ลุงบ้าคอม
ลุงบ้าคอม
ยินดีต้อนรับสู่เพจของคนรักคอมพิวเตอร์! ที่นี่คือแหล่งรวมข่าวสารและข้อมูลล่าสุดในวงการเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ การพัฒนาโปรแกรม และนวัตกรรมใหม่ๆ ที่กำลังเกิดขึ้น เรามุ่งมั่นที่จะนำเสนอเนื้อหาที่มีคุณภาพและเป็นประโยชน์สำหรับทุกคนที่มีความสนใจในโลกของคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยี
  • 78 คนติดตามเรื่องนี้
  • 450 โพสต์
  • 29 รูปภาพ
  • 0 วิดีโอ
  • 0 รีวิว
  • วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
อัปเดตล่าสุด
  • บริษัท Robeauté จากปารีสได้ระดมทุนเกือบ 28 ล้านดอลลาร์เพื่อพัฒนาไมโครโรบ็อตขนาดเท่าเมล็ดข้าวที่สามารถช่วยศัลยแพทย์สมองในการผ่าตัดได้ โรบ็อตนี้ถูกออกแบบมาให้สามารถเคลื่อนที่ได้เองและมีขนาดเล็กพอที่จะเข้าไปในสมองโดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อที่ละเอียดอ่อน

    โรบ็อตนี้จะถูกใช้ในการเก็บตัวอย่างเนื้อเยื่อสำหรับการตรวจชิ้นเนื้อในขั้นต้น และในอนาคตอาจถูกใช้ในการส่งยาตรงไปยังส่วนต่างๆ ของสมองหรือฝังอิเล็กโทรดเพื่อรักษาโรคพาร์กินสัน

    Bertrand Duplat และ Joana Cartocci ผู้ก่อตั้ง Robeauté ได้พัฒนาโรบ็อตนี้หลังจากที่แม่ของ Duplat ถูกวินิจฉัยว่าเป็นเนื้องอกในสมองที่ไม่สามารถผ่าตัดได้ พวกเขาใช้เวลาห้าปีในการพัฒนาเทคโนโลยีนี้โดยทำงานร่วมกับห้องปฏิบัติการต่างๆ

    โรบ็อตนี้ได้รับการทดสอบในสัตว์ทดลองและศพมนุษย์ และหวังว่าจะเริ่มการทดสอบในมนุษย์ในปี 2026 โดยต้องได้รับการอนุมัติจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ (FDA) ก่อน

    การพัฒนาโรบ็อตนี้เป็นก้าวสำคัญในการผ่าตัดสมองที่มีความแม่นยำและปลอดภัยมากขึ้น ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการผ่าตัดและเพิ่มโอกาสในการรักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับสมอง

    https://www.techspot.com/news/106402-robots-size-rice-grains-aim-revolutionize-brain-surgery.html
    บริษัท Robeauté จากปารีสได้ระดมทุนเกือบ 28 ล้านดอลลาร์เพื่อพัฒนาไมโครโรบ็อตขนาดเท่าเมล็ดข้าวที่สามารถช่วยศัลยแพทย์สมองในการผ่าตัดได้ โรบ็อตนี้ถูกออกแบบมาให้สามารถเคลื่อนที่ได้เองและมีขนาดเล็กพอที่จะเข้าไปในสมองโดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อที่ละเอียดอ่อน โรบ็อตนี้จะถูกใช้ในการเก็บตัวอย่างเนื้อเยื่อสำหรับการตรวจชิ้นเนื้อในขั้นต้น และในอนาคตอาจถูกใช้ในการส่งยาตรงไปยังส่วนต่างๆ ของสมองหรือฝังอิเล็กโทรดเพื่อรักษาโรคพาร์กินสัน Bertrand Duplat และ Joana Cartocci ผู้ก่อตั้ง Robeauté ได้พัฒนาโรบ็อตนี้หลังจากที่แม่ของ Duplat ถูกวินิจฉัยว่าเป็นเนื้องอกในสมองที่ไม่สามารถผ่าตัดได้ พวกเขาใช้เวลาห้าปีในการพัฒนาเทคโนโลยีนี้โดยทำงานร่วมกับห้องปฏิบัติการต่างๆ โรบ็อตนี้ได้รับการทดสอบในสัตว์ทดลองและศพมนุษย์ และหวังว่าจะเริ่มการทดสอบในมนุษย์ในปี 2026 โดยต้องได้รับการอนุมัติจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ (FDA) ก่อน การพัฒนาโรบ็อตนี้เป็นก้าวสำคัญในการผ่าตัดสมองที่มีความแม่นยำและปลอดภัยมากขึ้น ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการผ่าตัดและเพิ่มโอกาสในการรักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับสมอง https://www.techspot.com/news/106402-robots-size-rice-grains-aim-revolutionize-brain-surgery.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Robots the size of rice grains aim to revolutionize brain surgery
    Existing solutions often involve stiff, invasive tools that can cause major damage to sensitive brain tissue. Robeauté's bot, which is roughly the size of a grain of...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 43 มุมมอง 0 รีวิว
  • Intel ได้ประกาศว่าการอัปเดตแพตช์สำหรับโปรเซสเซอร์ Core Ultra 200 สามารถปรับปรุงประสิทธิภาพการเล่นเกมได้ถึง 26% โดยการทดสอบภายในของ Intel พบว่าการอัปเดตนี้สามารถเพิ่มจำนวนเฟรมต่อวินาทีในเกม Cyberpunk 2077 ได้ถึง 26% และในเกม Far Cry 6 ได้ถึง 16% นอกจากนี้ การทดสอบด้วย 3DMark TimeSpy ยังพบว่าคะแนนรวมของระบบที่ใช้โปรเซสเซอร์ Ultra 200 ที่ได้รับการอัปเดตสามารถเพิ่มขึ้นได้ถึง 97%

    การอัปเดตแพตช์นี้ประกอบด้วยการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับแผนพลังงาน การตั้งค่าป้องกันการโกง และปัญหาอื่นๆ โดยเฉพาะการเพิ่มแพ็กเกจ Performance & Power Management (PPM) ที่ขาดหายไป การอัปเดตครั้งแรกได้ถูกปล่อยออกมาก่อนวันหยุดในรูปแบบของการอัปเดต Windows 11 ที่บังคับใช้พร้อมกับแพตช์จากผู้พัฒนาเกม และการอัปเดตครั้งที่สองซึ่งเป็นการอัปเดต BIOS ที่สำคัญได้ถูกปล่อยออกมาในงาน CES เดือนมกราคม

    Intel ยังได้กล่าวถึงการเตรียมการสำหรับการเปิดตัวโปรเซสเซอร์ Core H และ HX สำหรับแล็ปท็อปที่มุ่งเน้นไปที่เกมเมอร์และ Content Creator โดยคาดว่าจะเริ่มจัดส่งในเร็วๆ นี้

    การอัปเดตแพตช์นี้เป็นการแก้ไขปัญหาประสิทธิภาพของโปรเซสเซอร์ Ultra 200 ที่ถูกวิจารณ์เมื่อเปิดตัวในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา โดยการอัปเดตนี้ช่วยให้โปรเซสเซอร์ Ultra 200 สามารถแสดงประสิทธิภาพที่แท้จริงได้อย่างเต็มที่

    https://www.techspot.com/news/106396-intel-claims-core-ultra-200-patches-improve-gaming.html
    Intel ได้ประกาศว่าการอัปเดตแพตช์สำหรับโปรเซสเซอร์ Core Ultra 200 สามารถปรับปรุงประสิทธิภาพการเล่นเกมได้ถึง 26% โดยการทดสอบภายในของ Intel พบว่าการอัปเดตนี้สามารถเพิ่มจำนวนเฟรมต่อวินาทีในเกม Cyberpunk 2077 ได้ถึง 26% และในเกม Far Cry 6 ได้ถึง 16% นอกจากนี้ การทดสอบด้วย 3DMark TimeSpy ยังพบว่าคะแนนรวมของระบบที่ใช้โปรเซสเซอร์ Ultra 200 ที่ได้รับการอัปเดตสามารถเพิ่มขึ้นได้ถึง 97% การอัปเดตแพตช์นี้ประกอบด้วยการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับแผนพลังงาน การตั้งค่าป้องกันการโกง และปัญหาอื่นๆ โดยเฉพาะการเพิ่มแพ็กเกจ Performance & Power Management (PPM) ที่ขาดหายไป การอัปเดตครั้งแรกได้ถูกปล่อยออกมาก่อนวันหยุดในรูปแบบของการอัปเดต Windows 11 ที่บังคับใช้พร้อมกับแพตช์จากผู้พัฒนาเกม และการอัปเดตครั้งที่สองซึ่งเป็นการอัปเดต BIOS ที่สำคัญได้ถูกปล่อยออกมาในงาน CES เดือนมกราคม Intel ยังได้กล่าวถึงการเตรียมการสำหรับการเปิดตัวโปรเซสเซอร์ Core H และ HX สำหรับแล็ปท็อปที่มุ่งเน้นไปที่เกมเมอร์และ Content Creator โดยคาดว่าจะเริ่มจัดส่งในเร็วๆ นี้ การอัปเดตแพตช์นี้เป็นการแก้ไขปัญหาประสิทธิภาพของโปรเซสเซอร์ Ultra 200 ที่ถูกวิจารณ์เมื่อเปิดตัวในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา โดยการอัปเดตนี้ช่วยให้โปรเซสเซอร์ Ultra 200 สามารถแสดงประสิทธิภาพที่แท้จริงได้อย่างเต็มที่ https://www.techspot.com/news/106396-intel-claims-core-ultra-200-patches-improve-gaming.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Intel claims Core Ultra 200 patches improve gaming performance by up to 26%
    Intel quickly investigated the situation, and by December, it had a good idea of what was causing the performance hiccups. It turned out to be a combination...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 44 มุมมอง 0 รีวิว
  • Mark Zuckerberg ซีอีโอของ Meta ได้คาดการณ์ว่า AI อาจเข้ามาแทนที่วิศวกรระดับกลางในปี 2025 และเปลี่ยนแปลงการเขียนโค้ดอย่างสิ้นเชิง ในการสัมภาษณ์กับ Joe Rogan Zuckerberg กล่าวถึงทิศทางของบริษัทและการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้น โดยเขาได้วิจารณ์ Apple ว่าขาดนวัตกรรมและคาดการณ์ว่า AI จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการเขียนโค้ด

    Zuckerberg กล่าวว่า AI จะสามารถทำหน้าที่เป็นวิศวกรระดับกลางที่สามารถเขียนโค้ดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยให้วิศวกรมีเวลามากขึ้นในการทำงานที่สร้างสรรค์และเชิงกลยุทธ์ แม้ว่าในช่วงแรกการนำ AI มาใช้จะมีค่าใช้จ่ายสูง แต่เมื่อเวลาผ่านไป AI จะมีประสิทธิภาพมากขึ้นและสามารถพัฒนาโค้ดได้มากกว่ามนุษย์

    การคาดการณ์นี้สอดคล้องกับการพัฒนาในวงการเทคโนโลยีที่กำลังเกิดขึ้น ซึ่งอาจมีผลกระทบอย่างมากต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีโดยรวม นอกจากนี้ ซีอีโอของ Salesforce ยังได้กล่าวถึงการพิจารณาการจ้างวิศวกรซอฟต์แวร์ในปี 2025 และการใช้ AI ในการทำงานแทนมนุษย์

    การนำ AI มาใช้ในงานวิศวกรรมอาจทำให้บทบาทของวิศวกรเปลี่ยนแปลงไป และต้องใช้เวลาและความพยายามในการปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงนี้

    https://wccftech.com/mark-zuckerberg-predicts-ai-might-replace-mid-level-engineers-in-2025-and-completely-reshape-coding/
    Mark Zuckerberg ซีอีโอของ Meta ได้คาดการณ์ว่า AI อาจเข้ามาแทนที่วิศวกรระดับกลางในปี 2025 และเปลี่ยนแปลงการเขียนโค้ดอย่างสิ้นเชิง ในการสัมภาษณ์กับ Joe Rogan Zuckerberg กล่าวถึงทิศทางของบริษัทและการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้น โดยเขาได้วิจารณ์ Apple ว่าขาดนวัตกรรมและคาดการณ์ว่า AI จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการเขียนโค้ด Zuckerberg กล่าวว่า AI จะสามารถทำหน้าที่เป็นวิศวกรระดับกลางที่สามารถเขียนโค้ดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยให้วิศวกรมีเวลามากขึ้นในการทำงานที่สร้างสรรค์และเชิงกลยุทธ์ แม้ว่าในช่วงแรกการนำ AI มาใช้จะมีค่าใช้จ่ายสูง แต่เมื่อเวลาผ่านไป AI จะมีประสิทธิภาพมากขึ้นและสามารถพัฒนาโค้ดได้มากกว่ามนุษย์ การคาดการณ์นี้สอดคล้องกับการพัฒนาในวงการเทคโนโลยีที่กำลังเกิดขึ้น ซึ่งอาจมีผลกระทบอย่างมากต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีโดยรวม นอกจากนี้ ซีอีโอของ Salesforce ยังได้กล่าวถึงการพิจารณาการจ้างวิศวกรซอฟต์แวร์ในปี 2025 และการใช้ AI ในการทำงานแทนมนุษย์ การนำ AI มาใช้ในงานวิศวกรรมอาจทำให้บทบาทของวิศวกรเปลี่ยนแปลงไป และต้องใช้เวลาและความพยายามในการปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงนี้ https://wccftech.com/mark-zuckerberg-predicts-ai-might-replace-mid-level-engineers-in-2025-and-completely-reshape-coding/
    WCCFTECH.COM
    Mark Zuckerberg Predicts AI Might Replace Mid-Level Engineers In 2025 And Completely Reshape Coding
    Mark Zuckerberg recently shared his views on a podcast about the role of AI and how it might replace mid level engineers in 2025
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 46 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความนี้กล่าวถึงการที่ภาพของโดนัลด์ ทรัมป์ ถูกฝังอยู่ในบล็อกเชนของบิตคอยน์ (Bitcoin) โดยบริษัท Marathon Digital Holdings (MARA) ซึ่งเป็นผู้ขุดบิตคอยน์รายใหญ่ที่สุดในวอลล์สตรีท ได้ฝังภาพของทรัมป์ในบล็อกที่ 879613 เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองการเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีของทรัมป์ที่กำลังจะมาถึง

    การฝังภาพนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ชุมชนคริปโตเคอเรนซีอยู่ในบรรยากาศที่คึกคัก เนื่องจากทรัมป์เป็นผู้สนับสนุนคริปโตเคอเรนซีอย่างเปิดเผยคนแรกที่เข้ารับตำแหน่งในทำเนียบขาว นอกจากนี้ ทรัมป์ยังมีแผนที่จะใช้บิตคอยน์ที่รัฐบาลสหรัฐฯ ยึดมาได้เพื่อสร้างกองทุนสำรองยุทธศาสตร์ ซึ่งคาดว่าจะทำให้ราคาบิตคอยน์เพิ่มขึ้นอย่างมาก

    นอกจากนี้ ทีมงานของทรัมป์ยังพิจารณาการสร้างกองทุนสำรองยุทธศาสตร์แบบ "America-first" ที่จะให้ความสำคัญกับเหรียญคริปโตเคอเรนซีที่มีต้นกำเนิดในสหรัฐฯ เช่น Solana, USD Coin และ Ripple

    ในขณะเดียวกัน เดวิด แซคส์ ซึ่งจะเป็นหัวหน้าฝ่ายคริปโตและ AI ในรัฐบาลทรัมป์ จะจัดงาน Crypto Ball ครั้งแรกในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. โดยบัตร VIP สำหรับงานนี้มีราคาสูงถึง 100,000 ดอลลาร์ และผู้เข้าร่วมสามารถรับประทานอาหารค่ำส่วนตัวกับทรัมป์ได้ในราคา 1 ล้านดอลลาร์

    การฝังภาพของทรัมป์ในบล็อกเชนของบิตคอยน์เป็นการแสดงความเคารพและการสนับสนุนจากชุมชนคริปโตเคอเรนซี ซึ่งคาดหวังว่าทรัมป์จะสามารถทำให้ราคาบิตคอยน์เพิ่มขึ้นและสร้างความเปลี่ยนแปลงในวงการคริปโตเคอเรนซีได้

    https://wccftech.com/trump-immortalized-within-bitcoin-blockchain/
    บทความนี้กล่าวถึงการที่ภาพของโดนัลด์ ทรัมป์ ถูกฝังอยู่ในบล็อกเชนของบิตคอยน์ (Bitcoin) โดยบริษัท Marathon Digital Holdings (MARA) ซึ่งเป็นผู้ขุดบิตคอยน์รายใหญ่ที่สุดในวอลล์สตรีท ได้ฝังภาพของทรัมป์ในบล็อกที่ 879613 เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองการเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีของทรัมป์ที่กำลังจะมาถึง การฝังภาพนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ชุมชนคริปโตเคอเรนซีอยู่ในบรรยากาศที่คึกคัก เนื่องจากทรัมป์เป็นผู้สนับสนุนคริปโตเคอเรนซีอย่างเปิดเผยคนแรกที่เข้ารับตำแหน่งในทำเนียบขาว นอกจากนี้ ทรัมป์ยังมีแผนที่จะใช้บิตคอยน์ที่รัฐบาลสหรัฐฯ ยึดมาได้เพื่อสร้างกองทุนสำรองยุทธศาสตร์ ซึ่งคาดว่าจะทำให้ราคาบิตคอยน์เพิ่มขึ้นอย่างมาก นอกจากนี้ ทีมงานของทรัมป์ยังพิจารณาการสร้างกองทุนสำรองยุทธศาสตร์แบบ "America-first" ที่จะให้ความสำคัญกับเหรียญคริปโตเคอเรนซีที่มีต้นกำเนิดในสหรัฐฯ เช่น Solana, USD Coin และ Ripple ในขณะเดียวกัน เดวิด แซคส์ ซึ่งจะเป็นหัวหน้าฝ่ายคริปโตและ AI ในรัฐบาลทรัมป์ จะจัดงาน Crypto Ball ครั้งแรกในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. โดยบัตร VIP สำหรับงานนี้มีราคาสูงถึง 100,000 ดอลลาร์ และผู้เข้าร่วมสามารถรับประทานอาหารค่ำส่วนตัวกับทรัมป์ได้ในราคา 1 ล้านดอลลาร์ การฝังภาพของทรัมป์ในบล็อกเชนของบิตคอยน์เป็นการแสดงความเคารพและการสนับสนุนจากชุมชนคริปโตเคอเรนซี ซึ่งคาดหวังว่าทรัมป์จะสามารถทำให้ราคาบิตคอยน์เพิ่มขึ้นและสร้างความเปลี่ยนแปลงในวงการคริปโตเคอเรนซีได้ https://wccftech.com/trump-immortalized-within-bitcoin-blockchain/
    WCCFTECH.COM
    Trump Immortalized Within Bitcoin Blockchain
    As a token of appreciation, a major Bitcoin miner has encoded Trump's portrait within the cryptocurrency's blockchain.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 45 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความนี้กล่าวถึงข่าวลือเกี่ยวกับการพัฒนา CPU และ GPU รุ่นใหม่ของ AMD โดยมีข้อมูลจากสมาชิกในฟอรัม Chiphell ที่เคยให้ข้อมูลที่ถูกต้องในอดีต

    สำหรับ CPU รุ่นใหม่ของ AMD ที่มีโค้ดเนมว่า "Medusa Ridge" จะใช้เทคโนโลยีการผลิต N3E และมีการอัปเกรด IO die ที่ใช้เทคโนโลยี N4C ซึ่งเป็นเวอร์ชันที่คุ้มค่าของเทคโนโลยี N4P โดย CPU รุ่นนี้คาดว่าจะเปิดตัวในช่วงปลายปี 2026 หรือต้นปี 2027

    ในส่วนของ GPU รุ่นใหม่ AMD จะเปิดตัวสถาปัตยกรรม UDNA ที่จะมาแทนที่สถาปัตยกรรม RDNA และ CDNA โดยจะใช้เทคโนโลยีการผลิต N3E จาก TSMC สำหรับผลิตภัณฑ์เกม และคาดว่าจะมีการผลิตในปริมาณมากในไตรมาสที่ 2 ของปี 2026 นอกจากนี้ GPU รุ่นนี้ยังจะถูกนำไปใช้ในคอนโซลรุ่นใหม่ เช่น PS6

    นอกจากนี้ AMD ยังมีการอัปเดตเทคโนโลยี 3D Stacking สำหรับ APU รุ่นใหม่ ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการประมวลผลและการระบายความร้อน

    การพัฒนา CPU และ GPU รุ่นใหม่ของ AMD นี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการประมวลผลและการเล่นเกม ทำให้ผู้ใช้สามารถเพลิดเพลินกับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น

    https://wccftech.com/amd-ryzen-zen-6-cpus-radeon-udna-gpus-utilize-n3e-high-end-gaming-gpus-3d-stacking-for-next-gen-halo-console-apus-rumor/
    บทความนี้กล่าวถึงข่าวลือเกี่ยวกับการพัฒนา CPU และ GPU รุ่นใหม่ของ AMD โดยมีข้อมูลจากสมาชิกในฟอรัม Chiphell ที่เคยให้ข้อมูลที่ถูกต้องในอดีต สำหรับ CPU รุ่นใหม่ของ AMD ที่มีโค้ดเนมว่า "Medusa Ridge" จะใช้เทคโนโลยีการผลิต N3E และมีการอัปเกรด IO die ที่ใช้เทคโนโลยี N4C ซึ่งเป็นเวอร์ชันที่คุ้มค่าของเทคโนโลยี N4P โดย CPU รุ่นนี้คาดว่าจะเปิดตัวในช่วงปลายปี 2026 หรือต้นปี 2027 ในส่วนของ GPU รุ่นใหม่ AMD จะเปิดตัวสถาปัตยกรรม UDNA ที่จะมาแทนที่สถาปัตยกรรม RDNA และ CDNA โดยจะใช้เทคโนโลยีการผลิต N3E จาก TSMC สำหรับผลิตภัณฑ์เกม และคาดว่าจะมีการผลิตในปริมาณมากในไตรมาสที่ 2 ของปี 2026 นอกจากนี้ GPU รุ่นนี้ยังจะถูกนำไปใช้ในคอนโซลรุ่นใหม่ เช่น PS6 นอกจากนี้ AMD ยังมีการอัปเดตเทคโนโลยี 3D Stacking สำหรับ APU รุ่นใหม่ ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการประมวลผลและการระบายความร้อน การพัฒนา CPU และ GPU รุ่นใหม่ของ AMD นี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการประมวลผลและการเล่นเกม ทำให้ผู้ใช้สามารถเพลิดเพลินกับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น https://wccftech.com/amd-ryzen-zen-6-cpus-radeon-udna-gpus-utilize-n3e-high-end-gaming-gpus-3d-stacking-for-next-gen-halo-console-apus-rumor/
    WCCFTECH.COM
    AMD's Ryzen "Zen 6" CPUs & Radeon "UDNA" GPUs To Utilize N3E Process, High-End Gaming GPUs & 3D Stacking For Next-Gen Halo & Console APUs Expected
    Rumors regarding AMD's next-gen Ryzen "Zen 6" CPU & Radeon "UDNA" GPUs have been shared along with next-gen 3D stacking updates.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 41 มุมมอง 0 รีวิว
  • Intel Foundry ได้ประกาศการเข้าร่วมของลูกค้าใหม่ในโครงการ RAMP-C (Rapid Assured Microelectronics Prototypes - Commercial) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Trusted & Assured Microelectronics (T&AM) ภายใต้สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ สำหรับการวิจัยและวิศวกรรม (OUSD (R&E)) ลูกค้าใหม่ที่เข้าร่วมโครงการนี้ได้แก่ Trusted Semiconductor Solutions และ Reliable MicroSystems

    โครงการ RAMP-C ช่วยให้ลูกค้าสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีการผลิต Intel 18A และการบรรจุภัณฑ์ขั้นสูงสำหรับการผลิตต้นแบบและการผลิตในปริมาณมากของผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์และผลิตภัณฑ์สำหรับกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ

    Kapil Wadhera รองประธานของ Intel Foundry และผู้จัดการทั่วไปของกลุ่มธุรกิจการบินและอวกาศ กลาโหม และรัฐบาล กล่าวว่า "เรารู้สึกตื่นเต้นที่ได้ต้อนรับ Trusted Semiconductor Solutions และ Reliable MicroSystems เข้าร่วมโครงการ RAMP-C ความร่วมมือนี้จะช่วยขับเคลื่อนโซลูชันเซมิคอนดักเตอร์ที่ปลอดภัยและทันสมัย ซึ่งมีความสำคัญต่อความมั่นคงของชาติ การเติบโตทางเศรษฐกิจ และความเป็นผู้นำทางเทคโนโลยีของประเทศ เราภูมิใจในบทบาทสำคัญของ Intel Foundry ในการสนับสนุนการป้องกันประเทศของสหรัฐฯ และหวังว่าจะได้ทำงานร่วมกับลูกค้าใหม่ของเราเพื่อพัฒนานวัตกรรมด้วยเทคโนโลยี Intel 18A ของเรา"

    โครงการ RAMP-C ได้รับความสำเร็จอย่างมากตั้งแต่เปิดตัวในเดือนตุลาคม 2021 โดย Intel Foundry มีบทบาทสำคัญในทุกขั้นตอนของโครงการ ตั้งแต่การพัฒนาเทคโนโลยี การสร้างทรัพย์สินทางปัญญา และการเตรียมลูกค้าสำหรับการทดสอบชิปต้นแบบ จนถึงการขยายฐานลูกค้าและการผลิตต้นแบบขั้นสูง

    การขยายการผลิต Intel 18A ช่วยเสริมสร้างห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกด้วยแหล่งที่เชื่อถือได้และยั่งยืนของเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุดสำหรับอุปกรณ์ไมโครอิเล็กทรอนิกส์

    https://www.techpowerup.com/331263/intel-foundry-adds-new-customers-to-ramp-c-project-for-us-defense
    Intel Foundry ได้ประกาศการเข้าร่วมของลูกค้าใหม่ในโครงการ RAMP-C (Rapid Assured Microelectronics Prototypes - Commercial) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Trusted & Assured Microelectronics (T&AM) ภายใต้สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ สำหรับการวิจัยและวิศวกรรม (OUSD (R&E)) ลูกค้าใหม่ที่เข้าร่วมโครงการนี้ได้แก่ Trusted Semiconductor Solutions และ Reliable MicroSystems โครงการ RAMP-C ช่วยให้ลูกค้าสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีการผลิต Intel 18A และการบรรจุภัณฑ์ขั้นสูงสำหรับการผลิตต้นแบบและการผลิตในปริมาณมากของผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์และผลิตภัณฑ์สำหรับกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ Kapil Wadhera รองประธานของ Intel Foundry และผู้จัดการทั่วไปของกลุ่มธุรกิจการบินและอวกาศ กลาโหม และรัฐบาล กล่าวว่า "เรารู้สึกตื่นเต้นที่ได้ต้อนรับ Trusted Semiconductor Solutions และ Reliable MicroSystems เข้าร่วมโครงการ RAMP-C ความร่วมมือนี้จะช่วยขับเคลื่อนโซลูชันเซมิคอนดักเตอร์ที่ปลอดภัยและทันสมัย ซึ่งมีความสำคัญต่อความมั่นคงของชาติ การเติบโตทางเศรษฐกิจ และความเป็นผู้นำทางเทคโนโลยีของประเทศ เราภูมิใจในบทบาทสำคัญของ Intel Foundry ในการสนับสนุนการป้องกันประเทศของสหรัฐฯ และหวังว่าจะได้ทำงานร่วมกับลูกค้าใหม่ของเราเพื่อพัฒนานวัตกรรมด้วยเทคโนโลยี Intel 18A ของเรา" โครงการ RAMP-C ได้รับความสำเร็จอย่างมากตั้งแต่เปิดตัวในเดือนตุลาคม 2021 โดย Intel Foundry มีบทบาทสำคัญในทุกขั้นตอนของโครงการ ตั้งแต่การพัฒนาเทคโนโลยี การสร้างทรัพย์สินทางปัญญา และการเตรียมลูกค้าสำหรับการทดสอบชิปต้นแบบ จนถึงการขยายฐานลูกค้าและการผลิตต้นแบบขั้นสูง การขยายการผลิต Intel 18A ช่วยเสริมสร้างห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกด้วยแหล่งที่เชื่อถือได้และยั่งยืนของเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุดสำหรับอุปกรณ์ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ https://www.techpowerup.com/331263/intel-foundry-adds-new-customers-to-ramp-c-project-for-us-defense
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Intel Foundry Adds New Customers to RAMP-C Project for US Defense
    Intel Foundry has announced the onboarding of new defense industrial base (DIB) customers, Trusted Semiconductor Solutions and Reliable MicroSystems, as part of the third phase of the Rapid Assured Microelectronics Prototypes - Commercial (RAMP-C) efforts under the Trusted & Assured Microelectronics...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 48 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีรายงานว่า Intel อาจถูกเข้าซื้อกิจการ โดยมีการคาดการณ์ว่าบริษัทที่ไม่ระบุชื่อกำลังพิจารณาการเข้าซื้อกิจการของ Intel Corporation อย่างจริงจัง รายงานจาก SemiAccurate ระบุว่ามีการแชร์บันทึกภายในระหว่างกลุ่มผู้บริหารระดับสูงของบริษัทที่ไม่ระบุชื่อ ซึ่งบันทึกนี้ได้รับการยืนยันความถูกต้องจากแหล่งข่าวภายในระดับสูงเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้เกิดการคาดการณ์ว่าการซื้อกิจการของ Intel อาจอยู่ในระหว่างการพิจารณาอย่างจริงจัง

    รายงานระบุว่าผู้ซื้อที่มีศักยภาพมีทรัพยากรทางการเงินเพียงพอที่จะซื้อ Intel ได้ทั้งหมด โดยพิจารณาจากมูลค่าตลาดปัจจุบันของบริษัท นอกจากนี้ ผู้ซื้อที่มีศักยภาพนี้ยังไม่เคยถูกระบุชื่อในบทสนทนาก่อนหน้านี้เกี่ยวกับอนาคตของ Intel ซึ่งบ่งชี้ว่าการวางแผนเกิดขึ้นเบื้องหลัง

    การพยายามซื้อ Intel จะต้องผ่านการตรวจสอบด้านกฎระเบียบอย่างละเอียด เนื่องจากบทบาทของบริษัทในการผลิตเซมิคอนดักเตอร์สำหรับการใช้งานทั้งเชิงพาณิชย์และรัฐบาล หน่วยงานกำกับดูแลจะต้องประเมินประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของชาติ ความเสถียรของห่วงโซ่อุปทาน และผลกระทบต่อการแข่งขันในตลาดชิปทั่วโลก

    แม้ว่า Intel และผู้ซื้อที่ไม่ระบุชื่อจะยังไม่ได้ออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการเกี่ยวกับข่าวลือนี้ แต่เรากำลังจับตาดูสัญญาณของการเจรจาอย่างเป็นทางการ การเปลี่ยนแปลงความเป็นเจ้าของของ Intel จะต้องเป็นไปในประเทศ เนื่องจาก Intel เป็นแหล่งสำคัญของภาคเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐฯ หากข้อตกลงเกิดขึ้นจริง จะเป็นหนึ่งในธุรกรรมที่ใหญ่ที่สุดในวงการเทคโนโลยี

    https://www.techpowerup.com/331264/report-intel-could-face-acquisition-units-to-remain-together
    มีรายงานว่า Intel อาจถูกเข้าซื้อกิจการ โดยมีการคาดการณ์ว่าบริษัทที่ไม่ระบุชื่อกำลังพิจารณาการเข้าซื้อกิจการของ Intel Corporation อย่างจริงจัง รายงานจาก SemiAccurate ระบุว่ามีการแชร์บันทึกภายในระหว่างกลุ่มผู้บริหารระดับสูงของบริษัทที่ไม่ระบุชื่อ ซึ่งบันทึกนี้ได้รับการยืนยันความถูกต้องจากแหล่งข่าวภายในระดับสูงเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้เกิดการคาดการณ์ว่าการซื้อกิจการของ Intel อาจอยู่ในระหว่างการพิจารณาอย่างจริงจัง รายงานระบุว่าผู้ซื้อที่มีศักยภาพมีทรัพยากรทางการเงินเพียงพอที่จะซื้อ Intel ได้ทั้งหมด โดยพิจารณาจากมูลค่าตลาดปัจจุบันของบริษัท นอกจากนี้ ผู้ซื้อที่มีศักยภาพนี้ยังไม่เคยถูกระบุชื่อในบทสนทนาก่อนหน้านี้เกี่ยวกับอนาคตของ Intel ซึ่งบ่งชี้ว่าการวางแผนเกิดขึ้นเบื้องหลัง การพยายามซื้อ Intel จะต้องผ่านการตรวจสอบด้านกฎระเบียบอย่างละเอียด เนื่องจากบทบาทของบริษัทในการผลิตเซมิคอนดักเตอร์สำหรับการใช้งานทั้งเชิงพาณิชย์และรัฐบาล หน่วยงานกำกับดูแลจะต้องประเมินประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของชาติ ความเสถียรของห่วงโซ่อุปทาน และผลกระทบต่อการแข่งขันในตลาดชิปทั่วโลก แม้ว่า Intel และผู้ซื้อที่ไม่ระบุชื่อจะยังไม่ได้ออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการเกี่ยวกับข่าวลือนี้ แต่เรากำลังจับตาดูสัญญาณของการเจรจาอย่างเป็นทางการ การเปลี่ยนแปลงความเป็นเจ้าของของ Intel จะต้องเป็นไปในประเทศ เนื่องจาก Intel เป็นแหล่งสำคัญของภาคเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐฯ หากข้อตกลงเกิดขึ้นจริง จะเป็นหนึ่งในธุรกรรมที่ใหญ่ที่สุดในวงการเทคโนโลยี https://www.techpowerup.com/331264/report-intel-could-face-acquisition-units-to-remain-together
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Report: Intel Could Face Acquisition, Units to Remain Together
    Multiple sources say an unidentified corporation is exploring the complete acquisition of Intel Corporation, according to tech publication SemiAccurate. The report points to an internal memo shared among a small group of top executives at the unnamed firm. A high-level insider confirmed the memo's l...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 41 มุมมอง 0 รีวิว
  • Ainex บริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์คอมพิวเตอร์จากญี่ปุ่น ซึ่งได้เปิดตัวแผ่นป้องกัน CPU รุ่น MK-04C สำหรับชิป AM5 ที่ทำจากทองแดง แผ่นป้องกันนี้ช่วยให้การทาแผ่นระบายความร้อน (thermal paste) บน CPU เป็นไปอย่างสะอาดและไม่เลอะเทอะ โดยแผ่นป้องกันนี้จะช่วยให้แผ่นระบายความร้อนที่ทาไม่หลุดออกจากขอบของ CPU มากเกินไป

    Ainex ประกาศผ่านบัญชี X (เดิมคือ Twitter) ว่าแผ่นป้องกันนี้จะวางจำหน่ายในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ และคาดว่าจะมีราคาประมาณ 750 ถึง 880 เยน หรือประมาณ 5 ถึง 6 ดอลลาร์สหรัฐ แม้ว่าจะยังมีแผ่นระบายความร้อนบางส่วนที่อาจหลุดเข้าไปในช่องว่างระหว่างแผ่นป้องกันและ CPU แต่แผ่นป้องกันนี้จะช่วยลดปริมาณที่หลุดออกไปได้มาก

    นอกจากนี้ แผ่นป้องกันนี้ยังสามารถช่วยระบายความร้อนจาก CPU ได้อีกด้วย โดย Ainex ระบุว่าแผ่นป้องกันนี้สามารถลดอุณหภูมิของ CPU ได้ประมาณ 1 ถึง 2 องศาเซลเซียส อย่างไรก็ตาม Ainex ยังไม่ได้ทดสอบการลดอุณหภูมินี้อย่างละเอียด และอาจมีความคลาดเคลื่อนในการวัดผล

    แผ่นป้องกันนี้เป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้ได้ทั่วไป และไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะใช้งานได้กับทุกเครื่องระบายความร้อนในตลาด นอกจากนี้ Ainex ยังระบุว่าไม่รับผิดชอบต่อความเสียหายใดๆ ที่เกิดจากการใช้งานผลิตภัณฑ์นี้

    สำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของ CPU แผ่นป้องกันนี้อาจเป็นทางเลือกที่ดีในการลดความยุ่งยากในการทาแผ่นระบายความร้อนและช่วยระบายความร้อนได้ดีขึ้น

    ลุงเคยเห็นใน youtube ฝรั่งใช้เหมือนกันนะ แต่ลุงดูแล้วน่าจะเป็น Plastic นะ

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/am5-copper-guard-stops-you-from-making-a-mess-on-your-ryzen-cpu-also-improves-heat-dissipation
    Ainex บริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์คอมพิวเตอร์จากญี่ปุ่น ซึ่งได้เปิดตัวแผ่นป้องกัน CPU รุ่น MK-04C สำหรับชิป AM5 ที่ทำจากทองแดง แผ่นป้องกันนี้ช่วยให้การทาแผ่นระบายความร้อน (thermal paste) บน CPU เป็นไปอย่างสะอาดและไม่เลอะเทอะ โดยแผ่นป้องกันนี้จะช่วยให้แผ่นระบายความร้อนที่ทาไม่หลุดออกจากขอบของ CPU มากเกินไป Ainex ประกาศผ่านบัญชี X (เดิมคือ Twitter) ว่าแผ่นป้องกันนี้จะวางจำหน่ายในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ และคาดว่าจะมีราคาประมาณ 750 ถึง 880 เยน หรือประมาณ 5 ถึง 6 ดอลลาร์สหรัฐ แม้ว่าจะยังมีแผ่นระบายความร้อนบางส่วนที่อาจหลุดเข้าไปในช่องว่างระหว่างแผ่นป้องกันและ CPU แต่แผ่นป้องกันนี้จะช่วยลดปริมาณที่หลุดออกไปได้มาก นอกจากนี้ แผ่นป้องกันนี้ยังสามารถช่วยระบายความร้อนจาก CPU ได้อีกด้วย โดย Ainex ระบุว่าแผ่นป้องกันนี้สามารถลดอุณหภูมิของ CPU ได้ประมาณ 1 ถึง 2 องศาเซลเซียส อย่างไรก็ตาม Ainex ยังไม่ได้ทดสอบการลดอุณหภูมินี้อย่างละเอียด และอาจมีความคลาดเคลื่อนในการวัดผล แผ่นป้องกันนี้เป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้ได้ทั่วไป และไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะใช้งานได้กับทุกเครื่องระบายความร้อนในตลาด นอกจากนี้ Ainex ยังระบุว่าไม่รับผิดชอบต่อความเสียหายใดๆ ที่เกิดจากการใช้งานผลิตภัณฑ์นี้ สำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของ CPU แผ่นป้องกันนี้อาจเป็นทางเลือกที่ดีในการลดความยุ่งยากในการทาแผ่นระบายความร้อนและช่วยระบายความร้อนได้ดีขึ้น ลุงเคยเห็นใน youtube ฝรั่งใช้เหมือนกันนะ แต่ลุงดูแล้วน่าจะเป็น Plastic นะ https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/am5-copper-guard-stops-you-from-making-a-mess-on-your-ryzen-cpu-also-improves-heat-dissipation
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 41 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความนี้กล่าวถึงความท้าทายที่ Taiwan Semiconductor Manufacturing Company (TSMC) เผชิญในการขยายการผลิตชิปในสหรัฐอเมริกา แม้ว่ากฎหมายของไต้หวันจะอนุญาตให้ TSMC ส่งออกเทคโนโลยีการผลิตล่าสุดไปยังโรงงานในต่างประเทศได้ แต่การดำเนินการนี้ยังคงมีความซับซ้อนเนื่องจากระยะทางและระบบราชการในสหรัฐอเมริกา

    C.C. Wei ประธานและซีอีโอของ TSMC อธิบายว่า การเพิ่มกำลังการผลิตเทคโนโลยีการผลิตชั้นนำในสหรัฐอเมริกานั้นซับซ้อน เนื่องจากโรงงานในรัฐแอริโซนาอยู่ห่างไกลจากทีมวิจัยและพัฒนาในไต้หวัน ซึ่งจำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีให้เหมาะสมกับเป้าหมายที่กำหนด นอกจากนี้ ระบบราชการในสหรัฐอเมริกายังทำให้การก่อสร้างโรงงานใช้เวลานานกว่าสองเท่าเมื่อเทียบกับไต้หวัน และมีค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติตามกฎระเบียบสูงถึง 35 ล้านดอลลาร์

    นอกจากนี้ การขาดแคลนซัพพลายเชนที่ยืดหยุ่นในสหรัฐอเมริกายังทำให้ TSMC ต้องขนส่งสารเคมีจากไต้หวันไปยังลอสแอนเจลิสและจากนั้นไปยังแอริโซนา ซึ่งเพิ่มค่าใช้จ่ายในการผลิต

    การพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตใหม่ยังต้องเผชิญกับอุปสรรคหลายประการ เช่น การออกแบบโรงงานใหม่เพื่อรองรับเครื่องมือ EUV ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นและการใช้สารเคมีใหม่ที่จำเป็นสำหรับเทคโนโลยีการผลิตใหม่

    การขยายการผลิตชิปในสหรัฐอเมริกายังคงเป็นความท้าทายที่ TSMC ต้องเผชิญ เนื่องจากความซับซ้อนของเทคโนโลยีและระบบราชการที่เข้มงวดในสหรัฐอเมริกา

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/bureaucracy-and-distance-mean-tsmcs-u-s-fabs-may-always-be-behind-taiwan
    บทความนี้กล่าวถึงความท้าทายที่ Taiwan Semiconductor Manufacturing Company (TSMC) เผชิญในการขยายการผลิตชิปในสหรัฐอเมริกา แม้ว่ากฎหมายของไต้หวันจะอนุญาตให้ TSMC ส่งออกเทคโนโลยีการผลิตล่าสุดไปยังโรงงานในต่างประเทศได้ แต่การดำเนินการนี้ยังคงมีความซับซ้อนเนื่องจากระยะทางและระบบราชการในสหรัฐอเมริกา C.C. Wei ประธานและซีอีโอของ TSMC อธิบายว่า การเพิ่มกำลังการผลิตเทคโนโลยีการผลิตชั้นนำในสหรัฐอเมริกานั้นซับซ้อน เนื่องจากโรงงานในรัฐแอริโซนาอยู่ห่างไกลจากทีมวิจัยและพัฒนาในไต้หวัน ซึ่งจำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีให้เหมาะสมกับเป้าหมายที่กำหนด นอกจากนี้ ระบบราชการในสหรัฐอเมริกายังทำให้การก่อสร้างโรงงานใช้เวลานานกว่าสองเท่าเมื่อเทียบกับไต้หวัน และมีค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติตามกฎระเบียบสูงถึง 35 ล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ การขาดแคลนซัพพลายเชนที่ยืดหยุ่นในสหรัฐอเมริกายังทำให้ TSMC ต้องขนส่งสารเคมีจากไต้หวันไปยังลอสแอนเจลิสและจากนั้นไปยังแอริโซนา ซึ่งเพิ่มค่าใช้จ่ายในการผลิต การพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตใหม่ยังต้องเผชิญกับอุปสรรคหลายประการ เช่น การออกแบบโรงงานใหม่เพื่อรองรับเครื่องมือ EUV ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นและการใช้สารเคมีใหม่ที่จำเป็นสำหรับเทคโนโลยีการผลิตใหม่ การขยายการผลิตชิปในสหรัฐอเมริกายังคงเป็นความท้าทายที่ TSMC ต้องเผชิญ เนื่องจากความซับซ้อนของเทคโนโลยีและระบบราชการที่เข้มงวดในสหรัฐอเมริกา https://www.tomshardware.com/tech-industry/bureaucracy-and-distance-mean-tsmcs-u-s-fabs-may-always-be-behind-taiwan
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Bureaucracy and distance mean TSMC's U.S. fabs may always be behind Taiwan
    TSMC says it is close to impossible to ramp up a leading-edge node in the U.S.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 40 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลุงยังไม่มีโอกาสได้ใช้ PCIe 5.0 เลย แผนการพัฒนา PCIe 7.0 ก็กำลีงจะมา

    กลุ่มผู้กำหนดมาตรฐาน PCIe (PCI-SIG) ได้เผยแพร่ร่างข้อกำหนดสำหรับ PCIe 7.0 โดยคาดว่าจะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในปี 2025. PCIe 7.0 มีเป้าหมายที่จะเพิ่มขีดจำกัดของ PCIe 6.0 เป็นสองเท่า โดยมีอัตราบิตดิบสูงสุดที่ 128GT/s และความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลแบบสองทิศทางที่ 512GB/s ในการกำหนดค่าแบบ 16 เลน

    การพัฒนา PCIe 7.0 จะใช้เทคโนโลยี Pulse Amplitude Modulation with 4 levels (PAM4) ซึ่งช่วยให้สามารถเข้ารหัสข้อมูลได้สองบิตต่อรอบนาฬิกา ทำให้เพิ่มอัตราการถ่ายโอนข้อมูลเป็นสองเท่าเมื่อเทียบกับเทคโนโลยีที่ใช้ใน PCIe 4.0 และ PCIe 5.0

    แม้ว่าข้อกำหนด PCIe 7.0 จะได้รับการเผยแพร่ในปี 2025 แต่การนำไปใช้ในตลาดอาจใช้เวลานาน เนื่องจากข้อกำหนด PCIe 5.0 ที่เผยแพร่ในปี 2019 ก็ใช้เวลาถึงปี 2023 กว่าจะมี SSD ที่รองรับ PCIe 5.0 วางจำหน่ายในร้านค้าปลีก

    นอกจากนี้ การพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ยังต้องเผชิญกับอุปสรรคหลายประการ เช่น อุณหภูมิการทำงานที่สูงขึ้น ซึ่งทำให้ต้องมีการระบายความร้อนที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

    การพัฒนา PCIe 7.0 เป็นก้าวสำคัญในการเชื่อมต่อฮาร์ดแวร์ที่ทันสมัยและเพิ่มประสิทธิภาพในการถ่ายโอนข้อมูล ซึ่งจะช่วยให้การพัฒนาเทคโนโลยีในอนาคตไม่ถูกจำกัดโดยข้อกำหนดการเชื่อมต่อ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/pcie-standards-group-releases-draft-specification-for-pcie-7-0-full-release-expected-in-2025
    ลุงยังไม่มีโอกาสได้ใช้ PCIe 5.0 เลย แผนการพัฒนา PCIe 7.0 ก็กำลีงจะมา กลุ่มผู้กำหนดมาตรฐาน PCIe (PCI-SIG) ได้เผยแพร่ร่างข้อกำหนดสำหรับ PCIe 7.0 โดยคาดว่าจะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในปี 2025. PCIe 7.0 มีเป้าหมายที่จะเพิ่มขีดจำกัดของ PCIe 6.0 เป็นสองเท่า โดยมีอัตราบิตดิบสูงสุดที่ 128GT/s และความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลแบบสองทิศทางที่ 512GB/s ในการกำหนดค่าแบบ 16 เลน การพัฒนา PCIe 7.0 จะใช้เทคโนโลยี Pulse Amplitude Modulation with 4 levels (PAM4) ซึ่งช่วยให้สามารถเข้ารหัสข้อมูลได้สองบิตต่อรอบนาฬิกา ทำให้เพิ่มอัตราการถ่ายโอนข้อมูลเป็นสองเท่าเมื่อเทียบกับเทคโนโลยีที่ใช้ใน PCIe 4.0 และ PCIe 5.0 แม้ว่าข้อกำหนด PCIe 7.0 จะได้รับการเผยแพร่ในปี 2025 แต่การนำไปใช้ในตลาดอาจใช้เวลานาน เนื่องจากข้อกำหนด PCIe 5.0 ที่เผยแพร่ในปี 2019 ก็ใช้เวลาถึงปี 2023 กว่าจะมี SSD ที่รองรับ PCIe 5.0 วางจำหน่ายในร้านค้าปลีก นอกจากนี้ การพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ยังต้องเผชิญกับอุปสรรคหลายประการ เช่น อุณหภูมิการทำงานที่สูงขึ้น ซึ่งทำให้ต้องมีการระบายความร้อนที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น การพัฒนา PCIe 7.0 เป็นก้าวสำคัญในการเชื่อมต่อฮาร์ดแวร์ที่ทันสมัยและเพิ่มประสิทธิภาพในการถ่ายโอนข้อมูล ซึ่งจะช่วยให้การพัฒนาเทคโนโลยีในอนาคตไม่ถูกจำกัดโดยข้อกำหนดการเชื่อมต่อ https://www.tomshardware.com/tech-industry/pcie-standards-group-releases-draft-specification-for-pcie-7-0-full-release-expected-in-2025
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 40 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความนี้กล่าวถึงการที่ AI จะไม่เป็นปัจจัยสำคัญในการปฏิวัติการช้อปปิ้งออนไลน์ แต่การช้อปปิ้งแบบถ่ายทอดสด (Live Commerce) จะเป็นปัจจัยสำคัญแทน โดย Live Commerce เป็นการผสมผสานระหว่างการถ่ายทอดสดและการช้อปปิ้งออนไลน์ ซึ่งผู้สร้างเนื้อหาจะนำเสนอสินค้าและอธิบายคุณสมบัติและประโยชน์ของสินค้าให้กับผู้ชมแบบเรียลไทม์ ผู้ชมสามารถเพิ่มสินค้าลงในตะกร้าและซื้อได้ทันที

    Live Commerce มีมูลค่าการตลาดถึง 20 พันล้านดอลลาร์ในปี 2022 และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 55 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2026 นอกจากนี้ยังมีการศึกษาพบว่า Live Commerce ช่วยเพิ่มประสบการณ์การช้อปปิ้งออนไลน์ได้ถึง 60 เปอร์เซ็นต์ ทำให้ผู้บริโภคมีความสนุกสนานและมีส่วนร่วมมากขึ้น

    ผู้เล่นหลักในตลาด Live Commerce ได้แก่ TikTok และ Whatnot ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่เติบโตเร็วที่สุดสำหรับการช้อปปิ้งแบบถ่ายทอดสด โดย Whatnot เน้นสินค้าที่เป็นของสะสม แฟชั่น และสินค้าเฉพาะกลุ่ม

    การเริ่มต้นทำ Live Commerce มีเคล็ดลับสำคัญ 3 ข้อ ได้แก่ การโปรโมตการถ่ายทอดสดล่วงหน้า การตอบคำถามแบบเรียลไทม์ และการมีคำกระตุ้นการตัดสินใจที่ชัดเจน

    ในขณะที่แบรนด์ใหญ่ๆ กำลังไล่ตามเทรนด์ AI แต่กลับสูญเสียความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับผู้บริโภค การช้อปปิ้งแบบถ่ายทอดสดเป็นโอกาสที่ดีในการสร้างความสัมพันธ์ที่มีความหมายกับผู้ชม และเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    https://www.zdnet.com/article/no-ai-wont-revolutionize-shopping-but-this-will/
    บทความนี้กล่าวถึงการที่ AI จะไม่เป็นปัจจัยสำคัญในการปฏิวัติการช้อปปิ้งออนไลน์ แต่การช้อปปิ้งแบบถ่ายทอดสด (Live Commerce) จะเป็นปัจจัยสำคัญแทน โดย Live Commerce เป็นการผสมผสานระหว่างการถ่ายทอดสดและการช้อปปิ้งออนไลน์ ซึ่งผู้สร้างเนื้อหาจะนำเสนอสินค้าและอธิบายคุณสมบัติและประโยชน์ของสินค้าให้กับผู้ชมแบบเรียลไทม์ ผู้ชมสามารถเพิ่มสินค้าลงในตะกร้าและซื้อได้ทันที Live Commerce มีมูลค่าการตลาดถึง 20 พันล้านดอลลาร์ในปี 2022 และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 55 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2026 นอกจากนี้ยังมีการศึกษาพบว่า Live Commerce ช่วยเพิ่มประสบการณ์การช้อปปิ้งออนไลน์ได้ถึง 60 เปอร์เซ็นต์ ทำให้ผู้บริโภคมีความสนุกสนานและมีส่วนร่วมมากขึ้น ผู้เล่นหลักในตลาด Live Commerce ได้แก่ TikTok และ Whatnot ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่เติบโตเร็วที่สุดสำหรับการช้อปปิ้งแบบถ่ายทอดสด โดย Whatnot เน้นสินค้าที่เป็นของสะสม แฟชั่น และสินค้าเฉพาะกลุ่ม การเริ่มต้นทำ Live Commerce มีเคล็ดลับสำคัญ 3 ข้อ ได้แก่ การโปรโมตการถ่ายทอดสดล่วงหน้า การตอบคำถามแบบเรียลไทม์ และการมีคำกระตุ้นการตัดสินใจที่ชัดเจน ในขณะที่แบรนด์ใหญ่ๆ กำลังไล่ตามเทรนด์ AI แต่กลับสูญเสียความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับผู้บริโภค การช้อปปิ้งแบบถ่ายทอดสดเป็นโอกาสที่ดีในการสร้างความสัมพันธ์ที่มีความหมายกับผู้ชม และเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ https://www.zdnet.com/article/no-ai-wont-revolutionize-shopping-but-this-will/
    WWW.ZDNET.COM
    No, AI won't revolutionize shopping - but this will
    As big brands chase the latest AI trends, they're losing touch with their audience - making this the perfect time for you to join a movement that's reshaping e-commerce. Here's how.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 42 มุมมอง 0 รีวิว
  • ในปี 2025 การจัดการ AI ในฐานะพนักงานจะเป็นความท้าทายใหม่สำหรับบริษัทต่าง ๆ โดย AI จะสามารถทำงานร่วมกับมนุษย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และบริษัทจะต้องจัดการทรัพยากรมนุษย์และเครื่องจักร (AI) ร่วมกัน Marco Argenti, CIO ของ Goldman Sachs คาดการณ์ว่าในอนาคตอันใกล้ บริษัทจะต้องจัดการทรัพยากรมนุษย์และเครื่องจักร (AI) ร่วมกัน และอาจมีการ "เลิกจ้าง" AI เมื่อมีโปรแกรมที่มีความสามารถสูงกว่าเข้ามาแทนที่

    นอกจากนี้ AI ที่มีความสามารถสูงสุดจะเป็นเหมือนผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก ที่มีความรู้เฉพาะด้านในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น การเงินและการแพทย์ การพัฒนา AI จะเน้นไปที่การเชื่อมต่อกับแหล่งข้อมูลภายนอก เช่น ฐานข้อมูลและการเรียกใช้ฟังก์ชัน API รวมถึงการฝึกอบรมเพิ่มเติมด้วยข้อมูลเฉพาะด้าน

    https://www.zdnet.com/article/managing-ai-agents-as-employees-is-the-challenge-of-2025-says-goldman-sachs-cio/
    ในปี 2025 การจัดการ AI ในฐานะพนักงานจะเป็นความท้าทายใหม่สำหรับบริษัทต่าง ๆ โดย AI จะสามารถทำงานร่วมกับมนุษย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และบริษัทจะต้องจัดการทรัพยากรมนุษย์และเครื่องจักร (AI) ร่วมกัน Marco Argenti, CIO ของ Goldman Sachs คาดการณ์ว่าในอนาคตอันใกล้ บริษัทจะต้องจัดการทรัพยากรมนุษย์และเครื่องจักร (AI) ร่วมกัน และอาจมีการ "เลิกจ้าง" AI เมื่อมีโปรแกรมที่มีความสามารถสูงกว่าเข้ามาแทนที่ นอกจากนี้ AI ที่มีความสามารถสูงสุดจะเป็นเหมือนผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก ที่มีความรู้เฉพาะด้านในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น การเงินและการแพทย์ การพัฒนา AI จะเน้นไปที่การเชื่อมต่อกับแหล่งข้อมูลภายนอก เช่น ฐานข้อมูลและการเรียกใช้ฟังก์ชัน API รวมถึงการฝึกอบรมเพิ่มเติมด้วยข้อมูลเฉพาะด้าน https://www.zdnet.com/article/managing-ai-agents-as-employees-is-the-challenge-of-2025-says-goldman-sachs-cio/
    WWW.ZDNET.COM
    Managing AI agents as employees is the challenge of 2025, says Goldman Sachs CIO
    There may even be AI 'layoffs' as programs are replaced by more highly capable versions.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 36 มุมมอง 0 รีวิว
  • ChatGPT ใช้น้ำเยอะเกินไปจนไม่พอดับไฟป่าแคลิฟอร์เนียจริงหรือ?

    ในช่วงที่เกิดไฟป่ารุนแรงในแคลิฟอร์เนีย ผู้ใช้โซเชียลมีเดียเริ่มมองหาผู้รับผิดชอบในการดับไฟป่า และมีการกล่าวโทษว่าโมเดล AI อย่าง ChatGPT ใช้น้ำเยอะเกินไปจนทำให้น้ำไม่พอดับไฟป่า โดยมีการรณรงค์ให้ชาวแคลิฟอร์เนียหยุดใช้งาน ChatGPT เพื่อประหยัดน้ำ

    การฝึกโมเดล AI ต้องใช้พลังประมวลผลมหาศาล ซึ่งทำให้เกิดความร้อนสูงและต้องใช้น้ำในการระบายความร้อน ตัวอย่างเช่น หากผู้ใช้ขอให้ ChatGPT เขียนอีเมล 1 ฉบับต่อสัปดาห์ เป็นเวลา 1 ปี ChatGPT จะใช้น้ำ 27 ลิตร และหากชาวอเมริกัน 1 ใน 10 คน หรือ 16 ล้านคนทำเช่นเดียวกันนี้ จะต้องใช้น้ำมากกว่า 435 ล้านลิตร

    อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการน้ำในเขตเมืองออกความเห็นว่า การใช้น้ำของ AI ไม่ใช่ตัวการทำให้มีน้ำไม่พอดับไฟ แต่เป็นเพราะระบบน้ำที่มีอยู่ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อรับมือภัยพิบัติระดับนี้ เหตุไฟไหม้ป่าลอสแองเจลิส แคลิฟอร์เนีย ถือว่ารุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของเมือง โดยมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 25 คน และพื้นที่เสียหายกว่า 40,000 เอเคอร์

    ChatGPT รวมถึงโมเดล AI อื่นๆ มีรอยเท้าคาร์บอนจำนวนมาก ซึ่งส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทำให้เกิดสภาพอากาศแห้งแล้งและอุณหภูมิที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดไฟป่าและลุกลามรวดเร็วเมื่อผนวกกับลมแรง

    การใช้น้ำของ ChatGPT และโมเดล AI อื่นๆ เป็นเรื่องที่น่ากังวล แต่ไม่ใช่สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดไฟป่าและน้ำไม่พอดับไฟ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าการย้ายศูนย์ข้อมูลไปยังพื้นที่ที่อากาศหนาวเย็นกว่าเดิม หรือการใช้เทคโนโลยีการหล่อเย็นแบบจุ่ม (immersion cooling) อาจช่วยลดการใช้น้ำได้

    ในขณะที่นักรณรงค์บนโซเชียลมีเดียบอกว่า หากอยากประหยัดน้ำจริง หยุดใช้ ChatGPT คงไม่พอ คงต้องหยุดใช้โมเดล AI อื่นๆ ด้วย เช่น Claude, Grok, Gemini, Copilot, Midjourney, Leonardo, DALL-E, Firefly, ElevenLabs, Shortwave, Runway, Mem, Suno, Jasper, Notion, Bard, Alphacode, MetaAI, Wordtune และ Stable Diffusion

    การจัดการน้ำในแคลิฟอร์เนียยังคงเป็นปัญหาที่ต้องการการแก้ไขอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะในช่วงที่เกิดภัยพิบัติระดับใหญ่เช่นนี้

    ขอบคุณบทความจากเวบ Thairath ครับ

    https://plus.thairath.co.th/topic/politics&society/105099
    ChatGPT ใช้น้ำเยอะเกินไปจนไม่พอดับไฟป่าแคลิฟอร์เนียจริงหรือ? ในช่วงที่เกิดไฟป่ารุนแรงในแคลิฟอร์เนีย ผู้ใช้โซเชียลมีเดียเริ่มมองหาผู้รับผิดชอบในการดับไฟป่า และมีการกล่าวโทษว่าโมเดล AI อย่าง ChatGPT ใช้น้ำเยอะเกินไปจนทำให้น้ำไม่พอดับไฟป่า โดยมีการรณรงค์ให้ชาวแคลิฟอร์เนียหยุดใช้งาน ChatGPT เพื่อประหยัดน้ำ การฝึกโมเดล AI ต้องใช้พลังประมวลผลมหาศาล ซึ่งทำให้เกิดความร้อนสูงและต้องใช้น้ำในการระบายความร้อน ตัวอย่างเช่น หากผู้ใช้ขอให้ ChatGPT เขียนอีเมล 1 ฉบับต่อสัปดาห์ เป็นเวลา 1 ปี ChatGPT จะใช้น้ำ 27 ลิตร และหากชาวอเมริกัน 1 ใน 10 คน หรือ 16 ล้านคนทำเช่นเดียวกันนี้ จะต้องใช้น้ำมากกว่า 435 ล้านลิตร อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการน้ำในเขตเมืองออกความเห็นว่า การใช้น้ำของ AI ไม่ใช่ตัวการทำให้มีน้ำไม่พอดับไฟ แต่เป็นเพราะระบบน้ำที่มีอยู่ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อรับมือภัยพิบัติระดับนี้ เหตุไฟไหม้ป่าลอสแองเจลิส แคลิฟอร์เนีย ถือว่ารุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของเมือง โดยมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 25 คน และพื้นที่เสียหายกว่า 40,000 เอเคอร์ ChatGPT รวมถึงโมเดล AI อื่นๆ มีรอยเท้าคาร์บอนจำนวนมาก ซึ่งส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทำให้เกิดสภาพอากาศแห้งแล้งและอุณหภูมิที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดไฟป่าและลุกลามรวดเร็วเมื่อผนวกกับลมแรง การใช้น้ำของ ChatGPT และโมเดล AI อื่นๆ เป็นเรื่องที่น่ากังวล แต่ไม่ใช่สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดไฟป่าและน้ำไม่พอดับไฟ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าการย้ายศูนย์ข้อมูลไปยังพื้นที่ที่อากาศหนาวเย็นกว่าเดิม หรือการใช้เทคโนโลยีการหล่อเย็นแบบจุ่ม (immersion cooling) อาจช่วยลดการใช้น้ำได้ ในขณะที่นักรณรงค์บนโซเชียลมีเดียบอกว่า หากอยากประหยัดน้ำจริง หยุดใช้ ChatGPT คงไม่พอ คงต้องหยุดใช้โมเดล AI อื่นๆ ด้วย เช่น Claude, Grok, Gemini, Copilot, Midjourney, Leonardo, DALL-E, Firefly, ElevenLabs, Shortwave, Runway, Mem, Suno, Jasper, Notion, Bard, Alphacode, MetaAI, Wordtune และ Stable Diffusion การจัดการน้ำในแคลิฟอร์เนียยังคงเป็นปัญหาที่ต้องการการแก้ไขอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะในช่วงที่เกิดภัยพิบัติระดับใหญ่เช่นนี้ ขอบคุณบทความจากเวบ Thairath ครับ https://plus.thairath.co.th/topic/politics&society/105099
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 75 มุมมอง 0 รีวิว
  • กองทัพสหรัฐฯ กำลังร่วมมือกับบริษัท Skyryse เพื่อพัฒนาระบบปฏิบัติการใหม่ที่เรียกว่า "SkyOS" ซึ่งจะทำให้เฮลิคอปเตอร์ UH-60 Black Hawk สามารถบินได้ง่ายขึ้นและอาจไม่ต้องมีนักบินบนเครื่อง ระบบนี้ออกแบบมาเพื่อทำให้การควบคุมเฮลิคอปเตอร์เป็นเรื่องง่าย โดยใช้หน้าจอสัมผัสและคอนโทรลเลอร์แบบสติ๊กข้างเดียว

    SkyOS ใช้การแมปภูมิประเทศแบบ 3 มิติอัจฉริยะเพื่อเตือนนักบินถึงอันตราย และสามารถรักษาการลอยตัวได้อย่างมั่นคงด้วยการแตะเพียงครั้งเดียว นอกจากนี้ยังมีระบบสำรองการบินแบบ fly-by-wire ที่มีความน่าเชื่อถือสูง

    ปัจจุบันการฝึกนักบินเฮลิคอปเตอร์ของกองทัพสหรัฐฯ ใช้เวลาประมาณ 2-3 ปี แต่ SkyOS มีเป้าหมายที่จะลดระยะเวลานี้ลงอย่างมาก และอาจทำให้เกือบทุกคนสามารถบินเฮลิคอปเตอร์ได้ด้วยการฝึกพื้นฐาน แม้ว่าจะไม่ใช่เจตนาของกองทัพก็ตาม

    ระบบนี้ยังสามารถทำให้เฮลิคอปเตอร์ Black Hawk บินได้โดยไม่ต้องมีนักบินในภารกิจที่มีความเสี่ยงสูง การติดตั้ง SkyOS ในเฮลิคอปเตอร์จะต้องมีการปรับปรุงฮาร์ดแวร์และการเดินสายไฟใหม่ ซึ่งเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและจะดำเนินการเป็นระยะเวลาหลายปี

    การพัฒนานี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการทำให้การบินเป็นเรื่องง่ายและปลอดภัยยิ่งขึ้น โดยใช้เทคโนโลยีอัตโนมัติและอินเตอร์เฟซอัจฉริยะ

    https://www.techspot.com/news/106380-new-operating-system-could-us-army-black-hawk.html
    กองทัพสหรัฐฯ กำลังร่วมมือกับบริษัท Skyryse เพื่อพัฒนาระบบปฏิบัติการใหม่ที่เรียกว่า "SkyOS" ซึ่งจะทำให้เฮลิคอปเตอร์ UH-60 Black Hawk สามารถบินได้ง่ายขึ้นและอาจไม่ต้องมีนักบินบนเครื่อง ระบบนี้ออกแบบมาเพื่อทำให้การควบคุมเฮลิคอปเตอร์เป็นเรื่องง่าย โดยใช้หน้าจอสัมผัสและคอนโทรลเลอร์แบบสติ๊กข้างเดียว SkyOS ใช้การแมปภูมิประเทศแบบ 3 มิติอัจฉริยะเพื่อเตือนนักบินถึงอันตราย และสามารถรักษาการลอยตัวได้อย่างมั่นคงด้วยการแตะเพียงครั้งเดียว นอกจากนี้ยังมีระบบสำรองการบินแบบ fly-by-wire ที่มีความน่าเชื่อถือสูง ปัจจุบันการฝึกนักบินเฮลิคอปเตอร์ของกองทัพสหรัฐฯ ใช้เวลาประมาณ 2-3 ปี แต่ SkyOS มีเป้าหมายที่จะลดระยะเวลานี้ลงอย่างมาก และอาจทำให้เกือบทุกคนสามารถบินเฮลิคอปเตอร์ได้ด้วยการฝึกพื้นฐาน แม้ว่าจะไม่ใช่เจตนาของกองทัพก็ตาม ระบบนี้ยังสามารถทำให้เฮลิคอปเตอร์ Black Hawk บินได้โดยไม่ต้องมีนักบินในภารกิจที่มีความเสี่ยงสูง การติดตั้ง SkyOS ในเฮลิคอปเตอร์จะต้องมีการปรับปรุงฮาร์ดแวร์และการเดินสายไฟใหม่ ซึ่งเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและจะดำเนินการเป็นระยะเวลาหลายปี การพัฒนานี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการทำให้การบินเป็นเรื่องง่ายและปลอดภัยยิ่งขึ้น โดยใช้เทคโนโลยีอัตโนมัติและอินเตอร์เฟซอัจฉริยะ https://www.techspot.com/news/106380-new-operating-system-could-us-army-black-hawk.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    New operating system could let US army Black Hawk helicopters be piloted with basic training
    The US Army is teaming up with a company called Skyryse to make their massive fleet of over 2,100 UH-60 Black Hawks significantly smarter and easier to operate.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 67 มุมมอง 0 รีวิว
  • กองทัพสวีเดนได้ประกาศเปิดตัวเทคโนโลยีฝูงโดรนที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งสามารถควบคุมโดรนได้ถึง 100 เครื่องโดยผู้ควบคุมเพียงคนเดียว ระบบนี้พัฒนาโดยความร่วมมือกับบริษัท Saab ผู้ผลิตเครื่องบินรบ Saab JAS 39 Gripen และใช้เวลาเพียง 12 เดือนในการสร้าง

    หน่วยทหารราบ I 13 ที่ตั้งอยู่ในเมืองฟาลุน สวีเดน จะเป็นหน่วยแรกที่ได้รับเทคโนโลยีนี้ และคาดว่าจะมีการทดสอบในระหว่างการฝึกซ้อมทางทหาร Arctic Strike ในเดือนมีนาคมที่จะถึงนี้ การพัฒนานี้เป็นผลมาจากการใช้โดรนอย่างแพร่หลายในสงครามรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งเทคโนโลยีได้พัฒนาอย่างรวดเร็วเพื่อช่วยให้ยูเครนป้องกันการรุกราน

    ข้อได้เปรียบใหญ่ของระบบนี้คือไม่จำเป็นต้องใช้โดรนที่ออกแบบมาเฉพาะทางทหาร สามารถติดตั้งบนโดรนที่มีจำหน่ายในท้องตลาดและเปลี่ยนให้เป็นฝูงโดรนที่ทำงานร่วมกันได้อย่างอัตโนมัติ โดรนเหล่านี้สามารถใช้ในการสอดแนมและกลับมาชาร์จพลังงานเองเมื่อถึงขีดจำกัดของระยะการทำงาน

    นอกจากนี้ ระบบยังสามารถอัปเดตและเปลี่ยนแปลงซอฟต์แวร์ให้ตรงกับความต้องการของกองทัพได้ และมีการเสนอว่าอาจจะอัปเกรดให้โดรนสามารถบรรทุกระเบิดได้ ซึ่งจะทำให้สามารถโจมตีได้โดยไม่ต้องมีนักบินโดรนที่มีทักษะสูง

    แม้ว่าเทคโนโลยีนี้จะดูมีประสิทธิภาพ แต่ก็มีความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยในการใช้งาน โดยหวังว่า Saab และกองทัพสวีเดนจะเพิ่มมาตรการความปลอดภัยในโปรแกรมของฝูงโดรน AI นี้ก่อนที่จะนำไปใช้ในการโจมตี

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/swedish-armys-new-ai-drone-swarm-technology-can-control-up-to-100-devices
    กองทัพสวีเดนได้ประกาศเปิดตัวเทคโนโลยีฝูงโดรนที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งสามารถควบคุมโดรนได้ถึง 100 เครื่องโดยผู้ควบคุมเพียงคนเดียว ระบบนี้พัฒนาโดยความร่วมมือกับบริษัท Saab ผู้ผลิตเครื่องบินรบ Saab JAS 39 Gripen และใช้เวลาเพียง 12 เดือนในการสร้าง หน่วยทหารราบ I 13 ที่ตั้งอยู่ในเมืองฟาลุน สวีเดน จะเป็นหน่วยแรกที่ได้รับเทคโนโลยีนี้ และคาดว่าจะมีการทดสอบในระหว่างการฝึกซ้อมทางทหาร Arctic Strike ในเดือนมีนาคมที่จะถึงนี้ การพัฒนานี้เป็นผลมาจากการใช้โดรนอย่างแพร่หลายในสงครามรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งเทคโนโลยีได้พัฒนาอย่างรวดเร็วเพื่อช่วยให้ยูเครนป้องกันการรุกราน ข้อได้เปรียบใหญ่ของระบบนี้คือไม่จำเป็นต้องใช้โดรนที่ออกแบบมาเฉพาะทางทหาร สามารถติดตั้งบนโดรนที่มีจำหน่ายในท้องตลาดและเปลี่ยนให้เป็นฝูงโดรนที่ทำงานร่วมกันได้อย่างอัตโนมัติ โดรนเหล่านี้สามารถใช้ในการสอดแนมและกลับมาชาร์จพลังงานเองเมื่อถึงขีดจำกัดของระยะการทำงาน นอกจากนี้ ระบบยังสามารถอัปเดตและเปลี่ยนแปลงซอฟต์แวร์ให้ตรงกับความต้องการของกองทัพได้ และมีการเสนอว่าอาจจะอัปเกรดให้โดรนสามารถบรรทุกระเบิดได้ ซึ่งจะทำให้สามารถโจมตีได้โดยไม่ต้องมีนักบินโดรนที่มีทักษะสูง แม้ว่าเทคโนโลยีนี้จะดูมีประสิทธิภาพ แต่ก็มีความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยในการใช้งาน โดยหวังว่า Saab และกองทัพสวีเดนจะเพิ่มมาตรการความปลอดภัยในโปรแกรมของฝูงโดรน AI นี้ก่อนที่จะนำไปใช้ในการโจมตี https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/swedish-armys-new-ai-drone-swarm-technology-can-control-up-to-100-devices
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 72 มุมมอง 0 รีวิว
  • ช่องโหว่ในปลั๊กอิน W3 Total Cache ทำให้เว็บไซต์ WordPress กว่า 1 ล้านแห่งเสี่ยงต่อการถูกโจมตี

    นักวิจัยด้านความปลอดภัยได้ค้นพบช่องโหว่ร้ายแรงในปลั๊กอิน W3 Total Cache ที่ติดตั้งบนเว็บไซต์ WordPress กว่า 1 ล้านแห่ง ช่องโหว่นี้สามารถเปิดโอกาสให้ผู้โจมตีเข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ รวมถึงเมตาดาต้าของแอปพลิเคชันบนคลาวด์

    ปลั๊กอิน W3 Total Cache ใช้เทคนิคการแคชหลายรูปแบบเพื่อเพิ่มความเร็วของเว็บไซต์ ลดเวลาในการโหลด และปรับปรุงอันดับ SEO ของเว็บไซต์ ช่องโหว่นี้ถูกติดตามในชื่อ CVE-2024-12365 แม้ว่านักพัฒนาจะออกแพตช์แก้ไขในเวอร์ชันล่าสุด 2.8.2 แต่ยังมีเว็บไซต์หลายแสนแห่งที่ยังไม่ได้ติดตั้งเวอร์ชันที่แก้ไขแล้ว

    ปัญหานี้เกิดจากการขาดการตรวจสอบความสามารถในฟังก์ชัน 'is_w3tc_admin_page' ในทุกเวอร์ชันจนถึงเวอร์ชันล่าสุด 2.8.2 ช่องโหว่นี้ทำให้สามารถเข้าถึงค่า nonce ของปลั๊กอินและดำเนินการที่ไม่ได้รับอนุญาตได้ การโจมตีช่องโหว่นี้เป็นไปได้หากผู้โจมตีมีการยืนยันตัวตนและมีสิทธิ์ระดับ subscriber ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่ง่ายต่อการบรรลุ

    ความเสี่ยงหลักที่เกิดจากการโจมตี CVE-2024-12365 ได้แก่:
    - Server-Side Request Forgery (SSRF): ทำให้สามารถส่งคำขอเว็บที่อาจเปิดเผยข้อมูลที่ละเอียดอ่อน รวมถึงเมตาดาต้าของแอปพลิเคชันบนคลาวด์
    - การเปิดเผยข้อมูล
    - การใช้บริการเกินขีดจำกัด: ทำให้ประสิทธิภาพของเว็บไซต์ลดลงและเพิ่มค่าใช้จ่าย

    ผู้โจมตีสามารถใช้โครงสร้างพื้นฐานของเว็บไซต์เพื่อส่งคำขอไปยังบริการอื่น ๆ และใช้ข้อมูลที่รวบรวมได้เพื่อดำเนินการโจมตีเพิ่มเติม

    การดำเนินการที่ดีที่สุดสำหรับผู้ใช้ที่ได้รับผลกระทบคือการอัปเกรดเป็นเวอร์ชันล่าสุดของ W3 Total Cache เวอร์ชัน 2.8.2 ซึ่งแก้ไขช่องโหว่นี้แล้ว สถิติการดาวน์โหลดจาก wordpress.orgแสดงให้เห็นว่ามีเว็บไซต์ประมาณ 150,000 แห่งที่ติดตั้งปลั๊กอินหลังจากนักพัฒนาออกอัปเดตล่าสุด ทำให้ยังมีเว็บไซต์ WordPress หลายแสนแห่งที่ยังคงเสี่ยงต่อการถูกโจมตี

    คำแนะนำทั่วไปสำหรับเจ้าของเว็บไซต์คือหลีกเลี่ยงการติดตั้งปลั๊กอินมากเกินไปและลบผลิตภัณฑ์ที่ไม่จำเป็นออก นอกจากนี้ ไฟร์วอลล์แอปพลิเคชันเว็บยังสามารถช่วยระบุและบล็อกความพยายามในการโจมตีได้

    https://www.bleepingcomputer.com/news/security/w3-total-cache-plugin-flaw-exposes-1-million-wordpress-sites-to-attacks/
    ช่องโหว่ในปลั๊กอิน W3 Total Cache ทำให้เว็บไซต์ WordPress กว่า 1 ล้านแห่งเสี่ยงต่อการถูกโจมตี นักวิจัยด้านความปลอดภัยได้ค้นพบช่องโหว่ร้ายแรงในปลั๊กอิน W3 Total Cache ที่ติดตั้งบนเว็บไซต์ WordPress กว่า 1 ล้านแห่ง ช่องโหว่นี้สามารถเปิดโอกาสให้ผู้โจมตีเข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ รวมถึงเมตาดาต้าของแอปพลิเคชันบนคลาวด์ ปลั๊กอิน W3 Total Cache ใช้เทคนิคการแคชหลายรูปแบบเพื่อเพิ่มความเร็วของเว็บไซต์ ลดเวลาในการโหลด และปรับปรุงอันดับ SEO ของเว็บไซต์ ช่องโหว่นี้ถูกติดตามในชื่อ CVE-2024-12365 แม้ว่านักพัฒนาจะออกแพตช์แก้ไขในเวอร์ชันล่าสุด 2.8.2 แต่ยังมีเว็บไซต์หลายแสนแห่งที่ยังไม่ได้ติดตั้งเวอร์ชันที่แก้ไขแล้ว ปัญหานี้เกิดจากการขาดการตรวจสอบความสามารถในฟังก์ชัน 'is_w3tc_admin_page' ในทุกเวอร์ชันจนถึงเวอร์ชันล่าสุด 2.8.2 ช่องโหว่นี้ทำให้สามารถเข้าถึงค่า nonce ของปลั๊กอินและดำเนินการที่ไม่ได้รับอนุญาตได้ การโจมตีช่องโหว่นี้เป็นไปได้หากผู้โจมตีมีการยืนยันตัวตนและมีสิทธิ์ระดับ subscriber ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่ง่ายต่อการบรรลุ ความเสี่ยงหลักที่เกิดจากการโจมตี CVE-2024-12365 ได้แก่: - Server-Side Request Forgery (SSRF): ทำให้สามารถส่งคำขอเว็บที่อาจเปิดเผยข้อมูลที่ละเอียดอ่อน รวมถึงเมตาดาต้าของแอปพลิเคชันบนคลาวด์ - การเปิดเผยข้อมูล - การใช้บริการเกินขีดจำกัด: ทำให้ประสิทธิภาพของเว็บไซต์ลดลงและเพิ่มค่าใช้จ่าย ผู้โจมตีสามารถใช้โครงสร้างพื้นฐานของเว็บไซต์เพื่อส่งคำขอไปยังบริการอื่น ๆ และใช้ข้อมูลที่รวบรวมได้เพื่อดำเนินการโจมตีเพิ่มเติม การดำเนินการที่ดีที่สุดสำหรับผู้ใช้ที่ได้รับผลกระทบคือการอัปเกรดเป็นเวอร์ชันล่าสุดของ W3 Total Cache เวอร์ชัน 2.8.2 ซึ่งแก้ไขช่องโหว่นี้แล้ว สถิติการดาวน์โหลดจาก wordpress.orgแสดงให้เห็นว่ามีเว็บไซต์ประมาณ 150,000 แห่งที่ติดตั้งปลั๊กอินหลังจากนักพัฒนาออกอัปเดตล่าสุด ทำให้ยังมีเว็บไซต์ WordPress หลายแสนแห่งที่ยังคงเสี่ยงต่อการถูกโจมตี คำแนะนำทั่วไปสำหรับเจ้าของเว็บไซต์คือหลีกเลี่ยงการติดตั้งปลั๊กอินมากเกินไปและลบผลิตภัณฑ์ที่ไม่จำเป็นออก นอกจากนี้ ไฟร์วอลล์แอปพลิเคชันเว็บยังสามารถช่วยระบุและบล็อกความพยายามในการโจมตีได้ https://www.bleepingcomputer.com/news/security/w3-total-cache-plugin-flaw-exposes-1-million-wordpress-sites-to-attacks/
    WWW.BLEEPINGCOMPUTER.COM
    W3 Total Cache plugin flaw exposes 1 million WordPress sites to attacks
    A severe flaw in the W3 Total Cache plugin installed on more than one million WordPress sites could give attackers access to various information, including metadata on cloud-based apps.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 58 มุมมอง 0 รีวิว
  • กลุ่มแฮกเกอร์ใหม่ที่เรียกว่า "Belsen Group" ได้เผยแพร่ไฟล์การตั้งค่า, ที่อยู่ IP และข้อมูลรับรอง VPN ของอุปกรณ์ FortiGate กว่า 15,000 เครื่องบนเว็บมืด ทำให้ข้อมูลทางเทคนิคที่สำคัญถูกเปิดเผยต่ออาชญากรไซเบอร์อื่น ๆ

    ข้อมูลที่ถูกเผยแพร่ประกอบด้วยไฟล์การตั้งค่า (configuration.conf) และไฟล์รหัสผ่าน VPN (vpn-passwords.txt) ซึ่งบางส่วนมีรหัสผ่านที่เป็นข้อความธรรมดา ข้อมูลเหล่านี้ยังมีข้อมูลสำคัญ เช่น กุญแจส่วนตัวและกฎของไฟร์วอลล์

    การรั่วไหลนี้เชื่อมโยงกับช่องโหว่ CVE-2022-40684 ที่ถูกใช้ในการโจมตีก่อนที่จะมีการแก้ไขในปี 2022 โดย Fortinet ได้เตือนว่าผู้โจมตีใช้ช่องโหว่นี้เพื่อดาวน์โหลดไฟล์การตั้งค่าจากอุปกรณ์ FortiGate และเพิ่มบัญชีผู้ดูแลระบบที่เป็นอันตราย

    แม้ว่าข้อมูลการตั้งค่าเหล่านี้จะถูกเก็บรวบรวมในปี 2022 แต่ยังคงเปิดเผยข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับการป้องกันเครือข่าย เช่น กฎของไฟร์วอลล์และข้อมูลรับรองที่ควรเปลี่ยนทันทีหากยังไม่ได้เปลี่ยน

    Kevin Beaumont ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์กล่าวว่าเขาวางแผนที่จะเผยแพร่รายการที่อยู่ IP ในการรั่วไหลนี้เพื่อให้ผู้ดูแลระบบ FortiGate สามารถตรวจสอบว่าตนเองได้รับผลกระทบหรือไม่

    การรั่วไหลนี้เป็นการเตือนให้ผู้ใช้ตรวจสอบและอัปเดตระบบของตนอย่างสม่ำเสมอเพื่อป้องกันการโจมตีที่อาจเกิดขึ้นจากช่องโหว่ในซอฟต์แวร์

    https://www.bleepingcomputer.com/news/security/hackers-leak-configs-and-vpn-credentials-for-15-000-fortigate-devices/
    กลุ่มแฮกเกอร์ใหม่ที่เรียกว่า "Belsen Group" ได้เผยแพร่ไฟล์การตั้งค่า, ที่อยู่ IP และข้อมูลรับรอง VPN ของอุปกรณ์ FortiGate กว่า 15,000 เครื่องบนเว็บมืด ทำให้ข้อมูลทางเทคนิคที่สำคัญถูกเปิดเผยต่ออาชญากรไซเบอร์อื่น ๆ ข้อมูลที่ถูกเผยแพร่ประกอบด้วยไฟล์การตั้งค่า (configuration.conf) และไฟล์รหัสผ่าน VPN (vpn-passwords.txt) ซึ่งบางส่วนมีรหัสผ่านที่เป็นข้อความธรรมดา ข้อมูลเหล่านี้ยังมีข้อมูลสำคัญ เช่น กุญแจส่วนตัวและกฎของไฟร์วอลล์ การรั่วไหลนี้เชื่อมโยงกับช่องโหว่ CVE-2022-40684 ที่ถูกใช้ในการโจมตีก่อนที่จะมีการแก้ไขในปี 2022 โดย Fortinet ได้เตือนว่าผู้โจมตีใช้ช่องโหว่นี้เพื่อดาวน์โหลดไฟล์การตั้งค่าจากอุปกรณ์ FortiGate และเพิ่มบัญชีผู้ดูแลระบบที่เป็นอันตราย แม้ว่าข้อมูลการตั้งค่าเหล่านี้จะถูกเก็บรวบรวมในปี 2022 แต่ยังคงเปิดเผยข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับการป้องกันเครือข่าย เช่น กฎของไฟร์วอลล์และข้อมูลรับรองที่ควรเปลี่ยนทันทีหากยังไม่ได้เปลี่ยน Kevin Beaumont ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์กล่าวว่าเขาวางแผนที่จะเผยแพร่รายการที่อยู่ IP ในการรั่วไหลนี้เพื่อให้ผู้ดูแลระบบ FortiGate สามารถตรวจสอบว่าตนเองได้รับผลกระทบหรือไม่ การรั่วไหลนี้เป็นการเตือนให้ผู้ใช้ตรวจสอบและอัปเดตระบบของตนอย่างสม่ำเสมอเพื่อป้องกันการโจมตีที่อาจเกิดขึ้นจากช่องโหว่ในซอฟต์แวร์ https://www.bleepingcomputer.com/news/security/hackers-leak-configs-and-vpn-credentials-for-15-000-fortigate-devices/
    WWW.BLEEPINGCOMPUTER.COM
    Hackers leak configs and VPN credentials for 15,000 FortiGate devices
    A new hacking group has leaked the configuration files, IP addresses, and VPN credentials for over 15,000 FortiGate devices for free on the dark web, exposing a great deal of sensitive technical information to other cybercriminals.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 64 มุมมอง 0 รีวิว
  • นักวิจัยด้านความปลอดภัยได้ค้นพบช่องโหว่ใหม่ใน UEFI Secure Boot ที่สามารถถูกใช้ในการติดตั้ง Bootkits แม้ว่าจะเปิดใช้งานการป้องกัน Secure Boot อยู่ก็ตาม ช่องโหว่นี้ถูกติดตามในชื่อ CVE-2024-7344 และมีผลกระทบต่อแอปพลิเคชันที่ได้รับการรับรองโดย Microsoft

    ปัญหานี้เกิดจากการที่แอปพลิเคชันใช้ตัวโหลด PE แบบกำหนดเอง ซึ่งอนุญาตให้โหลดไบนารี UEFI ใด ๆ ก็ได้ แม้ว่าจะไม่ได้รับการรับรองก็ตาม โดยเฉพาะแอปพลิเคชันที่มีช่องโหว่นี้ไม่ใช้บริการที่เชื่อถือได้เช่น 'LoadImage' และ 'StartImage' ที่ตรวจสอบไบนารีกับฐานข้อมูลความเชื่อถือ (db) และฐานข้อมูลการเพิกถอน (dbx)

    ช่องโหว่นี้มีผลกระทบต่อแอปพลิเคชัน UEFI ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยในการกู้คืนระบบ การบำรุงรักษาดิสก์ หรือการสำรองข้อมูล และไม่ได้เป็นแอปพลิเคชัน UEFI ทั่วไป ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับผลกระทบได้แก่ Howyar SysReturn, Greenware GreenGuard, Radix SmartRecovery, Sanfong EZ-back System, WASAY eRecoveryRX, CES NeoImpact และ SignalComputer HDD King

    Microsoft ได้ออกแพตช์สำหรับ CVE-2024-7344 และเพิกถอนใบรับรองของแอปพลิเคชัน UEFI ที่มีช่องโหว่ในวันที่ 14 มกราคม 2025 การแก้ไขนี้จะถูกนำไปใช้โดยอัตโนมัติสำหรับผู้ใช้ที่ติดตั้งการอัปเดต Windows ล่าสุด

    การค้นพบนี้เป็นการเตือนให้ผู้ใช้ตรวจสอบและอัปเดตระบบของตนอย่างสม่ำเสมอเพื่อป้องกันการโจมตีที่อาจเกิดขึ้นจากช่องโหว่ในซอฟต์แวร์

    https://www.bleepingcomputer.com/news/security/new-uefi-secure-boot-flaw-exposes-systems-to-bootkits-patch-now/
    นักวิจัยด้านความปลอดภัยได้ค้นพบช่องโหว่ใหม่ใน UEFI Secure Boot ที่สามารถถูกใช้ในการติดตั้ง Bootkits แม้ว่าจะเปิดใช้งานการป้องกัน Secure Boot อยู่ก็ตาม ช่องโหว่นี้ถูกติดตามในชื่อ CVE-2024-7344 และมีผลกระทบต่อแอปพลิเคชันที่ได้รับการรับรองโดย Microsoft ปัญหานี้เกิดจากการที่แอปพลิเคชันใช้ตัวโหลด PE แบบกำหนดเอง ซึ่งอนุญาตให้โหลดไบนารี UEFI ใด ๆ ก็ได้ แม้ว่าจะไม่ได้รับการรับรองก็ตาม โดยเฉพาะแอปพลิเคชันที่มีช่องโหว่นี้ไม่ใช้บริการที่เชื่อถือได้เช่น 'LoadImage' และ 'StartImage' ที่ตรวจสอบไบนารีกับฐานข้อมูลความเชื่อถือ (db) และฐานข้อมูลการเพิกถอน (dbx) ช่องโหว่นี้มีผลกระทบต่อแอปพลิเคชัน UEFI ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยในการกู้คืนระบบ การบำรุงรักษาดิสก์ หรือการสำรองข้อมูล และไม่ได้เป็นแอปพลิเคชัน UEFI ทั่วไป ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับผลกระทบได้แก่ Howyar SysReturn, Greenware GreenGuard, Radix SmartRecovery, Sanfong EZ-back System, WASAY eRecoveryRX, CES NeoImpact และ SignalComputer HDD King Microsoft ได้ออกแพตช์สำหรับ CVE-2024-7344 และเพิกถอนใบรับรองของแอปพลิเคชัน UEFI ที่มีช่องโหว่ในวันที่ 14 มกราคม 2025 การแก้ไขนี้จะถูกนำไปใช้โดยอัตโนมัติสำหรับผู้ใช้ที่ติดตั้งการอัปเดต Windows ล่าสุด การค้นพบนี้เป็นการเตือนให้ผู้ใช้ตรวจสอบและอัปเดตระบบของตนอย่างสม่ำเสมอเพื่อป้องกันการโจมตีที่อาจเกิดขึ้นจากช่องโหว่ในซอฟต์แวร์ https://www.bleepingcomputer.com/news/security/new-uefi-secure-boot-flaw-exposes-systems-to-bootkits-patch-now/
    WWW.BLEEPINGCOMPUTER.COM
    New UEFI Secure Boot flaw exposes systems to bootkits, patch now
    A new UEFI Secure Boot bypass vulnerability tracked as CVE-2024-7344 that affects a Microsoft-signed application could be exploited to deploy bootkits even if Secure Boot protection is active.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 66 มุมมอง 0 รีวิว
  • Goldman Sachs ได้ออกมาคาดการณ์ว่า Tesla จะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์สำหรับธุรกิจ Robotaxi ในครึ่งหลังของปี 2026 โดยจะใช้การช่วยเหลือจากระยะไกลและการกำหนดขอบเขตการทำงาน (Geofencing) การช่วยเหลือจากระยะไกล (Remote Assistance) หมายถึงการใช้มนุษย์ช่วยในการควบคุมหรือแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นกับระบบขับขี่อัตโนมัติของรถยนต์ เช่น การช่วยเหลือในการตัดสินใจเมื่อระบบขับขี่อัตโนมัติไม่สามารถทำงานได้อย่างถูกต้องหรือปลอดภัยในบางสถานการณ์ ซึ่งเป็นแนวทางที่คล้ายกับที่ใช้โดย Robotaxi ของคู่แข่งในปัจจุบัน

    Mark Delaney นักวิเคราะห์จาก Goldman Sachs ได้กล่าวถึงการปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบขับขี่อัตโนมัติ (FSD) รุ่นที่ 13 ของ Tesla ว่ามีการปรับปรุงอย่างมีนัยสำคัญ โดยอ้างอิงจากการทดสอบล่าสุด ข้อมูลจากผู้ใช้ และการรีวิวจากบุคคลที่สาม อย่างไรก็ตาม Tesla ยังคงตามหลัง Waymo ซึ่งมีการให้บริการ Robotaxi บนเส้นทางที่กำหนดขอบเขตการทำงานอย่างเข้มงวด

    Delaney ยังระบุว่า FSD ของ Tesla ยังต้องการการปรับปรุงเพิ่มเติมเพื่อให้สามารถขับขี่ได้โดยไม่ต้องใช้สายตาในสถานการณ์ต่าง ๆ เช่น บนทางหลวงในสภาพอากาศที่ดี หรือการขับขี่ในระดับ 3 ของการขับขี่อัตโนมัติ

    Goldman Sachs คาดว่า Tesla จะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์สำหรับธุรกิจ Robotaxi ในครึ่งหลังของปี 2026 โดยใช้การช่วยเหลือจากระยะไกลและการกำหนดขอบเขตการทำงาน ซึ่งจะช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพทางเทคนิคของซอฟต์แวร์ FSD ของ Tesla แม้ว่าจะจำกัดอัตราการขยายตัวในช่วงไม่กี่ปีข้างหน้า

    นอกจากนี้ Morgan Stanley นักวิเคราะห์ Adam Jonas ได้เพิ่มเป้าหมายราคาหุ้นของ Tesla จาก $400 เป็น $430 แต่ยังคงไม่คาดหวังว่าจะมีการใช้งาน Robotaxi อย่างมีนัยสำคัญจนถึงปี 2032

    https://wccftech.com/goldman-sachs-tesla-robotaxi-business-to-begin-commercial-operations-in-2h26-will-use-remote-assistance-and-geofencing/
    Goldman Sachs ได้ออกมาคาดการณ์ว่า Tesla จะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์สำหรับธุรกิจ Robotaxi ในครึ่งหลังของปี 2026 โดยจะใช้การช่วยเหลือจากระยะไกลและการกำหนดขอบเขตการทำงาน (Geofencing) การช่วยเหลือจากระยะไกล (Remote Assistance) หมายถึงการใช้มนุษย์ช่วยในการควบคุมหรือแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นกับระบบขับขี่อัตโนมัติของรถยนต์ เช่น การช่วยเหลือในการตัดสินใจเมื่อระบบขับขี่อัตโนมัติไม่สามารถทำงานได้อย่างถูกต้องหรือปลอดภัยในบางสถานการณ์ ซึ่งเป็นแนวทางที่คล้ายกับที่ใช้โดย Robotaxi ของคู่แข่งในปัจจุบัน Mark Delaney นักวิเคราะห์จาก Goldman Sachs ได้กล่าวถึงการปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบขับขี่อัตโนมัติ (FSD) รุ่นที่ 13 ของ Tesla ว่ามีการปรับปรุงอย่างมีนัยสำคัญ โดยอ้างอิงจากการทดสอบล่าสุด ข้อมูลจากผู้ใช้ และการรีวิวจากบุคคลที่สาม อย่างไรก็ตาม Tesla ยังคงตามหลัง Waymo ซึ่งมีการให้บริการ Robotaxi บนเส้นทางที่กำหนดขอบเขตการทำงานอย่างเข้มงวด Delaney ยังระบุว่า FSD ของ Tesla ยังต้องการการปรับปรุงเพิ่มเติมเพื่อให้สามารถขับขี่ได้โดยไม่ต้องใช้สายตาในสถานการณ์ต่าง ๆ เช่น บนทางหลวงในสภาพอากาศที่ดี หรือการขับขี่ในระดับ 3 ของการขับขี่อัตโนมัติ Goldman Sachs คาดว่า Tesla จะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์สำหรับธุรกิจ Robotaxi ในครึ่งหลังของปี 2026 โดยใช้การช่วยเหลือจากระยะไกลและการกำหนดขอบเขตการทำงาน ซึ่งจะช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพทางเทคนิคของซอฟต์แวร์ FSD ของ Tesla แม้ว่าจะจำกัดอัตราการขยายตัวในช่วงไม่กี่ปีข้างหน้า นอกจากนี้ Morgan Stanley นักวิเคราะห์ Adam Jonas ได้เพิ่มเป้าหมายราคาหุ้นของ Tesla จาก $400 เป็น $430 แต่ยังคงไม่คาดหวังว่าจะมีการใช้งาน Robotaxi อย่างมีนัยสำคัญจนถึงปี 2032 https://wccftech.com/goldman-sachs-tesla-robotaxi-business-to-begin-commercial-operations-in-2h26-will-use-remote-assistance-and-geofencing/
    WCCFTECH.COM
    Goldman Sachs: "Tesla's Robotaxi Business To Begin Commercial Operations In 2H26," Will "Use Remote Assistance And Geofencing"
    Goldman Sachs analyst Mark Delaney touts the "meaningfully improved" performance of the just-released version 13 of Tesla's FSD.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 62 มุมมอง 0 รีวิว
  • AMD ได้เปิดตัวโปรเซสเซอร์รุ่นใหม่ในตระกูล Ryzen Threadripper 9000 ที่มีชื่อรหัสว่า "Shimada Peak" โดยมีการเปิดเผยข้อมูลจากเอกสารการขนส่งที่แสดงให้เห็นถึงรุ่นที่มีคอร์ 96, 64, 32 และ 16 คอร์ โปรเซสเซอร์รุ่นใหม่นี้ใช้สถาปัตยกรรม Zen 5 และมีการออกแบบที่สามารถรองรับการทำงานที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในกลุ่ม HEDT (High-End Desktop)

    โปรเซสเซอร์ Ryzen Threadripper 9000 จะมาแทนที่รุ่น Threadripper 7000 ที่ใช้สถาปัตยกรรม Zen 4 โดยรุ่นที่มีคอร์สูงสุดจะมี 96 คอร์และ 192 เธรด ซึ่งประกอบด้วย 12 CCDs (Core Complex Dies) แต่ละตัวมี 8 คอร์ และมีแคช L3 ขนาด 32 MB ต่อ CCD และมี IO die หนึ่งตัว

    นอกจากนี้ยังมีรุ่นที่มีคอร์ 64 และ 32 คอร์ ซึ่งคาดว่าจะมี CCDs 8 ตัวและ 4 ตัวตามลำดับ โดยทุกรุ่นในตระกูล Shimada Peak จะมี TDP (Thermal Design Power) ที่ 350W และมีสเปคที่คล้ายกับรุ่น Zen 4 แต่มีการปรับปรุงในด้านกระบวนการผลิตและสถาปัตยกรรมคอร์

    AMD คาดว่าจะเปิดตัวโปรเซสเซอร์ Ryzen Threadripper 9000 ในปี 2025 โดยมีรุ่น "PRO" ที่จะใช้ในเวิร์กสเตชันที่สร้างโดยพันธมิตรเช่น HP, Lenovo, Dell และ Supermicro การเปิดตัวนี้คาดว่าจะสร้างความเปลี่ยนแปลงในตลาด HEDT และเป็นที่น่าจับตามองว่าผลิตภัณฑ์นี้จะมีประสิทธิภาพอย่างไร

    https://wccftech.com/amd-ryzen-threadripper-9000-shimada-peak-64-core-32-core-skus-spotted-in-shipping-manifests/
    AMD ได้เปิดตัวโปรเซสเซอร์รุ่นใหม่ในตระกูล Ryzen Threadripper 9000 ที่มีชื่อรหัสว่า "Shimada Peak" โดยมีการเปิดเผยข้อมูลจากเอกสารการขนส่งที่แสดงให้เห็นถึงรุ่นที่มีคอร์ 96, 64, 32 และ 16 คอร์ โปรเซสเซอร์รุ่นใหม่นี้ใช้สถาปัตยกรรม Zen 5 และมีการออกแบบที่สามารถรองรับการทำงานที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในกลุ่ม HEDT (High-End Desktop) โปรเซสเซอร์ Ryzen Threadripper 9000 จะมาแทนที่รุ่น Threadripper 7000 ที่ใช้สถาปัตยกรรม Zen 4 โดยรุ่นที่มีคอร์สูงสุดจะมี 96 คอร์และ 192 เธรด ซึ่งประกอบด้วย 12 CCDs (Core Complex Dies) แต่ละตัวมี 8 คอร์ และมีแคช L3 ขนาด 32 MB ต่อ CCD และมี IO die หนึ่งตัว นอกจากนี้ยังมีรุ่นที่มีคอร์ 64 และ 32 คอร์ ซึ่งคาดว่าจะมี CCDs 8 ตัวและ 4 ตัวตามลำดับ โดยทุกรุ่นในตระกูล Shimada Peak จะมี TDP (Thermal Design Power) ที่ 350W และมีสเปคที่คล้ายกับรุ่น Zen 4 แต่มีการปรับปรุงในด้านกระบวนการผลิตและสถาปัตยกรรมคอร์ AMD คาดว่าจะเปิดตัวโปรเซสเซอร์ Ryzen Threadripper 9000 ในปี 2025 โดยมีรุ่น "PRO" ที่จะใช้ในเวิร์กสเตชันที่สร้างโดยพันธมิตรเช่น HP, Lenovo, Dell และ Supermicro การเปิดตัวนี้คาดว่าจะสร้างความเปลี่ยนแปลงในตลาด HEDT และเป็นที่น่าจับตามองว่าผลิตภัณฑ์นี้จะมีประสิทธิภาพอย่างไร https://wccftech.com/amd-ryzen-threadripper-9000-shimada-peak-64-core-32-core-skus-spotted-in-shipping-manifests/
    WCCFTECH.COM
    AMD's Ryzen Threadripper 9000 “Shimada Peak” 64-Core & 32-Core SKUs Spotted In Shipping Manifests
    AMD's Threadripper 9000 processors have surfaced online on shipping manifests, revealing 96-core, 64-core, 32-core, and 16-core SKUs.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 55 มุมมอง 0 รีวิว
  • กระทรวงพาณิชย์ของจีน (MOFCOM) ได้รับการร้องเรียนจากบริษัทในประเทศเกี่ยวกับการให้เงินอุดหนุนที่ไม่เป็นธรรมจากรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้กฎหมาย CHIPS and Science Act ซึ่งจัดสรรเงิน $52.7 พันล้านสำหรับการผลิต การวิจัย และการพัฒนากำลังคนในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐฯ

    จีนอ้างว่าเงินอุดหนุนเหล่านี้ทำให้บริษัทชิปของสหรัฐฯ สามารถส่งออกชิปที่ผลิตด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่ล้าสมัยไปยังจีนในราคาที่ถูกลง ทำให้บริษัทชิปของจีนเสียเปรียบในการแข่งขัน แม้ว่ากฎหมาย CHIPS and Science Act จะมีเป้าหมายเพื่อดึงการผลิตชิปที่ล้ำสมัยกลับมาสู่สหรัฐฯ แต่รัฐบาลสหรัฐฯ ได้มอบเงินอุดหนุนให้กับบริษัทที่ผลิตชิปด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่ล้าสมัย เช่น GlobalFoundries และ SkyWater Technologies

    การตรวจสอบนี้เกิดขึ้นในขณะที่จีนกำลังขยายกำลังการผลิตชิปด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่ล้าสมัย โดยคาดว่ากำลังการผลิตชิปของจีนจะเพิ่มขึ้นถึง 60% ในอีกสามปีข้างหน้า และส่วนใหญ่จะเป็นการผลิตชิปด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่ล้าสมัย

    การตรวจสอบนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของจีนในการปกป้องอุตสาหกรรมชิปในประเทศและรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/china-investigates-whether-chips-and-science-act-harms-its-chip-companies
    กระทรวงพาณิชย์ของจีน (MOFCOM) ได้รับการร้องเรียนจากบริษัทในประเทศเกี่ยวกับการให้เงินอุดหนุนที่ไม่เป็นธรรมจากรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้กฎหมาย CHIPS and Science Act ซึ่งจัดสรรเงิน $52.7 พันล้านสำหรับการผลิต การวิจัย และการพัฒนากำลังคนในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐฯ จีนอ้างว่าเงินอุดหนุนเหล่านี้ทำให้บริษัทชิปของสหรัฐฯ สามารถส่งออกชิปที่ผลิตด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่ล้าสมัยไปยังจีนในราคาที่ถูกลง ทำให้บริษัทชิปของจีนเสียเปรียบในการแข่งขัน แม้ว่ากฎหมาย CHIPS and Science Act จะมีเป้าหมายเพื่อดึงการผลิตชิปที่ล้ำสมัยกลับมาสู่สหรัฐฯ แต่รัฐบาลสหรัฐฯ ได้มอบเงินอุดหนุนให้กับบริษัทที่ผลิตชิปด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่ล้าสมัย เช่น GlobalFoundries และ SkyWater Technologies การตรวจสอบนี้เกิดขึ้นในขณะที่จีนกำลังขยายกำลังการผลิตชิปด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่ล้าสมัย โดยคาดว่ากำลังการผลิตชิปของจีนจะเพิ่มขึ้นถึง 60% ในอีกสามปีข้างหน้า และส่วนใหญ่จะเป็นการผลิตชิปด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่ล้าสมัย การตรวจสอบนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของจีนในการปกป้องอุตสาหกรรมชิปในประเทศและรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก https://www.tomshardware.com/tech-industry/china-investigates-whether-chips-and-science-act-harms-its-chip-companies
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 63 มุมมอง 0 รีวิว
  • Nvidia ได้เปิดตัวการ์ดจอรุ่นใหม่ RTX 5090D ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับตลาดจีน โดยมีการจำกัดการใช้งานด้าน AI และการขุดคริปโต การ์ดจอรุ่นนี้จะล็อกตัวเองหลังจากใช้งานไปเพียง 3 วินาที เพื่อป้องกันการใช้งานในงานเฉพาะทาง เช่น การขุดคริปโตและการประมวลผล AI

    RTX 5090D เป็นรุ่นที่พัฒนาต่อจาก RTX 4090D ซึ่งเป็นการ์ดจอที่มีการลดสเปคเพื่อให้สอดคล้องกับกฎระเบียบการส่งออกของสหรัฐอเมริกา โดย RTX 5090D ยังคงมีสเปคเต็มของ RTX 5090 แต่มีการลดประสิทธิภาพด้าน AI ลงถึง 29% โดยไม่ทราบวิธีการที่แน่ชัด

    การ์ดจอรุ่นนี้ยังมีข้อจำกัดในการปรับแต่งพลังงานและการใช้งานร่วมกับการ์ดจออื่น ๆ โดยไม่สามารถโอเวอร์คล็อกหรือใช้งานในระบบหลายการ์ดจอได้ ข้อจำกัดเหล่านี้ถูกล็อกไว้ในระดับล่างของระบบปฏิบัติการ Linux

    การเปิดตัว RTX 5090D เป็นการตอบสนองต่อกฎระเบียบการส่งออกของสหรัฐอเมริกา ซึ่งจำกัดการส่งออกการ์ดจอที่มีประสิทธิภาพสูงไปยังจีน การ์ดจอรุ่นนี้จะช่วยให้ Nvidia สามารถทำตลาดในจีนได้ต่อไป แม้ว่าจะมีข้อจำกัดในการใช้งานบางประการ

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/china-tailored-rtx-5090d-has-ai-and-cryptomining-limiters-multi-gpu-config-is-also-locked
    Nvidia ได้เปิดตัวการ์ดจอรุ่นใหม่ RTX 5090D ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับตลาดจีน โดยมีการจำกัดการใช้งานด้าน AI และการขุดคริปโต การ์ดจอรุ่นนี้จะล็อกตัวเองหลังจากใช้งานไปเพียง 3 วินาที เพื่อป้องกันการใช้งานในงานเฉพาะทาง เช่น การขุดคริปโตและการประมวลผล AI RTX 5090D เป็นรุ่นที่พัฒนาต่อจาก RTX 4090D ซึ่งเป็นการ์ดจอที่มีการลดสเปคเพื่อให้สอดคล้องกับกฎระเบียบการส่งออกของสหรัฐอเมริกา โดย RTX 5090D ยังคงมีสเปคเต็มของ RTX 5090 แต่มีการลดประสิทธิภาพด้าน AI ลงถึง 29% โดยไม่ทราบวิธีการที่แน่ชัด การ์ดจอรุ่นนี้ยังมีข้อจำกัดในการปรับแต่งพลังงานและการใช้งานร่วมกับการ์ดจออื่น ๆ โดยไม่สามารถโอเวอร์คล็อกหรือใช้งานในระบบหลายการ์ดจอได้ ข้อจำกัดเหล่านี้ถูกล็อกไว้ในระดับล่างของระบบปฏิบัติการ Linux การเปิดตัว RTX 5090D เป็นการตอบสนองต่อกฎระเบียบการส่งออกของสหรัฐอเมริกา ซึ่งจำกัดการส่งออกการ์ดจอที่มีประสิทธิภาพสูงไปยังจีน การ์ดจอรุ่นนี้จะช่วยให้ Nvidia สามารถทำตลาดในจีนได้ต่อไป แม้ว่าจะมีข้อจำกัดในการใช้งานบางประการ https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/china-tailored-rtx-5090d-has-ai-and-cryptomining-limiters-multi-gpu-config-is-also-locked
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 55 มุมมอง 0 รีวิว
  • Cambricon Technologies ผู้พัฒนาโปรเซสเซอร์ AI ชั้นนำจากจีน ได้ประกาศกำไรไตรมาสแรกในช่วงปลายปี 2024 หลังจากที่ประสบปัญหาขาดทุนมาหลายปี ความสำเร็จทางการเงินนี้เกิดขึ้นหลังจากที่รัฐบาลสหรัฐฯ สั่งห้ามการขาย GPU AI ขั้นสูงของ Nvidia ให้กับจีน ทำให้ผลิตภัณฑ์ของ Cambricon ได้รับความนิยมมากขึ้นในจีน

    รายได้ของ Cambricon เพิ่มขึ้นเกือบ 70% ในปี 2024 โดยมีรายได้ประมาณ ¥1.2 พันล้าน ($163.7 ล้าน) แม้ว่าจะยังเป็นเพียงเศษเสี้ยวของรายได้ $90 พันล้านของ Nvidia ทั่วโลก แต่ก็แสดงถึงการเติบโตที่สำคัญ กำไรไตรมาสที่ 4 ของ Cambricon อยู่ระหว่าง ¥240 ล้านถึง ¥328 ล้าน ($32.74 ล้านถึง $44.74 ล้าน) ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงหลังจากขาดทุน ¥724 ล้าน ($98.76 ล้าน) ในสามไตรมาสแรก ทำให้ขาดทุนทั้งปี 2024 ลดลงเหลือ ¥396 - ¥484 ล้าน ($54 ล้าน - $66 ล้าน)

    การนำฮาร์ดแวร์ของ Cambricon มาใช้ในจีนเพิ่มขึ้นในช่วงหลายไตรมาสที่ผ่านมา รวมถึงการนำไปใช้โดย Huawei ทำให้หุ้นของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้พุ่งขึ้นกว่า 470% ในปีที่ผ่านมา หุ้นของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก ¥120.80 เป็น ¥695.96 ในปีที่ผ่านมา

    Cambricon ก่อตั้งขึ้นในปี 2016 เพื่อพัฒนาโปรเซสเซอร์ AI สำหรับการใช้งานที่หลากหลาย ตั้งแต่อุปกรณ์ขอบเครือข่ายไปจนถึงศูนย์ข้อมูลคลาวด์ ปัจจุบันบริษัทมีตัวเร่ง AI ที่ทรงพลังที่สุดคือ MLU290-M5 ซึ่งมีประสิทธิภาพ 512 INT8 TOPS, 256 INT16 TOPS และ 64 CINT32 TOPS และมาพร้อมกับหน่วยความจำ HBM2 ขนาด 32GB ที่มีแบนด์วิดท์ 1,228 GB/s

    แม้ว่า Cambricon จะยังล้าหลัง Nvidia อยู่ประมาณ 4-5 ปีในด้านประสิทธิภาพ แต่สำหรับลูกค้าของ Cambricon ที่ไม่สามารถหาซื้อ GPU ของ Nvidia ได้ ข้อได้เปรียบของแพลตฟอร์ม Nvidia ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่

    ตลาดเซมิคอนดักเตอร์ AI ของจีนคาดว่าจะเติบโตถึง ¥178 พันล้าน ($24.28 พันล้าน) ในปีนี้ Cambricon เป็นผู้เล่นหลักในตลาด AI ของจีน และด้วยการเติบโตอย่างรวดเร็วและการปรับปรุงทางการเงิน บริษัทมีโอกาสที่จะใช้ประโยชน์จากความต้องการฮาร์ดแวร์ AI ที่เพิ่มขึ้นในประเทศ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/chinas-cambricon-posts-first-profit-as-demand-for-this-nvidia-rivals-ai-processors-explodes
    Cambricon Technologies ผู้พัฒนาโปรเซสเซอร์ AI ชั้นนำจากจีน ได้ประกาศกำไรไตรมาสแรกในช่วงปลายปี 2024 หลังจากที่ประสบปัญหาขาดทุนมาหลายปี ความสำเร็จทางการเงินนี้เกิดขึ้นหลังจากที่รัฐบาลสหรัฐฯ สั่งห้ามการขาย GPU AI ขั้นสูงของ Nvidia ให้กับจีน ทำให้ผลิตภัณฑ์ของ Cambricon ได้รับความนิยมมากขึ้นในจีน รายได้ของ Cambricon เพิ่มขึ้นเกือบ 70% ในปี 2024 โดยมีรายได้ประมาณ ¥1.2 พันล้าน ($163.7 ล้าน) แม้ว่าจะยังเป็นเพียงเศษเสี้ยวของรายได้ $90 พันล้านของ Nvidia ทั่วโลก แต่ก็แสดงถึงการเติบโตที่สำคัญ กำไรไตรมาสที่ 4 ของ Cambricon อยู่ระหว่าง ¥240 ล้านถึง ¥328 ล้าน ($32.74 ล้านถึง $44.74 ล้าน) ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงหลังจากขาดทุน ¥724 ล้าน ($98.76 ล้าน) ในสามไตรมาสแรก ทำให้ขาดทุนทั้งปี 2024 ลดลงเหลือ ¥396 - ¥484 ล้าน ($54 ล้าน - $66 ล้าน) การนำฮาร์ดแวร์ของ Cambricon มาใช้ในจีนเพิ่มขึ้นในช่วงหลายไตรมาสที่ผ่านมา รวมถึงการนำไปใช้โดย Huawei ทำให้หุ้นของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้พุ่งขึ้นกว่า 470% ในปีที่ผ่านมา หุ้นของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก ¥120.80 เป็น ¥695.96 ในปีที่ผ่านมา Cambricon ก่อตั้งขึ้นในปี 2016 เพื่อพัฒนาโปรเซสเซอร์ AI สำหรับการใช้งานที่หลากหลาย ตั้งแต่อุปกรณ์ขอบเครือข่ายไปจนถึงศูนย์ข้อมูลคลาวด์ ปัจจุบันบริษัทมีตัวเร่ง AI ที่ทรงพลังที่สุดคือ MLU290-M5 ซึ่งมีประสิทธิภาพ 512 INT8 TOPS, 256 INT16 TOPS และ 64 CINT32 TOPS และมาพร้อมกับหน่วยความจำ HBM2 ขนาด 32GB ที่มีแบนด์วิดท์ 1,228 GB/s แม้ว่า Cambricon จะยังล้าหลัง Nvidia อยู่ประมาณ 4-5 ปีในด้านประสิทธิภาพ แต่สำหรับลูกค้าของ Cambricon ที่ไม่สามารถหาซื้อ GPU ของ Nvidia ได้ ข้อได้เปรียบของแพลตฟอร์ม Nvidia ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ตลาดเซมิคอนดักเตอร์ AI ของจีนคาดว่าจะเติบโตถึง ¥178 พันล้าน ($24.28 พันล้าน) ในปีนี้ Cambricon เป็นผู้เล่นหลักในตลาด AI ของจีน และด้วยการเติบโตอย่างรวดเร็วและการปรับปรุงทางการเงิน บริษัทมีโอกาสที่จะใช้ประโยชน์จากความต้องการฮาร์ดแวร์ AI ที่เพิ่มขึ้นในประเทศ https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/chinas-cambricon-posts-first-profit-as-demand-for-this-nvidia-rivals-ai-processors-explodes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 63 มุมมอง 0 รีวิว
  • จีนกำลังพัฒนาโครงการสถานีพลังงานใหม่ที่สามารถเก็บและแปลงพลังงานแสงอาทิตย์จากอวกาศโดยตรง โดยสถานีนี้จะมีขนาดกว้าง 1 กิโลเมตร และสามารถส่งพลังงานแสงอาทิตย์กลับมายังโลกในรูปแบบของรังสีไมโครเวฟ พลังงานที่เก็บได้ในหนึ่งปีจะเทียบเท่ากับปริมาณน้ำมันทั้งหมดที่ยังสามารถสกัดได้จากโลก

    หนึ่งในนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำที่อยู่เบื้องหลังแผนพลังงานใหม่นี้คือ Long Lehao ผู้เชี่ยวชาญด้านจรวดและสมาชิกของ Chinese Academy of Engineering Lehao กำลังทำงานกับ Long March 9 (CZ-9) จรวดขนส่งหนักพิเศษของจีนที่เพิ่งได้รับการอัปเดตให้สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้และสามารถยกน้ำหนักได้อย่างน้อย 136 เมตริกตันจากพื้นผิวโลก

    พลังงานที่เก็บได้ในอวกาศจะมีความหนาแน่นมากกว่าพลังงานแสงอาทิตย์ที่มาถึงพื้นผิวโลกถึง 10 เท่า เนื่องจากเมฆและบรรยากาศสามารถส่งผลกระทบต่อกระบวนการเก็บพลังงานได้อย่างมาก

    จีนไม่ใช่ประเทศเดียวที่สนใจในโครงการพลังงานแสงอาทิตย์จากอวกาศ (SBSP) บริษัทในสหรัฐอเมริกา เช่น Lockheed Martin และ Northrop Grumman องค์การอวกาศยุโรป และองค์การอวกาศญี่ปุ่น กำลังศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการดังกล่าว แม้ว่าจะยังอยู่ในขั้นตอนการพิสูจน์แนวคิด

    ทีมของ Lehao หวังที่จะแก้ไขปัญหาบางประการที่เกี่ยวข้องกับ SBSP โดยใช้เทคโนโลยีจรวดนำกลับมาใช้ใหม่ของตนเองกับโครงการ CZ-9 จีนมีความทะเยอทะยานอย่างมากสำหรับโครงการสำรวจอวกาศของตน โดยมีแผนที่จะใช้จรวด Long March เพื่อสร้างสถานีวิจัยนานาชาติบนพื้นผิวดวงจันทร์ภายในปี 2035

    https://www.techspot.com/news/106382-china-plans-build-massive-space-based-solar-power.html
    จีนกำลังพัฒนาโครงการสถานีพลังงานใหม่ที่สามารถเก็บและแปลงพลังงานแสงอาทิตย์จากอวกาศโดยตรง โดยสถานีนี้จะมีขนาดกว้าง 1 กิโลเมตร และสามารถส่งพลังงานแสงอาทิตย์กลับมายังโลกในรูปแบบของรังสีไมโครเวฟ พลังงานที่เก็บได้ในหนึ่งปีจะเทียบเท่ากับปริมาณน้ำมันทั้งหมดที่ยังสามารถสกัดได้จากโลก หนึ่งในนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำที่อยู่เบื้องหลังแผนพลังงานใหม่นี้คือ Long Lehao ผู้เชี่ยวชาญด้านจรวดและสมาชิกของ Chinese Academy of Engineering Lehao กำลังทำงานกับ Long March 9 (CZ-9) จรวดขนส่งหนักพิเศษของจีนที่เพิ่งได้รับการอัปเดตให้สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้และสามารถยกน้ำหนักได้อย่างน้อย 136 เมตริกตันจากพื้นผิวโลก พลังงานที่เก็บได้ในอวกาศจะมีความหนาแน่นมากกว่าพลังงานแสงอาทิตย์ที่มาถึงพื้นผิวโลกถึง 10 เท่า เนื่องจากเมฆและบรรยากาศสามารถส่งผลกระทบต่อกระบวนการเก็บพลังงานได้อย่างมาก จีนไม่ใช่ประเทศเดียวที่สนใจในโครงการพลังงานแสงอาทิตย์จากอวกาศ (SBSP) บริษัทในสหรัฐอเมริกา เช่น Lockheed Martin และ Northrop Grumman องค์การอวกาศยุโรป และองค์การอวกาศญี่ปุ่น กำลังศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการดังกล่าว แม้ว่าจะยังอยู่ในขั้นตอนการพิสูจน์แนวคิด ทีมของ Lehao หวังที่จะแก้ไขปัญหาบางประการที่เกี่ยวข้องกับ SBSP โดยใช้เทคโนโลยีจรวดนำกลับมาใช้ใหม่ของตนเองกับโครงการ CZ-9 จีนมีความทะเยอทะยานอย่างมากสำหรับโครงการสำรวจอวกาศของตน โดยมีแผนที่จะใช้จรวด Long March เพื่อสร้างสถานีวิจัยนานาชาติบนพื้นผิวดวงจันทร์ภายในปี 2035 https://www.techspot.com/news/106382-china-plans-build-massive-space-based-solar-power.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    China's reusable rockets pave the way for space-based solar power
    Chinese researchers are working on a new power station project that could gather and convert solar energy directly from space. The station would be 1 kilometer wide...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 65 มุมมอง 0 รีวิว
  • บ้านเรากับปัญหานี้ต้องกันไว้เสียแต่เนิ่นๆ ครับ

    ChargePoint ได้เปิดตัวสายชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อต่อต้านการขโมยทองแดง ซึ่งเป็นปัญหาที่ทำให้บริษัทต้องเผชิญกับค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิดและทำให้ผู้ขับขี่รถยนต์ไฟฟ้าต้องติดอยู่โดยไม่มีการชาร์จ

    สายชาร์จรุ่นใหม่นี้มีการเสริมเหล็กเข้าไปในสายไฟ ทำให้การตัดสายทำได้ยากขึ้นมาก โดยสายชาร์จเหล่านี้ได้ผ่านการทดสอบอย่างเข้มงวดกับเครื่องมือต่าง ๆ เช่น คีมตัดสายไฟ คีมตัดโบลต์ และอุปกรณ์ที่ใช้แบตเตอรี่ ผลการทดสอบแสดงให้เห็นว่าการออกแบบที่เสริมเหล็กนี้ทำให้ต้องใช้เวลาและความพยายามมากขึ้นในการตัดสาย

    นอกจากนี้ ChargePoint ยังได้เปิดตัวระบบเตือนภัยที่เรียกว่า ChargePoint Protect ซึ่งสามารถตรวจจับการก่อกวนได้แบบเรียลไทม์ โดยจะแสดงไฟกระพริบ ข้อความเตือนบนหน้าจอชาร์จ และเสียงเตือนผ่านลำโพงในตัว เจ้าของสามารถรับการแจ้งเตือนผ่าน SMS หรืออีเมลเมื่อระบบเตือนภัยทำงาน ทำให้สามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้อย่างรวดเร็ว

    ChargePoint วางแผนที่จะนำสายชาร์จป้องกันการก่อกวนนี้ไปใช้กับสายชาร์จเชิงพาณิชย์และสายชาร์จสำหรับยานพาหนะทั้งหมดของบริษัท และยังเปิดให้ผู้ผลิตสายชาร์จรายอื่นสามารถนำการออกแบบนี้ไปใช้ได้ เพื่อช่วยลดการขโมยสายชาร์จในอุตสาหกรรมโดยรวม

    การเปิดตัวสายชาร์จรุ่นใหม่นี้เป็นการตอบสนองต่อปัญหาการขโมยสายชาร์จที่เพิ่มขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยมีรายงานว่าการพยายามชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าสาธารณะล้มเหลวเกือบหนึ่งในห้าครั้งในช่วงครึ่งแรกของปีที่แล้ว โดยประมาณ 10% ของความล้มเหลวเหล่านี้เกิดจากสายชาร์จที่เสียหายหรือหายไป

    https://www.techspot.com/news/106384-chargepoint-unveils-anti-vandalism-ev-charger-cables-designed.html
    บ้านเรากับปัญหานี้ต้องกันไว้เสียแต่เนิ่นๆ ครับ ChargePoint ได้เปิดตัวสายชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อต่อต้านการขโมยทองแดง ซึ่งเป็นปัญหาที่ทำให้บริษัทต้องเผชิญกับค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิดและทำให้ผู้ขับขี่รถยนต์ไฟฟ้าต้องติดอยู่โดยไม่มีการชาร์จ สายชาร์จรุ่นใหม่นี้มีการเสริมเหล็กเข้าไปในสายไฟ ทำให้การตัดสายทำได้ยากขึ้นมาก โดยสายชาร์จเหล่านี้ได้ผ่านการทดสอบอย่างเข้มงวดกับเครื่องมือต่าง ๆ เช่น คีมตัดสายไฟ คีมตัดโบลต์ และอุปกรณ์ที่ใช้แบตเตอรี่ ผลการทดสอบแสดงให้เห็นว่าการออกแบบที่เสริมเหล็กนี้ทำให้ต้องใช้เวลาและความพยายามมากขึ้นในการตัดสาย นอกจากนี้ ChargePoint ยังได้เปิดตัวระบบเตือนภัยที่เรียกว่า ChargePoint Protect ซึ่งสามารถตรวจจับการก่อกวนได้แบบเรียลไทม์ โดยจะแสดงไฟกระพริบ ข้อความเตือนบนหน้าจอชาร์จ และเสียงเตือนผ่านลำโพงในตัว เจ้าของสามารถรับการแจ้งเตือนผ่าน SMS หรืออีเมลเมื่อระบบเตือนภัยทำงาน ทำให้สามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้อย่างรวดเร็ว ChargePoint วางแผนที่จะนำสายชาร์จป้องกันการก่อกวนนี้ไปใช้กับสายชาร์จเชิงพาณิชย์และสายชาร์จสำหรับยานพาหนะทั้งหมดของบริษัท และยังเปิดให้ผู้ผลิตสายชาร์จรายอื่นสามารถนำการออกแบบนี้ไปใช้ได้ เพื่อช่วยลดการขโมยสายชาร์จในอุตสาหกรรมโดยรวม การเปิดตัวสายชาร์จรุ่นใหม่นี้เป็นการตอบสนองต่อปัญหาการขโมยสายชาร์จที่เพิ่มขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยมีรายงานว่าการพยายามชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าสาธารณะล้มเหลวเกือบหนึ่งในห้าครั้งในช่วงครึ่งแรกของปีที่แล้ว โดยประมาณ 10% ของความล้มเหลวเหล่านี้เกิดจากสายชาร์จที่เสียหายหรือหายไป https://www.techspot.com/news/106384-chargepoint-unveils-anti-vandalism-ev-charger-cables-designed.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    ChargePoint unveils "anti-vandalism" EV charger cables designed to deter copper thieves
    The new cut-resistant cables incorporate advanced technology by weaving steel strategically through the wiring, making them far more difficult to cut.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 80 มุมมอง 0 รีวิว
เรื่องราวเพิ่มเติม