AI5-6401 ISOC.15501
Doctor of Philosophy in Marketing
Lobbyists of Thailand
Line OA : @ai5corp
Doctor of Philosophy in Marketing
Lobbyists of Thailand
Line OA : @ai5corp
-
-
-
-
-
-
- Class of Doctor of Philosophy
-
-
-
อัปเดตล่าสุด
- สมัครสอบ อปท. 2568 ทุกเรื่องที่ต้องรู้เกี่ยวกับ การสอบแข่งขันเป็นข้าราชการท้องถิ่น
📢 ข่าวดีสำหรับผู้ที่ต้องการเข้ารับราชการ ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.)! กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (กสถ.) ได้ออกประกาศรับสมัครสอบแข่งขัน เพื่อบรรจุบุคคลเป็นข้าราชการ หรือพนักงานส่วนท้องถิ่น ประจำปี พ.ศ. 2568 โดยเปิดรับสมัคร ระหว่างวันที่ 7 - 28 มีนาคม 2568 ผ่านระบบออนไลน์ 🖥️
การสอบครั้งนี้ เป็นโอกาสสำคัญ สำหรับผู้ที่สนใจทำงาน ในหน่วยงานท้องถิ่นทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็นองค์กรบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล หรือองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ดังนั้นผู้สมัคร ควรศึกษาข้อมูลรายละเอียด ให้ครบถ้วนก่อนทำการสมัคร ✍️
🔎 คุณสมบัติของผู้สมัครสอบ อปท. 2568
การสมัครสอบแข่งขันครั้งนี้ มีกฎเกณฑ์และคุณสมบัติ ที่ต้องพิจารณาอย่างเคร่งครัด มาดูกันว่า มีคุณสมบัติครบถ้วนหรือไม่
✅ คุณสมบัติทั่วไปของผู้สมัคร
- มีสัญชาติไทย 🇹🇭
- อายุไม่ต่ำกว่า 18 ปี ณ วันที่สมัครสอบ
- ไม่เป็นบุคคลไร้ความสามารถ หรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ 🏥
- ไม่เป็นผู้ต้องหาคดีอาญา หรือถูกตัดสิทธิ์สอบราชการมาก่อน
- ต้องจบการศึกษาภายในวันปิดรับสมัคร 28 มีนาคม 2568 🎓
🚨 ข้อกำหนดพิเศษ
- ผู้สมัครจะต้องสอบผ่านวิชาภาษาอังกฤษ ไม่น้อยกว่า 10 ข้อจาก 20 ข้อ ✨
- บัญชีรายชื่อผู้สอบผ่านมีอายุ 2 ปี และสามารถขยายได้ไม่เกิน 30 วัน
📌 ตำแหน่งที่เปิดรับสมัคร
การสอบ อปท. 2568 แบ่งออกเป็น 10 กลุ่มภาค/เขต ทั่วประเทศ ซึ่งแต่ละกลุ่มภาค จะมีตำแหน่งที่เปิดรับแตกต่างกันไป
🔸 กลุ่มภาคที่เปิดรับสมัคร
ภาคเหนือ เขต 1 เชียงราย, เชียงใหม่, น่าน, พะเยา, แพร่, แม่ฮ่องสอน, ลำปาง, และลำพูน
ภาคเหนือ เขต 2 กำแพงเพชร, ตาก, นครสวรรค์, พิจิตร, พิษณุโลก, เพชรบูรณ์, สุโขทัย, อุตรดิตถ์ และอุทัยธานี
ภาคกลาง เขต 1 ชัยนาท, นนทบุรี, ปทุมธานี, พระนครศรีอยุธยา, ลพบุรี, สระบุรี, สิงห์บุรี และอ่างทอง
ภาคกลาง เขต 2 จันทบุรี, ฉะเชิงเทรา, ชลบุรี, ตราด, นครนายก, ปราจีนบุรี, ระยอง, สมุทรปราการ และสระแก้ว
ภาคกลาง เขต 3 กาญจนบุรี, นครปฐม, ประจวบคีรีขันธ์ , เพชรบุรี, ราชบุรี, สมุทรสงคราม, สมุทรสาคร และสุพรรณบุรี
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เขต 1 กาฬสินธุ์, ขอนแก่น, ชัยภูมิ, นครราชสีมา, บุรีรัมย์ และมหาสารคาม
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เขต 2 มุกดาหาร, ยโสธร, ร้อยเอ็ด, ศรีสะเกษ, สุรินทร์, อำนาจเจริญ และอุบลราชธานี
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เขต 3 นครพนม, บึงกาฬ, เลย, สกลนคร, หนองคาย, หนองบัวลำภู และอุดรธานี
ภาคใต้ เขต 1 กระบี่, ชุมพร, นครศรีธรรมราช, พังงา , ภูเก็ต, ระนอง และสุราษฎร์ธานี
ภาคใต้ เขต 2 ตรัง, นราธิวาส, ปัตตานี, พัทลุง, ยะลา, สงขลา และสตูล
📋 ตำแหน่งที่เปิดรับสมัคร
🔹 ตำแหน่งครูผู้ช่วย ปริญาญาตรี 4 ปี เงินเดือนเริ่มต้น 16,560 บาท ปริญญาตรี 5 ปี เงินเดือนเริ่มต้น 17,380 บาท
🔹 ประเภททั่วไป ระดับปฏิบัติงาน ปวช. เงินเดือนเริ่มต้น 10,340 บาท ปวท. เงินเดือนเริ่มต้น 11,960 บาท ปวส. เงินเดือนเริ่มต้น 12,730 บาท เช่น เจ้าพนักงานธุรการ เจ้าพนักงานทะเบียน เจ้าพนักงานการคลัง เจ้าพนักงานพัสดุ เจ้าพนักงานจัดเก็บรายได้ เจ้าพนักงานประชาสัมพันธ์ เจ้าพนักงานส่งเสริมการท่องเที่ยว เจ้าพนักงานการเกษตร เจ้าพนักงานสวนสาธารณะ เจ้าพนักงานสาธารณสุข เจ้าพนักงานสุขาภิบาล สัตวแพทย์ เจ้าพนักงานฉุกเฉินการแพทย์ นายช่างโยธา นายช่างเขียนแบบ นายช่างสำรวจ นายช่างผังเมือง นายช่างเครื่องกล นายช่างไฟฟ้า เจ้าพนักงานพัฒนาชุมชน เจ้าพนักงานเทศกิจ เจ้าพนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เจ้าพนักงานการเงินและบัญชี ฯลฯ
🔹 ประเภทวิชาการ ระดับปฏิบัติการ ปริญญาตรี เงินเดือนเริ่มต้น 16,600 บาท เช่น นักจัดการงานทั่วไป นักทรัพยากรบุคคล นักวิเคราะห์นโยบายและแผน นักจัดการงานทะเบียนและบัตร นิคิกร นักวิชาการคอมพิวเตอร์ นักวิชาการศึกษา นักวิชาการเงินและบัญชี นักวิชาการคลัง นักวิชาการจัดเก็บรายได้ นักวิชาการพัสดุ นักวิชาการตรวจสอบภายใน นักประชาสัมพันธ์ นักพัฒนาการท่องเที่ยว นักวิชาการเกษตร นักวิชาการสวนสาธารณะ นักวิชาการสาธารณสุข นักวิชาการสิ่งแวดล้อม นายสัตวแพทย์ นักฉุกเฉินการแพทย์ สถาปนิก วิศวกรโยธา วิศวกรเครื่องกล วิศวกรไฟฟ้า วิทศวกรสุขาภิบาล นักจัดการงานช่าง นักสังคมสงเคราะห์ นักวิชาการศึกษา นักพัฒนาชุมชน บรรณารักษ์ นักสันทนาการ นักพัฒนาการกีฬา นักจัดการงานเทศกิจ นักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ฯลฯ
📖 รายละเอียดการสอบ อปท. 2568
การสอบแข่งขัน จะแบ่งออกเป็น 3 ภาคหลัก ได้แก่
📝 ภาค ก ความรู้ทั่วไป 100 คะแนน
- ความสามารถด้านการวิเคราะห์ และสรุปเหตุผล 30 คะแนน
- ความรู้พื้นฐาน เกี่ยวกับการปฏิบัติราชการ และกฎหมายท้องถิ่น 30 คะแนน
- ความสามารถด้านภาษาไทย 20 คะแนน
- ความสามารถด้านภาษาอังกฤษ 20 คะแนน ต้องผ่านอย่างน้อย 10 ข้อจาก 20 ข้อ!
📚 ภาค ข ความรู้เฉพาะตำแหน่ง 100 คะแนน
-เป็นข้อสอบเกี่ยวกับความรู้ ที่ใช้เฉพาะในตำแหน่งที่สมัคร
🗣️ ภาค ค สัมภาษณ์ 100 คะแนน
เป็นการประเมินความเหมาะสมกับตำแหน่ง เช่น ทัศนคติ บุคลิกภาพ และความสามารถในการสื่อสาร
📝 วิธีสมัครสอบ อปท. 2568
🔹 สมัครผ่านทางออนไลน์ 📱 ที่เว็บไซต์:
➡️ https://dla-local2568.thaijobjob.com
📅 เปิดรับสมัครตั้งแต่ 7 - 28 มีนาคม 2568 ตลอด 24 ชั่วโมง
🗂️ เอกสารที่ต้องใช้สมัคร
✅ รูปถ่ายหน้าตรงขนาด 1 นิ้ว 📸
✅ สำเนาบัตรประชาชน 🆔
✅ สำเนาทะเบียนบ้าน 🏠
✅ สำเนาวุฒิการศึกษา Transcript 🎓
✅ สำเนาใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ สำหรับบางตำแหน่ง
✅ เอกสารทางทหาร สด.8 หรือ สด.9 🪖
📌 อัปโหลดไฟล์ PDF เท่านั้น! ไฟล์ต้องมีขนาดไม่เกิน 1 MB
💰 ค่าธรรมเนียมการสมัครสอบ
- ค่าธรรมเนียมสอบ 400 บาท
- ค่าธรรมเนียมธนาคาร และค่าบริการ 30 บาท
📌 รวมทั้งสิ้น 430 บาท ไม่สามารถขอคืนเงินได้
📍 ช่องทางชำระเงิน:
- เคาน์เตอร์ธนาคารกรุงไทย 🏦
- แอปพลิเคชัน Krungthai NEXT หรือ เป๋าตัง 📲
- ตู้ ATM ของธนาคารกรุงไทย
🛑 ชำระเงินภายในวันที่ 7 - 29 มีนาคม 2568 เท่านั้น!
📢 ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์สอบ
📆 ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์สอบภาค ก และ ข พร้อมวัน-เวลา-สถานที่สอบ ได้ที่
📌 เว็บไซต์ https://dla-local2568.thaijobjob.com
🔑 เคล็ดลับเตรียมสอบ อปท. ให้สอบผ่าน!
🔥 ศึกษาหลักสูตรการสอบ ให้ครบถ้วน
📖 อ่านแนวข้อสอบ และทบทวนกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
🔥 ฝึกทำข้อสอบเก่า
🔍 ฝึกทำข้อสอบปีที่ผ่านมา เพื่อจับแนวทางที่ออกบ่อย
🔥 ฝึกภาษาอังกฤษให้คล่อง
✅ ท่องศัพท์
✅ ฝึกทำข้อสอบแกรมม่า
✅ อ่านบทความภาษาอังกฤษ
🔥 จัดตารางอ่านหนังสือ
🗓️ แบ่งเวลาอ่านหนังสือทุกวัน วันละ 2-3 ชั่วโมง
🔥 พักผ่อนให้เพียงพอ
😴 นอนให้ครบ 6-8 ชั่วโมงก่อนสอบ
🔚 📍 การสอบ อปท. 2568 เป็นโอกาสดี สำหรับผู้ที่ต้องการเข้ารับราชการ ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อย่าพลาด! สมัครสอบได้ระหว่าง 7 - 28 มีนาคม 2568 ทางออนไลน์เท่านั้น 🚀
📌 ติดตามข่าวสาร และอัปเดตข้อมูลการสอบได้ที่
🔗 https://dla-local2568.thaijobjob.com
ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 202022 ก.พ. 2568
📢 #สอบอปท2568 #สมัครสอบราชการ #งานราชการ #สอบท้องถิ่น #เตรียมสอบอปท #DLA #สมัครสอบออนไลน์ #งานข้าราชการ #สอบราชการ2025 #สอบภาษาอังกฤษอปทสมัครสอบ อปท. 2568 ทุกเรื่องที่ต้องรู้เกี่ยวกับ การสอบแข่งขันเป็นข้าราชการท้องถิ่น 📢 ข่าวดีสำหรับผู้ที่ต้องการเข้ารับราชการ ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.)! กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (กสถ.) ได้ออกประกาศรับสมัครสอบแข่งขัน เพื่อบรรจุบุคคลเป็นข้าราชการ หรือพนักงานส่วนท้องถิ่น ประจำปี พ.ศ. 2568 โดยเปิดรับสมัคร ระหว่างวันที่ 7 - 28 มีนาคม 2568 ผ่านระบบออนไลน์ 🖥️ การสอบครั้งนี้ เป็นโอกาสสำคัญ สำหรับผู้ที่สนใจทำงาน ในหน่วยงานท้องถิ่นทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็นองค์กรบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล หรือองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ดังนั้นผู้สมัคร ควรศึกษาข้อมูลรายละเอียด ให้ครบถ้วนก่อนทำการสมัคร ✍️ 🔎 คุณสมบัติของผู้สมัครสอบ อปท. 2568 การสมัครสอบแข่งขันครั้งนี้ มีกฎเกณฑ์และคุณสมบัติ ที่ต้องพิจารณาอย่างเคร่งครัด มาดูกันว่า มีคุณสมบัติครบถ้วนหรือไม่ ✅ คุณสมบัติทั่วไปของผู้สมัคร - มีสัญชาติไทย 🇹🇭 - อายุไม่ต่ำกว่า 18 ปี ณ วันที่สมัครสอบ - ไม่เป็นบุคคลไร้ความสามารถ หรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ 🏥 - ไม่เป็นผู้ต้องหาคดีอาญา หรือถูกตัดสิทธิ์สอบราชการมาก่อน - ต้องจบการศึกษาภายในวันปิดรับสมัคร 28 มีนาคม 2568 🎓 🚨 ข้อกำหนดพิเศษ - ผู้สมัครจะต้องสอบผ่านวิชาภาษาอังกฤษ ไม่น้อยกว่า 10 ข้อจาก 20 ข้อ ✨ - บัญชีรายชื่อผู้สอบผ่านมีอายุ 2 ปี และสามารถขยายได้ไม่เกิน 30 วัน 📌 ตำแหน่งที่เปิดรับสมัคร การสอบ อปท. 2568 แบ่งออกเป็น 10 กลุ่มภาค/เขต ทั่วประเทศ ซึ่งแต่ละกลุ่มภาค จะมีตำแหน่งที่เปิดรับแตกต่างกันไป 🔸 กลุ่มภาคที่เปิดรับสมัคร ภาคเหนือ เขต 1 เชียงราย, เชียงใหม่, น่าน, พะเยา, แพร่, แม่ฮ่องสอน, ลำปาง, และลำพูน ภาคเหนือ เขต 2 กำแพงเพชร, ตาก, นครสวรรค์, พิจิตร, พิษณุโลก, เพชรบูรณ์, สุโขทัย, อุตรดิตถ์ และอุทัยธานี ภาคกลาง เขต 1 ชัยนาท, นนทบุรี, ปทุมธานี, พระนครศรีอยุธยา, ลพบุรี, สระบุรี, สิงห์บุรี และอ่างทอง ภาคกลาง เขต 2 จันทบุรี, ฉะเชิงเทรา, ชลบุรี, ตราด, นครนายก, ปราจีนบุรี, ระยอง, สมุทรปราการ และสระแก้ว ภาคกลาง เขต 3 กาญจนบุรี, นครปฐม, ประจวบคีรีขันธ์ , เพชรบุรี, ราชบุรี, สมุทรสงคราม, สมุทรสาคร และสุพรรณบุรี ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เขต 1 กาฬสินธุ์, ขอนแก่น, ชัยภูมิ, นครราชสีมา, บุรีรัมย์ และมหาสารคาม ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เขต 2 มุกดาหาร, ยโสธร, ร้อยเอ็ด, ศรีสะเกษ, สุรินทร์, อำนาจเจริญ และอุบลราชธานี ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เขต 3 นครพนม, บึงกาฬ, เลย, สกลนคร, หนองคาย, หนองบัวลำภู และอุดรธานี ภาคใต้ เขต 1 กระบี่, ชุมพร, นครศรีธรรมราช, พังงา , ภูเก็ต, ระนอง และสุราษฎร์ธานี ภาคใต้ เขต 2 ตรัง, นราธิวาส, ปัตตานี, พัทลุง, ยะลา, สงขลา และสตูล 📋 ตำแหน่งที่เปิดรับสมัคร 🔹 ตำแหน่งครูผู้ช่วย ปริญาญาตรี 4 ปี เงินเดือนเริ่มต้น 16,560 บาท ปริญญาตรี 5 ปี เงินเดือนเริ่มต้น 17,380 บาท 🔹 ประเภททั่วไป ระดับปฏิบัติงาน ปวช. เงินเดือนเริ่มต้น 10,340 บาท ปวท. เงินเดือนเริ่มต้น 11,960 บาท ปวส. เงินเดือนเริ่มต้น 12,730 บาท เช่น เจ้าพนักงานธุรการ เจ้าพนักงานทะเบียน เจ้าพนักงานการคลัง เจ้าพนักงานพัสดุ เจ้าพนักงานจัดเก็บรายได้ เจ้าพนักงานประชาสัมพันธ์ เจ้าพนักงานส่งเสริมการท่องเที่ยว เจ้าพนักงานการเกษตร เจ้าพนักงานสวนสาธารณะ เจ้าพนักงานสาธารณสุข เจ้าพนักงานสุขาภิบาล สัตวแพทย์ เจ้าพนักงานฉุกเฉินการแพทย์ นายช่างโยธา นายช่างเขียนแบบ นายช่างสำรวจ นายช่างผังเมือง นายช่างเครื่องกล นายช่างไฟฟ้า เจ้าพนักงานพัฒนาชุมชน เจ้าพนักงานเทศกิจ เจ้าพนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เจ้าพนักงานการเงินและบัญชี ฯลฯ 🔹 ประเภทวิชาการ ระดับปฏิบัติการ ปริญญาตรี เงินเดือนเริ่มต้น 16,600 บาท เช่น นักจัดการงานทั่วไป นักทรัพยากรบุคคล นักวิเคราะห์นโยบายและแผน นักจัดการงานทะเบียนและบัตร นิคิกร นักวิชาการคอมพิวเตอร์ นักวิชาการศึกษา นักวิชาการเงินและบัญชี นักวิชาการคลัง นักวิชาการจัดเก็บรายได้ นักวิชาการพัสดุ นักวิชาการตรวจสอบภายใน นักประชาสัมพันธ์ นักพัฒนาการท่องเที่ยว นักวิชาการเกษตร นักวิชาการสวนสาธารณะ นักวิชาการสาธารณสุข นักวิชาการสิ่งแวดล้อม นายสัตวแพทย์ นักฉุกเฉินการแพทย์ สถาปนิก วิศวกรโยธา วิศวกรเครื่องกล วิศวกรไฟฟ้า วิทศวกรสุขาภิบาล นักจัดการงานช่าง นักสังคมสงเคราะห์ นักวิชาการศึกษา นักพัฒนาชุมชน บรรณารักษ์ นักสันทนาการ นักพัฒนาการกีฬา นักจัดการงานเทศกิจ นักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ฯลฯ 📖 รายละเอียดการสอบ อปท. 2568 การสอบแข่งขัน จะแบ่งออกเป็น 3 ภาคหลัก ได้แก่ 📝 ภาค ก ความรู้ทั่วไป 100 คะแนน - ความสามารถด้านการวิเคราะห์ และสรุปเหตุผล 30 คะแนน - ความรู้พื้นฐาน เกี่ยวกับการปฏิบัติราชการ และกฎหมายท้องถิ่น 30 คะแนน - ความสามารถด้านภาษาไทย 20 คะแนน - ความสามารถด้านภาษาอังกฤษ 20 คะแนน ต้องผ่านอย่างน้อย 10 ข้อจาก 20 ข้อ! 📚 ภาค ข ความรู้เฉพาะตำแหน่ง 100 คะแนน -เป็นข้อสอบเกี่ยวกับความรู้ ที่ใช้เฉพาะในตำแหน่งที่สมัคร 🗣️ ภาค ค สัมภาษณ์ 100 คะแนน เป็นการประเมินความเหมาะสมกับตำแหน่ง เช่น ทัศนคติ บุคลิกภาพ และความสามารถในการสื่อสาร 📝 วิธีสมัครสอบ อปท. 2568 🔹 สมัครผ่านทางออนไลน์ 📱 ที่เว็บไซต์: ➡️ https://dla-local2568.thaijobjob.com 📅 เปิดรับสมัครตั้งแต่ 7 - 28 มีนาคม 2568 ตลอด 24 ชั่วโมง 🗂️ เอกสารที่ต้องใช้สมัคร ✅ รูปถ่ายหน้าตรงขนาด 1 นิ้ว 📸 ✅ สำเนาบัตรประชาชน 🆔 ✅ สำเนาทะเบียนบ้าน 🏠 ✅ สำเนาวุฒิการศึกษา Transcript 🎓 ✅ สำเนาใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ สำหรับบางตำแหน่ง ✅ เอกสารทางทหาร สด.8 หรือ สด.9 🪖 📌 อัปโหลดไฟล์ PDF เท่านั้น! ไฟล์ต้องมีขนาดไม่เกิน 1 MB 💰 ค่าธรรมเนียมการสมัครสอบ - ค่าธรรมเนียมสอบ 400 บาท - ค่าธรรมเนียมธนาคาร และค่าบริการ 30 บาท 📌 รวมทั้งสิ้น 430 บาท ไม่สามารถขอคืนเงินได้ 📍 ช่องทางชำระเงิน: - เคาน์เตอร์ธนาคารกรุงไทย 🏦 - แอปพลิเคชัน Krungthai NEXT หรือ เป๋าตัง 📲 - ตู้ ATM ของธนาคารกรุงไทย 🛑 ชำระเงินภายในวันที่ 7 - 29 มีนาคม 2568 เท่านั้น! 📢 ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์สอบ 📆 ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์สอบภาค ก และ ข พร้อมวัน-เวลา-สถานที่สอบ ได้ที่ 📌 เว็บไซต์ https://dla-local2568.thaijobjob.com 🔑 เคล็ดลับเตรียมสอบ อปท. ให้สอบผ่าน! 🔥 ศึกษาหลักสูตรการสอบ ให้ครบถ้วน 📖 อ่านแนวข้อสอบ และทบทวนกฎหมายที่เกี่ยวข้อง 🔥 ฝึกทำข้อสอบเก่า 🔍 ฝึกทำข้อสอบปีที่ผ่านมา เพื่อจับแนวทางที่ออกบ่อย 🔥 ฝึกภาษาอังกฤษให้คล่อง ✅ ท่องศัพท์ ✅ ฝึกทำข้อสอบแกรมม่า ✅ อ่านบทความภาษาอังกฤษ 🔥 จัดตารางอ่านหนังสือ 🗓️ แบ่งเวลาอ่านหนังสือทุกวัน วันละ 2-3 ชั่วโมง 🔥 พักผ่อนให้เพียงพอ 😴 นอนให้ครบ 6-8 ชั่วโมงก่อนสอบ 🔚 📍 การสอบ อปท. 2568 เป็นโอกาสดี สำหรับผู้ที่ต้องการเข้ารับราชการ ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อย่าพลาด! สมัครสอบได้ระหว่าง 7 - 28 มีนาคม 2568 ทางออนไลน์เท่านั้น 🚀 📌 ติดตามข่าวสาร และอัปเดตข้อมูลการสอบได้ที่ 🔗 https://dla-local2568.thaijobjob.com ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 202022 ก.พ. 2568 📢 #สอบอปท2568 #สมัครสอบราชการ #งานราชการ #สอบท้องถิ่น #เตรียมสอบอปท #DLA #สมัครสอบออนไลน์ #งานข้าราชการ #สอบราชการ2025 #สอบภาษาอังกฤษอปท0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 59 มุมมอง 0 รีวิวกรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อกดถูกใจ แชร์ และแสดงความคิดเห็น! - 18 ปี คณะแพทย์ศิริราช 61 คน ผ่าแยกร่าง “วัน-วาด” แฝดสยาม หัวใจ-ตับ ติดกันสำเร็จ รอดทั้งคู่ ครั้งแรกของโลก
🔬 การแพทย์ไทยสร้างประวัติศาสตร์ ผ่าแยกแฝดสยามสำเร็จ เป็นครั้งแรกของโลก
ย้อนกลับไปเมื่อ 18 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550 คณะแพทย์จากโรงพยาบาลศิริราช จำนวน 61 คน ได้สร้างปรากฏการณ์สำคัญ ในวงการแพทย์ระดับโลก ด้วยการผ่าตัดแยกร่างฝาแฝดสยาม ที่มีหัวใจและตับติดกัน ซึ่งเป็นเคสที่ยาก และมีความเสี่ยงสูงสุด ทารกทั้งสองคนคือ
👶 ด.ญ.ปานตะวัน ธิเย็นใจ หรือน้องวัน แฝดผู้พี่
👶 ด.ญ.ปานวาด ธิเย็นใจ หรือน้องวาด แฝดผู้น้อง
ทั้งคู่เป็นบุตรสาวของ น.ส.อุษา ธิเย็นใจ และนายถาวร วิบุลกุล เกิดเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2549 ด้วยวิธีผ่าคลอด ขณะอายุครรภ์ 36 สัปดาห์ โดยมีน้ำหนักแรกคลอดรวมกัน 3,570 กรัม หลังคลอดพบว่า ทั้งคู่ มีร่างกายติดกัน บริเวณช่วงหน้าท้อง ซึ่งเมื่อตรวจอย่างละเอียดพบว่า มีตับติดกันเป็นบริเวณกว้าง และที่สำคัญที่สุดคือ หัวใจของทั้งสองดวงเชื่อมต่อกัน ทำให้มีความเสี่ยงสูงมาก ในการผ่าตัด
นี่คือเรื่องราวของ "วัน-วาด" และปาฏิหาริย์ของวงการแพทย์ไทย ที่ได้รับการบันทึกว่า เป็นเคสแรกของโลก ที่ผ่าแยกฝาแฝด ที่มีหัวใจติดกัน และรอดชีวิตทั้งคู่ ✨
👩⚕️ ทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และการตัดสินใจครั้งสำคัญ
การผ่าตัดในครั้งนี้ ต้องอาศัยทีมแพทย์จากหลากหลายสาขา โดยมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหลายท่าน อาทิ
✅ ศ.พญ.อังกาบ ปราการรัตน์ หัวหน้าภาควิชาวิสัญญีวิทยา
✅ รศ.นพ.สมชาย ศรียศชาติ ศัลยแพทย์หัวใจ
✅ ผศ.นพ.มนตรี กิจมณี ศัลยแพทย์ตกแต่ง
✅ ผศ.นพ.มงคล เลาหเพ็ญแสง กุมารศัลยแพทย์
💡 ความท้าทายที่ยิ่งใหญ่
👉 ทารกมีหัวใจเชื่อมต่อกัน ทำให้ต้องตรวจสอบว่า หัวใจของทั้งคู่ สามารถทำงานแยกจากกัน ได้หรือไม่
👉 ต้องปิดรอยเชื่อมต่อ ของหัวใจชั่วคราว เพื่อดูผลกระทบก่อนการผ่าตัด
👉 ต้องแยกตับ ที่ติดกันเป็นบริเวณกว้าง และหลีกเลี่ยงการเสียเลือด ให้มากที่สุด
📅 หลังจากวางแผนกันอย่างละเอียด การผ่าตัดถูกกำหนดขึ้น ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2550 ขณะที่ทารกมีอายุ 8 เดือน และมีน้ำหนักรวมกัน 10.9 กิโลกรัม
🔪 ขั้นตอนการผ่าตัด 12 ชั่วโมง ที่ต้องแข่งกับเวลา
💉 เริ่มต้นด้วยการวางยาสลบ
ทีมวิสัญญีแพทย์แบ่งเป็น 2 ทีม เพื่อดูแลเด็กแต่ละคนอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันความผิดพลาด ที่อาจเกิดขึ้น
❤️ ขั้นตอนที่ 1 แยกหัวใจ
👉 ใช้เวลาถึง 3 ชั่วโมง เพราะต้องค่อยๆ ตัดแยกหัวใจออกจากกัน โดยไม่ให้เกิดอันตราย ต่อการไหลเวียนโลหิต
🩺 ขั้นตอนที่ 2 แยกตับ
👉 ใช้เวลาถึง 2 ชั่วโมง ทีมแพทย์ต้องใช้เทคนิคพิเศษ ในการผ่าตัด เพื่อให้เลือดออกน้อยที่สุด
🛏 ขั้นตอนที่ 3 เย็บซ่อมแซมอวัยวะ และผนังหน้าท้อง
👉 แฝดพี่ "ปานตะวัน" มีโอกาสรอดสูงกว่า แต่แฝดน้อง "ปานวาด" ต้องได้รับการดูแลเรื่องหัวใจ เป็นพิเศษ
⚠️ ความเสี่ยงที่สูงที่สุด
การผ่าตัดครั้งนี้ มีความเสี่ยงว่า อาจมีเด็กเพียงคนเดียวที่รอดชีวิต แต่ทีมแพทย์สามารถทำได้สำเร็จ และน้องวัน-วาด มีชีวิตรอดทั้งคู่ 🎉
👶 ปัจจุบัน "วัน-วาด" ใช้ชีวิตอย่างไร?
หลังจากผ่านไป 18 ปี นับจากการผ่าตัดแยกร่าง ปัจจุบันทั้งคู่เติบโตขึ้นอย่างแข็งแรง 💖 แม้ว่าต้องมีการติดตามอาการของน้องวาด เนื่องจากมีปัญหาหัวใจอยู่บ้าง แต่ทั้งคู่สามารถใช้ชีวิต ได้ใกล้เคียงกับเด็กปกติ
คุณแม่ น.ส.อุษา กล่าวว่า
🗣 "ตอนแรกเสียใจ ที่ลูกเกิดมาไม่ปกติ แต่ตอนนี้รู้สึกดีใจที่สุด ที่ทั้งคู่มีชีวิตรอด อยากขอบคุณทีมแพทย์ทุกท่าน ที่ช่วยชีวิตลูกของฉันไว้"
🔍 แฝดสยาม คืออะไร?
🔸 แฝดสยาม หรือ Siamese Twins คือแฝดที่เกิดจาก ไข่ใบเดียวกัน แต่มีความผิดปกติ ในการแบ่งตัวของเอ็มบริโอ ทำให้ร่างกายของทั้งคู่ ติดกันในระดับต่างๆ
🔹 ประเภทของแฝดสยาม
✅ แฝดที่มีอวัยวะภายในติดกัน เช่น หัวใจ ตับ ลำไส้
✅ แฝดที่มีอวัยวะภายนอกติดกัน เช่น แขน ขา หรือส่วนอื่นของร่างกาย
แฝดสยามที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกก็คือ อิน-จัน ฝาแฝดชาวไทย ที่เป็นต้นกำเนิดของคำว่า "Siamese Twins" 👥
🏥 "ศิริราช" ศูนย์กลางความก้าวหน้า ทางการแพทย์ของไทย
โรงพยาบาลศิริราช เป็นสถานที่ ที่ให้กำเนิดนวัตกรรม ทางการแพทย์ระดับโลก โดยเฉพาะในเรื่องของ
การผ่าตัดฝาแฝดสยาม ทีมแพทย์ของศิริราช ไม่เพียงแค่ช่วยเหลือเด็กไทย แต่ยังสามารถนำความรู้นี้ไปช่วยเหลือผู้ป่วยทั่วโลก 🌏
✅ เป็นเคสแรกของโลก ที่สามารถแยกแฝดหัวใจติดกัน และรอดชีวิตทั้งคู่
✅ เป็นก้าวสำคัญของการแพทย์ไทย ที่ได้รับการยอมรับ ในระดับนานาชาติ
💬 ปาฏิหาริย์ทางการแพทย์ของไทย
🎯 คณะแพทย์ศิริราช สร้างประวัติศาสตร์ ด้วยการผ่าตัดแยกแฝดสยาม ที่หัวใจและตับติดกัน ได้สำเร็จเป็นครั้งแรกของโลก
🎯 "วัน-วาด" มีชีวิตรอดทั้งคู่ ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากมาก
🎯 เป็นหลักฐานว่าแพทย์ไทย มีความสามารถเทียบเท่าระดับโลก
👩⚕️✨ นี่คือความภาคภูมิใจ ของวงการแพทย์ไทย และเป็นแรงบันดาลใจ ให้กับแพทย์รุ่นใหม่ทั่วโลก 💖
ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 2009271 ก.พ. 2568
📌 #แฝดสยาม #ผ่าตัดแฝด #ศิริราช #วันวาด #ข่าวดังในอดีต #การแพทย์ไทย #นวัตกรรมการแพทย์ #SiameseTwins #แพทย์ไทย #ประวัติศาสตร์การแพทย์18 ปี คณะแพทย์ศิริราช 61 คน ผ่าแยกร่าง “วัน-วาด” แฝดสยาม หัวใจ-ตับ ติดกันสำเร็จ รอดทั้งคู่ ครั้งแรกของโลก 🔬 การแพทย์ไทยสร้างประวัติศาสตร์ ผ่าแยกแฝดสยามสำเร็จ เป็นครั้งแรกของโลก ย้อนกลับไปเมื่อ 18 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550 คณะแพทย์จากโรงพยาบาลศิริราช จำนวน 61 คน ได้สร้างปรากฏการณ์สำคัญ ในวงการแพทย์ระดับโลก ด้วยการผ่าตัดแยกร่างฝาแฝดสยาม ที่มีหัวใจและตับติดกัน ซึ่งเป็นเคสที่ยาก และมีความเสี่ยงสูงสุด ทารกทั้งสองคนคือ 👶 ด.ญ.ปานตะวัน ธิเย็นใจ หรือน้องวัน แฝดผู้พี่ 👶 ด.ญ.ปานวาด ธิเย็นใจ หรือน้องวาด แฝดผู้น้อง ทั้งคู่เป็นบุตรสาวของ น.ส.อุษา ธิเย็นใจ และนายถาวร วิบุลกุล เกิดเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2549 ด้วยวิธีผ่าคลอด ขณะอายุครรภ์ 36 สัปดาห์ โดยมีน้ำหนักแรกคลอดรวมกัน 3,570 กรัม หลังคลอดพบว่า ทั้งคู่ มีร่างกายติดกัน บริเวณช่วงหน้าท้อง ซึ่งเมื่อตรวจอย่างละเอียดพบว่า มีตับติดกันเป็นบริเวณกว้าง และที่สำคัญที่สุดคือ หัวใจของทั้งสองดวงเชื่อมต่อกัน ทำให้มีความเสี่ยงสูงมาก ในการผ่าตัด นี่คือเรื่องราวของ "วัน-วาด" และปาฏิหาริย์ของวงการแพทย์ไทย ที่ได้รับการบันทึกว่า เป็นเคสแรกของโลก ที่ผ่าแยกฝาแฝด ที่มีหัวใจติดกัน และรอดชีวิตทั้งคู่ ✨ 👩⚕️ ทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และการตัดสินใจครั้งสำคัญ การผ่าตัดในครั้งนี้ ต้องอาศัยทีมแพทย์จากหลากหลายสาขา โดยมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหลายท่าน อาทิ ✅ ศ.พญ.อังกาบ ปราการรัตน์ หัวหน้าภาควิชาวิสัญญีวิทยา ✅ รศ.นพ.สมชาย ศรียศชาติ ศัลยแพทย์หัวใจ ✅ ผศ.นพ.มนตรี กิจมณี ศัลยแพทย์ตกแต่ง ✅ ผศ.นพ.มงคล เลาหเพ็ญแสง กุมารศัลยแพทย์ 💡 ความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ 👉 ทารกมีหัวใจเชื่อมต่อกัน ทำให้ต้องตรวจสอบว่า หัวใจของทั้งคู่ สามารถทำงานแยกจากกัน ได้หรือไม่ 👉 ต้องปิดรอยเชื่อมต่อ ของหัวใจชั่วคราว เพื่อดูผลกระทบก่อนการผ่าตัด 👉 ต้องแยกตับ ที่ติดกันเป็นบริเวณกว้าง และหลีกเลี่ยงการเสียเลือด ให้มากที่สุด 📅 หลังจากวางแผนกันอย่างละเอียด การผ่าตัดถูกกำหนดขึ้น ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2550 ขณะที่ทารกมีอายุ 8 เดือน และมีน้ำหนักรวมกัน 10.9 กิโลกรัม 🔪 ขั้นตอนการผ่าตัด 12 ชั่วโมง ที่ต้องแข่งกับเวลา 💉 เริ่มต้นด้วยการวางยาสลบ ทีมวิสัญญีแพทย์แบ่งเป็น 2 ทีม เพื่อดูแลเด็กแต่ละคนอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันความผิดพลาด ที่อาจเกิดขึ้น ❤️ ขั้นตอนที่ 1 แยกหัวใจ 👉 ใช้เวลาถึง 3 ชั่วโมง เพราะต้องค่อยๆ ตัดแยกหัวใจออกจากกัน โดยไม่ให้เกิดอันตราย ต่อการไหลเวียนโลหิต 🩺 ขั้นตอนที่ 2 แยกตับ 👉 ใช้เวลาถึง 2 ชั่วโมง ทีมแพทย์ต้องใช้เทคนิคพิเศษ ในการผ่าตัด เพื่อให้เลือดออกน้อยที่สุด 🛏 ขั้นตอนที่ 3 เย็บซ่อมแซมอวัยวะ และผนังหน้าท้อง 👉 แฝดพี่ "ปานตะวัน" มีโอกาสรอดสูงกว่า แต่แฝดน้อง "ปานวาด" ต้องได้รับการดูแลเรื่องหัวใจ เป็นพิเศษ ⚠️ ความเสี่ยงที่สูงที่สุด การผ่าตัดครั้งนี้ มีความเสี่ยงว่า อาจมีเด็กเพียงคนเดียวที่รอดชีวิต แต่ทีมแพทย์สามารถทำได้สำเร็จ และน้องวัน-วาด มีชีวิตรอดทั้งคู่ 🎉 👶 ปัจจุบัน "วัน-วาด" ใช้ชีวิตอย่างไร? หลังจากผ่านไป 18 ปี นับจากการผ่าตัดแยกร่าง ปัจจุบันทั้งคู่เติบโตขึ้นอย่างแข็งแรง 💖 แม้ว่าต้องมีการติดตามอาการของน้องวาด เนื่องจากมีปัญหาหัวใจอยู่บ้าง แต่ทั้งคู่สามารถใช้ชีวิต ได้ใกล้เคียงกับเด็กปกติ คุณแม่ น.ส.อุษา กล่าวว่า 🗣 "ตอนแรกเสียใจ ที่ลูกเกิดมาไม่ปกติ แต่ตอนนี้รู้สึกดีใจที่สุด ที่ทั้งคู่มีชีวิตรอด อยากขอบคุณทีมแพทย์ทุกท่าน ที่ช่วยชีวิตลูกของฉันไว้" 🔍 แฝดสยาม คืออะไร? 🔸 แฝดสยาม หรือ Siamese Twins คือแฝดที่เกิดจาก ไข่ใบเดียวกัน แต่มีความผิดปกติ ในการแบ่งตัวของเอ็มบริโอ ทำให้ร่างกายของทั้งคู่ ติดกันในระดับต่างๆ 🔹 ประเภทของแฝดสยาม ✅ แฝดที่มีอวัยวะภายในติดกัน เช่น หัวใจ ตับ ลำไส้ ✅ แฝดที่มีอวัยวะภายนอกติดกัน เช่น แขน ขา หรือส่วนอื่นของร่างกาย แฝดสยามที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกก็คือ อิน-จัน ฝาแฝดชาวไทย ที่เป็นต้นกำเนิดของคำว่า "Siamese Twins" 👥 🏥 "ศิริราช" ศูนย์กลางความก้าวหน้า ทางการแพทย์ของไทย โรงพยาบาลศิริราช เป็นสถานที่ ที่ให้กำเนิดนวัตกรรม ทางการแพทย์ระดับโลก โดยเฉพาะในเรื่องของ การผ่าตัดฝาแฝดสยาม ทีมแพทย์ของศิริราช ไม่เพียงแค่ช่วยเหลือเด็กไทย แต่ยังสามารถนำความรู้นี้ไปช่วยเหลือผู้ป่วยทั่วโลก 🌏 ✅ เป็นเคสแรกของโลก ที่สามารถแยกแฝดหัวใจติดกัน และรอดชีวิตทั้งคู่ ✅ เป็นก้าวสำคัญของการแพทย์ไทย ที่ได้รับการยอมรับ ในระดับนานาชาติ 💬 ปาฏิหาริย์ทางการแพทย์ของไทย 🎯 คณะแพทย์ศิริราช สร้างประวัติศาสตร์ ด้วยการผ่าตัดแยกแฝดสยาม ที่หัวใจและตับติดกัน ได้สำเร็จเป็นครั้งแรกของโลก 🎯 "วัน-วาด" มีชีวิตรอดทั้งคู่ ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากมาก 🎯 เป็นหลักฐานว่าแพทย์ไทย มีความสามารถเทียบเท่าระดับโลก 👩⚕️✨ นี่คือความภาคภูมิใจ ของวงการแพทย์ไทย และเป็นแรงบันดาลใจ ให้กับแพทย์รุ่นใหม่ทั่วโลก 💖 ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 2009271 ก.พ. 2568 📌 #แฝดสยาม #ผ่าตัดแฝด #ศิริราช #วันวาด #ข่าวดังในอดีต #การแพทย์ไทย #นวัตกรรมการแพทย์ #SiameseTwins #แพทย์ไทย #ประวัติศาสตร์การแพทย์0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 80 มุมมอง 0 รีวิว - 37 ปี ไทย-ลาว ประกาศหยุดยิง ยุติสมรภูมิบ้านร่มเกล้า สงครามบ่อแตน จุดพิพาทเนิน 1428
📅 ย้อนไปเมื่อ 37 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2531 นับเป็นวันสำคัญในประวัติศาสตร์ไทย-ลาว เมื่อทั้งสองประเทศบรรลุข้อตกลง ประกาศหยุดยิงอย่างเป็นทางการ ในสมรภูมิบ้านร่มเกล้า หลังจากการสู้รบที่ยืดเยื้อ มาอย่างยาวนานถึง 19 วัน สาเหตุหลักมาจาก ข้อพิพาทเรื่องเขตแดน ที่นำไปสู่การปะทะกันอย่างรุนแรง ระหว่างกองทัพทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะบริเวณ นิน 1428 ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ
สงครามครั้งนี้ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บจำนวนมาก ทั้งทหารและพลเรือน การเจรจาหยุดยิง นำไปสู่การตั้งคณะกรรมการพิสูจน์เขตแดน เพื่อหาข้อยุติที่ชัดเจน แม้เวลาจะผ่านไป 37 ปี แต่ปัญหาเรื่อง พรมแดนไทย-ลาว บริเวณนี้ ก็ยังคงเป็นประเด็นละเอียดอ่อน ที่ทั้งสองประเทศต้องจับตาดู
🔥 จุดเริ่มต้นของสงครามบ้านร่มเกล้า ข้อพิพาทเขตแดนไทย-ลาว 🎯
ความขัดแย้งเรื่องเขตแดนไทย-ลาว มีรากเหง้ามาจาก สนธิสัญญาปักปันเขตแดนไทย-ฝรั่งเศส เมื่อปี 2450 (ค.ศ. 1907) ซึ่งกำหนดให้ใช้ "แม่น้ำเหือง" เป็นเส้นแบ่งพรมแดน ระหว่างไทยกับลาว ในขณะนั้นเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส อย่างไรก็ตาม ปัญหาคือ แม่น้ำเหืองมีสองสาย ได้แก่
- แม่น้ำเหืองป่าหมัน มีต้นกำเนิดจากภูสอยดาว
- แม่น้ำเหืองงา มีต้นกำเนิดจากภูเมี่ยง
ฝ่ายลาวยืนยันว่า "แม่น้ำเหืองป่าหมัน" ควรเป็นเส้นแบ่งพรมแดน แต่ฝ่ายไทยแย้งว่า สนธิสัญญากำหนดให้ใช้แม่น้ำ ที่มีต้นกำเนิดจากภูเมี่ยง ซึ่งหมายถึง "แม่น้ำเหืองงา" ทำให้พื้นที่บ้านร่มเกล้า กลายเป็นพื้นที่พิพาทที่ ไทย-ลาว ต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิ์ครอบครอง
🏕️ บ้านร่มเกล้า จากหมู่บ้านม้ง สู่สมรภูมิรบ
"บ้านร่มเกล้า" ตั้งอยู่บนแนวชายแดนไทย-ลาว ในเขตหมู่ที่ 8 ตำบลบ่อภาค อำเภอชาติตระการ จังหวัดพิษณุโลก เดิมเป็นที่อยู่อาศัยของชาวม้ง ที่เข้าร่วมโครงการพัฒนาชาติไทย ตามนโยบาย 66/23 ของรัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์
ต่อมารัฐบาลไทย ให้สัมปทานป่าไม้ ในพื้นที่บ้านร่มเกล้า ทำให้ฝ่ายลาวมองว่า ไทยรุกล้ำเข้าไปในดินแดนของตน และเป็นการลักลอบตัดไม้ผิดกฎหมาย จึงเกิดเหตุปะทะกันหลายครั้ง ระหว่างทหารพรานไทย กับกองกำลังลาว
⚔️ การสู้รบในสมรภูมิร่มเกล้า ปะทะครั้งใหญ่ 31 พฤษภาคม 2530 📌
ทหารลาวเข้าโจมตีแคมป์คนงานไทย ที่ทำสัมปทานป่าไม้ คนงานไทยเสียชีวิต 1 ราย บาดเจ็บหลายคน
กองร้อยทหารพรานที่ 3405 เข้าช่วยเหลือ ทำให้เกิดการปะทะ หลังจากนั้น สถานการณ์เริ่มตึงเครียด กองทัพภาคที่ 3 ของไทย จึงส่งกำลังเสริม เพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติ
🚀 ยุทธการสอยดาว 01 และ 02 ช่วงปลายปี 2530
กองทัพไทยเปิดปฏิบัติการทางทหาร เต็มรูปแบบ ใช้ทหารราบ ทหารม้า ปืนใหญ่ และการโจมตีทางอากาศ เป้าหมายหลักคือ "เนิน 1428" ที่ทหารลาวยึดครอง อย่างไรก็ตาม เนิน 1428 อยู่ในตำแหน่งยุทธศาสตร์ที่ได้เปรียบ ทำให้ไทยไม่สามารถบุกยึด ได้อย่างเด็ดขาด
✈️ รบหนักสุด 1-19 กุมภาพันธ์ 2531
กองทัพไทยระดมกำลังบุกเนิน 1428 โดยกองทัพอากาศไทย ส่งเครื่องบิน เอฟ-5 อี และโอวี-10 โจมตี
แต่สูญเสียเครื่องบิน 2 ลำ ที่ถูกยิงตกโดยปืนต่อต้านอากาศยา นและจรวดแซม การรบยืดเยื้อนานถึง 19 วัน ทั้งสองฝ่ายสูญเสียหนัก
🕊️ เจรจาหยุดยิง
💬 11 กุมภาพันธ์ 2531 นายไกรสอน พรหมวิหาร นายกรัฐมนตรีลาว ส่งสาส์นถึง พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรีไทย ขอให้หยุดยิง และตั้งคณะกรรมการพิสูจน์เขตแดน
🤝 16-17 กุมภาพันธ์ 2531 ไทยและลาวเจรจากัน ที่กองบัญชาการ กองทัพอากาศไทย
✍️ 19 กุมภาพันธ์ 2531 ไทย-ลาว ลงนามข้อตกลงหยุดยิง และตกลงให้ถอยจากแนวปะทะ ฝ่ายละ 3 กิโลเมตร
📉 ผลกระทบจากสงคราม
💀 จำนวนผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ
- ฝ่ายไทยเสียชีวิต 147 นาย บาดเจ็บกว่า 700 นาย
- ฝ่ายลาวคาดว่าเสียชีวิต 300-400 นาย บาดเจ็บ 200-300 นาย
💰 งบประมาณทางทหาร
ไทยใช้งบประมาณในสงครามนี้กว่า 3,000 ล้านบาท
🌍 ความสัมพันธ์ไทย-ลาว
การรบทำให้ความสัมพันธ์ไทย-ลาว ตกต่ำที่สุดในยุคนั้น แม้จะหยุดยิง แต่ปัญหาพรมแดน ยังคงไม่ได้ข้อยุติ จนถึงปัจจุบัน
🏛️ สมรภูมิบ้านร่มเกล้า เป็นหนึ่งในสงคราม ที่สะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อน ของปัญหาพรมแดน ที่มีรากเหง้ามาจาก สนธิสัญญาทางประวัติศาสตร์ และความแตกต่างในการตีความแผนที่
แม้สงครามจะจบลงแล้ว แต่ประเด็นเรื่องพรมแดนไทย-ลาว ยังคงเป็นประเด็นละเอียดอ่อน ที่ทั้งสองประเทศ ต้องหารือร่วมกันต่อไป เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความขัดแย้ง ซ้ำรอยอีกในอนาคต
ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 190937 ก.พ. 2568
🔗#ไทยลาว #สงครามบ้านร่มเกล้า #สงครามบ่อแตน #พรมแดนไทยลาว #เนิน1428 #หยุดยิง #ความสัมพันธ์ไทยลาว #ประวัติศาสตร์ไทย #สงครามเย็น #สมรภูมิร่มเกล้า 🎖️37 ปี ไทย-ลาว ประกาศหยุดยิง ยุติสมรภูมิบ้านร่มเกล้า สงครามบ่อแตน จุดพิพาทเนิน 1428 📅 ย้อนไปเมื่อ 37 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2531 นับเป็นวันสำคัญในประวัติศาสตร์ไทย-ลาว เมื่อทั้งสองประเทศบรรลุข้อตกลง ประกาศหยุดยิงอย่างเป็นทางการ ในสมรภูมิบ้านร่มเกล้า หลังจากการสู้รบที่ยืดเยื้อ มาอย่างยาวนานถึง 19 วัน สาเหตุหลักมาจาก ข้อพิพาทเรื่องเขตแดน ที่นำไปสู่การปะทะกันอย่างรุนแรง ระหว่างกองทัพทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะบริเวณ นิน 1428 ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ สงครามครั้งนี้ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บจำนวนมาก ทั้งทหารและพลเรือน การเจรจาหยุดยิง นำไปสู่การตั้งคณะกรรมการพิสูจน์เขตแดน เพื่อหาข้อยุติที่ชัดเจน แม้เวลาจะผ่านไป 37 ปี แต่ปัญหาเรื่อง พรมแดนไทย-ลาว บริเวณนี้ ก็ยังคงเป็นประเด็นละเอียดอ่อน ที่ทั้งสองประเทศต้องจับตาดู 🔥 จุดเริ่มต้นของสงครามบ้านร่มเกล้า ข้อพิพาทเขตแดนไทย-ลาว 🎯 ความขัดแย้งเรื่องเขตแดนไทย-ลาว มีรากเหง้ามาจาก สนธิสัญญาปักปันเขตแดนไทย-ฝรั่งเศส เมื่อปี 2450 (ค.ศ. 1907) ซึ่งกำหนดให้ใช้ "แม่น้ำเหือง" เป็นเส้นแบ่งพรมแดน ระหว่างไทยกับลาว ในขณะนั้นเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส อย่างไรก็ตาม ปัญหาคือ แม่น้ำเหืองมีสองสาย ได้แก่ - แม่น้ำเหืองป่าหมัน มีต้นกำเนิดจากภูสอยดาว - แม่น้ำเหืองงา มีต้นกำเนิดจากภูเมี่ยง ฝ่ายลาวยืนยันว่า "แม่น้ำเหืองป่าหมัน" ควรเป็นเส้นแบ่งพรมแดน แต่ฝ่ายไทยแย้งว่า สนธิสัญญากำหนดให้ใช้แม่น้ำ ที่มีต้นกำเนิดจากภูเมี่ยง ซึ่งหมายถึง "แม่น้ำเหืองงา" ทำให้พื้นที่บ้านร่มเกล้า กลายเป็นพื้นที่พิพาทที่ ไทย-ลาว ต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิ์ครอบครอง 🏕️ บ้านร่มเกล้า จากหมู่บ้านม้ง สู่สมรภูมิรบ "บ้านร่มเกล้า" ตั้งอยู่บนแนวชายแดนไทย-ลาว ในเขตหมู่ที่ 8 ตำบลบ่อภาค อำเภอชาติตระการ จังหวัดพิษณุโลก เดิมเป็นที่อยู่อาศัยของชาวม้ง ที่เข้าร่วมโครงการพัฒนาชาติไทย ตามนโยบาย 66/23 ของรัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ต่อมารัฐบาลไทย ให้สัมปทานป่าไม้ ในพื้นที่บ้านร่มเกล้า ทำให้ฝ่ายลาวมองว่า ไทยรุกล้ำเข้าไปในดินแดนของตน และเป็นการลักลอบตัดไม้ผิดกฎหมาย จึงเกิดเหตุปะทะกันหลายครั้ง ระหว่างทหารพรานไทย กับกองกำลังลาว ⚔️ การสู้รบในสมรภูมิร่มเกล้า ปะทะครั้งใหญ่ 31 พฤษภาคม 2530 📌 ทหารลาวเข้าโจมตีแคมป์คนงานไทย ที่ทำสัมปทานป่าไม้ คนงานไทยเสียชีวิต 1 ราย บาดเจ็บหลายคน กองร้อยทหารพรานที่ 3405 เข้าช่วยเหลือ ทำให้เกิดการปะทะ หลังจากนั้น สถานการณ์เริ่มตึงเครียด กองทัพภาคที่ 3 ของไทย จึงส่งกำลังเสริม เพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติ 🚀 ยุทธการสอยดาว 01 และ 02 ช่วงปลายปี 2530 กองทัพไทยเปิดปฏิบัติการทางทหาร เต็มรูปแบบ ใช้ทหารราบ ทหารม้า ปืนใหญ่ และการโจมตีทางอากาศ เป้าหมายหลักคือ "เนิน 1428" ที่ทหารลาวยึดครอง อย่างไรก็ตาม เนิน 1428 อยู่ในตำแหน่งยุทธศาสตร์ที่ได้เปรียบ ทำให้ไทยไม่สามารถบุกยึด ได้อย่างเด็ดขาด ✈️ รบหนักสุด 1-19 กุมภาพันธ์ 2531 กองทัพไทยระดมกำลังบุกเนิน 1428 โดยกองทัพอากาศไทย ส่งเครื่องบิน เอฟ-5 อี และโอวี-10 โจมตี แต่สูญเสียเครื่องบิน 2 ลำ ที่ถูกยิงตกโดยปืนต่อต้านอากาศยา นและจรวดแซม การรบยืดเยื้อนานถึง 19 วัน ทั้งสองฝ่ายสูญเสียหนัก 🕊️ เจรจาหยุดยิง 💬 11 กุมภาพันธ์ 2531 นายไกรสอน พรหมวิหาร นายกรัฐมนตรีลาว ส่งสาส์นถึง พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรีไทย ขอให้หยุดยิง และตั้งคณะกรรมการพิสูจน์เขตแดน 🤝 16-17 กุมภาพันธ์ 2531 ไทยและลาวเจรจากัน ที่กองบัญชาการ กองทัพอากาศไทย ✍️ 19 กุมภาพันธ์ 2531 ไทย-ลาว ลงนามข้อตกลงหยุดยิง และตกลงให้ถอยจากแนวปะทะ ฝ่ายละ 3 กิโลเมตร 📉 ผลกระทบจากสงคราม 💀 จำนวนผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ - ฝ่ายไทยเสียชีวิต 147 นาย บาดเจ็บกว่า 700 นาย - ฝ่ายลาวคาดว่าเสียชีวิต 300-400 นาย บาดเจ็บ 200-300 นาย 💰 งบประมาณทางทหาร ไทยใช้งบประมาณในสงครามนี้กว่า 3,000 ล้านบาท 🌍 ความสัมพันธ์ไทย-ลาว การรบทำให้ความสัมพันธ์ไทย-ลาว ตกต่ำที่สุดในยุคนั้น แม้จะหยุดยิง แต่ปัญหาพรมแดน ยังคงไม่ได้ข้อยุติ จนถึงปัจจุบัน 🏛️ สมรภูมิบ้านร่มเกล้า เป็นหนึ่งในสงคราม ที่สะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อน ของปัญหาพรมแดน ที่มีรากเหง้ามาจาก สนธิสัญญาทางประวัติศาสตร์ และความแตกต่างในการตีความแผนที่ แม้สงครามจะจบลงแล้ว แต่ประเด็นเรื่องพรมแดนไทย-ลาว ยังคงเป็นประเด็นละเอียดอ่อน ที่ทั้งสองประเทศ ต้องหารือร่วมกันต่อไป เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความขัดแย้ง ซ้ำรอยอีกในอนาคต ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 190937 ก.พ. 2568 🔗#ไทยลาว #สงครามบ้านร่มเกล้า #สงครามบ่อแตน #พรมแดนไทยลาว #เนิน1428 #หยุดยิง #ความสัมพันธ์ไทยลาว #ประวัติศาสตร์ไทย #สงครามเย็น #สมรภูมิร่มเกล้า 🎖️ - 25 ปี "โคบอลต์-60" รั่วไหล สมุทรปราการผวา รังสีที่คร่าชีวิต 3 ศพ เจ็บ 7 ราย หายนะร้านรับซื้อของเก่า
📅 วันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2543 เป็นวันที่สร้างความตื่นตระหนก ให้กับประเทศไทย เมื่อเกิดอุบัติเหตุรังสีรั่วไหล จากสารโคบอลต์-60 ที่สมุทรปราการ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 3 ราย และบาดเจ็บอีก 7 ราย หลายคนได้รับผลกระทบ จากรังสีแกมมาที่ร้ายแรงที่สุด ครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของประเทศ
แม้เหตุการณ์นี้จะผ่านมา 25 ปี แต่ยังเป็นบทเรียนสำคัญ เกี่ยวกับความปลอดภัยในการจัดเก็บ และกำจัดสารกัมมันตรังสี 🛑
🔥 จุดเริ่มต้นของหายนะ สารรังสีหลุดจากการควบคุม
เหตุการณ์เริ่มต้นจากการที่ บริษัทกมลสุโกศล อิเล็คทริค จำกัด ได้รับซื้อเครื่องฉายรังสี "โคบอลต์-60" ที่หมดอายุ จากโรงพยาบาลรามาธิบดี เมื่อปี 2537 โดยเก็บไว้ที่โกดังของบริษัท
ต่อมาในปี 2542 บริษัทได้เคลื่อนย้ายเครื่องฉายรังสี ไปยังลานจอดรถร้าง ย่านซอยอ่อนนุช กรุงเทพฯ โดยไม่มีมาตรการ รักษาความปลอดภัยอย่างเพียงพอ 😱
นี่กลายเป็นช่องโหว่สำคัญ ที่ทำให้มีคนลักลอบ นำเครื่องฉายรังสีไปขายเป็นเศษเหล็ก โดยไม่รู้ว่าภายในนั้นมี "โคบอลต์-60" ซึ่งเป็นสารกัมมันตรังสี ที่สามารถปล่อยรังสีแกมมา ในระดับอันตราย 🚨
🚨 เส้นทางของสารกัมมันตรังสี จากซาเล้งสู่ร้านรับซื้อของเก่า
🛒 24 มกราคม 2543 นายจิตรเสน จันทร์สาขา ซึ่งมีอาชีพเก็บของเก่า ได้รับซื้อเศษเหล็กปริศนา มาจากกลุ่มที่ลักลอบนำไปขาย
📍 1 กุมภาพันธ์ 2543 นายจิตรเสนนำชิ้นส่วนโลหะ ไปขายให้ ร้านรับซื้อของเก่า "สมจิตร" ในซอยวัดมหาวงษ์ ตำบลสำโรง อำเภอพระประแดง สมุทรปราการ
🔧 ขณะที่พยายามตัดแยกชิ้นส่วน ลูกจ้าง 2 คนของร้านรับซื้อของเก่า ใช้เครื่องตัดเหล็กแบบแก๊ส ผ่าออก พบแท่งโลหะ 2 ชิ้น และมีควันสีเหลือง ที่มีกลิ่นเหม็นออกมา โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือ สารกัมมันตรังสี ที่เป็นอันตรายถึงชีวิต! ☢️
☢️ ผลกระทบจากรังสี โรครังสีเฉียบพลัน
🔬 15-17 กุมภาพันธ์ 2543 ผู้ที่สัมผัสรังสีเริ่มมีอาการรุนแรง เช่น
✅ อ่อนเพลีย
✅ มือบวมพอง
✅ แผลไหม้พุพอง
✅ เม็ดเลือดขาวต่ำ
✅ ผมร่วง
18 กุมภาพันธ์ 2543 เมื่อแพทย์พบว่า ผู้ป่วยทั้งหมดมีอาการคล้ายกัน จึงสันนิษฐานว่า น่าจะเกิดจากการได้รับรังสีรุนแรง และแจ้งไปยัง สำนักงานพลังงานปรมาณูเพื่อสันติ (พปส.)
🏥 การเสียชีวิตจากรังสีแกมมา
📅 9 มีนาคม 2543 นายนิพนธ์ พันธุ์ขันธ์ ลูกจ้างร้านรับซื้อของเก่า เสียชีวิตเป็นรายแรก จากการติดเชื้อในกระแสเลือด เนื่องจากเม็ดเลือดขาว ถูกทำลายจากรังสี
📅 18 มีนาคม 2543 นายสุดใจ ใจเร็ว ลูกจ้างอีกคน เสียชีวิตจากภาวะเดียวกัน
📅 24 มีนาคม 2543 สามีของนางสมจิตร เจ้าของร้านรับซื้อของเก่า เสียชีวิตเป็นรายที่ 3
📌 แม้นายจิตรเสน จะรอดชีวิตมาได้ แต่ต้องเข้ารับการรักษาตัวในไอซียู และถูกตัดนิ้วมือ ที่ได้รับรังสีสูง
นอกจากนี้ หญิงตั้งครรภ์รายหนึ่งที่ได้รับรังสี ต้องทำแท้ง เนื่องจากความเสี่ยงที่รังสี จะส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์
⚖️ คดีความ
ประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ได้รวมตัวกันฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย จากรัฐและเอกชน
📌 คดีศาลปกครอง ศาลสูงสุดพิพากษา ให้สำนักงานพลังงานปรมาณูเพื่อสันติ (พปส.) จ่ายค่าสินไหมทดแทน 5.2 ล้านบาท
📌 คดีศาลแพ่ง ศาลฎีกาพิพากษาให้ บริษัทกมลสุโกศล อิเล็คทริค จำกัด จ่ายค่าเสียหาย 529,276 บาท
แต่ท้ายที่สุด บริษัทไม่ได้รับผิดชอบต่อประชาชน ตามที่กล่าวอ้าง
❗ บทเรียนจากโศกนาฏกรรม
🔹 การขาดมาตรการจัดเก็บที่ปลอดภัย ทำให้สารกัมมันตรังสี รั่วไหลออกจากการควบคุม
🔹 การขาดความรู้ของประชาชน ทำให้มีคนสัมผัสสารรังสีโดยไม่รู้ตัว
🔹 ความล่าช้าในการจัดการของรัฐ ทำให้เกิดผลกระทบรุนแรง
แม้ว่าประเทศไทยจะมี สำนักงานพลังงานปรมาณูเพื่อสันติ เป็นหน่วยงานกำกับดูแล แต่การขาดการบังคับใช้กฎหมาย อย่างเคร่งครัด ทำให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น
📌 เหตุการณ์ที่ไม่ควรเกิดขึ้นอีก
25 ปีผ่านไป เหตุการณ์ โคบอลต์-60 รั่วไหล ยังคงเป็นบทเรียนสำคัญ ที่แสดงให้เห็นว่า ความประมาท และการละเลยมาตรฐานความปลอดภัย ด้านกัมมันตรังสี อาจนำไปสู่หายนะร้ายแรง
📢 มาตรการป้องกันที่ควรมี
✅ การจัดเก็บสารกัมมันตรังสี ให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล
✅ การตรวจสอบของหน่วยงานรัฐ ที่เคร่งครัด
✅ การให้ความรู้เกี่ยวกับ อันตรายของสารรังสีแก่ประชาชน
✅ การจัดการกากกัมมันตรังสีที่ถูกต้อง
หากไม่มีการปฏิบัติตามมาตรการเหล่านี้ อุบัติเหตุจากรังสี อาจเกิดขึ้นซ้ำได้ทุกเมื่อ ☢️
📢 คำถามที่พบบ่อย (FAQs)
1. โคบอลต์-60 คืออะไร?
โคบอลต์-60 เป็นสารกัมมันตรังสี ที่ใช้ในทางการแพทย์ และอุตสาหกรรม แต่สามารถปล่อยรังสีแกมมา ที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์
2. รังสีแกมมา ทำอันตรายต่อร่างกายอย่างไร?
รังสีแกมมา สามารถทำลายเซลล์ในร่างกาย ส่งผลให้เกิดมะเร็ง ภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำ ผิวหนังไหม้ และอวัยวะล้มเหลว
3. เหตุการณ์นี้ส่งผลกระทบ ต่อกฎหมายไทยอย่างไร?
เหตุการณ์นี้ นำไปสู่การปรับปรุง มาตรการควบคุมสารกัมมันตรังสี ให้เข้มงวดมากขึ้น แต่ยังมีข้อบกพร่อง ในการบังคับใช้
4. ประเทศไทยมีมาตรการป้องกัน อุบัติเหตุรังสีหรือไม่?
มีสำนักงานพลังงานปรมาณูเพื่อสันติ (พปส.) กำกับดูแล แต่การบังคับใช้กฎหมาย ยังขาดความเข้มงวด
ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 181220 ก.พ. 2568
#️⃣ #โคบอลต์60 #สมุทรปราการ #รังสีรั่วไหล #ภัยรังสี #ความปลอดภัย #พลังงานปรมาณู #อันตรายจากรังสี #รังสีแกมมา #ข่าวดัง #บทเรียนจากอดีต 🚨25 ปี "โคบอลต์-60" รั่วไหล สมุทรปราการผวา รังสีที่คร่าชีวิต 3 ศพ เจ็บ 7 ราย หายนะร้านรับซื้อของเก่า 📅 วันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2543 เป็นวันที่สร้างความตื่นตระหนก ให้กับประเทศไทย เมื่อเกิดอุบัติเหตุรังสีรั่วไหล จากสารโคบอลต์-60 ที่สมุทรปราการ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 3 ราย และบาดเจ็บอีก 7 ราย หลายคนได้รับผลกระทบ จากรังสีแกมมาที่ร้ายแรงที่สุด ครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของประเทศ แม้เหตุการณ์นี้จะผ่านมา 25 ปี แต่ยังเป็นบทเรียนสำคัญ เกี่ยวกับความปลอดภัยในการจัดเก็บ และกำจัดสารกัมมันตรังสี 🛑 🔥 จุดเริ่มต้นของหายนะ สารรังสีหลุดจากการควบคุม เหตุการณ์เริ่มต้นจากการที่ บริษัทกมลสุโกศล อิเล็คทริค จำกัด ได้รับซื้อเครื่องฉายรังสี "โคบอลต์-60" ที่หมดอายุ จากโรงพยาบาลรามาธิบดี เมื่อปี 2537 โดยเก็บไว้ที่โกดังของบริษัท ต่อมาในปี 2542 บริษัทได้เคลื่อนย้ายเครื่องฉายรังสี ไปยังลานจอดรถร้าง ย่านซอยอ่อนนุช กรุงเทพฯ โดยไม่มีมาตรการ รักษาความปลอดภัยอย่างเพียงพอ 😱 นี่กลายเป็นช่องโหว่สำคัญ ที่ทำให้มีคนลักลอบ นำเครื่องฉายรังสีไปขายเป็นเศษเหล็ก โดยไม่รู้ว่าภายในนั้นมี "โคบอลต์-60" ซึ่งเป็นสารกัมมันตรังสี ที่สามารถปล่อยรังสีแกมมา ในระดับอันตราย 🚨 🚨 เส้นทางของสารกัมมันตรังสี จากซาเล้งสู่ร้านรับซื้อของเก่า 🛒 24 มกราคม 2543 นายจิตรเสน จันทร์สาขา ซึ่งมีอาชีพเก็บของเก่า ได้รับซื้อเศษเหล็กปริศนา มาจากกลุ่มที่ลักลอบนำไปขาย 📍 1 กุมภาพันธ์ 2543 นายจิตรเสนนำชิ้นส่วนโลหะ ไปขายให้ ร้านรับซื้อของเก่า "สมจิตร" ในซอยวัดมหาวงษ์ ตำบลสำโรง อำเภอพระประแดง สมุทรปราการ 🔧 ขณะที่พยายามตัดแยกชิ้นส่วน ลูกจ้าง 2 คนของร้านรับซื้อของเก่า ใช้เครื่องตัดเหล็กแบบแก๊ส ผ่าออก พบแท่งโลหะ 2 ชิ้น และมีควันสีเหลือง ที่มีกลิ่นเหม็นออกมา โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือ สารกัมมันตรังสี ที่เป็นอันตรายถึงชีวิต! ☢️ ☢️ ผลกระทบจากรังสี โรครังสีเฉียบพลัน 🔬 15-17 กุมภาพันธ์ 2543 ผู้ที่สัมผัสรังสีเริ่มมีอาการรุนแรง เช่น ✅ อ่อนเพลีย ✅ มือบวมพอง ✅ แผลไหม้พุพอง ✅ เม็ดเลือดขาวต่ำ ✅ ผมร่วง 18 กุมภาพันธ์ 2543 เมื่อแพทย์พบว่า ผู้ป่วยทั้งหมดมีอาการคล้ายกัน จึงสันนิษฐานว่า น่าจะเกิดจากการได้รับรังสีรุนแรง และแจ้งไปยัง สำนักงานพลังงานปรมาณูเพื่อสันติ (พปส.) 🏥 การเสียชีวิตจากรังสีแกมมา 📅 9 มีนาคม 2543 นายนิพนธ์ พันธุ์ขันธ์ ลูกจ้างร้านรับซื้อของเก่า เสียชีวิตเป็นรายแรก จากการติดเชื้อในกระแสเลือด เนื่องจากเม็ดเลือดขาว ถูกทำลายจากรังสี 📅 18 มีนาคม 2543 นายสุดใจ ใจเร็ว ลูกจ้างอีกคน เสียชีวิตจากภาวะเดียวกัน 📅 24 มีนาคม 2543 สามีของนางสมจิตร เจ้าของร้านรับซื้อของเก่า เสียชีวิตเป็นรายที่ 3 📌 แม้นายจิตรเสน จะรอดชีวิตมาได้ แต่ต้องเข้ารับการรักษาตัวในไอซียู และถูกตัดนิ้วมือ ที่ได้รับรังสีสูง นอกจากนี้ หญิงตั้งครรภ์รายหนึ่งที่ได้รับรังสี ต้องทำแท้ง เนื่องจากความเสี่ยงที่รังสี จะส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์ ⚖️ คดีความ ประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ได้รวมตัวกันฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย จากรัฐและเอกชน 📌 คดีศาลปกครอง ศาลสูงสุดพิพากษา ให้สำนักงานพลังงานปรมาณูเพื่อสันติ (พปส.) จ่ายค่าสินไหมทดแทน 5.2 ล้านบาท 📌 คดีศาลแพ่ง ศาลฎีกาพิพากษาให้ บริษัทกมลสุโกศล อิเล็คทริค จำกัด จ่ายค่าเสียหาย 529,276 บาท แต่ท้ายที่สุด บริษัทไม่ได้รับผิดชอบต่อประชาชน ตามที่กล่าวอ้าง ❗ บทเรียนจากโศกนาฏกรรม 🔹 การขาดมาตรการจัดเก็บที่ปลอดภัย ทำให้สารกัมมันตรังสี รั่วไหลออกจากการควบคุม 🔹 การขาดความรู้ของประชาชน ทำให้มีคนสัมผัสสารรังสีโดยไม่รู้ตัว 🔹 ความล่าช้าในการจัดการของรัฐ ทำให้เกิดผลกระทบรุนแรง แม้ว่าประเทศไทยจะมี สำนักงานพลังงานปรมาณูเพื่อสันติ เป็นหน่วยงานกำกับดูแล แต่การขาดการบังคับใช้กฎหมาย อย่างเคร่งครัด ทำให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น 📌 เหตุการณ์ที่ไม่ควรเกิดขึ้นอีก 25 ปีผ่านไป เหตุการณ์ โคบอลต์-60 รั่วไหล ยังคงเป็นบทเรียนสำคัญ ที่แสดงให้เห็นว่า ความประมาท และการละเลยมาตรฐานความปลอดภัย ด้านกัมมันตรังสี อาจนำไปสู่หายนะร้ายแรง 📢 มาตรการป้องกันที่ควรมี ✅ การจัดเก็บสารกัมมันตรังสี ให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล ✅ การตรวจสอบของหน่วยงานรัฐ ที่เคร่งครัด ✅ การให้ความรู้เกี่ยวกับ อันตรายของสารรังสีแก่ประชาชน ✅ การจัดการกากกัมมันตรังสีที่ถูกต้อง หากไม่มีการปฏิบัติตามมาตรการเหล่านี้ อุบัติเหตุจากรังสี อาจเกิดขึ้นซ้ำได้ทุกเมื่อ ☢️ 📢 คำถามที่พบบ่อย (FAQs) 1. โคบอลต์-60 คืออะไร? โคบอลต์-60 เป็นสารกัมมันตรังสี ที่ใช้ในทางการแพทย์ และอุตสาหกรรม แต่สามารถปล่อยรังสีแกมมา ที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ 2. รังสีแกมมา ทำอันตรายต่อร่างกายอย่างไร? รังสีแกมมา สามารถทำลายเซลล์ในร่างกาย ส่งผลให้เกิดมะเร็ง ภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำ ผิวหนังไหม้ และอวัยวะล้มเหลว 3. เหตุการณ์นี้ส่งผลกระทบ ต่อกฎหมายไทยอย่างไร? เหตุการณ์นี้ นำไปสู่การปรับปรุง มาตรการควบคุมสารกัมมันตรังสี ให้เข้มงวดมากขึ้น แต่ยังมีข้อบกพร่อง ในการบังคับใช้ 4. ประเทศไทยมีมาตรการป้องกัน อุบัติเหตุรังสีหรือไม่? มีสำนักงานพลังงานปรมาณูเพื่อสันติ (พปส.) กำกับดูแล แต่การบังคับใช้กฎหมาย ยังขาดความเข้มงวด ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 181220 ก.พ. 2568 #️⃣ #โคบอลต์60 #สมุทรปราการ #รังสีรั่วไหล #ภัยรังสี #ความปลอดภัย #พลังงานปรมาณู #อันตรายจากรังสี #รังสีแกมมา #ข่าวดัง #บทเรียนจากอดีต 🚨0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 109 มุมมอง 0 รีวิว - 70 ปี ยิงเป้าสามมหาดเล็ก พัวพันคดีสวรรคต ร.8 ทฤษฎีสมคบคิดปริศนา ลอบปลงพระชนม์ หรืออัตวินิบาตกรรม?
ปริศนาที่ยังไร้คำตอบ เมื่อพูดถึงหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญ ทางประวัติศาสตร์ไทย ที่ยังคงเป็นปริศนา และข้อถกเถียงมาจนถึงทุกวันนี้ "คดีสวรรคต รัชกาลที่ 8" คือหนึ่งในคดี ที่เต็มไปด้วยเงื่อนงำ ทฤษฎีสมคบคิด และข้อสงสัยมากมาย
ย้อนกลับไปเมื่อ 70 ปี ที่ผ่านมา ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2498 ณ เรือนจำกลางบางขวาง สามมหาดเล็กในพระองค์ ได้แก่ นายเฉลียว ปทุมรส, นายชิต สิงหเสนี และนายบุศย์ ปัทมศริน ถูกนำตัวเข้าสู่ลานประหาร และถูกยิงเป้าด้วยปืนกล ตามคำพิพากษาของศาลฎีกา ฐานพัวพันกับการสวรรคต ของ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทร มหาอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489
แต่คำถามสำคัญ ที่ยังคงค้างคาใจหลายคนก็คือ คดีนี้จบลงแล้วจริงหรือ? และสามมหาดเล็ก ที่ถูกประหารชีวิตเป็น "แพะรับบาป" หรือไม่?
ปูมหลังคดีสวรรคต ในหลวงรัชกาลที่ 8
9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 วันแห่งโศกนาฏกรรม
ช่วงสายวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เสด็จสวรรคตด้วยพระแสงปืน ภายในห้องพระบรรทม พระที่นั่งบรมพิมาน พระบรมมหาราชวัง
🔎 ลักษณะพระบรมศพ
มีบาดแผล กลางพระนลาฏ หรือหน้าผาก ทะลุผ่านพระปฤษฎางค์ หรือท้ายทอย ข้างพระบรมศพพบ ปืนพกสั้น โคลต์ .45 ตกอยู่ ด้ามปืนหันออกจากพระวรกาย
💡 คำถามที่เกิดขึ้น
เป็นอุบัติเหตุ หรือการลอบปลงพระชนม์?
หากเป็นอัตวินิบาตกรรม เหตุใดจึงมีบาดแผล กระสุนทะลุจากหน้าผากไปท้ายทอย ซึ่งขัดแย้งกับ กลไกการยิงตัวตาย ตามธรรมชาติ?
มหาดเล็กทั้งสามนาย จากข้าราชการใกล้ชิด สู่จำเลยประหารชีวิต
หลังจากเกิดเหตุการณ์ไม่นาน รัฐบาลได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวน ซึ่งในช่วงแรก ไม่มีใครถูกกล่าวหา แต่เมื่อเกิดการรัฐประหารในปี พ.ศ. 2490 คดีได้ถูกพลิกกลับ โดยบุคคลที่ตกเป็นเป้าหมาย ถูกดำเนินคดีในข้อหาสมรู้ร่วมคิด
1. นายเฉลียว ปทุมรส
อดีตมหาดเล็ก และราชเลขานุการในพระองค์ รัชกาลที่ 8 สมาชิกคณะราษฎรสายพลเรือน ถูกกล่าวหาว่า เป็นผู้อยู่เบื้องหลังแผนลอบปลงพระชนม์ ถูกศาลฎีกาพิพากษา ตัดสินประหารชีวิต
2. นายชิต สิงหเสนี มหาดเล็กห้องพระบรรทม
อยู่ในพระที่นั่งบรมพิมานในวันเกิดเหตุ ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนรู้เห็นกับเหตุการณ์ และถูกศาลฎีกา พิพากษายืน ประหารชีวิตตามศาลอุทธรณ์
3. นายบุศย์ ปัทมศริน มหาดเล็กห้องพระบรรทมอีกคนหนึ่ง
เป็นหนึ่งในบุคคลสุดท้าย ที่เห็นในหลวงรัชกาลที่ 8 ก่อนสวรรคต ถูกกล่าวหาว่า มีส่วนเกี่ยวข้องในการปลงพระชนม์ และถูกศาลฎีกา พิกากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ตัดสินประหารชีวิต
💭 ข้อโต้แย้ง
มหาดเล็กทั้งสามนาย ยืนยันว่าตนเองบริสุทธิ์ จนถึงวินาทีสุดท้าย ไม่มีหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ชัดเจน ที่เชื่อมโยงกับเหตุการณ์
ศาลฎีกาตัดสิน คำพิพากษาที่นำไปสู่ลานประหาร
หลังการสอบสวน คดีนี้ผ่านการพิจารณาของ ศาล 3 ระดับ
- ศาลชั้นต้น พิพากษาประหารชีวิต ทั้งสามคน
- ศาลอุทธรณ์ ยืนยันคำพิพากษาเดิม
- ศาลฎีกา พิพากษายืน ตามคำตัดสินเดิม
17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2498 วันที่สามมหาดเล็ก ถูกยิงเป้าด้วยปืนกล
⏰ 02.00 น. อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา
⏰ 02.20 น. นายเฉลียว ถูกประหาร
⏰ 02.40 น. นายชิต ถูกประหาร
⏰ 03.00 น. นายบุศย์ ถูกประหาร
หลังจากการยิงเป้าประหารชีวิต ศพนักโทษทั้ง 3 ราย ถูกใส่ในช่องเก็บศพ เเล้วนำร่างออกจากประตูเเดง หรือประตูผีของวัดบางแพรกใต้ ในวันรุ่งขึ้น
👀 ความน่าสงสัย
- คำร้องขออภัยโทษถูก "ยกฎีกา" อย่างกะทันหัน
- ไม่มีการสืบสวนใหม่ แม้จะมีหลักฐานที่อาจเปลี่ยนคดี
ทฤษฎีสมคบคิด ใครคือผู้ต้องสงสัยที่แท้จริง?
แม้ว่าศาลจะตัดสินประหารชีวิต สามมหาดเล็กไปแล้ว แต่ปริศนาการสวรรคต ยังคงเป็นหัวข้อ ที่ถูกตั้งคำถามอยู่ตลอด
🕵️♂️ ทฤษฎี "อุบัติเหตุ"
ในหลวงรัชกาลที่ 8 อาจทรงทำปืนลั่นเองขณะถือปืน
มีหลักฐานว่า พระองค์ทรงสนใจปืน และเคยมีอุบัติเหตุปืนลั่นมาก่อน
🔴 ข้อโต้แย้ง
ตำแหน่งบาดแผล ไม่สอดคล้องกับอุบัติเหตุ จากการยิงตัวเอง
🏴☠️ ทฤษฎี "ลอบปลงพระชนม์"
มีการตั้งข้อสงสัยว่า ฝ่ายการเมืองบางกลุ่ม อาจอยู่เบื้องหลัง
ขณะนั้นมีความขัดแย้งทางการเมือง ระหว่างกลุ่มนิยมเจ้า กับคณะราษฎร
🔴 ข้อโต้แย้ง
ไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนว่า ใครเป็นผู้ลงมือ
🤔 ทฤษฎี "แพะรับบาป"
สามมหาดเล็ก อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือ ในการปกปิดความจริง
หลักฐานหลายอย่างถูกทำลาย หรือไม่ถูกเปิดเผย
คดีปริศนาที่ยังไร้คำตอบ
แม้เวลาจะผ่านไปกว่า 70 ปี แต่คดีสวรรคตของในหลวงรัชกาลที่ 8 ยังคงเป็นที่ถกเถียงกัน อย่างกว้างขวาง ข้อมูลที่มีอยู่ ยังไม่สามารถสรุปได้อย่างชัดเจน ว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างไร และใครคือผู้กระทำผิดตัวจริง
⏳ คำถามที่ยังไร้คำตอบ 🔥
- ในหลวงรัชกาลที่ 8 ทรงกระทำอัตวินิบาตกรรม หรือถูกลอบปลงพระชนม์?
- สามมหาดเล็กที่ถูกประหาร เป็นแพะรับบาปหรือไม่?
ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 171005 ก.พ. 2568
#คดีสวรรคต #รัชกาลที่8 #70ปีปริศนา #สมคบคิด #ลับลวงพราง #ประวัติศาสตร์ไทย #คดีสะเทือนขวัญ #ยิงเป้าสามมหาดเล็ก #ThailandMystery #HistoryUnsolved70 ปี ยิงเป้าสามมหาดเล็ก พัวพันคดีสวรรคต ร.8 ทฤษฎีสมคบคิดปริศนา ลอบปลงพระชนม์ หรืออัตวินิบาตกรรม? ปริศนาที่ยังไร้คำตอบ เมื่อพูดถึงหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญ ทางประวัติศาสตร์ไทย ที่ยังคงเป็นปริศนา และข้อถกเถียงมาจนถึงทุกวันนี้ "คดีสวรรคต รัชกาลที่ 8" คือหนึ่งในคดี ที่เต็มไปด้วยเงื่อนงำ ทฤษฎีสมคบคิด และข้อสงสัยมากมาย ย้อนกลับไปเมื่อ 70 ปี ที่ผ่านมา ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2498 ณ เรือนจำกลางบางขวาง สามมหาดเล็กในพระองค์ ได้แก่ นายเฉลียว ปทุมรส, นายชิต สิงหเสนี และนายบุศย์ ปัทมศริน ถูกนำตัวเข้าสู่ลานประหาร และถูกยิงเป้าด้วยปืนกล ตามคำพิพากษาของศาลฎีกา ฐานพัวพันกับการสวรรคต ของ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทร มหาอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 แต่คำถามสำคัญ ที่ยังคงค้างคาใจหลายคนก็คือ คดีนี้จบลงแล้วจริงหรือ? และสามมหาดเล็ก ที่ถูกประหารชีวิตเป็น "แพะรับบาป" หรือไม่? ปูมหลังคดีสวรรคต ในหลวงรัชกาลที่ 8 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 วันแห่งโศกนาฏกรรม ช่วงสายวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เสด็จสวรรคตด้วยพระแสงปืน ภายในห้องพระบรรทม พระที่นั่งบรมพิมาน พระบรมมหาราชวัง 🔎 ลักษณะพระบรมศพ มีบาดแผล กลางพระนลาฏ หรือหน้าผาก ทะลุผ่านพระปฤษฎางค์ หรือท้ายทอย ข้างพระบรมศพพบ ปืนพกสั้น โคลต์ .45 ตกอยู่ ด้ามปืนหันออกจากพระวรกาย 💡 คำถามที่เกิดขึ้น เป็นอุบัติเหตุ หรือการลอบปลงพระชนม์? หากเป็นอัตวินิบาตกรรม เหตุใดจึงมีบาดแผล กระสุนทะลุจากหน้าผากไปท้ายทอย ซึ่งขัดแย้งกับ กลไกการยิงตัวตาย ตามธรรมชาติ? มหาดเล็กทั้งสามนาย จากข้าราชการใกล้ชิด สู่จำเลยประหารชีวิต หลังจากเกิดเหตุการณ์ไม่นาน รัฐบาลได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวน ซึ่งในช่วงแรก ไม่มีใครถูกกล่าวหา แต่เมื่อเกิดการรัฐประหารในปี พ.ศ. 2490 คดีได้ถูกพลิกกลับ โดยบุคคลที่ตกเป็นเป้าหมาย ถูกดำเนินคดีในข้อหาสมรู้ร่วมคิด 1. นายเฉลียว ปทุมรส อดีตมหาดเล็ก และราชเลขานุการในพระองค์ รัชกาลที่ 8 สมาชิกคณะราษฎรสายพลเรือน ถูกกล่าวหาว่า เป็นผู้อยู่เบื้องหลังแผนลอบปลงพระชนม์ ถูกศาลฎีกาพิพากษา ตัดสินประหารชีวิต 2. นายชิต สิงหเสนี มหาดเล็กห้องพระบรรทม อยู่ในพระที่นั่งบรมพิมานในวันเกิดเหตุ ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนรู้เห็นกับเหตุการณ์ และถูกศาลฎีกา พิพากษายืน ประหารชีวิตตามศาลอุทธรณ์ 3. นายบุศย์ ปัทมศริน มหาดเล็กห้องพระบรรทมอีกคนหนึ่ง เป็นหนึ่งในบุคคลสุดท้าย ที่เห็นในหลวงรัชกาลที่ 8 ก่อนสวรรคต ถูกกล่าวหาว่า มีส่วนเกี่ยวข้องในการปลงพระชนม์ และถูกศาลฎีกา พิกากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ตัดสินประหารชีวิต 💭 ข้อโต้แย้ง มหาดเล็กทั้งสามนาย ยืนยันว่าตนเองบริสุทธิ์ จนถึงวินาทีสุดท้าย ไม่มีหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ชัดเจน ที่เชื่อมโยงกับเหตุการณ์ ศาลฎีกาตัดสิน คำพิพากษาที่นำไปสู่ลานประหาร หลังการสอบสวน คดีนี้ผ่านการพิจารณาของ ศาล 3 ระดับ - ศาลชั้นต้น พิพากษาประหารชีวิต ทั้งสามคน - ศาลอุทธรณ์ ยืนยันคำพิพากษาเดิม - ศาลฎีกา พิพากษายืน ตามคำตัดสินเดิม 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2498 วันที่สามมหาดเล็ก ถูกยิงเป้าด้วยปืนกล ⏰ 02.00 น. อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ⏰ 02.20 น. นายเฉลียว ถูกประหาร ⏰ 02.40 น. นายชิต ถูกประหาร ⏰ 03.00 น. นายบุศย์ ถูกประหาร หลังจากการยิงเป้าประหารชีวิต ศพนักโทษทั้ง 3 ราย ถูกใส่ในช่องเก็บศพ เเล้วนำร่างออกจากประตูเเดง หรือประตูผีของวัดบางแพรกใต้ ในวันรุ่งขึ้น 👀 ความน่าสงสัย - คำร้องขออภัยโทษถูก "ยกฎีกา" อย่างกะทันหัน - ไม่มีการสืบสวนใหม่ แม้จะมีหลักฐานที่อาจเปลี่ยนคดี ทฤษฎีสมคบคิด ใครคือผู้ต้องสงสัยที่แท้จริง? แม้ว่าศาลจะตัดสินประหารชีวิต สามมหาดเล็กไปแล้ว แต่ปริศนาการสวรรคต ยังคงเป็นหัวข้อ ที่ถูกตั้งคำถามอยู่ตลอด 🕵️♂️ ทฤษฎี "อุบัติเหตุ" ในหลวงรัชกาลที่ 8 อาจทรงทำปืนลั่นเองขณะถือปืน มีหลักฐานว่า พระองค์ทรงสนใจปืน และเคยมีอุบัติเหตุปืนลั่นมาก่อน 🔴 ข้อโต้แย้ง ตำแหน่งบาดแผล ไม่สอดคล้องกับอุบัติเหตุ จากการยิงตัวเอง 🏴☠️ ทฤษฎี "ลอบปลงพระชนม์" มีการตั้งข้อสงสัยว่า ฝ่ายการเมืองบางกลุ่ม อาจอยู่เบื้องหลัง ขณะนั้นมีความขัดแย้งทางการเมือง ระหว่างกลุ่มนิยมเจ้า กับคณะราษฎร 🔴 ข้อโต้แย้ง ไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนว่า ใครเป็นผู้ลงมือ 🤔 ทฤษฎี "แพะรับบาป" สามมหาดเล็ก อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือ ในการปกปิดความจริง หลักฐานหลายอย่างถูกทำลาย หรือไม่ถูกเปิดเผย คดีปริศนาที่ยังไร้คำตอบ แม้เวลาจะผ่านไปกว่า 70 ปี แต่คดีสวรรคตของในหลวงรัชกาลที่ 8 ยังคงเป็นที่ถกเถียงกัน อย่างกว้างขวาง ข้อมูลที่มีอยู่ ยังไม่สามารถสรุปได้อย่างชัดเจน ว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างไร และใครคือผู้กระทำผิดตัวจริง ⏳ คำถามที่ยังไร้คำตอบ 🔥 - ในหลวงรัชกาลที่ 8 ทรงกระทำอัตวินิบาตกรรม หรือถูกลอบปลงพระชนม์? - สามมหาดเล็กที่ถูกประหาร เป็นแพะรับบาปหรือไม่? ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 171005 ก.พ. 2568 #คดีสวรรคต #รัชกาลที่8 #70ปีปริศนา #สมคบคิด #ลับลวงพราง #ประวัติศาสตร์ไทย #คดีสะเทือนขวัญ #ยิงเป้าสามมหาดเล็ก #ThailandMystery #HistoryUnsolved0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 188 มุมมอง 0 รีวิว - 77 ปี จับ “หะยีสุหลง” จากโต๊ะอิหม่าม นักเคลื่อนไหว ปลายด้ามขวาน สู่สี่ชีวิตถูกอุ้มฆ่า ถ่วงทะเลสาบสงขลา
📅 ย้อนไปเมื่อ 77 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2491 วันที่ชื่อของ "หะยีสุหลง โต๊ะมีนา" ถูกจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ไทย ในฐานะนักเคลื่อนไหว เพื่อสิทธิของชาวมลายูมุสลิม ในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทว่าการต่อสู้เพื่อความยุติธรรม และสิทธิของประชาชนของเหะยีสุหลง กลับจบลงอย่างโศกนาฏกรรม
หะยีสุหลงพร้อมกับผู้ติดตามอีก 3 คน หายตัวไปหลังจากเดินทางไปยัง กองบัญชาการตำรวจสันติบาล จังหวัดสงขลา ก่อนถูกสังหาร และถ่วงน้ำในทะเลสาบสงขลา เหตุการณ์นี้กลายเป็น หนึ่งในกรณีการอุ้มฆ่าทางการเมือง ที่สำคัญที่สุดของไทย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความขัดแย้ง ระหว่างอำนาจรัฐ กับกลุ่มชนพื้นเมืองในภาคใต้
🔍 "หะยีสุหลง บิน อับดุลกาเคร์ ฒูฮัมมัด เอล ฟาโทนิ" หรือที่รู้จักในนาม "หะยีสุหลง" เป็นผู้นำศาสนาและนักเคลื่อนไหวทางสังคม ของชาวมลายูมุสลิม ในภาคใต้ของไทย เป็นประธานกรรมการอิสลามจังหวัดปัตตานี และเป็นบุคคลสำคัญ ในการเรียกร้องให้รัฐไทย ให้ความเป็นธรรมแก่ชาวมุสลิมใน 4 จังหวัดภาคใต้
📌 ภารกิจของหะยีสุหลง
✅ ปรับปรุงระบบการศึกษา โดยก่อตั้ง "ปอเนาะ" หรือโรงเรียนสอนศาสนาอิสลามแห่งแรก
✅ ส่งเสริมศาสนาอิสลามที่ถูกต้อง ต่อต้านความเชื่อที่ขัดกับหลักศาสนา
✅ เรียกร้องสิทธิและความเป็นธรรม ให้ชาวมลายูมุสลิม ภายใต้กรอบของรัฐไทย
แต่... เส้นทางการต่อสู้ กลับนำไปสู่ความขัดแย้งกับรัฐบาลไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากที่หะยีสุหลงเสนอ "7 ข้อเรียกร้อง" ต่อรัฐบาลไทย
📜 7 ข้อเรียกร้องของหะยีสุหลง พ.ศ. 2490
ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2490 หะยีสุหลงได้เสนอข้อเรียกร้อง 7 ประการต่อ พลเรือตรีถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ซึ่งเป็นข้อเสนอ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม แก่ประชาชนมุสลิม ในภาคใต้
📝 รายละเอียดของ 7 ข้อเรียกร้อง
1. ให้แต่งตั้งผู้ว่าราชการ ที่เป็นชาวมลายูมุสลิม และมาจากการเลือกตั้ง
2. ข้าราชการในพื้นที่ ต้องเป็นมุสลิมอย่างน้อย 80%
3. ให้ใช้ภาษามลายูและภาษาไทย เป็นภาษาราชการ
4. ให้ภาษามลายูเป็นภาษากลาง ในโรงเรียนระดับประถมศึกษา
5. ให้ใช้กฎหมายอิสลาม ในการพิจารณาคดีของศาลศาสนา
6. รายได้จากภาษีใน 4 จังหวัด ต้องถูกใช้ในพื้นที่นั้น
7. ให้จัดตั้งคณะกรรมการมุสลิม เพื่อดูแลกิจการของชาวมุสลิม
💡 แต่กลับเกิดผลกระทบ เนื่องจากข้อเรียกร้องนี้ถูกมองว่า เป็นการพยายามแบ่งแยกดินแดน นำไปสู่การจับกุม และกล่าวหาหะยีสุหลงว่าเป็น "กบฏ"
⚖️ หลังการรัฐประหารในวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 ซึ่งเปลี่ยนแปลงรัฐบาล มาเป็นฝ่ายของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม แนวคิด "7 ข้อเรียกร้อง" ของหะยีสุหลง ถูกตีความว่า เป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐ
📅 เหตุการณ์สำคัญ
16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2491 → หะยีสุหลงถูกจับกุมที่ปัตตานี
30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2493 → ศาลฎีกาตัดสินจำคุก 4 ปี 8 เดือน ในข้อหาปลุกระดม ให้ประชาชนต่อต้านรัฐ
หลังจากพ้นโทษ หะยีสุหลงยังคงถูกจับตามอง และเผชิญกับการคุกคามจากฝ่ายรัฐ จนนำไปสู่เหตุการณ์ "การอุ้มหาย" ที่สร้างความตื่นตัวในสังคม
🚨 การอุ้มหายและสังหาร 13 สิงหาคม พ.ศ. 2497
หลังจากได้รับคำสั่ง ให้เข้าพบเจ้าหน้าที่ตำรวจที่สงขลา หะยีสุหลงพร้อมลูกชายวัย 15 ปี ซึ่งเป็นล่าม และพรรคพวกอีก 2 คน ได้เดินทางไปยัง สำนักงานตำรวจสันติบาลจังหวัดสงชลา
❌ แล้วพวกเขาก็หายตัวไป...
หลักฐานทางประวัติศาสตร์ระบุว่า พวกเขาถูกสังหารในบังกะโล ริมทะเลสาบสงขลา โดยใช้เชือกรัดคอ คว้านท้องศพ แล้วผูกกับแท่งซีเมนต์ก่อนถ่วงน้ำ มีหลักฐานโยงไปถึง พล.ต.อ. เผ่า ศรียานนท์ อธิบดีกรมตำรวจในขณะนั้น ว่าเป็นผู้บงการอุ้มฆ่า
เหตุการณ์นี้ กลายเป็นหนึ่งในคดีอุ้มหาย ที่สะเทือนขวัญที่สุดของไทย และแม้ว่าจะมีการรื้อฟื้นคดี ในปี พ.ศ. 2500 แต่สุดท้าย... ก็ไม่มีใครต้องรับผิดชอบ
🏛️ เหตุการณ์การอุ้มหายของหะยีสุหลง ส่งผลให้เกิดกระแสต่อต้านรัฐบาล และสร้างแรงบันดาลใจ ให้ขบวนการเคลื่อนไหวในภาคใต้
📌 ผลกระทบที่สำคัญ
✅ จุดชนวนความไม่พอใจ ของชาวมลายูมุสลิมต่อรัฐไทย
✅ ทำให้ปัญหาความขัดแย้งใน 4 จังหวัดภาคใต้รุนแรงขึ้น
✅ กระตุ้นให้เกิดขบวนการเคลื่อนไห วและกลุ่มติดอาวุธในเวลาต่อมา
แม้ว่าปัจจุบันปัญหาภาคใต้ จะมีพัฒนาการที่ซับซ้อนขึ้น แต่เหตุการณ์ของหะยีสุหลง ยังคงเป็นเครื่องเตือนใจ ถึงความจำเป็นในการแก้ไขปัญหา ด้วยสันติวิธีและความเป็นธรรม
📌 กรณีของหะยีสุหลง แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อน ของปัญหาชายแดนใต้ ซึ่งเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ อัตลักษณ์ วัฒนธรรม และการปกครองของรัฐไทย 🔎
⚖️ สิ่งที่รัฐควรเรียนรู้
✅ การให้สิทธิทางวัฒนธรรมและศาสนา แก่กลุ่มชาติพันธุ์
✅ การเปิดพื้นที่การมีส่วนร่วมทางการเมือง
✅ การแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง ด้วยกระบวนการสันติ
📌 เหตุการณ์นี้ เป็นหนึ่งในบทเรียนสำคัญ ของประวัติศาสตร์ไทย ซึ่งยังคงมีอิทธิพล ต่อสถานการณ์ในปัจจุบัน ⬇️
ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 161122 ก.พ. 2568
#หะยีสุหลง #ชายแดนใต้ #อุ้มหาย #77ปีหะยีสุหลง #ประวัติศาสตร์ไทย77 ปี จับ “หะยีสุหลง” จากโต๊ะอิหม่าม นักเคลื่อนไหว ปลายด้ามขวาน สู่สี่ชีวิตถูกอุ้มฆ่า ถ่วงทะเลสาบสงขลา 📅 ย้อนไปเมื่อ 77 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2491 วันที่ชื่อของ "หะยีสุหลง โต๊ะมีนา" ถูกจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ไทย ในฐานะนักเคลื่อนไหว เพื่อสิทธิของชาวมลายูมุสลิม ในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทว่าการต่อสู้เพื่อความยุติธรรม และสิทธิของประชาชนของเหะยีสุหลง กลับจบลงอย่างโศกนาฏกรรม หะยีสุหลงพร้อมกับผู้ติดตามอีก 3 คน หายตัวไปหลังจากเดินทางไปยัง กองบัญชาการตำรวจสันติบาล จังหวัดสงขลา ก่อนถูกสังหาร และถ่วงน้ำในทะเลสาบสงขลา เหตุการณ์นี้กลายเป็น หนึ่งในกรณีการอุ้มฆ่าทางการเมือง ที่สำคัญที่สุดของไทย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความขัดแย้ง ระหว่างอำนาจรัฐ กับกลุ่มชนพื้นเมืองในภาคใต้ 🔍 "หะยีสุหลง บิน อับดุลกาเคร์ ฒูฮัมมัด เอล ฟาโทนิ" หรือที่รู้จักในนาม "หะยีสุหลง" เป็นผู้นำศาสนาและนักเคลื่อนไหวทางสังคม ของชาวมลายูมุสลิม ในภาคใต้ของไทย เป็นประธานกรรมการอิสลามจังหวัดปัตตานี และเป็นบุคคลสำคัญ ในการเรียกร้องให้รัฐไทย ให้ความเป็นธรรมแก่ชาวมุสลิมใน 4 จังหวัดภาคใต้ 📌 ภารกิจของหะยีสุหลง ✅ ปรับปรุงระบบการศึกษา โดยก่อตั้ง "ปอเนาะ" หรือโรงเรียนสอนศาสนาอิสลามแห่งแรก ✅ ส่งเสริมศาสนาอิสลามที่ถูกต้อง ต่อต้านความเชื่อที่ขัดกับหลักศาสนา ✅ เรียกร้องสิทธิและความเป็นธรรม ให้ชาวมลายูมุสลิม ภายใต้กรอบของรัฐไทย แต่... เส้นทางการต่อสู้ กลับนำไปสู่ความขัดแย้งกับรัฐบาลไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากที่หะยีสุหลงเสนอ "7 ข้อเรียกร้อง" ต่อรัฐบาลไทย 📜 7 ข้อเรียกร้องของหะยีสุหลง พ.ศ. 2490 ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2490 หะยีสุหลงได้เสนอข้อเรียกร้อง 7 ประการต่อ พลเรือตรีถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ซึ่งเป็นข้อเสนอ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม แก่ประชาชนมุสลิม ในภาคใต้ 📝 รายละเอียดของ 7 ข้อเรียกร้อง 1. ให้แต่งตั้งผู้ว่าราชการ ที่เป็นชาวมลายูมุสลิม และมาจากการเลือกตั้ง 2. ข้าราชการในพื้นที่ ต้องเป็นมุสลิมอย่างน้อย 80% 3. ให้ใช้ภาษามลายูและภาษาไทย เป็นภาษาราชการ 4. ให้ภาษามลายูเป็นภาษากลาง ในโรงเรียนระดับประถมศึกษา 5. ให้ใช้กฎหมายอิสลาม ในการพิจารณาคดีของศาลศาสนา 6. รายได้จากภาษีใน 4 จังหวัด ต้องถูกใช้ในพื้นที่นั้น 7. ให้จัดตั้งคณะกรรมการมุสลิม เพื่อดูแลกิจการของชาวมุสลิม 💡 แต่กลับเกิดผลกระทบ เนื่องจากข้อเรียกร้องนี้ถูกมองว่า เป็นการพยายามแบ่งแยกดินแดน นำไปสู่การจับกุม และกล่าวหาหะยีสุหลงว่าเป็น "กบฏ" ⚖️ หลังการรัฐประหารในวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 ซึ่งเปลี่ยนแปลงรัฐบาล มาเป็นฝ่ายของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม แนวคิด "7 ข้อเรียกร้อง" ของหะยีสุหลง ถูกตีความว่า เป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐ 📅 เหตุการณ์สำคัญ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2491 → หะยีสุหลงถูกจับกุมที่ปัตตานี 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2493 → ศาลฎีกาตัดสินจำคุก 4 ปี 8 เดือน ในข้อหาปลุกระดม ให้ประชาชนต่อต้านรัฐ หลังจากพ้นโทษ หะยีสุหลงยังคงถูกจับตามอง และเผชิญกับการคุกคามจากฝ่ายรัฐ จนนำไปสู่เหตุการณ์ "การอุ้มหาย" ที่สร้างความตื่นตัวในสังคม 🚨 การอุ้มหายและสังหาร 13 สิงหาคม พ.ศ. 2497 หลังจากได้รับคำสั่ง ให้เข้าพบเจ้าหน้าที่ตำรวจที่สงขลา หะยีสุหลงพร้อมลูกชายวัย 15 ปี ซึ่งเป็นล่าม และพรรคพวกอีก 2 คน ได้เดินทางไปยัง สำนักงานตำรวจสันติบาลจังหวัดสงชลา ❌ แล้วพวกเขาก็หายตัวไป... หลักฐานทางประวัติศาสตร์ระบุว่า พวกเขาถูกสังหารในบังกะโล ริมทะเลสาบสงขลา โดยใช้เชือกรัดคอ คว้านท้องศพ แล้วผูกกับแท่งซีเมนต์ก่อนถ่วงน้ำ มีหลักฐานโยงไปถึง พล.ต.อ. เผ่า ศรียานนท์ อธิบดีกรมตำรวจในขณะนั้น ว่าเป็นผู้บงการอุ้มฆ่า เหตุการณ์นี้ กลายเป็นหนึ่งในคดีอุ้มหาย ที่สะเทือนขวัญที่สุดของไทย และแม้ว่าจะมีการรื้อฟื้นคดี ในปี พ.ศ. 2500 แต่สุดท้าย... ก็ไม่มีใครต้องรับผิดชอบ 🏛️ เหตุการณ์การอุ้มหายของหะยีสุหลง ส่งผลให้เกิดกระแสต่อต้านรัฐบาล และสร้างแรงบันดาลใจ ให้ขบวนการเคลื่อนไหวในภาคใต้ 📌 ผลกระทบที่สำคัญ ✅ จุดชนวนความไม่พอใจ ของชาวมลายูมุสลิมต่อรัฐไทย ✅ ทำให้ปัญหาความขัดแย้งใน 4 จังหวัดภาคใต้รุนแรงขึ้น ✅ กระตุ้นให้เกิดขบวนการเคลื่อนไห วและกลุ่มติดอาวุธในเวลาต่อมา แม้ว่าปัจจุบันปัญหาภาคใต้ จะมีพัฒนาการที่ซับซ้อนขึ้น แต่เหตุการณ์ของหะยีสุหลง ยังคงเป็นเครื่องเตือนใจ ถึงความจำเป็นในการแก้ไขปัญหา ด้วยสันติวิธีและความเป็นธรรม 📌 กรณีของหะยีสุหลง แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อน ของปัญหาชายแดนใต้ ซึ่งเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ อัตลักษณ์ วัฒนธรรม และการปกครองของรัฐไทย 🔎 ⚖️ สิ่งที่รัฐควรเรียนรู้ ✅ การให้สิทธิทางวัฒนธรรมและศาสนา แก่กลุ่มชาติพันธุ์ ✅ การเปิดพื้นที่การมีส่วนร่วมทางการเมือง ✅ การแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง ด้วยกระบวนการสันติ 📌 เหตุการณ์นี้ เป็นหนึ่งในบทเรียนสำคัญ ของประวัติศาสตร์ไทย ซึ่งยังคงมีอิทธิพล ต่อสถานการณ์ในปัจจุบัน ⬇️ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 161122 ก.พ. 2568 #หะยีสุหลง #ชายแดนใต้ #อุ้มหาย #77ปีหะยีสุหลง #ประวัติศาสตร์ไทย0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 164 มุมมอง 0 รีวิว - 34 ปี โศกนาฏกรรมทุ่งมะพร้าว รถบรรทุกแก๊ปไฟฟ้าคว่ำ รุมงัดตู้คอนเทนเนอร์ หวังฉกสินค้า ก่อนระเบิดคร่า 140 ชีวิต บาดเจ็บนับร้อย
😢 โศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ ที่สะเทือนใจคนไทยทั้งประเทศ ย้อนกลับไปเมื่อ 34 ปี ที่ผ่านมา กับเหตุการณ์สุดสลด ที่ทุ่งมะพร้าว อำเภอท้ายเหมือง จังหวัดพังงา รถบรรทุกแก๊ปไฟฟ้าคว่ำ ชาวบ้านแห่รุมเก็บของ โดยไม่รู้ถึงอันตราย และสุดท้ายเกิดระเบิดครั้งใหญ่ ที่พรากชีวิตผู้คนไปถึง 140 คน และบาดเจ็บอีกนับร้อย
📅 วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2534 เวลา 17.30 น. รถบรรทุกที่บรรจุ แก๊ปไฟฟ้า ซึ่งเป็นอุปกรณ์จุดระเบิดสำหรับการทำเหมือง และงานก่อสร้าง ออกเดินทางจากภูเก็ต มุ่งหน้าไปสระบุรี
แต่เมื่อขบวนรถถึง สามแยกตลาดทุ่งมะพร้าว จังหวัดพังงา รถบรรทุกสิบล้อเกิดเสียหลัก แหกโค้งพลิกคว่ำ ส่งผลให้ลังไม้ที่บรรจุแก๊ปไฟฟ้า กระจัดกระจายเกลื่อนทั่วถนน
ชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์เข้าใจผิด คิดว่าเป็นของมีค่า รีบกรูกันเข้าไปเก็บ โดยไม่ฟังคำเตือนของตำรวจ ก่อนที่เหตุการณ์จะบานปลาย เป็นโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ 😢
ต้นเหตุของโศกนาฏกรรม รถบรรทุกแก๊ปไฟฟ้าคว่ำ
🚛 ขบวนรถบรรทุกอันตราย
- รถบรรทุก 10 ล้อ 1 คัน
- รถบรรทุกพ่วง 18 ล้อ 1 คัน
- มีรถวิทยุตรวจเขต ตำรวจทางหลวงนำขบวน
เมื่อถึง กม.ที่ 41-42 บริเวณทางโค้ง สามแยกตลาดทุ่งมะพร้าว อำเภอท้ายเหมือง จังหวัดพังงา รถบรรทุกสิบล้อ เสียหลักแหกโค้งพลิกคว่ำ ทำให้ลังบรรจุแก๊ปไฟฟ้า หล่นกระจัดกระจาย เกลื่อนเต็มพื้นถนน
🔴 แก๊ปไฟฟ้า คืออะไร?
เป็นอุปกรณ์ระเบิดที่ใช้ในเหมืองแร่ จุดระเบิดง่ายจากแรงกระแทก หรือประกายไฟ ถูกบรรจุมาในลังไม้ แต่เมื่อตกกระจายออกมา ก็มีความเสี่ยงสูง
ชุลมุนชิงของ ก่อนเปลี่ยนเป็นหายนะ
👥 ชาวบ้านหลั่งไหลมาเก็บแก๊ปไฟฟ้า
เข้าใจผิด คิดว่าเป็นวัตถุมีค่า โดยไม่ฟังคำเตือนของตำรวจทางหลวง ตำรวจภูธรพยายามกันประชาชน ออกจากพื้นที่ แต่ควบคุมสถานการณ์ไม่ได้
🚍 การจราจรติดขัด
รถบัสโดยสาร บขส. สายกรุงเทพฯ-ภูเก็ต จอดรอ รถสองแถว และจักรยานยนต์หลายสิบคัน
📢 จุดเปลี่ยนของโศกนาฏกรรม
มีไทยมุงพยายามงัดตู้คอนเทนเนอร์ เพื่อดูว่ามีของมีค่าหรือไม่ บางคนนำชะแลงเหล็กมางัด จนเกิดประกายไฟ หรือแรงกระแทก อาจเป็นชนวนให้เกิดระเบิด
ระเบิดสังหาร 140 ศพ: แรงอัดกระแทกมหาศาล
💥 เวลา 18.30 น. เกิดระเบิดสนั่นหวั่นไหว
เปลวเพลิงลุกท่วม แรงระเบิดแผ่ไปไกล 1 กม. อาคารโดยรอบพังยับ เช่น โรงเรียน สถานีอนามัย ศาลาอเนกประสงค์
🩸 สภาพศพและผู้บาดเจ็บ
เสียชีวิตในที่เกิดเหตุทันที 60 คน ถูกไฟคลอกและแรงระเบิด ทำให้ร่างแหลกเหลว ในรถบัสโดยสาร ผู้โดยสารเสียชีวิตเกือบทั้งหมด มีผู้บาดเจ็บสาหัส ที่ถูกนำส่งโรงพยาบาลอีก 60 คน
🚔 เจ้าหน้าที่ระดมกำลังเข้าช่วยเหลือ
ตำรวจ และเจ้าหน้าที่กู้ภัยจากหลายจังหวัด เดินทางมาให้การช่วยเหลือ เกรงว่าอาจเกิดระเบิดซ้ำ จึงต้องทำงานอย่างระมัดระวัง
ผลกระทบและบทเรียนจากเหตุการณ์
🔍 สาเหตุที่แท้จริงของระเบิด
- แก๊ปไฟฟ้าไวต่อแรงกระแทก
- การขาดความรู้ของประชาชน
- การละเลยคำเตือนของเจ้าหน้าที่
📌 บทเรียนสำคัญ
- การขนส่งวัตถุอันตราย ควรมีมาตรการรัดกุมกว่านี้
- ประชาชนควรมีความรู้ เกี่ยวกับอันตรายของวัตถุระเบิด
- ควรมีมาตรการควบคุมพื้นที่ทันที เมื่อเกิดเหตุร้ายแรง
โศกนาฏกรรมที่ไม่ควรเกิดขึ้นอีก
⚠️ โศกนาฏกรรมทุ่งมะพร้าว เป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่รุนแรง และสะเทือนขวัญที่สุด ในประวัติศาสตร์ไทย การระเบิดที่เกิดจากความประมาท และความไม่รู้ ได้คร่าชีวิต 140 คน และทำให้บาดเจ็บอีกหลายร้อย
❗ เราเรียนรู้อะไรจากเหตุการณ์นี้?
- อย่าเข้าใกล้วัตถุอันตรายโดยไม่มีความรู้
- ฟังคำเตือนของเจ้าหน้าที่เสมอ
- การขนส่งวัตถุอันตราย ต้องมีมาตรการป้องกันที่เข้มงวด
🙏 ขอให้เหตุการณ์นี้เป็นอุทาหรณ์ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก
ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 151151 ก.พ. 2568
🔖 #โศกนาฏกรรมทุ่งมะพร้าว #34ปีที่แล้ว #รถบรรทุกคว่ำ #แก๊ปไฟฟ้า #ระเบิดครั้งใหญ่ #ไทยมุง #ภัยจากความไม่รู้ #บทเรียนครั้งใหญ่ #โศกนาฏกรรมไทย #ความปลอดภัยต้องมาก่อน 🔁 🚨34 ปี โศกนาฏกรรมทุ่งมะพร้าว รถบรรทุกแก๊ปไฟฟ้าคว่ำ รุมงัดตู้คอนเทนเนอร์ หวังฉกสินค้า ก่อนระเบิดคร่า 140 ชีวิต บาดเจ็บนับร้อย 😢 โศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ ที่สะเทือนใจคนไทยทั้งประเทศ ย้อนกลับไปเมื่อ 34 ปี ที่ผ่านมา กับเหตุการณ์สุดสลด ที่ทุ่งมะพร้าว อำเภอท้ายเหมือง จังหวัดพังงา รถบรรทุกแก๊ปไฟฟ้าคว่ำ ชาวบ้านแห่รุมเก็บของ โดยไม่รู้ถึงอันตราย และสุดท้ายเกิดระเบิดครั้งใหญ่ ที่พรากชีวิตผู้คนไปถึง 140 คน และบาดเจ็บอีกนับร้อย 📅 วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2534 เวลา 17.30 น. รถบรรทุกที่บรรจุ แก๊ปไฟฟ้า ซึ่งเป็นอุปกรณ์จุดระเบิดสำหรับการทำเหมือง และงานก่อสร้าง ออกเดินทางจากภูเก็ต มุ่งหน้าไปสระบุรี แต่เมื่อขบวนรถถึง สามแยกตลาดทุ่งมะพร้าว จังหวัดพังงา รถบรรทุกสิบล้อเกิดเสียหลัก แหกโค้งพลิกคว่ำ ส่งผลให้ลังไม้ที่บรรจุแก๊ปไฟฟ้า กระจัดกระจายเกลื่อนทั่วถนน ชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์เข้าใจผิด คิดว่าเป็นของมีค่า รีบกรูกันเข้าไปเก็บ โดยไม่ฟังคำเตือนของตำรวจ ก่อนที่เหตุการณ์จะบานปลาย เป็นโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ 😢 ต้นเหตุของโศกนาฏกรรม รถบรรทุกแก๊ปไฟฟ้าคว่ำ 🚛 ขบวนรถบรรทุกอันตราย - รถบรรทุก 10 ล้อ 1 คัน - รถบรรทุกพ่วง 18 ล้อ 1 คัน - มีรถวิทยุตรวจเขต ตำรวจทางหลวงนำขบวน เมื่อถึง กม.ที่ 41-42 บริเวณทางโค้ง สามแยกตลาดทุ่งมะพร้าว อำเภอท้ายเหมือง จังหวัดพังงา รถบรรทุกสิบล้อ เสียหลักแหกโค้งพลิกคว่ำ ทำให้ลังบรรจุแก๊ปไฟฟ้า หล่นกระจัดกระจาย เกลื่อนเต็มพื้นถนน 🔴 แก๊ปไฟฟ้า คืออะไร? เป็นอุปกรณ์ระเบิดที่ใช้ในเหมืองแร่ จุดระเบิดง่ายจากแรงกระแทก หรือประกายไฟ ถูกบรรจุมาในลังไม้ แต่เมื่อตกกระจายออกมา ก็มีความเสี่ยงสูง ชุลมุนชิงของ ก่อนเปลี่ยนเป็นหายนะ 👥 ชาวบ้านหลั่งไหลมาเก็บแก๊ปไฟฟ้า เข้าใจผิด คิดว่าเป็นวัตถุมีค่า โดยไม่ฟังคำเตือนของตำรวจทางหลวง ตำรวจภูธรพยายามกันประชาชน ออกจากพื้นที่ แต่ควบคุมสถานการณ์ไม่ได้ 🚍 การจราจรติดขัด รถบัสโดยสาร บขส. สายกรุงเทพฯ-ภูเก็ต จอดรอ รถสองแถว และจักรยานยนต์หลายสิบคัน 📢 จุดเปลี่ยนของโศกนาฏกรรม มีไทยมุงพยายามงัดตู้คอนเทนเนอร์ เพื่อดูว่ามีของมีค่าหรือไม่ บางคนนำชะแลงเหล็กมางัด จนเกิดประกายไฟ หรือแรงกระแทก อาจเป็นชนวนให้เกิดระเบิด ระเบิดสังหาร 140 ศพ: แรงอัดกระแทกมหาศาล 💥 เวลา 18.30 น. เกิดระเบิดสนั่นหวั่นไหว เปลวเพลิงลุกท่วม แรงระเบิดแผ่ไปไกล 1 กม. อาคารโดยรอบพังยับ เช่น โรงเรียน สถานีอนามัย ศาลาอเนกประสงค์ 🩸 สภาพศพและผู้บาดเจ็บ เสียชีวิตในที่เกิดเหตุทันที 60 คน ถูกไฟคลอกและแรงระเบิด ทำให้ร่างแหลกเหลว ในรถบัสโดยสาร ผู้โดยสารเสียชีวิตเกือบทั้งหมด มีผู้บาดเจ็บสาหัส ที่ถูกนำส่งโรงพยาบาลอีก 60 คน 🚔 เจ้าหน้าที่ระดมกำลังเข้าช่วยเหลือ ตำรวจ และเจ้าหน้าที่กู้ภัยจากหลายจังหวัด เดินทางมาให้การช่วยเหลือ เกรงว่าอาจเกิดระเบิดซ้ำ จึงต้องทำงานอย่างระมัดระวัง ผลกระทบและบทเรียนจากเหตุการณ์ 🔍 สาเหตุที่แท้จริงของระเบิด - แก๊ปไฟฟ้าไวต่อแรงกระแทก - การขาดความรู้ของประชาชน - การละเลยคำเตือนของเจ้าหน้าที่ 📌 บทเรียนสำคัญ - การขนส่งวัตถุอันตราย ควรมีมาตรการรัดกุมกว่านี้ - ประชาชนควรมีความรู้ เกี่ยวกับอันตรายของวัตถุระเบิด - ควรมีมาตรการควบคุมพื้นที่ทันที เมื่อเกิดเหตุร้ายแรง โศกนาฏกรรมที่ไม่ควรเกิดขึ้นอีก ⚠️ โศกนาฏกรรมทุ่งมะพร้าว เป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่รุนแรง และสะเทือนขวัญที่สุด ในประวัติศาสตร์ไทย การระเบิดที่เกิดจากความประมาท และความไม่รู้ ได้คร่าชีวิต 140 คน และทำให้บาดเจ็บอีกหลายร้อย ❗ เราเรียนรู้อะไรจากเหตุการณ์นี้? - อย่าเข้าใกล้วัตถุอันตรายโดยไม่มีความรู้ - ฟังคำเตือนของเจ้าหน้าที่เสมอ - การขนส่งวัตถุอันตราย ต้องมีมาตรการป้องกันที่เข้มงวด 🙏 ขอให้เหตุการณ์นี้เป็นอุทาหรณ์ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 151151 ก.พ. 2568 🔖 #โศกนาฏกรรมทุ่งมะพร้าว #34ปีที่แล้ว #รถบรรทุกคว่ำ #แก๊ปไฟฟ้า #ระเบิดครั้งใหญ่ #ไทยมุง #ภัยจากความไม่รู้ #บทเรียนครั้งใหญ่ #โศกนาฏกรรมไทย #ความปลอดภัยต้องมาก่อน 🔁 🚨0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 172 มุมมอง 0 รีวิว - ✨ เก็บทุกความทรงจำให้มีชีวิต ด้วยโฟโต้บุ๊คสุดหรู! ✨
📸 โฟโต้บุ๊คขนาด 20x20 ซม.
ความหนา 40 หน้า
เพียง 790 บาท
💖 บันทึกทุกช่วงเวลาสำคัญ ด้วยคุณภาพระดับพรีเมียม!
✅ กระดาษค็อกเทลเคลือบมุก เงางามหรูหรา เห็นเลื่อมมุกเมื่อกระทบแสง
✅ ปกหนา 250 แกรม ภาพในเล่ม 128 แกรม คงทน สวยงาม
✅ พิมพ์ระบบ UV สีสด คมชัด ไม่ซีดจางนานกว่า 5 ปี
📚 ทำไมต้องมีโฟโต้บุ๊ค?
📍 เก็บภาพความทรงจำอย่างเป็นระเบียบ ไม่ต้องเลื่อนหาในมือถือ 📱
📍 แสดงภาพถ่ายอย่างมีสไตล์ ดูดี มีเอกลักษณ์ 💎
📍 แบ่งปันเรื่องราวให้คนพิเศษ มอบเป็นของขวัญก็เก๋ 🎁
📍 เก็บได้นาน คงทน ปลอดภัย มากกว่าภาพดิจิทัลที่อาจสูญหาย ☁️
🎨 ฟรี! รีทัชภาพ & ออกแบบ
⏳ ออกแบบภายใน 2-3 วัน
⏳ ผลิต 3-5 วัน
📦 ไม่มีขั้นต่ำ สั่งทำตามจำนวนที่ต้องการ
📲 สั่งเลย!
💬 Line OA : @ai5corp
📞 โทร : 06 1596 0545
#โฟโต้บุ๊ค #PhotoBook #เก็บความทรงจำ #ของขวัญสุดพิเศษ #พิมพ์โฟโต้บุ๊ค✨ เก็บทุกความทรงจำให้มีชีวิต ด้วยโฟโต้บุ๊คสุดหรู! ✨ 📸 โฟโต้บุ๊คขนาด 20x20 ซม. ความหนา 40 หน้า เพียง 790 บาท 💖 บันทึกทุกช่วงเวลาสำคัญ ด้วยคุณภาพระดับพรีเมียม! ✅ กระดาษค็อกเทลเคลือบมุก เงางามหรูหรา เห็นเลื่อมมุกเมื่อกระทบแสง ✅ ปกหนา 250 แกรม ภาพในเล่ม 128 แกรม คงทน สวยงาม ✅ พิมพ์ระบบ UV สีสด คมชัด ไม่ซีดจางนานกว่า 5 ปี 📚 ทำไมต้องมีโฟโต้บุ๊ค? 📍 เก็บภาพความทรงจำอย่างเป็นระเบียบ ไม่ต้องเลื่อนหาในมือถือ 📱 📍 แสดงภาพถ่ายอย่างมีสไตล์ ดูดี มีเอกลักษณ์ 💎 📍 แบ่งปันเรื่องราวให้คนพิเศษ มอบเป็นของขวัญก็เก๋ 🎁 📍 เก็บได้นาน คงทน ปลอดภัย มากกว่าภาพดิจิทัลที่อาจสูญหาย ☁️ 🎨 ฟรี! รีทัชภาพ & ออกแบบ ⏳ ออกแบบภายใน 2-3 วัน ⏳ ผลิต 3-5 วัน 📦 ไม่มีขั้นต่ำ สั่งทำตามจำนวนที่ต้องการ 📲 สั่งเลย! 💬 Line OA : @ai5corp 📞 โทร : 06 1596 0545 #โฟโต้บุ๊ค #PhotoBook #เก็บความทรงจำ #ของขวัญสุดพิเศษ #พิมพ์โฟโต้บุ๊ค0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 116 มุมมอง 0 รีวิว - 🌸 วันแห่งความรักตามวิถีไทย วาเลนไทน์ 2568 🌸 ธรรมเนียมวัฒนธรรมตะวันตก ที่ไทยปรับใช้อย่างกลมกลืน วันที่เราต่างมีความรู้สึกดี ๆ ให้แก่กัน
🏹 เมื่อ "วาเลนไทน์" ไม่ใช่แค่ของฝรั่งอีกต่อไป 14 กุมภาพันธ์ของทุกปี เป็นวันที่หลายคนทั่วโลก ต่างเฝ้ารอ เพราะเป็น "วันวาเลนไทน์" หรือ วันแห่งความรัก 💕 วันสำคัญที่เต็มไปด้วยดอกกุหลาบ การ์ดบอกรัก ของขวัญแทนใจ และการแสดงความรักต่อคนพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นคู่รัก เพื่อน หรือครอบครัว
แม้ว่าวันวาเลนไทน์ จะมีต้นกำเนิดจากโลกตะวันตก แต่เมื่อเดินทางมาถึงไทย วัฒนธรรมแห่งความรักนี้ ได้ถูกปรับเปลี่ยน และหลอมรวมเข้ากับวิถีไทย อย่างกลมกลืน คนไทยให้ความสำคัญ กับความรักในทุกมิติ ไม่ใช่แค่รักโรแมนติก แต่ยังรวมถึง ความรักของครอบครัว มิตรภาพ และความเมตตาต่อกัน
วาเลนไทน์ 2568 นี้ ไม่ใช่แค่เรื่องของความโรแมนติก ระหว่างหนุ่มสาว แต่เป็นโอกาสดี ที่จะได้มอบความรู้สึกดี ๆ ให้แก่กันในทุก ๆ ความสัมพันธ์ ❤️
🌹 จากตำนานยุคโรมัน สู่วันที่โลกจดจำ 📜
วันวาเลนไทน์ มีที่มาจากตำนานของนักบุญ "เซนต์วาเลนไทน์" (Saint Valentine) ซึ่งเชื่อกันว่า ในช่วงศตวรรษที่ 3 จักรพรรดิคลอดิอุสที่ 2 แห่งโรมัน สั่งห้ามไม่ให้ทหารแต่งงาน เพราะเชื่อว่าทหารที่มีครอบครัว จะไม่มีสมาธิในการรบ
แต่เซนต์วาเลนไทน์ ไม่เห็นด้วยกับคำสั่งนี้ และยังคงทำพิธีแต่งงาน ให้คู่รักแบบลับ ๆ 💒 เมื่อความลับถูกเปิดเผย จึงถูกจับกุม และประหารชีวิตในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 269 ตั้งแต่นั้นมา วันแห่งความรักจึงถูกกำหนดขึ้น เพื่อรำลึกถึงการเสียสละ
💌 จากจดหมายรัก สู่วันแห่งการบอกรัก
ก่อนที่เซนต์วาเลนไทน์จะเสียชีวิต ได้เขียนจดหมายถึงหญิงสาวที่เขารัก และลงท้ายว่า "From your Valentine" กลายเป็นต้นแบบของ "การ์ดวาเลนไทน์" ที่ได้รับความนิยม มาจนถึงปัจจุบัน
แม้ว่าเรื่องราวของวันวาเลนไทน์ จะเต็มไปด้วยความเศร้า แต่ได้กลายเป็น สัญลักษณ์ของความรัก และการเสียสละ ที่ถูกเฉลิมฉลองทั่วโลก 🌏
💖 วันวาเลนไทน์ในสไตล์ไทย การปรับตัวของวัฒนธรรมแห่งความรัก
แม้ว่าจะเป็น ธรรมเนียมจากตะวันตก แต่คนไทยได้ปรับวันวาเลนไทน์ ให้เข้ากับวิถีชีวิต และวัฒนธรรมไทย ได้อย่างลงตัว นอกจากการให้ดอกไม้ หรือของขวัญแล้ว คนไทยยังให้ความสำคัญ กับความรักที่อบอุ่น และความกตัญญูต่อผู้ใหญ่
🌷 สัญลักษณ์วาเลนไทน์แบบไทย ๆ
ในประเทศไทย ดอกกุหลาบสีแดง 🌹 ยังคงเป็นของขวัญยอดนิยม เพราะสื่อถึงความรักอันร้อนแรง แต่ยังมีดอกไม้อื่น ๆ ที่ใช้แทนความรู้สึกพิเศษ เช่น
- ดอกมะลิ 🤍 สื่อถึงความรักบริสุทธิ์ และความกตัญญู นิยมมอบให้พ่อแม่
- ดอกทานตะวัน 🌻 เป็นสัญลักษณ์ของรักแท้ที่มั่นคง ไม่ว่าสถานการณ์ใด
- ดอกคัตเตอร์ 💜 แทนความหมายของความรัก ที่มั่นคงและซื่อสัตย์
🍜 ฉลองวาเลนไทน์แบบไทย ๆ
ในขณะที่บางประเทศ นิยมไปดินเนอร์หรู 🥂 คนไทยจำนวนมาก กลับเลือกใช้วันวาเลนไทน์ ในรูปแบบที่เรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง เช่น
- พาคนรักไปไหว้พระขอพร 🙏✨ ตามวัดดัง เช่น วัดพระแก้ว วัดอรุณ หรือวัดเล่งเน่ยยี่
- ทำบุญร่วมกัน เพื่อเป็นสิริมงคลต่อความรัก
- ทานข้าวกับครอบครัว 🍲 เพราะความรักในแบบไทย ไม่ได้จำกัดแค่คู่รัก แต่รวมถึงครอบครัวด้วย
💑 วาเลนไทน์ 2568: เทรนด์ความรักยุคใหม่ ในสังคมไทย
📱 วาเลนไทน์ในโลกดิจิทัล
ในยุคที่เทคโนโลยีครองโลก โซเชียลมีเดีย กลายเป็นช่องทางสำคัญ ในการแสดงความรัก ไม่ว่าจะเป็นการ
💌 ส่งข้อความหวาน ๆ ผ่านแชท
📸 แชร์รูปคู่ลง Instagram พร้อมแคปชันสุดโรแมนติก
🎁 สั่งดอกไม้ หรือของขวัญออนไลน์ให้คนพิเศษ
💍 เทรนด์แต่งงานในวันวาเลนไทน์
ทุก ๆ ปี วาเลนไทน์เป็นวันที่คู่รักหลายคู่ เลือกจดทะเบียนสมรส 💍 โดยที่ว่าการเขตบางรัก เป็นสถานที่ยอดนิยมที่สุดในไทย เพราะชื่อเขตมีความหมายดี และมักมีของที่ระลึกพิเศษ สำหรับคู่บ่าวสาว
❓ คำถามที่พบบ่อย เกี่ยวกับวันวาเลนไทน์
💘 คนไม่มีคู่ จะฉลองวาเลนไทน์ได้ไหม?
ได้แน่นอน! เพราะวันวาเลนไทน์ ไม่ได้จำกัดแค่คู่รัก แต่เป็นวันแห่งความรัก ในทุกความสัมพันธ์ สามารถใช้เวลานี้ เพื่อดูแลตัวเอง หรือบอกรักครอบครัว และเพื่อนได้
🌹 ดอกไม้สีอะไร เหมาะกับการให้ในวันวาเลนไทน์?
- สีแดง ❤️ แสดงถึงความรักโรแมนติก
- สีขาว 🤍 สื่อถึงรักที่บริสุทธิ์
- สีชมพู 💖 หมายถึงความอ่อนหวาน และน่ารัก
🎁 ถ้าไม่อยากให้ของขวัญแบบเดิม ๆ ควรให้อะไรดี?
ลองเลือกของขวัญที่มีความหมาย เช่น
จดหมายรักเขียนด้วยมือ 💌 เซอร์ไพรส์ทริปเล็ก ๆ 🚗 ทำอาหารให้คนที่คุณรัก 🍰
🎀 ความรักไม่มีพรมแดน และไม่มีวันหมดอายุ
ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงวัยไหน หรือมีสถานะอะไร วาเลนไทน์คือโอกาสที่ดี ในการแสดงความรักต่อกัน ความรักไม่จำเป็นต้องแสดงออก แค่ปีละครั้ง แต่ควรเป็นสิ่งที่มอบให้กันทุกวัน 💖
🌸 วาเลนไทน์ 2568 นี้ อย่าลืมบอกรักคนที่ห่วงใย ไม่ว่าจะเป็นคำพูด การกระทำ หรือของขวัญแทนใจ เพราะความรักคือของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุด 🎁💖
ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 140905 ก.พ. 2568
🔖 #วันวาเลนไทน์ #วาเลนไทน์2568 #ความรักไม่จำกัดรูปแบบ #ValentineThailand #LoveInThaiStyle #กุหลาบแดง #ไหว้พระขอพร #รักแท้ #รักไม่มีเงื่อนไข #บอกรักทุกวัน🌸 วันแห่งความรักตามวิถีไทย วาเลนไทน์ 2568 🌸 ธรรมเนียมวัฒนธรรมตะวันตก ที่ไทยปรับใช้อย่างกลมกลืน วันที่เราต่างมีความรู้สึกดี ๆ ให้แก่กัน 🏹 เมื่อ "วาเลนไทน์" ไม่ใช่แค่ของฝรั่งอีกต่อไป 14 กุมภาพันธ์ของทุกปี เป็นวันที่หลายคนทั่วโลก ต่างเฝ้ารอ เพราะเป็น "วันวาเลนไทน์" หรือ วันแห่งความรัก 💕 วันสำคัญที่เต็มไปด้วยดอกกุหลาบ การ์ดบอกรัก ของขวัญแทนใจ และการแสดงความรักต่อคนพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นคู่รัก เพื่อน หรือครอบครัว แม้ว่าวันวาเลนไทน์ จะมีต้นกำเนิดจากโลกตะวันตก แต่เมื่อเดินทางมาถึงไทย วัฒนธรรมแห่งความรักนี้ ได้ถูกปรับเปลี่ยน และหลอมรวมเข้ากับวิถีไทย อย่างกลมกลืน คนไทยให้ความสำคัญ กับความรักในทุกมิติ ไม่ใช่แค่รักโรแมนติก แต่ยังรวมถึง ความรักของครอบครัว มิตรภาพ และความเมตตาต่อกัน วาเลนไทน์ 2568 นี้ ไม่ใช่แค่เรื่องของความโรแมนติก ระหว่างหนุ่มสาว แต่เป็นโอกาสดี ที่จะได้มอบความรู้สึกดี ๆ ให้แก่กันในทุก ๆ ความสัมพันธ์ ❤️ 🌹 จากตำนานยุคโรมัน สู่วันที่โลกจดจำ 📜 วันวาเลนไทน์ มีที่มาจากตำนานของนักบุญ "เซนต์วาเลนไทน์" (Saint Valentine) ซึ่งเชื่อกันว่า ในช่วงศตวรรษที่ 3 จักรพรรดิคลอดิอุสที่ 2 แห่งโรมัน สั่งห้ามไม่ให้ทหารแต่งงาน เพราะเชื่อว่าทหารที่มีครอบครัว จะไม่มีสมาธิในการรบ แต่เซนต์วาเลนไทน์ ไม่เห็นด้วยกับคำสั่งนี้ และยังคงทำพิธีแต่งงาน ให้คู่รักแบบลับ ๆ 💒 เมื่อความลับถูกเปิดเผย จึงถูกจับกุม และประหารชีวิตในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 269 ตั้งแต่นั้นมา วันแห่งความรักจึงถูกกำหนดขึ้น เพื่อรำลึกถึงการเสียสละ 💌 จากจดหมายรัก สู่วันแห่งการบอกรัก ก่อนที่เซนต์วาเลนไทน์จะเสียชีวิต ได้เขียนจดหมายถึงหญิงสาวที่เขารัก และลงท้ายว่า "From your Valentine" กลายเป็นต้นแบบของ "การ์ดวาเลนไทน์" ที่ได้รับความนิยม มาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าเรื่องราวของวันวาเลนไทน์ จะเต็มไปด้วยความเศร้า แต่ได้กลายเป็น สัญลักษณ์ของความรัก และการเสียสละ ที่ถูกเฉลิมฉลองทั่วโลก 🌏 💖 วันวาเลนไทน์ในสไตล์ไทย การปรับตัวของวัฒนธรรมแห่งความรัก แม้ว่าจะเป็น ธรรมเนียมจากตะวันตก แต่คนไทยได้ปรับวันวาเลนไทน์ ให้เข้ากับวิถีชีวิต และวัฒนธรรมไทย ได้อย่างลงตัว นอกจากการให้ดอกไม้ หรือของขวัญแล้ว คนไทยยังให้ความสำคัญ กับความรักที่อบอุ่น และความกตัญญูต่อผู้ใหญ่ 🌷 สัญลักษณ์วาเลนไทน์แบบไทย ๆ ในประเทศไทย ดอกกุหลาบสีแดง 🌹 ยังคงเป็นของขวัญยอดนิยม เพราะสื่อถึงความรักอันร้อนแรง แต่ยังมีดอกไม้อื่น ๆ ที่ใช้แทนความรู้สึกพิเศษ เช่น - ดอกมะลิ 🤍 สื่อถึงความรักบริสุทธิ์ และความกตัญญู นิยมมอบให้พ่อแม่ - ดอกทานตะวัน 🌻 เป็นสัญลักษณ์ของรักแท้ที่มั่นคง ไม่ว่าสถานการณ์ใด - ดอกคัตเตอร์ 💜 แทนความหมายของความรัก ที่มั่นคงและซื่อสัตย์ 🍜 ฉลองวาเลนไทน์แบบไทย ๆ ในขณะที่บางประเทศ นิยมไปดินเนอร์หรู 🥂 คนไทยจำนวนมาก กลับเลือกใช้วันวาเลนไทน์ ในรูปแบบที่เรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง เช่น - พาคนรักไปไหว้พระขอพร 🙏✨ ตามวัดดัง เช่น วัดพระแก้ว วัดอรุณ หรือวัดเล่งเน่ยยี่ - ทำบุญร่วมกัน เพื่อเป็นสิริมงคลต่อความรัก - ทานข้าวกับครอบครัว 🍲 เพราะความรักในแบบไทย ไม่ได้จำกัดแค่คู่รัก แต่รวมถึงครอบครัวด้วย 💑 วาเลนไทน์ 2568: เทรนด์ความรักยุคใหม่ ในสังคมไทย 📱 วาเลนไทน์ในโลกดิจิทัล ในยุคที่เทคโนโลยีครองโลก โซเชียลมีเดีย กลายเป็นช่องทางสำคัญ ในการแสดงความรัก ไม่ว่าจะเป็นการ 💌 ส่งข้อความหวาน ๆ ผ่านแชท 📸 แชร์รูปคู่ลง Instagram พร้อมแคปชันสุดโรแมนติก 🎁 สั่งดอกไม้ หรือของขวัญออนไลน์ให้คนพิเศษ 💍 เทรนด์แต่งงานในวันวาเลนไทน์ ทุก ๆ ปี วาเลนไทน์เป็นวันที่คู่รักหลายคู่ เลือกจดทะเบียนสมรส 💍 โดยที่ว่าการเขตบางรัก เป็นสถานที่ยอดนิยมที่สุดในไทย เพราะชื่อเขตมีความหมายดี และมักมีของที่ระลึกพิเศษ สำหรับคู่บ่าวสาว ❓ คำถามที่พบบ่อย เกี่ยวกับวันวาเลนไทน์ 💘 คนไม่มีคู่ จะฉลองวาเลนไทน์ได้ไหม? ได้แน่นอน! เพราะวันวาเลนไทน์ ไม่ได้จำกัดแค่คู่รัก แต่เป็นวันแห่งความรัก ในทุกความสัมพันธ์ สามารถใช้เวลานี้ เพื่อดูแลตัวเอง หรือบอกรักครอบครัว และเพื่อนได้ 🌹 ดอกไม้สีอะไร เหมาะกับการให้ในวันวาเลนไทน์? - สีแดง ❤️ แสดงถึงความรักโรแมนติก - สีขาว 🤍 สื่อถึงรักที่บริสุทธิ์ - สีชมพู 💖 หมายถึงความอ่อนหวาน และน่ารัก 🎁 ถ้าไม่อยากให้ของขวัญแบบเดิม ๆ ควรให้อะไรดี? ลองเลือกของขวัญที่มีความหมาย เช่น จดหมายรักเขียนด้วยมือ 💌 เซอร์ไพรส์ทริปเล็ก ๆ 🚗 ทำอาหารให้คนที่คุณรัก 🍰 🎀 ความรักไม่มีพรมแดน และไม่มีวันหมดอายุ ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงวัยไหน หรือมีสถานะอะไร วาเลนไทน์คือโอกาสที่ดี ในการแสดงความรักต่อกัน ความรักไม่จำเป็นต้องแสดงออก แค่ปีละครั้ง แต่ควรเป็นสิ่งที่มอบให้กันทุกวัน 💖 🌸 วาเลนไทน์ 2568 นี้ อย่าลืมบอกรักคนที่ห่วงใย ไม่ว่าจะเป็นคำพูด การกระทำ หรือของขวัญแทนใจ เพราะความรักคือของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุด 🎁💖 ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 140905 ก.พ. 2568 🔖 #วันวาเลนไทน์ #วาเลนไทน์2568 #ความรักไม่จำกัดรูปแบบ #ValentineThailand #LoveInThaiStyle #กุหลาบแดง #ไหว้พระขอพร #รักแท้ #รักไม่มีเงื่อนไข #บอกรักทุกวัน0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 293 มุมมอง 0 รีวิว - งด 1 ปี! ป.12 ห้ามออกใบอนุญาตพกพา แก้ปัญหาพกปืนเกลื่อนเมือง หวังลดอาชญากรรม
📢 มาตรการคุมเข้มอาวุธปืน! รัฐบาลสั่งห้ามออกใบอนุญาตพกพาอาวุธปืน (ป.12) เป็นเวลา 1 ปี เพื่อลดปัญหาอาชญากรรม และสร้างความปลอดภัยในสังคม 🚔
📰 น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ร่วมลงนามในคำสั่ง สำนักนายกรัฐมนตรี และกระทรวงมหาดไทย ที่ 478/2568 ลงวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 ซึ่งกำหนดให้ งดการออกใบอนุญาต ให้มีอาวุธปืนติดตัว (ป.12) เป็นการชั่วคราว เป็นระยะเวลา 1 ปี
📌 มาตรการนี้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 เป็นต้นไป หลังมีการประกาศ ในราชกิจจานุเบกษา โดยเจ้าหน้าที่นายทะเบียน จะไม่สามารถออกใบอนุญาตพกพาอาวุธปืน ให้แก่ประชาชนทั่วไป จนกว่าคำสั่งนี้จะสิ้นสุด
🔫 ปัญหาการพกพาอาวุธปืน ที่รุนแรงขึ้นในสังคมไทย
การออกคำสั่งครั้งนี้ สืบเนื่องจากสถานการณ์ การใช้อาวุธปืนในปัจจุบัน ที่ทวีความรุนแรงขึ้น
- มีการพกพาอาวุธปืน ไปในที่สาธารณะ โดยไม่มีเหตุจำเป็น
- มีการแสดงอาวุธปืน โดยไม่มีเหตุอันสมควร ทั้งในที่สาธารณะ และบนสื่อออนไลน์
- การพกปืนโดยไม่มีเหตุผล นำไปสู่อาชญากรรมร้ายแรง
- ผู้บริสุทธิ์ตกเป็นเหยื่อ ทั้งชีวิต ทรัพย์สิน และสภาพจิตใจ
😨 เหตุการณ์เหล่านี้ ส่งผลให้ประชาชน เกิดความหวาดกลัว และกระทบต่อความสงบเรียบร้อย ของสังคม
🔍 ป.12 คืออะไร? 📜
ใบอนุญาต ป.12 หรือ "ใบอนุญาตให้พกพาอาวุธปืนติดตัว" เป็นเอกสารที่ออกโดย เจ้าหน้าที่นายทะเบียน ภายใต้กฎหมายอาวุธปืนของไทย
📌 ผู้ที่ได้รับอนุญาต สามารถพกพาอาวุธปืน ติดตัวไปในที่สาธารณะ ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
🔎 เงื่อนไขของการขอใบอนุญาต ป.12
การขอใบอนุญาตพกพาปืน ต้องมีเหตุผลที่สมควร เช่น
✅ เป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย
✅ เป็นนักธุรกิจ ที่ต้องพกพาทรัพย์สินมูลค่าสูง
✅ อาชีพที่เสี่ยงต่อชีวิต เช่น ทนายความ หรือพนักงานเก็บเงิน
❌ แต่การอนุญาตนี้ กลับถูกนำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ ทำให้มีการพกพาอาวุธปืน อย่างไม่เหมาะสม ซึ่งเป็นสาเหตุของอาชญากรรม และเหตุการณ์รุนแรง
⚖️ การห้ามออกใบอนุญาตพกพาปืน ป.12 ช่วยลดอาชญากรรมได้จริงหรือ?
📉 3 ผลลัพธ์ที่คาดหวังจากมาตรการนี้
1️⃣ ลดจำนวนอาวุธปืนในที่สาธารณะ
คนที่ไม่มีใบอนุญาต จะไม่สามารถพกปืนได้ ลดโอกาสที่ปืนจะถูกนำไปใช้ในการก่อเหตุร้าย
2️⃣ ป้องกันเหตุอาชญากรรม และความรุนแรง
ลดความเสี่ยงของ เหตุยิงกันในที่สาธารณะ ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยครั้งในช่วงที่ผ่านมา ป้องกันเหตุทะเลาะวิวาท ที่ลุกลามไปถึงขั้นใช้อาวุธปืน
3️⃣ เสริมสร้างความปลอดภัย ให้ประชาชน
ทำให้ประชาชน รู้สึกปลอดภัยมากขึ้น เมื่อเดินทางในที่สาธารณะ ลดความหวาดกลัว จากการเผชิญหน้า กับผู้ที่พกพาอาวุธปืน โดยไม่มีเหตุจำเป็น
🤔 ใครบ้างที่ได้รับผลกระทบ? 🔄
- ประชาชนทั่วไป ที่ต้องการพกปืนเพื่อป้องกันตัว
- นักธุรกิจ หรือผู้ที่ทำงานเสี่ยงภัย ที่พกปืนเพื่อรักษาความปลอดภัย
- ร้านค้าและธุรกิจ ที่มีใบอนุญาตพกปืน เพื่อป้องกันการโจรกรรม
🚨 ทางออกสำหรับผู้ที่ต้องการความปลอดภัย
ถึงแม้ว่าจะไม่มีใบอนุญาต ป.12 แต่ประชาชนยังสามารถ ครอบครองอาวุธปืนไว้ที่บ้าน หรือที่ทำงานได้ โดยมีใบอนุญาต ป.4 (ใบอนุญาตครอบครองปืน) ซึ่งยังคงมีผลบังคับใช้อยู่
📌 นอกจากนี้ รัฐบาลแนะนำให้ใช้ มาตรการรักษาความปลอดภัยรูปแบบอื่นๆ เช่น
- ติดตั้งกล้องวงจรปิด (CCTV)
- ใช้ระบบรักษาความปลอดภัยอัตโนมัติ
- จ้างเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ที่ได้รับใบอนุญาตถูกต้อง
📊 สถิติอาชญากรรม ที่เกี่ยวข้องกับอาวุธปืนในไทย
🔎 จากข้อมูลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พบว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (2563-2567) มีคดีอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับอาวุธปืน เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
📌 คดีอาชญากรรม ที่เกี่ยวข้องกับอาวุธปืน
- ฆาตกรรม เพิ่มขึ้น 12%
- ปล้นทรัพย์โดยใช้อาวุธปืน เพิ่มขึ้น 18%
- การยิงกันในที่สาธารณะ เพิ่มขึ้น 22%
📢 มาตรการนี้ เป็นความพยายามของรัฐบาล ในการลดจำนวนคดี ที่เกี่ยวข้องกับอาวุธปืน และทำให้สังคมไทย ปลอดภัยยิ่งขึ้น
🔚 มาตรการห้ามออกใบอนุญาต ป.12 เป็นก้าวสำคัญของการลดอาชญากรรม
✅ การห้ามออกใบอนุญาตพกพาปืน (ป.12) เป็นการควบคุมการพกพาอาวุธปืน ในที่สาธารณะ เพื่อป้องกันอาชญากรรม และสร้างความปลอดภัย ให้กับประชาชน
✅ ถึงแม้ว่าผู้ที่ต้องการพกปืน จะได้รับผลกระทบบ้าง แต่ยังสามารถครอบครองอาวุธปืนที่บ้าน หรือที่ทำงานได้ ภายใต้ใบอนุญาต ป.4
✅ นี่เป็นเพียง มาตรการระยะสั้น 1 ปี แต่หากเห็นผลดี รัฐบาลอาจพิจารณาปรับปรุง กฎหมายเกี่ยวกับอาวุธปืนต่อไป
ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 131508 ก.พ. 2568
🔗 #ควบคุมอาวุธปืน #ลดอาชญากรรม #งดป12 #ปืนในที่สาธารณะ #กฎหมายปืน #ความปลอดภัยสาธารณะ #รัฐบาลไทย #พกปืนต้องมีเหตุผล #มาตรการเข้ม #CrimePreventionงด 1 ปี! ป.12 ห้ามออกใบอนุญาตพกพา แก้ปัญหาพกปืนเกลื่อนเมือง หวังลดอาชญากรรม 📢 มาตรการคุมเข้มอาวุธปืน! รัฐบาลสั่งห้ามออกใบอนุญาตพกพาอาวุธปืน (ป.12) เป็นเวลา 1 ปี เพื่อลดปัญหาอาชญากรรม และสร้างความปลอดภัยในสังคม 🚔 📰 น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ร่วมลงนามในคำสั่ง สำนักนายกรัฐมนตรี และกระทรวงมหาดไทย ที่ 478/2568 ลงวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 ซึ่งกำหนดให้ งดการออกใบอนุญาต ให้มีอาวุธปืนติดตัว (ป.12) เป็นการชั่วคราว เป็นระยะเวลา 1 ปี 📌 มาตรการนี้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 เป็นต้นไป หลังมีการประกาศ ในราชกิจจานุเบกษา โดยเจ้าหน้าที่นายทะเบียน จะไม่สามารถออกใบอนุญาตพกพาอาวุธปืน ให้แก่ประชาชนทั่วไป จนกว่าคำสั่งนี้จะสิ้นสุด 🔫 ปัญหาการพกพาอาวุธปืน ที่รุนแรงขึ้นในสังคมไทย การออกคำสั่งครั้งนี้ สืบเนื่องจากสถานการณ์ การใช้อาวุธปืนในปัจจุบัน ที่ทวีความรุนแรงขึ้น - มีการพกพาอาวุธปืน ไปในที่สาธารณะ โดยไม่มีเหตุจำเป็น - มีการแสดงอาวุธปืน โดยไม่มีเหตุอันสมควร ทั้งในที่สาธารณะ และบนสื่อออนไลน์ - การพกปืนโดยไม่มีเหตุผล นำไปสู่อาชญากรรมร้ายแรง - ผู้บริสุทธิ์ตกเป็นเหยื่อ ทั้งชีวิต ทรัพย์สิน และสภาพจิตใจ 😨 เหตุการณ์เหล่านี้ ส่งผลให้ประชาชน เกิดความหวาดกลัว และกระทบต่อความสงบเรียบร้อย ของสังคม 🔍 ป.12 คืออะไร? 📜 ใบอนุญาต ป.12 หรือ "ใบอนุญาตให้พกพาอาวุธปืนติดตัว" เป็นเอกสารที่ออกโดย เจ้าหน้าที่นายทะเบียน ภายใต้กฎหมายอาวุธปืนของไทย 📌 ผู้ที่ได้รับอนุญาต สามารถพกพาอาวุธปืน ติดตัวไปในที่สาธารณะ ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย 🔎 เงื่อนไขของการขอใบอนุญาต ป.12 การขอใบอนุญาตพกพาปืน ต้องมีเหตุผลที่สมควร เช่น ✅ เป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ✅ เป็นนักธุรกิจ ที่ต้องพกพาทรัพย์สินมูลค่าสูง ✅ อาชีพที่เสี่ยงต่อชีวิต เช่น ทนายความ หรือพนักงานเก็บเงิน ❌ แต่การอนุญาตนี้ กลับถูกนำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ ทำให้มีการพกพาอาวุธปืน อย่างไม่เหมาะสม ซึ่งเป็นสาเหตุของอาชญากรรม และเหตุการณ์รุนแรง ⚖️ การห้ามออกใบอนุญาตพกพาปืน ป.12 ช่วยลดอาชญากรรมได้จริงหรือ? 📉 3 ผลลัพธ์ที่คาดหวังจากมาตรการนี้ 1️⃣ ลดจำนวนอาวุธปืนในที่สาธารณะ คนที่ไม่มีใบอนุญาต จะไม่สามารถพกปืนได้ ลดโอกาสที่ปืนจะถูกนำไปใช้ในการก่อเหตุร้าย 2️⃣ ป้องกันเหตุอาชญากรรม และความรุนแรง ลดความเสี่ยงของ เหตุยิงกันในที่สาธารณะ ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยครั้งในช่วงที่ผ่านมา ป้องกันเหตุทะเลาะวิวาท ที่ลุกลามไปถึงขั้นใช้อาวุธปืน 3️⃣ เสริมสร้างความปลอดภัย ให้ประชาชน ทำให้ประชาชน รู้สึกปลอดภัยมากขึ้น เมื่อเดินทางในที่สาธารณะ ลดความหวาดกลัว จากการเผชิญหน้า กับผู้ที่พกพาอาวุธปืน โดยไม่มีเหตุจำเป็น 🤔 ใครบ้างที่ได้รับผลกระทบ? 🔄 - ประชาชนทั่วไป ที่ต้องการพกปืนเพื่อป้องกันตัว - นักธุรกิจ หรือผู้ที่ทำงานเสี่ยงภัย ที่พกปืนเพื่อรักษาความปลอดภัย - ร้านค้าและธุรกิจ ที่มีใบอนุญาตพกปืน เพื่อป้องกันการโจรกรรม 🚨 ทางออกสำหรับผู้ที่ต้องการความปลอดภัย ถึงแม้ว่าจะไม่มีใบอนุญาต ป.12 แต่ประชาชนยังสามารถ ครอบครองอาวุธปืนไว้ที่บ้าน หรือที่ทำงานได้ โดยมีใบอนุญาต ป.4 (ใบอนุญาตครอบครองปืน) ซึ่งยังคงมีผลบังคับใช้อยู่ 📌 นอกจากนี้ รัฐบาลแนะนำให้ใช้ มาตรการรักษาความปลอดภัยรูปแบบอื่นๆ เช่น - ติดตั้งกล้องวงจรปิด (CCTV) - ใช้ระบบรักษาความปลอดภัยอัตโนมัติ - จ้างเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ที่ได้รับใบอนุญาตถูกต้อง 📊 สถิติอาชญากรรม ที่เกี่ยวข้องกับอาวุธปืนในไทย 🔎 จากข้อมูลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พบว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (2563-2567) มีคดีอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับอาวุธปืน เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง 📌 คดีอาชญากรรม ที่เกี่ยวข้องกับอาวุธปืน - ฆาตกรรม เพิ่มขึ้น 12% - ปล้นทรัพย์โดยใช้อาวุธปืน เพิ่มขึ้น 18% - การยิงกันในที่สาธารณะ เพิ่มขึ้น 22% 📢 มาตรการนี้ เป็นความพยายามของรัฐบาล ในการลดจำนวนคดี ที่เกี่ยวข้องกับอาวุธปืน และทำให้สังคมไทย ปลอดภัยยิ่งขึ้น 🔚 มาตรการห้ามออกใบอนุญาต ป.12 เป็นก้าวสำคัญของการลดอาชญากรรม ✅ การห้ามออกใบอนุญาตพกพาปืน (ป.12) เป็นการควบคุมการพกพาอาวุธปืน ในที่สาธารณะ เพื่อป้องกันอาชญากรรม และสร้างความปลอดภัย ให้กับประชาชน ✅ ถึงแม้ว่าผู้ที่ต้องการพกปืน จะได้รับผลกระทบบ้าง แต่ยังสามารถครอบครองอาวุธปืนที่บ้าน หรือที่ทำงานได้ ภายใต้ใบอนุญาต ป.4 ✅ นี่เป็นเพียง มาตรการระยะสั้น 1 ปี แต่หากเห็นผลดี รัฐบาลอาจพิจารณาปรับปรุง กฎหมายเกี่ยวกับอาวุธปืนต่อไป ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 131508 ก.พ. 2568 🔗 #ควบคุมอาวุธปืน #ลดอาชญากรรม #งดป12 #ปืนในที่สาธารณะ #กฎหมายปืน #ความปลอดภัยสาธารณะ #รัฐบาลไทย #พกปืนต้องมีเหตุผล #มาตรการเข้ม #CrimePrevention0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 297 มุมมอง 0 รีวิว - 122 ปี ปักปันเขตแดนไทย-กัมพูชา-เมืองหลวงพระบาง: ฝ่าอิทธิพลจักรวรรดินิยม รักษาเอกราช ทวงคืนอธิปไตยจันทบุรี
📅 ย้อนกลับไปเมื่อ 122 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2446 (ค.ศ. 1903) ถือเป็นหมุดหมายสำคัญ ในประวัติศาสตร์ไทย 🇹🇭 เมื่อไทยและฝรั่งเศส 🇫🇷 ลงนามในสัญญาปักปันเขตแดน ระหว่างไทย-กัมพูชา และเมืองหลวงพระบาง ซึ่งเป็นดินแดน ที่อยู่ภายใต้การปกครอง ของฝรั่งเศสในขณะนั้น
ภายใต้ข้อตกลงนี้ ไทยต้องยกดินแดน ฝั่งขวาของแม่น้ำโขง ที่อยู่ตรงข้ามเมืองหลวงพระบาง ให้แก่ฝรั่งเศส เพื่อแลกกับการถอนทหารฝรั่งเศส ออกจากจังหวัดจันทบุรี ซึ่งถูกยึดครองมา ตั้งแต่เหตุการณ์ วิกฤติการณ์ ร.ศ. 112 หรือสงครามฝรั่งเศส-สยาม (พ.ศ. 2436)
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของแรงกดดัน จากจักรวรรดินิยมฝรั่งเศส ไทยต้องเผชิญกับ การบีบบังคับทางการเมืองเพิ่มเติม จนต้องยอมเสียเมืองตราด และหมู่เกาะใกล้เคียง เพื่อแลกกับการได้จันทบุรีคืน 📌
🌍 กระแสล่าอาณานิคมของฝรั่งเศส ในอินโดจีน 🔹
ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 จักรวรรดิฝรั่งเศส ได้ขยายอิทธิพลอย่างรวดเร็ว ในภูมิภาคอินโดจีน โดยสามารถยึดครองเวียดนาม ลาว และกัมพูชา ได้สำเร็จ ทำให้ไทยกลายเป็นรัฐกันชน ที่ต้องเผชิญแรงกดดันจากฝรั่งเศส ทางด้านตะวันออก
💡 ฝรั่งเศสต้องการควบคุมดินแดน แถบลุ่มแม่น้ำโขงทั้งหมด เพื่อสร้างเส้นทางการค้าจากจีน ลงมาสู่อินโดจีนของตน ในขณะที่ไทย ต้องพยายามรักษาเอกราช และดินแดนของตนไว้
🇹🇭 ไทยภายใต้รัชกาลที่ 5 พยายามรักษาเอกราช
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงตระหนักถึงภัยคุกคาม จากจักรวรรดินิยม และพยายามใช้นโยบายการทูตเชิงรุก เพื่อรักษาความเป็นอิสระของไทย ทรงดำเนินแผนการ ปรับปรุงประเทศให้ทันสมัย เพื่อลดข้ออ้างของมหาอำนาจตะวันตก ในการเข้ามาแทรกแซง
อย่างไรก็ตาม ฝรั่งเศสใช้ข้ออ้างเรื่องอธิปไตย เหนือดินแดนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง เป็นเหตุผลในการเรียกร้องดินแดนเพิ่มเติมจากไทย
🔹 วิกฤติการณ์ ร.ศ. 112 จุดเริ่มต้นของการเสียเปรียบทางดินแดน
📍 วิกฤติการณ์ ร.ศ. 112 (พ.ศ. 2436) เป็นเหตุการณ์ที่ฝรั่งเศส ใช้กำลังทหารเรือ บุกรุกปากแม่น้ำเจ้าพระยา และปะทะกับทหารไทย จนเป็นเหตุให้รัฐบาลไทย ต้องยอมลงนามในสนธิสัญญา ที่เสียเปรียบ
📜 ข้อกำหนดสำคัญของสนธิสัญญา ร.ศ. 112
✔ ไทยต้องยกดินแดน ฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงทั้งหมด รวมถึงลาว ให้แก่ฝรั่งเศส
✔ ฝรั่งเศสเข้ายึดจังหวัดจันทบุรี เป็นหลักประกันบังคับให้ไทย ปฏิบัติตามสัญญา
✔ ไทยต้องชดใช้ค่าเสียหายจำนวนมหาศาล ให้ฝรั่งเศส
🛑 นี่เป็นครั้งแรกที่ไทย ต้องเสียดินแดนจำนวนมาก ให้แก่จักรวรรดินิยมฝรั่งเศส และทำให้สถานการณ์ของไทยในภูมิภาคนี้ ล่อแหลมยิ่งขึ้น
🔹 สนธิสัญญา พ.ศ. 2446 การทวงคืนจันทบุรี แต่ต้องแลกด้วยดินแดนเพิ่ม
หลังจากไทย ถูกฝรั่งเศสยึดครองจันทบุรี ไว้นานถึง 10 ปี รัฐบาลไทยพยายามเจรจา ขอคืนจันทบุรี แต่ต้องแลกด้วย การยอมมอบดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขง ที่ตรงข้ามกับเมืองหลวงพระบาง ให้แก่ฝรั่งเศส
📌 สนธิสัญญานี้ ลงนามเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2446 ทำให้ไทยได้รับจันทบุรีคืน แต่ฝรั่งเศสกลับยื่นเงื่อนไข ให้ไทยต้องยกเมืองตราด และหมู่เกาะอื่นๆ แทน
🌏 ผลลัพธ์ของสนธิสัญญานี้
✅ ไทยได้จันทบุรีคืนจากฝรั่งเศส
❌ ไทยเสียเมืองตราด และหมู่เกาะให้ฝรั่งเศส
✅ ไทยยังสามารถรักษาเอกราชไว้ได้ แต่ต้องจำยอมต่ออำนาจ ของมหาอำนาจตะวันตก
🔹 ไทยทวงคืนเมืองตราดสำเร็จในปี พ.ศ. 2450
4 ปี ต่อมา ในปี พ.ศ. 2450 (ค.ศ. 1907) ไทยสามารถทวงคืนเมืองตราด กลับมาได้สำเร็จ โดยแลกกับดินแดนพระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภณ ที่อยู่ทางฝั่งกัมพูชา ให้ฝรั่งเศสแทน
นี่เป็นอีกหนึ่งครั้ง ที่ไทยต้องเสียสละดินแดน เพื่อให้สามารถปกป้อง เอกราชของตนเองเอาไว้
🧐 จากเหตุการณ์ ปักปันเขตแดนในปี พ.ศ. 2446 ไทยได้เรียนรู้ว่า
✔ อำนาจทางการทูต มีความสำคัญอย่างยิ่ง ไทยสามารถใช้การเจรจา เพื่อลดความเสียหายได้ แม้ว่าจะต้องยอมเสียดินแดนบางส่วน
✔ จักรวรรดินิยมฝรั่งเศส ไม่เคยหยุดกดดันไทย ต้องอาศัยนโยบายเชิงรุก เพื่อรักษาเอกราช
✔ ไทยต้องพัฒนาประเทศให้ทันสมัย เพื่อป้องกันการถูกรุกรานในอนาคต
🎯 แม้ว่าไทยจะต้องยอม สูญเสียดินแดนบางส่วน แต่ก็สามารถรักษา ความเป็นเอกราชเอาไว้ได้ ซึ่งแตกต่างจากประเทศเพื่อนบ้าน ที่ตกเป็นอาณานิคม ของจักรวรรดินิยมในช่วงเวลานั้น
🔹 122 ปี แห่งความเปลี่ยนแปลงทางดินแดน และอธิปไตยของไทย
🌏 ผ่านไป 122 ปี นับตั้งแต่สนธิสัญญา ปักปันเขตแดนไทย-กัมพูชา-เมืองหลวงพระบาง เหตุการณ์นี้ยังคงเป็นบทเรียนสำคัญ ทางประวัติศาสตร์ของไทย 🇹🇭
📌 ถึงแม้ไทยจะเสียดินแดนไปบางส่วน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ไทยยังคงรักษาเอกราชไว้ได้ ไม่ต้องตกเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตก เหมือนประเทศเพื่อนบ้าน 💬
ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 131208 ก.พ. 2568
#ประวัติศาสตร์ไทย #ไทยฝรั่งเศส #อธิปไตย #วิกฤติการณ์รศ112 #เอกราชไทย122 ปี ปักปันเขตแดนไทย-กัมพูชา-เมืองหลวงพระบาง: ฝ่าอิทธิพลจักรวรรดินิยม รักษาเอกราช ทวงคืนอธิปไตยจันทบุรี 📅 ย้อนกลับไปเมื่อ 122 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2446 (ค.ศ. 1903) ถือเป็นหมุดหมายสำคัญ ในประวัติศาสตร์ไทย 🇹🇭 เมื่อไทยและฝรั่งเศส 🇫🇷 ลงนามในสัญญาปักปันเขตแดน ระหว่างไทย-กัมพูชา และเมืองหลวงพระบาง ซึ่งเป็นดินแดน ที่อยู่ภายใต้การปกครอง ของฝรั่งเศสในขณะนั้น ภายใต้ข้อตกลงนี้ ไทยต้องยกดินแดน ฝั่งขวาของแม่น้ำโขง ที่อยู่ตรงข้ามเมืองหลวงพระบาง ให้แก่ฝรั่งเศส เพื่อแลกกับการถอนทหารฝรั่งเศส ออกจากจังหวัดจันทบุรี ซึ่งถูกยึดครองมา ตั้งแต่เหตุการณ์ วิกฤติการณ์ ร.ศ. 112 หรือสงครามฝรั่งเศส-สยาม (พ.ศ. 2436) อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของแรงกดดัน จากจักรวรรดินิยมฝรั่งเศส ไทยต้องเผชิญกับ การบีบบังคับทางการเมืองเพิ่มเติม จนต้องยอมเสียเมืองตราด และหมู่เกาะใกล้เคียง เพื่อแลกกับการได้จันทบุรีคืน 📌 🌍 กระแสล่าอาณานิคมของฝรั่งเศส ในอินโดจีน 🔹 ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 จักรวรรดิฝรั่งเศส ได้ขยายอิทธิพลอย่างรวดเร็ว ในภูมิภาคอินโดจีน โดยสามารถยึดครองเวียดนาม ลาว และกัมพูชา ได้สำเร็จ ทำให้ไทยกลายเป็นรัฐกันชน ที่ต้องเผชิญแรงกดดันจากฝรั่งเศส ทางด้านตะวันออก 💡 ฝรั่งเศสต้องการควบคุมดินแดน แถบลุ่มแม่น้ำโขงทั้งหมด เพื่อสร้างเส้นทางการค้าจากจีน ลงมาสู่อินโดจีนของตน ในขณะที่ไทย ต้องพยายามรักษาเอกราช และดินแดนของตนไว้ 🇹🇭 ไทยภายใต้รัชกาลที่ 5 พยายามรักษาเอกราช พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงตระหนักถึงภัยคุกคาม จากจักรวรรดินิยม และพยายามใช้นโยบายการทูตเชิงรุก เพื่อรักษาความเป็นอิสระของไทย ทรงดำเนินแผนการ ปรับปรุงประเทศให้ทันสมัย เพื่อลดข้ออ้างของมหาอำนาจตะวันตก ในการเข้ามาแทรกแซง อย่างไรก็ตาม ฝรั่งเศสใช้ข้ออ้างเรื่องอธิปไตย เหนือดินแดนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง เป็นเหตุผลในการเรียกร้องดินแดนเพิ่มเติมจากไทย 🔹 วิกฤติการณ์ ร.ศ. 112 จุดเริ่มต้นของการเสียเปรียบทางดินแดน 📍 วิกฤติการณ์ ร.ศ. 112 (พ.ศ. 2436) เป็นเหตุการณ์ที่ฝรั่งเศส ใช้กำลังทหารเรือ บุกรุกปากแม่น้ำเจ้าพระยา และปะทะกับทหารไทย จนเป็นเหตุให้รัฐบาลไทย ต้องยอมลงนามในสนธิสัญญา ที่เสียเปรียบ 📜 ข้อกำหนดสำคัญของสนธิสัญญา ร.ศ. 112 ✔ ไทยต้องยกดินแดน ฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงทั้งหมด รวมถึงลาว ให้แก่ฝรั่งเศส ✔ ฝรั่งเศสเข้ายึดจังหวัดจันทบุรี เป็นหลักประกันบังคับให้ไทย ปฏิบัติตามสัญญา ✔ ไทยต้องชดใช้ค่าเสียหายจำนวนมหาศาล ให้ฝรั่งเศส 🛑 นี่เป็นครั้งแรกที่ไทย ต้องเสียดินแดนจำนวนมาก ให้แก่จักรวรรดินิยมฝรั่งเศส และทำให้สถานการณ์ของไทยในภูมิภาคนี้ ล่อแหลมยิ่งขึ้น 🔹 สนธิสัญญา พ.ศ. 2446 การทวงคืนจันทบุรี แต่ต้องแลกด้วยดินแดนเพิ่ม หลังจากไทย ถูกฝรั่งเศสยึดครองจันทบุรี ไว้นานถึง 10 ปี รัฐบาลไทยพยายามเจรจา ขอคืนจันทบุรี แต่ต้องแลกด้วย การยอมมอบดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขง ที่ตรงข้ามกับเมืองหลวงพระบาง ให้แก่ฝรั่งเศส 📌 สนธิสัญญานี้ ลงนามเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2446 ทำให้ไทยได้รับจันทบุรีคืน แต่ฝรั่งเศสกลับยื่นเงื่อนไข ให้ไทยต้องยกเมืองตราด และหมู่เกาะอื่นๆ แทน 🌏 ผลลัพธ์ของสนธิสัญญานี้ ✅ ไทยได้จันทบุรีคืนจากฝรั่งเศส ❌ ไทยเสียเมืองตราด และหมู่เกาะให้ฝรั่งเศส ✅ ไทยยังสามารถรักษาเอกราชไว้ได้ แต่ต้องจำยอมต่ออำนาจ ของมหาอำนาจตะวันตก 🔹 ไทยทวงคืนเมืองตราดสำเร็จในปี พ.ศ. 2450 4 ปี ต่อมา ในปี พ.ศ. 2450 (ค.ศ. 1907) ไทยสามารถทวงคืนเมืองตราด กลับมาได้สำเร็จ โดยแลกกับดินแดนพระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภณ ที่อยู่ทางฝั่งกัมพูชา ให้ฝรั่งเศสแทน นี่เป็นอีกหนึ่งครั้ง ที่ไทยต้องเสียสละดินแดน เพื่อให้สามารถปกป้อง เอกราชของตนเองเอาไว้ 🧐 จากเหตุการณ์ ปักปันเขตแดนในปี พ.ศ. 2446 ไทยได้เรียนรู้ว่า ✔ อำนาจทางการทูต มีความสำคัญอย่างยิ่ง ไทยสามารถใช้การเจรจา เพื่อลดความเสียหายได้ แม้ว่าจะต้องยอมเสียดินแดนบางส่วน ✔ จักรวรรดินิยมฝรั่งเศส ไม่เคยหยุดกดดันไทย ต้องอาศัยนโยบายเชิงรุก เพื่อรักษาเอกราช ✔ ไทยต้องพัฒนาประเทศให้ทันสมัย เพื่อป้องกันการถูกรุกรานในอนาคต 🎯 แม้ว่าไทยจะต้องยอม สูญเสียดินแดนบางส่วน แต่ก็สามารถรักษา ความเป็นเอกราชเอาไว้ได้ ซึ่งแตกต่างจากประเทศเพื่อนบ้าน ที่ตกเป็นอาณานิคม ของจักรวรรดินิยมในช่วงเวลานั้น 🔹 122 ปี แห่งความเปลี่ยนแปลงทางดินแดน และอธิปไตยของไทย 🌏 ผ่านไป 122 ปี นับตั้งแต่สนธิสัญญา ปักปันเขตแดนไทย-กัมพูชา-เมืองหลวงพระบาง เหตุการณ์นี้ยังคงเป็นบทเรียนสำคัญ ทางประวัติศาสตร์ของไทย 🇹🇭 📌 ถึงแม้ไทยจะเสียดินแดนไปบางส่วน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ไทยยังคงรักษาเอกราชไว้ได้ ไม่ต้องตกเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตก เหมือนประเทศเพื่อนบ้าน 💬 ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 131208 ก.พ. 2568 #ประวัติศาสตร์ไทย #ไทยฝรั่งเศส #อธิปไตย #วิกฤติการณ์รศ112 #เอกราชไทย0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 207 มุมมอง 0 รีวิว - 7 ปี สิ้น “แม่ทัพหาญ” พลเอกหาญ ลีนานนท์ ผู้บุกเบิกนโยบายใต้ร่มเย็น ค้านเรือเหาะ เลิกปราบปราม สร้างความเข้าใจ ใช้สันติวิธี
“ดับไฟใต้ด้วยสันติวิธี” คือแนวทางที่ พลเอกหาญ ลีนานนท์ เลือกใช้ตลอดชีวิตการรับราชการ และการเมือง ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าได้ผล ในการสร้างความสงบ ให้กับภาคใต้ของไทย
📌 7 ปี แล้วที่ พลเอกหาญ ลีนานนท์ หรือ "แม่ทัพหาญ" จากไป ทิ้งไว้เพียงตำนานของแม่ทัพ ผู้เปลี่ยนนโยบายความมั่นคงของไทย จากการใช้กำลัง สู่สันติวิธี 🌿
แม้จะจากโลกนี้ไปเมื่อ 7 ปี ที่ผ่านมา แต่ชื่อของแม่ทัพหาญ ยังคงถูกกล่าวถึงในแวดวงการเมือง และกองทัพ โดยเฉพาะเรื่อง "นโยบายใต้ร่มเย็น" ที่กลายเป็นแนวทางสำคัญ ในการแก้ปัญหาความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนใต้ 🕊️
👤 🎖️ เส้นทางสู่กองทัพ
พลเอกหาญ ลีนานนท์ เกิดเมื่อ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2467 ที่อำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล เป็นบุตรของขุนด่านลีนานนท์ และนางนิตย์ ลีนานนท์
การศึกษาของแม่ทัพหาญเริ่มจาก
- โรงเรียนไตรมิตรวิทยาลัย
- โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย
- โรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร
- โรงเรียนนายร้อยทหารบก ร่วมรุ่นกับ พลเอกอาทิตย์ กำลังเอก และพลเอกเทียนชัย ศิริสัมพันธ์
หลังจบการศึกษา แม่ทัพหาญไต่เต้าขึ้นสู่ ตำแหน่งสำคัญในกองทัพ จนกระทั่งได้รับแต่งตั้ง เป็นแม่ทัพภาคที่ 4 ซึ่งเป็นช่วงที่สร้างคุณูปการ มากที่สุดในชีวิต
🏅 🔥 ปัญหาภาคใต้ก่อนยุคแม่ทัพหาญ
ก่อนที่แม่ทัพหาญจะเข้ารับตำแหน่ง ภาคใต้เผชิญปัญหาความรุนแรงจากหลายกลุ่ม ได้แก่
✅ ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ (พคท.)
✅ ขบวนการโจรก่อการร้ายแบ่งแยกดินแดน (ขจก.)
✅ โจรจีนคอมมิวนิสต์มาลายา
✅ อิทธิพลท้องถิ่นและกลุ่มผู้มีอำนาจมืด
รัฐใช้มาตรการปราบปรามอย่างหนัก แต่ไม่ได้ผล จนกระทั่งแม่ทัพหาญ เข้ามาเปลี่ยนแนวทางการแก้ปัญหา
☂️ นโยบายใต้ร่มเย็น จากสงครามสู่สันติภาพ
"ใต้ร่มเย็น" เป็นนโยบายที่ให้ความสำคัญกับการเมือง มากกว่าการทหาร โดยมีหลักการสำคัญ 4 ข้อ ได้แก่
1️⃣ ปกป้องชีวิต และทรัพย์สินของประชาชน ทั้งไทยพุทธและมุสลิม
2️⃣ ทำให้พื้นที่ชายแดนไทย-มาเลเซียปลอดภัย เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
3️⃣ กำจัดอำนาจเผด็จการ และอิทธิพลมืดด้วยสันติวิธี
4️⃣ สร้างความสัมพันธ์ที่ดี ระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐและประชาชน
แม่ทัพหาญยึดหลักว่า "ต้องชนะใจประชาชน" ไม่ใช่แค่เอาชนะศัตรู ซึ่งเป็นหัวใจของยุทธศาสตร์ "นโยบาย 66/23" ที่ใช้ปราบคอมมิวนิสต์สำเร็จมาแล้ว
📝 ผลลัพธ์ของนโยบายใต้ร่มเย็น
✅ กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ มอบตัวจำนวนมาก
✅ ปัญหาความรุนแรง ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
✅ ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ และประชาชนดีขึ้น
🚢 ค้านเรือเหาะ ไม่เห็นด้วยกับการทุ่มงบประมาณ อย่างไร้ประสิทธิภาพ ⚠️
ในยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กองทัพบกได้ จัดซื้อเรือเหาะมูลค่า 350 ล้านบาท เพื่อใช้เฝ้าระวังในสามจังหวัดชายแดนใต้ แต่กลับกลายเป็น ประเด็นวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก
แม่ทัพหาญ เป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญ ที่ออกมาคัดค้าน โดยให้เหตุผลว่า
❌ ภูมิประเทศภาคใต้ เต็มไปด้วยป่าดงดิบ เรือเหาะจะจับภาพได้ยาก
❌ ขบวนการก่อความไม่สงบ อยู่ปะปนกับชาวบ้าน ไม่ใช่ในป่าเขา
❌ อาวุธเทคโนโลยีแพง ไม่ช่วยแก้ปัญหาได้จริง สิ่งที่สำคัญกว่าคือ ความเข้าใจประชาชน
❌ เป็นการใช้งบประมาณอย่างไม่คุ้มค่า ขณะที่เงินเหล่านี้ สามารถนำไปพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่ได้
🔴 บทความ "บทเรียนจากการรบ" ของแม่ทัพหาญ ระบุว่า
"การซื้อเรือเหาะปราบโจรนี้ แสดงว่าทั้งผู้บังคับบัญชา ไม่มีความคิดที่จะแก้ปัญหาทางยุทธศาสตร์ โจรไม่ได้อยู่ในป่า แต่เขาอยู่ในบ้าน ในหมู่บ้าน ถ้าเรือเหาะถ่ายภาพมาได้ แล้วจะรู้ได้อย่างไร ว่าใครเป็นโจร หรือเป็นชาวบ้าน?"
ท้ายที่สุด เรือเหาะถูกปลดระวาง โดยไม่เคยใช้งานเต็มศักยภาพ ซึ่งพิสูจน์ว่า แม่ทัพหาญคิดถูก 🛑
🌟 แม่ทัพหาญ ตำนานที่ยังมีชีวิต
แม้ว่า พลเอกหาญ ลีนานนท์ จะจากไปเมื่อ 7 ปี ที่ผ่านมา แต่แนวคิดและอุดมการณ์ ยังคงส่งอิทธิพล ต่อการแก้ปัญหาภาคใต้ จนถึงปัจจุบัน
✅ พิสูจน์ว่าสันติวิธีดีกว่าการใช้กำลัง
✅ เปลี่ยนแนวคิด "สงคราม" เป็น "การเมืองนำการทหาร"
✅ ต่อต้านการทุ่มงบประมาณ อย่างไร้เหตุผล
✅ เป็นต้นแบบของผู้นำ ที่ประชาชนไว้วางใจ
🕊️ "แม่ทัพหาญ" อาจจากไป แต่แนวคิดยังคงอยู่ตลอดกาล🔥
✅ พลเอกหาญ ลีนานนท์ เป็นแม่ทัพภาคที่ 4 ผู้ริเริ่ม "นโยบายใต้ร่มเย็น"
✅ เปลี่ยนจาก "การปราบปราม" เป็น "การสร้างความเข้าใจ"
✅ คัดค้านเรือเหาะ 350 ล้าน เพราะมองว่าสิ้นเปลือง และไม่แก้ปัญหาที่แท้จริง
✅ สร้างแนวทางสันติวิธี ที่กลายเป็นต้นแบบ การแก้ปัญหาภาคใต้
🌿 "ดับไฟใต้ไม่ต้องใช้ปืน แต่ต้องใช้ใจ" พลเอกหาญ ลีนานนท์
ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 111039 ก.พ. 2568
📢 #แม่ทัพหาญ #ใต้ร่มเย็น #สันติวิธี #ดับไฟใต้ #การเมืองนำการทหาร #ค้านเรือเหาะ #ภาคใต้ #กองทัพไทย #7ปีสิ้นแม่ทัพหาญ7 ปี สิ้น “แม่ทัพหาญ” พลเอกหาญ ลีนานนท์ ผู้บุกเบิกนโยบายใต้ร่มเย็น ค้านเรือเหาะ เลิกปราบปราม สร้างความเข้าใจ ใช้สันติวิธี “ดับไฟใต้ด้วยสันติวิธี” คือแนวทางที่ พลเอกหาญ ลีนานนท์ เลือกใช้ตลอดชีวิตการรับราชการ และการเมือง ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าได้ผล ในการสร้างความสงบ ให้กับภาคใต้ของไทย 📌 7 ปี แล้วที่ พลเอกหาญ ลีนานนท์ หรือ "แม่ทัพหาญ" จากไป ทิ้งไว้เพียงตำนานของแม่ทัพ ผู้เปลี่ยนนโยบายความมั่นคงของไทย จากการใช้กำลัง สู่สันติวิธี 🌿 แม้จะจากโลกนี้ไปเมื่อ 7 ปี ที่ผ่านมา แต่ชื่อของแม่ทัพหาญ ยังคงถูกกล่าวถึงในแวดวงการเมือง และกองทัพ โดยเฉพาะเรื่อง "นโยบายใต้ร่มเย็น" ที่กลายเป็นแนวทางสำคัญ ในการแก้ปัญหาความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนใต้ 🕊️ 👤 🎖️ เส้นทางสู่กองทัพ พลเอกหาญ ลีนานนท์ เกิดเมื่อ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2467 ที่อำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล เป็นบุตรของขุนด่านลีนานนท์ และนางนิตย์ ลีนานนท์ การศึกษาของแม่ทัพหาญเริ่มจาก - โรงเรียนไตรมิตรวิทยาลัย - โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย - โรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร - โรงเรียนนายร้อยทหารบก ร่วมรุ่นกับ พลเอกอาทิตย์ กำลังเอก และพลเอกเทียนชัย ศิริสัมพันธ์ หลังจบการศึกษา แม่ทัพหาญไต่เต้าขึ้นสู่ ตำแหน่งสำคัญในกองทัพ จนกระทั่งได้รับแต่งตั้ง เป็นแม่ทัพภาคที่ 4 ซึ่งเป็นช่วงที่สร้างคุณูปการ มากที่สุดในชีวิต 🏅 🔥 ปัญหาภาคใต้ก่อนยุคแม่ทัพหาญ ก่อนที่แม่ทัพหาญจะเข้ารับตำแหน่ง ภาคใต้เผชิญปัญหาความรุนแรงจากหลายกลุ่ม ได้แก่ ✅ ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ (พคท.) ✅ ขบวนการโจรก่อการร้ายแบ่งแยกดินแดน (ขจก.) ✅ โจรจีนคอมมิวนิสต์มาลายา ✅ อิทธิพลท้องถิ่นและกลุ่มผู้มีอำนาจมืด รัฐใช้มาตรการปราบปรามอย่างหนัก แต่ไม่ได้ผล จนกระทั่งแม่ทัพหาญ เข้ามาเปลี่ยนแนวทางการแก้ปัญหา ☂️ นโยบายใต้ร่มเย็น จากสงครามสู่สันติภาพ "ใต้ร่มเย็น" เป็นนโยบายที่ให้ความสำคัญกับการเมือง มากกว่าการทหาร โดยมีหลักการสำคัญ 4 ข้อ ได้แก่ 1️⃣ ปกป้องชีวิต และทรัพย์สินของประชาชน ทั้งไทยพุทธและมุสลิม 2️⃣ ทำให้พื้นที่ชายแดนไทย-มาเลเซียปลอดภัย เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ 3️⃣ กำจัดอำนาจเผด็จการ และอิทธิพลมืดด้วยสันติวิธี 4️⃣ สร้างความสัมพันธ์ที่ดี ระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐและประชาชน แม่ทัพหาญยึดหลักว่า "ต้องชนะใจประชาชน" ไม่ใช่แค่เอาชนะศัตรู ซึ่งเป็นหัวใจของยุทธศาสตร์ "นโยบาย 66/23" ที่ใช้ปราบคอมมิวนิสต์สำเร็จมาแล้ว 📝 ผลลัพธ์ของนโยบายใต้ร่มเย็น ✅ กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ มอบตัวจำนวนมาก ✅ ปัญหาความรุนแรง ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ✅ ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ และประชาชนดีขึ้น 🚢 ค้านเรือเหาะ ไม่เห็นด้วยกับการทุ่มงบประมาณ อย่างไร้ประสิทธิภาพ ⚠️ ในยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กองทัพบกได้ จัดซื้อเรือเหาะมูลค่า 350 ล้านบาท เพื่อใช้เฝ้าระวังในสามจังหวัดชายแดนใต้ แต่กลับกลายเป็น ประเด็นวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก แม่ทัพหาญ เป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญ ที่ออกมาคัดค้าน โดยให้เหตุผลว่า ❌ ภูมิประเทศภาคใต้ เต็มไปด้วยป่าดงดิบ เรือเหาะจะจับภาพได้ยาก ❌ ขบวนการก่อความไม่สงบ อยู่ปะปนกับชาวบ้าน ไม่ใช่ในป่าเขา ❌ อาวุธเทคโนโลยีแพง ไม่ช่วยแก้ปัญหาได้จริง สิ่งที่สำคัญกว่าคือ ความเข้าใจประชาชน ❌ เป็นการใช้งบประมาณอย่างไม่คุ้มค่า ขณะที่เงินเหล่านี้ สามารถนำไปพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่ได้ 🔴 บทความ "บทเรียนจากการรบ" ของแม่ทัพหาญ ระบุว่า "การซื้อเรือเหาะปราบโจรนี้ แสดงว่าทั้งผู้บังคับบัญชา ไม่มีความคิดที่จะแก้ปัญหาทางยุทธศาสตร์ โจรไม่ได้อยู่ในป่า แต่เขาอยู่ในบ้าน ในหมู่บ้าน ถ้าเรือเหาะถ่ายภาพมาได้ แล้วจะรู้ได้อย่างไร ว่าใครเป็นโจร หรือเป็นชาวบ้าน?" ท้ายที่สุด เรือเหาะถูกปลดระวาง โดยไม่เคยใช้งานเต็มศักยภาพ ซึ่งพิสูจน์ว่า แม่ทัพหาญคิดถูก 🛑 🌟 แม่ทัพหาญ ตำนานที่ยังมีชีวิต แม้ว่า พลเอกหาญ ลีนานนท์ จะจากไปเมื่อ 7 ปี ที่ผ่านมา แต่แนวคิดและอุดมการณ์ ยังคงส่งอิทธิพล ต่อการแก้ปัญหาภาคใต้ จนถึงปัจจุบัน ✅ พิสูจน์ว่าสันติวิธีดีกว่าการใช้กำลัง ✅ เปลี่ยนแนวคิด "สงคราม" เป็น "การเมืองนำการทหาร" ✅ ต่อต้านการทุ่มงบประมาณ อย่างไร้เหตุผล ✅ เป็นต้นแบบของผู้นำ ที่ประชาชนไว้วางใจ 🕊️ "แม่ทัพหาญ" อาจจากไป แต่แนวคิดยังคงอยู่ตลอดกาล🔥 ✅ พลเอกหาญ ลีนานนท์ เป็นแม่ทัพภาคที่ 4 ผู้ริเริ่ม "นโยบายใต้ร่มเย็น" ✅ เปลี่ยนจาก "การปราบปราม" เป็น "การสร้างความเข้าใจ" ✅ คัดค้านเรือเหาะ 350 ล้าน เพราะมองว่าสิ้นเปลือง และไม่แก้ปัญหาที่แท้จริง ✅ สร้างแนวทางสันติวิธี ที่กลายเป็นต้นแบบ การแก้ปัญหาภาคใต้ 🌿 "ดับไฟใต้ไม่ต้องใช้ปืน แต่ต้องใช้ใจ" พลเอกหาญ ลีนานนท์ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 111039 ก.พ. 2568 📢 #แม่ทัพหาญ #ใต้ร่มเย็น #สันติวิธี #ดับไฟใต้ #การเมืองนำการทหาร #ค้านเรือเหาะ #ภาคใต้ #กองทัพไทย #7ปีสิ้นแม่ทัพหาญ0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 394 มุมมอง 0 รีวิว - "สามพันโบก" อัศจรรย์แกรนด์แคนยอน แห่งลำน้ำโขง เที่ยวอุบลราชธานี สัมผัสธรรมชาติสุดอลังการ ที่ต้องไปเยือนสักครั้งในชีวิต 🌿🏞
✨ "สามพันโบก" คือปรากฏการณ์ธรรมชาติ ที่เกิดจากการกัดเซาะ ของกระแสน้ำในแม่น้ำโขง จนเกิดเป็นแอ่งหินน้อยใหญ่จำนวนมาก ซึ่งมีมากถึง 3,000 แอ่ง 🌊 จึงเป็นที่มาของชื่อ "สามพันโบก" โดยคำว่า "โบก" ในภาษาลาว หมายถึง "แอ่ง" หรือ "บ่อน้ำลึก"
📍 ที่ตั้ง บ้านสองคอน ตำบลสองคอน อำเภอโพธิ์ไทร จังหวัดอุบลราชธานี
📏 พื้นที่ ครอบคลุมหลายกิโลเมตร ใต้แม่น้ำโขง
🏜 ฉายา "แกรนด์แคนยอนแห่งลำน้ำโขง"
ความสวยงามของสามพันโบ กจะปรากฏให้เห็นในช่วงฤดูแล้ง เดือนธันวาคม-พฤษภาคม เมื่อระดับน้ำลดลง เผยให้เห็นหินรูปร่างแปลกตา คล้ายกับ "หาดชมดาว" ที่อำเภอนาตาล 🌄
ตำนานและเรื่องเล่าของสามพันโบก
💠 ตำนานหินหัวสุนัข
ณ ทางเข้าไปสู่สามพันโบก มีหินขนาดใหญ่รูปร่างคล้ายหัวสุนัข 🐶 ซึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องเล่าที่ว่า...
"ในอดีต มีเจ้าเมืองผู้หนึ่งที่เรืองอำนาจ ได้ส่งเสนาเข้ามาสำรวจสามพันโบก และพบขุมทรัพย์ล้ำค่าในบริเวณนี้ เจ้าเมืองจึงสั่งให้สุนัขตัวหนึ่ง เฝ้าทางเข้าไว้ รอจนกว่าเขาจะออกมา แต่ด้วยความโลภ เจ้าเมืองกลับออกไปอีกทาง ปล่อยให้สุนัขเฝ้ารอจนตาย และกลายเป็นหินในที่สุด"
💧 ตำนานพญานาคขุดลำน้ำ
อีกเรื่องเล่าหนึ่งเกี่ยวกับ พญานาค 🐉 ที่ต้องการสร้างเส้นทางน้ำใหม่ จึงขุดลำน้ำขึ้นมา และให้สุนัขตัวหนึ่งเฝ้าทางเข้า จนในที่สุดสุนัขก็ตายลง กลายเป็นก้อนหิน ที่เราเห็นกันในปัจจุบัน
ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเที่ยวสามพันโบก
🗓 ช่วงเวลาที่ดีที่สุด ธันวาคม - พฤษภาคม
⛅ สภาพอากาศ อากาศเย็นสบาย ไม่มีฝน ทำให้สามารถเดินสำรวจแก่งหิน ได้เต็มที่
📸 ช่วงเวลาถ่ายรูปสวย
เช้า 6.00 - 8.00 น. แสงอ่อน ๆ สาดกระทบหิน
เย็น 16.00 - 18.00 น. พระอาทิตย์ตกสวยงาม
จุดเด่น และไฮไลท์ของสามพันโบก
🌊 "แอ่งน้ำมหัศจรรย์"
หินที่นี่ถูกน้ำกัดเซาะ เป็นโพรงรูปร่างแปลกตา เช่น รูปหัวใจ 🧡 รูปเต่า 🐢 หรือแม้แต่รูปร่างคล้ายสัตว์ในจินตนาการ
🦴 "หินหัวสุนัข"
แลนด์มาร์คทางเข้าของสามพันโบก ที่ไม่ควรพลาด
🚤 "ล่องเรือชมโบก"
นักท่องเที่ยวสามารถเช่าเรือของชาวบ้าน เพื่อล่องไปชมวิวแม่น้ำโขงสุดอลังการ
🌄 "พระอาทิตย์ขึ้น-ตกที่แม่น้ำโขง"
จุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นและตก ที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในภาคอีสาน
สถานที่ท่องเที่ยวใกล้เคียง
🏖 หาดสลึง
หาดทรายขาวละเอียด ยาวกว่า 860 เมตร จุดพักผ่อนหย่อนใจ และเป็นจุดขึ้นเรือไปสามพันโบก
⛵ ปากบ้อง
จุดที่แม่น้ำโขง แคบที่สุดในประเทศไทย กว้างเพียง 56 เมตร
🗿 หินหัวพะเนียง
หินรูปทรงแปลกตา เกิดจากกระแสน้ำพัดผ่านหินทราย
🏜 หาดหงส์
"มินิซาฮาร่า" ของอุบลราชธานี ทะเลทรายกลางลำน้ำโขง
🎨 หาดหินสี
หินสีสวยงาม มันวาวเป็นเอกลักษณ์
การเดินทางไปสามพันโบก
🚗 โดยรถยนต์
จากอุบลราชธานี → ใช้ทางหลวงหมายเลข 2050 → ผ่านอำเภอตระการพืชผล → อำเภอโพธิ์ไทร → ใช้ทางหลวงชนบท อบ. 4090 → ถึงสามพันโบก ระยะทาง 118 กม.
🚕 รถสองแถวท้องถิ่น
บริเวณทางเข้า มีรถสองแถวให้บริการ พาลงไปชมสามพันโบก ราคา 200 บาท
🚶♂️ เดินเท้า
ระยะทางจากจุดจอดรถ ไปยังสามพันโบก ประมาณ 250 เมตร
ข้อแนะนำสำหรับนักท่องเที่ยว
✅ ควรเตรียมตัวให้พร้อม หมวก, ครีมกันแดด, น้ำดื่ม
✅ ใส่รองเท้าผ้าใบ เดินง่าย ปลอดภัย
✅ รักษาธรรมชาติ ไม่ขีดเขียนหิน ไม่ทิ้งขยะ
✅ ใช้บริการไกด์ท้องถิ่น ช่วยสนับสนุนชุมชน
FAQs คำถามที่พบบ่อย
1. ไปสามพันโบกต้องเสียค่าเข้าไหม?
💰 ไม่มีค่าเข้าชม แต่มีค่ารถสองแถว 200 บาท
2. สามพันโบกเปิดให้เข้าชมช่วงไหน?
📅 เปิดตลอดทั้งปี แต่แนะนำให้ไปช่วง ธันวาคม - พฤษภาคม
3. ควรไปเที่ยวกี่โมง?
🌄 เช้าและเย็น จะดีที่สุด อากาศเย็นสบาย แสงสวย
4. สามพันโบกเหมาะกับใคร?
👨👩👧👦 เหมาะสำหรับทุกคนที่รักธรรมชาติ และการผจญภัย
สามพันโบก เป็นสถานที่มหัศจรรย์ ที่เกิดจากธรรมชาติ ที่ควรไปเยือนสักครั้งในชีวิต 🌍 หากกำลังมองหาที่เที่ยวสุด Unseen ที่ให้ทั้งความสนุก ประสบการณ์ และความตื่นตาตื่นใจ สามพันโบกคือคำตอบ!
ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 10212 ก.พ. 2568
📌 #สามพันโบก #เที่ยวอุบล #UnseenThailand #ลำน้ำโขง 🌊✨"สามพันโบก" อัศจรรย์แกรนด์แคนยอน แห่งลำน้ำโขง เที่ยวอุบลราชธานี สัมผัสธรรมชาติสุดอลังการ ที่ต้องไปเยือนสักครั้งในชีวิต 🌿🏞 ✨ "สามพันโบก" คือปรากฏการณ์ธรรมชาติ ที่เกิดจากการกัดเซาะ ของกระแสน้ำในแม่น้ำโขง จนเกิดเป็นแอ่งหินน้อยใหญ่จำนวนมาก ซึ่งมีมากถึง 3,000 แอ่ง 🌊 จึงเป็นที่มาของชื่อ "สามพันโบก" โดยคำว่า "โบก" ในภาษาลาว หมายถึง "แอ่ง" หรือ "บ่อน้ำลึก" 📍 ที่ตั้ง บ้านสองคอน ตำบลสองคอน อำเภอโพธิ์ไทร จังหวัดอุบลราชธานี 📏 พื้นที่ ครอบคลุมหลายกิโลเมตร ใต้แม่น้ำโขง 🏜 ฉายา "แกรนด์แคนยอนแห่งลำน้ำโขง" ความสวยงามของสามพันโบ กจะปรากฏให้เห็นในช่วงฤดูแล้ง เดือนธันวาคม-พฤษภาคม เมื่อระดับน้ำลดลง เผยให้เห็นหินรูปร่างแปลกตา คล้ายกับ "หาดชมดาว" ที่อำเภอนาตาล 🌄 ตำนานและเรื่องเล่าของสามพันโบก 💠 ตำนานหินหัวสุนัข ณ ทางเข้าไปสู่สามพันโบก มีหินขนาดใหญ่รูปร่างคล้ายหัวสุนัข 🐶 ซึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องเล่าที่ว่า... "ในอดีต มีเจ้าเมืองผู้หนึ่งที่เรืองอำนาจ ได้ส่งเสนาเข้ามาสำรวจสามพันโบก และพบขุมทรัพย์ล้ำค่าในบริเวณนี้ เจ้าเมืองจึงสั่งให้สุนัขตัวหนึ่ง เฝ้าทางเข้าไว้ รอจนกว่าเขาจะออกมา แต่ด้วยความโลภ เจ้าเมืองกลับออกไปอีกทาง ปล่อยให้สุนัขเฝ้ารอจนตาย และกลายเป็นหินในที่สุด" 💧 ตำนานพญานาคขุดลำน้ำ อีกเรื่องเล่าหนึ่งเกี่ยวกับ พญานาค 🐉 ที่ต้องการสร้างเส้นทางน้ำใหม่ จึงขุดลำน้ำขึ้นมา และให้สุนัขตัวหนึ่งเฝ้าทางเข้า จนในที่สุดสุนัขก็ตายลง กลายเป็นก้อนหิน ที่เราเห็นกันในปัจจุบัน ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเที่ยวสามพันโบก 🗓 ช่วงเวลาที่ดีที่สุด ธันวาคม - พฤษภาคม ⛅ สภาพอากาศ อากาศเย็นสบาย ไม่มีฝน ทำให้สามารถเดินสำรวจแก่งหิน ได้เต็มที่ 📸 ช่วงเวลาถ่ายรูปสวย เช้า 6.00 - 8.00 น. แสงอ่อน ๆ สาดกระทบหิน เย็น 16.00 - 18.00 น. พระอาทิตย์ตกสวยงาม จุดเด่น และไฮไลท์ของสามพันโบก 🌊 "แอ่งน้ำมหัศจรรย์" หินที่นี่ถูกน้ำกัดเซาะ เป็นโพรงรูปร่างแปลกตา เช่น รูปหัวใจ 🧡 รูปเต่า 🐢 หรือแม้แต่รูปร่างคล้ายสัตว์ในจินตนาการ 🦴 "หินหัวสุนัข" แลนด์มาร์คทางเข้าของสามพันโบก ที่ไม่ควรพลาด 🚤 "ล่องเรือชมโบก" นักท่องเที่ยวสามารถเช่าเรือของชาวบ้าน เพื่อล่องไปชมวิวแม่น้ำโขงสุดอลังการ 🌄 "พระอาทิตย์ขึ้น-ตกที่แม่น้ำโขง" จุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นและตก ที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในภาคอีสาน สถานที่ท่องเที่ยวใกล้เคียง 🏖 หาดสลึง หาดทรายขาวละเอียด ยาวกว่า 860 เมตร จุดพักผ่อนหย่อนใจ และเป็นจุดขึ้นเรือไปสามพันโบก ⛵ ปากบ้อง จุดที่แม่น้ำโขง แคบที่สุดในประเทศไทย กว้างเพียง 56 เมตร 🗿 หินหัวพะเนียง หินรูปทรงแปลกตา เกิดจากกระแสน้ำพัดผ่านหินทราย 🏜 หาดหงส์ "มินิซาฮาร่า" ของอุบลราชธานี ทะเลทรายกลางลำน้ำโขง 🎨 หาดหินสี หินสีสวยงาม มันวาวเป็นเอกลักษณ์ การเดินทางไปสามพันโบก 🚗 โดยรถยนต์ จากอุบลราชธานี → ใช้ทางหลวงหมายเลข 2050 → ผ่านอำเภอตระการพืชผล → อำเภอโพธิ์ไทร → ใช้ทางหลวงชนบท อบ. 4090 → ถึงสามพันโบก ระยะทาง 118 กม. 🚕 รถสองแถวท้องถิ่น บริเวณทางเข้า มีรถสองแถวให้บริการ พาลงไปชมสามพันโบก ราคา 200 บาท 🚶♂️ เดินเท้า ระยะทางจากจุดจอดรถ ไปยังสามพันโบก ประมาณ 250 เมตร ข้อแนะนำสำหรับนักท่องเที่ยว ✅ ควรเตรียมตัวให้พร้อม หมวก, ครีมกันแดด, น้ำดื่ม ✅ ใส่รองเท้าผ้าใบ เดินง่าย ปลอดภัย ✅ รักษาธรรมชาติ ไม่ขีดเขียนหิน ไม่ทิ้งขยะ ✅ ใช้บริการไกด์ท้องถิ่น ช่วยสนับสนุนชุมชน FAQs คำถามที่พบบ่อย 1. ไปสามพันโบกต้องเสียค่าเข้าไหม? 💰 ไม่มีค่าเข้าชม แต่มีค่ารถสองแถว 200 บาท 2. สามพันโบกเปิดให้เข้าชมช่วงไหน? 📅 เปิดตลอดทั้งปี แต่แนะนำให้ไปช่วง ธันวาคม - พฤษภาคม 3. ควรไปเที่ยวกี่โมง? 🌄 เช้าและเย็น จะดีที่สุด อากาศเย็นสบาย แสงสวย 4. สามพันโบกเหมาะกับใคร? 👨👩👧👦 เหมาะสำหรับทุกคนที่รักธรรมชาติ และการผจญภัย สามพันโบก เป็นสถานที่มหัศจรรย์ ที่เกิดจากธรรมชาติ ที่ควรไปเยือนสักครั้งในชีวิต 🌍 หากกำลังมองหาที่เที่ยวสุด Unseen ที่ให้ทั้งความสนุก ประสบการณ์ และความตื่นตาตื่นใจ สามพันโบกคือคำตอบ! ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 10212 ก.พ. 2568 📌 #สามพันโบก #เที่ยวอุบล #UnseenThailand #ลำน้ำโขง 🌊✨0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 294 มุมมอง 0 รีวิว - 87 ปี “สนามศุภชลาศัย” ตำนานสนามกีฬาแห่งชาติไทย อนาคตที่ไม่แน่นอน ควรพัฒนา หรือว่า… อนุรักษ์?
"สนามศุภชลาศัย" หรือที่เรียกกันว่า "สนามกีฬาแห่งชาติ" เป็นสนามกีฬา ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานถึง 87 ปี นับตั้งแต่เปิดใช้งานครั้งแรก ในปี พ.ศ. 2481 สนามแห่งนี้ เคยเป็นสถานที่จัดการแข่งขันกีฬาระดับชาติ และนานาชาติมากมาย ตั้งแต่ซีเกมส์ เอเชียนเกมส์ ฟุตบอลทีมชาติ ไปจนถึงคอนเสิร์ตระดับโลก อย่างเช่นการแสดงของไมเคิล แจ็กสัน ในปี พ.ศ. 2536
แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อนาคตของสนามศุภชลาศัย ตกอยู่ในความไม่แน่นอน เนื่องจากข้อพิพาทเรื่องสัญญาเช่าที่ดิ นระหว่างกรมพลศึกษา หรือสำนักงานพัฒนาการกีฬาและนันทนาการ กับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทำให้เกิดคำถามสำคัญว่า…
เราควรพัฒนาสนามศุภฯ ให้ทันสมัย เพื่อตอบโจทย์การใช้งาน ในปัจจุบันหรือไม่?
หรือควรอนุรักษ์ให้เป็นสนามกีฬาแห่งชาติ ในรูปแบบดั้งเดิม เพื่อคงคุณค่าทางประวัติศาสตร์? 🏟️
🔹 จุดกำเนิดสนามกีฬาแห่งชาติ
ก่อนหน้าที่จะมีสนามศุภชลาศัย การแข่งขันกีฬาของไทย มักจัดขึ้นที่สนามของ โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย และต่อมา ได้ย้ายไปที่ท้องสนามหลวง
จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2477 นาวาโทหลวงศุภชลาศัย ร.น. อธิบดีกรมพลศึกษาคนแรก ได้ผลักดันให้มีสนามกีฬากลางประจำชาติ และได้ทำสัญญาเช่าพื้นที่ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บริเวณที่เคยเป็นวังวินด์เซอร์ เพื่อสร้างสนามกรีฑาสถานแห่งชาติ
🔹 เปลี่ยนชื่อเป็น “สนามศุภชลาศัย”
- พ.ศ. 2481 สนามกรีฑาสถานแห่งชาติ เปิดใช้งานอย่างเป็นทางการ
- พ.ศ. 2484 กรมพลศึกษาได้เปลี่ยนชื่อเป็น "สนามศุภชลาศัยกรีฑาสถานแห่งชาติ" เพื่อเป็นเกียรติแก่ หลวงศุภชลาศัย
สนามศุภชลาศัยกลายเป็น ศูนย์กลางของวงการกีฬาประเทศไทย และเป็นสนามกีฬามาตรฐาน แห่งแรกในเอเชีย
สนามศุภฯ กับการแข่งขันระดับชาติ และนานาชาติ
สนามศุภชลาศัย ได้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาสำคัญ หลายรายการ ได้แก่
🏆 กีฬาระดับอาเซียน และเอเชีย
- พ.ศ. 2502 กีฬาแหลมทอง (เซียพเกมส์) ครั้งที่ 1
- พ.ศ. 2509 เอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 5
- พ.ศ. 2513 เอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 6
- พ.ศ. 2518 กีฬาแหลมทอง ครั้งที่ 8
⚽ การแข่งขันฟุตบอลระดับนานาชาติ
ฟุตบอลทีมชาติไทย ใช้สนามศุภฯ เป็นรังเหย้ามานานหลายสิบปี
พ.ศ. 2536 ใช้จัดการแข่งขัน ฟุตบอลเยาวชนโลก รุ่นอายุไม่เกิน 17 ปี
🎤 งานบันเทิงระดับโลก
สนามศุภชลาศัย ไม่เพียงแต่ใช้แข่งขันกีฬา แต่ยังถูกใช้เป็นสถานที่ จัดคอนเสิร์ตระดับโลก
- พ.ศ. 2536 คอนเสิร์ตของ ไมเคิล แจ็กสัน
- พ.ศ. 2555 คอนเสิร์ตของ บิ๊กแบง (BIGBANG)
ปัญหาสัญญาเช่าที่ดิน และอนาคตที่คลอนแคลน
💰 ค่าเช่าที่พุ่งสูงขึ้น
หลังจากสัญญาเช่ายาว หมดลงในปี พ.ศ. 2555 ทางจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ขอปรับค่าเช่าที่จาก 3 ล้านบาทต่อปี เป็น 153 ล้านบาทต่อปี ซึ่งเป็นภาระหนัก สำหรับกรมพลศึกษา
📉 ผลกระทบต่อการพัฒนา
เนื่องจากการเช่าแบบปีต่อปี กรมพลศึกษาไม่สามารถลงทุนปรับปรุงสนามได้ เพราะต้องใช้งบประมาณแผ่นดิน และหากคืนพื้นที่ในอนาคต การลงทุนอาจสูญเปล่า
ปัจจุบันสนามศุภฯ เก่าและทรุดโทรม พื้นสนามหญ้า ห้องน้ำ ห้องพักนักกีฬา อัฒจันทร์ และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่าง ๆ ไม่ได้รับการพัฒนาเท่าที่ควร
สนามศุภฯ ควรพัฒนา หรือควรอนุรักษ์?
🔹 ฝ่ายที่ต้องการพัฒนา
- ต้องการปรับปรุงสนาม ให้ทันสมัยเทียบเท่า สนามกีฬาในต่างประเทศ
- เพิ่มขีดความสามารถ ในการจัดการแข่งขันระดับโลก
- ใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
🔹 ฝ่ายที่ต้องการอนุรักษ์
- สนามศุภฯ มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ ควรคงไว้ในรูปแบบดั้งเดิม
- มีศิลปะสถาปัตยกรรม ที่ออกแบบโดย อาจารย์ศิลป์ พีระศรี เช่น ตราสัญลักษณ์องค์พระพลบดี
- การขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน จะทำให้การรื้อสร้างใหม่ เป็นไปได้ยาก
สนามศุภชลาศัยควรไปทางไหนต่อ?
✅ ข้อสรุปสำคัญ
- หากพัฒนา สนามจะสามารถรองรับการแข่งขันระดับโลก แต่ต้องใช้งบประมาณมหาศาล
- หากอนุรักษ์ จะรักษาประวัติศาสตร์ไว้ได้ แต่สนามอาจไม่ได้มาตรฐานสำหรับการแข่งขันในอนาคต
- ทางออกที่เป็นไปได้ คือ การบูรณะให้สนามมีมาตรฐานสากล ในขณะที่ยังคงเอกลักษณ์ดั้งเดิมไว้
ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 100958 ก.พ. 2568
🏷️ #สนามศุภชลาศัย #สนามกีฬาแห่งชาติ #ThailandStadium #กีฬาประเทศไทย #อนาคตสนามศุภ #สนามศุภต้องรอด #ฟุตบอลไทย #ศิลปะไทย #อนุรักษ์หรือพัฒนา #SEOGuide87 ปี “สนามศุภชลาศัย” ตำนานสนามกีฬาแห่งชาติไทย อนาคตที่ไม่แน่นอน ควรพัฒนา หรือว่า… อนุรักษ์? "สนามศุภชลาศัย" หรือที่เรียกกันว่า "สนามกีฬาแห่งชาติ" เป็นสนามกีฬา ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานถึง 87 ปี นับตั้งแต่เปิดใช้งานครั้งแรก ในปี พ.ศ. 2481 สนามแห่งนี้ เคยเป็นสถานที่จัดการแข่งขันกีฬาระดับชาติ และนานาชาติมากมาย ตั้งแต่ซีเกมส์ เอเชียนเกมส์ ฟุตบอลทีมชาติ ไปจนถึงคอนเสิร์ตระดับโลก อย่างเช่นการแสดงของไมเคิล แจ็กสัน ในปี พ.ศ. 2536 แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อนาคตของสนามศุภชลาศัย ตกอยู่ในความไม่แน่นอน เนื่องจากข้อพิพาทเรื่องสัญญาเช่าที่ดิ นระหว่างกรมพลศึกษา หรือสำนักงานพัฒนาการกีฬาและนันทนาการ กับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทำให้เกิดคำถามสำคัญว่า… เราควรพัฒนาสนามศุภฯ ให้ทันสมัย เพื่อตอบโจทย์การใช้งาน ในปัจจุบันหรือไม่? หรือควรอนุรักษ์ให้เป็นสนามกีฬาแห่งชาติ ในรูปแบบดั้งเดิม เพื่อคงคุณค่าทางประวัติศาสตร์? 🏟️ 🔹 จุดกำเนิดสนามกีฬาแห่งชาติ ก่อนหน้าที่จะมีสนามศุภชลาศัย การแข่งขันกีฬาของไทย มักจัดขึ้นที่สนามของ โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย และต่อมา ได้ย้ายไปที่ท้องสนามหลวง จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2477 นาวาโทหลวงศุภชลาศัย ร.น. อธิบดีกรมพลศึกษาคนแรก ได้ผลักดันให้มีสนามกีฬากลางประจำชาติ และได้ทำสัญญาเช่าพื้นที่ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บริเวณที่เคยเป็นวังวินด์เซอร์ เพื่อสร้างสนามกรีฑาสถานแห่งชาติ 🔹 เปลี่ยนชื่อเป็น “สนามศุภชลาศัย” - พ.ศ. 2481 สนามกรีฑาสถานแห่งชาติ เปิดใช้งานอย่างเป็นทางการ - พ.ศ. 2484 กรมพลศึกษาได้เปลี่ยนชื่อเป็น "สนามศุภชลาศัยกรีฑาสถานแห่งชาติ" เพื่อเป็นเกียรติแก่ หลวงศุภชลาศัย สนามศุภชลาศัยกลายเป็น ศูนย์กลางของวงการกีฬาประเทศไทย และเป็นสนามกีฬามาตรฐาน แห่งแรกในเอเชีย สนามศุภฯ กับการแข่งขันระดับชาติ และนานาชาติ สนามศุภชลาศัย ได้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาสำคัญ หลายรายการ ได้แก่ 🏆 กีฬาระดับอาเซียน และเอเชีย - พ.ศ. 2502 กีฬาแหลมทอง (เซียพเกมส์) ครั้งที่ 1 - พ.ศ. 2509 เอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 5 - พ.ศ. 2513 เอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 6 - พ.ศ. 2518 กีฬาแหลมทอง ครั้งที่ 8 ⚽ การแข่งขันฟุตบอลระดับนานาชาติ ฟุตบอลทีมชาติไทย ใช้สนามศุภฯ เป็นรังเหย้ามานานหลายสิบปี พ.ศ. 2536 ใช้จัดการแข่งขัน ฟุตบอลเยาวชนโลก รุ่นอายุไม่เกิน 17 ปี 🎤 งานบันเทิงระดับโลก สนามศุภชลาศัย ไม่เพียงแต่ใช้แข่งขันกีฬา แต่ยังถูกใช้เป็นสถานที่ จัดคอนเสิร์ตระดับโลก - พ.ศ. 2536 คอนเสิร์ตของ ไมเคิล แจ็กสัน - พ.ศ. 2555 คอนเสิร์ตของ บิ๊กแบง (BIGBANG) ปัญหาสัญญาเช่าที่ดิน และอนาคตที่คลอนแคลน 💰 ค่าเช่าที่พุ่งสูงขึ้น หลังจากสัญญาเช่ายาว หมดลงในปี พ.ศ. 2555 ทางจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ขอปรับค่าเช่าที่จาก 3 ล้านบาทต่อปี เป็น 153 ล้านบาทต่อปี ซึ่งเป็นภาระหนัก สำหรับกรมพลศึกษา 📉 ผลกระทบต่อการพัฒนา เนื่องจากการเช่าแบบปีต่อปี กรมพลศึกษาไม่สามารถลงทุนปรับปรุงสนามได้ เพราะต้องใช้งบประมาณแผ่นดิน และหากคืนพื้นที่ในอนาคต การลงทุนอาจสูญเปล่า ปัจจุบันสนามศุภฯ เก่าและทรุดโทรม พื้นสนามหญ้า ห้องน้ำ ห้องพักนักกีฬา อัฒจันทร์ และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่าง ๆ ไม่ได้รับการพัฒนาเท่าที่ควร สนามศุภฯ ควรพัฒนา หรือควรอนุรักษ์? 🔹 ฝ่ายที่ต้องการพัฒนา - ต้องการปรับปรุงสนาม ให้ทันสมัยเทียบเท่า สนามกีฬาในต่างประเทศ - เพิ่มขีดความสามารถ ในการจัดการแข่งขันระดับโลก - ใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด 🔹 ฝ่ายที่ต้องการอนุรักษ์ - สนามศุภฯ มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ ควรคงไว้ในรูปแบบดั้งเดิม - มีศิลปะสถาปัตยกรรม ที่ออกแบบโดย อาจารย์ศิลป์ พีระศรี เช่น ตราสัญลักษณ์องค์พระพลบดี - การขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน จะทำให้การรื้อสร้างใหม่ เป็นไปได้ยาก สนามศุภชลาศัยควรไปทางไหนต่อ? ✅ ข้อสรุปสำคัญ - หากพัฒนา สนามจะสามารถรองรับการแข่งขันระดับโลก แต่ต้องใช้งบประมาณมหาศาล - หากอนุรักษ์ จะรักษาประวัติศาสตร์ไว้ได้ แต่สนามอาจไม่ได้มาตรฐานสำหรับการแข่งขันในอนาคต - ทางออกที่เป็นไปได้ คือ การบูรณะให้สนามมีมาตรฐานสากล ในขณะที่ยังคงเอกลักษณ์ดั้งเดิมไว้ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 100958 ก.พ. 2568 🏷️ #สนามศุภชลาศัย #สนามกีฬาแห่งชาติ #ThailandStadium #กีฬาประเทศไทย #อนาคตสนามศุภ #สนามศุภต้องรอด #ฟุตบอลไทย #ศิลปะไทย #อนุรักษ์หรือพัฒนา #SEOGuide0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 372 มุมมอง 0 รีวิว - 33 ปี สิ้น “หมอบุญส่ง เลขะกุล” นักนิยมไพรไทย ผู้บุกเบิกอนุรักษ์ป่าและสัตว์ จุดกำเนิดเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า
📅 ย้อนไปเมื่อ 33 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2535 ถือเป็นวันแห่งการสูญเสียครั้งสำคัญ ของวงการอนุรักษ์ธรรมชาติไทย เพราะเป็นวันที่ น.พ.บุญส่ง เลขะกุล หรือที่รู้จักกันในนาม “หมอบุญส่ง” จากโลกนี้ไปด้วย โรคหัวใจล้มเหลว ในวัย 85 ปี ณ โรงพยาบาลมเหสักข์ กรุงเทพมหานคร แต่ถึงแม้ร่างกายจะล่วงลับไปแล้ว ผลงานและอุดมการณ์ของท่านยังคงอยู่ และกลายเป็นรากฐานสำคัญ ของการอนุรักษ์ป่าไม้ และสัตว์ป่าของไทย
หมอบุญส่งไม่ได้เป็นเพียง แพทย์ผู้รักษาผู้คน แต่ยังเป็นนักอนุรักษ์ นักเขียน นักถ่ายภาพ และจิตรกร ผู้เปี่ยมไปด้วย ความหลงใหลในธรรมชาติ ความมุ่งมั่นเป็นแรงผลักดันให้เกิดเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และ กฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า ที่ยังคงใช้มาจนถึงปัจจุบัน 🌳🌿
🔎 น.พ.บุญส่ง เลขะกุล เกิดเมื่อวันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2467 ที่บ้านถนนนคร ตำบลบ่อยาง อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา เป็นบุตรของพระบริรักษ์เวชกรรม (พิน เลขะกุล) ซึ่งเป็นแพทย์ประจำจังหวัดสงขลา ทำให้หมอบุญส่ง เติบโตมาในครอบครัว ที่ให้ความสำคัญกับการศึกษา และความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์
📚 เส้นทางการศึกษา
✅ มัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนเบญจมราชูทิศ นครศรีธรรมราช
✅ มัธยมศึกษาปีที่ 8 โรงเรียนเบญจมบพิตร (ปัจจุบันคือ โรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร) กรุงเทพฯ
✅ ปริญญาแพทยศาสตร์บัณฑิต คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (พ.ศ. 2476)
หลังจากเรียนจบแพทย์ หมอบุญส่งได้เข้าสู่วงการแพทย์ แต่ขณะเดียวกัน ท่านก็เริ่มหลงใหลในธรรมชาติ เดินป่า สังเกตสัตว์ป่า และบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมสัตว์ต่างๆ ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นจุดเริ่มต้น ของการเป็นนักอนุรักษ์ อย่างเต็มตัว
🌿 จุดเริ่มต้นของการเป็นนักอนุรักษ์
ช่วงหลัง สงครามโลกครั้งที่ 2 (พ.ศ. 2484 - 2488) การล่าสัตว์เพื่อกีฬา ได้รับความนิยมมากขึ้น การใช้ ไฟส่องสัตว์ และ อาวุธปืนทันสมัย ส่งผลให้ประชากรสัตว์ป่า ลดลงอย่างรวดเร็ว หมอบุญส่งเห็นว่าหากปล่อยไว้เช่นนี้ สัตว์ป่าของไทยจะสูญพันธุ์ จึงรวมตัวกับผู้ที่มีแนวคิดเดียวกัน ก่อตั้ง "นิยมไพรสมาคม" ขึ้นในปี พ.ศ. 2496
🏡 ศูนย์กลางของนิยมไพรสมาคม ตั้งอยู่ที่บ้านของหมอบุญส่งเอง (บ้านเลขที่ 4 ตรอกโรงภาษีเก่า ถนนเจริญกรุง กรุงเทพฯ) ซึ่งกลายเป็นแหล่งรวม ของผู้สนใจธรรมชาติ นักอนุรักษ์ และนักวิจัยทางด้านสัตว์ป่า
📖 เป้าหมายของนิยมไพรสมาคม ได้แก่
✅ การให้ความรู้ และกระตุ้นจิตสำนึกในการอนุรักษ์
✅ การศึกษาพฤติกรรมสัตว์ป่า
✅ การผลักดันกฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า
✅ การจัดทำ นิตยสารนิยมไพร เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ เกี่ยวกับสัตว์ป่า
หมอบุญส่งยังได้เดินป่า และเขียนหนังสือสารคดี เกี่ยวกับสัตว์ป่าหลายเล่ม เช่น
📗 สัตว์ป่าเมืองไทย
📘 วัวแดง
📕 แรดไทย
📗 ช้างไทย
รวมถึงนวนิยายเกี่ยวกับสัตว์ป่า ที่สร้างชื่อเสียงที่สุด คือ "ชีวิตฉันลูกกระทิง" ซึ่งเคยถูกคัดเลือก เป็น หนังสืออ่านนอกเวลา สำหรับนักเรียน และได้รับการยกย่องเป็น 1 ใน 100 หนังสือดี ที่เด็กและเยาวชนไทยควรอ่าน
⚖️ ผลักดันกฎหมายอนุรักษ์สัตว์ป่า
หมอบุญส่งไม่ได้เพียงแค่เขียนหนังสือ หรือเผยแพร่ความรู้ แต่ยังลงมือผลักดันให้เกิด กฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า ขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย
📜 ในปี พ.ศ. 2502 หมอบุญส่ง และคณะนิยมไพรสมาคม ได้เข้าพบจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น เพื่อยื่นข้อเสนอให้มี มาตรการคุ้มครองทรัพยากรป่าไม้ และสัตว์ป่า
🎯 ผลที่ได้คือการออก พระราชบัญญัติสงวน และคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2503 และ พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 ซึ่งเป็นกฎหมายสำคัญ ที่นำไปสู่การประกาศ อุทยานแห่งชาติ และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เช่น
🌳 อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ (พ.ศ. 2505) อุทยานแห่งชาติแห่งแรกของไทย
🌲 เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ (พ.ศ. 2508) เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแห่งแรกของไทย
👑 พระมหากรุณาธิคุณ และการยกย่องเชิดชูเกียรติ
ในปี พ.ศ. 2526 หมอบุญส่งได้ร่วมกับกลุ่มอนุรักษ์ ก่อตั้ง "มูลนิธิคุ้มครองสัตว์ป่า และพรรณพืชแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์" ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
ต่อมา ในปี พ.ศ. 2550 ได้มีการจัดงาน "100 ปี หมอบุญส่ง เลขะกุล" ณ สยามสมาคม เพื่อรำลึกถึงคุณงามความดี และผลงานที่ได้ทำไว้ให้กับประเทศ
🎗️ แม้วันนี้ "หมอบุญส่ง เลขะกุล" จะจากโลกนี้ไปครบ 33 ปี แล้วก็ตาม แต่มรดกแห่งการอนุรักษ์ยังคงอยู่ ไม่ว่าจะเป็น
✅ กฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า และอุทยานแห่งชาติ
✅ อุทยานและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่ามากมาย
✅ หนังสือและบทความที่ช่วยปลูกฝังจิตสำนึกการอนุรักษ์
✅ แรงบันดาลใจให้กับนักอนุรักษ์รุ่นใหม่
💚 "ธรรมชาติไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นของลูกหลานทุกคนในอนาคต" หมอบุญส่ง เลขะกุล 🌏
ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 091504 ก.พ. 2568
📌 #หมอบุญส่งเลขะกุล #อนุรักษ์สัตว์ป่า #ป่าไม้ไทย #นักนิยมไพร #อนุรักษ์ธรรมชาติ #สัตว์ป่า #ป่าต้องรอด #มรดกทางธรรมชาติ #33ปีหมอบุญส่ง #ธรรมชาติเพื่ออนาคต33 ปี สิ้น “หมอบุญส่ง เลขะกุล” นักนิยมไพรไทย ผู้บุกเบิกอนุรักษ์ป่าและสัตว์ จุดกำเนิดเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า 📅 ย้อนไปเมื่อ 33 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2535 ถือเป็นวันแห่งการสูญเสียครั้งสำคัญ ของวงการอนุรักษ์ธรรมชาติไทย เพราะเป็นวันที่ น.พ.บุญส่ง เลขะกุล หรือที่รู้จักกันในนาม “หมอบุญส่ง” จากโลกนี้ไปด้วย โรคหัวใจล้มเหลว ในวัย 85 ปี ณ โรงพยาบาลมเหสักข์ กรุงเทพมหานคร แต่ถึงแม้ร่างกายจะล่วงลับไปแล้ว ผลงานและอุดมการณ์ของท่านยังคงอยู่ และกลายเป็นรากฐานสำคัญ ของการอนุรักษ์ป่าไม้ และสัตว์ป่าของไทย หมอบุญส่งไม่ได้เป็นเพียง แพทย์ผู้รักษาผู้คน แต่ยังเป็นนักอนุรักษ์ นักเขียน นักถ่ายภาพ และจิตรกร ผู้เปี่ยมไปด้วย ความหลงใหลในธรรมชาติ ความมุ่งมั่นเป็นแรงผลักดันให้เกิดเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และ กฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า ที่ยังคงใช้มาจนถึงปัจจุบัน 🌳🌿 🔎 น.พ.บุญส่ง เลขะกุล เกิดเมื่อวันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2467 ที่บ้านถนนนคร ตำบลบ่อยาง อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา เป็นบุตรของพระบริรักษ์เวชกรรม (พิน เลขะกุล) ซึ่งเป็นแพทย์ประจำจังหวัดสงขลา ทำให้หมอบุญส่ง เติบโตมาในครอบครัว ที่ให้ความสำคัญกับการศึกษา และความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ 📚 เส้นทางการศึกษา ✅ มัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนเบญจมราชูทิศ นครศรีธรรมราช ✅ มัธยมศึกษาปีที่ 8 โรงเรียนเบญจมบพิตร (ปัจจุบันคือ โรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร) กรุงเทพฯ ✅ ปริญญาแพทยศาสตร์บัณฑิต คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (พ.ศ. 2476) หลังจากเรียนจบแพทย์ หมอบุญส่งได้เข้าสู่วงการแพทย์ แต่ขณะเดียวกัน ท่านก็เริ่มหลงใหลในธรรมชาติ เดินป่า สังเกตสัตว์ป่า และบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมสัตว์ต่างๆ ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นจุดเริ่มต้น ของการเป็นนักอนุรักษ์ อย่างเต็มตัว 🌿 จุดเริ่มต้นของการเป็นนักอนุรักษ์ ช่วงหลัง สงครามโลกครั้งที่ 2 (พ.ศ. 2484 - 2488) การล่าสัตว์เพื่อกีฬา ได้รับความนิยมมากขึ้น การใช้ ไฟส่องสัตว์ และ อาวุธปืนทันสมัย ส่งผลให้ประชากรสัตว์ป่า ลดลงอย่างรวดเร็ว หมอบุญส่งเห็นว่าหากปล่อยไว้เช่นนี้ สัตว์ป่าของไทยจะสูญพันธุ์ จึงรวมตัวกับผู้ที่มีแนวคิดเดียวกัน ก่อตั้ง "นิยมไพรสมาคม" ขึ้นในปี พ.ศ. 2496 🏡 ศูนย์กลางของนิยมไพรสมาคม ตั้งอยู่ที่บ้านของหมอบุญส่งเอง (บ้านเลขที่ 4 ตรอกโรงภาษีเก่า ถนนเจริญกรุง กรุงเทพฯ) ซึ่งกลายเป็นแหล่งรวม ของผู้สนใจธรรมชาติ นักอนุรักษ์ และนักวิจัยทางด้านสัตว์ป่า 📖 เป้าหมายของนิยมไพรสมาคม ได้แก่ ✅ การให้ความรู้ และกระตุ้นจิตสำนึกในการอนุรักษ์ ✅ การศึกษาพฤติกรรมสัตว์ป่า ✅ การผลักดันกฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า ✅ การจัดทำ นิตยสารนิยมไพร เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ เกี่ยวกับสัตว์ป่า หมอบุญส่งยังได้เดินป่า และเขียนหนังสือสารคดี เกี่ยวกับสัตว์ป่าหลายเล่ม เช่น 📗 สัตว์ป่าเมืองไทย 📘 วัวแดง 📕 แรดไทย 📗 ช้างไทย รวมถึงนวนิยายเกี่ยวกับสัตว์ป่า ที่สร้างชื่อเสียงที่สุด คือ "ชีวิตฉันลูกกระทิง" ซึ่งเคยถูกคัดเลือก เป็น หนังสืออ่านนอกเวลา สำหรับนักเรียน และได้รับการยกย่องเป็น 1 ใน 100 หนังสือดี ที่เด็กและเยาวชนไทยควรอ่าน ⚖️ ผลักดันกฎหมายอนุรักษ์สัตว์ป่า หมอบุญส่งไม่ได้เพียงแค่เขียนหนังสือ หรือเผยแพร่ความรู้ แต่ยังลงมือผลักดันให้เกิด กฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า ขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย 📜 ในปี พ.ศ. 2502 หมอบุญส่ง และคณะนิยมไพรสมาคม ได้เข้าพบจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น เพื่อยื่นข้อเสนอให้มี มาตรการคุ้มครองทรัพยากรป่าไม้ และสัตว์ป่า 🎯 ผลที่ได้คือการออก พระราชบัญญัติสงวน และคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2503 และ พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 ซึ่งเป็นกฎหมายสำคัญ ที่นำไปสู่การประกาศ อุทยานแห่งชาติ และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เช่น 🌳 อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ (พ.ศ. 2505) อุทยานแห่งชาติแห่งแรกของไทย 🌲 เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ (พ.ศ. 2508) เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแห่งแรกของไทย 👑 พระมหากรุณาธิคุณ และการยกย่องเชิดชูเกียรติ ในปี พ.ศ. 2526 หมอบุญส่งได้ร่วมกับกลุ่มอนุรักษ์ ก่อตั้ง "มูลนิธิคุ้มครองสัตว์ป่า และพรรณพืชแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์" ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ต่อมา ในปี พ.ศ. 2550 ได้มีการจัดงาน "100 ปี หมอบุญส่ง เลขะกุล" ณ สยามสมาคม เพื่อรำลึกถึงคุณงามความดี และผลงานที่ได้ทำไว้ให้กับประเทศ 🎗️ แม้วันนี้ "หมอบุญส่ง เลขะกุล" จะจากโลกนี้ไปครบ 33 ปี แล้วก็ตาม แต่มรดกแห่งการอนุรักษ์ยังคงอยู่ ไม่ว่าจะเป็น ✅ กฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า และอุทยานแห่งชาติ ✅ อุทยานและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่ามากมาย ✅ หนังสือและบทความที่ช่วยปลูกฝังจิตสำนึกการอนุรักษ์ ✅ แรงบันดาลใจให้กับนักอนุรักษ์รุ่นใหม่ 💚 "ธรรมชาติไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นของลูกหลานทุกคนในอนาคต" หมอบุญส่ง เลขะกุล 🌏 ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 091504 ก.พ. 2568 📌 #หมอบุญส่งเลขะกุล #อนุรักษ์สัตว์ป่า #ป่าไม้ไทย #นักนิยมไพร #อนุรักษ์ธรรมชาติ #สัตว์ป่า #ป่าต้องรอด #มรดกทางธรรมชาติ #33ปีหมอบุญส่ง #ธรรมชาติเพื่ออนาคต0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 447 มุมมอง 0 รีวิว - น้ำตาทหาร
ฉันให้ชีวิต ฉันให้ศรัทธา ปกป้องปวงประชา ด้วยเนื้อเลือดและหัวใจ แต่สิ่งที่ได้กลับมา มันคืออะไร? ถูกหลอก ถูกโกง ถูกทิ้งเดียวดาย
หยาดเหงื่อแรงกาย จ่ายหมดทุกบาท หวังเพียงบ้านหลังน้อย คอยให้คนที่รักพักพิง แต่ก๊วนนายกลับหักหลัง ไม่ไยดีในทุกสิ่ง ปล่อยฉันสิ้นหวัง กับหนี้ที่ไม่มีวันคืน
เสียงปืนสนั่น เทอร์มินอลโคราชร่ำไห้ เสียงหัวใจแตกสลาย ไม่มีใครฟัง ใครเล่าจะเข้าใจ คนที่ถูกกดดัน อนาคตพัง สุดท้ายนั้น ฉันไม่มีที่ยืนอีกแล้ว
น้ำตาทหาร หลั่งรินเป็นสายเลือด ความคับแค้น เผาใจจนมอดไหม้ เมื่อศรัทธาถูกทำลายไป ไม่มีเยื่อใย เหลือเพียงเงาในกระจก ที่ไร้วิญญาณ
อยากกรีดร้องให้ฟ้าสั่นสะเทือน แต่จะมีใคร ได้ยินเสียงของฉัน เมื่อคนดีถูกบดขยี้ลงดินนั้น ฉันเหลืออะไร… อีกแล้ว
สุดท้ายฉันต้องปลิดปลง จบลงที่นี่ ไม่เหลือใคร ไม่มีแม้ศักดิ์ศรี น้ำตาทหารไหลเป็นสายเลือด แต่ไม่มีใคร… สนใจมันเลย
ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 082339 ก.พ. 2568
#น้ำตาทหาร #เสียงที่ไม่มีใครฟัง #ความยุติธรรมอยู่ไหน #ชีวิตที่ถูกทำลาย #ความคับแค้นในใจ #ถูกโกงจนสิ้นหวัง #เมื่อความดีไม่มีความหมาย #เสียงปืนกลบเสียงหัวใจ #โศกนาฏกรรมที่ไม่มีคำตอบ #อยุติธรรมฆ่าฉันน้ำตาทหาร ฉันให้ชีวิต ฉันให้ศรัทธา ปกป้องปวงประชา ด้วยเนื้อเลือดและหัวใจ แต่สิ่งที่ได้กลับมา มันคืออะไร? ถูกหลอก ถูกโกง ถูกทิ้งเดียวดาย หยาดเหงื่อแรงกาย จ่ายหมดทุกบาท หวังเพียงบ้านหลังน้อย คอยให้คนที่รักพักพิง แต่ก๊วนนายกลับหักหลัง ไม่ไยดีในทุกสิ่ง ปล่อยฉันสิ้นหวัง กับหนี้ที่ไม่มีวันคืน เสียงปืนสนั่น เทอร์มินอลโคราชร่ำไห้ เสียงหัวใจแตกสลาย ไม่มีใครฟัง ใครเล่าจะเข้าใจ คนที่ถูกกดดัน อนาคตพัง สุดท้ายนั้น ฉันไม่มีที่ยืนอีกแล้ว น้ำตาทหาร หลั่งรินเป็นสายเลือด ความคับแค้น เผาใจจนมอดไหม้ เมื่อศรัทธาถูกทำลายไป ไม่มีเยื่อใย เหลือเพียงเงาในกระจก ที่ไร้วิญญาณ อยากกรีดร้องให้ฟ้าสั่นสะเทือน แต่จะมีใคร ได้ยินเสียงของฉัน เมื่อคนดีถูกบดขยี้ลงดินนั้น ฉันเหลืออะไร… อีกแล้ว สุดท้ายฉันต้องปลิดปลง จบลงที่นี่ ไม่เหลือใคร ไม่มีแม้ศักดิ์ศรี น้ำตาทหารไหลเป็นสายเลือด แต่ไม่มีใคร… สนใจมันเลย ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 082339 ก.พ. 2568 #น้ำตาทหาร #เสียงที่ไม่มีใครฟัง #ความยุติธรรมอยู่ไหน #ชีวิตที่ถูกทำลาย #ความคับแค้นในใจ #ถูกโกงจนสิ้นหวัง #เมื่อความดีไม่มีความหมาย #เสียงปืนกลบเสียงหัวใจ #โศกนาฏกรรมที่ไม่มีคำตอบ #อยุติธรรมฆ่าฉัน0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 342 มุมมอง 25 0 รีวิว - 5 ปี โศกนาฏกรรมโคราช จ่าสรรพาวุธคลั่ง กราดยิงเสียชีวิต 31 ศพ บาดเจ็บ 58 คน
📅 ย้อนรอยเหตุการณ์ โศกนาฏกรรมกราดยิงโคราช ที่เกิดขึ้นเมื่อ 5 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2563 ซึ่งเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ สะเทือนขวัญที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย จ่าสิบเอกจักรพันธ์ ถมมา ทหารสังกัดกองพันสรรพาวุธกระสุนที่ 22 กองบัญชาการช่วยรบที่ 2 ค่ายสุรธรรมพิทักษ์ ได้ก่อเหตุกราดยิงผู้บริสุทธิ์ ในตัวเมืองนครราชสีมา มีผู้เสียชีวิตรวม 31 ศพ รวมตัวผู้ก่อเหตุ และบาดเจ็บ 58 ราย
เหตุการณ์นี้ ไม่เพียงสร้างความสูญเสีย ให้กับครอบครัวผู้เคราะห์ร้ายเท่านั้น แต่ยังนำไปสู่คำถาม เกี่ยวกับระบบสวัสดิการทหาร ความโปร่งใสของกองทัพ และการควบคุมอาวุธ ของเจ้าหน้าที่รัฐ 🔥
📌 สาเหตุที่นำไปสู่โศกนาฏกรรม
จากการสอบสวน พบว่าสาเหตุหลักที่ทำให้ จ.ส.อ. จักรพันธ์ ก่อเหตุในครั้งนี้ เกิดจากปัญหาการเงิน และความขัดแย้ง ในการซื้อบ้านสวัสดิการทหาร 🚪🏡
🔹 ปมปัญหาซื้อบ้านสวัสดิการ
จ.ส.อ. จักรพันธ์ ซื้อบ้านจากโครงการสวัสดิการทหาร ในราคา 1,500,000 บาท และมอบหมายให้ นางอนงค์ มิตรจันทร์ ภรรยาของ พ.อ. อนันต์ฐโรจน์ กระแสร์ ผู้บังคับบัญชาของเขา เป็นผู้จัดการเรื่องการตกแต่งบ้าน และเอกสารการซื้อขาย
🔹 ความขัดแย้งเรื่องเงินส่วนต่าง
เมื่อดำเนินเรื่องเสร็จสิ้น พบว่ามีเงินเหลือ 50,000 บาท ซึ่งถูกส่งไปให้นายหน้าที่ชื่อ นายพิทยา จ.ส.อ. จักรพันธ์ จึงเรียกร้องขอเงินคืน แต่กลับพบว่าเงินก้อนนี้หมดไปแล้ว โดยก่อนหน้านี้เขาเข้าใจว่า ตนเองจะได้เงินคืนสูงถึง 400,000 บาท
🔹 การพูดคุยที่ล้มเหลว
เมื่อมีการนัดเจรจากัน นายพิทยา ขอเวลาเพื่อหาเงินคืน แต่จำนวนเงินที่ตกลงกัน ไม่ได้เป็นไปตามที่ จ.ส.อ. จักรพันธ์ คาดหวัง ทำให้เขารู้สึกว่า ตนเองถูกโกง และไม่ได้รับความเป็นธรรม
นี่เป็นจุดเริ่มต้น ที่นำไปสู่การสังหารโหด... 🔫
⏳ จากปมปัญหา สู่โศกนาฏกรรม
🔴 จุดเริ่มต้น ก่อเหตุที่บ้านพัก
📍 เวลา 15.30 น. จ.ส.อ. จักรพันธ์ เดินทางไปบ้านของ พ.อ. อนันต์ฐโรจน์ และใช้อาวุธปืนยิง พ.อ. อนันต์ฐโรจน์ และนางอนงค์ มิตรจันทร์ จนเสียชีวิต จากนั้นไล่ยิงนายพิทยา (นายหน้า) แต่เขาหลบหนีไปได้
🔴 จุดที่สอง ค่ายทหารสุรธรรมพิทักษ์
📍 เวลา 16.00 น. จ.ส.อ. จักรพันธ์ เดินทางไปที่ค่ายสุรธรรมพิทักษ์ และชิงอาวุธสงคราม จากคลังแสง ซึ่งรวมถึงปืน HK33, ปืนกล M60 และกระสุนจำนวนมาก โดยในระหว่างนี้ มีการยิงทหารเวร และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เสียชีวิต 1 นาย และบาดเจ็บอีก 1 นาย
🔴 จุดที่สาม กราดยิงตามถนนโคราช
📍 ระหว่างทางจากค่ายทหาร ไปยังห้างเทอร์มินอล 21
จ.ส.อ. จักรพันธ์ ขับรถฮัมวี ออกจากค่ายทหาร กราดยิงผู้คนตามทาง เสียชีวิต 9 ศพ มีผู้ที่ถูกยิงขณะอยู่บนรถ และมีนักเรียนที่ขับจักรยานยนต์ถูกยิงซ้ำ เจ้าหน้าที่ตำรวจ 2 นาย ถูกยิงเสียชีวิต ขณะกำลังเข้าควบคุมสถานการณ์
🔴 จุดสุดท้าย ห้างเทอร์มินอล 21 โคราช
📍 เวลา 17.30 น. จ.ส.อ. จักรพันธ์ เข้าไปภายในห้าง และเริ่มกราดยิงผู้คน
📍 จับตัวประกันกว่า 16 คน และถ่ายทอดสดเหตุการณ์ ลงบนเฟซบุ๊กของตัวเอง 😨
📍 เกิดเหตุระเบิด และไฟไหม้ภายในห้าง เนื่องจากเขายิงถังแก๊ส
📍 เวลา 09.14 น. เช้าวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2563 หน่วยอรินทราช 26 วิสามัญฆาตกรรม จ.ส.อ. จักรพันธ์ ที่ ชั้นใต้ดินของห้าง
⚖️ บทเรียนจากเหตุการณ์กราดยิงโคราช
เหตุการณ์นี้นำไปสู่คำถามสำคัญเกี่ยวกับ...
🔹 การจัดการอาวุธของกองทัพ เหตุใดทหารชั้นผู้น้อย สามารถเข้าถึงอาวุธสงคราม ได้ง่ายขนาดนี้?
🔹 สวัสดิการทหาร และความโปร่งใสของกองทัพ มีปัญหาเรื่อง "เงินทอน" จริงหรือไม่?
🔹 บทบาทของสื่อมวลชน การรายงานข่าว ในลักษณะที่เปิดเผยข้อมูล การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ ส่งผลกระทบต่อการควบคุมสถานการณ์
🔹 ผลกระทบทางจิตวิทยาต่อสังคม เหตุการณ์นี้ สร้างความหวาดกลัว และกระตุ้นให้เกิดคำถาม เกี่ยวกับความปลอดภัย ในที่สาธารณะ
📍 สรุปเหตุการณ์ และจำนวนผู้เสียชีวิต
📌 ผู้เสียชีวิตทั้งหมด 31 ศพ รวมผู้ก่อเหตุ
📌 ผู้บาดเจ็บ 58 ราย
🔸 พื้นที่ที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุด
ห้างเทอร์มินอล 21
เส้นทางจากค่ายทหาร ไปยังตัวเมือง
🔗 มาตรการ และการเปลี่ยนแปลงหลังเหตุการณ์
📌 กองทัพบกได้ประกาศมาตรการใหม่
- ควบคุมการเข้าถึงอาวุธของทหาร
- ทบทวนโครงการสวัสดิการทหาร
- สอบสวนขบวนการ "เงินทอน" ที่เกี่ยวข้อง
📌 รัฐบาลและสื่อมวลชน
- กสทช. สั่งปรับสถานีโทรทัศน์ 3 ช่อง ฐานละเมิดข้อกำหนดการรายงานข่าว
- เฟซบุ๊กลบวิดีโอถ่ายทอดสด และโพสต์ของผู้ก่อเหตุ
📍 ครบ 5 ปี ของเหตุการณ์นี้ ยังคงเป็นเครื่องเตือนใจ ถึงปัญหาหลายประเด็น ที่ต้องได้รับการแก้ไข ทั้งในเรื่องความโปร่งใสของกองทัพ ระบบสวัสดิการของทหาร และบทบาทของสื่อมวลชน
ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 082315ก.พ. 2568
📢 #กราดยิงโคราช #KoratShooting #โศกนาฏกรรมโคราช #ความปลอดภัยในที่สาธารณะ #บทเรียนจากอดีต5 ปี โศกนาฏกรรมโคราช จ่าสรรพาวุธคลั่ง กราดยิงเสียชีวิต 31 ศพ บาดเจ็บ 58 คน 📅 ย้อนรอยเหตุการณ์ โศกนาฏกรรมกราดยิงโคราช ที่เกิดขึ้นเมื่อ 5 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2563 ซึ่งเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ สะเทือนขวัญที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย จ่าสิบเอกจักรพันธ์ ถมมา ทหารสังกัดกองพันสรรพาวุธกระสุนที่ 22 กองบัญชาการช่วยรบที่ 2 ค่ายสุรธรรมพิทักษ์ ได้ก่อเหตุกราดยิงผู้บริสุทธิ์ ในตัวเมืองนครราชสีมา มีผู้เสียชีวิตรวม 31 ศพ รวมตัวผู้ก่อเหตุ และบาดเจ็บ 58 ราย เหตุการณ์นี้ ไม่เพียงสร้างความสูญเสีย ให้กับครอบครัวผู้เคราะห์ร้ายเท่านั้น แต่ยังนำไปสู่คำถาม เกี่ยวกับระบบสวัสดิการทหาร ความโปร่งใสของกองทัพ และการควบคุมอาวุธ ของเจ้าหน้าที่รัฐ 🔥 📌 สาเหตุที่นำไปสู่โศกนาฏกรรม จากการสอบสวน พบว่าสาเหตุหลักที่ทำให้ จ.ส.อ. จักรพันธ์ ก่อเหตุในครั้งนี้ เกิดจากปัญหาการเงิน และความขัดแย้ง ในการซื้อบ้านสวัสดิการทหาร 🚪🏡 🔹 ปมปัญหาซื้อบ้านสวัสดิการ จ.ส.อ. จักรพันธ์ ซื้อบ้านจากโครงการสวัสดิการทหาร ในราคา 1,500,000 บาท และมอบหมายให้ นางอนงค์ มิตรจันทร์ ภรรยาของ พ.อ. อนันต์ฐโรจน์ กระแสร์ ผู้บังคับบัญชาของเขา เป็นผู้จัดการเรื่องการตกแต่งบ้าน และเอกสารการซื้อขาย 🔹 ความขัดแย้งเรื่องเงินส่วนต่าง เมื่อดำเนินเรื่องเสร็จสิ้น พบว่ามีเงินเหลือ 50,000 บาท ซึ่งถูกส่งไปให้นายหน้าที่ชื่อ นายพิทยา จ.ส.อ. จักรพันธ์ จึงเรียกร้องขอเงินคืน แต่กลับพบว่าเงินก้อนนี้หมดไปแล้ว โดยก่อนหน้านี้เขาเข้าใจว่า ตนเองจะได้เงินคืนสูงถึง 400,000 บาท 🔹 การพูดคุยที่ล้มเหลว เมื่อมีการนัดเจรจากัน นายพิทยา ขอเวลาเพื่อหาเงินคืน แต่จำนวนเงินที่ตกลงกัน ไม่ได้เป็นไปตามที่ จ.ส.อ. จักรพันธ์ คาดหวัง ทำให้เขารู้สึกว่า ตนเองถูกโกง และไม่ได้รับความเป็นธรรม นี่เป็นจุดเริ่มต้น ที่นำไปสู่การสังหารโหด... 🔫 ⏳ จากปมปัญหา สู่โศกนาฏกรรม 🔴 จุดเริ่มต้น ก่อเหตุที่บ้านพัก 📍 เวลา 15.30 น. จ.ส.อ. จักรพันธ์ เดินทางไปบ้านของ พ.อ. อนันต์ฐโรจน์ และใช้อาวุธปืนยิง พ.อ. อนันต์ฐโรจน์ และนางอนงค์ มิตรจันทร์ จนเสียชีวิต จากนั้นไล่ยิงนายพิทยา (นายหน้า) แต่เขาหลบหนีไปได้ 🔴 จุดที่สอง ค่ายทหารสุรธรรมพิทักษ์ 📍 เวลา 16.00 น. จ.ส.อ. จักรพันธ์ เดินทางไปที่ค่ายสุรธรรมพิทักษ์ และชิงอาวุธสงคราม จากคลังแสง ซึ่งรวมถึงปืน HK33, ปืนกล M60 และกระสุนจำนวนมาก โดยในระหว่างนี้ มีการยิงทหารเวร และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เสียชีวิต 1 นาย และบาดเจ็บอีก 1 นาย 🔴 จุดที่สาม กราดยิงตามถนนโคราช 📍 ระหว่างทางจากค่ายทหาร ไปยังห้างเทอร์มินอล 21 จ.ส.อ. จักรพันธ์ ขับรถฮัมวี ออกจากค่ายทหาร กราดยิงผู้คนตามทาง เสียชีวิต 9 ศพ มีผู้ที่ถูกยิงขณะอยู่บนรถ และมีนักเรียนที่ขับจักรยานยนต์ถูกยิงซ้ำ เจ้าหน้าที่ตำรวจ 2 นาย ถูกยิงเสียชีวิต ขณะกำลังเข้าควบคุมสถานการณ์ 🔴 จุดสุดท้าย ห้างเทอร์มินอล 21 โคราช 📍 เวลา 17.30 น. จ.ส.อ. จักรพันธ์ เข้าไปภายในห้าง และเริ่มกราดยิงผู้คน 📍 จับตัวประกันกว่า 16 คน และถ่ายทอดสดเหตุการณ์ ลงบนเฟซบุ๊กของตัวเอง 😨 📍 เกิดเหตุระเบิด และไฟไหม้ภายในห้าง เนื่องจากเขายิงถังแก๊ส 📍 เวลา 09.14 น. เช้าวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2563 หน่วยอรินทราช 26 วิสามัญฆาตกรรม จ.ส.อ. จักรพันธ์ ที่ ชั้นใต้ดินของห้าง ⚖️ บทเรียนจากเหตุการณ์กราดยิงโคราช เหตุการณ์นี้นำไปสู่คำถามสำคัญเกี่ยวกับ... 🔹 การจัดการอาวุธของกองทัพ เหตุใดทหารชั้นผู้น้อย สามารถเข้าถึงอาวุธสงคราม ได้ง่ายขนาดนี้? 🔹 สวัสดิการทหาร และความโปร่งใสของกองทัพ มีปัญหาเรื่อง "เงินทอน" จริงหรือไม่? 🔹 บทบาทของสื่อมวลชน การรายงานข่าว ในลักษณะที่เปิดเผยข้อมูล การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ ส่งผลกระทบต่อการควบคุมสถานการณ์ 🔹 ผลกระทบทางจิตวิทยาต่อสังคม เหตุการณ์นี้ สร้างความหวาดกลัว และกระตุ้นให้เกิดคำถาม เกี่ยวกับความปลอดภัย ในที่สาธารณะ 📍 สรุปเหตุการณ์ และจำนวนผู้เสียชีวิต 📌 ผู้เสียชีวิตทั้งหมด 31 ศพ รวมผู้ก่อเหตุ 📌 ผู้บาดเจ็บ 58 ราย 🔸 พื้นที่ที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุด ห้างเทอร์มินอล 21 เส้นทางจากค่ายทหาร ไปยังตัวเมือง 🔗 มาตรการ และการเปลี่ยนแปลงหลังเหตุการณ์ 📌 กองทัพบกได้ประกาศมาตรการใหม่ - ควบคุมการเข้าถึงอาวุธของทหาร - ทบทวนโครงการสวัสดิการทหาร - สอบสวนขบวนการ "เงินทอน" ที่เกี่ยวข้อง 📌 รัฐบาลและสื่อมวลชน - กสทช. สั่งปรับสถานีโทรทัศน์ 3 ช่อง ฐานละเมิดข้อกำหนดการรายงานข่าว - เฟซบุ๊กลบวิดีโอถ่ายทอดสด และโพสต์ของผู้ก่อเหตุ 📍 ครบ 5 ปี ของเหตุการณ์นี้ ยังคงเป็นเครื่องเตือนใจ ถึงปัญหาหลายประเด็น ที่ต้องได้รับการแก้ไข ทั้งในเรื่องความโปร่งใสของกองทัพ ระบบสวัสดิการของทหาร และบทบาทของสื่อมวลชน ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 082315ก.พ. 2568 📢 #กราดยิงโคราช #KoratShooting #โศกนาฏกรรมโคราช #ความปลอดภัยในที่สาธารณะ #บทเรียนจากอดีต0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 344 มุมมอง 0 รีวิว - ล่มสลายแห่งแดงเดือด
เสียงปืนเงียบลงกลางสายลมหนาว ธงแดงเคยสูงกลับร่วงลงพื้นดิน อำนาจที่ก่อสร้างด้วยเหล็กและหิน วันนี้สิ้นสุดลง... ไม่มีวันหวนคืน
เมืองมอสโกร่ำไห้ใต้เงาดวงจันทร์ เลนินกราดสะท้อนแสงไฟดับฝัน เคียฟกระซิบลมว่าเสรีนั้นสำคัญ และโลกจะเปลี่ยนไป...
* จบแล้ว... อาณาจักรที่เคยยิ่งใหญ่ โซเวียตล่มสลายไม่เหลืออะไร สัญญาณเริ่มจาง สายลมพัดพา จากยุคแห่งเหล็กกล้า... สู่กาลเวลาสิ้นสุดลง
กำแพงที่ก่อสร้างด้วยโซ่ตรวนแน่นหนา สุดท้ายก็พังทลายลงมา เสียงประชาชนดังกึกก้องทั่วฟ้า ขอคืนเสรีภาพ... ให้ฟ้าสีคราม
** อุดมการณ์ถูกท้าทายด้วยกาลเวลา ประชาชนเลือกเส้นทางด้วยศรัทธา เมื่อพายุแห่งการเปลี่ยนแปลงพัดพา ไม่มีสิ่งใดยืนยงตลอดไป
ซ้ำ *, **
เพลิงที่เคยลุกโชนดับลงกลางคืนหนาว เสียงประวัติศาสตร์ยังสะท้อนเรื่องราว จากแดงเดือดสู่ความเงียบในคืนดาว และโลกยังหมุนต่อไป...
ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 072330 ก.พ. 2568
#โซเวียตล่มสลาย #แดงเดือดสิ้นสุด #อำนาจที่สั่นคลอน #เสรีภาพเบ่งบาน #เปลี่ยนผ่านประวัติศาสตร์ #ยุคเหล็กสู่เสรี #สิ้นสุดอาณาจักร #เมื่อกำแพงพังทลาย #โบกมือลาอดีต #บทเรียนแห่งกาลเวลาล่มสลายแห่งแดงเดือด เสียงปืนเงียบลงกลางสายลมหนาว ธงแดงเคยสูงกลับร่วงลงพื้นดิน อำนาจที่ก่อสร้างด้วยเหล็กและหิน วันนี้สิ้นสุดลง... ไม่มีวันหวนคืน เมืองมอสโกร่ำไห้ใต้เงาดวงจันทร์ เลนินกราดสะท้อนแสงไฟดับฝัน เคียฟกระซิบลมว่าเสรีนั้นสำคัญ และโลกจะเปลี่ยนไป... * จบแล้ว... อาณาจักรที่เคยยิ่งใหญ่ โซเวียตล่มสลายไม่เหลืออะไร สัญญาณเริ่มจาง สายลมพัดพา จากยุคแห่งเหล็กกล้า... สู่กาลเวลาสิ้นสุดลง กำแพงที่ก่อสร้างด้วยโซ่ตรวนแน่นหนา สุดท้ายก็พังทลายลงมา เสียงประชาชนดังกึกก้องทั่วฟ้า ขอคืนเสรีภาพ... ให้ฟ้าสีคราม ** อุดมการณ์ถูกท้าทายด้วยกาลเวลา ประชาชนเลือกเส้นทางด้วยศรัทธา เมื่อพายุแห่งการเปลี่ยนแปลงพัดพา ไม่มีสิ่งใดยืนยงตลอดไป ซ้ำ *, ** เพลิงที่เคยลุกโชนดับลงกลางคืนหนาว เสียงประวัติศาสตร์ยังสะท้อนเรื่องราว จากแดงเดือดสู่ความเงียบในคืนดาว และโลกยังหมุนต่อไป... ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 072330 ก.พ. 2568 #โซเวียตล่มสลาย #แดงเดือดสิ้นสุด #อำนาจที่สั่นคลอน #เสรีภาพเบ่งบาน #เปลี่ยนผ่านประวัติศาสตร์ #ยุคเหล็กสู่เสรี #สิ้นสุดอาณาจักร #เมื่อกำแพงพังทลาย #โบกมือลาอดีต #บทเรียนแห่งกาลเวลา0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 402 มุมมอง 18 0 รีวิว - 35 ปี สัญญาณเริ่มล่มสลาย “สหภาพโซเวียต” เปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ จุดสิ้นสุดพรรคคอมมิวนิสต์
📅 ย้อนไปเมื่อ 35 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2533 (1990) เป็นวันที่เปรียบเสมือน “ระฆังแห่งการเปลี่ยนแปลง” ของสหภาพโซเวียต (USSR) เมื่อคณะกรรมาธิการกลาง ของพรรคคอมมิวนิสต์ ประกาศยุติการผูกขาดอำนาจทางการเมือง ซึ่งเป็นก้าวสำคัญ ที่นำไปสู่การล่มสลาย ของมหาอำนาจยุคสงครามเย็น ภายในเวลาเพียงไม่กี่ปี
จากการปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์ เพียงพรรคเดียว มายาวนานกว่า 70 ปี สหภาพโซเวียต ต้องเผชิญกับปัญหาภายใน อย่างหนักหน่วง ทั้งวิกฤตเศรษฐกิจ การเมืองที่เริ่มไร้เสถียรภาพ และขบวนการชาตินิยม ในสาธารณรัฐต่างๆ ที่ต้องการแยกตัวออก ในที่สุด ระบบที่เคยแข็งแกร่ง ก็ต้องถึงกาลอวสาน
🔴 จากการปฏิวัติ สู่มหาอำนาจโลก ต้นกำเนิดของ USSR 📌
สหภาพโซเวียต (Union of Soviet Socialist Republics: USSR) ถือกำเนิดขึ้นในวันที่ 30 ธันวาคม 2465 หลังการปฏิวัติเดือนตุลาคม (1917) ที่พรรคบอลเชวิค ภายใต้การนำของ วลาดีมีร์ เลนิน (Vladimir Lenin) โค่นล้มระบอบกษัตริย์ และรัฐบาลเฉพาะกาลของรัสเซีย
USSR ประกอบด้วย 15 สาธารณรัฐย่อย ได้แก่ รัสเซีย ยูเครน เบลารุส เอสโตเนีย ลัตเวีย ลิทัวเนีย มอลโดวา จอร์เจีย อาร์มีเนีย อาเซอร์ไบจาน คาซัคสถาน อุซเบกิสถาน เติร์กเมนิสถาน คีร์กีซสถาน และทาจิกิสถาน
👉 เมืองหลวงของสหภาพโซเวียตคือ มอสโก ซึ่งเป็นศูนย์กลางของการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม
📌 สมัยแห่งอำนาจของสหภาพโซเวียต
หลังสงครามโลกครั้งที่สอง สหภาพโซเวียตกลายเป็น หนึ่งในสองมหาอำนาจของโลก คู่กับสหรัฐอเมริกา นำไปสู่สงครามเย็น (Cold War) ที่กินเวลายาวนานกว่า 4 ทศวรรษ
พรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของการปกครอง ควบคุมทุกด้านของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ในขณะเดียวกัน สหภาพโซเวียตมีบทบาทสำคัญ ในวงการอวกาศ เช่น ส่ง ยูริ กาการิน (Yuri Gagarin) เป็นมนุษย์คนแรก ที่ขึ้นสู่อวกาศในปี 2504
🔥 สัญญาณแห่งการล่มสลาย ปัจจัยที่ทำให้ USSR พังทลาย
แม้ว่าสหภาพโซเวียต จะดูแข็งแกร่งจากภายนอก แต่ภายในกลับเต็มไปด้วยรอยร้าว ที่ค่อยๆ ก่อตัวจนถึงจุดแตกหัก
📉 1. วิกฤตเศรษฐกิจ ระบบเศรษฐกิจแบบรวมศูนย์ที่ล้มเหลว
เศรษฐกิจของสหภาพโซเวียต เป็นระบบวางแผนจากส่วนกลาง (Centralized Economy) ซึ่งรัฐบาลควบคุมทุกอย่าง ตั้งแต่การผลิต ไปจนถึงการจัดสรรทรัพยากร แต่ระบบนี้ เริ่มประสบปัญหาหนักในช่วงปี 2523
- ขาดแคลนสินค้าอุปโภคบริโภค ประชาชนต้องต่อแถวซื้อขนมปัง เป็นชั่วโมง
- ประสิทธิภาพการผลิตต่ำ ไม่มีแรงจูงใจให้แรงงานทำงานหนัก
- ค่าใช้จ่ายทางทหารสูงลิ่ว ต้องใช้เงินจำนวนมาก ในการแข่งขันอาวุธกับสหรัฐฯ
⚔️ 2. สงครามอัฟกานิสถาน (1979-1989) บาดแผลที่ยากจะสมาน
การส่งทหาร เข้าไปช่วยรัฐบาลคอมมิวนิสต์ ในอัฟกานิสถาน กลายเป็นสงครามเวียดนาม ของโซเวียต เนื่องจากถูกกองกำลังมูจาฮิดีน ต่อต้านอย่างหนัก สงครามนี้ ไม่เพียงแต่ทำให้โซเวียต สูญเสียทหารจำนวนมาก แต่ยังทำลายขวัญกำลังใจ ของประชาชนอีกด้วย
🌍 3. ขบวนการแยกตัว ของสาธารณรัฐต่างๆ
หลายสาธารณรัฐภายใน USSR เริ่มมีความต้องการเป็นอิสระ เช่น
- กลุ่มบอลติก (เอสโตเนีย ลัตเวีย ลิทัวเนีย) ประกาศเอกราชในปี 2533
- ยูเครนและจอร์เจีย มีการเคลื่อนไหวเพื่อแยกตัว
เมื่อรัฐบาลกลาง ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ ทำให้เกิดการล่มสลายในที่สุด
🛑 4. การปฏิรูปของกอร์บาชอฟ กลัสนอสต์ & เปเรสตรอยคา
เมื่อ มีฮาอิล กอร์บาชอฟ (Mikhail Gorbachev) ขึ้นเป็นผู้นำในปี 2528 เขาพยายามปฏิรูปประเทศผ่านนโยบายสำคัญ 2 ข้อ
- กลัสนอสต์ (Glasnost) การเปิดเผยข้อมูล และให้เสรีภาพแก่ประชาชนมากขึ้น
- เปเรสตรอยคา (Perestroika) การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ แบบตลาดเสรี
แม้ว่านโยบายเหล่านี้ มีเป้าหมายที่ดี แต่กลับทำให้ปัญหาภายในปะทุเร็วขึ้น ประชาชนเริ่มเรียกร้องเสรีภาพมากขึ้น และในที่สุดพรรคคอมมิวนิสต์ ก็สูญเสียการควบคุม
💥 วันที่พรรคคอมมิวนิสต์สูญเสียอำนาจ จุดจบของ USSR
📆 7 กุมภาพันธ์ 2533 (1990) คณะกรรมาธิการกลาง ของพรรคคอมมิวนิสต์ แห่งสหภาพโซเวียตประกาศ ยกเลิกการผูกขาดอำนาจทางการเมือง ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ
📆 25 ธันวาคม 2534 (1991) กอร์บาชอฟลาออกจากตำแหน่งประธานาธิบดี และ USSR ยุติการดำรงอยู่ โดยรัสเซียกลายเป็นรัฐเอกราช
👉 บอริส เยลต์ซิน (Boris Yeltsin) กลายเป็นผู้นำคนใหม่ของรัสเซีย และอดีตสาธารณรัฐต่างๆ ก็แยกตัวเป็นเอกราช
🎭 บทเรียนจากการล่มสลาย ของสหภาพโซเวียต
- การรวมศูนย์อำนาจมากเกินไป อาจเป็นจุดอ่อน แทนที่จะเป็นจุดแข็ง
- เศรษฐกิจที่ไร้ประสิทธิภาพ นำไปสู่ความไม่พอใจของประชาชน
- การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วเกินไป อาจทำให้เกิดความไม่แน่นอน
📢 35 ปี หลังจากวันที่พรรคคอมมิวนิสต์แห่ง USSR สูญเสียอำนาจ โลกยังคงเรียนรู้จากเหตุการณ์นี้ การล่มสลายของโซเวียต ไม่ใช่แค่เรื่องของอดีต แต่มันเป็นบทเรียนสำหรับทุกประเทศ ที่ต้องการคงไว้ซึ่งเสถียรภาพ และอำนาจ 📌
ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 071329 ก.พ. 2568
#สหภาพโซเวียต #USSR #โซเวียตล่มสลาย #สงครามเย็น #คอมมิวนิสต์ #Gorbachev #เยลต์ซิน #ColdWar35 ปี สัญญาณเริ่มล่มสลาย “สหภาพโซเวียต” เปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ จุดสิ้นสุดพรรคคอมมิวนิสต์ 📅 ย้อนไปเมื่อ 35 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2533 (1990) เป็นวันที่เปรียบเสมือน “ระฆังแห่งการเปลี่ยนแปลง” ของสหภาพโซเวียต (USSR) เมื่อคณะกรรมาธิการกลาง ของพรรคคอมมิวนิสต์ ประกาศยุติการผูกขาดอำนาจทางการเมือง ซึ่งเป็นก้าวสำคัญ ที่นำไปสู่การล่มสลาย ของมหาอำนาจยุคสงครามเย็น ภายในเวลาเพียงไม่กี่ปี จากการปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์ เพียงพรรคเดียว มายาวนานกว่า 70 ปี สหภาพโซเวียต ต้องเผชิญกับปัญหาภายใน อย่างหนักหน่วง ทั้งวิกฤตเศรษฐกิจ การเมืองที่เริ่มไร้เสถียรภาพ และขบวนการชาตินิยม ในสาธารณรัฐต่างๆ ที่ต้องการแยกตัวออก ในที่สุด ระบบที่เคยแข็งแกร่ง ก็ต้องถึงกาลอวสาน 🔴 จากการปฏิวัติ สู่มหาอำนาจโลก ต้นกำเนิดของ USSR 📌 สหภาพโซเวียต (Union of Soviet Socialist Republics: USSR) ถือกำเนิดขึ้นในวันที่ 30 ธันวาคม 2465 หลังการปฏิวัติเดือนตุลาคม (1917) ที่พรรคบอลเชวิค ภายใต้การนำของ วลาดีมีร์ เลนิน (Vladimir Lenin) โค่นล้มระบอบกษัตริย์ และรัฐบาลเฉพาะกาลของรัสเซีย USSR ประกอบด้วย 15 สาธารณรัฐย่อย ได้แก่ รัสเซีย ยูเครน เบลารุส เอสโตเนีย ลัตเวีย ลิทัวเนีย มอลโดวา จอร์เจีย อาร์มีเนีย อาเซอร์ไบจาน คาซัคสถาน อุซเบกิสถาน เติร์กเมนิสถาน คีร์กีซสถาน และทาจิกิสถาน 👉 เมืองหลวงของสหภาพโซเวียตคือ มอสโก ซึ่งเป็นศูนย์กลางของการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม 📌 สมัยแห่งอำนาจของสหภาพโซเวียต หลังสงครามโลกครั้งที่สอง สหภาพโซเวียตกลายเป็น หนึ่งในสองมหาอำนาจของโลก คู่กับสหรัฐอเมริกา นำไปสู่สงครามเย็น (Cold War) ที่กินเวลายาวนานกว่า 4 ทศวรรษ พรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของการปกครอง ควบคุมทุกด้านของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ในขณะเดียวกัน สหภาพโซเวียตมีบทบาทสำคัญ ในวงการอวกาศ เช่น ส่ง ยูริ กาการิน (Yuri Gagarin) เป็นมนุษย์คนแรก ที่ขึ้นสู่อวกาศในปี 2504 🔥 สัญญาณแห่งการล่มสลาย ปัจจัยที่ทำให้ USSR พังทลาย แม้ว่าสหภาพโซเวียต จะดูแข็งแกร่งจากภายนอก แต่ภายในกลับเต็มไปด้วยรอยร้าว ที่ค่อยๆ ก่อตัวจนถึงจุดแตกหัก 📉 1. วิกฤตเศรษฐกิจ ระบบเศรษฐกิจแบบรวมศูนย์ที่ล้มเหลว เศรษฐกิจของสหภาพโซเวียต เป็นระบบวางแผนจากส่วนกลาง (Centralized Economy) ซึ่งรัฐบาลควบคุมทุกอย่าง ตั้งแต่การผลิต ไปจนถึงการจัดสรรทรัพยากร แต่ระบบนี้ เริ่มประสบปัญหาหนักในช่วงปี 2523 - ขาดแคลนสินค้าอุปโภคบริโภค ประชาชนต้องต่อแถวซื้อขนมปัง เป็นชั่วโมง - ประสิทธิภาพการผลิตต่ำ ไม่มีแรงจูงใจให้แรงงานทำงานหนัก - ค่าใช้จ่ายทางทหารสูงลิ่ว ต้องใช้เงินจำนวนมาก ในการแข่งขันอาวุธกับสหรัฐฯ ⚔️ 2. สงครามอัฟกานิสถาน (1979-1989) บาดแผลที่ยากจะสมาน การส่งทหาร เข้าไปช่วยรัฐบาลคอมมิวนิสต์ ในอัฟกานิสถาน กลายเป็นสงครามเวียดนาม ของโซเวียต เนื่องจากถูกกองกำลังมูจาฮิดีน ต่อต้านอย่างหนัก สงครามนี้ ไม่เพียงแต่ทำให้โซเวียต สูญเสียทหารจำนวนมาก แต่ยังทำลายขวัญกำลังใจ ของประชาชนอีกด้วย 🌍 3. ขบวนการแยกตัว ของสาธารณรัฐต่างๆ หลายสาธารณรัฐภายใน USSR เริ่มมีความต้องการเป็นอิสระ เช่น - กลุ่มบอลติก (เอสโตเนีย ลัตเวีย ลิทัวเนีย) ประกาศเอกราชในปี 2533 - ยูเครนและจอร์เจีย มีการเคลื่อนไหวเพื่อแยกตัว เมื่อรัฐบาลกลาง ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ ทำให้เกิดการล่มสลายในที่สุด 🛑 4. การปฏิรูปของกอร์บาชอฟ กลัสนอสต์ & เปเรสตรอยคา เมื่อ มีฮาอิล กอร์บาชอฟ (Mikhail Gorbachev) ขึ้นเป็นผู้นำในปี 2528 เขาพยายามปฏิรูปประเทศผ่านนโยบายสำคัญ 2 ข้อ - กลัสนอสต์ (Glasnost) การเปิดเผยข้อมูล และให้เสรีภาพแก่ประชาชนมากขึ้น - เปเรสตรอยคา (Perestroika) การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ แบบตลาดเสรี แม้ว่านโยบายเหล่านี้ มีเป้าหมายที่ดี แต่กลับทำให้ปัญหาภายในปะทุเร็วขึ้น ประชาชนเริ่มเรียกร้องเสรีภาพมากขึ้น และในที่สุดพรรคคอมมิวนิสต์ ก็สูญเสียการควบคุม 💥 วันที่พรรคคอมมิวนิสต์สูญเสียอำนาจ จุดจบของ USSR 📆 7 กุมภาพันธ์ 2533 (1990) คณะกรรมาธิการกลาง ของพรรคคอมมิวนิสต์ แห่งสหภาพโซเวียตประกาศ ยกเลิกการผูกขาดอำนาจทางการเมือง ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ 📆 25 ธันวาคม 2534 (1991) กอร์บาชอฟลาออกจากตำแหน่งประธานาธิบดี และ USSR ยุติการดำรงอยู่ โดยรัสเซียกลายเป็นรัฐเอกราช 👉 บอริส เยลต์ซิน (Boris Yeltsin) กลายเป็นผู้นำคนใหม่ของรัสเซีย และอดีตสาธารณรัฐต่างๆ ก็แยกตัวเป็นเอกราช 🎭 บทเรียนจากการล่มสลาย ของสหภาพโซเวียต - การรวมศูนย์อำนาจมากเกินไป อาจเป็นจุดอ่อน แทนที่จะเป็นจุดแข็ง - เศรษฐกิจที่ไร้ประสิทธิภาพ นำไปสู่ความไม่พอใจของประชาชน - การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วเกินไป อาจทำให้เกิดความไม่แน่นอน 📢 35 ปี หลังจากวันที่พรรคคอมมิวนิสต์แห่ง USSR สูญเสียอำนาจ โลกยังคงเรียนรู้จากเหตุการณ์นี้ การล่มสลายของโซเวียต ไม่ใช่แค่เรื่องของอดีต แต่มันเป็นบทเรียนสำหรับทุกประเทศ ที่ต้องการคงไว้ซึ่งเสถียรภาพ และอำนาจ 📌 ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 071329 ก.พ. 2568 #สหภาพโซเวียต #USSR #โซเวียตล่มสลาย #สงครามเย็น #คอมมิวนิสต์ #Gorbachev #เยลต์ซิน #ColdWar0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 385 มุมมอง 0 รีวิว - น้ำตาแห่งมิวนิค
เสียงเครื่องยนต์ขาดช่วงกลางสายลม ไฟลุกโหมกลางหิมะขาวพร่างพราว รอยยิ้มแห่งชัยชนะเมื่อคราว กลับกลายเป็นเถ้าถ่าน ล่องลอยไป
เหล่าปีศาจแดงสิ้นแสงกลางฟ้า ความฝันล่องลอยไปกลางสายตา บอกลาฟุตบอลที่รัก ตลอดมา เสียงเชียร์เคยก้องฟ้า กลับเงียบงัน
* น้ำตาหลั่งริน มิวนิคคืนนี้�ชีวิตที่มี ดับลงทันใด นักรบสนามหญ้า จากไป แต่หัวใจ…ยังคงอยู่ที่เดิม
ใครกันที่ต้องรับผิดชอบ โยนความผิดลงบนบ่าคนเดียว กัปตันเจมส์ แบกรับความเปล่าเปลี่ยว ทั้งที่เขา…คือผู้พยายาม
** โลกจารึกชื่อพวกเขาตลอดไป ร่างดับไปแต่ตำนานยังหายใจ แมนเชสเตอร์ ยังคงก้าวต่อไป เพื่อพวกเค้า ที่จากไปในวันนั้น
ซ้ำ *, **
เสียงตะโกนดังก้องขึ้นอีกครา "แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะไม่สิ้น" แม้ฟ้าแยกดินสะเทือนทั่วทั้งถิ่น ตำนานยังโบยบิน อยู่เหนือกาลเวลา
ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 062314 ก.พ. 2568
#MunichAirDisaster #แมนยูไนเต็ด #TearsOfMunich #BusbyBabes #ManchesterUnited #NeverForget #MUFC #FootballLegends #RedDevils #EternalGloryน้ำตาแห่งมิวนิค เสียงเครื่องยนต์ขาดช่วงกลางสายลม ไฟลุกโหมกลางหิมะขาวพร่างพราว รอยยิ้มแห่งชัยชนะเมื่อคราว กลับกลายเป็นเถ้าถ่าน ล่องลอยไป เหล่าปีศาจแดงสิ้นแสงกลางฟ้า ความฝันล่องลอยไปกลางสายตา บอกลาฟุตบอลที่รัก ตลอดมา เสียงเชียร์เคยก้องฟ้า กลับเงียบงัน * น้ำตาหลั่งริน มิวนิคคืนนี้�ชีวิตที่มี ดับลงทันใด นักรบสนามหญ้า จากไป แต่หัวใจ…ยังคงอยู่ที่เดิม ใครกันที่ต้องรับผิดชอบ โยนความผิดลงบนบ่าคนเดียว กัปตันเจมส์ แบกรับความเปล่าเปลี่ยว ทั้งที่เขา…คือผู้พยายาม ** โลกจารึกชื่อพวกเขาตลอดไป ร่างดับไปแต่ตำนานยังหายใจ แมนเชสเตอร์ ยังคงก้าวต่อไป เพื่อพวกเค้า ที่จากไปในวันนั้น ซ้ำ *, ** เสียงตะโกนดังก้องขึ้นอีกครา "แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะไม่สิ้น" แม้ฟ้าแยกดินสะเทือนทั่วทั้งถิ่น ตำนานยังโบยบิน อยู่เหนือกาลเวลา ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 062314 ก.พ. 2568 #MunichAirDisaster #แมนยูไนเต็ด #TearsOfMunich #BusbyBabes #ManchesterUnited #NeverForget #MUFC #FootballLegends #RedDevils #EternalGlory0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 342 มุมมอง 19 0 รีวิว - 67 ปี หายนะเที่ยวบิน 609 ไถลหิมะรันเวย์มิวนิค-รีม โยนความผิดนักบิน เสียชีวิตรวมทีมแมนยู 23 ศพ
ย้อนรอยเหตุการณ์สุดเศร้า 67 ปี ที่ผ่านมา เที่ยวบิน 609 ของสายการบินบริติชยูโรเปียนแอร์เวย์ส ไถลออกนอกรันเวย์ ท่ามกลางหิมะ ณ สนามบินมิวนิค-รีม คร่าชีวิตนักเตะ และสตาฟฟ์ ทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด รวม 23 ศห พร้อมการสืบสวน ที่เต็มไปด้วยปริศนา และข้อครหา
วันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2501 คือวันแห่งโศกนาฏกรรม ที่สะเทือนวงการฟุตบอลโลก เที่ยวบินเช่าเหมาลำ British European Airways Flight 609 ซึ่งนำพาเหล่านักเตะ ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทีมดังจากอังกฤษ พร้อมสตาฟฟ์โค้ชและนักข่าว กลับจากการแข่งขันยูโรเปียนคัพ ที่ยูโกสลาเวีย ต้องแวะเติมน้ำมัน ที่สนามบินมิวนิค-รีม ประเทศเยอรมนีตะวันตก
แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น...
เครื่องบินพยายามเทคออฟถึง 3 ครั้ง ก่อนจะลื่นไถลออกนอกรันเวย์ พุ่งชนอาคารและระเบิด ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 23 ศพ รวมถึงนักเตะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 8 คน นี่คือเหตุการณ์ ที่เปลี่ยนโฉมหน้าของ "ปีศาจแดง" ไปตลอดกาล
📌 แต่เหตุใด เครื่องบินถึงไม่สามารถขึ้นบินได้?
📌 ใครต้องรับผิดชอบ ต่อโศกนาฏกรรมครั้งนี้?
📌 เกิดอะไรขึ้นกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หลังจากนั้น?
ต้นเหตุของโศกนาฏกรรม อุบัติเหตุหรือข้อผิดพลาดของมนุษย์?
เครื่องบินที่ใช้ในเที่ยวบินนี้คือ Airspeed AS.57 Ambassador ของสายการบิน British European Airways (BEA) โดยมี กัปตันเจมส์ เทรนต์ (James Thain) และผู้ช่วยนักบิน เคนเนตต์ เรย์เมนต์ (Kenneth Rayment) เป็นผู้ควบคุมเที่ยวบิน
เมื่อเครื่องบินเดินทางมาถึง สนามบินมิวนิค-รีม ในช่วงบ่ายของวันนั้น สภาพอากาศเต็มไปด้วยหิมะ อุณหภูมิใกล้ 0 องศาเซลเซียส ส่งผลให้รันเวย์ เต็มไปด้วยน้ำแข็งบางๆ ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญ ในการบิน
กัปตันเทรนต์ พยายามนำเครื่องขึ้นบินถึง 3 ครั้ง แต่ประสบปัญหาทุกครั้ง
1️⃣ ครั้งแรก เครื่องยนต์มีอาการกระตุก ทำให้กัปตันตัดสินใจ ยกเลิกการเทคออฟ
2️⃣ ครั้งที่สอง ปัญหาเดิมเกิดขึ้น กัปตันต้องหยุดเที่ยวบินอีกครั้ง
3️⃣ ครั้งที่สาม เครื่องบินเร่งความเร็วถึงระดับ V1 (ความเร็วที่ไม่สามารถหยุดบินได้) และเข้าสู่จุด Vrotate (จุดยกหัวเครื่อง) แต่ทันใดนั้น ความเร็วลดลงกะทันหัน ก่อนที่เครื่องจะสูญเสียแรงยก และไถลออกนอกรันเวย์
ข้อสันนิษฐานสาเหตุที่แท้จริง
❄️ "น้ำแข็งบนปีกเครื่องบิน?"
มีการกล่าวหาในตอนแรกว่า น้ำแข็งเกาะบนปีกเครื่องบิน ทำให้เกิดแรงต้านอากาศ และไม่สามารถยกตัวขึ้นบินได้ อย่างไรก็ตาม กัปตันเทรนต์ยืนยันว่า เขาได้ตรวจสอบปีกแล้ว และไม่มีน้ำแข็งเกาะอยู่
🏁 "หิมะบนรันเวย์?"
การสืบสวนในเวลาต่อมาชี้ว่า หิมะที่หนาถึง 5 เซนติเมตร บนปลายรันเวย์ อาจเป็นปัจจัยสำคัญ ที่ลดความเร็วเครื่องบินลงทันที ส่งผลให้เครื่องบิน ไม่สามารถบินขึ้นได้
🔥 "ความผิดพลาดของนักบิน?"
ทางการเยอรมนีกลับชี้ว่า กัปตันเทรนต์ต้องรับผิดชอบ เนื่องจากไม่ได้ละลายน้ำแข็ง บนปีกเครื่องบิน ทั้งที่หลักฐานชี้ว่า ปัญหาเกิดจาก สภาพรันเวย์มากกว่า
ในที่สุด กัปตันเทรนต์ถูกไล่ออกจาก BEA แม้ต่อมาจะได้รับการพิสูจน์ว่า ไม่มีความผิด แต่นั่นก็ไม่สามารถลบล้างตราบาป ที่ติดตัวไปตลอดชีวิตได้
23 ชีวิตที่ต้องสูญเสีย บาดแผลที่ไม่มีวันลืม
ในจำนวน 44 คน ที่โดยสารบนเครื่อง มี 23 ราย เสียชีวิตทันที หรือหลังจากนั้นไม่นาน รวมถึงนักเตะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่โลกฟุตบอลต้องสูญเสีย ได้แก่
⚽ 8 นักเตะ "ปีศาจแดง" ที่จากไป
โรเจอร์ ไบรน์ (Roger Byrne) กัปตันทีม
เจฟฟ์ เบนท์ (Geoff Bent)
เดวิด เพ็กก์ (David Pegg)
มาร์ก โจนส์ (Mark Jones)
บิลลี่ วีแลน (Billy Whelan)
เอ็ดดี้ โคลแมน (Eddie Colman)
ทอมมี่ เทย์เลอร์ (Tommy Taylor)
ดันแคน เอ็ดเวิร์ดส์ (Duncan Edwards) เสียชีวิตหลังจากนั้น 15 วัน
📍 นักข่าวกีฬา 8 คน และทีมงานของแมนฯ ยูไนเต็ด 3 คน
📍 ลูกเรือ 1 คน และผู้โดยสารอื่นๆ 2 คน
💔 โศกนาฏกรรมครั้งนี้ ส่งผลกระทบมหาศาล ต่อวงการฟุตบอล โดยเฉพาะสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ต้องสูญเสียแข้งดาวรุ่ง ที่มีอนาคตไกล
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หลังโศกนาฏกรรม
แม้จะเสียผู้เล่นหลักไปถึง 8 ราย แต่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยังคงสู้ต่อไป ด้วยหัวใจที่แข็งแกร่ง
🔴 สโมสรได้รับความช่วยเหลือ จากลิเวอร์พูล ที่ยืมนักเตะให้ใช้งาน
🔴 เซอร์ แมตต์ บัสบี้ (Sir Matt Busby) กุนซือผู้รอดชีวิต สร้างทีมใหม่ ด้วยดาวรุ่งอย่าง จอร์จ เบสต์, น็อบบี้ สไตล์ส และไบรอัน คิดด์
🔴 ปี 1968 ยูไนเต็ดสามารถคว้าแชมป์ ยูโรเปียนคัพ ได้สำเร็จ เป็นสโมสรแรกของอังกฤษ ที่ทำได้
💡 นี่คือสัญลักษณ์ของการไม่ยอมแพ้ และจิตวิญญาณของ "ปีศาจแดง" ที่ยังคงสืบทอด มาจนถึงปัจจุบัน
โศกนาฏกรรมที่เป็นบทเรียน
เหตุการณ์มิวนิค ไม่เพียงเป็นโศกนาฏกรรม ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่ยังเป็นบทเรียนสำคัญ ของอุตสาหกรรมการบิน
✈️ การพัฒนาเทคโนโลยีการบิน มีการบังคับใช้มาตรฐานใหม่ เกี่ยวกับการตรวจสอบรันเวย์ และน้ำแข็งบนปีกเครื่องบิน
⚖️ ความยุติธรรมที่ล่าช้า กัปตันเทรนต์ใช้เวลากว่า 10 ปี ในการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเอง
🔴 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง
67 ปีผ่านไป แต่ "โศกนาฏกรรมมิวนิค" ยังคงเป็นเรื่องราว ที่แฟนบอลทั่วโลกไม่มีวันลืม 🕊️
ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 062132 ก.พ. 2568
#Munich1958 #ManchesterUnited #NeverForget #BusbyBabes #MUFC67 ปี หายนะเที่ยวบิน 609 ไถลหิมะรันเวย์มิวนิค-รีม โยนความผิดนักบิน เสียชีวิตรวมทีมแมนยู 23 ศพ ย้อนรอยเหตุการณ์สุดเศร้า 67 ปี ที่ผ่านมา เที่ยวบิน 609 ของสายการบินบริติชยูโรเปียนแอร์เวย์ส ไถลออกนอกรันเวย์ ท่ามกลางหิมะ ณ สนามบินมิวนิค-รีม คร่าชีวิตนักเตะ และสตาฟฟ์ ทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด รวม 23 ศห พร้อมการสืบสวน ที่เต็มไปด้วยปริศนา และข้อครหา วันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2501 คือวันแห่งโศกนาฏกรรม ที่สะเทือนวงการฟุตบอลโลก เที่ยวบินเช่าเหมาลำ British European Airways Flight 609 ซึ่งนำพาเหล่านักเตะ ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทีมดังจากอังกฤษ พร้อมสตาฟฟ์โค้ชและนักข่าว กลับจากการแข่งขันยูโรเปียนคัพ ที่ยูโกสลาเวีย ต้องแวะเติมน้ำมัน ที่สนามบินมิวนิค-รีม ประเทศเยอรมนีตะวันตก แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น... เครื่องบินพยายามเทคออฟถึง 3 ครั้ง ก่อนจะลื่นไถลออกนอกรันเวย์ พุ่งชนอาคารและระเบิด ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 23 ศพ รวมถึงนักเตะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 8 คน นี่คือเหตุการณ์ ที่เปลี่ยนโฉมหน้าของ "ปีศาจแดง" ไปตลอดกาล 📌 แต่เหตุใด เครื่องบินถึงไม่สามารถขึ้นบินได้? 📌 ใครต้องรับผิดชอบ ต่อโศกนาฏกรรมครั้งนี้? 📌 เกิดอะไรขึ้นกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หลังจากนั้น? ต้นเหตุของโศกนาฏกรรม อุบัติเหตุหรือข้อผิดพลาดของมนุษย์? เครื่องบินที่ใช้ในเที่ยวบินนี้คือ Airspeed AS.57 Ambassador ของสายการบิน British European Airways (BEA) โดยมี กัปตันเจมส์ เทรนต์ (James Thain) และผู้ช่วยนักบิน เคนเนตต์ เรย์เมนต์ (Kenneth Rayment) เป็นผู้ควบคุมเที่ยวบิน เมื่อเครื่องบินเดินทางมาถึง สนามบินมิวนิค-รีม ในช่วงบ่ายของวันนั้น สภาพอากาศเต็มไปด้วยหิมะ อุณหภูมิใกล้ 0 องศาเซลเซียส ส่งผลให้รันเวย์ เต็มไปด้วยน้ำแข็งบางๆ ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญ ในการบิน กัปตันเทรนต์ พยายามนำเครื่องขึ้นบินถึง 3 ครั้ง แต่ประสบปัญหาทุกครั้ง 1️⃣ ครั้งแรก เครื่องยนต์มีอาการกระตุก ทำให้กัปตันตัดสินใจ ยกเลิกการเทคออฟ 2️⃣ ครั้งที่สอง ปัญหาเดิมเกิดขึ้น กัปตันต้องหยุดเที่ยวบินอีกครั้ง 3️⃣ ครั้งที่สาม เครื่องบินเร่งความเร็วถึงระดับ V1 (ความเร็วที่ไม่สามารถหยุดบินได้) และเข้าสู่จุด Vrotate (จุดยกหัวเครื่อง) แต่ทันใดนั้น ความเร็วลดลงกะทันหัน ก่อนที่เครื่องจะสูญเสียแรงยก และไถลออกนอกรันเวย์ ข้อสันนิษฐานสาเหตุที่แท้จริง ❄️ "น้ำแข็งบนปีกเครื่องบิน?" มีการกล่าวหาในตอนแรกว่า น้ำแข็งเกาะบนปีกเครื่องบิน ทำให้เกิดแรงต้านอากาศ และไม่สามารถยกตัวขึ้นบินได้ อย่างไรก็ตาม กัปตันเทรนต์ยืนยันว่า เขาได้ตรวจสอบปีกแล้ว และไม่มีน้ำแข็งเกาะอยู่ 🏁 "หิมะบนรันเวย์?" การสืบสวนในเวลาต่อมาชี้ว่า หิมะที่หนาถึง 5 เซนติเมตร บนปลายรันเวย์ อาจเป็นปัจจัยสำคัญ ที่ลดความเร็วเครื่องบินลงทันที ส่งผลให้เครื่องบิน ไม่สามารถบินขึ้นได้ 🔥 "ความผิดพลาดของนักบิน?" ทางการเยอรมนีกลับชี้ว่า กัปตันเทรนต์ต้องรับผิดชอบ เนื่องจากไม่ได้ละลายน้ำแข็ง บนปีกเครื่องบิน ทั้งที่หลักฐานชี้ว่า ปัญหาเกิดจาก สภาพรันเวย์มากกว่า ในที่สุด กัปตันเทรนต์ถูกไล่ออกจาก BEA แม้ต่อมาจะได้รับการพิสูจน์ว่า ไม่มีความผิด แต่นั่นก็ไม่สามารถลบล้างตราบาป ที่ติดตัวไปตลอดชีวิตได้ 23 ชีวิตที่ต้องสูญเสีย บาดแผลที่ไม่มีวันลืม ในจำนวน 44 คน ที่โดยสารบนเครื่อง มี 23 ราย เสียชีวิตทันที หรือหลังจากนั้นไม่นาน รวมถึงนักเตะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่โลกฟุตบอลต้องสูญเสีย ได้แก่ ⚽ 8 นักเตะ "ปีศาจแดง" ที่จากไป โรเจอร์ ไบรน์ (Roger Byrne) กัปตันทีม เจฟฟ์ เบนท์ (Geoff Bent) เดวิด เพ็กก์ (David Pegg) มาร์ก โจนส์ (Mark Jones) บิลลี่ วีแลน (Billy Whelan) เอ็ดดี้ โคลแมน (Eddie Colman) ทอมมี่ เทย์เลอร์ (Tommy Taylor) ดันแคน เอ็ดเวิร์ดส์ (Duncan Edwards) เสียชีวิตหลังจากนั้น 15 วัน 📍 นักข่าวกีฬา 8 คน และทีมงานของแมนฯ ยูไนเต็ด 3 คน 📍 ลูกเรือ 1 คน และผู้โดยสารอื่นๆ 2 คน 💔 โศกนาฏกรรมครั้งนี้ ส่งผลกระทบมหาศาล ต่อวงการฟุตบอล โดยเฉพาะสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ต้องสูญเสียแข้งดาวรุ่ง ที่มีอนาคตไกล แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หลังโศกนาฏกรรม แม้จะเสียผู้เล่นหลักไปถึง 8 ราย แต่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยังคงสู้ต่อไป ด้วยหัวใจที่แข็งแกร่ง 🔴 สโมสรได้รับความช่วยเหลือ จากลิเวอร์พูล ที่ยืมนักเตะให้ใช้งาน 🔴 เซอร์ แมตต์ บัสบี้ (Sir Matt Busby) กุนซือผู้รอดชีวิต สร้างทีมใหม่ ด้วยดาวรุ่งอย่าง จอร์จ เบสต์, น็อบบี้ สไตล์ส และไบรอัน คิดด์ 🔴 ปี 1968 ยูไนเต็ดสามารถคว้าแชมป์ ยูโรเปียนคัพ ได้สำเร็จ เป็นสโมสรแรกของอังกฤษ ที่ทำได้ 💡 นี่คือสัญลักษณ์ของการไม่ยอมแพ้ และจิตวิญญาณของ "ปีศาจแดง" ที่ยังคงสืบทอด มาจนถึงปัจจุบัน โศกนาฏกรรมที่เป็นบทเรียน เหตุการณ์มิวนิค ไม่เพียงเป็นโศกนาฏกรรม ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่ยังเป็นบทเรียนสำคัญ ของอุตสาหกรรมการบิน ✈️ การพัฒนาเทคโนโลยีการบิน มีการบังคับใช้มาตรฐานใหม่ เกี่ยวกับการตรวจสอบรันเวย์ และน้ำแข็งบนปีกเครื่องบิน ⚖️ ความยุติธรรมที่ล่าช้า กัปตันเทรนต์ใช้เวลากว่า 10 ปี ในการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเอง 🔴 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง 67 ปีผ่านไป แต่ "โศกนาฏกรรมมิวนิค" ยังคงเป็นเรื่องราว ที่แฟนบอลทั่วโลกไม่มีวันลืม 🕊️ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 062132 ก.พ. 2568 #Munich1958 #ManchesterUnited #NeverForget #BusbyBabes #MUFC0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 372 มุมมอง 0 รีวิว - เจ้าหลวงแห่งแผ่นดินทอง
กลางดินแดนหริภุญไชย เจ้าหลวงครองใจชาวประชา ปกเกศด้วยคุณธรรมล้ำค่า แผ่นดินลำพูนรุ่งเรืองไกล
สองปีแห่งการปกครอง แม้สั้นแต่ยิ่งใหญ่เกินใคร หว่านพืชให้ราษฎร์ได้อุ่นใจ สร้างทางแห่งไทยให้ยืนยง
* ทดน้ำเข้านา สร้างฝายกั้นฝน พืชผลเบ่งบานทั่วแดนดิน พระเกียรติคุณยังยลยืนยาว เจ้าหลวงแห่งแผ่นดินทอง
** ก่อวิหาร รังสรรค์พระธรรม ชักชวนชาวลำพูนสามัคคี แม้สิ้นองค์แต่ยังคงชีวี ในดวงใจชั่วกาลนาน
*** ดวงตะวันลับฟ้าไกล แต่พระนามจะส่องนำทาง หริภุญไชยยังเรืองรอง ดั่งเจ้าหลวงยังคงอยู่... ตลอดไป
ซ้ำ * , **, ***
ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 052316 ก.พ. 2568
#เจ้าหลวงลำพูน #เหมพินธุไพจิตร #ราชวงศ์ทิพย์จักร #เกษตรกรแห่งล้านนา #ศรัทธาแห่งแผ่นดิน #นครลำพูน #สร้างเหมืองฝาย #เทิดพระเกียรติ #บำรุงพระศาสนา #ตำนานหริภุญไชยเจ้าหลวงแห่งแผ่นดินทอง กลางดินแดนหริภุญไชย เจ้าหลวงครองใจชาวประชา ปกเกศด้วยคุณธรรมล้ำค่า แผ่นดินลำพูนรุ่งเรืองไกล สองปีแห่งการปกครอง แม้สั้นแต่ยิ่งใหญ่เกินใคร หว่านพืชให้ราษฎร์ได้อุ่นใจ สร้างทางแห่งไทยให้ยืนยง * ทดน้ำเข้านา สร้างฝายกั้นฝน พืชผลเบ่งบานทั่วแดนดิน พระเกียรติคุณยังยลยืนยาว เจ้าหลวงแห่งแผ่นดินทอง ** ก่อวิหาร รังสรรค์พระธรรม ชักชวนชาวลำพูนสามัคคี แม้สิ้นองค์แต่ยังคงชีวี ในดวงใจชั่วกาลนาน *** ดวงตะวันลับฟ้าไกล แต่พระนามจะส่องนำทาง หริภุญไชยยังเรืองรอง ดั่งเจ้าหลวงยังคงอยู่... ตลอดไป ซ้ำ * , **, *** ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 052316 ก.พ. 2568 #เจ้าหลวงลำพูน #เหมพินธุไพจิตร #ราชวงศ์ทิพย์จักร #เกษตรกรแห่งล้านนา #ศรัทธาแห่งแผ่นดิน #นครลำพูน #สร้างเหมืองฝาย #เทิดพระเกียรติ #บำรุงพระศาสนา #ตำนานหริภุญไชย0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 412 มุมมอง 25 0 รีวิว - 129 ปี สิ้น “เจ้าเหมพินธุไพจิตร” เจ้าผู้ครองนครลำพูน องค์ที่ 8 แห่งราชวงศ์ทิพย์จักร ผู้ใฝ่ในเกษตรกรรม
📅 ย้อนไปเมื่อ 129 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2439 นับเป็นวันที่ราชวงศ์ทิพย์จักร ต้องเผชิญกับความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ เมื่อ "เจ้าเหมพินธุไพจิตร" เจ้าผู้ครองนครลำพูน องค์ที่ 8 ได้เสด็จถึงแก่พิราลัย ด้วยพระโรคอุจจาระ ธาตุพิการ รวมสิริชนมายุได้ 75 ปี แม้จะทรงครองนครลำพูนเพียง 2 ปี แต่พระราชกรณียกิจที่ทรงฝากไว้ ยังคงเป็นที่จดจำ โดยเฉพาะบทบาท ในการส่งเสริมการเกษตรกรรม และพัฒนานครลำพูน ให้เจริญรุ่งเรือง ✨
🛕 จาก "เจ้าน้อยคำหยาด" สู่ "เจ้าเหมพินธุไพจิตร" 👑
พระนามเดิมของ เจ้าเหมพินธุไพจิตร คือ "เจ้าน้อยคำหยาด" ประสูติในปี พ.ศ. 2364 ณ เมืองนครลำพูน พระองค์เป็นโอรสใน เจ้าไชยลังกาพิศาลโสภาคย์คุณ (เจ้าผู้ครองนครลำพูน องค์ที่ 6) กับ แม่เจ้าคำจ๋าราชเทวี และเป็นพระนัดดาของ พระยาคำฟั่น (เจ้าผู้ครองนครลำพูน องค์ที่ 1 และเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ องค์ที่ 3)
🩷 ราชอนุชาและราชขนิษฐา ของพระองค์ ได้แก่
เจ้าหญิงแสน ณ ลำพูน (ชายา "เจ้าหนานยศ ณ ลำพูน")
เจ้าน้อยบุ ณ ลำพูน
เจ้าน้อยหล้า ณ ลำพูน (พิราลัยแต่เยาว์วัย)
🏛 เส้นทางสู่ตำแหน่งเจ้าผู้ครองนครลำพูน 📜
🔹 วันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2405 ทรงได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่ง "เจ้าราชบุตร" เมืองนครลำพูน
🔹 วันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2418 ได้รับโปรดเกล้าฯ เลื่อนขึ้นเป็น "เจ้าอุปราช" เมืองนครลำพูน
🔹 วันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2437 ได้รับโปรดเกล้าฯ ขึ้นเป็น "เจ้าผู้ครองนครลำพูน องค์ที่ 8" ต่อจาก เจ้าดาราดิเรกรัตนไพโรจน์ ผู้เป็นราชเชษฐา ต่างพระราชมารดา
พระนามเต็มของพระองค์ เมื่อขึ้นครองนครลำพูน คือ
👉 "เจ้าเหมพินธุไพจิตร ศุภกิจเกียรติโศภน วิมลสัตยสวามิภักดิคุณ หริภุญไชยรัษฎารักษ ตทรรคเจดียบูชากร ราษฎรธุรธาดา เอกัจจโยนกาธิบดี"
🚜 การเกษตรกรรม และระบบชลประทาน 🌾
แม้จะครองนครลำพูนเพียง 2 ปี แต่เจ้าเหมพินธุไพจิตร ทรงให้ความสำคัญ กับการพัฒนาเกษตรกรรม อย่างมาก พระองค์ทรงส่งเสริม ให้ราษฎรทำการเกษตร ในลักษณะที่มีการจัดการน้ำ อย่างเป็นระบบ เช่น
✅ สร้างเหมืองฝาย เพื่อทดน้ำเข้าสู่พื้นที่เพาะปลูก
✅ ขุดลอกเหมืองเก่า เพื่อให้น้ำไหลเข้าสู่พื้นที่เพาะปลูก ได้ดีขึ้น
✅ ปรับปรุงที่ดอน ให้สามารถใช้เป็นพื้นที่เพาะปลูกได้
💡 พระองค์มีพระราชดำริให้ราษฎร ปลูกข้าวเป็นพืชหลัก และเมื่อนาเก็บเกี่ยวเสร็จแล้ว ก็ให้ปลูกพืชเศรษฐกิจอื่น เช่น หอม กระเทียม และใบยา เพื่อเพิ่มรายได้
🛕 บำรุงพระพุทธศาสนา และโครงสร้างพื้นฐาน
🙏 ศาสนาและศิลปวัฒนธรรม
เจ้าเหมพินธุไพจิตร ทรงเป็นพุทธศาสนิกชนที่เคร่งครัด และส่งเสริมให้ราษฎร บำรุงพระพุทธศาสนา เช่น
✔️ บูรณะวัดเก่าแก่ ให้มีสภาพมั่นคงแข็งแรง
✔️ สร้างวิหาร กุฏิ และโบสถ์ ตามวัดสำคัญทั้งในเมือง และนอกเมืองลำพูน
✔️ ชักชวนราษฎรปั้นอิฐ ก่อกำแพงวัด และขุดสระน้ำในวัด
🛤 การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
พระองค์ยังทรงให้ความสำคัญ กับการพัฒนาเมืองลำพูน ให้มีความสะดวกสบายมากขึ้น โดย
🚧 สร้างสะพาน เพื่ออำนวยความสะดวก ในการเดินทาง
🚧 ยกระดับถนนในหมู่บ้าน เพื่อให้ล้อเกวียนสัญจรได้สะดวก
🚧 ขุดร่องระบายน้ำ เพื่อลดปัญหาน้ำท่วมในฤดูฝน
⚰️ เสด็จสู่สวรรคาลัย และมรดกที่ฝากไว้
วันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2439 เจ้าเหมพินธุไพจิตรทรงประชวร ด้วยพระโรคอุจจาระ ธาตุพิการ และเสด็จสวรรคตด้วย สิริชนมายุ 75 ปี
แม้รัชสมัยของพระองค์จะสั้นเพียง 2 ปี แต่พระราชกรณียกิจของพระองค์ ยังคงปรากฏ เป็นมรดกที่สำคัญ ของลำพูน ทั้งในด้านเกษตรกรรม การบำรุงพระพุทธศาสนา และการพัฒนาเมือง
🌟 รดกของเจ้าเหมพินธุไพจิตร
✅ ส่งเสริมการเกษตร และระบบชลประทาน
✅ ฟื้นฟู และบูรณะพระพุทธศาสนา
✅ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ของนครลำพูน
✅ เป็นต้นแบบของผู้นำ ที่ใส่ใจประชาชน
เจ้าเหมพินธุไพจิตร ทรงเป็นบุคคลสำคัญ ที่ส่งผลต่อเมืองลำพูน ทั้งในด้านการเกษตร เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม 🏞
📌 คำถามที่พบบ่อย (FAQs)
❓ เจ้าเหมพินธุไพจิตร ทรงเป็นเจ้าผู้ครองนครลำพูน องค์ที่เท่าไหร่?
✅ พระองค์เป็นเจ้าผู้ครองนครลำพูน องค์ที่ 8 แห่งราชวงศ์ทิพย์จักร
❓ พระราชกรณียกิจที่สำคัญของพระองค์ คืออะไร?
✅ การส่งเสริมการเกษตร บูรณะพระพุทธศาสนา และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
❓ เหตุใดพระองค์จึงเสด็จสวรรคต?
✅ ทรงประชวรด้วยพระโรคอุจจาระ ธาตุพิการ และเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2439
❓ พระองค์ครองนครลำพูนกี่ปี?
✅ ครองนครลำพูนเพียง 2 ปี (พ.ศ. 2437 - พ.ศ. 2439)
ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 052147 ก.พ. 2568
🔖 #เจ้าเหมพินธุไพจิตร #นครลำพูน #ประวัติศาสตร์ไทย #ราชวงศ์ทิพย์จักร #เกษตรกรรม #วัฒนธรรมล้านนา #ผู้ปกครองล้านนา #เมืองลำพูน #เล่าเรื่องเมืองลำพูน #ล้านนาประวัติศาสตร์129 ปี สิ้น “เจ้าเหมพินธุไพจิตร” เจ้าผู้ครองนครลำพูน องค์ที่ 8 แห่งราชวงศ์ทิพย์จักร ผู้ใฝ่ในเกษตรกรรม 📅 ย้อนไปเมื่อ 129 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2439 นับเป็นวันที่ราชวงศ์ทิพย์จักร ต้องเผชิญกับความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ เมื่อ "เจ้าเหมพินธุไพจิตร" เจ้าผู้ครองนครลำพูน องค์ที่ 8 ได้เสด็จถึงแก่พิราลัย ด้วยพระโรคอุจจาระ ธาตุพิการ รวมสิริชนมายุได้ 75 ปี แม้จะทรงครองนครลำพูนเพียง 2 ปี แต่พระราชกรณียกิจที่ทรงฝากไว้ ยังคงเป็นที่จดจำ โดยเฉพาะบทบาท ในการส่งเสริมการเกษตรกรรม และพัฒนานครลำพูน ให้เจริญรุ่งเรือง ✨ 🛕 จาก "เจ้าน้อยคำหยาด" สู่ "เจ้าเหมพินธุไพจิตร" 👑 พระนามเดิมของ เจ้าเหมพินธุไพจิตร คือ "เจ้าน้อยคำหยาด" ประสูติในปี พ.ศ. 2364 ณ เมืองนครลำพูน พระองค์เป็นโอรสใน เจ้าไชยลังกาพิศาลโสภาคย์คุณ (เจ้าผู้ครองนครลำพูน องค์ที่ 6) กับ แม่เจ้าคำจ๋าราชเทวี และเป็นพระนัดดาของ พระยาคำฟั่น (เจ้าผู้ครองนครลำพูน องค์ที่ 1 และเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ องค์ที่ 3) 🩷 ราชอนุชาและราชขนิษฐา ของพระองค์ ได้แก่ เจ้าหญิงแสน ณ ลำพูน (ชายา "เจ้าหนานยศ ณ ลำพูน") เจ้าน้อยบุ ณ ลำพูน เจ้าน้อยหล้า ณ ลำพูน (พิราลัยแต่เยาว์วัย) 🏛 เส้นทางสู่ตำแหน่งเจ้าผู้ครองนครลำพูน 📜 🔹 วันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2405 ทรงได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่ง "เจ้าราชบุตร" เมืองนครลำพูน 🔹 วันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2418 ได้รับโปรดเกล้าฯ เลื่อนขึ้นเป็น "เจ้าอุปราช" เมืองนครลำพูน 🔹 วันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2437 ได้รับโปรดเกล้าฯ ขึ้นเป็น "เจ้าผู้ครองนครลำพูน องค์ที่ 8" ต่อจาก เจ้าดาราดิเรกรัตนไพโรจน์ ผู้เป็นราชเชษฐา ต่างพระราชมารดา พระนามเต็มของพระองค์ เมื่อขึ้นครองนครลำพูน คือ 👉 "เจ้าเหมพินธุไพจิตร ศุภกิจเกียรติโศภน วิมลสัตยสวามิภักดิคุณ หริภุญไชยรัษฎารักษ ตทรรคเจดียบูชากร ราษฎรธุรธาดา เอกัจจโยนกาธิบดี" 🚜 การเกษตรกรรม และระบบชลประทาน 🌾 แม้จะครองนครลำพูนเพียง 2 ปี แต่เจ้าเหมพินธุไพจิตร ทรงให้ความสำคัญ กับการพัฒนาเกษตรกรรม อย่างมาก พระองค์ทรงส่งเสริม ให้ราษฎรทำการเกษตร ในลักษณะที่มีการจัดการน้ำ อย่างเป็นระบบ เช่น ✅ สร้างเหมืองฝาย เพื่อทดน้ำเข้าสู่พื้นที่เพาะปลูก ✅ ขุดลอกเหมืองเก่า เพื่อให้น้ำไหลเข้าสู่พื้นที่เพาะปลูก ได้ดีขึ้น ✅ ปรับปรุงที่ดอน ให้สามารถใช้เป็นพื้นที่เพาะปลูกได้ 💡 พระองค์มีพระราชดำริให้ราษฎร ปลูกข้าวเป็นพืชหลัก และเมื่อนาเก็บเกี่ยวเสร็จแล้ว ก็ให้ปลูกพืชเศรษฐกิจอื่น เช่น หอม กระเทียม และใบยา เพื่อเพิ่มรายได้ 🛕 บำรุงพระพุทธศาสนา และโครงสร้างพื้นฐาน 🙏 ศาสนาและศิลปวัฒนธรรม เจ้าเหมพินธุไพจิตร ทรงเป็นพุทธศาสนิกชนที่เคร่งครัด และส่งเสริมให้ราษฎร บำรุงพระพุทธศาสนา เช่น ✔️ บูรณะวัดเก่าแก่ ให้มีสภาพมั่นคงแข็งแรง ✔️ สร้างวิหาร กุฏิ และโบสถ์ ตามวัดสำคัญทั้งในเมือง และนอกเมืองลำพูน ✔️ ชักชวนราษฎรปั้นอิฐ ก่อกำแพงวัด และขุดสระน้ำในวัด 🛤 การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน พระองค์ยังทรงให้ความสำคัญ กับการพัฒนาเมืองลำพูน ให้มีความสะดวกสบายมากขึ้น โดย 🚧 สร้างสะพาน เพื่ออำนวยความสะดวก ในการเดินทาง 🚧 ยกระดับถนนในหมู่บ้าน เพื่อให้ล้อเกวียนสัญจรได้สะดวก 🚧 ขุดร่องระบายน้ำ เพื่อลดปัญหาน้ำท่วมในฤดูฝน ⚰️ เสด็จสู่สวรรคาลัย และมรดกที่ฝากไว้ วันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2439 เจ้าเหมพินธุไพจิตรทรงประชวร ด้วยพระโรคอุจจาระ ธาตุพิการ และเสด็จสวรรคตด้วย สิริชนมายุ 75 ปี แม้รัชสมัยของพระองค์จะสั้นเพียง 2 ปี แต่พระราชกรณียกิจของพระองค์ ยังคงปรากฏ เป็นมรดกที่สำคัญ ของลำพูน ทั้งในด้านเกษตรกรรม การบำรุงพระพุทธศาสนา และการพัฒนาเมือง 🌟 รดกของเจ้าเหมพินธุไพจิตร ✅ ส่งเสริมการเกษตร และระบบชลประทาน ✅ ฟื้นฟู และบูรณะพระพุทธศาสนา ✅ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ของนครลำพูน ✅ เป็นต้นแบบของผู้นำ ที่ใส่ใจประชาชน เจ้าเหมพินธุไพจิตร ทรงเป็นบุคคลสำคัญ ที่ส่งผลต่อเมืองลำพูน ทั้งในด้านการเกษตร เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม 🏞 📌 คำถามที่พบบ่อย (FAQs) ❓ เจ้าเหมพินธุไพจิตร ทรงเป็นเจ้าผู้ครองนครลำพูน องค์ที่เท่าไหร่? ✅ พระองค์เป็นเจ้าผู้ครองนครลำพูน องค์ที่ 8 แห่งราชวงศ์ทิพย์จักร ❓ พระราชกรณียกิจที่สำคัญของพระองค์ คืออะไร? ✅ การส่งเสริมการเกษตร บูรณะพระพุทธศาสนา และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ❓ เหตุใดพระองค์จึงเสด็จสวรรคต? ✅ ทรงประชวรด้วยพระโรคอุจจาระ ธาตุพิการ และเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2439 ❓ พระองค์ครองนครลำพูนกี่ปี? ✅ ครองนครลำพูนเพียง 2 ปี (พ.ศ. 2437 - พ.ศ. 2439) ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 052147 ก.พ. 2568 🔖 #เจ้าเหมพินธุไพจิตร #นครลำพูน #ประวัติศาสตร์ไทย #ราชวงศ์ทิพย์จักร #เกษตรกรรม #วัฒนธรรมล้านนา #ผู้ปกครองล้านนา #เมืองลำพูน #เล่าเรื่องเมืองลำพูน #ล้านนาประวัติศาสตร์0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 422 มุมมอง 0 รีวิว - สุขสันต์วันเกิดนะลูกรัก 🎂🎉
พ่อขอให้ น้องแอลของพ่อ มีความสุขมาก ๆ ในทุก ๆ วัน โดยเฉพาะวันนี้ ที่เป็นวันพิเศษของหนู 🥰✨ ขอให้หนูเติบโต เป็นเด็กที่สดใส ร่าเริง แข็งแรง และสมหวังในทุกสิ่งที่ตั้งใจนะลูก 💖
พ่อภูมิใจในตัวหนูเสมอ ไม่ว่าจะเป็นความพยายาม ความตั้งใจ และหัวใจที่อ่อนโยนของหนู ❤️😊 ขอให้ปีนี้เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ความรัก และสิ่งดี ๆ ที่เข้ามาในชีวิตนะลูก 💕
รักหนูที่สุดในโลก 🌎💝สุขสันต์วันเกิดนะลูกรัก 🎂🎉 พ่อขอให้ น้องแอลของพ่อ มีความสุขมาก ๆ ในทุก ๆ วัน โดยเฉพาะวันนี้ ที่เป็นวันพิเศษของหนู 🥰✨ ขอให้หนูเติบโต เป็นเด็กที่สดใส ร่าเริง แข็งแรง และสมหวังในทุกสิ่งที่ตั้งใจนะลูก 💖 พ่อภูมิใจในตัวหนูเสมอ ไม่ว่าจะเป็นความพยายาม ความตั้งใจ และหัวใจที่อ่อนโยนของหนู ❤️😊 ขอให้ปีนี้เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ความรัก และสิ่งดี ๆ ที่เข้ามาในชีวิตนะลูก 💕 รักหนูที่สุดในโลก 🌎💝 - "สิ้นเชลยศึก"
เสียงปืนดังกลางลมแรง วีรกรรมแห่งนักรบไทย เวียดนามจับเป็นเชลย แต่หัวใจ ยังคงยืนหยัด...ไม่เคยสั่นไหว
ฮานอยฮิลตันคือนรก ทุกข์ทรมานเกินกล่าวไป เกือบสิบปีในเงาไฟ แต่ศรัทธาไม่เคยจางหาย
* สิ้นเชลยศึก แต่อเมริกายังจำ เกียรติภูมิยังยืนยง กล้าหาญแม้ยามเงียบงัน ดั่งสายฟ้าในใจของผู้คน ชัยชาญ คือดวงดาวส่องทาง
มือที่อ่อนล้าเคาะกำแพง ส่งสัญญาณสมิตตีให้พ้นภัย แม้เสี่ยงตายก็ยอมไดh เพราะหัวใจยังภักดี
เสียงรหัสเคาะก้องในรัตติกาล บอกเรื่องราวของวีรชน เสรีภาพคือจิตวิญญาณ ไม่มีพันธนาการใด ขังไว้ได้
ซ้ำ *
แม้วันนี้ลาลับไป แต่ชื่อยังจารึก พันเอกชัยชาญ หาญนาวี ผู้เป็นตำนาน...ไม่รู้ลืม
ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 041825 ก.พ. 2568
#สิ้นเชลยศึก #พันเอกชัยชาญ #นักรบผู้กล้า #สงครามเวียดนาม #HanoiHilton #เกียรติศักดิ์ทหารไทย #ตำนานวีรบุรุษ #เชลยศึก #รหัสเคาะ #HallOfHeroes"สิ้นเชลยศึก" เสียงปืนดังกลางลมแรง วีรกรรมแห่งนักรบไทย เวียดนามจับเป็นเชลย แต่หัวใจ ยังคงยืนหยัด...ไม่เคยสั่นไหว ฮานอยฮิลตันคือนรก ทุกข์ทรมานเกินกล่าวไป เกือบสิบปีในเงาไฟ แต่ศรัทธาไม่เคยจางหาย * สิ้นเชลยศึก แต่อเมริกายังจำ เกียรติภูมิยังยืนยง กล้าหาญแม้ยามเงียบงัน ดั่งสายฟ้าในใจของผู้คน ชัยชาญ คือดวงดาวส่องทาง มือที่อ่อนล้าเคาะกำแพง ส่งสัญญาณสมิตตีให้พ้นภัย แม้เสี่ยงตายก็ยอมไดh เพราะหัวใจยังภักดี เสียงรหัสเคาะก้องในรัตติกาล บอกเรื่องราวของวีรชน เสรีภาพคือจิตวิญญาณ ไม่มีพันธนาการใด ขังไว้ได้ ซ้ำ * แม้วันนี้ลาลับไป แต่ชื่อยังจารึก พันเอกชัยชาญ หาญนาวี ผู้เป็นตำนาน...ไม่รู้ลืม ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 041825 ก.พ. 2568 #สิ้นเชลยศึก #พันเอกชัยชาญ #นักรบผู้กล้า #สงครามเวียดนาม #HanoiHilton #เกียรติศักดิ์ทหารไทย #ตำนานวีรบุรุษ #เชลยศึก #รหัสเคาะ #HallOfHeroes
เรื่องราวเพิ่มเติม