• ถ้านายกชื่อ "ประยุทธ" เศรษฐาจะพูดแบบนี้มั้ย

    นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ในรายการกรรมกรข่าวคุยนอกจอ บอกขออนุญาตให้คำว่า “รัฐบาลเพื่อไทยสร้างหนี้อีกแล้ว” เป็นวาทกรรม เพราะหลายประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่นอังกฤษ ญี่ปุ่น แคนาดา สหรัฐฯ ซึ่งหนี้สาธารณะต่อจีดีพี เกิน 100 % ก็ไม่เห็นเป็นปัญหาเลย ขณะที่ไทยไม่เกิน 70 % เมื่อ

    เมื่อถูกถามว่า เดี๋ยวก็ยังมีคนมาบอกว่าลูกหลานต้องมาใช้หนี้ นายเศรษฐา เผยว่า ทุกคนก็ต้องใช้หนี้อยู่ดี แต่มันสำคัญว่าเอาหนี้ไปทำอะไรมากกว่า มันเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องกู้มาเพื่อให้ประชาชนมีชีวิตที่ดีขึ้น ในฐานะที่เป็นนักการเมืองการดูแลพี่น้องประชาชนเป็นเรื่องสำคัญ การกู้เงิน เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องกู้ เพื่อให้ชีวิตประชาชนดีขึ้น แต่หากมีการกู้มากกว่า 70-80 % เป็นหน้าที่ที่ต้องอธิบายว่าเอาไปทำอะไร ส่งผลต่อ GDP อย่างไร และจะทำให้หนี้สาธารณะต่อ GDP ลดลงมาเมื่อไหร่ ต้องมีรายละเอียดชัด
    ถ้านายกชื่อ "ประยุทธ" เศรษฐาจะพูดแบบนี้มั้ย นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ในรายการกรรมกรข่าวคุยนอกจอ บอกขออนุญาตให้คำว่า “รัฐบาลเพื่อไทยสร้างหนี้อีกแล้ว” เป็นวาทกรรม เพราะหลายประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่นอังกฤษ ญี่ปุ่น แคนาดา สหรัฐฯ ซึ่งหนี้สาธารณะต่อจีดีพี เกิน 100 % ก็ไม่เห็นเป็นปัญหาเลย ขณะที่ไทยไม่เกิน 70 % เมื่อ เมื่อถูกถามว่า เดี๋ยวก็ยังมีคนมาบอกว่าลูกหลานต้องมาใช้หนี้ นายเศรษฐา เผยว่า ทุกคนก็ต้องใช้หนี้อยู่ดี แต่มันสำคัญว่าเอาหนี้ไปทำอะไรมากกว่า มันเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องกู้มาเพื่อให้ประชาชนมีชีวิตที่ดีขึ้น ในฐานะที่เป็นนักการเมืองการดูแลพี่น้องประชาชนเป็นเรื่องสำคัญ การกู้เงิน เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องกู้ เพื่อให้ชีวิตประชาชนดีขึ้น แต่หากมีการกู้มากกว่า 70-80 % เป็นหน้าที่ที่ต้องอธิบายว่าเอาไปทำอะไร ส่งผลต่อ GDP อย่างไร และจะทำให้หนี้สาธารณะต่อ GDP ลดลงมาเมื่อไหร่ ต้องมีรายละเอียดชัด
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 40 มุมมอง 0 รีวิว
  • ยูเครนชนะกี่โมง? ย้อนฟัง "ช่อ พรรณิการ์"
    ฟันธงรัสเซียแพ้แน่นอน แพ้ย่อยยับ
    .
    ย้อนฟัง "ช่อ พรรณิการ์" ยอดนักวิเคราะห์ข่าวต่างประเทศสายส้ม วิเคราะห์สงครามยูเครนแบบมั่นหน้า ด้วยการฟันธงว่า รัสเซียแพ้แน่นอน แพ้ย่อยยับ ปูตินจะถูกรัฐประหารเงียบ จนชาวเน็ตผู้มาจากอนาคตเข้าไปรุมคอมเมนต์เดือด เตือนความทรงจำ ถามเมื่อไหร่รัสเซียจะแพ้-ยูเครนจะชนะ?
    .
    ในสถานการณ์ทางการเมืองโลกที่ผันผวนภายหลังการยกหูโทรศัพท์พูดคุยกันนานกว่า 90 นาทีระหว่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และ นายวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย เมื่อวันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ 2568 โดยในประเด็นสงครามยูเครนนั้น นายทรัมป์ กล่าวกับผู้สื่อข่าวภายหลังว่า “ถึงเวลาแล้วที่จะยุติสงครามไร้สาระนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยการสังหารและการทำลายล้างที่ไม่จำเป็นเลย ขอพระเจ้าอวยพรประชาชนชาวรัสเซียและยูเครน!”
    .
    การเริ่มต้นพูดคุยระหว่าง ทรัมป์และปูติน อันนำมาสู่เหตุการณ์เมื่อ วันอังคารที่ 18 กุมภาพันธ์ 2568 สหรัฐฯ และรัสเซียนำโดย นายมาร์ค รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ และ นายเซอร์เกย์ ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย ซึ่งดำเนินการเปิดโต๊ะการเจรจาเกี่ยวกับยูเครนกันเพียง 2 ฝ่าย อย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรกที่กรุงริยาด ประเทศซาอุดีอาระเบีย โดยปราศจากตัวแทนของยูเครน และชาติต่าง ๆ ในยุโรปร่วมโต๊ะเลย แม้แต่คนเดียว
    .
    สถานการณ์ดังกล่าวสร้างความเดือดดาลให้กับนายโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครนและผู้นำชาติต่างๆ ในยุโรปอย่างมาก เพราะการเปิดโต๊ะเจรจาดังกล่าวเป็นสัญญาณว่า ยูเครนและยุโรปน่าจะต้องตกเป็นเบี้ยล่าง และพ่ายแพ้ถูกทิ้งไว้ท่ามกลางซากปรักหักพัง รวมถึงปัญหาต่างๆ ที่เข้ารุมเร้าทั้งปัญหาเศรษฐกิจ ค่าครองชีพ การแย่งชิงบีบบังคับเอาทรัพยากรเพื่อชดใช้เงินช่วยเหลือในสงคราม ความวุ่นวายทางการเมืองภายใน รวมไปถึงปัญหาสังคมและผู้อพยพ ฯลฯ
    .
    ในส่วนของผู้ที่ติดตามข่าวสารเรื่องสงครามยูเครนในประเทศไทยส่วนหนึ่ง ได้มีผู้ย้อนไปหยิบยกการวิเคราะห์สถานการณ์สงครามยูเครนเมื่อ 2 ปีที่แล้ว โดย น.ส.พรรณิการ์ วานิช อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคอนาคตใหม่ และอดีตเป็นพิธีกรรายการข่าวทางช่องวอยซ์ทีวี ปัจจุบันดำรงตำแหน่งโฆษกคณะก้าวหน้า ซึ่งเมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2565 หรือเกือบ 3 ปีที่แล้ว ได้วิเคราะห์เรื่องนี้เอาไว้ในยูทูปช่อง คณะก้าวหน้า - Progressive Movement ความยาวกว่า 25 นาที ในหัวเรื่องว่า "ช่อฟันธง! รัสเซียแพ้ย่อยยับ ปูตินชักศึกเข้าบ้าน!" (ลิงก์ >> https://www.youtube.com/watch?v=ytfIw1BHnEM)
    .
    ทั้งนี้ในรายการดังกล่าว "ช่อ พรรณิการ์" แห่งคณะก้าวหน้าได้กล่าวในตอนต้นว่า "ดิฉันขอฟันธง รัสเซียเธอแพ้แน่นอน นับวันแพ้ ทำไมถึงจะแพ้ เป็นเพราะอะไรเกิดอะไรขึ้น เป็นเพราะอะไร?"
    .
    จากนั้น อดีตโฆษกพรรคอนาคตใหม่ได้กล่าววิเคราะห์ต่อว่า สาเหตุที่รัสเซียจะพ่ายแพ้ต่อยูเครนและชาติพันธมิตรยุโรปนั้นมาจาก การบีบบังคับด้วยการใช้มาตรการทางเศรษฐกิจ-การเงินต่อยุโรป
    "มาตรการหลัก ๆ ที่ตอนนี้นำโดยสหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา ใช้อยู่จริง ๆ คือ มาตรการการเงิน ซึ่งมากไปกว่า มาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจการค้านะ แต่เรียกว่าเป็นการทุบค่าเงินและตัดตอนทางการเงินแบบขนานใหญ่ อย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อนในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมา นานาประเทศตัดรัสเซียออกจากระบบการโอนเงินระหว่างประเทศ S.W.I.F.T., ระบบการเงินของธนาคารต่าง ๆ, มีการฟรีซแอสเสท หรือสินทรัพย์ของรัสเซียที่อยู่ในสหรัฐอเมริกา รวมถึงประกาศไม่ให้มีการค้าขายกับรัสเซีย ..." น.ส.พรรณิการ์กล่าว และวิเคราะห์ต่อว่า นี่เองเป็นสาเหตุที่ค่าเงินรูเบิลของรัสเซียตกต่ำลงอย่างมาก จนแทบจะไม่มีค่า แทบจะกลายเป็นเศษกระดาษ
    .
    นอกจากนี้ ช่อ พรรณิการ์ ยังวิเคราะห์ต่ออย่างออกรสด้วยว่า ความเคลื่อนไหวที่สำคัญที่สุดคือ ท่าทีของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ที่เลือกจะทำตามมาตรการคว่ำบาตรของอียู คือ การอายัดทรัพย์สินของรัสเซียที่อยู่ในแบงก์สวิตเซอร์แลนด์ คิดเป็นมูลค่ากว่า 11,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยไม่ใช่แค่การอายัดเฉพาะทรัพย์สินของรัฐ แต่เป็นทรัพย์สินของเอกชน และมหาเศรษฐีต่าง ๆ ของรัสเซียที่เกี่ยวข้องกับนายปูตินด้วยจะเป็นปัจจัยชี้ขายให้รัสเซียและนายปูตินพ่ายแพ้อย่างแน่นอน
    .
    "ดิฉันคิดว่า เมื่อสวิตเซอร์แลนด์ทำขนาดนี้แล้ว ปูตินนับวันแพ้ได้เลยนะคะ" โฆษกคณะก้าวหน้าฟันธง
    .
    ล่วงเลยมาถึงวันนี้ เมื่อทีมงาน Sondhi X กลับไปสำรวจความเห็นของผู้ที่เข้ามาชมคลิปการวิเคราะห์สถานการณ์โลกดังกล่าวของช่อ พรรณิการ์ ทางยูทูปของคณะก้าวหน้าแล้วก็พบว่า มีผู้เข้าไปย้อนดูคลิปดังกล่าวและแสดงความเห็นเป็นจำนวนมาก ยกตัวอย่างเช่น
    • สวัสดีเรามาจากอนาคต 2025 ตอนนี้ทรัมป์กับปูตินเจรจากันแล้วนะเรื่องยูเครนโดยไม่มีไอ้กี้ หรือใช้คำว่าไม่เห็นหัวไอ้กี้ ก็คงไม่ผิดนัก ส่วนไอ้กี้ก็หัวซุกหัวซุนเกาะยุโรปที่เหลืออย่างแนบแน่น จริงแล้วตอนนี้ ยูเครนต้องเลือกปธน.ใหม่แล้วนะ แต่ไอ้กี้ไม่ยอม และไม่ฟังเสียงปชช.เลย โคจรหวงอำนาจเลย ยังไงรบกวนคุณช่อประท้วงแทนปชช.ชาวยูเครนด้วยนะ หรือส่งให้ว่าที่ เลขา UN ด้วยนะครับ
    • เมื่อไรจะแพ้ รออยู่นะคับ
    • ทายแค่ ซ้ายขวายังผิดยังคิดจะมาบริหารประเทศ อายมั้ยส้ม
    • 20-2-2025 ทายผิดจนขนลุก ยูเครนเละโดนรุมทึ้งแบ่งเค้กผลประโยชน์ของชาติ แถมไม่มีสิทธิแม้แต่เข้าร่วมเจรจาสันติภาพเลือกชะตากรรมของชาติตัวเอง 😂
    • ยูเครนชนะยังครับ รอจนเมื่อยแล้ว
    • สรุปทำไมวิเคราะห์ผิดหมดเลย ไม่มีข้อมูลเพียงพอรอบด้าน หรือไม่มีศักยภาพในการวิเคราะห์ ถ้าได้บริหารประเทศวิเคราะห์ผิดแบบนี้แย่แน่นอน
    • สวัสดีเรามาจากอนาคต สภาพ ผิดทุกเรื่องตรงข้ามทุกอย่าง 5555
    • วิเคราะห์มาถึงขนาดนี้ ปัจจุบันคุณเห็นหรือยังใครเป็นคนทำสงคราม นาโต้ทำสงครามกับรัสเซีย ยูเครนเป็นสนามรบ ผู้สนับสนุนหลักคืออเมริกา
    รัสเซียบุกยูเครน ก็เพราะนาโต้ขยายอาณาเขตเข้ามาในยูเครน รัสเซียแค่ป้องกันตนเองจากกลุ่มนาโต้ มีหัวเรือเป็นสหรัฐอเมริกา ตัวตลกยูเครนคือหุ่นเชิด
    • ธงหักหมดแล้ว จากคนเคยเลือกและลาขาด
    .
    สำหรับคลิปการวิเคราะห์ดังกล่าวของช่อ พรรณิการ์ เรื่องสงครามยูเครน นับถึงเวลา 20.00น. ที่ผ่านมาของวันที่ 20 ก.พ. 68 มีผู้เข้าชมแล้วกว่า 1.49 ล้านครั้ง
    ยูเครนชนะกี่โมง? ย้อนฟัง "ช่อ พรรณิการ์" ฟันธงรัสเซียแพ้แน่นอน แพ้ย่อยยับ . ย้อนฟัง "ช่อ พรรณิการ์" ยอดนักวิเคราะห์ข่าวต่างประเทศสายส้ม วิเคราะห์สงครามยูเครนแบบมั่นหน้า ด้วยการฟันธงว่า รัสเซียแพ้แน่นอน แพ้ย่อยยับ ปูตินจะถูกรัฐประหารเงียบ จนชาวเน็ตผู้มาจากอนาคตเข้าไปรุมคอมเมนต์เดือด เตือนความทรงจำ ถามเมื่อไหร่รัสเซียจะแพ้-ยูเครนจะชนะ? . ในสถานการณ์ทางการเมืองโลกที่ผันผวนภายหลังการยกหูโทรศัพท์พูดคุยกันนานกว่า 90 นาทีระหว่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และ นายวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย เมื่อวันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ 2568 โดยในประเด็นสงครามยูเครนนั้น นายทรัมป์ กล่าวกับผู้สื่อข่าวภายหลังว่า “ถึงเวลาแล้วที่จะยุติสงครามไร้สาระนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยการสังหารและการทำลายล้างที่ไม่จำเป็นเลย ขอพระเจ้าอวยพรประชาชนชาวรัสเซียและยูเครน!” . การเริ่มต้นพูดคุยระหว่าง ทรัมป์และปูติน อันนำมาสู่เหตุการณ์เมื่อ วันอังคารที่ 18 กุมภาพันธ์ 2568 สหรัฐฯ และรัสเซียนำโดย นายมาร์ค รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ และ นายเซอร์เกย์ ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย ซึ่งดำเนินการเปิดโต๊ะการเจรจาเกี่ยวกับยูเครนกันเพียง 2 ฝ่าย อย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรกที่กรุงริยาด ประเทศซาอุดีอาระเบีย โดยปราศจากตัวแทนของยูเครน และชาติต่าง ๆ ในยุโรปร่วมโต๊ะเลย แม้แต่คนเดียว . สถานการณ์ดังกล่าวสร้างความเดือดดาลให้กับนายโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครนและผู้นำชาติต่างๆ ในยุโรปอย่างมาก เพราะการเปิดโต๊ะเจรจาดังกล่าวเป็นสัญญาณว่า ยูเครนและยุโรปน่าจะต้องตกเป็นเบี้ยล่าง และพ่ายแพ้ถูกทิ้งไว้ท่ามกลางซากปรักหักพัง รวมถึงปัญหาต่างๆ ที่เข้ารุมเร้าทั้งปัญหาเศรษฐกิจ ค่าครองชีพ การแย่งชิงบีบบังคับเอาทรัพยากรเพื่อชดใช้เงินช่วยเหลือในสงคราม ความวุ่นวายทางการเมืองภายใน รวมไปถึงปัญหาสังคมและผู้อพยพ ฯลฯ . ในส่วนของผู้ที่ติดตามข่าวสารเรื่องสงครามยูเครนในประเทศไทยส่วนหนึ่ง ได้มีผู้ย้อนไปหยิบยกการวิเคราะห์สถานการณ์สงครามยูเครนเมื่อ 2 ปีที่แล้ว โดย น.ส.พรรณิการ์ วานิช อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคอนาคตใหม่ และอดีตเป็นพิธีกรรายการข่าวทางช่องวอยซ์ทีวี ปัจจุบันดำรงตำแหน่งโฆษกคณะก้าวหน้า ซึ่งเมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2565 หรือเกือบ 3 ปีที่แล้ว ได้วิเคราะห์เรื่องนี้เอาไว้ในยูทูปช่อง คณะก้าวหน้า - Progressive Movement ความยาวกว่า 25 นาที ในหัวเรื่องว่า "ช่อฟันธง! รัสเซียแพ้ย่อยยับ ปูตินชักศึกเข้าบ้าน!" (ลิงก์ >> https://www.youtube.com/watch?v=ytfIw1BHnEM) . ทั้งนี้ในรายการดังกล่าว "ช่อ พรรณิการ์" แห่งคณะก้าวหน้าได้กล่าวในตอนต้นว่า "ดิฉันขอฟันธง รัสเซียเธอแพ้แน่นอน นับวันแพ้ ทำไมถึงจะแพ้ เป็นเพราะอะไรเกิดอะไรขึ้น เป็นเพราะอะไร?" . จากนั้น อดีตโฆษกพรรคอนาคตใหม่ได้กล่าววิเคราะห์ต่อว่า สาเหตุที่รัสเซียจะพ่ายแพ้ต่อยูเครนและชาติพันธมิตรยุโรปนั้นมาจาก การบีบบังคับด้วยการใช้มาตรการทางเศรษฐกิจ-การเงินต่อยุโรป "มาตรการหลัก ๆ ที่ตอนนี้นำโดยสหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา ใช้อยู่จริง ๆ คือ มาตรการการเงิน ซึ่งมากไปกว่า มาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจการค้านะ แต่เรียกว่าเป็นการทุบค่าเงินและตัดตอนทางการเงินแบบขนานใหญ่ อย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อนในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมา นานาประเทศตัดรัสเซียออกจากระบบการโอนเงินระหว่างประเทศ S.W.I.F.T., ระบบการเงินของธนาคารต่าง ๆ, มีการฟรีซแอสเสท หรือสินทรัพย์ของรัสเซียที่อยู่ในสหรัฐอเมริกา รวมถึงประกาศไม่ให้มีการค้าขายกับรัสเซีย ..." น.ส.พรรณิการ์กล่าว และวิเคราะห์ต่อว่า นี่เองเป็นสาเหตุที่ค่าเงินรูเบิลของรัสเซียตกต่ำลงอย่างมาก จนแทบจะไม่มีค่า แทบจะกลายเป็นเศษกระดาษ . นอกจากนี้ ช่อ พรรณิการ์ ยังวิเคราะห์ต่ออย่างออกรสด้วยว่า ความเคลื่อนไหวที่สำคัญที่สุดคือ ท่าทีของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ที่เลือกจะทำตามมาตรการคว่ำบาตรของอียู คือ การอายัดทรัพย์สินของรัสเซียที่อยู่ในแบงก์สวิตเซอร์แลนด์ คิดเป็นมูลค่ากว่า 11,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยไม่ใช่แค่การอายัดเฉพาะทรัพย์สินของรัฐ แต่เป็นทรัพย์สินของเอกชน และมหาเศรษฐีต่าง ๆ ของรัสเซียที่เกี่ยวข้องกับนายปูตินด้วยจะเป็นปัจจัยชี้ขายให้รัสเซียและนายปูตินพ่ายแพ้อย่างแน่นอน . "ดิฉันคิดว่า เมื่อสวิตเซอร์แลนด์ทำขนาดนี้แล้ว ปูตินนับวันแพ้ได้เลยนะคะ" โฆษกคณะก้าวหน้าฟันธง . ล่วงเลยมาถึงวันนี้ เมื่อทีมงาน Sondhi X กลับไปสำรวจความเห็นของผู้ที่เข้ามาชมคลิปการวิเคราะห์สถานการณ์โลกดังกล่าวของช่อ พรรณิการ์ ทางยูทูปของคณะก้าวหน้าแล้วก็พบว่า มีผู้เข้าไปย้อนดูคลิปดังกล่าวและแสดงความเห็นเป็นจำนวนมาก ยกตัวอย่างเช่น • สวัสดีเรามาจากอนาคต 2025 ตอนนี้ทรัมป์กับปูตินเจรจากันแล้วนะเรื่องยูเครนโดยไม่มีไอ้กี้ หรือใช้คำว่าไม่เห็นหัวไอ้กี้ ก็คงไม่ผิดนัก ส่วนไอ้กี้ก็หัวซุกหัวซุนเกาะยุโรปที่เหลืออย่างแนบแน่น จริงแล้วตอนนี้ ยูเครนต้องเลือกปธน.ใหม่แล้วนะ แต่ไอ้กี้ไม่ยอม และไม่ฟังเสียงปชช.เลย โคจรหวงอำนาจเลย ยังไงรบกวนคุณช่อประท้วงแทนปชช.ชาวยูเครนด้วยนะ หรือส่งให้ว่าที่ เลขา UN ด้วยนะครับ • เมื่อไรจะแพ้ รออยู่นะคับ • ทายแค่ ซ้ายขวายังผิดยังคิดจะมาบริหารประเทศ อายมั้ยส้ม • 20-2-2025 ทายผิดจนขนลุก ยูเครนเละโดนรุมทึ้งแบ่งเค้กผลประโยชน์ของชาติ แถมไม่มีสิทธิแม้แต่เข้าร่วมเจรจาสันติภาพเลือกชะตากรรมของชาติตัวเอง 😂 • ยูเครนชนะยังครับ รอจนเมื่อยแล้ว • สรุปทำไมวิเคราะห์ผิดหมดเลย ไม่มีข้อมูลเพียงพอรอบด้าน หรือไม่มีศักยภาพในการวิเคราะห์ ถ้าได้บริหารประเทศวิเคราะห์ผิดแบบนี้แย่แน่นอน • สวัสดีเรามาจากอนาคต สภาพ ผิดทุกเรื่องตรงข้ามทุกอย่าง 5555 • วิเคราะห์มาถึงขนาดนี้ ปัจจุบันคุณเห็นหรือยังใครเป็นคนทำสงคราม นาโต้ทำสงครามกับรัสเซีย ยูเครนเป็นสนามรบ ผู้สนับสนุนหลักคืออเมริกา รัสเซียบุกยูเครน ก็เพราะนาโต้ขยายอาณาเขตเข้ามาในยูเครน รัสเซียแค่ป้องกันตนเองจากกลุ่มนาโต้ มีหัวเรือเป็นสหรัฐอเมริกา ตัวตลกยูเครนคือหุ่นเชิด • ธงหักหมดแล้ว จากคนเคยเลือกและลาขาด . สำหรับคลิปการวิเคราะห์ดังกล่าวของช่อ พรรณิการ์ เรื่องสงครามยูเครน นับถึงเวลา 20.00น. ที่ผ่านมาของวันที่ 20 ก.พ. 68 มีผู้เข้าชมแล้วกว่า 1.49 ล้านครั้ง
    Like
    Haha
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 61 มุมมอง 0 รีวิว
  • สำนักข่าว CCTV ของรัฐรายงานเมื่อวันพุธที่ 20 กุมภาพันธ์ 2568 ว่าจาง หงลี่ อดีตรองประธานธนาคารอุตสาหกรรมและการพาณิชย์แห่งประเทศจีน ถูกศาลพิพากษาให้รับโทษประหารชีวิตแต่รอลงอาญา 2 ปี ฐานความผิดร้ายแรงรับสินบนมูลค่ากว่า 177 ล้านหยวน (24.3 ล้านเหรียญสหรัฐ)โดยจางถูกสอบสวนโดยคณะกรรมการตรวจสอบวินัยกลาง ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลการต่อต้านการทุจริตชั้นนำของจีน เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2023 ต่อมาศาลประชาชนระดับกลางแห่งหางโจวในมณฑลเจ้อเจียงทางตะวันออกพบว่าตั้งแต่ปี 2554 ถึง 2565 จางได้ “ใช้” ตำแหน่งของเขาที่ ICBC ซึ่งเป็นธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในโลกเมื่อพิจารณาจากสินทรัพย์รวม เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่หน่วยงานและบุคคลในการระดมทุนเงินกู้และรักษาตำแหน่งงาน และเขาเองก็ยอมรับสินบนเป็นการตอบแทน ศาลพิพากษาว่าอาชญากรรมร้ายแรงของจางสมควรได้รับโทษประหารชีวิต โดยอ้างถึง “จำนวนเงินสินบนที่มากเป็นพิเศษ สถานการณ์อาชญากรรมร้ายแรง และผลกระทบทางสังคมที่เลวร้าย” ซึ่งก่อให้เกิด “ความสูญเสียครั้งใหญ่” ต่อประเทศและผลประโยชน์ของประชาชนแต่จางได้รับการรอลงอาญาสองปีเนื่องจากเขาให้ความร่วมมือกับทางการ รวมถึงสารภาพความผิดและให้ข้อมูลเกี่ยวกับกรณีสินบนที่ไม่เคยเปิดเผยมาก่อน นอกจากนี้จางยังคืนเงินสินบนที่ผิดกฎหมายจำนวนมากอีกด้วย ตามคำกล่าวของศาลทั้งนี้เขาได้ถูกเพิกถอนสิทธิทางการเมืองตลอดชีวิตและถูกยึดทรัพย์สินทั้งหมดhttps://www.scmp.com/news/china/politics/article/3299436/former-icbc-executive-gets-death-sentence-reprieve-taking-us24-million-bribes
    สำนักข่าว CCTV ของรัฐรายงานเมื่อวันพุธที่ 20 กุมภาพันธ์ 2568 ว่าจาง หงลี่ อดีตรองประธานธนาคารอุตสาหกรรมและการพาณิชย์แห่งประเทศจีน ถูกศาลพิพากษาให้รับโทษประหารชีวิตแต่รอลงอาญา 2 ปี ฐานความผิดร้ายแรงรับสินบนมูลค่ากว่า 177 ล้านหยวน (24.3 ล้านเหรียญสหรัฐ)โดยจางถูกสอบสวนโดยคณะกรรมการตรวจสอบวินัยกลาง ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลการต่อต้านการทุจริตชั้นนำของจีน เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2023 ต่อมาศาลประชาชนระดับกลางแห่งหางโจวในมณฑลเจ้อเจียงทางตะวันออกพบว่าตั้งแต่ปี 2554 ถึง 2565 จางได้ “ใช้” ตำแหน่งของเขาที่ ICBC ซึ่งเป็นธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในโลกเมื่อพิจารณาจากสินทรัพย์รวม เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่หน่วยงานและบุคคลในการระดมทุนเงินกู้และรักษาตำแหน่งงาน และเขาเองก็ยอมรับสินบนเป็นการตอบแทน ศาลพิพากษาว่าอาชญากรรมร้ายแรงของจางสมควรได้รับโทษประหารชีวิต โดยอ้างถึง “จำนวนเงินสินบนที่มากเป็นพิเศษ สถานการณ์อาชญากรรมร้ายแรง และผลกระทบทางสังคมที่เลวร้าย” ซึ่งก่อให้เกิด “ความสูญเสียครั้งใหญ่” ต่อประเทศและผลประโยชน์ของประชาชนแต่จางได้รับการรอลงอาญาสองปีเนื่องจากเขาให้ความร่วมมือกับทางการ รวมถึงสารภาพความผิดและให้ข้อมูลเกี่ยวกับกรณีสินบนที่ไม่เคยเปิดเผยมาก่อน นอกจากนี้จางยังคืนเงินสินบนที่ผิดกฎหมายจำนวนมากอีกด้วย ตามคำกล่าวของศาลทั้งนี้เขาได้ถูกเพิกถอนสิทธิทางการเมืองตลอดชีวิตและถูกยึดทรัพย์สินทั้งหมดhttps://www.scmp.com/news/china/politics/article/3299436/former-icbc-executive-gets-death-sentence-reprieve-taking-us24-million-bribes
    WWW.SCMP.COM
    Former ICBC executive gets death sentence with reprieve for taking bribes
    Zhang Hongli, who was vice-president of the state-owned bank, accepted bribes in exchange for help with loan financing and securing jobs.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 58 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตำรวจไซเบอร์เชิญพิธีกรสาวช่อง The Critics ให้ปากคำในฐานะพยาน กรณี “ทักษิณ” ส่งทนายแจ้งความช่องดังกล่าวทำคลิปข่าวหมิ่นประมาท เผยยังไม่แจ้งข้อกล่าวหา ยังอยู่ระหว่างรวบรวมหลักฐาน

    วันนี้ (20 ก.พ.) ที่กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สอท. พล.ต.ต.วิวัฒน์ คำชำนาญ พล.ต.ต.ทินกร รังมาตย์ รอง ผบช.สอท. พ.ต.อ.ดำรงศักดิ์ อ่อนตา รอง ผบก.สอท.4 นำกำลังตรวจค้นพร้อมหมายค้นศาลอาญาที่ 110/2568 ลงวันที่ 19 ก.พ.68 เพื่อเข้าค้นบ้านหลังหนึ่ง ใน ถ.ชัยพฤกษ์ แขวงและเขตตลิ่งชัน กทม. ก่อนเชิญตัว น.ส.ไญยิกา มาพบพนักงานสอบสวนเพื่อให้การในฐานะพยาน

    พล.ต.ต.วิวัฒน์ กล่าวว่า สืบเนื่องจากได้รับการร้องเรียนจาก น.ส.ฐปณีย์ เอียดศรีไชย ที่ยังอยู่ อ.แม่สอด จ.ตาก ว่า จะเดินทางเข้าแจ้งความร้องทุกข์ในกรณีที่ถูกเพจหนึ่งใช้ข้อความบิดเบือน ต่อว่า ให้ร้าย จึงรวบรวมพยานหลักฐาน กระทั่งพบข้อมูลว่า ก่อนหน้า นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้มอบอำนาจให้นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความส่วนตัว มาแจ้งความร้องทุกข์ต่อมอบคดีต่อพนักงานสอบสวนในข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา และในข้อหาความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ กรณีที่มีการตัดต่อข้อความ โดยประการที่อาจจะเกิดความเสียหายแก่ชื่อเสียง จากกรณีที่สำนักข่าวดังกล่าวทำคลิปข่าวหมิ่นประมาทนายทักษิณ ในทำนอง “ทักษิณผู้นำเลวสุดในโลก มอนเตฯ ริบสัญชาติเพราะโกง” นำเสนอข่าวทางการเมือง โดยการอัพโหลดลงบนสื่อโซเชียลที่ประชาชนสามารถเข้าถึงได้

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000016958

    #MGROnline #ตำรวจไซเบอร์ #พิธีกรสาว #ช่องTheCritics #ทักษิณ #หมิ่นประมาท
    ตำรวจไซเบอร์เชิญพิธีกรสาวช่อง The Critics ให้ปากคำในฐานะพยาน กรณี “ทักษิณ” ส่งทนายแจ้งความช่องดังกล่าวทำคลิปข่าวหมิ่นประมาท เผยยังไม่แจ้งข้อกล่าวหา ยังอยู่ระหว่างรวบรวมหลักฐาน • วันนี้ (20 ก.พ.) ที่กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สอท. พล.ต.ต.วิวัฒน์ คำชำนาญ พล.ต.ต.ทินกร รังมาตย์ รอง ผบช.สอท. พ.ต.อ.ดำรงศักดิ์ อ่อนตา รอง ผบก.สอท.4 นำกำลังตรวจค้นพร้อมหมายค้นศาลอาญาที่ 110/2568 ลงวันที่ 19 ก.พ.68 เพื่อเข้าค้นบ้านหลังหนึ่ง ใน ถ.ชัยพฤกษ์ แขวงและเขตตลิ่งชัน กทม. ก่อนเชิญตัว น.ส.ไญยิกา มาพบพนักงานสอบสวนเพื่อให้การในฐานะพยาน • พล.ต.ต.วิวัฒน์ กล่าวว่า สืบเนื่องจากได้รับการร้องเรียนจาก น.ส.ฐปณีย์ เอียดศรีไชย ที่ยังอยู่ อ.แม่สอด จ.ตาก ว่า จะเดินทางเข้าแจ้งความร้องทุกข์ในกรณีที่ถูกเพจหนึ่งใช้ข้อความบิดเบือน ต่อว่า ให้ร้าย จึงรวบรวมพยานหลักฐาน กระทั่งพบข้อมูลว่า ก่อนหน้า นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้มอบอำนาจให้นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความส่วนตัว มาแจ้งความร้องทุกข์ต่อมอบคดีต่อพนักงานสอบสวนในข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา และในข้อหาความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ กรณีที่มีการตัดต่อข้อความ โดยประการที่อาจจะเกิดความเสียหายแก่ชื่อเสียง จากกรณีที่สำนักข่าวดังกล่าวทำคลิปข่าวหมิ่นประมาทนายทักษิณ ในทำนอง “ทักษิณผู้นำเลวสุดในโลก มอนเตฯ ริบสัญชาติเพราะโกง” นำเสนอข่าวทางการเมือง โดยการอัพโหลดลงบนสื่อโซเชียลที่ประชาชนสามารถเข้าถึงได้ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000016958 • #MGROnline #ตำรวจไซเบอร์ #พิธีกรสาว #ช่องTheCritics #ทักษิณ #หมิ่นประมาท
    Angry
    1
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 60 มุมมอง 0 รีวิว
  • เอกอัครราชทูตฝรั่งเศสคนใหม่ประจำสิงคโปร์แถลงว่า ยุโรปไม่ต้องการให้ชาติเอเชียต้องเลือกระหว่างสหรัฐฯ และจีน ท่ามกลางกระแสการแข่งขันโลกเชี่ยวกราก ปูทางประธานาธิบดี เอ็มมานุเอล มาครง ขึ้นเวทีการประชุมแชงกรีลาไดอะล็อกฟอรัม พฤษภาคมนี้ ขณะที่สิงคโปร์เปิดอกรับเอเชียมองวอชิงตันทำตัวเหมือนเจ้าของที่กำลังเรียกเก็บค่าเช่า
    .
    รอยเตอร์รายงานวันอังคาร (18 ก.พ.) ว่า เอกอัครราชทูตฝรั่งเศสคนใหม่ประจำสิงคโปร์ สตีเฟน มาร์กีซีโอ (Stephen Marchisio) เริ่มทำหน้าที่ตั้งแต่วันอังคาร (18) เปิดใจว่า ฝรั่งเศสเห็นแรงกดดันเพิ่มขึ้น “บางทีมาจากฝั่งสหรัฐฯ” ที่พันธมิตรในเอเชียจำเป็นต้องตัดสินใจเลือกข้าง”
    .
    เขาย้ำว่า “มันมีความสำคัญที่ต้องกล่าวว่าพวกเราสามารถพูดคุยได้กับทุกคน” และเสริมว่า “พวกเราไม่ต้องการให้ใครต้องเลือก”
    .
    ทูตแดนน้ำหอมคนใหม่ของประธานาธิบดีเอ็มมานุเอล มาครงให้สัมภาษณ์กับนักข่าวระหว่างอาหารค่ำในสิงคโปร์ที่ซึ่งมาครงจะเดินทางมาที่นี่เพื่อขึ้นกล่าวในการประชุมความมั่นคงแชงกรีลาฟอรัมในวันที่ 30 พ.ค.ที่จะถึง
    .
    มาร์กีซีโอกล่าวว่า ประธานาธิบดีมาครงจะขึ้นกล่าวยืนยันบนเวทีว่า ทุกชาติภายในภูมิภาคสามารถปกป้องผลประโยชน์ของชาติตัวเองได้
    .
    “พวกคุณสามารถทำได้ถึงแม้ว่าคุณจะไม่เห็นด้วยกับรูปแบบทางการเมืองของจีน และคุณสามารถทำได้ถึงแม้คุณจะไม่ต้องการฐานทัพจากสหรัฐฯ ในดินแดนของพวกคุณก็ตาม”
    .
    สถานทูตสหรัฐฯ ในสิงคโปร์ได้ตอบคำถามรอยเตอร์ไปยังแถลงการณ์ของกลุ่ม G-7 ที่ลงนามในมิวนิกโดยฝรั่งเศสและสหรัฐฯ ที่กล่าวว่า สมาชิกทุกชาติมีพันธต่อภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกที่เสรี เปิดกว้าง และมั่นคง
    .
    ตามแถลงการณ์ทูตฝรั่งเศสชี้ว่า ยุโรปต้องสามัคคี
    .
    มาร์กีซีโอยังชี้ว่า ยุโรปต้องมีความสามัคคีที่รวมไปถึงการสั่งซื้ออาวุธอเมริกัน ที่ชี้ว่าเป็นการตอบโต้คำแถลงจากรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ดีเจ แวนซ์ ในมิวนิกเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา
    .
    ทูตแดนน้ำหอมกล่าวว่า มีบางประเทศมองความเกี่ยวข้องในการซื้ออาวุธเป็นหนทางที่จะได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลทรัมป์สมัยแรก แต่ทว่ามุมมองนี้เปลี่ยนไปแล้วโดยเฉพาะหลังจากที่รองประธานาธิบดีแวนซ์ของสหรัฐฯ ได้ส่งสัญญาณผ่านำแถลงที่เผ็ดร้อนในการประชุมมิวนิกฟอรัมในยุโรป
    .
    “เกิดอะไรขึ้นในมิวนิก? เขาพยายามโจมตีแก่นกลางของประชาธิปไตย” และเสริมต่อว่า “ดังนั้นมันจึงทำให้เกิดไปสู่คำถามอื่นต่อ”
    .
    ดังนั้นเวลานี้ประเทศในยุโรปอาจจะไม่ซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์อเมริกัน และเสริมต่อว่าเป็นเพราะไม่มีหลักประกันในการทำเช่นนั้นจะช่วยผ่อนคลายความกดดันของสหรัฐฯ ลงหรือวาทะโจมตีแสดงความเป็นปรปักษ์
    .
    “พวกเราไม่ต้องการที่จะกล่าวว่า ..แต่พวกเราจะตอบโต้หากว่าพวกเราต้องทำ” โดยอ้างไปถึงภาษีและแรงกดดันอื่นๆ ของสหรัฐฯ
    .
    มาร์กีซีโอรายงานว่า สถานการณ์ที่ดีที่สุดของฝรั่งเศสคือการไม่ต้องการตอบโต้เอาคืนจากการที่ทั้งสหรัฐอเมริกาและชาติยุโรปต่างมีผลประโยชน์ร่วมกันมากมายรวมไปถึงอุตสาหกรรม
    .
    การแสดงความเห็นของทูตฝรั่งเศสคนใหม่สะท้อนความเห็นรัฐมนตรีกลาโหมสิงคโปร์ อึ้ง เอ็ง เฮง (Ng Eng Hen) ที่แถลงในการประชุมความมั่นคงยุโรปว่า “ภาพของอเมริกาที่มีต่อเอเชียได้เปลี่ยนไป”
    .
    “ภาพลักษณ์เปลี่ยนไปจากผู้ปลดปล่อยไปสู่ผู้สร้างความปั่นป่วนไปสู่เจ้าของที่ต้องการเรียกเก็บค่าเช่า”
    .
    บลูมเบิร์กรายงานวันจันทร์ (17) ว่า อึ้ง เอ็ง เฮง แถลงในการประชุมนอกรอบที่การประชุมความมั่นคงมิวนิกว่า แนวคิดที่เกิดขึ้นมาเป็นเวลาหลายปีหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
    .
    ทั้งนี้ เว็บไซต์รัฐบาลสิงคโปร์ได้โพสต์เมื่อสุดสัปดาห์ในคำแถลงของรัฐมนตรีกลาโหมสิงคโปร์กล่าววิจารณ์สหรัฐฯ ในการประชุมมิวนิก
    .
    คำแถลงเกิดขึ้นหลังรัฐบาลสหรัฐฯ ชุดใหม่สมัยทรัมป์มืดมัวตาบอดไม่สนใจต่อประวัติศาสตร์ที่เป็นมาของพันธมิตรนาโตเปิดฉากแผนการหารือตรงกับประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูตินต่ออนาคตของสงครามเครมลินในยูเครน
    .
    บลูมเบิร์กวิเคราะห์ว่า สิงคโปร์เป็นเหมือนเช่นชาติส่วนใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ต้องการแสวงหาทางสายกลางในการเพิ่มขึ้นของภาพที่ซับซ้อนทางการเมืองเชิงภูมิศาสตร์ เพื่อเสาะหาความสัมพันธ์ที่สมดุลกับสหรัฐอเมริกาในฐานะหุ้นส่วนความมั่นคงหลักและต่อจีนในฐานะแหล่งของการพัฒนาและหนึ่งในพันธมิตรทางการค้าที่ใหญ่ที่สุดของตัวเอง
    .
    ทั้งนี้สหรัฐฯ ในสมัยอดีตรัฐบาลประธานาธิบดี โจ ไบเดน อเมริกาได้ทำงานเพื่อสร้างข้อผูกพันทางความมั่นคงภายในภูมิภาคต่อต้านการรุกคืบจากจีนในทะเลจีนใต้ และเป็นความวิตกทางความมั่นคงที่ยังคงเกิดขึ้นจากความมุ่งมั่นของปักกิ่งในการนำไต้หวันกลับสู่อ้อมอกอีกครั้งในอนาคตไม่ว่าจะเป็นการใช้กำลังหรือไม่
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000016775
    ..............
    Sondhi X
    เอกอัครราชทูตฝรั่งเศสคนใหม่ประจำสิงคโปร์แถลงว่า ยุโรปไม่ต้องการให้ชาติเอเชียต้องเลือกระหว่างสหรัฐฯ และจีน ท่ามกลางกระแสการแข่งขันโลกเชี่ยวกราก ปูทางประธานาธิบดี เอ็มมานุเอล มาครง ขึ้นเวทีการประชุมแชงกรีลาไดอะล็อกฟอรัม พฤษภาคมนี้ ขณะที่สิงคโปร์เปิดอกรับเอเชียมองวอชิงตันทำตัวเหมือนเจ้าของที่กำลังเรียกเก็บค่าเช่า . รอยเตอร์รายงานวันอังคาร (18 ก.พ.) ว่า เอกอัครราชทูตฝรั่งเศสคนใหม่ประจำสิงคโปร์ สตีเฟน มาร์กีซีโอ (Stephen Marchisio) เริ่มทำหน้าที่ตั้งแต่วันอังคาร (18) เปิดใจว่า ฝรั่งเศสเห็นแรงกดดันเพิ่มขึ้น “บางทีมาจากฝั่งสหรัฐฯ” ที่พันธมิตรในเอเชียจำเป็นต้องตัดสินใจเลือกข้าง” . เขาย้ำว่า “มันมีความสำคัญที่ต้องกล่าวว่าพวกเราสามารถพูดคุยได้กับทุกคน” และเสริมว่า “พวกเราไม่ต้องการให้ใครต้องเลือก” . ทูตแดนน้ำหอมคนใหม่ของประธานาธิบดีเอ็มมานุเอล มาครงให้สัมภาษณ์กับนักข่าวระหว่างอาหารค่ำในสิงคโปร์ที่ซึ่งมาครงจะเดินทางมาที่นี่เพื่อขึ้นกล่าวในการประชุมความมั่นคงแชงกรีลาฟอรัมในวันที่ 30 พ.ค.ที่จะถึง . มาร์กีซีโอกล่าวว่า ประธานาธิบดีมาครงจะขึ้นกล่าวยืนยันบนเวทีว่า ทุกชาติภายในภูมิภาคสามารถปกป้องผลประโยชน์ของชาติตัวเองได้ . “พวกคุณสามารถทำได้ถึงแม้ว่าคุณจะไม่เห็นด้วยกับรูปแบบทางการเมืองของจีน และคุณสามารถทำได้ถึงแม้คุณจะไม่ต้องการฐานทัพจากสหรัฐฯ ในดินแดนของพวกคุณก็ตาม” . สถานทูตสหรัฐฯ ในสิงคโปร์ได้ตอบคำถามรอยเตอร์ไปยังแถลงการณ์ของกลุ่ม G-7 ที่ลงนามในมิวนิกโดยฝรั่งเศสและสหรัฐฯ ที่กล่าวว่า สมาชิกทุกชาติมีพันธต่อภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกที่เสรี เปิดกว้าง และมั่นคง . ตามแถลงการณ์ทูตฝรั่งเศสชี้ว่า ยุโรปต้องสามัคคี . มาร์กีซีโอยังชี้ว่า ยุโรปต้องมีความสามัคคีที่รวมไปถึงการสั่งซื้ออาวุธอเมริกัน ที่ชี้ว่าเป็นการตอบโต้คำแถลงจากรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ดีเจ แวนซ์ ในมิวนิกเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา . ทูตแดนน้ำหอมกล่าวว่า มีบางประเทศมองความเกี่ยวข้องในการซื้ออาวุธเป็นหนทางที่จะได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลทรัมป์สมัยแรก แต่ทว่ามุมมองนี้เปลี่ยนไปแล้วโดยเฉพาะหลังจากที่รองประธานาธิบดีแวนซ์ของสหรัฐฯ ได้ส่งสัญญาณผ่านำแถลงที่เผ็ดร้อนในการประชุมมิวนิกฟอรัมในยุโรป . “เกิดอะไรขึ้นในมิวนิก? เขาพยายามโจมตีแก่นกลางของประชาธิปไตย” และเสริมต่อว่า “ดังนั้นมันจึงทำให้เกิดไปสู่คำถามอื่นต่อ” . ดังนั้นเวลานี้ประเทศในยุโรปอาจจะไม่ซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์อเมริกัน และเสริมต่อว่าเป็นเพราะไม่มีหลักประกันในการทำเช่นนั้นจะช่วยผ่อนคลายความกดดันของสหรัฐฯ ลงหรือวาทะโจมตีแสดงความเป็นปรปักษ์ . “พวกเราไม่ต้องการที่จะกล่าวว่า ..แต่พวกเราจะตอบโต้หากว่าพวกเราต้องทำ” โดยอ้างไปถึงภาษีและแรงกดดันอื่นๆ ของสหรัฐฯ . มาร์กีซีโอรายงานว่า สถานการณ์ที่ดีที่สุดของฝรั่งเศสคือการไม่ต้องการตอบโต้เอาคืนจากการที่ทั้งสหรัฐอเมริกาและชาติยุโรปต่างมีผลประโยชน์ร่วมกันมากมายรวมไปถึงอุตสาหกรรม . การแสดงความเห็นของทูตฝรั่งเศสคนใหม่สะท้อนความเห็นรัฐมนตรีกลาโหมสิงคโปร์ อึ้ง เอ็ง เฮง (Ng Eng Hen) ที่แถลงในการประชุมความมั่นคงยุโรปว่า “ภาพของอเมริกาที่มีต่อเอเชียได้เปลี่ยนไป” . “ภาพลักษณ์เปลี่ยนไปจากผู้ปลดปล่อยไปสู่ผู้สร้างความปั่นป่วนไปสู่เจ้าของที่ต้องการเรียกเก็บค่าเช่า” . บลูมเบิร์กรายงานวันจันทร์ (17) ว่า อึ้ง เอ็ง เฮง แถลงในการประชุมนอกรอบที่การประชุมความมั่นคงมิวนิกว่า แนวคิดที่เกิดขึ้นมาเป็นเวลาหลายปีหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง . ทั้งนี้ เว็บไซต์รัฐบาลสิงคโปร์ได้โพสต์เมื่อสุดสัปดาห์ในคำแถลงของรัฐมนตรีกลาโหมสิงคโปร์กล่าววิจารณ์สหรัฐฯ ในการประชุมมิวนิก . คำแถลงเกิดขึ้นหลังรัฐบาลสหรัฐฯ ชุดใหม่สมัยทรัมป์มืดมัวตาบอดไม่สนใจต่อประวัติศาสตร์ที่เป็นมาของพันธมิตรนาโตเปิดฉากแผนการหารือตรงกับประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูตินต่ออนาคตของสงครามเครมลินในยูเครน . บลูมเบิร์กวิเคราะห์ว่า สิงคโปร์เป็นเหมือนเช่นชาติส่วนใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ต้องการแสวงหาทางสายกลางในการเพิ่มขึ้นของภาพที่ซับซ้อนทางการเมืองเชิงภูมิศาสตร์ เพื่อเสาะหาความสัมพันธ์ที่สมดุลกับสหรัฐอเมริกาในฐานะหุ้นส่วนความมั่นคงหลักและต่อจีนในฐานะแหล่งของการพัฒนาและหนึ่งในพันธมิตรทางการค้าที่ใหญ่ที่สุดของตัวเอง . ทั้งนี้สหรัฐฯ ในสมัยอดีตรัฐบาลประธานาธิบดี โจ ไบเดน อเมริกาได้ทำงานเพื่อสร้างข้อผูกพันทางความมั่นคงภายในภูมิภาคต่อต้านการรุกคืบจากจีนในทะเลจีนใต้ และเป็นความวิตกทางความมั่นคงที่ยังคงเกิดขึ้นจากความมุ่งมั่นของปักกิ่งในการนำไต้หวันกลับสู่อ้อมอกอีกครั้งในอนาคตไม่ว่าจะเป็นการใช้กำลังหรือไม่ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000016775 .............. Sondhi X
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 496 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไซด์ ซาดีค นักการเมือง ที่เป็นนายแบบได้นิดหน่อย

    เป็นอีกนักการเมืองคนรุ่นใหม่ ที่สร้างสีสันการเมืองในมาเลเซีย สำหรับไซด์ ซาดีค (Syed Saddiq) วัย 32 ปี สส.อำเภอมัวร์ รัฐยะโฮร์ สังกัดพรรคฝ่ายค้าน มูดา (MUDA) และอดีต รมว.เยาวชนและกีฬามาเลเซีย ล่าสุดเขาออกมายอมรับว่า ต้องจำยอมไปเป็นนายแบบเสื้อผ้าชุดรายอให้กับแบรนด์แฟชั่นแบรนด์หนึ่ง คู่กับ เบลลา อัสติลลาห์ (Bella Astillah) นักร้องและนักแสดงสาวชื่อดัง เพราะรัฐบาลนายอันวาร์ อิบราฮิม จากกลุ่มปากาตัน ฮาราปัน (PH) ไม่ยอมจัดสรรเงินช่วยเหลือประชาชนในเขตเลือกตั้งของตนเอง

    ซาดีค กล่าวกลางรัฐสภามาเลเซียว่า ได้พยายามเจรจากับรัฐบาลอันวาร์มาหลายครั้งแล้ว ทำตามคำแนะนำนายอันวาร์ เจรจากับนายฟาดิลลาห์ ยูโซฟ รองนายกรัฐมนตรีมาเลเซียไปแล้ว 5 ครั้ง ส่งจดหมายไปแล้ว ฉบับแล้วฉบับเล่านานกว่า 400 วัน แต่ความช่วยเหลือจากรัฐบาลต่อรัฐสภาเมืองมัวร์ยังเป็น 0 ริงกิต ถ้าไม่อยากให้งบประมาณก็พูดในรัฐสภาแห่งนี้ไปเลย อย่าพูดเล่นๆ แบบข้างนอกพูดอย่างหนึ่ง แต่ข้างในกลับพูดอีกอย่างหนึ่ง ผมพยายามหลายครั้งแล้วแต่ไม่สำเร็จ ก็เลยหนีมาเป็นนายแบบ สส.บางคนโกรธที่ผมเป็นนายแบบ ขอบคุณพระเจ้า ในที่สุดผมก็ได้รับเงินบริจาค 1 ล้านริงกิตให้กับรัฐสภาเมืองมัวร์

    ขณะเดียวกัน ซาดีค ได้ขอให้รัฐบาลอันวาร์ทำการเมืองแบบมีวุฒิภาวะ เพราะไม่ว่ารัฐบาลหรือฝ่ายค้าน ชะตากรรมของประชาชนในพื้นที่จะได้รับการปกป้อง และให้ความช่วยเหลือโดยไม่คำนึงถึงสังกัดทางการเมือง มาเลเซียจะกลายเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วได้อย่างไร แม้แต่เรื่องพื้นฐานก็ยังไม่สามารถแก้ไขได้ เราส่งเสียงเรื่องนี้มาหลายสิบปีแล้วเมื่อเป็นฝ่ายค้าน

    ก่อนหน้านี้ เซียร์ลีนา อับดุล ราชิด (Syerleena Abdul Rashid) สมาชิกรัฐสภาของกลุ่มปากาตัน ฮาราปัน กลุ่มเดียวกับนายกรัฐมนตรีอันวาร์ ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ซาดีคว่า ละเลยประชาชนในเขตเลือกตั้งตนเอง เพราะเขามักจะร่วมงานกับอัสติลลาห์โปรโมตเสื้อผ้ารายอแบรนด์หนึ่ง กระทั่งซาดีคต้องออกมาตอบโต้ดังกล่าว

    ย้อนกลับไปเมื่อปีที่แล้ว ซาดีคตัดสินใจวิ่งจากอำเภอมัวร์ รัฐยะโฮร์ ไปยังอาคารรัฐสภามาเลเซีย กรุงกัวลาลัมเปอร์ เป็นระยะทางกว่า 200 กิโลเมตร โดยใช้เวลา 4 วัน เพื่อระดมทุนรับบริจาคภายใต้แคมเปญ Langkah Muar (ก้าวเพื่อมัวร์) โดยครั้งนั้นได้เงินบริจาคกว่า 1 แสนริงกิต หรือประมาณ 7.7 แสนบาทในเวลา 48 ชั่วโมง

    #Newskit
    ไซด์ ซาดีค นักการเมือง ที่เป็นนายแบบได้นิดหน่อย เป็นอีกนักการเมืองคนรุ่นใหม่ ที่สร้างสีสันการเมืองในมาเลเซีย สำหรับไซด์ ซาดีค (Syed Saddiq) วัย 32 ปี สส.อำเภอมัวร์ รัฐยะโฮร์ สังกัดพรรคฝ่ายค้าน มูดา (MUDA) และอดีต รมว.เยาวชนและกีฬามาเลเซีย ล่าสุดเขาออกมายอมรับว่า ต้องจำยอมไปเป็นนายแบบเสื้อผ้าชุดรายอให้กับแบรนด์แฟชั่นแบรนด์หนึ่ง คู่กับ เบลลา อัสติลลาห์ (Bella Astillah) นักร้องและนักแสดงสาวชื่อดัง เพราะรัฐบาลนายอันวาร์ อิบราฮิม จากกลุ่มปากาตัน ฮาราปัน (PH) ไม่ยอมจัดสรรเงินช่วยเหลือประชาชนในเขตเลือกตั้งของตนเอง ซาดีค กล่าวกลางรัฐสภามาเลเซียว่า ได้พยายามเจรจากับรัฐบาลอันวาร์มาหลายครั้งแล้ว ทำตามคำแนะนำนายอันวาร์ เจรจากับนายฟาดิลลาห์ ยูโซฟ รองนายกรัฐมนตรีมาเลเซียไปแล้ว 5 ครั้ง ส่งจดหมายไปแล้ว ฉบับแล้วฉบับเล่านานกว่า 400 วัน แต่ความช่วยเหลือจากรัฐบาลต่อรัฐสภาเมืองมัวร์ยังเป็น 0 ริงกิต ถ้าไม่อยากให้งบประมาณก็พูดในรัฐสภาแห่งนี้ไปเลย อย่าพูดเล่นๆ แบบข้างนอกพูดอย่างหนึ่ง แต่ข้างในกลับพูดอีกอย่างหนึ่ง ผมพยายามหลายครั้งแล้วแต่ไม่สำเร็จ ก็เลยหนีมาเป็นนายแบบ สส.บางคนโกรธที่ผมเป็นนายแบบ ขอบคุณพระเจ้า ในที่สุดผมก็ได้รับเงินบริจาค 1 ล้านริงกิตให้กับรัฐสภาเมืองมัวร์ ขณะเดียวกัน ซาดีค ได้ขอให้รัฐบาลอันวาร์ทำการเมืองแบบมีวุฒิภาวะ เพราะไม่ว่ารัฐบาลหรือฝ่ายค้าน ชะตากรรมของประชาชนในพื้นที่จะได้รับการปกป้อง และให้ความช่วยเหลือโดยไม่คำนึงถึงสังกัดทางการเมือง มาเลเซียจะกลายเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วได้อย่างไร แม้แต่เรื่องพื้นฐานก็ยังไม่สามารถแก้ไขได้ เราส่งเสียงเรื่องนี้มาหลายสิบปีแล้วเมื่อเป็นฝ่ายค้าน ก่อนหน้านี้ เซียร์ลีนา อับดุล ราชิด (Syerleena Abdul Rashid) สมาชิกรัฐสภาของกลุ่มปากาตัน ฮาราปัน กลุ่มเดียวกับนายกรัฐมนตรีอันวาร์ ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ซาดีคว่า ละเลยประชาชนในเขตเลือกตั้งตนเอง เพราะเขามักจะร่วมงานกับอัสติลลาห์โปรโมตเสื้อผ้ารายอแบรนด์หนึ่ง กระทั่งซาดีคต้องออกมาตอบโต้ดังกล่าว ย้อนกลับไปเมื่อปีที่แล้ว ซาดีคตัดสินใจวิ่งจากอำเภอมัวร์ รัฐยะโฮร์ ไปยังอาคารรัฐสภามาเลเซีย กรุงกัวลาลัมเปอร์ เป็นระยะทางกว่า 200 กิโลเมตร โดยใช้เวลา 4 วัน เพื่อระดมทุนรับบริจาคภายใต้แคมเปญ Langkah Muar (ก้าวเพื่อมัวร์) โดยครั้งนั้นได้เงินบริจาคกว่า 1 แสนริงกิต หรือประมาณ 7.7 แสนบาทในเวลา 48 ชั่วโมง #Newskit
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 85 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทรัมป์รู้ดีว่า หากไม่เร่งให้มีการจัดการเลือกตั้งประธานาธิบดียูเครน การเจรจาสันติภาพ อาจเกิดการสะดุดจนไปต่อไม่ได้ เพราะเป็นหนึ่งในเงื่อนไขที่ปูตินตั้งไว้

    นอกจากตำแหน่งประธานาธิบดีที่ถูกต้องตามกฎหมายแล้ว ยังมีกฎหมายอีกหลายฉบับของยูเครนที่เซเลนสกีลงนามไว้ ซึ่งเป็นอุปสรรคในการเจรจา ซึ่งยูเครนต้องการ "ประธานาธิบดีตัวจริง" เพื่อยกเลิกกฎหมายเหล่านี้ เช่น:

    - เมื่อปี 2022 เซเลนสกี ลงนามคำสั่งห้ามการเจรจากับสหพันธรัฐรัสเซียตราบใดที่วลาดิมีร์ ปูตินยังคงดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของสหพันธรัฐรัสเซีย นั่นเท่ากับว่า ยูเครนจะไม่สามารถเจรจากับปูตินได้จนกว่าจะถึงเดือนพฤษภาคม ปี 2030

    - นอกจากนี้ ยังมีกฎหมายหลายฉบับที่เกี่ยวข้องกับการห้ามการเจรจากับรัสเซีย เช่น คำสั่งประกาศให้รัสเซียเป็นรัฐก่อการร้าย คำสั่งตัดสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรมทั้งหมดกับรัสเซีย การประกาศใช้กฎหมายของยูเครนกับประเทศที่ไม่เป็นมิตร
    ทรัมป์รู้ดีว่า หากไม่เร่งให้มีการจัดการเลือกตั้งประธานาธิบดียูเครน การเจรจาสันติภาพ อาจเกิดการสะดุดจนไปต่อไม่ได้ เพราะเป็นหนึ่งในเงื่อนไขที่ปูตินตั้งไว้ นอกจากตำแหน่งประธานาธิบดีที่ถูกต้องตามกฎหมายแล้ว ยังมีกฎหมายอีกหลายฉบับของยูเครนที่เซเลนสกีลงนามไว้ ซึ่งเป็นอุปสรรคในการเจรจา ซึ่งยูเครนต้องการ "ประธานาธิบดีตัวจริง" เพื่อยกเลิกกฎหมายเหล่านี้ เช่น: - เมื่อปี 2022 เซเลนสกี ลงนามคำสั่งห้ามการเจรจากับสหพันธรัฐรัสเซียตราบใดที่วลาดิมีร์ ปูตินยังคงดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของสหพันธรัฐรัสเซีย นั่นเท่ากับว่า ยูเครนจะไม่สามารถเจรจากับปูตินได้จนกว่าจะถึงเดือนพฤษภาคม ปี 2030 - นอกจากนี้ ยังมีกฎหมายหลายฉบับที่เกี่ยวข้องกับการห้ามการเจรจากับรัสเซีย เช่น คำสั่งประกาศให้รัสเซียเป็นรัฐก่อการร้าย คำสั่งตัดสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรมทั้งหมดกับรัสเซีย การประกาศใช้กฎหมายของยูเครนกับประเทศที่ไม่เป็นมิตร
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 126 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เปิดเผยว่าเขาสั่งการให้กระทรวงยุติธรรม เลิกจ้างบรรดาอัยการอเมริกาในยุคของไบเดน ที่ยังเหลือยู่ทั้งหมด อ้างว่ากระทรวงแห่งนี้ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
    .
    "เราต้องทำความสะอาดบ้านในทันที และฟื้นฟูความชื่อมั่น ยุคทองของอเมริกาจำเป็นต้องมีระบบยุติธรรมที่ยุติธรรม และมันเริ่มขึ้นแล้วในวันนี้" ทรัมป์โพสต์ข้อความบนทรัสต์โซเชียล
    .
    สำนักข่าวรอยเตอร์ติดต่อสอบถามไปยังกระทรวงยุติธรรม แต่กระทรวงยุติธรรมยังไม่แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับรายงานข่าวดังกล่าว
    .
    เมื่อสัปดาห์ก่อน ทำเนียบขาวส่งหนังสือแจ้งยกเลิกสัญญาไปยังอัยการสหรัฐฯ หลายคนทั่วประเทศ ผู้ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครต และล่าสุดในวันจันทร์ (17 ก.พ.) อัยการสหรัฐฯ หลายคนที่ได้รับการแต่งตั้งจากไบเดน แถลงว่ากำลังลาออก ส่วนคนอื่นๆ ได้ออกจากรัฐบาลตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว
    .
    แม้ตามธรรรมเนียมแล้ว บรรดาอัยการหรัฐฯ จะลาออกหลังมีการเปลี่ยนแปลงในการบริหารงานประธานาธิบดี แต่โดยปกติแล้วรัฐบาลที่กำลังเข้ารับตำแหน่งจะร้องขอให้พวกเขาลาออกจากตำแหน่งอย่างละมุนละม่อมและไม่ออกหนังสือเลิกจ้างที่ใช้ถ้อยคำกะทัดรัดเช่นนี้ จากความเห็นของอดีตทนายความทั้งในอดีตและปัจจุบันของกระทรวงยุติธรรม
    .
    การเลิกจ้างบรรดาอัยการสหรัฐฯ ซึ่งทำหน้าที่ในฐานะเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายรัฐบาลกลางระดับสูงสุด ตามเขตต่างๆ ของอัยการรายนั้นๆ ถือเป็นการยกเครื่องล่าสุดภายในกระทรวงยุติธรรม นับตั้งแต่ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งในเดือนที่แล้ว
    .
    แม้กระทั่งพวกเจ้าหน้าที่ที่มีอาชีพการเงินในกระทรวงยุติธรรม ที่ปกติแล้วจะยังคงอยู่ในตำแหน่งต่อไปแม้จะมีการเปลี่ยนรัฐบาลก็ตาม แต่คราวนี้มีพวกเขาหลายสิบคนในเมืองต่างๆ อย่างเช่นวอชิงตันและนิวยอร์ก ที่ถูกไล่ออกหรือลาออกไป นับตั้งแต่ ทรัมป์ ก้าวเข้าสู่อำนาจ
    .
    ระหว่างรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง ทรัมป์ประกาศกร้าวว่าจะยุติการใช้กระทรวงยุติธรรมเป็นเครื่องมือทางการเมือง ในสิ่งที่เขากล่าวอ้างว่าถูกใช้เล่นงานเขา ในช่วงหลายขวบปีที่พ้นจากอำนาจไป
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000016385
    ..............
    Sondhi X
    ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เปิดเผยว่าเขาสั่งการให้กระทรวงยุติธรรม เลิกจ้างบรรดาอัยการอเมริกาในยุคของไบเดน ที่ยังเหลือยู่ทั้งหมด อ้างว่ากระทรวงแห่งนี้ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน . "เราต้องทำความสะอาดบ้านในทันที และฟื้นฟูความชื่อมั่น ยุคทองของอเมริกาจำเป็นต้องมีระบบยุติธรรมที่ยุติธรรม และมันเริ่มขึ้นแล้วในวันนี้" ทรัมป์โพสต์ข้อความบนทรัสต์โซเชียล . สำนักข่าวรอยเตอร์ติดต่อสอบถามไปยังกระทรวงยุติธรรม แต่กระทรวงยุติธรรมยังไม่แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับรายงานข่าวดังกล่าว . เมื่อสัปดาห์ก่อน ทำเนียบขาวส่งหนังสือแจ้งยกเลิกสัญญาไปยังอัยการสหรัฐฯ หลายคนทั่วประเทศ ผู้ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครต และล่าสุดในวันจันทร์ (17 ก.พ.) อัยการสหรัฐฯ หลายคนที่ได้รับการแต่งตั้งจากไบเดน แถลงว่ากำลังลาออก ส่วนคนอื่นๆ ได้ออกจากรัฐบาลตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว . แม้ตามธรรรมเนียมแล้ว บรรดาอัยการหรัฐฯ จะลาออกหลังมีการเปลี่ยนแปลงในการบริหารงานประธานาธิบดี แต่โดยปกติแล้วรัฐบาลที่กำลังเข้ารับตำแหน่งจะร้องขอให้พวกเขาลาออกจากตำแหน่งอย่างละมุนละม่อมและไม่ออกหนังสือเลิกจ้างที่ใช้ถ้อยคำกะทัดรัดเช่นนี้ จากความเห็นของอดีตทนายความทั้งในอดีตและปัจจุบันของกระทรวงยุติธรรม . การเลิกจ้างบรรดาอัยการสหรัฐฯ ซึ่งทำหน้าที่ในฐานะเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายรัฐบาลกลางระดับสูงสุด ตามเขตต่างๆ ของอัยการรายนั้นๆ ถือเป็นการยกเครื่องล่าสุดภายในกระทรวงยุติธรรม นับตั้งแต่ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งในเดือนที่แล้ว . แม้กระทั่งพวกเจ้าหน้าที่ที่มีอาชีพการเงินในกระทรวงยุติธรรม ที่ปกติแล้วจะยังคงอยู่ในตำแหน่งต่อไปแม้จะมีการเปลี่ยนรัฐบาลก็ตาม แต่คราวนี้มีพวกเขาหลายสิบคนในเมืองต่างๆ อย่างเช่นวอชิงตันและนิวยอร์ก ที่ถูกไล่ออกหรือลาออกไป นับตั้งแต่ ทรัมป์ ก้าวเข้าสู่อำนาจ . ระหว่างรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง ทรัมป์ประกาศกร้าวว่าจะยุติการใช้กระทรวงยุติธรรมเป็นเครื่องมือทางการเมือง ในสิ่งที่เขากล่าวอ้างว่าถูกใช้เล่นงานเขา ในช่วงหลายขวบปีที่พ้นจากอำนาจไป . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000016385 .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 875 มุมมอง 0 รีวิว
  • รายงานจาก Bloomberg เปิดเผยว่า มีการตั้งข้อสงสัยว่าบริษัท DeepSeek ได้ใช้ GPU ที่ถูกห้ามจำหน่ายของ Nvidia ซึ่งลักลอบส่งออกจากสิงคโปร์ไปยังประเทศจีน Tan See Land รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมสิงคโปร์ กล่าวว่ายอดขายของ Nvidia ในสิงคโปร์มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ถูกส่งมอบให้กับประเทศจริงๆ ในขณะที่รายงานยอดขายจาก Nvidia ระบุว่าสิงคโปร์คิดเป็น 28% ของรายได้ทั้งหมดของบริษัทในปี 2024

    Tan ยังกล่าวอีกว่า เป็นเรื่องปกติที่บริษัทระดับโลกจะใช้สิงคโปร์เป็นศูนย์กลางการคิดค่าบริการและการจัดหาสินค้า แม้ว่าสินค้าจริงจะถูกส่งไปยังประเทศอื่นๆ อย่างไรก็ตาม สิงคโปร์มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจีน โดยเฉพาะในด้านธุรกิจ แต่ก็ถือว่าสหรัฐฯ เป็นพันธมิตรสำคัญเชิงกลยุทธ์ในด้านการค้าและการเมือง โดยมีข้อตกลงร่วมกันในการใช้สิ่งอำนวยความสะดวกทางทหารในสิงคโปร์และกวม

    รัฐบาลสิงคโปร์ได้ร่วมมือกับหน่วยงานของสหรัฐฯ เพื่อสืบสวนเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด และยืนยันว่าจะไม่สนับสนุนการใช้ที่อยู่ในสิงคโปร์เพื่อเลี่ยงข้อบังคับการส่งออกของประเทศอื่น

    ในข่าวนี้เราจะเห็นถึงความซับซ้อนของการทำธุรกิจในระดับโลก และการบริหารจัดการความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ต้องมีการปรับตัวและรักษาสมดุลอย่างรอบคอบ ในขณะเดียวกันก็ยังคงรักษาความสัมพันธ์ทางธุรกิจและการค้าให้เป็นไปอย่างราบรื่นที่สุด

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/deepseek-gpu-smuggling-probe-shows-nvidias-singapore-gpu-sales-are-28-percent-of-its-revenue-but-only-1-percent-are-delivered-to-the-country-report
    รายงานจาก Bloomberg เปิดเผยว่า มีการตั้งข้อสงสัยว่าบริษัท DeepSeek ได้ใช้ GPU ที่ถูกห้ามจำหน่ายของ Nvidia ซึ่งลักลอบส่งออกจากสิงคโปร์ไปยังประเทศจีน Tan See Land รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมสิงคโปร์ กล่าวว่ายอดขายของ Nvidia ในสิงคโปร์มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ถูกส่งมอบให้กับประเทศจริงๆ ในขณะที่รายงานยอดขายจาก Nvidia ระบุว่าสิงคโปร์คิดเป็น 28% ของรายได้ทั้งหมดของบริษัทในปี 2024 Tan ยังกล่าวอีกว่า เป็นเรื่องปกติที่บริษัทระดับโลกจะใช้สิงคโปร์เป็นศูนย์กลางการคิดค่าบริการและการจัดหาสินค้า แม้ว่าสินค้าจริงจะถูกส่งไปยังประเทศอื่นๆ อย่างไรก็ตาม สิงคโปร์มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจีน โดยเฉพาะในด้านธุรกิจ แต่ก็ถือว่าสหรัฐฯ เป็นพันธมิตรสำคัญเชิงกลยุทธ์ในด้านการค้าและการเมือง โดยมีข้อตกลงร่วมกันในการใช้สิ่งอำนวยความสะดวกทางทหารในสิงคโปร์และกวม รัฐบาลสิงคโปร์ได้ร่วมมือกับหน่วยงานของสหรัฐฯ เพื่อสืบสวนเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด และยืนยันว่าจะไม่สนับสนุนการใช้ที่อยู่ในสิงคโปร์เพื่อเลี่ยงข้อบังคับการส่งออกของประเทศอื่น ในข่าวนี้เราจะเห็นถึงความซับซ้อนของการทำธุรกิจในระดับโลก และการบริหารจัดการความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ต้องมีการปรับตัวและรักษาสมดุลอย่างรอบคอบ ในขณะเดียวกันก็ยังคงรักษาความสัมพันธ์ทางธุรกิจและการค้าให้เป็นไปอย่างราบรื่นที่สุด https://www.tomshardware.com/tech-industry/deepseek-gpu-smuggling-probe-shows-nvidias-singapore-gpu-sales-are-28-percent-of-its-revenue-but-only-1-percent-are-delivered-to-the-country-report
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 94 มุมมอง 0 รีวิว
  • 17 กุมภาพันธ์ พ ศ 2498
    วันประหารชีวิต สามนักโทษกรณีสวรรคต

    หลังจากศึกษาค้นคว้าข้อมูลแล้ว เห็นว่า

    “มีผู้จงใจทั้งในอดีตและปัจจุบัน พยายามสื่อสารให้เข้าใจว่า รัชกาลที่เก้าเป็นผู้ปฏิเสธการขอพระราชทานอภัยลดโทษประหารชีวิตของสามนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่ 8”

    ————

    "ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษของนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่แปด"


    ผู้เขียนขอนำเสนอข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษของนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่แปด

    เพราะมีสื่อต่างๆที่นำเสนอข้อมูลบางตอนที่ “อาจจะ” ทำให้ผู้รับสารเกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน หากไม่อ่านอย่างละเอียดถี่ถ้วน

    สื่อต่างๆที่ว่านี้ ได้แก่

    1. THE STANDARD TEAM เรื่อง “17 กุมภาพันธ์ 2498 – ประหารชีวิต ชิต, บุศย์, เฉลียว จำเลยคดีสวรรคตในหลวง ร.8” เผยแพร่วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564 มีข้อความดังนี้:

    “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2478 ขณะมีพระชนมพรรษาเพียง 9 พรรษา พระองค์สวรรคตด้วยพระแสงปืนอย่างมีเงื่อนงำเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2489

    ต่อมาศาลฎีกาได้พิพากษาลงโทษประหารชีวิตจำเลยทั้ง 3 คน คือ เฉลียว ปทุมรส, ชิต สิงหเสนี และ บุศย์ ปัทมศริน อ้างอิงจากแถลงการณ์กระทรวงมหาดไทย ดังนี้

    แถลงการณ์ของกระทรวงมหาดไทย ตามที่ศาลฎีกาได้พิพากษาลงโทษประหารชีวิตนายเฉลียว ปทุมรส นายชิต สิงหเสนีย์ และนายบุศย์ ปัทมะศิรินทร์ จำเลยในคดีต้องหาว่าประทุษร้ายต่อองค์พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล และจำเลยทั้งสามได้ทูลเกล้าฯ ถวายฎีกา ขอพระราชทานอภัยโทษนั้น

    บัดนี้ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ยกฎีกาของจำเลยทั้งสามเสีย

    ทางราชทัณฑ์จึงได้นำตัวจำเลยทั้งสาม ไปประหารชีวิตตามคำพิพากษา ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2498 เวลา 05.00 น. ณ เรือนจำกลางบางขวาง ต่อหน้าคณะกรรมการ ซึ่งประกอบด้วยผู้บัญชาการเรือนจำกลางบางขวางเป็นประธานกรรมการ ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี นายแพทย์เชื้อ พัฒนเจริญ และนายหลอม บุญอ่อน รักษาการในตำแหน่งหัวหน้าแผนกควบคุมเรือนจำกลางบางขวางเป็นกรรมการ ตามระเบียบของกระทรวงมหาดไทยเป็นการเสร็จไปแล้ว จึงขอแถลงมาให้ทราบทั่วกันกระทรวงมหาดไทย วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2498”

    ................

    2. สถาบันปรีดี พนมยงค์ เรื่อง “สามจำเลยผู้บริสุทธิ์” โดย สุพจน์ ด่านตระกูล เผยแพร่วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564 มีข้อความบางตอนดังนี้

    “หลังจากที่ศาลฎีกาได้พิพากษาลงโทษให้ประหารชีวิตจำเลยทั้งสามคน เมื่อ 12 ตุลาคม 2497 แล้ว ต่อมาในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2497 จำเลยทั้งสามได้ทำหนังสือทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ แต่ฎีกาดังกล่าวได้ตกไปในที่สุด

    เกี่ยวกับการยื่นฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษของจำเลยทั้งสามนั้น พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม (บุตรชายของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม) ได้เขียนไว้ในหนังสือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม พิมพ์ที่โรงพิมพ์ศูนย์การพิมพ์ เมื่อปี พ.ศ. 2519 มีความตอนหนึ่งเป็นบทสนทนาระหว่าง พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม (ผู้เขียน) กับ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งขณะนั้นลี้ภัยการเมืองอยู่ในประเทศญี่ปุ่นว่าดังนี้

    ‘...ข้าพเจ้าจึงระงับใจไม่ได้ที่ต้องเรียนถาม จอมพล ป. พิบูลสงคราม วันหนึ่งที่ประเทศญี่ปุ่นว่า ในฐานะที่เวลานั้น (พ.ศ. 2498-ผู้เขียน) ท่านดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่ เหตุใดท่านจึงไม่ขอพระราชทานอภัยโทษให้จำเลยสามคนที่ถูกศาลฎีกาพิพากษาประหารชีวิต

    ท่านตอบข้าพเจ้าทันทีอย่างหนักแน่นว่า พ่อได้ขอพระราชทานอภัยโทษขึ้นไปถึงสามครั้ง ได้พยายามทำหน้าที่ของพ่อจนถึงที่สุดแล้ว

    ในอดีตที่ผ่านมา มีน้อยครั้งที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม ต้องเสียใจบ้างเมื่อทำอะไรไม่สำเร็จ

    แต่ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นครั้งใดที่ทนจะเสียใจหนักยิ่งไปกว่าที่ข้าพเจ้ากำลังเห็นท่านครั้งนั้น

    ขณะเมื่อได้ตอบคำถามของข้าพเจ้าจบ ด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึมและสนเท่ห์ใจไม่เปลี่ยนแปลง’ (จากหนังสือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม หน้า 647)

    และก็สอดคล้องกับหนังสือแจกงานศพของนายชิต สิงหเสนี ที่บุตรสาวของท่านได้บันทึกไว้ในหนังสือนั้น มีความว่า ‘ภายหลังที่พ่อถูกประหารชีวิตแล้ว จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้ส่งนายฉาย วิโรจน์ศิริ เลขานุการส่วนตัวของท่านไปหาพวกเรา แจ้งให้ทราบว่ารัฐบาลยินดีจะให้การอุปการะความเป็นอยู่การศึกษาแก่พวกเราทุกประการ พวกเราปรึกษาหารือกัน และในที่สุดตกลงรับความช่วยเหลือจากรัฐบาล เพื่อเป็นเครื่องยืนยันในความบริสุทธิ์ของพ่อ รัฐบาลจึงให้ความช่วยเหลือแก่พวกเรา ความช่วยเหลือนี้เพิ่งมายกเลิกในสมัยรัฐบาล จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์’”

    ..................

    3. “ปัจฉิมวาจาของ ๓ นักโทษประหาร” มีข้อความบางตอนดังนี้:

    “หลังจากที่ศาลฎีกาได้พิพากษาลงโทษให้ประหารชีวิตจำเลยทั้ง ๓ คน เมื่อ ๑๒ ตุลาคม ๒๔๙๗ แล้วต่อมาในวันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๔๙๗ จำเลยทั้ง ๓ ได้ทำหนังสือทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ แต่ฎีกาดังกล่าวได้ตกไปในที่สุด

    เกี่ยวกับการยื่นถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษของจำเลยทั้ง ๓ นั้น พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม (บุตรชายของ จอมพล ป.พิบูลสงคราม) ได้เขียนไว้ในหนังสือ "จอมพล ป. พิบูลสงคราม" พิมพ์ที่โรงพิมพ์ศูนย์การพิมพ์ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๙ มีความตอนหนึ่งเป็นบทสนทนาระหว่าง พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม (ผู้เขียน) กับจอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งขณะนั้นลี้ภัยการเมืองอยู่ในประเทศญี่ปุ่นว่าดังนี้

    ‘...ข้าพเจ้าจึงระงับใจไม่ได้ที่ต้องเรียนถามจอมพล ป. พิบูลสงคราม วันหนึ่งที่ประเทศญี่ปุ่นว่า ในฐานะที่เวลานั้น (พ.ศ. ๒๔๙๘-ผู้เขียน) ท่านดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่ เหตุใดท่านจึงไม่ขอพระราชทานอภัยโทษให้จำเลยสามคนที่ถูกศาลฎีกาพิพากษาประหารชีวิต ท่านตอบข้าพเจ้าทันทีอย่างหนักแน่นว่า พ่อได้ขอพระราชทานอภัยโทษขึ้นไปถึงสามครั้ง ได้พยายามทำหน้าที่ของพ่อจนถึงที่สุดแล้ว ในอดีตที่ผ่านมา มีน้อยครั้งที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม ต้องเสียใจบ้างเมื่อทำอะไรไม่สำเร็จ แต่ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นครั้งใดที่ท่านจะเสียใจหนักยิ่งไปกว่าที่ข้าพเจ้ากำลังเห็นท่านครั้งนั้น ขณะเมื่อได้ตอบคำถามของข้าพเจ้าจบ ด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึมและสนเท่ห์ใจไม่เปลี่ยนแปลง’ (จากหนังสือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม หน้า ๖๘๗)

    และก็สอดคล้องกับหนังสือแจกงานศพของนายชิต สิงหเสนี ที่บุตรสาวของท่านได้บันทึกไว้ในหนังสือนั้น มีความว่า ‘ภายหลังที่พ่อถูกประหารชีวิตแล้ว จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้ส่งนายฉาย วิโรจน์ศิริ เลขานุการส่วนตัวของท่านไปหาพวกเรา แจ้งให้ทราบว่ารัฐบาลยินดีจะให้การอุปการะความเป็นอยู่การศึกษาแก่พวกเราทุกประการ พวกเราปรึกษาหารือกัน และในที่สุด ตกลงรับความช่วยเหลือจากรัฐบาล เพื่อเป็นเครื่องยืนยันในความบริสุทธิ์ของพ่อ รัฐบาลจึงให้ความช่วยเหลือแก่พวกเรา ความช่วยเหลือนี้พึ่งมายกเลิกในสมัยรัฐบาล จอมพล สฤษดิ์ ธนรัชต์’”

    ----------

    ผู้เขียนได้สืบค้นเงื่อนไขการขอพระราชทานอภัยโทษในปี พ.ศ. ๒๔๙๗ พบว่า บทบัญญัติแห่งธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พ.ศ. 2475 ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 นั้น ทำให้พระราชฐานะและพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ต้องถูกลิดรอนลงจากเดิม

    จากการใช้พระราชอำนาจที่เด็ดขาดและเป็นอิสระมาสู่การใช้พระราชอำนาจตามขอบเขตในรัฐธรรมนูญแล้ว

    ยังทำให้แนวความคิดและรูปแบบของการใช้พระราชอำนาจในการพระราชทานอภัยโทษต้องเปลี่ยนแปลงไปด้วย

    ต่อมาเมื่อมีการประกาศใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเมื่อพุทธศักราช 2477 โดยได้กำหนดรูปแบบ หลักเกณฑ์ และวิธีการในการทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษไว้ในภาค 7 ว่าด้วยอภัยโทษเปลี่ยนโทษหนักเป็นเบา และลดโทษมาตรา 259 ถึงมาตรา 267 โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยจะเป็นผู้ถวายความเห็นและคำแนะนำเท่านั้น

    ซึ่งพระมหากษัตริย์/ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มักลงมติให้อภัยโทษหรือระงับฎีกาตามความเห็นของคณะรัฐมนตรีเสมอ

    แม้ว่าในบางกรณีความเห็นของกระทรวงมหาดไทยขัดแย้งกับความเห็นของคณะรัฐมนตรีก็ตาม (สรุปและเรียบเรียงจากหัวข้อ พระราชทานอภัยโทษ ฐานข้อมูล สถาบันพระปกเกล้า)

    ………

    ในการขอพระราชทานอภัยลดโทษของนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่แปด ผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้น คือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วย

    —————-

    ผู้เขียนได้ไปสืบค้นรายงานการประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งที่ ๘๕/๒๔๙๗ วันพุธที่ ๘ ธันวาคม ๒๔๙๗ มีข้อความทั้งหมดที่เกี่ยวกับกรณีการขอพระราชทานอภัยลดโทษของนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่แปด ดังนี้:


    “๙. เรื่อง นักโทษเด็ดขาดชาย เฉลียว ปทุมรส นักโทษเด็ดขาดชาย ชิต สิงหเสนี และนักโทษเด็ดขาดชาย บุศย์ ปัทมศริน ขอพระราชทานอภัยลดโทษ (กระทรวงมหาดไทยนำส่งฎีกาพร้อมด้วยเอกสารการสอบสวนของนักโทษเด็ดขาดชาย เฉลียว ปทุมรส นักโทษเด็ดขาดชาย ชิต สิงหเสนี และนักโทษเด็ดขาดชาย บุศย์ ปัทมศริน เรือนจำกลาง บางขวาง ต้องโทษฐานสมคบกันกระทำการประทุษร้ายต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๘ (พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล) กำหนดโทษประหารชีวิต ขอพระราชทานชีวิตให้คงไว้ มา

    น.ช. เฉลียว ฯ อ้างว่า ตนยังมีความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตลอดไป ไม่เคยคิดที่จะหมิ่มพระบรมเดชานุภาพอย่างใด ขณะนี้ครอบครัวขาดผู้อุปการะ

    น.ช. ชิต ฯ อ้างว่า บรรพบุรุษในตระกูลของตน ซึ่งมีเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) เป็นต้นตระกูล ตลอดจนบิดา ได้เคยรับราชการสนองพระเดชพระคุณมาด้วยความจงรักภักดี ซื่อสัตย์สุจริต

    ส่วน น.ช. บุศย์ ฯ อ้างว่า ชีวิตของตนได้เติบโตขึ้นมาก็โดยความอุปการะในพระบรมราชตระกูลที่ได้ทรงชุบเลี้ยง การเข้ารับราชการจึงเป็นไปด้วยความจงรักภักดี

    รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (จอมพล ป พิบูลสงคราม) ได้สอบสวนพิจารณาแล้ว ไม่เห็นควรขอพระราชทานอภัยลดโทษได้ให้โดยอ้างว่า เรื่องนี้เป็นการประทุษร้ายแก่บุคคลสำคัญของประเทศตามหลักการของกระทรวงมหาดไทย

    ซึ่งคณะรัฐมนตรีเห็นชอบด้วยแล้วนั้น จะไม่ขอพระราชทานอภัยโทษให้ ควรยกฎีกาเสีย)

    มติ - เห็นชอบด้วยตามกระทรวงมหาดไทย ให้นำความกราบบังคมทูลได้.”

    (นอกจาก จอมพล ป จะเป็น รมต มหาดไทยแล้ว ยังเป็นนายกรัฐมนตรีด้วย)

    ------------

    จากข้อความในรายงานการประชุมคณะรัฐมนตรีข้างต้นและจากการเปลี่ยนแปลงพระราชฐานะและพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ที่ถูกลิดรอนลงจากเดิมหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง

    พระมหากษัตริย์จึงไม่มีพระราชอำนาจที่เด็ดขาดและเป็นอิสระ

    แต่ทรงใช้พระราชอำนาจตามขอบเขตในรัฐธรรมนูญ

    ซึ่งพระมหากษัตริย์/ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มักลงมติให้อภัยโทษหรือระงับฎีกาตามความเห็นของคณะรัฐมนตรีเสมอ

    ขณะเดียวกัน จากคำบอกเล่าของ พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม ที่กล่าวถึง จอมพล ป. พิบูลสงคราม ผู้เป็นบิดาว่า “…ท่านตอบข้าพเจ้าทันทีอย่างหนักแน่นว่า พ่อได้ขอพระราชทานอภัยโทษขึ้นไปถึงสามครั้ง…”

    ……….

    ผู้เขียนใคร่เรียนขอว่า ถ้ามีใครมีหลักฐานการขอพระราชอภัยโทษอีกสองครั้ง โปรดกรุณานำมาเผยแพร่ด้วย

    จักเป็นประโยชน์ต่อวงการวิชาการประวัติศาสตร์ รัฐศาสตร์และต่อสาธารณชน

    ขอขอบพระคุณล่วงหน้าครับ

    ป ล หลังจากศึกษาค้นคว้าข้อมูลแล้ว เห็นว่า มีผู้จงใจทั้งในอดีตและปัจจุบัน ให้รัชกาลที่เก้าเป็นผู้รับผิดชอบการปฏิเสธการขอพระราชทานอภัยลดโทษประหารชีวิตของสามนักโทษ

    ที่มา : เฟซบุ๊ก Chaiyan Chaiyaporn
    ของ ศาสตราจารย์ ไชยันต์ ไชยพร
    17 กุมภาพันธ์ พ ศ 2498 วันประหารชีวิต สามนักโทษกรณีสวรรคต หลังจากศึกษาค้นคว้าข้อมูลแล้ว เห็นว่า “มีผู้จงใจทั้งในอดีตและปัจจุบัน พยายามสื่อสารให้เข้าใจว่า รัชกาลที่เก้าเป็นผู้ปฏิเสธการขอพระราชทานอภัยลดโทษประหารชีวิตของสามนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่ 8” ———— "ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษของนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่แปด" ผู้เขียนขอนำเสนอข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษของนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่แปด เพราะมีสื่อต่างๆที่นำเสนอข้อมูลบางตอนที่ “อาจจะ” ทำให้ผู้รับสารเกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน หากไม่อ่านอย่างละเอียดถี่ถ้วน สื่อต่างๆที่ว่านี้ ได้แก่ 1. THE STANDARD TEAM เรื่อง “17 กุมภาพันธ์ 2498 – ประหารชีวิต ชิต, บุศย์, เฉลียว จำเลยคดีสวรรคตในหลวง ร.8” เผยแพร่วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564 มีข้อความดังนี้: “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2478 ขณะมีพระชนมพรรษาเพียง 9 พรรษา พระองค์สวรรคตด้วยพระแสงปืนอย่างมีเงื่อนงำเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2489 ต่อมาศาลฎีกาได้พิพากษาลงโทษประหารชีวิตจำเลยทั้ง 3 คน คือ เฉลียว ปทุมรส, ชิต สิงหเสนี และ บุศย์ ปัทมศริน อ้างอิงจากแถลงการณ์กระทรวงมหาดไทย ดังนี้ แถลงการณ์ของกระทรวงมหาดไทย ตามที่ศาลฎีกาได้พิพากษาลงโทษประหารชีวิตนายเฉลียว ปทุมรส นายชิต สิงหเสนีย์ และนายบุศย์ ปัทมะศิรินทร์ จำเลยในคดีต้องหาว่าประทุษร้ายต่อองค์พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล และจำเลยทั้งสามได้ทูลเกล้าฯ ถวายฎีกา ขอพระราชทานอภัยโทษนั้น บัดนี้ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ยกฎีกาของจำเลยทั้งสามเสีย ทางราชทัณฑ์จึงได้นำตัวจำเลยทั้งสาม ไปประหารชีวิตตามคำพิพากษา ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2498 เวลา 05.00 น. ณ เรือนจำกลางบางขวาง ต่อหน้าคณะกรรมการ ซึ่งประกอบด้วยผู้บัญชาการเรือนจำกลางบางขวางเป็นประธานกรรมการ ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี นายแพทย์เชื้อ พัฒนเจริญ และนายหลอม บุญอ่อน รักษาการในตำแหน่งหัวหน้าแผนกควบคุมเรือนจำกลางบางขวางเป็นกรรมการ ตามระเบียบของกระทรวงมหาดไทยเป็นการเสร็จไปแล้ว จึงขอแถลงมาให้ทราบทั่วกันกระทรวงมหาดไทย วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2498” ................ 2. สถาบันปรีดี พนมยงค์ เรื่อง “สามจำเลยผู้บริสุทธิ์” โดย สุพจน์ ด่านตระกูล เผยแพร่วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564 มีข้อความบางตอนดังนี้ “หลังจากที่ศาลฎีกาได้พิพากษาลงโทษให้ประหารชีวิตจำเลยทั้งสามคน เมื่อ 12 ตุลาคม 2497 แล้ว ต่อมาในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2497 จำเลยทั้งสามได้ทำหนังสือทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ แต่ฎีกาดังกล่าวได้ตกไปในที่สุด เกี่ยวกับการยื่นฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษของจำเลยทั้งสามนั้น พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม (บุตรชายของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม) ได้เขียนไว้ในหนังสือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม พิมพ์ที่โรงพิมพ์ศูนย์การพิมพ์ เมื่อปี พ.ศ. 2519 มีความตอนหนึ่งเป็นบทสนทนาระหว่าง พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม (ผู้เขียน) กับ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งขณะนั้นลี้ภัยการเมืองอยู่ในประเทศญี่ปุ่นว่าดังนี้ ‘...ข้าพเจ้าจึงระงับใจไม่ได้ที่ต้องเรียนถาม จอมพล ป. พิบูลสงคราม วันหนึ่งที่ประเทศญี่ปุ่นว่า ในฐานะที่เวลานั้น (พ.ศ. 2498-ผู้เขียน) ท่านดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่ เหตุใดท่านจึงไม่ขอพระราชทานอภัยโทษให้จำเลยสามคนที่ถูกศาลฎีกาพิพากษาประหารชีวิต ท่านตอบข้าพเจ้าทันทีอย่างหนักแน่นว่า พ่อได้ขอพระราชทานอภัยโทษขึ้นไปถึงสามครั้ง ได้พยายามทำหน้าที่ของพ่อจนถึงที่สุดแล้ว ในอดีตที่ผ่านมา มีน้อยครั้งที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม ต้องเสียใจบ้างเมื่อทำอะไรไม่สำเร็จ แต่ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นครั้งใดที่ทนจะเสียใจหนักยิ่งไปกว่าที่ข้าพเจ้ากำลังเห็นท่านครั้งนั้น ขณะเมื่อได้ตอบคำถามของข้าพเจ้าจบ ด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึมและสนเท่ห์ใจไม่เปลี่ยนแปลง’ (จากหนังสือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม หน้า 647) และก็สอดคล้องกับหนังสือแจกงานศพของนายชิต สิงหเสนี ที่บุตรสาวของท่านได้บันทึกไว้ในหนังสือนั้น มีความว่า ‘ภายหลังที่พ่อถูกประหารชีวิตแล้ว จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้ส่งนายฉาย วิโรจน์ศิริ เลขานุการส่วนตัวของท่านไปหาพวกเรา แจ้งให้ทราบว่ารัฐบาลยินดีจะให้การอุปการะความเป็นอยู่การศึกษาแก่พวกเราทุกประการ พวกเราปรึกษาหารือกัน และในที่สุดตกลงรับความช่วยเหลือจากรัฐบาล เพื่อเป็นเครื่องยืนยันในความบริสุทธิ์ของพ่อ รัฐบาลจึงให้ความช่วยเหลือแก่พวกเรา ความช่วยเหลือนี้เพิ่งมายกเลิกในสมัยรัฐบาล จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์’” .................. 3. “ปัจฉิมวาจาของ ๓ นักโทษประหาร” มีข้อความบางตอนดังนี้: “หลังจากที่ศาลฎีกาได้พิพากษาลงโทษให้ประหารชีวิตจำเลยทั้ง ๓ คน เมื่อ ๑๒ ตุลาคม ๒๔๙๗ แล้วต่อมาในวันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๔๙๗ จำเลยทั้ง ๓ ได้ทำหนังสือทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ แต่ฎีกาดังกล่าวได้ตกไปในที่สุด เกี่ยวกับการยื่นถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษของจำเลยทั้ง ๓ นั้น พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม (บุตรชายของ จอมพล ป.พิบูลสงคราม) ได้เขียนไว้ในหนังสือ "จอมพล ป. พิบูลสงคราม" พิมพ์ที่โรงพิมพ์ศูนย์การพิมพ์ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๙ มีความตอนหนึ่งเป็นบทสนทนาระหว่าง พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม (ผู้เขียน) กับจอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งขณะนั้นลี้ภัยการเมืองอยู่ในประเทศญี่ปุ่นว่าดังนี้ ‘...ข้าพเจ้าจึงระงับใจไม่ได้ที่ต้องเรียนถามจอมพล ป. พิบูลสงคราม วันหนึ่งที่ประเทศญี่ปุ่นว่า ในฐานะที่เวลานั้น (พ.ศ. ๒๔๙๘-ผู้เขียน) ท่านดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่ เหตุใดท่านจึงไม่ขอพระราชทานอภัยโทษให้จำเลยสามคนที่ถูกศาลฎีกาพิพากษาประหารชีวิต ท่านตอบข้าพเจ้าทันทีอย่างหนักแน่นว่า พ่อได้ขอพระราชทานอภัยโทษขึ้นไปถึงสามครั้ง ได้พยายามทำหน้าที่ของพ่อจนถึงที่สุดแล้ว ในอดีตที่ผ่านมา มีน้อยครั้งที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม ต้องเสียใจบ้างเมื่อทำอะไรไม่สำเร็จ แต่ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นครั้งใดที่ท่านจะเสียใจหนักยิ่งไปกว่าที่ข้าพเจ้ากำลังเห็นท่านครั้งนั้น ขณะเมื่อได้ตอบคำถามของข้าพเจ้าจบ ด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึมและสนเท่ห์ใจไม่เปลี่ยนแปลง’ (จากหนังสือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม หน้า ๖๘๗) และก็สอดคล้องกับหนังสือแจกงานศพของนายชิต สิงหเสนี ที่บุตรสาวของท่านได้บันทึกไว้ในหนังสือนั้น มีความว่า ‘ภายหลังที่พ่อถูกประหารชีวิตแล้ว จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้ส่งนายฉาย วิโรจน์ศิริ เลขานุการส่วนตัวของท่านไปหาพวกเรา แจ้งให้ทราบว่ารัฐบาลยินดีจะให้การอุปการะความเป็นอยู่การศึกษาแก่พวกเราทุกประการ พวกเราปรึกษาหารือกัน และในที่สุด ตกลงรับความช่วยเหลือจากรัฐบาล เพื่อเป็นเครื่องยืนยันในความบริสุทธิ์ของพ่อ รัฐบาลจึงให้ความช่วยเหลือแก่พวกเรา ความช่วยเหลือนี้พึ่งมายกเลิกในสมัยรัฐบาล จอมพล สฤษดิ์ ธนรัชต์’” ---------- ผู้เขียนได้สืบค้นเงื่อนไขการขอพระราชทานอภัยโทษในปี พ.ศ. ๒๔๙๗ พบว่า บทบัญญัติแห่งธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พ.ศ. 2475 ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 นั้น ทำให้พระราชฐานะและพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ต้องถูกลิดรอนลงจากเดิม จากการใช้พระราชอำนาจที่เด็ดขาดและเป็นอิสระมาสู่การใช้พระราชอำนาจตามขอบเขตในรัฐธรรมนูญแล้ว ยังทำให้แนวความคิดและรูปแบบของการใช้พระราชอำนาจในการพระราชทานอภัยโทษต้องเปลี่ยนแปลงไปด้วย ต่อมาเมื่อมีการประกาศใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเมื่อพุทธศักราช 2477 โดยได้กำหนดรูปแบบ หลักเกณฑ์ และวิธีการในการทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษไว้ในภาค 7 ว่าด้วยอภัยโทษเปลี่ยนโทษหนักเป็นเบา และลดโทษมาตรา 259 ถึงมาตรา 267 โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยจะเป็นผู้ถวายความเห็นและคำแนะนำเท่านั้น ซึ่งพระมหากษัตริย์/ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มักลงมติให้อภัยโทษหรือระงับฎีกาตามความเห็นของคณะรัฐมนตรีเสมอ แม้ว่าในบางกรณีความเห็นของกระทรวงมหาดไทยขัดแย้งกับความเห็นของคณะรัฐมนตรีก็ตาม (สรุปและเรียบเรียงจากหัวข้อ พระราชทานอภัยโทษ ฐานข้อมูล สถาบันพระปกเกล้า) ……… ในการขอพระราชทานอภัยลดโทษของนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่แปด ผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้น คือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วย —————- ผู้เขียนได้ไปสืบค้นรายงานการประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งที่ ๘๕/๒๔๙๗ วันพุธที่ ๘ ธันวาคม ๒๔๙๗ มีข้อความทั้งหมดที่เกี่ยวกับกรณีการขอพระราชทานอภัยลดโทษของนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่แปด ดังนี้: “๙. เรื่อง นักโทษเด็ดขาดชาย เฉลียว ปทุมรส นักโทษเด็ดขาดชาย ชิต สิงหเสนี และนักโทษเด็ดขาดชาย บุศย์ ปัทมศริน ขอพระราชทานอภัยลดโทษ (กระทรวงมหาดไทยนำส่งฎีกาพร้อมด้วยเอกสารการสอบสวนของนักโทษเด็ดขาดชาย เฉลียว ปทุมรส นักโทษเด็ดขาดชาย ชิต สิงหเสนี และนักโทษเด็ดขาดชาย บุศย์ ปัทมศริน เรือนจำกลาง บางขวาง ต้องโทษฐานสมคบกันกระทำการประทุษร้ายต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๘ (พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล) กำหนดโทษประหารชีวิต ขอพระราชทานชีวิตให้คงไว้ มา น.ช. เฉลียว ฯ อ้างว่า ตนยังมีความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตลอดไป ไม่เคยคิดที่จะหมิ่มพระบรมเดชานุภาพอย่างใด ขณะนี้ครอบครัวขาดผู้อุปการะ น.ช. ชิต ฯ อ้างว่า บรรพบุรุษในตระกูลของตน ซึ่งมีเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) เป็นต้นตระกูล ตลอดจนบิดา ได้เคยรับราชการสนองพระเดชพระคุณมาด้วยความจงรักภักดี ซื่อสัตย์สุจริต ส่วน น.ช. บุศย์ ฯ อ้างว่า ชีวิตของตนได้เติบโตขึ้นมาก็โดยความอุปการะในพระบรมราชตระกูลที่ได้ทรงชุบเลี้ยง การเข้ารับราชการจึงเป็นไปด้วยความจงรักภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (จอมพล ป พิบูลสงคราม) ได้สอบสวนพิจารณาแล้ว ไม่เห็นควรขอพระราชทานอภัยลดโทษได้ให้โดยอ้างว่า เรื่องนี้เป็นการประทุษร้ายแก่บุคคลสำคัญของประเทศตามหลักการของกระทรวงมหาดไทย ซึ่งคณะรัฐมนตรีเห็นชอบด้วยแล้วนั้น จะไม่ขอพระราชทานอภัยโทษให้ ควรยกฎีกาเสีย) มติ - เห็นชอบด้วยตามกระทรวงมหาดไทย ให้นำความกราบบังคมทูลได้.” (นอกจาก จอมพล ป จะเป็น รมต มหาดไทยแล้ว ยังเป็นนายกรัฐมนตรีด้วย) ------------ จากข้อความในรายงานการประชุมคณะรัฐมนตรีข้างต้นและจากการเปลี่ยนแปลงพระราชฐานะและพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ที่ถูกลิดรอนลงจากเดิมหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พระมหากษัตริย์จึงไม่มีพระราชอำนาจที่เด็ดขาดและเป็นอิสระ แต่ทรงใช้พระราชอำนาจตามขอบเขตในรัฐธรรมนูญ ซึ่งพระมหากษัตริย์/ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มักลงมติให้อภัยโทษหรือระงับฎีกาตามความเห็นของคณะรัฐมนตรีเสมอ ขณะเดียวกัน จากคำบอกเล่าของ พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม ที่กล่าวถึง จอมพล ป. พิบูลสงคราม ผู้เป็นบิดาว่า “…ท่านตอบข้าพเจ้าทันทีอย่างหนักแน่นว่า พ่อได้ขอพระราชทานอภัยโทษขึ้นไปถึงสามครั้ง…” ………. ผู้เขียนใคร่เรียนขอว่า ถ้ามีใครมีหลักฐานการขอพระราชอภัยโทษอีกสองครั้ง โปรดกรุณานำมาเผยแพร่ด้วย จักเป็นประโยชน์ต่อวงการวิชาการประวัติศาสตร์ รัฐศาสตร์และต่อสาธารณชน ขอขอบพระคุณล่วงหน้าครับ ป ล หลังจากศึกษาค้นคว้าข้อมูลแล้ว เห็นว่า มีผู้จงใจทั้งในอดีตและปัจจุบัน ให้รัชกาลที่เก้าเป็นผู้รับผิดชอบการปฏิเสธการขอพระราชทานอภัยลดโทษประหารชีวิตของสามนักโทษ ที่มา : เฟซบุ๊ก Chaiyan Chaiyaporn ของ ศาสตราจารย์ ไชยันต์ ไชยพร
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 155 มุมมอง 0 รีวิว
  • แฟนละคร/นิยายจีนคงคุ้นเคยดีกับโครงเรื่องที่มีการชิงอำนาจทางการเมืองด้วยการจัดให้มีการแต่งงานระหว่างตระกูลดังกับเชื้อพระวงศ์ จนเกิดเป็นแรงกดดันมหาศาลให้กับตัวละครเอก บางคนอาจเคยบ่นว่า ‘มันจะอะไรกันนักหนา?’

    วันนี้ Storyฯ ยกตัวอย่างมาคุยเกี่ยวกับตระกูลขุนนางเก่าแก่เรืองอำนาจ (เรียกรวมว่า สื้อเจีย / 世家)
    เป็นหนึ่งในตระกูลที่ดังที่สุดในประวัติศาสตร์ตอนต้นและกลางของจีนโบราณก็ว่าได้

    ความมีอยู่ว่า
    ....ตระกูลชุยจากชิงเหอรุ่นนี้ สายหลักของตระกูลมีนางเป็นบุตรีโทนแต่เพียงผู้เดียว ... และตระกูลชุยกำลังรุ่งเรือง นางยังอยู่ในท้องของมารดาก็ได้รับการหมั้นหมายให้กับองค์ชายรัชทายาทแล้ว....
    - จากเรื่อง <ทุกชาติภพ กระดูกงดงาม> ผู้แต่ง โม่เป่าเฟยเป่า (แต่บทความ Storyฯ แปลเองจ้า)

    ชิงเหอคือพื้นที่ทางด้านเหนือของจีน (แถบเหอหนาน เหอเป่ยและซานตง) ในสมัยจีนตอนต้นมีสถานะเป็นแคว้นบ้างหรือรองลงมาเป็นจวิ้น (郡) บ้าง ซึ่งนับเป็นเขตการปกครองที่ใหญ่ มีหลายตระกูลดังในประวัติศาตร์จีนที่มาจากพื้นที่แถบนี้ หนึ่งในนั้นคือตระกูลชุย

    ตระกูลชุยมีรากฐานยาวนานมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์โจวตะวันตก (ปี 1046-771 ก่อนคริสตกาล) แตกสกุลมาจากสกุลเจียงและรวมถึงชาวเผ่าพันธุ์อื่นที่หันมาใช้สกุลนี้ รับราชการในตำแหน่งสำคัญมาหลายยุคสมัย แตกมาเป็นสายที่เรียกว่า ‘ตระกูลชุยจากชิงเหอ’ ในยุคสมัยจิ๋นซีฮ่องเต้ (ปี 221 – 206 ก่อนคริสตกาล) เมื่อชุยเหลียง (ทายาทรุ่นที่ 7) ได้รับการอวยยศเป็นโหวและได้รับพระราชทานเขตการปกครองชิงเหอนี้ และต่อมาตระกูลชุยจากชิงเหอมีแตกสายย่อยไปอีกรวมเป็นหกสาย

    ตระกูลชุยจากชิงเหอที่กล่าวถึงในละครข้างต้น ‘ไม่ธรรมดา’ แค่ไหน?

    ตระกูลชุยจากชิงเหอรับราชการระดับสูงต่อเนื่อง ผ่านร้อนผ่านหนาวแต่อยู่ยงคงกระพันมากว่า 700 ปี ถูกยกย่องว่าเป็น ‘ที่สุด’ ในบรรดาสี่ตระกูลใหญ่ในยุคสมัยราชวงศ์เว่ยเหนือ (ปีค.ศ. 386 – 535) และในสมัยราชวงศ์ถังก็เป็นหนึ่งในห้าตระกูลเจ็ดเชื้อสาย (五姓七族) อันเป็นตระกูลชั้นสูงที่ต่อมาถูกห้ามไม่ให้แต่งงานกันเอง เพื่อป้องกันไม่ให้สร้างฐานอำนาจมากเกินไป

    มีคนจากตระกูลชุยจากชิงเหอนี้เป็นอัครมหาเสนาบดี (จ่ายเซี่ยง / 宰相) หรือตำแหน่งที่สูงคล้ายกันมากมายหลายรุ่น เฉพาะในสมัยราชวงศ์ถังที่ยาวนานเกือบสามร้อยปีก็มีถึง 12 คน (ถ้ารวมตระกูลชุยสายอื่นมีอีก 10 คน) มีจอหงวน 11 คน ยังไม่รวมที่รับราชการในตำแหน่งอื่น ที่กุมอำนาจทางการทหาร ที่เป็นผู้นำทางความคิด (นักปราชญ์ กวีชื่อดัง) และที่เป็นลูกหลานฝ่ายหญิงที่แต่งเข้าวังในตำแหน่งต่างๆ อีกจำนวนไม่น้อย จวบจนสมัยซ่งใต้ ฐานอำนาจของตระกูลนี้จึงเสื่อมจางลงเหมือนกับตระกูลสื้อเจียอื่นๆ

    ทำไมต้องพูดถึงตระกูลชุยจากชิงเหอ? Storyฯ เล่าเป็นตัวอย่างของเหล่าตระกูลสื้อเจียค่ะ จากที่เคยคิดว่า ‘มันจะอะไรกันนักหนา?’ แต่พอมาเห็นรากฐานของตระกูลสื้อเจียเหล่านี้ เราจะได้อรรถรสเลยว่า ‘ฐานอำนาจ’ ที่เขาพูดถึงกันนั้น มันหยั่งรากลึกแค่ไหน? เหตุใดตัวละครเอกมักรู้สึกถูกกดดันมากมาย? และเพราะเหตุใดมันจึงฝังรากลึกในวัฒนธรรมจีนโบราณ? เพราะมันไม่ใช่เรื่องของหนึ่งหรือสองชั่วอายุคน แต่เรากำลังพูดถึงฐานอำนาจหลายร้อยปีที่แทรกซึมเข้าไปในสังคมโดยมีประมุขใหญ่ของตระกูลในแต่ละรุ่นเป็นแกนนำสำคัญ

    Storyฯ หวังว่าเพื่อนๆ จะดูละครได้อรรถรสยิ่งขึ้นนะคะ ใครเห็นบทบาทของคนในตระกูลชุยในละครเรื่องอื่นใดอีกหรือหากนึกถึงตระกูลอื่นที่คล้ายคลึงก็เม้นท์มาได้ค่ะ

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://www.sohu.com/a/484438060_121051662
    https://www.sohu.com/a/485012584_100151502
    https://www.sohu.com/a/489015136_120827444

    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://www.163.com/dy/article/FNSTJKT60543BK4H.html
    https://new.qq.com/omn/20211021/20211021A09WBQ00.html
    https://www.thepaper.cn/newsDetail_forward_16209361
    https://www.baike.com/wiki/清河崔氏
    https://zh.wikipedia.org/wiki/清河崔氏

    #กระดูกงดงาม #ตระกูลชุย #สกุลชุย #ชิงเหอ #สื้อเจีย
    แฟนละคร/นิยายจีนคงคุ้นเคยดีกับโครงเรื่องที่มีการชิงอำนาจทางการเมืองด้วยการจัดให้มีการแต่งงานระหว่างตระกูลดังกับเชื้อพระวงศ์ จนเกิดเป็นแรงกดดันมหาศาลให้กับตัวละครเอก บางคนอาจเคยบ่นว่า ‘มันจะอะไรกันนักหนา?’ วันนี้ Storyฯ ยกตัวอย่างมาคุยเกี่ยวกับตระกูลขุนนางเก่าแก่เรืองอำนาจ (เรียกรวมว่า สื้อเจีย / 世家) เป็นหนึ่งในตระกูลที่ดังที่สุดในประวัติศาสตร์ตอนต้นและกลางของจีนโบราณก็ว่าได้ ความมีอยู่ว่า ....ตระกูลชุยจากชิงเหอรุ่นนี้ สายหลักของตระกูลมีนางเป็นบุตรีโทนแต่เพียงผู้เดียว ... และตระกูลชุยกำลังรุ่งเรือง นางยังอยู่ในท้องของมารดาก็ได้รับการหมั้นหมายให้กับองค์ชายรัชทายาทแล้ว.... - จากเรื่อง <ทุกชาติภพ กระดูกงดงาม> ผู้แต่ง โม่เป่าเฟยเป่า (แต่บทความ Storyฯ แปลเองจ้า) ชิงเหอคือพื้นที่ทางด้านเหนือของจีน (แถบเหอหนาน เหอเป่ยและซานตง) ในสมัยจีนตอนต้นมีสถานะเป็นแคว้นบ้างหรือรองลงมาเป็นจวิ้น (郡) บ้าง ซึ่งนับเป็นเขตการปกครองที่ใหญ่ มีหลายตระกูลดังในประวัติศาตร์จีนที่มาจากพื้นที่แถบนี้ หนึ่งในนั้นคือตระกูลชุย ตระกูลชุยมีรากฐานยาวนานมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์โจวตะวันตก (ปี 1046-771 ก่อนคริสตกาล) แตกสกุลมาจากสกุลเจียงและรวมถึงชาวเผ่าพันธุ์อื่นที่หันมาใช้สกุลนี้ รับราชการในตำแหน่งสำคัญมาหลายยุคสมัย แตกมาเป็นสายที่เรียกว่า ‘ตระกูลชุยจากชิงเหอ’ ในยุคสมัยจิ๋นซีฮ่องเต้ (ปี 221 – 206 ก่อนคริสตกาล) เมื่อชุยเหลียง (ทายาทรุ่นที่ 7) ได้รับการอวยยศเป็นโหวและได้รับพระราชทานเขตการปกครองชิงเหอนี้ และต่อมาตระกูลชุยจากชิงเหอมีแตกสายย่อยไปอีกรวมเป็นหกสาย ตระกูลชุยจากชิงเหอที่กล่าวถึงในละครข้างต้น ‘ไม่ธรรมดา’ แค่ไหน? ตระกูลชุยจากชิงเหอรับราชการระดับสูงต่อเนื่อง ผ่านร้อนผ่านหนาวแต่อยู่ยงคงกระพันมากว่า 700 ปี ถูกยกย่องว่าเป็น ‘ที่สุด’ ในบรรดาสี่ตระกูลใหญ่ในยุคสมัยราชวงศ์เว่ยเหนือ (ปีค.ศ. 386 – 535) และในสมัยราชวงศ์ถังก็เป็นหนึ่งในห้าตระกูลเจ็ดเชื้อสาย (五姓七族) อันเป็นตระกูลชั้นสูงที่ต่อมาถูกห้ามไม่ให้แต่งงานกันเอง เพื่อป้องกันไม่ให้สร้างฐานอำนาจมากเกินไป มีคนจากตระกูลชุยจากชิงเหอนี้เป็นอัครมหาเสนาบดี (จ่ายเซี่ยง / 宰相) หรือตำแหน่งที่สูงคล้ายกันมากมายหลายรุ่น เฉพาะในสมัยราชวงศ์ถังที่ยาวนานเกือบสามร้อยปีก็มีถึง 12 คน (ถ้ารวมตระกูลชุยสายอื่นมีอีก 10 คน) มีจอหงวน 11 คน ยังไม่รวมที่รับราชการในตำแหน่งอื่น ที่กุมอำนาจทางการทหาร ที่เป็นผู้นำทางความคิด (นักปราชญ์ กวีชื่อดัง) และที่เป็นลูกหลานฝ่ายหญิงที่แต่งเข้าวังในตำแหน่งต่างๆ อีกจำนวนไม่น้อย จวบจนสมัยซ่งใต้ ฐานอำนาจของตระกูลนี้จึงเสื่อมจางลงเหมือนกับตระกูลสื้อเจียอื่นๆ ทำไมต้องพูดถึงตระกูลชุยจากชิงเหอ? Storyฯ เล่าเป็นตัวอย่างของเหล่าตระกูลสื้อเจียค่ะ จากที่เคยคิดว่า ‘มันจะอะไรกันนักหนา?’ แต่พอมาเห็นรากฐานของตระกูลสื้อเจียเหล่านี้ เราจะได้อรรถรสเลยว่า ‘ฐานอำนาจ’ ที่เขาพูดถึงกันนั้น มันหยั่งรากลึกแค่ไหน? เหตุใดตัวละครเอกมักรู้สึกถูกกดดันมากมาย? และเพราะเหตุใดมันจึงฝังรากลึกในวัฒนธรรมจีนโบราณ? เพราะมันไม่ใช่เรื่องของหนึ่งหรือสองชั่วอายุคน แต่เรากำลังพูดถึงฐานอำนาจหลายร้อยปีที่แทรกซึมเข้าไปในสังคมโดยมีประมุขใหญ่ของตระกูลในแต่ละรุ่นเป็นแกนนำสำคัญ Storyฯ หวังว่าเพื่อนๆ จะดูละครได้อรรถรสยิ่งขึ้นนะคะ ใครเห็นบทบาทของคนในตระกูลชุยในละครเรื่องอื่นใดอีกหรือหากนึกถึงตระกูลอื่นที่คล้ายคลึงก็เม้นท์มาได้ค่ะ (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://www.sohu.com/a/484438060_121051662 https://www.sohu.com/a/485012584_100151502 https://www.sohu.com/a/489015136_120827444 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://www.163.com/dy/article/FNSTJKT60543BK4H.html https://new.qq.com/omn/20211021/20211021A09WBQ00.html https://www.thepaper.cn/newsDetail_forward_16209361 https://www.baike.com/wiki/清河崔氏 https://zh.wikipedia.org/wiki/清河崔氏 #กระดูกงดงาม #ตระกูลชุย #สกุลชุย #ชิงเหอ #สื้อเจีย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 170 มุมมอง 0 รีวิว
  • เปสคอฟ โฆษกเครมลินกล่าวว่า ประธานาธิบดีปูตินพร้อมเจรจากับเซเลนสกี แต่ควรคำนึงถึงประเด็นทางกฎหมายเกี่ยวกับความชอบธรรมของตำแหน่งผู้นำยูเครน ซึ่งขณะนี้ เซเลนสกีไม่มีตำแหน่งใดๆทางการเมืองที่กฎหมายยูเครนรองรับ เพราะเขาพ้นจากวาระตั้งแต่ปีที่แล้ว
    เปสคอฟ โฆษกเครมลินกล่าวว่า ประธานาธิบดีปูตินพร้อมเจรจากับเซเลนสกี แต่ควรคำนึงถึงประเด็นทางกฎหมายเกี่ยวกับความชอบธรรมของตำแหน่งผู้นำยูเครน ซึ่งขณะนี้ เซเลนสกีไม่มีตำแหน่งใดๆทางการเมืองที่กฎหมายยูเครนรองรับ เพราะเขาพ้นจากวาระตั้งแต่ปีที่แล้ว
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 133 มุมมอง 0 รีวิว
  • ♣ อธิบดีพรพจน์ เพ็ญพลาด พลาดถวายหัวฟอกขาว โฉนดที่ดินเขากระโดงถึงเขาใหญ่เอื้อนักการเมือง
    #7ดอกจิก
    ♣ อธิบดีพรพจน์ เพ็ญพลาด พลาดถวายหัวฟอกขาว โฉนดที่ดินเขากระโดงถึงเขาใหญ่เอื้อนักการเมือง #7ดอกจิก
    Like
    Love
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 229 มุมมอง 3 0 รีวิว
  • ♣ เด็กเสี่ยแป้ง เดินหน้าบดขยี้สนามกอล์ฟตระกูลเสี่ยหนู จะเป็นการเอาคืนแทนนายใหญ่จากสนามกอล์ฟอัลไพน์ หรือเป็นเกมต่อรองทางการเมือง ต้องติดตามกันยาวๆ
    #7ดอกจิก
    ♣ เด็กเสี่ยแป้ง เดินหน้าบดขยี้สนามกอล์ฟตระกูลเสี่ยหนู จะเป็นการเอาคืนแทนนายใหญ่จากสนามกอล์ฟอัลไพน์ หรือเป็นเกมต่อรองทางการเมือง ต้องติดตามกันยาวๆ #7ดอกจิก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 127 มุมมอง 0 รีวิว
  • “นฤมล” ปัดพุ่งเป้าตรวจสอบที่ดิน “อนุทิน” บอกพบกันเดี๋ยวเคลียร์รายละเอียด โทษสื่อไปขยายความเป็นประเด็นการเมือง
    https://www.thai-tai.tv/news/17210/
    “นฤมล” ปัดพุ่งเป้าตรวจสอบที่ดิน “อนุทิน” บอกพบกันเดี๋ยวเคลียร์รายละเอียด โทษสื่อไปขยายความเป็นประเด็นการเมือง https://www.thai-tai.tv/news/17210/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 33 มุมมอง 0 รีวิว
  • เก็บภาษีความเค็ม เพื่อสร้างสุขภาพที่ดี แต่ไม่แตะบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป
    .
    ข่าวสารบ้านเมืองเวลานี้คนส่วนใหญ่อาจจะให้ความสนใจกับความเคลื่อนไหวทางการเมืองเป็นหลัก ทำให้ข่าวสารด้านเศรษฐกิจกลายเป็นข่าวกระแสรองไปโดยปริยาย แต่เวลานี้มีเรื่องเศรษฐกิจใกล้ตัวที่ประชาชนควรต้องรับรู้ คือ การออกมาตรการภาษีความเค็ม โดยจะเริ่มจากสินค้าจำพวกขนมคบเคี้ยว
    .
    ในประเด็นนี้ นางสาวกุลยา ตันติเตมิท อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า กรมสรรพสามิตเตรียมเร่งสรุปแผนการจัดเก็บภาษีสินค้าตัวใหม่ และ ปรับปรุงโครงสร้างภาษีสินค้าที่อยู่ในพิกัด โดยเฉพาะการเก็บภาษีจากสินค้าที่มีส่วนประกอบของโซเดียม หรือภาษีความเค็ม ซึ่งในหลักการกรมสรรพสามิตจะจัดเก็บจากปริมาณการใช้โซเดียมเป็นหลัก เพื่อเป็นการช่วยปรับพฤติกรรมให้ลดการบริโภคโซเดียมลดลง
    .
    อธิบดีกรมสรรพสามิต ระบุว่า ในเฟสแรกจะเน้นไปที่สินค้าประเภทขนมขบเคี้ยว ซึ่งเป็นสินค้าที่ไม่ค่อยมีความจำเป็นในการบริโภคเมื่อเทียบกับสินค้าอื่น ส่วนสินค้าที่เป็นประเภทเครื่องปรุง และบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ยังไม่อยู่ในแผนการจัดเก็บ ทั้งนี้ ได้หารือร่วมกับภาคเอกชน เพื่อให้มีการปรับตัวรองรับการจัดเก็บภาษีดังกล่าวแล้ว อย่างไรก็ดี สำหรับการจัดเก็บจริงนั้น ทางกรมฯก็จะให้เวลาภาคเอกชนในการปรับตัวเช่นเดียวกันกับการจัดเก็บภาษีความหวาน คือการนับอัตราแบบขั้นบันได เพื่อเวลาผู้ประกอบการได้ปรับตัว โดยเรื่องการเก็บภาษีความเค็มนั้น เกี่ยวข้องกับสุขภาพของประชาชน
    .
    สำหรับการจัดเก็บภาษีความเค็ม เป็นมาตรการใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นเพิ่มเติมจากเดิมที่ก่อนหน้านี้ หน่วยงานภาครัฐได้กำหนดการจัดเก็บภาษีความหวานที่เริ่มใช้มาตั้งแต่ปี 2566 กล่าวคือ ปริมาณน้ำตาล 6-8 กรัม คิดอัตราภาษี 0.3 บาทต่อลิตร ปริมาณน้ำตาล 8-10 กรัม คิดอัตราภาษี 1 บาทต่อลิตร ปริมาณน้ำตาล 10-14 กรัม คิดอัตราภาษี 3 บาทต่อลิตร ปริมาณน้ำตาล 14-18 กรัม คิดอัตราภาษี 5 บาทต่อลิตร และปริมาณน้ำตาล ตั้งแต่ 18 กรัม คิดอัตราภาษี 5 บาทต่อลิตร
    ...............
    Sondhi X
    เก็บภาษีความเค็ม เพื่อสร้างสุขภาพที่ดี แต่ไม่แตะบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป . ข่าวสารบ้านเมืองเวลานี้คนส่วนใหญ่อาจจะให้ความสนใจกับความเคลื่อนไหวทางการเมืองเป็นหลัก ทำให้ข่าวสารด้านเศรษฐกิจกลายเป็นข่าวกระแสรองไปโดยปริยาย แต่เวลานี้มีเรื่องเศรษฐกิจใกล้ตัวที่ประชาชนควรต้องรับรู้ คือ การออกมาตรการภาษีความเค็ม โดยจะเริ่มจากสินค้าจำพวกขนมคบเคี้ยว . ในประเด็นนี้ นางสาวกุลยา ตันติเตมิท อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า กรมสรรพสามิตเตรียมเร่งสรุปแผนการจัดเก็บภาษีสินค้าตัวใหม่ และ ปรับปรุงโครงสร้างภาษีสินค้าที่อยู่ในพิกัด โดยเฉพาะการเก็บภาษีจากสินค้าที่มีส่วนประกอบของโซเดียม หรือภาษีความเค็ม ซึ่งในหลักการกรมสรรพสามิตจะจัดเก็บจากปริมาณการใช้โซเดียมเป็นหลัก เพื่อเป็นการช่วยปรับพฤติกรรมให้ลดการบริโภคโซเดียมลดลง . อธิบดีกรมสรรพสามิต ระบุว่า ในเฟสแรกจะเน้นไปที่สินค้าประเภทขนมขบเคี้ยว ซึ่งเป็นสินค้าที่ไม่ค่อยมีความจำเป็นในการบริโภคเมื่อเทียบกับสินค้าอื่น ส่วนสินค้าที่เป็นประเภทเครื่องปรุง และบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ยังไม่อยู่ในแผนการจัดเก็บ ทั้งนี้ ได้หารือร่วมกับภาคเอกชน เพื่อให้มีการปรับตัวรองรับการจัดเก็บภาษีดังกล่าวแล้ว อย่างไรก็ดี สำหรับการจัดเก็บจริงนั้น ทางกรมฯก็จะให้เวลาภาคเอกชนในการปรับตัวเช่นเดียวกันกับการจัดเก็บภาษีความหวาน คือการนับอัตราแบบขั้นบันได เพื่อเวลาผู้ประกอบการได้ปรับตัว โดยเรื่องการเก็บภาษีความเค็มนั้น เกี่ยวข้องกับสุขภาพของประชาชน . สำหรับการจัดเก็บภาษีความเค็ม เป็นมาตรการใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นเพิ่มเติมจากเดิมที่ก่อนหน้านี้ หน่วยงานภาครัฐได้กำหนดการจัดเก็บภาษีความหวานที่เริ่มใช้มาตั้งแต่ปี 2566 กล่าวคือ ปริมาณน้ำตาล 6-8 กรัม คิดอัตราภาษี 0.3 บาทต่อลิตร ปริมาณน้ำตาล 8-10 กรัม คิดอัตราภาษี 1 บาทต่อลิตร ปริมาณน้ำตาล 10-14 กรัม คิดอัตราภาษี 3 บาทต่อลิตร ปริมาณน้ำตาล 14-18 กรัม คิดอัตราภาษี 5 บาทต่อลิตร และปริมาณน้ำตาล ตั้งแต่ 18 กรัม คิดอัตราภาษี 5 บาทต่อลิตร ............... Sondhi X
    Like
    Haha
    11
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1014 มุมมอง 0 รีวิว
  • อภิชนาธิปไตย (Aristocracy) คืออะไร ?

    ในระบบ อภิชนาธิปไตย การตัดสินใจทางการเมืองและสังคม มักจะถูกควบคุมโดยกลุ่มคนจำนวนน้อยที่มีคุณสมบัติเฉพาะ อาทิ กลุ่มบุคคลที่มีฐานะร่ำรวย มีการศึกษาสูง หรือ มีเชื้อสายตระกูลที่โด่งดัง

    https://www.misc.today/2025/02/aristocracy.html
    อภิชนาธิปไตย (Aristocracy) คืออะไร ? ในระบบ อภิชนาธิปไตย การตัดสินใจทางการเมืองและสังคม มักจะถูกควบคุมโดยกลุ่มคนจำนวนน้อยที่มีคุณสมบัติเฉพาะ อาทิ กลุ่มบุคคลที่มีฐานะร่ำรวย มีการศึกษาสูง หรือ มีเชื้อสายตระกูลที่โด่งดัง https://www.misc.today/2025/02/aristocracy.html
    WWW.MISC.TODAY
    อภิชนาธิปไตย (Aristocracy) คืออะไร ? | #บาลีวันละคำ
    รูปแบบการปกครองที่อำนาจอยู่ในมือของ กลุ่มบุคคลชั้นสูง หรือกลุ่มชนชั้นนำ ซึ่งมักเป็นกลุ่มที่มีฐานะทางเศรษฐกิจ สังคม หรือการเมืองที่โดดเด่นกว่าคนทั่วไป
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 61 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันนี้โดนทัก(บีบบังคับ)ให้อ่านหนังสือทุกวัน แต่ช่วงนี้ไม่มีเวลาอ่านหนังสือจริงๆ เพราะต้องแก้งานที่ทำมาเกือบปีละ และไม่ค่อยมีใครช่วยผมได้เต็มที่ งานยาก แต่เงินที่ได้มาโคตรน้อย ถ้าไม่ติดผู้ว่าจ้างหรือลูกค้าหน้าเดิมป่านนี้ได้ลูกค้าหลายคนไปนานละ และโปรไฟล์ งาน รายได้คงเยอะกว่านี้แล้ว ไม่ต้องมาเสียความรู็สึกเพราะเงินช็อตเหมือนทุกวันนี้ วันนี้บอกเลยโคตรเจ็บ และเจ็บที่สุด และหลังโทรไปก็รู้สึกนอยด์ๆ หมดหวัง งานใหม่ไม่เสร็จง่าย งานเก่าก็ไม่เสร็จ โดนโทรตามแก้มากขึ้น งานบ้านไม่มีเวลาทำ เวลาโพสต์ในนี้ไม่ต้องพูดถึงหรอก แทบไม่มีหรือไม่มีด้วยซ้ำ ยิ่งคิดยิ่งหัวเสีย ดิ่งนอยด์ บางทีต่อให้กินอะไรมาอิ่มๆก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย พูดตรงๆ แต่เอาเป็นว่า ขอสู้ต่อไปเพื่อผ่านช่วงเวลาที่เลวร้ายนี้ไปก็แลวกัน ส่วนข่าวการเมืองที่ไม่อยากเห็นจนเคืองประสาท ก็เลี่ยงไว้ก่อน ถ้าไม่เลี่ยงพอนึกถึงเดี๋ยวจะฟิวส์ขาดเอา แต่จะขอดีเลย์สัก ชม.นึง เพื่อให้อารมณ์ดีพร้อมทำงานก่อน
    วันนี้โดนทัก(บีบบังคับ)ให้อ่านหนังสือทุกวัน แต่ช่วงนี้ไม่มีเวลาอ่านหนังสือจริงๆ เพราะต้องแก้งานที่ทำมาเกือบปีละ และไม่ค่อยมีใครช่วยผมได้เต็มที่ งานยาก แต่เงินที่ได้มาโคตรน้อย ถ้าไม่ติดผู้ว่าจ้างหรือลูกค้าหน้าเดิมป่านนี้ได้ลูกค้าหลายคนไปนานละ และโปรไฟล์ งาน รายได้คงเยอะกว่านี้แล้ว ไม่ต้องมาเสียความรู็สึกเพราะเงินช็อตเหมือนทุกวันนี้ วันนี้บอกเลยโคตรเจ็บ และเจ็บที่สุด และหลังโทรไปก็รู้สึกนอยด์ๆ หมดหวัง งานใหม่ไม่เสร็จง่าย งานเก่าก็ไม่เสร็จ โดนโทรตามแก้มากขึ้น งานบ้านไม่มีเวลาทำ เวลาโพสต์ในนี้ไม่ต้องพูดถึงหรอก แทบไม่มีหรือไม่มีด้วยซ้ำ ยิ่งคิดยิ่งหัวเสีย ดิ่งนอยด์ บางทีต่อให้กินอะไรมาอิ่มๆก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย พูดตรงๆ แต่เอาเป็นว่า ขอสู้ต่อไปเพื่อผ่านช่วงเวลาที่เลวร้ายนี้ไปก็แลวกัน ส่วนข่าวการเมืองที่ไม่อยากเห็นจนเคืองประสาท ก็เลี่ยงไว้ก่อน ถ้าไม่เลี่ยงพอนึกถึงเดี๋ยวจะฟิวส์ขาดเอา แต่จะขอดีเลย์สัก ชม.นึง เพื่อให้อารมณ์ดีพร้อมทำงานก่อน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 67 มุมมอง 0 รีวิว
  • ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ม.ค.68 ทุกรายการ ดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 และสูงสุดในรอบ 8 เดือน สอดคล้องความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ สูงสุดรอบ 9 เดือน /คนกล้าลงทุนซื้อบ้าน ซื้อรถ ,การท่องเที่ยวดี ,การใช้จ่ายภาครัฐขยับ จับตาสถานการณ์การเมืองในประเทศ หวั่นซ้ำเติมสงครามจริง สงครามการค้า ฉุดความเชื่อมั่น และเศรษฐกิจที่เริ่มกระเตื้อง
    ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ม.ค.68 ทุกรายการ ดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 และสูงสุดในรอบ 8 เดือน สอดคล้องความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ สูงสุดรอบ 9 เดือน /คนกล้าลงทุนซื้อบ้าน ซื้อรถ ,การท่องเที่ยวดี ,การใช้จ่ายภาครัฐขยับ จับตาสถานการณ์การเมืองในประเทศ หวั่นซ้ำเติมสงครามจริง สงครามการค้า ฉุดความเชื่อมั่น และเศรษฐกิจที่เริ่มกระเตื้อง
    Like
    Haha
    7
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 708 มุมมอง 38 0 รีวิว
  • จับตา ! สีจิ้นผิงจัดสัมมนา'เดิมพันสูง'ร่วมกับผู้นำภาคธุรกิจจีน

    ประธานาธิบดี #สีจิ้นผิง เป็นเจ้าภาพจัด #การประชุมสัมมนาร่วมกับผู้ประกอบการเอกชนจีน ในกรุงปักกิ่งเมื่อวันจันทร์ ( 17 ก.พ.) โดยมีผู้นำบริษัทหัวเว่ย อาลีบาบา บีวายดีและธุรกิจชั้นนำอื่น ๆ เข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง

    ในภาพบรรยากาศการประชุมซึ่งสถานีโทรทัศน์ซีซีทีวีสื่อของรัฐออกอากาศนั้นจะเห็นผู้เข้าร่วม อาทิ นายเหล่ย จวิน ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ( ซีอีโอ ) ของบริษัทเสียวหมี่ นายแจ็ก หม่า ผู้ก่อตั้งอาลีบาบากรุ๊ป นายหวัง เฉวียนฝู ประธานและซีอีโอบริษัทบีวายดีผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า และนายเหริน เจิ้งเฟย ผู้ก่อตั้งและซีอีโอบริษัทหัวเว่ยเทคโนโลยีส์

    ขณะที่ฝ่ายภาครัฐ อาทิ นายกรัฐมนตรีหลี่ เฉียง นาย หวั่ง ฮู้หนิง ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะที่ปรึกษาทางการเมืองสูงสุด และรองนายกรัฐมนตรี ติง เชวียเสียง

    ในช่วงปีที่ผ่านมา จีนมีนำเสนอและหาแนวทางร่วมกับผู้ประกอบการเอกชนอยู่หลายครั้งเพื่อรักษาความเชื่อมั่นของภาคเอกชนในท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ความต้องการของผู้บริโภคในประเทศยังคงอ่อนแอ ประกอบกับเกิดปัญหาท้าทายใหม่ๆ จากภายนอก หลังจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเป็นสมัยที่ 2

    ศูนย์วิจัยนโยบายทรีเวียม ( Trivium) ในกรุงปักกิ่งระบุว่า การประชุมครั้งนี้มี “เดิมพันสูง” เพราะถ้าสีจิ้นผิงสามารถโน้มน้าวให้ผู้เข้าร่วมการประชุมและตลาดมั่นใจได้ว่าขณะนี้เขาให้การสนับสนุนภาคธุรกิจแล้วก็ย่อมจะช่วยให้เศรษฐกิจจีนมีวิถีทางที่ดีขึ้น แต่หากผู้นำจีนใช้เวทีสัมมนานี้เพื่อเน้นย้ำกับบริษัทเอกชนว่า ความรุ่งเรืองของบริษัทเป็นไปตามเจตจำนงของรัฐ การประชุมสัมมนาครั้งนี้ก็จะทำให้บรรยากาศการลงทุนแย่ลงไปอีก

    ประธานาธิบดีของจีนไม่จัดการประชุมสัมมนาในลักษณะเช่นนี้บ่อยนัก โดยครั้งสุดท้ายที่สีจิ้นผิงเคยเข้าร่วมคือในเดือนกันยายน ปี 2561 ซึ่งสถานะของภาคเอกชนกำลังเป็นที่วิตกกังวลหนัก ในขณะที่เจ้าหน้าที่ระดับล่างและกลุ่มทำงานของรัฐสภามีการพบปะกับผู้ประกอบการอยู่เป็นประจำ

    ภาคเอกชนจีนมีการลงทุนในปี 2567 ลดลง 0.1% จากปีก่อนหน้า สัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรทั้งหมดลดลงเหลือ 50.08% จาก 56.42% ในปี 2562

    อย่างไรก็ตาม การพัฒนาด้านเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งล่าสุดคือความสำเร็จของโมเดลปัญญาประดิษฐ์ DeepSeek ทำให้ผู้กำหนดนโยบายของจีนมีช่องทางใหม่ในการสร้างเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน ส่วนนักลงทุนก็เกิดความกระตือรือร้นขึ้นมาอีกครั้ง

    ที่มา : เซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์
    ภาพประกอบข่าว
    ผู้นำภาคธุรกิจมารวมตัวกันในการประชุมระดับสูงซึ่งประธานาธิบดีสี จิ้นผิงเป็นเจ้าภาพ – ภาพ : ซินหัว
    จับตา ! สีจิ้นผิงจัดสัมมนา'เดิมพันสูง'ร่วมกับผู้นำภาคธุรกิจจีน ประธานาธิบดี #สีจิ้นผิง เป็นเจ้าภาพจัด #การประชุมสัมมนาร่วมกับผู้ประกอบการเอกชนจีน ในกรุงปักกิ่งเมื่อวันจันทร์ ( 17 ก.พ.) โดยมีผู้นำบริษัทหัวเว่ย อาลีบาบา บีวายดีและธุรกิจชั้นนำอื่น ๆ เข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง ในภาพบรรยากาศการประชุมซึ่งสถานีโทรทัศน์ซีซีทีวีสื่อของรัฐออกอากาศนั้นจะเห็นผู้เข้าร่วม อาทิ นายเหล่ย จวิน ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ( ซีอีโอ ) ของบริษัทเสียวหมี่ นายแจ็ก หม่า ผู้ก่อตั้งอาลีบาบากรุ๊ป นายหวัง เฉวียนฝู ประธานและซีอีโอบริษัทบีวายดีผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า และนายเหริน เจิ้งเฟย ผู้ก่อตั้งและซีอีโอบริษัทหัวเว่ยเทคโนโลยีส์ ขณะที่ฝ่ายภาครัฐ อาทิ นายกรัฐมนตรีหลี่ เฉียง นาย หวั่ง ฮู้หนิง ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะที่ปรึกษาทางการเมืองสูงสุด และรองนายกรัฐมนตรี ติง เชวียเสียง ในช่วงปีที่ผ่านมา จีนมีนำเสนอและหาแนวทางร่วมกับผู้ประกอบการเอกชนอยู่หลายครั้งเพื่อรักษาความเชื่อมั่นของภาคเอกชนในท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ความต้องการของผู้บริโภคในประเทศยังคงอ่อนแอ ประกอบกับเกิดปัญหาท้าทายใหม่ๆ จากภายนอก หลังจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเป็นสมัยที่ 2 ศูนย์วิจัยนโยบายทรีเวียม ( Trivium) ในกรุงปักกิ่งระบุว่า การประชุมครั้งนี้มี “เดิมพันสูง” เพราะถ้าสีจิ้นผิงสามารถโน้มน้าวให้ผู้เข้าร่วมการประชุมและตลาดมั่นใจได้ว่าขณะนี้เขาให้การสนับสนุนภาคธุรกิจแล้วก็ย่อมจะช่วยให้เศรษฐกิจจีนมีวิถีทางที่ดีขึ้น แต่หากผู้นำจีนใช้เวทีสัมมนานี้เพื่อเน้นย้ำกับบริษัทเอกชนว่า ความรุ่งเรืองของบริษัทเป็นไปตามเจตจำนงของรัฐ การประชุมสัมมนาครั้งนี้ก็จะทำให้บรรยากาศการลงทุนแย่ลงไปอีก ประธานาธิบดีของจีนไม่จัดการประชุมสัมมนาในลักษณะเช่นนี้บ่อยนัก โดยครั้งสุดท้ายที่สีจิ้นผิงเคยเข้าร่วมคือในเดือนกันยายน ปี 2561 ซึ่งสถานะของภาคเอกชนกำลังเป็นที่วิตกกังวลหนัก ในขณะที่เจ้าหน้าที่ระดับล่างและกลุ่มทำงานของรัฐสภามีการพบปะกับผู้ประกอบการอยู่เป็นประจำ ภาคเอกชนจีนมีการลงทุนในปี 2567 ลดลง 0.1% จากปีก่อนหน้า สัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรทั้งหมดลดลงเหลือ 50.08% จาก 56.42% ในปี 2562 อย่างไรก็ตาม การพัฒนาด้านเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งล่าสุดคือความสำเร็จของโมเดลปัญญาประดิษฐ์ DeepSeek ทำให้ผู้กำหนดนโยบายของจีนมีช่องทางใหม่ในการสร้างเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน ส่วนนักลงทุนก็เกิดความกระตือรือร้นขึ้นมาอีกครั้ง ที่มา : เซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์ ภาพประกอบข่าว ผู้นำภาคธุรกิจมารวมตัวกันในการประชุมระดับสูงซึ่งประธานาธิบดีสี จิ้นผิงเป็นเจ้าภาพ – ภาพ : ซินหัว
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 143 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ปานเทพ-อัจฉริยะ" เผยปมมือถือแตงโมถูกโคลนนิ่ง ชี้เครื่องที่ถูกส่งไปให้บังแจ็คที่อเมริกาไม่ใช่เครื่องต้นฉบับ รับบางจุดมีการเปลี่ยน แต่สามารถกู้ภาพคืนมาได้ 18 ก.พ.เปิดหลักฐานเด็ด

    วันนี้( 17 ก.พ.)ที่บ้านเรือเล็ก กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ได้ปฏิบัติการตรวจจุดเกิดเหตุในคดี “แตงโม นิดา” โดยจะทำการล่องเรือไปยัง 8 จุดที่สำคัญและน่าสนใจในคดี เพื่อสำรวจเส้นทาง GPS รวมถึงนำ ข้อมูลของภูมิประเทศ และ สภาพใต้น้ำมาประกอบ โดยใช้เรือทั้งสิ้น 8 ลำ เป็นเรือของกรมชลประทาน 2 ลำ และเรือของดีเอสไอ 6 ลำ รวมทั้งสิ้น 40 คนที่จะลงเรือในครั้งนี้ โดยวันนี้มี นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต และนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ มาในฐานะผู้ร่วมสังเกตการณ์และเป็นสักขีพยาน

    นายอัจฉริยะกล่าวว่า ข้อมูลในโทรศัพท์เป็นของจริง แต่อีกหนึ่งเครื่องไม่ใช่ของจริง คือเครื่องที่ส่งไปให้บังแจ็คที่อเมริกา ไม่ใช่ต้นฉบับ โดยคนที่ส่งไปเป็นอดีตนักการเมืองที่ร่วมกับคุณแม่ของแตงโม และยังได้ข้อมูลอีกว่า อดีตนักการเมืองคนดังกล่าว ได้ส่งผ้าขาวของแตงโมไปให้บังเเจ็คด้วย โดยยังบอกให้บังแจ็คส่งผ้าขาวกลับมาให้กับแพทย์หญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ รวมถึงมีการกระตุ้นให้บังแจ็คไลฟ์สดเกี่ยวกับผ้าขาวที่ได้รับไปด้วย

    นายปานเทพ กล่าวเสริมว่า โทรศัพท์ที่ส่งให้บังแจ็คมีการโคลนนิ่งเหมือนโทรศัพท์ต้นฉบับ และไม่มีใครรู้ว่าถูกสลับเครื่องตอนไหน แต่รู้ว่ามีจุดเปลี่ยนหลายจุดตั้งแต่ตอนเกิดเหตุ ซึ่งในที่สุดก็ต้องทำการสืบหาความจริงจนได้ เพราะเขาลืมไป 1 ข้อว่า แม้จะลบข้อมูลในโทรศัพท์ไปแล้ว แต่สิ่งที่คาดไม่ถึงคือการกู้ Gmail และเข้าไปใน iCloud เพื่อกู้ข้อมูลได้สำเร็จ ทำให้ภาพที่หายไปกลับคืนมาได้ ซึ่งเมื่อคืนนี้ (16 ก.พ.) ได้ตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นพบว่า ข้อมูลถูกต้องกับความเป็นจริง แต่โทรศัพท์ถูกสลับเครื่อง

    นายอัจฉริยะ ยังกล่าวทิ้งท้ายว่า พรุ่งนี้ (18 ก.พ.) นายปานเทพจะมีการเปิดหลักฐานสำคัญที่เชื่อได้ว่า เป็นการฆาตกรรม รวมถึงได้รู้ถึงวิธีการว่าโหดเหี้ยมขนาดไหน

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000015688

    #MGROnline #ปานเทพ #อัจฉริยะ #มือถือแตงโม #โคลนนิ่ง
    "ปานเทพ-อัจฉริยะ" เผยปมมือถือแตงโมถูกโคลนนิ่ง ชี้เครื่องที่ถูกส่งไปให้บังแจ็คที่อเมริกาไม่ใช่เครื่องต้นฉบับ รับบางจุดมีการเปลี่ยน แต่สามารถกู้ภาพคืนมาได้ 18 ก.พ.เปิดหลักฐานเด็ด • วันนี้( 17 ก.พ.)ที่บ้านเรือเล็ก กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ได้ปฏิบัติการตรวจจุดเกิดเหตุในคดี “แตงโม นิดา” โดยจะทำการล่องเรือไปยัง 8 จุดที่สำคัญและน่าสนใจในคดี เพื่อสำรวจเส้นทาง GPS รวมถึงนำ ข้อมูลของภูมิประเทศ และ สภาพใต้น้ำมาประกอบ โดยใช้เรือทั้งสิ้น 8 ลำ เป็นเรือของกรมชลประทาน 2 ลำ และเรือของดีเอสไอ 6 ลำ รวมทั้งสิ้น 40 คนที่จะลงเรือในครั้งนี้ โดยวันนี้มี นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต และนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ มาในฐานะผู้ร่วมสังเกตการณ์และเป็นสักขีพยาน • นายอัจฉริยะกล่าวว่า ข้อมูลในโทรศัพท์เป็นของจริง แต่อีกหนึ่งเครื่องไม่ใช่ของจริง คือเครื่องที่ส่งไปให้บังแจ็คที่อเมริกา ไม่ใช่ต้นฉบับ โดยคนที่ส่งไปเป็นอดีตนักการเมืองที่ร่วมกับคุณแม่ของแตงโม และยังได้ข้อมูลอีกว่า อดีตนักการเมืองคนดังกล่าว ได้ส่งผ้าขาวของแตงโมไปให้บังเเจ็คด้วย โดยยังบอกให้บังแจ็คส่งผ้าขาวกลับมาให้กับแพทย์หญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ รวมถึงมีการกระตุ้นให้บังแจ็คไลฟ์สดเกี่ยวกับผ้าขาวที่ได้รับไปด้วย • นายปานเทพ กล่าวเสริมว่า โทรศัพท์ที่ส่งให้บังแจ็คมีการโคลนนิ่งเหมือนโทรศัพท์ต้นฉบับ และไม่มีใครรู้ว่าถูกสลับเครื่องตอนไหน แต่รู้ว่ามีจุดเปลี่ยนหลายจุดตั้งแต่ตอนเกิดเหตุ ซึ่งในที่สุดก็ต้องทำการสืบหาความจริงจนได้ เพราะเขาลืมไป 1 ข้อว่า แม้จะลบข้อมูลในโทรศัพท์ไปแล้ว แต่สิ่งที่คาดไม่ถึงคือการกู้ Gmail และเข้าไปใน iCloud เพื่อกู้ข้อมูลได้สำเร็จ ทำให้ภาพที่หายไปกลับคืนมาได้ ซึ่งเมื่อคืนนี้ (16 ก.พ.) ได้ตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นพบว่า ข้อมูลถูกต้องกับความเป็นจริง แต่โทรศัพท์ถูกสลับเครื่อง • นายอัจฉริยะ ยังกล่าวทิ้งท้ายว่า พรุ่งนี้ (18 ก.พ.) นายปานเทพจะมีการเปิดหลักฐานสำคัญที่เชื่อได้ว่า เป็นการฆาตกรรม รวมถึงได้รู้ถึงวิธีการว่าโหดเหี้ยมขนาดไหน • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000015688 • #MGROnline #ปานเทพ #อัจฉริยะ #มือถือแตงโม #โคลนนิ่ง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 137 มุมมอง 0 รีวิว
  • 70 ปี ยิงเป้าสามมหาดเล็ก พัวพันคดีสวรรคต ร.8 ทฤษฎีสมคบคิดปริศนา ลอบปลงพระชนม์ หรืออัตวินิบาตกรรม?

    ปริศนาที่ยังไร้คำตอบ เมื่อพูดถึงหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญ ทางประวัติศาสตร์ไทย ที่ยังคงเป็นปริศนา และข้อถกเถียงมาจนถึงทุกวันนี้ "คดีสวรรคต รัชกาลที่ 8" คือหนึ่งในคดี ที่เต็มไปด้วยเงื่อนงำ ทฤษฎีสมคบคิด และข้อสงสัยมากมาย

    ย้อนกลับไปเมื่อ 70 ปี ที่ผ่านมา ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2498 ณ เรือนจำกลางบางขวาง สามมหาดเล็กในพระองค์ ได้แก่ นายเฉลียว ปทุมรส, นายชิต สิงหเสนี และนายบุศย์ ปัทมศริน ถูกนำตัวเข้าสู่ลานประหาร และถูกยิงเป้าด้วยปืนกล ตามคำพิพากษาของศาลฎีกา ฐานพัวพันกับการสวรรคต ของ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทร มหาอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489

    แต่คำถามสำคัญ ที่ยังคงค้างคาใจหลายคนก็คือ คดีนี้จบลงแล้วจริงหรือ? และสามมหาดเล็ก ที่ถูกประหารชีวิตเป็น "แพะรับบาป" หรือไม่?

    ปูมหลังคดีสวรรคต ในหลวงรัชกาลที่ 8
    9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 วันแห่งโศกนาฏกรรม
    ช่วงสายวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เสด็จสวรรคตด้วยพระแสงปืน ภายในห้องพระบรรทม พระที่นั่งบรมพิมาน พระบรมมหาราชวัง

    🔎 ลักษณะพระบรมศพ
    มีบาดแผล กลางพระนลาฏ หรือหน้าผาก ทะลุผ่านพระปฤษฎางค์ หรือท้ายทอย ข้างพระบรมศพพบ ปืนพกสั้น โคลต์ .45 ตกอยู่ ด้ามปืนหันออกจากพระวรกาย

    💡 คำถามที่เกิดขึ้น
    เป็นอุบัติเหตุ หรือการลอบปลงพระชนม์?
    หากเป็นอัตวินิบาตกรรม เหตุใดจึงมีบาดแผล กระสุนทะลุจากหน้าผากไปท้ายทอย ซึ่งขัดแย้งกับ กลไกการยิงตัวตาย ตามธรรมชาติ?

    มหาดเล็กทั้งสามนาย จากข้าราชการใกล้ชิด สู่จำเลยประหารชีวิต
    หลังจากเกิดเหตุการณ์ไม่นาน รัฐบาลได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวน ซึ่งในช่วงแรก ไม่มีใครถูกกล่าวหา แต่เมื่อเกิดการรัฐประหารในปี พ.ศ. 2490 คดีได้ถูกพลิกกลับ โดยบุคคลที่ตกเป็นเป้าหมาย ถูกดำเนินคดีในข้อหาสมรู้ร่วมคิด

    1. นายเฉลียว ปทุมรส
    อดีตมหาดเล็ก และราชเลขานุการในพระองค์ รัชกาลที่ 8 สมาชิกคณะราษฎรสายพลเรือน ถูกกล่าวหาว่า เป็นผู้อยู่เบื้องหลังแผนลอบปลงพระชนม์ ถูกศาลฎีกาพิพากษา ตัดสินประหารชีวิต

    2. นายชิต สิงหเสนี มหาดเล็กห้องพระบรรทม
    อยู่ในพระที่นั่งบรมพิมานในวันเกิดเหตุ ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนรู้เห็นกับเหตุการณ์ และถูกศาลฎีกา พิพากษายืน ประหารชีวิตตามศาลอุทธรณ์

    3. นายบุศย์ ปัทมศริน มหาดเล็กห้องพระบรรทมอีกคนหนึ่ง
    เป็นหนึ่งในบุคคลสุดท้าย ที่เห็นในหลวงรัชกาลที่ 8 ก่อนสวรรคต ถูกกล่าวหาว่า มีส่วนเกี่ยวข้องในการปลงพระชนม์ และถูกศาลฎีกา พิกากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ตัดสินประหารชีวิต

    💭 ข้อโต้แย้ง
    มหาดเล็กทั้งสามนาย ยืนยันว่าตนเองบริสุทธิ์ จนถึงวินาทีสุดท้าย ไม่มีหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ชัดเจน ที่เชื่อมโยงกับเหตุการณ์

    ศาลฎีกาตัดสิน คำพิพากษาที่นำไปสู่ลานประหาร
    หลังการสอบสวน คดีนี้ผ่านการพิจารณาของ ศาล 3 ระดับ
    - ศาลชั้นต้น พิพากษาประหารชีวิต ทั้งสามคน
    - ศาลอุทธรณ์ ยืนยันคำพิพากษาเดิม
    - ศาลฎีกา พิพากษายืน ตามคำตัดสินเดิม

    17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2498 วันที่สามมหาดเล็ก ถูกยิงเป้าด้วยปืนกล
    ⏰ 02.00 น. อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา
    ⏰ 02.20 น. นายเฉลียว ถูกประหาร
    ⏰ 02.40 น. นายชิต ถูกประหาร
    ⏰ 03.00 น. นายบุศย์ ถูกประหาร

    หลังจากการยิงเป้าประหารชีวิต ศพนักโทษทั้ง 3 ราย ถูกใส่ในช่องเก็บศพ เเล้วนำร่างออกจากประตูเเดง หรือประตูผีของวัดบางแพรกใต้ ในวันรุ่งขึ้น

    👀 ความน่าสงสัย
    - คำร้องขออภัยโทษถูก "ยกฎีกา" อย่างกะทันหัน
    - ไม่มีการสืบสวนใหม่ แม้จะมีหลักฐานที่อาจเปลี่ยนคดี

    ทฤษฎีสมคบคิด ใครคือผู้ต้องสงสัยที่แท้จริง?
    แม้ว่าศาลจะตัดสินประหารชีวิต สามมหาดเล็กไปแล้ว แต่ปริศนาการสวรรคต ยังคงเป็นหัวข้อ ที่ถูกตั้งคำถามอยู่ตลอด

    🕵️‍♂️ ทฤษฎี "อุบัติเหตุ"
    ในหลวงรัชกาลที่ 8 อาจทรงทำปืนลั่นเองขณะถือปืน
    มีหลักฐานว่า พระองค์ทรงสนใจปืน และเคยมีอุบัติเหตุปืนลั่นมาก่อน

    🔴 ข้อโต้แย้ง
    ตำแหน่งบาดแผล ไม่สอดคล้องกับอุบัติเหตุ จากการยิงตัวเอง

    🏴‍☠️ ทฤษฎี "ลอบปลงพระชนม์"
    มีการตั้งข้อสงสัยว่า ฝ่ายการเมืองบางกลุ่ม อาจอยู่เบื้องหลัง
    ขณะนั้นมีความขัดแย้งทางการเมือง ระหว่างกลุ่มนิยมเจ้า กับคณะราษฎร

    🔴 ข้อโต้แย้ง
    ไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนว่า ใครเป็นผู้ลงมือ

    🤔 ทฤษฎี "แพะรับบาป"
    สามมหาดเล็ก อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือ ในการปกปิดความจริง
    หลักฐานหลายอย่างถูกทำลาย หรือไม่ถูกเปิดเผย

    คดีปริศนาที่ยังไร้คำตอบ
    แม้เวลาจะผ่านไปกว่า 70 ปี แต่คดีสวรรคตของในหลวงรัชกาลที่ 8 ยังคงเป็นที่ถกเถียงกัน อย่างกว้างขวาง ข้อมูลที่มีอยู่ ยังไม่สามารถสรุปได้อย่างชัดเจน ว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างไร และใครคือผู้กระทำผิดตัวจริง

    ⏳ คำถามที่ยังไร้คำตอบ 🔥
    - ในหลวงรัชกาลที่ 8 ทรงกระทำอัตวินิบาตกรรม หรือถูกลอบปลงพระชนม์?
    - สามมหาดเล็กที่ถูกประหาร เป็นแพะรับบาปหรือไม่?

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 171005 ก.พ. 2568

    #คดีสวรรคต #รัชกาลที่8 #70ปีปริศนา #สมคบคิด #ลับลวงพราง #ประวัติศาสตร์ไทย #คดีสะเทือนขวัญ #ยิงเป้าสามมหาดเล็ก #ThailandMystery #HistoryUnsolved
    70 ปี ยิงเป้าสามมหาดเล็ก พัวพันคดีสวรรคต ร.8 ทฤษฎีสมคบคิดปริศนา ลอบปลงพระชนม์ หรืออัตวินิบาตกรรม? ปริศนาที่ยังไร้คำตอบ เมื่อพูดถึงหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญ ทางประวัติศาสตร์ไทย ที่ยังคงเป็นปริศนา และข้อถกเถียงมาจนถึงทุกวันนี้ "คดีสวรรคต รัชกาลที่ 8" คือหนึ่งในคดี ที่เต็มไปด้วยเงื่อนงำ ทฤษฎีสมคบคิด และข้อสงสัยมากมาย ย้อนกลับไปเมื่อ 70 ปี ที่ผ่านมา ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2498 ณ เรือนจำกลางบางขวาง สามมหาดเล็กในพระองค์ ได้แก่ นายเฉลียว ปทุมรส, นายชิต สิงหเสนี และนายบุศย์ ปัทมศริน ถูกนำตัวเข้าสู่ลานประหาร และถูกยิงเป้าด้วยปืนกล ตามคำพิพากษาของศาลฎีกา ฐานพัวพันกับการสวรรคต ของ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทร มหาอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 แต่คำถามสำคัญ ที่ยังคงค้างคาใจหลายคนก็คือ คดีนี้จบลงแล้วจริงหรือ? และสามมหาดเล็ก ที่ถูกประหารชีวิตเป็น "แพะรับบาป" หรือไม่? ปูมหลังคดีสวรรคต ในหลวงรัชกาลที่ 8 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 วันแห่งโศกนาฏกรรม ช่วงสายวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เสด็จสวรรคตด้วยพระแสงปืน ภายในห้องพระบรรทม พระที่นั่งบรมพิมาน พระบรมมหาราชวัง 🔎 ลักษณะพระบรมศพ มีบาดแผล กลางพระนลาฏ หรือหน้าผาก ทะลุผ่านพระปฤษฎางค์ หรือท้ายทอย ข้างพระบรมศพพบ ปืนพกสั้น โคลต์ .45 ตกอยู่ ด้ามปืนหันออกจากพระวรกาย 💡 คำถามที่เกิดขึ้น เป็นอุบัติเหตุ หรือการลอบปลงพระชนม์? หากเป็นอัตวินิบาตกรรม เหตุใดจึงมีบาดแผล กระสุนทะลุจากหน้าผากไปท้ายทอย ซึ่งขัดแย้งกับ กลไกการยิงตัวตาย ตามธรรมชาติ? มหาดเล็กทั้งสามนาย จากข้าราชการใกล้ชิด สู่จำเลยประหารชีวิต หลังจากเกิดเหตุการณ์ไม่นาน รัฐบาลได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวน ซึ่งในช่วงแรก ไม่มีใครถูกกล่าวหา แต่เมื่อเกิดการรัฐประหารในปี พ.ศ. 2490 คดีได้ถูกพลิกกลับ โดยบุคคลที่ตกเป็นเป้าหมาย ถูกดำเนินคดีในข้อหาสมรู้ร่วมคิด 1. นายเฉลียว ปทุมรส อดีตมหาดเล็ก และราชเลขานุการในพระองค์ รัชกาลที่ 8 สมาชิกคณะราษฎรสายพลเรือน ถูกกล่าวหาว่า เป็นผู้อยู่เบื้องหลังแผนลอบปลงพระชนม์ ถูกศาลฎีกาพิพากษา ตัดสินประหารชีวิต 2. นายชิต สิงหเสนี มหาดเล็กห้องพระบรรทม อยู่ในพระที่นั่งบรมพิมานในวันเกิดเหตุ ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนรู้เห็นกับเหตุการณ์ และถูกศาลฎีกา พิพากษายืน ประหารชีวิตตามศาลอุทธรณ์ 3. นายบุศย์ ปัทมศริน มหาดเล็กห้องพระบรรทมอีกคนหนึ่ง เป็นหนึ่งในบุคคลสุดท้าย ที่เห็นในหลวงรัชกาลที่ 8 ก่อนสวรรคต ถูกกล่าวหาว่า มีส่วนเกี่ยวข้องในการปลงพระชนม์ และถูกศาลฎีกา พิกากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ตัดสินประหารชีวิต 💭 ข้อโต้แย้ง มหาดเล็กทั้งสามนาย ยืนยันว่าตนเองบริสุทธิ์ จนถึงวินาทีสุดท้าย ไม่มีหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ชัดเจน ที่เชื่อมโยงกับเหตุการณ์ ศาลฎีกาตัดสิน คำพิพากษาที่นำไปสู่ลานประหาร หลังการสอบสวน คดีนี้ผ่านการพิจารณาของ ศาล 3 ระดับ - ศาลชั้นต้น พิพากษาประหารชีวิต ทั้งสามคน - ศาลอุทธรณ์ ยืนยันคำพิพากษาเดิม - ศาลฎีกา พิพากษายืน ตามคำตัดสินเดิม 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2498 วันที่สามมหาดเล็ก ถูกยิงเป้าด้วยปืนกล ⏰ 02.00 น. อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ⏰ 02.20 น. นายเฉลียว ถูกประหาร ⏰ 02.40 น. นายชิต ถูกประหาร ⏰ 03.00 น. นายบุศย์ ถูกประหาร หลังจากการยิงเป้าประหารชีวิต ศพนักโทษทั้ง 3 ราย ถูกใส่ในช่องเก็บศพ เเล้วนำร่างออกจากประตูเเดง หรือประตูผีของวัดบางแพรกใต้ ในวันรุ่งขึ้น 👀 ความน่าสงสัย - คำร้องขออภัยโทษถูก "ยกฎีกา" อย่างกะทันหัน - ไม่มีการสืบสวนใหม่ แม้จะมีหลักฐานที่อาจเปลี่ยนคดี ทฤษฎีสมคบคิด ใครคือผู้ต้องสงสัยที่แท้จริง? แม้ว่าศาลจะตัดสินประหารชีวิต สามมหาดเล็กไปแล้ว แต่ปริศนาการสวรรคต ยังคงเป็นหัวข้อ ที่ถูกตั้งคำถามอยู่ตลอด 🕵️‍♂️ ทฤษฎี "อุบัติเหตุ" ในหลวงรัชกาลที่ 8 อาจทรงทำปืนลั่นเองขณะถือปืน มีหลักฐานว่า พระองค์ทรงสนใจปืน และเคยมีอุบัติเหตุปืนลั่นมาก่อน 🔴 ข้อโต้แย้ง ตำแหน่งบาดแผล ไม่สอดคล้องกับอุบัติเหตุ จากการยิงตัวเอง 🏴‍☠️ ทฤษฎี "ลอบปลงพระชนม์" มีการตั้งข้อสงสัยว่า ฝ่ายการเมืองบางกลุ่ม อาจอยู่เบื้องหลัง ขณะนั้นมีความขัดแย้งทางการเมือง ระหว่างกลุ่มนิยมเจ้า กับคณะราษฎร 🔴 ข้อโต้แย้ง ไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนว่า ใครเป็นผู้ลงมือ 🤔 ทฤษฎี "แพะรับบาป" สามมหาดเล็ก อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือ ในการปกปิดความจริง หลักฐานหลายอย่างถูกทำลาย หรือไม่ถูกเปิดเผย คดีปริศนาที่ยังไร้คำตอบ แม้เวลาจะผ่านไปกว่า 70 ปี แต่คดีสวรรคตของในหลวงรัชกาลที่ 8 ยังคงเป็นที่ถกเถียงกัน อย่างกว้างขวาง ข้อมูลที่มีอยู่ ยังไม่สามารถสรุปได้อย่างชัดเจน ว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างไร และใครคือผู้กระทำผิดตัวจริง ⏳ คำถามที่ยังไร้คำตอบ 🔥 - ในหลวงรัชกาลที่ 8 ทรงกระทำอัตวินิบาตกรรม หรือถูกลอบปลงพระชนม์? - สามมหาดเล็กที่ถูกประหาร เป็นแพะรับบาปหรือไม่? ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 171005 ก.พ. 2568 #คดีสวรรคต #รัชกาลที่8 #70ปีปริศนา #สมคบคิด #ลับลวงพราง #ประวัติศาสตร์ไทย #คดีสะเทือนขวัญ #ยิงเป้าสามมหาดเล็ก #ThailandMystery #HistoryUnsolved
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 187 มุมมอง 0 รีวิว
  • 77 ปี จับ “หะยีสุหลง” จากโต๊ะอิหม่าม นักเคลื่อนไหว ปลายด้ามขวาน สู่สี่ชีวิตถูกอุ้มฆ่า ถ่วงทะเลสาบสงขลา

    📅 ย้อนไปเมื่อ 77 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2491 วันที่ชื่อของ "หะยีสุหลง โต๊ะมีนา" ถูกจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ไทย ในฐานะนักเคลื่อนไหว เพื่อสิทธิของชาวมลายูมุสลิม ในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทว่าการต่อสู้เพื่อความยุติธรรม และสิทธิของประชาชนของเหะยีสุหลง กลับจบลงอย่างโศกนาฏกรรม

    หะยีสุหลงพร้อมกับผู้ติดตามอีก 3 คน หายตัวไปหลังจากเดินทางไปยัง กองบัญชาการตำรวจสันติบาล จังหวัดสงขลา ก่อนถูกสังหาร และถ่วงน้ำในทะเลสาบสงขลา เหตุการณ์นี้กลายเป็น หนึ่งในกรณีการอุ้มฆ่าทางการเมือง ที่สำคัญที่สุดของไทย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความขัดแย้ง ระหว่างอำนาจรัฐ กับกลุ่มชนพื้นเมืองในภาคใต้

    🔍 "หะยีสุหลง บิน อับดุลกาเคร์ ฒูฮัมมัด เอล ฟาโทนิ" หรือที่รู้จักในนาม "หะยีสุหลง" เป็นผู้นำศาสนาและนักเคลื่อนไหวทางสังคม ของชาวมลายูมุสลิม ในภาคใต้ของไทย เป็นประธานกรรมการอิสลามจังหวัดปัตตานี และเป็นบุคคลสำคัญ ในการเรียกร้องให้รัฐไทย ให้ความเป็นธรรมแก่ชาวมุสลิมใน 4 จังหวัดภาคใต้

    📌 ภารกิจของหะยีสุหลง
    ✅ ปรับปรุงระบบการศึกษา โดยก่อตั้ง "ปอเนาะ" หรือโรงเรียนสอนศาสนาอิสลามแห่งแรก
    ✅ ส่งเสริมศาสนาอิสลามที่ถูกต้อง ต่อต้านความเชื่อที่ขัดกับหลักศาสนา
    ✅ เรียกร้องสิทธิและความเป็นธรรม ให้ชาวมลายูมุสลิม ภายใต้กรอบของรัฐไทย

    แต่... เส้นทางการต่อสู้ กลับนำไปสู่ความขัดแย้งกับรัฐบาลไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากที่หะยีสุหลงเสนอ "7 ข้อเรียกร้อง" ต่อรัฐบาลไทย

    📜 7 ข้อเรียกร้องของหะยีสุหลง พ.ศ. 2490
    ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2490 หะยีสุหลงได้เสนอข้อเรียกร้อง 7 ประการต่อ พลเรือตรีถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ซึ่งเป็นข้อเสนอ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม แก่ประชาชนมุสลิม ในภาคใต้

    📝 รายละเอียดของ 7 ข้อเรียกร้อง
    1. ให้แต่งตั้งผู้ว่าราชการ ที่เป็นชาวมลายูมุสลิม และมาจากการเลือกตั้ง
    2. ข้าราชการในพื้นที่ ต้องเป็นมุสลิมอย่างน้อย 80%
    3. ให้ใช้ภาษามลายูและภาษาไทย เป็นภาษาราชการ
    4. ให้ภาษามลายูเป็นภาษากลาง ในโรงเรียนระดับประถมศึกษา
    5. ให้ใช้กฎหมายอิสลาม ในการพิจารณาคดีของศาลศาสนา
    6. รายได้จากภาษีใน 4 จังหวัด ต้องถูกใช้ในพื้นที่นั้น
    7. ให้จัดตั้งคณะกรรมการมุสลิม เพื่อดูแลกิจการของชาวมุสลิม

    💡 แต่กลับเกิดผลกระทบ เนื่องจากข้อเรียกร้องนี้ถูกมองว่า เป็นการพยายามแบ่งแยกดินแดน นำไปสู่การจับกุม และกล่าวหาหะยีสุหลงว่าเป็น "กบฏ"

    ⚖️ หลังการรัฐประหารในวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 ซึ่งเปลี่ยนแปลงรัฐบาล มาเป็นฝ่ายของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม แนวคิด "7 ข้อเรียกร้อง" ของหะยีสุหลง ถูกตีความว่า เป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐ

    📅 เหตุการณ์สำคัญ
    16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2491 → หะยีสุหลงถูกจับกุมที่ปัตตานี
    30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2493 → ศาลฎีกาตัดสินจำคุก 4 ปี 8 เดือน ในข้อหาปลุกระดม ให้ประชาชนต่อต้านรัฐ

    หลังจากพ้นโทษ หะยีสุหลงยังคงถูกจับตามอง และเผชิญกับการคุกคามจากฝ่ายรัฐ จนนำไปสู่เหตุการณ์ "การอุ้มหาย" ที่สร้างความตื่นตัวในสังคม

    🚨 การอุ้มหายและสังหาร 13 สิงหาคม พ.ศ. 2497
    หลังจากได้รับคำสั่ง ให้เข้าพบเจ้าหน้าที่ตำรวจที่สงขลา หะยีสุหลงพร้อมลูกชายวัย 15 ปี ซึ่งเป็นล่าม และพรรคพวกอีก 2 คน ได้เดินทางไปยัง สำนักงานตำรวจสันติบาลจังหวัดสงชลา

    ❌ แล้วพวกเขาก็หายตัวไป...
    หลักฐานทางประวัติศาสตร์ระบุว่า พวกเขาถูกสังหารในบังกะโล ริมทะเลสาบสงขลา โดยใช้เชือกรัดคอ คว้านท้องศพ แล้วผูกกับแท่งซีเมนต์ก่อนถ่วงน้ำ มีหลักฐานโยงไปถึง พล.ต.อ. เผ่า ศรียานนท์ อธิบดีกรมตำรวจในขณะนั้น ว่าเป็นผู้บงการอุ้มฆ่า

    เหตุการณ์นี้ กลายเป็นหนึ่งในคดีอุ้มหาย ที่สะเทือนขวัญที่สุดของไทย และแม้ว่าจะมีการรื้อฟื้นคดี ในปี พ.ศ. 2500 แต่สุดท้าย... ก็ไม่มีใครต้องรับผิดชอบ

    🏛️ เหตุการณ์การอุ้มหายของหะยีสุหลง ส่งผลให้เกิดกระแสต่อต้านรัฐบาล และสร้างแรงบันดาลใจ ให้ขบวนการเคลื่อนไหวในภาคใต้

    📌 ผลกระทบที่สำคัญ
    ✅ จุดชนวนความไม่พอใจ ของชาวมลายูมุสลิมต่อรัฐไทย
    ✅ ทำให้ปัญหาความขัดแย้งใน 4 จังหวัดภาคใต้รุนแรงขึ้น
    ✅ กระตุ้นให้เกิดขบวนการเคลื่อนไห วและกลุ่มติดอาวุธในเวลาต่อมา

    แม้ว่าปัจจุบันปัญหาภาคใต้ จะมีพัฒนาการที่ซับซ้อนขึ้น แต่เหตุการณ์ของหะยีสุหลง ยังคงเป็นเครื่องเตือนใจ ถึงความจำเป็นในการแก้ไขปัญหา ด้วยสันติวิธีและความเป็นธรรม

    📌 กรณีของหะยีสุหลง แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อน ของปัญหาชายแดนใต้ ซึ่งเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ อัตลักษณ์ วัฒนธรรม และการปกครองของรัฐไทย 🔎

    ⚖️ สิ่งที่รัฐควรเรียนรู้
    ✅ การให้สิทธิทางวัฒนธรรมและศาสนา แก่กลุ่มชาติพันธุ์
    ✅ การเปิดพื้นที่การมีส่วนร่วมทางการเมือง
    ✅ การแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง ด้วยกระบวนการสันติ

    📌 เหตุการณ์นี้ เป็นหนึ่งในบทเรียนสำคัญ ของประวัติศาสตร์ไทย ซึ่งยังคงมีอิทธิพล ต่อสถานการณ์ในปัจจุบัน ⬇️

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 161122 ก.พ. 2568

    #หะยีสุหลง #ชายแดนใต้ #อุ้มหาย #77ปีหะยีสุหลง #ประวัติศาสตร์ไทย
    77 ปี จับ “หะยีสุหลง” จากโต๊ะอิหม่าม นักเคลื่อนไหว ปลายด้ามขวาน สู่สี่ชีวิตถูกอุ้มฆ่า ถ่วงทะเลสาบสงขลา 📅 ย้อนไปเมื่อ 77 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2491 วันที่ชื่อของ "หะยีสุหลง โต๊ะมีนา" ถูกจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ไทย ในฐานะนักเคลื่อนไหว เพื่อสิทธิของชาวมลายูมุสลิม ในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทว่าการต่อสู้เพื่อความยุติธรรม และสิทธิของประชาชนของเหะยีสุหลง กลับจบลงอย่างโศกนาฏกรรม หะยีสุหลงพร้อมกับผู้ติดตามอีก 3 คน หายตัวไปหลังจากเดินทางไปยัง กองบัญชาการตำรวจสันติบาล จังหวัดสงขลา ก่อนถูกสังหาร และถ่วงน้ำในทะเลสาบสงขลา เหตุการณ์นี้กลายเป็น หนึ่งในกรณีการอุ้มฆ่าทางการเมือง ที่สำคัญที่สุดของไทย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความขัดแย้ง ระหว่างอำนาจรัฐ กับกลุ่มชนพื้นเมืองในภาคใต้ 🔍 "หะยีสุหลง บิน อับดุลกาเคร์ ฒูฮัมมัด เอล ฟาโทนิ" หรือที่รู้จักในนาม "หะยีสุหลง" เป็นผู้นำศาสนาและนักเคลื่อนไหวทางสังคม ของชาวมลายูมุสลิม ในภาคใต้ของไทย เป็นประธานกรรมการอิสลามจังหวัดปัตตานี และเป็นบุคคลสำคัญ ในการเรียกร้องให้รัฐไทย ให้ความเป็นธรรมแก่ชาวมุสลิมใน 4 จังหวัดภาคใต้ 📌 ภารกิจของหะยีสุหลง ✅ ปรับปรุงระบบการศึกษา โดยก่อตั้ง "ปอเนาะ" หรือโรงเรียนสอนศาสนาอิสลามแห่งแรก ✅ ส่งเสริมศาสนาอิสลามที่ถูกต้อง ต่อต้านความเชื่อที่ขัดกับหลักศาสนา ✅ เรียกร้องสิทธิและความเป็นธรรม ให้ชาวมลายูมุสลิม ภายใต้กรอบของรัฐไทย แต่... เส้นทางการต่อสู้ กลับนำไปสู่ความขัดแย้งกับรัฐบาลไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากที่หะยีสุหลงเสนอ "7 ข้อเรียกร้อง" ต่อรัฐบาลไทย 📜 7 ข้อเรียกร้องของหะยีสุหลง พ.ศ. 2490 ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2490 หะยีสุหลงได้เสนอข้อเรียกร้อง 7 ประการต่อ พลเรือตรีถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ซึ่งเป็นข้อเสนอ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม แก่ประชาชนมุสลิม ในภาคใต้ 📝 รายละเอียดของ 7 ข้อเรียกร้อง 1. ให้แต่งตั้งผู้ว่าราชการ ที่เป็นชาวมลายูมุสลิม และมาจากการเลือกตั้ง 2. ข้าราชการในพื้นที่ ต้องเป็นมุสลิมอย่างน้อย 80% 3. ให้ใช้ภาษามลายูและภาษาไทย เป็นภาษาราชการ 4. ให้ภาษามลายูเป็นภาษากลาง ในโรงเรียนระดับประถมศึกษา 5. ให้ใช้กฎหมายอิสลาม ในการพิจารณาคดีของศาลศาสนา 6. รายได้จากภาษีใน 4 จังหวัด ต้องถูกใช้ในพื้นที่นั้น 7. ให้จัดตั้งคณะกรรมการมุสลิม เพื่อดูแลกิจการของชาวมุสลิม 💡 แต่กลับเกิดผลกระทบ เนื่องจากข้อเรียกร้องนี้ถูกมองว่า เป็นการพยายามแบ่งแยกดินแดน นำไปสู่การจับกุม และกล่าวหาหะยีสุหลงว่าเป็น "กบฏ" ⚖️ หลังการรัฐประหารในวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 ซึ่งเปลี่ยนแปลงรัฐบาล มาเป็นฝ่ายของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม แนวคิด "7 ข้อเรียกร้อง" ของหะยีสุหลง ถูกตีความว่า เป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐ 📅 เหตุการณ์สำคัญ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2491 → หะยีสุหลงถูกจับกุมที่ปัตตานี 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2493 → ศาลฎีกาตัดสินจำคุก 4 ปี 8 เดือน ในข้อหาปลุกระดม ให้ประชาชนต่อต้านรัฐ หลังจากพ้นโทษ หะยีสุหลงยังคงถูกจับตามอง และเผชิญกับการคุกคามจากฝ่ายรัฐ จนนำไปสู่เหตุการณ์ "การอุ้มหาย" ที่สร้างความตื่นตัวในสังคม 🚨 การอุ้มหายและสังหาร 13 สิงหาคม พ.ศ. 2497 หลังจากได้รับคำสั่ง ให้เข้าพบเจ้าหน้าที่ตำรวจที่สงขลา หะยีสุหลงพร้อมลูกชายวัย 15 ปี ซึ่งเป็นล่าม และพรรคพวกอีก 2 คน ได้เดินทางไปยัง สำนักงานตำรวจสันติบาลจังหวัดสงชลา ❌ แล้วพวกเขาก็หายตัวไป... หลักฐานทางประวัติศาสตร์ระบุว่า พวกเขาถูกสังหารในบังกะโล ริมทะเลสาบสงขลา โดยใช้เชือกรัดคอ คว้านท้องศพ แล้วผูกกับแท่งซีเมนต์ก่อนถ่วงน้ำ มีหลักฐานโยงไปถึง พล.ต.อ. เผ่า ศรียานนท์ อธิบดีกรมตำรวจในขณะนั้น ว่าเป็นผู้บงการอุ้มฆ่า เหตุการณ์นี้ กลายเป็นหนึ่งในคดีอุ้มหาย ที่สะเทือนขวัญที่สุดของไทย และแม้ว่าจะมีการรื้อฟื้นคดี ในปี พ.ศ. 2500 แต่สุดท้าย... ก็ไม่มีใครต้องรับผิดชอบ 🏛️ เหตุการณ์การอุ้มหายของหะยีสุหลง ส่งผลให้เกิดกระแสต่อต้านรัฐบาล และสร้างแรงบันดาลใจ ให้ขบวนการเคลื่อนไหวในภาคใต้ 📌 ผลกระทบที่สำคัญ ✅ จุดชนวนความไม่พอใจ ของชาวมลายูมุสลิมต่อรัฐไทย ✅ ทำให้ปัญหาความขัดแย้งใน 4 จังหวัดภาคใต้รุนแรงขึ้น ✅ กระตุ้นให้เกิดขบวนการเคลื่อนไห วและกลุ่มติดอาวุธในเวลาต่อมา แม้ว่าปัจจุบันปัญหาภาคใต้ จะมีพัฒนาการที่ซับซ้อนขึ้น แต่เหตุการณ์ของหะยีสุหลง ยังคงเป็นเครื่องเตือนใจ ถึงความจำเป็นในการแก้ไขปัญหา ด้วยสันติวิธีและความเป็นธรรม 📌 กรณีของหะยีสุหลง แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อน ของปัญหาชายแดนใต้ ซึ่งเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ อัตลักษณ์ วัฒนธรรม และการปกครองของรัฐไทย 🔎 ⚖️ สิ่งที่รัฐควรเรียนรู้ ✅ การให้สิทธิทางวัฒนธรรมและศาสนา แก่กลุ่มชาติพันธุ์ ✅ การเปิดพื้นที่การมีส่วนร่วมทางการเมือง ✅ การแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง ด้วยกระบวนการสันติ 📌 เหตุการณ์นี้ เป็นหนึ่งในบทเรียนสำคัญ ของประวัติศาสตร์ไทย ซึ่งยังคงมีอิทธิพล ต่อสถานการณ์ในปัจจุบัน ⬇️ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 161122 ก.พ. 2568 #หะยีสุหลง #ชายแดนใต้ #อุ้มหาย #77ปีหะยีสุหลง #ประวัติศาสตร์ไทย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 163 มุมมอง 0 รีวิว
  • จะยอมให้ประเทศไทยเป็นอู่ฮั่นสองหรือไม่?

    มหันตภัยเกิดจากการนำไวรัสจากค้างคาวและสัตว์ป่าออกมาและมีการตัดต่อพันธุกรรม

    การสืบสวนสอบสวนของ คณะกรรมาธิการ สภาคองเกรส สหรัฐ ซึ่งแถลงรายงานในวันที่ 5 ธันวาคม 2024
    ได้สรุปถึงกำเนิดไวรัสโควิดเกิดจากมนุษย์ประดิษฐ์ จากข้อมูลตัวไวรัสเอง และ ที่เป็นไปไม่ได้จากธรรมชาติ ลักษณะการระบาด การไม่พบไวรัสโควิดในสัตว์ใด และสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้โดยไม่มีหลักฐานใดที่ชี้บ่งว่าเป็นวิวัฒนาการตามปกติของไวรัสในสัตว์สู่คน จุดรั่วระบาดที่ลามไปทั่วโลกนั้นไม่ได้เกิดที่ตลาดสดอู่ฮั่น แต่ ชี้บ่งไปที่ สถาบันวิจัยไวรัสอู๋ฮั่น (WIV) จากความบกพร่องของห้องชีวะนิรภัยระดับสี่
    นอกจากนั้นเป็นความร่วมมือขององค์กรสหรัฐ ฟาวซี และพวก ทั้งนี้ องค์กร พื้นฐานคือ เกตส์ gates foundation ในการ พัฒนาการสร้างไวรัสใหม่ที่ร้ายแรงกว่าเก่า ติดง่ายขึ้น แพร่ง่ายขึ้น ป่วยและตายมากขึ้น จนถึงติดคนสู่คนและให้แพร่ทางอากาศได้ โดยความรู้ในการสร้างไวรัสโคโรนามาจาก บาริค North Carolina ให้ ดร Shi
    และให้ทุนหลายประเทศทั่วทุกทวีปรวมประเทศไทย ในการเก็บรวบรวมไวรัสจากค้างคาว และสัตว์ป่า โดยประกาศบังหน้าว่าเพื่อให้ถอดรหัสพันธุกรรมว่ามีความโน้มเอียงที่จะเกิดการระบาดหรือไม่ (predict) รวมทั้งเพื่อการพัฒนาวัคซีน และการรับมือ (preparedness and response) ในชื่อรวม one health และหาไวัสทั้งโลก global virome project
    ทั้งนี้ทุนผ่านจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐ DARPA DTRA USAID CDC เป็นต้น และ มีองค์กรผ่านเงิน EcoHealth alliance peter Daszak ไปยังประเทศไทยและอื่นๆ

    รัฐบาลใหม่สหรัฐที่เข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม 2025 ไปแล้ว ทำตามที่ประกาศ และเริ่ม รื้อองค์กรเหล่านี้ และจัดการผู้ต้องรับผิดชอบ และรวมถึงการสมคบร่วมมือให้สินบนระหว่างบริษัทยายักษ์ใหญ่กับองค์กรรัฐ รวม NIH NIAID FDA CDC เป็นต้น สถาบันวิชาการ วารสาร การแพทย์ นักวิจัย เครือข่ายที่จัดการเซ็นเซอร์ข้อมูลที่เป็นจริงป้ายสีให้เป็นเท็จ เช่น ชัวร์ก่อนค่อยแชร์ fact check และเครือของสำนักข่าว และ ตระหนักถึงผลกระทบมหาศาลต่อชีวิตและความพิการเนื่องจากวัคซีน ที่ไม่ได้มีประสิทธิภาพจริง อย่างที่ประกาศและไม่ได้ปลอดภัยจริง

    หน่วยงาน ในประเทศไทยทั้งหมด ที่ยังคงหาไวรัสจากค้างคาวและสัตว์ป่า จนถึง ปัจจุบัน 2025 ต้องยุติกิจกรรมดังกล่าวโดย สิ้นเชิง ไม่ว่าเงินทุนจากต่างประเทศจะมากมายเพียงใดก็ตามหรือจะให้ประเทศไทยเป็นอู่ฮั่นสอง
    และ จนกระทั่งถึงปัจจุบัน ยังมีการตั้งบุคคลต่างชาติ ที่มีการเปิดเผยว่ามีส่วนในการร่วมมือตัดต่อพันธุกรรมและกำเนิดโควิด ฝังตัวทำงานอยู่ในหน่วยงานองค์กรที่สำคัญของประเทศไทย

    ศูนย์ วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ สภากาชาดไทย ยุติการศึกษาวิจัยและยุติความร่วมมือกับองค์กรต่างประเทศ

    ศูนย์ซึ่งเป็นศูนย์ความร่วมมือองค์การอนามัยโลกด้านค้นคว้าอบรมไวรัสสัตว์สู่คน ด้วยได้ทำการค้นหาไวรัสในค้างคาว ตั้งแต่ปี 2000 จาก องค์กรให้ทุนประเทศไทย คือ สกว แลเ สวทช และตั้งแต่ปี 2011 ได้รับทุนจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐและหน่วยงานของเพนตากอน
    ศูนย์ได้ประกาศยุติการทำงานดังกล่าวดังกล่าวเริ่มตั้งแต่ปี 2018 และเด็ดขาดในปี 2020 โดยแจ้งให้หน่วยงานสหรัฐรวมกระทั่งถึงองค์กรระหว่างประเทศทั้งหมดตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา ทั้งนี้เนื่องจากประเมินอันตรายที่ร้ายแรงอันอาจจะเกิดขึ้น ตั้งแต่การลงพื้นที่จนกระทั่งถึงในห้องปฏิบัติการและนำมาสู่การติดเชื้อในมนุษย์และแพร่ไปยังชุมชนจนเป็นโรคระบาดทั่วประเทศ ประกอบกับเงื่อนงำของการเกิดโควิด
    อีกประการที่สำคัญก็คือในปี 2018 ก่อนเกิดโควิด และ 2019 เรื่อยมาจนถึง ตุลาคม2020 มีการประชุมจัดโดยองค์กร EcoHealth alliance และให้ศูนย์เป็นหน่วยงานของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ EID SE Asia research collaboration hub (EID Search) ภายใต้ สถาบันสหรัฐ NIAID และ EcoHealth alliance ชื่อว่า CREID (Centre for Research in EID) ในการรวบรวมไวรัสจากค้างคาวและสัตว์ป่าโดยเฉพาะไวรัสในตระกูลโควิด ไวรัสในตระกูลอีโบล่าและไวรัสในตระกูลนิปาห์ สมองอักเสบและปอดบวมและอื่นๆจาก ไทย ลาว มาเลเซีย ซาราวัค เป็นต้น โดยให้มีการส่งตัวอย่างไปยังต่างประเทศและระบุว่าจะมีการตัดต่อพันธุกรรมเพื่อให้เข้ามนุษย์และก่อโรคได้จากหลอดทดลองและสัตว์ทดลองที่ปรับแต่งพันธุกรรมเหมือนมนุษย์ และมีรายละเอียดความสำเร็จของการสร้างไวรัสตัวใหม่ที่สามารถเข้ามามนุษย์ได้ดีขึ้นและก่อโรคได้แล้ว และเป็นที่มาที่ศูนย์ยุติความร่วมมืออย่างสิ้นเชิง
    ไวรัสที่จะนำมาทดลองปรับแต่งนอกจากจะทำให้เข้ามามนุษย์และเกิดโรคแล้ว ประการสำคัญก็คือทำให้สามารถติดต่อจากคนสู่คนได้ และเป็นที่น่าสังเกตไวรัสหลายตัวนั้นสามารถแพร่ทางอากาศได้ รายละเอียดเหล่านี้ปรากฏขึ้นก่อนการระบาดของโควิดในปลายปี 2019

    เหตุการณ์และหลักฐาน ยังปรากฏ ในบทความหนังสือพิมพ์ วอชิงตันโพสต์ โดยนักข่าว สืบสวน David Willman (investigative journalist รางวัลพูลิตเซอร์ ) ในวันที่ 10 เมษายน 2023 เป็นการรวบรวมข้อมูลจากหลายหน่วยงาน หลายประเทศ รวมทั้งจากศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคโรคอุบัติใหม่ ที่ยุติการรวบรวมตัวอย่างจากสัตว์ป่าและค้างคาว ถือว่าการหาเชื้อในคนถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุดมากกว่าการหาไวรัสที่ไม่รู้จัก ที่จะมาคาดคะเนว่าจะเข้ามามนุษย์และจะเกิดโรคระบาดหรือไม่ รวมทั้งมีความเสี่ยงอันตรายสูงสุดในการนำเชื้อจากสัตว์เข้ามามนุษย์ ในขั้นตอนต่างๆ ตั้งแต่การลงพื้นที่เก็บตัวอย่าง การขนส่งตัวอย่าง และการปฎิบัติในห้องแลป รวมทั้งโอกาสที่จะได้รับไวรัสทั้งๆที่อุปกรณ์ป้องกันตัวอาจไม่ครบถ้วนและในประวัติที่ผ่านมา มีเจ้าหน้าที่ทั้งห้องปฏิบัติการของศูนย์และของหน่วยงานสัตว์ป่าถูกค้างคาวกัด

    จากการประกาศจุดยืนชัดเจน และยุติกิจกรรม
    ใน วันที่ 22 กรกฎาคม 2023 หน่วยงานอิสระของรัฐบาลสหรัฐ U.S. government accountability office (GAO) ที่ไม่ขึ้นกับพรรคการเมืองใดๆ และทำหน้าที่ ในการตรวจสอบ การทำงานของหน่วยงานของสหรัฐในเรื่องการใช้งบประมาณรวมทั้งงบที่ให้ต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาหาไวรัสจากสัตว์ป่าและค้างคาวได้ติดต่อ ศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ และศาสตราจารย์นายแพทย์ธีระวัฒน์ ในฐานะ program leader ที่ได้ทุนจาก สหรัฐ และ เพนตากอนในประเด็นว่าได้ประโยชน์หรือไม่ในการคาดคะเนว่าจะเกิดโรคอุบัติใหม่ ได้ประโยชน์หรือไม่ในการพัฒนาการเตรียมพร้อมและรับมือสำหรับโรคอุบัติใหม่ รวมถึงมีการการถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีหรือไม่ มีความเสี่ยงหรือไม่ในการค้นหาไวรัสจากสัตว์ป่าดังกล่าวในการที่จะได้รับเชื้อเข้ามาในมนุษย์ เข้ามาในห้องปฏิบัติการและกระจายออกสู่ชุมชนหรือไม่ และมีความพร้อมเพียงใดในการป้องกันทางชีวภาพในระดับบุคคลและห้องปฏิบัติการและการบริหารเมื่อเกิดมีบุคลากรเกิดความผิดปกติเกิดขึ้นหรือไม่

    ทางศูนย์ สามารถสรุปได้ว่าการค้นหาไวรัสใหม่นั้นไม่เกิดประโยชน์ในการคาดคะเนการเกิดโรคอุบัติใหม่และไม่ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีและความรู้รวมทั้งเปิดเผยความเสี่ยงสูงสุดในขั้นตอนต่างๆในการปฏิบัติ และมาตรการในการรับมือกับการหลุดเล็ดรอดของเชื้อจะเป็นด้วยความยากมากในสถานภาพปัจจุบัน และ เป็นเหตุผลสำคัญ ในการต้องทำหลายตัวอย่างไวรัสทั้งหมด
    นอกจากนั้นข้อที่ต้องปฏิบัติ ตามพระราชบัญญัติเชื้อโรคและพิษจากสัตว์ ปี 2558 กรณีที่เกิดความเสียหายเกิดขึ้น นั่นก็คือ การรั่วไหลจากห้องปฏิบัติการหรือจากห้องเก็บตัวอย่างและเกิดความเสียหายมีการติดเชื้อ ผู้รับผิดชอบซึ่งก็คือผู้รับผิดชอบโครงการหรือหัวหน้าศูนย์จะต้องได้รับโทษตามหมวดเก้าและหมวด 10 ของพระราชบัญญัติตามประกาศในราชกิจจานุเบกษา โดยมีตั้งแต่ การจำคุก สองปีถึง 10 ปีและปรับ จากหลักแสนเป็นหลักหลายล้าน หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามลักษณะของความเสียหายที่เกิดขึ้น

    • หน่วยงานในประเทศไทย คณะแพทย์ศาสตร์จุฬาหน่วยงานกาชาดรวมทั้งมหาวิทยาลัยอื่น ยังได้รับทุนต่อเนื่องตั้งแต่ที่ศูนย์ยุติบทบาทและทำลายไวรัสทั้งหมด แม้กระทั่งในปัจจุบันเริ่มจากในปี 2024 มีการผ่านให้ทุนจาก CDC มาไทย หลายหน่วยงาน โดยยังมีการเก็บไวรัสจากค้างคาวโดยเน้น โคโรนา นิปาห์ อีโบลา และอ้างว่าจะไม่มีการส่งตัวอย่างออกนอกประเทศ แต่ทั้งนี้ด้วยการพัฒนาการสร้างไวรัสสามารถทำได้โดยเลือกไวรัสที่มีรหัสพันธุกรรมตรงกับแบบที่มีในดาต้าเบสและทำการตัดต่อได้ให้ห้องทดลอง ดังที่ประสบความสำเร็จในการสร้างไวรัสโควิด มาแล้ว

    ที่หาย ไปจากห้องชีวะนิรภัยระดับสี่ของออสเตรเลียนั้น อาจไม่ต้องตกใจมากเท่ากับ สิ่งที่ยังทำในประเทศไทยที่มีความเสี่ยงในการติดเชื้อกันเองระหว่างปฏิบัติการแพร่ไปให้ครอบครัวและชุมชนและต่อเนื่องไประดับประเทศและระดับโลก.

    ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
    ประธาน
    ศูนย์ความเป็นเลิศ ด้านการแพทย์บูรณาการและสาธารณสุข
    และ
    ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก
    มหาวิทยาลัยรังสิต

    เพิ่มเติม
    ประชาชาติธุรกิจ
    30 ตค 2566
    เหตุผลที่ถูกสั่งสอบสวนเพราะยุติ การเอาไวรัสจากค้างคาวมาศึกษาและการทำลายตัวอย่าง
    ย้อนกลับไปที่หมอธีระวัฒน์เตือน
    https://www.prachachat.net/general/news-1426137
    จะยอมให้ประเทศไทยเป็นอู่ฮั่นสองหรือไม่? มหันตภัยเกิดจากการนำไวรัสจากค้างคาวและสัตว์ป่าออกมาและมีการตัดต่อพันธุกรรม การสืบสวนสอบสวนของ คณะกรรมาธิการ สภาคองเกรส สหรัฐ ซึ่งแถลงรายงานในวันที่ 5 ธันวาคม 2024 ได้สรุปถึงกำเนิดไวรัสโควิดเกิดจากมนุษย์ประดิษฐ์ จากข้อมูลตัวไวรัสเอง และ ที่เป็นไปไม่ได้จากธรรมชาติ ลักษณะการระบาด การไม่พบไวรัสโควิดในสัตว์ใด และสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้โดยไม่มีหลักฐานใดที่ชี้บ่งว่าเป็นวิวัฒนาการตามปกติของไวรัสในสัตว์สู่คน จุดรั่วระบาดที่ลามไปทั่วโลกนั้นไม่ได้เกิดที่ตลาดสดอู่ฮั่น แต่ ชี้บ่งไปที่ สถาบันวิจัยไวรัสอู๋ฮั่น (WIV) จากความบกพร่องของห้องชีวะนิรภัยระดับสี่ นอกจากนั้นเป็นความร่วมมือขององค์กรสหรัฐ ฟาวซี และพวก ทั้งนี้ องค์กร พื้นฐานคือ เกตส์ gates foundation ในการ พัฒนาการสร้างไวรัสใหม่ที่ร้ายแรงกว่าเก่า ติดง่ายขึ้น แพร่ง่ายขึ้น ป่วยและตายมากขึ้น จนถึงติดคนสู่คนและให้แพร่ทางอากาศได้ โดยความรู้ในการสร้างไวรัสโคโรนามาจาก บาริค North Carolina ให้ ดร Shi และให้ทุนหลายประเทศทั่วทุกทวีปรวมประเทศไทย ในการเก็บรวบรวมไวรัสจากค้างคาว และสัตว์ป่า โดยประกาศบังหน้าว่าเพื่อให้ถอดรหัสพันธุกรรมว่ามีความโน้มเอียงที่จะเกิดการระบาดหรือไม่ (predict) รวมทั้งเพื่อการพัฒนาวัคซีน และการรับมือ (preparedness and response) ในชื่อรวม one health และหาไวัสทั้งโลก global virome project ทั้งนี้ทุนผ่านจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐ DARPA DTRA USAID CDC เป็นต้น และ มีองค์กรผ่านเงิน EcoHealth alliance peter Daszak ไปยังประเทศไทยและอื่นๆ รัฐบาลใหม่สหรัฐที่เข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม 2025 ไปแล้ว ทำตามที่ประกาศ และเริ่ม รื้อองค์กรเหล่านี้ และจัดการผู้ต้องรับผิดชอบ และรวมถึงการสมคบร่วมมือให้สินบนระหว่างบริษัทยายักษ์ใหญ่กับองค์กรรัฐ รวม NIH NIAID FDA CDC เป็นต้น สถาบันวิชาการ วารสาร การแพทย์ นักวิจัย เครือข่ายที่จัดการเซ็นเซอร์ข้อมูลที่เป็นจริงป้ายสีให้เป็นเท็จ เช่น ชัวร์ก่อนค่อยแชร์ fact check และเครือของสำนักข่าว และ ตระหนักถึงผลกระทบมหาศาลต่อชีวิตและความพิการเนื่องจากวัคซีน ที่ไม่ได้มีประสิทธิภาพจริง อย่างที่ประกาศและไม่ได้ปลอดภัยจริง หน่วยงาน ในประเทศไทยทั้งหมด ที่ยังคงหาไวรัสจากค้างคาวและสัตว์ป่า จนถึง ปัจจุบัน 2025 ต้องยุติกิจกรรมดังกล่าวโดย สิ้นเชิง ไม่ว่าเงินทุนจากต่างประเทศจะมากมายเพียงใดก็ตามหรือจะให้ประเทศไทยเป็นอู่ฮั่นสอง และ จนกระทั่งถึงปัจจุบัน ยังมีการตั้งบุคคลต่างชาติ ที่มีการเปิดเผยว่ามีส่วนในการร่วมมือตัดต่อพันธุกรรมและกำเนิดโควิด ฝังตัวทำงานอยู่ในหน่วยงานองค์กรที่สำคัญของประเทศไทย ศูนย์ วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ สภากาชาดไทย ยุติการศึกษาวิจัยและยุติความร่วมมือกับองค์กรต่างประเทศ ศูนย์ซึ่งเป็นศูนย์ความร่วมมือองค์การอนามัยโลกด้านค้นคว้าอบรมไวรัสสัตว์สู่คน ด้วยได้ทำการค้นหาไวรัสในค้างคาว ตั้งแต่ปี 2000 จาก องค์กรให้ทุนประเทศไทย คือ สกว แลเ สวทช และตั้งแต่ปี 2011 ได้รับทุนจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐและหน่วยงานของเพนตากอน ศูนย์ได้ประกาศยุติการทำงานดังกล่าวดังกล่าวเริ่มตั้งแต่ปี 2018 และเด็ดขาดในปี 2020 โดยแจ้งให้หน่วยงานสหรัฐรวมกระทั่งถึงองค์กรระหว่างประเทศทั้งหมดตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา ทั้งนี้เนื่องจากประเมินอันตรายที่ร้ายแรงอันอาจจะเกิดขึ้น ตั้งแต่การลงพื้นที่จนกระทั่งถึงในห้องปฏิบัติการและนำมาสู่การติดเชื้อในมนุษย์และแพร่ไปยังชุมชนจนเป็นโรคระบาดทั่วประเทศ ประกอบกับเงื่อนงำของการเกิดโควิด อีกประการที่สำคัญก็คือในปี 2018 ก่อนเกิดโควิด และ 2019 เรื่อยมาจนถึง ตุลาคม2020 มีการประชุมจัดโดยองค์กร EcoHealth alliance และให้ศูนย์เป็นหน่วยงานของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ EID SE Asia research collaboration hub (EID Search) ภายใต้ สถาบันสหรัฐ NIAID และ EcoHealth alliance ชื่อว่า CREID (Centre for Research in EID) ในการรวบรวมไวรัสจากค้างคาวและสัตว์ป่าโดยเฉพาะไวรัสในตระกูลโควิด ไวรัสในตระกูลอีโบล่าและไวรัสในตระกูลนิปาห์ สมองอักเสบและปอดบวมและอื่นๆจาก ไทย ลาว มาเลเซีย ซาราวัค เป็นต้น โดยให้มีการส่งตัวอย่างไปยังต่างประเทศและระบุว่าจะมีการตัดต่อพันธุกรรมเพื่อให้เข้ามนุษย์และก่อโรคได้จากหลอดทดลองและสัตว์ทดลองที่ปรับแต่งพันธุกรรมเหมือนมนุษย์ และมีรายละเอียดความสำเร็จของการสร้างไวรัสตัวใหม่ที่สามารถเข้ามามนุษย์ได้ดีขึ้นและก่อโรคได้แล้ว และเป็นที่มาที่ศูนย์ยุติความร่วมมืออย่างสิ้นเชิง ไวรัสที่จะนำมาทดลองปรับแต่งนอกจากจะทำให้เข้ามามนุษย์และเกิดโรคแล้ว ประการสำคัญก็คือทำให้สามารถติดต่อจากคนสู่คนได้ และเป็นที่น่าสังเกตไวรัสหลายตัวนั้นสามารถแพร่ทางอากาศได้ รายละเอียดเหล่านี้ปรากฏขึ้นก่อนการระบาดของโควิดในปลายปี 2019 เหตุการณ์และหลักฐาน ยังปรากฏ ในบทความหนังสือพิมพ์ วอชิงตันโพสต์ โดยนักข่าว สืบสวน David Willman (investigative journalist รางวัลพูลิตเซอร์ ) ในวันที่ 10 เมษายน 2023 เป็นการรวบรวมข้อมูลจากหลายหน่วยงาน หลายประเทศ รวมทั้งจากศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคโรคอุบัติใหม่ ที่ยุติการรวบรวมตัวอย่างจากสัตว์ป่าและค้างคาว ถือว่าการหาเชื้อในคนถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุดมากกว่าการหาไวรัสที่ไม่รู้จัก ที่จะมาคาดคะเนว่าจะเข้ามามนุษย์และจะเกิดโรคระบาดหรือไม่ รวมทั้งมีความเสี่ยงอันตรายสูงสุดในการนำเชื้อจากสัตว์เข้ามามนุษย์ ในขั้นตอนต่างๆ ตั้งแต่การลงพื้นที่เก็บตัวอย่าง การขนส่งตัวอย่าง และการปฎิบัติในห้องแลป รวมทั้งโอกาสที่จะได้รับไวรัสทั้งๆที่อุปกรณ์ป้องกันตัวอาจไม่ครบถ้วนและในประวัติที่ผ่านมา มีเจ้าหน้าที่ทั้งห้องปฏิบัติการของศูนย์และของหน่วยงานสัตว์ป่าถูกค้างคาวกัด จากการประกาศจุดยืนชัดเจน และยุติกิจกรรม ใน วันที่ 22 กรกฎาคม 2023 หน่วยงานอิสระของรัฐบาลสหรัฐ U.S. government accountability office (GAO) ที่ไม่ขึ้นกับพรรคการเมืองใดๆ และทำหน้าที่ ในการตรวจสอบ การทำงานของหน่วยงานของสหรัฐในเรื่องการใช้งบประมาณรวมทั้งงบที่ให้ต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาหาไวรัสจากสัตว์ป่าและค้างคาวได้ติดต่อ ศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ และศาสตราจารย์นายแพทย์ธีระวัฒน์ ในฐานะ program leader ที่ได้ทุนจาก สหรัฐ และ เพนตากอนในประเด็นว่าได้ประโยชน์หรือไม่ในการคาดคะเนว่าจะเกิดโรคอุบัติใหม่ ได้ประโยชน์หรือไม่ในการพัฒนาการเตรียมพร้อมและรับมือสำหรับโรคอุบัติใหม่ รวมถึงมีการการถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีหรือไม่ มีความเสี่ยงหรือไม่ในการค้นหาไวรัสจากสัตว์ป่าดังกล่าวในการที่จะได้รับเชื้อเข้ามาในมนุษย์ เข้ามาในห้องปฏิบัติการและกระจายออกสู่ชุมชนหรือไม่ และมีความพร้อมเพียงใดในการป้องกันทางชีวภาพในระดับบุคคลและห้องปฏิบัติการและการบริหารเมื่อเกิดมีบุคลากรเกิดความผิดปกติเกิดขึ้นหรือไม่ ทางศูนย์ สามารถสรุปได้ว่าการค้นหาไวรัสใหม่นั้นไม่เกิดประโยชน์ในการคาดคะเนการเกิดโรคอุบัติใหม่และไม่ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีและความรู้รวมทั้งเปิดเผยความเสี่ยงสูงสุดในขั้นตอนต่างๆในการปฏิบัติ และมาตรการในการรับมือกับการหลุดเล็ดรอดของเชื้อจะเป็นด้วยความยากมากในสถานภาพปัจจุบัน และ เป็นเหตุผลสำคัญ ในการต้องทำหลายตัวอย่างไวรัสทั้งหมด นอกจากนั้นข้อที่ต้องปฏิบัติ ตามพระราชบัญญัติเชื้อโรคและพิษจากสัตว์ ปี 2558 กรณีที่เกิดความเสียหายเกิดขึ้น นั่นก็คือ การรั่วไหลจากห้องปฏิบัติการหรือจากห้องเก็บตัวอย่างและเกิดความเสียหายมีการติดเชื้อ ผู้รับผิดชอบซึ่งก็คือผู้รับผิดชอบโครงการหรือหัวหน้าศูนย์จะต้องได้รับโทษตามหมวดเก้าและหมวด 10 ของพระราชบัญญัติตามประกาศในราชกิจจานุเบกษา โดยมีตั้งแต่ การจำคุก สองปีถึง 10 ปีและปรับ จากหลักแสนเป็นหลักหลายล้าน หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามลักษณะของความเสียหายที่เกิดขึ้น • หน่วยงานในประเทศไทย คณะแพทย์ศาสตร์จุฬาหน่วยงานกาชาดรวมทั้งมหาวิทยาลัยอื่น ยังได้รับทุนต่อเนื่องตั้งแต่ที่ศูนย์ยุติบทบาทและทำลายไวรัสทั้งหมด แม้กระทั่งในปัจจุบันเริ่มจากในปี 2024 มีการผ่านให้ทุนจาก CDC มาไทย หลายหน่วยงาน โดยยังมีการเก็บไวรัสจากค้างคาวโดยเน้น โคโรนา นิปาห์ อีโบลา และอ้างว่าจะไม่มีการส่งตัวอย่างออกนอกประเทศ แต่ทั้งนี้ด้วยการพัฒนาการสร้างไวรัสสามารถทำได้โดยเลือกไวรัสที่มีรหัสพันธุกรรมตรงกับแบบที่มีในดาต้าเบสและทำการตัดต่อได้ให้ห้องทดลอง ดังที่ประสบความสำเร็จในการสร้างไวรัสโควิด มาแล้ว ที่หาย ไปจากห้องชีวะนิรภัยระดับสี่ของออสเตรเลียนั้น อาจไม่ต้องตกใจมากเท่ากับ สิ่งที่ยังทำในประเทศไทยที่มีความเสี่ยงในการติดเชื้อกันเองระหว่างปฏิบัติการแพร่ไปให้ครอบครัวและชุมชนและต่อเนื่องไประดับประเทศและระดับโลก. ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ประธาน ศูนย์ความเป็นเลิศ ด้านการแพทย์บูรณาการและสาธารณสุข และ ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต เพิ่มเติม ประชาชาติธุรกิจ 30 ตค 2566 เหตุผลที่ถูกสั่งสอบสวนเพราะยุติ การเอาไวรัสจากค้างคาวมาศึกษาและการทำลายตัวอย่าง ย้อนกลับไปที่หมอธีระวัฒน์เตือน https://www.prachachat.net/general/news-1426137
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 199 มุมมอง 0 รีวิว
  • ขอชี้แจงเรื่องคุณพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค
    .
    ผมขอชี้แจงเรื่องที่ผมพูดไปใน "สนธิเล่าเรื่อง" เมื่อวันพุธที่ผ่านมา(12ก.พ.) ว่า คุณปอ ตนุภัทร หนึ่งในคนบนเรือ ได้มีการโทรศัพท์คุยกับคุณพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค นั้น ผมยืนยันว่าไม่ได้เป็นข้อมูลที่มาจาก DSI เลย และไม่มีทางที่ DSI จะส่งข้อมูลนี้มาให้ผม แต่ผมได้ข้อมูลและการวิเคราะห์จากแหล่งข่าวของผมเอง
    .
    ข้อแรก เมื่อคืนวันอังคารที่ 11 กุมภาพันธ์ 2568 คุณอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ จัดรายการ "โคนันเมืองไทย" แล้วใบ้คำถึงคนบนเรือ โทรคุยกับนักการเมืองคนหนึ่ง แล้วใบ้คำว่าหนึ่ง เป็นรัฐมนตรีในชุดที่แล้วและรัฐมนตรีชุดนี้ สอง เป็นหัวหน้าพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง สาม เป็นคนดูแลกระทรวงสำคัญ และสี่ เป็นผู้ที่จบและมีความเชี่ยวชาญทางด้านกฎหมาย ผมเห็นข้อมูลแล้ววิเคราะห์ได้ว่าน่าจะหมายถึงคุณพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค และไม่ใช่ผมคนเดียว เพราะคอมเมนต์ในคลิปคุณอัจฉริยะ ก็มีคนคิดแบบผมพิมพ์เข้ามาเยอะมาก ในที่สุดผมก็เลยต้องให้ทีมงานไปค้นรูปเก่าๆ ความสัมพันธ์ระหว่างคุณพีระพันธุ์ กับคนบนเรือ ว่ามีหรือเปล่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณปอ ซึ่งเป็นคนค้าขายเรือและรถหรู น่าจะรู้จักนักการเมืองเยอะ ผมก็เลยเจอรูปจริงๆ ผมเลยเชื่อว่าคุณปอ จะต้องโทรหาคุณพีระพันธุ์
    .
    ประกอบกับผมมีพยานกลับใจคนหนึ่งมาบอกว่า คุณปอ โทรหาคุณพีระพันธุ์ และมีการพูดคุยกันจริง แล้วผมก็วิเคราะห์และเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง แต่จะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ผมยืนยันข้อเท็จจริงไม่ได้ นอกจากสื่อมวลชนและ DSI ต้องไปสอบคุณพีระพันธุ์ เอาเอง ผมแค่ยืนยันอีกครั้งว่าผมไม่ได้รับข้อมูลจากที่ไหนเลย แต่ได้มาจากแหล่งข่าวและการวิเคราะห์ของผมเอง
    .
    และผมก็ได้ข่าวว่า คุณปอเรียกคุณพีระพันธุ์ว่า "อาตุ๋ย" ทุกคำ เพราะช่วงก่อนเลือกตั้งปี 2566 นายปอ เข้าไปที่พรรครวมไทยสร้างชาติ มานำเสนอโปรแกรมระบบไอที ตอนนั้นในพรรคก็ต่อต้าน เพราะกลัวนายปอ จะแย่งงาน แสดงว่านายปอ กับคุณพีระพันธุ์ รู้จักและสนิทสนมกันในระดับหนึ่ง ส่วนจะโทรและคุยกันเรื่องอะไร ไม่ทราบ เพียงแต่ว่าในวันที่โทรนั้นเป็นวันรุ่งขึ้นหลังจากที่พบว่าแตงโม ได้เสียชีวิตไปแล้ว ให้ผมเดา ผมไม่กล้าเดา ก็เป็นไปได้ว่าจะโทรไปปรึกษาหารือเรื่องคดีความ แต่จะเป็นอะไรนั้น ผมไม่รู้จริงๆ เอาเป็นว่า ข้อแรก ความจริงก็คือว่า ทั้งคุณพีระพันธุ์ และคุณปอ รู้จักกันดี ถ้าไม่รู้จักกันดีจะเรียกว่า อาตุ๋ย ได้อย่างไร และสอง ได้มีการโทรไปจริง นี่ผมวิเคราะห์จากสิ่งแวดล้อมแล้ว
    ขอชี้แจงเรื่องคุณพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค . ผมขอชี้แจงเรื่องที่ผมพูดไปใน "สนธิเล่าเรื่อง" เมื่อวันพุธที่ผ่านมา(12ก.พ.) ว่า คุณปอ ตนุภัทร หนึ่งในคนบนเรือ ได้มีการโทรศัพท์คุยกับคุณพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค นั้น ผมยืนยันว่าไม่ได้เป็นข้อมูลที่มาจาก DSI เลย และไม่มีทางที่ DSI จะส่งข้อมูลนี้มาให้ผม แต่ผมได้ข้อมูลและการวิเคราะห์จากแหล่งข่าวของผมเอง . ข้อแรก เมื่อคืนวันอังคารที่ 11 กุมภาพันธ์ 2568 คุณอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ จัดรายการ "โคนันเมืองไทย" แล้วใบ้คำถึงคนบนเรือ โทรคุยกับนักการเมืองคนหนึ่ง แล้วใบ้คำว่าหนึ่ง เป็นรัฐมนตรีในชุดที่แล้วและรัฐมนตรีชุดนี้ สอง เป็นหัวหน้าพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง สาม เป็นคนดูแลกระทรวงสำคัญ และสี่ เป็นผู้ที่จบและมีความเชี่ยวชาญทางด้านกฎหมาย ผมเห็นข้อมูลแล้ววิเคราะห์ได้ว่าน่าจะหมายถึงคุณพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค และไม่ใช่ผมคนเดียว เพราะคอมเมนต์ในคลิปคุณอัจฉริยะ ก็มีคนคิดแบบผมพิมพ์เข้ามาเยอะมาก ในที่สุดผมก็เลยต้องให้ทีมงานไปค้นรูปเก่าๆ ความสัมพันธ์ระหว่างคุณพีระพันธุ์ กับคนบนเรือ ว่ามีหรือเปล่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณปอ ซึ่งเป็นคนค้าขายเรือและรถหรู น่าจะรู้จักนักการเมืองเยอะ ผมก็เลยเจอรูปจริงๆ ผมเลยเชื่อว่าคุณปอ จะต้องโทรหาคุณพีระพันธุ์ . ประกอบกับผมมีพยานกลับใจคนหนึ่งมาบอกว่า คุณปอ โทรหาคุณพีระพันธุ์ และมีการพูดคุยกันจริง แล้วผมก็วิเคราะห์และเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง แต่จะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ผมยืนยันข้อเท็จจริงไม่ได้ นอกจากสื่อมวลชนและ DSI ต้องไปสอบคุณพีระพันธุ์ เอาเอง ผมแค่ยืนยันอีกครั้งว่าผมไม่ได้รับข้อมูลจากที่ไหนเลย แต่ได้มาจากแหล่งข่าวและการวิเคราะห์ของผมเอง . และผมก็ได้ข่าวว่า คุณปอเรียกคุณพีระพันธุ์ว่า "อาตุ๋ย" ทุกคำ เพราะช่วงก่อนเลือกตั้งปี 2566 นายปอ เข้าไปที่พรรครวมไทยสร้างชาติ มานำเสนอโปรแกรมระบบไอที ตอนนั้นในพรรคก็ต่อต้าน เพราะกลัวนายปอ จะแย่งงาน แสดงว่านายปอ กับคุณพีระพันธุ์ รู้จักและสนิทสนมกันในระดับหนึ่ง ส่วนจะโทรและคุยกันเรื่องอะไร ไม่ทราบ เพียงแต่ว่าในวันที่โทรนั้นเป็นวันรุ่งขึ้นหลังจากที่พบว่าแตงโม ได้เสียชีวิตไปแล้ว ให้ผมเดา ผมไม่กล้าเดา ก็เป็นไปได้ว่าจะโทรไปปรึกษาหารือเรื่องคดีความ แต่จะเป็นอะไรนั้น ผมไม่รู้จริงๆ เอาเป็นว่า ข้อแรก ความจริงก็คือว่า ทั้งคุณพีระพันธุ์ และคุณปอ รู้จักกันดี ถ้าไม่รู้จักกันดีจะเรียกว่า อาตุ๋ย ได้อย่างไร และสอง ได้มีการโทรไปจริง นี่ผมวิเคราะห์จากสิ่งแวดล้อมแล้ว
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 116 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts