• ทูตสหรัฐฯ ชี้ปัญหา 'ช้างในห้อง' ของการเจรจาสันติภาพคือการยกดินแดนยูเครนให้รัสเซีย

    ทูตพิเศษสหรัฐฯ Steve Witkoff เผยว่าอุปสรรคใหญ่สุดในการแก้ไขสงครามยูเครนคือสถานะของไครเมียและสี่ภูมิภาคที่รัสเซียยึดครอง โดยเรียกประเด็นนี้ว่า "ช้างในห้อง" ของการเจรจาสันติภาพ

    ในการให้สัมภาษณ์กับ Tucker Carlson Witkoff อ้างว่าการลงประชามติในภูมิภาค Donetsk, Luhansk, Zaporizhzhia และ Kherson แสดงว่าประชาชนต้องการอยู่ภายใต้รัสเซีย

    "รัสเซียควบคุมดินแดนเหล่านี้อยู่แล้วตามข้อเท็จจริง คำถามคือ
    โลกจะยอมรับหรือไม่ว่านั่นเป็นดินแดนรัสเซีย?
    Zelensky จะอยู่รอดทางการเมืองหรือไม่ถ้ายอมรับ?
    นี่คือประเด็นสำคัญในความขัดแย้ง" Witkoff กล่าว

    ขณะที่ Zelensky ยืนยันว่า "เราไม่ยอมรับดินแดนยูเครนที่ถูกยึดครองเป็นของรัสเซีย"

    ทูตพิเศษยังเปิดเผยว่า Vladimir Putin สั่งวาดภาพเหมือนอันงดงามของประธานาธิบดี Donald Trump โดยศิลปินชั้นนำของรัสเซีย ซึ่ง Witkoff นำกลับไปให้ประธานาธิบดี และเล่าว่า Putin ยังสวดมนต์เพื่อ Trump หลังถูกลอบสังหาร
    "ไม่ใช่เพราะเขา...อาจกลายเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ แต่เพราะ พวกเขาเป็นเพื่อนกัน" ซึ่ง Trump ก็ "ซาบซึ้งใจอย่างชัดเจน" กับการแสดงออกของ Putin

    Witkoff ประทับใจในความ "สุภาพ" และ "สติปัญญา" ของ Putin
    โดยเสริมว่าการแก้ไขสงครามอาจนำไปสู่ความร่วมมือทั้งด้านพลังงานในอาร์กติก การแบ่งปันเส้นทางทะเล และการส่งก๊าซธรรมชาติเหลวเข้ายุโรปร่วมกัน
    ทูตสหรัฐฯ ชี้ปัญหา 'ช้างในห้อง' ของการเจรจาสันติภาพคือการยกดินแดนยูเครนให้รัสเซีย ทูตพิเศษสหรัฐฯ Steve Witkoff เผยว่าอุปสรรคใหญ่สุดในการแก้ไขสงครามยูเครนคือสถานะของไครเมียและสี่ภูมิภาคที่รัสเซียยึดครอง โดยเรียกประเด็นนี้ว่า "ช้างในห้อง" ของการเจรจาสันติภาพ ในการให้สัมภาษณ์กับ Tucker Carlson Witkoff อ้างว่าการลงประชามติในภูมิภาค Donetsk, Luhansk, Zaporizhzhia และ Kherson แสดงว่าประชาชนต้องการอยู่ภายใต้รัสเซีย "รัสเซียควบคุมดินแดนเหล่านี้อยู่แล้วตามข้อเท็จจริง คำถามคือ โลกจะยอมรับหรือไม่ว่านั่นเป็นดินแดนรัสเซีย? Zelensky จะอยู่รอดทางการเมืองหรือไม่ถ้ายอมรับ? นี่คือประเด็นสำคัญในความขัดแย้ง" Witkoff กล่าว ขณะที่ Zelensky ยืนยันว่า "เราไม่ยอมรับดินแดนยูเครนที่ถูกยึดครองเป็นของรัสเซีย" ทูตพิเศษยังเปิดเผยว่า Vladimir Putin สั่งวาดภาพเหมือนอันงดงามของประธานาธิบดี Donald Trump โดยศิลปินชั้นนำของรัสเซีย ซึ่ง Witkoff นำกลับไปให้ประธานาธิบดี และเล่าว่า Putin ยังสวดมนต์เพื่อ Trump หลังถูกลอบสังหาร "ไม่ใช่เพราะเขา...อาจกลายเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ แต่เพราะ พวกเขาเป็นเพื่อนกัน" ซึ่ง Trump ก็ "ซาบซึ้งใจอย่างชัดเจน" กับการแสดงออกของ Putin Witkoff ประทับใจในความ "สุภาพ" และ "สติปัญญา" ของ Putin โดยเสริมว่าการแก้ไขสงครามอาจนำไปสู่ความร่วมมือทั้งด้านพลังงานในอาร์กติก การแบ่งปันเส้นทางทะเล และการส่งก๊าซธรรมชาติเหลวเข้ายุโรปร่วมกัน
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 73 มุมมอง 0 รีวิว
  • 199 ปี ทัพลาวพ่าย ถอยร่นจากโคราช ย่าโมตั้งการ์ดสู้ เจ้าอนุวงศ์เผ่นกระเจิง

    ย้อนรอยศึกสำคัญแห่งประวัติศาสตร์ไทย-ลาว กับเรื่องราววีรกรรมของท้าวสุรนารี และบทสรุปของการปะทะ ที่ยังคงถกเถียงถึงทุกวันนี้ ⚔️

    📝 ย้อนไปเมื่อ 199 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2369 เหตุการณ์ "สงครามปราบเจ้าอนุวงศ์" หรือที่รู้จักกันว่า "วีรกรรมทุ่งสัมฤทธิ์" นำโดย "ท้าวสุรนารี" หรือ "คุณหญิงโม" วีรสตรีแห่งเมืองโคราช ที่ถูกยกย่องให้เป็นสัญลักษณ์ของความกล้าหาญ และการเสียสละของหญิงไทย ในการปกป้องบ้านเมืองจากการรุกรานของกองทัพเวียงจันทน์ ภายใต้การนำของเจ้าอนุวงศ์ พระมหากษัตริย์นครเวียงจันทน์องค์สุดท้าย

    📜 แต่เบื้องหลังเรื่องเล่าแห่งวีรกรรมครั้งนี้ ยังมีหลายแง่มุมที่ซับซ้อน ทั้งในมิติประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และการเมือง ทั้งในสายตาของไทยและลาว

    🌾 บริบททางประวัติศาสตร์ ชนวนเหตุความขัดแย้ง สถานการณ์บ้านเมืองก่อนสงคราม ช่วงปลายรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ราชอาณาจักรสยาม กำลังเผชิญปัญหาภายในหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นความไม่สงบ ในหัวเมืองทางเหนือและอีสาน รวมถึงภัยคุกคามจากจักรวรรดิอังกฤษ ที่กำลังแผ่อิทธิพลเข้ามา ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

    ในปี พ.ศ. 2367 รัชกาลที่ 2 สวรรคต กองทัพและระบบการปกครองสยาม กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านอำนาจ ไปสู่รัชสมัยของรัชกาลที่ 3 เจ้าอนุวงศ์ ซึ่งเคยมีความสัมพันธ์อันดี ในฐานะประเทศราช กลับรู้สึกไม่พอใจ ที่คำขอส่งตัวชาวลาวและเชลยศึก ที่ถูกกวาดต้อนในอดีตไม่เป็นผล จึงมองเห็นโอกาส ในการกอบกู้เอกราชของนครเวียงจันทน์

    เป้าหมายของเจ้าอนุวงศ์ มีพระราชปณิธานแน่วแน่ ที่จะปลดปล่อยนครเวียงจันทน์ จากการเป็นประเทศราชของสยาม โดยเชื่อว่าช่วงเปลี่ยนผ่านรัชสมัยนี้ สยามจะอ่อนแอลง นำมาสู่แผนการยกทัพมาตีเมืองนครราชสีมา และกรุงเทพมหานครในที่สุด 🚩

    ⚔️ ศึกทุ่งสัมฤทธิ์ บทบาทของท้าวสุรนารี กองทัพลาวยึดเมืองนครราชสีมา วันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2369 เจ้าอนุวงศ์ยกทัพเข้ายึดเมืองนครราชสีมาโดยง่าย เนื่องจากพระยาปลัดทองคำ ผู้รักษาเมืองไม่อยู่ ชาวเมืองถูกกวาดต้อนเป็นเชลย รวมถึงคุณหญิงโม และราชบริพาร ถูกนำไปยังเวียงจันทน์ ผ่านเส้นทางเมืองพิมาย

    แผนปลดแอกของคุณหญิงโม วันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2369 ระหว่างการเดินทาง คุณหญิงโมร่วมมือกับนางสาวบุญเหลือ และชาวบ้านคิดแผนปลดแอก โดยหลอกล่อให้ทหารลาวประมาท จนในคืนวันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2369 ที่ทุ่งสัมฤทธิ์ แขวงพิมาย ชาวนครราชสีมาร่วมกันลุกฮือยึดอาวุธ ทำให้กองทัพลาวแตกพ่าย

    🔥 จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้น เมื่อนางสาวบุญเหลือ จุดไฟเผากองเกวียนที่บรรทุกดินปืน ส่งผลให้เกิดระเบิดครั้งใหญ่ ทำให้เพี้ยรามพิชัยและทหารลาว เสียชีวิตจำนวนมาก สถานที่นี้จึงถูกเรียกว่า "หนองหัวลาว" จวบจนปัจจุบัน

    🏹 เจ้าอนุวงศ์ถอยทัพ ผลกระทบในระดับภูมิภาค การถอยร่นของเจ้าอนุวงศ์ เมื่อกองทัพจากกรุงเทพฯ นำโดย กรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพย์ เดินทัพถึงนครราชสีมา เจ้าอนุวงศ์จึงตัดสินใจ ถอนกำลังกลับนครเวียงจันทน์ ในวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2369 เพราะเกรงว่าศึกนี้จะยืดเยื้อ จนไม่สามารถรับมือกับกองทัพสยาม ที่กำลังมุ่งหน้ามา

    ผลลัพธ์ของสงคราม ภายหลังการถอยทัพ เจ้าอนุวงศ์และราชวงศ์เวียงจันทน์ ไม่สามารถตั้งตัวรับมือศึกได้ กองทัพสยามตีเวียงจันทน์แตก และอัญเชิญพระพุทธรูปสำคัญ อาทิ พระบาง, พระแซกคำ, พระสุก, พระใส มายังกรุงเทพฯ 🏯

    นครเวียงจันทน์สิ้นสุดความเป็นอิสระ และถูกลดฐานะ เป็นหัวเมืองประเทศราชของสยาม

    🌸 ยกย่องวีรกรรมของท้าวสุรนารี ท้าวสุรนารีได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้าฯ ให้คุณหญิงโมเป็นท้าวสุรนารี เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2370 พร้อมพระราชทานเครื่องยศทองคำ 👑 ได้รับการยกย่องให้เป็นวีรสตรีปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน

    สร้างอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี ในปี พ.ศ. 2477 ชาวนครราชสีมาได้ร่วมใจกันสร้าง อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี ที่ประตูชุมพล พร้อมนำอัฐิประดิษฐาน ที่ฐานอนุสาวรีย์ อนุสาวรีย์นี้กลายเป็นศูนย์รวมจิตใจ ของคนโคราชจนถึงปัจจุบัน

    📚 ประเด็นข้อถกเถียงทางประวัติศาสตร์ มุมมองของนักประวัติศาสตร์ แม้ตำนานท้าวสุรนารี จะเป็นที่ยอมรับในไทย แต่เอกสารลาว กลับไม่มีบันทึกเรื่องทุ่งสัมฤทธิ์ หรือการกระทำของท้าวสุรนารี กับนางสาวบุญเหลือ ก่อนปี พ.ศ. 2475 นักวิชาการบางคนตั้งข้อสงสัยว่า วีรกรรมนี้อาจเกิดขึ้นจริง แต่ถูกขยายความ เพื่อประโยชน์ทางการเมืองในภายหลัง

    วีรกรรมหรือภาพสร้าง? หนังสือการเมืองในอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี โดย "สายพิน แก้วงามประเสริฐ" ได้ตั้งคำถาม ต่อบทบาทของท้าวสุรนารี ว่าถูกนำมาใช้เพื่อส่งเสริมอัตลักษณ์ชาติ และการเมืองในยุคสมัยหนึ่ง 🎭

    แต่ไม่ว่าอย่างไร ท้าวสุรนารีก็ยังคงเป็นสัญลักษณ์ของความกล้าหาญ และการเสียสละ

    🔮 เจ้าอนุวงศ์ในสายตาประวัติศาสตร์ลาว ในสายตาชาวลาว "เจ้าอนุวงศ์" ถือเป็นมหาวีรกษัตริย์ ผู้พยายามกอบกู้เอกราชจากสยาม แม้จะพ่ายแพ้ แต่พระองค์ยังได้รับการยกย่อง ในฐานะนักสู้เพื่อเสรีภาพของลาว 🇱🇦

    ทว่าการมองต่างมุมของทั้งสองฝ่าย แสดงถึงความซับซ้อนของประวัติศาสตร์ ที่ถูกเล่าและจดจำแตกต่างกัน

    🏛️ เหตุการณ์ในปี พ.ศ. 2369 ไม่ใช่เพียงแค่สงครามแย่งชิงอำนาจ แต่สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ของภูมิภาคอีสานและลุ่มแม่น้ำโขง ประวัติศาสตร์ที่ซับซ้อนนี้สอนให้เราเข้าใจว่า "ผู้ชนะ" ไม่ได้เป็นเพียงคนที่รอด แต่เป็นผู้ที่เขียนเรื่องเล่า ในประวัติศาสตร์ด้วย

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 231634 มี.ค. 2568

    📱 #ท้าวสุรนารี #ย่าโมโคราช #วีรกรรมทุ่งสัมฤทธิ์ #ประวัติศาสตร์ไทย #เจ้าอนุวงศ์ #สงครามไทยลาว #โคราชต้องรู้ #อนุสาวรีย์ย่าโม #เล่าเรื่องประวัติศาสตร์ #199ปีทุ่งสัมฤทธิ์
    199 ปี ทัพลาวพ่าย ถอยร่นจากโคราช ย่าโมตั้งการ์ดสู้ เจ้าอนุวงศ์เผ่นกระเจิง ย้อนรอยศึกสำคัญแห่งประวัติศาสตร์ไทย-ลาว กับเรื่องราววีรกรรมของท้าวสุรนารี และบทสรุปของการปะทะ ที่ยังคงถกเถียงถึงทุกวันนี้ ⚔️ 📝 ย้อนไปเมื่อ 199 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2369 เหตุการณ์ "สงครามปราบเจ้าอนุวงศ์" หรือที่รู้จักกันว่า "วีรกรรมทุ่งสัมฤทธิ์" นำโดย "ท้าวสุรนารี" หรือ "คุณหญิงโม" วีรสตรีแห่งเมืองโคราช ที่ถูกยกย่องให้เป็นสัญลักษณ์ของความกล้าหาญ และการเสียสละของหญิงไทย ในการปกป้องบ้านเมืองจากการรุกรานของกองทัพเวียงจันทน์ ภายใต้การนำของเจ้าอนุวงศ์ พระมหากษัตริย์นครเวียงจันทน์องค์สุดท้าย 📜 แต่เบื้องหลังเรื่องเล่าแห่งวีรกรรมครั้งนี้ ยังมีหลายแง่มุมที่ซับซ้อน ทั้งในมิติประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และการเมือง ทั้งในสายตาของไทยและลาว 🌾 บริบททางประวัติศาสตร์ ชนวนเหตุความขัดแย้ง สถานการณ์บ้านเมืองก่อนสงคราม ช่วงปลายรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ราชอาณาจักรสยาม กำลังเผชิญปัญหาภายในหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นความไม่สงบ ในหัวเมืองทางเหนือและอีสาน รวมถึงภัยคุกคามจากจักรวรรดิอังกฤษ ที่กำลังแผ่อิทธิพลเข้ามา ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในปี พ.ศ. 2367 รัชกาลที่ 2 สวรรคต กองทัพและระบบการปกครองสยาม กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านอำนาจ ไปสู่รัชสมัยของรัชกาลที่ 3 เจ้าอนุวงศ์ ซึ่งเคยมีความสัมพันธ์อันดี ในฐานะประเทศราช กลับรู้สึกไม่พอใจ ที่คำขอส่งตัวชาวลาวและเชลยศึก ที่ถูกกวาดต้อนในอดีตไม่เป็นผล จึงมองเห็นโอกาส ในการกอบกู้เอกราชของนครเวียงจันทน์ เป้าหมายของเจ้าอนุวงศ์ มีพระราชปณิธานแน่วแน่ ที่จะปลดปล่อยนครเวียงจันทน์ จากการเป็นประเทศราชของสยาม โดยเชื่อว่าช่วงเปลี่ยนผ่านรัชสมัยนี้ สยามจะอ่อนแอลง นำมาสู่แผนการยกทัพมาตีเมืองนครราชสีมา และกรุงเทพมหานครในที่สุด 🚩 ⚔️ ศึกทุ่งสัมฤทธิ์ บทบาทของท้าวสุรนารี กองทัพลาวยึดเมืองนครราชสีมา วันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2369 เจ้าอนุวงศ์ยกทัพเข้ายึดเมืองนครราชสีมาโดยง่าย เนื่องจากพระยาปลัดทองคำ ผู้รักษาเมืองไม่อยู่ ชาวเมืองถูกกวาดต้อนเป็นเชลย รวมถึงคุณหญิงโม และราชบริพาร ถูกนำไปยังเวียงจันทน์ ผ่านเส้นทางเมืองพิมาย แผนปลดแอกของคุณหญิงโม วันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2369 ระหว่างการเดินทาง คุณหญิงโมร่วมมือกับนางสาวบุญเหลือ และชาวบ้านคิดแผนปลดแอก โดยหลอกล่อให้ทหารลาวประมาท จนในคืนวันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2369 ที่ทุ่งสัมฤทธิ์ แขวงพิมาย ชาวนครราชสีมาร่วมกันลุกฮือยึดอาวุธ ทำให้กองทัพลาวแตกพ่าย 🔥 จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้น เมื่อนางสาวบุญเหลือ จุดไฟเผากองเกวียนที่บรรทุกดินปืน ส่งผลให้เกิดระเบิดครั้งใหญ่ ทำให้เพี้ยรามพิชัยและทหารลาว เสียชีวิตจำนวนมาก สถานที่นี้จึงถูกเรียกว่า "หนองหัวลาว" จวบจนปัจจุบัน 🏹 เจ้าอนุวงศ์ถอยทัพ ผลกระทบในระดับภูมิภาค การถอยร่นของเจ้าอนุวงศ์ เมื่อกองทัพจากกรุงเทพฯ นำโดย กรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพย์ เดินทัพถึงนครราชสีมา เจ้าอนุวงศ์จึงตัดสินใจ ถอนกำลังกลับนครเวียงจันทน์ ในวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2369 เพราะเกรงว่าศึกนี้จะยืดเยื้อ จนไม่สามารถรับมือกับกองทัพสยาม ที่กำลังมุ่งหน้ามา ผลลัพธ์ของสงคราม ภายหลังการถอยทัพ เจ้าอนุวงศ์และราชวงศ์เวียงจันทน์ ไม่สามารถตั้งตัวรับมือศึกได้ กองทัพสยามตีเวียงจันทน์แตก และอัญเชิญพระพุทธรูปสำคัญ อาทิ พระบาง, พระแซกคำ, พระสุก, พระใส มายังกรุงเทพฯ 🏯 นครเวียงจันทน์สิ้นสุดความเป็นอิสระ และถูกลดฐานะ เป็นหัวเมืองประเทศราชของสยาม 🌸 ยกย่องวีรกรรมของท้าวสุรนารี ท้าวสุรนารีได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้าฯ ให้คุณหญิงโมเป็นท้าวสุรนารี เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2370 พร้อมพระราชทานเครื่องยศทองคำ 👑 ได้รับการยกย่องให้เป็นวีรสตรีปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน สร้างอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี ในปี พ.ศ. 2477 ชาวนครราชสีมาได้ร่วมใจกันสร้าง อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี ที่ประตูชุมพล พร้อมนำอัฐิประดิษฐาน ที่ฐานอนุสาวรีย์ อนุสาวรีย์นี้กลายเป็นศูนย์รวมจิตใจ ของคนโคราชจนถึงปัจจุบัน 📚 ประเด็นข้อถกเถียงทางประวัติศาสตร์ มุมมองของนักประวัติศาสตร์ แม้ตำนานท้าวสุรนารี จะเป็นที่ยอมรับในไทย แต่เอกสารลาว กลับไม่มีบันทึกเรื่องทุ่งสัมฤทธิ์ หรือการกระทำของท้าวสุรนารี กับนางสาวบุญเหลือ ก่อนปี พ.ศ. 2475 นักวิชาการบางคนตั้งข้อสงสัยว่า วีรกรรมนี้อาจเกิดขึ้นจริง แต่ถูกขยายความ เพื่อประโยชน์ทางการเมืองในภายหลัง วีรกรรมหรือภาพสร้าง? หนังสือการเมืองในอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี โดย "สายพิน แก้วงามประเสริฐ" ได้ตั้งคำถาม ต่อบทบาทของท้าวสุรนารี ว่าถูกนำมาใช้เพื่อส่งเสริมอัตลักษณ์ชาติ และการเมืองในยุคสมัยหนึ่ง 🎭 แต่ไม่ว่าอย่างไร ท้าวสุรนารีก็ยังคงเป็นสัญลักษณ์ของความกล้าหาญ และการเสียสละ 🔮 เจ้าอนุวงศ์ในสายตาประวัติศาสตร์ลาว ในสายตาชาวลาว "เจ้าอนุวงศ์" ถือเป็นมหาวีรกษัตริย์ ผู้พยายามกอบกู้เอกราชจากสยาม แม้จะพ่ายแพ้ แต่พระองค์ยังได้รับการยกย่อง ในฐานะนักสู้เพื่อเสรีภาพของลาว 🇱🇦 ทว่าการมองต่างมุมของทั้งสองฝ่าย แสดงถึงความซับซ้อนของประวัติศาสตร์ ที่ถูกเล่าและจดจำแตกต่างกัน 🏛️ เหตุการณ์ในปี พ.ศ. 2369 ไม่ใช่เพียงแค่สงครามแย่งชิงอำนาจ แต่สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ของภูมิภาคอีสานและลุ่มแม่น้ำโขง ประวัติศาสตร์ที่ซับซ้อนนี้สอนให้เราเข้าใจว่า "ผู้ชนะ" ไม่ได้เป็นเพียงคนที่รอด แต่เป็นผู้ที่เขียนเรื่องเล่า ในประวัติศาสตร์ด้วย ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 231634 มี.ค. 2568 📱 #ท้าวสุรนารี #ย่าโมโคราช #วีรกรรมทุ่งสัมฤทธิ์ #ประวัติศาสตร์ไทย #เจ้าอนุวงศ์ #สงครามไทยลาว #โคราชต้องรู้ #อนุสาวรีย์ย่าโม #เล่าเรื่องประวัติศาสตร์ #199ปีทุ่งสัมฤทธิ์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 92 มุมมอง 0 รีวิว
  • เลขาฯ พปชร. เตือน “แพทองธาร-เพื่อไทย” อย่าประมาท เตรียมตัวรอรับการขยายผลหลังศึกอภิปรายให้ดี มอง อาจมีคนยื่นศาลฯ จนเกิดความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000027642
    เลขาฯ พปชร. เตือน “แพทองธาร-เพื่อไทย” อย่าประมาท เตรียมตัวรอรับการขยายผลหลังศึกอภิปรายให้ดี มอง อาจมีคนยื่นศาลฯ จนเกิดความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000027642
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 195 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผู้ประกอบการเมืองโก-ลก ซัด ไม่เคยเห็นเงา'พิชัย นริพทะพันธุ์'ลงพื้นที่เคลียร์“มาเลเซีย” เปิดจุดผ่อนปรนการค้าชายแดน ทั้งที่เป็นหน้าที่ต้องรับผิดชอบ โวย จะอดตายแล้ว

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000027636
    ผู้ประกอบการเมืองโก-ลก ซัด ไม่เคยเห็นเงา'พิชัย นริพทะพันธุ์'ลงพื้นที่เคลียร์“มาเลเซีย” เปิดจุดผ่อนปรนการค้าชายแดน ทั้งที่เป็นหน้าที่ต้องรับผิดชอบ โวย จะอดตายแล้ว อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000027636
    Haha
    Wow
    Angry
    3
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 203 มุมมอง 0 รีวิว
  • แจก เสรีภาพ รัวๆ...!!!
    แจก ประชาธิปไตย รัวๆ...!!!
    แจก สิทธิมนุษยชน รัวๆ...!!!
    .
    NGOไทย ทั้งหลาย...!!!
    นักสิทธิมนุษยชนไทย ทั้งหลาย...!!!
    .
    นักการเมืองไทย ผู้คลั่งไคล้ สิทธิมนุษยชนทั้งหลาย...!!!
    .
    หายหัวไปไหนกันหมด...???
    .
    ไม่กล้าเถียงเจ้านาย...???
    .
    🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣
    🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣
    .
    https://mgronline.com/around/detail/9680000027510
    แจก เสรีภาพ รัวๆ...!!! แจก ประชาธิปไตย รัวๆ...!!! แจก สิทธิมนุษยชน รัวๆ...!!! . NGOไทย ทั้งหลาย...!!! นักสิทธิมนุษยชนไทย ทั้งหลาย...!!! . นักการเมืองไทย ผู้คลั่งไคล้ สิทธิมนุษยชนทั้งหลาย...!!! . หายหัวไปไหนกันหมด...??? . ไม่กล้าเถียงเจ้านาย...??? . 🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣 🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣 . https://mgronline.com/around/detail/9680000027510
    MGRONLINE.COM
    นักสิทธิฯ ไปไหนหมด! พบแค่เดือนแรก ทรัมป์เนรเทศคนเข้าเมืองผิดกฎหมาย 3.7 หมื่นราย
    ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เนรเทศคนเข้าเมืองผิดกฎหมายไปแล้ว 37,660 ราย ในระหว่างเดือนแรกของการดำรงตำแหน่ง อ้างอิงข้อมูลของกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิที่ไม่เคยเผยแพร่มาก่อน อย่างไรก็ตามมันถือว่าต่ำกว่ามากเมื่อเทียบกับค
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 56 มุมมอง 0 รีวิว
  • ในปี 1963 เคนเนดี (JFK) เตือนนายกรัฐมนตรีเดวิด เบน-กูเรียน ของอิสราเอล เกี่ยวกับการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ เขายังเรียกร้องให้มีการตรวจสอบโรงงานนิวเคลียร์ลับ Dimona ของอิสราเอลอีกด้วย นอกจากนี้ JFK กำลังพิจารณาคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่ออิสราเอล เว้นแต่อิสราเอลจะเข้าร่วมมาตรการป้องกันที่ครอบคลุมตามสนธิสัญญาไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์

    JFK ยังต้องการลงทะเบียน AZC (ปัจจุบันคือ AIPAC) ในฐานะเป็นผู้สนับสนุนการเมืองสหรัฐ ซึ่งเป็นตัวแทนต่างประเทศ แต่หลังจากที่เขาถูกสังหาร ความพยายามนี้ก็สิ้นสุดลงตามไปด้วย ต่อมาอดีตประธานาธิบดี ลินดอน จอห์นสัน ก็ไม่ได้สนใจที่จะสานต่อความพยายามของ JFK เรื่องโรงงานนิวเคลียร์ Dimona ของอิสราเอล และเบี่ยงเบนความสนใจของโลก โดยนำสหรัฐเข้าสู่สงครามเวียตนาม

    จนถึงทุกวันนี้ อิสราเอลไม่เคยยอมรับมาตรการป้องกันที่ครอบคลุมตามสนธิสัญญาไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ และอิสราเอลไม่ได้ลงนามใน NPT และ AIPAC เป็นเพียงกลุ่มล็อบบี้เดียวที่ทำหน้าที่แทนรัฐบาลต่างประเทศที่ไม่ได้ลงทะเบียนภายใต้ FARA

    ภาพการชันสูตรพลิกศพ JFK หลังถูกลอบสังหาร เผยให้เห็นความเสียหายที่ศีรษะจนทำให้ส่วนของสมองเสียหายอย่างรุนแรง ซึ่งมีการกล่าวถึงกันในขณะนี้ว่า นี่เกิดจากการกระทำเพียงคนเดียว "จริงรือไม่!?!"
    ในปี 1963 เคนเนดี (JFK) เตือนนายกรัฐมนตรีเดวิด เบน-กูเรียน ของอิสราเอล เกี่ยวกับการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ เขายังเรียกร้องให้มีการตรวจสอบโรงงานนิวเคลียร์ลับ Dimona ของอิสราเอลอีกด้วย นอกจากนี้ JFK กำลังพิจารณาคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่ออิสราเอล เว้นแต่อิสราเอลจะเข้าร่วมมาตรการป้องกันที่ครอบคลุมตามสนธิสัญญาไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ JFK ยังต้องการลงทะเบียน AZC (ปัจจุบันคือ AIPAC) ในฐานะเป็นผู้สนับสนุนการเมืองสหรัฐ ซึ่งเป็นตัวแทนต่างประเทศ แต่หลังจากที่เขาถูกสังหาร ความพยายามนี้ก็สิ้นสุดลงตามไปด้วย ต่อมาอดีตประธานาธิบดี ลินดอน จอห์นสัน ก็ไม่ได้สนใจที่จะสานต่อความพยายามของ JFK เรื่องโรงงานนิวเคลียร์ Dimona ของอิสราเอล และเบี่ยงเบนความสนใจของโลก โดยนำสหรัฐเข้าสู่สงครามเวียตนาม จนถึงทุกวันนี้ อิสราเอลไม่เคยยอมรับมาตรการป้องกันที่ครอบคลุมตามสนธิสัญญาไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ และอิสราเอลไม่ได้ลงนามใน NPT และ AIPAC เป็นเพียงกลุ่มล็อบบี้เดียวที่ทำหน้าที่แทนรัฐบาลต่างประเทศที่ไม่ได้ลงทะเบียนภายใต้ FARA ภาพการชันสูตรพลิกศพ JFK หลังถูกลอบสังหาร เผยให้เห็นความเสียหายที่ศีรษะจนทำให้ส่วนของสมองเสียหายอย่างรุนแรง ซึ่งมีการกล่าวถึงกันในขณะนี้ว่า นี่เกิดจากการกระทำเพียงคนเดียว "จริงรือไม่!?!"
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 212 มุมมอง 0 รีวิว
  • โปรเจกต์ทดลอง Newskit ราคา 20 บาท

    เพจ Newskit ในคอนเซปต์ "ข่าวออนไลน์ อารมณ์หนังสือพิมพ์" ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 1 ก.ค.2567 ยืนหยัดนำเสนอเรื่องราวที่แตกต่างไปจากสื่อกระแสหลักและเพจข่าวทั่วไป ทั้งเศรษฐกิจ สังคม การเมืองเพียงเล็กน้อยในประเทศไทย เรื่องราวแปลกใหม่และใกล้ตัวในภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิดกับประเทศไทย เผยแพร่ผ่าน 3 แพลตฟอร์ม ได้แก่ เฟซบุ๊ก อินสตาแกรม และ Thaitimes เป็นหลัก ในรูปแบบที่สั้น กระชับ สรุปความในโพสต์เดียว ไม่เกิน 2,200 ตัวอักษร

    ตลอด 9 เดือนที่ผ่านมา เราไม่มีรายได้จากการทำเพจเลยแม้แต่น้อย ทั้งที่การแสวงหาข้อมูลเพื่อนำมาเขียน โดยเฉพาะการลงพื้นที่บางครั้งย่อมมีค่าใช้จ่ายตามมา ที่ผ่านมาบนโซเชียลฯ มีรูปแบบการหารายได้จากผู้บริโภคสื่อแตกต่างกันไป ทั้งการลงสปอนเซอร์ การทำ Advertorial ซึ่งจะพบเห็นเฉพาะอินฟลูเอนเซอร์รายใหญ่ การขายสินค้า การเป็นนายหน้า การตลาดแบบพันธมิตร (Affiliate) การทำ TIPS BOX ออนไลน์ หรือการระบุเลขที่บัญชีธนาคารโดยตรง ซึ่งเราไม่อยากรบกวนผู้อ่านมากขนาดนั้น

    ด้วยสถานะการเป็นสื่อมวลชน นอกจากไม่ควรการันตีความดีความชั่วของใคร แต่มุ่งยึดถือประโยชน์แก่สาธารณะเป็นที่ตั้งแล้ว ก็ไม่สามารถการันตีได้ว่าการทำหน้าที่ของเราจะตรงใจผู้อ่านได้ตลอดไป จึงไม่อยากถูกกล่าวหาว่าทรยศความเชื่อใจ ในวันที่ผู้อ่านมองว่าเราเปลี่ยนไป การเปิดรับบริจาคหรือโอนเงินโดยตรง อาจเป็นการแบกรับความคาดหวังจากผู้อ่านมากเกินไป กระทั่งไม่เป็นตัวของตัวเอง ขณะที่หนังสือพิมพ์ยังมีการวางจำหน่าย ถือเป็นสินค้าที่ซื้อขายตามความพึงพอใจของผู้อ่าน

    จากเหตุผลดังกล่าว เราจึงมีกิมมิกด้วยการตั้งราคา 20 บาท เหมือนหนังสือพิมพ์ธุรกิจ โดยทดลองใช้พร้อมเพย์คิวอาร์โค้ด (PromptPay QR Code) ปกติแล้วเราจะนำเสนอเรื่องราววันละ 1-2 เรื่อง แต่คิวอาร์โค้ดจะแสดงเฉพาะหน้าปก Newskit ของแต่ละวันเท่านั้น ถ้าผู้อ่านชื่นชอบเรื่องราวของเรา สามารถสแกนจ่ายครั้งละ 20 บาท เพื่อเป็นกำลังใจให้กับเรา โดยไม่ต้องสมัครสมาชิก ไม่ต้องจ่ายรายเดือน แม้เราคงไม่คาดหวังรายได้จากตรงนี้มากนัก เนื่องจากเป็นเรื่องใหม่ที่เชื่อว่าไม่มีใครทำมาก่อน

    โปรดสังเกตชื่อบัญชีปลายทางเป็น "นายกิตตินันท์ นาคทอง" e-Wallet ID 073-15-xxxxxx-1311 ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH BANK บัญชีเดียวเท่านั้น ระวังมิจฉาชีพแอบอ้าง

    เราจะทดลองติดตั้ง QR Code เป็นเวลา 3 สัปดาห์ เริ่มตั้งแต่วันจันทร์ที่ 24 มี.ค.2568 ถึงวันศุกร์ที่ 11 เม.ย.2568 เว้นแต่จะมีกรณีเป็นอย่างอื่น ขอขอบคุณทุกการติดตามและสนับสนุนเราตลอดมา

    #Newskit
    โปรเจกต์ทดลอง Newskit ราคา 20 บาท เพจ Newskit ในคอนเซปต์ "ข่าวออนไลน์ อารมณ์หนังสือพิมพ์" ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 1 ก.ค.2567 ยืนหยัดนำเสนอเรื่องราวที่แตกต่างไปจากสื่อกระแสหลักและเพจข่าวทั่วไป ทั้งเศรษฐกิจ สังคม การเมืองเพียงเล็กน้อยในประเทศไทย เรื่องราวแปลกใหม่และใกล้ตัวในภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิดกับประเทศไทย เผยแพร่ผ่าน 3 แพลตฟอร์ม ได้แก่ เฟซบุ๊ก อินสตาแกรม และ Thaitimes เป็นหลัก ในรูปแบบที่สั้น กระชับ สรุปความในโพสต์เดียว ไม่เกิน 2,200 ตัวอักษร ตลอด 9 เดือนที่ผ่านมา เราไม่มีรายได้จากการทำเพจเลยแม้แต่น้อย ทั้งที่การแสวงหาข้อมูลเพื่อนำมาเขียน โดยเฉพาะการลงพื้นที่บางครั้งย่อมมีค่าใช้จ่ายตามมา ที่ผ่านมาบนโซเชียลฯ มีรูปแบบการหารายได้จากผู้บริโภคสื่อแตกต่างกันไป ทั้งการลงสปอนเซอร์ การทำ Advertorial ซึ่งจะพบเห็นเฉพาะอินฟลูเอนเซอร์รายใหญ่ การขายสินค้า การเป็นนายหน้า การตลาดแบบพันธมิตร (Affiliate) การทำ TIPS BOX ออนไลน์ หรือการระบุเลขที่บัญชีธนาคารโดยตรง ซึ่งเราไม่อยากรบกวนผู้อ่านมากขนาดนั้น ด้วยสถานะการเป็นสื่อมวลชน นอกจากไม่ควรการันตีความดีความชั่วของใคร แต่มุ่งยึดถือประโยชน์แก่สาธารณะเป็นที่ตั้งแล้ว ก็ไม่สามารถการันตีได้ว่าการทำหน้าที่ของเราจะตรงใจผู้อ่านได้ตลอดไป จึงไม่อยากถูกกล่าวหาว่าทรยศความเชื่อใจ ในวันที่ผู้อ่านมองว่าเราเปลี่ยนไป การเปิดรับบริจาคหรือโอนเงินโดยตรง อาจเป็นการแบกรับความคาดหวังจากผู้อ่านมากเกินไป กระทั่งไม่เป็นตัวของตัวเอง ขณะที่หนังสือพิมพ์ยังมีการวางจำหน่าย ถือเป็นสินค้าที่ซื้อขายตามความพึงพอใจของผู้อ่าน จากเหตุผลดังกล่าว เราจึงมีกิมมิกด้วยการตั้งราคา 20 บาท เหมือนหนังสือพิมพ์ธุรกิจ โดยทดลองใช้พร้อมเพย์คิวอาร์โค้ด (PromptPay QR Code) ปกติแล้วเราจะนำเสนอเรื่องราววันละ 1-2 เรื่อง แต่คิวอาร์โค้ดจะแสดงเฉพาะหน้าปก Newskit ของแต่ละวันเท่านั้น ถ้าผู้อ่านชื่นชอบเรื่องราวของเรา สามารถสแกนจ่ายครั้งละ 20 บาท เพื่อเป็นกำลังใจให้กับเรา โดยไม่ต้องสมัครสมาชิก ไม่ต้องจ่ายรายเดือน แม้เราคงไม่คาดหวังรายได้จากตรงนี้มากนัก เนื่องจากเป็นเรื่องใหม่ที่เชื่อว่าไม่มีใครทำมาก่อน โปรดสังเกตชื่อบัญชีปลายทางเป็น "นายกิตตินันท์ นาคทอง" e-Wallet ID 073-15-xxxxxx-1311 ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH BANK บัญชีเดียวเท่านั้น ระวังมิจฉาชีพแอบอ้าง เราจะทดลองติดตั้ง QR Code เป็นเวลา 3 สัปดาห์ เริ่มตั้งแต่วันจันทร์ที่ 24 มี.ค.2568 ถึงวันศุกร์ที่ 11 เม.ย.2568 เว้นแต่จะมีกรณีเป็นอย่างอื่น ขอขอบคุณทุกการติดตามและสนับสนุนเราตลอดมา #Newskit
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 222 มุมมอง 0 รีวิว
  • แม้วันเวลาจะผ่านไปกว่า 32 ปีแล้วก็ตาม แต่คดี เพชรซาอุฯ ก็ยังถูกกลับเอามาเล่าขานกันอีกครั้ง
    .
    ตำนานเครื่องเพชรที่ถูกพูดถึงมากเรื่องหนึ่งในสังคมไทยโดย คดี เพชรซาอุฯ นั้นเกิดขึ้นครั้งแรกเกิดปี พ.ศ. 2532 นายเกรียงไกร เตชะโม่ง คนงานทำความสะอาดในพระราชวังของเจ้าชายไฟซาล บิน ฟาฮัด ได้โจรกรรมเพชร ทอง และอัญมณี ที่ถูกวางไว้อย่างไม่เป็นที่เป็นทาง จากพระราชวัง โดยอาศัยช่วงเวลาที่เจ้าชายแปรพระราชฐานไปต่างประเทศ แอบนำถุงกระสอบขนาดใหญ่เข้าไปในพระราชวัง ซ่อนตัวอยู่ภายในพระราชวังจนถึงเวลากลางคืน แล้วจึงทำการขโมยเครื่องเพชรใส่ถุงกระสอบแล้วโยนถุงกระสอบลงมาออกนอกกำแพงพระราชวัง จากนั้นนำส่งประเทศไทยโดยการส่งปะปนมากับเสื้อผ้าเครื่องใช้ส่วนตัว ทำให้ ยากจะตรวจสอบได้
    .
    แต่สุดท้าย นายเกรียงไกร เตชะโม่ง ได้ถูก ตำรวจจับกุมได้ในเวลาต่อมา โดย ชุดจับกุมของ พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ และยอมรับสารภาพทุกข้อกล่าวหา พร้อมช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ในการตามเพชรทั้งหมดกลับคืนอีกด้วย
    .
    ---------------
    ไม่เคยมี "เพชรสีน้ำเงินมาแต่แรก"
    ---------------
    .
    อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่เริ่มมี "คดีเพชรซาอุ" มีการพูดถึง เครื่องเพชร ชุดหนึ่ง คือ "เพชรสีน้ำเงิน"( เครื่องเพชรบลูไดมอนด์) ซึ่งแท้จริงแล้วมีปรากฎแต่ในการนำเสนอข่าวภายในประเทศไทยเท่านั้น ที่แม้แต่ พล.ต.ท.วรรณรัตน์ คชรัตน์ ผช.อตร. เจ้าของคดี ยังถามถามสื่อมวลชนเองว่า "ไปเอาเรื่องนี้มาจากไหน ตนไม่เคยได้ยิน หรือเห็นมาก่อนเลย" จากนั้นก็มีการไปเอารูปภริยาอธิบดีกรมตำรวจในขณะนั้น พล.ต.อ. แสวง ธีระสวัสดิ์ ภาพใน น.ส.พ. ฉบับหนึ่ง ผู้หญิงสวมสร้อยคอที่มีจี้เป็นอัญมณีสีน้ำเงินล้อมเพชรและทอง ปรากฏตัวในงานเลี้ยงงานหนึ่ง ใช้ชื่อ "งานเลี้ยงบลูไดมอนด์" แล้วก็ลือกันตามมาว่าเป็นเพชรบลูไดมอนด์ของเจ้าฟ้าชายไฟซาล เรื่องราวนี้ดังไปถึงหู ทางการของประเทศซาอุฯ เลยส่งสายสืบลับของซาอุฯมาตรวจสอบเพิ่มเติม จนพบว่า ในความเป็นจริงแล้วเพชรบลูไดมอนด์ ในข่าวเป็นเพียง วัตถุที่ทำด้วยผ้ากำมะหยี่สีน้ำเงินเข้มที่นำมาประดิษฐ์เข้าคู่กับเพชรและทอง เท่านั้น คดีเพชรบลูไดมอนด์จึงจบไป...
    .
    ส่วน นายเกรียงไกร เตชะโม่ง จำเลยได้สารภาพว่า ได้แบ่งเครื่องเพชรให้กับเพื่อนที่มีส่วนรู้เห็นโดยไม่ได้แยกแยะ ชนิดสี ประเภทใดๆก่อนที่จะเดินทางกลับประเทศไทย โดยแยกทองและหินออกจากกัน เนื่องจาก นาย เกรียงไกร ทราบมูลค่าของทองดีแต่ไม่ทราบมูลของเพชรพลอยที่ประดับ หินบางส่วนถูกทุบให้แตกเพื่อแยกประเภทคร่าวๆตามความเข้าใจว่าเพชรเป็นของแข็ง หากไม่แตกก็จะเก็บเอาไว้ขายนั้นเอง จากนั้นจึงนำไปขายให้พ่อค้าเพชรและทองตามลำดับ
    .
    ในช่วงเวลาระหว่างการดำเนินคดี นายเกรียงไกร เตชะโม่ง จำเลยในคดีลักเพชรของเจ้าชายไฟซาล บิน ฟาฮัด อธิบดีกรมตำรวจ พลตำรวจเอกประทิน สันติประภพ มอบหมายให้ผู้รับผิดชอบคือ (สิงเหนือ ) พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ ออกติดตามเครื่องเพชรคืนให้แก่รัฐบาลซาอุดิอาระเบีย โดยตามหาและส่งคืนกลับไปทั้งหมด ผลงานของ พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศในครั้งนั้นสร้างชื่อเสียงมากจนได้รับการยกย่องจากประเทศซาอุดิอาระเบีย ให้เป็นแขกพิเศษ
    .
    อย่างไรก็ตามมีประเด็นต่อมา คือการส่งคืนเครื่องเพชรจำนวนมากในครั้งนั้นกลับไม่ครบ-และบางส่วนปลอม เลยมีการรื้อคดีกลับมาตรวจสอบอีกครั้ง จากคำให้การของนายเกรียงไกร ที่บอกว่า ได้โจรกรรมเครื่องเพชรของเจ้าชายไฟซาล แล้วนำเข้ามาขายในประเทศไทย โดยขายให้ นายสันติ ศรีธนะขัณฑ์ พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ จึงพุ่งเป้าไปที่ นายสันติ เพื่อตามทวงคืน เครื่องเพชรส่วนที่เหลือ แต่นายสันติ ได้ปฎิเสธ พล.ต.ท.ชลอจึงจับลูกและภารยาของนายสันติ เป็นตัวประกันเพื่อบีบบังคับให้ นายสันติบอกที่ซ่อนของเพชรที่เหลือ แต่ก็ไม่เป็นผล ...ประจวบกับเหตุการณ์เวลานั้นมีการคุกคามตัวประกัน จึงมีการสังหารตัวประกันแล้วจัดฉากให้เป็นอุบัติเหตุ แต่ในภายหลัง พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศถูกจับกุมในคดี สังหาร ครอบครัว ศรีธนะขัณฑ์ เลยได้รับโทษประหารชีวิต ...(ซึ่งปัจจุบัน ได้รับการปล่อยตัวหลังจากที่จำคุกมาได้ 19ปี)
    .
    เมื่อมีการพยายามพูดถึง เพชรบลูไดมอนด์และเพชรที่เหลือจากซาอุฯ อีกครั้ง มีการตรวจสอบ ย้อนกลับซ้ำอีกครั้ง จึงพบว่า ทางซาอุฯไม่สามารถระบุรูปลักษณ์ของ เพชรบลูไดมอนด์ และไม่มีใครทั้ง นายเกรียงไกร เตชะโม่ง ,นายสันติ ศรีธนะขัณฑ์ และเจ้าหน้าที่ทางการไทย ต่างไม่เคยพบเห็นเพชรบลูไดมอนด์ เลยจึงได้ข้อสรุปว่าเพชรบลูไดมอนด์ ไม่เคยอยู่ในประเทศไทย
    .
    เรื่องราว เพชรซาอุฯ มีข้อเท็จจริงแต่เพียงเท่านี้...
    .
    ------------------------
    กำเนิดข่าวลือเพชรซาอุรอบที่สอง
    ------------------------
    .
    อย่างไรก็ตาม ในปี2551 ในการเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มคนเสื้อแดง มีการยกเรื่อง เพชรสีน้ำเงิน เอาขึ้นมาอีกครั้ง บนเวทีสนามหลวง เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2551
    .
    ทั้งบนเวที และ ในลักษณะข่าวลือ โดยบนเวทีชุมนุมนั้นจะปรากฎ ภาพ แหวนเพชรสีน้ำเงินถูกสวมอยู่ในอุ้งเท้าไดโนเสาร์ ซึ่งในการชุมนุมครั้งนั้น มี หนึ่งในผู้ปราศรัย คือ(เสือใต้) พล.ต.อ สล้าง บุนนาค นายตำรวจยุคเดียวกับ (สิงเหนือ)พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ
    .
    ส่วนข่าวลือและภาพที่ถูกแชร์กันใส่สังคมออนไลน์ในช่วงปี 2553 คือภาพ เพชรสีน้ำเงิน หน้าต่างๆกันออกไปทั้งแบบที่เป็นแหวนเพชร และ สร้อยคอ โดยมีการระบุในข่าวลือว่าเป็น เพชรบลูไดมอนด์จากคดีเพชรซาอุฯ โดยมีการนำเอาภาพของสมเด็จพระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่9 ทรงพระศอประดับอัญมณีสีฟ้าในการแชร์พร้อมเรื่องราวข่าวเท็จเกี่ยวกับการขโมยเพชรสีน้ำเงินจากราชวงศ์ซาอุฯ จนกลายเป็นข่าวลือให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างแยบยล
    .
    ในความเป็นจริงแล้วไม่เคยมีใครเคยเห็น เพชรบลูไดมอนด์ ว่าอยู่ในสภาพแหวนหรือสอยคอ และมีจำนวนกี่เม็ดกันแน่
    .
    หากพิจารณาภาพเพชรสีน้ำเงินที่เผยแพร่ในช่วงนี้ก็จะพบว่าเป็นเพียงการนำภาพ เครื่องเพชรที่มีลักษณะใกล้เคียงมาตัดต่อพร้อมประกอบกับเรื่องราวข่าวลือเท่านั้น โดยภาพที่ปรากฏประจำคือ Hope Diamond ของฝรั่งเศส ทั้งนี้ Hope Diamond มีประวัติน่าสนใจมาก เพราะ เป็นเพชรสีน้ำเงินที่ถูกตัดออกมาจาก เพชรเม็ดยักของ ราชวงศ์ฝรั่งเศส ที่ชื่อว่า French Blue (Le bleu de France) ตั้งแต่สมัยปฎิวัติฝรั่งเศส โดยแหล่งกำเนิดของ French Blue (Le bleu de France) นั้นมาจากเหมืองในเมืองกอลคอนดา (Golconda) ในประเทศอินเดีย ตั้งแต่ ปี 1664
    .
    แต่ด้วยประวัติของผู้ครอบครองเพชรสีน้ำเงิน ที่ล้วนเป็นคนใหญ่คนโต และเสียชีวิตฉับพลันจึงทำให้กลายเป็นตำนานเพชรต้องสาป ซึ่งปัจจุบัน เพชรเม็ดนี้ อยู่ในพิพิธภัณฑ์สมิธโซเนียน
    .
    ส่วนอีกภาพที่นิยมแชร์พร้อมกับข่าวลือคำสาปเพชรซาอุฯ คือภาพของ "Heart of the Ocean" หรือในภาษาฝรั่งเศสเรียกว่า "Le Cœur de la Mer" เพชรสีน้ำเงินรูปทรงหัวใจ เป็นเครืองประดับที่สวยงามมาก แต่น่าเสียดายว่า แท้จริงแล้ว"Heart of the Ocean"เป็นเพชรที่เกิดมาจาก การจินตนาการของผู้กำกับภาพยนต์ ไททานิค โดย "Heart of the Ocean" นั้นถูกจินตนาการขึ้นโดยอ้างอิง ประวัติ Hope Diamond ของฝรั่งเศส และถูกจินตนาการไปถึงการเป็นส่วนหนึ่งของสาเหตุการจมเรือในภาพยนตร์ไททานิค
    .
    ส่วนภาพสำคัญและมักถูกตกเป็นเป้าโจมตีของข่าวเท็จก็คือภาพของ สมเด็จพระราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 ทรง พระศอไพลินสีน้ำเงิน(ไม่ใช่เพชร) เป็นภาพตั้งแต่ ปี 2500 ขณะทรงเยือนสหรัฐอเมริกา ซึ่งพระศอไพลินสีน้ำเงินนั้นเป็นมรดกตกทอดมาจากสมเด็จพระพันปีหลวง
    .
    และ แน่นอนว่า ภาพของ สมเด็จพระราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 ทรง พระศอไพลินสีน้ำเงิน เป็นภาพที่เกิดขึ้นก่อน คดีเพชรซาอุฯ ถึง 32 ปี
    .
    ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ ที่ เพชรบลูไดมอนด์ จากคดีเพชรซาอุฯปี 2532 จะย้อน เวลาไปปรากฎในปี 2500 ได้โดยเด็ดขาด
    ---------------------------------
    แหล่งข้อมูล
    - https://www.git.or.th/g20130410.html
    - http://www.tpa.or.th/writer/read_this_book_topic.php?bookID=3585&read=true&count=true
    - https://www.facebook.com/siamgreatwarriors/posts/1591058431203175?
    - https://www.facebook.com/boraannaanma/photos/a.1721168658137287/2367376280183185/?type=3&theater
    - https://th.wikipedia.org/wiki/เพชรโฮป
    - https://www.facebook.com/726502237386172/posts/3507440415958993/
    -------------------------------
    ติดตามข้อมูลข่าวสาร รู้ไทย รู้โลก กับ Thailand Vision ได้ที่
    Website : http://www.thailandvision.co
    Facebook : https://www.facebook.com/thvi5ion
    Twitter : https://twitter.com/Thailand_vision
    Youtube : https://www.youtube.com/c/Thailandvision
    แม้วันเวลาจะผ่านไปกว่า 32 ปีแล้วก็ตาม แต่คดี เพชรซาอุฯ ก็ยังถูกกลับเอามาเล่าขานกันอีกครั้ง . ตำนานเครื่องเพชรที่ถูกพูดถึงมากเรื่องหนึ่งในสังคมไทยโดย คดี เพชรซาอุฯ นั้นเกิดขึ้นครั้งแรกเกิดปี พ.ศ. 2532 นายเกรียงไกร เตชะโม่ง คนงานทำความสะอาดในพระราชวังของเจ้าชายไฟซาล บิน ฟาฮัด ได้โจรกรรมเพชร ทอง และอัญมณี ที่ถูกวางไว้อย่างไม่เป็นที่เป็นทาง จากพระราชวัง โดยอาศัยช่วงเวลาที่เจ้าชายแปรพระราชฐานไปต่างประเทศ แอบนำถุงกระสอบขนาดใหญ่เข้าไปในพระราชวัง ซ่อนตัวอยู่ภายในพระราชวังจนถึงเวลากลางคืน แล้วจึงทำการขโมยเครื่องเพชรใส่ถุงกระสอบแล้วโยนถุงกระสอบลงมาออกนอกกำแพงพระราชวัง จากนั้นนำส่งประเทศไทยโดยการส่งปะปนมากับเสื้อผ้าเครื่องใช้ส่วนตัว ทำให้ ยากจะตรวจสอบได้ . แต่สุดท้าย นายเกรียงไกร เตชะโม่ง ได้ถูก ตำรวจจับกุมได้ในเวลาต่อมา โดย ชุดจับกุมของ พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ และยอมรับสารภาพทุกข้อกล่าวหา พร้อมช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ในการตามเพชรทั้งหมดกลับคืนอีกด้วย . --------------- ไม่เคยมี "เพชรสีน้ำเงินมาแต่แรก" --------------- . อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่เริ่มมี "คดีเพชรซาอุ" มีการพูดถึง เครื่องเพชร ชุดหนึ่ง คือ "เพชรสีน้ำเงิน"( เครื่องเพชรบลูไดมอนด์) ซึ่งแท้จริงแล้วมีปรากฎแต่ในการนำเสนอข่าวภายในประเทศไทยเท่านั้น ที่แม้แต่ พล.ต.ท.วรรณรัตน์ คชรัตน์ ผช.อตร. เจ้าของคดี ยังถามถามสื่อมวลชนเองว่า "ไปเอาเรื่องนี้มาจากไหน ตนไม่เคยได้ยิน หรือเห็นมาก่อนเลย" จากนั้นก็มีการไปเอารูปภริยาอธิบดีกรมตำรวจในขณะนั้น พล.ต.อ. แสวง ธีระสวัสดิ์ ภาพใน น.ส.พ. ฉบับหนึ่ง ผู้หญิงสวมสร้อยคอที่มีจี้เป็นอัญมณีสีน้ำเงินล้อมเพชรและทอง ปรากฏตัวในงานเลี้ยงงานหนึ่ง ใช้ชื่อ "งานเลี้ยงบลูไดมอนด์" แล้วก็ลือกันตามมาว่าเป็นเพชรบลูไดมอนด์ของเจ้าฟ้าชายไฟซาล เรื่องราวนี้ดังไปถึงหู ทางการของประเทศซาอุฯ เลยส่งสายสืบลับของซาอุฯมาตรวจสอบเพิ่มเติม จนพบว่า ในความเป็นจริงแล้วเพชรบลูไดมอนด์ ในข่าวเป็นเพียง วัตถุที่ทำด้วยผ้ากำมะหยี่สีน้ำเงินเข้มที่นำมาประดิษฐ์เข้าคู่กับเพชรและทอง เท่านั้น คดีเพชรบลูไดมอนด์จึงจบไป... . ส่วน นายเกรียงไกร เตชะโม่ง จำเลยได้สารภาพว่า ได้แบ่งเครื่องเพชรให้กับเพื่อนที่มีส่วนรู้เห็นโดยไม่ได้แยกแยะ ชนิดสี ประเภทใดๆก่อนที่จะเดินทางกลับประเทศไทย โดยแยกทองและหินออกจากกัน เนื่องจาก นาย เกรียงไกร ทราบมูลค่าของทองดีแต่ไม่ทราบมูลของเพชรพลอยที่ประดับ หินบางส่วนถูกทุบให้แตกเพื่อแยกประเภทคร่าวๆตามความเข้าใจว่าเพชรเป็นของแข็ง หากไม่แตกก็จะเก็บเอาไว้ขายนั้นเอง จากนั้นจึงนำไปขายให้พ่อค้าเพชรและทองตามลำดับ . ในช่วงเวลาระหว่างการดำเนินคดี นายเกรียงไกร เตชะโม่ง จำเลยในคดีลักเพชรของเจ้าชายไฟซาล บิน ฟาฮัด อธิบดีกรมตำรวจ พลตำรวจเอกประทิน สันติประภพ มอบหมายให้ผู้รับผิดชอบคือ (สิงเหนือ ) พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ ออกติดตามเครื่องเพชรคืนให้แก่รัฐบาลซาอุดิอาระเบีย โดยตามหาและส่งคืนกลับไปทั้งหมด ผลงานของ พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศในครั้งนั้นสร้างชื่อเสียงมากจนได้รับการยกย่องจากประเทศซาอุดิอาระเบีย ให้เป็นแขกพิเศษ . อย่างไรก็ตามมีประเด็นต่อมา คือการส่งคืนเครื่องเพชรจำนวนมากในครั้งนั้นกลับไม่ครบ-และบางส่วนปลอม เลยมีการรื้อคดีกลับมาตรวจสอบอีกครั้ง จากคำให้การของนายเกรียงไกร ที่บอกว่า ได้โจรกรรมเครื่องเพชรของเจ้าชายไฟซาล แล้วนำเข้ามาขายในประเทศไทย โดยขายให้ นายสันติ ศรีธนะขัณฑ์ พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ จึงพุ่งเป้าไปที่ นายสันติ เพื่อตามทวงคืน เครื่องเพชรส่วนที่เหลือ แต่นายสันติ ได้ปฎิเสธ พล.ต.ท.ชลอจึงจับลูกและภารยาของนายสันติ เป็นตัวประกันเพื่อบีบบังคับให้ นายสันติบอกที่ซ่อนของเพชรที่เหลือ แต่ก็ไม่เป็นผล ...ประจวบกับเหตุการณ์เวลานั้นมีการคุกคามตัวประกัน จึงมีการสังหารตัวประกันแล้วจัดฉากให้เป็นอุบัติเหตุ แต่ในภายหลัง พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศถูกจับกุมในคดี สังหาร ครอบครัว ศรีธนะขัณฑ์ เลยได้รับโทษประหารชีวิต ...(ซึ่งปัจจุบัน ได้รับการปล่อยตัวหลังจากที่จำคุกมาได้ 19ปี) . เมื่อมีการพยายามพูดถึง เพชรบลูไดมอนด์และเพชรที่เหลือจากซาอุฯ อีกครั้ง มีการตรวจสอบ ย้อนกลับซ้ำอีกครั้ง จึงพบว่า ทางซาอุฯไม่สามารถระบุรูปลักษณ์ของ เพชรบลูไดมอนด์ และไม่มีใครทั้ง นายเกรียงไกร เตชะโม่ง ,นายสันติ ศรีธนะขัณฑ์ และเจ้าหน้าที่ทางการไทย ต่างไม่เคยพบเห็นเพชรบลูไดมอนด์ เลยจึงได้ข้อสรุปว่าเพชรบลูไดมอนด์ ไม่เคยอยู่ในประเทศไทย . เรื่องราว เพชรซาอุฯ มีข้อเท็จจริงแต่เพียงเท่านี้... . ------------------------ กำเนิดข่าวลือเพชรซาอุรอบที่สอง ------------------------ . อย่างไรก็ตาม ในปี2551 ในการเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มคนเสื้อแดง มีการยกเรื่อง เพชรสีน้ำเงิน เอาขึ้นมาอีกครั้ง บนเวทีสนามหลวง เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2551 . ทั้งบนเวที และ ในลักษณะข่าวลือ โดยบนเวทีชุมนุมนั้นจะปรากฎ ภาพ แหวนเพชรสีน้ำเงินถูกสวมอยู่ในอุ้งเท้าไดโนเสาร์ ซึ่งในการชุมนุมครั้งนั้น มี หนึ่งในผู้ปราศรัย คือ(เสือใต้) พล.ต.อ สล้าง บุนนาค นายตำรวจยุคเดียวกับ (สิงเหนือ)พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ . ส่วนข่าวลือและภาพที่ถูกแชร์กันใส่สังคมออนไลน์ในช่วงปี 2553 คือภาพ เพชรสีน้ำเงิน หน้าต่างๆกันออกไปทั้งแบบที่เป็นแหวนเพชร และ สร้อยคอ โดยมีการระบุในข่าวลือว่าเป็น เพชรบลูไดมอนด์จากคดีเพชรซาอุฯ โดยมีการนำเอาภาพของสมเด็จพระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่9 ทรงพระศอประดับอัญมณีสีฟ้าในการแชร์พร้อมเรื่องราวข่าวเท็จเกี่ยวกับการขโมยเพชรสีน้ำเงินจากราชวงศ์ซาอุฯ จนกลายเป็นข่าวลือให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างแยบยล . ในความเป็นจริงแล้วไม่เคยมีใครเคยเห็น เพชรบลูไดมอนด์ ว่าอยู่ในสภาพแหวนหรือสอยคอ และมีจำนวนกี่เม็ดกันแน่ . หากพิจารณาภาพเพชรสีน้ำเงินที่เผยแพร่ในช่วงนี้ก็จะพบว่าเป็นเพียงการนำภาพ เครื่องเพชรที่มีลักษณะใกล้เคียงมาตัดต่อพร้อมประกอบกับเรื่องราวข่าวลือเท่านั้น โดยภาพที่ปรากฏประจำคือ Hope Diamond ของฝรั่งเศส ทั้งนี้ Hope Diamond มีประวัติน่าสนใจมาก เพราะ เป็นเพชรสีน้ำเงินที่ถูกตัดออกมาจาก เพชรเม็ดยักของ ราชวงศ์ฝรั่งเศส ที่ชื่อว่า French Blue (Le bleu de France) ตั้งแต่สมัยปฎิวัติฝรั่งเศส โดยแหล่งกำเนิดของ French Blue (Le bleu de France) นั้นมาจากเหมืองในเมืองกอลคอนดา (Golconda) ในประเทศอินเดีย ตั้งแต่ ปี 1664 . แต่ด้วยประวัติของผู้ครอบครองเพชรสีน้ำเงิน ที่ล้วนเป็นคนใหญ่คนโต และเสียชีวิตฉับพลันจึงทำให้กลายเป็นตำนานเพชรต้องสาป ซึ่งปัจจุบัน เพชรเม็ดนี้ อยู่ในพิพิธภัณฑ์สมิธโซเนียน . ส่วนอีกภาพที่นิยมแชร์พร้อมกับข่าวลือคำสาปเพชรซาอุฯ คือภาพของ "Heart of the Ocean" หรือในภาษาฝรั่งเศสเรียกว่า "Le Cœur de la Mer" เพชรสีน้ำเงินรูปทรงหัวใจ เป็นเครืองประดับที่สวยงามมาก แต่น่าเสียดายว่า แท้จริงแล้ว"Heart of the Ocean"เป็นเพชรที่เกิดมาจาก การจินตนาการของผู้กำกับภาพยนต์ ไททานิค โดย "Heart of the Ocean" นั้นถูกจินตนาการขึ้นโดยอ้างอิง ประวัติ Hope Diamond ของฝรั่งเศส และถูกจินตนาการไปถึงการเป็นส่วนหนึ่งของสาเหตุการจมเรือในภาพยนตร์ไททานิค . ส่วนภาพสำคัญและมักถูกตกเป็นเป้าโจมตีของข่าวเท็จก็คือภาพของ สมเด็จพระราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 ทรง พระศอไพลินสีน้ำเงิน(ไม่ใช่เพชร) เป็นภาพตั้งแต่ ปี 2500 ขณะทรงเยือนสหรัฐอเมริกา ซึ่งพระศอไพลินสีน้ำเงินนั้นเป็นมรดกตกทอดมาจากสมเด็จพระพันปีหลวง . และ แน่นอนว่า ภาพของ สมเด็จพระราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 ทรง พระศอไพลินสีน้ำเงิน เป็นภาพที่เกิดขึ้นก่อน คดีเพชรซาอุฯ ถึง 32 ปี . ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ ที่ เพชรบลูไดมอนด์ จากคดีเพชรซาอุฯปี 2532 จะย้อน เวลาไปปรากฎในปี 2500 ได้โดยเด็ดขาด --------------------------------- แหล่งข้อมูล - https://www.git.or.th/g20130410.html - http://www.tpa.or.th/writer/read_this_book_topic.php?bookID=3585&read=true&count=true - https://www.facebook.com/siamgreatwarriors/posts/1591058431203175? - https://www.facebook.com/boraannaanma/photos/a.1721168658137287/2367376280183185/?type=3&theater - https://th.wikipedia.org/wiki/เพชรโฮป - https://www.facebook.com/726502237386172/posts/3507440415958993/ ------------------------------- ติดตามข้อมูลข่าวสาร รู้ไทย รู้โลก กับ Thailand Vision ได้ที่ Website : http://www.thailandvision.co Facebook : https://www.facebook.com/thvi5ion Twitter : https://twitter.com/Thailand_vision Youtube : https://www.youtube.com/c/Thailandvision
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 258 มุมมอง 0 รีวิว
  • เปิดเอกสารลับคดีลอบสังหารJFK..มีอะไรในนั้น? : คนเคาะข่าว 20-03-68

    : อ.สุดาทิพย์ จารุจินดา อินทร ผู้เชี่ยวชาญข่าวต่างประเทศ

    ดำเนินรายการโดย อุษณีย์ เอกอุษณีย์

    #คนเคาะข่าว #JFK #ลอบสังหารJFK #เอกสารลับ #CIA #การเมืองสหรัฐ #ข่าวต่างประเทศ #ทฤษฎีสมคบคิด #สุดาทิพย์จารุจินดา #อุษณีย์เอกอุษณีย์ #ไทยTimes #ความมั่นคง #Geopolitics #วิเคราะห์การเมือง
    เปิดเอกสารลับคดีลอบสังหารJFK..มีอะไรในนั้น? : คนเคาะข่าว 20-03-68 : อ.สุดาทิพย์ จารุจินดา อินทร ผู้เชี่ยวชาญข่าวต่างประเทศ ดำเนินรายการโดย อุษณีย์ เอกอุษณีย์ #คนเคาะข่าว #JFK #ลอบสังหารJFK #เอกสารลับ #CIA #การเมืองสหรัฐ #ข่าวต่างประเทศ #ทฤษฎีสมคบคิด #สุดาทิพย์จารุจินดา #อุษณีย์เอกอุษณีย์ #ไทยTimes #ความมั่นคง #Geopolitics #วิเคราะห์การเมือง
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 311 มุมมอง 4 1 รีวิว
  • ภาพเหตุการณ์การประท้วงในตุรกีที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วของประชาชนและนักศึกษามหาวิทยาลัยในเมืองหลวงตุรกี หลังจากรัฐบาลจับกุมนายเอเครม อิมาโมกลู (Ekrem Imamoglu) นายกเทศมนตรีเมืองอิสตันบูล ในข้อหาคอร์รัปชัน และให้ความช่วยเหลือกลุ่มก่อการร้าย

    การจับกุมนายอิมาโมกลู ครั้งนี้ถูกมองว่าเพื่อกำจัดคู่แข่งทางการเมืองที่แข็งแกร่งสุด ของ ปธน.เรเจป ไทยิพ แอร์โดอัน(Recep Tayyip Erdoğan) ซึ่งอีกไม่กี่วันที่จะถึง เขากำลังจะถูกประกาศให้เป็นผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีตุรกีในนามพรรคประชาชนรีพับลิกัน (CHP)

    การจับกุมนายอิมาโมกลูมีขึ้นท่ามกลางการปราบปรามฝ่ายค้านทางการเมืองของตุรกีตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ซึ่งถูกวิจารณ์ว่าเป็นความพยายามทางการเมืองที่จะปิดปากผู้เห็นต่างและทำลายโอกาสในการเลือกตั้ง
    ภาพเหตุการณ์การประท้วงในตุรกีที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วของประชาชนและนักศึกษามหาวิทยาลัยในเมืองหลวงตุรกี หลังจากรัฐบาลจับกุมนายเอเครม อิมาโมกลู (Ekrem Imamoglu) นายกเทศมนตรีเมืองอิสตันบูล ในข้อหาคอร์รัปชัน และให้ความช่วยเหลือกลุ่มก่อการร้าย การจับกุมนายอิมาโมกลู ครั้งนี้ถูกมองว่าเพื่อกำจัดคู่แข่งทางการเมืองที่แข็งแกร่งสุด ของ ปธน.เรเจป ไทยิพ แอร์โดอัน(Recep Tayyip Erdoğan) ซึ่งอีกไม่กี่วันที่จะถึง เขากำลังจะถูกประกาศให้เป็นผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีตุรกีในนามพรรคประชาชนรีพับลิกัน (CHP) การจับกุมนายอิมาโมกลูมีขึ้นท่ามกลางการปราบปรามฝ่ายค้านทางการเมืองของตุรกีตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ซึ่งถูกวิจารณ์ว่าเป็นความพยายามทางการเมืองที่จะปิดปากผู้เห็นต่างและทำลายโอกาสในการเลือกตั้ง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 156 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีประเทศเดียวในโลก ที่นัการเมืองเที่ยวยกแผ่นดินให้คนอื่นทชาติเล็กๆ ก็เอาแผ่นดินไปได้
    มีประเทศเดียวในโลก ที่นัการเมืองเที่ยวยกแผ่นดินให้คนอื่นทชาติเล็กๆ ก็เอาแผ่นดินไปได้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 41 มุมมอง 0 รีวิว
  • “สันติ” ยัน สปส.ซื้อตึก SKYY9 ไร้ดีลการเมือง ไม่ได้คุย “สุชาติ” แม้อยู่พรรคเดียวกัน ระบุลูกชายเก่งอสังหาฯ ซื้อตึกเก่ารีโนเวทขาย ไม่รู้คนซื้อไปขายต่อให้ใคร ลั่น “ตระกูลพร้อมพัฒน์-พร้อมทวีสิทธิ์” ไม่เกี่ยวเรื่องนี้ ยัน ไม่ฟ้องคนพาดพิง ชี้ ตึกราคาสูง ทำเลดี ปรับปรุงมหาศาล

    เมื่อเวลา 10.45 น. วันที่ 20 มีนาคม ที่อาคารรัชดา วัน ถ.รัชดาภิเษก นายสันติ พร้อมพัฒน์ อดีต รมช.สาธารณสุข และรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีถูกตั้งข้อสังเกตว่าบริษัทของลูกชายมีความเชื่อมโยงกับการขายตึก Skyy9 ให้กับสำนักงานประกันสังคม (สปส.) ว่า จริงๆ แล้วเรื่องอสังหาริมทรัพย์นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ ลูกชายตน มีความรู้ความสามารถ จบปริญญาโทจากอังกฤษด้านอสังหาริมทรัพย์ ตนเลยปล่อยให้เขาบริหารจัดการในบริษัท วอเตอร์เกท พาวิลเลี่ยน จำกัด

    ผู้สื่อข่าวถามว่า การซื้อตึกของ สปส. ไม่ได้เป็นดีลพิเศษในขณะที่อยู่กับพรรคเดียวกับ รมว.แรงงาน ในยุคนั้นใช่หรือไม่ นายสันติ กล่าวว่า ตามที่นายพัฒนาได้พูดไป ตอนที่เขาไปซื้อตึกนี้มาจากบริษัท บริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ บสก. เขาก็ยังต้องไปซื้อห้องอื่นๆ ในอดีตที่ขายกันไปแล้วกลับมา จนสามารถรวมเป็นตึกเดียวกันภายใต้เจ้าของเดียว ตอนนั้นเขามาหารือกับตนว่าอยากจะรีโนเวท พอสักพักเมื่อมีคนรู้ข่าวว่าตึกหลังนี้มีเจ้าของเดียวแล้ว มีคนสนใจจำนวนมาก ตนรู้แค่เพียงตอนที่เขาขาย ประมาณ 2 พันกว่าล้านบาท ให้กับบริษัทของฝรั่งที่มาจดทะเบียนในเมืองไทย เป็นกองทุนที่ใหญ่มาก วันที่เขาซื้อก็จ่ายเงินเลยทั้งหมด พอจ่ายแล้วมันก็แล้วกัน เราไม่รู้อะไรอีกเลยว่าเขาจะเอาไปทำอะไร รู้เพียงแต่ว่าเขาเอาไปรีโนเวท ตนนั่งรถผ่านก็เห็นว่าสวยมาก มารู้อีกทีตอนมีข่าวจากสื่อมวลชนว่าตึกหลังนี้ได้มีการขายไป โดย สปส.เป็นเจ้าของ ในราคา 7 พันล้านบาทบวกลบ

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/politics/detail/9680000026647

    #MGROnline #SKYY9
    “สันติ” ยัน สปส.ซื้อตึก SKYY9 ไร้ดีลการเมือง ไม่ได้คุย “สุชาติ” แม้อยู่พรรคเดียวกัน ระบุลูกชายเก่งอสังหาฯ ซื้อตึกเก่ารีโนเวทขาย ไม่รู้คนซื้อไปขายต่อให้ใคร ลั่น “ตระกูลพร้อมพัฒน์-พร้อมทวีสิทธิ์” ไม่เกี่ยวเรื่องนี้ ยัน ไม่ฟ้องคนพาดพิง ชี้ ตึกราคาสูง ทำเลดี ปรับปรุงมหาศาล • เมื่อเวลา 10.45 น. วันที่ 20 มีนาคม ที่อาคารรัชดา วัน ถ.รัชดาภิเษก นายสันติ พร้อมพัฒน์ อดีต รมช.สาธารณสุข และรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีถูกตั้งข้อสังเกตว่าบริษัทของลูกชายมีความเชื่อมโยงกับการขายตึก Skyy9 ให้กับสำนักงานประกันสังคม (สปส.) ว่า จริงๆ แล้วเรื่องอสังหาริมทรัพย์นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ ลูกชายตน มีความรู้ความสามารถ จบปริญญาโทจากอังกฤษด้านอสังหาริมทรัพย์ ตนเลยปล่อยให้เขาบริหารจัดการในบริษัท วอเตอร์เกท พาวิลเลี่ยน จำกัด • ผู้สื่อข่าวถามว่า การซื้อตึกของ สปส. ไม่ได้เป็นดีลพิเศษในขณะที่อยู่กับพรรคเดียวกับ รมว.แรงงาน ในยุคนั้นใช่หรือไม่ นายสันติ กล่าวว่า ตามที่นายพัฒนาได้พูดไป ตอนที่เขาไปซื้อตึกนี้มาจากบริษัท บริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ บสก. เขาก็ยังต้องไปซื้อห้องอื่นๆ ในอดีตที่ขายกันไปแล้วกลับมา จนสามารถรวมเป็นตึกเดียวกันภายใต้เจ้าของเดียว ตอนนั้นเขามาหารือกับตนว่าอยากจะรีโนเวท พอสักพักเมื่อมีคนรู้ข่าวว่าตึกหลังนี้มีเจ้าของเดียวแล้ว มีคนสนใจจำนวนมาก ตนรู้แค่เพียงตอนที่เขาขาย ประมาณ 2 พันกว่าล้านบาท ให้กับบริษัทของฝรั่งที่มาจดทะเบียนในเมืองไทย เป็นกองทุนที่ใหญ่มาก วันที่เขาซื้อก็จ่ายเงินเลยทั้งหมด พอจ่ายแล้วมันก็แล้วกัน เราไม่รู้อะไรอีกเลยว่าเขาจะเอาไปทำอะไร รู้เพียงแต่ว่าเขาเอาไปรีโนเวท ตนนั่งรถผ่านก็เห็นว่าสวยมาก มารู้อีกทีตอนมีข่าวจากสื่อมวลชนว่าตึกหลังนี้ได้มีการขายไป โดย สปส.เป็นเจ้าของ ในราคา 7 พันล้านบาทบวกลบ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/politics/detail/9680000026647 • #MGROnline #SKYY9
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 195 มุมมอง 0 รีวิว
  • สร้อยยืมเพื่อน คืนแล้ว ลามร้อนถึงเก้าอี้ รมต. 3 รัฐมนตรี พ.พาน ปัดไม่รู้
    .
    ไม่ว่า รมต. พ พานจะออกมาปฏิเสธกันเป็นหางว่าว แต่คาดว่าเรื่องสร้อยดาราแวดวงไฮโซ เส้นน้อยแสนแพง คงไม่จบในเร็วๆ นี้ ต้องติดตามว่า ใครในคณะรัฐมนตรีรัฐบาลอิ๊งค์ จะโดนหางเลขอีกต่อไป ในช่วงการเมืองก็วุ่น เศรษฐกิจก็ยุ่ง

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000026715
    สร้อยยืมเพื่อน คืนแล้ว ลามร้อนถึงเก้าอี้ รมต. 3 รัฐมนตรี พ.พาน ปัดไม่รู้ . ไม่ว่า รมต. พ พานจะออกมาปฏิเสธกันเป็นหางว่าว แต่คาดว่าเรื่องสร้อยดาราแวดวงไฮโซ เส้นน้อยแสนแพง คงไม่จบในเร็วๆ นี้ ต้องติดตามว่า ใครในคณะรัฐมนตรีรัฐบาลอิ๊งค์ จะโดนหางเลขอีกต่อไป ในช่วงการเมืองก็วุ่น เศรษฐกิจก็ยุ่ง อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000026715
    Haha
    2
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 843 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลูกชาย "สันติ" ตั้งโต๊ะแถลง ยืนยันไม่เกี่ยวข้องกับสำนักงานประกันสังคมซื้ออาคาร Skyy9 เผยขายตึกให้ เอจีอาร์อี 101 ได้รับชำระเงินโอนกรรมสิทธิเสร็จเรียบร้อยตั้งแต่ปี 2562 หลังจากนั้นก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอีก

    เมื่อวันที่ 20 มี.ค.เวลา 10.30 น.ที่อาคารรัชดาวัน นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ ผู้บริหารบริษัท วอเตอร์เกทพาวิลเลี่ยน ลูกชายนายสันติ พร้อมพัฒน์ อดีตรัฐมนตรี แถลงข่าวว่า ตามที่ปรากฎเป็นข่าวว่า สำนักงานประกันสังคมได้ทำการซื้ออาคาร Skyy9 หรือ ชื่อเดิม Cas Capital หรือ ในอดีตชื่อ ICE ในราคาประมาณ 7,000 ล้านบาทนั้น ต่อมาเริ่มมีกระแสในทำนองว่า ประกันสังคมได้ซื้ออาคารดังกล่าวในราคาที่สูง จะคุ้มค่าการลงทุนหรือไม่ โดยอ้างว่าเป็นการซื้อจากบริษัทของลูกชายนักการเมืองคนหนึ่ง ซึ่งคนทั่วไปเชื่อมโยงว่าเป็นตนนั้น

    “ผมขอเรียนให้ทราบว่า บริษัท วอเตอร์เกท พาวิลเลี่ยน จำกัด ซึ่งเป็นเจ้าของตึกที่ผมบริหารจัดการอยู่นั้น ว่า บริษัทฯ ได้เคยเป็นเจ้าของอาคารตึก ICE ซึ่งมีพื้นที่ประมาณ 100,000 ตารางเมตร โดยบริษัท วอเตอร์เกท ซื้อมาตั้งแต่ปี 2560 โดยในขณะนั้น อาคารนี้เป็นอาคารร้าง และมีสภาพทรุดโทรม ไม่สามารถใช้ประโยชน์ และใช้งานได้ โดยเป็นการลงทุนซื้ออาคารเก่าซึ่งเป็นห้องชุด โดยซื้อมาจากหลายเจ้าของ ตามที่ได้ปรากฏเป็นข่าวไปแล้ว

    "ในระหว่างที่ถือครองอยู่นั้น เคยได้มีแผนการที่จะปรับปรุงอาคารดังกล่าวเป็นสำนักงานตามเดิมที่อาคารนี้เคยเป็นอยู่ อย่างไรก็ดี ตลอดระยะเวลาที่ถือครองทรัพย์สินนี้อยู่ ได้มีพรรคพวกที่อยู่ในวงการการเงินและอสังหาริมทรัพย์มาแนะนำให้รู้จักกับผู้สนใจลงทุนซื้ออาคารนี้หลายราย หนึ่งในนั้นคือผู้ซื้อ คือ บริษัท เอจีอาร์อี 101 ซึ่งเป็นบริษัทที่เป็นกองทุน PE Fund (กองทุนที่ระดมทุนจากผู้มีเงินหลากหลายราย) ในต่างประเทศ“ นายพัฒนา กล่าว

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/politics/detail/9680000026637

    #MGROnline #สำนักงานประกันสังคม #อาคารSkyy9
    ลูกชาย "สันติ" ตั้งโต๊ะแถลง ยืนยันไม่เกี่ยวข้องกับสำนักงานประกันสังคมซื้ออาคาร Skyy9 เผยขายตึกให้ เอจีอาร์อี 101 ได้รับชำระเงินโอนกรรมสิทธิเสร็จเรียบร้อยตั้งแต่ปี 2562 หลังจากนั้นก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอีก • เมื่อวันที่ 20 มี.ค.เวลา 10.30 น.ที่อาคารรัชดาวัน นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ ผู้บริหารบริษัท วอเตอร์เกทพาวิลเลี่ยน ลูกชายนายสันติ พร้อมพัฒน์ อดีตรัฐมนตรี แถลงข่าวว่า ตามที่ปรากฎเป็นข่าวว่า สำนักงานประกันสังคมได้ทำการซื้ออาคาร Skyy9 หรือ ชื่อเดิม Cas Capital หรือ ในอดีตชื่อ ICE ในราคาประมาณ 7,000 ล้านบาทนั้น ต่อมาเริ่มมีกระแสในทำนองว่า ประกันสังคมได้ซื้ออาคารดังกล่าวในราคาที่สูง จะคุ้มค่าการลงทุนหรือไม่ โดยอ้างว่าเป็นการซื้อจากบริษัทของลูกชายนักการเมืองคนหนึ่ง ซึ่งคนทั่วไปเชื่อมโยงว่าเป็นตนนั้น • “ผมขอเรียนให้ทราบว่า บริษัท วอเตอร์เกท พาวิลเลี่ยน จำกัด ซึ่งเป็นเจ้าของตึกที่ผมบริหารจัดการอยู่นั้น ว่า บริษัทฯ ได้เคยเป็นเจ้าของอาคารตึก ICE ซึ่งมีพื้นที่ประมาณ 100,000 ตารางเมตร โดยบริษัท วอเตอร์เกท ซื้อมาตั้งแต่ปี 2560 โดยในขณะนั้น อาคารนี้เป็นอาคารร้าง และมีสภาพทรุดโทรม ไม่สามารถใช้ประโยชน์ และใช้งานได้ โดยเป็นการลงทุนซื้ออาคารเก่าซึ่งเป็นห้องชุด โดยซื้อมาจากหลายเจ้าของ ตามที่ได้ปรากฏเป็นข่าวไปแล้ว • "ในระหว่างที่ถือครองอยู่นั้น เคยได้มีแผนการที่จะปรับปรุงอาคารดังกล่าวเป็นสำนักงานตามเดิมที่อาคารนี้เคยเป็นอยู่ อย่างไรก็ดี ตลอดระยะเวลาที่ถือครองทรัพย์สินนี้อยู่ ได้มีพรรคพวกที่อยู่ในวงการการเงินและอสังหาริมทรัพย์มาแนะนำให้รู้จักกับผู้สนใจลงทุนซื้ออาคารนี้หลายราย หนึ่งในนั้นคือผู้ซื้อ คือ บริษัท เอจีอาร์อี 101 ซึ่งเป็นบริษัทที่เป็นกองทุน PE Fund (กองทุนที่ระดมทุนจากผู้มีเงินหลากหลายราย) ในต่างประเทศ“ นายพัฒนา กล่าว • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/politics/detail/9680000026637 • #MGROnline #สำนักงานประกันสังคม #อาคารSkyy9
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 168 มุมมอง 0 รีวิว
  • 'สันติ' โผล่ปัด สปส.ซื้อตึก 7 พันล้านไร้ดีลการเมือง!
    https://www.thai-tai.tv/news/17746/
    'สันติ' โผล่ปัด สปส.ซื้อตึก 7 พันล้านไร้ดีลการเมือง! https://www.thai-tai.tv/news/17746/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 39 มุมมอง 0 รีวิว
  • 111 ปี สิ้น “เจ้าน้อยศุขเกษม” ปิดตำนานรักสาวชาวพม่า “มะเมียะ” เรื่องจริง หรือแค่…อิงนิยาย?

    🕰️ ตำนานรักข้ามชาติ ที่คนรุ่นหลังยังคงกล่าวขาน 🕰️

    📝 111 ปีที่ผ่านไป…เรื่องราวความรักระหว่าง "เจ้าน้อยศุขเกษม" แห่งนครเชียงใหม่ และ "มะเมียะ" สาวงามจากเมืองมะละแหม่ง ยังคงเป็นเรื่องเล่าที่อบอวล ด้วยกลิ่นอายของความโรแมนติก และโศกเศร้า แต่คำถามที่หลายคนยังสงสัยคือ... เรื่องนี้มีมูลความจริงแค่ไหน? หรือเป็นเพียงตำนาน ที่แต่งเติมเสริมสีสันให้ดูหวานซึ้งเท่านั้น?

    ย้อนรอยตำนานรักข้ามพรมแดน พร้อมเปิดหลักฐานทางประวัติศาสตร์ เพื่อค้นหาคำตอบ ว่าความจริงในตำนานรักอมตะนี้ เป็นเรื่องจริง...หรือเป็นเพียงนิยายที่แต่งขึ้นมา ให้คนล้านนาหลงใหล 💔✨

    💡 "เจ้าน้อยศุขเกษม" หรือในบรรดาศักดิ์ที่รู้จักกันในนาม "เจ้าอุตรการโกศล" เป็นโอรสองค์โตของ เจ้าแก้วนวรัฐ ผู้ครองนครเชียงใหม่คนสุดท้าย กับเจ้าจามรีวงศ์ เป็นผู้มีเชื้อสายแห่งราชวงศ์ทิพย์จักรแห่งล้านนา

    เจ้าน้อยเกิดปี พ.ศ. 2423 ต่อมาในปี พ.ศ. 2441 ถูกส่งไปศึกษา ที่เมืองมะละแหม่ง ประเทศพม่า ซึ่งได้พบ "มะเมียะ" หญิงสาวแม่ค้าชาวพม่า ผู้เปลี่ยนชะตาชีวิตเจ้าน้อยศุขเกษม ไปตลอดกาล

    ได้รับแต่งตั้งเป็น "เจ้าอุตรการโกศล" ถือศักดินา 1,600 แต่ไม่ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าหลวง เนื่องจากอุปนิสัยรักสนุก ไม่เอาการเอางาน กระทั่งถึงแก่กรรม ในวันศุกร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2457 สิริอายุ 32 ปี (หากนับแบบโบราณ ตรงกับ พ.ศ. 2456 อายุ 33 ปี)

    🌸 ตำนานรักที่กล่าวขาน “มะเมียะ” หญิงงามจากแดนพม่า ถูกขนานนามว่า เป็นแม่ค้าสาวงามชาวพม่าจากเมืองมะละแหม่ง ทั้งสองพบรักกันขณะเจ้าน้อยไปศึกษายังโรงเรียนเซนต์แพทริค โดยคำบอกเล่าต่างๆ ระบุว่า

    ❤️ เจ้าน้อยศุขเกษมใช้ชีวิตร่วมกับมะเมียะฉันสามีภรรยา ด้วยการสนับสนุนจากทางบ้านของฝ่ายหญิง
    ❤️ ต่อมาเมื่อข่าวแพร่ถึงเชียงใหม่ เจ้าน้อยถูกเรียกกลับคุ้ม พร้อมคำสั่งให้เลิกคบหากับมะเมียะ อย่างเด็ดขาด
    ❤️ มะเมียะจำต้องปลอมตัวเป็นชาย เพื่อตามขบวนเจ้าน้อยกลับเชียงใหม่ แต่สุดท้ายก็ไม่อาจหลีกพ้นคำสั่ง ของผู้มีอำนาจในคุ้มเชียงใหม่ได้
    ❤️ เรื่องราวจบลงด้วยการที่มะเมียะ ถูกบีบให้เดินทางกลับบ้านเกิด น้ำตารินไหลพรากจากชายคนรักตลอดกาล…😢

    📚 ข้อเท็จจริงในหน้าประวัติศาสตร์ จากเอกสาร และหลักฐานทางประวัติศาสตร์ต่างๆ พบว่า

    📌 ไม่มีหลักฐานใดยืนยันได้ว่า "เจ้าน้อยศุขเกษม" มีความสัมพันธ์กับ "มะเมียะ" จริงในประวัติศาสตร์
    📌 เรื่องราวที่ "ปราณี ศิริธร ณ พัทลุง" นำไปเผยแพร่ในหนังสือ "เพ็ชร์ลานนา" และ ชีวิตรักเจ้าเชียงใหม่ อาจมีโครงเรื่องบางส่วน ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเหตุการณ์ของ "เจ้าวงษ์ตวัน ณ เชียงใหม่" ผู้เป็นน้องชายต่างพระมารดาของเจ้าน้อย
    📌 หลักฐานต่างๆ ชี้ชัดว่า เจ้าน้อยศุขเกษมไม่ได้มีบทบาทสำคัญ ในการสืบราชสันตติวงศ์ของเชียงใหม่ และมีนิสัยไม่รับผิดชอบ จึงได้รับแต่งตั้งเพียงตำแหน่ง "เจ้าอุตรการโกศล"
    📌 เจ้าศุขเกษมสิ้นชีพ ด้วยโรคเส้นประสาทพิการเรื้อรัง ไม่ใช่เพราะตรอมใจ จากการพลัดพรากกับคนรัก

    🧐 ตำนานที่สร้างจากเรื่องจริง…หรือเพียงจินตนาการ? การบอกเล่าต่อๆ กันในหมู่เจ้านายฝ่ายเหนือและประชาชนล้านนาในยุคหลัง ได้ขยายความ และเติมแต่งจนเรื่องราวความรักนี้ กลายเป็นนิยายโศกนาฏกรรม ที่ชวนให้คนฟังหลงใหล

    🌿 "จรัล มโนเพ็ชร" นำเรื่องนี้ไปประพันธ์เป็นบทเพลง "มะเมี้ยะ" และขับร้องด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย ทำให้ตำนานนี้ กลายเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย
    🌿 เมื่อเรื่องราวถูกถ่ายทอดผ่านเพลง และสื่อหนังสือพิมพ์มากขึ้น ผู้คนจำนวนมากเชื่อว่า นี่คือเรื่องจริงของ "เจ้าน้อยศุขเกษม"
    🌿 แท้จริงแล้ว ตำนานดังกล่าว น่าจะได้รับแรงบันดาลใจจากชีวิตของ "เจ้าวงษ์ตวัน" ซึ่งเคยมีปัญหาเรื่องพาผู้หญิงหลบหนี และถูกส่งตัวกลับเชียงใหม่ ตามจดหมายเหตุในสมัยรัชกาลที่ 5 และ 6

    📖 หลักฐานสนับสนุนจากประวัติศาสตร์ล้านนา
    📜 จดหมายเหตุรายวัน ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
    📜 รายงานการศึกษาของเจ้าวงษ์ตวัน ณ เชียงใหม่ ที่เล่าเรียนในโรงเรียนราชวิทยาลัย
    📜 บันทึกการแต่งตั้งตำแหน่ง "เจ้าอุตรการโกศล" ของเจ้าน้อยศุขเกษม
    📜 บทสัมภาษณ์เจ้าดวงเดือน ณ เชียงใหม่ ผู้ร่วมสมัยที่กล่าวถึงเหตุการณ์ เรียกตัวเจ้าน้อยศุขเกษมกลับเชียงใหม่

    🔍 วิเคราะห์และตีความใหม่ เรื่องราวความรักที่เล่าขานระหว่าง "เจ้าน้อยศุขเกษม" กับ "มะเมียะ"
    ✅ มีเค้าโครงจากเรื่องจริงบางส่วน ในราชสำนักเชียงใหม่
    ✅ ถูกเติมแต่งให้มีความโรแมนติกและดราม่า เพื่อให้ชาวบ้านและคนรุ่นหลังเข้าถึง และจดจำได้ง่าย
    ✅ สะท้อนภาพชีวิตในยุคล้านนา ที่ยังคงเคร่งครัดในระบบชนชั้น และการสมรสตามขนบธรรมเนียม
    ✅ ใช้เป็นสัญลักษณ์ของความรักต้องห้าม และการต่อสู้กับกรอบประเพณีเก่าก่อน

    ❤️ "เจ้าน้อยศุขเกษม" กับ "มะเมียะ" ตำนานที่ยังคงมีชีวิต แม้จะไม่มีหลักฐานชี้ชัดว่า ความรักครั้งนี้เป็นจริง แต่เรื่องราว "เจ้าน้อยศุขเกษม" และ "มะเมียะ" ก็ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของ "รักแท้ที่ไม่มีวันสมหวัง"

    🌸 ถูกถ่ายทอดเป็นนิยาย เพลง บทละคร และศิลปวัฒนธรรมในล้านนา
    🌸 กลายเป็นเครื่องเตือนใจ ถึงข้อจำกัดทางชนชั้น และการเมืองในอดีต
    🌸 ยังเป็นตำนานที่คนรุ่นใหม่ศึกษา ซาบซึ้งในแง่มุมของความรัก และความเสียสละ

    📌 สรุปข้อเท็จจริง
    📝 ตำนานรัก "เจ้าน้อยศุขเกษม กับ มะเมียะ" คือ นิยายประวัติศาสตร์ ที่แต่งเติมจากเรื่องจริงบางส่วน
    📝 ข้อเท็จจริงประวัติศาสตร์ยืนยันว่า "เจ้าวงษ์ตวัน" มีชีวิตที่คล้ายกับตำนานดังกล่าวมากกว่า
    📝 การเล่าขานที่ต่อเติมจากรุ่นสู่รุ่น ทำให้ความจริงและเรื่องแต่ง ผสมปนเปกันอย่างลงตัว
    📝 ตำนานนี้ยังคงมีเสน่ห์และคุณค่า ในฐานะเรื่องเล่าแห่งความรักของชาวล้านนา

    🌟 ความรักอาจไม่มีพรมแดน... แต่ขนบธรรมเนียมและประเพณีในอดีตต่างหาก ที่เป็นกำแพงยากจะข้ามได้ 🌟

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 200807 มี.ค. 2568

    📚 🏷️ #ตำนานรักมะเมียะ #เจ้าน้อยศุขเกษม #ล้านนาประวัติศาสตร์ #เชียงใหม่ในอดีต #เพลงมะเมี้ยะ #เรื่องจริงหรือนิยาย #ประวัติศาสตร์ล้านนา #เชียงใหม่เมืองโบราณ #ตำนานล้านนา #รักข้ามพรมแดน
    111 ปี สิ้น “เจ้าน้อยศุขเกษม” ปิดตำนานรักสาวชาวพม่า “มะเมียะ” เรื่องจริง หรือแค่…อิงนิยาย? 🕰️ ตำนานรักข้ามชาติ ที่คนรุ่นหลังยังคงกล่าวขาน 🕰️ 📝 111 ปีที่ผ่านไป…เรื่องราวความรักระหว่าง "เจ้าน้อยศุขเกษม" แห่งนครเชียงใหม่ และ "มะเมียะ" สาวงามจากเมืองมะละแหม่ง ยังคงเป็นเรื่องเล่าที่อบอวล ด้วยกลิ่นอายของความโรแมนติก และโศกเศร้า แต่คำถามที่หลายคนยังสงสัยคือ... เรื่องนี้มีมูลความจริงแค่ไหน? หรือเป็นเพียงตำนาน ที่แต่งเติมเสริมสีสันให้ดูหวานซึ้งเท่านั้น? ย้อนรอยตำนานรักข้ามพรมแดน พร้อมเปิดหลักฐานทางประวัติศาสตร์ เพื่อค้นหาคำตอบ ว่าความจริงในตำนานรักอมตะนี้ เป็นเรื่องจริง...หรือเป็นเพียงนิยายที่แต่งขึ้นมา ให้คนล้านนาหลงใหล 💔✨ 💡 "เจ้าน้อยศุขเกษม" หรือในบรรดาศักดิ์ที่รู้จักกันในนาม "เจ้าอุตรการโกศล" เป็นโอรสองค์โตของ เจ้าแก้วนวรัฐ ผู้ครองนครเชียงใหม่คนสุดท้าย กับเจ้าจามรีวงศ์ เป็นผู้มีเชื้อสายแห่งราชวงศ์ทิพย์จักรแห่งล้านนา เจ้าน้อยเกิดปี พ.ศ. 2423 ต่อมาในปี พ.ศ. 2441 ถูกส่งไปศึกษา ที่เมืองมะละแหม่ง ประเทศพม่า ซึ่งได้พบ "มะเมียะ" หญิงสาวแม่ค้าชาวพม่า ผู้เปลี่ยนชะตาชีวิตเจ้าน้อยศุขเกษม ไปตลอดกาล ได้รับแต่งตั้งเป็น "เจ้าอุตรการโกศล" ถือศักดินา 1,600 แต่ไม่ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าหลวง เนื่องจากอุปนิสัยรักสนุก ไม่เอาการเอางาน กระทั่งถึงแก่กรรม ในวันศุกร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2457 สิริอายุ 32 ปี (หากนับแบบโบราณ ตรงกับ พ.ศ. 2456 อายุ 33 ปี) 🌸 ตำนานรักที่กล่าวขาน “มะเมียะ” หญิงงามจากแดนพม่า ถูกขนานนามว่า เป็นแม่ค้าสาวงามชาวพม่าจากเมืองมะละแหม่ง ทั้งสองพบรักกันขณะเจ้าน้อยไปศึกษายังโรงเรียนเซนต์แพทริค โดยคำบอกเล่าต่างๆ ระบุว่า ❤️ เจ้าน้อยศุขเกษมใช้ชีวิตร่วมกับมะเมียะฉันสามีภรรยา ด้วยการสนับสนุนจากทางบ้านของฝ่ายหญิง ❤️ ต่อมาเมื่อข่าวแพร่ถึงเชียงใหม่ เจ้าน้อยถูกเรียกกลับคุ้ม พร้อมคำสั่งให้เลิกคบหากับมะเมียะ อย่างเด็ดขาด ❤️ มะเมียะจำต้องปลอมตัวเป็นชาย เพื่อตามขบวนเจ้าน้อยกลับเชียงใหม่ แต่สุดท้ายก็ไม่อาจหลีกพ้นคำสั่ง ของผู้มีอำนาจในคุ้มเชียงใหม่ได้ ❤️ เรื่องราวจบลงด้วยการที่มะเมียะ ถูกบีบให้เดินทางกลับบ้านเกิด น้ำตารินไหลพรากจากชายคนรักตลอดกาล…😢 📚 ข้อเท็จจริงในหน้าประวัติศาสตร์ จากเอกสาร และหลักฐานทางประวัติศาสตร์ต่างๆ พบว่า 📌 ไม่มีหลักฐานใดยืนยันได้ว่า "เจ้าน้อยศุขเกษม" มีความสัมพันธ์กับ "มะเมียะ" จริงในประวัติศาสตร์ 📌 เรื่องราวที่ "ปราณี ศิริธร ณ พัทลุง" นำไปเผยแพร่ในหนังสือ "เพ็ชร์ลานนา" และ ชีวิตรักเจ้าเชียงใหม่ อาจมีโครงเรื่องบางส่วน ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเหตุการณ์ของ "เจ้าวงษ์ตวัน ณ เชียงใหม่" ผู้เป็นน้องชายต่างพระมารดาของเจ้าน้อย 📌 หลักฐานต่างๆ ชี้ชัดว่า เจ้าน้อยศุขเกษมไม่ได้มีบทบาทสำคัญ ในการสืบราชสันตติวงศ์ของเชียงใหม่ และมีนิสัยไม่รับผิดชอบ จึงได้รับแต่งตั้งเพียงตำแหน่ง "เจ้าอุตรการโกศล" 📌 เจ้าศุขเกษมสิ้นชีพ ด้วยโรคเส้นประสาทพิการเรื้อรัง ไม่ใช่เพราะตรอมใจ จากการพลัดพรากกับคนรัก 🧐 ตำนานที่สร้างจากเรื่องจริง…หรือเพียงจินตนาการ? การบอกเล่าต่อๆ กันในหมู่เจ้านายฝ่ายเหนือและประชาชนล้านนาในยุคหลัง ได้ขยายความ และเติมแต่งจนเรื่องราวความรักนี้ กลายเป็นนิยายโศกนาฏกรรม ที่ชวนให้คนฟังหลงใหล 🌿 "จรัล มโนเพ็ชร" นำเรื่องนี้ไปประพันธ์เป็นบทเพลง "มะเมี้ยะ" และขับร้องด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย ทำให้ตำนานนี้ กลายเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย 🌿 เมื่อเรื่องราวถูกถ่ายทอดผ่านเพลง และสื่อหนังสือพิมพ์มากขึ้น ผู้คนจำนวนมากเชื่อว่า นี่คือเรื่องจริงของ "เจ้าน้อยศุขเกษม" 🌿 แท้จริงแล้ว ตำนานดังกล่าว น่าจะได้รับแรงบันดาลใจจากชีวิตของ "เจ้าวงษ์ตวัน" ซึ่งเคยมีปัญหาเรื่องพาผู้หญิงหลบหนี และถูกส่งตัวกลับเชียงใหม่ ตามจดหมายเหตุในสมัยรัชกาลที่ 5 และ 6 📖 หลักฐานสนับสนุนจากประวัติศาสตร์ล้านนา 📜 จดหมายเหตุรายวัน ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว 📜 รายงานการศึกษาของเจ้าวงษ์ตวัน ณ เชียงใหม่ ที่เล่าเรียนในโรงเรียนราชวิทยาลัย 📜 บันทึกการแต่งตั้งตำแหน่ง "เจ้าอุตรการโกศล" ของเจ้าน้อยศุขเกษม 📜 บทสัมภาษณ์เจ้าดวงเดือน ณ เชียงใหม่ ผู้ร่วมสมัยที่กล่าวถึงเหตุการณ์ เรียกตัวเจ้าน้อยศุขเกษมกลับเชียงใหม่ 🔍 วิเคราะห์และตีความใหม่ เรื่องราวความรักที่เล่าขานระหว่าง "เจ้าน้อยศุขเกษม" กับ "มะเมียะ" ✅ มีเค้าโครงจากเรื่องจริงบางส่วน ในราชสำนักเชียงใหม่ ✅ ถูกเติมแต่งให้มีความโรแมนติกและดราม่า เพื่อให้ชาวบ้านและคนรุ่นหลังเข้าถึง และจดจำได้ง่าย ✅ สะท้อนภาพชีวิตในยุคล้านนา ที่ยังคงเคร่งครัดในระบบชนชั้น และการสมรสตามขนบธรรมเนียม ✅ ใช้เป็นสัญลักษณ์ของความรักต้องห้าม และการต่อสู้กับกรอบประเพณีเก่าก่อน ❤️ "เจ้าน้อยศุขเกษม" กับ "มะเมียะ" ตำนานที่ยังคงมีชีวิต แม้จะไม่มีหลักฐานชี้ชัดว่า ความรักครั้งนี้เป็นจริง แต่เรื่องราว "เจ้าน้อยศุขเกษม" และ "มะเมียะ" ก็ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของ "รักแท้ที่ไม่มีวันสมหวัง" 🌸 ถูกถ่ายทอดเป็นนิยาย เพลง บทละคร และศิลปวัฒนธรรมในล้านนา 🌸 กลายเป็นเครื่องเตือนใจ ถึงข้อจำกัดทางชนชั้น และการเมืองในอดีต 🌸 ยังเป็นตำนานที่คนรุ่นใหม่ศึกษา ซาบซึ้งในแง่มุมของความรัก และความเสียสละ 📌 สรุปข้อเท็จจริง 📝 ตำนานรัก "เจ้าน้อยศุขเกษม กับ มะเมียะ" คือ นิยายประวัติศาสตร์ ที่แต่งเติมจากเรื่องจริงบางส่วน 📝 ข้อเท็จจริงประวัติศาสตร์ยืนยันว่า "เจ้าวงษ์ตวัน" มีชีวิตที่คล้ายกับตำนานดังกล่าวมากกว่า 📝 การเล่าขานที่ต่อเติมจากรุ่นสู่รุ่น ทำให้ความจริงและเรื่องแต่ง ผสมปนเปกันอย่างลงตัว 📝 ตำนานนี้ยังคงมีเสน่ห์และคุณค่า ในฐานะเรื่องเล่าแห่งความรักของชาวล้านนา 🌟 ความรักอาจไม่มีพรมแดน... แต่ขนบธรรมเนียมและประเพณีในอดีตต่างหาก ที่เป็นกำแพงยากจะข้ามได้ 🌟 ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 200807 มี.ค. 2568 📚 🏷️ #ตำนานรักมะเมียะ #เจ้าน้อยศุขเกษม #ล้านนาประวัติศาสตร์ #เชียงใหม่ในอดีต #เพลงมะเมี้ยะ #เรื่องจริงหรือนิยาย #ประวัติศาสตร์ล้านนา #เชียงใหม่เมืองโบราณ #ตำนานล้านนา #รักข้ามพรมแดน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 206 มุมมอง 0 รีวิว
  • สวัสดีค่ะ Storyฯ หายไปตามรอยซากุระมา จำได้ว่าตอนที่เคยเล่าถึงความหมายของดอกเหมยในวัฒนธรรมจีน มีเพื่อนเพจถามถึงดอกซากุระด้วย วันนี้เลยมาคุยกันสั้นๆ

    เพื่อนเพจคงทราบดีว่าดอกซากุระเป็นดอกไม้ประจำชาติของญี่ปุ่น มีคนกล่าวถึงความหมายของมันต่อคนญี่ปุ่นว่าจริงแล้วคือ Rebirth หรือการเกิดใหม่ กล่าวคือการยอมรับความไม่จีรังในชีวิตแต่ยังเปี่ยมด้วยความหวังว่าสิ่งดีๆ จะเกิดขึ้นใหม่ เฉกเช่นดอกซากุระที่บานให้ชื่นชมเพียงไม่นานก็ร่วงโรยแต่แล้วก็จะผลิใหม่และเบ่งบานให้ชมอีกเรื่อยไป นอกจากนี้ยังมีอีกหลายความหมาย เช่น ความสำเร็จ หัวใจที่เข้มแข็ง ความรัก ความบริสุทธิ์ และความอ่อนโยน ฯลฯ ซึ่งเหล่านี้ล้วนให้อารมณ์แห่งความหวังและความสุข

    แล้วที่จีนล่ะ?

    ดอกซากุระมีชื่อจีนว่า ‘อิงฮวา’ (樱花) หรือโบราณเคยเรียกว่า ‘อิงเถา’ แต่มีการระบุชัดว่าไม่ใช่ดอกท้อ (เถาฮวา) เฉพาะในประเทศจีนมีกว่าสี่สิบสายพันธุ์ เชื่อว่ามีการเริ่มปลูกต้นอิงฮวาในเขตพระราชฐานมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮั่น แต่แพร่สู่บ้านเรือนสามัญชนและพบเห็นได้ทั่วไปในสมัยราชวงศ์ถัง (บ้างก็ว่าในช่วงสมัยถังนี่เองที่ อิงฮวาหรือซากุระถูกเผยแพร่ในญี่ปุ่น) ต่อมาในสมัยซ่งเหนือคนหันมานิยมดอกเหมยมากกว่า ทำให้ดอกอิงฮวาถูกกล่าวขานถึงน้อยลง

    ผลงานทางศิลปะเกี่ยวกับอิงฮวามีน้อยมาก ไม่ว่าจะเป็นบทกวีหรือภาพวาด โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับดอกบ๊วยหรือดอกท้อที่ดูจะเป็นแรงบันดาลใจให้กับผลงานมากกว่า แรกเริ่มเลยในงานประพันธ์ต่างๆ จะเรียกมันว่า ‘ซันอิง’ หมายถึงต้นอิงฮวาที่โตตามป่าเขา โดยบทกวีที่เก่าแก่ที่สุดเกี่ยวกับอิงฮวาคือในสมัยราชวงศ์ใต้ ประพันธ์โดยเสิ่นเยวี้ย (ค.ศ. 441-513) เป็นการบรรยายถึงดอกซันอิงบานรับฤดูใบไม้ผลิ คงจะกล่าวได้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่ดอกอิงฮวาถูกโยงเข้ากับการมาเยือนของวสันตฤดู

    ในสมัยถังมีบทกวีเกี่ยวกับดอกอิงฮวามากกว่ายุคสมัยอื่น บ่งบอกถึงความนิยมในสมัยนั้น โดยนักการเมืองไป๋จวีอี (ค.ศ. 772-846) ได้สร้างผลงานบทกวีชื่นชมความงามของดอกอิงฮวาไว้หลายบท แต่ผลงานของเขามักบ่งบอกถึงอารมณ์แห่งความเสียดายยามบุปผาโรยรา ทว่าแฝงไว้ซึ่งความหวังเพราะซันอิงยังจะคงอยู่และผลิบานใหม่ท่ามกลางป่าเขา โดยผลงานเหล่านี้สะท้อนถึงชีวิตทางการเมืองที่ผ่านร้อนผ่านหนาวของเขา

    อิงฮวากลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่ทราบได้ แต่ในช่วงยุคสมัยถังเช่นเดียวกัน มีการกล่าวถึงธรรมเนียมการหักกิ่งอิงฮวามอบให้กันยามคู่รักต้องจากลา โดยใช้อิงฮวาเป็นตัวแทนแห่งความคนึงหา และในหลายบทกวีในยุคนั้น ใช้อิงฮวาเปรียบเปรยถึงความคิดถึงและความอ้างว้าง ดุจฉากดอกอิงฮวาร่วงโรยโปรยพลิ้วในสายลม Storyฯ ขอยกตัวอย่างจากบทกวี <หักกิ่งบุปผามอบอำลา> ของหยวนเจิ่นในสมัยถัง (ขออภัยหากแปลไม่สละสลวย) ที่กล่าวถึงความอาลัยอาวรณ์ของสตรียามต้องส่งชายคนรักจากไป:
    “ส่งท่านใต้ร่มเงาอิงเถา ใจวสันต์ฝากไว้ในกิ่ง
    ที่ใดชวนให้คำนึงถึงที่สุด นั่นคือป่าอิงเถาอันดารดาษ”

    ต่อมาอิงฮวากลายมาเป็นสัญลักษณ์ของสตรีเพศที่อ่อนหวานและอ่อนโยน ไม่ปรากฏชัดเจนว่ามุมมองในลักษณะนี้เกิดขึ้นเมื่อใด แต่ในบทกวี <ซันอิง> ของหวางอันสือในยุคสมัยซ่งเหนือ (คนเดียวกับที่ฝากผลงานอันโดดเด่น <เหมยฮวา> ที่ Storyฯ เคยเขียนไปแล้ว) มีการบรรยายเปรียบเปรยอิงฮวาดุจสตรีที่เอียงอายหลบอยู่ใต้เงาไม้และเบ่งบานหลังดอกไม้อื่น แต่เมื่อลมวสันต์โชยก็พัดพากลิ่นหอมขจรขจายให้ความงามเป็นที่ประจักษ์ต่อผู้คน

    จะเห็นได้ว่า ในวัฒนธรรมจีนนั้น ความหมายของดอกอิงฮวาคล้ายคลึงกับซากุระในวัฒนธรรมญี่ปุ่น คือเป็นตัวแทนแห่งความไม่จีรัง ความบริสุทธิ์ และความอ่อนหวาน

    แต่ในความคล้ายคลึงก็มีความแตกต่าง เพราะซากุระในญี่ปุ่นแฝงไว้ด้วยความหวังท่ามกลางความไม่จีรังในชีวิต แต่โดยส่วนตัวแล้ว Storyฯ รู้สึกว่าบทกวีเกี่ยวกับอิงฮวาของจีนมักแฝงไว้ด้วยความเศร้า หากจะกล่าวว่าดอกบ๊วยเป็นตัวแทนแห่งความงามที่คงทน ดอกอิงฮวาก็คงเป็นตัวแทนแห่งความงามที่เปราะบาง

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    รูปภาพจาก: พี่ชายของ Storyฯ เอง
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://news.bjd.com.cn/2022/04/08/10066983.shtml
    https://www.baike.com/wikiid/4777101092071907963?from=wiki_content&prd=innerlink&view_id=32kicegvg8m000
    https://www.163.com/dy/article/HV0LDNRE05418YI9.html

    #อิงฮวา #ซากุระจีน
    สวัสดีค่ะ Storyฯ หายไปตามรอยซากุระมา จำได้ว่าตอนที่เคยเล่าถึงความหมายของดอกเหมยในวัฒนธรรมจีน มีเพื่อนเพจถามถึงดอกซากุระด้วย วันนี้เลยมาคุยกันสั้นๆ เพื่อนเพจคงทราบดีว่าดอกซากุระเป็นดอกไม้ประจำชาติของญี่ปุ่น มีคนกล่าวถึงความหมายของมันต่อคนญี่ปุ่นว่าจริงแล้วคือ Rebirth หรือการเกิดใหม่ กล่าวคือการยอมรับความไม่จีรังในชีวิตแต่ยังเปี่ยมด้วยความหวังว่าสิ่งดีๆ จะเกิดขึ้นใหม่ เฉกเช่นดอกซากุระที่บานให้ชื่นชมเพียงไม่นานก็ร่วงโรยแต่แล้วก็จะผลิใหม่และเบ่งบานให้ชมอีกเรื่อยไป นอกจากนี้ยังมีอีกหลายความหมาย เช่น ความสำเร็จ หัวใจที่เข้มแข็ง ความรัก ความบริสุทธิ์ และความอ่อนโยน ฯลฯ ซึ่งเหล่านี้ล้วนให้อารมณ์แห่งความหวังและความสุข แล้วที่จีนล่ะ? ดอกซากุระมีชื่อจีนว่า ‘อิงฮวา’ (樱花) หรือโบราณเคยเรียกว่า ‘อิงเถา’ แต่มีการระบุชัดว่าไม่ใช่ดอกท้อ (เถาฮวา) เฉพาะในประเทศจีนมีกว่าสี่สิบสายพันธุ์ เชื่อว่ามีการเริ่มปลูกต้นอิงฮวาในเขตพระราชฐานมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮั่น แต่แพร่สู่บ้านเรือนสามัญชนและพบเห็นได้ทั่วไปในสมัยราชวงศ์ถัง (บ้างก็ว่าในช่วงสมัยถังนี่เองที่ อิงฮวาหรือซากุระถูกเผยแพร่ในญี่ปุ่น) ต่อมาในสมัยซ่งเหนือคนหันมานิยมดอกเหมยมากกว่า ทำให้ดอกอิงฮวาถูกกล่าวขานถึงน้อยลง ผลงานทางศิลปะเกี่ยวกับอิงฮวามีน้อยมาก ไม่ว่าจะเป็นบทกวีหรือภาพวาด โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับดอกบ๊วยหรือดอกท้อที่ดูจะเป็นแรงบันดาลใจให้กับผลงานมากกว่า แรกเริ่มเลยในงานประพันธ์ต่างๆ จะเรียกมันว่า ‘ซันอิง’ หมายถึงต้นอิงฮวาที่โตตามป่าเขา โดยบทกวีที่เก่าแก่ที่สุดเกี่ยวกับอิงฮวาคือในสมัยราชวงศ์ใต้ ประพันธ์โดยเสิ่นเยวี้ย (ค.ศ. 441-513) เป็นการบรรยายถึงดอกซันอิงบานรับฤดูใบไม้ผลิ คงจะกล่าวได้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่ดอกอิงฮวาถูกโยงเข้ากับการมาเยือนของวสันตฤดู ในสมัยถังมีบทกวีเกี่ยวกับดอกอิงฮวามากกว่ายุคสมัยอื่น บ่งบอกถึงความนิยมในสมัยนั้น โดยนักการเมืองไป๋จวีอี (ค.ศ. 772-846) ได้สร้างผลงานบทกวีชื่นชมความงามของดอกอิงฮวาไว้หลายบท แต่ผลงานของเขามักบ่งบอกถึงอารมณ์แห่งความเสียดายยามบุปผาโรยรา ทว่าแฝงไว้ซึ่งความหวังเพราะซันอิงยังจะคงอยู่และผลิบานใหม่ท่ามกลางป่าเขา โดยผลงานเหล่านี้สะท้อนถึงชีวิตทางการเมืองที่ผ่านร้อนผ่านหนาวของเขา อิงฮวากลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่ทราบได้ แต่ในช่วงยุคสมัยถังเช่นเดียวกัน มีการกล่าวถึงธรรมเนียมการหักกิ่งอิงฮวามอบให้กันยามคู่รักต้องจากลา โดยใช้อิงฮวาเป็นตัวแทนแห่งความคนึงหา และในหลายบทกวีในยุคนั้น ใช้อิงฮวาเปรียบเปรยถึงความคิดถึงและความอ้างว้าง ดุจฉากดอกอิงฮวาร่วงโรยโปรยพลิ้วในสายลม Storyฯ ขอยกตัวอย่างจากบทกวี <หักกิ่งบุปผามอบอำลา> ของหยวนเจิ่นในสมัยถัง (ขออภัยหากแปลไม่สละสลวย) ที่กล่าวถึงความอาลัยอาวรณ์ของสตรียามต้องส่งชายคนรักจากไป: “ส่งท่านใต้ร่มเงาอิงเถา ใจวสันต์ฝากไว้ในกิ่ง ที่ใดชวนให้คำนึงถึงที่สุด นั่นคือป่าอิงเถาอันดารดาษ” ต่อมาอิงฮวากลายมาเป็นสัญลักษณ์ของสตรีเพศที่อ่อนหวานและอ่อนโยน ไม่ปรากฏชัดเจนว่ามุมมองในลักษณะนี้เกิดขึ้นเมื่อใด แต่ในบทกวี <ซันอิง> ของหวางอันสือในยุคสมัยซ่งเหนือ (คนเดียวกับที่ฝากผลงานอันโดดเด่น <เหมยฮวา> ที่ Storyฯ เคยเขียนไปแล้ว) มีการบรรยายเปรียบเปรยอิงฮวาดุจสตรีที่เอียงอายหลบอยู่ใต้เงาไม้และเบ่งบานหลังดอกไม้อื่น แต่เมื่อลมวสันต์โชยก็พัดพากลิ่นหอมขจรขจายให้ความงามเป็นที่ประจักษ์ต่อผู้คน จะเห็นได้ว่า ในวัฒนธรรมจีนนั้น ความหมายของดอกอิงฮวาคล้ายคลึงกับซากุระในวัฒนธรรมญี่ปุ่น คือเป็นตัวแทนแห่งความไม่จีรัง ความบริสุทธิ์ และความอ่อนหวาน แต่ในความคล้ายคลึงก็มีความแตกต่าง เพราะซากุระในญี่ปุ่นแฝงไว้ด้วยความหวังท่ามกลางความไม่จีรังในชีวิต แต่โดยส่วนตัวแล้ว Storyฯ รู้สึกว่าบทกวีเกี่ยวกับอิงฮวาของจีนมักแฝงไว้ด้วยความเศร้า หากจะกล่าวว่าดอกบ๊วยเป็นตัวแทนแห่งความงามที่คงทน ดอกอิงฮวาก็คงเป็นตัวแทนแห่งความงามที่เปราะบาง (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) รูปภาพจาก: พี่ชายของ Storyฯ เอง Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://news.bjd.com.cn/2022/04/08/10066983.shtml https://www.baike.com/wikiid/4777101092071907963?from=wiki_content&prd=innerlink&view_id=32kicegvg8m000 https://www.163.com/dy/article/HV0LDNRE05418YI9.html #อิงฮวา #ซากุระจีน
    樱花 花开花谢皆诗意的早春花木_北京日报网
    我国野生樱花品种最多 樱属植物广泛分布于北半球的温带与亚热带地区。亚洲、欧洲、北美洲均有分布,但主要集中在东亚地区。中国的西南、华南、长江流域、华北、东北地区,俄罗斯、日本、朝鲜一线,以及缅甸、不丹...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 170 มุมมอง 0 รีวิว
  • จีนไม่ยอมเสียท่าเรือคลองปานามา 📌สั่งตรวจสอบดีลขาย CK Hutchison มูลค่า $22.8 พันล้าน ให้ BlackRock ดึงประเด็นความมั่นคง-กฎหมายต่อต้านการผูกขาด 📌หลังสหรัฐฯ แสดงความยินดี ฮ่องกง-ปักกิ่งประณามเป็น "การกลั่นแกล้ง" ทางเศรษฐกิจ ด้าน CK Hutchison ยืนยันเป็นธุรกรรมเชิงพาณิชย์👉รัฐบาลจีนกำลังตรวจสอบข้อตกลงการขายท่าเรือบริเวณคลองปานามาของบริษัท CK Hutchison จากฮ่องกงให้กับกลุ่มนักลงทุนที่นำโดยบริษัท BlackRock ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นดีลมูลค่า 22.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างสองประเทศ สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ปักกิ่งได้สั่งการให้หน่วยงานหลายแห่งดำเนินการตรวจสอบธุรกรรมดังกล่าวเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา โดยมุ่งเน้นไปที่ประเด็นความเสี่ยงด้านความมั่นคงและการละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาด ซึ่งเป็นคำสั่งจากผู้นำระดับสูงของจีน ความเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ได้แสดงความยินดีกับข้อตกลงนี้ก่อนหน้านี้ ทั้งที่ในอดีตเคยกล่าวหาว่าจีนพยายามควบคุมเส้นทางน้ำสำคัญทางยุทธศาสตร์แห่งนี้ และเรียกร้องให้ "ถอดคลองปานามาออกจากการควบคุมของจีน" อย่างไรก็ตาม หนึ่งสัปดาห์หลังการประกาศข้อตกลง สำนักงานกิจการฮ่องกงและมาเก๊าของจีนได้เผยแพร่บทวิจารณ์ที่เรียกการขายครั้งนี้ว่าเป็น "การทรยศต่อจีน" และละเลยผลประโยชน์ของชาติ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนได้กล่าวว่า "จีนคัดค้านอย่างหนักแน่นต่อการละเมิดหรือบ่อนทำลายสิทธิและผลประโยชน์อันชอบธรรมของประเทศอื่นๆ ด้วยการบังคับขู่เข็ญทางเศรษฐกิจและการกลั่นแกล้ง" ซึ่งสอดคล้องกับถ้อยแถลงของจอห์น ลี ผู้นำฮ่องกง ที่เรียกร้องให้รัฐบาลต่างประเทศจัดเตรียมสภาพแวดล้อมที่ยุติธรรมสำหรับองค์กรธุรกิจ ด้านบริษัท CK Hutchison ยืนยันว่าข้อตกลงนี้ "มีลักษณะเชิงพาณิชย์ล้วนๆ และไม่เกี่ยวข้องกับรายงานข่าวการเมืองล่าสุดเกี่ยวกับท่าเรือปานามา" และระบุว่าได้ตกลงเจรจากับกลุ่ม BlackRock แต่เพียงผู้เดียวเป็นเวลา 145 วัน แม้ข้อตกลงยังไม่เสร็จสิ้นสมบูรณ์ แต่ยังไม่มีความชัดเจนว่าจีนจะสามารถใช้กลไกใดในการยับยั้งการขายนี้ได้หรือไม่ เนื่องจากธุรกิจที่ Hutchison กำลังขายมีฐานอยู่นอกประเทศจีนและฮ่องกง อีกทั้งบริษัทเองก็จดทะเบียนในหมู่เกาะเคย์แมน #imctnews รายงาน
    จีนไม่ยอมเสียท่าเรือคลองปานามา 📌สั่งตรวจสอบดีลขาย CK Hutchison มูลค่า $22.8 พันล้าน ให้ BlackRock ดึงประเด็นความมั่นคง-กฎหมายต่อต้านการผูกขาด 📌หลังสหรัฐฯ แสดงความยินดี ฮ่องกง-ปักกิ่งประณามเป็น "การกลั่นแกล้ง" ทางเศรษฐกิจ ด้าน CK Hutchison ยืนยันเป็นธุรกรรมเชิงพาณิชย์👉รัฐบาลจีนกำลังตรวจสอบข้อตกลงการขายท่าเรือบริเวณคลองปานามาของบริษัท CK Hutchison จากฮ่องกงให้กับกลุ่มนักลงทุนที่นำโดยบริษัท BlackRock ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นดีลมูลค่า 22.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างสองประเทศ สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ปักกิ่งได้สั่งการให้หน่วยงานหลายแห่งดำเนินการตรวจสอบธุรกรรมดังกล่าวเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา โดยมุ่งเน้นไปที่ประเด็นความเสี่ยงด้านความมั่นคงและการละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาด ซึ่งเป็นคำสั่งจากผู้นำระดับสูงของจีน ความเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ได้แสดงความยินดีกับข้อตกลงนี้ก่อนหน้านี้ ทั้งที่ในอดีตเคยกล่าวหาว่าจีนพยายามควบคุมเส้นทางน้ำสำคัญทางยุทธศาสตร์แห่งนี้ และเรียกร้องให้ "ถอดคลองปานามาออกจากการควบคุมของจีน" อย่างไรก็ตาม หนึ่งสัปดาห์หลังการประกาศข้อตกลง สำนักงานกิจการฮ่องกงและมาเก๊าของจีนได้เผยแพร่บทวิจารณ์ที่เรียกการขายครั้งนี้ว่าเป็น "การทรยศต่อจีน" และละเลยผลประโยชน์ของชาติ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนได้กล่าวว่า "จีนคัดค้านอย่างหนักแน่นต่อการละเมิดหรือบ่อนทำลายสิทธิและผลประโยชน์อันชอบธรรมของประเทศอื่นๆ ด้วยการบังคับขู่เข็ญทางเศรษฐกิจและการกลั่นแกล้ง" ซึ่งสอดคล้องกับถ้อยแถลงของจอห์น ลี ผู้นำฮ่องกง ที่เรียกร้องให้รัฐบาลต่างประเทศจัดเตรียมสภาพแวดล้อมที่ยุติธรรมสำหรับองค์กรธุรกิจ ด้านบริษัท CK Hutchison ยืนยันว่าข้อตกลงนี้ "มีลักษณะเชิงพาณิชย์ล้วนๆ และไม่เกี่ยวข้องกับรายงานข่าวการเมืองล่าสุดเกี่ยวกับท่าเรือปานามา" และระบุว่าได้ตกลงเจรจากับกลุ่ม BlackRock แต่เพียงผู้เดียวเป็นเวลา 145 วัน แม้ข้อตกลงยังไม่เสร็จสิ้นสมบูรณ์ แต่ยังไม่มีความชัดเจนว่าจีนจะสามารถใช้กลไกใดในการยับยั้งการขายนี้ได้หรือไม่ เนื่องจากธุรกิจที่ Hutchison กำลังขายมีฐานอยู่นอกประเทศจีนและฮ่องกง อีกทั้งบริษัทเองก็จดทะเบียนในหมู่เกาะเคย์แมน #imctnews รายงาน
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 156 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลักษณะทางธรณีวิทยาใต้ถนนพระรามที่ 2 เป็นหนองน้ำป่าพรุ ที่นักการเมืองกว้านซื้อมาในราคาถูกๆ แลัวตัดถนนผ่านที่ดินของตนเอง ซึ่งไม่เหมาะกับการสร้างทางหลวงสายหลัก.
    ลักษณะทางธรณีวิทยาใต้ถนนพระรามที่ 2 เป็นหนองน้ำป่าพรุ ที่นักการเมืองกว้านซื้อมาในราคาถูกๆ แลัวตัดถนนผ่านที่ดินของตนเอง ซึ่งไม่เหมาะกับการสร้างทางหลวงสายหลัก.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 70 มุมมอง 0 รีวิว
  • ซื้อหนี้ประชาชน อันตรายบนศีลธรรม

    เป็นที่วิจารณ์ไม่หยุด สำหรับแนวคิดรับซื้อหนี้จากประชาชนทั้งหมดออกจากระบบธนาคาร แล้วให้ประชาชนค่อยๆ ผ่อน ไม่ต้องชำระเต็มจำนวน ให้เริ่มต้นชีวิตใหม่ ทำมาหากินใหม่ โดยอ้างว่าจะให้หนี้สินคนไทยหมดไป ไม่ต้องใช้เงินรัฐสักบาท ให้เอกชนลงทุน แม้แนวคิดดูเลื่อนลอย แต่ก็เป็นความกังวลของสังคมไทย นักกลยุทธ์การลงทุนรายหนึ่งโพสต์ข้อความว่า "การซื้อหนี้ 16 ล้านล้านบาท ไม่มีเอกชนหน้าโง่ที่ไหนซื้อหนี้ราคาสูงแล้วมาแฮร์คัต (Hair Cut หรือปิดจบด้วยเงินก้อน) ให้ลูกหนี้ ถ้ารัฐไม่ล้างผลาญงบฯ จ่ายส่วนต่างให้" มีชาวเน็ตแชร์ออกไปนับร้อยครั้ง

    นายยรรยง ไทยเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานวิจัยเศรษฐกิจและความยั่งยืน ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) กล่าวว่า แนวคิดการรับซื้อหนี้เสียของประชาชน จากธนาคารพาณิชย์มาบริหารจัดการ กรอบสำคัญคือต้องมองให้ครบ บูรณาการผลกระทบต่างๆ สำคัญคือที่มาของเงินมาจากไหน เพราะอาจจะเป็นภาระทางการคลังได้ และคำนึงผลกระทบเชิง Moral hazard ต้องหาจุดตรงกลางในการช่วยเหลือ

    ส่วนธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ที่ผ่านมาแบงก์ชาติยึดหลักแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน 3 ประการ คือ 1. ต้องสนับสนุนวินัยทางการเงินที่ดี ไม่สร้างแรงจูงใจที่ผิด ทำให้เกิดปัญหา Moral hazard 2. สนับสนุนการเข้าถึงสินเชื่อของลูกหนี้ในระยะข้างหน้า และ 3. ต้องแก้ปัญหาหนี้อย่างตรงจุด และเสริมสร้างความมั่นคงให้แก่ระบบการเงินในภาพรวม

    Moral hazard หรือภัยทางศีลธรรม อันตรายบนศีลธรรม จรรยาสามานย์ แล้วแต่จะเรียก เกิดขึ้นเมื่อผู้มีส่วนได้เสียคือลูกหนี้ มีแรงจูงใจหรือมีสิ่งล่อใจแล้วเอาเปรียบอีกฝ่ายโดยเพิ่มความเสี่ยงให้ตัวเอง เพราะรู้ดีว่าถ้าล้มเมื่อไหร่เดี๋ยวก็ได้รับการช่วยเหลือ เปรียบคนเบี้ยวหนี้กองทุน กยศ.คิดว่าเดี๋ยวรัฐบาลจะลดยอดหนี้ให้ ชาวนาไม่ฟังทางการทำนาในฤดูแล้ง เมื่อเสียหายก็ได้เงินชดเชยจากรัฐบาล เป็นเครื่องมือให้นักการเมืองฉวยโอกาสสร้างคะแนนนิยมเอาเปรียบประชาชนผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

    การซื้อหนี้จากธนาคารแล้วให้ประชาชนค่อยๆ ผ่อน เหมือนเริ่มต้นจะสวยหรูแต่ขมขื่นระยะยาว เฉกเช่นบริษัทสินเชื่อแห่งหนึ่ง เปิดฉากกวาดลูกค้าจากค่ายอื่นแล้วได้ลูกค้ากลุ่มที่เป็นปัญหา มีประวัติผิดนัดชำระหนี้จากที่อื่นย้ายหนีจำนวนมาก สุดท้ายก็สร้างปัญหา ผลประกอบการขาดทุนย่อยยับ แล้วขายพอร์ตสินเชื่อให้กับผู้สนใจรายใหม่ จากนั้นรายใหม่ก็อาจนำไปเล่นแร่แปรธาตุ เช่น ปล่อยหุ้นกู้แล้วไม่จ่ายคืน กลายเป็นมันนี่เกมที่อาจทำให้นักลงทุนซึ่งเป็นคนธรรมดาอาจถึงขั้นสิ้นเนื้อประดาตัว

    #Newskit
    ซื้อหนี้ประชาชน อันตรายบนศีลธรรม เป็นที่วิจารณ์ไม่หยุด สำหรับแนวคิดรับซื้อหนี้จากประชาชนทั้งหมดออกจากระบบธนาคาร แล้วให้ประชาชนค่อยๆ ผ่อน ไม่ต้องชำระเต็มจำนวน ให้เริ่มต้นชีวิตใหม่ ทำมาหากินใหม่ โดยอ้างว่าจะให้หนี้สินคนไทยหมดไป ไม่ต้องใช้เงินรัฐสักบาท ให้เอกชนลงทุน แม้แนวคิดดูเลื่อนลอย แต่ก็เป็นความกังวลของสังคมไทย นักกลยุทธ์การลงทุนรายหนึ่งโพสต์ข้อความว่า "การซื้อหนี้ 16 ล้านล้านบาท ไม่มีเอกชนหน้าโง่ที่ไหนซื้อหนี้ราคาสูงแล้วมาแฮร์คัต (Hair Cut หรือปิดจบด้วยเงินก้อน) ให้ลูกหนี้ ถ้ารัฐไม่ล้างผลาญงบฯ จ่ายส่วนต่างให้" มีชาวเน็ตแชร์ออกไปนับร้อยครั้ง นายยรรยง ไทยเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานวิจัยเศรษฐกิจและความยั่งยืน ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) กล่าวว่า แนวคิดการรับซื้อหนี้เสียของประชาชน จากธนาคารพาณิชย์มาบริหารจัดการ กรอบสำคัญคือต้องมองให้ครบ บูรณาการผลกระทบต่างๆ สำคัญคือที่มาของเงินมาจากไหน เพราะอาจจะเป็นภาระทางการคลังได้ และคำนึงผลกระทบเชิง Moral hazard ต้องหาจุดตรงกลางในการช่วยเหลือ ส่วนธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ที่ผ่านมาแบงก์ชาติยึดหลักแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน 3 ประการ คือ 1. ต้องสนับสนุนวินัยทางการเงินที่ดี ไม่สร้างแรงจูงใจที่ผิด ทำให้เกิดปัญหา Moral hazard 2. สนับสนุนการเข้าถึงสินเชื่อของลูกหนี้ในระยะข้างหน้า และ 3. ต้องแก้ปัญหาหนี้อย่างตรงจุด และเสริมสร้างความมั่นคงให้แก่ระบบการเงินในภาพรวม Moral hazard หรือภัยทางศีลธรรม อันตรายบนศีลธรรม จรรยาสามานย์ แล้วแต่จะเรียก เกิดขึ้นเมื่อผู้มีส่วนได้เสียคือลูกหนี้ มีแรงจูงใจหรือมีสิ่งล่อใจแล้วเอาเปรียบอีกฝ่ายโดยเพิ่มความเสี่ยงให้ตัวเอง เพราะรู้ดีว่าถ้าล้มเมื่อไหร่เดี๋ยวก็ได้รับการช่วยเหลือ เปรียบคนเบี้ยวหนี้กองทุน กยศ.คิดว่าเดี๋ยวรัฐบาลจะลดยอดหนี้ให้ ชาวนาไม่ฟังทางการทำนาในฤดูแล้ง เมื่อเสียหายก็ได้เงินชดเชยจากรัฐบาล เป็นเครื่องมือให้นักการเมืองฉวยโอกาสสร้างคะแนนนิยมเอาเปรียบประชาชนผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา การซื้อหนี้จากธนาคารแล้วให้ประชาชนค่อยๆ ผ่อน เหมือนเริ่มต้นจะสวยหรูแต่ขมขื่นระยะยาว เฉกเช่นบริษัทสินเชื่อแห่งหนึ่ง เปิดฉากกวาดลูกค้าจากค่ายอื่นแล้วได้ลูกค้ากลุ่มที่เป็นปัญหา มีประวัติผิดนัดชำระหนี้จากที่อื่นย้ายหนีจำนวนมาก สุดท้ายก็สร้างปัญหา ผลประกอบการขาดทุนย่อยยับ แล้วขายพอร์ตสินเชื่อให้กับผู้สนใจรายใหม่ จากนั้นรายใหม่ก็อาจนำไปเล่นแร่แปรธาตุ เช่น ปล่อยหุ้นกู้แล้วไม่จ่ายคืน กลายเป็นมันนี่เกมที่อาจทำให้นักลงทุนซึ่งเป็นคนธรรมดาอาจถึงขั้นสิ้นเนื้อประดาตัว #Newskit
    Like
    Sad
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 285 มุมมอง 0 รีวิว
  • วุฒิภาวะผู้นำสตรีไทย…กี่โมง!? : คนเคาะข่าว 19-03-68

    ร่วมสนทนา
    ดร.มัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข อดีตที่ปรึกษาว่าการกระทรวงพาณิชย์
    ดำเนินรายการโดย กรองทอง เศรษฐสุทธิ์

    #คนเคาะข่าว #วุฒิภาวะผู้นำ #สตรีไทย #บทบาทสตรี #สังคมไทย #การเมืองไทย #มัลลิกาบุญมีตระกูล #ผู้นำหญิง #ความเท่าเทียมทางเพศ #ข่าวการเมือง #วิเคราะห์สังคม #thaiTimes #การบริหารประเทศ #เศรษฐกิจการเมือง
    วุฒิภาวะผู้นำสตรีไทย…กี่โมง!? : คนเคาะข่าว 19-03-68 ร่วมสนทนา ดร.มัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข อดีตที่ปรึกษาว่าการกระทรวงพาณิชย์ ดำเนินรายการโดย กรองทอง เศรษฐสุทธิ์ #คนเคาะข่าว #วุฒิภาวะผู้นำ #สตรีไทย #บทบาทสตรี #สังคมไทย #การเมืองไทย #มัลลิกาบุญมีตระกูล #ผู้นำหญิง #ความเท่าเทียมทางเพศ #ข่าวการเมือง #วิเคราะห์สังคม #thaiTimes #การบริหารประเทศ #เศรษฐกิจการเมือง
    Like
    Love
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 414 มุมมอง 4 0 รีวิว
  • ## สรุป ประเด็นเกี่ยวข้องกับ สงครามยูเครน ##
    ..
    ..
    อังกฤษ และ ฝรั่งเศส ระดมพลเตรียมส่งทหารเข้าไปใน ยูเครน
    .
    ขณะที่ อิตาลี ไม่เห็นด้วย และ สนับสนุนแนวทางการเจรจาของ ทรัมป์
    .
    แน่นอนว่า ยูโรป อีกหลายประเทศ สนับสนุน การรวมตัวจัดตั้งกองกำลังขึ้นเพื่อจัดการ รัสเซีย หลัง อเมริกา มีท่าที ละทิ้ง NATO
    .
    ทรัมป์ คือ พ่อค้า เขาคำนวณถึงผลได้ผลเสีย เขามีเป้าหมายทางเศรษฐกิจ ดังนั้นกิจกรรมใดที่สิ้นเปลื้องทรัพยากรโดยใช่เหตุ ทรัมป์ จะตัดออกทั้งหมด
    .
    เช่น งบประมาณสนับสนุน USAID และ NED กระทั่ง VOA เพราะองค์กรเหล่านี้ ใช้เงินจำนวนมหาศาล
    .
    เช่น
    .
    USAID ใช้เงินหลายหมื่นล้านในปีที่แล้ว สนับสนุน กลุ่มบุคคลในประเทศอื่น เพื่อแทรกซึม แทรกแซง กิจการภายใน และ การเมืองภายในประเทศอื่น
    .
    รวมไปถึง NED และ CIA ก็เช่นกัน
    .
    ส่วน VOA เป็น สถานีข่าว Propaganda สำหรับ โฆษณาชวนเชื่อ สร้างข่าวเท็จใส่ร้ายศัตรูของ อเมริกา และ เพื่อประโยชน์ทางการเมือง ของ อเมริกา
    .
    รวม 3-4 องค์กรนี้ ใช้งบปาเข้าไปเป็นแสนล้านดอลลาร์
    .
    กระทั่งมาถึง องค์กร NATO ที่ อเมริกา ใช้งบประมาณ แบกไว้ เกิน 60% ของสมาชิก NATO ทั้งหมด
    .
    ทรัมป์ พูดไม่ผิด ทำไม อเมริกา ต้องแบก NATO เพราะเพื่อปัญหา "ขี้ขึ้นสมองของยุโรป" ถ้า ยุโรป กลัว รัสเซีย จะรุกราน ก็จ่ายเงินเองสิ
    .
    ก่อนหน้านี้ อเมริกา ปกครองโดย พวกซ้ายจัด จึงแสร้งทำตัวราวกับเป็นนักบุญ (แต่ทำชั่วทุกวัน)
    .
    และ แน่นอนว่าต้องการวางตัวเป็นพี่ใหญ่ เป็นนักเลงคุมตรอก และ ต้องการควบคุมโลก และ เขียนระเบียบโลก ที่เอาเปรียบคนอื่นเสมอมาตลอดไป
    .
    อเมริกา จึงเป็นประเทศเดียวที่ใช้งบประมาณทางการทหาร เป็นอันดับ 1 ซึ่งมากกว่า อันดับ 2-7 รวมกัน
    .
    เพราะเหตุนี้ ทรัมป์ มองว่า เป็นเหตุผลให้ถ่วง อเมริกา ไม่สามารถพัฒนาประเทศได้เลย กระทั่งถูก จีน หายใจรดต้นคอ และ แซงไปในหลายด้านแล้ว
    .
    ขณะเดียวกันกับที่ ทรัมป์ ขอเจรจาหยุดยิง 30 วัน ในยูเครน ปูติน เองก็ไม่ได้โง่ เขารู้ว่า ยูโรปกำลังทำอะไร ฝรั่งเศส กับ อังกฤษ ห้าวเป้ง ปากดีขนาดไหน
    .
    ปูติน มีประสบการณ์ ก่อนหน้านี้ ที่เคยโดน อเมริกา และ ยุโรป รวมหัวกันหลอกเขา ในสนธิสัญญากรุงมินสก์
    .
    ซึ่ง แองเกลลา เมอร์เคิล ยอมรับเองกับปากว่า "เราหลอกรัสเซีย"
    .
    หลอกในที่นี้คือ หลอกให้ รัสเซีย เซ็นสัญญากรุงมินสก์ ให้หยุดยิงกัน ระหว่างประชาชนในแคว้นดอนบาส กับ พวกนีโอนาซี ยื้อเวลา ให้พวก นีโอนาซี และ ยูเครน สะสมกำลังรบกระทั่ง ยูเครน พร้อมจะรบกับ รัสเซีย (แต่ รัสเซีย ดันบุกก่อน)
    .
    ทั้งหมดมันส่อ มีแสดงชัดว่า ยุโรป เองนั่นแหล่ะ ที่ต้องการจัดการ รัสเซีย และ อเมริกา ก็ใช้ประโยชน์จากความ ประสาทแดก ขี้ขึ้นสมอง ของ ยุโรป ในการหาประโยชน์...
    .
    ปูติน ไม่ได้โง่ครับ เขาไม่ได้ต้องการครอบครอง ยูเครน ทั่งหมด รัสเซีย พูดมานานแล้วว่า ต้องการให้ ยูเครน เป็น บัฟเฟอร์สเตท เป็นรัฐที่เป็นกลาง ไม่ฝั่กใฝ่ฝ่ายใด
    .
    และ ยูเครน ก็กว้างใหญ่เกินไป ที่ รัสเซีย จะใช้ทหารเข้าไปยึดครองพื้นที่ทั้งหมด ปูติน คือ อดีตสายลับ KGB ความฉลาดนั้นไม่ต้องสงสัย ฉลาดกว่าผู้ปกครองหลายประเทศเยอะ
    .
    รัสเซีย ไม่ได้เป็นภัยของใครเลย ขณะเดียวกัน ในยุคใหม่ที่ ปูติน ปกครองรัสเซีย รัสเซีย เริ่มกลับมามีที่ยืนในเวทีโลก ทำการค้า และ ส่งน้ำมัน ก๊าซ และ ธัญพืชให้ยูโรป
    .
    ยูโรป เองต่างหากที่มีจิตใต้สำนึก หวาดระแวงจนถึงขั้น ขี้ขึ้นสมอง และ อเมริกา ก็ไม่ต้องการให้ รัสเซีย แข็งแรงขึ้น จึงสามารถใช้ประโยชน์จากการนี้เสมอมา...
    .
    สรุป ปูนติน น่าจะต้องการ การหยุดยิงถาวร พร้อมแพ็กเกจเพิ่มเติม เช่น ห้าม ยูเครน เข้า NATO ชั่วกาลปาวสาน ยกเลิกการคว่ำบาตรทางการค้า ต้องคืนทรัพสินของรัสเซียที่ยึดไป รับรอง ไครเมียร์ และ แคว้นที่รัสเซียยึดครองได้แล้ว เป็นแผ่นดินของรัสเซีย ห้ามมีทหาร NATO ใน ยูเครน
    ## สรุป ประเด็นเกี่ยวข้องกับ สงครามยูเครน ## .. .. อังกฤษ และ ฝรั่งเศส ระดมพลเตรียมส่งทหารเข้าไปใน ยูเครน . ขณะที่ อิตาลี ไม่เห็นด้วย และ สนับสนุนแนวทางการเจรจาของ ทรัมป์ . แน่นอนว่า ยูโรป อีกหลายประเทศ สนับสนุน การรวมตัวจัดตั้งกองกำลังขึ้นเพื่อจัดการ รัสเซีย หลัง อเมริกา มีท่าที ละทิ้ง NATO . ทรัมป์ คือ พ่อค้า เขาคำนวณถึงผลได้ผลเสีย เขามีเป้าหมายทางเศรษฐกิจ ดังนั้นกิจกรรมใดที่สิ้นเปลื้องทรัพยากรโดยใช่เหตุ ทรัมป์ จะตัดออกทั้งหมด . เช่น งบประมาณสนับสนุน USAID และ NED กระทั่ง VOA เพราะองค์กรเหล่านี้ ใช้เงินจำนวนมหาศาล . เช่น . USAID ใช้เงินหลายหมื่นล้านในปีที่แล้ว สนับสนุน กลุ่มบุคคลในประเทศอื่น เพื่อแทรกซึม แทรกแซง กิจการภายใน และ การเมืองภายในประเทศอื่น . รวมไปถึง NED และ CIA ก็เช่นกัน . ส่วน VOA เป็น สถานีข่าว Propaganda สำหรับ โฆษณาชวนเชื่อ สร้างข่าวเท็จใส่ร้ายศัตรูของ อเมริกา และ เพื่อประโยชน์ทางการเมือง ของ อเมริกา . รวม 3-4 องค์กรนี้ ใช้งบปาเข้าไปเป็นแสนล้านดอลลาร์ . กระทั่งมาถึง องค์กร NATO ที่ อเมริกา ใช้งบประมาณ แบกไว้ เกิน 60% ของสมาชิก NATO ทั้งหมด . ทรัมป์ พูดไม่ผิด ทำไม อเมริกา ต้องแบก NATO เพราะเพื่อปัญหา "ขี้ขึ้นสมองของยุโรป" ถ้า ยุโรป กลัว รัสเซีย จะรุกราน ก็จ่ายเงินเองสิ . ก่อนหน้านี้ อเมริกา ปกครองโดย พวกซ้ายจัด จึงแสร้งทำตัวราวกับเป็นนักบุญ (แต่ทำชั่วทุกวัน) . และ แน่นอนว่าต้องการวางตัวเป็นพี่ใหญ่ เป็นนักเลงคุมตรอก และ ต้องการควบคุมโลก และ เขียนระเบียบโลก ที่เอาเปรียบคนอื่นเสมอมาตลอดไป . อเมริกา จึงเป็นประเทศเดียวที่ใช้งบประมาณทางการทหาร เป็นอันดับ 1 ซึ่งมากกว่า อันดับ 2-7 รวมกัน . เพราะเหตุนี้ ทรัมป์ มองว่า เป็นเหตุผลให้ถ่วง อเมริกา ไม่สามารถพัฒนาประเทศได้เลย กระทั่งถูก จีน หายใจรดต้นคอ และ แซงไปในหลายด้านแล้ว . ขณะเดียวกันกับที่ ทรัมป์ ขอเจรจาหยุดยิง 30 วัน ในยูเครน ปูติน เองก็ไม่ได้โง่ เขารู้ว่า ยูโรปกำลังทำอะไร ฝรั่งเศส กับ อังกฤษ ห้าวเป้ง ปากดีขนาดไหน . ปูติน มีประสบการณ์ ก่อนหน้านี้ ที่เคยโดน อเมริกา และ ยุโรป รวมหัวกันหลอกเขา ในสนธิสัญญากรุงมินสก์ . ซึ่ง แองเกลลา เมอร์เคิล ยอมรับเองกับปากว่า "เราหลอกรัสเซีย" . หลอกในที่นี้คือ หลอกให้ รัสเซีย เซ็นสัญญากรุงมินสก์ ให้หยุดยิงกัน ระหว่างประชาชนในแคว้นดอนบาส กับ พวกนีโอนาซี ยื้อเวลา ให้พวก นีโอนาซี และ ยูเครน สะสมกำลังรบกระทั่ง ยูเครน พร้อมจะรบกับ รัสเซีย (แต่ รัสเซีย ดันบุกก่อน) . ทั้งหมดมันส่อ มีแสดงชัดว่า ยุโรป เองนั่นแหล่ะ ที่ต้องการจัดการ รัสเซีย และ อเมริกา ก็ใช้ประโยชน์จากความ ประสาทแดก ขี้ขึ้นสมอง ของ ยุโรป ในการหาประโยชน์... . ปูติน ไม่ได้โง่ครับ เขาไม่ได้ต้องการครอบครอง ยูเครน ทั่งหมด รัสเซีย พูดมานานแล้วว่า ต้องการให้ ยูเครน เป็น บัฟเฟอร์สเตท เป็นรัฐที่เป็นกลาง ไม่ฝั่กใฝ่ฝ่ายใด . และ ยูเครน ก็กว้างใหญ่เกินไป ที่ รัสเซีย จะใช้ทหารเข้าไปยึดครองพื้นที่ทั้งหมด ปูติน คือ อดีตสายลับ KGB ความฉลาดนั้นไม่ต้องสงสัย ฉลาดกว่าผู้ปกครองหลายประเทศเยอะ . รัสเซีย ไม่ได้เป็นภัยของใครเลย ขณะเดียวกัน ในยุคใหม่ที่ ปูติน ปกครองรัสเซีย รัสเซีย เริ่มกลับมามีที่ยืนในเวทีโลก ทำการค้า และ ส่งน้ำมัน ก๊าซ และ ธัญพืชให้ยูโรป . ยูโรป เองต่างหากที่มีจิตใต้สำนึก หวาดระแวงจนถึงขั้น ขี้ขึ้นสมอง และ อเมริกา ก็ไม่ต้องการให้ รัสเซีย แข็งแรงขึ้น จึงสามารถใช้ประโยชน์จากการนี้เสมอมา... . สรุป ปูนติน น่าจะต้องการ การหยุดยิงถาวร พร้อมแพ็กเกจเพิ่มเติม เช่น ห้าม ยูเครน เข้า NATO ชั่วกาลปาวสาน ยกเลิกการคว่ำบาตรทางการค้า ต้องคืนทรัพสินของรัสเซียที่ยึดไป รับรอง ไครเมียร์ และ แคว้นที่รัสเซียยึดครองได้แล้ว เป็นแผ่นดินของรัสเซีย ห้ามมีทหาร NATO ใน ยูเครน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 210 มุมมอง 0 รีวิว
  • 'เลขาฯ พท.' ผิดหวัง 'วิโรจน์'เป็นคนรุ่นใหม่ แต่เล่นการเมืองเก่า หลังว่านายกฯ ไม่รู้สี่รู้แปด เชื่อ สังคมแยกแยะวุฒิภาวะได้
    https://www.thai-tai.tv/news/17713/
    'เลขาฯ พท.' ผิดหวัง 'วิโรจน์'เป็นคนรุ่นใหม่ แต่เล่นการเมืองเก่า หลังว่านายกฯ ไม่รู้สี่รู้แปด เชื่อ สังคมแยกแยะวุฒิภาวะได้ https://www.thai-tai.tv/news/17713/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 61 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ถ้าเป็นคนที่มีจิตวิญญาณคงทำไม่ได้"
    หลอกทำข้อตกลงหยุดยิง
    ชาวปาเลสไตน์ที่ลี้ภัยสงครามทะยอยกลับเข้ากาซา
    แน่นอนว่าสมาชิกฮามาสกลับเข้ามาด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่อิสราเอลรู้ดีอยู่แล้ว
    โจมตีอย่างรุนแรงโดยไม่แจ้งล่วงหน้า เพื่อทำลายสมาชิกฮามาส โดยการแลกชีวิตชาวปาเลสไตน์ผู้บริสุทธิ์ รายงานล่าสุด เสียชีวิต 354 ราย เป็นเด็กเล็ก 50 ราย ผู้หญิงอีก 30 ราย

    การโจมตีของอิสราเอลครั้งนี้ สามารถทำลายแกนนำระดับสูงของกลุ่มฮามาสลงได้ รวมถึงนายยาสเซอร์ ฮาร์บ สมาชิกสำนักงานการเมืองและเจ้าหน้าที่รัฐบาล

    นอกจากนี้ ยังมีนายเอสซัม อัล-ดาลิส หัวหน้าคณะกรรมการติดตามการทำงานของกลุ่มฮามาส นายอาเหม็ด อัล-ฮัตตา ปลัดกระทรวงยุติธรรมของกลุ่มฮามาส นายมะห์มูด อาบู วัตฟา ปลัดกระทรวงมหาดไทย และนายบาห์จัต อาบู สุลต่าน อธิบดีกรมความมั่นคงภายใน

    คำถามง่ายๆคือ กลุ่มฮามาสจะสูญสลายไปหรือไม่ ในเมื่อหลายฝ่ายออกมาเตือนอิสราเอลตั้งแต่เริ่มต้นทำสงครามแล้วว่า ฮามาสไม่ใช่บุคคล แต่พวกเขาคือเป็นจิตวิญญาณ แม้การทำลายสมาชิกระดับแกนนำ แต่พวกเข้าก็สามารถสร้างขึ้นใหม่ได้ตลอด และแสดงให้เห็นแล้วว่าเป็นเช่นนั้นจริง
    "ถ้าเป็นคนที่มีจิตวิญญาณคงทำไม่ได้" หลอกทำข้อตกลงหยุดยิง ชาวปาเลสไตน์ที่ลี้ภัยสงครามทะยอยกลับเข้ากาซา แน่นอนว่าสมาชิกฮามาสกลับเข้ามาด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่อิสราเอลรู้ดีอยู่แล้ว โจมตีอย่างรุนแรงโดยไม่แจ้งล่วงหน้า เพื่อทำลายสมาชิกฮามาส โดยการแลกชีวิตชาวปาเลสไตน์ผู้บริสุทธิ์ รายงานล่าสุด เสียชีวิต 354 ราย เป็นเด็กเล็ก 50 ราย ผู้หญิงอีก 30 ราย การโจมตีของอิสราเอลครั้งนี้ สามารถทำลายแกนนำระดับสูงของกลุ่มฮามาสลงได้ รวมถึงนายยาสเซอร์ ฮาร์บ สมาชิกสำนักงานการเมืองและเจ้าหน้าที่รัฐบาล นอกจากนี้ ยังมีนายเอสซัม อัล-ดาลิส หัวหน้าคณะกรรมการติดตามการทำงานของกลุ่มฮามาส นายอาเหม็ด อัล-ฮัตตา ปลัดกระทรวงยุติธรรมของกลุ่มฮามาส นายมะห์มูด อาบู วัตฟา ปลัดกระทรวงมหาดไทย และนายบาห์จัต อาบู สุลต่าน อธิบดีกรมความมั่นคงภายใน คำถามง่ายๆคือ กลุ่มฮามาสจะสูญสลายไปหรือไม่ ในเมื่อหลายฝ่ายออกมาเตือนอิสราเอลตั้งแต่เริ่มต้นทำสงครามแล้วว่า ฮามาสไม่ใช่บุคคล แต่พวกเขาคือเป็นจิตวิญญาณ แม้การทำลายสมาชิกระดับแกนนำ แต่พวกเข้าก็สามารถสร้างขึ้นใหม่ได้ตลอด และแสดงให้เห็นแล้วว่าเป็นเช่นนั้นจริง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 264 มุมมอง 0 รีวิว
  • 'นายกรัฐมนตรี' ป้อง 'ทักษิณ' ซื้อหนี้ ปชช. ออกจากระบบธนาคาร หวังดีกับ ปท. ขออย่ามองเป็นการเมือง
    https://www.thai-tai.tv/news/17702/
    'นายกรัฐมนตรี' ป้อง 'ทักษิณ' ซื้อหนี้ ปชช. ออกจากระบบธนาคาร หวังดีกับ ปท. ขออย่ามองเป็นการเมือง https://www.thai-tai.tv/news/17702/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 66 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts