• ทรัมป์จะใช้นโยบาย America First หรือ Israel First : คนเคาะข่าว 12-11-67
    : ทนง ขันทอง ผู้เชี่ยวชาญข่าวต่างประเทศ
    : นงวดี ถนิมมาลย์ ดำเนินรายการ
    ทรัมป์จะใช้นโยบาย America First หรือ Israel First : คนเคาะข่าว 12-11-67 : ทนง ขันทอง ผู้เชี่ยวชาญข่าวต่างประเทศ : นงวดี ถนิมมาลย์ ดำเนินรายการ
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 562 มุมมอง 42 1 รีวิว
  • เรื่องของท้าวศรีสุดาจันทร์เป็นตอนหนึ่งในประวัติศาสตร์ที่ถูกทำเป็น 'วัฒนธรรมป๊อป' มากที่สุดตอนหนึ่ง มีทั้งนิยาย ภาพยนต์ และล่าสุดคือละครหรือซีรีส์

    อาจเป็นเพราะเรื่องของท้าวศรีสุดาจันทร์ให้อารมณ์หวาบหวิวจากการแอบลอบคบชู้กับพันบุตรศรีเทพ (ขุนวรวงศาธิราช) ทำให้มีการขยายความตอนนี้เป็นพิเศษ ทั้งๆ ประวัติศาสตร์ก็ไม่ได้บอกอะไรมากนักเรื่องนี้เพียง

    ในเวลาต่อมาคอนเทนท์บันเทิงบางยุคเริ่มมีการใช้คำว่า 'แม่หยัว' เรียกท้าวศรีสุดาจันทร์ ทำให้คนเข้าใจผิดไม่น้อยว่า 'แม่หยัว' น่าจะหมายถึงอาการยั่วยวนเรื่องกามราคะ แต่ความจริง 'แม่หยัว' หมายถึง 'แม่อยู่หัว' ที่หมายถึงมเหสีของพระเจ้าแผ่นดิน

    คำว่าแม่อยู่หัวนั้นในบันทึกโบราณเรียกเพี้ยนเป็น แม่อยัว แม่หญัว แม่อยั่ว ฯลฯ แต่พอตอนนี้ของประวัติศาสตร์ถูกวัฒนธรรมป๊อปปั้นภาพลักษณ์ยั่วยวนของท้าวศรีสุดาจันทร์ขึ้นมา ทำให้คนเข้าใจคำว่า 'แม่หยัว' ผิดไป

    แต่นั้นมาคำว่า 'แม่หยัว' ก็กลายเป็นเครื่องหมายการค้าของเรื่องท้าวศรีสุดาจันทร์ เพียงแต่มันเกิดจากภาพจำผิดๆ ที่ 'นิยายอิงประวัติศาสตร์' สร้างขึ้นมา

    ย้ำอีกครั้งว่าเรื่องท้าวศรีสุดาจันทร์นั้นมีเนื้อหาไม่มากนักในทางประวัติศาสตร์ ดังนั้นถ้าจะทำเป็นคอนเทนต์บันเทิง จึงหลีกกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้อง "มโนเอาเอง" กันบ้าง เรื่องนี้เกิดขึ้นกับการสร้างคอนเทนต์บันเทิงกับบุคคลทางประวัติศาสตร์บางคนด้วย

    ที่เขียนมาทั้งหมดนี้เพื่อจะเท้าความ 'กรณีพิพาท' ระหว่างที่คนคิดว่าการทำละครอิงประวัติศาสตร์แบบเรื่อง 'แม่หยัว' ไม่เห็นจะต้องทำให้ตรงประวัติศาสตร์เป๊ะๆ กับฝ่ายที่ย้ำว่าไม่ควรที่จะมโนกันเกินไป

    ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่าการทำ Historical fiction เป็นสิ่งที่ทำให้ผู้คนถกเถียงกันมาโดยตลอดว่า มันมี "ความถูกต้องตามประวัติศาสตร์" (Historically Accurate) แค่ไหน? เพราะนิยายอิงประวัติศาสตร์จะต้องอาศัยการมโนในสัดส่วนที่มากพอสมควร เพื่อปลุกเร้าอารมณ์ผู้เสพ

    ในกรณีของแม่หยัว อย่าไปถามเรื่อง "ความถูกต้องตามประวัติศาสตร์" เพราะเนื้อหาในประวัติศาสตร์มีนิดเดียว ดังนั้นจึงมีพื้นที่ให้จินตนาการได้มากมาย

    แต่การมโนก็ต้องดูสภาพแวดล้อมของทางประวัติศาสตร์ด้วย ไม่อย่างนั้นมันจะไม่เนียน เช่น ท้างศรีสุดาจันทร์เป็นเหตุการณ์สมัยอยุธยาตอนกลาง แต่ถ้าไปจับแม่อยู่หัวไปสวมมงกุฏสมัยละโว้มันก็หาได้เนียนไม่ เพราะเมื่อถึงยุค 'แม่หยัว' เขาเลิกใส่เครื่องหัวแบบนั้นกันแล้ว แล้วยังมีกฎมณเฑียรบาลที่ตราไว้ในสมัยอยุธยาตอนนั้นระบุการแต่งกายของแม่อยู่หัวเอาไว้แล้ว และยังมีภาพเขียนในสมุดภาพไตรภูมิสมัยอยุธยา (ที่ผมเชื่อว่าคัดมาจากต้นฉบับสมัยอยุธยาตอนต้น) ชี้ทางเอาไว้แล้วว่าสตรีชั้นสูงยุคนั้นแต่งตัวอย่างไร

    ความไม่เนียนแบบนี้เองที่จะทำให้ Historical fiction กลายเป็น Historical fantasy ซึ่งมีความเป็นประวัติศาสตร์อย่างเดียวคือฉากย้อนยุค ส่วนเรื่องอื่นๆ มโนตามใจฉัน

    แต่ในเมืองไทยเรื่องความเนียนไม่เนียนทางประวัติศาสตร์ยังไม่เรื่องใหญ่ระดับชาติ เพราะประวัติศาสร์บ้านเรากระท่อนกระแท่นและคนไทยแคร์ประวัติศาสตร์มากเท่ากับคนในประเทศเอเชียตะวันออก เช่น จีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น ประเทศพวกนี้นอกจากต้องทำละครให้เนียนแบบ Historically Accurate แล้ว ยังต้องทำให้ถูกต้องในแบบ Politically correct ด้วย

    ผมจะยกตัวอย่างการสังเกตส่วนตัวจากกรณีของเกาหลีใต้ที่สร้างซีรีส์ย้อนยุคอยู่บ่อยๆ และมักเกิดกรณี "ซีรีส์เรื่องนี้บิดเบือนประวัติศาสตร์"

    ตัวอย่างเช่นซีรีส์เรื่อง Queen Seondeok ในปี 2009 ซึ่งสร้างจากยุคที่บันทึกประวัติศาสตร์ไม่ละเอียดมากนัก แต่สามารถยืดออกได้มากถึง 62 ตอน ในแง่ของความถูกต้องทางประวัติศาสตร์มีน้อย แถมคอสตูมยังไม่ถูกต้อง เรื่องนี้ถูกตำหนิในเกาหลีว่า "มโนประวัติศาสตร์" มากเกินไป และยังอ้างบันทึกประวัติศาสตร์ที่ถูกกล่าวหาว่าถูกปลอมขึ้นมา

    Queen Seondeok ถูกผู้มีความรู้ทางประวัติศาสตร์ตำหนิอย่างมาก เพราะแม้ว่าบันทึกสมัยชิลลาจะมีไม่มาก แต่มันก็เป็นบันทึกที่เที่ยงแท้ในทางประวัติศาสร์ การจะบิดเบือนความสัมพันธ์ของ 'ตัวละคร' หรือพฤติกรรมที่ถูกบันทึกไว้จริงๆ จึงไม่ควรจะเกิดขึ้น แต่มันก็เกิดขึ้น ความจริงแล้ว Queen Seondeok ควรจะเดินตามเส้นตรงของประวัติศาสตร์ เพราะโอกาสที่จะออกนอกประวัติศาสตร์มีแต่บทสนทนาเท่านั้น

    โปรดสังเกตว่าเรื่องนี้สร้างก่อนยุคโซเชียลจะแพร่หลาย

    พอโซเชียลมีเดียทรงพลังขึ้นมา การโจมตีซีรีส์อิงประวัติศาสตร์เริ่มจะสะเปะสะปะขึ้นทุกวัน เพราะแทนที่จะโจมตีความถูกต้อง กลับไปโจมตีเรื่องการเมือง

    ตัวอย่างเช่น Joseon Exorcist เมื่อปี 2021 ที่ฉายได้แค่ 2 ตอนก็แท้งซะก่อน เพราะถูกตำหนิว่าใช้ฉากประกอบที่อ้างว่าไม่ตรงกับความจริงทางประวัติศาสตร์ เช่น ใช้ อุปกรณ์ของจีนในเกาหลีโบราณ

    ในปี 2022 เกิดกรณี Under the Queen's Umbrella ถูกตำหนิว่า บิดเบือนประวัติศาสตร์ เพราะใช้ตัวอักษรจีนแบบตัวย่อ (ที่เพิ่งประดิษฐ์ขึ้นในยุคสมัยใหม่ ส่วนเกาหลีใช้อักษรจีนตัวเต็ม)

    ในปี 2024 มีกรณี Queen Woo ถูกตำหนิว่าเครื่องแต่งกายของตัวละครมีความเป็นจีนมากเกินไป ไม่น่าจะสอดคล้องกับคนเกาหลีในยุคโคกูรยอ (ทั้งที่โคกูรยอก็รับวัฒนธรรมจากจีน)

    กรณีเหล่านี้มีอะไรเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง คือ 'กระแสต่อต้านจีน' ในเกาหลีใต้ ทั้งๆ ที่เกาหลีเป็นเขตอิทธิพลของวัฒนธรรมจีนมาแต่โบราณ แค่เรื่องนี้เป็น 'อคติ' ของผู้ชมเกาหลีใต้เองที่เกลียด เหยียด และกลัวจีนมากขึ้น

    แต่ในแง่เนื้อหาทางประวัติศาสตร์ กรณีพวกนี้เหมือนกันอย่างหนึ่ง คือ เกิดขึ้นในยุคโชซอน ซึ่งมีการบันทึกประวัติศาสตร์ทางการอย่างละเอียด กระทั่งบันทึกไว้ว่ากษัตริย์ตรัสถ้อยคำไว้อย่างไร

    ในยุคสมัยที่บันทึกละเอียดแบบนี้การมโนจึงทำไม่ได้ เพราะไม่มีพื้นที่ว่างให้จินตนาการได้อีก ตรงกันข้ามกับเรื่อง Queen Woo ซึ่งเกิดในยุคโคกูรยอ ซึ่งมีประวัติศาสตร์บันทึกกระท่อนกระแท่นเหมือนประวัติศาสตร์ไทย ดังนั้นจึงมีพื้นที่ให้มโนได้มากตามใจปรารถนา

    แต่ถึงจะมโนได้มาก แต่อารมณ์ชาตินิยมที่รุนแรงในเกาหลีใต้ไม่อนุญาตให้มโนได้ตามใจชอบอีก ไม่ใช่เพราะผู้สร้างบิดเบือนประวัติศาสตร์ แต่ทำงานออกมาไม่ถูกใจพวกชาตินิยมสุดโต่งต่างหาก

    ดังนั้น ในโลกของนิยายอิงประวัติศาสตร์ จึงไม่มีคำว่าถูกต้องเป๊ะๆ ยิ่งในปัจจุบันมีแต่คำว่า "ถูกใจคนดูหรือไม่" โดยที่ความถูกใจของคนดูไม่ใช่ถูกใจเพราะดาราแสดงดี หรือเครื่องแต่งกายสวย แต่ยังต้องคล้องจองกับ 'วาระทางการเมือง' ของคนดูด้วย

    ยกตัวอย่างจีน ซึ่งบางคนยังเชื่อว่าจีนทำซีรีส์พีเรียดมากมายเพราะอนุญาตให้มโนได้ ซึ่งเป็นความเข้าใจผิด

    สังคมจีนและสถาบันรัฐจีน (ที่ชาตินิยมขึ้นทุกวัน) ไม่ได้อนุญาตให้มโนประวัติศาสตร์ได้ สิ่งที่คนไทยเห็นว่าจีนจินตนาการประวัติศาสตร์นั้น คือ สิ่งที่เรียกว่า Historical fantasy คือใช้ฉากย้อนยุคที่กำกวม ใช้คอสตูมที่อาจจะอยู่ในยุคที่คาดเดาได้ แต่ไม่มีเหตุการณ์นั้นจริงๆ เช่นเรื่อง Nirvana In Fire เมื่อปี 2015 ที่ทำให้เชื่อว่าอยู่ในยุคหนานเป่ยเฉา แต่เอาจริงๆ มันไม่มีสถานการณ์จริงและตัวบุคคลจริงอยู่เลย

    หากมีซีรีส์ที่ทำเนื้อหาจริงๆ ทางประวัติศาสตร์ หากเลินเล่อเกินไปก็จะถูกโจมตีอย่างหนัก เช่น Legend of Miyue ที่อิงประวัติศาสตร์ยุคจ้านกั๋ว แต่ถูกวิจารณ์เรื่องข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ เรื่องนี้มีความเห็นที่น่าสนใจจาก หลีเสี่ยวเหว่ย บรรณาธิการบริหารของ "จงกั๋วชิงเหนียนหว่าง" (中国青年网) ของทางการจีน ตอนที่ซีรีส์เรื่องนี้ถูกตำหนิ เขากล่าวว่า

    "จักรพรรดินีองค์แรกของจีนในเรื่อง "Legend of Miyue" ซีรีส์ทางทีวีใช้ตัวละครและเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่ถูกต้อง แต่ไม่ได้ติดตามข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์พื้นฐาน และถึงกับแต่งเรื่องขึ้นมาด้วยซ้ำ ปรากฏการณ์นี้ช่างน่าเป็นห่วง ประการแรก มันจะนำพาผู้คนให้เข้าใจผิดเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และก่อให้เกิดข่าวลือ ประการที่สอง นี่คือทิศทางที่ผิดปกติของการพัฒนาละครประวัติศาสตร์ ซึ่งจะนำไปสู่ความเสื่อมถอยของละครประวัติศาสตร์ในที่สุด"

    ในเรื่องนี้ทางเกาหลีก็เห็นด้วยกับจีน

    จากกรณีของ Queen Seondeok อีจองโฮ ผู้สื่อข่าวของ "ยอนเซ ชุนชู" (연세춘추) สื่อของมหาวิทยาลัยยอนเซ ถึงกับบอกว่า "Queen Seondeok คือเรื่องโกหก" และได้สัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญซึ่งชี้แนะว่า"ตามที่ศาสตราจารย์ ชาฮเยวอน (ภาควิชาศิลปศาสตร์ ประวัติศาสตร์ราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิงของจีน) กล่าวไว้ ละครประวัติศาสตร์จีนมักจะมีความเที่ยงตรงต่อข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ซึ่งแตกต่างจากละครประวัติศาสตร์เกาหลี ความจริงของละครประวัติศาสตร์เกาหลีคือความจริงทางประวัติศาสตร์ถูกละเลยเพื่อความบันเทิงและเรตติ้งผู้ชม เพื่อแก้ปัญหานี้ จำเป็นต้องมีการไตร่ตรองภายในอุตสาหกรรมการออกอากาศ"

    แม้ว่าประเทศไทยจะมีประวัติศาสตร์ที่เบาบางต่างจากจีนและเกาหลี แต่เราสามารถใช้มาตรฐานแบบนี้ได้เหมือนกัน สิ่งที่ต้องเป๊ะคือแกนหลักในประวัติศาสตร์ อย่าตีความมากเกินไปเพราะต้องเคารพ "ผู้ที่ตายไปแล้วซึ่งไม่มีโอกาสร้องอุทรณ์แก้ต่างให้ตัวเอง" ด้วย ส่วนสิ่งที่จินตนาการได้ก็ควรทำให้ตรงกับบริบทแวดล้อมของยุคนั้น

    หากทำเอาสนุกอย่างเดียว ก็ "จะนำไปสู่ความเสื่อมถอยของละครประวัติศาสตร์ในที่สุด"

    บทความทัศนะโดย กรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการบริหาร และบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ The Better
    ภาพโปสเตอร์โปรโมทซีรีส์เรื่อง แม่หยัว และ Queen Seondeok

    ที่มา https://www.thebetter.co.th/news/world/23351?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTEAAR3w6ch-KVjjFiWzTmp8gh2-HSMqAh7UX0lxC3jm2_5RD0J97vIDxYCrljo_aem_wMoYw4S-NqnmnAfELQfeSA

    #Thaitimes
    เรื่องของท้าวศรีสุดาจันทร์เป็นตอนหนึ่งในประวัติศาสตร์ที่ถูกทำเป็น 'วัฒนธรรมป๊อป' มากที่สุดตอนหนึ่ง มีทั้งนิยาย ภาพยนต์ และล่าสุดคือละครหรือซีรีส์ อาจเป็นเพราะเรื่องของท้าวศรีสุดาจันทร์ให้อารมณ์หวาบหวิวจากการแอบลอบคบชู้กับพันบุตรศรีเทพ (ขุนวรวงศาธิราช) ทำให้มีการขยายความตอนนี้เป็นพิเศษ ทั้งๆ ประวัติศาสตร์ก็ไม่ได้บอกอะไรมากนักเรื่องนี้เพียง ในเวลาต่อมาคอนเทนท์บันเทิงบางยุคเริ่มมีการใช้คำว่า 'แม่หยัว' เรียกท้าวศรีสุดาจันทร์ ทำให้คนเข้าใจผิดไม่น้อยว่า 'แม่หยัว' น่าจะหมายถึงอาการยั่วยวนเรื่องกามราคะ แต่ความจริง 'แม่หยัว' หมายถึง 'แม่อยู่หัว' ที่หมายถึงมเหสีของพระเจ้าแผ่นดิน คำว่าแม่อยู่หัวนั้นในบันทึกโบราณเรียกเพี้ยนเป็น แม่อยัว แม่หญัว แม่อยั่ว ฯลฯ แต่พอตอนนี้ของประวัติศาสตร์ถูกวัฒนธรรมป๊อปปั้นภาพลักษณ์ยั่วยวนของท้าวศรีสุดาจันทร์ขึ้นมา ทำให้คนเข้าใจคำว่า 'แม่หยัว' ผิดไป แต่นั้นมาคำว่า 'แม่หยัว' ก็กลายเป็นเครื่องหมายการค้าของเรื่องท้าวศรีสุดาจันทร์ เพียงแต่มันเกิดจากภาพจำผิดๆ ที่ 'นิยายอิงประวัติศาสตร์' สร้างขึ้นมา ย้ำอีกครั้งว่าเรื่องท้าวศรีสุดาจันทร์นั้นมีเนื้อหาไม่มากนักในทางประวัติศาสตร์ ดังนั้นถ้าจะทำเป็นคอนเทนต์บันเทิง จึงหลีกกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้อง "มโนเอาเอง" กันบ้าง เรื่องนี้เกิดขึ้นกับการสร้างคอนเทนต์บันเทิงกับบุคคลทางประวัติศาสตร์บางคนด้วย ที่เขียนมาทั้งหมดนี้เพื่อจะเท้าความ 'กรณีพิพาท' ระหว่างที่คนคิดว่าการทำละครอิงประวัติศาสตร์แบบเรื่อง 'แม่หยัว' ไม่เห็นจะต้องทำให้ตรงประวัติศาสตร์เป๊ะๆ กับฝ่ายที่ย้ำว่าไม่ควรที่จะมโนกันเกินไป ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่าการทำ Historical fiction เป็นสิ่งที่ทำให้ผู้คนถกเถียงกันมาโดยตลอดว่า มันมี "ความถูกต้องตามประวัติศาสตร์" (Historically Accurate) แค่ไหน? เพราะนิยายอิงประวัติศาสตร์จะต้องอาศัยการมโนในสัดส่วนที่มากพอสมควร เพื่อปลุกเร้าอารมณ์ผู้เสพ ในกรณีของแม่หยัว อย่าไปถามเรื่อง "ความถูกต้องตามประวัติศาสตร์" เพราะเนื้อหาในประวัติศาสตร์มีนิดเดียว ดังนั้นจึงมีพื้นที่ให้จินตนาการได้มากมาย แต่การมโนก็ต้องดูสภาพแวดล้อมของทางประวัติศาสตร์ด้วย ไม่อย่างนั้นมันจะไม่เนียน เช่น ท้างศรีสุดาจันทร์เป็นเหตุการณ์สมัยอยุธยาตอนกลาง แต่ถ้าไปจับแม่อยู่หัวไปสวมมงกุฏสมัยละโว้มันก็หาได้เนียนไม่ เพราะเมื่อถึงยุค 'แม่หยัว' เขาเลิกใส่เครื่องหัวแบบนั้นกันแล้ว แล้วยังมีกฎมณเฑียรบาลที่ตราไว้ในสมัยอยุธยาตอนนั้นระบุการแต่งกายของแม่อยู่หัวเอาไว้แล้ว และยังมีภาพเขียนในสมุดภาพไตรภูมิสมัยอยุธยา (ที่ผมเชื่อว่าคัดมาจากต้นฉบับสมัยอยุธยาตอนต้น) ชี้ทางเอาไว้แล้วว่าสตรีชั้นสูงยุคนั้นแต่งตัวอย่างไร ความไม่เนียนแบบนี้เองที่จะทำให้ Historical fiction กลายเป็น Historical fantasy ซึ่งมีความเป็นประวัติศาสตร์อย่างเดียวคือฉากย้อนยุค ส่วนเรื่องอื่นๆ มโนตามใจฉัน แต่ในเมืองไทยเรื่องความเนียนไม่เนียนทางประวัติศาสตร์ยังไม่เรื่องใหญ่ระดับชาติ เพราะประวัติศาสร์บ้านเรากระท่อนกระแท่นและคนไทยแคร์ประวัติศาสตร์มากเท่ากับคนในประเทศเอเชียตะวันออก เช่น จีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น ประเทศพวกนี้นอกจากต้องทำละครให้เนียนแบบ Historically Accurate แล้ว ยังต้องทำให้ถูกต้องในแบบ Politically correct ด้วย ผมจะยกตัวอย่างการสังเกตส่วนตัวจากกรณีของเกาหลีใต้ที่สร้างซีรีส์ย้อนยุคอยู่บ่อยๆ และมักเกิดกรณี "ซีรีส์เรื่องนี้บิดเบือนประวัติศาสตร์" ตัวอย่างเช่นซีรีส์เรื่อง Queen Seondeok ในปี 2009 ซึ่งสร้างจากยุคที่บันทึกประวัติศาสตร์ไม่ละเอียดมากนัก แต่สามารถยืดออกได้มากถึง 62 ตอน ในแง่ของความถูกต้องทางประวัติศาสตร์มีน้อย แถมคอสตูมยังไม่ถูกต้อง เรื่องนี้ถูกตำหนิในเกาหลีว่า "มโนประวัติศาสตร์" มากเกินไป และยังอ้างบันทึกประวัติศาสตร์ที่ถูกกล่าวหาว่าถูกปลอมขึ้นมา Queen Seondeok ถูกผู้มีความรู้ทางประวัติศาสตร์ตำหนิอย่างมาก เพราะแม้ว่าบันทึกสมัยชิลลาจะมีไม่มาก แต่มันก็เป็นบันทึกที่เที่ยงแท้ในทางประวัติศาสร์ การจะบิดเบือนความสัมพันธ์ของ 'ตัวละคร' หรือพฤติกรรมที่ถูกบันทึกไว้จริงๆ จึงไม่ควรจะเกิดขึ้น แต่มันก็เกิดขึ้น ความจริงแล้ว Queen Seondeok ควรจะเดินตามเส้นตรงของประวัติศาสตร์ เพราะโอกาสที่จะออกนอกประวัติศาสตร์มีแต่บทสนทนาเท่านั้น โปรดสังเกตว่าเรื่องนี้สร้างก่อนยุคโซเชียลจะแพร่หลาย พอโซเชียลมีเดียทรงพลังขึ้นมา การโจมตีซีรีส์อิงประวัติศาสตร์เริ่มจะสะเปะสะปะขึ้นทุกวัน เพราะแทนที่จะโจมตีความถูกต้อง กลับไปโจมตีเรื่องการเมือง ตัวอย่างเช่น Joseon Exorcist เมื่อปี 2021 ที่ฉายได้แค่ 2 ตอนก็แท้งซะก่อน เพราะถูกตำหนิว่าใช้ฉากประกอบที่อ้างว่าไม่ตรงกับความจริงทางประวัติศาสตร์ เช่น ใช้ อุปกรณ์ของจีนในเกาหลีโบราณ ในปี 2022 เกิดกรณี Under the Queen's Umbrella ถูกตำหนิว่า บิดเบือนประวัติศาสตร์ เพราะใช้ตัวอักษรจีนแบบตัวย่อ (ที่เพิ่งประดิษฐ์ขึ้นในยุคสมัยใหม่ ส่วนเกาหลีใช้อักษรจีนตัวเต็ม) ในปี 2024 มีกรณี Queen Woo ถูกตำหนิว่าเครื่องแต่งกายของตัวละครมีความเป็นจีนมากเกินไป ไม่น่าจะสอดคล้องกับคนเกาหลีในยุคโคกูรยอ (ทั้งที่โคกูรยอก็รับวัฒนธรรมจากจีน) กรณีเหล่านี้มีอะไรเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง คือ 'กระแสต่อต้านจีน' ในเกาหลีใต้ ทั้งๆ ที่เกาหลีเป็นเขตอิทธิพลของวัฒนธรรมจีนมาแต่โบราณ แค่เรื่องนี้เป็น 'อคติ' ของผู้ชมเกาหลีใต้เองที่เกลียด เหยียด และกลัวจีนมากขึ้น แต่ในแง่เนื้อหาทางประวัติศาสตร์ กรณีพวกนี้เหมือนกันอย่างหนึ่ง คือ เกิดขึ้นในยุคโชซอน ซึ่งมีการบันทึกประวัติศาสตร์ทางการอย่างละเอียด กระทั่งบันทึกไว้ว่ากษัตริย์ตรัสถ้อยคำไว้อย่างไร ในยุคสมัยที่บันทึกละเอียดแบบนี้การมโนจึงทำไม่ได้ เพราะไม่มีพื้นที่ว่างให้จินตนาการได้อีก ตรงกันข้ามกับเรื่อง Queen Woo ซึ่งเกิดในยุคโคกูรยอ ซึ่งมีประวัติศาสตร์บันทึกกระท่อนกระแท่นเหมือนประวัติศาสตร์ไทย ดังนั้นจึงมีพื้นที่ให้มโนได้มากตามใจปรารถนา แต่ถึงจะมโนได้มาก แต่อารมณ์ชาตินิยมที่รุนแรงในเกาหลีใต้ไม่อนุญาตให้มโนได้ตามใจชอบอีก ไม่ใช่เพราะผู้สร้างบิดเบือนประวัติศาสตร์ แต่ทำงานออกมาไม่ถูกใจพวกชาตินิยมสุดโต่งต่างหาก ดังนั้น ในโลกของนิยายอิงประวัติศาสตร์ จึงไม่มีคำว่าถูกต้องเป๊ะๆ ยิ่งในปัจจุบันมีแต่คำว่า "ถูกใจคนดูหรือไม่" โดยที่ความถูกใจของคนดูไม่ใช่ถูกใจเพราะดาราแสดงดี หรือเครื่องแต่งกายสวย แต่ยังต้องคล้องจองกับ 'วาระทางการเมือง' ของคนดูด้วย ยกตัวอย่างจีน ซึ่งบางคนยังเชื่อว่าจีนทำซีรีส์พีเรียดมากมายเพราะอนุญาตให้มโนได้ ซึ่งเป็นความเข้าใจผิด สังคมจีนและสถาบันรัฐจีน (ที่ชาตินิยมขึ้นทุกวัน) ไม่ได้อนุญาตให้มโนประวัติศาสตร์ได้ สิ่งที่คนไทยเห็นว่าจีนจินตนาการประวัติศาสตร์นั้น คือ สิ่งที่เรียกว่า Historical fantasy คือใช้ฉากย้อนยุคที่กำกวม ใช้คอสตูมที่อาจจะอยู่ในยุคที่คาดเดาได้ แต่ไม่มีเหตุการณ์นั้นจริงๆ เช่นเรื่อง Nirvana In Fire เมื่อปี 2015 ที่ทำให้เชื่อว่าอยู่ในยุคหนานเป่ยเฉา แต่เอาจริงๆ มันไม่มีสถานการณ์จริงและตัวบุคคลจริงอยู่เลย หากมีซีรีส์ที่ทำเนื้อหาจริงๆ ทางประวัติศาสตร์ หากเลินเล่อเกินไปก็จะถูกโจมตีอย่างหนัก เช่น Legend of Miyue ที่อิงประวัติศาสตร์ยุคจ้านกั๋ว แต่ถูกวิจารณ์เรื่องข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ เรื่องนี้มีความเห็นที่น่าสนใจจาก หลีเสี่ยวเหว่ย บรรณาธิการบริหารของ "จงกั๋วชิงเหนียนหว่าง" (中国青年网) ของทางการจีน ตอนที่ซีรีส์เรื่องนี้ถูกตำหนิ เขากล่าวว่า "จักรพรรดินีองค์แรกของจีนในเรื่อง "Legend of Miyue" ซีรีส์ทางทีวีใช้ตัวละครและเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่ถูกต้อง แต่ไม่ได้ติดตามข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์พื้นฐาน และถึงกับแต่งเรื่องขึ้นมาด้วยซ้ำ ปรากฏการณ์นี้ช่างน่าเป็นห่วง ประการแรก มันจะนำพาผู้คนให้เข้าใจผิดเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และก่อให้เกิดข่าวลือ ประการที่สอง นี่คือทิศทางที่ผิดปกติของการพัฒนาละครประวัติศาสตร์ ซึ่งจะนำไปสู่ความเสื่อมถอยของละครประวัติศาสตร์ในที่สุด" ในเรื่องนี้ทางเกาหลีก็เห็นด้วยกับจีน จากกรณีของ Queen Seondeok อีจองโฮ ผู้สื่อข่าวของ "ยอนเซ ชุนชู" (연세춘추) สื่อของมหาวิทยาลัยยอนเซ ถึงกับบอกว่า "Queen Seondeok คือเรื่องโกหก" และได้สัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญซึ่งชี้แนะว่า"ตามที่ศาสตราจารย์ ชาฮเยวอน (ภาควิชาศิลปศาสตร์ ประวัติศาสตร์ราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิงของจีน) กล่าวไว้ ละครประวัติศาสตร์จีนมักจะมีความเที่ยงตรงต่อข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ซึ่งแตกต่างจากละครประวัติศาสตร์เกาหลี ความจริงของละครประวัติศาสตร์เกาหลีคือความจริงทางประวัติศาสตร์ถูกละเลยเพื่อความบันเทิงและเรตติ้งผู้ชม เพื่อแก้ปัญหานี้ จำเป็นต้องมีการไตร่ตรองภายในอุตสาหกรรมการออกอากาศ" แม้ว่าประเทศไทยจะมีประวัติศาสตร์ที่เบาบางต่างจากจีนและเกาหลี แต่เราสามารถใช้มาตรฐานแบบนี้ได้เหมือนกัน สิ่งที่ต้องเป๊ะคือแกนหลักในประวัติศาสตร์ อย่าตีความมากเกินไปเพราะต้องเคารพ "ผู้ที่ตายไปแล้วซึ่งไม่มีโอกาสร้องอุทรณ์แก้ต่างให้ตัวเอง" ด้วย ส่วนสิ่งที่จินตนาการได้ก็ควรทำให้ตรงกับบริบทแวดล้อมของยุคนั้น หากทำเอาสนุกอย่างเดียว ก็ "จะนำไปสู่ความเสื่อมถอยของละครประวัติศาสตร์ในที่สุด" บทความทัศนะโดย กรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการบริหาร และบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ The Better ภาพโปสเตอร์โปรโมทซีรีส์เรื่อง แม่หยัว และ Queen Seondeok ที่มา https://www.thebetter.co.th/news/world/23351?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTEAAR3w6ch-KVjjFiWzTmp8gh2-HSMqAh7UX0lxC3jm2_5RD0J97vIDxYCrljo_aem_wMoYw4S-NqnmnAfELQfeSA #Thaitimes
    WWW.THEBETTER.CO.TH
    ความไม่เนียนของ'ซีรีส์อิงประวัติศาสตร์' ต้องเป๊ะประวัติศาสตร์แค่ไหน?
    ความไม่เนียนของ'ซีรีส์อิงประวัติศาสตร์' ต้องเป๊ะประวัติศาสตร์แค่ไหน?
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 471 มุมมอง 0 รีวิว
  • เบื้องหลังทรัมป์ชนะเลือกตั้งสหรัฐแบบขาดลอย : คนเคาะข่าว 06-11-67
    : ทนง ขันทอง ผู้เชี่ยวชาญข่าวต่างประเทศ
    : นงวดี ถนิมมาลย์ ดำเนินรายการ
    เบื้องหลังทรัมป์ชนะเลือกตั้งสหรัฐแบบขาดลอย : คนเคาะข่าว 06-11-67 : ทนง ขันทอง ผู้เชี่ยวชาญข่าวต่างประเทศ : นงวดี ถนิมมาลย์ ดำเนินรายการ
    Love
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 197 มุมมอง 124 1 รีวิว
  • ทรัมป์จะชนะแลนด์สไลด์ แต่จะกล้าล้มล้าง Deep State หรือไม่ : คนเคาะข่าว 30-10-67
    : ทนง ขันทอง ผู้เชี่ยวชาญข่าวต่างประเทศ
    : นงวดี ถนิมมาลย์ ดำเนินรายการ
    ทรัมป์จะชนะแลนด์สไลด์ แต่จะกล้าล้มล้าง Deep State หรือไม่ : คนเคาะข่าว 30-10-67 : ทนง ขันทอง ผู้เชี่ยวชาญข่าวต่างประเทศ : นงวดี ถนิมมาลย์ ดำเนินรายการ
    Like
    Love
    4
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 237 มุมมอง 200 2 รีวิว
  • ร่วมส่ง ลุงโสภณ สู่ สัมปรายภพ ครับ...
    .
    ยังทำใจไม่ได้จริงๆ...
    .
    😭😭😭😭
    .
    สัญญากับตัวเองว่า จะพยายามตามข่าวต่างประเทศต่อไป มองหาความจริงที่เกิดขึ้น ตามอย่างที่ ลุงโสภณ เคยเปิดโลกให้...
    .
    ขอบคุณ สาระความรู้ และ ความบันเทิง จากลุงโสภณ ในฐานะสื่อมวลชนอาวุโส ครับ
    .
    จาก แฟนคลับ ลุงโสภณ...
    ..
    ..
    ## สื่อกับโส Talk มันส์ คัน สไตล์ โสภณ องค์การณ์ ##
    ...
    ...
    1.
    https://youtu.be/iG6ik6KzP5M?si=bHLL4j_qSVXGY7Y5
    .
    2.
    https://youtu.be/IZPQjvNMKMY?si=pdv6Kpipm9dY1t5l
    ร่วมส่ง ลุงโสภณ สู่ สัมปรายภพ ครับ... . ยังทำใจไม่ได้จริงๆ... . 😭😭😭😭 . สัญญากับตัวเองว่า จะพยายามตามข่าวต่างประเทศต่อไป มองหาความจริงที่เกิดขึ้น ตามอย่างที่ ลุงโสภณ เคยเปิดโลกให้... . ขอบคุณ สาระความรู้ และ ความบันเทิง จากลุงโสภณ ในฐานะสื่อมวลชนอาวุโส ครับ . จาก แฟนคลับ ลุงโสภณ... .. .. ## สื่อกับโส Talk มันส์ คัน สไตล์ โสภณ องค์การณ์ ## ... ... 1. https://youtu.be/iG6ik6KzP5M?si=bHLL4j_qSVXGY7Y5 . 2. https://youtu.be/IZPQjvNMKMY?si=pdv6Kpipm9dY1t5l
    Like
    Sad
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 115 มุมมอง 0 รีวิว
  • แวะมาส่งพี่โส คุณโสภณ องค์การณ์ จากคอลัมนิสต์บนหนังสือพิมพ์ที่อ่านตอนเด็กๆ กระทั่งเคยจัดรายการโฟนอินเล่าข่าวต่างประเทศในช่วงเวลาสั้นๆ ขอพระเจ้าอวยพรให้พี่โสไปสู่ภพภูมิที่ดี เหลือไว้แต่เพียงตำนานความกล้า วิพากษ์วิจารณ์เหตุบ้านการเมืองอย่างตรงไปตรงมา ให้เราได้ช่วยกันดูแลเป็นหูเป็นตา เป็นหมาเฝ้าบ้านให้กับสังคมและประเทศชาติต่อไป
    แวะมาส่งพี่โส คุณโสภณ องค์การณ์ จากคอลัมนิสต์บนหนังสือพิมพ์ที่อ่านตอนเด็กๆ กระทั่งเคยจัดรายการโฟนอินเล่าข่าวต่างประเทศในช่วงเวลาสั้นๆ ขอพระเจ้าอวยพรให้พี่โสไปสู่ภพภูมิที่ดี เหลือไว้แต่เพียงตำนานความกล้า วิพากษ์วิจารณ์เหตุบ้านการเมืองอย่างตรงไปตรงมา ให้เราได้ช่วยกันดูแลเป็นหูเป็นตา เป็นหมาเฝ้าบ้านให้กับสังคมและประเทศชาติต่อไป
    Like
    Sad
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 88 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไร้เงานายกฯอุ๊งอิ๊งร่วมประชุม BRICS 2024 : คนเคาะข่าว 23-10-67
    : ทนง ขันทอง ผู้เชี่ยวชาญข่าวต่างประเทศ
    : นงวดี ถนิมมาลย์ ดำเนินรายการ
    ไร้เงานายกฯอุ๊งอิ๊งร่วมประชุม BRICS 2024 : คนเคาะข่าว 23-10-67 : ทนง ขันทอง ผู้เชี่ยวชาญข่าวต่างประเทศ : นงวดี ถนิมมาลย์ ดำเนินรายการ
    Like
    Love
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 287 มุมมอง 359 0 รีวิว
  • ด้วยความระลึกถึง โสภณ องค์การณ์

    สมัยวัยรุ่นเท่าที่จำความได้ "โสภณ องค์การณ์" เป็นหนึ่งในคนข่าวที่โลดแล่นกับสื่อเครือเนชั่นยาวนานกว่า 30 ปีในหลายบทบาท ทั้งบนหน้าจอเนชั่นแชนแนล ยูบีซี 8 ซึ่งคนมีอันจะกินถึงจะดูได้ หรือแบบจับต้องได้ตอนเข้าห้องสมุดโรงเรียน อ่านคอลัมน์ในเนชั่นสุดสัปดาห์ หรือหนังสือพิมพ์คมชัดลึก วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ในยุคนั้นเรียกว่า "ซีอีโอแกงโฮะ" หรือ "ซีอีโอละพ่อ" พร้อมกับคำลงท้ายบทความ "อิอิอิ" เป็นเอกลักษณ์

    ด้วยความเป็นคอลัมนิสต์ วิจารณ์การเมืองตรงไปตรงมา เมื่อมาเจอรัฐบาลทักษิณแทรกแซงสื่อหลายรูปแบบ ที่น่าอึ้งก็คือเมื่อปี 2545 มีใบสั่งให้ พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ จากสำนักงาน ป.ป.ง. ตรวจสอบธุรกรรมการเงินสื่อมวลชนจำนวนมากที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลทักษิณ โดยเฉพาะเครือเนชั่น ไทยโพสต์ แนวหน้า แล้วหนึ่งในนั้นมีชื่อ "โสภณ องค์การณ์" แต่ศาลปกครองมีคำสั่งทุเลา ตอนหลัง ป.ป.ง.บอกว่าสั่งยุติตรวจสอบแล้ว จึงจำหน่ายคดีออกไป

    เหตุการณ์ดังกล่าวยิ่งตอกย้ำเสรีภาพสื่อยุคนั้นตกต่ำ ฟางเส้นสุดท้าย คือการถอดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ โดย สนธิ ลิ้มทองกุล และ สโรชา พรอุดมศักดิ์ นำไปสู่การขับไล่นายกฯ ทักษิณมาตั้งแต่ปี 2548 และไม่ไว้วางใจทักษิณนานกว่า 20 ปี

    กล่าวถึงความทรงจำ ซึ่งขออนุญาตเรียกว่าพี่โส สมัยจัดรายการยามเช้าริมเจ้าพระยา ทางสถานีโทรทัศน์นิวส์วัน ร่วมกับคุณนุ๊ก กรองทอง เศรษฐสุทธิ์ ในปี 2560-2561 ได้มีโอกาสฟังพี่โสโฟนอินวิเคราะห์ข่าวต่างประเทศ ในเบรคสุดท้ายก่อนจบรายการทุกสัปดาห์ แต่หลังจากกลับไปทำงานข่าวออนไลน์เหมือนเดิม ซึ่งยอมรับว่าการจัดรายการโทรทัศน์ตอนนั้นทำได้ไม่ดีนัก เวลาเจอหน้าพี่โสที่บ้านเจ้าพระยา ก็ทักทายสวัสดี บางครั้งพี่โสนำหมูปิ้งจากร้านของพี่โส มาให้ชาวผู้จัดการ-นิวส์วันชิมกันถึงออฟฟิศ

    พี่โสอยู่ชายคาผู้จัดการ-นิวส์วันมาตั้งแต่ปี 2552 เริ่มจากจัดรายการโทรทัศน์ เช่น News Hour Weekend คู่กับคุณนงวดี ถนิมมาลย์ เคาะข่าวริมโขง สภาท่าพระอาทิตย์ ก่อนที่จะหยุดเขียนบทความประจำให้กับคมชัดลึกเมื่อสิ้นปี 2553 แล้วมาเขียนบทความให้กับหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน และผู้จัดการสุดสัปดาห์ตั้งแต่ปี 2554 เป็นต้นมา พร้อมกับจัดรายการหลายรายการ เช่น ชวนคิดชวนคุย เคาะไข่ใส่ข่าว ฯลฯ มีผลงานให้ได้ติดตามมานานถึง 15 ปี

    เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อนรู้สึกตกใจที่ทราบข่าวว่าพี่โสประสบอุบัติเหตุ พบว่าเส้นเลือดออกที่ก้านสมอง ไม่รู้สึกตัวหลายวัน กระทั่งใจหายที่ทราบว่าพี่โสจากไปด้วยอายุ 75 ปี ขอแสดงความเสียใจ และเป็นกำลังใจให้ครอบครัวพี่โสยืนหยัดชีวิตต่อไป

    กิตตินันท์ นาคทอง

    #Newskit
    ด้วยความระลึกถึง โสภณ องค์การณ์ สมัยวัยรุ่นเท่าที่จำความได้ "โสภณ องค์การณ์" เป็นหนึ่งในคนข่าวที่โลดแล่นกับสื่อเครือเนชั่นยาวนานกว่า 30 ปีในหลายบทบาท ทั้งบนหน้าจอเนชั่นแชนแนล ยูบีซี 8 ซึ่งคนมีอันจะกินถึงจะดูได้ หรือแบบจับต้องได้ตอนเข้าห้องสมุดโรงเรียน อ่านคอลัมน์ในเนชั่นสุดสัปดาห์ หรือหนังสือพิมพ์คมชัดลึก วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ในยุคนั้นเรียกว่า "ซีอีโอแกงโฮะ" หรือ "ซีอีโอละพ่อ" พร้อมกับคำลงท้ายบทความ "อิอิอิ" เป็นเอกลักษณ์ ด้วยความเป็นคอลัมนิสต์ วิจารณ์การเมืองตรงไปตรงมา เมื่อมาเจอรัฐบาลทักษิณแทรกแซงสื่อหลายรูปแบบ ที่น่าอึ้งก็คือเมื่อปี 2545 มีใบสั่งให้ พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ จากสำนักงาน ป.ป.ง. ตรวจสอบธุรกรรมการเงินสื่อมวลชนจำนวนมากที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลทักษิณ โดยเฉพาะเครือเนชั่น ไทยโพสต์ แนวหน้า แล้วหนึ่งในนั้นมีชื่อ "โสภณ องค์การณ์" แต่ศาลปกครองมีคำสั่งทุเลา ตอนหลัง ป.ป.ง.บอกว่าสั่งยุติตรวจสอบแล้ว จึงจำหน่ายคดีออกไป เหตุการณ์ดังกล่าวยิ่งตอกย้ำเสรีภาพสื่อยุคนั้นตกต่ำ ฟางเส้นสุดท้าย คือการถอดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ โดย สนธิ ลิ้มทองกุล และ สโรชา พรอุดมศักดิ์ นำไปสู่การขับไล่นายกฯ ทักษิณมาตั้งแต่ปี 2548 และไม่ไว้วางใจทักษิณนานกว่า 20 ปี กล่าวถึงความทรงจำ ซึ่งขออนุญาตเรียกว่าพี่โส สมัยจัดรายการยามเช้าริมเจ้าพระยา ทางสถานีโทรทัศน์นิวส์วัน ร่วมกับคุณนุ๊ก กรองทอง เศรษฐสุทธิ์ ในปี 2560-2561 ได้มีโอกาสฟังพี่โสโฟนอินวิเคราะห์ข่าวต่างประเทศ ในเบรคสุดท้ายก่อนจบรายการทุกสัปดาห์ แต่หลังจากกลับไปทำงานข่าวออนไลน์เหมือนเดิม ซึ่งยอมรับว่าการจัดรายการโทรทัศน์ตอนนั้นทำได้ไม่ดีนัก เวลาเจอหน้าพี่โสที่บ้านเจ้าพระยา ก็ทักทายสวัสดี บางครั้งพี่โสนำหมูปิ้งจากร้านของพี่โส มาให้ชาวผู้จัดการ-นิวส์วันชิมกันถึงออฟฟิศ พี่โสอยู่ชายคาผู้จัดการ-นิวส์วันมาตั้งแต่ปี 2552 เริ่มจากจัดรายการโทรทัศน์ เช่น News Hour Weekend คู่กับคุณนงวดี ถนิมมาลย์ เคาะข่าวริมโขง สภาท่าพระอาทิตย์ ก่อนที่จะหยุดเขียนบทความประจำให้กับคมชัดลึกเมื่อสิ้นปี 2553 แล้วมาเขียนบทความให้กับหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน และผู้จัดการสุดสัปดาห์ตั้งแต่ปี 2554 เป็นต้นมา พร้อมกับจัดรายการหลายรายการ เช่น ชวนคิดชวนคุย เคาะไข่ใส่ข่าว ฯลฯ มีผลงานให้ได้ติดตามมานานถึง 15 ปี เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อนรู้สึกตกใจที่ทราบข่าวว่าพี่โสประสบอุบัติเหตุ พบว่าเส้นเลือดออกที่ก้านสมอง ไม่รู้สึกตัวหลายวัน กระทั่งใจหายที่ทราบว่าพี่โสจากไปด้วยอายุ 75 ปี ขอแสดงความเสียใจ และเป็นกำลังใจให้ครอบครัวพี่โสยืนหยัดชีวิตต่อไป กิตตินันท์ นาคทอง #Newskit
    Sad
    Love
    Like
    44
    6 ความคิดเห็น 3 การแบ่งปัน 1070 มุมมอง 0 รีวิว
  • ## การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ การกวาดล้างประชาชน และ พื้นที่อยู่อาศัย ยังคงดำเนินต่อไป ในกาซา ##
    ..
    ..
    โดย รัฐเถื่อน อิสราเอล ยังคงทิ้งระเบิดต่อเนื่องใน Beit Lahiya ทางตอนเหนือของ ฉนวนกาซา
    .
    ชาวปาเลสไตน์เกือบ 100 คนถูกสังหารและบาดเจ็บอีกหลาย 10 คน ตั้งแต่คืนวันเสาร์ที่ผ่านมา
    .
    กองทัพไซออนิสต์ ปิดล้อม ฉนวนกาซาทางตอนเหนือ เป็นเวลากว่าสองสัปดาห์แล้ว
    .
    เพื่อจำกัดการเข้ามาของ อาหาร และ ตัดขาด บริการด้านการสื่อสาร
    .
    โดยที่ การถล่ม ทำลาย หรือ การฆ่า ทุกครั้งจะอ้างว่า เพื่อจัดการ ฮามาส ที่ซ่อนตัวอยู่...
    .
    เรามาลองตั้งคำถามดูเล่นๆกันครับ
    .
    จำนวน นักรบฮามาส มีอยู่ ประมาณ 30,000 คน
    .
    แต่...ปัจุบัน ชาวปาเลสไตน์ ถูกสังหารไปแล้ว 42,603 คน และ บาดเจ็บกว่า 99,795 ราย
    .
    จากจำนวนผู้บาดเจ็บ และ เสียชีวิต นี้ กลุ่มนักรบฮามาส ควร ตายไปหมดแล้ว ใช่หรือไม่...???
    .
    หาก รัฐเถื่อน ไซออนิสต์ พุ่งเป้าการสังหารไปที่ กลุ่มฮามาส จริง...!!!
    .
    แต่นี่ ผู้ที่เสียชีวิต กว่าครึ่ง คือ เด็ก และ ผู้หญิง
    .
    ผู้เสียชีวิต มีทั้ง ชาวปาเลสไตน์ และ ชาวต่างชาติ ประชาชน ธรรมดา หมอ พยาบาล นักสังคมสงเคราะห์ เจ้าหน้าที่ UN และ นักข่าวต่างประเทศ
    .
    "อาชญากรรมสงคราม" เอย "ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์" เอย คำเรียกขานเหล่านี้ ไม่เกินความจริงเลยแม้แต่นิดเดียว...!!!
    ...
    ...
    โลกเสรี ที่พร่ำเพ้อ เรียกร้อง สิทธิมนุษยชน แต่ ไม่มีประเทศโลกเสรี หน้าไหนกล้าเข้ามาหยุดยั้ง พฤติกรรม ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ของ รัฐเถื่อน อิสราเอล...
    .
    น่าขำ ที่ดูเหมือน คาถา สิทธิเสรีภาพ ประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน มีไว้ เพื่อใช้บังคับกับประเทศอื่น เพื่อใช้แทรกแซง โจมตี ประเทศฝั่งตรงข้ามกับ อเมริกา ก็เท่านั้นเอง...
    .
    และมีผู้คนจำนวนมาก รวมทั้งคนไทย จำนวนมาก ที่ยังคง ยึดมั่นถือมั่น ใน "ชุดความคิด-ความเชื่อส่งออก" พวกนี้ แบบไม่ลืมหูลืมตา ไม่มองดูโลกแห่งความเป็นจริง...
    .
    😢😢😢😢
    .
    https://youtu.be/R173xpge_Zs?si=W8mSMhlLctbaHmHdhttps://youtu.be/R173xpge_Zs?si=W8mSMhlLctbaHmHd
    ## การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ การกวาดล้างประชาชน และ พื้นที่อยู่อาศัย ยังคงดำเนินต่อไป ในกาซา ## .. .. โดย รัฐเถื่อน อิสราเอล ยังคงทิ้งระเบิดต่อเนื่องใน Beit Lahiya ทางตอนเหนือของ ฉนวนกาซา . ชาวปาเลสไตน์เกือบ 100 คนถูกสังหารและบาดเจ็บอีกหลาย 10 คน ตั้งแต่คืนวันเสาร์ที่ผ่านมา . กองทัพไซออนิสต์ ปิดล้อม ฉนวนกาซาทางตอนเหนือ เป็นเวลากว่าสองสัปดาห์แล้ว . เพื่อจำกัดการเข้ามาของ อาหาร และ ตัดขาด บริการด้านการสื่อสาร . โดยที่ การถล่ม ทำลาย หรือ การฆ่า ทุกครั้งจะอ้างว่า เพื่อจัดการ ฮามาส ที่ซ่อนตัวอยู่... . เรามาลองตั้งคำถามดูเล่นๆกันครับ . จำนวน นักรบฮามาส มีอยู่ ประมาณ 30,000 คน . แต่...ปัจุบัน ชาวปาเลสไตน์ ถูกสังหารไปแล้ว 42,603 คน และ บาดเจ็บกว่า 99,795 ราย . จากจำนวนผู้บาดเจ็บ และ เสียชีวิต นี้ กลุ่มนักรบฮามาส ควร ตายไปหมดแล้ว ใช่หรือไม่...??? . หาก รัฐเถื่อน ไซออนิสต์ พุ่งเป้าการสังหารไปที่ กลุ่มฮามาส จริง...!!! . แต่นี่ ผู้ที่เสียชีวิต กว่าครึ่ง คือ เด็ก และ ผู้หญิง . ผู้เสียชีวิต มีทั้ง ชาวปาเลสไตน์ และ ชาวต่างชาติ ประชาชน ธรรมดา หมอ พยาบาล นักสังคมสงเคราะห์ เจ้าหน้าที่ UN และ นักข่าวต่างประเทศ . "อาชญากรรมสงคราม" เอย "ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์" เอย คำเรียกขานเหล่านี้ ไม่เกินความจริงเลยแม้แต่นิดเดียว...!!! ... ... โลกเสรี ที่พร่ำเพ้อ เรียกร้อง สิทธิมนุษยชน แต่ ไม่มีประเทศโลกเสรี หน้าไหนกล้าเข้ามาหยุดยั้ง พฤติกรรม ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ของ รัฐเถื่อน อิสราเอล... . น่าขำ ที่ดูเหมือน คาถา สิทธิเสรีภาพ ประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน มีไว้ เพื่อใช้บังคับกับประเทศอื่น เพื่อใช้แทรกแซง โจมตี ประเทศฝั่งตรงข้ามกับ อเมริกา ก็เท่านั้นเอง... . และมีผู้คนจำนวนมาก รวมทั้งคนไทย จำนวนมาก ที่ยังคง ยึดมั่นถือมั่น ใน "ชุดความคิด-ความเชื่อส่งออก" พวกนี้ แบบไม่ลืมหูลืมตา ไม่มองดูโลกแห่งความเป็นจริง... . 😢😢😢😢 . https://youtu.be/R173xpge_Zs?si=W8mSMhlLctbaHmHdhttps://youtu.be/R173xpge_Zs?si=W8mSMhlLctbaHmHd
    Sad
    Angry
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 115 มุมมอง 0 รีวิว
  • 16 ตุลาคม 2567-Live รายการคนเคาะข่าว ประเด็น BRICS Summit 2024: ปูตินจะทิ้งไพ่น็อคดอลล่าร์หรือไม่ วิเคราะห์โดยทนง ขันทอง ผู้เชี่ยวชาญข่าวต่างประเทศ และนงวดี ถนิมมาลย์ ดำเนินรายการ

    https://youtu.be/ecDujyDFbcs?si=PRdNROyy17sxeKfe

    #Thaitimes
    16 ตุลาคม 2567-Live รายการคนเคาะข่าว ประเด็น BRICS Summit 2024: ปูตินจะทิ้งไพ่น็อคดอลล่าร์หรือไม่ วิเคราะห์โดยทนง ขันทอง ผู้เชี่ยวชาญข่าวต่างประเทศ และนงวดี ถนิมมาลย์ ดำเนินรายการ https://youtu.be/ecDujyDFbcs?si=PRdNROyy17sxeKfe #Thaitimes
    Like
    Love
    15
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 498 มุมมอง 0 รีวิว
  • กลุ่มฮิซบอลเลาะห์ได้ทีตีปีก แถลงว่าเล็งเป้าหมายเข้าโจมตีฐานทัพเรืออิสราเอลแห่ง หนึ่งวันหลังใช้โดรนเข้าโจมตีจนสามารถสังหารทหารรัฐยิวไป 4 คน และบาดเจ็บอีกหลายสิบ กลายเป็นการโจมตีที่ทำให้ฝ่ายอิสราเอลบาดเจ็บล้มตายสูงที่สุดนับแต่สงครามในเลบานอนคราวนี้เริ่มต้นขึ้น ในอีกด้านหนึ่ง อิสราเอลยังคงกดดันให้กองกำลังรักษาสันติภาพของสหประชาชาติในบริเวณตอนใต้ของเลบานอน ((ยูนิฟิล)) โยกย้ายออกไป โดยประณามว่าไร้ประโยชน์ ไม่สามารถป้องกันคนอิสราเอลจากการโจมตีของฮิซบอลเลาะห์ ขณะที่ก่อนหน้านี้ กองกำลังยูเอ็นแห่งนี้กล่าวหารถถังยิวบุกเข้าไปในค่ายแห่งหนึ่งของพวกตน และเลขาธิการยูเอ็นลั่นการโจมตีกองกำลังรักษาสันติภาพอาจถือเป็นอาชญากรรมสงคราม
    .
    กลุ่มฮิซบอลเลาะห์บอกว่า พวกนักรบของตนได้ยิงจรวดหลายลูกเข้าใส่ฐานทัพเรือแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆ เมืองไฮฟา เมืองท่าสำคัญทางภาคเหนือของอิสราเอล พร้อมกับกล่าวว่าการโจมตีนี้มุ่งอุทิศให้แก่ ฮัสซัน นัสรัลเลาะห์ ผู้นำของทางกลุ่มซึ่งถูกรัฐยิวลอบสังหารอย่างอุกอาจ
    .
    ขณะที่กองทัพอิสราเอลแถลงในวันจันทร์เช่นกันว่า สามารถสกัดกั้นการโจมตีอีกรอบหนึ่งซึ่งพุ่งเป้าไปยังค่ายฝึกทหารที่บินยามินา ซึ่งก็อยู่ใกล้ๆ เมืองไฮฟา เช่นเดียวกัน ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้เมื่อวันอาทิตย์ (13) มีทหารรัฐยิวที่ค่ายแห่งนี้ถูกสังหารไป 4 คน และบาดเจ็บอีกหลายสิบ จากการโจมตีด้วยโดรนของพวกฮิซบอลเลาะห์
    .
    ในวันจันทร์ ผู้บัญชาการกองทัพอิสราเอล พล.ท.เฮอร์ซี ฮาเลวี ได้ไปตรวจเยี่ยมค่ายฝึกทหารในบินยามินา ซึ่งเป็นของกองพลน้อยโกลานี และบอกกับทหารว่า “เรากำลังอยู่ในสงคราม และการถูกโจมตีใส่ค่ายฝึกในเขตบ้านของเราเองถือเป็นเรื่องที่สร้างความยากลำบาก อีกทั้งผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นก็สร้างความเจ็บปวด”
    .
    ก่อนหน้านี้ ยูไนเต็ด ฮัตซาลาห์ ที่เป็นกลุ่มอาสาสมัครกู้ภัยของอิสราเอล บอกว่า ทีมงานของพวกเขาในบินยามินาได้เข้าช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บมากกว่า 60 คน ซึ่งอยู่ในอาการเจ็บไม่มากจนกระทั่งถึงระดับสาหัส
    .
    ในวันอาทิตย์ กลุ่มฮิซบอลเลาะห์ยังได้แถลงข่มขู่จะเปิดการโจมตีมากขึ้นอีก ถ้าอิสราเอลยังคงดำเนินการรุกของพวกเขาในเลบานอนต่อไป พร้อมกับเตือนอิสราเอลว่าสิ่งที่พวกเขาได้เห็นมาแล้วในเวลานี้ “ไม่มีอะไรสามารถเปรียบเทียบได้กับสิ่งที่รอคอยพวกเขาอยู่ถ้าหากพวกเขาตัดสินที่จะดำเนินการก้าวร้าวรุกรานของพวกเขาต่อไป”
    .
    ในอีกด้านหนึ่ง เอลี โคเฮน รัฐมนตรีพลังงานอิสราเอล โพสต์บนแพลตฟอร์มเอ็กซ์เมื่อวันจันทร์ (14 ต.ค.) ว่า อิสราเอลจะทำทุกทางเพื่อรับประกันความปลอดภัยของพลเมือง และถ้าสหประชาชาติ ช่วยอะไรไม่ได้ อย่างน้อยก็ควรยุติการแทรกแซงและถอนกองกำลังสันติภาพ (ยูนิฟิล) ออกไปจากเขตสู้รบ
    .
    ทั้งนี้ อิสราเอลและยูเอ็นกล่าวหากันไปมาเกี่ยวกับยูนิฟิลที่ประจำอยู่ทางใต้ของเลบานอน ขณะที่กองทัพอิสราเอลกำลังบุกตะลุยบริเวณดังกล่าวเพื่อกวาดล้างนักรบฮิซบอลเลาะห์
    .
    ทางด้านยูเอ็นนั้นระบุว่า รถถังเมอร์คาวาของอิสราเอล 2 คันพังประตูใหญ่ด้านหน้าและบุกเข้าไปในที่ตั้งของยูนิฟิลเมื่อวันอาทิตย์ (13 ต.ค.) และหลังจากรถถังถอนออกไป มีกระสุนปืนใหญ่ระเบิดห่างออกไปราว 100 เมตร ทำให้ควันคละคลุ้งทั่วฐานและเจ้าหน้าที่บางคนป่วย
    .
    ก่อนหน้านี้ยูนิฟิลระบุว่า อิสราเอลโจมตีหอนาฬิกา กล้อง อุปกรณ์สื่อสาร และระบบไฟส่องสว่าง ทำให้ความสามารถในการออกตรวจตราสถานการณ์ของยูนิฟิลถูกจำกัด อีกทั้งยังกังวลว่า อาจไม่สามารถติดตามตรวจสอบการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับฮิซบอลเลาะห์ขณะนี้
    .
    สัปดาห์ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ยูนิฟิล 5 นายได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีของอิสราเอล ซึ่งยูนิฟิลกล่าวหาว่า เป็นการจงใจโจมตี
    .
    อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการยูเอ็น ระบุว่า การโจมตีกองกำลังรักษาสันติภาพอาจถือเป็นอาชญากรรมสงคราม
    .
    ทว่า อิสราเอลแก้ต่างว่า รถถังหนีการโจมตีเข้าไปในที่ตั้งของยูนิฟิลและพยายามอพยพทหารที่บาดเจ็บ
    .
    นอกจากนั้นเมื่อวันอาทิตย์ นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮูของอิสราเอล ยังเรียกร้องให้ยูนิฟิลถอนกำลังออกไปเพื่อความปลอดภัย อีกทั้งยังระบุว่า ยูนิฟิลทำตัวเป็น “โล่มนุษย์” ให้ฮิซบอลเลาะห์
    .
    วันเดียวกันนั้นกองทัพอิสราเอลพานักข่าวต่างประเทศไปดูอุโมงค์ของฮิซบอลเลาะห์ที่อยู่ห่างจากที่มั่นแห่งหนึ่งของยูนิฟิลไม่ถึง 200 เมตร ซึ่งคาดว่า สร้างขึ้นเมื่อ 2-3 ปีก่อน รวมถึงอาวุธที่ซุกซ่อนอยู่
    .
    อนึ่ง ทั้งฮิซบอลเลาะห์และอิสราเอลต่างระบุว่า นักรบในเลบานอนที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่านกลุ่มนี้มีเครือข่ายอุโมงค์ที่ครอบคลุมทางใต้ของเลบานอน โดยอิสราเอลประเมินว่า มีระยะทางรวมกันหลายร้อยกิโลเมตร
    .
    พันเอกโอลิวิเยร์ ราโฟวิกซ์ เผยว่า เมื่อหลายวันก่อนกองทัพอิสราเอลค้นพบอาวุธใหม่จำนวนมากที่ส่งมาจากอิหร่านและรัสเซียซึ่งฮิซบอลเลาะห์เตรียมไว้โจมตีและบุกเข้าสู่ดินแดนตอนเหนือของอิสราเอล
    .
    อิสราเอลประกาศว่า ปฏิบัติการในเลบานอนมีเป้าหมายเพื่อนำพลเมืองหลายหมื่นคนกลับสู่ถิ่นฐานทางตอนเหนือของประเทศได้อย่างปลอดภัย หลังต้องอพยพหนีการโจมตีของฮิซบอลเลาะห์ที่เริ่มต้นตั้งแต่ต้นเดือนต.ค.ปีที่แล้ว ภายหลังเหตุการณ์ที่นักรบฮามาสบุกเข้าไปโจมตีอิสราเอลและเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามกาซาที่ยังคงดำเนินมาจนถึงขณะนี้
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000099217
    ..............
    Sondhi X
    กลุ่มฮิซบอลเลาะห์ได้ทีตีปีก แถลงว่าเล็งเป้าหมายเข้าโจมตีฐานทัพเรืออิสราเอลแห่ง หนึ่งวันหลังใช้โดรนเข้าโจมตีจนสามารถสังหารทหารรัฐยิวไป 4 คน และบาดเจ็บอีกหลายสิบ กลายเป็นการโจมตีที่ทำให้ฝ่ายอิสราเอลบาดเจ็บล้มตายสูงที่สุดนับแต่สงครามในเลบานอนคราวนี้เริ่มต้นขึ้น ในอีกด้านหนึ่ง อิสราเอลยังคงกดดันให้กองกำลังรักษาสันติภาพของสหประชาชาติในบริเวณตอนใต้ของเลบานอน ((ยูนิฟิล)) โยกย้ายออกไป โดยประณามว่าไร้ประโยชน์ ไม่สามารถป้องกันคนอิสราเอลจากการโจมตีของฮิซบอลเลาะห์ ขณะที่ก่อนหน้านี้ กองกำลังยูเอ็นแห่งนี้กล่าวหารถถังยิวบุกเข้าไปในค่ายแห่งหนึ่งของพวกตน และเลขาธิการยูเอ็นลั่นการโจมตีกองกำลังรักษาสันติภาพอาจถือเป็นอาชญากรรมสงคราม . กลุ่มฮิซบอลเลาะห์บอกว่า พวกนักรบของตนได้ยิงจรวดหลายลูกเข้าใส่ฐานทัพเรือแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆ เมืองไฮฟา เมืองท่าสำคัญทางภาคเหนือของอิสราเอล พร้อมกับกล่าวว่าการโจมตีนี้มุ่งอุทิศให้แก่ ฮัสซัน นัสรัลเลาะห์ ผู้นำของทางกลุ่มซึ่งถูกรัฐยิวลอบสังหารอย่างอุกอาจ . ขณะที่กองทัพอิสราเอลแถลงในวันจันทร์เช่นกันว่า สามารถสกัดกั้นการโจมตีอีกรอบหนึ่งซึ่งพุ่งเป้าไปยังค่ายฝึกทหารที่บินยามินา ซึ่งก็อยู่ใกล้ๆ เมืองไฮฟา เช่นเดียวกัน ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้เมื่อวันอาทิตย์ (13) มีทหารรัฐยิวที่ค่ายแห่งนี้ถูกสังหารไป 4 คน และบาดเจ็บอีกหลายสิบ จากการโจมตีด้วยโดรนของพวกฮิซบอลเลาะห์ . ในวันจันทร์ ผู้บัญชาการกองทัพอิสราเอล พล.ท.เฮอร์ซี ฮาเลวี ได้ไปตรวจเยี่ยมค่ายฝึกทหารในบินยามินา ซึ่งเป็นของกองพลน้อยโกลานี และบอกกับทหารว่า “เรากำลังอยู่ในสงคราม และการถูกโจมตีใส่ค่ายฝึกในเขตบ้านของเราเองถือเป็นเรื่องที่สร้างความยากลำบาก อีกทั้งผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นก็สร้างความเจ็บปวด” . ก่อนหน้านี้ ยูไนเต็ด ฮัตซาลาห์ ที่เป็นกลุ่มอาสาสมัครกู้ภัยของอิสราเอล บอกว่า ทีมงานของพวกเขาในบินยามินาได้เข้าช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บมากกว่า 60 คน ซึ่งอยู่ในอาการเจ็บไม่มากจนกระทั่งถึงระดับสาหัส . ในวันอาทิตย์ กลุ่มฮิซบอลเลาะห์ยังได้แถลงข่มขู่จะเปิดการโจมตีมากขึ้นอีก ถ้าอิสราเอลยังคงดำเนินการรุกของพวกเขาในเลบานอนต่อไป พร้อมกับเตือนอิสราเอลว่าสิ่งที่พวกเขาได้เห็นมาแล้วในเวลานี้ “ไม่มีอะไรสามารถเปรียบเทียบได้กับสิ่งที่รอคอยพวกเขาอยู่ถ้าหากพวกเขาตัดสินที่จะดำเนินการก้าวร้าวรุกรานของพวกเขาต่อไป” . ในอีกด้านหนึ่ง เอลี โคเฮน รัฐมนตรีพลังงานอิสราเอล โพสต์บนแพลตฟอร์มเอ็กซ์เมื่อวันจันทร์ (14 ต.ค.) ว่า อิสราเอลจะทำทุกทางเพื่อรับประกันความปลอดภัยของพลเมือง และถ้าสหประชาชาติ ช่วยอะไรไม่ได้ อย่างน้อยก็ควรยุติการแทรกแซงและถอนกองกำลังสันติภาพ (ยูนิฟิล) ออกไปจากเขตสู้รบ . ทั้งนี้ อิสราเอลและยูเอ็นกล่าวหากันไปมาเกี่ยวกับยูนิฟิลที่ประจำอยู่ทางใต้ของเลบานอน ขณะที่กองทัพอิสราเอลกำลังบุกตะลุยบริเวณดังกล่าวเพื่อกวาดล้างนักรบฮิซบอลเลาะห์ . ทางด้านยูเอ็นนั้นระบุว่า รถถังเมอร์คาวาของอิสราเอล 2 คันพังประตูใหญ่ด้านหน้าและบุกเข้าไปในที่ตั้งของยูนิฟิลเมื่อวันอาทิตย์ (13 ต.ค.) และหลังจากรถถังถอนออกไป มีกระสุนปืนใหญ่ระเบิดห่างออกไปราว 100 เมตร ทำให้ควันคละคลุ้งทั่วฐานและเจ้าหน้าที่บางคนป่วย . ก่อนหน้านี้ยูนิฟิลระบุว่า อิสราเอลโจมตีหอนาฬิกา กล้อง อุปกรณ์สื่อสาร และระบบไฟส่องสว่าง ทำให้ความสามารถในการออกตรวจตราสถานการณ์ของยูนิฟิลถูกจำกัด อีกทั้งยังกังวลว่า อาจไม่สามารถติดตามตรวจสอบการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับฮิซบอลเลาะห์ขณะนี้ . สัปดาห์ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ยูนิฟิล 5 นายได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีของอิสราเอล ซึ่งยูนิฟิลกล่าวหาว่า เป็นการจงใจโจมตี . อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการยูเอ็น ระบุว่า การโจมตีกองกำลังรักษาสันติภาพอาจถือเป็นอาชญากรรมสงคราม . ทว่า อิสราเอลแก้ต่างว่า รถถังหนีการโจมตีเข้าไปในที่ตั้งของยูนิฟิลและพยายามอพยพทหารที่บาดเจ็บ . นอกจากนั้นเมื่อวันอาทิตย์ นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮูของอิสราเอล ยังเรียกร้องให้ยูนิฟิลถอนกำลังออกไปเพื่อความปลอดภัย อีกทั้งยังระบุว่า ยูนิฟิลทำตัวเป็น “โล่มนุษย์” ให้ฮิซบอลเลาะห์ . วันเดียวกันนั้นกองทัพอิสราเอลพานักข่าวต่างประเทศไปดูอุโมงค์ของฮิซบอลเลาะห์ที่อยู่ห่างจากที่มั่นแห่งหนึ่งของยูนิฟิลไม่ถึง 200 เมตร ซึ่งคาดว่า สร้างขึ้นเมื่อ 2-3 ปีก่อน รวมถึงอาวุธที่ซุกซ่อนอยู่ . อนึ่ง ทั้งฮิซบอลเลาะห์และอิสราเอลต่างระบุว่า นักรบในเลบานอนที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่านกลุ่มนี้มีเครือข่ายอุโมงค์ที่ครอบคลุมทางใต้ของเลบานอน โดยอิสราเอลประเมินว่า มีระยะทางรวมกันหลายร้อยกิโลเมตร . พันเอกโอลิวิเยร์ ราโฟวิกซ์ เผยว่า เมื่อหลายวันก่อนกองทัพอิสราเอลค้นพบอาวุธใหม่จำนวนมากที่ส่งมาจากอิหร่านและรัสเซียซึ่งฮิซบอลเลาะห์เตรียมไว้โจมตีและบุกเข้าสู่ดินแดนตอนเหนือของอิสราเอล . อิสราเอลประกาศว่า ปฏิบัติการในเลบานอนมีเป้าหมายเพื่อนำพลเมืองหลายหมื่นคนกลับสู่ถิ่นฐานทางตอนเหนือของประเทศได้อย่างปลอดภัย หลังต้องอพยพหนีการโจมตีของฮิซบอลเลาะห์ที่เริ่มต้นตั้งแต่ต้นเดือนต.ค.ปีที่แล้ว ภายหลังเหตุการณ์ที่นักรบฮามาสบุกเข้าไปโจมตีอิสราเอลและเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามกาซาที่ยังคงดำเนินมาจนถึงขณะนี้ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000099217 .............. Sondhi X
    Like
    Angry
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 910 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลุงโสภณ เป็น สื่อมวลชน "น้ำดี" ฝีปากกล้า ที่ยืนหยัด วิจารณ์ ทุกคน...
    .
    ทั้งยังเป็น "กระบี่มือหนึ่ง" ด้านข่าวต่างประเทศ อีกด้วย
    .
    ใครพอจะมีกำลังก็ช่วยกันครับ
    .
    ส่งกำลังใจให้ ลุงโสภณ กันครับ
    .
    ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง ลุงโสภณ ให้ปลอดภัย กลับมาแข็งแรงได้ในเร็ววัน ครับ
    .
    🙏🙏🙏🙏
    ลุงโสภณ เป็น สื่อมวลชน "น้ำดี" ฝีปากกล้า ที่ยืนหยัด วิจารณ์ ทุกคน... . ทั้งยังเป็น "กระบี่มือหนึ่ง" ด้านข่าวต่างประเทศ อีกด้วย . ใครพอจะมีกำลังก็ช่วยกันครับ . ส่งกำลังใจให้ ลุงโสภณ กันครับ . ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง ลุงโสภณ ให้ปลอดภัย กลับมาแข็งแรงได้ในเร็ววัน ครับ . 🙏🙏🙏🙏
    Like
    Love
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 126 มุมมอง 0 รีวิว
  • ASEAN แตก SUMMIT สามัคคีสร้างภาพ : [คุยผ่าโลก worldtalk]
    #worldtalk #คุยผ่าโลก #วารินทร์สัจเดว #highlights #ข่าวต่างประเทศ #ASEANSUMMIT
    ASEAN แตก SUMMIT สามัคคีสร้างภาพ : [คุยผ่าโลก worldtalk] #worldtalk #คุยผ่าโลก #วารินทร์สัจเดว #highlights #ข่าวต่างประเทศ #ASEANSUMMIT
    Angry
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 262 มุมมอง 173 1 รีวิว
  • 9 ตุลาคม 2567-Live รายการคนเคาะข่าว ประเด้นร้อน“ เมื่ออิสราเอลถูกรุมกินโต๊ะ สหรัฐจะยกพลเข้ามาช่วยหรือไม่?” โดย
    : ทนง ขันทอง ผู้เชี่ยวชาญข่าวต่างประเทศ
    : นงวดี ถนิมมาลย์ ดำเนินรายการ

    https://youtu.be/EbqcBdmzezM?si=3Rr9k-54--RjmDpT

    #Thaitimes
    9 ตุลาคม 2567-Live รายการคนเคาะข่าว ประเด้นร้อน“ เมื่ออิสราเอลถูกรุมกินโต๊ะ สหรัฐจะยกพลเข้ามาช่วยหรือไม่?” โดย : ทนง ขันทอง ผู้เชี่ยวชาญข่าวต่างประเทศ : นงวดี ถนิมมาลย์ ดำเนินรายการ https://youtu.be/EbqcBdmzezM?si=3Rr9k-54--RjmDpT #Thaitimes
    Like
    Love
    Angry
    9
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 701 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🤠#มังกรหยกเยือนสำนักแมวขาวแมวดำ ตอน 01🤠

    ในเช้าวันที่ 18 กรกฎาคม ค.ศ. 1981 เติ้งกง(邓公)ได้รับแขกพิเศษในห้องโถงใหญ่ของประชาชน

    แขกรับเชิญคนนี้ คือ จินยง(金庸)นักเขียนนวนิยายจีนกำลังภายในชื่อดัง

    ทั้งสองคนนี้ คนหนึ่งเป็นนักการเมือง อีกคนเป็นนักเขียน ดูเหมือนไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน ในความเป็นจริงพวกเขาชื่นชมซึ่งกันและกันเสมอ ในมุมมองของ จินยง(金庸) เติ้งกง(邓公) เป็นบุคคลที่น่านับถือที่สุดเหมือนเช่นเดียวกับวีรบุรุษที่เขาได้เขียนบรรยายไว้ในนวนิยาย

    🥸บ้านและเมืองในใต้หล้า🥸

    ในเวลานั้น จินยง(金庸)เป็นหัวหน้าบรรณาธิการของ "หมิงเป้า(明报)" เขาเคยตีพิมพ์บทความว่า เติ้งกง(邓公)ควรได้เป็นประธานาธิบดีของประเทศโดยเร็วที่สุด

    😎ในเวลานี้ เติ้งกง(邓公)ได้ดำรงตำแหน่งผู้นำของจีนใหม่ และยังดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดีของประเทศอีกด้วย😎

    😎จากมุมมองของผู้คนทั่วไป เติ้งกง(邓公)ได้รับเลือกเป็นประธานประเทศเพิ่มขึ้นอีกสักตำแหน่งหนึ่ง เหตุผลมันก็ควรเป็นอย่างที่ควรจะเป็น😎

    😎แต่ครั้งนี้ เติ้งกง(邓公)ได้ชี้แจงกับจินยง(金庸)อย่างชัดเจนว่า เขาไม่ต้องการเป็นประธานาธิบดีของประเทศ😎

    ในตอนแรก จินยง(金庸)รู้สึกแปลกใจมาก เห็นได้ชัดว่า เติ้งกง(邓公)ได้เป็นประธานของประเทศ ซึ่งทุกคนต่างก็คาดหวังดังนั้น ทำไมเขาถึงไม่เต็มใจ?

    อย่างไรก็ตาม หลังจากฟังเหตุผลที่เติ้งกง(邓公)พูดจบ จินยง(金庸)ก็มีแต่ความชื่นชมอยู่ในใจ

    😎จินยง(金庸)เคยกล่าวไว้ว่า เติ้งกง(邓公)เป็นหนึ่งในบุคคลที่เขาชื่นชมมากที่สุด จากภายในตัวของ เติ้งกง(邓公) เขาได้เห็นตัวตนของวีรบุรุษในฐานะของการรับใช้ประเทศและประชาชนซึ่งเขาใฝ่แสวงหา😎

    จินยง(金庸)มีชื่อเสียงจากงานในด้านงานเขียน แต่ในความเป็นจริงแล้ว ในเวลาที่ผ่านมาโดยตลอดเขาไม่ใช่เป็นนักเขียนวรรณกรรมธรรมดาๆ เลย นอกจากนี้เขายังมีอิทธิพลในสนามด้านการเมืองด้วย

    เมื่อเขายังเด็กเยาววัย อุดมคติของจินยง(金庸) คือ การเป็นนักการทูตที่ยอดเยี่ยม

    ด้วยเหตุนี้ หลังจากจบการศึกษาจากโรงเรียนมัธยมในปี ค.ศ. 1942 เขาจึงเข้าเรียนที่โรงเรียนกฎหมายของมหาวิทยาลัย ซูโจว(苏州大学)ในเซี่ยงไฮ้ ซึ่งเขาเรียนวิชาเอกกฎหมายระหว่างประเทศ

    อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้จบลงด้วยการเป็นนักการทูต หลังจบการศึกษา ต้ากงเป้า(大公报)ได้ชวนจินยง(金庸)เป็นบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ

    สำหรับจินยง(金庸)ที่เพิ่งเรียนจบ นี่เป็นงานที่ดีมาก ดังนั้นเขาจึงยอมรับอย่างง่ายดาย

    หลังจากนั้นไม่นาน "ต้ากงเป้า(大公报)" ก็วางแผนที่จะกลับมาตีพิมพ์ในฮ่องกงและกำลังต้องการกำลังคนอย่างเร่งด่วน

    ดังนั้น จินยง(金庸)จึงถูกย้ายไปฮ่องกงด้วยวิธีนี้

    ฟันเฟืองแห่งโชคชะตากำลังพลิกผันอย่างไม่ทันตั้งตัว และจินยง(金庸)ต้องห่างไกลจากความฝันในการเป็นนักการทูตมากขึ้นเรื่อยๆ แต่เขากลายเป็นนักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ที่มีอิทธิพลต่อผลกระทบไม่ด้อยไปกว่านักการทูต

    ในปีค.ศ. 1959 จินยง(金庸)ออกจาก "ต้ากงเป้า(大公报)" และก่อตั้ง "หมิงเป้า(明报)"ที่มีชื่อเสียงด้วยตัวเขาเอง

    "หมิงเป้า(明报)"มีชื่อเสียงในเวลาต่อมาเนื่องจากออกพิมพ์นิยายกำลังภายในอย่างต่อเนื่องของจินยง(金庸)

    อย่างไรก็ตาม "หมิงเป้า(明报)" ไม่ได้มีแค่คอลัมน์นิยายกำลังภายใน อันที่จริง จินยง(金庸)มักจะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเหตุการณ์ปัจจุบันใน "หมิงเป้า(明报)"เสมอ

    ในเวลานั้น เติ้งกง(邓公)ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงทั้งในและต่างประเทศ และจินยง(金庸)ไม่เข้าใจปรากฏการณ์นี้

    เพราะแม้ว่าเขาจะไม่มีสายสัมพันธ์กับเติ้งกง(邓公)ในขณะนี้ แต่เขาได้เรียนรู้แนวคิดทางการเมืองบางอย่างของเติ้งกง(邓公) และเชื่อว่าเติ้งกง(邓公) เป็นบุคคลที่มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลและเป็นคนที่สามารถเปลี่ยนชะตากรรมของจีนได้

    เขาไม่สามารถยอมรับการใส่ร้ายต่อเติ้งกง(邓公)ของคนอื่นได้ ดังนั้น ในฐานะบรรณาธิการ เขาจึงตีพิมพ์บทความหลายบทความใน "หมิงเป้า(明报)"เพื่อพูดแทนเติ้งกง(邓公)

    เนื่องจากในเวลานั้นเขามีชื่อเสียงมาก บทความเหล่านี้ทำให้เกิดกระแสคลื่นลมไม่เบาในฮ่องกงและแม้แต่ในแผ่นดินใหญ่

    แต่แม้ว่าจะเกิดการโต้แย้งกันขึ้น จินยง(金庸)ยังคงยืนยันในมุมมองของเขาเหมือนเดิม เขาถึงกับยังได้เขียนคำทำนายว่า "เติ้ง เสี่ยวผิง(邓小平)จะกลับมาแน่นอน" ในบทความ

    เหตุผลที่ทำให้ จินยง(金庸)มีความมั่นใจในตนเองคือในปีค.ศ. 1975 เติ้งกง(邓公)ได้กลับมาในช่วงสั้นๆ จากนั้นได้ดำเนินการแก้ไขภายในประเทศหลายครั้งด้วยความกล้าหาญอย่างยิ่งและใช้นโยบายใหม่

    อย่างไรก็ตาม การกลับมาครั้งนี้กินเวลาเพียงหนึ่งปี และเติ้งกง(邓公)ก็ออกจากเวทีการเมืองอีกครั้ง

    ในเวลานั้นคนส่วนใหญ่เชื่อว่าคราวนี้เติ้งกง(邓公)จะเลือนหายไปจากเวทีการเมืองตลอดไป แต่จินยง(金庸)ไม่เชื่อ เขาเชื่อว่า สักวันหนึ่งเติ้งกง(邓公)จะกลายเป็นผู้นำที่แท้จริงของจีนใหม่และนำจีนไปสู่บรรยากาศใหม่

    หลายคนไม่เข้าใจการสนับสนุนที่ร้อนแรงแข็งแกร่งของจินยง(金庸)ที่มีต่อเติ้งกง(邓公) ในตอนนั้น

    แม้ว่าจินยง(金庸)จะกระตือรือร้นใฝ่ใจในการแสดงความคิดเห็นวิภาษวิจารณ์เกี่ยวกับการเมือง แต่เขาก็ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของรัฐ และเขาไม่เคยมีมิตรภาพกับเติ้งกง(邓公)

    ยิ่งไปกว่านั้นฮ่องกงยังไม่ได้กลับสู่มาตุภูมิในเวลานั้น ความสัมพันธ์ระหว่างสองฝั่งของช่องแคบไต้หวันก็อ่อนไหวมาก จินยง(金庸)เสี่ยงที่จะถูกปิดล้อมโดยผู้อ่านเนื่องมาจากการประสงค์ที่จะพูดแทน เติ้งกง(邓公) ทำไมเขาถึงมั่นใจในความสามารถของเติ้งกง(邓公)ถึงขนาดนั้น?

    ในการสัมภาษณ์ครั้งต่อมา จินยง(金庸)ชื่นชมต่อเติ้งกง(邓公)มาก เขากล่าวว่า: 😎"ผมชื่นชมบุคลิกที่แข็งแกร่งและไม่ยอมแพ้นี้ของเขามาโดยตลอด เหมือนกับวีระบุรุษผู้กล้าหาญที่เขียนบรรยายไว้ในนิยายต่อสู้กำลังภายในของผม.......เพียงแค่ความแข็งแกร่งนั้น แน่นอนว่ายังไม่เพียงพอ ต้องยืนหยัดในข้อเสนอที่ถูกต้องโดยไม่คำนึงถึงเกียรติยศ ความอับอาย และความปลอดภัยของตนเอง นี่ถึงจะทำให้ผู้อื่นยอมรับ”😎

    สำหรับการเคลื่อนไหวของ จินยง(金庸) ความจริงแล้ว เติ้งกง(邓公)ก็ได้สัมผัสรู้มา เมื่อเวลาที่เขาถูกส่งไปที่ เจึยงซี(江西) เขาได้ยินว่ามีนักเขียนที่มีชื่อเสียงมากในฮ่องกงซึ่งมักจะตีพิมพ์บทความที่เกี่ยวข้องกับการเมือง

    หลังจากเติ้งกง(邓公)อ่านบทความเหล่านี้ เขาคิดว่า จินยง(金庸) อยู่ในฮ่องกง แม้ว่าเขาจะมีมุมมองที่จำกัดในฮ่องกงก็ตาม ยังมีความเฉียบแหลมทางการเมืองของเขาและความสามารถของเขาในการพูดเพื่อความยุติธรรม จึงเป็นคนที่ควรค่าแก่การเคารพ

    แน่นอน สิ่งที่คาดไม่ถึงที่สุดคือตัวเติ้งกง(邓公)เองเป็นคนรักอ่านนวนิยายศิลปะการต่อสู้กำลังภายในมาก ทันทีที่เขาเห็นนิยายของจินยง(金庸) เขาก็เต็มไปด้วยคำชมและหมกมุ่นในการอ่านนวนิยายนั้น จนกระทั่งหลายปีต่อมา การอ่านนวนิยายของ จินยง(金庸)เป็นหนึ่งในงานอดิเรกที่ชื่นชอบที่สุดของเติ้งกง(邓公)

    ด้วยประการฉะนี้แม้ว่าทั้งสองจะยังไม่ได้พบหน้ากันแต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเป็นเพื่อนในฐานะเพื่อนรู้ใจ

    🥳โปรดติดตามบทความ #มังกรหยกเยือนสำนักแมวขาวแมวดำ ตอน 02.ต่อไป.ในโอกาสหน้า🥳

    🥰กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ🥰
    🤠#มังกรหยกเยือนสำนักแมวขาวแมวดำ ตอน 01🤠 ในเช้าวันที่ 18 กรกฎาคม ค.ศ. 1981 เติ้งกง(邓公)ได้รับแขกพิเศษในห้องโถงใหญ่ของประชาชน แขกรับเชิญคนนี้ คือ จินยง(金庸)นักเขียนนวนิยายจีนกำลังภายในชื่อดัง ทั้งสองคนนี้ คนหนึ่งเป็นนักการเมือง อีกคนเป็นนักเขียน ดูเหมือนไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน ในความเป็นจริงพวกเขาชื่นชมซึ่งกันและกันเสมอ ในมุมมองของ จินยง(金庸) เติ้งกง(邓公) เป็นบุคคลที่น่านับถือที่สุดเหมือนเช่นเดียวกับวีรบุรุษที่เขาได้เขียนบรรยายไว้ในนวนิยาย 🥸บ้านและเมืองในใต้หล้า🥸 ในเวลานั้น จินยง(金庸)เป็นหัวหน้าบรรณาธิการของ "หมิงเป้า(明报)" เขาเคยตีพิมพ์บทความว่า เติ้งกง(邓公)ควรได้เป็นประธานาธิบดีของประเทศโดยเร็วที่สุด 😎ในเวลานี้ เติ้งกง(邓公)ได้ดำรงตำแหน่งผู้นำของจีนใหม่ และยังดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดีของประเทศอีกด้วย😎 😎จากมุมมองของผู้คนทั่วไป เติ้งกง(邓公)ได้รับเลือกเป็นประธานประเทศเพิ่มขึ้นอีกสักตำแหน่งหนึ่ง เหตุผลมันก็ควรเป็นอย่างที่ควรจะเป็น😎 😎แต่ครั้งนี้ เติ้งกง(邓公)ได้ชี้แจงกับจินยง(金庸)อย่างชัดเจนว่า เขาไม่ต้องการเป็นประธานาธิบดีของประเทศ😎 ในตอนแรก จินยง(金庸)รู้สึกแปลกใจมาก เห็นได้ชัดว่า เติ้งกง(邓公)ได้เป็นประธานของประเทศ ซึ่งทุกคนต่างก็คาดหวังดังนั้น ทำไมเขาถึงไม่เต็มใจ? อย่างไรก็ตาม หลังจากฟังเหตุผลที่เติ้งกง(邓公)พูดจบ จินยง(金庸)ก็มีแต่ความชื่นชมอยู่ในใจ 😎จินยง(金庸)เคยกล่าวไว้ว่า เติ้งกง(邓公)เป็นหนึ่งในบุคคลที่เขาชื่นชมมากที่สุด จากภายในตัวของ เติ้งกง(邓公) เขาได้เห็นตัวตนของวีรบุรุษในฐานะของการรับใช้ประเทศและประชาชนซึ่งเขาใฝ่แสวงหา😎 จินยง(金庸)มีชื่อเสียงจากงานในด้านงานเขียน แต่ในความเป็นจริงแล้ว ในเวลาที่ผ่านมาโดยตลอดเขาไม่ใช่เป็นนักเขียนวรรณกรรมธรรมดาๆ เลย นอกจากนี้เขายังมีอิทธิพลในสนามด้านการเมืองด้วย เมื่อเขายังเด็กเยาววัย อุดมคติของจินยง(金庸) คือ การเป็นนักการทูตที่ยอดเยี่ยม ด้วยเหตุนี้ หลังจากจบการศึกษาจากโรงเรียนมัธยมในปี ค.ศ. 1942 เขาจึงเข้าเรียนที่โรงเรียนกฎหมายของมหาวิทยาลัย ซูโจว(苏州大学)ในเซี่ยงไฮ้ ซึ่งเขาเรียนวิชาเอกกฎหมายระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้จบลงด้วยการเป็นนักการทูต หลังจบการศึกษา ต้ากงเป้า(大公报)ได้ชวนจินยง(金庸)เป็นบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ สำหรับจินยง(金庸)ที่เพิ่งเรียนจบ นี่เป็นงานที่ดีมาก ดังนั้นเขาจึงยอมรับอย่างง่ายดาย หลังจากนั้นไม่นาน "ต้ากงเป้า(大公报)" ก็วางแผนที่จะกลับมาตีพิมพ์ในฮ่องกงและกำลังต้องการกำลังคนอย่างเร่งด่วน ดังนั้น จินยง(金庸)จึงถูกย้ายไปฮ่องกงด้วยวิธีนี้ ฟันเฟืองแห่งโชคชะตากำลังพลิกผันอย่างไม่ทันตั้งตัว และจินยง(金庸)ต้องห่างไกลจากความฝันในการเป็นนักการทูตมากขึ้นเรื่อยๆ แต่เขากลายเป็นนักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ที่มีอิทธิพลต่อผลกระทบไม่ด้อยไปกว่านักการทูต ในปีค.ศ. 1959 จินยง(金庸)ออกจาก "ต้ากงเป้า(大公报)" และก่อตั้ง "หมิงเป้า(明报)"ที่มีชื่อเสียงด้วยตัวเขาเอง "หมิงเป้า(明报)"มีชื่อเสียงในเวลาต่อมาเนื่องจากออกพิมพ์นิยายกำลังภายในอย่างต่อเนื่องของจินยง(金庸) อย่างไรก็ตาม "หมิงเป้า(明报)" ไม่ได้มีแค่คอลัมน์นิยายกำลังภายใน อันที่จริง จินยง(金庸)มักจะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเหตุการณ์ปัจจุบันใน "หมิงเป้า(明报)"เสมอ ในเวลานั้น เติ้งกง(邓公)ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงทั้งในและต่างประเทศ และจินยง(金庸)ไม่เข้าใจปรากฏการณ์นี้ เพราะแม้ว่าเขาจะไม่มีสายสัมพันธ์กับเติ้งกง(邓公)ในขณะนี้ แต่เขาได้เรียนรู้แนวคิดทางการเมืองบางอย่างของเติ้งกง(邓公) และเชื่อว่าเติ้งกง(邓公) เป็นบุคคลที่มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลและเป็นคนที่สามารถเปลี่ยนชะตากรรมของจีนได้ เขาไม่สามารถยอมรับการใส่ร้ายต่อเติ้งกง(邓公)ของคนอื่นได้ ดังนั้น ในฐานะบรรณาธิการ เขาจึงตีพิมพ์บทความหลายบทความใน "หมิงเป้า(明报)"เพื่อพูดแทนเติ้งกง(邓公) เนื่องจากในเวลานั้นเขามีชื่อเสียงมาก บทความเหล่านี้ทำให้เกิดกระแสคลื่นลมไม่เบาในฮ่องกงและแม้แต่ในแผ่นดินใหญ่ แต่แม้ว่าจะเกิดการโต้แย้งกันขึ้น จินยง(金庸)ยังคงยืนยันในมุมมองของเขาเหมือนเดิม เขาถึงกับยังได้เขียนคำทำนายว่า "เติ้ง เสี่ยวผิง(邓小平)จะกลับมาแน่นอน" ในบทความ เหตุผลที่ทำให้ จินยง(金庸)มีความมั่นใจในตนเองคือในปีค.ศ. 1975 เติ้งกง(邓公)ได้กลับมาในช่วงสั้นๆ จากนั้นได้ดำเนินการแก้ไขภายในประเทศหลายครั้งด้วยความกล้าหาญอย่างยิ่งและใช้นโยบายใหม่ อย่างไรก็ตาม การกลับมาครั้งนี้กินเวลาเพียงหนึ่งปี และเติ้งกง(邓公)ก็ออกจากเวทีการเมืองอีกครั้ง ในเวลานั้นคนส่วนใหญ่เชื่อว่าคราวนี้เติ้งกง(邓公)จะเลือนหายไปจากเวทีการเมืองตลอดไป แต่จินยง(金庸)ไม่เชื่อ เขาเชื่อว่า สักวันหนึ่งเติ้งกง(邓公)จะกลายเป็นผู้นำที่แท้จริงของจีนใหม่และนำจีนไปสู่บรรยากาศใหม่ หลายคนไม่เข้าใจการสนับสนุนที่ร้อนแรงแข็งแกร่งของจินยง(金庸)ที่มีต่อเติ้งกง(邓公) ในตอนนั้น แม้ว่าจินยง(金庸)จะกระตือรือร้นใฝ่ใจในการแสดงความคิดเห็นวิภาษวิจารณ์เกี่ยวกับการเมือง แต่เขาก็ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของรัฐ และเขาไม่เคยมีมิตรภาพกับเติ้งกง(邓公) ยิ่งไปกว่านั้นฮ่องกงยังไม่ได้กลับสู่มาตุภูมิในเวลานั้น ความสัมพันธ์ระหว่างสองฝั่งของช่องแคบไต้หวันก็อ่อนไหวมาก จินยง(金庸)เสี่ยงที่จะถูกปิดล้อมโดยผู้อ่านเนื่องมาจากการประสงค์ที่จะพูดแทน เติ้งกง(邓公) ทำไมเขาถึงมั่นใจในความสามารถของเติ้งกง(邓公)ถึงขนาดนั้น? ในการสัมภาษณ์ครั้งต่อมา จินยง(金庸)ชื่นชมต่อเติ้งกง(邓公)มาก เขากล่าวว่า: 😎"ผมชื่นชมบุคลิกที่แข็งแกร่งและไม่ยอมแพ้นี้ของเขามาโดยตลอด เหมือนกับวีระบุรุษผู้กล้าหาญที่เขียนบรรยายไว้ในนิยายต่อสู้กำลังภายในของผม.......เพียงแค่ความแข็งแกร่งนั้น แน่นอนว่ายังไม่เพียงพอ ต้องยืนหยัดในข้อเสนอที่ถูกต้องโดยไม่คำนึงถึงเกียรติยศ ความอับอาย และความปลอดภัยของตนเอง นี่ถึงจะทำให้ผู้อื่นยอมรับ”😎 สำหรับการเคลื่อนไหวของ จินยง(金庸) ความจริงแล้ว เติ้งกง(邓公)ก็ได้สัมผัสรู้มา เมื่อเวลาที่เขาถูกส่งไปที่ เจึยงซี(江西) เขาได้ยินว่ามีนักเขียนที่มีชื่อเสียงมากในฮ่องกงซึ่งมักจะตีพิมพ์บทความที่เกี่ยวข้องกับการเมือง หลังจากเติ้งกง(邓公)อ่านบทความเหล่านี้ เขาคิดว่า จินยง(金庸) อยู่ในฮ่องกง แม้ว่าเขาจะมีมุมมองที่จำกัดในฮ่องกงก็ตาม ยังมีความเฉียบแหลมทางการเมืองของเขาและความสามารถของเขาในการพูดเพื่อความยุติธรรม จึงเป็นคนที่ควรค่าแก่การเคารพ แน่นอน สิ่งที่คาดไม่ถึงที่สุดคือตัวเติ้งกง(邓公)เองเป็นคนรักอ่านนวนิยายศิลปะการต่อสู้กำลังภายในมาก ทันทีที่เขาเห็นนิยายของจินยง(金庸) เขาก็เต็มไปด้วยคำชมและหมกมุ่นในการอ่านนวนิยายนั้น จนกระทั่งหลายปีต่อมา การอ่านนวนิยายของ จินยง(金庸)เป็นหนึ่งในงานอดิเรกที่ชื่นชอบที่สุดของเติ้งกง(邓公) ด้วยประการฉะนี้แม้ว่าทั้งสองจะยังไม่ได้พบหน้ากันแต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเป็นเพื่อนในฐานะเพื่อนรู้ใจ 🥳โปรดติดตามบทความ #มังกรหยกเยือนสำนักแมวขาวแมวดำ ตอน 02.ต่อไป.ในโอกาสหน้า🥳 🥰กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ🥰
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 262 มุมมอง 0 รีวิว
  • Boris Johnson อดีตนายกฯอังกฤษ ละเมิดกฏสำนักพระราชวัง เขียนหนังสือเกี่ยวกับควีนเอลิซาเบธที่ 2เปิดเผยอาการประชวรโรคมะเร็งกระดูกก่อนเสด็จสวรรคต สำนักพระราชวังอังกฤษชี้ไม่ควรทำอย่างยิ่งเพราะ “ผิด” กฎราชวงศ์

    2 ตุลาคม 2567- รายงานข่าวต่างประเทศระบุว่า หนังสือบันทึกความทรงจำ Boris Johnson Unleashed ของอดีตนายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสันของอังกฤษที่จะออกวางจำหน่ายวันที่ 10 ตุลาคมนี้ กำลังเผชิญกระแสสังคมอย่างมาก กรณีที่เขาออกมาเปิดเผยข้อความในหนังสือบันทึกความทรงจำของเขาเกี่ยวกับพระอาการประชวรของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 และช่วงเวลาสุดท้ายของพระองค์ที่เมืองบัลมอรัล ในสกอตแลนด์ว่าทรงประชวรด้วย “โรคมะเร็งกระดูก” ก่อนสวรรคต ซึ่งหลังจากสำนักพระราชวังของอังกฤษทราบเรื่องดังกล่าวก็ได้ออกมาตำหนิว่าเขาไม่ควรเปิดเผยพระอาการประชวรของพระองค์พร้อมทั้งชี้ว่านี่คือการละเมิดกฎพระราชวงศ์

    ส่วนหนึ่งในหนังสือของจอห์นสันระบุว่า “พระองค์ดูซีดและหลังค่อมขึ้น และมีรอยฝกช้ำดำเขียวที่บริเวณข้อมือ ซึ่งน่าจะเกิดจากการให้น้ำเกลือหรือฉีดยา แต่พระองค์ดูเหมือนไม่ได้รับผลกระทบจากความเจ็บปวดเลย ในระหว่างสนทนาพระองค์พระองค์ยังคงยิ้มกว้างอย่างสดใส รอยยิ้มของพระองค์ทำให้สดชื่นเป็นอย่างมาก” นอกจากนี้จอห์นสันได้ระบุว่าการที่เขาได้เฝ้าทูลละอองพระบาทของนายกรัฐมนตรีประจำสัปดาห์กับพระราชินีถือเป็น “สิทธิพิเศษ” และ “กำลังใจ” ให้กับตัวเขาเองด้วย

    ไม่เพียงเท่านี้แต่จอห์นสันยังเขียนถึงอาการประชวรของควีนเอลิซาเบธที่ 2 เอาไว้ว่า “ผมทราบมานานกว่าหนึ่งปีแล้วว่าพระองค์ทรงประชวรด้วยโรคมะเร็งกระดูก และแพทย์ก็เป็นห่วงว่าอาการของพระองค์จะทรุดลงได้ทุกเมื่อ”

    คำบอกเล่าของจอห์นสันนี้ นับว่าขัดกับสาเหตุการสิ้นพระชนม์ ที่สำนักพระราชวังแถลงว่า สาเหตุเกิดจาก “วัยชรา” และการเปิดเผยของจอหืนสันกลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมาอีกครั้งเพราะตั้งแต่ที่ควีนเอลิซาเบธที่ 2 สิ้นพระชนม์ในเดือนกันยายน ปี 2022 สำนักพระราชวงศ์บักกิงแฮมก็ไม่เคยเปิดเผยรายละเอียดที่ชัดเจนเกี่ยวกับสาเหตุการสิ้นพระชนม์ของพระองค์

    อย่างไรก็ตาม จอห์นสันไม่ใช่ผู้นำอังกฤษคนแรกที่ที่เขียนบันทึกรำลึกถึงเรื่องราวในสมัยที่ดำรงตำแหน่งนายกฯที่เข้าเฝ้าพระราชินีอลิซาเบธที่ 2 อดีตนายกรัฐมนตรี โทนี่ แบลร์, กอร์ดอน บราวน์, และ เดวิด คาเมรอน ต่างก็เคยเขียนหนังสือบันทึกเหตุการณ์การถวายงานกับควีนเอลิซาเบธที่2 เช่นกัน แต่เป็นการกล่าวถึงแบบโดยภาพรวม ไม่ได้มีการลงรายละเอียดที่ชัดเจนแบบเดียวกับจอห์นสัน

    ทั้งนี้ ตามธรรมเนียมปฏิบัติของราชวงศ์อังกฤษจะไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดทางการแพทย์ของสมาชิกราชวงศ์ต่อสาธารณชน จนกระทั่งในกรณีของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 และ เจ้าหญิงแคทเธอรีนแห่งเวลส์ ที่ทางสำนักพระราชวังบักกิงแฮมเลือกที่จะเปิดเผยอาการประชวรและข้อมูลการรักษาตัวของพระองค์ซึ่งเป็นไปตามพระประสงค์ของทั้ง 2 พระองค์ที่ต้องการแบ่งปันประสบการณ์ส่วนพระองค์เพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับโรคมะเร็ง

    ภาพ : จากเฟซบุ๊กBoris Johnson

    #Thaitimes
    Boris Johnson อดีตนายกฯอังกฤษ ละเมิดกฏสำนักพระราชวัง เขียนหนังสือเกี่ยวกับควีนเอลิซาเบธที่ 2เปิดเผยอาการประชวรโรคมะเร็งกระดูกก่อนเสด็จสวรรคต สำนักพระราชวังอังกฤษชี้ไม่ควรทำอย่างยิ่งเพราะ “ผิด” กฎราชวงศ์ 2 ตุลาคม 2567- รายงานข่าวต่างประเทศระบุว่า หนังสือบันทึกความทรงจำ Boris Johnson Unleashed ของอดีตนายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสันของอังกฤษที่จะออกวางจำหน่ายวันที่ 10 ตุลาคมนี้ กำลังเผชิญกระแสสังคมอย่างมาก กรณีที่เขาออกมาเปิดเผยข้อความในหนังสือบันทึกความทรงจำของเขาเกี่ยวกับพระอาการประชวรของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 และช่วงเวลาสุดท้ายของพระองค์ที่เมืองบัลมอรัล ในสกอตแลนด์ว่าทรงประชวรด้วย “โรคมะเร็งกระดูก” ก่อนสวรรคต ซึ่งหลังจากสำนักพระราชวังของอังกฤษทราบเรื่องดังกล่าวก็ได้ออกมาตำหนิว่าเขาไม่ควรเปิดเผยพระอาการประชวรของพระองค์พร้อมทั้งชี้ว่านี่คือการละเมิดกฎพระราชวงศ์ ส่วนหนึ่งในหนังสือของจอห์นสันระบุว่า “พระองค์ดูซีดและหลังค่อมขึ้น และมีรอยฝกช้ำดำเขียวที่บริเวณข้อมือ ซึ่งน่าจะเกิดจากการให้น้ำเกลือหรือฉีดยา แต่พระองค์ดูเหมือนไม่ได้รับผลกระทบจากความเจ็บปวดเลย ในระหว่างสนทนาพระองค์พระองค์ยังคงยิ้มกว้างอย่างสดใส รอยยิ้มของพระองค์ทำให้สดชื่นเป็นอย่างมาก” นอกจากนี้จอห์นสันได้ระบุว่าการที่เขาได้เฝ้าทูลละอองพระบาทของนายกรัฐมนตรีประจำสัปดาห์กับพระราชินีถือเป็น “สิทธิพิเศษ” และ “กำลังใจ” ให้กับตัวเขาเองด้วย ไม่เพียงเท่านี้แต่จอห์นสันยังเขียนถึงอาการประชวรของควีนเอลิซาเบธที่ 2 เอาไว้ว่า “ผมทราบมานานกว่าหนึ่งปีแล้วว่าพระองค์ทรงประชวรด้วยโรคมะเร็งกระดูก และแพทย์ก็เป็นห่วงว่าอาการของพระองค์จะทรุดลงได้ทุกเมื่อ” คำบอกเล่าของจอห์นสันนี้ นับว่าขัดกับสาเหตุการสิ้นพระชนม์ ที่สำนักพระราชวังแถลงว่า สาเหตุเกิดจาก “วัยชรา” และการเปิดเผยของจอหืนสันกลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมาอีกครั้งเพราะตั้งแต่ที่ควีนเอลิซาเบธที่ 2 สิ้นพระชนม์ในเดือนกันยายน ปี 2022 สำนักพระราชวงศ์บักกิงแฮมก็ไม่เคยเปิดเผยรายละเอียดที่ชัดเจนเกี่ยวกับสาเหตุการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ อย่างไรก็ตาม จอห์นสันไม่ใช่ผู้นำอังกฤษคนแรกที่ที่เขียนบันทึกรำลึกถึงเรื่องราวในสมัยที่ดำรงตำแหน่งนายกฯที่เข้าเฝ้าพระราชินีอลิซาเบธที่ 2 อดีตนายกรัฐมนตรี โทนี่ แบลร์, กอร์ดอน บราวน์, และ เดวิด คาเมรอน ต่างก็เคยเขียนหนังสือบันทึกเหตุการณ์การถวายงานกับควีนเอลิซาเบธที่2 เช่นกัน แต่เป็นการกล่าวถึงแบบโดยภาพรวม ไม่ได้มีการลงรายละเอียดที่ชัดเจนแบบเดียวกับจอห์นสัน ทั้งนี้ ตามธรรมเนียมปฏิบัติของราชวงศ์อังกฤษจะไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดทางการแพทย์ของสมาชิกราชวงศ์ต่อสาธารณชน จนกระทั่งในกรณีของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 และ เจ้าหญิงแคทเธอรีนแห่งเวลส์ ที่ทางสำนักพระราชวังบักกิงแฮมเลือกที่จะเปิดเผยอาการประชวรและข้อมูลการรักษาตัวของพระองค์ซึ่งเป็นไปตามพระประสงค์ของทั้ง 2 พระองค์ที่ต้องการแบ่งปันประสบการณ์ส่วนพระองค์เพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับโรคมะเร็ง ภาพ : จากเฟซบุ๊กBoris Johnson #Thaitimes
    Like
    Sad
    4
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 626 มุมมอง 0 รีวิว
  • สนามบินมิยาซากิในญี่ปุ่น ปิดให้บริการพร้อมยกเลิกเที่ยวบิน 80 เที่ยว หลังเกิดเหตุลูกระเบิดตกค้างของกองทัพสหรัฐอเมริกาสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ระเบิดใกล้รันเวย์ ทางการต้องส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาเก็บกู้

    2 ตุลาคม 2567-รายงานจากสำนักข่าวต่างประเทศระบุว่า เกิดเหตุระเบิดใกล้ทางวิ่งของสนามบิน หรือรันเวย์ ที่บริเวณท่าอากาศยานมิยาซากิ ทางตะวันตกเฉียงใต้ของญี่ปุ่น ส่งผลให้ทางท่าอากาศยานต้องปิดให้บริการ พร้อมสั่งยกเลิกเที่ยวบินต่างๆ กว่า80 เที่ยวบิน

    จากการตรวจสอบพบว่า เหตุระเบิดเกิดจากลูกระเบิดตกค้างของกองทัพสหรัฐฯสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ฝังดินในพื้นที่ดังกล่าว อย่างไรก็ตาม เหตุระเบิดครั้งนี้ไม่มีผู้เสียชีวิต หรือได้รับบาดเจ็บ

    โยชิมาสะ ฮายาชิ เลขาธิการคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่น เปิดเผยว่า มีเที่ยวบินมากกว่า 80 เที่ยวบินที่สนามบินถูกยกเลิก โดยคาดว่าสนามบินจะกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้งในเช้าวันพฤหัสบดีที่3ตุลาคมนี้

    สนามบินมิยาซากิสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2486 เพื่อเป็นสนามฝึกบินของกองทัพเรือจักรวรรดิญี่ปุ่น ซึ่งนักบินกามิกาเซ่บางนายใช้เป็นสถานที่ฝึกบินเพื่อปฏิบัติภารกิจโจมตีแบบพลีชีพกามิกาเซ่

    เจ้าหน้าที่กระทรวงกลาโหมกล่าวว่า ระเบิดที่ไม่ทำงานจำนวนหนึ่งซึ่งกองทัพสหรัฐฯ ทิ้งลงระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ถูกขุดพบในพื้นที่ดังกล่าว ภายหลังเกิดเหตุ ทางการญี่ปุ่นได้ส่งเจ้าหน้าที่ของกองกำลังป้องกันตนเอง เข้าไปเก็บกู้ลูกระเบิดที่เหลืออยู่

    ขอบคุณภาพจาก อาซาฮีและเอเอฟพี

    #Thaitimes
    สนามบินมิยาซากิในญี่ปุ่น ปิดให้บริการพร้อมยกเลิกเที่ยวบิน 80 เที่ยว หลังเกิดเหตุลูกระเบิดตกค้างของกองทัพสหรัฐอเมริกาสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ระเบิดใกล้รันเวย์ ทางการต้องส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาเก็บกู้ 2 ตุลาคม 2567-รายงานจากสำนักข่าวต่างประเทศระบุว่า เกิดเหตุระเบิดใกล้ทางวิ่งของสนามบิน หรือรันเวย์ ที่บริเวณท่าอากาศยานมิยาซากิ ทางตะวันตกเฉียงใต้ของญี่ปุ่น ส่งผลให้ทางท่าอากาศยานต้องปิดให้บริการ พร้อมสั่งยกเลิกเที่ยวบินต่างๆ กว่า80 เที่ยวบิน จากการตรวจสอบพบว่า เหตุระเบิดเกิดจากลูกระเบิดตกค้างของกองทัพสหรัฐฯสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ฝังดินในพื้นที่ดังกล่าว อย่างไรก็ตาม เหตุระเบิดครั้งนี้ไม่มีผู้เสียชีวิต หรือได้รับบาดเจ็บ โยชิมาสะ ฮายาชิ เลขาธิการคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่น เปิดเผยว่า มีเที่ยวบินมากกว่า 80 เที่ยวบินที่สนามบินถูกยกเลิก โดยคาดว่าสนามบินจะกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้งในเช้าวันพฤหัสบดีที่3ตุลาคมนี้ สนามบินมิยาซากิสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2486 เพื่อเป็นสนามฝึกบินของกองทัพเรือจักรวรรดิญี่ปุ่น ซึ่งนักบินกามิกาเซ่บางนายใช้เป็นสถานที่ฝึกบินเพื่อปฏิบัติภารกิจโจมตีแบบพลีชีพกามิกาเซ่ เจ้าหน้าที่กระทรวงกลาโหมกล่าวว่า ระเบิดที่ไม่ทำงานจำนวนหนึ่งซึ่งกองทัพสหรัฐฯ ทิ้งลงระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ถูกขุดพบในพื้นที่ดังกล่าว ภายหลังเกิดเหตุ ทางการญี่ปุ่นได้ส่งเจ้าหน้าที่ของกองกำลังป้องกันตนเอง เข้าไปเก็บกู้ลูกระเบิดที่เหลืออยู่ ขอบคุณภาพจาก อาซาฮีและเอเอฟพี #Thaitimes
    Like
    Sad
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 578 มุมมอง 0 รีวิว
  • 2 ตุลาคม 2567-Live รายการ คนเคาะข่าว ประเด็นร้อน“ไอออนโดมสิ้นท่า ต้านทานขีปนาวุธอิหร่านไม่ไหว” วิเคราะห์โดย ทนง ขันทอง ผู้เชี่ยวชาญข่าวต่างประเทศ และดร.ประเสริฐ สุขศาสน์กวิน คณบดีคณะรัฐประศาสนศาสตร์ และผอ.ศูนย์อิหร่านศึกษา วิทยาลัยเทคโนโลยีสยาม และดำเนินรายการ โดย นงวดี ถนิมมาลย์

    https://youtu.be/jUVk3oQXtDs?si=guZYL4D0l1SI72tx

    #Thaitimes
    2 ตุลาคม 2567-Live รายการ คนเคาะข่าว ประเด็นร้อน“ไอออนโดมสิ้นท่า ต้านทานขีปนาวุธอิหร่านไม่ไหว” วิเคราะห์โดย ทนง ขันทอง ผู้เชี่ยวชาญข่าวต่างประเทศ และดร.ประเสริฐ สุขศาสน์กวิน คณบดีคณะรัฐประศาสนศาสตร์ และผอ.ศูนย์อิหร่านศึกษา วิทยาลัยเทคโนโลยีสยาม และดำเนินรายการ โดย นงวดี ถนิมมาลย์ https://youtu.be/jUVk3oQXtDs?si=guZYL4D0l1SI72tx #Thaitimes
    Like
    Love
    20
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 902 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความน่าสนใจในเพจเฟซบุ๊กBrandThinkได้ตอบข้อสงสัยว่า “ทำไม The Voice ไทยปีนี้ไม่มี 'เพลงสากล'?และทำไม YouTube ถึงบล็อกเพลง Nirvana ในอเมริกา? ทั้งหมดเกี่ยวกันอย่างไร?

    เนื้อหาในบทความนี้มีดังต่อไปนี้
    “เรื่องลิขสิทธิ์เป็นเรื่องชวนปวดหัวที่หลายคนไม่อยากยุ่งเกี่ยวด้วยนัก อย่างไรก็ดีในหลายๆ ครั้งมันก็ส่งผลมาสู่สิ่งที่เรา 'รู้สึก' ได้ในชีวิตประจำวัน
    .
    ถ้าใครได้ดูรายการ ‘The Voice Thailand’ ปีนี้ สิ่งหนึ่งที่อาจสังเกตได้คือ ปีนี้ไม่มีเพลงสากล ทั้งนี้หลังจากมีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตตั้งคำถามนี้ ทางผู้จัดรายการ The Voice จึงมาตอบให้ ซึ่งคำตอบนี้นักดนตรีมีชื่ออย่าง ‘หนึ่ง Mr. Drummer’ ก็ได้โพสต์บน Facebook ของตัวเอง จนคนแชร์เป็นไวรัลโพสต์ในวันที่ 30 กันยายน 2024 ซึ่งโพสต์ยาวมาก แต่สามารถสรุปใจความได้ว่า
    .
    ในปีก่อนๆ The Voice เวลาจะ 'เคลียร์ลิขสิทธิ์' เพลงสากล สมัยก่อนจะติดต่อผ่าน 'ตัวแทนลิขสิทธิ์' ในไทยเจ้าเดียวจบ แต่ปัจจุบัน ด้วยเหตุผลบางอย่าง ทำแบบนั้นไม่ได้แล้ว จะขอเพลงมาร้องในรายการก็ต้องไปไล่ติดต่อ 'นักแต่งเพลง' โดยตรง ซึ่งกระบวนการ 'เคลียร์' นั้นยุ่งยากและใช้เวลามาก เพราะต้องไปหาคอนแท็กนักแต่งเพลงเป็นคนๆ และบางเพลงมีนักแต่งหลายคนก็ต้องไปไล่ขอทุกคนด้วย สุดท้ายเคลียร์ไม่ได้ทันเวลา ก็เลยต้องระงับการใช้ 'เพลงสากล' ในรายการ
    .
    ต่อมาไม่นาน วิชัย มาตกุล ผู้เป็น Creative Director แห่งบริษัทโฆษณาชื่อดัง Salmon House ก็ดูเหมือนจะโพสต์ขึ้นมาเพื่อเสริมประเด็นบทสนทนานี้ โดยเน้นไปที่ประเด็นค่าลิขสิทธิ์ในการใช้เพลงดังๆ ของต่างประเทศที่แพงมาก ซึ่งได้ยกตัวอย่างว่า หากเขาจะทำโฆษณาสักชิ้นหนึ่ง จะมีการใช้เพลงสากลสั้นๆ แบบให้คนในโฆษณาร้องเฉพาะท่อนฮุกของเพลงดังกล่าวเท่านั้น แต่หลังจากติดต่อไปที่เจ้าของลิขสิทธิ์ เขาเคาะมาว่าค่าใช้จ่ายลิขสิทธิ์บทประพันธ์เพลงโดยนำท่อนฮุกไปร้องในโฆษณาสั้นๆ อยู่ที่ 2.5 ล้านบาท ซึ่งแพงว่าค่าโปรเจกต์โฆษณาทั้งหมด แผนการเลยยุติไป
    .
    ทั้งนี้ถ้าใครตามข่าวต่างประเทศด้านดนตรี เราก็จะพบโดยบังเอิญว่าในวันเดียวกันนี้มีข่าวใหญ่ข่าวหนึ่งว่า อยู่ดีๆ คนอเมริกันก็เข้าดู YouTube เพลงของวงดนตรีดังๆ อย่าง Nirvana, Green Day และนักร้องอีกจำนวนมากไม่ได้ สืบสาวราวเรื่องก็คือ YouTube ไม่สามารถดีลกับองค์กรบริหารลิขสิทธิ์บทประพันธ์เพลงที่เป็นตัวแทนในการดีลเก็บค่าลิขสิทธิ์ในการเผยแพร่ 'บทประพันธ์เพลง' เหล่านี้บน YouTube ได้ และพอดีลไม่สำเร็จ YouTube ก็จำต้องถอนเพลงออกจากแพลตฟอร์ม เพราะถ้าไม่ได้รับอนุญาตก่อนก็ถือว่าละเมิดลิขสิทธิ์
    .
    เรื่องทั้งหมดอาจฟังดูไม่เกี่ยวกัน แต่จริงๆ มันเป็น 'เรื่องเดียวกัน' เลย แต่ก่อนอื่นเราอาจต้องย้อนทำความเข้าใจเบสิกเรื่องลิขสิทธิ์งานดนตรีกันก่อน
    .
    โดยทั่วๆ ไปในโลกปัจจุบัน ลิขสิทธิ์งานดนตรีจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ‘ลิขสิทธิ์บทประพันธ์เพลง’ ที่อยู่กับตัวนักประพันธ์เพลง กับ ‘ลิขสิทธิ์งานบันทึกเสียง’ ที่มักจะอยู่กับค่ายเพลงหรือบริษัทที่ผลิตงานบันทึกเสียงออกมาขาย
    .
    ในระบบไทยจะง่าย เพราะปกติค่ายเพลงจะรวบลิขสิทธิ์ทั้งสองมาเป็นของตัวเอง ทำให้เคลียร์ง่ายเวลามีคนเอาไปใช้ แต่จะมีปัญหาเวลานักร้องไปร้องเพลงตัวเองตามคอนเสิร์ต ก็ต้องขออนุญาตค่ายก่อน ซึ่งในไทยก็จะมีปัญหาถกเถียงกันว่า 'ไม่เป็นธรรม'
    .
    ระบบอเมริกาและโลกตะวันตกไม่เป็นแบบนั้น ลิขสิทธิ์ตัวบทประพันธ์เพลงโดยทั่วไปจะอยู่กับตัวผู้แต่งเพลงเสมอ ทำให้คนเหล่านี้ใช้เพลงที่ตนเองแต่งไปเล่นสดได้เสมอแบบไม่ต้องขออนุญาตใคร หรือถ้าแตกกับค่ายเพลงเดิม ก็ยังสามารถนำเพลงตัวเองมาบันทึกเสียงใหม่ให้เป็นของตัวเองโดยตรงได้ ดังในกรณีที่โด่งดังของ Taylor Swift
    .
    ลิขสิทธิ์เป็นของนักแต่งเพลงมีข้อดีในแบบที่ว่ามานี้เอง แต่จากมุมผู้อื่นที่ต้องการนำเอาบทประพันธ์เพลงไปใช้ มันจะยุ่งยากมาก คือต้องไปขอนักแต่งเพลงโดยตรงจึงจะไม่ละเมิดลิขสิทธิ์ ทั้งนี้อยากลองให้นึกถึงสมัยก่อนที่ไม่มีเทคโนโลยีการติดต่อสื่อสารแบบปัจจุบัน เราจะไปตามตัวขอใช้บทเพลงยังไง? ไม่ต้องพูดถึงเพลงในประเทศอื่น เพราะแค่เพลงในประเทศตัวเองยังยากเลย เพราะถึงเรารู้ว่าใครเป็นคนแต่งเพลงนี้ๆ เราก็ไม่รู้ว่าจะติดต่อเขาได้อย่างไรอยู่ดี
    .
    จึงทำให้เกิดระบบ 'สมาคมเก็บค่าลิขสิทธิ์บทประพันธ์เพลงเพื่อการแสดง' (Performance Right Society) ขึ้นมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 ระบบนี้ก็ง่ายๆ คือพวกนักแต่งเพลงก็ไปรวมตัวกันเป็นสมาคมและมอบอำนาจการ 'เก็บค่าลิขสิทธิ์' ทั้งประเทศให้กับสมาคมฯ และสมาคมฯ ก็จะไปไล่เก็บค่าลิขสิทธิ์แล้วนำมาแจกจ่ายให้นักแต่งเพลงที่เป็นสมาชิกอีกที
    .
    บางคนอาจมีคำถามว่า เราจะเชื่อใจสมาคมฯ ได้อย่างไร? แต่ความเป็นจริงคือระบบนี้อยู่มาเกิน 100 ปี และประเทศส่วนใหญ่ในโลกก็จะเชื่อใจสมาคมฯ ในประเทศตัวเองให้ไปไล่เก็บค่าลิขสิทธิ์ให้ โดยแทบทุกประเทศในโลก สมาคมแบบนี้จะมีเพียงแห่งเดียว ทำให้ง่ายต่อการจัดการ ใครต้องการจะ 'เคลียร์ค่าลิขสิทธิ์เพลง’ ของนักแต่งเพลงในประเทศนี้ก็ติดต่อสมาคมฯ จบ สมาคมฯ ก็จะมีเรตมาให้ ถ้าโอเคก็ลุยต่อ ไม่โอเค ถ้าไม่ถอยเลย ก็อาจไปคุยกับตัวนักแต่งเพลงเจ้าของลิขสิทธิ์โดยตรงก็ได้
    .
    และสมาคมฯ พวกนี้ในแต่ละประเทศก็จะมีดีลกันพอสมควร ทำให้การติดต่อเคลียร์ค่าลิขสิทธิ์เป็นไปโดยง่าย เช่นถ้าเราเป็นคนฝรั่งเศส อยากใช้เพลงของนักแต่งเพลงเยอรมัน เราก็ติดต่อ SACEM ของฝรั่งเศส แล้วเขาก็จะให้คอนแท็ก GEMA มา เป็นต้น
    .
    ระบบแบบนี้ก็ดำเนินไปเรื่อยๆ จนถึงจุดหนึ่งที่เทคโนโลยีเริ่มเปลี่ยน คือในตอนแรก 'สมาคมเก็บค่าลิขสิทธิ์บทประพันธ์เพลงเพื่อการแสดง' เป้าหมายหลักที่ตั้งมาแรกสุดตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 คือการเก็บเงินค่าลิขสิทธิ์บทประพันธ์เพลงตามร้านอาหารและร้านเหล้า ซึ่งมันเป็นสิ่งที่นักแต่งเพลงตามไปตรวจสอบและเก็บเองไม่ไหว เลยมอบอำนาจให้สมาคมฯ ไปจัดการแทน
    .
    แต่ในยุคปัจจุบัน บทประพันธ์เพลงไม่ได้ถูกใช้แค่เล่นตามร้านอาหารและร้านเหล้า แต่ยังถูกใช้ในโฆษณา ใช้ในหนัง ไปจนถึงใช้ในรายการทีวี ซึ่งเราไม่ต้องมีความรู้อะไรก็น่าจะพอเดาออกว่ามูลค่าทางเศรษฐกิจของกิจกรรมพวกนี้มันสูงมาก จึงทำให้บรรดานักแต่งเพลงเริ่ม 'ถอนสิทธิ์' ในการดีลเพลงเพื่อใช้ในการทำสื่อต่างๆ จากสมาคมฯ แล้วนำมาจัดการเอง เพราะพวกนักแต่งเพลงคิดว่าการดีลเองตรงๆ จะทำให้พวกเขาได้เงินเยอะกว่า และนี่เรากำลังพูดถึงอุตสาหกรรมดนตรีในยุค 'ขาลง' ที่ทุกฝ่ายต่างดิ้นรนหารายได้เพิ่ม
    .
    นี่จึงเป็นการตอบประเด็นที่ทั้ง หนึ่ง Mr. Drummer และ วิชัย มาตกุล พูดถึงว่าทำไมปัจจุบันลิขสิทธิ์ตัวบทประพันธ์เพลงฝั่งอเมริกาถึงดีลยาก และทำไมมันจึงแพงนัก
    .
    แต่มากกว่านั้น ในกรณีของ YouTube ที่ไม่สามารถดีลกับ 'สมาคมเก็บค่าลิขสิทธิ์บทประพันธ์เพลงเพื่อการแสดง' ได้ ก็เป็นภาพสะท้อนถึงปรากฏการณ์เดียวกัน คือพวกนักแต่งเพลงทั่วๆ ไปถึงจะโด่งดังแค่ไหน ก็มักจะไม่ห้าวหาญขนาดจะดีลกับ YouTube เองตรงๆ แต่เลือกดีลผ่านสมาคมฯ เหมือนเดิม เพราะดีลแบบนี้ 'อำนาจต่อรอง' มากกว่า แต่การที่ดีลไม่ผ่านล่าสุดที่เป็นข่าว ถ้าให้เดาก็คือ YouTube น่าจะยืนยันขอจ่ายค่าลิขสิทธิ์บทประพันธ์เพลงเท่าเดิมแบบที่เคยจ่ายทุกปี แต่ฝั่งสมาคมฯ นั้นไม่ยอมอีกแล้ว จะเอาค่าลิขสิทธิ์เพิ่ม เพราะสมาชิกเรียกร้องมา ดีลเลยล่ม YouTube เลยต้องถอนเพลงจำนวนมากที่เคลียร์ลิขสิทธิ์ส่วนบทประพันธ์เพลงไม่สำเร็จออกจากแพลตฟอร์ม (โดยมีข้อยกเว้นสำคัญคือพวกบันทึกการแสดงสด เพราะในระบบกฎหมายลิขสิทธิ์อเมริกา นักแต่งเพลงไม่มีอำนาจลิขสิทธิ์เหนือ 'บันทึกการแสดงสด' ของเพลงตัวเอง)
    .
    ดังนั้นสรุปง่ายๆ เรื่องราวของความติดขัดในการใช้บทเพลงทั้งหมด เกิดจากฝั่ง 'นักแต่งเพลง' เรียกร้องอำนาจ (และผลตอบแทน) ในการควบคุมลิขสิทธิ์บทเพลงตัวเองมากขึ้นนั่นเอง
    .
    ถ้าจะถามว่ามันถูกต้องและเป็นธรรมหรือไม่ เราอาจต้องเข้าสู่บทสนทนาทางปรัชญาและนโยบายสาธารณะเกี่ยวกับ 'สมดุล' ของลิขสิทธิ์และทรัพย์สินทางปัญญาโดยรวมๆ ซึ่งจะวุ่นวายมาก แต่สิ่งที่เดาได้เลยแบบไม่ต้องวิเคราะห์อะไรมากก็คือ ต่อจากนี้ไปจากมุมของไทย การใช้เพลงต่างประเทศจากฝั่งอเมริกาจะวุ่นวายและมีค่าใช้จ่ายเยอะมากๆ จนทั้งนักโฆษณา คนทำหนัง รวมถึงคนทำรายการทีวีจะหลีกเลี่ยงไม่ใช้กันอีก แบบที่เราเห็นในรายการ The Voice Thailand ปีนี้“

    ที่มา : BrandThink https://www.facebook.com/share/8qKxnfVpQJ7WooWB/?mibextid=CTbP7E

    #Thaitimes
    บทความน่าสนใจในเพจเฟซบุ๊กBrandThinkได้ตอบข้อสงสัยว่า “ทำไม The Voice ไทยปีนี้ไม่มี 'เพลงสากล'?และทำไม YouTube ถึงบล็อกเพลง Nirvana ในอเมริกา? ทั้งหมดเกี่ยวกันอย่างไร? เนื้อหาในบทความนี้มีดังต่อไปนี้ “เรื่องลิขสิทธิ์เป็นเรื่องชวนปวดหัวที่หลายคนไม่อยากยุ่งเกี่ยวด้วยนัก อย่างไรก็ดีในหลายๆ ครั้งมันก็ส่งผลมาสู่สิ่งที่เรา 'รู้สึก' ได้ในชีวิตประจำวัน . ถ้าใครได้ดูรายการ ‘The Voice Thailand’ ปีนี้ สิ่งหนึ่งที่อาจสังเกตได้คือ ปีนี้ไม่มีเพลงสากล ทั้งนี้หลังจากมีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตตั้งคำถามนี้ ทางผู้จัดรายการ The Voice จึงมาตอบให้ ซึ่งคำตอบนี้นักดนตรีมีชื่ออย่าง ‘หนึ่ง Mr. Drummer’ ก็ได้โพสต์บน Facebook ของตัวเอง จนคนแชร์เป็นไวรัลโพสต์ในวันที่ 30 กันยายน 2024 ซึ่งโพสต์ยาวมาก แต่สามารถสรุปใจความได้ว่า . ในปีก่อนๆ The Voice เวลาจะ 'เคลียร์ลิขสิทธิ์' เพลงสากล สมัยก่อนจะติดต่อผ่าน 'ตัวแทนลิขสิทธิ์' ในไทยเจ้าเดียวจบ แต่ปัจจุบัน ด้วยเหตุผลบางอย่าง ทำแบบนั้นไม่ได้แล้ว จะขอเพลงมาร้องในรายการก็ต้องไปไล่ติดต่อ 'นักแต่งเพลง' โดยตรง ซึ่งกระบวนการ 'เคลียร์' นั้นยุ่งยากและใช้เวลามาก เพราะต้องไปหาคอนแท็กนักแต่งเพลงเป็นคนๆ และบางเพลงมีนักแต่งหลายคนก็ต้องไปไล่ขอทุกคนด้วย สุดท้ายเคลียร์ไม่ได้ทันเวลา ก็เลยต้องระงับการใช้ 'เพลงสากล' ในรายการ . ต่อมาไม่นาน วิชัย มาตกุล ผู้เป็น Creative Director แห่งบริษัทโฆษณาชื่อดัง Salmon House ก็ดูเหมือนจะโพสต์ขึ้นมาเพื่อเสริมประเด็นบทสนทนานี้ โดยเน้นไปที่ประเด็นค่าลิขสิทธิ์ในการใช้เพลงดังๆ ของต่างประเทศที่แพงมาก ซึ่งได้ยกตัวอย่างว่า หากเขาจะทำโฆษณาสักชิ้นหนึ่ง จะมีการใช้เพลงสากลสั้นๆ แบบให้คนในโฆษณาร้องเฉพาะท่อนฮุกของเพลงดังกล่าวเท่านั้น แต่หลังจากติดต่อไปที่เจ้าของลิขสิทธิ์ เขาเคาะมาว่าค่าใช้จ่ายลิขสิทธิ์บทประพันธ์เพลงโดยนำท่อนฮุกไปร้องในโฆษณาสั้นๆ อยู่ที่ 2.5 ล้านบาท ซึ่งแพงว่าค่าโปรเจกต์โฆษณาทั้งหมด แผนการเลยยุติไป . ทั้งนี้ถ้าใครตามข่าวต่างประเทศด้านดนตรี เราก็จะพบโดยบังเอิญว่าในวันเดียวกันนี้มีข่าวใหญ่ข่าวหนึ่งว่า อยู่ดีๆ คนอเมริกันก็เข้าดู YouTube เพลงของวงดนตรีดังๆ อย่าง Nirvana, Green Day และนักร้องอีกจำนวนมากไม่ได้ สืบสาวราวเรื่องก็คือ YouTube ไม่สามารถดีลกับองค์กรบริหารลิขสิทธิ์บทประพันธ์เพลงที่เป็นตัวแทนในการดีลเก็บค่าลิขสิทธิ์ในการเผยแพร่ 'บทประพันธ์เพลง' เหล่านี้บน YouTube ได้ และพอดีลไม่สำเร็จ YouTube ก็จำต้องถอนเพลงออกจากแพลตฟอร์ม เพราะถ้าไม่ได้รับอนุญาตก่อนก็ถือว่าละเมิดลิขสิทธิ์ . เรื่องทั้งหมดอาจฟังดูไม่เกี่ยวกัน แต่จริงๆ มันเป็น 'เรื่องเดียวกัน' เลย แต่ก่อนอื่นเราอาจต้องย้อนทำความเข้าใจเบสิกเรื่องลิขสิทธิ์งานดนตรีกันก่อน . โดยทั่วๆ ไปในโลกปัจจุบัน ลิขสิทธิ์งานดนตรีจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ‘ลิขสิทธิ์บทประพันธ์เพลง’ ที่อยู่กับตัวนักประพันธ์เพลง กับ ‘ลิขสิทธิ์งานบันทึกเสียง’ ที่มักจะอยู่กับค่ายเพลงหรือบริษัทที่ผลิตงานบันทึกเสียงออกมาขาย . ในระบบไทยจะง่าย เพราะปกติค่ายเพลงจะรวบลิขสิทธิ์ทั้งสองมาเป็นของตัวเอง ทำให้เคลียร์ง่ายเวลามีคนเอาไปใช้ แต่จะมีปัญหาเวลานักร้องไปร้องเพลงตัวเองตามคอนเสิร์ต ก็ต้องขออนุญาตค่ายก่อน ซึ่งในไทยก็จะมีปัญหาถกเถียงกันว่า 'ไม่เป็นธรรม' . ระบบอเมริกาและโลกตะวันตกไม่เป็นแบบนั้น ลิขสิทธิ์ตัวบทประพันธ์เพลงโดยทั่วไปจะอยู่กับตัวผู้แต่งเพลงเสมอ ทำให้คนเหล่านี้ใช้เพลงที่ตนเองแต่งไปเล่นสดได้เสมอแบบไม่ต้องขออนุญาตใคร หรือถ้าแตกกับค่ายเพลงเดิม ก็ยังสามารถนำเพลงตัวเองมาบันทึกเสียงใหม่ให้เป็นของตัวเองโดยตรงได้ ดังในกรณีที่โด่งดังของ Taylor Swift . ลิขสิทธิ์เป็นของนักแต่งเพลงมีข้อดีในแบบที่ว่ามานี้เอง แต่จากมุมผู้อื่นที่ต้องการนำเอาบทประพันธ์เพลงไปใช้ มันจะยุ่งยากมาก คือต้องไปขอนักแต่งเพลงโดยตรงจึงจะไม่ละเมิดลิขสิทธิ์ ทั้งนี้อยากลองให้นึกถึงสมัยก่อนที่ไม่มีเทคโนโลยีการติดต่อสื่อสารแบบปัจจุบัน เราจะไปตามตัวขอใช้บทเพลงยังไง? ไม่ต้องพูดถึงเพลงในประเทศอื่น เพราะแค่เพลงในประเทศตัวเองยังยากเลย เพราะถึงเรารู้ว่าใครเป็นคนแต่งเพลงนี้ๆ เราก็ไม่รู้ว่าจะติดต่อเขาได้อย่างไรอยู่ดี . จึงทำให้เกิดระบบ 'สมาคมเก็บค่าลิขสิทธิ์บทประพันธ์เพลงเพื่อการแสดง' (Performance Right Society) ขึ้นมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 ระบบนี้ก็ง่ายๆ คือพวกนักแต่งเพลงก็ไปรวมตัวกันเป็นสมาคมและมอบอำนาจการ 'เก็บค่าลิขสิทธิ์' ทั้งประเทศให้กับสมาคมฯ และสมาคมฯ ก็จะไปไล่เก็บค่าลิขสิทธิ์แล้วนำมาแจกจ่ายให้นักแต่งเพลงที่เป็นสมาชิกอีกที . บางคนอาจมีคำถามว่า เราจะเชื่อใจสมาคมฯ ได้อย่างไร? แต่ความเป็นจริงคือระบบนี้อยู่มาเกิน 100 ปี และประเทศส่วนใหญ่ในโลกก็จะเชื่อใจสมาคมฯ ในประเทศตัวเองให้ไปไล่เก็บค่าลิขสิทธิ์ให้ โดยแทบทุกประเทศในโลก สมาคมแบบนี้จะมีเพียงแห่งเดียว ทำให้ง่ายต่อการจัดการ ใครต้องการจะ 'เคลียร์ค่าลิขสิทธิ์เพลง’ ของนักแต่งเพลงในประเทศนี้ก็ติดต่อสมาคมฯ จบ สมาคมฯ ก็จะมีเรตมาให้ ถ้าโอเคก็ลุยต่อ ไม่โอเค ถ้าไม่ถอยเลย ก็อาจไปคุยกับตัวนักแต่งเพลงเจ้าของลิขสิทธิ์โดยตรงก็ได้ . และสมาคมฯ พวกนี้ในแต่ละประเทศก็จะมีดีลกันพอสมควร ทำให้การติดต่อเคลียร์ค่าลิขสิทธิ์เป็นไปโดยง่าย เช่นถ้าเราเป็นคนฝรั่งเศส อยากใช้เพลงของนักแต่งเพลงเยอรมัน เราก็ติดต่อ SACEM ของฝรั่งเศส แล้วเขาก็จะให้คอนแท็ก GEMA มา เป็นต้น . ระบบแบบนี้ก็ดำเนินไปเรื่อยๆ จนถึงจุดหนึ่งที่เทคโนโลยีเริ่มเปลี่ยน คือในตอนแรก 'สมาคมเก็บค่าลิขสิทธิ์บทประพันธ์เพลงเพื่อการแสดง' เป้าหมายหลักที่ตั้งมาแรกสุดตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 คือการเก็บเงินค่าลิขสิทธิ์บทประพันธ์เพลงตามร้านอาหารและร้านเหล้า ซึ่งมันเป็นสิ่งที่นักแต่งเพลงตามไปตรวจสอบและเก็บเองไม่ไหว เลยมอบอำนาจให้สมาคมฯ ไปจัดการแทน . แต่ในยุคปัจจุบัน บทประพันธ์เพลงไม่ได้ถูกใช้แค่เล่นตามร้านอาหารและร้านเหล้า แต่ยังถูกใช้ในโฆษณา ใช้ในหนัง ไปจนถึงใช้ในรายการทีวี ซึ่งเราไม่ต้องมีความรู้อะไรก็น่าจะพอเดาออกว่ามูลค่าทางเศรษฐกิจของกิจกรรมพวกนี้มันสูงมาก จึงทำให้บรรดานักแต่งเพลงเริ่ม 'ถอนสิทธิ์' ในการดีลเพลงเพื่อใช้ในการทำสื่อต่างๆ จากสมาคมฯ แล้วนำมาจัดการเอง เพราะพวกนักแต่งเพลงคิดว่าการดีลเองตรงๆ จะทำให้พวกเขาได้เงินเยอะกว่า และนี่เรากำลังพูดถึงอุตสาหกรรมดนตรีในยุค 'ขาลง' ที่ทุกฝ่ายต่างดิ้นรนหารายได้เพิ่ม . นี่จึงเป็นการตอบประเด็นที่ทั้ง หนึ่ง Mr. Drummer และ วิชัย มาตกุล พูดถึงว่าทำไมปัจจุบันลิขสิทธิ์ตัวบทประพันธ์เพลงฝั่งอเมริกาถึงดีลยาก และทำไมมันจึงแพงนัก . แต่มากกว่านั้น ในกรณีของ YouTube ที่ไม่สามารถดีลกับ 'สมาคมเก็บค่าลิขสิทธิ์บทประพันธ์เพลงเพื่อการแสดง' ได้ ก็เป็นภาพสะท้อนถึงปรากฏการณ์เดียวกัน คือพวกนักแต่งเพลงทั่วๆ ไปถึงจะโด่งดังแค่ไหน ก็มักจะไม่ห้าวหาญขนาดจะดีลกับ YouTube เองตรงๆ แต่เลือกดีลผ่านสมาคมฯ เหมือนเดิม เพราะดีลแบบนี้ 'อำนาจต่อรอง' มากกว่า แต่การที่ดีลไม่ผ่านล่าสุดที่เป็นข่าว ถ้าให้เดาก็คือ YouTube น่าจะยืนยันขอจ่ายค่าลิขสิทธิ์บทประพันธ์เพลงเท่าเดิมแบบที่เคยจ่ายทุกปี แต่ฝั่งสมาคมฯ นั้นไม่ยอมอีกแล้ว จะเอาค่าลิขสิทธิ์เพิ่ม เพราะสมาชิกเรียกร้องมา ดีลเลยล่ม YouTube เลยต้องถอนเพลงจำนวนมากที่เคลียร์ลิขสิทธิ์ส่วนบทประพันธ์เพลงไม่สำเร็จออกจากแพลตฟอร์ม (โดยมีข้อยกเว้นสำคัญคือพวกบันทึกการแสดงสด เพราะในระบบกฎหมายลิขสิทธิ์อเมริกา นักแต่งเพลงไม่มีอำนาจลิขสิทธิ์เหนือ 'บันทึกการแสดงสด' ของเพลงตัวเอง) . ดังนั้นสรุปง่ายๆ เรื่องราวของความติดขัดในการใช้บทเพลงทั้งหมด เกิดจากฝั่ง 'นักแต่งเพลง' เรียกร้องอำนาจ (และผลตอบแทน) ในการควบคุมลิขสิทธิ์บทเพลงตัวเองมากขึ้นนั่นเอง . ถ้าจะถามว่ามันถูกต้องและเป็นธรรมหรือไม่ เราอาจต้องเข้าสู่บทสนทนาทางปรัชญาและนโยบายสาธารณะเกี่ยวกับ 'สมดุล' ของลิขสิทธิ์และทรัพย์สินทางปัญญาโดยรวมๆ ซึ่งจะวุ่นวายมาก แต่สิ่งที่เดาได้เลยแบบไม่ต้องวิเคราะห์อะไรมากก็คือ ต่อจากนี้ไปจากมุมของไทย การใช้เพลงต่างประเทศจากฝั่งอเมริกาจะวุ่นวายและมีค่าใช้จ่ายเยอะมากๆ จนทั้งนักโฆษณา คนทำหนัง รวมถึงคนทำรายการทีวีจะหลีกเลี่ยงไม่ใช้กันอีก แบบที่เราเห็นในรายการ The Voice Thailand ปีนี้“ ที่มา : BrandThink https://www.facebook.com/share/8qKxnfVpQJ7WooWB/?mibextid=CTbP7E #Thaitimes
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 640 มุมมอง 0 รีวิว
  • 1 ตุลาคม 2567-รายงานข่าวต่างประเทศระบุว่า คลอเดีย เชนบอม เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่ของเม็กซิโกในวันนี้ โดยเธอเน้นย้ำถึงการเสริมสร้างอำนาจให้กับพรรคของเธอ แต่เจ้าหน้าที่หลายคนยังคงจงรักภักดีต่ออดีตประธานาธิบดีคนก่อนของเธอ การยึดพรรคและพันธมิตรไว้ด้วยกันคงเป็นเรื่องยาก

    ประวัติจากวิกิพีเดีย Claudia Sheinbaum Pardo เกิด 24 มิถุนายน 1962 เป็นนักการเมือง นักวิทยาศาสตร์ และนักวิชาการชาวเม็กซิกันที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 66 ของเม็กซิโกตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2024 เธอเป็นผู้หญิงคนแรกที่ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งนี้ และเธอเป็นสมาชิกพรรคของNational Regeneration Movement (Morena) พรรคแนวซ้าย

    #Thaitimes
    1 ตุลาคม 2567-รายงานข่าวต่างประเทศระบุว่า คลอเดีย เชนบอม เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่ของเม็กซิโกในวันนี้ โดยเธอเน้นย้ำถึงการเสริมสร้างอำนาจให้กับพรรคของเธอ แต่เจ้าหน้าที่หลายคนยังคงจงรักภักดีต่ออดีตประธานาธิบดีคนก่อนของเธอ การยึดพรรคและพันธมิตรไว้ด้วยกันคงเป็นเรื่องยาก ประวัติจากวิกิพีเดีย Claudia Sheinbaum Pardo เกิด 24 มิถุนายน 1962 เป็นนักการเมือง นักวิทยาศาสตร์ และนักวิชาการชาวเม็กซิกันที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 66 ของเม็กซิโกตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2024 เธอเป็นผู้หญิงคนแรกที่ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งนี้ และเธอเป็นสมาชิกพรรคของNational Regeneration Movement (Morena) พรรคแนวซ้าย #Thaitimes
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 650 มุมมอง 0 รีวิว
  • เปิดตัว Thaitimes โซเชียลฯ สำหรับคนไทย

    นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งสื่อในเครือผู้จัดการ และผู้ดำเนินรายการ คุยทุกเรื่องกับสนธิ เปิดตัวแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ "ไทยไทมส์" (Thaitimes) อย่างเป็นทางการ ที่หอประชุมเล็ก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 29 ก.ย. โดยได้แนะนำนายอาทิตย์ เซกาล และนายกฤษณะ ผู้อยู่เบื้องหลังในการพัฒนาแพลตฟอร์มดังกล่าวบนเวทีอีกด้วย คาดว่าภายในสิ้นปี 2567 จะมีผู้ใช้งานมากกว่า 5 หมื่นคน และปีหน้า (2568) จะมีสมาชิกหลักแสนคน

    นายสนธิ กล่าวว่า ได้เปิดทดลองใช้แอปพลิเคชัน Thaitimes เป็นครั้งแรกตั้งแต่ช่วงปลายเดือน ส.ค. 2567 ที่ผ่านมา ถึงปัจจุบันเป็นเวลาประมาณ 1 เดือน มีผู้สมัครเข้าใช้แอปพลิเคชันนี้แล้วมากกว่า 2 หมื่นราย จุดเด่นของแอปพลิเคชันไทยไทมส์ คือ มีความเป็นสากลและความเป็นท้องถิ่นอยู่ในตัวเอง ซึ่งสิ่งโซเชียลมีเดียของต่างชาติขาดหายไป คือการใช้มาตรฐานเดียวกันหมดทั่วโลก ทั้งที่ทั่วโลกต้องการความหลากหลาย

    "สิ่งที่สำคัญคือ โซเชียลมีเดียต่างชาตินั้น รับงานรัฐบาลของตัวเองปิดกั้นข้อมูลข้อเท็จจริง ที่คนไทยหรือคนทั่วโลกควรรับรู้อย่างเช่น เรื่องโควิด-19 วัคซีน ผลกระทบของวัคซีน ซึ่งเป็นเรื่องความเป็นความตายของผู้คนทั่วโลก ... ทุกคนมั่นใจว่าแอปฯ นี้จะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับคนไทย ในยุคที่แพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ต่างประเทศเซ็นเซอร์ ปิดกั้นข้อมูลข้อเท็จจริง และแสวงหากำไรเกินควร" นายสนธิ ระบุ

    สำหรับแอปพลิเคชัน Thaitimes นอกจากจะมีหน้าโปร์ไฟล์สำหรับแบ่งปันเรื่องราวแล้ว ยังมีเพจ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" จากรายการคุยทุกเรื่องกับสนธิ เพจ "ความจริงมีหนึ่งเดียว" ถ่ายทอดสดงานความจริงมีหนึ่งเดียว เพจ "News1" ของสถานีข่าวนิวส์วัน เพจ "Thanong Fanclub" ของนายทนง ขันทอง ผู้เชี่ยวชาญด้านข่าวต่างประเทศ เรื่องราวด้านสุขภาพจากเพจ "ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์" ของ อ.ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต และเพจ "Thiravat Hemachudha" ของ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต เป็นต้น

    ผู้ใช้งานสามารถสมัครฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย ดาวน์โหลดได้แล้ววันนี้ที่ App Store และ Google Play Store หากพบปัญหาการใช้งาน หรือดูวิธีการสมัครต่างๆ แจ้งได้ที่เพจ Thaitimes Help Center หรือแจ้งปัญหาการใช้งานได้ที่ไลน์ @sondhitalk

    #Newskit #Thaitimes #ไทยไทมส์
    เปิดตัว Thaitimes โซเชียลฯ สำหรับคนไทย นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งสื่อในเครือผู้จัดการ และผู้ดำเนินรายการ คุยทุกเรื่องกับสนธิ เปิดตัวแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ "ไทยไทมส์" (Thaitimes) อย่างเป็นทางการ ที่หอประชุมเล็ก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 29 ก.ย. โดยได้แนะนำนายอาทิตย์ เซกาล และนายกฤษณะ ผู้อยู่เบื้องหลังในการพัฒนาแพลตฟอร์มดังกล่าวบนเวทีอีกด้วย คาดว่าภายในสิ้นปี 2567 จะมีผู้ใช้งานมากกว่า 5 หมื่นคน และปีหน้า (2568) จะมีสมาชิกหลักแสนคน นายสนธิ กล่าวว่า ได้เปิดทดลองใช้แอปพลิเคชัน Thaitimes เป็นครั้งแรกตั้งแต่ช่วงปลายเดือน ส.ค. 2567 ที่ผ่านมา ถึงปัจจุบันเป็นเวลาประมาณ 1 เดือน มีผู้สมัครเข้าใช้แอปพลิเคชันนี้แล้วมากกว่า 2 หมื่นราย จุดเด่นของแอปพลิเคชันไทยไทมส์ คือ มีความเป็นสากลและความเป็นท้องถิ่นอยู่ในตัวเอง ซึ่งสิ่งโซเชียลมีเดียของต่างชาติขาดหายไป คือการใช้มาตรฐานเดียวกันหมดทั่วโลก ทั้งที่ทั่วโลกต้องการความหลากหลาย "สิ่งที่สำคัญคือ โซเชียลมีเดียต่างชาตินั้น รับงานรัฐบาลของตัวเองปิดกั้นข้อมูลข้อเท็จจริง ที่คนไทยหรือคนทั่วโลกควรรับรู้อย่างเช่น เรื่องโควิด-19 วัคซีน ผลกระทบของวัคซีน ซึ่งเป็นเรื่องความเป็นความตายของผู้คนทั่วโลก ... ทุกคนมั่นใจว่าแอปฯ นี้จะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับคนไทย ในยุคที่แพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ต่างประเทศเซ็นเซอร์ ปิดกั้นข้อมูลข้อเท็จจริง และแสวงหากำไรเกินควร" นายสนธิ ระบุ สำหรับแอปพลิเคชัน Thaitimes นอกจากจะมีหน้าโปร์ไฟล์สำหรับแบ่งปันเรื่องราวแล้ว ยังมีเพจ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" จากรายการคุยทุกเรื่องกับสนธิ เพจ "ความจริงมีหนึ่งเดียว" ถ่ายทอดสดงานความจริงมีหนึ่งเดียว เพจ "News1" ของสถานีข่าวนิวส์วัน เพจ "Thanong Fanclub" ของนายทนง ขันทอง ผู้เชี่ยวชาญด้านข่าวต่างประเทศ เรื่องราวด้านสุขภาพจากเพจ "ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์" ของ อ.ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต และเพจ "Thiravat Hemachudha" ของ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต เป็นต้น ผู้ใช้งานสามารถสมัครฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย ดาวน์โหลดได้แล้ววันนี้ที่ App Store และ Google Play Store หากพบปัญหาการใช้งาน หรือดูวิธีการสมัครต่างๆ แจ้งได้ที่เพจ Thaitimes Help Center หรือแจ้งปัญหาการใช้งานได้ที่ไลน์ @sondhitalk #Newskit #Thaitimes #ไทยไทมส์
    Like
    Love
    Yay
    Haha
    161
    13 ความคิดเห็น 5 การแบ่งปัน 9964 มุมมอง 6 รีวิว
  • เล่าเรื่อง ข่าวTikTok@newsonetiktok #ข่าวต่างประเทศ #ว่างว่างก็แวะมา #Thaitimes
    เล่าเรื่อง ข่าวTikTok@newsonetiktok #ข่าวต่างประเทศ #ว่างว่างก็แวะมา #Thaitimes
    Like
    Love
    11
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1558 มุมมอง 677 0 รีวิว
  • ว่าที่นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นคนใหม่ นายชิเกรุ อิชิบะ วัย 67 ปี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

    27 กันยายน 2567-รายงานข่าวต่างประเทศระบุว่า นายชิเกรุ อิชิบะ วัย 67 ปี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สามารถเอาชนะ ทาคาอิจิ ซานาเอะ รัฐมนตรีหญิงกระทรวงความมั่นคงด้านเศรษฐกิจ ด้วยคะแนนเสียง 215 ต่อ 194 ทำให้นายชิเกรุ อิชิบะขึ้นเป็นหัวหน้าพรรค LDP ส่งผลให้เขาจะขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของญี่ปุ่นแทน คิชิดะ ฟูมิโอะ ที่ประกาศลาออกเมื่อช่วงกลางเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา และในเดือนตุลาคมนี้ รัฐสภาญี่ปุ่นจะโหวตรับรองนายอิชิบะเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่อย่างเป็นทางการ

    ว่าที่นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นคนใหม่ ได้ให้คำมั่นว่าจะทำให้ญี่ปุ่นหลุดพ้นจากวิกฤตอัตราเงินเฟ้อให้ได้โดยสมบูรณ์ พร้อมทั้งจะ “เพิ่มค่าจ้างที่แท้จริง” นอกจากนี้ เขายังสนับสนุนกฎหมายที่จะอนุญาตให้ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วใช้ชื่อสกุลเดิมของตนได้ รวมถึงกล่าวว่าญี่ปุ่นควรลดการพึ่งพาพลังงานนิวเคลียร์เพื่อหันมาใช้พลังงานหมุนเวียนแทน และเรียกร้องให้มีกลุ่มความมั่นคงของนาโต (NATO) ในเอเชียเพื่อต่อต้านภัยคุกคามจากจีนและเกาหลีเหนือ แต่เหนือกว่านั้นอิชิบะเปลี่ยนแผนยุทธศาสตร์ Japan Status of Forces Agreement, SOFA (日米地位協定 ) โดยจะเอาค่ายฝึกกำลังญี่ปุ่นไปวางที่อเมริกา ไม่ใช่แค่ให้สหรัฐมาขายอาวุธยุทโธปกรณ์แล้วตั้งฐานทัพค่ายทหารในญี่ปุ่นเหมือนเคย

    และอิชิบะบอกว่าจะเดินหน้าสานความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่นกับผู้นำสหรัฐฯ คนใหม่ท่ามกลางความท้าทายด้านความมั่นคงที่เพิ่มมากขึ้นในเอเชีย ท่ามกลางความเห็นของญี่ปุ่นส่วนหนึ่งที่มองว่าอิชิบะโปรจีน จากเหตุการณ์เมื่อปี2019 ที่อิชิบะเคยต้อนรับขับสู้จะร่วมมือทางทหารกับจีน

    เส้นทางการเมืองของนายชิเกรุ อิชิบะ เคยลงชิงชัยในตำแหน่งผู้นำญี่ปุ่นกับชินโซะ อาเบะ แต่พ่ายแพ้อาเบะไปถึง 3 ครั้ง เพราะเขาไม่ค่อยได้รับความสนับสนุนจากนักการเมืองในพรรค LDP มากนัก

    ด้านนโยบายเศรษฐกิจ อิชิบะถือว่าเป็นผู้ที่ชอบให้รัฐบาลออกมาตรการที่เน้นงบประมาณเพื่อช่วยเหลือประชาชนผู้ด้อยโอกาส ทว่าไม่เห็นด้วยที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น ใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำในการกระตุ้นเศรษฐกิจ

    #Thaitimes
    ว่าที่นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นคนใหม่ นายชิเกรุ อิชิบะ วัย 67 ปี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม 27 กันยายน 2567-รายงานข่าวต่างประเทศระบุว่า นายชิเกรุ อิชิบะ วัย 67 ปี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สามารถเอาชนะ ทาคาอิจิ ซานาเอะ รัฐมนตรีหญิงกระทรวงความมั่นคงด้านเศรษฐกิจ ด้วยคะแนนเสียง 215 ต่อ 194 ทำให้นายชิเกรุ อิชิบะขึ้นเป็นหัวหน้าพรรค LDP ส่งผลให้เขาจะขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของญี่ปุ่นแทน คิชิดะ ฟูมิโอะ ที่ประกาศลาออกเมื่อช่วงกลางเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา และในเดือนตุลาคมนี้ รัฐสภาญี่ปุ่นจะโหวตรับรองนายอิชิบะเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่อย่างเป็นทางการ ว่าที่นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นคนใหม่ ได้ให้คำมั่นว่าจะทำให้ญี่ปุ่นหลุดพ้นจากวิกฤตอัตราเงินเฟ้อให้ได้โดยสมบูรณ์ พร้อมทั้งจะ “เพิ่มค่าจ้างที่แท้จริง” นอกจากนี้ เขายังสนับสนุนกฎหมายที่จะอนุญาตให้ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วใช้ชื่อสกุลเดิมของตนได้ รวมถึงกล่าวว่าญี่ปุ่นควรลดการพึ่งพาพลังงานนิวเคลียร์เพื่อหันมาใช้พลังงานหมุนเวียนแทน และเรียกร้องให้มีกลุ่มความมั่นคงของนาโต (NATO) ในเอเชียเพื่อต่อต้านภัยคุกคามจากจีนและเกาหลีเหนือ แต่เหนือกว่านั้นอิชิบะเปลี่ยนแผนยุทธศาสตร์ Japan Status of Forces Agreement, SOFA (日米地位協定 ) โดยจะเอาค่ายฝึกกำลังญี่ปุ่นไปวางที่อเมริกา ไม่ใช่แค่ให้สหรัฐมาขายอาวุธยุทโธปกรณ์แล้วตั้งฐานทัพค่ายทหารในญี่ปุ่นเหมือนเคย และอิชิบะบอกว่าจะเดินหน้าสานความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่นกับผู้นำสหรัฐฯ คนใหม่ท่ามกลางความท้าทายด้านความมั่นคงที่เพิ่มมากขึ้นในเอเชีย ท่ามกลางความเห็นของญี่ปุ่นส่วนหนึ่งที่มองว่าอิชิบะโปรจีน จากเหตุการณ์เมื่อปี2019 ที่อิชิบะเคยต้อนรับขับสู้จะร่วมมือทางทหารกับจีน เส้นทางการเมืองของนายชิเกรุ อิชิบะ เคยลงชิงชัยในตำแหน่งผู้นำญี่ปุ่นกับชินโซะ อาเบะ แต่พ่ายแพ้อาเบะไปถึง 3 ครั้ง เพราะเขาไม่ค่อยได้รับความสนับสนุนจากนักการเมืองในพรรค LDP มากนัก ด้านนโยบายเศรษฐกิจ อิชิบะถือว่าเป็นผู้ที่ชอบให้รัฐบาลออกมาตรการที่เน้นงบประมาณเพื่อช่วยเหลือประชาชนผู้ด้อยโอกาส ทว่าไม่เห็นด้วยที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น ใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำในการกระตุ้นเศรษฐกิจ #Thaitimes
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 940 มุมมอง 0 รีวิว
  • คนในวงการต่างรู้ดี ว่าไอสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำประเทศไทย (FCCT: The Foreign Correspondents' Club of Thailand) เป็นเครื่องมือของชา.ติมหาอำนา.จและนายทุ.นต่างชา.ติ ที่อยู่เบื้องหลัง และให้ทุ.นในการโ.จมตี บ่อ.นทำลาย และปกป้องผ.ลประโย.ชน์นายทุ.นต่างชา.ติ แต่พรรคการเมืองที่อ้างชื่อประช.าชนมาเป็นชื่อพรรค กลับสมคบ.คิดกับมัน เพื่อสร้างเวทีในการอวดอ้างผลงาน และโจ.มตีฝ่ายตรงข้าม ออกสู่สายตาชาวโลกแบบมีอ.คติ และยังจัดฉากเปิดข.ายบัตรหาร.ายได้จากการจัดงาน เพื่อตบตาว่าเงิ.นที่ได้มาจากการขา.ยบัตร แต่แท้จริงแล้วเป็นเงิ.นจากนายทุ.นต่างช.าติสนับสนุน ที่ผ่านมา สมาคมนี้ก็ใช้ความเป็นสื่อต่างชาติ หลอกหาแด.กเงิ.นจากหน่วยงานภาครัฐของไทย ที่อยากสร้างภาพลักษณ์ไปสู่ชาวโลกผ่านสื่อต่างชาติมาตลอด
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    คนในวงการต่างรู้ดี ว่าไอสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำประเทศไทย (FCCT: The Foreign Correspondents' Club of Thailand) เป็นเครื่องมือของชา.ติมหาอำนา.จและนายทุ.นต่างชา.ติ ที่อยู่เบื้องหลัง และให้ทุ.นในการโ.จมตี บ่อ.นทำลาย และปกป้องผ.ลประโย.ชน์นายทุ.นต่างชา.ติ แต่พรรคการเมืองที่อ้างชื่อประช.าชนมาเป็นชื่อพรรค กลับสมคบ.คิดกับมัน เพื่อสร้างเวทีในการอวดอ้างผลงาน และโจ.มตีฝ่ายตรงข้าม ออกสู่สายตาชาวโลกแบบมีอ.คติ และยังจัดฉากเปิดข.ายบัตรหาร.ายได้จากการจัดงาน เพื่อตบตาว่าเงิ.นที่ได้มาจากการขา.ยบัตร แต่แท้จริงแล้วเป็นเงิ.นจากนายทุ.นต่างช.าติสนับสนุน ที่ผ่านมา สมาคมนี้ก็ใช้ความเป็นสื่อต่างชาติ หลอกหาแด.กเงิ.นจากหน่วยงานภาครัฐของไทย ที่อยากสร้างภาพลักษณ์ไปสู่ชาวโลกผ่านสื่อต่างชาติมาตลอด #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    Like
    Love
    13
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 1133 มุมมอง 0 รีวิว
  • ชาวยิวไซออนิสต์มีแต่ประวัติอาชญากรรมมาตลอดยุคสมัย:

    นับแต่สร้างประเทศอิสราเอลเป็นต้นมา รัฐบาลอิสราเอลก็ใช้คำเท็จและอาชญากรรมเป็นเครื่องมือในการขยายประเทศมาตลอด หาอ่านหนังสือในรูปประกอบแล้วจะรู้เท่าทัน
    กลุ่มคนที่หวาดกลัวความจริงมากที่สุดในโลกนี้ก็คือยิวไซออนิสต์นี่เอง เมื่อใด ที่คนทั่วไปรู้ทัน แผนการครองโลกของยิวไซออนิสต์ก็จะล่มสลายลงทันที กลุ่มยิวไซออนิสต์จึงต้องหาทางไล่ปิดสื่อที่เสนอความจริงตลอดเวลา

    รัฐบาลไทยก็ไม่กล้ามอบนโยบายให้ช่อง ThaiPBS และช่อง ๕ นำเสนอข่าวต่างประเทศจริง เพราะทันทีที่แฉอาชญากรรมของอิสราเอลและอเมริกา ทูตอเมริกาประจำประเทศไทยก็จะกดดันรัฐบาลไทย มิให้นำเสนอ นี่คือสภาพความเป็นจริงในขณะนี้

    สังคมไทยจึงถูกล้างสมองด้วยข่าวเท็จกันทุกวัน


    ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์
    ชาวยิวไซออนิสต์มีแต่ประวัติอาชญากรรมมาตลอดยุคสมัย: นับแต่สร้างประเทศอิสราเอลเป็นต้นมา รัฐบาลอิสราเอลก็ใช้คำเท็จและอาชญากรรมเป็นเครื่องมือในการขยายประเทศมาตลอด หาอ่านหนังสือในรูปประกอบแล้วจะรู้เท่าทัน กลุ่มคนที่หวาดกลัวความจริงมากที่สุดในโลกนี้ก็คือยิวไซออนิสต์นี่เอง เมื่อใด ที่คนทั่วไปรู้ทัน แผนการครองโลกของยิวไซออนิสต์ก็จะล่มสลายลงทันที กลุ่มยิวไซออนิสต์จึงต้องหาทางไล่ปิดสื่อที่เสนอความจริงตลอดเวลา รัฐบาลไทยก็ไม่กล้ามอบนโยบายให้ช่อง ThaiPBS และช่อง ๕ นำเสนอข่าวต่างประเทศจริง เพราะทันทีที่แฉอาชญากรรมของอิสราเอลและอเมริกา ทูตอเมริกาประจำประเทศไทยก็จะกดดันรัฐบาลไทย มิให้นำเสนอ นี่คือสภาพความเป็นจริงในขณะนี้ สังคมไทยจึงถูกล้างสมองด้วยข่าวเท็จกันทุกวัน ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 322 มุมมอง 1 รีวิว
Pages Boosts