ลุงบ้าคอม
ลุงบ้าคอม
ยินดีต้อนรับสู่เพจของคนรักคอมพิวเตอร์! ที่นี่คือแหล่งรวมข่าวสารและข้อมูลล่าสุดในวงการเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ การพัฒนาโปรแกรม และนวัตกรรมใหม่ๆ ที่กำลังเกิดขึ้น เรามุ่งมั่นที่จะนำเสนอเนื้อหาที่มีคุณภาพและเป็นประโยชน์สำหรับทุกคนที่มีความสนใจในโลกของคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยี
  • 105 people Following this
  • 8190 Posts
  • 156 Photos
  • 0 Videos
  • 0 Reviews
  • Science and Technology
Recent Updates
  • GPT‑5.2 บนโครงสร้างพื้นฐาน NVIDIA

    OpenAI เปิดตัว GPT‑5.2 โดยใช้โครงสร้างพื้นฐานของ NVIDIA ทั้ง Hopper และ Blackwell GPUs รวมถึงศูนย์ข้อมูล Azure ของ Microsoft การร่วมมือครั้งนี้ช่วยให้โมเดลใหม่มีความฉลาดขึ้นและสามารถประหยัดเวลาให้ผู้ใช้ระดับองค์กรได้ถึง 40–60 นาทีต่อวัน และผู้ใช้หนักสามารถประหยัดได้มากกว่า 10 ชั่วโมงต่อสัปดาห์

    Blackwell Ultra: เร็วกว่า Hopper หลายเท่า
    NVIDIA รายงานว่า Blackwell Ultra มีความเร็วสูงกว่า Hopper H100 ถึง 4.2 เท่า และเร็วกว่า GB200 NVL72 ถึง 1.9 เท่า ในการทดสอบ MLPerf ล่าสุด โดยเฉพาะการฝึกโมเดลขนาดใหญ่ เช่น Llama 3.1 405B ที่ใช้ GPU กว่า 512 ตัว นอกจากนี้ Blackwell ยังให้ ประสิทธิภาพต่อมูลค่า (performance per dollar) สูงกว่า Hopper ถึง 90%

    ประสิทธิภาพและความคุ้มค่า
    แพลตฟอร์ม GB200 NVL72 ของ Blackwell สามารถให้ประสิทธิภาพการฝึกสูงขึ้นถึง 3.2 เท่า เมื่อเทียบกับ Hopper และยังลดต้นทุนการฝึกโมเดลลงอย่างมาก ทำให้การลงทุนใน AI มีความคุ้มค่ามากขึ้นสำหรับบริษัทที่ต้องการฝึกโมเดลขนาดใหญ่

    บริบทเพิ่มเติมจากวงการ AI
    การเปิดตัว GPT‑5.2 และการใช้ Blackwell Ultra GPUs สะท้อนถึงการแข่งขันที่รุนแรงในตลาด AI ระหว่าง NVIDIA, AMD และผู้ผลิตรายใหม่ ๆ ขณะเดียวกันยังชี้ให้เห็นว่า ฮาร์ดแวร์ AI กำลังพัฒนาเร็วกว่ารอบการลงทุน ทำให้บริษัทต้องปรับกลยุทธ์การลงทุนอย่างระมัดระวังเพื่อหลีกเลี่ยงการเสื่อมราคาของชิปเร็วเกินไป

    สรุปสาระสำคัญ
    GPT‑5.2 เปิดตัวโดย OpenAI
    ใช้ NVIDIA Hopper และ Blackwell GPUs บน Azure

    Blackwell Ultra เร็วกว่า Hopper H100
    สูงสุด 4.2 เท่า และคุ้มค่ากว่า 90%

    GB200 NVL72 ให้ประสิทธิภาพสูงขึ้น
    3.2 เท่าเมื่อเทียบกับ Hopper

    ผู้ใช้ระดับองค์กรได้ประโยชน์
    ประหยัดเวลา 40–60 นาทีต่อวัน

    ความเสี่ยงด้านการลงทุนฮาร์ดแวร์ AI
    ชิปใหม่ออกเร็ว ทำให้รุ่นเก่าเสื่อมมูลค่าไว

    การแข่งขันในตลาด AI รุนแรง
    บริษัทต้องปรับกลยุทธ์เพื่อหลีกเลี่ยงต้นทุนจม

    https://wccftech.com/nvidia-ai-gpus-openai-gpt-5-2-blackwell-ultra-faster-performance-value/
    🚀 GPT‑5.2 บนโครงสร้างพื้นฐาน NVIDIA OpenAI เปิดตัว GPT‑5.2 โดยใช้โครงสร้างพื้นฐานของ NVIDIA ทั้ง Hopper และ Blackwell GPUs รวมถึงศูนย์ข้อมูล Azure ของ Microsoft การร่วมมือครั้งนี้ช่วยให้โมเดลใหม่มีความฉลาดขึ้นและสามารถประหยัดเวลาให้ผู้ใช้ระดับองค์กรได้ถึง 40–60 นาทีต่อวัน และผู้ใช้หนักสามารถประหยัดได้มากกว่า 10 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ⚡ Blackwell Ultra: เร็วกว่า Hopper หลายเท่า NVIDIA รายงานว่า Blackwell Ultra มีความเร็วสูงกว่า Hopper H100 ถึง 4.2 เท่า และเร็วกว่า GB200 NVL72 ถึง 1.9 เท่า ในการทดสอบ MLPerf ล่าสุด โดยเฉพาะการฝึกโมเดลขนาดใหญ่ เช่น Llama 3.1 405B ที่ใช้ GPU กว่า 512 ตัว นอกจากนี้ Blackwell ยังให้ ประสิทธิภาพต่อมูลค่า (performance per dollar) สูงกว่า Hopper ถึง 90% 📉 ประสิทธิภาพและความคุ้มค่า แพลตฟอร์ม GB200 NVL72 ของ Blackwell สามารถให้ประสิทธิภาพการฝึกสูงขึ้นถึง 3.2 เท่า เมื่อเทียบกับ Hopper และยังลดต้นทุนการฝึกโมเดลลงอย่างมาก ทำให้การลงทุนใน AI มีความคุ้มค่ามากขึ้นสำหรับบริษัทที่ต้องการฝึกโมเดลขนาดใหญ่ 🌐 บริบทเพิ่มเติมจากวงการ AI การเปิดตัว GPT‑5.2 และการใช้ Blackwell Ultra GPUs สะท้อนถึงการแข่งขันที่รุนแรงในตลาด AI ระหว่าง NVIDIA, AMD และผู้ผลิตรายใหม่ ๆ ขณะเดียวกันยังชี้ให้เห็นว่า ฮาร์ดแวร์ AI กำลังพัฒนาเร็วกว่ารอบการลงทุน ทำให้บริษัทต้องปรับกลยุทธ์การลงทุนอย่างระมัดระวังเพื่อหลีกเลี่ยงการเสื่อมราคาของชิปเร็วเกินไป 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ GPT‑5.2 เปิดตัวโดย OpenAI ➡️ ใช้ NVIDIA Hopper และ Blackwell GPUs บน Azure ✅ Blackwell Ultra เร็วกว่า Hopper H100 ➡️ สูงสุด 4.2 เท่า และคุ้มค่ากว่า 90% ✅ GB200 NVL72 ให้ประสิทธิภาพสูงขึ้น ➡️ 3.2 เท่าเมื่อเทียบกับ Hopper ✅ ผู้ใช้ระดับองค์กรได้ประโยชน์ ➡️ ประหยัดเวลา 40–60 นาทีต่อวัน ‼️ ความเสี่ยงด้านการลงทุนฮาร์ดแวร์ AI ⛔ ชิปใหม่ออกเร็ว ทำให้รุ่นเก่าเสื่อมมูลค่าไว ‼️ การแข่งขันในตลาด AI รุนแรง ⛔ บริษัทต้องปรับกลยุทธ์เพื่อหลีกเลี่ยงต้นทุนจม https://wccftech.com/nvidia-ai-gpus-openai-gpt-5-2-blackwell-ultra-faster-performance-value/
    WCCFTECH.COM
    NVIDIA's AI GPUs Used To Train OpenAI's GPT-5.2, Blackwell & Blackwell Ultra Continue To Blaze Ahead With Better Performance & Value
    OpenAI has introduced its new GPT-5.2 model, which was trained and deployed on NVIDIA's AI GPUs, including Blackwell & Hopper.
    0 Comments 0 Shares 15 Views 0 Reviews
  • RAM Outlet ในญี่ปุ่นขายแพงกว่าของใหม่

    รายงานระบุว่าในญี่ปุ่นมีการขาย Crucial Pro DDR5-5600 C46 64GB (2x32GB) ที่ถูกจัดอยู่ในหมวด “Outlet” แต่กลับมีราคาสูงถึง 602 ดอลลาร์ (รวมภาษี) ทั้งที่ในสหรัฐฯ ราคาขายเพียง 507 ดอลลาร์ Outlet RAM มักหมายถึงสินค้าที่มีบรรจุภัณฑ์ชำรุดหรือเป็นสินค้าคืน แต่ในตลาดที่ขาดแคลนหน่วยความจำ ร้านค้ากลับใช้โอกาสนี้ตั้งราคาสูงเท่าของใหม่

    สาเหตุจากการขาดแคลนหน่วยความจำ
    การขาดแคลน RAM เกิดจากความต้องการมหาศาลในยุค AI ที่ทำให้ผู้ผลิตหันไปผลิตหน่วยความจำสำหรับเซิร์ฟเวอร์และศูนย์ข้อมูลมากกว่าตลาดผู้บริโภค ส่งผลให้สินค้าทั่วไปหายากขึ้น ราคาจึงพุ่งสูง แม้แต่สินค้าที่ควรจะถูกลงอย่าง “Outlet” ก็กลับถูกตั้งราคาสูงขึ้นแทน

    ราคาพุ่งขึ้นหลายเท่าในเวลาไม่กี่เดือน
    ก่อนเกิดวิกฤติ Crucial 64GB DDR5 เคยมีราคาเพียง 134 ดอลลาร์ แต่ปัจจุบันราคาพุ่งขึ้นกว่า 3.7 เท่า และในตลาดมือสองอย่าง eBay มีการตั้งราคาสูงถึง 1,067 ดอลลาร์ ซึ่งมากกว่าราคาปกติถึงสองเท่า สถานการณ์นี้ทำให้ผู้ใช้ทั่วไปแทบไม่สามารถอัปเกรดเครื่องได้ในราคาที่สมเหตุสมผล

    บริบทเพิ่มเติมจากวงการเทคโนโลยี
    การขาย RAM แบบ “Outlet” ในราคาสูงสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของตลาดฮาร์ดแวร์ ที่ผู้ค้าปลีกใช้วิกฤติเป็นโอกาสในการทำกำไรสูงสุด ขณะเดียวกันการที่ Micron ประกาศถอนตัวจากตลาดผู้บริโภคก็ยิ่งทำให้สินค้าของ Crucial กลายเป็นของหายากและมีมูลค่าเชิงสะสม

    สรุปสาระสำคัญ
    Crucial DDR5-5600 64GB Outlet ในญี่ปุ่น
    ราคาสูงถึง 602 ดอลลาร์ เทียบกับ 507 ดอลลาร์ในสหรัฐฯ

    สินค้า Outlet มักเป็นของคืนหรือบรรจุภัณฑ์ชำรุด
    แต่กลับถูกตั้งราคาสูงเท่าของใหม่

    ราคาพุ่งขึ้นกว่า 3.7 เท่าในไม่กี่เดือน
    จาก 134 ดอลลาร์เป็นกว่า 500 ดอลลาร์

    ตลาดมือสองอย่าง eBay
    มีการตั้งราคาสูงถึง 1,067 ดอลลาร์

    ความเสี่ยงต่อผู้บริโภค
    Outlet RAM ไม่ได้ถูกลง แต่กลับแพงขึ้น

    การถอนตัวของ Micron จากตลาดผู้บริโภค
    ทำให้ Crucial กลายเป็นสินค้าที่หายากและถูกเก็งกำไร

    https://www.tomshardware.com/pc-components/ram/outlet-ram-sold-in-japan-as-new-with-huge-markups-scuffed-packaging-crucial-ddr5-5600-64gb-kit-commands-usd600-overseas-as-ai-shortage-bites
    💻 RAM Outlet ในญี่ปุ่นขายแพงกว่าของใหม่ รายงานระบุว่าในญี่ปุ่นมีการขาย Crucial Pro DDR5-5600 C46 64GB (2x32GB) ที่ถูกจัดอยู่ในหมวด “Outlet” แต่กลับมีราคาสูงถึง 602 ดอลลาร์ (รวมภาษี) ทั้งที่ในสหรัฐฯ ราคาขายเพียง 507 ดอลลาร์ Outlet RAM มักหมายถึงสินค้าที่มีบรรจุภัณฑ์ชำรุดหรือเป็นสินค้าคืน แต่ในตลาดที่ขาดแคลนหน่วยความจำ ร้านค้ากลับใช้โอกาสนี้ตั้งราคาสูงเท่าของใหม่ 🏭 สาเหตุจากการขาดแคลนหน่วยความจำ การขาดแคลน RAM เกิดจากความต้องการมหาศาลในยุค AI ที่ทำให้ผู้ผลิตหันไปผลิตหน่วยความจำสำหรับเซิร์ฟเวอร์และศูนย์ข้อมูลมากกว่าตลาดผู้บริโภค ส่งผลให้สินค้าทั่วไปหายากขึ้น ราคาจึงพุ่งสูง แม้แต่สินค้าที่ควรจะถูกลงอย่าง “Outlet” ก็กลับถูกตั้งราคาสูงขึ้นแทน 📉 ราคาพุ่งขึ้นหลายเท่าในเวลาไม่กี่เดือน ก่อนเกิดวิกฤติ Crucial 64GB DDR5 เคยมีราคาเพียง 134 ดอลลาร์ แต่ปัจจุบันราคาพุ่งขึ้นกว่า 3.7 เท่า และในตลาดมือสองอย่าง eBay มีการตั้งราคาสูงถึง 1,067 ดอลลาร์ ซึ่งมากกว่าราคาปกติถึงสองเท่า สถานการณ์นี้ทำให้ผู้ใช้ทั่วไปแทบไม่สามารถอัปเกรดเครื่องได้ในราคาที่สมเหตุสมผล 🌐 บริบทเพิ่มเติมจากวงการเทคโนโลยี การขาย RAM แบบ “Outlet” ในราคาสูงสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของตลาดฮาร์ดแวร์ ที่ผู้ค้าปลีกใช้วิกฤติเป็นโอกาสในการทำกำไรสูงสุด ขณะเดียวกันการที่ Micron ประกาศถอนตัวจากตลาดผู้บริโภคก็ยิ่งทำให้สินค้าของ Crucial กลายเป็นของหายากและมีมูลค่าเชิงสะสม 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ Crucial DDR5-5600 64GB Outlet ในญี่ปุ่น ➡️ ราคาสูงถึง 602 ดอลลาร์ เทียบกับ 507 ดอลลาร์ในสหรัฐฯ ✅ สินค้า Outlet มักเป็นของคืนหรือบรรจุภัณฑ์ชำรุด ➡️ แต่กลับถูกตั้งราคาสูงเท่าของใหม่ ✅ ราคาพุ่งขึ้นกว่า 3.7 เท่าในไม่กี่เดือน ➡️ จาก 134 ดอลลาร์เป็นกว่า 500 ดอลลาร์ ✅ ตลาดมือสองอย่าง eBay ➡️ มีการตั้งราคาสูงถึง 1,067 ดอลลาร์ ‼️ ความเสี่ยงต่อผู้บริโภค ⛔ Outlet RAM ไม่ได้ถูกลง แต่กลับแพงขึ้น ‼️ การถอนตัวของ Micron จากตลาดผู้บริโภค ⛔ ทำให้ Crucial กลายเป็นสินค้าที่หายากและถูกเก็งกำไร https://www.tomshardware.com/pc-components/ram/outlet-ram-sold-in-japan-as-new-with-huge-markups-scuffed-packaging-crucial-ddr5-5600-64gb-kit-commands-usd600-overseas-as-ai-shortage-bites
    0 Comments 0 Shares 16 Views 0 Reviews
  • จีนกดดันเนเธอร์แลนด์ให้แก้ปัญหาความขัดแย้ง Nexperia

    รัฐบาลจีนเรียกร้องให้เนเธอร์แลนด์เร่งแก้ไขข้อพิพาทเกี่ยวกับบริษัท Nexperia ผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ของดัตช์ที่ถูกควบคุมโดย Wingtech Technology ของจีน หลังจากรัฐบาลเนเธอร์แลนด์เข้ามาแทรกแซงเพื่อป้องกันการถ่ายโอนเทคโนโลยี ทำให้เกิดการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานและการส่งออกชิ้นส่วนสำคัญ

    การแทรกแซงของรัฐและผลกระทบ
    ในเดือนกันยายน รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ใช้กฎหมายยุคสงครามเย็นเพื่อวาง Nexperia ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐ พร้อมระงับสิทธิ์การโหวตของผู้บริหารที่มาจาก Wingtech และแต่งตั้งผู้ดูแลอิสระแทน จีนตอบโต้ด้วยการหยุดการส่งออกชิ้นส่วนที่บรรจุในจีนกลับไปยุโรป ส่งผลให้การผลิตรถยนต์และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ในยุโรปสะดุดทันที

    ความเสี่ยงต่อห่วงโซ่อุปทานโลก
    กว่า 70% ของเวเฟอร์ที่ผลิตในยุโรปโดย Nexperia ต้องถูกส่งไปจีนเพื่อบรรจุและประกอบ เมื่อจีนหยุดส่งออก ทำให้เกิดการค้างสต็อกและใบแจ้งหนี้ที่ไม่ได้รับชำระจำนวนมาก ปัจจุบันทั้งสองฝ่ายผ่อนคลายข้อจำกัดบางส่วน แต่ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาการควบคุมบริษัทได้อย่างถาวร

    บริบทเพิ่มเติมจากอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์
    กรณีนี้สะท้อนถึงความตึงเครียดด้าน ภูมิรัฐศาสตร์และเทคโนโลยี ที่เพิ่มขึ้นระหว่างจีนและยุโรป โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ที่เป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจโลก ขณะเดียวกันบริษัทญี่ปุ่นและเกาหลีใต้กำลังเร่งลงทุนเพื่อสร้างโรงงานใหม่ในประเทศตนเอง เพื่อลดการพึ่งพาห่วงโซ่อุปทานที่เสี่ยงต่อการเมือง

    สรุปสาระสำคัญ
    จีนเรียกร้องให้เนเธอร์แลนด์แก้ปัญหา Nexperia
    หลังการแทรกแซงของรัฐทำให้ห่วงโซ่อุปทานสะดุด

    รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ใช้กฎหมายยุคสงครามเย็น
    ระงับสิทธิ์ผู้บริหารจาก Wingtech และแต่งตั้งผู้ดูแลอิสระ

    จีนตอบโต้ด้วยการหยุดส่งออกชิ้นส่วน
    กระทบการผลิตรถยนต์และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ในยุโรป

    ปัจจุบันผ่อนคลายข้อจำกัดบางส่วน
    แต่ยังไม่แก้ปัญหาการควบคุมบริษัทได้ถาวร

    ความเสี่ยงต่อห่วงโซ่อุปทานโลก
    70% ของเวเฟอร์ยุโรปต้องส่งไปจีนเพื่อบรรจุและประกอบ

    ความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์
    อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/china-presses-netherlands-to-resolve-nexperia-dispute-as-supply-concerns-grow
    🇨🇳 จีนกดดันเนเธอร์แลนด์ให้แก้ปัญหาความขัดแย้ง Nexperia รัฐบาลจีนเรียกร้องให้เนเธอร์แลนด์เร่งแก้ไขข้อพิพาทเกี่ยวกับบริษัท Nexperia ผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ของดัตช์ที่ถูกควบคุมโดย Wingtech Technology ของจีน หลังจากรัฐบาลเนเธอร์แลนด์เข้ามาแทรกแซงเพื่อป้องกันการถ่ายโอนเทคโนโลยี ทำให้เกิดการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานและการส่งออกชิ้นส่วนสำคัญ 🏛️ การแทรกแซงของรัฐและผลกระทบ ในเดือนกันยายน รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ใช้กฎหมายยุคสงครามเย็นเพื่อวาง Nexperia ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐ พร้อมระงับสิทธิ์การโหวตของผู้บริหารที่มาจาก Wingtech และแต่งตั้งผู้ดูแลอิสระแทน จีนตอบโต้ด้วยการหยุดการส่งออกชิ้นส่วนที่บรรจุในจีนกลับไปยุโรป ส่งผลให้การผลิตรถยนต์และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ในยุโรปสะดุดทันที ⚡ ความเสี่ยงต่อห่วงโซ่อุปทานโลก กว่า 70% ของเวเฟอร์ที่ผลิตในยุโรปโดย Nexperia ต้องถูกส่งไปจีนเพื่อบรรจุและประกอบ เมื่อจีนหยุดส่งออก ทำให้เกิดการค้างสต็อกและใบแจ้งหนี้ที่ไม่ได้รับชำระจำนวนมาก ปัจจุบันทั้งสองฝ่ายผ่อนคลายข้อจำกัดบางส่วน แต่ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาการควบคุมบริษัทได้อย่างถาวร 🌐 บริบทเพิ่มเติมจากอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ กรณีนี้สะท้อนถึงความตึงเครียดด้าน ภูมิรัฐศาสตร์และเทคโนโลยี ที่เพิ่มขึ้นระหว่างจีนและยุโรป โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ที่เป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจโลก ขณะเดียวกันบริษัทญี่ปุ่นและเกาหลีใต้กำลังเร่งลงทุนเพื่อสร้างโรงงานใหม่ในประเทศตนเอง เพื่อลดการพึ่งพาห่วงโซ่อุปทานที่เสี่ยงต่อการเมือง 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ จีนเรียกร้องให้เนเธอร์แลนด์แก้ปัญหา Nexperia ➡️ หลังการแทรกแซงของรัฐทำให้ห่วงโซ่อุปทานสะดุด ✅ รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ใช้กฎหมายยุคสงครามเย็น ➡️ ระงับสิทธิ์ผู้บริหารจาก Wingtech และแต่งตั้งผู้ดูแลอิสระ ✅ จีนตอบโต้ด้วยการหยุดส่งออกชิ้นส่วน ➡️ กระทบการผลิตรถยนต์และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ในยุโรป ✅ ปัจจุบันผ่อนคลายข้อจำกัดบางส่วน ➡️ แต่ยังไม่แก้ปัญหาการควบคุมบริษัทได้ถาวร ‼️ ความเสี่ยงต่อห่วงโซ่อุปทานโลก ⛔ 70% ของเวเฟอร์ยุโรปต้องส่งไปจีนเพื่อบรรจุและประกอบ ‼️ ความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ ⛔ อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง https://www.tomshardware.com/tech-industry/china-presses-netherlands-to-resolve-nexperia-dispute-as-supply-concerns-grow
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Chinese government wades into Dutch chipmaker dispute — presses Netherlands to resolve Nexperia saga as supply concerns grow
    Beijing urges the Dutch government to allow talks with Wingtech after state intervention disrupted chip flows.
    0 Comments 0 Shares 12 Views 0 Reviews
  • Intel แพ้คดีผูกขาดในยุโรป ถูกปรับ 278 ล้านดอลลาร์

    Intel พยายามอุทธรณ์เพื่อยกเลิกคำตัดสินคดีผูกขาดที่ดำเนินมากว่า 16 ปี แต่ศาลทั่วไปของสหภาพยุโรป (EU General Court) ได้ตัดสินยืนตามคณะกรรมาธิการยุโรป โดยปรับเป็นเงิน 237 ล้านยูโร (278 ล้านดอลลาร์) หลังพบว่า Intel ใช้กลยุทธ์ส่วนลดและการจ่ายเงินเพื่อกีดกันคู่แข่งอย่าง AMD ระหว่างปี 2000–2008

    เส้นทางคดีที่ยืดเยื้อ
    คดีนี้เริ่มตั้งแต่ปี 2009 เมื่อคณะกรรมาธิการยุโรปปรับ Intel เป็นเงินกว่า 1.06 พันล้านยูโร แต่ต่อมามีการอุทธรณ์และการพิจารณาซ้ำหลายครั้ง จนกระทั่งปี 2022 ศาลได้ยกเลิกค่าปรับเดิมเนื่องจากการวิเคราะห์ไม่ครบถ้วน ก่อนจะมีการคำนวณใหม่ในปี 2023 และล่าสุดศาลทั่วไปตัดสินให้ปรับลดลงเหลือ 278 ล้านดอลลาร์

    ผลกระทบต่อการแข่งขันในตลาด CPU
    การตัดสินครั้งนี้สะท้อนถึงความพยายามของ EU ในการรักษาความเป็นธรรมในตลาดเทคโนโลยี โดยเฉพาะการป้องกันไม่ให้บริษัทใหญ่ใช้อำนาจเหนือตลาดกีดกันคู่แข่ง AMD ซึ่งในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา AMD ค่อย ๆ เพิ่มส่วนแบ่งตลาดด้วยนวัตกรรม เช่น Ryzen และ EPYC ที่ทำให้การแข่งขันกลับมาสมดุลมากขึ้น

    บริบทเพิ่มเติมจากวงการเทคโนโลยีและกฎหมาย
    กรณีนี้เป็นหนึ่งในหลายคดีที่ EU ใช้กฎหมายแข่งขันทางการค้าเพื่อควบคุมบริษัทยักษ์ใหญ่ เช่น การบังคับให้ Microsoft เสนอ “browser choice” หรือการปรับ Google เรื่องการจัดอันดับผลการค้นหา การตัดสินต่อ Intel จึงเป็นสัญญาณว่า EU จะยังคงเข้มงวดต่อบริษัทเทคโนโลยีที่มีอำนาจเหนือตลาด

    สรุปสาระสำคัญ
    Intel ถูกปรับ 278 ล้านดอลลาร์โดยศาลทั่วไปของ EU
    หลังพบว่ากีดกัน AMD ระหว่างปี 2000–2008

    คดีเริ่มตั้งแต่ปี 2009
    เดิมถูกปรับ 1.06 พันล้านยูโร ก่อนลดลง

    AMD ได้ประโยชน์จากการแข่งขันที่เป็นธรรม
    Ryzen และ EPYC ช่วยเพิ่มส่วนแบ่งตลาด

    ความเสี่ยงต่อบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี
    EU อาจใช้กฎหมายแข่งขันทางการค้าเข้มงวดต่อไป

    ผลกระทบต่อภาพลักษณ์ Intel
    ถูกมองว่าใช้อำนาจเหนือตลาดในทางที่ไม่เป็นธรรม

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-fails-to-get-eu-antitrust-ruling-overturned-in-longstanding-16-year-amd-competition-case-chipmaker-sees-usd1-2-billion-fine-reduced-to-usd278-million
    ⚖️ Intel แพ้คดีผูกขาดในยุโรป ถูกปรับ 278 ล้านดอลลาร์ Intel พยายามอุทธรณ์เพื่อยกเลิกคำตัดสินคดีผูกขาดที่ดำเนินมากว่า 16 ปี แต่ศาลทั่วไปของสหภาพยุโรป (EU General Court) ได้ตัดสินยืนตามคณะกรรมาธิการยุโรป โดยปรับเป็นเงิน 237 ล้านยูโร (278 ล้านดอลลาร์) หลังพบว่า Intel ใช้กลยุทธ์ส่วนลดและการจ่ายเงินเพื่อกีดกันคู่แข่งอย่าง AMD ระหว่างปี 2000–2008 🏛️ เส้นทางคดีที่ยืดเยื้อ คดีนี้เริ่มตั้งแต่ปี 2009 เมื่อคณะกรรมาธิการยุโรปปรับ Intel เป็นเงินกว่า 1.06 พันล้านยูโร แต่ต่อมามีการอุทธรณ์และการพิจารณาซ้ำหลายครั้ง จนกระทั่งปี 2022 ศาลได้ยกเลิกค่าปรับเดิมเนื่องจากการวิเคราะห์ไม่ครบถ้วน ก่อนจะมีการคำนวณใหม่ในปี 2023 และล่าสุดศาลทั่วไปตัดสินให้ปรับลดลงเหลือ 278 ล้านดอลลาร์ 💻 ผลกระทบต่อการแข่งขันในตลาด CPU การตัดสินครั้งนี้สะท้อนถึงความพยายามของ EU ในการรักษาความเป็นธรรมในตลาดเทคโนโลยี โดยเฉพาะการป้องกันไม่ให้บริษัทใหญ่ใช้อำนาจเหนือตลาดกีดกันคู่แข่ง AMD ซึ่งในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา AMD ค่อย ๆ เพิ่มส่วนแบ่งตลาดด้วยนวัตกรรม เช่น Ryzen และ EPYC ที่ทำให้การแข่งขันกลับมาสมดุลมากขึ้น 🌐 บริบทเพิ่มเติมจากวงการเทคโนโลยีและกฎหมาย กรณีนี้เป็นหนึ่งในหลายคดีที่ EU ใช้กฎหมายแข่งขันทางการค้าเพื่อควบคุมบริษัทยักษ์ใหญ่ เช่น การบังคับให้ Microsoft เสนอ “browser choice” หรือการปรับ Google เรื่องการจัดอันดับผลการค้นหา การตัดสินต่อ Intel จึงเป็นสัญญาณว่า EU จะยังคงเข้มงวดต่อบริษัทเทคโนโลยีที่มีอำนาจเหนือตลาด 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ Intel ถูกปรับ 278 ล้านดอลลาร์โดยศาลทั่วไปของ EU ➡️ หลังพบว่ากีดกัน AMD ระหว่างปี 2000–2008 ✅ คดีเริ่มตั้งแต่ปี 2009 ➡️ เดิมถูกปรับ 1.06 พันล้านยูโร ก่อนลดลง ✅ AMD ได้ประโยชน์จากการแข่งขันที่เป็นธรรม ➡️ Ryzen และ EPYC ช่วยเพิ่มส่วนแบ่งตลาด ‼️ ความเสี่ยงต่อบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี ⛔ EU อาจใช้กฎหมายแข่งขันทางการค้าเข้มงวดต่อไป ‼️ ผลกระทบต่อภาพลักษณ์ Intel ⛔ ถูกมองว่าใช้อำนาจเหนือตลาดในทางที่ไม่เป็นธรรม https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-fails-to-get-eu-antitrust-ruling-overturned-in-longstanding-16-year-amd-competition-case-chipmaker-sees-usd1-2-billion-fine-reduced-to-usd278-million
    0 Comments 0 Shares 16 Views 0 Reviews
  • TSMC พิจารณาอัปเกรดโรงงานที่ญี่ปุ่นสู่เทคโนโลยี 4nm

    รายงานระบุว่า TSMC กำลังพิจารณาอัปเกรดโรงงาน Fab 23 Phase 2 ในเมืองคุมาโมโตะ ประเทศญี่ปุ่น จากเดิมที่วางแผนผลิตชิป 6nm และ 7nm ให้สามารถผลิตชิป N4 (4nm-class) และ N5 (5nm-class) ได้ ซึ่งจะทำให้ลูกค้าในญี่ปุ่นเข้าถึงเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยมากขึ้น

    ความท้าทายด้านการก่อสร้างและเครื่องจักร
    แม้การอัปเกรดจะเป็นไปได้เพราะเครื่องจักรที่ใช้ใน N7/N6 และ N5/N4 มีความคล้ายกันถึง 90% แต่การผลิต N4 ต้องใช้เครื่อง EUV lithography ที่มีขนาดใหญ่และซับซ้อนกว่า ทำให้ต้องมีการออกแบบใหม่บางส่วน ขณะเดียวกัน TSMC ได้แจ้งซัพพลายเออร์ว่าจะไม่ต้องการเครื่องจักรใหม่ในญี่ปุ่นตลอดปี 2026 เนื่องจากการก่อสร้างล่าช้า

    สัญญาณการหยุดชะงัก
    ภาพถ่ายล่าสุดจากไซต์ก่อสร้างแสดงให้เห็นว่าเครื่องจักรหนัก เช่น เครนและรถขุด ถูกนำออกไปแล้ว และมีการแจ้งซัพพลายเออร์ว่าการทำงานจะหยุดชั่วคราว นั่นหมายความว่าโรงงานอาจไม่พร้อมติดตั้งเครื่องจักรใหม่ในปีหน้า ซึ่งสะท้อนถึงความไม่แน่นอนของโครงการ แม้จะมีแผนรองรับการผลิตขั้นสูงในอนาคต

    บริบทเพิ่มเติมจากอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์
    การอัปเกรดโรงงานในญี่ปุ่นถือเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ กระจายการผลิตนอกไต้หวัน ของ TSMC เพื่อลดความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ ขณะเดียวกันคู่แข่งอย่าง Rapidus ก็มีแผนสร้างโรงงาน 1.4nm ในญี่ปุ่นภายในปี 2027 ซึ่งอาจทำให้ญี่ปุ่นกลายเป็นศูนย์กลางใหม่ของการผลิตชิปขั้นสูงในเอเชีย

    สรุปสาระสำคัญ
    TSMC พิจารณาอัปเกรดโรงงาน Fab 23 Phase 2
    จาก 6nm/7nm เป็น 4nm/5nm

    เครื่องจักร N7/N6 และ N5/N4 คล้ายกันถึง 90%
    ทำให้การอัปเกรดเป็นไปได้ง่ายขึ้น

    การก่อสร้างล่าช้า
    TSMC แจ้งว่าจะไม่ต้องการเครื่องจักรใหม่ในปี 2026

    ความไม่แน่นอนของโครงการ
    การหยุดชั่วคราวและการนำเครื่องจักรออกจากไซต์

    ความท้าทายด้าน EUV lithography
    ต้องใช้เครื่องที่ใหญ่และซับซ้อนกว่า DUV

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/tmsc-ponders-upgrading-2nd-japan-fab-to-4nm-could-pave-the-way-for-more-advanced-chips-for-japanese-customers
    🏭 TSMC พิจารณาอัปเกรดโรงงานที่ญี่ปุ่นสู่เทคโนโลยี 4nm รายงานระบุว่า TSMC กำลังพิจารณาอัปเกรดโรงงาน Fab 23 Phase 2 ในเมืองคุมาโมโตะ ประเทศญี่ปุ่น จากเดิมที่วางแผนผลิตชิป 6nm และ 7nm ให้สามารถผลิตชิป N4 (4nm-class) และ N5 (5nm-class) ได้ ซึ่งจะทำให้ลูกค้าในญี่ปุ่นเข้าถึงเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยมากขึ้น ⚙️ ความท้าทายด้านการก่อสร้างและเครื่องจักร แม้การอัปเกรดจะเป็นไปได้เพราะเครื่องจักรที่ใช้ใน N7/N6 และ N5/N4 มีความคล้ายกันถึง 90% แต่การผลิต N4 ต้องใช้เครื่อง EUV lithography ที่มีขนาดใหญ่และซับซ้อนกว่า ทำให้ต้องมีการออกแบบใหม่บางส่วน ขณะเดียวกัน TSMC ได้แจ้งซัพพลายเออร์ว่าจะไม่ต้องการเครื่องจักรใหม่ในญี่ปุ่นตลอดปี 2026 เนื่องจากการก่อสร้างล่าช้า 📉 สัญญาณการหยุดชะงัก ภาพถ่ายล่าสุดจากไซต์ก่อสร้างแสดงให้เห็นว่าเครื่องจักรหนัก เช่น เครนและรถขุด ถูกนำออกไปแล้ว และมีการแจ้งซัพพลายเออร์ว่าการทำงานจะหยุดชั่วคราว นั่นหมายความว่าโรงงานอาจไม่พร้อมติดตั้งเครื่องจักรใหม่ในปีหน้า ซึ่งสะท้อนถึงความไม่แน่นอนของโครงการ แม้จะมีแผนรองรับการผลิตขั้นสูงในอนาคต 🌐 บริบทเพิ่มเติมจากอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ การอัปเกรดโรงงานในญี่ปุ่นถือเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ กระจายการผลิตนอกไต้หวัน ของ TSMC เพื่อลดความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ ขณะเดียวกันคู่แข่งอย่าง Rapidus ก็มีแผนสร้างโรงงาน 1.4nm ในญี่ปุ่นภายในปี 2027 ซึ่งอาจทำให้ญี่ปุ่นกลายเป็นศูนย์กลางใหม่ของการผลิตชิปขั้นสูงในเอเชีย 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ TSMC พิจารณาอัปเกรดโรงงาน Fab 23 Phase 2 ➡️ จาก 6nm/7nm เป็น 4nm/5nm ✅ เครื่องจักร N7/N6 และ N5/N4 คล้ายกันถึง 90% ➡️ ทำให้การอัปเกรดเป็นไปได้ง่ายขึ้น ✅ การก่อสร้างล่าช้า ➡️ TSMC แจ้งว่าจะไม่ต้องการเครื่องจักรใหม่ในปี 2026 ‼️ ความไม่แน่นอนของโครงการ ⛔ การหยุดชั่วคราวและการนำเครื่องจักรออกจากไซต์ ‼️ ความท้าทายด้าน EUV lithography ⛔ ต้องใช้เครื่องที่ใหญ่และซับซ้อนกว่า DUV https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/tmsc-ponders-upgrading-2nd-japan-fab-to-4nm-could-pave-the-way-for-more-advanced-chips-for-japanese-customers
    0 Comments 0 Shares 12 Views 0 Reviews
  • นักพัฒนาซื้อเครื่อง Grace Hopper “ปลอม” แต่ได้ของจริงมูลค่า 80,000 ดอลลาร์

    นักพัฒนาชื่อ David Noel Ng พบประกาศขายระบบ Nvidia Grace-Hopper บน Reddit ที่ดู “ปลอมชัดเจน” ในราคาเพียง 8,000 ดอลลาร์ เขาตัดสินใจเสี่ยงซื้อ และหลังจากแก้ไขปรับปรุงเครื่องแล้ว กลับได้ระบบที่มีมูลค่ากว่า 80,000 ดอลลาร์ โดยเฉพาะหน่วยความจำ 960GB LPDDR5X ที่มีมูลค่าสูงกว่าราคาที่เขาจ่ายไปทั้งเครื่อง

    ระบบ Frankensystem ที่ต้องซ่อมเอง
    เครื่องที่ได้มาเป็นระบบที่ถูกดัดแปลงจาก liquid-cooled เป็น air-cooled ทำให้สภาพภายนอกดูไม่สมบูรณ์และใช้งานยาก Ng ต้องใช้เวลาทำความสะอาด ซ่อมบอร์ด และสร้างระบบระบายความร้อนใหม่ด้วยอุปกรณ์ราคาถูก เช่น Arctic AiO coolers และชิ้นส่วนที่พิมพ์ 3D รวมถึงการบัดกรีซ่อมแซมด้วยกล้องจุลทรรศน์

    สเปกที่ทรงพลังเกินราคาซื้อ
    ระบบนี้ประกอบด้วย 2x Nvidia Grace CPU (72-core), 2x Hopper H100 GPU, หน่วยความจำรวมกว่า 1,152GB และแบนด์วิดท์ NVLink-C2C ที่สูงถึง 900 GB/s ทำให้ Ng สามารถรันโมเดล AI ขนาด 235B parameters ได้ที่บ้าน ในราคาต่ำกว่าชิป H100 เพียงตัวเดียว

    บริบทเพิ่มเติมจากวงการ AI และฮาร์ดแวร์
    กรณีนี้สะท้อนถึงความต้องการฮาร์ดแวร์ AI ที่สูงมากในตลาดโลก ซึ่งทำให้ราคาชิปและหน่วยความจำพุ่งสูงจนผู้ใช้ทั่วไปแทบไม่สามารถเข้าถึงได้ การที่ Ng ได้เครื่องราคาถูกเช่นนี้จึงถือเป็น “โชคช่วย” ที่หาได้ยาก และยังชี้ให้เห็นว่าตลาดมือสองหรือการรีไซเคิลฮาร์ดแวร์อาจกลายเป็นช่องทางสำคัญสำหรับนักพัฒนาอิสระในอนาคต

    สรุปสาระสำคัญ
    David Noel Ng ซื้อระบบ Grace-Hopper จาก Reddit
    จ่ายเพียง 8,000 ดอลลาร์ แต่ได้ของมูลค่า 80,000 ดอลลาร์

    ระบบถูกดัดแปลงเป็น Frankensystem
    ต้องซ่อมและสร้างระบบระบายความร้อนใหม่เอง

    สเปกทรงพลังเกินราคาซื้อ
    2x Grace CPU, 2x H100 GPU, รวมหน่วยความจำ 1,152GB

    สามารถรันโมเดล AI 235B parameters ที่บ้าน
    ราคาต่ำกว่าชิป H100 เพียงตัวเดียว

    ความเสี่ยงจากการซื้อฮาร์ดแวร์มือสอง
    อาจเจอเครื่องดัดแปลงหรือมีปัญหาซ่อนเร้น

    ตลาดฮาร์ดแวร์ AI มีราคาสูงเกินเอื้อม
    ผู้ใช้ทั่วไปเข้าถึงยาก ต้องพึ่งตลาดมือสองหรือรีไซเคิล

    https://www.tomshardware.com/desktops/servers/developer-gambles-on-obviously-fake-usd8k-grace-hopper-system-scores-usd80-000-worth-of-hardware-on-reddit-for-one-tenth-of-the-cost-buyers-haul-includes-960gb-of-ddr5-ram-worth-more-than-what-he-paid-for-the-entire-rig
    💻 นักพัฒนาซื้อเครื่อง Grace Hopper “ปลอม” แต่ได้ของจริงมูลค่า 80,000 ดอลลาร์ นักพัฒนาชื่อ David Noel Ng พบประกาศขายระบบ Nvidia Grace-Hopper บน Reddit ที่ดู “ปลอมชัดเจน” ในราคาเพียง 8,000 ดอลลาร์ เขาตัดสินใจเสี่ยงซื้อ และหลังจากแก้ไขปรับปรุงเครื่องแล้ว กลับได้ระบบที่มีมูลค่ากว่า 80,000 ดอลลาร์ โดยเฉพาะหน่วยความจำ 960GB LPDDR5X ที่มีมูลค่าสูงกว่าราคาที่เขาจ่ายไปทั้งเครื่อง 🛠️ ระบบ Frankensystem ที่ต้องซ่อมเอง เครื่องที่ได้มาเป็นระบบที่ถูกดัดแปลงจาก liquid-cooled เป็น air-cooled ทำให้สภาพภายนอกดูไม่สมบูรณ์และใช้งานยาก Ng ต้องใช้เวลาทำความสะอาด ซ่อมบอร์ด และสร้างระบบระบายความร้อนใหม่ด้วยอุปกรณ์ราคาถูก เช่น Arctic AiO coolers และชิ้นส่วนที่พิมพ์ 3D รวมถึงการบัดกรีซ่อมแซมด้วยกล้องจุลทรรศน์ ⚡ สเปกที่ทรงพลังเกินราคาซื้อ ระบบนี้ประกอบด้วย 2x Nvidia Grace CPU (72-core), 2x Hopper H100 GPU, หน่วยความจำรวมกว่า 1,152GB และแบนด์วิดท์ NVLink-C2C ที่สูงถึง 900 GB/s ทำให้ Ng สามารถรันโมเดล AI ขนาด 235B parameters ได้ที่บ้าน ในราคาต่ำกว่าชิป H100 เพียงตัวเดียว 🌐 บริบทเพิ่มเติมจากวงการ AI และฮาร์ดแวร์ กรณีนี้สะท้อนถึงความต้องการฮาร์ดแวร์ AI ที่สูงมากในตลาดโลก ซึ่งทำให้ราคาชิปและหน่วยความจำพุ่งสูงจนผู้ใช้ทั่วไปแทบไม่สามารถเข้าถึงได้ การที่ Ng ได้เครื่องราคาถูกเช่นนี้จึงถือเป็น “โชคช่วย” ที่หาได้ยาก และยังชี้ให้เห็นว่าตลาดมือสองหรือการรีไซเคิลฮาร์ดแวร์อาจกลายเป็นช่องทางสำคัญสำหรับนักพัฒนาอิสระในอนาคต 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ David Noel Ng ซื้อระบบ Grace-Hopper จาก Reddit ➡️ จ่ายเพียง 8,000 ดอลลาร์ แต่ได้ของมูลค่า 80,000 ดอลลาร์ ✅ ระบบถูกดัดแปลงเป็น Frankensystem ➡️ ต้องซ่อมและสร้างระบบระบายความร้อนใหม่เอง ✅ สเปกทรงพลังเกินราคาซื้อ ➡️ 2x Grace CPU, 2x H100 GPU, รวมหน่วยความจำ 1,152GB ✅ สามารถรันโมเดล AI 235B parameters ที่บ้าน ➡️ ราคาต่ำกว่าชิป H100 เพียงตัวเดียว ‼️ ความเสี่ยงจากการซื้อฮาร์ดแวร์มือสอง ⛔ อาจเจอเครื่องดัดแปลงหรือมีปัญหาซ่อนเร้น ‼️ ตลาดฮาร์ดแวร์ AI มีราคาสูงเกินเอื้อม ⛔ ผู้ใช้ทั่วไปเข้าถึงยาก ต้องพึ่งตลาดมือสองหรือรีไซเคิล https://www.tomshardware.com/desktops/servers/developer-gambles-on-obviously-fake-usd8k-grace-hopper-system-scores-usd80-000-worth-of-hardware-on-reddit-for-one-tenth-of-the-cost-buyers-haul-includes-960gb-of-ddr5-ram-worth-more-than-what-he-paid-for-the-entire-rig
    0 Comments 0 Shares 16 Views 0 Reviews
  • ดราม่าในรั้วมหาวิทยาลัย: นักศึกษาปริญญาเอก UC Berkeley ถูกจับฐานทำลายคอมพิวเตอร์เพื่อน

    เหตุการณ์เกิดขึ้นที่ภาควิชา Electrical Engineering and Computer Sciences ของ UC Berkeley เมื่อศาสตราจารย์สังเกตว่ามีคอมพิวเตอร์ของนักศึกษาคนหนึ่งเสียหายบ่อยผิดปกติ รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 46,000 ดอลลาร์สหรัฐ จึงตัดสินใจติดตั้งกล้องแอบถ่ายเพื่อหาสาเหตุ

    กล้องจับภาพขณะก่อเหตุ
    กล้องสามารถบันทึกภาพนักศึกษาปริญญาเอกอีกคนหนึ่งชื่อ Jiarui Zou อายุ 26 ปี กำลังใช้เครื่องมือทำลายคอมพิวเตอร์ของเพื่อนร่วมงาน จนถึงขั้นทำให้เกิดประกายไฟออกจากเครื่อง เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นต่อเนื่องในช่วงวันที่ 9–10 พฤศจิกายน และสร้างความเสียหายต่อคอมพิวเตอร์อย่างน้อย 3 เครื่อง

    การดำเนินคดีและข้อกล่าวหา
    Zou ถูกจับกุมที่บ้านพักใน Berkeley เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน และถูกตั้งข้อหา 3 กระทงความผิดฐานทำลายทรัพย์สิน (felony vandalism) โดยแต่ละกรณีมีมูลค่าความเสียหายเกิน 400 ดอลลาร์ แม้จะปฏิเสธการให้การกับตำรวจ แต่หลักฐานจากวิดีโอทำให้คดีถูกนำขึ้นศาลในวันที่ 15 ธันวาคม

    บริบทเพิ่มเติมจากวงการวิชาการ
    กรณีนี้สะท้อนถึงแรงกดดันและการแข่งขันในระดับบัณฑิตศึกษา โดยเฉพาะในสาขาวิศวกรรมและวิทยาการคอมพิวเตอร์ที่มีการแข่งขันสูง นักวิชาการบางส่วนชี้ว่าเหตุการณ์นี้เป็นตัวอย่างของ “academic sabotage” ซึ่งแม้จะพบไม่บ่อย แต่ก็สร้างผลกระทบต่อชื่อเสียงของสถาบันและความไว้วางใจในชุมชนวิจัย

    สรุปสาระสำคัญ
    ศาสตราจารย์ UC Berkeley ติดตั้งกล้องแอบถ่าย
    พบความเสียหายสะสมกว่า 46,000 ดอลลาร์

    กล้องจับภาพ Jiarui Zou ก่อเหตุ
    ทำลายคอมพิวเตอร์เพื่อนร่วมงานจนเกิดประกายไฟ

    ถูกตั้งข้อหา 3 กระทง felony vandalism
    แต่ละกรณีมีมูลค่าความเสียหายเกิน 400 ดอลลาร์

    ความเสี่ยงจากการแข่งขันในวงการวิชาการ
    อาจนำไปสู่การก่อเหตุทำลายหรือ sabotage

    ผลกระทบต่อชื่อเสียงและความไว้วางใจ
    สร้างบรรยากาศไม่ปลอดภัยในชุมชนวิจัย

    https://www.tomshardware.com/laptops/uc-berkeley-ph-d-candidate-busted-by-hidden-camera-repeatedly-sabotaging-rival-students-computer-arrested-on-three-felony-counts-may-have-caused-usd46-000-in-damage
    🎓 ดราม่าในรั้วมหาวิทยาลัย: นักศึกษาปริญญาเอก UC Berkeley ถูกจับฐานทำลายคอมพิวเตอร์เพื่อน เหตุการณ์เกิดขึ้นที่ภาควิชา Electrical Engineering and Computer Sciences ของ UC Berkeley เมื่อศาสตราจารย์สังเกตว่ามีคอมพิวเตอร์ของนักศึกษาคนหนึ่งเสียหายบ่อยผิดปกติ รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 46,000 ดอลลาร์สหรัฐ จึงตัดสินใจติดตั้งกล้องแอบถ่ายเพื่อหาสาเหตุ 🔍 กล้องจับภาพขณะก่อเหตุ กล้องสามารถบันทึกภาพนักศึกษาปริญญาเอกอีกคนหนึ่งชื่อ Jiarui Zou อายุ 26 ปี กำลังใช้เครื่องมือทำลายคอมพิวเตอร์ของเพื่อนร่วมงาน จนถึงขั้นทำให้เกิดประกายไฟออกจากเครื่อง เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นต่อเนื่องในช่วงวันที่ 9–10 พฤศจิกายน และสร้างความเสียหายต่อคอมพิวเตอร์อย่างน้อย 3 เครื่อง ⚖️ การดำเนินคดีและข้อกล่าวหา Zou ถูกจับกุมที่บ้านพักใน Berkeley เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน และถูกตั้งข้อหา 3 กระทงความผิดฐานทำลายทรัพย์สิน (felony vandalism) โดยแต่ละกรณีมีมูลค่าความเสียหายเกิน 400 ดอลลาร์ แม้จะปฏิเสธการให้การกับตำรวจ แต่หลักฐานจากวิดีโอทำให้คดีถูกนำขึ้นศาลในวันที่ 15 ธันวาคม 🌐 บริบทเพิ่มเติมจากวงการวิชาการ กรณีนี้สะท้อนถึงแรงกดดันและการแข่งขันในระดับบัณฑิตศึกษา โดยเฉพาะในสาขาวิศวกรรมและวิทยาการคอมพิวเตอร์ที่มีการแข่งขันสูง นักวิชาการบางส่วนชี้ว่าเหตุการณ์นี้เป็นตัวอย่างของ “academic sabotage” ซึ่งแม้จะพบไม่บ่อย แต่ก็สร้างผลกระทบต่อชื่อเสียงของสถาบันและความไว้วางใจในชุมชนวิจัย 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ศาสตราจารย์ UC Berkeley ติดตั้งกล้องแอบถ่าย ➡️ พบความเสียหายสะสมกว่า 46,000 ดอลลาร์ ✅ กล้องจับภาพ Jiarui Zou ก่อเหตุ ➡️ ทำลายคอมพิวเตอร์เพื่อนร่วมงานจนเกิดประกายไฟ ✅ ถูกตั้งข้อหา 3 กระทง felony vandalism ➡️ แต่ละกรณีมีมูลค่าความเสียหายเกิน 400 ดอลลาร์ ‼️ ความเสี่ยงจากการแข่งขันในวงการวิชาการ ⛔ อาจนำไปสู่การก่อเหตุทำลายหรือ sabotage ‼️ ผลกระทบต่อชื่อเสียงและความไว้วางใจ ⛔ สร้างบรรยากาศไม่ปลอดภัยในชุมชนวิจัย https://www.tomshardware.com/laptops/uc-berkeley-ph-d-candidate-busted-by-hidden-camera-repeatedly-sabotaging-rival-students-computer-arrested-on-three-felony-counts-may-have-caused-usd46-000-in-damage
    0 Comments 0 Shares 17 Views 0 Reviews
  • วิกฤตราคา RAM: จาก 117 ดอลลาร์สู่กว่า 800 ดอลลาร์

    รายงานจาก Tom’s Hardware ระบุว่า Trident Z5 Neo RGB DDR5-6000 C30 32GB ที่เคยขายเพียง 117 ดอลลาร์ ตอนนี้ราคาขึ้นไปถึง 429 ดอลลาร์ในร้านค้าปกติ และถูกนำไปขายบน eBay ในราคา 836 ดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าราคาจริงถึง 7 เท่า การปรับขึ้นนี้เกิดจากความต้องการหน่วยความจำมหาศาลในศูนย์ข้อมูล AI ที่ทำให้ผู้ผลิตอย่าง Samsung, SK Hynix และ Micron หันไปผลิต RAM สำหรับเซิร์ฟเวอร์แทนตลาดผู้บริโภค

    Scalpers และการเก็งกำไร
    นอกจากผู้ผลิตแล้ว scalpers ก็เข้ามาเก็งกำไร โดยซื้อ RAM จากร้านค้าปกติแล้วนำไปขายต่อในราคาสูง ตัวอย่างเช่น Vengeance DDR5-5200 C38 192GB ที่เคยมีราคา 649 ดอลลาร์ ตอนนี้ถูกตั้งราคาขายใหม่ถึง 2,201 ดอลลาร์ และแม้แต่บน eBay ก็ยังมีการตั้งราคาสูงถึง 1,949 ดอลลาร์ การเก็งกำไรนี้ทำให้ผู้ใช้ทั่วไปแทบไม่สามารถอัปเกรดเครื่องได้ในราคาที่สมเหตุสมผล

    ผลกระทบต่อธุรกิจและผู้ผลิต
    บริษัทประกอบคอมพิวเตอร์อย่าง CyberPowerPC และ Maingear ต้องปรับราคาพีซีขึ้นตามต้นทุน ขณะที่ OEM อย่าง Dell และ Lenovo ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน แม้ Lenovo จะมีสต็อกเพียงพอจนถึงปี 2026 แต่ผู้ผลิตรายอื่นต้องเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ Micron ยังประกาศปิดสายการผลิต RAM สำหรับผู้บริโภค (Crucial) เพื่อหันไปโฟกัสตลาดองค์กรโดยตรง

    บริบทเพิ่มเติมจากวงการเทคโนโลยี
    การขาดแคลน RAM ไม่ได้กระทบแค่ผู้ใช้พีซี แต่ยังรวมถึง คอนโซลเกมและ Raspberry Pi ที่ต้องปรับราคาขึ้นเช่นกัน นักวิเคราะห์เตือนว่าอาจต้องรอจนกว่า “ฟองสบู่ AI” จะคลี่คลาย ราคาถึงจะกลับมาเป็นปกติ แต่ยังไม่มีสัญญาณชัดเจนว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใด

    สรุปสาระสำคัญ
    ราคาชุด RAM พุ่งสูงกว่า 7 เท่า
    Trident Z5 Neo จาก 117 ดอลลาร์เป็น 836 ดอลลาร์บน eBay

    ผู้ผลิตหันไปผลิต RAM สำหรับเซิร์ฟเวอร์
    ตลาดผู้บริโภคถูกลดความสำคัญ

    Scalpers เก็งกำไรบน eBay
    Vengeance DDR5-5200 จาก 649 ดอลลาร์เป็น 1,949 ดอลลาร์

    ธุรกิจคอมพิวเตอร์และ OEM ได้รับผลกระทบ
    CyberPowerPC, Maingear, Dell ต้องปรับราคาสูงขึ้น

    ความเสี่ยงต่อผู้ใช้ทั่วไป
    ไม่สามารถอัปเกรดเครื่องได้ในราคาที่สมเหตุสมผล

    ฟองสบู่ AI อาจทำให้ตลาดผันผวน
    ราคาจะกลับมาปกติได้ก็ต่อเมื่อความต้องการลดลง

    https://www.tomshardware.com/pc-components/ram/ram-scalping-takes-hold-on-ebay-some-kits-selling-for-more-than-usd2-000-price-gouged-kits-fetch-7x-their-original-value-adding-almost-double-the-markup-on-already-inflated-prices
    💻 วิกฤตราคา RAM: จาก 117 ดอลลาร์สู่กว่า 800 ดอลลาร์ รายงานจาก Tom’s Hardware ระบุว่า Trident Z5 Neo RGB DDR5-6000 C30 32GB ที่เคยขายเพียง 117 ดอลลาร์ ตอนนี้ราคาขึ้นไปถึง 429 ดอลลาร์ในร้านค้าปกติ และถูกนำไปขายบน eBay ในราคา 836 ดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าราคาจริงถึง 7 เท่า การปรับขึ้นนี้เกิดจากความต้องการหน่วยความจำมหาศาลในศูนย์ข้อมูล AI ที่ทำให้ผู้ผลิตอย่าง Samsung, SK Hynix และ Micron หันไปผลิต RAM สำหรับเซิร์ฟเวอร์แทนตลาดผู้บริโภค 📈 Scalpers และการเก็งกำไร นอกจากผู้ผลิตแล้ว scalpers ก็เข้ามาเก็งกำไร โดยซื้อ RAM จากร้านค้าปกติแล้วนำไปขายต่อในราคาสูง ตัวอย่างเช่น Vengeance DDR5-5200 C38 192GB ที่เคยมีราคา 649 ดอลลาร์ ตอนนี้ถูกตั้งราคาขายใหม่ถึง 2,201 ดอลลาร์ และแม้แต่บน eBay ก็ยังมีการตั้งราคาสูงถึง 1,949 ดอลลาร์ การเก็งกำไรนี้ทำให้ผู้ใช้ทั่วไปแทบไม่สามารถอัปเกรดเครื่องได้ในราคาที่สมเหตุสมผล 🏭 ผลกระทบต่อธุรกิจและผู้ผลิต บริษัทประกอบคอมพิวเตอร์อย่าง CyberPowerPC และ Maingear ต้องปรับราคาพีซีขึ้นตามต้นทุน ขณะที่ OEM อย่าง Dell และ Lenovo ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน แม้ Lenovo จะมีสต็อกเพียงพอจนถึงปี 2026 แต่ผู้ผลิตรายอื่นต้องเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ Micron ยังประกาศปิดสายการผลิต RAM สำหรับผู้บริโภค (Crucial) เพื่อหันไปโฟกัสตลาดองค์กรโดยตรง 🌐 บริบทเพิ่มเติมจากวงการเทคโนโลยี การขาดแคลน RAM ไม่ได้กระทบแค่ผู้ใช้พีซี แต่ยังรวมถึง คอนโซลเกมและ Raspberry Pi ที่ต้องปรับราคาขึ้นเช่นกัน นักวิเคราะห์เตือนว่าอาจต้องรอจนกว่า “ฟองสบู่ AI” จะคลี่คลาย ราคาถึงจะกลับมาเป็นปกติ แต่ยังไม่มีสัญญาณชัดเจนว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใด 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ราคาชุด RAM พุ่งสูงกว่า 7 เท่า ➡️ Trident Z5 Neo จาก 117 ดอลลาร์เป็น 836 ดอลลาร์บน eBay ✅ ผู้ผลิตหันไปผลิต RAM สำหรับเซิร์ฟเวอร์ ➡️ ตลาดผู้บริโภคถูกลดความสำคัญ ✅ Scalpers เก็งกำไรบน eBay ➡️ Vengeance DDR5-5200 จาก 649 ดอลลาร์เป็น 1,949 ดอลลาร์ ✅ ธุรกิจคอมพิวเตอร์และ OEM ได้รับผลกระทบ ➡️ CyberPowerPC, Maingear, Dell ต้องปรับราคาสูงขึ้น ‼️ ความเสี่ยงต่อผู้ใช้ทั่วไป ⛔ ไม่สามารถอัปเกรดเครื่องได้ในราคาที่สมเหตุสมผล ‼️ ฟองสบู่ AI อาจทำให้ตลาดผันผวน ⛔ ราคาจะกลับมาปกติได้ก็ต่อเมื่อความต้องการลดลง https://www.tomshardware.com/pc-components/ram/ram-scalping-takes-hold-on-ebay-some-kits-selling-for-more-than-usd2-000-price-gouged-kits-fetch-7x-their-original-value-adding-almost-double-the-markup-on-already-inflated-prices
    0 Comments 0 Shares 21 Views 0 Reviews
  • ห้องทดลองใต้ดินเก็บข้อมูลสมอง 10,000 ชั่วโมงเพื่อสร้าง AI แปลงความคิดเป็นข้อความ

    บริษัทสตาร์ทอัพชื่อ Conduit ในซานฟรานซิสโกได้ดำเนินโครงการเก็บข้อมูลสมองจากผู้เข้าร่วมหลายพันคนรวมกว่า 10,000 ชั่วโมง โดยใช้ชุดอุปกรณ์สวมศีรษะที่พัฒนาขึ้นเอง เพื่อฝึกโมเดล AI ที่สามารถถอดรหัสความคิดและเปลี่ยนเป็นข้อความได้ เป้าหมายคือการจับสัญญาณสมองในช่วงเสี้ยววินาทีก่อนที่ผู้เข้าร่วมจะพูดหรือพิมพ์

    เทคโนโลยีและวิธีการเก็บข้อมูล
    Conduit ใช้การผสมผสานเซ็นเซอร์ EEG, fNIRS และอุปกรณ์ตรวจจับอื่น ๆ ในโครงสร้างที่พิมพ์ 3D เพื่อสร้าง “AI Helmet” ที่มีทั้งรุ่นสำหรับการฝึก (หนักและครอบคลุมสัญญาณมากที่สุด) และรุ่นสำหรับการใช้งานจริงในอนาคต ข้อมูลทั้งหมดถูกจัดเก็บในรูปแบบ Zarr 3 เพื่อรวมสัญญาณจากหลายเซ็นเซอร์ภายใต้ระบบเดียว

    ความท้าทายด้านคุณภาพและต้นทุน
    ในช่วงแรกทีมงานต้องปิดไฟหลักและใช้แบตเตอรี่เพื่อหลีกเลี่ยงสัญญาณรบกวนไฟฟ้า แต่ภายหลังพบว่าการขยายขนาดข้อมูลช่วยให้โมเดลสามารถ “ทั่วไป” ได้ดีขึ้นแม้มีเสียงรบกวน ทำให้ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีที่ซับซ้อนมากอีกต่อไป นอกจากนี้ Conduit ยังลดต้นทุนต่อชั่วโมงข้อมูลลงกว่า 40% ด้วยระบบตรวจสอบคุณภาพแบบเรียลไทม์และการจัดการห้องบันทึกหลายห้องพร้อมกัน

    บริบทเพิ่มเติมจากวงการ AI และประสาทวิทยา
    การวิจัยนี้สะท้อนถึงความพยายามของวงการ AI ที่จะก้าวไปสู่ Brain-Computer Interface (BCI) ซึ่งมีศักยภาพในการช่วยผู้พิการสื่อสาร หรือแม้แต่การสร้างอินเทอร์เฟซใหม่ระหว่างมนุษย์กับคอมพิวเตอร์ อย่างไรก็ตาม นักวิจัยเตือนว่าการเก็บข้อมูลสมองในระดับใหญ่เช่นนี้ต้องพิจารณาเรื่อง จริยธรรมและความเป็นส่วนตัว อย่างเข้มงวด เพราะข้อมูลสมองถือเป็นข้อมูลที่ละเอียดอ่อนที่สุดของมนุษย์

    สรุปสาระสำคัญ
    Conduit เก็บข้อมูลสมองกว่า 10,000 ชั่วโมง
    ใช้เพื่อฝึกโมเดล AI แปลงความคิดเป็นข้อความ

    ใช้ AI Helmet ที่รวม EEG และ fNIRS
    มีรุ่นสำหรับการฝึกและรุ่นสำหรับใช้งานจริง

    ลดต้นทุนการเก็บข้อมูลลงกว่า 40%
    ด้วยระบบตรวจสอบคุณภาพและการจัดการหลายห้อง

    ความเสี่ยงด้านจริยธรรมและความเป็นส่วนตัว
    ข้อมูลสมองเป็นข้อมูลที่ละเอียดอ่อนและอาจถูกใช้ผิดวัตถุประสงค์

    ความท้าทายด้านการนำไปใช้จริง
    ต้องพิจารณาความแม่นยำและผลกระทบต่อผู้เข้าร่วม

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/basement-lab-produces-10000-hours-of-neural-data-for-thought-to-text-research
    🧠 ห้องทดลองใต้ดินเก็บข้อมูลสมอง 10,000 ชั่วโมงเพื่อสร้าง AI แปลงความคิดเป็นข้อความ บริษัทสตาร์ทอัพชื่อ Conduit ในซานฟรานซิสโกได้ดำเนินโครงการเก็บข้อมูลสมองจากผู้เข้าร่วมหลายพันคนรวมกว่า 10,000 ชั่วโมง โดยใช้ชุดอุปกรณ์สวมศีรษะที่พัฒนาขึ้นเอง เพื่อฝึกโมเดล AI ที่สามารถถอดรหัสความคิดและเปลี่ยนเป็นข้อความได้ เป้าหมายคือการจับสัญญาณสมองในช่วงเสี้ยววินาทีก่อนที่ผู้เข้าร่วมจะพูดหรือพิมพ์ ⚙️ เทคโนโลยีและวิธีการเก็บข้อมูล Conduit ใช้การผสมผสานเซ็นเซอร์ EEG, fNIRS และอุปกรณ์ตรวจจับอื่น ๆ ในโครงสร้างที่พิมพ์ 3D เพื่อสร้าง “AI Helmet” ที่มีทั้งรุ่นสำหรับการฝึก (หนักและครอบคลุมสัญญาณมากที่สุด) และรุ่นสำหรับการใช้งานจริงในอนาคต ข้อมูลทั้งหมดถูกจัดเก็บในรูปแบบ Zarr 3 เพื่อรวมสัญญาณจากหลายเซ็นเซอร์ภายใต้ระบบเดียว 🔋 ความท้าทายด้านคุณภาพและต้นทุน ในช่วงแรกทีมงานต้องปิดไฟหลักและใช้แบตเตอรี่เพื่อหลีกเลี่ยงสัญญาณรบกวนไฟฟ้า แต่ภายหลังพบว่าการขยายขนาดข้อมูลช่วยให้โมเดลสามารถ “ทั่วไป” ได้ดีขึ้นแม้มีเสียงรบกวน ทำให้ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีที่ซับซ้อนมากอีกต่อไป นอกจากนี้ Conduit ยังลดต้นทุนต่อชั่วโมงข้อมูลลงกว่า 40% ด้วยระบบตรวจสอบคุณภาพแบบเรียลไทม์และการจัดการห้องบันทึกหลายห้องพร้อมกัน 🌐 บริบทเพิ่มเติมจากวงการ AI และประสาทวิทยา การวิจัยนี้สะท้อนถึงความพยายามของวงการ AI ที่จะก้าวไปสู่ Brain-Computer Interface (BCI) ซึ่งมีศักยภาพในการช่วยผู้พิการสื่อสาร หรือแม้แต่การสร้างอินเทอร์เฟซใหม่ระหว่างมนุษย์กับคอมพิวเตอร์ อย่างไรก็ตาม นักวิจัยเตือนว่าการเก็บข้อมูลสมองในระดับใหญ่เช่นนี้ต้องพิจารณาเรื่อง จริยธรรมและความเป็นส่วนตัว อย่างเข้มงวด เพราะข้อมูลสมองถือเป็นข้อมูลที่ละเอียดอ่อนที่สุดของมนุษย์ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ Conduit เก็บข้อมูลสมองกว่า 10,000 ชั่วโมง ➡️ ใช้เพื่อฝึกโมเดล AI แปลงความคิดเป็นข้อความ ✅ ใช้ AI Helmet ที่รวม EEG และ fNIRS ➡️ มีรุ่นสำหรับการฝึกและรุ่นสำหรับใช้งานจริง ✅ ลดต้นทุนการเก็บข้อมูลลงกว่า 40% ➡️ ด้วยระบบตรวจสอบคุณภาพและการจัดการหลายห้อง ‼️ ความเสี่ยงด้านจริยธรรมและความเป็นส่วนตัว ⛔ ข้อมูลสมองเป็นข้อมูลที่ละเอียดอ่อนและอาจถูกใช้ผิดวัตถุประสงค์ ‼️ ความท้าทายด้านการนำไปใช้จริง ⛔ ต้องพิจารณาความแม่นยำและผลกระทบต่อผู้เข้าร่วม https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/basement-lab-produces-10000-hours-of-neural-data-for-thought-to-text-research
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Basement AI lab captures 10,000 hours of brain scans to train thought-to-text AI models — largest known neural dataset collected from thousands of humans over six months
    Conduit built a multimodal “AI helmet” system and a large-scale data operation to train models that decode semantic content from brain activity.
    0 Comments 0 Shares 24 Views 0 Reviews
  • การลงทุน AI มูลค่า 400 พันล้านดอลลาร์ กำลังเจอปัญหาชิปหมดอายุเร็ว

    อุตสาหกรรมเทคโนโลยีได้ลงทุนกว่า 400 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปีนี้เพื่อซื้อชิป AI และสร้างศูนย์ข้อมูล แต่เริ่มมีคำถามว่าอุปกรณ์เหล่านี้จะมีอายุการใช้งานสั้นเกินไปหรือไม่ ก่อนหน้านี้บริษัทคลาวด์คาดว่าชิปและเซิร์ฟเวอร์จะใช้งานได้ราว 6 ปี แต่ปัจจุบันนักวิเคราะห์เตือนว่าอาจเหลือเพียง 2–3 ปีเท่านั้น

    ความก้าวหน้าที่เร็วเกินไปของ Nvidia และคู่แข่ง
    Nvidia เปิดตัวชิป Blackwell และประกาศรุ่นใหม่ Rubin ที่จะมาในปี 2026 ซึ่งแรงกว่าเดิมถึง 7.5 เท่า ทำให้ชิปรุ่นเก่ามูลค่าลดลงถึง 85–90% ภายใน 3–4 ปี นอกจากนี้ยังมีปัญหาด้านความทนทาน เพราะชิป AI ทำงานที่ความร้อนสูงจนเกิดการเสียหายบ่อยขึ้น เช่น Meta พบว่าโมเดล Llama มีอัตราความล้มเหลวถึง 9% ต่อปี

    ผลกระทบต่อกำไรและการเงินของบริษัท
    หากต้องปรับอายุการใช้งานชิปให้สั้นลง บริษัทจะต้องบันทึกค่าเสื่อมราคาที่สูงขึ้นทันที ซึ่งกระทบต่อกำไรและความสามารถในการระดมทุน โดยเฉพาะบริษัทที่เน้น AI อย่าง Oracle และ CoreWeave ที่มีหนี้สูงและใช้ชิปเป็นหลักประกันเงินกู้ ขณะที่ยักษ์ใหญ่เช่น Amazon, Google และ Microsoft ยังพอรับมือได้เพราะมีรายได้หลากหลาย

    บริบทเพิ่มเติมจากวงการเศรษฐกิจและเทคโนโลยี
    การเสื่อมราคาของชิป AI สะท้อนถึงความเสี่ยงของ ฟองสบู่การลงทุน AI ที่นักวิเคราะห์เตือนว่าอาจคล้ายกับฟองสบู่ดอทคอมในอดีต หากบริษัทไม่สามารถสร้างรายได้จากการลงทุนมหาศาลนี้ ความสูญเสียอาจกระทบเศรษฐกิจวงกว้าง การแก้ปัญหาที่บางบริษัทเลือกคือการนำชิปรุ่นเก่าไปใช้กับงานที่ไม่ต้องการประสิทธิภาพสูง เช่น งานสำรองหรือการประมวลผลระดับกลาง

    สรุปสาระสำคัญ
    การลงทุน AI มูลค่า 400 พันล้านดอลลาร์
    ชิปและศูนย์ข้อมูลอาจหมดอายุเร็วเกินไป

    Nvidia เปิดตัวชิปรุ่นใหม่เร็ว
    Blackwell และ Rubin ทำให้ชิปรุ่นเก่ามูลค่าลดลงเร็ว

    ปัญหาความทนทานของชิป AI
    Meta พบอัตราความล้มเหลว 9% ต่อปี

    ผลกระทบต่อบริษัท AI
    Oracle และ CoreWeave เสี่ยงสูงเพราะหนี้และใช้ชิปเป็นหลักประกัน

    ความเสี่ยงฟองสบู่การลงทุน AI
    อาจคล้ายฟองสบู่ดอทคอม กระทบเศรษฐกิจวงกว้าง

    ค่าเสื่อมราคาที่สูงขึ้น
    ทำให้กำไรลดลงและการระดมทุนยากขึ้น

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/12/ai039s-us400bil-problem-are-chips-getting-old-too-fast
    💸 การลงทุน AI มูลค่า 400 พันล้านดอลลาร์ กำลังเจอปัญหาชิปหมดอายุเร็ว อุตสาหกรรมเทคโนโลยีได้ลงทุนกว่า 400 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปีนี้เพื่อซื้อชิป AI และสร้างศูนย์ข้อมูล แต่เริ่มมีคำถามว่าอุปกรณ์เหล่านี้จะมีอายุการใช้งานสั้นเกินไปหรือไม่ ก่อนหน้านี้บริษัทคลาวด์คาดว่าชิปและเซิร์ฟเวอร์จะใช้งานได้ราว 6 ปี แต่ปัจจุบันนักวิเคราะห์เตือนว่าอาจเหลือเพียง 2–3 ปีเท่านั้น ⚡ ความก้าวหน้าที่เร็วเกินไปของ Nvidia และคู่แข่ง Nvidia เปิดตัวชิป Blackwell และประกาศรุ่นใหม่ Rubin ที่จะมาในปี 2026 ซึ่งแรงกว่าเดิมถึง 7.5 เท่า ทำให้ชิปรุ่นเก่ามูลค่าลดลงถึง 85–90% ภายใน 3–4 ปี นอกจากนี้ยังมีปัญหาด้านความทนทาน เพราะชิป AI ทำงานที่ความร้อนสูงจนเกิดการเสียหายบ่อยขึ้น เช่น Meta พบว่าโมเดล Llama มีอัตราความล้มเหลวถึง 9% ต่อปี 📉 ผลกระทบต่อกำไรและการเงินของบริษัท หากต้องปรับอายุการใช้งานชิปให้สั้นลง บริษัทจะต้องบันทึกค่าเสื่อมราคาที่สูงขึ้นทันที ซึ่งกระทบต่อกำไรและความสามารถในการระดมทุน โดยเฉพาะบริษัทที่เน้น AI อย่าง Oracle และ CoreWeave ที่มีหนี้สูงและใช้ชิปเป็นหลักประกันเงินกู้ ขณะที่ยักษ์ใหญ่เช่น Amazon, Google และ Microsoft ยังพอรับมือได้เพราะมีรายได้หลากหลาย 🌐 บริบทเพิ่มเติมจากวงการเศรษฐกิจและเทคโนโลยี การเสื่อมราคาของชิป AI สะท้อนถึงความเสี่ยงของ ฟองสบู่การลงทุน AI ที่นักวิเคราะห์เตือนว่าอาจคล้ายกับฟองสบู่ดอทคอมในอดีต หากบริษัทไม่สามารถสร้างรายได้จากการลงทุนมหาศาลนี้ ความสูญเสียอาจกระทบเศรษฐกิจวงกว้าง การแก้ปัญหาที่บางบริษัทเลือกคือการนำชิปรุ่นเก่าไปใช้กับงานที่ไม่ต้องการประสิทธิภาพสูง เช่น งานสำรองหรือการประมวลผลระดับกลาง 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การลงทุน AI มูลค่า 400 พันล้านดอลลาร์ ➡️ ชิปและศูนย์ข้อมูลอาจหมดอายุเร็วเกินไป ✅ Nvidia เปิดตัวชิปรุ่นใหม่เร็ว ➡️ Blackwell และ Rubin ทำให้ชิปรุ่นเก่ามูลค่าลดลงเร็ว ✅ ปัญหาความทนทานของชิป AI ➡️ Meta พบอัตราความล้มเหลว 9% ต่อปี ✅ ผลกระทบต่อบริษัท AI ➡️ Oracle และ CoreWeave เสี่ยงสูงเพราะหนี้และใช้ชิปเป็นหลักประกัน ‼️ ความเสี่ยงฟองสบู่การลงทุน AI ⛔ อาจคล้ายฟองสบู่ดอทคอม กระทบเศรษฐกิจวงกว้าง ‼️ ค่าเสื่อมราคาที่สูงขึ้น ⛔ ทำให้กำไรลดลงและการระดมทุนยากขึ้น https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/12/ai039s-us400bil-problem-are-chips-getting-old-too-fast
    0 Comments 0 Shares 18 Views 0 Reviews
  • Google Maps: จากเครื่องมือค้นหา สู่ผู้กำหนดตลาด

    Lauren Leek เริ่มต้นจากการหาที่กินข้าว แต่กลับกลายเป็นงานวิจัยเต็มรูปแบบ เธอใช้ข้อมูลร้านอาหารกว่า 13,000 แห่งในลอนดอน มาสร้างโมเดล Machine Learning เพื่อวิเคราะห์ว่า Google Maps จัดอันดับร้านอาหารอย่างไร ผลลัพธ์ชี้ว่าแพลตฟอร์มไม่ได้เพียงสะท้อนความนิยม แต่ กำหนดการมองเห็นและการอยู่รอดของร้านอาหาร โดยใช้ตัวชี้วัดหลักคือ relevance, distance, และ prominence.

    วงจรสะสมความได้เปรียบ
    ระบบ “prominence” ของ Google Maps ให้รางวัลกับร้านที่มีรีวิวจำนวนมาก ความเร็วในการได้รับรีวิวสูง และการรับรู้แบรนด์ ส่งผลให้ร้านใหญ่หรือร้านที่อยู่ในพื้นที่คนพลุกพล่านได้เปรียบ ขณะที่ร้านเล็ก ๆ หรือร้านใหม่ ๆ เจอปัญหา cold-start เพราะไม่มีรีวิวมากพอที่จะถูกค้นพบ วงจรนี้คล้ายกับ “Matthew Effect” ในเศรษฐศาสตร์ ที่ผู้มีมากจะได้มากขึ้นเรื่อย ๆ

    การสร้าง Dashboard เพื่อมองทะลุอัลกอริทึม
    Lauren สร้าง London Food Dashboard โดยใช้ Gradient Boosted Decision Tree เพื่อคาดการณ์คะแนนที่ร้านควรได้ตามคุณลักษณะเชิงโครงสร้าง เช่น ประเภทอาหาร ราคา ทำเล และจำนวนรีวิว จากนั้นเปรียบเทียบกับคะแนนจริงเพื่อหาว่าร้านใดถูก “ประเมินต่ำ” หรือ “สูงเกินจริง” Dashboard นี้ช่วยให้ผู้ใช้ค้นหา “underrated gems” ได้ และยังเผยให้เห็นความผิดพลาดในการจัดหมวดหมู่ร้านอาหารของ Google Maps

    ผลกระทบต่อชุมชนและนโยบาย
    การวิเคราะห์ยังขยายไปถึงระดับย่าน โดยใช้ PCA และ K-means clustering เพื่อจัดประเภทพื้นที่เป็น elite, strong, everyday, และ weak hubs. ผลลัพธ์ชี้ว่า ความหลากหลายทางอาหารของลอนดอนไม่ได้กระจายอย่างเท่าเทียม ร้านอาหารของชุมชนผู้อพยชมักอยู่ในพื้นที่ที่มีการมองเห็นต่ำกว่า ข้อค้นพบนี้นำไปสู่ข้อเสนอเชิงนโยบายว่า อัลกอริทึมของแพลตฟอร์มควรถูกตรวจสอบและเปิดเผยเหมือนตลาดการเงิน เพราะมันมีผลต่อการอยู่รอดของธุรกิจท้องถิ่นโดยตรง

    สรุปสาระสำคัญ
    Google Maps ทำหน้าที่เป็น “ตลาดกลาง”
    ใช้ตัวชี้วัด relevance, distance, prominence กำหนดการมองเห็น

    วงจรสะสมความได้เปรียบ
    ร้านใหญ่และร้านดังได้เปรียบ ร้านเล็กเจอ cold-start

    London Food Dashboard
    ใช้ ML วิเคราะห์ร้านที่ถูกประเมินต่ำหรือสูงเกินจริง

    การวิเคราะห์ระดับย่าน
    พบความเหลื่อมล้ำด้านการมองเห็นและความหลากหลายทางอาหาร

    ความเสี่ยงต่อธุรกิจเล็กและชุมชนผู้อพยพ
    อัลกอริทึมอาจทำให้ร้านใหม่หรือร้านเล็กถูกมองข้าม

    ความโปร่งใสของแพลตฟอร์ม
    ควรมีการตรวจสอบอัลกอริทึมเหมือนตลาดการเงิน

    https://laurenleek.substack.com/p/how-google-maps-quietly-allocates
    🗺️ Google Maps: จากเครื่องมือค้นหา สู่ผู้กำหนดตลาด Lauren Leek เริ่มต้นจากการหาที่กินข้าว แต่กลับกลายเป็นงานวิจัยเต็มรูปแบบ เธอใช้ข้อมูลร้านอาหารกว่า 13,000 แห่งในลอนดอน มาสร้างโมเดล Machine Learning เพื่อวิเคราะห์ว่า Google Maps จัดอันดับร้านอาหารอย่างไร ผลลัพธ์ชี้ว่าแพลตฟอร์มไม่ได้เพียงสะท้อนความนิยม แต่ กำหนดการมองเห็นและการอยู่รอดของร้านอาหาร โดยใช้ตัวชี้วัดหลักคือ relevance, distance, และ prominence. 📊 วงจรสะสมความได้เปรียบ ระบบ “prominence” ของ Google Maps ให้รางวัลกับร้านที่มีรีวิวจำนวนมาก ความเร็วในการได้รับรีวิวสูง และการรับรู้แบรนด์ ส่งผลให้ร้านใหญ่หรือร้านที่อยู่ในพื้นที่คนพลุกพล่านได้เปรียบ ขณะที่ร้านเล็ก ๆ หรือร้านใหม่ ๆ เจอปัญหา cold-start เพราะไม่มีรีวิวมากพอที่จะถูกค้นพบ วงจรนี้คล้ายกับ “Matthew Effect” ในเศรษฐศาสตร์ ที่ผู้มีมากจะได้มากขึ้นเรื่อย ๆ 🧮 การสร้าง Dashboard เพื่อมองทะลุอัลกอริทึม Lauren สร้าง London Food Dashboard โดยใช้ Gradient Boosted Decision Tree เพื่อคาดการณ์คะแนนที่ร้านควรได้ตามคุณลักษณะเชิงโครงสร้าง เช่น ประเภทอาหาร ราคา ทำเล และจำนวนรีวิว จากนั้นเปรียบเทียบกับคะแนนจริงเพื่อหาว่าร้านใดถูก “ประเมินต่ำ” หรือ “สูงเกินจริง” Dashboard นี้ช่วยให้ผู้ใช้ค้นหา “underrated gems” ได้ และยังเผยให้เห็นความผิดพลาดในการจัดหมวดหมู่ร้านอาหารของ Google Maps 🌍 ผลกระทบต่อชุมชนและนโยบาย การวิเคราะห์ยังขยายไปถึงระดับย่าน โดยใช้ PCA และ K-means clustering เพื่อจัดประเภทพื้นที่เป็น elite, strong, everyday, และ weak hubs. ผลลัพธ์ชี้ว่า ความหลากหลายทางอาหารของลอนดอนไม่ได้กระจายอย่างเท่าเทียม ร้านอาหารของชุมชนผู้อพยชมักอยู่ในพื้นที่ที่มีการมองเห็นต่ำกว่า ข้อค้นพบนี้นำไปสู่ข้อเสนอเชิงนโยบายว่า อัลกอริทึมของแพลตฟอร์มควรถูกตรวจสอบและเปิดเผยเหมือนตลาดการเงิน เพราะมันมีผลต่อการอยู่รอดของธุรกิจท้องถิ่นโดยตรง 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ Google Maps ทำหน้าที่เป็น “ตลาดกลาง” ➡️ ใช้ตัวชี้วัด relevance, distance, prominence กำหนดการมองเห็น ✅ วงจรสะสมความได้เปรียบ ➡️ ร้านใหญ่และร้านดังได้เปรียบ ร้านเล็กเจอ cold-start ✅ London Food Dashboard ➡️ ใช้ ML วิเคราะห์ร้านที่ถูกประเมินต่ำหรือสูงเกินจริง ✅ การวิเคราะห์ระดับย่าน ➡️ พบความเหลื่อมล้ำด้านการมองเห็นและความหลากหลายทางอาหาร ‼️ ความเสี่ยงต่อธุรกิจเล็กและชุมชนผู้อพยพ ⛔ อัลกอริทึมอาจทำให้ร้านใหม่หรือร้านเล็กถูกมองข้าม ‼️ ความโปร่งใสของแพลตฟอร์ม ⛔ ควรมีการตรวจสอบอัลกอริทึมเหมือนตลาดการเงิน https://laurenleek.substack.com/p/how-google-maps-quietly-allocates
    LAURENLEEK.SUBSTACK.COM
    How Google Maps quietly allocates survival across London’s restaurants - and how I built a dashboard to see through it
    I wanted a dinner recommendation and got a research agenda instead. Using 13000+ restaurants, I rebuild its ratings with machine learning and map how algorithmic visibility actually distributes power.
    0 Comments 0 Shares 20 Views 0 Reviews
  • การใช้ AI วิเคราะห์ย้อนหลัง Hacker News

    Andrej Karpathy ได้ทดลองสร้างโปรเจกต์ที่ชื่อว่า HN Time Capsule โดยใช้โมเดล GPT 5.1 Thinking เพื่อวิเคราะห์กระทู้และคอมเมนต์บน Hacker News เมื่อ 10 ปีก่อน (ปี 2015) แล้วให้คะแนนความ “แม่นยำ” ของการคาดการณ์ในอดีตเมื่อเทียบกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในปัจจุบัน แนวคิดนี้เกิดขึ้นจากการที่เขาเห็นโพสต์ที่ Gemini 3 สร้างหน้าแรกของ HN แบบ “หลอนอนาคต” และทำให้เขาสนใจลองวิเคราะห์อดีตด้วยวิธีที่เป็นระบบ

    การสร้าง Time Capsule ของบทสนทนาออนไลน์
    Karpathy ได้ดึงข้อมูลหน้าแรกของ Hacker News ตลอดเดือนธันวาคม 2015 (รวมกว่า 930 บทความและคอมเมนต์) แล้วส่งให้ GPT วิเคราะห์ใน 6 มิติ เช่น สรุปบทความ, สิ่งที่เกิดขึ้นจริง, มอบรางวัล “คอมเมนต์แม่นที่สุด” และ “ผิดที่สุด”, รวมถึงให้คะแนนความน่าสนใจของบทสนทนาในอดีต ผลลัพธ์ถูกนำเสนอในรูปแบบเว็บเพจที่อ่านง่าย พร้อม “Hall of Fame” สำหรับผู้แสดงความเห็นที่แม่นยำที่สุด

    AI กับการย้อนมองพฤติกรรมมนุษย์
    สิ่งที่น่าสนใจคือแนวคิดที่ว่า “อนาคต AI กำลังเฝ้ามองเรา” เพราะเมื่อการประมวลผลราคาถูกลง การวิเคราะห์ย้อนหลังพฤติกรรมมนุษย์ในโลกออนไลน์จะกลายเป็นเรื่องง่ายและฟรี นั่นหมายความว่าความเห็นหรือการกระทำที่เราทำวันนี้อาจถูกตรวจสอบอย่างละเอียดในอนาคต การทดลองนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องสนุก แต่ยังสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงสังคมและจริยธรรมที่ AI นำมา

    บริบทเพิ่มเติมจากวงการ AI และสังคม
    แนวคิด “grading hindsight” ยังเชื่อมโยงกับการใช้ AI ในการศึกษาประวัติศาสตร์ดิจิทัล เช่น การวิเคราะห์ทวิตเตอร์ช่วงเหตุการณ์สำคัญ หรือการตรวจสอบข่าวปลอมในอดีตเพื่อทำความเข้าใจการแพร่กระจายข้อมูลผิด ๆ สิ่งเหล่านี้ช่วยให้เรามีบทเรียนสำหรับอนาคต และอาจกลายเป็นเครื่องมือใหม่ในการวิจัยสังคมศาสตร์ดิจิทัล

    สรุปสาระสำคัญ
    โปรเจกต์ HN Time Capsule ของ Karpathy
    ใช้ GPT 5.1 Thinking วิเคราะห์กระทู้ Hacker News ปี 2015

    การวิเคราะห์ย้อนหลัง 930 บทความ
    ให้คะแนนคอมเมนต์แม่นที่สุดและผิดที่สุด

    ผลลัพธ์ถูกนำเสนอเป็นเว็บเพจ
    มี Hall of Fame สำหรับผู้แสดงความเห็นแม่นยำ

    ความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัวในอนาคต
    AI อาจทำให้การตรวจสอบพฤติกรรมมนุษย์ย้อนหลังเป็นเรื่องง่าย

    ผลกระทบเชิงสังคมและจริยธรรม
    ความเห็นที่เคยโพสต์อาจถูกนำมาวิเคราะห์และตีความใหม่ในอนาคต

    https://karpathy.bearblog.dev/auto-grade-hn/
    📰 การใช้ AI วิเคราะห์ย้อนหลัง Hacker News Andrej Karpathy ได้ทดลองสร้างโปรเจกต์ที่ชื่อว่า HN Time Capsule โดยใช้โมเดล GPT 5.1 Thinking เพื่อวิเคราะห์กระทู้และคอมเมนต์บน Hacker News เมื่อ 10 ปีก่อน (ปี 2015) แล้วให้คะแนนความ “แม่นยำ” ของการคาดการณ์ในอดีตเมื่อเทียบกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในปัจจุบัน แนวคิดนี้เกิดขึ้นจากการที่เขาเห็นโพสต์ที่ Gemini 3 สร้างหน้าแรกของ HN แบบ “หลอนอนาคต” และทำให้เขาสนใจลองวิเคราะห์อดีตด้วยวิธีที่เป็นระบบ ⏳ การสร้าง Time Capsule ของบทสนทนาออนไลน์ Karpathy ได้ดึงข้อมูลหน้าแรกของ Hacker News ตลอดเดือนธันวาคม 2015 (รวมกว่า 930 บทความและคอมเมนต์) แล้วส่งให้ GPT วิเคราะห์ใน 6 มิติ เช่น สรุปบทความ, สิ่งที่เกิดขึ้นจริง, มอบรางวัล “คอมเมนต์แม่นที่สุด” และ “ผิดที่สุด”, รวมถึงให้คะแนนความน่าสนใจของบทสนทนาในอดีต ผลลัพธ์ถูกนำเสนอในรูปแบบเว็บเพจที่อ่านง่าย พร้อม “Hall of Fame” สำหรับผู้แสดงความเห็นที่แม่นยำที่สุด 🤖 AI กับการย้อนมองพฤติกรรมมนุษย์ สิ่งที่น่าสนใจคือแนวคิดที่ว่า “อนาคต AI กำลังเฝ้ามองเรา” เพราะเมื่อการประมวลผลราคาถูกลง การวิเคราะห์ย้อนหลังพฤติกรรมมนุษย์ในโลกออนไลน์จะกลายเป็นเรื่องง่ายและฟรี นั่นหมายความว่าความเห็นหรือการกระทำที่เราทำวันนี้อาจถูกตรวจสอบอย่างละเอียดในอนาคต การทดลองนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องสนุก แต่ยังสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงสังคมและจริยธรรมที่ AI นำมา 🌐 บริบทเพิ่มเติมจากวงการ AI และสังคม แนวคิด “grading hindsight” ยังเชื่อมโยงกับการใช้ AI ในการศึกษาประวัติศาสตร์ดิจิทัล เช่น การวิเคราะห์ทวิตเตอร์ช่วงเหตุการณ์สำคัญ หรือการตรวจสอบข่าวปลอมในอดีตเพื่อทำความเข้าใจการแพร่กระจายข้อมูลผิด ๆ สิ่งเหล่านี้ช่วยให้เรามีบทเรียนสำหรับอนาคต และอาจกลายเป็นเครื่องมือใหม่ในการวิจัยสังคมศาสตร์ดิจิทัล 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ โปรเจกต์ HN Time Capsule ของ Karpathy ➡️ ใช้ GPT 5.1 Thinking วิเคราะห์กระทู้ Hacker News ปี 2015 ✅ การวิเคราะห์ย้อนหลัง 930 บทความ ➡️ ให้คะแนนคอมเมนต์แม่นที่สุดและผิดที่สุด ✅ ผลลัพธ์ถูกนำเสนอเป็นเว็บเพจ ➡️ มี Hall of Fame สำหรับผู้แสดงความเห็นแม่นยำ ‼️ ความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัวในอนาคต ⛔ AI อาจทำให้การตรวจสอบพฤติกรรมมนุษย์ย้อนหลังเป็นเรื่องง่าย ‼️ ผลกระทบเชิงสังคมและจริยธรรม ⛔ ความเห็นที่เคยโพสต์อาจถูกนำมาวิเคราะห์และตีความใหม่ในอนาคต https://karpathy.bearblog.dev/auto-grade-hn/
    KARPATHY.BEARBLOG.DEV
    Auto-grading decade-old Hacker News discussions with hindsight
    A vibe coding thought exercise on what it might look like for LLMs to scour human historical data at scale and in retrospect.
    0 Comments 0 Shares 17 Views 0 Reviews
  • ความยุ่งยากในการขอ Gemini API Key

    บทความเล่าประสบการณ์ของนักพัฒนาที่พยายามสมัครใช้ Gemini 3 Pro ของ Google เพื่อใช้เป็นผู้ช่วยเขียนโค้ด แต่กลับพบว่ากระบวนการสมัครและการตั้งค่าบัญชีซับซ้อนเกินไป ตั้งแต่การสร้าง API key ไปจนถึงการยืนยันบัตรเครดิตและเอกสารราชการ ซึ่งใช้เวลาหลายชั่วโมงและเต็มไปด้วยขั้นตอนที่ไม่ชัดเจน

    ระบบที่ออกแบบเพื่อองค์กรใหญ่ ไม่ใช่ผู้ใช้ทั่วไป
    Google ใช้ระบบ Google Cloud Console และ AI Studio ที่เน้นความปลอดภัยและการตรวจสอบเข้มงวด เหมาะกับองค์กรขนาดใหญ่ แต่สำหรับนักพัฒนารายบุคคลกลับเป็นอุปสรรค ทำให้การเข้าถึงบริการ Gemini Pro ไม่ราบรื่น ต่างจากคู่แข่งอย่าง Anthropic (Claude) และ OpenAI (ChatGPT) ที่มีระบบสมัครและชำระเงินง่ายกว่า

    ปัญหาการยืนยันและข้อผิดพลาดซ้ำซ้อน
    ผู้เขียนต้องส่งเอกสารยืนยันตัวตนและบัตรเครดิตหลายครั้ง โดยระบบยังมีข้อจำกัดเรื่องรูปแบบไฟล์ที่ไม่ชัดเจน เช่น ต้องใช้ PNG เท่านั้น นอกจากนี้ยังพบข้อผิดพลาด 403 Forbidden แม้จะผ่านการยืนยันแล้ว ทำให้เสียเวลาไปหลายชั่วโมงก่อนจะใช้งานได้จริง

    บริบทเพิ่มเติมจากวงการ AI
    ปัญหานี้สะท้อนให้เห็นว่า Google กำลังพัฒนา Gemini ให้เป็นแพลตฟอร์มรวมหลายบริการ ตั้งแต่ Chatbot, Workspace, Firebase ไปจนถึง Code Assist แต่ความซับซ้อนของระบบอาจทำให้เสียโอกาสในการดึงดูดนักพัฒนารายบุคคล ขณะที่คู่แข่งยังคงได้เปรียบด้วยความเรียบง่ายและความเป็นมิตรต่อผู้ใช้

    สรุปสาระสำคัญ
    ขั้นตอนการสมัคร Gemini API Key
    ต้องผ่าน Google AI Studio และ Cloud Console

    ระบบออกแบบเพื่อองค์กรใหญ่
    เน้นความปลอดภัยและการตรวจสอบเข้มงวด

    คู่แข่งอย่าง Anthropic และ OpenAI
    มีระบบสมัครและชำระเงินง่ายกว่า

    ความยุ่งยากในการยืนยันตัวตน
    ต้องส่งเอกสารและบัตรเครดิตหลายครั้ง

    ข้อผิดพลาด 403 Forbidden
    ทำให้เสียเวลาและไม่สามารถใช้งานได้ทันที

    https://ankursethi.com/blog/gemini-api-key-frustration/
    💻 ความยุ่งยากในการขอ Gemini API Key บทความเล่าประสบการณ์ของนักพัฒนาที่พยายามสมัครใช้ Gemini 3 Pro ของ Google เพื่อใช้เป็นผู้ช่วยเขียนโค้ด แต่กลับพบว่ากระบวนการสมัครและการตั้งค่าบัญชีซับซ้อนเกินไป ตั้งแต่การสร้าง API key ไปจนถึงการยืนยันบัตรเครดิตและเอกสารราชการ ซึ่งใช้เวลาหลายชั่วโมงและเต็มไปด้วยขั้นตอนที่ไม่ชัดเจน 🏢 ระบบที่ออกแบบเพื่อองค์กรใหญ่ ไม่ใช่ผู้ใช้ทั่วไป Google ใช้ระบบ Google Cloud Console และ AI Studio ที่เน้นความปลอดภัยและการตรวจสอบเข้มงวด เหมาะกับองค์กรขนาดใหญ่ แต่สำหรับนักพัฒนารายบุคคลกลับเป็นอุปสรรค ทำให้การเข้าถึงบริการ Gemini Pro ไม่ราบรื่น ต่างจากคู่แข่งอย่าง Anthropic (Claude) และ OpenAI (ChatGPT) ที่มีระบบสมัครและชำระเงินง่ายกว่า 🔑 ปัญหาการยืนยันและข้อผิดพลาดซ้ำซ้อน ผู้เขียนต้องส่งเอกสารยืนยันตัวตนและบัตรเครดิตหลายครั้ง โดยระบบยังมีข้อจำกัดเรื่องรูปแบบไฟล์ที่ไม่ชัดเจน เช่น ต้องใช้ PNG เท่านั้น นอกจากนี้ยังพบข้อผิดพลาด 403 Forbidden แม้จะผ่านการยืนยันแล้ว ทำให้เสียเวลาไปหลายชั่วโมงก่อนจะใช้งานได้จริง 🌐 บริบทเพิ่มเติมจากวงการ AI ปัญหานี้สะท้อนให้เห็นว่า Google กำลังพัฒนา Gemini ให้เป็นแพลตฟอร์มรวมหลายบริการ ตั้งแต่ Chatbot, Workspace, Firebase ไปจนถึง Code Assist แต่ความซับซ้อนของระบบอาจทำให้เสียโอกาสในการดึงดูดนักพัฒนารายบุคคล ขณะที่คู่แข่งยังคงได้เปรียบด้วยความเรียบง่ายและความเป็นมิตรต่อผู้ใช้ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ขั้นตอนการสมัคร Gemini API Key ➡️ ต้องผ่าน Google AI Studio และ Cloud Console ✅ ระบบออกแบบเพื่อองค์กรใหญ่ ➡️ เน้นความปลอดภัยและการตรวจสอบเข้มงวด ✅ คู่แข่งอย่าง Anthropic และ OpenAI ➡️ มีระบบสมัครและชำระเงินง่ายกว่า ‼️ ความยุ่งยากในการยืนยันตัวตน ⛔ ต้องส่งเอกสารและบัตรเครดิตหลายครั้ง ‼️ ข้อผิดพลาด 403 Forbidden ⛔ ทำให้เสียเวลาและไม่สามารถใช้งานได้ทันที https://ankursethi.com/blog/gemini-api-key-frustration/
    0 Comments 0 Shares 17 Views 0 Reviews
  • Patterns.dev – คู่มือการสร้าง Web Apps ยุคใหม่

    Patterns.dev เป็นหนังสือออนไลน์ฟรีที่รวบรวม Design Patterns สำหรับนักพัฒนา JavaScript และเฟรมเวิร์กสมัยใหม่ เช่น React และ Vue จุดเด่นคือการอธิบายวิธีแก้ปัญหาที่นักพัฒนามักเจอซ้ำ ๆ เช่น Singleton, Observer, Factory, Proxy และอีกมากมาย พร้อมตัวอย่างโค้ดที่เข้าใจง่ายและสามารถนำไปใช้จริงได้ทันที

    Performance Patterns เพื่อเว็บที่เร็วขึ้น
    นอกจาก Design Patterns แล้ว เว็บไซต์ยังเน้น Performance Patterns เช่น Bundle Splitting, Tree Shaking, Prefetch, Preload และ List Virtualization เพื่อช่วยให้นักพัฒนาสามารถลดขนาดไฟล์ ปรับปรุงความเร็วการโหลด และเพิ่มประสบการณ์ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เหมาะสำหรับการสร้างเว็บที่ต้องรองรับผู้ใช้จำนวนมากในยุคดิจิทัล

    React และ Vue Patterns
    Patterns.dev ยังมีหมวดเฉพาะสำหรับ React และ Vue เช่น Hooks Pattern, Compound Pattern, Render Props, Async Components และ Composables ซึ่งช่วยให้นักพัฒนาสามารถสร้างโครงสร้างที่ยืดหยุ่นและจัดการ State ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในโปรเจกต์ขนาดใหญ่ที่ต้องการความเสถียรและการขยายตัวในอนาคต

    มุมมองใหม่ต่อ Design Patterns
    ทีมผู้จัดทำ Patterns.dev เน้นว่า Design Patterns เป็นแนวทาง ไม่ใช่ข้อบังคับ การเลือกใช้ต้องขึ้นอยู่กับปัญหาที่เจอจริง ๆ ไม่ใช่การนำมาใช้ทุกครั้งโดยไม่จำเป็น แนวคิดนี้ช่วยให้นักพัฒนามีวิจารณญาณและเลือกใช้เครื่องมืออย่างเหมาะสม เพื่อสร้างซอฟต์แวร์ที่ทั้งมีคุณภาพและง่ายต่อการดูแลรักษา

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Patterns.dev เป็นแหล่งเรียนรู้ฟรีสำหรับนักพัฒนาเว็บ
    รวม Design Patterns และ Performance Patterns สำหรับ JavaScript, React, Vue

    Design Patterns ที่นำเสนอ เช่น Singleton, Observer, Factory, Proxy
    ช่วยแก้ปัญหาที่นักพัฒนาพบซ้ำ ๆ ในการออกแบบระบบ

    Performance Patterns เน้นการเพิ่มความเร็วเว็บ
    เช่น Bundle Splitting, Tree Shaking, Prefetch, Preload, List Virtualization

    React และ Vue Patterns สำหรับโปรเจกต์สมัยใหม่
    เช่น Hooks, Compound, Async Components, Composables

    แนวคิดหลัก: Patterns เป็นแนวทาง ไม่ใช่ข้อบังคับ
    ใช้เมื่อเหมาะสมกับปัญหาจริง ไม่ใช่ทุกสถานการณ์

    การใช้ Patterns โดยไม่เข้าใจอาจเพิ่มความซับซ้อนเกินจำเป็น
    อาจทำให้โค้ดดูแลยากและไม่ตอบโจทย์ธุรกิจ

    https://www.patterns.dev/
    📚 Patterns.dev – คู่มือการสร้าง Web Apps ยุคใหม่ Patterns.dev เป็นหนังสือออนไลน์ฟรีที่รวบรวม Design Patterns สำหรับนักพัฒนา JavaScript และเฟรมเวิร์กสมัยใหม่ เช่น React และ Vue จุดเด่นคือการอธิบายวิธีแก้ปัญหาที่นักพัฒนามักเจอซ้ำ ๆ เช่น Singleton, Observer, Factory, Proxy และอีกมากมาย พร้อมตัวอย่างโค้ดที่เข้าใจง่ายและสามารถนำไปใช้จริงได้ทันที ⚡ Performance Patterns เพื่อเว็บที่เร็วขึ้น นอกจาก Design Patterns แล้ว เว็บไซต์ยังเน้น Performance Patterns เช่น Bundle Splitting, Tree Shaking, Prefetch, Preload และ List Virtualization เพื่อช่วยให้นักพัฒนาสามารถลดขนาดไฟล์ ปรับปรุงความเร็วการโหลด และเพิ่มประสบการณ์ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เหมาะสำหรับการสร้างเว็บที่ต้องรองรับผู้ใช้จำนวนมากในยุคดิจิทัล 🔗 React และ Vue Patterns Patterns.dev ยังมีหมวดเฉพาะสำหรับ React และ Vue เช่น Hooks Pattern, Compound Pattern, Render Props, Async Components และ Composables ซึ่งช่วยให้นักพัฒนาสามารถสร้างโครงสร้างที่ยืดหยุ่นและจัดการ State ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในโปรเจกต์ขนาดใหญ่ที่ต้องการความเสถียรและการขยายตัวในอนาคต 🌐 มุมมองใหม่ต่อ Design Patterns ทีมผู้จัดทำ Patterns.dev เน้นว่า Design Patterns เป็นแนวทาง ไม่ใช่ข้อบังคับ การเลือกใช้ต้องขึ้นอยู่กับปัญหาที่เจอจริง ๆ ไม่ใช่การนำมาใช้ทุกครั้งโดยไม่จำเป็น แนวคิดนี้ช่วยให้นักพัฒนามีวิจารณญาณและเลือกใช้เครื่องมืออย่างเหมาะสม เพื่อสร้างซอฟต์แวร์ที่ทั้งมีคุณภาพและง่ายต่อการดูแลรักษา 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Patterns.dev เป็นแหล่งเรียนรู้ฟรีสำหรับนักพัฒนาเว็บ ➡️ รวม Design Patterns และ Performance Patterns สำหรับ JavaScript, React, Vue ✅ Design Patterns ที่นำเสนอ เช่น Singleton, Observer, Factory, Proxy ➡️ ช่วยแก้ปัญหาที่นักพัฒนาพบซ้ำ ๆ ในการออกแบบระบบ ✅ Performance Patterns เน้นการเพิ่มความเร็วเว็บ ➡️ เช่น Bundle Splitting, Tree Shaking, Prefetch, Preload, List Virtualization ✅ React และ Vue Patterns สำหรับโปรเจกต์สมัยใหม่ ➡️ เช่น Hooks, Compound, Async Components, Composables ✅ แนวคิดหลัก: Patterns เป็นแนวทาง ไม่ใช่ข้อบังคับ ➡️ ใช้เมื่อเหมาะสมกับปัญหาจริง ไม่ใช่ทุกสถานการณ์ ‼️ การใช้ Patterns โดยไม่เข้าใจอาจเพิ่มความซับซ้อนเกินจำเป็น ⛔ อาจทำให้โค้ดดูแลยากและไม่ตอบโจทย์ธุรกิจ https://www.patterns.dev/
    WWW.PATTERNS.DEV
    Patterns.dev
    Learn JavaScript design and performance patterns for building more powerful web applications.
    0 Comments 0 Shares 17 Views 0 Reviews
  • Disney ลงทุนครั้งใหญ่ใน OpenAI

    ดิสนีย์ประกาศลงทุน 1 พันล้านดอลลาร์ ใน OpenAI และทำข้อตกลงการอนุญาตใช้สิทธิ์เป็นเวลา 3 ปี เพื่อให้ผู้ใช้สามารถสร้างวิดีโอด้วยตัวละครกว่า 200 ตัวจาก Disney, Pixar, Marvel และ Star Wars ผ่านแอป Sora ที่เปิดตัวไปเมื่อกันยายนที่ผ่านมา การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนถึงการที่ดิสนีย์ต้องการใช้ Generative AI ขยายการเล่าเรื่องในรูปแบบใหม่ ๆ โดยยังคงเคารพสิทธิ์ของผู้สร้างและผลงาน

    ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์
    นอกจากการอนุญาตให้ใช้ตัวละคร ดิสนีย์ยังจะนำ ChatGPT มาใช้ภายในองค์กรเพื่อสร้างเครื่องมือและประสบการณ์ใหม่ ๆ รวมถึงได้รับสิทธิ์ซื้อหุ้นเพิ่มใน OpenAI การจับมือครั้งนี้ทำให้ดิสนีย์ไม่เพียงเป็นผู้ลงทุน แต่ยังเป็น ลูกค้ารายใหญ่ ของ OpenAI ด้วย ซึ่งอาจเปลี่ยนวิธีการผลิตคอนเทนต์และการสื่อสารภายในบริษัท

    การปกป้องลิขสิทธิ์
    ก่อนหน้านี้ ดิสนีย์เคยส่งจดหมาย Cease and Desist ไปยัง Google และ Character.AI รวมถึงฟ้อง Midjourney เรื่องการใช้ตัวละครโดยไม่ได้รับอนุญาต การลงทุนครั้งนี้จึงสะท้อนว่า ดิสนีย์ไม่ได้ปฏิเสธ AI แต่เลือกที่จะ ควบคุมและร่วมมือ กับแพลตฟอร์มที่สามารถสร้างรายได้และปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาไปพร้อมกัน

    การใช้งานจริงและอนาคต
    ผู้ใช้ Sora และ ChatGPT Images จะสามารถสร้างวิดีโอและภาพด้วยตัวละครดัง เช่น Mickey Mouse, Ariel, Cinderella, Iron Man และ Darth Vader โดยจะมีการคัดเลือกคลิปบางส่วนไปเผยแพร่บน Disney+ อีกด้วย อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงนี้ไม่ครอบคลุม เสียงและหน้าตาของนักแสดงจริง เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาลิขสิทธิ์และการละเมิดสิทธิ์บุคคล

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Disney ลงทุน 1 พันล้านดอลลาร์ใน OpenAI
    ทำข้อตกลงอนุญาตใช้สิทธิ์ 3 ปีสำหรับตัวละครกว่า 200 ตัว

    ผู้ใช้ Sora และ ChatGPT Images สามารถสร้างคอนเทนต์ด้วยตัวละคร Disney
    ตัวละครที่ใช้ได้ เช่น Mickey Mouse, Ariel, Cinderella, Iron Man, Darth Vader

    Disney จะใช้ ChatGPT ภายในองค์กร
    เพื่อสร้างเครื่องมือและประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้พนักงาน

    คลิปจาก Sora จะถูกเผยแพร่บน Disney+
    ขยายการเข้าถึงคอนเทนต์ AI สู่ผู้ชมทั่วโลก

    ความเสี่ยงด้านลิขสิทธิ์ยังคงมีอยู่
    Disney เคยฟ้อง Midjourney และส่งจดหมายเตือน Google, Character.AI เรื่องการใช้ตัวละครโดยไม่ได้รับอนุญาต

    การใช้ตัวละครไม่ครอบคลุมเสียงและหน้าตานักแสดงจริง
    เพื่อหลีกเลี่ยงการละเมิดสิทธิ์บุคคลและปัญหาทางกฎหมาย

    https://www.cnbc.com/2025/12/11/disney-openai-sora-characters-video.html
    🎬 Disney ลงทุนครั้งใหญ่ใน OpenAI ดิสนีย์ประกาศลงทุน 1 พันล้านดอลลาร์ ใน OpenAI และทำข้อตกลงการอนุญาตใช้สิทธิ์เป็นเวลา 3 ปี เพื่อให้ผู้ใช้สามารถสร้างวิดีโอด้วยตัวละครกว่า 200 ตัวจาก Disney, Pixar, Marvel และ Star Wars ผ่านแอป Sora ที่เปิดตัวไปเมื่อกันยายนที่ผ่านมา การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนถึงการที่ดิสนีย์ต้องการใช้ Generative AI ขยายการเล่าเรื่องในรูปแบบใหม่ ๆ โดยยังคงเคารพสิทธิ์ของผู้สร้างและผลงาน 🤝 ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ นอกจากการอนุญาตให้ใช้ตัวละคร ดิสนีย์ยังจะนำ ChatGPT มาใช้ภายในองค์กรเพื่อสร้างเครื่องมือและประสบการณ์ใหม่ ๆ รวมถึงได้รับสิทธิ์ซื้อหุ้นเพิ่มใน OpenAI การจับมือครั้งนี้ทำให้ดิสนีย์ไม่เพียงเป็นผู้ลงทุน แต่ยังเป็น ลูกค้ารายใหญ่ ของ OpenAI ด้วย ซึ่งอาจเปลี่ยนวิธีการผลิตคอนเทนต์และการสื่อสารภายในบริษัท ⚖️ การปกป้องลิขสิทธิ์ ก่อนหน้านี้ ดิสนีย์เคยส่งจดหมาย Cease and Desist ไปยัง Google และ Character.AI รวมถึงฟ้อง Midjourney เรื่องการใช้ตัวละครโดยไม่ได้รับอนุญาต การลงทุนครั้งนี้จึงสะท้อนว่า ดิสนีย์ไม่ได้ปฏิเสธ AI แต่เลือกที่จะ ควบคุมและร่วมมือ กับแพลตฟอร์มที่สามารถสร้างรายได้และปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาไปพร้อมกัน 📺 การใช้งานจริงและอนาคต ผู้ใช้ Sora และ ChatGPT Images จะสามารถสร้างวิดีโอและภาพด้วยตัวละครดัง เช่น Mickey Mouse, Ariel, Cinderella, Iron Man และ Darth Vader โดยจะมีการคัดเลือกคลิปบางส่วนไปเผยแพร่บน Disney+ อีกด้วย อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงนี้ไม่ครอบคลุม เสียงและหน้าตาของนักแสดงจริง เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาลิขสิทธิ์และการละเมิดสิทธิ์บุคคล 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Disney ลงทุน 1 พันล้านดอลลาร์ใน OpenAI ➡️ ทำข้อตกลงอนุญาตใช้สิทธิ์ 3 ปีสำหรับตัวละครกว่า 200 ตัว ✅ ผู้ใช้ Sora และ ChatGPT Images สามารถสร้างคอนเทนต์ด้วยตัวละคร Disney ➡️ ตัวละครที่ใช้ได้ เช่น Mickey Mouse, Ariel, Cinderella, Iron Man, Darth Vader ✅ Disney จะใช้ ChatGPT ภายในองค์กร ➡️ เพื่อสร้างเครื่องมือและประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้พนักงาน ✅ คลิปจาก Sora จะถูกเผยแพร่บน Disney+ ➡️ ขยายการเข้าถึงคอนเทนต์ AI สู่ผู้ชมทั่วโลก ‼️ ความเสี่ยงด้านลิขสิทธิ์ยังคงมีอยู่ ⛔ Disney เคยฟ้อง Midjourney และส่งจดหมายเตือน Google, Character.AI เรื่องการใช้ตัวละครโดยไม่ได้รับอนุญาต ‼️ การใช้ตัวละครไม่ครอบคลุมเสียงและหน้าตานักแสดงจริง ⛔ เพื่อหลีกเลี่ยงการละเมิดสิทธิ์บุคคลและปัญหาทางกฎหมาย https://www.cnbc.com/2025/12/11/disney-openai-sora-characters-video.html
    WWW.CNBC.COM
    Disney making $1 billion investment in OpenAI, will allow characters on Sora AI video generator
    Disney is investing in OpenAI and has licensed its iconic characters like Mickey Mouse, Ariel and Iron Man to be used in the Sora AI video generator.
    0 Comments 0 Shares 21 Views 0 Reviews
  • การลงทุนด้าน Cybersecurity ต้องพูดภาษา “ธุรกิจ”

    ในยุคที่ภัยคุกคามไซเบอร์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผู้บริหารด้านความปลอดภัย (CISO) ไม่สามารถนำเสนอการลงทุนในระบบป้องกันเพียงแค่เชิงเทคนิคอีกต่อไป แต่ต้องเชื่อมโยงกับ เป้าหมายธุรกิจ เช่น การขยายตลาดใหม่ การเพิ่มความยืดหยุ่น และการสร้างมูลค่าให้ผู้ถือหุ้น การอธิบายว่าเทคโนโลยีช่วยลดเวลาในการตอบสนองเหตุการณ์ หรือช่วยลดต้นทุนได้อย่างไร จะทำให้บอร์ดบริหารเห็นความคุ้มค่าและอนุมัติการลงทุนได้ง่ายขึ้น

    เทรนด์ Cybersecurity ปี 2025 จาก Gartner
    รายงานล่าสุดชี้ว่า Generative AI กำลังเปลี่ยนโฟกัสการป้องกันข้อมูลจากแบบ “Structured Data” ไปสู่ “Unstructured Data” เช่น ข้อความ รูปภาพ และวิดีโอ อีกทั้งการจัดการ Machine Identity กลายเป็นเรื่องสำคัญ เพราะบัญชีเครื่องจักรและระบบอัตโนมัติเพิ่มจำนวนมหาศาล หากไม่ควบคุมอาจขยายช่องโหว่ให้แฮกเกอร์โจมตีได้ง่ายขึ้น

    Quantum Computing และภัยคุกคามใหม่
    นักวิจัยเตือนว่า Quantum Computing อาจทำให้การเข้ารหัสแบบ RSA หรือ ECC ที่ใช้กันอยู่ทั่วโลกถูกถอดรหัสได้ในอนาคต เกิดสิ่งที่เรียกว่า “Harvest Now, Decrypt Later” คือการขโมยข้อมูลที่เข้ารหัสไว้ตอนนี้ แล้วรอให้ Quantum สามารถถอดรหัสได้ในอนาคต หากไม่เตรียมใช้ Post-Quantum Cryptography องค์กรอาจสูญเสียข้อมูลสำคัญมหาศาล

    วัฒนธรรมและพฤติกรรมด้านความปลอดภัย
    องค์กรจำนวนมากเริ่มลงทุนใน Security Behavior & Culture Programs (SBCPs) เพื่อสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยในพนักงาน โดยผสมผสาน AI เข้ามาช่วยตรวจสอบพฤติกรรมและลดเหตุการณ์ที่เกิดจากความผิดพลาดของมนุษย์ คาดว่าภายในปี 2026 องค์กรที่ใช้แนวทางนี้จะลดเหตุการณ์ที่เกิดจากพนักงานได้ถึง 40%

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การลงทุนด้าน Cybersecurity ต้องเชื่อมโยงกับธุรกิจ
    ลดเวลาในการตอบสนองเหตุการณ์ เพิ่มความยืดหยุ่น และสร้างรายได้ใหม่

    Generative AI กำลังเปลี่ยนโฟกัสการป้องกันข้อมูล
    จากการป้องกันฐานข้อมูล ไปสู่การป้องกันข้อความ รูปภาพ และวิดีโอ

    Machine Identity Management เป็นเรื่องเร่งด่วน
    หากไม่ควบคุม บัญชีเครื่องจักรอัตโนมัติจะขยายช่องโหว่

    Quantum Computing กำลังคุกคามการเข้ารหัสปัจจุบัน
    ต้องเตรียมใช้ Post-Quantum Cryptography เพื่อป้องกันข้อมูลระยะยาว

    การสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยในองค์กรช่วยลดความเสี่ยง
    AI สามารถช่วยตรวจสอบพฤติกรรมและลดเหตุการณ์ที่เกิดจากมนุษย์

    ความเสี่ยงจาก Quantum Computing
    “Harvest Now, Decrypt Later” อาจทำให้ข้อมูลที่ถูกเข้ารหัสวันนี้ถูกเปิดเผยในอนาคต

    การใช้ AI โดยไม่ควบคุมอาจสร้างช่องโหว่ใหม่
    AI ที่ไม่ถูกกำกับอาจถูกใช้สร้าง Deepfake หรือโจมตีระบบอัตโนมัติ

    https://www.csoonline.com/article/4104472/how-to-justify-your-security-investments.html
    🛡️ การลงทุนด้าน Cybersecurity ต้องพูดภาษา “ธุรกิจ” ในยุคที่ภัยคุกคามไซเบอร์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผู้บริหารด้านความปลอดภัย (CISO) ไม่สามารถนำเสนอการลงทุนในระบบป้องกันเพียงแค่เชิงเทคนิคอีกต่อไป แต่ต้องเชื่อมโยงกับ เป้าหมายธุรกิจ เช่น การขยายตลาดใหม่ การเพิ่มความยืดหยุ่น และการสร้างมูลค่าให้ผู้ถือหุ้น การอธิบายว่าเทคโนโลยีช่วยลดเวลาในการตอบสนองเหตุการณ์ หรือช่วยลดต้นทุนได้อย่างไร จะทำให้บอร์ดบริหารเห็นความคุ้มค่าและอนุมัติการลงทุนได้ง่ายขึ้น 🤖 เทรนด์ Cybersecurity ปี 2025 จาก Gartner รายงานล่าสุดชี้ว่า Generative AI กำลังเปลี่ยนโฟกัสการป้องกันข้อมูลจากแบบ “Structured Data” ไปสู่ “Unstructured Data” เช่น ข้อความ รูปภาพ และวิดีโอ อีกทั้งการจัดการ Machine Identity กลายเป็นเรื่องสำคัญ เพราะบัญชีเครื่องจักรและระบบอัตโนมัติเพิ่มจำนวนมหาศาล หากไม่ควบคุมอาจขยายช่องโหว่ให้แฮกเกอร์โจมตีได้ง่ายขึ้น ⚛️ Quantum Computing และภัยคุกคามใหม่ นักวิจัยเตือนว่า Quantum Computing อาจทำให้การเข้ารหัสแบบ RSA หรือ ECC ที่ใช้กันอยู่ทั่วโลกถูกถอดรหัสได้ในอนาคต เกิดสิ่งที่เรียกว่า “Harvest Now, Decrypt Later” คือการขโมยข้อมูลที่เข้ารหัสไว้ตอนนี้ แล้วรอให้ Quantum สามารถถอดรหัสได้ในอนาคต หากไม่เตรียมใช้ Post-Quantum Cryptography องค์กรอาจสูญเสียข้อมูลสำคัญมหาศาล 🌐 วัฒนธรรมและพฤติกรรมด้านความปลอดภัย องค์กรจำนวนมากเริ่มลงทุนใน Security Behavior & Culture Programs (SBCPs) เพื่อสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยในพนักงาน โดยผสมผสาน AI เข้ามาช่วยตรวจสอบพฤติกรรมและลดเหตุการณ์ที่เกิดจากความผิดพลาดของมนุษย์ คาดว่าภายในปี 2026 องค์กรที่ใช้แนวทางนี้จะลดเหตุการณ์ที่เกิดจากพนักงานได้ถึง 40% 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การลงทุนด้าน Cybersecurity ต้องเชื่อมโยงกับธุรกิจ ➡️ ลดเวลาในการตอบสนองเหตุการณ์ เพิ่มความยืดหยุ่น และสร้างรายได้ใหม่ ✅ Generative AI กำลังเปลี่ยนโฟกัสการป้องกันข้อมูล ➡️ จากการป้องกันฐานข้อมูล ไปสู่การป้องกันข้อความ รูปภาพ และวิดีโอ ✅ Machine Identity Management เป็นเรื่องเร่งด่วน ➡️ หากไม่ควบคุม บัญชีเครื่องจักรอัตโนมัติจะขยายช่องโหว่ ✅ Quantum Computing กำลังคุกคามการเข้ารหัสปัจจุบัน ➡️ ต้องเตรียมใช้ Post-Quantum Cryptography เพื่อป้องกันข้อมูลระยะยาว ✅ การสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยในองค์กรช่วยลดความเสี่ยง ➡️ AI สามารถช่วยตรวจสอบพฤติกรรมและลดเหตุการณ์ที่เกิดจากมนุษย์ ‼️ ความเสี่ยงจาก Quantum Computing ⛔ “Harvest Now, Decrypt Later” อาจทำให้ข้อมูลที่ถูกเข้ารหัสวันนี้ถูกเปิดเผยในอนาคต ‼️ การใช้ AI โดยไม่ควบคุมอาจสร้างช่องโหว่ใหม่ ⛔ AI ที่ไม่ถูกกำกับอาจถูกใช้สร้าง Deepfake หรือโจมตีระบบอัตโนมัติ https://www.csoonline.com/article/4104472/how-to-justify-your-security-investments.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    How to justify your security investments
    Budget discussions are tiresome because cyber risks and expenses are rising in tandem. CISOs should therefore align their arguments with business objectives.
    0 Comments 0 Shares 23 Views 0 Reviews
  • DroidLock: มัลแวร์ Android ใหม่ แอบสอดส่องผ่านกล้องหน้า

    นักวิจัยจาก Zimperium zLabs ได้ค้นพบมัลแวร์ใหม่ชื่อ DroidLock ซึ่งถูกออกแบบมาให้ทำงานคล้าย Ransomware โดยสามารถยึดเครื่อง Android ของเหยื่อได้ทั้งหมด พร้อมทั้งแอบสอดส่องผู้ใช้ผ่านกล้องหน้าและบันทึกกิจกรรมบนหน้าจอแบบเรียลไทม์

    วิธีการทำงานของ DroidLock
    ใช้ Phishing Sites หลอกให้ผู้ใช้ติดตั้งแอปปลอม โดยแสดงหน้าต่างอัปเดตระบบปลอมเพื่อหลอกให้กดตกลง
    เมื่อถูกติดตั้ง มัลแวร์จะใช้สิทธิ์ Device Administrator เพื่อควบคุมเครื่อง เช่น เปลี่ยนรหัส PIN, ลบข้อมูลทั้งหมด หรือบังคับล็อกเครื่อง
    ใช้เทคนิค Overlay Attack โดยสร้างหน้าจอปลอมทับบนแอปจริง เพื่อขโมยข้อมูล เช่น Pattern Unlock หรือรหัสผ่านแอปต่าง ๆ
    สามารถ สตรีมหน้าจอผ่าน VNC และบันทึกกิจกรรมทั้งหมด รวมถึงรหัส OTP และข้อมูลเข้าสู่ระบบ

    ผลกระทบที่น่ากังวล
    DroidLock ไม่ได้เข้ารหัสไฟล์เหมือน Ransomware ทั่วไป แต่สามารถทำให้ผู้ใช้ถูกล็อกออกจากเครื่องโดยสิ้นเชิง
    สามารถขโมยข้อมูลสำคัญ เช่น รหัสผ่าน, ข้อมูลการเงิน, หรือแม้แต่ภาพจากกล้องหน้า
    หากติดตั้งบนอุปกรณ์ที่ใช้ในองค์กร อาจทำให้ข้อมูลภายในรั่วไหลและกลายเป็น “hostile endpoint” ภายในเครือข่ายบริษัท

    แนวทางป้องกัน
    หลีกเลี่ยงการติดตั้งแอปจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ โดยเฉพาะลิงก์ที่ส่งมาทาง SMS หรืออีเมล
    ตรวจสอบสิทธิ์ที่แอปขอ หากมีการขอสิทธิ์ Device Administrator หรือ Accessibility ที่ไม่จำเป็น ควรหลีกเลี่ยง
    ใช้ Mobile Security Solutions ที่สามารถตรวจจับ Overlay Attack และมัลแวร์ประเภทนี้
    อัปเดตระบบและแอปพลิเคชันอย่างสม่ำเสมอ เพื่อปิดช่องโหว่ที่มัลแวร์อาจใช้โจมตี

    สรุปประเด็นสำคัญ
    วิธีการทำงานของ DroidLock
    ใช้ Phishing หลอกติดตั้งแอปปลอม
    ใช้สิทธิ์ Device Administrator ควบคุมเครื่อง
    Overlay Attack ขโมยข้อมูลล็อกอิน
    สตรีมหน้าจอและสอดส่องผ่านกล้องหน้า

    ผลกระทบ
    ล็อกผู้ใช้ไม่ให้เข้าถึงเครื่อง
    ขโมยข้อมูลการเงินและรหัส OTP
    เสี่ยงต่อการรั่วไหลข้อมูลองค์กร

    แนวทางป้องกัน
    หลีกเลี่ยงการติดตั้งแอปจากลิงก์ไม่ปลอดภัย
    ตรวจสอบสิทธิ์ที่แอปขอ
    ใช้ Mobile Security Solutions
    อัปเดตระบบและแอปอย่างสม่ำเสมอ

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้งาน
    การติดตั้งแอปจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือเสี่ยงต่อการติดมัลแวร์
    หากติดตั้งในอุปกรณ์องค์กร อาจทำให้ข้อมูลรั่วไหลและเครือข่ายถูกโจมตี

    https://hackread.com/droidlock-android-malware-users-spy-camera/
    📱 DroidLock: มัลแวร์ Android ใหม่ แอบสอดส่องผ่านกล้องหน้า นักวิจัยจาก Zimperium zLabs ได้ค้นพบมัลแวร์ใหม่ชื่อ DroidLock ซึ่งถูกออกแบบมาให้ทำงานคล้าย Ransomware โดยสามารถยึดเครื่อง Android ของเหยื่อได้ทั้งหมด พร้อมทั้งแอบสอดส่องผู้ใช้ผ่านกล้องหน้าและบันทึกกิจกรรมบนหน้าจอแบบเรียลไทม์ 🕵️ วิธีการทำงานของ DroidLock 💠 ใช้ Phishing Sites หลอกให้ผู้ใช้ติดตั้งแอปปลอม โดยแสดงหน้าต่างอัปเดตระบบปลอมเพื่อหลอกให้กดตกลง 💠 เมื่อถูกติดตั้ง มัลแวร์จะใช้สิทธิ์ Device Administrator เพื่อควบคุมเครื่อง เช่น เปลี่ยนรหัส PIN, ลบข้อมูลทั้งหมด หรือบังคับล็อกเครื่อง 💠 ใช้เทคนิค Overlay Attack โดยสร้างหน้าจอปลอมทับบนแอปจริง เพื่อขโมยข้อมูล เช่น Pattern Unlock หรือรหัสผ่านแอปต่าง ๆ 💠 สามารถ สตรีมหน้าจอผ่าน VNC และบันทึกกิจกรรมทั้งหมด รวมถึงรหัส OTP และข้อมูลเข้าสู่ระบบ ⚠️ ผลกระทบที่น่ากังวล 💠 DroidLock ไม่ได้เข้ารหัสไฟล์เหมือน Ransomware ทั่วไป แต่สามารถทำให้ผู้ใช้ถูกล็อกออกจากเครื่องโดยสิ้นเชิง 💠 สามารถขโมยข้อมูลสำคัญ เช่น รหัสผ่าน, ข้อมูลการเงิน, หรือแม้แต่ภาพจากกล้องหน้า 💠 หากติดตั้งบนอุปกรณ์ที่ใช้ในองค์กร อาจทำให้ข้อมูลภายในรั่วไหลและกลายเป็น “hostile endpoint” ภายในเครือข่ายบริษัท 🛡️ แนวทางป้องกัน 🎗️ หลีกเลี่ยงการติดตั้งแอปจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ โดยเฉพาะลิงก์ที่ส่งมาทาง SMS หรืออีเมล 🎗️ ตรวจสอบสิทธิ์ที่แอปขอ หากมีการขอสิทธิ์ Device Administrator หรือ Accessibility ที่ไม่จำเป็น ควรหลีกเลี่ยง 🎗️ ใช้ Mobile Security Solutions ที่สามารถตรวจจับ Overlay Attack และมัลแวร์ประเภทนี้ 🎗️ อัปเดตระบบและแอปพลิเคชันอย่างสม่ำเสมอ เพื่อปิดช่องโหว่ที่มัลแวร์อาจใช้โจมตี 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ วิธีการทำงานของ DroidLock ➡️ ใช้ Phishing หลอกติดตั้งแอปปลอม ➡️ ใช้สิทธิ์ Device Administrator ควบคุมเครื่อง ➡️ Overlay Attack ขโมยข้อมูลล็อกอิน ➡️ สตรีมหน้าจอและสอดส่องผ่านกล้องหน้า ✅ ผลกระทบ ➡️ ล็อกผู้ใช้ไม่ให้เข้าถึงเครื่อง ➡️ ขโมยข้อมูลการเงินและรหัส OTP ➡️ เสี่ยงต่อการรั่วไหลข้อมูลองค์กร ✅ แนวทางป้องกัน ➡️ หลีกเลี่ยงการติดตั้งแอปจากลิงก์ไม่ปลอดภัย ➡️ ตรวจสอบสิทธิ์ที่แอปขอ ➡️ ใช้ Mobile Security Solutions ➡️ อัปเดตระบบและแอปอย่างสม่ำเสมอ ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้งาน ⛔ การติดตั้งแอปจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือเสี่ยงต่อการติดมัลแวร์ ⛔ หากติดตั้งในอุปกรณ์องค์กร อาจทำให้ข้อมูลรั่วไหลและเครือข่ายถูกโจมตี https://hackread.com/droidlock-android-malware-users-spy-camera/
    HACKREAD.COM
    New ‘DroidLock’ Android Malware Locks Users Out, Spies via Front Camera
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 14 Views 0 Reviews
  • พบส่วนขยาย VS Code อันตราย แฝงโทรจันในไฟล์ PNG ปลอม

    รายงานจาก Hackread เปิดเผยว่า นักวิจัยจาก ReversingLabs ตรวจพบแคมเปญโจมตีที่ซับซ้อน โดยมีการปล่อยส่วนขยาย (extensions) อันตรายบน Visual Studio Code Marketplace รวมทั้งหมด 19 ตัว ซึ่งแฝงโทรจันไว้ภายใน โดยใช้เทคนิคการปลอมไฟล์ PNG เพื่อหลอกผู้ใช้และนักพัฒนา

    วิธีการโจมตี
    ผู้โจมตีใช้เทคนิค Dependency Trick โดยแก้ไขแพ็กเกจยอดนิยมอย่าง path-is-absolute (มีการดาวน์โหลดกว่า 9 พันล้านครั้งตั้งแต่ปี 2021) ก่อนจะบันเดิลเข้าไปในส่วนขยายปลอม
    เมื่อ VS Code เริ่มทำงาน โค้ดที่ถูกฝังจะถูกเรียกใช้ทันที และถอดรหัส JavaScript dropper ที่ซ่อนอยู่ในไฟล์ชื่อ lock
    ขั้นตอนสุดท้ายคือการใช้ไฟล์ banner.png ซึ่งดูเหมือนภาพธรรมดา แต่จริง ๆ เป็น archive ที่บรรจุไฟล์ไบนารีอันตราย 2 ตัว โดย dropper จะใช้เครื่องมือ Windows cmstp.exe เพื่อรันไฟล์เหล่านี้

    ผลกระทบ
    โทรจันที่ถูกปล่อยสามารถทำงานได้ทันทีเมื่อเปิด VS Code และอาจให้สิทธิ์ผู้โจมตีเข้าถึงระบบ
    ส่วนขยายบางตัวใช้แพ็กเกจอื่น เช่น @actions/io โดยแยกไฟล์อันตรายออกเป็น .ts และ .map แทนการใช้ PNG
    จำนวนการตรวจพบส่วนขยายอันตรายในปี 2025 เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จาก 27 ตัวในปี 2024 เป็น 105 ตัวในปี 2025

    การตอบสนอง
    ส่วนขยายที่ถูกพบทั้งหมดถูกแจ้งไปยัง Microsoft แล้ว
    นักวิจัยเตือนให้นักพัฒนาตรวจสอบส่วนขยายก่อนติดตั้ง โดยเฉพาะส่วนขยายที่มีจำนวนดาวน์โหลดน้อยหรือรีวิวไม่มาก
    แนะนำให้ใช้ trusted sources และตรวจสอบ dependencies อย่างละเอียด

    สรุปประเด็นสำคัญ
    เทคนิคการโจมตี
    ปลอมแพ็กเกจ path-is-absolute และฝังโค้ดอันตราย
    ใช้ไฟล์ PNG ปลอม (banner.png) บรรจุโทรจัน

    ผลกระทบ
    โทรจันรันทันทีเมื่อเปิด VS Code
    จำนวนส่วนขยายอันตรายเพิ่มขึ้นกว่า 4 เท่าในปี 2025

    การตอบสนอง
    Microsoft ได้รับรายงานและลบส่วนขยายอันตราย
    นักพัฒนาควรตรวจสอบรีวิวและจำนวนดาวน์โหลดก่อนติดตั้ง

    คำเตือนสำหรับนักพัฒนา
    การติดตั้งส่วนขยายที่ไม่น่าเชื่อถือเสี่ยงต่อการติดมัลแวร์
    ควรตรวจสอบ dependencies และหลีกเลี่ยงการใช้แพ็กเกจที่ไม่เป็นที่รู้จัก

    https://hackread.com/malicious-vs-code-extensions-trojan-fake-png-files/
    🛡️ พบส่วนขยาย VS Code อันตราย แฝงโทรจันในไฟล์ PNG ปลอม รายงานจาก Hackread เปิดเผยว่า นักวิจัยจาก ReversingLabs ตรวจพบแคมเปญโจมตีที่ซับซ้อน โดยมีการปล่อยส่วนขยาย (extensions) อันตรายบน Visual Studio Code Marketplace รวมทั้งหมด 19 ตัว ซึ่งแฝงโทรจันไว้ภายใน โดยใช้เทคนิคการปลอมไฟล์ PNG เพื่อหลอกผู้ใช้และนักพัฒนา 🎯 วิธีการโจมตี 💠 ผู้โจมตีใช้เทคนิค Dependency Trick โดยแก้ไขแพ็กเกจยอดนิยมอย่าง path-is-absolute (มีการดาวน์โหลดกว่า 9 พันล้านครั้งตั้งแต่ปี 2021) ก่อนจะบันเดิลเข้าไปในส่วนขยายปลอม 💠 เมื่อ VS Code เริ่มทำงาน โค้ดที่ถูกฝังจะถูกเรียกใช้ทันที และถอดรหัส JavaScript dropper ที่ซ่อนอยู่ในไฟล์ชื่อ lock 💠 ขั้นตอนสุดท้ายคือการใช้ไฟล์ banner.png ซึ่งดูเหมือนภาพธรรมดา แต่จริง ๆ เป็น archive ที่บรรจุไฟล์ไบนารีอันตราย 2 ตัว โดย dropper จะใช้เครื่องมือ Windows cmstp.exe เพื่อรันไฟล์เหล่านี้ ⚠️ ผลกระทบ 💠 โทรจันที่ถูกปล่อยสามารถทำงานได้ทันทีเมื่อเปิด VS Code และอาจให้สิทธิ์ผู้โจมตีเข้าถึงระบบ 💠 ส่วนขยายบางตัวใช้แพ็กเกจอื่น เช่น @actions/io โดยแยกไฟล์อันตรายออกเป็น .ts และ .map แทนการใช้ PNG 💠 จำนวนการตรวจพบส่วนขยายอันตรายในปี 2025 เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จาก 27 ตัวในปี 2024 เป็น 105 ตัวในปี 2025 🛡️ การตอบสนอง 💠 ส่วนขยายที่ถูกพบทั้งหมดถูกแจ้งไปยัง Microsoft แล้ว 💠 นักวิจัยเตือนให้นักพัฒนาตรวจสอบส่วนขยายก่อนติดตั้ง โดยเฉพาะส่วนขยายที่มีจำนวนดาวน์โหลดน้อยหรือรีวิวไม่มาก 💠 แนะนำให้ใช้ trusted sources และตรวจสอบ dependencies อย่างละเอียด 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ เทคนิคการโจมตี ➡️ ปลอมแพ็กเกจ path-is-absolute และฝังโค้ดอันตราย ➡️ ใช้ไฟล์ PNG ปลอม (banner.png) บรรจุโทรจัน ✅ ผลกระทบ ➡️ โทรจันรันทันทีเมื่อเปิด VS Code ➡️ จำนวนส่วนขยายอันตรายเพิ่มขึ้นกว่า 4 เท่าในปี 2025 ✅ การตอบสนอง ➡️ Microsoft ได้รับรายงานและลบส่วนขยายอันตราย ➡️ นักพัฒนาควรตรวจสอบรีวิวและจำนวนดาวน์โหลดก่อนติดตั้ง ‼️ คำเตือนสำหรับนักพัฒนา ⛔ การติดตั้งส่วนขยายที่ไม่น่าเชื่อถือเสี่ยงต่อการติดมัลแวร์ ⛔ ควรตรวจสอบ dependencies และหลีกเลี่ยงการใช้แพ็กเกจที่ไม่เป็นที่รู้จัก https://hackread.com/malicious-vs-code-extensions-trojan-fake-png-files/
    HACKREAD.COM
    Malicious Visual Studio Code Extensions Hide Trojan in Fake PNG Files
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 14 Views 0 Reviews
  • Jetson ONE: เครื่องบินส่วนบุคคลที่ไม่ต้องมีใบอนุญาตนักบิน

    บทความจาก SlashGear เปิดเผยว่า Jetson ONE ซึ่งเป็นเครื่องบินไฟฟ้าแบบ eVTOL (electric Vertical Take-Off and Landing) กำลังสร้างความฮือฮาในตลาด เพราะสามารถบินได้โดย ไม่ต้องมีใบอนุญาตนักบิน ตามกฎของ FAA Part 103 ที่จัดให้เป็น Ultralight Aircraft

    คุณสมบัติหลักของ Jetson ONE
    น้ำหนักเพียง 253 ปอนด์ (ต่ำกว่าเกณฑ์ 254 ปอนด์ที่ FAA กำหนดสำหรับ ultralight)
    ความเร็วสูงสุด 63 mph (จำกัดด้วยซอฟต์แวร์ให้ตรงกับข้อกำหนด 55 knots)
    บินได้สูงสุด 1,500 ฟุต และมีเวลาบินประมาณ 20 นาที
    ใช้โครงสร้าง คาร์บอนไฟเบอร์ และขับเคลื่อนด้วย 8 มอเตอร์ไฟฟ้า

    ระบบความปลอดภัย
    Jetson ONE มาพร้อมฟีเจอร์ที่ช่วยลดความเสี่ยง เช่น
    Ballistic parachute คล้ายกับที่ใช้ในเครื่องบิน Cirrus
    ระบบ hands-free hover mode
    สามารถบินต่อได้แม้มีมอเตอร์เสียหายหนึ่งตัว
    โครงสร้างแบบ racecar-style safety cell เพื่อปกป้องผู้โดยสาร

    กฎระเบียบและข้อจำกัด
    แม้จะไม่ต้องมีใบอนุญาตนักบิน แต่ FAA Part 103 กำหนดว่า:
    ห้ามบินเหนือพื้นที่แออัดหรือที่มีการรวมตัวกลางแจ้ง
    จำกัดการใช้งานเฉพาะพื้นที่เปิดโล่ง ไม่ใช่ในเมืองใหญ่
    ใช้ได้สำหรับผู้โดยสารเพียง 1 คนเท่านั้น

    ตลาดและราคา
    Jetson ONE มีราคาอยู่ที่ประมาณ 148,000 ดอลลาร์สหรัฐ
    มีคำสั่งซื้อแล้วกว่า 600 ลำ และการผลิตเต็มไปจนถึงปี 2026–2027
    ลูกค้ารายแรกคือ Palmer Luckey ผู้ก่อตั้ง Oculus

    สรุปประเด็นสำคัญ
    คุณสมบัติของ Jetson ONE
    น้ำหนัก 253 ปอนด์, ความเร็วสูงสุด 63 mph, บินได้ 20 นาที
    ใช้โครงสร้างคาร์บอนไฟเบอร์และมอเตอร์ไฟฟ้า 8 ตัว

    ระบบความปลอดภัย
    Ballistic parachute, hands-free hover, redundancy ของมอเตอร์
    โครงสร้าง safety cell แบบรถแข่ง

    กฎ FAA Part 103
    ไม่ต้องมีใบอนุญาตนักบิน
    ห้ามบินเหนือเมืองหรือพื้นที่แออัด
    จำกัดผู้โดยสาร 1 คน

    ตลาดและราคา
    ราคา 148,000 ดอลลาร์
    มีคำสั่งซื้อแล้วกว่า 600 ลำ
    ลูกค้ารายแรกคือ Palmer Luckey

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้งาน
    แม้ควบคุมได้ง่าย แต่การฝึกเพียงไม่กี่นาทีไม่เพียงพอสำหรับการตัดสินใจด้านสภาพอากาศ
    การบินในพื้นที่ไม่เหมาะสมอาจผิดกฎหมายและเสี่ยงต่ออุบัติเหตุ

    https://www.slashgear.com/2047526/jetson-aircraft-no-pilots-license-needed-to-fly/
    ✈️ Jetson ONE: เครื่องบินส่วนบุคคลที่ไม่ต้องมีใบอนุญาตนักบิน บทความจาก SlashGear เปิดเผยว่า Jetson ONE ซึ่งเป็นเครื่องบินไฟฟ้าแบบ eVTOL (electric Vertical Take-Off and Landing) กำลังสร้างความฮือฮาในตลาด เพราะสามารถบินได้โดย ไม่ต้องมีใบอนุญาตนักบิน ตามกฎของ FAA Part 103 ที่จัดให้เป็น Ultralight Aircraft ⚙️ คุณสมบัติหลักของ Jetson ONE 💠 น้ำหนักเพียง 253 ปอนด์ (ต่ำกว่าเกณฑ์ 254 ปอนด์ที่ FAA กำหนดสำหรับ ultralight) 💠 ความเร็วสูงสุด 63 mph (จำกัดด้วยซอฟต์แวร์ให้ตรงกับข้อกำหนด 55 knots) 💠 บินได้สูงสุด 1,500 ฟุต และมีเวลาบินประมาณ 20 นาที 💠 ใช้โครงสร้าง คาร์บอนไฟเบอร์ และขับเคลื่อนด้วย 8 มอเตอร์ไฟฟ้า 🛡️ ระบบความปลอดภัย Jetson ONE มาพร้อมฟีเจอร์ที่ช่วยลดความเสี่ยง เช่น 🎗️ Ballistic parachute คล้ายกับที่ใช้ในเครื่องบิน Cirrus 🎗️ ระบบ hands-free hover mode 🎗️ สามารถบินต่อได้แม้มีมอเตอร์เสียหายหนึ่งตัว 🎗️ โครงสร้างแบบ racecar-style safety cell เพื่อปกป้องผู้โดยสาร 📜 กฎระเบียบและข้อจำกัด แม้จะไม่ต้องมีใบอนุญาตนักบิน แต่ FAA Part 103 กำหนดว่า: 💠 ห้ามบินเหนือพื้นที่แออัดหรือที่มีการรวมตัวกลางแจ้ง 💠 จำกัดการใช้งานเฉพาะพื้นที่เปิดโล่ง ไม่ใช่ในเมืองใหญ่ 💠 ใช้ได้สำหรับผู้โดยสารเพียง 1 คนเท่านั้น 💰 ตลาดและราคา 🎗️ Jetson ONE มีราคาอยู่ที่ประมาณ 148,000 ดอลลาร์สหรัฐ 🎗️ มีคำสั่งซื้อแล้วกว่า 600 ลำ และการผลิตเต็มไปจนถึงปี 2026–2027 🎗️ ลูกค้ารายแรกคือ Palmer Luckey ผู้ก่อตั้ง Oculus 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ คุณสมบัติของ Jetson ONE ➡️ น้ำหนัก 253 ปอนด์, ความเร็วสูงสุด 63 mph, บินได้ 20 นาที ➡️ ใช้โครงสร้างคาร์บอนไฟเบอร์และมอเตอร์ไฟฟ้า 8 ตัว ✅ ระบบความปลอดภัย ➡️ Ballistic parachute, hands-free hover, redundancy ของมอเตอร์ ➡️ โครงสร้าง safety cell แบบรถแข่ง ✅ กฎ FAA Part 103 ➡️ ไม่ต้องมีใบอนุญาตนักบิน ➡️ ห้ามบินเหนือเมืองหรือพื้นที่แออัด ➡️ จำกัดผู้โดยสาร 1 คน ✅ ตลาดและราคา ➡️ ราคา 148,000 ดอลลาร์ ➡️ มีคำสั่งซื้อแล้วกว่า 600 ลำ ➡️ ลูกค้ารายแรกคือ Palmer Luckey ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้งาน ⛔ แม้ควบคุมได้ง่าย แต่การฝึกเพียงไม่กี่นาทีไม่เพียงพอสำหรับการตัดสินใจด้านสภาพอากาศ ⛔ การบินในพื้นที่ไม่เหมาะสมอาจผิดกฎหมายและเสี่ยงต่ออุบัติเหตุ https://www.slashgear.com/2047526/jetson-aircraft-no-pilots-license-needed-to-fly/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    You Don't Need A Pilot License To Fly This Jetson Aircraft (And That's Terrifying) - SlashGear
    The Jetson ONE is a $148,000 eVTOL you can fly without a pilot license. It exploits an FAA ultralight loophole by weighing just 253 lbs.
    0 Comments 0 Shares 22 Views 0 Reviews
  • ด้านมืดของ Nintendo

    บทความจาก SlashGear เปิดเผยด้านมืดของ Nintendo ที่มักถูกมองว่าเป็นบริษัทเกมครอบครัว แต่เบื้องหลังมีหลายกรณีที่เป็นข้อถกเถียง เช่น การผูกขาดตลาดเกมยุค 80s, การฟ้องร้องคู่แข่ง, การโฆษณาที่แปลกและก้าวร้าวในยุค 90s, ปัญหา Joy-Con Drift ของ Switch, ไปจนถึงการจัดการที่เข้มงวดกับแฟน ๆ และนักพัฒนา.

    Nintendo: เบื้องหลังภาพลักษณ์ครอบครัว
    แม้ Nintendo จะสร้างชื่อเสียงจากเกมอมตะอย่าง Mario และ Zelda และรักษาภาพลักษณ์ครอบครัวมาตลอด แต่ในความเป็นจริงบริษัทก็มีพฤติกรรมเชิงธุรกิจที่เข้มงวดและบางครั้งก่อให้เกิดข้อถกเถียงรุนแรงในวงการเกม.

    การผูกขาดตลาดเกมยุค 80s
    หลังจากวิกฤตเกมปี 1983 Nintendo ใช้ระบบ 10NES lockout chip บังคับให้ผู้พัฒนาต้องผ่านการอนุญาตและจ่ายค่าลิขสิทธิ์ จำกัดการออกเกมเพียง 5 เกมต่อปี ส่งผลให้บริษัทครองตลาดกว่า 65% ในปี 1987 และทำให้คู่แข่งอย่าง Atari และ Sega ตกต่ำลง.

    กรณี Donkey Kong และการฟ้องร้อง
    เกม Donkey Kong ถูกพัฒนาโดยบริษัท Ikegami Tsushinki แต่ Nintendo สร้าง PCB เพิ่มโดยไม่ได้รับอนุญาต และต่อมาใช้โค้ดที่ reverse-engineer ใน Donkey Kong Jr. จนถูกฟ้องร้องเรื่องละเมิดลิขสิทธิ์ในปี 1983.

    โฆษณาและกลยุทธ์ก้าวร้าว
    ยุค 90s Nintendo ใช้โฆษณาแนว gross-out เช่น Super Mario World 2 ที่มีภาพผู้ชายกินจนท้องแตก รวมถึงการใช้ข้อความอ้างถึงพระเจ้าในโฆษณา N64 ซึ่งถูกวิจารณ์ว่าไม่เหมาะสม.

    ปัญหา Joy-Con Drift และการฟ้องร้อง
    Nintendo Switch แม้จะขายได้กว่า 140 ล้านเครื่อง แต่ก็มีปัญหา Joy-Con Drift ที่ตรวจจับการเคลื่อนไหวผิดพลาด จนบริษัทต้องออกมาขอโทษและเผชิญคดีฟ้องร้องแบบ class action.

    ความสัมพันธ์กับแฟน ๆ และนักพัฒนา
    Nintendo มีชื่อเสียงด้านการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาอย่างเข้มงวด เช่น การฟ้อง PocketPair เรื่อง Palworld ที่คล้าย Pokémon, การปิด emulator Yuzu และ Ryujinx, รวมถึงการลบวิดีโอ YouTube ของแฟน ๆ ที่ใช้เนื้อหาเกมของบริษัท.

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การผูกขาดตลาดเกมยุค 80s
    ใช้ 10NES lockout chip และจำกัดการออกเกม

    กรณีละเมิดลิขสิทธิ์ Donkey Kong
    ฟ้องร้องกับ Ikegami Tsushinki

    กลยุทธ์โฆษณาและการตลาด
    โฆษณา gross-out และข้อความก้าวร้าว

    ปัญหาฮาร์ดแวร์และการฟ้องร้อง
    Joy-Con Drift และ class action lawsuits

    ความสัมพันธ์กับแฟน ๆ และนักพัฒนา
    ฟ้อง PocketPair, ปิด emulator, ลบคอนเทนต์แฟน ๆ

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้งานและนักพัฒนา
    Nintendo ปกป้อง IP อย่างเข้มงวด อาจกระทบต่อแฟน ๆ และคอมมูนิตี้
    ปัญหาฮาร์ดแวร์ที่ไม่ได้รับการแก้ไขอาจสร้างความไม่พอใจต่อผู้ใช้

    https://www.slashgear.com/1725390/nintendo-shady-side-hidden-controversy-incidents-business-practice-explained/
    🎮 ด้านมืดของ Nintendo บทความจาก SlashGear เปิดเผยด้านมืดของ Nintendo ที่มักถูกมองว่าเป็นบริษัทเกมครอบครัว แต่เบื้องหลังมีหลายกรณีที่เป็นข้อถกเถียง เช่น การผูกขาดตลาดเกมยุค 80s, การฟ้องร้องคู่แข่ง, การโฆษณาที่แปลกและก้าวร้าวในยุค 90s, ปัญหา Joy-Con Drift ของ Switch, ไปจนถึงการจัดการที่เข้มงวดกับแฟน ๆ และนักพัฒนา. 🎮 Nintendo: เบื้องหลังภาพลักษณ์ครอบครัว แม้ Nintendo จะสร้างชื่อเสียงจากเกมอมตะอย่าง Mario และ Zelda และรักษาภาพลักษณ์ครอบครัวมาตลอด แต่ในความเป็นจริงบริษัทก็มีพฤติกรรมเชิงธุรกิจที่เข้มงวดและบางครั้งก่อให้เกิดข้อถกเถียงรุนแรงในวงการเกม. 🏆 การผูกขาดตลาดเกมยุค 80s หลังจากวิกฤตเกมปี 1983 Nintendo ใช้ระบบ 10NES lockout chip บังคับให้ผู้พัฒนาต้องผ่านการอนุญาตและจ่ายค่าลิขสิทธิ์ จำกัดการออกเกมเพียง 5 เกมต่อปี ส่งผลให้บริษัทครองตลาดกว่า 65% ในปี 1987 และทำให้คู่แข่งอย่าง Atari และ Sega ตกต่ำลง. 🧩 กรณี Donkey Kong และการฟ้องร้อง เกม Donkey Kong ถูกพัฒนาโดยบริษัท Ikegami Tsushinki แต่ Nintendo สร้าง PCB เพิ่มโดยไม่ได้รับอนุญาต และต่อมาใช้โค้ดที่ reverse-engineer ใน Donkey Kong Jr. จนถูกฟ้องร้องเรื่องละเมิดลิขสิทธิ์ในปี 1983. 📺 โฆษณาและกลยุทธ์ก้าวร้าว ยุค 90s Nintendo ใช้โฆษณาแนว gross-out เช่น Super Mario World 2 ที่มีภาพผู้ชายกินจนท้องแตก รวมถึงการใช้ข้อความอ้างถึงพระเจ้าในโฆษณา N64 ซึ่งถูกวิจารณ์ว่าไม่เหมาะสม. 🎮 ปัญหา Joy-Con Drift และการฟ้องร้อง Nintendo Switch แม้จะขายได้กว่า 140 ล้านเครื่อง แต่ก็มีปัญหา Joy-Con Drift ที่ตรวจจับการเคลื่อนไหวผิดพลาด จนบริษัทต้องออกมาขอโทษและเผชิญคดีฟ้องร้องแบบ class action. 👥 ความสัมพันธ์กับแฟน ๆ และนักพัฒนา Nintendo มีชื่อเสียงด้านการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาอย่างเข้มงวด เช่น การฟ้อง PocketPair เรื่อง Palworld ที่คล้าย Pokémon, การปิด emulator Yuzu และ Ryujinx, รวมถึงการลบวิดีโอ YouTube ของแฟน ๆ ที่ใช้เนื้อหาเกมของบริษัท. 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การผูกขาดตลาดเกมยุค 80s ➡️ ใช้ 10NES lockout chip และจำกัดการออกเกม ✅ กรณีละเมิดลิขสิทธิ์ Donkey Kong ➡️ ฟ้องร้องกับ Ikegami Tsushinki ✅ กลยุทธ์โฆษณาและการตลาด ➡️ โฆษณา gross-out และข้อความก้าวร้าว ✅ ปัญหาฮาร์ดแวร์และการฟ้องร้อง ➡️ Joy-Con Drift และ class action lawsuits ✅ ความสัมพันธ์กับแฟน ๆ และนักพัฒนา ➡️ ฟ้อง PocketPair, ปิด emulator, ลบคอนเทนต์แฟน ๆ ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้งานและนักพัฒนา ⛔ Nintendo ปกป้อง IP อย่างเข้มงวด อาจกระทบต่อแฟน ๆ และคอมมูนิตี้ ⛔ ปัญหาฮาร์ดแวร์ที่ไม่ได้รับการแก้ไขอาจสร้างความไม่พอใจต่อผู้ใช้ https://www.slashgear.com/1725390/nintendo-shady-side-hidden-controversy-incidents-business-practice-explained/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    The Shady Side Of Nintendo: Hidden Controversies & Questionable Incidents - SlashGear
    With mascots like Mario and Link, Nintendo has cultivated one of the most family-friendly reputations in gaming. But the company also has a dark side too.
    0 Comments 0 Shares 21 Views 0 Reviews
  • System76 เปิดตัว COSMIC Desktop รุ่นเสถียร พร้อม Pop!_OS 24.04 LTS

    บริษัท System76 ได้ประกาศเปิดตัวครั้งสำคัญ โดยปล่อย เวอร์ชันเสถียรแรกของ COSMIC Desktop ที่เขียนขึ้นใหม่ด้วยภาษา Rust พร้อมกับการออก Pop!_OS 24.04 LTS ซึ่งพัฒนาต่อยอดจาก Ubuntu 24.04 LTS และใช้ Linux Kernel 6.17 จุดมุ่งหมายคือการสร้างประสบการณ์เดสก์ท็อปที่ทันสมัย ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพสูง

    COSMIC Desktop ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จาก GNOME โดยมุ่งเน้นการปรับปรุง workflow และ customization ให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่งได้มากขึ้น เช่น การจัดการหน้าต่างที่ยืดหยุ่นกว่าเดิม, ระบบตั้งค่าที่ชัดเจน และการทำงานที่ตอบสนองรวดเร็วขึ้นจากการใช้ Rust ซึ่งช่วยลดบั๊กด้านหน่วยความจำที่มักพบในภาษา C

    Pop!_OS 24.04 LTS ที่มาพร้อม COSMIC Desktop ยังได้รับการปรับปรุงในหลายด้าน เช่น การรองรับฮาร์ดแวร์ใหม่, การอัปเดตซอฟต์แวร์ล่าสุด และการเพิ่มประสิทธิภาพสำหรับผู้ใช้ที่ทำงานด้านวิศวกรรม, วิทยาศาสตร์ข้อมูล และงานสร้างสรรค์ นอกจากนี้ยังคงจุดแข็งด้าน Hybrid Graphics และ Tiling Window Management ที่เป็นเอกลักษณ์ของ Pop!_OS

    การเปิดตัวครั้งนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ System76 ในการสร้างระบบนิเวศ Linux ที่เป็นอิสระจาก GNOME และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดย COSMIC Desktop รุ่นเสถียรนี้คาดว่าจะเป็นก้าวสำคัญในการดึงดูดผู้ใช้ที่ต้องการเดสก์ท็อปที่ทันสมัยและปรับแต่งได้เต็มที่

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การเปิดตัวหลัก
    COSMIC Desktop รุ่นเสถียรแรก เขียนด้วย Rust
    Pop!_OS 24.04 LTS บนฐาน Ubuntu 24.04 LTS
    ใช้ Linux Kernel 6.17

    จุดเด่นของ COSMIC Desktop
    Workflow ที่ยืดหยุ่นและปรับแต่งได้มากขึ้น
    ระบบตั้งค่าที่ชัดเจนและใช้งานง่าย
    ลดบั๊กหน่วยความจำด้วย Rust

    จุดแข็งของ Pop!_OS 24.04 LTS
    รองรับฮาร์ดแวร์ใหม่และซอฟต์แวร์ล่าสุด
    Hybrid Graphics และ Tiling Window Management
    เหมาะสำหรับงานวิศวกรรม, วิทยาศาสตร์ข้อมูล และงานสร้างสรรค์

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้งาน
    หากยังใช้ Pop!_OS รุ่นเก่า อาจพลาดฟีเจอร์ใหม่และการแก้ไขบั๊กสำคัญ
    การไม่อัปเดตอาจทำให้ระบบไม่รองรับฮาร์ดแวร์ใหม่และมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัย

    https://9to5linux.com/system76-launches-first-stable-release-of-cosmic-desktop-and-pop_os-24-04-lts
    🌌 System76 เปิดตัว COSMIC Desktop รุ่นเสถียร พร้อม Pop!_OS 24.04 LTS บริษัท System76 ได้ประกาศเปิดตัวครั้งสำคัญ โดยปล่อย เวอร์ชันเสถียรแรกของ COSMIC Desktop ที่เขียนขึ้นใหม่ด้วยภาษา Rust พร้อมกับการออก Pop!_OS 24.04 LTS ซึ่งพัฒนาต่อยอดจาก Ubuntu 24.04 LTS และใช้ Linux Kernel 6.17 จุดมุ่งหมายคือการสร้างประสบการณ์เดสก์ท็อปที่ทันสมัย ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพสูง COSMIC Desktop ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จาก GNOME โดยมุ่งเน้นการปรับปรุง workflow และ customization ให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่งได้มากขึ้น เช่น การจัดการหน้าต่างที่ยืดหยุ่นกว่าเดิม, ระบบตั้งค่าที่ชัดเจน และการทำงานที่ตอบสนองรวดเร็วขึ้นจากการใช้ Rust ซึ่งช่วยลดบั๊กด้านหน่วยความจำที่มักพบในภาษา C Pop!_OS 24.04 LTS ที่มาพร้อม COSMIC Desktop ยังได้รับการปรับปรุงในหลายด้าน เช่น การรองรับฮาร์ดแวร์ใหม่, การอัปเดตซอฟต์แวร์ล่าสุด และการเพิ่มประสิทธิภาพสำหรับผู้ใช้ที่ทำงานด้านวิศวกรรม, วิทยาศาสตร์ข้อมูล และงานสร้างสรรค์ นอกจากนี้ยังคงจุดแข็งด้าน Hybrid Graphics และ Tiling Window Management ที่เป็นเอกลักษณ์ของ Pop!_OS การเปิดตัวครั้งนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ System76 ในการสร้างระบบนิเวศ Linux ที่เป็นอิสระจาก GNOME และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดย COSMIC Desktop รุ่นเสถียรนี้คาดว่าจะเป็นก้าวสำคัญในการดึงดูดผู้ใช้ที่ต้องการเดสก์ท็อปที่ทันสมัยและปรับแต่งได้เต็มที่ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การเปิดตัวหลัก ➡️ COSMIC Desktop รุ่นเสถียรแรก เขียนด้วย Rust ➡️ Pop!_OS 24.04 LTS บนฐาน Ubuntu 24.04 LTS ➡️ ใช้ Linux Kernel 6.17 ✅ จุดเด่นของ COSMIC Desktop ➡️ Workflow ที่ยืดหยุ่นและปรับแต่งได้มากขึ้น ➡️ ระบบตั้งค่าที่ชัดเจนและใช้งานง่าย ➡️ ลดบั๊กหน่วยความจำด้วย Rust ✅ จุดแข็งของ Pop!_OS 24.04 LTS ➡️ รองรับฮาร์ดแวร์ใหม่และซอฟต์แวร์ล่าสุด ➡️ Hybrid Graphics และ Tiling Window Management ➡️ เหมาะสำหรับงานวิศวกรรม, วิทยาศาสตร์ข้อมูล และงานสร้างสรรค์ ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้งาน ⛔ หากยังใช้ Pop!_OS รุ่นเก่า อาจพลาดฟีเจอร์ใหม่และการแก้ไขบั๊กสำคัญ ⛔ การไม่อัปเดตอาจทำให้ระบบไม่รองรับฮาร์ดแวร์ใหม่และมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัย https://9to5linux.com/system76-launches-first-stable-release-of-cosmic-desktop-and-pop_os-24-04-lts
    9TO5LINUX.COM
    System76 Launches First Stable Release of COSMIC Desktop and Pop!_OS 24.04 LTS - 9to5Linux
    Pop!_OS 24.04 Linux distribution from System76 is now available for download with the first stable release of the COSMIC desktop environment.
    0 Comments 0 Shares 16 Views 0 Reviews
  • NVIDIA 580.119.02 Linux Graphics Driver ออกแล้ว พร้อมแก้บั๊กหลายรายการ

    NVIDIA ได้ปล่อย ไดรเวอร์เวอร์ชัน 580.119.02 สำหรับระบบปฏิบัติการ Linux, BSD และ Solaris โดยเป็นการอัปเดตในซีรีส์ 580 ที่มุ่งเน้นการแก้ไขบั๊กและปรับปรุงการรองรับฮาร์ดแวร์และแอปพลิเคชันต่าง ๆ เพื่อเพิ่มความเสถียรในการใช้งาน

    หนึ่งในจุดเด่นของการอัปเดตครั้งนี้คือการปรับปรุงการทำงานร่วมกับ LG Ultragear monitors และ Samsung Odyssey Neo G9 ซึ่งเป็นจอภาพเกมมิ่งรุ่นใหม่ที่ต้องการการรองรับพิเศษ นอกจากนี้ยังมีการแก้ไขปัญหาที่พบในเกม X-Plane และแอปพลิเคชันที่ใช้ Vulkan API เพื่อให้ประสิทธิภาพการเรนเดอร์ภาพดีขึ้นและลดการเกิดบั๊กที่รบกวนผู้ใช้

    การอัปเดตนี้ยังเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในซีรีส์ 580 โดยก่อนหน้านี้ NVIDIA ได้เพิ่มการรองรับ YCbCr 4:2:2 Display Modes over HDMI FRL และตัวแปรสภาพแวดล้อมใหม่สำหรับการปรับแต่งการทำงานของไดรเวอร์ รวมถึงการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับ Explicit Sync บน Wayland ในรุ่นก่อนหน้า

    สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการความเสถียรและการรองรับฮาร์ดแวร์ล่าสุด การอัปเดตเป็นเวอร์ชัน 580.119.02 ถือเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะผู้ที่ใช้จอภาพเกมมิ่งรุ่นใหม่หรือแอปพลิเคชันที่ต้องการการเรนเดอร์กราฟิกขั้นสูง

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การอัปเดตหลักใน NVIDIA 580.119.02
    ปรับปรุงการรองรับ LG Ultragear monitors
    ปรับปรุงการรองรับ Samsung Odyssey Neo G9
    แก้ไขบั๊กในเกม X-Plane และ Vulkan apps

    พัฒนาต่อเนื่องจากรุ่นก่อนหน้าในซีรีส์ 580
    รองรับ YCbCr 4:2:2 Display Modes over HDMI FRL
    เพิ่ม environment variable ใหม่สำหรับการปรับแต่ง
    แก้ไข Explicit Sync บน Wayland

    ผลกระทบเชิงบวก
    เพิ่มความเสถียรในการใช้งานกราฟิก
    รองรับจอภาพเกมมิ่งรุ่นใหม่ได้ดีขึ้น
    ลดบั๊กที่เกิดในเกมและแอปพลิเคชันกราฟิก

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้งาน
    หากยังใช้เวอร์ชันเก่า อาจพบปัญหากับจอภาพใหม่และเกมที่ใช้ Vulkan
    การไม่อัปเดตอาจทำให้ประสิทธิภาพการเรนเดอร์ภาพลดลงและเกิดบั๊กซ้ำเดิม

    https://9to5linux.com/nvidia-580-119-02-linux-graphics-driver-released-with-various-bug-fixes
    🎮 NVIDIA 580.119.02 Linux Graphics Driver ออกแล้ว พร้อมแก้บั๊กหลายรายการ NVIDIA ได้ปล่อย ไดรเวอร์เวอร์ชัน 580.119.02 สำหรับระบบปฏิบัติการ Linux, BSD และ Solaris โดยเป็นการอัปเดตในซีรีส์ 580 ที่มุ่งเน้นการแก้ไขบั๊กและปรับปรุงการรองรับฮาร์ดแวร์และแอปพลิเคชันต่าง ๆ เพื่อเพิ่มความเสถียรในการใช้งาน หนึ่งในจุดเด่นของการอัปเดตครั้งนี้คือการปรับปรุงการทำงานร่วมกับ LG Ultragear monitors และ Samsung Odyssey Neo G9 ซึ่งเป็นจอภาพเกมมิ่งรุ่นใหม่ที่ต้องการการรองรับพิเศษ นอกจากนี้ยังมีการแก้ไขปัญหาที่พบในเกม X-Plane และแอปพลิเคชันที่ใช้ Vulkan API เพื่อให้ประสิทธิภาพการเรนเดอร์ภาพดีขึ้นและลดการเกิดบั๊กที่รบกวนผู้ใช้ การอัปเดตนี้ยังเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในซีรีส์ 580 โดยก่อนหน้านี้ NVIDIA ได้เพิ่มการรองรับ YCbCr 4:2:2 Display Modes over HDMI FRL และตัวแปรสภาพแวดล้อมใหม่สำหรับการปรับแต่งการทำงานของไดรเวอร์ รวมถึงการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับ Explicit Sync บน Wayland ในรุ่นก่อนหน้า สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการความเสถียรและการรองรับฮาร์ดแวร์ล่าสุด การอัปเดตเป็นเวอร์ชัน 580.119.02 ถือเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะผู้ที่ใช้จอภาพเกมมิ่งรุ่นใหม่หรือแอปพลิเคชันที่ต้องการการเรนเดอร์กราฟิกขั้นสูง 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การอัปเดตหลักใน NVIDIA 580.119.02 ➡️ ปรับปรุงการรองรับ LG Ultragear monitors ➡️ ปรับปรุงการรองรับ Samsung Odyssey Neo G9 ➡️ แก้ไขบั๊กในเกม X-Plane และ Vulkan apps ✅ พัฒนาต่อเนื่องจากรุ่นก่อนหน้าในซีรีส์ 580 ➡️ รองรับ YCbCr 4:2:2 Display Modes over HDMI FRL ➡️ เพิ่ม environment variable ใหม่สำหรับการปรับแต่ง ➡️ แก้ไข Explicit Sync บน Wayland ✅ ผลกระทบเชิงบวก ➡️ เพิ่มความเสถียรในการใช้งานกราฟิก ➡️ รองรับจอภาพเกมมิ่งรุ่นใหม่ได้ดีขึ้น ➡️ ลดบั๊กที่เกิดในเกมและแอปพลิเคชันกราฟิก ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้งาน ⛔ หากยังใช้เวอร์ชันเก่า อาจพบปัญหากับจอภาพใหม่และเกมที่ใช้ Vulkan ⛔ การไม่อัปเดตอาจทำให้ประสิทธิภาพการเรนเดอร์ภาพลดลงและเกิดบั๊กซ้ำเดิม https://9to5linux.com/nvidia-580-119-02-linux-graphics-driver-released-with-various-bug-fixes
    9TO5LINUX.COM
    NVIDIA 580.119.02 Linux Graphics Driver Released with Various Bug Fixes - 9to5Linux
    NVIDIA 580.119.02 graphics driver is now available for download for Linux, FreeBSD, and Solaris systems with various bug fixes.
    0 Comments 0 Shares 15 Views 0 Reviews
  • KDE Project ได้ปล่อย KDE Gear 25.12

    KDE Gear 25.12 เป็นชุดซอฟต์แวร์ล่าสุดสำหรับ Plasma Desktop และ Linux โดยมีการปรับปรุงแอปยอดนิยมหลายตัว เช่น Dolphin, Itinerary, Kate, Konqueror, Falkon, NeoChat และ Photos

    ไฮไลต์ของ KDE Gear 25.12
    Dolphin File Manager
    ปรับปรุงการจัดการไฟล์ขยะ: โฟลเดอร์ชั่วคราวที่ถูกลบจะไม่ไปอยู่ใน Trash ของ Home อีกต่อไป
    เพิ่มตัวเลือก Hide files/folders จาก context menu เพื่อซ่อนสิ่งที่ไม่ต้องการเห็น

    KDE Itinerary (Travel Assistant)
    รองรับ extractor ใหม่สำหรับข้อมูลจากบริษัทรถไฟและอีเวนต์ต่าง ๆ
    ระบบวางแผนการเดินทางง่ายขึ้น โดยใช้ตำแหน่งปัจจุบันเป็นจุดเริ่มต้นอัตโนมัติ
    แสดง Altitude บนแผนที่ และมี Currency Converter ในตัวเพื่อช่วยซื้อของที่ระลึก

    Kate Text Editor
    ปรับปรุงการรองรับ Git: แสดงกิจกรรมล่าสุดของ branch ได้
    เพิ่มฟีเจอร์ Quick Open เพื่อกระโดดไปยังบรรทัด/คอลัมน์ที่ต้องการ
    รองรับ Bracketed Paste เมื่อส่งข้อความไปยัง terminal

    Konqueror & Falkon Browsers
    Konqueror: ปรับปรุงการ export PDF ให้มีคุณภาพสูงขึ้น
    Falkon: เพิ่มปุ่ม toggle สำหรับเปิด/ปิด ad-blocker ได้สะดวก

    NeoChat (Matrix Client)
    เพิ่มหน้า Keyboard Shortcuts เพื่อให้ผู้ใช้เรียนรู้การใช้งานเร็วขึ้น
    รองรับ Matrix extensions และปุ่ม Jitsi Meeting ที่แสดงสถานะการประชุม

    Photos Image Viewer
    เพิ่ม Crop Tool สำหรับแก้ไขภาพ
    รองรับ gesture ใหม่: pinch-to-zoom, drag เพื่อเลื่อนภาพ, swipe เพื่อเปลี่ยนภาพในแกลเลอรี

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การอัปเดตหลักใน KDE Gear 25.12
    Dolphin: ปรับปรุงการจัดการไฟล์ขยะและการซ่อนไฟล์
    Itinerary: extractor ใหม่, altitude map, currency converter
    Kate: รองรับ Git ดียิ่งขึ้น, Quick Open, bracketed paste
    Konqueror: export PDF คุณภาพสูง
    Falkon: toggle ad-blocker
    NeoChat: keyboard shortcuts, Matrix extensions, Jitsi integration
    Photos: crop tool และ gesture ใหม่

    ผลกระทบเชิงบวก
    เพิ่มความสะดวกในการจัดการไฟล์และการเดินทาง
    ปรับปรุงการทำงานร่วมกับ Git และการแก้ไขข้อความ
    เพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานเว็บและการสื่อสาร
    ทำให้การดูและแก้ไขภาพเป็นธรรมชาติมากขึ้น

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้งาน
    หากยังใช้ KDE Gear รุ่นเก่า อาจพลาดฟีเจอร์ใหม่และการแก้ไขบั๊กสำคัญ
    ควรอัปเดตผ่าน repository ของดิสทริบิวชันเพื่อให้ได้แพตช์ล่าสุดและความเสถียร

    https://9to5linux.com/kde-gear-25-12-software-suite-released-with-many-improvements-for-kde-apps
    🌟 KDE Project ได้ปล่อย KDE Gear 25.12 KDE Gear 25.12 เป็นชุดซอฟต์แวร์ล่าสุดสำหรับ Plasma Desktop และ Linux โดยมีการปรับปรุงแอปยอดนิยมหลายตัว เช่น Dolphin, Itinerary, Kate, Konqueror, Falkon, NeoChat และ Photos ✨ ไฮไลต์ของ KDE Gear 25.12 🗂️ Dolphin File Manager 💠 ปรับปรุงการจัดการไฟล์ขยะ: โฟลเดอร์ชั่วคราวที่ถูกลบจะไม่ไปอยู่ใน Trash ของ Home อีกต่อไป 💠 เพิ่มตัวเลือก Hide files/folders จาก context menu เพื่อซ่อนสิ่งที่ไม่ต้องการเห็น ✈️ KDE Itinerary (Travel Assistant) 💠 รองรับ extractor ใหม่สำหรับข้อมูลจากบริษัทรถไฟและอีเวนต์ต่าง ๆ 💠 ระบบวางแผนการเดินทางง่ายขึ้น โดยใช้ตำแหน่งปัจจุบันเป็นจุดเริ่มต้นอัตโนมัติ 💠 แสดง Altitude บนแผนที่ และมี Currency Converter ในตัวเพื่อช่วยซื้อของที่ระลึก 📝 Kate Text Editor 💠 ปรับปรุงการรองรับ Git: แสดงกิจกรรมล่าสุดของ branch ได้ 💠 เพิ่มฟีเจอร์ Quick Open เพื่อกระโดดไปยังบรรทัด/คอลัมน์ที่ต้องการ 💠 รองรับ Bracketed Paste เมื่อส่งข้อความไปยัง terminal 🌐 Konqueror & Falkon Browsers 💠 Konqueror: ปรับปรุงการ export PDF ให้มีคุณภาพสูงขึ้น 💠 Falkon: เพิ่มปุ่ม toggle สำหรับเปิด/ปิด ad-blocker ได้สะดวก 💬 NeoChat (Matrix Client) 💠 เพิ่มหน้า Keyboard Shortcuts เพื่อให้ผู้ใช้เรียนรู้การใช้งานเร็วขึ้น 💠 รองรับ Matrix extensions และปุ่ม Jitsi Meeting ที่แสดงสถานะการประชุม 🖼️ Photos Image Viewer 💠 เพิ่ม Crop Tool สำหรับแก้ไขภาพ 💠 รองรับ gesture ใหม่: pinch-to-zoom, drag เพื่อเลื่อนภาพ, swipe เพื่อเปลี่ยนภาพในแกลเลอรี 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การอัปเดตหลักใน KDE Gear 25.12 ➡️ Dolphin: ปรับปรุงการจัดการไฟล์ขยะและการซ่อนไฟล์ ➡️ Itinerary: extractor ใหม่, altitude map, currency converter ➡️ Kate: รองรับ Git ดียิ่งขึ้น, Quick Open, bracketed paste ➡️ Konqueror: export PDF คุณภาพสูง ➡️ Falkon: toggle ad-blocker ➡️ NeoChat: keyboard shortcuts, Matrix extensions, Jitsi integration ➡️ Photos: crop tool และ gesture ใหม่ ✅ ผลกระทบเชิงบวก ➡️ เพิ่มความสะดวกในการจัดการไฟล์และการเดินทาง ➡️ ปรับปรุงการทำงานร่วมกับ Git และการแก้ไขข้อความ ➡️ เพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานเว็บและการสื่อสาร ➡️ ทำให้การดูและแก้ไขภาพเป็นธรรมชาติมากขึ้น ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้งาน ⛔ หากยังใช้ KDE Gear รุ่นเก่า อาจพลาดฟีเจอร์ใหม่และการแก้ไขบั๊กสำคัญ ⛔ ควรอัปเดตผ่าน repository ของดิสทริบิวชันเพื่อให้ได้แพตช์ล่าสุดและความเสถียร https://9to5linux.com/kde-gear-25-12-software-suite-released-with-many-improvements-for-kde-apps
    9TO5LINUX.COM
    KDE Gear 25.12 Software Suite Released with Many Improvements for KDE Apps - 9to5Linux
    KDE Gear 25.12 open-source software suite is now available with improvements for many of your favorite KDE applications.
    0 Comments 0 Shares 14 Views 0 Reviews
  • Tails 7.3.1: ระบบปฏิบัติการนิรนามรุ่นใหม่ มาพร้อม Tor Browser 15.0.3

    ทีมพัฒนา Tails (The Amnesic Incognito Live System) ได้ปล่อยเวอร์ชันใหม่ 7.3.1 ซึ่งเป็นการอัปเดตย่อยในซีรีส์ 7.x โดยยังคงยึดหลักการออกแบบเพื่อปกป้องผู้ใช้จากการถูกติดตามและการเซ็นเซอร์ออนไลน์ จุดเด่นของรุ่นนี้คือการรวม Tor Browser 15.0.3 และ Tor 0.4.8.21 ที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและความเสถียรในการใช้งานอินเทอร์เน็ตแบบไม่เปิดเผยตัวตน

    นอกจากการอัปเดต Tor แล้ว Tails 7.3.1 ยังมาพร้อมกับ Mozilla Thunderbird 140.5.0 สำหรับการใช้งานอีเมล และ Linux Kernel 6.12.57 LTS ที่ช่วยปรับปรุงการรองรับฮาร์ดแวร์และเพิ่มความมั่นคงปลอดภัยให้กับระบบโดยรวม การอัปเดตเหล่านี้ทำให้ Tails สามารถใช้งานได้อย่างราบรื่นมากขึ้นบนเครื่องรุ่นใหม่ๆ และลดความเสี่ยงจากช่องโหว่ที่พบในเวอร์ชันก่อนหน้า

    Tails ยังคงเป็นระบบที่ออกแบบมาให้ทำงานแบบ Live OS ซึ่งสามารถบูตจาก USB หรือ DVD โดยไม่ทิ้งร่องรอยการใช้งานบนเครื่องคอมพิวเตอร์หลังจากปิดระบบ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความเป็นส่วนตัวสูงสุด เช่น นักข่าว นักเคลื่อนไหว หรือผู้ใช้ที่อยู่ในพื้นที่ที่มีการควบคุมเข้มงวดด้านอินเทอร์เน็ต

    การอัปเดตครั้งนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของทีมพัฒนาในการรักษาความปลอดภัยและความเป็นนิรนามของผู้ใช้ โดยการรวมซอฟต์แวร์รุ่นล่าสุดและการแก้ไขบั๊กต่างๆ ทำให้ Tails ยังคงเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการปกป้องข้อมูลและตัวตนในโลกดิจิทัล

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การอัปเดตหลักใน Tails 7.3.1
    Tor Browser 15.0.3
    Tor 0.4.8.21
    Mozilla Thunderbird 140.5.0
    Linux Kernel 6.12.57 LTS

    จุดเด่นของ Tails
    ระบบ Live OS ไม่ทิ้งร่องรอยการใช้งาน
    ออกแบบเพื่อความเป็นนิรนามและป้องกันการติดตาม

    ผลกระทบเชิงบวก
    รองรับฮาร์ดแวร์ใหม่ได้ดีขึ้น
    ลดความเสี่ยงจากช่องโหว่เดิม
    เพิ่มความเสถียรและความปลอดภัยโดยรวม

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้งาน
    หากยังใช้เวอร์ชันเก่า อาจเสี่ยงต่อช่องโหว่ที่ถูกแก้ไขแล้วในรุ่นใหม่
    การไม่อัปเดตอาจทำให้การใช้งาน Tor และระบบนิรนามไม่ปลอดภัยเต็มที่

    https://9to5linux.com/tails-7-3-1-anonymous-linux-os-released-with-tor-browser-15-0-3-and-tor-0-4-8-21
    🕶️ Tails 7.3.1: ระบบปฏิบัติการนิรนามรุ่นใหม่ มาพร้อม Tor Browser 15.0.3 ทีมพัฒนา Tails (The Amnesic Incognito Live System) ได้ปล่อยเวอร์ชันใหม่ 7.3.1 ซึ่งเป็นการอัปเดตย่อยในซีรีส์ 7.x โดยยังคงยึดหลักการออกแบบเพื่อปกป้องผู้ใช้จากการถูกติดตามและการเซ็นเซอร์ออนไลน์ จุดเด่นของรุ่นนี้คือการรวม Tor Browser 15.0.3 และ Tor 0.4.8.21 ที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและความเสถียรในการใช้งานอินเทอร์เน็ตแบบไม่เปิดเผยตัวตน นอกจากการอัปเดต Tor แล้ว Tails 7.3.1 ยังมาพร้อมกับ Mozilla Thunderbird 140.5.0 สำหรับการใช้งานอีเมล และ Linux Kernel 6.12.57 LTS ที่ช่วยปรับปรุงการรองรับฮาร์ดแวร์และเพิ่มความมั่นคงปลอดภัยให้กับระบบโดยรวม การอัปเดตเหล่านี้ทำให้ Tails สามารถใช้งานได้อย่างราบรื่นมากขึ้นบนเครื่องรุ่นใหม่ๆ และลดความเสี่ยงจากช่องโหว่ที่พบในเวอร์ชันก่อนหน้า Tails ยังคงเป็นระบบที่ออกแบบมาให้ทำงานแบบ Live OS ซึ่งสามารถบูตจาก USB หรือ DVD โดยไม่ทิ้งร่องรอยการใช้งานบนเครื่องคอมพิวเตอร์หลังจากปิดระบบ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความเป็นส่วนตัวสูงสุด เช่น นักข่าว นักเคลื่อนไหว หรือผู้ใช้ที่อยู่ในพื้นที่ที่มีการควบคุมเข้มงวดด้านอินเทอร์เน็ต การอัปเดตครั้งนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของทีมพัฒนาในการรักษาความปลอดภัยและความเป็นนิรนามของผู้ใช้ โดยการรวมซอฟต์แวร์รุ่นล่าสุดและการแก้ไขบั๊กต่างๆ ทำให้ Tails ยังคงเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการปกป้องข้อมูลและตัวตนในโลกดิจิทัล 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การอัปเดตหลักใน Tails 7.3.1 ➡️ Tor Browser 15.0.3 ➡️ Tor 0.4.8.21 ➡️ Mozilla Thunderbird 140.5.0 ➡️ Linux Kernel 6.12.57 LTS ✅ จุดเด่นของ Tails ➡️ ระบบ Live OS ไม่ทิ้งร่องรอยการใช้งาน ➡️ ออกแบบเพื่อความเป็นนิรนามและป้องกันการติดตาม ✅ ผลกระทบเชิงบวก ➡️ รองรับฮาร์ดแวร์ใหม่ได้ดีขึ้น ➡️ ลดความเสี่ยงจากช่องโหว่เดิม ➡️ เพิ่มความเสถียรและความปลอดภัยโดยรวม ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้งาน ⛔ หากยังใช้เวอร์ชันเก่า อาจเสี่ยงต่อช่องโหว่ที่ถูกแก้ไขแล้วในรุ่นใหม่ ⛔ การไม่อัปเดตอาจทำให้การใช้งาน Tor และระบบนิรนามไม่ปลอดภัยเต็มที่ https://9to5linux.com/tails-7-3-1-anonymous-linux-os-released-with-tor-browser-15-0-3-and-tor-0-4-8-21
    9TO5LINUX.COM
    Tails 7.3.1 Anonymous Linux OS Released with Tor Browser 15.0.3 and Tor 0.4.8.21 - 9to5Linux
    Tails 7.3.1 anonymous Linux OS is now available for download with Tor Browser 15.0.3, Tor 0.4.8.21, and Linux kernel 6.12.57 LTS.
    0 Comments 0 Shares 13 Views 0 Reviews
  • Tor Project ปรับปรุงครั้งใหญ่ด้วย Rust ลดช่องโหว่จาก C

    โครงการ Tor Project ได้เดินหน้าปรับปรุงครั้งสำคัญ โดยเปลี่ยนจากโค้ดเดิมที่เขียนด้วย ภาษา C ไปสู่การเขียนใหม่ด้วย Rust ภายใต้ชื่อ Arti ซึ่งในเวอร์ชันล่าสุด Arti 1.8.0 มีการเพิ่มฟีเจอร์และแก้ไขปัญหาที่เคยเป็นจุดอ่อนของระบบ Tor เดิม เช่น ช่องโหว่ด้านหน่วยความจำและการจัดการบั๊กที่เกิดจาก C

    หนึ่งในไฮไลต์ของการอัปเดตครั้งนี้คือการปรับปรุง Circuit Timeout Rework ที่เปลี่ยนจากการใช้ตัวจับเวลาคงที่ (Circuit Dirty Timeout) ไปเป็นการใช้ตัวจับเวลาที่แยกตามการใช้งานจริงและสุ่มเวลาปิดการเชื่อมต่อ เพื่อลดความเสี่ยงจากการถูก Fingerprinting หรือการติดตามพฤติกรรมผู้ใช้ผ่านรูปแบบการเชื่อมต่อที่คาดเดาได้ง่าย

    นอกจากนี้ Arti 1.8.0 ยังเพิ่มคำสั่งใหม่สำหรับผู้ให้บริการ Onion Service ที่ช่วยให้สามารถย้ายคีย์การค้นพบ (Discovery Keys) จากระบบ Tor เดิมไปยัง Arti ได้โดยไม่ต้องทำงานด้วยมือ ลดความยุ่งยากและเพิ่มความปลอดภัยในการจัดการคีย์ อีกทั้งยังมีการปรับปรุงด้าน Routing Architecture, Directory Cache Support และการตั้งค่า OR Port Listener เพื่อให้ระบบทำงานได้เสถียรและปลอดภัยยิ่งขึ้น

    การเปลี่ยนผ่านจาก C ไปสู่ Rust ถือเป็นก้าวสำคัญของ Tor Project เพราะ Rust มีคุณสมบัติด้าน Memory Safety ที่ช่วยป้องกันบั๊กประเภท Buffer Overflow และ Use-after-free ซึ่งเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในโค้ด C การอัปเดตนี้จึงไม่เพียงเพิ่มความปลอดภัย แต่ยังช่วยให้ Tor มีความยืดหยุ่นและทันสมัยมากขึ้นในการรองรับผู้ใช้ทั่วโลก

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การเปลี่ยนแปลงหลักใน Tor Project
    จากภาษา C ไปสู่ Rust ภายใต้ชื่อ Arti
    ลดช่องโหว่ด้านหน่วยความจำและบั๊กที่เกิดจาก C

    ฟีเจอร์ใหม่ใน Arti 1.8.0
    Circuit Timeout Rework ลดความเสี่ยงจากการถูก Fingerprinting
    คำสั่งใหม่สำหรับ Onion Service ช่วยย้าย Discovery Keys ได้ง่ายขึ้น
    ปรับปรุง Routing, Directory Cache และ OR Port Listener

    ผลกระทบเชิงบวก
    เพิ่มความปลอดภัยและเสถียรภาพของระบบ Tor
    ลดความยุ่งยากในการจัดการคีย์และการตั้งค่า

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้งาน
    หากยังใช้ Tor เวอร์ชัน C อาจเสี่ยงต่อบั๊กและช่องโหว่ด้านความปลอดภัย
    การไม่อัปเดตไปสู่ Arti อาจทำให้ระบบถูกติดตามหรือโจมตีได้ง่ายขึ้น

    https://itsfoss.com/news/tor-rust-rewrite-progress/
    🦊 Tor Project ปรับปรุงครั้งใหญ่ด้วย Rust ลดช่องโหว่จาก C โครงการ Tor Project ได้เดินหน้าปรับปรุงครั้งสำคัญ โดยเปลี่ยนจากโค้ดเดิมที่เขียนด้วย ภาษา C ไปสู่การเขียนใหม่ด้วย Rust ภายใต้ชื่อ Arti ซึ่งในเวอร์ชันล่าสุด Arti 1.8.0 มีการเพิ่มฟีเจอร์และแก้ไขปัญหาที่เคยเป็นจุดอ่อนของระบบ Tor เดิม เช่น ช่องโหว่ด้านหน่วยความจำและการจัดการบั๊กที่เกิดจาก C หนึ่งในไฮไลต์ของการอัปเดตครั้งนี้คือการปรับปรุง Circuit Timeout Rework ที่เปลี่ยนจากการใช้ตัวจับเวลาคงที่ (Circuit Dirty Timeout) ไปเป็นการใช้ตัวจับเวลาที่แยกตามการใช้งานจริงและสุ่มเวลาปิดการเชื่อมต่อ เพื่อลดความเสี่ยงจากการถูก Fingerprinting หรือการติดตามพฤติกรรมผู้ใช้ผ่านรูปแบบการเชื่อมต่อที่คาดเดาได้ง่าย นอกจากนี้ Arti 1.8.0 ยังเพิ่มคำสั่งใหม่สำหรับผู้ให้บริการ Onion Service ที่ช่วยให้สามารถย้ายคีย์การค้นพบ (Discovery Keys) จากระบบ Tor เดิมไปยัง Arti ได้โดยไม่ต้องทำงานด้วยมือ ลดความยุ่งยากและเพิ่มความปลอดภัยในการจัดการคีย์ อีกทั้งยังมีการปรับปรุงด้าน Routing Architecture, Directory Cache Support และการตั้งค่า OR Port Listener เพื่อให้ระบบทำงานได้เสถียรและปลอดภัยยิ่งขึ้น การเปลี่ยนผ่านจาก C ไปสู่ Rust ถือเป็นก้าวสำคัญของ Tor Project เพราะ Rust มีคุณสมบัติด้าน Memory Safety ที่ช่วยป้องกันบั๊กประเภท Buffer Overflow และ Use-after-free ซึ่งเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในโค้ด C การอัปเดตนี้จึงไม่เพียงเพิ่มความปลอดภัย แต่ยังช่วยให้ Tor มีความยืดหยุ่นและทันสมัยมากขึ้นในการรองรับผู้ใช้ทั่วโลก 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การเปลี่ยนแปลงหลักใน Tor Project ➡️ จากภาษา C ไปสู่ Rust ภายใต้ชื่อ Arti ➡️ ลดช่องโหว่ด้านหน่วยความจำและบั๊กที่เกิดจาก C ✅ ฟีเจอร์ใหม่ใน Arti 1.8.0 ➡️ Circuit Timeout Rework ลดความเสี่ยงจากการถูก Fingerprinting ➡️ คำสั่งใหม่สำหรับ Onion Service ช่วยย้าย Discovery Keys ได้ง่ายขึ้น ➡️ ปรับปรุง Routing, Directory Cache และ OR Port Listener ✅ ผลกระทบเชิงบวก ➡️ เพิ่มความปลอดภัยและเสถียรภาพของระบบ Tor ➡️ ลดความยุ่งยากในการจัดการคีย์และการตั้งค่า ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้งาน ⛔ หากยังใช้ Tor เวอร์ชัน C อาจเสี่ยงต่อบั๊กและช่องโหว่ด้านความปลอดภัย ⛔ การไม่อัปเดตไปสู่ Arti อาจทำให้ระบบถูกติดตามหรือโจมตีได้ง่ายขึ้น https://itsfoss.com/news/tor-rust-rewrite-progress/
    ITSFOSS.COM
    The Tor Project is Making a Switch to Rust, Ditches C
    Arti, the Rust rewrite of Tor, brings circuit isolation and onion service improvements in its 1.8.0 release.
    0 Comments 0 Shares 13 Views 0 Reviews
More Stories