• เรื่องเล่าจากข่าว: ฤดูร้อน—ช่วงเวลาทองของแฮกเกอร์ และบทเรียนที่องค์กรต้องไม่ละเลย

    ฤดูร้อนมักเป็นช่วงที่คนทำงานหยุดพัก เดินทางไกล หรือทำงานจากสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย เช่น บ้านพักตากอากาศ โรงแรม หรือสนามบิน ซึ่งมักใช้ Wi-Fi สาธารณะที่ไม่มีการเข้ารหัสหรือระบบป้องกันที่ดีพอ

    ในขณะเดียวกัน ทีม IT และฝ่ายรักษาความปลอดภัยไซเบอร์ขององค์กรก็ลดกำลังลงจากการลาพักร้อน ทำให้การตรวจสอบภัยคุกคามลดลงอย่างเห็นได้ชัด

    ผลคือ แฮกเกอร์ใช้โอกาสนี้ในการโจมตีแบบ phishing, ransomware และการขโมยข้อมูลผ่านเครือข่ายปลอม โดยเฉพาะการปลอมอีเมลจากสายการบินหรือแพลตฟอร์มจองที่พัก ซึ่งดูเหมือนจริงจนผู้ใช้หลงเชื่อ

    ข้อมูลจากหลายแหล่งระบุว่า การโจมตีไซเบอร์ในฤดูร้อนเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 30% โดยเฉพาะในกลุ่มองค์กรที่มีการทำงานแบบ remote และไม่มีนโยบายรักษาความปลอดภัยที่ชัดเจน

    ฤดูร้อนเป็นช่วงที่การโจมตีไซเบอร์เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
    การโจมตีเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 30% ในช่วงเดือนมิถุนายน–สิงหาคม
    เกิดจากการลดกำลังของทีม IT และการใช้เครือข่ายที่ไม่ปลอดภัย

    ผู้ใช้มักเชื่อมต่อ Wi-Fi สาธารณะจากโรงแรม สนามบิน หรือบ้านพัก โดยไม่รู้ว่ามีความเสี่ยง
    เสี่ยงต่อการถูกดักข้อมูลหรือปลอมเครือข่าย
    อุปกรณ์ส่วนตัวมักไม่มีระบบป้องกันเท่ากับอุปกรณ์องค์กร

    แฮกเกอร์ใช้ phishing ที่เลียนแบบอีเมลจากสายการบินหรือแพลตฟอร์มจองที่พัก
    หลอกให้ผู้ใช้กรอกข้อมูลบัตรเครดิตหรือรหัสผ่าน
    ใช้เทคนิคที่เหมือนจริงมากขึ้นด้วย generative AI

    องค์กรมักเลื่อนการอัปเดตระบบและการตรวจสอบความปลอดภัยไปหลังช่วงพักร้อน
    ทำให้เกิดช่องโหว่ที่แฮกเกอร์สามารถเจาะเข้าได้ง่าย
    ไม่มีการสำรองข้อมูลหรือทดสอบระบบอย่างสม่ำเสมอ

    ภัยคุกคามที่พบบ่อยในฤดูร้อน ได้แก่ ransomware, credential theft และ shadow IT
    การใช้แอปที่ไม่ได้รับอนุญาตหรือแชร์ไฟล์ผ่านช่องทางที่ไม่ปลอดภัย
    การขโมยข้อมูลบัญชีผ่านการดักจับการสื่อสาร

    การใช้อุปกรณ์ส่วนตัวที่ไม่มีระบบป้องกันเข้าถึงข้อมูลองค์กรเป็นช่องโหว่สำคัญ
    ไม่มีการเข้ารหัสหรือระบบป้องกันไวรัส
    เสี่ยงต่อการถูกขโมยข้อมูลหรือเข้าถึงระบบภายใน

    การลดกำลังทีม IT ในช่วงฤดูร้อนทำให้การตอบสนองต่อภัยคุกคามล่าช้า
    แฮกเกอร์สามารถแฝงตัวในระบบได้นานขึ้น
    อาจเกิดการโจมตีแบบ ransomware โดยไม่มีใครตรวจพบ

    การไม่มีแผนรับมือหรือผู้รับผิดชอบเมื่อเกิดเหตุการณ์ไซเบอร์อาจทำให้ความเสียหายขยายตัว
    ไม่มีการแจ้งเตือนหรือกู้คืนข้อมูลทันเวลา
    องค์กรอาจสูญเสียข้อมูลสำคัญหรือความน่าเชื่อถือ

    การใช้ Wi-Fi สาธารณะโดยไม่ใช้ VPN หรือระบบป้องกันเป็นพฤติกรรมเสี่ยงสูง
    ข้อมูลส่วนตัวและข้อมูลองค์กรอาจถูกดักจับ
    เสี่ยงต่อการถูกโจมตีแบบ man-in-the-middle

    https://www.csoonline.com/article/4030931/summer-why-cybersecurity-needs-to-be-further-strengthened.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: ฤดูร้อน—ช่วงเวลาทองของแฮกเกอร์ และบทเรียนที่องค์กรต้องไม่ละเลย ฤดูร้อนมักเป็นช่วงที่คนทำงานหยุดพัก เดินทางไกล หรือทำงานจากสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย เช่น บ้านพักตากอากาศ โรงแรม หรือสนามบิน ซึ่งมักใช้ Wi-Fi สาธารณะที่ไม่มีการเข้ารหัสหรือระบบป้องกันที่ดีพอ ในขณะเดียวกัน ทีม IT และฝ่ายรักษาความปลอดภัยไซเบอร์ขององค์กรก็ลดกำลังลงจากการลาพักร้อน ทำให้การตรวจสอบภัยคุกคามลดลงอย่างเห็นได้ชัด ผลคือ แฮกเกอร์ใช้โอกาสนี้ในการโจมตีแบบ phishing, ransomware และการขโมยข้อมูลผ่านเครือข่ายปลอม โดยเฉพาะการปลอมอีเมลจากสายการบินหรือแพลตฟอร์มจองที่พัก ซึ่งดูเหมือนจริงจนผู้ใช้หลงเชื่อ ข้อมูลจากหลายแหล่งระบุว่า การโจมตีไซเบอร์ในฤดูร้อนเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 30% โดยเฉพาะในกลุ่มองค์กรที่มีการทำงานแบบ remote และไม่มีนโยบายรักษาความปลอดภัยที่ชัดเจน ✅ ฤดูร้อนเป็นช่วงที่การโจมตีไซเบอร์เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ➡️ การโจมตีเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 30% ในช่วงเดือนมิถุนายน–สิงหาคม ➡️ เกิดจากการลดกำลังของทีม IT และการใช้เครือข่ายที่ไม่ปลอดภัย ✅ ผู้ใช้มักเชื่อมต่อ Wi-Fi สาธารณะจากโรงแรม สนามบิน หรือบ้านพัก โดยไม่รู้ว่ามีความเสี่ยง ➡️ เสี่ยงต่อการถูกดักข้อมูลหรือปลอมเครือข่าย ➡️ อุปกรณ์ส่วนตัวมักไม่มีระบบป้องกันเท่ากับอุปกรณ์องค์กร ✅ แฮกเกอร์ใช้ phishing ที่เลียนแบบอีเมลจากสายการบินหรือแพลตฟอร์มจองที่พัก ➡️ หลอกให้ผู้ใช้กรอกข้อมูลบัตรเครดิตหรือรหัสผ่าน ➡️ ใช้เทคนิคที่เหมือนจริงมากขึ้นด้วย generative AI ✅ องค์กรมักเลื่อนการอัปเดตระบบและการตรวจสอบความปลอดภัยไปหลังช่วงพักร้อน ➡️ ทำให้เกิดช่องโหว่ที่แฮกเกอร์สามารถเจาะเข้าได้ง่าย ➡️ ไม่มีการสำรองข้อมูลหรือทดสอบระบบอย่างสม่ำเสมอ ✅ ภัยคุกคามที่พบบ่อยในฤดูร้อน ได้แก่ ransomware, credential theft และ shadow IT ➡️ การใช้แอปที่ไม่ได้รับอนุญาตหรือแชร์ไฟล์ผ่านช่องทางที่ไม่ปลอดภัย ➡️ การขโมยข้อมูลบัญชีผ่านการดักจับการสื่อสาร ‼️ การใช้อุปกรณ์ส่วนตัวที่ไม่มีระบบป้องกันเข้าถึงข้อมูลองค์กรเป็นช่องโหว่สำคัญ ⛔ ไม่มีการเข้ารหัสหรือระบบป้องกันไวรัส ⛔ เสี่ยงต่อการถูกขโมยข้อมูลหรือเข้าถึงระบบภายใน ‼️ การลดกำลังทีม IT ในช่วงฤดูร้อนทำให้การตอบสนองต่อภัยคุกคามล่าช้า ⛔ แฮกเกอร์สามารถแฝงตัวในระบบได้นานขึ้น ⛔ อาจเกิดการโจมตีแบบ ransomware โดยไม่มีใครตรวจพบ ‼️ การไม่มีแผนรับมือหรือผู้รับผิดชอบเมื่อเกิดเหตุการณ์ไซเบอร์อาจทำให้ความเสียหายขยายตัว ⛔ ไม่มีการแจ้งเตือนหรือกู้คืนข้อมูลทันเวลา ⛔ องค์กรอาจสูญเสียข้อมูลสำคัญหรือความน่าเชื่อถือ ‼️ การใช้ Wi-Fi สาธารณะโดยไม่ใช้ VPN หรือระบบป้องกันเป็นพฤติกรรมเสี่ยงสูง ⛔ ข้อมูลส่วนตัวและข้อมูลองค์กรอาจถูกดักจับ ⛔ เสี่ยงต่อการถูกโจมตีแบบ man-in-the-middle https://www.csoonline.com/article/4030931/summer-why-cybersecurity-needs-to-be-further-strengthened.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Summer: Why cybersecurity must be strengthened as vacations abound
    Letting your guard down is not the most reasonable thing to do at a time when cybersecurity risks are on the rise; cyber attackers are not resting. What's more, they are well aware of what happens at this time of year, hence they take advantage of the circumstance to launch more aggressive campaigns.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 83 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข่าว: AMD เตรียมเปิดตัวชิป NPU แบบแยก เพื่อท้าชน GPU ในยุค AI PC

    ในยุคที่ AI กลายเป็นหัวใจของการประมวลผลบนพีซี ผู้ผลิตชิปต่างเร่งพัฒนา NPU (Neural Processing Unit) เพื่อรองรับงาน AI โดยเฉพาะ ซึ่ง AMD ก็ไม่ยอมน้อยหน้า ล่าสุดมีการเปิดเผยว่า AMD กำลังพิจารณาเปิดตัว “Discrete NPU” หรือชิป NPU แบบแยกชิ้น ไม่ฝังอยู่ใน CPU หรือ GPU เหมือนที่ผ่านมา

    Rahul Tikoo หัวหน้าฝ่าย CPU ของ AMD ระบุว่า บริษัทกำลังพูดคุยกับลูกค้าเกี่ยวกับการใช้งานและโอกาสของชิป NPU แบบแยก ซึ่งจะช่วยให้พีซีสามารถประมวลผล AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยไม่ต้องพึ่ง GPU ที่กินไฟและสร้างความร้อนสูง

    แนวคิดนี้เกิดขึ้นหลังจาก Dell เปิดตัวแล็ปท็อป Pro Max Plus ที่ใช้การ์ด Qualcomm AI 100 ซึ่งเป็น NPU แบบแยกตัวแรกในระดับองค์กร และมีประสิทธิภาพสูงถึง 450 TOPS ในพลังงานเพียง 75 วัตต์

    AMD เองก็มีพื้นฐานจากเทคโนโลยี Xilinx ที่ใช้สร้าง NPU ฝังใน Ryzen รุ่นใหม่ และมีโครงการ Gaia ที่ช่วยให้สามารถรันโมเดล LLM ขนาดใหญ่บนเครื่องพีซีได้โดยตรง

    AMD เตรียมเปิดตัวชิป NPU แบบแยกสำหรับพีซีในอนาคต
    ไม่ใช่ GPU แต่เป็นตัวเร่ง AI โดยเฉพาะ
    อยู่ระหว่างการพูดคุยกับลูกค้าเกี่ยวกับการใช้งานและโอกาส

    ชิป NPU แบบแยกจะช่วยลดภาระของ CPU และ GPU ในการประมวลผล AI
    เหมาะสำหรับงาน inference และการรันโมเดล LLM บนเครื่อง
    ช่วยให้พีซีบางเบายังคงมีประสิทธิภาพสูงด้าน AI

    AMD มีพื้นฐานจากเทคโนโลยี Xilinx และโครงการ Gaia สำหรับการรันโมเดล AI บน Ryzen
    ใช้ NPU tile ที่สามารถสร้างได้ถึง 50 TOPS ต่อชิ้น
    สามารถรวมหลาย tile เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพได้

    Dell เปิดตัวแล็ปท็อปที่ใช้การ์ด Qualcomm AI 100 ซึ่งเป็น NPU แบบแยกตัวแรกในระดับองค์กร
    มี 16 AI cores และหน่วยความจำ 32GB ต่อการ์ด
    ประสิทธิภาพสูงถึง 450 TOPS ในพลังงานเพียง 75 วัตต์

    Discrete NPU จะช่วยลดความต้องการ GPU ระดับสูงในตลาด
    ทำให้ราคาการ์ดจอสำหรับเกมเมอร์ลดลง
    เป็นทางเลือกใหม่สำหรับผู้ใช้งาน AI โดยเฉพาะ

    AMD XDNA 2 NPU มีประสิทธิภาพสูงถึง 50 TOPS และออกแบบให้ประหยัดพลังงาน
    ใช้ engine tile แบบแยกที่สามารถประมวลผลได้อย่างอิสระ
    รองรับการปรับแต่งโครงสร้างการประมวลผล AI ได้ตามต้องการ

    Intel Lunar Lake NPU 4 มีประสิทธิภาพสูงถึง 48 TOPS และออกแบบให้มีพลังงานต่ำ
    ใช้สถาปัตยกรรมแบบ parallel inference pipeline
    มี SHAVE DSP ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผล

    Qualcomm Snapdragon X Elite มี NPU 45 TOPS และมีประสิทธิภาพสูงในพลังงานต่ำ
    เหมาะกับโน้ตบุ๊กบางเบาและใช้งาน AI แบบต่อเนื่อง
    เป็นผู้นำในด้านประสิทธิภาพต่อวัตต์

    Discrete NPU อาจกลายเป็นอุปกรณ์เสริมใหม่ในพีซี เหมือนกับการ์ดจอในอดีต
    ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเลือกอัปเกรดเฉพาะด้าน AI ได้
    อาจกลายเป็นมาตรฐานใหม่ในยุค AI PC

    Discrete NPU อาจกลายเป็นส่วนประกอบที่กินไฟและสร้างความร้อน หากออกแบบไม่ดี
    หากไม่ประหยัดพลังงาน จะไม่ต่างจาก GPU ที่มีปัญหาเรื่องความร้อน
    อาจไม่เหมาะกับพีซีบางเบาหรือโน้ตบุ๊ก

    ยังไม่มีข้อมูลชัดเจนว่า AMD จะเปิดตัวเมื่อใด และจะมีประสิทธิภาพเท่าใด
    อยู่ภายใต้ NDA และยังไม่มีแผนเปิดเผย
    อาจใช้เวลานานกว่าจะเข้าสู่ตลาดจริง

    การพัฒนา NPU แบบแยกต้องมี ecosystem ซอฟต์แวร์ที่รองรับอย่างเต็มรูปแบบ
    หากไม่มีเครื่องมือพัฒนาและไลบรารีที่พร้อมใช้งาน จะไม่สามารถแข่งขันได้
    ต้องมีการร่วมมือกับนักพัฒนาและผู้ผลิตซอฟต์แวร์อย่างใกล้ชิด

    ผู้ใช้งานทั่วไปอาจยังไม่เห็นความจำเป็นของ NPU แบบแยกในชีวิตประจำวัน
    ฟีเจอร์ AI บน Windows ยังจำกัดและไม่ใช่จุดขายหลัก
    อาจเหมาะกับผู้ใช้ระดับมืออาชีพมากกว่าผู้ใช้ทั่วไป

    https://www.techspot.com/news/108894-amd-signals-push-discrete-npus-rival-gpus-ai.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: AMD เตรียมเปิดตัวชิป NPU แบบแยก เพื่อท้าชน GPU ในยุค AI PC ในยุคที่ AI กลายเป็นหัวใจของการประมวลผลบนพีซี ผู้ผลิตชิปต่างเร่งพัฒนา NPU (Neural Processing Unit) เพื่อรองรับงาน AI โดยเฉพาะ ซึ่ง AMD ก็ไม่ยอมน้อยหน้า ล่าสุดมีการเปิดเผยว่า AMD กำลังพิจารณาเปิดตัว “Discrete NPU” หรือชิป NPU แบบแยกชิ้น ไม่ฝังอยู่ใน CPU หรือ GPU เหมือนที่ผ่านมา Rahul Tikoo หัวหน้าฝ่าย CPU ของ AMD ระบุว่า บริษัทกำลังพูดคุยกับลูกค้าเกี่ยวกับการใช้งานและโอกาสของชิป NPU แบบแยก ซึ่งจะช่วยให้พีซีสามารถประมวลผล AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยไม่ต้องพึ่ง GPU ที่กินไฟและสร้างความร้อนสูง แนวคิดนี้เกิดขึ้นหลังจาก Dell เปิดตัวแล็ปท็อป Pro Max Plus ที่ใช้การ์ด Qualcomm AI 100 ซึ่งเป็น NPU แบบแยกตัวแรกในระดับองค์กร และมีประสิทธิภาพสูงถึง 450 TOPS ในพลังงานเพียง 75 วัตต์ AMD เองก็มีพื้นฐานจากเทคโนโลยี Xilinx ที่ใช้สร้าง NPU ฝังใน Ryzen รุ่นใหม่ และมีโครงการ Gaia ที่ช่วยให้สามารถรันโมเดล LLM ขนาดใหญ่บนเครื่องพีซีได้โดยตรง ✅ AMD เตรียมเปิดตัวชิป NPU แบบแยกสำหรับพีซีในอนาคต ➡️ ไม่ใช่ GPU แต่เป็นตัวเร่ง AI โดยเฉพาะ ➡️ อยู่ระหว่างการพูดคุยกับลูกค้าเกี่ยวกับการใช้งานและโอกาส ✅ ชิป NPU แบบแยกจะช่วยลดภาระของ CPU และ GPU ในการประมวลผล AI ➡️ เหมาะสำหรับงาน inference และการรันโมเดล LLM บนเครื่อง ➡️ ช่วยให้พีซีบางเบายังคงมีประสิทธิภาพสูงด้าน AI ✅ AMD มีพื้นฐานจากเทคโนโลยี Xilinx และโครงการ Gaia สำหรับการรันโมเดล AI บน Ryzen ➡️ ใช้ NPU tile ที่สามารถสร้างได้ถึง 50 TOPS ต่อชิ้น ➡️ สามารถรวมหลาย tile เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพได้ ✅ Dell เปิดตัวแล็ปท็อปที่ใช้การ์ด Qualcomm AI 100 ซึ่งเป็น NPU แบบแยกตัวแรกในระดับองค์กร ➡️ มี 16 AI cores และหน่วยความจำ 32GB ต่อการ์ด ➡️ ประสิทธิภาพสูงถึง 450 TOPS ในพลังงานเพียง 75 วัตต์ ✅ Discrete NPU จะช่วยลดความต้องการ GPU ระดับสูงในตลาด ➡️ ทำให้ราคาการ์ดจอสำหรับเกมเมอร์ลดลง ➡️ เป็นทางเลือกใหม่สำหรับผู้ใช้งาน AI โดยเฉพาะ ✅ AMD XDNA 2 NPU มีประสิทธิภาพสูงถึง 50 TOPS และออกแบบให้ประหยัดพลังงาน ➡️ ใช้ engine tile แบบแยกที่สามารถประมวลผลได้อย่างอิสระ ➡️ รองรับการปรับแต่งโครงสร้างการประมวลผล AI ได้ตามต้องการ ✅ Intel Lunar Lake NPU 4 มีประสิทธิภาพสูงถึง 48 TOPS และออกแบบให้มีพลังงานต่ำ ➡️ ใช้สถาปัตยกรรมแบบ parallel inference pipeline ➡️ มี SHAVE DSP ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผล ✅ Qualcomm Snapdragon X Elite มี NPU 45 TOPS และมีประสิทธิภาพสูงในพลังงานต่ำ ➡️ เหมาะกับโน้ตบุ๊กบางเบาและใช้งาน AI แบบต่อเนื่อง ➡️ เป็นผู้นำในด้านประสิทธิภาพต่อวัตต์ ✅ Discrete NPU อาจกลายเป็นอุปกรณ์เสริมใหม่ในพีซี เหมือนกับการ์ดจอในอดีต ➡️ ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเลือกอัปเกรดเฉพาะด้าน AI ได้ ➡️ อาจกลายเป็นมาตรฐานใหม่ในยุค AI PC ‼️ Discrete NPU อาจกลายเป็นส่วนประกอบที่กินไฟและสร้างความร้อน หากออกแบบไม่ดี ⛔ หากไม่ประหยัดพลังงาน จะไม่ต่างจาก GPU ที่มีปัญหาเรื่องความร้อน ⛔ อาจไม่เหมาะกับพีซีบางเบาหรือโน้ตบุ๊ก ‼️ ยังไม่มีข้อมูลชัดเจนว่า AMD จะเปิดตัวเมื่อใด และจะมีประสิทธิภาพเท่าใด ⛔ อยู่ภายใต้ NDA และยังไม่มีแผนเปิดเผย ⛔ อาจใช้เวลานานกว่าจะเข้าสู่ตลาดจริง ‼️ การพัฒนา NPU แบบแยกต้องมี ecosystem ซอฟต์แวร์ที่รองรับอย่างเต็มรูปแบบ ⛔ หากไม่มีเครื่องมือพัฒนาและไลบรารีที่พร้อมใช้งาน จะไม่สามารถแข่งขันได้ ⛔ ต้องมีการร่วมมือกับนักพัฒนาและผู้ผลิตซอฟต์แวร์อย่างใกล้ชิด ‼️ ผู้ใช้งานทั่วไปอาจยังไม่เห็นความจำเป็นของ NPU แบบแยกในชีวิตประจำวัน ⛔ ฟีเจอร์ AI บน Windows ยังจำกัดและไม่ใช่จุดขายหลัก ⛔ อาจเหมาะกับผู้ใช้ระดับมืออาชีพมากกว่าผู้ใช้ทั่วไป https://www.techspot.com/news/108894-amd-signals-push-discrete-npus-rival-gpus-ai.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    AMD signals push for discrete NPUs to rival GPUs in AI-powered PCs
    AMD is exploring whether PCs could benefit from a new kind of accelerator: a discrete neural processing unit. The company has long relied on GPUs for demanding...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 93 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากสนามโค้ด: เมื่อ vibe coding คือการรูดบัตรเครดิตโดยไม่รู้ยอดหนี้

    “Vibe coding” เป็นคำที่ Andrej Karpathy นิยามไว้ในต้นปี 2025 หมายถึงการเขียนโค้ดด้วย AI โดยไม่ต้องเข้าใจโค้ดทั้งหมด—แค่บอกสิ่งที่ต้องการ แล้วปล่อยให้ LLM (เช่น GPT-4 หรือ Claude) สร้างโค้ดให้เอง

    มันเหมาะกับการสร้างโปรเจกต์เล็ก ๆ หรือแอปต้นแบบที่ไม่ต้องดูแลระยะยาว เช่น แอปคำนวณ, เกมเล็ก ๆ, หรือเครื่องมือส่วนตัว เพราะเร็วและไม่ต้องลงแรงมาก

    แต่เมื่อ vibe coding ถูกใช้กับโปรเจกต์ใหญ่หรือระบบที่ต้องดูแลต่อเนื่อง มันกลายเป็น “legacy code” ที่ไม่มีใครเข้าใจ และนำไปสู่ “หนี้เทคโนโลยี” ที่ต้องจ่ายคืนด้วยเวลาและแรงงานมหาศาลในอนาคต

    Vibe coding คือการเขียนโค้ดด้วย AI โดยไม่ต้องเข้าใจโค้ดทั้งหมด
    ใช้ LLM สร้างโค้ดจากคำสั่งธรรมดา เช่น “สร้างเว็บแสดงข้อมูลประชากรตามเมือง”
    ผู้ใช้ทำหน้าที่เป็นผู้กำกับ ไม่ใช่ผู้เขียนโค้ดโดยตรง

    เหมาะกับโปรเจกต์ต้นแบบหรือแอปที่ไม่ต้องดูแลระยะยาว
    เช่น แอปคำนวณ, เกมเล็ก ๆ, หรือเครื่องมือส่วนตัว
    ไม่ต้องเข้าใจโค้ดลึก เพราะไม่ต้องแก้ไขหรือขยายในอนาคต

    Vibe coding ทำให้คนทั่วไปสามารถสร้างซอฟต์แวร์ได้โดยไม่ต้องเรียนเขียนโค้ด
    เป็นการ democratize การพัฒนาโปรแกรม
    ลดเวลาและต้นทุนในการสร้าง MVP หรือไอเดียใหม่

    แต่เมื่อใช้กับโปรเจกต์จริง จะเกิด “หนี้เทคโนโลยี” (technical debt)
    โค้ดที่ไม่มีโครงสร้างชัดเจน, ไม่มีเอกสาร, และไม่มีการทดสอบ
    ยากต่อการแก้ไข, ขยาย, หรือ debug ในอนาคต

    นักพัฒนาบางคนใช้ vibe coding แบบมีสติ—ให้ AI ช่วยเฉพาะจุด และตรวจสอบทุกบรรทัด
    ใช้ AI เป็นผู้ช่วย ไม่ใช่ผู้แทน
    เหมาะกับงานที่ต้องการความแม่นยำและความปลอดภัย

    เครื่องมืออย่าง Townie, Cursor, และ Bugbot ถูกสร้างขึ้นเพื่อควบคุมคุณภาพของ vibe coding
    ตรวจสอบโค้ดอัตโนมัติ, แนะนำการแก้ไข, และลดข้อผิดพลาด
    ช่วยให้ vibe coding ปลอดภัยขึ้นในระดับองค์กร

    การใช้ vibe coding โดยไม่เข้าใจโค้ด อาจนำไปสู่ระบบที่ไม่มีใครดูแลได้
    เมื่อเกิดปัญหา จะไม่มีใครรู้ว่าจะแก้ตรงไหน
    ต้องพึ่ง AI ในการแก้ไข ซึ่งอาจทำให้ปัญหาซับซ้อนขึ้น

    หนี้เทคโนโลยีจาก vibe coding อาจสะสมจนทำให้โครงการล่ม
    โค้ดที่ดูดีภายนอกอาจมีปัญหาเชิงโครงสร้างภายใน
    การ refactor หรือ rewrite อาจใช้เวลามากกว่าการเขียนใหม่ตั้งแต่ต้น

    ผู้ใช้ที่ไม่มีพื้นฐานการเขียนโค้ดอาจเข้าใจผิดว่า AI สร้างโค้ดที่ “ดีพอ” แล้ว
    ขาดการตรวจสอบความปลอดภัย, ประสิทธิภาพ, และความสามารถในการขยาย
    อาจเกิดช่องโหว่ด้านความปลอดภัยหรือข้อมูลรั่วไหล

    การใช้ vibe coding ในระบบที่ต้องดูแลต่อเนื่องควรมีแนวทางควบคุมที่ชัดเจน
    ต้องมีการตรวจสอบโค้ด, เขียนเอกสาร, และทดสอบอย่างสม่ำเสมอ
    ไม่ควรใช้ AI แทนมนุษย์ในทุกขั้นตอนของการพัฒนา

    ถ้าอยากให้ผมช่วยวางแนวทางการใช้ vibe coding อย่างปลอดภัยในองค์กร หรือเปรียบเทียบเครื่องมือช่วยตรวจสอบโค้ด AI เช่น Bugbot, Cursor, หรือ GitHub Copilot ผมพร้อมเจาะลึกให้คุณได้เลยครับ

    https://blog.val.town/vibe-code
    🧠 เรื่องเล่าจากสนามโค้ด: เมื่อ vibe coding คือการรูดบัตรเครดิตโดยไม่รู้ยอดหนี้ “Vibe coding” เป็นคำที่ Andrej Karpathy นิยามไว้ในต้นปี 2025 หมายถึงการเขียนโค้ดด้วย AI โดยไม่ต้องเข้าใจโค้ดทั้งหมด—แค่บอกสิ่งที่ต้องการ แล้วปล่อยให้ LLM (เช่น GPT-4 หรือ Claude) สร้างโค้ดให้เอง มันเหมาะกับการสร้างโปรเจกต์เล็ก ๆ หรือแอปต้นแบบที่ไม่ต้องดูแลระยะยาว เช่น แอปคำนวณ, เกมเล็ก ๆ, หรือเครื่องมือส่วนตัว เพราะเร็วและไม่ต้องลงแรงมาก แต่เมื่อ vibe coding ถูกใช้กับโปรเจกต์ใหญ่หรือระบบที่ต้องดูแลต่อเนื่อง มันกลายเป็น “legacy code” ที่ไม่มีใครเข้าใจ และนำไปสู่ “หนี้เทคโนโลยี” ที่ต้องจ่ายคืนด้วยเวลาและแรงงานมหาศาลในอนาคต ✅ Vibe coding คือการเขียนโค้ดด้วย AI โดยไม่ต้องเข้าใจโค้ดทั้งหมด ➡️ ใช้ LLM สร้างโค้ดจากคำสั่งธรรมดา เช่น “สร้างเว็บแสดงข้อมูลประชากรตามเมือง” ➡️ ผู้ใช้ทำหน้าที่เป็นผู้กำกับ ไม่ใช่ผู้เขียนโค้ดโดยตรง ✅ เหมาะกับโปรเจกต์ต้นแบบหรือแอปที่ไม่ต้องดูแลระยะยาว ➡️ เช่น แอปคำนวณ, เกมเล็ก ๆ, หรือเครื่องมือส่วนตัว ➡️ ไม่ต้องเข้าใจโค้ดลึก เพราะไม่ต้องแก้ไขหรือขยายในอนาคต ✅ Vibe coding ทำให้คนทั่วไปสามารถสร้างซอฟต์แวร์ได้โดยไม่ต้องเรียนเขียนโค้ด ➡️ เป็นการ democratize การพัฒนาโปรแกรม ➡️ ลดเวลาและต้นทุนในการสร้าง MVP หรือไอเดียใหม่ ✅ แต่เมื่อใช้กับโปรเจกต์จริง จะเกิด “หนี้เทคโนโลยี” (technical debt) ➡️ โค้ดที่ไม่มีโครงสร้างชัดเจน, ไม่มีเอกสาร, และไม่มีการทดสอบ ➡️ ยากต่อการแก้ไข, ขยาย, หรือ debug ในอนาคต ✅ นักพัฒนาบางคนใช้ vibe coding แบบมีสติ—ให้ AI ช่วยเฉพาะจุด และตรวจสอบทุกบรรทัด ➡️ ใช้ AI เป็นผู้ช่วย ไม่ใช่ผู้แทน ➡️ เหมาะกับงานที่ต้องการความแม่นยำและความปลอดภัย ✅ เครื่องมืออย่าง Townie, Cursor, และ Bugbot ถูกสร้างขึ้นเพื่อควบคุมคุณภาพของ vibe coding ➡️ ตรวจสอบโค้ดอัตโนมัติ, แนะนำการแก้ไข, และลดข้อผิดพลาด ➡️ ช่วยให้ vibe coding ปลอดภัยขึ้นในระดับองค์กร ‼️ การใช้ vibe coding โดยไม่เข้าใจโค้ด อาจนำไปสู่ระบบที่ไม่มีใครดูแลได้ ⛔ เมื่อเกิดปัญหา จะไม่มีใครรู้ว่าจะแก้ตรงไหน ⛔ ต้องพึ่ง AI ในการแก้ไข ซึ่งอาจทำให้ปัญหาซับซ้อนขึ้น ‼️ หนี้เทคโนโลยีจาก vibe coding อาจสะสมจนทำให้โครงการล่ม ⛔ โค้ดที่ดูดีภายนอกอาจมีปัญหาเชิงโครงสร้างภายใน ⛔ การ refactor หรือ rewrite อาจใช้เวลามากกว่าการเขียนใหม่ตั้งแต่ต้น ‼️ ผู้ใช้ที่ไม่มีพื้นฐานการเขียนโค้ดอาจเข้าใจผิดว่า AI สร้างโค้ดที่ “ดีพอ” แล้ว ⛔ ขาดการตรวจสอบความปลอดภัย, ประสิทธิภาพ, และความสามารถในการขยาย ⛔ อาจเกิดช่องโหว่ด้านความปลอดภัยหรือข้อมูลรั่วไหล ‼️ การใช้ vibe coding ในระบบที่ต้องดูแลต่อเนื่องควรมีแนวทางควบคุมที่ชัดเจน ⛔ ต้องมีการตรวจสอบโค้ด, เขียนเอกสาร, และทดสอบอย่างสม่ำเสมอ ⛔ ไม่ควรใช้ AI แทนมนุษย์ในทุกขั้นตอนของการพัฒนา ถ้าอยากให้ผมช่วยวางแนวทางการใช้ vibe coding อย่างปลอดภัยในองค์กร หรือเปรียบเทียบเครื่องมือช่วยตรวจสอบโค้ด AI เช่น Bugbot, Cursor, หรือ GitHub Copilot ผมพร้อมเจาะลึกให้คุณได้เลยครับ 🤖🧠💻 https://blog.val.town/vibe-code
    BLOG.VAL.TOWN
    Vibe code is legacy code
    Updates and articles from the Val Town team
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 69 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากหลังบ้าน Windows: Flyoobe กับภารกิจปลดล็อก Windows 11 บนเครื่องเก่า

    ในยุคที่ Windows 10 กำลังเข้าสู่จุดสิ้นสุดของการสนับสนุน และ Windows 11 กลับมีข้อกำหนดที่เข้มงวดอย่าง TPM 2.0, Secure Boot และ CPU รุ่นใหม่ ทำให้หลายเครื่องที่ยังใช้งานได้ดีถูกตัดสิทธิ์จากการอัปเกรด

    แต่ Flyoobe กลับมาพร้อมภารกิจใหม่—ไม่ใช่แค่ “ข้ามข้อกำหนด” แต่ยัง “คืนอำนาจให้ผู้ใช้” ตั้งแต่ขั้นตอนแรกของการติดตั้ง Windows 11

    Flyoobe เวอร์ชันล่าสุด 0.35 ได้เพิ่มฟีเจอร์ใหม่มากมาย เช่น:
    - ปรับแต่งธีมแยกสำหรับ Windows และแอป
    - ลบแอปที่ไม่จำเป็น (debloat)
    - เข้าร่วม domain ได้ตั้งแต่หน้าเริ่มต้น
    - ปรับปรุงหน้าการอัปเดต Windows ให้ชัดเจนและตอบสนองเร็วขึ้น
    - ปรับ UI ให้ใช้งานง่ายขึ้น

    แม้จะถูก Microsoft Defender แจ้งเตือนว่าเป็นไฟล์อันตราย แต่ผู้พัฒนาได้ยืนยันว่าเป็น false positive และ Microsoft จะลบการแจ้งเตือนนี้ในเร็ว ๆ นี้

    Flyby11 เปลี่ยนชื่อเป็น Flyoobe พร้อมฟีเจอร์ใหม่ในเวอร์ชัน 0.35
    “OOBE” หมายถึง “Out-of-Box Experience” หรือขั้นตอนติดตั้งเริ่มต้นของ Windows
    เป้าหมายคือให้ผู้ใช้ควบคุมการตั้งค่าได้ตั้งแต่เริ่มต้น

    สามารถติดตั้ง Windows 11 บนเครื่องที่ไม่รองรับ TPM 2.0, Secure Boot หรือ CPU รุ่นใหม่ได้
    ใช้เทคนิคจาก Windows Server setup ที่ไม่ตรวจสอบข้อกำหนดฮาร์ดแวร์
    ติดตั้ง Windows 11 รุ่นปกติได้แม้ผ่านตัวติดตั้งแบบ server

    ฟีเจอร์ใหม่ใน Flyoobe 0.35
    ปรับธีมแยกสำหรับ Windows และแอป
    ลบแอปที่ไม่จำเป็น (debloat)
    เข้าร่วม domain ได้จากหน้าเริ่มต้น
    ปรับปรุงหน้าการอัปเดตให้แสดงข้อมูลชัดเจน
    ปรับตำแหน่งปุ่มนำทางให้ใช้งานง่ายขึ้น

    Flyoobe ทำงานทันทีเมื่อเปิด ไม่ต้องติดตั้ง
    ใช้งานง่ายสำหรับผู้ใช้ทั่วไป
    รองรับการดาวน์โหลด ISO อัตโนมัติผ่าน Fido script

    ยังสามารถใช้เวอร์ชันเก่า Flyby11 ได้จาก GitHub
    สำหรับผู้ที่ชอบรูปแบบเดิม
    มีไฟล์ให้ดาวน์โหลดแยกต่างหาก

    https://www.neowin.net/news/popular-tool-for-bypassing-windows-11-requirements-check-gets-rebrand-and-new-oobe-features/
    🧠 เรื่องเล่าจากหลังบ้าน Windows: Flyoobe กับภารกิจปลดล็อก Windows 11 บนเครื่องเก่า ในยุคที่ Windows 10 กำลังเข้าสู่จุดสิ้นสุดของการสนับสนุน และ Windows 11 กลับมีข้อกำหนดที่เข้มงวดอย่าง TPM 2.0, Secure Boot และ CPU รุ่นใหม่ ทำให้หลายเครื่องที่ยังใช้งานได้ดีถูกตัดสิทธิ์จากการอัปเกรด แต่ Flyoobe กลับมาพร้อมภารกิจใหม่—ไม่ใช่แค่ “ข้ามข้อกำหนด” แต่ยัง “คืนอำนาจให้ผู้ใช้” ตั้งแต่ขั้นตอนแรกของการติดตั้ง Windows 11 Flyoobe เวอร์ชันล่าสุด 0.35 ได้เพิ่มฟีเจอร์ใหม่มากมาย เช่น: - ปรับแต่งธีมแยกสำหรับ Windows และแอป - ลบแอปที่ไม่จำเป็น (debloat) - เข้าร่วม domain ได้ตั้งแต่หน้าเริ่มต้น - ปรับปรุงหน้าการอัปเดต Windows ให้ชัดเจนและตอบสนองเร็วขึ้น - ปรับ UI ให้ใช้งานง่ายขึ้น แม้จะถูก Microsoft Defender แจ้งเตือนว่าเป็นไฟล์อันตราย แต่ผู้พัฒนาได้ยืนยันว่าเป็น false positive และ Microsoft จะลบการแจ้งเตือนนี้ในเร็ว ๆ นี้ ✅ Flyby11 เปลี่ยนชื่อเป็น Flyoobe พร้อมฟีเจอร์ใหม่ในเวอร์ชัน 0.35 ➡️ “OOBE” หมายถึง “Out-of-Box Experience” หรือขั้นตอนติดตั้งเริ่มต้นของ Windows ➡️ เป้าหมายคือให้ผู้ใช้ควบคุมการตั้งค่าได้ตั้งแต่เริ่มต้น ✅ สามารถติดตั้ง Windows 11 บนเครื่องที่ไม่รองรับ TPM 2.0, Secure Boot หรือ CPU รุ่นใหม่ได้ ➡️ ใช้เทคนิคจาก Windows Server setup ที่ไม่ตรวจสอบข้อกำหนดฮาร์ดแวร์ ➡️ ติดตั้ง Windows 11 รุ่นปกติได้แม้ผ่านตัวติดตั้งแบบ server ✅ ฟีเจอร์ใหม่ใน Flyoobe 0.35 ➡️ ปรับธีมแยกสำหรับ Windows และแอป ➡️ ลบแอปที่ไม่จำเป็น (debloat) ➡️ เข้าร่วม domain ได้จากหน้าเริ่มต้น ➡️ ปรับปรุงหน้าการอัปเดตให้แสดงข้อมูลชัดเจน ➡️ ปรับตำแหน่งปุ่มนำทางให้ใช้งานง่ายขึ้น ✅ Flyoobe ทำงานทันทีเมื่อเปิด ไม่ต้องติดตั้ง ➡️ ใช้งานง่ายสำหรับผู้ใช้ทั่วไป ➡️ รองรับการดาวน์โหลด ISO อัตโนมัติผ่าน Fido script ✅ ยังสามารถใช้เวอร์ชันเก่า Flyby11 ได้จาก GitHub ➡️ สำหรับผู้ที่ชอบรูปแบบเดิม ➡️ มีไฟล์ให้ดาวน์โหลดแยกต่างหาก https://www.neowin.net/news/popular-tool-for-bypassing-windows-11-requirements-check-gets-rebrand-and-new-oobe-features/
    WWW.NEOWIN.NET
    Popular tool for bypassing Windows 11 requirements check gets rebrand and new OOBE features
    A popular utility for skipping Windows 11's requirement checks, Flyby11, has been renamed to Flyoobe with an expanded set of capabilities.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 89 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากห้องแล็บ: เมื่อ NVIDIA เตรียมส่ง N1X SoC ลงสนามแข่งกับ Apple และ AMD

    ลองจินตนาการว่าแล็ปท็อปเครื่องบางเบาของคุณสามารถเล่นเกมระดับ RTX 4070 ได้โดยใช้พลังงานแค่ครึ่งเดียว และยังมีแบตเตอรี่ที่อึดขึ้นอีกหลายชั่วโมง—นั่นคือเป้าหมายของ NVIDIA กับชิปใหม่ชื่อว่า “N1X SoC”

    N1X เป็นชิปแบบ ARM ที่พัฒนาโดย NVIDIA ร่วมกับ MediaTek โดยใช้สถาปัตยกรรมเดียวกับ GB10 Superchip ที่ใช้ใน AI mini-PC อย่าง DGX Spark แต่ปรับให้เหมาะกับผู้บริโภคทั่วไป โดยรวม CPU แบบ 20-core และ GPU แบบ Blackwell ที่มี CUDA core เท่ากับ RTX 5070 ถึง 6,144 ตัว!

    แม้จะยังเป็นตัวต้นแบบ แต่ผลทดสอบจาก Geekbench ก็แสดงให้เห็นว่า iGPU ของ N1X แรงกว่า Apple M3 Max และ AMD 890M แล้ว และถ้าเปิดตัวจริงในปี 2026 ก็อาจเป็นชิป ARM ตัวแรกที่ท้าชน Intel และ AMD ได้อย่างจริงจัง

    N1X SoC เป็นชิป ARM สำหรับแล็ปท็อปที่พัฒนาโดย NVIDIA ร่วมกับ MediaTek
    ใช้สถาปัตยกรรม Grace CPU + Blackwell GPU
    มี 20-core CPU แบ่งเป็น 10 Cortex-X925 + 10 Cortex-A725

    GPU ภายในมี 48 SMs หรือ 6,144 CUDA cores เท่ากับ RTX 5070
    ใช้ LPDDR5X แบบ unified memory สูงสุด 128GB
    รองรับงาน AI, เกม และการประมวลผลทั่วไป

    ผลทดสอบ Geekbench แสดงคะแนน OpenCL ที่ 46,361
    สูงกว่า iGPU ของ Apple M3 Max และ AMD 890M
    แม้ยังเป็นตัวต้นแบบที่รันที่ 1.05 GHz เท่านั้น

    เป้าหมายคือแล็ปท็อปบางเบาที่มีประสิทธิภาพระดับ RTX 4070 แต่ใช้พลังงานเพียง 65W–120W
    เทียบกับ RTX 4070 ที่ใช้พลังงาน 120W ขึ้นไป
    เหมาะกับเกมเมอร์, นักพัฒนา AI และผู้ใช้ทั่วไป

    คาดว่าจะเปิดตัวในไตรมาส 1 ปี 2026
    อาจเปิดตัวพร้อม Windows เวอร์ชันใหม่ที่รองรับ AI เต็มรูปแบบ
    Dell Alienware อาจเป็นแบรนด์แรกที่ใช้ชิปนี้ในโน้ตบุ๊กเกมรุ่นใหม่

    ยังไม่มีวันเปิดตัวแน่นอน และอาจเลื่อนออกไปอีก
    เดิมคาดว่าจะเปิดตัวปลายปี 2025 แต่เลื่อนเป็น Q1 2026
    ปัญหาด้านฮาร์ดแวร์และการออกแบบยังต้องแก้ไข

    ประสิทธิภาพยังไม่เสถียร เพราะเป็นตัวต้นแบบ
    ความเร็วสัญญาณนาฬิกายังต่ำ และไม่มี GDDR memory
    ต้องรอเวอร์ชันจริงเพื่อดูประสิทธิภาพเต็มที่

    การใช้ ARM บน Windows ยังมีปัญหาด้านความเข้ากันได้กับซอฟต์แวร์
    โปรแกรมบางตัวอาจยังไม่รองรับหรือทำงานช้า
    ต้องพึ่งพาการพัฒนา ecosystem จาก Microsoft และนักพัฒนา

    การแข่งขันกับ Apple, AMD และ Intel ยังเข้มข้น
    Apple M4, AMD Ryzen AI MAX และ Intel AX series ก็มีแผนเปิดตัวในช่วงเวลาเดียวกัน
    NVIDIA ต้องพิสูจน์ว่า ARM ของตนสามารถทดแทน x86 ได้จริง

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidia-n1x-soc-leaks-with-the-same-number-of-cuda-cores-as-an-rtx-5070-n1x-specs-align-with-the-gb10-superchip
    🧠 เรื่องเล่าจากห้องแล็บ: เมื่อ NVIDIA เตรียมส่ง N1X SoC ลงสนามแข่งกับ Apple และ AMD ลองจินตนาการว่าแล็ปท็อปเครื่องบางเบาของคุณสามารถเล่นเกมระดับ RTX 4070 ได้โดยใช้พลังงานแค่ครึ่งเดียว และยังมีแบตเตอรี่ที่อึดขึ้นอีกหลายชั่วโมง—นั่นคือเป้าหมายของ NVIDIA กับชิปใหม่ชื่อว่า “N1X SoC” N1X เป็นชิปแบบ ARM ที่พัฒนาโดย NVIDIA ร่วมกับ MediaTek โดยใช้สถาปัตยกรรมเดียวกับ GB10 Superchip ที่ใช้ใน AI mini-PC อย่าง DGX Spark แต่ปรับให้เหมาะกับผู้บริโภคทั่วไป โดยรวม CPU แบบ 20-core และ GPU แบบ Blackwell ที่มี CUDA core เท่ากับ RTX 5070 ถึง 6,144 ตัว! แม้จะยังเป็นตัวต้นแบบ แต่ผลทดสอบจาก Geekbench ก็แสดงให้เห็นว่า iGPU ของ N1X แรงกว่า Apple M3 Max และ AMD 890M แล้ว และถ้าเปิดตัวจริงในปี 2026 ก็อาจเป็นชิป ARM ตัวแรกที่ท้าชน Intel และ AMD ได้อย่างจริงจัง ✅ N1X SoC เป็นชิป ARM สำหรับแล็ปท็อปที่พัฒนาโดย NVIDIA ร่วมกับ MediaTek ➡️ ใช้สถาปัตยกรรม Grace CPU + Blackwell GPU ➡️ มี 20-core CPU แบ่งเป็น 10 Cortex-X925 + 10 Cortex-A725 ✅ GPU ภายในมี 48 SMs หรือ 6,144 CUDA cores เท่ากับ RTX 5070 ➡️ ใช้ LPDDR5X แบบ unified memory สูงสุด 128GB ➡️ รองรับงาน AI, เกม และการประมวลผลทั่วไป ✅ ผลทดสอบ Geekbench แสดงคะแนน OpenCL ที่ 46,361 ➡️ สูงกว่า iGPU ของ Apple M3 Max และ AMD 890M ➡️ แม้ยังเป็นตัวต้นแบบที่รันที่ 1.05 GHz เท่านั้น ✅ เป้าหมายคือแล็ปท็อปบางเบาที่มีประสิทธิภาพระดับ RTX 4070 แต่ใช้พลังงานเพียง 65W–120W ➡️ เทียบกับ RTX 4070 ที่ใช้พลังงาน 120W ขึ้นไป ➡️ เหมาะกับเกมเมอร์, นักพัฒนา AI และผู้ใช้ทั่วไป ✅ คาดว่าจะเปิดตัวในไตรมาส 1 ปี 2026 ➡️ อาจเปิดตัวพร้อม Windows เวอร์ชันใหม่ที่รองรับ AI เต็มรูปแบบ ➡️ Dell Alienware อาจเป็นแบรนด์แรกที่ใช้ชิปนี้ในโน้ตบุ๊กเกมรุ่นใหม่ ‼️ ยังไม่มีวันเปิดตัวแน่นอน และอาจเลื่อนออกไปอีก ⛔ เดิมคาดว่าจะเปิดตัวปลายปี 2025 แต่เลื่อนเป็น Q1 2026 ⛔ ปัญหาด้านฮาร์ดแวร์และการออกแบบยังต้องแก้ไข ‼️ ประสิทธิภาพยังไม่เสถียร เพราะเป็นตัวต้นแบบ ⛔ ความเร็วสัญญาณนาฬิกายังต่ำ และไม่มี GDDR memory ⛔ ต้องรอเวอร์ชันจริงเพื่อดูประสิทธิภาพเต็มที่ ‼️ การใช้ ARM บน Windows ยังมีปัญหาด้านความเข้ากันได้กับซอฟต์แวร์ ⛔ โปรแกรมบางตัวอาจยังไม่รองรับหรือทำงานช้า ⛔ ต้องพึ่งพาการพัฒนา ecosystem จาก Microsoft และนักพัฒนา ‼️ การแข่งขันกับ Apple, AMD และ Intel ยังเข้มข้น ⛔ Apple M4, AMD Ryzen AI MAX และ Intel AX series ก็มีแผนเปิดตัวในช่วงเวลาเดียวกัน ⛔ NVIDIA ต้องพิสูจน์ว่า ARM ของตนสามารถทดแทน x86 ได้จริง https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidia-n1x-soc-leaks-with-the-same-number-of-cuda-cores-as-an-rtx-5070-n1x-specs-align-with-the-gb10-superchip
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 111 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข่าว: เมื่อ “ความจำดีเกินไป” กลายเป็นภัยต่อความเป็นส่วนตัว

    ลองจินตนาการว่า Windows บันทึกภาพหน้าจอของคุณทุก ๆ 5 วินาที เพื่อให้คุณสามารถย้อนดูสิ่งที่เคยทำได้เหมือนมี “ความจำถ่ายภาพ” แบบ AI — ฟังดูสะดวกใช่ไหม? แต่สำหรับนักพัฒนาแอปที่ใส่ใจเรื่องความเป็นส่วนตัว เช่น Signal, Brave และ AdGuard นี่คือ “ฝันร้ายด้านความเป็นส่วนตัว” ที่ต้องรีบจัดการ

    ฟีเจอร์ Windows Recall ถูกออกแบบมาให้บันทึกภาพหน้าจออย่างต่อเนื่องเพื่อช่วยให้ผู้ใช้ค้นหาสิ่งที่เคยเห็นหรือทำได้ง่ายขึ้น แต่ปัญหาคือมันอาจบันทึกข้อมูลที่ละเอียดอ่อน เช่น รหัสผ่าน, ข้อมูลทางการเงิน, หรือข้อความส่วนตัว โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้เกี่ยวข้อง

    Signal เป็นแอปแรกที่บล็อกไม่ให้ Recall จับภาพหน้าต่างแชทของตนได้ และล่าสุด Brave กับ AdGuard ก็ประกาศใช้วิธีการของตัวเองในการป้องกันไม่ให้ Recall บันทึกข้อมูลจากแอปของพวกเขาเช่นกัน

    Windows Recall คือฟีเจอร์ใหม่ของ Microsoft ที่บันทึกภาพหน้าจอทุกไม่กี่วินาที
    ใช้ AI เพื่อช่วยค้นหาข้อมูลที่เคยเห็นหรือทำบนเครื่อง
    ข้อมูลถูกเก็บไว้ในเครื่องและวิเคราะห์แบบออฟไลน์

    Signal, Brave และ AdGuard ออกมาต่อต้านฟีเจอร์นี้
    Signal ใช้ DRM API เพื่อป้องกันการจับภาพหน้าต่างแชท
    Brave ใช้ SetInputScope API เพื่อบล็อก Recall จากการจับภาพทุกแท็บในเบราว์เซอร์
    AdGuard เพิ่มตัวเลือก “Disable Windows Recall” ในเวอร์ชันล่าสุด

    Microsoft อนุญาตให้นักพัฒนาใช้ API เพื่อบล็อก Recall
    เป็นการตอบสนองต่อเสียงวิจารณ์จากผู้ใช้และนักวิจัยด้านความปลอดภัย
    แต่ยังมีข้อจำกัดในการควบคุมระดับแอปที่ไม่ใช่เบราว์เซอร์

    Brave ตั้งค่าบล็อก Recall เป็นค่าเริ่มต้น
    ผู้ใช้สามารถเปิดใช้งานได้เองหากต้องการ
    เป็นการปกป้องความเป็นส่วนตัวโดยไม่ต้องพึ่งผู้ใช้ตัดสินใจเองทุกครั้ง

    https://www.techspot.com/news/108817-privacy-apps-signal-brave-adguard-push-back-against.html
    🧠 เรื่องเล่าจากข่าว: เมื่อ “ความจำดีเกินไป” กลายเป็นภัยต่อความเป็นส่วนตัว ลองจินตนาการว่า Windows บันทึกภาพหน้าจอของคุณทุก ๆ 5 วินาที เพื่อให้คุณสามารถย้อนดูสิ่งที่เคยทำได้เหมือนมี “ความจำถ่ายภาพ” แบบ AI — ฟังดูสะดวกใช่ไหม? แต่สำหรับนักพัฒนาแอปที่ใส่ใจเรื่องความเป็นส่วนตัว เช่น Signal, Brave และ AdGuard นี่คือ “ฝันร้ายด้านความเป็นส่วนตัว” ที่ต้องรีบจัดการ ฟีเจอร์ Windows Recall ถูกออกแบบมาให้บันทึกภาพหน้าจออย่างต่อเนื่องเพื่อช่วยให้ผู้ใช้ค้นหาสิ่งที่เคยเห็นหรือทำได้ง่ายขึ้น แต่ปัญหาคือมันอาจบันทึกข้อมูลที่ละเอียดอ่อน เช่น รหัสผ่าน, ข้อมูลทางการเงิน, หรือข้อความส่วนตัว โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้เกี่ยวข้อง Signal เป็นแอปแรกที่บล็อกไม่ให้ Recall จับภาพหน้าต่างแชทของตนได้ และล่าสุด Brave กับ AdGuard ก็ประกาศใช้วิธีการของตัวเองในการป้องกันไม่ให้ Recall บันทึกข้อมูลจากแอปของพวกเขาเช่นกัน ✅ Windows Recall คือฟีเจอร์ใหม่ของ Microsoft ที่บันทึกภาพหน้าจอทุกไม่กี่วินาที ➡️ ใช้ AI เพื่อช่วยค้นหาข้อมูลที่เคยเห็นหรือทำบนเครื่อง ➡️ ข้อมูลถูกเก็บไว้ในเครื่องและวิเคราะห์แบบออฟไลน์ ✅ Signal, Brave และ AdGuard ออกมาต่อต้านฟีเจอร์นี้ ➡️ Signal ใช้ DRM API เพื่อป้องกันการจับภาพหน้าต่างแชท ➡️ Brave ใช้ SetInputScope API เพื่อบล็อก Recall จากการจับภาพทุกแท็บในเบราว์เซอร์ ➡️ AdGuard เพิ่มตัวเลือก “Disable Windows Recall” ในเวอร์ชันล่าสุด ✅ Microsoft อนุญาตให้นักพัฒนาใช้ API เพื่อบล็อก Recall ➡️ เป็นการตอบสนองต่อเสียงวิจารณ์จากผู้ใช้และนักวิจัยด้านความปลอดภัย ➡️ แต่ยังมีข้อจำกัดในการควบคุมระดับแอปที่ไม่ใช่เบราว์เซอร์ ✅ Brave ตั้งค่าบล็อก Recall เป็นค่าเริ่มต้น ➡️ ผู้ใช้สามารถเปิดใช้งานได้เองหากต้องการ ➡️ เป็นการปกป้องความเป็นส่วนตัวโดยไม่ต้องพึ่งผู้ใช้ตัดสินใจเองทุกครั้ง https://www.techspot.com/news/108817-privacy-apps-signal-brave-adguard-push-back-against.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Privacy apps Signal, Brave, and AdGuard push back against Windows Recall
    Signal was one of the first apps to block Windows Recall from capturing screenshots of its interface, and more developers have since followed suit. This week, both...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 144 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกมือถือ: เมื่อแอปหาคู่กลายเป็นกับดักอารมณ์และข้อมูล

    TechRadar รายงานว่าแคมเปญมัลแวร์ชื่อ SarangTrap กำลังโจมตีผู้ใช้ Android อย่างหนัก โดยมีแอปปลอมกว่า 250 แอป ที่แฝงตัวเป็นแอปหาคู่ แต่จริงๆ แล้วเป็นมัลแวร์ขโมยข้อมูลส่วนตัว แล้วนำไปใช้ข่มขู่เหยื่อให้จ่ายเงิน

    นักวิจัยจาก Zimperium zLabs พบว่าแอปปลอมเหล่านี้:

    - ถูกออกแบบให้ดูดีและน่าเชื่อถือ
    - หลอกให้ผู้ใช้ให้สิทธิ์เข้าถึงข้อมูล เช่น รูปภาพ, รายชื่อผู้ติดต่อ และไฟล์ส่วนตัว
    - ใช้เทคนิค “emotionally charged interaction” เช่น การพูดคุยเชิงโรแมนติก หรือการให้ “invitation code” พิเศษ

    เมื่อได้ข้อมูลแล้ว แฮกเกอร์จะ:
    - ค้นหาข้อมูลที่อาจทำให้เหยื่ออับอาย
    - ข่มขู่ว่าจะส่งข้อมูลนั้นให้ครอบครัวหรือเพื่อน หากไม่จ่ายเงิน

    แคมเปญนี้เน้นโจมตีผู้ใช้ในเกาหลีใต้เป็นหลัก และใช้โดเมนกว่า 80 แห่งที่ถูก index โดย search engine ทำให้ดูเหมือนเป็นเว็บไซต์จริง

    พบแอปปลอมกว่า 250 แอปบน Android ที่แฝงตัวเป็นแอปหาคู่
    แอปเหล่านี้เป็นมัลแวร์ประเภท infostealer

    แอปหลอกให้ผู้ใช้ให้สิทธิ์เข้าถึงข้อมูลส่วนตัว
    เช่น รูปภาพ, รายชื่อผู้ติดต่อ และไฟล์ในเครื่อง

    ใช้เทคนิค “emotionally charged interaction” เพื่อสร้างความไว้ใจ
    เช่น การพูดคุยเชิงโรแมนติก หรือการให้ invitation code

    เมื่อได้ข้อมูลแล้ว แฮกเกอร์จะข่มขู่เหยื่อให้จ่ายเงิน
    ขู่ว่าจะส่งข้อมูลให้ครอบครัวหรือเพื่อน

    แคมเปญนี้ชื่อว่า SarangTrap และเน้นโจมตีผู้ใช้ในเกาหลีใต้
    ใช้โดเมนกว่า 80 แห่งที่ถูก index โดย search engine

    แอปทั้งหมดไม่ได้อยู่ใน Play Store หรือ App Store
    มาจากแหล่งที่ไม่เป็นทางการ เช่น ลิงก์ในโซเชียลมีเดียหรือเว็บไซต์ปลอม

    Zimperium แนะนำให้ผู้ใช้ติดตั้งแอปจากแหล่งที่เชื่อถือได้เท่านั้น
    และตรวจสอบสิทธิ์ที่แอปขออย่างสม่ำเสมอ

    แอปปลอมเหล่านี้อาจดูน่าเชื่อถือและออกแบบอย่างดี
    ผู้ใช้ทั่วไปอาจไม่ทันสังเกตว่าเป็นมัลแวร์

    การให้สิทธิ์เข้าถึงข้อมูลโดยไม่ระวังอาจเปิดช่องให้ถูกข่มขู่
    โดยเฉพาะข้อมูลส่วนตัวที่อ่อนไหว เช่น รูปภาพหรือข้อความส่วนตัว

    การดาวน์โหลดแอปจากแหล่งที่ไม่เป็นทางการมีความเสี่ยงสูง
    แม้ search engine จะ index เว็บไซต์ แต่ไม่ได้หมายความว่าปลอดภัย

    ผู้ใช้ที่ไม่มีแอปป้องกันมัลแวร์อาจไม่รู้ตัวว่าถูกโจมตี
    ควรติดตั้งแอปความปลอดภัยที่สามารถตรวจจับและบล็อกมัลแวร์ได้

    การข่มขู่ทางอารมณ์เป็นรูปแบบใหม่ของการโจมตีไซเบอร์
    ทำให้เหยื่อรู้สึกกลัวและยอมจ่ายเงินโดยไม่แจ้งเจ้าหน้าที่

    https://www.techradar.com/pro/security/over-250-malicious-apps-are-targeting-android-users-heres-how-to-stay-safe
    🎙️ เรื่องเล่าจากโลกมือถือ: เมื่อแอปหาคู่กลายเป็นกับดักอารมณ์และข้อมูล TechRadar รายงานว่าแคมเปญมัลแวร์ชื่อ SarangTrap กำลังโจมตีผู้ใช้ Android อย่างหนัก โดยมีแอปปลอมกว่า 250 แอป ที่แฝงตัวเป็นแอปหาคู่ แต่จริงๆ แล้วเป็นมัลแวร์ขโมยข้อมูลส่วนตัว แล้วนำไปใช้ข่มขู่เหยื่อให้จ่ายเงิน 💔📱 นักวิจัยจาก Zimperium zLabs พบว่าแอปปลอมเหล่านี้: - ถูกออกแบบให้ดูดีและน่าเชื่อถือ - หลอกให้ผู้ใช้ให้สิทธิ์เข้าถึงข้อมูล เช่น รูปภาพ, รายชื่อผู้ติดต่อ และไฟล์ส่วนตัว - ใช้เทคนิค “emotionally charged interaction” เช่น การพูดคุยเชิงโรแมนติก หรือการให้ “invitation code” พิเศษ เมื่อได้ข้อมูลแล้ว แฮกเกอร์จะ: - ค้นหาข้อมูลที่อาจทำให้เหยื่ออับอาย - ข่มขู่ว่าจะส่งข้อมูลนั้นให้ครอบครัวหรือเพื่อน หากไม่จ่ายเงิน แคมเปญนี้เน้นโจมตีผู้ใช้ในเกาหลีใต้เป็นหลัก และใช้โดเมนกว่า 80 แห่งที่ถูก index โดย search engine ทำให้ดูเหมือนเป็นเว็บไซต์จริง ✅ พบแอปปลอมกว่า 250 แอปบน Android ที่แฝงตัวเป็นแอปหาคู่ ➡️ แอปเหล่านี้เป็นมัลแวร์ประเภท infostealer ✅ แอปหลอกให้ผู้ใช้ให้สิทธิ์เข้าถึงข้อมูลส่วนตัว ➡️ เช่น รูปภาพ, รายชื่อผู้ติดต่อ และไฟล์ในเครื่อง ✅ ใช้เทคนิค “emotionally charged interaction” เพื่อสร้างความไว้ใจ ➡️ เช่น การพูดคุยเชิงโรแมนติก หรือการให้ invitation code ✅ เมื่อได้ข้อมูลแล้ว แฮกเกอร์จะข่มขู่เหยื่อให้จ่ายเงิน ➡️ ขู่ว่าจะส่งข้อมูลให้ครอบครัวหรือเพื่อน ✅ แคมเปญนี้ชื่อว่า SarangTrap และเน้นโจมตีผู้ใช้ในเกาหลีใต้ ➡️ ใช้โดเมนกว่า 80 แห่งที่ถูก index โดย search engine ✅ แอปทั้งหมดไม่ได้อยู่ใน Play Store หรือ App Store ➡️ มาจากแหล่งที่ไม่เป็นทางการ เช่น ลิงก์ในโซเชียลมีเดียหรือเว็บไซต์ปลอม ✅ Zimperium แนะนำให้ผู้ใช้ติดตั้งแอปจากแหล่งที่เชื่อถือได้เท่านั้น ➡️ และตรวจสอบสิทธิ์ที่แอปขออย่างสม่ำเสมอ ‼️ แอปปลอมเหล่านี้อาจดูน่าเชื่อถือและออกแบบอย่างดี ⛔ ผู้ใช้ทั่วไปอาจไม่ทันสังเกตว่าเป็นมัลแวร์ ‼️ การให้สิทธิ์เข้าถึงข้อมูลโดยไม่ระวังอาจเปิดช่องให้ถูกข่มขู่ ⛔ โดยเฉพาะข้อมูลส่วนตัวที่อ่อนไหว เช่น รูปภาพหรือข้อความส่วนตัว ‼️ การดาวน์โหลดแอปจากแหล่งที่ไม่เป็นทางการมีความเสี่ยงสูง ⛔ แม้ search engine จะ index เว็บไซต์ แต่ไม่ได้หมายความว่าปลอดภัย ‼️ ผู้ใช้ที่ไม่มีแอปป้องกันมัลแวร์อาจไม่รู้ตัวว่าถูกโจมตี ⛔ ควรติดตั้งแอปความปลอดภัยที่สามารถตรวจจับและบล็อกมัลแวร์ได้ ‼️ การข่มขู่ทางอารมณ์เป็นรูปแบบใหม่ของการโจมตีไซเบอร์ ⛔ ทำให้เหยื่อรู้สึกกลัวและยอมจ่ายเงินโดยไม่แจ้งเจ้าหน้าที่ https://www.techradar.com/pro/security/over-250-malicious-apps-are-targeting-android-users-heres-how-to-stay-safe
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 188 มุมมอง 0 รีวิว
  • การเปลี่ยนผ่านสถาปัตยกรรม CPU: ศึกใหญ่ระหว่าง Microsoft และ Apple

    การเปลี่ยนผ่านสถาปัตยกรรม CPU เปรียบเสมือนการเปลี่ยน "กระดูกสันหลัง" ของระบบคอมพิวเตอร์ เป็นภารกิจที่เสี่ยงแต่จำเป็นสำหรับบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ โดยเฉพาะ Microsoft และ Apple ซึ่งมีแนวทางแตกต่างกันชัดเจน บทความนี้จะวิเคราะห์ความท้าทาย กลยุทธ์ และผลลัพธ์ของทั้งสองบริษัท เพื่อให้เข้าใจว่าทำไมบางการเปลี่ยนผ่านจึงสำเร็จ และบางครั้งก็กลายเป็นบทเรียนราคาแพง

    Microsoft Windows: เส้นทางแห่งบทเรียนและความพยายาม
    จาก x86 สู่ x64: ก้าวแรกที่มั่นคง
    Microsoft เริ่มต้นด้วยการเปลี่ยนจากสถาปัตยกรรม x86 (32-bit) สู่ x64 (64-bit) เพื่อตอบโจทย์การใช้หน่วยความจำและประสิทธิภาพที่สูงขึ้น การเปลี่ยนผ่านนี้ประสบความสำเร็จเพราะใช้เทคโนโลยีจำลองอย่าง WoW64 ที่ช่วยให้แอปเก่าแบบ 32-bit ยังใช้งานได้บนระบบใหม่ ทำให้ผู้ใช้ไม่รู้สึกสะดุดในการใช้งาน

    แต่เบื้องหลังความราบรื่นนั้น คือภาระในการรักษาความเข้ากันได้ย้อนหลังที่ซับซ้อนและยืดเยื้อ ซึ่งในระยะยาวอาจเป็นอุปสรรคต่อการก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

    Windows RT: ความพยายามที่ผิดพลาด
    ในปี 2012 Microsoft พยายามพา Windows สู่ชิป ARM ด้วย Windows RT แต่ล้มเหลวอย่างรุนแรง เพราะไม่สามารถรันแอป x86 เดิมได้เลย ทำให้ผู้ใช้สับสนและไม่ยอมรับ ผลที่ตามมาคือยอดขายต่ำและขาดทุนมหาศาลถึง 900 ล้านดอลลาร์ นี่เป็นบทเรียนสำคัญที่ทำให้ Microsoft ตระหนักว่า "ความเข้ากันได้" ไม่ใช่แค่เรื่องรอง แต่เป็นหัวใจหลักของแพลตฟอร์ม Windows

    Windows on ARM (WoA): กลับมาอย่างมีแผน
    จากความล้มเหลวของ Windows RT, Microsoft ปรับกลยุทธ์ใหม่และพัฒนา Windows on ARM ที่ทันสมัย พร้อมตัวจำลองที่ทรงพลังอย่าง Prism Emulator และประสิทธิภาพที่น่าประทับใจจากชิป Snapdragon X Elite แม้จะมีความก้าวหน้า แต่ยังมีข้อจำกัดบางอย่าง เช่น ไดรเวอร์ระดับลึกหรือเกมบางประเภทที่ยังทำงานไม่ได้หากไม่มีการพัฒนาให้รองรับ ARM โดยตรง

    Apple: การเปลี่ยนผ่านที่เด็ดขาดและชาญฉลาด
    PowerPC สู่ Intel: ข้ามผ่านความล้าหลัง
    ในปี 2005 Apple ตัดสินใจเปลี่ยนจาก PowerPC ไปสู่ Intel แม้จะมีอุปสรรคทางเทคนิค เช่น รูปแบบการจัดข้อมูลในหน่วยความจำที่ไม่เหมือนกัน (endianness) แต่ Apple ก็สามารถจัดการได้ด้วยตัวแปล Rosetta 1 ที่แปลงแอปเก่าให้รันบนสถาปัตยกรรมใหม่ได้

    สิ่งที่น่าสังเกตคือ Apple ยกเลิกการรองรับ Rosetta ภายในเวลาเพียง 5 ปี แสดงให้เห็นถึงความเด็ดขาดในการเดินหน้าสู่อนาคต แม้จะแลกมาด้วยความไม่พอใจจากผู้ใช้บางส่วนที่ยังใช้ซอฟต์แวร์เก่าอยู่

    Apple Silicon: การเปลี่ยนผ่านที่ “ไร้รอยต่อ”
    ในปี 2020 Apple เปิดตัวชิป Apple Silicon (M1) ซึ่งถือเป็นการปฏิวัติด้านฮาร์ดแวร์อย่างแท้จริง ความสำเร็จครั้งนี้เกิดจากการวางแผนระยะยาว: Apple พัฒนาชิป ARM สำหรับ iPhone มาหลายปี, รวมฐานของ macOS และ iOS ให้เหมือนกัน, และเตรียม API ใหม่ให้รองรับ ARM ล่วงหน้าหลายปี

    Rosetta 2 ทำให้แอป Intel สามารถรันบนชิป M1 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และที่น่าทึ่งคือในบางกรณีแอปที่ถูกแปลยังทำงานได้ดีกว่าแอปต้นฉบับบนเครื่อง Intel เดิมด้วยซ้ำ การควบคุมทุกส่วนของระบบทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์อย่างแนวดิ่ง ช่วยให้ Apple เคลื่อนไหวได้เร็วและเด็ดขาด

    Microsoft vs Apple: คนละแนวทาง สู่ผลลัพธ์ที่ต่างกัน
    แม้ทั้ง Microsoft และ Apple จะใช้ “การจำลอง” เป็นหัวใจในการเปลี่ยนผ่าน แต่ปรัชญาที่อยู่เบื้องหลังแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง:

    Microsoft เน้น “ความเข้ากันได้ต้องมาก่อน” ซึ่งช่วยรักษาผู้ใช้เก่าไว้ได้ แต่ก็ต้องแบกรับความซับซ้อนและข้อจำกัดมากมาย เพราะต้องรองรับฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์เก่าให้ได้ทุกกรณี การเปลี่ยนผ่านจึงมักช้าและต้องค่อยๆ ปรับตัวไปทีละขั้น

    ในทางตรงกันข้าม Apple เลือก “ตัดของเก่าแล้วมุ่งหน้า” ใช้วิธีเด็ดขาดและเตรียมการล่วงหน้าอย่างดี ทั้งการออกแบบชิปเอง ควบคุม OS และกำหนดกรอบให้กับนักพัฒนา การเปลี่ยนผ่านจึงรวดเร็ว ราบรื่น และน่าประทับใจอย่างมากในสายตาผู้ใช้

    บทสรุป: เส้นทางต่าง สู่ความสำเร็จที่ไม่เหมือนกัน
    การเปลี่ยนผ่านสถาปัตยกรรม CPU ไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิค แต่มันคือ "การวางหมาก" เชิงกลยุทธ์ในระบบนิเวศซอฟต์แวร์และผู้ใช้นับล้าน

    Microsoft กำลังฟื้นตัวจากอดีตที่ผิดพลาด และก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของ ARM ด้วยประสิทธิภาพและการจำลองที่ดีขึ้นเรื่อยๆ
    ในขณะที่ Apple ได้กลายเป็นตัวอย่างระดับโลกของการเปลี่ยนผ่านที่ประสบความสำเร็จที่สุด ด้วยความกล้าที่จะตัดขาดจากอดีตและควบคุมอนาคตด้วยตนเอง

    คำถามที่น่าสนใจคือ: โลกคอมพิวเตอร์ในอนาคตจะให้คุณค่ากับ “ความยืดหยุ่นแบบเปิด” ของ Microsoft หรือ “ความเร็วและประสิทธิภาพแบบปิด” ของ Apple มากกว่ากัน?

    #ลุงเขียนหลานอ่าน
    🧠 การเปลี่ยนผ่านสถาปัตยกรรม CPU: ศึกใหญ่ระหว่าง Microsoft และ Apple การเปลี่ยนผ่านสถาปัตยกรรม CPU เปรียบเสมือนการเปลี่ยน "กระดูกสันหลัง" ของระบบคอมพิวเตอร์ เป็นภารกิจที่เสี่ยงแต่จำเป็นสำหรับบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ โดยเฉพาะ Microsoft และ Apple ซึ่งมีแนวทางแตกต่างกันชัดเจน บทความนี้จะวิเคราะห์ความท้าทาย กลยุทธ์ และผลลัพธ์ของทั้งสองบริษัท เพื่อให้เข้าใจว่าทำไมบางการเปลี่ยนผ่านจึงสำเร็จ และบางครั้งก็กลายเป็นบทเรียนราคาแพง 🪟 Microsoft Windows: เส้นทางแห่งบทเรียนและความพยายาม 🧱 จาก x86 สู่ x64: ก้าวแรกที่มั่นคง Microsoft เริ่มต้นด้วยการเปลี่ยนจากสถาปัตยกรรม x86 (32-bit) สู่ x64 (64-bit) เพื่อตอบโจทย์การใช้หน่วยความจำและประสิทธิภาพที่สูงขึ้น การเปลี่ยนผ่านนี้ประสบความสำเร็จเพราะใช้เทคโนโลยีจำลองอย่าง WoW64 ที่ช่วยให้แอปเก่าแบบ 32-bit ยังใช้งานได้บนระบบใหม่ ทำให้ผู้ใช้ไม่รู้สึกสะดุดในการใช้งาน แต่เบื้องหลังความราบรื่นนั้น คือภาระในการรักษาความเข้ากันได้ย้อนหลังที่ซับซ้อนและยืดเยื้อ ซึ่งในระยะยาวอาจเป็นอุปสรรคต่อการก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว 💥 Windows RT: ความพยายามที่ผิดพลาด ในปี 2012 Microsoft พยายามพา Windows สู่ชิป ARM ด้วย Windows RT แต่ล้มเหลวอย่างรุนแรง เพราะไม่สามารถรันแอป x86 เดิมได้เลย ทำให้ผู้ใช้สับสนและไม่ยอมรับ ผลที่ตามมาคือยอดขายต่ำและขาดทุนมหาศาลถึง 900 ล้านดอลลาร์ นี่เป็นบทเรียนสำคัญที่ทำให้ Microsoft ตระหนักว่า "ความเข้ากันได้" ไม่ใช่แค่เรื่องรอง แต่เป็นหัวใจหลักของแพลตฟอร์ม Windows 🔄 Windows on ARM (WoA): กลับมาอย่างมีแผน จากความล้มเหลวของ Windows RT, Microsoft ปรับกลยุทธ์ใหม่และพัฒนา Windows on ARM ที่ทันสมัย พร้อมตัวจำลองที่ทรงพลังอย่าง Prism Emulator และประสิทธิภาพที่น่าประทับใจจากชิป Snapdragon X Elite แม้จะมีความก้าวหน้า แต่ยังมีข้อจำกัดบางอย่าง เช่น ไดรเวอร์ระดับลึกหรือเกมบางประเภทที่ยังทำงานไม่ได้หากไม่มีการพัฒนาให้รองรับ ARM โดยตรง 🍎 Apple: การเปลี่ยนผ่านที่เด็ดขาดและชาญฉลาด 🔄 PowerPC สู่ Intel: ข้ามผ่านความล้าหลัง ในปี 2005 Apple ตัดสินใจเปลี่ยนจาก PowerPC ไปสู่ Intel แม้จะมีอุปสรรคทางเทคนิค เช่น รูปแบบการจัดข้อมูลในหน่วยความจำที่ไม่เหมือนกัน (endianness) แต่ Apple ก็สามารถจัดการได้ด้วยตัวแปล Rosetta 1 ที่แปลงแอปเก่าให้รันบนสถาปัตยกรรมใหม่ได้ สิ่งที่น่าสังเกตคือ Apple ยกเลิกการรองรับ Rosetta ภายในเวลาเพียง 5 ปี แสดงให้เห็นถึงความเด็ดขาดในการเดินหน้าสู่อนาคต แม้จะแลกมาด้วยความไม่พอใจจากผู้ใช้บางส่วนที่ยังใช้ซอฟต์แวร์เก่าอยู่ 🚀 Apple Silicon: การเปลี่ยนผ่านที่ “ไร้รอยต่อ” ในปี 2020 Apple เปิดตัวชิป Apple Silicon (M1) ซึ่งถือเป็นการปฏิวัติด้านฮาร์ดแวร์อย่างแท้จริง ความสำเร็จครั้งนี้เกิดจากการวางแผนระยะยาว: Apple พัฒนาชิป ARM สำหรับ iPhone มาหลายปี, รวมฐานของ macOS และ iOS ให้เหมือนกัน, และเตรียม API ใหม่ให้รองรับ ARM ล่วงหน้าหลายปี Rosetta 2 ทำให้แอป Intel สามารถรันบนชิป M1 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และที่น่าทึ่งคือในบางกรณีแอปที่ถูกแปลยังทำงานได้ดีกว่าแอปต้นฉบับบนเครื่อง Intel เดิมด้วยซ้ำ การควบคุมทุกส่วนของระบบทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์อย่างแนวดิ่ง ช่วยให้ Apple เคลื่อนไหวได้เร็วและเด็ดขาด ⚖️ Microsoft vs Apple: คนละแนวทาง สู่ผลลัพธ์ที่ต่างกัน แม้ทั้ง Microsoft และ Apple จะใช้ “การจำลอง” เป็นหัวใจในการเปลี่ยนผ่าน แต่ปรัชญาที่อยู่เบื้องหลังแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง: 🎯 Microsoft เน้น “ความเข้ากันได้ต้องมาก่อน” ซึ่งช่วยรักษาผู้ใช้เก่าไว้ได้ แต่ก็ต้องแบกรับความซับซ้อนและข้อจำกัดมากมาย เพราะต้องรองรับฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์เก่าให้ได้ทุกกรณี การเปลี่ยนผ่านจึงมักช้าและต้องค่อยๆ ปรับตัวไปทีละขั้น 🛠️ ในทางตรงกันข้าม Apple เลือก “ตัดของเก่าแล้วมุ่งหน้า” ใช้วิธีเด็ดขาดและเตรียมการล่วงหน้าอย่างดี ทั้งการออกแบบชิปเอง ควบคุม OS และกำหนดกรอบให้กับนักพัฒนา การเปลี่ยนผ่านจึงรวดเร็ว ราบรื่น และน่าประทับใจอย่างมากในสายตาผู้ใช้ 🔚 บทสรุป: เส้นทางต่าง สู่ความสำเร็จที่ไม่เหมือนกัน การเปลี่ยนผ่านสถาปัตยกรรม CPU ไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิค แต่มันคือ "การวางหมาก" เชิงกลยุทธ์ในระบบนิเวศซอฟต์แวร์และผู้ใช้นับล้าน Microsoft กำลังฟื้นตัวจากอดีตที่ผิดพลาด และก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของ ARM ด้วยประสิทธิภาพและการจำลองที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ Apple ได้กลายเป็นตัวอย่างระดับโลกของการเปลี่ยนผ่านที่ประสบความสำเร็จที่สุด ด้วยความกล้าที่จะตัดขาดจากอดีตและควบคุมอนาคตด้วยตนเอง 🧩 คำถามที่น่าสนใจคือ: โลกคอมพิวเตอร์ในอนาคตจะให้คุณค่ากับ “ความยืดหยุ่นแบบเปิด” ของ Microsoft หรือ “ความเร็วและประสิทธิภาพแบบปิด” ของ Apple มากกว่ากัน? #ลุงเขียนหลานอ่าน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 203 มุมมอง 1 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากเมนบอร์ดไซส์เล็ก: เมื่อ “Strix Halo” มาอยู่ในร่างบางพร้อม RAM 128GB

    Sixunited เปิดตัวเมนบอร์ดรหัส STHT1 ที่ใช้ซีพียู Strix Halo (Ryzen AI Max) ซึ่งเป็นรุ่นเดสก์ท็อปที่ใช้สถาปัตยกรรม Zen 5 และกราฟิก RDNA 3.5 โดยซีพียูมีให้เลือกตั้งแต่ 8 ถึง 16 คอร์ ส่วนกราฟิก Radeon 8060S มีถึง 40 compute units — เทียบเท่ากับ GPU แบบแยกระดับกลาง

    เมนบอร์ดนี้ยังจัดเต็มแรม LPDDR5X ขนาด 128GB แบบ on-board (ฝังไว้) โดยใช้ชิป 16GB × 8 ตัว ล้อมรอบซีพียู ซึ่งแม้จะไม่สามารถอัปเกรดได้ แต่ก็เพียงพอสำหรับงาน AI inference, training เบื้องต้น หรือการสร้าง content ที่กิน RAM มาก

    จุดเด่นอีกอย่างคือขนาด “thin Mini-ITX” ขนาด 170×170 มม. แต่ความสูง (z-height) ต่ำมาก เหมาะกับเคสบาง หรือ AIO ที่ต้องการประหยัดพื้นที่

    เมนบอร์ด STHT1 จาก Sixunited ใช้ AMD Ryzen AI Max 300-series “Strix Halo”
    ซีพียู Zen 5 พร้อมกราฟิก RDNA 3.5 สูงสุด 16 คอร์ และ 40 CU

    แรม LPDDR5X ขนาด 128GB ติดตั้งแบบฝังบนบอร์ด
    ใช้ชิป 16GB × 8 ตัว ล้อมรอบตัวซีพียู

    ใช้ฟอร์มแฟกเตอร์ thin Mini-ITX ขนาด 170×170 มม. แต่บางกว่าปกติ
    เหมาะสำหรับเคส AIO และ SFF ที่มีพื้นที่จำกัด

    รองรับการติดตั้ง SSD M.2 แบบ PCIe 4.0 ได้ 2 ตัว
    สำหรับ M.2 2280 และมีสล็อต M.2 เพิ่มสำหรับโมดูล Wi-Fi (2230)

    มีพอร์ต HDMI 2.1 ×2 และ VGA ที่สามารถปรับเป็น DisplayPort หรือ COM ได้
    รองรับการต่อจอหลายแบบตามความต้องการ

    มีพอร์ต USB 3.2 Gen 2 ×2 และ USB 2.0 ×2 พร้อม header เพิ่มขยาย
    รองรับการต่ออุปกรณ์เสริม

    ใช้ไฟผ่านพอร์ต DC IN ขนาด 19V สำหรับการจ่ายพลังงานตรง
    รองรับซีพียูที่มีค่า cTDP ตั้งแต่ 45–120W ได้สบาย

    https://www.tomshardware.com/pc-components/motherboards/amd-strix-halo-mini-itx-motherboard-flaunts-128gb-lpddr5x-add-a-cpu-cooler-boot-drive-and-power-supply-for-a-slim-gaming-or-ai-rig
    🎙️ เรื่องเล่าจากเมนบอร์ดไซส์เล็ก: เมื่อ “Strix Halo” มาอยู่ในร่างบางพร้อม RAM 128GB Sixunited เปิดตัวเมนบอร์ดรหัส STHT1 ที่ใช้ซีพียู Strix Halo (Ryzen AI Max) ซึ่งเป็นรุ่นเดสก์ท็อปที่ใช้สถาปัตยกรรม Zen 5 และกราฟิก RDNA 3.5 โดยซีพียูมีให้เลือกตั้งแต่ 8 ถึง 16 คอร์ ส่วนกราฟิก Radeon 8060S มีถึง 40 compute units — เทียบเท่ากับ GPU แบบแยกระดับกลาง เมนบอร์ดนี้ยังจัดเต็มแรม LPDDR5X ขนาด 128GB แบบ on-board (ฝังไว้) โดยใช้ชิป 16GB × 8 ตัว ล้อมรอบซีพียู ซึ่งแม้จะไม่สามารถอัปเกรดได้ แต่ก็เพียงพอสำหรับงาน AI inference, training เบื้องต้น หรือการสร้าง content ที่กิน RAM มาก จุดเด่นอีกอย่างคือขนาด “thin Mini-ITX” ขนาด 170×170 มม. แต่ความสูง (z-height) ต่ำมาก เหมาะกับเคสบาง หรือ AIO ที่ต้องการประหยัดพื้นที่ ✅ เมนบอร์ด STHT1 จาก Sixunited ใช้ AMD Ryzen AI Max 300-series “Strix Halo” ➡️ ซีพียู Zen 5 พร้อมกราฟิก RDNA 3.5 สูงสุด 16 คอร์ และ 40 CU ✅ แรม LPDDR5X ขนาด 128GB ติดตั้งแบบฝังบนบอร์ด ➡️ ใช้ชิป 16GB × 8 ตัว ล้อมรอบตัวซีพียู ✅ ใช้ฟอร์มแฟกเตอร์ thin Mini-ITX ขนาด 170×170 มม. แต่บางกว่าปกติ ➡️ เหมาะสำหรับเคส AIO และ SFF ที่มีพื้นที่จำกัด ✅ รองรับการติดตั้ง SSD M.2 แบบ PCIe 4.0 ได้ 2 ตัว ➡️ สำหรับ M.2 2280 และมีสล็อต M.2 เพิ่มสำหรับโมดูล Wi-Fi (2230) ✅ มีพอร์ต HDMI 2.1 ×2 และ VGA ที่สามารถปรับเป็น DisplayPort หรือ COM ได้ ➡️ รองรับการต่อจอหลายแบบตามความต้องการ ✅ มีพอร์ต USB 3.2 Gen 2 ×2 และ USB 2.0 ×2 พร้อม header เพิ่มขยาย ➡️ รองรับการต่ออุปกรณ์เสริม ✅ ใช้ไฟผ่านพอร์ต DC IN ขนาด 19V สำหรับการจ่ายพลังงานตรง ➡️ รองรับซีพียูที่มีค่า cTDP ตั้งแต่ 45–120W ได้สบาย https://www.tomshardware.com/pc-components/motherboards/amd-strix-halo-mini-itx-motherboard-flaunts-128gb-lpddr5x-add-a-cpu-cooler-boot-drive-and-power-supply-for-a-slim-gaming-or-ai-rig
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 158 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากเดสก์ท็อปที่แรงกว่าเซิร์ฟเวอร์: เมื่อซูเปอร์ชิป AI มาอยู่ในเครื่องธรรมดา

    ก่อนหน้านี้ Nvidia GB300 Grace Blackwell Ultra ถูกใช้เฉพาะใน DGX Station สำหรับองค์กรขนาดใหญ่ แต่ตอนนี้ Asus, Lambda และ OEM รายอื่นเริ่มนำชิปนี้มาใช้ในเวิร์กสเตชันทั่วไป — เพื่อให้ผู้ใช้งาน AI ระดับมืออาชีพเข้าถึงพลังประมวลผลแบบไม่ต้องพึ่งคลาวด์

    ExpertCenter Pro ET900N G3 มีจุดเด่นคือ:
    - ใช้ CPU Grace (ARM-based) + GPU Blackwell Ultra
    - หน่วยความจำรวม LPDDR5X + HBM3E สูงสุด 784GB
    - Tensor Core รุ่นใหม่ที่รองรับ FP4 สำหรับงาน AI
    - พลังประมวลผลสูงถึง 20 PFLOPS
    - รองรับ DGX OS และ ConnectX-8 SuperNIC (800 Gb/s)

    นอกจากนี้ยังมีความสามารถในการขยาย:
    - PCIe x16 จำนวน 3 ช่องสำหรับ GPU เพิ่มเติม
    - M.2 SSD 3 ช่อง
    - ระบบจ่ายไฟสูงสุด 1,800W สำหรับ GPU

    แม้หน้าตาจะดูเรียบง่าย แต่ประสิทธิภาพเทียบได้กับเซิร์ฟเวอร์ระดับ rack ที่ใช้ในศูนย์ข้อมูล AI ขนาดใหญ่

    Asus เปิดตัว ExpertCenter Pro ET900N G3 ใช้ชิป Nvidia GB300 Grace Blackwell Ultra
    เป็นเวิร์กสเตชันเดสก์ท็อปที่มีพลังประมวลผลสูงถึง 20 PFLOPS

    ใช้หน่วยความจำรวม LPDDR5X + HBM3E สูงสุด 784GB
    รองรับงาน AI ขนาดใหญ่ เช่นการเทรนโมเดลและ inference

    ใช้ CPU Grace (ARM-based) ร่วมกับ GPU Blackwell Ultra
    เป็นแพลตฟอร์มเดียวกับ DGX Station ที่เปิดตัวใน GTC 2025

    รองรับ DGX OS และ ConnectX-8 SuperNIC ความเร็ว 800 Gb/s
    เหมาะสำหรับงานที่ต้องการการเชื่อมต่อความเร็วสูง

    มีช่อง PCIe x16 จำนวน 3 ช่อง และ M.2 SSD 3 ช่อง
    รองรับการขยาย GPU และพื้นที่จัดเก็บข้อมูล

    ระบบจ่ายไฟรองรับสูงสุด 1,800W สำหรับ GPU
    ใช้หัวต่อ 12V-2×6 แบบใหม่ที่รองรับการ์ดระดับสูง

    Nvidia ร่วมมือกับ OEM เช่น Asus, Dell, Lambda เพื่อขยายตลาด AI workstation
    ไม่จำกัดเฉพาะ DGX อีกต่อไป

    Dell เริ่มใช้ GB300 NVL72 ในศูนย์ข้อมูล CoreWeave แล้ว
    ให้พลัง FP4 inference สูงถึง 1.1 exaFLOPS ต่อ rack

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/asus-brings-nvidias-gb300-blackwell-ultra-desktop-superchip-to-workstations-features-up-to-784gb-of-coherent-memory-20-pflops-ai-performance
    🎙️ เรื่องเล่าจากเดสก์ท็อปที่แรงกว่าเซิร์ฟเวอร์: เมื่อซูเปอร์ชิป AI มาอยู่ในเครื่องธรรมดา ก่อนหน้านี้ Nvidia GB300 Grace Blackwell Ultra ถูกใช้เฉพาะใน DGX Station สำหรับองค์กรขนาดใหญ่ แต่ตอนนี้ Asus, Lambda และ OEM รายอื่นเริ่มนำชิปนี้มาใช้ในเวิร์กสเตชันทั่วไป — เพื่อให้ผู้ใช้งาน AI ระดับมืออาชีพเข้าถึงพลังประมวลผลแบบไม่ต้องพึ่งคลาวด์ ExpertCenter Pro ET900N G3 มีจุดเด่นคือ: - ใช้ CPU Grace (ARM-based) + GPU Blackwell Ultra - หน่วยความจำรวม LPDDR5X + HBM3E สูงสุด 784GB - Tensor Core รุ่นใหม่ที่รองรับ FP4 สำหรับงาน AI - พลังประมวลผลสูงถึง 20 PFLOPS - รองรับ DGX OS และ ConnectX-8 SuperNIC (800 Gb/s) นอกจากนี้ยังมีความสามารถในการขยาย: - PCIe x16 จำนวน 3 ช่องสำหรับ GPU เพิ่มเติม - M.2 SSD 3 ช่อง - ระบบจ่ายไฟสูงสุด 1,800W สำหรับ GPU แม้หน้าตาจะดูเรียบง่าย แต่ประสิทธิภาพเทียบได้กับเซิร์ฟเวอร์ระดับ rack ที่ใช้ในศูนย์ข้อมูล AI ขนาดใหญ่ ✅ Asus เปิดตัว ExpertCenter Pro ET900N G3 ใช้ชิป Nvidia GB300 Grace Blackwell Ultra ➡️ เป็นเวิร์กสเตชันเดสก์ท็อปที่มีพลังประมวลผลสูงถึง 20 PFLOPS ✅ ใช้หน่วยความจำรวม LPDDR5X + HBM3E สูงสุด 784GB ➡️ รองรับงาน AI ขนาดใหญ่ เช่นการเทรนโมเดลและ inference ✅ ใช้ CPU Grace (ARM-based) ร่วมกับ GPU Blackwell Ultra ➡️ เป็นแพลตฟอร์มเดียวกับ DGX Station ที่เปิดตัวใน GTC 2025 ✅ รองรับ DGX OS และ ConnectX-8 SuperNIC ความเร็ว 800 Gb/s ➡️ เหมาะสำหรับงานที่ต้องการการเชื่อมต่อความเร็วสูง ✅ มีช่อง PCIe x16 จำนวน 3 ช่อง และ M.2 SSD 3 ช่อง ➡️ รองรับการขยาย GPU และพื้นที่จัดเก็บข้อมูล ✅ ระบบจ่ายไฟรองรับสูงสุด 1,800W สำหรับ GPU ➡️ ใช้หัวต่อ 12V-2×6 แบบใหม่ที่รองรับการ์ดระดับสูง ✅ Nvidia ร่วมมือกับ OEM เช่น Asus, Dell, Lambda เพื่อขยายตลาด AI workstation ➡️ ไม่จำกัดเฉพาะ DGX อีกต่อไป ✅ Dell เริ่มใช้ GB300 NVL72 ในศูนย์ข้อมูล CoreWeave แล้ว ➡️ ให้พลัง FP4 inference สูงถึง 1.1 exaFLOPS ต่อ rack https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/asus-brings-nvidias-gb300-blackwell-ultra-desktop-superchip-to-workstations-features-up-to-784gb-of-coherent-memory-20-pflops-ai-performance
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 159 มุมมอง 0 รีวิว
  • เพิ่งรู้นะว่าได้รับบรรจุเป็นลูกจ้างชั่วคราวที่เทศบาลตำบลบางหลวง เอาละวะ แต่ก็ดีกว่าตอนเป็นลูกจ้างที่ กกต. หน่อย สังคม อปท. นี่ช่างม่วนคักหลายเด้เป็นกันเองเหลือเกินเนาะ
    ทำงานในสังกัด กทม. คงเครียดมาก ไม่มีจังหวะม่วนคักมากพอ
    ผมคิดว่าทำงานเทศบาลหรือ อบต. ตจว. ยังพอม่วนคักได้หลายๆ อย่างน้อยจะได้มีเงินจ่ายค่าเน็ตมือถือและค่าเดินทางไปแก่งกระจานเพื่อพบปะสังสรรค์กับเพื่อนร่วมรุ่นวิศวะ
    เริ่มงานสิงหาคม แต่หมอนัดค่อยว่ากันอีกที ก่อนสิงหาคมไม่แน่อาจจะไปโรงพยาบาลปทุมธานีก่อน เพราะยาขาดแคลนในช่วงนั้น และตอนนี้น่าจะมียาเตรียมไว้สำหรับผแล้วอะนะครับ
    น่าจะทำงานเกิน 4 เดือน ไปก่อน เพื่อเก็บเงินไว้ต่อยอดอะไรได้บ้าง
    เพิ่งรู้นะว่าได้รับบรรจุเป็นลูกจ้างชั่วคราวที่เทศบาลตำบลบางหลวง เอาละวะ แต่ก็ดีกว่าตอนเป็นลูกจ้างที่ กกต. หน่อย สังคม อปท. นี่ช่างม่วนคักหลายเด้เป็นกันเองเหลือเกินเนาะ ทำงานในสังกัด กทม. คงเครียดมาก ไม่มีจังหวะม่วนคักมากพอ ผมคิดว่าทำงานเทศบาลหรือ อบต. ตจว. ยังพอม่วนคักได้หลายๆ อย่างน้อยจะได้มีเงินจ่ายค่าเน็ตมือถือและค่าเดินทางไปแก่งกระจานเพื่อพบปะสังสรรค์กับเพื่อนร่วมรุ่นวิศวะ เริ่มงานสิงหาคม แต่หมอนัดค่อยว่ากันอีกที ก่อนสิงหาคมไม่แน่อาจจะไปโรงพยาบาลปทุมธานีก่อน เพราะยาขาดแคลนในช่วงนั้น และตอนนี้น่าจะมียาเตรียมไว้สำหรับผแล้วอะนะครับ น่าจะทำงานเกิน 4 เดือน ไปก่อน เพื่อเก็บเงินไว้ต่อยอดอะไรได้บ้าง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 128 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกนักพัฒนา: 7 แอปจดโน้ตที่นักพัฒนาไม่ควรมองข้าม

    ในโลกของนักพัฒนา การจดโน้ตไม่ใช่แค่การเขียนไอเดีย แต่เป็นการจัดการโค้ด snippets, เอกสารเทคนิค, และความรู้ที่ต้องใช้ซ้ำในหลายโปรเจกต์ แอปจดโน้ตทั่วไปอาจไม่ตอบโจทย์ เพราะนักพัฒนาต้องการฟีเจอร์เฉพาะ เช่น Markdown, syntax highlighting, การเชื่อมโยงโน้ต และการทำงานแบบ cross-platform

    บทความนี้แนะนำ 7 แอปที่โดดเด่นสำหรับนักพัฒนา ได้แก่:

    1️⃣ Notion – ครบเครื่องทั้งจดโน้ตและจัดการโปรเจกต์

    ข้อดี
    รองรับ Markdown และ syntax กว่า 60 ภาษา
    ใช้จัดการโปรเจกต์ได้ดี (kanban, database, timeline)
    เชื่อมต่อกับ Trello, Slack, GitHub ได้
    สร้าง template และระบบอัตโนมัติได้

    ข้อเสีย
    ต้องใช้อินเทอร์เน็ตในการเข้าถึง
    UI อาจซับซ้อนสำหรับผู้เริ่มต้น
    ไม่เหมาะกับการเขียนโค้ดแบบ real-time

    2️⃣ Obsidian – เน้นความยืดหยุ่นและการทำงานแบบออฟไลน์

    ข้อดี
    ทำงานออฟไลน์ได้เต็มรูปแบบ
    รองรับ Markdown และ backlinking แบบ Zettelkasten
    ปรับแต่งได้ผ่านปลั๊กอินจำนวนมาก
    เน้นความเป็นส่วนตัวด้วย local storage

    ข้อเสีย
    ไม่มีระบบ collaboration ในตัว
    ต้องใช้เวลาเรียนรู้การปรับแต่ง
    UI ไม่เหมาะกับผู้ที่ชอบระบบ drag-and-drop

    3️⃣ Boost Note – โอเพ่นซอร์สที่ออกแบบมาเพื่อโค้ดโดยเฉพาะ

    ข้อดี
    โอเพ่นซอร์สและฟรี
    รองรับ Markdown + code block พร้อม syntax
    มี tagging และ diagram (Mermaid, PlantUML)
    ใช้งานได้ทุกแพลตฟอร์ม (Windows, macOS, Linux, iOS, Android)

    ข้อเสีย
    ฟีเจอร์ collaboration ยังไม่สมบูรณ์
    UI ยังไม่ polished เท่าแอปเชิงพาณิชย์
    ต้องใช้เวลาในการตั้งค่า workspace

    4️⃣ OneNote – เหมาะกับการจัดการข้อมูลแบบมัลติมีเดีย

    ข้อดี
    รองรับ multimedia เช่น รูป เสียง วิดีโอ
    มีโครงสร้าง notebook/section/page ที่ชัดเจน
    รองรับการทำงานร่วมกันแบบ real-time
    ใช้งานได้หลายแพลตฟอร์ม

    ข้อเสีย
    ไม่รองรับ Markdown โดยตรง
    ไม่มีแอปสำหรับ Linux
    ไม่เหมาะกับการจัดการโค้ดหรือ syntax

    5️⃣ Quiver – สำหรับผู้ใช้ macOS ที่ต้องการรวมโค้ด, Markdown และ LaTeX

    ข้อดี
    รองรับ Markdown, LaTeX, และ syntax กว่า 120 ภาษา
    โครงสร้างแบบเซลล์ (text + code + diagram)
    มีระบบลิงก์ภายในโน้ตแบบ wiki
    ซื้อครั้งเดียว ไม่มี subscription

    ข้อเสีย
    ใช้ได้เฉพาะ macOS
    ไม่มีระบบ sync cloud หรือ collaboration
    UI ค่อนข้างเก่าเมื่อเทียบกับแอปใหม่ ๆ

    6️⃣ CherryTree – โครงสร้างแบบ tree สำหรับการจัดการข้อมูลเชิงลึก

    ข้อดี
    โครงสร้างแบบ tree เหมาะกับโปรเจกต์ซับซ้อน
    รองรับ rich text + syntax highlight
    ใช้งานแบบ portable ได้ (USB drive)
    มีระบบ auto-save และ backup

    ข้อเสีย
    ไม่มีระบบ cloud sync
    UI ค่อนข้างเก่า
    ไม่เหมาะกับการทำงานร่วมกัน

    7️⃣ Sublime Text – ใช้ปลั๊กอินเสริมให้กลายเป็นเครื่องมือจดโน้ตที่ทรงพลัง

    ข้อดี
    เร็ว เบา และปรับแต่งได้สูง
    รองรับ MarkdownEditing, SnippetStore, CodeMap
    ใช้งานได้ทุกแพลตฟอร์ม
    เหมาะกับนักพัฒนาที่ต้องการรวมโค้ดกับโน้ต

    ข้อเสีย
    ไม่ใช่แอปจดโน้ตโดยตรง ต้องติดตั้งปลั๊กอิน
    ไม่มีระบบจัดการโน้ตแบบ notebook หรือ tagging
    ไม่เหมาะกับผู้ที่ไม่ชำนาญการตั้งค่า editor

    https://medium.com/@theo-james/top-7-note-taking-apps-every-developer-should-use-fc3905c954be
    🎙️ เรื่องเล่าจากโลกนักพัฒนา: 7 แอปจดโน้ตที่นักพัฒนาไม่ควรมองข้าม ในโลกของนักพัฒนา การจดโน้ตไม่ใช่แค่การเขียนไอเดีย แต่เป็นการจัดการโค้ด snippets, เอกสารเทคนิค, และความรู้ที่ต้องใช้ซ้ำในหลายโปรเจกต์ แอปจดโน้ตทั่วไปอาจไม่ตอบโจทย์ เพราะนักพัฒนาต้องการฟีเจอร์เฉพาะ เช่น Markdown, syntax highlighting, การเชื่อมโยงโน้ต และการทำงานแบบ cross-platform บทความนี้แนะนำ 7 แอปที่โดดเด่นสำหรับนักพัฒนา ได้แก่: 1️⃣ Notion – ครบเครื่องทั้งจดโน้ตและจัดการโปรเจกต์ ✅ ➡️ ข้อดี ✅ รองรับ Markdown และ syntax กว่า 60 ภาษา ✅ ใช้จัดการโปรเจกต์ได้ดี (kanban, database, timeline) ✅ เชื่อมต่อกับ Trello, Slack, GitHub ได้ ✅ สร้าง template และระบบอัตโนมัติได้ ⛔ ➡️ ข้อเสีย ⛔ ต้องใช้อินเทอร์เน็ตในการเข้าถึง ⛔ UI อาจซับซ้อนสำหรับผู้เริ่มต้น ⛔ ไม่เหมาะกับการเขียนโค้ดแบบ real-time 2️⃣ Obsidian – เน้นความยืดหยุ่นและการทำงานแบบออฟไลน์ ✅ ➡️ ข้อดี ✅ ทำงานออฟไลน์ได้เต็มรูปแบบ ✅ รองรับ Markdown และ backlinking แบบ Zettelkasten ✅ ปรับแต่งได้ผ่านปลั๊กอินจำนวนมาก ✅ เน้นความเป็นส่วนตัวด้วย local storage ⛔ ➡️ ข้อเสีย ⛔ ไม่มีระบบ collaboration ในตัว ⛔ ต้องใช้เวลาเรียนรู้การปรับแต่ง ⛔ UI ไม่เหมาะกับผู้ที่ชอบระบบ drag-and-drop 3️⃣ Boost Note – โอเพ่นซอร์สที่ออกแบบมาเพื่อโค้ดโดยเฉพาะ ✅ ➡️ ข้อดี ✅ โอเพ่นซอร์สและฟรี ✅ รองรับ Markdown + code block พร้อม syntax ✅ มี tagging และ diagram (Mermaid, PlantUML) ✅ ใช้งานได้ทุกแพลตฟอร์ม (Windows, macOS, Linux, iOS, Android) ⛔ ➡️ ข้อเสีย ⛔ ฟีเจอร์ collaboration ยังไม่สมบูรณ์ ⛔ UI ยังไม่ polished เท่าแอปเชิงพาณิชย์ ⛔ ต้องใช้เวลาในการตั้งค่า workspace 4️⃣ OneNote – เหมาะกับการจัดการข้อมูลแบบมัลติมีเดีย ✅ ➡️ ข้อดี ✅ รองรับ multimedia เช่น รูป เสียง วิดีโอ ✅ มีโครงสร้าง notebook/section/page ที่ชัดเจน ✅ รองรับการทำงานร่วมกันแบบ real-time ✅ ใช้งานได้หลายแพลตฟอร์ม ⛔ ➡️ ข้อเสีย ⛔ ไม่รองรับ Markdown โดยตรง ⛔ ไม่มีแอปสำหรับ Linux ⛔ ไม่เหมาะกับการจัดการโค้ดหรือ syntax 5️⃣ Quiver – สำหรับผู้ใช้ macOS ที่ต้องการรวมโค้ด, Markdown และ LaTeX ✅ ➡️ ข้อดี ✅ รองรับ Markdown, LaTeX, และ syntax กว่า 120 ภาษา ✅ โครงสร้างแบบเซลล์ (text + code + diagram) ✅ มีระบบลิงก์ภายในโน้ตแบบ wiki ✅ ซื้อครั้งเดียว ไม่มี subscription ⛔ ➡️ ข้อเสีย ⛔ ใช้ได้เฉพาะ macOS ⛔ ไม่มีระบบ sync cloud หรือ collaboration ⛔ UI ค่อนข้างเก่าเมื่อเทียบกับแอปใหม่ ๆ 6️⃣ CherryTree – โครงสร้างแบบ tree สำหรับการจัดการข้อมูลเชิงลึก ✅ ➡️ ข้อดี ✅ โครงสร้างแบบ tree เหมาะกับโปรเจกต์ซับซ้อน ✅ รองรับ rich text + syntax highlight ✅ ใช้งานแบบ portable ได้ (USB drive) ✅ มีระบบ auto-save และ backup ⛔ ➡️ ข้อเสีย ⛔ ไม่มีระบบ cloud sync ⛔ UI ค่อนข้างเก่า ⛔ ไม่เหมาะกับการทำงานร่วมกัน 7️⃣ Sublime Text – ใช้ปลั๊กอินเสริมให้กลายเป็นเครื่องมือจดโน้ตที่ทรงพลัง ✅ ➡️ ข้อดี ✅ เร็ว เบา และปรับแต่งได้สูง ✅ รองรับ MarkdownEditing, SnippetStore, CodeMap ✅ ใช้งานได้ทุกแพลตฟอร์ม ✅ เหมาะกับนักพัฒนาที่ต้องการรวมโค้ดกับโน้ต ⛔ ➡️ ข้อเสีย ⛔ ไม่ใช่แอปจดโน้ตโดยตรง ต้องติดตั้งปลั๊กอิน ⛔ ไม่มีระบบจัดการโน้ตแบบ notebook หรือ tagging ⛔ ไม่เหมาะกับผู้ที่ไม่ชำนาญการตั้งค่า editor https://medium.com/@theo-james/top-7-note-taking-apps-every-developer-should-use-fc3905c954be
    MEDIUM.COM
    Top 7 Note-Taking Apps Every Developer Should Use
    Keeping track of ideas, code snippets, and project details is essential for developers juggling multiple frameworks and languages. The right note-taking app can streamline workflows, boost…
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 347 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลก Windows: แอปพื้นฐานใน Windows 11 เปลี่ยนใหม่เพื่อความเร็วและความปลอดภัย

    ถ้าเคยติดตั้ง Windows 11 มาก่อน คุณอาจเคยเจอว่าแอปพื้นฐานบางตัวไม่สามารถใช้งานได้ทันทีหลังเปิดเครื่อง เพราะมันเป็นแค่ “ตัวแทน” ที่ต้องดาวน์โหลดไฟล์จริงจาก Microsoft Store ก่อนใช้งาน

    Microsoft เคยใช้วิธีนี้เพื่อลดขนาดไฟล์ติดตั้งและทำให้การติดตั้งเร็วขึ้น แต่ตอนนี้พวกเขาเปลี่ยนแนวทางแล้ว!

    ใน Windows 11 เวอร์ชัน 24H2 และ Windows Server 2025 ที่ออกใหม่ Microsoft ได้รวมแอปพื้นฐานเวอร์ชันล่าสุดไว้ในตัวติดตั้งเลย เพื่อให้ผู้ใช้สามารถใช้งานได้ทันทีหลังเปิดเครื่อง โดยไม่ต้องรอดาวน์โหลด

    เหตุผลหลักมี 2 ข้อ:

    ความปลอดภัย: ลดช่องโหว่จากแอปเวอร์ชันเก่าที่ติดมากับ RTM

    ความสะดวก: ไม่ต้องรอโหลดแอปจาก Store ประหยัดเวลาและแบนด์วิดท์

    มีแอปทั้งหมด 36 ตัวที่ได้รับการอัปเดต เช่น Notepad, Paint, Calculator, Media Player, Photos, Snipping Tool, Xbox Game Bar และอีกมากมาย

    Microsoft เปลี่ยนแนวทางการรวมแอปพื้นฐานใน Windows 11
    จากเดิมใช้ตัวแทนที่ต้องดาวน์โหลดจาก Store
    ตอนนี้รวมแอปเวอร์ชันล่าสุดไว้ในตัวติดตั้งเลย

    เหตุผลหลักคือ:
    เพิ่มความปลอดภัยจากช่องโหว่ในแอปเวอร์ชันเก่า
    เพิ่มความสะดวกให้ผู้ใช้ใช้งานได้ทันที

    Windows 11 เวอร์ชัน 24H2 รวมแอปพื้นฐานใหม่ 36 ตัว
    เช่น Notepad, Paint, Calculator, Media Player, Photos, Snipping Tool, Xbox Game Bar ฯลฯ

    Windows Server 2025 ก็ได้รับการอัปเดตเช่นกัน
    รวม App Installer และ Windows Security เวอร์ชันใหม่

    วิธีติดตั้ง:
    ใช้ Media Creation Tool จากเว็บไซต์ Microsoft
    สำหรับ IT admin: ดาวน์โหลดจาก Microsoft 365 admin center หรือ Azure Marketplace

    ผู้ใช้ที่ติดตั้งจากสื่อเก่าอาจยังได้แอปเวอร์ชันเก่า
    ต้องอัปเดตผ่าน Microsoft Store เพิ่มเติม

    การเปลี่ยนแปลงนี้มีผลเฉพาะในเวอร์ชัน 24H2 ขึ้นไป
    ผู้ใช้เวอร์ชันก่อนหน้าอาจไม่ได้รับฟีเจอร์นี้

    IT admin ต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าใช้สื่อเวอร์ชันล่าสุด
    เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาด้านความปลอดภัยและความเข้ากันได้

    https://www.neowin.net/news/stock-windows-11-apps-get-a-big-change-to-improve-user-experience-and-security/
    🎙️ เรื่องเล่าจากโลก Windows: แอปพื้นฐานใน Windows 11 เปลี่ยนใหม่เพื่อความเร็วและความปลอดภัย ถ้าเคยติดตั้ง Windows 11 มาก่อน คุณอาจเคยเจอว่าแอปพื้นฐานบางตัวไม่สามารถใช้งานได้ทันทีหลังเปิดเครื่อง เพราะมันเป็นแค่ “ตัวแทน” ที่ต้องดาวน์โหลดไฟล์จริงจาก Microsoft Store ก่อนใช้งาน Microsoft เคยใช้วิธีนี้เพื่อลดขนาดไฟล์ติดตั้งและทำให้การติดตั้งเร็วขึ้น แต่ตอนนี้พวกเขาเปลี่ยนแนวทางแล้ว! 🎉 ใน Windows 11 เวอร์ชัน 24H2 และ Windows Server 2025 ที่ออกใหม่ Microsoft ได้รวมแอปพื้นฐานเวอร์ชันล่าสุดไว้ในตัวติดตั้งเลย เพื่อให้ผู้ใช้สามารถใช้งานได้ทันทีหลังเปิดเครื่อง โดยไม่ต้องรอดาวน์โหลด เหตุผลหลักมี 2 ข้อ: ✅ ความปลอดภัย: ลดช่องโหว่จากแอปเวอร์ชันเก่าที่ติดมากับ RTM ✅ ความสะดวก: ไม่ต้องรอโหลดแอปจาก Store ประหยัดเวลาและแบนด์วิดท์ มีแอปทั้งหมด 36 ตัวที่ได้รับการอัปเดต เช่น Notepad, Paint, Calculator, Media Player, Photos, Snipping Tool, Xbox Game Bar และอีกมากมาย ✅ Microsoft เปลี่ยนแนวทางการรวมแอปพื้นฐานใน Windows 11 👉 จากเดิมใช้ตัวแทนที่ต้องดาวน์โหลดจาก Store 👉 ตอนนี้รวมแอปเวอร์ชันล่าสุดไว้ในตัวติดตั้งเลย ✅ เหตุผลหลักคือ: 👉 เพิ่มความปลอดภัยจากช่องโหว่ในแอปเวอร์ชันเก่า 👉 เพิ่มความสะดวกให้ผู้ใช้ใช้งานได้ทันที ✅ Windows 11 เวอร์ชัน 24H2 รวมแอปพื้นฐานใหม่ 36 ตัว 👉 เช่น Notepad, Paint, Calculator, Media Player, Photos, Snipping Tool, Xbox Game Bar ฯลฯ ✅ Windows Server 2025 ก็ได้รับการอัปเดตเช่นกัน 👉 รวม App Installer และ Windows Security เวอร์ชันใหม่ ✅ วิธีติดตั้ง: 👉 ใช้ Media Creation Tool จากเว็บไซต์ Microsoft 👉 สำหรับ IT admin: ดาวน์โหลดจาก Microsoft 365 admin center หรือ Azure Marketplace ‼️ ผู้ใช้ที่ติดตั้งจากสื่อเก่าอาจยังได้แอปเวอร์ชันเก่า 👉 ต้องอัปเดตผ่าน Microsoft Store เพิ่มเติม ‼️ การเปลี่ยนแปลงนี้มีผลเฉพาะในเวอร์ชัน 24H2 ขึ้นไป 👉 ผู้ใช้เวอร์ชันก่อนหน้าอาจไม่ได้รับฟีเจอร์นี้ ‼️ IT admin ต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าใช้สื่อเวอร์ชันล่าสุด 👉 เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาด้านความปลอดภัยและความเข้ากันได้ https://www.neowin.net/news/stock-windows-11-apps-get-a-big-change-to-improve-user-experience-and-security/
    WWW.NEOWIN.NET
    Stock Windows 11 apps get a big change to improve user experience and security
    Windows 11 gets an important update to its stock apps, which will significantly improve the user experience and security.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 249 มุมมอง 0 รีวิว
  • Security Copilot บน Entra พร้อมใช้งานแล้ว – ผู้ดูแลระบบ IT มีผู้ช่วย AI อย่างเป็นทางการ

    Security Copilot เป็นเครื่องมือที่ใช้ AI (โดยเฉพาะ LLMs) เพื่อช่วยตรวจสอบและวิเคราะห์เหตุการณ์ด้านความปลอดภัยในระบบ IT โดยสามารถตอบคำถามจากผู้ดูแลระบบด้วยภาษาธรรมชาติ เช่น “ใครเปลี่ยนสิทธิ์ผู้ใช้ในระบบเมื่อวานนี้?” หรือ “มีการล็อกอินผิดปกติจากประเทศอื่นหรือไม่?”

    ล่าสุด Microsoft ได้รวม Security Copilot เข้ากับแพลตฟอร์ม Entra ซึ่งเป็นระบบจัดการสิทธิ์และตัวตนของผู้ใช้ในองค์กร และเปิดให้ใช้งานได้ฟรีสำหรับผู้ดูแลระบบทุกคน โดยมีฟีเจอร์หลักใน 4 ด้าน:

    1️⃣. การวิเคราะห์ตัวตนและสิทธิ์ (Identity insights)  – ตรวจสอบสิทธิ์ผู้ใช้, กลุ่ม, ประวัติการล็อกอิน, audit logs และ risky users

    2️⃣. การจัดการสิทธิ์และการเข้าถึง (Access governance)  – วิเคราะห์สิทธิ์เกินจำเป็น, การตั้งค่า access package, และบทบาทที่มีสิทธิ์มากเกินไป

    3️⃣. การปกป้องแอปและทรัพยากร (App protection)  – ตรวจสอบพฤติกรรมแอปที่เสี่ยง, การตั้งค่าที่ผิดพลาด, และการใช้ license ที่ไม่คุ้มค่า

    4️⃣. การตรวจสอบและจัดการสถานะระบบ (Monitoring & posture)  – ตรวจสอบความเสี่ยงด้าน tenant, domain, MFA, และ SLA ของ workflow สำคัญ

    Microsoft ยังปรับปรุง Security Copilot ให้เข้าใจคำถามที่ซับซ้อนมากขึ้น และให้คำตอบที่ชัดเจนกว่าเดิม พร้อมประกาศว่าจะพัฒนาให้รองรับกรณีอื่น ๆ เพิ่มเติมในอนาคต เช่น Conditional Access Optimization Agent

    https://www.neowin.net/news/security-copilot-in-microsoft-entra-is-now-available-for-all-it-admins/
    Security Copilot บน Entra พร้อมใช้งานแล้ว – ผู้ดูแลระบบ IT มีผู้ช่วย AI อย่างเป็นทางการ Security Copilot เป็นเครื่องมือที่ใช้ AI (โดยเฉพาะ LLMs) เพื่อช่วยตรวจสอบและวิเคราะห์เหตุการณ์ด้านความปลอดภัยในระบบ IT โดยสามารถตอบคำถามจากผู้ดูแลระบบด้วยภาษาธรรมชาติ เช่น “ใครเปลี่ยนสิทธิ์ผู้ใช้ในระบบเมื่อวานนี้?” หรือ “มีการล็อกอินผิดปกติจากประเทศอื่นหรือไม่?” ล่าสุด Microsoft ได้รวม Security Copilot เข้ากับแพลตฟอร์ม Entra ซึ่งเป็นระบบจัดการสิทธิ์และตัวตนของผู้ใช้ในองค์กร และเปิดให้ใช้งานได้ฟรีสำหรับผู้ดูแลระบบทุกคน โดยมีฟีเจอร์หลักใน 4 ด้าน: 1️⃣. การวิเคราะห์ตัวตนและสิทธิ์ (Identity insights)  – ตรวจสอบสิทธิ์ผู้ใช้, กลุ่ม, ประวัติการล็อกอิน, audit logs และ risky users 2️⃣. การจัดการสิทธิ์และการเข้าถึง (Access governance)  – วิเคราะห์สิทธิ์เกินจำเป็น, การตั้งค่า access package, และบทบาทที่มีสิทธิ์มากเกินไป 3️⃣. การปกป้องแอปและทรัพยากร (App protection)  – ตรวจสอบพฤติกรรมแอปที่เสี่ยง, การตั้งค่าที่ผิดพลาด, และการใช้ license ที่ไม่คุ้มค่า 4️⃣. การตรวจสอบและจัดการสถานะระบบ (Monitoring & posture)  – ตรวจสอบความเสี่ยงด้าน tenant, domain, MFA, และ SLA ของ workflow สำคัญ Microsoft ยังปรับปรุง Security Copilot ให้เข้าใจคำถามที่ซับซ้อนมากขึ้น และให้คำตอบที่ชัดเจนกว่าเดิม พร้อมประกาศว่าจะพัฒนาให้รองรับกรณีอื่น ๆ เพิ่มเติมในอนาคต เช่น Conditional Access Optimization Agent https://www.neowin.net/news/security-copilot-in-microsoft-entra-is-now-available-for-all-it-admins/
    WWW.NEOWIN.NET
    Security Copilot in Microsoft Entra is now available for all IT admins
    Following a public preview that began last year, Microsoft has announced the general availability of Security Copilot in Entra.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 307 มุมมอง 0 รีวิว
  • เคยไหมที่เปิด Windows ใหม่ แล้วต้องมานั่งลบ Xbox, Notepad, Camera, Media Player, Terminal, Sound Recorder ที่ตัวเองไม่ได้ใช้ — แต่บางอันก็กดยกเลิกไม่ได้? → ตอนนี้ Microsoft ใส่ทางลัด “ถอดได้แบบมีศักดิ์ศรี” มาให้แล้วใน Windows 11 เวอร์ชัน 25H2 → โดยเพิ่มนโยบายชื่อว่า Remove Default Microsoft Store Packages ใน Group Policy

    ผู้ใช้ระดับองค์กร (โดยเฉพาะสาย Admin) สามารถเข้าไปที่ Computer Configuration > Administrative Templates > Windows Components > App Package Deployment → แล้วเลือกแอปที่ต้องการลบทิ้ง เช่น Xbox, Notepad, Terminal, Media Player ฯลฯ ได้ทันที

    ก่อนหน้านี้ถ้าจะทำแบบนี้ ต้องพึ่ง PowerShell, script พิเศษ หรือ image modify ซึ่งเสี่ยงผิดพลาดและยุ่งยากมาก → ตอนนี้ใช้ policy ของจริง → เสถียร + ได้ผลจริง + มี GUI

    Windows 11 25H2 เพิ่มฟีเจอร์ “Remove Default Microsoft Store Packages” สำหรับถอนแอป Microsoft ที่ติดมากับระบบ  
    • ใช้งานได้ผ่าน Group Policy  
    • เมนูอยู่ใน: App Package Deployment

    สามารถถอนแอปเหล่านี้ได้:  
    • Xbox App  
    • Windows Media Player  
    • Notepad  
    • Camera  
    • Sound Recorder  
    • Windows Terminal  
    • และอื่น ๆ ที่ติดมากับ Store โดยไม่ใช่แอป third-party

    เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการ UI สะอาด หรือสาย user ที่ไม่อยากเจอแอปซ้ำซ้อน

    เป็น native feature ครั้งแรกที่ไม่ต้องใช้ PowerShell หรือ script ภายนอก

    Microsoft ยืนยันว่าแม้ใน Windows 11 24H2 ก็จะมีฟีเจอร์นี้ด้วย แต่ต้องเปิดใช้งานเอง

    ผู้ใช้งานต้องกำหนดนโยบายก่อนการ login ของ user รายใหม่ → เพื่อให้หน้าจอสะอาดตั้งแต่ต้น

    https://www.techspot.com/news/108600-windows-11-25h2-adds-tool-debloat-os-remove.html
    เคยไหมที่เปิด Windows ใหม่ แล้วต้องมานั่งลบ Xbox, Notepad, Camera, Media Player, Terminal, Sound Recorder ที่ตัวเองไม่ได้ใช้ — แต่บางอันก็กดยกเลิกไม่ได้? → ตอนนี้ Microsoft ใส่ทางลัด “ถอดได้แบบมีศักดิ์ศรี” มาให้แล้วใน Windows 11 เวอร์ชัน 25H2 → โดยเพิ่มนโยบายชื่อว่า Remove Default Microsoft Store Packages ใน Group Policy ผู้ใช้ระดับองค์กร (โดยเฉพาะสาย Admin) สามารถเข้าไปที่ Computer Configuration > Administrative Templates > Windows Components > App Package Deployment → แล้วเลือกแอปที่ต้องการลบทิ้ง เช่น Xbox, Notepad, Terminal, Media Player ฯลฯ ได้ทันที ก่อนหน้านี้ถ้าจะทำแบบนี้ ต้องพึ่ง PowerShell, script พิเศษ หรือ image modify ซึ่งเสี่ยงผิดพลาดและยุ่งยากมาก → ตอนนี้ใช้ policy ของจริง → เสถียร + ได้ผลจริง + มี GUI ✅ Windows 11 25H2 เพิ่มฟีเจอร์ “Remove Default Microsoft Store Packages” สำหรับถอนแอป Microsoft ที่ติดมากับระบบ   • ใช้งานได้ผ่าน Group Policy   • เมนูอยู่ใน: App Package Deployment ✅ สามารถถอนแอปเหล่านี้ได้:   • Xbox App   • Windows Media Player   • Notepad   • Camera   • Sound Recorder   • Windows Terminal   • และอื่น ๆ ที่ติดมากับ Store โดยไม่ใช่แอป third-party ✅ เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการ UI สะอาด หรือสาย user ที่ไม่อยากเจอแอปซ้ำซ้อน ✅ เป็น native feature ครั้งแรกที่ไม่ต้องใช้ PowerShell หรือ script ภายนอก ✅ Microsoft ยืนยันว่าแม้ใน Windows 11 24H2 ก็จะมีฟีเจอร์นี้ด้วย แต่ต้องเปิดใช้งานเอง ✅ ผู้ใช้งานต้องกำหนดนโยบายก่อนการ login ของ user รายใหม่ → เพื่อให้หน้าจอสะอาดตั้งแต่ต้น https://www.techspot.com/news/108600-windows-11-25h2-adds-tool-debloat-os-remove.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Windows 11 25H2 adds tool to debloat the OS and remove built-in apps
    Windows Insiders recently discovered a setting in a preview version of Windows 11 version 25H2 that allows users to remove preinstalled apps. This new feature should help...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 255 มุมมอง 0 รีวิว
  • Huawei เคยโดนสหรัฐฯ คว่ำบาตรจนไม่สามารถใช้ Android แบบเดิม หรือพึ่ง Google ได้อีก — บริษัทจึงต้องลุกขึ้นมาสร้างทุกอย่างเอง ทั้ง HarmonyOS, ชิปเซ็ต, AI…และตอนนี้ก็ถึงคิวของ “ภาษาโปรแกรม”

    ภาษานี้มีชื่อว่า Cangjie (仓颉) ตามตำนานชาวจีนผู้คิดค้นตัวอักษร → มันถูกออกแบบให้ “ฉลาดตั้งแต่แกน” ด้วยการฝัง AI ไว้ในระดับ native → เขียนแอปได้เร็ว–ปลอดภัย–เชื่อมกับบริการ Huawei ได้ง่าย

    Cangjie ถูกใช้งานจริงแล้วบนแอปของ Meituan, JD.com และ HarmonyOS ต่าง ๆ → อย่างแอปส่งอาหาร Meituan บอกว่าจะใช้แอปที่เขียนด้วย Cangjie จริงใน Q3 ปีนี้

    ข่าวใหญ่อยู่ตรงนี้ครับ:

    ตั้งแต่ 30 ก.ค. 2025 เป็นต้นไป — Huawei จะเปิดซอร์ส Cangjie อย่างเป็นทางการ ใคร ๆ ก็เอาไปศึกษาต่อ พัฒนาเอง หรือแม้แต่พอร์ตไปใช้กับ Android/iOS ได้ เหมือนเป็น Java + Swift + AI + HarmonyOS ในหนึ่งเดียว!

    นี่เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ “ลดพึ่งซอฟต์แวร์จากสหรัฐฯ” อย่างต่อเนื่องของ Huawei — โดยจะใช้ Cangjie เป็นแกนกลางเชื่อมระบบปฏิบัติการ HarmonyOS Next + AI โมเดลของตัวเอง + CloudMatrix แพลตฟอร์มคลาวด์รุ่นใหม่

    Huawei จะเปิดซอร์สภาษา Cangjie วันที่ 30 กรกฎาคม 2025 นี้  
    • นักพัฒนาเข้าใช้งานโค้ดได้ฟรี → แก้ไข เพิ่มฟีเจอร์ หรือใช้สร้างแอปเองได้  
    • ถือเป็นก้าวสำคัญต่อการพึ่งตนเองด้านเทคโนโลยีซอฟต์แวร์

    Cangjie รองรับการเขียนโปรแกรมแบบทั่วไป สำหรับ HarmonyOS Next เป็นหลัก  
    • เป็นระบบปฏิบัติการข้ามอุปกรณ์ของ Huawei  
    • ไม่ใช้ Android แต่มี support พอร์ตไป Android และ iOS ด้วย

    มี AI แบบ Native → ช่วยเขียนแอปที่ใช้โมเดลปัญญาประดิษฐ์ได้ง่ายขึ้น  
    • ฝังความสามารถของ AI ในภาษาโดยตรง  
    • เหมาะกับแอปยุคใหม่ที่เน้น personalization, automation

    ภาษานี้ถูกใช้จริงโดย Meituan, JD.com ฯลฯ แล้ว  
    • Meituan จะเปิดตัวแอปส่งอาหารที่เขียนด้วย Cangjie บน HarmonyOS ภายใน Q3 ปีนี้

    Huawei มี ecosystem ขนาดใหญ่รองรับแล้ว  
    • HarmonyOS มีคนสมัครเป็นนักพัฒนาแล้วกว่า 8 ล้านคน  
    • มีแอป–มินิโปรแกรมกว่า 30,000 ตัว  
    • HarmonyOS 6 และ CloudMatrix 384 เป็นส่วนเสริมใหม่ของยุทธศาสตร์นี้

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/03/huawei-to-open-source-self-developed-programming-language-cangjie
    Huawei เคยโดนสหรัฐฯ คว่ำบาตรจนไม่สามารถใช้ Android แบบเดิม หรือพึ่ง Google ได้อีก — บริษัทจึงต้องลุกขึ้นมาสร้างทุกอย่างเอง ทั้ง HarmonyOS, ชิปเซ็ต, AI…และตอนนี้ก็ถึงคิวของ “ภาษาโปรแกรม” ภาษานี้มีชื่อว่า Cangjie (仓颉) ตามตำนานชาวจีนผู้คิดค้นตัวอักษร → มันถูกออกแบบให้ “ฉลาดตั้งแต่แกน” ด้วยการฝัง AI ไว้ในระดับ native → เขียนแอปได้เร็ว–ปลอดภัย–เชื่อมกับบริการ Huawei ได้ง่าย Cangjie ถูกใช้งานจริงแล้วบนแอปของ Meituan, JD.com และ HarmonyOS ต่าง ๆ → อย่างแอปส่งอาหาร Meituan บอกว่าจะใช้แอปที่เขียนด้วย Cangjie จริงใน Q3 ปีนี้ ข่าวใหญ่อยู่ตรงนี้ครับ: 🧑‍💻 ตั้งแต่ 30 ก.ค. 2025 เป็นต้นไป — Huawei จะเปิดซอร์ส Cangjie อย่างเป็นทางการ ใคร ๆ ก็เอาไปศึกษาต่อ พัฒนาเอง หรือแม้แต่พอร์ตไปใช้กับ Android/iOS ได้ เหมือนเป็น Java + Swift + AI + HarmonyOS ในหนึ่งเดียว! นี่เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ “ลดพึ่งซอฟต์แวร์จากสหรัฐฯ” อย่างต่อเนื่องของ Huawei — โดยจะใช้ Cangjie เป็นแกนกลางเชื่อมระบบปฏิบัติการ HarmonyOS Next + AI โมเดลของตัวเอง + CloudMatrix แพลตฟอร์มคลาวด์รุ่นใหม่ ✅ Huawei จะเปิดซอร์สภาษา Cangjie วันที่ 30 กรกฎาคม 2025 นี้   • นักพัฒนาเข้าใช้งานโค้ดได้ฟรี → แก้ไข เพิ่มฟีเจอร์ หรือใช้สร้างแอปเองได้   • ถือเป็นก้าวสำคัญต่อการพึ่งตนเองด้านเทคโนโลยีซอฟต์แวร์ ✅ Cangjie รองรับการเขียนโปรแกรมแบบทั่วไป สำหรับ HarmonyOS Next เป็นหลัก   • เป็นระบบปฏิบัติการข้ามอุปกรณ์ของ Huawei   • ไม่ใช้ Android แต่มี support พอร์ตไป Android และ iOS ด้วย ✅ มี AI แบบ Native → ช่วยเขียนแอปที่ใช้โมเดลปัญญาประดิษฐ์ได้ง่ายขึ้น   • ฝังความสามารถของ AI ในภาษาโดยตรง   • เหมาะกับแอปยุคใหม่ที่เน้น personalization, automation ✅ ภาษานี้ถูกใช้จริงโดย Meituan, JD.com ฯลฯ แล้ว   • Meituan จะเปิดตัวแอปส่งอาหารที่เขียนด้วย Cangjie บน HarmonyOS ภายใน Q3 ปีนี้ ✅ Huawei มี ecosystem ขนาดใหญ่รองรับแล้ว   • HarmonyOS มีคนสมัครเป็นนักพัฒนาแล้วกว่า 8 ล้านคน   • มีแอป–มินิโปรแกรมกว่า 30,000 ตัว   • HarmonyOS 6 และ CloudMatrix 384 เป็นส่วนเสริมใหม่ของยุทธศาสตร์นี้ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/03/huawei-to-open-source-self-developed-programming-language-cangjie
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Huawei to open-source self-developed programming language Cangjie
    The language supports general programming for apps on HarmonyOS Next, Huawei's self-developed platform.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 283 มุมมอง 0 รีวิว
  • Hertz ประกาศว่ากำลังยกระดับงานตรวจเช็ครถเช่าด้วย “AI อัจฉริยะ” โดยร่วมมือกับบริษัท UVeye เพื่อใช้ อุโมงค์กล้องอัตโนมัติ ที่จะสแกนรถแบบ 360 องศาเมื่อส่งคืน แล้วเทียบภาพก่อน–หลังเพื่อตรวจจับรอยต่าง ๆ

    ฟังดูดีใช่ไหมครับ? แต่ลูกค้าหลายคนกลับพบว่า:
    - ได้รับแจ้งรอยขีดเล็กจิ๋วพร้อม “บิลเรียกเก็บทันที” ผ่านแอป
    - แค่แผล 1 นิ้ว กลับมีค่าซ่อม + ค่าประเมิน + ค่าดำเนินการรวมแล้วกว่า $400
    - ไม่สามารถโทรหาเจ้าหน้าที่โดยตรง ต้องคุยกับบ็อต → รอคำตอบหลายวัน
    - ถ้าอยากลดราคา ต้อง “จ่ายก่อน 2 วัน” ทำให้เหมือนถูกบีบให้รีบจ่าย

    ผู้ใช้งานบางคนบอกว่า "ความแม่นของ AI คือสิ่งที่ทำให้แย่ — เพราะมนุษย์อาจปล่อยผ่านรอยขนาดเล็กไป แต่ AI ไม่ยอม"

    แม้ Hertz ยืนยันว่ามีลูกค้าส่วนใหญ่นำรถมาคืนโดยไม่มีปัญหา และระบบใหม่นี้ช่วยให้ “ตรวจสอบเร็ว + โปร่งใส” แต่เสียงสะท้อนจากผู้ใช้ดูเหมือนจะยังไม่คลิกกับประสบการณ์จริง

    Hertz ติดตั้งระบบตรวจรถด้วย AI โดยร่วมมือกับ UVeye แล้วในหลายสนามบินใหญ่ เช่น Atlanta  
    • สแกนทั้งตัวถัง ล้อ กระจก และใต้ท้องรถ  
    • ใช้ machine learning ตรวจจับ “รอยใหม่” จากการเปรียบเทียบก่อน–หลัง

    ลูกค้าได้รับรายงานผ่านแอปทันทีหลังส่งรถคืน  
    • หากพบความเสียหาย → ระบบสร้างใบแจ้งหนี้ทันที พร้อมรูปประกอบ

    ค่าใช้จ่ายที่เรียกเก็บประกอบด้วย:  
    • ค่าซ่อมจริง (เช่น ล้อเป็นรอย $250)  
    • ค่าประเมินความเสียหาย $125  
    • ค่าดำเนินการระบบเรียกเก็บ $65  
    • รวมเบ็ดเสร็จ $440 แม้รอยจะมีขนาดเพียง 1 นิ้ว

    Hertz เสนอส่วนลดถ้าจ่ายภายใน 2 วัน (~$50)  
    • แต่หากสอบถามผ่านแชตบ็อตอาจต้องรอคำตอบถึง 10 วัน — มีโอกาสเสียสิทธิ์ส่วนลด

    ลูกค้าหลายรายแสดงความไม่พอใจบน Reddit และเว็บไซต์ข่าว  
    • บางคนเลิกใช้บริการ Hertz เพราะรู้สึกถูกเรียกเก็บไม่ยุติธรรม

    https://www.techspot.com/news/108471-hertz-turns-ai-rental-car-inspections-faces-backlash.html
    Hertz ประกาศว่ากำลังยกระดับงานตรวจเช็ครถเช่าด้วย “AI อัจฉริยะ” โดยร่วมมือกับบริษัท UVeye เพื่อใช้ อุโมงค์กล้องอัตโนมัติ ที่จะสแกนรถแบบ 360 องศาเมื่อส่งคืน แล้วเทียบภาพก่อน–หลังเพื่อตรวจจับรอยต่าง ๆ ฟังดูดีใช่ไหมครับ? แต่ลูกค้าหลายคนกลับพบว่า: - ได้รับแจ้งรอยขีดเล็กจิ๋วพร้อม “บิลเรียกเก็บทันที” ผ่านแอป - แค่แผล 1 นิ้ว กลับมีค่าซ่อม + ค่าประเมิน + ค่าดำเนินการรวมแล้วกว่า $400 - ไม่สามารถโทรหาเจ้าหน้าที่โดยตรง ต้องคุยกับบ็อต → รอคำตอบหลายวัน - ถ้าอยากลดราคา ต้อง “จ่ายก่อน 2 วัน” ทำให้เหมือนถูกบีบให้รีบจ่าย ผู้ใช้งานบางคนบอกว่า "ความแม่นของ AI คือสิ่งที่ทำให้แย่ — เพราะมนุษย์อาจปล่อยผ่านรอยขนาดเล็กไป แต่ AI ไม่ยอม" แม้ Hertz ยืนยันว่ามีลูกค้าส่วนใหญ่นำรถมาคืนโดยไม่มีปัญหา และระบบใหม่นี้ช่วยให้ “ตรวจสอบเร็ว + โปร่งใส” แต่เสียงสะท้อนจากผู้ใช้ดูเหมือนจะยังไม่คลิกกับประสบการณ์จริง ✅ Hertz ติดตั้งระบบตรวจรถด้วย AI โดยร่วมมือกับ UVeye แล้วในหลายสนามบินใหญ่ เช่น Atlanta   • สแกนทั้งตัวถัง ล้อ กระจก และใต้ท้องรถ   • ใช้ machine learning ตรวจจับ “รอยใหม่” จากการเปรียบเทียบก่อน–หลัง ✅ ลูกค้าได้รับรายงานผ่านแอปทันทีหลังส่งรถคืน   • หากพบความเสียหาย → ระบบสร้างใบแจ้งหนี้ทันที พร้อมรูปประกอบ ✅ ค่าใช้จ่ายที่เรียกเก็บประกอบด้วย:   • ค่าซ่อมจริง (เช่น ล้อเป็นรอย $250)   • ค่าประเมินความเสียหาย $125   • ค่าดำเนินการระบบเรียกเก็บ $65   • รวมเบ็ดเสร็จ $440 แม้รอยจะมีขนาดเพียง 1 นิ้ว ✅ Hertz เสนอส่วนลดถ้าจ่ายภายใน 2 วัน (~$50)   • แต่หากสอบถามผ่านแชตบ็อตอาจต้องรอคำตอบถึง 10 วัน — มีโอกาสเสียสิทธิ์ส่วนลด ✅ ลูกค้าหลายรายแสดงความไม่พอใจบน Reddit และเว็บไซต์ข่าว   • บางคนเลิกใช้บริการ Hertz เพราะรู้สึกถูกเรียกเก็บไม่ยุติธรรม https://www.techspot.com/news/108471-hertz-turns-ai-rental-car-inspections-faces-backlash.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Hertz turns to AI for rental car inspections, faces backlash over fees
    The company's new system, developed in partnership with Israeli firm UVeye, is already operational at major hubs such as Hartsfield-Jackson Atlanta International Airport and is expected to...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 204 มุมมอง 0 รีวิว
  • ถ้าคุณใช้ VPN เพื่อทำงานจากที่บ้านหรือเข้าระบบภายในบริษัท มีโอกาสสูงที่คุณจะเคยใช้หรือเคยได้ยินชื่อ NetExtender ของ SonicWall — แต่ตอนนี้แฮกเกอร์กำลังปลอมตัวแอปนี้ แล้วแจกผ่าน “เว็บปลอมที่หน้าตาเหมือนของจริงเป๊ะ”

    แฮกเกอร์ใช้วิธี SEO poisoning และโฆษณา (malvertising) เพื่อดันเว็บปลอมให้ขึ้นอันดับบน Google จนคนทั่วไปเผลอกดเข้าไป — และเมื่อคุณดาวน์โหลดแอป VPN ปลอมนี้มา ก็เท่ากับมอบ ชื่อผู้ใช้, รหัสผ่าน, โดเมน, และค่าการตั้งค่าภายในระบบองค์กร ให้แฮกเกอร์ไปครบชุดเลย

    ตัวแอปนี้ยัง “ลงลายเซ็นดิจิทัล” จากบริษัทปลอมชื่อ “CITYLIGHT MEDIA PRIVATE LIMITED” เพื่อหลอกระบบความปลอดภัยเบื้องต้นอีกด้วย

    ข่าวดีคือ SonicWall กับ Microsoft สามารถตรวจจับมัลแวร์ตัวนี้ได้แล้ว แต่ถ้าคุณหรือทีมไอทีใช้อุปกรณ์ป้องกันจากค่ายอื่น อาจยังไม่มีการอัปเดต signature นั้น — ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้คือ “อย่าดาวน์โหลดแอป VPN จากที่อื่นนอกจากเว็บทางการ!”

    แฮกเกอร์ปลอมแอป SonicWall NetExtender แล้วแจกผ่านเว็บเลียนแบบของจริง  
    • เว็บปลอมถูกดันขึ้นอันดับบน Google ด้วยเทคนิค SEO poisoning และ malvertising  
    • ผู้ใช้ทั่วไปมีโอกาสหลงเชื่อสูง

    ไฟล์ติดมัลแวร์มีการเซ็นดิจิทัลหลอก โดยบริษัทปลอม “CITYLIGHT MEDIA PRIVATE LIMITED”  
    • หลอกระบบความปลอดภัยพื้นฐาน เช่น antivirus หรือ firewall

    แอปที่ถูกดัดแปลงประกอบด้วย:  • NetExtender.exe: ดัดแปลงให้ขโมยชื่อผู้ใช้, รหัสผ่าน, โดเมน และ config  
    • NEService.exe: ถูกแก้ให้ข้ามการตรวจสอบ digital certificate

    ข้อมูลของผู้ใช้จะถูกส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ที่แฮกเกอร์ควบคุมเมื่อกด “เชื่อมต่อ VPN”  
    • ทำให้แฮกเกอร์สามารถใช้รหัสเพื่อเข้าระบบองค์กรได้โดยตรง

    SonicWall และ Microsoft ออกคำเตือนและปรับ signature เพื่อจับมัลแวร์ตัวนี้แล้ว  
    • แต่ผลิตภัณฑ์จากแบรนด์อื่นอาจยังไม่สามารถตรวจจับได้

    SonicWall แนะนำให้ดาวน์โหลดแอป VPN แค่จากเว็บทางการเท่านั้น:  
    • sonicwall.com  
    • mysonicwall.com

    https://www.techradar.com/pro/security/sonicwall-warns-of-fake-vpn-apps-stealing-user-logins-and-putting-businesses-at-risk-heres-what-we-know
    ถ้าคุณใช้ VPN เพื่อทำงานจากที่บ้านหรือเข้าระบบภายในบริษัท มีโอกาสสูงที่คุณจะเคยใช้หรือเคยได้ยินชื่อ NetExtender ของ SonicWall — แต่ตอนนี้แฮกเกอร์กำลังปลอมตัวแอปนี้ แล้วแจกผ่าน “เว็บปลอมที่หน้าตาเหมือนของจริงเป๊ะ” แฮกเกอร์ใช้วิธี SEO poisoning และโฆษณา (malvertising) เพื่อดันเว็บปลอมให้ขึ้นอันดับบน Google จนคนทั่วไปเผลอกดเข้าไป — และเมื่อคุณดาวน์โหลดแอป VPN ปลอมนี้มา ก็เท่ากับมอบ ชื่อผู้ใช้, รหัสผ่าน, โดเมน, และค่าการตั้งค่าภายในระบบองค์กร ให้แฮกเกอร์ไปครบชุดเลย ตัวแอปนี้ยัง “ลงลายเซ็นดิจิทัล” จากบริษัทปลอมชื่อ “CITYLIGHT MEDIA PRIVATE LIMITED” เพื่อหลอกระบบความปลอดภัยเบื้องต้นอีกด้วย ข่าวดีคือ SonicWall กับ Microsoft สามารถตรวจจับมัลแวร์ตัวนี้ได้แล้ว แต่ถ้าคุณหรือทีมไอทีใช้อุปกรณ์ป้องกันจากค่ายอื่น อาจยังไม่มีการอัปเดต signature นั้น — ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้คือ “อย่าดาวน์โหลดแอป VPN จากที่อื่นนอกจากเว็บทางการ!” ✅ แฮกเกอร์ปลอมแอป SonicWall NetExtender แล้วแจกผ่านเว็บเลียนแบบของจริง   • เว็บปลอมถูกดันขึ้นอันดับบน Google ด้วยเทคนิค SEO poisoning และ malvertising   • ผู้ใช้ทั่วไปมีโอกาสหลงเชื่อสูง ✅ ไฟล์ติดมัลแวร์มีการเซ็นดิจิทัลหลอก โดยบริษัทปลอม “CITYLIGHT MEDIA PRIVATE LIMITED”   • หลอกระบบความปลอดภัยพื้นฐาน เช่น antivirus หรือ firewall ✅ แอปที่ถูกดัดแปลงประกอบด้วย:  • NetExtender.exe: ดัดแปลงให้ขโมยชื่อผู้ใช้, รหัสผ่าน, โดเมน และ config   • NEService.exe: ถูกแก้ให้ข้ามการตรวจสอบ digital certificate ✅ ข้อมูลของผู้ใช้จะถูกส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ที่แฮกเกอร์ควบคุมเมื่อกด “เชื่อมต่อ VPN”   • ทำให้แฮกเกอร์สามารถใช้รหัสเพื่อเข้าระบบองค์กรได้โดยตรง ✅ SonicWall และ Microsoft ออกคำเตือนและปรับ signature เพื่อจับมัลแวร์ตัวนี้แล้ว   • แต่ผลิตภัณฑ์จากแบรนด์อื่นอาจยังไม่สามารถตรวจจับได้ ✅ SonicWall แนะนำให้ดาวน์โหลดแอป VPN แค่จากเว็บทางการเท่านั้น:   • sonicwall.com   • mysonicwall.com https://www.techradar.com/pro/security/sonicwall-warns-of-fake-vpn-apps-stealing-user-logins-and-putting-businesses-at-risk-heres-what-we-know
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 321 มุมมอง 0 รีวิว
  • มัลแวร์ตัวนี้แอบแนบมากับแอปที่ดูเหมือนปกติ — เช่น แอปส่งข้อความ หรือแอปเทรดคริปโต — แล้วพอเรากดอนุญาตให้เข้าถึงรูปภาพ มันจะ “แอบเปิดกล้องหลัง” ใช้ AI อ่านตัวอักษรในภาพ (OCR) โดยเฉพาะภาพที่คนชอบแคปหน้าจอ “รหัสกู้คืน (recovery phrase)” ของกระเป๋าเงินคริปโตไว้ตอนสมัครใช้งานครั้งแรก

    ยิ่งไปกว่านั้น มันยัง เฝ้าดูภาพใหม่ ๆ ที่ถูกเพิ่มเข้ามาในแกลเลอรีอยู่ตลอด หากเราเผลอแคปรหัสคริปโตใหม่ ๆ ทีหลัง หรือมีภาพเอกสารสำคัญ ก็อาจถูกส่งออกโดยที่เราไม่รู้เลย

    นักวิจัยจาก Kaspersky ระบุว่า มัลแวร์นี้ถูกเผยแพร่ในสโตร์ตั้งแต่ต้นปี 2024 และแม้ปัจจุบันจะถูกลบออกแล้ว แต่ก็ยังมีเวอร์ชันที่แพร่ต่อผ่านเว็บนอกหรือแอป sideload อยู่

    มัลแวร์ SparkKitty ใช้ OCR วิเคราะห์ภาพในเครื่องเพื่อขโมยรหัสคริปโตที่เป็น recovery phrase  
    • โดยเฉพาะภาพที่ผู้ใช้มักแคปเก็บไว้ตอนสมัครกระเป๋าเงินดิจิทัล

    พบแพร่กระจายทั้งใน Google Play และ App Store ตั้งแต่ต้นปี 2024  
    • แอปที่ติดมัลแวร์ชื่อ “SOEX” มียอดดาวน์โหลดเกิน 10,000 ครั้ง

    หลังติดตั้ง แอปจะขอสิทธิ์เข้าถึงรูปภาพ แล้วสแกนหาภาพที่มีรหัสกระเป๋าคริปโต  
    • หากพบ จะส่งข้อมูลกลับไปให้แฮกเกอร์แบบลับ ๆ

    มัลแวร์สามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในแกลเลอรีได้  
    • เช่น มีรูปใหม่เพิ่มเข้ามา หรือมีการลบภาพเดิม

    เป็นมัลแวร์ข้ามแพลตฟอร์มรุ่นแรกที่ใช้งาน OCR บนมือถือเพื่อขโมยข้อมูลจากภาพ

    Kaspersky เตือนผู้ใช้ให้สังเกตแอปที่ขอ permission เกินความจำเป็น โดยเฉพาะสิทธิ์การดู-แก้ไขภาพ หรือเพิ่ม certificate

    แนะนำให้เก็บ recovery phrase ไว้ใน encrypted vault เช่น password manager ที่น่าเชื่อถือ แทนการแคปภาพ

    https://www.techradar.com/pro/security/this-dangerous-new-malware-is-hitting-ios-and-android-phones-alike-and-its-even-stealing-photos-and-crypto
    มัลแวร์ตัวนี้แอบแนบมากับแอปที่ดูเหมือนปกติ — เช่น แอปส่งข้อความ หรือแอปเทรดคริปโต — แล้วพอเรากดอนุญาตให้เข้าถึงรูปภาพ มันจะ “แอบเปิดกล้องหลัง” ใช้ AI อ่านตัวอักษรในภาพ (OCR) โดยเฉพาะภาพที่คนชอบแคปหน้าจอ “รหัสกู้คืน (recovery phrase)” ของกระเป๋าเงินคริปโตไว้ตอนสมัครใช้งานครั้งแรก ยิ่งไปกว่านั้น มันยัง เฝ้าดูภาพใหม่ ๆ ที่ถูกเพิ่มเข้ามาในแกลเลอรีอยู่ตลอด หากเราเผลอแคปรหัสคริปโตใหม่ ๆ ทีหลัง หรือมีภาพเอกสารสำคัญ ก็อาจถูกส่งออกโดยที่เราไม่รู้เลย นักวิจัยจาก Kaspersky ระบุว่า มัลแวร์นี้ถูกเผยแพร่ในสโตร์ตั้งแต่ต้นปี 2024 และแม้ปัจจุบันจะถูกลบออกแล้ว แต่ก็ยังมีเวอร์ชันที่แพร่ต่อผ่านเว็บนอกหรือแอป sideload อยู่ ✅ มัลแวร์ SparkKitty ใช้ OCR วิเคราะห์ภาพในเครื่องเพื่อขโมยรหัสคริปโตที่เป็น recovery phrase   • โดยเฉพาะภาพที่ผู้ใช้มักแคปเก็บไว้ตอนสมัครกระเป๋าเงินดิจิทัล ✅ พบแพร่กระจายทั้งใน Google Play และ App Store ตั้งแต่ต้นปี 2024   • แอปที่ติดมัลแวร์ชื่อ “SOEX” มียอดดาวน์โหลดเกิน 10,000 ครั้ง ✅ หลังติดตั้ง แอปจะขอสิทธิ์เข้าถึงรูปภาพ แล้วสแกนหาภาพที่มีรหัสกระเป๋าคริปโต   • หากพบ จะส่งข้อมูลกลับไปให้แฮกเกอร์แบบลับ ๆ ✅ มัลแวร์สามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในแกลเลอรีได้   • เช่น มีรูปใหม่เพิ่มเข้ามา หรือมีการลบภาพเดิม ✅ เป็นมัลแวร์ข้ามแพลตฟอร์มรุ่นแรกที่ใช้งาน OCR บนมือถือเพื่อขโมยข้อมูลจากภาพ ✅ Kaspersky เตือนผู้ใช้ให้สังเกตแอปที่ขอ permission เกินความจำเป็น โดยเฉพาะสิทธิ์การดู-แก้ไขภาพ หรือเพิ่ม certificate ✅ แนะนำให้เก็บ recovery phrase ไว้ใน encrypted vault เช่น password manager ที่น่าเชื่อถือ แทนการแคปภาพ https://www.techradar.com/pro/security/this-dangerous-new-malware-is-hitting-ios-and-android-phones-alike-and-its-even-stealing-photos-and-crypto
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 355 มุมมอง 0 รีวิว
  • ในยุคที่ชีวิตเราผูกกับบัญชีออนไลน์สารพัด มันแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะจำรหัสผ่านทั้งหมดได้เอง — นี่ยังไม่นับเรื่อง “ใช้ซ้ำรหัสเดิม” ซึ่งเป็นด่านแรกที่แฮกเกอร์ชอบที่สุด

    แต่โชคดีที่ปัจจุบันมี Password Manager ฟรีดี ๆ มากมายที่ไม่เพียงเก็บรหัสผ่านอย่างปลอดภัย แต่ยังช่วยสร้างรหัสผ่านใหม่, เติมรหัสให้อัตโนมัติ และซิงค์ข้ามอุปกรณ์ได้ด้วย ซึ่งจากการจัดอันดับล่าสุด 10 แอปที่ได้รับความนิยมและเชื่อถือได้บน Android มีทั้งแบบคลาวด์และแบบเก็บข้อมูลในเครื่องเอง

    ที่น่าสนใจคือ บางแอปเปิดให้ใช้ฟีเจอร์ระดับพรีเมียมโดยไม่ต้องเสียเงินเลย เช่น:
    - Proton Pass ใช้ได้ไม่จำกัดอุปกรณ์ + สร้าง 2FA ในตัว + รองรับ passkeys
    - Bitwarden เป็นโอเพนซอร์สและใช้ได้บนทุกแพลตฟอร์ม + มี 2FA ฟรี
    - KeePassDX เก็บไฟล์รหัสแบบ local + ปลอดคลาวด์ + ไม่มีโฆษณา

    ในขณะที่แอปบางตัวอย่าง LastPass หรือ Dashlane มีข้อจำกัด เช่น จำกัดจำนวนรหัสผ่าน หรือใช้งานได้แค่อุปกรณ์เดียวพร้อมกันในเวอร์ชันฟรี

    แอป Password Manager ฟรีที่น่าสนใจใน Android ปี 2025:
    Proton Pass  
    • ใช้ได้ทุกอุปกรณ์ ฟรี ไม่จำกัดจำนวนรหัสผ่าน  
    • มี 2FA และสร้าง email alias ได้ในตัว  
    • รองรับ passkeys และการเติมรหัสแบบ autofill  
    • เจ้าของเดียวกับ Proton Mail — เน้นความเป็นส่วนตัว

    Bitwarden  
    • โอเพนซอร์ส + ผ่านการตรวจสอบความปลอดภัยภายนอก  
    • ฟรีทุกฟีเจอร์หลัก ใช้ได้หลายอุปกรณ์  
    • มี 2FA, generator, และ autofill ครบ  
    • มีรุ่นพรีเมียม $10/ปี ถ้าต้องการเก็บไฟล์เข้ารหัส

    NordPass (Free)  
    • จัดเก็บรหัสไม่จำกัด และมี autofill  
    • อินเทอร์เฟซใช้ง่าย มีจัดเก็บโน้ต/บัตรเครดิตด้วย  
    • ข้อจำกัด: ใช้ได้แค่ 1 อุปกรณ์พร้อมกันในเวอร์ชันฟรี

    Avira Password Manager  
    • ใช้ซิงค์ข้ามอุปกรณ์ได้ + มีแจ้งเตือนรหัสอ่อน  
    • มี browser extension รองรับ autofill  
    • ข้อจำกัด: ฟีเจอร์ขั้นสูงบางอย่างต้องเสียเงิน

    KeePassDX  
    • เก็บข้อมูลเป็นไฟล์ local (ตามมาตรฐาน KeePass)  
    • ไม่มีคลาวด์ = ความเป็นส่วนตัวสูง  
    • รองรับ biometric unlock และ autofill  
    • เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่ชำนาญและต้องการควบคุมเต็มที่

    Dashlane (Free)  
    • ใช้ได้ 25 รหัสผ่าน + autofill ทำงานดี  
    • มีระบบตรวจสุขภาพรหัสผ่าน  
    • ข้อจำกัด: ซิงค์ข้ามอุปกรณ์ต้องอัปเกรดเป็นพรีเมียม

    RoboForm  
    • ใช้งานได้ข้ามอุปกรณ์ + มี generator  
    • อินเทอร์เฟซไม่หวือหวาแต่ใช้ง่าย  
    • มีฟีเจอร์เก็บฟอร์ม/รหัสแบบ auto-fill

    LastPass (Free)  
    • จัดการรหัสผ่าน/โน้ต + autofill ทำงานดี  
    • ข้อจำกัด: ใช้ได้เพียง “อุปกรณ์ประเภทเดียว” (เช่นเฉพาะมือถือ)  
    • ไม่รองรับซิงค์มือถือ+คอมพร้อมกันในเวอร์ชันฟรี

    Total Password  
    • อินเทอร์เฟซใช้ง่าย + autofill ดี  
    • ราคาเริ่มต้น $1.99/เดือน ถ้าต้องการเกินฟีเจอร์ฟรี

    1Password (Trial)  
    • ทดลองใช้งานได้ 14 วัน มีฟีเจอร์ครบ  
    • หลังหมดช่วงทดลองต้องเสียเงิน  
    • มีระบบแบ่งปันรหัสและเก็บข้อมูลอื่น ๆ เช่นบัตรเครดิต

    https://computercity.com/software/best-free-password-manager-for-android
    ในยุคที่ชีวิตเราผูกกับบัญชีออนไลน์สารพัด มันแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะจำรหัสผ่านทั้งหมดได้เอง — นี่ยังไม่นับเรื่อง “ใช้ซ้ำรหัสเดิม” ซึ่งเป็นด่านแรกที่แฮกเกอร์ชอบที่สุด แต่โชคดีที่ปัจจุบันมี Password Manager ฟรีดี ๆ มากมายที่ไม่เพียงเก็บรหัสผ่านอย่างปลอดภัย แต่ยังช่วยสร้างรหัสผ่านใหม่, เติมรหัสให้อัตโนมัติ และซิงค์ข้ามอุปกรณ์ได้ด้วย ซึ่งจากการจัดอันดับล่าสุด 10 แอปที่ได้รับความนิยมและเชื่อถือได้บน Android มีทั้งแบบคลาวด์และแบบเก็บข้อมูลในเครื่องเอง ที่น่าสนใจคือ บางแอปเปิดให้ใช้ฟีเจอร์ระดับพรีเมียมโดยไม่ต้องเสียเงินเลย เช่น: - Proton Pass ใช้ได้ไม่จำกัดอุปกรณ์ + สร้าง 2FA ในตัว + รองรับ passkeys - Bitwarden เป็นโอเพนซอร์สและใช้ได้บนทุกแพลตฟอร์ม + มี 2FA ฟรี - KeePassDX เก็บไฟล์รหัสแบบ local + ปลอดคลาวด์ + ไม่มีโฆษณา ในขณะที่แอปบางตัวอย่าง LastPass หรือ Dashlane มีข้อจำกัด เช่น จำกัดจำนวนรหัสผ่าน หรือใช้งานได้แค่อุปกรณ์เดียวพร้อมกันในเวอร์ชันฟรี 🧪🧪 แอป Password Manager ฟรีที่น่าสนใจใน Android ปี 2025: ✅ Proton Pass   • ใช้ได้ทุกอุปกรณ์ ฟรี ไม่จำกัดจำนวนรหัสผ่าน   • มี 2FA และสร้าง email alias ได้ในตัว   • รองรับ passkeys และการเติมรหัสแบบ autofill   • เจ้าของเดียวกับ Proton Mail — เน้นความเป็นส่วนตัว ✅ Bitwarden   • โอเพนซอร์ส + ผ่านการตรวจสอบความปลอดภัยภายนอก   • ฟรีทุกฟีเจอร์หลัก ใช้ได้หลายอุปกรณ์   • มี 2FA, generator, และ autofill ครบ   • มีรุ่นพรีเมียม $10/ปี ถ้าต้องการเก็บไฟล์เข้ารหัส ✅ NordPass (Free)   • จัดเก็บรหัสไม่จำกัด และมี autofill   • อินเทอร์เฟซใช้ง่าย มีจัดเก็บโน้ต/บัตรเครดิตด้วย   • ข้อจำกัด: ใช้ได้แค่ 1 อุปกรณ์พร้อมกันในเวอร์ชันฟรี ✅ Avira Password Manager   • ใช้ซิงค์ข้ามอุปกรณ์ได้ + มีแจ้งเตือนรหัสอ่อน   • มี browser extension รองรับ autofill   • ข้อจำกัด: ฟีเจอร์ขั้นสูงบางอย่างต้องเสียเงิน ✅ KeePassDX   • เก็บข้อมูลเป็นไฟล์ local (ตามมาตรฐาน KeePass)   • ไม่มีคลาวด์ = ความเป็นส่วนตัวสูง   • รองรับ biometric unlock และ autofill   • เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่ชำนาญและต้องการควบคุมเต็มที่ ✅ Dashlane (Free)   • ใช้ได้ 25 รหัสผ่าน + autofill ทำงานดี   • มีระบบตรวจสุขภาพรหัสผ่าน   • ข้อจำกัด: ซิงค์ข้ามอุปกรณ์ต้องอัปเกรดเป็นพรีเมียม ✅ RoboForm   • ใช้งานได้ข้ามอุปกรณ์ + มี generator   • อินเทอร์เฟซไม่หวือหวาแต่ใช้ง่าย   • มีฟีเจอร์เก็บฟอร์ม/รหัสแบบ auto-fill ✅ LastPass (Free)   • จัดการรหัสผ่าน/โน้ต + autofill ทำงานดี   • ข้อจำกัด: ใช้ได้เพียง “อุปกรณ์ประเภทเดียว” (เช่นเฉพาะมือถือ)   • ไม่รองรับซิงค์มือถือ+คอมพร้อมกันในเวอร์ชันฟรี ✅ Total Password   • อินเทอร์เฟซใช้ง่าย + autofill ดี   • ราคาเริ่มต้น $1.99/เดือน ถ้าต้องการเกินฟีเจอร์ฟรี ✅ 1Password (Trial)   • ทดลองใช้งานได้ 14 วัน มีฟีเจอร์ครบ   • หลังหมดช่วงทดลองต้องเสียเงิน   • มีระบบแบ่งปันรหัสและเก็บข้อมูลอื่น ๆ เช่นบัตรเครดิต https://computercity.com/software/best-free-password-manager-for-android
    COMPUTERCITY.COM
    Best Free Password Managers for Android
    Managing passwords can be tricky, especially when you're on the go with your Android device. With so many apps and websites needing login information, it's
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 278 มุมมอง 0 รีวิว
  • คณะอนุฯ ซูมนวัตกรรม อบจ.โคราช ประเมินคัดเลือก อปท.ขนาดใหญ่ที่มีการบริหารจัดการที่ดี

    วันที่ 24 มิถุนายน 2568 ที่ ห้องประชุมรวงผึ้ง อบจ.นครราชสีมา #นางยลดา หวังศุภกิจโกศล นายก อบจ.นครราชสีมา พร้อมคณะผู้บริหาร และหัวหน้าส่วนราชการ นำเสนอข้อมูลการดำเนินการบริหารจัดการบ้านเมืองที่ดี และโครงการนวัตกรรมท้องถิ่น เพื่อรับการคัดเลือกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีการบริหารจัดการที่ดี ประจำปี 2568 ประเภททั่วไป (อบจ./เทศบาลและเทศบาลเมือง) ผ่านระบบ Application Zoom Cloud Meeting พร้อมตอบข้อซักถามของคณะอนุกรรมการคัดเลือกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นขนาดใหญ่

    #นายกหน่อย #อบจโคราช
    #สร้างคนสร้างเศรษฐกิจสร้างเมืองโคราช
    #prkoratpao
    คณะอนุฯ ซูมนวัตกรรม อบจ.โคราช ประเมินคัดเลือก อปท.ขนาดใหญ่ที่มีการบริหารจัดการที่ดี วันที่ 24 มิถุนายน 2568 ที่ ห้องประชุมรวงผึ้ง อบจ.นครราชสีมา #นางยลดา หวังศุภกิจโกศล นายก อบจ.นครราชสีมา พร้อมคณะผู้บริหาร และหัวหน้าส่วนราชการ นำเสนอข้อมูลการดำเนินการบริหารจัดการบ้านเมืองที่ดี และโครงการนวัตกรรมท้องถิ่น เพื่อรับการคัดเลือกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีการบริหารจัดการที่ดี ประจำปี 2568 ประเภททั่วไป (อบจ./เทศบาลและเทศบาลเมือง) ผ่านระบบ Application Zoom Cloud Meeting พร้อมตอบข้อซักถามของคณะอนุกรรมการคัดเลือกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นขนาดใหญ่ #นายกหน่อย #อบจโคราช #สร้างคนสร้างเศรษฐกิจสร้างเมืองโคราช #prkoratpao
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 304 มุมมอง 0 รีวิว
  • คณะอนุฯ ซูมนวัตกรรม อบจ.โคราช ประเมินคัดเลือก อปท.ขนาดใหญ่ที่มีการบริหารจัดการที่ดี

    วันที่ 24 มิถุนายน 2568 ที่ ห้องประชุมรวงผึ้ง อบจ.นครราชสีมา #นางยลดา หวังศุภกิจโกศล นายก อบจ.นครราชสีมา พร้อมคณะผู้บริหาร และหัวหน้าส่วนราชการ นำเสนอข้อมูลการดำเนินการบริหารจัดการบ้านเมืองที่ดี และโครงการนวัตกรรมท้องถิ่น เพื่อรับการคัดเลือกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีการบริหารจัดการที่ดี ประจำปี 2568 ประเภททั่วไป (อบจ./เทศบาลและเทศบาลเมือง) ผ่านระบบ Application Zoom Cloud Meeting พร้อมตอบข้อซักถามของคณะอนุกรรมการคัดเลือกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นขนาดใหญ่

    #นายกหน่อย #อบจโคราช
    #สร้างคนสร้างเศรษฐกิจสร้างเมืองโคราช
    #prkoratpao
    คณะอนุฯ ซูมนวัตกรรม อบจ.โคราช ประเมินคัดเลือก อปท.ขนาดใหญ่ที่มีการบริหารจัดการที่ดี วันที่ 24 มิถุนายน 2568 ที่ ห้องประชุมรวงผึ้ง อบจ.นครราชสีมา #นางยลดา หวังศุภกิจโกศล นายก อบจ.นครราชสีมา พร้อมคณะผู้บริหาร และหัวหน้าส่วนราชการ นำเสนอข้อมูลการดำเนินการบริหารจัดการบ้านเมืองที่ดี และโครงการนวัตกรรมท้องถิ่น เพื่อรับการคัดเลือกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีการบริหารจัดการที่ดี ประจำปี 2568 ประเภททั่วไป (อบจ./เทศบาลและเทศบาลเมือง) ผ่านระบบ Application Zoom Cloud Meeting พร้อมตอบข้อซักถามของคณะอนุกรรมการคัดเลือกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นขนาดใหญ่ #นายกหน่อย #อบจโคราช #สร้างคนสร้างเศรษฐกิจสร้างเมืองโคราช #prkoratpao
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 312 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลองนึกภาพว่า Notification บนมือถือเด้งขึ้นมาบอกว่า “เปิดดูเลยที่ amazon.com” — พอเรากดปุ๊บ...กลับกลายเป็น “zon.com” แบบไม่รู้ตัว เพราะตัวอักษรที่เห็นกับ “ลิงก์จริง” ไม่เหมือนกัน!

    มันเกิดจากการฝัง “ตัวอักษรพิเศษแบบ Unicode ที่มองไม่เห็น” (เช่น zero-width space) ไว้ในลิงก์ พอ Android อ่านลิงก์นั้นก็แปลผลไม่เหมือนที่ผู้ใช้เห็น เช่น:
    - เห็นว่าเป็น amazon.com
    - แต่เบื้องหลังคือ ama​zon.com → ระบบตีความว่า zon.com แล้วเปิดลิงก์อันตรายแทน!

    ถ้าโดนใช้กับ deep link หรือ app link ก็จะยิ่งอันตราย เพราะกดแล้วสามารถสั่งให้แอปทำงาน เช่น โทรออก เปิดช่องแชต หรือดึงข้อมูลได้ทันที

    ทดลองแล้วว่าแอปดังหลายแอปโดนได้หมด ไม่ว่าจะเป็น WhatsApp, Instagram, Telegram, Discord หรือ Slack และเกิดขึ้นบนมือถือทั้ง Pixel 9, Galaxy S25 และ Android รุ่นก่อน ๆ

    ความน่ากลัวคือ แอนติไวรัสก็จับไม่ได้ เพราะนี่ไม่ใช่มัลแวร์ แต่เป็นการหลอกสายตาและใช้แอปให้ทำสิ่งที่เราไม่ตั้งใจ — ต้องพึ่งระบบป้องกันที่เข้าใจพฤติกรรมผิดปกติระดับ Endpoint เท่านั้น

    ช่องโหว่นี้เกิดจากการใช้ Unicode ที่มองไม่เห็น (เช่น zero-width space) ใน URL ของ Notification บน Android  
    • ทำให้ลิงก์ที่ผู้ใช้เห็นไม่ตรงกับลิงก์ที่ระบบ Android เปิดจริง

    สามารถนำไปใช้สร้างลิงก์ปลอม หรือ deep link ที่เปิดฟีเจอร์อันตรายในแอปอื่น เช่น โทรหาเบอร์ที่ตั้งไว้, เปิดหน้าเว็บปลอม, เรียก API ในแอป

    แอปยอดนิยมที่ได้รับผลกระทบจากการทดสอบ ได้แก่ WhatsApp, Telegram, Instagram, Discord, Slack

    นักวิจัยสามารถใช้แอปที่เขียนเองเพื่อเลี่ยงการกรองอักขระ และทดสอบเจาะผ่านหลายสถานการณ์ได้สำเร็จ

    การโจมตีใช้ได้บนมือถือหลายรุ่น ตั้งแต่ Google Pixel 9 Pro XL, Samsung Galaxy S25 ไปจนถึง Android รุ่นเก่า

    มัลแวร์หรือภัยแบบนี้ไม่ต้องใช้การดาวน์โหลดไฟล์ — แค่หลอก Notification หรือ UI ให้ผู้ใช้คลิกผิด

    https://www.techradar.com/pro/security/hackers-could-trick-users-into-downloading-malware-and-opening-malicious-sites-using-a-flaw-in-android-heres-what-you-need-to-know
    ลองนึกภาพว่า Notification บนมือถือเด้งขึ้นมาบอกว่า “เปิดดูเลยที่ amazon.com” — พอเรากดปุ๊บ...กลับกลายเป็น “zon.com” แบบไม่รู้ตัว เพราะตัวอักษรที่เห็นกับ “ลิงก์จริง” ไม่เหมือนกัน! มันเกิดจากการฝัง “ตัวอักษรพิเศษแบบ Unicode ที่มองไม่เห็น” (เช่น zero-width space) ไว้ในลิงก์ พอ Android อ่านลิงก์นั้นก็แปลผลไม่เหมือนที่ผู้ใช้เห็น เช่น: - เห็นว่าเป็น amazon.com - แต่เบื้องหลังคือ ama​zon.com → ระบบตีความว่า zon.com แล้วเปิดลิงก์อันตรายแทน! ถ้าโดนใช้กับ deep link หรือ app link ก็จะยิ่งอันตราย เพราะกดแล้วสามารถสั่งให้แอปทำงาน เช่น โทรออก เปิดช่องแชต หรือดึงข้อมูลได้ทันที ทดลองแล้วว่าแอปดังหลายแอปโดนได้หมด ไม่ว่าจะเป็น WhatsApp, Instagram, Telegram, Discord หรือ Slack และเกิดขึ้นบนมือถือทั้ง Pixel 9, Galaxy S25 และ Android รุ่นก่อน ๆ ความน่ากลัวคือ แอนติไวรัสก็จับไม่ได้ เพราะนี่ไม่ใช่มัลแวร์ แต่เป็นการหลอกสายตาและใช้แอปให้ทำสิ่งที่เราไม่ตั้งใจ — ต้องพึ่งระบบป้องกันที่เข้าใจพฤติกรรมผิดปกติระดับ Endpoint เท่านั้น ✅ ช่องโหว่นี้เกิดจากการใช้ Unicode ที่มองไม่เห็น (เช่น zero-width space) ใน URL ของ Notification บน Android   • ทำให้ลิงก์ที่ผู้ใช้เห็นไม่ตรงกับลิงก์ที่ระบบ Android เปิดจริง ✅ สามารถนำไปใช้สร้างลิงก์ปลอม หรือ deep link ที่เปิดฟีเจอร์อันตรายในแอปอื่น เช่น โทรหาเบอร์ที่ตั้งไว้, เปิดหน้าเว็บปลอม, เรียก API ในแอป ✅ แอปยอดนิยมที่ได้รับผลกระทบจากการทดสอบ ได้แก่ WhatsApp, Telegram, Instagram, Discord, Slack ✅ นักวิจัยสามารถใช้แอปที่เขียนเองเพื่อเลี่ยงการกรองอักขระ และทดสอบเจาะผ่านหลายสถานการณ์ได้สำเร็จ ✅ การโจมตีใช้ได้บนมือถือหลายรุ่น ตั้งแต่ Google Pixel 9 Pro XL, Samsung Galaxy S25 ไปจนถึง Android รุ่นเก่า ✅ มัลแวร์หรือภัยแบบนี้ไม่ต้องใช้การดาวน์โหลดไฟล์ — แค่หลอก Notification หรือ UI ให้ผู้ใช้คลิกผิด https://www.techradar.com/pro/security/hackers-could-trick-users-into-downloading-malware-and-opening-malicious-sites-using-a-flaw-in-android-heres-what-you-need-to-know
    WWW.TECHRADAR.COM
    Your favorite apps might betray you, thanks to a new Android trick that fools even smart users
    That Android notification link may not be what it looks like, and it could cost you
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 259 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปกติเวลาเรามีปัญหาใช้บริการ Netflix, Apple, Microsoft หรือธนาคารต่าง ๆ ก็จะเข้า Google แล้วพิมพ์ “เบอร์ฝ่ายซัพพอร์ต” ใช่ไหมครับ? แต่ตอนนี้แฮกเกอร์รู้ทันคนแล้ว!

    Malwarebytes ออกมาเตือนว่า มิจฉาชีพซื้อโฆษณาบน Google แล้วใส่พารามิเตอร์พิเศษลงในลิงก์ ที่พาไปยังหน้าเว็บซัพพอร์ตจริงของแบรนด์ แต่จะฝัง เบอร์โทรปลอมไว้ในช่องค้นหาด้านบนของหน้าเว็บนั้น

    พูดง่าย ๆ คือ ลิงก์โฆษณาพาไปเว็บจริง แต่เนื้อหาเหมือน “ถูกฉีดข้อความ” ให้แสดงเบอร์หลอกไว้ตรงหน้า — ผู้ใช้ที่รีบโทร อาจโดนหลอกเอาข้อมูลบัญชี บัตรเครดิต หรือกู้เงินในชื่อเราได้ง่าย ๆ เลย

    เป้าหมายที่โดนบ่อยมีทั้ง Netflix, Apple, Facebook, PayPal, Microsoft, HP, Bank of America ฯลฯ โดยเฉพาะเว็บ Apple ที่แทบตรวจจับไม่ได้ว่ามีอะไรแอบแฝง

    แฮกเกอร์ฝังเบอร์หลอกในหน้าเว็บซัพพอร์ตจริง โดยใช้ลิงก์โฆษณา Google Ads  
    • ใช้ query string ปลอมให้ช่องค้นหาบนหน้าเว็บแสดงเบอร์โทรหลอก

    เว็บแบรนด์ดังที่ตกเป็นเป้า ได้แก่:  
    • Apple, Netflix, PayPal, Microsoft, Facebook, Bank of America, HP

    ผู้ใช้เข้าเว็บจริงแต่เห็นเบอร์ปลอม คิดว่าเป็นของบริษัท และโทรหาแก๊งหลอกลวงโดยไม่รู้ตัว  
    • มิจฉาชีพจะพยายามล้วงข้อมูลส่วนตัว เช่น ข้อมูลบัญชีธนาคาร, login credentials

    Malwarebytes ระบุว่า “Browser Guard” สามารถตรวจจับกลโกงลักษณะนี้ได้ในบางกรณี  
    • ช่วยแจ้งเตือนเมื่อหน้าเว็บมีพารามิเตอร์หรือข้อความแฝงผิดปกติ

    ตัวอย่างลักษณะ URL และพฤติกรรมที่ควรระวัง:  
    • มีเบอร์โทรต่อท้าย URL ของหน้าเว็บ  
    • มีคำเตือนรุนแรงผิดปกติ เช่น “Call now to avoid account lock”  
    • มีอักขระพิเศษใน URL เช่น %20 หรือพารามิเตอร์ยาวผิดปกติ  
    • หน้า search ของเว็บแสดงผลทันทีแม้ยังไม่ได้พิมพ์

    อย่าโทรเบอร์ใด ๆ ที่พบจากโฆษณาหรือหน้าค้นหาโดยไม่ตรวจสอบก่อน  
    • ให้เช็กเบอร์จากช่องทางที่ยืนยันแล้ว เช่น อีเมลเก่า, แอปทางการ, โซเชียลทางการ หรือ Wikipedia

    อย่าเชื่อเว็บที่คลิกเข้าไปจาก Google โดยไม่ตรวจสอบ URL ให้แน่ชัด  
    • แม้จะดูเป็นเว็บจริง แต่พารามิเตอร์ในลิงก์อาจถูกฉีดข้อมูลเข้ามา

    ถ้าฝ่ายซัพพอร์ตถามข้อมูลการเงินที่ไม่เกี่ยวกับปัญหา อย่าตอบ — ควรวางสายทันที  
    • แบรนด์จริงไม่ควรขอรหัสผ่านหรือ OTP ผ่านการโทรปกติ

    หลีกเลี่ยงการกดลิงก์จากอีเมลหรือโฆษณาที่พยายามสร้างความเร่งรีบ  
    • อาทิ “บัญชีจะถูกลบถ้าไม่ยืนยันใน 24 ชั่วโมง”

    https://www.techspot.com/news/108384-scammers-hijack-real-support-pages-show-fake-phone.html
    ปกติเวลาเรามีปัญหาใช้บริการ Netflix, Apple, Microsoft หรือธนาคารต่าง ๆ ก็จะเข้า Google แล้วพิมพ์ “เบอร์ฝ่ายซัพพอร์ต” ใช่ไหมครับ? แต่ตอนนี้แฮกเกอร์รู้ทันคนแล้ว! Malwarebytes ออกมาเตือนว่า มิจฉาชีพซื้อโฆษณาบน Google แล้วใส่พารามิเตอร์พิเศษลงในลิงก์ ที่พาไปยังหน้าเว็บซัพพอร์ตจริงของแบรนด์ แต่จะฝัง เบอร์โทรปลอมไว้ในช่องค้นหาด้านบนของหน้าเว็บนั้น พูดง่าย ๆ คือ ลิงก์โฆษณาพาไปเว็บจริง แต่เนื้อหาเหมือน “ถูกฉีดข้อความ” ให้แสดงเบอร์หลอกไว้ตรงหน้า — ผู้ใช้ที่รีบโทร อาจโดนหลอกเอาข้อมูลบัญชี บัตรเครดิต หรือกู้เงินในชื่อเราได้ง่าย ๆ เลย เป้าหมายที่โดนบ่อยมีทั้ง Netflix, Apple, Facebook, PayPal, Microsoft, HP, Bank of America ฯลฯ โดยเฉพาะเว็บ Apple ที่แทบตรวจจับไม่ได้ว่ามีอะไรแอบแฝง ✅ แฮกเกอร์ฝังเบอร์หลอกในหน้าเว็บซัพพอร์ตจริง โดยใช้ลิงก์โฆษณา Google Ads   • ใช้ query string ปลอมให้ช่องค้นหาบนหน้าเว็บแสดงเบอร์โทรหลอก ✅ เว็บแบรนด์ดังที่ตกเป็นเป้า ได้แก่:   • Apple, Netflix, PayPal, Microsoft, Facebook, Bank of America, HP ✅ ผู้ใช้เข้าเว็บจริงแต่เห็นเบอร์ปลอม คิดว่าเป็นของบริษัท และโทรหาแก๊งหลอกลวงโดยไม่รู้ตัว   • มิจฉาชีพจะพยายามล้วงข้อมูลส่วนตัว เช่น ข้อมูลบัญชีธนาคาร, login credentials ✅ Malwarebytes ระบุว่า “Browser Guard” สามารถตรวจจับกลโกงลักษณะนี้ได้ในบางกรณี   • ช่วยแจ้งเตือนเมื่อหน้าเว็บมีพารามิเตอร์หรือข้อความแฝงผิดปกติ ✅ ตัวอย่างลักษณะ URL และพฤติกรรมที่ควรระวัง:   • มีเบอร์โทรต่อท้าย URL ของหน้าเว็บ   • มีคำเตือนรุนแรงผิดปกติ เช่น “Call now to avoid account lock”   • มีอักขระพิเศษใน URL เช่น %20 หรือพารามิเตอร์ยาวผิดปกติ   • หน้า search ของเว็บแสดงผลทันทีแม้ยังไม่ได้พิมพ์ ‼️ อย่าโทรเบอร์ใด ๆ ที่พบจากโฆษณาหรือหน้าค้นหาโดยไม่ตรวจสอบก่อน   • ให้เช็กเบอร์จากช่องทางที่ยืนยันแล้ว เช่น อีเมลเก่า, แอปทางการ, โซเชียลทางการ หรือ Wikipedia ‼️ อย่าเชื่อเว็บที่คลิกเข้าไปจาก Google โดยไม่ตรวจสอบ URL ให้แน่ชัด   • แม้จะดูเป็นเว็บจริง แต่พารามิเตอร์ในลิงก์อาจถูกฉีดข้อมูลเข้ามา ‼️ ถ้าฝ่ายซัพพอร์ตถามข้อมูลการเงินที่ไม่เกี่ยวกับปัญหา อย่าตอบ — ควรวางสายทันที   • แบรนด์จริงไม่ควรขอรหัสผ่านหรือ OTP ผ่านการโทรปกติ ‼️ หลีกเลี่ยงการกดลิงก์จากอีเมลหรือโฆษณาที่พยายามสร้างความเร่งรีบ   • อาทิ “บัญชีจะถูกลบถ้าไม่ยืนยันใน 24 ชั่วโมง” https://www.techspot.com/news/108384-scammers-hijack-real-support-pages-show-fake-phone.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Scammers hijack real support pages to show fake phone numbers
    Many people likely understand that they should verify URLs when visiting sites for banks, tech companies, and other critical services to avoid fraudulent links. While steering clear...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 302 มุมมอง 0 รีวิว
  • หลายคนคุ้นกับการยืนยันตัวตนสองชั้น หรือ 2FA (Two-Factor Authentication) ด้วยการกรอกรหัสที่ส่งมาทาง SMS มันดูปลอดภัยใช่ไหมครับ เพราะเหมือนมีขั้นตอนเพิ่ม… แต่ข่าวนี้เปิดโปงว่า ระบบ 2FA ทาง SMS อาจเป็นจุดอ่อนมากที่สุดในระบบความปลอดภัยของคุณเลย!

    เรื่องเริ่มจากแหล่งข่าววงในให้ข้อมูลกับ Bloomberg โดยแชร์ข้อความ SMS จำนวนกว่า 1 ล้านรายการ ที่มีรหัส 2FA อยู่ข้างใน—ทั้งหมดถูกส่งผ่านบริษัทสัญชาติสวิสชื่อ Fink Telecom Services ซึ่งเป็นบริษัทกลางที่ให้บริการส่งข้อความให้กับแบรนด์ยักษ์ใหญ่ เช่น Amazon, Google, Meta, WhatsApp, Tinder, Signal ฯลฯ

    แม้บริษัทจะยืนยันว่า “ไม่ได้ดูเนื้อหาข้อความ” และไม่ได้ทำงานสอดแนมแล้วก็ตาม แต่แหล่งข่าวระบุว่าวิธีการส่ง 2FA ผ่าน SMS โดยใช้ “ตัวกลางที่ไม่น่าเชื่อถือ” เป็นช่องโหว่สำคัญ เพราะใครที่อยู่ระหว่างทางสามารถ “เห็นรหัส” ก่อนคุณได้!

    นักวิเคราะห์แนะนำว่า หากทำได้ ควรเลี่ยง SMS แล้วไปใช้วิธีอื่น เช่น แอป Authenticator หรือ biometric (เช่น ลายนิ้วมือ / ใบหน้า) แทน

    2FA ทาง SMS ยังคงใช้กันแพร่หลาย แต่มีจุดอ่อนสำคัญในเรื่องการส่งผ่านบุคคลที่สาม  
    • บริษัทใหญ่จำนวนมากใช้บริการ SMS ผ่านตัวกลาง เช่น Fink Telecom Services

    ข้อมูลหลุดล่าสุดเผยข้อความ 2FA มากกว่า 1 ล้านฉบับถูกเก็บไว้ผ่านบริษัทตัวกลางโดยไม่เข้ารหัส  
    • ข้อมูลรวมถึงเส้นทางการส่ง, รหัส OTP, และหมายเลขผู้ส่ง–ผู้รับ

    บริษัทที่ใช้บริการนี้รวมถึง: Google, Amazon, Meta, WhatsApp, Signal, Snapchat, Tinder เป็นต้น  
    • บ่งชี้ว่าผู้ใช้จำนวนมากอาจเคยถูกดักดูข้อมูลโดยไม่รู้ตัว

    วิธีป้องกันแนะนำคือ: หันมาใช้แอป Authenticator หรืออุปกรณ์ physical key (เช่น Yubikey)  
    • รหัสถูกสร้างภายในอุปกรณ์ ไม่ผ่าน SMS ช่วยลดโอกาสถูกขโมย

    มีกรณีคล้ายกันก่อนหน้านี้ เช่น Steam เคยยืนยันว่าเบอร์โทรและ 2FA ทาง SMS ของผู้ใช้หลายคนถูกเจาะระบบ  
    • คำแนะนำจากวงการคือเปลี่ยนรหัสผ่านและเปิดใช้ 2FA แบบแอปทันที

    การใช้ SMS เป็นช่องทาง 2FA ไม่ปลอดภัย และอาจถูกดักข้อมูลระหว่างทางได้ง่าย  
    • โดยเฉพาะหากผู้ให้บริการส่งข้อความอยู่ในประเทศที่ไม่มีข้อกำกับด้านความปลอดภัยชัดเจน

    SMS ไม่เข้ารหัสแบบ end-to-end ทำให้ข้อมูลสามารถถูกดูได้โดยระบบตัวกลาง  
    • ต่างจากแอปส่งข้อความสมัยใหม่ เช่น Signal หรือ iMessage ที่เข้ารหัสครบวงจร

    แอปและระบบองค์กรที่ยังพึ่งพา SMS 2FA ควรรีบประเมินความเสี่ยงใหม่  
    • โดยเฉพาะธุรกิจที่มีข้อมูลลูกค้า บัญชีการเงิน หรือสิทธิ์เข้าถึงสูง

    ผู้ใช้ทั่วไปควรหลีกเลี่ยงการเปิดเผยเบอร์โทรในพื้นที่สาธารณะออนไลน์  
    • เพราะอาจถูกใช้ร่วมกับ SIM swapping เพื่อขโมย OTP

    https://www.techspot.com/news/108364-whistleblower-warning-2fa-codes-sent-sms-trivially-easy.html
    หลายคนคุ้นกับการยืนยันตัวตนสองชั้น หรือ 2FA (Two-Factor Authentication) ด้วยการกรอกรหัสที่ส่งมาทาง SMS มันดูปลอดภัยใช่ไหมครับ เพราะเหมือนมีขั้นตอนเพิ่ม… แต่ข่าวนี้เปิดโปงว่า ระบบ 2FA ทาง SMS อาจเป็นจุดอ่อนมากที่สุดในระบบความปลอดภัยของคุณเลย! เรื่องเริ่มจากแหล่งข่าววงในให้ข้อมูลกับ Bloomberg โดยแชร์ข้อความ SMS จำนวนกว่า 1 ล้านรายการ ที่มีรหัส 2FA อยู่ข้างใน—ทั้งหมดถูกส่งผ่านบริษัทสัญชาติสวิสชื่อ Fink Telecom Services ซึ่งเป็นบริษัทกลางที่ให้บริการส่งข้อความให้กับแบรนด์ยักษ์ใหญ่ เช่น Amazon, Google, Meta, WhatsApp, Tinder, Signal ฯลฯ แม้บริษัทจะยืนยันว่า “ไม่ได้ดูเนื้อหาข้อความ” และไม่ได้ทำงานสอดแนมแล้วก็ตาม แต่แหล่งข่าวระบุว่าวิธีการส่ง 2FA ผ่าน SMS โดยใช้ “ตัวกลางที่ไม่น่าเชื่อถือ” เป็นช่องโหว่สำคัญ เพราะใครที่อยู่ระหว่างทางสามารถ “เห็นรหัส” ก่อนคุณได้! นักวิเคราะห์แนะนำว่า หากทำได้ ควรเลี่ยง SMS แล้วไปใช้วิธีอื่น เช่น แอป Authenticator หรือ biometric (เช่น ลายนิ้วมือ / ใบหน้า) แทน ✅ 2FA ทาง SMS ยังคงใช้กันแพร่หลาย แต่มีจุดอ่อนสำคัญในเรื่องการส่งผ่านบุคคลที่สาม   • บริษัทใหญ่จำนวนมากใช้บริการ SMS ผ่านตัวกลาง เช่น Fink Telecom Services ✅ ข้อมูลหลุดล่าสุดเผยข้อความ 2FA มากกว่า 1 ล้านฉบับถูกเก็บไว้ผ่านบริษัทตัวกลางโดยไม่เข้ารหัส   • ข้อมูลรวมถึงเส้นทางการส่ง, รหัส OTP, และหมายเลขผู้ส่ง–ผู้รับ ✅ บริษัทที่ใช้บริการนี้รวมถึง: Google, Amazon, Meta, WhatsApp, Signal, Snapchat, Tinder เป็นต้น   • บ่งชี้ว่าผู้ใช้จำนวนมากอาจเคยถูกดักดูข้อมูลโดยไม่รู้ตัว ✅ วิธีป้องกันแนะนำคือ: หันมาใช้แอป Authenticator หรืออุปกรณ์ physical key (เช่น Yubikey)   • รหัสถูกสร้างภายในอุปกรณ์ ไม่ผ่าน SMS ช่วยลดโอกาสถูกขโมย ✅ มีกรณีคล้ายกันก่อนหน้านี้ เช่น Steam เคยยืนยันว่าเบอร์โทรและ 2FA ทาง SMS ของผู้ใช้หลายคนถูกเจาะระบบ   • คำแนะนำจากวงการคือเปลี่ยนรหัสผ่านและเปิดใช้ 2FA แบบแอปทันที ‼️ การใช้ SMS เป็นช่องทาง 2FA ไม่ปลอดภัย และอาจถูกดักข้อมูลระหว่างทางได้ง่าย   • โดยเฉพาะหากผู้ให้บริการส่งข้อความอยู่ในประเทศที่ไม่มีข้อกำกับด้านความปลอดภัยชัดเจน ‼️ SMS ไม่เข้ารหัสแบบ end-to-end ทำให้ข้อมูลสามารถถูกดูได้โดยระบบตัวกลาง   • ต่างจากแอปส่งข้อความสมัยใหม่ เช่น Signal หรือ iMessage ที่เข้ารหัสครบวงจร ‼️ แอปและระบบองค์กรที่ยังพึ่งพา SMS 2FA ควรรีบประเมินความเสี่ยงใหม่   • โดยเฉพาะธุรกิจที่มีข้อมูลลูกค้า บัญชีการเงิน หรือสิทธิ์เข้าถึงสูง ‼️ ผู้ใช้ทั่วไปควรหลีกเลี่ยงการเปิดเผยเบอร์โทรในพื้นที่สาธารณะออนไลน์   • เพราะอาจถูกใช้ร่วมกับ SIM swapping เพื่อขโมย OTP https://www.techspot.com/news/108364-whistleblower-warning-2fa-codes-sent-sms-trivially-easy.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Whistleblower warning: 2FA codes sent via SMS are trivially easy to intercept
    Many implementations of two-factor authentication involve sending a one-time passcode to the end user via SMS. Once entered, the user is logged in and it's business as...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 291 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts