โพสต์ที่ปักไว้
หมากรุกท่าเรือ🛶 รูป 1 บริษัทฮัทชินสัน ซึ่งนายลีกาชิง ฮ่องกง เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ได้สัมปทานบริหาร 2 ท่าเรือ ที่ตั้งอยู่สองฝั่งคลองปานามา สองฝั่งมหาสมุทรเป็นเหตุให้ทรัมป์ขู่ จะยึดคืนคลองปานามา คลองนี้ก่อสร้างโดยสหรัฐ ต่อมาในปี 1999 สหรัฐยกให้เป็นกรรมสิทธิ์ของปานามา⛵️ รูป 2 บริษัทฮัทชินสันได้เจรจาทำสัญญาบริหารท่าเรือ กระจายมากถึง 24 ประเทศ จำนวน 53 ท่าเรือ อยู่นอกจีน/ฮ่องกง 23 ประเทศ จำนวน 43 ท่าเรือ โดยบริษัทฮัทชินสันถือหุ้นในการบริหาร 80%ที่น่าสนใจคือ ท่าเรือแหลมฉบัง ในเมียนมา และในเวียดนาม ก็รวมอยู่ใน 43 ท่าเรือนี้ด้วยรูป 3 เพื่อหลบการเผชิญหน้ากับทรัมป์ บริษัทฮัทชินสันได้เจรจาขายหุ้น 80% ดังกล่าว ครอบคลุม 43 ท่าเรือ ใน 23 ประเทศ ให้แก่ Blackrock Blackrock เป็นผู้บริหารกองทุนใหญ่สุดของโลก ตั้งอยู่ในสหรัฐ ตกลงราคาแค่ 2.2 หมื่นล้านดอลลาร์🚤 รูป 4 นี่เอง จีนถึงเสียอารมณ์ ที่บริษัทฮัทชินสันไปตกลงขายสิทธิการบริหารท่าเรือเหล่านี้ ให้แก่คนอเมริกันสถานะเดิม เอื้อให้จีน สามารถเชื่อมโยงการเดินเรือไปทั่วโลก อย่างสะดวก บัดนี้สะดุดนอกจากนี้ ธุรกิจต่อเรือในจีน ยังเป็นเป้าที่ถูกสหรัฐเล็งทางปืนไว้ด้วยอุตสาหกรรมต่อเรือโลก เริ่มต้นที่ยุโรป ต่อมาย้ายไปญี่ปุ่น ต่อมาเกาหลีใต้ บัดนี้ ทุกประเทศแพ้จีนหมดแล้ว🛥️ รูป 5-6 แสดงจีนครองตลาดต่อเรือใหญ่เกินครึ่งของโลก เทียบกับสหรัฐต่อเรือ 1 ลำ จีนต่อเรือมากถึง 359 ลำประเด็นที่สหรัฐกังวลที่สุด คือจีนสามารถต่อเรือรบ ได้จำนวนมากกว่าสหรัฐ แบบสู้กันไม่ทันรูป 7-8 ด้วยเหตุนี้ จึงมีพวกล้อบบี้ เสนอให้รัฐบาลสหรัฐ กำหนดค่าธรรมเนียมเทียบเรือที่ต่อในจีน 1.5 ล้านดอลลาร์/ครั้งและจะให้ลามไปถึงบริษัทเดินเรือ ที่มีกองเรือต่อในจีนเกินกว่า 50% ด้วยซึ่งจะกระทบ แผนการสั่งต่อเรือในอนาคต ของหลายบริษัทเดินเรือใหญ่ของโลก🛳️ รูป 9 นักวิเคราะห์พยากรณ์ได้ว่า ดีล ปานามา ที่จะลามไปทั่วโลก อาจจะเป็นหมากรุกฆาต ต่อการค้าของจีนจึงต้องติดตามว่า จีนจะบีบบริษัทฮัทชินสันได้แค่ไหน เพราะคงไม่ง่าย นายลีกาชิง ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ใกล้ชิดกับชนชั้นสูงในอังกฤษแต่สำหรับรัฐบาลไทย ต้องถามว่า ได้เข้าไปดูสัญญากับบริษัทฮัทชินสันหรือยังมีเงื่อนไขใส่ไว้หรือไม่ ถ้าเกิดมีการเปลี่ยนแปลง ทำให้ประเทศอื่น เข้ามาเป็นผู้บริหารท่าเรือในไทย ... และถ้าเกิดน่ากลัวว่า จะเป็นชนวนเกิดความขัดแย้ง ในกระดานหมากรุกโลก เกิดขึ้นในอ่าวไทย ... รัฐบาลไทยมีสิทธิยกเลิกสัญญาได้หรือไม่?วันที่ 20 มีนาคม 2568นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และประธานคณะกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ
หมากรุกท่าเรือ🛶 รูป 1 บริษัทฮัทชินสัน ซึ่งนายลีกาชิง ฮ่องกง เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ได้สัมปทานบริหาร 2 ท่าเรือ ที่ตั้งอยู่สองฝั่งคลองปานามา สองฝั่งมหาสมุทรเป็นเหตุให้ทรัมป์ขู่ จะยึดคืนคลองปานามา คลองนี้ก่อสร้างโดยสหรัฐ ต่อมาในปี 1999 สหรัฐยกให้เป็นกรรมสิทธิ์ของปานามา⛵️ รูป 2 บริษัทฮัทชินสันได้เจรจาทำสัญญาบริหารท่าเรือ กระจายมากถึง 24 ประเทศ จำนวน 53 ท่าเรือ อยู่นอกจีน/ฮ่องกง 23 ประเทศ จำนวน 43 ท่าเรือ โดยบริษัทฮัทชินสันถือหุ้นในการบริหาร 80%ที่น่าสนใจคือ ท่าเรือแหลมฉบัง ในเมียนมา และในเวียดนาม ก็รวมอยู่ใน 43 ท่าเรือนี้ด้วยรูป 3 เพื่อหลบการเผชิญหน้ากับทรัมป์ บริษัทฮัทชินสันได้เจรจาขายหุ้น 80% ดังกล่าว ครอบคลุม 43 ท่าเรือ ใน 23 ประเทศ ให้แก่ Blackrock Blackrock เป็นผู้บริหารกองทุนใหญ่สุดของโลก ตั้งอยู่ในสหรัฐ ตกลงราคาแค่ 2.2 หมื่นล้านดอลลาร์🚤 รูป 4 นี่เอง จีนถึงเสียอารมณ์ ที่บริษัทฮัทชินสันไปตกลงขายสิทธิการบริหารท่าเรือเหล่านี้ ให้แก่คนอเมริกันสถานะเดิม เอื้อให้จีน สามารถเชื่อมโยงการเดินเรือไปทั่วโลก อย่างสะดวก บัดนี้สะดุดนอกจากนี้ ธุรกิจต่อเรือในจีน ยังเป็นเป้าที่ถูกสหรัฐเล็งทางปืนไว้ด้วยอุตสาหกรรมต่อเรือโลก เริ่มต้นที่ยุโรป ต่อมาย้ายไปญี่ปุ่น ต่อมาเกาหลีใต้ บัดนี้ ทุกประเทศแพ้จีนหมดแล้ว🛥️ รูป 5-6 แสดงจีนครองตลาดต่อเรือใหญ่เกินครึ่งของโลก เทียบกับสหรัฐต่อเรือ 1 ลำ จีนต่อเรือมากถึง 359 ลำประเด็นที่สหรัฐกังวลที่สุด คือจีนสามารถต่อเรือรบ ได้จำนวนมากกว่าสหรัฐ แบบสู้กันไม่ทันรูป 7-8 ด้วยเหตุนี้ จึงมีพวกล้อบบี้ เสนอให้รัฐบาลสหรัฐ กำหนดค่าธรรมเนียมเทียบเรือที่ต่อในจีน 1.5 ล้านดอลลาร์/ครั้งและจะให้ลามไปถึงบริษัทเดินเรือ ที่มีกองเรือต่อในจีนเกินกว่า 50% ด้วยซึ่งจะกระทบ แผนการสั่งต่อเรือในอนาคต ของหลายบริษัทเดินเรือใหญ่ของโลก🛳️ รูป 9 นักวิเคราะห์พยากรณ์ได้ว่า ดีล ปานามา ที่จะลามไปทั่วโลก อาจจะเป็นหมากรุกฆาต ต่อการค้าของจีนจึงต้องติดตามว่า จีนจะบีบบริษัทฮัทชินสันได้แค่ไหน เพราะคงไม่ง่าย นายลีกาชิง ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ใกล้ชิดกับชนชั้นสูงในอังกฤษแต่สำหรับรัฐบาลไทย ต้องถามว่า ได้เข้าไปดูสัญญากับบริษัทฮัทชินสันหรือยังมีเงื่อนไขใส่ไว้หรือไม่ ถ้าเกิดมีการเปลี่ยนแปลง ทำให้ประเทศอื่น เข้ามาเป็นผู้บริหารท่าเรือในไทย ... และถ้าเกิดน่ากลัวว่า จะเป็นชนวนเกิดความขัดแย้ง ในกระดานหมากรุกโลก เกิดขึ้นในอ่าวไทย ... รัฐบาลไทยมีสิทธิยกเลิกสัญญาได้หรือไม่?วันที่ 20 มีนาคม 2568นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และประธานคณะกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ
Like
2
0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 754 มุมมอง 0 รีวิว
อัปเดตล่าสุด
  • Infographic ประเทศที่ถือครองสิทธิบัตร AI มากที่สุดคือจีน
    Infographic ประเทศที่ถือครองสิทธิบัตร AI มากที่สุดคือจีน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 27 มุมมอง 0 รีวิว
  • 25 เมษายน 2568 เกิดเหตุระเบิดแสวงเครื่องสังหารนายพลยารอสลาฟ มอสคาลิก นายทหารระดับสูงจากกองเสนาธิการทหารของกองทัพบกรัสเซีย เสียชีวิตในรถยนต์ในเมืองบาลาชิคา ห่างจากกรุงมอสโกไปทางตะวันออกไม่ถึง 32 กม.
ก่อนที่ทูตพิเศษสหรัฐฯ จะพบหารือกับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ในช่วงที่สหรัฐฯ เพิ่มแรงกดดันให้รัสเซียและยูเครนบรรลุข้อตกลงสันติภาพ

เมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว หน่วยความมั่นคงยูเครนยอมรับว่า อยู่เบื้องหลังเหตุลอบสังหารพลโทอิกอร์ คิริลลอฟ ของรัสเซีย ด้วยระเบิดซุกซ่อนในสกูตเตอร์ไฟฟ้าที่จอดนอกอะพาร์ตเมนต์ของเขา

ข่าวเหตุระเบิดครั้งล่าสุดมีขึ้นในช่วงที่สตีฟ วิตคอฟฟ์ ทูตพิเศษของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ จะเข้าพบหารือกับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน หลังเดินทางถึงกรุงมอสโกเช้าวันนี้ โดยเป็นการเยือนรัสเซียครั้งที่ 4 นับจากต้นปีนี้ ต่อมามีรายงานว่า วิตคอฟฟ์ได้พบกับปูตินแล้ว โดยคาดว่าจะหารือเรื่องข้อเสนอแผนสันติภาพในสงครามยูเครน
    25 เมษายน 2568 เกิดเหตุระเบิดแสวงเครื่องสังหารนายพลยารอสลาฟ มอสคาลิก นายทหารระดับสูงจากกองเสนาธิการทหารของกองทัพบกรัสเซีย เสียชีวิตในรถยนต์ในเมืองบาลาชิคา ห่างจากกรุงมอสโกไปทางตะวันออกไม่ถึง 32 กม.
ก่อนที่ทูตพิเศษสหรัฐฯ จะพบหารือกับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ในช่วงที่สหรัฐฯ เพิ่มแรงกดดันให้รัสเซียและยูเครนบรรลุข้อตกลงสันติภาพ

เมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว หน่วยความมั่นคงยูเครนยอมรับว่า อยู่เบื้องหลังเหตุลอบสังหารพลโทอิกอร์ คิริลลอฟ ของรัสเซีย ด้วยระเบิดซุกซ่อนในสกูตเตอร์ไฟฟ้าที่จอดนอกอะพาร์ตเมนต์ของเขา

ข่าวเหตุระเบิดครั้งล่าสุดมีขึ้นในช่วงที่สตีฟ วิตคอฟฟ์ ทูตพิเศษของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ จะเข้าพบหารือกับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน หลังเดินทางถึงกรุงมอสโกเช้าวันนี้ โดยเป็นการเยือนรัสเซียครั้งที่ 4 นับจากต้นปีนี้ ต่อมามีรายงานว่า วิตคอฟฟ์ได้พบกับปูตินแล้ว โดยคาดว่าจะหารือเรื่องข้อเสนอแผนสันติภาพในสงครามยูเครน
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 110 มุมมอง 0 รีวิว
  • 25 เมษายน 2568- รัฐบาลทรัมป์กลับลำ ยกเลิกการยุติสถานะวีซ่านักเรียนต่างชาติในสหรัฐฯเผยแพร่วันที่ 25 เมษายน 2025 เวลา 11:23 น. (EDT)หลังถูกวิจารณ์อย่างหนักจากศาลและถูกออกคำสั่งระงับซ้ำแล้วซ้ำเล่า รัฐบาลทรัมป์ได้ประกาศยกเลิกการยุติสถานะวีซ่านักเรียนต่างชาติในสหรัฐฯ ซึ่งก่อนหน้านี้ถูกระงับเนื่องจากข้อกฎหมายเล็กน้อยที่มักถูกเพิกเฉยกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ (DOJ) ได้ยื่นเรื่องกลับคำตัดสินต่อศาลรัฐบาลกลางเมื่อวันศุกร์ โดยชี้แจงว่าจะคืนสถานะการลงทะเบียนวีซ่านักเรียนให้กับนักศึกษาต่างชาติหลายพันคนที่ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติการกระทำผิดเพียงเล็กน้อยหรือเป็นกรณีที่ไม่ควรมีผลต่อสถานะการศึกษาการระงับวีซ่าครั้งใหญ่ก่อนหน้านี้ ส่งผลให้นักเรียนหลายพันคนตกอยู่ในความวิตกกังวลว่าจะสูญเสียสถานะผู้อยู่อาศัยตามกฎหมาย และเสี่ยงถูกเนรเทศออกนอกประเทศอย่างกะทันหัน หลายคนที่ยื่นฟ้องต่อศาลระบุว่า สถาบันของตนได้ระงับสิทธิ์ในการเข้าชั้นเรียนหรือทำวิจัย แม้จะใกล้ถึงกำหนดสำเร็จการศึกษาเพียงไม่กี่สัปดาห์ศาลหลายแห่งมองว่าการระงับสถานะวีซ่าเหล่านี้เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายอย่างชัดเจน และได้ออกคำสั่งชั่วคราวเพื่อปกป้องสิทธิของนักศึกษา ส่งผลให้รัฐบาลต้องพิจารณาถอยกลับจากมาตรการดังกล่าวในที่สุด
    25 เมษายน 2568- รัฐบาลทรัมป์กลับลำ ยกเลิกการยุติสถานะวีซ่านักเรียนต่างชาติในสหรัฐฯเผยแพร่วันที่ 25 เมษายน 2025 เวลา 11:23 น. (EDT)หลังถูกวิจารณ์อย่างหนักจากศาลและถูกออกคำสั่งระงับซ้ำแล้วซ้ำเล่า รัฐบาลทรัมป์ได้ประกาศยกเลิกการยุติสถานะวีซ่านักเรียนต่างชาติในสหรัฐฯ ซึ่งก่อนหน้านี้ถูกระงับเนื่องจากข้อกฎหมายเล็กน้อยที่มักถูกเพิกเฉยกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ (DOJ) ได้ยื่นเรื่องกลับคำตัดสินต่อศาลรัฐบาลกลางเมื่อวันศุกร์ โดยชี้แจงว่าจะคืนสถานะการลงทะเบียนวีซ่านักเรียนให้กับนักศึกษาต่างชาติหลายพันคนที่ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติการกระทำผิดเพียงเล็กน้อยหรือเป็นกรณีที่ไม่ควรมีผลต่อสถานะการศึกษาการระงับวีซ่าครั้งใหญ่ก่อนหน้านี้ ส่งผลให้นักเรียนหลายพันคนตกอยู่ในความวิตกกังวลว่าจะสูญเสียสถานะผู้อยู่อาศัยตามกฎหมาย และเสี่ยงถูกเนรเทศออกนอกประเทศอย่างกะทันหัน หลายคนที่ยื่นฟ้องต่อศาลระบุว่า สถาบันของตนได้ระงับสิทธิ์ในการเข้าชั้นเรียนหรือทำวิจัย แม้จะใกล้ถึงกำหนดสำเร็จการศึกษาเพียงไม่กี่สัปดาห์ศาลหลายแห่งมองว่าการระงับสถานะวีซ่าเหล่านี้เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายอย่างชัดเจน และได้ออกคำสั่งชั่วคราวเพื่อปกป้องสิทธิของนักศึกษา ส่งผลให้รัฐบาลต้องพิจารณาถอยกลับจากมาตรการดังกล่าวในที่สุด
    Like
    Haha
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 133 มุมมอง 0 รีวิว
  • รัฐบาลทรัมป์ได้ยุบ Global Engagement Center (GEC) อย่างเป็นทางการแล้ว ซึ่ง Rubio อ้างว่า GEC ถูกใช้เป็นอาวุธเพื่อปิดปากเสรีภาพในการพูด และเรียกมันว่า “คอมเพล็กซ์อุตสาหกรรมการเซ็นเซอร์”Rubio ชี้แจงอย่างชัดเจนว่า “GEC ตายแล้ว มันจะไม่กลับมาอีก”ศูนย์แห่งนี้ ซึ่งเดิมสร้างขึ้นเพื่อต่อสู้กับการโฆษณาชวนเชื่อของผู้ก่อการร้าย ได้เปลี่ยนไปภายใต้การบริหารของโอบามา กลายเป็นหน่วยงานเฝ้าระวัง “ข้อมูลบิดเบือน” ที่กว้างขึ้น ซึ่งหมายความถึงการกำหนดเป้าหมายไปที่กลุ่มอนุรักษ์นิยมเท่านั้นRubio ยังโจมตีกลุ่มต่างๆ เช่น NewsGuard และ Global Disinformation Index (GDI) ซึ่งรับเงินจากกระทรวงการต่างประเทศ จากนั้นจึงทำเครื่องหมายสื่ออนุรักษ์นิยมว่า “เสี่ยง” โดยโจมตีพวกเขาตรงจุดที่เจ็บปวดที่สุด นั่นคือรายได้จากโฆษณาความสัมพันธ์ของ NewsGuard กับเจ้าหน้าที่พรรคเดโมแครตที่ทำงานมายาวนานไม่ได้ช่วยคลายความกังวลลงเลย— Elon เรียกพวกเขาว่า “การหลอกลวง”เมื่อ GEC หายไปและเงินทุนก็หมดลง Rubio กล่าวว่ารัฐบาลกำลังทำตามสัญญาที่จะ “ปลดปล่อยการพูดของชาวอเมริกัน”ที่มา: Newsmax, AP
    รัฐบาลทรัมป์ได้ยุบ Global Engagement Center (GEC) อย่างเป็นทางการแล้ว ซึ่ง Rubio อ้างว่า GEC ถูกใช้เป็นอาวุธเพื่อปิดปากเสรีภาพในการพูด และเรียกมันว่า “คอมเพล็กซ์อุตสาหกรรมการเซ็นเซอร์”Rubio ชี้แจงอย่างชัดเจนว่า “GEC ตายแล้ว มันจะไม่กลับมาอีก”ศูนย์แห่งนี้ ซึ่งเดิมสร้างขึ้นเพื่อต่อสู้กับการโฆษณาชวนเชื่อของผู้ก่อการร้าย ได้เปลี่ยนไปภายใต้การบริหารของโอบามา กลายเป็นหน่วยงานเฝ้าระวัง “ข้อมูลบิดเบือน” ที่กว้างขึ้น ซึ่งหมายความถึงการกำหนดเป้าหมายไปที่กลุ่มอนุรักษ์นิยมเท่านั้นRubio ยังโจมตีกลุ่มต่างๆ เช่น NewsGuard และ Global Disinformation Index (GDI) ซึ่งรับเงินจากกระทรวงการต่างประเทศ จากนั้นจึงทำเครื่องหมายสื่ออนุรักษ์นิยมว่า “เสี่ยง” โดยโจมตีพวกเขาตรงจุดที่เจ็บปวดที่สุด นั่นคือรายได้จากโฆษณาความสัมพันธ์ของ NewsGuard กับเจ้าหน้าที่พรรคเดโมแครตที่ทำงานมายาวนานไม่ได้ช่วยคลายความกังวลลงเลย— Elon เรียกพวกเขาว่า “การหลอกลวง”เมื่อ GEC หายไปและเงินทุนก็หมดลง Rubio กล่าวว่ารัฐบาลกำลังทำตามสัญญาที่จะ “ปลดปล่อยการพูดของชาวอเมริกัน”ที่มา: Newsmax, AP
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 139 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลุ้น ! 30 เม.ย.ศาลฎีกานักการเมืองนัดฟังคำสั่งรับคดีนำ “ทักษิณ” รับโทษ?ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ ฟังคำสั่งในคำร้องที่นายชาญชัยยื่นขอให้ไต่สวนกรณีที่กรมราชทัณฑ์อนุญาตให้นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้เข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากศาล เข้าข่ายขัดประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 89, 89/2(1) (2) และมาตรา 246 และไม่อาจอ้างกฎกระทรวง เรื่องการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำหรือไม่ หลังจาก 2 ครั้งแรกคือวันที่ 19 ธันวาคม 2566 และ 15 กุมภาพันธ์ 2567 ศาลมีคำสั่งยกคำร้องโดยไม่ต้องไต่สวน โดยให้เหตุว่าศาลออกหมายจำคุก การบังคับโทษ อนุญาตส่งตัว เป็นอำนาจของกรมราชทัณฑ์ ไม่อยู่ในอำนาจศาล คำร้องครั้งที่ 3 นี้นายชาญชัยยื่นขอให้รับคำร้องไว้ไต่สวนและมีคำสั่งบังคับโทษจำคุกให้เป็นไปตามคำพิพากษาที่ถึงที่สุด เเละศาลนัดฟังคำสั่งวันที่ 30 เมษายนนี้ ซึ่งต้องรอดูว่าศาลจะยกคำร้องเป็นครั้งที่ 3 หรือไม่ หรือรับที่จะดำเนินการต่อไป#ThePublisherTH #สำนักข่าวออนไลน์เพื่อสังคม #แพทยสภา #ชั้น14 #นักโทษเทวดา #ทักษิณ #ทักษิณชินวัตร #กระบวนการยุติธรรม #ศาลปกครอง- - - - - - - - - - - - - - - - - -ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่https://thepublisherth.com/
    ลุ้น ! 30 เม.ย.ศาลฎีกานักการเมืองนัดฟังคำสั่งรับคดีนำ “ทักษิณ” รับโทษ?ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ ฟังคำสั่งในคำร้องที่นายชาญชัยยื่นขอให้ไต่สวนกรณีที่กรมราชทัณฑ์อนุญาตให้นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้เข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากศาล เข้าข่ายขัดประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 89, 89/2(1) (2) และมาตรา 246 และไม่อาจอ้างกฎกระทรวง เรื่องการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำหรือไม่ หลังจาก 2 ครั้งแรกคือวันที่ 19 ธันวาคม 2566 และ 15 กุมภาพันธ์ 2567 ศาลมีคำสั่งยกคำร้องโดยไม่ต้องไต่สวน โดยให้เหตุว่าศาลออกหมายจำคุก การบังคับโทษ อนุญาตส่งตัว เป็นอำนาจของกรมราชทัณฑ์ ไม่อยู่ในอำนาจศาล คำร้องครั้งที่ 3 นี้นายชาญชัยยื่นขอให้รับคำร้องไว้ไต่สวนและมีคำสั่งบังคับโทษจำคุกให้เป็นไปตามคำพิพากษาที่ถึงที่สุด เเละศาลนัดฟังคำสั่งวันที่ 30 เมษายนนี้ ซึ่งต้องรอดูว่าศาลจะยกคำร้องเป็นครั้งที่ 3 หรือไม่ หรือรับที่จะดำเนินการต่อไป#ThePublisherTH #สำนักข่าวออนไลน์เพื่อสังคม #แพทยสภา #ชั้น14 #นักโทษเทวดา #ทักษิณ #ทักษิณชินวัตร #กระบวนการยุติธรรม #ศาลปกครอง- - - - - - - - - - - - - - - - - -ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่https://thepublisherth.com/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 156 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://www.facebook.com/share/r/167xjjtEED/?mibextid=wwXIfr
    https://www.facebook.com/share/r/167xjjtEED/?mibextid=wwXIfr
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 78 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://www.youtube.com/live/AxvVE4Cdm1w?si=EJRx-3OklzUn2JkS
    https://www.youtube.com/live/AxvVE4Cdm1w?si=EJRx-3OklzUn2JkS
    - YouTube
    เพลิดเพลินไปกับวิดีโอและเพลงที่คุณชอบ อัปโหลดเนื้อหาต้นฉบับ และแชร์เนื้อหาทั้งหมดกับเพื่อน ครอบครัว และผู้คนทั่วโลกบน YouTube
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 80 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://www.youtube.com/live/b8HQcycDS1U?si=d5zc6YVre86YfZ20
    https://www.youtube.com/live/b8HQcycDS1U?si=d5zc6YVre86YfZ20
    - YouTube
    เพลิดเพลินไปกับวิดีโอและเพลงที่คุณชอบ อัปโหลดเนื้อหาต้นฉบับ และแชร์เนื้อหาทั้งหมดกับเพื่อน ครอบครัว และผู้คนทั่วโลกบน YouTube
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 95 มุมมอง 0 รีวิว
  • 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 57 มุมมอง 0 รีวิว
  • สตง.แถลงการณ์ยืนยันทำตามขั้นตอน !?! “สตง. ชี้แจงการปรับแก้ผนังปล่องลิฟต์ ทำตามขั้นตอนกม.และระเบียบราชการ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ออกเอกสารชี้แจงขั้นตอนการดำเนินการเกี่ยวกับการบริหารสัญญา (กรณีการปรับแก้ผนังปล่องลิฟต์ (Core Lift) บางจุด และการแก้ไขสัญญา) หลังมีหลายฝ่ายตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับการปรับแก้ผนังปล่องลิฟต์ (Core Lift) ซึ่งเป็นจุดสำคัญที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของอาคารและอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้อาคารที่ทำการสำนักงานแห่งใหม่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 สตง. ชี้แจงว่า ในการดำเนินโครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสำนักงานแห่งใหม่ สตง. ได้ทำสัญญาว่าจ้างผู้รับจ้างออกแบบ คือ กิจการร่วมค้า บริษัท ฟอ-รัม อาร์คิเทค จำกัด และบริษัท ไมนฮาร์ท (ประเทศไทย) จำกัด และ ผู้รับจ้างก่อสร้าง คือ กิจการร่วมค้า ไอทีดี-ซีอาร์อีซี (บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด) มีผู้รับจ้างควบคุมงาน คือ กิจการร่วมค้า PKW บริษัท พี เอ็น ซิงค์โครไนซ์ จำกัด บริษัท ว. และสหาย คอนซัลแตนตส์ จำกัด และบริษัท เคพี คอนซัลแทนส์ จำกัด ซึ่งกรณีการปรับแก้ผนังปล่องลิฟต์บางจุดเกิดขึ้นในช่วงการบริหารสัญญาระหว่างดำเนินการก่อสร้าง โดยผู้รับจ้างก่อสร้างพบว่าแบบงานโครงสร้างขัดกับแบบงานสถาปัตยกรรมภายใน กล่าวคือ ขนาดของผนังปล่องลิฟต์บริเวณทางเดินเมื่อรวมกับวัสดุตกแต่งตามแบบ ทำให้ทางเดินมีความกว้างไม่เป็นไปตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 55 (พ.ศ. 2543) ออกตามความใน พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 สตง. จึงทำตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบของทางราชการ ดังนี้ 1.ผู้รับจ้างก่อสร้างมีหน้าที่โดยตรงตามสัญญาที่ต้องดำเนินการก่อสร้างให้ถูกต้องตามข้อกำหนดและเงื่อนไขสัญญารวมทั้งเอกสารแนบท้ายสัญญา (แบบรูปและรายการละเอียด ฯลฯ) โดยผู้รับจ้างก่อสร้างรับรองว่า ได้ตรวจสอบและทำความเข้าใจแบบรูปและรายการละเอียด ซึ่งในกรณีดังกล่าวผู้รับจ้างก่อสร้างพบว่าแบบงานโครงสร้างขัดกับงานสถาปัตยกรรมภายใน จึงได้สอบถาม/ขอความเห็นไปยังผู้รับจ้างควบคุมงาน 2.ผู้รับจ้างควบคุมงานในฐานะตัวแทนสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินมีหนังสือ (Request For Information: RFI) เพื่อสอบถาม/ขอความเห็นไปยังผู้รับจ้างออกแบบ ซึ่งทั้งผู้รับจ้างออกแบบและผู้รับจ้าง ควบคุมงานเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพวิศวกรรมตามสัญญาจ้าง 3.ผู้รับจ้างออกแบบให้ความเห็นตามหนังสือ (RFI) โดยกำหนดรายละเอียดการปรับแก้ผนังปล่องลิฟต์ จากความหนา 0.30 เมตร เป็น 0.25 เมตร บริเวณด้านทางเดินและเพิ่มปริมาณเหล็กเสริมให้มั่นคงแข็งแรงตามหลักการทางวิศวกรรม พร้อมจัดทำรายการคำนวณและลงนามรับรอง เพื่อให้ความกว้างช่องทางเดินถูกต้องตามกฎหมายกำหนด (กฎกระทรวง ฉบับที่ 55 (พ.ศ. 2543) ออกตามความใน พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522) และสอดคล้องกับรูปแบบงานสถาปัตยกรรมภายใน แล้วส่งกลับมายังผู้รับจ้างควบคุมงาน 4.ผู้รับจ้างควบคุมงานแจ้งรายละเอียดการปรับแก้ของผู้รับจ้างออกแบบเพื่อให้ผู้รับจ้างก่อสร้างดำเนินการจัดทำแบบขยายสำหรับการก่อสร้างตามความเห็นของผู้รับจ้างออกแบบ โดยผู้รับจ้างควบคุมงานได้ตรวจสอบความถูกต้องและส่งให้ผู้รับจ้างออกแบบพิจารณาและรับรองความถูกต้องของแบบที่จัดทำแล้วส่งกลับมายังผู้รับจ้างควบคุมงาน ทั้งนี้ ผู้รับจ้างควบคุมงานโดยวุฒิวิศวกรได้ตรวจสอบและลงนามรับรองอีกครั้ง ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 ข้อ 165 วรรคสอง ซึ่งผู้รับจ้างก่อสร้างได้เสนอราคารายการงานที่เปลี่ยนแปลงโดยมีราคาลดลงเป็นจำนวนเงิน 515,195.36 บาท รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม และเสนอขอแก้ไขวงเงินในสัญญาจ้างตามจำนวนเงินดังกล่าว โดยผู้รับจ้างควบคุมงานตรวจสอบแล้วเห็นว่าถูกต้องตามที่ผู้รับจ้างก่อสร้างเสนอ และการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวไม่มีผลกระทบต่อระยะเวลาก่อสร้างตามสัญญา 5.ผู้รับจ้างควบคุมงานรายงานข้อมูลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดข้างต้นเสนอมายังคณะกรรมการตรวจรับพัสดุในงานจ้างก่อสร้างเพื่อพิจารณาให้ความเห็น 6.คณะกรรมการตรวจรับพัสดุในงานจ้างก่อสร้างเสนอความเห็นต่อผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินในฐานะผู้ว่าจ้างเพื่อพิจารณาอนุมัติการแก้ไขสัญญา ตาม พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 มาตรา 97 และมาตรา 100 ประกอบระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 ข้อ 165 7.ผู้ว่า สตง. เสนอคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) เพื่อพิจารณาให้ความเห็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของรายการโดยไม่เพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพัน ตามระเบียบ สตง. ว่าด้วยการงบประมาณ พ.ศ. 2564 ข้อ 20 (1) 8.คู่สัญญาลงนามการแก้ไขสัญญาจ้างก่อสร้าง โดยนำแบบรูปและรายการละเอียดที่แก้ไขเพื่อเป็นเอกสารอันเป็นส่วนหนึ่งของสัญญา
    สตง.แถลงการณ์ยืนยันทำตามขั้นตอน !?! “สตง. ชี้แจงการปรับแก้ผนังปล่องลิฟต์ ทำตามขั้นตอนกม.และระเบียบราชการ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ออกเอกสารชี้แจงขั้นตอนการดำเนินการเกี่ยวกับการบริหารสัญญา (กรณีการปรับแก้ผนังปล่องลิฟต์ (Core Lift) บางจุด และการแก้ไขสัญญา) หลังมีหลายฝ่ายตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับการปรับแก้ผนังปล่องลิฟต์ (Core Lift) ซึ่งเป็นจุดสำคัญที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของอาคารและอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้อาคารที่ทำการสำนักงานแห่งใหม่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 สตง. ชี้แจงว่า ในการดำเนินโครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสำนักงานแห่งใหม่ สตง. ได้ทำสัญญาว่าจ้างผู้รับจ้างออกแบบ คือ กิจการร่วมค้า บริษัท ฟอ-รัม อาร์คิเทค จำกัด และบริษัท ไมนฮาร์ท (ประเทศไทย) จำกัด และ ผู้รับจ้างก่อสร้าง คือ กิจการร่วมค้า ไอทีดี-ซีอาร์อีซี (บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด) มีผู้รับจ้างควบคุมงาน คือ กิจการร่วมค้า PKW บริษัท พี เอ็น ซิงค์โครไนซ์ จำกัด บริษัท ว. และสหาย คอนซัลแตนตส์ จำกัด และบริษัท เคพี คอนซัลแทนส์ จำกัด ซึ่งกรณีการปรับแก้ผนังปล่องลิฟต์บางจุดเกิดขึ้นในช่วงการบริหารสัญญาระหว่างดำเนินการก่อสร้าง โดยผู้รับจ้างก่อสร้างพบว่าแบบงานโครงสร้างขัดกับแบบงานสถาปัตยกรรมภายใน กล่าวคือ ขนาดของผนังปล่องลิฟต์บริเวณทางเดินเมื่อรวมกับวัสดุตกแต่งตามแบบ ทำให้ทางเดินมีความกว้างไม่เป็นไปตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 55 (พ.ศ. 2543) ออกตามความใน พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 สตง. จึงทำตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบของทางราชการ ดังนี้ 1.ผู้รับจ้างก่อสร้างมีหน้าที่โดยตรงตามสัญญาที่ต้องดำเนินการก่อสร้างให้ถูกต้องตามข้อกำหนดและเงื่อนไขสัญญารวมทั้งเอกสารแนบท้ายสัญญา (แบบรูปและรายการละเอียด ฯลฯ) โดยผู้รับจ้างก่อสร้างรับรองว่า ได้ตรวจสอบและทำความเข้าใจแบบรูปและรายการละเอียด ซึ่งในกรณีดังกล่าวผู้รับจ้างก่อสร้างพบว่าแบบงานโครงสร้างขัดกับงานสถาปัตยกรรมภายใน จึงได้สอบถาม/ขอความเห็นไปยังผู้รับจ้างควบคุมงาน 2.ผู้รับจ้างควบคุมงานในฐานะตัวแทนสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินมีหนังสือ (Request For Information: RFI) เพื่อสอบถาม/ขอความเห็นไปยังผู้รับจ้างออกแบบ ซึ่งทั้งผู้รับจ้างออกแบบและผู้รับจ้าง ควบคุมงานเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพวิศวกรรมตามสัญญาจ้าง 3.ผู้รับจ้างออกแบบให้ความเห็นตามหนังสือ (RFI) โดยกำหนดรายละเอียดการปรับแก้ผนังปล่องลิฟต์ จากความหนา 0.30 เมตร เป็น 0.25 เมตร บริเวณด้านทางเดินและเพิ่มปริมาณเหล็กเสริมให้มั่นคงแข็งแรงตามหลักการทางวิศวกรรม พร้อมจัดทำรายการคำนวณและลงนามรับรอง เพื่อให้ความกว้างช่องทางเดินถูกต้องตามกฎหมายกำหนด (กฎกระทรวง ฉบับที่ 55 (พ.ศ. 2543) ออกตามความใน พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522) และสอดคล้องกับรูปแบบงานสถาปัตยกรรมภายใน แล้วส่งกลับมายังผู้รับจ้างควบคุมงาน 4.ผู้รับจ้างควบคุมงานแจ้งรายละเอียดการปรับแก้ของผู้รับจ้างออกแบบเพื่อให้ผู้รับจ้างก่อสร้างดำเนินการจัดทำแบบขยายสำหรับการก่อสร้างตามความเห็นของผู้รับจ้างออกแบบ โดยผู้รับจ้างควบคุมงานได้ตรวจสอบความถูกต้องและส่งให้ผู้รับจ้างออกแบบพิจารณาและรับรองความถูกต้องของแบบที่จัดทำแล้วส่งกลับมายังผู้รับจ้างควบคุมงาน ทั้งนี้ ผู้รับจ้างควบคุมงานโดยวุฒิวิศวกรได้ตรวจสอบและลงนามรับรองอีกครั้ง ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 ข้อ 165 วรรคสอง ซึ่งผู้รับจ้างก่อสร้างได้เสนอราคารายการงานที่เปลี่ยนแปลงโดยมีราคาลดลงเป็นจำนวนเงิน 515,195.36 บาท รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม และเสนอขอแก้ไขวงเงินในสัญญาจ้างตามจำนวนเงินดังกล่าว โดยผู้รับจ้างควบคุมงานตรวจสอบแล้วเห็นว่าถูกต้องตามที่ผู้รับจ้างก่อสร้างเสนอ และการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวไม่มีผลกระทบต่อระยะเวลาก่อสร้างตามสัญญา 5.ผู้รับจ้างควบคุมงานรายงานข้อมูลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดข้างต้นเสนอมายังคณะกรรมการตรวจรับพัสดุในงานจ้างก่อสร้างเพื่อพิจารณาให้ความเห็น 6.คณะกรรมการตรวจรับพัสดุในงานจ้างก่อสร้างเสนอความเห็นต่อผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินในฐานะผู้ว่าจ้างเพื่อพิจารณาอนุมัติการแก้ไขสัญญา ตาม พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 มาตรา 97 และมาตรา 100 ประกอบระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 ข้อ 165 7.ผู้ว่า สตง. เสนอคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) เพื่อพิจารณาให้ความเห็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของรายการโดยไม่เพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพัน ตามระเบียบ สตง. ว่าด้วยการงบประมาณ พ.ศ. 2564 ข้อ 20 (1) 8.คู่สัญญาลงนามการแก้ไขสัญญาจ้างก่อสร้าง โดยนำแบบรูปและรายการละเอียดที่แก้ไขเพื่อเป็นเอกสารอันเป็นส่วนหนึ่งของสัญญา
    Sad
    Angry
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 179 มุมมอง 0 รีวิว
  • 23 เมษายน 2568-แถลงการณ์จากคณะนิติศาสตร์ จุฬาฯตามที่ปรากฏเป็นข่าวว่ากองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) ได้จับกุมผู้ต้องหาว่ากระทำความผิดฐานร่วมกันเอาไปซึ่งเอกสารของผู้อื่นในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นโดยนำข้อสอบคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยออกไปให้ผู้อื่นทำก่อนจะส่งต่อไปให้อดีตนายตำรวจยศพลตำรวจเอกนายหนึ่งคัดลอก เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นช่วงปี 2566 นั้นหลักสูตรนิติศาสตรบัณฑิต ภาคบัณฑิต (นอกเวลาราชการ) รู้สึกเสียใจยิ่งกับเหตุการณ์ที่สร้างความเสียหายให้หลักสูตรฯ ในครั้งนี้ และขอเรียนว่า หลักสูตรฯ ได้รับการประสานจาก บช.สอท. ครั้งแรกเมื่อวันที่ 6เมษายน 2568 ที่ผ่านมา และหลักสูตรฯ ได้ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในการแสวงหาและรวบรวมพยานหลักฐานในคดีนี้มาโดยตลอดหลักสูตรฯ ขอเรียนว่า "ผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมดำเนินคดีครั้งนี้ มิใช่ศิษย์เก่าและมิได้เป็นบุคลากรของมหาวิทยาลัย" แต่ได้อาศัยโอกาสกระทำการดังกล่าวจากการเข้ามาติดต่อประสานงานกับเจ้าหน้าที่ของหลักสูตรโดยที่เจ้าหน้าที่มีได้สังเกตพิรุธ (รายละเอียดอยู่ในขั้นตอนคดี) ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่ของหลักสูตรได้ให้ข้อมูลและแจ้งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายแล้วคณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ ได้ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง รวมทั้งประสานข้อมูลเพิ่มเติมทางการสอบสวน และหากมีการกระทำผิดเกี่ยวกับการศึกษา ไม่ว่าจะเป็นในกรณีนี้หรือกรณีอื่น คณะนิติศาสตร์จะดำเนินการอย่างเคร่งครัดตามกฎหมายและข้อบังคับของมหาวิทยาลัย เช่นเดียวกับการจัดการในกรณีอื่น ๆ ที่ผ่านมา ทั้งนี้ คณะนิติศาสตร์ ขอยืนยันเจตจำนงในอันที่จะรักษามาตรฐานการจัดการศึกษา การให้ปริญญา ตลอดจน คุณภาพบัณฑิตผู้สำเร็จการศึกษาตามหลักสูตรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและระบบการศึกษาของไทยอนึ่ง หลักสูตรนิติศาสตรบัณฑิต ภาคบัณฑิต (นอกเวลาราชการ) เป็นหลักสูตรที่เปิดขึ้นตั้งแต่ปีการศึกษา 2546 สำหรับบุคคลทั่วไปที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาใดสาขาหนึ่งมาแล้วเข้าศึกษานอกเวลาราชการเพื่อให้ได้รับปริญญาตรีนิติศาสตรบัณฑิตอีกปริญญาหนึ่งคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย23 เมษายน 2568
    23 เมษายน 2568-แถลงการณ์จากคณะนิติศาสตร์ จุฬาฯตามที่ปรากฏเป็นข่าวว่ากองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) ได้จับกุมผู้ต้องหาว่ากระทำความผิดฐานร่วมกันเอาไปซึ่งเอกสารของผู้อื่นในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นโดยนำข้อสอบคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยออกไปให้ผู้อื่นทำก่อนจะส่งต่อไปให้อดีตนายตำรวจยศพลตำรวจเอกนายหนึ่งคัดลอก เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นช่วงปี 2566 นั้นหลักสูตรนิติศาสตรบัณฑิต ภาคบัณฑิต (นอกเวลาราชการ) รู้สึกเสียใจยิ่งกับเหตุการณ์ที่สร้างความเสียหายให้หลักสูตรฯ ในครั้งนี้ และขอเรียนว่า หลักสูตรฯ ได้รับการประสานจาก บช.สอท. ครั้งแรกเมื่อวันที่ 6เมษายน 2568 ที่ผ่านมา และหลักสูตรฯ ได้ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในการแสวงหาและรวบรวมพยานหลักฐานในคดีนี้มาโดยตลอดหลักสูตรฯ ขอเรียนว่า "ผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมดำเนินคดีครั้งนี้ มิใช่ศิษย์เก่าและมิได้เป็นบุคลากรของมหาวิทยาลัย" แต่ได้อาศัยโอกาสกระทำการดังกล่าวจากการเข้ามาติดต่อประสานงานกับเจ้าหน้าที่ของหลักสูตรโดยที่เจ้าหน้าที่มีได้สังเกตพิรุธ (รายละเอียดอยู่ในขั้นตอนคดี) ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่ของหลักสูตรได้ให้ข้อมูลและแจ้งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายแล้วคณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ ได้ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง รวมทั้งประสานข้อมูลเพิ่มเติมทางการสอบสวน และหากมีการกระทำผิดเกี่ยวกับการศึกษา ไม่ว่าจะเป็นในกรณีนี้หรือกรณีอื่น คณะนิติศาสตร์จะดำเนินการอย่างเคร่งครัดตามกฎหมายและข้อบังคับของมหาวิทยาลัย เช่นเดียวกับการจัดการในกรณีอื่น ๆ ที่ผ่านมา ทั้งนี้ คณะนิติศาสตร์ ขอยืนยันเจตจำนงในอันที่จะรักษามาตรฐานการจัดการศึกษา การให้ปริญญา ตลอดจน คุณภาพบัณฑิตผู้สำเร็จการศึกษาตามหลักสูตรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและระบบการศึกษาของไทยอนึ่ง หลักสูตรนิติศาสตรบัณฑิต ภาคบัณฑิต (นอกเวลาราชการ) เป็นหลักสูตรที่เปิดขึ้นตั้งแต่ปีการศึกษา 2546 สำหรับบุคคลทั่วไปที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาใดสาขาหนึ่งมาแล้วเข้าศึกษานอกเวลาราชการเพื่อให้ได้รับปริญญาตรีนิติศาสตรบัณฑิตอีกปริญญาหนึ่งคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย23 เมษายน 2568
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 132 มุมมอง 0 รีวิว
  • นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต พานายณรัฐนันทน์ วิภากรวิทย์ อดีตข้าราชการในสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) ในฐานะพยาน นำหลักฐานเอกสารการประชุมในการก่อสร้างตึก สตง. แห่งใหม่ ให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) พิจารณาดำเนินคดี มีทั้งเอกสาร คลิปวิดีโอ คลิปเสียงสนทนา ซึ่งเป็นหลักฐานจำนวนมากรวบรวมตั้งแต่ปี 2563 ถึงปัจจุบัน โดยได้มาจากอดีตข้าราชการ สตง. และบุคคลที่เกี่ยวข้อง ตั้ง 3 ข้อสงสัย 1.การออกแบบอาคารมีปัญหาตั้งแต่ต้น โปร่งใสหรือไม่ 2.กระบวนการคัดเลือกผู้ออกแบบ ผู้ควบคุมงาน การก่อสร้าง และ 3.ระหว่างก่อสร้างแก้ไขแบบหลายครั้ง มีวิศวกรอ้างถูกปลอมลายเซ็น ซึ่งเมื่อเปลี่ยนแบบต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ สตง. ด้วย ด้านนายณรัฐนันทน์ เผย ทำงานที่ สตง. มา 18 ปี เคยใกล้ชิด ทำงานให้ผู้บริหาร สตง. จึงรู้พฤติกรรมที่ส่อไปในทางทุจริตในการสร้างตึก สตง. ได้ถูกใช้งานหลายอย่างที่อาจเป็นเรื่องไม่สุจริตโปร่งใส ได้รับทราบข้อเท็จจริงเรื่องกระบวนการคัดเลือกผู้ออกแบบ ผู้รับจ้าง การก่อสร้าง ที่อาจมีเบื้องลึกเบื้องหลัง มีผู้บริหารเกี่ยวข้องไม่ต่ำกว่า 10 คน พบสัญญาจ้างผู้ควบคุมงานที่ สตง. เป็นผู้ว่าจ้าง ลงนามโดยอดีตผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และปัจจุบันผู้บริหารบางคนก็ยังมีอำนาจอยู่
    Like
    Love
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 59 มุมมอง 47 0 รีวิว
  • นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต พานายณรัฐนันทน์ วิภากรวิทย์ อดีตข้าราชการในสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) ในฐานะพยาน นำหลักฐานเอกสารการประชุมในการก่อสร้างตึก สตง. แห่งใหม่ ให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) พิจารณาดำเนินคดี มีทั้งเอกสาร คลิปวิดีโอ คลิปเสียงสนทนา ซึ่งเป็นหลักฐานจำนวนมากรวบรวมตั้งแต่ปี 2563 ถึงปัจจุบัน โดยได้มาจากอดีตข้าราชการ สตง. และบุคคลที่เกี่ยวข้อง ตั้ง 3 ข้อสงสัย 1.การออกแบบอาคารมีปัญหาตั้งแต่ต้น โปร่งใสหรือไม่ 2.กระบวนการคัดเลือกผู้ออกแบบ ผู้ควบคุมงาน การก่อสร้าง และ 3.ระหว่างก่อสร้างแก้ไขแบบหลายครั้ง มีวิศวกรอ้างถูกปลอมลายเซ็น ซึ่งเมื่อเปลี่ยนแบบต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ สตง. ด้วย ด้านนายณรัฐนันทน์ เผย ทำงานที่ สตง. มา 18 ปี เคยใกล้ชิด ทำงานให้ผู้บริหาร สตง. จึงรู้พฤติกรรมที่ส่อไปในทางทุจริตในการสร้างตึก สตง. ได้ถูกใช้งานหลายอย่างที่อาจเป็นเรื่องไม่สุจริตโปร่งใส ได้รับทราบข้อเท็จจริงเรื่องกระบวนการคัดเลือกผู้ออกแบบ ผู้รับจ้าง การก่อสร้าง ที่อาจมีเบื้องลึกเบื้องหลัง มีผู้บริหารเกี่ยวข้องไม่ต่ำกว่า 10 คน พบสัญญาจ้างผู้ควบคุมงานที่ สตง. เป็นผู้ว่าจ้าง ลงนามโดยอดีตผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และปัจจุบันผู้บริหารบางคนก็ยังมีอำนาจอยู่
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 58 มุมมอง 47 0 รีวิว
  • หลักฐานเพียบตึก สตง.ส่อทุจริตตั้งแต่เริ่ม : [NEWS UPDATE]

    นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต พานายณรัฐนันทน์ วิภากรวิทย์ อดีตข้าราชการในสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) ในฐานะพยาน นำหลักฐานเอกสารการประชุมในการก่อสร้างตึก สตง. แห่งใหม่ ให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) พิจารณาดำเนินคดี มีทั้งเอกสาร คลิปวิดีโอ คลิปเสียงสนทนา จำนวนมากที่รวบรวมตั้งแต่ปี 2563 ถึงปัจจุบัน ตั้ง 3 ข้อสงสัย 1.การออกแบบอาคารมีปัญหาตั้งแต่ต้น เป็นไปด้วยความโปร่งใสหรือไม่ 2.กระบวนการคัดเลือกผู้ออกแบบ ผู้ควบคุมงาน การก่อสร้าง และ 3.ระหว่างก่อสร้างมีการแก้ไขแบบหลายครั้ง มีวิศวกรอ้างถูกปลอมลายเซ็น ซึ่งเมื่อเปลี่ยนแปลงการออกแบบต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ สตง. ด้วย

    -เชื่อผู้บริหารเอี่ยวเกิน 10 คน

    -ลักลอบผลิตเหล็กคาตา

    -แกะรอยก๊วนขโมยข้อสอบ

    -ทุจริตสหกรณ์รัฐสภา 14 ล้าน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 56 มุมมอง 40 0 รีวิว
  • https://www.youtube.com/live/jiDI5iQQO7U?si=w4DetRdDUz2C8yTn
    https://www.youtube.com/live/jiDI5iQQO7U?si=w4DetRdDUz2C8yTn
    - YouTube
    เพลิดเพลินไปกับวิดีโอและเพลงที่คุณชอบ อัปโหลดเนื้อหาต้นฉบับ และแชร์เนื้อหาทั้งหมดกับเพื่อน ครอบครัว และผู้คนทั่วโลกบน YouTube
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 67 มุมมอง 0 รีวิว
  • Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 62 มุมมอง 0 รีวิว
  • เจ้าหนี้รายใหญ่มารายงานตัวแล้วววว!!.10 อันดับประเทศเจ้าหนี้ของรัฐบาลสหรัฐฯ(จากการถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ).1 ญี่ปุ่น – 1,125.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ2 จีน– 784.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ3 สหราชอาณาจักร – 750.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ4 หมู่เกาะเคย์แมน – 417.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ5 ลักเซมเบิร์ก – 412.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ.6 แคนาดา – 406.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ7 ไอร์แลนด์ – 394.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ8 เบลเยียม – 354.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ9 สวิตเซอร์แลนด์ – 339.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ10 ไต้หวัน – 294.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ .ข้อมูลนี้อ้างอิงจากรายงานของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ และธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve) เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2025 ในเดือนเดียวกันนั้น การถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ โดยต่างประเทศเพิ่มขึ้น 3.4% จากเดือนก่อนหน้า รวมเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 8.817 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ.#10ประเทศเจ้าหนี้ของรัฐบาลสหรัฐฯ #พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ #เศรษฐกิจโลก #กระทรวงการคลังสหรัฐฯ #ธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่มา : ผู้จัดการสุดสัปดาห์
    เจ้าหนี้รายใหญ่มารายงานตัวแล้วววว!!.10 อันดับประเทศเจ้าหนี้ของรัฐบาลสหรัฐฯ(จากการถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ).1 ญี่ปุ่น – 1,125.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ2 จีน– 784.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ3 สหราชอาณาจักร – 750.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ4 หมู่เกาะเคย์แมน – 417.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ5 ลักเซมเบิร์ก – 412.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ.6 แคนาดา – 406.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ7 ไอร์แลนด์ – 394.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ8 เบลเยียม – 354.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ9 สวิตเซอร์แลนด์ – 339.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ10 ไต้หวัน – 294.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ .ข้อมูลนี้อ้างอิงจากรายงานของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ และธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve) เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2025 ในเดือนเดียวกันนั้น การถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ โดยต่างประเทศเพิ่มขึ้น 3.4% จากเดือนก่อนหน้า รวมเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 8.817 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ.#10ประเทศเจ้าหนี้ของรัฐบาลสหรัฐฯ #พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ #เศรษฐกิจโลก #กระทรวงการคลังสหรัฐฯ #ธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่มา : ผู้จัดการสุดสัปดาห์
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 135 มุมมอง 0 รีวิว
  • จำคุก "เนตร" ช่วย "บอส" เปลี่ยนหลักฐานพ้นผิด : [NEWS UPDATE]
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง อ่านคำพิพากษา คดีร่วมกันปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ที่พนักงานอัยการพิเศษฝ่ายสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริต 1 เป็นโจทก์ ฟ้อง พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีต ผบ.ตร. นายเนตร นาคสุข อดีตรองอัยการสูงสุดกับพวกรวม 8 คน เป็นจำเลย ในความผิดร่วมกันเปลี่ยนแปลงพยานหลักฐานในคดี คำให้การพยาน ความเร็วรถยนต์ เพื่อช่วยเหลือนายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือ บอส ผู้ต้องหา เพื่อให้พ้นผิดหรือรับโทษน้อยลง กรณีขับรถสปอร์ตหรูปอร์เช่ เฉี่ยวชน ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ ตำรวจ สน.ทองหล่อ เสียชีวิตขณะขี่รถจักรยานยนต์ เมื่อช่วงเช้าวันที่ 3 ก.ย.2555 โดยศาลพิพากษาจำคุก นายชัยณรงค์ เเสงทองอร่าม 2 ปี กับ นายเนตร นาคสุข 3 ปี มีความผิด ตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 172 ส่วนจำเลยที่เหลืออีก 6 คน ให้ยกฟ้อง ออกหมายขังระหว่างอุทธรณ์


    ใช้กฎหมายฟันพวกหัวหมอ

    เครื่องทดสอบระดับสากล

    สหรัฐเบรกเจรจาไทย

    เยียวยาน้ำท่วมเพิ่ม 781 ล้าน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 66 มุมมอง 24 0 รีวิว
  • ตามที่ เกิดเหตุคนร้ายประทุษร้ายสามเณร ณ อำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา เมื่อวันอังคาร ที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๖๘ ทำให้มีสามเณรถึงมรณภาพ ๑ รูป และอาพาธ ๑ รูป ความทราบตามข่าวสารที่ปรากฏแล้ว นั้นเจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงปลงธรรมสังเวชและโปรดประทานผ้าไตร ๑ ไตร พร้อมไม้จันทน์ ๑ ช่อ สำหรับการฌาปนกิจ พร้อมทั้งมีพระบัญชาโปรดให้ไวยาวัจกรจัดกัปปิยภัณฑ์เท่าจำนวน ๒๐,๐๐๐ บาท (สองหมื่นบาทถ้วน) ประทานแก่เจ้าภาพศพสามเณรพงษ์กร ชูมาปาน เพื่อช่วยการบำเพ็ญกุศล อนึ่ง โปรดประทานเหรียญพระรูปแก่สามเณรโภคนิษฐ์ โมราศิลป์ เพื่อเป็นกำลังใจ พร้อมทั้งมีพระบัญชาโปรดให้ไวยาวัจกรจัดกัปปิยภัณฑ์เท่าจำนวน ๑๐,๐๐๐ บาท (หนึ่งหมื่นบาทถ้วน) ประทานแก่เป็นคิลานปัจจัยทั้งนี้ มีพระบัญชาโปรดให้ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เป็นผู้เชิญสิ่งของและกัปปิยภัณฑ์ประทานไปถวายแด่เจ้าคณะจังหวัดสงขลา เพื่อมอบแก่เจ้าภาพศพและสามเณรผู้อาพาธอนึ่ง มีรับสั่งประทานกำลังใจแก่ครอบครัว ญาติมิตรของผู้ถึงมรณภาพ ให้ทุเลาความโศก และความหม่นหมอง อีกทั้งโปรดประทานพรให้เจ้าหน้าที่ ผู้ประสบเหตุ และผู้ตระหนกเสียขวัญจงถึงพร้อมด้วยขันติ สติ และปัญญาอันเข้มแข็ง เพื่อร่วมกันสร้างสรรค์ความสงบร่มเย็นของชาติ และความสถาพรของพระพุทธศาสนาในราชอาณาจักรไทยให้ดำรงมั่นคงอยู่สืบไป
    ตามที่ เกิดเหตุคนร้ายประทุษร้ายสามเณร ณ อำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา เมื่อวันอังคาร ที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๖๘ ทำให้มีสามเณรถึงมรณภาพ ๑ รูป และอาพาธ ๑ รูป ความทราบตามข่าวสารที่ปรากฏแล้ว นั้นเจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงปลงธรรมสังเวชและโปรดประทานผ้าไตร ๑ ไตร พร้อมไม้จันทน์ ๑ ช่อ สำหรับการฌาปนกิจ พร้อมทั้งมีพระบัญชาโปรดให้ไวยาวัจกรจัดกัปปิยภัณฑ์เท่าจำนวน ๒๐,๐๐๐ บาท (สองหมื่นบาทถ้วน) ประทานแก่เจ้าภาพศพสามเณรพงษ์กร ชูมาปาน เพื่อช่วยการบำเพ็ญกุศล อนึ่ง โปรดประทานเหรียญพระรูปแก่สามเณรโภคนิษฐ์ โมราศิลป์ เพื่อเป็นกำลังใจ พร้อมทั้งมีพระบัญชาโปรดให้ไวยาวัจกรจัดกัปปิยภัณฑ์เท่าจำนวน ๑๐,๐๐๐ บาท (หนึ่งหมื่นบาทถ้วน) ประทานแก่เป็นคิลานปัจจัยทั้งนี้ มีพระบัญชาโปรดให้ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เป็นผู้เชิญสิ่งของและกัปปิยภัณฑ์ประทานไปถวายแด่เจ้าคณะจังหวัดสงขลา เพื่อมอบแก่เจ้าภาพศพและสามเณรผู้อาพาธอนึ่ง มีรับสั่งประทานกำลังใจแก่ครอบครัว ญาติมิตรของผู้ถึงมรณภาพ ให้ทุเลาความโศก และความหม่นหมอง อีกทั้งโปรดประทานพรให้เจ้าหน้าที่ ผู้ประสบเหตุ และผู้ตระหนกเสียขวัญจงถึงพร้อมด้วยขันติ สติ และปัญญาอันเข้มแข็ง เพื่อร่วมกันสร้างสรรค์ความสงบร่มเย็นของชาติ และความสถาพรของพระพุทธศาสนาในราชอาณาจักรไทยให้ดำรงมั่นคงอยู่สืบไป
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 110 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://youtu.be/kgNRUy58mBA?si=CtJ0YeHdUsnHjjRM
    https://youtu.be/kgNRUy58mBA?si=CtJ0YeHdUsnHjjRM
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 71 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทวิเคราะห์ของ สมหมาย ภาษี อดีตรัฐมนตรีคลัง “นโยบายปรับภาษี (Tariff) ของ Trump จะทำให้โลกใบนี้ไม่เหมือนเดิมอีกแล้วพัฒนาการของการค้าโลกในช่วงประมาณ 50 ปีที่ผ่านมา มีการตั้งองค์การด้านการค้าโลกขึ้น เริ่มด้วยการตั้ง GATTS แล้วต่อมาปรับเป็น WTO (World Trade Organization) เพื่อสร้างกฎเกณฑ์การค้าขายระหว่างประเทศและกำกับให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยตามแนวทางการค้าเสรี ช่วงนี้จะมีประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา รัสเซีย ประเทศใหญ่ๆในยุโรป และประเทศญี่ปุ่นได้ปรับตัวให้ตนเองมั่งคั่งและสะสมความร่ำรวย เข้าไปควบคุมตลาดเงินและสกุลเงินตราสำคัญ รวมทั้งควบคุมตลาดการค้าหลักๆให้เป็นระเบียบและเอื้อต่อการขยายตัวของการค้าขายของแต่ละประเทศเพื่อประโยชน์ต่อตนเองมากขึ้นเรื่อยๆ .แต่แล้วในช่วงดังกล่าวนี้ประเทศจีนเสือหลับแห่งเอเชีย ที่ได้ผู้นำประเทศที่ขึ้นมาพลิกผันประเทศได้อย่างเป็นรูปธรรมได้รวดเร็วและต่อเนื่อง ชื่อ เติ้ง เสี่ยวผิง เติ้งได้ทำการปฏิวัติและปฏิรูปประเทศในทุกด้านโดยเฉพาะด้านอุตสาหกรรมตั้งแต่แบบเก่าจนแบบที่ต้องใช้เทคนิคล้ำหน้า จนขณะนี้จีนภายใต้ผู้นำชื่อ สี จิ้น ผิง ที่เข้มแข็ง มือสะอาด มีฝีมือ มีคุณธรรม มีความตั้งใจจริง เข้ามาบริหารประเทศที่มีพลเมืองมากที่สุดให้ใหญ่โตจนทัดเทียมกับประเทศสหรัฐอเมริกาในทุกด้าน จนผู้นำของสหรัฐอย่าง Trump รู้สึกเสียหน้ามาก. ที่มาของการใช้มาตรการทำสงครามการค้าของ Trump ความแข็งแกร่งของจีนในขณะนี้ Trump ได้เฝ้าดูแลมาร่วม 8 ปี เมื่อเขาสามารถเข้ามาเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอีกครั้งก็ไม่รีรอที่จะลงมือนำนโยบายปรับภาษีสินค้านำเข้าและส่งออก (Tariff) ชนิดสุดโต่งและจำเพาะเจาะจงมาใช้กับประเทศจีนโดยทันที ขณะเดียวกันก็ได้ประกาศใช้กับประเทศคู่ค้าอื่นๆ ทั่วโลกด้วย แต่มาตรการจะเบากว่าที่ใช้กับจีน. สิ่งที่เห็นตามที่เป็นข่าวอยู่ทุกวันนี้ก็คือ การเกิดแรงกระแทกอย่างมากต่อวิถีการค้าระหว่างประเทศที่เป็นอยู่ทั่วโลก ไม่ต้องถามว่าทำไม Trump ต้องทำแบบนี้ เพราะเขาเองเห็นชัดว่า ประเทศสหรัฐอเมริกาของเขากำลังตกต่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขาดดุลการค้าอย่างมากที่เกิดต่อเนื่องมานานและมีหนี้สาธารณะสูงมาก .Trump ยังได้เห็นชัดว่า ฝ่ายของจีนมีพวกพ้องมากขึ้น โดยเฉพาะการจัดตั้งกลุ่ม BRICS ประกอบด้วย Brazil, Russia, India, China และ South Africa รวมหัวกันทำการค้าต่อกันอย่างใกล้ชิด คิดใช้สกุลเงินตราของตนเอง โดยหันหน้าหนีการใช้เงินดอลลาร์สหรัฐ.เท่านั้นยังไม่พอ กลุ่ม BRICS ยังค่อยๆลดการลงทุนในพันธบัตรของสหรัฐที่แต่ละประเทศถือไว้มากมายลงไปโดยการขายออก และหันไปซื้อทองคำหรือกระจายการลงทุนเป็นอย่างอื่น ขณะเดียวกันนักลงทุนรายใหญ่อื่นๆ ในตลาดเงินก็ทำการทิ้งพันธบัตรสหรัฐตามกันไปด้วย มีผลทำให้พันธบัตรซึ่งเป็นสินทรัพย์ในอนาคตจำนวนมากของสหรัฐด้อยค่าลงมากอย่างที่ไม่เคยเกิดมาก่อน.สรุปได้ว่า Trump ได้มองเห็นอย่างชัดเจนว่าสหรัฐอเมริกาตอนนี้ได้ต่ำต้อยลงอย่างรวดเร็วมาก ตัวเองจึงจำเป็นต้องทำตัวเป็นอัศวินขี่ม้าขาวเข้ามากู้ประเทศให้พลิกผันให้สหรัฐอเมริกาเป็นหนึ่งอย่างเต็มตัวต่อไป ที่ Trump ตั้งใจจะทำก่อนและให้แรงมากคือเล่นงานด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าของสินค้าจีนอย่างบ้าระห่ำ ซึ่งจีนก็ได้ตอบโต้ด้วยมาตรการทำนองเดียวกัน แบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน นี่เป็นแค่ยกแรกแค่นั้น.ประเทศน้อยใหญ่ และสถาบันการเงินระหว่างประเทศทั้งหลายต่างก็มองการกระทำของ Trump ในแง่ลบ แม้แต่ประธาน Federal Reserve ของสหรัฐเองอย่าง Jerome Powell เองก็มีอาการกึ่งช็อคกึ่งหัวหมุนกับนโยบายประเภทบ้าบิ่นที่ประธานาธิบดีของเขาจัดมาเป็นชุดๆ Powell ถึงกับกล่าวว่านโยบายของ Trump ที่นำออกมาใช้นี้จะเป็นสิ่งกระตุ้นให้เงินเฟ้อสูงขึ้น ภาวะเศรษฐกิจจะตกต่ำและการว่างงานจะมีมากขึ้น ตลาดหลักทรัพย์หรือตลาดหุ้นก็จะปั่นป่วนมาก ความตั้งใจที่ Fed จะลดดอกเบี้ยลงจึงทำได้ยากขึ้นซึ่งความเห็นของประธาน Fed ดังกล่าว Trump ไม่พอใจมากเพราะเขาอยากให้มีการลดดอกเบี้ยถึงกับเอ่ยออกมาว่าคงต้องคิดเรื่องการเด้งประธาน Fed ซะแล้ว ฟังคล้ายกำลังจะเอาอย่างประเทศไทย.แนวทางของไทยที่จะรับมือเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประเทศทุกประเทศที่โดนผลกระทบในเรื่องการขึ้น Tariff ของ Trump ต่างก็กำลังระดมความคิดและเตรียมตัวที่จะส่งผู้แทนไปเจรจา ยกเว้นจีนประเทศเดียวที่ขึ้นป้ายจะสู้กับสหรัฐอย่างแน่วแน่.สำหรับประเทศไทย ยังฟังไม่ได้ศัพท์จากฝ่ายรัฐบาลว่าจะมีกลยุทธ์ในการรับมือกับเรื่องนี้อย่างไร ชี้ให้เห็นชัดว่าศักยภาพของรัฐบาลไทยในการแก้ปัญหาใหญ่ต่ำมาก ฟังความได้อย่างเดียวจากท่านนายกรัฐมนตรีว่าจะใช้นโยบายและแนวทางเหมือนกับประเทศอาเซียนอื่นๆเท่านั้นตอนนี้ก็เห็นภาพชัดขึ้นอีกจากคณะผู้แทนที่เตรียมการจะไปเจรจา โดยจะไปบอกทางสหรัฐว่าไทยเราจะซื้อสินค้าจากเขามากขึ้น เช่น LNG ข้าวโพด ถั่วเหลือง เป็นต้น ถ้าจะเดาก็จะขอให้ทางสหรัฐบันยะบันยังกับการเพิ่มภาษีสินค้าที่นำเข้าจากไทยที่มีมูลค่าถึง 18 % ของมูลค่าการส่งออกของไทยทั้งหมด.ส่วนผลกระทบต่อไทย เท่าที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พยายามจะบอกพอสังเขป สรุปได้ว่าการส่งออกของไทยจะโดนกระทบมากโดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน เครื่องใช้ไฟฟ้า และอาหารแปรรูป และจะทำให้การเติบโตของ GDP ในปีนี้ลดต่ำกว่าเป้าเหลือโตไม่ถึง 2.5 % และอัตราเงินเฟ้อของไทยก็จะชะลอลงด้วย นี่ยังไม่พูดถึงผลกระทบในปีหน้าและต่อๆไป ว่าจะรุนแรงสักแค่ไหน เชื่อได้เถอะครับมันแรงเกินคาด.ความเห็นผมนั้น เห็นว่าไทยเราจะโดนหนักกว่าที่รัฐบาลและหน่วยราชการไทยประเมินไว้มาก เกินศักยภาพของรัฐบาลไทยชุดนี้จะรับมือได้ วิกฤตที่จะเกิดขึ้นจากเรื่อง Tariff หนนี้ ไม่ใช่ Covid 19 นะครับ มันเป็นเรื่องประเทศใครประเทศมัน ใครมีผู้นำเก่งก็ทำให้เบาได้ สามารถเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาสได้.แนวทางในการคิดแก้วิกฤตของประเทศขนาดเล็กผมอยากนำท่านผู้อ่านไปดูว่าผู้นำของสิงคโปร์อย่างอดีตนายกลี เซียนลุง ได้พูดเมื่อไม่กี่วันมานี้ซึ่งดีมาก เขาเริ่มบอกประชาชนรวมทั้งคณะรัฐมนตรีที่บริหารประเทศและนักธุรกิจ นักลงทุนของเขาว่าแม้จะมีความไม่แน่นอนในช่วง 90 วันที่ Trump จะให้ประเทศอื่นๆ นอกจากจีนไปคิดกันให้ดี แต่ก็ต้องมองให้ออกว่าทุกอย่างจะไม่กลับไปเหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว ดังนั้น เราต้องกังวลและคิดให้ตกว่ามันจะส่งผลกับเรามากแค่ไหน ต้องตระหนักให้ได้ว่าวิกฤตที่จะเกิดทั่วโลกนี้ บางสิ่งบางอย่างที่สำคัญมันแตกต่างไปจากเดิมมาก .ลี เซียนลุง ชี้ให้เห็นชัดว่า การขึ้นภาษีหรือ Tariff ไปทั่วโลกครั้งนี้มันจะก่อกวนต่อการผลิตมากกว่าที่คิด เพราะ Supply Chain หรือ ห่วงโซ่การผลิตทุกอย่างจะหยุดชะงัก แผนการผลิตเดิมทุกอย่างจะหายไป และจะนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ (Recession) อย่างรวดเร็ว และขอให้คาดหวังไว้ได้เลยว่า ปัญหานี้จะอยู่กับเราไปอีกนาน.หลังจากลี เซียนลุง พูดเรื่องนี้ได้ไม่กี่วัน นายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์ที่มีเสียงสนับสนุนหนาแน่นอยู่ได้ประเทศยุบสภาไปเมื่อวันที่ 18 เมษายน นี้เอง เหตุผลเพื่อให้ประชาชนมีโอกาสเลือกผู้นำใหม่ขึ้นมา นี่คือสิงคโปร์ นี่คือสิ่งที่เขาเป็นชาติที่เจริญได้อย่างรวดเร็วและมั่นคงจนเราไม่สามารถแหงนหน้าขึ้นไปมองเขาได้แล้ว.ทางรอดของไทยจะเป็นอย่างไร ท้ายที่สุดนี้ เรามาดูว่าประเทศไทยเราจะมีทางรอดแค่ไหนก่อนเราต้องส่องกระจกดูตัวเอง และต้องฟังดูว่ามีใครมองเราอย่างไรบ้างให้ชัดก่อน เมื่อไม่กี่เดือนมานี้เองได้มีการชี้แนะจากสถาบันการเงินระหว่างประเทศแห่งหนึ่งว่า “ประเทศไทยนั้นมีเรื่องคอร์รัปชั่นเป็นตัวหลักที่ทำให้การบริหารประเทศในทุกด้านเดินหน้าไม่ได้” และเมื่อมีนาคม 2568 นี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้ชี้ว่าเศรษฐกิจไทยน่าห่วงเทียบได้เป็น “คนป่วยแห่งเอเชีย”เป็นคนป่วยยังไงหรือ ทางด้านเศรษฐกิจก็เห็นกันชัดอยู่แล้วว่าไทยเรา กำลังเผชิญกับหนี้สาธารณะสูงมาก ภาษีเก็บได้น้อย ช่องทางในการหาเงินมาบริหารประเทศยังชักหน้าไม่ถึงหลัง อนาคตด้านการคลังริบหรี่ ปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจเรื่องหนี้ครัวเรือนก็ไม่มีทางจะแก้ให้เบาบางลงได้ แม้ไม่มีเรื่องการปรับ Tariff ของ Trump ประเทศไทยเราก็มีความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจมากเกินอยู่แล้ว นี่คืออาการของคนป่วยเรื้อรังแห่งเอเชีย.ไม่ต้องสาธยายกันมาก อีกเรื่องทุกคนก็รู้ดีอยู่ว่า การเมืองของไทยยักแย่ยักยันอยู่ในปลักโคลนตมเดิมจนโงหัวไม่ขึ้นมานานแล้ว การเล่นการเมืองของนักการเมืองไทยเด็กๆก็รู้ว่าเพื่ออำนาจและผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้องเท่านั้น ใครจะเห็นต่างกี่คนก็บอกมา.เมื่อองคาพยพของการเมืองไทยซึ่งมีการแต่งตั้งคณะรัฐบาลมาบริหารประเทศจากรากเหง้าเก่าๆที่รู้กันอยู่ เมื่อเจอกับปัญหาใหญ่ระดับโลกชนิดที่ว่าหันไปทางไหนก็มากระทบเราทั้งนั้น ท่านผู้ที่ได้ใช้สิทธิใช้เสียงเลือกพวกเขาเข้ามาบริหารประเทศ เชื่อและมั่นใจหรือไม่ว่าเขาจะแก้ปัญหาใหญ่ที่จะมากระทบประเทศเราได้ .หันไปดูนโยบายของพรรคการเมืองผู้กุมอำนาจบริหารประเทศอยู่ในขณะนี้ก็จะเห็นชัดเจนว่า ตอนนี้นโยบายของพวกเขาเหล่านั้น มันเน่าบูดกันแทบหมดแล้วครับ ถ้าจะแก้ปัญหาใหญ่ที่จะมีแรงกระแทกก่อให้เกิดวิกฤตที่ใหญ่เกินคาด ด้วยการปรับ ครม. แต่ยังดันทุรังคงสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ไว้ น่าจะไม่เป็นการกระทำของผู้นำที่รักชาติจริง”
    บทวิเคราะห์ของ สมหมาย ภาษี อดีตรัฐมนตรีคลัง “นโยบายปรับภาษี (Tariff) ของ Trump จะทำให้โลกใบนี้ไม่เหมือนเดิมอีกแล้วพัฒนาการของการค้าโลกในช่วงประมาณ 50 ปีที่ผ่านมา มีการตั้งองค์การด้านการค้าโลกขึ้น เริ่มด้วยการตั้ง GATTS แล้วต่อมาปรับเป็น WTO (World Trade Organization) เพื่อสร้างกฎเกณฑ์การค้าขายระหว่างประเทศและกำกับให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยตามแนวทางการค้าเสรี ช่วงนี้จะมีประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา รัสเซีย ประเทศใหญ่ๆในยุโรป และประเทศญี่ปุ่นได้ปรับตัวให้ตนเองมั่งคั่งและสะสมความร่ำรวย เข้าไปควบคุมตลาดเงินและสกุลเงินตราสำคัญ รวมทั้งควบคุมตลาดการค้าหลักๆให้เป็นระเบียบและเอื้อต่อการขยายตัวของการค้าขายของแต่ละประเทศเพื่อประโยชน์ต่อตนเองมากขึ้นเรื่อยๆ .แต่แล้วในช่วงดังกล่าวนี้ประเทศจีนเสือหลับแห่งเอเชีย ที่ได้ผู้นำประเทศที่ขึ้นมาพลิกผันประเทศได้อย่างเป็นรูปธรรมได้รวดเร็วและต่อเนื่อง ชื่อ เติ้ง เสี่ยวผิง เติ้งได้ทำการปฏิวัติและปฏิรูปประเทศในทุกด้านโดยเฉพาะด้านอุตสาหกรรมตั้งแต่แบบเก่าจนแบบที่ต้องใช้เทคนิคล้ำหน้า จนขณะนี้จีนภายใต้ผู้นำชื่อ สี จิ้น ผิง ที่เข้มแข็ง มือสะอาด มีฝีมือ มีคุณธรรม มีความตั้งใจจริง เข้ามาบริหารประเทศที่มีพลเมืองมากที่สุดให้ใหญ่โตจนทัดเทียมกับประเทศสหรัฐอเมริกาในทุกด้าน จนผู้นำของสหรัฐอย่าง Trump รู้สึกเสียหน้ามาก. ที่มาของการใช้มาตรการทำสงครามการค้าของ Trump ความแข็งแกร่งของจีนในขณะนี้ Trump ได้เฝ้าดูแลมาร่วม 8 ปี เมื่อเขาสามารถเข้ามาเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอีกครั้งก็ไม่รีรอที่จะลงมือนำนโยบายปรับภาษีสินค้านำเข้าและส่งออก (Tariff) ชนิดสุดโต่งและจำเพาะเจาะจงมาใช้กับประเทศจีนโดยทันที ขณะเดียวกันก็ได้ประกาศใช้กับประเทศคู่ค้าอื่นๆ ทั่วโลกด้วย แต่มาตรการจะเบากว่าที่ใช้กับจีน. สิ่งที่เห็นตามที่เป็นข่าวอยู่ทุกวันนี้ก็คือ การเกิดแรงกระแทกอย่างมากต่อวิถีการค้าระหว่างประเทศที่เป็นอยู่ทั่วโลก ไม่ต้องถามว่าทำไม Trump ต้องทำแบบนี้ เพราะเขาเองเห็นชัดว่า ประเทศสหรัฐอเมริกาของเขากำลังตกต่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขาดดุลการค้าอย่างมากที่เกิดต่อเนื่องมานานและมีหนี้สาธารณะสูงมาก .Trump ยังได้เห็นชัดว่า ฝ่ายของจีนมีพวกพ้องมากขึ้น โดยเฉพาะการจัดตั้งกลุ่ม BRICS ประกอบด้วย Brazil, Russia, India, China และ South Africa รวมหัวกันทำการค้าต่อกันอย่างใกล้ชิด คิดใช้สกุลเงินตราของตนเอง โดยหันหน้าหนีการใช้เงินดอลลาร์สหรัฐ.เท่านั้นยังไม่พอ กลุ่ม BRICS ยังค่อยๆลดการลงทุนในพันธบัตรของสหรัฐที่แต่ละประเทศถือไว้มากมายลงไปโดยการขายออก และหันไปซื้อทองคำหรือกระจายการลงทุนเป็นอย่างอื่น ขณะเดียวกันนักลงทุนรายใหญ่อื่นๆ ในตลาดเงินก็ทำการทิ้งพันธบัตรสหรัฐตามกันไปด้วย มีผลทำให้พันธบัตรซึ่งเป็นสินทรัพย์ในอนาคตจำนวนมากของสหรัฐด้อยค่าลงมากอย่างที่ไม่เคยเกิดมาก่อน.สรุปได้ว่า Trump ได้มองเห็นอย่างชัดเจนว่าสหรัฐอเมริกาตอนนี้ได้ต่ำต้อยลงอย่างรวดเร็วมาก ตัวเองจึงจำเป็นต้องทำตัวเป็นอัศวินขี่ม้าขาวเข้ามากู้ประเทศให้พลิกผันให้สหรัฐอเมริกาเป็นหนึ่งอย่างเต็มตัวต่อไป ที่ Trump ตั้งใจจะทำก่อนและให้แรงมากคือเล่นงานด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าของสินค้าจีนอย่างบ้าระห่ำ ซึ่งจีนก็ได้ตอบโต้ด้วยมาตรการทำนองเดียวกัน แบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน นี่เป็นแค่ยกแรกแค่นั้น.ประเทศน้อยใหญ่ และสถาบันการเงินระหว่างประเทศทั้งหลายต่างก็มองการกระทำของ Trump ในแง่ลบ แม้แต่ประธาน Federal Reserve ของสหรัฐเองอย่าง Jerome Powell เองก็มีอาการกึ่งช็อคกึ่งหัวหมุนกับนโยบายประเภทบ้าบิ่นที่ประธานาธิบดีของเขาจัดมาเป็นชุดๆ Powell ถึงกับกล่าวว่านโยบายของ Trump ที่นำออกมาใช้นี้จะเป็นสิ่งกระตุ้นให้เงินเฟ้อสูงขึ้น ภาวะเศรษฐกิจจะตกต่ำและการว่างงานจะมีมากขึ้น ตลาดหลักทรัพย์หรือตลาดหุ้นก็จะปั่นป่วนมาก ความตั้งใจที่ Fed จะลดดอกเบี้ยลงจึงทำได้ยากขึ้นซึ่งความเห็นของประธาน Fed ดังกล่าว Trump ไม่พอใจมากเพราะเขาอยากให้มีการลดดอกเบี้ยถึงกับเอ่ยออกมาว่าคงต้องคิดเรื่องการเด้งประธาน Fed ซะแล้ว ฟังคล้ายกำลังจะเอาอย่างประเทศไทย.แนวทางของไทยที่จะรับมือเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประเทศทุกประเทศที่โดนผลกระทบในเรื่องการขึ้น Tariff ของ Trump ต่างก็กำลังระดมความคิดและเตรียมตัวที่จะส่งผู้แทนไปเจรจา ยกเว้นจีนประเทศเดียวที่ขึ้นป้ายจะสู้กับสหรัฐอย่างแน่วแน่.สำหรับประเทศไทย ยังฟังไม่ได้ศัพท์จากฝ่ายรัฐบาลว่าจะมีกลยุทธ์ในการรับมือกับเรื่องนี้อย่างไร ชี้ให้เห็นชัดว่าศักยภาพของรัฐบาลไทยในการแก้ปัญหาใหญ่ต่ำมาก ฟังความได้อย่างเดียวจากท่านนายกรัฐมนตรีว่าจะใช้นโยบายและแนวทางเหมือนกับประเทศอาเซียนอื่นๆเท่านั้นตอนนี้ก็เห็นภาพชัดขึ้นอีกจากคณะผู้แทนที่เตรียมการจะไปเจรจา โดยจะไปบอกทางสหรัฐว่าไทยเราจะซื้อสินค้าจากเขามากขึ้น เช่น LNG ข้าวโพด ถั่วเหลือง เป็นต้น ถ้าจะเดาก็จะขอให้ทางสหรัฐบันยะบันยังกับการเพิ่มภาษีสินค้าที่นำเข้าจากไทยที่มีมูลค่าถึง 18 % ของมูลค่าการส่งออกของไทยทั้งหมด.ส่วนผลกระทบต่อไทย เท่าที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พยายามจะบอกพอสังเขป สรุปได้ว่าการส่งออกของไทยจะโดนกระทบมากโดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน เครื่องใช้ไฟฟ้า และอาหารแปรรูป และจะทำให้การเติบโตของ GDP ในปีนี้ลดต่ำกว่าเป้าเหลือโตไม่ถึง 2.5 % และอัตราเงินเฟ้อของไทยก็จะชะลอลงด้วย นี่ยังไม่พูดถึงผลกระทบในปีหน้าและต่อๆไป ว่าจะรุนแรงสักแค่ไหน เชื่อได้เถอะครับมันแรงเกินคาด.ความเห็นผมนั้น เห็นว่าไทยเราจะโดนหนักกว่าที่รัฐบาลและหน่วยราชการไทยประเมินไว้มาก เกินศักยภาพของรัฐบาลไทยชุดนี้จะรับมือได้ วิกฤตที่จะเกิดขึ้นจากเรื่อง Tariff หนนี้ ไม่ใช่ Covid 19 นะครับ มันเป็นเรื่องประเทศใครประเทศมัน ใครมีผู้นำเก่งก็ทำให้เบาได้ สามารถเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาสได้.แนวทางในการคิดแก้วิกฤตของประเทศขนาดเล็กผมอยากนำท่านผู้อ่านไปดูว่าผู้นำของสิงคโปร์อย่างอดีตนายกลี เซียนลุง ได้พูดเมื่อไม่กี่วันมานี้ซึ่งดีมาก เขาเริ่มบอกประชาชนรวมทั้งคณะรัฐมนตรีที่บริหารประเทศและนักธุรกิจ นักลงทุนของเขาว่าแม้จะมีความไม่แน่นอนในช่วง 90 วันที่ Trump จะให้ประเทศอื่นๆ นอกจากจีนไปคิดกันให้ดี แต่ก็ต้องมองให้ออกว่าทุกอย่างจะไม่กลับไปเหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว ดังนั้น เราต้องกังวลและคิดให้ตกว่ามันจะส่งผลกับเรามากแค่ไหน ต้องตระหนักให้ได้ว่าวิกฤตที่จะเกิดทั่วโลกนี้ บางสิ่งบางอย่างที่สำคัญมันแตกต่างไปจากเดิมมาก .ลี เซียนลุง ชี้ให้เห็นชัดว่า การขึ้นภาษีหรือ Tariff ไปทั่วโลกครั้งนี้มันจะก่อกวนต่อการผลิตมากกว่าที่คิด เพราะ Supply Chain หรือ ห่วงโซ่การผลิตทุกอย่างจะหยุดชะงัก แผนการผลิตเดิมทุกอย่างจะหายไป และจะนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ (Recession) อย่างรวดเร็ว และขอให้คาดหวังไว้ได้เลยว่า ปัญหานี้จะอยู่กับเราไปอีกนาน.หลังจากลี เซียนลุง พูดเรื่องนี้ได้ไม่กี่วัน นายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์ที่มีเสียงสนับสนุนหนาแน่นอยู่ได้ประเทศยุบสภาไปเมื่อวันที่ 18 เมษายน นี้เอง เหตุผลเพื่อให้ประชาชนมีโอกาสเลือกผู้นำใหม่ขึ้นมา นี่คือสิงคโปร์ นี่คือสิ่งที่เขาเป็นชาติที่เจริญได้อย่างรวดเร็วและมั่นคงจนเราไม่สามารถแหงนหน้าขึ้นไปมองเขาได้แล้ว.ทางรอดของไทยจะเป็นอย่างไร ท้ายที่สุดนี้ เรามาดูว่าประเทศไทยเราจะมีทางรอดแค่ไหนก่อนเราต้องส่องกระจกดูตัวเอง และต้องฟังดูว่ามีใครมองเราอย่างไรบ้างให้ชัดก่อน เมื่อไม่กี่เดือนมานี้เองได้มีการชี้แนะจากสถาบันการเงินระหว่างประเทศแห่งหนึ่งว่า “ประเทศไทยนั้นมีเรื่องคอร์รัปชั่นเป็นตัวหลักที่ทำให้การบริหารประเทศในทุกด้านเดินหน้าไม่ได้” และเมื่อมีนาคม 2568 นี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้ชี้ว่าเศรษฐกิจไทยน่าห่วงเทียบได้เป็น “คนป่วยแห่งเอเชีย”เป็นคนป่วยยังไงหรือ ทางด้านเศรษฐกิจก็เห็นกันชัดอยู่แล้วว่าไทยเรา กำลังเผชิญกับหนี้สาธารณะสูงมาก ภาษีเก็บได้น้อย ช่องทางในการหาเงินมาบริหารประเทศยังชักหน้าไม่ถึงหลัง อนาคตด้านการคลังริบหรี่ ปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจเรื่องหนี้ครัวเรือนก็ไม่มีทางจะแก้ให้เบาบางลงได้ แม้ไม่มีเรื่องการปรับ Tariff ของ Trump ประเทศไทยเราก็มีความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจมากเกินอยู่แล้ว นี่คืออาการของคนป่วยเรื้อรังแห่งเอเชีย.ไม่ต้องสาธยายกันมาก อีกเรื่องทุกคนก็รู้ดีอยู่ว่า การเมืองของไทยยักแย่ยักยันอยู่ในปลักโคลนตมเดิมจนโงหัวไม่ขึ้นมานานแล้ว การเล่นการเมืองของนักการเมืองไทยเด็กๆก็รู้ว่าเพื่ออำนาจและผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้องเท่านั้น ใครจะเห็นต่างกี่คนก็บอกมา.เมื่อองคาพยพของการเมืองไทยซึ่งมีการแต่งตั้งคณะรัฐบาลมาบริหารประเทศจากรากเหง้าเก่าๆที่รู้กันอยู่ เมื่อเจอกับปัญหาใหญ่ระดับโลกชนิดที่ว่าหันไปทางไหนก็มากระทบเราทั้งนั้น ท่านผู้ที่ได้ใช้สิทธิใช้เสียงเลือกพวกเขาเข้ามาบริหารประเทศ เชื่อและมั่นใจหรือไม่ว่าเขาจะแก้ปัญหาใหญ่ที่จะมากระทบประเทศเราได้ .หันไปดูนโยบายของพรรคการเมืองผู้กุมอำนาจบริหารประเทศอยู่ในขณะนี้ก็จะเห็นชัดเจนว่า ตอนนี้นโยบายของพวกเขาเหล่านั้น มันเน่าบูดกันแทบหมดแล้วครับ ถ้าจะแก้ปัญหาใหญ่ที่จะมีแรงกระแทกก่อให้เกิดวิกฤตที่ใหญ่เกินคาด ด้วยการปรับ ครม. แต่ยังดันทุรังคงสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ไว้ น่าจะไม่เป็นการกระทำของผู้นำที่รักชาติจริง”
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 338 มุมมอง 0 รีวิว
  • 22 เมษายน 2568 -รายงานประกาศของราชกิจจานุเบกษา ได้ออกประกาศกระทรวงมหาดไทยจำนวน 2 ฉบับ ได้แก่ฉบับแรก เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามประมวลกฎหมายที่ดินกรณีอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นอาคารที่อยู่อาศัยหรืออาคารพาณิชย์ หรือที่ดินพร้อมอาคาร ที่อยู่อาศัยหรืออาคารพาณิชย์ ตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนดโดยที่เป็นการสมควรบรรเทาภาระให้แก่ประชาชนซึ่งต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองและส่งเสริมการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์อันจะเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของประเทศอาศัยอำนาจตามความในข้อ 2(7) (ภู) แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 47(พ.ศ. 2541)ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่เมษายน พ.ศ.2568 กำหนดหลักเกณฑ์ให้ลดหย่อนการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทสิทธิและนิติกรรมตามประมวลกฎหมายที่ดินในการโอนและการจำนองอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นอาคารที่อยู่อาศัยหรืออาคารพาณิชย์ หรือที่ดินพร้อมอาคารดังกล่าว สำหรับผู้ซื้อออสังหาริมทรัพย์ราคาไม่เกินเจ็ดล้านบาทเป็นพิเศษโดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้ข้อ 1 ให้เรียกเก็บค่าจดทะเบียนการโอนอสังหาริมทรัพย์และค่าจดทะเบียนการจำนองอสังหาริมทรัพย์อันเนื่องมาจากการจดทะเบียนโอนอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวในคราวเดียวกัน ร้อยละ 0.01% สำหรับกรณีการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นอาคารที่อยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยวบ้านแฝด และบ้านแถว หรืออาคารพาณิชย์ หรือที่ดินพร้อมอาคารดังกล่าว ซึ่งมีราคาซื้อขายและราคาประเมินทุนทรัพย์ไม่เกิน 7 ล้านบาท และวงเงินจำนองไม่เกิน 7 ล้านบาท ทั้งนี้ สำหรับผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาที่มีสัญชาติไทยข้อ 2 ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2569ฉบับที่สอง เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุดกรณีห้องชุด ตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนดโดยที่เป็นการสมควรบรรเทาภาระให้แก่ประชาชนซึ่งต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง และส่งเสริมการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์อันจะเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของประเทศอาศัยอำนาจตามความในข้อ 1(7) (ช) แห่งกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับอาคารชุด พ.ศ. 2553 คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 8 เมษายน ท.ศ. 2568 กำหนดหลักเกณฑ์ให้ลดหย่อนการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุดในการโอนและการจำนองห้องชุดสำหรับผู้ชื่อห้องชุดราคาไม่เกิน 7 ล้านบาทเป็นพิเศษ โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้ข้อ 1 ให้เรียกเก็บค่าจดทะเบียนการโอนห้องชุดและค่าจดทะเบียนการจำนองห้องชุดอันเนื่องมาจากการจดทะเบียนโอนห้องชุดดังกล่าวในคราวเดียวกัน ร้อยละ 0.01% สำหรับกรณีการโอนกรรมสิทธิ์และการจำนองห้องชุดในอาคารชุดที่จดทะเบียนนิติบุคคลอาคารชุดตามกฎหมาย ว่าด้วยอาคารชุด ซึ่งมีราคาซื้อขายและราคาประเมินทุนทรัพย์ไม่เกิน 7 ล้านบาท และวงเงินจำนอง ไม่เกิน 7 ล้านบาท ทั้งนี้ สำหรับผู้ซื้อท้องชุดซึ่งเป็นบุคคธรรมดาที่มีสัญชาติไทยข้อ 2. ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2569
    22 เมษายน 2568 -รายงานประกาศของราชกิจจานุเบกษา ได้ออกประกาศกระทรวงมหาดไทยจำนวน 2 ฉบับ ได้แก่ฉบับแรก เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามประมวลกฎหมายที่ดินกรณีอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นอาคารที่อยู่อาศัยหรืออาคารพาณิชย์ หรือที่ดินพร้อมอาคาร ที่อยู่อาศัยหรืออาคารพาณิชย์ ตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนดโดยที่เป็นการสมควรบรรเทาภาระให้แก่ประชาชนซึ่งต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองและส่งเสริมการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์อันจะเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของประเทศอาศัยอำนาจตามความในข้อ 2(7) (ภู) แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 47(พ.ศ. 2541)ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่เมษายน พ.ศ.2568 กำหนดหลักเกณฑ์ให้ลดหย่อนการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทสิทธิและนิติกรรมตามประมวลกฎหมายที่ดินในการโอนและการจำนองอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นอาคารที่อยู่อาศัยหรืออาคารพาณิชย์ หรือที่ดินพร้อมอาคารดังกล่าว สำหรับผู้ซื้อออสังหาริมทรัพย์ราคาไม่เกินเจ็ดล้านบาทเป็นพิเศษโดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้ข้อ 1 ให้เรียกเก็บค่าจดทะเบียนการโอนอสังหาริมทรัพย์และค่าจดทะเบียนการจำนองอสังหาริมทรัพย์อันเนื่องมาจากการจดทะเบียนโอนอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวในคราวเดียวกัน ร้อยละ 0.01% สำหรับกรณีการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นอาคารที่อยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยวบ้านแฝด และบ้านแถว หรืออาคารพาณิชย์ หรือที่ดินพร้อมอาคารดังกล่าว ซึ่งมีราคาซื้อขายและราคาประเมินทุนทรัพย์ไม่เกิน 7 ล้านบาท และวงเงินจำนองไม่เกิน 7 ล้านบาท ทั้งนี้ สำหรับผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาที่มีสัญชาติไทยข้อ 2 ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2569ฉบับที่สอง เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุดกรณีห้องชุด ตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนดโดยที่เป็นการสมควรบรรเทาภาระให้แก่ประชาชนซึ่งต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง และส่งเสริมการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์อันจะเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของประเทศอาศัยอำนาจตามความในข้อ 1(7) (ช) แห่งกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับอาคารชุด พ.ศ. 2553 คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 8 เมษายน ท.ศ. 2568 กำหนดหลักเกณฑ์ให้ลดหย่อนการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุดในการโอนและการจำนองห้องชุดสำหรับผู้ชื่อห้องชุดราคาไม่เกิน 7 ล้านบาทเป็นพิเศษ โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้ข้อ 1 ให้เรียกเก็บค่าจดทะเบียนการโอนห้องชุดและค่าจดทะเบียนการจำนองห้องชุดอันเนื่องมาจากการจดทะเบียนโอนห้องชุดดังกล่าวในคราวเดียวกัน ร้อยละ 0.01% สำหรับกรณีการโอนกรรมสิทธิ์และการจำนองห้องชุดในอาคารชุดที่จดทะเบียนนิติบุคคลอาคารชุดตามกฎหมาย ว่าด้วยอาคารชุด ซึ่งมีราคาซื้อขายและราคาประเมินทุนทรัพย์ไม่เกิน 7 ล้านบาท และวงเงินจำนอง ไม่เกิน 7 ล้านบาท ทั้งนี้ สำหรับผู้ซื้อท้องชุดซึ่งเป็นบุคคธรรมดาที่มีสัญชาติไทยข้อ 2. ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2569
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 136 มุมมอง 0 รีวิว
  • 22 เมษายน 2568-รายงานบทวิเคราะห์ของ ทนง ขันทอง “ ดอลล่าร์อ่อนค่าสุดในรอบสามปี เพราะกำแพงภาษีกับความขัดแย้งระหว่างทรัมป์กับประธานเฟดค่าเงินดอลลาร์สหรัฐร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบสามปีเมื่อวันจันทร์ ท่ามกลางความวิตกของตลาดเกี่ยวกับสงครามภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และความขัดแย้งที่ทวีความรุนแรงกับประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เจอโรม พาวเวลล์ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ ICE – ซึ่งติดตามค่าเงินดอลลาร์เทียบกับตะกร้าสกุลเงินหลัก – ลดลงมากกว่า 1% มาอยู่ที่ 97.923 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2022 ดอลลาร์ยังอ่อนค่าลงแตะระดับต่ำใหม่เมื่อเทียบกับยูโร ปอนด์ เยน และฟรังก์สวิส รวมถึงอ่อนค่าต่อเงินรูเบิล ร่วงต่ำกว่า 80 เป็นครั้งแรกตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2024ค่าเงินดอลลาร์เผชิญแรงกดดันต่อเนื่องนับตั้งแต่ทรัมป์เปิดตัวภาษีที่เขาเรียกว่า “วันปลดแอก” เมื่อวันที่ 2 เมษายน ซึ่งมุ่งเป้าไปยังพันธมิตรการค้าทั่วโลก ความเชื่อมั่นของตลาดยิ่งสั่นคลอนเมื่อทรัมป์ออกมาโจมตีพาวเวลล์อย่างเปิดเผยเมื่อวันพฤหัสบดี เรื่องการปรับลดดอกเบี้ยประธานาธิบดีวิจารณ์ประธานเฟดอย่างรุนแรง เรียกร้องให้ลดอัตราดอกเบี้ย และเตือนว่าอาจปลดพาวเวลล์ได้ “ถ้าผมอยากให้เขาออก เขาก็จะออกไปอย่างรวดเร็ว” ทรัมป์กล่าว โดยแถลงการณ์ดังกล่าวมีขึ้นหลังจากพาวเวลล์เตือนว่าภาษีนั้น “มีแนวโน้มสูงที่จะทำให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นอย่างน้อยในระยะสั้น” และส่งสัญญาณว่าจะยังไม่ลดดอกเบี้ยในเร็ว ๆ นี้ต่อมา เควิน แฮสเซตต์ ที่ปรึกษาเศรษฐกิจประจำทำเนียบขาว ระบุว่ารัฐบาลกำลังศึกษาว่ามีช่องทางทางกฎหมายในการปลดพาวเวลล์ก่อนครบวาระหรือไม่โดนัลด์ เจ. ทรัมป์@realDonaldTrumpเขียนในTruth Socialเมื่อวานนี้ว่า“การเรียกร้องให้มี “การลดดอกเบี้ยล่วงหน้า” กำลังเพิ่มมากขึ้นจากหลายฝ่าย ด้วยต้นทุนพลังงานที่ลดลงอย่างมาก ราคาสินค้าอาหาร (รวมถึงหายนะไข่ของไบเดน!) ที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด และสิ่งของอื่น ๆ ส่วนใหญ่ที่มีแนวโน้มลดลง จึงแทบไม่มีเงินเฟ้อเลย ด้วยต้นทุนที่ลดลงอย่างราบรื่นเช่นนี้ ซึ่งผมก็ได้ทำนายไว้ล่วงหน้าแล้วว่าเป็นแบบนี้ จึงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีเงินเฟ้อ แต่เศรษฐกิจอาจจะชะลอตัวลง หากคุณนาย “มาสายตลอด” ซึ่งเป็นผู้แพ้รายใหญ่ ไม่รีบลดอัตราดอกเบี้ยตอนนี้ ยุโรปลดไปแล้วถึงเจ็ดครั้ง พาวเวลล์มักจะ “มาช้าเสมอ” ยกเว้นช่วงเลือกตั้งที่เขาลดดอกเบี้ยเพื่อช่วยโจ ไบเดนจอมง่วง (และต่อมาคามาลา) ให้ชนะการเลือกตั้ง แล้วมันได้ผลไหมล่ะ?ความขัดแย้งดังกล่าวสร้างความวิตกให้กับนักลงทุน แม้ว่าพาวเวลล์จะยืนยันว่าเขาไม่มีแผนจะลาออกก่อนกำหนด และเน้นย้ำว่าความเป็นอิสระของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) เป็น “เรื่องของกฎหมาย”ทรัมป์กลับมาโจมตีพาวเวลล์อีกครั้งในวันจันทร์ โดยโพสต์บน Truth Social เรียกเขาว่า “คุณมาสาย ผู้แพ้รายใหญ่” พร้อมเตือนว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัวหากไม่ลดดอกเบี้ยลงอย่างรวดเร็วตลาดหุ้นสหรัฐได้รับผลกระทบอีกระลอก โดยดัชนีดาวโจนส์ แนสแด็ก และ S&P 500 ต่างร่วงลงมากกว่า 3%“นักลงทุนกำลังเผชิญกับแหล่งความกังวลทางมหภาคครั้งใหม่: การคุกคามของทรัมป์ต่อความเป็นอิสระของ Fed” อดัม คริซาฟุลลี ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมจาก Vital Knowledge กล่าวกับ CNBC เมื่อวันจันทร์ความพยายามปลดพาวเวลล์อาจทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐร่วงลงอย่างรุนแรง คริชนา กูฮา รองประธาน Evercore ISI กล่าวกับสื่อทรัมป์แต่งตั้งพาวเวลล์เป็นประธาน Fed ในปี 2018 และเขาได้รับการแต่งตั้งอีกครั้งโดยอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน ในปี 2022 โดยวาระของเขาจะดำรงตำแหน่งจนถึงเดือนพฤษภาคม 2026ที่มา RT22/4/2025
    22 เมษายน 2568-รายงานบทวิเคราะห์ของ ทนง ขันทอง “ ดอลล่าร์อ่อนค่าสุดในรอบสามปี เพราะกำแพงภาษีกับความขัดแย้งระหว่างทรัมป์กับประธานเฟดค่าเงินดอลลาร์สหรัฐร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบสามปีเมื่อวันจันทร์ ท่ามกลางความวิตกของตลาดเกี่ยวกับสงครามภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และความขัดแย้งที่ทวีความรุนแรงกับประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เจอโรม พาวเวลล์ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ ICE – ซึ่งติดตามค่าเงินดอลลาร์เทียบกับตะกร้าสกุลเงินหลัก – ลดลงมากกว่า 1% มาอยู่ที่ 97.923 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2022 ดอลลาร์ยังอ่อนค่าลงแตะระดับต่ำใหม่เมื่อเทียบกับยูโร ปอนด์ เยน และฟรังก์สวิส รวมถึงอ่อนค่าต่อเงินรูเบิล ร่วงต่ำกว่า 80 เป็นครั้งแรกตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2024ค่าเงินดอลลาร์เผชิญแรงกดดันต่อเนื่องนับตั้งแต่ทรัมป์เปิดตัวภาษีที่เขาเรียกว่า “วันปลดแอก” เมื่อวันที่ 2 เมษายน ซึ่งมุ่งเป้าไปยังพันธมิตรการค้าทั่วโลก ความเชื่อมั่นของตลาดยิ่งสั่นคลอนเมื่อทรัมป์ออกมาโจมตีพาวเวลล์อย่างเปิดเผยเมื่อวันพฤหัสบดี เรื่องการปรับลดดอกเบี้ยประธานาธิบดีวิจารณ์ประธานเฟดอย่างรุนแรง เรียกร้องให้ลดอัตราดอกเบี้ย และเตือนว่าอาจปลดพาวเวลล์ได้ “ถ้าผมอยากให้เขาออก เขาก็จะออกไปอย่างรวดเร็ว” ทรัมป์กล่าว โดยแถลงการณ์ดังกล่าวมีขึ้นหลังจากพาวเวลล์เตือนว่าภาษีนั้น “มีแนวโน้มสูงที่จะทำให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นอย่างน้อยในระยะสั้น” และส่งสัญญาณว่าจะยังไม่ลดดอกเบี้ยในเร็ว ๆ นี้ต่อมา เควิน แฮสเซตต์ ที่ปรึกษาเศรษฐกิจประจำทำเนียบขาว ระบุว่ารัฐบาลกำลังศึกษาว่ามีช่องทางทางกฎหมายในการปลดพาวเวลล์ก่อนครบวาระหรือไม่โดนัลด์ เจ. ทรัมป์@realDonaldTrumpเขียนในTruth Socialเมื่อวานนี้ว่า“การเรียกร้องให้มี “การลดดอกเบี้ยล่วงหน้า” กำลังเพิ่มมากขึ้นจากหลายฝ่าย ด้วยต้นทุนพลังงานที่ลดลงอย่างมาก ราคาสินค้าอาหาร (รวมถึงหายนะไข่ของไบเดน!) ที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด และสิ่งของอื่น ๆ ส่วนใหญ่ที่มีแนวโน้มลดลง จึงแทบไม่มีเงินเฟ้อเลย ด้วยต้นทุนที่ลดลงอย่างราบรื่นเช่นนี้ ซึ่งผมก็ได้ทำนายไว้ล่วงหน้าแล้วว่าเป็นแบบนี้ จึงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีเงินเฟ้อ แต่เศรษฐกิจอาจจะชะลอตัวลง หากคุณนาย “มาสายตลอด” ซึ่งเป็นผู้แพ้รายใหญ่ ไม่รีบลดอัตราดอกเบี้ยตอนนี้ ยุโรปลดไปแล้วถึงเจ็ดครั้ง พาวเวลล์มักจะ “มาช้าเสมอ” ยกเว้นช่วงเลือกตั้งที่เขาลดดอกเบี้ยเพื่อช่วยโจ ไบเดนจอมง่วง (และต่อมาคามาลา) ให้ชนะการเลือกตั้ง แล้วมันได้ผลไหมล่ะ?ความขัดแย้งดังกล่าวสร้างความวิตกให้กับนักลงทุน แม้ว่าพาวเวลล์จะยืนยันว่าเขาไม่มีแผนจะลาออกก่อนกำหนด และเน้นย้ำว่าความเป็นอิสระของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) เป็น “เรื่องของกฎหมาย”ทรัมป์กลับมาโจมตีพาวเวลล์อีกครั้งในวันจันทร์ โดยโพสต์บน Truth Social เรียกเขาว่า “คุณมาสาย ผู้แพ้รายใหญ่” พร้อมเตือนว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัวหากไม่ลดดอกเบี้ยลงอย่างรวดเร็วตลาดหุ้นสหรัฐได้รับผลกระทบอีกระลอก โดยดัชนีดาวโจนส์ แนสแด็ก และ S&P 500 ต่างร่วงลงมากกว่า 3%“นักลงทุนกำลังเผชิญกับแหล่งความกังวลทางมหภาคครั้งใหม่: การคุกคามของทรัมป์ต่อความเป็นอิสระของ Fed” อดัม คริซาฟุลลี ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมจาก Vital Knowledge กล่าวกับ CNBC เมื่อวันจันทร์ความพยายามปลดพาวเวลล์อาจทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐร่วงลงอย่างรุนแรง คริชนา กูฮา รองประธาน Evercore ISI กล่าวกับสื่อทรัมป์แต่งตั้งพาวเวลล์เป็นประธาน Fed ในปี 2018 และเขาได้รับการแต่งตั้งอีกครั้งโดยอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน ในปี 2022 โดยวาระของเขาจะดำรงตำแหน่งจนถึงเดือนพฤษภาคม 2026ที่มา RT22/4/2025
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 230 มุมมอง 0 รีวิว
  • Haha
    1
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 62 มุมมอง 0 รีวิว
  • Like
    Haha
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 77 มุมมอง 0 รีวิว
เรื่องราวเพิ่มเติม