• “Klopatra: มัลแวร์ Android ตัวใหม่ปลอมเป็นแอป VPN/IPTV — ขโมยเงินแม้ตอนหน้าจอดับ พร้อมหลบแอนตี้ไวรัสแบบเหนือชั้น”

    นักวิจัยจาก Cleafy ได้เปิดโปงมัลแวร์ Android ตัวใหม่ชื่อ “Klopatra” ซึ่งถูกสร้างขึ้นโดยกลุ่มแฮกเกอร์ที่พูดภาษาตุรกี และมีความสามารถเหนือกว่ามัลแวร์ทั่วไปอย่างชัดเจน โดย Klopatra ถูกปล่อยผ่านแอปปลอมชื่อ “Modpro IP TV + VPN” ที่ไม่ได้อยู่บน Google Play Store แต่ถูกแจกจ่ายผ่านเว็บไซต์อันตรายโดยตรง

    เมื่อผู้ใช้ติดตั้งแอปนี้ มัลแวร์จะขอสิทธิ์ Accessibility Services ซึ่งเปิดทางให้มันควบคุมเครื่องได้เต็มรูปแบบ เช่น อ่านหน้าจอ, จำลองการแตะ, ขโมยรหัสผ่าน, และแม้แต่ควบคุมอุปกรณ์ขณะหน้าจอดับผ่านโหมด VNC แบบ “หน้าจอดำ” ที่ผู้ใช้ไม่รู้ตัวเลยว่ามีการใช้งานอยู่

    Klopatra ยังมีความสามารถในการตรวจสอบว่าเครื่องกำลังชาร์จหรือหน้าจอดับ เพื่อเลือกช่วงเวลาที่เหมาะสมในการโจมตีโดยไม่ให้ผู้ใช้สงสัย และสามารถจำลองการแตะ, ปัด, กดค้าง เพื่อทำธุรกรรมธนาคารหรือขโมยคริปโตได้แบบเรียลไทม์

    เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ มัลแวร์ใช้เทคนิคขั้นสูง เช่น การเข้ารหัสด้วย NP Manager, การใช้ native libraries แทน Java/Kotlin, การฝัง Virbox ซึ่งเป็นระบบป้องกันโค้ดระดับเชิงพาณิชย์ และมีระบบตรวจจับ emulator, anti-debugging, และ integrity check เพื่อป้องกันนักวิจัยไม่ให้วิเคราะห์ได้ง่าย

    จนถึงตอนนี้ Klopatra ถูกพัฒนาไปแล้วกว่า 40 เวอร์ชันตั้งแต่มีการพบครั้งแรกในเดือนมีนาคม 2025 และมีผู้ติดเชื้อแล้วกว่า 3,000 รายในยุโรป โดยเฉพาะในสเปนและอิตาลี ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของแคมเปญนี้

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Klopatra เป็นมัลแวร์ Android ที่ปลอมตัวเป็นแอป IPTV และ VPN
    แจกจ่ายผ่านเว็บไซต์อันตราย ไม่ใช่ Google Play Store
    ขอสิทธิ์ Accessibility Services เพื่อควบคุมเครื่องแบบเต็มรูปแบบ
    ใช้โหมด VNC แบบหน้าจอดำเพื่อควบคุมเครื่องขณะผู้ใช้ไม่รู้ตัว
    ตรวจสอบสถานะการชาร์จและหน้าจอเพื่อเลือกเวลาที่เหมาะสมในการโจมตี
    ใช้ Virbox, NP Manager, native libraries และเทคนิค anti-debugging เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ
    ถูกพัฒนาไปแล้วกว่า 40 เวอร์ชันตั้งแต่เดือนมีนาคม 2025
    มีผู้ติดเชื้อแล้วกว่า 3,000 รายในยุโรป โดยเฉพาะในสเปนและอิตาลี
    กลุ่มผู้พัฒนาเป็นแฮกเกอร์ที่พูดภาษาตุรกี และมีโครงสร้าง C2 ที่ซับซ้อน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Accessibility Services เป็นช่องทางที่มัลแวร์นิยมใช้เพื่อควบคุมอุปกรณ์ Android
    Virbox เป็นระบบป้องกันโค้ดที่ใช้ในซอฟต์แวร์เชิงพาณิชย์ เช่น เกมหรือแอปที่ต้องการป้องกันการแครก
    VNC (Virtual Network Computing) เป็นระบบควบคุมอุปกรณ์จากระยะไกลที่ใช้ในงาน IT แต่ถูกนำมาใช้ในมัลแวร์
    NP Manager เป็นเครื่องมือที่ใช้เข้ารหัส string เพื่อหลบเลี่ยงการวิเคราะห์โค้ด
    การใช้ native libraries แทน Java/Kotlin ช่วยลดการตรวจจับจากระบบวิเคราะห์มัลแวร์อัตโนมัติ

    https://www.techradar.com/pro/security/this-dangerous-new-android-malware-disguises-itself-as-a-vpn-or-iptv-app-so-be-on-your-guard
    📱💀 “Klopatra: มัลแวร์ Android ตัวใหม่ปลอมเป็นแอป VPN/IPTV — ขโมยเงินแม้ตอนหน้าจอดับ พร้อมหลบแอนตี้ไวรัสแบบเหนือชั้น” นักวิจัยจาก Cleafy ได้เปิดโปงมัลแวร์ Android ตัวใหม่ชื่อ “Klopatra” ซึ่งถูกสร้างขึ้นโดยกลุ่มแฮกเกอร์ที่พูดภาษาตุรกี และมีความสามารถเหนือกว่ามัลแวร์ทั่วไปอย่างชัดเจน โดย Klopatra ถูกปล่อยผ่านแอปปลอมชื่อ “Modpro IP TV + VPN” ที่ไม่ได้อยู่บน Google Play Store แต่ถูกแจกจ่ายผ่านเว็บไซต์อันตรายโดยตรง เมื่อผู้ใช้ติดตั้งแอปนี้ มัลแวร์จะขอสิทธิ์ Accessibility Services ซึ่งเปิดทางให้มันควบคุมเครื่องได้เต็มรูปแบบ เช่น อ่านหน้าจอ, จำลองการแตะ, ขโมยรหัสผ่าน, และแม้แต่ควบคุมอุปกรณ์ขณะหน้าจอดับผ่านโหมด VNC แบบ “หน้าจอดำ” ที่ผู้ใช้ไม่รู้ตัวเลยว่ามีการใช้งานอยู่ Klopatra ยังมีความสามารถในการตรวจสอบว่าเครื่องกำลังชาร์จหรือหน้าจอดับ เพื่อเลือกช่วงเวลาที่เหมาะสมในการโจมตีโดยไม่ให้ผู้ใช้สงสัย และสามารถจำลองการแตะ, ปัด, กดค้าง เพื่อทำธุรกรรมธนาคารหรือขโมยคริปโตได้แบบเรียลไทม์ เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ มัลแวร์ใช้เทคนิคขั้นสูง เช่น การเข้ารหัสด้วย NP Manager, การใช้ native libraries แทน Java/Kotlin, การฝัง Virbox ซึ่งเป็นระบบป้องกันโค้ดระดับเชิงพาณิชย์ และมีระบบตรวจจับ emulator, anti-debugging, และ integrity check เพื่อป้องกันนักวิจัยไม่ให้วิเคราะห์ได้ง่าย จนถึงตอนนี้ Klopatra ถูกพัฒนาไปแล้วกว่า 40 เวอร์ชันตั้งแต่มีการพบครั้งแรกในเดือนมีนาคม 2025 และมีผู้ติดเชื้อแล้วกว่า 3,000 รายในยุโรป โดยเฉพาะในสเปนและอิตาลี ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของแคมเปญนี้ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Klopatra เป็นมัลแวร์ Android ที่ปลอมตัวเป็นแอป IPTV และ VPN ➡️ แจกจ่ายผ่านเว็บไซต์อันตราย ไม่ใช่ Google Play Store ➡️ ขอสิทธิ์ Accessibility Services เพื่อควบคุมเครื่องแบบเต็มรูปแบบ ➡️ ใช้โหมด VNC แบบหน้าจอดำเพื่อควบคุมเครื่องขณะผู้ใช้ไม่รู้ตัว ➡️ ตรวจสอบสถานะการชาร์จและหน้าจอเพื่อเลือกเวลาที่เหมาะสมในการโจมตี ➡️ ใช้ Virbox, NP Manager, native libraries และเทคนิค anti-debugging เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ ➡️ ถูกพัฒนาไปแล้วกว่า 40 เวอร์ชันตั้งแต่เดือนมีนาคม 2025 ➡️ มีผู้ติดเชื้อแล้วกว่า 3,000 รายในยุโรป โดยเฉพาะในสเปนและอิตาลี ➡️ กลุ่มผู้พัฒนาเป็นแฮกเกอร์ที่พูดภาษาตุรกี และมีโครงสร้าง C2 ที่ซับซ้อน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Accessibility Services เป็นช่องทางที่มัลแวร์นิยมใช้เพื่อควบคุมอุปกรณ์ Android ➡️ Virbox เป็นระบบป้องกันโค้ดที่ใช้ในซอฟต์แวร์เชิงพาณิชย์ เช่น เกมหรือแอปที่ต้องการป้องกันการแครก ➡️ VNC (Virtual Network Computing) เป็นระบบควบคุมอุปกรณ์จากระยะไกลที่ใช้ในงาน IT แต่ถูกนำมาใช้ในมัลแวร์ ➡️ NP Manager เป็นเครื่องมือที่ใช้เข้ารหัส string เพื่อหลบเลี่ยงการวิเคราะห์โค้ด ➡️ การใช้ native libraries แทน Java/Kotlin ช่วยลดการตรวจจับจากระบบวิเคราะห์มัลแวร์อัตโนมัติ https://www.techradar.com/pro/security/this-dangerous-new-android-malware-disguises-itself-as-a-vpn-or-iptv-app-so-be-on-your-guard
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 105 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Ampinel: อุปกรณ์ $95 ที่อาจช่วยชีวิตการ์ดจอ RTX ของคุณ — แก้ปัญหา 16-pin ละลายด้วยระบบบาลานซ์ไฟที่ Nvidia ลืมใส่”

    ตั้งแต่การ์ดจอซีรีส์ RTX 40 ของ Nvidia เปิดตัวพร้อมหัวต่อไฟแบบ 16-pin (12VHPWR) ก็มีรายงานปัญหาหัวละลายและสายไหม้ตามมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในรุ่น RTX 4090 และ 5090 ซึ่งดึงไฟสูงถึง 600W แต่ไม่มีระบบกระจายโหลดไฟฟ้าในตัว ต่างจาก RTX 3090 Ti ที่ยังมีวงจรบาลานซ์ไฟอยู่

    ล่าสุด Aqua Computer จากเยอรมนีเปิดตัวอุปกรณ์ชื่อว่า Ampinel ที่ออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหานี้โดยเฉพาะ ด้วยการใส่ระบบ active load balancing ที่สามารถตรวจสอบและกระจายกระแสไฟฟ้าแบบเรียลไทม์ผ่านสาย 12V ทั้ง 6 เส้นในหัวต่อ 16-pin หากพบว่ามีสายใดเกิน 7.5A ซึ่งเป็นค่าที่ปลอดภัยต่อคอนแทค Ampinel จะปรับโหลดทันทีเพื่อป้องกันความร้อนสะสม

    Ampinel ยังมาพร้อมหน้าจอ OLED ขนาดเล็กที่แสดงค่ากระแสไฟแต่ละเส้น, ระบบแจ้งเตือนด้วยเสียง 85 dB และไฟ RGB ที่เปลี่ยนสีตามสถานะการใช้งาน นอกจากนี้ยังสามารถตั้งค่าผ่านซอฟต์แวร์ Aquasuite เพื่อกำหนดพฤติกรรมเมื่อเกิดเหตุ เช่น ปิดแอปที่ใช้ GPU หนัก, สั่ง shutdown เครื่อง หรือแม้แต่ตัดสัญญาณ sense บนการ์ดจอเพื่อหยุดจ่ายไฟทันที

    อุปกรณ์นี้ใช้แผงวงจร 6 ชั้นที่ทำจากทองแดงหนา 70 ไมครอน พร้อมบอดี้อะลูมิเนียมที่ช่วยระบายความร้อน และระบบ MCU ที่ควบคุม MOSFET แบบ low-resistance เพื่อให้การกระจายโหลดมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยไม่ต้องพึ่งพาการเชื่อมต่อ USB หรือซอฟต์แวร์ตลอดเวลา

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Ampinel เป็นอุปกรณ์เสริมสำหรับหัวต่อ 16-pin ที่มีระบบ active load balancing
    ตรวจสอบสายไฟ 6 เส้นแบบเรียลไทม์ และปรับโหลดทันทีเมื่อเกิน 7.5A
    มีหน้าจอ OLED แสดงค่ากระแสไฟ, ไฟ RGB แจ้งเตือน และเสียงเตือน 85 dB
    ใช้แผงวงจร 6 ชั้นทองแดงหนา พร้อมบอดี้อะลูมิเนียมช่วยระบายความร้อน
    สามารถตั้งค่าผ่าน Aquasuite ให้สั่งปิดแอป, shutdown หรือหยุดจ่ายไฟ
    ระบบแจ้งเตือนแบ่งเป็น 8 ระดับ ตั้งค่าได้ทั้งภาพ เสียง และการตอบสนอง
    ไม่ต้องพึ่งพา USB หรือซอฟต์แวร์ในการทำงานหลัก
    ราคาประมาณ $95 หรือ €79.90 เริ่มส่งกลางเดือนพฤศจิกายน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    หัวต่อ 16-pin มี safety margin ต่ำกว่าหัว 8-pin PCIe เดิมถึง 40%
    ปัญหาหัวละลายเกิดจากการกระจายโหลดไม่เท่ากันในสายไฟ
    RTX 3090 Ti ไม่มีปัญหาเพราะยังมีวงจรบาลานซ์ไฟในตัว
    MOSFET แบบ low-RDS(on) ช่วยลดความร้อนและเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุม
    การตัดสัญญาณ sense บนการ์ดจอคือวิธีหยุดจ่ายไฟแบบฉุกเฉินที่ปลอดภัย

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidias-16-pin-time-bomb-could-be-defused-by-this-usd95-gadget-ampinel-offers-load-balancing-that-nvidia-forgot-to-include
    🔥 “Ampinel: อุปกรณ์ $95 ที่อาจช่วยชีวิตการ์ดจอ RTX ของคุณ — แก้ปัญหา 16-pin ละลายด้วยระบบบาลานซ์ไฟที่ Nvidia ลืมใส่” ตั้งแต่การ์ดจอซีรีส์ RTX 40 ของ Nvidia เปิดตัวพร้อมหัวต่อไฟแบบ 16-pin (12VHPWR) ก็มีรายงานปัญหาหัวละลายและสายไหม้ตามมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในรุ่น RTX 4090 และ 5090 ซึ่งดึงไฟสูงถึง 600W แต่ไม่มีระบบกระจายโหลดไฟฟ้าในตัว ต่างจาก RTX 3090 Ti ที่ยังมีวงจรบาลานซ์ไฟอยู่ ล่าสุด Aqua Computer จากเยอรมนีเปิดตัวอุปกรณ์ชื่อว่า Ampinel ที่ออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหานี้โดยเฉพาะ ด้วยการใส่ระบบ active load balancing ที่สามารถตรวจสอบและกระจายกระแสไฟฟ้าแบบเรียลไทม์ผ่านสาย 12V ทั้ง 6 เส้นในหัวต่อ 16-pin หากพบว่ามีสายใดเกิน 7.5A ซึ่งเป็นค่าที่ปลอดภัยต่อคอนแทค Ampinel จะปรับโหลดทันทีเพื่อป้องกันความร้อนสะสม Ampinel ยังมาพร้อมหน้าจอ OLED ขนาดเล็กที่แสดงค่ากระแสไฟแต่ละเส้น, ระบบแจ้งเตือนด้วยเสียง 85 dB และไฟ RGB ที่เปลี่ยนสีตามสถานะการใช้งาน นอกจากนี้ยังสามารถตั้งค่าผ่านซอฟต์แวร์ Aquasuite เพื่อกำหนดพฤติกรรมเมื่อเกิดเหตุ เช่น ปิดแอปที่ใช้ GPU หนัก, สั่ง shutdown เครื่อง หรือแม้แต่ตัดสัญญาณ sense บนการ์ดจอเพื่อหยุดจ่ายไฟทันที อุปกรณ์นี้ใช้แผงวงจร 6 ชั้นที่ทำจากทองแดงหนา 70 ไมครอน พร้อมบอดี้อะลูมิเนียมที่ช่วยระบายความร้อน และระบบ MCU ที่ควบคุม MOSFET แบบ low-resistance เพื่อให้การกระจายโหลดมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยไม่ต้องพึ่งพาการเชื่อมต่อ USB หรือซอฟต์แวร์ตลอดเวลา ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Ampinel เป็นอุปกรณ์เสริมสำหรับหัวต่อ 16-pin ที่มีระบบ active load balancing ➡️ ตรวจสอบสายไฟ 6 เส้นแบบเรียลไทม์ และปรับโหลดทันทีเมื่อเกิน 7.5A ➡️ มีหน้าจอ OLED แสดงค่ากระแสไฟ, ไฟ RGB แจ้งเตือน และเสียงเตือน 85 dB ➡️ ใช้แผงวงจร 6 ชั้นทองแดงหนา พร้อมบอดี้อะลูมิเนียมช่วยระบายความร้อน ➡️ สามารถตั้งค่าผ่าน Aquasuite ให้สั่งปิดแอป, shutdown หรือหยุดจ่ายไฟ ➡️ ระบบแจ้งเตือนแบ่งเป็น 8 ระดับ ตั้งค่าได้ทั้งภาพ เสียง และการตอบสนอง ➡️ ไม่ต้องพึ่งพา USB หรือซอฟต์แวร์ในการทำงานหลัก ➡️ ราคาประมาณ $95 หรือ €79.90 เริ่มส่งกลางเดือนพฤศจิกายน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ หัวต่อ 16-pin มี safety margin ต่ำกว่าหัว 8-pin PCIe เดิมถึง 40% ➡️ ปัญหาหัวละลายเกิดจากการกระจายโหลดไม่เท่ากันในสายไฟ ➡️ RTX 3090 Ti ไม่มีปัญหาเพราะยังมีวงจรบาลานซ์ไฟในตัว ➡️ MOSFET แบบ low-RDS(on) ช่วยลดความร้อนและเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุม ➡️ การตัดสัญญาณ sense บนการ์ดจอคือวิธีหยุดจ่ายไฟแบบฉุกเฉินที่ปลอดภัย https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidias-16-pin-time-bomb-could-be-defused-by-this-usd95-gadget-ampinel-offers-load-balancing-that-nvidia-forgot-to-include
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 114 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Cairo-Dock 3.6 กลับมาอีกครั้ง — รองรับ Wayland, HiDPI และ systemd พร้อมปรับตัวสู่ยุคใหม่ของ Linux Desktop”

    หลังจากหายไปจากวงการมานานหลายปี Cairo-Dock ซึ่งเคยเป็นหนึ่งใน dock ยอดนิยมสำหรับผู้ใช้ Linux ได้กลับมาอีกครั้งในเวอร์ชัน 3.6 ที่เปิดตัวเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2025 โดยมาพร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่ตอบโจทย์ยุคปัจจุบัน ทั้งการรองรับ Wayland, HiDPI และการทำงานร่วมกับ systemd

    Cairo-Dock เคยเป็นที่นิยมในยุคที่ GNOME และ KDE ยังใช้ X11 เป็นหลัก แต่เมื่อ desktop environment หลักเปลี่ยนไปใช้ Wayland เป็นค่าเริ่มต้น ความเข้ากันได้ของ Cairo-Dock ก็ลดลงอย่างมาก จนกระทั่งเวอร์ชันล่าสุดนี้ได้เพิ่มการรองรับ Wayland compositors เช่น KWin (KDE Plasma), Labwc, Wayfire, COSMIC, Sway และ Hyprland

    แม้จะยังไม่รองรับ GNOME Shell/Mutter ซึ่งเป็นค่าเริ่มต้นของ Ubuntu แต่การกลับมาครั้งนี้ก็ถือเป็นก้าวสำคัญ โดยเฉพาะการรองรับ HiDPI ที่ช่วยให้ Cairo-Dock แสดงผลได้คมชัดบนหน้าจอความละเอียดสูง และการรวมเข้ากับ systemd ที่ช่วยให้สามารถรัน Cairo-Dock เป็น service ได้ รวมถึงแอปที่เปิดจาก dock จะถูกจัดการใน slice แยกต่างหาก

    นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงอื่น ๆ เช่น:
    Weather applet ที่ใช้ผู้ให้บริการใหม่
    การตรวจจับแอปที่แม่นยำขึ้น
    การแปลภาษาใหม่และแก้ไขบั๊กจำนวนมาก

    ผู้ดูแลโครงการยังประกาศว่าจะยุติการใช้งานเว็บไซต์เก่า และให้ผู้ใช้ติดตามข้อมูลผ่าน GitHub Wiki และรายงานปัญหาผ่าน GitHub Issues แทน

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Cairo-Dock 3.6 เปิดตัวเมื่อ 1 ตุลาคม 2025 หลังหยุดพัฒนาไปหลายปี
    รองรับ Wayland compositors เช่น KWin, Labwc, Wayfire, COSMIC, Sway และ Hyprland
    ยังไม่รองรับ GNOME Shell/Mutter ซึ่งเป็นค่าเริ่มต้นของ Ubuntu
    เพิ่มการรองรับ HiDPI สำหรับหน้าจอความละเอียดสูง
    รวมเข้ากับ systemd สามารถรันเป็น service และจัดการแอปใน slice แยก
    ปรับปรุง Weather applet และการตรวจจับแอปให้แม่นยำขึ้น
    มีการแปลภาษาใหม่และแก้ไขบั๊กจำนวนมาก
    ย้ายข้อมูลโครงการไปยัง GitHub Wiki และ Issues แทนเว็บไซต์เดิม

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Wayland เป็นโปรโตคอลใหม่ที่มาแทน X11 โดยเน้นความปลอดภัยและประสิทธิภาพ
    HiDPI เป็นมาตรฐานใหม่สำหรับหน้าจอ 4K และ Retina ที่ต้องการการเรนเดอร์แบบคมชัด
    systemd slice ช่วยให้จัดการทรัพยากรของแอปได้ดีขึ้น เช่น CPU และ memory
    COSMIC เป็น desktop environment ใหม่จาก System76 ที่เน้นความลื่นไหลและโมเดิร์น
    Cairo-Dock เคยเป็นที่นิยมในยุค Ubuntu 10.04–14.04 ก่อนจะถูกแทนที่ด้วย Unity และ GNOME Shell

    https://9to5linux.com/cairo-dock-3-6-released-with-wayland-and-hidpi-support-systemd-integration
    🖥️ “Cairo-Dock 3.6 กลับมาอีกครั้ง — รองรับ Wayland, HiDPI และ systemd พร้อมปรับตัวสู่ยุคใหม่ของ Linux Desktop” หลังจากหายไปจากวงการมานานหลายปี Cairo-Dock ซึ่งเคยเป็นหนึ่งใน dock ยอดนิยมสำหรับผู้ใช้ Linux ได้กลับมาอีกครั้งในเวอร์ชัน 3.6 ที่เปิดตัวเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2025 โดยมาพร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่ตอบโจทย์ยุคปัจจุบัน ทั้งการรองรับ Wayland, HiDPI และการทำงานร่วมกับ systemd Cairo-Dock เคยเป็นที่นิยมในยุคที่ GNOME และ KDE ยังใช้ X11 เป็นหลัก แต่เมื่อ desktop environment หลักเปลี่ยนไปใช้ Wayland เป็นค่าเริ่มต้น ความเข้ากันได้ของ Cairo-Dock ก็ลดลงอย่างมาก จนกระทั่งเวอร์ชันล่าสุดนี้ได้เพิ่มการรองรับ Wayland compositors เช่น KWin (KDE Plasma), Labwc, Wayfire, COSMIC, Sway และ Hyprland แม้จะยังไม่รองรับ GNOME Shell/Mutter ซึ่งเป็นค่าเริ่มต้นของ Ubuntu แต่การกลับมาครั้งนี้ก็ถือเป็นก้าวสำคัญ โดยเฉพาะการรองรับ HiDPI ที่ช่วยให้ Cairo-Dock แสดงผลได้คมชัดบนหน้าจอความละเอียดสูง และการรวมเข้ากับ systemd ที่ช่วยให้สามารถรัน Cairo-Dock เป็น service ได้ รวมถึงแอปที่เปิดจาก dock จะถูกจัดการใน slice แยกต่างหาก นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงอื่น ๆ เช่น: 🔰 Weather applet ที่ใช้ผู้ให้บริการใหม่ 🔰 การตรวจจับแอปที่แม่นยำขึ้น 🔰 การแปลภาษาใหม่และแก้ไขบั๊กจำนวนมาก ผู้ดูแลโครงการยังประกาศว่าจะยุติการใช้งานเว็บไซต์เก่า และให้ผู้ใช้ติดตามข้อมูลผ่าน GitHub Wiki และรายงานปัญหาผ่าน GitHub Issues แทน ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Cairo-Dock 3.6 เปิดตัวเมื่อ 1 ตุลาคม 2025 หลังหยุดพัฒนาไปหลายปี ➡️ รองรับ Wayland compositors เช่น KWin, Labwc, Wayfire, COSMIC, Sway และ Hyprland ➡️ ยังไม่รองรับ GNOME Shell/Mutter ซึ่งเป็นค่าเริ่มต้นของ Ubuntu ➡️ เพิ่มการรองรับ HiDPI สำหรับหน้าจอความละเอียดสูง ➡️ รวมเข้ากับ systemd สามารถรันเป็น service และจัดการแอปใน slice แยก ➡️ ปรับปรุง Weather applet และการตรวจจับแอปให้แม่นยำขึ้น ➡️ มีการแปลภาษาใหม่และแก้ไขบั๊กจำนวนมาก ➡️ ย้ายข้อมูลโครงการไปยัง GitHub Wiki และ Issues แทนเว็บไซต์เดิม ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Wayland เป็นโปรโตคอลใหม่ที่มาแทน X11 โดยเน้นความปลอดภัยและประสิทธิภาพ ➡️ HiDPI เป็นมาตรฐานใหม่สำหรับหน้าจอ 4K และ Retina ที่ต้องการการเรนเดอร์แบบคมชัด ➡️ systemd slice ช่วยให้จัดการทรัพยากรของแอปได้ดีขึ้น เช่น CPU และ memory ➡️ COSMIC เป็น desktop environment ใหม่จาก System76 ที่เน้นความลื่นไหลและโมเดิร์น ➡️ Cairo-Dock เคยเป็นที่นิยมในยุค Ubuntu 10.04–14.04 ก่อนจะถูกแทนที่ด้วย Unity และ GNOME Shell https://9to5linux.com/cairo-dock-3-6-released-with-wayland-and-hidpi-support-systemd-integration
    9TO5LINUX.COM
    Cairo-Dock 3.6 Released with Wayland and HiDPI Support, systemd Integration - 9to5Linux
    Cairo-Dock 3.6 is now available for download as a major update to this dock-like application for your GNU/Linux desktop with new features.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 117 มุมมอง 0 รีวิว
  • “บั๊ก Windows 11 ที่ทำให้ Intel รุ่น 11th Gen อัปเดตไม่ได้ ถูกแก้แล้ว — แต่ใช้เวลาถึง 1 ปีเต็ม”

    ใครที่ใช้คอมพิวเตอร์ Intel รุ่น 11th Gen แล้วพยายามอัปเดตเป็น Windows 11 เวอร์ชัน 24H2 แต่ติดปัญหาไม่สามารถอัปเดตได้เสียที ตอนนี้ข่าวดีมาแล้ว — Microsoft ประกาศว่าได้ปลดล็อกการอัปเดตให้กับเครื่องที่เคยถูก “compatibility hold” หลังจากที่ Intel แก้ไขปัญหาไดรเวอร์เสียง Smart Sound Technology (SST) ที่เป็นต้นเหตุของบั๊กนี้เรียบร้อยแล้ว

    ปัญหานี้เริ่มต้นตั้งแต่เดือนกันยายน 2024 และส่งผลให้เครื่องที่ใช้ชิป Rocket Lake หรือ Tiger Lake ไม่สามารถอัปเดตได้ เพราะไดรเวอร์ SST รุ่นเก่าอาจทำให้เกิด Blue Screen of Death (หรือในเวอร์ชันใหม่คือ Black Screen) เมื่อพยายามติดตั้งเวอร์ชัน 24H2

    Microsoft ไม่สามารถแก้ไขได้เอง เพราะเป็นปัญหาที่อยู่ฝั่ง Intel จึงต้องรอให้ Intel ปล่อยไดรเวอร์เวอร์ชันใหม่ ซึ่งกว่าจะออกมาก็ใช้เวลาถึงหนึ่งปีเต็ม โดยเวอร์ชันที่ปลอดภัยคือ 10.30.00.5714 หรือ 10.29.00.5714 ขึ้นไป

    ผู้ใช้สามารถตรวจสอบและติดตั้งไดรเวอร์ใหม่ผ่าน Windows Update และหลังจากนั้นจึงตรวจสอบอีกครั้งเพื่อรับอัปเดต Windows 11 เวอร์ชัน 24H2 ซึ่งอาจใช้เวลาระบบในการตรวจจับการเปลี่ยนแปลงประมาณ 48 ชั่วโมง

    น่าสนใจคือ ปัญหานี้เคยเกิดมาแล้วในเวอร์ชัน 22H2 และ 21H2 เมื่อปี 2022 ซึ่งหมายความว่า Intel SST เคยเป็นจุดอ่อนซ้ำซาก และการแก้ไขครั้งนี้จึงเป็นความหวังว่าจะไม่เกิดซ้ำอีกในเวอร์ชัน 25H2 ที่กำลังจะมาในปลายปีนี้

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    บั๊กใน Windows 11 เวอร์ชัน 24H2 เกิดจากไดรเวอร์ Intel Smart Sound Technology (SST) รุ่นเก่า
    ส่งผลให้เครื่องที่ใช้ Intel 11th Gen (Rocket Lake, Tiger Lake) ไม่สามารถอัปเดตได้
    Microsoft ใช้ “compatibility hold” เพื่อบล็อกการอัปเดตในเครื่องที่มีไดรเวอร์ที่มีปัญหา
    Intel ใช้เวลาหนึ่งปีในการแก้ไขและปล่อยไดรเวอร์เวอร์ชันใหม่
    ไดรเวอร์ที่ปลอดภัยคือเวอร์ชัน 10.30.00.5714 หรือ 10.29.00.5714 ขึ้นไป
    Microsoft ประกาศปลดล็อกการอัปเดตเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2025
    ผู้ใช้สามารถติดตั้งไดรเวอร์ผ่าน Windows Update และรอประมาณ 48 ชั่วโมงเพื่อรับอัปเดต
    ปัญหานี้เคยเกิดในเวอร์ชัน 22H2 และ 21H2 เมื่อปี 2022

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Intel SST เป็นระบบควบคุมเสียงที่ฝังอยู่ในหลายรุ่นของชิป Intel เพื่อจัดการไมโครโฟนและลำโพง
    Compatibility hold เป็นมาตรการของ Microsoft เพื่อป้องกันการอัปเดตที่อาจทำให้ระบบพัง
    Windows 11 เวอร์ชัน 24H2 เป็นอัปเดตใหญ่ที่รวมฟีเจอร์ใหม่ เช่น AI integration และระบบประหยัดพลังงาน
    ผู้ใช้ Intel 11th Gen ยังมีอยู่มากถึง 10–15% ของผู้ใช้ Windows ทั่วโลก
    การอัปเดตไดรเวอร์เสียงมีผลต่อการใช้งาน Windows Hello และแอปที่ใช้ไมโครโฟน

    https://www.techradar.com/computing/windows/windows-11-bug-that-stopped-some-intel-pcs-from-getting-the-24h2-update-is-fixed-but-it-took-a-whole-year
    🧩 “บั๊ก Windows 11 ที่ทำให้ Intel รุ่น 11th Gen อัปเดตไม่ได้ ถูกแก้แล้ว — แต่ใช้เวลาถึง 1 ปีเต็ม” ใครที่ใช้คอมพิวเตอร์ Intel รุ่น 11th Gen แล้วพยายามอัปเดตเป็น Windows 11 เวอร์ชัน 24H2 แต่ติดปัญหาไม่สามารถอัปเดตได้เสียที ตอนนี้ข่าวดีมาแล้ว — Microsoft ประกาศว่าได้ปลดล็อกการอัปเดตให้กับเครื่องที่เคยถูก “compatibility hold” หลังจากที่ Intel แก้ไขปัญหาไดรเวอร์เสียง Smart Sound Technology (SST) ที่เป็นต้นเหตุของบั๊กนี้เรียบร้อยแล้ว ปัญหานี้เริ่มต้นตั้งแต่เดือนกันยายน 2024 และส่งผลให้เครื่องที่ใช้ชิป Rocket Lake หรือ Tiger Lake ไม่สามารถอัปเดตได้ เพราะไดรเวอร์ SST รุ่นเก่าอาจทำให้เกิด Blue Screen of Death (หรือในเวอร์ชันใหม่คือ Black Screen) เมื่อพยายามติดตั้งเวอร์ชัน 24H2 Microsoft ไม่สามารถแก้ไขได้เอง เพราะเป็นปัญหาที่อยู่ฝั่ง Intel จึงต้องรอให้ Intel ปล่อยไดรเวอร์เวอร์ชันใหม่ ซึ่งกว่าจะออกมาก็ใช้เวลาถึงหนึ่งปีเต็ม โดยเวอร์ชันที่ปลอดภัยคือ 10.30.00.5714 หรือ 10.29.00.5714 ขึ้นไป ผู้ใช้สามารถตรวจสอบและติดตั้งไดรเวอร์ใหม่ผ่าน Windows Update และหลังจากนั้นจึงตรวจสอบอีกครั้งเพื่อรับอัปเดต Windows 11 เวอร์ชัน 24H2 ซึ่งอาจใช้เวลาระบบในการตรวจจับการเปลี่ยนแปลงประมาณ 48 ชั่วโมง น่าสนใจคือ ปัญหานี้เคยเกิดมาแล้วในเวอร์ชัน 22H2 และ 21H2 เมื่อปี 2022 ซึ่งหมายความว่า Intel SST เคยเป็นจุดอ่อนซ้ำซาก และการแก้ไขครั้งนี้จึงเป็นความหวังว่าจะไม่เกิดซ้ำอีกในเวอร์ชัน 25H2 ที่กำลังจะมาในปลายปีนี้ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ บั๊กใน Windows 11 เวอร์ชัน 24H2 เกิดจากไดรเวอร์ Intel Smart Sound Technology (SST) รุ่นเก่า ➡️ ส่งผลให้เครื่องที่ใช้ Intel 11th Gen (Rocket Lake, Tiger Lake) ไม่สามารถอัปเดตได้ ➡️ Microsoft ใช้ “compatibility hold” เพื่อบล็อกการอัปเดตในเครื่องที่มีไดรเวอร์ที่มีปัญหา ➡️ Intel ใช้เวลาหนึ่งปีในการแก้ไขและปล่อยไดรเวอร์เวอร์ชันใหม่ ➡️ ไดรเวอร์ที่ปลอดภัยคือเวอร์ชัน 10.30.00.5714 หรือ 10.29.00.5714 ขึ้นไป ➡️ Microsoft ประกาศปลดล็อกการอัปเดตเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2025 ➡️ ผู้ใช้สามารถติดตั้งไดรเวอร์ผ่าน Windows Update และรอประมาณ 48 ชั่วโมงเพื่อรับอัปเดต ➡️ ปัญหานี้เคยเกิดในเวอร์ชัน 22H2 และ 21H2 เมื่อปี 2022 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Intel SST เป็นระบบควบคุมเสียงที่ฝังอยู่ในหลายรุ่นของชิป Intel เพื่อจัดการไมโครโฟนและลำโพง ➡️ Compatibility hold เป็นมาตรการของ Microsoft เพื่อป้องกันการอัปเดตที่อาจทำให้ระบบพัง ➡️ Windows 11 เวอร์ชัน 24H2 เป็นอัปเดตใหญ่ที่รวมฟีเจอร์ใหม่ เช่น AI integration และระบบประหยัดพลังงาน ➡️ ผู้ใช้ Intel 11th Gen ยังมีอยู่มากถึง 10–15% ของผู้ใช้ Windows ทั่วโลก ➡️ การอัปเดตไดรเวอร์เสียงมีผลต่อการใช้งาน Windows Hello และแอปที่ใช้ไมโครโฟน https://www.techradar.com/computing/windows/windows-11-bug-that-stopped-some-intel-pcs-from-getting-the-24h2-update-is-fixed-but-it-took-a-whole-year
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 168 มุมมอง 0 รีวิว
  • “วัยรุ่นดัตช์ถูกจับฐานสอดแนมให้รัสเซีย — เมื่อ Telegram กลายเป็นช่องทางล่อลวง และ Wi-Fi sniffer กลายเป็นอาวุธเงียบ”

    ในเหตุการณ์ที่สร้างความตกตะลึงให้กับสังคมเนเธอร์แลนด์ ตำรวจได้จับกุมวัยรุ่นชายอายุ 17 ปีจำนวน 2 คน ฐานต้องสงสัยว่าถูกกลุ่มแฮกเกอร์ที่สนับสนุนโดยรัฐบาลรัสเซียล่อลวงให้ทำภารกิจสอดแนม โดยหนึ่งในนั้นถูกพบขณะเดินผ่านสถานที่สำคัญในกรุงเฮก เช่น สำนักงาน Europol, Eurojust และสถานทูตแคนาดา พร้อมถืออุปกรณ์ที่เรียกว่า “Wi-Fi sniffer” ซึ่งสามารถดักจับข้อมูลจากเครือข่ายไร้สายใกล้เคียงได้

    การจับกุมเกิดขึ้นหลังจากหน่วยข่าวกรอง AIVD ของเนเธอร์แลนด์ได้รับเบาะแส และนำไปสู่การบุกค้นบ้านของหนึ่งในผู้ต้องสงสัย ขณะเขากำลังทำการบ้านอยู่ โดยเจ้าหน้าที่สวมหน้ากากบุกเข้ามาพร้อมหมายค้น และยึดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หลายรายการ

    วัยรุ่นทั้งสองถูกกล่าวหาว่าได้รับการติดต่อผ่าน Telegram ซึ่งเป็นแอปที่นิยมในหมู่เยาวชน และมักถูกใช้โดยกลุ่มแฮกเกอร์หรือหน่วยข่าวกรองต่างชาติในการล่อลวงเหยื่อผ่าน “งานง่าย ๆ” เช่น การเดินส่งพัสดุหรือถ่ายภาพสถานที่ราชการ โดยไม่รู้ว่าตนเองกำลังมีส่วนร่วมในภารกิจสอดแนมหรือแม้แต่การก่อวินาศกรรม

    หนึ่งในผู้ต้องสงสัยถูกควบคุมตัวไว้ ส่วนอีกคนถูกปล่อยตัวภายใต้การควบคุมที่บ้าน พร้อมติดกำไลอิเล็กทรอนิกส์ ขณะที่เจ้าหน้าที่ Europol ยืนยันว่าไม่มีระบบใดถูกเจาะ แต่ยอมรับว่ากำลังร่วมมือกับทางการเนเธอร์แลนด์ในการสอบสวนอย่างใกล้ชิด

    กรณีนี้สะท้อนแนวโน้มที่น่ากังวลในยุโรป ซึ่งเยาวชนและบุคคลเปราะบางถูกใช้เป็น “ตัวแทนที่ใช้แล้วทิ้ง” โดยกลุ่มแฮกเกอร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐ เช่นในเยอรมนีและอังกฤษ ที่เคยมีการล่อลวงวัยรุ่นให้ส่งพัสดุที่ภายในมีระเบิดแอบแฝง โดยไม่รู้ตัวว่าตนเองกำลังกลายเป็นเครื่องมือของการก่อการร้าย

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    วัยรุ่นชาย 2 คนอายุ 17 ปีถูกจับในเนเธอร์แลนด์ ฐานต้องสงสัยสอดแนมให้กลุ่มแฮกเกอร์รัสเซีย
    หนึ่งในนั้นถูกพบถือ Wi-Fi sniffer เดินผ่านสถานที่สำคัญในกรุงเฮก เช่น Europol และ Eurojust
    การจับกุมเกิดขึ้นหลังจาก AIVD ได้รับเบาะแส และนำไปสู่การบุกค้นบ้านพร้อมหมายค้น
    ผู้ต้องสงสัยถูกติดต่อผ่าน Telegram ซึ่งเป็นช่องทางที่นิยมในหมู่เยาวชน
    หนึ่งคนถูกควบคุมตัว อีกคนถูกปล่อยตัวภายใต้การควบคุมที่บ้าน พร้อมติดกำไลอิเล็กทรอนิกส์
    Europol ยืนยันว่าไม่มีระบบถูกเจาะ และกำลังร่วมมือกับทางการเนเธอร์แลนด์ในการสอบสวน
    กรณีนี้ถือเป็นครั้งแรกในเนเธอร์แลนด์ที่เยาวชนถูกกล่าวหาว่าถูกล่อลวงโดยรัฐต่างชาติ
    ลักษณะการล่อลวงคล้ายกับกรณีในเยอรมนีและอังกฤษ ที่ใช้เยาวชนเป็น “ตัวแทนที่ใช้แล้วทิ้ง”

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Wi-Fi sniffer เป็นอุปกรณ์หรือซอฟต์แวร์ที่ใช้ดักจับข้อมูลจากเครือข่ายไร้สาย
    Telegram ถูกใช้โดยกลุ่มแฮกเกอร์และหน่วยข่าวกรองเพราะมีระบบเข้ารหัสและไม่เปิดเผยตัวตน
    กลุ่ม APT28 ของรัสเซียเคยใช้เทคนิค “nearest neighbor attack” ผ่านเครือข่าย Wi-Fi ใกล้เป้าหมาย
    Europol เคยนำทีมปราบกลุ่ม NoName057 (16) ซึ่งมีสมาชิกกว่า 4,000 คนที่โจมตีระบบในยุโรป
    การล่อลวงผ่าน “งานง่าย ๆ” เช่น ส่งพัสดุหรือถ่ายภาพสถานที่ราชการ เป็นเทคนิคที่ใช้บ่อยในสงครามไซเบอร์

    https://hackread.com/dutch-teens-arrested-spying-pro-russian-hackers/
    🕵️‍♂️ “วัยรุ่นดัตช์ถูกจับฐานสอดแนมให้รัสเซีย — เมื่อ Telegram กลายเป็นช่องทางล่อลวง และ Wi-Fi sniffer กลายเป็นอาวุธเงียบ” ในเหตุการณ์ที่สร้างความตกตะลึงให้กับสังคมเนเธอร์แลนด์ ตำรวจได้จับกุมวัยรุ่นชายอายุ 17 ปีจำนวน 2 คน ฐานต้องสงสัยว่าถูกกลุ่มแฮกเกอร์ที่สนับสนุนโดยรัฐบาลรัสเซียล่อลวงให้ทำภารกิจสอดแนม โดยหนึ่งในนั้นถูกพบขณะเดินผ่านสถานที่สำคัญในกรุงเฮก เช่น สำนักงาน Europol, Eurojust และสถานทูตแคนาดา พร้อมถืออุปกรณ์ที่เรียกว่า “Wi-Fi sniffer” ซึ่งสามารถดักจับข้อมูลจากเครือข่ายไร้สายใกล้เคียงได้ การจับกุมเกิดขึ้นหลังจากหน่วยข่าวกรอง AIVD ของเนเธอร์แลนด์ได้รับเบาะแส และนำไปสู่การบุกค้นบ้านของหนึ่งในผู้ต้องสงสัย ขณะเขากำลังทำการบ้านอยู่ โดยเจ้าหน้าที่สวมหน้ากากบุกเข้ามาพร้อมหมายค้น และยึดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หลายรายการ วัยรุ่นทั้งสองถูกกล่าวหาว่าได้รับการติดต่อผ่าน Telegram ซึ่งเป็นแอปที่นิยมในหมู่เยาวชน และมักถูกใช้โดยกลุ่มแฮกเกอร์หรือหน่วยข่าวกรองต่างชาติในการล่อลวงเหยื่อผ่าน “งานง่าย ๆ” เช่น การเดินส่งพัสดุหรือถ่ายภาพสถานที่ราชการ โดยไม่รู้ว่าตนเองกำลังมีส่วนร่วมในภารกิจสอดแนมหรือแม้แต่การก่อวินาศกรรม หนึ่งในผู้ต้องสงสัยถูกควบคุมตัวไว้ ส่วนอีกคนถูกปล่อยตัวภายใต้การควบคุมที่บ้าน พร้อมติดกำไลอิเล็กทรอนิกส์ ขณะที่เจ้าหน้าที่ Europol ยืนยันว่าไม่มีระบบใดถูกเจาะ แต่ยอมรับว่ากำลังร่วมมือกับทางการเนเธอร์แลนด์ในการสอบสวนอย่างใกล้ชิด กรณีนี้สะท้อนแนวโน้มที่น่ากังวลในยุโรป ซึ่งเยาวชนและบุคคลเปราะบางถูกใช้เป็น “ตัวแทนที่ใช้แล้วทิ้ง” โดยกลุ่มแฮกเกอร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐ เช่นในเยอรมนีและอังกฤษ ที่เคยมีการล่อลวงวัยรุ่นให้ส่งพัสดุที่ภายในมีระเบิดแอบแฝง โดยไม่รู้ตัวว่าตนเองกำลังกลายเป็นเครื่องมือของการก่อการร้าย ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ วัยรุ่นชาย 2 คนอายุ 17 ปีถูกจับในเนเธอร์แลนด์ ฐานต้องสงสัยสอดแนมให้กลุ่มแฮกเกอร์รัสเซีย ➡️ หนึ่งในนั้นถูกพบถือ Wi-Fi sniffer เดินผ่านสถานที่สำคัญในกรุงเฮก เช่น Europol และ Eurojust ➡️ การจับกุมเกิดขึ้นหลังจาก AIVD ได้รับเบาะแส และนำไปสู่การบุกค้นบ้านพร้อมหมายค้น ➡️ ผู้ต้องสงสัยถูกติดต่อผ่าน Telegram ซึ่งเป็นช่องทางที่นิยมในหมู่เยาวชน ➡️ หนึ่งคนถูกควบคุมตัว อีกคนถูกปล่อยตัวภายใต้การควบคุมที่บ้าน พร้อมติดกำไลอิเล็กทรอนิกส์ ➡️ Europol ยืนยันว่าไม่มีระบบถูกเจาะ และกำลังร่วมมือกับทางการเนเธอร์แลนด์ในการสอบสวน ➡️ กรณีนี้ถือเป็นครั้งแรกในเนเธอร์แลนด์ที่เยาวชนถูกกล่าวหาว่าถูกล่อลวงโดยรัฐต่างชาติ ➡️ ลักษณะการล่อลวงคล้ายกับกรณีในเยอรมนีและอังกฤษ ที่ใช้เยาวชนเป็น “ตัวแทนที่ใช้แล้วทิ้ง” ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Wi-Fi sniffer เป็นอุปกรณ์หรือซอฟต์แวร์ที่ใช้ดักจับข้อมูลจากเครือข่ายไร้สาย ➡️ Telegram ถูกใช้โดยกลุ่มแฮกเกอร์และหน่วยข่าวกรองเพราะมีระบบเข้ารหัสและไม่เปิดเผยตัวตน ➡️ กลุ่ม APT28 ของรัสเซียเคยใช้เทคนิค “nearest neighbor attack” ผ่านเครือข่าย Wi-Fi ใกล้เป้าหมาย ➡️ Europol เคยนำทีมปราบกลุ่ม NoName057 (16) ซึ่งมีสมาชิกกว่า 4,000 คนที่โจมตีระบบในยุโรป ➡️ การล่อลวงผ่าน “งานง่าย ๆ” เช่น ส่งพัสดุหรือถ่ายภาพสถานที่ราชการ เป็นเทคนิคที่ใช้บ่อยในสงครามไซเบอร์ https://hackread.com/dutch-teens-arrested-spying-pro-russian-hackers/
    HACKREAD.COM
    Dutch Teens Arrested Over Alleged Spying for Pro-Russian Hackers
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 205 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ผู้ใช้แอปสนใจแค่ 20% — แต่ละคนเลือกส่วนที่ต่างกัน และนั่นคือโอกาสทองของนักพัฒนา”

    Ibrahim Diallo เล่าเรื่องราวส่วนตัวที่เริ่มจากการลบไฟล์ .ini ตอนเด็กจนทำให้คอมพัง และต้องติดตั้ง Windows ใหม่ทุกครั้ง ซึ่งทำให้เขาเรียนรู้ว่า แม้โปรแกรมจะมีฟีเจอร์มากมาย แต่ผู้ใช้แต่ละคนกลับใช้แค่บางส่วนเท่านั้น เช่น เขาเคยใช้ Excel แค่เพื่อสร้างตารางแล้วก็อปไปใส่ Word เพราะไม่รู้วิธีสร้างตารางใน Word โดยตรง

    จากประสบการณ์นี้ เขาเสนอแนวคิดว่า “ผู้ใช้ส่วนใหญ่จะใช้แค่ 20% ของฟีเจอร์ในแอปพลิเคชัน” แต่ที่สำคัญคือ “แต่ละคนใช้ 20% ที่ต่างกัน” เช่น คนหนึ่งใช้ Excel เพื่อทำบัญชีส่วนตัว อีกคนใช้เพื่อทำ pivot table และอีกคนใช้แค่เพื่อวางตารางใน Word

    เมื่อแอปมีฟีเจอร์มากขึ้น ผู้ใช้บางกลุ่มกลับรู้สึกว่าแอป “บวม” และทำงานช้าลง เพราะฟีเจอร์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับตนเองกลายเป็นสิ่งรบกวน workflow เดิม นี่คือจุดที่ผู้ใช้เริ่มมองหาแอปทางเลือกที่ตอบโจทย์เฉพาะของตนได้ดีกว่า

    เขายกตัวอย่าง Kagi ซึ่งเป็น search engine แบบเสียเงินที่เกิดขึ้นจากความไม่พอใจของผู้ใช้ Google ที่ต้องการผลลัพธ์แบบตรงคำมากกว่า “คำที่เกี่ยวข้อง” แม้จะเป็นแค่ 1% ของผู้ใช้ แต่ก็ยังเป็นตลาดที่ใหญ่มาก และ Kagi เลือกที่จะเป็น “20% ที่ดีที่สุด” สำหรับกลุ่มนั้น

    แนวคิดนี้ยังใช้ได้กับแอปอื่น ๆ เช่น Figma ที่ไม่ต้องแข่งกับ Adobe ทั้งชุด แต่แค่ทำ collaborative design ได้ดีกว่า หรือ Notion ที่ไม่ต้องเป็น word processor หรือ database ที่ดีที่สุด แต่เป็นเครื่องมือลูกผสมที่ตอบโจทย์ทีมงานได้ดี

    สุดท้าย เขาเสนอว่า นักพัฒนาไม่ควรพยายามทำแอปที่ “ทำทุกอย่างให้ทุกคน” แต่ควรสร้างระบบที่ให้ผู้ใช้ปรับแต่งได้เอง เช่น VS Code ที่เริ่มจาก text editor ธรรมดา แล้วให้ผู้ใช้ติดตั้ง extension เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะกับตนเอง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ผู้ใช้ส่วนใหญ่ใช้แค่ 20% ของฟีเจอร์ในแอปพลิเคชัน
    แต่ละคนใช้ 20% ที่ต่างกัน เช่น Excel เพื่อบัญชี, pivot table, หรือแค่สร้างตาราง
    แอปที่มีฟีเจอร์มากเกินไปอาจทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่าแอป “บวม” และช้าลง
    Kagi เป็น search engine ที่เกิดจากกลุ่มผู้ใช้ที่ไม่พอใจ Google Search
    Kagi เลือกเป็น “20% ที่ดีที่สุด” สำหรับกลุ่ม power user
    Figma และ Notion เป็นตัวอย่างของแอปที่เน้นเฉพาะกลุ่ม ไม่ต้องแข่งแบบครอบคลุม
    VS Code ให้ผู้ใช้ปรับแต่งผ่าน extension เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมเฉพาะตัว
    แนวคิดนี้ช่วยให้นักพัฒนาไม่ต้องทำทุกอย่าง แต่ทำให้แต่ละฟีเจอร์ “ดีจริง” สำหรับกลุ่มเป้าหมาย

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    หลักการ 80/20 หรือ Pareto Principle ถูกใช้ในหลายวงการ เช่น ธุรกิจ, การตลาด, และ UX
    แอปที่เน้น modular design เช่น Obsidian หรือ Slack ก็ใช้แนวคิดนี้ในการพัฒนา
    Open-source software เช่น Blender หรือ FFmpeg มักถูกปรับแต่งให้เหมาะกับ workflow เฉพาะ
    การให้ผู้ใช้ปรับแต่งเองช่วยลดแรงต้านจากฟีเจอร์ที่ไม่จำเป็น
    การสร้าง “core ที่เบา” แล้วให้ผู้ใช้เสริมเอง เป็นแนวทางที่ยั่งยืนและขยายได้ง่าย

    https://idiallo.com/blog/users-only-care-about-20-percent
    🧩 “ผู้ใช้แอปสนใจแค่ 20% — แต่ละคนเลือกส่วนที่ต่างกัน และนั่นคือโอกาสทองของนักพัฒนา” Ibrahim Diallo เล่าเรื่องราวส่วนตัวที่เริ่มจากการลบไฟล์ .ini ตอนเด็กจนทำให้คอมพัง และต้องติดตั้ง Windows ใหม่ทุกครั้ง ซึ่งทำให้เขาเรียนรู้ว่า แม้โปรแกรมจะมีฟีเจอร์มากมาย แต่ผู้ใช้แต่ละคนกลับใช้แค่บางส่วนเท่านั้น เช่น เขาเคยใช้ Excel แค่เพื่อสร้างตารางแล้วก็อปไปใส่ Word เพราะไม่รู้วิธีสร้างตารางใน Word โดยตรง จากประสบการณ์นี้ เขาเสนอแนวคิดว่า “ผู้ใช้ส่วนใหญ่จะใช้แค่ 20% ของฟีเจอร์ในแอปพลิเคชัน” แต่ที่สำคัญคือ “แต่ละคนใช้ 20% ที่ต่างกัน” เช่น คนหนึ่งใช้ Excel เพื่อทำบัญชีส่วนตัว อีกคนใช้เพื่อทำ pivot table และอีกคนใช้แค่เพื่อวางตารางใน Word เมื่อแอปมีฟีเจอร์มากขึ้น ผู้ใช้บางกลุ่มกลับรู้สึกว่าแอป “บวม” และทำงานช้าลง เพราะฟีเจอร์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับตนเองกลายเป็นสิ่งรบกวน workflow เดิม นี่คือจุดที่ผู้ใช้เริ่มมองหาแอปทางเลือกที่ตอบโจทย์เฉพาะของตนได้ดีกว่า เขายกตัวอย่าง Kagi ซึ่งเป็น search engine แบบเสียเงินที่เกิดขึ้นจากความไม่พอใจของผู้ใช้ Google ที่ต้องการผลลัพธ์แบบตรงคำมากกว่า “คำที่เกี่ยวข้อง” แม้จะเป็นแค่ 1% ของผู้ใช้ แต่ก็ยังเป็นตลาดที่ใหญ่มาก และ Kagi เลือกที่จะเป็น “20% ที่ดีที่สุด” สำหรับกลุ่มนั้น แนวคิดนี้ยังใช้ได้กับแอปอื่น ๆ เช่น Figma ที่ไม่ต้องแข่งกับ Adobe ทั้งชุด แต่แค่ทำ collaborative design ได้ดีกว่า หรือ Notion ที่ไม่ต้องเป็น word processor หรือ database ที่ดีที่สุด แต่เป็นเครื่องมือลูกผสมที่ตอบโจทย์ทีมงานได้ดี สุดท้าย เขาเสนอว่า นักพัฒนาไม่ควรพยายามทำแอปที่ “ทำทุกอย่างให้ทุกคน” แต่ควรสร้างระบบที่ให้ผู้ใช้ปรับแต่งได้เอง เช่น VS Code ที่เริ่มจาก text editor ธรรมดา แล้วให้ผู้ใช้ติดตั้ง extension เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะกับตนเอง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ผู้ใช้ส่วนใหญ่ใช้แค่ 20% ของฟีเจอร์ในแอปพลิเคชัน ➡️ แต่ละคนใช้ 20% ที่ต่างกัน เช่น Excel เพื่อบัญชี, pivot table, หรือแค่สร้างตาราง ➡️ แอปที่มีฟีเจอร์มากเกินไปอาจทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่าแอป “บวม” และช้าลง ➡️ Kagi เป็น search engine ที่เกิดจากกลุ่มผู้ใช้ที่ไม่พอใจ Google Search ➡️ Kagi เลือกเป็น “20% ที่ดีที่สุด” สำหรับกลุ่ม power user ➡️ Figma และ Notion เป็นตัวอย่างของแอปที่เน้นเฉพาะกลุ่ม ไม่ต้องแข่งแบบครอบคลุม ➡️ VS Code ให้ผู้ใช้ปรับแต่งผ่าน extension เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมเฉพาะตัว ➡️ แนวคิดนี้ช่วยให้นักพัฒนาไม่ต้องทำทุกอย่าง แต่ทำให้แต่ละฟีเจอร์ “ดีจริง” สำหรับกลุ่มเป้าหมาย ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ หลักการ 80/20 หรือ Pareto Principle ถูกใช้ในหลายวงการ เช่น ธุรกิจ, การตลาด, และ UX ➡️ แอปที่เน้น modular design เช่น Obsidian หรือ Slack ก็ใช้แนวคิดนี้ในการพัฒนา ➡️ Open-source software เช่น Blender หรือ FFmpeg มักถูกปรับแต่งให้เหมาะกับ workflow เฉพาะ ➡️ การให้ผู้ใช้ปรับแต่งเองช่วยลดแรงต้านจากฟีเจอร์ที่ไม่จำเป็น ➡️ การสร้าง “core ที่เบา” แล้วให้ผู้ใช้เสริมเอง เป็นแนวทางที่ยั่งยืนและขยายได้ง่าย https://idiallo.com/blog/users-only-care-about-20-percent
    IDIALLO.COM
    Users Only Care About 20% of Your Application
    I often destroyed our home computer when I was a kid. Armed with only 2GB of storage, I'd constantly hunt for files to delete to save space. But I learned the hard way that .ini files are actually imp
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 166 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Google เตรียมบังคับลงทะเบียนนักพัฒนา Android — F-Droid เตือนอาจเป็นจุดจบของแอปโอเพ่นซอร์ส”

    ในเดือนกันยายน 2025 Google ได้ประกาศนโยบายใหม่ที่สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับวงการนักพัฒนา Android ทั่วโลก โดยจะบังคับให้นักพัฒนาแอปทุกคนต้องลงทะเบียนกับ Google เพื่อแจกจ่ายแอปบนอุปกรณ์ Android ที่ได้รับการรับรอง แม้จะเป็นการติดตั้งแบบ sideload ก็ตาม ซึ่งหมายความว่าแม้คุณจะไม่ใช้ Google Play ก็ยังต้องผ่านการตรวจสอบจาก Google อยู่ดี

    การลงทะเบียนนี้ไม่ใช่แค่กรอกชื่อและอีเมล แต่ต้องส่งเอกสารยืนยันตัวตน เช่น บัตรประชาชนหรือหนังสือเดินทาง, จ่ายค่าธรรมเนียม และระบุ “application identifiers” ของทุกแอปที่ต้องการแจกจ่าย ซึ่งสร้างภาระให้กับนักพัฒนาอิสระและโครงการโอเพ่นซอร์สอย่างมาก

    F-Droid ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มแจกจ่ายแอปโอเพ่นซอร์สที่ไม่ใช้โฆษณา ไม่ติดตามผู้ใช้ และไม่บังคับให้มีบัญชีผู้ใช้ ออกมาเตือนว่า หากนโยบายนี้ถูกบังคับใช้จริง จะทำให้โครงการ F-Droid ไม่สามารถดำเนินต่อได้ เพราะไม่สามารถ “ยึดสิทธิ์” ของนักพัฒนาในการลงทะเบียนแทนได้ และไม่สามารถบังคับให้นักพัฒนาโอเพ่นซอร์สต้องเปิดเผยตัวตนหรือจ่ายเงินเพื่อแจกจ่ายแอปฟรี

    Google อ้างว่านโยบายนี้มีเป้าหมายเพื่อป้องกันมัลแวร์และสร้างความรับผิดชอบ แต่ F-Droid โต้แย้งว่า Google Play เองก็เคยมีมัลแวร์ที่ถูกดาวน์โหลดไปกว่า 19 ล้านครั้ง และระบบ Play Protect ก็สามารถลบแอปที่เป็นอันตรายได้อยู่แล้วโดยไม่ต้องบังคับลงทะเบียน

    F-Droid จึงเรียกร้องให้หน่วยงานกำกับดูแลในสหรัฐฯ และยุโรปเข้ามาตรวจสอบนโยบายนี้ เพราะอาจเป็นการรวมศูนย์อำนาจและทำลายเสรีภาพของผู้ใช้ในการเลือกซอฟต์แวร์ที่ต้องการใช้งานบนอุปกรณ์ของตนเอง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Google ประกาศนโยบายบังคับให้นักพัฒนา Android ต้องลงทะเบียนเพื่อแจกจ่ายแอป
    รวมถึงการติดตั้งแบบ sideload บนอุปกรณ์ Android ที่ได้รับการรับรอง
    ต้องส่งเอกสารยืนยันตัวตน, จ่ายค่าธรรมเนียม และระบุ application identifiers
    F-Droid เตือนว่าโครงการอาจต้องยุติ หากนโยบายนี้ถูกบังคับใช้
    F-Droid ไม่สามารถลงทะเบียนแทนนักพัฒนา หรือยึดสิทธิ์การแจกจ่ายแอปได้
    Google อ้างว่าเป็นมาตรการป้องกันมัลแวร์และสร้างความรับผิดชอบ
    F-Droid โต้แย้งว่า Google Play เองก็เคยมีมัลแวร์จำนวนมาก
    ระบบ Play Protect สามารถลบแอปอันตรายได้โดยไม่ต้องบังคับลงทะเบียน
    F-Droid เรียกร้องให้หน่วยงานกำกับดูแลเข้ามาตรวจสอบนโยบายนี้

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    F-Droid เป็นแพลตฟอร์มโอเพ่นซอร์สที่ก่อตั้งในปี 2010 โดยไม่มีโฆษณาและไม่ติดตามผู้ใช้
    แอปใน F-Droid ถูกตรวจสอบโค้ด, คอมไพล์ใหม่ และเซ็นด้วยคีย์ที่ปลอดภัย
    การบังคับลงทะเบียนอาจทำให้ Android กลายเป็นระบบปิดคล้าย iOS
    นักพัฒนาอิสระจำนวนมากไม่สามารถจ่ายค่าธรรมเนียมหรือเปิดเผยตัวตนได้
    การรวมศูนย์การแจกจ่ายแอปอาจลดความหลากหลายและนวัตกรรมในระบบ Android

    https://f-droid.org/2025/09/29/google-developer-registration-decree.html
    📱 “Google เตรียมบังคับลงทะเบียนนักพัฒนา Android — F-Droid เตือนอาจเป็นจุดจบของแอปโอเพ่นซอร์ส” ในเดือนกันยายน 2025 Google ได้ประกาศนโยบายใหม่ที่สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับวงการนักพัฒนา Android ทั่วโลก โดยจะบังคับให้นักพัฒนาแอปทุกคนต้องลงทะเบียนกับ Google เพื่อแจกจ่ายแอปบนอุปกรณ์ Android ที่ได้รับการรับรอง แม้จะเป็นการติดตั้งแบบ sideload ก็ตาม ซึ่งหมายความว่าแม้คุณจะไม่ใช้ Google Play ก็ยังต้องผ่านการตรวจสอบจาก Google อยู่ดี การลงทะเบียนนี้ไม่ใช่แค่กรอกชื่อและอีเมล แต่ต้องส่งเอกสารยืนยันตัวตน เช่น บัตรประชาชนหรือหนังสือเดินทาง, จ่ายค่าธรรมเนียม และระบุ “application identifiers” ของทุกแอปที่ต้องการแจกจ่าย ซึ่งสร้างภาระให้กับนักพัฒนาอิสระและโครงการโอเพ่นซอร์สอย่างมาก F-Droid ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มแจกจ่ายแอปโอเพ่นซอร์สที่ไม่ใช้โฆษณา ไม่ติดตามผู้ใช้ และไม่บังคับให้มีบัญชีผู้ใช้ ออกมาเตือนว่า หากนโยบายนี้ถูกบังคับใช้จริง จะทำให้โครงการ F-Droid ไม่สามารถดำเนินต่อได้ เพราะไม่สามารถ “ยึดสิทธิ์” ของนักพัฒนาในการลงทะเบียนแทนได้ และไม่สามารถบังคับให้นักพัฒนาโอเพ่นซอร์สต้องเปิดเผยตัวตนหรือจ่ายเงินเพื่อแจกจ่ายแอปฟรี Google อ้างว่านโยบายนี้มีเป้าหมายเพื่อป้องกันมัลแวร์และสร้างความรับผิดชอบ แต่ F-Droid โต้แย้งว่า Google Play เองก็เคยมีมัลแวร์ที่ถูกดาวน์โหลดไปกว่า 19 ล้านครั้ง และระบบ Play Protect ก็สามารถลบแอปที่เป็นอันตรายได้อยู่แล้วโดยไม่ต้องบังคับลงทะเบียน F-Droid จึงเรียกร้องให้หน่วยงานกำกับดูแลในสหรัฐฯ และยุโรปเข้ามาตรวจสอบนโยบายนี้ เพราะอาจเป็นการรวมศูนย์อำนาจและทำลายเสรีภาพของผู้ใช้ในการเลือกซอฟต์แวร์ที่ต้องการใช้งานบนอุปกรณ์ของตนเอง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Google ประกาศนโยบายบังคับให้นักพัฒนา Android ต้องลงทะเบียนเพื่อแจกจ่ายแอป ➡️ รวมถึงการติดตั้งแบบ sideload บนอุปกรณ์ Android ที่ได้รับการรับรอง ➡️ ต้องส่งเอกสารยืนยันตัวตน, จ่ายค่าธรรมเนียม และระบุ application identifiers ➡️ F-Droid เตือนว่าโครงการอาจต้องยุติ หากนโยบายนี้ถูกบังคับใช้ ➡️ F-Droid ไม่สามารถลงทะเบียนแทนนักพัฒนา หรือยึดสิทธิ์การแจกจ่ายแอปได้ ➡️ Google อ้างว่าเป็นมาตรการป้องกันมัลแวร์และสร้างความรับผิดชอบ ➡️ F-Droid โต้แย้งว่า Google Play เองก็เคยมีมัลแวร์จำนวนมาก ➡️ ระบบ Play Protect สามารถลบแอปอันตรายได้โดยไม่ต้องบังคับลงทะเบียน ➡️ F-Droid เรียกร้องให้หน่วยงานกำกับดูแลเข้ามาตรวจสอบนโยบายนี้ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ F-Droid เป็นแพลตฟอร์มโอเพ่นซอร์สที่ก่อตั้งในปี 2010 โดยไม่มีโฆษณาและไม่ติดตามผู้ใช้ ➡️ แอปใน F-Droid ถูกตรวจสอบโค้ด, คอมไพล์ใหม่ และเซ็นด้วยคีย์ที่ปลอดภัย ➡️ การบังคับลงทะเบียนอาจทำให้ Android กลายเป็นระบบปิดคล้าย iOS ➡️ นักพัฒนาอิสระจำนวนมากไม่สามารถจ่ายค่าธรรมเนียมหรือเปิดเผยตัวตนได้ ➡️ การรวมศูนย์การแจกจ่ายแอปอาจลดความหลากหลายและนวัตกรรมในระบบ Android https://f-droid.org/2025/09/29/google-developer-registration-decree.html
    F-DROID.ORG
    F-Droid and Google's Developer Registration Decree | F-Droid - Free and Open Source Android App Repository
    For the past 15 years, F-Droidhas provided a safe and secure haven for Android users around the world tofind and install free and open source apps. When cont...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 124 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ช่องโหว่ในไดรเวอร์ GPU ของ Qualcomm ทำ Android ล่ม — PoC เผยจุดอ่อนระดับเคอร์เนลที่อาจถูกโจมตีได้จริง”

    นักวิจัยด้านความปลอดภัยได้เปิดเผยช่องโหว่ใหม่ในไดรเวอร์ KGSL ของ Qualcomm ซึ่งใช้ใน GPU ตระกูล Adreno บนอุปกรณ์ Android โดยช่องโหว่นี้เป็น “race condition” ที่เกิดขึ้นเมื่อสองเธรดเข้าถึงรายการข้อมูลเดียวกันพร้อมกัน ส่งผลให้เกิด “use-after-free” ซึ่งเป็นช่องโหว่ที่สามารถนำไปสู่การล่มของระบบ หรือแม้แต่การโจมตีแบบยกระดับสิทธิ์ (privilege escalation)

    ช่องโหว่นี้ถูกระบุใน CVE-2024-38399 และมีการเผยแพร่ PoC (Proof of Concept) ที่สามารถทำให้เคอร์เนลล่มได้จริง โดยใช้การเรียกฟังก์ชันที่เกี่ยวข้องกับการจัดการหน่วยความจำของ GPU ในจังหวะที่ระบบยังไม่ปลดล็อกการเข้าถึง ทำให้เกิดการใช้หน่วยความจำที่ถูกปล่อยไปแล้ว

    นักวิจัยพบว่าเมื่อเธรดหนึ่งปล่อยหน่วยความจำ และอีกเธรดหนึ่งยังคงเข้าถึงอยู่ จะเกิดการชนกันของข้อมูล ซึ่งนำไปสู่การล่มของเคอร์เนลทันที โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่มีการใช้งานกราฟิกหนัก เช่น การเล่นเกม หรือการเปลี่ยนหน้าจออย่างรวดเร็ว

    Qualcomm ยังไม่ได้ออกแพตช์อย่างเป็นทางการ แต่มีการแจ้งเตือนให้ผู้ผลิตอุปกรณ์ Android ตรวจสอบและอัปเดตไดรเวอร์ KGSL โดยเร็ว เพื่อป้องกันการโจมตีที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะในอุปกรณ์ที่ใช้ Snapdragon รุ่นใหม่ ๆ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ช่องโหว่ CVE-2024-38399 เกิดจาก race condition ในไดรเวอร์ KGSL ของ Qualcomm
    ใช้ใน GPU Adreno บนอุปกรณ์ Android เช่น สมาร์ตโฟนที่ใช้ Snapdragon
    ช่องโหว่นำไปสู่ use-after-free ซึ่งสามารถทำให้เคอร์เนลล่มหรือถูกโจมตีได้
    มีการเผยแพร่ PoC ที่สามารถทำให้ระบบล่มได้จริง
    เกิดจากการเข้าถึงหน่วยความจำพร้อมกันจากหลายเธรดในจังหวะที่ไม่ปลอดภัย
    Qualcomm แจ้งเตือนผู้ผลิตให้ตรวจสอบและอัปเดตไดรเวอร์ KGSL โดยเร็ว
    ช่องโหว่นี้มีผลกระทบต่อการใช้งานกราฟิกหนัก เช่น เกมหรือแอปที่เปลี่ยนหน้าจอเร็ว
    ยังไม่มีแพตช์อย่างเป็นทางการจาก Qualcomm ณ วันที่รายงาน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    KGSL (Kernel Graphics Support Layer) เป็นไดรเวอร์หลักที่จัดการ GPU บน Android
    Race condition เป็นช่องโหว่ที่เกิดจากการจัดการเธรดไม่ปลอดภัยในระบบหลายเธรด
    Use-after-free เป็นช่องโหว่ที่พบได้บ่อยในระบบปฏิบัติการและเบราว์เซอร์
    ช่องโหว่ระดับเคอร์เนลมีความรุนแรงสูง เพราะสามารถเข้าถึงสิทธิ์ระดับ root ได้
    การโจมตีแบบ privilege escalation สามารถใช้ช่องโหว่นี้เพื่อควบคุมอุปกรณ์ทั้งหมด

    https://securityonline.info/under-the-hood-of-a-kernel-crash-poc-exposes-race-condition-in-qualcomms-driver/
    🧨 “ช่องโหว่ในไดรเวอร์ GPU ของ Qualcomm ทำ Android ล่ม — PoC เผยจุดอ่อนระดับเคอร์เนลที่อาจถูกโจมตีได้จริง” นักวิจัยด้านความปลอดภัยได้เปิดเผยช่องโหว่ใหม่ในไดรเวอร์ KGSL ของ Qualcomm ซึ่งใช้ใน GPU ตระกูล Adreno บนอุปกรณ์ Android โดยช่องโหว่นี้เป็น “race condition” ที่เกิดขึ้นเมื่อสองเธรดเข้าถึงรายการข้อมูลเดียวกันพร้อมกัน ส่งผลให้เกิด “use-after-free” ซึ่งเป็นช่องโหว่ที่สามารถนำไปสู่การล่มของระบบ หรือแม้แต่การโจมตีแบบยกระดับสิทธิ์ (privilege escalation) ช่องโหว่นี้ถูกระบุใน CVE-2024-38399 และมีการเผยแพร่ PoC (Proof of Concept) ที่สามารถทำให้เคอร์เนลล่มได้จริง โดยใช้การเรียกฟังก์ชันที่เกี่ยวข้องกับการจัดการหน่วยความจำของ GPU ในจังหวะที่ระบบยังไม่ปลดล็อกการเข้าถึง ทำให้เกิดการใช้หน่วยความจำที่ถูกปล่อยไปแล้ว นักวิจัยพบว่าเมื่อเธรดหนึ่งปล่อยหน่วยความจำ และอีกเธรดหนึ่งยังคงเข้าถึงอยู่ จะเกิดการชนกันของข้อมูล ซึ่งนำไปสู่การล่มของเคอร์เนลทันที โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่มีการใช้งานกราฟิกหนัก เช่น การเล่นเกม หรือการเปลี่ยนหน้าจออย่างรวดเร็ว Qualcomm ยังไม่ได้ออกแพตช์อย่างเป็นทางการ แต่มีการแจ้งเตือนให้ผู้ผลิตอุปกรณ์ Android ตรวจสอบและอัปเดตไดรเวอร์ KGSL โดยเร็ว เพื่อป้องกันการโจมตีที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะในอุปกรณ์ที่ใช้ Snapdragon รุ่นใหม่ ๆ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ช่องโหว่ CVE-2024-38399 เกิดจาก race condition ในไดรเวอร์ KGSL ของ Qualcomm ➡️ ใช้ใน GPU Adreno บนอุปกรณ์ Android เช่น สมาร์ตโฟนที่ใช้ Snapdragon ➡️ ช่องโหว่นำไปสู่ use-after-free ซึ่งสามารถทำให้เคอร์เนลล่มหรือถูกโจมตีได้ ➡️ มีการเผยแพร่ PoC ที่สามารถทำให้ระบบล่มได้จริง ➡️ เกิดจากการเข้าถึงหน่วยความจำพร้อมกันจากหลายเธรดในจังหวะที่ไม่ปลอดภัย ➡️ Qualcomm แจ้งเตือนผู้ผลิตให้ตรวจสอบและอัปเดตไดรเวอร์ KGSL โดยเร็ว ➡️ ช่องโหว่นี้มีผลกระทบต่อการใช้งานกราฟิกหนัก เช่น เกมหรือแอปที่เปลี่ยนหน้าจอเร็ว ➡️ ยังไม่มีแพตช์อย่างเป็นทางการจาก Qualcomm ณ วันที่รายงาน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ KGSL (Kernel Graphics Support Layer) เป็นไดรเวอร์หลักที่จัดการ GPU บน Android ➡️ Race condition เป็นช่องโหว่ที่เกิดจากการจัดการเธรดไม่ปลอดภัยในระบบหลายเธรด ➡️ Use-after-free เป็นช่องโหว่ที่พบได้บ่อยในระบบปฏิบัติการและเบราว์เซอร์ ➡️ ช่องโหว่ระดับเคอร์เนลมีความรุนแรงสูง เพราะสามารถเข้าถึงสิทธิ์ระดับ root ได้ ➡️ การโจมตีแบบ privilege escalation สามารถใช้ช่องโหว่นี้เพื่อควบคุมอุปกรณ์ทั้งหมด https://securityonline.info/under-the-hood-of-a-kernel-crash-poc-exposes-race-condition-in-qualcomms-driver/
    SECURITYONLINE.INFO
    Under the Hood of a Kernel Crash: PoC Exposes Race Condition in Qualcomm's Driver
    A new PoC reveals a race condition in Qualcomm's KGSL GPU driver (CVE-2024-38399). Two threads can access the same list simultaneously, leading to a Use-After-Free vulnerability.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 125 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Proton Mail ปรับโฉมแอปมือถือใหม่หมด — เร็วขึ้น ลื่นขึ้น และปลอดภัยกว่าเดิม พร้อมโหมดออฟไลน์เต็มรูปแบบ”

    Proton Mail ผู้ให้บริการอีเมลที่เน้นความเป็นส่วนตัวจากสวิตเซอร์แลนด์ ได้เปิดตัวแอปมือถือเวอร์ชันใหม่ทั้งบน Android และ iOS โดยปรับปรุงตั้งแต่โครงสร้างภายในจนถึงหน้าตา เพื่อให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ที่เร็วขึ้น ลื่นไหลขึ้น และปลอดภัยยิ่งกว่าเดิม

    สิ่งแรกที่ผู้ใช้จะสัมผัสได้คือ “ความเร็ว” — การเปิดข้อความ การเลื่อนดูอีเมล และการจัดการกล่องจดหมายเร็วขึ้นกว่าเดิมถึง 2 เท่า การออกแบบใหม่ยังเน้นความเรียบง่าย โดยย้ายปุ่มสำคัญอย่าง “เขียนอีเมล” ไปไว้ในตำแหน่งที่ใช้งานสะดวกขึ้น เช่น ด้านล่างของหน้าจอ เพื่อรองรับการใช้งานมือเดียว

    อีกหนึ่งฟีเจอร์เด่นคือ “โหมดออฟไลน์” ที่ให้ผู้ใช้สามารถอ่าน เขียน และจัดการอีเมลได้แม้ไม่มีอินเทอร์เน็ต โดยระบบจะซิงก์ข้อมูลให้อัตโนมัติเมื่อกลับมาออนไลน์ ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญสำหรับผู้ใช้ที่ต้องเดินทางหรืออยู่ในพื้นที่สัญญาณอ่อน

    เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงนี้คือการรวมโค้ดของแอปทั้งสองแพลตฟอร์มให้เหมือนกันถึง 80% ทำให้การพัฒนาเร็วขึ้น ลดบั๊ก และสามารถปล่อยฟีเจอร์ใหม่พร้อมกันทั้ง Android และ iOS ได้ในอนาคต

    แม้ในขณะที่ iOS ได้รับอัปเดตแล้วทันที แต่ฝั่ง Android ยังอยู่ระหว่างการทยอยปล่อยผ่าน Play Store ซึ่ง Proton ยืนยันว่าจะตามมาในเร็ว ๆ นี้

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Proton Mail เปิดตัวแอปมือถือเวอร์ชันใหม่ทั้ง Android และ iOS
    ความเร็วในการใช้งานเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่า เช่น การเปิดข้อความและเลื่อนดูอีเมล
    ปรับดีไซน์ใหม่ให้เรียบง่ายและใช้งานสะดวกขึ้น โดยเฉพาะปุ่มเขียนอีเมล
    เพิ่มฟีเจอร์ “โหมดออฟไลน์” สำหรับอ่าน เขียน และจัดการอีเมลโดยไม่ต้องต่อเน็ต
    แอปทั้งสองแพลตฟอร์มมีโค้ดร่วมกันถึง 80% เพื่อการพัฒนาและอัปเดตที่รวดเร็ว
    ฟีเจอร์ใหม่จะปล่อยพร้อมกันทั้ง Android และ iOS ในอนาคต
    iOS ได้รับอัปเดตแล้ว ส่วน Android จะทยอยปล่อยเร็ว ๆ นี้
    Proton ยืนยันว่าไม่ใช้โมเดลโฆษณา และเน้นความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้เป็นหลัก

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Proton Mail ใช้การเข้ารหัสแบบ end-to-end และไม่มีการติดตามผู้ใช้
    แอปเวอร์ชันใหม่ช่วยลดการพึ่งพา Gmail หรือ Outlook สำหรับผู้ที่ต้องการความเป็นส่วนตัว
    โหมดออฟไลน์เป็นฟีเจอร์ที่หาได้ยากในแอปอีเมลที่เน้นความปลอดภัย
    การรวมโค้ดช่วยให้ทีมพัฒนาไม่ต้องดูแลแยกสองระบบ ลดข้อผิดพลาดและเพิ่มความเสถียร
    Proton ยังมีบริการอื่น เช่น Proton Calendar และ Proton Drive ที่กำลังพัฒนาให้มี UX ใกล้เคียงกัน

    https://news.itsfoss.com/proton-mail-android-ios-app-revamp/
    📬 “Proton Mail ปรับโฉมแอปมือถือใหม่หมด — เร็วขึ้น ลื่นขึ้น และปลอดภัยกว่าเดิม พร้อมโหมดออฟไลน์เต็มรูปแบบ” Proton Mail ผู้ให้บริการอีเมลที่เน้นความเป็นส่วนตัวจากสวิตเซอร์แลนด์ ได้เปิดตัวแอปมือถือเวอร์ชันใหม่ทั้งบน Android และ iOS โดยปรับปรุงตั้งแต่โครงสร้างภายในจนถึงหน้าตา เพื่อให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ที่เร็วขึ้น ลื่นไหลขึ้น และปลอดภัยยิ่งกว่าเดิม สิ่งแรกที่ผู้ใช้จะสัมผัสได้คือ “ความเร็ว” — การเปิดข้อความ การเลื่อนดูอีเมล และการจัดการกล่องจดหมายเร็วขึ้นกว่าเดิมถึง 2 เท่า การออกแบบใหม่ยังเน้นความเรียบง่าย โดยย้ายปุ่มสำคัญอย่าง “เขียนอีเมล” ไปไว้ในตำแหน่งที่ใช้งานสะดวกขึ้น เช่น ด้านล่างของหน้าจอ เพื่อรองรับการใช้งานมือเดียว อีกหนึ่งฟีเจอร์เด่นคือ “โหมดออฟไลน์” ที่ให้ผู้ใช้สามารถอ่าน เขียน และจัดการอีเมลได้แม้ไม่มีอินเทอร์เน็ต โดยระบบจะซิงก์ข้อมูลให้อัตโนมัติเมื่อกลับมาออนไลน์ ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญสำหรับผู้ใช้ที่ต้องเดินทางหรืออยู่ในพื้นที่สัญญาณอ่อน เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงนี้คือการรวมโค้ดของแอปทั้งสองแพลตฟอร์มให้เหมือนกันถึง 80% ทำให้การพัฒนาเร็วขึ้น ลดบั๊ก และสามารถปล่อยฟีเจอร์ใหม่พร้อมกันทั้ง Android และ iOS ได้ในอนาคต แม้ในขณะที่ iOS ได้รับอัปเดตแล้วทันที แต่ฝั่ง Android ยังอยู่ระหว่างการทยอยปล่อยผ่าน Play Store ซึ่ง Proton ยืนยันว่าจะตามมาในเร็ว ๆ นี้ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Proton Mail เปิดตัวแอปมือถือเวอร์ชันใหม่ทั้ง Android และ iOS ➡️ ความเร็วในการใช้งานเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่า เช่น การเปิดข้อความและเลื่อนดูอีเมล ➡️ ปรับดีไซน์ใหม่ให้เรียบง่ายและใช้งานสะดวกขึ้น โดยเฉพาะปุ่มเขียนอีเมล ➡️ เพิ่มฟีเจอร์ “โหมดออฟไลน์” สำหรับอ่าน เขียน และจัดการอีเมลโดยไม่ต้องต่อเน็ต ➡️ แอปทั้งสองแพลตฟอร์มมีโค้ดร่วมกันถึง 80% เพื่อการพัฒนาและอัปเดตที่รวดเร็ว ➡️ ฟีเจอร์ใหม่จะปล่อยพร้อมกันทั้ง Android และ iOS ในอนาคต ➡️ iOS ได้รับอัปเดตแล้ว ส่วน Android จะทยอยปล่อยเร็ว ๆ นี้ ➡️ Proton ยืนยันว่าไม่ใช้โมเดลโฆษณา และเน้นความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้เป็นหลัก ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Proton Mail ใช้การเข้ารหัสแบบ end-to-end และไม่มีการติดตามผู้ใช้ ➡️ แอปเวอร์ชันใหม่ช่วยลดการพึ่งพา Gmail หรือ Outlook สำหรับผู้ที่ต้องการความเป็นส่วนตัว ➡️ โหมดออฟไลน์เป็นฟีเจอร์ที่หาได้ยากในแอปอีเมลที่เน้นความปลอดภัย ➡️ การรวมโค้ดช่วยให้ทีมพัฒนาไม่ต้องดูแลแยกสองระบบ ลดข้อผิดพลาดและเพิ่มความเสถียร ➡️ Proton ยังมีบริการอื่น เช่น Proton Calendar และ Proton Drive ที่กำลังพัฒนาให้มี UX ใกล้เคียงกัน https://news.itsfoss.com/proton-mail-android-ios-app-revamp/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    Proton Mail on Android and iOS is Now Faster and More Beautiful
    Proton has revamped the Android and iOS apps for Proton Mail.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 155 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Veritas: อาวุธลับของ Apple ที่จะเปลี่ยน Siri ให้กลายเป็นผู้ช่วย AI ตัวจริงในปี 2026”

    Apple กำลังซุ่มพัฒนาเครื่องมือภายในชื่อว่า “Veritas” ซึ่งเป็นแอปที่มีลักษณะคล้าย ChatGPT แต่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ภายในองค์กรเท่านั้น จุดประสงค์หลักคือใช้ทดสอบและปรับปรุง Siri รุ่นใหม่ที่กำลังจะเปิดตัวในปี 2026 โดยไม่ใช่แค่การตอบคำสั่งแบบเดิม แต่เป็นการเปลี่ยน Siri ให้กลายเป็นผู้ช่วยที่เข้าใจบริบท ทำงานข้ามแอป และตอบสนองได้อย่างชาญฉลาด

    Veritas ทำหน้าที่เป็นสนามทดลองของ Apple โดยให้วิศวกรสามารถจำลองการสนทนาแบบหลายรอบ (multi-turn) ทดสอบการค้นหาข้อมูลส่วนตัว เช่น อีเมล เพลง หรือรูปภาพ และทดลองคำสั่งที่ซับซ้อน เช่น การตัดภาพ หรือการจัดการ playlist—all ผ่านการพูดคุยธรรมดา

    เบื้องหลังของ Veritas คือระบบใหม่ชื่อ “Linwood” ซึ่งใช้โมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) ที่พัฒนาโดยทีม Foundation Models ของ Apple ร่วมกับโมเดลจากภายนอก เช่น Gemini ของ Google โดย Apple ใช้ Veritas เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพระหว่างโมเดลภายในและภายนอก ก่อนตัดสินใจว่าจะใช้เทคโนโลยีใดในการเปิดตัว Siri รุ่นใหม่

    แม้จะมีแผนเปิดตัว Siri รุ่นใหม่ในปี 2024 แต่เกิดปัญหาทางวิศวกรรมที่ทำให้ฟีเจอร์ล้มเหลวถึง 1 ใน 3 ของการใช้งาน ส่งผลให้ Apple ต้องเลื่อนเปิดตัวเป็นเดือนมีนาคม 2026 และมีการเปลี่ยนแปลงทีมผู้นำด้าน AI หลายตำแหน่ง รวมถึงการลาออกของ Robby Walker ผู้ดูแล Siri เดิม

    Apple ยืนยันว่าเป้าหมายของ Siri รุ่นใหม่คือการเป็นผู้ช่วยที่สามารถเข้าใจสิ่งที่อยู่บนหน้าจอ ทำงานข้ามแอป และให้คำตอบที่อิงจากข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ โดยยังคงเน้นเรื่องความเป็นส่วนตัวและการประมวลผลบนอุปกรณ์เป็นหลัก

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Apple พัฒนาเครื่องมือภายในชื่อ “Veritas” เพื่อทดสอบ Siri รุ่นใหม่
    Veritas มีลักษณะคล้าย ChatGPT แต่ใช้เฉพาะภายในองค์กร
    ใช้ทดสอบการสนทนาแบบหลายรอบ และการค้นหาข้อมูลส่วนตัว เช่น อีเมล เพลง รูปภาพ
    ระบบเบื้องหลังชื่อ “Linwood” ใช้ LLM จาก Apple และโมเดลภายนอก
    Apple กำลังเปรียบเทียบโมเดลภายในกับ Gemini ของ Google
    Siri รุ่นใหม่จะสามารถเข้าใจบริบท ทำงานข้ามแอป และให้คำตอบแบบเฉพาะบุคคล
    การเปิดตัว Siri รุ่นใหม่ถูกเลื่อนจากปี 2024 เป็นมีนาคม 2026
    มีการเปลี่ยนแปลงทีมผู้นำด้าน AI เช่น การลาออกของ Robby Walker
    Apple ยังคงเน้นเรื่องความเป็นส่วนตัวและการประมวลผลบนอุปกรณ์

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Siri รุ่นใหม่จะสามารถจัดการงานในแอป เช่น ตัดภาพหรือจัด playlist ผ่านคำสั่งเสียง
    Apple ใช้แนวทาง “dual-path” คือเปรียบเทียบโมเดล Linwood กับ Glenwood ที่ใช้โมเดลภายนอก
    การใช้ Veritas ช่วยให้ Apple ตรวจสอบฟีเจอร์ก่อนเปิดตัวจริง ลดความเสี่ยงจากบั๊กหรือปัญหาความปลอดภัย
    Apple Intelligence ที่เปิดตัวใน WWDC 2024 ยังไม่ตอบโจทย์ผู้ใช้เท่าที่คาดหวัง
    การแข่งขันด้าน AI ระหว่าง Apple, Google และ OpenAI จะเป็นตัวกำหนดทิศทางของผู้ช่วยดิจิทัลในอนาคต

    https://securityonline.info/apples-secret-weapon-the-chatgpt-like-veritas-tool-thats-helping-build-a-next-gen-siri/
    🧠 “Veritas: อาวุธลับของ Apple ที่จะเปลี่ยน Siri ให้กลายเป็นผู้ช่วย AI ตัวจริงในปี 2026” Apple กำลังซุ่มพัฒนาเครื่องมือภายในชื่อว่า “Veritas” ซึ่งเป็นแอปที่มีลักษณะคล้าย ChatGPT แต่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ภายในองค์กรเท่านั้น จุดประสงค์หลักคือใช้ทดสอบและปรับปรุง Siri รุ่นใหม่ที่กำลังจะเปิดตัวในปี 2026 โดยไม่ใช่แค่การตอบคำสั่งแบบเดิม แต่เป็นการเปลี่ยน Siri ให้กลายเป็นผู้ช่วยที่เข้าใจบริบท ทำงานข้ามแอป และตอบสนองได้อย่างชาญฉลาด Veritas ทำหน้าที่เป็นสนามทดลองของ Apple โดยให้วิศวกรสามารถจำลองการสนทนาแบบหลายรอบ (multi-turn) ทดสอบการค้นหาข้อมูลส่วนตัว เช่น อีเมล เพลง หรือรูปภาพ และทดลองคำสั่งที่ซับซ้อน เช่น การตัดภาพ หรือการจัดการ playlist—all ผ่านการพูดคุยธรรมดา เบื้องหลังของ Veritas คือระบบใหม่ชื่อ “Linwood” ซึ่งใช้โมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) ที่พัฒนาโดยทีม Foundation Models ของ Apple ร่วมกับโมเดลจากภายนอก เช่น Gemini ของ Google โดย Apple ใช้ Veritas เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพระหว่างโมเดลภายในและภายนอก ก่อนตัดสินใจว่าจะใช้เทคโนโลยีใดในการเปิดตัว Siri รุ่นใหม่ แม้จะมีแผนเปิดตัว Siri รุ่นใหม่ในปี 2024 แต่เกิดปัญหาทางวิศวกรรมที่ทำให้ฟีเจอร์ล้มเหลวถึง 1 ใน 3 ของการใช้งาน ส่งผลให้ Apple ต้องเลื่อนเปิดตัวเป็นเดือนมีนาคม 2026 และมีการเปลี่ยนแปลงทีมผู้นำด้าน AI หลายตำแหน่ง รวมถึงการลาออกของ Robby Walker ผู้ดูแล Siri เดิม Apple ยืนยันว่าเป้าหมายของ Siri รุ่นใหม่คือการเป็นผู้ช่วยที่สามารถเข้าใจสิ่งที่อยู่บนหน้าจอ ทำงานข้ามแอป และให้คำตอบที่อิงจากข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ โดยยังคงเน้นเรื่องความเป็นส่วนตัวและการประมวลผลบนอุปกรณ์เป็นหลัก ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Apple พัฒนาเครื่องมือภายในชื่อ “Veritas” เพื่อทดสอบ Siri รุ่นใหม่ ➡️ Veritas มีลักษณะคล้าย ChatGPT แต่ใช้เฉพาะภายในองค์กร ➡️ ใช้ทดสอบการสนทนาแบบหลายรอบ และการค้นหาข้อมูลส่วนตัว เช่น อีเมล เพลง รูปภาพ ➡️ ระบบเบื้องหลังชื่อ “Linwood” ใช้ LLM จาก Apple และโมเดลภายนอก ➡️ Apple กำลังเปรียบเทียบโมเดลภายในกับ Gemini ของ Google ➡️ Siri รุ่นใหม่จะสามารถเข้าใจบริบท ทำงานข้ามแอป และให้คำตอบแบบเฉพาะบุคคล ➡️ การเปิดตัว Siri รุ่นใหม่ถูกเลื่อนจากปี 2024 เป็นมีนาคม 2026 ➡️ มีการเปลี่ยนแปลงทีมผู้นำด้าน AI เช่น การลาออกของ Robby Walker ➡️ Apple ยังคงเน้นเรื่องความเป็นส่วนตัวและการประมวลผลบนอุปกรณ์ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Siri รุ่นใหม่จะสามารถจัดการงานในแอป เช่น ตัดภาพหรือจัด playlist ผ่านคำสั่งเสียง ➡️ Apple ใช้แนวทาง “dual-path” คือเปรียบเทียบโมเดล Linwood กับ Glenwood ที่ใช้โมเดลภายนอก ➡️ การใช้ Veritas ช่วยให้ Apple ตรวจสอบฟีเจอร์ก่อนเปิดตัวจริง ลดความเสี่ยงจากบั๊กหรือปัญหาความปลอดภัย ➡️ Apple Intelligence ที่เปิดตัวใน WWDC 2024 ยังไม่ตอบโจทย์ผู้ใช้เท่าที่คาดหวัง ➡️ การแข่งขันด้าน AI ระหว่าง Apple, Google และ OpenAI จะเป็นตัวกำหนดทิศทางของผู้ช่วยดิจิทัลในอนาคต https://securityonline.info/apples-secret-weapon-the-chatgpt-like-veritas-tool-thats-helping-build-a-next-gen-siri/
    SECURITYONLINE.INFO
    Apple’s Secret Weapon: The ChatGPT-Like "Veritas" Tool That's Helping Build a Next-Gen Siri
    Apple is internally testing a ChatGPT-like tool, codenamed "Veritas," to accelerate the development of a more capable, AI-driven Siri with personalized features.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 189 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ChatGPT Pulse: ผู้ช่วย AI ที่ตื่นก่อนคุณ — เปลี่ยนทุกเช้าให้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของวันอัจฉริยะ”

    OpenAI เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ใน ChatGPT ชื่อว่า “ChatGPT Pulse” ซึ่งเปลี่ยนบทบาทของ AI จากผู้ตอบคำถาม มาเป็นผู้ช่วยส่วนตัวที่ “คิดล่วงหน้า” และส่งข้อมูลที่คุณต้องการก่อนที่คุณจะถามเสียอีก

    Pulse ทำงานเบื้องหลังขณะคุณหลับ โดยวิเคราะห์ประวัติการสนทนา ความสนใจ และข้อมูลจากแอปที่คุณเชื่อมต่อ เช่น Gmail และ Google Calendar เพื่อสร้างสรุปประจำวันในรูปแบบ “การ์ดภาพ” ที่อ่านง่ายและเน้นการลงมือทำ เช่น แจ้งเตือนงานที่ใกล้ถึง เสนอสูตรอาหารเย็น หรือเตือนให้คุณออกกำลังกายตามแผนที่เคยตั้งไว้

    ฟีเจอร์นี้เปิดให้ใช้งานเฉพาะผู้สมัครสมาชิก Pro ($200/เดือน) ผ่านแอปมือถือ โดย Pulse จะปรากฏเป็นแท็บใหม่ในแอป และอัปเดตทุกเช้า การ์ดจะหายไปภายใน 24 ชั่วโมง เว้นแต่คุณจะบันทึกไว้หรือขอข้อมูลเพิ่มเติม

    ผู้ใช้สามารถปรับแต่ง Pulse ได้ด้วยปุ่ม “curate” เพื่อระบุหัวข้อที่ต้องการ เช่น “อัปเดตข่าวเทคโนโลยีใน Bay Area” หรือ “เตือนเรื่องสุขภาพวันศุกร์” และสามารถให้คะแนนแต่ละการ์ดเพื่อปรับปรุงการแนะนำในอนาคต

    Pulse ไม่ได้มาแทนแหล่งข้อมูลเดิม แต่ทำหน้าที่เป็น “ผู้จัดการข้อมูล” ที่ช่วยกรองและเน้นสิ่งที่สำคัญที่สุดในแต่ละวัน โดยมีระบบตรวจสอบความปลอดภัยในเนื้อหา และการเชื่อมต่อแอปทั้งหมดเป็นแบบ opt-in ผู้ใช้สามารถปิด Pulse ได้ทุกเมื่อใน Settings

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ChatGPT Pulse เป็นฟีเจอร์ใหม่ที่เปลี่ยน ChatGPT จากผู้ตอบคำถามเป็นผู้ช่วยเชิงรุก
    ทำงานเบื้องหลังขณะผู้ใช้หลับ เพื่อสร้างสรุปประจำวันแบบการ์ดภาพ 5–10 ใบ
    ใช้ข้อมูลจากการสนทนา ความสนใจ และแอปที่เชื่อมต่อ เช่น Gmail และ Google Calendar
    การ์ดจะหายไปภายใน 24 ชั่วโมง เว้นแต่ผู้ใช้จะบันทึกหรือขอข้อมูลเพิ่มเติม
    ผู้ใช้สามารถปรับแต่งหัวข้อที่ต้องการผ่านปุ่ม “curate” และให้คะแนนการ์ดแต่ละใบ
    Pulse ใช้ระบบ Memory และ Feedback เพื่อปรับปรุงการแนะนำในอนาคต
    ฟีเจอร์นี้เปิดให้ใช้เฉพาะผู้สมัครสมาชิก Pro ($200/เดือน) ผ่านแอปมือถือ
    มีแผนขยายไปยังผู้ใช้ Plus ($20/เดือน) และผู้ใช้ฟรีในอนาคต

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Pulse เป็นส่วนหนึ่งของแนวคิด “Agentic AI” ที่ AI ทำงานเชิงรุกแทนการรอคำสั่ง
    การ์ดภาพช่วยลดการ scroll แบบไร้จุดหมาย และเน้นข้อมูลที่ actionable
    การเชื่อมต่อกับ Gmail และ Calendar ช่วยให้ Pulse เสนอแนะที่ตรงกับบริบทชีวิตจริง
    ผู้ใช้สามารถขอรายงานอัตโนมัติ เช่น “สรุปข่าวทีมฟุตบอลโปรด” หรือ “แผนเดินทางสำหรับครอบครัว”
    การทดสอบกับนักศึกษาพบว่า Pulse มีประโยชน์มากขึ้นเมื่อผู้ใช้กำหนดทิศทางการใช้งาน

    https://securityonline.info/chatgpt-pulse-arrives-the-proactive-ai-assistant-that-reshapes-your-morning-routine/
    🌅 “ChatGPT Pulse: ผู้ช่วย AI ที่ตื่นก่อนคุณ — เปลี่ยนทุกเช้าให้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของวันอัจฉริยะ” OpenAI เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ใน ChatGPT ชื่อว่า “ChatGPT Pulse” ซึ่งเปลี่ยนบทบาทของ AI จากผู้ตอบคำถาม มาเป็นผู้ช่วยส่วนตัวที่ “คิดล่วงหน้า” และส่งข้อมูลที่คุณต้องการก่อนที่คุณจะถามเสียอีก Pulse ทำงานเบื้องหลังขณะคุณหลับ โดยวิเคราะห์ประวัติการสนทนา ความสนใจ และข้อมูลจากแอปที่คุณเชื่อมต่อ เช่น Gmail และ Google Calendar เพื่อสร้างสรุปประจำวันในรูปแบบ “การ์ดภาพ” ที่อ่านง่ายและเน้นการลงมือทำ เช่น แจ้งเตือนงานที่ใกล้ถึง เสนอสูตรอาหารเย็น หรือเตือนให้คุณออกกำลังกายตามแผนที่เคยตั้งไว้ ฟีเจอร์นี้เปิดให้ใช้งานเฉพาะผู้สมัครสมาชิก Pro ($200/เดือน) ผ่านแอปมือถือ โดย Pulse จะปรากฏเป็นแท็บใหม่ในแอป และอัปเดตทุกเช้า การ์ดจะหายไปภายใน 24 ชั่วโมง เว้นแต่คุณจะบันทึกไว้หรือขอข้อมูลเพิ่มเติม ผู้ใช้สามารถปรับแต่ง Pulse ได้ด้วยปุ่ม “curate” เพื่อระบุหัวข้อที่ต้องการ เช่น “อัปเดตข่าวเทคโนโลยีใน Bay Area” หรือ “เตือนเรื่องสุขภาพวันศุกร์” และสามารถให้คะแนนแต่ละการ์ดเพื่อปรับปรุงการแนะนำในอนาคต Pulse ไม่ได้มาแทนแหล่งข้อมูลเดิม แต่ทำหน้าที่เป็น “ผู้จัดการข้อมูล” ที่ช่วยกรองและเน้นสิ่งที่สำคัญที่สุดในแต่ละวัน โดยมีระบบตรวจสอบความปลอดภัยในเนื้อหา และการเชื่อมต่อแอปทั้งหมดเป็นแบบ opt-in ผู้ใช้สามารถปิด Pulse ได้ทุกเมื่อใน Settings ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ChatGPT Pulse เป็นฟีเจอร์ใหม่ที่เปลี่ยน ChatGPT จากผู้ตอบคำถามเป็นผู้ช่วยเชิงรุก ➡️ ทำงานเบื้องหลังขณะผู้ใช้หลับ เพื่อสร้างสรุปประจำวันแบบการ์ดภาพ 5–10 ใบ ➡️ ใช้ข้อมูลจากการสนทนา ความสนใจ และแอปที่เชื่อมต่อ เช่น Gmail และ Google Calendar ➡️ การ์ดจะหายไปภายใน 24 ชั่วโมง เว้นแต่ผู้ใช้จะบันทึกหรือขอข้อมูลเพิ่มเติม ➡️ ผู้ใช้สามารถปรับแต่งหัวข้อที่ต้องการผ่านปุ่ม “curate” และให้คะแนนการ์ดแต่ละใบ ➡️ Pulse ใช้ระบบ Memory และ Feedback เพื่อปรับปรุงการแนะนำในอนาคต ➡️ ฟีเจอร์นี้เปิดให้ใช้เฉพาะผู้สมัครสมาชิก Pro ($200/เดือน) ผ่านแอปมือถือ ➡️ มีแผนขยายไปยังผู้ใช้ Plus ($20/เดือน) และผู้ใช้ฟรีในอนาคต ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Pulse เป็นส่วนหนึ่งของแนวคิด “Agentic AI” ที่ AI ทำงานเชิงรุกแทนการรอคำสั่ง ➡️ การ์ดภาพช่วยลดการ scroll แบบไร้จุดหมาย และเน้นข้อมูลที่ actionable ➡️ การเชื่อมต่อกับ Gmail และ Calendar ช่วยให้ Pulse เสนอแนะที่ตรงกับบริบทชีวิตจริง ➡️ ผู้ใช้สามารถขอรายงานอัตโนมัติ เช่น “สรุปข่าวทีมฟุตบอลโปรด” หรือ “แผนเดินทางสำหรับครอบครัว” ➡️ การทดสอบกับนักศึกษาพบว่า Pulse มีประโยชน์มากขึ้นเมื่อผู้ใช้กำหนดทิศทางการใช้งาน https://securityonline.info/chatgpt-pulse-arrives-the-proactive-ai-assistant-that-reshapes-your-morning-routine/
    SECURITYONLINE.INFO
    ChatGPT Pulse Arrives: The Proactive AI Assistant That Reshapes Your Morning Routine
    OpenAI's new ChatGPT Pulse feature delivers daily, personalized updates based on your interests, chats, and calendar. The proactive AI assistant is now available for Pro users.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 178 มุมมอง 0 รีวิว
  • “แบต iPhone 16 Pro Max ยังสดใหม่ 98% หลังใช้งาน 1 ปี — เคล็ดลับง่าย ๆ ที่ใครก็ทำได้”

    ผู้ใช้ iPhone 16 Pro Max รายหนึ่งเผยประสบการณ์ตรงหลังใช้งานมือถือรุ่นเรือธงของ Apple มาเป็นเวลา 12 เดือนเต็ม โดยสามารถรักษาสุขภาพแบตเตอรี่ไว้ได้ถึง 98% ซึ่งถือว่าสูงมากเมื่อเทียบกับการใช้งานทุกวัน ทั้งทำงาน ดูสื่อ และเชื่อมต่อกับโลกออนไลน์

    เขาไม่ได้ใช้วิธีซับซ้อนหรืออุปกรณ์พิเศษใด ๆ แต่เน้น “วินัยในการชาร์จ” และ “การจัดการพลังงาน” ที่สม่ำเสมอ เช่น เปิดฟีเจอร์ Optimized Battery Charging เพื่อให้เครื่องชาร์จถึง 80% แล้วหยุดไว้ก่อนจะเติมเต็มในช่วงใกล้ตื่นนอน ลดความเครียดของเซลล์แบตเตอรี่ในช่วงกลางคืน

    นอกจากนี้ยังหลีกเลี่ยงการชาร์จในที่ร้อน เช่น กลางแดดหรือขณะรันแอปหนัก ๆ และเลือกชาร์จในช่วง 20–90% โดยไม่ปล่อยให้แบตหมดหรือค้างไว้ที่ 100% นานเกินไป อีกหนึ่งเคล็ดลับคือใช้เฉพาะอุปกรณ์ชาร์จของ Apple เพื่อความเสถียรของกระแสไฟ

    เขายังจัดการการใช้งานรายวันอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ปิดการทำงานเบื้องหลังของแอปที่ไม่จำเป็น ใช้ Low Power Mode ในวันที่ยุ่ง และอัปเดต iOS อย่างสม่ำเสมอเพื่อรับการปรับปรุงด้านพลังงานล่าสุด รวมถึงฟีเจอร์ใหม่อย่าง Adaptive Power Mode ที่ใช้ AI ช่วยปรับการใช้พลังงานตามพฤติกรรมของผู้ใช้

    เมื่อรวมทุกปัจจัยเข้าด้วยกัน เขาสามารถรักษา cycle count ไว้ที่ 219 ครั้ง จาก 360 วัน ซึ่งถือว่าต่ำมากสำหรับการใช้งานจริง และเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้แบตยังคงสุขภาพดี

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    iPhone 16 Pro Max มีแบตเตอรี่สุขภาพ 98% หลังใช้งาน 12 เดือน
    ใช้ฟีเจอร์ Optimized Battery Charging เพื่อชาร์จอย่างมีประสิทธิภาพ
    หลีกเลี่ยงการชาร์จในที่ร้อนหรือขณะใช้งานหนัก
    ชาร์จในช่วง 20–90% และไม่ปล่อยให้แบตหมดหรือเต็มนานเกินไป
    ใช้อุปกรณ์ชาร์จของ Apple เท่านั้นเพื่อความปลอดภัย
    ปิดการทำงานเบื้องหลังของแอปที่ไม่จำเป็น
    ใช้ Low Power Mode ในวันที่ต้องการประหยัดพลังงาน
    อัปเดต iOS และแอปอย่างสม่ำเสมอเพื่อรับการปรับปรุงด้านพลังงาน
    ฟีเจอร์ Adaptive Power Mode ใช้ AI ปรับการใช้พลังงานตามพฤติกรรม
    cycle count อยู่ที่ 219 ครั้ง จาก 360 วัน ถือว่าต่ำมากสำหรับการใช้งานจริง

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    iPhone 16 Pro ใช้ชิป A18 Pro ที่มีประสิทธิภาพด้านพลังงานสูงขึ้น
    Apple ใช้เทคนิค “capacity buffer” เพื่อยืดอายุแบตเตอรี่
    iOS 19 มีระบบจัดการพลังงานที่แม่นยำขึ้น เช่น การปรับ refresh rate และการควบคุม background activity
    การปิด Live Activities และ Background App Refresh ช่วยลดการใช้พลังงาน
    การเก็บเครื่องที่ไม่ได้ใช้งานไว้ที่แบต 50% ช่วยรักษาสุขภาพแบตในระยะยาว

    https://wccftech.com/iphone-16-pro-max-98-percent-battery-health-after-12-months/
    🔋 “แบต iPhone 16 Pro Max ยังสดใหม่ 98% หลังใช้งาน 1 ปี — เคล็ดลับง่าย ๆ ที่ใครก็ทำได้” ผู้ใช้ iPhone 16 Pro Max รายหนึ่งเผยประสบการณ์ตรงหลังใช้งานมือถือรุ่นเรือธงของ Apple มาเป็นเวลา 12 เดือนเต็ม โดยสามารถรักษาสุขภาพแบตเตอรี่ไว้ได้ถึง 98% ซึ่งถือว่าสูงมากเมื่อเทียบกับการใช้งานทุกวัน ทั้งทำงาน ดูสื่อ และเชื่อมต่อกับโลกออนไลน์ เขาไม่ได้ใช้วิธีซับซ้อนหรืออุปกรณ์พิเศษใด ๆ แต่เน้น “วินัยในการชาร์จ” และ “การจัดการพลังงาน” ที่สม่ำเสมอ เช่น เปิดฟีเจอร์ Optimized Battery Charging เพื่อให้เครื่องชาร์จถึง 80% แล้วหยุดไว้ก่อนจะเติมเต็มในช่วงใกล้ตื่นนอน ลดความเครียดของเซลล์แบตเตอรี่ในช่วงกลางคืน นอกจากนี้ยังหลีกเลี่ยงการชาร์จในที่ร้อน เช่น กลางแดดหรือขณะรันแอปหนัก ๆ และเลือกชาร์จในช่วง 20–90% โดยไม่ปล่อยให้แบตหมดหรือค้างไว้ที่ 100% นานเกินไป อีกหนึ่งเคล็ดลับคือใช้เฉพาะอุปกรณ์ชาร์จของ Apple เพื่อความเสถียรของกระแสไฟ เขายังจัดการการใช้งานรายวันอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ปิดการทำงานเบื้องหลังของแอปที่ไม่จำเป็น ใช้ Low Power Mode ในวันที่ยุ่ง และอัปเดต iOS อย่างสม่ำเสมอเพื่อรับการปรับปรุงด้านพลังงานล่าสุด รวมถึงฟีเจอร์ใหม่อย่าง Adaptive Power Mode ที่ใช้ AI ช่วยปรับการใช้พลังงานตามพฤติกรรมของผู้ใช้ เมื่อรวมทุกปัจจัยเข้าด้วยกัน เขาสามารถรักษา cycle count ไว้ที่ 219 ครั้ง จาก 360 วัน ซึ่งถือว่าต่ำมากสำหรับการใช้งานจริง และเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้แบตยังคงสุขภาพดี ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ iPhone 16 Pro Max มีแบตเตอรี่สุขภาพ 98% หลังใช้งาน 12 เดือน ➡️ ใช้ฟีเจอร์ Optimized Battery Charging เพื่อชาร์จอย่างมีประสิทธิภาพ ➡️ หลีกเลี่ยงการชาร์จในที่ร้อนหรือขณะใช้งานหนัก ➡️ ชาร์จในช่วง 20–90% และไม่ปล่อยให้แบตหมดหรือเต็มนานเกินไป ➡️ ใช้อุปกรณ์ชาร์จของ Apple เท่านั้นเพื่อความปลอดภัย ➡️ ปิดการทำงานเบื้องหลังของแอปที่ไม่จำเป็น ➡️ ใช้ Low Power Mode ในวันที่ต้องการประหยัดพลังงาน ➡️ อัปเดต iOS และแอปอย่างสม่ำเสมอเพื่อรับการปรับปรุงด้านพลังงาน ➡️ ฟีเจอร์ Adaptive Power Mode ใช้ AI ปรับการใช้พลังงานตามพฤติกรรม ➡️ cycle count อยู่ที่ 219 ครั้ง จาก 360 วัน ถือว่าต่ำมากสำหรับการใช้งานจริง ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ iPhone 16 Pro ใช้ชิป A18 Pro ที่มีประสิทธิภาพด้านพลังงานสูงขึ้น ➡️ Apple ใช้เทคนิค “capacity buffer” เพื่อยืดอายุแบตเตอรี่ ➡️ iOS 19 มีระบบจัดการพลังงานที่แม่นยำขึ้น เช่น การปรับ refresh rate และการควบคุม background activity ➡️ การปิด Live Activities และ Background App Refresh ช่วยลดการใช้พลังงาน ➡️ การเก็บเครื่องที่ไม่ได้ใช้งานไว้ที่แบต 50% ช่วยรักษาสุขภาพแบตในระยะยาว https://wccftech.com/iphone-16-pro-max-98-percent-battery-health-after-12-months/
    WCCFTECH.COM
    How I Managed To Retain 98 Percent Battery Health On My iPhone 16 Pro Max After 12 Months Of Use
    Learn the charging habits and smart practices that helped me keep my iPhone 16 Pro Max battery health at 98 percent.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 157 มุมมอง 0 รีวิว
  • “แอปมือถือรั่วข้อมูลหนัก — iOS แย่กว่า Android และ API กลายเป็นช่องโหว่หลักขององค์กร”

    รายงานล่าสุดจาก Zimperium เผยให้เห็นภาพที่น่าตกใจของความเสี่ยงด้านความปลอดภัยในแอปมือถือ โดยเฉพาะในระบบ iOS และ Android ซึ่งกลายเป็นสนามรบใหม่ของการโจมตีผ่าน API โดยตรง รายงานระบุว่า “มากกว่าครึ่ง” ของแอป iOS และ “หนึ่งในสาม” ของแอป Android มีการรั่วไหลของข้อมูลสำคัญ เช่น ข้อมูลส่วนตัว (PII), token, และข้อมูลระบบที่สามารถนำไปใช้โจมตีต่อได้ทันที

    สิ่งที่ทำให้สถานการณ์เลวร้ายยิ่งขึ้นคือการที่แฮกเกอร์สามารถดัดแปลงแอปจากฝั่ง client ได้โดยตรง เช่น การ reverse-engineer โค้ด, การปลอม API call ให้ดูเหมือนถูกต้อง, หรือแม้แต่การฝัง SDK ที่แอบส่งข้อมูลออกไปโดยผู้ใช้ไม่รู้ตัว แม้จะมีการใช้ SSL pinning หรือ API key validation ก็ยังไม่สามารถป้องกันได้ทั้งหมด เพราะการโจมตีเกิด “ภายในแอป” ไม่ใช่แค่ที่ขอบระบบอีกต่อไป

    นอกจากนี้ยังพบว่า 6% ของแอป Android ชั้นนำเขียนข้อมูลส่วนตัวลงใน console log และ 4% เขียนลง external storage ที่แอปอื่นสามารถเข้าถึงได้ ซึ่งถือเป็นการเปิดช่องให้มัลแวร์หรือแอปไม่พึงประสงค์เข้าถึงข้อมูลได้ง่ายขึ้น อีกทั้ง 37% ของแอปยอดนิยมยังส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ภายนอกโดยไม่มีการเข้ารหัสที่เพียงพอ

    Zimperium แนะนำให้เปลี่ยนแนวทางการป้องกันจาก “ขอบระบบ” มาเป็น “ภายในแอป” โดยใช้เทคนิคเช่น code obfuscation, runtime protection, และการตรวจสอบว่า API call มาจากแอปที่ไม่ถูกดัดแปลงเท่านั้น

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    มากกว่าครึ่งของแอป iOS และหนึ่งในสามของแอป Android มีการรั่วไหลของข้อมูลสำคัญ
    API กลายเป็นช่องโหว่หลักที่แฮกเกอร์ใช้โจมตีผ่านแอปมือถือ
    การโจมตีเกิดจากฝั่ง client เช่น reverse-engineering และการปลอม API call
    SSL pinning และ API key validation ไม่สามารถป้องกันการโจมตีภายในแอปได้
    6% ของแอป Android ชั้นนำเขียนข้อมูลลง console log และ 4% เขียนลง external storage
    37% ของแอปยอดนิยมส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ภายนอกโดยไม่มีการเข้ารหัส
    SDK บางตัวสามารถแอบส่งข้อมูล, บันทึกตำแหน่ง GPS และพฤติกรรมผู้ใช้
    Zimperium แนะนำให้ใช้ in-app defense เช่น code obfuscation และ runtime protection

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    API เป็นหัวใจของแอปยุคใหม่ แต่ก็เป็นจุดที่ถูกโจมตีมากที่สุด
    อุปกรณ์ที่ถูก root หรือ jailbreak สามารถเปิดช่องให้แฮกเกอร์ควบคุมได้เต็มรูปแบบ
    การป้องกันแบบ perimeter เช่น firewall และ gateway ไม่สามารถตรวจสอบความถูกต้องของแอปที่ส่ง request ได้
    การใช้ Bring-Your-Own-Device (BYOD) ในองค์กรเพิ่มความเสี่ยงจากแอปที่ไม่ปลอดภัย
    การตรวจสอบพฤติกรรมแอปและการตั้งค่าความปลอดภัยพื้นฐาน เช่น screen lock และ OS update เป็นสิ่งจำเป็น

    https://www.techradar.com/pro/security/apple-ios-apps-are-worse-at-leaking-sensitive-data-than-android-apps-finds-worrying-research-heres-what-you-need-to-know
    📱 “แอปมือถือรั่วข้อมูลหนัก — iOS แย่กว่า Android และ API กลายเป็นช่องโหว่หลักขององค์กร” รายงานล่าสุดจาก Zimperium เผยให้เห็นภาพที่น่าตกใจของความเสี่ยงด้านความปลอดภัยในแอปมือถือ โดยเฉพาะในระบบ iOS และ Android ซึ่งกลายเป็นสนามรบใหม่ของการโจมตีผ่าน API โดยตรง รายงานระบุว่า “มากกว่าครึ่ง” ของแอป iOS และ “หนึ่งในสาม” ของแอป Android มีการรั่วไหลของข้อมูลสำคัญ เช่น ข้อมูลส่วนตัว (PII), token, และข้อมูลระบบที่สามารถนำไปใช้โจมตีต่อได้ทันที สิ่งที่ทำให้สถานการณ์เลวร้ายยิ่งขึ้นคือการที่แฮกเกอร์สามารถดัดแปลงแอปจากฝั่ง client ได้โดยตรง เช่น การ reverse-engineer โค้ด, การปลอม API call ให้ดูเหมือนถูกต้อง, หรือแม้แต่การฝัง SDK ที่แอบส่งข้อมูลออกไปโดยผู้ใช้ไม่รู้ตัว แม้จะมีการใช้ SSL pinning หรือ API key validation ก็ยังไม่สามารถป้องกันได้ทั้งหมด เพราะการโจมตีเกิด “ภายในแอป” ไม่ใช่แค่ที่ขอบระบบอีกต่อไป นอกจากนี้ยังพบว่า 6% ของแอป Android ชั้นนำเขียนข้อมูลส่วนตัวลงใน console log และ 4% เขียนลง external storage ที่แอปอื่นสามารถเข้าถึงได้ ซึ่งถือเป็นการเปิดช่องให้มัลแวร์หรือแอปไม่พึงประสงค์เข้าถึงข้อมูลได้ง่ายขึ้น อีกทั้ง 37% ของแอปยอดนิยมยังส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ภายนอกโดยไม่มีการเข้ารหัสที่เพียงพอ Zimperium แนะนำให้เปลี่ยนแนวทางการป้องกันจาก “ขอบระบบ” มาเป็น “ภายในแอป” โดยใช้เทคนิคเช่น code obfuscation, runtime protection, และการตรวจสอบว่า API call มาจากแอปที่ไม่ถูกดัดแปลงเท่านั้น ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ มากกว่าครึ่งของแอป iOS และหนึ่งในสามของแอป Android มีการรั่วไหลของข้อมูลสำคัญ ➡️ API กลายเป็นช่องโหว่หลักที่แฮกเกอร์ใช้โจมตีผ่านแอปมือถือ ➡️ การโจมตีเกิดจากฝั่ง client เช่น reverse-engineering และการปลอม API call ➡️ SSL pinning และ API key validation ไม่สามารถป้องกันการโจมตีภายในแอปได้ ➡️ 6% ของแอป Android ชั้นนำเขียนข้อมูลลง console log และ 4% เขียนลง external storage ➡️ 37% ของแอปยอดนิยมส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ภายนอกโดยไม่มีการเข้ารหัส ➡️ SDK บางตัวสามารถแอบส่งข้อมูล, บันทึกตำแหน่ง GPS และพฤติกรรมผู้ใช้ ➡️ Zimperium แนะนำให้ใช้ in-app defense เช่น code obfuscation และ runtime protection ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ API เป็นหัวใจของแอปยุคใหม่ แต่ก็เป็นจุดที่ถูกโจมตีมากที่สุด ➡️ อุปกรณ์ที่ถูก root หรือ jailbreak สามารถเปิดช่องให้แฮกเกอร์ควบคุมได้เต็มรูปแบบ ➡️ การป้องกันแบบ perimeter เช่น firewall และ gateway ไม่สามารถตรวจสอบความถูกต้องของแอปที่ส่ง request ได้ ➡️ การใช้ Bring-Your-Own-Device (BYOD) ในองค์กรเพิ่มความเสี่ยงจากแอปที่ไม่ปลอดภัย ➡️ การตรวจสอบพฤติกรรมแอปและการตั้งค่าความปลอดภัยพื้นฐาน เช่น screen lock และ OS update เป็นสิ่งจำเป็น https://www.techradar.com/pro/security/apple-ios-apps-are-worse-at-leaking-sensitive-data-than-android-apps-finds-worrying-research-heres-what-you-need-to-know
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 197 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ChatGPT Pulse: ผู้ช่วยข่าวส่วนตัวที่รู้ใจคุณ — เมื่อ AI เริ่มคิดแทนคุณตั้งแต่ก่อนตื่นนอน”

    OpenAI เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ใน ChatGPT ชื่อว่า “Pulse” ซึ่งเปลี่ยนบทบาทของ AI จากเครื่องมือที่ตอบคำถาม มาเป็นผู้ช่วยส่วนตัวที่ “คิดล่วงหน้า” ให้ผู้ใช้ โดย Pulse จะส่งการสรุปข่าวและข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับความสนใจของผู้ใช้ในรูปแบบ “การ์ดภาพ” วันละ 5–10 ใบ ทุกเช้า โดยอิงจากประวัติการสนทนา ความสนใจ และแอปที่เชื่อมต่อไว้ เช่น Gmail หรือ Google Calendar2

    Pulse เปิดให้ใช้งานเฉพาะผู้สมัครสมาชิกแบบ Pro ที่มีค่าบริการ $200 ต่อเดือน โดยจะปรากฏเป็นแท็บใหม่ในแอป ChatGPT และสามารถตั้งค่าให้สแกนอีเมลหรือปฏิทินล่วงหน้า เพื่อจัดเตรียมสรุปข่าว รายการนัดหมาย หรือแม้แต่แนะนำเมนูอาหารตามเงื่อนไขสุขภาพของผู้ใช้ได้

    ตัวอย่างการใช้งาน Pulse ที่ OpenAI สาธิต ได้แก่ การ์ดข่าวทีมฟุตบอล Arsenal, ไอเดียชุดฮาโลวีนสำหรับครอบครัว และแผนการเดินทางสำหรับเด็กเล็ก ซึ่งทั้งหมดถูกสร้างขึ้นจากบริบทที่ผู้ใช้เคยพูดคุยกับ ChatGPT มาก่อน เช่น “ลูกอายุ 6 เดือน” หรือ “อยากไปเที่ยว Sedona”

    Pulse ยังสามารถใช้ร่วมกับฟีเจอร์ Memory ของ ChatGPT เพื่อปรับแต่งการ์ดให้ตรงกับความสนใจของผู้ใช้มากขึ้น และมีการออกแบบให้ “หยุด” หลังแสดงการ์ดครบชุด โดยจะแสดงข้อความ “That’s it for today” เพื่อไม่ให้ผู้ใช้ตกอยู่ในวังวนของการเสพข้อมูลแบบไม่รู้จบ

    แม้จะยังจำกัดเฉพาะผู้ใช้ระดับ Pro แต่ OpenAI มีแผนจะขยายฟีเจอร์นี้ให้กับผู้ใช้ทั่วไปในอนาคต โดยเน้นว่า Pulse เป็นก้าวแรกของการเปลี่ยน ChatGPT จาก chatbot เป็น “ผู้ช่วยที่ทำงานแทนคุณ” อย่างแท้จริง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ChatGPT Pulse เป็นฟีเจอร์ใหม่ที่ส่งการ์ดสรุปข่าวและข้อมูลส่วนตัววันละ 5–10 ใบ
    การ์ดถูกสร้างจากประวัติการสนทนา ความสนใจ และแอปที่เชื่อมต่อ เช่น Gmail, Calendar
    ฟีเจอร์นี้เปิดให้ใช้เฉพาะผู้สมัครสมาชิก Pro ($200/เดือน)
    Pulse สามารถสแกนอีเมลและปฏิทินล่วงหน้าเพื่อจัดเตรียมข้อมูลตอนเช้า
    ตัวอย่างการ์ดมีทั้งข่าวกีฬา ไอเดียครอบครัว และแผนการเดินทาง
    ใช้ร่วมกับฟีเจอร์ Memory เพื่อปรับแต่งเนื้อหาให้ตรงกับผู้ใช้
    มีการออกแบบให้หยุดแสดงข้อมูลหลังครบชุด เพื่อหลีกเลี่ยงการเสพข้อมูลเกินจำเป็น
    OpenAI มีแผนขยาย Pulse ให้ผู้ใช้ทั่วไปในอนาคต

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Pulse เป็นส่วนหนึ่งของแนวทางใหม่ของ OpenAI ที่เน้น “ผู้ช่วยเชิงรุก” มากกว่า chatbot
    ฟีเจอร์นี้ใช้โมเดล AI ที่ต้องการพลังประมวลผลสูง จึงจำกัดเฉพาะผู้ใช้ Pro ในช่วงแรก
    การ์ดของ Pulse มีภาพประกอบและลิงก์อ้างอิงเหมือนกับฟีเจอร์ Search
    Pulse สามารถใช้ Connectors เพื่อเชื่อมต่อกับแอปภายนอกได้หลากหลาย
    การออกแบบให้ “หยุด” หลังแสดงครบชุด เป็นแนวคิดที่ต่างจากโซเชียลมีเดียทั่วไป

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/26/chatgpt-feature-offers-users-a-personalised-daily-briefing
    🗞️ “ChatGPT Pulse: ผู้ช่วยข่าวส่วนตัวที่รู้ใจคุณ — เมื่อ AI เริ่มคิดแทนคุณตั้งแต่ก่อนตื่นนอน” OpenAI เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ใน ChatGPT ชื่อว่า “Pulse” ซึ่งเปลี่ยนบทบาทของ AI จากเครื่องมือที่ตอบคำถาม มาเป็นผู้ช่วยส่วนตัวที่ “คิดล่วงหน้า” ให้ผู้ใช้ โดย Pulse จะส่งการสรุปข่าวและข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับความสนใจของผู้ใช้ในรูปแบบ “การ์ดภาพ” วันละ 5–10 ใบ ทุกเช้า โดยอิงจากประวัติการสนทนา ความสนใจ และแอปที่เชื่อมต่อไว้ เช่น Gmail หรือ Google Calendar2 Pulse เปิดให้ใช้งานเฉพาะผู้สมัครสมาชิกแบบ Pro ที่มีค่าบริการ $200 ต่อเดือน โดยจะปรากฏเป็นแท็บใหม่ในแอป ChatGPT และสามารถตั้งค่าให้สแกนอีเมลหรือปฏิทินล่วงหน้า เพื่อจัดเตรียมสรุปข่าว รายการนัดหมาย หรือแม้แต่แนะนำเมนูอาหารตามเงื่อนไขสุขภาพของผู้ใช้ได้ ตัวอย่างการใช้งาน Pulse ที่ OpenAI สาธิต ได้แก่ การ์ดข่าวทีมฟุตบอล Arsenal, ไอเดียชุดฮาโลวีนสำหรับครอบครัว และแผนการเดินทางสำหรับเด็กเล็ก ซึ่งทั้งหมดถูกสร้างขึ้นจากบริบทที่ผู้ใช้เคยพูดคุยกับ ChatGPT มาก่อน เช่น “ลูกอายุ 6 เดือน” หรือ “อยากไปเที่ยว Sedona” Pulse ยังสามารถใช้ร่วมกับฟีเจอร์ Memory ของ ChatGPT เพื่อปรับแต่งการ์ดให้ตรงกับความสนใจของผู้ใช้มากขึ้น และมีการออกแบบให้ “หยุด” หลังแสดงการ์ดครบชุด โดยจะแสดงข้อความ “That’s it for today” เพื่อไม่ให้ผู้ใช้ตกอยู่ในวังวนของการเสพข้อมูลแบบไม่รู้จบ แม้จะยังจำกัดเฉพาะผู้ใช้ระดับ Pro แต่ OpenAI มีแผนจะขยายฟีเจอร์นี้ให้กับผู้ใช้ทั่วไปในอนาคต โดยเน้นว่า Pulse เป็นก้าวแรกของการเปลี่ยน ChatGPT จาก chatbot เป็น “ผู้ช่วยที่ทำงานแทนคุณ” อย่างแท้จริง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ChatGPT Pulse เป็นฟีเจอร์ใหม่ที่ส่งการ์ดสรุปข่าวและข้อมูลส่วนตัววันละ 5–10 ใบ ➡️ การ์ดถูกสร้างจากประวัติการสนทนา ความสนใจ และแอปที่เชื่อมต่อ เช่น Gmail, Calendar ➡️ ฟีเจอร์นี้เปิดให้ใช้เฉพาะผู้สมัครสมาชิก Pro ($200/เดือน) ➡️ Pulse สามารถสแกนอีเมลและปฏิทินล่วงหน้าเพื่อจัดเตรียมข้อมูลตอนเช้า ➡️ ตัวอย่างการ์ดมีทั้งข่าวกีฬา ไอเดียครอบครัว และแผนการเดินทาง ➡️ ใช้ร่วมกับฟีเจอร์ Memory เพื่อปรับแต่งเนื้อหาให้ตรงกับผู้ใช้ ➡️ มีการออกแบบให้หยุดแสดงข้อมูลหลังครบชุด เพื่อหลีกเลี่ยงการเสพข้อมูลเกินจำเป็น ➡️ OpenAI มีแผนขยาย Pulse ให้ผู้ใช้ทั่วไปในอนาคต ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Pulse เป็นส่วนหนึ่งของแนวทางใหม่ของ OpenAI ที่เน้น “ผู้ช่วยเชิงรุก” มากกว่า chatbot ➡️ ฟีเจอร์นี้ใช้โมเดล AI ที่ต้องการพลังประมวลผลสูง จึงจำกัดเฉพาะผู้ใช้ Pro ในช่วงแรก ➡️ การ์ดของ Pulse มีภาพประกอบและลิงก์อ้างอิงเหมือนกับฟีเจอร์ Search ➡️ Pulse สามารถใช้ Connectors เพื่อเชื่อมต่อกับแอปภายนอกได้หลากหลาย ➡️ การออกแบบให้ “หยุด” หลังแสดงครบชุด เป็นแนวคิดที่ต่างจากโซเชียลมีเดียทั่วไป https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/26/chatgpt-feature-offers-users-a-personalised-daily-briefing
    WWW.THESTAR.COM.MY
    ChatGPT feature offers users a personalised daily briefing
    OpenAI is rolling out a new ChatGPT feature that sends users a set of personalised news, research and other updates each day based on their prior conversations with the chatbot, an early attempt at making its flagship product more proactive.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 173 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ChatControl: กฎหมายใหม่ของ EU ที่จะสแกนทุกข้อความส่วนตัว — เมื่อการปกป้องเด็กกลายเป็นข้ออ้างในการสอดแนมประชาชน”

    สหภาพยุโรปกำลังผลักดันกฎหมายใหม่ที่ชื่อว่า “ChatControl” หรือชื่อเต็มคือ CSAR (Child Sexual Abuse Regulation) ซึ่งมีเป้าหมายในการป้องกันการล่วงละเมิดทางเพศเด็กในโลกออนไลน์ แต่เบื้องหลังของเจตนาดีนี้ กลับมีข้อเสนอที่อาจเปลี่ยนแปลงสิทธิความเป็นส่วนตัวของประชาชนยุโรปกว่า 450 ล้านคนอย่างถาวร

    ChatControl จะบังคับให้ทุกแพลตฟอร์มที่มีการสื่อสารระหว่างบุคคล — ไม่ว่าจะเป็นแอปแชตอย่าง Signal, WhatsApp, Telegram ไปจนถึงอีเมล, เกม, โซเชียลมีเดีย, แอปหาคู่, และแม้แต่บริการฝากไฟล์ — ต้องติดตั้งระบบ “Client-Side Scanning” ที่จะสแกนข้อความและภาพก่อนถูกเข้ารหัส ส่งผลให้แม้แต่แอปที่ใช้การเข้ารหัสแบบ End-to-End ก็ไม่สามารถปกป้องข้อมูลได้อีกต่อไป

    ระบบนี้จะตรวจจับ 3 ประเภทของเนื้อหา:
    เนื้อหาที่ผิดกฎหมายที่มีอยู่ในฐานข้อมูล
    เนื้อหาที่อาจเข้าข่ายผิดกฎหมายโดยใช้ AI วิเคราะห์ภาพ
    พฤติกรรมการล่อลวงเด็กโดยใช้ AI วิเคราะห์ข้อความ

    หากพบสิ่งต้องสงสัย ระบบจะรายงานอัตโนมัติไปยังศูนย์กลางของ EU โดยไม่มีการตรวจสอบจากมนุษย์ก่อน ซึ่งอาจนำไปสู่การแจ้งความผิดพลาดจำนวนมหาศาล

    แม้จะมีข้ออ้างเรื่องการปกป้องเด็ก แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยกว่า 600 คนจาก 35 ประเทศได้ลงนามในจดหมายเปิดผนึกคัดค้านกฎหมายนี้ โดยชี้ว่าการสแกนฝั่งผู้ใช้เป็นการทำลายหลักการของการเข้ารหัส และเปิดช่องให้เกิดการละเมิดสิทธิอย่างร้ายแรง

    ที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือ กฎหมายนี้ยังมีข้อยกเว้นให้กับบัญชีของรัฐบาลในกรณี “ความมั่นคงแห่งชาติ” ซึ่งหมายความว่าประชาชนจะถูกสอดแนม แต่รัฐบาลจะไม่ถูกตรวจสอบ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ChatControl คือกฎหมายใหม่ของ EU ที่จะบังคับให้ทุกแพลตฟอร์มสื่อสารต้องสแกนข้อความและภาพของผู้ใช้
    ใช้ระบบ Client-Side Scanning ที่ตรวจสอบเนื้อหาก่อนเข้ารหัส
    ครอบคลุมทุกบริการที่มีการสื่อสาร ไม่ใช่แค่แอปแชต แต่รวมถึงอีเมล, เกม, โซเชียล, ฝากไฟล์ ฯลฯ
    ตรวจจับเนื้อหา 3 ประเภท: เนื้อหาผิดกฎหมาย, เนื้อหาที่อาจผิดกฎหมาย, และพฤติกรรมล่อลวงเด็ก
    หากพบสิ่งต้องสงสัย ระบบจะรายงานอัตโนมัติไปยังศูนย์กลางของ EU
    ไม่มีการตรวจสอบจากมนุษย์ก่อนส่งรายงาน
    กฎหมายนี้จะมีผลบังคับใช้กับทุกประเทศสมาชิก EU โดยไม่มีข้อยกเว้น
    มีข้อยกเว้นให้กับบัญชีรัฐบาลในกรณีความมั่นคง
    ผู้เชี่ยวชาญกว่า 600 คนร่วมลงนามคัดค้าน โดยชี้ว่าเป็นการทำลายความปลอดภัยของระบบเข้ารหัส

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    การสแกนฝั่งผู้ใช้ (Client-Side Scanning) เป็นเทคนิคที่บริษัทอย่าง Apple เคยเสนอ แต่ถูกวิจารณ์จนต้องยกเลิก
    การสแกนก่อนเข้ารหัสถือเป็นการ “เลี่ยง” การเข้ารหัส ไม่ใช่การ “ทำลาย” โดยตรง แต่ผลลัพธ์เหมือนกัน
    การใช้ AI วิเคราะห์ภาพและข้อความมีอัตราความผิดพลาดสูง โดยเฉพาะกับเนื้อหาทางการแพทย์หรือครอบครัว
    การสอดแนมแบบนี้อาจทำให้ผู้คนเปลี่ยนพฤติกรรมการสื่อสาร (chilling effect) และลดเสรีภาพในการแสดงออก
    บริษัทที่พัฒนาเทคโนโลยีสแกน เช่น Thorn และ Microsoft PhotoDNA มีผลประโยชน์โดยตรงจากกฎหมายนี้

    https://metalhearf.fr/posts/chatcontrol-wants-your-private-messages/
    🕵️ “ChatControl: กฎหมายใหม่ของ EU ที่จะสแกนทุกข้อความส่วนตัว — เมื่อการปกป้องเด็กกลายเป็นข้ออ้างในการสอดแนมประชาชน” สหภาพยุโรปกำลังผลักดันกฎหมายใหม่ที่ชื่อว่า “ChatControl” หรือชื่อเต็มคือ CSAR (Child Sexual Abuse Regulation) ซึ่งมีเป้าหมายในการป้องกันการล่วงละเมิดทางเพศเด็กในโลกออนไลน์ แต่เบื้องหลังของเจตนาดีนี้ กลับมีข้อเสนอที่อาจเปลี่ยนแปลงสิทธิความเป็นส่วนตัวของประชาชนยุโรปกว่า 450 ล้านคนอย่างถาวร ChatControl จะบังคับให้ทุกแพลตฟอร์มที่มีการสื่อสารระหว่างบุคคล — ไม่ว่าจะเป็นแอปแชตอย่าง Signal, WhatsApp, Telegram ไปจนถึงอีเมล, เกม, โซเชียลมีเดีย, แอปหาคู่, และแม้แต่บริการฝากไฟล์ — ต้องติดตั้งระบบ “Client-Side Scanning” ที่จะสแกนข้อความและภาพก่อนถูกเข้ารหัส ส่งผลให้แม้แต่แอปที่ใช้การเข้ารหัสแบบ End-to-End ก็ไม่สามารถปกป้องข้อมูลได้อีกต่อไป ระบบนี้จะตรวจจับ 3 ประเภทของเนื้อหา: 🔖 เนื้อหาที่ผิดกฎหมายที่มีอยู่ในฐานข้อมูล 🔖 เนื้อหาที่อาจเข้าข่ายผิดกฎหมายโดยใช้ AI วิเคราะห์ภาพ 🔖 พฤติกรรมการล่อลวงเด็กโดยใช้ AI วิเคราะห์ข้อความ หากพบสิ่งต้องสงสัย ระบบจะรายงานอัตโนมัติไปยังศูนย์กลางของ EU โดยไม่มีการตรวจสอบจากมนุษย์ก่อน ซึ่งอาจนำไปสู่การแจ้งความผิดพลาดจำนวนมหาศาล แม้จะมีข้ออ้างเรื่องการปกป้องเด็ก แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยกว่า 600 คนจาก 35 ประเทศได้ลงนามในจดหมายเปิดผนึกคัดค้านกฎหมายนี้ โดยชี้ว่าการสแกนฝั่งผู้ใช้เป็นการทำลายหลักการของการเข้ารหัส และเปิดช่องให้เกิดการละเมิดสิทธิอย่างร้ายแรง ที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือ กฎหมายนี้ยังมีข้อยกเว้นให้กับบัญชีของรัฐบาลในกรณี “ความมั่นคงแห่งชาติ” ซึ่งหมายความว่าประชาชนจะถูกสอดแนม แต่รัฐบาลจะไม่ถูกตรวจสอบ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ChatControl คือกฎหมายใหม่ของ EU ที่จะบังคับให้ทุกแพลตฟอร์มสื่อสารต้องสแกนข้อความและภาพของผู้ใช้ ➡️ ใช้ระบบ Client-Side Scanning ที่ตรวจสอบเนื้อหาก่อนเข้ารหัส ➡️ ครอบคลุมทุกบริการที่มีการสื่อสาร ไม่ใช่แค่แอปแชต แต่รวมถึงอีเมล, เกม, โซเชียล, ฝากไฟล์ ฯลฯ ➡️ ตรวจจับเนื้อหา 3 ประเภท: เนื้อหาผิดกฎหมาย, เนื้อหาที่อาจผิดกฎหมาย, และพฤติกรรมล่อลวงเด็ก ➡️ หากพบสิ่งต้องสงสัย ระบบจะรายงานอัตโนมัติไปยังศูนย์กลางของ EU ➡️ ไม่มีการตรวจสอบจากมนุษย์ก่อนส่งรายงาน ➡️ กฎหมายนี้จะมีผลบังคับใช้กับทุกประเทศสมาชิก EU โดยไม่มีข้อยกเว้น ➡️ มีข้อยกเว้นให้กับบัญชีรัฐบาลในกรณีความมั่นคง ➡️ ผู้เชี่ยวชาญกว่า 600 คนร่วมลงนามคัดค้าน โดยชี้ว่าเป็นการทำลายความปลอดภัยของระบบเข้ารหัส ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ การสแกนฝั่งผู้ใช้ (Client-Side Scanning) เป็นเทคนิคที่บริษัทอย่าง Apple เคยเสนอ แต่ถูกวิจารณ์จนต้องยกเลิก ➡️ การสแกนก่อนเข้ารหัสถือเป็นการ “เลี่ยง” การเข้ารหัส ไม่ใช่การ “ทำลาย” โดยตรง แต่ผลลัพธ์เหมือนกัน ➡️ การใช้ AI วิเคราะห์ภาพและข้อความมีอัตราความผิดพลาดสูง โดยเฉพาะกับเนื้อหาทางการแพทย์หรือครอบครัว ➡️ การสอดแนมแบบนี้อาจทำให้ผู้คนเปลี่ยนพฤติกรรมการสื่อสาร (chilling effect) และลดเสรีภาพในการแสดงออก ➡️ บริษัทที่พัฒนาเทคโนโลยีสแกน เช่น Thorn และ Microsoft PhotoDNA มีผลประโยชน์โดยตรงจากกฎหมายนี้ https://metalhearf.fr/posts/chatcontrol-wants-your-private-messages/
    METALHEARF.FR
    ChatControl wants to scan all your private messages
    The EU is pushing legislation that would scan all our private messages, even in encrypted apps.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 198 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Instagram แจงปัญหา ‘Disabled Accounts Can’t Be Contacted’ — ไม่ใช่แค่บัญชีถูกปิด แต่เกิดจากบั๊กและการตั้งค่าที่ซับซ้อน”

    หลายคนที่ใช้ Instagram อาจเคยเจอข้อความแจ้งเตือนว่า “Disabled Accounts Can’t Be Contacted” เมื่อพยายามส่งโพสต์หรือข้อความไปยังเพื่อนหรือกลุ่ม ซึ่งสร้างความสับสนไม่น้อย เพราะบางครั้งบัญชีที่เราติดต่อก็ยังดูเหมือนใช้งานได้ตามปกติ

    โดยทั่วไป ข้อความนี้จะปรากฏเมื่อคุณพยายามส่ง DM ไปยังบัญชีที่ถูกปิดใช้งาน (deactivated) หรือถูก Instagram ลบออกจากระบบเนื่องจากละเมิดนโยบาย แต่ในบางกรณี ข้อความนี้อาจเกิดจากบั๊กของแอป หรือการตั้งค่าที่ไม่อัปเดต เช่น การบล็อกหรือจำกัดบัญชีไว้ก่อนหน้านี้แล้วปลดออก แต่ระบบยังไม่รีเฟรชสถานะ

    Instagram ยังไม่ได้ออกแพตช์เฉพาะสำหรับปัญหานี้ แต่มีวิธีแก้ไขเบื้องต้นที่ผู้ใช้สามารถลองทำได้ เช่น การล็อกเอาต์แล้วล็อกอินใหม่, ลบแชทเดิมแล้วเริ่มใหม่, ใช้บัญชีอื่นในการส่งข้อความ, หรือแม้แต่บล็อกแล้วปลดบล็อกอีกครั้งเพื่อรีเฟรชสถานะของบัญชี

    นอกจากนี้ ยังมีคำแนะนำให้ลองใช้ Instagram ผ่านเว็บเบราว์เซอร์หรือบน iPad แทนแอปมือถือ หากสงสัยว่าแอปมีบั๊กเฉพาะเวอร์ชัน รวมถึงการเคลียร์ cache หรือ offload แอปเพื่อรีเซ็ตข้อมูลภายใน

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ข้อความ “Disabled Accounts Can’t Be Contacted” เกิดจากบัญชีที่ถูกปิดหรือบล็อก
    บางครั้งเกิดจากบั๊กของแอปที่ไม่รีเฟรชสถานะบัญชีหลังปลดบล็อก
    วิธีแก้เบื้องต้น ได้แก่ ล็อกเอาต์/ล็อกอินใหม่, ลบแชทเดิม, ใช้บัญชีอื่นส่งข้อความ
    การบล็อกแล้วปลดบล็อกใหม่ช่วยรีเฟรชสถานะบัญชีในระบบ
    ลองใช้ Instagram ผ่านเว็บเบราว์เซอร์หรือ iPad หากแอปมือถือมีปัญหา
    เคลียร์ cache (Android) หรือ offload แอป (iOS) เพื่อรีเซ็ตข้อมูลภายใน
    หากยังไม่หาย อาจต้องรอการอัปเดตจาก Meta หรือแจ้งผ่าน Help Center

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    บัญชีที่ถูกปิดโดยผู้ใช้จะหายไปจากการค้นหา และชื่อจะกลายเป็น “Instagram User”
    บัญชีที่ถูก Instagram ปิดมักเกิดจากการละเมิด เช่น สแปม, คำพูดแสดงความเกลียดชัง, หรือการใช้บอต
    การจำกัด (Restrict) บัญชีจะทำให้ไม่สามารถส่งข้อความได้เช่นกัน
    Meta มีระบบ Account Center ที่เชื่อมโยงบัญชี Facebook และ Instagram ซึ่งอาจช่วยในการกู้คืน
    การส่งข้อความผ่านช่องทางอื่น เช่น Messenger หรืออีเมล อาจเป็นทางเลือกหากบัญชีถูกปิด

    https://www.slashgear.com/1975538/ways-to-solve-disabled-accounts-cant-be-contacted-error-instagram/
    📱 “Instagram แจงปัญหา ‘Disabled Accounts Can’t Be Contacted’ — ไม่ใช่แค่บัญชีถูกปิด แต่เกิดจากบั๊กและการตั้งค่าที่ซับซ้อน” หลายคนที่ใช้ Instagram อาจเคยเจอข้อความแจ้งเตือนว่า “Disabled Accounts Can’t Be Contacted” เมื่อพยายามส่งโพสต์หรือข้อความไปยังเพื่อนหรือกลุ่ม ซึ่งสร้างความสับสนไม่น้อย เพราะบางครั้งบัญชีที่เราติดต่อก็ยังดูเหมือนใช้งานได้ตามปกติ โดยทั่วไป ข้อความนี้จะปรากฏเมื่อคุณพยายามส่ง DM ไปยังบัญชีที่ถูกปิดใช้งาน (deactivated) หรือถูก Instagram ลบออกจากระบบเนื่องจากละเมิดนโยบาย แต่ในบางกรณี ข้อความนี้อาจเกิดจากบั๊กของแอป หรือการตั้งค่าที่ไม่อัปเดต เช่น การบล็อกหรือจำกัดบัญชีไว้ก่อนหน้านี้แล้วปลดออก แต่ระบบยังไม่รีเฟรชสถานะ Instagram ยังไม่ได้ออกแพตช์เฉพาะสำหรับปัญหานี้ แต่มีวิธีแก้ไขเบื้องต้นที่ผู้ใช้สามารถลองทำได้ เช่น การล็อกเอาต์แล้วล็อกอินใหม่, ลบแชทเดิมแล้วเริ่มใหม่, ใช้บัญชีอื่นในการส่งข้อความ, หรือแม้แต่บล็อกแล้วปลดบล็อกอีกครั้งเพื่อรีเฟรชสถานะของบัญชี นอกจากนี้ ยังมีคำแนะนำให้ลองใช้ Instagram ผ่านเว็บเบราว์เซอร์หรือบน iPad แทนแอปมือถือ หากสงสัยว่าแอปมีบั๊กเฉพาะเวอร์ชัน รวมถึงการเคลียร์ cache หรือ offload แอปเพื่อรีเซ็ตข้อมูลภายใน ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ข้อความ “Disabled Accounts Can’t Be Contacted” เกิดจากบัญชีที่ถูกปิดหรือบล็อก ➡️ บางครั้งเกิดจากบั๊กของแอปที่ไม่รีเฟรชสถานะบัญชีหลังปลดบล็อก ➡️ วิธีแก้เบื้องต้น ได้แก่ ล็อกเอาต์/ล็อกอินใหม่, ลบแชทเดิม, ใช้บัญชีอื่นส่งข้อความ ➡️ การบล็อกแล้วปลดบล็อกใหม่ช่วยรีเฟรชสถานะบัญชีในระบบ ➡️ ลองใช้ Instagram ผ่านเว็บเบราว์เซอร์หรือ iPad หากแอปมือถือมีปัญหา ➡️ เคลียร์ cache (Android) หรือ offload แอป (iOS) เพื่อรีเซ็ตข้อมูลภายใน ➡️ หากยังไม่หาย อาจต้องรอการอัปเดตจาก Meta หรือแจ้งผ่าน Help Center ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ บัญชีที่ถูกปิดโดยผู้ใช้จะหายไปจากการค้นหา และชื่อจะกลายเป็น “Instagram User” ➡️ บัญชีที่ถูก Instagram ปิดมักเกิดจากการละเมิด เช่น สแปม, คำพูดแสดงความเกลียดชัง, หรือการใช้บอต ➡️ การจำกัด (Restrict) บัญชีจะทำให้ไม่สามารถส่งข้อความได้เช่นกัน ➡️ Meta มีระบบ Account Center ที่เชื่อมโยงบัญชี Facebook และ Instagram ซึ่งอาจช่วยในการกู้คืน ➡️ การส่งข้อความผ่านช่องทางอื่น เช่น Messenger หรืออีเมล อาจเป็นทางเลือกหากบัญชีถูกปิด https://www.slashgear.com/1975538/ways-to-solve-disabled-accounts-cant-be-contacted-error-instagram/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    5 Ways To Solve The 'Disabled Accounts Can't Be Contacted' Error On Instagram - SlashGear
    Here is how to solve the "Disabled Accounts Can't Be Contacted" error on Instagram, assuming the account hasn't blocked your or been disabled.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 164 มุมมอง 0 รีวิว
  • “CVE-2025-10184: ช่องโหว่ OnePlus เปิดทางแอปดู SMS โดยไม่ขออนุญาต — MFA พัง, ข้อมูลส่วนตัวรั่ว, ยังไม่มีแพตช์”

    Rapid7 บริษัทด้านความปลอดภัยไซเบอร์เปิดเผยช่องโหว่ร้ายแรงในระบบ OxygenOS ของ OnePlus ซึ่งถูกติดตามในชื่อ CVE-2025-10184 โดยช่องโหว่นี้เปิดทางให้แอปใดก็ตามที่ติดตั้งอยู่ในเครื่องสามารถอ่านข้อมูล SMS/MMS และ metadata ได้ทันที โดยไม่ต้องขอสิทธิ์จากผู้ใช้ ไม่ต้องมีการโต้ตอบ และไม่มีการแจ้งเตือนใด ๆ

    ช่องโหว่นี้เกิดจากการเปิดเผย content provider ภายในระบบ OxygenOS ที่ไม่ควรเข้าถึงได้ เช่น ServiceNumberProvider, PushMessageProvider และ PushShopProvider ซึ่งไม่ได้บังคับใช้สิทธิ์ READ_SMS อย่างถูกต้อง ทำให้แอปสามารถดึงข้อมูลออกมาได้โดยตรง แม้จะไม่มีสิทธิ์ที่จำเป็น

    ผลกระทบที่ตามมาคือการล่มของระบบ Multi-Factor Authentication (MFA) ที่ใช้ SMS เป็นช่องทางส่งรหัส OTP เพราะแอปที่เป็นอันตรายสามารถขโมยรหัสเหล่านี้ได้แบบเงียบ ๆ โดยไม่ต้องแจ้งเตือนผู้ใช้เลย นอกจากนี้ยังสามารถใช้ช่องโหว่นี้ในการโจมตีแบบ blind SQL injection เพื่อดึงข้อมูลข้อความทีละตัวอักษร

    Rapid7 ยืนยันว่าได้ทดสอบช่องโหว่นี้บน OnePlus 8T และ OnePlus 10 Pro ที่ใช้ OxygenOS เวอร์ชัน 12 ถึง 15 และเชื่อว่ารุ่นอื่น ๆ ที่ใช้เวอร์ชันเดียวกันก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน โดย OxygenOS 11 ไม่พบช่องโหว่นี้

    ที่น่ากังวลคือ OnePlus ยังไม่ตอบสนองต่อการแจ้งเตือนจาก Rapid7 แม้จะมีการติดต่อผ่านช่องทางต่าง ๆ ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2025 รวมถึงการส่งข้อความผ่าน X และติดต่อผ่าน Oppo ซึ่งเป็นบริษัทแม่ แต่ก็ยังไม่มีการตอบกลับหรือออกแพตช์ใด ๆ

    Rapid7 จึงตัดสินใจเปิดเผยช่องโหว่นี้ต่อสาธารณะ พร้อมแนะนำให้ผู้ใช้ OnePlus:
    ลบแอปที่ไม่จำเป็นและติดตั้งเฉพาะแอปที่เชื่อถือได้
    เปลี่ยนจาก SMS-based MFA ไปใช้แอปยืนยันตัวตน เช่น Google Authenticator หรือ Authy
    หลีกเลี่ยงการใช้ SMS ในการสื่อสารข้อมูลสำคัญ และหันไปใช้แอปที่เข้ารหัส เช่น Signal หรือ WhatsApp

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    CVE-2025-10184 เป็นช่องโหว่ permission bypass ใน OxygenOS ของ OnePlus
    แอปสามารถอ่าน SMS/MMS และ metadata ได้โดยไม่ต้องขอสิทธิ์หรือแจ้งผู้ใช้
    เกิดจาก content provider ที่เปิดเผยโดยไม่บังคับใช้ READ_SMS
    ส่งผลให้ระบบ MFA ที่ใช้ SMS ถูกขโมยรหัส OTP ได้ง่าย
    ช่องโหว่นี้ยังเปิดทางให้โจมตีแบบ blind SQL injection
    ทดสอบแล้วบน OnePlus 8T และ 10 Pro ที่ใช้ OxygenOS 12–15
    OxygenOS 11 ไม่ได้รับผลกระทบ
    Rapid7 ติดต่อ OnePlus หลายครั้งแต่ไม่ได้รับการตอบกลับ
    ยังไม่มีแพตช์แก้ไขจาก OnePlus ณ วันที่เปิดเผย

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Content provider เป็นระบบจัดการข้อมูลใน Android ที่ควรมีการควบคุมสิทธิ์เข้าถึง
    Blind SQL injection คือการดึงข้อมูลจากฐานข้อมูลโดยไม่เห็นผลลัพธ์โดยตรง
    MFA ที่ใช้ SMS ถูกวิจารณ์ว่าไม่ปลอดภัยมานาน เพราะเสี่ยงต่อการถูกขโมยรหัส
    OnePlus เคยมีประวัติด้านความปลอดภัย เช่น การส่งข้อมูล IMEI ไปยังเซิร์ฟเวอร์จีน
    Rapid7 เป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงด้านการเปิดเผยช่องโหว่แบบ responsible disclosure

    https://securityonline.info/cve-2025-10184-unpatched-oneplus-flaw-exposes-sms-data-breaks-mfa-no-patch/
    📱 “CVE-2025-10184: ช่องโหว่ OnePlus เปิดทางแอปดู SMS โดยไม่ขออนุญาต — MFA พัง, ข้อมูลส่วนตัวรั่ว, ยังไม่มีแพตช์” Rapid7 บริษัทด้านความปลอดภัยไซเบอร์เปิดเผยช่องโหว่ร้ายแรงในระบบ OxygenOS ของ OnePlus ซึ่งถูกติดตามในชื่อ CVE-2025-10184 โดยช่องโหว่นี้เปิดทางให้แอปใดก็ตามที่ติดตั้งอยู่ในเครื่องสามารถอ่านข้อมูล SMS/MMS และ metadata ได้ทันที โดยไม่ต้องขอสิทธิ์จากผู้ใช้ ไม่ต้องมีการโต้ตอบ และไม่มีการแจ้งเตือนใด ๆ ช่องโหว่นี้เกิดจากการเปิดเผย content provider ภายในระบบ OxygenOS ที่ไม่ควรเข้าถึงได้ เช่น ServiceNumberProvider, PushMessageProvider และ PushShopProvider ซึ่งไม่ได้บังคับใช้สิทธิ์ READ_SMS อย่างถูกต้อง ทำให้แอปสามารถดึงข้อมูลออกมาได้โดยตรง แม้จะไม่มีสิทธิ์ที่จำเป็น ผลกระทบที่ตามมาคือการล่มของระบบ Multi-Factor Authentication (MFA) ที่ใช้ SMS เป็นช่องทางส่งรหัส OTP เพราะแอปที่เป็นอันตรายสามารถขโมยรหัสเหล่านี้ได้แบบเงียบ ๆ โดยไม่ต้องแจ้งเตือนผู้ใช้เลย นอกจากนี้ยังสามารถใช้ช่องโหว่นี้ในการโจมตีแบบ blind SQL injection เพื่อดึงข้อมูลข้อความทีละตัวอักษร Rapid7 ยืนยันว่าได้ทดสอบช่องโหว่นี้บน OnePlus 8T และ OnePlus 10 Pro ที่ใช้ OxygenOS เวอร์ชัน 12 ถึง 15 และเชื่อว่ารุ่นอื่น ๆ ที่ใช้เวอร์ชันเดียวกันก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน โดย OxygenOS 11 ไม่พบช่องโหว่นี้ ที่น่ากังวลคือ OnePlus ยังไม่ตอบสนองต่อการแจ้งเตือนจาก Rapid7 แม้จะมีการติดต่อผ่านช่องทางต่าง ๆ ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2025 รวมถึงการส่งข้อความผ่าน X และติดต่อผ่าน Oppo ซึ่งเป็นบริษัทแม่ แต่ก็ยังไม่มีการตอบกลับหรือออกแพตช์ใด ๆ Rapid7 จึงตัดสินใจเปิดเผยช่องโหว่นี้ต่อสาธารณะ พร้อมแนะนำให้ผู้ใช้ OnePlus: ✔️ ลบแอปที่ไม่จำเป็นและติดตั้งเฉพาะแอปที่เชื่อถือได้ ✔️ เปลี่ยนจาก SMS-based MFA ไปใช้แอปยืนยันตัวตน เช่น Google Authenticator หรือ Authy ✔️ หลีกเลี่ยงการใช้ SMS ในการสื่อสารข้อมูลสำคัญ และหันไปใช้แอปที่เข้ารหัส เช่น Signal หรือ WhatsApp ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ CVE-2025-10184 เป็นช่องโหว่ permission bypass ใน OxygenOS ของ OnePlus ➡️ แอปสามารถอ่าน SMS/MMS และ metadata ได้โดยไม่ต้องขอสิทธิ์หรือแจ้งผู้ใช้ ➡️ เกิดจาก content provider ที่เปิดเผยโดยไม่บังคับใช้ READ_SMS ➡️ ส่งผลให้ระบบ MFA ที่ใช้ SMS ถูกขโมยรหัส OTP ได้ง่าย ➡️ ช่องโหว่นี้ยังเปิดทางให้โจมตีแบบ blind SQL injection ➡️ ทดสอบแล้วบน OnePlus 8T และ 10 Pro ที่ใช้ OxygenOS 12–15 ➡️ OxygenOS 11 ไม่ได้รับผลกระทบ ➡️ Rapid7 ติดต่อ OnePlus หลายครั้งแต่ไม่ได้รับการตอบกลับ ➡️ ยังไม่มีแพตช์แก้ไขจาก OnePlus ณ วันที่เปิดเผย ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Content provider เป็นระบบจัดการข้อมูลใน Android ที่ควรมีการควบคุมสิทธิ์เข้าถึง ➡️ Blind SQL injection คือการดึงข้อมูลจากฐานข้อมูลโดยไม่เห็นผลลัพธ์โดยตรง ➡️ MFA ที่ใช้ SMS ถูกวิจารณ์ว่าไม่ปลอดภัยมานาน เพราะเสี่ยงต่อการถูกขโมยรหัส ➡️ OnePlus เคยมีประวัติด้านความปลอดภัย เช่น การส่งข้อมูล IMEI ไปยังเซิร์ฟเวอร์จีน ➡️ Rapid7 เป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงด้านการเปิดเผยช่องโหว่แบบ responsible disclosure https://securityonline.info/cve-2025-10184-unpatched-oneplus-flaw-exposes-sms-data-breaks-mfa-no-patch/
    SECURITYONLINE.INFO
    CVE-2025-10184: Unpatched OnePlus Flaw Exposes SMS Data & Breaks MFA, PoC Available
    A critical, unpatched OnePlus flaw (CVE-2025-10184) allows any app to read SMS data without permission, breaking MFA protections. PoC is available.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 188 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Google Chrome อัปเดตด่วน! แก้ 3 ช่องโหว่ร้ายแรงใน V8 — หนึ่งในนั้นอาจทำให้ข้อมูลรั่วโดยไม่ต้องคลิกอะไรเลย”

    Google ได้ปล่อยอัปเดตเวอร์ชันใหม่ของ Chrome สำหรับ Windows, macOS และ Linux (140.0.7339.207/.208) เพื่อแก้ไขช่องโหว่ร้ายแรง 3 รายการใน V8 ซึ่งเป็นเอนจิน JavaScript ที่ขับเคลื่อนเว็บแอปทั่วโลก โดยช่องโหว่เหล่านี้ถูกค้นพบทั้งจากนักวิจัยอิสระและระบบ AI ของ Google เอง

    ช่องโหว่แรกคือ CVE-2025-10890 ซึ่งเป็นการรั่วไหลข้อมูลแบบ side-channel — หมายถึงการที่ผู้โจมตีสามารถสังเกตพฤติกรรมเล็ก ๆ ของระบบ เช่น เวลาในการประมวลผล หรือการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในหน่วยความจำ เพื่อสกัดข้อมูลลับ เช่น session ID หรือคีย์เข้ารหัส โดยไม่ต้องเจาะระบบโดยตรง

    ช่องโหว่ที่สองและสาม (CVE-2025-10891 และ CVE-2025-10892) เป็นช่องโหว่แบบ integer overflow ซึ่งเกิดจากการคำนวณที่เกินขนาดหน่วยความจำ ทำให้สามารถเปลี่ยนโครงสร้างหน่วยความจำและอาจนำไปสู่การรันโค้ดอันตรายได้ ช่องโหว่เหล่านี้ถูกค้นพบโดยระบบ AI ที่ชื่อว่า Big Sleep ซึ่งพัฒนาโดย DeepMind และทีม Project Zero ของ Google

    การค้นพบโดย AI แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าของการใช้ระบบอัตโนมัติในการตรวจสอบช่องโหว่ โดยเฉพาะในเอนจินที่ซับซ้อนอย่าง V8 ซึ่งมีบทบาทสำคัญในเบราว์เซอร์และแอปพลิเคชันจำนวนมหาศาล

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Google Chrome อัปเดตเวอร์ชัน 140.0.7339.207/.208 เพื่อแก้ 3 ช่องโหว่ร้ายแรงใน V8
    CVE-2025-10890 เป็นช่องโหว่แบบ side-channel ที่อาจทำให้ข้อมูลลับรั่ว
    CVE-2025-10891 และ CVE-2025-10892 เป็นช่องโหว่แบบ integer overflow
    ช่องโหว่ถูกค้นพบโดยนักวิจัยอิสระและระบบ AI “Big Sleep” ของ Google
    การโจมตีแบบ side-channel สามารถขโมยข้อมูลโดยไม่ต้องเจาะระบบโดยตรง
    ช่องโหว่แบบ overflow อาจนำไปสู่การรันโค้ดอันตรายในหน่วยความจำ
    ผู้ใช้ควรอัปเดต Chrome ทันทีเพื่อป้องกันการถูกโจมตี

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    V8 เป็นเอนจิน JavaScript ที่ใช้ใน Chrome, Edge, Brave และเบราว์เซอร์อื่น ๆ ที่ใช้ Chromium
    Side-channel attack เคยถูกใช้ในการขโมยคีย์เข้ารหัสจาก CPU โดยไม่ต้องเข้าถึงระบบโดยตรง
    Integer overflow เป็นช่องโหว่ที่พบได้บ่อยในระบบที่จัดการหน่วยความจำแบบ low-level
    AI อย่าง Big Sleep ใช้เทคนิค fuzzing และ symbolic execution เพื่อค้นหาช่องโหว่
    การอัปเดต Chrome สามารถทำได้โดยไปที่ Settings > About Chrome แล้วรีสตาร์ตเบราว์เซอร์

    https://securityonline.info/google-chrome-patches-three-high-severity-flaws-in-v8-engine/
    🛡️ “Google Chrome อัปเดตด่วน! แก้ 3 ช่องโหว่ร้ายแรงใน V8 — หนึ่งในนั้นอาจทำให้ข้อมูลรั่วโดยไม่ต้องคลิกอะไรเลย” Google ได้ปล่อยอัปเดตเวอร์ชันใหม่ของ Chrome สำหรับ Windows, macOS และ Linux (140.0.7339.207/.208) เพื่อแก้ไขช่องโหว่ร้ายแรง 3 รายการใน V8 ซึ่งเป็นเอนจิน JavaScript ที่ขับเคลื่อนเว็บแอปทั่วโลก โดยช่องโหว่เหล่านี้ถูกค้นพบทั้งจากนักวิจัยอิสระและระบบ AI ของ Google เอง ช่องโหว่แรกคือ CVE-2025-10890 ซึ่งเป็นการรั่วไหลข้อมูลแบบ side-channel — หมายถึงการที่ผู้โจมตีสามารถสังเกตพฤติกรรมเล็ก ๆ ของระบบ เช่น เวลาในการประมวลผล หรือการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในหน่วยความจำ เพื่อสกัดข้อมูลลับ เช่น session ID หรือคีย์เข้ารหัส โดยไม่ต้องเจาะระบบโดยตรง ช่องโหว่ที่สองและสาม (CVE-2025-10891 และ CVE-2025-10892) เป็นช่องโหว่แบบ integer overflow ซึ่งเกิดจากการคำนวณที่เกินขนาดหน่วยความจำ ทำให้สามารถเปลี่ยนโครงสร้างหน่วยความจำและอาจนำไปสู่การรันโค้ดอันตรายได้ ช่องโหว่เหล่านี้ถูกค้นพบโดยระบบ AI ที่ชื่อว่า Big Sleep ซึ่งพัฒนาโดย DeepMind และทีม Project Zero ของ Google การค้นพบโดย AI แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าของการใช้ระบบอัตโนมัติในการตรวจสอบช่องโหว่ โดยเฉพาะในเอนจินที่ซับซ้อนอย่าง V8 ซึ่งมีบทบาทสำคัญในเบราว์เซอร์และแอปพลิเคชันจำนวนมหาศาล ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Google Chrome อัปเดตเวอร์ชัน 140.0.7339.207/.208 เพื่อแก้ 3 ช่องโหว่ร้ายแรงใน V8 ➡️ CVE-2025-10890 เป็นช่องโหว่แบบ side-channel ที่อาจทำให้ข้อมูลลับรั่ว ➡️ CVE-2025-10891 และ CVE-2025-10892 เป็นช่องโหว่แบบ integer overflow ➡️ ช่องโหว่ถูกค้นพบโดยนักวิจัยอิสระและระบบ AI “Big Sleep” ของ Google ➡️ การโจมตีแบบ side-channel สามารถขโมยข้อมูลโดยไม่ต้องเจาะระบบโดยตรง ➡️ ช่องโหว่แบบ overflow อาจนำไปสู่การรันโค้ดอันตรายในหน่วยความจำ ➡️ ผู้ใช้ควรอัปเดต Chrome ทันทีเพื่อป้องกันการถูกโจมตี ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ V8 เป็นเอนจิน JavaScript ที่ใช้ใน Chrome, Edge, Brave และเบราว์เซอร์อื่น ๆ ที่ใช้ Chromium ➡️ Side-channel attack เคยถูกใช้ในการขโมยคีย์เข้ารหัสจาก CPU โดยไม่ต้องเข้าถึงระบบโดยตรง ➡️ Integer overflow เป็นช่องโหว่ที่พบได้บ่อยในระบบที่จัดการหน่วยความจำแบบ low-level ➡️ AI อย่าง Big Sleep ใช้เทคนิค fuzzing และ symbolic execution เพื่อค้นหาช่องโหว่ ➡️ การอัปเดต Chrome สามารถทำได้โดยไปที่ Settings > About Chrome แล้วรีสตาร์ตเบราว์เซอร์ https://securityonline.info/google-chrome-patches-three-high-severity-flaws-in-v8-engine/
    SECURITYONLINE.INFO
    Google Chrome Patches Three High-Severity Flaws in V8 Engine
    Google has released an urgent update for Chrome, patching three high-severity flaws in its V8 JavaScript engine, two of which were discovered by AI.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 174 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Webflow AI เปิดตัวแพลตฟอร์มสร้างเว็บครบวงจร — จากคำสั่งสู่แอปใช้งานจริง พร้อมผู้ช่วยสนทนาและ SEO ยุคใหม่”

    ในงาน Webflow Conf 2025 ที่เพิ่งจัดขึ้น Webflow ได้เปิดตัวแพลตฟอร์ม AI ใหม่ที่เปลี่ยนวิธีการสร้างเว็บไซต์และแอปพลิเคชันให้กลายเป็นกระบวนการที่ “พูดแล้วได้ของจริง” โดยไม่ต้องสลับเครื่องมือหรือเขียนโค้ดเองทุกบรรทัดอีกต่อไป

    หัวใจของแพลตฟอร์มนี้คือ AI Assistant ที่ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยสนทนาแบบเรียลไทม์ ช่วยจัดการโปรเจกต์ สร้างคอนเทนต์ และโครงสร้างแอปได้จากคำสั่งเดียว ไม่ว่าจะเป็นการสร้าง React components บน canvas, การจัดการ CMS, หรือการออกแบบ UI ที่สอดคล้องกับระบบดีไซน์ของแบรนด์

    Webflow AI ยังมาพร้อมฟีเจอร์ AI Code Gen ที่สามารถสร้างแอประดับ production ได้ทันทีจาก prompt เดียว โดยไม่ต้องผ่านขั้นตอน mockup หรือ prototype แบบเดิม และยังสามารถนำไปใช้งานจริงได้ทันทีในระบบ Webflow ที่มี CMS และ hosting พร้อมใช้งาน

    อีกหนึ่งจุดเด่นคือ Answer Engine Optimization (AEO) ซึ่งเป็นแนวคิดใหม่ของ SEO ที่ไม่เพียงแค่ทำให้เว็บไซต์ติดอันดับใน Google แต่ยังตอบโจทย์ทั้งมนุษย์และอัลกอริทึม เช่น AI search หรือ voice assistant โดยใช้ schema และโครงสร้างข้อมูลที่เหมาะสม

    นอกจากนี้ Webflow ยังเปิดตัว CMS รุ่นใหม่ที่รองรับข้อมูลขนาดใหญ่, การออกแบบที่ยืดหยุ่นมากขึ้น, และ API ที่ทรงพลัง พร้อมระบบวิเคราะห์ใหม่ที่ติดตาม traffic จาก AI และการแสดงผลแบบเรียลไทม์ รวมถึงการลงทุนในชุมชน เช่น Webflow University ที่มีคอร์ส AI, โปรแกรม beta, และรางวัลสำหรับผู้สร้างเทมเพลต

    ฟีเจอร์ใหม่ของ Webflow AI
    เปิดตัว AI Assistant ที่เป็นผู้ช่วยสนทนาในการจัดการโปรเจกต์และสร้างคอนเทนต์
    รองรับการสร้าง React components บน canvas โดยตรง
    ใช้ AI Code Gen สร้างแอประดับ production จาก prompt เดียว
    แอปที่สร้างจะสอดคล้องกับระบบดีไซน์ของแบรนด์และ CMS ของ Webflow
    รองรับการสร้าง UI ที่นำกลับมาใช้ซ้ำได้ และปรับแต่งได้ตามต้องการ

    SEO และการค้นหาแบบใหม่
    เปิดตัว Answer Engine Optimization (AEO) เพื่อเพิ่มการค้นพบทั้งจากมนุษย์และ AI
    ใช้ schema และโครงสร้างข้อมูลที่เหมาะสมกับระบบค้นหาแบบใหม่
    ปรับปรุงการจัดอันดับใน search engine และ voice assistant

    ระบบ CMS และการวิเคราะห์
    CMS รุ่นใหม่รองรับข้อมูลขนาดใหญ่และการออกแบบที่ยืดหยุ่น
    API ใหม่ช่วยให้เชื่อมต่อกับระบบภายนอกได้ง่ายขึ้น
    ระบบ Webflow Analyze ติดตาม traffic จาก AI และรายงานเป้าหมายแบบละเอียด

    การสนับสนุนชุมชน
    Webflow University มีคอร์ส AI และเส้นทางการเรียนรู้ใหม่
    โปรแกรม beta ให้เข้าถึงฟีเจอร์ก่อนใคร
    รางวัล $50,000 สำหรับผู้สร้างเทมเพลต และค่าคอมมิชชั่น 95%
    เปิดตัว Global Leaders Hub สำหรับผู้แทน Webflow ทั่วโลก

    https://www.techradar.com/pro/webflow-jumps-into-the-crowded-vibe-coding-market-with-its-own-all-singing-all-dancing-ai-code-generation-tool
    🧠 “Webflow AI เปิดตัวแพลตฟอร์มสร้างเว็บครบวงจร — จากคำสั่งสู่แอปใช้งานจริง พร้อมผู้ช่วยสนทนาและ SEO ยุคใหม่” ในงาน Webflow Conf 2025 ที่เพิ่งจัดขึ้น Webflow ได้เปิดตัวแพลตฟอร์ม AI ใหม่ที่เปลี่ยนวิธีการสร้างเว็บไซต์และแอปพลิเคชันให้กลายเป็นกระบวนการที่ “พูดแล้วได้ของจริง” โดยไม่ต้องสลับเครื่องมือหรือเขียนโค้ดเองทุกบรรทัดอีกต่อไป หัวใจของแพลตฟอร์มนี้คือ AI Assistant ที่ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยสนทนาแบบเรียลไทม์ ช่วยจัดการโปรเจกต์ สร้างคอนเทนต์ และโครงสร้างแอปได้จากคำสั่งเดียว ไม่ว่าจะเป็นการสร้าง React components บน canvas, การจัดการ CMS, หรือการออกแบบ UI ที่สอดคล้องกับระบบดีไซน์ของแบรนด์ Webflow AI ยังมาพร้อมฟีเจอร์ AI Code Gen ที่สามารถสร้างแอประดับ production ได้ทันทีจาก prompt เดียว โดยไม่ต้องผ่านขั้นตอน mockup หรือ prototype แบบเดิม และยังสามารถนำไปใช้งานจริงได้ทันทีในระบบ Webflow ที่มี CMS และ hosting พร้อมใช้งาน อีกหนึ่งจุดเด่นคือ Answer Engine Optimization (AEO) ซึ่งเป็นแนวคิดใหม่ของ SEO ที่ไม่เพียงแค่ทำให้เว็บไซต์ติดอันดับใน Google แต่ยังตอบโจทย์ทั้งมนุษย์และอัลกอริทึม เช่น AI search หรือ voice assistant โดยใช้ schema และโครงสร้างข้อมูลที่เหมาะสม นอกจากนี้ Webflow ยังเปิดตัว CMS รุ่นใหม่ที่รองรับข้อมูลขนาดใหญ่, การออกแบบที่ยืดหยุ่นมากขึ้น, และ API ที่ทรงพลัง พร้อมระบบวิเคราะห์ใหม่ที่ติดตาม traffic จาก AI และการแสดงผลแบบเรียลไทม์ รวมถึงการลงทุนในชุมชน เช่น Webflow University ที่มีคอร์ส AI, โปรแกรม beta, และรางวัลสำหรับผู้สร้างเทมเพลต ✅ ฟีเจอร์ใหม่ของ Webflow AI ➡️ เปิดตัว AI Assistant ที่เป็นผู้ช่วยสนทนาในการจัดการโปรเจกต์และสร้างคอนเทนต์ ➡️ รองรับการสร้าง React components บน canvas โดยตรง ➡️ ใช้ AI Code Gen สร้างแอประดับ production จาก prompt เดียว ➡️ แอปที่สร้างจะสอดคล้องกับระบบดีไซน์ของแบรนด์และ CMS ของ Webflow ➡️ รองรับการสร้าง UI ที่นำกลับมาใช้ซ้ำได้ และปรับแต่งได้ตามต้องการ ✅ SEO และการค้นหาแบบใหม่ ➡️ เปิดตัว Answer Engine Optimization (AEO) เพื่อเพิ่มการค้นพบทั้งจากมนุษย์และ AI ➡️ ใช้ schema และโครงสร้างข้อมูลที่เหมาะสมกับระบบค้นหาแบบใหม่ ➡️ ปรับปรุงการจัดอันดับใน search engine และ voice assistant ✅ ระบบ CMS และการวิเคราะห์ ➡️ CMS รุ่นใหม่รองรับข้อมูลขนาดใหญ่และการออกแบบที่ยืดหยุ่น ➡️ API ใหม่ช่วยให้เชื่อมต่อกับระบบภายนอกได้ง่ายขึ้น ➡️ ระบบ Webflow Analyze ติดตาม traffic จาก AI และรายงานเป้าหมายแบบละเอียด ✅ การสนับสนุนชุมชน ➡️ Webflow University มีคอร์ส AI และเส้นทางการเรียนรู้ใหม่ ➡️ โปรแกรม beta ให้เข้าถึงฟีเจอร์ก่อนใคร ➡️ รางวัล $50,000 สำหรับผู้สร้างเทมเพลต และค่าคอมมิชชั่น 95% ➡️ เปิดตัว Global Leaders Hub สำหรับผู้แทน Webflow ทั่วโลก https://www.techradar.com/pro/webflow-jumps-into-the-crowded-vibe-coding-market-with-its-own-all-singing-all-dancing-ai-code-generation-tool
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 214 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Cap’n Web: RPC ยุคใหม่สำหรับเบราว์เซอร์ — เขียนโค้ดเหมือนเรียกฟังก์ชันปกติ แต่ทำงานข้ามเครือข่ายได้ทันที”

    Cloudflare เปิดตัว Cap’n Web ระบบ RPC (Remote Procedure Call) ใหม่ที่เขียนด้วย TypeScript ล้วน ๆ โดยออกแบบมาเพื่อใช้งานในเบราว์เซอร์, Cloudflare Workers, Node.js และทุก runtime ที่รองรับ JavaScript สมัยใหม่ จุดเด่นคือการใช้งานง่ายมาก — ไม่ต้องมี schema, ไม่ต้องมี boilerplate และใช้ JSON เป็นพื้นฐานในการสื่อสาร

    Cap’n Web เป็นญาติทางจิตวิญญาณของ Cap’n Proto ที่ Kenton Varda เคยสร้างไว้เมื่อสิบปีก่อน แต่ถูกออกแบบใหม่ให้เหมาะกับโลกเว็บ โดยเน้นความสามารถแบบ object-capability เช่น การส่งฟังก์ชันหรืออ็อบเจกต์ข้ามเครือข่ายแบบ reference, การเรียกแบบสองทาง (bidirectional), และการใช้ promise pipelining เพื่อลดจำนวนรอบการสื่อสาร

    ระบบนี้ยังรองรับการใช้งานแบบ batch ผ่าน HTTP และ WebSocket ได้ทันที โดยสามารถส่งคำสั่งหลายชุดในรอบเดียว และใช้ promise ที่ยังไม่ resolve เป็น input ของคำสั่งถัดไปได้ทันที ซึ่งช่วยลด latency อย่างมาก

    Cap’n Web ยังมีระบบความปลอดภัยแบบ capability-based ที่ช่วยให้การยืนยันตัวตนและการควบคุมสิทธิ์ทำได้ในระดับ object เช่น การเรียก authenticate() แล้วได้ session object ที่มีสิทธิ์เฉพาะตัว ไม่สามารถปลอมแปลงได้

    ที่น่าทึ่งคือ Cap’n Web รองรับการ map array แบบไม่ต้องเพิ่มรอบการสื่อสาร โดยใช้เทคนิค record-replay เพื่อแปลง callback เป็นชุดคำสั่งที่สามารถรันฝั่งเซิร์ฟเวอร์ได้โดยไม่ต้อง round-trip กลับไปยัง client

    ทั้งหมดนี้ทำให้ Cap’n Web เป็นระบบ RPC ที่ “คิดแบบ JavaScript” อย่างแท้จริง และอาจเป็นทางเลือกใหม่แทน GraphQL สำหรับแอปที่ต้องการความโต้ตอบแบบ real-time และโครงสร้าง API ที่ยืดหยุ่น

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Cap’n Web เป็น RPC system แบบใหม่ที่เขียนด้วย TypeScript ล้วน
    ใช้ JSON เป็นพื้นฐานในการสื่อสาร พร้อม pre/post-processing สำหรับ type พิเศษ
    รองรับ WebSocket, HTTP, postMessage และสามารถขยายไปยัง transport อื่นได้
    ขนาดไฟล์หลังบีบอัดต่ำกว่า 10kB และไม่มี dependency

    ความสามารถหลักของ Cap’n Web
    รองรับ bidirectional calling — server เรียก client ได้ และกลับกัน
    ส่งฟังก์ชันและอ็อบเจกต์แบบ reference ข้ามเครือข่ายได้
    ใช้ promise pipelining เพื่อลดจำนวน network round trip
    รองรับ capability-based security เช่น session object ที่ไม่สามารถปลอมได้
    รองรับ HTTP batch mode สำหรับการเรียกหลายคำสั่งในรอบเดียว
    รองรับ array.map() แบบไม่ต้อง round-trip โดยใช้ DSL ที่แปลงจาก callback

    การใช้งานกับ TypeScript
    สามารถประกาศ interface เดียวแล้วใช้ทั้ง client และ server ได้
    รองรับ auto-complete และ type checking แบบ end-to-end
    สามารถใช้ร่วมกับระบบ runtime type-checking เช่น Zod ได้

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Cap’n Proto เป็นระบบ RPC ที่ใช้ในระบบ distributed ขนาดใหญ่ เช่น Sandstorm
    GraphQL แก้ปัญหา waterfall ของ REST แต่มีข้อจำกัดด้าน composability
    Cap’n Web แก้ปัญหาเดียวกันโดยไม่ต้องใช้ schema หรือ tooling ใหม่
    Cloudflare ใช้ Cap’n Web ใน Wrangler และเริ่มทดลองใน frontend apps แล้ว

    https://blog.cloudflare.com/capnweb-javascript-rpc-library/
    🔗 “Cap’n Web: RPC ยุคใหม่สำหรับเบราว์เซอร์ — เขียนโค้ดเหมือนเรียกฟังก์ชันปกติ แต่ทำงานข้ามเครือข่ายได้ทันที” Cloudflare เปิดตัว Cap’n Web ระบบ RPC (Remote Procedure Call) ใหม่ที่เขียนด้วย TypeScript ล้วน ๆ โดยออกแบบมาเพื่อใช้งานในเบราว์เซอร์, Cloudflare Workers, Node.js และทุก runtime ที่รองรับ JavaScript สมัยใหม่ จุดเด่นคือการใช้งานง่ายมาก — ไม่ต้องมี schema, ไม่ต้องมี boilerplate และใช้ JSON เป็นพื้นฐานในการสื่อสาร Cap’n Web เป็นญาติทางจิตวิญญาณของ Cap’n Proto ที่ Kenton Varda เคยสร้างไว้เมื่อสิบปีก่อน แต่ถูกออกแบบใหม่ให้เหมาะกับโลกเว็บ โดยเน้นความสามารถแบบ object-capability เช่น การส่งฟังก์ชันหรืออ็อบเจกต์ข้ามเครือข่ายแบบ reference, การเรียกแบบสองทาง (bidirectional), และการใช้ promise pipelining เพื่อลดจำนวนรอบการสื่อสาร ระบบนี้ยังรองรับการใช้งานแบบ batch ผ่าน HTTP และ WebSocket ได้ทันที โดยสามารถส่งคำสั่งหลายชุดในรอบเดียว และใช้ promise ที่ยังไม่ resolve เป็น input ของคำสั่งถัดไปได้ทันที ซึ่งช่วยลด latency อย่างมาก Cap’n Web ยังมีระบบความปลอดภัยแบบ capability-based ที่ช่วยให้การยืนยันตัวตนและการควบคุมสิทธิ์ทำได้ในระดับ object เช่น การเรียก authenticate() แล้วได้ session object ที่มีสิทธิ์เฉพาะตัว ไม่สามารถปลอมแปลงได้ ที่น่าทึ่งคือ Cap’n Web รองรับการ map array แบบไม่ต้องเพิ่มรอบการสื่อสาร โดยใช้เทคนิค record-replay เพื่อแปลง callback เป็นชุดคำสั่งที่สามารถรันฝั่งเซิร์ฟเวอร์ได้โดยไม่ต้อง round-trip กลับไปยัง client ทั้งหมดนี้ทำให้ Cap’n Web เป็นระบบ RPC ที่ “คิดแบบ JavaScript” อย่างแท้จริง และอาจเป็นทางเลือกใหม่แทน GraphQL สำหรับแอปที่ต้องการความโต้ตอบแบบ real-time และโครงสร้าง API ที่ยืดหยุ่น ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Cap’n Web เป็น RPC system แบบใหม่ที่เขียนด้วย TypeScript ล้วน ➡️ ใช้ JSON เป็นพื้นฐานในการสื่อสาร พร้อม pre/post-processing สำหรับ type พิเศษ ➡️ รองรับ WebSocket, HTTP, postMessage และสามารถขยายไปยัง transport อื่นได้ ➡️ ขนาดไฟล์หลังบีบอัดต่ำกว่า 10kB และไม่มี dependency ✅ ความสามารถหลักของ Cap’n Web ➡️ รองรับ bidirectional calling — server เรียก client ได้ และกลับกัน ➡️ ส่งฟังก์ชันและอ็อบเจกต์แบบ reference ข้ามเครือข่ายได้ ➡️ ใช้ promise pipelining เพื่อลดจำนวน network round trip ➡️ รองรับ capability-based security เช่น session object ที่ไม่สามารถปลอมได้ ➡️ รองรับ HTTP batch mode สำหรับการเรียกหลายคำสั่งในรอบเดียว ➡️ รองรับ array.map() แบบไม่ต้อง round-trip โดยใช้ DSL ที่แปลงจาก callback ✅ การใช้งานกับ TypeScript ➡️ สามารถประกาศ interface เดียวแล้วใช้ทั้ง client และ server ได้ ➡️ รองรับ auto-complete และ type checking แบบ end-to-end ➡️ สามารถใช้ร่วมกับระบบ runtime type-checking เช่น Zod ได้ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Cap’n Proto เป็นระบบ RPC ที่ใช้ในระบบ distributed ขนาดใหญ่ เช่น Sandstorm ➡️ GraphQL แก้ปัญหา waterfall ของ REST แต่มีข้อจำกัดด้าน composability ➡️ Cap’n Web แก้ปัญหาเดียวกันโดยไม่ต้องใช้ schema หรือ tooling ใหม่ ➡️ Cloudflare ใช้ Cap’n Web ใน Wrangler และเริ่มทดลองใน frontend apps แล้ว https://blog.cloudflare.com/capnweb-javascript-rpc-library/
    BLOG.CLOUDFLARE.COM
    Cap'n Web: A new RPC system for browsers and web servers
    Cap'n Web is a new open source, JavaScript-native RPC protocol for use in browsers and web servers. It provides the expressive power of Cap'n Proto, but with no schemas and no boilerplate.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 170 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Local-First Apps ยังไม่เกิดจริง เพราะการ Sync ไม่ง่ายอย่างที่คิด — แต่ SQLite + HLC + CRDT อาจเป็นคำตอบ”

    แอปพลิเคชันแบบ Local-First หรือ Offline-First เคยถูกมองว่าเป็นอนาคตของการใช้งานซอฟต์แวร์ ด้วยคุณสมบัติที่โหลดเร็ว ใช้แบบไม่ต้องต่อเน็ต และให้ความเป็นส่วนตัวสูงสุด แต่ในความเป็นจริง แอปที่รองรับการทำงานแบบออฟไลน์จริง ๆ ยังมีน้อยมาก เพราะการ “ซิงก์ข้อมูล” ระหว่างอุปกรณ์หลายเครื่องนั้นยากกว่าที่คิด

    Marco Bambini ผู้ก่อตั้ง SQLite Cloud อธิบายว่า การสร้างแอปแบบ Local-First คือการสร้างระบบกระจาย (Distributed System) ที่ต้องให้หลายอุปกรณ์สามารถแก้ไขข้อมูลแบบออฟไลน์ และสุดท้ายต้องรวมข้อมูลให้ตรงกันโดยไม่สูญเสียอะไรเลย ซึ่งมีสองปัญหาหลักที่ต้องแก้คือ:

    1️⃣ ลำดับเหตุการณ์ไม่แน่นอน (Unreliable Ordering) อุปกรณ์แต่ละเครื่องมีเวลาไม่ตรงกัน และเหตุการณ์เกิดขึ้นไม่พร้อมกัน หากนำข้อมูลมารวมโดยไม่จัดลำดับให้ดี อาจเกิดความขัดแย้ง เช่น เครื่อง A ตั้งค่า x = 3 ส่วนเครื่อง B ตั้ง x = 5 แล้วใครควร “ชนะ”?

    วิธีแก้คือ Hybrid Logical Clocks (HLC) — ระบบ timestamp ที่รวมเวลาเครื่องจริงกับตัวนับเหตุการณ์ เพื่อให้สามารถเรียงลำดับเหตุการณ์ได้แม้ไม่มีนาฬิกากลาง

    2️⃣ ความขัดแย้งของข้อมูล (Conflicts) แม้จะจัดลำดับได้แล้ว แต่ถ้าอุปกรณ์สองเครื่องแก้ไขข้อมูลเดียวกัน เช่น ยอดเงินในบัญชี แล้วซิงก์เข้ามา อาจเกิดการเขียนทับและข้อมูลหาย

    วิธีแก้คือ CRDTs (Conflict-Free Replicated Data Types) — โครงสร้างข้อมูลที่สามารถรวมกันได้โดยไม่สูญเสียข้อมูล เช่น ใช้กลยุทธ์ Last-Write-Wins (LWW) ที่ให้ข้อมูลล่าสุดเป็นฝ่ายชนะ

    เพื่อให้ระบบนี้ทำงานได้จริง SQLite ถูกเลือกเป็นฐานข้อมูลหลัก เพราะมีความเสถียร ใช้งานง่าย และมีอยู่ในทุกแพลตฟอร์ม โดย Bambini ได้สร้าง SQLite extension ที่เก็บทุกการเปลี่ยนแปลงเป็น “ข้อความ” พร้อม timestamp จาก HLC และใช้ CRDT ในการตัดสินว่าเปลี่ยนแปลงใดควรนำมาใช้

    ผลลัพธ์คือระบบที่สามารถทำงานออฟไลน์ได้เป็นสัปดาห์โดยไม่สูญเสียข้อมูล และเมื่อกลับมาออนไลน์ก็สามารถรวมข้อมูลได้อย่างแม่นยำโดยไม่ต้องใช้เซิร์ฟเวอร์กลาง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Local-First Apps ยังไม่แพร่หลายเพราะการซิงก์ข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ทำได้ยาก
    ปัญหาหลักคือการจัดลำดับเหตุการณ์และการแก้ไขความขัดแย้งของข้อมูล
    ใช้ Hybrid Logical Clocks (HLC) เพื่อจัดลำดับเหตุการณ์แบบกระจาย
    ใช้ CRDTs เพื่อรวมข้อมูลโดยไม่สูญเสียหรือเขียนทับกัน

    แนวทางการแก้ปัญหา
    SQLite ถูกใช้เป็นฐานข้อมูลหลักเพราะเสถียรและมีอยู่ทุกแพลตฟอร์ม
    ทุกการเปลี่ยนแปลงถูกเก็บเป็นข้อความพร้อม timestamp
    ใช้กลยุทธ์ Last-Write-Wins (LWW) เพื่อเลือกข้อมูลล่าสุด
    ระบบสามารถทำงานออฟไลน์ได้นานโดยไม่สูญเสียข้อมูล

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Turso และ cr-sqlite เป็นตัวอย่างของระบบที่ใช้ SQLite ในการซิงก์แบบ Local-First
    CRDTs ถูกใช้ในระบบ collaboration เช่น Automerge และ Yjs
    HLCs ถูกใช้ในระบบฐานข้อมูลกระจาย เช่น CockroachDB และ Spanner
    Local-First Apps ช่วยลดการพึ่งพาเซิร์ฟเวอร์กลางและเพิ่มความเป็นส่วนตัว

    https://marcobambini.substack.com/p/why-local-first-apps-havent-become
    📱 “Local-First Apps ยังไม่เกิดจริง เพราะการ Sync ไม่ง่ายอย่างที่คิด — แต่ SQLite + HLC + CRDT อาจเป็นคำตอบ” แอปพลิเคชันแบบ Local-First หรือ Offline-First เคยถูกมองว่าเป็นอนาคตของการใช้งานซอฟต์แวร์ ด้วยคุณสมบัติที่โหลดเร็ว ใช้แบบไม่ต้องต่อเน็ต และให้ความเป็นส่วนตัวสูงสุด แต่ในความเป็นจริง แอปที่รองรับการทำงานแบบออฟไลน์จริง ๆ ยังมีน้อยมาก เพราะการ “ซิงก์ข้อมูล” ระหว่างอุปกรณ์หลายเครื่องนั้นยากกว่าที่คิด Marco Bambini ผู้ก่อตั้ง SQLite Cloud อธิบายว่า การสร้างแอปแบบ Local-First คือการสร้างระบบกระจาย (Distributed System) ที่ต้องให้หลายอุปกรณ์สามารถแก้ไขข้อมูลแบบออฟไลน์ และสุดท้ายต้องรวมข้อมูลให้ตรงกันโดยไม่สูญเสียอะไรเลย ซึ่งมีสองปัญหาหลักที่ต้องแก้คือ: 1️⃣ ลำดับเหตุการณ์ไม่แน่นอน (Unreliable Ordering) อุปกรณ์แต่ละเครื่องมีเวลาไม่ตรงกัน และเหตุการณ์เกิดขึ้นไม่พร้อมกัน หากนำข้อมูลมารวมโดยไม่จัดลำดับให้ดี อาจเกิดความขัดแย้ง เช่น เครื่อง A ตั้งค่า x = 3 ส่วนเครื่อง B ตั้ง x = 5 แล้วใครควร “ชนะ”? 🔧 วิธีแก้คือ Hybrid Logical Clocks (HLC) — ระบบ timestamp ที่รวมเวลาเครื่องจริงกับตัวนับเหตุการณ์ เพื่อให้สามารถเรียงลำดับเหตุการณ์ได้แม้ไม่มีนาฬิกากลาง 2️⃣ ความขัดแย้งของข้อมูล (Conflicts) แม้จะจัดลำดับได้แล้ว แต่ถ้าอุปกรณ์สองเครื่องแก้ไขข้อมูลเดียวกัน เช่น ยอดเงินในบัญชี แล้วซิงก์เข้ามา อาจเกิดการเขียนทับและข้อมูลหาย 🔧 วิธีแก้คือ CRDTs (Conflict-Free Replicated Data Types) — โครงสร้างข้อมูลที่สามารถรวมกันได้โดยไม่สูญเสียข้อมูล เช่น ใช้กลยุทธ์ Last-Write-Wins (LWW) ที่ให้ข้อมูลล่าสุดเป็นฝ่ายชนะ เพื่อให้ระบบนี้ทำงานได้จริง SQLite ถูกเลือกเป็นฐานข้อมูลหลัก เพราะมีความเสถียร ใช้งานง่าย และมีอยู่ในทุกแพลตฟอร์ม โดย Bambini ได้สร้าง SQLite extension ที่เก็บทุกการเปลี่ยนแปลงเป็น “ข้อความ” พร้อม timestamp จาก HLC และใช้ CRDT ในการตัดสินว่าเปลี่ยนแปลงใดควรนำมาใช้ ผลลัพธ์คือระบบที่สามารถทำงานออฟไลน์ได้เป็นสัปดาห์โดยไม่สูญเสียข้อมูล และเมื่อกลับมาออนไลน์ก็สามารถรวมข้อมูลได้อย่างแม่นยำโดยไม่ต้องใช้เซิร์ฟเวอร์กลาง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Local-First Apps ยังไม่แพร่หลายเพราะการซิงก์ข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ทำได้ยาก ➡️ ปัญหาหลักคือการจัดลำดับเหตุการณ์และการแก้ไขความขัดแย้งของข้อมูล ➡️ ใช้ Hybrid Logical Clocks (HLC) เพื่อจัดลำดับเหตุการณ์แบบกระจาย ➡️ ใช้ CRDTs เพื่อรวมข้อมูลโดยไม่สูญเสียหรือเขียนทับกัน ✅ แนวทางการแก้ปัญหา ➡️ SQLite ถูกใช้เป็นฐานข้อมูลหลักเพราะเสถียรและมีอยู่ทุกแพลตฟอร์ม ➡️ ทุกการเปลี่ยนแปลงถูกเก็บเป็นข้อความพร้อม timestamp ➡️ ใช้กลยุทธ์ Last-Write-Wins (LWW) เพื่อเลือกข้อมูลล่าสุด ➡️ ระบบสามารถทำงานออฟไลน์ได้นานโดยไม่สูญเสียข้อมูล ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Turso และ cr-sqlite เป็นตัวอย่างของระบบที่ใช้ SQLite ในการซิงก์แบบ Local-First ➡️ CRDTs ถูกใช้ในระบบ collaboration เช่น Automerge และ Yjs ➡️ HLCs ถูกใช้ในระบบฐานข้อมูลกระจาย เช่น CockroachDB และ Spanner ➡️ Local-First Apps ช่วยลดการพึ่งพาเซิร์ฟเวอร์กลางและเพิ่มความเป็นส่วนตัว https://marcobambini.substack.com/p/why-local-first-apps-havent-become
    MARCOBAMBINI.SUBSTACK.COM
    Why Local-First Apps Haven’t Become Popular?
    Offline-first apps promise instant loading and privacy, but in practice, very few apps get offline support because getting sync right is surprisingly hard.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 194 มุมมอง 0 รีวิว
  • HIROH Phone โดย Murena — สมาร์ตโฟนเรือธงที่กล้าตัดขาดจาก Google พร้อมสวิตช์ฆ่าเพื่อความเป็นส่วนตัว

    ในยุคที่ข้อมูลส่วนตัวกลายเป็นสินค้าราคาแพง Murena และ HIROH ได้ร่วมมือกันเปิดตัวสมาร์ตโฟนรุ่นใหม่ที่กล้าฉีกทุกกฎของตลาด ด้วย HIROH Phone ที่มาพร้อมระบบปฏิบัติการ /e/OS แบบไร้ Google และฟีเจอร์เด่นคือ “Kill Switch” ทั้งแบบฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ เพื่อปิดกล้อง ไมโครโฟน และการเชื่อมต่อไร้สายทั้งหมดในคลิกเดียว

    ในยุคที่ข้อมูลส่วนตัวกลายเป็นสินค้าราคาแพง Murena และ HIROH ได้ร่วมมือกันเปิดตัวสมาร์ตโฟนรุ่นใหม่ที่กล้าฉีกทุกกฎของตลาด ด้วย HIROH Phone ที่มาพร้อมระบบปฏิบัติการ /e/OS แบบไร้ Google และฟีเจอร์เด่นคือ “Kill Switch” ทั้งแบบฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ เพื่อปิดกล้อง ไมโครโฟน และการเชื่อมต่อไร้สายทั้งหมดในคลิกเดียว

    HIROH Phone ใช้ชิป MediaTek Dimensity 8300 พร้อม RAM 16 GB และพื้นที่เก็บข้อมูล 512 GB ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับเรือธง รองรับการใช้งานหนักทั้งมัลติทาสก์ เกม และสื่อมัลติมีเดีย หน้าจอ AMOLED ขนาด 6.67 นิ้ว ความละเอียด 1.5K พร้อม Gorilla Glass Victus ให้ความคมชัดและทนทาน

    กล้องหลัก 108 MP พร้อมกล้องเสริม 13 MP และมาโคร รวมถึงกล้องหน้า 32 MP ตอบโจทย์สายถ่ายภาพ ส่วนแบตเตอรี่ 5,000 mAh รองรับชาร์จไว 33W และมีการเชื่อมต่อครบครันทั้ง Wi-Fi 6E, Bluetooth 5.3, NFC และ USB-C

    ระบบ /e/OS ที่ติดตั้งมาเป็นเวอร์ชันล่าสุดบนพื้นฐาน Android 16 ไม่มีบริการ Google ใด ๆ แต่ยังสามารถติดตั้งแอปยอดนิยมได้ผ่าน App Lounge ที่ไม่ต้องล็อกอิน Google และไม่มีตัวติดตามซ่อนอยู่

    HIROH ยังมีรุ่น Platinum Edition สำหรับผู้สั่งจอง 500 คนแรก โดยเปิดให้จองล่วงหน้าด้วยเงินมัดจำ €99 และรับส่วนลด €200 จากราคาปกติ €1,199 เหลือเพียง €999 โดยจะเริ่มจัดส่งในช่วงต้นปี 2026

    HIROH Phone โดย Murena เปิดตัวพร้อมฟีเจอร์ความเป็นส่วนตัวขั้นสูง
    มี Kill Switch แบบฮาร์ดแวร์สำหรับตัดวงจรกล้องและไมโครโฟน
    มี Kill Switch แบบซอฟต์แวร์สำหรับปิดการเชื่อมต่อไร้สายทั้งหมด

    สเปกระดับเรือธง
    ชิป MediaTek Dimensity 8300 / RAM 16 GB / ROM 512 GB
    หน้าจอ AMOLED 6.67″ ความละเอียด 1.5K พร้อม Gorilla Glass Victus

    กล้องและแบตเตอรี่จัดเต็ม
    กล้องหลัง 108 MP + 13 MP + มาโคร / กล้องหน้า 32 MP
    แบตเตอรี่ 5,000 mAh / ชาร์จไว 33W

    ระบบปฏิบัติการ /e/OS แบบไร้ Google
    ไม่มีบริการ Google หรือตัวติดตาม
    รองรับการติดตั้งแอปผ่าน App Lounge โดยไม่ต้องล็อกอิน

    รองรับการเชื่อมต่อครบครัน
    Wi-Fi 6E / Bluetooth 5.3 / NFC / USB-C / Dual SIM
    รองรับ 2G–5G / มี microSD สูงสุด 2TB

    เปิดให้จองล่วงหน้าแล้ว
    มัดจำ €99 / ราคาสุทธิ €999 จากราคาปกติ €1,199
    รุ่น Platinum Edition สำหรับ 500 คนแรก พร้อมจัดส่งต้นปี 2026

    คำเตือนเกี่ยวกับข้อจำกัดและความไม่ชัดเจน
    ยังไม่มีข้อมูลชัดเจนเกี่ยวกับแบรนด์ HIROH และผู้ผลิตจริง
    การใช้ /e/OS อาจไม่รองรับบางแอปที่พึ่งพา Google Services
    Kill Switch แบบฮาร์ดแวร์อาจไม่สะดวกสำหรับผู้ใช้ทั่วไป
    การรับประกันและบริการหลังการขายยังไม่มีรายละเอียดแน่ชัด

    https://news.itsfoss.com/murena-powered-hiroh-phone/
    📰 HIROH Phone โดย Murena — สมาร์ตโฟนเรือธงที่กล้าตัดขาดจาก Google พร้อมสวิตช์ฆ่าเพื่อความเป็นส่วนตัว ในยุคที่ข้อมูลส่วนตัวกลายเป็นสินค้าราคาแพง Murena และ HIROH ได้ร่วมมือกันเปิดตัวสมาร์ตโฟนรุ่นใหม่ที่กล้าฉีกทุกกฎของตลาด ด้วย HIROH Phone ที่มาพร้อมระบบปฏิบัติการ /e/OS แบบไร้ Google และฟีเจอร์เด่นคือ “Kill Switch” ทั้งแบบฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ เพื่อปิดกล้อง ไมโครโฟน และการเชื่อมต่อไร้สายทั้งหมดในคลิกเดียว ในยุคที่ข้อมูลส่วนตัวกลายเป็นสินค้าราคาแพง Murena และ HIROH ได้ร่วมมือกันเปิดตัวสมาร์ตโฟนรุ่นใหม่ที่กล้าฉีกทุกกฎของตลาด ด้วย HIROH Phone ที่มาพร้อมระบบปฏิบัติการ /e/OS แบบไร้ Google และฟีเจอร์เด่นคือ “Kill Switch” ทั้งแบบฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ เพื่อปิดกล้อง ไมโครโฟน และการเชื่อมต่อไร้สายทั้งหมดในคลิกเดียว HIROH Phone ใช้ชิป MediaTek Dimensity 8300 พร้อม RAM 16 GB และพื้นที่เก็บข้อมูล 512 GB ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับเรือธง รองรับการใช้งานหนักทั้งมัลติทาสก์ เกม และสื่อมัลติมีเดีย หน้าจอ AMOLED ขนาด 6.67 นิ้ว ความละเอียด 1.5K พร้อม Gorilla Glass Victus ให้ความคมชัดและทนทาน กล้องหลัก 108 MP พร้อมกล้องเสริม 13 MP และมาโคร รวมถึงกล้องหน้า 32 MP ตอบโจทย์สายถ่ายภาพ ส่วนแบตเตอรี่ 5,000 mAh รองรับชาร์จไว 33W และมีการเชื่อมต่อครบครันทั้ง Wi-Fi 6E, Bluetooth 5.3, NFC และ USB-C ระบบ /e/OS ที่ติดตั้งมาเป็นเวอร์ชันล่าสุดบนพื้นฐาน Android 16 ไม่มีบริการ Google ใด ๆ แต่ยังสามารถติดตั้งแอปยอดนิยมได้ผ่าน App Lounge ที่ไม่ต้องล็อกอิน Google และไม่มีตัวติดตามซ่อนอยู่ HIROH ยังมีรุ่น Platinum Edition สำหรับผู้สั่งจอง 500 คนแรก โดยเปิดให้จองล่วงหน้าด้วยเงินมัดจำ €99 และรับส่วนลด €200 จากราคาปกติ €1,199 เหลือเพียง €999 โดยจะเริ่มจัดส่งในช่วงต้นปี 2026 ✅ HIROH Phone โดย Murena เปิดตัวพร้อมฟีเจอร์ความเป็นส่วนตัวขั้นสูง ➡️ มี Kill Switch แบบฮาร์ดแวร์สำหรับตัดวงจรกล้องและไมโครโฟน ➡️ มี Kill Switch แบบซอฟต์แวร์สำหรับปิดการเชื่อมต่อไร้สายทั้งหมด ✅ สเปกระดับเรือธง ➡️ ชิป MediaTek Dimensity 8300 / RAM 16 GB / ROM 512 GB ➡️ หน้าจอ AMOLED 6.67″ ความละเอียด 1.5K พร้อม Gorilla Glass Victus ✅ กล้องและแบตเตอรี่จัดเต็ม ➡️ กล้องหลัง 108 MP + 13 MP + มาโคร / กล้องหน้า 32 MP ➡️ แบตเตอรี่ 5,000 mAh / ชาร์จไว 33W ✅ ระบบปฏิบัติการ /e/OS แบบไร้ Google ➡️ ไม่มีบริการ Google หรือตัวติดตาม ➡️ รองรับการติดตั้งแอปผ่าน App Lounge โดยไม่ต้องล็อกอิน ✅ รองรับการเชื่อมต่อครบครัน ➡️ Wi-Fi 6E / Bluetooth 5.3 / NFC / USB-C / Dual SIM ➡️ รองรับ 2G–5G / มี microSD สูงสุด 2TB ✅ เปิดให้จองล่วงหน้าแล้ว ➡️ มัดจำ €99 / ราคาสุทธิ €999 จากราคาปกติ €1,199 ➡️ รุ่น Platinum Edition สำหรับ 500 คนแรก พร้อมจัดส่งต้นปี 2026 ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับข้อจำกัดและความไม่ชัดเจน ⛔ ยังไม่มีข้อมูลชัดเจนเกี่ยวกับแบรนด์ HIROH และผู้ผลิตจริง ⛔ การใช้ /e/OS อาจไม่รองรับบางแอปที่พึ่งพา Google Services ⛔ Kill Switch แบบฮาร์ดแวร์อาจไม่สะดวกสำหรับผู้ใช้ทั่วไป ⛔ การรับประกันและบริการหลังการขายยังไม่มีรายละเอียดแน่ชัด https://news.itsfoss.com/murena-powered-hiroh-phone/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    A Flagship Smartphone With Kill Switches? Meet the Murena-Powered HIROH Phone
    A premium smartphone running de-Googled /e/OS, complete with hardware kill switches.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 167 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Nostr: โปรโตคอลสื่อสารไร้ศูนย์กลางที่อาจเปลี่ยนโฉมอินเทอร์เน็ต — เมื่อทุกคนถือกุญแจของตัวเอง”

    ในยุคที่โซเชียลมีเดียถูกควบคุมโดยบริษัทใหญ่และรัฐบาลหลายแห่ง Nostr ได้ถือกำเนิดขึ้นเพื่อเสนอทางเลือกใหม่ที่ “ไม่มีใครควบคุม” โดยเป็นโปรโตคอลเปิดที่ให้ทุกคนสามารถสร้างแอปหรือใช้งานได้อย่างอิสระ ไม่ต้องพึ่งเซิร์ฟเวอร์กลาง ไม่ต้องลงทะเบียน และไม่มีโฆษณา

    Nostr ย่อมาจาก “Notes and Other Stuff Transmitted by Relays” ซึ่งหมายถึงการส่งข้อความผ่านเครือข่ายของรีเลย์ (relay) ที่ทำหน้าที่รับ ส่ง และเก็บข้อมูล โดยผู้ใช้สามารถเลือกรีเลย์ที่ต้องการได้เอง และหากรีเลย์หนึ่งล่ม ข้อมูลก็ยังอยู่ในรีเลย์อื่น ทำให้ระบบมีความทนทานสูง

    ผู้ใช้แต่ละคนจะมี public key เป็นตัวระบุ และใช้ private key ในการเซ็นข้อความเพื่อยืนยันว่าเป็นเจ้าของจริง ซึ่งช่วยป้องกันการปลอมแปลงและเพิ่มความโปร่งใสในการสื่อสาร ทุกข้อความที่ส่งออกไปจะถูกเซ็นดิจิทัล และสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้

    ในปี 2025 Nostr ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมีแอปที่รองรับมากมาย เช่น Damus, Primal และ Amethyst รวมถึงการเชื่อมต่อกับ Bitcoin เพื่อสร้างเศรษฐกิจแบบไร้ตัวกลาง เช่น การให้ทิปผ่าน Lightning Network หรือการขายคอนเทนต์โดยตรง

    อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังคงอยู่ โดยเฉพาะเรื่องความเสถียรของรีเลย์ที่บางแห่งอาจล่มบ่อย หรือจำกัดการใช้งานเฉพาะสมาชิกที่จ่ายเงิน รวมถึงการจัดการเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม ซึ่งไม่มีระบบกลางในการควบคุม

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Nostr เป็นโปรโตคอลเปิดสำหรับการสื่อสารแบบไร้ศูนย์กลาง
    ใช้ระบบรีเลย์ในการส่งและเก็บข้อความ ผู้ใช้เลือกรีเลย์ได้เอง
    ทุกข้อความถูกเซ็นด้วย private key เพื่อยืนยันตัวตน
    ไม่มีเซิร์ฟเวอร์กลาง ไม่มีโฆษณา และไม่ต้องลงทะเบียน

    การใช้งานและการเติบโต
    แอปยอดนิยมที่ใช้ Nostr ได้แก่ Damus, Primal, Amethyst
    เชื่อมต่อกับ Bitcoin เพื่อสร้างเศรษฐกิจแบบ peer-to-peer
    ผู้ใช้สามารถให้ทิปหรือขายคอนเทนต์โดยตรงผ่าน Lightning Network
    โปรโตคอลได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในปี 2025 และมีผู้ใช้หลายล้านคน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Nostr ถูกเปรียบเทียบกับ Bitcoin ในแง่ของการกระจายอำนาจและความโปร่งใส
    การเซ็นข้อความด้วย cryptographic key ช่วยป้องกันการปลอมแปลง
    นักพัฒนาใช้ nostr-tools library ในการสร้างแอปและจัดการ key
    การไม่มีระบบกลางช่วยให้ไอเดียใหม่ ๆ ถูกทดลองได้อย่างรวดเร็ว


    https://nostr.com/
    🌐 “Nostr: โปรโตคอลสื่อสารไร้ศูนย์กลางที่อาจเปลี่ยนโฉมอินเทอร์เน็ต — เมื่อทุกคนถือกุญแจของตัวเอง” ในยุคที่โซเชียลมีเดียถูกควบคุมโดยบริษัทใหญ่และรัฐบาลหลายแห่ง Nostr ได้ถือกำเนิดขึ้นเพื่อเสนอทางเลือกใหม่ที่ “ไม่มีใครควบคุม” โดยเป็นโปรโตคอลเปิดที่ให้ทุกคนสามารถสร้างแอปหรือใช้งานได้อย่างอิสระ ไม่ต้องพึ่งเซิร์ฟเวอร์กลาง ไม่ต้องลงทะเบียน และไม่มีโฆษณา Nostr ย่อมาจาก “Notes and Other Stuff Transmitted by Relays” ซึ่งหมายถึงการส่งข้อความผ่านเครือข่ายของรีเลย์ (relay) ที่ทำหน้าที่รับ ส่ง และเก็บข้อมูล โดยผู้ใช้สามารถเลือกรีเลย์ที่ต้องการได้เอง และหากรีเลย์หนึ่งล่ม ข้อมูลก็ยังอยู่ในรีเลย์อื่น ทำให้ระบบมีความทนทานสูง ผู้ใช้แต่ละคนจะมี public key เป็นตัวระบุ และใช้ private key ในการเซ็นข้อความเพื่อยืนยันว่าเป็นเจ้าของจริง ซึ่งช่วยป้องกันการปลอมแปลงและเพิ่มความโปร่งใสในการสื่อสาร ทุกข้อความที่ส่งออกไปจะถูกเซ็นดิจิทัล และสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ ในปี 2025 Nostr ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมีแอปที่รองรับมากมาย เช่น Damus, Primal และ Amethyst รวมถึงการเชื่อมต่อกับ Bitcoin เพื่อสร้างเศรษฐกิจแบบไร้ตัวกลาง เช่น การให้ทิปผ่าน Lightning Network หรือการขายคอนเทนต์โดยตรง อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังคงอยู่ โดยเฉพาะเรื่องความเสถียรของรีเลย์ที่บางแห่งอาจล่มบ่อย หรือจำกัดการใช้งานเฉพาะสมาชิกที่จ่ายเงิน รวมถึงการจัดการเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม ซึ่งไม่มีระบบกลางในการควบคุม ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Nostr เป็นโปรโตคอลเปิดสำหรับการสื่อสารแบบไร้ศูนย์กลาง ➡️ ใช้ระบบรีเลย์ในการส่งและเก็บข้อความ ผู้ใช้เลือกรีเลย์ได้เอง ➡️ ทุกข้อความถูกเซ็นด้วย private key เพื่อยืนยันตัวตน ➡️ ไม่มีเซิร์ฟเวอร์กลาง ไม่มีโฆษณา และไม่ต้องลงทะเบียน ✅ การใช้งานและการเติบโต ➡️ แอปยอดนิยมที่ใช้ Nostr ได้แก่ Damus, Primal, Amethyst ➡️ เชื่อมต่อกับ Bitcoin เพื่อสร้างเศรษฐกิจแบบ peer-to-peer ➡️ ผู้ใช้สามารถให้ทิปหรือขายคอนเทนต์โดยตรงผ่าน Lightning Network ➡️ โปรโตคอลได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในปี 2025 และมีผู้ใช้หลายล้านคน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Nostr ถูกเปรียบเทียบกับ Bitcoin ในแง่ของการกระจายอำนาจและความโปร่งใส ➡️ การเซ็นข้อความด้วย cryptographic key ช่วยป้องกันการปลอมแปลง ➡️ นักพัฒนาใช้ nostr-tools library ในการสร้างแอปและจัดการ key ➡️ การไม่มีระบบกลางช่วยให้ไอเดียใหม่ ๆ ถูกทดลองได้อย่างรวดเร็ว https://nostr.com/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 174 มุมมอง 0 รีวิว
  • Tor VPN เปิดตัวเวอร์ชันเบต้า Android — ขยายขอบเขตความเป็นส่วนตัวจากเบราว์เซอร์สู่ระบบเครือข่าย

    โครงการ Tor ที่รู้จักกันดีในฐานะผู้พัฒนาเบราว์เซอร์ที่เน้นความเป็นส่วนตัว ได้เปิดตัวแอป VPN เวอร์ชันเบต่าสำหรับ Android อย่างเงียบ ๆ บน Google Play Store โดยใช้ชื่อว่า “Tor VPN” ซึ่งเป็นความพยายามครั้งใหม่ในการปกป้องผู้ใช้งานจากการเซ็นเซอร์และการติดตามออนไลน์ในระดับเครือข่าย ไม่ใช่แค่ในเบราว์เซอร์อีกต่อไป

    Tor VPN ใช้โครงสร้างใหม่ที่เรียกว่า Arti ซึ่งเป็นการเขียนระบบ Tor ด้วยภาษา Rust แทน C เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและความเสถียร ตัวแอปยังรองรับฟีเจอร์ split tunneling ที่ให้ผู้ใช้เลือกได้ว่าแอปใดจะส่งข้อมูลผ่านเครือข่าย Tor และแต่ละแอปจะได้รับ IP แยกกัน ทำให้ยากต่อการเชื่อมโยงพฤติกรรมออนไลน์ของผู้ใช้

    นอกจากนี้ยังมีการฝังระบบ “bridge” ป้องกันการเซ็นเซอร์ เช่น obfs4 ที่ทำให้ทราฟฟิกดูเหมือนข้อมูลสุ่ม และ Snowflake ที่ปลอมทราฟฟิกให้เหมือนวิดีโอคอลผ่าน WebRTC ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้ในประเทศที่มีการควบคุมอินเทอร์เน็ตสามารถเข้าถึง Tor ได้ง่ายขึ้น

    อย่างไรก็ตาม Tor VPN ยังอยู่ในช่วงทดลอง และนักพัฒนาย้ำว่าไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น นักข่าวหรือผู้เคลื่อนไหวในประเทศที่มีการสอดแนมอย่างเข้มงวด เพราะอาจยังมีช่องโหว่ด้านความปลอดภัย

    Tor เปิดตัว VPN เบต้าสำหรับ Android
    ใช้ชื่อว่า Tor VPN และมีให้ดาวน์โหลดบน Google Play Store
    เป็นการขยายการปกป้องความเป็นส่วนตัวจากเบราว์เซอร์สู่ระดับเครือข่าย

    ใช้โครงสร้างใหม่ Arti ที่เขียนด้วยภาษา Rust
    ปลอดภัยและเสถียรกว่าระบบเดิมที่ใช้ภาษา C
    เป็นพื้นฐานใหม่สำหรับการพัฒนา Tor ในอนาคต

    รองรับฟีเจอร์ split tunneling
    ผู้ใช้สามารถเลือกแอปที่ต้องการให้ผ่านเครือข่าย Tor
    แต่ละแอปจะได้รับ IP แยกกัน ลดการเชื่อมโยงพฤติกรรม

    มีระบบ bridge ป้องกันการเซ็นเซอร์
    obfs4 ทำให้ทราฟฟิกดูเหมือนข้อมูลสุ่ม
    Snowflake ปลอมทราฟฟิกให้เหมือนวิดีโอคอลผ่าน WebRTC

    แอปเป็น open source และมีโค้ดอยู่บน GitHub
    เปิดให้ผู้ใช้และนักพัฒนาตรวจสอบและร่วมพัฒนา
    ช่วยเพิ่มความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือ

    คำเตือนเกี่ยวกับการใช้งาน Tor VPN เบต้า
    ยังไม่เหมาะสำหรับผู้ใช้งานที่มีความเสี่ยงสูง เช่น นักข่าวหรือผู้เคลื่อนไหว
    อาจมีช่องโหว่ด้านความปลอดภัยหรือการรั่วไหลของข้อมูล
    ยังไม่สามารถเทียบเท่ากับ VPN เชิงพาณิชย์ที่ผ่านการทดสอบอย่างเข้มงวด
    การใช้งานในประเทศที่มีการควบคุมอินเทอร์เน็ตอาจยังไม่ปลอดภัยเต็มที่

    https://www.techradar.com/vpn/vpn-services/the-tor-project-quietly-launches-a-beta-android-vpn-and-looks-for-testers
    📰 Tor VPN เปิดตัวเวอร์ชันเบต้า Android — ขยายขอบเขตความเป็นส่วนตัวจากเบราว์เซอร์สู่ระบบเครือข่าย โครงการ Tor ที่รู้จักกันดีในฐานะผู้พัฒนาเบราว์เซอร์ที่เน้นความเป็นส่วนตัว ได้เปิดตัวแอป VPN เวอร์ชันเบต่าสำหรับ Android อย่างเงียบ ๆ บน Google Play Store โดยใช้ชื่อว่า “Tor VPN” ซึ่งเป็นความพยายามครั้งใหม่ในการปกป้องผู้ใช้งานจากการเซ็นเซอร์และการติดตามออนไลน์ในระดับเครือข่าย ไม่ใช่แค่ในเบราว์เซอร์อีกต่อไป Tor VPN ใช้โครงสร้างใหม่ที่เรียกว่า Arti ซึ่งเป็นการเขียนระบบ Tor ด้วยภาษา Rust แทน C เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและความเสถียร ตัวแอปยังรองรับฟีเจอร์ split tunneling ที่ให้ผู้ใช้เลือกได้ว่าแอปใดจะส่งข้อมูลผ่านเครือข่าย Tor และแต่ละแอปจะได้รับ IP แยกกัน ทำให้ยากต่อการเชื่อมโยงพฤติกรรมออนไลน์ของผู้ใช้ นอกจากนี้ยังมีการฝังระบบ “bridge” ป้องกันการเซ็นเซอร์ เช่น obfs4 ที่ทำให้ทราฟฟิกดูเหมือนข้อมูลสุ่ม และ Snowflake ที่ปลอมทราฟฟิกให้เหมือนวิดีโอคอลผ่าน WebRTC ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้ในประเทศที่มีการควบคุมอินเทอร์เน็ตสามารถเข้าถึง Tor ได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตาม Tor VPN ยังอยู่ในช่วงทดลอง และนักพัฒนาย้ำว่าไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น นักข่าวหรือผู้เคลื่อนไหวในประเทศที่มีการสอดแนมอย่างเข้มงวด เพราะอาจยังมีช่องโหว่ด้านความปลอดภัย ✅ Tor เปิดตัว VPN เบต้าสำหรับ Android ➡️ ใช้ชื่อว่า Tor VPN และมีให้ดาวน์โหลดบน Google Play Store ➡️ เป็นการขยายการปกป้องความเป็นส่วนตัวจากเบราว์เซอร์สู่ระดับเครือข่าย ✅ ใช้โครงสร้างใหม่ Arti ที่เขียนด้วยภาษา Rust ➡️ ปลอดภัยและเสถียรกว่าระบบเดิมที่ใช้ภาษา C ➡️ เป็นพื้นฐานใหม่สำหรับการพัฒนา Tor ในอนาคต ✅ รองรับฟีเจอร์ split tunneling ➡️ ผู้ใช้สามารถเลือกแอปที่ต้องการให้ผ่านเครือข่าย Tor ➡️ แต่ละแอปจะได้รับ IP แยกกัน ลดการเชื่อมโยงพฤติกรรม ✅ มีระบบ bridge ป้องกันการเซ็นเซอร์ ➡️ obfs4 ทำให้ทราฟฟิกดูเหมือนข้อมูลสุ่ม ➡️ Snowflake ปลอมทราฟฟิกให้เหมือนวิดีโอคอลผ่าน WebRTC ✅ แอปเป็น open source และมีโค้ดอยู่บน GitHub ➡️ เปิดให้ผู้ใช้และนักพัฒนาตรวจสอบและร่วมพัฒนา ➡️ ช่วยเพิ่มความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือ ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับการใช้งาน Tor VPN เบต้า ⛔ ยังไม่เหมาะสำหรับผู้ใช้งานที่มีความเสี่ยงสูง เช่น นักข่าวหรือผู้เคลื่อนไหว ⛔ อาจมีช่องโหว่ด้านความปลอดภัยหรือการรั่วไหลของข้อมูล ⛔ ยังไม่สามารถเทียบเท่ากับ VPN เชิงพาณิชย์ที่ผ่านการทดสอบอย่างเข้มงวด ⛔ การใช้งานในประเทศที่มีการควบคุมอินเทอร์เน็ตอาจยังไม่ปลอดภัยเต็มที่ https://www.techradar.com/vpn/vpn-services/the-tor-project-quietly-launches-a-beta-android-vpn-and-looks-for-testers
    WWW.TECHRADAR.COM
    The Tor Project quietly launches a beta Android VPN – and looks for testers
    The Tor Project continues its fight for online privacy, this time with a VPN app
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 149 มุมมอง 0 รีวิว
  • PorteuX 2.3 เปิดตัวพร้อม GNOME 49 — ดิสโทรสาย Slackware ที่เบา ลื่น และรองรับกล้องเว็บแคมดีขึ้น

    PorteuX 2.3 ดิสโทร Linux สาย Slackware ที่เน้นความเร็ว ขนาดเล็ก และความยืดหยุ่น ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนกันยายน 2025 โดยเวอร์ชันนี้ยังคงใช้ Linux Kernel 6.16.7 เช่นเดียวกับรุ่นก่อนหน้า แต่มีการอัปเดตหลายจุดที่น่าสนใจ โดยเฉพาะการเพิ่ม GNOME 49 เป็นหนึ่งในเดสก์ท็อปหลัก พร้อมรองรับ KDE Plasma 6.4.5 และไดรเวอร์ NVIDIA รุ่นใหม่ 580.82.09

    GNOME 49 ที่มาพร้อมใน PorteuX 2.3 ได้เพิ่มแอปเทอร์มินัลใหม่ชื่อ Ptyxis และปรับปรุงการจัดการ GNOME Shell extensions ให้สามารถลบได้ง่ายผ่านคำสั่ง removepkg ในเทอร์มินัล นอกจากนี้ยังมีการแก้บั๊กหลายจุด เช่น ปัญหา Openbox ไม่เริ่มทำงานเมื่อไม่มีโมดูลเดสก์ท็อป, ปัญหา Super + L ไม่ล็อกหน้าจอใน GNOME และ Alt + F4 ไม่ทำงานใน Labwc Wayland

    อีกหนึ่งจุดเด่นคือการปรับปรุงการรองรับกล้องเว็บแคมให้ดีขึ้น ซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการใช้งานวิดีโอคอลหรือบันทึกภาพผ่านแอปต่าง ๆ โดยไม่ต้องติดตั้งไดรเวอร์เพิ่มเอง รวมถึงการปรับปรุงระบบ build script ให้เร็วขึ้น ใช้ meson/ninja และ lld เพื่อสร้าง binary ที่เล็กและเร็วขึ้น

    PorteuX 2.3 ยังเพิ่มแพ็กเกจใหม่ เช่น Fastfetch และ GNU nano และลบแพ็กเกจที่ล้าสมัยออก เช่น codec บางตัวและไดรเวอร์ GPU ที่ไม่จำเป็นจาก Mesa stack พร้อมรองรับเดสก์ท็อปหลากหลาย เช่น Xfce 4.20, Cinnamon 6.4.12, MATE 1.28.2, LXQt 2.2 และ LXDE 0.11.1

    PorteuX 2.3 เปิดตัวอย่างเป็นทางการ
    ใช้ Linux Kernel 6.16.7
    รองรับ GNOME 49, KDE Plasma 6.4.5 และเดสก์ท็อปอื่นอีก 5 แบบ

    GNOME 49 มาพร้อมแอปใหม่และปรับปรุงระบบ
    เพิ่มเทอร์มินัล Ptyxis
    ปรับปรุงการจัดการ GNOME Shell extensions ผ่าน removepkg
    แก้ปัญหา shortcut และการทำงานของ window manager

    รองรับกล้องเว็บแคมดีขึ้น
    ใช้งานได้ทันทีโดยไม่ต้องติดตั้งไดรเวอร์เพิ่ม
    เหมาะสำหรับการประชุมออนไลน์และงานมัลติมีเดีย

    ปรับปรุงระบบ build script และแพ็กเกจ
    ใช้ meson/ninja และ lld เพื่อสร้าง binary ที่เล็กและเร็ว
    เพิ่ม Fastfetch และ GNU nano เป็นค่าเริ่มต้น
    ลบ codec และ GPU driver ที่ล้าสมัย

    รองรับหลายเดสก์ท็อปให้เลือกใช้งาน
    GNOME, KDE Plasma, Xfce, Cinnamon, MATE, LXQt, LXDE
    เหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการความยืดหยุ่นในการปรับแต่ง

    คำเตือนเกี่ยวกับการใช้งาน PorteuX 2.3
    การลบแพ็กเกจบางตัวอาจกระทบกับแอปที่ต้องใช้ codec เฉพาะ
    GNOME Shell extensions ที่ลบผ่าน removepkg อาจทำให้ระบบไม่เสถียร หากลบผิด
    การใช้ build script แบบใหม่อาจไม่รองรับกับบางโปรเจกต์เก่า
    ผู้ใช้ที่ไม่คุ้นกับ Slackware อาจต้องเรียนรู้ระบบแพ็กเกจใหม่ก่อนใช้งาน

    https://9to5linux.com/slackware-based-porteux-2-3-is-out-with-gnome-49-improved-webcam-support
    📰 PorteuX 2.3 เปิดตัวพร้อม GNOME 49 — ดิสโทรสาย Slackware ที่เบา ลื่น และรองรับกล้องเว็บแคมดีขึ้น PorteuX 2.3 ดิสโทร Linux สาย Slackware ที่เน้นความเร็ว ขนาดเล็ก และความยืดหยุ่น ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนกันยายน 2025 โดยเวอร์ชันนี้ยังคงใช้ Linux Kernel 6.16.7 เช่นเดียวกับรุ่นก่อนหน้า แต่มีการอัปเดตหลายจุดที่น่าสนใจ โดยเฉพาะการเพิ่ม GNOME 49 เป็นหนึ่งในเดสก์ท็อปหลัก พร้อมรองรับ KDE Plasma 6.4.5 และไดรเวอร์ NVIDIA รุ่นใหม่ 580.82.09 GNOME 49 ที่มาพร้อมใน PorteuX 2.3 ได้เพิ่มแอปเทอร์มินัลใหม่ชื่อ Ptyxis และปรับปรุงการจัดการ GNOME Shell extensions ให้สามารถลบได้ง่ายผ่านคำสั่ง removepkg ในเทอร์มินัล นอกจากนี้ยังมีการแก้บั๊กหลายจุด เช่น ปัญหา Openbox ไม่เริ่มทำงานเมื่อไม่มีโมดูลเดสก์ท็อป, ปัญหา Super + L ไม่ล็อกหน้าจอใน GNOME และ Alt + F4 ไม่ทำงานใน Labwc Wayland อีกหนึ่งจุดเด่นคือการปรับปรุงการรองรับกล้องเว็บแคมให้ดีขึ้น ซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการใช้งานวิดีโอคอลหรือบันทึกภาพผ่านแอปต่าง ๆ โดยไม่ต้องติดตั้งไดรเวอร์เพิ่มเอง รวมถึงการปรับปรุงระบบ build script ให้เร็วขึ้น ใช้ meson/ninja และ lld เพื่อสร้าง binary ที่เล็กและเร็วขึ้น PorteuX 2.3 ยังเพิ่มแพ็กเกจใหม่ เช่น Fastfetch และ GNU nano และลบแพ็กเกจที่ล้าสมัยออก เช่น codec บางตัวและไดรเวอร์ GPU ที่ไม่จำเป็นจาก Mesa stack พร้อมรองรับเดสก์ท็อปหลากหลาย เช่น Xfce 4.20, Cinnamon 6.4.12, MATE 1.28.2, LXQt 2.2 และ LXDE 0.11.1 ✅ PorteuX 2.3 เปิดตัวอย่างเป็นทางการ ➡️ ใช้ Linux Kernel 6.16.7 ➡️ รองรับ GNOME 49, KDE Plasma 6.4.5 และเดสก์ท็อปอื่นอีก 5 แบบ ✅ GNOME 49 มาพร้อมแอปใหม่และปรับปรุงระบบ ➡️ เพิ่มเทอร์มินัล Ptyxis ➡️ ปรับปรุงการจัดการ GNOME Shell extensions ผ่าน removepkg ➡️ แก้ปัญหา shortcut และการทำงานของ window manager ✅ รองรับกล้องเว็บแคมดีขึ้น ➡️ ใช้งานได้ทันทีโดยไม่ต้องติดตั้งไดรเวอร์เพิ่ม ➡️ เหมาะสำหรับการประชุมออนไลน์และงานมัลติมีเดีย ✅ ปรับปรุงระบบ build script และแพ็กเกจ ➡️ ใช้ meson/ninja และ lld เพื่อสร้าง binary ที่เล็กและเร็ว ➡️ เพิ่ม Fastfetch และ GNU nano เป็นค่าเริ่มต้น ➡️ ลบ codec และ GPU driver ที่ล้าสมัย ✅ รองรับหลายเดสก์ท็อปให้เลือกใช้งาน ➡️ GNOME, KDE Plasma, Xfce, Cinnamon, MATE, LXQt, LXDE ➡️ เหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการความยืดหยุ่นในการปรับแต่ง ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับการใช้งาน PorteuX 2.3 ⛔ การลบแพ็กเกจบางตัวอาจกระทบกับแอปที่ต้องใช้ codec เฉพาะ ⛔ GNOME Shell extensions ที่ลบผ่าน removepkg อาจทำให้ระบบไม่เสถียร หากลบผิด ⛔ การใช้ build script แบบใหม่อาจไม่รองรับกับบางโปรเจกต์เก่า ⛔ ผู้ใช้ที่ไม่คุ้นกับ Slackware อาจต้องเรียนรู้ระบบแพ็กเกจใหม่ก่อนใช้งาน https://9to5linux.com/slackware-based-porteux-2-3-is-out-with-gnome-49-improved-webcam-support
    9TO5LINUX.COM
    Slackware-Based PorteuX 2.3 Is Out with GNOME 49, Improved Webcam Support - 9to5Linux
    PorteuX 2.3 Linux distribution is now available for download with Linux kernel 6.16, GNOME 49, KDE Plasma 6.4.5, and more.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 161 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts