• แน่นอน! นี่คือข้อดีและข้อเสียของคาสิโน

    ข้อดีของคาสิโน

    1. สร้างรายได้และเศรษฐกิจ – คาสิโนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่โดยการสร้างงานและดึงดูดนักท่องเที่ยว


    2. แหล่งบันเทิงและสันทนาการ – เป็นสถานที่ที่ให้ความสนุกสนานและความตื่นเต้นแก่ผู้เล่น


    3. สร้างรายได้จากภาษี – คาสิโนสามารถเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญของรัฐผ่านภาษีการพนัน


    4. โอกาสชนะเงินรางวัลใหญ่ – ผู้เล่นมีโอกาสได้รับเงินจำนวนมากจากเกมบางประเภท เช่น สล็อต หรือโป๊กเกอร์


    5. ดึงดูดนักท่องเที่ยว – คาสิโนสามารถเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยว ส่งเสริมธุรกิจอื่นๆ ในพื้นที่ เช่น โรงแรม ร้านอาหาร และร้านค้า



    ข้อเสียของคาสิโน

    1. ปัญหาการติดการพนัน – การเล่นคาสิโนอาจทำให้บางคนติดการพนันจนส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน


    2. ความเสี่ยงทางการเงิน – คาสิโนออกแบบมาให้บ้าน (คาสิโน) มีความได้เปรียบในระยะยาว ทำให้ผู้เล่นส่วนใหญ่เสียเงิน


    3. อาชญากรรมและการฟอกเงิน – คาสิโนอาจเป็นช่องทางให้มิจฉาชีพใช้ฟอกเงินหรือทำธุรกรรมผิดกฎหมาย


    4. ผลกระทบต่อครอบครัวและสังคม – การเล่นพนันมากเกินไปอาจทำให้เกิดปัญหาครอบครัว หนี้สิน หรือปัญหาสังคมอื่นๆ


    5. อาจกระทบธุรกิจในท้องถิ่น – ในบางกรณี คาสิโนอาจทำให้ธุรกิจขนาดเล็กได้รับผลกระทบ เนื่องจากเงินหมุนเวียนไปที่คาสิโนแทน



    คาสิโนมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ขึ้นอยู่กับมุมมองและการบริหารจัดการของแต่ละประเทศหรือนโยบายของรัฐในเรื่องการพนัน

    แน่นอน! นี่คือข้อดีและข้อเสียของคาสิโน ข้อดีของคาสิโน 1. สร้างรายได้และเศรษฐกิจ – คาสิโนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่โดยการสร้างงานและดึงดูดนักท่องเที่ยว 2. แหล่งบันเทิงและสันทนาการ – เป็นสถานที่ที่ให้ความสนุกสนานและความตื่นเต้นแก่ผู้เล่น 3. สร้างรายได้จากภาษี – คาสิโนสามารถเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญของรัฐผ่านภาษีการพนัน 4. โอกาสชนะเงินรางวัลใหญ่ – ผู้เล่นมีโอกาสได้รับเงินจำนวนมากจากเกมบางประเภท เช่น สล็อต หรือโป๊กเกอร์ 5. ดึงดูดนักท่องเที่ยว – คาสิโนสามารถเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยว ส่งเสริมธุรกิจอื่นๆ ในพื้นที่ เช่น โรงแรม ร้านอาหาร และร้านค้า ข้อเสียของคาสิโน 1. ปัญหาการติดการพนัน – การเล่นคาสิโนอาจทำให้บางคนติดการพนันจนส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน 2. ความเสี่ยงทางการเงิน – คาสิโนออกแบบมาให้บ้าน (คาสิโน) มีความได้เปรียบในระยะยาว ทำให้ผู้เล่นส่วนใหญ่เสียเงิน 3. อาชญากรรมและการฟอกเงิน – คาสิโนอาจเป็นช่องทางให้มิจฉาชีพใช้ฟอกเงินหรือทำธุรกรรมผิดกฎหมาย 4. ผลกระทบต่อครอบครัวและสังคม – การเล่นพนันมากเกินไปอาจทำให้เกิดปัญหาครอบครัว หนี้สิน หรือปัญหาสังคมอื่นๆ 5. อาจกระทบธุรกิจในท้องถิ่น – ในบางกรณี คาสิโนอาจทำให้ธุรกิจขนาดเล็กได้รับผลกระทบ เนื่องจากเงินหมุนเวียนไปที่คาสิโนแทน คาสิโนมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ขึ้นอยู่กับมุมมองและการบริหารจัดการของแต่ละประเทศหรือนโยบายของรัฐในเรื่องการพนัน
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 179 มุมมอง 0 รีวิว
  • หมายเหตุ Newskit : ไซเบอร์อรรถ ทำงานรับใช้ใคร?

    กรณีที่ตำรวจกองบัญชาการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) หรือตำรวจไซเบอร์ นำโดย พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ นำกำลังนับสิบนายตรวจค้นบ้าน น.ส.ไญยิกา อธิคุปต์ธนวัฒ ผู้ประกาศข่าวสำนักข่าวเดอะครีติก (The Critics) ก่อนควบคุมตัวไปพบพนักงานสอบสวนเพื่อให้การในฐานะพยาน พร้อมตรวจยึดโทรศัพท์มือถือ เหตุเกิดเมื่อเวลา 06.30 น. วันที่ 20 ก.พ. ถือเป็นการใช้วิธีการที่ไม่ปกติ เพราะโดยปกติแล้วคดีหมิ่นประมาท ไม่ใช่คดีอาชญากรรมร้ายแรง เพียงแค่ตำรวจท้องที่นำหมายเรียกไปติดที่หน้าบ้านเพื่อให้ไปรับทราบข้อกล่าวหาก็ถือว่ามากพอแล้ว

    เราอาจไม่เห็นด้วยกับวิธีการนำเสนอข่าวบางอย่างของสำนักข่าวแห่งนี้ และโดยหลักการแล้วการที่สื่อมวลชนนำเสนอข่าวแล้วไปกระทบกระทั่งกับบุคคลในข่าวหรือใครก็ตาม ก็สามารถตรวจสอบและฟ้องร้องดำเนินคดีได้ตามสิทธิที่ตนเองมีอยู่ แต่การที่ตำรวจไซเบอร์ใช้ยุทธวิธี นำตำรวจนับสิบนายบุกบ้านแต่เช้าตรู่ ซึ่งอยู่ในชุมชนเล็กๆ อยู่กันเพียงสามคนแม่ลูก และยังมีพ่อที่มีโรคประจำตัวพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล เพียงแค่มีหลักฐานทางและข้อมูลว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับแพลตฟอร์มของสำนักข่าวแห่งนั้น ไม่ใช่คดีอาชญากรรมร้ายแรงที่กระทบกับคนจำนวนมาก ถือเป็นวิธีการที่เกินสมควรแก่เหตุหรือไม่?

    ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ ไม่ใช่ครั้งแรกที่ตำรวจไซเบอร์นำโดย พล.ต.ท.ไตรรงค์ ที่สื่อมวลชนอาชญากรรมตั้งฉายาว่า "ไซเบอร์อรรถ จัดเต็ม" กระทำการเล่นใหญ่ เพราะเมื่อวันที่ 17 ม.ค. 2568 เคยนำกำลังจับกุมแอดมินเพจเฟซบุ๊ก ที่เผยแพร่ภาพตัดต่อนักการเมืองรายหนึ่ง ซึ่งถือว่าเป็นการปฎิบัติหน้าที่ตามสมควร แต่การบุกบ้านผู้ประกาศข่าวแต่เช้า ว่ากันว่าทนายความของนักการเมืองรายเดียวกันแจ้งความก่อนหน้านั้นเพียงไม่กี่วัน จึงเป็นที่เคลือบแคลงสงสัยว่า พล.ต.ท.ไตรรงค์ ทำงานรับใช้ใคร นักการเมืองรายใดรายหนึ่งหรือไม่? ถือเป็นปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตหรือไม่?

    เราคงไม่คาดหวังองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนแสดงท่าทีใดๆ เพราะหนึ่งในคู่กรณีเป็นนักข่าวใหญ่ที่สื่อมวลชนส่วนใหญ่ให้ความเคารพนับถือ และเป็นความเคยชินที่ใครไม่ใช่พวกเดียวกันมักจะไม่นับรวมเป็นสื่อมวลชน แต่โดยหลักการแล้ว ถ้าวันหนึ่งตำรวจใช้วิธีการดำเนินคดีที่ไม่ปกติต่อสื่อมวลชน เฉกเช่นครั้งนี้ใช้กำลังนับสิบนายบุกไปที่บ้าน ยึดมือถือ เพียงเพื่อเรียกตัวไปเป็นพยาน คำถามที่ตามมากับสื่อมวลชนตัวเล็กๆ ที่ไม่มีเสียงดังมากพอก็คือ เราจะอยู่กันอย่างนี้จริงๆ หรือ?

    #Newskit
    หมายเหตุ Newskit : ไซเบอร์อรรถ ทำงานรับใช้ใคร? กรณีที่ตำรวจกองบัญชาการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) หรือตำรวจไซเบอร์ นำโดย พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ นำกำลังนับสิบนายตรวจค้นบ้าน น.ส.ไญยิกา อธิคุปต์ธนวัฒ ผู้ประกาศข่าวสำนักข่าวเดอะครีติก (The Critics) ก่อนควบคุมตัวไปพบพนักงานสอบสวนเพื่อให้การในฐานะพยาน พร้อมตรวจยึดโทรศัพท์มือถือ เหตุเกิดเมื่อเวลา 06.30 น. วันที่ 20 ก.พ. ถือเป็นการใช้วิธีการที่ไม่ปกติ เพราะโดยปกติแล้วคดีหมิ่นประมาท ไม่ใช่คดีอาชญากรรมร้ายแรง เพียงแค่ตำรวจท้องที่นำหมายเรียกไปติดที่หน้าบ้านเพื่อให้ไปรับทราบข้อกล่าวหาก็ถือว่ามากพอแล้ว เราอาจไม่เห็นด้วยกับวิธีการนำเสนอข่าวบางอย่างของสำนักข่าวแห่งนี้ และโดยหลักการแล้วการที่สื่อมวลชนนำเสนอข่าวแล้วไปกระทบกระทั่งกับบุคคลในข่าวหรือใครก็ตาม ก็สามารถตรวจสอบและฟ้องร้องดำเนินคดีได้ตามสิทธิที่ตนเองมีอยู่ แต่การที่ตำรวจไซเบอร์ใช้ยุทธวิธี นำตำรวจนับสิบนายบุกบ้านแต่เช้าตรู่ ซึ่งอยู่ในชุมชนเล็กๆ อยู่กันเพียงสามคนแม่ลูก และยังมีพ่อที่มีโรคประจำตัวพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล เพียงแค่มีหลักฐานทางและข้อมูลว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับแพลตฟอร์มของสำนักข่าวแห่งนั้น ไม่ใช่คดีอาชญากรรมร้ายแรงที่กระทบกับคนจำนวนมาก ถือเป็นวิธีการที่เกินสมควรแก่เหตุหรือไม่? ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ ไม่ใช่ครั้งแรกที่ตำรวจไซเบอร์นำโดย พล.ต.ท.ไตรรงค์ ที่สื่อมวลชนอาชญากรรมตั้งฉายาว่า "ไซเบอร์อรรถ จัดเต็ม" กระทำการเล่นใหญ่ เพราะเมื่อวันที่ 17 ม.ค. 2568 เคยนำกำลังจับกุมแอดมินเพจเฟซบุ๊ก ที่เผยแพร่ภาพตัดต่อนักการเมืองรายหนึ่ง ซึ่งถือว่าเป็นการปฎิบัติหน้าที่ตามสมควร แต่การบุกบ้านผู้ประกาศข่าวแต่เช้า ว่ากันว่าทนายความของนักการเมืองรายเดียวกันแจ้งความก่อนหน้านั้นเพียงไม่กี่วัน จึงเป็นที่เคลือบแคลงสงสัยว่า พล.ต.ท.ไตรรงค์ ทำงานรับใช้ใคร นักการเมืองรายใดรายหนึ่งหรือไม่? ถือเป็นปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตหรือไม่? เราคงไม่คาดหวังองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนแสดงท่าทีใดๆ เพราะหนึ่งในคู่กรณีเป็นนักข่าวใหญ่ที่สื่อมวลชนส่วนใหญ่ให้ความเคารพนับถือ และเป็นความเคยชินที่ใครไม่ใช่พวกเดียวกันมักจะไม่นับรวมเป็นสื่อมวลชน แต่โดยหลักการแล้ว ถ้าวันหนึ่งตำรวจใช้วิธีการดำเนินคดีที่ไม่ปกติต่อสื่อมวลชน เฉกเช่นครั้งนี้ใช้กำลังนับสิบนายบุกไปที่บ้าน ยึดมือถือ เพียงเพื่อเรียกตัวไปเป็นพยาน คำถามที่ตามมากับสื่อมวลชนตัวเล็กๆ ที่ไม่มีเสียงดังมากพอก็คือ เราจะอยู่กันอย่างนี้จริงๆ หรือ? #Newskit
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 218 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🪭แม่สื่อสมัยโบราณ 🪭

    สัปดาห์ที่แล้วเราคุยกันเกี่ยวกับขั้นตอนการสู่ขอและ ‘สามหนังสือหกพิธีการ’ และมีการกล่าวถึงการใช้แม่สื่อ แต่เพื่อนเพจคงไม่ได้อรรถรสว่าจริงๆ แล้วการใช้แม่สื่อมีความสำคัญมาก ในบางยุคสมัยอย่างเช่นสมัยถังถึงกับบัญญัติเป็นกฎหมายไว้ว่าการแต่งงานต้องมีแม่สื่อ

    เพื่อนเพจรู้หรือไม่ว่า มีหน่วยงานรัฐรับหน้าที่แม่สื่อ?

    ในบันทึกพิธีการโจวหลี่ซึ่งเป็นบันทึกโบราณที่ถูกจัดทำขึ้นในสมัยฮั่นว่าด้วยพิธีการต่างๆ ของสมัยราชวงศ์โจวตะวันตกมีการระบุไว้ว่า: สำนักงาน ‘เหมยซึ’ (媒氏) มีหน้าที่ดูแลการแต่งงานของประชาชน... ทำทะเบียนบันทึกวันเดือนปีเกิดของทุกคนและจัดให้บุรุษแต่งงานเมื่ออายุสามสิบปีและสตรีเมื่ออายุยี่สิบปี... จัดเทศกาลกลางฤดูใบไม้ผลิหรือที่เรียกว่า ‘จงชุนฮุ่ย’ (仲春会) เพื่อเป็นโอกาสให้หนุ่มสาวได้พบปะดูตัว...

    ก่อนจะลงลึกเรื่องหน้าที่ของสำนักงานแม่สื่อเหมยซึนี้ เรามาคุยกันเล็กน้อยเรื่องเกณฑ์อายุสมรสที่กล่าวถึงข้างต้น

    พวกเราจะคุ้นเคยว่ากฎหมายกำหนดเกณฑ์อายุขั้นต่ำไว้ แต่ในสมัยโบราณมีกำหนดเกณฑ์อายุสูงสุดไว้ด้วย ทั้งนี้เพื่อผลักดันให้ผู้คนแต่งงานมีลูกสืบสกุล ในความเชื่อของคนโบราณคือการไม่มีบุตรสืบสกุลถือเป็นความอกตัญญูอย่างใหญ่หลวง แต่จริงๆ แล้วในมุมมองของรัฐมันมีเหตุผลด้านการพัฒนาประเทศ อย่าลืมว่าแรกเริ่มเลยเศรษฐกิจถูกขับเคลื่อนโดยเกษตรกรรม เมื่อประชากรน้อยผลผลิตก็น้อยรัฐก็จน อีกทั้งในสมัยโบราณมีศึกสงครามและอายุขัยของคนไม่ยาวเหมือนสมัยนี้ ดังนั้นทางการจึงพยายามกระตุ้นให้คนแต่งงานและมีลูกหลานกัน จนถึงขั้นกำหนดเป็นกฎหมายบังคับ เพียงแต่เกณฑ์อายุตามกฎหมายนั้นเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย อย่างเช่นในสมัยฮั่นบุรุษต้องแต่งงานภายในอายุสามสิบปีและสตรีภายในอายุสิบห้าปี หาไม่แล้วต้องถูกปรับด้วยการจ่ายภาษีเพิ่มเป็นห้าเท่า (ในสมัยนั้นจ่ายภาษีเป็นรายหัว ไม่เกี่ยวกับรายได้) และในสมัยราชวงศ์เหนือใต้กำหนดว่าหากสตรีไม่แต่งงานภายในอายุสิบห้าปีพ่อแม่ต้องโทษจำคุก

    แต่ในสมัยโบราณก็มีคนที่ไม่ได้แต่งงานภายในอายุที่กฎหมายที่กำหนด บ้างยืดเวลาออกไปเพราะเหตุผลการไว้ทุกข์ให้พ่อแม่ บ้างมีเหตุผลอื่น แต่ Storyฯ ไม่ได้ไปหาข้อมูลต่อว่าแต่ละยุคสมัยเขามีวิธีหลีกเลี่ยงการแต่งงานกันอย่างไร แต่ที่ชัดเจนก็คือว่า ผู้ที่ถึงเกณฑ์อายุสูงสุดแล้วยังไม่ได้แต่งงานจะมีสำนักงานแม่สื่อมาช่วยจัดการหาคู่ให้ โดยมีความพยายามหว่านล้อมให้เจ้าตัวเห็นชอบและมีตัวเลือกให้ ไม่ใช่นึกจะบังคับแต่งกับใครก็บังคับเลย ประมาณว่าเป็นการบังคับแต่งงานแบบประนีประนอม และนี่เป็นหนึ่งในหน้าที่ของสำนักงานแม่สื่อ

    ทีนี้มาเข้าเรื่องหน้าที่แม่สื่อ... สำหรับหน้าที่แม่สื่อนี้ สำนักงานเหมยซึไม่เพียงหาคู่ให้กับผู้ที่ใกล้จะเลยเกณฑ์อายุสูงสุด หากแต่ยังช่วยหาคู่ให้กับผู้ที่ไม่มีพ่อแม่หรือผู้ใหญ่จัดการเรื่องนี้ รวมถึงจัดงานเทศกาลที่บังคับให้หนุ่มสาวออกมาพบปะและดูตัวกัน นอกจากนี้ ยังเป็นธุระดูแลเรื่องพิธีการต่างๆ ให้ถูกต้องเช่นส่งคนไปช่วยสู่ขอ กำหนดวันแต่งงาน ช่วยจัดงานแต่งงาน และดูแลสินสอดให้เหมาะสม ในบางสมัยถึงกับมีหน้าที่จัดสรรเงินจากงบประมาณแผ่นดินหรือหาคณบดีท้องถิ่นมาเป็นผู้อุปถัมภ์เพื่อให้บุรุษที่ยากจนสามารถมีเงินสินสอดไปแต่งเมียได้ และอย่างในสมัยฉินมีหน้าที่จัดสรรที่ดินทำกินให้คู่บ่าวสาวไปตั้งต้นชีวิตใหม่ได้ นอกจากนี้ยังมีหน้าที่ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทต่างๆ อันเกิดขึ้นในการหมั้นหมายและแต่งงาน

    และจากตัวอย่างที่ยกมาจากบันทึกโจวหลี่ จะเห็นว่าหน้าที่ของสำนักงานแม่สื่อมีอีกส่วนหนึ่งคืองานด้านทะเบียน โดยมีหน้าที่บันทึกว่าใครเกิดเมื่อไหร่แต่งงานแล้วหรือยัง หย่าร้างหรือไม่ รวมถึงดูแลให้เป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการแต่งงาน เช่นการลงโทษตามกฏหมาย (เช่น หลบหนีการแต่งงาน)

    ดังนั้น ผู้ที่ทำหน้าที่แม่สื่อในงานพิธีการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานมงคลสมรสก็คือคนจากสำนักงานเหมยซึนี่เอง หรือที่เรียกว่า ‘แม่สื่อหลวง’ (官媒) แต่ผู้ที่เป็นแม่สื่อหลวงอาจไม่ใช่ขุนนางทุกคน เพราะเขาจะมีการจ้างคนนอกช่วยทำงาน กล่าวคือคัดเลือกผู้ที่มีความสามารถมีฝีปากเป็นเลิศคล่องแคล่วแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี ไม่มีประวัติอาชญากรรม ฯลฯ มาขึ้นทะเบียนเป็นแม่สื่อหลวงที่ต้องออกไปช่วยเจรจาทาบทามสู่ขอ ช่วยทำพิธีการต่างๆ โดยคนเหล่านี้ได้รับค่าจ้างหลวงแต่ไม่ใช่ข้าราชการ และส่วนใหญ่เป็นผู้อาวุโสที่ผู้คนให้ความเคารพนับถือในท้องที่นั้นๆ หรือเป็นผู้ที่ผู้อาวุโสเหล่านี้แนะนำมา

    ในยุคที่รุ่งเรืองมากๆ อย่างสมัยซ่งนั้น กิจการแม่สื่อมืออาชีพก็เฟื่องฟูตาม มีทั้งแม่สื่อฝ่ายชายและแม่สื่อฝ่ายหญิง ในสมัยซ่งถึงขนาดมีแบ่งแยกระดับของแม่สื่อ ในบันทึก ‘ตงจิงเมิ่งหัวลู่’ ที่ให้รายละเอียดวิถีชีวิตและธรรมเนียมปฏิบัติของคนสมัยซ่งเหนือได้กล่าวไว้ว่า แม่สื่อขั้นสูงสุดนั้นมีผ้าโพกศีรษะสวมเสื้อนอกสีม่วง ให้บริการเฉพาะขุนนางและครอบครัวขุนนาง

    และต่อมาพัฒนาขึ้นเป็น ‘แม่สื่อเอกชน’ (私媒) แบบมืออาชีพ กล่าวคือได้ค่าจ้างจากครอบครัวบ่าวสาว แต่ก็ต้องขึ้นทะเบียนกับทางการอยู่ดี

    ทำไมแค่ช่วยสู่ขอช่วยจัดงานแต่งยังต้องทำเป็นทางการขนาดนั้น? นั่นเป็นเพราะว่าแม่สื่อมีหน้าที่และความรับผิดได้ตามกฎหมาย เป็นต้นว่า หากแม่สื่อโฆษณาคุณสมบัติของบุรุษสตรีเกินจริงจนเข้าข่ายบิดเบือนหรือหลอกลวงก็จะมีโทษ; แม่สื่อมีหน้าที่ตรวจสอบและสืบข้อมูลประวัติของทั้งสองครอบครัวเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้เป็นการแต่งงานที่เข้าข่ายต้องห้าม (เช่น ข้ามสถานะระหว่างบุคคลธรรมดากับบุคคลในทะเบียนทาส; เป็นพยานสำคัญว่าเจ้าบ่าวเจ้าสาวถูกคนหรือไม่ ตั้งแต่ข้อมูลวันเดือนปีเกิด เอกสารการหมั้นและการรับตัวเจ้าสาว หรือหากรู้เห็นเป็นใจการหนีสมรสก็มีโทษเช่นกัน; เป็นพยานสำคัญว่าสินสอดและสินเดิมเจ้าสาวถูกต้องครบถ้วนตามรายการบัญชีที่ทำ; และอาจเป็นพยานหรือเป็นผู้ช่วยไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างครอบครัวบ่าวสาวได้ ฯลฯ

    แม่สื่อเป็นบุรุษหรือสตรีก็ได้ เพียงแต่ในยุคที่กิจการแม่สื่อเฟื่องฟู คนที่นิยมทำหน้าที่นี้เป็นสตรีเสียส่วนใหญ่ และจวบจนสมัยชิงยังมีการกล่าวถึงแม่สื่อหลวง โดยมีตัวอย่างจากบทประพันธ์โบราณชื่อ ‘สิ่งซื่อเหิงเหยียน’ (醒世恒言 /วจีปลุกให้โลกตื่น) ซึ่งเป็นผลงานของเฝิงเมิ่งหลง นักเขียนผู้มีชีวิตอยู่ในช่วงตอนปลายหมิงต้นชิง ดังนั้น แม่สื่อหลวงและแม่สื่อเอกชนอยู่คู่กับจีนมาหลายพันปีแล้ว

    และแน่นอนว่า แม่สื่อเอกชนแบบที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนกับทางการก็มี เช่นอาจมีการเชิญผู้ใหญ่คนรู้จักไปช่วยพูดจาทาบทาม เพื่อนเพจเชื้อสายจีนน่าจะนึกภาพออกเพราะบ้านเราเรียกว่า ‘เถ้าแก่’ แต่เถ้าแก่นี้ไม่ใช่แม่สื่อหลักเพราะตามกระบวนการของกฎหมายต้องมีแม่สื่อที่ขึ้นทะเบียนแล้วช่วยดำเนินเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นแม่สื่อหลวงหรือแม่สื่อเอกชน ดังนั้นในบริบทนี้ บางครอบครัวอาจใช้เถ้าแก่มาเสริม จึงเกิดเป็นสำนวนที่ว่า ‘ซานเหมยลิ่วพิ่น’ ( 三媒六聘/สามแม่สื่อหกพิธีการแต่งงาน) กล่าวคือแม่สื่อหรือเถ้าแก่ฝ่ายชายและฝ่ายหญิง และคนกลางซึ่งมักเป็นแม่สื่อที่ขึ้นทะเบียนแล้วนั่นเอง

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://meihuamag.com/牵线说媒,这行当已有五千年历史/
    http://sino.newdu.com/m/view.php?aid=91147
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    http://www.sss.net.cn/106001/30036.aspx
    http://www.heyuanxw.com/2014/wenhua_1216/15238.html
    http://iolaw.cssn.cn/xspl/200607/t20060726_4598436.shtml
    http://www.xinfajia.net/2592.html
    https://ctext.org/wiki.pl?if=gb&chapter=795664&remap=gb#%娶妇
    https://www.thepaper.cn/newsDetail_forward_26937009

    #แม่สื่อ #กวนเหมย #ซือเหมย #เหมยซึ #การแต่งงานจีนโบราณ #สาระจีน
    🪭แม่สื่อสมัยโบราณ 🪭 สัปดาห์ที่แล้วเราคุยกันเกี่ยวกับขั้นตอนการสู่ขอและ ‘สามหนังสือหกพิธีการ’ และมีการกล่าวถึงการใช้แม่สื่อ แต่เพื่อนเพจคงไม่ได้อรรถรสว่าจริงๆ แล้วการใช้แม่สื่อมีความสำคัญมาก ในบางยุคสมัยอย่างเช่นสมัยถังถึงกับบัญญัติเป็นกฎหมายไว้ว่าการแต่งงานต้องมีแม่สื่อ เพื่อนเพจรู้หรือไม่ว่า มีหน่วยงานรัฐรับหน้าที่แม่สื่อ? ในบันทึกพิธีการโจวหลี่ซึ่งเป็นบันทึกโบราณที่ถูกจัดทำขึ้นในสมัยฮั่นว่าด้วยพิธีการต่างๆ ของสมัยราชวงศ์โจวตะวันตกมีการระบุไว้ว่า: สำนักงาน ‘เหมยซึ’ (媒氏) มีหน้าที่ดูแลการแต่งงานของประชาชน... ทำทะเบียนบันทึกวันเดือนปีเกิดของทุกคนและจัดให้บุรุษแต่งงานเมื่ออายุสามสิบปีและสตรีเมื่ออายุยี่สิบปี... จัดเทศกาลกลางฤดูใบไม้ผลิหรือที่เรียกว่า ‘จงชุนฮุ่ย’ (仲春会) เพื่อเป็นโอกาสให้หนุ่มสาวได้พบปะดูตัว... ก่อนจะลงลึกเรื่องหน้าที่ของสำนักงานแม่สื่อเหมยซึนี้ เรามาคุยกันเล็กน้อยเรื่องเกณฑ์อายุสมรสที่กล่าวถึงข้างต้น พวกเราจะคุ้นเคยว่ากฎหมายกำหนดเกณฑ์อายุขั้นต่ำไว้ แต่ในสมัยโบราณมีกำหนดเกณฑ์อายุสูงสุดไว้ด้วย ทั้งนี้เพื่อผลักดันให้ผู้คนแต่งงานมีลูกสืบสกุล ในความเชื่อของคนโบราณคือการไม่มีบุตรสืบสกุลถือเป็นความอกตัญญูอย่างใหญ่หลวง แต่จริงๆ แล้วในมุมมองของรัฐมันมีเหตุผลด้านการพัฒนาประเทศ อย่าลืมว่าแรกเริ่มเลยเศรษฐกิจถูกขับเคลื่อนโดยเกษตรกรรม เมื่อประชากรน้อยผลผลิตก็น้อยรัฐก็จน อีกทั้งในสมัยโบราณมีศึกสงครามและอายุขัยของคนไม่ยาวเหมือนสมัยนี้ ดังนั้นทางการจึงพยายามกระตุ้นให้คนแต่งงานและมีลูกหลานกัน จนถึงขั้นกำหนดเป็นกฎหมายบังคับ เพียงแต่เกณฑ์อายุตามกฎหมายนั้นเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย อย่างเช่นในสมัยฮั่นบุรุษต้องแต่งงานภายในอายุสามสิบปีและสตรีภายในอายุสิบห้าปี หาไม่แล้วต้องถูกปรับด้วยการจ่ายภาษีเพิ่มเป็นห้าเท่า (ในสมัยนั้นจ่ายภาษีเป็นรายหัว ไม่เกี่ยวกับรายได้) และในสมัยราชวงศ์เหนือใต้กำหนดว่าหากสตรีไม่แต่งงานภายในอายุสิบห้าปีพ่อแม่ต้องโทษจำคุก แต่ในสมัยโบราณก็มีคนที่ไม่ได้แต่งงานภายในอายุที่กฎหมายที่กำหนด บ้างยืดเวลาออกไปเพราะเหตุผลการไว้ทุกข์ให้พ่อแม่ บ้างมีเหตุผลอื่น แต่ Storyฯ ไม่ได้ไปหาข้อมูลต่อว่าแต่ละยุคสมัยเขามีวิธีหลีกเลี่ยงการแต่งงานกันอย่างไร แต่ที่ชัดเจนก็คือว่า ผู้ที่ถึงเกณฑ์อายุสูงสุดแล้วยังไม่ได้แต่งงานจะมีสำนักงานแม่สื่อมาช่วยจัดการหาคู่ให้ โดยมีความพยายามหว่านล้อมให้เจ้าตัวเห็นชอบและมีตัวเลือกให้ ไม่ใช่นึกจะบังคับแต่งกับใครก็บังคับเลย ประมาณว่าเป็นการบังคับแต่งงานแบบประนีประนอม และนี่เป็นหนึ่งในหน้าที่ของสำนักงานแม่สื่อ ทีนี้มาเข้าเรื่องหน้าที่แม่สื่อ... สำหรับหน้าที่แม่สื่อนี้ สำนักงานเหมยซึไม่เพียงหาคู่ให้กับผู้ที่ใกล้จะเลยเกณฑ์อายุสูงสุด หากแต่ยังช่วยหาคู่ให้กับผู้ที่ไม่มีพ่อแม่หรือผู้ใหญ่จัดการเรื่องนี้ รวมถึงจัดงานเทศกาลที่บังคับให้หนุ่มสาวออกมาพบปะและดูตัวกัน นอกจากนี้ ยังเป็นธุระดูแลเรื่องพิธีการต่างๆ ให้ถูกต้องเช่นส่งคนไปช่วยสู่ขอ กำหนดวันแต่งงาน ช่วยจัดงานแต่งงาน และดูแลสินสอดให้เหมาะสม ในบางสมัยถึงกับมีหน้าที่จัดสรรเงินจากงบประมาณแผ่นดินหรือหาคณบดีท้องถิ่นมาเป็นผู้อุปถัมภ์เพื่อให้บุรุษที่ยากจนสามารถมีเงินสินสอดไปแต่งเมียได้ และอย่างในสมัยฉินมีหน้าที่จัดสรรที่ดินทำกินให้คู่บ่าวสาวไปตั้งต้นชีวิตใหม่ได้ นอกจากนี้ยังมีหน้าที่ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทต่างๆ อันเกิดขึ้นในการหมั้นหมายและแต่งงาน และจากตัวอย่างที่ยกมาจากบันทึกโจวหลี่ จะเห็นว่าหน้าที่ของสำนักงานแม่สื่อมีอีกส่วนหนึ่งคืองานด้านทะเบียน โดยมีหน้าที่บันทึกว่าใครเกิดเมื่อไหร่แต่งงานแล้วหรือยัง หย่าร้างหรือไม่ รวมถึงดูแลให้เป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการแต่งงาน เช่นการลงโทษตามกฏหมาย (เช่น หลบหนีการแต่งงาน) ดังนั้น ผู้ที่ทำหน้าที่แม่สื่อในงานพิธีการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานมงคลสมรสก็คือคนจากสำนักงานเหมยซึนี่เอง หรือที่เรียกว่า ‘แม่สื่อหลวง’ (官媒) แต่ผู้ที่เป็นแม่สื่อหลวงอาจไม่ใช่ขุนนางทุกคน เพราะเขาจะมีการจ้างคนนอกช่วยทำงาน กล่าวคือคัดเลือกผู้ที่มีความสามารถมีฝีปากเป็นเลิศคล่องแคล่วแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี ไม่มีประวัติอาชญากรรม ฯลฯ มาขึ้นทะเบียนเป็นแม่สื่อหลวงที่ต้องออกไปช่วยเจรจาทาบทามสู่ขอ ช่วยทำพิธีการต่างๆ โดยคนเหล่านี้ได้รับค่าจ้างหลวงแต่ไม่ใช่ข้าราชการ และส่วนใหญ่เป็นผู้อาวุโสที่ผู้คนให้ความเคารพนับถือในท้องที่นั้นๆ หรือเป็นผู้ที่ผู้อาวุโสเหล่านี้แนะนำมา ในยุคที่รุ่งเรืองมากๆ อย่างสมัยซ่งนั้น กิจการแม่สื่อมืออาชีพก็เฟื่องฟูตาม มีทั้งแม่สื่อฝ่ายชายและแม่สื่อฝ่ายหญิง ในสมัยซ่งถึงขนาดมีแบ่งแยกระดับของแม่สื่อ ในบันทึก ‘ตงจิงเมิ่งหัวลู่’ ที่ให้รายละเอียดวิถีชีวิตและธรรมเนียมปฏิบัติของคนสมัยซ่งเหนือได้กล่าวไว้ว่า แม่สื่อขั้นสูงสุดนั้นมีผ้าโพกศีรษะสวมเสื้อนอกสีม่วง ให้บริการเฉพาะขุนนางและครอบครัวขุนนาง และต่อมาพัฒนาขึ้นเป็น ‘แม่สื่อเอกชน’ (私媒) แบบมืออาชีพ กล่าวคือได้ค่าจ้างจากครอบครัวบ่าวสาว แต่ก็ต้องขึ้นทะเบียนกับทางการอยู่ดี ทำไมแค่ช่วยสู่ขอช่วยจัดงานแต่งยังต้องทำเป็นทางการขนาดนั้น? นั่นเป็นเพราะว่าแม่สื่อมีหน้าที่และความรับผิดได้ตามกฎหมาย เป็นต้นว่า หากแม่สื่อโฆษณาคุณสมบัติของบุรุษสตรีเกินจริงจนเข้าข่ายบิดเบือนหรือหลอกลวงก็จะมีโทษ; แม่สื่อมีหน้าที่ตรวจสอบและสืบข้อมูลประวัติของทั้งสองครอบครัวเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้เป็นการแต่งงานที่เข้าข่ายต้องห้าม (เช่น ข้ามสถานะระหว่างบุคคลธรรมดากับบุคคลในทะเบียนทาส; เป็นพยานสำคัญว่าเจ้าบ่าวเจ้าสาวถูกคนหรือไม่ ตั้งแต่ข้อมูลวันเดือนปีเกิด เอกสารการหมั้นและการรับตัวเจ้าสาว หรือหากรู้เห็นเป็นใจการหนีสมรสก็มีโทษเช่นกัน; เป็นพยานสำคัญว่าสินสอดและสินเดิมเจ้าสาวถูกต้องครบถ้วนตามรายการบัญชีที่ทำ; และอาจเป็นพยานหรือเป็นผู้ช่วยไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างครอบครัวบ่าวสาวได้ ฯลฯ แม่สื่อเป็นบุรุษหรือสตรีก็ได้ เพียงแต่ในยุคที่กิจการแม่สื่อเฟื่องฟู คนที่นิยมทำหน้าที่นี้เป็นสตรีเสียส่วนใหญ่ และจวบจนสมัยชิงยังมีการกล่าวถึงแม่สื่อหลวง โดยมีตัวอย่างจากบทประพันธ์โบราณชื่อ ‘สิ่งซื่อเหิงเหยียน’ (醒世恒言 /วจีปลุกให้โลกตื่น) ซึ่งเป็นผลงานของเฝิงเมิ่งหลง นักเขียนผู้มีชีวิตอยู่ในช่วงตอนปลายหมิงต้นชิง ดังนั้น แม่สื่อหลวงและแม่สื่อเอกชนอยู่คู่กับจีนมาหลายพันปีแล้ว และแน่นอนว่า แม่สื่อเอกชนแบบที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนกับทางการก็มี เช่นอาจมีการเชิญผู้ใหญ่คนรู้จักไปช่วยพูดจาทาบทาม เพื่อนเพจเชื้อสายจีนน่าจะนึกภาพออกเพราะบ้านเราเรียกว่า ‘เถ้าแก่’ แต่เถ้าแก่นี้ไม่ใช่แม่สื่อหลักเพราะตามกระบวนการของกฎหมายต้องมีแม่สื่อที่ขึ้นทะเบียนแล้วช่วยดำเนินเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นแม่สื่อหลวงหรือแม่สื่อเอกชน ดังนั้นในบริบทนี้ บางครอบครัวอาจใช้เถ้าแก่มาเสริม จึงเกิดเป็นสำนวนที่ว่า ‘ซานเหมยลิ่วพิ่น’ ( 三媒六聘/สามแม่สื่อหกพิธีการแต่งงาน) กล่าวคือแม่สื่อหรือเถ้าแก่ฝ่ายชายและฝ่ายหญิง และคนกลางซึ่งมักเป็นแม่สื่อที่ขึ้นทะเบียนแล้วนั่นเอง (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://meihuamag.com/牵线说媒,这行当已有五千年历史/ http://sino.newdu.com/m/view.php?aid=91147 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: http://www.sss.net.cn/106001/30036.aspx http://www.heyuanxw.com/2014/wenhua_1216/15238.html http://iolaw.cssn.cn/xspl/200607/t20060726_4598436.shtml http://www.xinfajia.net/2592.html https://ctext.org/wiki.pl?if=gb&chapter=795664&remap=gb#%娶妇 https://www.thepaper.cn/newsDetail_forward_26937009 #แม่สื่อ #กวนเหมย #ซือเหมย #เหมยซึ #การแต่งงานจีนโบราณ #สาระจีน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 263 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตำรวจไซเบอร์ เช็กบิลสนธิญาณ

    ปฏิบัติการสายฟ้าแลบที่ตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) หรือตำรวจไซเบอร์ นำโดย พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ นำกำลังนับสิบนาย ตรวจค้นบ้านในชุมชนเล็กๆ บนถนนชัยพฤกษ์ เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ ก่อนควบคุมตัว น.ส.ไญยิกา อธิคุปต์ธนวัฒ ผู้ประกาศข่าวสำนักข่าวเดอะครีติก (The Critics) ไปพบพนักงานสอบสวนเพื่อให้การในฐานะพยานที่ บก.สอท. เมืองทองธานี และตรวจยึดโทรศัพท์มือถือไปด้วย เหตุเกิดเมื่อเวลา 06.30 น. วันที่ 20 ก.พ. กำลังเป็นที่วิจารณ์ว่า เล่นใหญ่เกินไปหรือไม่?

    ว่ากันว่าตำรวจไซเบอร์พุ่งเป้าไปที่ นายสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม ผู้ก่อตั้งสถาบันทิศทางไทย และเจ้าของสำนักข่าวเดอะครีติก ที่เป็นสื่อมวลชนฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยอ้างถึงกรณีที่นายทักษิณมอบหมายให้นายวิญญัติ ชาติมนตรี แจ้งความในข้อหาหมิ่นประมาทและ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ กรณีวีดีโอคลิป "ทักษิณผู้นำเลวสุดในโลก มอนเตฯ ริบสัญชาติเพราะโกง" ทำให้นายทักษิณได้รับความเสียหาย และกรณีที่ น.ส.ฐปณีย์ เอียดศรีไชย ผู้ก่อตั้งสำนักข่าวเดอะรีพอตเตอร์ (The Reporter) ถูกกล่าวหาด้วยข้อความบิดเบือน ต่อว่า ให้ร้าย แต่ตนเองยังอยู่ที่ อ.แม่สอด จ.ตาก จะเดินทางเข้าแจ้งความ

    แม้ว่าสำนักข่าวเดอะครีติก ที่ผลิตรายการลงในช่องยูทูบ "สถาบันทิศทางไทย" มีผู้ติดตาม 479,000 ราย จะเป็นที่วิจารณ์ถึงการนำเสนอข่าวอย่างไร มีผู้ที่ถูกพาดพิงไม่พอใจหรือไม่ก็เป็นสิทธิที่จะดำเนินคดีตามกฎหมาย แต่คำถามที่ตามมาก็คือ “ไซเบอร์อรรถ จัดเต็ม” จำเป็นหรือไม่ที่ต้องเล่นใหญ่เล่นโต เอาตำรวจนับสิบบุกบ้านในชุมชนเล็กๆ แต่เช้าตรู่ ที่คนในบ้านอยู่กันสามคนพ่อแม่ลูก เพียงเพื่อนำตัวไปเป็นพยาน ราวกับเป็นอาชญากรสงคราม นับว่ายังดีที่พ่อของพยานซึ่งมีโรคประจำตัวเข้าโรงพยาบาล หากอยู่ในเหตุการณ์น่าเป็นห่วงว่าจะบานปลายขนาดไหน และการที่ตำรวจไซเบอร์ทำแบบนี้เพื่อเอาใจใคร?

    น.ส.บุญระดม จิตรดอน ผู้สื่อข่าวการเมืองและนักจัดรายการวิทยุ โพสต์เฟซบุ๊กว่า เศร้าใจที่ต้องทำถึงขนาดนี้ อาชญากรร้ายแรงก็ไม่ใช่ โจรก็ไม่ใช่ แล้วเขาคิดว่ากำลังบุกจับใคร จากนี้ตนจะเป็นรายต่อไปไหม ที่ตำรวจยกกำลังมาบุกจับถึงบ้าน ขนาดพยานยังเอาตำรวจบุกไปเป็นสิบ แล้วถ้าเป็นจำเลยจะขนาดไหน ที่สำคัญเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นหลังจากที่นายทักษิณได้มอบหมายให้ทนายความแจ้งความเมื่อคืนก่อนหน้านี้เอง ตำรวจทำงานได้รวดเร็วมาก ผิดขั้นตอนและกฎระเบียบหรือไม่ตำรวจคงทราบดี

    "นายทักษิณได้เริ่มจุดพลุประกาศศึกกับฝ่ายตรงข้ามแล้ว เตรียมตัวกันให้ดี" น.ส.บุญระดม ระบุ

    #Newskit
    ตำรวจไซเบอร์ เช็กบิลสนธิญาณ ปฏิบัติการสายฟ้าแลบที่ตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) หรือตำรวจไซเบอร์ นำโดย พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ นำกำลังนับสิบนาย ตรวจค้นบ้านในชุมชนเล็กๆ บนถนนชัยพฤกษ์ เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ ก่อนควบคุมตัว น.ส.ไญยิกา อธิคุปต์ธนวัฒ ผู้ประกาศข่าวสำนักข่าวเดอะครีติก (The Critics) ไปพบพนักงานสอบสวนเพื่อให้การในฐานะพยานที่ บก.สอท. เมืองทองธานี และตรวจยึดโทรศัพท์มือถือไปด้วย เหตุเกิดเมื่อเวลา 06.30 น. วันที่ 20 ก.พ. กำลังเป็นที่วิจารณ์ว่า เล่นใหญ่เกินไปหรือไม่? ว่ากันว่าตำรวจไซเบอร์พุ่งเป้าไปที่ นายสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม ผู้ก่อตั้งสถาบันทิศทางไทย และเจ้าของสำนักข่าวเดอะครีติก ที่เป็นสื่อมวลชนฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยอ้างถึงกรณีที่นายทักษิณมอบหมายให้นายวิญญัติ ชาติมนตรี แจ้งความในข้อหาหมิ่นประมาทและ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ กรณีวีดีโอคลิป "ทักษิณผู้นำเลวสุดในโลก มอนเตฯ ริบสัญชาติเพราะโกง" ทำให้นายทักษิณได้รับความเสียหาย และกรณีที่ น.ส.ฐปณีย์ เอียดศรีไชย ผู้ก่อตั้งสำนักข่าวเดอะรีพอตเตอร์ (The Reporter) ถูกกล่าวหาด้วยข้อความบิดเบือน ต่อว่า ให้ร้าย แต่ตนเองยังอยู่ที่ อ.แม่สอด จ.ตาก จะเดินทางเข้าแจ้งความ แม้ว่าสำนักข่าวเดอะครีติก ที่ผลิตรายการลงในช่องยูทูบ "สถาบันทิศทางไทย" มีผู้ติดตาม 479,000 ราย จะเป็นที่วิจารณ์ถึงการนำเสนอข่าวอย่างไร มีผู้ที่ถูกพาดพิงไม่พอใจหรือไม่ก็เป็นสิทธิที่จะดำเนินคดีตามกฎหมาย แต่คำถามที่ตามมาก็คือ “ไซเบอร์อรรถ จัดเต็ม” จำเป็นหรือไม่ที่ต้องเล่นใหญ่เล่นโต เอาตำรวจนับสิบบุกบ้านในชุมชนเล็กๆ แต่เช้าตรู่ ที่คนในบ้านอยู่กันสามคนพ่อแม่ลูก เพียงเพื่อนำตัวไปเป็นพยาน ราวกับเป็นอาชญากรสงคราม นับว่ายังดีที่พ่อของพยานซึ่งมีโรคประจำตัวเข้าโรงพยาบาล หากอยู่ในเหตุการณ์น่าเป็นห่วงว่าจะบานปลายขนาดไหน และการที่ตำรวจไซเบอร์ทำแบบนี้เพื่อเอาใจใคร? น.ส.บุญระดม จิตรดอน ผู้สื่อข่าวการเมืองและนักจัดรายการวิทยุ โพสต์เฟซบุ๊กว่า เศร้าใจที่ต้องทำถึงขนาดนี้ อาชญากรร้ายแรงก็ไม่ใช่ โจรก็ไม่ใช่ แล้วเขาคิดว่ากำลังบุกจับใคร จากนี้ตนจะเป็นรายต่อไปไหม ที่ตำรวจยกกำลังมาบุกจับถึงบ้าน ขนาดพยานยังเอาตำรวจบุกไปเป็นสิบ แล้วถ้าเป็นจำเลยจะขนาดไหน ที่สำคัญเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นหลังจากที่นายทักษิณได้มอบหมายให้ทนายความแจ้งความเมื่อคืนก่อนหน้านี้เอง ตำรวจทำงานได้รวดเร็วมาก ผิดขั้นตอนและกฎระเบียบหรือไม่ตำรวจคงทราบดี "นายทักษิณได้เริ่มจุดพลุประกาศศึกกับฝ่ายตรงข้ามแล้ว เตรียมตัวกันให้ดี" น.ส.บุญระดม ระบุ #Newskit
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 312 มุมมอง 0 รีวิว
  • สำนักข่าว CCTV ของรัฐรายงานเมื่อวันพุธที่ 20 กุมภาพันธ์ 2568 ว่าจาง หงลี่ อดีตรองประธานธนาคารอุตสาหกรรมและการพาณิชย์แห่งประเทศจีน ถูกศาลพิพากษาให้รับโทษประหารชีวิตแต่รอลงอาญา 2 ปี ฐานความผิดร้ายแรงรับสินบนมูลค่ากว่า 177 ล้านหยวน (24.3 ล้านเหรียญสหรัฐ)โดยจางถูกสอบสวนโดยคณะกรรมการตรวจสอบวินัยกลาง ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลการต่อต้านการทุจริตชั้นนำของจีน เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2023 ต่อมาศาลประชาชนระดับกลางแห่งหางโจวในมณฑลเจ้อเจียงทางตะวันออกพบว่าตั้งแต่ปี 2554 ถึง 2565 จางได้ “ใช้” ตำแหน่งของเขาที่ ICBC ซึ่งเป็นธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในโลกเมื่อพิจารณาจากสินทรัพย์รวม เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่หน่วยงานและบุคคลในการระดมทุนเงินกู้และรักษาตำแหน่งงาน และเขาเองก็ยอมรับสินบนเป็นการตอบแทน ศาลพิพากษาว่าอาชญากรรมร้ายแรงของจางสมควรได้รับโทษประหารชีวิต โดยอ้างถึง “จำนวนเงินสินบนที่มากเป็นพิเศษ สถานการณ์อาชญากรรมร้ายแรง และผลกระทบทางสังคมที่เลวร้าย” ซึ่งก่อให้เกิด “ความสูญเสียครั้งใหญ่” ต่อประเทศและผลประโยชน์ของประชาชนแต่จางได้รับการรอลงอาญาสองปีเนื่องจากเขาให้ความร่วมมือกับทางการ รวมถึงสารภาพความผิดและให้ข้อมูลเกี่ยวกับกรณีสินบนที่ไม่เคยเปิดเผยมาก่อน นอกจากนี้จางยังคืนเงินสินบนที่ผิดกฎหมายจำนวนมากอีกด้วย ตามคำกล่าวของศาลทั้งนี้เขาได้ถูกเพิกถอนสิทธิทางการเมืองตลอดชีวิตและถูกยึดทรัพย์สินทั้งหมดhttps://www.scmp.com/news/china/politics/article/3299436/former-icbc-executive-gets-death-sentence-reprieve-taking-us24-million-bribes
    สำนักข่าว CCTV ของรัฐรายงานเมื่อวันพุธที่ 20 กุมภาพันธ์ 2568 ว่าจาง หงลี่ อดีตรองประธานธนาคารอุตสาหกรรมและการพาณิชย์แห่งประเทศจีน ถูกศาลพิพากษาให้รับโทษประหารชีวิตแต่รอลงอาญา 2 ปี ฐานความผิดร้ายแรงรับสินบนมูลค่ากว่า 177 ล้านหยวน (24.3 ล้านเหรียญสหรัฐ)โดยจางถูกสอบสวนโดยคณะกรรมการตรวจสอบวินัยกลาง ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลการต่อต้านการทุจริตชั้นนำของจีน เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2023 ต่อมาศาลประชาชนระดับกลางแห่งหางโจวในมณฑลเจ้อเจียงทางตะวันออกพบว่าตั้งแต่ปี 2554 ถึง 2565 จางได้ “ใช้” ตำแหน่งของเขาที่ ICBC ซึ่งเป็นธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในโลกเมื่อพิจารณาจากสินทรัพย์รวม เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่หน่วยงานและบุคคลในการระดมทุนเงินกู้และรักษาตำแหน่งงาน และเขาเองก็ยอมรับสินบนเป็นการตอบแทน ศาลพิพากษาว่าอาชญากรรมร้ายแรงของจางสมควรได้รับโทษประหารชีวิต โดยอ้างถึง “จำนวนเงินสินบนที่มากเป็นพิเศษ สถานการณ์อาชญากรรมร้ายแรง และผลกระทบทางสังคมที่เลวร้าย” ซึ่งก่อให้เกิด “ความสูญเสียครั้งใหญ่” ต่อประเทศและผลประโยชน์ของประชาชนแต่จางได้รับการรอลงอาญาสองปีเนื่องจากเขาให้ความร่วมมือกับทางการ รวมถึงสารภาพความผิดและให้ข้อมูลเกี่ยวกับกรณีสินบนที่ไม่เคยเปิดเผยมาก่อน นอกจากนี้จางยังคืนเงินสินบนที่ผิดกฎหมายจำนวนมากอีกด้วย ตามคำกล่าวของศาลทั้งนี้เขาได้ถูกเพิกถอนสิทธิทางการเมืองตลอดชีวิตและถูกยึดทรัพย์สินทั้งหมดhttps://www.scmp.com/news/china/politics/article/3299436/former-icbc-executive-gets-death-sentence-reprieve-taking-us24-million-bribes
    WWW.SCMP.COM
    Former ICBC executive gets death sentence with reprieve for taking bribes
    Zhang Hongli, who was vice-president of the state-owned bank, accepted bribes in exchange for help with loan financing and securing jobs.
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 213 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปธ.กมธ.มั่นคง ลั่น เป็นความผิดพลาดที่ไม่น่าให้อภัย-ไม่รู้ใครต้องรับผิดชอบ หลัง กมธ.คอนเฟิร์มระบบ 'ไบโอเมตริกซ์' ไทย หมดอายุ 3 ปีแล้ว เผย ต้องใช้วิธีโบราณถ่ายภาพ-ปั๊มนิ้วคนผ่านเข้าออก คนจีนในเมียวดีไม่ถูกจำแนกเหยื่อ-อาชญากร อาจทำให้ประเทศอื่นได้รับการปฏิบัติไม่เท่าเทียม ไทยอยู่ภายใต้อิทธิพล

    เมื่อวันที่ (20 ก.พ.) ที่รัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทยยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร แถลงความคืบหน้าภายหลังการประชุม กมธ.ถึงแนวทางการจัดการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งมีหลายส่วนเข้าไปพัวพันเกี่ยวข้องกับข้อมูลอัตลักษณ์ และเกี่ยวกับอาชญากรข้ามชาติและยาเสพติด

    โดยนายรังสิมันต์ ระบุว่า ประเทศไทยไม่มีการใช้ระบบไบโอเมตริกซ์อีกแล้ว ซึ่งแปลว่าเวลา 3 ปีเต็มนี้ ไม่มีเครื่องมือในการเก็บข้อมูลอัตลักษณ์นักท่องเที่ยว ทำให้มีโอกาสผิดพลาด จากการที่นักท่องเที่ยวใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่านในการก่ออาชญากรรม โดยที่ตัวเขาเองมีสัญชาติที่แตกต่างกัน

    นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า แม้วันนี้สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) จะใช้วิธีการถ่ายรูปและพิมพ์ลายนิ้วมือ แต่ข้อมูลที่ได้นั้น ชัดเจนว่าไม่เพียงพอ และกลายเป็นช่องว่างสำคัญ ในการที่จะทำให้ประเทศไทยตกอยู่ในภายใต้ความอันตรายของปัญหาอาชญากรรมที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างแน่นอน

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/politics/detail/9680000016989

    #MGROnline #ไบโอเมตริกซ์
    ปธ.กมธ.มั่นคง ลั่น เป็นความผิดพลาดที่ไม่น่าให้อภัย-ไม่รู้ใครต้องรับผิดชอบ หลัง กมธ.คอนเฟิร์มระบบ 'ไบโอเมตริกซ์' ไทย หมดอายุ 3 ปีแล้ว เผย ต้องใช้วิธีโบราณถ่ายภาพ-ปั๊มนิ้วคนผ่านเข้าออก คนจีนในเมียวดีไม่ถูกจำแนกเหยื่อ-อาชญากร อาจทำให้ประเทศอื่นได้รับการปฏิบัติไม่เท่าเทียม ไทยอยู่ภายใต้อิทธิพล • เมื่อวันที่ (20 ก.พ.) ที่รัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทยยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร แถลงความคืบหน้าภายหลังการประชุม กมธ.ถึงแนวทางการจัดการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งมีหลายส่วนเข้าไปพัวพันเกี่ยวข้องกับข้อมูลอัตลักษณ์ และเกี่ยวกับอาชญากรข้ามชาติและยาเสพติด • โดยนายรังสิมันต์ ระบุว่า ประเทศไทยไม่มีการใช้ระบบไบโอเมตริกซ์อีกแล้ว ซึ่งแปลว่าเวลา 3 ปีเต็มนี้ ไม่มีเครื่องมือในการเก็บข้อมูลอัตลักษณ์นักท่องเที่ยว ทำให้มีโอกาสผิดพลาด จากการที่นักท่องเที่ยวใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่านในการก่ออาชญากรรม โดยที่ตัวเขาเองมีสัญชาติที่แตกต่างกัน • นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า แม้วันนี้สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) จะใช้วิธีการถ่ายรูปและพิมพ์ลายนิ้วมือ แต่ข้อมูลที่ได้นั้น ชัดเจนว่าไม่เพียงพอ และกลายเป็นช่องว่างสำคัญ ในการที่จะทำให้ประเทศไทยตกอยู่ในภายใต้ความอันตรายของปัญหาอาชญากรรมที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างแน่นอน • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/politics/detail/9680000016989 • #MGROnline #ไบโอเมตริกซ์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 220 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตำรวจไซเบอร์เชิญพิธีกรสาวช่อง The Critics ให้ปากคำในฐานะพยาน กรณี “ทักษิณ” ส่งทนายแจ้งความช่องดังกล่าวทำคลิปข่าวหมิ่นประมาท เผยยังไม่แจ้งข้อกล่าวหา ยังอยู่ระหว่างรวบรวมหลักฐาน

    วันนี้ (20 ก.พ.) ที่กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สอท. พล.ต.ต.วิวัฒน์ คำชำนาญ พล.ต.ต.ทินกร รังมาตย์ รอง ผบช.สอท. พ.ต.อ.ดำรงศักดิ์ อ่อนตา รอง ผบก.สอท.4 นำกำลังตรวจค้นพร้อมหมายค้นศาลอาญาที่ 110/2568 ลงวันที่ 19 ก.พ.68 เพื่อเข้าค้นบ้านหลังหนึ่ง ใน ถ.ชัยพฤกษ์ แขวงและเขตตลิ่งชัน กทม. ก่อนเชิญตัว น.ส.ไญยิกา มาพบพนักงานสอบสวนเพื่อให้การในฐานะพยาน

    พล.ต.ต.วิวัฒน์ กล่าวว่า สืบเนื่องจากได้รับการร้องเรียนจาก น.ส.ฐปณีย์ เอียดศรีไชย ที่ยังอยู่ อ.แม่สอด จ.ตาก ว่า จะเดินทางเข้าแจ้งความร้องทุกข์ในกรณีที่ถูกเพจหนึ่งใช้ข้อความบิดเบือน ต่อว่า ให้ร้าย จึงรวบรวมพยานหลักฐาน กระทั่งพบข้อมูลว่า ก่อนหน้า นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้มอบอำนาจให้นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความส่วนตัว มาแจ้งความร้องทุกข์ต่อมอบคดีต่อพนักงานสอบสวนในข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา และในข้อหาความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ กรณีที่มีการตัดต่อข้อความ โดยประการที่อาจจะเกิดความเสียหายแก่ชื่อเสียง จากกรณีที่สำนักข่าวดังกล่าวทำคลิปข่าวหมิ่นประมาทนายทักษิณ ในทำนอง “ทักษิณผู้นำเลวสุดในโลก มอนเตฯ ริบสัญชาติเพราะโกง” นำเสนอข่าวทางการเมือง โดยการอัพโหลดลงบนสื่อโซเชียลที่ประชาชนสามารถเข้าถึงได้

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000016958

    #MGROnline #ตำรวจไซเบอร์ #พิธีกรสาว #ช่องTheCritics #ทักษิณ #หมิ่นประมาท
    ตำรวจไซเบอร์เชิญพิธีกรสาวช่อง The Critics ให้ปากคำในฐานะพยาน กรณี “ทักษิณ” ส่งทนายแจ้งความช่องดังกล่าวทำคลิปข่าวหมิ่นประมาท เผยยังไม่แจ้งข้อกล่าวหา ยังอยู่ระหว่างรวบรวมหลักฐาน • วันนี้ (20 ก.พ.) ที่กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สอท. พล.ต.ต.วิวัฒน์ คำชำนาญ พล.ต.ต.ทินกร รังมาตย์ รอง ผบช.สอท. พ.ต.อ.ดำรงศักดิ์ อ่อนตา รอง ผบก.สอท.4 นำกำลังตรวจค้นพร้อมหมายค้นศาลอาญาที่ 110/2568 ลงวันที่ 19 ก.พ.68 เพื่อเข้าค้นบ้านหลังหนึ่ง ใน ถ.ชัยพฤกษ์ แขวงและเขตตลิ่งชัน กทม. ก่อนเชิญตัว น.ส.ไญยิกา มาพบพนักงานสอบสวนเพื่อให้การในฐานะพยาน • พล.ต.ต.วิวัฒน์ กล่าวว่า สืบเนื่องจากได้รับการร้องเรียนจาก น.ส.ฐปณีย์ เอียดศรีไชย ที่ยังอยู่ อ.แม่สอด จ.ตาก ว่า จะเดินทางเข้าแจ้งความร้องทุกข์ในกรณีที่ถูกเพจหนึ่งใช้ข้อความบิดเบือน ต่อว่า ให้ร้าย จึงรวบรวมพยานหลักฐาน กระทั่งพบข้อมูลว่า ก่อนหน้า นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้มอบอำนาจให้นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความส่วนตัว มาแจ้งความร้องทุกข์ต่อมอบคดีต่อพนักงานสอบสวนในข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา และในข้อหาความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ กรณีที่มีการตัดต่อข้อความ โดยประการที่อาจจะเกิดความเสียหายแก่ชื่อเสียง จากกรณีที่สำนักข่าวดังกล่าวทำคลิปข่าวหมิ่นประมาทนายทักษิณ ในทำนอง “ทักษิณผู้นำเลวสุดในโลก มอนเตฯ ริบสัญชาติเพราะโกง” นำเสนอข่าวทางการเมือง โดยการอัพโหลดลงบนสื่อโซเชียลที่ประชาชนสามารถเข้าถึงได้ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000016958 • #MGROnline #ตำรวจไซเบอร์ #พิธีกรสาว #ช่องTheCritics #ทักษิณ #หมิ่นประมาท
    Angry
    1
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 223 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตาก – รัฐบาลจีนนำเครื่องบินลงแม่สอด รับชาวจีนที่ถูกช่วยจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ทุนเทาเมียวดี บินกลับระลอกแรก 100 คน

    วันนี้(20 ก.พ.) ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้า กรณีทางการจีน ได้จัดเที่ยวบิน China Southern Airlines รับตัวชาวจีนทั้งที่เป็นเหยื่อ-ผู้ร่วมขบวนการ หรือเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ามนุษย์ แก๊งอาชญากรรมออนไลน์ ที่ถูกกองกำลังพิทักษ์ชายแดนเมียวดี (BGF)-ทางการเมียนมา จับกุม/ช่วยเหลือออกมาได้ และจะส่งตัวข้ามแดนจากเมียวดีเข้าแม่สอด เพื่อส่งตัวกลับ สป.จีน

    ซึ่ง สป.จีน ได้ส่งเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบข้อมูล และขนย้ายจากเมียนมา ผ่านสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา ข้ามแม่น้ำเมย แห่งที่ 2 ตรงเข้าท่าอากาศยานนานาชาติแม่สอด วันนี้(20 ก.พ.) จำนวน 4 เที่ยวบิน , 21 และ 22 ก.พ. วันละ 6 เที่ยวบิน รวม 3 วัน 16 เที่ยวบิน

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/local/detail/9680000016867

    #MGROnline #ตาก #รัฐบาลจีน #แม่สอด #ชาวจีน #แก๊งคอลเซ็นเตอร์ #ทุนเทาเมียวดี
    ตาก – รัฐบาลจีนนำเครื่องบินลงแม่สอด รับชาวจีนที่ถูกช่วยจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ทุนเทาเมียวดี บินกลับระลอกแรก 100 คน • วันนี้(20 ก.พ.) ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้า กรณีทางการจีน ได้จัดเที่ยวบิน China Southern Airlines รับตัวชาวจีนทั้งที่เป็นเหยื่อ-ผู้ร่วมขบวนการ หรือเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ามนุษย์ แก๊งอาชญากรรมออนไลน์ ที่ถูกกองกำลังพิทักษ์ชายแดนเมียวดี (BGF)-ทางการเมียนมา จับกุม/ช่วยเหลือออกมาได้ และจะส่งตัวข้ามแดนจากเมียวดีเข้าแม่สอด เพื่อส่งตัวกลับ สป.จีน • ซึ่ง สป.จีน ได้ส่งเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบข้อมูล และขนย้ายจากเมียนมา ผ่านสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา ข้ามแม่น้ำเมย แห่งที่ 2 ตรงเข้าท่าอากาศยานนานาชาติแม่สอด วันนี้(20 ก.พ.) จำนวน 4 เที่ยวบิน , 21 และ 22 ก.พ. วันละ 6 เที่ยวบิน รวม 3 วัน 16 เที่ยวบิน • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/local/detail/9680000016867 • #MGROnline #ตาก #รัฐบาลจีน #แม่สอด #ชาวจีน #แก๊งคอลเซ็นเตอร์ #ทุนเทาเมียวดี
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 165 มุมมอง 0 รีวิว
  • 'นายกฯอิ๊งค์' ย้ำผู้นำตร. จัดการตำรวจสีเทาให้สิ้น เน้นปีนี้ปราบอาชญากรรมข้ามชาติ
    https://www.thai-tai.tv/news/17252/
    'นายกฯอิ๊งค์' ย้ำผู้นำตร. จัดการตำรวจสีเทาให้สิ้น เน้นปีนี้ปราบอาชญากรรมข้ามชาติ https://www.thai-tai.tv/news/17252/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 63 มุมมอง 0 รีวิว
  • นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เผยคดีแตงโม นิดา สิ่งที่สนใจตอนนี้คือใครเป็นเจ้าของเรือลำเกิดเหตุ ต้องการให้นำเรือมาตรวจสอบใหม่ เนื่องจากก่อนหน้านี้ตรวจไม่ละเอียดรอบคอบ สงสัยทำไมต้องตรวจเวลา 6 โมงเย็น ส่วนโทรศัพท์มือถือของแตงโม มี 2 เครื่อง เครื่องหนึ่งเป็นของพ่อแตงโม อีกเครื่องเป็นของแตงโม ประกาศหานายเบิร์ด เทคนิค แฟนแตงโม 3 ปีที่แตงโมจากไป เบิร์ดเป็นลูกผู้ชายหรือเปล่า เป็นแฟนรักแตงโม แต่ไม่เคยช่วยแตงโม ไม่เคยออกมาแสดงความกล้าหาญ วันที่ 23 ก.พ. 2565 แตงโมอยู่กับเบิร์ดที่ภูเก็ต แต่กระติกโทรเรียกให้กลับมา เพราะมีการรับงานบางอย่าง เบิร์ดรู้ข้อมูลมากที่สุด ต้องให้ข้อมูลกับดีเอสไอ ตั้งข้อสังเกตนำร่างแตงโมมาปล่อยหรือไม่ เชื่อแตงโมถูกแทงด้วยเหล็กแหลม คดีแตงโมอยากให้รอ 2 สัปดาห์ ทุกอย่างจะปรากฏให้เห็นทั้งหมด ทั้งเรื่องข้อมูลโทรศัพท์ และการสแกนแม่น้ำเจ้าพระยา

    -ร่างไม่เหมือนคนจมน้ำนาน
    -เอือม รมว. เดินสายเมืองนอก
    -ปัดฝุ่น 66/23 ดับไฟใต้
    -เพิ่มคุณภาพบินทำพิธีฮัจย์
    นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เผยคดีแตงโม นิดา สิ่งที่สนใจตอนนี้คือใครเป็นเจ้าของเรือลำเกิดเหตุ ต้องการให้นำเรือมาตรวจสอบใหม่ เนื่องจากก่อนหน้านี้ตรวจไม่ละเอียดรอบคอบ สงสัยทำไมต้องตรวจเวลา 6 โมงเย็น ส่วนโทรศัพท์มือถือของแตงโม มี 2 เครื่อง เครื่องหนึ่งเป็นของพ่อแตงโม อีกเครื่องเป็นของแตงโม ประกาศหานายเบิร์ด เทคนิค แฟนแตงโม 3 ปีที่แตงโมจากไป เบิร์ดเป็นลูกผู้ชายหรือเปล่า เป็นแฟนรักแตงโม แต่ไม่เคยช่วยแตงโม ไม่เคยออกมาแสดงความกล้าหาญ วันที่ 23 ก.พ. 2565 แตงโมอยู่กับเบิร์ดที่ภูเก็ต แต่กระติกโทรเรียกให้กลับมา เพราะมีการรับงานบางอย่าง เบิร์ดรู้ข้อมูลมากที่สุด ต้องให้ข้อมูลกับดีเอสไอ ตั้งข้อสังเกตนำร่างแตงโมมาปล่อยหรือไม่ เชื่อแตงโมถูกแทงด้วยเหล็กแหลม คดีแตงโมอยากให้รอ 2 สัปดาห์ ทุกอย่างจะปรากฏให้เห็นทั้งหมด ทั้งเรื่องข้อมูลโทรศัพท์ และการสแกนแม่น้ำเจ้าพระยา -ร่างไม่เหมือนคนจมน้ำนาน -เอือม รมว. เดินสายเมืองนอก -ปัดฝุ่น 66/23 ดับไฟใต้ -เพิ่มคุณภาพบินทำพิธีฮัจย์
    Like
    10
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 835 มุมมอง 49 0 รีวิว
  • แฉ "เบิร์ด" รู้จักคนบนเรือ ท้าพูดความจริงเพื่อ "แตงโม" : [THE MESSAGE]

    นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เผยคดีแตงโม นิดา สิ่งที่สนใจตอนนี้คือใครเป็นเจ้าของเรือลำเกิดเหตุ ต้องการให้นำเรือมาตรวจสอบใหม่ เนื่องจากก่อนหน้านี้ตรวจไม่ละเอียดรอบคอบ สงสัยทำไมต้องตรวจเวลา 6 โมงเย็น ส่วนโทรศัพท์มือถือของแตงโม มี 2 เครื่องนั้น เครื่องหนึ่งเป็นของพ่อแตงโม อีกเครื่องเป็นของแตงโม ประกาศตามหานายเบิร์ด เทคนิค แฟนแตงโม 3 ปีที่แตงโมจากไป เบิร์ดเป็นลูกผู้ชายหรือเปล่า เป็นแฟนแตงโม รักแตงโม แต่ไม่เคยช่วยแตงโม ไม่เคยออกมาแสดงความกล้าหาญ วันที่ 23 ก.พ. 2565 แตงโมอยู่กับเบิร์ดที่ภูเก็ต แต่กระติกโทรเรียกให้แตงโมกลับมา เพราะมีการรับงานบางอย่าง เบิร์ดเป็นคนที่รู้ข้อมูลมากที่สุด ต้องให้ข้อมูลกับดีเอสไอ มีคนรอสอบปากคำ ตั้งข้อสังเกตมีการนำร่างแตงโมมาปล่อยหรือไม่ เชื่อแตงโมถูกแทงด้วยเหล็กแหลม ไม่ใช่แผลจากใบพัดเรือ
    แฉ "เบิร์ด" รู้จักคนบนเรือ ท้าพูดความจริงเพื่อ "แตงโม" : [THE MESSAGE] นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เผยคดีแตงโม นิดา สิ่งที่สนใจตอนนี้คือใครเป็นเจ้าของเรือลำเกิดเหตุ ต้องการให้นำเรือมาตรวจสอบใหม่ เนื่องจากก่อนหน้านี้ตรวจไม่ละเอียดรอบคอบ สงสัยทำไมต้องตรวจเวลา 6 โมงเย็น ส่วนโทรศัพท์มือถือของแตงโม มี 2 เครื่องนั้น เครื่องหนึ่งเป็นของพ่อแตงโม อีกเครื่องเป็นของแตงโม ประกาศตามหานายเบิร์ด เทคนิค แฟนแตงโม 3 ปีที่แตงโมจากไป เบิร์ดเป็นลูกผู้ชายหรือเปล่า เป็นแฟนแตงโม รักแตงโม แต่ไม่เคยช่วยแตงโม ไม่เคยออกมาแสดงความกล้าหาญ วันที่ 23 ก.พ. 2565 แตงโมอยู่กับเบิร์ดที่ภูเก็ต แต่กระติกโทรเรียกให้แตงโมกลับมา เพราะมีการรับงานบางอย่าง เบิร์ดเป็นคนที่รู้ข้อมูลมากที่สุด ต้องให้ข้อมูลกับดีเอสไอ มีคนรอสอบปากคำ ตั้งข้อสังเกตมีการนำร่างแตงโมมาปล่อยหรือไม่ เชื่อแตงโมถูกแทงด้วยเหล็กแหลม ไม่ใช่แผลจากใบพัดเรือ
    Like
    Yay
    8
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 815 มุมมอง 39 1 รีวิว
  • เมื่อตำรวจกลายเป็นอาชญากร นั่นถือเป็นสถานการณ์ที่ร้ายแรงและส่งผลกระทบอย่างมากต่อความเชื่อมั่นของประชาชนในระบบยุติธรรมและสถาบันทางสังคม โดยทั่วไปแล้ว ตำรวจมีหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยและปกป้องประชาชน แต่หากตำรวจเองกลายเป็นผู้กระทำผิดกฎหมายหรือมีพฤติกรรมที่ผิดจริยธรรม สิ่งนี้สามารถนำไปสู่ปัญหาต่างๆ เช่น:

    1. **การสูญเสียความเชื่อมั่น**: ประชาชนอาจสูญเสียความเชื่อมั่นในระบบยุติธรรมและหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งอาจทำให้เกิดการละเมิดกฎหมายเพิ่มขึ้นหรือการไม่ร่วมมือกับตำรวจในการสืบสวนสอบสวน

    2. **การทุจริต**: ตำรวจที่กระทำผิดอาจมีส่วนร่วมในการทุจริต เช่น การรับสินบน การปกปิดอาชญากรรม หรือการใช้ตำแหน่งหน้าที่เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว

    3. **การละเมิดสิทธิมนุษยชน**: ตำรวจที่กลายเป็นอาชญากรอาจมีการละเมิดสิทธิมนุษยชน เช่น การใช้ความรุนแรงโดยไม่จำเป็น การทรมาน หรือการจับกุมโดยไม่มีเหตุผล

    4. **การบั่นทอนกระบวนการยุติธรรม**: หากตำรวจมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย อาจทำให้กระบวนการยุติธรรมบิดเบือน และผู้บริสุทธิ์อาจถูกดำเนินคดีในขณะที่ผู้กระทำผิดจริงรอดพ้นจากกฎหมาย

    5. **การแก้ไขปัญหา**: เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหานี้ จำเป็นต้องมีกลไกการตรวจสอบและถ่วงดุลที่เข้มงวด เช่น การตั้งคณะกรรมการอิสระเพื่อตรวจสอบการทำงานของตำรวจ การส่งเสริมความโปร่งใส และการลงโทษผู้กระทำผิดอย่างจริงจัง

    การที่ตำรวจกลายเป็นอาชญากรเป็นปัญหาที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน เพื่อรักษาความยุติธรรมและความสงบสุขในสังคม
    เมื่อตำรวจกลายเป็นอาชญากร นั่นถือเป็นสถานการณ์ที่ร้ายแรงและส่งผลกระทบอย่างมากต่อความเชื่อมั่นของประชาชนในระบบยุติธรรมและสถาบันทางสังคม โดยทั่วไปแล้ว ตำรวจมีหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยและปกป้องประชาชน แต่หากตำรวจเองกลายเป็นผู้กระทำผิดกฎหมายหรือมีพฤติกรรมที่ผิดจริยธรรม สิ่งนี้สามารถนำไปสู่ปัญหาต่างๆ เช่น: 1. **การสูญเสียความเชื่อมั่น**: ประชาชนอาจสูญเสียความเชื่อมั่นในระบบยุติธรรมและหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งอาจทำให้เกิดการละเมิดกฎหมายเพิ่มขึ้นหรือการไม่ร่วมมือกับตำรวจในการสืบสวนสอบสวน 2. **การทุจริต**: ตำรวจที่กระทำผิดอาจมีส่วนร่วมในการทุจริต เช่น การรับสินบน การปกปิดอาชญากรรม หรือการใช้ตำแหน่งหน้าที่เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว 3. **การละเมิดสิทธิมนุษยชน**: ตำรวจที่กลายเป็นอาชญากรอาจมีการละเมิดสิทธิมนุษยชน เช่น การใช้ความรุนแรงโดยไม่จำเป็น การทรมาน หรือการจับกุมโดยไม่มีเหตุผล 4. **การบั่นทอนกระบวนการยุติธรรม**: หากตำรวจมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย อาจทำให้กระบวนการยุติธรรมบิดเบือน และผู้บริสุทธิ์อาจถูกดำเนินคดีในขณะที่ผู้กระทำผิดจริงรอดพ้นจากกฎหมาย 5. **การแก้ไขปัญหา**: เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหานี้ จำเป็นต้องมีกลไกการตรวจสอบและถ่วงดุลที่เข้มงวด เช่น การตั้งคณะกรรมการอิสระเพื่อตรวจสอบการทำงานของตำรวจ การส่งเสริมความโปร่งใส และการลงโทษผู้กระทำผิดอย่างจริงจัง การที่ตำรวจกลายเป็นอาชญากรเป็นปัญหาที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน เพื่อรักษาความยุติธรรมและความสงบสุขในสังคม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 128 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไทยถูกจับตา จากประเทศสงบสุข เป็นศูนย์รวมอาชญากรรม ปัญหาใหญ่กำลังตามมา 18/02/68 #ศูนย์รวมอาชญากรรม #ประเทศไทย
    ไทยถูกจับตา จากประเทศสงบสุข เป็นศูนย์รวมอาชญากรรม ปัญหาใหญ่กำลังตามมา 18/02/68 #ศูนย์รวมอาชญากรรม #ประเทศไทย
    Like
    Love
    9
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 709 มุมมอง 28 1 รีวิว
  • พร้อมเปิดภาพสำคัญ"แตงโม"ถูกแทง!? : [NEWS UPDATE]

    นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เผยหลังกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ลงเรือสแกน 8 จุด ต้องสงสัยคดีแตงโม มีจุดสำคัญ คือ ซอยจรัญสนิทวงศ์ 92 และท่าทราย ซึ่งอาจเป็นที่ทำลายหลักฐาน โดยพิสูจน์ว่าได้มีตำรวจเกี่ยวข้องกับแผนนี้ อาจโยงเครือข่ายยาเสพติด เว็บพนัน รถหรู ฟอกเงิน และค้ามนุษย์ เชื่อมีเจ้าหน้าที่รัฐและผู้สนับสนุนที่ช่วยกันปกปิด รวมไม่ต่ำกว่า 100 คน ซึ่งในวันที่ 18 ก.พ. นี้ จะให้นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต เปิดภาพบาดแผลที่เชื่อว่าแตงโมถูกแทง เป็นภาพที่หลายคนยังไม่เคยเห็น โดยทางดีเอสไอได้ตรวจสอบภาพดังกล่าวแล้ว

    -8 จุดสงสัยชี้ชะตาคนบนเรือ

    -เรือจอด-ชะลอ ทำอะไร

    -เปลี่ยนยุทธศาสตร์ภาคใต้

    -เร่งงานถนน 7 ชั่วโคตร
    พร้อมเปิดภาพสำคัญ"แตงโม"ถูกแทง!? : [NEWS UPDATE] นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เผยหลังกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ลงเรือสแกน 8 จุด ต้องสงสัยคดีแตงโม มีจุดสำคัญ คือ ซอยจรัญสนิทวงศ์ 92 และท่าทราย ซึ่งอาจเป็นที่ทำลายหลักฐาน โดยพิสูจน์ว่าได้มีตำรวจเกี่ยวข้องกับแผนนี้ อาจโยงเครือข่ายยาเสพติด เว็บพนัน รถหรู ฟอกเงิน และค้ามนุษย์ เชื่อมีเจ้าหน้าที่รัฐและผู้สนับสนุนที่ช่วยกันปกปิด รวมไม่ต่ำกว่า 100 คน ซึ่งในวันที่ 18 ก.พ. นี้ จะให้นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต เปิดภาพบาดแผลที่เชื่อว่าแตงโมถูกแทง เป็นภาพที่หลายคนยังไม่เคยเห็น โดยทางดีเอสไอได้ตรวจสอบภาพดังกล่าวแล้ว -8 จุดสงสัยชี้ชะตาคนบนเรือ -เรือจอด-ชะลอ ทำอะไร -เปลี่ยนยุทธศาสตร์ภาคใต้ -เร่งงานถนน 7 ชั่วโคตร
    Like
    Love
    16
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 731 มุมมอง 35 0 รีวิว
  • “สถานีตำรวจภูธรแม่โจ้ จังหวัดเชียงใหม่” เตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อหลังพบ “ผู้กองปอยเปต” โผล่อีกหนึ่งราย อ้างเป็น ตร.สภ.แม่โจ้ หลอกโอนเงิน-ล้วงข้อมูลส่วนตัวเหยื่อ

    วันนี้ (17 ก.พ.) เพจ “สถานีตำรวจภูธรแม่โจ้ จังหวัดเชียงใหม่” โพสต์เตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อหลังพบ “ผู้กองปอยเปต” โผล่อีกหนึ่งราย โดยแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.แม่โจ้ หลอกโอนเงิน-ล้วงข้อมูลส่วนตัวเหยื่อ

    ทางเพจระบุข้อความว่า “ขอเตือนประชาชนให้ระมัดระวังมิจฉาชีพที่ใช้วิธีโทรศัพท์แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.แม่โจ้ เพื่อหลอกลวงให้โอนเงินหรือให้ข้อมูลส่วนตัว โดยมักใช้ข้ออ้าง เช่น

    1. แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่หน่วยงานรัฐ - โทรศัพท์มาหลอกว่าเป็นเจ้าหน้าที่จากสำนักงานใหญ่ของบริษัทโทรคมนาคม (ทรู) หรือหน่วยงานรัฐ

    2. อ้างว่ามีข้อมูลรั่วไหล - หลอกว่าข้อมูลส่วนตัวของเหยื่อถูกนำไปใช้ในกิจกรรมผิดกฎหมาย เช่น การเชื่อมต่อกล่องมือถือเพื่อรับสัญญาณจากต่างประเทศ หรือโทร.หลอกลวงผู้อื่น

    3. ใช้ศัพท์เทคนิคเพื่อทำให้ดูน่าเชื่อถือ - พูดถึงเรื่อง “อาชญากรรมทางเทคโนโลยี” และ “การดัดแปลงสัญญาณ” เพื่อให้เหยื่อตกใจและสับสน

    4. ขอให้เหยื่อติดต่อกลับด่วน - อ้างว่าต้องแจ้งกลับด่วนภายในเวลาที่กำหนด เพื่อสร้างความกดดันให้เหยื่อรีบตัดสินใจ

    5. ให้เบอร์โทร./แฟกซ์ปลอม - มักให้เบอร์ที่ดูเหมือนเป็นหน่วยงานจริงเพื่อให้เหยื่อหลงเชื่อ

    6. อาจนำไปสู่การหลอกให้โอนเงิน - หากเหยื่อติดต่อกลับ อาจถูกหลอกให้โอนเงินเพื่อตรวจสอบหรือปลดล็อกปัญหาที่ถูกกล่าวหา

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000015684

    #MGROnline
    “สถานีตำรวจภูธรแม่โจ้ จังหวัดเชียงใหม่” เตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อหลังพบ “ผู้กองปอยเปต” โผล่อีกหนึ่งราย อ้างเป็น ตร.สภ.แม่โจ้ หลอกโอนเงิน-ล้วงข้อมูลส่วนตัวเหยื่อ • วันนี้ (17 ก.พ.) เพจ “สถานีตำรวจภูธรแม่โจ้ จังหวัดเชียงใหม่” โพสต์เตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อหลังพบ “ผู้กองปอยเปต” โผล่อีกหนึ่งราย โดยแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.แม่โจ้ หลอกโอนเงิน-ล้วงข้อมูลส่วนตัวเหยื่อ • ทางเพจระบุข้อความว่า “ขอเตือนประชาชนให้ระมัดระวังมิจฉาชีพที่ใช้วิธีโทรศัพท์แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.แม่โจ้ เพื่อหลอกลวงให้โอนเงินหรือให้ข้อมูลส่วนตัว โดยมักใช้ข้ออ้าง เช่น • 1. แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่หน่วยงานรัฐ - โทรศัพท์มาหลอกว่าเป็นเจ้าหน้าที่จากสำนักงานใหญ่ของบริษัทโทรคมนาคม (ทรู) หรือหน่วยงานรัฐ • 2. อ้างว่ามีข้อมูลรั่วไหล - หลอกว่าข้อมูลส่วนตัวของเหยื่อถูกนำไปใช้ในกิจกรรมผิดกฎหมาย เช่น การเชื่อมต่อกล่องมือถือเพื่อรับสัญญาณจากต่างประเทศ หรือโทร.หลอกลวงผู้อื่น • 3. ใช้ศัพท์เทคนิคเพื่อทำให้ดูน่าเชื่อถือ - พูดถึงเรื่อง “อาชญากรรมทางเทคโนโลยี” และ “การดัดแปลงสัญญาณ” เพื่อให้เหยื่อตกใจและสับสน • 4. ขอให้เหยื่อติดต่อกลับด่วน - อ้างว่าต้องแจ้งกลับด่วนภายในเวลาที่กำหนด เพื่อสร้างความกดดันให้เหยื่อรีบตัดสินใจ • 5. ให้เบอร์โทร./แฟกซ์ปลอม - มักให้เบอร์ที่ดูเหมือนเป็นหน่วยงานจริงเพื่อให้เหยื่อหลงเชื่อ • 6. อาจนำไปสู่การหลอกให้โอนเงิน - หากเหยื่อติดต่อกลับ อาจถูกหลอกให้โอนเงินเพื่อตรวจสอบหรือปลดล็อกปัญหาที่ถูกกล่าวหา • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000015684 • #MGROnline
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 172 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไทยมี ‘เศรษฐกิจนอกระบบ’ ใหญ่เป็นอันดับ 8 ของโลก คิดเป็นราว 45% ของ GDP ไทย: รู้หรือไม่ว่า ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มี ‘เศรษฐกิจนอกระบบ’ ใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของโลก เมื่อเปรียบเทียบสัดส่วนเศรษฐกิจกับ GDP ประเทศ ข้อมูลจาก KKP Research บอกว่า ‘เศรษฐกิจนอกระบบ’ ของไทยมีขนาดใหญ่ประมาณ 45% ของ GDP ประเทศ ใหญ่เป็นอันดับ 8 ของโลก

    ‘เศรษฐกิจนอกระบบ’ คือ กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ไม่ได้รับการจดทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย รวมไปถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ผิดกฎหมายด้วย ส่วนใหญ่มักไม่ได้มีการเสียภาษี ไม่ต้องมีการบันทึกบัญชี ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามกฎหมายแรงงาน ทำให้แรงงานมักไม่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายและไม่สามารถเข้าถึงสวัสดิการต่างๆ ได้ด้วย

    จริงๆ แล้ว ‘เศรษฐกิจนอกระบบ’ เป็นส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจ และมีความสำคัญกับประเทศกำลังพัฒนา เพราะสามารถช่วยสร้างงาน-สร้างรายได้ ช่วยให้การเริ่มธุรกิจง่ายและยืดหยุ่นกว่า ถ้าพูดถึงเศรษฐกิจนอกระบบใกล้ตัวก็อย่างเช่นการทำเกษตร หาบเร่ แผงลอย ไปจนถึงการทำธุรกิจขนาดเล็กๆ ในครอบครัวหรือมีจำนวนลูกจ้างไม่กี่คน

    แต่ปัญหาที่เกิดจาก ‘เศรษฐกิจนอกระบบ’ ก็มีมากมาย ทั้งเพิ่มโอกาสให้แรงงานถูกเอารัดเอาเปรียบ ธุรกิจเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ยาก ธุรกิจที่อยู่ในระบบถูกเอาเปรียบ รัฐบาลเก็บภาษีได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย หรือหนักๆ อาจกลายเป็นต้นตอของการทุจริตคอร์รัปชัน และในบางกรณีที่เป็นธุรกิจผิดกฎหมายก็อาจจะนำไปสู่การฟอกเงินหรืออาชญากรรมอื่นๆ ขึ้นมาอีก

    ดังนั้น จึงขึ้นอยู่กับขนาดของ ‘เศรษฐกิจนอกระบบ’ ในแต่ละประเทศด้วยว่าเหมาะสมไหม

    ถ้าดูจากสถิติจะเห็นว่าประเทศที่พัฒนาแล้วจะมีเศรษฐกิจนอกระบบในสัดส่วนที่ต่ำมาก เพราะสามารถเคลื่อนย้ายเศรษฐกิจนอกระบบเข้ามาไว้ในระบบได้สำเร็จ ส่งผลดีต่อการพัฒนาประเทศและคุณภาพชีวิตของคนในชาติโดยรวม

    แต่อย่างประเทศไทยที่มีเศรษฐกิจนอกระบบมากราวๆ 45% ของ GDP เป็นอันดับ 8 ของโลกนั้น ถือว่ามีเศรษฐกิจนอกระบบใหญ่มาก สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก และสูงกว่าเกือบทุกประเทศในเอเชีย

    โดยเมื่อคำนวณจาก GDP ไทยที่มีมูลค่าราวๆ 18 ล้านล้านบาทแล้ว จะพบว่าเศรษฐกิจนอกระบบไทยน่าจะมีมูลค่ามากถึง 8.1 ล้านล้านบาทเลยทีเดียว

    ขนาดของเศรษฐกิจนอกระบบที่ใหญ่เกินไป นำมาสู่ปัญหาทางเศรษฐกิจในไทย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาหนี้ครัวเรือนที่เกิดจากแรงงานนอกระบบที่มีมากถึง 50% ของแรงงานทั้งหมดไม่สามารถเข้าถึงแหล่งทุนในระบบได้จน นำไปสู่การกู้นอกระบบสร้างวรจรหนี้ไม่รู้จบ ขยายช่องว่างความเหลื่อมล้ำ

    หรือปัญหาหลีกเลี่ยงภาษีของธุรกิจมากกว่า 2.4 ล้านรายในไทย ที่ทำให้รัฐเสียรายได้ภาษีจำนวนมหาศาล ขณะที่ธุรกิจเองก็เข้าถึงแหล่งเงินทุนไม่ได้เช่นกัน ข้อเสนอของภาคธุรกิจในระยะหลังจึงอยากให้รัฐบาลไทยนำเศรษฐกิจนอกระบบเข้ามาในระบบด้วยนโยบายที่เหมาะสมโดยเร็ว

    โดย Sirarom Techasriamornrat

    Source: Brandinside
    https://brandinside.asia/thailand-informal-economy-rank-8-in-the-world/
    ไทยมี ‘เศรษฐกิจนอกระบบ’ ใหญ่เป็นอันดับ 8 ของโลก คิดเป็นราว 45% ของ GDP ไทย: รู้หรือไม่ว่า ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มี ‘เศรษฐกิจนอกระบบ’ ใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของโลก เมื่อเปรียบเทียบสัดส่วนเศรษฐกิจกับ GDP ประเทศ ข้อมูลจาก KKP Research บอกว่า ‘เศรษฐกิจนอกระบบ’ ของไทยมีขนาดใหญ่ประมาณ 45% ของ GDP ประเทศ ใหญ่เป็นอันดับ 8 ของโลก ‘เศรษฐกิจนอกระบบ’ คือ กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ไม่ได้รับการจดทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย รวมไปถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ผิดกฎหมายด้วย ส่วนใหญ่มักไม่ได้มีการเสียภาษี ไม่ต้องมีการบันทึกบัญชี ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามกฎหมายแรงงาน ทำให้แรงงานมักไม่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายและไม่สามารถเข้าถึงสวัสดิการต่างๆ ได้ด้วย จริงๆ แล้ว ‘เศรษฐกิจนอกระบบ’ เป็นส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจ และมีความสำคัญกับประเทศกำลังพัฒนา เพราะสามารถช่วยสร้างงาน-สร้างรายได้ ช่วยให้การเริ่มธุรกิจง่ายและยืดหยุ่นกว่า ถ้าพูดถึงเศรษฐกิจนอกระบบใกล้ตัวก็อย่างเช่นการทำเกษตร หาบเร่ แผงลอย ไปจนถึงการทำธุรกิจขนาดเล็กๆ ในครอบครัวหรือมีจำนวนลูกจ้างไม่กี่คน แต่ปัญหาที่เกิดจาก ‘เศรษฐกิจนอกระบบ’ ก็มีมากมาย ทั้งเพิ่มโอกาสให้แรงงานถูกเอารัดเอาเปรียบ ธุรกิจเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ยาก ธุรกิจที่อยู่ในระบบถูกเอาเปรียบ รัฐบาลเก็บภาษีได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย หรือหนักๆ อาจกลายเป็นต้นตอของการทุจริตคอร์รัปชัน และในบางกรณีที่เป็นธุรกิจผิดกฎหมายก็อาจจะนำไปสู่การฟอกเงินหรืออาชญากรรมอื่นๆ ขึ้นมาอีก ดังนั้น จึงขึ้นอยู่กับขนาดของ ‘เศรษฐกิจนอกระบบ’ ในแต่ละประเทศด้วยว่าเหมาะสมไหม ถ้าดูจากสถิติจะเห็นว่าประเทศที่พัฒนาแล้วจะมีเศรษฐกิจนอกระบบในสัดส่วนที่ต่ำมาก เพราะสามารถเคลื่อนย้ายเศรษฐกิจนอกระบบเข้ามาไว้ในระบบได้สำเร็จ ส่งผลดีต่อการพัฒนาประเทศและคุณภาพชีวิตของคนในชาติโดยรวม แต่อย่างประเทศไทยที่มีเศรษฐกิจนอกระบบมากราวๆ 45% ของ GDP เป็นอันดับ 8 ของโลกนั้น ถือว่ามีเศรษฐกิจนอกระบบใหญ่มาก สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก และสูงกว่าเกือบทุกประเทศในเอเชีย โดยเมื่อคำนวณจาก GDP ไทยที่มีมูลค่าราวๆ 18 ล้านล้านบาทแล้ว จะพบว่าเศรษฐกิจนอกระบบไทยน่าจะมีมูลค่ามากถึง 8.1 ล้านล้านบาทเลยทีเดียว ขนาดของเศรษฐกิจนอกระบบที่ใหญ่เกินไป นำมาสู่ปัญหาทางเศรษฐกิจในไทย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาหนี้ครัวเรือนที่เกิดจากแรงงานนอกระบบที่มีมากถึง 50% ของแรงงานทั้งหมดไม่สามารถเข้าถึงแหล่งทุนในระบบได้จน นำไปสู่การกู้นอกระบบสร้างวรจรหนี้ไม่รู้จบ ขยายช่องว่างความเหลื่อมล้ำ หรือปัญหาหลีกเลี่ยงภาษีของธุรกิจมากกว่า 2.4 ล้านรายในไทย ที่ทำให้รัฐเสียรายได้ภาษีจำนวนมหาศาล ขณะที่ธุรกิจเองก็เข้าถึงแหล่งเงินทุนไม่ได้เช่นกัน ข้อเสนอของภาคธุรกิจในระยะหลังจึงอยากให้รัฐบาลไทยนำเศรษฐกิจนอกระบบเข้ามาในระบบด้วยนโยบายที่เหมาะสมโดยเร็ว โดย Sirarom Techasriamornrat Source: Brandinside https://brandinside.asia/thailand-informal-economy-rank-8-in-the-world/
    BRANDINSIDE.ASIA
    ไทยมี 'เศรษฐกิจนอกระบบ' ใหญ่เป็นอันดับ 8 ของโลก
    รู้หรือไม่ว่า ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มี 'เศรษฐกิจนอกระบบ' ใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของโลก เมื่อเปรียบเทียบสัดส่วนเศรษฐกิจกับ GDP ประเทศ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 157 มุมมอง 0 รีวิว
  • ณัฐพงษ์ หัวหน้าพรรคประชาชน ร่วมกับ สำนักข่าววาร์ตานี-เครือข่ายสื่อ ยื่นจดหมายเปิดผนึกเรียกร้องแม่ทัพภาค 4, ผอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ปล่อยตัว "อับลุดอาฟิร เซ็ง" นักข่าวอิสระของวาร์ตานี ไม่มีเงื่อนไขในทันที ระบุ การรายงานข่าวไม่ใช่อาชญากรรม

    https://prachatai.com/journal/2025/02/112129
    ณัฐพงษ์ หัวหน้าพรรคประชาชน ร่วมกับ สำนักข่าววาร์ตานี-เครือข่ายสื่อ ยื่นจดหมายเปิดผนึกเรียกร้องแม่ทัพภาค 4, ผอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ปล่อยตัว "อับลุดอาฟิร เซ็ง" นักข่าวอิสระของวาร์ตานี ไม่มีเงื่อนไขในทันที ระบุ การรายงานข่าวไม่ใช่อาชญากรรม https://prachatai.com/journal/2025/02/112129
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 160 มุมมอง 0 รีวิว
  • จเรตำรวจแห่งชาติ เผย ทางการจีนส่ง 3,700 รายชื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์เมียวดี ให้ไทยใช้เป็นข้อมูลคัดแยกเหยื่อค้ามนุษย์ ร่วมกับฐานของมูลของตำรวจและสถานทูตต่างประเทศ สั่งเดินหน้าระเบิดสะพานโจร ตัดทรัพยากรที่ใช้ในการกระทำผิด

    วันนี้ (14 ก.พ.) ที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ. ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ (จตช.) ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ต่อต้านการค้ามนุษย์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้สัมภาษณ์ก่อนร่วมประชุมกับ สำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ UNODC เพื่อจัดตั้ง Specialized Cyber Scam and Trafficking in Persons for Forced Criminality Taskforce

    พล.ต.อ.ธัชชัย เปิดเผยว่า การประชุมวันนี้เป็นการหารือเรื่องรายละเอียดที่ทางการไทยได้รวบรวมข้อมูลมาจากมาตรการปราบปรามขบวนการคอลเซ็นเตอร์และค้ามนุษย์ ทั้งการตัดการจ่ายไฟ ระงับสัญญาณโทรศัพท์ อินเทอร์เน็ต และงดจ่ายน้ำมันตามแนวชายแดนประเทศเพื่อนบ้านเพื่อกำหนดแนวทางในการทำงานร่วมกัน

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000014827

    #MGROnline #จเรตำรวจแห่งชาติ #แก๊งคอลเซ็นเตอร์ #เมียวดี
    จเรตำรวจแห่งชาติ เผย ทางการจีนส่ง 3,700 รายชื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์เมียวดี ให้ไทยใช้เป็นข้อมูลคัดแยกเหยื่อค้ามนุษย์ ร่วมกับฐานของมูลของตำรวจและสถานทูตต่างประเทศ สั่งเดินหน้าระเบิดสะพานโจร ตัดทรัพยากรที่ใช้ในการกระทำผิด • วันนี้ (14 ก.พ.) ที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ. ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ (จตช.) ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ต่อต้านการค้ามนุษย์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้สัมภาษณ์ก่อนร่วมประชุมกับ สำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ UNODC เพื่อจัดตั้ง Specialized Cyber Scam and Trafficking in Persons for Forced Criminality Taskforce • พล.ต.อ.ธัชชัย เปิดเผยว่า การประชุมวันนี้เป็นการหารือเรื่องรายละเอียดที่ทางการไทยได้รวบรวมข้อมูลมาจากมาตรการปราบปรามขบวนการคอลเซ็นเตอร์และค้ามนุษย์ ทั้งการตัดการจ่ายไฟ ระงับสัญญาณโทรศัพท์ อินเทอร์เน็ต และงดจ่ายน้ำมันตามแนวชายแดนประเทศเพื่อนบ้านเพื่อกำหนดแนวทางในการทำงานร่วมกัน • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000014827 • #MGROnline #จเรตำรวจแห่งชาติ #แก๊งคอลเซ็นเตอร์ #เมียวดี
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 238 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผบ.ตร.กำชับทุกหน่วยแต่งตั้งระดับ "รอง ผบก. ลงมาถึง สว.วาระปี 67" ปรับย้ายตำรวจเกียร์ว่าง บกพร่อง ไม่สนองนโยบายปราบอาชญากรรม ให้แต่งตั้งผู้เหมาะสม มีความประพฤติดีทำหน้าที่แทน

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000014545

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    ผบ.ตร.กำชับทุกหน่วยแต่งตั้งระดับ "รอง ผบก. ลงมาถึง สว.วาระปี 67" ปรับย้ายตำรวจเกียร์ว่าง บกพร่อง ไม่สนองนโยบายปราบอาชญากรรม ให้แต่งตั้งผู้เหมาะสม มีความประพฤติดีทำหน้าที่แทน อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000014545 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Angry
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1138 มุมมอง 0 รีวิว
  • งด 1 ปี! ป.12 ห้ามออกใบอนุญาตพกพา แก้ปัญหาพกปืนเกลื่อนเมือง หวังลดอาชญากรรม

    📢 มาตรการคุมเข้มอาวุธปืน! รัฐบาลสั่งห้ามออกใบอนุญาตพกพาอาวุธปืน (ป.12) เป็นเวลา 1 ปี เพื่อลดปัญหาอาชญากรรม และสร้างความปลอดภัยในสังคม 🚔

    📰 น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ร่วมลงนามในคำสั่ง สำนักนายกรัฐมนตรี และกระทรวงมหาดไทย ที่ 478/2568 ลงวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 ซึ่งกำหนดให้ งดการออกใบอนุญาต ให้มีอาวุธปืนติดตัว (ป.12) เป็นการชั่วคราว เป็นระยะเวลา 1 ปี

    📌 มาตรการนี้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 เป็นต้นไป หลังมีการประกาศ ในราชกิจจานุเบกษา โดยเจ้าหน้าที่นายทะเบียน จะไม่สามารถออกใบอนุญาตพกพาอาวุธปืน ให้แก่ประชาชนทั่วไป จนกว่าคำสั่งนี้จะสิ้นสุด

    🔫 ปัญหาการพกพาอาวุธปืน ที่รุนแรงขึ้นในสังคมไทย
    การออกคำสั่งครั้งนี้ สืบเนื่องจากสถานการณ์ การใช้อาวุธปืนในปัจจุบัน ที่ทวีความรุนแรงขึ้น
    - มีการพกพาอาวุธปืน ไปในที่สาธารณะ โดยไม่มีเหตุจำเป็น
    - มีการแสดงอาวุธปืน โดยไม่มีเหตุอันสมควร ทั้งในที่สาธารณะ และบนสื่อออนไลน์
    - การพกปืนโดยไม่มีเหตุผล นำไปสู่อาชญากรรมร้ายแรง
    - ผู้บริสุทธิ์ตกเป็นเหยื่อ ทั้งชีวิต ทรัพย์สิน และสภาพจิตใจ

    😨 เหตุการณ์เหล่านี้ ส่งผลให้ประชาชน เกิดความหวาดกลัว และกระทบต่อความสงบเรียบร้อย ของสังคม

    🔍 ป.12 คืออะไร? 📜
    ใบอนุญาต ป.12 หรือ "ใบอนุญาตให้พกพาอาวุธปืนติดตัว" เป็นเอกสารที่ออกโดย เจ้าหน้าที่นายทะเบียน ภายใต้กฎหมายอาวุธปืนของไทย

    📌 ผู้ที่ได้รับอนุญาต สามารถพกพาอาวุธปืน ติดตัวไปในที่สาธารณะ ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย

    🔎 เงื่อนไขของการขอใบอนุญาต ป.12
    การขอใบอนุญาตพกพาปืน ต้องมีเหตุผลที่สมควร เช่น
    ✅ เป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย
    ✅ เป็นนักธุรกิจ ที่ต้องพกพาทรัพย์สินมูลค่าสูง
    ✅ อาชีพที่เสี่ยงต่อชีวิต เช่น ทนายความ หรือพนักงานเก็บเงิน

    ❌ แต่การอนุญาตนี้ กลับถูกนำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ ทำให้มีการพกพาอาวุธปืน อย่างไม่เหมาะสม ซึ่งเป็นสาเหตุของอาชญากรรม และเหตุการณ์รุนแรง

    ⚖️ การห้ามออกใบอนุญาตพกพาปืน ป.12 ช่วยลดอาชญากรรมได้จริงหรือ?
    📉 3 ผลลัพธ์ที่คาดหวังจากมาตรการนี้
    1️⃣ ลดจำนวนอาวุธปืนในที่สาธารณะ
    คนที่ไม่มีใบอนุญาต จะไม่สามารถพกปืนได้ ลดโอกาสที่ปืนจะถูกนำไปใช้ในการก่อเหตุร้าย

    2️⃣ ป้องกันเหตุอาชญากรรม และความรุนแรง
    ลดความเสี่ยงของ เหตุยิงกันในที่สาธารณะ ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยครั้งในช่วงที่ผ่านมา ป้องกันเหตุทะเลาะวิวาท ที่ลุกลามไปถึงขั้นใช้อาวุธปืน

    3️⃣ เสริมสร้างความปลอดภัย ให้ประชาชน
    ทำให้ประชาชน รู้สึกปลอดภัยมากขึ้น เมื่อเดินทางในที่สาธารณะ ลดความหวาดกลัว จากการเผชิญหน้า กับผู้ที่พกพาอาวุธปืน โดยไม่มีเหตุจำเป็น

    🤔 ใครบ้างที่ได้รับผลกระทบ? 🔄
    - ประชาชนทั่วไป ที่ต้องการพกปืนเพื่อป้องกันตัว
    - นักธุรกิจ หรือผู้ที่ทำงานเสี่ยงภัย ที่พกปืนเพื่อรักษาความปลอดภัย
    - ร้านค้าและธุรกิจ ที่มีใบอนุญาตพกปืน เพื่อป้องกันการโจรกรรม

    🚨 ทางออกสำหรับผู้ที่ต้องการความปลอดภัย
    ถึงแม้ว่าจะไม่มีใบอนุญาต ป.12 แต่ประชาชนยังสามารถ ครอบครองอาวุธปืนไว้ที่บ้าน หรือที่ทำงานได้ โดยมีใบอนุญาต ป.4 (ใบอนุญาตครอบครองปืน) ซึ่งยังคงมีผลบังคับใช้อยู่

    📌 นอกจากนี้ รัฐบาลแนะนำให้ใช้ มาตรการรักษาความปลอดภัยรูปแบบอื่นๆ เช่น
    - ติดตั้งกล้องวงจรปิด (CCTV)
    - ใช้ระบบรักษาความปลอดภัยอัตโนมัติ
    - จ้างเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ที่ได้รับใบอนุญาตถูกต้อง

    📊 สถิติอาชญากรรม ที่เกี่ยวข้องกับอาวุธปืนในไทย
    🔎 จากข้อมูลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พบว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (2563-2567) มีคดีอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับอาวุธปืน เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

    📌 คดีอาชญากรรม ที่เกี่ยวข้องกับอาวุธปืน
    - ฆาตกรรม เพิ่มขึ้น 12%
    - ปล้นทรัพย์โดยใช้อาวุธปืน เพิ่มขึ้น 18%
    - การยิงกันในที่สาธารณะ เพิ่มขึ้น 22%

    📢 มาตรการนี้ เป็นความพยายามของรัฐบาล ในการลดจำนวนคดี ที่เกี่ยวข้องกับอาวุธปืน และทำให้สังคมไทย ปลอดภัยยิ่งขึ้น

    🔚 มาตรการห้ามออกใบอนุญาต ป.12 เป็นก้าวสำคัญของการลดอาชญากรรม
    ✅ การห้ามออกใบอนุญาตพกพาปืน (ป.12) เป็นการควบคุมการพกพาอาวุธปืน ในที่สาธารณะ เพื่อป้องกันอาชญากรรม และสร้างความปลอดภัย ให้กับประชาชน

    ✅ ถึงแม้ว่าผู้ที่ต้องการพกปืน จะได้รับผลกระทบบ้าง แต่ยังสามารถครอบครองอาวุธปืนที่บ้าน หรือที่ทำงานได้ ภายใต้ใบอนุญาต ป.4

    ✅ นี่เป็นเพียง มาตรการระยะสั้น 1 ปี แต่หากเห็นผลดี รัฐบาลอาจพิจารณาปรับปรุง กฎหมายเกี่ยวกับอาวุธปืนต่อไป

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 131508 ก.พ. 2568

    🔗 #ควบคุมอาวุธปืน #ลดอาชญากรรม #งดป12 #ปืนในที่สาธารณะ #กฎหมายปืน #ความปลอดภัยสาธารณะ #รัฐบาลไทย #พกปืนต้องมีเหตุผล #มาตรการเข้ม #CrimePrevention
    งด 1 ปี! ป.12 ห้ามออกใบอนุญาตพกพา แก้ปัญหาพกปืนเกลื่อนเมือง หวังลดอาชญากรรม 📢 มาตรการคุมเข้มอาวุธปืน! รัฐบาลสั่งห้ามออกใบอนุญาตพกพาอาวุธปืน (ป.12) เป็นเวลา 1 ปี เพื่อลดปัญหาอาชญากรรม และสร้างความปลอดภัยในสังคม 🚔 📰 น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ร่วมลงนามในคำสั่ง สำนักนายกรัฐมนตรี และกระทรวงมหาดไทย ที่ 478/2568 ลงวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 ซึ่งกำหนดให้ งดการออกใบอนุญาต ให้มีอาวุธปืนติดตัว (ป.12) เป็นการชั่วคราว เป็นระยะเวลา 1 ปี 📌 มาตรการนี้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 เป็นต้นไป หลังมีการประกาศ ในราชกิจจานุเบกษา โดยเจ้าหน้าที่นายทะเบียน จะไม่สามารถออกใบอนุญาตพกพาอาวุธปืน ให้แก่ประชาชนทั่วไป จนกว่าคำสั่งนี้จะสิ้นสุด 🔫 ปัญหาการพกพาอาวุธปืน ที่รุนแรงขึ้นในสังคมไทย การออกคำสั่งครั้งนี้ สืบเนื่องจากสถานการณ์ การใช้อาวุธปืนในปัจจุบัน ที่ทวีความรุนแรงขึ้น - มีการพกพาอาวุธปืน ไปในที่สาธารณะ โดยไม่มีเหตุจำเป็น - มีการแสดงอาวุธปืน โดยไม่มีเหตุอันสมควร ทั้งในที่สาธารณะ และบนสื่อออนไลน์ - การพกปืนโดยไม่มีเหตุผล นำไปสู่อาชญากรรมร้ายแรง - ผู้บริสุทธิ์ตกเป็นเหยื่อ ทั้งชีวิต ทรัพย์สิน และสภาพจิตใจ 😨 เหตุการณ์เหล่านี้ ส่งผลให้ประชาชน เกิดความหวาดกลัว และกระทบต่อความสงบเรียบร้อย ของสังคม 🔍 ป.12 คืออะไร? 📜 ใบอนุญาต ป.12 หรือ "ใบอนุญาตให้พกพาอาวุธปืนติดตัว" เป็นเอกสารที่ออกโดย เจ้าหน้าที่นายทะเบียน ภายใต้กฎหมายอาวุธปืนของไทย 📌 ผู้ที่ได้รับอนุญาต สามารถพกพาอาวุธปืน ติดตัวไปในที่สาธารณะ ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย 🔎 เงื่อนไขของการขอใบอนุญาต ป.12 การขอใบอนุญาตพกพาปืน ต้องมีเหตุผลที่สมควร เช่น ✅ เป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ✅ เป็นนักธุรกิจ ที่ต้องพกพาทรัพย์สินมูลค่าสูง ✅ อาชีพที่เสี่ยงต่อชีวิต เช่น ทนายความ หรือพนักงานเก็บเงิน ❌ แต่การอนุญาตนี้ กลับถูกนำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ ทำให้มีการพกพาอาวุธปืน อย่างไม่เหมาะสม ซึ่งเป็นสาเหตุของอาชญากรรม และเหตุการณ์รุนแรง ⚖️ การห้ามออกใบอนุญาตพกพาปืน ป.12 ช่วยลดอาชญากรรมได้จริงหรือ? 📉 3 ผลลัพธ์ที่คาดหวังจากมาตรการนี้ 1️⃣ ลดจำนวนอาวุธปืนในที่สาธารณะ คนที่ไม่มีใบอนุญาต จะไม่สามารถพกปืนได้ ลดโอกาสที่ปืนจะถูกนำไปใช้ในการก่อเหตุร้าย 2️⃣ ป้องกันเหตุอาชญากรรม และความรุนแรง ลดความเสี่ยงของ เหตุยิงกันในที่สาธารณะ ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยครั้งในช่วงที่ผ่านมา ป้องกันเหตุทะเลาะวิวาท ที่ลุกลามไปถึงขั้นใช้อาวุธปืน 3️⃣ เสริมสร้างความปลอดภัย ให้ประชาชน ทำให้ประชาชน รู้สึกปลอดภัยมากขึ้น เมื่อเดินทางในที่สาธารณะ ลดความหวาดกลัว จากการเผชิญหน้า กับผู้ที่พกพาอาวุธปืน โดยไม่มีเหตุจำเป็น 🤔 ใครบ้างที่ได้รับผลกระทบ? 🔄 - ประชาชนทั่วไป ที่ต้องการพกปืนเพื่อป้องกันตัว - นักธุรกิจ หรือผู้ที่ทำงานเสี่ยงภัย ที่พกปืนเพื่อรักษาความปลอดภัย - ร้านค้าและธุรกิจ ที่มีใบอนุญาตพกปืน เพื่อป้องกันการโจรกรรม 🚨 ทางออกสำหรับผู้ที่ต้องการความปลอดภัย ถึงแม้ว่าจะไม่มีใบอนุญาต ป.12 แต่ประชาชนยังสามารถ ครอบครองอาวุธปืนไว้ที่บ้าน หรือที่ทำงานได้ โดยมีใบอนุญาต ป.4 (ใบอนุญาตครอบครองปืน) ซึ่งยังคงมีผลบังคับใช้อยู่ 📌 นอกจากนี้ รัฐบาลแนะนำให้ใช้ มาตรการรักษาความปลอดภัยรูปแบบอื่นๆ เช่น - ติดตั้งกล้องวงจรปิด (CCTV) - ใช้ระบบรักษาความปลอดภัยอัตโนมัติ - จ้างเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ที่ได้รับใบอนุญาตถูกต้อง 📊 สถิติอาชญากรรม ที่เกี่ยวข้องกับอาวุธปืนในไทย 🔎 จากข้อมูลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พบว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (2563-2567) มีคดีอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับอาวุธปืน เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง 📌 คดีอาชญากรรม ที่เกี่ยวข้องกับอาวุธปืน - ฆาตกรรม เพิ่มขึ้น 12% - ปล้นทรัพย์โดยใช้อาวุธปืน เพิ่มขึ้น 18% - การยิงกันในที่สาธารณะ เพิ่มขึ้น 22% 📢 มาตรการนี้ เป็นความพยายามของรัฐบาล ในการลดจำนวนคดี ที่เกี่ยวข้องกับอาวุธปืน และทำให้สังคมไทย ปลอดภัยยิ่งขึ้น 🔚 มาตรการห้ามออกใบอนุญาต ป.12 เป็นก้าวสำคัญของการลดอาชญากรรม ✅ การห้ามออกใบอนุญาตพกพาปืน (ป.12) เป็นการควบคุมการพกพาอาวุธปืน ในที่สาธารณะ เพื่อป้องกันอาชญากรรม และสร้างความปลอดภัย ให้กับประชาชน ✅ ถึงแม้ว่าผู้ที่ต้องการพกปืน จะได้รับผลกระทบบ้าง แต่ยังสามารถครอบครองอาวุธปืนที่บ้าน หรือที่ทำงานได้ ภายใต้ใบอนุญาต ป.4 ✅ นี่เป็นเพียง มาตรการระยะสั้น 1 ปี แต่หากเห็นผลดี รัฐบาลอาจพิจารณาปรับปรุง กฎหมายเกี่ยวกับอาวุธปืนต่อไป ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 131508 ก.พ. 2568 🔗 #ควบคุมอาวุธปืน #ลดอาชญากรรม #งดป12 #ปืนในที่สาธารณะ #กฎหมายปืน #ความปลอดภัยสาธารณะ #รัฐบาลไทย #พกปืนต้องมีเหตุผล #มาตรการเข้ม #CrimePrevention
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 393 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีรายงานจาก Google ที่ระบุว่าอาชญากรรมไซเบอร์กำลังเพิ่มขึ้นและช่วยเพิ่มรายได้ให้กับประเทศที่ไม่เป็นมิตรต่อโลก เช่น รัสเซีย, จีน, อิหร่าน และเกาหลีเหนือ ตามรายงานของกลุ่ม Threat Intelligence ของ Google พบว่าการโจมตีทางไซเบอร์ในปี 2024 ส่วนใหญ่เกิดจากแรงจูงใจทางการเงินมากกว่าการโจมตีที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐ

    แม้ว่าภัยคุกคามทางความมั่นคงของชาติจะเป็นสิ่งที่ควรกังวล แต่การโจมตีใด ๆ ที่มุ่งเป้าหมายไปที่โครงสร้างพื้นฐานสำคัญสามารถส่งผลกระทบร้ายแรงต่อชีวิตของผู้คนได้ เช่น เมื่อแหล่งจ่ายไฟถูกปิดลง ชุมชนทั้งหมดจะตกอยู่ในความเสี่ยง ผลกระทบของอาชญากรรมไซเบอร์ไม่ได้หยุดที่การขโมยเงินหรือข้อมูลเท่านั้น แต่ยังทำลายความไว้วางใจของประชาชนและทำให้บริการที่สำคัญหยุดชะงัก

    ในการโจมตีทางไซเบอร์ในปีที่ผ่านมา เป้าหมายสำคัญคือองค์กรด้านสุขภาพ เนื่องจากข้อมูลที่เป็นความลับและสำคัญที่พวกเขาถือไว้ ทำให้ผู้โจมตีสามารถสร้างความเสียหายอย่างมากหากข้อมูลนี้ถูกขโมยและเผยแพร่บนเว็บไซต์ต่างๆ

    อีกหนึ่งเรื่องที่น่าสนใจคือ แต่ละประเทศที่ถูกระบุในรายงานนี้ เช่น เกาหลีเหนือ ซึ่งมีการโจมตีทางไซเบอร์ขนาดใหญ่เพื่อระดมทุนในการดำเนินการของรัฐ โดยการใช้งาน ransomware หรือ malware เป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างรายได้

    ผลกระทบที่เกิดจากการโจมตีทางไซเบอร์นี้ไม่ได้เพียงแค่ขโมยข้อมูลหรือเงินเท่านั้น แต่ยังทำให้บริการที่สำคัญหยุดชะงักและส่งผลกระทบต่อชีวิตของผู้คนอย่างมาก

    https://www.techradar.com/pro/security/cybercrime-is-helping-fund-rogue-nations-across-the-world-and-its-only-going-to-get-worse-google-warns
    มีรายงานจาก Google ที่ระบุว่าอาชญากรรมไซเบอร์กำลังเพิ่มขึ้นและช่วยเพิ่มรายได้ให้กับประเทศที่ไม่เป็นมิตรต่อโลก เช่น รัสเซีย, จีน, อิหร่าน และเกาหลีเหนือ ตามรายงานของกลุ่ม Threat Intelligence ของ Google พบว่าการโจมตีทางไซเบอร์ในปี 2024 ส่วนใหญ่เกิดจากแรงจูงใจทางการเงินมากกว่าการโจมตีที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐ แม้ว่าภัยคุกคามทางความมั่นคงของชาติจะเป็นสิ่งที่ควรกังวล แต่การโจมตีใด ๆ ที่มุ่งเป้าหมายไปที่โครงสร้างพื้นฐานสำคัญสามารถส่งผลกระทบร้ายแรงต่อชีวิตของผู้คนได้ เช่น เมื่อแหล่งจ่ายไฟถูกปิดลง ชุมชนทั้งหมดจะตกอยู่ในความเสี่ยง ผลกระทบของอาชญากรรมไซเบอร์ไม่ได้หยุดที่การขโมยเงินหรือข้อมูลเท่านั้น แต่ยังทำลายความไว้วางใจของประชาชนและทำให้บริการที่สำคัญหยุดชะงัก ในการโจมตีทางไซเบอร์ในปีที่ผ่านมา เป้าหมายสำคัญคือองค์กรด้านสุขภาพ เนื่องจากข้อมูลที่เป็นความลับและสำคัญที่พวกเขาถือไว้ ทำให้ผู้โจมตีสามารถสร้างความเสียหายอย่างมากหากข้อมูลนี้ถูกขโมยและเผยแพร่บนเว็บไซต์ต่างๆ อีกหนึ่งเรื่องที่น่าสนใจคือ แต่ละประเทศที่ถูกระบุในรายงานนี้ เช่น เกาหลีเหนือ ซึ่งมีการโจมตีทางไซเบอร์ขนาดใหญ่เพื่อระดมทุนในการดำเนินการของรัฐ โดยการใช้งาน ransomware หรือ malware เป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างรายได้ ผลกระทบที่เกิดจากการโจมตีทางไซเบอร์นี้ไม่ได้เพียงแค่ขโมยข้อมูลหรือเงินเท่านั้น แต่ยังทำให้บริการที่สำคัญหยุดชะงักและส่งผลกระทบต่อชีวิตของผู้คนอย่างมาก https://www.techradar.com/pro/security/cybercrime-is-helping-fund-rogue-nations-across-the-world-and-its-only-going-to-get-worse-google-warns
    WWW.TECHRADAR.COM
    Cybercrime is helping fund rogue nations across the world - and it's only going to get worse, Google warns
    Financial motivations much more prominent than national security threats, report warns
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 106 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไอซ์เตรียมบุกจับขนานใหญ่ในแอลเอ

    แอลเอ (สยามทาวน์ยูเอส) : แอลเอไทมส์ อ้าง “บันทึกรั่วไหล” ว่าไอซ์ จะออกปฏิบัติการกวาดจับครั้งใหญ่ในเมืองแอลเอ ภายในเดือนกุมภาพันธ์นี้

    เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2025 หนังสือพิมพ์ลอส แอนเจลิส ไทมส์ รายงานข่าว โดยอ้างข้อมูลจากบันทึกความเข้าใจ (memo) ซึ่งเป็นเอกสารภายในของไอซ์ หรือสำนักงานบังคับใช้กฎหมายอิมมิเกรชั่นและศุลกากร ที่รั่วไหลออกมาว่า ไอซ์ จะเป็นแกนนำของหน่วยงานรัฐบาลกลางหลายหน่วย ในปฏิบัติการจับกุมผู้อพยพครั้งใหญ่ โดยเน้นไปที่ผู้อยู่อย่างผิดกฎหมาย และผู้ที่อยู่ระหว่างการขั้นตอนเนรเทศ

    โดยหน่วยงานรักษากฎหมายของรัฐบาลกลาง ที่จะออกปฏิบัติการกับไอซ์ ในแอลเอ รวมถึง เอฟบีไอ สำนักงานแอลเอ และ ดีอีเอ สำนักงานแอลเอ เป็นต้น

    ข่าวบอกด้วยว่าข้อมูลจากเอกสารที่รั่วไหลออกมานี้ ไม่ได้ระบุว่าการจับกุมครั้งใหญ่จะมีเป้าหมายเฉพาะเจาะจงที่ผู้มีประวัติอาชญากรรม หรือเป็นการจับกุมตามหมายจับ เหมือนเช่นปฏิบัติการหลายๆ ครั้งที่ผ่านมา

    ต่อมา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงภายใน คริสตี้ โนม ได้ออกมาพูดถึงข้อมูลที่รั่วไหลออกมาจากองค์กรของรัฐบาลกลางครั้งนี้ โดยกล่าวหาว่ารั่วไหลออกมาจาก เอฟบีไอ สำนักงานแอลเอ เพื่อขัดขวางปฏิบัติการของไอซ์ อีกทั้งบอกว่าพฤติกรรมของหน่วยงานรัฐบาลกลางดังกล่าว คือการ คอรัปชั่น

    “เอฟบีไอ กำลังทุจริต” คริสตี้ โนม กล่าว และว่า “เราจะทำงานร่วมกับทุกเอเจนซี เพื่อยุติการรั่วไหลของข้อมูล และดำเนินคดีกับสายลับของดีฟเสตท (รัฐที่ปฏิเสธกฎหมายของรัฐบาลกลาง) เพื่อขยายกฎหมายออกไปให้เต็มที่ที่สุด”

    ไทมส์ บอกด้วยว่า ลอส แอนเจลิส เคาน์ตี้ มีประชากรกลุ่มผู้อพยพที่ยังไม่มีเอกสารแสดงตัวมากกว่า 800,000 คน

    ทั้งนี้ ไอซ์ ได้ออกปฏิบัติการจับกุมผู้อยู่อย่างผิดกฎหมายในเมืองที่ประกาศตัวเป็นเมืองหลบภัย (sanctuary cities) หลายเมือง เช่นลอส แอนเจลิส ชิคาโก้ แอทแลนต้า ฯลฯ แทบจะทันทีที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เข้าดำรงตำแหน่ง โดยปฏิบัติการในแอลเอ ที่ผ่านมานั้น สามารถจับกุมผู้อพยพที่เป็นอาชญากรได้หลายราย รวมถึงชาวเวเนซุเอล่า ซึ่งเป็นสมาชิกแก๊งข้ามชาติ (Tren de Aragua) หรือชาวแม็กซิกัน ที่มีคดีอนาจารเด็ก ด้วย

    โดยปฏิบัติการในแอลเอ ตั้งแต่เดือนที่ผ่านมานั้น ไอซ์ ได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานของรัฐบาลกลางที่มีสำนักงานในพื้นที่ เช่น ดีอีเอ หรือสำนักงานปราบปรามยาเสพติด และ เอทีเอฟ หรือสำนักงานดูแลอัลกอฮอล์ ยาสูบและอาวุธปืน เป็นต้น.
    ไอซ์เตรียมบุกจับขนานใหญ่ในแอลเอ แอลเอ (สยามทาวน์ยูเอส) : แอลเอไทมส์ อ้าง “บันทึกรั่วไหล” ว่าไอซ์ จะออกปฏิบัติการกวาดจับครั้งใหญ่ในเมืองแอลเอ ภายในเดือนกุมภาพันธ์นี้ เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2025 หนังสือพิมพ์ลอส แอนเจลิส ไทมส์ รายงานข่าว โดยอ้างข้อมูลจากบันทึกความเข้าใจ (memo) ซึ่งเป็นเอกสารภายในของไอซ์ หรือสำนักงานบังคับใช้กฎหมายอิมมิเกรชั่นและศุลกากร ที่รั่วไหลออกมาว่า ไอซ์ จะเป็นแกนนำของหน่วยงานรัฐบาลกลางหลายหน่วย ในปฏิบัติการจับกุมผู้อพยพครั้งใหญ่ โดยเน้นไปที่ผู้อยู่อย่างผิดกฎหมาย และผู้ที่อยู่ระหว่างการขั้นตอนเนรเทศ โดยหน่วยงานรักษากฎหมายของรัฐบาลกลาง ที่จะออกปฏิบัติการกับไอซ์ ในแอลเอ รวมถึง เอฟบีไอ สำนักงานแอลเอ และ ดีอีเอ สำนักงานแอลเอ เป็นต้น ข่าวบอกด้วยว่าข้อมูลจากเอกสารที่รั่วไหลออกมานี้ ไม่ได้ระบุว่าการจับกุมครั้งใหญ่จะมีเป้าหมายเฉพาะเจาะจงที่ผู้มีประวัติอาชญากรรม หรือเป็นการจับกุมตามหมายจับ เหมือนเช่นปฏิบัติการหลายๆ ครั้งที่ผ่านมา ต่อมา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงภายใน คริสตี้ โนม ได้ออกมาพูดถึงข้อมูลที่รั่วไหลออกมาจากองค์กรของรัฐบาลกลางครั้งนี้ โดยกล่าวหาว่ารั่วไหลออกมาจาก เอฟบีไอ สำนักงานแอลเอ เพื่อขัดขวางปฏิบัติการของไอซ์ อีกทั้งบอกว่าพฤติกรรมของหน่วยงานรัฐบาลกลางดังกล่าว คือการ คอรัปชั่น “เอฟบีไอ กำลังทุจริต” คริสตี้ โนม กล่าว และว่า “เราจะทำงานร่วมกับทุกเอเจนซี เพื่อยุติการรั่วไหลของข้อมูล และดำเนินคดีกับสายลับของดีฟเสตท (รัฐที่ปฏิเสธกฎหมายของรัฐบาลกลาง) เพื่อขยายกฎหมายออกไปให้เต็มที่ที่สุด” ไทมส์ บอกด้วยว่า ลอส แอนเจลิส เคาน์ตี้ มีประชากรกลุ่มผู้อพยพที่ยังไม่มีเอกสารแสดงตัวมากกว่า 800,000 คน ทั้งนี้ ไอซ์ ได้ออกปฏิบัติการจับกุมผู้อยู่อย่างผิดกฎหมายในเมืองที่ประกาศตัวเป็นเมืองหลบภัย (sanctuary cities) หลายเมือง เช่นลอส แอนเจลิส ชิคาโก้ แอทแลนต้า ฯลฯ แทบจะทันทีที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เข้าดำรงตำแหน่ง โดยปฏิบัติการในแอลเอ ที่ผ่านมานั้น สามารถจับกุมผู้อพยพที่เป็นอาชญากรได้หลายราย รวมถึงชาวเวเนซุเอล่า ซึ่งเป็นสมาชิกแก๊งข้ามชาติ (Tren de Aragua) หรือชาวแม็กซิกัน ที่มีคดีอนาจารเด็ก ด้วย โดยปฏิบัติการในแอลเอ ตั้งแต่เดือนที่ผ่านมานั้น ไอซ์ ได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานของรัฐบาลกลางที่มีสำนักงานในพื้นที่ เช่น ดีอีเอ หรือสำนักงานปราบปรามยาเสพติด และ เอทีเอฟ หรือสำนักงานดูแลอัลกอฮอล์ ยาสูบและอาวุธปืน เป็นต้น.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 137 มุมมอง 0 รีวิว
  • เผยยังมีเหยื่อชาวต่างชาติตกค้างเมียวดี ใต้เงาขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ-แก๊งคอลเซ็นเตอร์ สแกมเมอร์-พนันออนไลน์ ฯลฯ อีกเพียบ การข่าวชี้เฉพาะจีนมีเป็นหมื่น-ชาติอื่นรวมไม่ต่ำกว่า 5,000 คน ผบ.ฉก.ราชมนู เชื่อมาตรการรัฐบาลไทยตัดไฟ-ตัดเน็ต-งดส่งออกน้ำมัน ได้ผล บริษัทเล็กย้ายหนี-รายใหญ่เริ่มโละคน

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000014239

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    เผยยังมีเหยื่อชาวต่างชาติตกค้างเมียวดี ใต้เงาขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ-แก๊งคอลเซ็นเตอร์ สแกมเมอร์-พนันออนไลน์ ฯลฯ อีกเพียบ การข่าวชี้เฉพาะจีนมีเป็นหมื่น-ชาติอื่นรวมไม่ต่ำกว่า 5,000 คน ผบ.ฉก.ราชมนู เชื่อมาตรการรัฐบาลไทยตัดไฟ-ตัดเน็ต-งดส่งออกน้ำมัน ได้ผล บริษัทเล็กย้ายหนี-รายใหญ่เริ่มโละคน อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000014239 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Haha
    12
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 822 มุมมอง 0 รีวิว
  • กรณีศาลอาญากรุงเทพใต้มีคำพิพากษายกฟ้อง "ตู้ห่าว" กับอดีตเมียนายตำรวจหญิง พร้อมพวกรวม 19 คนทุกข้อกล่าวหาทั้งองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ยาเสพติด และฟอกเงิน ต้องปล่อยตัวออกจากเรือนจำทันที หลังถูกตำรวจนครบาลจับกุมดำเนินคดีข้อหาเปิดผับ "จินหลิง" ย่านสาทร ให้ลูกค้าต่างชาติส่วนใหญ่เป็นชาวจีนเข้าไปมั่วยาเสพติด ส่วนลูกน้อง 6 คนโดนลงโทษข้อหายาเสพติด ติดคุกระหว่าง 21 ปี 4 เดือน ถึง 28 ปี 12 เดือน ปรับคนละ 1,706,666 ถึง 2,600,000 บาท

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000014185

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    กรณีศาลอาญากรุงเทพใต้มีคำพิพากษายกฟ้อง "ตู้ห่าว" กับอดีตเมียนายตำรวจหญิง พร้อมพวกรวม 19 คนทุกข้อกล่าวหาทั้งองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ยาเสพติด และฟอกเงิน ต้องปล่อยตัวออกจากเรือนจำทันที หลังถูกตำรวจนครบาลจับกุมดำเนินคดีข้อหาเปิดผับ "จินหลิง" ย่านสาทร ให้ลูกค้าต่างชาติส่วนใหญ่เป็นชาวจีนเข้าไปมั่วยาเสพติด ส่วนลูกน้อง 6 คนโดนลงโทษข้อหายาเสพติด ติดคุกระหว่าง 21 ปี 4 เดือน ถึง 28 ปี 12 เดือน ปรับคนละ 1,706,666 ถึง 2,600,000 บาท อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000014185 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Haha
    Angry
    Like
    Love
    Sad
    9
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 709 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีการจับกุมบุคคลสัญชาติรัสเซีย 4 คนที่ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนร่วมในการใช้งาน Phobos ransomware เพื่อรีดไถเงินจากผู้คนในยุโรปและที่อื่น ๆ การดำเนินการนี้เป็นความร่วมมือระหว่างหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายจาก 14 ประเทศ ทำให้สามารถจับกุมบุคคลเหล่านี้และนำเซิร์ฟเวอร์ 27 เครื่องที่เชื่อมโยงกับเครือข่ายอาชญากรรมนี้ลงได้

    Phobos ransomware มักถูกใช้โจมตีธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง ซึ่งอาจมีระบบรักษาความปลอดภัยที่ไม่เพียงพอ การจับกุมนี้ช่วยให้สามารถแจ้งเตือนบริษัทมากกว่า 400 แห่งทั่วโลกเกี่ยวกับการโจมตี ransomware ที่กำลังจะเกิดขึ้นหรือกำลังดำเนินอยู่

    หนึ่งในบุคคลสำคัญของ Phobos ถูกจับกุมในเกาหลีใต้ในเดือนมิถุนายน 2024 และถูกส่งตัวไปยังสหรัฐฯ ในเดือนพฤศจิกายน เพื่อดำเนินคดีเกี่ยวกับการโจมตี ransomware ที่เข้ารหัสข้อมูลในโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ ระบบธุรกิจ และข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อเรียกร้องค่าไถ่ อีกทั้งยังมีการจับกุมบุคคลสำคัญของ Phobos ในอิตาลีในปี 2023 ซึ่งทำให้เครือข่ายนี้อ่อนแอลงมากขึ้น

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/02/11/four-russians-arrested-in-phobos-ransomware-crackdown-europol-says
    มีการจับกุมบุคคลสัญชาติรัสเซีย 4 คนที่ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนร่วมในการใช้งาน Phobos ransomware เพื่อรีดไถเงินจากผู้คนในยุโรปและที่อื่น ๆ การดำเนินการนี้เป็นความร่วมมือระหว่างหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายจาก 14 ประเทศ ทำให้สามารถจับกุมบุคคลเหล่านี้และนำเซิร์ฟเวอร์ 27 เครื่องที่เชื่อมโยงกับเครือข่ายอาชญากรรมนี้ลงได้ Phobos ransomware มักถูกใช้โจมตีธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง ซึ่งอาจมีระบบรักษาความปลอดภัยที่ไม่เพียงพอ การจับกุมนี้ช่วยให้สามารถแจ้งเตือนบริษัทมากกว่า 400 แห่งทั่วโลกเกี่ยวกับการโจมตี ransomware ที่กำลังจะเกิดขึ้นหรือกำลังดำเนินอยู่ หนึ่งในบุคคลสำคัญของ Phobos ถูกจับกุมในเกาหลีใต้ในเดือนมิถุนายน 2024 และถูกส่งตัวไปยังสหรัฐฯ ในเดือนพฤศจิกายน เพื่อดำเนินคดีเกี่ยวกับการโจมตี ransomware ที่เข้ารหัสข้อมูลในโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ ระบบธุรกิจ และข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อเรียกร้องค่าไถ่ อีกทั้งยังมีการจับกุมบุคคลสำคัญของ Phobos ในอิตาลีในปี 2023 ซึ่งทำให้เครือข่ายนี้อ่อนแอลงมากขึ้น https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/02/11/four-russians-arrested-in-phobos-ransomware-crackdown-europol-says
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Four Russians arrested in Phobos ransomware crackdown, Europol says
    PARIS (Reuters) - Four Russian nationals, who were suspected of deploying a variant of Phobos ransomware to extort payments from people in Europe and beyond, were arrested last week, the pan-European police agency Europol said on Tuesday.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 73 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts