) โดยภาคอุตสาหกรรมที่มีการเจรจาส่วนมาก ได้แก่ เหมืองแร่ พลังงาน และปุ๋ย ที่ผ่านมามีประเทศที่ส่งผู้แทนเข้าร่วมประชุม อาทิ จีน อินเดีย สิงคโปร์ เวียดนาม และมาเลเซีย นายกรัฐมนตรีมาเลเซียดำเนินตามรอยผู้นำเอเชียคนอื่น ๆ ในการพบปะกับปูติน โดยไม่สะทกสะท้านต่อการประณามและข้อกล่าวหาเรื่องอาชญากรรมสงครามจากฝ่ายตะวันตกที่มีต่อผู้นำรัสเซีย อันวาร์กล่าวว่า การตัดสินใจเยือนรัสเซีย “ไม่ใช่เรื่องง่าย” แต่ก็เป็น “การตัดสินใจที่ถูกต้อง” โดยตอนหนึ่งของ นายกรัฐมนตรีมาเลเซียกล่าวเกี่ยวกับสงครามฉนวนกาซาในงานนี้ที่รัสเซียว่า"เหตุการณ์นี้ไม่ได้เริ่มในวันที่ 7 ตุลาคม แต่เริ่มตั้งแต่การล่าอาณานิคมและขบวนการนัคบาในปี 1948... เหตุการณ์นี้ไม่ได้หยุดลงเพราะความดื้อรั้นของอิสราเอลที่ได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากสหรัฐฯ... ถึงเวลาแล้วที่ชาวปาเลสไตน์ควรได้รับการปฏิบัติเหมือนมนุษย์ ไม่ใช่ทาส" นอกจากนี้นายกฯอันวาร์โพสต์บนเฟซบุ๊กว่า ได้รับคำเชิญส่วนตัวจากปูตินให้มาเลเซียเข้าร่วมการประชุมสุดยอด BRICS ที่เมืองคาซานในเดือนตุลาคม ซึ่งถือเป็น “ก้าวสำคัญ” ในการเข้าร่วมกลุ่มของมาเลเซีย ที่มา : https://www.youtube.com/live/uAkJtZgyY-E?si=cOMnw5ebIsD8LAcL
    Like
    Love
    4
    0 Comments 0 Shares 406 Views 0 Reviews
  • ฮอตพอต ซินีมา กินสุกี้ไปดูหนังไป

    ในขณะที่ประเทศไทยกำลังดรามาเรื่อง 9 จังหวัดในประเทศไทยที่ไม่มีโรงภาพยนตร์ อันเนื่องมาจากภาพยนตร์ดรามาแนว LGBTQ เรื่อง วิมาณหนาม ของค่าย GDH ว่าด้วยความรักของชายสองคนที่ถูกแย่งชิงสวนทุเรียน ซึ่งเนื้อเรื่องระบุชื่อ "สวนแม่ฮ่องสอนหมอนทองคำเสก" และใช้จังหวัดตราดสถานที่ถ่ายทำ แต่ก็โยงไปว่าทั้งสองจังหวัดไม่มีโรงภาพยนตร์แม้แต่โรงเดียว

    ที่ประเทศมาเลเซีย มีไวรัลที่โรงภาพยนตร์ดาดี้ ซินีมา (Dadi Cinema) ชั้น 5 ศูนย์การค้าพาวิเลียน เคแอล (Pavilion KL) ย่านบูกิต บินตัง (Bukit Bintang) ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ มีการโพสต์ภาพเมื่อวันที่ 24 ส.ค. เป็นการเนรมิตโรงภาพยนตร์ผสมผสานกับเมนูอาหารสุกียากี้ ภายใต้ชื่อ "ฮอตพอต ซินีมา" (Hotpot Cinema) เป็นแห่งแรก ซึ่งจะเปิดให้บริการเร็วๆ นี้

    รูปแบบการให้บริการจะมีการเสิร์ฟสุกียากี้ที่ปรุงด้วยน้ำซุปพร้อมกับเนื้อสัตว์และผักต่างๆ ขณะชมภาพยนตร์เรื่องโปรด ซึ่งในภาพจะเป็นโรงภาพยนตร์ชั้นสตาร์พลัส แม้จะยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติม แต่ได้โพสต์ภาพดังกล่าวลงบนเฟซบุ๊กและอินสตาแกรมของทางโรงภาพยนตร์ ทำให้บรรดาผู้ชมภาพยนตร์ต่างตั้งตารอที่จะใช้บริการ

    อย่างไรก็ตาม ก็มีเสียงวิจารณ์ว่าจะปรุงและรับประทานสุกียากี้อย่างไรภายในโรงภาพยนตร์ที่มืด อีกความเห็นหนึ่งระบุว่า ดูไม่สะดวกสบาย ถ้าในโรงภาพยนตร์มีหม้อไฟเสิร์ฟ จะทำให้มีสมาธิในการดูภาพยนตร์น้อยลง เพราะจะโฟกัสไปที่การกินมากเกินไป

    สำหรับโรงภาพยนตร์ดาดี้ ซินีมา เป็นธุรกิจในเครือดาดี้ มีเดีย กลุ่มอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในประเทศจีน ก่อตั้งขึ้นในปี 2543 มีโรงภาพยนตร์ 2,936 โรง ใน 191 แห่งทั่วประเทศจีน ก่อนที่จะขยายกิจการมายังมาเลเซียเป็นประเทศแรกเมื่อปี 2564 ปัจจุบันมี 2 สาขา ได้แก่ ศูนย์การค้าพาวิเลียน เคแอล กรุงกัวลาลัมเปอร์ และศูนย์การค้าดาเมน มอลล์ เมืองสุบังจายา รัฐสลังงอร์

    บริการ "ฮอตพอต ซินีมา" ปรากฎครั้งแรกที่โรงภาพยนตร์แห่งหนึ่งในเมืองฝัวชาน มณฑลกวางตุ้งของจีน สำนักข่าวเซาต์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ (SCMP) รายงานเมื่อเดือน ก.พ. 2567 ว่า ลูกค้าจะต้องจ่ายค่าบัตรชมภาพยนตร์แยกต่างหาก สนนราคาชุด 2 คน 188 หยวน (ประมาณ 900 บาท) ประกอบด้วยอาหารทะเลสด เนื้อวัว และผัก

    แต่ละโต๊ะจะมีเตาแม่เหล็กไฟฟ้า และโคมไฟให้ผู้ชมมองเห็นอาหารและวัตถุดิบ มีหม้อขนาดเล็ก และน้ำซุปที่ใช้มีกลิ่นไม่แรง เพื่อลดผลกระทบต่อประสบการณ์การชมภาพยนตร์ อีกทั้งในโรงภาพยนตร์ยังมีจุดระบายอากาศหลายจุดเพื่อปรับคุณภาพอากาศ และมีระบบป้องกันอัคคีภัยเช่นเดียวกับภัตตาคารทั่วไป จึงไม่มีข้อกังวลด้านความปลอดภัย

    ฮอตพอต ซินีมา กลายเป็นไวรัลในจีน และกำลังจะเปิดตัวขึ้นในมาเลเซีย ส่วนประเทศไทย ปัจจุบันธุรกิจโรงภาพยนตร์ผูกขาดอยู่สองรายหลัก ได้แก่ เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป (MAJOR) และ เอสเอฟ คอร์ปอเรชั่น (SF) ขึ้นอยู่กับว่าจะสนใจไอเดียนี้หรือไม่ จากที่ผ่านมาได้ทดลองโมเดลธุรกิจหลายรูปแบบ เช่น โรงภาพยนตร์สำหรับเด็ก โรงภาพยนตร์สำหรับสัตว์เลี้ยง เป็นต้น

    #Newskit #HotpotCinema #DadiCinema
    ฮอตพอต ซินีมา กินสุกี้ไปดูหนังไป ในขณะที่ประเทศไทยกำลังดรามาเรื่อง 9 จังหวัดในประเทศไทยที่ไม่มีโรงภาพยนตร์ อันเนื่องมาจากภาพยนตร์ดรามาแนว LGBTQ เรื่อง วิมาณหนาม ของค่าย GDH ว่าด้วยความรักของชายสองคนที่ถูกแย่งชิงสวนทุเรียน ซึ่งเนื้อเรื่องระบุชื่อ "สวนแม่ฮ่องสอนหมอนทองคำเสก" และใช้จังหวัดตราดสถานที่ถ่ายทำ แต่ก็โยงไปว่าทั้งสองจังหวัดไม่มีโรงภาพยนตร์แม้แต่โรงเดียว ที่ประเทศมาเลเซีย มีไวรัลที่โรงภาพยนตร์ดาดี้ ซินีมา (Dadi Cinema) ชั้น 5 ศูนย์การค้าพาวิเลียน เคแอล (Pavilion KL) ย่านบูกิต บินตัง (Bukit Bintang) ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ มีการโพสต์ภาพเมื่อวันที่ 24 ส.ค. เป็นการเนรมิตโรงภาพยนตร์ผสมผสานกับเมนูอาหารสุกียากี้ ภายใต้ชื่อ "ฮอตพอต ซินีมา" (Hotpot Cinema) เป็นแห่งแรก ซึ่งจะเปิดให้บริการเร็วๆ นี้ รูปแบบการให้บริการจะมีการเสิร์ฟสุกียากี้ที่ปรุงด้วยน้ำซุปพร้อมกับเนื้อสัตว์และผักต่างๆ ขณะชมภาพยนตร์เรื่องโปรด ซึ่งในภาพจะเป็นโรงภาพยนตร์ชั้นสตาร์พลัส แม้จะยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติม แต่ได้โพสต์ภาพดังกล่าวลงบนเฟซบุ๊กและอินสตาแกรมของทางโรงภาพยนตร์ ทำให้บรรดาผู้ชมภาพยนตร์ต่างตั้งตารอที่จะใช้บริการ อย่างไรก็ตาม ก็มีเสียงวิจารณ์ว่าจะปรุงและรับประทานสุกียากี้อย่างไรภายในโรงภาพยนตร์ที่มืด อีกความเห็นหนึ่งระบุว่า ดูไม่สะดวกสบาย ถ้าในโรงภาพยนตร์มีหม้อไฟเสิร์ฟ จะทำให้มีสมาธิในการดูภาพยนตร์น้อยลง เพราะจะโฟกัสไปที่การกินมากเกินไป สำหรับโรงภาพยนตร์ดาดี้ ซินีมา เป็นธุรกิจในเครือดาดี้ มีเดีย กลุ่มอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในประเทศจีน ก่อตั้งขึ้นในปี 2543 มีโรงภาพยนตร์ 2,936 โรง ใน 191 แห่งทั่วประเทศจีน ก่อนที่จะขยายกิจการมายังมาเลเซียเป็นประเทศแรกเมื่อปี 2564 ปัจจุบันมี 2 สาขา ได้แก่ ศูนย์การค้าพาวิเลียน เคแอล กรุงกัวลาลัมเปอร์ และศูนย์การค้าดาเมน มอลล์ เมืองสุบังจายา รัฐสลังงอร์ บริการ "ฮอตพอต ซินีมา" ปรากฎครั้งแรกที่โรงภาพยนตร์แห่งหนึ่งในเมืองฝัวชาน มณฑลกวางตุ้งของจีน สำนักข่าวเซาต์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ (SCMP) รายงานเมื่อเดือน ก.พ. 2567 ว่า ลูกค้าจะต้องจ่ายค่าบัตรชมภาพยนตร์แยกต่างหาก สนนราคาชุด 2 คน 188 หยวน (ประมาณ 900 บาท) ประกอบด้วยอาหารทะเลสด เนื้อวัว และผัก แต่ละโต๊ะจะมีเตาแม่เหล็กไฟฟ้า และโคมไฟให้ผู้ชมมองเห็นอาหารและวัตถุดิบ มีหม้อขนาดเล็ก และน้ำซุปที่ใช้มีกลิ่นไม่แรง เพื่อลดผลกระทบต่อประสบการณ์การชมภาพยนตร์ อีกทั้งในโรงภาพยนตร์ยังมีจุดระบายอากาศหลายจุดเพื่อปรับคุณภาพอากาศ และมีระบบป้องกันอัคคีภัยเช่นเดียวกับภัตตาคารทั่วไป จึงไม่มีข้อกังวลด้านความปลอดภัย ฮอตพอต ซินีมา กลายเป็นไวรัลในจีน และกำลังจะเปิดตัวขึ้นในมาเลเซีย ส่วนประเทศไทย ปัจจุบันธุรกิจโรงภาพยนตร์ผูกขาดอยู่สองรายหลัก ได้แก่ เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป (MAJOR) และ เอสเอฟ คอร์ปอเรชั่น (SF) ขึ้นอยู่กับว่าจะสนใจไอเดียนี้หรือไม่ จากที่ผ่านมาได้ทดลองโมเดลธุรกิจหลายรูปแบบ เช่น โรงภาพยนตร์สำหรับเด็ก โรงภาพยนตร์สำหรับสัตว์เลี้ยง เป็นต้น #Newskit #HotpotCinema #DadiCinema
    Like
    4
    2 Comments 0 Shares 347 Views 0 Reviews
  • ♣ ผู้นำฝ่ายค้านมาเลเซีย ซึ่งเป็นอดีตนายกฯ เจอข้อหาล้มล้างการปกครอง ฐานดูหมิ่นกษัตริย์
    #7ดอกจิก
    ♣ ผู้นำฝ่ายค้านมาเลเซีย ซึ่งเป็นอดีตนายกฯ เจอข้อหาล้มล้างการปกครอง ฐานดูหมิ่นกษัตริย์ #7ดอกจิก
    0 Comments 0 Shares 261 Views 0 Reviews
  • ข่าวปลอมมาเลเซีย มีถ้ำใหญ่ในกัวลาลัมเปอร์

    การค้นหาร่างของนางวิชัยลักษณี (Vijayalakshmi) นักท่องเที่ยวหญิงชาวอินเดียวัย 48 ปี ประสบอุบัติเหตุตกลงไปในหลุมที่ยุบตัวลงมา บริเวณถนนมัสยิดอินเดีย (Jalan Masjid India) กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ดำเนินการต่อเนื่องเป็นวันที่สี่ หลังจากประสบเหตุเมื่อเวลา 08.44 น. ของเช้าวันศุกร์ที่ 23 ส.ค. ที่ผ่านมา

    สำนักข่าวเบอร์นามา ของมาเลเซียรายงานว่า ตั้งแต่เช้าวันจันทร์ (26 ส.ค.) ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ใช้เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูงของบริษัท อินดะห์ วอเตอร์ คอนซอร์เตียม (IWK) ล้างเศษหินที่ห่างจากท่อระบายน้ำหน้าหอพักยากิน (Wisma Yakin) ประมาณ 4 เมตร เพื่อให้ทีมปฎิบัติการค้นหาและกู้ภัย (SAR) ตรวจสอบว่ามีวัสดุแปลกปลอมติดอยู่บนเศษหินหรือไม่ นอกจากนี้ บริษัท IWK ยังได้ล้างท่อระบายน้ำทั้งหมดตามแนวท่อระบายน้ำ และตรวจสอบโรงบำบัดน้ำเสียที่ย่านพันตายดาลัม แต่ไม่พบเบาะแสใดๆ

    ด้านศาลาว่าการกรุงกัวลาลัมเปอร์ (DBKL) ได้ร่วมมือกับนักธรณีวิทยาและผู้เชี่ยวชาญด้านโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อประเมินสถานการณ์และลดความเสี่ยงต่อการเกิดหลุมยุบอีก

    นางซาลิฮา มุสตาฟา รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ของเขตปกครองกลางมาเลเซีย กล่าวว่า ได้พูดคุยกับนายไมมูนาห์ โมฮัมหมัด ชารีฟ นายกเทศมนตรีกรุงกัวลาลัมเปอร์อย่างต่อเนื่อง เพื่อระบุแนวทางดำเนินการและยุทธศาสตร์ระยะยาวในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว

    โดยอาจเป็นไปได้ที่จะทบทวนนโยบายการวางผังเมืองในกรุงกัวลาลัมเปอร์ เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดเหตุการณ์หลุมยุบอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งฝ่ายดินแดนสหพันธ์และกรุงกัวลาลัมเปอร์จะเสริมขั้นตอนปฎิบัติงาน โดยต้องส่งผลการศึกษาด้านธรณีเทคนิคจากวิศวกรในระหว่างยื่นขออนุมัติการวางผังเมือง

    พร้อมกันนี้ ยังได้ประสานงานกับนายบีเอ็น เรดดี้ ข้าหลวงใหญ่อินเดียประจำมาเลเซีย รายงานความคืบหน้าปฎิบัติการค้นหาและกู้ภัยนักท่องเที่ยวหญิงชาวอินเดียอย่างต่อเนื่อง โดยเรียกร้องให้ทุกฝ่ายอยู่ในความสงบ สิ่งสำคัญที่สุดคือความปลอดภัยและความเป็นอยู่ที่ดีของผู้อยู่อาศัยในกรุงกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหานี้ เหตุการณ์ล่าสุดเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายได้พิจารณาและปรับปรุงวิธีการเฝ้าระวังและตอยสนองต่อเหตุการณ์ดังกล่าว

    ด้านกรมตรวจคนเข้าเมืองมาเลเซีย ได้ขยายวีซ่าให้กับสมาชิกในครอบครัวของนางวิชัยลักษณี 4 คน พร้อมกันนี้ ยังมีตัวแทนของนายอาห์หมัด ซาฮิด ฮามิดิ รองนายกรัฐมนตรี ได้พบปะกับสมาชิกในครอบครัวดังกล่าวที่จุดเกิดเหตุ พร้อมมอบความช่วยเหลือและแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

    อย่างไรก็ตาม ผลจากเหตุการณ์หลุมยุบที่เกิดขึ้น บนโซเชียลมีเดียมีการแชร์บทความที่อ้างว่ามาจาก ดร.ซาราห์ จามาล จากภาควิชาธรณีวิทยา มหาวิทยาลัยมาลายา (UM) อ้างว่ามี “ถ้ำร้างขนาดใหญ่” อยู่ใต้กรุงกัวลาลัมเปอร์ ทำให้ภาควิชาธรณีวิทยาของมหาวิทยาลัยมาลายา ปฎิเสธรายงานดังกล่าว โดยระบุว่าไม่มีนักธรณีวิทยาคนดังกล่าวทำงานอยู่ในมหาวิทยาลัย

    รศ.ดร.เมียร์ ฮาคิฟ อามีร์ ฮัสซัน หัวหน้าภาควิชาธรณีวิทยา มหาวิทยาลัยมาลายา ยืนยันว่าไม่มีนักธรณีวิทยาชื่อซาราห์ จามาล คนใดที่ขึ้นทะเบียนกับคณะกรรมการธรณีวิทยามาเลเซีย เนื้อหาของบทความนี้ไม่ได้อิงตามข้อเท็จจริงและเป็นเท็จ ภาควิชากำลังใช้ความระมัดระวังในการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเหตุการณ์หลุมยุบที่ถนนมัสยิดอินเดีย เนื่องจากการค้นหาผู้สูญหายและการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ยังคงดำเนินต่อไป

    #Newskit #KualaLumpur #JalanMasjidIndia
    ข่าวปลอมมาเลเซีย มีถ้ำใหญ่ในกัวลาลัมเปอร์ การค้นหาร่างของนางวิชัยลักษณี (Vijayalakshmi) นักท่องเที่ยวหญิงชาวอินเดียวัย 48 ปี ประสบอุบัติเหตุตกลงไปในหลุมที่ยุบตัวลงมา บริเวณถนนมัสยิดอินเดีย (Jalan Masjid India) กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ดำเนินการต่อเนื่องเป็นวันที่สี่ หลังจากประสบเหตุเมื่อเวลา 08.44 น. ของเช้าวันศุกร์ที่ 23 ส.ค. ที่ผ่านมา สำนักข่าวเบอร์นามา ของมาเลเซียรายงานว่า ตั้งแต่เช้าวันจันทร์ (26 ส.ค.) ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ใช้เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูงของบริษัท อินดะห์ วอเตอร์ คอนซอร์เตียม (IWK) ล้างเศษหินที่ห่างจากท่อระบายน้ำหน้าหอพักยากิน (Wisma Yakin) ประมาณ 4 เมตร เพื่อให้ทีมปฎิบัติการค้นหาและกู้ภัย (SAR) ตรวจสอบว่ามีวัสดุแปลกปลอมติดอยู่บนเศษหินหรือไม่ นอกจากนี้ บริษัท IWK ยังได้ล้างท่อระบายน้ำทั้งหมดตามแนวท่อระบายน้ำ และตรวจสอบโรงบำบัดน้ำเสียที่ย่านพันตายดาลัม แต่ไม่พบเบาะแสใดๆ ด้านศาลาว่าการกรุงกัวลาลัมเปอร์ (DBKL) ได้ร่วมมือกับนักธรณีวิทยาและผู้เชี่ยวชาญด้านโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อประเมินสถานการณ์และลดความเสี่ยงต่อการเกิดหลุมยุบอีก นางซาลิฮา มุสตาฟา รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ของเขตปกครองกลางมาเลเซีย กล่าวว่า ได้พูดคุยกับนายไมมูนาห์ โมฮัมหมัด ชารีฟ นายกเทศมนตรีกรุงกัวลาลัมเปอร์อย่างต่อเนื่อง เพื่อระบุแนวทางดำเนินการและยุทธศาสตร์ระยะยาวในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยอาจเป็นไปได้ที่จะทบทวนนโยบายการวางผังเมืองในกรุงกัวลาลัมเปอร์ เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดเหตุการณ์หลุมยุบอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งฝ่ายดินแดนสหพันธ์และกรุงกัวลาลัมเปอร์จะเสริมขั้นตอนปฎิบัติงาน โดยต้องส่งผลการศึกษาด้านธรณีเทคนิคจากวิศวกรในระหว่างยื่นขออนุมัติการวางผังเมือง พร้อมกันนี้ ยังได้ประสานงานกับนายบีเอ็น เรดดี้ ข้าหลวงใหญ่อินเดียประจำมาเลเซีย รายงานความคืบหน้าปฎิบัติการค้นหาและกู้ภัยนักท่องเที่ยวหญิงชาวอินเดียอย่างต่อเนื่อง โดยเรียกร้องให้ทุกฝ่ายอยู่ในความสงบ สิ่งสำคัญที่สุดคือความปลอดภัยและความเป็นอยู่ที่ดีของผู้อยู่อาศัยในกรุงกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหานี้ เหตุการณ์ล่าสุดเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายได้พิจารณาและปรับปรุงวิธีการเฝ้าระวังและตอยสนองต่อเหตุการณ์ดังกล่าว ด้านกรมตรวจคนเข้าเมืองมาเลเซีย ได้ขยายวีซ่าให้กับสมาชิกในครอบครัวของนางวิชัยลักษณี 4 คน พร้อมกันนี้ ยังมีตัวแทนของนายอาห์หมัด ซาฮิด ฮามิดิ รองนายกรัฐมนตรี ได้พบปะกับสมาชิกในครอบครัวดังกล่าวที่จุดเกิดเหตุ พร้อมมอบความช่วยเหลือและแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม ผลจากเหตุการณ์หลุมยุบที่เกิดขึ้น บนโซเชียลมีเดียมีการแชร์บทความที่อ้างว่ามาจาก ดร.ซาราห์ จามาล จากภาควิชาธรณีวิทยา มหาวิทยาลัยมาลายา (UM) อ้างว่ามี “ถ้ำร้างขนาดใหญ่” อยู่ใต้กรุงกัวลาลัมเปอร์ ทำให้ภาควิชาธรณีวิทยาของมหาวิทยาลัยมาลายา ปฎิเสธรายงานดังกล่าว โดยระบุว่าไม่มีนักธรณีวิทยาคนดังกล่าวทำงานอยู่ในมหาวิทยาลัย รศ.ดร.เมียร์ ฮาคิฟ อามีร์ ฮัสซัน หัวหน้าภาควิชาธรณีวิทยา มหาวิทยาลัยมาลายา ยืนยันว่าไม่มีนักธรณีวิทยาชื่อซาราห์ จามาล คนใดที่ขึ้นทะเบียนกับคณะกรรมการธรณีวิทยามาเลเซีย เนื้อหาของบทความนี้ไม่ได้อิงตามข้อเท็จจริงและเป็นเท็จ ภาควิชากำลังใช้ความระมัดระวังในการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเหตุการณ์หลุมยุบที่ถนนมัสยิดอินเดีย เนื่องจากการค้นหาผู้สูญหายและการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ยังคงดำเนินต่อไป #Newskit #KualaLumpur #JalanMasjidIndia
    Haha
    2
    0 Comments 0 Shares 382 Views 0 Reviews
  • หลุมยุบกัวลาลัมเปอร์ นักท่องเที่ยวอินเดียร่วง

    โศกนาฎกรรมที่สร้างความตกใจให้แก่ผู้พบเห็น เมื่อเกิดอุบัติเหตุหลุมยุบบริเวณถนนมัสยิดอินเดีย (Jalan Masjid India) เป็นเหตุทำให้นางวิชัยลักษณี (Vijayalakshmi) นักท่องเที่ยวหญิงชาวอินเดียวัย 48 ปี ตกลงไปในหลุมดังกล่าว ซึ่งมีความลึกประมาณ 8 เมตร เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อเวลา 08.44 น. ตามเวลาบนกล้องวงจรปิด ของวันที่ 23 ส.ค. ที่ผ่านมา

    ทีมปฎิบัติการค้นหาและกู้ภัย (SAR) เข้าค้นหานักท่องเที่ยวชาวอินเดีย โดยเปิดท่อระบายน้ำรอบพื้นที่รวม 6 แห่ง เข้าไปค้นหาครั้งละ 2-3 คน ใช้เวลาประมาณ 20 นาที รวมทั้งโรงบำบัดน้ำเสียบริษัทอินดะห์ วอเตอร์ คอนซอร์เตียม (Indah Water Konsortium หรือ IWK) ย่านปันตาย ดาลัม ซึ่งเป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะต้องรับมือกับกระแสน้ำเชี่ยวในท่อระบายน้ำ และมีแก๊สที่อาจเป็นอันตรายต่อเจ้าหน้าที่ อย่างไรก็ตาม เวลาผ่านไปกว่า 3 วัน กลับไม่พบเบาะแสใดๆ

    สำนักข่าวเบอร์นามา รายงานว่า นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ยืนยันว่าปฎิบัติการค้นหาและช่วยเหลือผู้สูญหายจะยังคงดำเนินต่อไป พร้อมแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยสั่งการไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือ ศาลาว่าการกรุงกัวลาลัมเปอร์ (DKBL) ให้ไปพบกับครอบครัวของผู้สูญหายแล้ว

    ด้านนายฟาดิลลาห์ ยูซอฟ รองนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย กล่าวถึงสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุว่า เกิดจากปัจจัยทางภูมิศาสตร์และโครงสร้างของดิน โดยเมื่อชั้นหินปูนขัดขวางการไหลของน้ำใต้ดิน ส่งผลให้ดินไม่มั่นคงและเกิดหลุมยุบ บางครั้งไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าหลุมยุบจะเกิดขึ้นเมื่อใดและที่ใด

    เหตุการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในมาเลเซียเท่านั้น แต่ยังเกิดขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีหินปูนและสภาพธรณีวิทยาเฉพาะ อย่างไรก็ตาม ด้วยความรู้และเทคโนโลยีที่ถูกต้องจะทำให้เหตุการณ์เช่นนี้ลดน้อยลงและดำเนินมาตรการป้องกันเพื่อปกป้องชุมชนและบรรเทาผลกระทบจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ได้

    ขณะที่นายเจฟฟรีย์ เชียง ชุง ลุยน์ ประธานสถาบันวิศวกรแห่งมาเลเซีย (IEM) เรียกร้องให้มีการสืบสวนเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างละเอียด เพราะจากการสังเกตผ่าน Google Maps พบว่าตำแหน่งหลุมยุบอยู่ห่างจากแม่น้ำแคลงประมาณ 24 เมตร และจากภาพที่สื่อมวลชนนำเสนอ พบว่าหลุมยุบอาจเกี่ยวข้องกับระบบสาธารณูปโภคใต้ดิน แม้ว่าจะยังไม่ระบุสาเหตุที่แน่ชัดก็ตาม

    จากรายงานหัวข้อ "Karstic Features of Kuala Lumpur Limestone" [1] ที่กล่าวถึงลักษณะของหินปูนของกรุงกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งเขียนโดย นายตัน ไซมอน เสี่ยว เมง จากสถาบันวิศวกรแห่งมาเลเซีย ระบุว่า ชั้นหินปูนในกรุงกัวลาลัมเปอร์มีลักษณะไม่แน่นอน พบในบริเวณเหมืองแร่ดีบุก แต่หลังเหมืองปิดตัวลง พื้นที่เหมืองแร่ถูกปกคลุมไปด้วยเศษซากตั้งแต่โคลนถึงทราย

    โดยคาดว่าหินปูนมีความหนาประมาณ 1,850 เมตร ทับอยู่บนหินชนวนกราไฟต์ที่เรียกว่า ฮอร์ธอร์นเดน ชีสต์ (Hawthornden Schist) ส่วนบนสุดของลำดับชั้นคือชั้นหินเคนนี่ ฮิลล์ (Kenny Hill) ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ใจกลางกรุงกัวลาลัมเปอร์ รวมถึงพื้นที่ย่าน KLCC (Kuala Lumpur City Centre) และบูกิตบินตัง (Bukit Bintang)

    ในตอนหนึ่งของรายงานระบุว่า หินปูนเกิดจากกระบวนการละลายทางเคมี ซึ่งเป็นกระบวนการที่ยาวนาน ประกอบด้วยหลุม แอ่งชัน และช่องทางสารละลาย ส่งผลให้ชั้นหินปูนมีรูปร่างไม่แน่นอน เป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างมากในการก่อสร้างฐานราก ซึ่งการเกิดหลุมยุบมาจากการเคลื่อนตัวของชั้นหินปูน เนื่องจากการซึมของน้ำใต้ดิน ระดับน้ำใต้ดินที่ลดลง การรับน้ำหนักเพิ่ม การสั่นสะเทือน การเจาะรูหรือเสาเข็มบนช่องว่างของหินปูนโดยตรง ซึ่งหินปูนที่ปกคลุมด้วยดินบางจะเสี่ยงต่อการเกิดหลุมยุบมากกว่า

    อีกด้านหนึ่ง การก่อสร้างรถไฟใต้ดินสายสุไหงบูเลาะห์-กาจัง (Sungai Buloh-Kajang) [2] บางช่วงเป็นเส้นทางใต้ดิน ยาว 9.5 กิโลเมตร มี 7 สถานีใต้ดิน หนึ่งในนั้นคือสถานีตุน ราซัค เอ็กซ์เชนจ์ (TRX) ซึ่งมีความลึกเทียบเท่าตึก 13 ชั้น พบว่ามีหินปูนในชั้นหินปูนกัวลาลัมเปอร์ บริเวณอยู่ทางทิศตะวันออกของย่านบูกิตบินตังมีลักษณะไม่แน่นอน หากไม่ค้นพบก่อนอาจเกิดอันตราย

    จึงต้องพัฒนาเครื่องเจาะอุโมงค์ (TBM) แบบพิเศษที่เรียกว่า แวริเอเบิล เดนซิตี้ (Variable Density) ที่พัฒนาระหว่างบริษัทเฮอร์เร็นคเน็ช เอจี (Herrenknecht AG) ผู้ผลิตเครื่องเจาะอุโมงค์จากเยอรมนี และบริษัทร่วมทุน เอ็มเอ็มซี กามูดา (MMC Gamuda) สามารถปรับความหนาแน่นและความหนืดของสารละลายได้ ป้องกันไม่ให้ไหลเข้าไปในโพรงหรือรอยแยกไปสู่พื้นผิว

    เหตุการณ์หลุมยุบกะทันหันใจกลางกรุงกัวลาลัมเปอร์ครั้งนี้ อาจเป็นจุดเริ่มต้นในการป้องกันภัยพิบัติ ที่อาจจะเกิดขึ้นกับเมืองใหญ่ชั้นนำของอาเซียน ที่มีประชากรกว่า 8.8 ล้านคน อุดมไปด้วยความเจริญทางเศรษฐกิจ อาคารสูง และโครงสร้างพื้นฐานทั้งทางด่วนและรถไฟฟ้าที่เพียบพร้อม นอกจากปัญหาน้ำท่วมที่เกิดขึ้นเมื่อฝนตกหนักมากกว่า 2 ชั่วโมงขึ้นไป

    ที่มา : [1] https://nrmt.wordpress.com/wp-content/uploads/2011/04/kl-limestone-paper.pdf

    [2] https://thehub.mmc.com.my/2017Q3/page54.html

    #Newskit #KualaLumpur #JalanMasjidIndia
    หลุมยุบกัวลาลัมเปอร์ นักท่องเที่ยวอินเดียร่วง โศกนาฎกรรมที่สร้างความตกใจให้แก่ผู้พบเห็น เมื่อเกิดอุบัติเหตุหลุมยุบบริเวณถนนมัสยิดอินเดีย (Jalan Masjid India) เป็นเหตุทำให้นางวิชัยลักษณี (Vijayalakshmi) นักท่องเที่ยวหญิงชาวอินเดียวัย 48 ปี ตกลงไปในหลุมดังกล่าว ซึ่งมีความลึกประมาณ 8 เมตร เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อเวลา 08.44 น. ตามเวลาบนกล้องวงจรปิด ของวันที่ 23 ส.ค. ที่ผ่านมา ทีมปฎิบัติการค้นหาและกู้ภัย (SAR) เข้าค้นหานักท่องเที่ยวชาวอินเดีย โดยเปิดท่อระบายน้ำรอบพื้นที่รวม 6 แห่ง เข้าไปค้นหาครั้งละ 2-3 คน ใช้เวลาประมาณ 20 นาที รวมทั้งโรงบำบัดน้ำเสียบริษัทอินดะห์ วอเตอร์ คอนซอร์เตียม (Indah Water Konsortium หรือ IWK) ย่านปันตาย ดาลัม ซึ่งเป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะต้องรับมือกับกระแสน้ำเชี่ยวในท่อระบายน้ำ และมีแก๊สที่อาจเป็นอันตรายต่อเจ้าหน้าที่ อย่างไรก็ตาม เวลาผ่านไปกว่า 3 วัน กลับไม่พบเบาะแสใดๆ สำนักข่าวเบอร์นามา รายงานว่า นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ยืนยันว่าปฎิบัติการค้นหาและช่วยเหลือผู้สูญหายจะยังคงดำเนินต่อไป พร้อมแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยสั่งการไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือ ศาลาว่าการกรุงกัวลาลัมเปอร์ (DKBL) ให้ไปพบกับครอบครัวของผู้สูญหายแล้ว ด้านนายฟาดิลลาห์ ยูซอฟ รองนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย กล่าวถึงสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุว่า เกิดจากปัจจัยทางภูมิศาสตร์และโครงสร้างของดิน โดยเมื่อชั้นหินปูนขัดขวางการไหลของน้ำใต้ดิน ส่งผลให้ดินไม่มั่นคงและเกิดหลุมยุบ บางครั้งไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าหลุมยุบจะเกิดขึ้นเมื่อใดและที่ใด เหตุการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในมาเลเซียเท่านั้น แต่ยังเกิดขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีหินปูนและสภาพธรณีวิทยาเฉพาะ อย่างไรก็ตาม ด้วยความรู้และเทคโนโลยีที่ถูกต้องจะทำให้เหตุการณ์เช่นนี้ลดน้อยลงและดำเนินมาตรการป้องกันเพื่อปกป้องชุมชนและบรรเทาผลกระทบจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ได้ ขณะที่นายเจฟฟรีย์ เชียง ชุง ลุยน์ ประธานสถาบันวิศวกรแห่งมาเลเซีย (IEM) เรียกร้องให้มีการสืบสวนเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างละเอียด เพราะจากการสังเกตผ่าน Google Maps พบว่าตำแหน่งหลุมยุบอยู่ห่างจากแม่น้ำแคลงประมาณ 24 เมตร และจากภาพที่สื่อมวลชนนำเสนอ พบว่าหลุมยุบอาจเกี่ยวข้องกับระบบสาธารณูปโภคใต้ดิน แม้ว่าจะยังไม่ระบุสาเหตุที่แน่ชัดก็ตาม จากรายงานหัวข้อ "Karstic Features of Kuala Lumpur Limestone" [1] ที่กล่าวถึงลักษณะของหินปูนของกรุงกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งเขียนโดย นายตัน ไซมอน เสี่ยว เมง จากสถาบันวิศวกรแห่งมาเลเซีย ระบุว่า ชั้นหินปูนในกรุงกัวลาลัมเปอร์มีลักษณะไม่แน่นอน พบในบริเวณเหมืองแร่ดีบุก แต่หลังเหมืองปิดตัวลง พื้นที่เหมืองแร่ถูกปกคลุมไปด้วยเศษซากตั้งแต่โคลนถึงทราย โดยคาดว่าหินปูนมีความหนาประมาณ 1,850 เมตร ทับอยู่บนหินชนวนกราไฟต์ที่เรียกว่า ฮอร์ธอร์นเดน ชีสต์ (Hawthornden Schist) ส่วนบนสุดของลำดับชั้นคือชั้นหินเคนนี่ ฮิลล์ (Kenny Hill) ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ใจกลางกรุงกัวลาลัมเปอร์ รวมถึงพื้นที่ย่าน KLCC (Kuala Lumpur City Centre) และบูกิตบินตัง (Bukit Bintang) ในตอนหนึ่งของรายงานระบุว่า หินปูนเกิดจากกระบวนการละลายทางเคมี ซึ่งเป็นกระบวนการที่ยาวนาน ประกอบด้วยหลุม แอ่งชัน และช่องทางสารละลาย ส่งผลให้ชั้นหินปูนมีรูปร่างไม่แน่นอน เป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างมากในการก่อสร้างฐานราก ซึ่งการเกิดหลุมยุบมาจากการเคลื่อนตัวของชั้นหินปูน เนื่องจากการซึมของน้ำใต้ดิน ระดับน้ำใต้ดินที่ลดลง การรับน้ำหนักเพิ่ม การสั่นสะเทือน การเจาะรูหรือเสาเข็มบนช่องว่างของหินปูนโดยตรง ซึ่งหินปูนที่ปกคลุมด้วยดินบางจะเสี่ยงต่อการเกิดหลุมยุบมากกว่า อีกด้านหนึ่ง การก่อสร้างรถไฟใต้ดินสายสุไหงบูเลาะห์-กาจัง (Sungai Buloh-Kajang) [2] บางช่วงเป็นเส้นทางใต้ดิน ยาว 9.5 กิโลเมตร มี 7 สถานีใต้ดิน หนึ่งในนั้นคือสถานีตุน ราซัค เอ็กซ์เชนจ์ (TRX) ซึ่งมีความลึกเทียบเท่าตึก 13 ชั้น พบว่ามีหินปูนในชั้นหินปูนกัวลาลัมเปอร์ บริเวณอยู่ทางทิศตะวันออกของย่านบูกิตบินตังมีลักษณะไม่แน่นอน หากไม่ค้นพบก่อนอาจเกิดอันตราย จึงต้องพัฒนาเครื่องเจาะอุโมงค์ (TBM) แบบพิเศษที่เรียกว่า แวริเอเบิล เดนซิตี้ (Variable Density) ที่พัฒนาระหว่างบริษัทเฮอร์เร็นคเน็ช เอจี (Herrenknecht AG) ผู้ผลิตเครื่องเจาะอุโมงค์จากเยอรมนี และบริษัทร่วมทุน เอ็มเอ็มซี กามูดา (MMC Gamuda) สามารถปรับความหนาแน่นและความหนืดของสารละลายได้ ป้องกันไม่ให้ไหลเข้าไปในโพรงหรือรอยแยกไปสู่พื้นผิว เหตุการณ์หลุมยุบกะทันหันใจกลางกรุงกัวลาลัมเปอร์ครั้งนี้ อาจเป็นจุดเริ่มต้นในการป้องกันภัยพิบัติ ที่อาจจะเกิดขึ้นกับเมืองใหญ่ชั้นนำของอาเซียน ที่มีประชากรกว่า 8.8 ล้านคน อุดมไปด้วยความเจริญทางเศรษฐกิจ อาคารสูง และโครงสร้างพื้นฐานทั้งทางด่วนและรถไฟฟ้าที่เพียบพร้อม นอกจากปัญหาน้ำท่วมที่เกิดขึ้นเมื่อฝนตกหนักมากกว่า 2 ชั่วโมงขึ้นไป ที่มา : [1] https://nrmt.wordpress.com/wp-content/uploads/2011/04/kl-limestone-paper.pdf [2] https://thehub.mmc.com.my/2017Q3/page54.html #Newskit #KualaLumpur #JalanMasjidIndia
    Sad
    Like
    3
    0 Comments 0 Shares 429 Views 0 Reviews
  • พาสปอร์ตโฉมใหม่ ฉลอง 79 ปีอินโดนีเซีย

    ในการเฉลิมฉลองครบรอบ 79 ปี วันประกาศอิสรภาพของสาธารณรัฐอินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2567 นอกจากจะมีความเปลี่ยนแปลงทั้งการย้ายเมืองหลวงจากกรุงจาการ์ตา ไปยังเมืองหลวงใหม่นูซันตารา (Nusantara) ทางฝั่งตะวันออกของเกาะบอร์เนียว และ ปราโบโว ซูเบียนโต กำลังจะจะเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีต่อจาก โจโก วิโดโด ในเดือนตุลาคมนี้

    หนึ่งในความเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจ คือ การเปิดตัวหนังสือเดินทางธรรมดาโฉมใหม่ ของกรมตรวจคนเข้าเมืองอินโดนีเซีย เปลี่ยนแปลงรูปเล่มจากเดิมสีเขียวเทอร์ควอยซ์ (Turquoise green) และตราพญาครุฑปัญจศีลพร้อมข้อความสีเหลือง ซึ่งใช้มาตั้งแต่ปี 2557 มาเป็นสีแดงสด (Bright red) ตัดกับตราพญาครุฑปัญจศีลพร้อมข้อความสีขาวแทน

    สำหรับหนังสือเดินทางอินโดนีเซียโฉมใหม่ ประกอบด้วยหน้าปกที่ทนความร้อน มีความยืดหยุ่น ปกป้องชิปที่อยู่ในเล่มได้ หน้าไบโอดาตา (Biodata) ทำจากโพลีคาร์บอเนตเคลือบหลายชั้นเพื่อความทนทาน และมีการพิมพ์โดยใช้ทั้งหมึกที่มองเห็นได้และหมึกที่มองไม่เห็น เรืองแสงด้วยแสงอัลตราไวโอเลต และลวดลายผ้าดั้งเดิมตามแบบฉบับของแต่ละภูมิภาคในอินโดนีเซีย

    การออกแบบหนังสือเดินทางโฉมใหม่ครั้งนี้ เป็นไปตามมาตรฐานขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ปลอดภัยต่อการถูกปลอมแปลงมากขึ้น และเสริมสร้างภาพลักษณ์ทางวัฒนธรรมและสถานะระหว่างประเทศของอินโดนีเซีย

    อย่างไรก็ตาม แม้หนังสือเดินทางธรรมดาโฉมใหม่ จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 17 สิงหาคม 2567 เป็นต้นไป แต่จะให้บริการแก่ประชาชนในปีหน้า วันที่ 17 สิงหาคม 2568 เนื่องจากต้องเตรียมการหลายอย่าง รวมถึงขั้นตอนการพิมพ์ การออกเงื่อนไข การออกหนังสือเดินทาง และการตั้งค่าระบบต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง จึงยังคงออกหนังสือเดินทางรูปแบบเดิมให้หมดก่อน

    สำหรับหนังสือเดินทางอินโดนีเซียถูกจัดให้อยู่ในอันดับที่ 65 ตามการจัดอันดับของ The Henley Passport Index 2024 Global Ranking สามารถเดินทางได้ 76 ประเทศหรือดินแดนโดยไม่ต้องใช้วีซ่า และเป็นอันดับที่ห้าในภูมิภาคอาเซียน รองจากประเทศสิงคโปร์อันดับที่ 1 มาเลเซียอันดับที่ 12 บรูไนอันดับที่ 19 และประเทศไทยอันดับที่ 60

    ที่ผ่านมาในภูมิภาคอาเซียนมีความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงการให้บริการหนังสือเดินทาง หนึ่งในนั้นคือการขยายอายุหนังสือเดินทางจาก 5 ปี เป็น 10 ปี ซึ่งประเทศสิงคโปร์ ไทย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ต่างออกหนังสือเดินทางแบบ 10 ปีแล้ว เช่นเดียวกับสหรัฐอเมริกาและอิตาลี ส่วนประเทศมาเลเซียกำลังอยู่ในระหว่างเตรียมการประกาศวันที่เริ่มใช้ในเร็วๆ นี้

    สำหรับประเทศไทย กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ กำลังเตรียมความพร้อมโครงการหนังสือเดินทางอิเล็กทรอนิกส์ระยะที่ 4 เพื่อรองรับหลังโครงการระยะที่ 3 เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2562 และจะสิ้นสุดสัญญา 7 ปี ในวันที่ 4 กรกฎาคม 2569

    โดยกำลังพิจารณาเพิ่มคุณลักษณะที่มากกว่ามาตรฐาน ICAO เพื่อป้องกันการปลอมแปลง รวมทั้งการเชื่อมระบบฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร การจัดทำหนังสือเดินทางดิจิทัล (Digital Travel Credentials หรือ DTCs) การเพิ่มคุณลักษณะความปลอดภัย โดยใช้รูปถ่ายสีแทนรูปขาวดำ และมีโฮโลแกรมภาพบุคคลเสมือนจริงเป็นภาพสีในหน้า Biodatabase เป็นต้น

    #Newskit #PassportIndonesia #pasporIndonesia
    พาสปอร์ตโฉมใหม่ ฉลอง 79 ปีอินโดนีเซีย ในการเฉลิมฉลองครบรอบ 79 ปี วันประกาศอิสรภาพของสาธารณรัฐอินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2567 นอกจากจะมีความเปลี่ยนแปลงทั้งการย้ายเมืองหลวงจากกรุงจาการ์ตา ไปยังเมืองหลวงใหม่นูซันตารา (Nusantara) ทางฝั่งตะวันออกของเกาะบอร์เนียว และ ปราโบโว ซูเบียนโต กำลังจะจะเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีต่อจาก โจโก วิโดโด ในเดือนตุลาคมนี้ หนึ่งในความเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจ คือ การเปิดตัวหนังสือเดินทางธรรมดาโฉมใหม่ ของกรมตรวจคนเข้าเมืองอินโดนีเซีย เปลี่ยนแปลงรูปเล่มจากเดิมสีเขียวเทอร์ควอยซ์ (Turquoise green) และตราพญาครุฑปัญจศีลพร้อมข้อความสีเหลือง ซึ่งใช้มาตั้งแต่ปี 2557 มาเป็นสีแดงสด (Bright red) ตัดกับตราพญาครุฑปัญจศีลพร้อมข้อความสีขาวแทน สำหรับหนังสือเดินทางอินโดนีเซียโฉมใหม่ ประกอบด้วยหน้าปกที่ทนความร้อน มีความยืดหยุ่น ปกป้องชิปที่อยู่ในเล่มได้ หน้าไบโอดาตา (Biodata) ทำจากโพลีคาร์บอเนตเคลือบหลายชั้นเพื่อความทนทาน และมีการพิมพ์โดยใช้ทั้งหมึกที่มองเห็นได้และหมึกที่มองไม่เห็น เรืองแสงด้วยแสงอัลตราไวโอเลต และลวดลายผ้าดั้งเดิมตามแบบฉบับของแต่ละภูมิภาคในอินโดนีเซีย การออกแบบหนังสือเดินทางโฉมใหม่ครั้งนี้ เป็นไปตามมาตรฐานขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ปลอดภัยต่อการถูกปลอมแปลงมากขึ้น และเสริมสร้างภาพลักษณ์ทางวัฒนธรรมและสถานะระหว่างประเทศของอินโดนีเซีย อย่างไรก็ตาม แม้หนังสือเดินทางธรรมดาโฉมใหม่ จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 17 สิงหาคม 2567 เป็นต้นไป แต่จะให้บริการแก่ประชาชนในปีหน้า วันที่ 17 สิงหาคม 2568 เนื่องจากต้องเตรียมการหลายอย่าง รวมถึงขั้นตอนการพิมพ์ การออกเงื่อนไข การออกหนังสือเดินทาง และการตั้งค่าระบบต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง จึงยังคงออกหนังสือเดินทางรูปแบบเดิมให้หมดก่อน สำหรับหนังสือเดินทางอินโดนีเซียถูกจัดให้อยู่ในอันดับที่ 65 ตามการจัดอันดับของ The Henley Passport Index 2024 Global Ranking สามารถเดินทางได้ 76 ประเทศหรือดินแดนโดยไม่ต้องใช้วีซ่า และเป็นอันดับที่ห้าในภูมิภาคอาเซียน รองจากประเทศสิงคโปร์อันดับที่ 1 มาเลเซียอันดับที่ 12 บรูไนอันดับที่ 19 และประเทศไทยอันดับที่ 60 ที่ผ่านมาในภูมิภาคอาเซียนมีความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงการให้บริการหนังสือเดินทาง หนึ่งในนั้นคือการขยายอายุหนังสือเดินทางจาก 5 ปี เป็น 10 ปี ซึ่งประเทศสิงคโปร์ ไทย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ต่างออกหนังสือเดินทางแบบ 10 ปีแล้ว เช่นเดียวกับสหรัฐอเมริกาและอิตาลี ส่วนประเทศมาเลเซียกำลังอยู่ในระหว่างเตรียมการประกาศวันที่เริ่มใช้ในเร็วๆ นี้ สำหรับประเทศไทย กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ กำลังเตรียมความพร้อมโครงการหนังสือเดินทางอิเล็กทรอนิกส์ระยะที่ 4 เพื่อรองรับหลังโครงการระยะที่ 3 เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2562 และจะสิ้นสุดสัญญา 7 ปี ในวันที่ 4 กรกฎาคม 2569 โดยกำลังพิจารณาเพิ่มคุณลักษณะที่มากกว่ามาตรฐาน ICAO เพื่อป้องกันการปลอมแปลง รวมทั้งการเชื่อมระบบฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร การจัดทำหนังสือเดินทางดิจิทัล (Digital Travel Credentials หรือ DTCs) การเพิ่มคุณลักษณะความปลอดภัย โดยใช้รูปถ่ายสีแทนรูปขาวดำ และมีโฮโลแกรมภาพบุคคลเสมือนจริงเป็นภาพสีในหน้า Biodatabase เป็นต้น #Newskit #PassportIndonesia #pasporIndonesia
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 403 Views 0 Reviews
  • ฟื้นรถไฟ กทม.-ปีนัง หลังหายไปนาน 8 ปี

    ในการประชุมร่วมระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทยและการรถไฟมาเลเซีย ครั้งที่ 42 (KTMB - SRT Joint Conference) ที่เมืองโคตาคินาบาลู รัฐซาบาห์ ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 13-16 สิงหาคม 2567 ซึ่งมีนายอวิรุทธ์ ทองเนตร รองผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนการรถไฟฯ เข้าร่วมประชุม มีมติที่น่าสนใจหลายเรื่อง

    หนึ่งในนั้นก็คือ ที่ประชุมได้เห็นชอบหลักการจัดเดินขบวนรถจากสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ – ปาดังเบซาร์ - บัตเตอร์เวอร์ธ รัฐปีนัง ซึ่งหลังจากนี้จะได้มีการตั้งคณะทำงานร่วมกัน เพื่อพิจารณาการเปิดให้บริการขบวนรถไฟเส้นทางต่อขยายจากสถานีปาดังเบซาร์ ไปยังสถานีบัตเตอร์เวอร์ธ โดยในช่วงแรกจะเป็นการทดลองการเดินรถเป็นระยะเวลา 6 เดือน

    นับเป็นการฟื้นการเดินรถไฟสายกรุงเทพฯ-ปีนัง กลับมาอีกครั้ง หลังจากที่ยกเลิกจำหน่ายตั๋วรถไฟไปสถานีบัตเตอร์เวอร์ธ ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2559 เป็นต้นมา เหลือเพียงแค่ขบวนรถที่ 45/46 ไปยังสถานีปลายทางปาดังเบซาร์ รัฐปะลิส เท่านั้น หลังเคยเปิดการเดินรถมาตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม 2465 เป็นระยะเวลายาวนานกว่า 94 ปี

    ย้อนกลับไปในอดีต การรถไฟแห่งประเทศไทย เดินรถจากต้นทางสถานีรถไฟบางกอกน้อย ไปยังสถานีบัตเตอร์เวิร์ธ ประเทศมาเลเซีย ทุกวันจันทร์ วันพุธ และวันเสาร์ ก่อนย้ายมาที่สถานีรถไฟกรุงเทพ (หัวลำโพง) เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2470 แต่หยุดการเดินรถชั่วคราวเนื่องจากสะพานพระราม 6 ถูกทำลายในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง แล้วจึงกลับมาเดินรถอีกครั้ง

    ขณะนั้นให้บริการวันละ 1 เที่ยว ออกจากสถานีรถไฟกรุงเทพในช่วงบ่าย ไปถึงสถานีรถไฟบัตเตอร์เวอร์ธในช่วงสายของวันถัดมา ก่อนที่จะหยุดการเดินรถ พบว่ารถออกจากสถานีกรุงเทพ เวลา 14.45 น. ถึงสถานีบัตเตอร์เวอร์ธ เวลา 13.25 น. ตามเวลามาเลเซีย มีให้บริการเฉพาะรถนั่งและนอนชั้น 2 ค่าโดยสารเตียงบน 1,210 บาท เตียงล่าง 1,120 บาท

    แต่หลังจากประเทศมาเลเซียได้ปรับปรุงทางรถไฟระบบปิด มีลักษณะรถไฟทางคู่ และให้บริการรถไฟแบบ ETS ซึ่งเป็นรถไฟด่วนพิเศษ และ KTM Komuter ซึ่งเป็นรถไฟธรรมดา ในปี 2559 ทำให้ประสบปัญหาผู้โดยสารขึ้นรถไฟผิดขบวน การรถไฟฯ ได้ยกเลิกจำหน่ายตั๋วรถไฟไปสถานีบัตเตอร์เวอร์ธ และสิ้นสุดการให้บริการที่สถานีปาดังเบซาร์ ฝั่งมาเลเซียแทน

    ปัจจุบัน ขบวนรถด่วนพิเศษที่ 45 ออกจากสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ เวลา 16.10 น. ถึงสถานีปาดังเบซาร์เวลา 08.05 น. ของวันรุ่งขึ้น (เวลาประเทศไทย) และขบวนรถด่วนพิเศษที่ 46 ออกจากสถานีปาดังเบซาร์ เวลา 17.00 น. (เวลาประเทศไทย) ถึงสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ เวลา 09.05 น. ของวันรุ่งขึ้น ใช้เวลาประมาณ 16 ชั่วโมง

    การเดินรถไฟจากสถานีปาดังเบซาร์ ถึงสถานีรถไฟบัตเตอร์เวอร์ธ หากเป็นขบวนรถ KTM Komuter จะใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง แต่จอดทุกสถานี คาดว่าจากกรุงเทพฯ ไปยังบัตเตอร์เวอร์ธ จะใช้เวลาน้อยกว่าเมื่อ 8 ปีก่อน เพราะปัจจุบันรถไฟทางไกลย้ายต้นทางไปยังสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ และรถไฟทางคู่ช่วงนครปฐม-ชุมพร 421 กิโลเมตร ก่อสร้างแล้วเสร็จก่อนหน้านี้

    ส่วนขบวนรถไฟท่องเที่ยวมายสวัสดี (MySawasdee) จากประเทศมาเลเซียมายังประเทศไทย ที่ประชุมยังได้เห็นชอบให้ขยายเส้นทางจากเดิมให้บริการถึงสถานีชุมทางหาดใหญ่ จ.สงขลา ให้มาถึงสถานีสุราษฎร์ธานี หลังได้รับผลตอบรับที่ดีเยี่ยม มีจำนวนผู้โดยสารเต็มทุกเที่ยว หลังจากนี้ทั้งสองหน่วยงานจะมีการตกลงรายละเอียด และระยะเวลาที่เหมาะสมต่อไป

    สำหรับขบวนรถไฟท่องเที่ยวมายสวัสดี (MySawasdee) ระหว่างสถานีเคแอล เซ็นทรัล (KL Sentral) กรุงกัวลาลัมเปอร์ กับสถานีชุมทางหาดใหญ่ จ.สงขลา ให้บริการเฉพาะวันหยุดเทศกาลของประเทศมาเลเซียเท่านั้น เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวชาวมาเลเซีย ที่จะเดินทางไปยัง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เปิดให้บริการครั้งแรกเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2565

    ปัจจุบันยังมีบริการ มาย สวัสดี พลัส (MySawasdee PLUS) สำหรับตัวแทนทัวร์และบริษัททัวร์ รวมทั้งองค์กรภาคธุรกิจ สามารถเช่าเหมารถไฟทั้งขบวนได้อีกด้วย แต่ละเที่ยวรองรับผู้โดยสารประมาณ 400 คนต่อขบวน ให้บริการครั้งแรกเมื่อวันที่ 26-29 กรกฎาคม 2567 โดยบริษัท Golden Century Tours & Travel เสนอแพกเกจไปยังหาดใหญ่ เดินทาง 4 วัน 2 คืน

    ส่วนสถานีรถไฟสุราษฎร์ธานี ตั้งอยู่ที่ อ.พุนพิน ห่างจากตัวเมืองสุราษฎร์ธานี ประมาณ 20 กิโลเมตร สามารถเดินทางต่อไปยังท่าเรือดอนสัก เพื่อโดยสารเรือเฟอร์รี่ไปยังเกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี แหล่งท่องเที่ยวตากอากาศยอดนิยมได้อีกด้วย

    #Newskit #SRT #Butterworth
    ฟื้นรถไฟ กทม.-ปีนัง หลังหายไปนาน 8 ปี ในการประชุมร่วมระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทยและการรถไฟมาเลเซีย ครั้งที่ 42 (KTMB - SRT Joint Conference) ที่เมืองโคตาคินาบาลู รัฐซาบาห์ ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 13-16 สิงหาคม 2567 ซึ่งมีนายอวิรุทธ์ ทองเนตร รองผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนการรถไฟฯ เข้าร่วมประชุม มีมติที่น่าสนใจหลายเรื่อง หนึ่งในนั้นก็คือ ที่ประชุมได้เห็นชอบหลักการจัดเดินขบวนรถจากสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ – ปาดังเบซาร์ - บัตเตอร์เวอร์ธ รัฐปีนัง ซึ่งหลังจากนี้จะได้มีการตั้งคณะทำงานร่วมกัน เพื่อพิจารณาการเปิดให้บริการขบวนรถไฟเส้นทางต่อขยายจากสถานีปาดังเบซาร์ ไปยังสถานีบัตเตอร์เวอร์ธ โดยในช่วงแรกจะเป็นการทดลองการเดินรถเป็นระยะเวลา 6 เดือน นับเป็นการฟื้นการเดินรถไฟสายกรุงเทพฯ-ปีนัง กลับมาอีกครั้ง หลังจากที่ยกเลิกจำหน่ายตั๋วรถไฟไปสถานีบัตเตอร์เวอร์ธ ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2559 เป็นต้นมา เหลือเพียงแค่ขบวนรถที่ 45/46 ไปยังสถานีปลายทางปาดังเบซาร์ รัฐปะลิส เท่านั้น หลังเคยเปิดการเดินรถมาตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม 2465 เป็นระยะเวลายาวนานกว่า 94 ปี ย้อนกลับไปในอดีต การรถไฟแห่งประเทศไทย เดินรถจากต้นทางสถานีรถไฟบางกอกน้อย ไปยังสถานีบัตเตอร์เวิร์ธ ประเทศมาเลเซีย ทุกวันจันทร์ วันพุธ และวันเสาร์ ก่อนย้ายมาที่สถานีรถไฟกรุงเทพ (หัวลำโพง) เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2470 แต่หยุดการเดินรถชั่วคราวเนื่องจากสะพานพระราม 6 ถูกทำลายในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง แล้วจึงกลับมาเดินรถอีกครั้ง ขณะนั้นให้บริการวันละ 1 เที่ยว ออกจากสถานีรถไฟกรุงเทพในช่วงบ่าย ไปถึงสถานีรถไฟบัตเตอร์เวอร์ธในช่วงสายของวันถัดมา ก่อนที่จะหยุดการเดินรถ พบว่ารถออกจากสถานีกรุงเทพ เวลา 14.45 น. ถึงสถานีบัตเตอร์เวอร์ธ เวลา 13.25 น. ตามเวลามาเลเซีย มีให้บริการเฉพาะรถนั่งและนอนชั้น 2 ค่าโดยสารเตียงบน 1,210 บาท เตียงล่าง 1,120 บาท แต่หลังจากประเทศมาเลเซียได้ปรับปรุงทางรถไฟระบบปิด มีลักษณะรถไฟทางคู่ และให้บริการรถไฟแบบ ETS ซึ่งเป็นรถไฟด่วนพิเศษ และ KTM Komuter ซึ่งเป็นรถไฟธรรมดา ในปี 2559 ทำให้ประสบปัญหาผู้โดยสารขึ้นรถไฟผิดขบวน การรถไฟฯ ได้ยกเลิกจำหน่ายตั๋วรถไฟไปสถานีบัตเตอร์เวอร์ธ และสิ้นสุดการให้บริการที่สถานีปาดังเบซาร์ ฝั่งมาเลเซียแทน ปัจจุบัน ขบวนรถด่วนพิเศษที่ 45 ออกจากสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ เวลา 16.10 น. ถึงสถานีปาดังเบซาร์เวลา 08.05 น. ของวันรุ่งขึ้น (เวลาประเทศไทย) และขบวนรถด่วนพิเศษที่ 46 ออกจากสถานีปาดังเบซาร์ เวลา 17.00 น. (เวลาประเทศไทย) ถึงสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ เวลา 09.05 น. ของวันรุ่งขึ้น ใช้เวลาประมาณ 16 ชั่วโมง การเดินรถไฟจากสถานีปาดังเบซาร์ ถึงสถานีรถไฟบัตเตอร์เวอร์ธ หากเป็นขบวนรถ KTM Komuter จะใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง แต่จอดทุกสถานี คาดว่าจากกรุงเทพฯ ไปยังบัตเตอร์เวอร์ธ จะใช้เวลาน้อยกว่าเมื่อ 8 ปีก่อน เพราะปัจจุบันรถไฟทางไกลย้ายต้นทางไปยังสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ และรถไฟทางคู่ช่วงนครปฐม-ชุมพร 421 กิโลเมตร ก่อสร้างแล้วเสร็จก่อนหน้านี้ ส่วนขบวนรถไฟท่องเที่ยวมายสวัสดี (MySawasdee) จากประเทศมาเลเซียมายังประเทศไทย ที่ประชุมยังได้เห็นชอบให้ขยายเส้นทางจากเดิมให้บริการถึงสถานีชุมทางหาดใหญ่ จ.สงขลา ให้มาถึงสถานีสุราษฎร์ธานี หลังได้รับผลตอบรับที่ดีเยี่ยม มีจำนวนผู้โดยสารเต็มทุกเที่ยว หลังจากนี้ทั้งสองหน่วยงานจะมีการตกลงรายละเอียด และระยะเวลาที่เหมาะสมต่อไป สำหรับขบวนรถไฟท่องเที่ยวมายสวัสดี (MySawasdee) ระหว่างสถานีเคแอล เซ็นทรัล (KL Sentral) กรุงกัวลาลัมเปอร์ กับสถานีชุมทางหาดใหญ่ จ.สงขลา ให้บริการเฉพาะวันหยุดเทศกาลของประเทศมาเลเซียเท่านั้น เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวชาวมาเลเซีย ที่จะเดินทางไปยัง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เปิดให้บริการครั้งแรกเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2565 ปัจจุบันยังมีบริการ มาย สวัสดี พลัส (MySawasdee PLUS) สำหรับตัวแทนทัวร์และบริษัททัวร์ รวมทั้งองค์กรภาคธุรกิจ สามารถเช่าเหมารถไฟทั้งขบวนได้อีกด้วย แต่ละเที่ยวรองรับผู้โดยสารประมาณ 400 คนต่อขบวน ให้บริการครั้งแรกเมื่อวันที่ 26-29 กรกฎาคม 2567 โดยบริษัท Golden Century Tours & Travel เสนอแพกเกจไปยังหาดใหญ่ เดินทาง 4 วัน 2 คืน ส่วนสถานีรถไฟสุราษฎร์ธานี ตั้งอยู่ที่ อ.พุนพิน ห่างจากตัวเมืองสุราษฎร์ธานี ประมาณ 20 กิโลเมตร สามารถเดินทางต่อไปยังท่าเรือดอนสัก เพื่อโดยสารเรือเฟอร์รี่ไปยังเกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี แหล่งท่องเที่ยวตากอากาศยอดนิยมได้อีกด้วย #Newskit #SRT #Butterworth
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 409 Views 0 Reviews
  • VIRAL SPOT ป้าย Maybank

    เมื่อไม่นานมานี้ ที่เมืองโคตาคินาบาลู รัฐซาบาห์ บนเกาะบอร์เนียวของประเทศมาเลเซีย มีนักท่องเที่ยวจีนรายหนึ่ง ที่มาเที่ยวเมืองแห่งนี้ ถ่ายภาพอาคารธนาคารเมย์แบงก์ (Maybank) สาขาจาลาน กายา (Jalan Gaya) ที่ถูกปิดตายด้วยแผ่นสังกะสีสีครีม ลงในแพลตฟอร์มรีวิว Xiaohongshu ของจีน ผลก็คือมีนักท่องเที่ยวจีนแห่ตามไปถ่ายภาพจำนวนมากอย่างไม่ขาดสาย

    แม้ชาวมาเลเซียไม่ทราบเหตุผลว่า ทำไมสาขาที่ปิดตายถึงกลายเป็นจุดถ่ายภาพของนักท่องเที่ยวจีน แต่มีการวิเคราะห์กันว่า มาจากป้ายกล่องไฟสีเหลืองสะดุดตา ร่วมกับโลโก้ Maybank สีดำดูทันสมัย ดึงดูดใจนักท่องเที่ยวที่เน้นสำรวจเมือง บางคนมีความเชื่อไปถึงโลโก้ที่ประกอบด้วยหัวเสือ และสีเหลืองเปรียบเสมือน "ออง" ในภาษาจีน หมายถึงความเจริญรุ่งเรือง

    ถึงกระนั้น ป้ายธนาคารเมย์แบงก์ สาขาจาลาน กายา ยังคงมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ และชาวมาเลเซียเข้ามาถ่ายรูปอย่างไม่ขาดสาย ไม่เว้นแม้แต่ นายโทนี่ เฟอร์นันเดส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มแคปิตอล เอ เจ้าของสายการบินแอร์เอเชีย ยังตามไปถ่ายรูป ระหว่างไปรับรางวัลพิเศษด้านการท่องเที่ยวรัฐซาบาห์ แม้เจ้าตัวจะแปลกใจถึงไวรัลดังกล่าว แต่ก็ยินดีที่จะสานต่อ

    ขณะที่เฟซบุ๊ก Maybank ได้ทีโปรโมตสาขาที่ปิดตาย ด้วยการถ่ายภาพหน้าสาขาพร้อมโฆษณาว่า SABAH CALLING, SIOK BAH! โปรโมตโปรโมชันสำหรับผู้ถือบัตรเครดิตเมย์แบงก์วีซ่า กับแพลตฟอร์ม OTA อย่างอะโกด้า (Agoda)

    ด้านเทศบาลโคตาคินาบาลู (Dewan Bandaraya Kota Kinabalu) เข้าทำความสะอาดแลนด์มาร์คแห่งนี้ เพื่อรองรับเป็นจุดถ่ายรูป หลังนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไปถ่ายรูป กลายเป็นจุดถ่ายรูปยอดนิยม (Viral Spot) ไปแล้ว

    โคตาคินาบาลู เมืองหลวงรัฐซาบาห์ เป็นประตูสู่แหล่งท่องเที่ยวของรัฐซาบาห์ โดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม อย่างยอดเขาโคตาคินาบาลู ซึ่งมีความสูงเป็นอันดับที่ 4 ของอาเซียน ได้ถูกยกให้เป็นเขตอุทยานมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวทั่วโลก รวมทั้งเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์

    ที่นี่เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบการผจญภัยแบบธรรมชาติ มีทั้งภูเขาและชายทะเล และมีกิจกรรมอย่างเช่น การปีนเขาที่เรียกว่า Via Ferrata หรือการปีนเขาแนวดิ่ง กิจกรรมเดินป่าศึกษาธรรมชาติ เล่นล่องแก่งแม่น้ำคาดามายัน เที่ยวชมศูนย์อนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่า แช่น้ำพุร้อนธรรมชาติ ชมฟาร์มโคนม เดินเล่นที่ไร่ชาซาบาห์ และดื่มด่ำธรรมชาติท้องทะเล

    ก่อนหน้านี้ สายการบินแอร์เอเชียเคยเปิดเที่ยวบินตรงระหว่างกรุงเทพฯ (ดอนเมือง)-โคตาคินาบาลู (BKI) เมื่อปี 2561 แต่ได้ยกเลิกไปนานแล้ว ปัจจุบันการเดินทางใช้วิธีต่อเครื่องจากท่าอากาศยานในมาเลเซีย โดยเฉพาะท่าอากาศยานกัวลาลัมเปอร์ (KUL) มีเที่ยวบินให้บริการมากถึง 167 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ และมีเที่ยวบินจากต่างประเทศ เช่น เกาหลีใต้ จีน มาเยือนเมืองแห่งนี้

    #Newskit #KotaKinabalu #Maybank
    VIRAL SPOT ป้าย Maybank เมื่อไม่นานมานี้ ที่เมืองโคตาคินาบาลู รัฐซาบาห์ บนเกาะบอร์เนียวของประเทศมาเลเซีย มีนักท่องเที่ยวจีนรายหนึ่ง ที่มาเที่ยวเมืองแห่งนี้ ถ่ายภาพอาคารธนาคารเมย์แบงก์ (Maybank) สาขาจาลาน กายา (Jalan Gaya) ที่ถูกปิดตายด้วยแผ่นสังกะสีสีครีม ลงในแพลตฟอร์มรีวิว Xiaohongshu ของจีน ผลก็คือมีนักท่องเที่ยวจีนแห่ตามไปถ่ายภาพจำนวนมากอย่างไม่ขาดสาย แม้ชาวมาเลเซียไม่ทราบเหตุผลว่า ทำไมสาขาที่ปิดตายถึงกลายเป็นจุดถ่ายภาพของนักท่องเที่ยวจีน แต่มีการวิเคราะห์กันว่า มาจากป้ายกล่องไฟสีเหลืองสะดุดตา ร่วมกับโลโก้ Maybank สีดำดูทันสมัย ดึงดูดใจนักท่องเที่ยวที่เน้นสำรวจเมือง บางคนมีความเชื่อไปถึงโลโก้ที่ประกอบด้วยหัวเสือ และสีเหลืองเปรียบเสมือน "ออง" ในภาษาจีน หมายถึงความเจริญรุ่งเรือง ถึงกระนั้น ป้ายธนาคารเมย์แบงก์ สาขาจาลาน กายา ยังคงมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ และชาวมาเลเซียเข้ามาถ่ายรูปอย่างไม่ขาดสาย ไม่เว้นแม้แต่ นายโทนี่ เฟอร์นันเดส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มแคปิตอล เอ เจ้าของสายการบินแอร์เอเชีย ยังตามไปถ่ายรูป ระหว่างไปรับรางวัลพิเศษด้านการท่องเที่ยวรัฐซาบาห์ แม้เจ้าตัวจะแปลกใจถึงไวรัลดังกล่าว แต่ก็ยินดีที่จะสานต่อ ขณะที่เฟซบุ๊ก Maybank ได้ทีโปรโมตสาขาที่ปิดตาย ด้วยการถ่ายภาพหน้าสาขาพร้อมโฆษณาว่า SABAH CALLING, SIOK BAH! โปรโมตโปรโมชันสำหรับผู้ถือบัตรเครดิตเมย์แบงก์วีซ่า กับแพลตฟอร์ม OTA อย่างอะโกด้า (Agoda) ด้านเทศบาลโคตาคินาบาลู (Dewan Bandaraya Kota Kinabalu) เข้าทำความสะอาดแลนด์มาร์คแห่งนี้ เพื่อรองรับเป็นจุดถ่ายรูป หลังนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไปถ่ายรูป กลายเป็นจุดถ่ายรูปยอดนิยม (Viral Spot) ไปแล้ว โคตาคินาบาลู เมืองหลวงรัฐซาบาห์ เป็นประตูสู่แหล่งท่องเที่ยวของรัฐซาบาห์ โดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม อย่างยอดเขาโคตาคินาบาลู ซึ่งมีความสูงเป็นอันดับที่ 4 ของอาเซียน ได้ถูกยกให้เป็นเขตอุทยานมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวทั่วโลก รวมทั้งเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ที่นี่เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบการผจญภัยแบบธรรมชาติ มีทั้งภูเขาและชายทะเล และมีกิจกรรมอย่างเช่น การปีนเขาที่เรียกว่า Via Ferrata หรือการปีนเขาแนวดิ่ง กิจกรรมเดินป่าศึกษาธรรมชาติ เล่นล่องแก่งแม่น้ำคาดามายัน เที่ยวชมศูนย์อนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่า แช่น้ำพุร้อนธรรมชาติ ชมฟาร์มโคนม เดินเล่นที่ไร่ชาซาบาห์ และดื่มด่ำธรรมชาติท้องทะเล ก่อนหน้านี้ สายการบินแอร์เอเชียเคยเปิดเที่ยวบินตรงระหว่างกรุงเทพฯ (ดอนเมือง)-โคตาคินาบาลู (BKI) เมื่อปี 2561 แต่ได้ยกเลิกไปนานแล้ว ปัจจุบันการเดินทางใช้วิธีต่อเครื่องจากท่าอากาศยานในมาเลเซีย โดยเฉพาะท่าอากาศยานกัวลาลัมเปอร์ (KUL) มีเที่ยวบินให้บริการมากถึง 167 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ และมีเที่ยวบินจากต่างประเทศ เช่น เกาหลีใต้ จีน มาเยือนเมืองแห่งนี้ #Newskit #KotaKinabalu #Maybank
    Like
    4
    0 Comments 0 Shares 469 Views 0 Reviews
  • คนไทยนับร้อยสนใจ เรียนต่อที่มาเลเซีย

    มาเลเซียเป็นอีกประเทศหนึ่ง ที่นักเรียนและนักศึกษาไทย ให้ความสนใจเข้าศึกษาต่อระดับอุดมศึกษา ด้วยความที่มีมหาวิทยาลัยติดอันดับโลก ค่าเล่าเรียนและค่าครองชีพที่เหมาะสม ขอวีซ่าง่าย สามารถพาครอบครัวไปด้วยขณะศึกษาระดับปริญญาโทได้ และมีโอกาสในการขอทุนการศึกษา รวมทั้งเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมและเป็นมิตร

    ด้วยเหตุผลข้างต้น ทำให้ Education Malaysia Global Services (EMGS) หน่วยงานภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา ประเทศมาเลเซีย จึงได้จัดงานมหกรรมการศึกษาต่อประเทศมาเลเซีย หรือ Study in Malaysia Education Fair Bangkok 2024 ที่โรงแรมรามาการ์เด้นส์ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 14 ส.ค. 2567 ที่ผ่านมา โดยมีตัวแทนจากมหาวิทยาลัยชั้นนำในมาเลเซีย แนะนำหลักสูตรและรับสมัครนักศึกษาระดับอุดมศึกษา ซึ่งงานนี้จัดพร้อมกันที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา

    นายโนวี ทาจุดดิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร EMGS ระบุว่า ที่ผ่านมามีนักศึกษาต่างชาติ ให้ความสนใจศึกษาต่อที่ประเทศมาเลเซียมากขึ้น โดยในปี 2566 ประเทศมาเลเซียมีจำนวนนักศึกษาต่างชาติมากกว่า 114,765 คน ซึ่งมีนักศึกษาไทยที่สนใจศึกษาต่อที่ประเทศมาเลเซีย ยื่นใบสมัครมากถึง 372 ใบ ขณะที่ในปีนี้นับถึงเดือน พ.ค. 2567 EMGS ได้รับใบสมัครใหม่จากประเทศไทยแล้ว 117 ใบ อยู่ในอันดับที่ 5 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

    ทั้งนี้ ประเทศมาเลเซียเป็นที่โดดเด่นในเวทีวิชาการระดับโลก โดยมี 8 สาขาวิชาที่ได้รับการยอมรับในการจัดอันดับของ QS World University Rangkings และมีมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ 8 แห่ง โดยมีมหาวิทยาลัยของรัฐ 20 แห่ง มหาวิทยาลัยเอกชน 207 แห่ง วิทยาลัย และวิทยาเขตสาขาของมหาวิทยาลัยต่างประเทศระดับโลก 10 แห่ง ซึ่งภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในมาเลเซีย และหลักสูตรส่วนใหญ่ยังสอนเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งความสามารถทางภาษาอังกฤษเป็นหนึ่งในข้อกำหนดหลักสำหรับการรับเข้าเรียนของนักเรียนเพื่อสมัครเข้าสถาบันอุดมศึกษา (HEIs)

    ขณะเดียวกัน มาเลเซียมีทำเลที่ตั้งเหมาะสำหรับนักศึกษาไทย เนื่องจากอยู่ใกล้ประเทศไทย ระยะทางในการเดินทางที่สั้น ด้วยเที่ยวบินตรงระหว่างกรุงเทพฯ กับกัวลาลัมเปอร์มากกว่า 22 เที่ยวบินต่อวัน นอกจากนี้ มาเลเซียเป็นจุดหมายปลายทางการศึกษาที่ได้รับความนิยม โดยจัดการศึกษาระดับโลก ด้วยค่าเล่าเรียนที่เหมาะสม กัวลาลัมเปอร์ถูกยกให้เป็นอันดับ 1 ของเอเชียในตัวบ่งชี้ความสามารถในการซื้ออาหาร ตามการจัดอันดับเมืองนักเรียนที่ดีที่สุดของ QS ประจำปี 2023 โดยอาหารริมทางมีราคาตั้งแต่ 5 ถึง 15 ริงกิตมาเลเซีย รวมถึงอาหารมาเลเซียยอดนิยม เช่น นาซีเลอมัก โรตีจาไน ลักซา และอื่นๆ

    ภายในงานมีมหาวิทยาลัยที่เข้าร่วมจัดกิจกรรม ประกอบด้วย 1. Asia Pacific University of Technology & Innovation (APU) 2. Malaysian Maritime Academy (ALAM) 3. Management and Science University (MSU) 4. Universiti Utara Malaysia (UUM) 5. University Malaya (UM) 6. German-Malaysian Institute (GMI) 7. MAHSA University 8. UCSI University 9. Sunway Le Cordon Bleu และ 10. Universiti Kebangsaan Malaysia (UKM) เป็นต้น

    สำหรับ EMGS มีหน้าที่หลักคือ อำนวยความสะดวกในการขอวีซ่าสำหรับนักศึกษาต่างชาติทั้งหมด และส่งเสริมให้ประเทศมาเลเซียเป็นศูนย์กลางความรู้และความสามารถระดับโลก โดยทำหน้าที่ประสานไปยังสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองมาเลเซีย เพื่อออกหนังสืออนุมัติการออกวีซ่า และออก Student Pass ให้นักศึกษา รวมทั้งยังจัดทำประกันสุขภาพให้นักศึกษาอีกด้วย แม้การจัดงานจะผ่านพ้นไปแล้ว แต่สามารถติดตามข่าวสารการศึกษาต่อประเทศมาเลเซีย ทาง Instagram @education.Malaysia.official และเฟซบุ๊ก Education Malaysia

    #Newskit #StudyinMalaysia #EMGS
    คนไทยนับร้อยสนใจ เรียนต่อที่มาเลเซีย มาเลเซียเป็นอีกประเทศหนึ่ง ที่นักเรียนและนักศึกษาไทย ให้ความสนใจเข้าศึกษาต่อระดับอุดมศึกษา ด้วยความที่มีมหาวิทยาลัยติดอันดับโลก ค่าเล่าเรียนและค่าครองชีพที่เหมาะสม ขอวีซ่าง่าย สามารถพาครอบครัวไปด้วยขณะศึกษาระดับปริญญาโทได้ และมีโอกาสในการขอทุนการศึกษา รวมทั้งเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมและเป็นมิตร ด้วยเหตุผลข้างต้น ทำให้ Education Malaysia Global Services (EMGS) หน่วยงานภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา ประเทศมาเลเซีย จึงได้จัดงานมหกรรมการศึกษาต่อประเทศมาเลเซีย หรือ Study in Malaysia Education Fair Bangkok 2024 ที่โรงแรมรามาการ์เด้นส์ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 14 ส.ค. 2567 ที่ผ่านมา โดยมีตัวแทนจากมหาวิทยาลัยชั้นนำในมาเลเซีย แนะนำหลักสูตรและรับสมัครนักศึกษาระดับอุดมศึกษา ซึ่งงานนี้จัดพร้อมกันที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา นายโนวี ทาจุดดิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร EMGS ระบุว่า ที่ผ่านมามีนักศึกษาต่างชาติ ให้ความสนใจศึกษาต่อที่ประเทศมาเลเซียมากขึ้น โดยในปี 2566 ประเทศมาเลเซียมีจำนวนนักศึกษาต่างชาติมากกว่า 114,765 คน ซึ่งมีนักศึกษาไทยที่สนใจศึกษาต่อที่ประเทศมาเลเซีย ยื่นใบสมัครมากถึง 372 ใบ ขณะที่ในปีนี้นับถึงเดือน พ.ค. 2567 EMGS ได้รับใบสมัครใหม่จากประเทศไทยแล้ว 117 ใบ อยู่ในอันดับที่ 5 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งนี้ ประเทศมาเลเซียเป็นที่โดดเด่นในเวทีวิชาการระดับโลก โดยมี 8 สาขาวิชาที่ได้รับการยอมรับในการจัดอันดับของ QS World University Rangkings และมีมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ 8 แห่ง โดยมีมหาวิทยาลัยของรัฐ 20 แห่ง มหาวิทยาลัยเอกชน 207 แห่ง วิทยาลัย และวิทยาเขตสาขาของมหาวิทยาลัยต่างประเทศระดับโลก 10 แห่ง ซึ่งภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในมาเลเซีย และหลักสูตรส่วนใหญ่ยังสอนเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งความสามารถทางภาษาอังกฤษเป็นหนึ่งในข้อกำหนดหลักสำหรับการรับเข้าเรียนของนักเรียนเพื่อสมัครเข้าสถาบันอุดมศึกษา (HEIs) ขณะเดียวกัน มาเลเซียมีทำเลที่ตั้งเหมาะสำหรับนักศึกษาไทย เนื่องจากอยู่ใกล้ประเทศไทย ระยะทางในการเดินทางที่สั้น ด้วยเที่ยวบินตรงระหว่างกรุงเทพฯ กับกัวลาลัมเปอร์มากกว่า 22 เที่ยวบินต่อวัน นอกจากนี้ มาเลเซียเป็นจุดหมายปลายทางการศึกษาที่ได้รับความนิยม โดยจัดการศึกษาระดับโลก ด้วยค่าเล่าเรียนที่เหมาะสม กัวลาลัมเปอร์ถูกยกให้เป็นอันดับ 1 ของเอเชียในตัวบ่งชี้ความสามารถในการซื้ออาหาร ตามการจัดอันดับเมืองนักเรียนที่ดีที่สุดของ QS ประจำปี 2023 โดยอาหารริมทางมีราคาตั้งแต่ 5 ถึง 15 ริงกิตมาเลเซีย รวมถึงอาหารมาเลเซียยอดนิยม เช่น นาซีเลอมัก โรตีจาไน ลักซา และอื่นๆ ภายในงานมีมหาวิทยาลัยที่เข้าร่วมจัดกิจกรรม ประกอบด้วย 1. Asia Pacific University of Technology & Innovation (APU) 2. Malaysian Maritime Academy (ALAM) 3. Management and Science University (MSU) 4. Universiti Utara Malaysia (UUM) 5. University Malaya (UM) 6. German-Malaysian Institute (GMI) 7. MAHSA University 8. UCSI University 9. Sunway Le Cordon Bleu และ 10. Universiti Kebangsaan Malaysia (UKM) เป็นต้น สำหรับ EMGS มีหน้าที่หลักคือ อำนวยความสะดวกในการขอวีซ่าสำหรับนักศึกษาต่างชาติทั้งหมด และส่งเสริมให้ประเทศมาเลเซียเป็นศูนย์กลางความรู้และความสามารถระดับโลก โดยทำหน้าที่ประสานไปยังสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองมาเลเซีย เพื่อออกหนังสืออนุมัติการออกวีซ่า และออก Student Pass ให้นักศึกษา รวมทั้งยังจัดทำประกันสุขภาพให้นักศึกษาอีกด้วย แม้การจัดงานจะผ่านพ้นไปแล้ว แต่สามารถติดตามข่าวสารการศึกษาต่อประเทศมาเลเซีย ทาง Instagram @education.Malaysia.official และเฟซบุ๊ก Education Malaysia #Newskit #StudyinMalaysia #EMGS
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 506 Views 0 Reviews
  • ตารางเหรียญรางวัลเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ปารีส 2024 ณ วันที่ 9 สิงหาคม เวลา 06:00 น.

    เหลือเวลาอีกเพียง 2 วันก่อนการแข่งขันโอลิมปิกจะสิ้นสุดลง บรรดาชาติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คว้าเหรียญรางวัลไปแล้ว 15 เหรียญ!โดยฟิลิปปินส์ยังคงเป็นผู้นำด้วยเหรียญทอง 2 เหรียญและเหรียญทองแดง 2 เหรียญ ขณะที่อินโดนีเซียแซงหน้ามาเลเซียและไทยด้วยเหรียญทอง 2 เหรียญและเหรียญทองแดง 1 เหรียญ !
    ตารางเหรียญรางวัลเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ปารีส 2024 ณ วันที่ 9 สิงหาคม เวลา 06:00 น. 🥇🥈🥉 เหลือเวลาอีกเพียง 2 วันก่อนการแข่งขันโอลิมปิกจะสิ้นสุดลง บรรดาชาติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คว้าเหรียญรางวัลไปแล้ว 15 เหรียญ!โดยฟิลิปปินส์ยังคงเป็นผู้นำด้วยเหรียญทอง 2 เหรียญและเหรียญทองแดง 2 เหรียญ ขณะที่อินโดนีเซียแซงหน้ามาเลเซียและไทยด้วยเหรียญทอง 2 เหรียญและเหรียญทองแดง 1 เหรียญ 🇵🇭🇮🇩🇹🇭🇲🇾!
    Like
    4
    0 Comments 0 Shares 362 Views 0 Reviews
  • จะเลือกชาตินิยมหรือน้ำใจนักกีฬา?

    กรณีที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเยาวชนและกีฬามาเลเซีย ฮันนาห์ โหยว (Hannah Yeoh) โพสต์ภาพคู่กับ วิว กุลวุฒิ วิทิตสาร นักกีฬาแบดมินตันทีมชาติไทย เจ้าของเหรียญเงินโอลิมปิก ปารีส 2024 ประเทศฝรั่งเศส ลงในอินสตาแกรมส่วนตัว @hannahyeoh กำลังเป็นที่วิจารณ์อย่างดุเดือดของชาวเน็ตมาเลเซีย

    เพราะจากอินสตาแกรมของเธอ ไม่ได้ถ่ายรูปคู่กับ วิว กุลวุฒิ อย่างเดียว แต่โพสต์ก่อนหน้านี้ก็ถ่ายรูปคู่กับนักแบดมินตันชาติของตนที่ได้เหรียญทองแดง อย่าง อารอน เจี่ย (Aaron Chia) กับ โซห์ วุย ยิค (Soh Wooi Yik) ประเภทชายคู่ และ หลี่ จื่อเจีย (Lee Zii Jia) ประเภทชายเดี่ยว ที่แพ้ให้กับ วิว กุลวุฒิ รอบรองชนะเลิศ พร้อมข้อความให้กำลังใจ

    แต่ที่เป็นประเด็น คือประโยคห้อยท้ายที่กล่าวถึงวิว กุลวุฒิ ว่า "He has a new fan in me!" หรือ "ฉันเป็นแฟนคลับคนใหม่ของเขาไปแล้ว" คนไทยอาจชื่นใจ แต่ชาวมาเลย์ไซร้เป็นได้เดือดดาล ทัวร์ลงไม่แพ้ชาติใดในโลก โพสต์ข้อความโจมตี อาทิ

    "น้ำใจนักกีฬาและความรักชาติควรเริ่มต้นจากผู้นำ เวลานี้ทำไม่ถูก รูปนี้ควรเอาออกไป หรือคุณควรเก็บไว้ดูเอง ในความรู้สึกเห็นว่าไม่ถูกต้อง"

    "ถ้าอยากเป็นแฟนคลับอย่าใช้ตำแหน่งรัฐมนตรี ควรสวมเสื้อผ้าของตัวเอง ซื้อตั๋วเครื่องบินด้วยเงินตัวเอง ชำระค่าโรงแรมและอาหารด้วยเงินตัวเอง"

    "คุณอยู่ในฐานะรัฐมนตรีที่เป็นตัวแทนของมาเลเซีย ไม่ใช่ในฐานะผู้ชมทั่วไป แม้ว่าจะมีสิทธิ์ถ่ายรูปกับนักกีฬาคนใดก็ได้ แม้ไม่ใช่ชาวมาเลเซียก็ตาม แต่วิธีที่ดีที่สุดคือเก็บภาพนี้ไว้เป็นส่วนตัว แทนที่จะเปิดเผยต่อสาธารณะ สิ่งที่คุณทำเป็นเรื่องน่าสะอิดสะเอียน ทำลายชื่อเสียงของคุณอย่างราบคาบ ส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของรัฐบาลและพรรค DAP อย่าลืมว่ายังมีคนจำนวนมากกำลังจับผิดพรรค DAP และตอนนี้คุณได้ให้กระสุนแก่พวกเขาแบบฟรีๆ แล้ว อย่างไรก็ตาม ฉันยังคงเป็นแฟนคลับของคุณ แต่หวังว่าจะไม่ทำผิดแบบนี้ซ้ำในครั้งต่อไป เราเพียงต้องการแนะนำแนวทางที่ดีที่สุดสำหรับคุณ"

    ด้านเว็บไซต์ข่าว Malaysia Now ได้ตีพิมพ์บทความของ "ลี บุน เชียน" (Lee Boon Shian) ประธานกลุ่มเยาวชนเกอรากัน วิจารณ์ว่า ฮันนาห์ทำให้ชาวมาเลเซียผิดหวัง เพราะการเป็นรัฐมนตรีด้านกีฬาต้องรู้จักกาละเทศะ รัฐมนตรีที่เข้าร่วมมหกรรมกีฬาโอลิมปิกโดยใช้ภาษีประชาชน ควรจะเป็นตัวแทนรักษาผลประโยชน์ของมาเลเซีย และสนับสนุนส่งเสริมนักกีฬาของชาติ

    "รัฐมนตรีของเรา (ฮันนาห์) ตั้งใจทำให้ประชาชนผิดหวังอีกครั้ง เธอได้เบี่ยงเบนความรับผิดชอบหลัก และกระทำการในฐานะส่วนตัวหลงใหลนักกีฬาต่างชาติคนหนึ่ง ที่เพิ่งเอาชนะนักกีฬาของเราไปได้ การมีความชอบส่วนตัวไม่ใช่เรื่องผิด แต่ควรเข้าใจแนวคิดง่ายๆ อย่างการมีกาละเทศะ ก่อนแสดงพฤติกรรมที่น่าหดหู่ใจ ซึ่งอาจสูญเสียขวัญและกำลังใจแก่นักกีฬาและกองเชียร์"

    "ประชาชนจ่ายเงินให้คุณเพื่อให้ไปปฎิบัติหน้าที่ในโอลิมปิกปารีส แต่กลับไปถ่ายรูปกับนักกีฬาต่างชาติ ผลประโยชน์ส่วนตนควรถูกเก็บเป็นความลับเสมอเมื่อปฎิบัติหน้าที่ทางราชการ ควรเป็นแรงบันดาลใจทางศีลธรรมให้กับนักกีฬาและกองเชียร์ และทำงานอย่างใกล้ชิดกับนักกีฬา เพื่อหาทางที่จะให้กระทรวงได้สนับสนุนวงการกีฬาที่ดีขึ้นในอนาคต"

    "จะให้ดีกว่านี้ ให้วางกลยุทธ์ว่าจะทำให้แน่ใจได้อย่างไรว่าโค้ชของเราจะไปร่วมกับนักกีฬาของเราในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกในอนาคต แทนที่จะสงวนไว้สำหรับแขกวีไอพี" ลี บุน เชียน ระบุ

    อย่างไรก็ตาม​ มีชาวเน็ตที่มีน้ำใจนักกีฬา​หลายคน​ ต่างกล่าวว่า กรณีแบบนี้ไม่ควรแห่ทัวร์​ลง​ หรือคิดเล็กคิดน้อย และการแสดงความยินดีกับหนึ่งในประเทศอาเซียน ที่คว้าเหรียญโอลิมปิกมาได้ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย

    ด้าน​ ฮันนาห์ โหย่ว ได้โพสต์สตอรี่ในอินสตาแกรม ชี้แจงถึงค่านิยมของกีฬาโอลิมปิก 3 ประการ นั่นคือความเป็นเลิศ ความเป็นมิตร และความเคารพ พร้อมตอบคำถามชาวเน็ตฯ​ ชัดเจนว่า​ "เธอไปในฐานะรัฐมนตรีเยาวชนและการกีฬาของมาเลเซีย เป็นตัวแทนของมาเลเซีย และร่วมแสดงความยินดีกับเพื่อนบ้านอาเซียน อย่างประเทศไทย​"

    สำหรับฮันนาห์ โหยว ปัจจุบันอายุ 45 ปี ชาวสุบังจายา รัฐสลังงอร์ เป็นนักการเมืองสังกัดพรรค DAP ซึ่งอยู่ในกลุ่มปากาตันฮาราปัน (Pakatan Harapan) เคยเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐสลังงอร์ ปี 2551-2561 ประธานสภานิติบัญญัติแห่งรัฐสลังงอร์ ปี 2556-2561 รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสตรี ครอบครัวและการพัฒนาชุมชนมาเลเซีย ปี 2561-2563

    สมรสกับ รามจันทรัน มูเนียนดี (Ramachandran Muniandy) ผู้ก่อตั้งบริษัท เอเชีย โมบิลิตี้ (Asia Mobility) ที่ผ่านมาเธอถูกโจมตีกรณีที่รัฐบาลกลาง และรัฐบาลรัฐสลังงอร์อนุมัติโครงการขนส่งสาธารณะเพื่อตอบสนองความต้องการเดินทาง (Demand Responsive Transit หรือ DRT) รัฐสลังงอร์ ให้กับเอเชีย โมบิลิตี้ ของสามี โดยไม่ผ่านการประกวดราคา

    กระทั่งมาเจอ "ตำบลกระสุนตก" จากกรณีถ่ายภาพคู่กับชาติคู่แข่งอย่าง "วิว กุลวุฒิ" ที่เอาชนะนักกีฬาชาติตนเอง

    สมมติว่าหากวันหนึ่งเรื่องลักษณะแบบนี้เกิดขึ้นกับรัฐมนตรีของไทย โดยที่ยังไม่รู้ว่าเกิดขึ้นกับใคร พรรคอะไร สีเสื้อไหน ลองถามใจคุณผู้อ่านระหว่าง "ชาตินิยม" หรือ "น้ำใจนักกีฬา"?

    #Newskit #hannahyeoh #ViewKunlavut
    จะเลือกชาตินิยมหรือน้ำใจนักกีฬา? กรณีที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเยาวชนและกีฬามาเลเซีย ฮันนาห์ โหยว (Hannah Yeoh) โพสต์ภาพคู่กับ วิว กุลวุฒิ วิทิตสาร นักกีฬาแบดมินตันทีมชาติไทย เจ้าของเหรียญเงินโอลิมปิก ปารีส 2024 ประเทศฝรั่งเศส ลงในอินสตาแกรมส่วนตัว @hannahyeoh กำลังเป็นที่วิจารณ์อย่างดุเดือดของชาวเน็ตมาเลเซีย เพราะจากอินสตาแกรมของเธอ ไม่ได้ถ่ายรูปคู่กับ วิว กุลวุฒิ อย่างเดียว แต่โพสต์ก่อนหน้านี้ก็ถ่ายรูปคู่กับนักแบดมินตันชาติของตนที่ได้เหรียญทองแดง อย่าง อารอน เจี่ย (Aaron Chia) กับ โซห์ วุย ยิค (Soh Wooi Yik) ประเภทชายคู่ และ หลี่ จื่อเจีย (Lee Zii Jia) ประเภทชายเดี่ยว ที่แพ้ให้กับ วิว กุลวุฒิ รอบรองชนะเลิศ พร้อมข้อความให้กำลังใจ แต่ที่เป็นประเด็น คือประโยคห้อยท้ายที่กล่าวถึงวิว กุลวุฒิ ว่า "He has a new fan in me!" หรือ "ฉันเป็นแฟนคลับคนใหม่ของเขาไปแล้ว" คนไทยอาจชื่นใจ แต่ชาวมาเลย์ไซร้เป็นได้เดือดดาล ทัวร์ลงไม่แพ้ชาติใดในโลก โพสต์ข้อความโจมตี อาทิ "น้ำใจนักกีฬาและความรักชาติควรเริ่มต้นจากผู้นำ เวลานี้ทำไม่ถูก รูปนี้ควรเอาออกไป หรือคุณควรเก็บไว้ดูเอง ในความรู้สึกเห็นว่าไม่ถูกต้อง" "ถ้าอยากเป็นแฟนคลับอย่าใช้ตำแหน่งรัฐมนตรี ควรสวมเสื้อผ้าของตัวเอง ซื้อตั๋วเครื่องบินด้วยเงินตัวเอง ชำระค่าโรงแรมและอาหารด้วยเงินตัวเอง" "คุณอยู่ในฐานะรัฐมนตรีที่เป็นตัวแทนของมาเลเซีย ไม่ใช่ในฐานะผู้ชมทั่วไป แม้ว่าจะมีสิทธิ์ถ่ายรูปกับนักกีฬาคนใดก็ได้ แม้ไม่ใช่ชาวมาเลเซียก็ตาม แต่วิธีที่ดีที่สุดคือเก็บภาพนี้ไว้เป็นส่วนตัว แทนที่จะเปิดเผยต่อสาธารณะ สิ่งที่คุณทำเป็นเรื่องน่าสะอิดสะเอียน ทำลายชื่อเสียงของคุณอย่างราบคาบ ส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของรัฐบาลและพรรค DAP อย่าลืมว่ายังมีคนจำนวนมากกำลังจับผิดพรรค DAP และตอนนี้คุณได้ให้กระสุนแก่พวกเขาแบบฟรีๆ แล้ว อย่างไรก็ตาม ฉันยังคงเป็นแฟนคลับของคุณ แต่หวังว่าจะไม่ทำผิดแบบนี้ซ้ำในครั้งต่อไป เราเพียงต้องการแนะนำแนวทางที่ดีที่สุดสำหรับคุณ" ด้านเว็บไซต์ข่าว Malaysia Now ได้ตีพิมพ์บทความของ "ลี บุน เชียน" (Lee Boon Shian) ประธานกลุ่มเยาวชนเกอรากัน วิจารณ์ว่า ฮันนาห์ทำให้ชาวมาเลเซียผิดหวัง เพราะการเป็นรัฐมนตรีด้านกีฬาต้องรู้จักกาละเทศะ รัฐมนตรีที่เข้าร่วมมหกรรมกีฬาโอลิมปิกโดยใช้ภาษีประชาชน ควรจะเป็นตัวแทนรักษาผลประโยชน์ของมาเลเซีย และสนับสนุนส่งเสริมนักกีฬาของชาติ "รัฐมนตรีของเรา (ฮันนาห์) ตั้งใจทำให้ประชาชนผิดหวังอีกครั้ง เธอได้เบี่ยงเบนความรับผิดชอบหลัก และกระทำการในฐานะส่วนตัวหลงใหลนักกีฬาต่างชาติคนหนึ่ง ที่เพิ่งเอาชนะนักกีฬาของเราไปได้ การมีความชอบส่วนตัวไม่ใช่เรื่องผิด แต่ควรเข้าใจแนวคิดง่ายๆ อย่างการมีกาละเทศะ ก่อนแสดงพฤติกรรมที่น่าหดหู่ใจ ซึ่งอาจสูญเสียขวัญและกำลังใจแก่นักกีฬาและกองเชียร์" "ประชาชนจ่ายเงินให้คุณเพื่อให้ไปปฎิบัติหน้าที่ในโอลิมปิกปารีส แต่กลับไปถ่ายรูปกับนักกีฬาต่างชาติ ผลประโยชน์ส่วนตนควรถูกเก็บเป็นความลับเสมอเมื่อปฎิบัติหน้าที่ทางราชการ ควรเป็นแรงบันดาลใจทางศีลธรรมให้กับนักกีฬาและกองเชียร์ และทำงานอย่างใกล้ชิดกับนักกีฬา เพื่อหาทางที่จะให้กระทรวงได้สนับสนุนวงการกีฬาที่ดีขึ้นในอนาคต" "จะให้ดีกว่านี้ ให้วางกลยุทธ์ว่าจะทำให้แน่ใจได้อย่างไรว่าโค้ชของเราจะไปร่วมกับนักกีฬาของเราในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกในอนาคต แทนที่จะสงวนไว้สำหรับแขกวีไอพี" ลี บุน เชียน ระบุ อย่างไรก็ตาม​ มีชาวเน็ตที่มีน้ำใจนักกีฬา​หลายคน​ ต่างกล่าวว่า กรณีแบบนี้ไม่ควรแห่ทัวร์​ลง​ หรือคิดเล็กคิดน้อย และการแสดงความยินดีกับหนึ่งในประเทศอาเซียน ที่คว้าเหรียญโอลิมปิกมาได้ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย ด้าน​ ฮันนาห์ โหย่ว ได้โพสต์สตอรี่ในอินสตาแกรม ชี้แจงถึงค่านิยมของกีฬาโอลิมปิก 3 ประการ นั่นคือความเป็นเลิศ ความเป็นมิตร และความเคารพ พร้อมตอบคำถามชาวเน็ตฯ​ ชัดเจนว่า​ "เธอไปในฐานะรัฐมนตรีเยาวชนและการกีฬาของมาเลเซีย เป็นตัวแทนของมาเลเซีย และร่วมแสดงความยินดีกับเพื่อนบ้านอาเซียน อย่างประเทศไทย​" สำหรับฮันนาห์ โหยว ปัจจุบันอายุ 45 ปี ชาวสุบังจายา รัฐสลังงอร์ เป็นนักการเมืองสังกัดพรรค DAP ซึ่งอยู่ในกลุ่มปากาตันฮาราปัน (Pakatan Harapan) เคยเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐสลังงอร์ ปี 2551-2561 ประธานสภานิติบัญญัติแห่งรัฐสลังงอร์ ปี 2556-2561 รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสตรี ครอบครัวและการพัฒนาชุมชนมาเลเซีย ปี 2561-2563 สมรสกับ รามจันทรัน มูเนียนดี (Ramachandran Muniandy) ผู้ก่อตั้งบริษัท เอเชีย โมบิลิตี้ (Asia Mobility) ที่ผ่านมาเธอถูกโจมตีกรณีที่รัฐบาลกลาง และรัฐบาลรัฐสลังงอร์อนุมัติโครงการขนส่งสาธารณะเพื่อตอบสนองความต้องการเดินทาง (Demand Responsive Transit หรือ DRT) รัฐสลังงอร์ ให้กับเอเชีย โมบิลิตี้ ของสามี โดยไม่ผ่านการประกวดราคา กระทั่งมาเจอ "ตำบลกระสุนตก" จากกรณีถ่ายภาพคู่กับชาติคู่แข่งอย่าง "วิว กุลวุฒิ" ที่เอาชนะนักกีฬาชาติตนเอง สมมติว่าหากวันหนึ่งเรื่องลักษณะแบบนี้เกิดขึ้นกับรัฐมนตรีของไทย โดยที่ยังไม่รู้ว่าเกิดขึ้นกับใคร พรรคอะไร สีเสื้อไหน ลองถามใจคุณผู้อ่านระหว่าง "ชาตินิยม" หรือ "น้ำใจนักกีฬา"? #Newskit #hannahyeoh #ViewKunlavut
    Like
    4
    0 Comments 0 Shares 663 Views 0 Reviews
  • มาม่าชามโตที่ “มาเลเซีย” กรณี น้องวิว กุลวุฒิ
    .
    ทัวร์​มาเลย์​ลง​รัฐมนตรี​ ฮันนาห์ โหย่ว โพสต์ท่าคู่​ วิว​ กุลวุฒิ นักแบดฯไทย​ ที่หวดมาเลเซีย​ตกรอบรองฯ
    .
    ผู้ใช้โซเชียลมีเดียมาเลเซีย​วิพากษ์วิจารณ์รัฐมนตรีกระทรวงเยาวชนและกีฬา ฮันนาห์ โหยว ที่ยกย่องนักแบดมินตันไทย กุลวุฒิ วิทิตสาร ผู้คว่ำนักกีฬาทีมชาติ ของตน​ ลี ซี เจีย ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่ปารีส
    .
    โหย่ว ซึ่งติดตามสนับสนุนนักกีฬามาเลเซียในปารีส อัพโหลดรูปถ่ายของตัวเองและกุลวุฒิ​ วิทิตศานต์บนอินสตาแกรม ซึ่งทำให้เกิดความคิดเห็นในหมู่ชาวเน็ตเสือเหลืองมากมายที่ถามว่า​"เธอมาทำอะไรของเธอที่โอลิมปิกเนี่ย!"
    .
    ทั้งนี้​ กุลวุฒิ​ วิทิตศานต์​ เอาชนะ ลีซีเจีย ในรอบรองชนะเลิศประเภทชายเดี่ยว ก่อนเข้าไปชิงเหรียญทอง​ โดยพ่ายแพ้ให้กับ วิเตอร์ แอกเซลสัน
    .
    ฮันนาห์ โหย่ว​ โพสต์​รูปถ่ายคู่กับวิว กุลวุฒิ วิทิตศานต์ นักแบดมินตันเจ้าของเหรียญเงินโอลิมปิก ขวัญใจชาวไทย พร้อมข้อความว่า
    .
    "ขอแสดงความยินดีกับ กุลวุฒิ วิทิตศานต์ ผู้คว้าเหรียญเงินในปารีส 2024 ฉันชอบสไตล์การเล่นแบดมินตันเขามาก นิ่งและใจเย็นมาก ฉันเป็นแฟนคลับคนใหม่ของเขาแล้วล่ะ!"
    .
    อย่างไรก็ตาม​ มีชาวเน็ตน้ำใจนักกีฬา​หลายคน​ บอกว่ากรณีแบบนี้ไม่ควรแห่ทัวร์​ลง​ หรือคิดเล็กคิดน้อย และการแสดงความยินดีกับหนึ่งในประเทศอาเซียนของเรา ที่คว้าเหรียญโอลิมปิกมาได้ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายเลย
    .
    ด้าน​ ฮันนาห์ โหย่ว ได้โพสต์สตอรี่ในอินสตาแกรม ชี้แจงถึงค่านิยมของกีฬาโอลิมปิก 3 ประการ นั่นคือความเป็นเลิศ ความเป็นมิตร และความเคารพ พร้อมตอบคำถามชาวเน็ตฯ​ ชัดเจนว่า​ "เธอไปในฐานะรัฐมนตรีเยาวชนและการกีฬาของมาเลเซีย เป็นตัวแทนของมาเลเซีย และร่วมแสดงความยินดีอีกครั้งกับเพื่อนบ้านอาเซียน อย่างประเทศไทย​"
    —————
    (ภาพจากอินสตาแกรม)​ ฮันนาห์ โหย่ว รัฐมนตรีกระทรวงเยาวชนและกีฬา โพสต์ท่าร่วมกับกุลวุฒิ วิทิตศานต์​ นักแบดมินตันทีมชาติไทยที่เอาชนะลี ซี เจีย (ขวา)​ ขณะให้สัมภาษณ์อย่างสะเทือนอารมณ์หลังพ่ายแพ้ต่อ​ กุลวุฒิ​ วิทิตศานต์

    **หมายเหตุ​ (ณ​ วันที่​ 8​ ส.ค.​ มี​ 2​ ชาติในอาเซียน​ ที่ได้เหรียญทอง​โอลิมปิก​ แล้ว​ คือ​ ฟิลิปปินส์​ 2​ เหรียญทอง​ อยู่อันดับ​ 24​ และ​ ไทย​ 1​ เหรียญทอง​ อยู่อันดับ​ 31​ บนตารางโอลิมปิก)

    Cr : บูรพาไม่แพ้
    มาม่าชามโตที่ “มาเลเซีย” กรณี น้องวิว กุลวุฒิ . ทัวร์​มาเลย์​ลง​รัฐมนตรี​ ฮันนาห์ โหย่ว โพสต์ท่าคู่​ วิว​ กุลวุฒิ นักแบดฯไทย​ ที่หวดมาเลเซีย​ตกรอบรองฯ . ผู้ใช้โซเชียลมีเดียมาเลเซีย​วิพากษ์วิจารณ์รัฐมนตรีกระทรวงเยาวชนและกีฬา ฮันนาห์ โหยว ที่ยกย่องนักแบดมินตันไทย กุลวุฒิ วิทิตสาร ผู้คว่ำนักกีฬาทีมชาติ ของตน​ ลี ซี เจีย ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่ปารีส . โหย่ว ซึ่งติดตามสนับสนุนนักกีฬามาเลเซียในปารีส อัพโหลดรูปถ่ายของตัวเองและกุลวุฒิ​ วิทิตศานต์บนอินสตาแกรม ซึ่งทำให้เกิดความคิดเห็นในหมู่ชาวเน็ตเสือเหลืองมากมายที่ถามว่า​"เธอมาทำอะไรของเธอที่โอลิมปิกเนี่ย!" . ทั้งนี้​ กุลวุฒิ​ วิทิตศานต์​ เอาชนะ ลีซีเจีย ในรอบรองชนะเลิศประเภทชายเดี่ยว ก่อนเข้าไปชิงเหรียญทอง​ โดยพ่ายแพ้ให้กับ วิเตอร์ แอกเซลสัน . ฮันนาห์ โหย่ว​ โพสต์​รูปถ่ายคู่กับวิว กุลวุฒิ วิทิตศานต์ นักแบดมินตันเจ้าของเหรียญเงินโอลิมปิก ขวัญใจชาวไทย พร้อมข้อความว่า . "ขอแสดงความยินดีกับ กุลวุฒิ วิทิตศานต์ ผู้คว้าเหรียญเงินในปารีส 2024 ฉันชอบสไตล์การเล่นแบดมินตันเขามาก นิ่งและใจเย็นมาก ฉันเป็นแฟนคลับคนใหม่ของเขาแล้วล่ะ!" . อย่างไรก็ตาม​ มีชาวเน็ตน้ำใจนักกีฬา​หลายคน​ บอกว่ากรณีแบบนี้ไม่ควรแห่ทัวร์​ลง​ หรือคิดเล็กคิดน้อย และการแสดงความยินดีกับหนึ่งในประเทศอาเซียนของเรา ที่คว้าเหรียญโอลิมปิกมาได้ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายเลย . ด้าน​ ฮันนาห์ โหย่ว ได้โพสต์สตอรี่ในอินสตาแกรม ชี้แจงถึงค่านิยมของกีฬาโอลิมปิก 3 ประการ นั่นคือความเป็นเลิศ ความเป็นมิตร และความเคารพ พร้อมตอบคำถามชาวเน็ตฯ​ ชัดเจนว่า​ "เธอไปในฐานะรัฐมนตรีเยาวชนและการกีฬาของมาเลเซีย เป็นตัวแทนของมาเลเซีย และร่วมแสดงความยินดีอีกครั้งกับเพื่อนบ้านอาเซียน อย่างประเทศไทย​" ————— (ภาพจากอินสตาแกรม)​ ฮันนาห์ โหย่ว รัฐมนตรีกระทรวงเยาวชนและกีฬา โพสต์ท่าร่วมกับกุลวุฒิ วิทิตศานต์​ นักแบดมินตันทีมชาติไทยที่เอาชนะลี ซี เจีย (ขวา)​ ขณะให้สัมภาษณ์อย่างสะเทือนอารมณ์หลังพ่ายแพ้ต่อ​ กุลวุฒิ​ วิทิตศานต์ **หมายเหตุ​ (ณ​ วันที่​ 8​ ส.ค.​ มี​ 2​ ชาติในอาเซียน​ ที่ได้เหรียญทอง​โอลิมปิก​ แล้ว​ คือ​ ฟิลิปปินส์​ 2​ เหรียญทอง​ อยู่อันดับ​ 24​ และ​ ไทย​ 1​ เหรียญทอง​ อยู่อันดับ​ 31​ บนตารางโอลิมปิก) Cr : บูรพาไม่แพ้
    Like
    Haha
    5
    0 Comments 0 Shares 478 Views 0 Reviews
  • เหรียญทองสุดท้าย เทนนิส พาณิภัค

    เช้าวันนี้คนไทยทั้งประเทศมีความสุขกันถ้วนหน้า เมื่อ เทนนิส พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ นักกีฬาเทควันโดทีมชาติไทย คว้าเหรียญทองเหรียญแรกให้กับทีมชาติไทย ในการแข่งขันเทควันโด รุ่น 49 กิโลกรัมหญิง มหกรรมกีฬาโอลิมปิก ปารีส 2024 ที่ประเทศฝรั่งเศส หลังจากเอาชนะ กั๋ว ฉิง จากประเทศจีน ในยกที่ 3

    และนับเป็นเหรียญรางวัลโอลิมปิก สมัยที่ 3 ติดต่อกัน หลังจากคว้าจากเหรียญทองแดง โอลิมปิก 2016 ประเทศบราซิล และเหรียญทอง โอลิมปิก 2020 ประเทศญี่ปุ่น ครั้งนี้สามารถป้องกันแชมป์ได้สำเร็จ ก่อนที่จะอำลาทีมชาติไทยอย่างสมบูรณ์แบบ

    เหตุผลที่เทนนิสกล่าวว่า "ครั้งนี้จะเป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้ายของหนู" เพราะที่ผ่านมาเธอเสียสละร่างกายพังไปทั้งตัวแล้ว เนื่องจากเป็นกีฬาต่อสู้ ทั้งเอ็นไขว้หน้าขาขาด ลูกสะบ้าพัง สะโพกหลวม ยกตัวอย่างถ้าฉีกขาเยอะ เลยองศาไป กลับมาหุบขาไม่ได้ ต้องใช้เวลาเป็นสิบนาทีกว่าจะหุบขาได้ เสียสละร่างกายไปหมดแล้ว แต่ก็คิดว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะยอมแลก

    เทนนิส พาณิภัค เป็นชาวอำเภอบ้านดอน จังหวัดสุราษฎร์ธานี เกิดเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2540 อายุ 27 ปีพอดี สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี และระดับปริญญาตรีจากคณะวิทยาศาสตร์การกีฬา สาขาวิทยาศาสตร์การกีฬาและการออกกำลังกาย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

    เริ่มเล่นกีฬาเทควันโดตั้งแต่อายุ 9 ปี โดยมีนายทรงศักดิ์ ทิพย์นาง แห่งยิมตาปีเทควันโด จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นโค้ชคนแรกในชีวิต เข้าสู่การเป็นนักกีฬาเทควันโดเยาวชนทีมชาติในปี 2554 ขณะมีอายุเพียง 13 ปี จากการเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาเยาวชนแห่งชาติ ครั้งที่ 27 ที่จังหวัดอุตรดิตถ์ คว้าเหรียญทองจากการแข่งขันเทควันโด รุ่นไม่เกิน 42 กิโลกรัมหญิง

    ทำให้โค้ชเช ชเว ยองซอก (ปัจจุบันได้รับสัญชาติไทย มีชื่อว่า นายชัชชัย เช) ผู้ฝึกสอนเทควันโดชาวเกาหลีใต้ เรียกตัวเข้ามาฝึกซ้อมและคัดเลือกเป็นนักกีฬาเทควันโดตัวแทนทีมชาติไทย เข้าร่วมการแข่งขันเทควันโด ได้รับรางวัลมาแล้วหลายรายการ กระทั่งได้รับเหรียญทองแดงในกีฬาโอลิมปิกที่บราซิล และเหรียญทองในกีฬาโอลิมปิกที่ญี่ปุ่น

    ปัจจุบัน เทนนิส พาณิภัค ดำรงตำแหน่ง นายทหารกีฬาสโมสรและกิจกรรมพิเศษ แผนกกีฬาสโมสรและกิจกรรมพิเศษกองการสโมสร กรมสวัสดิการทหารอากาศ กองทัพอากาศ

    สำหรับผลงานของนักกีฬาทีมชาติไทย ณ เวลา 07.00 น. ได้ 1 เหรียญทอง 2 เหรียญเงิน 2 เหรียญทองแดง อันดับที่ 31 และเป็นอันดับ 2 ในภูมิภาคอาเซียน รองจากฟิลิปปินส์ ได้ 2 เหรียญทอง 2 เหรียญทองแดง อันดับที่ 24 ส่วนมาเลเซีย อันดับที่ 69 มี 2 เหรียญทองแดง และอินโดนีเซีย อันดับที่ 71 มี 1 เหรียญทองแดง

    #Newskit #Olympic2024 #TennisPanipak
    เหรียญทองสุดท้าย เทนนิส พาณิภัค เช้าวันนี้คนไทยทั้งประเทศมีความสุขกันถ้วนหน้า เมื่อ เทนนิส พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ นักกีฬาเทควันโดทีมชาติไทย คว้าเหรียญทองเหรียญแรกให้กับทีมชาติไทย ในการแข่งขันเทควันโด รุ่น 49 กิโลกรัมหญิง มหกรรมกีฬาโอลิมปิก ปารีส 2024 ที่ประเทศฝรั่งเศส หลังจากเอาชนะ กั๋ว ฉิง จากประเทศจีน ในยกที่ 3 และนับเป็นเหรียญรางวัลโอลิมปิก สมัยที่ 3 ติดต่อกัน หลังจากคว้าจากเหรียญทองแดง โอลิมปิก 2016 ประเทศบราซิล และเหรียญทอง โอลิมปิก 2020 ประเทศญี่ปุ่น ครั้งนี้สามารถป้องกันแชมป์ได้สำเร็จ ก่อนที่จะอำลาทีมชาติไทยอย่างสมบูรณ์แบบ เหตุผลที่เทนนิสกล่าวว่า "ครั้งนี้จะเป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้ายของหนู" เพราะที่ผ่านมาเธอเสียสละร่างกายพังไปทั้งตัวแล้ว เนื่องจากเป็นกีฬาต่อสู้ ทั้งเอ็นไขว้หน้าขาขาด ลูกสะบ้าพัง สะโพกหลวม ยกตัวอย่างถ้าฉีกขาเยอะ เลยองศาไป กลับมาหุบขาไม่ได้ ต้องใช้เวลาเป็นสิบนาทีกว่าจะหุบขาได้ เสียสละร่างกายไปหมดแล้ว แต่ก็คิดว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะยอมแลก เทนนิส พาณิภัค เป็นชาวอำเภอบ้านดอน จังหวัดสุราษฎร์ธานี เกิดเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2540 อายุ 27 ปีพอดี สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี และระดับปริญญาตรีจากคณะวิทยาศาสตร์การกีฬา สาขาวิทยาศาสตร์การกีฬาและการออกกำลังกาย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เริ่มเล่นกีฬาเทควันโดตั้งแต่อายุ 9 ปี โดยมีนายทรงศักดิ์ ทิพย์นาง แห่งยิมตาปีเทควันโด จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นโค้ชคนแรกในชีวิต เข้าสู่การเป็นนักกีฬาเทควันโดเยาวชนทีมชาติในปี 2554 ขณะมีอายุเพียง 13 ปี จากการเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาเยาวชนแห่งชาติ ครั้งที่ 27 ที่จังหวัดอุตรดิตถ์ คว้าเหรียญทองจากการแข่งขันเทควันโด รุ่นไม่เกิน 42 กิโลกรัมหญิง ทำให้โค้ชเช ชเว ยองซอก (ปัจจุบันได้รับสัญชาติไทย มีชื่อว่า นายชัชชัย เช) ผู้ฝึกสอนเทควันโดชาวเกาหลีใต้ เรียกตัวเข้ามาฝึกซ้อมและคัดเลือกเป็นนักกีฬาเทควันโดตัวแทนทีมชาติไทย เข้าร่วมการแข่งขันเทควันโด ได้รับรางวัลมาแล้วหลายรายการ กระทั่งได้รับเหรียญทองแดงในกีฬาโอลิมปิกที่บราซิล และเหรียญทองในกีฬาโอลิมปิกที่ญี่ปุ่น ปัจจุบัน เทนนิส พาณิภัค ดำรงตำแหน่ง นายทหารกีฬาสโมสรและกิจกรรมพิเศษ แผนกกีฬาสโมสรและกิจกรรมพิเศษกองการสโมสร กรมสวัสดิการทหารอากาศ กองทัพอากาศ สำหรับผลงานของนักกีฬาทีมชาติไทย ณ เวลา 07.00 น. ได้ 1 เหรียญทอง 2 เหรียญเงิน 2 เหรียญทองแดง อันดับที่ 31 และเป็นอันดับ 2 ในภูมิภาคอาเซียน รองจากฟิลิปปินส์ ได้ 2 เหรียญทอง 2 เหรียญทองแดง อันดับที่ 24 ส่วนมาเลเซีย อันดับที่ 69 มี 2 เหรียญทองแดง และอินโดนีเซีย อันดับที่ 71 มี 1 เหรียญทองแดง #Newskit #Olympic2024 #TennisPanipak
    Like
    Love
    8
    0 Comments 2 Shares 629 Views 0 Reviews
  • ดราม่าคนมาเลเซียบางส่วนไม่พอใจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเยาวชนและกีฬามาเลเซีย ฮันนาห์ โหยว (Hannah Yeoh) ที่แสดงความชื่นชม นาย กุลวุฒิ วิทิตศานต์ หรือวิว นักแบดมินตันชาวไทย เหรียญเงินในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2024 ประเภทแบดมินตันชายเดี่ยว และโพสต์รูปภาพคู่ทางอินสตาแกรมส่วนตัว และข้อความว่า“"ขอแสดงความยินดีกับกุลวุฒิ @kunlavut.v สำหรับชัยชนะเหรียญเงินในปารีส 2024 ฉันชอบสไตล์การเล่นแบดมินตันของเขามาก เขานิ่งและใจเย็นมาก ฉันกลายเป็นแฟนคลับคนใหม่ของเขาแล้ว"

    ปรากฏเป็นไวรัลชาวเน็ตในประเทศมาเลเซียนำไปแชร์ต่อ พร้อมกับแสดงความคิดเห็นไม่พอใจและตำหนิว่าเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม เนื่องจากเธอมีตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเยาวชนและกีฬาของประเทศ การที่เธอแสดงออกถึงความชอบแบบส่วนตัวเช่นนี้ ดูเป็นการไม่ให้เกียรตินักกีฬาชาติตัวเอง แม้ว่าในโพสต์ก่อนหน้าเธอจะลงรูปภาพคู่กับลี ซี เจีย หลี่ ซี เจีย (Lee Zii Jia )นักแบตฯมาเลเซียและแสดงความดีใจกับรางวัลเหรียญทองแดงของเขาไปแล้วก็ตาม

    ขณะที่บัญชีทวิตเตอร์ (X) @Solisidtor ผู้ใช้โซเชียลในมาเลเซีย ได้กล่าวแสดงความไม่พอใจ ระบุว่า "ผู้ชายคนนั้น (วิว กุลวุฒิ) เอาชนะนักกีฬาของเราอย่างขาดลอย แต่คุณกลับไปถ่ายรูปกับเขาได้อย่างมีความสุข และบอกคนทั้งโลกว่าคุณเป็นแฟนคนหนึ่งของเขา เกิดอะไรขึ้นกับคุณ ? และคุณเป็นรัฐมนตรี ! คุณแยกแยะไม่ได้เหรอ ?" และกล่าวว่าเธอเป็น "รัฐมนตรีที่โง่เขลา"

    อย่างไรก็ตาม มีบางส่วนที่พยายามจะอธิบายว่า รัฐมนตรีรายนี้ก็แค่โพสต์แสดงความยินดีและชื่นชมนักกีฬาของไทยที่มีความสามารถ การแข่งขันกีฬาย่อมมีแพ้มีชนะ การแสดงความยินดีกับผู้ชนะก็เป็นเรื่องของน้ำใจนักกีฬา เธอไม่ได้ทำผิดอะไร และก่อนหน้านั้นเธอก็โพสต์แสดงความยินดีกับนักกีฬาของมาเลเซียแล้ว ที่ได้ชัยชนะในรอบชิงที่ 3 และสามารถคว้าเรียญทองแดงมาได้สำเร็จ

    #Thaitimes
    ดราม่าคนมาเลเซียบางส่วนไม่พอใจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเยาวชนและกีฬามาเลเซีย ฮันนาห์ โหยว (Hannah Yeoh) ที่แสดงความชื่นชม นาย กุลวุฒิ วิทิตศานต์ หรือวิว นักแบดมินตันชาวไทย เหรียญเงินในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2024 ประเภทแบดมินตันชายเดี่ยว และโพสต์รูปภาพคู่ทางอินสตาแกรมส่วนตัว และข้อความว่า“"ขอแสดงความยินดีกับกุลวุฒิ @kunlavut.v สำหรับชัยชนะเหรียญเงินในปารีส 2024 ฉันชอบสไตล์การเล่นแบดมินตันของเขามาก เขานิ่งและใจเย็นมาก ฉันกลายเป็นแฟนคลับคนใหม่ของเขาแล้ว" ปรากฏเป็นไวรัลชาวเน็ตในประเทศมาเลเซียนำไปแชร์ต่อ พร้อมกับแสดงความคิดเห็นไม่พอใจและตำหนิว่าเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม เนื่องจากเธอมีตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเยาวชนและกีฬาของประเทศ การที่เธอแสดงออกถึงความชอบแบบส่วนตัวเช่นนี้ ดูเป็นการไม่ให้เกียรตินักกีฬาชาติตัวเอง แม้ว่าในโพสต์ก่อนหน้าเธอจะลงรูปภาพคู่กับลี ซี เจีย หลี่ ซี เจีย (Lee Zii Jia )นักแบตฯมาเลเซียและแสดงความดีใจกับรางวัลเหรียญทองแดงของเขาไปแล้วก็ตาม ขณะที่บัญชีทวิตเตอร์ (X) @Solisidtor ผู้ใช้โซเชียลในมาเลเซีย ได้กล่าวแสดงความไม่พอใจ ระบุว่า "ผู้ชายคนนั้น (วิว กุลวุฒิ) เอาชนะนักกีฬาของเราอย่างขาดลอย แต่คุณกลับไปถ่ายรูปกับเขาได้อย่างมีความสุข และบอกคนทั้งโลกว่าคุณเป็นแฟนคนหนึ่งของเขา เกิดอะไรขึ้นกับคุณ ? และคุณเป็นรัฐมนตรี ! คุณแยกแยะไม่ได้เหรอ ?" และกล่าวว่าเธอเป็น "รัฐมนตรีที่โง่เขลา" อย่างไรก็ตาม มีบางส่วนที่พยายามจะอธิบายว่า รัฐมนตรีรายนี้ก็แค่โพสต์แสดงความยินดีและชื่นชมนักกีฬาของไทยที่มีความสามารถ การแข่งขันกีฬาย่อมมีแพ้มีชนะ การแสดงความยินดีกับผู้ชนะก็เป็นเรื่องของน้ำใจนักกีฬา เธอไม่ได้ทำผิดอะไร และก่อนหน้านั้นเธอก็โพสต์แสดงความยินดีกับนักกีฬาของมาเลเซียแล้ว ที่ได้ชัยชนะในรอบชิงที่ 3 และสามารถคว้าเรียญทองแดงมาได้สำเร็จ #Thaitimes
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 417 Views 0 Reviews
  • แมตซ์หยุดโลก กุลวุฒิชิงเหรียญทอง

    ใครจะเชื่อว่าโอลิมปิก ปารีส 2024 ครั้งนี้ คนไทยจะได้มีโอกาสลุ้นเหรียญทองจากทัพนักกีฬาไทย เมื่อ วิว กุลวุฒิ วิทิตศานต์ นักแบดมินตันทีมชาติไทย มืออันดับ 8 ของโลก วัยเพียง 23 ปี สร้างประวัติศาสตร์ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศ ไปพบกับ วิคเตอร์ แอ็กเซลเซ่น จากเดนมาร์ก หลังเอาชนะ ลี ซี เจีย จากมาเลเซียไปได้ 2-0 เซต (21-14 และ 21-15)

    วิว กุลวุฒิ เปิดเผยหลังจบการแข่งขัน ว่า เล่นไปทีละลูก ทีละแต้ม ไม่ได้คิดถึงอนาคตมาก และไม่พยายามนึกถึงผลมากเกินไป ทำให้ขาดสติ โดยรวมทำได้ค่อนข้างโอเค แต่ก็มีบางช่วงที่นึกถึงผลลัพธ์มากเกินไป ทำให้แต้มหลุด การที่นึกถึงอนาคตมากทำให้มีความกดดันและความหวังมาก บางทีช็อตเล็กๆ น้อยๆ ก็อาจมีผิดพลาดเล็กน้อย

    "มาโอลิมปิกเกมส์ครั้งแรก การคว้าเหรียญเป็นเรื่องยาก แต่มาถึงรอบชิงชนะเลิศแล้ว ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะคว้าเหรียญทองให้กับประเทศ ยอมรับว่าคู่แข่งมากฝีมือ แต่ก็ทำให้ดีที่สุด"

    สำหรับ วิว กุลวุฒิ วิทิตศานต์ เกิดเมื่อวันที่ 11 พ.ค. 2544 เริ่มเล่นแบดมินตันเมื่ออายุ 7 ขวบ โดยมีบิดาคือ ณัฐวัชร วิทิตศานต์ เป็นโค้ชสอนแบดมินตัน มีน้องสาว 1 คน คือ ส้ม สรัลรักษ์ วิทิตศานต์ ปัจจุบันเป็นนักกีฬาแบดมินตันเช่นกัน ส่วนมารดา นัฏกนก วิทิตศานต์ ทำงานเป็นพนักงานบริษัท

    ครั้งหนึ่ง วิว กุลวุฒิ ไปดูคุณพ่อสอนแบดมินตัน คุณพ่อเลยลองโยนลูกแบดให้ตี แล้วน้องวิวชอบ ทั้งคุณพ่อและคุณแม่เลยให้มาเรียนแบดมินตันอย่างจริงจัง ที่ชมรมแบดมินตันเสนานิคม และต่อมาย้ายตามโค้ชมาอยู่ชมรมแบดมินตันอมาตยกุล ลงแข่งขันยุวชนและเยาวชนในประเทศ เช่นเดียวกับน้องสาว ส้ม สรัลรักษ์ ตัดสินใจเรียนแบดมินตันครั้งแรกตอน 5 ขวบ ตามรอยพี่ชาย

    เมื่ออายุ 13 ปี วิว กุลวุฒิ ย้ายมาอยู่ที่โรงเรียนแบดมินตันบ้านทองหยอด ในปี 2557 ที่เดียวกับ เมย์ รัชนก อินทนนท์ นักแบดมินตันหญิงทีมชาติไทย มืออันดับ 21 ของโลก เคยชนะเลิศแข่งขันแบดมินตันเยาวชนชิงแชมป์ประเทศไทย รุ่นอายุต่ำกว่า 14 ปี และเคยทำลายสถิติของนักแบดมินตันระดับตำนานของจีน “เฉิน จิ้น” คว้าแชมป์ 3 สมัยติดต่อกัน ในปี 2560-2562

    ก้าวเข้าสู่ทีมชาติไทยชุดใหญ่ ในปี 2564 คว้ารางวัลรองชนะเลิศในการแข่งขันแบดมินตัน รายการโยเน็กซ์ สวิส โอเพ่น 2021 รายการเอชเอสบีซี บีดับเบิลยูเอฟ เวิลด์ทัวร์ไฟนอลส์ 2021 รายการโททาล บีดับเบิลยูเอฟ เวิลด์ แชมเปี้ยนชิพ 2022

    ก่อนที่จะชนะ โคได นาราโอกะ จากญี่ปุ่น มืออันดับ 4 ของโลก ในรายการโททาล บีดับเบิลยูเอฟ เวิลด์ แชมเปี้ยนชิพ 2023 ที่ประเทศเดนมาร์ก เมื่อปี 2566 เป็นสมัยแรก เป็นนักแบดมินตันชายเดี่ยวคนแรกของไทย และคนที่ 4 ต่อจาก เมย์ รัชนก อินทนนท์ ในปี 2556 บาส เดชาพล พัววรานุเคราะห์ และปอป้อ ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย ในปี 2564 ที่คว้าแชมป์โลกได้สำเร็จ

    ความนิยมทั้งเมย์ รัชนก บาส-ปอป้อ และ วิว กุลวุฒิ กลายเป็นไอดอลให้เยาวชนคนรุ่นใหม่ หันมาสนใจกีฬาแบดมินตันมากขึ้น โรงเรียนแบดมินตันบ้านทองหยอด เวลานี้กลายเป็นโรงเรียนสร้างนักแบดมินตันไทยสู่เวทีโลก และเมื่อวิว กุลวุฒิ ก้าวเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ ในมหกรรมกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ย่อมอยู่ในสายตาของคนไทยทั้งประเทศ

    สำหรับวิว กุลวุฒิ จะแข่งรอบชิงชนะเลิศ พบกับ วิคเตอร์ แอ็กเซลเซ่น จากเดนมาร์ก ช่วงค่ำวันจันทร์ที่ 5 ส.ค. 2567 ตามเวลาในประเทศไทย หากคว้าเหรียญทองมาได้ ถึงเวลาที่คนไทยทั้งประเทศจะได้ยินเสียงเพลงชาติไทย ดังกระหึ่มในกีฬาโอลิมปิก ปารีส 2024 ครั้งนี้

    #Newskit #ViewKunlavut #Olympic2024
    แมตซ์หยุดโลก กุลวุฒิชิงเหรียญทอง ใครจะเชื่อว่าโอลิมปิก ปารีส 2024 ครั้งนี้ คนไทยจะได้มีโอกาสลุ้นเหรียญทองจากทัพนักกีฬาไทย เมื่อ วิว กุลวุฒิ วิทิตศานต์ นักแบดมินตันทีมชาติไทย มืออันดับ 8 ของโลก วัยเพียง 23 ปี สร้างประวัติศาสตร์ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศ ไปพบกับ วิคเตอร์ แอ็กเซลเซ่น จากเดนมาร์ก หลังเอาชนะ ลี ซี เจีย จากมาเลเซียไปได้ 2-0 เซต (21-14 และ 21-15) วิว กุลวุฒิ เปิดเผยหลังจบการแข่งขัน ว่า เล่นไปทีละลูก ทีละแต้ม ไม่ได้คิดถึงอนาคตมาก และไม่พยายามนึกถึงผลมากเกินไป ทำให้ขาดสติ โดยรวมทำได้ค่อนข้างโอเค แต่ก็มีบางช่วงที่นึกถึงผลลัพธ์มากเกินไป ทำให้แต้มหลุด การที่นึกถึงอนาคตมากทำให้มีความกดดันและความหวังมาก บางทีช็อตเล็กๆ น้อยๆ ก็อาจมีผิดพลาดเล็กน้อย "มาโอลิมปิกเกมส์ครั้งแรก การคว้าเหรียญเป็นเรื่องยาก แต่มาถึงรอบชิงชนะเลิศแล้ว ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะคว้าเหรียญทองให้กับประเทศ ยอมรับว่าคู่แข่งมากฝีมือ แต่ก็ทำให้ดีที่สุด" สำหรับ วิว กุลวุฒิ วิทิตศานต์ เกิดเมื่อวันที่ 11 พ.ค. 2544 เริ่มเล่นแบดมินตันเมื่ออายุ 7 ขวบ โดยมีบิดาคือ ณัฐวัชร วิทิตศานต์ เป็นโค้ชสอนแบดมินตัน มีน้องสาว 1 คน คือ ส้ม สรัลรักษ์ วิทิตศานต์ ปัจจุบันเป็นนักกีฬาแบดมินตันเช่นกัน ส่วนมารดา นัฏกนก วิทิตศานต์ ทำงานเป็นพนักงานบริษัท ครั้งหนึ่ง วิว กุลวุฒิ ไปดูคุณพ่อสอนแบดมินตัน คุณพ่อเลยลองโยนลูกแบดให้ตี แล้วน้องวิวชอบ ทั้งคุณพ่อและคุณแม่เลยให้มาเรียนแบดมินตันอย่างจริงจัง ที่ชมรมแบดมินตันเสนานิคม และต่อมาย้ายตามโค้ชมาอยู่ชมรมแบดมินตันอมาตยกุล ลงแข่งขันยุวชนและเยาวชนในประเทศ เช่นเดียวกับน้องสาว ส้ม สรัลรักษ์ ตัดสินใจเรียนแบดมินตันครั้งแรกตอน 5 ขวบ ตามรอยพี่ชาย เมื่ออายุ 13 ปี วิว กุลวุฒิ ย้ายมาอยู่ที่โรงเรียนแบดมินตันบ้านทองหยอด ในปี 2557 ที่เดียวกับ เมย์ รัชนก อินทนนท์ นักแบดมินตันหญิงทีมชาติไทย มืออันดับ 21 ของโลก เคยชนะเลิศแข่งขันแบดมินตันเยาวชนชิงแชมป์ประเทศไทย รุ่นอายุต่ำกว่า 14 ปี และเคยทำลายสถิติของนักแบดมินตันระดับตำนานของจีน “เฉิน จิ้น” คว้าแชมป์ 3 สมัยติดต่อกัน ในปี 2560-2562 ก้าวเข้าสู่ทีมชาติไทยชุดใหญ่ ในปี 2564 คว้ารางวัลรองชนะเลิศในการแข่งขันแบดมินตัน รายการโยเน็กซ์ สวิส โอเพ่น 2021 รายการเอชเอสบีซี บีดับเบิลยูเอฟ เวิลด์ทัวร์ไฟนอลส์ 2021 รายการโททาล บีดับเบิลยูเอฟ เวิลด์ แชมเปี้ยนชิพ 2022 ก่อนที่จะชนะ โคได นาราโอกะ จากญี่ปุ่น มืออันดับ 4 ของโลก ในรายการโททาล บีดับเบิลยูเอฟ เวิลด์ แชมเปี้ยนชิพ 2023 ที่ประเทศเดนมาร์ก เมื่อปี 2566 เป็นสมัยแรก เป็นนักแบดมินตันชายเดี่ยวคนแรกของไทย และคนที่ 4 ต่อจาก เมย์ รัชนก อินทนนท์ ในปี 2556 บาส เดชาพล พัววรานุเคราะห์ และปอป้อ ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย ในปี 2564 ที่คว้าแชมป์โลกได้สำเร็จ ความนิยมทั้งเมย์ รัชนก บาส-ปอป้อ และ วิว กุลวุฒิ กลายเป็นไอดอลให้เยาวชนคนรุ่นใหม่ หันมาสนใจกีฬาแบดมินตันมากขึ้น โรงเรียนแบดมินตันบ้านทองหยอด เวลานี้กลายเป็นโรงเรียนสร้างนักแบดมินตันไทยสู่เวทีโลก และเมื่อวิว กุลวุฒิ ก้าวเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ ในมหกรรมกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ย่อมอยู่ในสายตาของคนไทยทั้งประเทศ สำหรับวิว กุลวุฒิ จะแข่งรอบชิงชนะเลิศ พบกับ วิคเตอร์ แอ็กเซลเซ่น จากเดนมาร์ก ช่วงค่ำวันจันทร์ที่ 5 ส.ค. 2567 ตามเวลาในประเทศไทย หากคว้าเหรียญทองมาได้ ถึงเวลาที่คนไทยทั้งประเทศจะได้ยินเสียงเพลงชาติไทย ดังกระหึ่มในกีฬาโอลิมปิก ปารีส 2024 ครั้งนี้ #Newskit #ViewKunlavut #Olympic2024
    Like
    Love
    5
    0 Comments 0 Shares 691 Views 0 Reviews
  • สะพานสุไหงโก-ลก จะได้สร้างกี่โมง

    การพบปะหารือระหว่าง นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีของไทย กับนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เกี่ยวกับโครงการก่อสร้างสะพานคู่ขนานข้ามแม่น้ำโก-ลก เชื่อมระหว่างด่านสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส กับด่านรันเตาปันยัง เมืองปาซีร์มัส รัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 3 ส.ค. 2567 ได้ข้อสรุปว่าจะเดินหน้าโครงการนี้ต่อไป

    สำนักข่าวเบอร์นามาของมาเลเซีย รายงานว่า นายอันวาร์ จะเร่งรัดโครงการโดยจัดทำรายงานให้แล้วเสร็จภายใน 2 สัปดาห์ เพื่อให้คณะรัฐมนตรีมาเลเซียพิจารณา คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในเดือน เม.ย. 2568 ใช้เวลาก่อสร้าง 2 ปี แล้วเสร็จในปี 2570 แต่อาจจะเร่งรัดการก่อสร้างให้เร็วขึ้น แล้วเสร็จในปลายปี 2569 ส่วนสะพานเดิมที่เปิดใช้ตั้งแต่ปี 2516 จะได้รับการปรับปรุง

    นอกจากนี้ นายอันวาร์ยังมีแนวคิดสร้างโอกาสทางธุรกิจบริเวณโดยรอบด่านรันเตาปันยัง โดยปรับปรุงพื้นที่เชิงพาณิชย์ แผงลอย และร้านค้าขนาดเล็ก เพื่อส่งเสริมธุรกิจท้องถิ่นในรัฐกลันตันอีกด้วย

    สำหรับโครงการก่อสร้างสะพานคู่ขนานข้ามแม่น้ำโก-ลก เป็นการก่อสร้างสะพานใหม่คู่ขนานสะพานเดิมขนาด 2 ช่องจราจร กว้าง 14 เมตร ยาว 116 เมตร สถาปัตยกรรมออกแบบเป็นรูปเรือกอและ สะพานตัวเก่าจะใช้เป็นช่องทางขาออกไปมาเลเซีย ส่วนสะพานที่สร้างใหม่จะเป็นช่องทางขาเข้าไทย เสริมด้วยช่องทางของรถจักรยานยนต์ และทางเดินเท้ามีหลังคาคลุม

    ที่ผ่านมา ฝ่ายไทยเเละฝ่ายมาเลเซียได้ร่วมประชุมหารือ เพื่อวางแผนการทำงานร่วมกันมาโดยตลอด นอกจากนี้ ฝ่ายไทยยังได้มีการจัดทำรายงานเรื่องผลกระทบด้านสิ่งเเวดล้อม (EIA) ตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งขณะนี้ได้ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (คชก.) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

    สำหรับงบประมาณในการก่อสร้าง ฝั่งไทยและมาเลเซียจะดูแลรับผิดชอบกันคนละครึ่ง โดยฝั่งไทยได้ตั้งงบประมาณในการก่อสร้าง ราว 200 ล้านบาท ซึ่งส่วนนี้จะประกอบด้วยการก่อสร้างสะพานคู่ขนานกับสะพานเดิม รวมถึงการปรับปรุงสะพานเดิมให้มีความสะดวก ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น โดยกรมทางหลวงได้ขอรับการจัดสรรงบประมาณการก่อสร้าง ในปีงบประมาณ 2568

    อย่างไรก็ตาม เวลานี้เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการเมืองไทย โดยเฉพาะนายเศรษฐา ที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดลงมติว่า ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ กรณีการแต่งตั้งบุคคลที่ขาดคุณสมบัติเป็นรัฐมนตรี ในวันที่ 14 ส.ค. ที่จะถึงนี้ หากมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล อาจกระทบกับโครงการไปบ้าง แต่ถ้ายังอยู่ในขั้วอำนาจเดิม ก็ไม่มีปัญหาที่โครงการนี้จะเดินหน้าต่อไป

    #Newskit #สุไหงโกลก #สะพานข้ามแม่น้ำโกลก
    สะพานสุไหงโก-ลก จะได้สร้างกี่โมง การพบปะหารือระหว่าง นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีของไทย กับนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เกี่ยวกับโครงการก่อสร้างสะพานคู่ขนานข้ามแม่น้ำโก-ลก เชื่อมระหว่างด่านสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส กับด่านรันเตาปันยัง เมืองปาซีร์มัส รัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 3 ส.ค. 2567 ได้ข้อสรุปว่าจะเดินหน้าโครงการนี้ต่อไป สำนักข่าวเบอร์นามาของมาเลเซีย รายงานว่า นายอันวาร์ จะเร่งรัดโครงการโดยจัดทำรายงานให้แล้วเสร็จภายใน 2 สัปดาห์ เพื่อให้คณะรัฐมนตรีมาเลเซียพิจารณา คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในเดือน เม.ย. 2568 ใช้เวลาก่อสร้าง 2 ปี แล้วเสร็จในปี 2570 แต่อาจจะเร่งรัดการก่อสร้างให้เร็วขึ้น แล้วเสร็จในปลายปี 2569 ส่วนสะพานเดิมที่เปิดใช้ตั้งแต่ปี 2516 จะได้รับการปรับปรุง นอกจากนี้ นายอันวาร์ยังมีแนวคิดสร้างโอกาสทางธุรกิจบริเวณโดยรอบด่านรันเตาปันยัง โดยปรับปรุงพื้นที่เชิงพาณิชย์ แผงลอย และร้านค้าขนาดเล็ก เพื่อส่งเสริมธุรกิจท้องถิ่นในรัฐกลันตันอีกด้วย สำหรับโครงการก่อสร้างสะพานคู่ขนานข้ามแม่น้ำโก-ลก เป็นการก่อสร้างสะพานใหม่คู่ขนานสะพานเดิมขนาด 2 ช่องจราจร กว้าง 14 เมตร ยาว 116 เมตร สถาปัตยกรรมออกแบบเป็นรูปเรือกอและ สะพานตัวเก่าจะใช้เป็นช่องทางขาออกไปมาเลเซีย ส่วนสะพานที่สร้างใหม่จะเป็นช่องทางขาเข้าไทย เสริมด้วยช่องทางของรถจักรยานยนต์ และทางเดินเท้ามีหลังคาคลุม ที่ผ่านมา ฝ่ายไทยเเละฝ่ายมาเลเซียได้ร่วมประชุมหารือ เพื่อวางแผนการทำงานร่วมกันมาโดยตลอด นอกจากนี้ ฝ่ายไทยยังได้มีการจัดทำรายงานเรื่องผลกระทบด้านสิ่งเเวดล้อม (EIA) ตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งขณะนี้ได้ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (คชก.) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับงบประมาณในการก่อสร้าง ฝั่งไทยและมาเลเซียจะดูแลรับผิดชอบกันคนละครึ่ง โดยฝั่งไทยได้ตั้งงบประมาณในการก่อสร้าง ราว 200 ล้านบาท ซึ่งส่วนนี้จะประกอบด้วยการก่อสร้างสะพานคู่ขนานกับสะพานเดิม รวมถึงการปรับปรุงสะพานเดิมให้มีความสะดวก ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น โดยกรมทางหลวงได้ขอรับการจัดสรรงบประมาณการก่อสร้าง ในปีงบประมาณ 2568 อย่างไรก็ตาม เวลานี้เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการเมืองไทย โดยเฉพาะนายเศรษฐา ที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดลงมติว่า ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ กรณีการแต่งตั้งบุคคลที่ขาดคุณสมบัติเป็นรัฐมนตรี ในวันที่ 14 ส.ค. ที่จะถึงนี้ หากมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล อาจกระทบกับโครงการไปบ้าง แต่ถ้ายังอยู่ในขั้วอำนาจเดิม ก็ไม่มีปัญหาที่โครงการนี้จะเดินหน้าต่อไป #Newskit #สุไหงโกลก #สะพานข้ามแม่น้ำโกลก
    Like
    Love
    5
    0 Comments 0 Shares 511 Views 0 Reviews
  • ลูกชายแห่งชาติ กุลวุฒิ วิทิตศานต์ มือวางอันดับ 8 ชนะ ฉี ยู่ฉี มืออันดับ 1 ของโลกจากจีน ในศึกแบตมินตันประเภทชายเดี่ยว รอบ 8 คนสุดท้าย มหกรรมโอลิมปิก ปารีส 2024

    3 สิงหาคม 2567-เกมแรก วิว กุลวุฒิ พยายามเล่นเกมรับอย่างเหนียวแน่นและหาจังหวะเข้าทำอย่างเด็ดขาดนำก่อน 8-6 แล้วเกมนั้นเป็นของ วิว กุลวุฒิที่ เน้นแจกลูกอย่างต่อเนื่องออกนำ 16-10 แล้ววิว กุลวุฒิ เล่นเกมรุกได้อย่างยอดเยี่ยมมาปิดเกมแรกไปได้ที่ 21-12

    เกมสอง วิว กุลวุฒิ ก็ยังลงมาเล่นได้อย่างดีเช่นเคยเน้นจู่โจมหน้าเน็ตนำห่าง 7-1 แล้ววิว กุลวุฒิ กดดันใส่ฉี ยู่ฉี ต่อเนื่องจนเปิดเสิร์ฟไม่ได้นำห่างถึง 11-1 จากนั้น วิว กุลวุฒิ มารัวเกมบุกใส่เป็นชุดใหญ่ๆ แล้วมาปิดแมตช์ไปได้สำเร็จที่สกอร์ 21-10 ทำให้เอาชนะไปได้ 2 เกมรวด เข้ารอบ 4 คนสุดท้ายได้ในที่สุด

    ในวันอาทิตย์ที่ 4 ส.ค.67 กุลวุฒิซึ่งผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศ จะต้องพบกับ ลี ซีเจี๋ย มืออันดับ 7 ของโลกจากมาเลเซีย ที่เอาชนะ อันเดอร์ส แอนทอนเซ่น มืออันดับ 3 ของโลกจากเดนมาร์กมาได้ 2-0 เกม 21-17,21-15

    โดยกุลวุฒิเป็นนักแบดมินตันชายเดี่ยวในรอบ 20 ปี รอบรองชนะเลิศ หลังจากที่ "ซูเปอร์แมน" บุญศักดิ์ พลสนะ อดีตชายเดี่ยวไทย เคยทำไว้ในโอลิมปิกเกมส์ปี 2004 ที่กรุงเอเธนส์

    https://www.youtube.com/watch?v=f7z7taforOM

    #Thaitimes
    ลูกชายแห่งชาติ กุลวุฒิ วิทิตศานต์ มือวางอันดับ 8 ชนะ ฉี ยู่ฉี มืออันดับ 1 ของโลกจากจีน ในศึกแบตมินตันประเภทชายเดี่ยว รอบ 8 คนสุดท้าย มหกรรมโอลิมปิก ปารีส 2024 3 สิงหาคม 2567-เกมแรก วิว กุลวุฒิ พยายามเล่นเกมรับอย่างเหนียวแน่นและหาจังหวะเข้าทำอย่างเด็ดขาดนำก่อน 8-6 แล้วเกมนั้นเป็นของ วิว กุลวุฒิที่ เน้นแจกลูกอย่างต่อเนื่องออกนำ 16-10 แล้ววิว กุลวุฒิ เล่นเกมรุกได้อย่างยอดเยี่ยมมาปิดเกมแรกไปได้ที่ 21-12 เกมสอง วิว กุลวุฒิ ก็ยังลงมาเล่นได้อย่างดีเช่นเคยเน้นจู่โจมหน้าเน็ตนำห่าง 7-1 แล้ววิว กุลวุฒิ กดดันใส่ฉี ยู่ฉี ต่อเนื่องจนเปิดเสิร์ฟไม่ได้นำห่างถึง 11-1 จากนั้น วิว กุลวุฒิ มารัวเกมบุกใส่เป็นชุดใหญ่ๆ แล้วมาปิดแมตช์ไปได้สำเร็จที่สกอร์ 21-10 ทำให้เอาชนะไปได้ 2 เกมรวด เข้ารอบ 4 คนสุดท้ายได้ในที่สุด ในวันอาทิตย์ที่ 4 ส.ค.67 กุลวุฒิซึ่งผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศ จะต้องพบกับ ลี ซีเจี๋ย มืออันดับ 7 ของโลกจากมาเลเซีย ที่เอาชนะ อันเดอร์ส แอนทอนเซ่น มืออันดับ 3 ของโลกจากเดนมาร์กมาได้ 2-0 เกม 21-17,21-15 โดยกุลวุฒิเป็นนักแบดมินตันชายเดี่ยวในรอบ 20 ปี รอบรองชนะเลิศ หลังจากที่ "ซูเปอร์แมน" บุญศักดิ์ พลสนะ อดีตชายเดี่ยวไทย เคยทำไว้ในโอลิมปิกเกมส์ปี 2004 ที่กรุงเอเธนส์ https://www.youtube.com/watch?v=f7z7taforOM #Thaitimes
    Like
    Love
    2
    0 Comments 0 Shares 389 Views 0 Reviews
  • ตัวประหลาด (Creep) แบบฉบับ ‘แกสตัน พง’

    ซิงเกิลใหม่ที่ชื่อว่า Creep ของศิลปินเพลงป๊อบชาวมาเลเซียที่ชื่อว่า แกสตัน พง (Gaston Pong) เปิดตัวไปเมื่อเดือนกรกฎาคม 2567 กำลังได้รับความนิยมในคลื่นวิทยุของมาเลเซีย ด้วยแนวเพลงผสมผสานระหว่างเกาหลีและลาติน กับอารมณ์แนวเพลงอาร์แอนด์บียุค 2000 เนื้อเพลงพูดถึงด้านมืดของความรัก เรียกตัวเองว่าเป็น "ตัวประหลาด" สำหรับคนรักตามชื่อเพลง

    "Got a premonition I’d be locked up in jail, if obsession is a crime" (มีลางสังหรณ์ ฉันคงถูกขังอยู่ในคุก ถ้าความหลงใหลเป็นสิ่งผิดกฎหมาย) ท่อนหนึ่งในเพลง Creep ที่แกสตันแต่งเอง ร้องเอง และโปรดิวซ์ด้วยตัวเอง

    ก่อนหน้านี้ได้ออกซิงเกิลที่ชื่อว่า i luv you, just kidding ที่เปิดตัวเมื่อเดือนเมษายน 2566 ได้รับเสียงชื่นชมจากแฟนคลับว่ามีพัฒนาการทางดนตรีที่ดีขึ้น แต่ชีวิตของแกสตันที่เพิ่งผ่านพ้นวันเกิดในวัย 27 ปี ไปเมื่อวันที่ 1 สิงหาคมที่ผ่านมา (เกิด 1 สิงหาคม 2540) ที่ผ่านมามีทั้งขึ้นและลง ตามที่ให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์ไลฟ์สไตล์ BURO เมื่อเดือนมิถุนายน 2567

    แกสตัน พง ชาวมาเลเซียเชื้อสายจีน เกิดที่เมืองยะโฮร์บาห์รู (Johor Bahru) ทางตอนใต้ของมาเลเซีย แกสตันเปิดเผยว่าได้เข้าสู่วงการบันเทิงตั้งแต่อายุ 2 ขวบ ด้วยการเป็นดาราเด็ก แต่ก็ได้พรากชีวิตในวัยเรียน ที่ต้องทำงานตลอดเวลา เมื่อโตขึ้น ดนตรีกลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ และเคยช่วยชีวิตในภาวะซึมเศร้า สมัยที่เรียนมหาวิทยาลัยเมื่ออายุ 19 ปีมาแล้ว

    ปี 2562 แกสตันและพี่สาวของเขาอย่าง เจ พง (Je Pong) รวมตัวกันเป็นศิลปินดูโอที่ชื่อว่า พง พง (Pong Pong) เปิดตัวเพลงจีนที่ชื่อว่า Strong Heart ซึ่งประสบความสำเร็จ ได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลงแห่งหนึ่งในกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน และได้รับการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการค้นหาไอดอลในจีน แต่โชคไม่ดีที่สถานการณ์โควิด-19 กลายเป็นว่าพี่สาวต้องออกอัลบั้มเดี่ยวแทน

    หลังแยกทางจากพี่สาว แกสตันเริ่มทดลองค้นหาสไตล์และแนวเพลงของตัวเอง เมื่อเขาเติบโตจากการฟังเพลงป๊อบแบบจีน (C-POP) แบบเกาหลี (K-POP) และเพลงป๊อบแบบอเมริกัน ด้วยความที่ในหัวมีไอเดียตลอดเวลา ทำให้เขามีผลงานแต่งเพลงมากมายถึง 80 เพลง ได้รับเชิญจากโปรดิวเซอร์ทั่วโลกให้ไปร่วมงานกับค่ายเพลงต่างๆ หนึ่งในนั้นคือ JYP Entertainment

    แม้ว่าแกสตันจะเติบโตในระดับนานาชาติ แต่เขามีเป้าหมายที่จะเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมเพลงในมาเลเซีย ที่ผ่านมาได้พูดคุยกับค่ายเพลงในท้องถิ่น 6 แห่ง แต่พบว่าสัญญาไม่มีข้อกำหนดเพียงพอที่จะคุ้มครองสิทธิของศิลปิน จึงตัดสินใจก่อตั้งบริษัทที่ชื่อว่า Pong Entertainment ในปี 2562 โดยมุ่งหวังที่จะเป็นบริษัทสำหรับศิลปิน Gen Z แบบไม่เหมือนใครในมาเลเซีย

    แกสตันพยายามแสดงให้เห็นว่า มาเลเซียเป็นประเทศที่มีภูมิหลังทางดนตรีและภาษาที่หลากหลาย จากหลากหลายเชื้อชาติ จึงสามารถเป็นประเทศที่ก้าวล้ำนำสมัยในการผลิตดนตรีที่ดีได้ และเมื่อโพสต์คลิปเพลงคัฟเวอร์ลง TikTok และมีผู้ติดตามกว่า 1 ล้านคน ตอนนี้อะไรก็เป็นไปได้ด้วยโซเชียลมีเดีย โดยไม่จำเป็นต้องมองภายในขอบเขตของตน แต่ให้มองไปไกลกว่านั้น

    แกสตันเปิดเผยกับ BURO ว่า เตรียมที่จะออกอัลบั้มเปิดตัวของตนเองเป็นครั้งแรกในเดือนตุลาคม 2567 ที่จะถึงนี้ แถมยังตั้งเป้าที่จะจัดคอนเสิร์ตเพิ่มเติม และออกทัวร์คอนเสิร์ตอีกด้วย

    #Newskit #GastonPong #Creep
    ตัวประหลาด (Creep) แบบฉบับ ‘แกสตัน พง’ ซิงเกิลใหม่ที่ชื่อว่า Creep ของศิลปินเพลงป๊อบชาวมาเลเซียที่ชื่อว่า แกสตัน พง (Gaston Pong) เปิดตัวไปเมื่อเดือนกรกฎาคม 2567 กำลังได้รับความนิยมในคลื่นวิทยุของมาเลเซีย ด้วยแนวเพลงผสมผสานระหว่างเกาหลีและลาติน กับอารมณ์แนวเพลงอาร์แอนด์บียุค 2000 เนื้อเพลงพูดถึงด้านมืดของความรัก เรียกตัวเองว่าเป็น "ตัวประหลาด" สำหรับคนรักตามชื่อเพลง "Got a premonition I’d be locked up in jail, if obsession is a crime" (มีลางสังหรณ์ ฉันคงถูกขังอยู่ในคุก ถ้าความหลงใหลเป็นสิ่งผิดกฎหมาย) ท่อนหนึ่งในเพลง Creep ที่แกสตันแต่งเอง ร้องเอง และโปรดิวซ์ด้วยตัวเอง ก่อนหน้านี้ได้ออกซิงเกิลที่ชื่อว่า i luv you, just kidding ที่เปิดตัวเมื่อเดือนเมษายน 2566 ได้รับเสียงชื่นชมจากแฟนคลับว่ามีพัฒนาการทางดนตรีที่ดีขึ้น แต่ชีวิตของแกสตันที่เพิ่งผ่านพ้นวันเกิดในวัย 27 ปี ไปเมื่อวันที่ 1 สิงหาคมที่ผ่านมา (เกิด 1 สิงหาคม 2540) ที่ผ่านมามีทั้งขึ้นและลง ตามที่ให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์ไลฟ์สไตล์ BURO เมื่อเดือนมิถุนายน 2567 แกสตัน พง ชาวมาเลเซียเชื้อสายจีน เกิดที่เมืองยะโฮร์บาห์รู (Johor Bahru) ทางตอนใต้ของมาเลเซีย แกสตันเปิดเผยว่าได้เข้าสู่วงการบันเทิงตั้งแต่อายุ 2 ขวบ ด้วยการเป็นดาราเด็ก แต่ก็ได้พรากชีวิตในวัยเรียน ที่ต้องทำงานตลอดเวลา เมื่อโตขึ้น ดนตรีกลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ และเคยช่วยชีวิตในภาวะซึมเศร้า สมัยที่เรียนมหาวิทยาลัยเมื่ออายุ 19 ปีมาแล้ว ปี 2562 แกสตันและพี่สาวของเขาอย่าง เจ พง (Je Pong) รวมตัวกันเป็นศิลปินดูโอที่ชื่อว่า พง พง (Pong Pong) เปิดตัวเพลงจีนที่ชื่อว่า Strong Heart ซึ่งประสบความสำเร็จ ได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลงแห่งหนึ่งในกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน และได้รับการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการค้นหาไอดอลในจีน แต่โชคไม่ดีที่สถานการณ์โควิด-19 กลายเป็นว่าพี่สาวต้องออกอัลบั้มเดี่ยวแทน หลังแยกทางจากพี่สาว แกสตันเริ่มทดลองค้นหาสไตล์และแนวเพลงของตัวเอง เมื่อเขาเติบโตจากการฟังเพลงป๊อบแบบจีน (C-POP) แบบเกาหลี (K-POP) และเพลงป๊อบแบบอเมริกัน ด้วยความที่ในหัวมีไอเดียตลอดเวลา ทำให้เขามีผลงานแต่งเพลงมากมายถึง 80 เพลง ได้รับเชิญจากโปรดิวเซอร์ทั่วโลกให้ไปร่วมงานกับค่ายเพลงต่างๆ หนึ่งในนั้นคือ JYP Entertainment แม้ว่าแกสตันจะเติบโตในระดับนานาชาติ แต่เขามีเป้าหมายที่จะเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมเพลงในมาเลเซีย ที่ผ่านมาได้พูดคุยกับค่ายเพลงในท้องถิ่น 6 แห่ง แต่พบว่าสัญญาไม่มีข้อกำหนดเพียงพอที่จะคุ้มครองสิทธิของศิลปิน จึงตัดสินใจก่อตั้งบริษัทที่ชื่อว่า Pong Entertainment ในปี 2562 โดยมุ่งหวังที่จะเป็นบริษัทสำหรับศิลปิน Gen Z แบบไม่เหมือนใครในมาเลเซีย แกสตันพยายามแสดงให้เห็นว่า มาเลเซียเป็นประเทศที่มีภูมิหลังทางดนตรีและภาษาที่หลากหลาย จากหลากหลายเชื้อชาติ จึงสามารถเป็นประเทศที่ก้าวล้ำนำสมัยในการผลิตดนตรีที่ดีได้ และเมื่อโพสต์คลิปเพลงคัฟเวอร์ลง TikTok และมีผู้ติดตามกว่า 1 ล้านคน ตอนนี้อะไรก็เป็นไปได้ด้วยโซเชียลมีเดีย โดยไม่จำเป็นต้องมองภายในขอบเขตของตน แต่ให้มองไปไกลกว่านั้น แกสตันเปิดเผยกับ BURO ว่า เตรียมที่จะออกอัลบั้มเปิดตัวของตนเองเป็นครั้งแรกในเดือนตุลาคม 2567 ที่จะถึงนี้ แถมยังตั้งเป้าที่จะจัดคอนเสิร์ตเพิ่มเติม และออกทัวร์คอนเสิร์ตอีกด้วย #Newskit #GastonPong #Creep
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 575 Views 0 Reviews
  • นายกฯ มาเลเซีย ด่าเฟซบุ๊กว่าขี้ขลาด หลังลบโพสต์แสดงความเสียใจต่อการเสียชีวิตจากการลอบสังหาร อิสมาอิล ฮานิเยห์ ผู้นำฮามาส

    1 สิงหาคม 2567-รายงานข่าวรอยเตอร์ระบุว่า นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย อันวาร์ อิบราฮิม ด่าบริษัท Meta Platforms ว่าขี้ขลาด หลังจากที่คลิปวิดีโอที่เขาโพสต์บนเฟซบุ๊กเกี่ยวกับการลอบสังหารอิสมาอิล ฮานิเยห์ ผู้นำฮามาส ถูกลบออก ซึ่งถือเป็นการเผชิญหน้าครั้งล่าสุดระหว่างรัฐบาลกับบริษัทMetaของมาร์ก ซัคเคอร์เบิร์กดังกล่าว กรณีถูกบล็อกเนื้อหา

    มาเลเซียซึ่งเป็นประเทศมุสลิมส่วนใหญ่สนับสนุนปาเลสไตน์ และอันวาร์ได้โพสต์คลิปวิดีโอขณะสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่างเขากับเจ้าหน้าที่ระดับสูงฮามาส เพื่อแสดงความเสียใจต่อการเสียชีวิตของฮานิเยห์ ซึ่งต่อมาคลิปวิดีโอดังกล่าวถูกลบออก

    การลอบสังหารฮานิเยห์ในอิหร่านเมื่อวันพุธที่ 31 ก.ค.ยิ่งทำให้ความกังวลว่าความขัดแย้งในฉนวนกาซาอาจกลายเป็นสงครามในตะวันออกกลาง

    อันวาร์ ซึ่งพบกับฮานิเยห์ที่กาตาร์เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา กล่าวว่าเขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้นำทางการเมืองของกลุ่มฮามาส แต่ไม่มีความเกี่ยวข้องในระดับความมั่นคงทางทหาร

    “ขอให้สิ่งนี้เป็นข้อความที่ชัดเจนและชัดเจนถึง Meta: หยุดการแสดงออกถึงความขี้ขลาดนี้” ("Let this serve as a clear and unequivocal message to Meta: Cease this display of cowardice,") Anwarโพสต์บนหน้า Facebook ของเขา

    Meta ไม่ได้ตอบกลับคำขอแสดงความคิดเห็นในทันทีเมื่อวันพฤหัสบดี

    ฟาห์มี ฟาดซิล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการสื่อสารของมาเลเซียกล่าวว่าได้ขอคำอธิบายจาก Meta แล้ว แต่ยังไม่ชัดเจนว่าโพสต์ดังกล่าวถูกลบโดยอัตโนมัติหรือถูกลบออกหลังจากมีการร้องเรียน

    Meta ได้กำหนดให้ฮามาส ซึ่งเป็นกลุ่มอิสลามิสต์ของปาเลสไตน์ที่ปกครองฉนวนกาซา เป็น “องค์กรอันตราย” และห้ามเนื้อหาที่ยกย่องกลุ่มดังกล่าว นอกจากนี้ Meta ยังใช้การตรวจจับอัตโนมัติและการตรวจสอบโดยมนุษย์เพื่อลบหรือติดป้ายกำกับภาพที่มีเนื้อหารุนแรง

    มาเลเซียเคยร้องเรียนไปยัง Meta เกี่ยวกับการลบเนื้อหาดังกล่าว รวมถึงการรายงานข่าวของสื่อท้องถิ่นเกี่ยวกับการพบกันครั้งล่าสุดของ Anwar กับ Haniyeh ซึ่งต่อมาได้รับการฟื้นฟู

    Meta กล่าวในขณะนั้นว่าไม่ได้จงใจปิดกั้นเสียงบนแพลตฟอร์ม Facebook และไม่ได้จำกัดเนื้อหาที่สนับสนุนชาวปาเลสไตน์

    ทั้งนี้รัฐบาลมาเลเซียสนับสนุนแนวทางสองรัฐสำหรับอิสราเอลและปาเลสไตน์มาอย่างยาวนาน

    #Thaitimes
    นายกฯ มาเลเซีย ด่าเฟซบุ๊กว่าขี้ขลาด หลังลบโพสต์แสดงความเสียใจต่อการเสียชีวิตจากการลอบสังหาร อิสมาอิล ฮานิเยห์ ผู้นำฮามาส 1 สิงหาคม 2567-รายงานข่าวรอยเตอร์ระบุว่า นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย อันวาร์ อิบราฮิม ด่าบริษัท Meta Platforms ว่าขี้ขลาด หลังจากที่คลิปวิดีโอที่เขาโพสต์บนเฟซบุ๊กเกี่ยวกับการลอบสังหารอิสมาอิล ฮานิเยห์ ผู้นำฮามาส ถูกลบออก ซึ่งถือเป็นการเผชิญหน้าครั้งล่าสุดระหว่างรัฐบาลกับบริษัทMetaของมาร์ก ซัคเคอร์เบิร์กดังกล่าว กรณีถูกบล็อกเนื้อหา มาเลเซียซึ่งเป็นประเทศมุสลิมส่วนใหญ่สนับสนุนปาเลสไตน์ และอันวาร์ได้โพสต์คลิปวิดีโอขณะสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่างเขากับเจ้าหน้าที่ระดับสูงฮามาส เพื่อแสดงความเสียใจต่อการเสียชีวิตของฮานิเยห์ ซึ่งต่อมาคลิปวิดีโอดังกล่าวถูกลบออก การลอบสังหารฮานิเยห์ในอิหร่านเมื่อวันพุธที่ 31 ก.ค.ยิ่งทำให้ความกังวลว่าความขัดแย้งในฉนวนกาซาอาจกลายเป็นสงครามในตะวันออกกลาง อันวาร์ ซึ่งพบกับฮานิเยห์ที่กาตาร์เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา กล่าวว่าเขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้นำทางการเมืองของกลุ่มฮามาส แต่ไม่มีความเกี่ยวข้องในระดับความมั่นคงทางทหาร “ขอให้สิ่งนี้เป็นข้อความที่ชัดเจนและชัดเจนถึง Meta: หยุดการแสดงออกถึงความขี้ขลาดนี้” ("Let this serve as a clear and unequivocal message to Meta: Cease this display of cowardice,") Anwarโพสต์บนหน้า Facebook ของเขา Meta ไม่ได้ตอบกลับคำขอแสดงความคิดเห็นในทันทีเมื่อวันพฤหัสบดี ฟาห์มี ฟาดซิล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการสื่อสารของมาเลเซียกล่าวว่าได้ขอคำอธิบายจาก Meta แล้ว แต่ยังไม่ชัดเจนว่าโพสต์ดังกล่าวถูกลบโดยอัตโนมัติหรือถูกลบออกหลังจากมีการร้องเรียน Meta ได้กำหนดให้ฮามาส ซึ่งเป็นกลุ่มอิสลามิสต์ของปาเลสไตน์ที่ปกครองฉนวนกาซา เป็น “องค์กรอันตราย” และห้ามเนื้อหาที่ยกย่องกลุ่มดังกล่าว นอกจากนี้ Meta ยังใช้การตรวจจับอัตโนมัติและการตรวจสอบโดยมนุษย์เพื่อลบหรือติดป้ายกำกับภาพที่มีเนื้อหารุนแรง มาเลเซียเคยร้องเรียนไปยัง Meta เกี่ยวกับการลบเนื้อหาดังกล่าว รวมถึงการรายงานข่าวของสื่อท้องถิ่นเกี่ยวกับการพบกันครั้งล่าสุดของ Anwar กับ Haniyeh ซึ่งต่อมาได้รับการฟื้นฟู Meta กล่าวในขณะนั้นว่าไม่ได้จงใจปิดกั้นเสียงบนแพลตฟอร์ม Facebook และไม่ได้จำกัดเนื้อหาที่สนับสนุนชาวปาเลสไตน์ ทั้งนี้รัฐบาลมาเลเซียสนับสนุนแนวทางสองรัฐสำหรับอิสราเอลและปาเลสไตน์มาอย่างยาวนาน #Thaitimes
    Like
    3
    0 Comments 0 Shares 438 Views 0 Reviews
  • ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๖๗
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี เสด็จออกพร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท พระบรมมหาราชวัง พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ คณะทูตานุทูต และผู้แทนฝ่ายกงสุล เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗

    ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงยืนบนพระแท่นออกขุนนางหน้าพระที่นั่งพุดตานถม ภายใต้พระนพปฎลมหาเศวตฉัตร พันโท สมชาย กาญจนมณี รองเลขาธิการพระราชวัง ปฏิบัติหน้าที่สมุหพระราชมณเฑียร เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท กราบบังคมทูลเบิกดาตุกโจจี แซมูเอล เอกอัครราชทูตมาเลเซียประจำประเทศไทย คณบดีคณะทูต เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ถวายพระพรชัยมงคล

    ในโอกาสนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำรัสตอบ และมีพระราชปฏิสันถารกับ
    คณะทูตานุทูต และผู้แทนฝ่ายกงสุล แล้วเสด็จลงมุขหน้าพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ประทับรถยนต์พระที่นั่ง เสด็จพระราชดำเนินกลับพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจในการเจริญพระราชไมตรีกับบรรดามิตรประเทศ อันเป็นรากฐานสำคัญที่ก่อให้เกิดความมั่นคงทางด้านเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนความร่วมมือระดับนานาชาติ ทั้งด้านการค้า การลงทุน การศึกษา วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เมื่อครั้งทรงดำรง
    พระราชอิสริยยศสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯ สยามมกุฎราชกุมาร ได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนนานาประเทศ ซึ่งเป็นการเจริญสัมพันธไมตรีระหว่างประเทศที่มีอยู่เดิมให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น รวมทั้งทอดพระเนตรกิจการด้านต่าง ๆ เพื่อนำวิทยาการมาปรับปรุงพัฒนาประเทศไทยให้เจริญก้าวหน้า เมื่อเสด็จขึ้นครองสิริราชสมบัติแล้ว ยังทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจด้านการต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยเสด็จออกทรงรับพระประมุขและผู้นำจากต่างประเทศ
    ที่เสด็จพระราชดำเนินและเดินทางเยือนประเทศไทยในโอกาสต่าง ๆ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ส่งข้อความพระราชสาส์นอำนวยพร ข้อความพระราชสาส์นแสดงความยินดี และข้อความพระราชสาส์น
    แสดงความเสียพระราชหฤทัยในวาระต่าง ๆ ตลอดจนพระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ เอกอัครราชทูตต่างประเทศประจำประเทศไทย เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ถวายพระราชสาส์นตราตั้ง และอักษรสาส์นตราตั้ง ในโอกาสเข้ารับตำแหน่งหน้าที่ในประเทศไทย

    #พระราชินีสุทิดา #苏提达王后 #QueenSuthida
    Cr. FB : พระลาน
    ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๖๗ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี เสด็จออกพร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท พระบรมมหาราชวัง พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ คณะทูตานุทูต และผู้แทนฝ่ายกงสุล เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗ ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงยืนบนพระแท่นออกขุนนางหน้าพระที่นั่งพุดตานถม ภายใต้พระนพปฎลมหาเศวตฉัตร พันโท สมชาย กาญจนมณี รองเลขาธิการพระราชวัง ปฏิบัติหน้าที่สมุหพระราชมณเฑียร เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท กราบบังคมทูลเบิกดาตุกโจจี แซมูเอล เอกอัครราชทูตมาเลเซียประจำประเทศไทย คณบดีคณะทูต เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ถวายพระพรชัยมงคล ในโอกาสนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำรัสตอบ และมีพระราชปฏิสันถารกับ คณะทูตานุทูต และผู้แทนฝ่ายกงสุล แล้วเสด็จลงมุขหน้าพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ประทับรถยนต์พระที่นั่ง เสด็จพระราชดำเนินกลับพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจในการเจริญพระราชไมตรีกับบรรดามิตรประเทศ อันเป็นรากฐานสำคัญที่ก่อให้เกิดความมั่นคงทางด้านเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนความร่วมมือระดับนานาชาติ ทั้งด้านการค้า การลงทุน การศึกษา วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เมื่อครั้งทรงดำรง พระราชอิสริยยศสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯ สยามมกุฎราชกุมาร ได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนนานาประเทศ ซึ่งเป็นการเจริญสัมพันธไมตรีระหว่างประเทศที่มีอยู่เดิมให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น รวมทั้งทอดพระเนตรกิจการด้านต่าง ๆ เพื่อนำวิทยาการมาปรับปรุงพัฒนาประเทศไทยให้เจริญก้าวหน้า เมื่อเสด็จขึ้นครองสิริราชสมบัติแล้ว ยังทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจด้านการต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยเสด็จออกทรงรับพระประมุขและผู้นำจากต่างประเทศ ที่เสด็จพระราชดำเนินและเดินทางเยือนประเทศไทยในโอกาสต่าง ๆ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ส่งข้อความพระราชสาส์นอำนวยพร ข้อความพระราชสาส์นแสดงความยินดี และข้อความพระราชสาส์น แสดงความเสียพระราชหฤทัยในวาระต่าง ๆ ตลอดจนพระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ เอกอัครราชทูตต่างประเทศประจำประเทศไทย เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ถวายพระราชสาส์นตราตั้ง และอักษรสาส์นตราตั้ง ในโอกาสเข้ารับตำแหน่งหน้าที่ในประเทศไทย #พระราชินีสุทิดา #苏提达王后 #QueenSuthida Cr. FB : พระลาน
    Love
    2
    0 Comments 0 Shares 488 Views 0 Reviews
  • มาเลเซียยื่นใบสมัครเข้าเป็นสมาชิก BRICSแล้ว

    28 กรกฏาคม 2567-รายงานข่าวซินหัวระบุว่า อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซียเปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2567 มาเลเซียได้ส่งหนังสือถึงประเทศรัสเซียซึ่งเป็นประธานหมุนเวียนของกลุ่ม BRICS เพื่อสมัครเข้าเป็นพันธมิตรร่วมกลไกความร่วมมือของกลุ่ม BRICS หลังจากหารือกับนายเซอร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย ซึ่งเยือนมาเลเซีย และในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีอันวาร์ของมาเลเซียได้แสดงความประสงค์ในการเข้าร่วมกลไกความร่วมมือ BRICS ต่อประธานาธิบดีบราซิล โดยอ้างถึงความสำคัญทางภูมิรัฐศาสตร์ว่า ตำแหน่งที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของประเทศเป็นปัจจัยสำคัญ เนื่องจากศักยภาพในการเป็นสมาชิกกลุ่ม BRICS ของมาเลเซียมีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ เนื่องจากตั้งอยู่ในตำแหน่งริมช่องแคบมะละกา ซึ่งเป็นเส้นทางเดินเรือสำคัญที่เชื่อมระหว่างมหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดียระหว่างมาเลเซียและเกาะสุมาตราของอินโดนีเซีย

    สำนักงานนายกรัฐมนตรีมาเลเซียระบุในแถลงการณ์ว่า นอกจากการสมัครของมาเลเซียเข้าเป็นสมาชิกกลุ่ม BRICS แล้ว ยังมีการหารือถึงความร่วมมือทวิภาคีในประเด็นต่างๆ โดยเฉพาะการลงทุนและการค้า วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การเกษตร การป้องกันประเทศและการทหาร การศึกษา การท่องเที่ยวและวัฒนธรรม

    นายกรัฐมนตรีมาเลเซียกล่าวว่า“การหารือของเราเน้นไปที่การสมัครเข้าเป็นสมาชิกกลุ่ม BRICS ของมาเลเซีย ซึ่งปัจจุบันรัสเซียเป็นประธาน การเป็นสมาชิกกลุ่ม BRICS ถือเป็นความหวังที่สำคัญสำหรับทั้งสองประเทศ และตอกย้ำความมุ่งมั่นของเราในการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศที่แข็งแกร่ง”

    ส่วนนายลาฟรอฟกล่าวว่า รัสเซียยินดีต้อนรับความสนใจของมาเลเซียที่มีต่อกลุ่ม BRICS และจะช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์

    นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังได้หารือเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันในปาเลสไตน์ โดยมาเลเซียเรียกร้องให้มีการหยุดยิงถาวรในฉนวนกาซาโดยเร็ว และเร่งการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ฉนวนกาซา รวมถึงการยอมรับปาเลสไตน์เป็นสมาชิกอย่างเป็นทางการของสหประชาชาติ

    มาเลเซียเป็นประเทศล่าสุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่แสดงความสนใจเข้าร่วมกลุ่ม BRICS หลังจากที่ไทย เมียนมา ลาว และกัมพูชา แสดงเจตจำนงไปก่อนหน้านี้ ในขณะที่เวียดนามและอินโดนีเซียอยู่ระหว่างการพิจารณา ความสำคัญทางภูมิรัฐศาสตร์เชิงยุทธศาสตร์

    ในเดือนตุลาคม 2024 รัสเซียจะรับหน้าที่เป็นเจ้าภาพในการประชุมสุดยอดประจำปีที่เมืองคาซาน ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ ในโอกาสนี้ ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซียบอกว่า เขาจะใช้การดำรงตำแหน่งประธานกลุ่มบริกส์ในครั้งนี้ เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ 3 ประการคือ

    1.เพิ่มบทบาทของกลุ่มบริกส์ในเวทีการเงินระหว่างประเทศ
    2.พัฒนาความร่วมมือระหว่างภาคธนาคารและขยายการใช้เงินสกุลท้องถิ่นของสมาชิกกลุ่มบริกส์
    3.ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างหน่วยงานด้านสรรพากร (ภาษี) และศุลกากร
    มาเลเซียยื่นใบสมัครเข้าเป็นสมาชิก BRICSแล้ว 28 กรกฏาคม 2567-รายงานข่าวซินหัวระบุว่า อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซียเปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2567 มาเลเซียได้ส่งหนังสือถึงประเทศรัสเซียซึ่งเป็นประธานหมุนเวียนของกลุ่ม BRICS เพื่อสมัครเข้าเป็นพันธมิตรร่วมกลไกความร่วมมือของกลุ่ม BRICS หลังจากหารือกับนายเซอร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย ซึ่งเยือนมาเลเซีย และในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีอันวาร์ของมาเลเซียได้แสดงความประสงค์ในการเข้าร่วมกลไกความร่วมมือ BRICS ต่อประธานาธิบดีบราซิล โดยอ้างถึงความสำคัญทางภูมิรัฐศาสตร์ว่า ตำแหน่งที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของประเทศเป็นปัจจัยสำคัญ เนื่องจากศักยภาพในการเป็นสมาชิกกลุ่ม BRICS ของมาเลเซียมีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ เนื่องจากตั้งอยู่ในตำแหน่งริมช่องแคบมะละกา ซึ่งเป็นเส้นทางเดินเรือสำคัญที่เชื่อมระหว่างมหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดียระหว่างมาเลเซียและเกาะสุมาตราของอินโดนีเซีย สำนักงานนายกรัฐมนตรีมาเลเซียระบุในแถลงการณ์ว่า นอกจากการสมัครของมาเลเซียเข้าเป็นสมาชิกกลุ่ม BRICS แล้ว ยังมีการหารือถึงความร่วมมือทวิภาคีในประเด็นต่างๆ โดยเฉพาะการลงทุนและการค้า วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การเกษตร การป้องกันประเทศและการทหาร การศึกษา การท่องเที่ยวและวัฒนธรรม นายกรัฐมนตรีมาเลเซียกล่าวว่า“การหารือของเราเน้นไปที่การสมัครเข้าเป็นสมาชิกกลุ่ม BRICS ของมาเลเซีย ซึ่งปัจจุบันรัสเซียเป็นประธาน การเป็นสมาชิกกลุ่ม BRICS ถือเป็นความหวังที่สำคัญสำหรับทั้งสองประเทศ และตอกย้ำความมุ่งมั่นของเราในการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศที่แข็งแกร่ง” ส่วนนายลาฟรอฟกล่าวว่า รัสเซียยินดีต้อนรับความสนใจของมาเลเซียที่มีต่อกลุ่ม BRICS และจะช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังได้หารือเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันในปาเลสไตน์ โดยมาเลเซียเรียกร้องให้มีการหยุดยิงถาวรในฉนวนกาซาโดยเร็ว และเร่งการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ฉนวนกาซา รวมถึงการยอมรับปาเลสไตน์เป็นสมาชิกอย่างเป็นทางการของสหประชาชาติ มาเลเซียเป็นประเทศล่าสุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่แสดงความสนใจเข้าร่วมกลุ่ม BRICS หลังจากที่ไทย เมียนมา ลาว และกัมพูชา แสดงเจตจำนงไปก่อนหน้านี้ ในขณะที่เวียดนามและอินโดนีเซียอยู่ระหว่างการพิจารณา ความสำคัญทางภูมิรัฐศาสตร์เชิงยุทธศาสตร์ ในเดือนตุลาคม 2024 รัสเซียจะรับหน้าที่เป็นเจ้าภาพในการประชุมสุดยอดประจำปีที่เมืองคาซาน ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ ในโอกาสนี้ ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซียบอกว่า เขาจะใช้การดำรงตำแหน่งประธานกลุ่มบริกส์ในครั้งนี้ เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ 3 ประการคือ 1.เพิ่มบทบาทของกลุ่มบริกส์ในเวทีการเงินระหว่างประเทศ 2.พัฒนาความร่วมมือระหว่างภาคธนาคารและขยายการใช้เงินสกุลท้องถิ่นของสมาชิกกลุ่มบริกส์ 3.ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างหน่วยงานด้านสรรพากร (ภาษี) และศุลกากร
    Like
    4
    0 Comments 0 Shares 508 Views 0 Reviews
  • คดีดังที่มาเลเซีย ฆ่าสาวทิ้งสวนปาล์ม

    ที่ประเทศมาเลเซีย มีคดีฆาตกรรมสะเทือนขวัญอยู่คดีหนึ่งที่เป็นข่าวดังตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา คือการเสียชีวิตของ นางสาวนูร์ ฟาราห์ การ์ตินี อับดุลลาห์ อายุ 25 ปี ซึ่งพบศพภายในสวนปาล์มน้ำมัน ที่บ้านกัมปุง ศรี เกเลดัง เมืองฮูลู สลังงอร์ รัฐสลังงอร์ เมื่อเวลาประมาณ 6 โมงเย็นวันที่ 15 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา

    ก่อนหน้านี้ตำรวจรับแจ้งจากพนักงานของบริษัทให้เช่ารถในเมืองตันจุงมาลิม รัฐเปรัก ว่า นูร์ ฟาราห์ การ์ตินี หายตัวไปเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2567 หลังจากที่เธอส่งรถเช่าให้กับลูกค้า กระทั่งผ่านมา 5 วัน จึงได้พบศพของเธอดังกล่าว

    นูร์ ฟาราห์ การ์ตินี เป็นลูกสาวคนสุดท้องจากพี่น้องทั้งหมด 7 คน บ้านเกิดของเธออยู่ที่เมืองมิริ รัฐซาราวัก บนเกาะบอร์เนียว สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี จากมหาวิทยาลัยศึกษาศาสตร์สุลต่านไอดริส (UPSI) เมืองตันจุงมาลิม รัฐเปรัก สาขาการศึกษา (มัลติมีเดีย) เมื่อปีที่แล้ว แต่ไม่ต้องการกลับบ้านเกิด ต้องการอยู่ทำงานเพื่อช่วยเหลือครอบครัว

    วันต่อมา ตำรวจควบคุมตัวผู้ต้องสงสัย ทราบชื่อภายหลังคือ สิบตำรวจเอก มูฮัมหมัด อาลิฟ มอนจานี อายุ 26 ปี อาชีพรับราชการตำรวจ ยศสิบเอก ประจำสถานีตำรวจสลิมริเวอร์ ในรัฐเปรัก ซึ่งเป็นแฟนหนุ่มของ นูร์ ฟาราห์ การ์ตินี และถูกควบคุมตัวเป็นเวลา 7 วันเพื่อสอบสวนตามกฎหมายมาเลเซีย ก่อนที่จะขยายต่อไปอีก 7 วัน ถึงวันที่ 29 กรกฎาคม 2567

    การค้นหาหลักฐานเพื่อคลี่คลายคดีดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง เริ่มจากพบสมาร์ทโฟนลงท่อระบายน้ำในสวนปาล์มน้ำมัน ต่อมาพบกระเป๋าถือของนูร์ ฟาราห์ การ์ตินี ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 20 นาที การตรวจค้นและสอบสวนคนงานไร่มันสำปะหลัง ที่ผู้ต้องสงสัยทำไร่มันนอกเวลางาน รวมทั้งตรวจสอบรถยนต์โตโยต้า วีออส สีแดง และตรวจวิเคราะห์ซิมการ์ดของผู้ต้องสงสัย

    นอกจากนี้ หน่วยสืบสวนนิติเวช ยังค้นหาสิ่งของบนแม่น้ำสลิม ซึ่งเชื่อว่าเป็นจุดที่ผู้ต้องสงสัยทิ้งสิ่งของจากสะพานเหล็กลงไปในแม่น้ำ ท่ามกลางกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก พบกุญแจรถยนต์ห่างออกไปประมาณ 50 เมตร และพบกระเป๋าสตางค์ห่างออกไปอีกเล็กน้อย นอกจากนี้ยังพบข้าวของเครื่องใช้ อุปกรณ์ละหมาด กระเป๋าถือ และสายชาร์จโทรศัพท์อีกด้วย

    ดาตุ๊ก ฮุสเซน โอมาร์ ข่าน หัวหน้าตำรวจรัฐสลังงอร์ เชื่อว่าแรงจูงใจในการฆาตกรรมเกี่ยวข้องกับข้อพิพาทเรื่องความสัมพันธ์ โดยหลักฐานเพียงพอที่จะตั้งข้อกล่าวหาผู้ต้องสงสัย อาศัยหลักฐานที่พบในหลายสถานที่ทั้งภายในรัฐสลังงอร์ และรัฐเปรัก

    26 กรกฎาคม 2567 ตำรวจควบคุมตัว สิบตำรวจเอก มูฮัมหมัด อาลิฟ มอนจานี ไปที่ศาลแขวงกัวลากูบูบารู ที่เมืองฮูลู สลังงอร์ รัฐสลังงอร์ โดยตั้งข้อหาฆาตกรรม ซึ่งหากตัดสินว่ามีความผิด โทษสูงสุดประหารชีวิต ซึ่งศาลนัดอีกครั้งในวันที่ 30 สิงหาคม 2567

    สำหรับร่างของ นูร์ ฟาราห์ การ์ตินี ถูกฝังไว้เมื่อเวลา 17.02 น. ของวันที่ 18 กรกฎาคม 2567 ที่สุสานกัมปง นยีอูร์ มานิส เมืองเปกัน รัฐปะหัง ซึ่งเป็นบ้านของภรรยาพี่ชาย หลังเสร็จสิ้นการชันสูตรที่โรงพยาบาลสุไหงบูเลาะห์ รัฐสลังงอร์ ซึ่งใช้เวลานานประมาณ 2-3 วัน

    #Newskit #อาชญากรรม #มาเลเซีย
    คดีดังที่มาเลเซีย ฆ่าสาวทิ้งสวนปาล์ม ที่ประเทศมาเลเซีย มีคดีฆาตกรรมสะเทือนขวัญอยู่คดีหนึ่งที่เป็นข่าวดังตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา คือการเสียชีวิตของ นางสาวนูร์ ฟาราห์ การ์ตินี อับดุลลาห์ อายุ 25 ปี ซึ่งพบศพภายในสวนปาล์มน้ำมัน ที่บ้านกัมปุง ศรี เกเลดัง เมืองฮูลู สลังงอร์ รัฐสลังงอร์ เมื่อเวลาประมาณ 6 โมงเย็นวันที่ 15 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา ก่อนหน้านี้ตำรวจรับแจ้งจากพนักงานของบริษัทให้เช่ารถในเมืองตันจุงมาลิม รัฐเปรัก ว่า นูร์ ฟาราห์ การ์ตินี หายตัวไปเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2567 หลังจากที่เธอส่งรถเช่าให้กับลูกค้า กระทั่งผ่านมา 5 วัน จึงได้พบศพของเธอดังกล่าว นูร์ ฟาราห์ การ์ตินี เป็นลูกสาวคนสุดท้องจากพี่น้องทั้งหมด 7 คน บ้านเกิดของเธออยู่ที่เมืองมิริ รัฐซาราวัก บนเกาะบอร์เนียว สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี จากมหาวิทยาลัยศึกษาศาสตร์สุลต่านไอดริส (UPSI) เมืองตันจุงมาลิม รัฐเปรัก สาขาการศึกษา (มัลติมีเดีย) เมื่อปีที่แล้ว แต่ไม่ต้องการกลับบ้านเกิด ต้องการอยู่ทำงานเพื่อช่วยเหลือครอบครัว วันต่อมา ตำรวจควบคุมตัวผู้ต้องสงสัย ทราบชื่อภายหลังคือ สิบตำรวจเอก มูฮัมหมัด อาลิฟ มอนจานี อายุ 26 ปี อาชีพรับราชการตำรวจ ยศสิบเอก ประจำสถานีตำรวจสลิมริเวอร์ ในรัฐเปรัก ซึ่งเป็นแฟนหนุ่มของ นูร์ ฟาราห์ การ์ตินี และถูกควบคุมตัวเป็นเวลา 7 วันเพื่อสอบสวนตามกฎหมายมาเลเซีย ก่อนที่จะขยายต่อไปอีก 7 วัน ถึงวันที่ 29 กรกฎาคม 2567 การค้นหาหลักฐานเพื่อคลี่คลายคดีดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง เริ่มจากพบสมาร์ทโฟนลงท่อระบายน้ำในสวนปาล์มน้ำมัน ต่อมาพบกระเป๋าถือของนูร์ ฟาราห์ การ์ตินี ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 20 นาที การตรวจค้นและสอบสวนคนงานไร่มันสำปะหลัง ที่ผู้ต้องสงสัยทำไร่มันนอกเวลางาน รวมทั้งตรวจสอบรถยนต์โตโยต้า วีออส สีแดง และตรวจวิเคราะห์ซิมการ์ดของผู้ต้องสงสัย นอกจากนี้ หน่วยสืบสวนนิติเวช ยังค้นหาสิ่งของบนแม่น้ำสลิม ซึ่งเชื่อว่าเป็นจุดที่ผู้ต้องสงสัยทิ้งสิ่งของจากสะพานเหล็กลงไปในแม่น้ำ ท่ามกลางกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก พบกุญแจรถยนต์ห่างออกไปประมาณ 50 เมตร และพบกระเป๋าสตางค์ห่างออกไปอีกเล็กน้อย นอกจากนี้ยังพบข้าวของเครื่องใช้ อุปกรณ์ละหมาด กระเป๋าถือ และสายชาร์จโทรศัพท์อีกด้วย ดาตุ๊ก ฮุสเซน โอมาร์ ข่าน หัวหน้าตำรวจรัฐสลังงอร์ เชื่อว่าแรงจูงใจในการฆาตกรรมเกี่ยวข้องกับข้อพิพาทเรื่องความสัมพันธ์ โดยหลักฐานเพียงพอที่จะตั้งข้อกล่าวหาผู้ต้องสงสัย อาศัยหลักฐานที่พบในหลายสถานที่ทั้งภายในรัฐสลังงอร์ และรัฐเปรัก 26 กรกฎาคม 2567 ตำรวจควบคุมตัว สิบตำรวจเอก มูฮัมหมัด อาลิฟ มอนจานี ไปที่ศาลแขวงกัวลากูบูบารู ที่เมืองฮูลู สลังงอร์ รัฐสลังงอร์ โดยตั้งข้อหาฆาตกรรม ซึ่งหากตัดสินว่ามีความผิด โทษสูงสุดประหารชีวิต ซึ่งศาลนัดอีกครั้งในวันที่ 30 สิงหาคม 2567 สำหรับร่างของ นูร์ ฟาราห์ การ์ตินี ถูกฝังไว้เมื่อเวลา 17.02 น. ของวันที่ 18 กรกฎาคม 2567 ที่สุสานกัมปง นยีอูร์ มานิส เมืองเปกัน รัฐปะหัง ซึ่งเป็นบ้านของภรรยาพี่ชาย หลังเสร็จสิ้นการชันสูตรที่โรงพยาบาลสุไหงบูเลาะห์ รัฐสลังงอร์ ซึ่งใช้เวลานานประมาณ 2-3 วัน #Newskit #อาชญากรรม #มาเลเซีย
    Sad
    Angry
    4
    0 Comments 0 Shares 536 Views 0 Reviews
  • ส่อง 7 เมืองอาเซียน เหมาะเที่ยวคนเดียว

    นักท่องเที่ยวคนเดียว (Solo Traveler) กำลังได้รับความนิยมโดยเฉพาะคนโสด เพราะไม่ว่าจะทริปสั้นหรือทริปยาว ทริปเพื่อพักผ่อน หรือเปลี่ยนบรรยากาศการทำงาน เรากำหนดและตัดสินใจได้เองโดยไม่ต้องมีแบบแผนยืดยาว แค่เตรียมความพร้อมหาตั๋วเครื่องบินราคาถูก อ่านรีวิวเมือง สถานที่ท่องเที่ยว ร้านอาหาร หรือโรงแรมเพื่อทำการบ้านแบบคร่าวๆ เท่านั้น

    บทความในเว็บไซต์ Lonely Planet หัวข้อ "7 of the best places in Southeast Asia for solo travelers" ที่เขียนโดย Morgan Awyong ตีพิมพ์เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2567 ได้ยก 7 เมืองที่ดีที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สำหรับนักท่องเที่ยวคนเดียว โดยยกจุดเด่นของแต่ละเมืองในแต่ละหัวข้อ ดังนี้

    1. สิงคโปร์ เมืองที่ดีที่สุดสำหรับคนที่เดินทางคนเดียวครั้งแรก เพราะโครงสร้างพื้นฐานและความปลอดภัยที่โดดเด่น คนในท้องถิ่นพูดภาษาอังกฤษ และสถานที่ท่องเที่ยวเข้าถึงง่าย โดยแนะนำศูนย์อาหารริมถนนที่มีเมนูทั้งข้าวมันไก่ไหหนาน บักกุ๊ตเต๋ และอาหารท้องถิ่นอื่นๆ เดินทางได้ทั่วเกาะด้วยรถไฟฟ้า MRT พร้อมแนะนำวัดเทียนฮกเก๋ง ย่านปาร์ควิวสแควร์

    2. ปีนัง (มาเลเซีย) เมืองสตรีทฟู้ดมีชีวิตและวัฒนธรรมท้องถิ่นสร้างสรรค์ โดยมีย่านจอร์จทาวน์ขึ้นทะเบียนโดยยูเนสโก้ ผสมผสานร้านกาแฟน่ารักและงานศิลปะที่แปลกใหม่ แผงขายอาหารย่าน New Lane, Kimberly St และ Chulia St เปิดเฉพาะเช้าและเย็น มีทั้งเกี๊ยวน้ำ และมื้อหนักอย่างปีนังลักซา คนที่ทานข้าวคนเดียว อิ่มอร่อยในราคาประหยัดเพียง 10 ริงกิตเท่านั้น

    3. ดานัง (เวียดนาม) เมืองที่หลีกหนีความวุ่นวายด้วยชายฝั่งงดงาม และประสบการณ์หลากหลาย ความวุ่นวายน้อยกว่าเมื่อเทียบกับเมืองหลวง เดินทางสะดวกด้วยแกร็บที่ค่าโดยสารไม่แพง ห้องพักราคาเฉลี่ย 1 ล้านดอง ชายหาดเหมาะกับการเดินเล่นคนเดียว ได้เห็นชาวประมงพื้นบ้าน และมีร้านกาแฟมากมาย ที่เหมาะกับนักท่องเที่ยวและดิจิทัลนอร์แมด (Digital Normad)

    4. เสียมราฐ (กัมพูชา) เมืองเล็กๆ เป็นส่วนตัว และการท่องเที่ยวเชิงจริยธรรม นอกจากจะมีนครวัด ปราสาทตาพรหมและปราสาทบันทายศรีแล้ว ยังมีตลาดงานฝีมือเล็กๆ ร้านอาหารริมถนนบรรยากาศสบายๆ มีย่านถนนกลางคืนอย่าง Pub Street และยังมีผู้ประกอบการที่ตอบแทนสังคม เช่น โรงเรียนละครสัตว์ Phare Circus ร้านอาหาร Haven และฟาร์มบัว Lotus Farm

    5. กรุงเทพฯ (ไทย) เมืองที่ไม่แบ่งเขาแบ่งเรา ระหว่างการจราจรในกรุงเทพฯ หาบเร่แผงลอย และห้างสรรพสินค้า ย่านถนนข้าวสารยังมีวัดที่เงียบสงบเช่นวัดโพธิ์และวัดอรุณ ผ่อนคลายความเมื่อยล้าด้วยการนวด โรงแรมแข่งขันด้านราคาทำให้มีห้องพักราคาถูก และยืนหนึ่งด้านสิทธิ LGBTIQ+ ในภูมิภาค ความลับอยู่ที่ผู้คนที่อบอุ่น รอยยิ้มที่เรียบง่าย และจิตใจที่เปิดกว้าง

    6. ฮานอย (เวียดนาม) เมืองที่ผู้คนอยู่กันอย่างไม่โอ้อวด คำนึงถึงความยืดหยุ่น และวิถีทางที่ช้าแต่มั่นคง สามารถเดินเล่นในย่านเมืองเก่าอันมีเสน่ห์ พักสมองร้านกาแฟท้องถิ่น หรือสัมผัสบรรยากาศที่ทะเลสาบฮว่านเกี๋ยม ที่มีกิจกรรมนันทนาการ และยังเป็นจุดเริ่มต้นที่จะไปแหล่งท่องเที่ยวทางเวียดนามเหนือ เช่น อ่าวฮาลอง อ่าวลันฮา เมืองนิญบิ่ญ และเมืองหนาวอย่างซาปา

    7. บาหลี (อินโดนีเซีย) เมืองสำหรับสุขภาพองค์รวม ชายหาด และดิจิทัลนอร์แมด ถูกพัฒนาให้เป็นเมืองสำหรับบำบัดสุขภาพทางเลือก มีกิจกรรมเรียนโยคะ บีชคลับและพูลวิลล่าที่หาดกูตา กิจกรรมเดินป่าผ่านนาข้าวในอูบุด พักผ่อนริมชายหาดกูตาตอนใต้ ปีนภูเขาบาตูร์ชมพระอาทิตย์ขึ้น ชาวดิจิทัลนอร์แมดมักรวมตัวที่ Canggu สร้างความสัมพันธ์และมิตรภาพได้อย่างง่ายดาย

    ป.ล. ดิจิทัลนอร์แมด (Digital Normad) คือ คนที่สามารถทำงานได้จากทุกแห่งในโลก โดยไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ขอมีเพียงแค่สัญญาณอินเทอร์เน็ตเท่านั้น

    #Newskit #SoloTraveler #ASEAN
    ส่อง 7 เมืองอาเซียน เหมาะเที่ยวคนเดียว นักท่องเที่ยวคนเดียว (Solo Traveler) กำลังได้รับความนิยมโดยเฉพาะคนโสด เพราะไม่ว่าจะทริปสั้นหรือทริปยาว ทริปเพื่อพักผ่อน หรือเปลี่ยนบรรยากาศการทำงาน เรากำหนดและตัดสินใจได้เองโดยไม่ต้องมีแบบแผนยืดยาว แค่เตรียมความพร้อมหาตั๋วเครื่องบินราคาถูก อ่านรีวิวเมือง สถานที่ท่องเที่ยว ร้านอาหาร หรือโรงแรมเพื่อทำการบ้านแบบคร่าวๆ เท่านั้น บทความในเว็บไซต์ Lonely Planet หัวข้อ "7 of the best places in Southeast Asia for solo travelers" ที่เขียนโดย Morgan Awyong ตีพิมพ์เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2567 ได้ยก 7 เมืองที่ดีที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สำหรับนักท่องเที่ยวคนเดียว โดยยกจุดเด่นของแต่ละเมืองในแต่ละหัวข้อ ดังนี้ 1. สิงคโปร์ เมืองที่ดีที่สุดสำหรับคนที่เดินทางคนเดียวครั้งแรก เพราะโครงสร้างพื้นฐานและความปลอดภัยที่โดดเด่น คนในท้องถิ่นพูดภาษาอังกฤษ และสถานที่ท่องเที่ยวเข้าถึงง่าย โดยแนะนำศูนย์อาหารริมถนนที่มีเมนูทั้งข้าวมันไก่ไหหนาน บักกุ๊ตเต๋ และอาหารท้องถิ่นอื่นๆ เดินทางได้ทั่วเกาะด้วยรถไฟฟ้า MRT พร้อมแนะนำวัดเทียนฮกเก๋ง ย่านปาร์ควิวสแควร์ 2. ปีนัง (มาเลเซีย) เมืองสตรีทฟู้ดมีชีวิตและวัฒนธรรมท้องถิ่นสร้างสรรค์ โดยมีย่านจอร์จทาวน์ขึ้นทะเบียนโดยยูเนสโก้ ผสมผสานร้านกาแฟน่ารักและงานศิลปะที่แปลกใหม่ แผงขายอาหารย่าน New Lane, Kimberly St และ Chulia St เปิดเฉพาะเช้าและเย็น มีทั้งเกี๊ยวน้ำ และมื้อหนักอย่างปีนังลักซา คนที่ทานข้าวคนเดียว อิ่มอร่อยในราคาประหยัดเพียง 10 ริงกิตเท่านั้น 3. ดานัง (เวียดนาม) เมืองที่หลีกหนีความวุ่นวายด้วยชายฝั่งงดงาม และประสบการณ์หลากหลาย ความวุ่นวายน้อยกว่าเมื่อเทียบกับเมืองหลวง เดินทางสะดวกด้วยแกร็บที่ค่าโดยสารไม่แพง ห้องพักราคาเฉลี่ย 1 ล้านดอง ชายหาดเหมาะกับการเดินเล่นคนเดียว ได้เห็นชาวประมงพื้นบ้าน และมีร้านกาแฟมากมาย ที่เหมาะกับนักท่องเที่ยวและดิจิทัลนอร์แมด (Digital Normad) 4. เสียมราฐ (กัมพูชา) เมืองเล็กๆ เป็นส่วนตัว และการท่องเที่ยวเชิงจริยธรรม นอกจากจะมีนครวัด ปราสาทตาพรหมและปราสาทบันทายศรีแล้ว ยังมีตลาดงานฝีมือเล็กๆ ร้านอาหารริมถนนบรรยากาศสบายๆ มีย่านถนนกลางคืนอย่าง Pub Street และยังมีผู้ประกอบการที่ตอบแทนสังคม เช่น โรงเรียนละครสัตว์ Phare Circus ร้านอาหาร Haven และฟาร์มบัว Lotus Farm 5. กรุงเทพฯ (ไทย) เมืองที่ไม่แบ่งเขาแบ่งเรา ระหว่างการจราจรในกรุงเทพฯ หาบเร่แผงลอย และห้างสรรพสินค้า ย่านถนนข้าวสารยังมีวัดที่เงียบสงบเช่นวัดโพธิ์และวัดอรุณ ผ่อนคลายความเมื่อยล้าด้วยการนวด โรงแรมแข่งขันด้านราคาทำให้มีห้องพักราคาถูก และยืนหนึ่งด้านสิทธิ LGBTIQ+ ในภูมิภาค ความลับอยู่ที่ผู้คนที่อบอุ่น รอยยิ้มที่เรียบง่าย และจิตใจที่เปิดกว้าง 6. ฮานอย (เวียดนาม) เมืองที่ผู้คนอยู่กันอย่างไม่โอ้อวด คำนึงถึงความยืดหยุ่น และวิถีทางที่ช้าแต่มั่นคง สามารถเดินเล่นในย่านเมืองเก่าอันมีเสน่ห์ พักสมองร้านกาแฟท้องถิ่น หรือสัมผัสบรรยากาศที่ทะเลสาบฮว่านเกี๋ยม ที่มีกิจกรรมนันทนาการ และยังเป็นจุดเริ่มต้นที่จะไปแหล่งท่องเที่ยวทางเวียดนามเหนือ เช่น อ่าวฮาลอง อ่าวลันฮา เมืองนิญบิ่ญ และเมืองหนาวอย่างซาปา 7. บาหลี (อินโดนีเซีย) เมืองสำหรับสุขภาพองค์รวม ชายหาด และดิจิทัลนอร์แมด ถูกพัฒนาให้เป็นเมืองสำหรับบำบัดสุขภาพทางเลือก มีกิจกรรมเรียนโยคะ บีชคลับและพูลวิลล่าที่หาดกูตา กิจกรรมเดินป่าผ่านนาข้าวในอูบุด พักผ่อนริมชายหาดกูตาตอนใต้ ปีนภูเขาบาตูร์ชมพระอาทิตย์ขึ้น ชาวดิจิทัลนอร์แมดมักรวมตัวที่ Canggu สร้างความสัมพันธ์และมิตรภาพได้อย่างง่ายดาย ป.ล. ดิจิทัลนอร์แมด (Digital Normad) คือ คนที่สามารถทำงานได้จากทุกแห่งในโลก โดยไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ขอมีเพียงแค่สัญญาณอินเทอร์เน็ตเท่านั้น #Newskit #SoloTraveler #ASEAN
    Like
    5
    1 Comments 1 Shares 702 Views 0 Reviews
  • ฟื้นซูบัง (SZB) สนามบินเก่ามาเลย์

    หากกล่าวถึงสนามบินเก่าในเมืองหลวง ถ้าประเทศไทยมีสนามบินดอนเมือง ที่เคยเป็นสนามบินหลักในกรุงเทพฯ ก่อนย้ายมาที่สนามบินสุวรรณภูมิในปี 2549 ที่ประเทศมาเลเซียก็มีสนามบินเก่าอย่าง ท่าอากาศยานสุลต่าน อับดุล อาซิซ ชาห์ หรือสนามบินซูบัง (SZB) ตั้งอยู่ที่เมืองซูบัง รัฐสลังงอร์ เปิดให้บริการเมื่อปี 2508 ก่อนย้ายสนามบินหลัก (KUL) ไปยังเมืองเซปัง ทางตอนใต้ของกรุงกัวลาลัมเปอร์ในปี 2541

    อย่างไรก็ตาม รัฐบาลมาเลเซียกำลังฟื้นฟูสนามบินซูบัง เพื่อให้เป็นศูนย์กลางการบินระดับภูมิภาค ด้วยศักยภาพทำเลที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของกรุงกัวลาลัมเปอร์ ใกล้กับเขตแคลงวัลเลย์ (Klang Valley) ที่มีผู้อยู่อาศัยกว่า 8 ล้านคน ล่าสุด สายการบินแอร์เอเชีย มาเลเซีย จะเปิดให้บริการเส้นทาง ซูบัง-กูชิง และ ซูบัง-โคตาคินาบาลู เชื่อมระหว่างฝั่งแหลมมลายู กับเกาะบอร์เนียว ไป-กลับรวม 8 เที่ยวบินต่อวัน ตั้งแต่วันที่ 30 สิงหาคม 2567 เป็นต้นไป

    ก่อนหน้านี้มีสายการบินประกาศทำการบินที่สนามบินซูบัง เริ่มจากวันที่ 1 สิงหาคม 2567 สายการบินบาติกแอร์ (Batik Air) จะกลับมาทำการบินเส้นทาง ซูบัง-ปีนัง ด้วยเครื่องบินโบอิ้ง 737 จำนวน 3 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ และจะขยายเป็น 1 เที่ยวบินต่อวัน ในวันที่ 15 สิงหาคม 2567 ขณะที่สายการบินทรานส์นูซา (TransNusa) จะทำการบินเส้นทางซูบัง-จาการ์ตา อินโดนีเซีย วันที่ 1 สิงหาคม 2567 ส่วนสายการบินสกู๊ต จะกลับมาทำการบินเส้นทาง ซูบัง-สิงคโปร์ ในวันที่ 1 กันยายน 2567

    ด้านสายการบินซึ่งใช้เครื่องบินขนาดเล็กอย่าง ไฟร์ฟลาย (Firefly) ที่ทำการบินเส้นทางอลอร์สตาร์ ยะโฮร์บาห์รู โกตาบาห์รู กัวลาตรังกานู ลังกาวี ปีนัง ก็จะเปิดเส้นทาง ซูบัง-โคตาคินาบาลู ในวันที่ 29 สิงหาคม 2567 เช่นกัน ส่วนสายการบินเบอร์จายา แอร์ (Berjaya Air) ทำการบินแบบชาร์เตอร์ไฟล์ตไปยังหัวหิน เกาะสมุย ลังกาวี ปังกอร์ ปีนัง เรดัง และติโอมัน เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีเที่ยวบินขนส่งสินค้าทางอากาศให้บริการที่สนามบินซูบัง อาทิ มายเจ็ตเอ็กซ์เพรส (My Jet Xpress Airlines) และรายาแอร์เวย์ส (Raya Airways)

    สำหรับการเดินทางจากสถานีกลางกัวลาลัมเปอร์ (KL Sentral) ไปยังท่าอากาศยานซูบัง มีอยู่หลายช่องทาง อาทิ รถประจำทาง RapidKL สาย 772 จากป้ายหยุดรถประจำทาง KL1760 Suasana Sentral Loft ไปลงที่ป้าย SA909 Subang Skypark Terminal ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที หรือรถไฟฟ้า LRT สาย Kelana Jaya (สายสีแดง) จากสถานี KL Sentral ไปลงที่สถานี Pasar Seni ต่อด้วยรถไฟฟ้าสาย Kajang (สายสีเขียว) ลงที่สถานี Kwasa Sentral จากนั้นต่อรถเมล์สาย T804 ไปลงที่ป้าย Subang Airport เป็นต้น

    #Newskit #SubangAirport #SZB
    ฟื้นซูบัง (SZB) สนามบินเก่ามาเลย์ หากกล่าวถึงสนามบินเก่าในเมืองหลวง ถ้าประเทศไทยมีสนามบินดอนเมือง ที่เคยเป็นสนามบินหลักในกรุงเทพฯ ก่อนย้ายมาที่สนามบินสุวรรณภูมิในปี 2549 ที่ประเทศมาเลเซียก็มีสนามบินเก่าอย่าง ท่าอากาศยานสุลต่าน อับดุล อาซิซ ชาห์ หรือสนามบินซูบัง (SZB) ตั้งอยู่ที่เมืองซูบัง รัฐสลังงอร์ เปิดให้บริการเมื่อปี 2508 ก่อนย้ายสนามบินหลัก (KUL) ไปยังเมืองเซปัง ทางตอนใต้ของกรุงกัวลาลัมเปอร์ในปี 2541 อย่างไรก็ตาม รัฐบาลมาเลเซียกำลังฟื้นฟูสนามบินซูบัง เพื่อให้เป็นศูนย์กลางการบินระดับภูมิภาค ด้วยศักยภาพทำเลที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของกรุงกัวลาลัมเปอร์ ใกล้กับเขตแคลงวัลเลย์ (Klang Valley) ที่มีผู้อยู่อาศัยกว่า 8 ล้านคน ล่าสุด สายการบินแอร์เอเชีย มาเลเซีย จะเปิดให้บริการเส้นทาง ซูบัง-กูชิง และ ซูบัง-โคตาคินาบาลู เชื่อมระหว่างฝั่งแหลมมลายู กับเกาะบอร์เนียว ไป-กลับรวม 8 เที่ยวบินต่อวัน ตั้งแต่วันที่ 30 สิงหาคม 2567 เป็นต้นไป ก่อนหน้านี้มีสายการบินประกาศทำการบินที่สนามบินซูบัง เริ่มจากวันที่ 1 สิงหาคม 2567 สายการบินบาติกแอร์ (Batik Air) จะกลับมาทำการบินเส้นทาง ซูบัง-ปีนัง ด้วยเครื่องบินโบอิ้ง 737 จำนวน 3 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ และจะขยายเป็น 1 เที่ยวบินต่อวัน ในวันที่ 15 สิงหาคม 2567 ขณะที่สายการบินทรานส์นูซา (TransNusa) จะทำการบินเส้นทางซูบัง-จาการ์ตา อินโดนีเซีย วันที่ 1 สิงหาคม 2567 ส่วนสายการบินสกู๊ต จะกลับมาทำการบินเส้นทาง ซูบัง-สิงคโปร์ ในวันที่ 1 กันยายน 2567 ด้านสายการบินซึ่งใช้เครื่องบินขนาดเล็กอย่าง ไฟร์ฟลาย (Firefly) ที่ทำการบินเส้นทางอลอร์สตาร์ ยะโฮร์บาห์รู โกตาบาห์รู กัวลาตรังกานู ลังกาวี ปีนัง ก็จะเปิดเส้นทาง ซูบัง-โคตาคินาบาลู ในวันที่ 29 สิงหาคม 2567 เช่นกัน ส่วนสายการบินเบอร์จายา แอร์ (Berjaya Air) ทำการบินแบบชาร์เตอร์ไฟล์ตไปยังหัวหิน เกาะสมุย ลังกาวี ปังกอร์ ปีนัง เรดัง และติโอมัน เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีเที่ยวบินขนส่งสินค้าทางอากาศให้บริการที่สนามบินซูบัง อาทิ มายเจ็ตเอ็กซ์เพรส (My Jet Xpress Airlines) และรายาแอร์เวย์ส (Raya Airways) สำหรับการเดินทางจากสถานีกลางกัวลาลัมเปอร์ (KL Sentral) ไปยังท่าอากาศยานซูบัง มีอยู่หลายช่องทาง อาทิ รถประจำทาง RapidKL สาย 772 จากป้ายหยุดรถประจำทาง KL1760 Suasana Sentral Loft ไปลงที่ป้าย SA909 Subang Skypark Terminal ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที หรือรถไฟฟ้า LRT สาย Kelana Jaya (สายสีแดง) จากสถานี KL Sentral ไปลงที่สถานี Pasar Seni ต่อด้วยรถไฟฟ้าสาย Kajang (สายสีเขียว) ลงที่สถานี Kwasa Sentral จากนั้นต่อรถเมล์สาย T804 ไปลงที่ป้าย Subang Airport เป็นต้น #Newskit #SubangAirport #SZB
    Like
    4
    0 Comments 0 Shares 486 Views 0 Reviews
  • “แอร์เอเชียต้องการคำตอบและค่าชดเชย”

    เหตุการณ์ Microsoft outage ที่บริษัทเอกชนและภาคธุรกิจสำคัญ อาทิ สายการบิน ธนาคาร สื่อมวลชน และโรงพยาบาลในหลายประเทศ ได้รับผลกระทบจากปัญหาไอทีขัดข้องทั่วโลก จากระบบปฎิบัติการ Windows ซึ่งเชื่อมโยงกับระบบของ CrowdStrike บริษัทเทคโนโลยีความปลอดภัยทางไซเบอร์ของสหรัฐอเมริกา เมื่อวันศุกร์ (19 ก.ค.) ที่ผ่านมา

    แม้ปัญหาดังกล่าวจะได้รับการคลี่คลาย แต่ภาคธุรกิจและสังคมยังคงตั้งคำถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงความรับผิดชอบจาก Microsoft และ CrowdStrike สองบริษัทด้านไอทีของสหรัฐอเมริกา

    หนึ่งในนั้นคือ โทนี่ เฟอร์นานเดส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของแคปิตอล เอ ผู้ก่อตั้งสายการบินแอร์เอเชีย ที่มีต้นกำเนิดจากประเทศมาเลเซีย โพสต์ข้อความผ่าน Linkedin ระบุว่า เป็นเรื่องดีที่ CrowdStrike ขอโทษ แต่จะรอฟังจาก Microsoft ว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ทำให้สายการบินสูญเสียรายได้หลายล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

    แต่ที่สำคัญกว่านั้น ความล้มเหลวของระบบได้ก่อให้เกิดความวุ่นวายมากมายในชีวิตของผู้คนอย่างไร

    "บริษัทเทคโนโลยีไม่ค่อยมีความเห็นอกเห็นใจ สิ่งที่เราเจอในช่วงโควิด-19 พวกเขาไม่มีความเห็นอกเห็นใจ ตอนนี้พวกเขามีปัญหาที่พวกเขาคาดหวังให้เราทุกคนเข้าใจ ฉันจะไม่ทำแบบนั้น สายการบินต้องการคำตอบและค่าชดเชย แต่สิ่งสำคัญคือ เราจะเรียนรู้และเติบโตจากสิ่งนี้" โทนี่ ระบุ

    แอร์เอเชียเป็นหนึ่งในสายการบินทั่วโลกที่ประสบปัญหาเหตุขัดข้องด้านไอที ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานทุกสนามบิน หนึ่งในนั้นคืออาคารผู้โดยสาร 2 (KLIA2) ท่าอากาศยานกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย สายการบินต้องใช้ระบบแมนวล (Manual) ในการบริหารจัดการทั้งหมด ตั้งแต่การเช็กอิน การพิมพ์บัตรโดยสาร และโหลดสัมภาระใต้ท้องเครื่อง

    โทนี่ กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้นึกถึงเมื่อ 23 ปีที่แล้ว ทุกอย่างทำด้วยระบบแมนวล แต่ก็ภูมิใจที่ทำให้การยกเลิกเที่ยวบินลดเหลือน้อยที่สุด เนื่องจากความคล่องตัวในการเปลี่ยนไปใช้ระบบแมนวล แม้ว่าการให้บริการจะมีความล่าช้าไปบ้าง แต่ยังคงมุ่งมั่นที่จะนำพาผู้โดยสารทุกคนไปยังจุดหมายปลายทางอย่างปลอดภัยที่สุด

    อนึ่ง สายการบินแอร์เอเชียกลับมาใช้ระบบออนไลน์ในการปฎิบัติงาน รวมทั้งการเช็กอินออนไลน์แก่ผู้โดยสาร ตั้งแต่บ่ายวันเสาร์ (20 ก.ค.) ที่ผ่านมา

    #Newskit #AirAsia #TonyFernandes
    “แอร์เอเชียต้องการคำตอบและค่าชดเชย” เหตุการณ์ Microsoft outage ที่บริษัทเอกชนและภาคธุรกิจสำคัญ อาทิ สายการบิน ธนาคาร สื่อมวลชน และโรงพยาบาลในหลายประเทศ ได้รับผลกระทบจากปัญหาไอทีขัดข้องทั่วโลก จากระบบปฎิบัติการ Windows ซึ่งเชื่อมโยงกับระบบของ CrowdStrike บริษัทเทคโนโลยีความปลอดภัยทางไซเบอร์ของสหรัฐอเมริกา เมื่อวันศุกร์ (19 ก.ค.) ที่ผ่านมา แม้ปัญหาดังกล่าวจะได้รับการคลี่คลาย แต่ภาคธุรกิจและสังคมยังคงตั้งคำถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงความรับผิดชอบจาก Microsoft และ CrowdStrike สองบริษัทด้านไอทีของสหรัฐอเมริกา หนึ่งในนั้นคือ โทนี่ เฟอร์นานเดส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของแคปิตอล เอ ผู้ก่อตั้งสายการบินแอร์เอเชีย ที่มีต้นกำเนิดจากประเทศมาเลเซีย โพสต์ข้อความผ่าน Linkedin ระบุว่า เป็นเรื่องดีที่ CrowdStrike ขอโทษ แต่จะรอฟังจาก Microsoft ว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ทำให้สายการบินสูญเสียรายได้หลายล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ที่สำคัญกว่านั้น ความล้มเหลวของระบบได้ก่อให้เกิดความวุ่นวายมากมายในชีวิตของผู้คนอย่างไร "บริษัทเทคโนโลยีไม่ค่อยมีความเห็นอกเห็นใจ สิ่งที่เราเจอในช่วงโควิด-19 พวกเขาไม่มีความเห็นอกเห็นใจ ตอนนี้พวกเขามีปัญหาที่พวกเขาคาดหวังให้เราทุกคนเข้าใจ ฉันจะไม่ทำแบบนั้น สายการบินต้องการคำตอบและค่าชดเชย แต่สิ่งสำคัญคือ เราจะเรียนรู้และเติบโตจากสิ่งนี้" โทนี่ ระบุ แอร์เอเชียเป็นหนึ่งในสายการบินทั่วโลกที่ประสบปัญหาเหตุขัดข้องด้านไอที ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานทุกสนามบิน หนึ่งในนั้นคืออาคารผู้โดยสาร 2 (KLIA2) ท่าอากาศยานกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย สายการบินต้องใช้ระบบแมนวล (Manual) ในการบริหารจัดการทั้งหมด ตั้งแต่การเช็กอิน การพิมพ์บัตรโดยสาร และโหลดสัมภาระใต้ท้องเครื่อง โทนี่ กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้นึกถึงเมื่อ 23 ปีที่แล้ว ทุกอย่างทำด้วยระบบแมนวล แต่ก็ภูมิใจที่ทำให้การยกเลิกเที่ยวบินลดเหลือน้อยที่สุด เนื่องจากความคล่องตัวในการเปลี่ยนไปใช้ระบบแมนวล แม้ว่าการให้บริการจะมีความล่าช้าไปบ้าง แต่ยังคงมุ่งมั่นที่จะนำพาผู้โดยสารทุกคนไปยังจุดหมายปลายทางอย่างปลอดภัยที่สุด อนึ่ง สายการบินแอร์เอเชียกลับมาใช้ระบบออนไลน์ในการปฎิบัติงาน รวมทั้งการเช็กอินออนไลน์แก่ผู้โดยสาร ตั้งแต่บ่ายวันเสาร์ (20 ก.ค.) ที่ผ่านมา #Newskit #AirAsia #TonyFernandes
    Like
    2
    1 Comments 1 Shares 512 Views 0 Reviews
  • แตะเพื่อสแกน Widget ใหม่แบงก์กรุงเทพ

    ใครที่ใช้แอปพลิเคชัน Bangkok Bank โมบายล์แบงกิ้งธนาคารกรุงเทพ เวอร์ชันล่าสุด (Version 3.35.0) และชื่นชอบการสแกนจ่าย (Scan to Pay) ไม่ควรพลาดกับการสร้างวิดเจ็ต (Widget) บนหน้าจอมือถือ ที่ทำให้การสแกนจ่ายง่ายภายใน 3 วินาที

    วิดเจ็ตของ Bangkok Bank เหมือนเมนูลัดสำหรับสแกนจ่ายโดยเฉพาะ มีโลโก้ธนาคารกรุงเทพ พร้อมข้อความ "แตะเพื่อสแกน" โดยระบบ iOS ติดตั้งได้ทั้งหน้าจอหลัก หน้าจอล็อก และหน้าจอมุมมองวันนี้ ส่วน Android ติดตั้งได้เฉพาะหน้าจอหลัก

    เมื่อติดตั้งเสร็จแล้ว เวลาจะใช้สแกนจ่าย สามารถกดที่ Widget แล้วระบบจะนำพาไปยังหน้าจอสแกนจ่ายได้เลย

    ถ้าต้องการสแกนจ่ายให้รวดเร็วขึ้นไปอีก สามารถตั้งค่าวงเงินควิกเพย์ ช่วยให้สามารถสแกนจ่ายได้ทันทีโดยไม่ต้องใส่ PIN เหมาะสำหรับคนทำธุรกรรมแบบเร่งรีบ โดยสามารถปรับวงเงินได้สูงสุดถึง 5,000 บาทต่อวัน

    เหตุผลที่ธนาคารกรุงเทพออกแบบมา เพราะลูกค้านิยมสแกนจ่ายผ่านคิวอาร์โค้ด แต่ต้องใช้เวลาประมาณ 10-15 วินาที กว่าจะเรียกแอปฯ ธนาคาร โหลดข้อมูล และกดทำรายการสแกน จึงได้ออกแบบมุ่งเน้นเข้าใจพฤติกรรมการใช้งานของลูกค้าเป็นหลัก

    ปัจจุบัน แอปฯ Bangkok Bank นอกจากสแกนจ่ายผ่าน PromptPay QR Code ในไทยแล้ว ยังสแกนจ่ายที่เมืองนอกได้ ผ่านบริการ Cross-Border Payment ที่เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ ฮ่องกง

    นอกจากนี้ สำหรับผู้ถือบัตรเครดิตธนาคารกรุงเทพ VISA และ Mastercard ยังสามารถสแกนจ่ายผ่านบริการ “สแกนจ่ายคิวอาร์โค้ดผ่านบัตรเครดิต” เทียบเท่ากับการรูดบัตรเครดิต โดยไม่ต้องใช้บัตรตัวจริง

    #Newskit #BangkokBank #โมบายแบงก์กิ้งธนาคารกรุงเทพ
    แตะเพื่อสแกน Widget ใหม่แบงก์กรุงเทพ ใครที่ใช้แอปพลิเคชัน Bangkok Bank โมบายล์แบงกิ้งธนาคารกรุงเทพ เวอร์ชันล่าสุด (Version 3.35.0) และชื่นชอบการสแกนจ่าย (Scan to Pay) ไม่ควรพลาดกับการสร้างวิดเจ็ต (Widget) บนหน้าจอมือถือ ที่ทำให้การสแกนจ่ายง่ายภายใน 3 วินาที วิดเจ็ตของ Bangkok Bank เหมือนเมนูลัดสำหรับสแกนจ่ายโดยเฉพาะ มีโลโก้ธนาคารกรุงเทพ พร้อมข้อความ "แตะเพื่อสแกน" โดยระบบ iOS ติดตั้งได้ทั้งหน้าจอหลัก หน้าจอล็อก และหน้าจอมุมมองวันนี้ ส่วน Android ติดตั้งได้เฉพาะหน้าจอหลัก เมื่อติดตั้งเสร็จแล้ว เวลาจะใช้สแกนจ่าย สามารถกดที่ Widget แล้วระบบจะนำพาไปยังหน้าจอสแกนจ่ายได้เลย ถ้าต้องการสแกนจ่ายให้รวดเร็วขึ้นไปอีก สามารถตั้งค่าวงเงินควิกเพย์ ช่วยให้สามารถสแกนจ่ายได้ทันทีโดยไม่ต้องใส่ PIN เหมาะสำหรับคนทำธุรกรรมแบบเร่งรีบ โดยสามารถปรับวงเงินได้สูงสุดถึง 5,000 บาทต่อวัน เหตุผลที่ธนาคารกรุงเทพออกแบบมา เพราะลูกค้านิยมสแกนจ่ายผ่านคิวอาร์โค้ด แต่ต้องใช้เวลาประมาณ 10-15 วินาที กว่าจะเรียกแอปฯ ธนาคาร โหลดข้อมูล และกดทำรายการสแกน จึงได้ออกแบบมุ่งเน้นเข้าใจพฤติกรรมการใช้งานของลูกค้าเป็นหลัก ปัจจุบัน แอปฯ Bangkok Bank นอกจากสแกนจ่ายผ่าน PromptPay QR Code ในไทยแล้ว ยังสแกนจ่ายที่เมืองนอกได้ ผ่านบริการ Cross-Border Payment ที่เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ ฮ่องกง นอกจากนี้ สำหรับผู้ถือบัตรเครดิตธนาคารกรุงเทพ VISA และ Mastercard ยังสามารถสแกนจ่ายผ่านบริการ “สแกนจ่ายคิวอาร์โค้ดผ่านบัตรเครดิต” เทียบเท่ากับการรูดบัตรเครดิต โดยไม่ต้องใช้บัตรตัวจริง #Newskit #BangkokBank #โมบายแบงก์กิ้งธนาคารกรุงเทพ
    Like
    Haha
    8
    0 Comments 1 Shares 517 Views 0 Reviews
  • แอร์เอเชียร่วมวง e-Money ในไทย

    เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว สำหรับ "บิ๊กเพย์" (BigPay) ผู้ให้บริการเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money) รายล่าสุดในไทย จากกลุ่มแคปปิตอล เอ (Capital A) บริษัทแม่ของสายการบินแอร์เอเชีย งานนี้ โทนี เฟอร์นานเดส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารแคปปิตอล เอ เดินทางมาเปิดตัวด้วยตัวเอง พร้อมทั้งอัดงบโฆษณาโปรโมต ผ่านอินฟลูเอนเซอร์สายท่องเที่ยว

    สำหรับแอปพลิเคชัน BigPay มาพร้อมบัตรเสมือน Visa Virtual Card สำหรับใช้จ่ายผ่านร้านค้าออนไลน์ และบัตรพลาสติก Visa Platinum Prepaid Card ที่มีค่าออกบัตร 150 บาทต่อใบ สำหรับใช้จ่ายผ่านร้านค้าทั่วไป และถอนเงินสดผ่านตู้ ATM ที่ต่างประเทศ พร้อมฟังก์ชัน Stash กระเป๋าเก็บเงินย่อย และ Roundup ฟังก์ชันปัดเศษเงินทอนเพื่อเก็บเงินได้ทันที

    BigPay เปิดให้บริการครั้งแรกในมาเลเซียเมื่อกลางเดือนมกราคม 2561 ปรับปรุงจากผลิตภัณฑ์บัตรเติมเงิน Big Prepaid Mastercard จุดเด่นในขณะนั้นคือ เมื่อซื้อตั๋วเครื่องบินแอร์เอเชียแล้วจ่ายผ่านบัตร BigPay ไม่เสียค่า Processing Fee เมื่อเทียบกับช่องทางอื่น ต่อมาได้ขยายบริการไปยังสิงคโปร์ และล่าสุดให้บริการในประเทศไทยเป็นแห่งที่สาม

    อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการการบินแห่งมาเลเซีย (MAVCOM) สั่งห้ามแอร์เอเชียเรียกเก็บค่า Processing Fee แยกจากค่าโดยสารเมื่อปี 2562 ทำให้จุดเด่นตรงนี้หายไป

    ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย ระบุว่ามีผลิตภัณฑ์ e-Money ในประเทศไทย 74 ผลิตภัณฑ์ แต่ที่มีลักษณะคล้ายกัน ได้แก่ ทรูมันนี่วอลเล็ต (TrueMoney Wallet) ดีพ พ็อกเก็ต (DeepPocket) เจ วอลเล็ต (J Wallet) ไว วอลเล็ต (Wi Wallet) เป๋าตังเปย์ (Paotang Pay) ยูทริป (YouTrip) พลาเน็ตเอสซีบี (Planet SCB) และกรุงศรีบอร์ดดิ้งการ์ด (Krungsri Boarding Card) เป็นต้น

    #Newskit #BigPay #เงินอิเล็กทรอนิกส์
    แอร์เอเชียร่วมวง e-Money ในไทย เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว สำหรับ "บิ๊กเพย์" (BigPay) ผู้ให้บริการเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money) รายล่าสุดในไทย จากกลุ่มแคปปิตอล เอ (Capital A) บริษัทแม่ของสายการบินแอร์เอเชีย งานนี้ โทนี เฟอร์นานเดส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารแคปปิตอล เอ เดินทางมาเปิดตัวด้วยตัวเอง พร้อมทั้งอัดงบโฆษณาโปรโมต ผ่านอินฟลูเอนเซอร์สายท่องเที่ยว สำหรับแอปพลิเคชัน BigPay มาพร้อมบัตรเสมือน Visa Virtual Card สำหรับใช้จ่ายผ่านร้านค้าออนไลน์ และบัตรพลาสติก Visa Platinum Prepaid Card ที่มีค่าออกบัตร 150 บาทต่อใบ สำหรับใช้จ่ายผ่านร้านค้าทั่วไป และถอนเงินสดผ่านตู้ ATM ที่ต่างประเทศ พร้อมฟังก์ชัน Stash กระเป๋าเก็บเงินย่อย และ Roundup ฟังก์ชันปัดเศษเงินทอนเพื่อเก็บเงินได้ทันที BigPay เปิดให้บริการครั้งแรกในมาเลเซียเมื่อกลางเดือนมกราคม 2561 ปรับปรุงจากผลิตภัณฑ์บัตรเติมเงิน Big Prepaid Mastercard จุดเด่นในขณะนั้นคือ เมื่อซื้อตั๋วเครื่องบินแอร์เอเชียแล้วจ่ายผ่านบัตร BigPay ไม่เสียค่า Processing Fee เมื่อเทียบกับช่องทางอื่น ต่อมาได้ขยายบริการไปยังสิงคโปร์ และล่าสุดให้บริการในประเทศไทยเป็นแห่งที่สาม อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการการบินแห่งมาเลเซีย (MAVCOM) สั่งห้ามแอร์เอเชียเรียกเก็บค่า Processing Fee แยกจากค่าโดยสารเมื่อปี 2562 ทำให้จุดเด่นตรงนี้หายไป ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย ระบุว่ามีผลิตภัณฑ์ e-Money ในประเทศไทย 74 ผลิตภัณฑ์ แต่ที่มีลักษณะคล้ายกัน ได้แก่ ทรูมันนี่วอลเล็ต (TrueMoney Wallet) ดีพ พ็อกเก็ต (DeepPocket) เจ วอลเล็ต (J Wallet) ไว วอลเล็ต (Wi Wallet) เป๋าตังเปย์ (Paotang Pay) ยูทริป (YouTrip) พลาเน็ตเอสซีบี (Planet SCB) และกรุงศรีบอร์ดดิ้งการ์ด (Krungsri Boarding Card) เป็นต้น #Newskit #BigPay #เงินอิเล็กทรอนิกส์
    Like
    4
    0 Comments 1 Shares 528 Views 0 Reviews
  • XJ กลับดอนเมือง เหลือไฟล์ตกัวลาลัมเปอร์

    XJ คือรหัสเที่ยวบินของสายการบินไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ ซึ่งทำการบินที่สนามบินสุวรรณภูมิ สู่เส้นทางโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น และโซล ประเทศเกาหลีใต้ มาตั้งแต่ 1 มิถุนายน 2565 หลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย ล่าสุดประกาศว่า ย้ายทุกเที่ยวบินมาให้บริการที่สนามบินดอนเมือง 1 ตุลาคม 2567 ที่จะถึงนี้ ผู้โดยสารที่จองตั๋วไว้แล้วจะปรับเปลี่ยนเที่ยวบินโดยอัตโนมัติ

    เส้นทางที่จะเปลี่ยนแปลง เป็นรหัสเที่ยวบินขึ้นต้นด้วย XJ ทั้งหมด ได้แก่ เที่ยวบินตรงเข้าออกกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ โตเกียว โอซาก้า นาโกย่า ซัปโปโร ประเทศญี่ปุ่น เซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน และซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย

    เหตุผลที่ไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ ย้ายกลับจากสุวรรณภูมิมาดอนเมืองเพื่อลดต้นทุน เพราะรันเวย์และแท็กซี่เวย์ระยะสั้นกว่า และค่าบริการขึ้น-ลงอากาศยาน กับค่าบริการที่เก็บอากาศยานถูกกว่า รวมทั้งเชื่อมต่อผู้โดยสารกับสายการบินไทยแอร์เอเชีย ที่มีเส้นทางบินรวมกว่า 93 เส้นทาง หรือ 1,250 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ ช่วยให้มีผู้โดยสารระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น

    อย่างไรก็ตาม ยังคงมีเส้นทางสุวรรณภูมิ-กัวลาลัมเปอร์ ที่ดำเนินการโดย แอร์เอเชียเอ็กซ์ มาเลเซีย (รหัสเที่ยวบิน D7) ให้บริการที่สนามบินสุวรรณภูมิตามเดิม เช่นเดียวกับเที่ยวบิน FD เส้นทางจากสุวรรณภูมิ ไปเชียงใหม่ ภูเก็ต กระบี่ หาดใหญ่

    ปัจจุบัน สายการบินไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ ซึ่งคนละส่วนกับสายการบินไทยแอร์เอเชีย มีฝูงบินแอร์บัส เอ 330 รวม 8 ลำ และจะทยอยเพิ่มเป็น 11 ลำ ภายในสิ้นปี 2567 หลังจากนั้นวางแผนรับเครื่องบินเพิ่มปีละ 3-5 ลำ เพื่อเพิ่มความถี่เเละเปิดบินเส้นทางใหม่อย่างต่อเนื่อง

    #Newskit #AirasiaX #DMK
    XJ กลับดอนเมือง เหลือไฟล์ตกัวลาลัมเปอร์ XJ คือรหัสเที่ยวบินของสายการบินไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ ซึ่งทำการบินที่สนามบินสุวรรณภูมิ สู่เส้นทางโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น และโซล ประเทศเกาหลีใต้ มาตั้งแต่ 1 มิถุนายน 2565 หลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย ล่าสุดประกาศว่า ย้ายทุกเที่ยวบินมาให้บริการที่สนามบินดอนเมือง 1 ตุลาคม 2567 ที่จะถึงนี้ ผู้โดยสารที่จองตั๋วไว้แล้วจะปรับเปลี่ยนเที่ยวบินโดยอัตโนมัติ เส้นทางที่จะเปลี่ยนแปลง เป็นรหัสเที่ยวบินขึ้นต้นด้วย XJ ทั้งหมด ได้แก่ เที่ยวบินตรงเข้าออกกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ โตเกียว โอซาก้า นาโกย่า ซัปโปโร ประเทศญี่ปุ่น เซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน และซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย เหตุผลที่ไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ ย้ายกลับจากสุวรรณภูมิมาดอนเมืองเพื่อลดต้นทุน เพราะรันเวย์และแท็กซี่เวย์ระยะสั้นกว่า และค่าบริการขึ้น-ลงอากาศยาน กับค่าบริการที่เก็บอากาศยานถูกกว่า รวมทั้งเชื่อมต่อผู้โดยสารกับสายการบินไทยแอร์เอเชีย ที่มีเส้นทางบินรวมกว่า 93 เส้นทาง หรือ 1,250 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ ช่วยให้มีผู้โดยสารระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังคงมีเส้นทางสุวรรณภูมิ-กัวลาลัมเปอร์ ที่ดำเนินการโดย แอร์เอเชียเอ็กซ์ มาเลเซีย (รหัสเที่ยวบิน D7) ให้บริการที่สนามบินสุวรรณภูมิตามเดิม เช่นเดียวกับเที่ยวบิน FD เส้นทางจากสุวรรณภูมิ ไปเชียงใหม่ ภูเก็ต กระบี่ หาดใหญ่ ปัจจุบัน สายการบินไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ ซึ่งคนละส่วนกับสายการบินไทยแอร์เอเชีย มีฝูงบินแอร์บัส เอ 330 รวม 8 ลำ และจะทยอยเพิ่มเป็น 11 ลำ ภายในสิ้นปี 2567 หลังจากนั้นวางแผนรับเครื่องบินเพิ่มปีละ 3-5 ลำ เพื่อเพิ่มความถี่เเละเปิดบินเส้นทางใหม่อย่างต่อเนื่อง #Newskit #AirasiaX #DMK
    Like
    1
    0 Comments 1 Shares 525 Views 0 Reviews
  • ทุกวันศุกร์ รัฐบาลปีนังไร้เงินสด

    รัฐบาลปีนังรณรงค์วันไร้เงินสด โดยให้ประชาชนชำระเงินผ่านระบบชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ (อี-เพย์เมนต์) เมื่อทำธุรกรรมตามหน่วยงานของรัฐทุกวันศุกร์ เป็นเวลา 3 เดือน ตั้งแต่เดือนสิงหาคม ถึงตุลาคม 2567 เพื่อส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านธุรกรรมการเงิน จากเงินสดไปยังระบบอี-เพย์เมนต์ เพิ่มการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาล และกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐปีนังโดยรวม

    โดยทุกวันศุกร์ ประชาชนที่ติดต่อธุรกรรมผ่านเคาน์เตอร์ ในสำนักงานของหน่วยงานของรัฐปีนัง จะต้องขำระเงินผ่านระบบอี-เพย์เมนต์เท่านั้น ได้แก่ อี-วอลเล็ต DuitNow QR แอปพลิเคชันธนาคาร บัตรเครดิต บัตรเดบิต รวมทั้งสามารถชำระเงินผ่านเครื่องคีออส และเว็บไซต์ที่เชื่อมกับระบบของรัฐ เช่น e-Bayar Aspire MBSPPay Cyber ​​Counter และอื่นๆ

    พร้อมกันนี้ บริษัทเพย์เน็ต (PayNet) ผู้ให้บริการเครือข่ายการชำระเงินในมาเลเซีย ได้มอบเงิน 500,000 ริงกิต (ประมาณ 3.85 ล้านบาท) แก่รัฐบาลปีนัง เพื่อนำไปจัดสรรเงินรางวัลให้กับแผนกของรัฐบาลปีนัง ที่มีธุรกรรมการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์มากที่สุด เพื่อจูงใจให้ทุกหน่วยงานและตัวแทนของรัฐ รณรงค์ให้ประชาชนชำระเงินในหน่วยงานของตนผ่านระบบอี-เพย์เมนต์

    ก่อนหน้านี้ รัฐบาลปีนังได้รับการยอมรับให้เป็นรัฐไร้เงินสดของมาเลเซียในปี 2567 หลังจากประสบความสำเร็จในการทำธุรกรรมผ่านระบบดิจิทัลมากกว่า 95% โดยตั้งแต่เดือนมกราคม ถึงพฤษภาคม 2567 จัดเก็บรายได้ผ่านระบบอี-เพย์เมนต์ทั้งหมด 5.49 ล้านรายการ คิดเป็น 95.31% ของธุรกรรมทั้งหมด

    ทั้งนี้ กระทรวงการคลังของรัฐบาลกลางมาเลเซีย และเพย์เน็ตกำหนดไว้ว่า แต่ละรัฐจะต้องมีอัตราการทำธุรกรรมดิจิทัลมากกว่า 95% ขึ้นไป จึงจะได้รับการยอมรับว่าเป็นรัฐไร้เงินสด

    #Newskit #Penang #CashlessSociety
    ทุกวันศุกร์ รัฐบาลปีนังไร้เงินสด รัฐบาลปีนังรณรงค์วันไร้เงินสด โดยให้ประชาชนชำระเงินผ่านระบบชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ (อี-เพย์เมนต์) เมื่อทำธุรกรรมตามหน่วยงานของรัฐทุกวันศุกร์ เป็นเวลา 3 เดือน ตั้งแต่เดือนสิงหาคม ถึงตุลาคม 2567 เพื่อส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านธุรกรรมการเงิน จากเงินสดไปยังระบบอี-เพย์เมนต์ เพิ่มการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาล และกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐปีนังโดยรวม โดยทุกวันศุกร์ ประชาชนที่ติดต่อธุรกรรมผ่านเคาน์เตอร์ ในสำนักงานของหน่วยงานของรัฐปีนัง จะต้องขำระเงินผ่านระบบอี-เพย์เมนต์เท่านั้น ได้แก่ อี-วอลเล็ต DuitNow QR แอปพลิเคชันธนาคาร บัตรเครดิต บัตรเดบิต รวมทั้งสามารถชำระเงินผ่านเครื่องคีออส และเว็บไซต์ที่เชื่อมกับระบบของรัฐ เช่น e-Bayar Aspire MBSPPay Cyber ​​Counter และอื่นๆ พร้อมกันนี้ บริษัทเพย์เน็ต (PayNet) ผู้ให้บริการเครือข่ายการชำระเงินในมาเลเซีย ได้มอบเงิน 500,000 ริงกิต (ประมาณ 3.85 ล้านบาท) แก่รัฐบาลปีนัง เพื่อนำไปจัดสรรเงินรางวัลให้กับแผนกของรัฐบาลปีนัง ที่มีธุรกรรมการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์มากที่สุด เพื่อจูงใจให้ทุกหน่วยงานและตัวแทนของรัฐ รณรงค์ให้ประชาชนชำระเงินในหน่วยงานของตนผ่านระบบอี-เพย์เมนต์ ก่อนหน้านี้ รัฐบาลปีนังได้รับการยอมรับให้เป็นรัฐไร้เงินสดของมาเลเซียในปี 2567 หลังจากประสบความสำเร็จในการทำธุรกรรมผ่านระบบดิจิทัลมากกว่า 95% โดยตั้งแต่เดือนมกราคม ถึงพฤษภาคม 2567 จัดเก็บรายได้ผ่านระบบอี-เพย์เมนต์ทั้งหมด 5.49 ล้านรายการ คิดเป็น 95.31% ของธุรกรรมทั้งหมด ทั้งนี้ กระทรวงการคลังของรัฐบาลกลางมาเลเซีย และเพย์เน็ตกำหนดไว้ว่า แต่ละรัฐจะต้องมีอัตราการทำธุรกรรมดิจิทัลมากกว่า 95% ขึ้นไป จึงจะได้รับการยอมรับว่าเป็นรัฐไร้เงินสด #Newskit #Penang #CashlessSociety
    Like
    1
    0 Comments 1 Shares 424 Views 0 Reviews