• ตำรวจเมืองปากน้ำโพขอศาลออกหมายจับล่าแล้ว.. “ต้นกล้า” แก๊งเก๋งแดง-กระบะ ซิ่งแข่งท้านรกชน “ครูแม็ก” ครูเกษียณอายุ 82 ร่างขาดเสียชีวิตขณะยืนรอใส่บาตรหน้าบ้าน เผย ตร.พบยาเสพติดในรถด้วย ส่วนคู่หูถูกส่งฝากขัง-ค้านประกันด้วย

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000035099

    #News1live #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    ตำรวจเมืองปากน้ำโพขอศาลออกหมายจับล่าแล้ว.. “ต้นกล้า” แก๊งเก๋งแดง-กระบะ ซิ่งแข่งท้านรกชน “ครูแม็ก” ครูเกษียณอายุ 82 ร่างขาดเสียชีวิตขณะยืนรอใส่บาตรหน้าบ้าน เผย ตร.พบยาเสพติดในรถด้วย ส่วนคู่หูถูกส่งฝากขัง-ค้านประกันด้วย อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000035099 #News1live #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Sad
    2
    0 Comments 0 Shares 734 Views 0 Reviews
  • 24 ปี ประหารชีวิต ‘สมคิด นามแก้ว’ นักโทษคดียาบ้าคนแรก ที่ถูกประหาร ด้วยการยิงเป้า” เสียงครวญสะท้านใจ “เงินห้าหมื่นแลกกับชีวิต มันไม่คุ้มเลย” แง่คิดที่เตือนให้รู้คุณค่าของชีวิต

    “สมคิด นามแก้ว” นักโทษคดียาบ้า คนแรกในประวัติศาสตร์ไทย ที่ถูกประหารชีวิตเมื่อ 24 ปี ที่ผ่านไป ภายใต้บรรยากาศอันน่าสะเทือนใจ ของการเปลี่ยนแปลงสังคม การปราบปรามยาเสพติด ชีวิตมีค่ามากกว่าเงินทอง และความจำเป็นในการต่อต้านอาชญากรรมยาเสพติด อย่างเด็ดขาด

    ในโลกที่ความมีค่าแห่งชีวิต ศีลธรรม ถูกท้าทายด้วยความโลภ และความอยากรวย เรื่องราวของ “สมคิด นามแก้ว” นักโทษคดียาบ้าคนแรกของประเทศไทย ที่ถูกประหารชีวิตเมื่อ 24 ปี ที่ผ่านมานั้น ยังคงสะเทือนใจคนไทยทุกวันนี้ 😢

    ย้อนไปเมื่อ 24 ปี ที่ผ่านมา ในบ่ายวันพุธที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2544 ที่แดนประหาร เรือนจำกลางบางขวาง เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้คนไทยทั้งประเทศ ต้องจ้องมองและตั้งคำถาม ถึงความหมายของความถูกต้อง และความยุติธรรมในสังคม อย่างลึกซึ้ง

    ยาบ้าและปัญหาอาชญากรรม ยาเสพติดทุกชนิด ต่างก็เป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบในทุกชั้นสังคม แต่ยาบ้าในสมัยนั้นเป็นหนึ่งในเหตุผลหลักที่ทำให้เกิดอาชญากรรมร้ายแรง ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมพฤติกรรมที่คลุ้มคลั่ง และทำให้ผู้เสพมีพฤติกรรมที่เป็นอันตรายต่อตัวเองและสังคมทั่วไป

    นายสมคิด นามแก้ว ได้ถูกจับในคดีมียาเสพติด โดยมีหลักฐานแน่ชัดว่า ต้องขนส่งยาบ้าปริมาณมหาศาล ซึ่งสืบเนื่องมาจากการสืบสวน ที่เชื่อมโยงระหว่างเครือข่ายค้ายาเสพติด ทั้งในประเทศและในต่างประเทศ และในขณะที่ระบบการปราบปรามยาเสพติด เริ่มเข้มงวดขึ้น เพื่อยับยั้งอาชญากรรม และป้องกันไม่ให้เกิดปัญหายาบ้าในสังคม 👮‍♂️

    ประเทศไทยมีกฎหมายที่เข้มงวด เกี่ยวกับคดียาเสพติด โดยหลักฐานและการรับสารภาพ มักนำไปสู่โทษที่ร้ายแรงที่สุดในบางกรณี โดยเฉพาะในคดียาบ้า ที่มักจะมีมาตรการประหารชีวิต สำหรับผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยมีจุดประสงค์ เพื่อเป็นการส่งสัญญาณเตือน ให้กับผู้ที่คิดจะเข้ามามีส่วนร่วมกับการค้า และเสพติดยาเสพติด

    ในคดีของสมคิด ศาลชั้นต้นเห็นว่า ความผิดไม่ได้เกิดจาก ความประมาทเลินเล่อเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการกระทำ ที่บ่อนทำลายความสงบเรียบร้อยของสังคม และเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่า การกระทำความผิดในฐานะที่เป็น “นักโทษคดียาบ้า” นั้น จะต้องได้รับโทษในระดับสูงสุด ซึ่งก็คือการประหารชีวิต ตามที่ได้เกิดขึ้นจริงในวันนั้น

    ในช่วงเวลานั้น ยาบ้าเป็นที่แพร่หลายในสังคมในทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นชั้นคนทำงานข้างนอก หรือแม้แต่ในวงการขบวนการอาชญากรรมขนาดใหญ่ ความอุดมสมบูรณ์ของเครือข่ายค้ายาเสพติด ทำให้การปราบปรามเป็นเรื่องท้าทาย และต้องใช้ความพยายามอย่างมาก จากเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ยังทำให้เกิดความรู้สึกสับสนในสังคม ที่มองเห็นภาพของความยุติธรรม ที่อาจไม่ชัดเจนในบางครั้ง

    เหตุการณ์ของคดีนี้ เริ่มต้นในกลางดึกวันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2540 เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับข้อมูล เกี่ยวกับการลำเลียงยาบ้าปริมาณมาก จากพื้นที่ชายแดนจังหวัดเชียงราย เข้าสู่กรุงเทพฯ โดยใช้เส้นทางผ่านทางหลวงหมายเลข 103

    เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวง กองบังคับการทางหลวง 5 จังหวัดพะเยา ได้ตั้งด่านสกัด ที่ตู้ยามตำรวจทางหลวงร้องกวาง ตำบลร้องเข็ม อำเภอร้องกวาง จังหวัดแพร่ ตามข้อมูลที่ได้รับ และมีรถเก๋งโตโยต้า โคโรน่าสีน้ำตาล ทะเบียน 3ว-8505 กทม. วิ่งเข้ามาที่จุดสกัด เมื่อเจ้าหน้าที่สั่งให้รถหยุด เพื่อทำการตรวจค้น

    ในขณะตรวจค้น นายสมคิด ซึ่งในตอนนั้นอายุ 31 ปี พักอาศัยอยู่ที่หมู่ที่ 10 ตำบลแม่สาย อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ได้แสดงออกถึงพิรุธ ด้วยการกล่าวว่า “ในรถไม่มีสิ่งผิดกฎหมาย” และยังกล่าวเพิ่มเติมว่า “ตนเองเกลียดยาบ้ามากที่สุด” แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทำการค้นอย่างละเอียด พบยาบ้าบรรจุในห่อพลาสติก ซุกซ่อนอยู่ตามที่ต่าง ๆ ในรถ ทั้งที่ประตูรถและใต้เบาะนั่ง พบว่ามียาบ้าปริมาณถึง 203 ห่อ ๆ ละ 2,000 เม็ด รวมเป็นจำนวน 406,000 เม็ด ซึ่งมีสีสันปรากฏเป็นสีส้มและเขียว ประทับตัวอักษรว่า “wy” โดยมูลค่าประมาณ 40 ล้านบาท จึงติดสินบนตำรวจ 5 ล้านบาท แต่ตำรวจไม่เล่นด้วย🚔

    หลังจากจับกุม ในขั้นตอนการสอบสวน นายสมคิดได้ให้การรับสารภาพว่า ได้รับจ้างขนยาบ้าจากพ่อค้ายาเสพติด ด้วยค่าจ้าง 50,000 บาท เพื่อนำส่งให้ลูกค้าที่ปั๊มน้ำมัน ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา

    เหตุการณ์ที่น่าสลดใจนี้ เผยให้เห็นว่า แม้จะมีกำไรในทางการค้ายาเสพติด แต่ในความเป็นจริงแล้ว “เงินห้าหมื่นแลกกับชีวิต” นั้นไม่คุ้มค่าเลย เพราะชีวิตที่ถูกประหารนั้น เป็นชีวิตที่จบลงไปในพริบตา ไม่มีวันได้กลับคืน หรือแก้ไขได้หลังจากนั้น

    นายสมคิดถูกส่งเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดี ในศาลอาญากรุงเทพใต้ โดยในชั้นต้นศาลเห็นว่า แม้จะมีการรับสารภาพ แต่การกระทำของนายสมคิดนั้นทำให้เกิดผลกระทบที่ร้ายแรง ต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม จึงได้พิพากษาให้ลงโทษในระดับสูงสุด นั่นคือโทษประหารชีวิต

    หลังจากคำพิพากษาของศาลชั้นต้น นายสมคิดได้ดำเนินการอุทธรณ์ ต่อศาลอุทธรณ์และศาลฎีกา พร้อมทั้งได้ยื่นหนังสือถวายฎีกา ทูลเกล้าขอพระราชทานอภัยโทษ ในวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2543

    นายสมคิดได้ให้เหตุผลว่า “ตนมีการรับสารภาพมาตั้งแต่แรก และไม่เคยกระทำความผิดมาก่อน” รวมทั้งระบุว่า ตนได้กระทำเ พราะต้องการหาเงินมารักษาพยาบาลพี่สาว ที่ป่วยเป็นโรคสมองฝ่อ เนื่องจากฐานะทางการเงินที่ยากจน แต่ข้ออ้างเหล่านี้ถู กศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาปฏิเสธ โดยให้ความสำคัญกับความมั่นคงของประเทศชาติ และความสงบเรียบร้อยของสังคม โดยกล่าวว่าเรื่องส่วนตัว ไม่สามารถเปรียบเทียบ กับประโยชน์ส่วนรวมของสังคมได้

    ในกระบวนการพิจารณา ศาลได้พิจารณาหลักฐาน และพฤติกรรมของนายสมคิด ที่ชัดเจนว่าเป็นผู้รับจ้างขนยาบ้า ซึ่งเกี่ยวข้องกับการค้า และการค้ายาเสพติด ที่สร้างความไม่สงบเรียบร้อยในสังคม การที่นายสมคิดพยายามให้สินบนเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็เป็นอีกหนึ่งประเด็น ที่เน้นย้ำถึงความจริงที่ว่า ระบบค้ายาเสพติด มีการแทรกซึมลึกในสังคม

    ศาลอุทธรณ์จึงตัดสินยืน ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น และเมื่อเรื่องนั้นถูกส่งต่อมายังศาลฎีกา คำพิพากษาก็ยังคงยืนหยัด นำมาซึ่งวันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2544 เป็นวันที่ประหารชีวิตเกิดขึ้นจริง

    วันประหารชีวิตของนายสมคิด นามแก้ว ถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่เกิดความสลดใจ และสะเทือนใจคนไทยอย่างแท้จริง โดยรายละเอียดในวันนั้นถูกบันทึกไว้ในหลาย ๆ ช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นบันทึกของเจ้าหน้าที่ หรือรายงานของนักข่าว ภาพความทุกข์ และความหวาดกลัวของนักโทษที่ต้องรอประหาร ได้สะท้อนให้เห็นถึงความหนักแน่น ในการปราบปรามยาเสพติดในสมัยนั้น

    ในช่วงบ่ายของวันประหาร ผู้คุมและเจ้าหน้าที่ต่างเข้ามาจัดเตรียมสิ่งของ ที่จำเป็นสำหรับการประหารชีวิต ทั้งนี้เพื่อให้ขั้นตอนทั้งหมด เป็นไปอย่างราบรื่นและเป็นความลับ เมื่อถึงเวลาที่นายสมคิด ถูกเบิกตัวออกจากห้องคุม ทุกอย่างดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความเงียบสงัด และบรรยากาศที่หนักอึ้ง

    นายสมคิดในวันนั้น แสดงอาการที่ชัดเจนว่า รู้สึกกลัวและทุกข์ทรมาน ทั้งทางร่างกายที่เริ่มอ่อนแรง และจิตใจที่สั่นคลอน ถึงแม้ว่าในช่วงท้ายของการเดิน จากห้องคุมไปสู่หลักประหาร นายสมคิดยังคงตั้งคำถามกับเจ้าหน้าที่ เกี่ยวกับความรู้สึกและความคิดของตนเอง “ผมเป็นคนแรกที่ถูกประหาร เพราะคดียาบ้าใช่ไหมครับ” และยังได้เตือนผู้อื่น เกี่ยวกับการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ที่อาจนำมาซึ่งความทุกข์ และความเสียหายต่อชีวิต 😔

    ระหว่างทาง ในขณะที่นายสมคิดถูกนำไปประหาร มีการสนทนาที่บ่งบอกถึงความทรงจำ และความเจ็บปวดภายในจิตใจของเขา รวมถึงการแฉข้อเท็จจริงของเครือข่ายค้ายาเสพติด ที่เกี่ยวข้องกับนักการเมืองในระดับท้องถิ่น “ถ้าจะปราบยาเสพติดให้หมดไปจริงๆ ก็ต้องเอาคนที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ในทุกระดับออกไป” นายสมคิดกล่าว ในช่วงเวลาที่อารมณ์ผ่อนคลายลงเล็กน้อย แต่ก็เต็มไปด้วยความจริงใจ และความรู้สึกที่อยากจะบอกต่อสังคม

    ผู้คุมในวันนั้น ได้พยายามปลอบใจนายสมคิดว่า “อย่างน้อยสมคิดยังได้ทำตัวเป็นประโยชน์ต่อสังคม เป็นครั้งสุดท้าย” แม้ว่าจะมองในแง่ของการเป็นบทเตือน สำหรับผู้ที่คิดจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด แต่คำพูดเหล่านี้ ก็สะท้อนให้เห็นถึงความขัดแย้งของจิตใจ ระหว่างความรับผิดชอบต่อหน้าที่ และความเห็นอกเห็นใจในความทุกข์ของมนุษย์

    ในห้องประหาร ที่จัดเตรียมขึ้นอย่างเคร่งครัด นายสมคิดถูกนำเข้ามาในห้องที่แสงไฟสลัว ๆ และบรรยากาศเงียบสงัด ผู้คุมและเจ้าหน้าที่ ทำการเตรียมเครื่องมือ และตรวจสอบความพร้อมในทุกขั้นตอน ก่อนที่หัวหน้าชุดประหารจะโบกธงแดง เพื่อเริ่มกระบวนการประหาร

    ในช่วงเวลานั้น ผู้คุมและเจ้าหน้าที่ทุกคน ต่างมีความรู้สึกที่ผสมผสานระหว่างหน้าที่ และความสำนึกในความทุกข์ทรมานของนายสมคิด ขณะที่นายสมคิดเอง ก็ได้ใช้เวลาที่เหลืออยู่ ในการรำลึกถึงชีวิตที่ผ่านมา ทั้งความรัก ความฝัน และความผิดพลาด ที่ไม่อาจย้อนกลับได้อีกต่อไป

    คำบอกลาและพินัยกรรมของนายสมคิด เป็นสัญลักษณ์ที่สื่อถึงข้อคิดที่ว่า “ชีวิตมนุษย์มีค่า เกินกว่าจะถูกแลกด้วยเงินเพียงเพราะความจน หรือความสิ้นหวัง” เขาได้ฝากท้ายจดหมายถึงญาติพี่น้องว่า “อย่าได้ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดอย่างเด็ดขาด” ซึ่งเป็นคำเตือนที่หวังว่า จะช่วยป้องกันไม่ให้คนอื่น เดินตามรอยเท้าของเขาในอนาคต

    แม้คดีของนายสมคิด นามแก้ว จะเกิดขึ้นเมื่อกว่า 24 ปี ที่ผ่านมา แต่ผลกระทบ และบทเรียนที่ได้รับจากเหตุการณ์นี้ ยังคงสะท้อนอยู่ในสังคมไทยในหลายมิติ ทั้งในแง่ของการปราบปรามยาเสพติด และการตระหนักถึงคุณค่าของชีวิตมนุษย์

    คดีนี้เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญให้กับนโยบาย และวิธีการปราบปรามยาเสพติดในประเทศไทย เจ้าหน้าที่ตำรวจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้รับบทเรียนอันทรงคุณค่าจากการจับกุม และการดำเนินคดีที่เป็นแบบอย่าง แม้ว่าจะมีความท้าทาย จากเครือข่ายอาชญากรรมที่ซับซ้อน แต่การดำเนินการที่เข้มแข็ง และเด็ดขาดในคดีนี้ ได้ส่งสัญญาณชัดเจนว่า ไม่มีทางที่ผู้กระทำผิด จะหลุดพ้นไปจากกฎหมาย

    นอกจากนี้ ความเข้มงวดในการลงโทษสูงสุด อย่างการประหารชีวิต ได้เป็นเครื่องมือทางจิตวิทยา ที่ทำให้ผู้ค้ายาเสพติดต้องคิดทบทวนถึงความเสี่ยง และผลที่ตามมา หากตัดสินใจเข้าสู่เส้นทางอาชญากรรมดังกล่าว

    หนึ่งในแง่คิดที่ทรงพลัง จากเหตุการณ์ของนายสมคิด คือ “ชีวิตมนุษย์มีค่าเกินกว่าจะแลกด้วยเงิน” เมื่อพิจารณาจากเหตุการณ์ นายสมคิดได้รับเงินค่าจ้างเ 50,000 บาท เพื่อการขนส่งยาบ้า แต่ท้ายที่สุดค่าใช้จ่ายนั้น กลับสูงกว่ามาก เมื่อชีวิตของเขา ถูกสังหารไปในพริบตา

    เหตุการณ์ครั้งนี้เตือนใจให้กับทุกคนว่า ไม่ว่าเราจะเผชิญกับความยากจน หรือความท้าทายใด ๆ ในชีวิต การก้าวเข้าสู่เส้นทางผิดกฎหมาย ด้วยเงินทองเพียงไม่กี่บาทนั้น ไม่สามารถชดเชยค่าของชีวิต และความมีคุณค่าที่แท้จริงได้

    ในมุมมองของสังคม สิ่งนี้ยังเป็นการเผยให้เห็นถึง ความจำเป็นในการสร้างความเปลี่ยนแปลง ในระบบเศรษฐกิจ และสวัสดิการสังคม เพื่อให้คนไทยทุกคน มีโอกาสได้รับความช่วยเหลือ และการสนับสนุนที่เหมาะสม โดยไม่จำเป็นต้องเสี่ยงชีวิต หรือกระทำความผิดเพื่อความอยู่รอด

    นอกจากความเสียหาย ที่เกิดกับตัวนายสมคิดแล้ว คดีนี้ยังส่งผลกระทบต่อครอบครัว และญาติพี่น้องของเขาอีกด้วย ภาพของคนในบ้าน ที่ต้องสูญเสียสมาชิกอันมีค่าไป จากการกระทำที่นำไปสู่การประหารชีวิต สะท้อนให้เห็นถึงความสูญเสีย ทั้งทางด้านอารมณ์ และชื่อเสียงในสังคม

    การที่คนรอบข้าง ต้องเผชิญกับความสลด จากการสูญเสียสมาชิกในครอบครัวนั้น ทำให้เราได้ตระหนักถึงความสำคัญ ของการมีคุณค่าชีวิต และความจำเป็นในการสนับสนุน และช่วยเหลือกันในสังคม ไม่ว่าจะเป็นผ่านนโยบายสังคมที่เข้มแข็ง หรือการให้ความรู้แก่ประชาชน เกี่ยวกับผลกระทบของยาเสพติด

    ในหลายช่วงของเรื่องราวนี้ อารมณ์และความรู้สึก ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างละเอียด ทั้งความกลัว ความเสียใจ และความหวาดกลัวของนายสมคิด ในนาทีสุดท้าย และความเหงาเศร้าใจของผู้คุมและเจ้าหน้าที่ ที่ต้องเผชิญกับการปฏิบัติหน้าที่หนักอึ้ง เหล่านี้เป็นสิ่งที่ทำให้เราต้องหันมาสำรวจ และตั้งคำถามว่า “เราจะทำอะไร เพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้ เกิดขึ้นอีก?”

    สังคมไทยในปัจจุบัน ยังคงต้องรับมือกับปัญหายาบ้า และปัญหาอาชญากรรมในรูปแบบต่าง ๆ จึงจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องมีมาตรการส่งเสริมคุณค่าชีวิต การให้คำปรึกษาด้านจิตใจ และโอกาสในการเปลี่ยนแปลงชีวิต ให้กับผู้ที่ตกอยู่ในวงจรอาชญากรรมเหล่านั้น โดยที่ไม่ใช่แค่การลงโทษเท่านั้น แต่ยังเป็นการแก้ไขปัญหาตั้งแต่ต้น

    เหตุการณ์ของนายสมคิด นามแก้ว ได้เปิดเผยประเด็นสำคัญทางจริยธรรม ที่สังคมไทยต้องเผชิญ โดยเฉพาะในแง่ของการให้คุณค่ากับชีวิตมนุษย์ และการตัดสินใจที่มีผลตามมาตลอดชีพ

    ในสังคมที่ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ยังคงมีอยู่ ความจนหรือความจำเป็นบางครั้ง ถูกใช้เป็นข้ออ้างในการกระทำผิด แต่เหตุการณ์ของนายสมคิด สอนเราให้เห็นว่า การกระทำผิดไม่สามารถแก้ปัญหาความยากจนได้ แม้จะมีเหตุผลส่วนตัว ที่น่าสงสารเพียงใดก็ตาม

    “เงินห้าหมื่นแลกกับชีวิต” เป็นวาทะที่ชัดเจนที่เตือนใจว่า ค่าใช้จ่ายในชีวิตนั้น สูงเกินกว่าที่จะวัดด้วยเงินทอง ใครที่ตกอยู่ในภาวะยากจน ควรได้รับความช่วยเหลือจากสังคม มากกว่าที่จะถูกผลัก ให้เข้าสู่เส้นทางที่ไร้ทางออก

    การลงโทษประหารชีวิตในคดียาเสพติด อาจดูเหมือนเป็นการลงโทษที่รุนแรง แต่ในมุมมองของสังคมไทยในขณะนั้นแล้ว ถือเป็นการส่งสัญญาณเตือนภัยอย่างชัดเจน เพื่อป้องกันไม่ให้เครือข่ายค้ายาเสพติด เติบโตและแพร่กระจาย

    อย่างไรก็ตาม ในขณะเดียวกัน ก็มีความถกเถียงกันในหลายมุมมอง เกี่ยวกับความถูกต้องของการลงโทษสูงสุดนี้ ว่าจะสามารถช่วยลดอาชญากรรมในระยะยาว ได้จริงหรือไม่ แต่ข้อเท็จจริงที่เห็นจากคดีของนายสมคิดคือ การลงโทษอย่างเด็ดขาดนั้น เป็นการยืนยันถึงความเข้มงวด ของระบบยุติธรรมในยุคนั้น

    หากเรามองในแง่ของการป้องกัน การลงโทษที่รุนแรง ไม่สามารถแก้ปัญหาที่ต้นเหตุของการกระทำผิด ได้ในระยะยาว สังคมจำเป็นต้องหันมาสนับสนุนการศึกษา สวัสดิการ และระบบช่วยเหลือผู้ที่ตกอยู่ในภาวะเสียเปรียบ

    ในบทเรียนจากคดีนี้ เราได้รู้ว่าการแก้ไขปัญหาความยากจน และปัญหาสังคมในมิติ ที่ลึกกว่าเพียงการลงโทษนั้น สำคัญมาก การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยให้ทุกคน มีโอกาสทางการศึกษา และการพัฒนาตนเอง อาจเป็นกุญแจสำคัญ ในการป้องกันไม่ให้เกิดคดี ที่คล้ายคลึงกันในอนาคต

    เมื่อมองย้อนกลับไปในอดีต 24 ปีที่ผ่านมา คดีของนายสมคิด นามแก้ว ยังคงเป็นเครื่องเตือนใจให้กับสังคมไทย ถึงความเปราะบางของชีวิตมนุษย์ และความรับผิดชอบ ที่เราต้องมีต่อกันในฐานะสมาชิกของสังคม

    แม้ว่าในนาทีสุดท้ายของชีวิต นายสมคิดจะต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมาน และความกลัวที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่คำพูดและการกระทำของเขา กลับเป็นบทเรียนอันทรงคุณค่า สำหรับคนไทยทุกคน “อย่าได้ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด” คือคำเตือนที่เกิดจากความเจ็บปวดส่วนตัว ที่สุดท้ายแล้ว กลับกลายเป็นเสียงเตือนถึงความผิดพลาด ที่อาจส่งผลให้ชีวิตของเรา และคนที่เรารักต้องจบลงในพริบตา

    การประหารชีวิตในคดีนี้ ทำให้เราได้ตระหนักว่า การเลือกทางเดินในชีวิตนั้น สำคัญมากกว่าเงินทอง หรือสิ่งของวัตถุใด ๆ เพราะเมื่อชีวิตถูกใช้ไปแล้ว เราจะไม่มีทางหวนคืนกลับมาได้อีก 😔

    สังคมไทยในปัจจุบัน ย่อมต้องหันมาสนับสนุนกัน เพื่อสร้างสภาพแวดล้อม ที่เอื้ออำนวยต่อการดำรงชีวิตที่มีคุณค่าแ ละถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นการให้ความรู้ เกี่ยวกับผลกระทบของยาเสพติด การสนับสนุนให้ผู้ที่ตกอยู่ในภาวะยากจน ได้รับความช่วยเหลืออย่างทั่วถึง รวมถึงการส่งเสริมค่านิยมในด้านความซื่อสัตย์ และความมีคุณธรรม

    ในมุมมองนี้ คดีของนายสมคิด ไม่ได้เป็นเพียงคดีของนักโทษ ที่ถูกประหารชีวิตเท่านั้น แต่ยังเป็นบทเรียนสำหรับทุกคน ที่ต้องคิดทบทวน ถึงความหมายที่แท้จริงของคำว่า “ชีวิตมีค่า” เมื่อชีวิตของเราถูกกีดกันด้วยความผิดพลาด ในเส้นทางที่ไม่ถูกต้อง ไม่มีสิ่งใดสามารถทดแทนความเสียหาย ที่เกิดขึ้นได้ในภายหลัง

    เพื่อป้องกันไม่ให้มีคดีที่คล้ายคลึงกัน เกิดขึ้นอีกในอนาคต จำเป็นต้องมีการสร้างระบบ ที่ช่วยเหลือผู้ที่ตกอยู่ในวงจรอาชญากรรม อย่างครบวงจร ตั้งแต่การศึกษาเรื่องผลกระทบของยาเสพติด การให้คำปรึกษาด้านจิตใจ ไปจนถึงการสนับสนุนด้านเศรษฐกิจ ให้กับกลุ่มคนที่อาจตกเป็นเหยื่อของความยากจน และการล่อลวงของเครือข่ายค้ายาเสพติด

    นอกจากนี้ การให้ความรู้ และสร้างจิตสำนึกในสังคมว่า “การแลกเปลี่ยนชีวิตมนุษย์เพื่อเงิน” นั้นไม่มีค่าเทียบเท่ากับความมีชีวิตอยู่ และความสมบูรณ์ของจิตใจ จะช่วยลดโอกาสให้คนเข้าสู่แนวทางที่ผิด และนำไปสู่การพัฒนาสังคมที่ดีขึ้น อย่างแท้จริง

    เรื่องราวของ “สมคิด นามแก้ว” ยังคงสะท้อนให้เห็นถึงความจริง ที่บางครั้งเราอาจมองข้ามไป ในแง่ของคุณค่าชีวิต และผลกระทบที่เกิดขึ้น จากการกระทำผิดกฎหมาย 🤔 ชีวิตที่ถูกแลกด้วยเงินเพียงเล็กน้อยนั้นไม่มีค่า เมื่อเทียบกับความรักและความสัมพันธ์ของคนรอบข้า งที่สูญเสียไปไปพร้อมกัน

    ทั้งนี้ คดีนี้เป็นบทเรียนอันทรงคุณค่า ที่สังคมไทยไม่ควรลืม และเป็นเครื่องเตือนใจว่า แม้จะอยู่ในสภาวะที่ยากลำบาก หรือมีความยากจน แต่ทางออกที่ถูกต้องคือ การมองหาแนวทางช่วยเหลือ และการพัฒนาชีวิตให้ดีกว่าเดิม ไม่ใช่การเลือกเส้นทาง ที่นำพามาซึ่งความผิดพลาด และจุดจบที่น่าเศร้า

    เหตุการณ์ประหารชีวิต “สมคิด นามแก้ว” ในคดีคดียาบ้าคนแรกของประเทศไทย ยังคงเป็นเครื่องเตือนใจอันทรงคุณค่าให้กับคนไทยในทุกยุคสมัย แม้จะผ่านไปนาน 24 ปี แต่บาดแผลจากเหตุการณ์ครั้งนี้ ยังคงปรากฏให้เห็นในแง่มุมของการต่อสู้กับยาเสพติด และการรักษาคุณค่าของชีวิตมนุษย์

    จากคดีนี้เราได้เรียนรู้ว่า "ชีวิตมีค่า" และไม่ควรนำมาแลกเปลี่ยนกับเงินทอง แม้เพียงเล็กน้อย เพราะผลที่ตามมาหลังจากนั้น คือความสูญเสีย ที่ไม่อาจชดเชยได้ทั้งในทางกายและจิตใจ

    สิ่งที่เราได้จากเรื่องราวของสมคิด คือการตระหนักในความสำคัญ ของการเลือกเส้นทางชีวิตที่ถูกต้อง การช่วยเหลือ และสนับสนุนกันในสังคม ในโลกที่เต็มไปด้วยความท้าทาย และความยากจน เราควรเลือกที่จะอยู่ในเส้นทางที่ถูกต้อง และมีความหมาย แม้ทางเดินจะยากลำบาก แต่ความมีคุณค่าในชีวิตและความจริงใจ จะนำเราไปสู่อนาคตที่ดีกว่า เส้นทางที่ไม่ต้องแลกเปลี่ยนชีวิตอันมีค่า เพื่อเงินทองที่ว่างเปล่า

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 121635 เม.ย. 2568

    #24ปีประหาร #สมคิดนามแก้ว #นักโทษคดียาบ้า #ปราบยาเสพติด #ชีวิตมีค่า #คดียาบ้า #ยับยั้งอาชญากรรม #สังคมปลอดภัย #อาลัยในชีวิต #ความจริงที่ไม่ควรลืม
    24 ปี ประหารชีวิต ‘สมคิด นามแก้ว’ นักโทษคดียาบ้าคนแรก ที่ถูกประหาร ด้วยการยิงเป้า” เสียงครวญสะท้านใจ “เงินห้าหมื่นแลกกับชีวิต มันไม่คุ้มเลย” แง่คิดที่เตือนให้รู้คุณค่าของชีวิต “สมคิด นามแก้ว” นักโทษคดียาบ้า คนแรกในประวัติศาสตร์ไทย ที่ถูกประหารชีวิตเมื่อ 24 ปี ที่ผ่านไป ภายใต้บรรยากาศอันน่าสะเทือนใจ ของการเปลี่ยนแปลงสังคม การปราบปรามยาเสพติด ชีวิตมีค่ามากกว่าเงินทอง และความจำเป็นในการต่อต้านอาชญากรรมยาเสพติด อย่างเด็ดขาด ในโลกที่ความมีค่าแห่งชีวิต ศีลธรรม ถูกท้าทายด้วยความโลภ และความอยากรวย เรื่องราวของ “สมคิด นามแก้ว” นักโทษคดียาบ้าคนแรกของประเทศไทย ที่ถูกประหารชีวิตเมื่อ 24 ปี ที่ผ่านมานั้น ยังคงสะเทือนใจคนไทยทุกวันนี้ 😢 ย้อนไปเมื่อ 24 ปี ที่ผ่านมา ในบ่ายวันพุธที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2544 ที่แดนประหาร เรือนจำกลางบางขวาง เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้คนไทยทั้งประเทศ ต้องจ้องมองและตั้งคำถาม ถึงความหมายของความถูกต้อง และความยุติธรรมในสังคม อย่างลึกซึ้ง ยาบ้าและปัญหาอาชญากรรม ยาเสพติดทุกชนิด ต่างก็เป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบในทุกชั้นสังคม แต่ยาบ้าในสมัยนั้นเป็นหนึ่งในเหตุผลหลักที่ทำให้เกิดอาชญากรรมร้ายแรง ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมพฤติกรรมที่คลุ้มคลั่ง และทำให้ผู้เสพมีพฤติกรรมที่เป็นอันตรายต่อตัวเองและสังคมทั่วไป นายสมคิด นามแก้ว ได้ถูกจับในคดีมียาเสพติด โดยมีหลักฐานแน่ชัดว่า ต้องขนส่งยาบ้าปริมาณมหาศาล ซึ่งสืบเนื่องมาจากการสืบสวน ที่เชื่อมโยงระหว่างเครือข่ายค้ายาเสพติด ทั้งในประเทศและในต่างประเทศ และในขณะที่ระบบการปราบปรามยาเสพติด เริ่มเข้มงวดขึ้น เพื่อยับยั้งอาชญากรรม และป้องกันไม่ให้เกิดปัญหายาบ้าในสังคม 👮‍♂️ ประเทศไทยมีกฎหมายที่เข้มงวด เกี่ยวกับคดียาเสพติด โดยหลักฐานและการรับสารภาพ มักนำไปสู่โทษที่ร้ายแรงที่สุดในบางกรณี โดยเฉพาะในคดียาบ้า ที่มักจะมีมาตรการประหารชีวิต สำหรับผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยมีจุดประสงค์ เพื่อเป็นการส่งสัญญาณเตือน ให้กับผู้ที่คิดจะเข้ามามีส่วนร่วมกับการค้า และเสพติดยาเสพติด ในคดีของสมคิด ศาลชั้นต้นเห็นว่า ความผิดไม่ได้เกิดจาก ความประมาทเลินเล่อเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการกระทำ ที่บ่อนทำลายความสงบเรียบร้อยของสังคม และเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่า การกระทำความผิดในฐานะที่เป็น “นักโทษคดียาบ้า” นั้น จะต้องได้รับโทษในระดับสูงสุด ซึ่งก็คือการประหารชีวิต ตามที่ได้เกิดขึ้นจริงในวันนั้น ในช่วงเวลานั้น ยาบ้าเป็นที่แพร่หลายในสังคมในทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นชั้นคนทำงานข้างนอก หรือแม้แต่ในวงการขบวนการอาชญากรรมขนาดใหญ่ ความอุดมสมบูรณ์ของเครือข่ายค้ายาเสพติด ทำให้การปราบปรามเป็นเรื่องท้าทาย และต้องใช้ความพยายามอย่างมาก จากเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ยังทำให้เกิดความรู้สึกสับสนในสังคม ที่มองเห็นภาพของความยุติธรรม ที่อาจไม่ชัดเจนในบางครั้ง เหตุการณ์ของคดีนี้ เริ่มต้นในกลางดึกวันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2540 เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับข้อมูล เกี่ยวกับการลำเลียงยาบ้าปริมาณมาก จากพื้นที่ชายแดนจังหวัดเชียงราย เข้าสู่กรุงเทพฯ โดยใช้เส้นทางผ่านทางหลวงหมายเลข 103 เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวง กองบังคับการทางหลวง 5 จังหวัดพะเยา ได้ตั้งด่านสกัด ที่ตู้ยามตำรวจทางหลวงร้องกวาง ตำบลร้องเข็ม อำเภอร้องกวาง จังหวัดแพร่ ตามข้อมูลที่ได้รับ และมีรถเก๋งโตโยต้า โคโรน่าสีน้ำตาล ทะเบียน 3ว-8505 กทม. วิ่งเข้ามาที่จุดสกัด เมื่อเจ้าหน้าที่สั่งให้รถหยุด เพื่อทำการตรวจค้น ในขณะตรวจค้น นายสมคิด ซึ่งในตอนนั้นอายุ 31 ปี พักอาศัยอยู่ที่หมู่ที่ 10 ตำบลแม่สาย อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ได้แสดงออกถึงพิรุธ ด้วยการกล่าวว่า “ในรถไม่มีสิ่งผิดกฎหมาย” และยังกล่าวเพิ่มเติมว่า “ตนเองเกลียดยาบ้ามากที่สุด” แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทำการค้นอย่างละเอียด พบยาบ้าบรรจุในห่อพลาสติก ซุกซ่อนอยู่ตามที่ต่าง ๆ ในรถ ทั้งที่ประตูรถและใต้เบาะนั่ง พบว่ามียาบ้าปริมาณถึง 203 ห่อ ๆ ละ 2,000 เม็ด รวมเป็นจำนวน 406,000 เม็ด ซึ่งมีสีสันปรากฏเป็นสีส้มและเขียว ประทับตัวอักษรว่า “wy” โดยมูลค่าประมาณ 40 ล้านบาท จึงติดสินบนตำรวจ 5 ล้านบาท แต่ตำรวจไม่เล่นด้วย🚔 หลังจากจับกุม ในขั้นตอนการสอบสวน นายสมคิดได้ให้การรับสารภาพว่า ได้รับจ้างขนยาบ้าจากพ่อค้ายาเสพติด ด้วยค่าจ้าง 50,000 บาท เพื่อนำส่งให้ลูกค้าที่ปั๊มน้ำมัน ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เหตุการณ์ที่น่าสลดใจนี้ เผยให้เห็นว่า แม้จะมีกำไรในทางการค้ายาเสพติด แต่ในความเป็นจริงแล้ว “เงินห้าหมื่นแลกกับชีวิต” นั้นไม่คุ้มค่าเลย เพราะชีวิตที่ถูกประหารนั้น เป็นชีวิตที่จบลงไปในพริบตา ไม่มีวันได้กลับคืน หรือแก้ไขได้หลังจากนั้น นายสมคิดถูกส่งเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดี ในศาลอาญากรุงเทพใต้ โดยในชั้นต้นศาลเห็นว่า แม้จะมีการรับสารภาพ แต่การกระทำของนายสมคิดนั้นทำให้เกิดผลกระทบที่ร้ายแรง ต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม จึงได้พิพากษาให้ลงโทษในระดับสูงสุด นั่นคือโทษประหารชีวิต หลังจากคำพิพากษาของศาลชั้นต้น นายสมคิดได้ดำเนินการอุทธรณ์ ต่อศาลอุทธรณ์และศาลฎีกา พร้อมทั้งได้ยื่นหนังสือถวายฎีกา ทูลเกล้าขอพระราชทานอภัยโทษ ในวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2543 นายสมคิดได้ให้เหตุผลว่า “ตนมีการรับสารภาพมาตั้งแต่แรก และไม่เคยกระทำความผิดมาก่อน” รวมทั้งระบุว่า ตนได้กระทำเ พราะต้องการหาเงินมารักษาพยาบาลพี่สาว ที่ป่วยเป็นโรคสมองฝ่อ เนื่องจากฐานะทางการเงินที่ยากจน แต่ข้ออ้างเหล่านี้ถู กศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาปฏิเสธ โดยให้ความสำคัญกับความมั่นคงของประเทศชาติ และความสงบเรียบร้อยของสังคม โดยกล่าวว่าเรื่องส่วนตัว ไม่สามารถเปรียบเทียบ กับประโยชน์ส่วนรวมของสังคมได้ ในกระบวนการพิจารณา ศาลได้พิจารณาหลักฐาน และพฤติกรรมของนายสมคิด ที่ชัดเจนว่าเป็นผู้รับจ้างขนยาบ้า ซึ่งเกี่ยวข้องกับการค้า และการค้ายาเสพติด ที่สร้างความไม่สงบเรียบร้อยในสังคม การที่นายสมคิดพยายามให้สินบนเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็เป็นอีกหนึ่งประเด็น ที่เน้นย้ำถึงความจริงที่ว่า ระบบค้ายาเสพติด มีการแทรกซึมลึกในสังคม ศาลอุทธรณ์จึงตัดสินยืน ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น และเมื่อเรื่องนั้นถูกส่งต่อมายังศาลฎีกา คำพิพากษาก็ยังคงยืนหยัด นำมาซึ่งวันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2544 เป็นวันที่ประหารชีวิตเกิดขึ้นจริง วันประหารชีวิตของนายสมคิด นามแก้ว ถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่เกิดความสลดใจ และสะเทือนใจคนไทยอย่างแท้จริง โดยรายละเอียดในวันนั้นถูกบันทึกไว้ในหลาย ๆ ช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นบันทึกของเจ้าหน้าที่ หรือรายงานของนักข่าว ภาพความทุกข์ และความหวาดกลัวของนักโทษที่ต้องรอประหาร ได้สะท้อนให้เห็นถึงความหนักแน่น ในการปราบปรามยาเสพติดในสมัยนั้น ในช่วงบ่ายของวันประหาร ผู้คุมและเจ้าหน้าที่ต่างเข้ามาจัดเตรียมสิ่งของ ที่จำเป็นสำหรับการประหารชีวิต ทั้งนี้เพื่อให้ขั้นตอนทั้งหมด เป็นไปอย่างราบรื่นและเป็นความลับ เมื่อถึงเวลาที่นายสมคิด ถูกเบิกตัวออกจากห้องคุม ทุกอย่างดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความเงียบสงัด และบรรยากาศที่หนักอึ้ง นายสมคิดในวันนั้น แสดงอาการที่ชัดเจนว่า รู้สึกกลัวและทุกข์ทรมาน ทั้งทางร่างกายที่เริ่มอ่อนแรง และจิตใจที่สั่นคลอน ถึงแม้ว่าในช่วงท้ายของการเดิน จากห้องคุมไปสู่หลักประหาร นายสมคิดยังคงตั้งคำถามกับเจ้าหน้าที่ เกี่ยวกับความรู้สึกและความคิดของตนเอง “ผมเป็นคนแรกที่ถูกประหาร เพราะคดียาบ้าใช่ไหมครับ” และยังได้เตือนผู้อื่น เกี่ยวกับการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ที่อาจนำมาซึ่งความทุกข์ และความเสียหายต่อชีวิต 😔 ระหว่างทาง ในขณะที่นายสมคิดถูกนำไปประหาร มีการสนทนาที่บ่งบอกถึงความทรงจำ และความเจ็บปวดภายในจิตใจของเขา รวมถึงการแฉข้อเท็จจริงของเครือข่ายค้ายาเสพติด ที่เกี่ยวข้องกับนักการเมืองในระดับท้องถิ่น “ถ้าจะปราบยาเสพติดให้หมดไปจริงๆ ก็ต้องเอาคนที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ในทุกระดับออกไป” นายสมคิดกล่าว ในช่วงเวลาที่อารมณ์ผ่อนคลายลงเล็กน้อย แต่ก็เต็มไปด้วยความจริงใจ และความรู้สึกที่อยากจะบอกต่อสังคม ผู้คุมในวันนั้น ได้พยายามปลอบใจนายสมคิดว่า “อย่างน้อยสมคิดยังได้ทำตัวเป็นประโยชน์ต่อสังคม เป็นครั้งสุดท้าย” แม้ว่าจะมองในแง่ของการเป็นบทเตือน สำหรับผู้ที่คิดจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด แต่คำพูดเหล่านี้ ก็สะท้อนให้เห็นถึงความขัดแย้งของจิตใจ ระหว่างความรับผิดชอบต่อหน้าที่ และความเห็นอกเห็นใจในความทุกข์ของมนุษย์ ในห้องประหาร ที่จัดเตรียมขึ้นอย่างเคร่งครัด นายสมคิดถูกนำเข้ามาในห้องที่แสงไฟสลัว ๆ และบรรยากาศเงียบสงัด ผู้คุมและเจ้าหน้าที่ ทำการเตรียมเครื่องมือ และตรวจสอบความพร้อมในทุกขั้นตอน ก่อนที่หัวหน้าชุดประหารจะโบกธงแดง เพื่อเริ่มกระบวนการประหาร ในช่วงเวลานั้น ผู้คุมและเจ้าหน้าที่ทุกคน ต่างมีความรู้สึกที่ผสมผสานระหว่างหน้าที่ และความสำนึกในความทุกข์ทรมานของนายสมคิด ขณะที่นายสมคิดเอง ก็ได้ใช้เวลาที่เหลืออยู่ ในการรำลึกถึงชีวิตที่ผ่านมา ทั้งความรัก ความฝัน และความผิดพลาด ที่ไม่อาจย้อนกลับได้อีกต่อไป คำบอกลาและพินัยกรรมของนายสมคิด เป็นสัญลักษณ์ที่สื่อถึงข้อคิดที่ว่า “ชีวิตมนุษย์มีค่า เกินกว่าจะถูกแลกด้วยเงินเพียงเพราะความจน หรือความสิ้นหวัง” เขาได้ฝากท้ายจดหมายถึงญาติพี่น้องว่า “อย่าได้ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดอย่างเด็ดขาด” ซึ่งเป็นคำเตือนที่หวังว่า จะช่วยป้องกันไม่ให้คนอื่น เดินตามรอยเท้าของเขาในอนาคต แม้คดีของนายสมคิด นามแก้ว จะเกิดขึ้นเมื่อกว่า 24 ปี ที่ผ่านมา แต่ผลกระทบ และบทเรียนที่ได้รับจากเหตุการณ์นี้ ยังคงสะท้อนอยู่ในสังคมไทยในหลายมิติ ทั้งในแง่ของการปราบปรามยาเสพติด และการตระหนักถึงคุณค่าของชีวิตมนุษย์ คดีนี้เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญให้กับนโยบาย และวิธีการปราบปรามยาเสพติดในประเทศไทย เจ้าหน้าที่ตำรวจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้รับบทเรียนอันทรงคุณค่าจากการจับกุม และการดำเนินคดีที่เป็นแบบอย่าง แม้ว่าจะมีความท้าทาย จากเครือข่ายอาชญากรรมที่ซับซ้อน แต่การดำเนินการที่เข้มแข็ง และเด็ดขาดในคดีนี้ ได้ส่งสัญญาณชัดเจนว่า ไม่มีทางที่ผู้กระทำผิด จะหลุดพ้นไปจากกฎหมาย นอกจากนี้ ความเข้มงวดในการลงโทษสูงสุด อย่างการประหารชีวิต ได้เป็นเครื่องมือทางจิตวิทยา ที่ทำให้ผู้ค้ายาเสพติดต้องคิดทบทวนถึงความเสี่ยง และผลที่ตามมา หากตัดสินใจเข้าสู่เส้นทางอาชญากรรมดังกล่าว หนึ่งในแง่คิดที่ทรงพลัง จากเหตุการณ์ของนายสมคิด คือ “ชีวิตมนุษย์มีค่าเกินกว่าจะแลกด้วยเงิน” เมื่อพิจารณาจากเหตุการณ์ นายสมคิดได้รับเงินค่าจ้างเ 50,000 บาท เพื่อการขนส่งยาบ้า แต่ท้ายที่สุดค่าใช้จ่ายนั้น กลับสูงกว่ามาก เมื่อชีวิตของเขา ถูกสังหารไปในพริบตา เหตุการณ์ครั้งนี้เตือนใจให้กับทุกคนว่า ไม่ว่าเราจะเผชิญกับความยากจน หรือความท้าทายใด ๆ ในชีวิต การก้าวเข้าสู่เส้นทางผิดกฎหมาย ด้วยเงินทองเพียงไม่กี่บาทนั้น ไม่สามารถชดเชยค่าของชีวิต และความมีคุณค่าที่แท้จริงได้ ในมุมมองของสังคม สิ่งนี้ยังเป็นการเผยให้เห็นถึง ความจำเป็นในการสร้างความเปลี่ยนแปลง ในระบบเศรษฐกิจ และสวัสดิการสังคม เพื่อให้คนไทยทุกคน มีโอกาสได้รับความช่วยเหลือ และการสนับสนุนที่เหมาะสม โดยไม่จำเป็นต้องเสี่ยงชีวิต หรือกระทำความผิดเพื่อความอยู่รอด นอกจากความเสียหาย ที่เกิดกับตัวนายสมคิดแล้ว คดีนี้ยังส่งผลกระทบต่อครอบครัว และญาติพี่น้องของเขาอีกด้วย ภาพของคนในบ้าน ที่ต้องสูญเสียสมาชิกอันมีค่าไป จากการกระทำที่นำไปสู่การประหารชีวิต สะท้อนให้เห็นถึงความสูญเสีย ทั้งทางด้านอารมณ์ และชื่อเสียงในสังคม การที่คนรอบข้าง ต้องเผชิญกับความสลด จากการสูญเสียสมาชิกในครอบครัวนั้น ทำให้เราได้ตระหนักถึงความสำคัญ ของการมีคุณค่าชีวิต และความจำเป็นในการสนับสนุน และช่วยเหลือกันในสังคม ไม่ว่าจะเป็นผ่านนโยบายสังคมที่เข้มแข็ง หรือการให้ความรู้แก่ประชาชน เกี่ยวกับผลกระทบของยาเสพติด ในหลายช่วงของเรื่องราวนี้ อารมณ์และความรู้สึก ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างละเอียด ทั้งความกลัว ความเสียใจ และความหวาดกลัวของนายสมคิด ในนาทีสุดท้าย และความเหงาเศร้าใจของผู้คุมและเจ้าหน้าที่ ที่ต้องเผชิญกับการปฏิบัติหน้าที่หนักอึ้ง เหล่านี้เป็นสิ่งที่ทำให้เราต้องหันมาสำรวจ และตั้งคำถามว่า “เราจะทำอะไร เพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้ เกิดขึ้นอีก?” สังคมไทยในปัจจุบัน ยังคงต้องรับมือกับปัญหายาบ้า และปัญหาอาชญากรรมในรูปแบบต่าง ๆ จึงจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องมีมาตรการส่งเสริมคุณค่าชีวิต การให้คำปรึกษาด้านจิตใจ และโอกาสในการเปลี่ยนแปลงชีวิต ให้กับผู้ที่ตกอยู่ในวงจรอาชญากรรมเหล่านั้น โดยที่ไม่ใช่แค่การลงโทษเท่านั้น แต่ยังเป็นการแก้ไขปัญหาตั้งแต่ต้น เหตุการณ์ของนายสมคิด นามแก้ว ได้เปิดเผยประเด็นสำคัญทางจริยธรรม ที่สังคมไทยต้องเผชิญ โดยเฉพาะในแง่ของการให้คุณค่ากับชีวิตมนุษย์ และการตัดสินใจที่มีผลตามมาตลอดชีพ ในสังคมที่ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ยังคงมีอยู่ ความจนหรือความจำเป็นบางครั้ง ถูกใช้เป็นข้ออ้างในการกระทำผิด แต่เหตุการณ์ของนายสมคิด สอนเราให้เห็นว่า การกระทำผิดไม่สามารถแก้ปัญหาความยากจนได้ แม้จะมีเหตุผลส่วนตัว ที่น่าสงสารเพียงใดก็ตาม “เงินห้าหมื่นแลกกับชีวิต” เป็นวาทะที่ชัดเจนที่เตือนใจว่า ค่าใช้จ่ายในชีวิตนั้น สูงเกินกว่าที่จะวัดด้วยเงินทอง ใครที่ตกอยู่ในภาวะยากจน ควรได้รับความช่วยเหลือจากสังคม มากกว่าที่จะถูกผลัก ให้เข้าสู่เส้นทางที่ไร้ทางออก การลงโทษประหารชีวิตในคดียาเสพติด อาจดูเหมือนเป็นการลงโทษที่รุนแรง แต่ในมุมมองของสังคมไทยในขณะนั้นแล้ว ถือเป็นการส่งสัญญาณเตือนภัยอย่างชัดเจน เพื่อป้องกันไม่ให้เครือข่ายค้ายาเสพติด เติบโตและแพร่กระจาย อย่างไรก็ตาม ในขณะเดียวกัน ก็มีความถกเถียงกันในหลายมุมมอง เกี่ยวกับความถูกต้องของการลงโทษสูงสุดนี้ ว่าจะสามารถช่วยลดอาชญากรรมในระยะยาว ได้จริงหรือไม่ แต่ข้อเท็จจริงที่เห็นจากคดีของนายสมคิดคือ การลงโทษอย่างเด็ดขาดนั้น เป็นการยืนยันถึงความเข้มงวด ของระบบยุติธรรมในยุคนั้น หากเรามองในแง่ของการป้องกัน การลงโทษที่รุนแรง ไม่สามารถแก้ปัญหาที่ต้นเหตุของการกระทำผิด ได้ในระยะยาว สังคมจำเป็นต้องหันมาสนับสนุนการศึกษา สวัสดิการ และระบบช่วยเหลือผู้ที่ตกอยู่ในภาวะเสียเปรียบ ในบทเรียนจากคดีนี้ เราได้รู้ว่าการแก้ไขปัญหาความยากจน และปัญหาสังคมในมิติ ที่ลึกกว่าเพียงการลงโทษนั้น สำคัญมาก การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยให้ทุกคน มีโอกาสทางการศึกษา และการพัฒนาตนเอง อาจเป็นกุญแจสำคัญ ในการป้องกันไม่ให้เกิดคดี ที่คล้ายคลึงกันในอนาคต เมื่อมองย้อนกลับไปในอดีต 24 ปีที่ผ่านมา คดีของนายสมคิด นามแก้ว ยังคงเป็นเครื่องเตือนใจให้กับสังคมไทย ถึงความเปราะบางของชีวิตมนุษย์ และความรับผิดชอบ ที่เราต้องมีต่อกันในฐานะสมาชิกของสังคม แม้ว่าในนาทีสุดท้ายของชีวิต นายสมคิดจะต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมาน และความกลัวที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่คำพูดและการกระทำของเขา กลับเป็นบทเรียนอันทรงคุณค่า สำหรับคนไทยทุกคน “อย่าได้ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด” คือคำเตือนที่เกิดจากความเจ็บปวดส่วนตัว ที่สุดท้ายแล้ว กลับกลายเป็นเสียงเตือนถึงความผิดพลาด ที่อาจส่งผลให้ชีวิตของเรา และคนที่เรารักต้องจบลงในพริบตา การประหารชีวิตในคดีนี้ ทำให้เราได้ตระหนักว่า การเลือกทางเดินในชีวิตนั้น สำคัญมากกว่าเงินทอง หรือสิ่งของวัตถุใด ๆ เพราะเมื่อชีวิตถูกใช้ไปแล้ว เราจะไม่มีทางหวนคืนกลับมาได้อีก 😔 สังคมไทยในปัจจุบัน ย่อมต้องหันมาสนับสนุนกัน เพื่อสร้างสภาพแวดล้อม ที่เอื้ออำนวยต่อการดำรงชีวิตที่มีคุณค่าแ ละถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นการให้ความรู้ เกี่ยวกับผลกระทบของยาเสพติด การสนับสนุนให้ผู้ที่ตกอยู่ในภาวะยากจน ได้รับความช่วยเหลืออย่างทั่วถึง รวมถึงการส่งเสริมค่านิยมในด้านความซื่อสัตย์ และความมีคุณธรรม ในมุมมองนี้ คดีของนายสมคิด ไม่ได้เป็นเพียงคดีของนักโทษ ที่ถูกประหารชีวิตเท่านั้น แต่ยังเป็นบทเรียนสำหรับทุกคน ที่ต้องคิดทบทวน ถึงความหมายที่แท้จริงของคำว่า “ชีวิตมีค่า” เมื่อชีวิตของเราถูกกีดกันด้วยความผิดพลาด ในเส้นทางที่ไม่ถูกต้อง ไม่มีสิ่งใดสามารถทดแทนความเสียหาย ที่เกิดขึ้นได้ในภายหลัง เพื่อป้องกันไม่ให้มีคดีที่คล้ายคลึงกัน เกิดขึ้นอีกในอนาคต จำเป็นต้องมีการสร้างระบบ ที่ช่วยเหลือผู้ที่ตกอยู่ในวงจรอาชญากรรม อย่างครบวงจร ตั้งแต่การศึกษาเรื่องผลกระทบของยาเสพติด การให้คำปรึกษาด้านจิตใจ ไปจนถึงการสนับสนุนด้านเศรษฐกิจ ให้กับกลุ่มคนที่อาจตกเป็นเหยื่อของความยากจน และการล่อลวงของเครือข่ายค้ายาเสพติด นอกจากนี้ การให้ความรู้ และสร้างจิตสำนึกในสังคมว่า “การแลกเปลี่ยนชีวิตมนุษย์เพื่อเงิน” นั้นไม่มีค่าเทียบเท่ากับความมีชีวิตอยู่ และความสมบูรณ์ของจิตใจ จะช่วยลดโอกาสให้คนเข้าสู่แนวทางที่ผิด และนำไปสู่การพัฒนาสังคมที่ดีขึ้น อย่างแท้จริง เรื่องราวของ “สมคิด นามแก้ว” ยังคงสะท้อนให้เห็นถึงความจริง ที่บางครั้งเราอาจมองข้ามไป ในแง่ของคุณค่าชีวิต และผลกระทบที่เกิดขึ้น จากการกระทำผิดกฎหมาย 🤔 ชีวิตที่ถูกแลกด้วยเงินเพียงเล็กน้อยนั้นไม่มีค่า เมื่อเทียบกับความรักและความสัมพันธ์ของคนรอบข้า งที่สูญเสียไปไปพร้อมกัน ทั้งนี้ คดีนี้เป็นบทเรียนอันทรงคุณค่า ที่สังคมไทยไม่ควรลืม และเป็นเครื่องเตือนใจว่า แม้จะอยู่ในสภาวะที่ยากลำบาก หรือมีความยากจน แต่ทางออกที่ถูกต้องคือ การมองหาแนวทางช่วยเหลือ และการพัฒนาชีวิตให้ดีกว่าเดิม ไม่ใช่การเลือกเส้นทาง ที่นำพามาซึ่งความผิดพลาด และจุดจบที่น่าเศร้า เหตุการณ์ประหารชีวิต “สมคิด นามแก้ว” ในคดีคดียาบ้าคนแรกของประเทศไทย ยังคงเป็นเครื่องเตือนใจอันทรงคุณค่าให้กับคนไทยในทุกยุคสมัย แม้จะผ่านไปนาน 24 ปี แต่บาดแผลจากเหตุการณ์ครั้งนี้ ยังคงปรากฏให้เห็นในแง่มุมของการต่อสู้กับยาเสพติด และการรักษาคุณค่าของชีวิตมนุษย์ จากคดีนี้เราได้เรียนรู้ว่า "ชีวิตมีค่า" และไม่ควรนำมาแลกเปลี่ยนกับเงินทอง แม้เพียงเล็กน้อย เพราะผลที่ตามมาหลังจากนั้น คือความสูญเสีย ที่ไม่อาจชดเชยได้ทั้งในทางกายและจิตใจ สิ่งที่เราได้จากเรื่องราวของสมคิด คือการตระหนักในความสำคัญ ของการเลือกเส้นทางชีวิตที่ถูกต้อง การช่วยเหลือ และสนับสนุนกันในสังคม ในโลกที่เต็มไปด้วยความท้าทาย และความยากจน เราควรเลือกที่จะอยู่ในเส้นทางที่ถูกต้อง และมีความหมาย แม้ทางเดินจะยากลำบาก แต่ความมีคุณค่าในชีวิตและความจริงใจ จะนำเราไปสู่อนาคตที่ดีกว่า เส้นทางที่ไม่ต้องแลกเปลี่ยนชีวิตอันมีค่า เพื่อเงินทองที่ว่างเปล่า ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 121635 เม.ย. 2568 #24ปีประหาร #สมคิดนามแก้ว #นักโทษคดียาบ้า #ปราบยาเสพติด #ชีวิตมีค่า #คดียาบ้า #ยับยั้งอาชญากรรม #สังคมปลอดภัย #อาลัยในชีวิต #ความจริงที่ไม่ควรลืม
    0 Comments 0 Shares 423 Views 0 Reviews
  • นโยบายบ่อนกาสิโนไม่มีพรรคใดหาเสียง จึงไม่มีสิทธิโหวตรับในสภา !!สมัยเกิดทุจริตจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ งบประมาณ 1,400 ล้านบาท เมื่อปีพ.ศ.2542 รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขถูกเครือข่าย 30 องค์กรภาคประชาชนยื่นกล่าวหาร่ำรวยผิดปกติ รัฐมนตรีอ้างว่าเงินที่ไม่สามารถระบุที่มาของเงินนั้นได้มาจากการเล่นการพนันจากบ่อนกาสิโนในต่างประเทศ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช) ไม่รับฟังข้อต่อสู้ดังกล่าวจึงมีการไต่สวนจนพบว่ามีเงินที่รับสินบนด้วยการทำนิติกรรมอำพรางที่เกี่ยวข้องกับการรับสินบนจากบริษัทยาเพื่อจัดซื้อยาราคาแพง และได้ส่งฟ้องไปยังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และรัฐมนตรีถูกพิพากษาว่าร่ำรวยผิดปกติ และถูกยึดทรัพย์ให้ตกเป็นของแผ่นดิน 233.87 ล้านบาท และต่อมารัฐมนตรีถูกตัดสินจำคุก15ปีจากการรับสินบนหากร่างพ.ร.บ การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ …. ถูกรับรองผ่านเป็นกฎหมายโดยมีการสอดไส้บ่อนกาสิโนไว้ในพรบ.ฉบับนี้ตามที่รัฐบาลต้องการ ต่อจากนี้เป็นต้นไป การฟอกเงินจากสิ่งที่ผิดกฎหมายทั้งหลาย ทั้งการรับสินบน การค้ามนุษย์ การค้ายาเสพติด เงินจากการทำผิดกฎหมาย และการปล้นในรูปแบบต่างๆจะถูกอ้างว่าได้มาจากบ่อนกาสิโน เงินใต้ดินทั้งหลายจะถูกฟอกขาวโดยบ่อนกาสิโน สิ่งนี้คือสิ่งที่นักการเมืองต้องการ ใช่หรือไม่ ?! พรรคการเมืองที่ได้รับเลือกตั้งจากประชาชนมาเป็นผู้แทนในรัฐสภา ต้องรับผิดชอบต่อการหาเสียงซึ่งถือเป็นสัญญาประชาคม ว่าจะทำอะไรให้ประชาชนถ้าได้รับเลือกเป็นผู้แทนประชาชน หลักคำสอนทางการเมืองของจอห์น ล็อค ที่ให้แก่ผู้มีศรัทธาในระบอบประชาธิปไตย มีอยู่สั้นๆ ว่า รัฐบาลที่ชอบธรรมทั้งปวงหรือ“รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง”เป็น“รัฐบาลที่มีอำนาจที่จำกัด”(Limited Government)และดำรงอยู่ได้ด้วยความยินยอม (consent) ของประชาชนที่เลือกรัฐบาลขึ้นมา กล่าวคือ รัฐบาลมีอำนาจความเป็นผู้แทนจำกัดอยู่เฉพาะการดำเนินนโยบายตามที่หาเสียงกับประชาชนไว้เท่านั้น ดังนั้นการคัดค้านบ่อนกาสิโนของประชาชน นักการเมืองต้องฟัง !!ในเมื่อพรรคการเมืองทั้งหลายที่อยู่ร่วมเป็นรัฐบาลผสม ไม่เคยหาเสียงเรื่องบ่อนกาสิโน จึงไม่มีสิทธิฮั้วกันโหวตรับร่างกฎหมายบ่อนกาสิโนหากพรรคแกนนำรัฐบาลและพรรคร่วมรัฐบาลโหวตรับร่างกฎหมายบ่อนกาสิโนที่ตนไม่ได้หาเสียงไว้ ก็เท่ากับท่านใช้อำนาจเกินขอบเขตที่ประชาชนมอบหมายให้ และเป็นการทำลายสัญญาประชาคมที่ให้ไว้กับประชาชนอย่างร้ายแรง อันอาจถึงขั้นที่รัฐบาลกลายเป็นกบฎต่อความไว้วางใจ และต่อสัญญาประชาคมที่ให้ไว้กับประชาชนเสียเอง และประชาชนสามารถใช้อำนาจประชาธิปไตยทางตรง(Direct Democrcy)ขับไล่รัฐบาลที่ใช้อำนาจเกินขอบเขตนั้นได้การที่ประชาชนแม้ไม่เห็นด้วยกับการนโยบายแจกเงิน 10,000 บาทของรัฐบาล แต่เพราะเป็นการหาเสียงของรัฐบาล ประชาชนจึงกล้ำกลืนความไม่พอใจ ความกังวลใจว่าประเทศจะเสียหายเพราะนโยบายแจกเงินเช่นนั้น แต่บ่อนกาสิโนไม่ใช่การหาเสียงของพรรคใด พวกท่านจึงไม่มีสิทธิลักไก่ผลักดันผ่านร่างกฎหมายบ่อนกาสิโนดังกล่าว โดยไม่ฟังเสียงคัดค้านต่อต้านที่ดังกึกก้องมาจากทุกภาคส่วนของสังคมไทยในขณะนี้จงอย่าคิดว่าเมื่อได้อำนาจที่ประชาชนมอบให้ผ่านการเลือกตั้งแล้ว รัฐบาลก็จะทำอะไรก็ได้ ที่นอกเหนือจากการหาเสียง ประชาชนเลือกผู้แทน ไม่ใช่เลือกโจรมาปล้นบ้านตัวเอง ใช่หรือไม่?รัฐบาลและรัฐสภามีเครื่องมือในการทำประชามติ ถ้ารัฐบาลทนรอถึงการเลือกตั้งสมัยหน้าไม่ได้ ก็จงใช้เครื่องมือประชามติถามประชาชนทั้งประเทศเรื่องบ่อนกาสิโนว่าประชาชนต้องการให้รัฐบาลทำหรือไม่ ?ประธานรัฐสภาเป็นเสาหลัก 1 ในอำนาจ 3 ที่ประชาชนมอบให้ และหวังให้เสาหลักเป็นหลักที่ปักมั่นไม่คลอนแคลน เป็นอิสระ และทำตามสัญญาประชาคมในการไม่เปิดประตูให้กับร่างกฎหมายบ่อนกาสิโนที่ประชาชนคัดค้าน ถ้าท่านยอมให้ร่างกฎหมายเข้าสู่สายพานการออกกฎหมายของรัฐสภา ก็ไม่ต่างกับการออกกฎหมายให้การปล้นอนาคตประเทศ ปล้นอนาคตลูกหลานไทยเป็นการปล้นที่ถูกกฎหมาย ใช่หรือไม่?ขอให้จดจำร่างพรบ.นิรโทษกรรมสุดซอย ว่ามีการลักหลับผ่านกฎหมายช่วงตี3-ตี4 ตรงตามฤกษ์โจรปล้น ว่ามีผลเป็นอย่างไร บ่อนกาสิโนก็อาจกลายเป็นน้ำผึ้งหยดหนึ่งซึ่งก่อให้เกิดความปั่นป่วนและอุบัติเหตุทางการเมืองขึ้นได้อีกจากการฉวยโอกาส ดังที่เคยเกิดขึ้นซ้ำๆจากการลุกขึ้นต่อต้านของประชาชน ใช่หรือไม่รสนา โตสิตระกูล3 เมษายน 2568#คัดค้านกาสิโน
    นโยบายบ่อนกาสิโนไม่มีพรรคใดหาเสียง จึงไม่มีสิทธิโหวตรับในสภา !!สมัยเกิดทุจริตจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ งบประมาณ 1,400 ล้านบาท เมื่อปีพ.ศ.2542 รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขถูกเครือข่าย 30 องค์กรภาคประชาชนยื่นกล่าวหาร่ำรวยผิดปกติ รัฐมนตรีอ้างว่าเงินที่ไม่สามารถระบุที่มาของเงินนั้นได้มาจากการเล่นการพนันจากบ่อนกาสิโนในต่างประเทศ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช) ไม่รับฟังข้อต่อสู้ดังกล่าวจึงมีการไต่สวนจนพบว่ามีเงินที่รับสินบนด้วยการทำนิติกรรมอำพรางที่เกี่ยวข้องกับการรับสินบนจากบริษัทยาเพื่อจัดซื้อยาราคาแพง และได้ส่งฟ้องไปยังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และรัฐมนตรีถูกพิพากษาว่าร่ำรวยผิดปกติ และถูกยึดทรัพย์ให้ตกเป็นของแผ่นดิน 233.87 ล้านบาท และต่อมารัฐมนตรีถูกตัดสินจำคุก15ปีจากการรับสินบนหากร่างพ.ร.บ การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ …. ถูกรับรองผ่านเป็นกฎหมายโดยมีการสอดไส้บ่อนกาสิโนไว้ในพรบ.ฉบับนี้ตามที่รัฐบาลต้องการ ต่อจากนี้เป็นต้นไป การฟอกเงินจากสิ่งที่ผิดกฎหมายทั้งหลาย ทั้งการรับสินบน การค้ามนุษย์ การค้ายาเสพติด เงินจากการทำผิดกฎหมาย และการปล้นในรูปแบบต่างๆจะถูกอ้างว่าได้มาจากบ่อนกาสิโน เงินใต้ดินทั้งหลายจะถูกฟอกขาวโดยบ่อนกาสิโน สิ่งนี้คือสิ่งที่นักการเมืองต้องการ ใช่หรือไม่ ?! พรรคการเมืองที่ได้รับเลือกตั้งจากประชาชนมาเป็นผู้แทนในรัฐสภา ต้องรับผิดชอบต่อการหาเสียงซึ่งถือเป็นสัญญาประชาคม ว่าจะทำอะไรให้ประชาชนถ้าได้รับเลือกเป็นผู้แทนประชาชน หลักคำสอนทางการเมืองของจอห์น ล็อค ที่ให้แก่ผู้มีศรัทธาในระบอบประชาธิปไตย มีอยู่สั้นๆ ว่า รัฐบาลที่ชอบธรรมทั้งปวงหรือ“รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง”เป็น“รัฐบาลที่มีอำนาจที่จำกัด”(Limited Government)และดำรงอยู่ได้ด้วยความยินยอม (consent) ของประชาชนที่เลือกรัฐบาลขึ้นมา กล่าวคือ รัฐบาลมีอำนาจความเป็นผู้แทนจำกัดอยู่เฉพาะการดำเนินนโยบายตามที่หาเสียงกับประชาชนไว้เท่านั้น ดังนั้นการคัดค้านบ่อนกาสิโนของประชาชน นักการเมืองต้องฟัง !!ในเมื่อพรรคการเมืองทั้งหลายที่อยู่ร่วมเป็นรัฐบาลผสม ไม่เคยหาเสียงเรื่องบ่อนกาสิโน จึงไม่มีสิทธิฮั้วกันโหวตรับร่างกฎหมายบ่อนกาสิโนหากพรรคแกนนำรัฐบาลและพรรคร่วมรัฐบาลโหวตรับร่างกฎหมายบ่อนกาสิโนที่ตนไม่ได้หาเสียงไว้ ก็เท่ากับท่านใช้อำนาจเกินขอบเขตที่ประชาชนมอบหมายให้ และเป็นการทำลายสัญญาประชาคมที่ให้ไว้กับประชาชนอย่างร้ายแรง อันอาจถึงขั้นที่รัฐบาลกลายเป็นกบฎต่อความไว้วางใจ และต่อสัญญาประชาคมที่ให้ไว้กับประชาชนเสียเอง และประชาชนสามารถใช้อำนาจประชาธิปไตยทางตรง(Direct Democrcy)ขับไล่รัฐบาลที่ใช้อำนาจเกินขอบเขตนั้นได้การที่ประชาชนแม้ไม่เห็นด้วยกับการนโยบายแจกเงิน 10,000 บาทของรัฐบาล แต่เพราะเป็นการหาเสียงของรัฐบาล ประชาชนจึงกล้ำกลืนความไม่พอใจ ความกังวลใจว่าประเทศจะเสียหายเพราะนโยบายแจกเงินเช่นนั้น แต่บ่อนกาสิโนไม่ใช่การหาเสียงของพรรคใด พวกท่านจึงไม่มีสิทธิลักไก่ผลักดันผ่านร่างกฎหมายบ่อนกาสิโนดังกล่าว โดยไม่ฟังเสียงคัดค้านต่อต้านที่ดังกึกก้องมาจากทุกภาคส่วนของสังคมไทยในขณะนี้จงอย่าคิดว่าเมื่อได้อำนาจที่ประชาชนมอบให้ผ่านการเลือกตั้งแล้ว รัฐบาลก็จะทำอะไรก็ได้ ที่นอกเหนือจากการหาเสียง ประชาชนเลือกผู้แทน ไม่ใช่เลือกโจรมาปล้นบ้านตัวเอง ใช่หรือไม่?รัฐบาลและรัฐสภามีเครื่องมือในการทำประชามติ ถ้ารัฐบาลทนรอถึงการเลือกตั้งสมัยหน้าไม่ได้ ก็จงใช้เครื่องมือประชามติถามประชาชนทั้งประเทศเรื่องบ่อนกาสิโนว่าประชาชนต้องการให้รัฐบาลทำหรือไม่ ?ประธานรัฐสภาเป็นเสาหลัก 1 ในอำนาจ 3 ที่ประชาชนมอบให้ และหวังให้เสาหลักเป็นหลักที่ปักมั่นไม่คลอนแคลน เป็นอิสระ และทำตามสัญญาประชาคมในการไม่เปิดประตูให้กับร่างกฎหมายบ่อนกาสิโนที่ประชาชนคัดค้าน ถ้าท่านยอมให้ร่างกฎหมายเข้าสู่สายพานการออกกฎหมายของรัฐสภา ก็ไม่ต่างกับการออกกฎหมายให้การปล้นอนาคตประเทศ ปล้นอนาคตลูกหลานไทยเป็นการปล้นที่ถูกกฎหมาย ใช่หรือไม่?ขอให้จดจำร่างพรบ.นิรโทษกรรมสุดซอย ว่ามีการลักหลับผ่านกฎหมายช่วงตี3-ตี4 ตรงตามฤกษ์โจรปล้น ว่ามีผลเป็นอย่างไร บ่อนกาสิโนก็อาจกลายเป็นน้ำผึ้งหยดหนึ่งซึ่งก่อให้เกิดความปั่นป่วนและอุบัติเหตุทางการเมืองขึ้นได้อีกจากการฉวยโอกาส ดังที่เคยเกิดขึ้นซ้ำๆจากการลุกขึ้นต่อต้านของประชาชน ใช่หรือไม่รสนา โตสิตระกูล3 เมษายน 2568#คัดค้านกาสิโน
    Like
    1
    0 Comments 1 Shares 478 Views 0 Reviews
  • ประกันภัย 10 บาท ถูกสุดในไทยขายเฉพาะเทศกาล

    เมื่อวันที่ 1 เม.ย. เคาน์เตอร์เซอร์วิส ที่ร้านเซเว่นอีเลฟเว่น จำหน่ายกรมธรรม์ประกันภัยสุขใจสงกรานต์ (ไมโครอินชัวร์รันส์) หรือ ประกันภัย 10 บาท คุ้มครอง 30 วัน รับเทศกาลสงกรานต์ปี 2568 คุ้มครองอุบัติเหตุกรณีเสียชีวิต การสูญเสียมือ เท้า การสูญเสียสายตา หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง สูงสุด 100,000 บาท และเพิ่มอีก 100,000 บาท หากเกิดอุบัติเหตุสาธารณะ รวมทั้งคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลจากอุบัติเหตุสูงสุด 5,000 บาท รับประกันภัยโดย เมืองไทยประกันชีวิต ในครั้งนี้จำกัด 300,000 สิทธิ์เท่านั้น ผู้ซื้อต้องมีอายุ 15-70 ปีบริบูรณ์ จำกัด 1 กรมธรรม์ต่อ 1 หมายเลขบัตรประชาชน

    โดยในปีนี้สมาชิก All Member ซื้อได้ผ่าน 7-App หรือเว็บไซต์ counterservice.co.th ชำระได้ทั้งบัตรเครดิต ทรูมันนี่วอลเล็ต และพร้อมเพย์คิวอาร์โค้ด หากซื้อประกันสำเร็จจะมี SMS และอีเมลแจ้งระยะความคุ้มครอง แต่ผู้ซื้อต้องศึกษาข้อมูลและเงื่อนไขก่อนซื้อ เช่น ไม่คุ้มครองขณะอยู่ภายใต้ฤทธิ์สุรา (150 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ขึ้นไป) สารเสพติดหรือยาเสพติด การจบชีวิตตัวเอง การได้รับเชื้อโรค การแท้งลูก (ยกเว้นจากอุบัติเหตุ) สงคราม อาวุธนิวเคลียร์ การก่อการร้าย ก่ออาชญากรรม และเป็นทหาร ตำรวจ หรืออาสาสมัครเข้าปฎิบัติสงครามหรือปราบปราม เป็นต้น

    นอกจากเคาน์เตอร์เซอร์วิสที่จำหน่ายประกันภัย 10 บาทแล้ว ยังมีผู้ประกอบการรายอื่นๆ แจกประกันภัยฟรี โดยมีความคุ้มครองคล้ายกัน เช่น ร้านอินทนิลในปั๊มบางจากแจกประกันภัยเมื่อซื้อเครื่องดื่ม เลือกได้ระหว่างประกันอุบัติเหตุหรือประกันอัคคีภัย ส่วนโออาร์แจกประกันอุบัติเหตุฟรีแก่สมาชิก Blueplus+ ผ่านแอปพลิเคชัน xplORe เป็นต้น

    ประกันภัย 10 บาท ไม่ใช่เรื่องใหม่ เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อ 7 ปีก่อน สมัยนายสุทธิพล ทวีชัยการ เป็นเลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เมื่อปี 2561 (ปัจจุบันเป็นคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์) เพื่อเพิ่มทางเลือกด้วยเบี้ยประกันภัยที่เหมาะสมกับความเสี่ยง โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย ซึ่งที่ผ่านมาได้ออกผลิตภัณฑ์ประกันภัย 100 และประกันภัย 222 คุ้มครอง 1 ปี มีผู้ซื้อประกันหลักหมื่นราย

    กระทั่งออกประกันภัย 10 บาท คุ้มครอง 30 วัน ในช่วงสงกรานต์ปี 2561 สร้างสถิติใหม่เป็นประวัติศาสตร์ด้วยผู้ซื้อมากกว่า 1.32 ล้านราย นอกจากนี้ ยังได้เชื่อมโยงเข้ากับสินค้าอุปโภคบริโภคและบริการ เพื่อให้ประชาชนได้รับความคุ้มครองอย่างทั่วถึงอีกด้วย กลายเป็นผลงานที่สร้างชื่อให้ คปภ. และประกันภัย 10 บาทในช่วงเทศกาลยังคงมีขายถึงปัจจุบัน

    #Newskit
    ประกันภัย 10 บาท ถูกสุดในไทยขายเฉพาะเทศกาล เมื่อวันที่ 1 เม.ย. เคาน์เตอร์เซอร์วิส ที่ร้านเซเว่นอีเลฟเว่น จำหน่ายกรมธรรม์ประกันภัยสุขใจสงกรานต์ (ไมโครอินชัวร์รันส์) หรือ ประกันภัย 10 บาท คุ้มครอง 30 วัน รับเทศกาลสงกรานต์ปี 2568 คุ้มครองอุบัติเหตุกรณีเสียชีวิต การสูญเสียมือ เท้า การสูญเสียสายตา หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง สูงสุด 100,000 บาท และเพิ่มอีก 100,000 บาท หากเกิดอุบัติเหตุสาธารณะ รวมทั้งคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลจากอุบัติเหตุสูงสุด 5,000 บาท รับประกันภัยโดย เมืองไทยประกันชีวิต ในครั้งนี้จำกัด 300,000 สิทธิ์เท่านั้น ผู้ซื้อต้องมีอายุ 15-70 ปีบริบูรณ์ จำกัด 1 กรมธรรม์ต่อ 1 หมายเลขบัตรประชาชน โดยในปีนี้สมาชิก All Member ซื้อได้ผ่าน 7-App หรือเว็บไซต์ counterservice.co.th ชำระได้ทั้งบัตรเครดิต ทรูมันนี่วอลเล็ต และพร้อมเพย์คิวอาร์โค้ด หากซื้อประกันสำเร็จจะมี SMS และอีเมลแจ้งระยะความคุ้มครอง แต่ผู้ซื้อต้องศึกษาข้อมูลและเงื่อนไขก่อนซื้อ เช่น ไม่คุ้มครองขณะอยู่ภายใต้ฤทธิ์สุรา (150 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ขึ้นไป) สารเสพติดหรือยาเสพติด การจบชีวิตตัวเอง การได้รับเชื้อโรค การแท้งลูก (ยกเว้นจากอุบัติเหตุ) สงคราม อาวุธนิวเคลียร์ การก่อการร้าย ก่ออาชญากรรม และเป็นทหาร ตำรวจ หรืออาสาสมัครเข้าปฎิบัติสงครามหรือปราบปราม เป็นต้น นอกจากเคาน์เตอร์เซอร์วิสที่จำหน่ายประกันภัย 10 บาทแล้ว ยังมีผู้ประกอบการรายอื่นๆ แจกประกันภัยฟรี โดยมีความคุ้มครองคล้ายกัน เช่น ร้านอินทนิลในปั๊มบางจากแจกประกันภัยเมื่อซื้อเครื่องดื่ม เลือกได้ระหว่างประกันอุบัติเหตุหรือประกันอัคคีภัย ส่วนโออาร์แจกประกันอุบัติเหตุฟรีแก่สมาชิก Blueplus+ ผ่านแอปพลิเคชัน xplORe เป็นต้น ประกันภัย 10 บาท ไม่ใช่เรื่องใหม่ เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อ 7 ปีก่อน สมัยนายสุทธิพล ทวีชัยการ เป็นเลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เมื่อปี 2561 (ปัจจุบันเป็นคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์) เพื่อเพิ่มทางเลือกด้วยเบี้ยประกันภัยที่เหมาะสมกับความเสี่ยง โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย ซึ่งที่ผ่านมาได้ออกผลิตภัณฑ์ประกันภัย 100 และประกันภัย 222 คุ้มครอง 1 ปี มีผู้ซื้อประกันหลักหมื่นราย กระทั่งออกประกันภัย 10 บาท คุ้มครอง 30 วัน ในช่วงสงกรานต์ปี 2561 สร้างสถิติใหม่เป็นประวัติศาสตร์ด้วยผู้ซื้อมากกว่า 1.32 ล้านราย นอกจากนี้ ยังได้เชื่อมโยงเข้ากับสินค้าอุปโภคบริโภคและบริการ เพื่อให้ประชาชนได้รับความคุ้มครองอย่างทั่วถึงอีกด้วย กลายเป็นผลงานที่สร้างชื่อให้ คปภ. และประกันภัย 10 บาทในช่วงเทศกาลยังคงมีขายถึงปัจจุบัน #Newskit
    Like
    Love
    2
    0 Comments 0 Shares 527 Views 0 Reviews
  • ดูเตอร์เต้โยนระเบิดนิวเคลียร์ใส่ ศาลอาญาระหว่างประเทศ กรุงเฮก เนเธอร์แลนด์รวม 3 ลูกใหญ่ๆ มีอะไรมาดูกันเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2025 ดูเตอร์เตปรากฏตัวในศาลด้วยรถเข็น เมื่อผู้พิพากษาศาลอาญาระหว่างประเทศอ่านคำกล่าวหาเรื่อง "อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ" เสร็จ ชายวัย 79 ปี อดีต ปธน.ดูเตอร์เต้ แห่งฟิลิปปินส์ ก็โยนระเบิดนิวเคลียร์ข้อมูล 3 ลูกใส่ผู้พิพากษาอย่างกะทันหันว่า "กองทัพสหรัฐรับคำสั่งจากรัฐบาลสหรัฐ สังหารพลเรือน 350,000 คนในอัฟกานิสถาน ศาลอาญาระหว่างประเทศแกล้งทำเป็นตาบอดมา 20 ปี! อิสราเอลทิ้งระเบิดใส่ชาวปาเลสไตน์ โดยเฉพาะเด็กเสียชีวิตไป 50,000 คนในฉนวนกาซา หมายจับของคุณอยู่ที่ไหน?" ผู้เฒ่าดูเตอร์เต้ แสดงให้เห็นถึงหลักฐานที่แท้จริงของการควบคุมยาเสพติดในเมืองดาเวาในศาล และการติดตามของโรงเรียนอนุบาลแสดงให้เห็นว่าอัตราการก่ออาชญากรรมลดลง 73% หลังจากมีการห้ามยาเสพติด ผู้พิพากษาประธานศาลอาญาระหว่างประเทศรีบเคาะค้อนเพื่อหยุดเขา แต่ดูเตอร์เต้กลับหยิบภาพถ่ายชุดหนึ่งออกมา เป็นศพของเด็กที่ถูกพ่อค้ายาฆ่าตาย และสถานที่เกิดเหตุระเบิดของโดรนสหรัฐในอัฟกานิสถาน ถามว่า "ฝ่ายไหนต่อต้านมนุษย์มากกว่ากัน" ผู้ชมต่างโห่ร้องแสดงความยินดี และชาวฟิลิปปินส์ที่อาศัยอยู่ต่างประเทศก็ตะโกนว่า "ประธานาธิบดีจงเจริญ" และเจ้าหน้าที่บังคับคดีก็ไม่สามารถหยุดพวกเขาได้ รัฐบาลของมาร์กอส จูเนียร์ กำลังอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เดิมทีต้องการใช้ศาลอาญาระหว่างประเทศโค่นล้มคู่ต่อสู้ทางการเมือง แต่กลับทำให้คะแนนนิยมของซาราห์ รองประธานาธิบดีพุ่งสูงถึง 39% ดูเตอร์เต้ สัญญาในศาลว่า "หากฉันถูกตัดสินว่ามีความผิด โปรดนำไบเดนและเนทันยาฮูมาขึ้นศาลด้วย!" คำกล่าวนี้เผยให้เห็นหน้ากากอันหน้าซื่อใจคดของศาลอาญาระหว่างประเทศที่ "โจมตียุงเท่านั้น ไม่โจมตีเสือ" ทำให้ศาลอาญาระหว่างประเทศอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นเดียวกัน การจะตัดสินว่า ดูเตอร์เต้ มีความผิดหรือไม่เริ่มมีปัญหา ? ประเทศโลกทางใต้เตรียมถอนตัวออกจากกลุ่มพร้อมกัน จึงไม่ใช่มีความผิด?นักการเงินตะวันตกตัดเงินทุนหลายร้อยล้านยูโร การพิจารณาคดีแห่งศตวรรษนี้ในที่สุดก็กลายเป็นกระจกวิเศษที่เผยให้เห็นฝีหนองของความยุติธรรมระหว่างประเทศและรุ่งอรุณของระเบียบโลกใหม่ ชัยโย ชัยโย ชัยโย !!!Cr. K.Soms..Cr. Paisan Apacnews#Save112#Saveรัฐธรรมนูญ2560#ไม่เอาคนหนักแผ่นดิน#ธรรมศาสตร์พิทักษ์ธรรม#ThammasatPitakTham
    ดูเตอร์เต้โยนระเบิดนิวเคลียร์ใส่ ศาลอาญาระหว่างประเทศ กรุงเฮก เนเธอร์แลนด์รวม 3 ลูกใหญ่ๆ มีอะไรมาดูกันเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2025 ดูเตอร์เตปรากฏตัวในศาลด้วยรถเข็น เมื่อผู้พิพากษาศาลอาญาระหว่างประเทศอ่านคำกล่าวหาเรื่อง "อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ" เสร็จ ชายวัย 79 ปี อดีต ปธน.ดูเตอร์เต้ แห่งฟิลิปปินส์ ก็โยนระเบิดนิวเคลียร์ข้อมูล 3 ลูกใส่ผู้พิพากษาอย่างกะทันหันว่า "กองทัพสหรัฐรับคำสั่งจากรัฐบาลสหรัฐ สังหารพลเรือน 350,000 คนในอัฟกานิสถาน ศาลอาญาระหว่างประเทศแกล้งทำเป็นตาบอดมา 20 ปี! อิสราเอลทิ้งระเบิดใส่ชาวปาเลสไตน์ โดยเฉพาะเด็กเสียชีวิตไป 50,000 คนในฉนวนกาซา หมายจับของคุณอยู่ที่ไหน?" ผู้เฒ่าดูเตอร์เต้ แสดงให้เห็นถึงหลักฐานที่แท้จริงของการควบคุมยาเสพติดในเมืองดาเวาในศาล และการติดตามของโรงเรียนอนุบาลแสดงให้เห็นว่าอัตราการก่ออาชญากรรมลดลง 73% หลังจากมีการห้ามยาเสพติด ผู้พิพากษาประธานศาลอาญาระหว่างประเทศรีบเคาะค้อนเพื่อหยุดเขา แต่ดูเตอร์เต้กลับหยิบภาพถ่ายชุดหนึ่งออกมา เป็นศพของเด็กที่ถูกพ่อค้ายาฆ่าตาย และสถานที่เกิดเหตุระเบิดของโดรนสหรัฐในอัฟกานิสถาน ถามว่า "ฝ่ายไหนต่อต้านมนุษย์มากกว่ากัน" ผู้ชมต่างโห่ร้องแสดงความยินดี และชาวฟิลิปปินส์ที่อาศัยอยู่ต่างประเทศก็ตะโกนว่า "ประธานาธิบดีจงเจริญ" และเจ้าหน้าที่บังคับคดีก็ไม่สามารถหยุดพวกเขาได้ รัฐบาลของมาร์กอส จูเนียร์ กำลังอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เดิมทีต้องการใช้ศาลอาญาระหว่างประเทศโค่นล้มคู่ต่อสู้ทางการเมือง แต่กลับทำให้คะแนนนิยมของซาราห์ รองประธานาธิบดีพุ่งสูงถึง 39% ดูเตอร์เต้ สัญญาในศาลว่า "หากฉันถูกตัดสินว่ามีความผิด โปรดนำไบเดนและเนทันยาฮูมาขึ้นศาลด้วย!" คำกล่าวนี้เผยให้เห็นหน้ากากอันหน้าซื่อใจคดของศาลอาญาระหว่างประเทศที่ "โจมตียุงเท่านั้น ไม่โจมตีเสือ" ทำให้ศาลอาญาระหว่างประเทศอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นเดียวกัน การจะตัดสินว่า ดูเตอร์เต้ มีความผิดหรือไม่เริ่มมีปัญหา ? ประเทศโลกทางใต้เตรียมถอนตัวออกจากกลุ่มพร้อมกัน จึงไม่ใช่มีความผิด?นักการเงินตะวันตกตัดเงินทุนหลายร้อยล้านยูโร การพิจารณาคดีแห่งศตวรรษนี้ในที่สุดก็กลายเป็นกระจกวิเศษที่เผยให้เห็นฝีหนองของความยุติธรรมระหว่างประเทศและรุ่งอรุณของระเบียบโลกใหม่ ชัยโย ชัยโย ชัยโย !!!Cr. K.Soms..Cr. Paisan Apacnews#Save112#Saveรัฐธรรมนูญ2560#ไม่เอาคนหนักแผ่นดิน#ธรรมศาสตร์พิทักษ์ธรรม#ThammasatPitakTham
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 492 Views 0 Reviews
  • เผยค่านิยม YOLO ทำผู้ติดเชื้อ HIV เพิ่ม

    กลายเป็นที่วิจารณ์บนโซเชียลฯ ในมาเลเซีย เมื่อนายลูกานิสมัน อะวัง เซานี่ (Lukanisman Awang Sauni) รมช.สาธารณสุขมาเลเซีย กล่าวในการประชุมวุฒิสภา (Dewan Negara) เมื่อวันที่ 24 มี.ค.ระบุว่าทัศนคติที่เรียกว่า YOLO (โยโล่) หรือ You Only Live Once (เกิดหนเดียวตายหนเดียว) อาจส่งผลต่ออัตราการติดเชื้อเอชไอวี (HIV) ในกลุ่มเพศชาย อายุ 20-39 ปี ที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งกลายปัญหาที่น่ากังวลอย่างยิ่ง

    ค่านิยม YOLO ช่วยกระตุ้นให้คนรุ่นใหม่กล้าลองทำอะไรใหม่ๆ โดยเฉพาะการมีเพศสัมพันธ์กับเพศเดียวกัน ซึ่งได้รับอิทธิพลจากกระแสโลก นับเป็นปัญหาของคนรุ่นต่อรุ่น ความปรารถนาที่จะทดลองอะไรใหม่ๆ รวมถึงการดูแลตัวเอง ผลักดันให้คนรุ่นใหม่ทำกิจกรรมที่นอกเหนือไปจากการมีเพศสัมพันธ์แบบชายกับหญิง โดยมักจะไม่คำนึงถึงผลที่ตามมา นอกจากนี้ บทบาทของโซเชียลมีเดียที่ติดต่อกันระหว่างบุคคลมีความเสี่ยงสูง เพราะไม่มีกลไกที่มีประสิทธิภาพในการควบคุม

    จากข้อมูลการเฝ้าระวังของสำนักทะเบียนผู้ติดเชื้อเอดส์แห่งชาติ (NAR) พบว่าในปี 2567 มีผู้ติดเชื้อเอชไอวี 90% อยู่ในกลุ่มเพศชาย โดย 75% อยู่ในกลุ่มที่มีอายุ 20-39 ปี แม้จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ลดลงจากปี 2545 พบผู้ติดเชื้อ 28.5 รายต่อประชากร 100,000 ราย เหลือ 3,185 รายในปี 2567 หรือ 9.4 รายต่อประชากร 100,000 ราย ที่ผ่านมากระทรวงสาธารณสุขมาเลเซียมีโครงการจัดซื้อยาป้องกันเชื้อเอชไอวีก่อนการสัมผัสโรค หรือเพร็ป (PrEP) แต่ต้องเผชิญกับการต่อต้านจากคนบางกลุ่ม

    สำนักข่าวเซาต์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ (SCMP) รายงานว่า ทฤษฎี YOLO ของ รมช.สาธารณสุขมาเลเซียถูกมองว่าแปลกประหลาด รังเกียจกลุ่ม LGBTQ ไม่ติดตามข่าวสาร และเป็นเรื่องไร้สาระที่กล่าวหาว่าเยาวชนลองมีเพศสัมพันธ์แบบเพศเดียวกันจากค่านิยม YOLO เพราะการรักร่วมเพศเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติและไม่ใช่เรื่องสนุก ไม่เหมือนยาเสพติดหรือแอลกอฮอล์ นอกจากนี้ยังมองว่า รัฐบาลกำลังร่วมปลุกปั่นความกลัวและหาแพะรับบาปให้กับชุมชน LGBTQ โดยชาวเน็ตเรียกร้องให้นำเสนอข้อมูลเพื่อสนับสนุนคำกล่าวอ้างของตน

    สำหรับประเทศมาเลเซีย มีกฎหมายอาญาและกฎหมายชารีอะห์ ห้ามมีเพศสัมพันธ์ที่ผิดธรรมชาติทั้งชายและหญิง เช่น มีเซ็กซ์กับเพศเดียวกัน มีโทษจำคุกไม่เกิน 20 ปี หรือลงโทษด้วยการโบย นอกจากนี้ ยังมีการควบคุมสิ่งที่บ่งบอกว่าเป็น LGBTQ ได้แก่ หนังสือที่มีธีม LGBTQ เคยห้ามนำเข้านาฬิกา Swatch ที่มีสีรุ้งและข้อความสนับสนุน LGBTQ และตำรวจเคยห้ามจัดการแสดง Thai Hot Guys ในงานเปิดตัวไนต์คลับที่ย่านตุนราซัก กรุงกัวลาลัมเปอร์อีกด้วย

    #Newskit
    เผยค่านิยม YOLO ทำผู้ติดเชื้อ HIV เพิ่ม กลายเป็นที่วิจารณ์บนโซเชียลฯ ในมาเลเซีย เมื่อนายลูกานิสมัน อะวัง เซานี่ (Lukanisman Awang Sauni) รมช.สาธารณสุขมาเลเซีย กล่าวในการประชุมวุฒิสภา (Dewan Negara) เมื่อวันที่ 24 มี.ค.ระบุว่าทัศนคติที่เรียกว่า YOLO (โยโล่) หรือ You Only Live Once (เกิดหนเดียวตายหนเดียว) อาจส่งผลต่ออัตราการติดเชื้อเอชไอวี (HIV) ในกลุ่มเพศชาย อายุ 20-39 ปี ที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งกลายปัญหาที่น่ากังวลอย่างยิ่ง ค่านิยม YOLO ช่วยกระตุ้นให้คนรุ่นใหม่กล้าลองทำอะไรใหม่ๆ โดยเฉพาะการมีเพศสัมพันธ์กับเพศเดียวกัน ซึ่งได้รับอิทธิพลจากกระแสโลก นับเป็นปัญหาของคนรุ่นต่อรุ่น ความปรารถนาที่จะทดลองอะไรใหม่ๆ รวมถึงการดูแลตัวเอง ผลักดันให้คนรุ่นใหม่ทำกิจกรรมที่นอกเหนือไปจากการมีเพศสัมพันธ์แบบชายกับหญิง โดยมักจะไม่คำนึงถึงผลที่ตามมา นอกจากนี้ บทบาทของโซเชียลมีเดียที่ติดต่อกันระหว่างบุคคลมีความเสี่ยงสูง เพราะไม่มีกลไกที่มีประสิทธิภาพในการควบคุม จากข้อมูลการเฝ้าระวังของสำนักทะเบียนผู้ติดเชื้อเอดส์แห่งชาติ (NAR) พบว่าในปี 2567 มีผู้ติดเชื้อเอชไอวี 90% อยู่ในกลุ่มเพศชาย โดย 75% อยู่ในกลุ่มที่มีอายุ 20-39 ปี แม้จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ลดลงจากปี 2545 พบผู้ติดเชื้อ 28.5 รายต่อประชากร 100,000 ราย เหลือ 3,185 รายในปี 2567 หรือ 9.4 รายต่อประชากร 100,000 ราย ที่ผ่านมากระทรวงสาธารณสุขมาเลเซียมีโครงการจัดซื้อยาป้องกันเชื้อเอชไอวีก่อนการสัมผัสโรค หรือเพร็ป (PrEP) แต่ต้องเผชิญกับการต่อต้านจากคนบางกลุ่ม สำนักข่าวเซาต์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ (SCMP) รายงานว่า ทฤษฎี YOLO ของ รมช.สาธารณสุขมาเลเซียถูกมองว่าแปลกประหลาด รังเกียจกลุ่ม LGBTQ ไม่ติดตามข่าวสาร และเป็นเรื่องไร้สาระที่กล่าวหาว่าเยาวชนลองมีเพศสัมพันธ์แบบเพศเดียวกันจากค่านิยม YOLO เพราะการรักร่วมเพศเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติและไม่ใช่เรื่องสนุก ไม่เหมือนยาเสพติดหรือแอลกอฮอล์ นอกจากนี้ยังมองว่า รัฐบาลกำลังร่วมปลุกปั่นความกลัวและหาแพะรับบาปให้กับชุมชน LGBTQ โดยชาวเน็ตเรียกร้องให้นำเสนอข้อมูลเพื่อสนับสนุนคำกล่าวอ้างของตน สำหรับประเทศมาเลเซีย มีกฎหมายอาญาและกฎหมายชารีอะห์ ห้ามมีเพศสัมพันธ์ที่ผิดธรรมชาติทั้งชายและหญิง เช่น มีเซ็กซ์กับเพศเดียวกัน มีโทษจำคุกไม่เกิน 20 ปี หรือลงโทษด้วยการโบย นอกจากนี้ ยังมีการควบคุมสิ่งที่บ่งบอกว่าเป็น LGBTQ ได้แก่ หนังสือที่มีธีม LGBTQ เคยห้ามนำเข้านาฬิกา Swatch ที่มีสีรุ้งและข้อความสนับสนุน LGBTQ และตำรวจเคยห้ามจัดการแสดง Thai Hot Guys ในงานเปิดตัวไนต์คลับที่ย่านตุนราซัก กรุงกัวลาลัมเปอร์อีกด้วย #Newskit
    Sad
    1
    0 Comments 0 Shares 519 Views 0 Reviews
  • 🕌🇸🇦 50 ปี ลอบปลงพระชนม์กษัตริย์ไฟซาล แห่งซาอุดีอาระเบีย ราชนัดดามีอาการทางจิต ปลิดชีพลุง 3 นัดซ้อน เสยคาง-ข้างหู เบื้องลึกโศกนาฏกรรมสะเทือนโลก 🕊️🔫

    📌 ย้อนเหตุการณ์สะเทือนโลก เมื่อ 50 ปี ที่ผ่านมา เหตุการณ์ลอบปลงพระชนม์กษัตริย์ไฟซาล แห่งซาอุฯ โดยเจ้าชายผู้มีอาการทางจิต พร้อมเผยข้อเท็จจริงที่หลายคนไม่เคยรู้ ผลกระทบที่ยังคงอยู่ถึงปัจจุบัน

    🕌 ย้อนรอยโศกนาฏกรรมแห่งราชวงศ์ซาอุฯ 25 มีนาคม พ.ศ. 2518... เช้าวันอังคารที่เงียบเหงาในกรุงริยาด กลับกลายเป็นวันแห่งโศกนาฏกรรมระดับโลก เมื่อ "สมเด็จพระราชาธิบดีไฟซาล บิน อับดุล อาซิซ อัล ซาอุด" ผู้นำสูงสุดแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ต้องสิ้นพระชนม์ด้วยฝีมือของเจ้าชาย ซึ่งเป็น "หลานชายแท้ ๆ" จากการลอบยิงระยะประชิด 3 นัดซ้อน ในพระราชวังหลวง... 💔🔫

    เหตุการณ์นี้ไม่ใช่แค่ความสูญเสียของราชวงศ์ หากแต่ส่งผลสะเทือนทั้งโลก โดยเฉพาะโลกมุสลิม ที่ยังคงสั่นคลอน กับคำถามที่ยังไม่มีคำตอบอย่างแท้จริงว่า...

    "ทำไมเจ้าชายจึงลั่นไก?" 🤯

    📖 เรื่องราวแห่งประวัติศาสตร์ "สมเด็จพระราชาธิบดีไฟซาล บิน อับดุล อาซิซ อัล ซาอุด" ทรงขึ้นครองราชย์เมื่อปี พ.ศ. 2507 ทรงเป็นที่รู้จักในฐานะกษัตริย์ผู้มีวิสัยทัศน์ 🌍✨

    พระองค์ทรงมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะการลดการพึ่งพาน้ำมัน ⛽️ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน 🏗️ การส่งเสริมการศึกษา 📚 และการวางแผนปฏิรูปเศรษฐกิจของประเทศ ในระยะยาว

    นอกจากนี้ กษัตริย์ไฟซาลยังเป็นผู้นำ ในการต่อต้านอิสราเอลอย่างแข็งกร้าว ในช่วงสงคราม Yom Kippur และมีบทบาทสำคัญในการใช้ “นโยบายน้ำมันเป็นอาวุธ” (Oil Weapon Policy) กดดันตะวันตก ในช่วงวิกฤตน้ำมันปี 2516 🛢️⚖️

    พระองค์จึงเป็นทั้งผู้นำเชิงกลยุทธ์ และนักปฏิรูปผู้ทรงพลังของซาอุดีอาระเบีย

    😱 เหตุการณ์ลอบสังหาร เช้าแห่งความมืดมิด เช้าวันอังคารที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2518 ในพระราชวังหลวง กรุงริยาด 🇸🇦 "เจ้าชายไฟซาล บิน มูซาอิด บิน อับดุลลาซิซ อัล ซาอุด" หลานชายแท้ ๆ ของกษัตริย์ไฟซาล ได้เข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระราชาธิบดี พร้อมคณะผู้แทนจากประเทศคูเวต

    ขณะนั้นไม่มีผู้ใดคาดคิดว่า…

    ทันทีที่กษัตริย์โน้มพระองค์ลง เพื่อจุมพิตเจ้าชายตามธรรมเนียม เจ้าชายกลับชักปืนพกสั้นออกมา แล้วยิงไปที่คางและข้างพระกรรณของกษัตริย์ 3 นัดซ้อน 🔫💥

    ราชองครักษ์พยายามจะโต้ตอบทันที แต่ “ชีค อาห์เมด ซากีห์ ยามานี” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงปิโตรเลียมและทรัพยากรธรรมชาติ ได้ตะโกนห้ามไม่ให้สังหารเจ้าชายผู้ก่อเหตุ ทำให้เจ้าชายถูกจับกุมแทน

    👑 "เจ้าชายไฟซาล บิน มูซาอิด" เป็นพระราชโอรสของเจ้าชายมูซาอิด พระอนุชาของกษัตริย์ไฟซาล เคยศึกษาที่สหรัฐอเมริกา 🇺🇸 และมีประวัติพฤติกรรมแปลกประหลาดหลายอย่าง เช่น...

    - ถูกจับที่สหรัฯอเมริกา จากคดีครอบครองยาเสพติด 💊
    - มีพฤติกรรมต่อต้านสังคม และมีแนวคิดเสรีนิยมแบบตะวันตก 🌐
    - เคยมีความขัดแย้งภายในราชวงศ์ 📉

    รายงานจากนักจิตแพทย์หลายฝ่ายตรงกันว่า เจ้าชายทรงมีอาการ “โรคจิตเภท” (Schizophrenia) 😵‍💫

    อาการที่สังเกตได้คือ
    - ความหวาดระแวง (Paranoia)
    - ความคิดหลงผิด (Delusions)
    - พฤติกรรมรุนแรง และขาดการควบคุมตนเอง

    ❓ แรงจูงใจเบื้องหลังการลอบสังหาร แม้การสอบสวนจะสรุปว่า เจ้าชายไฟซาลก่อเหตุเพียงลำพัง แต่แรงจูงใจยังคงเป็นปริศนา 🤔

    ข้อสันนิษฐานที่เป็นไปได้ ได้แก่
    - แก้แค้นให้เจ้าชายคาลิด พระเชษฐาซึ่งเสียชีวิตจากการต่อสู้ กับกองกำลังรัฐในปี 2509 ⚔️
    - อาการป่วยจิตเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมรุนแรง โดยไม่มีแรงจูงใจทางการเมืองชัดเจน 💭
    - ความไม่พอใจต่อราชวงศ์ เจ้าชายรู้สึกถูกจำกัดเสรีภาพ หลังกลับจากสหรัฐฯ 🗽
    - แรงกระตุ้นจากภายนอก บางฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่าอาจมี "ตะวันตก" อยู่เบื้องหลัง 🤫 แม้ยังไม่มีหลักฐานยืนยัน

    ⚖️ หลังจากเหตุการณ์ไม่นาน "เจ้าชายไฟซาล บิน มูซาอิด" ถูกนำตัวขึ้นศาล ในข้อหาลอบปลงพระชนม์พระมหากษัตริย์

    ศาลตัดสินให้ บั่นพระเศียรกลางจัตุรัสสาธารณะ ในกรุงริยาด ซึ่งเป็นไปตามกฎหมายชารีอะห์ ของซาอุดีอาระเบีย ✝️⚔️

    การลงโทษต่อหน้าประชาชน ถูกใช้เพื่อส่งสารถึงประชาชนว่า ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย แม้จะเป็นเจ้าชายก็ตาม 👑❌⚖️

    🧠 จิตวิทยากับโศกนาฏกรรม ความเชื่อมโยงของ "โรคจิตเภท" จากคำวินิจฉัยของคณะจิตแพทย์พบว่าเจ้าชายไฟซาลมีอาการของ "โรคจิตเภท" ซึ่งเป็นโรคที่ทำให้ผู้ป่วยมีความคิดที่หลงผิด ไม่สามารถแยกแยะความจริง จากจินตนาการได้อย่างถูกต้อง 🤯

    อาการเด่นที่สังเกตได้คือ
    - ความหวาดระแวงว่า ถูกคุกคาม
    - อารมณ์ไม่คงที่
    - มีการตัดสินใจที่ผิดเพี้ยน
    - การรับรู้ผิดปกติอย่างรุนแรง

    💡สิ่งสำคัญคือ โรคจิตเภทไม่ใช่ความผิดของผู้ป่วย แต่จำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในเวลานั้น การวินิจฉัยและการรักษา ยังไม่พัฒนาเท่าที่ควร

    🕵️‍♂️ เรื่องจริงที่โลกไม่ค่อยรู้
    📌 เจ้าชายเคยถูกจับในสหรัฐอเมริกา ในคดีครอบครองยาเสพติด
    📌 กษัตริย์ไฟซาลมีเป้าหมายลดการพึ่งพาน้ำมัน พัฒนาการศึกษา
    📌 บางแหล่งข่าวสงสัยว่า ตะวันตกอาจเกี่ยวข้องกับการลอบสังหาร
    📌 "ชีค ยามานี" รัฐมนตรีน้ำมัน เป็นผู้หยุดราชองครักษ์ ไม่ให้สังหารเจ้าชายทันที

    🧩 โศกนาฏกรรมที่กลายเป็นบทเรียนแห่งโลก สะท้อนให้เห็นว่า... แม้จะอยู่ในพระราชวังสูงสุด หรือมีพระยศสูงส่งเพียงใด ก็ไม่อาจหนีจาก "ความเป็นมนุษย์" และ "ความเปราะบางของจิตใจ" ได้เลย

    กษัตริย์ไฟซาล อาจจากโลกนี้ไปด้วยความเจ็บปวด... แต่พระองค์ได้ทิ้งมรดกแห่งวิสัยทัศน์ ไว้ให้ซาอุดีอาระเบียก้าวหน้า ต่อมาอีกหลายทศวรรษ 🕊️

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 251024 มี.ค. 2568

    📲 #กษัตริย์ไฟซาล #ลอบสังหารซาอุ #ประวัติศาสตร์ซาอุ #โศกนาฏกรรมซาอุดีอาระเบีย #จิตเวชในราชวงศ์ #ซาอุยุค70 #เจ้าชายไฟซาล #ราชวงศ์อาหรับ #เรื่องจริงไม่เคยรู้ #FaisalBinAbdulAziz
    🕌🇸🇦 50 ปี ลอบปลงพระชนม์กษัตริย์ไฟซาล แห่งซาอุดีอาระเบีย ราชนัดดามีอาการทางจิต ปลิดชีพลุง 3 นัดซ้อน เสยคาง-ข้างหู เบื้องลึกโศกนาฏกรรมสะเทือนโลก 🕊️🔫 📌 ย้อนเหตุการณ์สะเทือนโลก เมื่อ 50 ปี ที่ผ่านมา เหตุการณ์ลอบปลงพระชนม์กษัตริย์ไฟซาล แห่งซาอุฯ โดยเจ้าชายผู้มีอาการทางจิต พร้อมเผยข้อเท็จจริงที่หลายคนไม่เคยรู้ ผลกระทบที่ยังคงอยู่ถึงปัจจุบัน 🕌 ย้อนรอยโศกนาฏกรรมแห่งราชวงศ์ซาอุฯ 25 มีนาคม พ.ศ. 2518... เช้าวันอังคารที่เงียบเหงาในกรุงริยาด กลับกลายเป็นวันแห่งโศกนาฏกรรมระดับโลก เมื่อ "สมเด็จพระราชาธิบดีไฟซาล บิน อับดุล อาซิซ อัล ซาอุด" ผู้นำสูงสุดแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ต้องสิ้นพระชนม์ด้วยฝีมือของเจ้าชาย ซึ่งเป็น "หลานชายแท้ ๆ" จากการลอบยิงระยะประชิด 3 นัดซ้อน ในพระราชวังหลวง... 💔🔫 เหตุการณ์นี้ไม่ใช่แค่ความสูญเสียของราชวงศ์ หากแต่ส่งผลสะเทือนทั้งโลก โดยเฉพาะโลกมุสลิม ที่ยังคงสั่นคลอน กับคำถามที่ยังไม่มีคำตอบอย่างแท้จริงว่า... "ทำไมเจ้าชายจึงลั่นไก?" 🤯 📖 เรื่องราวแห่งประวัติศาสตร์ "สมเด็จพระราชาธิบดีไฟซาล บิน อับดุล อาซิซ อัล ซาอุด" ทรงขึ้นครองราชย์เมื่อปี พ.ศ. 2507 ทรงเป็นที่รู้จักในฐานะกษัตริย์ผู้มีวิสัยทัศน์ 🌍✨ พระองค์ทรงมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะการลดการพึ่งพาน้ำมัน ⛽️ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน 🏗️ การส่งเสริมการศึกษา 📚 และการวางแผนปฏิรูปเศรษฐกิจของประเทศ ในระยะยาว นอกจากนี้ กษัตริย์ไฟซาลยังเป็นผู้นำ ในการต่อต้านอิสราเอลอย่างแข็งกร้าว ในช่วงสงคราม Yom Kippur และมีบทบาทสำคัญในการใช้ “นโยบายน้ำมันเป็นอาวุธ” (Oil Weapon Policy) กดดันตะวันตก ในช่วงวิกฤตน้ำมันปี 2516 🛢️⚖️ พระองค์จึงเป็นทั้งผู้นำเชิงกลยุทธ์ และนักปฏิรูปผู้ทรงพลังของซาอุดีอาระเบีย 😱 เหตุการณ์ลอบสังหาร เช้าแห่งความมืดมิด เช้าวันอังคารที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2518 ในพระราชวังหลวง กรุงริยาด 🇸🇦 "เจ้าชายไฟซาล บิน มูซาอิด บิน อับดุลลาซิซ อัล ซาอุด" หลานชายแท้ ๆ ของกษัตริย์ไฟซาล ได้เข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระราชาธิบดี พร้อมคณะผู้แทนจากประเทศคูเวต ขณะนั้นไม่มีผู้ใดคาดคิดว่า… ทันทีที่กษัตริย์โน้มพระองค์ลง เพื่อจุมพิตเจ้าชายตามธรรมเนียม เจ้าชายกลับชักปืนพกสั้นออกมา แล้วยิงไปที่คางและข้างพระกรรณของกษัตริย์ 3 นัดซ้อน 🔫💥 ราชองครักษ์พยายามจะโต้ตอบทันที แต่ “ชีค อาห์เมด ซากีห์ ยามานี” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงปิโตรเลียมและทรัพยากรธรรมชาติ ได้ตะโกนห้ามไม่ให้สังหารเจ้าชายผู้ก่อเหตุ ทำให้เจ้าชายถูกจับกุมแทน 👑 "เจ้าชายไฟซาล บิน มูซาอิด" เป็นพระราชโอรสของเจ้าชายมูซาอิด พระอนุชาของกษัตริย์ไฟซาล เคยศึกษาที่สหรัฐอเมริกา 🇺🇸 และมีประวัติพฤติกรรมแปลกประหลาดหลายอย่าง เช่น... - ถูกจับที่สหรัฯอเมริกา จากคดีครอบครองยาเสพติด 💊 - มีพฤติกรรมต่อต้านสังคม และมีแนวคิดเสรีนิยมแบบตะวันตก 🌐 - เคยมีความขัดแย้งภายในราชวงศ์ 📉 รายงานจากนักจิตแพทย์หลายฝ่ายตรงกันว่า เจ้าชายทรงมีอาการ “โรคจิตเภท” (Schizophrenia) 😵‍💫 อาการที่สังเกตได้คือ - ความหวาดระแวง (Paranoia) - ความคิดหลงผิด (Delusions) - พฤติกรรมรุนแรง และขาดการควบคุมตนเอง ❓ แรงจูงใจเบื้องหลังการลอบสังหาร แม้การสอบสวนจะสรุปว่า เจ้าชายไฟซาลก่อเหตุเพียงลำพัง แต่แรงจูงใจยังคงเป็นปริศนา 🤔 ข้อสันนิษฐานที่เป็นไปได้ ได้แก่ - แก้แค้นให้เจ้าชายคาลิด พระเชษฐาซึ่งเสียชีวิตจากการต่อสู้ กับกองกำลังรัฐในปี 2509 ⚔️ - อาการป่วยจิตเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมรุนแรง โดยไม่มีแรงจูงใจทางการเมืองชัดเจน 💭 - ความไม่พอใจต่อราชวงศ์ เจ้าชายรู้สึกถูกจำกัดเสรีภาพ หลังกลับจากสหรัฐฯ 🗽 - แรงกระตุ้นจากภายนอก บางฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่าอาจมี "ตะวันตก" อยู่เบื้องหลัง 🤫 แม้ยังไม่มีหลักฐานยืนยัน ⚖️ หลังจากเหตุการณ์ไม่นาน "เจ้าชายไฟซาล บิน มูซาอิด" ถูกนำตัวขึ้นศาล ในข้อหาลอบปลงพระชนม์พระมหากษัตริย์ ศาลตัดสินให้ บั่นพระเศียรกลางจัตุรัสสาธารณะ ในกรุงริยาด ซึ่งเป็นไปตามกฎหมายชารีอะห์ ของซาอุดีอาระเบีย ✝️⚔️ การลงโทษต่อหน้าประชาชน ถูกใช้เพื่อส่งสารถึงประชาชนว่า ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย แม้จะเป็นเจ้าชายก็ตาม 👑❌⚖️ 🧠 จิตวิทยากับโศกนาฏกรรม ความเชื่อมโยงของ "โรคจิตเภท" จากคำวินิจฉัยของคณะจิตแพทย์พบว่าเจ้าชายไฟซาลมีอาการของ "โรคจิตเภท" ซึ่งเป็นโรคที่ทำให้ผู้ป่วยมีความคิดที่หลงผิด ไม่สามารถแยกแยะความจริง จากจินตนาการได้อย่างถูกต้อง 🤯 อาการเด่นที่สังเกตได้คือ - ความหวาดระแวงว่า ถูกคุกคาม - อารมณ์ไม่คงที่ - มีการตัดสินใจที่ผิดเพี้ยน - การรับรู้ผิดปกติอย่างรุนแรง 💡สิ่งสำคัญคือ โรคจิตเภทไม่ใช่ความผิดของผู้ป่วย แต่จำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในเวลานั้น การวินิจฉัยและการรักษา ยังไม่พัฒนาเท่าที่ควร 🕵️‍♂️ เรื่องจริงที่โลกไม่ค่อยรู้ 📌 เจ้าชายเคยถูกจับในสหรัฐอเมริกา ในคดีครอบครองยาเสพติด 📌 กษัตริย์ไฟซาลมีเป้าหมายลดการพึ่งพาน้ำมัน พัฒนาการศึกษา 📌 บางแหล่งข่าวสงสัยว่า ตะวันตกอาจเกี่ยวข้องกับการลอบสังหาร 📌 "ชีค ยามานี" รัฐมนตรีน้ำมัน เป็นผู้หยุดราชองครักษ์ ไม่ให้สังหารเจ้าชายทันที 🧩 โศกนาฏกรรมที่กลายเป็นบทเรียนแห่งโลก สะท้อนให้เห็นว่า... แม้จะอยู่ในพระราชวังสูงสุด หรือมีพระยศสูงส่งเพียงใด ก็ไม่อาจหนีจาก "ความเป็นมนุษย์" และ "ความเปราะบางของจิตใจ" ได้เลย กษัตริย์ไฟซาล อาจจากโลกนี้ไปด้วยความเจ็บปวด... แต่พระองค์ได้ทิ้งมรดกแห่งวิสัยทัศน์ ไว้ให้ซาอุดีอาระเบียก้าวหน้า ต่อมาอีกหลายทศวรรษ 🕊️ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 251024 มี.ค. 2568 📲 #กษัตริย์ไฟซาล #ลอบสังหารซาอุ #ประวัติศาสตร์ซาอุ #โศกนาฏกรรมซาอุดีอาระเบีย #จิตเวชในราชวงศ์ #ซาอุยุค70 #เจ้าชายไฟซาล #ราชวงศ์อาหรับ #เรื่องจริงไม่เคยรู้ #FaisalBinAbdulAziz
    0 Comments 0 Shares 830 Views 0 Reviews
  • ศิลปินกับยาเสพติด วิถี 'ร็อกแอนด์โรล' ฉากจบไม่เคยสวย : ถอนหมุดข่าว 19/03/68
    ศิลปินกับยาเสพติด วิถี 'ร็อกแอนด์โรล' ฉากจบไม่เคยสวย : ถอนหมุดข่าว 19/03/68
    0 Comments 0 Shares 277 Views 1 0 Reviews
  • พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด(ป.ป.ส.) เปิดภาพวินาทีบุกจับ แซ็ก I-Zax นักร้องดังยุค 90 พร้อมเผยผลจับกุมเครือข่ายยาเสพติดระหว่างประเทศ โดยได้รับประสานข้อมูลจากคณะกรรมาธิการควบคุมยาเสพสาธารณรัฐประชาชนจีน(NNCC) ขยายผลจับกุมชายอายุ 47 ปี อดีตนักร้องชื่อดัง ซึ่งเป็นลูกค้า พร้อมของกลางไอซ์ ขณะที่ผู้ต้องหาหญิงที่เป็นผู้ขายเป็นคนใกล้ชิดดารา ได้ผสมสีผสมอาหารและทองคำเปลวลงในไอซ์เพื่อเพิ่มมูลค่า เรียกกันในวงการว่า "ผงทองคำ" หรือ "ผงพิ้งค์โกลด์" มีกลุ่มลูกค้าเป็นศิลปิน บุคคลในแวดวงโฮโซ ซึ่ง ป.ป.ส. อยู่ระหว่างสืบสวนขยายผลเพิ่ม โดยพบว่ามีรายชื่อดาราที่เกี่ยวข้องเป็นลูกค้าอีกนับร้อยคน

    -ม็อบเทปลาหมอคางดำ
    -พร้อมช่วยนายกสู้ซักฟอก
    -สะพานถล่มไม่เกี่ยวเหล็ก
    -อิสราเอลถล่มกาซาครั้งใหญ่
    พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด(ป.ป.ส.) เปิดภาพวินาทีบุกจับ แซ็ก I-Zax นักร้องดังยุค 90 พร้อมเผยผลจับกุมเครือข่ายยาเสพติดระหว่างประเทศ โดยได้รับประสานข้อมูลจากคณะกรรมาธิการควบคุมยาเสพสาธารณรัฐประชาชนจีน(NNCC) ขยายผลจับกุมชายอายุ 47 ปี อดีตนักร้องชื่อดัง ซึ่งเป็นลูกค้า พร้อมของกลางไอซ์ ขณะที่ผู้ต้องหาหญิงที่เป็นผู้ขายเป็นคนใกล้ชิดดารา ได้ผสมสีผสมอาหารและทองคำเปลวลงในไอซ์เพื่อเพิ่มมูลค่า เรียกกันในวงการว่า "ผงทองคำ" หรือ "ผงพิ้งค์โกลด์" มีกลุ่มลูกค้าเป็นศิลปิน บุคคลในแวดวงโฮโซ ซึ่ง ป.ป.ส. อยู่ระหว่างสืบสวนขยายผลเพิ่ม โดยพบว่ามีรายชื่อดาราที่เกี่ยวข้องเป็นลูกค้าอีกนับร้อยคน -ม็อบเทปลาหมอคางดำ -พร้อมช่วยนายกสู้ซักฟอก -สะพานถล่มไม่เกี่ยวเหล็ก -อิสราเอลถล่มกาซาครั้งใหญ่
    Like
    Sad
    3
    0 Comments 0 Shares 1106 Views 39 0 Reviews
  • รวบนักร้องดังยุค 90 ยึดไอซ์ผสมสี-ทองคำ : [THE MESSAGE]
    พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด(ป.ป.ส.)
    พร้อมด้วย นายปฤณ เมฆานันท์ ผู้อำนวยการสำนักปราบปรามยาเสพติด แถลงข่าวผลจับกุมเครือข่ายติดระหว่างประเทศ 2 คดีสำคัญ โดยได้รับประสานข้อมูลจากคณะกรรมาธิการควบคุมยาเสพสาธารณรัฐประชาชนจีน(NNCC) ซึ่งได้ขยายผลจับกุมชายอายุ 47 ปี อดีตนักร้องชื่อดัง ซึ่งเป็นลูกค้า พร้อมของกลางไอซ์ ขณะเดียวกัน ผู้ต้องหาหญิงที่เป็นผู้ขายเป็นคนใกล้ชิดดาราได้ผสมสีผสมอาหารและทองคำเปลวลงในไอซ์เพื่อเพิ่มมูลค่า โดยเรียกกันในวงการว่า "ผงทองคำ" หรือ "ผงพิ้งค์โกลด์" มีกลุ่มลูกค้าเป็นศิลปิน บุคคลในแวดวงโฮโซ ซึ่ง ป.ป.ส. อยู่ระหว่างการสืบสวนขยายผลเพิ่
    รวบนักร้องดังยุค 90 ยึดไอซ์ผสมสี-ทองคำ : [THE MESSAGE] พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด(ป.ป.ส.) พร้อมด้วย นายปฤณ เมฆานันท์ ผู้อำนวยการสำนักปราบปรามยาเสพติด แถลงข่าวผลจับกุมเครือข่ายติดระหว่างประเทศ 2 คดีสำคัญ โดยได้รับประสานข้อมูลจากคณะกรรมาธิการควบคุมยาเสพสาธารณรัฐประชาชนจีน(NNCC) ซึ่งได้ขยายผลจับกุมชายอายุ 47 ปี อดีตนักร้องชื่อดัง ซึ่งเป็นลูกค้า พร้อมของกลางไอซ์ ขณะเดียวกัน ผู้ต้องหาหญิงที่เป็นผู้ขายเป็นคนใกล้ชิดดาราได้ผสมสีผสมอาหารและทองคำเปลวลงในไอซ์เพื่อเพิ่มมูลค่า โดยเรียกกันในวงการว่า "ผงทองคำ" หรือ "ผงพิ้งค์โกลด์" มีกลุ่มลูกค้าเป็นศิลปิน บุคคลในแวดวงโฮโซ ซึ่ง ป.ป.ส. อยู่ระหว่างการสืบสวนขยายผลเพิ่
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 949 Views 43 0 Reviews
  • ป.ป.ส. จับกุมเครือข่ายยาเสพติดข้ามชาติ จังหวะ "แซ็ก I-Zax" อดีตนักร้องดัง ไลน์สั่งยาไอซ์วางแผนรวบทันที รับสารภาพซื้อทุกวันๆ ละ 1-2 กรัม เสพก่อนเล่นดนตรี

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000025926
    ป.ป.ส. จับกุมเครือข่ายยาเสพติดข้ามชาติ จังหวะ "แซ็ก I-Zax" อดีตนักร้องดัง ไลน์สั่งยาไอซ์วางแผนรวบทันที รับสารภาพซื้อทุกวันๆ ละ 1-2 กรัม เสพก่อนเล่นดนตรี อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000025926
    Sad
    1
    0 Comments 0 Shares 696 Views 0 Reviews
  • ปปส. จับนักร้องนำ I-ZAX “แซ็ก-วัชรพล ปานพุ่ม” แกนนำขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติ 🌐⚖️

    ปลุกกระแสวงการเพลงร็อกไทยให้สั่นสะเทือน! ข่าวใหญ่ที่ทุกคนไม่คาดคิด นักร้องนำวงร็อกระดับตำนาน “แซ็ก-วัชรพล ปานพุ่ม” หรือที่รู้จักกันในชื่อ “แซ็ก I-ZAX” ถูกจับในคดีค้ายาเสพติดข้ามชาติ โดยสำนักงาน ป.ป.ส. บุกค้นและยึดของกลาง ยาเสพติดจำนวนมหาศาลที่บ้านพัก สร้างความตกตะลึงให้แฟนเพลง และวงการบันเทิงไทยอีกครั้ง 😱🎤

    📌 จุดเริ่มต้นของการจับกุม ที่สั่นสะเทือนวงการ หน่วยงานความมั่นคงจีน ได้จับกุมคนไทย ที่ลักลอบขนยาเสพติด เข้าไปในประเทศจีน และได้ประสานข้อมูลกับสำนักงาน ป.ป.ส. ไทย อย่างรวดเร็ว ข้อมูลที่ได้ กลายเป็นกุญแจสำคัญ ในการขยายผลสืบสวน จนพบเครือข่ายค้ายาข้ามชาติ ที่มีแกนนำเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง ในวงการบันเทิงไทย

    เมื่อข้อมูลจากจีนถึงมือ ป.ป.ส. ไทย เจ้าหน้าที่จึงเริ่มดำเนินการสืบสวนขยายผล ในเครือข่ายผู้ซื้อ-ผู้ขายผ่านช่องทางออนไลน์ 📱💻 กระทั่งพบเบาะแสที่นำไปสู่การจับกุม “แซ็ก-วัชรพล ปานพุ่ม” ขณะที่แซ็กทำการติดต่อซื้อยาเสพติด ในจังหวะที่เจ้าหน้าที่จับกุมผู้จัดการดารา โดยพบว่าแซ็กมีพฤติกรรมเกี่ยวข้อง กับการค้ายาอย่างต่อเนื่อง และเป็นขาประจำในวงการนี้มานานแล้ว

    🚨 ภารกิจบุกค้นจับกุม! พบของกลางยาเสพติดเพียบ ป.ป.ส. พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปฏิบัติการพิเศษ ได้เข้าตรวจค้นบ้านพักของ “แซ็ก I-ZAX” และตรวจยึดของกลาง เป็นยาเสพติดหลายประเภท ทั้ง

    - ยาบ้า
    - ไอซ์ เมทแอมเฟตามีน พิ้งค์โกลด์ สีทอง
    - เอ็กซ์ตาซี
    - เคตามีน
    - MDMA

    รวมไปถึงอุปกรณ์เสพ และชั่งตวงวัดน้ำหนักยา ที่บ่งชี้ถึงการกระจายสินค้า ในระดับแกนนำหัวจ่าย ของขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติ 🚔📦

    การค้นพบครั้งนี้ ไม่เพียงแต่ทำให้ชื่อของ “แซ็ก I-ZAX” ติดอันดับข่าวหน้าหนึ่งเท่านั้น แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นของการขยายผล เพื่อจับกุมศิลปิน และดาราในวงการบันเทิง ที่เกี่ยวข้องกับการเสพ และค้ายาอีกหลายราย 🎭💊

    🎸 จากตำนานวงร็อก สู่ขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติ เส้นทางศิลปินของ I-ZAX วงดนตรีขวัญใจวัยรุ่นยุค 2000 ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2545 ในนาม ไอ-แซ็ก (I-ZAX)

    สมาชิกดั้งเดิม 5 คน ได้แก่
    - พัชรพล ปานพุ่ม หรือแซ็ก นักร้องนำ
    - พงศภัค ทองเจริญ หรือเพชร มือกีตาร์
    - ชัชวาล พูลผล หรือชัช มือเบส
    - จาตุรงค์ เนื่องจำนงค์ หรือจา มือกลอง
    - คำรณ เต่าทอง หรือยา มือคีย์บอร์ด

    มีผลงานอัลบั้มดัง เช่น
    🎶 คนรักกัน (2545)
    🎶 ใจถึงใจ (2547)
    🎶 Tag Team (2549)

    เพลงฮิตระดับชาติอย่าง "ดอกไม้กับหัวใจ", "ปวดใจ" และ "เขียนใจให้เป็นเพลง" เคยทำให้ “แซ็ก” กลายเป็นขวัญใจแฟนเพลงทั่วประเทศ

    🕵️‍♂️ ความจริงอีกด้าน ที่ซ่อนอยู่หลังไมค์ หลังจากห่างหายไปจากวงการเพลง เนื่องจากอาการป่วยไทรอยด์เป็นพิษ แซ็กได้กลับมาร่วมรายการ The Mask Mirror ในปี 2562 ใต้หน้ากาก “น้ำพริกหมู” พร้อมเล่าประสบการณ์ ที่ทุกข์ทรมานจากโรคร้าย จนแฟนเพลงหลายคน ต่างสงสารและเห็นใจ ❤️‍🩹

    แต่เบื้องหลังชีวิตใหม่ ที่ดูเหมือนจะสดใส กลับมีความลับมืดดำซ่อนอยู่! จากการสืบสวนพบว่า แซ็กกลับเข้าไปพัวพัน กับเครือข่ายยาเสพติดอีกครั้ง และในฐานะ “แกนนำระดับหัวจ่าย” ซึ่งมีเครือข่ายลูกค้ามากมาย รวมถึงศิลปิน และดาราในวงการบันเทิงด้วย 💼💸

    ⚖️ ผลกระทบต่อวงการบันเทิง และดนตรีไทย การจับกุมแซ็กในครั้งนี้ ไม่เพียงทำให้วงการเพลงสะเทือนเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญญาณเตือนแรง ถึงวงการบันเทิงไทยว่า ยาเสพติดยังคงเป็นภัยร้าย ที่แฝงตัวในทุกแวดวงสังคม 🚫💉

    ป.ป.ส. เตรียมขยายผลการจับกุม ไปยังเครือข่ายดารา-ศิลปิน ที่เกี่ยวข้องกับแซ็ก I-ZAX อย่างละเอียด และจะมีการออกหมายจับเพิ่มเติม ในเร็ววันนี้

    📢 ยาเสพติดไม่เพียงแต่ ทำลายชีวิตของผู้ใช้เท่านั้น แต่ยังทำลายอนาคต สังคม และครอบครัวอีกด้วย ❌🧬 โทษจำคุกสูงสุดถึง โทษประหารชีวิต การครอบครองยาเสพติดประเภท 1 เช่น ไอซ์, เฮโรอีน, MDMA การจำหน่ายหรือผลิต มีโทษหนักทั้งจำคุกตลอดชีวิต และโทษปรับมหาศาล

    การเลือกเดินทางผิดของแซ็ก I-ZAX ถือเป็นกรณีศึกษาเตือนใจทุกคน ที่อาจหลงผิดในเส้นทางอันตรายนี้ 🛑

    🛡️ สรุปบทเรียนจากคดี “แซ็ก I-ZAX” เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
    ✅ ไม่มีใครหนีพ้นความยุติธรรม
    ✅ ชื่อเสียงและความสำเร็จ ไม่ได้ช่วยปกป้องจากผลของการกระทำผิด
    ✅ วงการบันเทิงควรมีการตรวจสอบภายใน และให้ความสำคัญกับสุขภาพจิต และจริยธรรมของศิลปิน

    ✍️ การจับกุม “แซ็ก-วัชรพล ปานพุ่ม” ถือเป็นข่าวใหญ่ที่สะท้อนปัญหาลึก ในสังคมบันเทิงไทย วง I-ZAX ที่เคยเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นใหม่ กลับกลายเป็นข่าวฉาวระดับชาติ สังคมจึงควรตระหนัก และร่วมมือกันต่อต้านยาเสพติดในทุกมิติ 🚫🕊️

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 181605 มี.ค. 2568

    📌 #แซ็กIZAX #ค้ายาเสพติด #ปปสจับแซ็ก #ข่าวดารา #ข่าวดังวันนี้ #IZAXวงร็อก #ข่าววงการเพลง #ยาเสพติดข้ามชาติ #ข่าวด่วนไทย #จับกุมนักร้องดัง
    ปปส. จับนักร้องนำ I-ZAX “แซ็ก-วัชรพล ปานพุ่ม” แกนนำขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติ 🌐⚖️ ปลุกกระแสวงการเพลงร็อกไทยให้สั่นสะเทือน! ข่าวใหญ่ที่ทุกคนไม่คาดคิด นักร้องนำวงร็อกระดับตำนาน “แซ็ก-วัชรพล ปานพุ่ม” หรือที่รู้จักกันในชื่อ “แซ็ก I-ZAX” ถูกจับในคดีค้ายาเสพติดข้ามชาติ โดยสำนักงาน ป.ป.ส. บุกค้นและยึดของกลาง ยาเสพติดจำนวนมหาศาลที่บ้านพัก สร้างความตกตะลึงให้แฟนเพลง และวงการบันเทิงไทยอีกครั้ง 😱🎤 📌 จุดเริ่มต้นของการจับกุม ที่สั่นสะเทือนวงการ หน่วยงานความมั่นคงจีน ได้จับกุมคนไทย ที่ลักลอบขนยาเสพติด เข้าไปในประเทศจีน และได้ประสานข้อมูลกับสำนักงาน ป.ป.ส. ไทย อย่างรวดเร็ว ข้อมูลที่ได้ กลายเป็นกุญแจสำคัญ ในการขยายผลสืบสวน จนพบเครือข่ายค้ายาข้ามชาติ ที่มีแกนนำเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง ในวงการบันเทิงไทย เมื่อข้อมูลจากจีนถึงมือ ป.ป.ส. ไทย เจ้าหน้าที่จึงเริ่มดำเนินการสืบสวนขยายผล ในเครือข่ายผู้ซื้อ-ผู้ขายผ่านช่องทางออนไลน์ 📱💻 กระทั่งพบเบาะแสที่นำไปสู่การจับกุม “แซ็ก-วัชรพล ปานพุ่ม” ขณะที่แซ็กทำการติดต่อซื้อยาเสพติด ในจังหวะที่เจ้าหน้าที่จับกุมผู้จัดการดารา โดยพบว่าแซ็กมีพฤติกรรมเกี่ยวข้อง กับการค้ายาอย่างต่อเนื่อง และเป็นขาประจำในวงการนี้มานานแล้ว 🚨 ภารกิจบุกค้นจับกุม! พบของกลางยาเสพติดเพียบ ป.ป.ส. พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปฏิบัติการพิเศษ ได้เข้าตรวจค้นบ้านพักของ “แซ็ก I-ZAX” และตรวจยึดของกลาง เป็นยาเสพติดหลายประเภท ทั้ง - ยาบ้า - ไอซ์ เมทแอมเฟตามีน พิ้งค์โกลด์ สีทอง - เอ็กซ์ตาซี - เคตามีน - MDMA รวมไปถึงอุปกรณ์เสพ และชั่งตวงวัดน้ำหนักยา ที่บ่งชี้ถึงการกระจายสินค้า ในระดับแกนนำหัวจ่าย ของขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติ 🚔📦 การค้นพบครั้งนี้ ไม่เพียงแต่ทำให้ชื่อของ “แซ็ก I-ZAX” ติดอันดับข่าวหน้าหนึ่งเท่านั้น แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นของการขยายผล เพื่อจับกุมศิลปิน และดาราในวงการบันเทิง ที่เกี่ยวข้องกับการเสพ และค้ายาอีกหลายราย 🎭💊 🎸 จากตำนานวงร็อก สู่ขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติ เส้นทางศิลปินของ I-ZAX วงดนตรีขวัญใจวัยรุ่นยุค 2000 ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2545 ในนาม ไอ-แซ็ก (I-ZAX) สมาชิกดั้งเดิม 5 คน ได้แก่ - พัชรพล ปานพุ่ม หรือแซ็ก นักร้องนำ - พงศภัค ทองเจริญ หรือเพชร มือกีตาร์ - ชัชวาล พูลผล หรือชัช มือเบส - จาตุรงค์ เนื่องจำนงค์ หรือจา มือกลอง - คำรณ เต่าทอง หรือยา มือคีย์บอร์ด มีผลงานอัลบั้มดัง เช่น 🎶 คนรักกัน (2545) 🎶 ใจถึงใจ (2547) 🎶 Tag Team (2549) เพลงฮิตระดับชาติอย่าง "ดอกไม้กับหัวใจ", "ปวดใจ" และ "เขียนใจให้เป็นเพลง" เคยทำให้ “แซ็ก” กลายเป็นขวัญใจแฟนเพลงทั่วประเทศ 🕵️‍♂️ ความจริงอีกด้าน ที่ซ่อนอยู่หลังไมค์ หลังจากห่างหายไปจากวงการเพลง เนื่องจากอาการป่วยไทรอยด์เป็นพิษ แซ็กได้กลับมาร่วมรายการ The Mask Mirror ในปี 2562 ใต้หน้ากาก “น้ำพริกหมู” พร้อมเล่าประสบการณ์ ที่ทุกข์ทรมานจากโรคร้าย จนแฟนเพลงหลายคน ต่างสงสารและเห็นใจ ❤️‍🩹 แต่เบื้องหลังชีวิตใหม่ ที่ดูเหมือนจะสดใส กลับมีความลับมืดดำซ่อนอยู่! จากการสืบสวนพบว่า แซ็กกลับเข้าไปพัวพัน กับเครือข่ายยาเสพติดอีกครั้ง และในฐานะ “แกนนำระดับหัวจ่าย” ซึ่งมีเครือข่ายลูกค้ามากมาย รวมถึงศิลปิน และดาราในวงการบันเทิงด้วย 💼💸 ⚖️ ผลกระทบต่อวงการบันเทิง และดนตรีไทย การจับกุมแซ็กในครั้งนี้ ไม่เพียงทำให้วงการเพลงสะเทือนเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญญาณเตือนแรง ถึงวงการบันเทิงไทยว่า ยาเสพติดยังคงเป็นภัยร้าย ที่แฝงตัวในทุกแวดวงสังคม 🚫💉 ป.ป.ส. เตรียมขยายผลการจับกุม ไปยังเครือข่ายดารา-ศิลปิน ที่เกี่ยวข้องกับแซ็ก I-ZAX อย่างละเอียด และจะมีการออกหมายจับเพิ่มเติม ในเร็ววันนี้ 📢 ยาเสพติดไม่เพียงแต่ ทำลายชีวิตของผู้ใช้เท่านั้น แต่ยังทำลายอนาคต สังคม และครอบครัวอีกด้วย ❌🧬 โทษจำคุกสูงสุดถึง โทษประหารชีวิต การครอบครองยาเสพติดประเภท 1 เช่น ไอซ์, เฮโรอีน, MDMA การจำหน่ายหรือผลิต มีโทษหนักทั้งจำคุกตลอดชีวิต และโทษปรับมหาศาล การเลือกเดินทางผิดของแซ็ก I-ZAX ถือเป็นกรณีศึกษาเตือนใจทุกคน ที่อาจหลงผิดในเส้นทางอันตรายนี้ 🛑 🛡️ สรุปบทเรียนจากคดี “แซ็ก I-ZAX” เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ✅ ไม่มีใครหนีพ้นความยุติธรรม ✅ ชื่อเสียงและความสำเร็จ ไม่ได้ช่วยปกป้องจากผลของการกระทำผิด ✅ วงการบันเทิงควรมีการตรวจสอบภายใน และให้ความสำคัญกับสุขภาพจิต และจริยธรรมของศิลปิน ✍️ การจับกุม “แซ็ก-วัชรพล ปานพุ่ม” ถือเป็นข่าวใหญ่ที่สะท้อนปัญหาลึก ในสังคมบันเทิงไทย วง I-ZAX ที่เคยเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นใหม่ กลับกลายเป็นข่าวฉาวระดับชาติ สังคมจึงควรตระหนัก และร่วมมือกันต่อต้านยาเสพติดในทุกมิติ 🚫🕊️ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 181605 มี.ค. 2568 📌 #แซ็กIZAX #ค้ายาเสพติด #ปปสจับแซ็ก #ข่าวดารา #ข่าวดังวันนี้ #IZAXวงร็อก #ข่าววงการเพลง #ยาเสพติดข้ามชาติ #ข่าวด่วนไทย #จับกุมนักร้องดัง
    0 Comments 0 Shares 962 Views 0 Reviews
  • พาเวล ดูรอฟ ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Telegram ได้รับอนุญาตจากทางการฝรั่งเศสให้เดินทางออกจากประเทศเป็นการชั่วคราว หลังจากที่เขาถูกตรวจสอบเกี่ยวกับข้อกล่าวหาเรื่องการกระทำความผิดทางอาญาบนแพลตฟอร์ม Telegram โดยเหตุการณ์นี้ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างฝรั่งเศสและรัสเซีย และก่อให้เกิดข้อถกเถียงเรื่องเสรีภาพในการพูดและการบังคับใช้กฎหมายบนโลกอินเทอร์เน็ต

    ดูรอฟถูกจับกุมในเดือนสิงหาคมปีที่แล้วที่สนามบินใกล้ปารีส และถูกจำกัดให้อยู่ในฝรั่งเศสระหว่างกระบวนการสอบสวน อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันเขาได้รับอนุญาตจากผู้พิพากษาให้เดินทางออกนอกประเทศได้เป็นระยะเวลาหลายสัปดาห์ โดยเขาคาดว่าจะเดินทางไปยังดูไบ ทางอัยการฝรั่งเศสระบุว่าดูรอฟถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการดำเนินแพลตฟอร์มที่ใช้สำหรับการกระทำผิด เช่น การค้ายาเสพติดและการฟอกเงิน ซึ่งเขายังต้องวางเงินประกันเป็นจำนวน 5 ล้านยูโร

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/16/telegram039s-durov-allowed-to-leave-france-amid-probe-afp-reports
    พาเวล ดูรอฟ ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Telegram ได้รับอนุญาตจากทางการฝรั่งเศสให้เดินทางออกจากประเทศเป็นการชั่วคราว หลังจากที่เขาถูกตรวจสอบเกี่ยวกับข้อกล่าวหาเรื่องการกระทำความผิดทางอาญาบนแพลตฟอร์ม Telegram โดยเหตุการณ์นี้ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างฝรั่งเศสและรัสเซีย และก่อให้เกิดข้อถกเถียงเรื่องเสรีภาพในการพูดและการบังคับใช้กฎหมายบนโลกอินเทอร์เน็ต ดูรอฟถูกจับกุมในเดือนสิงหาคมปีที่แล้วที่สนามบินใกล้ปารีส และถูกจำกัดให้อยู่ในฝรั่งเศสระหว่างกระบวนการสอบสวน อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันเขาได้รับอนุญาตจากผู้พิพากษาให้เดินทางออกนอกประเทศได้เป็นระยะเวลาหลายสัปดาห์ โดยเขาคาดว่าจะเดินทางไปยังดูไบ ทางอัยการฝรั่งเศสระบุว่าดูรอฟถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการดำเนินแพลตฟอร์มที่ใช้สำหรับการกระทำผิด เช่น การค้ายาเสพติดและการฟอกเงิน ซึ่งเขายังต้องวางเงินประกันเป็นจำนวน 5 ล้านยูโร https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/16/telegram039s-durov-allowed-to-leave-france-amid-probe-afp-reports
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Telegram's Durov allowed to leave France amid probe, AFP reports
    PARIS (Reuters) - French authorities have allowed Pavel Durov, the Russian-born founder and CEO of Telegram, to leave France temporarily in a loosening of his obligations under a probe into criminal activities on the messaging app, the French news agency AFP reported on Saturday.
    0 Comments 0 Shares 412 Views 0 Reviews
  • เครื่องบินส่งตัวอดีตประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ โรดริโก ดูเตอร์เต ล่าช้าพบแวะพักจอดที่ดูไบก่อนมุ่งหน้าสู่กรุงเฮก เนเธอร์แลนด์ เจ้าของฉายา “ทักษิณ 2.0” ตามสื่อนอกตั้งจากคดีทำสงครามกับยาเสพติด เคยประกาศชัดมีความสุขกับการฆ่าพวกติดยา แต่ทักษิณเจ้าของแคมเปญตัวจริงปี 2003 ประกาศที่นครพนมเมื่อต้นปีนี้ “ขอให้รู้ทักษิณกลับมาแล้ว” ความยุติธรรมที่ศาลอาญาระหว่างประเทศ ICC ยังเอื้อมไปไม่ถึง แม้แต่คดีตากใบที่ปล่อยให้หมดอายุความ

    อ่านต่อ..https://sondhitalk.com/detail/9680000024025
    เครื่องบินส่งตัวอดีตประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ โรดริโก ดูเตอร์เต ล่าช้าพบแวะพักจอดที่ดูไบก่อนมุ่งหน้าสู่กรุงเฮก เนเธอร์แลนด์ เจ้าของฉายา “ทักษิณ 2.0” ตามสื่อนอกตั้งจากคดีทำสงครามกับยาเสพติด เคยประกาศชัดมีความสุขกับการฆ่าพวกติดยา แต่ทักษิณเจ้าของแคมเปญตัวจริงปี 2003 ประกาศที่นครพนมเมื่อต้นปีนี้ “ขอให้รู้ทักษิณกลับมาแล้ว” ความยุติธรรมที่ศาลอาญาระหว่างประเทศ ICC ยังเอื้อมไปไม่ถึง แม้แต่คดีตากใบที่ปล่อยให้หมดอายุความ อ่านต่อ..https://sondhitalk.com/detail/9680000024025
    Like
    Angry
    Love
    Sad
    10
    1 Comments 0 Shares 2564 Views 0 Reviews
  • นายโรดริโก ดูเตอร์เต อดีตประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ ถูกตำรวจจับกุมที่สนามบินนานาชาติในกรุงมะนิลา ตามคำสั่งของศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ที่ยื่นฟ้องต่อเขาในความผิดฐานก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติจากนโยบายสงครามยาเสพติดที่ดูเตอร์เตดำเนินการในช่วงที่มีอำนาจปกครองประเทศ

    ตามรายงานของตำรวจ มีผู้ต้องสงสัย 6,200 คน ถูกสังหารระหว่างปฏิบัติการปราบปรามยาเสพติด ซึ่งตำรวจชี้แจงว่าเป็นการวิสามัญฆาตกรรมเนื่องจากคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงตอบโต้ แต่กลุ่มนักเคลื่อนไหวกล่าวว่าความเสียหายที่แท้จริงจากการปราบปรามนั้นมากกว่านั้นมาก

    ดูเตอร์เต เคยกล่าวไว้ว่า ตนพร้อมจะถูกจับกุมหาก ICC ออกหมายจับ และย้ำจุดยืนเรื่องการใช้นโยบายสงครามยาเสพติด
    “ถ้าหมายจับเป็นเรื่องจริง เพราะอะไรผมจึงทำเช่นนั้นล่ะ ผมทำเพื่อตัวผมเองหรอ เพื่อครอบครัวของผมหรอ เปล่าเลย ผมทำเพื่อประชาชนของผม เพื่อลูกๆ ของพวกเรา และเพื่อประเทศของเรา”
    “หากนี่คือชะตากรรมในชีวิตของผมจริงๆ ผมคงต้องยอมรับมัน พวกเขาสามารถจับผม ขังผมได้เลย”

    ทางด้านสำนักงานของประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ กล่าวในแถลงการณ์ว่า นายดูเตอร์เตถูกจับกุมหลังจากเดินทางมาจากฮ่องก
    นายโรดริโก ดูเตอร์เต อดีตประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ ถูกตำรวจจับกุมที่สนามบินนานาชาติในกรุงมะนิลา ตามคำสั่งของศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ที่ยื่นฟ้องต่อเขาในความผิดฐานก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติจากนโยบายสงครามยาเสพติดที่ดูเตอร์เตดำเนินการในช่วงที่มีอำนาจปกครองประเทศ ตามรายงานของตำรวจ มีผู้ต้องสงสัย 6,200 คน ถูกสังหารระหว่างปฏิบัติการปราบปรามยาเสพติด ซึ่งตำรวจชี้แจงว่าเป็นการวิสามัญฆาตกรรมเนื่องจากคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงตอบโต้ แต่กลุ่มนักเคลื่อนไหวกล่าวว่าความเสียหายที่แท้จริงจากการปราบปรามนั้นมากกว่านั้นมาก ดูเตอร์เต เคยกล่าวไว้ว่า ตนพร้อมจะถูกจับกุมหาก ICC ออกหมายจับ และย้ำจุดยืนเรื่องการใช้นโยบายสงครามยาเสพติด “ถ้าหมายจับเป็นเรื่องจริง เพราะอะไรผมจึงทำเช่นนั้นล่ะ ผมทำเพื่อตัวผมเองหรอ เพื่อครอบครัวของผมหรอ เปล่าเลย ผมทำเพื่อประชาชนของผม เพื่อลูกๆ ของพวกเรา และเพื่อประเทศของเรา” “หากนี่คือชะตากรรมในชีวิตของผมจริงๆ ผมคงต้องยอมรับมัน พวกเขาสามารถจับผม ขังผมได้เลย” ทางด้านสำนักงานของประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ กล่าวในแถลงการณ์ว่า นายดูเตอร์เตถูกจับกุมหลังจากเดินทางมาจากฮ่องก
    Like
    1
    0 Comments 1 Shares 600 Views 0 Reviews
  • ปิดตำนานถุงดำอำมหิต! เสียชีวิตปริศนาในเรือนจำ “ผู้กำกับโจ้” ถูกปองร้าย หรือว่า... ฆ่าตัวตาย?

    📌 การเสียชีวิตอย่างกะทันหันของ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือ "ผู้กำกับโจ้" อดีตผู้กำกับการ สภ.เมืองนครสวรรค์ ในเรือนจำกลางคลองเปรม ได้สร้างข้อกังขามากมายให้กับสังคม เกิดคำถามว่า เป็นการฆ่าตัวตายจริง หรือถูกปองร้าย? โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากประวัติ ที่เต็มไปด้วยความอื้อฉาว ทั้งคดีรีดไถ และการคลุมถุงดำผู้ต้องหาจนเสียชีวิต

    แม้ว่ากรมราชทัณฑ์จะออกมาแถลงว่า "ผู้กำกับโจ้เสียชีวิต จากการผูกคอภายในห้องขัง" แต่ญาติและทนายความ กลับสงสัยถึงความเป็นไปได้ ของการถูกทำร้ายในเรือนจำ เรื่องราวนี้จะลงเอยอย่างไร? และมีเงื่อนงำอะไรที่ต้องจับตา?

    📍 ผู้กำกับโจ้เสียชีวิตปริศนาในเรือนจำ เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2568 เวลา 20.50 น. เจ้าหน้าที่เรือนจำกลางคลองเปรมพบ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือ "ผู้กำกับโจ้" นั่งพิงประตูห้องขังในท่าทีผิดปกติ เมื่อตรวจสอบพบว่า ใช้ผ้าขนหนูผูกคอ และไม่มีชีพจร จึงเร่งนำตัวส่งแพทย์ แต่ไม่สามารถยื้อชีวิตไว้ได้

    💬 เรือนจำกลางคลองเปรมยืนยันว่า
    - ไม่พบร่องรอยถูกทำร้ายบนร่างกาย
    - กล้องวงจรปิดไม่พบใครเข้าออกห้องขัง ในช่วงเวลาก่อนเสียชีวิต
    - ผู้กำกับโจ้มีประวัติ "วิตกกังวลและหวาดระแวง" เนื่องจากเป็นอดีตตำรวจ จึงถูกแยกขังเดี่ยว เพื่อความปลอดภัย

    แต่อีกด้านหนึ่ง ทนายความ และครอบครัวของผู้กำกับโจ้ กลับตั้งข้อสังเกตว่า การเสียชีวิตอาจมีเงื่อนงำ เนื่องจากก่อนหน้านี้ มีการแจ้งความว่า ถูกทำร้ายร่างกายในเรือนจำ 🚨

    🔍 คำถามที่สังคมสงสัย ผู้กำกับโจ้ถูกสังหาร หรือว่า... ฆ่าตัวตาย?
    📌 หลักฐานที่สนับสนุนว่า เป็นการฆ่าตัวตาย
    ✔️ ถูกขังเดี่ยว ไม่มีผู้ต้องขังคนอื่นในห้องขัง
    ✔️ ภาพจากกล้องวงจรปิด ไม่มีใครเข้าออกห้องขัง
    ✔️ ประวัติอาการทางจิตเวช มีภาวะเครียด วิตกกังวล และหวาดระแวง
    ✔️ คำให้การของเรือนจำระบุว่า ผู้กำกับโจ้มีพฤติกรรมซึมเศร้า และวิตกกังวลมานาน

    ❗ หลักฐานที่บ่งชี้ว่า อาจถูกฆาตกรรม
    ❌ เคยแจ้งความว่า ถูกทำร้ายร่างกายในเรือนจำ มีใบรับรองแพทย์ยืนยันรอยฟกช้ำ
    ❌ ถูกปฏิเสธการเข้าเยี่ยมจากทนาย ก่อนเสียชีวิต ทนายของผู้กำกับโจ้ ถูกห้ามไม่ให้เข้าไปพบ
    ❌ ปริศนาเรื่องอาวุธที่ใช้ฆ่าตัวตาย ใช้เพียง "ผ้าขนหนู" ผูกคอซึ่งอาจไม่แข็งแรงพอ

    🔎 ข้อสังเกต หากการเสียชีวิตของผู้กำกับโจ้ เป็น "การฆ่าตัวตาย" จริง คำถามสำคัญคือ เหตุใดคนที่เคยเป็นตำรวจผู้มีอิทธิพล และมีเครือข่ายมากมาย จึงตัดสินใจเช่นนี้? หรืออาจเป็นไปได้ว่า มีผู้ไม่ต้องการให้ผู้กำกับโจ้ เปิดเผยข้อมูลบางอย่าง?

    📜 ย้อนรอยคดี "ถุงดำอำมหิต" ต้นเหตุของโศกนาฏกรรม "ผู้กำกับโจ้" กับคดีฆาตกรรม ที่สะเทือนขวัญทั้งประเทศ 🔴

    ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2564 เกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญเมื่อ พันตำรวจเอกธิติสรรค์ อุทธนผล หรือผู้กำกับโจ้ ถูกเปิดโปงว่า ใช้ถุงดำคลุมหัวรีดเงินผู้ต้องหาคดียาเสพติด จนเสียชีวิต ภายในห้องสอบสวน สภ.เมืองนครสวรรค์

    💣 หลักฐานสำคัญ กล้องวงจรปิดเผยให้เห็นชัดว่า ผู้ต้องหาถูกทรมานจนขาดอากาศหายใจ ซึ่งขัดแย้งกับคำชี้แจงของตำรวจ ที่อ้างว่าผู้ต้องหาเสียชีวิต เพราะเสพยาเสพติดเกินขนาด

    ⚖️ ศาลชั้นต้นพิพากษา "ประหารชีวิต" ผู้กำกับโจ้ แต่ลดโทษเหลือ จำคุกตลอดชีวิต เนื่องจากให้การเป็นประโยชน์ ส่วนลูกน้องตำรวจที่ร่วมกระทำผิด ได้รับโทษแตกต่างกัน

    ⚡ ชีวิตในเรือนจำ ผู้กำกับโจ้ถูกคุมขังตั้งแต่ 27 สิงหาคม 2564 มีทรัพย์สินมากมายกว่า สองพันล้านบาท จากคดีทุจริตต่างๆ เคยหวังว่า จะสามารถใช้เส้นสาย และทรัพย์สินช่วยให้พ้นโทษ

    📌 สุดท้ายแล้ว… แม้จะรอดพ้นจากโทษประหาร แต่ชีวิตของผู้กำกับโจ้ ก็ต้องจบลงในเรือนจำ

    🏛️ ความลับที่อาจถูกฝังไปพร้อมกับ "ผู้กำกับโจ้" คำถามสำคัญที่ต้องจับตาต่อไปคือ 🕵🏻‍♂️
    - ผู้กำกับโจ้กำลังซ่อนความลับอะไรอยู่?
    - มีใครต้องการปิดปากผู้กำกับโจ้หรือไม่?
    - มีเครือข่ายอำนาจ หรือกลุ่มผลประโยชน์ ที่เกี่ยวข้องหรือเปล่า?

    🔥 หรือท้ายที่สุดแล้ว การเสียชีวิตของผู้กำกับโจ้ จะเป็นเพียงโศกนาฏกรรมของ "อดีตตำรวจใหญ่" ที่เคยคิดว่า ตัวเองจะอยู่เหนือกฎหมาย?

    🔮 "คดีนี้จบแล้วจริงหรือ?" การเสียชีวิตของ "ผู้กำกับโจ้" ได้สร้างคำถาม ที่ยังไม่มีคำตอบที่แน่ชัด แม้ว่าทางกรมราชทัณฑ์ จะยืนยันว่าเป็น "การฆ่าตัวตาย" แต่หลักฐานหลายอย่าง ทำให้หลายคนอดสงสัยไม่ได้ว่า "มีใครบางคน อยู่เบื้องหลังหรือไม่?" 📢

    ⏳ ขณะนี้อยู่ระหว่างการรอผลชันสูตรศพ ซึ่งอาจเป็นกุญแจสำคัญ ในการไขปริศนาครั้งนี้

    ❗ คดีนี้ยังไม่จบ... และอาจมีเงื่อนงำที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง รอวันถูกเปิดเผย!

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 081808 มี.ค. 2568

    📢 #ผู้กำกับโจ้ #ถุงดำอำมหิต #ตายปริศนา #คดีดัง #ตำรวจไทย #เรือนจำคลองเปรม #ฆ่าตัวตายหรือฆาตกรรม #เปิดโปงความจริง #อำนาจมืด #สะเทือนขวัญ
    ปิดตำนานถุงดำอำมหิต! เสียชีวิตปริศนาในเรือนจำ “ผู้กำกับโจ้” ถูกปองร้าย หรือว่า... ฆ่าตัวตาย? 📌 การเสียชีวิตอย่างกะทันหันของ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือ "ผู้กำกับโจ้" อดีตผู้กำกับการ สภ.เมืองนครสวรรค์ ในเรือนจำกลางคลองเปรม ได้สร้างข้อกังขามากมายให้กับสังคม เกิดคำถามว่า เป็นการฆ่าตัวตายจริง หรือถูกปองร้าย? โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากประวัติ ที่เต็มไปด้วยความอื้อฉาว ทั้งคดีรีดไถ และการคลุมถุงดำผู้ต้องหาจนเสียชีวิต แม้ว่ากรมราชทัณฑ์จะออกมาแถลงว่า "ผู้กำกับโจ้เสียชีวิต จากการผูกคอภายในห้องขัง" แต่ญาติและทนายความ กลับสงสัยถึงความเป็นไปได้ ของการถูกทำร้ายในเรือนจำ เรื่องราวนี้จะลงเอยอย่างไร? และมีเงื่อนงำอะไรที่ต้องจับตา? 📍 ผู้กำกับโจ้เสียชีวิตปริศนาในเรือนจำ เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2568 เวลา 20.50 น. เจ้าหน้าที่เรือนจำกลางคลองเปรมพบ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือ "ผู้กำกับโจ้" นั่งพิงประตูห้องขังในท่าทีผิดปกติ เมื่อตรวจสอบพบว่า ใช้ผ้าขนหนูผูกคอ และไม่มีชีพจร จึงเร่งนำตัวส่งแพทย์ แต่ไม่สามารถยื้อชีวิตไว้ได้ 💬 เรือนจำกลางคลองเปรมยืนยันว่า - ไม่พบร่องรอยถูกทำร้ายบนร่างกาย - กล้องวงจรปิดไม่พบใครเข้าออกห้องขัง ในช่วงเวลาก่อนเสียชีวิต - ผู้กำกับโจ้มีประวัติ "วิตกกังวลและหวาดระแวง" เนื่องจากเป็นอดีตตำรวจ จึงถูกแยกขังเดี่ยว เพื่อความปลอดภัย แต่อีกด้านหนึ่ง ทนายความ และครอบครัวของผู้กำกับโจ้ กลับตั้งข้อสังเกตว่า การเสียชีวิตอาจมีเงื่อนงำ เนื่องจากก่อนหน้านี้ มีการแจ้งความว่า ถูกทำร้ายร่างกายในเรือนจำ 🚨 🔍 คำถามที่สังคมสงสัย ผู้กำกับโจ้ถูกสังหาร หรือว่า... ฆ่าตัวตาย? 📌 หลักฐานที่สนับสนุนว่า เป็นการฆ่าตัวตาย ✔️ ถูกขังเดี่ยว ไม่มีผู้ต้องขังคนอื่นในห้องขัง ✔️ ภาพจากกล้องวงจรปิด ไม่มีใครเข้าออกห้องขัง ✔️ ประวัติอาการทางจิตเวช มีภาวะเครียด วิตกกังวล และหวาดระแวง ✔️ คำให้การของเรือนจำระบุว่า ผู้กำกับโจ้มีพฤติกรรมซึมเศร้า และวิตกกังวลมานาน ❗ หลักฐานที่บ่งชี้ว่า อาจถูกฆาตกรรม ❌ เคยแจ้งความว่า ถูกทำร้ายร่างกายในเรือนจำ มีใบรับรองแพทย์ยืนยันรอยฟกช้ำ ❌ ถูกปฏิเสธการเข้าเยี่ยมจากทนาย ก่อนเสียชีวิต ทนายของผู้กำกับโจ้ ถูกห้ามไม่ให้เข้าไปพบ ❌ ปริศนาเรื่องอาวุธที่ใช้ฆ่าตัวตาย ใช้เพียง "ผ้าขนหนู" ผูกคอซึ่งอาจไม่แข็งแรงพอ 🔎 ข้อสังเกต หากการเสียชีวิตของผู้กำกับโจ้ เป็น "การฆ่าตัวตาย" จริง คำถามสำคัญคือ เหตุใดคนที่เคยเป็นตำรวจผู้มีอิทธิพล และมีเครือข่ายมากมาย จึงตัดสินใจเช่นนี้? หรืออาจเป็นไปได้ว่า มีผู้ไม่ต้องการให้ผู้กำกับโจ้ เปิดเผยข้อมูลบางอย่าง? 📜 ย้อนรอยคดี "ถุงดำอำมหิต" ต้นเหตุของโศกนาฏกรรม "ผู้กำกับโจ้" กับคดีฆาตกรรม ที่สะเทือนขวัญทั้งประเทศ 🔴 ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2564 เกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญเมื่อ พันตำรวจเอกธิติสรรค์ อุทธนผล หรือผู้กำกับโจ้ ถูกเปิดโปงว่า ใช้ถุงดำคลุมหัวรีดเงินผู้ต้องหาคดียาเสพติด จนเสียชีวิต ภายในห้องสอบสวน สภ.เมืองนครสวรรค์ 💣 หลักฐานสำคัญ กล้องวงจรปิดเผยให้เห็นชัดว่า ผู้ต้องหาถูกทรมานจนขาดอากาศหายใจ ซึ่งขัดแย้งกับคำชี้แจงของตำรวจ ที่อ้างว่าผู้ต้องหาเสียชีวิต เพราะเสพยาเสพติดเกินขนาด ⚖️ ศาลชั้นต้นพิพากษา "ประหารชีวิต" ผู้กำกับโจ้ แต่ลดโทษเหลือ จำคุกตลอดชีวิต เนื่องจากให้การเป็นประโยชน์ ส่วนลูกน้องตำรวจที่ร่วมกระทำผิด ได้รับโทษแตกต่างกัน ⚡ ชีวิตในเรือนจำ ผู้กำกับโจ้ถูกคุมขังตั้งแต่ 27 สิงหาคม 2564 มีทรัพย์สินมากมายกว่า สองพันล้านบาท จากคดีทุจริตต่างๆ เคยหวังว่า จะสามารถใช้เส้นสาย และทรัพย์สินช่วยให้พ้นโทษ 📌 สุดท้ายแล้ว… แม้จะรอดพ้นจากโทษประหาร แต่ชีวิตของผู้กำกับโจ้ ก็ต้องจบลงในเรือนจำ 🏛️ ความลับที่อาจถูกฝังไปพร้อมกับ "ผู้กำกับโจ้" คำถามสำคัญที่ต้องจับตาต่อไปคือ 🕵🏻‍♂️ - ผู้กำกับโจ้กำลังซ่อนความลับอะไรอยู่? - มีใครต้องการปิดปากผู้กำกับโจ้หรือไม่? - มีเครือข่ายอำนาจ หรือกลุ่มผลประโยชน์ ที่เกี่ยวข้องหรือเปล่า? 🔥 หรือท้ายที่สุดแล้ว การเสียชีวิตของผู้กำกับโจ้ จะเป็นเพียงโศกนาฏกรรมของ "อดีตตำรวจใหญ่" ที่เคยคิดว่า ตัวเองจะอยู่เหนือกฎหมาย? 🔮 "คดีนี้จบแล้วจริงหรือ?" การเสียชีวิตของ "ผู้กำกับโจ้" ได้สร้างคำถาม ที่ยังไม่มีคำตอบที่แน่ชัด แม้ว่าทางกรมราชทัณฑ์ จะยืนยันว่าเป็น "การฆ่าตัวตาย" แต่หลักฐานหลายอย่าง ทำให้หลายคนอดสงสัยไม่ได้ว่า "มีใครบางคน อยู่เบื้องหลังหรือไม่?" 📢 ⏳ ขณะนี้อยู่ระหว่างการรอผลชันสูตรศพ ซึ่งอาจเป็นกุญแจสำคัญ ในการไขปริศนาครั้งนี้ ❗ คดีนี้ยังไม่จบ... และอาจมีเงื่อนงำที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง รอวันถูกเปิดเผย! ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 081808 มี.ค. 2568 📢 #ผู้กำกับโจ้ #ถุงดำอำมหิต #ตายปริศนา #คดีดัง #ตำรวจไทย #เรือนจำคลองเปรม #ฆ่าตัวตายหรือฆาตกรรม #เปิดโปงความจริง #อำนาจมืด #สะเทือนขวัญ
    0 Comments 0 Shares 860 Views 0 Reviews
  • รีโพสต์จากเพจเฟซบุ๊กPaisan Apacnews ของ ไพสันต์พรหมน้อย 8 มีนาคม 2568“คาสิโนเหรอ...ผมสั่งรื้อมาแล้ว โดย นาวิน ขันธหิรัญเมื่อปี 2541กระทรวงได้ย้ายผมจากนครพนมมาเป็นผู้ว่าสระแก้ว ขณะนั้นปอยเปตในฝั่งเขมรกำลังบูมการก่อสร้างเมืองขนานใหญ่มีการสร้างEntertainment Complexขนาดใหญ่ที่มีCasinoอยู่ด้วยทุกแห่งและมีนักการเมืองใหญ่ทั้งฝ่ายไทยและฝ่ายเขมรเป็นหุ้นส่วนและมีนายซ๊ก อาน มหาเศรษฐีชาวเขมรเป็นผู้ประสานงานเมื่อสร้างเสร็จก็มีการเชิญผู้ใหญ่ฝั่งไทยไปเยี่ยมชมและประชาสัมพันธ์ว่าสร้างขึ้น มาเพื่อรับแขกชาวไทยเป็นหลัก เพื่อเห็นแก่สัมพันธภาพผมก็ไปร่วมชมความเจริญของเพื่อนบ้าน เดินชมไปมาไปพบว่าคาสิโนแห่งหนึ่งปลูกล้ำคลองพรมแดนเข้ามาในเขตไทย ผมจึงเรียกผู้จัดการมาแจ้งให้ทราบว่าคุณสร้างคาสิโนรุกแผ่นดินไทยแล้วยื่นคำขาดให้รื้อถอนออกไป ผู้จัดการเถึยงคอเป็นเอ็นแล้วยืนยันว่าไม่มีใครรื้อได้เพราะเจ้าของใหญ่มากอยู่ในพนมเปญ ผมไม่อยากเถียงกับผู้จัดการจึงตัดบทไปว่า...ไม่เป็นไรถ้าไม่รื้อผมจะปิดพรมแดนไม่ให้คนไทยข้ามมา(ผู้ว่าสามารถเสนอรัฐบาลปิดพรมแดนได้) จากนั้นผมก็เดินทางกลับเช้าวันรุ่งขึ้น11.00น.หน้าห้องได้เข้ามารายงานว่า นายจุม คาดาล ประธานที่ปรึกษานายกฮุนเซนขอเข้าพบอะไรจะรวดเร็วขนาดนั้น ผมพูดเรื่องปิดพรมแดนไม่ถึง24ชั่วโมงประธานที่ปรึกษานายกเขมรก็ถึงตัวผมแล้วถึงตรงนี้เพื่อนๆคงรู้แล้วว่าใครเป็นเจ้าของสถานบริการครบวงจรที่ปอยเปตฝั่งเขมร แล้วฝั่งไทยล่ะ ประเดี๋ยวตัวละครจะค่อยๆโผล่ออกมาเองครับผมออกไปเชิญนายจุม คาดาล ประธานที่ปรึกษานายกด้วยตัวเองแล้วทักทายด้วยอัธยาศัยไมตรีแล้วเชิญเข้ามานั่งเจรจากันในห้องนายจุม คาดาล เล่าให้ผมฟังว่าเมื่อวานนี้เมื่อทราบข่าวว่าคาสิโนแห่งหนึ่งสร้างล้ำเข้าไปในแผ่นดินไทยท่านนายกได้สั่งการให้ผมไปดูข้อเท็จจริงและแก้ปัญหาโดยด่วน เช้านี้ผมเลยใช้ฮ.บินจากพนมเปญมาดูข้อเท็จจริงที่หน้างานพบว่าเป็นไปตามที่ท่านผู้ว่าทักท้วงจริงผมจึงนัดรถแบคโฮลเข้าพื้นที่เพื่อทำการรื้อถอนคาสิโนในส่วนที่ล้ำเข้ามาในแผ่นดินไทยและขอเชิญท่านผู้ว่าไปชี้ว่าจะให้รื้อเข้าไปแค่ไหน บ่ายวันนั้นผมและนายจุม คาดาล จึงไปควบคุมการรื้อคาสิโนเป็นที่เรียบร้อย ผมทวงแผ่นดินไทยกลับมาได้ด้วยศิลปของนักปกครองโดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อและชีวิต ซึ่งน่าจะได้รับคำชมเชยแต่มันไม่เป็นเช่นนั้นครับไม่ถึงเดือนต่อมาก็มีคำสั่งย้ายผมจากสระแก้วไปสมุทรสงครามซึ่งเป็นจังหวัดเล็กกว่าในสายตาของชาวมหาดไทยถือว่าเป็นการลงโทษผมจึงถามผู้บังคับบัญชาว่าย้ายผมทำไมครับท่านตอบว่าคุณไม่รู้หรือว่าคาสิโนนี้เป็นของใคร ท่านขอให้ย้ายคุณเป็นผู้ตรวจด้วยซ้ำ แต่ทางกระทรวงทักท้วงไว้ว่าคุณไม่ได้มีความผิดอะไร แถมยังรักษาแผ่นดินไว้ให้คนไทย เอาแค่ย้ายออกจากสระแก้วและให้ลงจังหวัดเล็กลงก็น่าจะเพียงพอสำหรับผมย้ายไปจังหวัดไหนก็ทำงานได้ทั้งนั้นจังหวัดเล็กลงยิ่งทำงานง่ายขึ้นเมื่อไปรับงานที่สมุทรสงครามผมก็ทำงานอย่างมีความสุข แต่มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งท่านข้องใจไม่หายว่าทำไมผมถูกย้ายลงจังหวัดเล็กลง ทั้งๆที่ผมไม่เคยบอกท่าน ท่านผู้นั้นคือพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ………………………..ถึงตอนนี้เพื่อนๆคงรู้แล้วว่านักการเมืองใหญ่ที่เป็นหุ้นส่วนสถานบันเทิงครบวงจรในปอยเปตนั้นคือใครถ้านึกไม่ออกผมจะบอกให้เจ้าพ่อวังน้ำเย็นไงครับและเป็นคนที่สั่งย้ายผมด้วย ..ถามว่าก่อนสั่งผมรู้ไหมว่าคาสิโนแห่งนี้เป็นของสองผู้ยิ่งใหญ่คู่นี้รู้ครับวันที่ผมสั่งผู้จัดการให้รื้ิอคาสิโนแกตกใจปากคอสั่นและยืนยีนว่ารื้อไม่ได้เป็นอันขาดเพราะเป็นของผู้ใหญ่ในพนมเปญ ซึ่งผมรู้อยู่แล้วว่าเป็นใคร จึงตัดบทไม่เจรจาด้วยส่วนเจ้าพ่อรู้สึกเสียฟอร์มที่คุ้มครองคาสิโนไม่ได้โดยเฉพาะกับฮุนเซนทางเดียวที่พอจะกู้หน้าได้คือเตะโด่งผู้ว่าไปให้พ้นหูพ้นตาเสียจะได้ไม่มายุ่งกับสถานบันเทิงของท่านอีกสะใจจริงๆนาวินใช้ชีวิตได้ผาดโผนน่าสนุกรื้อคาสิโนของนายกบ้าง ของเจ้าพ่อบ้างปัจจุบันรัฐบาลไทยกำลังจะสร้างสถานบันเทิงครบวงจรตามอย่างเขมร ผมอาจจะต้องออกมาช่วยพี่น้องชาวไทยรื้อคาสิโนในเมืองไทยอีกครั้งก็ได้ครับก่อนจบภาคแรกไปผมโปรยทิ้งไว้ว่า มีผู้ใหญ้ท่านหนึ่งข้องใจไม่หายว่าผมถูกย้ายเพราะอะไรท่านนั้นคือพลเอก เปรม ติณสูลานนท์เพื่อนๆคงสงสัยว่าท่านมาเกี่ยวข้องกับผมได้อย่างไรจึงขอย้อนอดีตเล็กน้อย..เมื่อปี 2530กรมย้ายผมมาเป็นนายอำเภอสามพรานโดยอธิบดีดำรง สุนทรศาลทูล เลือกเอามาเองเพราะว่าบ้านอธิบดีอยู่สามพราน เมื่อมารับงานก็พบว่าพลเอกเปรม..รัฐบุรุษท่านตีกอล์ฟอยู่ที่สนามสามพรานทุกอาทิตย์ผมเป็นเจ้าของพื้นที่จึงไปต้อนรับท่าน ปรากฏว่าท่านถูกใจอะไรไม่ทราบชวนผมไปตีกอล์ฟก๊วนเดียวกับท่าน ซึ่งปกติจะไม่มีใครมีโอกาสเข้าร่วมก๊วนเลย ท่านจะตีอยู่กับหมอประสบ รัตนากร เพื่อนท่านและนายทหารคนสนิทเท่านั้นในก๊วนไม่มีการพนันเล่นเพื่อออกกำลังกายเฉยๆ ผมเล่นก๊อล์ฟกับท่านรัฐบุรุษเป็นเวลาหลายปีจนสนิทกันเหมือนญาติผู้ใหญ่ผมได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ว่านครพนมท่านก็เดินทางไปเยี่ยมผม พอผมถูกย้ายมาสมุทรสงครามท่านก็มาอีกและบอกผู้ติดตามทั้งหลายว่าขอคุยกับท่านผู้ว่าเป็นการส่วนตัวดังภาพ...ทันทีที่อยู่กันสองต่อสองท่านก็ยิงคำถามใส่ผมทันที ...ผู้ว่าถูกย้ายเพราะไร ผมไปสั่งรื้อคาสิโนของนายกเขมรและนักการเมืองไทยที่ปลูกล้ำพรมแดนไทยครับ.,..ผมตอบ ...เอางั้นเลยเหรอ แล้วใครสั่งย้ายนักการเมืองไทยครับเขาคงเสียหน้า ท่านพยักหน้ารับทราบและดูยิ้มแย้มขี้น จากนั้นผมก็ส่งท่านขึ้นรถกลับพรัอมทั้งผมถอนหายใจใหญ่โล่งอกที่ไม่ได้ทำให้ท่านรัฐบุรุษผิดหวังท่านเป็นคนสะอาดมากนะครับและจะไม่ยอมให้คนสีเทาเข้ามาใกล้ตัว………………………..ขอคารวะคุณนาวิน ขันธหิรัญ อดีตผู้ว่าสระแก้วที่หาญกล้าทำให้ 2 มหามาเฟียทั้งไทยและเขมรยอมรื้อคาสิโนเขมรที่รุกล้ำพรมแดนไทย สุดยอดจริง ๆ ขอให้ท่านนำการรื้อในไทยอีกนะ ถ้ามาเฟียคนเดิมของเขมรและคนใหม่ไทยในก๊วนเก่าลงมือสร้างขึ้นอีก เท่าที่รวบรวมได้คุณนาวินเป็นผู้ว่าฯจ.นครพนม,จ.สระแก้ว จ.สมุทรสงคราม และเกษียณอายุราชการวันที่ 1 ตุลาคม 2547จากผู้ว่าฯจ.นครปฐม (นักปกครอง 10 ) เพราะอายุครบ 60 ปี ปัจจุบันท่านจะมีอายุ 80 ปีเศษ( บรรยายภาพ - เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 25 เมษายน 2556 นายนาวิน ขันธหิรัญ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ให้เกียรติมาบรรยายพิเศษให้แก่นักศึกษาหลักสูตรปลัดอำเภอ รุ่นที่ 201 รุ่นที่ 202 และรุ่นที่ 203 ในหัวข้อ "ประสบการณ์นักปกครองในการแก้ไขปัญหายาเสพติด" ณ ห้องประชุมใหญ่ ชั้น 4 อาคารสำนักอธิการ วิทยาลัยการปกครอง)”
    รีโพสต์จากเพจเฟซบุ๊กPaisan Apacnews ของ ไพสันต์พรหมน้อย 8 มีนาคม 2568“คาสิโนเหรอ...ผมสั่งรื้อมาแล้ว โดย นาวิน ขันธหิรัญเมื่อปี 2541กระทรวงได้ย้ายผมจากนครพนมมาเป็นผู้ว่าสระแก้ว ขณะนั้นปอยเปตในฝั่งเขมรกำลังบูมการก่อสร้างเมืองขนานใหญ่มีการสร้างEntertainment Complexขนาดใหญ่ที่มีCasinoอยู่ด้วยทุกแห่งและมีนักการเมืองใหญ่ทั้งฝ่ายไทยและฝ่ายเขมรเป็นหุ้นส่วนและมีนายซ๊ก อาน มหาเศรษฐีชาวเขมรเป็นผู้ประสานงานเมื่อสร้างเสร็จก็มีการเชิญผู้ใหญ่ฝั่งไทยไปเยี่ยมชมและประชาสัมพันธ์ว่าสร้างขึ้น มาเพื่อรับแขกชาวไทยเป็นหลัก เพื่อเห็นแก่สัมพันธภาพผมก็ไปร่วมชมความเจริญของเพื่อนบ้าน เดินชมไปมาไปพบว่าคาสิโนแห่งหนึ่งปลูกล้ำคลองพรมแดนเข้ามาในเขตไทย ผมจึงเรียกผู้จัดการมาแจ้งให้ทราบว่าคุณสร้างคาสิโนรุกแผ่นดินไทยแล้วยื่นคำขาดให้รื้อถอนออกไป ผู้จัดการเถึยงคอเป็นเอ็นแล้วยืนยันว่าไม่มีใครรื้อได้เพราะเจ้าของใหญ่มากอยู่ในพนมเปญ ผมไม่อยากเถียงกับผู้จัดการจึงตัดบทไปว่า...ไม่เป็นไรถ้าไม่รื้อผมจะปิดพรมแดนไม่ให้คนไทยข้ามมา(ผู้ว่าสามารถเสนอรัฐบาลปิดพรมแดนได้) จากนั้นผมก็เดินทางกลับเช้าวันรุ่งขึ้น11.00น.หน้าห้องได้เข้ามารายงานว่า นายจุม คาดาล ประธานที่ปรึกษานายกฮุนเซนขอเข้าพบอะไรจะรวดเร็วขนาดนั้น ผมพูดเรื่องปิดพรมแดนไม่ถึง24ชั่วโมงประธานที่ปรึกษานายกเขมรก็ถึงตัวผมแล้วถึงตรงนี้เพื่อนๆคงรู้แล้วว่าใครเป็นเจ้าของสถานบริการครบวงจรที่ปอยเปตฝั่งเขมร แล้วฝั่งไทยล่ะ ประเดี๋ยวตัวละครจะค่อยๆโผล่ออกมาเองครับผมออกไปเชิญนายจุม คาดาล ประธานที่ปรึกษานายกด้วยตัวเองแล้วทักทายด้วยอัธยาศัยไมตรีแล้วเชิญเข้ามานั่งเจรจากันในห้องนายจุม คาดาล เล่าให้ผมฟังว่าเมื่อวานนี้เมื่อทราบข่าวว่าคาสิโนแห่งหนึ่งสร้างล้ำเข้าไปในแผ่นดินไทยท่านนายกได้สั่งการให้ผมไปดูข้อเท็จจริงและแก้ปัญหาโดยด่วน เช้านี้ผมเลยใช้ฮ.บินจากพนมเปญมาดูข้อเท็จจริงที่หน้างานพบว่าเป็นไปตามที่ท่านผู้ว่าทักท้วงจริงผมจึงนัดรถแบคโฮลเข้าพื้นที่เพื่อทำการรื้อถอนคาสิโนในส่วนที่ล้ำเข้ามาในแผ่นดินไทยและขอเชิญท่านผู้ว่าไปชี้ว่าจะให้รื้อเข้าไปแค่ไหน บ่ายวันนั้นผมและนายจุม คาดาล จึงไปควบคุมการรื้อคาสิโนเป็นที่เรียบร้อย ผมทวงแผ่นดินไทยกลับมาได้ด้วยศิลปของนักปกครองโดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อและชีวิต ซึ่งน่าจะได้รับคำชมเชยแต่มันไม่เป็นเช่นนั้นครับไม่ถึงเดือนต่อมาก็มีคำสั่งย้ายผมจากสระแก้วไปสมุทรสงครามซึ่งเป็นจังหวัดเล็กกว่าในสายตาของชาวมหาดไทยถือว่าเป็นการลงโทษผมจึงถามผู้บังคับบัญชาว่าย้ายผมทำไมครับท่านตอบว่าคุณไม่รู้หรือว่าคาสิโนนี้เป็นของใคร ท่านขอให้ย้ายคุณเป็นผู้ตรวจด้วยซ้ำ แต่ทางกระทรวงทักท้วงไว้ว่าคุณไม่ได้มีความผิดอะไร แถมยังรักษาแผ่นดินไว้ให้คนไทย เอาแค่ย้ายออกจากสระแก้วและให้ลงจังหวัดเล็กลงก็น่าจะเพียงพอสำหรับผมย้ายไปจังหวัดไหนก็ทำงานได้ทั้งนั้นจังหวัดเล็กลงยิ่งทำงานง่ายขึ้นเมื่อไปรับงานที่สมุทรสงครามผมก็ทำงานอย่างมีความสุข แต่มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งท่านข้องใจไม่หายว่าทำไมผมถูกย้ายลงจังหวัดเล็กลง ทั้งๆที่ผมไม่เคยบอกท่าน ท่านผู้นั้นคือพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ………………………..ถึงตอนนี้เพื่อนๆคงรู้แล้วว่านักการเมืองใหญ่ที่เป็นหุ้นส่วนสถานบันเทิงครบวงจรในปอยเปตนั้นคือใครถ้านึกไม่ออกผมจะบอกให้เจ้าพ่อวังน้ำเย็นไงครับและเป็นคนที่สั่งย้ายผมด้วย ..ถามว่าก่อนสั่งผมรู้ไหมว่าคาสิโนแห่งนี้เป็นของสองผู้ยิ่งใหญ่คู่นี้รู้ครับวันที่ผมสั่งผู้จัดการให้รื้ิอคาสิโนแกตกใจปากคอสั่นและยืนยีนว่ารื้อไม่ได้เป็นอันขาดเพราะเป็นของผู้ใหญ่ในพนมเปญ ซึ่งผมรู้อยู่แล้วว่าเป็นใคร จึงตัดบทไม่เจรจาด้วยส่วนเจ้าพ่อรู้สึกเสียฟอร์มที่คุ้มครองคาสิโนไม่ได้โดยเฉพาะกับฮุนเซนทางเดียวที่พอจะกู้หน้าได้คือเตะโด่งผู้ว่าไปให้พ้นหูพ้นตาเสียจะได้ไม่มายุ่งกับสถานบันเทิงของท่านอีกสะใจจริงๆนาวินใช้ชีวิตได้ผาดโผนน่าสนุกรื้อคาสิโนของนายกบ้าง ของเจ้าพ่อบ้างปัจจุบันรัฐบาลไทยกำลังจะสร้างสถานบันเทิงครบวงจรตามอย่างเขมร ผมอาจจะต้องออกมาช่วยพี่น้องชาวไทยรื้อคาสิโนในเมืองไทยอีกครั้งก็ได้ครับก่อนจบภาคแรกไปผมโปรยทิ้งไว้ว่า มีผู้ใหญ้ท่านหนึ่งข้องใจไม่หายว่าผมถูกย้ายเพราะอะไรท่านนั้นคือพลเอก เปรม ติณสูลานนท์เพื่อนๆคงสงสัยว่าท่านมาเกี่ยวข้องกับผมได้อย่างไรจึงขอย้อนอดีตเล็กน้อย..เมื่อปี 2530กรมย้ายผมมาเป็นนายอำเภอสามพรานโดยอธิบดีดำรง สุนทรศาลทูล เลือกเอามาเองเพราะว่าบ้านอธิบดีอยู่สามพราน เมื่อมารับงานก็พบว่าพลเอกเปรม..รัฐบุรุษท่านตีกอล์ฟอยู่ที่สนามสามพรานทุกอาทิตย์ผมเป็นเจ้าของพื้นที่จึงไปต้อนรับท่าน ปรากฏว่าท่านถูกใจอะไรไม่ทราบชวนผมไปตีกอล์ฟก๊วนเดียวกับท่าน ซึ่งปกติจะไม่มีใครมีโอกาสเข้าร่วมก๊วนเลย ท่านจะตีอยู่กับหมอประสบ รัตนากร เพื่อนท่านและนายทหารคนสนิทเท่านั้นในก๊วนไม่มีการพนันเล่นเพื่อออกกำลังกายเฉยๆ ผมเล่นก๊อล์ฟกับท่านรัฐบุรุษเป็นเวลาหลายปีจนสนิทกันเหมือนญาติผู้ใหญ่ผมได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ว่านครพนมท่านก็เดินทางไปเยี่ยมผม พอผมถูกย้ายมาสมุทรสงครามท่านก็มาอีกและบอกผู้ติดตามทั้งหลายว่าขอคุยกับท่านผู้ว่าเป็นการส่วนตัวดังภาพ...ทันทีที่อยู่กันสองต่อสองท่านก็ยิงคำถามใส่ผมทันที ...ผู้ว่าถูกย้ายเพราะไร ผมไปสั่งรื้อคาสิโนของนายกเขมรและนักการเมืองไทยที่ปลูกล้ำพรมแดนไทยครับ.,..ผมตอบ ...เอางั้นเลยเหรอ แล้วใครสั่งย้ายนักการเมืองไทยครับเขาคงเสียหน้า ท่านพยักหน้ารับทราบและดูยิ้มแย้มขี้น จากนั้นผมก็ส่งท่านขึ้นรถกลับพรัอมทั้งผมถอนหายใจใหญ่โล่งอกที่ไม่ได้ทำให้ท่านรัฐบุรุษผิดหวังท่านเป็นคนสะอาดมากนะครับและจะไม่ยอมให้คนสีเทาเข้ามาใกล้ตัว………………………..ขอคารวะคุณนาวิน ขันธหิรัญ อดีตผู้ว่าสระแก้วที่หาญกล้าทำให้ 2 มหามาเฟียทั้งไทยและเขมรยอมรื้อคาสิโนเขมรที่รุกล้ำพรมแดนไทย สุดยอดจริง ๆ ขอให้ท่านนำการรื้อในไทยอีกนะ ถ้ามาเฟียคนเดิมของเขมรและคนใหม่ไทยในก๊วนเก่าลงมือสร้างขึ้นอีก เท่าที่รวบรวมได้คุณนาวินเป็นผู้ว่าฯจ.นครพนม,จ.สระแก้ว จ.สมุทรสงคราม และเกษียณอายุราชการวันที่ 1 ตุลาคม 2547จากผู้ว่าฯจ.นครปฐม (นักปกครอง 10 ) เพราะอายุครบ 60 ปี ปัจจุบันท่านจะมีอายุ 80 ปีเศษ( บรรยายภาพ - เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 25 เมษายน 2556 นายนาวิน ขันธหิรัญ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ให้เกียรติมาบรรยายพิเศษให้แก่นักศึกษาหลักสูตรปลัดอำเภอ รุ่นที่ 201 รุ่นที่ 202 และรุ่นที่ 203 ในหัวข้อ "ประสบการณ์นักปกครองในการแก้ไขปัญหายาเสพติด" ณ ห้องประชุมใหญ่ ชั้น 4 อาคารสำนักอธิการ วิทยาลัยการปกครอง)”
    0 Comments 0 Shares 910 Views 0 Reviews
  • ป.ป.ส. ร่วมภาคี เปิดปฏิบัติการ "ตัดไฟแต่ต้นลม" ครั้งที่ 3 ทลายเครือข่ายส่งออกไอซ์-เฮโรอีนข้ามชาติ ยึดทรัพย์สินรวม มูลค่า 80 ล้านบาท

    วันนี้ (5 มี.ค.) พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส. , นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย , นายปฤณ เมฆานันท์ ผู้อำนวยการสำนักปราบปรามยาเสพติด สำนักงาน ป.ป.ส. , นายธันวา ผุดผ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติดภาค 5 , พล.ต.ต.มานพ เสนากูล ผบก.ภ.จว.เชียงราย , พล.ต.ต.อดิศ เจริญสวัสดิ์ ผบก.ปส.3 บช.ปส. , พ.อ.จักรพงษ์ สอดสี รอง ผบ.ฉก.ทัพเจ้าตาก และ พ.อ.ปริญญา วีระศรีนารา หัวหน้าศูนย์ข่าวยาเสพติด ฝ่ายข่าวศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก ร่วมแถลงผลปฏิบัติการ ตัดไฟแต่ต้นลม ครั้งที่ 3 ปฏิบัติการปิดล้อมตรวจค้นพื้นที่ 10 จุดปฏิบัติการ 6 จังหวัด (จ.เชียงราย 2 จุด/ จ.เชียงใหม่ 2 จุด/ จ.สุพรรณบุรี 2 จุด/ จ.อ่างทอง 2 จุด/ จ.สุโขทัย 1 จุด / จ.พระนครศรีอยุธยา 1 จุด) เพื่อติดตามจับกุมบุคคลตามหมายจับ 3 คน

    พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ (เลขาธิการ ป.ป.ส.) กล่าวว่า ปฏิบัติการดังกล่าวเกี่ยวข้องกับ เครือข่ายส่งออกไอซ์ - เฮโรอีน ข้ามชาติ สืบเนื่องจาก คดีการจับกุมเมื่อวันที่ 22 ต.ค.67 สำนักปราบปรามยาเสพติด สำนักงาน ป.ป.ส. ร่วมกับ หน่วยงานภาคี จับกุมผู้ต้องหารวม 3 คน พร้อมเฮโรอีน 154 กิโลกรัม เหตุเกิดที่ จ.ชัยนาท ต่อเนื่อง จ.สุพรรณบุรี เครือข่ายดังกล่าวมีพฤติการณ์ซุกซ่อนเฮโรอีนในช่องลับภายในรถตู้ โดยลักลอบลำเลียงมาจากพื้นที่ชายแดน ด้าน จ.เชียงราย เข้าสู่พื้นที่ตอนในของประเทศก่อนจะส่งต่อไปยังปลายทางประเทศที่สาม ในครั้งนั้นสามารถตรวจยึดทรัพย์สินได้กว่า 7.6 ล้านบาท

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000021390

    #MGROnline #ตัดไฟแต่ต้นลม
    ป.ป.ส. ร่วมภาคี เปิดปฏิบัติการ "ตัดไฟแต่ต้นลม" ครั้งที่ 3 ทลายเครือข่ายส่งออกไอซ์-เฮโรอีนข้ามชาติ ยึดทรัพย์สินรวม มูลค่า 80 ล้านบาท • วันนี้ (5 มี.ค.) พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส. , นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย , นายปฤณ เมฆานันท์ ผู้อำนวยการสำนักปราบปรามยาเสพติด สำนักงาน ป.ป.ส. , นายธันวา ผุดผ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติดภาค 5 , พล.ต.ต.มานพ เสนากูล ผบก.ภ.จว.เชียงราย , พล.ต.ต.อดิศ เจริญสวัสดิ์ ผบก.ปส.3 บช.ปส. , พ.อ.จักรพงษ์ สอดสี รอง ผบ.ฉก.ทัพเจ้าตาก และ พ.อ.ปริญญา วีระศรีนารา หัวหน้าศูนย์ข่าวยาเสพติด ฝ่ายข่าวศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก ร่วมแถลงผลปฏิบัติการ ตัดไฟแต่ต้นลม ครั้งที่ 3 ปฏิบัติการปิดล้อมตรวจค้นพื้นที่ 10 จุดปฏิบัติการ 6 จังหวัด (จ.เชียงราย 2 จุด/ จ.เชียงใหม่ 2 จุด/ จ.สุพรรณบุรี 2 จุด/ จ.อ่างทอง 2 จุด/ จ.สุโขทัย 1 จุด / จ.พระนครศรีอยุธยา 1 จุด) เพื่อติดตามจับกุมบุคคลตามหมายจับ 3 คน • พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ (เลขาธิการ ป.ป.ส.) กล่าวว่า ปฏิบัติการดังกล่าวเกี่ยวข้องกับ เครือข่ายส่งออกไอซ์ - เฮโรอีน ข้ามชาติ สืบเนื่องจาก คดีการจับกุมเมื่อวันที่ 22 ต.ค.67 สำนักปราบปรามยาเสพติด สำนักงาน ป.ป.ส. ร่วมกับ หน่วยงานภาคี จับกุมผู้ต้องหารวม 3 คน พร้อมเฮโรอีน 154 กิโลกรัม เหตุเกิดที่ จ.ชัยนาท ต่อเนื่อง จ.สุพรรณบุรี เครือข่ายดังกล่าวมีพฤติการณ์ซุกซ่อนเฮโรอีนในช่องลับภายในรถตู้ โดยลักลอบลำเลียงมาจากพื้นที่ชายแดน ด้าน จ.เชียงราย เข้าสู่พื้นที่ตอนในของประเทศก่อนจะส่งต่อไปยังปลายทางประเทศที่สาม ในครั้งนั้นสามารถตรวจยึดทรัพย์สินได้กว่า 7.6 ล้านบาท • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000021390 • #MGROnline #ตัดไฟแต่ต้นลม
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 568 Views 0 Reviews
  • ปมร้อน ข่าวลึก : ปลุก “พลังเงียบ” เลือก ก.อ.หักโพย “ขาใหญ่อัยการ” คุมกำเนิด “ทายาทอสูร”
    .
    งวดเข้ามาทุกขณะ อีเวนท์ใหญ่ปีนี้ของ สำนักงานอัยการสูงสุด ที่จะมีการเลือกตั้ง ประธาน และคณะกรรมการอัยการ หรือ “ก.อ.” ชุดใหม่ โดยเริ่มจากการเลือกตั้ง “ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒิ” ที่กำลังจะหมดวาระดำรงตำแหน่ง 2 ปีตามกฎหมายกำหนด
    .
    โดยในส่วนของการเลือกตั้ง “ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒิ” นั้นได้เริ่มดำเนินการเปิดรับสมัคร และทาบทามมาแล้วตั้งแต่เดือนมกราคม 2568 กระทั่งได้ผู้สมัครรวม 26 ราย ที่จะช่วงชิง 8 เก้าอี้ ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒิ ร่วมกับประธาน ก.อ. 1 คน ที่กำหนดว่า ปัจจุบันไม่ใช่ข้าราชการอัยการและมีคุณสมบัติตามกฎหมายมาจากการเลือกตั้งของพนักงานอัยการทั่วประเทศ และอัยการสูงสุดเป็นรองประธาน ก.อ.โดยตำแหน่ง ทั้งให้รวมรองอัยการสูงสุดตั้งแต่อาวุโสอันดับ 1-5 เป็น ก.อ.โดยตำแหน่งเช่นเดียวกัน รวมเป็น 15 คน ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการฉบับปัจจุบัน
    .
    สำหรับการลงคะแนนเลือกตั้ง 8 ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒินั้น จะเป็นการเลือกของอัยการทั่วประเทศ แบ่งเป็นกลุ่มอัยการชั้น 5 ขึ้นไป จำนวน 4 คนที่ได้คะแนนสูงสุด ซึ่งครั้งนี้มีผู้สมัคร 13 คน, กลุ่มอัยการที่เกษียณอายุราชการ จำนวน 2 คน ที่ได้คะแนนสูงสุดจากผู้สมัคร 9 คน และกลุ่มผู้ที่ไม่เป็นหรือเคยเป็นอัยการมาก่อน และเป็นผู้ทรงคุณวุฒิด้านการงบประมาณ การพัฒนาองค์กร หรือการบริหารจัดการ จำนวน 2 คนที่ได้คะแนนสูงสุดจากผู้สมัคร 4 คน
    .
    โดยขณะนี้มีการทยอยลงคะแนน ก่อนจะมีการปิดผนึกลงคะแนนกันเพื่อส่งเข้าส่วนกลางในวันจันทร์ที่ 10 มีนาคม 2568 และกำหนดนับคะแนนในวันรุ่งขึ้น อังคารที่ 12 มีนาคม 2568
    .
    สำหรับ 8 ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒิที่เปิดให้อัยการทั่วประเทศมีส่วนร่วมในการลงคะแนนถือเป็นจุดชี้ขาดความเป็นไปขององค์การอัยการ ด้วยที่ผ่านมาหลังใช้ระบบนี้ ก็มักถูก “ขาใหญ่อัยการ” ทั้งอดีต-ปัจจุบัน วางเส้นสายไลน์อำนาจผ่านการเลือกตั้ง ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อสืบทอดอำนาจ สร้างอิทธิพลของตัวเองและพวกพ้อง ส่งคนของตัวเองเข้ามาเสนอตัวเป็นแคนดิเดต
    .
    ตลอดจนมีปฏิบัติการล็อบบี้ในทางลับให้อัยการผู้น้อยทั่วประเทศลงคะแนนให้ลงคะแนนเลือกผู้สมัครตาม “โพย” โดยไม่ได้คำนึงถึงความรู้ความสามารถ หรือคุณงามความดีใดๆ เพียงแค่ต้องตรงสเปก “กดปุ่ม” สั่งการได้เท่านั้น
    .
    โดยทำกันในรูปแบบขบวนการที่หวังเข้าฮุบอำนาจของที่ประชุม ก.อ. ซึ่งมี “พระเดช-พระคุณ” กับข้าราชการอัยการทุกระดับ ทั้งการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ, การพิจารณาดำเนินการทางวินัย และการสั่งลงโทษทางวินัยข้าราชการอัยการที่กระทำผิดระเบียบ รวมทั้งการพิจารณาออกระเบียบบริหารงานบุคคลอัตรากำลังข้าราชการฝ่ายอัยการ
    .
    โดยเฉพาะอำนาจในการพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายตำแหน่งข้าราชการอัยการ ที่รวมไปถึงตำแหน่ง “อัยการสูงสุด” ที่ต้องผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุม ก.อ. ก่อนส่งให้ วุฒิสภา ให้ความเห็นชอบอีกครั้ง และนำความขึ้นกราบบังคมทูล เพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งในลำดับถัดไปด้วย
    .
    ครั้งนี้ก็เช่นกันในจำนวนอัยการชั้น 5 ขึ้นไปที่สมัครเข้ามา 13 รายนั้น คนในวงการก็มองออกว่า ใครเป็นใคร ใครเด็กใคร และใครเป็นตัวเต็งที่ “ขาใหญ่” ส่งเข้าประกวด
    .
    ตรงนี้เองที่ต้องถามใจอัยการทั่วประเทศที่เป็น “โหวตเตอร์” ว่ายังจะยอมตกเป็นเครื่องมือปั้น “ทายาทอสูร” เหมือนที่ผ่านๆมาอีกหรือไม่ เพราะต้องไม่ลืมว่า การปล่อยให้มีการสืบทอดอำนาจผ่านที่ประชุม ก.อ.เช่นนี้ นับวันจะทำให้ ”อัยการ“ ถลำเข้าสู่ “วงจรอุบาทว์” จนมีส่วนสำคัญในการฉุดภาพลักษณ์องค์กรทนายแผ่นดินให้ตกต่ำอย่างเช่นในปัจจุบัน
    .
    การเลือก ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒิ ครั้งนี้จึงเป็นโอกาสดีที่อัยการผู้รักในองค์กรจะร่วมกันปลุก “พลังเงียบ” ยกระดับมาตรฐานการเลือกบุคคล ขึ้นมางัดง้างกับ “ขาใหญ่” ตัดตอนคุมกำเนิด “ทายาทอสูร” ผ่านการลงคะแนนเลือก ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒิ โดยคำนึงถึงความรู้ความสามารถ วิสัยทัศน์ ผลงาน หรือคุณธรรมความดี ของแคนดิเดตเป็นสำคัญ
    .
    โดยขณะนี้ในหมู่พลังเงียบก็มีการกล่าวขวัญถึงแคนดิเดต ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒิ ที่ดูจะมีความเหมาะสม และเป็นความหวังในการเข้าไปต่อกรโค่นล้มวงจร “ขั้วอำนาจเก่า”
    .
    โดยในกลุ่มที่เป็นข้าราชการอัยการตั้งแต่ชั้น 5 ขึ้นไป 4 คน คือ ชัยนันท์ งามขจรกุลกิจ อธิบดีอัยการสำนักงานคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ, ณรงค์ ศรีระสันต์ รองอธิบดีอัยการภาค 9, ต่อศักดิ์ บูรณะเรืองโรจน์ รองอธิบดีอัยการสำนักงานคณะกรรมการอัยการ และ น้ำแท้ มีบุญสล้าง เลขานุการรองอัยการสูงสุด
    .
    รวมกับ 2 แคนดิเดตจากกลุ่มอัยการที่เกษียณอายุราชการ ได้แก่ ชนิญญา ชัยสุวรรณ อดีตอธิบดีอัยการคดียาเสพติด และ อภิชาต อาสภวิริยะ อดีตอธิบดีอัยการคดีศาลสูง
    .
    และอีก 2 แคนดิเดตจากกลุ่มผู้ที่ไม่เป็นหรือเคยเป็นอัยการมาก่อน และเป็นผู้ทรงคุณวุฒิด้านการงบประมาณ การพัฒนาองค์กร หรือการบริหารจัดการ คือ พ.ต.อ.วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร เลขาธิการสถาบันเพื่อการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม และ รศ.ดร.เจษฏ์ โทณะวณิก ประธานคณะนิติศาสตร์วิทยาลัยบัณฑิตเอเชีย
    .
    ซึ่งหาก “พลังเงียบ” สามัคคียึดโยงผลประโยชน์องค์กรกันอย่างเข้มแข็ง ก็น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของการกอบกู้ศรัทธาองค์กรอัยการให้กลับมาเป็นที่ยอมรับน่าเชื่อถือได้อีกครั้ง.
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://news1live.com/detail/9680000021277
    .
    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes

    ปมร้อน ข่าวลึก : ปลุก “พลังเงียบ” เลือก ก.อ.หักโพย “ขาใหญ่อัยการ” คุมกำเนิด “ทายาทอสูร” . งวดเข้ามาทุกขณะ อีเวนท์ใหญ่ปีนี้ของ สำนักงานอัยการสูงสุด ที่จะมีการเลือกตั้ง ประธาน และคณะกรรมการอัยการ หรือ “ก.อ.” ชุดใหม่ โดยเริ่มจากการเลือกตั้ง “ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒิ” ที่กำลังจะหมดวาระดำรงตำแหน่ง 2 ปีตามกฎหมายกำหนด . โดยในส่วนของการเลือกตั้ง “ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒิ” นั้นได้เริ่มดำเนินการเปิดรับสมัคร และทาบทามมาแล้วตั้งแต่เดือนมกราคม 2568 กระทั่งได้ผู้สมัครรวม 26 ราย ที่จะช่วงชิง 8 เก้าอี้ ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒิ ร่วมกับประธาน ก.อ. 1 คน ที่กำหนดว่า ปัจจุบันไม่ใช่ข้าราชการอัยการและมีคุณสมบัติตามกฎหมายมาจากการเลือกตั้งของพนักงานอัยการทั่วประเทศ และอัยการสูงสุดเป็นรองประธาน ก.อ.โดยตำแหน่ง ทั้งให้รวมรองอัยการสูงสุดตั้งแต่อาวุโสอันดับ 1-5 เป็น ก.อ.โดยตำแหน่งเช่นเดียวกัน รวมเป็น 15 คน ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการฉบับปัจจุบัน . สำหรับการลงคะแนนเลือกตั้ง 8 ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒินั้น จะเป็นการเลือกของอัยการทั่วประเทศ แบ่งเป็นกลุ่มอัยการชั้น 5 ขึ้นไป จำนวน 4 คนที่ได้คะแนนสูงสุด ซึ่งครั้งนี้มีผู้สมัคร 13 คน, กลุ่มอัยการที่เกษียณอายุราชการ จำนวน 2 คน ที่ได้คะแนนสูงสุดจากผู้สมัคร 9 คน และกลุ่มผู้ที่ไม่เป็นหรือเคยเป็นอัยการมาก่อน และเป็นผู้ทรงคุณวุฒิด้านการงบประมาณ การพัฒนาองค์กร หรือการบริหารจัดการ จำนวน 2 คนที่ได้คะแนนสูงสุดจากผู้สมัคร 4 คน . โดยขณะนี้มีการทยอยลงคะแนน ก่อนจะมีการปิดผนึกลงคะแนนกันเพื่อส่งเข้าส่วนกลางในวันจันทร์ที่ 10 มีนาคม 2568 และกำหนดนับคะแนนในวันรุ่งขึ้น อังคารที่ 12 มีนาคม 2568 . สำหรับ 8 ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒิที่เปิดให้อัยการทั่วประเทศมีส่วนร่วมในการลงคะแนนถือเป็นจุดชี้ขาดความเป็นไปขององค์การอัยการ ด้วยที่ผ่านมาหลังใช้ระบบนี้ ก็มักถูก “ขาใหญ่อัยการ” ทั้งอดีต-ปัจจุบัน วางเส้นสายไลน์อำนาจผ่านการเลือกตั้ง ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อสืบทอดอำนาจ สร้างอิทธิพลของตัวเองและพวกพ้อง ส่งคนของตัวเองเข้ามาเสนอตัวเป็นแคนดิเดต . ตลอดจนมีปฏิบัติการล็อบบี้ในทางลับให้อัยการผู้น้อยทั่วประเทศลงคะแนนให้ลงคะแนนเลือกผู้สมัครตาม “โพย” โดยไม่ได้คำนึงถึงความรู้ความสามารถ หรือคุณงามความดีใดๆ เพียงแค่ต้องตรงสเปก “กดปุ่ม” สั่งการได้เท่านั้น . โดยทำกันในรูปแบบขบวนการที่หวังเข้าฮุบอำนาจของที่ประชุม ก.อ. ซึ่งมี “พระเดช-พระคุณ” กับข้าราชการอัยการทุกระดับ ทั้งการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ, การพิจารณาดำเนินการทางวินัย และการสั่งลงโทษทางวินัยข้าราชการอัยการที่กระทำผิดระเบียบ รวมทั้งการพิจารณาออกระเบียบบริหารงานบุคคลอัตรากำลังข้าราชการฝ่ายอัยการ . โดยเฉพาะอำนาจในการพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายตำแหน่งข้าราชการอัยการ ที่รวมไปถึงตำแหน่ง “อัยการสูงสุด” ที่ต้องผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุม ก.อ. ก่อนส่งให้ วุฒิสภา ให้ความเห็นชอบอีกครั้ง และนำความขึ้นกราบบังคมทูล เพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งในลำดับถัดไปด้วย . ครั้งนี้ก็เช่นกันในจำนวนอัยการชั้น 5 ขึ้นไปที่สมัครเข้ามา 13 รายนั้น คนในวงการก็มองออกว่า ใครเป็นใคร ใครเด็กใคร และใครเป็นตัวเต็งที่ “ขาใหญ่” ส่งเข้าประกวด . ตรงนี้เองที่ต้องถามใจอัยการทั่วประเทศที่เป็น “โหวตเตอร์” ว่ายังจะยอมตกเป็นเครื่องมือปั้น “ทายาทอสูร” เหมือนที่ผ่านๆมาอีกหรือไม่ เพราะต้องไม่ลืมว่า การปล่อยให้มีการสืบทอดอำนาจผ่านที่ประชุม ก.อ.เช่นนี้ นับวันจะทำให้ ”อัยการ“ ถลำเข้าสู่ “วงจรอุบาทว์” จนมีส่วนสำคัญในการฉุดภาพลักษณ์องค์กรทนายแผ่นดินให้ตกต่ำอย่างเช่นในปัจจุบัน . การเลือก ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒิ ครั้งนี้จึงเป็นโอกาสดีที่อัยการผู้รักในองค์กรจะร่วมกันปลุก “พลังเงียบ” ยกระดับมาตรฐานการเลือกบุคคล ขึ้นมางัดง้างกับ “ขาใหญ่” ตัดตอนคุมกำเนิด “ทายาทอสูร” ผ่านการลงคะแนนเลือก ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒิ โดยคำนึงถึงความรู้ความสามารถ วิสัยทัศน์ ผลงาน หรือคุณธรรมความดี ของแคนดิเดตเป็นสำคัญ . โดยขณะนี้ในหมู่พลังเงียบก็มีการกล่าวขวัญถึงแคนดิเดต ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒิ ที่ดูจะมีความเหมาะสม และเป็นความหวังในการเข้าไปต่อกรโค่นล้มวงจร “ขั้วอำนาจเก่า” . โดยในกลุ่มที่เป็นข้าราชการอัยการตั้งแต่ชั้น 5 ขึ้นไป 4 คน คือ ชัยนันท์ งามขจรกุลกิจ อธิบดีอัยการสำนักงานคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ, ณรงค์ ศรีระสันต์ รองอธิบดีอัยการภาค 9, ต่อศักดิ์ บูรณะเรืองโรจน์ รองอธิบดีอัยการสำนักงานคณะกรรมการอัยการ และ น้ำแท้ มีบุญสล้าง เลขานุการรองอัยการสูงสุด . รวมกับ 2 แคนดิเดตจากกลุ่มอัยการที่เกษียณอายุราชการ ได้แก่ ชนิญญา ชัยสุวรรณ อดีตอธิบดีอัยการคดียาเสพติด และ อภิชาต อาสภวิริยะ อดีตอธิบดีอัยการคดีศาลสูง . และอีก 2 แคนดิเดตจากกลุ่มผู้ที่ไม่เป็นหรือเคยเป็นอัยการมาก่อน และเป็นผู้ทรงคุณวุฒิด้านการงบประมาณ การพัฒนาองค์กร หรือการบริหารจัดการ คือ พ.ต.อ.วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร เลขาธิการสถาบันเพื่อการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม และ รศ.ดร.เจษฏ์ โทณะวณิก ประธานคณะนิติศาสตร์วิทยาลัยบัณฑิตเอเชีย . ซึ่งหาก “พลังเงียบ” สามัคคียึดโยงผลประโยชน์องค์กรกันอย่างเข้มแข็ง ก็น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของการกอบกู้ศรัทธาองค์กรอัยการให้กลับมาเป็นที่ยอมรับน่าเชื่อถือได้อีกครั้ง. . อ่านเพิ่มเติม..https://news1live.com/detail/9680000021277 . #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    3
    0 Comments 0 Shares 1132 Views 0 Reviews
  • สงครามการค้าระหว่างอเมริกากับหุ้นส่วนเศรษฐกิจและคู่ค้ารายใหญ่ที่สุด 3 ชาติยิ่งบานปลายขยายตัว หลังจากทรัมป์ยืนยันว่ามาตรการขึ้นอัตราภาษีศุลกากรที่เงื้อง่าอยู่ เริ่มมีผลบังคับใช้กับแคนาดา เม็กซิโก และจีนแน่นอนส่งผลให้ปักกิ่งและออตตาวาประกาศตอบโต้แบบทันควัน ขณะที่เม็กซิโกก็ระบุเอาคืนแน่นอน แต่ยังไม่ได้ให้รายละเอียด
    .
    หลังเวลาเที่ยงคืนของวันจันทร์ (3 มี.ค.) ตามเวลาภาคตะวันออกของสหรัฐฯ (ซึ่งช้ากว่าเวลาเมืองไทย 12 ชั่วโมง) สินค้าแคนาดาและเม็กซิโกที่นำเข้าไปยังอเมริกา ซึ่งมีมูลค่ารวมกันสูงกว่า 918,000 ล้านดอลลาร์จะถูกเรียกเก็บภาษีศุลกากรสูงขึ้น 25% รวด เวลาเดียวกันประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยังรีดภาษีจากสินค้านำเข้าจากจีนสูงขึ้นอีก 10% จากที่เพิ่มขึ้นไปแล้ว 10% เมื่อเดือนกุมภาพันธ์
    .
    ด้านนายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโด แถลงว่า แคนาดาจะตอบโต้โดยเรียกเก็บภาษีศุลกากรเพิ่ม 25% จากสินค้าอเมริกันมูลค่ากว่า 100,000 ล้านดอลลาร์ในช่วง 21 วัน ขณะที่ประธานาธิบดี เกลาเดีย เชย์นเบาม์ ระบุว่าความเคลื่อนไหวช่นนี้ของสหรัฐฯไม่มีความชอบธรรม และประกาศจะตอบโต้กลับด้วยมาตรการภาษีของตัวเอง
    .
    ผู้นำหญิงของเม็กซิโกบอกว่า เธอจะประกาศรายการสินค้านำเข้าจากอเมริกาที่จะตกเป็นเป้าถูกขึ้นภาษีตอบโต้ในวันอาทิตย์ (9) นี้ ณ งานพิธีซึ่งกำหนดจัดขึ้นที่จัตุรัสใจกลางเมืองหลวงเม็กซิโกซิตี ท่าทีเช่นนี้ทำให้มองกันว่าการเลื่อนช้าออกไปเช่นนี้บ่งชี้ว่าเม็กซิโกยังคงมีความหวังที่จะเจรจาต่อรองกันก่อนเพื่อไม่ให้สงครามการค้าบานปลาย
    .
    แรกทีเดียวนั้น มาตรการภาษีศุลกากรสินค้าแคนาดาและเม็กซิโกจะเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ทว่า ทรัมป์ตกลงขยายเวลาออกไป 30 วันเพื่อเจรจาเพิ่มเติมกับสองประเทศคู่ค้าใหญ่ที่สุดของอเมริกา สำหรับเหตุผลในการขึ้นภาษีคือ เพื่อให้สองประเทศเพื่อนบ้านนี้จัดการปัญหาการลักลอบขนยาเสพติด โดยเฉพาะ เฟนทานิล และปัญหาการลักลอบเข้าเมืองผ่านดินแดนของประเทศทั้งสองเข้ามายังสหรัฐฯ
    .
    ขณะที่ทั้งสองชาติต่างยืนยันว่า มีความคืบหน้าในการแก้ปัญหา ทว่า ทรัมป์กลับบอกเพิ่มเติมว่า จะลดภาษีศุลกากรต่อเมื่อการขาดดุลการค้าของอเมริกาต่อเม็กซิโกและแคนาดาสิ้นสุดลง ถึงแม้เรื่องหลังนี้ย่อมเป็นกระบวนการที่ไม่สามารถแก้ไขได้ตามกรอบเวลาทางการเมือง
    .
    มีผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์กันว่า มาตรการที่สหรัฐฯขึ้นภาษีศุลกากรกับแคนาดาและเม็กซิโก น่าจะส่งผลสะท้อนกลับกระทบถึงเศรษฐกิจอเมริกันอย่างแรงๆ และดังนั้นจึงอาจบังคับใช้ได้เพียงช่วงสั้นๆ และสิ่งที่ทรัมป์อาจเลือกกระทำต่อไป อาจเป็นการหันไปรีดภาษีจากสินค้านำเข้าจากสหภาพยุโรป และอินเดีย รวมทั้งพวก ชิปคอมพิวเตอร์ ยานยนต์ และยาเวชภัณฑ์นำเข้าเพิ่มมากขึ้น
    .
    ในส่วนของจีนนั้น ปักกิ่งประณามการบังคับใช้มาตรการ “ตามอำเภอใจฝ่ายเดียว” เช่นนี้ของอเมริกา และประกาศตอบโต้ทันทีด้วยการเรียกเก็บภาษีศุลกากรเพิ่ม 15% จากสินค้าเกษตรและอาหารของอเมริกามูลค่า 21,000 ล้านดอลลาร์ มีผลตั้งแต่สัปดาห์หน้า รวมทั้งเพิ่มบริษัทอเมริกันอีก 25 แห่งในบัญชีรายชื่อบริษัทที่ถูกจำกัดการส่งออกและการลงทุนภายใต้เหตุผลด้านความมั่นคงแห่งชาติ
    .
    ทั้งนี้ จีนเป็นตลาดใหญ่ที่สุดที่รองรับสินค้าเกษตรของอเมริกา โดยปีที่แล้ว แม้จีนนำเข้าสินค้าเกษตรสหรัฐฯ ลดลงเป็นปีที่สอง แต่ก็ยังคงมีมูลค่าถึง 29,250 ล้านดอลลาร์ เท่าที่ผ่านมาภาคเศรษฐกิจนี้มักถูกใช้เป็นกระสอบทรายในยามที่สถานการณ์การค้าระหว่าง 2 ประเทศตึงเครียด โดยเฉพาะในเมื่อพวกรัฐที่เศรษฐกิจพึ่งพาการเกษตรอย่างมาก ยังเป็นพวกรัฐฐานเสียงของทรัมป์และรีพับลิกันอีกด้วย
    .
    ในวันอังคาร (3) กระทรวงการต่างประเทศจีนออกมาแถลงว่า จีนจะไม่ยอมจำนนต่อการรังแกหรือข่มขู่ และสำทับว่า การพยายามกดดันจีนเป็นการคำนวณผิดพลาด
    .
    อย่างไรก็ดี พวกนักวิเคราะห์เชื่อว่า ปักกิ่งยังหวังว่าจะสามารถเปิดการเจรจาสงบศึกกับคณะบริหารของทรัมป์ จึงกำหนดภาษีตอบโต้ในอัตราต่ำกว่า 20% เพื่อให้คณะผู้เจรจาของตนสามารถต่อรองและบรรลุข้อตกลงได้สำเร็จ ทว่าเมื่อการตอบโต้กันไปมาชักบานปลายออกไป มันก็อาจลดโอกาสที่ทั้งสองฝ่ายจะประนีประนอมกันได้
    .
    เวลาเดียวกัน สำนักข่าวเอพีเสนอรายงานข่าวที่ระบุว่า ผู้นำสหรัฐฯ กำลังทำให้เศรษฐกิจของทั่วโลกผันผวนและไร้ความแน่นอน เนื่องจากไม่มีใครคาดเดาได้ว่า ทรัมป์จะทำอะไรต่อไป
    .
    การเรียกเก็บภาษีศุลกากรสินค้าแคนาดาและเม็กซิโกแบบเหวี่ยงแหยังมีแนวโน้มส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานของภาคอุตสาหกรรมสำคัญ เช่น ยานยนต์และวัสดุก่อสร้าง และเสี่ยงทำให้ค่าครองชีพของประชาชนเพิ่มขึ้น
    .
    นักเศรษฐศาสตร์ตั้งข้อสังเกตว่า มาตรการภาษีของทรัมป์อาจทำให้ราคาผู้บริโภคในสหรัฐฯพุ่งขึ้น และเพิ่มความกดดันต่อการเติบโตและการจ้างงานในอเมริกา
    .
    มูลนิธิแท็กซ์ ฟาวน์เดชัน ของสหรัฐฯประเมินว่า มาตรการภาษีต่อแคนาดา เม็กซิโก และจีนจะทำให้อัตราเติบโตของอเมริกาหายไป 0.1% ทั้งนี้ ยังไม่คำนวณผลกระทบจากมาตรการตอบโต้ของทั้งสามชาติ
    .
    ไดแอน สวองค์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของเคพีเอ็มจี เตือนว่า ถ้าทรัมป์ยังเดินตามแผนรีดภาษีต่อไป อัตราภาษีศุลกากรของอเมริกาอาจเพิ่มขึ้นถึงระดับสูงสุดนับจากปี 1936 ภายในต้นปีหน้า โดยที่ทั้งผู้บริโภคและผู้ผลิตของสหรัฐฯจะต้องเป็นผู้รับภาระหนักจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากภาษีศุลกากร ซึ่งอาจส่งผลตามมาทำให้ดีมานด์ลดลง และภาคธุรกิจต้องปลดพนักงานเพื่อควบคุมต้นทุน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000021232
    ..............
    Sondhi X
    สงครามการค้าระหว่างอเมริกากับหุ้นส่วนเศรษฐกิจและคู่ค้ารายใหญ่ที่สุด 3 ชาติยิ่งบานปลายขยายตัว หลังจากทรัมป์ยืนยันว่ามาตรการขึ้นอัตราภาษีศุลกากรที่เงื้อง่าอยู่ เริ่มมีผลบังคับใช้กับแคนาดา เม็กซิโก และจีนแน่นอนส่งผลให้ปักกิ่งและออตตาวาประกาศตอบโต้แบบทันควัน ขณะที่เม็กซิโกก็ระบุเอาคืนแน่นอน แต่ยังไม่ได้ให้รายละเอียด . หลังเวลาเที่ยงคืนของวันจันทร์ (3 มี.ค.) ตามเวลาภาคตะวันออกของสหรัฐฯ (ซึ่งช้ากว่าเวลาเมืองไทย 12 ชั่วโมง) สินค้าแคนาดาและเม็กซิโกที่นำเข้าไปยังอเมริกา ซึ่งมีมูลค่ารวมกันสูงกว่า 918,000 ล้านดอลลาร์จะถูกเรียกเก็บภาษีศุลกากรสูงขึ้น 25% รวด เวลาเดียวกันประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยังรีดภาษีจากสินค้านำเข้าจากจีนสูงขึ้นอีก 10% จากที่เพิ่มขึ้นไปแล้ว 10% เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ . ด้านนายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโด แถลงว่า แคนาดาจะตอบโต้โดยเรียกเก็บภาษีศุลกากรเพิ่ม 25% จากสินค้าอเมริกันมูลค่ากว่า 100,000 ล้านดอลลาร์ในช่วง 21 วัน ขณะที่ประธานาธิบดี เกลาเดีย เชย์นเบาม์ ระบุว่าความเคลื่อนไหวช่นนี้ของสหรัฐฯไม่มีความชอบธรรม และประกาศจะตอบโต้กลับด้วยมาตรการภาษีของตัวเอง . ผู้นำหญิงของเม็กซิโกบอกว่า เธอจะประกาศรายการสินค้านำเข้าจากอเมริกาที่จะตกเป็นเป้าถูกขึ้นภาษีตอบโต้ในวันอาทิตย์ (9) นี้ ณ งานพิธีซึ่งกำหนดจัดขึ้นที่จัตุรัสใจกลางเมืองหลวงเม็กซิโกซิตี ท่าทีเช่นนี้ทำให้มองกันว่าการเลื่อนช้าออกไปเช่นนี้บ่งชี้ว่าเม็กซิโกยังคงมีความหวังที่จะเจรจาต่อรองกันก่อนเพื่อไม่ให้สงครามการค้าบานปลาย . แรกทีเดียวนั้น มาตรการภาษีศุลกากรสินค้าแคนาดาและเม็กซิโกจะเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ทว่า ทรัมป์ตกลงขยายเวลาออกไป 30 วันเพื่อเจรจาเพิ่มเติมกับสองประเทศคู่ค้าใหญ่ที่สุดของอเมริกา สำหรับเหตุผลในการขึ้นภาษีคือ เพื่อให้สองประเทศเพื่อนบ้านนี้จัดการปัญหาการลักลอบขนยาเสพติด โดยเฉพาะ เฟนทานิล และปัญหาการลักลอบเข้าเมืองผ่านดินแดนของประเทศทั้งสองเข้ามายังสหรัฐฯ . ขณะที่ทั้งสองชาติต่างยืนยันว่า มีความคืบหน้าในการแก้ปัญหา ทว่า ทรัมป์กลับบอกเพิ่มเติมว่า จะลดภาษีศุลกากรต่อเมื่อการขาดดุลการค้าของอเมริกาต่อเม็กซิโกและแคนาดาสิ้นสุดลง ถึงแม้เรื่องหลังนี้ย่อมเป็นกระบวนการที่ไม่สามารถแก้ไขได้ตามกรอบเวลาทางการเมือง . มีผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์กันว่า มาตรการที่สหรัฐฯขึ้นภาษีศุลกากรกับแคนาดาและเม็กซิโก น่าจะส่งผลสะท้อนกลับกระทบถึงเศรษฐกิจอเมริกันอย่างแรงๆ และดังนั้นจึงอาจบังคับใช้ได้เพียงช่วงสั้นๆ และสิ่งที่ทรัมป์อาจเลือกกระทำต่อไป อาจเป็นการหันไปรีดภาษีจากสินค้านำเข้าจากสหภาพยุโรป และอินเดีย รวมทั้งพวก ชิปคอมพิวเตอร์ ยานยนต์ และยาเวชภัณฑ์นำเข้าเพิ่มมากขึ้น . ในส่วนของจีนนั้น ปักกิ่งประณามการบังคับใช้มาตรการ “ตามอำเภอใจฝ่ายเดียว” เช่นนี้ของอเมริกา และประกาศตอบโต้ทันทีด้วยการเรียกเก็บภาษีศุลกากรเพิ่ม 15% จากสินค้าเกษตรและอาหารของอเมริกามูลค่า 21,000 ล้านดอลลาร์ มีผลตั้งแต่สัปดาห์หน้า รวมทั้งเพิ่มบริษัทอเมริกันอีก 25 แห่งในบัญชีรายชื่อบริษัทที่ถูกจำกัดการส่งออกและการลงทุนภายใต้เหตุผลด้านความมั่นคงแห่งชาติ . ทั้งนี้ จีนเป็นตลาดใหญ่ที่สุดที่รองรับสินค้าเกษตรของอเมริกา โดยปีที่แล้ว แม้จีนนำเข้าสินค้าเกษตรสหรัฐฯ ลดลงเป็นปีที่สอง แต่ก็ยังคงมีมูลค่าถึง 29,250 ล้านดอลลาร์ เท่าที่ผ่านมาภาคเศรษฐกิจนี้มักถูกใช้เป็นกระสอบทรายในยามที่สถานการณ์การค้าระหว่าง 2 ประเทศตึงเครียด โดยเฉพาะในเมื่อพวกรัฐที่เศรษฐกิจพึ่งพาการเกษตรอย่างมาก ยังเป็นพวกรัฐฐานเสียงของทรัมป์และรีพับลิกันอีกด้วย . ในวันอังคาร (3) กระทรวงการต่างประเทศจีนออกมาแถลงว่า จีนจะไม่ยอมจำนนต่อการรังแกหรือข่มขู่ และสำทับว่า การพยายามกดดันจีนเป็นการคำนวณผิดพลาด . อย่างไรก็ดี พวกนักวิเคราะห์เชื่อว่า ปักกิ่งยังหวังว่าจะสามารถเปิดการเจรจาสงบศึกกับคณะบริหารของทรัมป์ จึงกำหนดภาษีตอบโต้ในอัตราต่ำกว่า 20% เพื่อให้คณะผู้เจรจาของตนสามารถต่อรองและบรรลุข้อตกลงได้สำเร็จ ทว่าเมื่อการตอบโต้กันไปมาชักบานปลายออกไป มันก็อาจลดโอกาสที่ทั้งสองฝ่ายจะประนีประนอมกันได้ . เวลาเดียวกัน สำนักข่าวเอพีเสนอรายงานข่าวที่ระบุว่า ผู้นำสหรัฐฯ กำลังทำให้เศรษฐกิจของทั่วโลกผันผวนและไร้ความแน่นอน เนื่องจากไม่มีใครคาดเดาได้ว่า ทรัมป์จะทำอะไรต่อไป . การเรียกเก็บภาษีศุลกากรสินค้าแคนาดาและเม็กซิโกแบบเหวี่ยงแหยังมีแนวโน้มส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานของภาคอุตสาหกรรมสำคัญ เช่น ยานยนต์และวัสดุก่อสร้าง และเสี่ยงทำให้ค่าครองชีพของประชาชนเพิ่มขึ้น . นักเศรษฐศาสตร์ตั้งข้อสังเกตว่า มาตรการภาษีของทรัมป์อาจทำให้ราคาผู้บริโภคในสหรัฐฯพุ่งขึ้น และเพิ่มความกดดันต่อการเติบโตและการจ้างงานในอเมริกา . มูลนิธิแท็กซ์ ฟาวน์เดชัน ของสหรัฐฯประเมินว่า มาตรการภาษีต่อแคนาดา เม็กซิโก และจีนจะทำให้อัตราเติบโตของอเมริกาหายไป 0.1% ทั้งนี้ ยังไม่คำนวณผลกระทบจากมาตรการตอบโต้ของทั้งสามชาติ . ไดแอน สวองค์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของเคพีเอ็มจี เตือนว่า ถ้าทรัมป์ยังเดินตามแผนรีดภาษีต่อไป อัตราภาษีศุลกากรของอเมริกาอาจเพิ่มขึ้นถึงระดับสูงสุดนับจากปี 1936 ภายในต้นปีหน้า โดยที่ทั้งผู้บริโภคและผู้ผลิตของสหรัฐฯจะต้องเป็นผู้รับภาระหนักจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากภาษีศุลกากร ซึ่งอาจส่งผลตามมาทำให้ดีมานด์ลดลง และภาคธุรกิจต้องปลดพนักงานเพื่อควบคุมต้นทุน . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000021232 .............. Sondhi X
    Like
    8
    0 Comments 0 Shares 2549 Views 0 Reviews
  • ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ดับความหวังข้อตกลงจวนเจียนก่อนหมดเวลากับแคนาดาและเม็กซิโก ที่จะช่วยหลีกเลี่ยงรีดภาษี ขณะเดียวกันก็ลงนามในคำสั่งบริหารขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีน ความเคลื่อนไหวที่ก่อความกังวลว่ามันอาจโหมกระพือสงครามการค้า
    .
    ทรัมป์ เคยเปิดตัวมาตรการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจาก 2 คู่ค้าหลักอย่างแคนาดาและเม็กซิโกในเดือนกุมภาพันธ์ โดยกล่าวหาทั้ง 2 ชาติ ล้มเหลวในการสกัดคนเข้าเมืองผิดกฎหมายและขบวนการลักลอบขนยาเสพติด ก่อนระงับบังคับใช้เป็นการชั่วคราว
    .
    การระงับดังกล่าวมีกำหนดหมดอายุลงในวันอังคาร(4มี.ค.) และตลาดหุ้นสหรัฐฯดิ่งลงอย่างหนัก หลังจาก ทรัมป์บอกกับพวกผู้สื่อข่าวในวันจันทร์(3มี.ค.) ว่า "ไม่มีช่องว่าง" สำหรับทั้ง 2 ประเทศ ที่จะหลีกเลี่ยงการขึ้นภาษีรอบใหม่
    .
    ขณะเดียวกันทำเนียบขาวเปิดเผยด้วยว่า ทรัมป์ ได้ลงนามในคำสั่งบริหาาร เพิ่มการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีน จากเดิม 10% เป็น 20%
    .
    อย่างไรก็ตามมาตรการรีดภาษีอย่างครอบคลุม โดยเฉพาะกับแคนาดากับเม็กซิโก ส่อก่อผลกระทบกับห่วงโซ่อุปทานของภาคอุตสาหกรรมสำคัญๆ อย่างเช่นยานยนต์และวัสดุก่อสร้าง เสี่ยงทำให้ราคาผู้บริโภคดีดตัวสูงขึ้น ซึ่งมันจะก่อความยุ่งยากซับซ้อนต่อความพยายามของทรัมป์ ในการทำตามคำสัญญาระหว่างหาเสียง ที่รับปากจะหาทางช่วยภาคครัวเรือนลดค่าใช้จ่าย
    .
    ในวันจันทร์(3มี.ค.) ทรัมป์บอกว่าพร้อมแล้วสำหรับการขึ้นภาษีสูงสุด 25% สินค้านำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโก "พูดตรงๆเลย สิ่งที่พวกเขาจะจำเป็นต้องทำคือสร้างโรงงานรถยนต์ของเขาและสิ่งอื่นๆในสหรัฐฯ ซึ่งกรณีนี้พวกเขาจะไม่ถูกรีดภาษี" เขากล่าว
    .
    มาเลนี โจลี รัฐมนตรีต่างประเทศแคนาดา บอกว่าเค้าลางการรีดภาษีของทรัมป์ เป็นตัวแทน "ภัยคุกคามการอยู่รอดของประเทศ" เนื่องจากตำแหน่งงานหลายหมื่นอัตราตกอยู่ในความเสี่ยง เธอบอกต่อว่าถ้าทรัมป์เดินหน้า "เราก็พร้อมที่จะรีดภาษีตอบโต้"
    .
    นอกเหนือจากเค้าลางการรีดภาษีในสัปดาห์นี้ ทรัมป์ยังโพสต์บนสื่อสังคมออนไลน์ในวันจันทร์(3มี.ค.) ว่าการรีดภาษีสินค้าการเกษตรจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 2 เมษายน ขณะที่เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวรายหนึ่งบอกกับเอเอฟพีว่า มาตรการเหล่านี้มีขึ้นภายใต้แผนปัจจุบันของทรัมป์ สำหรับการเรียกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ที่ปรับให้เหมาะสมกับคู่หูทางการค้าแต่ละชาติ
    .
    "ไม่สงสัยเลยว่ารัฐบาลพยายามคลี่คลายปัญหายาเฟนตานิลและผู้อพยพที่มีมาอย่างยาวนาน และมาตรการรีดภาษีเหล่านี้ มอบอำนาจงัดข้อแก่รัฐบาล" ไรอัน มาเจรัส อดีตเจ้าหน้าที่การค้าสหรัฐฯให้ความเห็น พร้อมระบุว่าในอีกด้านหนึ่ง วอชิงตันก็กำลังพยายามรักษาสมดุลความสัมพันธ์ทางการค้า
    .
    คลอเดีย ไชน์บาว์ม ประธานาธิบดีเม็กซิโก ระบุในวันจันทร์(3มี.ค.) ว่าประเทศของเธอมีแผนฉุกเฉินไว้แล้ว ไม่ว่า ทรัมป์ จะตัดสินใจอย่างไรก็ตาม
    .
    ส่วน จัสติน ทรูโด นายกรัฐมนตรีแคนาดา อ้างว่าในบรรดายาเฟนตานิลและคนเข้าเมืองผิดกฎหมายที่ไหลบ่าเข้าสู่สหรัฐฯนั้น มีไม่ถึง 1% ที่ลักลอบผ่านชายแดนแคนาดา แต่เขาบอกด้วยว่าแคนาดนา "จะตอบโต้อย่างหนักหน่วง ชัดเจนและอย่างทัดเทียม" ถ้ามาตรการรีดภาษีของอเมริกามีผลบังคับใช้
    .
    ที่ผ่านมา รัฐบาลของทรูโด ได้ดำเนินมาตรการต่างๆในความพยายามจัดการกับความกังวลของทรัมป์ ในนั้นรวมถึงแผนยกระดับความมั่นคงตามแนวชายแดน ที่ใช้งบประมาณกว่า 901 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นอกจากนี้แล้วพวกเขายังแต่งตั้งซาร์ด้านเฟนตานิล เพื่อประสานความพยายามต่อต้านยาเสพติดชนิดนี้
    .
    ขณะเดียวกัน เม็กซิโก เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ได้ส่งตัวเจ้าพ่อยาเสพติดชื่อเสียงโด่งดังที่สุดบางส่วน ในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนไปยังสหรัฐฯ ในความพยายามหลีกเลี่ยงถูกรีดภาษี ในนั้นรวมถึงหัวหน้าแก๊งอาชญากรรมแก๊งหนึ่ง ซึ่งเป็นที่ต้องการตัวของอเมริกามานานหลายทศวรรษ ในข้อหาฆาตกรรมสายลับสหรัฐฯ
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000020862
    ..............
    Sondhi X
    ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ดับความหวังข้อตกลงจวนเจียนก่อนหมดเวลากับแคนาดาและเม็กซิโก ที่จะช่วยหลีกเลี่ยงรีดภาษี ขณะเดียวกันก็ลงนามในคำสั่งบริหารขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีน ความเคลื่อนไหวที่ก่อความกังวลว่ามันอาจโหมกระพือสงครามการค้า . ทรัมป์ เคยเปิดตัวมาตรการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจาก 2 คู่ค้าหลักอย่างแคนาดาและเม็กซิโกในเดือนกุมภาพันธ์ โดยกล่าวหาทั้ง 2 ชาติ ล้มเหลวในการสกัดคนเข้าเมืองผิดกฎหมายและขบวนการลักลอบขนยาเสพติด ก่อนระงับบังคับใช้เป็นการชั่วคราว . การระงับดังกล่าวมีกำหนดหมดอายุลงในวันอังคาร(4มี.ค.) และตลาดหุ้นสหรัฐฯดิ่งลงอย่างหนัก หลังจาก ทรัมป์บอกกับพวกผู้สื่อข่าวในวันจันทร์(3มี.ค.) ว่า "ไม่มีช่องว่าง" สำหรับทั้ง 2 ประเทศ ที่จะหลีกเลี่ยงการขึ้นภาษีรอบใหม่ . ขณะเดียวกันทำเนียบขาวเปิดเผยด้วยว่า ทรัมป์ ได้ลงนามในคำสั่งบริหาาร เพิ่มการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีน จากเดิม 10% เป็น 20% . อย่างไรก็ตามมาตรการรีดภาษีอย่างครอบคลุม โดยเฉพาะกับแคนาดากับเม็กซิโก ส่อก่อผลกระทบกับห่วงโซ่อุปทานของภาคอุตสาหกรรมสำคัญๆ อย่างเช่นยานยนต์และวัสดุก่อสร้าง เสี่ยงทำให้ราคาผู้บริโภคดีดตัวสูงขึ้น ซึ่งมันจะก่อความยุ่งยากซับซ้อนต่อความพยายามของทรัมป์ ในการทำตามคำสัญญาระหว่างหาเสียง ที่รับปากจะหาทางช่วยภาคครัวเรือนลดค่าใช้จ่าย . ในวันจันทร์(3มี.ค.) ทรัมป์บอกว่าพร้อมแล้วสำหรับการขึ้นภาษีสูงสุด 25% สินค้านำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโก "พูดตรงๆเลย สิ่งที่พวกเขาจะจำเป็นต้องทำคือสร้างโรงงานรถยนต์ของเขาและสิ่งอื่นๆในสหรัฐฯ ซึ่งกรณีนี้พวกเขาจะไม่ถูกรีดภาษี" เขากล่าว . มาเลนี โจลี รัฐมนตรีต่างประเทศแคนาดา บอกว่าเค้าลางการรีดภาษีของทรัมป์ เป็นตัวแทน "ภัยคุกคามการอยู่รอดของประเทศ" เนื่องจากตำแหน่งงานหลายหมื่นอัตราตกอยู่ในความเสี่ยง เธอบอกต่อว่าถ้าทรัมป์เดินหน้า "เราก็พร้อมที่จะรีดภาษีตอบโต้" . นอกเหนือจากเค้าลางการรีดภาษีในสัปดาห์นี้ ทรัมป์ยังโพสต์บนสื่อสังคมออนไลน์ในวันจันทร์(3มี.ค.) ว่าการรีดภาษีสินค้าการเกษตรจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 2 เมษายน ขณะที่เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวรายหนึ่งบอกกับเอเอฟพีว่า มาตรการเหล่านี้มีขึ้นภายใต้แผนปัจจุบันของทรัมป์ สำหรับการเรียกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ที่ปรับให้เหมาะสมกับคู่หูทางการค้าแต่ละชาติ . "ไม่สงสัยเลยว่ารัฐบาลพยายามคลี่คลายปัญหายาเฟนตานิลและผู้อพยพที่มีมาอย่างยาวนาน และมาตรการรีดภาษีเหล่านี้ มอบอำนาจงัดข้อแก่รัฐบาล" ไรอัน มาเจรัส อดีตเจ้าหน้าที่การค้าสหรัฐฯให้ความเห็น พร้อมระบุว่าในอีกด้านหนึ่ง วอชิงตันก็กำลังพยายามรักษาสมดุลความสัมพันธ์ทางการค้า . คลอเดีย ไชน์บาว์ม ประธานาธิบดีเม็กซิโก ระบุในวันจันทร์(3มี.ค.) ว่าประเทศของเธอมีแผนฉุกเฉินไว้แล้ว ไม่ว่า ทรัมป์ จะตัดสินใจอย่างไรก็ตาม . ส่วน จัสติน ทรูโด นายกรัฐมนตรีแคนาดา อ้างว่าในบรรดายาเฟนตานิลและคนเข้าเมืองผิดกฎหมายที่ไหลบ่าเข้าสู่สหรัฐฯนั้น มีไม่ถึง 1% ที่ลักลอบผ่านชายแดนแคนาดา แต่เขาบอกด้วยว่าแคนาดนา "จะตอบโต้อย่างหนักหน่วง ชัดเจนและอย่างทัดเทียม" ถ้ามาตรการรีดภาษีของอเมริกามีผลบังคับใช้ . ที่ผ่านมา รัฐบาลของทรูโด ได้ดำเนินมาตรการต่างๆในความพยายามจัดการกับความกังวลของทรัมป์ ในนั้นรวมถึงแผนยกระดับความมั่นคงตามแนวชายแดน ที่ใช้งบประมาณกว่า 901 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นอกจากนี้แล้วพวกเขายังแต่งตั้งซาร์ด้านเฟนตานิล เพื่อประสานความพยายามต่อต้านยาเสพติดชนิดนี้ . ขณะเดียวกัน เม็กซิโก เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ได้ส่งตัวเจ้าพ่อยาเสพติดชื่อเสียงโด่งดังที่สุดบางส่วน ในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนไปยังสหรัฐฯ ในความพยายามหลีกเลี่ยงถูกรีดภาษี ในนั้นรวมถึงหัวหน้าแก๊งอาชญากรรมแก๊งหนึ่ง ซึ่งเป็นที่ต้องการตัวของอเมริกามานานหลายทศวรรษ ในข้อหาฆาตกรรมสายลับสหรัฐฯ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000020862 .............. Sondhi X
    Like
    Love
    Wow
    6
    0 Comments 0 Shares 1595 Views 0 Reviews
  • เตรียมพยาน 1000 ปาก 'ดีเอสไอ' พร้อมลุยสอบฮั้ว ส.ว. วุฒิสภา เตรียมซักฟอกกลับ
    .
    ความเคลื่อนไหวที่ว่าด้วยการตรวจสอบการเลือกส.ว.นั้น แม้ด้านหนึ่งจะยังต้องรอความชัดเจนจากการพิจารณาของคณะกรรมการคดีพิเศษในวันที่ 6 มี.ค.นี้ก่อน แต่ปรากฎว่าเวลานี้มีการเผยแพร่เอกสารในสื่อสังคมออนไลน์ที่เป็นรายชื่อพยานมากกว่า 100 รายที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ เตรียมนำมาให้ข้อมูลแล้ว
    .
    ทั้งนี้มีรายงานจากดีเอสไอระบุว่า รายชื่อกว่า 1,200 รายที่ปรากฏในโพยพยานของดีเอสไอ มีทั้งในส่วนของผู้สมัครสมาชิก สว. และผู้ได้รับเลือกเป็น สว. อาทิ พื้นที่ จ.กระบี่ กรุงเทพมหานคร กำแพงเพชร ขอนแก่น จันทบุรี ฉะเชิงเทรา ชัยนาทชัยภูมิ ชุมพร เชียงราย เชียงใหม่ ตรัง ตราด นครนายก นครพนม นครปฐม นครราชสีมา นครศรีธรรมราช นครสวรรค์ นนทบุรี นราธิวาส น่าน บึงกาฬ บุรีรัมย์ ปทุมธานี ประจวบคีรีขันธ์ ปราจีนบุรี ปัตตานี พระนครศรีอยุธยา พะเยา พัทลุง พิจิตร เพชรบุรี แพร่ ภูเก็ต มุกดาหาร แม่ฮ่องสอน ยโสธร ยะลา ระนอง ระยอง ราชบุรี ลพบุรี ลำปาง ลำพูน เลย ศรีสะเกษ สงขลา สตูล สมุทรปราการ สมุทรสงคราม สมุทรสาคร สิงห์บุรี สุโขทัย สุพรรณบุรี สุราษฎร์ธานี สุรินทร์ หนองคาย หนองบัวลำภู อ่างทอง อำนาจเจริญ อุตรดิตถ์ อุทัยธานี อุบลราชธานี เป็นต้น
    .
    ขณะเดียวกันยังมีรายงานอีกว่า สำหรับรายชื่อกว่า 1,200 ชื่อ ที่ปรากฏชื่อว่าจะเป็นบุคคลที่ดีเอสไอเตรียมเรียกสอบปากคำในฐานะพยานในคดีฮั้ว สว.67 นั้น หากในวันที่ 6 มี.ค.นี้ ซึ่งจะเป็นการประชุมหารือครั้งที่ 2 เพื่อเอาคำตอบสุดท้ายของคณะกรรมการคดีพิเศษ(กคพ.) ในการมีมติในที่ประชุมว่าจะรับหรือไม่รับคดีฮั้ว สว.67 เป็นคดีพิเศษ หากผลมติในที่ประชุมขอให้รับไว้ดำเนินการเป็นคดีพิเศษ ขั้นตอนต่อไปก็จะมีการแต่งตั้งคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษเพื่อทำการสอบสวนและขยายผลหาผู้ร่วมขบวนการในการกระทำความผิด ซึ่งในขั้นตอนดังกล่าวนั้น ทางคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษจะได้ทยอยออกหมายเรียกพยานกว่า 1,200 ราย เข้าให้ปากคำและสอบสวนดำเนินการต่อเนื่อง
    .
    ขณะที่ ความเคลื่อนของส.ว. ในการประชุมวุฒิสภาวันที่ 4 มี.ค. นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ได้นัดประชุมวุฒิสภา โดยมีวาระพิจารณาที่น่าสนใจคือ การเสนอญัตติให้วุฒิสภาพิจารณาปัญหาด้านกระบวนการยุติธรรมและการบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งเสนอโดย พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ แสงเพชร ส.ว.กลุ่มกฎหมาย และคณะ
    .
    สาระของญัตติที่เสนอดังกล่าวมีการอ้างถึงรัฐธรรมนูญ 2560 ที่กำหนดให้รัฐพึงจัดระบบการบริหารงานในกระบวนการยุติธรรมทุกด้านให้มีประสิทธิภาพ เป็นธรรม ไม่เลือกปฏิบัติ และให้รัฐมีมาตรฐานคุ้มครองเจ้าหน้าที่ของรัฐในกระบวนการยุติธรรม ให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้โดยเคร่งครัด ปราศจากการแทรกแซงหรือครอบงำ แต่ที่ผ่านมาพบว่ากระบวนการยุติธรรมไทยขาดประสิทธิภาพ และมีการแทรกแซง ครอบงำจากฝ่ายการเมือง โดยเฉพาะการดำเนินคดีพิเศษของกระทรวงยุติธรรม โดยกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ซึ่งพบว่าที่ผ่านมากระบวนการยุติธรรมขาดประสิทธิภาพ ทำคดีล่าช้า ไม่สามารถทำให้ผู้กระทำความผิดได้รับโทษอย่างแท้จริง รวมถึงไม่สามารถป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดและปกป้องผลประโยชน์ของรัฐ เช่น การดำเนินคดีกับนายทุนชาวจีนสีเทาในข้อหายาเสพติดฟอกเงิน และการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ การดำเนินคดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ที่เป็นปัญหายาวนานและทวีความรุนแรง กระทบต่อความมั่นคงของประเทศ
    .
    นอกจากนี้ ในการดำเนินการกระบวนการยุติธรรมยังเป็นปัญหาในการบังคับใช้กฎหมายที่ไม่มีประสิทธิภาพ เช่น กรณีการให้สิทธิแก่ผู้ต้องขังที่ได้รับการรักษาพยาบาลอย่างเท่าเทียม ที่ผ่านมามีการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม ไม่โปร่งใส และไม่บังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด โดยผู้ต้องขังบางคนได้รับสิทธิในการเข้ารับการรักษาพยาบาลที่พิเศษกว่าผู้ต้องขังคนอื่นๆ จึงสมควรที่วุฒิสภาจะได้อภิปรายระดมความคิดเห็นเพื่อพิจารณาปัญหาด้านกระบวนการยุติธรรม และการบังคับใช้กฎหมาย และเสนอไปยังรัฐบาลเพื่อพิจารณาดำเนินการตามข้อบังคับวุฒิสภา ข้อ 35
    ...........
    Sondhi X
    เตรียมพยาน 1000 ปาก 'ดีเอสไอ' พร้อมลุยสอบฮั้ว ส.ว. วุฒิสภา เตรียมซักฟอกกลับ . ความเคลื่อนไหวที่ว่าด้วยการตรวจสอบการเลือกส.ว.นั้น แม้ด้านหนึ่งจะยังต้องรอความชัดเจนจากการพิจารณาของคณะกรรมการคดีพิเศษในวันที่ 6 มี.ค.นี้ก่อน แต่ปรากฎว่าเวลานี้มีการเผยแพร่เอกสารในสื่อสังคมออนไลน์ที่เป็นรายชื่อพยานมากกว่า 100 รายที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ เตรียมนำมาให้ข้อมูลแล้ว . ทั้งนี้มีรายงานจากดีเอสไอระบุว่า รายชื่อกว่า 1,200 รายที่ปรากฏในโพยพยานของดีเอสไอ มีทั้งในส่วนของผู้สมัครสมาชิก สว. และผู้ได้รับเลือกเป็น สว. อาทิ พื้นที่ จ.กระบี่ กรุงเทพมหานคร กำแพงเพชร ขอนแก่น จันทบุรี ฉะเชิงเทรา ชัยนาทชัยภูมิ ชุมพร เชียงราย เชียงใหม่ ตรัง ตราด นครนายก นครพนม นครปฐม นครราชสีมา นครศรีธรรมราช นครสวรรค์ นนทบุรี นราธิวาส น่าน บึงกาฬ บุรีรัมย์ ปทุมธานี ประจวบคีรีขันธ์ ปราจีนบุรี ปัตตานี พระนครศรีอยุธยา พะเยา พัทลุง พิจิตร เพชรบุรี แพร่ ภูเก็ต มุกดาหาร แม่ฮ่องสอน ยโสธร ยะลา ระนอง ระยอง ราชบุรี ลพบุรี ลำปาง ลำพูน เลย ศรีสะเกษ สงขลา สตูล สมุทรปราการ สมุทรสงคราม สมุทรสาคร สิงห์บุรี สุโขทัย สุพรรณบุรี สุราษฎร์ธานี สุรินทร์ หนองคาย หนองบัวลำภู อ่างทอง อำนาจเจริญ อุตรดิตถ์ อุทัยธานี อุบลราชธานี เป็นต้น . ขณะเดียวกันยังมีรายงานอีกว่า สำหรับรายชื่อกว่า 1,200 ชื่อ ที่ปรากฏชื่อว่าจะเป็นบุคคลที่ดีเอสไอเตรียมเรียกสอบปากคำในฐานะพยานในคดีฮั้ว สว.67 นั้น หากในวันที่ 6 มี.ค.นี้ ซึ่งจะเป็นการประชุมหารือครั้งที่ 2 เพื่อเอาคำตอบสุดท้ายของคณะกรรมการคดีพิเศษ(กคพ.) ในการมีมติในที่ประชุมว่าจะรับหรือไม่รับคดีฮั้ว สว.67 เป็นคดีพิเศษ หากผลมติในที่ประชุมขอให้รับไว้ดำเนินการเป็นคดีพิเศษ ขั้นตอนต่อไปก็จะมีการแต่งตั้งคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษเพื่อทำการสอบสวนและขยายผลหาผู้ร่วมขบวนการในการกระทำความผิด ซึ่งในขั้นตอนดังกล่าวนั้น ทางคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษจะได้ทยอยออกหมายเรียกพยานกว่า 1,200 ราย เข้าให้ปากคำและสอบสวนดำเนินการต่อเนื่อง . ขณะที่ ความเคลื่อนของส.ว. ในการประชุมวุฒิสภาวันที่ 4 มี.ค. นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ได้นัดประชุมวุฒิสภา โดยมีวาระพิจารณาที่น่าสนใจคือ การเสนอญัตติให้วุฒิสภาพิจารณาปัญหาด้านกระบวนการยุติธรรมและการบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งเสนอโดย พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ แสงเพชร ส.ว.กลุ่มกฎหมาย และคณะ . สาระของญัตติที่เสนอดังกล่าวมีการอ้างถึงรัฐธรรมนูญ 2560 ที่กำหนดให้รัฐพึงจัดระบบการบริหารงานในกระบวนการยุติธรรมทุกด้านให้มีประสิทธิภาพ เป็นธรรม ไม่เลือกปฏิบัติ และให้รัฐมีมาตรฐานคุ้มครองเจ้าหน้าที่ของรัฐในกระบวนการยุติธรรม ให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้โดยเคร่งครัด ปราศจากการแทรกแซงหรือครอบงำ แต่ที่ผ่านมาพบว่ากระบวนการยุติธรรมไทยขาดประสิทธิภาพ และมีการแทรกแซง ครอบงำจากฝ่ายการเมือง โดยเฉพาะการดำเนินคดีพิเศษของกระทรวงยุติธรรม โดยกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ซึ่งพบว่าที่ผ่านมากระบวนการยุติธรรมขาดประสิทธิภาพ ทำคดีล่าช้า ไม่สามารถทำให้ผู้กระทำความผิดได้รับโทษอย่างแท้จริง รวมถึงไม่สามารถป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดและปกป้องผลประโยชน์ของรัฐ เช่น การดำเนินคดีกับนายทุนชาวจีนสีเทาในข้อหายาเสพติดฟอกเงิน และการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ การดำเนินคดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ที่เป็นปัญหายาวนานและทวีความรุนแรง กระทบต่อความมั่นคงของประเทศ . นอกจากนี้ ในการดำเนินการกระบวนการยุติธรรมยังเป็นปัญหาในการบังคับใช้กฎหมายที่ไม่มีประสิทธิภาพ เช่น กรณีการให้สิทธิแก่ผู้ต้องขังที่ได้รับการรักษาพยาบาลอย่างเท่าเทียม ที่ผ่านมามีการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม ไม่โปร่งใส และไม่บังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด โดยผู้ต้องขังบางคนได้รับสิทธิในการเข้ารับการรักษาพยาบาลที่พิเศษกว่าผู้ต้องขังคนอื่นๆ จึงสมควรที่วุฒิสภาจะได้อภิปรายระดมความคิดเห็นเพื่อพิจารณาปัญหาด้านกระบวนการยุติธรรม และการบังคับใช้กฎหมาย และเสนอไปยังรัฐบาลเพื่อพิจารณาดำเนินการตามข้อบังคับวุฒิสภา ข้อ 35 ........... Sondhi X
    Like
    Haha
    Love
    8
    0 Comments 0 Shares 2617 Views 0 Reviews
  • 24 ปี เที่ยวบิน TG114 “ระเบิดก่อนขึ้นบิน” นายกทักษิณรอดหวุดหวิด ลอบฆ่า หรือว่า... อุบัติเหตุ?

    🛫 ย้อนรอย 24 ปี โศกนาฏกรรมทางการบินของไทย ที่ยังเป็นปริศนา เมื่อช่วงบ่ายวันเสาร์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2544 เหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด ได้เกิดขึ้นที่ท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมือง กรุงเทพมหานคร เครื่องบินโบอิ้ง 737-400 ของการบินไทย เที่ยวบิน TG114 ได้เกิดระเบิดกลางลานจอด และถูกไฟไหม้เสียหายทั้งลำ เพียง 25 นาที ก่อนที่ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีขณะนั้น พร้อมด้วบบุตรชาย จะเดินทางไปเชียงใหม่

    แม้ว่าจะไม่มีผู้โดยสารอยู่บนเครื่อง แต่ช่างเทคนิคการบิน 1 คน เสียชีวิต ทำให้เกิดคำถามมากมายว่า นี่เป็นอุบัติเหตุ หรือเป็นการวางแผนลอบสังหาร? 📌

    🔎 เหตุการณ์ในวันเกิดเหตุ 3 มีนาคม 2544 เวลา 14:48 น. 📍 เที่ยวบิน TG114 ของการบินไทย ซึ่งเป็นเครื่องบิน โบอิ้ง 737-400 ทะเบียน HS-TDC ดอนเมือง-เชียงใหม่ ได้เกิดการระเบิดขณะจอดอยู่ที่ลานจอด สนามบินนานาชาติดอนเมือง กรุงเทพมหานคร เครื่องบินถูกไฟไหม้เสียหายทั้งลำ ไม่มีผู้โดยสารบนเครื่อง มีเพียงลูกเรือ 8 คน อยู่บนเครื่อง ซึ่งช่างเทคนิคการบินเสียชีวิต 1 คน

    ✈️ จุดหมายปลายทางของเที่ยวบิน เที่ยวบิน TG114 เดิมมีกำหนดออกเดินทางไปยัง ท่าอากาศยานนานาชาติเชียงใหม่ โดยมีบุคคลสำคัญเดินทางไปด้วย รวมถึง พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะเนั้น และนายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย

    🛑 แต่เพียง 25 นาที ก่อนเครื่องออกเดินทาง เครื่องบินกลับระเบิดขึ้นก่อน

    🚨 เหตุการณ์ครั้งนี้ จึงถูกตั้งข้อสังเกตว่า อาจเป็นการลอบสังหารทางการเมือง?

    🔥 สาเหตุที่เป็นไปได้ วินาศกรรม หรืออุบัติเหตุ? มี 2 ทฤษฎีหลัก ที่ถูกหยิบยกขึ้นมา เกี่ยวกับเหตุการณ์ครั้งนี้ 🎯

    💥 ทฤษฎีวินาศกรรม ลอบสังหารนายกรัฐมนตรี? หลังเหตุการณ์เกิดขึ้น พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า "นี่เป็นการก่อวินาศกรรม ที่มุ่งเป้าสังหารตนเอง"

    หลักฐานที่ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า มีการวางระเบิด ได้แก่
    🔎 พบร่องรอยสารระเบิด เจ้าหน้าที่ไทยตรวจพบ ร่องรอยของระเบิดซีโฟร์ (C-4) หรือเซมเท็กซ์ (Semtex)
    🎯 นายกทักษิณกล่าวว่า อาจเป็นฝีมือของกลุ่มผู้เสียผลประโยชน์ จากนโยบายปราบปรามยาเสพติดของรัฐบาล เช่น ขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติ เช่น กลุ่มว้าแดง
    ⏳ เวลาที่เกิดเหตุใกล้เคียงกับกำหนดการเดินทางของนายกฯ
    📢 ตำรวจไทยในตอนแรกสรุปว่า เป็นการ "วางระเบิด" และคณะกรรมาธิการ ของสภาผู้แทนราษฎรเองก็มีแนวโน้มไปในทิศทางเดียวกัน

    🛠️ ทฤษฎีอุบัติเหตุ ข้อสรุปของ NTSB คณะกรรมการความปลอดภัย ในการขนส่งแห่งชาติสหรัฐฯ (NTSB) ซึ่งส่งผู้เชี่ยวชาญเข้ามาร่วมสอบสวน ได้ออกแถลงการณ์ เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2544 ว่า
    🚫 ไม่มีร่องรอยของวัตถุระเบิด
    ⚡ การระเบิดอาจเกิดจากระบบปรับอากาศ ที่ทำงานต่อเนื่อง ส่งผลให้ถังน้ำมันส่วนกลาง เกิดการสันดาป และระเบิด
    ✈️ ลักษณะคล้ายกับอุบัติเหตุของเที่ยวบิน 143 ของฟิลิปปินส์แอร์ไลน์ เมื่อปี 2543

    ในท้ายที่สุด รัฐบาลไทยและ NTSB ได้ออกแถลงการณ์ร่วมกันว่า "เป็นอุบัติเหตุจากความร้อนสะสม ของอุปกรณ์ทำความเย็น ที่อยู่ใกล้ถังน้ำมัน"

    💡 วินาศกรรมที่ล้มเหลว หรือโศกนาฏกรรมที่ไม่ได้ตั้งใจ? ข้อถกเถียงเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ ยังไม่จบง่ายๆ 🧐 เพราะ...

    1️⃣ ผลการสอบสวนของไทยและสหรัฐฯ ต่างกัน ฝ่ายไทยเชื่อว่ามี หลักฐานของการวางระเบิด
    NTSB แย้งว่า ไม่พบร่องรอยระเบิดเลย

    2️⃣ ช่วงเวลาการระเบิดน่าสงสัย ทำไมถึงเกิดขึ้นก่อนนายกฯ เดินทางเพียง 25 นาที ถ้าเป็นเพียงอุบัติเหตุ ทำไมไม่เกิดกับเครื่องลำอื่น?

    3️⃣ กลุ่มที่มีแรงจูงใจในการลอบสังหาร นโยบายปราบปรามยาเสพติดของนายกทักษิณ สร้างศัตรูจำนวนมาก ขบวนการค้ายาเสพติดอาจไม่พอใจ จนถึงขั้นต้องการลอบสังหาร

    📌 หรืออาจเป็นเพียงการ "ใช้ข่าวระเบิด" เพื่อกลบกระแสเรื่องคดีซุกหุ้น?

    🚨 เหตุการณ์ลอบสังหารนายกทักษิณ ที่เกิดขึ้นในเวลาต่อมา นี่ไม่ใช่ครั้งเดียว ที่มีความพยายามลอบสังหาร พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ 🎯

    📍 ปี 2546 ข่าวลือว่า กลุ่มว้าแดงตั้งค่าหัว 80 ล้านบาท ทำให้ต้องเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัย

    📍 ปี 2549 คดี "คาร์บอมบ์" ที่บริเวณสี่แยกบางพลัด ใกล้บ้านพักของนายกทักษิณ ก่อนที่ รปภ. จะพบระเบิดก่อน

    📍 ปี 2559 นายกทักษิณให้สัมภาษณ์กับ Al Jazeera ว่า "มีคนพยายามลอบสังหารผม 4 ครั้ง"

    🎯 ระเบิดเที่ยวบิน TG114 ยังเป็นปริศนา?
    📌 แม้ว่าผลสอบสวนทางการบินของสหรัฐฯ จะสรุปว่าเป็นอุบัติเหตุ แต่คำถามยังคงอยู่
    📌 หลายฝ่ายยังสงสัยว่า นี่อาจเป็นการลอบสังหารทางการเมือง ที่ไม่สำเร็จ
    📌 หรือเป็นเพียง "เหตุบังเอิญ" ที่เกิดขึ้นอย่างมีเงื่อนงำ?

    🔎 24 ปี ผ่านไป คำตอบของเหตุการณ์นี้ยังคงเป็นปริศนา และอาจไม่มีวันได้รับคำตอบที่ชัดเจน

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 030847 มี.ค. 2568

    📌 #ทักษิณ #เที่ยวบินTG114 #การบินไทย #วินาศกรรม #อุบัติเหตุ #เครื่องบินระเบิด #ข่าวการเมือง #ว้าแดง #คดีลึกลับ #ประวัติศาสตร์ไทย
    24 ปี เที่ยวบิน TG114 “ระเบิดก่อนขึ้นบิน” นายกทักษิณรอดหวุดหวิด ลอบฆ่า หรือว่า... อุบัติเหตุ? 🛫 ย้อนรอย 24 ปี โศกนาฏกรรมทางการบินของไทย ที่ยังเป็นปริศนา เมื่อช่วงบ่ายวันเสาร์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2544 เหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด ได้เกิดขึ้นที่ท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมือง กรุงเทพมหานคร เครื่องบินโบอิ้ง 737-400 ของการบินไทย เที่ยวบิน TG114 ได้เกิดระเบิดกลางลานจอด และถูกไฟไหม้เสียหายทั้งลำ เพียง 25 นาที ก่อนที่ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีขณะนั้น พร้อมด้วบบุตรชาย จะเดินทางไปเชียงใหม่ แม้ว่าจะไม่มีผู้โดยสารอยู่บนเครื่อง แต่ช่างเทคนิคการบิน 1 คน เสียชีวิต ทำให้เกิดคำถามมากมายว่า นี่เป็นอุบัติเหตุ หรือเป็นการวางแผนลอบสังหาร? 📌 🔎 เหตุการณ์ในวันเกิดเหตุ 3 มีนาคม 2544 เวลา 14:48 น. 📍 เที่ยวบิน TG114 ของการบินไทย ซึ่งเป็นเครื่องบิน โบอิ้ง 737-400 ทะเบียน HS-TDC ดอนเมือง-เชียงใหม่ ได้เกิดการระเบิดขณะจอดอยู่ที่ลานจอด สนามบินนานาชาติดอนเมือง กรุงเทพมหานคร เครื่องบินถูกไฟไหม้เสียหายทั้งลำ ไม่มีผู้โดยสารบนเครื่อง มีเพียงลูกเรือ 8 คน อยู่บนเครื่อง ซึ่งช่างเทคนิคการบินเสียชีวิต 1 คน ✈️ จุดหมายปลายทางของเที่ยวบิน เที่ยวบิน TG114 เดิมมีกำหนดออกเดินทางไปยัง ท่าอากาศยานนานาชาติเชียงใหม่ โดยมีบุคคลสำคัญเดินทางไปด้วย รวมถึง พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะเนั้น และนายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย 🛑 แต่เพียง 25 นาที ก่อนเครื่องออกเดินทาง เครื่องบินกลับระเบิดขึ้นก่อน 🚨 เหตุการณ์ครั้งนี้ จึงถูกตั้งข้อสังเกตว่า อาจเป็นการลอบสังหารทางการเมือง? 🔥 สาเหตุที่เป็นไปได้ วินาศกรรม หรืออุบัติเหตุ? มี 2 ทฤษฎีหลัก ที่ถูกหยิบยกขึ้นมา เกี่ยวกับเหตุการณ์ครั้งนี้ 🎯 💥 ทฤษฎีวินาศกรรม ลอบสังหารนายกรัฐมนตรี? หลังเหตุการณ์เกิดขึ้น พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า "นี่เป็นการก่อวินาศกรรม ที่มุ่งเป้าสังหารตนเอง" หลักฐานที่ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า มีการวางระเบิด ได้แก่ 🔎 พบร่องรอยสารระเบิด เจ้าหน้าที่ไทยตรวจพบ ร่องรอยของระเบิดซีโฟร์ (C-4) หรือเซมเท็กซ์ (Semtex) 🎯 นายกทักษิณกล่าวว่า อาจเป็นฝีมือของกลุ่มผู้เสียผลประโยชน์ จากนโยบายปราบปรามยาเสพติดของรัฐบาล เช่น ขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติ เช่น กลุ่มว้าแดง ⏳ เวลาที่เกิดเหตุใกล้เคียงกับกำหนดการเดินทางของนายกฯ 📢 ตำรวจไทยในตอนแรกสรุปว่า เป็นการ "วางระเบิด" และคณะกรรมาธิการ ของสภาผู้แทนราษฎรเองก็มีแนวโน้มไปในทิศทางเดียวกัน 🛠️ ทฤษฎีอุบัติเหตุ ข้อสรุปของ NTSB คณะกรรมการความปลอดภัย ในการขนส่งแห่งชาติสหรัฐฯ (NTSB) ซึ่งส่งผู้เชี่ยวชาญเข้ามาร่วมสอบสวน ได้ออกแถลงการณ์ เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2544 ว่า 🚫 ไม่มีร่องรอยของวัตถุระเบิด ⚡ การระเบิดอาจเกิดจากระบบปรับอากาศ ที่ทำงานต่อเนื่อง ส่งผลให้ถังน้ำมันส่วนกลาง เกิดการสันดาป และระเบิด ✈️ ลักษณะคล้ายกับอุบัติเหตุของเที่ยวบิน 143 ของฟิลิปปินส์แอร์ไลน์ เมื่อปี 2543 ในท้ายที่สุด รัฐบาลไทยและ NTSB ได้ออกแถลงการณ์ร่วมกันว่า "เป็นอุบัติเหตุจากความร้อนสะสม ของอุปกรณ์ทำความเย็น ที่อยู่ใกล้ถังน้ำมัน" 💡 วินาศกรรมที่ล้มเหลว หรือโศกนาฏกรรมที่ไม่ได้ตั้งใจ? ข้อถกเถียงเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ ยังไม่จบง่ายๆ 🧐 เพราะ... 1️⃣ ผลการสอบสวนของไทยและสหรัฐฯ ต่างกัน ฝ่ายไทยเชื่อว่ามี หลักฐานของการวางระเบิด NTSB แย้งว่า ไม่พบร่องรอยระเบิดเลย 2️⃣ ช่วงเวลาการระเบิดน่าสงสัย ทำไมถึงเกิดขึ้นก่อนนายกฯ เดินทางเพียง 25 นาที ถ้าเป็นเพียงอุบัติเหตุ ทำไมไม่เกิดกับเครื่องลำอื่น? 3️⃣ กลุ่มที่มีแรงจูงใจในการลอบสังหาร นโยบายปราบปรามยาเสพติดของนายกทักษิณ สร้างศัตรูจำนวนมาก ขบวนการค้ายาเสพติดอาจไม่พอใจ จนถึงขั้นต้องการลอบสังหาร 📌 หรืออาจเป็นเพียงการ "ใช้ข่าวระเบิด" เพื่อกลบกระแสเรื่องคดีซุกหุ้น? 🚨 เหตุการณ์ลอบสังหารนายกทักษิณ ที่เกิดขึ้นในเวลาต่อมา นี่ไม่ใช่ครั้งเดียว ที่มีความพยายามลอบสังหาร พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ 🎯 📍 ปี 2546 ข่าวลือว่า กลุ่มว้าแดงตั้งค่าหัว 80 ล้านบาท ทำให้ต้องเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัย 📍 ปี 2549 คดี "คาร์บอมบ์" ที่บริเวณสี่แยกบางพลัด ใกล้บ้านพักของนายกทักษิณ ก่อนที่ รปภ. จะพบระเบิดก่อน 📍 ปี 2559 นายกทักษิณให้สัมภาษณ์กับ Al Jazeera ว่า "มีคนพยายามลอบสังหารผม 4 ครั้ง" 🎯 ระเบิดเที่ยวบิน TG114 ยังเป็นปริศนา? 📌 แม้ว่าผลสอบสวนทางการบินของสหรัฐฯ จะสรุปว่าเป็นอุบัติเหตุ แต่คำถามยังคงอยู่ 📌 หลายฝ่ายยังสงสัยว่า นี่อาจเป็นการลอบสังหารทางการเมือง ที่ไม่สำเร็จ 📌 หรือเป็นเพียง "เหตุบังเอิญ" ที่เกิดขึ้นอย่างมีเงื่อนงำ? 🔎 24 ปี ผ่านไป คำตอบของเหตุการณ์นี้ยังคงเป็นปริศนา และอาจไม่มีวันได้รับคำตอบที่ชัดเจน ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 030847 มี.ค. 2568 📌 #ทักษิณ #เที่ยวบินTG114 #การบินไทย #วินาศกรรม #อุบัติเหตุ #เครื่องบินระเบิด #ข่าวการเมือง #ว้าแดง #คดีลึกลับ #ประวัติศาสตร์ไทย
    0 Comments 0 Shares 955 Views 0 Reviews
  • ผมไม่เคยลืม“ส.ต.ท.วรวุฒิ มุ่งสันติ”คนทำชั่วลอบยิงผมแล้วหนีไปอยู่เขมร ผมรอ15ปีเต็มๆ .เป็นเรื่องที่ผมไม่เคยลืม ให้ผมตายไป ผมก็ยังจะไม่ลืม แม้ว่าเวลาจะผ่านไป 15 ปีแล้วก็ตาม อีกเดือนกว่าๆ จะครบรอบ16ปีวันที่ 17 เมษายน 2552 ของการลอบสังหารผมบริเวณใกล้ๆ สี่แยกบางขุนพรหม ระหว่างเดินทางไปจัดรายการ Good Morning Thailand ทางสถานีโทรทัศน์ ASTV ที่ถนนพระอาทิตย์แล้ว แม้เวลาจะผ่านไป 15 ปีกว่าแล้ว แต่เหตุการณ์ยังเหมือนเกิดขึ้นเมื่อวานนี้อยู่เลย.ผู้ต้องหาลอบยิงผมนั้นมีอยู่ 3 คน จ.ส.อ.ปัญญา ศรีเหรา อดีตทหารหน่วยรบพิเศษ ศูนย์สงครามพิเศษ ตอนนี้เสียชีวิตแล้วตั้งแต่ปี 2556 และ ส.ต.ท.วรวุฒิ มุ่งสันติ หรือนายอรรถพล ปาทาน เจ้าหน้าที่ศูนย์ข่าว กองบัญชาการปราบปรามยาเสพติดซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องการดักฟังโทรศัพท์อย่างมาก อดีตเคยเป็นคนขับรถของ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ครั้งเป็นผู้บัญชาการปราบปรามยาเสพติด และ ส.อ.สมชาย บุญนาค สังกัดกองร้อย กองบังคับการกรมรบพิเศษ ค่ายเอราวัณ จังหวัดลพบุรี.ล่าสุด มีความคืบหน้าเรื่องหนึ่งในผู้ต้องหาที่ยิงผม คือ ส.ต.ท.วรวุฒิ มุ่งสันติ หรือชื่อ นายอรรถพล ปาทาน จากแหล่งข่าวที่ผมมีอยู่ในประเทศกัมพูชา เขาบอกว่าเขาเพิ่งเจอมือปืนที่ยิงผมเมื่อ 15 ปีที่แล้ว ทำงานอยู่ที่ประเทศกัมพูชา เขาระบุว่า ส.ต.ท.วรวุฒิ ใช้ชีวิตอยู่ในประเทศกัมพูชาเป็นสิบปีแล้ว เปลี่ยนชื่อตัวเองว่า "ฉัตร" มีบัตรประชาชนเป็นพลเมืองกัมพูชาไปแล้ว มีครอบครัว มีภรรยาเป็นชาวกัมพูชา มีลูกด้วยกันแต่เลิกรากันไปแล้ว และส่งเสียเงินมาเลี้ยงดูลูกเมียที่อยู่ฝั่งไทย ฐานะการเงินของ ส.ต.ท.วรวุฒิ ในปัจจุบันถือว่าใช้ได้ เพราะทำงานในบริษัทรับเหมาก่อสร้างอยู่ประเทศกัมพูชา มีรถราใช้ เป็นรถยนต์อีซูซุ รุ่น MUX ตอนนี้เห็นว่ารับงานก่อสร้างต่อเติมอยู่ที่กาสิโนฝั่งปอยเปต ของคุณวัฒนา อัศวเหม ที่โดนไฟไหม้ใหญ่ไปเมื่อปลายปี 2565 สายสืบผมเก็บข้อมูลเชิงลึกเห็นว่า มีนายทุนที่เป็นคนไทย มีแบ็กคอยดูแลอยู่ ชื่อ เสี่ยพัฒน์ เป็นเจ้าของโรงงานผลิตน้ำตาลในไทย คอยให้ความช่วยเหลือ เมื่อมกราคม 2568 ปีใหม่ที่ผ่านมา ส.ต.ท.วรวุฒิ บ่นอิจฉาเพื่อนๆว่าได้กลับบ้านเกิด ส่วนตัวคุณไม่มีปัญญาที่จะกลับบ้านเหมือนคนอื่นเขา เบอร์โทรศัพท์ที่ลงด้วยเลขหมาย 197 เป็นของคุณใช่ไหม ตอบผมหน่อย รอรับสายผมนะ ผมรอคุณมา 15 ปีเต็มๆ ผมอยากจะทราบว่านายคุณให้ค่าหัวผมเท่าไรวะ คุณถึงรับงานมายิงผม .ผมเคยพูดไปหลายครั้งแล้วว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องหนึ่งที่ผมจะต้องร้องขอความเป็นธรรมกับรัฐบาลทุกๆ รัฐบาล คือเรื่องความเป็นธรรมของการดำเนินคดีกับคนที่ลอบฆ่าผม ซึ่งผมรู้ว่าใครเป็นคนลงมือและใครเป็นคนสั่ง ผมก็จะทำเรื่องร้องเรียนไปยังท่านนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธาน ก.ตร. ว่าบุคคลที่อยู่ภายใต้หมายจับนี้เป็นคนที่ยิงผม และผมมีหลักฐานชัดเจนว่าหลบอยู่ที่กัมพูชา ไม่ทราบว่าท่านนายกรัฐมนตรีท่านจะดำเนินการในเรื่องนี้อย่างไรต่อไป.คนๆนี้มีหมายจับอยู่แล้ว เวรกรรมตามทันจริงๆ จากนี้ไปเขาคงไม่มีความสุขถ้ายังมีชีวิตอยู่ เพราะว่าผมรู้ตัวตน รู้แหล่งที่อยู่เขาเรียบร้อยแล้ว เชื่อผมสิ คนทำชั่วหนีไม่พ้นหรอก ในที่สุดจะต้องโดนเวรกรรมลงโทษ ช้าหรือเร็วเท่านั้น "สวัสดีคุณฉัตร" คุณฉัตรครับ ผมยังไม่ลืมคุณ.เผอิญมีตำรวจที่ให้สัมภาษณ์เรื่องผมโดนยิงกับ หนุ่ม คงกระพัน ทำเป็นรู้เรื่องดี คุยโวโอ้อวดแล้วบอกว่าเป็นคนทำคดีนี้เอง รู้ทุกอย่างนั้น ก็เป็นคนที่ติดตามคดีการเสียชีวิตของน้องแตงโม ภัทริดา ตำรวจคนนี้ชื่อเล่นว่า "ยาว" พล.ต.ต.วีระศักดิ์ มีนะวาณิชย์ อดีตเคยเป็นสืบนครบาล ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนภูธรภาค 8 แต่ชอบมีคนอวยว่าเป็นเชอร์ล็อกโฮล์มของเมืองไทย ส่วนตัวเองก็อวดอ้างว่าไม่มีคดีไหนที่จับไม่ได้ และเผอิญว่าลูกเขยของ พล.ต.ต.วีระศักดิ์ ชื่ออะไร รู้ไหมท่านผู้ชม ? ชื่อว่า นายตนุภัทร เลิศทวีวิทย์ หรือ นายปอ หนึ่งในจำเลยคดีการเสียชีวิตของน้องแตงโมนั่นเอง เผอิญเห็นคุยนักคุยหนาว่าคุณทำคดีที่ลอบยิงผม รู้ทุกเรื่อง แล้วก็เคยบอกว่าไม่มีคดีไหนที่จับไม่ได้ น่าเสียดายที่คุณเกษียณอายุไปนานแล้ว 13-14 ปี ไม่อย่างนั้นผมก็อยากให้ไปตามเรื่องให้ผมหน่อย เพราะเป็นเรื่องที่ผมไม่มีวันจะลืม
    ผมไม่เคยลืม“ส.ต.ท.วรวุฒิ มุ่งสันติ”คนทำชั่วลอบยิงผมแล้วหนีไปอยู่เขมร ผมรอ15ปีเต็มๆ .เป็นเรื่องที่ผมไม่เคยลืม ให้ผมตายไป ผมก็ยังจะไม่ลืม แม้ว่าเวลาจะผ่านไป 15 ปีแล้วก็ตาม อีกเดือนกว่าๆ จะครบรอบ16ปีวันที่ 17 เมษายน 2552 ของการลอบสังหารผมบริเวณใกล้ๆ สี่แยกบางขุนพรหม ระหว่างเดินทางไปจัดรายการ Good Morning Thailand ทางสถานีโทรทัศน์ ASTV ที่ถนนพระอาทิตย์แล้ว แม้เวลาจะผ่านไป 15 ปีกว่าแล้ว แต่เหตุการณ์ยังเหมือนเกิดขึ้นเมื่อวานนี้อยู่เลย.ผู้ต้องหาลอบยิงผมนั้นมีอยู่ 3 คน จ.ส.อ.ปัญญา ศรีเหรา อดีตทหารหน่วยรบพิเศษ ศูนย์สงครามพิเศษ ตอนนี้เสียชีวิตแล้วตั้งแต่ปี 2556 และ ส.ต.ท.วรวุฒิ มุ่งสันติ หรือนายอรรถพล ปาทาน เจ้าหน้าที่ศูนย์ข่าว กองบัญชาการปราบปรามยาเสพติดซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องการดักฟังโทรศัพท์อย่างมาก อดีตเคยเป็นคนขับรถของ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ครั้งเป็นผู้บัญชาการปราบปรามยาเสพติด และ ส.อ.สมชาย บุญนาค สังกัดกองร้อย กองบังคับการกรมรบพิเศษ ค่ายเอราวัณ จังหวัดลพบุรี.ล่าสุด มีความคืบหน้าเรื่องหนึ่งในผู้ต้องหาที่ยิงผม คือ ส.ต.ท.วรวุฒิ มุ่งสันติ หรือชื่อ นายอรรถพล ปาทาน จากแหล่งข่าวที่ผมมีอยู่ในประเทศกัมพูชา เขาบอกว่าเขาเพิ่งเจอมือปืนที่ยิงผมเมื่อ 15 ปีที่แล้ว ทำงานอยู่ที่ประเทศกัมพูชา เขาระบุว่า ส.ต.ท.วรวุฒิ ใช้ชีวิตอยู่ในประเทศกัมพูชาเป็นสิบปีแล้ว เปลี่ยนชื่อตัวเองว่า "ฉัตร" มีบัตรประชาชนเป็นพลเมืองกัมพูชาไปแล้ว มีครอบครัว มีภรรยาเป็นชาวกัมพูชา มีลูกด้วยกันแต่เลิกรากันไปแล้ว และส่งเสียเงินมาเลี้ยงดูลูกเมียที่อยู่ฝั่งไทย ฐานะการเงินของ ส.ต.ท.วรวุฒิ ในปัจจุบันถือว่าใช้ได้ เพราะทำงานในบริษัทรับเหมาก่อสร้างอยู่ประเทศกัมพูชา มีรถราใช้ เป็นรถยนต์อีซูซุ รุ่น MUX ตอนนี้เห็นว่ารับงานก่อสร้างต่อเติมอยู่ที่กาสิโนฝั่งปอยเปต ของคุณวัฒนา อัศวเหม ที่โดนไฟไหม้ใหญ่ไปเมื่อปลายปี 2565 สายสืบผมเก็บข้อมูลเชิงลึกเห็นว่า มีนายทุนที่เป็นคนไทย มีแบ็กคอยดูแลอยู่ ชื่อ เสี่ยพัฒน์ เป็นเจ้าของโรงงานผลิตน้ำตาลในไทย คอยให้ความช่วยเหลือ เมื่อมกราคม 2568 ปีใหม่ที่ผ่านมา ส.ต.ท.วรวุฒิ บ่นอิจฉาเพื่อนๆว่าได้กลับบ้านเกิด ส่วนตัวคุณไม่มีปัญญาที่จะกลับบ้านเหมือนคนอื่นเขา เบอร์โทรศัพท์ที่ลงด้วยเลขหมาย 197 เป็นของคุณใช่ไหม ตอบผมหน่อย รอรับสายผมนะ ผมรอคุณมา 15 ปีเต็มๆ ผมอยากจะทราบว่านายคุณให้ค่าหัวผมเท่าไรวะ คุณถึงรับงานมายิงผม .ผมเคยพูดไปหลายครั้งแล้วว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องหนึ่งที่ผมจะต้องร้องขอความเป็นธรรมกับรัฐบาลทุกๆ รัฐบาล คือเรื่องความเป็นธรรมของการดำเนินคดีกับคนที่ลอบฆ่าผม ซึ่งผมรู้ว่าใครเป็นคนลงมือและใครเป็นคนสั่ง ผมก็จะทำเรื่องร้องเรียนไปยังท่านนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธาน ก.ตร. ว่าบุคคลที่อยู่ภายใต้หมายจับนี้เป็นคนที่ยิงผม และผมมีหลักฐานชัดเจนว่าหลบอยู่ที่กัมพูชา ไม่ทราบว่าท่านนายกรัฐมนตรีท่านจะดำเนินการในเรื่องนี้อย่างไรต่อไป.คนๆนี้มีหมายจับอยู่แล้ว เวรกรรมตามทันจริงๆ จากนี้ไปเขาคงไม่มีความสุขถ้ายังมีชีวิตอยู่ เพราะว่าผมรู้ตัวตน รู้แหล่งที่อยู่เขาเรียบร้อยแล้ว เชื่อผมสิ คนทำชั่วหนีไม่พ้นหรอก ในที่สุดจะต้องโดนเวรกรรมลงโทษ ช้าหรือเร็วเท่านั้น "สวัสดีคุณฉัตร" คุณฉัตรครับ ผมยังไม่ลืมคุณ.เผอิญมีตำรวจที่ให้สัมภาษณ์เรื่องผมโดนยิงกับ หนุ่ม คงกระพัน ทำเป็นรู้เรื่องดี คุยโวโอ้อวดแล้วบอกว่าเป็นคนทำคดีนี้เอง รู้ทุกอย่างนั้น ก็เป็นคนที่ติดตามคดีการเสียชีวิตของน้องแตงโม ภัทริดา ตำรวจคนนี้ชื่อเล่นว่า "ยาว" พล.ต.ต.วีระศักดิ์ มีนะวาณิชย์ อดีตเคยเป็นสืบนครบาล ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนภูธรภาค 8 แต่ชอบมีคนอวยว่าเป็นเชอร์ล็อกโฮล์มของเมืองไทย ส่วนตัวเองก็อวดอ้างว่าไม่มีคดีไหนที่จับไม่ได้ และเผอิญว่าลูกเขยของ พล.ต.ต.วีระศักดิ์ ชื่ออะไร รู้ไหมท่านผู้ชม ? ชื่อว่า นายตนุภัทร เลิศทวีวิทย์ หรือ นายปอ หนึ่งในจำเลยคดีการเสียชีวิตของน้องแตงโมนั่นเอง เผอิญเห็นคุยนักคุยหนาว่าคุณทำคดีที่ลอบยิงผม รู้ทุกเรื่อง แล้วก็เคยบอกว่าไม่มีคดีไหนที่จับไม่ได้ น่าเสียดายที่คุณเกษียณอายุไปนานแล้ว 13-14 ปี ไม่อย่างนั้นผมก็อยากให้ไปตามเรื่องให้ผมหน่อย เพราะเป็นเรื่องที่ผมไม่มีวันจะลืม
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 876 Views 0 Reviews
  • สำนักงานคณะกรรมการข้อมูลส่วนบุคคลของแคนาดาได้เปิดการสอบสวนเกี่ยวกับ X ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่เป็นเจ้าของโดย Elon Musk เพื่อดูว่า X ใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของชาวแคนาดาในการฝึกอบรมโมเดลปัญญาประดิษฐ์ (AI) อย่างถูกต้องตามกฎหมายความเป็นส่วนตัวของแคนาดาหรือไม่ การสอบสวนนี้เกิดขึ้นหลังจากมีการร้องเรียนถึงการใช้ข้อมูลของผู้ใช้โดยไม่ได้รับความยินยอมที่เหมาะสม

    สำนักงานคณะกรรมการข้อมูลส่วนบุคคลของแคนาดากล่าวว่าจะมุ่งเน้นการสอบสวนในเรื่องของการปฏิบัติตามกฎหมายความเป็นส่วนตัวของรัฐบาลกลาง โดยเฉพาะเกี่ยวกับการเก็บรวบรวม การใช้งาน และการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของชาวแคนาดาเพื่อฝึกอบรมโมเดลปัญญาประดิษฐ์ โดยยังไม่มีรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับลักษณะของการร้องเรียนนี้

    Brian Masse สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรค New Democratic Party (NDP) กล่าวว่ายินดีที่เห็นสำนักงานคณะกรรมการข้อมูลส่วนบุคคลเปิดการสอบสวนเกี่ยวกับการใช้ข้อมูลของ X และเน้นว่าความโปร่งใสเป็นสิ่งสำคัญในช่วงเวลาที่อัลกอริทึมอาจถูกบิดเบือนเพื่อเผยแพร่ข้อมูลเท็จ

    การสอบสวนนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่มีความตึงเครียดเพิ่มขึ้นระหว่างแคนาดาและสหรัฐฯ ในเรื่องการค้า การรักษาความปลอดภัยชายแดน และภาษีบริการดิจิทัลที่มีผลต่อบริษัทเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ในขณะเดียวกัน Elon Musk ที่ได้รับมอบหมายให้ลดขนาดรัฐบาลของสหรัฐฯ โดยประธานาธิบดี Donald Trump ได้สัญญาว่าจะดำเนินการตามภาษี 25% สำหรับสินค้าจากแคนาดาและเม็กซิโก เนื่องจากปัญหายาเสพติดที่ยังคงเข้ามาในสหรัฐฯ จากประเทศเหล่านี้

    X ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเดิมชื่อ Twitter มีโมเดลปัญญาประดิษฐ์ที่ชื่อว่า Grok ซึ่งเปิดให้ผู้ใช้ใช้งานเพื่อทำงานต่าง ๆ เช่น ตอบคำถาม แก้ปัญหา และระดมความคิด Grok-3 ซึ่งเป็นเวอร์ชันล่าสุดของโมเดลนี้ เพิ่งเปิดตัวให้กับสมาชิกระดับ Premium+ บน X

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/02/28/canada039s-privacy-watchdog-opens-investigation-into-x-following-complaint
    สำนักงานคณะกรรมการข้อมูลส่วนบุคคลของแคนาดาได้เปิดการสอบสวนเกี่ยวกับ X ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่เป็นเจ้าของโดย Elon Musk เพื่อดูว่า X ใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของชาวแคนาดาในการฝึกอบรมโมเดลปัญญาประดิษฐ์ (AI) อย่างถูกต้องตามกฎหมายความเป็นส่วนตัวของแคนาดาหรือไม่ การสอบสวนนี้เกิดขึ้นหลังจากมีการร้องเรียนถึงการใช้ข้อมูลของผู้ใช้โดยไม่ได้รับความยินยอมที่เหมาะสม สำนักงานคณะกรรมการข้อมูลส่วนบุคคลของแคนาดากล่าวว่าจะมุ่งเน้นการสอบสวนในเรื่องของการปฏิบัติตามกฎหมายความเป็นส่วนตัวของรัฐบาลกลาง โดยเฉพาะเกี่ยวกับการเก็บรวบรวม การใช้งาน และการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของชาวแคนาดาเพื่อฝึกอบรมโมเดลปัญญาประดิษฐ์ โดยยังไม่มีรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับลักษณะของการร้องเรียนนี้ Brian Masse สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรค New Democratic Party (NDP) กล่าวว่ายินดีที่เห็นสำนักงานคณะกรรมการข้อมูลส่วนบุคคลเปิดการสอบสวนเกี่ยวกับการใช้ข้อมูลของ X และเน้นว่าความโปร่งใสเป็นสิ่งสำคัญในช่วงเวลาที่อัลกอริทึมอาจถูกบิดเบือนเพื่อเผยแพร่ข้อมูลเท็จ การสอบสวนนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่มีความตึงเครียดเพิ่มขึ้นระหว่างแคนาดาและสหรัฐฯ ในเรื่องการค้า การรักษาความปลอดภัยชายแดน และภาษีบริการดิจิทัลที่มีผลต่อบริษัทเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ในขณะเดียวกัน Elon Musk ที่ได้รับมอบหมายให้ลดขนาดรัฐบาลของสหรัฐฯ โดยประธานาธิบดี Donald Trump ได้สัญญาว่าจะดำเนินการตามภาษี 25% สำหรับสินค้าจากแคนาดาและเม็กซิโก เนื่องจากปัญหายาเสพติดที่ยังคงเข้ามาในสหรัฐฯ จากประเทศเหล่านี้ X ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเดิมชื่อ Twitter มีโมเดลปัญญาประดิษฐ์ที่ชื่อว่า Grok ซึ่งเปิดให้ผู้ใช้ใช้งานเพื่อทำงานต่าง ๆ เช่น ตอบคำถาม แก้ปัญหา และระดมความคิด Grok-3 ซึ่งเป็นเวอร์ชันล่าสุดของโมเดลนี้ เพิ่งเปิดตัวให้กับสมาชิกระดับ Premium+ บน X https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/02/28/canada039s-privacy-watchdog-opens-investigation-into-x-following-complaint
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Canada watchdog probing X's use of personal data in AI models' training
    TORONTO (Reuters) - Canada's privacy watchdog has opened an investigation into X, the social media platform owned by billionaire tech mogul Elon Musk, on whether its use of Canadians' personal data to train artificial intelligence (AI) models broke privacy rules.
    0 Comments 0 Shares 366 Views 0 Reviews
More Results