• 433 ปี ยุทธหัตถีหนองสาหร่าย ศึกแห่งเกียรติยศขององค์ดำ-องค์ขาว 🇹🇭🐘

    ย้อนไปเมื่อ 433 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2135 เป็นวันที่ประวัติศาสตร์ไทย ต้องจารึกไว้ด้วยความภาคภูมิใจ นั่นคือเหตุการณ์ “ยุทธหัตถีหนองสาหร่าย” ที่แสดงถึงความกล้าหาญ และพระปรีชาสามารถ ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช (พระองค์ดำ) และสมเด็จพระเอกาทศรถ (พระองค์ขาว) ในการต่อสู้กับทัพพม่า ณ ตำบลหนองสาหร่าย อำเภอดอนเจดีย์ จังหวัดสุพรรณบุรี

    สงครามครั้งนี้ ไม่ได้เป็นเพียงการต่อสู้ เพื่ออาณาจักรเท่านั้น แต่ยังเป็นการแสดงถึง ศักดิ์ศรีของพระมหากษัตริย์ไทย ผู้ยอมเสี่ยงชีวิต เพื่อปกป้องผืนแผ่นดิน และประชาชนชาวไทย การยุทธหัตถีครั้งนี้ ไม่เพียงเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ แต่ยังกลายเป็นมรดกทางวัฒนธรรม ที่ยังคงมีการเล่าขาน และรำลึกถึงจนถึงทุกวันนี้

    สงครามบนหลังช้างที่สะท้อนศักดิ์ศรี
    ยุทธหัตถี หมายถึง การทำสงครามบนหลังช้าง โดยผู้บัญชาการสูงสุด ของกองทัพทั้งสองฝ่าย จะเผชิญหน้ากันบนหลังช้างศึก เป็นการต่อสู้ ที่ต้องอาศัยทั้งความสามารถ การฝึกฝน ความกล้าหาญของกษัตริย์ และช้างศึก การชนช้างนี้ถือว่า เป็นการทำศึกที่มีเกียรติยศ และเป็นที่ยอมรับ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในประเทศไทย พม่า และกัมพูชา

    ในยุคโบราณ ช้างถือว่าเป็นสัตว์คู่บารมี ของพระมหากษัตริย์ และเป็นสัญลักษณ์ของความยิ่งใหญ่ การทำยุทธหัตถี จึงไม่เพียงแต่เป็นการต่อสู้ เพื่อชัยชนะทางการทหารเท่านั้น แต่ยังแสดงถึงความกล้าหาญและความสามารถของผู้ปกครอง ที่นำทัพด้วยตัวเอง

    สงครามยุทธหัตถีในปี พ.ศ. 2135 มีต้นเหตุจากการที่กรุงหงสาวดี (พม่า) มีความต้องการ จะยึดครองกรุงศรีอยุธยา พระเจ้านันทบุเรง ผู้ปกครองหงสาวดีในเวลานั้น จึงส่งกองทัพใหญ่กว่า 240,000 นาย นำโดย พระมหาอุปราชา (มังสามเกียด) และมางจาชโร เจ้าเมืองจาปะโร เข้ารุกรานกรุงศรีอยุธยา

    พระองค์ดำทรงทราบถึง การเคลื่อนทัพของพม่า จึงทรงระดมกำลังพลหนึ่งแสนนาย และเตรียมการป้องกันเมือง พร้อมกับทรงออกคำประกาศอิสรภาพที่เมืองแครง ในปี พ.ศ. 2127 ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้น ของการต่อต้านการปกครองของพม่า อย่างเต็มตัว

    เมื่อกองทัพของมังสามเกียด เคลื่อนมาถึงสุพรรณบุรี พระองค์ดำทรงนำทัพหลวงไปตั้งค่าย ที่ตำบลหนองสาหร่าย พร้อมกับพระองค์ขาว

    เช้าวันจันทร์ แรม 2 ค่ำ เดือนยี่ ปีมะโรง องค์ดำและองค์ขาว ทรงเครื่องพิชัยยุทธเต็มยศ พร้อมด้วยช้างศึกทรง 2 เชือก คือ

    เจ้าพระยาไชยานุภาพ (พลายภูเขาทอง) ช้างทรงของพระองค์ดำ
    เจ้าพระยาปราบไตรจักร (พลายบุญเรือง) ช้างทรงของพระองค์ขาว

    ทั้งสองพระองค์ทรงนำช้างศึกเข้าสู่สนามรบ แต่ระหว่างที่เคลื่อนทัพเกิดความวุ่นวาย ทำให้ช้างทรงของทั้งสองพระองค์ หลุดเข้าไปในวงล้อมของทัพพม่า และเผชิญหน้ากับมังสามเกียด และมางจาชโร โดยตรง

    เผชิญหน้าบนหลังช้าง
    พระองค์ดำทรงเรียกท้ามังสามเกียด ซึ่งสนิทสนมกันตั้งแต่วัยพระเยาว์ เมื่อครั้งองค์ดำ ทรงเป็นองค์ประกัน อยู่ที่กรุงหงสาวดี ให้มาทำยุทธหัตถี ด้วยพระดำรัส ที่แสดงถึงความองอาจว่า

    “พระเจ้าพี่เรา จะยืนอยู่ใยในร่มไม้เล่า เชิญออกมาทำยุทธหัตถีด้วยกัน ให้เป็นเกียรติยศไว้ในแผ่นดินเถิด”

    มังสามเกียดจึงไสช้าง เข้าชนเจ้าพระยาไชยานุภาพ เกิดการต่อสู้ที่ดุเดือด เมื่อถึงจังหวะสำคัญ พระองค์ดำทรงใช้พระแสงของ้าวแสนพลพ่าย ฟันเข้าที่พระอังสะขวา ของมังสามเกียด จนสิ้นพระชนม์บนหลังช้าง

    ในขณะเดียวกัน พระองค์ขาวทรงฟันมางจาชโร จนสิ้นพระชนม์บนหลังช้างเช่นกัน เป็นการปิดฉาก ศึกยุทธหัตถีอันยิ่งใหญ่

    ชัยชนะของพระองค์ดำ ในยุทธหัตถีครั้งนี้ ทำให้กรุงศรีอยุธยา สามารถรักษาเอกราชไว้ได้ และสร้างความเกรงขามให้แก่กรุงหงสาวดี จนไม่มีการรุกรานอีก เป็นเวลาหลายปี

    หลังสงคราม พระเจ้านันทบุเรงทรงเสียพระทัยอย่างยิ่ง ที่ต้องสูญเสียพระราชโอรสไป ในศึกครั้งนี้ และกรุงศรีอยุธยาก็ได้สร้าง พระบรมราชานุสรณ์ดอนเจดีย์ เพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์อันสำคัญนี้

    ความสำคัญของยุทธหัตถี ในประวัติศาสตร์ไทย
    สัญลักษณ์ของเอกราช ยุทธหัตถีครั้งนี้ เป็นเหตุการณ์ที่สะท้อนถึง ความสามัคคีและการต่อสู้ เพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติ

    พระปรีชาสามารถของกษัตริย์ไทย สมเด็จพระนเรศวร และสมเด็จพระเอกาทศรถ ได้ทรงแสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญ และพระปรีชาสามารถในการนำทัพ

    มรดกทางวัฒนธรรม การยุทธหัตถีได้กลายเป็นตำนาน ที่มีการเล่าขาน และเป็นแรงบันดาลใจในงานศิลปะ วรรณกรรม และภาพยนตร์

    คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับยุทธหัตถี
    1. ยุทธหัตถีเกิดขึ้นที่ไหน?
    ยุทธหัตถีเกิดขึ้นที่ตำบลหนองสาหร่าย อำเภอดอนเจดีย์ จังหวัดสุพรรณบุรี

    2. ช้างศึกคืออะไร?
    ช้างศึกคือช้างที่ได้รับการฝึกฝน เพื่อใช้ในการทำสงคราม มีลักษณะเด่นตามตำราคชลักษณ์

    3. ทำไมยุทธหัตถีถึงมีเกียรติ?
    เพราะเป็นการต่อสู้ ระหว่างกษัตริย์ทั้งสองฝ่าย อย่างตรงไปตรงมา และแสดงถึงความกล้าหาญ

    ยุทธหัตถีหนองสาหร่ายในปี พ.ศ. 2135 เป็นสงครามที่แสดงถึงความกล้าหาญ และพระปรีชาสามารถ ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และสมเด็จพระเอกาทศรถ ซึ่งทำให้กรุงศรีอยุธยา สามารถรักษาเอกราช และศักดิ์ศรีของชาติไว้ได้

    เหตุการณ์นี้ ยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้แก่คนไทย ในการต่อสู้เพื่อสิ่งที่ถูกต้อง และรักษาเกียรติภูมิของตน

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 180833 ม.ค. 2568

    #สมเด็จพระนเรศวร #ยุทธหัตถี #ประวัติศาสตร์ไทย #สงครามชนช้าง #กรุงศรีอยุธยา #ดอนเจดีย์ #หงสาวดี #ชาติไทย #วีรกรรมไทย #สงครามไทย

    🎉
    433 ปี ยุทธหัตถีหนองสาหร่าย ศึกแห่งเกียรติยศขององค์ดำ-องค์ขาว 🇹🇭🐘 ย้อนไปเมื่อ 433 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2135 เป็นวันที่ประวัติศาสตร์ไทย ต้องจารึกไว้ด้วยความภาคภูมิใจ นั่นคือเหตุการณ์ “ยุทธหัตถีหนองสาหร่าย” ที่แสดงถึงความกล้าหาญ และพระปรีชาสามารถ ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช (พระองค์ดำ) และสมเด็จพระเอกาทศรถ (พระองค์ขาว) ในการต่อสู้กับทัพพม่า ณ ตำบลหนองสาหร่าย อำเภอดอนเจดีย์ จังหวัดสุพรรณบุรี สงครามครั้งนี้ ไม่ได้เป็นเพียงการต่อสู้ เพื่ออาณาจักรเท่านั้น แต่ยังเป็นการแสดงถึง ศักดิ์ศรีของพระมหากษัตริย์ไทย ผู้ยอมเสี่ยงชีวิต เพื่อปกป้องผืนแผ่นดิน และประชาชนชาวไทย การยุทธหัตถีครั้งนี้ ไม่เพียงเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ แต่ยังกลายเป็นมรดกทางวัฒนธรรม ที่ยังคงมีการเล่าขาน และรำลึกถึงจนถึงทุกวันนี้ สงครามบนหลังช้างที่สะท้อนศักดิ์ศรี ยุทธหัตถี หมายถึง การทำสงครามบนหลังช้าง โดยผู้บัญชาการสูงสุด ของกองทัพทั้งสองฝ่าย จะเผชิญหน้ากันบนหลังช้างศึก เป็นการต่อสู้ ที่ต้องอาศัยทั้งความสามารถ การฝึกฝน ความกล้าหาญของกษัตริย์ และช้างศึก การชนช้างนี้ถือว่า เป็นการทำศึกที่มีเกียรติยศ และเป็นที่ยอมรับ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในประเทศไทย พม่า และกัมพูชา ในยุคโบราณ ช้างถือว่าเป็นสัตว์คู่บารมี ของพระมหากษัตริย์ และเป็นสัญลักษณ์ของความยิ่งใหญ่ การทำยุทธหัตถี จึงไม่เพียงแต่เป็นการต่อสู้ เพื่อชัยชนะทางการทหารเท่านั้น แต่ยังแสดงถึงความกล้าหาญและความสามารถของผู้ปกครอง ที่นำทัพด้วยตัวเอง สงครามยุทธหัตถีในปี พ.ศ. 2135 มีต้นเหตุจากการที่กรุงหงสาวดี (พม่า) มีความต้องการ จะยึดครองกรุงศรีอยุธยา พระเจ้านันทบุเรง ผู้ปกครองหงสาวดีในเวลานั้น จึงส่งกองทัพใหญ่กว่า 240,000 นาย นำโดย พระมหาอุปราชา (มังสามเกียด) และมางจาชโร เจ้าเมืองจาปะโร เข้ารุกรานกรุงศรีอยุธยา พระองค์ดำทรงทราบถึง การเคลื่อนทัพของพม่า จึงทรงระดมกำลังพลหนึ่งแสนนาย และเตรียมการป้องกันเมือง พร้อมกับทรงออกคำประกาศอิสรภาพที่เมืองแครง ในปี พ.ศ. 2127 ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้น ของการต่อต้านการปกครองของพม่า อย่างเต็มตัว เมื่อกองทัพของมังสามเกียด เคลื่อนมาถึงสุพรรณบุรี พระองค์ดำทรงนำทัพหลวงไปตั้งค่าย ที่ตำบลหนองสาหร่าย พร้อมกับพระองค์ขาว เช้าวันจันทร์ แรม 2 ค่ำ เดือนยี่ ปีมะโรง องค์ดำและองค์ขาว ทรงเครื่องพิชัยยุทธเต็มยศ พร้อมด้วยช้างศึกทรง 2 เชือก คือ เจ้าพระยาไชยานุภาพ (พลายภูเขาทอง) ช้างทรงของพระองค์ดำ เจ้าพระยาปราบไตรจักร (พลายบุญเรือง) ช้างทรงของพระองค์ขาว ทั้งสองพระองค์ทรงนำช้างศึกเข้าสู่สนามรบ แต่ระหว่างที่เคลื่อนทัพเกิดความวุ่นวาย ทำให้ช้างทรงของทั้งสองพระองค์ หลุดเข้าไปในวงล้อมของทัพพม่า และเผชิญหน้ากับมังสามเกียด และมางจาชโร โดยตรง เผชิญหน้าบนหลังช้าง พระองค์ดำทรงเรียกท้ามังสามเกียด ซึ่งสนิทสนมกันตั้งแต่วัยพระเยาว์ เมื่อครั้งองค์ดำ ทรงเป็นองค์ประกัน อยู่ที่กรุงหงสาวดี ให้มาทำยุทธหัตถี ด้วยพระดำรัส ที่แสดงถึงความองอาจว่า “พระเจ้าพี่เรา จะยืนอยู่ใยในร่มไม้เล่า เชิญออกมาทำยุทธหัตถีด้วยกัน ให้เป็นเกียรติยศไว้ในแผ่นดินเถิด” มังสามเกียดจึงไสช้าง เข้าชนเจ้าพระยาไชยานุภาพ เกิดการต่อสู้ที่ดุเดือด เมื่อถึงจังหวะสำคัญ พระองค์ดำทรงใช้พระแสงของ้าวแสนพลพ่าย ฟันเข้าที่พระอังสะขวา ของมังสามเกียด จนสิ้นพระชนม์บนหลังช้าง ในขณะเดียวกัน พระองค์ขาวทรงฟันมางจาชโร จนสิ้นพระชนม์บนหลังช้างเช่นกัน เป็นการปิดฉาก ศึกยุทธหัตถีอันยิ่งใหญ่ ชัยชนะของพระองค์ดำ ในยุทธหัตถีครั้งนี้ ทำให้กรุงศรีอยุธยา สามารถรักษาเอกราชไว้ได้ และสร้างความเกรงขามให้แก่กรุงหงสาวดี จนไม่มีการรุกรานอีก เป็นเวลาหลายปี หลังสงคราม พระเจ้านันทบุเรงทรงเสียพระทัยอย่างยิ่ง ที่ต้องสูญเสียพระราชโอรสไป ในศึกครั้งนี้ และกรุงศรีอยุธยาก็ได้สร้าง พระบรมราชานุสรณ์ดอนเจดีย์ เพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์อันสำคัญนี้ ความสำคัญของยุทธหัตถี ในประวัติศาสตร์ไทย สัญลักษณ์ของเอกราช ยุทธหัตถีครั้งนี้ เป็นเหตุการณ์ที่สะท้อนถึง ความสามัคคีและการต่อสู้ เพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติ พระปรีชาสามารถของกษัตริย์ไทย สมเด็จพระนเรศวร และสมเด็จพระเอกาทศรถ ได้ทรงแสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญ และพระปรีชาสามารถในการนำทัพ มรดกทางวัฒนธรรม การยุทธหัตถีได้กลายเป็นตำนาน ที่มีการเล่าขาน และเป็นแรงบันดาลใจในงานศิลปะ วรรณกรรม และภาพยนตร์ คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับยุทธหัตถี 1. ยุทธหัตถีเกิดขึ้นที่ไหน? ยุทธหัตถีเกิดขึ้นที่ตำบลหนองสาหร่าย อำเภอดอนเจดีย์ จังหวัดสุพรรณบุรี 2. ช้างศึกคืออะไร? ช้างศึกคือช้างที่ได้รับการฝึกฝน เพื่อใช้ในการทำสงคราม มีลักษณะเด่นตามตำราคชลักษณ์ 3. ทำไมยุทธหัตถีถึงมีเกียรติ? เพราะเป็นการต่อสู้ ระหว่างกษัตริย์ทั้งสองฝ่าย อย่างตรงไปตรงมา และแสดงถึงความกล้าหาญ ยุทธหัตถีหนองสาหร่ายในปี พ.ศ. 2135 เป็นสงครามที่แสดงถึงความกล้าหาญ และพระปรีชาสามารถ ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และสมเด็จพระเอกาทศรถ ซึ่งทำให้กรุงศรีอยุธยา สามารถรักษาเอกราช และศักดิ์ศรีของชาติไว้ได้ เหตุการณ์นี้ ยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้แก่คนไทย ในการต่อสู้เพื่อสิ่งที่ถูกต้อง และรักษาเกียรติภูมิของตน ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 180833 ม.ค. 2568 #สมเด็จพระนเรศวร #ยุทธหัตถี #ประวัติศาสตร์ไทย #สงครามชนช้าง #กรุงศรีอยุธยา #ดอนเจดีย์ #หงสาวดี #ชาติไทย #วีรกรรมไทย #สงครามไทย 🎉
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 51 มุมมอง 0 รีวิว
  • 718 ปี แห่งประวัติศาสตร์ ลอบปลงพระชนม์ "พระเจ้าฟ้ารั่ว" จากเด็กเลี้ยงช้าง สู่ปฐมกษัตริย์แห่งรัฐมอญ

    วันที่ 14 มกราคม พ.ศ. 1850 หรือเมื่อ 718 ปี ที่ผ่านมา โลกได้จารึกเหตุการณ์สำคัญ ทางประวัติศาสตร์ ที่ยังคงถูกกล่าวถึง จนถึงปัจจุบัน นั่นคือ การลอบปลงพระชนม์ "พระเจ้าฟ้ารั่ว" หรือที่รู้จักในพระนาม "พระเจ้าวาเรรุ" กษัตริย์ผู้รวบรวมแผ่นดินมอญ ให้เป็นหนึ่งเดียว เหตุการณ์นี้ ไม่เพียงเป็นจุดสิ้นสุด แห่งยุคของพระองค์ แต่ยังสะท้อนถึง การเปลี่ยนผ่านของอำนาจ ในยุคที่แผ่นดินเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยังเต็มไปด้วย การช่วงชิงราชบัลลังก์

    พระเจ้าฟ้ารั่ว หรือที่ชาวมอญเรียกพระองค์ว่า “พระเจ้าวาเรรุ” ทรงเป็นปฐมกษัตริย์ แห่งเมืองเมาะตะมะ (ปัจจุบันคือเมืองในประเทศเมียนมา) และทรงเป็นผู้นำ ที่รวบรวมชนชาติมอญ ให้กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง ในยุคที่อาณาจักรพุกาม กำลังล่มสลาย พระองค์ทรงครองราชย์ ระหว่างปี พ.ศ. 1830 - 1850 ซึ่งเป็นช่วงเวลาสำคัญ ที่เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง และอำนาจในภูมิภาค

    พระเจ้าฟ้ารั่ว ประสูติเมื่อวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 1796 ภายใต้ชื่อ มะกะโท (แมะกะตู) พระองค์เป็นบุตรของบิดาชาวไทยใหญ่ และมารดาชาวมอญ ณ เมืองสะโตง (บริเวณตอนล่างของพม่า ในปัจจุบัน) การเดินทางของพระองค์ เริ่มต้นเมื่ออายุ 19 พรรษา เมื่อมะกะโท เดินทางไปยังอาณาจักรสุโขทัย เพื่อค้าขาย ก่อนจะเริ่มชีวิตใหม่ ในราชสำนักสุโขทัย

    จากเด็กเลี้ยงช้าง สู่ตำแหน่งขุนวังแห่งสุโขทัย
    เมื่อมะกะโทเดินทางมายังสุโขทัย ในรัชสมัยพ่อขุนบานเมือง (พ.ศ. 1815) พระองค์เริ่มต้นชีวิตใหม่ ด้วยการเข้ารับราชการ ในตำแหน่งควาญช้าง ด้วยความขยันและเฉลียวฉลาด มะกะโทสามารถสร้างความประทับใจ แก่พระเจ้าแผ่นดิน และในที่สุด ได้รับตำแหน่งขุนวัง ในรัชสมัย พ่อขุนรามคำแหงมหาราช

    ช่วงเวลานี้เอง ที่พระองค์ได้พบรักกับ "เจ้านางสร้อยดาว" (หรือพระนามในพงศาวดารไทยว่า นางสุวรรณเทวี) ธิดาของพ่อขุนรามคำแหง ทั้งสองแอบมีใจ ผูกสมัครรักใคร่ต่อกัน จนกระทั่งตัดสินใจ
    ลอบหนีออกจากสุโขทัย พร้อมทั้งข้าราชบริพารจำนวนมาก

    การตัดสินใจครั้งนี้ ไม่เพียงเปลี่ยนแปลงชีวิตของมะกะโท แต่ยังส่งผลกระทบต่อประวัติศาสตร์ ของทั้งอาณาจักรมอญ และสุโขทัย

    ประกาศอิสรภาพจากพุกาม
    หลังจากที่มะกะโท หรือพระเจ้าฟ้ารั่ว กลับมายังเมืองเมาะตะมะ พระองค์ได้เผชิญหน้ากับ "อลิมามาง" เจ้าเมืองที่ได้รับการแต่งตั้งจากอาณาจักรพุกาม ในปี พ.ศ. 1828 มะกะโทสามารถโค่นล้มอำนาจ ของอลิมามางได้สำเร็จ และในปี พ.ศ. 1830 พระองค์ได้ประกาศอิสรภาพ จากพุกาม พร้อมทั้งสถาปนาตนเองเป็น กษัตริย์แห่งเมืองเมาะตะมะ

    ยุทธศาสตร์บริหารแผ่นดิน
    หลังจากขึ้นครองราชย์ พระเจ้าฟ้ารั่วใช้เวลากว่า 10 ปีในการรวบรวมแผ่นดินมอญ ให้เป็นหนึ่งเดียว โดยทรงจัดการศัตรูทางการเมือง จนหมดสิ้น รวมถึงสร้างพันธมิตรทางการทูต กับราชวงศ์หยวนแห่งจีน เพื่อป้องกันการรุกราน จากมหาอำนาจภายนอก

    พระองค์ยังทรงชำระ "ประมวลกฎหมายวาเรรุ" ซึ่งเป็นกฎหมายฉบับแรก ของอาณาจักรมอญ โดยมีเป้าหมาย เพื่อสร้างความเป็นธรรมในสังคม และปกครองประชาชนอย่างยุติธรรม

    ลอบปลงพระชนม์
    แม้พระเจ้าฟ้ารั่ว จะประสบความสำเร็จ ในการสร้างอาณาจักรมอญ แต่พระองค์ไม่สามารถหลีกเลี่ยง วัฏจักรแห่งการชิงอำนาจได้ ในวันที่ 14 มกราคม พ.ศ. 1850 พระองค์ถูกลอบปลงพระชนม์ โดยพระราชโอรส 2 พระองค์ ของพระเจ้าตะยาพยาแห่งหงสาวดี ซึ่งต้องการแก้แค้นให้กับพระบิดา ที่ถูกพระเจ้าฟ้ารั่วสำเร็จโทษ

    การสิ้นพระชนม์ ของพระเจ้าฟ้ารั่ว นับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ของอาณาจักรมอญ ซึ่งภายหลัง ต้องเผชิญกับ ความแตกแยกทางการเมือง จนกระทั่งล่มสลาย

    ความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้าฟ้ารั่วและสุโขทัย
    หนึ่งในเหตุการณ์ ที่สะท้อนถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น ระหว่างอาณาจักรมอญ และสุโขทัยคือ การส่งพระราชสาสน์ ของพระเจ้าฟ้ารั่ว ไปยังพ่อขุนรามคำแหงมหาราช เพื่อขอขมาในสิ่งที่พระองค์ล่วงละเมิด และยอมเป็นประเทศราช พระราชสาสน์ฉบับนี้ ไม่เพียงเป็นการแสดงความเคารพ แต่ยังยืนยันถึงบทบาทของสุโขทัย ในฐานะมหาอำนาจ ที่มีอิทธิพลต่อภูมิภาค

    มรดกพระเจ้าฟ้ารั่ว
    พระเจ้าฟ้ารั่วไม่เพียงเป็น กษัตริย์ผู้สร้างความเป็นหนึ่งเดียว ให้กับแผ่นดินมอญ แต่ยังเป็นตัวแทนของยุคสมัย ที่การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีบทบาทสำคัญ ต่อประวัติศาสตร์โลก

    แม้ว่าพระองค์จะจากไป นานกว่า 718 ปี แต่เรื่องราวของพระเจ้าฟ้ารั่ว ยังคงสะท้อนถึงบทเรียน เกี่ยวกับความเป็นผู้นำ ความอดทนต่ออุปสรรค และความสำคัญของการรวมพลัง เพื่อสร้างความมั่นคง ให้แก่แผ่นดิน

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 142006 ม.ค. 2568

    #ประวัติศาสตร์มอญ #พระเจ้าฟ้ารั่ว #วาเรรุ #พ่อขุนรามคำแหง #ประวัติศาสตร์ไทย #อาณาจักรพุกาม #การปฏิวัติมอญ #ความสัมพันธ์ไทยมอญ #กษัตริย์มอญ #ย้อนอดีต
    718 ปี แห่งประวัติศาสตร์ ลอบปลงพระชนม์ "พระเจ้าฟ้ารั่ว" จากเด็กเลี้ยงช้าง สู่ปฐมกษัตริย์แห่งรัฐมอญ วันที่ 14 มกราคม พ.ศ. 1850 หรือเมื่อ 718 ปี ที่ผ่านมา โลกได้จารึกเหตุการณ์สำคัญ ทางประวัติศาสตร์ ที่ยังคงถูกกล่าวถึง จนถึงปัจจุบัน นั่นคือ การลอบปลงพระชนม์ "พระเจ้าฟ้ารั่ว" หรือที่รู้จักในพระนาม "พระเจ้าวาเรรุ" กษัตริย์ผู้รวบรวมแผ่นดินมอญ ให้เป็นหนึ่งเดียว เหตุการณ์นี้ ไม่เพียงเป็นจุดสิ้นสุด แห่งยุคของพระองค์ แต่ยังสะท้อนถึง การเปลี่ยนผ่านของอำนาจ ในยุคที่แผ่นดินเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยังเต็มไปด้วย การช่วงชิงราชบัลลังก์ พระเจ้าฟ้ารั่ว หรือที่ชาวมอญเรียกพระองค์ว่า “พระเจ้าวาเรรุ” ทรงเป็นปฐมกษัตริย์ แห่งเมืองเมาะตะมะ (ปัจจุบันคือเมืองในประเทศเมียนมา) และทรงเป็นผู้นำ ที่รวบรวมชนชาติมอญ ให้กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง ในยุคที่อาณาจักรพุกาม กำลังล่มสลาย พระองค์ทรงครองราชย์ ระหว่างปี พ.ศ. 1830 - 1850 ซึ่งเป็นช่วงเวลาสำคัญ ที่เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง และอำนาจในภูมิภาค พระเจ้าฟ้ารั่ว ประสูติเมื่อวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 1796 ภายใต้ชื่อ มะกะโท (แมะกะตู) พระองค์เป็นบุตรของบิดาชาวไทยใหญ่ และมารดาชาวมอญ ณ เมืองสะโตง (บริเวณตอนล่างของพม่า ในปัจจุบัน) การเดินทางของพระองค์ เริ่มต้นเมื่ออายุ 19 พรรษา เมื่อมะกะโท เดินทางไปยังอาณาจักรสุโขทัย เพื่อค้าขาย ก่อนจะเริ่มชีวิตใหม่ ในราชสำนักสุโขทัย จากเด็กเลี้ยงช้าง สู่ตำแหน่งขุนวังแห่งสุโขทัย เมื่อมะกะโทเดินทางมายังสุโขทัย ในรัชสมัยพ่อขุนบานเมือง (พ.ศ. 1815) พระองค์เริ่มต้นชีวิตใหม่ ด้วยการเข้ารับราชการ ในตำแหน่งควาญช้าง ด้วยความขยันและเฉลียวฉลาด มะกะโทสามารถสร้างความประทับใจ แก่พระเจ้าแผ่นดิน และในที่สุด ได้รับตำแหน่งขุนวัง ในรัชสมัย พ่อขุนรามคำแหงมหาราช ช่วงเวลานี้เอง ที่พระองค์ได้พบรักกับ "เจ้านางสร้อยดาว" (หรือพระนามในพงศาวดารไทยว่า นางสุวรรณเทวี) ธิดาของพ่อขุนรามคำแหง ทั้งสองแอบมีใจ ผูกสมัครรักใคร่ต่อกัน จนกระทั่งตัดสินใจ ลอบหนีออกจากสุโขทัย พร้อมทั้งข้าราชบริพารจำนวนมาก การตัดสินใจครั้งนี้ ไม่เพียงเปลี่ยนแปลงชีวิตของมะกะโท แต่ยังส่งผลกระทบต่อประวัติศาสตร์ ของทั้งอาณาจักรมอญ และสุโขทัย ประกาศอิสรภาพจากพุกาม หลังจากที่มะกะโท หรือพระเจ้าฟ้ารั่ว กลับมายังเมืองเมาะตะมะ พระองค์ได้เผชิญหน้ากับ "อลิมามาง" เจ้าเมืองที่ได้รับการแต่งตั้งจากอาณาจักรพุกาม ในปี พ.ศ. 1828 มะกะโทสามารถโค่นล้มอำนาจ ของอลิมามางได้สำเร็จ และในปี พ.ศ. 1830 พระองค์ได้ประกาศอิสรภาพ จากพุกาม พร้อมทั้งสถาปนาตนเองเป็น กษัตริย์แห่งเมืองเมาะตะมะ ยุทธศาสตร์บริหารแผ่นดิน หลังจากขึ้นครองราชย์ พระเจ้าฟ้ารั่วใช้เวลากว่า 10 ปีในการรวบรวมแผ่นดินมอญ ให้เป็นหนึ่งเดียว โดยทรงจัดการศัตรูทางการเมือง จนหมดสิ้น รวมถึงสร้างพันธมิตรทางการทูต กับราชวงศ์หยวนแห่งจีน เพื่อป้องกันการรุกราน จากมหาอำนาจภายนอก พระองค์ยังทรงชำระ "ประมวลกฎหมายวาเรรุ" ซึ่งเป็นกฎหมายฉบับแรก ของอาณาจักรมอญ โดยมีเป้าหมาย เพื่อสร้างความเป็นธรรมในสังคม และปกครองประชาชนอย่างยุติธรรม ลอบปลงพระชนม์ แม้พระเจ้าฟ้ารั่ว จะประสบความสำเร็จ ในการสร้างอาณาจักรมอญ แต่พระองค์ไม่สามารถหลีกเลี่ยง วัฏจักรแห่งการชิงอำนาจได้ ในวันที่ 14 มกราคม พ.ศ. 1850 พระองค์ถูกลอบปลงพระชนม์ โดยพระราชโอรส 2 พระองค์ ของพระเจ้าตะยาพยาแห่งหงสาวดี ซึ่งต้องการแก้แค้นให้กับพระบิดา ที่ถูกพระเจ้าฟ้ารั่วสำเร็จโทษ การสิ้นพระชนม์ ของพระเจ้าฟ้ารั่ว นับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ของอาณาจักรมอญ ซึ่งภายหลัง ต้องเผชิญกับ ความแตกแยกทางการเมือง จนกระทั่งล่มสลาย ความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้าฟ้ารั่วและสุโขทัย หนึ่งในเหตุการณ์ ที่สะท้อนถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น ระหว่างอาณาจักรมอญ และสุโขทัยคือ การส่งพระราชสาสน์ ของพระเจ้าฟ้ารั่ว ไปยังพ่อขุนรามคำแหงมหาราช เพื่อขอขมาในสิ่งที่พระองค์ล่วงละเมิด และยอมเป็นประเทศราช พระราชสาสน์ฉบับนี้ ไม่เพียงเป็นการแสดงความเคารพ แต่ยังยืนยันถึงบทบาทของสุโขทัย ในฐานะมหาอำนาจ ที่มีอิทธิพลต่อภูมิภาค มรดกพระเจ้าฟ้ารั่ว พระเจ้าฟ้ารั่วไม่เพียงเป็น กษัตริย์ผู้สร้างความเป็นหนึ่งเดียว ให้กับแผ่นดินมอญ แต่ยังเป็นตัวแทนของยุคสมัย ที่การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีบทบาทสำคัญ ต่อประวัติศาสตร์โลก แม้ว่าพระองค์จะจากไป นานกว่า 718 ปี แต่เรื่องราวของพระเจ้าฟ้ารั่ว ยังคงสะท้อนถึงบทเรียน เกี่ยวกับความเป็นผู้นำ ความอดทนต่ออุปสรรค และความสำคัญของการรวมพลัง เพื่อสร้างความมั่นคง ให้แก่แผ่นดิน ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 142006 ม.ค. 2568 #ประวัติศาสตร์มอญ #พระเจ้าฟ้ารั่ว #วาเรรุ #พ่อขุนรามคำแหง #ประวัติศาสตร์ไทย #อาณาจักรพุกาม #การปฏิวัติมอญ #ความสัมพันธ์ไทยมอญ #กษัตริย์มอญ #ย้อนอดีต
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 190 มุมมอง 0 รีวิว
  • #พระนางสามผิว ผู้มีความงามที่เลื่องลือที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย #ความงามเป็นเหตุจนทำให้เสียเมืองพระนางสามผิว ผู้มีความงามที่เลื่องลือที่สุดในประวัติศาสตร์ไทยเมื่อกว่า ๔๐๐ ปีก่อน พระนางเป็นพระชายาของ “พระเจ้าฝางอุดมสิน” กษัตริย์เมืองฝาง กล่าวกันว่า...พระนางสิริโฉมงดงามและความงามของพระนางถือว่าโดดเด่นไม่มีใครเทียมคือ #ผิวเปลี่ยนสีไปตามแต่ละช่วงเวลา ยามเช้าขาวผ่องยองใย กลางวันเป็นสีชมพูระเรื่อ ตกเย็นก็จะเปลี่ยนเป็นชมพูเข้มขึ้น อันเป็นที่มาพระนามว่า “พระนางสามผิว”.ข่าวความงามของพระนางสามผิวเลื่องลือไปจน #พระเจ้าสุทโธธรรมราชา กษัตริย์ของพม่าเวลานั้น ถึงกับปลอมตัวเป็นพ่อค้ามาถวายบรรณาการเมืองฝาง เมื่อเห็นว่าพระนางสามผิวงามเลิศสมคําเล่าลือก็กลับไปนํากองทัพมาตีเมืองฝาง จึงเกิดเป็นสงครามม่าน-ล้านนา ที่รบติดพันกันอยู่ถึง ๓ ปี แต่แล้วเมืองฝางก็แตกพ่ายราวปี ๒๑๗๕.พระเจ้าฝางอุดมสินพาพระนางสามผิวหนีไปอยู่เมืองกุฉินารายณ์ในเขตอินเดีย ประวัติกล่าวว่า...มีมหาดเล็กและนางข้าหลวงคู่หนึ่งปลอมตัวเป็นทั้ง ๒ พระองค์โดดลงในบ่อน้ำ เพื่อลวงให้พระเจ้าสุทโธธรรมราชาเข้าใจว่า...พระนางสามผิวพลีชีพพร้อมพระสวามี.แต่อีกกระแสหนึ่งก็กล่าวว่า...พม่าปิดล้อมเมืองอยู่ ๓ ปี ทำให้ชาวบ้านออกไปทำมาหากินไม่ได้ มีความอดยาก เสบียงอาหารที่มีอยู่ก็หมด เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้พระเจ้าฝางและพระนางสามผิวตะหนักว่า...เหตุที่เกิดขึ้นมาจากทั้ง ๒ พระองค์ ดังนั้นทั้ง ๒ พระองค์จึงตัดสินใจแก้ปัญหาด้วยการกระโดดน้ำบ่อที่มีความลึกสูง ๒๐ วา เพื่อปลงพระชนม์ชีพตัวเองเพื่อรักษาชีวิตชาวเมืองและบ้านเมืองของตน เมื่อพระเจ้าสุทโธธรรมราชาทรงทราบเรื่องพระองค์ทรงเสียใจมาก จึงได้ยกทัพกลับบ้านเมืองของตน และเมืองฝางก็ไม่ได้ถูกเป็นเมืองขึ้นของพม่า.ประชาชนเห็นว่าพระเจ้าฝางและพระนางสามผิวได้สละพระชนม์ชีพเพื่อรักษาบ้านเมืองไว้ จึงได้สร้างอนุสาวรีย์ ไว้ที่น้ำบ่อซาววา ซึ่งอยู่หน้าวัดพระอุดม ต.เวียง อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ และมีประเพณีบวงสรวง “เดือนเก๋าพระเจ๋าฝาง-พระนางสามผิว” ทำเป็นประจำทุกปี และนอกจากนี้ยังให้ผู้คนที่เดินทางผ่านมาเห็นได้มาสักการะกราบไหว้บูชา นี่จึงเป็นที่มา #น้ำบ่อซาววา (ภาพประกอบ: ภาพวาดสตรีล้านนา)."Phra Nang Sam Phiw", the most famous beauty in Thai history, until her beauty caused a war.."Phra Nang Sam Phiw" is the most famous beautiful woman in Thai history over 400 years ago. She was the queen of "Phra Chao Fang Udomsin", the king of Fang. It is said that she was very beautiful and her beauty was outstanding and unmatched. Her skin changed color according to the time. In the morning, her skin was very white. During the day, her skin was pinkish. In the evening, her skin turned dark pink. This is where the name "Phra Nang Sam Phiw" came from. (Sam = Three / Phiw = Skin). The Queen whose skin color changed in all three periods of time: morning, noon and evening..The news of Phra Nang Sam Phiw's beauty spread so far that King Suthodhammaracha, the king of Burma at that time, disguised himself as a merchant to offer tribute to Fang. When he saw Phra Nang Sam Phiw, he immediately fell in love. When he returned to Burma, he led an army to attack Fang. The Burmese surrounded Fang for 3 years, preventing the people from going out to earn a living. As a result, there was famine and the food supplies ran out..When the incident happened, both "Phra Chao Fang Udomsin" and Phra Nang Sam Phiw knew that the incident was caused by both of them. Therefore, both of them decided to solve the problem by jumping into a 40-meter deep well to save the lives of their people and their country. When King Suthodhammaracha found out about this, he was very sad. He led his army back to his own country and Fang did not become a vassal state of Burma..The people saw that both of them had sacrificed their lives to protect their country, so they built a monument at the Sawwa pond in front of Phra Udom Temple, Wiang Subdistrict, Fang District, Chiang Mai Province. There is an annual ceremony to make offerings to the spirits. In addition, people who pass by can see them and pay homage..📌บทความนี้เรียบเรียงและแปลโดยเพจ Love Thai Culture #หากผู้ใดนำข้อมูลไปแชร์กรุณาให้เครดิตด้วยนะคะ.💥 Credit: ขอบคุณภาพเจ้าของภาพ (แอดไม่ทราบว่าใครเป็นเจ้าของภาพ Inbox แจ้งได้นะคะ).++++++++++++++++++++#Thailand #CulTure #ThaiCulture #ThaiCulturetotheWorld #LoveThaiCulture #Amazingthailand #Amazing #Unseenthailand #Ramakien #พระนางสามผิว
    #พระนางสามผิว ผู้มีความงามที่เลื่องลือที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย #ความงามเป็นเหตุจนทำให้เสียเมืองพระนางสามผิว ผู้มีความงามที่เลื่องลือที่สุดในประวัติศาสตร์ไทยเมื่อกว่า ๔๐๐ ปีก่อน พระนางเป็นพระชายาของ “พระเจ้าฝางอุดมสิน” กษัตริย์เมืองฝาง กล่าวกันว่า...พระนางสิริโฉมงดงามและความงามของพระนางถือว่าโดดเด่นไม่มีใครเทียมคือ #ผิวเปลี่ยนสีไปตามแต่ละช่วงเวลา ยามเช้าขาวผ่องยองใย กลางวันเป็นสีชมพูระเรื่อ ตกเย็นก็จะเปลี่ยนเป็นชมพูเข้มขึ้น อันเป็นที่มาพระนามว่า “พระนางสามผิว”.ข่าวความงามของพระนางสามผิวเลื่องลือไปจน #พระเจ้าสุทโธธรรมราชา กษัตริย์ของพม่าเวลานั้น ถึงกับปลอมตัวเป็นพ่อค้ามาถวายบรรณาการเมืองฝาง เมื่อเห็นว่าพระนางสามผิวงามเลิศสมคําเล่าลือก็กลับไปนํากองทัพมาตีเมืองฝาง จึงเกิดเป็นสงครามม่าน-ล้านนา ที่รบติดพันกันอยู่ถึง ๓ ปี แต่แล้วเมืองฝางก็แตกพ่ายราวปี ๒๑๗๕.พระเจ้าฝางอุดมสินพาพระนางสามผิวหนีไปอยู่เมืองกุฉินารายณ์ในเขตอินเดีย ประวัติกล่าวว่า...มีมหาดเล็กและนางข้าหลวงคู่หนึ่งปลอมตัวเป็นทั้ง ๒ พระองค์โดดลงในบ่อน้ำ เพื่อลวงให้พระเจ้าสุทโธธรรมราชาเข้าใจว่า...พระนางสามผิวพลีชีพพร้อมพระสวามี.แต่อีกกระแสหนึ่งก็กล่าวว่า...พม่าปิดล้อมเมืองอยู่ ๓ ปี ทำให้ชาวบ้านออกไปทำมาหากินไม่ได้ มีความอดยาก เสบียงอาหารที่มีอยู่ก็หมด เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้พระเจ้าฝางและพระนางสามผิวตะหนักว่า...เหตุที่เกิดขึ้นมาจากทั้ง ๒ พระองค์ ดังนั้นทั้ง ๒ พระองค์จึงตัดสินใจแก้ปัญหาด้วยการกระโดดน้ำบ่อที่มีความลึกสูง ๒๐ วา เพื่อปลงพระชนม์ชีพตัวเองเพื่อรักษาชีวิตชาวเมืองและบ้านเมืองของตน เมื่อพระเจ้าสุทโธธรรมราชาทรงทราบเรื่องพระองค์ทรงเสียใจมาก จึงได้ยกทัพกลับบ้านเมืองของตน และเมืองฝางก็ไม่ได้ถูกเป็นเมืองขึ้นของพม่า.ประชาชนเห็นว่าพระเจ้าฝางและพระนางสามผิวได้สละพระชนม์ชีพเพื่อรักษาบ้านเมืองไว้ จึงได้สร้างอนุสาวรีย์ ไว้ที่น้ำบ่อซาววา ซึ่งอยู่หน้าวัดพระอุดม ต.เวียง อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ และมีประเพณีบวงสรวง “เดือนเก๋าพระเจ๋าฝาง-พระนางสามผิว” ทำเป็นประจำทุกปี และนอกจากนี้ยังให้ผู้คนที่เดินทางผ่านมาเห็นได้มาสักการะกราบไหว้บูชา นี่จึงเป็นที่มา #น้ำบ่อซาววา (ภาพประกอบ: ภาพวาดสตรีล้านนา)."Phra Nang Sam Phiw", the most famous beauty in Thai history, until her beauty caused a war.."Phra Nang Sam Phiw" is the most famous beautiful woman in Thai history over 400 years ago. She was the queen of "Phra Chao Fang Udomsin", the king of Fang. It is said that she was very beautiful and her beauty was outstanding and unmatched. Her skin changed color according to the time. In the morning, her skin was very white. During the day, her skin was pinkish. In the evening, her skin turned dark pink. This is where the name "Phra Nang Sam Phiw" came from. (Sam = Three / Phiw = Skin). The Queen whose skin color changed in all three periods of time: morning, noon and evening..The news of Phra Nang Sam Phiw's beauty spread so far that King Suthodhammaracha, the king of Burma at that time, disguised himself as a merchant to offer tribute to Fang. When he saw Phra Nang Sam Phiw, he immediately fell in love. When he returned to Burma, he led an army to attack Fang. The Burmese surrounded Fang for 3 years, preventing the people from going out to earn a living. As a result, there was famine and the food supplies ran out..When the incident happened, both "Phra Chao Fang Udomsin" and Phra Nang Sam Phiw knew that the incident was caused by both of them. Therefore, both of them decided to solve the problem by jumping into a 40-meter deep well to save the lives of their people and their country. When King Suthodhammaracha found out about this, he was very sad. He led his army back to his own country and Fang did not become a vassal state of Burma..The people saw that both of them had sacrificed their lives to protect their country, so they built a monument at the Sawwa pond in front of Phra Udom Temple, Wiang Subdistrict, Fang District, Chiang Mai Province. There is an annual ceremony to make offerings to the spirits. In addition, people who pass by can see them and pay homage..📌บทความนี้เรียบเรียงและแปลโดยเพจ Love Thai Culture #หากผู้ใดนำข้อมูลไปแชร์กรุณาให้เครดิตด้วยนะคะ.💥 Credit: ขอบคุณภาพเจ้าของภาพ (แอดไม่ทราบว่าใครเป็นเจ้าของภาพ Inbox แจ้งได้นะคะ).++++++++++++++++++++#Thailand #CulTure #ThaiCulture #ThaiCulturetotheWorld #LoveThaiCulture #Amazingthailand #Amazing #Unseenthailand #Ramakien #พระนางสามผิว
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 605 มุมมอง 0 รีวิว
  • 17 พ.ย. 2567 – นายแก้วสรร อติโพธิ เผยแพร่บทความเรื่อง จับหมาไปขังได้แล้ว!!! ผ่านเว็บไซต์ www.thaipost.net มีเนื้อหาดังนี้ถาม เห็นตัวแทนราชทัณฑ์ตอบคณะกรรมาธิการสภาว่า รับตัวทักษิณเข้าเรือนจำแล้ว ก็ส่งตัวไป รพ.ตำรวจเลย โดยอธิบายว่าทางพยาบาลได้โทรศัพท์ปรึกษากับหมอของเรือนจำแล้ว ซึ่งทางกรรมาธิการตรวจสอบข้อมูลแล้วบอกว่า ทั้งหมดนี้ทักษิณใช้เวลาอยู่ในเรือนจำแค่ ๔ นาทีเท่านั้นตรงจุดนี้ผมข้องใจจริงๆครับ อาจารย์ค้นกฎกระทรวงว่าด้วยการส่งตัวผู้ต้องขัง พ.ศ.๒๕๖๓ แล้ว เขาเปิดให้ทำกันง่ายๆอย่างนี้หรือตอบ ไม่จริงครับ ข้อ ๒ ของกฎกระทรวงระบุชัดเจนว่า นักโทษต้องรับการตรวจทางการแพทย์ก่อน“ข้อ ๒ เมื่อผู้บัญชาการเรือนจำได้รับรายงานจากเจ้าพนักงานเรือนจำว่า ผู้ต้องขังคนใดป่วย ให้ส่งตัวผู้ต้องขังคนนั้นไปรับการตรวจในสถานพยาบาล ของเรือนจำ” เมื่อไม่มีการตรวจเลยเช่นนี้ นี่จึงเป็นการละเว้นหน้าที่เป็นข้อแรก ที่ ปปช.จะขอเวชระเบียน ขอใบส่งตัวอะไรของหมอเรือนจำนั่น มันก็ไม่มีหรอกครับถาม ตามกฎกระทรวงนี้ ตรวจแล้วต้องทำยังไงต่อครับตอบ กฎกระทรวงกำหนดว่า ถ้าตรวจแล้วฝ่ายการแพทย์ของเรือนจำรายงานว่า รักษาในโรงพยาบาลเรือนจำจะไม่ทุเลาดีขึ้น ให้ดำเนินการดังนี้“(๑) กรณีผู้บัญชาการเรือนจำอนุญาต ให้เจ้าพนักงานเรือนจำพาผู้ต้องขังคนนั้นไปและกลับในวันเดียวกัน(๒) หากแพทย์ผู้ทำการตรวจรักษามีความเห็นว่า สมควรรับตัวผู้ต้องขังคนนั้นไว้รักษา ให้เจ้าพนักงาน เรือนจำซึ่งพาผู้ต้องขังคนนั้นไปตรวจรักษาขอหลักฐานและความเห็นของแพทย์ผู้ทำาการตรวจรักษา ประกอบการจัดทำรายงานเสนอผู้บัญชาการเรือนจำพิจารณา ถ้าผู้บัญชาการเรือนจำเห็นด้วยกับ ความเห็นของแพทย์ผู้ทำการตรวจรักษา ให้มีคำสั่งอนุญาตให้รับตัวไว้รักษา”ถาม อ้าว..ตามพฤติการณ์จริงที่ปรากฏนั้น เมื่อส่งทักษิณไปถึงโรงพยาบาลตำรวจแล้ว เขาก็รับตัวไว้ ยาวไป ๖ เดือนเลยนี่ครับ โดยไม่มีการสื่อสารให้ทางราชทัณฑ์อนุญาตหรือไม่อนุญาตเลย จะอยู่จริงหรือไม่นานแค่ไหนก็ไม่มีใครยืนยันได้ตอบ นี่เป็นการละเว้นหน้าที่อย่างชัดเจนเป็นข้อที่ ๒ ดังนั้น ปปช.จะไปขอเวชระเบียน ใบส่งตัว ใบรับตัวพร้อมบันทึกการตรวจร่างกายอะไรก็ไม่มีหรอกครับ ขั้นตอนอนุญาตของ ผบ.เรือนจำข้อนี้สำคัญมากขาดไม่ได้ กฎกระทรวงระบุชัดว่า“กรณีผู้บัญชาการเรือนจำไม่เห็นด้วยกับความเห็นของแพทย์ผู้ทำการตรวจรักษา ให้เจ้าพนักงาน นำตัวผู้ต้องขังคนนั้นกลับเข้ารักษาพยาบาลภายในเรือนจำ”ตอบ กฎกระทรวงระบุไว้รัดกุมครับว่า“เมื่อผู้บัญชาการเรือนจำอนุญาตให้ส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ ให้ดำเนินการ ดังต่อไปนี้จัดเจ้าพนักงานเรือนจำอย่างน้อยจำนวนสองคนควบคุมผู้ต้องขังป่วยหนึ่งคนให้อยู่ภายใน เขตที่กำหนดให้เจ้าพนักงานเรือนจำซึ่งมีหน้าที่ควบคุมผู้ต้องขังจดบันทึกข้อมูลผู้เข้าเยี่ยม และเวลา เข้าเยี่ยมโดยละเอียด และดูแลให้ผู้เข้าเยี่ยมปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการเยี่ยมผู้ต้องขังในเรือนจำใช้สิทธิของผู้ต้องขังตามที่ทางราชการจัดให้และห้ามเข้าอยู่ในห้องพักพิเศษแยกจากผู้ป่วยทั่วไปรับประทานอาหารตามที่สถานที่รักษา ๓ จัดให้”ถาม เห็นพลตำรวจเอกเสรี เตมียเวส ท่านให้การต่อ ปปช.ว่า เมื่อไปเยี่ยมทักษิณสองครั้งนั้น ท่านไม่เห็นมีพนักงานอยู่ประจำเลย ห้องพักก็เป็นห้องพิเศษ ชั้น ๑๔ ทั้งชั้นเห็นเปิดอยู่ห้องเดียว อาหารการกินสมบูรณ์มีข้าวเหนียวมะม่วงเลี้ยงแขกด้วยนะครับตอบ นี่ก็เป็นการละเว้นหน้าที่เป็นข้อที่สามครับ พวกเขาทำจน รพ.ตำรวจกลายเป็นโรงแรมไปเลย มีนักโทษคนเดียวในประวัติศาสตร์ไทยเท่านั้นได้รับบริการอย่างนี้ถาม พอส่ง โรงพยาบาลตำรวจแล้ว ในกฎกระทรวงไม่มีการตรวจสอบอะไรอีกเลยหรือครับ อยู่นอกเรือนจำตั้ง ๖ เดือน แล้วก็พักโทษไปเลย ง่ายๆอย่างนี้เลยหรือตอบ กฎหมายเขากำหนดการตรวจสอบทางบริหารไว้อย่างนี้ครับ“- หากพักรักษาตัวเกินกว่าสามสิบวัน ให้มีหนังสือขอความเห็นชอบจากอธิบดี พร้อมกับความเห็นของแพทย์ผู้ทำการรักษาและหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้องหากพักรักษาตัวเกินกว่าหกสิบวัน ให้มีหนังสือขอความเห็นชอบจากอธิบดี พร้อมกับความเห็นของแพทย์ผู้ทำการรักษาและหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้อง และรายงานให้ปลัดกระทรวงทราบ-หากพักรักษาตัวเกินกว่าหนึ่งร้อยยี่สิบวัน ให้มีหนังสือขอความเห็นชอบจากอธิบดี พร้อมกับความเห็นของแพทย์ผู้ทำการรักษาและหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้อง และรายงานให้รัฐมนตรีทราบ”ถาม แล้วเขามีหนังสือและรายงานอย่างที่ว่านี้ไหมครับตอบ รัฐมนตรี บอกว่ามี และได้เห็นผลตรวจ MRI ด้วย ผมเข้าใจได้ว่าเป็นผลการตรวจก่อนผ่าซ่อมเอ็นหัวไหล่เท่านั้น ซึ่งอาการอย่างนี้ผู้สูงอายุเป็นกันทั่วไป ผ่าวันเดียวก็กลับเรือนจำได้แล้ว เอามาอ้างอยู่นอกเรือนจำเป็น ๖ เดือนไม่ได้หรอกครับ รายงานและหลักฐานที่ว่านี้จะมีจริงไหม ถูกต้องหรือไม่ ทั้ง ปปช.และ กมธ ก็ยังไม่มีใครได้มาวิเคราะห์เลยถาม แล้วที่คุณชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ท่านร้องให้ศาลไต่สวนว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ราชทัณฑ์ต้องขอให้ศาลออกคำสั่งทุเลาการลงโทษก่อน จึงจะนอนโรงพยาบาลตำรวจได้ ถ้าไม่ผ่านศาลก็ต้องถือว่าไม่ถูกต้อง ศาลต้องออกหมายจับทักษิณมาขังให้ครบ ๑ ปี นั้น คำร้องนี้ถูกต้องให้ศาลรับวินิจฉัยได้ไหมครับตอบ มาตรานั้น ให้ศาลสั่งได้เมื่อญาติ หรือเรือนจำ ร้องขอ หรือเมื่อศาลเห็นเองว่า จำเลยจะถึงอันตรายแก่ชีวิตถ้าต้องจำคุก ก็ให้ส่งไปบำบัดรักษานอกคุกได้ แต่กรณีทักษิณนี่ เขาอธิบายว่าเป็นการรักษาตามความจำเป็น ตามอำนาจของราชทัณฑ์ ศาลไม่เกี่ยว จริงๆแล้วกฎกระทรวงน่าจะจำกัดเวลาไว้เลยว่า ถ้าต้องรักษาเกิน ๓๐ วันให้ราชทัณฑ์ไปขอคำสั่งทุเลาการลงโทษ ถ้ากำหนดอย่างนี้ศาลก็จะตรวจสอบได้ตามอำนาจในกฎหมาย โอกาสติดคุกทิพย์ก็จะจำกัดอีกมากถาม แต่เฉพาะปัญหาว่าราชทัณฑ์ทำถูกต้องหรือไม่นี่ มันพอแล้วหรือยังครับที่ ปปช.จะมีมติตั้งข้อกล่าวหาผู้รับผิดชอบว่ากระทำผิดอาญา และมีมติส่งเรื่องให้นายกรัฐมนตรี ใช้อำนาจผู้บังคับบัญชา สั่งราชทัณฑ์ให้ร้องศาลให้ออกหมายขัง นำตัวนักโทษกลับเข้าคุกด้วยตอบ เห็นเขาบอกให้หมาอยู่ส่วนหมา คนอยู่ส่วนคน ผมว่าเมื่อปล่อยออกมาโดยไม่ชอบชัดเจนจะๆ และยังพองขนอหังการคับบ้านเมืองอยู่นอกกรงอย่างนี้ ก็ควรจับไปขังได้แล้วครับ
    17 พ.ย. 2567 – นายแก้วสรร อติโพธิ เผยแพร่บทความเรื่อง จับหมาไปขังได้แล้ว!!! ผ่านเว็บไซต์ www.thaipost.net มีเนื้อหาดังนี้ถาม เห็นตัวแทนราชทัณฑ์ตอบคณะกรรมาธิการสภาว่า รับตัวทักษิณเข้าเรือนจำแล้ว ก็ส่งตัวไป รพ.ตำรวจเลย โดยอธิบายว่าทางพยาบาลได้โทรศัพท์ปรึกษากับหมอของเรือนจำแล้ว ซึ่งทางกรรมาธิการตรวจสอบข้อมูลแล้วบอกว่า ทั้งหมดนี้ทักษิณใช้เวลาอยู่ในเรือนจำแค่ ๔ นาทีเท่านั้นตรงจุดนี้ผมข้องใจจริงๆครับ อาจารย์ค้นกฎกระทรวงว่าด้วยการส่งตัวผู้ต้องขัง พ.ศ.๒๕๖๓ แล้ว เขาเปิดให้ทำกันง่ายๆอย่างนี้หรือตอบ ไม่จริงครับ ข้อ ๒ ของกฎกระทรวงระบุชัดเจนว่า นักโทษต้องรับการตรวจทางการแพทย์ก่อน“ข้อ ๒ เมื่อผู้บัญชาการเรือนจำได้รับรายงานจากเจ้าพนักงานเรือนจำว่า ผู้ต้องขังคนใดป่วย ให้ส่งตัวผู้ต้องขังคนนั้นไปรับการตรวจในสถานพยาบาล ของเรือนจำ” เมื่อไม่มีการตรวจเลยเช่นนี้ นี่จึงเป็นการละเว้นหน้าที่เป็นข้อแรก ที่ ปปช.จะขอเวชระเบียน ขอใบส่งตัวอะไรของหมอเรือนจำนั่น มันก็ไม่มีหรอกครับถาม ตามกฎกระทรวงนี้ ตรวจแล้วต้องทำยังไงต่อครับตอบ กฎกระทรวงกำหนดว่า ถ้าตรวจแล้วฝ่ายการแพทย์ของเรือนจำรายงานว่า รักษาในโรงพยาบาลเรือนจำจะไม่ทุเลาดีขึ้น ให้ดำเนินการดังนี้“(๑) กรณีผู้บัญชาการเรือนจำอนุญาต ให้เจ้าพนักงานเรือนจำพาผู้ต้องขังคนนั้นไปและกลับในวันเดียวกัน(๒) หากแพทย์ผู้ทำการตรวจรักษามีความเห็นว่า สมควรรับตัวผู้ต้องขังคนนั้นไว้รักษา ให้เจ้าพนักงาน เรือนจำซึ่งพาผู้ต้องขังคนนั้นไปตรวจรักษาขอหลักฐานและความเห็นของแพทย์ผู้ทำาการตรวจรักษา ประกอบการจัดทำรายงานเสนอผู้บัญชาการเรือนจำพิจารณา ถ้าผู้บัญชาการเรือนจำเห็นด้วยกับ ความเห็นของแพทย์ผู้ทำการตรวจรักษา ให้มีคำสั่งอนุญาตให้รับตัวไว้รักษา”ถาม อ้าว..ตามพฤติการณ์จริงที่ปรากฏนั้น เมื่อส่งทักษิณไปถึงโรงพยาบาลตำรวจแล้ว เขาก็รับตัวไว้ ยาวไป ๖ เดือนเลยนี่ครับ โดยไม่มีการสื่อสารให้ทางราชทัณฑ์อนุญาตหรือไม่อนุญาตเลย จะอยู่จริงหรือไม่นานแค่ไหนก็ไม่มีใครยืนยันได้ตอบ นี่เป็นการละเว้นหน้าที่อย่างชัดเจนเป็นข้อที่ ๒ ดังนั้น ปปช.จะไปขอเวชระเบียน ใบส่งตัว ใบรับตัวพร้อมบันทึกการตรวจร่างกายอะไรก็ไม่มีหรอกครับ ขั้นตอนอนุญาตของ ผบ.เรือนจำข้อนี้สำคัญมากขาดไม่ได้ กฎกระทรวงระบุชัดว่า“กรณีผู้บัญชาการเรือนจำไม่เห็นด้วยกับความเห็นของแพทย์ผู้ทำการตรวจรักษา ให้เจ้าพนักงาน นำตัวผู้ต้องขังคนนั้นกลับเข้ารักษาพยาบาลภายในเรือนจำ”ตอบ กฎกระทรวงระบุไว้รัดกุมครับว่า“เมื่อผู้บัญชาการเรือนจำอนุญาตให้ส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ ให้ดำเนินการ ดังต่อไปนี้จัดเจ้าพนักงานเรือนจำอย่างน้อยจำนวนสองคนควบคุมผู้ต้องขังป่วยหนึ่งคนให้อยู่ภายใน เขตที่กำหนดให้เจ้าพนักงานเรือนจำซึ่งมีหน้าที่ควบคุมผู้ต้องขังจดบันทึกข้อมูลผู้เข้าเยี่ยม และเวลา เข้าเยี่ยมโดยละเอียด และดูแลให้ผู้เข้าเยี่ยมปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการเยี่ยมผู้ต้องขังในเรือนจำใช้สิทธิของผู้ต้องขังตามที่ทางราชการจัดให้และห้ามเข้าอยู่ในห้องพักพิเศษแยกจากผู้ป่วยทั่วไปรับประทานอาหารตามที่สถานที่รักษา ๓ จัดให้”ถาม เห็นพลตำรวจเอกเสรี เตมียเวส ท่านให้การต่อ ปปช.ว่า เมื่อไปเยี่ยมทักษิณสองครั้งนั้น ท่านไม่เห็นมีพนักงานอยู่ประจำเลย ห้องพักก็เป็นห้องพิเศษ ชั้น ๑๔ ทั้งชั้นเห็นเปิดอยู่ห้องเดียว อาหารการกินสมบูรณ์มีข้าวเหนียวมะม่วงเลี้ยงแขกด้วยนะครับตอบ นี่ก็เป็นการละเว้นหน้าที่เป็นข้อที่สามครับ พวกเขาทำจน รพ.ตำรวจกลายเป็นโรงแรมไปเลย มีนักโทษคนเดียวในประวัติศาสตร์ไทยเท่านั้นได้รับบริการอย่างนี้ถาม พอส่ง โรงพยาบาลตำรวจแล้ว ในกฎกระทรวงไม่มีการตรวจสอบอะไรอีกเลยหรือครับ อยู่นอกเรือนจำตั้ง ๖ เดือน แล้วก็พักโทษไปเลย ง่ายๆอย่างนี้เลยหรือตอบ กฎหมายเขากำหนดการตรวจสอบทางบริหารไว้อย่างนี้ครับ“- หากพักรักษาตัวเกินกว่าสามสิบวัน ให้มีหนังสือขอความเห็นชอบจากอธิบดี พร้อมกับความเห็นของแพทย์ผู้ทำการรักษาและหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้องหากพักรักษาตัวเกินกว่าหกสิบวัน ให้มีหนังสือขอความเห็นชอบจากอธิบดี พร้อมกับความเห็นของแพทย์ผู้ทำการรักษาและหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้อง และรายงานให้ปลัดกระทรวงทราบ-หากพักรักษาตัวเกินกว่าหนึ่งร้อยยี่สิบวัน ให้มีหนังสือขอความเห็นชอบจากอธิบดี พร้อมกับความเห็นของแพทย์ผู้ทำการรักษาและหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้อง และรายงานให้รัฐมนตรีทราบ”ถาม แล้วเขามีหนังสือและรายงานอย่างที่ว่านี้ไหมครับตอบ รัฐมนตรี บอกว่ามี และได้เห็นผลตรวจ MRI ด้วย ผมเข้าใจได้ว่าเป็นผลการตรวจก่อนผ่าซ่อมเอ็นหัวไหล่เท่านั้น ซึ่งอาการอย่างนี้ผู้สูงอายุเป็นกันทั่วไป ผ่าวันเดียวก็กลับเรือนจำได้แล้ว เอามาอ้างอยู่นอกเรือนจำเป็น ๖ เดือนไม่ได้หรอกครับ รายงานและหลักฐานที่ว่านี้จะมีจริงไหม ถูกต้องหรือไม่ ทั้ง ปปช.และ กมธ ก็ยังไม่มีใครได้มาวิเคราะห์เลยถาม แล้วที่คุณชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ท่านร้องให้ศาลไต่สวนว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ราชทัณฑ์ต้องขอให้ศาลออกคำสั่งทุเลาการลงโทษก่อน จึงจะนอนโรงพยาบาลตำรวจได้ ถ้าไม่ผ่านศาลก็ต้องถือว่าไม่ถูกต้อง ศาลต้องออกหมายจับทักษิณมาขังให้ครบ ๑ ปี นั้น คำร้องนี้ถูกต้องให้ศาลรับวินิจฉัยได้ไหมครับตอบ มาตรานั้น ให้ศาลสั่งได้เมื่อญาติ หรือเรือนจำ ร้องขอ หรือเมื่อศาลเห็นเองว่า จำเลยจะถึงอันตรายแก่ชีวิตถ้าต้องจำคุก ก็ให้ส่งไปบำบัดรักษานอกคุกได้ แต่กรณีทักษิณนี่ เขาอธิบายว่าเป็นการรักษาตามความจำเป็น ตามอำนาจของราชทัณฑ์ ศาลไม่เกี่ยว จริงๆแล้วกฎกระทรวงน่าจะจำกัดเวลาไว้เลยว่า ถ้าต้องรักษาเกิน ๓๐ วันให้ราชทัณฑ์ไปขอคำสั่งทุเลาการลงโทษ ถ้ากำหนดอย่างนี้ศาลก็จะตรวจสอบได้ตามอำนาจในกฎหมาย โอกาสติดคุกทิพย์ก็จะจำกัดอีกมากถาม แต่เฉพาะปัญหาว่าราชทัณฑ์ทำถูกต้องหรือไม่นี่ มันพอแล้วหรือยังครับที่ ปปช.จะมีมติตั้งข้อกล่าวหาผู้รับผิดชอบว่ากระทำผิดอาญา และมีมติส่งเรื่องให้นายกรัฐมนตรี ใช้อำนาจผู้บังคับบัญชา สั่งราชทัณฑ์ให้ร้องศาลให้ออกหมายขัง นำตัวนักโทษกลับเข้าคุกด้วยตอบ เห็นเขาบอกให้หมาอยู่ส่วนหมา คนอยู่ส่วนคน ผมว่าเมื่อปล่อยออกมาโดยไม่ชอบชัดเจนจะๆ และยังพองขนอหังการคับบ้านเมืองอยู่นอกกรงอย่างนี้ ก็ควรจับไปขังได้แล้วครับ
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 647 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องของท้าวศรีสุดาจันทร์เป็นตอนหนึ่งในประวัติศาสตร์ที่ถูกทำเป็น 'วัฒนธรรมป๊อป' มากที่สุดตอนหนึ่ง มีทั้งนิยาย ภาพยนต์ และล่าสุดคือละครหรือซีรีส์

    อาจเป็นเพราะเรื่องของท้าวศรีสุดาจันทร์ให้อารมณ์หวาบหวิวจากการแอบลอบคบชู้กับพันบุตรศรีเทพ (ขุนวรวงศาธิราช) ทำให้มีการขยายความตอนนี้เป็นพิเศษ ทั้งๆ ประวัติศาสตร์ก็ไม่ได้บอกอะไรมากนักเรื่องนี้เพียง

    ในเวลาต่อมาคอนเทนท์บันเทิงบางยุคเริ่มมีการใช้คำว่า 'แม่หยัว' เรียกท้าวศรีสุดาจันทร์ ทำให้คนเข้าใจผิดไม่น้อยว่า 'แม่หยัว' น่าจะหมายถึงอาการยั่วยวนเรื่องกามราคะ แต่ความจริง 'แม่หยัว' หมายถึง 'แม่อยู่หัว' ที่หมายถึงมเหสีของพระเจ้าแผ่นดิน

    คำว่าแม่อยู่หัวนั้นในบันทึกโบราณเรียกเพี้ยนเป็น แม่อยัว แม่หญัว แม่อยั่ว ฯลฯ แต่พอตอนนี้ของประวัติศาสตร์ถูกวัฒนธรรมป๊อปปั้นภาพลักษณ์ยั่วยวนของท้าวศรีสุดาจันทร์ขึ้นมา ทำให้คนเข้าใจคำว่า 'แม่หยัว' ผิดไป

    แต่นั้นมาคำว่า 'แม่หยัว' ก็กลายเป็นเครื่องหมายการค้าของเรื่องท้าวศรีสุดาจันทร์ เพียงแต่มันเกิดจากภาพจำผิดๆ ที่ 'นิยายอิงประวัติศาสตร์' สร้างขึ้นมา

    ย้ำอีกครั้งว่าเรื่องท้าวศรีสุดาจันทร์นั้นมีเนื้อหาไม่มากนักในทางประวัติศาสตร์ ดังนั้นถ้าจะทำเป็นคอนเทนต์บันเทิง จึงหลีกกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้อง "มโนเอาเอง" กันบ้าง เรื่องนี้เกิดขึ้นกับการสร้างคอนเทนต์บันเทิงกับบุคคลทางประวัติศาสตร์บางคนด้วย

    ที่เขียนมาทั้งหมดนี้เพื่อจะเท้าความ 'กรณีพิพาท' ระหว่างที่คนคิดว่าการทำละครอิงประวัติศาสตร์แบบเรื่อง 'แม่หยัว' ไม่เห็นจะต้องทำให้ตรงประวัติศาสตร์เป๊ะๆ กับฝ่ายที่ย้ำว่าไม่ควรที่จะมโนกันเกินไป

    ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่าการทำ Historical fiction เป็นสิ่งที่ทำให้ผู้คนถกเถียงกันมาโดยตลอดว่า มันมี "ความถูกต้องตามประวัติศาสตร์" (Historically Accurate) แค่ไหน? เพราะนิยายอิงประวัติศาสตร์จะต้องอาศัยการมโนในสัดส่วนที่มากพอสมควร เพื่อปลุกเร้าอารมณ์ผู้เสพ

    ในกรณีของแม่หยัว อย่าไปถามเรื่อง "ความถูกต้องตามประวัติศาสตร์" เพราะเนื้อหาในประวัติศาสตร์มีนิดเดียว ดังนั้นจึงมีพื้นที่ให้จินตนาการได้มากมาย

    แต่การมโนก็ต้องดูสภาพแวดล้อมของทางประวัติศาสตร์ด้วย ไม่อย่างนั้นมันจะไม่เนียน เช่น ท้างศรีสุดาจันทร์เป็นเหตุการณ์สมัยอยุธยาตอนกลาง แต่ถ้าไปจับแม่อยู่หัวไปสวมมงกุฏสมัยละโว้มันก็หาได้เนียนไม่ เพราะเมื่อถึงยุค 'แม่หยัว' เขาเลิกใส่เครื่องหัวแบบนั้นกันแล้ว แล้วยังมีกฎมณเฑียรบาลที่ตราไว้ในสมัยอยุธยาตอนนั้นระบุการแต่งกายของแม่อยู่หัวเอาไว้แล้ว และยังมีภาพเขียนในสมุดภาพไตรภูมิสมัยอยุธยา (ที่ผมเชื่อว่าคัดมาจากต้นฉบับสมัยอยุธยาตอนต้น) ชี้ทางเอาไว้แล้วว่าสตรีชั้นสูงยุคนั้นแต่งตัวอย่างไร

    ความไม่เนียนแบบนี้เองที่จะทำให้ Historical fiction กลายเป็น Historical fantasy ซึ่งมีความเป็นประวัติศาสตร์อย่างเดียวคือฉากย้อนยุค ส่วนเรื่องอื่นๆ มโนตามใจฉัน

    แต่ในเมืองไทยเรื่องความเนียนไม่เนียนทางประวัติศาสตร์ยังไม่เรื่องใหญ่ระดับชาติ เพราะประวัติศาสร์บ้านเรากระท่อนกระแท่นและคนไทยแคร์ประวัติศาสตร์มากเท่ากับคนในประเทศเอเชียตะวันออก เช่น จีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น ประเทศพวกนี้นอกจากต้องทำละครให้เนียนแบบ Historically Accurate แล้ว ยังต้องทำให้ถูกต้องในแบบ Politically correct ด้วย

    ผมจะยกตัวอย่างการสังเกตส่วนตัวจากกรณีของเกาหลีใต้ที่สร้างซีรีส์ย้อนยุคอยู่บ่อยๆ และมักเกิดกรณี "ซีรีส์เรื่องนี้บิดเบือนประวัติศาสตร์"

    ตัวอย่างเช่นซีรีส์เรื่อง Queen Seondeok ในปี 2009 ซึ่งสร้างจากยุคที่บันทึกประวัติศาสตร์ไม่ละเอียดมากนัก แต่สามารถยืดออกได้มากถึง 62 ตอน ในแง่ของความถูกต้องทางประวัติศาสตร์มีน้อย แถมคอสตูมยังไม่ถูกต้อง เรื่องนี้ถูกตำหนิในเกาหลีว่า "มโนประวัติศาสตร์" มากเกินไป และยังอ้างบันทึกประวัติศาสตร์ที่ถูกกล่าวหาว่าถูกปลอมขึ้นมา

    Queen Seondeok ถูกผู้มีความรู้ทางประวัติศาสตร์ตำหนิอย่างมาก เพราะแม้ว่าบันทึกสมัยชิลลาจะมีไม่มาก แต่มันก็เป็นบันทึกที่เที่ยงแท้ในทางประวัติศาสร์ การจะบิดเบือนความสัมพันธ์ของ 'ตัวละคร' หรือพฤติกรรมที่ถูกบันทึกไว้จริงๆ จึงไม่ควรจะเกิดขึ้น แต่มันก็เกิดขึ้น ความจริงแล้ว Queen Seondeok ควรจะเดินตามเส้นตรงของประวัติศาสตร์ เพราะโอกาสที่จะออกนอกประวัติศาสตร์มีแต่บทสนทนาเท่านั้น

    โปรดสังเกตว่าเรื่องนี้สร้างก่อนยุคโซเชียลจะแพร่หลาย

    พอโซเชียลมีเดียทรงพลังขึ้นมา การโจมตีซีรีส์อิงประวัติศาสตร์เริ่มจะสะเปะสะปะขึ้นทุกวัน เพราะแทนที่จะโจมตีความถูกต้อง กลับไปโจมตีเรื่องการเมือง

    ตัวอย่างเช่น Joseon Exorcist เมื่อปี 2021 ที่ฉายได้แค่ 2 ตอนก็แท้งซะก่อน เพราะถูกตำหนิว่าใช้ฉากประกอบที่อ้างว่าไม่ตรงกับความจริงทางประวัติศาสตร์ เช่น ใช้ อุปกรณ์ของจีนในเกาหลีโบราณ

    ในปี 2022 เกิดกรณี Under the Queen's Umbrella ถูกตำหนิว่า บิดเบือนประวัติศาสตร์ เพราะใช้ตัวอักษรจีนแบบตัวย่อ (ที่เพิ่งประดิษฐ์ขึ้นในยุคสมัยใหม่ ส่วนเกาหลีใช้อักษรจีนตัวเต็ม)

    ในปี 2024 มีกรณี Queen Woo ถูกตำหนิว่าเครื่องแต่งกายของตัวละครมีความเป็นจีนมากเกินไป ไม่น่าจะสอดคล้องกับคนเกาหลีในยุคโคกูรยอ (ทั้งที่โคกูรยอก็รับวัฒนธรรมจากจีน)

    กรณีเหล่านี้มีอะไรเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง คือ 'กระแสต่อต้านจีน' ในเกาหลีใต้ ทั้งๆ ที่เกาหลีเป็นเขตอิทธิพลของวัฒนธรรมจีนมาแต่โบราณ แค่เรื่องนี้เป็น 'อคติ' ของผู้ชมเกาหลีใต้เองที่เกลียด เหยียด และกลัวจีนมากขึ้น

    แต่ในแง่เนื้อหาทางประวัติศาสตร์ กรณีพวกนี้เหมือนกันอย่างหนึ่ง คือ เกิดขึ้นในยุคโชซอน ซึ่งมีการบันทึกประวัติศาสตร์ทางการอย่างละเอียด กระทั่งบันทึกไว้ว่ากษัตริย์ตรัสถ้อยคำไว้อย่างไร

    ในยุคสมัยที่บันทึกละเอียดแบบนี้การมโนจึงทำไม่ได้ เพราะไม่มีพื้นที่ว่างให้จินตนาการได้อีก ตรงกันข้ามกับเรื่อง Queen Woo ซึ่งเกิดในยุคโคกูรยอ ซึ่งมีประวัติศาสตร์บันทึกกระท่อนกระแท่นเหมือนประวัติศาสตร์ไทย ดังนั้นจึงมีพื้นที่ให้มโนได้มากตามใจปรารถนา

    แต่ถึงจะมโนได้มาก แต่อารมณ์ชาตินิยมที่รุนแรงในเกาหลีใต้ไม่อนุญาตให้มโนได้ตามใจชอบอีก ไม่ใช่เพราะผู้สร้างบิดเบือนประวัติศาสตร์ แต่ทำงานออกมาไม่ถูกใจพวกชาตินิยมสุดโต่งต่างหาก

    ดังนั้น ในโลกของนิยายอิงประวัติศาสตร์ จึงไม่มีคำว่าถูกต้องเป๊ะๆ ยิ่งในปัจจุบันมีแต่คำว่า "ถูกใจคนดูหรือไม่" โดยที่ความถูกใจของคนดูไม่ใช่ถูกใจเพราะดาราแสดงดี หรือเครื่องแต่งกายสวย แต่ยังต้องคล้องจองกับ 'วาระทางการเมือง' ของคนดูด้วย

    ยกตัวอย่างจีน ซึ่งบางคนยังเชื่อว่าจีนทำซีรีส์พีเรียดมากมายเพราะอนุญาตให้มโนได้ ซึ่งเป็นความเข้าใจผิด

    สังคมจีนและสถาบันรัฐจีน (ที่ชาตินิยมขึ้นทุกวัน) ไม่ได้อนุญาตให้มโนประวัติศาสตร์ได้ สิ่งที่คนไทยเห็นว่าจีนจินตนาการประวัติศาสตร์นั้น คือ สิ่งที่เรียกว่า Historical fantasy คือใช้ฉากย้อนยุคที่กำกวม ใช้คอสตูมที่อาจจะอยู่ในยุคที่คาดเดาได้ แต่ไม่มีเหตุการณ์นั้นจริงๆ เช่นเรื่อง Nirvana In Fire เมื่อปี 2015 ที่ทำให้เชื่อว่าอยู่ในยุคหนานเป่ยเฉา แต่เอาจริงๆ มันไม่มีสถานการณ์จริงและตัวบุคคลจริงอยู่เลย

    หากมีซีรีส์ที่ทำเนื้อหาจริงๆ ทางประวัติศาสตร์ หากเลินเล่อเกินไปก็จะถูกโจมตีอย่างหนัก เช่น Legend of Miyue ที่อิงประวัติศาสตร์ยุคจ้านกั๋ว แต่ถูกวิจารณ์เรื่องข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ เรื่องนี้มีความเห็นที่น่าสนใจจาก หลีเสี่ยวเหว่ย บรรณาธิการบริหารของ "จงกั๋วชิงเหนียนหว่าง" (中国青年网) ของทางการจีน ตอนที่ซีรีส์เรื่องนี้ถูกตำหนิ เขากล่าวว่า

    "จักรพรรดินีองค์แรกของจีนในเรื่อง "Legend of Miyue" ซีรีส์ทางทีวีใช้ตัวละครและเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่ถูกต้อง แต่ไม่ได้ติดตามข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์พื้นฐาน และถึงกับแต่งเรื่องขึ้นมาด้วยซ้ำ ปรากฏการณ์นี้ช่างน่าเป็นห่วง ประการแรก มันจะนำพาผู้คนให้เข้าใจผิดเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และก่อให้เกิดข่าวลือ ประการที่สอง นี่คือทิศทางที่ผิดปกติของการพัฒนาละครประวัติศาสตร์ ซึ่งจะนำไปสู่ความเสื่อมถอยของละครประวัติศาสตร์ในที่สุด"

    ในเรื่องนี้ทางเกาหลีก็เห็นด้วยกับจีน

    จากกรณีของ Queen Seondeok อีจองโฮ ผู้สื่อข่าวของ "ยอนเซ ชุนชู" (연세춘추) สื่อของมหาวิทยาลัยยอนเซ ถึงกับบอกว่า "Queen Seondeok คือเรื่องโกหก" และได้สัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญซึ่งชี้แนะว่า"ตามที่ศาสตราจารย์ ชาฮเยวอน (ภาควิชาศิลปศาสตร์ ประวัติศาสตร์ราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิงของจีน) กล่าวไว้ ละครประวัติศาสตร์จีนมักจะมีความเที่ยงตรงต่อข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ซึ่งแตกต่างจากละครประวัติศาสตร์เกาหลี ความจริงของละครประวัติศาสตร์เกาหลีคือความจริงทางประวัติศาสตร์ถูกละเลยเพื่อความบันเทิงและเรตติ้งผู้ชม เพื่อแก้ปัญหานี้ จำเป็นต้องมีการไตร่ตรองภายในอุตสาหกรรมการออกอากาศ"

    แม้ว่าประเทศไทยจะมีประวัติศาสตร์ที่เบาบางต่างจากจีนและเกาหลี แต่เราสามารถใช้มาตรฐานแบบนี้ได้เหมือนกัน สิ่งที่ต้องเป๊ะคือแกนหลักในประวัติศาสตร์ อย่าตีความมากเกินไปเพราะต้องเคารพ "ผู้ที่ตายไปแล้วซึ่งไม่มีโอกาสร้องอุทรณ์แก้ต่างให้ตัวเอง" ด้วย ส่วนสิ่งที่จินตนาการได้ก็ควรทำให้ตรงกับบริบทแวดล้อมของยุคนั้น

    หากทำเอาสนุกอย่างเดียว ก็ "จะนำไปสู่ความเสื่อมถอยของละครประวัติศาสตร์ในที่สุด"

    บทความทัศนะโดย กรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการบริหาร และบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ The Better
    ภาพโปสเตอร์โปรโมทซีรีส์เรื่อง แม่หยัว และ Queen Seondeok

    ที่มา https://www.thebetter.co.th/news/world/23351?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTEAAR3w6ch-KVjjFiWzTmp8gh2-HSMqAh7UX0lxC3jm2_5RD0J97vIDxYCrljo_aem_wMoYw4S-NqnmnAfELQfeSA

    #Thaitimes
    เรื่องของท้าวศรีสุดาจันทร์เป็นตอนหนึ่งในประวัติศาสตร์ที่ถูกทำเป็น 'วัฒนธรรมป๊อป' มากที่สุดตอนหนึ่ง มีทั้งนิยาย ภาพยนต์ และล่าสุดคือละครหรือซีรีส์ อาจเป็นเพราะเรื่องของท้าวศรีสุดาจันทร์ให้อารมณ์หวาบหวิวจากการแอบลอบคบชู้กับพันบุตรศรีเทพ (ขุนวรวงศาธิราช) ทำให้มีการขยายความตอนนี้เป็นพิเศษ ทั้งๆ ประวัติศาสตร์ก็ไม่ได้บอกอะไรมากนักเรื่องนี้เพียง ในเวลาต่อมาคอนเทนท์บันเทิงบางยุคเริ่มมีการใช้คำว่า 'แม่หยัว' เรียกท้าวศรีสุดาจันทร์ ทำให้คนเข้าใจผิดไม่น้อยว่า 'แม่หยัว' น่าจะหมายถึงอาการยั่วยวนเรื่องกามราคะ แต่ความจริง 'แม่หยัว' หมายถึง 'แม่อยู่หัว' ที่หมายถึงมเหสีของพระเจ้าแผ่นดิน คำว่าแม่อยู่หัวนั้นในบันทึกโบราณเรียกเพี้ยนเป็น แม่อยัว แม่หญัว แม่อยั่ว ฯลฯ แต่พอตอนนี้ของประวัติศาสตร์ถูกวัฒนธรรมป๊อปปั้นภาพลักษณ์ยั่วยวนของท้าวศรีสุดาจันทร์ขึ้นมา ทำให้คนเข้าใจคำว่า 'แม่หยัว' ผิดไป แต่นั้นมาคำว่า 'แม่หยัว' ก็กลายเป็นเครื่องหมายการค้าของเรื่องท้าวศรีสุดาจันทร์ เพียงแต่มันเกิดจากภาพจำผิดๆ ที่ 'นิยายอิงประวัติศาสตร์' สร้างขึ้นมา ย้ำอีกครั้งว่าเรื่องท้าวศรีสุดาจันทร์นั้นมีเนื้อหาไม่มากนักในทางประวัติศาสตร์ ดังนั้นถ้าจะทำเป็นคอนเทนต์บันเทิง จึงหลีกกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้อง "มโนเอาเอง" กันบ้าง เรื่องนี้เกิดขึ้นกับการสร้างคอนเทนต์บันเทิงกับบุคคลทางประวัติศาสตร์บางคนด้วย ที่เขียนมาทั้งหมดนี้เพื่อจะเท้าความ 'กรณีพิพาท' ระหว่างที่คนคิดว่าการทำละครอิงประวัติศาสตร์แบบเรื่อง 'แม่หยัว' ไม่เห็นจะต้องทำให้ตรงประวัติศาสตร์เป๊ะๆ กับฝ่ายที่ย้ำว่าไม่ควรที่จะมโนกันเกินไป ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่าการทำ Historical fiction เป็นสิ่งที่ทำให้ผู้คนถกเถียงกันมาโดยตลอดว่า มันมี "ความถูกต้องตามประวัติศาสตร์" (Historically Accurate) แค่ไหน? เพราะนิยายอิงประวัติศาสตร์จะต้องอาศัยการมโนในสัดส่วนที่มากพอสมควร เพื่อปลุกเร้าอารมณ์ผู้เสพ ในกรณีของแม่หยัว อย่าไปถามเรื่อง "ความถูกต้องตามประวัติศาสตร์" เพราะเนื้อหาในประวัติศาสตร์มีนิดเดียว ดังนั้นจึงมีพื้นที่ให้จินตนาการได้มากมาย แต่การมโนก็ต้องดูสภาพแวดล้อมของทางประวัติศาสตร์ด้วย ไม่อย่างนั้นมันจะไม่เนียน เช่น ท้างศรีสุดาจันทร์เป็นเหตุการณ์สมัยอยุธยาตอนกลาง แต่ถ้าไปจับแม่อยู่หัวไปสวมมงกุฏสมัยละโว้มันก็หาได้เนียนไม่ เพราะเมื่อถึงยุค 'แม่หยัว' เขาเลิกใส่เครื่องหัวแบบนั้นกันแล้ว แล้วยังมีกฎมณเฑียรบาลที่ตราไว้ในสมัยอยุธยาตอนนั้นระบุการแต่งกายของแม่อยู่หัวเอาไว้แล้ว และยังมีภาพเขียนในสมุดภาพไตรภูมิสมัยอยุธยา (ที่ผมเชื่อว่าคัดมาจากต้นฉบับสมัยอยุธยาตอนต้น) ชี้ทางเอาไว้แล้วว่าสตรีชั้นสูงยุคนั้นแต่งตัวอย่างไร ความไม่เนียนแบบนี้เองที่จะทำให้ Historical fiction กลายเป็น Historical fantasy ซึ่งมีความเป็นประวัติศาสตร์อย่างเดียวคือฉากย้อนยุค ส่วนเรื่องอื่นๆ มโนตามใจฉัน แต่ในเมืองไทยเรื่องความเนียนไม่เนียนทางประวัติศาสตร์ยังไม่เรื่องใหญ่ระดับชาติ เพราะประวัติศาสร์บ้านเรากระท่อนกระแท่นและคนไทยแคร์ประวัติศาสตร์มากเท่ากับคนในประเทศเอเชียตะวันออก เช่น จีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น ประเทศพวกนี้นอกจากต้องทำละครให้เนียนแบบ Historically Accurate แล้ว ยังต้องทำให้ถูกต้องในแบบ Politically correct ด้วย ผมจะยกตัวอย่างการสังเกตส่วนตัวจากกรณีของเกาหลีใต้ที่สร้างซีรีส์ย้อนยุคอยู่บ่อยๆ และมักเกิดกรณี "ซีรีส์เรื่องนี้บิดเบือนประวัติศาสตร์" ตัวอย่างเช่นซีรีส์เรื่อง Queen Seondeok ในปี 2009 ซึ่งสร้างจากยุคที่บันทึกประวัติศาสตร์ไม่ละเอียดมากนัก แต่สามารถยืดออกได้มากถึง 62 ตอน ในแง่ของความถูกต้องทางประวัติศาสตร์มีน้อย แถมคอสตูมยังไม่ถูกต้อง เรื่องนี้ถูกตำหนิในเกาหลีว่า "มโนประวัติศาสตร์" มากเกินไป และยังอ้างบันทึกประวัติศาสตร์ที่ถูกกล่าวหาว่าถูกปลอมขึ้นมา Queen Seondeok ถูกผู้มีความรู้ทางประวัติศาสตร์ตำหนิอย่างมาก เพราะแม้ว่าบันทึกสมัยชิลลาจะมีไม่มาก แต่มันก็เป็นบันทึกที่เที่ยงแท้ในทางประวัติศาสร์ การจะบิดเบือนความสัมพันธ์ของ 'ตัวละคร' หรือพฤติกรรมที่ถูกบันทึกไว้จริงๆ จึงไม่ควรจะเกิดขึ้น แต่มันก็เกิดขึ้น ความจริงแล้ว Queen Seondeok ควรจะเดินตามเส้นตรงของประวัติศาสตร์ เพราะโอกาสที่จะออกนอกประวัติศาสตร์มีแต่บทสนทนาเท่านั้น โปรดสังเกตว่าเรื่องนี้สร้างก่อนยุคโซเชียลจะแพร่หลาย พอโซเชียลมีเดียทรงพลังขึ้นมา การโจมตีซีรีส์อิงประวัติศาสตร์เริ่มจะสะเปะสะปะขึ้นทุกวัน เพราะแทนที่จะโจมตีความถูกต้อง กลับไปโจมตีเรื่องการเมือง ตัวอย่างเช่น Joseon Exorcist เมื่อปี 2021 ที่ฉายได้แค่ 2 ตอนก็แท้งซะก่อน เพราะถูกตำหนิว่าใช้ฉากประกอบที่อ้างว่าไม่ตรงกับความจริงทางประวัติศาสตร์ เช่น ใช้ อุปกรณ์ของจีนในเกาหลีโบราณ ในปี 2022 เกิดกรณี Under the Queen's Umbrella ถูกตำหนิว่า บิดเบือนประวัติศาสตร์ เพราะใช้ตัวอักษรจีนแบบตัวย่อ (ที่เพิ่งประดิษฐ์ขึ้นในยุคสมัยใหม่ ส่วนเกาหลีใช้อักษรจีนตัวเต็ม) ในปี 2024 มีกรณี Queen Woo ถูกตำหนิว่าเครื่องแต่งกายของตัวละครมีความเป็นจีนมากเกินไป ไม่น่าจะสอดคล้องกับคนเกาหลีในยุคโคกูรยอ (ทั้งที่โคกูรยอก็รับวัฒนธรรมจากจีน) กรณีเหล่านี้มีอะไรเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง คือ 'กระแสต่อต้านจีน' ในเกาหลีใต้ ทั้งๆ ที่เกาหลีเป็นเขตอิทธิพลของวัฒนธรรมจีนมาแต่โบราณ แค่เรื่องนี้เป็น 'อคติ' ของผู้ชมเกาหลีใต้เองที่เกลียด เหยียด และกลัวจีนมากขึ้น แต่ในแง่เนื้อหาทางประวัติศาสตร์ กรณีพวกนี้เหมือนกันอย่างหนึ่ง คือ เกิดขึ้นในยุคโชซอน ซึ่งมีการบันทึกประวัติศาสตร์ทางการอย่างละเอียด กระทั่งบันทึกไว้ว่ากษัตริย์ตรัสถ้อยคำไว้อย่างไร ในยุคสมัยที่บันทึกละเอียดแบบนี้การมโนจึงทำไม่ได้ เพราะไม่มีพื้นที่ว่างให้จินตนาการได้อีก ตรงกันข้ามกับเรื่อง Queen Woo ซึ่งเกิดในยุคโคกูรยอ ซึ่งมีประวัติศาสตร์บันทึกกระท่อนกระแท่นเหมือนประวัติศาสตร์ไทย ดังนั้นจึงมีพื้นที่ให้มโนได้มากตามใจปรารถนา แต่ถึงจะมโนได้มาก แต่อารมณ์ชาตินิยมที่รุนแรงในเกาหลีใต้ไม่อนุญาตให้มโนได้ตามใจชอบอีก ไม่ใช่เพราะผู้สร้างบิดเบือนประวัติศาสตร์ แต่ทำงานออกมาไม่ถูกใจพวกชาตินิยมสุดโต่งต่างหาก ดังนั้น ในโลกของนิยายอิงประวัติศาสตร์ จึงไม่มีคำว่าถูกต้องเป๊ะๆ ยิ่งในปัจจุบันมีแต่คำว่า "ถูกใจคนดูหรือไม่" โดยที่ความถูกใจของคนดูไม่ใช่ถูกใจเพราะดาราแสดงดี หรือเครื่องแต่งกายสวย แต่ยังต้องคล้องจองกับ 'วาระทางการเมือง' ของคนดูด้วย ยกตัวอย่างจีน ซึ่งบางคนยังเชื่อว่าจีนทำซีรีส์พีเรียดมากมายเพราะอนุญาตให้มโนได้ ซึ่งเป็นความเข้าใจผิด สังคมจีนและสถาบันรัฐจีน (ที่ชาตินิยมขึ้นทุกวัน) ไม่ได้อนุญาตให้มโนประวัติศาสตร์ได้ สิ่งที่คนไทยเห็นว่าจีนจินตนาการประวัติศาสตร์นั้น คือ สิ่งที่เรียกว่า Historical fantasy คือใช้ฉากย้อนยุคที่กำกวม ใช้คอสตูมที่อาจจะอยู่ในยุคที่คาดเดาได้ แต่ไม่มีเหตุการณ์นั้นจริงๆ เช่นเรื่อง Nirvana In Fire เมื่อปี 2015 ที่ทำให้เชื่อว่าอยู่ในยุคหนานเป่ยเฉา แต่เอาจริงๆ มันไม่มีสถานการณ์จริงและตัวบุคคลจริงอยู่เลย หากมีซีรีส์ที่ทำเนื้อหาจริงๆ ทางประวัติศาสตร์ หากเลินเล่อเกินไปก็จะถูกโจมตีอย่างหนัก เช่น Legend of Miyue ที่อิงประวัติศาสตร์ยุคจ้านกั๋ว แต่ถูกวิจารณ์เรื่องข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ เรื่องนี้มีความเห็นที่น่าสนใจจาก หลีเสี่ยวเหว่ย บรรณาธิการบริหารของ "จงกั๋วชิงเหนียนหว่าง" (中国青年网) ของทางการจีน ตอนที่ซีรีส์เรื่องนี้ถูกตำหนิ เขากล่าวว่า "จักรพรรดินีองค์แรกของจีนในเรื่อง "Legend of Miyue" ซีรีส์ทางทีวีใช้ตัวละครและเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่ถูกต้อง แต่ไม่ได้ติดตามข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์พื้นฐาน และถึงกับแต่งเรื่องขึ้นมาด้วยซ้ำ ปรากฏการณ์นี้ช่างน่าเป็นห่วง ประการแรก มันจะนำพาผู้คนให้เข้าใจผิดเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และก่อให้เกิดข่าวลือ ประการที่สอง นี่คือทิศทางที่ผิดปกติของการพัฒนาละครประวัติศาสตร์ ซึ่งจะนำไปสู่ความเสื่อมถอยของละครประวัติศาสตร์ในที่สุด" ในเรื่องนี้ทางเกาหลีก็เห็นด้วยกับจีน จากกรณีของ Queen Seondeok อีจองโฮ ผู้สื่อข่าวของ "ยอนเซ ชุนชู" (연세춘추) สื่อของมหาวิทยาลัยยอนเซ ถึงกับบอกว่า "Queen Seondeok คือเรื่องโกหก" และได้สัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญซึ่งชี้แนะว่า"ตามที่ศาสตราจารย์ ชาฮเยวอน (ภาควิชาศิลปศาสตร์ ประวัติศาสตร์ราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิงของจีน) กล่าวไว้ ละครประวัติศาสตร์จีนมักจะมีความเที่ยงตรงต่อข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ซึ่งแตกต่างจากละครประวัติศาสตร์เกาหลี ความจริงของละครประวัติศาสตร์เกาหลีคือความจริงทางประวัติศาสตร์ถูกละเลยเพื่อความบันเทิงและเรตติ้งผู้ชม เพื่อแก้ปัญหานี้ จำเป็นต้องมีการไตร่ตรองภายในอุตสาหกรรมการออกอากาศ" แม้ว่าประเทศไทยจะมีประวัติศาสตร์ที่เบาบางต่างจากจีนและเกาหลี แต่เราสามารถใช้มาตรฐานแบบนี้ได้เหมือนกัน สิ่งที่ต้องเป๊ะคือแกนหลักในประวัติศาสตร์ อย่าตีความมากเกินไปเพราะต้องเคารพ "ผู้ที่ตายไปแล้วซึ่งไม่มีโอกาสร้องอุทรณ์แก้ต่างให้ตัวเอง" ด้วย ส่วนสิ่งที่จินตนาการได้ก็ควรทำให้ตรงกับบริบทแวดล้อมของยุคนั้น หากทำเอาสนุกอย่างเดียว ก็ "จะนำไปสู่ความเสื่อมถอยของละครประวัติศาสตร์ในที่สุด" บทความทัศนะโดย กรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการบริหาร และบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ The Better ภาพโปสเตอร์โปรโมทซีรีส์เรื่อง แม่หยัว และ Queen Seondeok ที่มา https://www.thebetter.co.th/news/world/23351?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTEAAR3w6ch-KVjjFiWzTmp8gh2-HSMqAh7UX0lxC3jm2_5RD0J97vIDxYCrljo_aem_wMoYw4S-NqnmnAfELQfeSA #Thaitimes
    WWW.THEBETTER.CO.TH
    ความไม่เนียนของ'ซีรีส์อิงประวัติศาสตร์' ต้องเป๊ะประวัติศาสตร์แค่ไหน?
    ความไม่เนียนของ'ซีรีส์อิงประวัติศาสตร์' ต้องเป๊ะประวัติศาสตร์แค่ไหน?
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1119 มุมมอง 0 รีวิว
  • "มหากาพย์ไมดาน จุดเริ่มต้นของสงครามตัวแทนและ Hybrid War" ตอนที่ 1
    ล้างแค้น 30 ปีก็ไม่สาย ลูกผู้ชายชื่อปูตินตั้งสัจจะเอาไว้ว่าตราบใดที่รัสเซียยังไม่กินอิ่มนอนอุ่น ตราบนั้นโลกตะวันตกจงอย่าได้ย่างกรายมาเพ่นพ่านแถวขอบรั้วรัสเซีย
    ***เนื้อหานำเสนออีกด้านหนึ่งของข้อมูล ส่วนจะเป็นข้อเท็จจริงหรือไม่นั้น? โปรดพิจารณาเอาเอง สมองใครสมองมัน ไม่ต้องมาเถียงกับผม ผมไม่มีเวลาเถียงด้วย จะเชื่อหรือไม่เชื่อเงินในบัญชีผมก็เท่าเดิม คือร้อยกว่าบาท 555 ฉะนั้นผมไม่แคร์ว่าจะมีใครเชื่อ
    ***เนื้อหาทั้งหมดผมแคปมาจากสารคดีซึ่งผลิตโดยช่องข่าว RT ของรัสเซีย และช่อง RUPTLY ซึ่งผมไม่มีส่วนได้เสียในการสร้าง การนำเสนอ นอกจากชี้ให้เห็นอีกแง่มุมหนึ่ง และขอให้คนไทยเรียนรู้และปรับใช้เพื่อเอาชาติให้รอด ใครชังชาติ...จะปล่อยชาติล่มจมก็ไม่ควรอ่าน เสียเวลาคุณ คุณควรเอาเวลาไปบ่อนทำลายชาติจะตรงจุดประสงค์คุณมากกว่า
    ***เนื้อหาเรียงลำดับตามที่ปรากฏในสารคดี ซึ่งเมื่อลดทอนเป็นเพียงภาพบางช่วง อาจจะไม่สามารถเล่าเรื่องทั้งหมด หรือเข้าถึงอารมณ์ ความรู้สึกได้ ต้องขออภัยไว้ก่อน หากทาง RT อนุญาต ผมจะนำ VDO ชุดนี้มาเผยแพร่ต่อไป
    ***การรับชม คลิกที่รูปภาพ เนื้อหาอยู่ในคำบรรยายแต่ละภาพเรียงลำดับกันไป
    ผมไม่อยากบอกว่า "ขอให้สนุก" เพราะเนื้อหามันสะเทือนใจและตรงกับความจริงหน้าหนึ่งในประวัติศาสตร์ไทยที่คนไทยถูกยุแยงให้แตกแยกทางความคิด เราเชื่อกันคนละอย่างและนำไปสู่ความเกลียดชังสุดขั้ว
    ไทยเรากำลังอยู่บนปากเหวอย่างเช่นที่อูเครนเคยอยู่มาก่อน...เชื่อผมเถอะ!
    "มหากาพย์ไมดาน จุดเริ่มต้นของสงครามตัวแทนและ Hybrid War" ตอนที่ 1 ล้างแค้น 30 ปีก็ไม่สาย ลูกผู้ชายชื่อปูตินตั้งสัจจะเอาไว้ว่าตราบใดที่รัสเซียยังไม่กินอิ่มนอนอุ่น ตราบนั้นโลกตะวันตกจงอย่าได้ย่างกรายมาเพ่นพ่านแถวขอบรั้วรัสเซีย ***เนื้อหานำเสนออีกด้านหนึ่งของข้อมูล ส่วนจะเป็นข้อเท็จจริงหรือไม่นั้น? โปรดพิจารณาเอาเอง สมองใครสมองมัน ไม่ต้องมาเถียงกับผม ผมไม่มีเวลาเถียงด้วย จะเชื่อหรือไม่เชื่อเงินในบัญชีผมก็เท่าเดิม คือร้อยกว่าบาท 555 ฉะนั้นผมไม่แคร์ว่าจะมีใครเชื่อ ***เนื้อหาทั้งหมดผมแคปมาจากสารคดีซึ่งผลิตโดยช่องข่าว RT ของรัสเซีย และช่อง RUPTLY ซึ่งผมไม่มีส่วนได้เสียในการสร้าง การนำเสนอ นอกจากชี้ให้เห็นอีกแง่มุมหนึ่ง และขอให้คนไทยเรียนรู้และปรับใช้เพื่อเอาชาติให้รอด ใครชังชาติ...จะปล่อยชาติล่มจมก็ไม่ควรอ่าน เสียเวลาคุณ คุณควรเอาเวลาไปบ่อนทำลายชาติจะตรงจุดประสงค์คุณมากกว่า ***เนื้อหาเรียงลำดับตามที่ปรากฏในสารคดี ซึ่งเมื่อลดทอนเป็นเพียงภาพบางช่วง อาจจะไม่สามารถเล่าเรื่องทั้งหมด หรือเข้าถึงอารมณ์ ความรู้สึกได้ ต้องขออภัยไว้ก่อน หากทาง RT อนุญาต ผมจะนำ VDO ชุดนี้มาเผยแพร่ต่อไป ***การรับชม คลิกที่รูปภาพ เนื้อหาอยู่ในคำบรรยายแต่ละภาพเรียงลำดับกันไป ผมไม่อยากบอกว่า "ขอให้สนุก" เพราะเนื้อหามันสะเทือนใจและตรงกับความจริงหน้าหนึ่งในประวัติศาสตร์ไทยที่คนไทยถูกยุแยงให้แตกแยกทางความคิด เราเชื่อกันคนละอย่างและนำไปสู่ความเกลียดชังสุดขั้ว ไทยเรากำลังอยู่บนปากเหวอย่างเช่นที่อูเครนเคยอยู่มาก่อน...เชื่อผมเถอะ!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 282 มุมมอง 0 รีวิว
  • 17กันยายน2564 เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ไทย
    วันสำคัญ ซึ่งนับเป็นจุดเริ่มต้นในการปลุกคนไทยจากโควิดลวงโลก
    ยูทูปปลิว รับชมได้ที่
    https://rumble.com/vmqybf-38209083.html
    17กันยายน2564 เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ไทย วันสำคัญ ซึ่งนับเป็นจุดเริ่มต้นในการปลุกคนไทยจากโควิดลวงโลก ยูทูปปลิว รับชมได้ที่ https://rumble.com/vmqybf-38209083.html
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 87 มุมมอง 0 รีวิว
  • รีโพสต์เพจเฟซบุ๊ก Anit Osathanugrah

    “ ‼️หรือว่าแท้จริงแล้วทุกคนคือเหยื่อของ บอสพอล ตอน2‼️

    วันนี้ ถึงแม้ตัวบอสพอล จะถูกนำไปอยู่ในที่คุมขังแล้ว แต่ผลงานของเขาที่วางทิ้งเอาไว้ ก็เริ่มทยอยออกมาระเบิดใส่ ผู้คนและเทวดาต่างๆไม่หยุดหย่อน หลายคนชอบวิเคราะห์ว่า เกมนี้ไม่มีอะไรหรอก บอสพอลแค่คนโลภ และพอจ่ายใต้โต๊ะใคร ก็แค่อัดเสียงไว้ เผื้อไว้แบลคเมล์ในวันหลัง อันนี้อาจจะเป็นการมองที่ตื้นเขินเกินไป

    จากข้อมูลที่ทยอยออกมาเรื่อยๆรายวัน แทบจะเรียกได้ว่าเป็นการแฉโชว์ วันละคน ทั้งๆที่ตัวเขา เข้าไปอยู่ในเรือนจำแล้ว เขาทำได้อย่างไร ถ้าไม่ตระเตรียมเรื่องราวเหล่านี้มาก่อน วันนี้ทุกคนก็ได้เห็นแล้วว่า ทุกครั้งที่เขาเจรจากับใคร เขาจะอัดเสียง และเก็บหลักฐานทุกอย่างไว้ ผ่านอุปกรณ์ it ล้ำๆต่างๆ ซุกไว้ในทีืคาดผม กางเกงชั้นใน เผลอๆพวกกล้องกระดุม กล้องรูเข็ม หรืออะไรที่คนธรรมดานึกไม่ถึง รับรองเขามีหมด คนทำธุรกิจปกติ จำเป็นต้องมีอุปกรณ์เหล่านี้หรือ

    วันนี้ ทุกที่ที่เขาจ่ายเงินไป จะมีข่าวเส้นทางการเงินเหล่านี้หลุดออกมา ทำบุญให้พระ แต่ไม่ได้เข้า บัญชีวัด เรื่องนึ้ทาง จนท จะทำอย่างไร คลิปเสียงนักร้อง รีดไถ และให้จ่ายผ่านมูลนิธิ ถ้าเรื่องเป็นตามนั้นจริง DSI ก็ต้องตามไปสอบมูลนิธินัินต่อ และรับประกันว่า ถ้่าเปิดทุกเส้นทางการเงินของมูลนิธินั้น คงไม่ใช่ของ บอสพอล คนเดียว ครั้งเดียวแน่ ที่ใช้มูลนิธิเป็นที่ฟอกเงิน จะเจอ อีกมากมายมหาศาล ทั้งบริษัทหรือนักการเมือง ที่แอบฟอกเงินผ่านการทำบุญ และจะเกิดโดมิโน แอฟเฟค ขึ้นในสังคมให้ตรวจสอบทุกมูลนิธิหรือไม่
    ซึ่งถ้าตรวจกันขึ้นมาจริงๆ คุกไทยอาจไม่พอขังคน
    และนี่คือระเบิดลูกแรกที่เขาวางเอาไว้

    สิ่งที่เราต้องคิดให้แตก อีกเรื่องคือ เขาวางแผนตั้งใจแฉเรื่องนี้ ชำแหละเบื้องหลัง สังคมไทยแบบนี้ หรือแค่บังเอิญแอบอัดไว้ แล้ววันนี้โดนจับ ก็เลย คิดง่ายๆแบบเด็กประถมลอกข้อสอบ แล้วพอครูจับได้ ก็เลยตีโพยตีพาย ฟ้องว่าเพื่อนๆก็ลอกเหมือนกัน บางคนก็บอกว่าไหนๆจะตายแล้ว ก็เลยลากคนมาตายหมู่ด้วยกัน เอาสะใจเฉยๆ
    คุณคิดว่าคนที่หาเงินได้หลายหมื่นล้าน ในเวลาไม่กี่ปี ผ่านผู้คนหลายแสนคน และระบบอันซับซ้อน เขาคิดได้แค่นี้เหรอ
    คนทำผิด ปกติ พอถูกจับ จะพยายามทำให้เรื่องเงียบไวๆที่สุด เพราะรู้ดีว่าสังคมไทยลืมง่าย อย่าง Forex 3 D ถามจริงๆ ว่ามีใครสนใจอีกไหม แค่เห็นดาราติดคุก ก็สะใจและแยกย้ายกันไปหาเรื่องอืืนมาดราม่าต่อแล้ว…ก็คนไืทย

    สิ่งที่บอสพอลควรทำ คือ ไม่พูดอะไร แค่บอกตัวเองบริสุทธ์ขอพิสูจน์ในชัินศาล ทำหน้าเศร้าเดินเข้าซังเตไป ไม่กี่เดือนคนไทยก็ลืมแล้ว และหลังจากนัิน ก็ใช้อำนาจเงินที่มีนับหมื่นล้าน เล็งเทวดา ฤทธ์ ระดับ องค์อินทร์ เจ้าสววรค์สักสององค์ ให้เคลียร์ให้ หัวหมูสักพันล้าน รับรองสำนวนคดีเบาหวิว เป็นปุยนุ่น ไม่นานก็ออกมาเดินเฉิดฉาย แต่นี่เล่นแฉ เล่นเชือดโชว์ทีละคน รายวัน วันนี้และวันหน้า ใครจะกล้ารับหน้าเสื่อเคลียร์ให้เขา โดนกล้องแอบอัดไว้คุกแน่นอน สิ่งที่เขาทำทั้งหมด วันนีิ คือทำให้ตัวเขาเดือดร้อน ซวยหนัก มากขึ้นในวันหน้า
    แต่เขาก็ทำ

    หลายคนบอก ไม่สะใจ เทวดาที่แฉมา ไฉนตัวเล็กราวกับลูกกรอก ยังหรอก นี่แค่น้ำจิ้ม เรียกน้ำย่อย ยังมีอีกมากมายมหาศาล ที่เขาจะทยอยปล่อยออกมา พูดตามตรง สำหรับบอสพอลนัิน ข้าราชการระดับ รองเลขา หรือรอง ผอ นั้น ไม่ได้ถือเป็นเทวดาสำหรับเขาเลย คอนเนคชั่นของคนมีเงินหมื่นล้านอย่างเขา คุยกับ สส หรือรัฐมนตรีเมื่อไหร่ก็ได้ เอาแค่หนึ่งในบอส ของไอคอน เช่นพี่แซม นี่ก็ สส เก่า ระดับที่ปรึกษารัฐมนตรีมหาดไทย ถ้าเขาจะไหว้วานให้ยกหู หาเพื่อนสส หรือ รมต คนไหน พรรคไหน รับรองทำได้ทุกนาที
    แต่เขาเลือกจะเอาเงินไปเคลียร์ เทวดาลูกกรอก และอัดเสียงไว้แทน

    อำนาจเงินขนาดเขา ถ้าเอาไปสนับสนุนพรรคการเมืองระดับกลางๆ สัก 500-1000 ล้าน แทนที่จะไปซื้อรถสปอร์ตหลากสีเหมือนลูกกวาด นาฬิกาบ้าบอหลายร้อยล้าน รับรองป่านนี้มี นอมินี เป็น รมต ไปแล้วไม่รู้กี่คน แต่เขาไม่ทำ เลือกเดินทางอัดเสียง เก็บหลักฐาน เพื่อแฉ ทุกคนแทน ทำไปทำไม

    อีกหนึ่งเรื่อง ที่น่าคิดที่สุด ในการที่จะบอกว่า เขาตั้งใจแฉ เอาคืนสังคมในวันนีิ แทนที่จะหนีไปใช้ชีวิตเสพสุข ทั้งๆที่จะทำก็ทำได้ ก็คือ วันที่เรื่องราวของไอคอน ระเบิดออกมาตามสื่อต่างๆ ผู้เสียหายโผล่มาเป็นดอกเห็ด ทีมทนาย อเวนเจอร์ ยกพล ออกทีวี แผลงฤทธ์ กันวุ่นวาย จนท ตำรวจถึงกับคำรามออกทีวี ว่า หมายจับจะออกภายใน 48 ชม คนทั่วประเทศออกมาโวยวายว่า พูดเหมือนจะส่งสัญญาณ บอกเขาว่าจะหนีให้รีบหนี

    วันนั้น บอสพอล มีทางเลือกสองทาง

    1 ซื้อตั๋วเครื่องบิน เฟิสคลาส ไปประเทศใดก็ได้ และเสพสุขผ่านเงินหลักหมื่นล้าน ที่เก็บไว้ในดิจิตอล วอลเลท ใช้ชีวิตสุขสบายที่ไหนก็ได้ในโลก จนคดีหมดอายุความ และค่อยกลับ ประเทศไทย เหมือนนักการเมือง พ่อมดการเงินทั้งหลาย รุ่นพี่ที่ทำกัน หรือออกช่องทางธรรมชาติใดก็ได้ วันนั้นเขายังไม่มีหมายจับ

    2 ไปรายการโหนกระแส ให้พี่หนุ่มขยี้ิออกทีวี รู้ทั้งรู้ว่า ไม่ได้ช่วยให้คดีอะไรเบาลงได้เลย และก็รอหมายจับออกมาเพื่อจะได้โดนรวบตัวเหมือนวันนี้ เข้าซังเต

    ทุกคนในประวัติศาสตร์ไทย เลือกหนีไปเสพสุข รึไม่จริง
    แต่บอสพอล เลือกทางที่สอง ไปออกรายการร้องห่มร้องไห้ ในโหนกระแส แต่จุดประสงค์จริงๆไม่ใช่ไปฟอกตัว แต่คือไปแฉดึงเทวดาลงนรกแทน และ จุดชนวนเรื่องนี้ขึ้นมา และก็สมใจเขาโดยพลัน

    วันนี้สังคมไทย ถูกเปิดแผลขึ้นมาเละเทะ ทุกวงการ ล่าแม่มดกันอย่างเมามัน จากฝีมือและหลักฐานของเขา ไม่พ้นกระทั่งวงการสงฆ์ รายการทีวี พิธีกรทีวี รุ่นเก๋า และอีกมากมายมหาศาล ที่กำลังรอถูกเปิดแผล ผ่านคลิปเสียงนับร้อยพัน ในมือของเขา ทุกคนที่เคยพูดคุยกับเขา ถึงกับต้องกลับมานั่งตรึกตรองคิด ว่าเคยพูดอะไรผิดไปไหม ถ้ามี น่าจะใกล้ถึงคิวโดนแฉ เป็นรายต่อไปแน่ๆ

    มหากาพย์เรื่องนี้ ยังอีกยาวไกล ถึงตัวบอสพอล จะอยู่ในที่คุมขัง แต่หมากที่เขาวางทิ้งเอาไว้ ผ่านผู้คน ผ่านหนอน ที่มีมากมายของเขา กำลังจะแผลงฤทธ์ ออกมาเรื่อยๆ จนไม่รู้ว่า เรื่องนี้จะไปสุดที่ใด จะเปลี่ยนสังคมไทย ในระดับโครงสร้างได้เลยรึไม่ โปรดติดตามชม

    บอสพอล เจ้าช่างอำมหิตจริงๆ

    To be continued.”

    ที่มา : https://www.facebook.com/share/p/MhAK17zppYH4p8oe/?mibextid=WC7FNe

    #Thaitimes
    รีโพสต์เพจเฟซบุ๊ก Anit Osathanugrah “ ‼️หรือว่าแท้จริงแล้วทุกคนคือเหยื่อของ บอสพอล ตอน2‼️ วันนี้ ถึงแม้ตัวบอสพอล จะถูกนำไปอยู่ในที่คุมขังแล้ว แต่ผลงานของเขาที่วางทิ้งเอาไว้ ก็เริ่มทยอยออกมาระเบิดใส่ ผู้คนและเทวดาต่างๆไม่หยุดหย่อน หลายคนชอบวิเคราะห์ว่า เกมนี้ไม่มีอะไรหรอก บอสพอลแค่คนโลภ และพอจ่ายใต้โต๊ะใคร ก็แค่อัดเสียงไว้ เผื้อไว้แบลคเมล์ในวันหลัง อันนี้อาจจะเป็นการมองที่ตื้นเขินเกินไป จากข้อมูลที่ทยอยออกมาเรื่อยๆรายวัน แทบจะเรียกได้ว่าเป็นการแฉโชว์ วันละคน ทั้งๆที่ตัวเขา เข้าไปอยู่ในเรือนจำแล้ว เขาทำได้อย่างไร ถ้าไม่ตระเตรียมเรื่องราวเหล่านี้มาก่อน วันนี้ทุกคนก็ได้เห็นแล้วว่า ทุกครั้งที่เขาเจรจากับใคร เขาจะอัดเสียง และเก็บหลักฐานทุกอย่างไว้ ผ่านอุปกรณ์ it ล้ำๆต่างๆ ซุกไว้ในทีืคาดผม กางเกงชั้นใน เผลอๆพวกกล้องกระดุม กล้องรูเข็ม หรืออะไรที่คนธรรมดานึกไม่ถึง รับรองเขามีหมด คนทำธุรกิจปกติ จำเป็นต้องมีอุปกรณ์เหล่านี้หรือ วันนี้ ทุกที่ที่เขาจ่ายเงินไป จะมีข่าวเส้นทางการเงินเหล่านี้หลุดออกมา ทำบุญให้พระ แต่ไม่ได้เข้า บัญชีวัด เรื่องนึ้ทาง จนท จะทำอย่างไร คลิปเสียงนักร้อง รีดไถ และให้จ่ายผ่านมูลนิธิ ถ้าเรื่องเป็นตามนั้นจริง DSI ก็ต้องตามไปสอบมูลนิธินัินต่อ และรับประกันว่า ถ้่าเปิดทุกเส้นทางการเงินของมูลนิธินั้น คงไม่ใช่ของ บอสพอล คนเดียว ครั้งเดียวแน่ ที่ใช้มูลนิธิเป็นที่ฟอกเงิน จะเจอ อีกมากมายมหาศาล ทั้งบริษัทหรือนักการเมือง ที่แอบฟอกเงินผ่านการทำบุญ และจะเกิดโดมิโน แอฟเฟค ขึ้นในสังคมให้ตรวจสอบทุกมูลนิธิหรือไม่ ซึ่งถ้าตรวจกันขึ้นมาจริงๆ คุกไทยอาจไม่พอขังคน และนี่คือระเบิดลูกแรกที่เขาวางเอาไว้ สิ่งที่เราต้องคิดให้แตก อีกเรื่องคือ เขาวางแผนตั้งใจแฉเรื่องนี้ ชำแหละเบื้องหลัง สังคมไทยแบบนี้ หรือแค่บังเอิญแอบอัดไว้ แล้ววันนี้โดนจับ ก็เลย คิดง่ายๆแบบเด็กประถมลอกข้อสอบ แล้วพอครูจับได้ ก็เลยตีโพยตีพาย ฟ้องว่าเพื่อนๆก็ลอกเหมือนกัน บางคนก็บอกว่าไหนๆจะตายแล้ว ก็เลยลากคนมาตายหมู่ด้วยกัน เอาสะใจเฉยๆ คุณคิดว่าคนที่หาเงินได้หลายหมื่นล้าน ในเวลาไม่กี่ปี ผ่านผู้คนหลายแสนคน และระบบอันซับซ้อน เขาคิดได้แค่นี้เหรอ คนทำผิด ปกติ พอถูกจับ จะพยายามทำให้เรื่องเงียบไวๆที่สุด เพราะรู้ดีว่าสังคมไทยลืมง่าย อย่าง Forex 3 D ถามจริงๆ ว่ามีใครสนใจอีกไหม แค่เห็นดาราติดคุก ก็สะใจและแยกย้ายกันไปหาเรื่องอืืนมาดราม่าต่อแล้ว…ก็คนไืทย สิ่งที่บอสพอลควรทำ คือ ไม่พูดอะไร แค่บอกตัวเองบริสุทธ์ขอพิสูจน์ในชัินศาล ทำหน้าเศร้าเดินเข้าซังเตไป ไม่กี่เดือนคนไทยก็ลืมแล้ว และหลังจากนัิน ก็ใช้อำนาจเงินที่มีนับหมื่นล้าน เล็งเทวดา ฤทธ์ ระดับ องค์อินทร์ เจ้าสววรค์สักสององค์ ให้เคลียร์ให้ หัวหมูสักพันล้าน รับรองสำนวนคดีเบาหวิว เป็นปุยนุ่น ไม่นานก็ออกมาเดินเฉิดฉาย แต่นี่เล่นแฉ เล่นเชือดโชว์ทีละคน รายวัน วันนี้และวันหน้า ใครจะกล้ารับหน้าเสื่อเคลียร์ให้เขา โดนกล้องแอบอัดไว้คุกแน่นอน สิ่งที่เขาทำทั้งหมด วันนีิ คือทำให้ตัวเขาเดือดร้อน ซวยหนัก มากขึ้นในวันหน้า แต่เขาก็ทำ หลายคนบอก ไม่สะใจ เทวดาที่แฉมา ไฉนตัวเล็กราวกับลูกกรอก ยังหรอก นี่แค่น้ำจิ้ม เรียกน้ำย่อย ยังมีอีกมากมายมหาศาล ที่เขาจะทยอยปล่อยออกมา พูดตามตรง สำหรับบอสพอลนัิน ข้าราชการระดับ รองเลขา หรือรอง ผอ นั้น ไม่ได้ถือเป็นเทวดาสำหรับเขาเลย คอนเนคชั่นของคนมีเงินหมื่นล้านอย่างเขา คุยกับ สส หรือรัฐมนตรีเมื่อไหร่ก็ได้ เอาแค่หนึ่งในบอส ของไอคอน เช่นพี่แซม นี่ก็ สส เก่า ระดับที่ปรึกษารัฐมนตรีมหาดไทย ถ้าเขาจะไหว้วานให้ยกหู หาเพื่อนสส หรือ รมต คนไหน พรรคไหน รับรองทำได้ทุกนาที แต่เขาเลือกจะเอาเงินไปเคลียร์ เทวดาลูกกรอก และอัดเสียงไว้แทน อำนาจเงินขนาดเขา ถ้าเอาไปสนับสนุนพรรคการเมืองระดับกลางๆ สัก 500-1000 ล้าน แทนที่จะไปซื้อรถสปอร์ตหลากสีเหมือนลูกกวาด นาฬิกาบ้าบอหลายร้อยล้าน รับรองป่านนี้มี นอมินี เป็น รมต ไปแล้วไม่รู้กี่คน แต่เขาไม่ทำ เลือกเดินทางอัดเสียง เก็บหลักฐาน เพื่อแฉ ทุกคนแทน ทำไปทำไม อีกหนึ่งเรื่อง ที่น่าคิดที่สุด ในการที่จะบอกว่า เขาตั้งใจแฉ เอาคืนสังคมในวันนีิ แทนที่จะหนีไปใช้ชีวิตเสพสุข ทั้งๆที่จะทำก็ทำได้ ก็คือ วันที่เรื่องราวของไอคอน ระเบิดออกมาตามสื่อต่างๆ ผู้เสียหายโผล่มาเป็นดอกเห็ด ทีมทนาย อเวนเจอร์ ยกพล ออกทีวี แผลงฤทธ์ กันวุ่นวาย จนท ตำรวจถึงกับคำรามออกทีวี ว่า หมายจับจะออกภายใน 48 ชม คนทั่วประเทศออกมาโวยวายว่า พูดเหมือนจะส่งสัญญาณ บอกเขาว่าจะหนีให้รีบหนี วันนั้น บอสพอล มีทางเลือกสองทาง 1 ซื้อตั๋วเครื่องบิน เฟิสคลาส ไปประเทศใดก็ได้ และเสพสุขผ่านเงินหลักหมื่นล้าน ที่เก็บไว้ในดิจิตอล วอลเลท ใช้ชีวิตสุขสบายที่ไหนก็ได้ในโลก จนคดีหมดอายุความ และค่อยกลับ ประเทศไทย เหมือนนักการเมือง พ่อมดการเงินทั้งหลาย รุ่นพี่ที่ทำกัน หรือออกช่องทางธรรมชาติใดก็ได้ วันนั้นเขายังไม่มีหมายจับ 2 ไปรายการโหนกระแส ให้พี่หนุ่มขยี้ิออกทีวี รู้ทั้งรู้ว่า ไม่ได้ช่วยให้คดีอะไรเบาลงได้เลย และก็รอหมายจับออกมาเพื่อจะได้โดนรวบตัวเหมือนวันนี้ เข้าซังเต ทุกคนในประวัติศาสตร์ไทย เลือกหนีไปเสพสุข รึไม่จริง แต่บอสพอล เลือกทางที่สอง ไปออกรายการร้องห่มร้องไห้ ในโหนกระแส แต่จุดประสงค์จริงๆไม่ใช่ไปฟอกตัว แต่คือไปแฉดึงเทวดาลงนรกแทน และ จุดชนวนเรื่องนี้ขึ้นมา และก็สมใจเขาโดยพลัน วันนี้สังคมไทย ถูกเปิดแผลขึ้นมาเละเทะ ทุกวงการ ล่าแม่มดกันอย่างเมามัน จากฝีมือและหลักฐานของเขา ไม่พ้นกระทั่งวงการสงฆ์ รายการทีวี พิธีกรทีวี รุ่นเก๋า และอีกมากมายมหาศาล ที่กำลังรอถูกเปิดแผล ผ่านคลิปเสียงนับร้อยพัน ในมือของเขา ทุกคนที่เคยพูดคุยกับเขา ถึงกับต้องกลับมานั่งตรึกตรองคิด ว่าเคยพูดอะไรผิดไปไหม ถ้ามี น่าจะใกล้ถึงคิวโดนแฉ เป็นรายต่อไปแน่ๆ มหากาพย์เรื่องนี้ ยังอีกยาวไกล ถึงตัวบอสพอล จะอยู่ในที่คุมขัง แต่หมากที่เขาวางทิ้งเอาไว้ ผ่านผู้คน ผ่านหนอน ที่มีมากมายของเขา กำลังจะแผลงฤทธ์ ออกมาเรื่อยๆ จนไม่รู้ว่า เรื่องนี้จะไปสุดที่ใด จะเปลี่ยนสังคมไทย ในระดับโครงสร้างได้เลยรึไม่ โปรดติดตามชม บอสพอล เจ้าช่างอำมหิตจริงๆ To be continued.” ที่มา : https://www.facebook.com/share/p/MhAK17zppYH4p8oe/?mibextid=WC7FNe #Thaitimes
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 600 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความเชิงจิตวิทยาวิเคราะห์“บอสพอล”โดย อนิศ โอสถานุเคราะห์ เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2567 เนื้อหาน่าสนใจ

    “ ‼️หรือว่าแท้จริงแล้วทุกคนคือ เหยื่อของ บอสพอล‼️

    คุณจะแปลกใจไหม ถ้าพบว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นนี้ เป็นสิ่งที่เขาวางพลอต เหล่านี้ ไว้ทั้งหมดมานานแล้ว
    จากกรณีเรื่องที่เกิดขึ้นจาก มหากาพย์ ดิ ไอคอน แรกๆทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เกิดจากความโลภของคน แต่ถ้าดูจากสิ่งที่เกิดขึ้น หลายเรื่อง ผมมองว่าอาจเกิดจากความตั้งใจให้เรื่องมันมาเป็นแบบนี้ และให้จบลงแบบนี้ เพียงแต่ว่าวันไหนเท่านั้นเอง

    จากประวัติ บอสพอล ที่ออกมาตามสื่อต่างๆ เราจะพบว่า เขามีประสบการณ์ในวัยเด็ก ที่ขมขื่น อย่างรุนแรง เพราะชีวิตยากจน โดนคนดูถูก ทำร้ายทางอารมณ์ ทั้งเขากับแม่มาตลอด ถ้าใครเคยฟังเรื่องส้ม ที่เขาเคยอยากกิน และโดนแม่ค้้าด่ากลางตลาด อย่ารุนแรง จนต้องร้องไห้กอดกับแม่ ว่าไม่อยากกินแล้ว และเป็นภาพ trauma ที่เป็นจุดพลิกผัน ให้เขาบอกกับตัวเองว่า ชีวิตต้องหลุดจากจุดนี้ให้ได้ แต่ชีวิตที่เคี่ยวกรำเขาขนาดหนักในวัยเด็ก อาจจะเป็นบ่อเกิด ให้เขามีอาการ ASPD หรือ Antisocial personality disorder
    ที่ภาษาไทยเรียกว่าโรคต่อต้านสังคม แต่เอาจริงๆก็คือ โกรธสังคมนี้ และ ตามมาด้วย คาแรคเตอร์ หลายๆอย่างที่คล้ายๆกับที่เราได้เห็น เช่น
    1 superficial charm จะเป็นคนมีเสน่ห์ภายนอกอย่างล้นเหลือ ดูเหมือนเป็นมิตร ใครคุยก็ติดใจ สงสารได้แบบง่ายๆ

    2 lack of emphathy
    แสดงความรู้สึก เพื่อผลประโยชน์ แต่ไม่จริงใจ

    3 lack of anxiety or stress.
    ไม่แสดงอาการตึงเครียด หรือสับสนในสถานการณ์กดดัน

    4 ต้องการการควบคุม หรือครอบงำ คือชอบคอนโทรลคนอื่น จะด้วยวาจา หรือกำลัง หรือน้ำตา คือใช้ได้หมด สามารถไล่ตามความสำเร็จได้ โดยไร้ความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น

    5 ไม่เคารพกฎสังคมหรือกฎหมาย เพราะมองว่าการทำลายกฎเกณฑ์ เป็นสิ่งที่น่าสนใจหรือท้าทาย

    จริงๆแล้วมีอีกหลายข้อ ที่ผมดูแล้วเขามีครบ บุคคลที่สำคัญในประวิติศาสตร์ ที่นักจิตวิทยาพยายามวิเคราะห์ ว่าเข้าข่ายพวกนี้ ดังๆ ก็เช่น ฮิตเลอร์ คือคิดใหญ่ขนาดจะครองโลก และดันกล่อมคนทั้งประเทศ ไปทำจริงๆ และคนเสือกเชื่อทั้งหมด ด้วยเสน่ห์ทางการพูดและท่าทางของเขา จนโลกพินาศกลายเป็น สงครามโลกครั้งทีืสอง โดยไม่จำเป็นอะไรเลย คนปกติ ใครมันจะคิดครองทั้งโลก และทำมันให้ได้จริงๆ ให้คนตายไปหลายสิบล้านคน คนคิดต้องมีความบ้าอยู่อย่างแน่นอน

    คนแบบนี้ มองทุกอย่างเป็นเกม เป็นพล้อตหนัง ที่เขาสร้างขึ้นมาในหัว สร้างอาณาจักร ซับซ้อน พิสดารโดยใช้ความโลภของคนเป็นตัวตั้ง เพื่อจะคอนโทรลผู้คน ผ่านกิเลสตัณหา
    ร้องไห้เมื่อไหร่ก็ได้ ยิ้มเมื่อไหร่ก็ได้ หัวเราะเมื่อไหร่ก็ได้ ไร้อารมณ์ที่แท้จริง และทุกคนคือเบี้ยในกระดานสำหรับเขา

    ดารา บรรดาบอสทั้งหลาย เป็นเพียงหมากที่เขาชวนมาวางไว้ตามตำแหน่ง เพื่อให้หมากรุกเขาบรรลุเป้าหมาย
    เขารู้ไหม ว่าเกมนี้มีวันจบ รู้แน่นอน และวางหมากไว้แล้ว ว่าจะให้ระเบิดใส่ใครบ้าง ตั้งแต่การเคลียใต้โต๊ะ ที่ผ่านมา เขาอัดเสียงทุกคนไว้หมด ตั้งแต่วันแรก เผลอๆมีภาพวีดีโอ และหลักฐานทั้งหมด แอบฝากขึ้น คลาวด์ไปแล้ว ตอนออกโหน
    กระแส การเอาคลิปเสียงว่าติดสินบน เจ้าพนักงาน มาเปิด แบบนั้น ไม่ได้ช่วยอะไรให้ เขาดีขึ้นเลย นอกจากจะเพิ่มคดีติดสินบนเจ้าพนักงาน ให้อีกกระทง คลิปนี้ใครอัดมา ไม่ใช่นักการเมือง ส แน่ๆ ก็คุยกันอยู่สองคน จะหลุดได้ไง ถ้าไม่ใช่ใคา จะตั้งใจจะล่อใครสักคน

    ในกองบัญชาการสอบสอนกลาง เจ้าหน้าที่ที่สอบสวนคงเหงื่อออกในห้องแอร์ จากรายชื่อ เทวดา ที่เขาทยอยบอกออกมา เทวดาแทบทั่วฟากฟ้า ประเทศไทย อยู่ในมือบอสพอล พร้อมหลักฐาน ทีืบอกว่าเจอในโทรศัพท์ นั่นส่วนน้อยที่เขาตั้งใจให้เจอ อีกเพียบ จะทยอยเปิดออกมา ที่เขาเซฟไว้ข้างนอก โดยให้คนของเขาส่งผ่านพวกเพจดัง เพราะเขารู้ดีว่าการส่งให้ จนท ไปเฉยๆนั้น เทวดาอาจมีฤทธ์ เสกหายๆไปกับสายลม โถ พวกเพจดัง จะไปเอาคลิปเสียงมาจากไหน บอสพอลโทรศัพท์ หายที่มาบุญครองเหรอ เขาตั้งใจรึเปล่าคิดดู
    ถ้าเขาอัดทุกอย่างไว้แต่วันแรก เขาตั้งใจจะล่อให้หมดทุกคนสักวันรึเปล่า อันนี้น่าคิด ไม่งั้นจะอัดไว้ทำไม

    การบอกกลางรายการโหนกระแส ว่ามีหลายหน่วยงาน ที่รับใต้โต๊ะ และบอกชื่อหน่วยงาน มาด้วย แต่พูดเหมือน สุภาพบุรุษว่า ให้จบที่ผม ไม่อยากให้คนอื่นเดือดร้อน ฟังเหมือนดูดี แต่เอาจริงเข้าคือการแฉ แบบโต้งๆ นายกฟังอยู่ ไม่สั่งสอบทุกหน่วยงาน ก็ต้องโดน 157 แทนแล้ว
    แล้วเดี๋ยวหลักฐานจะทยอยลอยออกมาเอง

    เขาได้ประโยชน์อะไรจากการแฉ แบบนี้ บอกว่าทำธุรกิจ ปกติ ไม่เคยจ่ายใคร รอกระแสซาๆ แล้วให้เทวดาช่วยปัดเป่า ง่ายกว่าไหม แต่นี่ออกมาเชือดเทวดาโชว์ทีละคน ใครจะกล้าช่วยอีก มึงอัดเสียงแน่นอน เขาทำ ทำไม ถ้าไม่ใช่อารมณ์แบบ ASPD.

    คนทุกคนที่อยู่ข้างเขา จะไม่มีวันรู้อะไรทุกเรื่อง เขาจะแยกให้รู้เป็นส่วนๆ เป็นเรื่องๆ เหมือนม้าในกระดานหมากรุก แค่รู้ว่าต้องเดินมายันตรงนี้ แต่ไม่รู้ว่าเกมทั้งหมด คืิออะไร จะตายวันไหน ด้วยสาเหตุอะไร พวกหมากในกระดานจะไม่มีวันรู้เลย บอส แซม บอส มิน บอสกัน ก็อาจเป็นแค่เรือ แค่โคน สำหรับเขาเท่านั้น

    หนังเรื่องนี้ สำหรับเขาสนุกมาก เขาใช้ตัวแสดงจริง ดาราระดับแถวหน้าระดับประเทศจริงๆ ตัวประกอบคือคนจริง ติดสินบนเทวดาจริงๆ พร้อบในฉากระดับ พันล้านจริงๆ ขึ้นบิลบอร์ด ทั่วประเทศจริงๆ ไม่เคยมีซีรี่ส์ไหนทำได้มาก่อน ในประวัติศาสตร์ไทย

    เงินอีกลอต เกือบหมื่นล้าน ถูกโอนหายไปในระบบกระเป๋าเงินดิจิตอล โดยที่ จนท ช้าไปเพียง 1 ชม ในขณะที่ สถานที่ที่ลูกน้องถูกจับนั้น ดันมีระเบิดปลอม ทำเหมือนเด๊ะ พร้อมนาฬิกา ทำให้ จนท EOD ต้องลุยนำทัพเข้าไปกู้ พลอตสนุกยิ่งกว่า vegabond ระเบิดปลอมนี้ ได้ข่าวว่าถูกนำมาวางไว้สองอาทิตย์แล้ว ราวกับมีหมอดูมาบอกว่า ดิไอคอน จะโดนแฉ วันนั้น วันนี้ และ จนท จะเข้ามาจับ เอาระเบิดไปวางถ่วงเวลาไว้ได้ ใครหนอ รู้เหตุการณ์ล่วงหน้าแม่นขนาดนี้

    วันนี้สังคมไทยเดือดระอุ ทุกวงการเลือดสาด จนท รัฐ สคบ
    วงการบันเทิง วงการสงฆ์ วงการนักร้อง สื่อทุกสื่อ ฯลฯ ออกมาล่อกันยับ สาวไส้กันอีกเละเทะ อีกนาน ไม่รู้เทวดาอีกกีองค์ จะต้องตกสวรรค์ เมื่อหลักฐานแฉออกมา

    ทุกคน ทุกบอส ทุกแม่ข่าย เครียดลมจับ กินไม่ได้นอนไม่หลับ ต่างจากบอสพอล ภาพตัดมา ที่นั่งสมาธิ เย็นใจในที่คุมขัง
    นักข่าวบอกเขาเครียด ผมว่าไม่หรอก เขาเย็นใจที่พล้อตหนังของเขา เดินมาตามบทที่เขาวางไว้ไม่สะดุดเลย ใครมันจะบ้านั่งสมาธิ กลางกรงวันแรกที่ถูกจับ โดยไร้อารมณ์แบบนี้ คนปกติที่ไหน จะทำได้ลงคอ

    มหากาพย์ เรื่องนี้เพิ่งเริ่ม จะมีผู้คนอีกมากมายที่ต้องเป็นเหยื่อสังเวย เทวดาอีกมากมายจะตกสวรรค์ สังคมไทยเหมือนถูกตบหน้าอย่างจัง ในประวัติศาสตร์ไทย ที่เบื้องหลังฟอนเฟะได้ขนาดนี้

    บอสพอล คงอมยิ้มอย่างสะใจ สังคมที่เคยทำร้ายเขาในวัยเด็ก จนเกิด Childhood disrupted. วันนี้ เขากลับมาถล่มทุกวงการคืนอย่างราบคาบแล้ว ถ้าเงิน แปดพันกว่าล้านนั้นคือลอตสุดท้าย ก่อนหน้านี้ ที่โอนไปแล้วล่วงหน้า คงมีอีกไม่รู้เท่าไหร่ น่าจะหลายหมื่นล้าน แต่เขารู้ดีว่า ขนาดคดีแม่ชม้อย ติดคุกหลายแสนปี ติดจริงแค่เจ็ดปี อย่างเขาไม่ถึงห้าปี น่าจะออกมาได้แน่นอน

    ตำรวจ: ขอรหัส ดิจิตอล วอลเลต เดี๋ยวนี้
    บอสพอล : ผมจำไม่ได้จริงๆครับ (ร้องห่ม ร้องไห้) พีืไม่เคยลืมรหัสเฟสบุคหรือ ใครๆก็ลืมกัน ตั้ง 16 ตัว

    ในอนาคตอันไม่ไกล วันที่เขาหลุดจากที่คุมขัง ดิไอคอน ภาคแรก จะจบไป และรหัสนี้จะถูกจำได้อีกครั้ง

    เตรียมตัวพบกับ ซี่รี่ภาคสอง กำกับโดยบอสพอล โดยมาในรูปแบบของสถานธรรม อลังกาากว่าภาคแรกอย่างแน่นอน การันตี

    นิทานเรื่องนี้ สนุกไหม ขอเชิญนักวิจารณ์ ติชม
    To be continued.“

    ที่มา : เพจ Anit Osathanugrah
    https://www.facebook.com/share/p/kJ4gPk7ZStVcWxHs/?mibextid=WC7FNe

    #Thaitimes
    บทความเชิงจิตวิทยาวิเคราะห์“บอสพอล”โดย อนิศ โอสถานุเคราะห์ เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2567 เนื้อหาน่าสนใจ “ ‼️หรือว่าแท้จริงแล้วทุกคนคือ เหยื่อของ บอสพอล‼️ คุณจะแปลกใจไหม ถ้าพบว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นนี้ เป็นสิ่งที่เขาวางพลอต เหล่านี้ ไว้ทั้งหมดมานานแล้ว จากกรณีเรื่องที่เกิดขึ้นจาก มหากาพย์ ดิ ไอคอน แรกๆทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เกิดจากความโลภของคน แต่ถ้าดูจากสิ่งที่เกิดขึ้น หลายเรื่อง ผมมองว่าอาจเกิดจากความตั้งใจให้เรื่องมันมาเป็นแบบนี้ และให้จบลงแบบนี้ เพียงแต่ว่าวันไหนเท่านั้นเอง จากประวัติ บอสพอล ที่ออกมาตามสื่อต่างๆ เราจะพบว่า เขามีประสบการณ์ในวัยเด็ก ที่ขมขื่น อย่างรุนแรง เพราะชีวิตยากจน โดนคนดูถูก ทำร้ายทางอารมณ์ ทั้งเขากับแม่มาตลอด ถ้าใครเคยฟังเรื่องส้ม ที่เขาเคยอยากกิน และโดนแม่ค้้าด่ากลางตลาด อย่ารุนแรง จนต้องร้องไห้กอดกับแม่ ว่าไม่อยากกินแล้ว และเป็นภาพ trauma ที่เป็นจุดพลิกผัน ให้เขาบอกกับตัวเองว่า ชีวิตต้องหลุดจากจุดนี้ให้ได้ แต่ชีวิตที่เคี่ยวกรำเขาขนาดหนักในวัยเด็ก อาจจะเป็นบ่อเกิด ให้เขามีอาการ ASPD หรือ Antisocial personality disorder ที่ภาษาไทยเรียกว่าโรคต่อต้านสังคม แต่เอาจริงๆก็คือ โกรธสังคมนี้ และ ตามมาด้วย คาแรคเตอร์ หลายๆอย่างที่คล้ายๆกับที่เราได้เห็น เช่น 1 superficial charm จะเป็นคนมีเสน่ห์ภายนอกอย่างล้นเหลือ ดูเหมือนเป็นมิตร ใครคุยก็ติดใจ สงสารได้แบบง่ายๆ 2 lack of emphathy แสดงความรู้สึก เพื่อผลประโยชน์ แต่ไม่จริงใจ 3 lack of anxiety or stress. ไม่แสดงอาการตึงเครียด หรือสับสนในสถานการณ์กดดัน 4 ต้องการการควบคุม หรือครอบงำ คือชอบคอนโทรลคนอื่น จะด้วยวาจา หรือกำลัง หรือน้ำตา คือใช้ได้หมด สามารถไล่ตามความสำเร็จได้ โดยไร้ความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น 5 ไม่เคารพกฎสังคมหรือกฎหมาย เพราะมองว่าการทำลายกฎเกณฑ์ เป็นสิ่งที่น่าสนใจหรือท้าทาย จริงๆแล้วมีอีกหลายข้อ ที่ผมดูแล้วเขามีครบ บุคคลที่สำคัญในประวิติศาสตร์ ที่นักจิตวิทยาพยายามวิเคราะห์ ว่าเข้าข่ายพวกนี้ ดังๆ ก็เช่น ฮิตเลอร์ คือคิดใหญ่ขนาดจะครองโลก และดันกล่อมคนทั้งประเทศ ไปทำจริงๆ และคนเสือกเชื่อทั้งหมด ด้วยเสน่ห์ทางการพูดและท่าทางของเขา จนโลกพินาศกลายเป็น สงครามโลกครั้งทีืสอง โดยไม่จำเป็นอะไรเลย คนปกติ ใครมันจะคิดครองทั้งโลก และทำมันให้ได้จริงๆ ให้คนตายไปหลายสิบล้านคน คนคิดต้องมีความบ้าอยู่อย่างแน่นอน คนแบบนี้ มองทุกอย่างเป็นเกม เป็นพล้อตหนัง ที่เขาสร้างขึ้นมาในหัว สร้างอาณาจักร ซับซ้อน พิสดารโดยใช้ความโลภของคนเป็นตัวตั้ง เพื่อจะคอนโทรลผู้คน ผ่านกิเลสตัณหา ร้องไห้เมื่อไหร่ก็ได้ ยิ้มเมื่อไหร่ก็ได้ หัวเราะเมื่อไหร่ก็ได้ ไร้อารมณ์ที่แท้จริง และทุกคนคือเบี้ยในกระดานสำหรับเขา ดารา บรรดาบอสทั้งหลาย เป็นเพียงหมากที่เขาชวนมาวางไว้ตามตำแหน่ง เพื่อให้หมากรุกเขาบรรลุเป้าหมาย เขารู้ไหม ว่าเกมนี้มีวันจบ รู้แน่นอน และวางหมากไว้แล้ว ว่าจะให้ระเบิดใส่ใครบ้าง ตั้งแต่การเคลียใต้โต๊ะ ที่ผ่านมา เขาอัดเสียงทุกคนไว้หมด ตั้งแต่วันแรก เผลอๆมีภาพวีดีโอ และหลักฐานทั้งหมด แอบฝากขึ้น คลาวด์ไปแล้ว ตอนออกโหน กระแส การเอาคลิปเสียงว่าติดสินบน เจ้าพนักงาน มาเปิด แบบนั้น ไม่ได้ช่วยอะไรให้ เขาดีขึ้นเลย นอกจากจะเพิ่มคดีติดสินบนเจ้าพนักงาน ให้อีกกระทง คลิปนี้ใครอัดมา ไม่ใช่นักการเมือง ส แน่ๆ ก็คุยกันอยู่สองคน จะหลุดได้ไง ถ้าไม่ใช่ใคา จะตั้งใจจะล่อใครสักคน ในกองบัญชาการสอบสอนกลาง เจ้าหน้าที่ที่สอบสวนคงเหงื่อออกในห้องแอร์ จากรายชื่อ เทวดา ที่เขาทยอยบอกออกมา เทวดาแทบทั่วฟากฟ้า ประเทศไทย อยู่ในมือบอสพอล พร้อมหลักฐาน ทีืบอกว่าเจอในโทรศัพท์ นั่นส่วนน้อยที่เขาตั้งใจให้เจอ อีกเพียบ จะทยอยเปิดออกมา ที่เขาเซฟไว้ข้างนอก โดยให้คนของเขาส่งผ่านพวกเพจดัง เพราะเขารู้ดีว่าการส่งให้ จนท ไปเฉยๆนั้น เทวดาอาจมีฤทธ์ เสกหายๆไปกับสายลม โถ พวกเพจดัง จะไปเอาคลิปเสียงมาจากไหน บอสพอลโทรศัพท์ หายที่มาบุญครองเหรอ เขาตั้งใจรึเปล่าคิดดู ถ้าเขาอัดทุกอย่างไว้แต่วันแรก เขาตั้งใจจะล่อให้หมดทุกคนสักวันรึเปล่า อันนี้น่าคิด ไม่งั้นจะอัดไว้ทำไม การบอกกลางรายการโหนกระแส ว่ามีหลายหน่วยงาน ที่รับใต้โต๊ะ และบอกชื่อหน่วยงาน มาด้วย แต่พูดเหมือน สุภาพบุรุษว่า ให้จบที่ผม ไม่อยากให้คนอื่นเดือดร้อน ฟังเหมือนดูดี แต่เอาจริงเข้าคือการแฉ แบบโต้งๆ นายกฟังอยู่ ไม่สั่งสอบทุกหน่วยงาน ก็ต้องโดน 157 แทนแล้ว แล้วเดี๋ยวหลักฐานจะทยอยลอยออกมาเอง เขาได้ประโยชน์อะไรจากการแฉ แบบนี้ บอกว่าทำธุรกิจ ปกติ ไม่เคยจ่ายใคร รอกระแสซาๆ แล้วให้เทวดาช่วยปัดเป่า ง่ายกว่าไหม แต่นี่ออกมาเชือดเทวดาโชว์ทีละคน ใครจะกล้าช่วยอีก มึงอัดเสียงแน่นอน เขาทำ ทำไม ถ้าไม่ใช่อารมณ์แบบ ASPD. คนทุกคนที่อยู่ข้างเขา จะไม่มีวันรู้อะไรทุกเรื่อง เขาจะแยกให้รู้เป็นส่วนๆ เป็นเรื่องๆ เหมือนม้าในกระดานหมากรุก แค่รู้ว่าต้องเดินมายันตรงนี้ แต่ไม่รู้ว่าเกมทั้งหมด คืิออะไร จะตายวันไหน ด้วยสาเหตุอะไร พวกหมากในกระดานจะไม่มีวันรู้เลย บอส แซม บอส มิน บอสกัน ก็อาจเป็นแค่เรือ แค่โคน สำหรับเขาเท่านั้น หนังเรื่องนี้ สำหรับเขาสนุกมาก เขาใช้ตัวแสดงจริง ดาราระดับแถวหน้าระดับประเทศจริงๆ ตัวประกอบคือคนจริง ติดสินบนเทวดาจริงๆ พร้อบในฉากระดับ พันล้านจริงๆ ขึ้นบิลบอร์ด ทั่วประเทศจริงๆ ไม่เคยมีซีรี่ส์ไหนทำได้มาก่อน ในประวัติศาสตร์ไทย เงินอีกลอต เกือบหมื่นล้าน ถูกโอนหายไปในระบบกระเป๋าเงินดิจิตอล โดยที่ จนท ช้าไปเพียง 1 ชม ในขณะที่ สถานที่ที่ลูกน้องถูกจับนั้น ดันมีระเบิดปลอม ทำเหมือนเด๊ะ พร้อมนาฬิกา ทำให้ จนท EOD ต้องลุยนำทัพเข้าไปกู้ พลอตสนุกยิ่งกว่า vegabond ระเบิดปลอมนี้ ได้ข่าวว่าถูกนำมาวางไว้สองอาทิตย์แล้ว ราวกับมีหมอดูมาบอกว่า ดิไอคอน จะโดนแฉ วันนั้น วันนี้ และ จนท จะเข้ามาจับ เอาระเบิดไปวางถ่วงเวลาไว้ได้ ใครหนอ รู้เหตุการณ์ล่วงหน้าแม่นขนาดนี้ วันนี้สังคมไทยเดือดระอุ ทุกวงการเลือดสาด จนท รัฐ สคบ วงการบันเทิง วงการสงฆ์ วงการนักร้อง สื่อทุกสื่อ ฯลฯ ออกมาล่อกันยับ สาวไส้กันอีกเละเทะ อีกนาน ไม่รู้เทวดาอีกกีองค์ จะต้องตกสวรรค์ เมื่อหลักฐานแฉออกมา ทุกคน ทุกบอส ทุกแม่ข่าย เครียดลมจับ กินไม่ได้นอนไม่หลับ ต่างจากบอสพอล ภาพตัดมา ที่นั่งสมาธิ เย็นใจในที่คุมขัง นักข่าวบอกเขาเครียด ผมว่าไม่หรอก เขาเย็นใจที่พล้อตหนังของเขา เดินมาตามบทที่เขาวางไว้ไม่สะดุดเลย ใครมันจะบ้านั่งสมาธิ กลางกรงวันแรกที่ถูกจับ โดยไร้อารมณ์แบบนี้ คนปกติที่ไหน จะทำได้ลงคอ มหากาพย์ เรื่องนี้เพิ่งเริ่ม จะมีผู้คนอีกมากมายที่ต้องเป็นเหยื่อสังเวย เทวดาอีกมากมายจะตกสวรรค์ สังคมไทยเหมือนถูกตบหน้าอย่างจัง ในประวัติศาสตร์ไทย ที่เบื้องหลังฟอนเฟะได้ขนาดนี้ บอสพอล คงอมยิ้มอย่างสะใจ สังคมที่เคยทำร้ายเขาในวัยเด็ก จนเกิด Childhood disrupted. วันนี้ เขากลับมาถล่มทุกวงการคืนอย่างราบคาบแล้ว ถ้าเงิน แปดพันกว่าล้านนั้นคือลอตสุดท้าย ก่อนหน้านี้ ที่โอนไปแล้วล่วงหน้า คงมีอีกไม่รู้เท่าไหร่ น่าจะหลายหมื่นล้าน แต่เขารู้ดีว่า ขนาดคดีแม่ชม้อย ติดคุกหลายแสนปี ติดจริงแค่เจ็ดปี อย่างเขาไม่ถึงห้าปี น่าจะออกมาได้แน่นอน ตำรวจ: ขอรหัส ดิจิตอล วอลเลต เดี๋ยวนี้ บอสพอล : ผมจำไม่ได้จริงๆครับ (ร้องห่ม ร้องไห้) พีืไม่เคยลืมรหัสเฟสบุคหรือ ใครๆก็ลืมกัน ตั้ง 16 ตัว ในอนาคตอันไม่ไกล วันที่เขาหลุดจากที่คุมขัง ดิไอคอน ภาคแรก จะจบไป และรหัสนี้จะถูกจำได้อีกครั้ง เตรียมตัวพบกับ ซี่รี่ภาคสอง กำกับโดยบอสพอล โดยมาในรูปแบบของสถานธรรม อลังกาากว่าภาคแรกอย่างแน่นอน การันตี นิทานเรื่องนี้ สนุกไหม ขอเชิญนักวิจารณ์ ติชม To be continued.“ ที่มา : เพจ Anit Osathanugrah https://www.facebook.com/share/p/kJ4gPk7ZStVcWxHs/?mibextid=WC7FNe #Thaitimes
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 847 มุมมอง 1 รีวิว
  • 13/10/67

    คิดถึงพ่อ

    ในหลวง ร.9

    คลิปที่หลายๆคนไม่เคยเห็น ในหลวงเสด็จด้วยรถไฟใต้ดิน ชอบตอนที่ได้เห็นพระพักตร์ของพระองค์ท่าน...ตอนใกล้ๆจบ #แบ่งปันกันนะ


    พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 – 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559) เป็นพระมหากษัตริย์ไทย รัชกาลที่ 9 แห่งราชวงศ์จักรีและเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 53 ตามประวัติศาสตร์ไทย ครองราชย์ตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 ด้วยพระปรมาภิไธย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร จนสวรรคต เป็นประมุขแห่งรัฐที่ครองราชย์ยาวนานมากที่สุดตลอดกาลในประเทศไทย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และทวีปเอเชีย[1] พระองค์ยังเป็นประมุขแห่งรัฐที่ดำรงตำแหน่งนานที่สุดในโลกในขณะทรงพระชนม์ นับตั้งแต่การสวรรคตของสมเด็จพระจักรพรรดิฮิโรฮิโตะแห่งญี่ปุ่นใน พ.ศ. 2532 กระทั่งสวรรคตใน พ.ศ. 2559[2] อีกทั้งเป็นพระมหากษัตริย์ที่ดำรงตำแหน่งนานที่สุดตลอดกาลอันดับที่ 3 ของโลก ด้วยระยะเวลาในราชสมบัติทั้งสิ้น 70 ปี 126 วัน[1]


    พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร
    มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช
    บรมนาถบพิตร
    พระภัทรมหาราช

    พระบรมฉายาลักษณ์ พ.ศ. 2503
    พระมหากษัตริย์ไทย
    ครองราชย์
    9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 – 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559
    (70 ปี 126 วัน)
    ราชาภิเษก
    5 พฤษภาคม พ.ศ. 2493
    ก่อนหน้า
    พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร
    ถัดไป
    พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว
    ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
    ดูรายพระนามและรายชื่อ
    นายกรัฐมนตรี
    ดูรายชื่อ
    พระราชสมภพ
    5 ธันวาคม พ.ศ. 2470
    โรงพยาบาลเคมบริดจ์ เคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐ
    สวรรคต
    13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 (88 พรรษา)
    โรงพยาบาลศิริราช กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย
    ถวายพระเพลิง
    26 ตุลาคม พ.ศ. 2560
    พระเมรุมาศ ท้องสนามหลวง
    บรรจุพระอัฐิ
    พระวิมานทองกลาง
    บนพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท
    พระอัครมเหสี
    สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง (สมรส 2493)
    พระราชบุตร
    รายละเอียด
    ดูรายพระนาม
    วัดประจำรัชกาล
    วัดบวรนิเวศวิหาร
    ราชวงศ์
    จักรี
    ราชสกุล
    มหิดล
    พระราชบิดา
    สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก
    พระราชมารดา
    สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี
    ศาสนา
    พุทธเถรวาท
    ลายพระอภิไธย

    พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร
    มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช
    บรมนาถบพิตร
    พระภัทรมหาราช

    พระบรมฉายาลักษณ์ พ.ศ. 2503
    พระมหากษัตริย์ไทย
    ครองราชย์
    9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 – 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559
    (70 ปี 126 วัน)
    ราชาภิเษก
    5 พฤษภาคม พ.ศ. 2493
    ก่อนหน้า
    พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร
    ถัดไป
    พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว
    ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
    ดูรายพระนามและรายชื่อ
    นายกรัฐมนตรี
    ดูรายชื่อ
    พระราชสมภพ
    5 ธันวาคม พ.ศ. 2470
    โรงพยาบาลเคมบริดจ์ เคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐ
    สวรรคต
    13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 (88 พรรษา)
    โรงพยาบาลศิริราช กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย
    ถวายพระเพลิง
    26 ตุลาคม พ.ศ. 2560
    พระเมรุมาศ ท้องสนามหลวง
    บรรจุพระอัฐิ
    พระวิมานทองกลาง
    บนพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท
    พระอัครมเหสี
    สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง (สมรส 2493)
    พระราชบุตร
    รายละเอียด
    ดูรายพระนาม
    วัดประจำรัชกาล
    วัดบวรนิเวศวิหาร
    ราชวงศ์
    จักรี
    ราชสกุล
    มหิดล
    พระราชบิดา
    สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก
    พระราชมารดา
    สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี
    ศาสนา
    พุทธเถรวาท
    ลายพระอภิไธย

    พระสุรเสียงของพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
    ระยะเวลา: 1 minute and 31 seconds1:31
    พระองค์เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 ที่โรงพยาบาลเคมบริดจ์ (ปัจจุบัน โรงพยาบาลเมาต์ออเบิร์น) เมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐ เป็นพระราชโอรสพระองค์เล็กในสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก กับสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และเป็นพระราชนัดดาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกับสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า


    พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ และได้ทรงหยุดยั้งการกบฏ เช่น กบฏเมษาฮาวายใน พ.ศ. 2524 และกบฏทหารนอกราชการใน พ.ศ. 2528 กระนั้น ในสมัยของพระองค์ได้มีการทำรัฐประหารโดยทหารหลายคณะ เช่น จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ใน พ.ศ. 2500 กับพลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน ใน พ.ศ. 2549 ตลอดระยะเวลา 70 ปีที่ทรงครองราชย์ มีนายกรัฐมนตรีดำรงตำแหน่ง 26 คน โดยเริ่มต้นที่ปรีดี พนมยงค์ และสิ้นสุดลงที่ประยุทธ์ จันทร์โอชา[3]
    ประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่เคารพพระองค์[4][5][6] อนึ่ง ตามรัฐธรรมนูญ พระมหากษัตริย์ทรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ และผู้ใดจะละเมิดมิได้ ส่วนประมวลกฎหมายอาญาบัญญัติไว้ว่า การดูหมิ่น หมิ่นประมาท หรืออาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์เป็นความผิดอาญา[6] คณะรัฐมนตรีหลายชุดที่ได้รับการเลือกตั้งมาก็ถูกคณะทหารล้มล้างไปด้วยข้อกล่าวหาว่านักการเมืองผู้ใหญ่หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ[7][8] กระนั้น พระองค์เองได้ตรัสเมื่อ พ.ศ. 2548 ว่า สาธารณชนพึงวิพากษ์วิจารณ์พระองค์ได้[9]
    พระองค์ทรงเป็นที่สรรเสริญในประเทศไทยเกี่ยวกับพระราชดำริในเรื่องปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โคฟี แอนนัน เลขาธิการสหประชาชาติได้ถวายรางวัลความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์แด่พระองค์[10] ด้านสินทรัพย์ของพระองค์ นิตยสาร ฟอบส์ จัดอันดับให้พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ที่มีพระราชทรัพย์มากที่สุดในโลกตั้งแต่ พ.ศ. 2551 ถึง พ.ศ. 2556[11] เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2557 พระองค์มีพระราชทรัพย์ 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ดูหมายเหตุด้านล่าง)[12] สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ใช้ทรัพย์สินเพื่อสวัสดิการสาธารณะ เช่น เพื่อพัฒนาเยาวชน แต่ได้รับการยกเว้นมิต้องจ่ายภาษีและให้เปิดเผยการเงินต่อพระองค์ผู้เดียว[13] พระองค์ยังทรงอุทิศพระราชทรัพย์ในโครงการพัฒนาประเทศไทยหลายโครงการ โดยเฉพาะในทางเกษตรกรรม สิ่งแวดล้อม สาธารณสุข การส่งเสริมอาชีพ ทรัพยากรน้ำ สวัสดิการทางคมนาคม และสวัสดิการสาธารณะ[14]


    พระชนม์ชีพช่วงต้น
    พระราชสมภพ
    พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จพระราชสมภพในราชสกุลมหิดลอันเป็นสายหนึ่งในราชวงศ์จักรี ณ ที่โรงพยาบาลเคมบริดจ์ (ปัจจุบัน โรงพยาบาลเมาต์ออเบิร์น) เมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐ อันเป็นที่ซึ่งพระบรมราชชนกและพระบรมราชชนนีกำลังทรงศึกษาวิชาการอยู่ เมื่อวันจันทร์ ขึ้น 12 ค่ำ เดือนอ้าย ปีเถาะ นพศก จ.ศ. 1289 ตรงกับวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2470
    พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เป็นพระโอรสองค์ที่สามในสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์ (สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ในกาลต่อมา) และหม่อมสังวาลย์ มหิดล ณ อยุธยา (สกุลเดิม ตะละภัฎ, สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ในกาลต่อมา) มีพระนามเมื่อแรกประสูติอันปรากฏในสูติบัตรว่า "เบบี สงขลา" (อังกฤษ: Baby Songkla)[15] ต่อมาคือ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภูมิพล อดุลเดช เมื่อได้รับพระราชทานนาม มีพระเชษฐภคินีและสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช 2 พระองค์ คือ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ และพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร ซึ่งสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงออกพระนามเรียกพระองค์เป็นการลำลองว่า "เล็ก"[16][17]
    พระนามภูมิพลอดุลเดชนั้นพระบรมราชชนนีได้รับพระราชทานทางโทรเลขจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2470 โดยทรงกำกับตัวสะกดเป็นอักษรโรมันว่า "Bhumibala Aduladeja" ทำให้สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีทรงเข้าพระทัยว่าได้รับพระราชทานนามพระโอรสว่า "ภูมิบาล"[16] ในระยะแรกพระนามของพระองค์สะกดเป็นภาษาไทยว่า "ภูมิพลอดุลเดช" ต่อมา พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรเองทรงเขียนว่า "ภูมิพลอดุลยเดช" โดยทรงเขียนทั้งสองแบบสลับกันไป จนมาทรงนิยมใช้แบบหลังซึ่งมีตัว "ย" สะกด[16][18]
    พระนามของพระองค์มีความหมายว่า
    ภูมิพล - ภูมิ หมายความว่า "แผ่นดิน" และ พล หมายความว่า "พลัง" รวมกันแล้วหมายถึง "พลังแห่งแผ่นดิน"
    อดุลยเดช - อดุลย หมายความว่า "ไม่อาจเทียบได้" และ เดช หมายความว่า "อำนาจ" รวมกันแล้วหมายถึง "อำนาจที่ไม่อาจเทียบได้"[19]
    เมื่อ พ.ศ. 2471 ได้เสด็จกลับสู่ประเทศไทยพร้อมพระบรมราชชนก ซึ่งทรงสำเร็จการศึกษาปริญญาแพทยศาสตรบัณฑิตเกียรตินิยมจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐ พร้อมด้วยสมเด็จพระบรมราชชนนี สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ และสมเด็จพระเชษฐาธิราช โดยประทับ ณ วังสระปทุม ต่อมาวันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2472 สมเด็จพระบรมราชชนกสวรรคต ขณะที่พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มีพระชนมายุไม่ถึงสองพรรษา
    การศึกษา
    พ.ศ. 2475 เมื่อเจริญพระชนมายุได้ 4 พรรษา เสด็จเข้าศึกษาที่โรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัยจนถึงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2476 จึงเสด็จพระราชดำเนินไปประทับ ณ เมืองโลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ พร้อมด้วยพระบรมราชชนนีพระเชษฐภคินีและสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชเพื่อการศึกษาและพระพลานามัยของสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช จากนั้นทรงเข้าศึกษาต่อชั้นประถมศึกษา ณ โรงเรียนเมียร์มองต์ เมืองโลซาน ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2477 ทรงศึกษาวิชาภาษาฝรั่งเศส ภาษาเยอรมัน และภาษาอังกฤษ แล้วทรงเข้าชั้นมัธยมศึกษา ณ เอกอลนูแวลเดอลาซุอิสรอม็องด์ (École Nouvelle de la Suisse Romande) เมืองชายี-ซูร์-โลซาน (Chailly-sur-Lausanne)
    สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ

    รัชกาลที่ 8 (ซ้าย) และเจ้าฟ้าชายภูมิพล (ขวา) เสด็จพระราชดำเนินไปชมรถไฟจำลองที่สวนสราญรมย์ ที่กรุงเทพมหานคร ใน พ.ศ. 2481
    เมื่อพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล สมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช เสด็จขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 8 แห่งราชวงศ์จักรี พระองค์ก็ได้รับการสถาปนาฐานันดรศักดิ์เป็น สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพล อดุลเดช เมื่อได้รับพระราชทานนาม มีพระเชษฐภคินีและสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช 2 พระองค์ คือ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ และพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร ซึ่งสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงออกพระนามเรียกพระองค์เป็นการลำลองว่า "เล็ก"[16][17]
    พระนามภูมิพลอดุลเดชนั้นพระบรมราชชนนีได้รับพระราชทานทางโทรเลขจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2470 โดยทรงกำกับตัวสะกดเป็นอักษรโรมันว่า "Bhumibala Aduladeja" ทำให้สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีทรงเข้าพระทัยว่าได้รับพระราชทานนามพระโอรสว่า "ภูมิบาล"[16] ในระยะแรกพระนามของพระองค์สะกดเป็นภาษาไทยว่า "ภูมิพลอดุลเดช" ต่อมา พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรเองทรงเขียนว่า "ภูมิพลอดุลยเดช" โดยทรงเขียนทั้งสองแบบสลับกันไป จนมาทรงนิยมใช้แบบหลังซึ่งมีตัว "ย" สะกด[16][18]
    พระนามของพระองค์มีความหมายว่า
    ภูมิพล - ภูมิ หมายความว่า "แผ่นดิน" และ พล หมายความว่า "พลัง" รวมกันแล้วหมายถึง "พลังแห่งแผ่นดิน"
    อดุลยเดช - อดุลย หมายความว่า "ไม่อาจเทียบได้" และ เดช หมายความว่า "อำนาจ" รวมกันแล้วหมายถึง "อำนาจที่ไม่อาจเทียบได้"[19]
    เมื่อ พ.ศ. 2471 ได้เสด็จกลับสู่ประเทศไทยพร้อมพระบรมราชชนก ซึ่งทรงสำเร็จการศึกษาปริญญาแพทยศาสตรบัณฑิตเกียรตินิยมจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐ พร้อมด้วยสมเด็จพระบรมราชชนนี สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ และสมเด็จพระเชษฐาธิราช โดยประทับ ณ วังสระปทุม ต่อมาวันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2472 สมเด็จพระบรมราชชนกสวรรคต ขณะที่พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มีพระชนมายุไม่ถึงสองพรรษา
    การศึกษา
    พ.ศ. 2475 เมื่อเจริญพระชนมายุได้ 4 พรรษา เสด็จเข้าศึกษาที่โรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัยจนถึงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2476 จึงเสด็จพระราชดำเนินไปประทับ ณ เมืองโลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ พร้อมด้วยพระบรมราชชนนีพระเชษฐภคินีและสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชเพื่อการศึกษาและพระพลานามัยของสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช จากนั้นทรงเข้าศึกษาต่อชั้นประถมศึกษา ณ โรงเรียนเมียร์มองต์ เมืองโลซาน ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2477 ทรงศึกษาวิชาภาษาฝรั่งเศส ภาษาเยอรมัน และภาษาอังกฤษ แล้วทรงเข้าชั้นมัธยมศึกษา ณ เอกอลนูแวลเดอลาซุอิสรอม็องด์ (École Nouvelle de la Suisse Romande) เมืองชายี-ซูร์-โลซาน (Chailly-sur-Lausanne)
    สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ

    รัชกาลที่ 8 (ซ้าย) และเจ้าฟ้าชายภูมิพล (ขวา) เสด็จพระราชดำเนินไปชมรถไฟจำลองที่สวนสราญรมย์ ที่กรุงเทพมหานคร ใน พ.ศ. 2481
    เมื่อพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล สมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช เสด็จขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 8 แห่งราชวงศ์จักรี พระองค์ก็ได้รับการสถาปนาฐานันดรศักดิ์เป็น สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพล อดุลเดช เมื่อได้รับพระราชทานนาม มีพระเชษฐภคินีและสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช 2 พระองค์ คือ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ และพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร ซึ่งสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงออกพระนามเรียกพระองค์เป็นการลำลองว่า "เล็ก"[16][17]
    พระนามภูมิพลอดุลเดชนั้นพระบรมราชชนนีได้รับพระราชทานทางโทรเลขจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2470 โดยทรงกำกับตัวสะกดเป็นอักษรโรมันว่า "Bhumibala Aduladeja" ทำให้สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีทรงเข้าพระทัยว่าได้รับพระราชทานนามพระโอรสว่า "ภูมิบาล"[16] ในระยะแรกพระนามของพระองค์สะกดเป็นภาษาไทยว่า "ภูมิพลอดุลเดช" ต่อมา พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรเองทรงเขียนว่า "ภูมิพลอดุลยเดช" โดยทรงเขียนทั้งสองแบบสลับกันไป จนมาทรงนิยมใช้แบบหลังซึ่งมีตัว "ย" สะกด[16][18]
    พระนามของพระองค์มีความหมายว่า
    ภูมิพล - ภูมิ หมายความว่า "แผ่นดิน" และ พล หมายความว่า "พลัง" รวมกันแล้วหมายถึง "พลังแห่งแผ่นดิน"
    อดุลยเดช - อดุลย หมายความว่า "ไม่อาจเทียบได้" และ เดช หมายความว่า "อำนาจ" รวมกันแล้วหมายถึง "อำนาจที่ไม่อาจเทียบได้"[19]
    เมื่อ พ.ศ. 2471 ได้เสด็จกลับสู่ประเทศไทยพร้อมพระบรมราชชนก ซึ่งทรงสำเร็จการศึกษาปริญญาแพทยศาสตรบัณฑิตเกียรตินิยมจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐ พร้อมด้วยสมเด็จพระบรมราชชนนี สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ และสมเด็จพระเชษฐาธิราช โดยประทับ ณ วังสระปทุม ต่อมาวันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2472 สมเด็จพระบรมราชชนกสวรรคต ขณะที่พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มีพระชนมายุไม่ถึงสองพรรษา
    การศึกษา
    พ.ศ. 2475 เมื่อเจริญพระชนมายุได้ 4 พรรษา เสด็จเข้าศึกษาที่โรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัยจนถึงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2476 จึงเสด็จพระราชดำเนินไปประทับ ณ เมืองโลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ พร้อมด้วยพระบรมราชชนนีพระเชษฐภคินีและสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชเพื่อการศึกษาและพระพลานามัยของสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช จากนั้นทรงเข้าศึกษาต่อชั้นประถมศึกษา ณ โรงเรียนเมียร์มองต์ เมืองโลซาน ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2477 ทรงศึกษาวิชาภาษาฝรั่งเศส ภาษาเยอรมัน และภาษาอังกฤษ แล้วทรงเข้าชั้นมัธยมศึกษา ณ เอกอลนูแวลเดอลาซุอิสรอม็องด์ (École Nouvelle de la Suisse Romande) เมืองชายี-ซูร์-โลซาน (Chailly-sur-Lausanne)
    สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ

    รัชกาลที่ 8 (ซ้าย) และเจ้าฟ้าชายภูมิพล (ขวา) เสด็จพระราชดำเนินไปชมรถไฟจำลองที่สวนสราญรมย์ ที่กรุงเทพมหานคร ใน พ.ศ. 2481
    เมื่อพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล สมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช เสด็จขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 8 แห่งราชวงศ์จักรี พระองค์ก็ได้รับการสถาปนาฐานันดรศักดิ์เป็น สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพล
    อดุลเดช เมื่อได้รับพระราชทานนาม มีพระเชษฐภคินีและสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช 2 พระองค์ คือ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ และพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร ซึ่งสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงออกพระนามเรียกพระองค์เป็นการลำลองว่า "เล็ก"[16][17]
    พระนามภูมิพลอดุลเดชนั้นพระบรมราชชนนีได้รับพระราชทานทางโทรเลขจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2470 โดยทรงกำกับตัวสะกดเป็นอักษรโรมันว่า "Bhumibala Aduladeja" ทำให้สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีทรงเข้าพระทัยว่าได้รับพระราชทานนามพระโอรสว่า "ภูมิบาล"[16] ในระยะแรกพระนามของพระองค์สะกดเป็นภาษาไทยว่า "ภูมิพลอดุลเดช" ต่อมา พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรเองทรงเขียนว่า "ภูมิพลอดุลยเดช" โดยทรงเขียนทั้งสองแบบสลับกันไป จนมาทรงนิยมใช้แบบหลังซึ่งมีตัว "ย" สะกด[16][18]
    พระนามของพระองค์มีความหมายว่า
    ภูมิพล - ภูมิ หมายความว่า "แผ่นดิน" และ พล หมายความว่า "พลัง" รวมกันแล้วหมายถึง "พลังแห่งแผ่นดิน"
    อดุลยเดช - อดุลย หมายความว่า "ไม่อาจเทียบได้" และ เดช หมายความว่า "อำนาจ" รวมกันแล้วหมายถึง "อำนาจที่ไม่อาจเทียบได้"[19]
    เมื่อ พ.ศ. 2471 ได้เสด็จกลับสู่ประเทศไทยพร้อมพระบรมราชชนก ซึ่งทรงสำเร็จการศึกษาปริญญาแพทยศาสตรบัณฑิตเกียรตินิยมจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐ พร้อมด้วยสมเด็จพระบรมราชชนนี สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ และสมเด็จพระเชษฐาธิราช โดยประทับ ณ วังสระปทุม ต่อมาวันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2472 สมเด็จพระบรมราชชนกสวรรคต ขณะที่พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มีพระชนมายุไม่ถึงสองพรรษา
    การศึกษา
    พ.ศ. 2475 เมื่อเจริญพระชนมายุได้ 4 พรรษา เสด็จเข้าศึกษาที่โรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัยจนถึงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2476 จึงเสด็จพระราชดำเนินไปประทับ ณ เมืองโลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ พร้อมด้วยพระบรมราชชนนีพระเชษฐภคินีและสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชเพื่อการศึกษาและพระพลานามัยของสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช จากนั้นทรงเข้าศึกษาต่อชั้นประถมศึกษา ณ โรงเรียนเมียร์มองต์ เมืองโลซาน ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2477 ทรงศึกษาวิชาภาษาฝรั่งเศส ภาษาเยอรมัน และภาษาอังกฤษ แล้วทรงเข้าชั้นมัธยมศึกษา ณ เอกอลนูแวลเดอลาซุอิสรอม็องด์ (École Nouvelle de la Suisse Romande) เมืองชายี-ซูร์-โลซา น (Chailly-sur-Lausanne)
    13/10/67 คิดถึงพ่อ ในหลวง ร.9 คลิปที่หลายๆคนไม่เคยเห็น ในหลวงเสด็จด้วยรถไฟใต้ดิน ชอบตอนที่ได้เห็นพระพักตร์ของพระองค์ท่าน...ตอนใกล้ๆจบ #แบ่งปันกันนะ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 – 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559) เป็นพระมหากษัตริย์ไทย รัชกาลที่ 9 แห่งราชวงศ์จักรีและเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 53 ตามประวัติศาสตร์ไทย ครองราชย์ตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 ด้วยพระปรมาภิไธย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร จนสวรรคต เป็นประมุขแห่งรัฐที่ครองราชย์ยาวนานมากที่สุดตลอดกาลในประเทศไทย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และทวีปเอเชีย[1] พระองค์ยังเป็นประมุขแห่งรัฐที่ดำรงตำแหน่งนานที่สุดในโลกในขณะทรงพระชนม์ นับตั้งแต่การสวรรคตของสมเด็จพระจักรพรรดิฮิโรฮิโตะแห่งญี่ปุ่นใน พ.ศ. 2532 กระทั่งสวรรคตใน พ.ศ. 2559[2] อีกทั้งเป็นพระมหากษัตริย์ที่ดำรงตำแหน่งนานที่สุดตลอดกาลอันดับที่ 3 ของโลก ด้วยระยะเวลาในราชสมบัติทั้งสิ้น 70 ปี 126 วัน[1] พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระภัทรมหาราช พระบรมฉายาลักษณ์ พ.ศ. 2503 พระมหากษัตริย์ไทย ครองราชย์ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 – 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 (70 ปี 126 วัน) ราชาภิเษก 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2493 ก่อนหน้า พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร ถัดไป พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ดูรายพระนามและรายชื่อ นายกรัฐมนตรี ดูรายชื่อ พระราชสมภพ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 โรงพยาบาลเคมบริดจ์ เคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐ สวรรคต 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 (88 พรรษา) โรงพยาบาลศิริราช กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย ถวายพระเพลิง 26 ตุลาคม พ.ศ. 2560 พระเมรุมาศ ท้องสนามหลวง บรรจุพระอัฐิ พระวิมานทองกลาง บนพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท พระอัครมเหสี สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง (สมรส 2493) พระราชบุตร รายละเอียด ดูรายพระนาม วัดประจำรัชกาล วัดบวรนิเวศวิหาร ราชวงศ์ จักรี ราชสกุล มหิดล พระราชบิดา สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก พระราชมารดา สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ศาสนา พุทธเถรวาท ลายพระอภิไธย พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระภัทรมหาราช พระบรมฉายาลักษณ์ พ.ศ. 2503 พระมหากษัตริย์ไทย ครองราชย์ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 – 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 (70 ปี 126 วัน) ราชาภิเษก 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2493 ก่อนหน้า พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร ถัดไป พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ดูรายพระนามและรายชื่อ นายกรัฐมนตรี ดูรายชื่อ พระราชสมภพ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 โรงพยาบาลเคมบริดจ์ เคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐ สวรรคต 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 (88 พรรษา) โรงพยาบาลศิริราช กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย ถวายพระเพลิง 26 ตุลาคม พ.ศ. 2560 พระเมรุมาศ ท้องสนามหลวง บรรจุพระอัฐิ พระวิมานทองกลาง บนพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท พระอัครมเหสี สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง (สมรส 2493) พระราชบุตร รายละเอียด ดูรายพระนาม วัดประจำรัชกาล วัดบวรนิเวศวิหาร ราชวงศ์ จักรี ราชสกุล มหิดล พระราชบิดา สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก พระราชมารดา สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ศาสนา พุทธเถรวาท ลายพระอภิไธย พระสุรเสียงของพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ระยะเวลา: 1 minute and 31 seconds1:31 พระองค์เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 ที่โรงพยาบาลเคมบริดจ์ (ปัจจุบัน โรงพยาบาลเมาต์ออเบิร์น) เมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐ เป็นพระราชโอรสพระองค์เล็กในสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก กับสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และเป็นพระราชนัดดาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกับสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ และได้ทรงหยุดยั้งการกบฏ เช่น กบฏเมษาฮาวายใน พ.ศ. 2524 และกบฏทหารนอกราชการใน พ.ศ. 2528 กระนั้น ในสมัยของพระองค์ได้มีการทำรัฐประหารโดยทหารหลายคณะ เช่น จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ใน พ.ศ. 2500 กับพลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน ใน พ.ศ. 2549 ตลอดระยะเวลา 70 ปีที่ทรงครองราชย์ มีนายกรัฐมนตรีดำรงตำแหน่ง 26 คน โดยเริ่มต้นที่ปรีดี พนมยงค์ และสิ้นสุดลงที่ประยุทธ์ จันทร์โอชา[3] ประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่เคารพพระองค์[4][5][6] อนึ่ง ตามรัฐธรรมนูญ พระมหากษัตริย์ทรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ และผู้ใดจะละเมิดมิได้ ส่วนประมวลกฎหมายอาญาบัญญัติไว้ว่า การดูหมิ่น หมิ่นประมาท หรืออาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์เป็นความผิดอาญา[6] คณะรัฐมนตรีหลายชุดที่ได้รับการเลือกตั้งมาก็ถูกคณะทหารล้มล้างไปด้วยข้อกล่าวหาว่านักการเมืองผู้ใหญ่หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ[7][8] กระนั้น พระองค์เองได้ตรัสเมื่อ พ.ศ. 2548 ว่า สาธารณชนพึงวิพากษ์วิจารณ์พระองค์ได้[9] พระองค์ทรงเป็นที่สรรเสริญในประเทศไทยเกี่ยวกับพระราชดำริในเรื่องปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โคฟี แอนนัน เลขาธิการสหประชาชาติได้ถวายรางวัลความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์แด่พระองค์[10] ด้านสินทรัพย์ของพระองค์ นิตยสาร ฟอบส์ จัดอันดับให้พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ที่มีพระราชทรัพย์มากที่สุดในโลกตั้งแต่ พ.ศ. 2551 ถึง พ.ศ. 2556[11] เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2557 พระองค์มีพระราชทรัพย์ 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ดูหมายเหตุด้านล่าง)[12] สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ใช้ทรัพย์สินเพื่อสวัสดิการสาธารณะ เช่น เพื่อพัฒนาเยาวชน แต่ได้รับการยกเว้นมิต้องจ่ายภาษีและให้เปิดเผยการเงินต่อพระองค์ผู้เดียว[13] พระองค์ยังทรงอุทิศพระราชทรัพย์ในโครงการพัฒนาประเทศไทยหลายโครงการ โดยเฉพาะในทางเกษตรกรรม สิ่งแวดล้อม สาธารณสุข การส่งเสริมอาชีพ ทรัพยากรน้ำ สวัสดิการทางคมนาคม และสวัสดิการสาธารณะ[14] พระชนม์ชีพช่วงต้น พระราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จพระราชสมภพในราชสกุลมหิดลอันเป็นสายหนึ่งในราชวงศ์จักรี ณ ที่โรงพยาบาลเคมบริดจ์ (ปัจจุบัน โรงพยาบาลเมาต์ออเบิร์น) เมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐ อันเป็นที่ซึ่งพระบรมราชชนกและพระบรมราชชนนีกำลังทรงศึกษาวิชาการอยู่ เมื่อวันจันทร์ ขึ้น 12 ค่ำ เดือนอ้าย ปีเถาะ นพศก จ.ศ. 1289 ตรงกับวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เป็นพระโอรสองค์ที่สามในสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์ (สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ในกาลต่อมา) และหม่อมสังวาลย์ มหิดล ณ อยุธยา (สกุลเดิม ตะละภัฎ, สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ในกาลต่อมา) มีพระนามเมื่อแรกประสูติอันปรากฏในสูติบัตรว่า "เบบี สงขลา" (อังกฤษ: Baby Songkla)[15] ต่อมาคือ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภูมิพล อดุลเดช เมื่อได้รับพระราชทานนาม มีพระเชษฐภคินีและสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช 2 พระองค์ คือ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ และพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร ซึ่งสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงออกพระนามเรียกพระองค์เป็นการลำลองว่า "เล็ก"[16][17] พระนามภูมิพลอดุลเดชนั้นพระบรมราชชนนีได้รับพระราชทานทางโทรเลขจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2470 โดยทรงกำกับตัวสะกดเป็นอักษรโรมันว่า "Bhumibala Aduladeja" ทำให้สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีทรงเข้าพระทัยว่าได้รับพระราชทานนามพระโอรสว่า "ภูมิบาล"[16] ในระยะแรกพระนามของพระองค์สะกดเป็นภาษาไทยว่า "ภูมิพลอดุลเดช" ต่อมา พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรเองทรงเขียนว่า "ภูมิพลอดุลยเดช" โดยทรงเขียนทั้งสองแบบสลับกันไป จนมาทรงนิยมใช้แบบหลังซึ่งมีตัว "ย" สะกด[16][18] พระนามของพระองค์มีความหมายว่า ภูมิพล - ภูมิ หมายความว่า "แผ่นดิน" และ พล หมายความว่า "พลัง" รวมกันแล้วหมายถึง "พลังแห่งแผ่นดิน" อดุลยเดช - อดุลย หมายความว่า "ไม่อาจเทียบได้" และ เดช หมายความว่า "อำนาจ" รวมกันแล้วหมายถึง "อำนาจที่ไม่อาจเทียบได้"[19] เมื่อ พ.ศ. 2471 ได้เสด็จกลับสู่ประเทศไทยพร้อมพระบรมราชชนก ซึ่งทรงสำเร็จการศึกษาปริญญาแพทยศาสตรบัณฑิตเกียรตินิยมจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐ พร้อมด้วยสมเด็จพระบรมราชชนนี สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ และสมเด็จพระเชษฐาธิราช โดยประทับ ณ วังสระปทุม ต่อมาวันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2472 สมเด็จพระบรมราชชนกสวรรคต ขณะที่พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มีพระชนมายุไม่ถึงสองพรรษา การศึกษา พ.ศ. 2475 เมื่อเจริญพระชนมายุได้ 4 พรรษา เสด็จเข้าศึกษาที่โรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัยจนถึงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2476 จึงเสด็จพระราชดำเนินไปประทับ ณ เมืองโลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ พร้อมด้วยพระบรมราชชนนีพระเชษฐภคินีและสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชเพื่อการศึกษาและพระพลานามัยของสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช จากนั้นทรงเข้าศึกษาต่อชั้นประถมศึกษา ณ โรงเรียนเมียร์มองต์ เมืองโลซาน ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2477 ทรงศึกษาวิชาภาษาฝรั่งเศส ภาษาเยอรมัน และภาษาอังกฤษ แล้วทรงเข้าชั้นมัธยมศึกษา ณ เอกอลนูแวลเดอลาซุอิสรอม็องด์ (École Nouvelle de la Suisse Romande) เมืองชายี-ซูร์-โลซาน (Chailly-sur-Lausanne) สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ รัชกาลที่ 8 (ซ้าย) และเจ้าฟ้าชายภูมิพล (ขวา) เสด็จพระราชดำเนินไปชมรถไฟจำลองที่สวนสราญรมย์ ที่กรุงเทพมหานคร ใน พ.ศ. 2481 เมื่อพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล สมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช เสด็จขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 8 แห่งราชวงศ์จักรี พระองค์ก็ได้รับการสถาปนาฐานันดรศักดิ์เป็น สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพล อดุลเดช เมื่อได้รับพระราชทานนาม มีพระเชษฐภคินีและสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช 2 พระองค์ คือ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ และพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร ซึ่งสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงออกพระนามเรียกพระองค์เป็นการลำลองว่า "เล็ก"[16][17] พระนามภูมิพลอดุลเดชนั้นพระบรมราชชนนีได้รับพระราชทานทางโทรเลขจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2470 โดยทรงกำกับตัวสะกดเป็นอักษรโรมันว่า "Bhumibala Aduladeja" ทำให้สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีทรงเข้าพระทัยว่าได้รับพระราชทานนามพระโอรสว่า "ภูมิบาล"[16] ในระยะแรกพระนามของพระองค์สะกดเป็นภาษาไทยว่า "ภูมิพลอดุลเดช" ต่อมา พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรเองทรงเขียนว่า "ภูมิพลอดุลยเดช" โดยทรงเขียนทั้งสองแบบสลับกันไป จนมาทรงนิยมใช้แบบหลังซึ่งมีตัว "ย" สะกด[16][18] พระนามของพระองค์มีความหมายว่า ภูมิพล - ภูมิ หมายความว่า "แผ่นดิน" และ พล หมายความว่า "พลัง" รวมกันแล้วหมายถึง "พลังแห่งแผ่นดิน" อดุลยเดช - อดุลย หมายความว่า "ไม่อาจเทียบได้" และ เดช หมายความว่า "อำนาจ" รวมกันแล้วหมายถึง "อำนาจที่ไม่อาจเทียบได้"[19] เมื่อ พ.ศ. 2471 ได้เสด็จกลับสู่ประเทศไทยพร้อมพระบรมราชชนก ซึ่งทรงสำเร็จการศึกษาปริญญาแพทยศาสตรบัณฑิตเกียรตินิยมจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐ พร้อมด้วยสมเด็จพระบรมราชชนนี สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ และสมเด็จพระเชษฐาธิราช โดยประทับ ณ วังสระปทุม ต่อมาวันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2472 สมเด็จพระบรมราชชนกสวรรคต ขณะที่พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มีพระชนมายุไม่ถึงสองพรรษา การศึกษา พ.ศ. 2475 เมื่อเจริญพระชนมายุได้ 4 พรรษา เสด็จเข้าศึกษาที่โรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัยจนถึงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2476 จึงเสด็จพระราชดำเนินไปประทับ ณ เมืองโลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ พร้อมด้วยพระบรมราชชนนีพระเชษฐภคินีและสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชเพื่อการศึกษาและพระพลานามัยของสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช จากนั้นทรงเข้าศึกษาต่อชั้นประถมศึกษา ณ โรงเรียนเมียร์มองต์ เมืองโลซาน ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2477 ทรงศึกษาวิชาภาษาฝรั่งเศส ภาษาเยอรมัน และภาษาอังกฤษ แล้วทรงเข้าชั้นมัธยมศึกษา ณ เอกอลนูแวลเดอลาซุอิสรอม็องด์ (École Nouvelle de la Suisse Romande) เมืองชายี-ซูร์-โลซาน (Chailly-sur-Lausanne) สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ รัชกาลที่ 8 (ซ้าย) และเจ้าฟ้าชายภูมิพล (ขวา) เสด็จพระราชดำเนินไปชมรถไฟจำลองที่สวนสราญรมย์ ที่กรุงเทพมหานคร ใน พ.ศ. 2481 เมื่อพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล สมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช เสด็จขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 8 แห่งราชวงศ์จักรี พระองค์ก็ได้รับการสถาปนาฐานันดรศักดิ์เป็น สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพล อดุลเดช เมื่อได้รับพระราชทานนาม มีพระเชษฐภคินีและสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช 2 พระองค์ คือ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ และพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร ซึ่งสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงออกพระนามเรียกพระองค์เป็นการลำลองว่า "เล็ก"[16][17] พระนามภูมิพลอดุลเดชนั้นพระบรมราชชนนีได้รับพระราชทานทางโทรเลขจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2470 โดยทรงกำกับตัวสะกดเป็นอักษรโรมันว่า "Bhumibala Aduladeja" ทำให้สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีทรงเข้าพระทัยว่าได้รับพระราชทานนามพระโอรสว่า "ภูมิบาล"[16] ในระยะแรกพระนามของพระองค์สะกดเป็นภาษาไทยว่า "ภูมิพลอดุลเดช" ต่อมา พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรเองทรงเขียนว่า "ภูมิพลอดุลยเดช" โดยทรงเขียนทั้งสองแบบสลับกันไป จนมาทรงนิยมใช้แบบหลังซึ่งมีตัว "ย" สะกด[16][18] พระนามของพระองค์มีความหมายว่า ภูมิพล - ภูมิ หมายความว่า "แผ่นดิน" และ พล หมายความว่า "พลัง" รวมกันแล้วหมายถึง "พลังแห่งแผ่นดิน" อดุลยเดช - อดุลย หมายความว่า "ไม่อาจเทียบได้" และ เดช หมายความว่า "อำนาจ" รวมกันแล้วหมายถึง "อำนาจที่ไม่อาจเทียบได้"[19] เมื่อ พ.ศ. 2471 ได้เสด็จกลับสู่ประเทศไทยพร้อมพระบรมราชชนก ซึ่งทรงสำเร็จการศึกษาปริญญาแพทยศาสตรบัณฑิตเกียรตินิยมจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐ พร้อมด้วยสมเด็จพระบรมราชชนนี สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ และสมเด็จพระเชษฐาธิราช โดยประทับ ณ วังสระปทุม ต่อมาวันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2472 สมเด็จพระบรมราชชนกสวรรคต ขณะที่พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มีพระชนมายุไม่ถึงสองพรรษา การศึกษา พ.ศ. 2475 เมื่อเจริญพระชนมายุได้ 4 พรรษา เสด็จเข้าศึกษาที่โรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัยจนถึงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2476 จึงเสด็จพระราชดำเนินไปประทับ ณ เมืองโลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ พร้อมด้วยพระบรมราชชนนีพระเชษฐภคินีและสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชเพื่อการศึกษาและพระพลานามัยของสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช จากนั้นทรงเข้าศึกษาต่อชั้นประถมศึกษา ณ โรงเรียนเมียร์มองต์ เมืองโลซาน ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2477 ทรงศึกษาวิชาภาษาฝรั่งเศส ภาษาเยอรมัน และภาษาอังกฤษ แล้วทรงเข้าชั้นมัธยมศึกษา ณ เอกอลนูแวลเดอลาซุอิสรอม็องด์ (École Nouvelle de la Suisse Romande) เมืองชายี-ซูร์-โลซาน (Chailly-sur-Lausanne) สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ รัชกาลที่ 8 (ซ้าย) และเจ้าฟ้าชายภูมิพล (ขวา) เสด็จพระราชดำเนินไปชมรถไฟจำลองที่สวนสราญรมย์ ที่กรุงเทพมหานคร ใน พ.ศ. 2481 เมื่อพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล สมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช เสด็จขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 8 แห่งราชวงศ์จักรี พระองค์ก็ได้รับการสถาปนาฐานันดรศักดิ์เป็น สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพล อดุลเดช เมื่อได้รับพระราชทานนาม มีพระเชษฐภคินีและสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช 2 พระองค์ คือ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ และพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร ซึ่งสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงออกพระนามเรียกพระองค์เป็นการลำลองว่า "เล็ก"[16][17] พระนามภูมิพลอดุลเดชนั้นพระบรมราชชนนีได้รับพระราชทานทางโทรเลขจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2470 โดยทรงกำกับตัวสะกดเป็นอักษรโรมันว่า "Bhumibala Aduladeja" ทำให้สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีทรงเข้าพระทัยว่าได้รับพระราชทานนามพระโอรสว่า "ภูมิบาล"[16] ในระยะแรกพระนามของพระองค์สะกดเป็นภาษาไทยว่า "ภูมิพลอดุลเดช" ต่อมา พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรเองทรงเขียนว่า "ภูมิพลอดุลยเดช" โดยทรงเขียนทั้งสองแบบสลับกันไป จนมาทรงนิยมใช้แบบหลังซึ่งมีตัว "ย" สะกด[16][18] พระนามของพระองค์มีความหมายว่า ภูมิพล - ภูมิ หมายความว่า "แผ่นดิน" และ พล หมายความว่า "พลัง" รวมกันแล้วหมายถึง "พลังแห่งแผ่นดิน" อดุลยเดช - อดุลย หมายความว่า "ไม่อาจเทียบได้" และ เดช หมายความว่า "อำนาจ" รวมกันแล้วหมายถึง "อำนาจที่ไม่อาจเทียบได้"[19] เมื่อ พ.ศ. 2471 ได้เสด็จกลับสู่ประเทศไทยพร้อมพระบรมราชชนก ซึ่งทรงสำเร็จการศึกษาปริญญาแพทยศาสตรบัณฑิตเกียรตินิยมจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐ พร้อมด้วยสมเด็จพระบรมราชชนนี สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ และสมเด็จพระเชษฐาธิราช โดยประทับ ณ วังสระปทุม ต่อมาวันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2472 สมเด็จพระบรมราชชนกสวรรคต ขณะที่พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มีพระชนมายุไม่ถึงสองพรรษา การศึกษา พ.ศ. 2475 เมื่อเจริญพระชนมายุได้ 4 พรรษา เสด็จเข้าศึกษาที่โรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัยจนถึงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2476 จึงเสด็จพระราชดำเนินไปประทับ ณ เมืองโลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ พร้อมด้วยพระบรมราชชนนีพระเชษฐภคินีและสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชเพื่อการศึกษาและพระพลานามัยของสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช จากนั้นทรงเข้าศึกษาต่อชั้นประถมศึกษา ณ โรงเรียนเมียร์มองต์ เมืองโลซาน ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2477 ทรงศึกษาวิชาภาษาฝรั่งเศส ภาษาเยอรมัน และภาษาอังกฤษ แล้วทรงเข้าชั้นมัธยมศึกษา ณ เอกอลนูแวลเดอลาซุอิสรอม็องด์ (École Nouvelle de la Suisse Romande) เมืองชายี-ซูร์-โลซา น (Chailly-sur-Lausanne)
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 905 มุมมอง 91 0 รีวิว
  • วิพากษ์หนังสือ “ในนามความมั่นคงภายในฯ” (1)

    หลังจากได้อ่านหนังสือ ในนามความมั่นคงภายในฯ ซึ่งเขียนโดยอาจารย์พวงทอง ภวัครพันธุ์ แล้ว ขออนุญาตใช้เสรีภาพทางวิชาการ วิพากษ์หนังสือเล่มนี้นะครับ

    ประเด็นแรกต้องกล่าวถึงคือ แนวคิดและทฤษฎีที่นำมาใช้ในงานวิจัย จากที่อ่านนั้น อาจารย์พวงทองไม่ได้กล่าวถึงแนวคิดทฤษฎีใดเป็นรายทฤษฎีโดยเฉพาะ ต้องแกะจากเนื้อหา ส่วนที่อาจารย์พวงทองได้กล่าวถึงในการชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมืองฯ นั้นได้เอ่ยถึงเพียงแค่ทฤษฎี Civil Control ในสังคมประชาธิปไตยเท่านั้น [1]

    จากที่แกะจากเนื้อหาจะเห็นร่องรอยแนวคิดหลักสำคัญแนวคิดแรก คือ แนวคิดเรื่องชุมชนจินตกรรมของเบเนดิกซ์ แอนเดอร์สัน ซึ่งส่งต่ออิทธิพลแนวคิดให้กับปัญญาชนไทยอย่าง นิธิ เอียวศรีวงศ์, ธงชัย วินิจจะกูล รวมถึง เกษียรเตชะพีระ จนก่อเกิดเป็นงานเขียนซึ่งเกษียรได้ระบุว่าประยุกต์ต่อยอดและพัฒนาแนวคิดชุมชนจินตกรรมหลายเล่ม[2] เล่มที่น่าสนใจคืองาน Siam Mapped : A History of the Geo-Body of a Nation ของธงชัย วินิจจะกูล ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยโดย อ.พวงทอง และคณะ

    แนวความคิดชุมชนจินตกรรม คือ “ความเป็นชาติ และชาตินิยมนั้นเป็นสิ่งประดิษฐ์เฉพาะทางวัตนธรรมอย่างหนึ่ง”[3] ซึ่งนักวิชาการไทยนำมาต่อยอดว่ากระบวนการสร้างชาตินั้นใช้ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมเป็นเครื่องมือในการสร้างชาติ

    ร่องรอยเหล่านี้ปรากฎอยู่ในวลี อุดมการณ์ราชาชาตินิยม ซึ่งปรากฎอยู่หลายต่อหลายครั้งในหนังสือ รวมทั้งประโยคที่ว่า “แม้ว่าชนชั้นนำอนุรักษ์นิยมจะเชื่อมั่นในวิธีการครอบงำเชิงอุดมการณ์ที่พวกเขาดำเนินมาเกินศตวรรษ”[4]

    ธงชัยได้เขียนไว้ในหนังสือออกนอกขนบประวัติศาสตร์ไทยว่า “...ประวัติศาตร์แบบราชาชาตินิยมที่แพร่หลายครอบงำสังคมไทย หรือเป็น ขนบ (Convention) ของความรู้ประวัติศาสตร์ของไทยในยุคปัจจุบัน มิใช่การไต่สวนค้นคว้าเพื่ออธิบายอดีตหรือปัจจุบันอย่างรอบคอบ แต่เป็นประวัติศาสตร์เพื่อปลูกฝังความเชื่อและศรัทธาชุดหนึ่งที่ไม่พึงสงสัย และตอกย้ำซ้ำแล้วซ้ำอีก [5]

    ร่องรอยอิทธิพลแนวคิดชุมชนจินตกรรมอีกประการคือ จากหนังสือชาติไทย, เมืองไทย,แบบเรียน และอนุสาวรีย์ มีประเด็นหนึ่งที่ใกล้เคียงกับแนวคิดของหนังสือ อ.พวงทองก็คือ นิธิ ได้กล่าวไว้ว่า “ชนชั้นนำทางอำนาจมีความชอบธรรมจะดำรงฐานะนั้นอยู่ได้ก็เพื่อปกป้องชาติจากศัตรู เมื่อใดที่หาศัตรูให้แก่ชาติไม่ได้ ชนชั้นนำก็หาเหตุผลที่จะดำรงสถานะนั้นไว้ได้ยากขึ้น”[6]

    ส่วน อ.พวงทอง นั้นได้กล่าวว่า “ไม่ใช่การป้องกันภัยคุกคามจากภายนอกประเทศหรอก แต่คือภารกิจการป้องกันความมั่นคงภายในประเทศต่างหากที่เป็นสารัตถะ เป็นเหตุผลของการดำรงอยู่ (raison d'être) ของกองทัพไทย” [7]

    จากอิทธิพลแนวคิดของ นิธิ ได้ทำให้ อ.พวงทองได้สรุปในตอนท้ายว่า “กอ.รมน. ถูกสร้างขึ้นเพื่อรับมือกับภัยคอมมิวนิสต์ เพื่อ พคท.พ่ายแพ้ลงแล้ว กอ.รมน. ก็ควรถูกยกเลิกไปด้วย แต่กองทัพและชนชั้นนำจารีตกลับช่วยกันสร้างสภาวะยกเว้นใหม่ๆขึ้นมา สร้างภัยคุกคามความมั่นคงของชาติตัวใหม่ขึ้นมา และผลักดันกฏหมายฉบับใหม่ที่ให้อำนาจกับ กอ.รมน.มากขึ้น”[8]

    ทฤษฎีที่สองที่พบจากหนังสือเล่มนี้ คือ ทฤษฎีวิพากษ์ (Critical Theory) ซึ่งธงชัย วินิจจะกูลได้เขียนไว้ว่า เขาได้รับอิทธิพลของทฤษฎีวิพากษ์ยุคหลังมาร์กซ์ (post-Marxist critical theories) ซึ่งเป็นกลุ่มความคิดที่ท้าทายขนบที่สุด และตนมีประสบการณ์กับความโหดร้ายของประวัติศาตร์ตามขนบราชาชาตินิยม จึงตั้งความปราถนาที่จะรื้อสร้างประวัติศาสตร์ไทยกันใหม่ [9]

    งานที่ธงชัยพยายามท้าทายรื้อประวัติศาสตร์แบบราชาชาตินิยมแบ่งเป็น 3 ประเภท อย่างแรกได้แก่ หนังสือ Siam Mapped อย่างที่สองรวมอยู่ในหนังสือ “โฉมหน้าราชาชาตินิยม” และอย่างที่สาม คือบทความที่แนะนำวิธีวิทยาและแนวคิดต่างๆที่ท้าทายประวัติศาสตร์แบบราชาชาตินิยม [10]

    จำกันได้มั้ยครับใครคือผู้แปลหนังสือเรื่อง Siam Mapped จึงไม่ต้องสงสัยว่าทำไมจึงมีคำว่า “ราชาชาตินิยม” ปรากฎอยู่หลายที่ในหนังสือในนามความมั่นคงฯ

    แต่ในฐานะที่งานเรื่องนี้ เป็นงานวิจัยด้านความมั่นคง เราคงไม่สามารถมองโลกด้วยแว่นชุมชนจินตกรรมและทฤษฎีวิพากษ์เท่านั้นครับ

    ทฤษฎี หรือ แนวคิดที่ควรศึกษาแต่ว่าขาดหายไป มีอยู่หลายแนวคิด เช่น

    แนวคิดความมั่นคงแบบองค์รวม (Comprehensive Security) เป็นแนวคิดที่ขยายขอบเขตมุมมองด้านความมั่นคงให้ครอบคลุมมากกว่ามิติทางการทหาร แต่ยังรวมถึงมิติด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และการเมือง [11]

    โดย Richard H. Ullman (1983) ในปี 1983 เป็นคนแรก ๆ ที่กล่าวถึงการขยายขอบเขตของความท้าทายด้านความมั่นคงออกไปจากภัยคุกคามทางทหาร ในบทความวิชาการที่ชื่อว่า “Redefining Security” [12]

    แนวคิดนี้แทบจะเป็นแนวคิดหลักในสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ดูจากวารสารมุมมองด้านความมั่นคง[13] จะพบแนวคิด Comprehensive Security เยอะมาก

    หาก อ.พวงทองศึกษาเรื่องนี้สักนิดคงไม่สรุปว่า กองทัพและชนชั้นนำจารีตช่วยกันสร้างภัยคุกคามความมั่นคงของชาติตัวใหม่ขึ้นมา เพราะแนวคิดภัยคุกคามที่ว่านี้ Richard H. Ullman เป็นคนแรกๆที่นำเสนอครับ

    นอกจากนั้นแล้วงานวิจัยชิ้นนี้ยังไม่กล่าวถึงผลกระทบจากปัจจัยภายนอกเช่นการแข่งขันกันของจีนกับสหรัฐฯที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงภายใน ซึ่งมีแนวคิดที่สำคัญเช่น ความโกลาหลที่ควบคุมได้ (Controlled Chaos) ซึ่งถูกพัฒนาโดยหน่วยงานวิจัยเชิงยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ เช่น RAND Corporation ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความไม่เสถียรหรือความวุ่นวายในระบบสังคมและการเมืองของประเทศเป้าหมาย แต่ยังคงมีการควบคุมผลลัพธ์เพื่อให้เกิดประโยชน์ตามที่ต้องการ ซึ่งการเข้าไปแทรกแซงประกอบด้วย การสนับสนุนองค์กรภาคประชาสังคม (NGOs) สื่อมวลชนที่เป็นอิสระ และการให้ทุนวิจัยในสาขาสังคมศาสตร์ ซึ่งการให้ทุนนี้มักมุ่งสร้างเนื้อหาที่เป็นเชิงลบต่อรัฐบาล ซึ่งสิ่งเหล่านี้เคยเกิดขึ้นในห้วงการปฏิวัติสี และที่รัสเซีย [14]

    อีกทั้งการปฏิบัติการในพื้นที่สีเทาของสหรัฐฯ ก็ยืนยันแนวคิดนี้ เนื่องจากหน่วยรบพิเศษของสหรัฐฯมีภารกิจในการค้ำยันบัลลังก์ของผู้นำประเทศที่คล้อยตามนโยบายสหรัฐฯ แต่จะโค่นบัลลังก์ของผู้นำประเทศที่ไม่สนับสนุนนโยบาย ซึ่งจากเดิมนั้นจะสนับสนุนกองโจรเป็นหลักในการเคลื่อนไหวล้มล้าง แต่หลังจากการปฏิวัติบูลโดเซอร์ สหรัฐฯได้หันมาสนับสนุนขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมแทน เนื่องจากได้ผลและเป็นที่ยอมรับจากนานาประเทศมากกว่า[15]

    หากศึกษาแนวคิดเหล่านี้จะเห็นภาพของการแทรกแซงจากต่างชาติเพื่อเข้ามาบ่อนทำลายความมั่นคงภายในของประเทศ การตีความข้อมูลเท่าที่มีแล้วสรุปผลว่า กองทัพและชนชั้นนำจารีตช่วยกันสร้างภัยคุกคามความมั่นคงของชาติตัวใหม่ขึ้นมา นั้นย่อมเป็นการตีความที่ไม่ได้สำรวจจากมุมมองที่หลากหลาย แต่เป็นการตีความจากมุมมองชุมชนจินตกรรมและทฤษฎีวิพากษ์เท่านั้น

    การตีความข้อมูลนั้นเป็นเสรีของนักวิจัยก็จริง แต่ก่อนจะตีความ นักวิจัยควรสำรวจข้อมูลที่มี ว่ามีทั้งข้อดีและข้อเสีย ครบถ้วนรอบด้านแล้วหรือยัง

    งานวิจัยชิ้นนี้ที่เสนอยุบกอ.รมน.โดยไม่ได้ศึกษาทฤษฎีความมั่นคงอย่างรอบด้าน ก็คล้ายกับคนที่เสนอให้เลิกดื่มกาแฟ โดยฉายภาพให้เห็นเฉพาะข้อเสียของกาแฟ แต่ไม่กล่าวถึงข้อดี

    งานชิ้นนี้จึงไม่ต่างไปจากการผลิตซ้ำอุดมการณ์ของนิธิ เอียวศรีวงศ์ กับ ธงชัย วินิจจะกูลสักเท่าไหร่

    ยังมีอีกหลายประเด็นเอาไว้ว่ากันต่อในโพสหน้าครับ

    ---

    อ้างอิง

    [1] พวงทอง ภวัครพันธุ์ VS กอ.รมน. เผชิญหน้า ถกปมหนังสือ ในนามของความมั่นคงภายใน, Matichon TV, (นาทีที่ 17:50), https://youtu.be/W2fQ0NrKoqA?si=SgJpjHhEliaNz8vH (เข้าถึงเมื่อ 3 ตุลาคม 2567).

    [2] เกษียร เตชะพีระ, จินตนากรรมที่แปลกแยกจากชุมชน (2), มติชนสุดสัปดาห์, 14 ธันวาคม 2566, https://www.matichonweekly.com/column/article_730383 (เข้าถึงเมื่อ 3 ตุลาคม 2567).

    [3] Benedict Anderson, Imagined Communities, London, Verso, 1983, หน้า 13. อ้างถึงใน นิธิ เอียวศรีวงศ์, ชาติไทย, เมืองไทย, แบบเรียน และอนุสาวรีย์, พิมพ์ครั้งที่ 5 (กรุงเทพฯ: มติชน, 2564), หน้า 40.

    [4] พวงทอง ภวัครพันธุ์, ในนามความมั่นคงภายใน: การแทรกซึมสังคมของกองทัพไทย (นนทบุรี: ฟ้าเดียวกัน, 2567), หน้า 199.

    [5] ธงชัย วินิจจะกูล, ออกนอกขนบประวัติศาสตร์ไทย (นนทบุรี: ฟ้าเดียวกัน, 2562), หน้า 5.

    [6] นิธิ เอียวศรีวงศ์, ชาติไทย, เมืองไทย, แบบเรียน และอนุสาวรีย์, พิมพ์ครั้งที่ 5 (กรุงเทพฯ: มติชน, 2564), หน้า 149.

    [7] พวงทอง ภวัครพันธุ์, ในนามความมั่นคงภายใน: การแทรกซึมสังคมของกองทัพไทย, หน้า 14.

    [8] เรื่องเดียวกัน, หน้า 220.

    [9] ธงชัย วินิจจะกูล, ออกนอกขนบประวัติศาสตร์ไทย, หน้า 8.

    [10] เรื่องเดียวกัน, หน้า 10.

    [11] ดวงมน สุขสมาน, "แนวทางการสร้างความมั่นคงของไทยต่อกลุ่มประเทศ CLMV," วารสารมุมมองความมั่นคง, ฉบับที่ 14 (ตุลาคม 2566-มกราคม 2567), หน้า 30, https://www.nsc.go.th/wp-content/uploads/Journal/article-01403.pdf (เข้าถึงเมื่อ 3 ตุลาคม 2567).

    [12] จารุพล เรืองสุวรรณ, ทบทวนแนวโน้มสถานการณ์ความมั่นคงของโลก สิ่งที่ไทยควรตระหนักและเตรียมการรับมือ, สถาบันวิจัยดิเรก ชัยนาม, 2 มิถุนายน 2564, http://www.polsci.tu.ac.th/direk/view.aspx?id=505&Keyword=%e0%b8%84%e0%b8%a7%e0%b8%b2%e0%b8%a1%e0%b8%a1%e0%b8%b1%e0%b9%88%e0%b8%99%e0%b8%84 (เข้าถึงเมื่อ 3 ตุลาคม 2567).

    [13] ศึกษาวารสารมุมมองความมั่นคงได้ที่ https://www.nsc.go.th/ebook-%e0%b8%a7%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%aa%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%84%e0%b8%a7%e0%b8%b2%e0%b8%a1%e0%b8%a1%e0%b8%b1%e0%b9%88%e0%b8%99%e0%b8%84%e0%b8%87/ (เข้าถึงเมื่อ 3 ตุลาคม 2567).

    [14] A.S. Brychkov and G.A. Nikonorov, "Color Revolutions," Journal of the Academy of Military Science (Russia), แปลโดย Boris Vainer, https://www.armyupress.army.mil/Portals/7/Hot%20Spots/Documents/Russia/Color-Revolutions-Brychkov-Nikonorov.pdf (เข้าถึงเมื่อ 3 ตุลาคม 2567).

    [15] Joseph L. Votel, Charles T. Cleveland, Charles T. Connett, and Will Irwin, "Unconventional Warfare in the Gray Zone," Joint Force Quarterly, NDU Press, ฉบับที่ 80, ไตรมาสที่ 1 ปี 2016, หน้า 101-109, https://ndupress.ndu.edu/JFQ/Joint-Force-Quarterly-80/article/643108/unconventional-warfare-in-the-gray-zone/ (เข้าถึงเมื่อ 3 ตุลาคม 2567).

    ---


    ต. ตุลยากร
    วิพากษ์หนังสือ “ในนามความมั่นคงภายในฯ” (1) หลังจากได้อ่านหนังสือ ในนามความมั่นคงภายในฯ ซึ่งเขียนโดยอาจารย์พวงทอง ภวัครพันธุ์ แล้ว ขออนุญาตใช้เสรีภาพทางวิชาการ วิพากษ์หนังสือเล่มนี้นะครับ ประเด็นแรกต้องกล่าวถึงคือ แนวคิดและทฤษฎีที่นำมาใช้ในงานวิจัย จากที่อ่านนั้น อาจารย์พวงทองไม่ได้กล่าวถึงแนวคิดทฤษฎีใดเป็นรายทฤษฎีโดยเฉพาะ ต้องแกะจากเนื้อหา ส่วนที่อาจารย์พวงทองได้กล่าวถึงในการชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมืองฯ นั้นได้เอ่ยถึงเพียงแค่ทฤษฎี Civil Control ในสังคมประชาธิปไตยเท่านั้น [1] จากที่แกะจากเนื้อหาจะเห็นร่องรอยแนวคิดหลักสำคัญแนวคิดแรก คือ แนวคิดเรื่องชุมชนจินตกรรมของเบเนดิกซ์ แอนเดอร์สัน ซึ่งส่งต่ออิทธิพลแนวคิดให้กับปัญญาชนไทยอย่าง นิธิ เอียวศรีวงศ์, ธงชัย วินิจจะกูล รวมถึง เกษียรเตชะพีระ จนก่อเกิดเป็นงานเขียนซึ่งเกษียรได้ระบุว่าประยุกต์ต่อยอดและพัฒนาแนวคิดชุมชนจินตกรรมหลายเล่ม[2] เล่มที่น่าสนใจคืองาน Siam Mapped : A History of the Geo-Body of a Nation ของธงชัย วินิจจะกูล ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยโดย อ.พวงทอง และคณะ แนวความคิดชุมชนจินตกรรม คือ “ความเป็นชาติ และชาตินิยมนั้นเป็นสิ่งประดิษฐ์เฉพาะทางวัตนธรรมอย่างหนึ่ง”[3] ซึ่งนักวิชาการไทยนำมาต่อยอดว่ากระบวนการสร้างชาตินั้นใช้ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมเป็นเครื่องมือในการสร้างชาติ ร่องรอยเหล่านี้ปรากฎอยู่ในวลี อุดมการณ์ราชาชาตินิยม ซึ่งปรากฎอยู่หลายต่อหลายครั้งในหนังสือ รวมทั้งประโยคที่ว่า “แม้ว่าชนชั้นนำอนุรักษ์นิยมจะเชื่อมั่นในวิธีการครอบงำเชิงอุดมการณ์ที่พวกเขาดำเนินมาเกินศตวรรษ”[4] ธงชัยได้เขียนไว้ในหนังสือออกนอกขนบประวัติศาสตร์ไทยว่า “...ประวัติศาตร์แบบราชาชาตินิยมที่แพร่หลายครอบงำสังคมไทย หรือเป็น ขนบ (Convention) ของความรู้ประวัติศาสตร์ของไทยในยุคปัจจุบัน มิใช่การไต่สวนค้นคว้าเพื่ออธิบายอดีตหรือปัจจุบันอย่างรอบคอบ แต่เป็นประวัติศาสตร์เพื่อปลูกฝังความเชื่อและศรัทธาชุดหนึ่งที่ไม่พึงสงสัย และตอกย้ำซ้ำแล้วซ้ำอีก [5] ร่องรอยอิทธิพลแนวคิดชุมชนจินตกรรมอีกประการคือ จากหนังสือชาติไทย, เมืองไทย,แบบเรียน และอนุสาวรีย์ มีประเด็นหนึ่งที่ใกล้เคียงกับแนวคิดของหนังสือ อ.พวงทองก็คือ นิธิ ได้กล่าวไว้ว่า “ชนชั้นนำทางอำนาจมีความชอบธรรมจะดำรงฐานะนั้นอยู่ได้ก็เพื่อปกป้องชาติจากศัตรู เมื่อใดที่หาศัตรูให้แก่ชาติไม่ได้ ชนชั้นนำก็หาเหตุผลที่จะดำรงสถานะนั้นไว้ได้ยากขึ้น”[6] ส่วน อ.พวงทอง นั้นได้กล่าวว่า “ไม่ใช่การป้องกันภัยคุกคามจากภายนอกประเทศหรอก แต่คือภารกิจการป้องกันความมั่นคงภายในประเทศต่างหากที่เป็นสารัตถะ เป็นเหตุผลของการดำรงอยู่ (raison d'être) ของกองทัพไทย” [7] จากอิทธิพลแนวคิดของ นิธิ ได้ทำให้ อ.พวงทองได้สรุปในตอนท้ายว่า “กอ.รมน. ถูกสร้างขึ้นเพื่อรับมือกับภัยคอมมิวนิสต์ เพื่อ พคท.พ่ายแพ้ลงแล้ว กอ.รมน. ก็ควรถูกยกเลิกไปด้วย แต่กองทัพและชนชั้นนำจารีตกลับช่วยกันสร้างสภาวะยกเว้นใหม่ๆขึ้นมา สร้างภัยคุกคามความมั่นคงของชาติตัวใหม่ขึ้นมา และผลักดันกฏหมายฉบับใหม่ที่ให้อำนาจกับ กอ.รมน.มากขึ้น”[8] ทฤษฎีที่สองที่พบจากหนังสือเล่มนี้ คือ ทฤษฎีวิพากษ์ (Critical Theory) ซึ่งธงชัย วินิจจะกูลได้เขียนไว้ว่า เขาได้รับอิทธิพลของทฤษฎีวิพากษ์ยุคหลังมาร์กซ์ (post-Marxist critical theories) ซึ่งเป็นกลุ่มความคิดที่ท้าทายขนบที่สุด และตนมีประสบการณ์กับความโหดร้ายของประวัติศาตร์ตามขนบราชาชาตินิยม จึงตั้งความปราถนาที่จะรื้อสร้างประวัติศาสตร์ไทยกันใหม่ [9] งานที่ธงชัยพยายามท้าทายรื้อประวัติศาสตร์แบบราชาชาตินิยมแบ่งเป็น 3 ประเภท อย่างแรกได้แก่ หนังสือ Siam Mapped อย่างที่สองรวมอยู่ในหนังสือ “โฉมหน้าราชาชาตินิยม” และอย่างที่สาม คือบทความที่แนะนำวิธีวิทยาและแนวคิดต่างๆที่ท้าทายประวัติศาสตร์แบบราชาชาตินิยม [10] จำกันได้มั้ยครับใครคือผู้แปลหนังสือเรื่อง Siam Mapped จึงไม่ต้องสงสัยว่าทำไมจึงมีคำว่า “ราชาชาตินิยม” ปรากฎอยู่หลายที่ในหนังสือในนามความมั่นคงฯ แต่ในฐานะที่งานเรื่องนี้ เป็นงานวิจัยด้านความมั่นคง เราคงไม่สามารถมองโลกด้วยแว่นชุมชนจินตกรรมและทฤษฎีวิพากษ์เท่านั้นครับ ทฤษฎี หรือ แนวคิดที่ควรศึกษาแต่ว่าขาดหายไป มีอยู่หลายแนวคิด เช่น แนวคิดความมั่นคงแบบองค์รวม (Comprehensive Security) เป็นแนวคิดที่ขยายขอบเขตมุมมองด้านความมั่นคงให้ครอบคลุมมากกว่ามิติทางการทหาร แต่ยังรวมถึงมิติด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และการเมือง [11] โดย Richard H. Ullman (1983) ในปี 1983 เป็นคนแรก ๆ ที่กล่าวถึงการขยายขอบเขตของความท้าทายด้านความมั่นคงออกไปจากภัยคุกคามทางทหาร ในบทความวิชาการที่ชื่อว่า “Redefining Security” [12] แนวคิดนี้แทบจะเป็นแนวคิดหลักในสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ดูจากวารสารมุมมองด้านความมั่นคง[13] จะพบแนวคิด Comprehensive Security เยอะมาก หาก อ.พวงทองศึกษาเรื่องนี้สักนิดคงไม่สรุปว่า กองทัพและชนชั้นนำจารีตช่วยกันสร้างภัยคุกคามความมั่นคงของชาติตัวใหม่ขึ้นมา เพราะแนวคิดภัยคุกคามที่ว่านี้ Richard H. Ullman เป็นคนแรกๆที่นำเสนอครับ นอกจากนั้นแล้วงานวิจัยชิ้นนี้ยังไม่กล่าวถึงผลกระทบจากปัจจัยภายนอกเช่นการแข่งขันกันของจีนกับสหรัฐฯที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงภายใน ซึ่งมีแนวคิดที่สำคัญเช่น ความโกลาหลที่ควบคุมได้ (Controlled Chaos) ซึ่งถูกพัฒนาโดยหน่วยงานวิจัยเชิงยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ เช่น RAND Corporation ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความไม่เสถียรหรือความวุ่นวายในระบบสังคมและการเมืองของประเทศเป้าหมาย แต่ยังคงมีการควบคุมผลลัพธ์เพื่อให้เกิดประโยชน์ตามที่ต้องการ ซึ่งการเข้าไปแทรกแซงประกอบด้วย การสนับสนุนองค์กรภาคประชาสังคม (NGOs) สื่อมวลชนที่เป็นอิสระ และการให้ทุนวิจัยในสาขาสังคมศาสตร์ ซึ่งการให้ทุนนี้มักมุ่งสร้างเนื้อหาที่เป็นเชิงลบต่อรัฐบาล ซึ่งสิ่งเหล่านี้เคยเกิดขึ้นในห้วงการปฏิวัติสี และที่รัสเซีย [14] อีกทั้งการปฏิบัติการในพื้นที่สีเทาของสหรัฐฯ ก็ยืนยันแนวคิดนี้ เนื่องจากหน่วยรบพิเศษของสหรัฐฯมีภารกิจในการค้ำยันบัลลังก์ของผู้นำประเทศที่คล้อยตามนโยบายสหรัฐฯ แต่จะโค่นบัลลังก์ของผู้นำประเทศที่ไม่สนับสนุนนโยบาย ซึ่งจากเดิมนั้นจะสนับสนุนกองโจรเป็นหลักในการเคลื่อนไหวล้มล้าง แต่หลังจากการปฏิวัติบูลโดเซอร์ สหรัฐฯได้หันมาสนับสนุนขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมแทน เนื่องจากได้ผลและเป็นที่ยอมรับจากนานาประเทศมากกว่า[15] หากศึกษาแนวคิดเหล่านี้จะเห็นภาพของการแทรกแซงจากต่างชาติเพื่อเข้ามาบ่อนทำลายความมั่นคงภายในของประเทศ การตีความข้อมูลเท่าที่มีแล้วสรุปผลว่า กองทัพและชนชั้นนำจารีตช่วยกันสร้างภัยคุกคามความมั่นคงของชาติตัวใหม่ขึ้นมา นั้นย่อมเป็นการตีความที่ไม่ได้สำรวจจากมุมมองที่หลากหลาย แต่เป็นการตีความจากมุมมองชุมชนจินตกรรมและทฤษฎีวิพากษ์เท่านั้น การตีความข้อมูลนั้นเป็นเสรีของนักวิจัยก็จริง แต่ก่อนจะตีความ นักวิจัยควรสำรวจข้อมูลที่มี ว่ามีทั้งข้อดีและข้อเสีย ครบถ้วนรอบด้านแล้วหรือยัง งานวิจัยชิ้นนี้ที่เสนอยุบกอ.รมน.โดยไม่ได้ศึกษาทฤษฎีความมั่นคงอย่างรอบด้าน ก็คล้ายกับคนที่เสนอให้เลิกดื่มกาแฟ โดยฉายภาพให้เห็นเฉพาะข้อเสียของกาแฟ แต่ไม่กล่าวถึงข้อดี งานชิ้นนี้จึงไม่ต่างไปจากการผลิตซ้ำอุดมการณ์ของนิธิ เอียวศรีวงศ์ กับ ธงชัย วินิจจะกูลสักเท่าไหร่ ยังมีอีกหลายประเด็นเอาไว้ว่ากันต่อในโพสหน้าครับ --- อ้างอิง [1] พวงทอง ภวัครพันธุ์ VS กอ.รมน. เผชิญหน้า ถกปมหนังสือ ในนามของความมั่นคงภายใน, Matichon TV, (นาทีที่ 17:50), https://youtu.be/W2fQ0NrKoqA?si=SgJpjHhEliaNz8vH (เข้าถึงเมื่อ 3 ตุลาคม 2567). [2] เกษียร เตชะพีระ, จินตนากรรมที่แปลกแยกจากชุมชน (2), มติชนสุดสัปดาห์, 14 ธันวาคม 2566, https://www.matichonweekly.com/column/article_730383 (เข้าถึงเมื่อ 3 ตุลาคม 2567). [3] Benedict Anderson, Imagined Communities, London, Verso, 1983, หน้า 13. อ้างถึงใน นิธิ เอียวศรีวงศ์, ชาติไทย, เมืองไทย, แบบเรียน และอนุสาวรีย์, พิมพ์ครั้งที่ 5 (กรุงเทพฯ: มติชน, 2564), หน้า 40. [4] พวงทอง ภวัครพันธุ์, ในนามความมั่นคงภายใน: การแทรกซึมสังคมของกองทัพไทย (นนทบุรี: ฟ้าเดียวกัน, 2567), หน้า 199. [5] ธงชัย วินิจจะกูล, ออกนอกขนบประวัติศาสตร์ไทย (นนทบุรี: ฟ้าเดียวกัน, 2562), หน้า 5. [6] นิธิ เอียวศรีวงศ์, ชาติไทย, เมืองไทย, แบบเรียน และอนุสาวรีย์, พิมพ์ครั้งที่ 5 (กรุงเทพฯ: มติชน, 2564), หน้า 149. [7] พวงทอง ภวัครพันธุ์, ในนามความมั่นคงภายใน: การแทรกซึมสังคมของกองทัพไทย, หน้า 14. [8] เรื่องเดียวกัน, หน้า 220. [9] ธงชัย วินิจจะกูล, ออกนอกขนบประวัติศาสตร์ไทย, หน้า 8. [10] เรื่องเดียวกัน, หน้า 10. [11] ดวงมน สุขสมาน, "แนวทางการสร้างความมั่นคงของไทยต่อกลุ่มประเทศ CLMV," วารสารมุมมองความมั่นคง, ฉบับที่ 14 (ตุลาคม 2566-มกราคม 2567), หน้า 30, https://www.nsc.go.th/wp-content/uploads/Journal/article-01403.pdf (เข้าถึงเมื่อ 3 ตุลาคม 2567). [12] จารุพล เรืองสุวรรณ, ทบทวนแนวโน้มสถานการณ์ความมั่นคงของโลก สิ่งที่ไทยควรตระหนักและเตรียมการรับมือ, สถาบันวิจัยดิเรก ชัยนาม, 2 มิถุนายน 2564, http://www.polsci.tu.ac.th/direk/view.aspx?id=505&Keyword=%e0%b8%84%e0%b8%a7%e0%b8%b2%e0%b8%a1%e0%b8%a1%e0%b8%b1%e0%b9%88%e0%b8%99%e0%b8%84 (เข้าถึงเมื่อ 3 ตุลาคม 2567). [13] ศึกษาวารสารมุมมองความมั่นคงได้ที่ https://www.nsc.go.th/ebook-%e0%b8%a7%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%aa%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%84%e0%b8%a7%e0%b8%b2%e0%b8%a1%e0%b8%a1%e0%b8%b1%e0%b9%88%e0%b8%99%e0%b8%84%e0%b8%87/ (เข้าถึงเมื่อ 3 ตุลาคม 2567). [14] A.S. Brychkov and G.A. Nikonorov, "Color Revolutions," Journal of the Academy of Military Science (Russia), แปลโดย Boris Vainer, https://www.armyupress.army.mil/Portals/7/Hot%20Spots/Documents/Russia/Color-Revolutions-Brychkov-Nikonorov.pdf (เข้าถึงเมื่อ 3 ตุลาคม 2567). [15] Joseph L. Votel, Charles T. Cleveland, Charles T. Connett, and Will Irwin, "Unconventional Warfare in the Gray Zone," Joint Force Quarterly, NDU Press, ฉบับที่ 80, ไตรมาสที่ 1 ปี 2016, หน้า 101-109, https://ndupress.ndu.edu/JFQ/Joint-Force-Quarterly-80/article/643108/unconventional-warfare-in-the-gray-zone/ (เข้าถึงเมื่อ 3 ตุลาคม 2567). --- ต. ตุลยากร
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 260 มุมมอง 0 รีวิว