• "AI จุดกระแสสร้างศูนย์ข้อมูลยักษ์ใน Data Centre Alley – แต่ชุมชนเริ่มตั้งคำถาม"

    Ashburn เมืองเล็กใน Loudoun County รัฐเวอร์จิเนีย กลายเป็นศูนย์กลางของโลกดิจิทัล โดยมี 152 ศูนย์ข้อมูลในพื้นที่เพียง 40 ตารางกิโลเมตร และรองรับกว่า 70% ของการจราจรอินเทอร์เน็ตโลกในแต่ละช่วงเวลา. การลงทุนด้าน AI ทำให้เกิดการเร่งสร้างศูนย์ข้อมูลใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง

    ข้อมูลจาก US Census Bureau ระบุว่าในปี 2025 บริษัทเอกชนใช้เงินกว่า 40 พันล้านดอลลาร์ต่อเดือน เพื่อสร้างศูนย์ข้อมูลในสหรัฐฯ เทียบกับเพียง 1.8 พันล้านดอลลาร์เมื่อสิบปีก่อน. โครงการเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นเมกะโปรเจกต์จาก Google, Amazon, Microsoft และ OpenAI

    อย่างไรก็ตาม ศูนย์ข้อมูลรุ่นใหม่ที่ใช้ GPU ของ Nvidia สำหรับการฝึก AI ต้องการพลังงานและโครงสร้างที่ใหญ่และแข็งแรงกว่ามาก รวมถึงระบบ ระบายความร้อนด้วยน้ำ แทนเครื่องปรับอากาศทั่วไป ทำให้เกิดข้อกังวลด้านสิ่งแวดล้อมและการใช้ทรัพยากรในท้องถิ่น

    แม้ศูนย์ข้อมูลจะสร้างรายได้และโครงสร้างพื้นฐานใหม่ให้กับเมือง แต่ งานถาวรมีน้อย ส่วนใหญ่จำกัดอยู่ในช่วงก่อสร้าง ขณะเดียวกันนักการเมืองท้องถิ่นเริ่มรณรงค์ให้ ชะลอการขยายตัว แทนที่จะดึงดูดการลงทุนเพิ่ม เพราะชุมชนเริ่มตั้งคำถามถึงผลกระทบระยะยาวต่อพลังงานและคุณภาพชีวิต

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ข้อมูลจากข่าว
    Ashburn มีศูนย์ข้อมูล 152 แห่งในพื้นที่ 40 ตร.กม.
    รองรับกว่า 70% ของการจราจรอินเทอร์เน็ตโลก
    การลงทุนสร้างศูนย์ข้อมูลในสหรัฐฯ พุ่งถึง 40 พันล้านดอลลาร์ต่อเดือนในปี 2025
    ใช้ GPU ของ Nvidia และระบบระบายความร้อนด้วยน้ำ

    ข้อมูลเสริมจาก Internet
    ตลาดศูนย์ข้อมูลทั่วโลกคาดว่าจะเติบโตเฉลี่ย 10% ต่อปีในช่วง 2025–2030
    หลายประเทศเริ่มออกกฎหมายจำกัดการใช้พลังงานและน้ำของศูนย์ข้อมูล
    การแข่งขัน AI ทำให้บริษัทเทคโนโลยีเร่งสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับโมเดลขนาดใหญ่

    คำเตือนจากข่าว
    ศูนย์ข้อมูลใช้ไฟฟ้าในเวอร์จิเนียมากเท่ากับทั้งเมืองนิวยอร์กในปีที่ผ่านมา
    งานถาวรในศูนย์ข้อมูลมีน้อย ทำให้ผลประโยชน์ต่อชุมชนจำกัด
    การขยายตัวอาจกระทบสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของประชาชน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/04/in-data-centre-alley-ai-sows-building-boom-doubts
    🏗️ "AI จุดกระแสสร้างศูนย์ข้อมูลยักษ์ใน Data Centre Alley – แต่ชุมชนเริ่มตั้งคำถาม" Ashburn เมืองเล็กใน Loudoun County รัฐเวอร์จิเนีย กลายเป็นศูนย์กลางของโลกดิจิทัล โดยมี 152 ศูนย์ข้อมูลในพื้นที่เพียง 40 ตารางกิโลเมตร และรองรับกว่า 70% ของการจราจรอินเทอร์เน็ตโลกในแต่ละช่วงเวลา. การลงทุนด้าน AI ทำให้เกิดการเร่งสร้างศูนย์ข้อมูลใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง ข้อมูลจาก US Census Bureau ระบุว่าในปี 2025 บริษัทเอกชนใช้เงินกว่า 40 พันล้านดอลลาร์ต่อเดือน เพื่อสร้างศูนย์ข้อมูลในสหรัฐฯ เทียบกับเพียง 1.8 พันล้านดอลลาร์เมื่อสิบปีก่อน. โครงการเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นเมกะโปรเจกต์จาก Google, Amazon, Microsoft และ OpenAI อย่างไรก็ตาม ศูนย์ข้อมูลรุ่นใหม่ที่ใช้ GPU ของ Nvidia สำหรับการฝึก AI ต้องการพลังงานและโครงสร้างที่ใหญ่และแข็งแรงกว่ามาก รวมถึงระบบ ระบายความร้อนด้วยน้ำ แทนเครื่องปรับอากาศทั่วไป ทำให้เกิดข้อกังวลด้านสิ่งแวดล้อมและการใช้ทรัพยากรในท้องถิ่น แม้ศูนย์ข้อมูลจะสร้างรายได้และโครงสร้างพื้นฐานใหม่ให้กับเมือง แต่ งานถาวรมีน้อย ส่วนใหญ่จำกัดอยู่ในช่วงก่อสร้าง ขณะเดียวกันนักการเมืองท้องถิ่นเริ่มรณรงค์ให้ ชะลอการขยายตัว แทนที่จะดึงดูดการลงทุนเพิ่ม เพราะชุมชนเริ่มตั้งคำถามถึงผลกระทบระยะยาวต่อพลังงานและคุณภาพชีวิต 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ข้อมูลจากข่าว ➡️ Ashburn มีศูนย์ข้อมูล 152 แห่งในพื้นที่ 40 ตร.กม. ➡️ รองรับกว่า 70% ของการจราจรอินเทอร์เน็ตโลก ➡️ การลงทุนสร้างศูนย์ข้อมูลในสหรัฐฯ พุ่งถึง 40 พันล้านดอลลาร์ต่อเดือนในปี 2025 ➡️ ใช้ GPU ของ Nvidia และระบบระบายความร้อนด้วยน้ำ ✅ ข้อมูลเสริมจาก Internet ➡️ ตลาดศูนย์ข้อมูลทั่วโลกคาดว่าจะเติบโตเฉลี่ย 10% ต่อปีในช่วง 2025–2030 ➡️ หลายประเทศเริ่มออกกฎหมายจำกัดการใช้พลังงานและน้ำของศูนย์ข้อมูล ➡️ การแข่งขัน AI ทำให้บริษัทเทคโนโลยีเร่งสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับโมเดลขนาดใหญ่ ‼️ คำเตือนจากข่าว ⛔ ศูนย์ข้อมูลใช้ไฟฟ้าในเวอร์จิเนียมากเท่ากับทั้งเมืองนิวยอร์กในปีที่ผ่านมา ⛔ งานถาวรในศูนย์ข้อมูลมีน้อย ทำให้ผลประโยชน์ต่อชุมชนจำกัด ⛔ การขยายตัวอาจกระทบสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของประชาชน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/04/in-data-centre-alley-ai-sows-building-boom-doubts
    WWW.THESTAR.COM.MY
    In Data Centre Alley, AI sows building boom, doubts
    As planes make their final approach to Washington DC's Dulles Airport, just below lies Ashburn, a town otherwise known as Data centre Alley – where an estimated 70% of all global Internet traffic at any moment finds its way.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 122 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตัดโซ่หรือตายซาก ตอนที่ 1 – 2

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” ตัดโซ่ หรือ ตายซาก”
    ตอน 1
    เรื่องหนี้ของกรีซยก 2 นี่ ถ้าเป็นหนังก็ออกรสตื่นเต้น ประเภท เกทับบลั้ฟแหลก คมเฉือนคม อะไรทำนองนั้น เพราะมันจะมีการพลิกเกมกันอยู่ตลอดเวลา ต่างฝ่ายก็เอามือล้วงกระเป๋า เหมือนมีของดีแอบอยู่ จะงัดเอาออกมาใช้เมื่อไหร่เท่า นั้น แต่จริงๆแล้ว ของดีมีจริง หรือมีปลอม ยังไม่มีใครรู้แน่ ระหว่างนั้น ก็ทำหน้าขรึม หน้าเครียดเจรจากัน สื่อก็รายงานของจริงแถมใบสั่ง เป็นโอกาสล่อให้แมงเม่าเข้าไปเล่นกองไฟ มีคนฉิบหายตายเพราะหนี้ท่วมประเทศยังไม่พอ ต้องหาแมงเม่าเข้ามาสังเวยด้วย มันถึงจะได้อารมณ์ สร้างกำไร จากความหายนะ ความคิดแบบนี้ มีทุกสัญชาติแหละครับ มากน้อย ตามสันดาน และตัณหา
    พระเอกที่จะเล่นเกมเกทับ ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นรัฐบาลชุดปัจจุบันนี้ของกรีซ ที่มาจากพรรค Syriza ซึ่งเป็นพวกที่เอนไปทางสังคมนิยม ก่อต้ังเมื่อปี ค.ศ. 2004 จากการรวมตัวของกลุ่มฝ่ายซ้ายต่างๆ ประมาณ 10 กว่ากลุ่ม Syriza เคยมีชื่อเสียงว่า เป็นพวก anti establishment เป็นพวกไม่เอาทุนนิยมว่างั้นเถอะ แม้ตอนหลังพวกเขาจะไม่เน้นเรื่อ งนี้ แต่เมื่อ Syriza ชนะเลือกตั้ง เมื่อต้นปี 2015 แน่นอน ทำให้อียูเริ่มขมวดคิ้ว เพราะดูเหมือน Syriza จะมาทำให้ชาวกรีซร้องคนเพลงกับอียู ยิ่งหัวหน้าพรรคที่ชื่อ Alexis Tsipras ประกาศชัดเจนว่า “euro is not my fetish” เงินยูโรมันก็ไม่ได้วิเศษอะไรนักหนา คำประกาศเขาให้รสชาดแบบนั้นนะครับ
    ในการเลือกต้ังดังกล่าว Syriza ขาดไปแค่ 2 คะแนน ที่จะเป็นเสียงข้างมาก พวกเขาเลยต้องผสมกับพรรคอื่นตั้ง รัฐบาล แต่ยังไงก็ได้นาย Alexis Tsipras เป็นนายกรัฐมนตรีหนุ่มแน่น อายุแค่ 40 และมีนาย Yanis Varoufakis เป็นรัฐมนตรีคลัง ที่จะมาช่วยหาวิธีถอดโซ่ ที่พวกเจ้าหนี้กรีซ เอามาคล้องคอชาวกรีซออกไป หรือทำให้โซ่คล้องคอมันหลวมหน่อย ไม่ใช่รัดติ้ว ท้องกิ่ว หายใจจะไม่ออก ไม่มีจะกินกันทั้งประเทศอย่างนี้
    นาย Alexis Tsipras เป็นลูกชาวกรีซ ที่อพยพมาจากตุรกี ตามโครงการแลกเปลี่ยนประชาชน ระหว่าง 2 ประเทศ เขาเป็นคนชอบเล่นกีฬา และทำกิจกรรมมาต้ังแต่เป็นเด็กนักเรียน หลังจากนั้นก็เริ่มเป็นนักเคลื่อนไหวไฟแรง แหม เหมือนกับจะเขียนเรื่องเจ้ายะใส หนุ่มหน้ามนของสาวๆแดนสยามเลยนะ แต่ยะใส คงต้องติวใหม่อีกแยะนะ เอาเรื่องนายอเล็กซิส ต่อแล้วกัน เขาเรียนจบด้านวิศวกรรมจากวิทยาลัยเทคนิคของกรีซ ระหว่างเรียน ก็เริ่มเข้ากลุ่มการเมืองฝ่ายซ้ายของกรีซ และได้เป็นหัวหน้านักศึกษาทางกิจกรรมการเมือง ก็คงเหมือน สนนท. ของบ้านเรานะครับ หลังจากนั้น ก็เข้าการเมืองท้องถิ่นเต็มตัว ก่อนลงสนามใหญ่
    เมื่อบรรดาพรรคฝ่ายซ้าย จับมือรวมกันเป็นพรรค Syriza นายอเล็กซิส ก็ไปเข้าร่วม แล้วในที่สุด ในปี คศ 2009 หนุ่มอเล็กซิส อายุ 30 กว่า ก็ได้เป็นหัวหน้าพรรค Syriza เป็นดาวรุ่งพุ่งแรง จะมีใครอุ้ม ใครดันหรือเปล่า ข่าวไม่บอก แล้วเขาก็พา Syriza เข้าลงเลือกต้ังในสนามใหญ่ ต้ังแต่ปี 2012 แม้ไม่ได้เป็นรัฐบาล แต่ก็ได้เข้าอยู่ในสภา ในตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายค้าน ไม่เบาเหมือนกันสำหรับ หนุ่มวัย 30 กว่า
    เมื่อ สภากรีซล่มในปี ค.ศ. 2014 และประกาศจะมีการเลือกต้ังใหม่ ในเดือนมกราคม ปี ค.ศ.2015 อเล็กซิส ระดมพลพรรค ประกาศลงเลือกต้ัง และประกาศ Thessaloniki Programme ในเดือนสิงหาคม ปี 2014 ซึ่งเป็นนโยบายที่เสนอให้มีการปรับปรุงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ และการเมืองของกรีซเสียใหม่ นอกจากนี้ ยังประกาศใช้นโยบายการหาเสียงว่า พรรค Syriza ต้ังใจจะเข้าไปแก้ไขเงื่อนไขมหาโหด ในสัญญาเงินกู้ ที่บรรดาเจ้าหนี้ต่างประเทศกำหนดไว้ เหมือนเอาโซ่มาคล้องคอชาวกรีซและทำให้ชีวิตชาวกรีซสุดแสนจะลำเค็ญ
    ในส่วนนโยบายต่างประเทศ ระหว่างการหาเสียง อเล็กซิส แสดงความไม่พอใจอย่างเผ็ดร้อน กับการตัดสินใจหลายเรื่องของยุโรป ที่คัดท้ายโดยรัฐบาลเยอรมัน ภายใต้การนำของป้าเข็มขัดเหล็ก แน่นอน มันเป็นการฝาก “รอย” ให้ไว้กับป้าเข็มขัดเหล็ก ที่ทำให้การเจรจาต่อมาระหว่างอเล็กซิส ในฐานะนายกรัฐมนตรีกรีซ กับป้าเข็มขัดเหล็ก เกี่ยวกับเรื่องหนี้ของกรีซ ฝืดสิ้นดี
    เหมือนจะให้ผู้คนแน่ใจว่าเขาคิดอย่างไร เมื่อได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี งานแรกที่ Alexis Tsipras ทำ คือ เขานำดอกกุหลาบแดงช่อใหญ่ ไปวางแสดงความเคารพที่อนุสรณ์สถานของชาวกรีซ 200 คน ที่เสียชีวิตจากการฆ่าของเยอรมัน เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม ค.ศ.1944 ….ช่างเล่นนะไอ้หนุ่ม
    งานเดินสายต่างประเทศ รายการแรกของนายกรัฐมนตรีหนุ่ม คือ ไปพบนายกรัฐมนตรี Matteo Renzi ที่โรม เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ค.ศ.2015 จับเข่าคุยในฐานะ คนเป็นลูกหนี้ ที่มีโซ่คล้องคอเหมือนกัน คุยกันเสร็จ นาย Renzi ก็มอบเนคไทไหมอิตาเลียน ให้เป็นที่ระลึกแก่ นายอเล็กซิส ซึ่งมีชื่อเสียงว่า ไม่นิยมการผูกเนคไท เขารับไว้ แล้วบอกว่า เขาจะผูกเนคไทนี้ ในวันที่ชาวกรีซ ตัดโซ่คล้องคอสำเร็จ… อยากได้ยินคำพูดแบบนี้ ในแดนสยามบ้างครับ
    ส่วน นาย Yanis Varoufakis มาคนละทางกับอเล็กซิส
    ยานิส ไม่ได้เป็นนักการเมือง เขาออกไปทางนักวิชาการ เป็นนักเศรษฐศาสตร์ และเป็นอาจารย์สอนเศรษฐศาสตร์มีชื่อเสียง แต่ใช่ว่าเขาไม่สนใจการเมือง พ่อเขาร่วมรบในสงครามกลางเมืองกรีซ โดยอยู่ฝั่งคอมมิวนิสต์ แพ้สงครามก็ถูกจับไปนอนคุกอยู่หลายปี ออกจากคุกมาทำธุรกิจ กลายเป็นผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ที่สุดของกรีซ ส่วนแม่ก็เป็นพวกคอการเมือง ครอบครัวนี้ สนับสนุนกลุ่มไอร์แลนด์เหนือให้สู้กับอังกฤษ พวกเขานับ Belfast เมืองหลวงของไอร์แลนด์เหนือเป็นบ้านที่ 2
    สำหรับคนรุ่นหลังๆ คงไม่ค่อยรู้จักวีรกรรมของชาวไอริช ที่ต้องการแยกตัวจากอังกฤษ นอกจากรู้จากดูหนัง จริงๆ คนไอริช หรือขบวนการ IRA เป็นขบวนการ ที่ถูกอังกฤษและพวก รวมทั้งสื่อ เรียกว่า เป็นผู้ก่อการร้าย ทั้งๆ ที่พวกเขาคิดการดี ในช่วงประมาณปี ค.ศ.1970 เป็นต้นมา ขบวนการ IRA จะเป็นข่าวเกือบรายวัน ในการวางระเบิดใส่อังกฤษ ผู้คนบาดเจ็บล้มตายมาก ตึกรามบ้านช่องพังวินาศ
    ไม่มีการต่อสู้เพื่อเอกราชใด หรือปลดพันธนาการใดจะได้มาง่ายๆ มันต้องลงแรงลงใจลงชีวิตทั้งนั้น ชาวแดนสยาม สบายจนเคยตัว บางพวกทำตัว ยิ่งกว่าตามสบาย เห็นแต่ประโยชน์ส่วนตัว หาความสุข สนุกไปวันๆ ไม่สนใจประเทศ และเพื่อนร่วมชาติ จนน่ารังเกียจ น่าเสียดายครับ มีของดี ไม่รู้จักคุณค่า ไม่รู้จักรักษา ชอบอยู่แต่ใน “ครอบ” ไม่อยากใช้คำว่า “คอก” ปล่อยให้มัน ฟอกย้อม ต้มตุ๋นเอาจนชิน วันไหนไม่ถูกย้อม ไม่ถูกต้ม คงกินไม่ได้นอนไม่หลับ เฮ้อ! คุยเรื่อง นายยานิสต่อดีกว่า
    เมื่อพ่อรวย ก็ส่งลูกไปเรียนที่อังกฤษ ยานิส จึงเรียน พูด และด่าเป็นภาษาอังกฤษ ได้ชัด และคมคายเอาเรื่อง สรุปว่า เขาเรียนต้ังแต่ ปริญญาตรี จนจบปริญญาเอกจากอังกฤษแล้วกัน
    เรียนจบแล้ว ก็ไปสอนหนังสือ ที่หลายมหาวิทยาลัย หลายประเทศ แล้วยังเดินทางไปดูโลกกว้างในแง่มุมของเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากสร้างให้เกิด ที่ต้องมองกันอย่างลึกซึ้ง กลับมาก็เปิดบล๊อกของตัวเอง ให้ความรู้ ความเห็น สอนคนนอกมหาวิทยาลัยไปเรื่อยๆ ที่สำคัญ เขาบอกว่า เขาไม่เห็นด้วยกับการที่กรีซ ไปกู้เงินพวกเจ้าหนี้หน้าเลือดเหล่านั้น ไม่เห็นด้วยกับเงื่อนไขที่เจ้า หนี้ต้ัง ไม่เห็นด้วยๆๆๆ สาระพัด ไม่เห็นด้วย และบอกว่า ถ้ากรีซ ปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไป ชาวกรีก ก็คงแห้งตายซาก และเกาะกรีซอันสวยงาม ก็คงล่มจมหายไปในเมดิเตอร์เรเนียน อย่างน่าเสียดาย …
    เพราะเขียนในบล๊อกแบบนี้ จนดังระเบิด เมื่อ พรรค Syriza ได้เป็นรัฐบาล จึงส่งเทียบมาเชิญ ท่านพี่ยานิส ท่านอย่ามัวแต่นั่งเขียนให้คนอ่านเลย แบบนั้นมันง่าย ( เหมือนที่ลุงนิทานทำ แค่นั่งเขียนอยู่ในบ้าน) ท่านจงออกมาใช้ภูมิปัญญา ลงมือแก้ไขปัญหาบ้านเมืองอย่าง จริงจังกับเราเถิด นายยานิส ก็ไม่เล่นตัว ไม่เรื่องมาก แค่บอกว่า พูดกันให้รู้เรื่องก่อนนะ ถ้าเอาผมไปนั่งคลัง ผมจะใช้นโยบาย อย่างที่ผมเขียน คือ เราต้องตัดโซ่ของเจ้าหนี้ ที่เอามาคล้องคอชาวกรีซ ออกเสียนะ
    นายกรัฐมนตรีหนุ่มบอก นั่นแหล่ะพี่ เราพูดเรื่องเดียวกัน พี่เอาคีมเบอร์ใหญ่สุดมาเลยนะ มาช่วยพวกผมตัดโซ่ด่วนเลย แล้วยานิสก็ไปนั่งเป็นรัฐมนตรีคลังในรัฐบาล แต่ไม่สังกัดพรรค อืม…
    เป็นต้ัง พณฯ ท่านรัฐมนตรี เขาก็ส่งทั้งรถยนต์ คนขับ ผู้ติดตาม เครื่องยศ มาให้พร้อม ยานิส ก็ส่งคืนกลับไปหมด รถยนต์ ผมมีแล้วครับ เก่าหน่อย แต่ยังวิ่งได้ดีอยู่ วันไหนอากาศดี ผมก็ไม่ใช้รถ ขี่มอร์ไซด์ไปเร็ว และประหยัดกว่า มิน่า เลยติดใส่เสื้อหนัง ส่วนผู้ติดตาม ก็ไม่จำเป็นครับ ไม่รู้จะเอามาทำอะไร ถ้าประชาชนเขาไม่พอใจผม เอาไข่ปาผมไม่กี่ที ผมก็รู้หน้าที่ว่า ควรลาออกแล้วครับ ประเทศเราจนมากนะครับ ยังมีหนี้อีกแยะ จะใช้อะไร จะทำอะไร ก็ต้องเอาแต่จำเป็น รู้จักประหยัดบ้าง รับรอง ลุงนิทานไม่ได้เขียนเอง แดกใคร คุณน้องยานิส ให้สัมภาษณ์อย่างนี้จริงๆ
    ###############
    “ตัดโซ่ หรือ ตายซาก”

    ตอน 2
    ก่อนจะเดินหน้าไปตัดโซ่ มาทบทวนกันหน่อยว่า หนี้กรีซ นี่มันอะไรนักหนา แล้วเงื่อนไขเจ้าหนี้มันทารุณเหมือนเอาโซ่มาคล้องคอชาวกรีกจริงหรือเปล่า หรือพวกหนุ่มๆ เขาเลือดร้อน ฮอร์โมนพุ่งตามวัย เห็นอะไรขัดใจนิด ขัดใจหน่อย ก็คิดชนมันซะเลย
    บรรดาขาใหญ่นักวิเคราะห์การเมือง ไม่ใช่ พวกนักวิเคราะห์การเงิน ที่เอาไว้หลอกพวกแมงเม่า บอกว่า มันไม่ใช่เป็นเรื่องว่า กรีซ ประเทศเล็กๆ ที่อยู่ในสหภาพยุโรป จะผิดนัดชำระหนี้ไหม และจะพากันจูงมือ เดินออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป หรืออียู หรือเปล่า แต่เรื่องหนี้กรีซ อาจกลายเป็นซึนามิ ทางการเงิน เศรษฐกิจ และการเมืองของยุโรปได้อย่างนึกไม่ถึง และถ้าเข้าทาง …มันอาจจะไปไกลกว่านั้น....
    ปัญหาหนี้ของกรีซ เริ่มมาต้ังแต่ปี ค.ศ.2001 ก็ต้ังแต่ กรีซ เริ่มเปลี่ยนมาใช้เงินสกุลยูโร แทนเงินสกุลดรักมาร์ของตัวเองนั่นแหละ กรีซเป็นสมาชิกอียูโซนมาต้ังแต่ปี ค.ศ.1981 แต่กรีซมีงบประมาณขาดดุลยสูงเกินเกณท์ของอียู ที่เรียกว่า Maastricht Criteria อยู่ตลอดมา ถึงจะเกินเกณท์ แต่ ปีแรกๆ ก็ไม่มีปัญหา เพราะดูเหมือนหลายประเทศในอียู ก็เกินกันทั้งนั้น และกรีซ ก็ได้ประโยชน์จากการกู้ดอกถูก ในฐานะเป็นสมาชิกอียู และมีเงินลงทุนเข้ามาเพิ่ม
    นี่คือ ความผิดพลาดของกรีซ รายการแรก ที่มองการเข้าไปอยู่ในคอกอียู แต่ด้านบวก ด้านได้ โดยไม่มองด้านลบ หรือไม่คิดว่ามีด้านลบ
    ถึง ปี ค.ศ.2004 กรีซ หลุดปากบอกว่า ตัวเองแต่งตัวเลข เพื่อไม่ให้ผิดหลักเกณฑ์อียู แต่น่าประหลาด อียูทำเหมือนไม่ได้ยิน เกิดหูบอดกระทันหันเสียอย่างนั้น ไม่เตือน ไม่ด่า ไม่ทำโทษกรีซ เพราะอะไรหรือ เพราะ ใครๆก็ทำกัน โดยเฉพาะ ฝรั่งเศส และเยอรมัน ลูกพี่ใหญ่ของอียู ด่ากรีซ ก็เหมือนด่าตัวเองด้วย แล้วถ้าจะทำโทษ จะทำอะไรล่ะ ยังไม่มีกฏกติกา เรื่องนี้เลย ไล่กรีซออกจากอียูเลยดีไหม อียูน่าจะทำได้ แต่มันจะทำให้ภาพพจน์อียู หมดท่า เหมือนแก้ผ้าประจานตัวเอง แถมตอนนั้น สมาชิกอียูยังน้อยอยู่ อยากได้ไอ้พวกพี่เบิ้ม อย่างอังกฤษ ก็ยังยักท่า หรือ รวยๆ อย่างสวีเดน เดนมาร์ก ตอนนั้น ก็ยังทำหยิ่งไม่เข้ามา นี่ถ้ารู้ว่า กรีซ แต่งตัวเลข ใครจะมา มีแต่จะไป แล้วทุกฝ่ายก็ปิดปากเงียบ หลอกตัวเอง หลอกกันเอง และหลอกคนอื่นต่อไป นี่คือความผิดส่วนของอียู ที่ไม่ได้มีเพียงครั้งเดียว
    แต่พอถึงปี ค.ศ.2009 ฝีแตก กรีซปิดต่อไปอีกไม่ไหว เพราะเงินทำท่าจะหมดประเทศ จริงๆ ก็หมดแล้ว มีแต่เงินกู้เขามา อ้อมแอ้ม ออกมาว่า มีตัวเลขงบประมาณขาดดุลย ประมาณ 12.9 % ของ จีดีพี ( ผลิตภัณท์มวลรวมภายใน ) ซึ่งเป็นตัวเลขที่เกินกว่าเกณท์ที่ อียู กำหนดไว้ ที่ 3% พูดภาษาเข้าใจง่ายๆ แปลว่า มีจ่ายจ่ายมากกว่ารายรับอยู่แยะมาก จะทำไงดีครับลูกพี่ เป็นคนธรรมดา ก็ต้องบอกว่าอยู่ในสภาพ เป็นหนี้หัวโต นอนเอามือก่ายหน้าผากจนบุบ ก็ยังไม่เห็นทางแก้ปัญหา
    ลูกพี่ยังคิดไม่ออกว่าจะใช้แผน พิฆาตชุดไหน แต่ สามหมาไน บริษัท จัดอันดับ ratings agency Standard & Poor , Fitch และ Moody’s ได้กลิ่น รีบประกาศลดอันดับความน่าเชื่อ ถือของ กรีซลงอย่างรวดเร็ว เหลือเป็นระดับ junk bond หรือระดับขยะ คือ อยู่ในสภาพล้มละลาย พันธบัตรกรีซ มีค่าไม่ต่างกับกระดาษชำระ การประกาศของ 3 หมาไน ได้ผลอย่างดียิ่ง กลางปี 2010 กรีซก็ถูกตัดขาดจากเส้นทางกู้เงินในตลาดทุนของโลก เหลือแต่เส้นทางไปสู่การเป็นประเทศล้มละลายอย่างสมบูรณ์
    กรีซแทบไม่เหลือทางเลือก จะตายช้า หรือตายเร็วเท่านั้น แล้วอัศวิน ชื่อ Troika ก็โผล่มา Troika เป็นชื่อเรียก ของสามเสือหิว IMF, ECB (European Central Bank) และ European Commission เล่นบทลูกพี่ใจดี จับมือกันจัดการให้เงินกู้ ที่อ้างว่า เป็นการช่วยฉุดกรีซขึ้นมาจากเหว รอบแรก จำนวน 340 พันล้านยูโร
    เงินจำนวนนี้ ถือว่ามากมาย และน่าจะผิดหลักเกณท์ของ IMF เสียด้วยซ้ำ แต่ทำไมอัศวิน หรือ Trioka รีบจัดการให้ สงสารกรีซมากหรือไง อ้อ ไม่ใช่ มันเป็นพวกไอ้เสือหิว มองหาเหยื่อแบบนี้ มานานแล้วต่างหาก พอเข้าใจนะครับ
    เงินกู้ ฉุดจากเหว มาพร้อมกับโซ่เหล็กคล้องคอกรีซ เป็นเงื่อนไขที่อ้างว่า เพื่อสร้างวินัยในการใช้จ่ายของกรีซ ที่กรีซ ไม่มีโอกาสต่อรอง ต้องก้มหน้ารับอย่างเดียว แต่ที่น่าสนใจ เงินกู้แลกโซ่ ควรจะมาช่วยให้สถานะของกรีซในสายตาของตลาดทุนดีขึ้น ตรงกันข้าม เงินกู้ลอยผ่านหน้ารัฐบาลกรีซ ไปเข้ากระเป๋าธนาคารต่างประเทศ ที่ให้กรีซกู้ไปก่อนหน้านี้
    เงินกู้ฉุดจากเหว กลายเป็นการใช้หนี้ ฉุดธนาคารต่างประเทศ ขึ้นมาจากเหวก่อน ชาวกรีซยังคงอยู่ในเหวต่อไป แต่มีโซ่มาคล้องคอหนักรัดติ้ว นั่งท้องกิ่วอยู่ก้นเหว ตกลงอัศวิน Troika มาช่วยใคร นี่คือ การเสียค่าโง่ครั้งที่เท่าไหร่ของกรีซ
    แล้วธนาคารต่างประเทศไหนล่ะ ที่ได้รับการชำระหนี้ไปก่อน เปิดดูอากู ก็รู้ว่า ธนาคารในอียูเองเป็นเจ้าหนี้กรี ซ ทั้งนั้น และเจ้าหนี้รายใหญ่สุด คือ เยอรมัน รองมา คือ ฝรั่งเศส พอเข้าใจแล้วนะครับว่า ทำไมนายกรัฐมนตรี อเล็กซิส ถึงเอาดอกกุหลาบแดงไปวางที่อนุสรณ์สถาน
    ก่อนการให้เงินกู้ จำนวนมโหฬาร IMF หัวหน้าใหญ่ของกลุ่มเสือหิว ที่เป็นผู้นำการกำหนดเงื่อนไข ลายโซ่คล้องคอชาวกรีซ บอกว่าการใช้จ่ายของกรีซ หนักไปที่ค่าจ้าง เป็นจำนวน ถึง 75% ของงบประมาณรายจ่าย แยกเป็นค่าจ้าง พนักงานของรัฐ ทั้งประจำ และชั่วคราว ค่าจ้างแรงงานคนทำงาน ค่าสวัสดิการ ค่าเบี้ยบำนาญ ของคนที่ทำงานมาจนแก่เหลือแต่เหงือก
    ถ้ายังจำกันได้ กรีซจัดงานแข่งกีฬาโอลิมปิค ในปี ค.ศ. 2004 ยิ่งใหญ่ และสวยงาม แน่นอนก่อนจัดงาน ต้องมีการปรับปรุงสาธารณูปโภค ถนนหนทาง ไฟฟ้า น้ำประปา ทั้งประเทศรวมทั้ง การก่อสร้าง สนามกีฬา บ้านพักนักกีฬา และอีกหลายๆอย่าง เพื่อรองรับการแข่งขัน และผู้มาชม ล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 3 ปี รายจ่ายของกรีซทั้งด้านแรงงาน และด้านก่อสร้าง ไม่บานทะโล่ ก็คงแปลกอยู่
    นอกจากนี้ยังมีหนี้ส่วนบุคคลของ ชาวกรีก ที่เห็นเป็นโอกาสที่ทำเงิน ด้วยการสร้างที่พัก สำหรับนักท่องเที่ยว ร้านอาหาร บริการรถเช่า ฯลฯ ซึ่งสร้างขึ้นมาจากเงินกู้เกือบทั้งสิ้น
    และ นี่ ก็เป็นอีกความผิดพลาด อีกรายการของกรีซ กีฬาโอลิมปิคสวยงาม สร้างชื่อเสียงให้กับกรีซ และก็สร้างหนี้ให้กับกรีซด้วย กรีซขาดทุนย่อยยับ ขายของ ไม่ได้ราคาคุ้มทุนที่ลง แถมมีหนี้ติดค้างทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน เลยเป็นโอกาสให้ IMF ผู้ชำนาญการ สั่งให้กรีซ ตัดรายการจ้างงาน และสวัสดิการ ขณะที่กรีซ พยายามขายการท่องเที่ยวประเทศของตัวเองต่อ เพื่อเอาทุนคืนจากการขาดทุนโอลิมปิค IMF ปิดประตูการจ้างงาน เปิดให้ครึ่งบานและครึ่งวัน ที่พัก ร้านอาหารเริ่มโทรม เมื่อมีลูกจ้างมาทำงานไม่พอให้บริการ นักท่องเที่ยวที่ไหน อยากจะไปเที่ยว แล้วยกกระเป๋า และ ล้างจานเอง
    ถ้าไม่แน่ใจว่า การจัดงานกีฬาโอลิมปิค ไม่ได้สร้างกำไรเสมอไป ก็ลองไปถามคุณปากจีบ นายกรัฐมนตรี ของชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ได้ว่า หลังจาก กระเสือกกระสน จัดการแข่งกีฬาโอลิมปิค เมื่อปี 2012 แล้วเป็นไง ตอนนี้ เลยต้องตัดงบสาระพัด รวมทั้งงบด้านกองทัพ เล่นเอาคุณพีปูตินของผม หัวร่อ ฮิ ฮิ
    จึงไม่เป็นเรื่องน่าแปลกใจ ที่ ในปี 2010 อัตราว่างงานของกรีซ เพิ่มขึ้นเป็น 15% ทุก 7 คนกรีก จะมีคนว่างงาน 1 คน ! เริ่มมีการประท้วงรัฐบาล การเมืองง่อนแง่น และกรีซ ก็ต้อง กู้เงินจาก อัศวิน Troika เพิ่มขึ้นอีก และโซ่คล้องคอชาวกรีซ ก็หนักขึ้นทุกที ชาวกรีซ ก็จมลงในเหวลึกลงไปทุกที
    ปี ค.ศ.2011 สถานการณ์ของกรีซ แย่ลงกว่าเดิม รัฐบาลไหนมาก็แก้ปัญหาไม่ได้ ได้แต่กู้เพิ่มเพื่อเอามาใช้หนี้เก่า หมุนไปเรื่อยๆ รัฐบาลกรีซคิดหาทางทางออกไม่เจอ เขิญผู้เชี่ยวชาญมาช่วยคิด
    OECD ซึ่งเป็นหน่วยงาน ที่อ้างว่ามีหน้าที่คอยแนะนำประ เทศ ที่มีปัญหาด้านเศรษฐกิจ ภายใต้เสื้อคลุม ที่ไอ้นักล่าใบตองแห้ง คิดขึ้นมาหลังจากคิดสร้าง World Bank, IMF บอกกรีซต้องหารายได้เพิ่มด้วยการเก็บภาษีเพิ่ม ใช้มาตรการเด็ดขาดกับผู้หนีภาษี และขายรัฐวิสาหกิจที่สร้างกำไรอ อกไปให้กับนักธุรกิจ และขายทรัพย์สินของประเทศ เพื่อเอามาใช้หนี้ ชาวกรีก เริ่มรู้ตัวว่า กำลังถูกแร้งลง ออกมาประท้วง ไม่ยอมให้รัฐบาลขายรัฐวิสาหกิจ กับทรัพย์สินของประเทศ บอกไปเก็บภาษีจากพวกคนรวยๆ และพวกหนี้ภาษีด่วนเลย
    กรีซ น่าจะเห็นแล้วว่า ตัวเองถูกต้ม และเป็นเหยื่อ ของเหล่านักล่า หมาไน และก่อนสิ้นเดือนมิถุนายนนี้ ถ้าตัดสินใจผิดอีก คราวนี้ คงถึงแร้งลง
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    26 มิ.ย. 2558
    ตัดโซ่หรือตายซาก ตอนที่ 1 – 2 นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” ตัดโซ่ หรือ ตายซาก” ตอน 1 เรื่องหนี้ของกรีซยก 2 นี่ ถ้าเป็นหนังก็ออกรสตื่นเต้น ประเภท เกทับบลั้ฟแหลก คมเฉือนคม อะไรทำนองนั้น เพราะมันจะมีการพลิกเกมกันอยู่ตลอดเวลา ต่างฝ่ายก็เอามือล้วงกระเป๋า เหมือนมีของดีแอบอยู่ จะงัดเอาออกมาใช้เมื่อไหร่เท่า นั้น แต่จริงๆแล้ว ของดีมีจริง หรือมีปลอม ยังไม่มีใครรู้แน่ ระหว่างนั้น ก็ทำหน้าขรึม หน้าเครียดเจรจากัน สื่อก็รายงานของจริงแถมใบสั่ง เป็นโอกาสล่อให้แมงเม่าเข้าไปเล่นกองไฟ มีคนฉิบหายตายเพราะหนี้ท่วมประเทศยังไม่พอ ต้องหาแมงเม่าเข้ามาสังเวยด้วย มันถึงจะได้อารมณ์ สร้างกำไร จากความหายนะ ความคิดแบบนี้ มีทุกสัญชาติแหละครับ มากน้อย ตามสันดาน และตัณหา พระเอกที่จะเล่นเกมเกทับ ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นรัฐบาลชุดปัจจุบันนี้ของกรีซ ที่มาจากพรรค Syriza ซึ่งเป็นพวกที่เอนไปทางสังคมนิยม ก่อต้ังเมื่อปี ค.ศ. 2004 จากการรวมตัวของกลุ่มฝ่ายซ้ายต่างๆ ประมาณ 10 กว่ากลุ่ม Syriza เคยมีชื่อเสียงว่า เป็นพวก anti establishment เป็นพวกไม่เอาทุนนิยมว่างั้นเถอะ แม้ตอนหลังพวกเขาจะไม่เน้นเรื่อ งนี้ แต่เมื่อ Syriza ชนะเลือกตั้ง เมื่อต้นปี 2015 แน่นอน ทำให้อียูเริ่มขมวดคิ้ว เพราะดูเหมือน Syriza จะมาทำให้ชาวกรีซร้องคนเพลงกับอียู ยิ่งหัวหน้าพรรคที่ชื่อ Alexis Tsipras ประกาศชัดเจนว่า “euro is not my fetish” เงินยูโรมันก็ไม่ได้วิเศษอะไรนักหนา คำประกาศเขาให้รสชาดแบบนั้นนะครับ ในการเลือกต้ังดังกล่าว Syriza ขาดไปแค่ 2 คะแนน ที่จะเป็นเสียงข้างมาก พวกเขาเลยต้องผสมกับพรรคอื่นตั้ง รัฐบาล แต่ยังไงก็ได้นาย Alexis Tsipras เป็นนายกรัฐมนตรีหนุ่มแน่น อายุแค่ 40 และมีนาย Yanis Varoufakis เป็นรัฐมนตรีคลัง ที่จะมาช่วยหาวิธีถอดโซ่ ที่พวกเจ้าหนี้กรีซ เอามาคล้องคอชาวกรีซออกไป หรือทำให้โซ่คล้องคอมันหลวมหน่อย ไม่ใช่รัดติ้ว ท้องกิ่ว หายใจจะไม่ออก ไม่มีจะกินกันทั้งประเทศอย่างนี้ นาย Alexis Tsipras เป็นลูกชาวกรีซ ที่อพยพมาจากตุรกี ตามโครงการแลกเปลี่ยนประชาชน ระหว่าง 2 ประเทศ เขาเป็นคนชอบเล่นกีฬา และทำกิจกรรมมาต้ังแต่เป็นเด็กนักเรียน หลังจากนั้นก็เริ่มเป็นนักเคลื่อนไหวไฟแรง แหม เหมือนกับจะเขียนเรื่องเจ้ายะใส หนุ่มหน้ามนของสาวๆแดนสยามเลยนะ แต่ยะใส คงต้องติวใหม่อีกแยะนะ เอาเรื่องนายอเล็กซิส ต่อแล้วกัน เขาเรียนจบด้านวิศวกรรมจากวิทยาลัยเทคนิคของกรีซ ระหว่างเรียน ก็เริ่มเข้ากลุ่มการเมืองฝ่ายซ้ายของกรีซ และได้เป็นหัวหน้านักศึกษาทางกิจกรรมการเมือง ก็คงเหมือน สนนท. ของบ้านเรานะครับ หลังจากนั้น ก็เข้าการเมืองท้องถิ่นเต็มตัว ก่อนลงสนามใหญ่ เมื่อบรรดาพรรคฝ่ายซ้าย จับมือรวมกันเป็นพรรค Syriza นายอเล็กซิส ก็ไปเข้าร่วม แล้วในที่สุด ในปี คศ 2009 หนุ่มอเล็กซิส อายุ 30 กว่า ก็ได้เป็นหัวหน้าพรรค Syriza เป็นดาวรุ่งพุ่งแรง จะมีใครอุ้ม ใครดันหรือเปล่า ข่าวไม่บอก แล้วเขาก็พา Syriza เข้าลงเลือกต้ังในสนามใหญ่ ต้ังแต่ปี 2012 แม้ไม่ได้เป็นรัฐบาล แต่ก็ได้เข้าอยู่ในสภา ในตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายค้าน ไม่เบาเหมือนกันสำหรับ หนุ่มวัย 30 กว่า เมื่อ สภากรีซล่มในปี ค.ศ. 2014 และประกาศจะมีการเลือกต้ังใหม่ ในเดือนมกราคม ปี ค.ศ.2015 อเล็กซิส ระดมพลพรรค ประกาศลงเลือกต้ัง และประกาศ Thessaloniki Programme ในเดือนสิงหาคม ปี 2014 ซึ่งเป็นนโยบายที่เสนอให้มีการปรับปรุงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ และการเมืองของกรีซเสียใหม่ นอกจากนี้ ยังประกาศใช้นโยบายการหาเสียงว่า พรรค Syriza ต้ังใจจะเข้าไปแก้ไขเงื่อนไขมหาโหด ในสัญญาเงินกู้ ที่บรรดาเจ้าหนี้ต่างประเทศกำหนดไว้ เหมือนเอาโซ่มาคล้องคอชาวกรีซและทำให้ชีวิตชาวกรีซสุดแสนจะลำเค็ญ ในส่วนนโยบายต่างประเทศ ระหว่างการหาเสียง อเล็กซิส แสดงความไม่พอใจอย่างเผ็ดร้อน กับการตัดสินใจหลายเรื่องของยุโรป ที่คัดท้ายโดยรัฐบาลเยอรมัน ภายใต้การนำของป้าเข็มขัดเหล็ก แน่นอน มันเป็นการฝาก “รอย” ให้ไว้กับป้าเข็มขัดเหล็ก ที่ทำให้การเจรจาต่อมาระหว่างอเล็กซิส ในฐานะนายกรัฐมนตรีกรีซ กับป้าเข็มขัดเหล็ก เกี่ยวกับเรื่องหนี้ของกรีซ ฝืดสิ้นดี เหมือนจะให้ผู้คนแน่ใจว่าเขาคิดอย่างไร เมื่อได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี งานแรกที่ Alexis Tsipras ทำ คือ เขานำดอกกุหลาบแดงช่อใหญ่ ไปวางแสดงความเคารพที่อนุสรณ์สถานของชาวกรีซ 200 คน ที่เสียชีวิตจากการฆ่าของเยอรมัน เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม ค.ศ.1944 ….ช่างเล่นนะไอ้หนุ่ม งานเดินสายต่างประเทศ รายการแรกของนายกรัฐมนตรีหนุ่ม คือ ไปพบนายกรัฐมนตรี Matteo Renzi ที่โรม เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ค.ศ.2015 จับเข่าคุยในฐานะ คนเป็นลูกหนี้ ที่มีโซ่คล้องคอเหมือนกัน คุยกันเสร็จ นาย Renzi ก็มอบเนคไทไหมอิตาเลียน ให้เป็นที่ระลึกแก่ นายอเล็กซิส ซึ่งมีชื่อเสียงว่า ไม่นิยมการผูกเนคไท เขารับไว้ แล้วบอกว่า เขาจะผูกเนคไทนี้ ในวันที่ชาวกรีซ ตัดโซ่คล้องคอสำเร็จ… อยากได้ยินคำพูดแบบนี้ ในแดนสยามบ้างครับ ส่วน นาย Yanis Varoufakis มาคนละทางกับอเล็กซิส ยานิส ไม่ได้เป็นนักการเมือง เขาออกไปทางนักวิชาการ เป็นนักเศรษฐศาสตร์ และเป็นอาจารย์สอนเศรษฐศาสตร์มีชื่อเสียง แต่ใช่ว่าเขาไม่สนใจการเมือง พ่อเขาร่วมรบในสงครามกลางเมืองกรีซ โดยอยู่ฝั่งคอมมิวนิสต์ แพ้สงครามก็ถูกจับไปนอนคุกอยู่หลายปี ออกจากคุกมาทำธุรกิจ กลายเป็นผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ที่สุดของกรีซ ส่วนแม่ก็เป็นพวกคอการเมือง ครอบครัวนี้ สนับสนุนกลุ่มไอร์แลนด์เหนือให้สู้กับอังกฤษ พวกเขานับ Belfast เมืองหลวงของไอร์แลนด์เหนือเป็นบ้านที่ 2 สำหรับคนรุ่นหลังๆ คงไม่ค่อยรู้จักวีรกรรมของชาวไอริช ที่ต้องการแยกตัวจากอังกฤษ นอกจากรู้จากดูหนัง จริงๆ คนไอริช หรือขบวนการ IRA เป็นขบวนการ ที่ถูกอังกฤษและพวก รวมทั้งสื่อ เรียกว่า เป็นผู้ก่อการร้าย ทั้งๆ ที่พวกเขาคิดการดี ในช่วงประมาณปี ค.ศ.1970 เป็นต้นมา ขบวนการ IRA จะเป็นข่าวเกือบรายวัน ในการวางระเบิดใส่อังกฤษ ผู้คนบาดเจ็บล้มตายมาก ตึกรามบ้านช่องพังวินาศ ไม่มีการต่อสู้เพื่อเอกราชใด หรือปลดพันธนาการใดจะได้มาง่ายๆ มันต้องลงแรงลงใจลงชีวิตทั้งนั้น ชาวแดนสยาม สบายจนเคยตัว บางพวกทำตัว ยิ่งกว่าตามสบาย เห็นแต่ประโยชน์ส่วนตัว หาความสุข สนุกไปวันๆ ไม่สนใจประเทศ และเพื่อนร่วมชาติ จนน่ารังเกียจ น่าเสียดายครับ มีของดี ไม่รู้จักคุณค่า ไม่รู้จักรักษา ชอบอยู่แต่ใน “ครอบ” ไม่อยากใช้คำว่า “คอก” ปล่อยให้มัน ฟอกย้อม ต้มตุ๋นเอาจนชิน วันไหนไม่ถูกย้อม ไม่ถูกต้ม คงกินไม่ได้นอนไม่หลับ เฮ้อ! คุยเรื่อง นายยานิสต่อดีกว่า เมื่อพ่อรวย ก็ส่งลูกไปเรียนที่อังกฤษ ยานิส จึงเรียน พูด และด่าเป็นภาษาอังกฤษ ได้ชัด และคมคายเอาเรื่อง สรุปว่า เขาเรียนต้ังแต่ ปริญญาตรี จนจบปริญญาเอกจากอังกฤษแล้วกัน เรียนจบแล้ว ก็ไปสอนหนังสือ ที่หลายมหาวิทยาลัย หลายประเทศ แล้วยังเดินทางไปดูโลกกว้างในแง่มุมของเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากสร้างให้เกิด ที่ต้องมองกันอย่างลึกซึ้ง กลับมาก็เปิดบล๊อกของตัวเอง ให้ความรู้ ความเห็น สอนคนนอกมหาวิทยาลัยไปเรื่อยๆ ที่สำคัญ เขาบอกว่า เขาไม่เห็นด้วยกับการที่กรีซ ไปกู้เงินพวกเจ้าหนี้หน้าเลือดเหล่านั้น ไม่เห็นด้วยกับเงื่อนไขที่เจ้า หนี้ต้ัง ไม่เห็นด้วยๆๆๆ สาระพัด ไม่เห็นด้วย และบอกว่า ถ้ากรีซ ปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไป ชาวกรีก ก็คงแห้งตายซาก และเกาะกรีซอันสวยงาม ก็คงล่มจมหายไปในเมดิเตอร์เรเนียน อย่างน่าเสียดาย … เพราะเขียนในบล๊อกแบบนี้ จนดังระเบิด เมื่อ พรรค Syriza ได้เป็นรัฐบาล จึงส่งเทียบมาเชิญ ท่านพี่ยานิส ท่านอย่ามัวแต่นั่งเขียนให้คนอ่านเลย แบบนั้นมันง่าย ( เหมือนที่ลุงนิทานทำ แค่นั่งเขียนอยู่ในบ้าน) ท่านจงออกมาใช้ภูมิปัญญา ลงมือแก้ไขปัญหาบ้านเมืองอย่าง จริงจังกับเราเถิด นายยานิส ก็ไม่เล่นตัว ไม่เรื่องมาก แค่บอกว่า พูดกันให้รู้เรื่องก่อนนะ ถ้าเอาผมไปนั่งคลัง ผมจะใช้นโยบาย อย่างที่ผมเขียน คือ เราต้องตัดโซ่ของเจ้าหนี้ ที่เอามาคล้องคอชาวกรีซ ออกเสียนะ นายกรัฐมนตรีหนุ่มบอก นั่นแหล่ะพี่ เราพูดเรื่องเดียวกัน พี่เอาคีมเบอร์ใหญ่สุดมาเลยนะ มาช่วยพวกผมตัดโซ่ด่วนเลย แล้วยานิสก็ไปนั่งเป็นรัฐมนตรีคลังในรัฐบาล แต่ไม่สังกัดพรรค อืม… เป็นต้ัง พณฯ ท่านรัฐมนตรี เขาก็ส่งทั้งรถยนต์ คนขับ ผู้ติดตาม เครื่องยศ มาให้พร้อม ยานิส ก็ส่งคืนกลับไปหมด รถยนต์ ผมมีแล้วครับ เก่าหน่อย แต่ยังวิ่งได้ดีอยู่ วันไหนอากาศดี ผมก็ไม่ใช้รถ ขี่มอร์ไซด์ไปเร็ว และประหยัดกว่า มิน่า เลยติดใส่เสื้อหนัง ส่วนผู้ติดตาม ก็ไม่จำเป็นครับ ไม่รู้จะเอามาทำอะไร ถ้าประชาชนเขาไม่พอใจผม เอาไข่ปาผมไม่กี่ที ผมก็รู้หน้าที่ว่า ควรลาออกแล้วครับ ประเทศเราจนมากนะครับ ยังมีหนี้อีกแยะ จะใช้อะไร จะทำอะไร ก็ต้องเอาแต่จำเป็น รู้จักประหยัดบ้าง รับรอง ลุงนิทานไม่ได้เขียนเอง แดกใคร คุณน้องยานิส ให้สัมภาษณ์อย่างนี้จริงๆ ############### “ตัดโซ่ หรือ ตายซาก” ตอน 2 ก่อนจะเดินหน้าไปตัดโซ่ มาทบทวนกันหน่อยว่า หนี้กรีซ นี่มันอะไรนักหนา แล้วเงื่อนไขเจ้าหนี้มันทารุณเหมือนเอาโซ่มาคล้องคอชาวกรีกจริงหรือเปล่า หรือพวกหนุ่มๆ เขาเลือดร้อน ฮอร์โมนพุ่งตามวัย เห็นอะไรขัดใจนิด ขัดใจหน่อย ก็คิดชนมันซะเลย บรรดาขาใหญ่นักวิเคราะห์การเมือง ไม่ใช่ พวกนักวิเคราะห์การเงิน ที่เอาไว้หลอกพวกแมงเม่า บอกว่า มันไม่ใช่เป็นเรื่องว่า กรีซ ประเทศเล็กๆ ที่อยู่ในสหภาพยุโรป จะผิดนัดชำระหนี้ไหม และจะพากันจูงมือ เดินออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป หรืออียู หรือเปล่า แต่เรื่องหนี้กรีซ อาจกลายเป็นซึนามิ ทางการเงิน เศรษฐกิจ และการเมืองของยุโรปได้อย่างนึกไม่ถึง และถ้าเข้าทาง …มันอาจจะไปไกลกว่านั้น.... ปัญหาหนี้ของกรีซ เริ่มมาต้ังแต่ปี ค.ศ.2001 ก็ต้ังแต่ กรีซ เริ่มเปลี่ยนมาใช้เงินสกุลยูโร แทนเงินสกุลดรักมาร์ของตัวเองนั่นแหละ กรีซเป็นสมาชิกอียูโซนมาต้ังแต่ปี ค.ศ.1981 แต่กรีซมีงบประมาณขาดดุลยสูงเกินเกณท์ของอียู ที่เรียกว่า Maastricht Criteria อยู่ตลอดมา ถึงจะเกินเกณท์ แต่ ปีแรกๆ ก็ไม่มีปัญหา เพราะดูเหมือนหลายประเทศในอียู ก็เกินกันทั้งนั้น และกรีซ ก็ได้ประโยชน์จากการกู้ดอกถูก ในฐานะเป็นสมาชิกอียู และมีเงินลงทุนเข้ามาเพิ่ม นี่คือ ความผิดพลาดของกรีซ รายการแรก ที่มองการเข้าไปอยู่ในคอกอียู แต่ด้านบวก ด้านได้ โดยไม่มองด้านลบ หรือไม่คิดว่ามีด้านลบ ถึง ปี ค.ศ.2004 กรีซ หลุดปากบอกว่า ตัวเองแต่งตัวเลข เพื่อไม่ให้ผิดหลักเกณฑ์อียู แต่น่าประหลาด อียูทำเหมือนไม่ได้ยิน เกิดหูบอดกระทันหันเสียอย่างนั้น ไม่เตือน ไม่ด่า ไม่ทำโทษกรีซ เพราะอะไรหรือ เพราะ ใครๆก็ทำกัน โดยเฉพาะ ฝรั่งเศส และเยอรมัน ลูกพี่ใหญ่ของอียู ด่ากรีซ ก็เหมือนด่าตัวเองด้วย แล้วถ้าจะทำโทษ จะทำอะไรล่ะ ยังไม่มีกฏกติกา เรื่องนี้เลย ไล่กรีซออกจากอียูเลยดีไหม อียูน่าจะทำได้ แต่มันจะทำให้ภาพพจน์อียู หมดท่า เหมือนแก้ผ้าประจานตัวเอง แถมตอนนั้น สมาชิกอียูยังน้อยอยู่ อยากได้ไอ้พวกพี่เบิ้ม อย่างอังกฤษ ก็ยังยักท่า หรือ รวยๆ อย่างสวีเดน เดนมาร์ก ตอนนั้น ก็ยังทำหยิ่งไม่เข้ามา นี่ถ้ารู้ว่า กรีซ แต่งตัวเลข ใครจะมา มีแต่จะไป แล้วทุกฝ่ายก็ปิดปากเงียบ หลอกตัวเอง หลอกกันเอง และหลอกคนอื่นต่อไป นี่คือความผิดส่วนของอียู ที่ไม่ได้มีเพียงครั้งเดียว แต่พอถึงปี ค.ศ.2009 ฝีแตก กรีซปิดต่อไปอีกไม่ไหว เพราะเงินทำท่าจะหมดประเทศ จริงๆ ก็หมดแล้ว มีแต่เงินกู้เขามา อ้อมแอ้ม ออกมาว่า มีตัวเลขงบประมาณขาดดุลย ประมาณ 12.9 % ของ จีดีพี ( ผลิตภัณท์มวลรวมภายใน ) ซึ่งเป็นตัวเลขที่เกินกว่าเกณท์ที่ อียู กำหนดไว้ ที่ 3% พูดภาษาเข้าใจง่ายๆ แปลว่า มีจ่ายจ่ายมากกว่ารายรับอยู่แยะมาก จะทำไงดีครับลูกพี่ เป็นคนธรรมดา ก็ต้องบอกว่าอยู่ในสภาพ เป็นหนี้หัวโต นอนเอามือก่ายหน้าผากจนบุบ ก็ยังไม่เห็นทางแก้ปัญหา ลูกพี่ยังคิดไม่ออกว่าจะใช้แผน พิฆาตชุดไหน แต่ สามหมาไน บริษัท จัดอันดับ ratings agency Standard & Poor , Fitch และ Moody’s ได้กลิ่น รีบประกาศลดอันดับความน่าเชื่อ ถือของ กรีซลงอย่างรวดเร็ว เหลือเป็นระดับ junk bond หรือระดับขยะ คือ อยู่ในสภาพล้มละลาย พันธบัตรกรีซ มีค่าไม่ต่างกับกระดาษชำระ การประกาศของ 3 หมาไน ได้ผลอย่างดียิ่ง กลางปี 2010 กรีซก็ถูกตัดขาดจากเส้นทางกู้เงินในตลาดทุนของโลก เหลือแต่เส้นทางไปสู่การเป็นประเทศล้มละลายอย่างสมบูรณ์ กรีซแทบไม่เหลือทางเลือก จะตายช้า หรือตายเร็วเท่านั้น แล้วอัศวิน ชื่อ Troika ก็โผล่มา Troika เป็นชื่อเรียก ของสามเสือหิว IMF, ECB (European Central Bank) และ European Commission เล่นบทลูกพี่ใจดี จับมือกันจัดการให้เงินกู้ ที่อ้างว่า เป็นการช่วยฉุดกรีซขึ้นมาจากเหว รอบแรก จำนวน 340 พันล้านยูโร เงินจำนวนนี้ ถือว่ามากมาย และน่าจะผิดหลักเกณท์ของ IMF เสียด้วยซ้ำ แต่ทำไมอัศวิน หรือ Trioka รีบจัดการให้ สงสารกรีซมากหรือไง อ้อ ไม่ใช่ มันเป็นพวกไอ้เสือหิว มองหาเหยื่อแบบนี้ มานานแล้วต่างหาก พอเข้าใจนะครับ เงินกู้ ฉุดจากเหว มาพร้อมกับโซ่เหล็กคล้องคอกรีซ เป็นเงื่อนไขที่อ้างว่า เพื่อสร้างวินัยในการใช้จ่ายของกรีซ ที่กรีซ ไม่มีโอกาสต่อรอง ต้องก้มหน้ารับอย่างเดียว แต่ที่น่าสนใจ เงินกู้แลกโซ่ ควรจะมาช่วยให้สถานะของกรีซในสายตาของตลาดทุนดีขึ้น ตรงกันข้าม เงินกู้ลอยผ่านหน้ารัฐบาลกรีซ ไปเข้ากระเป๋าธนาคารต่างประเทศ ที่ให้กรีซกู้ไปก่อนหน้านี้ เงินกู้ฉุดจากเหว กลายเป็นการใช้หนี้ ฉุดธนาคารต่างประเทศ ขึ้นมาจากเหวก่อน ชาวกรีซยังคงอยู่ในเหวต่อไป แต่มีโซ่มาคล้องคอหนักรัดติ้ว นั่งท้องกิ่วอยู่ก้นเหว ตกลงอัศวิน Troika มาช่วยใคร นี่คือ การเสียค่าโง่ครั้งที่เท่าไหร่ของกรีซ แล้วธนาคารต่างประเทศไหนล่ะ ที่ได้รับการชำระหนี้ไปก่อน เปิดดูอากู ก็รู้ว่า ธนาคารในอียูเองเป็นเจ้าหนี้กรี ซ ทั้งนั้น และเจ้าหนี้รายใหญ่สุด คือ เยอรมัน รองมา คือ ฝรั่งเศส พอเข้าใจแล้วนะครับว่า ทำไมนายกรัฐมนตรี อเล็กซิส ถึงเอาดอกกุหลาบแดงไปวางที่อนุสรณ์สถาน ก่อนการให้เงินกู้ จำนวนมโหฬาร IMF หัวหน้าใหญ่ของกลุ่มเสือหิว ที่เป็นผู้นำการกำหนดเงื่อนไข ลายโซ่คล้องคอชาวกรีซ บอกว่าการใช้จ่ายของกรีซ หนักไปที่ค่าจ้าง เป็นจำนวน ถึง 75% ของงบประมาณรายจ่าย แยกเป็นค่าจ้าง พนักงานของรัฐ ทั้งประจำ และชั่วคราว ค่าจ้างแรงงานคนทำงาน ค่าสวัสดิการ ค่าเบี้ยบำนาญ ของคนที่ทำงานมาจนแก่เหลือแต่เหงือก ถ้ายังจำกันได้ กรีซจัดงานแข่งกีฬาโอลิมปิค ในปี ค.ศ. 2004 ยิ่งใหญ่ และสวยงาม แน่นอนก่อนจัดงาน ต้องมีการปรับปรุงสาธารณูปโภค ถนนหนทาง ไฟฟ้า น้ำประปา ทั้งประเทศรวมทั้ง การก่อสร้าง สนามกีฬา บ้านพักนักกีฬา และอีกหลายๆอย่าง เพื่อรองรับการแข่งขัน และผู้มาชม ล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 3 ปี รายจ่ายของกรีซทั้งด้านแรงงาน และด้านก่อสร้าง ไม่บานทะโล่ ก็คงแปลกอยู่ นอกจากนี้ยังมีหนี้ส่วนบุคคลของ ชาวกรีก ที่เห็นเป็นโอกาสที่ทำเงิน ด้วยการสร้างที่พัก สำหรับนักท่องเที่ยว ร้านอาหาร บริการรถเช่า ฯลฯ ซึ่งสร้างขึ้นมาจากเงินกู้เกือบทั้งสิ้น และ นี่ ก็เป็นอีกความผิดพลาด อีกรายการของกรีซ กีฬาโอลิมปิคสวยงาม สร้างชื่อเสียงให้กับกรีซ และก็สร้างหนี้ให้กับกรีซด้วย กรีซขาดทุนย่อยยับ ขายของ ไม่ได้ราคาคุ้มทุนที่ลง แถมมีหนี้ติดค้างทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน เลยเป็นโอกาสให้ IMF ผู้ชำนาญการ สั่งให้กรีซ ตัดรายการจ้างงาน และสวัสดิการ ขณะที่กรีซ พยายามขายการท่องเที่ยวประเทศของตัวเองต่อ เพื่อเอาทุนคืนจากการขาดทุนโอลิมปิค IMF ปิดประตูการจ้างงาน เปิดให้ครึ่งบานและครึ่งวัน ที่พัก ร้านอาหารเริ่มโทรม เมื่อมีลูกจ้างมาทำงานไม่พอให้บริการ นักท่องเที่ยวที่ไหน อยากจะไปเที่ยว แล้วยกกระเป๋า และ ล้างจานเอง ถ้าไม่แน่ใจว่า การจัดงานกีฬาโอลิมปิค ไม่ได้สร้างกำไรเสมอไป ก็ลองไปถามคุณปากจีบ นายกรัฐมนตรี ของชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ได้ว่า หลังจาก กระเสือกกระสน จัดการแข่งกีฬาโอลิมปิค เมื่อปี 2012 แล้วเป็นไง ตอนนี้ เลยต้องตัดงบสาระพัด รวมทั้งงบด้านกองทัพ เล่นเอาคุณพีปูตินของผม หัวร่อ ฮิ ฮิ จึงไม่เป็นเรื่องน่าแปลกใจ ที่ ในปี 2010 อัตราว่างงานของกรีซ เพิ่มขึ้นเป็น 15% ทุก 7 คนกรีก จะมีคนว่างงาน 1 คน ! เริ่มมีการประท้วงรัฐบาล การเมืองง่อนแง่น และกรีซ ก็ต้อง กู้เงินจาก อัศวิน Troika เพิ่มขึ้นอีก และโซ่คล้องคอชาวกรีซ ก็หนักขึ้นทุกที ชาวกรีซ ก็จมลงในเหวลึกลงไปทุกที ปี ค.ศ.2011 สถานการณ์ของกรีซ แย่ลงกว่าเดิม รัฐบาลไหนมาก็แก้ปัญหาไม่ได้ ได้แต่กู้เพิ่มเพื่อเอามาใช้หนี้เก่า หมุนไปเรื่อยๆ รัฐบาลกรีซคิดหาทางทางออกไม่เจอ เขิญผู้เชี่ยวชาญมาช่วยคิด OECD ซึ่งเป็นหน่วยงาน ที่อ้างว่ามีหน้าที่คอยแนะนำประ เทศ ที่มีปัญหาด้านเศรษฐกิจ ภายใต้เสื้อคลุม ที่ไอ้นักล่าใบตองแห้ง คิดขึ้นมาหลังจากคิดสร้าง World Bank, IMF บอกกรีซต้องหารายได้เพิ่มด้วยการเก็บภาษีเพิ่ม ใช้มาตรการเด็ดขาดกับผู้หนีภาษี และขายรัฐวิสาหกิจที่สร้างกำไรอ อกไปให้กับนักธุรกิจ และขายทรัพย์สินของประเทศ เพื่อเอามาใช้หนี้ ชาวกรีก เริ่มรู้ตัวว่า กำลังถูกแร้งลง ออกมาประท้วง ไม่ยอมให้รัฐบาลขายรัฐวิสาหกิจ กับทรัพย์สินของประเทศ บอกไปเก็บภาษีจากพวกคนรวยๆ และพวกหนี้ภาษีด่วนเลย กรีซ น่าจะเห็นแล้วว่า ตัวเองถูกต้ม และเป็นเหยื่อ ของเหล่านักล่า หมาไน และก่อนสิ้นเดือนมิถุนายนนี้ ถ้าตัดสินใจผิดอีก คราวนี้ คงถึงแร้งลง สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 26 มิ.ย. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1033 มุมมอง 0 รีวิว
  • ซามูไรแบกถาด ตอนที่ 5
    “ซามูไรแบกถาด”

    ตอน 5 (จบ)

    นายอาเบะ ได้รับเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นสมัยที่ 2 ในเดือนธันวาคม 2012 เขามาจากครอบครัวนักการเมืองขนานแท้ดั้งเดิม ท้ังพ่อและปู่เป็นนักการเมืองท้องถิ่น ส่วนแม่ของอาเบะ เป็นลูกสาวของนักการเมืองชื่อดังระดับประเทศ นาย Nobusuke Kishi อดีตนายกรัฐมนตรี ในช่วง 1957-1960 ซึ่งเคยเป็นรัฐมนตรี ตั้งแต่สมัยนายพลโตโจที่นำการรบ สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 นาย Kishi เป็นผู้ต้ังพรรค Democratic Party ต่อมาพรรคนี้ไปรวมกับพรรค Liberty ของอดีตนายกรัฐมนตรี Shigaru Yoshida พรรคขวาจัด ชาตินิยม และเปลี่ยนชื่อเป็นพรรค LDP ซึ่งครองอำนาจในญี่ปุ่นอย่างยาวนาน

    นายอาเบะ นี่ เคยไปเรียนหนังสือที่ University of Southern California แต่ไม่จบ กลับมาทำงานการเมืองในญี่ปุ่นต่อ เขานับเป็นลูกหม้อของพรรค LDP ถูกวางตัวให้เป็นดาราดาวรุ่ง ในที่สุดก็ได้เป็นนายกรัฐมนตรีสมใจคนดันในช่วงปี 2005-2006 เขาดูเหมือนนิยมตะวันตก และมีจุดยืนที่แข็งกร้าวกับเกาหลีเหนือมาตลอด โดยพยายามหาทางคว่ำบาตรเกาหลีเหนือผ่านสหประชาติ และเมื่อตอนหาเสียงเลือกต้ังในปี ค.ศ.2012 เขาชูประเด็นเรื่องข้อพิพาทกับจีน และการขึ้นมาของจีนแทนที่ญี่ปุ่น ในเรื่องการเติบโตของเศรษฐกิจและการค้าในเอเซีย

    นับว่า สุดกร่าง CFR มีสายตายาวไกล และลึกซึ้ง การเลือกไพ่แต่ละใบของนักล่าใบตองแห้ง ดูเหมือนจะมีรูปแบบที่ชัดเจนพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นการเปิดบ่อน หรือสร้างรังโจรที่ประเทศใด ไม่ว่าจะหัวนอก หรือหัวใน ต้องพร้อมรับใช้จนสุดทาง และสุดตัว
    คงจำกันได้ว่า CFR นั้นเป็นผลผลิตของกลุ่มอิลิต นักการเงิน และนักธุรกิจ แองโกลอเมริกัน จาก 2 ฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก ที่เป็นผู้อำนวยการสร้างสงครามโลกครั้งที่ 1 และ ครั้งที่ 2 ความใหญ่ของ CFR นั้น เกินจินตนาการของเราๆ ชาวโลกส่วนใหญ่ไม่รู้จักว่า CFR คืออะไร มีอิทธิพลแค่ไหน อิทธิพล และอำนาจของ CFR เริ่มเห็นเด่นชัดขึ้น เมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยมีอิทธิพลครอบงำการเมือง และรัฐบาลของอเมริกา ต้ังแต่ประมาณปี 1950 เป็นต้นมา และเมื่ออำนาจของอเมริกาครอบงำโลก ก็คงไม่เกินไปที่จะบอกว่า CFR นั้นก็มีส่วนครอบงำโลกด้วย

    (เรื่อง ของ CFR นั้น ผมเขียนเล่าไว้ในนิทาน เรื่อง “มายากลยุทธ” และ “แกะรอยนักล่า” สำหรับท่านผู้อ่าน ที่เข้ามาอ่านตอนหลังๆ ถ้าอยากเข้าใจความเป็นไปของโลกนี้ อีกมุมมอง อีกชุดของข้อมูล ลองอ่านนิทาน 2 เรื่องนี้นะครับ)

    ข้อมูลคร่าวๆ เกี่ยวกับ CFR (เปิดดูจากกูเกิลได้ครับ) คือ ก่อตั้งในปี ค.ศ.1921 มีสมาชิก เริ่มแรกประมาณ 20 คน ซึ่งเป็นชาวอังกฤษและอเมริกัน ปัจจุบันมีสมาชิกทั่วโลกประมา ณ 5 พันคน สมาชิกส่วนใหญ่ เป็นพวกฝรั่งแองโกลแซกซอน และชาวยุโรป ใน 5 พันคนนี้ ส่วนใหญ่เป็นระดับผู้นำ หัวหน้า และผู้บริหารระดับสูงของประเทศ และบรรษัทข้ามชาติ มีหลายคน เป็นประธานาธิบดีของอเมริกา หลายคน เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ เป็นรัฐมนตรีกลาโหม เป็นรัฐมนตรีการคลัง เป็นผู้ว่าการธนาคารกลาง เป็นหัวหน้าซีไอเอและหลายคนเป็นพระราชวงศ์ในยุโรปและอังกฤษ ฯลฯ

    สำหรับไทยแลนด์แดนสมันน้อย เรามีคนไทยที่ถูกลาก หรือ สมัครใจ เข้าไปเกี่ยวกับ CFR โดยเป็นสมาชิกขององค์กร ชื่อ Trilatteral Commission ซึ่งเป็นองค์กรลูกของ CFR ที่ต้ังขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1973 ขณะน้ัน นาย David Rockefeller ซึ่งเป็นประธาน CFR เห็นว่า ควรจะเอานักธุรกิจชาวญี่ปุ่น เข้ามาอยู่ในความดูแลของ CFR ด้วย เลยพ่วงเอาชาวเอเซีย ลาติน และอาฟริกา ที่เข้าข่ายน่าจะเป็นประโยชน์ และมีแนวความคิด เกี่ยวกับความเป็นไปในโลกแนวทางเดียวกันกับ CFR เข้ามาร่วมด้วย
    จากเอกสารของ Trilateral Commissionเอง ปี ค.ศ.2014 ปรากฏมีรายชื่อ คนไทย เป็นสมาชิก Trilatteral Commission 4 คน คือ

    1. นายณรงค์ชัย อัครเศรณี
    2. นายสมเกียรติ ต้ังกิจวานิชย์ (ผู้อำนวยการ สถาบัน TDRI ของไทย)
    3. นางธาริษา วัฒนเกศ (อดีต ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย)
    4. นายกานต์ ตระกูลฮุน (กรรมการผู้จัดการใหญ่ ปูนซิเมนต์ไทย)

    ปี ค.ศ.2015 รายชื่อ ซึ่งเปลี่ยนเมื่อเดือนเมษายน นี้เอง เหลือ 2 ชื่อ ดังนี้

    1. นายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์
    2. นางธาริษา วัฒนเกศ

    ทำไมผมพูดเรื่องญี่ปุ่น นายอาเบะ และเครือข่ายของ CFR เพราะมันเกี่ยวกัน และมันเป็นตัวอย่าง ที่น่าจะทำให้เรามองเห็นภาพหลายภาพชัดเจนขึ้น

    CFR นั้น เริ่มมีคนพูดถึงกันในช่วงประมาณปี ค.ศ.1960 แต่ช่วงนั้น ข้อมูลส่วนใหญ่ของ CFR ยังไม่มีออกมาแพร่หลายมากนัก นักวิเคราะห์การเมือง และคนทั่วไป จึงมอง CFR ไปในแนวทฤษฏีสมคบคิด ซึ่งมักทำให้ที่ผู้ได้ยินเรื่อง CFR ไม่ให้น้ำหนัก ไม่ให้ความเชื่อถือ ถึงอำนาจและอิทธิพลจริงขององค์กรนี้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป เทคโนโลยีสมัยใหม่ ทำให้การเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ง่ายขึ้น และลึกขึ้น มีเอกสารที่เหมือนเป็นใบเสร็จ ออกมาให้เราศึกษามากขึ้น อย่างเช่นรายงานการวิเคราะห์ของ CFR เอง ที่ออกมาให้เห็นแนวความคิดของ CFR และกลายมาเป็นนโยบายของรัฐบาลอเมริกา และการดำเนินงานของอเมริกาตามนโยบาย ที่เสนอแนะโดย CFR อย่างจริงจังในหลายส่วนของโลก จึงทำให้ผู้ที่ติดตามดูความเป็น ไปขององค์กร CFR เชื่อมากขึ้นว่า การครอบงำโลกโดย CFR ไม่ใช่เป็นเพียงทฤษฏี แต่มันเป็นของจริง อำนาจจริง อิทธิพลจริง ที่ครอบงำโลกนี้อยู่

    และถ้ามันเป็นของจริงเช่นนั้น เรื่อง Grand Stategy แผนสอยมังกร ของ CFR ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องที่เราจะอ่านเล่น หรืออ่านแล้วก็แล้วกัน เราน่าจะต้อง อ่าน และวิเคราะห์เองต่อไปอีกด้วยว่า เมื่อญี่ปุ่น ซึ่งถูก Grand Strategy กำหนดให้มีบทบาทสำคัญ ในการสอยมังกรให้ร่วงนั้น ญี่ปุ่นเอาจริง เดินหน้าตามแผนที่ CFR กำหนดขนาดไหน และการเดินตามแผนนั้น เราคงจะพอมองเห็นได้ว่า อเมริกา กำลัง “ใช้” ญี่ปุ่น และไม่ได้ใช้ไปเดินเล่น จ่ายตลาด แต่ เป็นการ “ใช้” ให้ญี่ปุ่นไปรบแทน และอาจไปตายแทน ด้วยค่าใช้จ่ายที่อาจเป็นเงินภาษี หรือเงินกู้ของญี่ปุ่น แต่มันเป็น “ราคา” ที่ชาวญี่ปุ่นจะต้องจ่าย
    ขณะเดียวกัน ถ้าอเมริกลากเอาแดนสยาม เข้าไปร่วมขบวนการกับญี่ปุ่น ให้ช่วยกันสอยจีน เราจะถูก “ใช้” ไปรบแทน จนถึงตายแทน ร่วมกับญี่ปุ่นด้วยหรือไม่ นั่นเป็นประเด็นหนึ่ง ที่ต้องคิดกัน แต่ผมค่อนข้างเชื่อว่า ลุงตู่ของผมคงมองออก ไม่คิดเป็นคนรับใช้ต่างชาติ แต่ถ้าเกิดเหตุการณ์ผันแปร มีการบีบไข่กัน จนต้องมีการเปลี่ยนแปลง เราก็ช่วยกันมอง ช่วยกันคิดให้ดีๆ นะครับ รูปแบบที่ไอ้นักล่ามันชอบใช้ ไพ่ที่มันชอบเล่นมีอยู่ อย่าตกหลุมมันง่ายๆอีก นั่นก็เป็นเรื่องหนึ่ง

    แต่อีกเรื่องที่น่าห่วงไม่น้อย หรืออาจจะมากกว่าคือ กรณีที่ญี่ปุ่นเดินหน้า ตาม CFR อย่างไม่หยุดนั่นแหละครับ ถ้าเกิดถึงเวลาอัน “เหมาะสม” อเมริกาสั่งให้ญี่ปุ่นเคลื่อนพล ไปปะทะจีน หรือตอนนั้นสถานการณ์ในเอเซียมันตึงเครียดได้ที่ ตามความต้องการของอเมริกาแล้ว แม้เราจะฉีกตัวออกมาจากการไปช่วยเขาแบกถาดได้ แต่ถ้าบรรดาคุณยุ่น ที่ขณะนี้ กระจายกันอยู่ในแดนสยามของเราไม่น้อย ไม่ว่าในกรุงเทพ โดยเฉพาะแถบสุขุมวิท ซึ่งใกล้จะเปลี่ยนเป็นแดนปลาดิบ แล้ว ยังมีที่ต่างจังหวัด ทางภาคเหนือ เช่น เชียงราย เชียงใหม่ ภาคตะวันออก เช่น ชลบุรี ศรีราชา หรือภาคใต้ เช่น ชุมพร ถ้าคุณยุ่นเขาพากันเปลี่ยนชุด หยิบเครื่องแบบทหารมาใส่ เหมือนสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ.2484 ที่กองทหารญี่ปุ่นบุกเข้าเมือง ไทย ยกพลมาจากทางภาคใต้ของไทย มาจาก สงขลา ปัตตานี นครศรีธรรมราช สุราษฏร์ธานี ชุมพร ประจวบคีรีขันธ์ พอถึงวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ.2484 ชาวญี่ปุ่นในกรุงเทพฯ ก็แต่งชุดทหารเดินเต็มอยู่ในกรุงเทพฯกันหมด แม้แต่หมอฟันของแม่ผม ผมได้แต่หวังว่า เหตุการณ์เช่นนั้นคงไม่เกิดขึ้นอีก

    และแม้ว่า ข้อสังเกตที่ว่า นายอาเบะอาจจะเล่นบท 2 หน้า จะเป็นซามูไรแบกถาด หรือซามูไรทิ้งถาด สิ่งที่ผมเขียนเล่ามา ผลกระทบต่อบ้านเรา ก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ก็คงยังน่าเป็นห่วงเช่นเดิม บางส่วน บางอย่างอาจจะมีการเปลี่ยน ถ้าเขาหักหลังกันเอง แต่ก็ไม่ได้ทำให้เราอยู่ในสถานะที่ได้เปรียบอะไรขึ้นมา เพราะไม่น่าไว้วางใจทั้งคนใช้ให้แบกถาด และคนแบกถาด หรือจะเป็นคนทิ้งถาด
    ในชีวิตคนเรา เห็นสงครามโลกครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว สงครามโลกครั้งที่ 2 ผมยังไม่โตพอที่จะไปรบ แต่โตพอที่จะรู้เรื่องว่า บ้านเมืองเราอยู่ในสภาพบ้านพัง สาแหร่กขาดอย่างไร ครอบครัวเราส่วนใหญ่ลำบากอย่างไร และมันทิ้งอะไรไว้กับบ้านเมืองเราครอบครัวเรา ผ่านไป 70 ปี ยังจำได้ไม่ลืม

    เราชาวสยาม จะต้องตื่นรู้เสียที ไม่ใช่เขียนให้แตกตื่น แต่ต้องตื่นมารับรู้ ทันเหตุการณ์นอกบ้าน ที่จะมีผลกระทบในบ้านเราเสียบ้าง ช่วยกันปลุก ช่วยกันให้ข้อมูล ไม่จำเป็นต้องเชื่อ แต่รู้แล้วเอาไปหาข้อมูลต่อ ว่า ที่อ่านกันมานี้ จริงเท็จอย่างไร แล้วคิดต่อ ดีกว่าไม่รู้จะคิดอะไร มันเป็นสมัยโลกาภิวัฒน์มิใช่หรือ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็ว เปลี่ยนแปลงเร็ว อย่ามัวเพลิดเพลินอยู่แต่กับการดูละครน้ำเน่า กับข่าวย้อมสี จนลืมสนใจภัยใหญ่ ที่อาจใกล้เราเข้ามาทุกทีแล้วนะครับ

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    27 พ.ค. 2558
    ซามูไรแบกถาด ตอนที่ 5 “ซามูไรแบกถาด” ตอน 5 (จบ) นายอาเบะ ได้รับเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นสมัยที่ 2 ในเดือนธันวาคม 2012 เขามาจากครอบครัวนักการเมืองขนานแท้ดั้งเดิม ท้ังพ่อและปู่เป็นนักการเมืองท้องถิ่น ส่วนแม่ของอาเบะ เป็นลูกสาวของนักการเมืองชื่อดังระดับประเทศ นาย Nobusuke Kishi อดีตนายกรัฐมนตรี ในช่วง 1957-1960 ซึ่งเคยเป็นรัฐมนตรี ตั้งแต่สมัยนายพลโตโจที่นำการรบ สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 นาย Kishi เป็นผู้ต้ังพรรค Democratic Party ต่อมาพรรคนี้ไปรวมกับพรรค Liberty ของอดีตนายกรัฐมนตรี Shigaru Yoshida พรรคขวาจัด ชาตินิยม และเปลี่ยนชื่อเป็นพรรค LDP ซึ่งครองอำนาจในญี่ปุ่นอย่างยาวนาน นายอาเบะ นี่ เคยไปเรียนหนังสือที่ University of Southern California แต่ไม่จบ กลับมาทำงานการเมืองในญี่ปุ่นต่อ เขานับเป็นลูกหม้อของพรรค LDP ถูกวางตัวให้เป็นดาราดาวรุ่ง ในที่สุดก็ได้เป็นนายกรัฐมนตรีสมใจคนดันในช่วงปี 2005-2006 เขาดูเหมือนนิยมตะวันตก และมีจุดยืนที่แข็งกร้าวกับเกาหลีเหนือมาตลอด โดยพยายามหาทางคว่ำบาตรเกาหลีเหนือผ่านสหประชาติ และเมื่อตอนหาเสียงเลือกต้ังในปี ค.ศ.2012 เขาชูประเด็นเรื่องข้อพิพาทกับจีน และการขึ้นมาของจีนแทนที่ญี่ปุ่น ในเรื่องการเติบโตของเศรษฐกิจและการค้าในเอเซีย นับว่า สุดกร่าง CFR มีสายตายาวไกล และลึกซึ้ง การเลือกไพ่แต่ละใบของนักล่าใบตองแห้ง ดูเหมือนจะมีรูปแบบที่ชัดเจนพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นการเปิดบ่อน หรือสร้างรังโจรที่ประเทศใด ไม่ว่าจะหัวนอก หรือหัวใน ต้องพร้อมรับใช้จนสุดทาง และสุดตัว คงจำกันได้ว่า CFR นั้นเป็นผลผลิตของกลุ่มอิลิต นักการเงิน และนักธุรกิจ แองโกลอเมริกัน จาก 2 ฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก ที่เป็นผู้อำนวยการสร้างสงครามโลกครั้งที่ 1 และ ครั้งที่ 2 ความใหญ่ของ CFR นั้น เกินจินตนาการของเราๆ ชาวโลกส่วนใหญ่ไม่รู้จักว่า CFR คืออะไร มีอิทธิพลแค่ไหน อิทธิพล และอำนาจของ CFR เริ่มเห็นเด่นชัดขึ้น เมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยมีอิทธิพลครอบงำการเมือง และรัฐบาลของอเมริกา ต้ังแต่ประมาณปี 1950 เป็นต้นมา และเมื่ออำนาจของอเมริกาครอบงำโลก ก็คงไม่เกินไปที่จะบอกว่า CFR นั้นก็มีส่วนครอบงำโลกด้วย (เรื่อง ของ CFR นั้น ผมเขียนเล่าไว้ในนิทาน เรื่อง “มายากลยุทธ” และ “แกะรอยนักล่า” สำหรับท่านผู้อ่าน ที่เข้ามาอ่านตอนหลังๆ ถ้าอยากเข้าใจความเป็นไปของโลกนี้ อีกมุมมอง อีกชุดของข้อมูล ลองอ่านนิทาน 2 เรื่องนี้นะครับ) ข้อมูลคร่าวๆ เกี่ยวกับ CFR (เปิดดูจากกูเกิลได้ครับ) คือ ก่อตั้งในปี ค.ศ.1921 มีสมาชิก เริ่มแรกประมาณ 20 คน ซึ่งเป็นชาวอังกฤษและอเมริกัน ปัจจุบันมีสมาชิกทั่วโลกประมา ณ 5 พันคน สมาชิกส่วนใหญ่ เป็นพวกฝรั่งแองโกลแซกซอน และชาวยุโรป ใน 5 พันคนนี้ ส่วนใหญ่เป็นระดับผู้นำ หัวหน้า และผู้บริหารระดับสูงของประเทศ และบรรษัทข้ามชาติ มีหลายคน เป็นประธานาธิบดีของอเมริกา หลายคน เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ เป็นรัฐมนตรีกลาโหม เป็นรัฐมนตรีการคลัง เป็นผู้ว่าการธนาคารกลาง เป็นหัวหน้าซีไอเอและหลายคนเป็นพระราชวงศ์ในยุโรปและอังกฤษ ฯลฯ สำหรับไทยแลนด์แดนสมันน้อย เรามีคนไทยที่ถูกลาก หรือ สมัครใจ เข้าไปเกี่ยวกับ CFR โดยเป็นสมาชิกขององค์กร ชื่อ Trilatteral Commission ซึ่งเป็นองค์กรลูกของ CFR ที่ต้ังขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1973 ขณะน้ัน นาย David Rockefeller ซึ่งเป็นประธาน CFR เห็นว่า ควรจะเอานักธุรกิจชาวญี่ปุ่น เข้ามาอยู่ในความดูแลของ CFR ด้วย เลยพ่วงเอาชาวเอเซีย ลาติน และอาฟริกา ที่เข้าข่ายน่าจะเป็นประโยชน์ และมีแนวความคิด เกี่ยวกับความเป็นไปในโลกแนวทางเดียวกันกับ CFR เข้ามาร่วมด้วย จากเอกสารของ Trilateral Commissionเอง ปี ค.ศ.2014 ปรากฏมีรายชื่อ คนไทย เป็นสมาชิก Trilatteral Commission 4 คน คือ 1. นายณรงค์ชัย อัครเศรณี 2. นายสมเกียรติ ต้ังกิจวานิชย์ (ผู้อำนวยการ สถาบัน TDRI ของไทย) 3. นางธาริษา วัฒนเกศ (อดีต ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย) 4. นายกานต์ ตระกูลฮุน (กรรมการผู้จัดการใหญ่ ปูนซิเมนต์ไทย) ปี ค.ศ.2015 รายชื่อ ซึ่งเปลี่ยนเมื่อเดือนเมษายน นี้เอง เหลือ 2 ชื่อ ดังนี้ 1. นายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ 2. นางธาริษา วัฒนเกศ ทำไมผมพูดเรื่องญี่ปุ่น นายอาเบะ และเครือข่ายของ CFR เพราะมันเกี่ยวกัน และมันเป็นตัวอย่าง ที่น่าจะทำให้เรามองเห็นภาพหลายภาพชัดเจนขึ้น CFR นั้น เริ่มมีคนพูดถึงกันในช่วงประมาณปี ค.ศ.1960 แต่ช่วงนั้น ข้อมูลส่วนใหญ่ของ CFR ยังไม่มีออกมาแพร่หลายมากนัก นักวิเคราะห์การเมือง และคนทั่วไป จึงมอง CFR ไปในแนวทฤษฏีสมคบคิด ซึ่งมักทำให้ที่ผู้ได้ยินเรื่อง CFR ไม่ให้น้ำหนัก ไม่ให้ความเชื่อถือ ถึงอำนาจและอิทธิพลจริงขององค์กรนี้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป เทคโนโลยีสมัยใหม่ ทำให้การเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ง่ายขึ้น และลึกขึ้น มีเอกสารที่เหมือนเป็นใบเสร็จ ออกมาให้เราศึกษามากขึ้น อย่างเช่นรายงานการวิเคราะห์ของ CFR เอง ที่ออกมาให้เห็นแนวความคิดของ CFR และกลายมาเป็นนโยบายของรัฐบาลอเมริกา และการดำเนินงานของอเมริกาตามนโยบาย ที่เสนอแนะโดย CFR อย่างจริงจังในหลายส่วนของโลก จึงทำให้ผู้ที่ติดตามดูความเป็น ไปขององค์กร CFR เชื่อมากขึ้นว่า การครอบงำโลกโดย CFR ไม่ใช่เป็นเพียงทฤษฏี แต่มันเป็นของจริง อำนาจจริง อิทธิพลจริง ที่ครอบงำโลกนี้อยู่ และถ้ามันเป็นของจริงเช่นนั้น เรื่อง Grand Stategy แผนสอยมังกร ของ CFR ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องที่เราจะอ่านเล่น หรืออ่านแล้วก็แล้วกัน เราน่าจะต้อง อ่าน และวิเคราะห์เองต่อไปอีกด้วยว่า เมื่อญี่ปุ่น ซึ่งถูก Grand Strategy กำหนดให้มีบทบาทสำคัญ ในการสอยมังกรให้ร่วงนั้น ญี่ปุ่นเอาจริง เดินหน้าตามแผนที่ CFR กำหนดขนาดไหน และการเดินตามแผนนั้น เราคงจะพอมองเห็นได้ว่า อเมริกา กำลัง “ใช้” ญี่ปุ่น และไม่ได้ใช้ไปเดินเล่น จ่ายตลาด แต่ เป็นการ “ใช้” ให้ญี่ปุ่นไปรบแทน และอาจไปตายแทน ด้วยค่าใช้จ่ายที่อาจเป็นเงินภาษี หรือเงินกู้ของญี่ปุ่น แต่มันเป็น “ราคา” ที่ชาวญี่ปุ่นจะต้องจ่าย ขณะเดียวกัน ถ้าอเมริกลากเอาแดนสยาม เข้าไปร่วมขบวนการกับญี่ปุ่น ให้ช่วยกันสอยจีน เราจะถูก “ใช้” ไปรบแทน จนถึงตายแทน ร่วมกับญี่ปุ่นด้วยหรือไม่ นั่นเป็นประเด็นหนึ่ง ที่ต้องคิดกัน แต่ผมค่อนข้างเชื่อว่า ลุงตู่ของผมคงมองออก ไม่คิดเป็นคนรับใช้ต่างชาติ แต่ถ้าเกิดเหตุการณ์ผันแปร มีการบีบไข่กัน จนต้องมีการเปลี่ยนแปลง เราก็ช่วยกันมอง ช่วยกันคิดให้ดีๆ นะครับ รูปแบบที่ไอ้นักล่ามันชอบใช้ ไพ่ที่มันชอบเล่นมีอยู่ อย่าตกหลุมมันง่ายๆอีก นั่นก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่อีกเรื่องที่น่าห่วงไม่น้อย หรืออาจจะมากกว่าคือ กรณีที่ญี่ปุ่นเดินหน้า ตาม CFR อย่างไม่หยุดนั่นแหละครับ ถ้าเกิดถึงเวลาอัน “เหมาะสม” อเมริกาสั่งให้ญี่ปุ่นเคลื่อนพล ไปปะทะจีน หรือตอนนั้นสถานการณ์ในเอเซียมันตึงเครียดได้ที่ ตามความต้องการของอเมริกาแล้ว แม้เราจะฉีกตัวออกมาจากการไปช่วยเขาแบกถาดได้ แต่ถ้าบรรดาคุณยุ่น ที่ขณะนี้ กระจายกันอยู่ในแดนสยามของเราไม่น้อย ไม่ว่าในกรุงเทพ โดยเฉพาะแถบสุขุมวิท ซึ่งใกล้จะเปลี่ยนเป็นแดนปลาดิบ แล้ว ยังมีที่ต่างจังหวัด ทางภาคเหนือ เช่น เชียงราย เชียงใหม่ ภาคตะวันออก เช่น ชลบุรี ศรีราชา หรือภาคใต้ เช่น ชุมพร ถ้าคุณยุ่นเขาพากันเปลี่ยนชุด หยิบเครื่องแบบทหารมาใส่ เหมือนสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ.2484 ที่กองทหารญี่ปุ่นบุกเข้าเมือง ไทย ยกพลมาจากทางภาคใต้ของไทย มาจาก สงขลา ปัตตานี นครศรีธรรมราช สุราษฏร์ธานี ชุมพร ประจวบคีรีขันธ์ พอถึงวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ.2484 ชาวญี่ปุ่นในกรุงเทพฯ ก็แต่งชุดทหารเดินเต็มอยู่ในกรุงเทพฯกันหมด แม้แต่หมอฟันของแม่ผม ผมได้แต่หวังว่า เหตุการณ์เช่นนั้นคงไม่เกิดขึ้นอีก และแม้ว่า ข้อสังเกตที่ว่า นายอาเบะอาจจะเล่นบท 2 หน้า จะเป็นซามูไรแบกถาด หรือซามูไรทิ้งถาด สิ่งที่ผมเขียนเล่ามา ผลกระทบต่อบ้านเรา ก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ก็คงยังน่าเป็นห่วงเช่นเดิม บางส่วน บางอย่างอาจจะมีการเปลี่ยน ถ้าเขาหักหลังกันเอง แต่ก็ไม่ได้ทำให้เราอยู่ในสถานะที่ได้เปรียบอะไรขึ้นมา เพราะไม่น่าไว้วางใจทั้งคนใช้ให้แบกถาด และคนแบกถาด หรือจะเป็นคนทิ้งถาด ในชีวิตคนเรา เห็นสงครามโลกครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว สงครามโลกครั้งที่ 2 ผมยังไม่โตพอที่จะไปรบ แต่โตพอที่จะรู้เรื่องว่า บ้านเมืองเราอยู่ในสภาพบ้านพัง สาแหร่กขาดอย่างไร ครอบครัวเราส่วนใหญ่ลำบากอย่างไร และมันทิ้งอะไรไว้กับบ้านเมืองเราครอบครัวเรา ผ่านไป 70 ปี ยังจำได้ไม่ลืม เราชาวสยาม จะต้องตื่นรู้เสียที ไม่ใช่เขียนให้แตกตื่น แต่ต้องตื่นมารับรู้ ทันเหตุการณ์นอกบ้าน ที่จะมีผลกระทบในบ้านเราเสียบ้าง ช่วยกันปลุก ช่วยกันให้ข้อมูล ไม่จำเป็นต้องเชื่อ แต่รู้แล้วเอาไปหาข้อมูลต่อ ว่า ที่อ่านกันมานี้ จริงเท็จอย่างไร แล้วคิดต่อ ดีกว่าไม่รู้จะคิดอะไร มันเป็นสมัยโลกาภิวัฒน์มิใช่หรือ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็ว เปลี่ยนแปลงเร็ว อย่ามัวเพลิดเพลินอยู่แต่กับการดูละครน้ำเน่า กับข่าวย้อมสี จนลืมสนใจภัยใหญ่ ที่อาจใกล้เราเข้ามาทุกทีแล้วนะครับ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 27 พ.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 930 มุมมอง 0 รีวิว
  • มันเดอะแก๊งเดียวกันหมด,ทุกๆตัวในนักการเมืองนี้,มันจึงเขียนกฎหมายมาจนเปลี่ยนนายกฯมานั่งเล่นๆกันจนว่าเล่นตั้งแต่นายกฯไม่ซื่อสัตย์คนแรก คนสองทหารคือฝ่ายตรงข้ามเรา คนต่อมาเดอะแก๊งชูสามนิ้วยกมือให้มาแก้ม.112แทนตนมานั่งนายกฯเองแบบเสียงข้างน้อยหรือหนักกว่านายกฯรักษาการอุ๊งอิ๊งอีกเจตนาพูดหลุดชัดเจน คนไทยไปล้ำแผ่นดินเขมรตรงส่วนไหนบ้าง มันป่าเถื่อนทัั้งวางกับระเบิด ปล้นชิงเรียกค่าไถคนไทย 100%ไม่มีใครไปล้ำแดนมันแน่นอน,ต่างจากทหารเขมรมันเจตนาล้ำตามคำสั่งฮุนเซน ใช้ครอบครัวทหารล้ำเนียนๆมาตลอด เพื่อยึดพื้นที่สร้างแนวเขตใหม่ กะชิงทรัพยากรมีค่าจากพื้นที่ไทยที่ชิงมาได้ทั้งบนบกและลากลงทะเล,อย่าลืมว่าพรบ.ชุมนุมในที่สาธารณะก็เกิดจากยุคลุงยึดอำนาจปิดปากประชาชนชัดเจน แก้ม.190สำเร็จด้วย.,รธน.60นี้จึงเป็นภัยมากหากพูดกันจริง,ทำทีห้ามคนอื่นยึดอำนาจต่อโทษประหารมันเขียนปิดทางคนดีอื่นๆด้วยดักไว้,แต่ถ้ายึดแล้วฉีกทิ้งมันก็ทำอะไรไม่ได้ ผู้ชนะเขียนกฎใหม่ได้หมด,
    ..เรา..ประชาชนจึงคาดหวังกับทหารกองทัพไทยเราใหม่สูงมากกว่ายุคคนบูรพาพยัคฆ์ผีบ้าไม่ถีบเขมรเหมือนบิ๊กกุ้งถีบออกไปอย่างชัดเจน,ผบ.สสและผบ.ทบ.เราต้องเด็ดขาดเสียทีกับนักการเมืองชั่วเลวเหล่านี้,ลุกลามพากันเลวชั่วจนถึงระดับท้องถิ่นไปหมด,แม้มีเลือกตั้งสมัยหน้าคนไทยที่ยากจนตามความจำเป็นในการใช้ตังของระบบทาสตังฝ่ายมือวางไว้จะไร้ปัญญาหนีออกจากระบบมันได้,ยิ่งเงินเถื่อนกว่าล้านล้านบาทมันพร้อมลงทุนซื้อคนนักการเมืองทุกๆระดับได้ ตั้งแต่ระดับชาติถึงผญบ.ก็ว่า มันทำแล้วด้วยในปัจจุบันที่ผ่านๆมา นักการเมืองท้องถิ่น อบต.อบจ.ส.อบต. ส.อบจ. ผญบ. ผู้ว่า นายอำเภอ ข้าราชการท้องถิ่นแต่ละที่มันสร้างเดอะแก๊งมันไว้หมด ควบคุมโดยหัวหน้าแก๊งลูกน้องมันอีก เมื่อคนมันวางไว้พร้อม ที่ๆผ่านมามันทดลองทดสอบระบบมันแล้ว กทม.พื้นที่มากมายจึงทดสอบที่หัวละ1,000-5,000บาทกันไปแล้ว,ขยายมาต่างจังหวัดแล้วด้วย,มีการเลือกตัังใหม่ มันจัดเต็มที่แน่นอน,ที่เหลือมันจะให้ใครรับบทเป็นนายกฯคนต่อไปแค่นั้น,เพราะสุดท้ายใครจะมาเป็นนายกฯคนไทย มันอยากได้อะไรมันจะสั่งให้ทำได้ทันทีนั้นเอง,แบบสั่งยกบ่อน้ำมันบนแผ่นดินไทยให้มันครอบครองหมด,ล่าสุดสั่งให้ยกแร่เอิร์ธให้มันอีกด้วย อาจกว่าแสนล้านตัน มิใช่พันล้านตันหรือหมื่นล้านตันหรอก คือเราน้อยกว่าจีนไม่เท่าไรเองแค่นั้น,พม่า ไทย มีมากสุด และไทยง่ายปลอดภัยกว่าพม่า เขมรจีนยึดแร่เอิร์ธแล้ว.

    ..สรุปหนทางออกที่ดีคือกองทัพไทยต้องปกป้องอธิปไตยแผ่นดินไทยเราให้เด็ดขาดชัดเจน จะให้นักการเมืองชั่วเลวเจ้าสัวชั่วเลวคนข้าราชการชั่วเลวนี้มาทำลายชาติไทยเราไม่ได้,ต้องฉีกกฎคนชั่วเลวที่สร้างขึ้นทั้งหมดทันที,ยึดอำนาจมันคือคำตอบสุดท้าย.,ส่วนพิธีกรรมในชาติบ้านเมืองขณะนี้ สามารถทำแทนมันคนชั่วเลวนี้ได้หมดล่ะและดีกว่าด้วยอย่างสมพระเกียรติอีก,อย่าปล่อยผ่านเหมือนยุคอุ๊งอิ๊งอีกเลย,มันลุกลามจนชาติเสียหายประชาชนตายอีกจากสงครามเขมรยิงใส่เราก่อนเลยนะ,ทรัมป์มันอ้างสันติภาพบังหน้า ก็สะดวกที่เราจัดการให้จบจากภายในประเทศไทยเราเลย,จากนั้นยิ่งง่ายในการต่อยอดจัดการภายนอกประเทศ ,เช่นกรณีเขมรเราสามารถต่อยอดแบบสันติภาพคว่ำบาตรเขมรทั้งหมดต่อยอดได้,สันติภาพแบบคว่ำบาตรสงบสุขชาติใครชาติมันอยู่ใครอยู่มันก็ไม่ผิด,ปิดด่านถาวรตลอดแนวทั้งทางบกทางอากาศทางทะเลจริง,ตัดน้ำตัดไฟตัดเน็ต ห้ามดาวเทียมstarlinkข้ามวงโคจรต่ำผ่านเขตไทยห้ามอำนวยปล่อยสัญญาณให้เน็ตเขมร ,เรา..สามารถกำจัดภัยคุกคามได้เด็ดขาดด้วยผ่านสันติภาพนี้ล่ะ,แบบไม่รบด้วย ก็ให้สันติไง.
    มันเดอะแก๊งเดียวกันหมด,ทุกๆตัวในนักการเมืองนี้,มันจึงเขียนกฎหมายมาจนเปลี่ยนนายกฯมานั่งเล่นๆกันจนว่าเล่นตั้งแต่นายกฯไม่ซื่อสัตย์คนแรก คนสองทหารคือฝ่ายตรงข้ามเรา คนต่อมาเดอะแก๊งชูสามนิ้วยกมือให้มาแก้ม.112แทนตนมานั่งนายกฯเองแบบเสียงข้างน้อยหรือหนักกว่านายกฯรักษาการอุ๊งอิ๊งอีกเจตนาพูดหลุดชัดเจน คนไทยไปล้ำแผ่นดินเขมรตรงส่วนไหนบ้าง มันป่าเถื่อนทัั้งวางกับระเบิด ปล้นชิงเรียกค่าไถคนไทย 100%ไม่มีใครไปล้ำแดนมันแน่นอน,ต่างจากทหารเขมรมันเจตนาล้ำตามคำสั่งฮุนเซน ใช้ครอบครัวทหารล้ำเนียนๆมาตลอด เพื่อยึดพื้นที่สร้างแนวเขตใหม่ กะชิงทรัพยากรมีค่าจากพื้นที่ไทยที่ชิงมาได้ทั้งบนบกและลากลงทะเล,อย่าลืมว่าพรบ.ชุมนุมในที่สาธารณะก็เกิดจากยุคลุงยึดอำนาจปิดปากประชาชนชัดเจน แก้ม.190สำเร็จด้วย.,รธน.60นี้จึงเป็นภัยมากหากพูดกันจริง,ทำทีห้ามคนอื่นยึดอำนาจต่อโทษประหารมันเขียนปิดทางคนดีอื่นๆด้วยดักไว้,แต่ถ้ายึดแล้วฉีกทิ้งมันก็ทำอะไรไม่ได้ ผู้ชนะเขียนกฎใหม่ได้หมด, ..เรา..ประชาชนจึงคาดหวังกับทหารกองทัพไทยเราใหม่สูงมากกว่ายุคคนบูรพาพยัคฆ์ผีบ้าไม่ถีบเขมรเหมือนบิ๊กกุ้งถีบออกไปอย่างชัดเจน,ผบ.สสและผบ.ทบ.เราต้องเด็ดขาดเสียทีกับนักการเมืองชั่วเลวเหล่านี้,ลุกลามพากันเลวชั่วจนถึงระดับท้องถิ่นไปหมด,แม้มีเลือกตั้งสมัยหน้าคนไทยที่ยากจนตามความจำเป็นในการใช้ตังของระบบทาสตังฝ่ายมือวางไว้จะไร้ปัญญาหนีออกจากระบบมันได้,ยิ่งเงินเถื่อนกว่าล้านล้านบาทมันพร้อมลงทุนซื้อคนนักการเมืองทุกๆระดับได้ ตั้งแต่ระดับชาติถึงผญบ.ก็ว่า มันทำแล้วด้วยในปัจจุบันที่ผ่านๆมา นักการเมืองท้องถิ่น อบต.อบจ.ส.อบต. ส.อบจ. ผญบ. ผู้ว่า นายอำเภอ ข้าราชการท้องถิ่นแต่ละที่มันสร้างเดอะแก๊งมันไว้หมด ควบคุมโดยหัวหน้าแก๊งลูกน้องมันอีก เมื่อคนมันวางไว้พร้อม ที่ๆผ่านมามันทดลองทดสอบระบบมันแล้ว กทม.พื้นที่มากมายจึงทดสอบที่หัวละ1,000-5,000บาทกันไปแล้ว,ขยายมาต่างจังหวัดแล้วด้วย,มีการเลือกตัังใหม่ มันจัดเต็มที่แน่นอน,ที่เหลือมันจะให้ใครรับบทเป็นนายกฯคนต่อไปแค่นั้น,เพราะสุดท้ายใครจะมาเป็นนายกฯคนไทย มันอยากได้อะไรมันจะสั่งให้ทำได้ทันทีนั้นเอง,แบบสั่งยกบ่อน้ำมันบนแผ่นดินไทยให้มันครอบครองหมด,ล่าสุดสั่งให้ยกแร่เอิร์ธให้มันอีกด้วย อาจกว่าแสนล้านตัน มิใช่พันล้านตันหรือหมื่นล้านตันหรอก คือเราน้อยกว่าจีนไม่เท่าไรเองแค่นั้น,พม่า ไทย มีมากสุด และไทยง่ายปลอดภัยกว่าพม่า เขมรจีนยึดแร่เอิร์ธแล้ว. ..สรุปหนทางออกที่ดีคือกองทัพไทยต้องปกป้องอธิปไตยแผ่นดินไทยเราให้เด็ดขาดชัดเจน จะให้นักการเมืองชั่วเลวเจ้าสัวชั่วเลวคนข้าราชการชั่วเลวนี้มาทำลายชาติไทยเราไม่ได้,ต้องฉีกกฎคนชั่วเลวที่สร้างขึ้นทั้งหมดทันที,ยึดอำนาจมันคือคำตอบสุดท้าย.,ส่วนพิธีกรรมในชาติบ้านเมืองขณะนี้ สามารถทำแทนมันคนชั่วเลวนี้ได้หมดล่ะและดีกว่าด้วยอย่างสมพระเกียรติอีก,อย่าปล่อยผ่านเหมือนยุคอุ๊งอิ๊งอีกเลย,มันลุกลามจนชาติเสียหายประชาชนตายอีกจากสงครามเขมรยิงใส่เราก่อนเลยนะ,ทรัมป์มันอ้างสันติภาพบังหน้า ก็สะดวกที่เราจัดการให้จบจากภายในประเทศไทยเราเลย,จากนั้นยิ่งง่ายในการต่อยอดจัดการภายนอกประเทศ ,เช่นกรณีเขมรเราสามารถต่อยอดแบบสันติภาพคว่ำบาตรเขมรทั้งหมดต่อยอดได้,สันติภาพแบบคว่ำบาตรสงบสุขชาติใครชาติมันอยู่ใครอยู่มันก็ไม่ผิด,ปิดด่านถาวรตลอดแนวทั้งทางบกทางอากาศทางทะเลจริง,ตัดน้ำตัดไฟตัดเน็ต ห้ามดาวเทียมstarlinkข้ามวงโคจรต่ำผ่านเขตไทยห้ามอำนวยปล่อยสัญญาณให้เน็ตเขมร ,เรา..สามารถกำจัดภัยคุกคามได้เด็ดขาดด้วยผ่านสันติภาพนี้ล่ะ,แบบไม่รบด้วย ก็ให้สันติไง.
    เบื้องหลังนายกฯขอโทษคนไทย ก็เพราะมือขวาครูใหญ่ สั่งนายกฯปากไวให้แก้ปัญหาด้วยตัวเอง
    #คิงส์โพธิ์แดง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 656 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • 'ชัยชนะ' นำ 20 สจ.นครศรีฯ เข้าพรรคประชาธิปัตย์ ส่งสัญญาณรวมพลังหนุน 'อภิสิทธิ์' นั่งหัวหน้าพรรค
    https://www.thai-tai.tv/news/21759/
    .
    #ชัยชนะเดชเดโช #ประชาธิปัตย์ #อภิสิทธิ์เวชชาชีวะ #สจนครศรีธรรมราช #หัวหน้าพรรคปชป. #การเมืองท้องถิ่น #รวมพลังปชป.
    'ชัยชนะ' นำ 20 สจ.นครศรีฯ เข้าพรรคประชาธิปัตย์ ส่งสัญญาณรวมพลังหนุน 'อภิสิทธิ์' นั่งหัวหน้าพรรค https://www.thai-tai.tv/news/21759/ . #ชัยชนะเดชเดโช #ประชาธิปัตย์ #อภิสิทธิ์เวชชาชีวะ #สจนครศรีธรรมราช #หัวหน้าพรรคปชป. #การเมืองท้องถิ่น #รวมพลังปชป.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 395 มุมมอง 0 รีวิว
  • “400 ล้านเครื่องกำลังถูกทิ้ง — ธุรกิจทั่วโลกร้องขอให้ Microsoft ยืดอายุ Windows 10 ฟรี เพื่อหยุดหายนะขยะอิเล็กทรอนิกส์”

    ใกล้ถึงวันที่ 14 ตุลาคม 2025 ซึ่งเป็นวันสิ้นสุดการสนับสนุนฟรีของ Windows 10 หลายองค์กรทั่วโลกเริ่มแสดงความกังวลอย่างหนัก โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจซ่อมคอมพิวเตอร์, ห้องสมุด, โรงเรียน, นักการเมืองท้องถิ่น และองค์กรด้านสิ่งแวดล้อมกว่า 500 แห่ง ได้ร่วมลงนามในจดหมายเปิดผนึกถึง Microsoft เพื่อขอให้ขยายการสนับสนุนฟรีของ Windows 10 ออกไปอีก

    เหตุผลหลักคือมีคอมพิวเตอร์กว่า 400 ล้านเครื่องทั่วโลกที่ไม่สามารถอัปเกรดเป็น Windows 11 ได้ เนื่องจากข้อจำกัดด้านฮาร์ดแวร์ เช่น TPM 2.0 หรือ CPU รุ่นเก่า ซึ่งทำให้ผู้ใช้ต้องเลือกระหว่าง “ซื้อเครื่องใหม่” หรือ “ใช้งานระบบที่ไม่มีการอัปเดตความปลอดภัย” ซึ่งทั้งสองทางเลือกมีต้นทุนสูงและเสี่ยงต่อความปลอดภัย

    องค์กร PIRG (Public Interest Research Group) ซึ่งเป็นผู้จัดแคมเปญนี้ ระบุว่า การหยุดสนับสนุน Windows 10 จะทำให้เกิดขยะอิเล็กทรอนิกส์มากถึง 1.6 พันล้านปอนด์ และยังเปิดช่องให้แฮกเกอร์โจมตีระบบที่ไม่ได้รับการอัปเดต โดยเฉพาะในธุรกิจขนาดเล็ก โรงพยาบาล และหน่วยงานราชการที่ยังใช้ Windows 10 เป็นหลัก

    แม้ Microsoft จะเสนอทางเลือกให้ซื้อการสนับสนุนต่อในราคาประมาณ $30 ต่อปี หรือมีโปรแกรมราคาพิเศษสำหรับโรงเรียนในยุโรป แต่กลุ่มผู้เรียกร้องมองว่า “การคิดเงินเพื่อความปลอดภัยพื้นฐาน” เป็นเรื่องไม่สมเหตุสมผล และขัดกับพันธกิจด้านความยั่งยืนของ Microsoft เอง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Windows 10 จะสิ้นสุดการสนับสนุนฟรีในวันที่ 14 ตุลาคม 2025
    มีคอมพิวเตอร์กว่า 400 ล้านเครื่องที่ไม่สามารถอัปเกรดเป็น Windows 11 ได้
    กลุ่ม PIRG และองค์กรกว่า 500 แห่งร่วมลงนามเรียกร้องให้ Microsoft ขยายการสนับสนุนฟรี
    การหยุดสนับสนุนจะสร้างขยะอิเล็กทรอนิกส์มากถึง 1.6 พันล้านปอนด์
    Microsoft เสนอการสนับสนุนแบบเสียเงินเริ่มต้นที่ $30 ต่อปี
    โรงเรียนในยุโรปได้รับสิทธิ์สนับสนุนฟรีเพิ่มอีก 1 ปี
    Windows 10 ยังมีส่วนแบ่งตลาดถึง 40.5% ณ เดือนกันยายน 2025
    ผู้ใช้งานหลายกลุ่มยังไม่สามารถเปลี่ยนไปใช้ Windows 11 ได้เพราะข้อจำกัดฮาร์ดแวร์

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Windows 11 ต้องการ TPM 2.0 และ CPU รุ่นใหม่ ทำให้หลายเครื่องไม่สามารถอัปเกรดได้
    Microsoft เคยสนับสนุน Windows XP นานถึง 13 ปี ก่อนจะหยุดในปี 2014
    การอัปเดตความปลอดภัยเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการป้องกัน ransomware และมัลแวร์
    การเปลี่ยนระบบปฏิบัติการในองค์กรขนาดใหญ่ต้องใช้เวลาและงบประมาณจำนวนมาก
    Linux ถูกเสนอเป็นทางเลือกสำหรับเครื่องที่ไม่สามารถใช้ Windows 11 ได้

    https://www.techradar.com/pro/hundreds-of-businesses-beg-microsoft-not-to-kill-off-free-windows-10-updates
    🖥️ “400 ล้านเครื่องกำลังถูกทิ้ง — ธุรกิจทั่วโลกร้องขอให้ Microsoft ยืดอายุ Windows 10 ฟรี เพื่อหยุดหายนะขยะอิเล็กทรอนิกส์” ใกล้ถึงวันที่ 14 ตุลาคม 2025 ซึ่งเป็นวันสิ้นสุดการสนับสนุนฟรีของ Windows 10 หลายองค์กรทั่วโลกเริ่มแสดงความกังวลอย่างหนัก โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจซ่อมคอมพิวเตอร์, ห้องสมุด, โรงเรียน, นักการเมืองท้องถิ่น และองค์กรด้านสิ่งแวดล้อมกว่า 500 แห่ง ได้ร่วมลงนามในจดหมายเปิดผนึกถึง Microsoft เพื่อขอให้ขยายการสนับสนุนฟรีของ Windows 10 ออกไปอีก เหตุผลหลักคือมีคอมพิวเตอร์กว่า 400 ล้านเครื่องทั่วโลกที่ไม่สามารถอัปเกรดเป็น Windows 11 ได้ เนื่องจากข้อจำกัดด้านฮาร์ดแวร์ เช่น TPM 2.0 หรือ CPU รุ่นเก่า ซึ่งทำให้ผู้ใช้ต้องเลือกระหว่าง “ซื้อเครื่องใหม่” หรือ “ใช้งานระบบที่ไม่มีการอัปเดตความปลอดภัย” ซึ่งทั้งสองทางเลือกมีต้นทุนสูงและเสี่ยงต่อความปลอดภัย องค์กร PIRG (Public Interest Research Group) ซึ่งเป็นผู้จัดแคมเปญนี้ ระบุว่า การหยุดสนับสนุน Windows 10 จะทำให้เกิดขยะอิเล็กทรอนิกส์มากถึง 1.6 พันล้านปอนด์ และยังเปิดช่องให้แฮกเกอร์โจมตีระบบที่ไม่ได้รับการอัปเดต โดยเฉพาะในธุรกิจขนาดเล็ก โรงพยาบาล และหน่วยงานราชการที่ยังใช้ Windows 10 เป็นหลัก แม้ Microsoft จะเสนอทางเลือกให้ซื้อการสนับสนุนต่อในราคาประมาณ $30 ต่อปี หรือมีโปรแกรมราคาพิเศษสำหรับโรงเรียนในยุโรป แต่กลุ่มผู้เรียกร้องมองว่า “การคิดเงินเพื่อความปลอดภัยพื้นฐาน” เป็นเรื่องไม่สมเหตุสมผล และขัดกับพันธกิจด้านความยั่งยืนของ Microsoft เอง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Windows 10 จะสิ้นสุดการสนับสนุนฟรีในวันที่ 14 ตุลาคม 2025 ➡️ มีคอมพิวเตอร์กว่า 400 ล้านเครื่องที่ไม่สามารถอัปเกรดเป็น Windows 11 ได้ ➡️ กลุ่ม PIRG และองค์กรกว่า 500 แห่งร่วมลงนามเรียกร้องให้ Microsoft ขยายการสนับสนุนฟรี ➡️ การหยุดสนับสนุนจะสร้างขยะอิเล็กทรอนิกส์มากถึง 1.6 พันล้านปอนด์ ➡️ Microsoft เสนอการสนับสนุนแบบเสียเงินเริ่มต้นที่ $30 ต่อปี ➡️ โรงเรียนในยุโรปได้รับสิทธิ์สนับสนุนฟรีเพิ่มอีก 1 ปี ➡️ Windows 10 ยังมีส่วนแบ่งตลาดถึง 40.5% ณ เดือนกันยายน 2025 ➡️ ผู้ใช้งานหลายกลุ่มยังไม่สามารถเปลี่ยนไปใช้ Windows 11 ได้เพราะข้อจำกัดฮาร์ดแวร์ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Windows 11 ต้องการ TPM 2.0 และ CPU รุ่นใหม่ ทำให้หลายเครื่องไม่สามารถอัปเกรดได้ ➡️ Microsoft เคยสนับสนุน Windows XP นานถึง 13 ปี ก่อนจะหยุดในปี 2014 ➡️ การอัปเดตความปลอดภัยเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการป้องกัน ransomware และมัลแวร์ ➡️ การเปลี่ยนระบบปฏิบัติการในองค์กรขนาดใหญ่ต้องใช้เวลาและงบประมาณจำนวนมาก ➡️ Linux ถูกเสนอเป็นทางเลือกสำหรับเครื่องที่ไม่สามารถใช้ Windows 11 ได้ https://www.techradar.com/pro/hundreds-of-businesses-beg-microsoft-not-to-kill-off-free-windows-10-updates
    WWW.TECHRADAR.COM
    Hundreds of businesses beg Microsoft not to kill off free Windows 10 updates
    533 signatories ask Microsoft to reconsider Windows 10’s EOL
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 430 มุมมอง 0 รีวิว
  • สภากทม. ไฟเขียว "ชัชชาติ" ชำระหนี้รถไฟฟ้า 3.2 หมื่นล้าน ใช้เงินสะสมเกือบทั้งหมดปิดฉากปัญหาสะสม
    https://www.thai-tai.tv/news/21723/
    .
    #ชัชชาติสิทธิพันธุ์ #หนี้รถไฟฟ้าสายสีเขียว #สภากทม #จ่ายขาดเงินสะสม #ปรับขึ้นค่าโดยสาร #บริหารจัดการหนี้ #การเมืองท้องถิ่น #ไทยไท
    สภากทม. ไฟเขียว "ชัชชาติ" ชำระหนี้รถไฟฟ้า 3.2 หมื่นล้าน ใช้เงินสะสมเกือบทั้งหมดปิดฉากปัญหาสะสม https://www.thai-tai.tv/news/21723/ . #ชัชชาติสิทธิพันธุ์ #หนี้รถไฟฟ้าสายสีเขียว #สภากทม #จ่ายขาดเงินสะสม #ปรับขึ้นค่าโดยสาร #บริหารจัดการหนี้ #การเมืองท้องถิ่น #ไทยไท
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 505 มุมมอง 0 รีวิว
  • กทม. รุกหนักโครงการ 'บ้านนี้ไม่เทรวม' ใช้กลไกลดค่าธรรมเนียมขยะ 40 บาท/เดือน หวังกระตุ้นคนกรุงแยกขยะ
    https://www.thai-tai.tv/news/21677/
    .
    #บ้านนี้ไม่เทรวม #แยกขยะ #BKKWASTEPAY #พรพรหมวิกิตเศรษฐ์ #ผู้ว่าฯกทม #ค่าธรรมเนียมขยะ #การจัดการสิ่งแวดล้อม #การเมืองท้องถิ่น
    กทม. รุกหนักโครงการ 'บ้านนี้ไม่เทรวม' ใช้กลไกลดค่าธรรมเนียมขยะ 40 บาท/เดือน หวังกระตุ้นคนกรุงแยกขยะ https://www.thai-tai.tv/news/21677/ . #บ้านนี้ไม่เทรวม #แยกขยะ #BKKWASTEPAY #พรพรหมวิกิตเศรษฐ์ #ผู้ว่าฯกทม #ค่าธรรมเนียมขยะ #การจัดการสิ่งแวดล้อม #การเมืองท้องถิ่น
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 355 มุมมอง 0 รีวิว
  • นายกฯอนุทิน นำทัพสส.ภูมิใจไทย เสนอแก้กฎหมาย เปิดทางสืบทอดอำนาจท้องถิ่น ฐานอำนาจพรรคน้ำเงิน ให้เหล่าวัยรุ่นสร้างตัวเข้าสู่วงจรการเมืองท้องถิ่นไวกว่าเดิม เพิ่มเติมด้วยความชิไวขึ้นของสังคม
    #คิงส์โพธิ์แดง
    นายกฯอนุทิน นำทัพสส.ภูมิใจไทย เสนอแก้กฎหมาย เปิดทางสืบทอดอำนาจท้องถิ่น ฐานอำนาจพรรคน้ำเงิน ให้เหล่าวัยรุ่นสร้างตัวเข้าสู่วงจรการเมืองท้องถิ่นไวกว่าเดิม เพิ่มเติมด้วยความชิไวขึ้นของสังคม #คิงส์โพธิ์แดง
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 279 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อวานนี้ที่อังกฤษมีการชุมนุมที่เรียกว่า "Unite the Kingdom" ซึ่งเป็นการชุมนุมที่จัดโดย "ทอมมี่ โรบินสัน" นักกิจกรรมทางการเมืองฝ่ายขวา หรือ "อนุรักษ์นิยม"

    การชุมนุมมีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงออกถึงความไม่พอใจนโยบายของรัฐบาลเกี่ยวกับการเปิดรับผู้อพยพมากจนเกินไป และรณรงค์เคลื่อนไหวให้ขับผู้อพยพออกนอกประเทศอังกฤษ

    โดยจะเริ่มจากสะพานวอเตอร์ลูและเดินไปยังไวท์ฮอลล์ รายงานจากสื่อ ระบุว่ามีผู้เข้าร่วมประมาณมากกว่าแสนคน

    ขณะเดียวกัน ก็มีกลุ่มการเมืองฝ่ายซ้าย หรือพวก "เสรีนิยม" ซึ่งเป็นกลุ่ม “Stand Up To Racism” รวมตัวกันที่ปลายอีกด้านของไวท์ฮอลล์ ตามรายงานข่าวแจ้งว่ามีจำนวน "หลายพันคน"

    ที่น่าสนใจคือ จำนวนตัวเลขของผู้มาชุมนุมฝ่ายซ้าย (อนุรักษ์นิยม) มีจำนวนมากกว่าฝ่ายขวา (เสรีนิยม) มากมายหลายเท่า บ่งบอกว่า ขณะนี้กระแสของคนอังกฤษเห็นด้วยกับแนวคิดที่จะไม่ต้อนรับผู้อพยพเข้ามาในประเทศ มุ่งเป้าไปที่พัฒนาคนในชาติ และต้องการให้รัฐบาลหันมาสนใจชีวิตความเป็นอยู่ของคนอังกฤษเองมากกว่าแนวคิดฝ่ายซ้ายที่เปิดรับผู้อพยพแบบบ้าคลั่งจนเกินพอดี

    กระแสอนุรักษ์นิยมนี้ ไม่ใช่มีแค่ในอังกฤษเท่านั้น ผลจากการเลือกตั้งการเมืองท้องถิ่นในยุโรปหลายประเทศ หรือแม้กระทั่งสหรัฐเมริกาเอง บ่งชี้ว่าประชาชนตระหนักแล้วว่า ที่ผ่านมาการเปิดรับสิ่งต่างๆมากเกิน อย่างที่ฝ่ายขวา หรือ เสรีนิยมพยายามป้อนข้อมูลให้ประชาชนเพ้อฝันมาตลอดหลายสิบปี ไม่ใช่ทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับพวกเขา
    เมื่อวานนี้ที่อังกฤษมีการชุมนุมที่เรียกว่า "Unite the Kingdom" ซึ่งเป็นการชุมนุมที่จัดโดย "ทอมมี่ โรบินสัน" นักกิจกรรมทางการเมืองฝ่ายขวา หรือ "อนุรักษ์นิยม" การชุมนุมมีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงออกถึงความไม่พอใจนโยบายของรัฐบาลเกี่ยวกับการเปิดรับผู้อพยพมากจนเกินไป และรณรงค์เคลื่อนไหวให้ขับผู้อพยพออกนอกประเทศอังกฤษ โดยจะเริ่มจากสะพานวอเตอร์ลูและเดินไปยังไวท์ฮอลล์ รายงานจากสื่อ ระบุว่ามีผู้เข้าร่วมประมาณมากกว่าแสนคน ขณะเดียวกัน ก็มีกลุ่มการเมืองฝ่ายซ้าย หรือพวก "เสรีนิยม" ซึ่งเป็นกลุ่ม “Stand Up To Racism” รวมตัวกันที่ปลายอีกด้านของไวท์ฮอลล์ ตามรายงานข่าวแจ้งว่ามีจำนวน "หลายพันคน" 👉ที่น่าสนใจคือ จำนวนตัวเลขของผู้มาชุมนุมฝ่ายซ้าย (อนุรักษ์นิยม) มีจำนวนมากกว่าฝ่ายขวา (เสรีนิยม) มากมายหลายเท่า บ่งบอกว่า ขณะนี้กระแสของคนอังกฤษเห็นด้วยกับแนวคิดที่จะไม่ต้อนรับผู้อพยพเข้ามาในประเทศ มุ่งเป้าไปที่พัฒนาคนในชาติ และต้องการให้รัฐบาลหันมาสนใจชีวิตความเป็นอยู่ของคนอังกฤษเองมากกว่าแนวคิดฝ่ายซ้ายที่เปิดรับผู้อพยพแบบบ้าคลั่งจนเกินพอดี 👉กระแสอนุรักษ์นิยมนี้ ไม่ใช่มีแค่ในอังกฤษเท่านั้น ผลจากการเลือกตั้งการเมืองท้องถิ่นในยุโรปหลายประเทศ หรือแม้กระทั่งสหรัฐเมริกาเอง บ่งชี้ว่าประชาชนตระหนักแล้วว่า ที่ผ่านมาการเปิดรับสิ่งต่างๆมากเกิน อย่างที่ฝ่ายขวา หรือ เสรีนิยมพยายามป้อนข้อมูลให้ประชาชนเพ้อฝันมาตลอดหลายสิบปี ไม่ใช่ทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับพวกเขา
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 351 มุมมอง 0 รีวิว
  • จาก ปชป. สู่ภูมิใจไทย! "พลอยทะเล" มุ่งเน้นการเมืองท้องถิ่น แก้ปัญหาสุขาภิบาล-สิ่งแวดล้อมภูเก็ต
    https://www.thai-tai.tv/news/20467/
    .
    #พลอยทะเลลักษมีแสงจันทร์ #ภูมิใจไทย #ประชาธิปัตย์ #การเมืองภูเก็ต #นโยบายพรรค #แก้ปัญหาจราจร #ท่องเที่ยวภูเก็ต #สิรภพดวงสอดศรี #คนรุ่นใหม่การเมือง
    จาก ปชป. สู่ภูมิใจไทย! "พลอยทะเล" มุ่งเน้นการเมืองท้องถิ่น แก้ปัญหาสุขาภิบาล-สิ่งแวดล้อมภูเก็ต https://www.thai-tai.tv/news/20467/ . #พลอยทะเลลักษมีแสงจันทร์ #ภูมิใจไทย #ประชาธิปัตย์ #การเมืองภูเก็ต #นโยบายพรรค #แก้ปัญหาจราจร #ท่องเที่ยวภูเก็ต #สิรภพดวงสอดศรี #คนรุ่นใหม่การเมือง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 501 มุมมอง 0 รีวิว
  • รศ.ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต วิเคราะห์งบประมาณ 2569: เครื่องมือพยุงอำนาจ หรือแผนพัฒนาชาติ?

    ร่างงบประมาณ 3.78 ล้านล้านของรัฐบาลแพทองธาร กำลังถูกตั้งคำถามว่าเพื่อประชาชนหรือเพื่อฐานเสียงทางการเมือง?

    การจัดทำร่าง งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ซึ่งมีวงเงินกว่า 3.78 ล้านล้านบาท กำลังกลายเป็นประเด็นร้อน ไม่ใช่แค่เพราะเม็ดเงินมหาศาล แต่เพราะมันสะท้อนว่า รัฐบาลบริหาร “อำนาจ” และ “ความคาดหวังของประชาชน” อย่างไร

    เมื่อมองผ่านมุม เศรษฐศาสตร์การเมือง—ซึ่งวิเคราะห์การใช้ทรัพยากรภายใต้แรงจูงใจทางอำนาจและผลประโยชน์ทางการเมือง—คำถามใหญ่คือ งบนี้ออกแบบเพื่อ “พัฒนาชาติ” หรือแค่ “พยุงอำนาจ”?

    1. จากดิจิทัลวอลเล็ต สู่ท้องถิ่น: กลยุทธ์รักษาฐานเสียง?

    รัฐบาลโยกงบกว่า 157,000 ล้านบาท จากโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ไปสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) พร้อมเปิดให้ยื่นขอใช้งบในเวลาเพียง 3 วัน

    นี่อาจไม่ใช่การกระจายงบอย่างมีแผน แต่คือการ “ป้อนงบ” ให้กับเครือข่ายการเมืองท้องถิ่น ซึ่งสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพรรคเพื่อไทยและภูมิใจไทย โดยเฉพาะในพื้นที่ฐานเสียงสำคัญ

    2. กู้เงิน 8.6 แสนล้าน: ลงทุนเพื่ออนาคต หรือซื้อเวลา?

    การกู้เงินขาดดุลสูงสุดในรอบ 30 ปี สะท้อนแรงกดดันจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และความคาดหวังต่อรัฐบาลใหม่ แต่อีกด้านก็มีคำถามว่า เม็ดเงินเหล่านี้จะถูกใช้ “อย่างยั่งยืน” หรือไม่?

    การไม่มีรายละเอียดชัดเจนเกี่ยวกับโครงการลงทุนที่สร้างผลตอบแทนระยะยาว ยิ่งทำให้เกิดข้อกังขาว่า นี่คือการใช้เงินเพื่อ “ผลทางการเมืองในระยะสั้น” มากกว่าการปฏิรูปเศรษฐกิจจริงจัง

    3. รัฐบาลผสม กับการจัดงบแบบแบ่งเค้ก

    การที่รัฐบาลเป็นรัฐบาลผสม ทำให้การจัดสรรงบประมาณกลายเป็นเวทีต่อรองอำนาจ
    การจัดสรรงบจำนวนมากไปยังพื้นที่ฐานเสียง และการบริหารงบกลางแบบไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ ชี้ว่าการเมืองภายในรัฐบาลส่งผลต่อการใช้งบมากกว่าความจำเป็นของประเทศ

    4. งบปี 2569 ไม่ตอบโจทย์โลกใหม่?

    แม้รัฐบาลจะพูดถึง “Soft Power” และ การผลักดันเศรษฐกิจสร้างสรรค์ แต่งบปี 2569 กลับไม่มีทิศทางชัดเจนในเรื่อง การลงทุนด้านเทคโนโลยี นวัตกรรม หรือการพัฒนาทักษะแรงงาน

    ในโลกที่เปลี่ยนเร็ว ไทยกลับยังเดินตามโมเดล “ทุ่มงบก่อสร้าง” ที่เห็นผลง่าย แต่มักไม่ตอบโจทย์ในระยะยาว โดยเฉพาะการพัฒนาปัญญาและเพิ่มทักษะแก่ประชาชน

    5. เหลื่อมล้ำยังอยู่ งบไม่ถึงชายขอบ

    การจัดงบยังคง “กระจุกตัวในเมืองใหญ่” ขณะที่งบพัฒนาจังหวัดเล็ก ๆ หรือจังหวัดชายแดนถูกลดลง งบด้านความมั่นคงกลับเพิ่มขึ้น

    ทั้งหมดนี้สะท้อนแนวคิดการบริหารที่เน้นการ “ควบคุม” มากกว่าการ “พัฒนา” ซึ่งอาจยิ่งทำให้ความเหลื่อมล้ำฝังรากลึกลงไปอีก

    บทสรุป: เมื่อ “งบประมาณ” กลายเป็นสนามอำนาจ

    งบประมาณปี 2569 ไม่ได้เป็นเพียงแค่ชุดตัวเลข แต่คือกระจกสะท้อนว่า รัฐบาลกำลังใช้อำนาจเพื่อใคร และอย่างไร การกระจายงบแบบไม่ทั่วถึง การกู้เงินมหาศาลโดยไร้ทิศทางระยะยาว และการเมืองแบบอุปถัมภ์ที่ฝังรากลึก ล้วนชี้ว่ารัฐบาลกำลังให้ความสำคัญกับ “เสถียรภาพทางการเมือง” มากกว่าการ “พัฒนาที่ยั่งยืน”

    หากอำนาจรัฐยังใช้งบประมาณเป็นเชือกผูกโยงฐานเสียง มากกว่าการเปิดทางให้โอกาสไหลถึงประชาชนทั้งแผ่นดิน

    ความมั่งคั่งก็จะกระจุกอยู่ในหมู่ชนชั้นนำและนักการเมืองเจ้าถิ่น ขณะที่คนส่วนใหญ่จะยังจมปลักอยู่ในทะเลแห่งความเหลื่อมล้ำ—ไร้ฝั่งฝัน ไร้เส้นทางรอด”
    รศ.ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต วิเคราะห์งบประมาณ 2569: เครื่องมือพยุงอำนาจ หรือแผนพัฒนาชาติ? ร่างงบประมาณ 3.78 ล้านล้านของรัฐบาลแพทองธาร กำลังถูกตั้งคำถามว่าเพื่อประชาชนหรือเพื่อฐานเสียงทางการเมือง? การจัดทำร่าง งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ซึ่งมีวงเงินกว่า 3.78 ล้านล้านบาท กำลังกลายเป็นประเด็นร้อน ไม่ใช่แค่เพราะเม็ดเงินมหาศาล แต่เพราะมันสะท้อนว่า รัฐบาลบริหาร “อำนาจ” และ “ความคาดหวังของประชาชน” อย่างไร เมื่อมองผ่านมุม เศรษฐศาสตร์การเมือง—ซึ่งวิเคราะห์การใช้ทรัพยากรภายใต้แรงจูงใจทางอำนาจและผลประโยชน์ทางการเมือง—คำถามใหญ่คือ งบนี้ออกแบบเพื่อ “พัฒนาชาติ” หรือแค่ “พยุงอำนาจ”? 1. จากดิจิทัลวอลเล็ต สู่ท้องถิ่น: กลยุทธ์รักษาฐานเสียง? รัฐบาลโยกงบกว่า 157,000 ล้านบาท จากโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ไปสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) พร้อมเปิดให้ยื่นขอใช้งบในเวลาเพียง 3 วัน นี่อาจไม่ใช่การกระจายงบอย่างมีแผน แต่คือการ “ป้อนงบ” ให้กับเครือข่ายการเมืองท้องถิ่น ซึ่งสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพรรคเพื่อไทยและภูมิใจไทย โดยเฉพาะในพื้นที่ฐานเสียงสำคัญ 2. กู้เงิน 8.6 แสนล้าน: ลงทุนเพื่ออนาคต หรือซื้อเวลา? การกู้เงินขาดดุลสูงสุดในรอบ 30 ปี สะท้อนแรงกดดันจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และความคาดหวังต่อรัฐบาลใหม่ แต่อีกด้านก็มีคำถามว่า เม็ดเงินเหล่านี้จะถูกใช้ “อย่างยั่งยืน” หรือไม่? การไม่มีรายละเอียดชัดเจนเกี่ยวกับโครงการลงทุนที่สร้างผลตอบแทนระยะยาว ยิ่งทำให้เกิดข้อกังขาว่า นี่คือการใช้เงินเพื่อ “ผลทางการเมืองในระยะสั้น” มากกว่าการปฏิรูปเศรษฐกิจจริงจัง 3. รัฐบาลผสม กับการจัดงบแบบแบ่งเค้ก การที่รัฐบาลเป็นรัฐบาลผสม ทำให้การจัดสรรงบประมาณกลายเป็นเวทีต่อรองอำนาจ การจัดสรรงบจำนวนมากไปยังพื้นที่ฐานเสียง และการบริหารงบกลางแบบไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ ชี้ว่าการเมืองภายในรัฐบาลส่งผลต่อการใช้งบมากกว่าความจำเป็นของประเทศ 4. งบปี 2569 ไม่ตอบโจทย์โลกใหม่? แม้รัฐบาลจะพูดถึง “Soft Power” และ การผลักดันเศรษฐกิจสร้างสรรค์ แต่งบปี 2569 กลับไม่มีทิศทางชัดเจนในเรื่อง การลงทุนด้านเทคโนโลยี นวัตกรรม หรือการพัฒนาทักษะแรงงาน ในโลกที่เปลี่ยนเร็ว ไทยกลับยังเดินตามโมเดล “ทุ่มงบก่อสร้าง” ที่เห็นผลง่าย แต่มักไม่ตอบโจทย์ในระยะยาว โดยเฉพาะการพัฒนาปัญญาและเพิ่มทักษะแก่ประชาชน 5. เหลื่อมล้ำยังอยู่ งบไม่ถึงชายขอบ การจัดงบยังคง “กระจุกตัวในเมืองใหญ่” ขณะที่งบพัฒนาจังหวัดเล็ก ๆ หรือจังหวัดชายแดนถูกลดลง งบด้านความมั่นคงกลับเพิ่มขึ้น ทั้งหมดนี้สะท้อนแนวคิดการบริหารที่เน้นการ “ควบคุม” มากกว่าการ “พัฒนา” ซึ่งอาจยิ่งทำให้ความเหลื่อมล้ำฝังรากลึกลงไปอีก บทสรุป: เมื่อ “งบประมาณ” กลายเป็นสนามอำนาจ งบประมาณปี 2569 ไม่ได้เป็นเพียงแค่ชุดตัวเลข แต่คือกระจกสะท้อนว่า รัฐบาลกำลังใช้อำนาจเพื่อใคร และอย่างไร การกระจายงบแบบไม่ทั่วถึง การกู้เงินมหาศาลโดยไร้ทิศทางระยะยาว และการเมืองแบบอุปถัมภ์ที่ฝังรากลึก ล้วนชี้ว่ารัฐบาลกำลังให้ความสำคัญกับ “เสถียรภาพทางการเมือง” มากกว่าการ “พัฒนาที่ยั่งยืน” หากอำนาจรัฐยังใช้งบประมาณเป็นเชือกผูกโยงฐานเสียง มากกว่าการเปิดทางให้โอกาสไหลถึงประชาชนทั้งแผ่นดิน ความมั่งคั่งก็จะกระจุกอยู่ในหมู่ชนชั้นนำและนักการเมืองเจ้าถิ่น ขณะที่คนส่วนใหญ่จะยังจมปลักอยู่ในทะเลแห่งความเหลื่อมล้ำ—ไร้ฝั่งฝัน ไร้เส้นทางรอด”
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 811 มุมมอง 0 รีวิว
  • 12 พฤษภาคม 2568- รศ.ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต ผู้อำนวยการหลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการเมืองและยุทธศาสตร์การพัฒนา ได้เผยแพร่บทวิเคราะห์สำคัญเรื่อง การเลือกตั้งเทศบาลในปี 2568 สะท้อนให้เห็นถึงพลวัตของการเมืองท้องถิ่นในประเทศไทยที่ยังคงมีลักษณะผสมผสานระหว่างความต่อเนื่องของโครงสร้างอำนาจเดิมและสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงที่เริ่มปรากฏในบางพื้นที่ จากข้อมูลสามารถวิเคราะห์เบื้องต้นได้ดังนี้

    ภาพรวมพฤติกรรมการเลือกตั้ง

    1 ความต่อเนื่องของระบบอุปถัมภ์และบ้านใหญ่

    พฤติกรรมการเลือกตั้งของประชาชนส่วนใหญ่ยังคงยึดโยงกับนักการเมืองท้องถิ่นที่มีอิทธิพล หรือ “บ้านใหญ่” ซึ่งใช้อำนาจผ่านระบบอุปถัมภ์ (patronage system) และการซื้อเสียงเพื่อรักษาฐานอำนาจ

    ผลการเลือกตั้งแสดงให้เห็นว่า “แชมป์เก่า” หรือผู้ดำรงตำแหน่งเดิมส่วนใหญ่ยังคงรักษาเก้าอี้ได้ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีตระกูลการเมืองครอบงำมายาวนาน

    การซื้อเสียงยังคงเป็นประเด็นสำคัญ โดยมีการร้องเรียนและหลักฐานที่ปรากฏในบางพื้นที่ เช่น ที่จังหวัดกาฬสินธุ์ ซึ่งมีรายงานการจ่ายเงินหัวละ 3,000 บาท การซื้อเสียงนี้ถูกมองว่าเป็น “ความปกติ” ในบริบทการเลือกตั้งท้องถิ่นไทย

    2 สัญญาณการเปลี่ยนแปลง

    แม้ระบบบ้านใหญ่จะยังครองอำนาจ แต่บางพื้นที่เริ่มแสดงถึงความต้องการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่สนับสนุนพรรคประชาชน (เดิมคือพรรคก้าวไกล) ซึ่งมีฐานจากคนรุ่นใหม่และผู้ที่ไม่พอใจกับการเมืองแบบเดิม

    พรรคประชาชนได้รับชัยชนะในเทศบาลเมือง 5 แห่ง และเทศบาลตำบล 9 แห่ง จากทั้งหมด 95 แห่งที่ส่งผู้สมัคร คิดเป็นประมาณ 15% ของพื้นที่ที่ลงแข่ง

    ชัยชนะของพรรคประชาชนในบางพื้นที่ เช่น สมุทรปราการ สะท้อนถึงฐานสนับสนุนที่แข็งแกร่ง ซึ่งสอดคล้องกับผลการเลือกตั้งทั่วไปในปี 2566 ที่พรรคนี้มีคะแนนนิยมสูง

    3 ความท้าทายของพรรคประชาชน

    ผลการเลือกตั้งที่ได้เพียง 15% จากพื้นที่ที่ลงสมัคร แสดงว่าพรรคประชาชนยังเผชิญความท้าทายในการเจาะฐานคะแนนในพื้นที่ที่มีระบบอุปถัมภ์ฝังรากลึก

    การเลือกตั้งท้องถิ่นเน้นที่ตัวบุคคลและความสัมพันธ์ในชุมชนมากกว่านโยบายระดับชาติ ซึ่งพรรคประชาชนอาจต้องใช้เวลาในการสร้างความยึดโยงกับชุมชนให้มากขึ้น

    4 ข้อสังเกตและแนวโน้มในอนาคต
    พฤติกรรมการเลือกตั้งแบบคู่ขนาน: ประชาชนบางส่วนแยกการตัดสินใจระหว่างการเลือกตั้งระดับชาติ (เน้นพรรคและนโยบาย) และระดับท้องถิ่น (เน้นตัวบุคคลและผลงาน) ส่งผลให้พรรคที่แข็งแกร่งในระดับชาติ เช่น พรรคประชาชน อาจไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรในระดับท้องถิ่น

    สัญญาณการเปลี่ยนแปลงที่เริ่มต้น: การที่พรรคประชาชนได้รับชัยชนะใน 14 เทศบาลจาก 95 แห่งที่ลงสมัคร แม้จะไม่ถึงเป้าหมาย แต่ก็แสดงถึงการเริ่มต้นของการท้าทายอำนาจเดิม โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีฐานสนับสนุนจากคนรุ่นใหม่และผู้ที่ต่อต้านการเมืองบ้านใหญ่

    การซื้อเสียง: การซื้อเสียงยังคงเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาการเมืองท้องถิ่นที่โปร่งใส การร้องเรียนในพื้นที่อย่างกาฬสินธุ์และสงขลา บ่งชี้ถึงความจำเป็นในการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวดขึ้น

    5 สรุป
    การเลือกตั้งเทศบาล 2568 แสดงให้เห็นถึงความทนทานของโครงสร้างอำนาจแบบบ้านใหญ่และระบบอุปถัมภ์ที่ยังครองการเมืองท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม สัญญาณของการเปลี่ยนแปลงเริ่มปรากฏผ่านชัยชนะของพรรคประชาชนในบางพื้นที่ ซึ่งสะท้อนถึงความต้องการของผู้มีสิทธิเลือกตั้งบางกลุ่มที่มองหาทางเลือกใหม่ การเปลี่ยนแปลงนี้อาจต้องใช้เวลาและการทำงานในระดับชุมชนที่เข้มข้นขึ้นเพื่อทลายโครงสร้างอำนาจเดิม ในอนาคต การเลือกตั้งท้องถิ่นจะยังคงเป็นเวทีสำคัญที่สะท้อนพลวัตระหว่างความเก่ากับความใหม่ของการเมืองไทย
    12 พฤษภาคม 2568- รศ.ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต ผู้อำนวยการหลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการเมืองและยุทธศาสตร์การพัฒนา ได้เผยแพร่บทวิเคราะห์สำคัญเรื่อง การเลือกตั้งเทศบาลในปี 2568 สะท้อนให้เห็นถึงพลวัตของการเมืองท้องถิ่นในประเทศไทยที่ยังคงมีลักษณะผสมผสานระหว่างความต่อเนื่องของโครงสร้างอำนาจเดิมและสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงที่เริ่มปรากฏในบางพื้นที่ จากข้อมูลสามารถวิเคราะห์เบื้องต้นได้ดังนี้ ภาพรวมพฤติกรรมการเลือกตั้ง 1 ความต่อเนื่องของระบบอุปถัมภ์และบ้านใหญ่ พฤติกรรมการเลือกตั้งของประชาชนส่วนใหญ่ยังคงยึดโยงกับนักการเมืองท้องถิ่นที่มีอิทธิพล หรือ “บ้านใหญ่” ซึ่งใช้อำนาจผ่านระบบอุปถัมภ์ (patronage system) และการซื้อเสียงเพื่อรักษาฐานอำนาจ ผลการเลือกตั้งแสดงให้เห็นว่า “แชมป์เก่า” หรือผู้ดำรงตำแหน่งเดิมส่วนใหญ่ยังคงรักษาเก้าอี้ได้ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีตระกูลการเมืองครอบงำมายาวนาน การซื้อเสียงยังคงเป็นประเด็นสำคัญ โดยมีการร้องเรียนและหลักฐานที่ปรากฏในบางพื้นที่ เช่น ที่จังหวัดกาฬสินธุ์ ซึ่งมีรายงานการจ่ายเงินหัวละ 3,000 บาท การซื้อเสียงนี้ถูกมองว่าเป็น “ความปกติ” ในบริบทการเลือกตั้งท้องถิ่นไทย 2 สัญญาณการเปลี่ยนแปลง แม้ระบบบ้านใหญ่จะยังครองอำนาจ แต่บางพื้นที่เริ่มแสดงถึงความต้องการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่สนับสนุนพรรคประชาชน (เดิมคือพรรคก้าวไกล) ซึ่งมีฐานจากคนรุ่นใหม่และผู้ที่ไม่พอใจกับการเมืองแบบเดิม พรรคประชาชนได้รับชัยชนะในเทศบาลเมือง 5 แห่ง และเทศบาลตำบล 9 แห่ง จากทั้งหมด 95 แห่งที่ส่งผู้สมัคร คิดเป็นประมาณ 15% ของพื้นที่ที่ลงแข่ง ชัยชนะของพรรคประชาชนในบางพื้นที่ เช่น สมุทรปราการ สะท้อนถึงฐานสนับสนุนที่แข็งแกร่ง ซึ่งสอดคล้องกับผลการเลือกตั้งทั่วไปในปี 2566 ที่พรรคนี้มีคะแนนนิยมสูง 3 ความท้าทายของพรรคประชาชน ผลการเลือกตั้งที่ได้เพียง 15% จากพื้นที่ที่ลงสมัคร แสดงว่าพรรคประชาชนยังเผชิญความท้าทายในการเจาะฐานคะแนนในพื้นที่ที่มีระบบอุปถัมภ์ฝังรากลึก การเลือกตั้งท้องถิ่นเน้นที่ตัวบุคคลและความสัมพันธ์ในชุมชนมากกว่านโยบายระดับชาติ ซึ่งพรรคประชาชนอาจต้องใช้เวลาในการสร้างความยึดโยงกับชุมชนให้มากขึ้น 4 ข้อสังเกตและแนวโน้มในอนาคต พฤติกรรมการเลือกตั้งแบบคู่ขนาน: ประชาชนบางส่วนแยกการตัดสินใจระหว่างการเลือกตั้งระดับชาติ (เน้นพรรคและนโยบาย) และระดับท้องถิ่น (เน้นตัวบุคคลและผลงาน) ส่งผลให้พรรคที่แข็งแกร่งในระดับชาติ เช่น พรรคประชาชน อาจไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรในระดับท้องถิ่น สัญญาณการเปลี่ยนแปลงที่เริ่มต้น: การที่พรรคประชาชนได้รับชัยชนะใน 14 เทศบาลจาก 95 แห่งที่ลงสมัคร แม้จะไม่ถึงเป้าหมาย แต่ก็แสดงถึงการเริ่มต้นของการท้าทายอำนาจเดิม โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีฐานสนับสนุนจากคนรุ่นใหม่และผู้ที่ต่อต้านการเมืองบ้านใหญ่ การซื้อเสียง: การซื้อเสียงยังคงเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาการเมืองท้องถิ่นที่โปร่งใส การร้องเรียนในพื้นที่อย่างกาฬสินธุ์และสงขลา บ่งชี้ถึงความจำเป็นในการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวดขึ้น 5 สรุป การเลือกตั้งเทศบาล 2568 แสดงให้เห็นถึงความทนทานของโครงสร้างอำนาจแบบบ้านใหญ่และระบบอุปถัมภ์ที่ยังครองการเมืองท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม สัญญาณของการเปลี่ยนแปลงเริ่มปรากฏผ่านชัยชนะของพรรคประชาชนในบางพื้นที่ ซึ่งสะท้อนถึงความต้องการของผู้มีสิทธิเลือกตั้งบางกลุ่มที่มองหาทางเลือกใหม่ การเปลี่ยนแปลงนี้อาจต้องใช้เวลาและการทำงานในระดับชุมชนที่เข้มข้นขึ้นเพื่อทลายโครงสร้างอำนาจเดิม ในอนาคต การเลือกตั้งท้องถิ่นจะยังคงเป็นเวทีสำคัญที่สะท้อนพลวัตระหว่างความเก่ากับความใหม่ของการเมืองไทย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 791 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผบ.ตร.จวกพฤติกรรมหนุ่มเลือดร้อน ซิ่งบีเอ็มป้ายแดงเบียดกระบะ “น่ารังเกียจ-ไร้จิตสำนึก” ไม่มีวุฒิภาวะ สั่งเอาผิดทุกข้อหา ย้ำชัดแม้เป็นลูกหลานนักการเมืองดังก็ไม่มีละเว้น

    วันนี้ (17 เม.ย.) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เปิดเผยกรณีโลกโซเชียลแชร์คลิปเหตุการณ์รถเก๋ง BMW ป้ายแดง ขับปาดหน้ากับรถกระบะ เป็นเหตุให้รถกระบะเสียหลักพุ่งชนขอบทางบนถนนมอเตอร์เวย์ ช่วงทางออกรังสิต-นครนายก ส่งผลให้คนขับกระบะเป็นชายสูงอายุ ได้รับบาดเจ็บซี่โครงหัก ต้องเข้ารักษาตัวในห้องไอซียู ขณะที่ผู้โดยสารหญิงได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลางกระแสวิจารณ์อย่างรุนแรง โดยผู้ขับขี่รถเก๋ง BMW มีรายงานว่าเป็นผู้สมัครสมาชิกสภาเทศบาล (ส.ท.) และมีความเกี่ยวข้องกับนักการเมืองท้องถิ่นชื่อดัง

    ผบ.ตร.กล่าวถึงกรณีนี้ ว่า ตนเองได้ดูคลิปเหตุการณ์ที่เผยแพร่ในสื่อโซเชียลฯ แล้ว และเห็นว่าพฤติกรรมของผู้ขับขี่รถ BMW เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ และไม่สมควรเกิดขึ้นในสังคม

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/crime/detail/9680000036231

    #MGROnline #ลูกชายนายกเบี้ยว #รถBMW #ประเด็นร้อน #นายกเบี้ยว #ชนกระบะ #ลูกนักการเมือง #การเมือง #เฮียขับรถ #BMW #กระบะ
    ผบ.ตร.จวกพฤติกรรมหนุ่มเลือดร้อน ซิ่งบีเอ็มป้ายแดงเบียดกระบะ “น่ารังเกียจ-ไร้จิตสำนึก” ไม่มีวุฒิภาวะ สั่งเอาผิดทุกข้อหา ย้ำชัดแม้เป็นลูกหลานนักการเมืองดังก็ไม่มีละเว้น • วันนี้ (17 เม.ย.) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เปิดเผยกรณีโลกโซเชียลแชร์คลิปเหตุการณ์รถเก๋ง BMW ป้ายแดง ขับปาดหน้ากับรถกระบะ เป็นเหตุให้รถกระบะเสียหลักพุ่งชนขอบทางบนถนนมอเตอร์เวย์ ช่วงทางออกรังสิต-นครนายก ส่งผลให้คนขับกระบะเป็นชายสูงอายุ ได้รับบาดเจ็บซี่โครงหัก ต้องเข้ารักษาตัวในห้องไอซียู ขณะที่ผู้โดยสารหญิงได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลางกระแสวิจารณ์อย่างรุนแรง โดยผู้ขับขี่รถเก๋ง BMW มีรายงานว่าเป็นผู้สมัครสมาชิกสภาเทศบาล (ส.ท.) และมีความเกี่ยวข้องกับนักการเมืองท้องถิ่นชื่อดัง • ผบ.ตร.กล่าวถึงกรณีนี้ ว่า ตนเองได้ดูคลิปเหตุการณ์ที่เผยแพร่ในสื่อโซเชียลฯ แล้ว และเห็นว่าพฤติกรรมของผู้ขับขี่รถ BMW เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ และไม่สมควรเกิดขึ้นในสังคม • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/crime/detail/9680000036231 • #MGROnline #ลูกชายนายกเบี้ยว #รถBMW #ประเด็นร้อน #นายกเบี้ยว #ชนกระบะ #ลูกนักการเมือง #การเมือง #เฮียขับรถ #BMW #กระบะ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 1055 มุมมอง 0 รีวิว
  • ชาวเน็ตแห่ขุดโพรไฟล์ หนุ่มขับบีเอ็มฯ ชนลุงป้าเจ็บสาหัส เป็นลูก ชายนายก “เบี้ยว” นายกเทศบาลตำบลธัญบุรี ปทุมธานี เผยภาพทักษิณชินวัตร พร้อมนายกฯอุ๊งอิ๊ง เป็นประธานงานบวช

    เปิดประวัติ สมิทธิพัฒน์ หลีนวรัตน์ หรือที่รู้จักในชื่อเล่น "พีช" หนุ่ม บีเอ็มฯ ขับรถไล่บี้ รถกระบะบนมอเตอร์เวย์ 9 เป็นบุตรชายของ นายกฤษฎา หลีนวรัตน์ หรือ "นายกเบี้ยว" นายกเทศมนตรีตำบลธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี “ครอบครัว หลีนวรัตน์” มีบทบาทสำคัญการเมืองท้องถิ่น จังหวัดปทุมธานี

    สมิทธิพัฒน์ หลีนวรัตน์ หรือ "พีช" วัย 28 ปี บุตรชายนายกฤษฎา หลีนวรัตน์ สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล (สท.) ตำบลลำลูกกา เขตเลือกตั้งที่ 2 หมายเลข 1 ในการเลือกตั้งเทศบาลตำบลลำลูกกา อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/crime/detail/9680000036184

    #MGROnline #บีเอ็มขาว #BMWขาว
    ชาวเน็ตแห่ขุดโพรไฟล์ หนุ่มขับบีเอ็มฯ ชนลุงป้าเจ็บสาหัส เป็นลูก ชายนายก “เบี้ยว” นายกเทศบาลตำบลธัญบุรี ปทุมธานี เผยภาพทักษิณชินวัตร พร้อมนายกฯอุ๊งอิ๊ง เป็นประธานงานบวช • เปิดประวัติ สมิทธิพัฒน์ หลีนวรัตน์ หรือที่รู้จักในชื่อเล่น "พีช" หนุ่ม บีเอ็มฯ ขับรถไล่บี้ รถกระบะบนมอเตอร์เวย์ 9 เป็นบุตรชายของ นายกฤษฎา หลีนวรัตน์ หรือ "นายกเบี้ยว" นายกเทศมนตรีตำบลธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี “ครอบครัว หลีนวรัตน์” มีบทบาทสำคัญการเมืองท้องถิ่น จังหวัดปทุมธานี • สมิทธิพัฒน์ หลีนวรัตน์ หรือ "พีช" วัย 28 ปี บุตรชายนายกฤษฎา หลีนวรัตน์ สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล (สท.) ตำบลลำลูกกา เขตเลือกตั้งที่ 2 หมายเลข 1 ในการเลือกตั้งเทศบาลตำบลลำลูกกา อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/crime/detail/9680000036184 • #MGROnline #บีเอ็มขาว #BMWขาว
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 952 มุมมอง 0 รีวิว
  • ♣ สืบสันดานอันธพาลการเมืองท้องถิ่นธัญบุรี นายกเบี้ยวผู้เป็นพ่อก็โดนสั่งฟ้องอาญา พี่ชายมันที่เป็นสส.เพื่อไทยก็ทำร้ายเมีย ส่วนไอ่พีช บวชเสียสังฆทาน จัดฉลองใหญ่โต มีสทร.และอุ๊งอิ๊งมายินดี ปีนี้เลยโชว์กร่าง สงสารคนธัญบุรีที่มีคนตระกูลนี้ยึดครองอำนาจ
    #7ดอกจิก
    #สืบสันดาน
    #bmwเฉี่ยวกระบะ
    ♣ สืบสันดานอันธพาลการเมืองท้องถิ่นธัญบุรี นายกเบี้ยวผู้เป็นพ่อก็โดนสั่งฟ้องอาญา พี่ชายมันที่เป็นสส.เพื่อไทยก็ทำร้ายเมีย ส่วนไอ่พีช บวชเสียสังฆทาน จัดฉลองใหญ่โต มีสทร.และอุ๊งอิ๊งมายินดี ปีนี้เลยโชว์กร่าง สงสารคนธัญบุรีที่มีคนตระกูลนี้ยึดครองอำนาจ #7ดอกจิก #สืบสันดาน #bmwเฉี่ยวกระบะ
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 757 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรียนจบครูมา เลือกสอบอะไรดี? สพฐ. หรือ อปท. ท่ามกลางความเหมือนที่แตกต่าง – สพฐ. ก้าวไกลถึงกระทรวง แต่ อปท. เบิกค่าบ้านได้

    เมื่อต้องเลือกเส้นทางข้าราชการครู เข้าสู่ฤดูกาลสมัครสอบ ข้าราชการส่วนท้องถิ่นประจำปี 2568 บัณฑิตสายครูหลายคนอาจลังเลใจ ว่าควรเลือกสอบครูผู้ช่วย สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) หรือจะไปครูผู้ช่วย สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ดี?

    สพฐ. ดูมั่นคง มีเส้นทางก้าวหน้าสู่กระทรวง
    อปท. ได้สิทธิ์เบิกค่าเช่าบ้าน เงินเดือนอาจคล่องตัว

    แต่ทั้งสองเส้นทางนี้มีความเหมือน และแตกต่างในหลายมิติ

    ครูผู้ช่วย อปท. กับครูผู้ช่วย สพฐ. เหมือนหรือต่างกันอย่างไร?
    สถานะทางกฎหมาย
    - ครูผู้ช่วย สพฐ. เป็นข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษา ตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการครูฯ ปี 2547
    - ส่วนครูผู้ช่วย อปท. เป็นพนักงานครู หรือก็คือ ข้าราชการส่วนท้องถิ่น ตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารงานบุคคลท้องถิ่น ปี 2542

    แม้กฎหมายจะต่างกัน แต่โดยหลักการแล้ว ศักดิ์ศรีและสิทธิประโยชน์แทบไม่ต่างกัน

    เงินเดือนและสวัสดิการ
    - ครูผู้ช่วย อปท. ไม่ต้องหัก 3% เข้า กบข. แต่จะมีเงินสมทบ เข้ากองทุนบำเหน็จบำนาญท้องถิ่น (กบท.)
    - ครูผู้ช่วย สพฐ. ต้องหักเงินเดือน 3% เข้า กบข. ตามระเบียบ

    ข้อได้เปรียบของ อปท. คือได้เงินเดือนเต็มกว่าเล็กน้อย

    ครูผู้ช่วย อปท. เบิกค่าเช่าบ้านได้! สูงสุด 6,000 บาท ต่อเดือน ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย ขอแค่ย้ายออกจากพื้นที่บรรจุครั้งแรก และไม่มีบ้านพักของหน่วยงาน

    ส่วนครูผู้ช่วย สพฐ. เบิกไม่ได้! ตามพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้าน ถ้าย้ายเองเท่ากับ “ร้องขอ” → หมดสิทธิ์

    ทั้งนี้ อปท. บางแห่ง ก็ไม่อนุญาตให้เบิกค่าเช่าบ้าน เพราะอาจมีผลกระทบต่อฐานะทางการเงินของ อปท.

    สิทธิ์รักษาพยาบาล ใครดีกว่า?
    ครอบคลุมเหมือนกัน ทั้งบิดา มารดา คู่สมรส และบุตร
    เบิกจ่ายตรงได้ เหมือนกัน

    ต่างกันที่แหล่งเงิน
    - ครูผู้ช่วย อปท. ใช้งบของ สปสช.
    - ครูผู้ช่วย สพฐ. ใช้งบของกรมบัญชีกลาง

    เรื่องนี้แทบไม่มีผลกระทบใด ๆ ต่อผู้รับสิทธิ์

    การเลื่อนเงินเดือนและวิทยฐานะ
    - ครูผู้ช่วย สพฐ. ทำตามกฎของ ก.ค.ศ.
    - ครูผู้ช่วย อปท. ทำตามมาตรฐานของ ก.กลาง และ ก.จังหวัด ซึ่งเนื้อหาแทบไม่ต่างกัน

    ข้อแตกต่าง เกณฑ์ใหม่ของ สพฐ. จะถูกนำมาปรับใช้กับ อปท. ตามหลัง 6 เดือน - 1 ปี อปท.บางแห่งให้โบนัส เช่น อบจ.ชลบุรี

    ถ้าสอบ อปท. ควรเช็กว่า อปท. ที่เลือกบรรจุนั้น มีโบนัสไหม!

    ความคล่องตัวในการย้าย
    - สพฐ. มีโรงเรียนเยอะ ย้ายง่าย
    - อปท. มีโรงเรียนน้อย โอกาสย้ายกลับบ้านน้อยกว่า

    การโอนข้ามสังกัด
    สพฐ. โอนไป อปท. ได้ง่ายกว่า
    อปท. โอนไป สพฐ. ยากมาก!

    ถ้าคิดจะโอนข้ามสังกัด ต้องศึกษาเงื่อนไขให้ดี

    เส้นทางความก้าวหน้า
    ครูผู้ช่วย สพฐ. ก้าวไกลถึงกระทรวง! สามารถไต่เต้าไปได้ถึง ผอ.เขตพื้นที่การศึกษา รองเลขาธิการ สพฐ. กระทั่งปลัดกระทรวงศึกษาธิการ

    ส่วนครูผู้ช่วย อปท. มักไปสุดแค่ ผอ.โรงเรียน อาจเป็น ผอ.กองการศึกษา ได้ แต่ต้องแข่งกับข้าราชการสายอำนวยการ

    ถ้าอยากเติบโตในสายงานการศึกษา สพฐ. มีทางเลือกมากกว่า

    ระบบงานและระเบียบ
    ระบบของ สพฐ.
    โรงเรียนเป็น นิติบุคคลมหาชน
    ต้องทำเรื่องเบิกจ่ายผ่าน เขตพื้นที่การศึกษา
    ระบบระเบียบยังคลุมเครือ

    ระบบของ อปท.
    โรงเรียนเป็น หน่วยงานของ อปท.
    วางฎีกาและเบิกจ่ายที่โรงเรียนได้เอง
    ระเบียบเยอะ ต้องทำงานเอกสารมาก

    ถ้าชอบระบบงานที่ชัดเจน อปท. อาจเป็นตัวเลือกที่ดี แต่ถ้าอยากทำงานแบบอิสระ สพฐ. อาจตอบโจทย์กว่า

    งบประมาณโรงเรียน
    รร. สพฐ. ได้รับงบจากรัฐบาลโดยตรง
    รร. อปท. ได้รับงบจาก อปท. ต้นสังกัด ซึ่งส่วนใหญ่ เงินไม่ขาดแน่นอน แต่ใช้งานยาก เพราะระเบียบเยอะ

    ข้อได้เปรียบของ อปท.
    เงินเหลือใช้ได้ต่อปี ไม่ต้องคืนรัฐ
    ซื้อครุภัณฑ์ได้ง่ายกว่า ไม่ต้องผ่านระบบ CIO

    การเมืองมีผลต่อการทำงานหรือไม่?
    รร. อปท. อยู่ภายใต้การดูแลของ นายก อปท.
    รร. สพฐ. อยู่ภายใต้ เขตพื้นที่การศึกษา และกระทรวง

    ความจริง ทั้งสองสังกัด มีการเมืองในองค์กรเหมือนกัน

    แต่ถ้าอยู่ อปท. มักเจอ "การเมืองท้องถิ่น" มากกว่า

    เลือกสอบอะไรดี?
    ถ้าต้องการความมั่นคง และเส้นทางก้าวหน้าระดับกระทรวง → เลือก สพฐ.
    ถ้าต้องการเงินเดือนเต็ม เบิกค่าเช่าบ้านได้ และมีงบประมาณคล่องตัว → เลือก อปท.

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 091524 มี.ค. 2568

    #สอบครู #ครูผู้ช่วย #สพฐ #อปท #สอบราชการ #ครูไทย #ข้าราชการครู #เลือกสังกัดไหนดี #ครูบ้านนอก #สอบบรรจุ
    เรียนจบครูมา เลือกสอบอะไรดี? สพฐ. หรือ อปท. 🤔 ท่ามกลางความเหมือนที่แตกต่าง – สพฐ. ก้าวไกลถึงกระทรวง แต่ อปท. เบิกค่าบ้านได้ 🌟 เมื่อต้องเลือกเส้นทางข้าราชการครู เข้าสู่ฤดูกาลสมัครสอบ ข้าราชการส่วนท้องถิ่นประจำปี 2568 บัณฑิตสายครูหลายคนอาจลังเลใจ ว่าควรเลือกสอบครูผู้ช่วย สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) หรือจะไปครูผู้ช่วย สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ดี? 🔹 สพฐ. ดูมั่นคง มีเส้นทางก้าวหน้าสู่กระทรวง 🔹 อปท. ได้สิทธิ์เบิกค่าเช่าบ้าน เงินเดือนอาจคล่องตัว แต่ทั้งสองเส้นทางนี้มีความเหมือน และแตกต่างในหลายมิติ 🎯 👩‍🏫 ครูผู้ช่วย อปท. กับครูผู้ช่วย สพฐ. เหมือนหรือต่างกันอย่างไร? 🏛️ สถานะทางกฎหมาย - ครูผู้ช่วย สพฐ. เป็นข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษา ตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการครูฯ ปี 2547 - ส่วนครูผู้ช่วย อปท. เป็นพนักงานครู หรือก็คือ ข้าราชการส่วนท้องถิ่น ตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารงานบุคคลท้องถิ่น ปี 2542 แม้กฎหมายจะต่างกัน แต่โดยหลักการแล้ว ศักดิ์ศรีและสิทธิประโยชน์แทบไม่ต่างกัน 💰 เงินเดือนและสวัสดิการ - ครูผู้ช่วย อปท. ไม่ต้องหัก 3% เข้า กบข. แต่จะมีเงินสมทบ เข้ากองทุนบำเหน็จบำนาญท้องถิ่น (กบท.) - ครูผู้ช่วย สพฐ. ต้องหักเงินเดือน 3% เข้า กบข. ตามระเบียบ ✅ ข้อได้เปรียบของ อปท. คือได้เงินเดือนเต็มกว่าเล็กน้อย 📌 ครูผู้ช่วย อปท. เบิกค่าเช่าบ้านได้! 🏠 สูงสุด 6,000 บาท ต่อเดือน ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย ขอแค่ย้ายออกจากพื้นที่บรรจุครั้งแรก และไม่มีบ้านพักของหน่วยงาน ❌ ส่วนครูผู้ช่วย สพฐ. เบิกไม่ได้! ตามพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้าน ถ้าย้ายเองเท่ากับ “ร้องขอ” → หมดสิทธิ์ 📌 ทั้งนี้ อปท. บางแห่ง ก็ไม่อนุญาตให้เบิกค่าเช่าบ้าน เพราะอาจมีผลกระทบต่อฐานะทางการเงินของ อปท. 🏥 สิทธิ์รักษาพยาบาล ใครดีกว่า? ✅ ครอบคลุมเหมือนกัน ทั้งบิดา มารดา คู่สมรส และบุตร ✅ เบิกจ่ายตรงได้ เหมือนกัน 🔹 ต่างกันที่แหล่งเงิน - ครูผู้ช่วย อปท. ใช้งบของ สปสช. - ครูผู้ช่วย สพฐ. ใช้งบของกรมบัญชีกลาง 🚑 เรื่องนี้แทบไม่มีผลกระทบใด ๆ ต่อผู้รับสิทธิ์ 📈 การเลื่อนเงินเดือนและวิทยฐานะ - ครูผู้ช่วย สพฐ. ทำตามกฎของ ก.ค.ศ. - ครูผู้ช่วย อปท. ทำตามมาตรฐานของ ก.กลาง และ ก.จังหวัด ซึ่งเนื้อหาแทบไม่ต่างกัน 📌 ข้อแตกต่าง เกณฑ์ใหม่ของ สพฐ. จะถูกนำมาปรับใช้กับ อปท. ตามหลัง 6 เดือน - 1 ปี อปท.บางแห่งให้โบนัส เช่น อบจ.ชลบุรี 🎯 ถ้าสอบ อปท. ควรเช็กว่า อปท. ที่เลือกบรรจุนั้น มีโบนัสไหม! 📌 ความคล่องตัวในการย้าย - สพฐ. มีโรงเรียนเยอะ ย้ายง่าย - อปท. มีโรงเรียนน้อย โอกาสย้ายกลับบ้านน้อยกว่า 📍 การโอนข้ามสังกัด 🔹 สพฐ. โอนไป อปท. ได้ง่ายกว่า 🔹 อปท. โอนไป สพฐ. ยากมาก! 🚨 ถ้าคิดจะโอนข้ามสังกัด ต้องศึกษาเงื่อนไขให้ดี 🎯 เส้นทางความก้าวหน้า 🏛️ ครูผู้ช่วย สพฐ. ก้าวไกลถึงกระทรวง! สามารถไต่เต้าไปได้ถึง ผอ.เขตพื้นที่การศึกษา รองเลขาธิการ สพฐ. กระทั่งปลัดกระทรวงศึกษาธิการ 🏙️ ส่วนครูผู้ช่วย อปท. มักไปสุดแค่ ผอ.โรงเรียน อาจเป็น ผอ.กองการศึกษา ได้ แต่ต้องแข่งกับข้าราชการสายอำนวยการ 🏆 ถ้าอยากเติบโตในสายงานการศึกษา สพฐ. มีทางเลือกมากกว่า 📚 ระบบงานและระเบียบ 📌 ระบบของ สพฐ. ✔️ โรงเรียนเป็น นิติบุคคลมหาชน ✔️ ต้องทำเรื่องเบิกจ่ายผ่าน เขตพื้นที่การศึกษา ✔️ ระบบระเบียบยังคลุมเครือ 📌 ระบบของ อปท. ✔️ โรงเรียนเป็น หน่วยงานของ อปท. ✔️ วางฎีกาและเบิกจ่ายที่โรงเรียนได้เอง ✔️ ระเบียบเยอะ ต้องทำงานเอกสารมาก 🎯 ถ้าชอบระบบงานที่ชัดเจน อปท. อาจเป็นตัวเลือกที่ดี แต่ถ้าอยากทำงานแบบอิสระ สพฐ. อาจตอบโจทย์กว่า 🏫 งบประมาณโรงเรียน 🔹 รร. สพฐ. ได้รับงบจากรัฐบาลโดยตรง 🔹 รร. อปท. ได้รับงบจาก อปท. ต้นสังกัด ซึ่งส่วนใหญ่ เงินไม่ขาดแน่นอน แต่ใช้งานยาก เพราะระเบียบเยอะ 📌 ข้อได้เปรียบของ อปท. ✔️ เงินเหลือใช้ได้ต่อปี ไม่ต้องคืนรัฐ ✔️ ซื้อครุภัณฑ์ได้ง่ายกว่า ไม่ต้องผ่านระบบ CIO 🏛️ การเมืองมีผลต่อการทำงานหรือไม่? รร. อปท. อยู่ภายใต้การดูแลของ นายก อปท. รร. สพฐ. อยู่ภายใต้ เขตพื้นที่การศึกษา และกระทรวง 📌 ความจริง ทั้งสองสังกัด มีการเมืองในองค์กรเหมือนกัน 🔥 แต่ถ้าอยู่ อปท. มักเจอ "การเมืองท้องถิ่น" มากกว่า 🎯 เลือกสอบอะไรดี? ✅ ถ้าต้องการความมั่นคง และเส้นทางก้าวหน้าระดับกระทรวง → เลือก สพฐ. ✅ ถ้าต้องการเงินเดือนเต็ม เบิกค่าเช่าบ้านได้ และมีงบประมาณคล่องตัว → เลือก อปท. ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 091524 มี.ค. 2568 📌 #สอบครู #ครูผู้ช่วย #สพฐ #อปท #สอบราชการ #ครูไทย #ข้าราชการครู #เลือกสังกัดไหนดี #ครูบ้านนอก #สอบบรรจุ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1526 มุมมอง 0 รีวิว
  • ♣ เบื้องหลังชาวบ้านบุกรุกป่า รุกที่หลวง อาจถอดแบบมาจากเขากระโดงโมเดล โดยนักการเมืองท้องถิ่น จับมือนายทุน สนับสนุนชาวบ้านบุกรุกครอบครองที่หลวง และป่า ไปพร้อมกับนักการเมือง เพื่อหวังใช้ชาวบ้านเป็นข้ออ้างเวลาถูกดำเนินคดี
    #7ดอกจิก
    ♣ เบื้องหลังชาวบ้านบุกรุกป่า รุกที่หลวง อาจถอดแบบมาจากเขากระโดงโมเดล โดยนักการเมืองท้องถิ่น จับมือนายทุน สนับสนุนชาวบ้านบุกรุกครอบครองที่หลวง และป่า ไปพร้อมกับนักการเมือง เพื่อหวังใช้ชาวบ้านเป็นข้ออ้างเวลาถูกดำเนินคดี #7ดอกจิก
    Sad
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 532 มุมมอง 0 รีวิว
  • กองปราบหอบสำนวนคดีสังหาร "สจ.โต้ง" 18 แฟ้ม 7,969 แผ่น ส่งฟ้องอัยการ รอง ผบก.ป. มั่นใจหลักฐานมัด "โกทร- ลูกสมุน" ดิ้นไม่หลุดแน่! เผยปมสังหารมาจากเรื่องการเมืองท้องถิ่น

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000018570

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    กองปราบหอบสำนวนคดีสังหาร "สจ.โต้ง" 18 แฟ้ม 7,969 แผ่น ส่งฟ้องอัยการ รอง ผบก.ป. มั่นใจหลักฐานมัด "โกทร- ลูกสมุน" ดิ้นไม่หลุดแน่! เผยปมสังหารมาจากเรื่องการเมืองท้องถิ่น อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000018570 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1098 มุมมอง 0 รีวิว
  • โหวตโนผงาด ศึกเลือกตั้ง อบจ.

    การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (นายก อบจ.) 47 จังหวัด และสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ส.อบจ.) ทั่วประเทศ แม้ด้านหนึ่งผู้ชนะการเลือกตั้งส่วนใหญ่ล้วนมาจากบ้านใหญ่แบบไม่พลิกโผ ผู้มาใช้สิทธิไม่คึกคักเพราะจัดการเลือกตั้งในวันเสาร์ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งส่วนหนึ่งลางานไม่ได้ และไม่มีการเลือกตั้งล่วงหน้า

    แต่อีกด้านหนึ่ง "ช่องไม่เลือกผู้สมัครผู้ใด" กลับสูงขึ้นหลายจังหวัด สาเหตุหลักคือ ไม่มีผู้สมัครรายใดโดนใจ อาทิ จังหวัดยะลา ที่มีนายมุขตาร์ มะทา อดีตนายก อบจ. 4 สมัย ชนะเป็นสมัยที่ 5 มีผู้มาใช้สิทธิ 224,707 คน ปรากฎว่าบัตรไม่เลือกผู้สมัครผู้ใดสูงถึง 29,334 ใบ คิดเป็น 13.05%

    จังหวัดสงขลาที่แข่งขันกันสูงด้วยจำนวนผู้สมัคร 9 ราย นายสุพิศ พิทักษ์ธรรม อดีตอธิบดีกรมฝนหลวง ทีมสงขลาพลังใหม่ ชนะการเลือกตั้งด้วยแรงสนับสนุนจากนายเดชอิศม์ ขาวทอง รมช.สาธารณสุข และเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ มีผู้มาใช้สิทธิ 687,944 คน แต่บัตรไม่เลือกผู้สมัครผู้ใดสูงถึง 86,855 ใบ คิดเป็น 12.63%

    จังหวัดนครราชสีมา ที่นางยลดา หวังศุภกิจโกศล อดีตนายก อบจ. ชนะการเลือกตั้งอีกสมัย ด้วยแรงสนับสนุนจากนายทักษิณ ชินวัตร พรรคเพื่อไทย ที่ไปเปิดตัวผู้สมัครด้วยตัวเอง มีผู้มาใช้สิทธิ 1,155,142 คน แต่บัตรไม่เลือกผู้สมัครผู้ใด 110,934 ใบ คิดเป็น 9.60%

    จังหวัดนนทบุรี ที่ พ.ต.อ.ธงชัย เย็นประเสริฐ อดีตนายก อบจ. 4 สมัย ชนะการเลือกตั้งเป็นสมัยที่ 5 มีผู้มาใช้สิทธิ 432,613 คน แต่บัตรไม่เลือกผู้สมัครผู้ใด 37,562 ใบ คิดเป็น 8.68%

    จังหวัดสมุทรปราการ ที่นายสุนทร ปานแสงทอง อดีต รมช.เกษตรฯ จากกลุ่มสมุทรปราการก้าวหน้า (อัศวเหม) ชนะการเลือกตั้ง มีผู้มาใช้สิทธิ 569,659 คน แต่บัตรไม่เลือกผู้สมัครผู้ใด 42,142 ใบ คิดเป็น 7.40%

    จังหวัดเชียงราย ที่นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ อดีตนายก อบจ. ชนะการเลือกตั้งอีกสมัย มีผู้มาใช้สิทธิ 605,780 คน แต่บัตรไม่เลือกผู้สมัครผู้ใด 43,406 ใบ คิดเป็น 7.17%

    จังหวัดอื่นๆ ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ มีผู้มาใช้สิทธิ 877,640 คน แต่บัตรไม่เลือกผู้สมัครผู้ใด 57,625 ใบ คิดเป็น 6.57% จังหวัดสุพรรณบุรี มีผู้มาใช้สิทธิ 393,849 คน แต่บัตรไม่เลือกผู้สมัครผู้ใด 24,113 ใบ คิดเป็น 6.12%

    จังหวัดสมุทรสาคร มีผู้มาใช้สิทธิ 211,071 คน แต่บัตรไม่เลือกผู้สมัครผู้ใด 11,573 ใบ คิดเป็น 5.48% และจังหวัดมหาสารคาม มีผู้มาใช้สิทธิ 453,567 คน แต่บัตรไม่เลือกผู้สมัครผู้ใด 16,452 ใบ คิดเป็น 3.63% สะท้อนให้เห็นความเบื่อหน่ายของประชาชนต่อการเมืองท้องถิ่นและโยงไปถึงระดับชาติที่ไม่ควรมองข้าม

    #Newskit
    โหวตโนผงาด ศึกเลือกตั้ง อบจ. การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (นายก อบจ.) 47 จังหวัด และสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ส.อบจ.) ทั่วประเทศ แม้ด้านหนึ่งผู้ชนะการเลือกตั้งส่วนใหญ่ล้วนมาจากบ้านใหญ่แบบไม่พลิกโผ ผู้มาใช้สิทธิไม่คึกคักเพราะจัดการเลือกตั้งในวันเสาร์ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งส่วนหนึ่งลางานไม่ได้ และไม่มีการเลือกตั้งล่วงหน้า แต่อีกด้านหนึ่ง "ช่องไม่เลือกผู้สมัครผู้ใด" กลับสูงขึ้นหลายจังหวัด สาเหตุหลักคือ ไม่มีผู้สมัครรายใดโดนใจ อาทิ จังหวัดยะลา ที่มีนายมุขตาร์ มะทา อดีตนายก อบจ. 4 สมัย ชนะเป็นสมัยที่ 5 มีผู้มาใช้สิทธิ 224,707 คน ปรากฎว่าบัตรไม่เลือกผู้สมัครผู้ใดสูงถึง 29,334 ใบ คิดเป็น 13.05% จังหวัดสงขลาที่แข่งขันกันสูงด้วยจำนวนผู้สมัคร 9 ราย นายสุพิศ พิทักษ์ธรรม อดีตอธิบดีกรมฝนหลวง ทีมสงขลาพลังใหม่ ชนะการเลือกตั้งด้วยแรงสนับสนุนจากนายเดชอิศม์ ขาวทอง รมช.สาธารณสุข และเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ มีผู้มาใช้สิทธิ 687,944 คน แต่บัตรไม่เลือกผู้สมัครผู้ใดสูงถึง 86,855 ใบ คิดเป็น 12.63% จังหวัดนครราชสีมา ที่นางยลดา หวังศุภกิจโกศล อดีตนายก อบจ. ชนะการเลือกตั้งอีกสมัย ด้วยแรงสนับสนุนจากนายทักษิณ ชินวัตร พรรคเพื่อไทย ที่ไปเปิดตัวผู้สมัครด้วยตัวเอง มีผู้มาใช้สิทธิ 1,155,142 คน แต่บัตรไม่เลือกผู้สมัครผู้ใด 110,934 ใบ คิดเป็น 9.60% จังหวัดนนทบุรี ที่ พ.ต.อ.ธงชัย เย็นประเสริฐ อดีตนายก อบจ. 4 สมัย ชนะการเลือกตั้งเป็นสมัยที่ 5 มีผู้มาใช้สิทธิ 432,613 คน แต่บัตรไม่เลือกผู้สมัครผู้ใด 37,562 ใบ คิดเป็น 8.68% จังหวัดสมุทรปราการ ที่นายสุนทร ปานแสงทอง อดีต รมช.เกษตรฯ จากกลุ่มสมุทรปราการก้าวหน้า (อัศวเหม) ชนะการเลือกตั้ง มีผู้มาใช้สิทธิ 569,659 คน แต่บัตรไม่เลือกผู้สมัครผู้ใด 42,142 ใบ คิดเป็น 7.40% จังหวัดเชียงราย ที่นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ อดีตนายก อบจ. ชนะการเลือกตั้งอีกสมัย มีผู้มาใช้สิทธิ 605,780 คน แต่บัตรไม่เลือกผู้สมัครผู้ใด 43,406 ใบ คิดเป็น 7.17% จังหวัดอื่นๆ ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ มีผู้มาใช้สิทธิ 877,640 คน แต่บัตรไม่เลือกผู้สมัครผู้ใด 57,625 ใบ คิดเป็น 6.57% จังหวัดสุพรรณบุรี มีผู้มาใช้สิทธิ 393,849 คน แต่บัตรไม่เลือกผู้สมัครผู้ใด 24,113 ใบ คิดเป็น 6.12% จังหวัดสมุทรสาคร มีผู้มาใช้สิทธิ 211,071 คน แต่บัตรไม่เลือกผู้สมัครผู้ใด 11,573 ใบ คิดเป็น 5.48% และจังหวัดมหาสารคาม มีผู้มาใช้สิทธิ 453,567 คน แต่บัตรไม่เลือกผู้สมัครผู้ใด 16,452 ใบ คิดเป็น 3.63% สะท้อนให้เห็นความเบื่อหน่ายของประชาชนต่อการเมืองท้องถิ่นและโยงไปถึงระดับชาติที่ไม่ควรมองข้าม #Newskit
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1430 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศึกชิงนายก อบจ. ดุเดือดจนทักษิณยังหนาวหลัง
    ทักษิณ ชินวัตร ออกปากยอมรับ สนามเลือกตั้งนายกอบจ ศรีสะเกษ ระหว่างพรรคเพื่อไทยกับ บ้านใหญ่ไตรสรณกุล สูสีกัน ทักษิณยอมรับความจริง เพราะแม้พื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ พรรคเพื่อไทยจะกวาด สส. เกือบค่อนจังหวัด
    แต่เมื่อเจาะลงไปในสนามท้องถิ่นบ้านใหญ่ ไตรสรณกุล ได้ตําแหน่งมาหลายปีสร้างผลงานเอาไว้มากมาย ในขณะที่ผู้สมัครนายกอบจของพรรคเพื่อไทยอย่างเสี่ยปู๊วิวัฒน์ชัย เป็นพวกกระดูกคนละเบอร์กับแชมป์เก่าอย่างนายกส้มเกลี้ยง เทียบกันให้ชัดชัดสนามเลือกตั้งส.ส.ศรีสะเกษที่เพิ่งผ่านมา พรรคเพื่อไทยหอบส.ส.เข้าสภาเกือบจะยกจังหวัดตกอยู่ไม่กี่เขต
    แต่หนึ่งในนั้นมีเสี่ยปู๊รวมอยู่ด้วย กระแสพรรคเพื่อไทยในศรีสะเกษเมื่อก่อนมีมาก โดยเฉพาะแคมเปญไล่หนูตีงูเห่า ที่เล่นเอาภาคภูมิใจไทยช็อตปั่นแต้มไม่ขึ้นพรรคเพื่อไทยแทบไม่ต้องออกแรงมาก นักการเมืองที่นั่นพาเหรดกันเข้าวิน แต่เสี่ยปู๊ดันตกขบวนทั้งที่ทําตัวเป็นหัวโจกค่ายสีแดงในจังหวัดถึงขั้นต้องพิจารณากันว่าต้องไม่เอาอ่าวขนาดไหน ขนาดกระแสพรรคเพื่อไทยดีขนาดนี้แต่ดันสอบตก
    หลังการเลือกตั้งเสี่ยปู๊ เข้ามาสังกัดก๊ก สุริยะจึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีคมนาคม ท่อน้ําเลี้ยงนัมเบอร์วันของพรรคเพื่อไทยก่อนจะได้รับการปลอบใจให้มีตําแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
    พอได้อยู่กับท่อน้ําเลี้ยงแล้วคึกมีความหวัง กระแสไม่ได้ หันไปพึ่งกระสุนขอลงชิงชัยเก้าอี้นายก อบจ ศรีสะเกษ ดูสักตั้ง กระแสส่วนตัวในจังหวัดเป็นรองแต่ขอพึ่งบารมีทักษิณและสุริยะ เพื่อเข้าไปบริหารการเมืองท้องถิ่นดินแดนทุเรียนภูเขาไฟก็ยัง
    ยอมรับตรงๆว่าคะแนนสูสี ทั้งที่ความเป็นจริง ความนิยมในจังหวัดแชมป์เก่าเหนือกว่าหลายขุม ขณะที่นายกส้มเกลี้ยง เหนือกว่า เสี่ยปู๊ที่เสียงลือเสียงเล่าอ้างว่าพื้นเพเป็นคนอุบลราชธานีด้วยซ้ํา
    ติดตามข่าวซีฟๆแบบนี้ได้ที่ #คิงส์โพธิ์ดำ
    ศึกชิงนายก อบจ. ดุเดือดจนทักษิณยังหนาวหลัง ทักษิณ ชินวัตร ออกปากยอมรับ สนามเลือกตั้งนายกอบจ ศรีสะเกษ ระหว่างพรรคเพื่อไทยกับ บ้านใหญ่ไตรสรณกุล สูสีกัน ทักษิณยอมรับความจริง เพราะแม้พื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ พรรคเพื่อไทยจะกวาด สส. เกือบค่อนจังหวัด แต่เมื่อเจาะลงไปในสนามท้องถิ่นบ้านใหญ่ ไตรสรณกุล ได้ตําแหน่งมาหลายปีสร้างผลงานเอาไว้มากมาย ในขณะที่ผู้สมัครนายกอบจของพรรคเพื่อไทยอย่างเสี่ยปู๊วิวัฒน์ชัย เป็นพวกกระดูกคนละเบอร์กับแชมป์เก่าอย่างนายกส้มเกลี้ยง เทียบกันให้ชัดชัดสนามเลือกตั้งส.ส.ศรีสะเกษที่เพิ่งผ่านมา พรรคเพื่อไทยหอบส.ส.เข้าสภาเกือบจะยกจังหวัดตกอยู่ไม่กี่เขต แต่หนึ่งในนั้นมีเสี่ยปู๊รวมอยู่ด้วย กระแสพรรคเพื่อไทยในศรีสะเกษเมื่อก่อนมีมาก โดยเฉพาะแคมเปญไล่หนูตีงูเห่า ที่เล่นเอาภาคภูมิใจไทยช็อตปั่นแต้มไม่ขึ้นพรรคเพื่อไทยแทบไม่ต้องออกแรงมาก นักการเมืองที่นั่นพาเหรดกันเข้าวิน แต่เสี่ยปู๊ดันตกขบวนทั้งที่ทําตัวเป็นหัวโจกค่ายสีแดงในจังหวัดถึงขั้นต้องพิจารณากันว่าต้องไม่เอาอ่าวขนาดไหน ขนาดกระแสพรรคเพื่อไทยดีขนาดนี้แต่ดันสอบตก หลังการเลือกตั้งเสี่ยปู๊ เข้ามาสังกัดก๊ก สุริยะจึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีคมนาคม ท่อน้ําเลี้ยงนัมเบอร์วันของพรรคเพื่อไทยก่อนจะได้รับการปลอบใจให้มีตําแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พอได้อยู่กับท่อน้ําเลี้ยงแล้วคึกมีความหวัง กระแสไม่ได้ หันไปพึ่งกระสุนขอลงชิงชัยเก้าอี้นายก อบจ ศรีสะเกษ ดูสักตั้ง กระแสส่วนตัวในจังหวัดเป็นรองแต่ขอพึ่งบารมีทักษิณและสุริยะ เพื่อเข้าไปบริหารการเมืองท้องถิ่นดินแดนทุเรียนภูเขาไฟก็ยัง ยอมรับตรงๆว่าคะแนนสูสี ทั้งที่ความเป็นจริง ความนิยมในจังหวัดแชมป์เก่าเหนือกว่าหลายขุม ขณะที่นายกส้มเกลี้ยง เหนือกว่า เสี่ยปู๊ที่เสียงลือเสียงเล่าอ้างว่าพื้นเพเป็นคนอุบลราชธานีด้วยซ้ํา ติดตามข่าวซีฟๆแบบนี้ได้ที่ #คิงส์โพธิ์ดำ
    Haha
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1569 มุมมอง 0 รีวิว
  • ก็ขนาดสส.ยังขอเงินบริจาค พันธุ์อาจ ผู้สมัครนายก อบจ เชียงใหม่ เลยขานรับนโยบาย แบมือขอเงินประชาชน กระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นพักไว้ก่อน ขอกระจายเงินบริจาคสู่นักการเมืองท้องถิ่นก่อน
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง3
    ก็ขนาดสส.ยังขอเงินบริจาค พันธุ์อาจ ผู้สมัครนายก อบจ เชียงใหม่ เลยขานรับนโยบาย แบมือขอเงินประชาชน กระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นพักไว้ก่อน ขอกระจายเงินบริจาคสู่นักการเมืองท้องถิ่นก่อน #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง3
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 520 มุมมอง 0 รีวิว
  • คำถามการเลือกตั้งท้องถิ่นในภูเก็ต1​ จะแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำอย่างไร?2. จะแก้ปัญหารถติดอย่างไร?3.​ จะแก้ปัญหาขยะล้นเมืองอย่างไร?4.จะแก้ปัญหาห้องพักที่ว่างไม่มีนักท่องเที่ยวจำนวน​80, 000-90,000 ห้องต่อวันได้อย่างไร5.​ จะเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวเข้ามาภูเก็ตให้ถึงปีละ​20​ล้านคนได้อย่างไร?6.จะวางระบบผังเมืองควบคุมการลงทุนของภาคเอกชนให้มีทิศทางที่เหมาะสมได้อย่างไร?หรือปัญหาเหล่านี้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น​ และนักการเมืองท้องถิ่นไม่ต้องรับผิดชอบ?
    คำถามการเลือกตั้งท้องถิ่นในภูเก็ต1​ จะแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำอย่างไร?2. จะแก้ปัญหารถติดอย่างไร?3.​ จะแก้ปัญหาขยะล้นเมืองอย่างไร?4.จะแก้ปัญหาห้องพักที่ว่างไม่มีนักท่องเที่ยวจำนวน​80, 000-90,000 ห้องต่อวันได้อย่างไร5.​ จะเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวเข้ามาภูเก็ตให้ถึงปีละ​20​ล้านคนได้อย่างไร?6.จะวางระบบผังเมืองควบคุมการลงทุนของภาคเอกชนให้มีทิศทางที่เหมาะสมได้อย่างไร?หรือปัญหาเหล่านี้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น​ และนักการเมืองท้องถิ่นไม่ต้องรับผิดชอบ?
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 526 มุมมอง 0 รีวิว
  • นายเดวิด เบอร์ริตต์( David B. Burritt )ประธานและ CEO ของ U.S. Steel เดือดจัดออกหนังสือด่าไบเดนยับข้อหาล้มดีลยักษ์มูลค่า14,900 ดอลลาร์สหรัฐ(480,000 ล้านบาท) กับบริษัท นิปปอนสตีล ของญี่ปุ่น

    บริษัท Nippon Steel และ U.S. Steel กล่าวว่าการตัดสินใจของ Biden แสดงให้เห็นว่าการขัดขวางข้อตกลงดังกล่าวนั้นทำเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองที่ทุจริต
    นายเดวิด เบอร์ริตต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ U.S. Steel เรียกการกระทำของนายไบเดนว่า "น่าละอายและฉ้อฉล" และเสริมว่า นายไบเดนได้ดูหมิ่นญี่ปุ่น ซึ่งเป็นพันธมิตรทางเศรษฐกิจและความมั่นคงแห่งชาติที่สำคัญยิ่งของสหรัฐ และทำให้ความสามารถในการแข่งขันของสหรัฐตกอยู่ในความเสี่ยง โดยแถลงการณ์ประณามไบเดน ข้อหาล้มดีลยักษ์กับบริษัทนิปปอน สตีล ของญี่ปุ่นว่า
    ”การกระทำของปธน.ไบเดนในวันนี้น่าละอายและฉ้อฉล เขาให้ผลตอบแทนทางการเมืองแก่หัวหน้าสหภาพแรงงาน ในขณะที่ทำร้ายอนาคตของบริษัท, คนงานของเราและความมั่นคงของชาติ เขาดูหมิ่นญี่ปุ่น ซึ่งเป็นพันธมิตรทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติที่สำคัญ และทำให้ความสามารถในการแข่งขันของอเมริกาตกอยู่ในความเสี่ยง ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีนในปักกิ่งกำลังเต้นรำบนถนน และไบเดนทำทั้งหมดนี้โดยปฏิเสธที่จะพบกับเราเพื่อรับรู้ข้อเท็จจริง
    พนักงานและชุมชนของเราสมควรได้รับสิ่งที่ดีกว่านี้ เราต้องการประธานาธิบดี. ซึ่งทำงานหนักและรู้วิธีทำข้อตกลงที่ดีที่สุดสำหรับอเมริกา อย่าเข้าใจผิด: การลงทุนนี้คือสิ่งที่รับประกันอนาคตที่ยิ่งใหญ่สำหรับ U. S. Steel พนักงานของเรา ชุมชนของเรา และประเทศของเรา เราตั้งใจที่จะต่อสู้กับการทุจริตทางการเมืองของประธานาธิบดีไบเดน“
    บริษัททั้งสองแห่งขู่ว่าจะฟ้องรัฐบาลหากข้อตกลงดังกล่าวไม่เกิดขึ้น และได้กล่าวเมื่อวันศุกร์ที่3มกราคมนี้ว่าจะ "ดำเนินการที่เหมาะสมเพื่อปกป้องสิทธิตามกฎหมายของพวกเขา" และระบุในแถลงการณ์ว่า "เราเชื่อว่าประธานาธิบดีไบเดนได้ทำลายอนาคตของคนงานโรงงานเหล็กชาวอเมริกันเพื่อวาระทางการเมืองของตัวเอง" และเสริมว่าการขัดขวางครั้งนี้ส่ง "ข้อความอันน่าสะพรึงกลัวไปยังบริษัทใดๆ ก็ตามที่มีฐานอยู่ในประเทศพันธมิตรของสหรัฐฯ ที่กำลังพิจารณาลงทุนอย่างมีนัยสำคัญในสหรัฐฯ"
    ผลเสียหายที่ Nippon Steel อาจต้องเสียค่าธรรมเนียมการยกเลิกสัญญาจำนวน 565 ล้านดอลลาร์หรือราว 19,000 ล้านบาทให้กับ US Steel หากข้อตกลงดังกล่าวไม่ผ่าน นอกจากนี้ทางบริษัทยังต้องประเมินกลยุทธ์ในตลาดสหรัฐใหม่ ซึ่งคาดว่าอุปสงค์จะยังคงมีเสถียรภาพ
    เจ้าหน้าที่รัฐบาลญี่ปุ่นกล่าวว่าพวกเขาผิดหวังกับการตัดสินใจครั้งนี้ “มีความกังวลอย่างมากจากวงการเศรษฐกิจทั้งของญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากภาคอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น เกี่ยวกับการลงทุนในอนาคตระหว่างญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา และรัฐบาลญี่ปุ่นไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องดำเนินการเรื่องนี้อย่างจริงจัง” โยจิ มูโตะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าของญี่ปุ่น กล่าวในแถลงการณ์ถึงรอยเตอร์
    การตัดสินใจของประธานาธิบดี โจ ไบเดนเกิดขึ้นหนึ่งปีหลังจากที่Nippon Steel ประกาศข้อตกลงมูลค่า 14.9 พันล้านดอลลาร์ (12 พันล้านปอนด์)เพื่อซื้อบริษัทคู่แข่งUSS Steel ที่มีขนาดเล็กกว่าและมีฐานอยู่ในเพนซิลเวเนีย เป็นครั้งแรก
    สิ่งนี้ทำให้เกิดคำถามสำคัญๆ เกี่ยวกับเส้นทางข้างหน้าของบริษัทUSS Steel  ซึ่งมีชื่อเสียงกว่า 124 ปี และครั้งหนึ่งเคยเป็นสัญลักษณ์ของมหาอำนาจทางอุตสาหกรรมของอเมริกา แต่ปัจจุบันก็ความสำคัญลดน้อยลงไปมาก
    บริษัทUSS Steel ใช้เวลาหลายเดือนในการหาผู้ซื้อรายอื่นก่อนที่จะประกาศความร่วมมือกับบริษัท Nippon Steel ของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นผู้ผลิตเหล็กกล้ารายใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก ในเดือนธันวาคม 2023
    บริษัท US Steel ได้เตือนว่าบริษัทอาจจำเป็นต้องปิดโรงงานโดยไม่ได้ผู้ร่วมลงทุนเจ้าของใหม่ ความกังวลนี้ได้รับการสะท้อนจากพนักงานบางส่วนและนักการเมืองท้องถิ่น
    บริษัททั้งสองแห่งให้คำมั่นว่าจะไม่เลิกจ้างพนักงานและยอมประนีประนอมในประเด็นอื่น ๆ เพื่อพยายามหาเสียงสนับสนุนข้อตกลงดังกล่าว เมื่อสัปดาห์นี้เอง บริษัททั้งสองแห่งเสนอที่จะให้ทุนสนับสนุนศูนย์ฝึกอบรมแรงงาน และมีรายงานว่าให้สิทธิ์รัฐบาลในการยับยั้งการลดการผลิตที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
    แต่ข้อเสนอดังกล่าวไม่สามารถโน้มน้าวใจไบเดน ซึ่งออกมาคัดค้านข้อตกลงดังกล่าวเมื่อต้นปีที่แล้ว เนื่องจากอยู่ระหว่างฤดูกาลเลือกตั้งที่กำลังเข้มข้นขึ้นในรัฐเพนซิลเวเนียซึ่งเป็นรัฐสำคัญที่จะมีบทบาท 
    ธุรกรรมดังกล่าวยังได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากประธานาธิบดีคนใหม่ โดนัลด์ ทรัมป์ และรองประธานาธิบดีคนใหม่ เจดี แวนซ์ ซึ่งการอุทธรณ์ต่อคนงานสหภาพแรงงานของเขาถือเป็นส่วนสำคัญของข้อความหาเสียงของพวกเขา
    คณะกรรมการรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ได้รับมอบหมายให้ทบทวนข้อตกลงและความเสี่ยงต่อความมั่นคงของชาติ ไม่สามารถบรรลุฉันทามติได้ในช่วงปลายเดือนธันวาคม ส่งผลให้ไบเดนต้องตัดสินใจแทน โดยเขาต้องดำเนินการภายในระยะเวลา 15 วัน
    ในประกาศของประธานาธิบีไบเดนเมื่อวันศุกร์ที่ 3 มกราคมนี้  เขากล่าวว่าการเป็นเจ้าของUSS Steel โดยบริษัทชาวต่างชาตินั้นมีความเสี่ยงต่อความมั่นคง และสั่งให้บริษัททั้งสอง ยกเลิกข้อตกลงภายใน 30 วัน
    “อุตสาหกรรมเหล็กกล้าที่เป็นเจ้าของและดำเนินการในประเทศที่แข็งแกร่งถือเป็นสิ่งสำคัญลำดับแรกด้านความมั่นคงของชาติและมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อห่วงโซ่อุปทานที่มีความยืดหยุ่น” เขากล่าว
    “นั่นเป็นเพราะเหล็กกล้าเป็นกำลังขับเคลื่อนประเทศของเรา ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างพื้นฐาน อุตสาหกรรมยานยนต์ และฐานอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ หากไม่มีการผลิตเหล็กกล้าในประเทศและแรงงานจากเหล็กกล้าในประเทศ ประเทศของเราจะไม่แข็งแกร่งและปลอดภัย”
    สหภาพแรงงานคนงานเหล็กกล้าแห่งสหรัฐอเมริกา เรียกการตัดสินใจครั้งนี้ว่าเป็น "การตัดสินใจที่ถูกต้องสำหรับสมาชิกและความมั่นคงของชาติของเรา" และกล่าวว่าการคัดค้านของสหภาพฯ เกิดจากความกังวลเกี่ยวกับความยั่งยืนในระยะยาวของอุตสาหกรรมนี้
    “เรารู้สึกขอบคุณประธานาธิบดีไบเดนที่เต็มใจดำเนินการอันกล้าหาญเพื่อรักษาอุตสาหกรรมเหล็กกล้าในประเทศให้แข็งแกร่ง และสำหรับความมุ่งมั่นตลอดชีวิตของเขาที่มีต่อคนงานชาวอเมริกัน” เดวิด แมคคอลล์ประธานสหภาพUnited Steelworkers กล่าว
    ศาสตราจารย์สตีเฟน นาจี จากภาควิชาการเมืองและการศึกษาระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยคริสเตียนนานาชาติแห่งโตเกียว เรียกการตัดสินใจของไบเดนว่าเป็น "เรื่องการเมือง" โดยระบุว่ารัฐบาลตั้งแต่แรกเริ่มได้สัญญาไว้ถึงนโยบายต่างประเทศ "สำหรับชนชั้นกลาง"
    “นี่คือการตอบสนองโดยตรงและสานต่อแผนงาน MAGA ของทรัมป์ในการทำให้ประเทศอเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง” เขากล่าว “รัฐบาลของไบเดนไม่สามารถแสดงท่าทีอ่อนแอต่อธุรกิจต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นพันธมิตรหรือศัตรูก็ตาม”
    จอห์น เคอร์บี้ โฆษกทำเนียบขาว ปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ว่าการเคลื่อนไหวดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับพันธมิตรญี่ปุ่น โดยกล่าวว่าไบเดนได้ชี้แจงชัดเจนว่าการตัดสินใจครั้งนี้ "ไม่เกี่ยวกับรัฐบาลญี่ปุ่น"
    “นี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับการผลิตเหล็กกล้าของสหรัฐฯ และการรักษาให้ผู้ผลิตเหล็กกล้ารายใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของสหรัฐฯ เป็นบริษัทที่เป็นเจ้าของโดยชาวอเมริกัน” เขากล่าวในการแถลงข่าว
    หุ้นของบริษัท US Steel ร่วงลงมากกว่า 5% ในวันศุกร์
    นักวิเคราะห์กล่าวว่าการเคลื่อนไหวดังกล่าวอาจไม่ถือเป็นการสิ้นสุดข้อตกลง คำสั่งของไบเดนระบุว่าคณะกรรมการการลงทุนจากต่างประเทศในสหรัฐฯ สามารถขยายเวลา 30 วันในการยกเลิกธุรกรรมดังกล่าวได้
    ศาสตราจารย์ Nagy กล่าวว่าเขาคิดว่าบริษัทต่างๆ อาจตัดสินใจที่จะลองอีกครั้งภายใต้การนำของทรัมป์ โดยอาจเสนอเงื่อนไขที่แตกต่างออกไปซึ่งจะทำให้ประธานาธิบดีคนใหม่สามารถอ้างได้ว่าเขาเจรจาข้อตกลงที่ดีกว่าได้
    นักวิเคราะห์การเมือง Terry Haines จาก Pangaea Policy กล่าวด้วยเช่นกันว่า แม้ทรัมป์จะวิพากษ์วิจารณ์ข้อตกลงดังกล่าว แต่เขาอาจมีเหตุผลให้พิจารณาการตัดสินใจดังกล่าวอีกครั้ง
    “สิ่งหนึ่งที่ยากในการตัดสินใจครั้งนี้ก็คือ ญี่ปุ่นเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดกับสหรัฐฯ” เขากล่าว “รัฐบาลมีภาระทางหลักฐานมากมายในการพิสูจน์สิ่งที่กำลังทำอยู่ในปัจจุบัน และสิ่งนี้ยังส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ทวิภาคีกับญี่ปุ่น ซึ่งเป็นสิ่งที่ทรัมป์ต้องการหลีกเลี่ยง”

    นายเดวิด เบอร์ริตต์( David B. Burritt )ประธานและ CEO ของ U.S. Steel เดือดจัดออกหนังสือด่าไบเดนยับข้อหาล้มดีลยักษ์มูลค่า14,900 ดอลลาร์สหรัฐ(480,000 ล้านบาท) กับบริษัท นิปปอนสตีล ของญี่ปุ่น บริษัท Nippon Steel และ U.S. Steel กล่าวว่าการตัดสินใจของ Biden แสดงให้เห็นว่าการขัดขวางข้อตกลงดังกล่าวนั้นทำเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองที่ทุจริต นายเดวิด เบอร์ริตต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ U.S. Steel เรียกการกระทำของนายไบเดนว่า "น่าละอายและฉ้อฉล" และเสริมว่า นายไบเดนได้ดูหมิ่นญี่ปุ่น ซึ่งเป็นพันธมิตรทางเศรษฐกิจและความมั่นคงแห่งชาติที่สำคัญยิ่งของสหรัฐ และทำให้ความสามารถในการแข่งขันของสหรัฐตกอยู่ในความเสี่ยง โดยแถลงการณ์ประณามไบเดน ข้อหาล้มดีลยักษ์กับบริษัทนิปปอน สตีล ของญี่ปุ่นว่า ”การกระทำของปธน.ไบเดนในวันนี้น่าละอายและฉ้อฉล เขาให้ผลตอบแทนทางการเมืองแก่หัวหน้าสหภาพแรงงาน ในขณะที่ทำร้ายอนาคตของบริษัท, คนงานของเราและความมั่นคงของชาติ เขาดูหมิ่นญี่ปุ่น ซึ่งเป็นพันธมิตรทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติที่สำคัญ และทำให้ความสามารถในการแข่งขันของอเมริกาตกอยู่ในความเสี่ยง ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีนในปักกิ่งกำลังเต้นรำบนถนน และไบเดนทำทั้งหมดนี้โดยปฏิเสธที่จะพบกับเราเพื่อรับรู้ข้อเท็จจริง พนักงานและชุมชนของเราสมควรได้รับสิ่งที่ดีกว่านี้ เราต้องการประธานาธิบดี. ซึ่งทำงานหนักและรู้วิธีทำข้อตกลงที่ดีที่สุดสำหรับอเมริกา อย่าเข้าใจผิด: การลงทุนนี้คือสิ่งที่รับประกันอนาคตที่ยิ่งใหญ่สำหรับ U. S. Steel พนักงานของเรา ชุมชนของเรา และประเทศของเรา เราตั้งใจที่จะต่อสู้กับการทุจริตทางการเมืองของประธานาธิบดีไบเดน“ บริษัททั้งสองแห่งขู่ว่าจะฟ้องรัฐบาลหากข้อตกลงดังกล่าวไม่เกิดขึ้น และได้กล่าวเมื่อวันศุกร์ที่3มกราคมนี้ว่าจะ "ดำเนินการที่เหมาะสมเพื่อปกป้องสิทธิตามกฎหมายของพวกเขา" และระบุในแถลงการณ์ว่า "เราเชื่อว่าประธานาธิบดีไบเดนได้ทำลายอนาคตของคนงานโรงงานเหล็กชาวอเมริกันเพื่อวาระทางการเมืองของตัวเอง" และเสริมว่าการขัดขวางครั้งนี้ส่ง "ข้อความอันน่าสะพรึงกลัวไปยังบริษัทใดๆ ก็ตามที่มีฐานอยู่ในประเทศพันธมิตรของสหรัฐฯ ที่กำลังพิจารณาลงทุนอย่างมีนัยสำคัญในสหรัฐฯ" ผลเสียหายที่ Nippon Steel อาจต้องเสียค่าธรรมเนียมการยกเลิกสัญญาจำนวน 565 ล้านดอลลาร์หรือราว 19,000 ล้านบาทให้กับ US Steel หากข้อตกลงดังกล่าวไม่ผ่าน นอกจากนี้ทางบริษัทยังต้องประเมินกลยุทธ์ในตลาดสหรัฐใหม่ ซึ่งคาดว่าอุปสงค์จะยังคงมีเสถียรภาพ เจ้าหน้าที่รัฐบาลญี่ปุ่นกล่าวว่าพวกเขาผิดหวังกับการตัดสินใจครั้งนี้ “มีความกังวลอย่างมากจากวงการเศรษฐกิจทั้งของญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากภาคอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น เกี่ยวกับการลงทุนในอนาคตระหว่างญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา และรัฐบาลญี่ปุ่นไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องดำเนินการเรื่องนี้อย่างจริงจัง” โยจิ มูโตะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าของญี่ปุ่น กล่าวในแถลงการณ์ถึงรอยเตอร์ การตัดสินใจของประธานาธิบดี โจ ไบเดนเกิดขึ้นหนึ่งปีหลังจากที่Nippon Steel ประกาศข้อตกลงมูลค่า 14.9 พันล้านดอลลาร์ (12 พันล้านปอนด์)เพื่อซื้อบริษัทคู่แข่งUSS Steel ที่มีขนาดเล็กกว่าและมีฐานอยู่ในเพนซิลเวเนีย เป็นครั้งแรก สิ่งนี้ทำให้เกิดคำถามสำคัญๆ เกี่ยวกับเส้นทางข้างหน้าของบริษัทUSS Steel  ซึ่งมีชื่อเสียงกว่า 124 ปี และครั้งหนึ่งเคยเป็นสัญลักษณ์ของมหาอำนาจทางอุตสาหกรรมของอเมริกา แต่ปัจจุบันก็ความสำคัญลดน้อยลงไปมาก บริษัทUSS Steel ใช้เวลาหลายเดือนในการหาผู้ซื้อรายอื่นก่อนที่จะประกาศความร่วมมือกับบริษัท Nippon Steel ของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นผู้ผลิตเหล็กกล้ารายใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก ในเดือนธันวาคม 2023 บริษัท US Steel ได้เตือนว่าบริษัทอาจจำเป็นต้องปิดโรงงานโดยไม่ได้ผู้ร่วมลงทุนเจ้าของใหม่ ความกังวลนี้ได้รับการสะท้อนจากพนักงานบางส่วนและนักการเมืองท้องถิ่น บริษัททั้งสองแห่งให้คำมั่นว่าจะไม่เลิกจ้างพนักงานและยอมประนีประนอมในประเด็นอื่น ๆ เพื่อพยายามหาเสียงสนับสนุนข้อตกลงดังกล่าว เมื่อสัปดาห์นี้เอง บริษัททั้งสองแห่งเสนอที่จะให้ทุนสนับสนุนศูนย์ฝึกอบรมแรงงาน และมีรายงานว่าให้สิทธิ์รัฐบาลในการยับยั้งการลดการผลิตที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต แต่ข้อเสนอดังกล่าวไม่สามารถโน้มน้าวใจไบเดน ซึ่งออกมาคัดค้านข้อตกลงดังกล่าวเมื่อต้นปีที่แล้ว เนื่องจากอยู่ระหว่างฤดูกาลเลือกตั้งที่กำลังเข้มข้นขึ้นในรัฐเพนซิลเวเนียซึ่งเป็นรัฐสำคัญที่จะมีบทบาท  ธุรกรรมดังกล่าวยังได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากประธานาธิบดีคนใหม่ โดนัลด์ ทรัมป์ และรองประธานาธิบดีคนใหม่ เจดี แวนซ์ ซึ่งการอุทธรณ์ต่อคนงานสหภาพแรงงานของเขาถือเป็นส่วนสำคัญของข้อความหาเสียงของพวกเขา คณะกรรมการรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ได้รับมอบหมายให้ทบทวนข้อตกลงและความเสี่ยงต่อความมั่นคงของชาติ ไม่สามารถบรรลุฉันทามติได้ในช่วงปลายเดือนธันวาคม ส่งผลให้ไบเดนต้องตัดสินใจแทน โดยเขาต้องดำเนินการภายในระยะเวลา 15 วัน ในประกาศของประธานาธิบีไบเดนเมื่อวันศุกร์ที่ 3 มกราคมนี้  เขากล่าวว่าการเป็นเจ้าของUSS Steel โดยบริษัทชาวต่างชาตินั้นมีความเสี่ยงต่อความมั่นคง และสั่งให้บริษัททั้งสอง ยกเลิกข้อตกลงภายใน 30 วัน “อุตสาหกรรมเหล็กกล้าที่เป็นเจ้าของและดำเนินการในประเทศที่แข็งแกร่งถือเป็นสิ่งสำคัญลำดับแรกด้านความมั่นคงของชาติและมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อห่วงโซ่อุปทานที่มีความยืดหยุ่น” เขากล่าว “นั่นเป็นเพราะเหล็กกล้าเป็นกำลังขับเคลื่อนประเทศของเรา ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างพื้นฐาน อุตสาหกรรมยานยนต์ และฐานอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ หากไม่มีการผลิตเหล็กกล้าในประเทศและแรงงานจากเหล็กกล้าในประเทศ ประเทศของเราจะไม่แข็งแกร่งและปลอดภัย” สหภาพแรงงานคนงานเหล็กกล้าแห่งสหรัฐอเมริกา เรียกการตัดสินใจครั้งนี้ว่าเป็น "การตัดสินใจที่ถูกต้องสำหรับสมาชิกและความมั่นคงของชาติของเรา" และกล่าวว่าการคัดค้านของสหภาพฯ เกิดจากความกังวลเกี่ยวกับความยั่งยืนในระยะยาวของอุตสาหกรรมนี้ “เรารู้สึกขอบคุณประธานาธิบดีไบเดนที่เต็มใจดำเนินการอันกล้าหาญเพื่อรักษาอุตสาหกรรมเหล็กกล้าในประเทศให้แข็งแกร่ง และสำหรับความมุ่งมั่นตลอดชีวิตของเขาที่มีต่อคนงานชาวอเมริกัน” เดวิด แมคคอลล์ประธานสหภาพUnited Steelworkers กล่าว ศาสตราจารย์สตีเฟน นาจี จากภาควิชาการเมืองและการศึกษาระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยคริสเตียนนานาชาติแห่งโตเกียว เรียกการตัดสินใจของไบเดนว่าเป็น "เรื่องการเมือง" โดยระบุว่ารัฐบาลตั้งแต่แรกเริ่มได้สัญญาไว้ถึงนโยบายต่างประเทศ "สำหรับชนชั้นกลาง" “นี่คือการตอบสนองโดยตรงและสานต่อแผนงาน MAGA ของทรัมป์ในการทำให้ประเทศอเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง” เขากล่าว “รัฐบาลของไบเดนไม่สามารถแสดงท่าทีอ่อนแอต่อธุรกิจต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นพันธมิตรหรือศัตรูก็ตาม” จอห์น เคอร์บี้ โฆษกทำเนียบขาว ปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ว่าการเคลื่อนไหวดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับพันธมิตรญี่ปุ่น โดยกล่าวว่าไบเดนได้ชี้แจงชัดเจนว่าการตัดสินใจครั้งนี้ "ไม่เกี่ยวกับรัฐบาลญี่ปุ่น" “นี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับการผลิตเหล็กกล้าของสหรัฐฯ และการรักษาให้ผู้ผลิตเหล็กกล้ารายใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของสหรัฐฯ เป็นบริษัทที่เป็นเจ้าของโดยชาวอเมริกัน” เขากล่าวในการแถลงข่าว หุ้นของบริษัท US Steel ร่วงลงมากกว่า 5% ในวันศุกร์ นักวิเคราะห์กล่าวว่าการเคลื่อนไหวดังกล่าวอาจไม่ถือเป็นการสิ้นสุดข้อตกลง คำสั่งของไบเดนระบุว่าคณะกรรมการการลงทุนจากต่างประเทศในสหรัฐฯ สามารถขยายเวลา 30 วันในการยกเลิกธุรกรรมดังกล่าวได้ ศาสตราจารย์ Nagy กล่าวว่าเขาคิดว่าบริษัทต่างๆ อาจตัดสินใจที่จะลองอีกครั้งภายใต้การนำของทรัมป์ โดยอาจเสนอเงื่อนไขที่แตกต่างออกไปซึ่งจะทำให้ประธานาธิบดีคนใหม่สามารถอ้างได้ว่าเขาเจรจาข้อตกลงที่ดีกว่าได้ นักวิเคราะห์การเมือง Terry Haines จาก Pangaea Policy กล่าวด้วยเช่นกันว่า แม้ทรัมป์จะวิพากษ์วิจารณ์ข้อตกลงดังกล่าว แต่เขาอาจมีเหตุผลให้พิจารณาการตัดสินใจดังกล่าวอีกครั้ง “สิ่งหนึ่งที่ยากในการตัดสินใจครั้งนี้ก็คือ ญี่ปุ่นเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดกับสหรัฐฯ” เขากล่าว “รัฐบาลมีภาระทางหลักฐานมากมายในการพิสูจน์สิ่งที่กำลังทำอยู่ในปัจจุบัน และสิ่งนี้ยังส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ทวิภาคีกับญี่ปุ่น ซึ่งเป็นสิ่งที่ทรัมป์ต้องการหลีกเลี่ยง”
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1225 มุมมอง 0 รีวิว
  • Newsstory : โกทร-สจ.โต้ง ปัญหาบ้านใหญ่ การเมืองท้องถิ่น ให้อำนาจผิดฝาผิดเหล่า
    #Newsstory #สนธิทอร์ค #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #นิวส์สตอรี่
    #สนธิ #สนธิลิ้มทองกุล
    Newsstory : โกทร-สจ.โต้ง ปัญหาบ้านใหญ่ การเมืองท้องถิ่น ให้อำนาจผิดฝาผิดเหล่า #Newsstory #สนธิทอร์ค #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #นิวส์สตอรี่ #สนธิ #สนธิลิ้มทองกุล
    Like
    Angry
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1089 มุมมอง 26 0 รีวิว
Pages Boosts