• เซเลนสกีออกอาการเซ็งหนัก หลัง “ทรัมป์” เสนอแผนสันติภาพให้ยูเครนถอนทหารออกจากดอนบาส เพื่อจัดตั้ง “เขตเศรษฐกิจพิเศษ” โดยไร้หลักประกันว่ารัสเซียจะไม่รุกคืบ ย้ำแผนนี้ไม่เป็นธรรม หากไม่มีการรับรองชัดเจนจากมอสโก และชี้ว่าการยกดินแดนต้องผ่านประชามติของชาวยูเครนเท่านั้น
    .
    ขณะเดียวกัน “มาร์ค รึตเตอร์” เลขาธิการใหญ่นาโต เตือนแรง หากปล่อยให้รัสเซียเดินหน้าในยูเครน ชาติสมาชิกนาโตอาจตกเป็นเป้าหมายต่อไป พร้อมประเมินว่ารัสเซียอาจพร้อมรุกรานยุโรปภายใน 5 ปี เรียกร้องเร่งเพิ่มงบกลาโหมรับมือสงครามใหญ่
    .
    อ่านต่อ >> https://news1live.com/detail/9680000119675
    .
    #News1Live #News1 #ยูเครน #รัสเซีย #ทรัมป์ #เซเลนสกี #นาโต #ดอนบาส #สงครามยุโรป #ภูมิรัฐศาสตร์
    เซเลนสกีออกอาการเซ็งหนัก หลัง “ทรัมป์” เสนอแผนสันติภาพให้ยูเครนถอนทหารออกจากดอนบาส เพื่อจัดตั้ง “เขตเศรษฐกิจพิเศษ” โดยไร้หลักประกันว่ารัสเซียจะไม่รุกคืบ ย้ำแผนนี้ไม่เป็นธรรม หากไม่มีการรับรองชัดเจนจากมอสโก และชี้ว่าการยกดินแดนต้องผ่านประชามติของชาวยูเครนเท่านั้น . ขณะเดียวกัน “มาร์ค รึตเตอร์” เลขาธิการใหญ่นาโต เตือนแรง หากปล่อยให้รัสเซียเดินหน้าในยูเครน ชาติสมาชิกนาโตอาจตกเป็นเป้าหมายต่อไป พร้อมประเมินว่ารัสเซียอาจพร้อมรุกรานยุโรปภายใน 5 ปี เรียกร้องเร่งเพิ่มงบกลาโหมรับมือสงครามใหญ่ . อ่านต่อ >> https://news1live.com/detail/9680000119675 . #News1Live #News1 #ยูเครน #รัสเซีย #ทรัมป์ #เซเลนสกี #นาโต #ดอนบาส #สงครามยุโรป #ภูมิรัฐศาสตร์
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 115 มุมมอง 0 รีวิว
  • จีนกดดันเนเธอร์แลนด์ให้แก้ปัญหาความขัดแย้ง Nexperia

    รัฐบาลจีนเรียกร้องให้เนเธอร์แลนด์เร่งแก้ไขข้อพิพาทเกี่ยวกับบริษัท Nexperia ผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ของดัตช์ที่ถูกควบคุมโดย Wingtech Technology ของจีน หลังจากรัฐบาลเนเธอร์แลนด์เข้ามาแทรกแซงเพื่อป้องกันการถ่ายโอนเทคโนโลยี ทำให้เกิดการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานและการส่งออกชิ้นส่วนสำคัญ

    การแทรกแซงของรัฐและผลกระทบ
    ในเดือนกันยายน รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ใช้กฎหมายยุคสงครามเย็นเพื่อวาง Nexperia ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐ พร้อมระงับสิทธิ์การโหวตของผู้บริหารที่มาจาก Wingtech และแต่งตั้งผู้ดูแลอิสระแทน จีนตอบโต้ด้วยการหยุดการส่งออกชิ้นส่วนที่บรรจุในจีนกลับไปยุโรป ส่งผลให้การผลิตรถยนต์และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ในยุโรปสะดุดทันที

    ความเสี่ยงต่อห่วงโซ่อุปทานโลก
    กว่า 70% ของเวเฟอร์ที่ผลิตในยุโรปโดย Nexperia ต้องถูกส่งไปจีนเพื่อบรรจุและประกอบ เมื่อจีนหยุดส่งออก ทำให้เกิดการค้างสต็อกและใบแจ้งหนี้ที่ไม่ได้รับชำระจำนวนมาก ปัจจุบันทั้งสองฝ่ายผ่อนคลายข้อจำกัดบางส่วน แต่ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาการควบคุมบริษัทได้อย่างถาวร

    บริบทเพิ่มเติมจากอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์
    กรณีนี้สะท้อนถึงความตึงเครียดด้าน ภูมิรัฐศาสตร์และเทคโนโลยี ที่เพิ่มขึ้นระหว่างจีนและยุโรป โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ที่เป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจโลก ขณะเดียวกันบริษัทญี่ปุ่นและเกาหลีใต้กำลังเร่งลงทุนเพื่อสร้างโรงงานใหม่ในประเทศตนเอง เพื่อลดการพึ่งพาห่วงโซ่อุปทานที่เสี่ยงต่อการเมือง

    สรุปสาระสำคัญ
    จีนเรียกร้องให้เนเธอร์แลนด์แก้ปัญหา Nexperia
    หลังการแทรกแซงของรัฐทำให้ห่วงโซ่อุปทานสะดุด

    รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ใช้กฎหมายยุคสงครามเย็น
    ระงับสิทธิ์ผู้บริหารจาก Wingtech และแต่งตั้งผู้ดูแลอิสระ

    จีนตอบโต้ด้วยการหยุดส่งออกชิ้นส่วน
    กระทบการผลิตรถยนต์และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ในยุโรป

    ปัจจุบันผ่อนคลายข้อจำกัดบางส่วน
    แต่ยังไม่แก้ปัญหาการควบคุมบริษัทได้ถาวร

    ความเสี่ยงต่อห่วงโซ่อุปทานโลก
    70% ของเวเฟอร์ยุโรปต้องส่งไปจีนเพื่อบรรจุและประกอบ

    ความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์
    อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/china-presses-netherlands-to-resolve-nexperia-dispute-as-supply-concerns-grow
    🇨🇳 จีนกดดันเนเธอร์แลนด์ให้แก้ปัญหาความขัดแย้ง Nexperia รัฐบาลจีนเรียกร้องให้เนเธอร์แลนด์เร่งแก้ไขข้อพิพาทเกี่ยวกับบริษัท Nexperia ผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ของดัตช์ที่ถูกควบคุมโดย Wingtech Technology ของจีน หลังจากรัฐบาลเนเธอร์แลนด์เข้ามาแทรกแซงเพื่อป้องกันการถ่ายโอนเทคโนโลยี ทำให้เกิดการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานและการส่งออกชิ้นส่วนสำคัญ 🏛️ การแทรกแซงของรัฐและผลกระทบ ในเดือนกันยายน รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ใช้กฎหมายยุคสงครามเย็นเพื่อวาง Nexperia ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐ พร้อมระงับสิทธิ์การโหวตของผู้บริหารที่มาจาก Wingtech และแต่งตั้งผู้ดูแลอิสระแทน จีนตอบโต้ด้วยการหยุดการส่งออกชิ้นส่วนที่บรรจุในจีนกลับไปยุโรป ส่งผลให้การผลิตรถยนต์และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ในยุโรปสะดุดทันที ⚡ ความเสี่ยงต่อห่วงโซ่อุปทานโลก กว่า 70% ของเวเฟอร์ที่ผลิตในยุโรปโดย Nexperia ต้องถูกส่งไปจีนเพื่อบรรจุและประกอบ เมื่อจีนหยุดส่งออก ทำให้เกิดการค้างสต็อกและใบแจ้งหนี้ที่ไม่ได้รับชำระจำนวนมาก ปัจจุบันทั้งสองฝ่ายผ่อนคลายข้อจำกัดบางส่วน แต่ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาการควบคุมบริษัทได้อย่างถาวร 🌐 บริบทเพิ่มเติมจากอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ กรณีนี้สะท้อนถึงความตึงเครียดด้าน ภูมิรัฐศาสตร์และเทคโนโลยี ที่เพิ่มขึ้นระหว่างจีนและยุโรป โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ที่เป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจโลก ขณะเดียวกันบริษัทญี่ปุ่นและเกาหลีใต้กำลังเร่งลงทุนเพื่อสร้างโรงงานใหม่ในประเทศตนเอง เพื่อลดการพึ่งพาห่วงโซ่อุปทานที่เสี่ยงต่อการเมือง 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ จีนเรียกร้องให้เนเธอร์แลนด์แก้ปัญหา Nexperia ➡️ หลังการแทรกแซงของรัฐทำให้ห่วงโซ่อุปทานสะดุด ✅ รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ใช้กฎหมายยุคสงครามเย็น ➡️ ระงับสิทธิ์ผู้บริหารจาก Wingtech และแต่งตั้งผู้ดูแลอิสระ ✅ จีนตอบโต้ด้วยการหยุดส่งออกชิ้นส่วน ➡️ กระทบการผลิตรถยนต์และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ในยุโรป ✅ ปัจจุบันผ่อนคลายข้อจำกัดบางส่วน ➡️ แต่ยังไม่แก้ปัญหาการควบคุมบริษัทได้ถาวร ‼️ ความเสี่ยงต่อห่วงโซ่อุปทานโลก ⛔ 70% ของเวเฟอร์ยุโรปต้องส่งไปจีนเพื่อบรรจุและประกอบ ‼️ ความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ ⛔ อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง https://www.tomshardware.com/tech-industry/china-presses-netherlands-to-resolve-nexperia-dispute-as-supply-concerns-grow
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Chinese government wades into Dutch chipmaker dispute — presses Netherlands to resolve Nexperia saga as supply concerns grow
    Beijing urges the Dutch government to allow talks with Wingtech after state intervention disrupted chip flows.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 73 มุมมอง 0 รีวิว
  • TSMC พิจารณาอัปเกรดโรงงานที่ญี่ปุ่นสู่เทคโนโลยี 4nm

    รายงานระบุว่า TSMC กำลังพิจารณาอัปเกรดโรงงาน Fab 23 Phase 2 ในเมืองคุมาโมโตะ ประเทศญี่ปุ่น จากเดิมที่วางแผนผลิตชิป 6nm และ 7nm ให้สามารถผลิตชิป N4 (4nm-class) และ N5 (5nm-class) ได้ ซึ่งจะทำให้ลูกค้าในญี่ปุ่นเข้าถึงเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยมากขึ้น

    ความท้าทายด้านการก่อสร้างและเครื่องจักร
    แม้การอัปเกรดจะเป็นไปได้เพราะเครื่องจักรที่ใช้ใน N7/N6 และ N5/N4 มีความคล้ายกันถึง 90% แต่การผลิต N4 ต้องใช้เครื่อง EUV lithography ที่มีขนาดใหญ่และซับซ้อนกว่า ทำให้ต้องมีการออกแบบใหม่บางส่วน ขณะเดียวกัน TSMC ได้แจ้งซัพพลายเออร์ว่าจะไม่ต้องการเครื่องจักรใหม่ในญี่ปุ่นตลอดปี 2026 เนื่องจากการก่อสร้างล่าช้า

    สัญญาณการหยุดชะงัก
    ภาพถ่ายล่าสุดจากไซต์ก่อสร้างแสดงให้เห็นว่าเครื่องจักรหนัก เช่น เครนและรถขุด ถูกนำออกไปแล้ว และมีการแจ้งซัพพลายเออร์ว่าการทำงานจะหยุดชั่วคราว นั่นหมายความว่าโรงงานอาจไม่พร้อมติดตั้งเครื่องจักรใหม่ในปีหน้า ซึ่งสะท้อนถึงความไม่แน่นอนของโครงการ แม้จะมีแผนรองรับการผลิตขั้นสูงในอนาคต

    บริบทเพิ่มเติมจากอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์
    การอัปเกรดโรงงานในญี่ปุ่นถือเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ กระจายการผลิตนอกไต้หวัน ของ TSMC เพื่อลดความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ ขณะเดียวกันคู่แข่งอย่าง Rapidus ก็มีแผนสร้างโรงงาน 1.4nm ในญี่ปุ่นภายในปี 2027 ซึ่งอาจทำให้ญี่ปุ่นกลายเป็นศูนย์กลางใหม่ของการผลิตชิปขั้นสูงในเอเชีย

    สรุปสาระสำคัญ
    TSMC พิจารณาอัปเกรดโรงงาน Fab 23 Phase 2
    จาก 6nm/7nm เป็น 4nm/5nm

    เครื่องจักร N7/N6 และ N5/N4 คล้ายกันถึง 90%
    ทำให้การอัปเกรดเป็นไปได้ง่ายขึ้น

    การก่อสร้างล่าช้า
    TSMC แจ้งว่าจะไม่ต้องการเครื่องจักรใหม่ในปี 2026

    ความไม่แน่นอนของโครงการ
    การหยุดชั่วคราวและการนำเครื่องจักรออกจากไซต์

    ความท้าทายด้าน EUV lithography
    ต้องใช้เครื่องที่ใหญ่และซับซ้อนกว่า DUV

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/tmsc-ponders-upgrading-2nd-japan-fab-to-4nm-could-pave-the-way-for-more-advanced-chips-for-japanese-customers
    🏭 TSMC พิจารณาอัปเกรดโรงงานที่ญี่ปุ่นสู่เทคโนโลยี 4nm รายงานระบุว่า TSMC กำลังพิจารณาอัปเกรดโรงงาน Fab 23 Phase 2 ในเมืองคุมาโมโตะ ประเทศญี่ปุ่น จากเดิมที่วางแผนผลิตชิป 6nm และ 7nm ให้สามารถผลิตชิป N4 (4nm-class) และ N5 (5nm-class) ได้ ซึ่งจะทำให้ลูกค้าในญี่ปุ่นเข้าถึงเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยมากขึ้น ⚙️ ความท้าทายด้านการก่อสร้างและเครื่องจักร แม้การอัปเกรดจะเป็นไปได้เพราะเครื่องจักรที่ใช้ใน N7/N6 และ N5/N4 มีความคล้ายกันถึง 90% แต่การผลิต N4 ต้องใช้เครื่อง EUV lithography ที่มีขนาดใหญ่และซับซ้อนกว่า ทำให้ต้องมีการออกแบบใหม่บางส่วน ขณะเดียวกัน TSMC ได้แจ้งซัพพลายเออร์ว่าจะไม่ต้องการเครื่องจักรใหม่ในญี่ปุ่นตลอดปี 2026 เนื่องจากการก่อสร้างล่าช้า 📉 สัญญาณการหยุดชะงัก ภาพถ่ายล่าสุดจากไซต์ก่อสร้างแสดงให้เห็นว่าเครื่องจักรหนัก เช่น เครนและรถขุด ถูกนำออกไปแล้ว และมีการแจ้งซัพพลายเออร์ว่าการทำงานจะหยุดชั่วคราว นั่นหมายความว่าโรงงานอาจไม่พร้อมติดตั้งเครื่องจักรใหม่ในปีหน้า ซึ่งสะท้อนถึงความไม่แน่นอนของโครงการ แม้จะมีแผนรองรับการผลิตขั้นสูงในอนาคต 🌐 บริบทเพิ่มเติมจากอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ การอัปเกรดโรงงานในญี่ปุ่นถือเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ กระจายการผลิตนอกไต้หวัน ของ TSMC เพื่อลดความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ ขณะเดียวกันคู่แข่งอย่าง Rapidus ก็มีแผนสร้างโรงงาน 1.4nm ในญี่ปุ่นภายในปี 2027 ซึ่งอาจทำให้ญี่ปุ่นกลายเป็นศูนย์กลางใหม่ของการผลิตชิปขั้นสูงในเอเชีย 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ TSMC พิจารณาอัปเกรดโรงงาน Fab 23 Phase 2 ➡️ จาก 6nm/7nm เป็น 4nm/5nm ✅ เครื่องจักร N7/N6 และ N5/N4 คล้ายกันถึง 90% ➡️ ทำให้การอัปเกรดเป็นไปได้ง่ายขึ้น ✅ การก่อสร้างล่าช้า ➡️ TSMC แจ้งว่าจะไม่ต้องการเครื่องจักรใหม่ในปี 2026 ‼️ ความไม่แน่นอนของโครงการ ⛔ การหยุดชั่วคราวและการนำเครื่องจักรออกจากไซต์ ‼️ ความท้าทายด้าน EUV lithography ⛔ ต้องใช้เครื่องที่ใหญ่และซับซ้อนกว่า DUV https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/tmsc-ponders-upgrading-2nd-japan-fab-to-4nm-could-pave-the-way-for-more-advanced-chips-for-japanese-customers
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 58 มุมมอง 0 รีวิว
  • การเติบโตของชิป Huawei Ascend 910C อาจเป็นเหตุผลที่สหรัฐฯ พลิกนโยบายส่งออก NVIDIA H200

    รายงานล่าสุดเผยว่า การพัฒนาของ Huawei Ascend 910C AI Accelerator ซึ่งถือเป็นรุ่นต่อยอดจาก Ascend 910 ที่เปิดตัวในปี 2019 ได้สร้างแรงกดดันต่อสหรัฐฯ จนทำให้เกิดการทบทวนและกลับคำสั่งห้ามส่งออกชิป NVIDIA H200 ไปยังจีน การตัดสินใจครั้งนี้สะท้อนถึงการแข่งขันด้านเทคโนโลยี AI ที่ร้อนแรงระหว่างสองประเทศ และความพยายามของจีนในการลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างชาติ

    ความก้าวหน้าของ Huawei Ascend 910C
    Huawei ได้พัฒนาชิป Ascend 910C ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นและสามารถรองรับงาน AI ที่ซับซ้อนมากกว่าเดิม โดยมุ่งเน้นการใช้งานในศูนย์ข้อมูลและการประมวลผลเชิงลึก (deep learning) ความสำเร็จนี้แสดงให้เห็นว่าจีนสามารถสร้างฮาร์ดแวร์ที่แข่งขันกับผู้ผลิตระดับโลกได้ แม้จะเผชิญข้อจำกัดจากการคว่ำบาตร

    ผลกระทบต่อ NVIDIA และสหรัฐฯ
    ก่อนหน้านี้ สหรัฐฯ ได้จำกัดการส่งออกชิปประสิทธิภาพสูงไปยังจีนเพื่อควบคุมการเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูง แต่เมื่อ Huawei แสดงศักยภาพในการผลิตชิปที่ใกล้เคียงกับ NVIDIA การห้ามส่งออกกลับกลายเป็นการผลักดันให้จีนพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเองเร็วขึ้น การกลับคำสั่งครั้งนี้จึงถูกมองว่าเป็นการรักษาส่วนแบ่งตลาดและอิทธิพลทางเทคโนโลยีของสหรัฐฯ

    มิติทางภูมิรัฐศาสตร์
    การแข่งขันครั้งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องธุรกิจ แต่ยังเกี่ยวพันกับความมั่นคงและอำนาจทางเศรษฐกิจในระดับโลก การที่จีนสามารถพัฒนาชิป AI ได้เองถือเป็นการลดการพึ่งพาเทคโนโลยีตะวันตก และอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในห่วงโซ่อุปทานโลก ขณะที่สหรัฐฯ ต้องหาทางรักษาความได้เปรียบโดยไม่ผลักดันคู่แข่งให้แข็งแกร่งขึ้น

    สรุปสาระสำคัญ

    การพัฒนาของ Huawei Ascend 910C
    ชิป AI รุ่นใหม่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น รองรับงาน deep learning
    แสดงศักยภาพจีนในการแข่งขันกับผู้ผลิตระดับโลก

    ผลกระทบต่อ NVIDIA และสหรัฐฯ
    การห้ามส่งออก H200 เดิมกลับกลายเป็นแรงผลักดันให้จีนพัฒนาเอง
    การกลับคำสั่งช่วยรักษาส่วนแบ่งตลาดของ NVIDIA

    มิติทางภูมิรัฐศาสตร์
    จีนลดการพึ่งพาเทคโนโลยีตะวันตก
    สหรัฐฯ ต้องหากลยุทธ์ใหม่เพื่อรักษาความได้เปรียบ

    คำเตือนและความเสี่ยง
    การแข่งขันด้าน AI อาจนำไปสู่ความตึงเครียดทางเศรษฐกิจและการเมือง
    การพัฒนาเทคโนโลยีคู่ขนานอาจทำให้เกิดการแบ่งแยกในห่วงโซ่อุปทานโลก

    https://www.techpowerup.com/343932/huawei-ascend-910c-accelerators-maturation-allegedly-spurred-nvidia-h200-export-reversal
    ⚡ การเติบโตของชิป Huawei Ascend 910C อาจเป็นเหตุผลที่สหรัฐฯ พลิกนโยบายส่งออก NVIDIA H200 รายงานล่าสุดเผยว่า การพัฒนาของ Huawei Ascend 910C AI Accelerator ซึ่งถือเป็นรุ่นต่อยอดจาก Ascend 910 ที่เปิดตัวในปี 2019 ได้สร้างแรงกดดันต่อสหรัฐฯ จนทำให้เกิดการทบทวนและกลับคำสั่งห้ามส่งออกชิป NVIDIA H200 ไปยังจีน การตัดสินใจครั้งนี้สะท้อนถึงการแข่งขันด้านเทคโนโลยี AI ที่ร้อนแรงระหว่างสองประเทศ และความพยายามของจีนในการลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างชาติ 🖥️ ความก้าวหน้าของ Huawei Ascend 910C Huawei ได้พัฒนาชิป Ascend 910C ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นและสามารถรองรับงาน AI ที่ซับซ้อนมากกว่าเดิม โดยมุ่งเน้นการใช้งานในศูนย์ข้อมูลและการประมวลผลเชิงลึก (deep learning) ความสำเร็จนี้แสดงให้เห็นว่าจีนสามารถสร้างฮาร์ดแวร์ที่แข่งขันกับผู้ผลิตระดับโลกได้ แม้จะเผชิญข้อจำกัดจากการคว่ำบาตร 🔬 ผลกระทบต่อ NVIDIA และสหรัฐฯ ก่อนหน้านี้ สหรัฐฯ ได้จำกัดการส่งออกชิปประสิทธิภาพสูงไปยังจีนเพื่อควบคุมการเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูง แต่เมื่อ Huawei แสดงศักยภาพในการผลิตชิปที่ใกล้เคียงกับ NVIDIA การห้ามส่งออกกลับกลายเป็นการผลักดันให้จีนพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเองเร็วขึ้น การกลับคำสั่งครั้งนี้จึงถูกมองว่าเป็นการรักษาส่วนแบ่งตลาดและอิทธิพลทางเทคโนโลยีของสหรัฐฯ 🌍 มิติทางภูมิรัฐศาสตร์ การแข่งขันครั้งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องธุรกิจ แต่ยังเกี่ยวพันกับความมั่นคงและอำนาจทางเศรษฐกิจในระดับโลก การที่จีนสามารถพัฒนาชิป AI ได้เองถือเป็นการลดการพึ่งพาเทคโนโลยีตะวันตก และอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในห่วงโซ่อุปทานโลก ขณะที่สหรัฐฯ ต้องหาทางรักษาความได้เปรียบโดยไม่ผลักดันคู่แข่งให้แข็งแกร่งขึ้น 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การพัฒนาของ Huawei Ascend 910C ➡️ ชิป AI รุ่นใหม่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น รองรับงาน deep learning ➡️ แสดงศักยภาพจีนในการแข่งขันกับผู้ผลิตระดับโลก ✅ ผลกระทบต่อ NVIDIA และสหรัฐฯ ➡️ การห้ามส่งออก H200 เดิมกลับกลายเป็นแรงผลักดันให้จีนพัฒนาเอง ➡️ การกลับคำสั่งช่วยรักษาส่วนแบ่งตลาดของ NVIDIA ✅ มิติทางภูมิรัฐศาสตร์ ➡️ จีนลดการพึ่งพาเทคโนโลยีตะวันตก ➡️ สหรัฐฯ ต้องหากลยุทธ์ใหม่เพื่อรักษาความได้เปรียบ ‼️ คำเตือนและความเสี่ยง ⛔ การแข่งขันด้าน AI อาจนำไปสู่ความตึงเครียดทางเศรษฐกิจและการเมือง ⛔ การพัฒนาเทคโนโลยีคู่ขนานอาจทำให้เกิดการแบ่งแยกในห่วงโซ่อุปทานโลก https://www.techpowerup.com/343932/huawei-ascend-910c-accelerators-maturation-allegedly-spurred-nvidia-h200-export-reversal
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Huawei Ascend 910C Accelerator's Maturation Allegedly Spurred NVIDIA H200 Export Reversal
    Earlier this week, the US government approved exports of NVIDIA H200 data center-grade accelerators to China. This reverses a previous decision, to prevent "full fat" H200 hardware reaching Chinese shores. Team Green engineers were reportedly working on a severely reduced "H20" alternative—whispers ...
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 108 มุมมอง 0 รีวิว
  • การประชุมฉุกเฉินของรัฐบาลจีน พิจารณาจำกัดการนำเข้าชิป Nvidia H200

    หน่วยงานกำกับดูแลของจีน เช่น National Development and Reform Commission (NDRC) และ Ministry of Industry and Information Technology (MIIT) ได้จัดประชุมกับบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ Alibaba, ByteDance และ Tencent เพื่อสอบถามความต้องการชิป H200 หลังสหรัฐอนุญาตให้ส่งออก โดยจีนกำลังพิจารณาว่าจะอนุญาตให้ซื้อในปริมาณเท่าใด

    ความขัดแย้งระหว่างความต้องการและนโยบาย
    แม้ H200 จะมีประสิทธิภาพสูงกว่าชิป H20 ที่ออกแบบเฉพาะสำหรับตลาดจีน แต่รัฐบาลยังคงกดดันให้บริษัทหันไปใช้ชิปในประเทศ เช่น Huawei Ascend การนำเข้า H200 จึงถูกมองว่าเป็นการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่เสี่ยงต่อการลดแรงจูงใจในการพัฒนาชิปจีนเอง

    ผลกระทบต่อ Nvidia
    ก่อนหน้านี้ Nvidia สูญเสียรายได้ในจีนกว่า 63% เมื่อไม่สามารถขาย H100 ได้ แต่หากจีนอนุญาตให้ซื้อ H200 ความต้องการคาดว่าจะสูงมาก อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจีนอาจใช้มาตรการจำกัด เช่น กำหนดโควตาการซื้อ หรือห้ามใช้ในอุตสาหกรรมที่ถือว่า “มีความอ่อนไหวเชิงกลยุทธ์” เช่น การเงินและพลังงาน

    ความหมายต่อการแข่งขัน AI
    การตัดสินใจครั้งนี้สะท้อนถึงความพยายามของจีนในการหาจุดสมดุลระหว่างการใช้เทคโนโลยีต่างชาติและการสร้างความพึ่งพาตนเอง หากจีนจำกัดการนำเข้า H200 จะเป็นแรงผลักดันให้บริษัทหันไปลงทุนในชิปภายในประเทศมากขึ้น ซึ่งอาจเร่งการพัฒนา ecosystem AI ของจีนในระยะยาว

    สรุปเป็นหัวข้อ
    การประชุมฉุกเฉินของจีน
    NDRC และ MIIT เรียก Alibaba, ByteDance, Tencent เข้าหารือ
    ประเมินความต้องการชิป H200

    ความขัดแย้งด้านนโยบาย
    H200 มีประสิทธิภาพสูงกว่าชิป H20
    รัฐบาลจีนกดดันให้ใช้ชิปในประเทศ เช่น Huawei Ascend

    ผลกระทบต่อ Nvidia
    สูญเสียรายได้ในจีนกว่า 63% หลังห้ามขาย H100
    หากอนุญาต H200 ความต้องการจะสูง แต่มีโควตาจำกัด

    ความหมายต่อการแข่งขัน AI
    จีนพยายามหาสมดุลระหว่างการนำเข้าและการพึ่งพาตนเอง
    อาจเร่งการพัฒนาชิปและ ecosystem AI ภายในประเทศ

    ข้อจำกัดและคำเตือน
    อาจห้ามใช้ H200 ในอุตสาหกรรมเชิงกลยุทธ์ เช่น การเงินและพลังงาน
    การนำเข้า H200 มากเกินไปอาจลดแรงจูงใจในการพัฒนาชิปจีน
    ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์จากการพึ่งพาเทคโนโลยีสหรัฐ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/china-weighs-import-limits-on-nvidias-h200-after-us-export-rules-relaxed
    🇨🇳 การประชุมฉุกเฉินของรัฐบาลจีน พิจารณาจำกัดการนำเข้าชิป Nvidia H200 หน่วยงานกำกับดูแลของจีน เช่น National Development and Reform Commission (NDRC) และ Ministry of Industry and Information Technology (MIIT) ได้จัดประชุมกับบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ Alibaba, ByteDance และ Tencent เพื่อสอบถามความต้องการชิป H200 หลังสหรัฐอนุญาตให้ส่งออก โดยจีนกำลังพิจารณาว่าจะอนุญาตให้ซื้อในปริมาณเท่าใด ⚡ ความขัดแย้งระหว่างความต้องการและนโยบาย แม้ H200 จะมีประสิทธิภาพสูงกว่าชิป H20 ที่ออกแบบเฉพาะสำหรับตลาดจีน แต่รัฐบาลยังคงกดดันให้บริษัทหันไปใช้ชิปในประเทศ เช่น Huawei Ascend การนำเข้า H200 จึงถูกมองว่าเป็นการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่เสี่ยงต่อการลดแรงจูงใจในการพัฒนาชิปจีนเอง 💹 ผลกระทบต่อ Nvidia ก่อนหน้านี้ Nvidia สูญเสียรายได้ในจีนกว่า 63% เมื่อไม่สามารถขาย H100 ได้ แต่หากจีนอนุญาตให้ซื้อ H200 ความต้องการคาดว่าจะสูงมาก อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจีนอาจใช้มาตรการจำกัด เช่น กำหนดโควตาการซื้อ หรือห้ามใช้ในอุตสาหกรรมที่ถือว่า “มีความอ่อนไหวเชิงกลยุทธ์” เช่น การเงินและพลังงาน 🔍 ความหมายต่อการแข่งขัน AI การตัดสินใจครั้งนี้สะท้อนถึงความพยายามของจีนในการหาจุดสมดุลระหว่างการใช้เทคโนโลยีต่างชาติและการสร้างความพึ่งพาตนเอง หากจีนจำกัดการนำเข้า H200 จะเป็นแรงผลักดันให้บริษัทหันไปลงทุนในชิปภายในประเทศมากขึ้น ซึ่งอาจเร่งการพัฒนา ecosystem AI ของจีนในระยะยาว 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ การประชุมฉุกเฉินของจีน ➡️ NDRC และ MIIT เรียก Alibaba, ByteDance, Tencent เข้าหารือ ➡️ ประเมินความต้องการชิป H200 ✅ ความขัดแย้งด้านนโยบาย ➡️ H200 มีประสิทธิภาพสูงกว่าชิป H20 ➡️ รัฐบาลจีนกดดันให้ใช้ชิปในประเทศ เช่น Huawei Ascend ✅ ผลกระทบต่อ Nvidia ➡️ สูญเสียรายได้ในจีนกว่า 63% หลังห้ามขาย H100 ➡️ หากอนุญาต H200 ความต้องการจะสูง แต่มีโควตาจำกัด ✅ ความหมายต่อการแข่งขัน AI ➡️ จีนพยายามหาสมดุลระหว่างการนำเข้าและการพึ่งพาตนเอง ➡️ อาจเร่งการพัฒนาชิปและ ecosystem AI ภายในประเทศ ‼️ ข้อจำกัดและคำเตือน ⛔ อาจห้ามใช้ H200 ในอุตสาหกรรมเชิงกลยุทธ์ เช่น การเงินและพลังงาน ⛔ การนำเข้า H200 มากเกินไปอาจลดแรงจูงใจในการพัฒนาชิปจีน ⛔ ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์จากการพึ่งพาเทคโนโลยีสหรัฐ https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/china-weighs-import-limits-on-nvidias-h200-after-us-export-rules-relaxed
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 113 มุมมอง 0 รีวิว
  • การกลับลำของสหรัฐ อนุญาตให้ส่งออกชิป Nvidia H200 ไปยังจีน

    ทำเนียบขาวอนุญาตให้ Nvidia ส่งออกชิป H200 ไปยังจีน แม้ก่อนหน้านี้มีข้อจำกัดเข้มงวด โดยมีการเก็บค่าธรรมเนียม 25% การตัดสินใจนี้มีเป้าหมายเพื่อรักษาความเป็นผู้นำของ “American tech stack” และยังคงควบคุมไม่ให้จีนเข้าถึงสถาปัตยกรรมใหม่ล่าสุดอย่าง Blackwell

    ความท้าทายจาก Huawei
    Huawei เปิดตัวระบบ CloudMatrix 384 ที่ใช้ชิป Ascend 910C จำนวน 384 ตัว ซึ่งถูกวางตำแหน่งแข่งกับ Nvidia GB200 NVL72 แม้ยังมีข้อด้อยด้านประสิทธิภาพและการใช้พลังงาน แต่ถือเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้จีนมีทางเลือกนอกเหนือจาก CUDA ของ Nvidia

    กลยุทธ์ของสหรัฐ
    รายงานเผยว่ามีการพิจารณาหลายทางเลือก ตั้งแต่การห้ามส่งออกทั้งหมด ไปจนถึงการ “ท่วมตลาด” ด้วยชิป Nvidia เพื่อกดดัน Huawei สุดท้ายเลือกแนวทางกลาง ๆ คืออนุญาตให้ส่งออก H200 แต่ไม่ใช่ Blackwell เพื่อรักษาความได้เปรียบเชิงสถาปัตยกรรม

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม AI
    การตัดสินใจครั้งนี้สะท้อนการแข่งขันเชิงภูมิรัฐศาสตร์ในตลาด AI ที่กำลังร้อนแรง Nvidia ยังคงครองความได้เปรียบด้วย CUDA แต่ Huawei กำลังเร่งผลิตชิป 910C ให้ได้ถึง 600,000 ตัวในปีหน้า และอาจแตะระดับ “หลายล้านตัว” ภายในปี 2026 ซึ่งจะเป็นการท้าทายอำนาจผูกขาดของ Nvidia

    สรุปเป็นหัวข้อ
    การกลับลำของสหรัฐ
    อนุญาตส่งออก Nvidia H200 ไปจีน
    เก็บค่าธรรมเนียม 25%

    ความท้าทายจาก Huawei
    เปิดตัว CloudMatrix 384 ใช้ชิป Ascend 910C
    แข่งกับ Nvidia GB200 NVL72

    กลยุทธ์ของสหรัฐ
    พิจารณาหลายทางเลือก ตั้งแต่ห้ามส่งออกจนถึงท่วมตลาด
    เลือกอนุญาต H200 แต่ห้าม Blackwell

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม AI
    Nvidia ยังคงครองตลาดด้วย CUDA
    Huawei ตั้งเป้าผลิตชิป 910C หลายล้านตัวในปี 2026

    ข้อจำกัดและคำเตือน
    การแข่งขันอาจทำให้ตลาด AI แบ่งขั้วชัดเจน
    ความเสี่ยงด้านความมั่นคงหากจีนเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูง
    อาจกระทบต่อซัพพลายเชนและราคาชิปทั่วโลก

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/white-house-u-turn-on-nvidia-h200-ai-accelerator-exports-down-to-huaweis-powerful-new-ascend-chips-report-claims-u-s-committed-to-dominance-of-the-american-tech-stack
    🇺🇸 การกลับลำของสหรัฐ อนุญาตให้ส่งออกชิป Nvidia H200 ไปยังจีน ทำเนียบขาวอนุญาตให้ Nvidia ส่งออกชิป H200 ไปยังจีน แม้ก่อนหน้านี้มีข้อจำกัดเข้มงวด โดยมีการเก็บค่าธรรมเนียม 25% การตัดสินใจนี้มีเป้าหมายเพื่อรักษาความเป็นผู้นำของ “American tech stack” และยังคงควบคุมไม่ให้จีนเข้าถึงสถาปัตยกรรมใหม่ล่าสุดอย่าง Blackwell 🇨🇳 ความท้าทายจาก Huawei Huawei เปิดตัวระบบ CloudMatrix 384 ที่ใช้ชิป Ascend 910C จำนวน 384 ตัว ซึ่งถูกวางตำแหน่งแข่งกับ Nvidia GB200 NVL72 แม้ยังมีข้อด้อยด้านประสิทธิภาพและการใช้พลังงาน แต่ถือเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้จีนมีทางเลือกนอกเหนือจาก CUDA ของ Nvidia ⚡ กลยุทธ์ของสหรัฐ รายงานเผยว่ามีการพิจารณาหลายทางเลือก ตั้งแต่การห้ามส่งออกทั้งหมด ไปจนถึงการ “ท่วมตลาด” ด้วยชิป Nvidia เพื่อกดดัน Huawei สุดท้ายเลือกแนวทางกลาง ๆ คืออนุญาตให้ส่งออก H200 แต่ไม่ใช่ Blackwell เพื่อรักษาความได้เปรียบเชิงสถาปัตยกรรม 🔍 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม AI การตัดสินใจครั้งนี้สะท้อนการแข่งขันเชิงภูมิรัฐศาสตร์ในตลาด AI ที่กำลังร้อนแรง Nvidia ยังคงครองความได้เปรียบด้วย CUDA แต่ Huawei กำลังเร่งผลิตชิป 910C ให้ได้ถึง 600,000 ตัวในปีหน้า และอาจแตะระดับ “หลายล้านตัว” ภายในปี 2026 ซึ่งจะเป็นการท้าทายอำนาจผูกขาดของ Nvidia 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ การกลับลำของสหรัฐ ➡️ อนุญาตส่งออก Nvidia H200 ไปจีน ➡️ เก็บค่าธรรมเนียม 25% ✅ ความท้าทายจาก Huawei ➡️ เปิดตัว CloudMatrix 384 ใช้ชิป Ascend 910C ➡️ แข่งกับ Nvidia GB200 NVL72 ✅ กลยุทธ์ของสหรัฐ ➡️ พิจารณาหลายทางเลือก ตั้งแต่ห้ามส่งออกจนถึงท่วมตลาด ➡️ เลือกอนุญาต H200 แต่ห้าม Blackwell ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม AI ➡️ Nvidia ยังคงครองตลาดด้วย CUDA ➡️ Huawei ตั้งเป้าผลิตชิป 910C หลายล้านตัวในปี 2026 ‼️ ข้อจำกัดและคำเตือน ⛔ การแข่งขันอาจทำให้ตลาด AI แบ่งขั้วชัดเจน ⛔ ความเสี่ยงด้านความมั่นคงหากจีนเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูง ⛔ อาจกระทบต่อซัพพลายเชนและราคาชิปทั่วโลก https://www.tomshardware.com/tech-industry/white-house-u-turn-on-nvidia-h200-ai-accelerator-exports-down-to-huaweis-powerful-new-ascend-chips-report-claims-u-s-committed-to-dominance-of-the-american-tech-stack
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 84 มุมมอง 0 รีวิว
  • UK เปิดตัว Atlantic Bastion: ระบบเฝ้าระวังใต้น้ำด้วย AI

    รัฐบาลสหราชอาณาจักรได้เปิดตัวเครือข่ายเฝ้าระวังใต้น้ำที่ใช้ AI ขับเคลื่อน มีชื่อว่า Atlantic Bastion ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อ ตรวจจับและติดตามเรือดำน้ำของรัสเซีย ในมหาสมุทรแอตแลนติก โดยถือเป็นโครงการด้านความมั่นคงที่ทันสมัยที่สุดของประเทศในช่วงหลายปีที่ผ่านมา【edge_all_open_tabs】

    รายละเอียดของ Atlantic Bastion
    ใช้ เซ็นเซอร์ใต้น้ำรุ่นใหม่ ที่เชื่อมต่อกับระบบ AI เพื่อวิเคราะห์เสียงและการเคลื่อนไหวของเรือดำน้ำ
    สามารถตรวจจับการเคลื่อนไหวที่ละเอียดอ่อน เช่น เสียงเครื่องยนต์หรือการเปลี่ยนทิศทางของเรือดำน้ำ
    ระบบ AI จะช่วยกรองข้อมูลจำนวนมหาศาลที่ได้จากเซ็นเซอร์ เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถระบุภัยคุกคามได้รวดเร็วและแม่นยำ

    เป้าหมายหลัก
    ป้องกันการแทรกซึมของเรือดำน้ำรัสเซียในเส้นทางเดินเรือสำคัญ
    เสริมความมั่นคงทางทะเลของ NATO และพันธมิตรยุโรป
    ลดภาระการทำงานของเจ้าหน้าที่ โดยให้ AI ทำหน้าที่ตรวจจับเบื้องต้น

    บริบททางภูมิรัฐศาสตร์
    การเปิดตัว Atlantic Bastion เกิดขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดระหว่าง NATO และรัสเซีย โดยเฉพาะในภูมิภาคแอตแลนติกเหนือ
    รัสเซียถูกกล่าวหาว่าเพิ่มกิจกรรมเรือดำน้ำในเส้นทางเดินเรือพาณิชย์และเส้นทางสายเคเบิลใต้น้ำ
    โครงการนี้สะท้อนถึงการใช้ AI ในการป้องกันประเทศ ที่กำลังกลายเป็นแนวโน้มใหม่ทั่วโลก

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Atlantic Bastion เป็นระบบเฝ้าระวังใต้น้ำด้วย AI ของสหราชอาณาจักร
    ถูกออกแบบมาเพื่อรับมือกับกิจกรรมเรือดำน้ำรัสเซีย
    ใช้เซ็นเซอร์ใต้น้ำ + AI วิเคราะห์เสียงและการเคลื่อนไหว
    เสริมความมั่นคงทางทะเลของ NATO และพันธมิตร
    สะท้อนการใช้ AI ในด้านความมั่นคงและการทหาร

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/uk-unveils-atlantic-bastion-ai-driven-undersea-surveillance-network
    🌊 UK เปิดตัว Atlantic Bastion: ระบบเฝ้าระวังใต้น้ำด้วย AI รัฐบาลสหราชอาณาจักรได้เปิดตัวเครือข่ายเฝ้าระวังใต้น้ำที่ใช้ AI ขับเคลื่อน มีชื่อว่า Atlantic Bastion ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อ ตรวจจับและติดตามเรือดำน้ำของรัสเซีย ในมหาสมุทรแอตแลนติก โดยถือเป็นโครงการด้านความมั่นคงที่ทันสมัยที่สุดของประเทศในช่วงหลายปีที่ผ่านมา【edge_all_open_tabs】 ⚙️ รายละเอียดของ Atlantic Bastion 💠 ใช้ เซ็นเซอร์ใต้น้ำรุ่นใหม่ ที่เชื่อมต่อกับระบบ AI เพื่อวิเคราะห์เสียงและการเคลื่อนไหวของเรือดำน้ำ 💠 สามารถตรวจจับการเคลื่อนไหวที่ละเอียดอ่อน เช่น เสียงเครื่องยนต์หรือการเปลี่ยนทิศทางของเรือดำน้ำ 💠 ระบบ AI จะช่วยกรองข้อมูลจำนวนมหาศาลที่ได้จากเซ็นเซอร์ เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถระบุภัยคุกคามได้รวดเร็วและแม่นยำ 🎯 เป้าหมายหลัก 🎗️ ป้องกันการแทรกซึมของเรือดำน้ำรัสเซียในเส้นทางเดินเรือสำคัญ 🎗️ เสริมความมั่นคงทางทะเลของ NATO และพันธมิตรยุโรป 🎗️ ลดภาระการทำงานของเจ้าหน้าที่ โดยให้ AI ทำหน้าที่ตรวจจับเบื้องต้น 🌍 บริบททางภูมิรัฐศาสตร์ 💠 การเปิดตัว Atlantic Bastion เกิดขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดระหว่าง NATO และรัสเซีย โดยเฉพาะในภูมิภาคแอตแลนติกเหนือ 💠 รัสเซียถูกกล่าวหาว่าเพิ่มกิจกรรมเรือดำน้ำในเส้นทางเดินเรือพาณิชย์และเส้นทางสายเคเบิลใต้น้ำ 💠 โครงการนี้สะท้อนถึงการใช้ AI ในการป้องกันประเทศ ที่กำลังกลายเป็นแนวโน้มใหม่ทั่วโลก 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Atlantic Bastion เป็นระบบเฝ้าระวังใต้น้ำด้วย AI ของสหราชอาณาจักร ✅ ถูกออกแบบมาเพื่อรับมือกับกิจกรรมเรือดำน้ำรัสเซีย ✅ ใช้เซ็นเซอร์ใต้น้ำ + AI วิเคราะห์เสียงและการเคลื่อนไหว ✅ เสริมความมั่นคงทางทะเลของ NATO และพันธมิตร ✅ สะท้อนการใช้ AI ในด้านความมั่นคงและการทหาร https://www.tomshardware.com/tech-industry/uk-unveils-atlantic-bastion-ai-driven-undersea-surveillance-network
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    UK unveils AI-driven undersea surveillance network to counter Russian submarine activity
    The UK government has unveiled the first details of Atlantic Bastion, a new undersea warfare programme to detect and counter Russian submarine activity.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 119 มุมมอง 0 รีวิว
  • "UMC จับมือ Polar ขยายการผลิตชิป 8 นิ้วในสหรัฐฯ"

    UMC ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปรายใหญ่เป็นอันดับสองของไต้หวัน รองจาก TSMC ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจกับ Polar Semiconductor เพื่อร่วมกันสำรวจการผลิตเวเฟอร์ 8 นิ้วในสหรัฐฯ โดยจะใช้โรงงานของ Polar ที่เพิ่งขยายในรัฐมินนิโซตาเป็นฐานการผลิต.

    ความร่วมมือนี้มีเป้าหมายเพื่อรองรับความต้องการจากหลายอุตสาหกรรม เช่น ยานยนต์, ศูนย์ข้อมูล, อิเล็กทรอนิกส์ผู้บริโภค, และการบิน–กลาโหม ซึ่งต้องการชิป 8 นิ้วที่มีความเสถียรและสามารถจัดหาจากหลายแหล่ง (multi-sourcing strategy).

    UMC จะนำเทคโนโลยีและฐานลูกค้าทั่วโลกมาผสานกับศักยภาพการผลิตในสหรัฐฯ ของ Polar เพื่อสร้างความยืดหยุ่นในห่วงโซ่อุปทาน และลดการพึ่งพาการผลิตในเอเชียเพียงอย่างเดียว ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของสหรัฐฯ ที่ต้องการเพิ่มการผลิตชิปภายในประเทศ.

    ผู้บริหารทั้งสองฝ่ายย้ำว่า ความร่วมมือครั้งนี้เป็นการตอบสนองต่อความต้องการ “Made in USA chips” และช่วยเสริมความมั่นคงด้านเทคโนโลยีในยุคที่การแข่งขันด้านเซมิคอนดักเตอร์ทวีความเข้มข้น โดยเฉพาะเมื่อ AI และยานยนต์ไฟฟ้ากำลังผลักดันความต้องการชิปเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล.

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ข้อมูลจากข่าว
    UMC ลงนามบันทึกความเข้าใจกับ Polar Semiconductor
    ใช้โรงงาน Polar ในรัฐมินนิโซตาที่เพิ่งขยายเป็นฐานผลิต
    รองรับอุตสาหกรรมยานยนต์, ศูนย์ข้อมูล, อิเล็กทรอนิกส์ผู้บริโภค, การบิน–กลาโหม
    สอดคล้องกับกลยุทธ์ multi-sourcing และนโยบาย Made in USA

    ข้อมูลเสริมจาก Internet
    ตลาดชิป 8 นิ้วยังคงมีความต้องการสูงในอุตสาหกรรมยานยนต์และ IoT
    สหรัฐฯ ออกกฎหมาย CHIPS Act เพื่อสนับสนุนการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ในประเทศ
    Polar Semiconductor เป็นหนึ่งในบริษัทที่ได้รับการสนับสนุนทุนเพื่อขยายกำลังการผลิต

    คำเตือนจากข่าว
    การขยายการผลิตในสหรัฐฯ อาจเจอความท้าทายด้านต้นทุนและแรงงาน
    ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์อาจทำให้ห่วงโซ่อุปทานยังคงเปราะบาง
    การแข่งขันกับผู้ผลิตรายใหญ่ เช่น TSMC และ Samsung อาจทำให้ตลาดกดดันด้านราคา

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/04/taiwan039s-umc-in-pact-with-polar-to-explore-us-production-of-eight-inch-chip
    🔧 "UMC จับมือ Polar ขยายการผลิตชิป 8 นิ้วในสหรัฐฯ" UMC ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปรายใหญ่เป็นอันดับสองของไต้หวัน รองจาก TSMC ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจกับ Polar Semiconductor เพื่อร่วมกันสำรวจการผลิตเวเฟอร์ 8 นิ้วในสหรัฐฯ โดยจะใช้โรงงานของ Polar ที่เพิ่งขยายในรัฐมินนิโซตาเป็นฐานการผลิต. ความร่วมมือนี้มีเป้าหมายเพื่อรองรับความต้องการจากหลายอุตสาหกรรม เช่น ยานยนต์, ศูนย์ข้อมูล, อิเล็กทรอนิกส์ผู้บริโภค, และการบิน–กลาโหม ซึ่งต้องการชิป 8 นิ้วที่มีความเสถียรและสามารถจัดหาจากหลายแหล่ง (multi-sourcing strategy). UMC จะนำเทคโนโลยีและฐานลูกค้าทั่วโลกมาผสานกับศักยภาพการผลิตในสหรัฐฯ ของ Polar เพื่อสร้างความยืดหยุ่นในห่วงโซ่อุปทาน และลดการพึ่งพาการผลิตในเอเชียเพียงอย่างเดียว ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของสหรัฐฯ ที่ต้องการเพิ่มการผลิตชิปภายในประเทศ. ผู้บริหารทั้งสองฝ่ายย้ำว่า ความร่วมมือครั้งนี้เป็นการตอบสนองต่อความต้องการ “Made in USA chips” และช่วยเสริมความมั่นคงด้านเทคโนโลยีในยุคที่การแข่งขันด้านเซมิคอนดักเตอร์ทวีความเข้มข้น โดยเฉพาะเมื่อ AI และยานยนต์ไฟฟ้ากำลังผลักดันความต้องการชิปเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล. 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ข้อมูลจากข่าว ➡️ UMC ลงนามบันทึกความเข้าใจกับ Polar Semiconductor ➡️ ใช้โรงงาน Polar ในรัฐมินนิโซตาที่เพิ่งขยายเป็นฐานผลิต ➡️ รองรับอุตสาหกรรมยานยนต์, ศูนย์ข้อมูล, อิเล็กทรอนิกส์ผู้บริโภค, การบิน–กลาโหม ➡️ สอดคล้องกับกลยุทธ์ multi-sourcing และนโยบาย Made in USA ✅ ข้อมูลเสริมจาก Internet ➡️ ตลาดชิป 8 นิ้วยังคงมีความต้องการสูงในอุตสาหกรรมยานยนต์และ IoT ➡️ สหรัฐฯ ออกกฎหมาย CHIPS Act เพื่อสนับสนุนการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ในประเทศ ➡️ Polar Semiconductor เป็นหนึ่งในบริษัทที่ได้รับการสนับสนุนทุนเพื่อขยายกำลังการผลิต ‼️ คำเตือนจากข่าว ⛔ การขยายการผลิตในสหรัฐฯ อาจเจอความท้าทายด้านต้นทุนและแรงงาน ⛔ ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์อาจทำให้ห่วงโซ่อุปทานยังคงเปราะบาง ⛔ การแข่งขันกับผู้ผลิตรายใหญ่ เช่น TSMC และ Samsung อาจทำให้ตลาดกดดันด้านราคา https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/04/taiwan039s-umc-in-pact-with-polar-to-explore-us-production-of-eight-inch-chip
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Taiwan's UMC in pact with Polar to explore US production of eight-inch chip
    TAIPEI, Dec 4 (Reuters) - Taiwan chip maker United Microelectronics Corp (UMC) said on Thursday it had signed a memorandum of understanding with U.S.-based Polar Semiconductor to explore collaboration on manufacturing of 8-inch wafers in the United States.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 194 มุมมอง 0 รีวิว
  • MOU43-44 อนุทิน "ต้องประกาศยกเลิก" ไม่งั้นยืดเยื้อไม่สำเร็จ (2/12/68)
    .
    #thaitimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #การเมืองไทย #ชายแดนไทยกัมพูชา #ภูมิรัฐศาสตร์ #newsupdate
    MOU43-44 อนุทิน "ต้องประกาศยกเลิก" ไม่งั้นยืดเยื้อไม่สำเร็จ (2/12/68) . #thaitimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #การเมืองไทย #ชายแดนไทยกัมพูชา #ภูมิรัฐศาสตร์ #newsupdate
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 354 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • เขมรเนียนตัดไม้ในแนวรบ งานนี้รัฐบาลต้องทำอะไรหน่อยไหม? (2/12/68)
    .
    #thaitimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #กัมพูชา #ชายแดนไทยกัมพูชา #ภูมิรัฐศาสตร์ #newsupdate
    เขมรเนียนตัดไม้ในแนวรบ งานนี้รัฐบาลต้องทำอะไรหน่อยไหม? (2/12/68) . #thaitimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #กัมพูชา #ชายแดนไทยกัมพูชา #ภูมิรัฐศาสตร์ #newsupdate
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 291 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • เขมรฝากมา คนไทยว่ายังไง ควรเปิดด่านหรือปิดด่านถาวรดี (2/12/68)
    .
    #thaitimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #กัมพูชา #ชายแดนไทยกัมพูชา #ภูมิรัฐศาสตร์ #newsupdate
    เขมรฝากมา คนไทยว่ายังไง ควรเปิดด่านหรือปิดด่านถาวรดี (2/12/68) . #thaitimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #กัมพูชา #ชายแดนไทยกัมพูชา #ภูมิรัฐศาสตร์ #newsupdate
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 300 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • ศึกชิปขั้นสูง Apple ปะทะ NVIDIA แย่งชิงกำลังผลิต TSMC A16

    ความต้องการด้านการประมวลผล AI ที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ทำให้กำลังการผลิตชิปขั้นสูงของ TSMC กลายเป็นสมรภูมิแข่งขันที่ร้อนแรงที่สุดในโลกเทคโนโลยี โดยเฉพาะ A16 และ A14 nodes ที่ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับการประมวลผลระดับ Angstrom-class ซึ่งมีความหนาแน่นทรานซิสเตอร์สูงและประสิทธิภาพเหนือกว่า 3nm รุ่นปัจจุบัน

    Apple ในฐานะลูกค้ารายใหญ่ที่สุดของ TSMC ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่ไม่เคยมีมาก่อนจาก NVIDIA ซึ่งกำลังเร่งขยายกำลังผลิตเพื่อรองรับความต้องการ GPU สำหรับ AI และ Data Center ที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนั้นยังมีคู่แข่งรายอื่นอย่าง AMD และ MediaTek ที่พร้อมเข้าร่วมแย่งชิงกำลังผลิตเช่นกัน

    นักวิเคราะห์ชื่อดัง Ming-Chi Kuo ระบุว่า Apple กำลังพิจารณาความร่วมมือกับ Intel Foundry โดยใช้กระบวนการผลิต 18AP สำหรับชิป M-series ระดับเริ่มต้น เช่น iPad และ MacBook Air เพื่อกระจายความเสี่ยงด้านซัพพลายเชน และสงวนกำลังผลิต A16 ของ TSMC สำหรับสินค้าระดับพรีเมียมอย่าง iPhone Pro และ MacBook รุ่นสูง

    การเคลื่อนไหวนี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้ Apple ลดความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์และการพึ่งพา TSMC แต่ยังเป็นโอกาสสำคัญของ Intel ที่จะพิสูจน์ความสามารถในการกลับมาแข่งขันในตลาด Foundry อีกครั้ง หาก Intel สามารถตอบโจทย์ Apple ได้ จะเป็นการยกระดับความน่าเชื่อถือและสร้างแรงกดดันต่อ TSMC ในระยะยาว

    สรุปสาระสำคัญ
    การแข่งขันกำลังผลิตชิปขั้นสูง
    Apple และ NVIDIA แย่งชิงกำลังผลิต A16 และ A14 ของ TSMC
    AMD และ MediaTek ก็เข้าร่วมแข่งขันเช่นกัน

    กลยุทธ์ของ Apple
    พิจารณาความร่วมมือกับ Intel Foundry ใช้ 18AP สำหรับชิป M-series ระดับเริ่มต้น
    สงวนกำลังผลิต A16 ของ TSMC สำหรับ iPhone Pro และ MacBook รุ่นสูง

    โอกาสของ Intel
    หากร่วมมือกับ Apple จะเป็นการยืนยันศักยภาพ Foundry ของ Intel
    เพิ่มแรงกดดันต่อ TSMC ในตลาดโลก

    ความเสี่ยงและคำเตือน
    ความต้องการ AI อาจทำให้ซัพพลายเชนตึงตัวและราคาชิปสูงขึ้น
    การแข่งขันรุนแรงอาจส่งผลกระทบต่อการจัดหาชิปของผู้ผลิตรายเล็ก

    https://securityonline.info/semiconductor-showdown-apple-and-nvidia-battle-for-tsmcs-a16-capacity/
    ⚔️ ศึกชิปขั้นสูง Apple ปะทะ NVIDIA แย่งชิงกำลังผลิต TSMC A16 ความต้องการด้านการประมวลผล AI ที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ทำให้กำลังการผลิตชิปขั้นสูงของ TSMC กลายเป็นสมรภูมิแข่งขันที่ร้อนแรงที่สุดในโลกเทคโนโลยี โดยเฉพาะ A16 และ A14 nodes ที่ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับการประมวลผลระดับ Angstrom-class ซึ่งมีความหนาแน่นทรานซิสเตอร์สูงและประสิทธิภาพเหนือกว่า 3nm รุ่นปัจจุบัน Apple ในฐานะลูกค้ารายใหญ่ที่สุดของ TSMC ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่ไม่เคยมีมาก่อนจาก NVIDIA ซึ่งกำลังเร่งขยายกำลังผลิตเพื่อรองรับความต้องการ GPU สำหรับ AI และ Data Center ที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนั้นยังมีคู่แข่งรายอื่นอย่าง AMD และ MediaTek ที่พร้อมเข้าร่วมแย่งชิงกำลังผลิตเช่นกัน นักวิเคราะห์ชื่อดัง Ming-Chi Kuo ระบุว่า Apple กำลังพิจารณาความร่วมมือกับ Intel Foundry โดยใช้กระบวนการผลิต 18AP สำหรับชิป M-series ระดับเริ่มต้น เช่น iPad และ MacBook Air เพื่อกระจายความเสี่ยงด้านซัพพลายเชน และสงวนกำลังผลิต A16 ของ TSMC สำหรับสินค้าระดับพรีเมียมอย่าง iPhone Pro และ MacBook รุ่นสูง การเคลื่อนไหวนี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้ Apple ลดความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์และการพึ่งพา TSMC แต่ยังเป็นโอกาสสำคัญของ Intel ที่จะพิสูจน์ความสามารถในการกลับมาแข่งขันในตลาด Foundry อีกครั้ง หาก Intel สามารถตอบโจทย์ Apple ได้ จะเป็นการยกระดับความน่าเชื่อถือและสร้างแรงกดดันต่อ TSMC ในระยะยาว 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การแข่งขันกำลังผลิตชิปขั้นสูง ➡️ Apple และ NVIDIA แย่งชิงกำลังผลิต A16 และ A14 ของ TSMC ➡️ AMD และ MediaTek ก็เข้าร่วมแข่งขันเช่นกัน ✅ กลยุทธ์ของ Apple ➡️ พิจารณาความร่วมมือกับ Intel Foundry ใช้ 18AP สำหรับชิป M-series ระดับเริ่มต้น ➡️ สงวนกำลังผลิต A16 ของ TSMC สำหรับ iPhone Pro และ MacBook รุ่นสูง ✅ โอกาสของ Intel ➡️ หากร่วมมือกับ Apple จะเป็นการยืนยันศักยภาพ Foundry ของ Intel ➡️ เพิ่มแรงกดดันต่อ TSMC ในตลาดโลก ‼️ ความเสี่ยงและคำเตือน ⛔ ความต้องการ AI อาจทำให้ซัพพลายเชนตึงตัวและราคาชิปสูงขึ้น ⛔ การแข่งขันรุนแรงอาจส่งผลกระทบต่อการจัดหาชิปของผู้ผลิตรายเล็ก https://securityonline.info/semiconductor-showdown-apple-and-nvidia-battle-for-tsmcs-a16-capacity/
    SECURITYONLINE.INFO
    Semiconductor Showdown: Apple and NVIDIA Battle for TSMC's A16 Capacity
    Apple and NVIDIA are fiercely competing for TSMC's next-gen A16/A14 capacity. To mitigate risk, Apple is exploring using Intel's 18AP process for entry-level M-series chips.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 189 มุมมอง 0 รีวิว
  • ช่วยเปิดตาดู ทำหลักใหม่เขมร แล้วหลักเขต ร.๕ ไม่ให้คุณค่ากระนั้นหรือ
    .
    #thaitimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #กัมพูชา #ชายแดนไทยกัมพูชา #ภูมิรัฐศาสตร์ #newsupdate
    ช่วยเปิดตาดู ทำหลักใหม่เขมร แล้วหลักเขต ร.๕ ไม่ให้คุณค่ากระนั้นหรือ . #thaitimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #กัมพูชา #ชายแดนไทยกัมพูชา #ภูมิรัฐศาสตร์ #newsupdate
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 139 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • เหลี่ยมอีกแล้ว เขมรบอกข้างหน้าปลอดภัยไร้ทุ่น แต่ให้เขมรเดินนำก็ไม่กล้า
    .
    #thaitimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #กัมพูชา #ชายแดนไทยกัมพูชา #ภูมิรัฐศาสตร์ #newsupdate
    เหลี่ยมอีกแล้ว เขมรบอกข้างหน้าปลอดภัยไร้ทุ่น แต่ให้เขมรเดินนำก็ไม่กล้า . #thaitimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #กัมพูชา #ชายแดนไทยกัมพูชา #ภูมิรัฐศาสตร์ #newsupdate
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 154 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • ข่าว: Intel อาจกลับมาผลิตชิปให้ Apple

    รายงานล่าสุดเผยว่า Apple ได้ลงนาม NDA กับ Intel และเริ่มทดสอบ PDK (Process Design Kit) ของกระบวนการผลิต 18A โดยผลการจำลองใกล้เคียงกับที่คาดไว้ ทำให้ Apple อาจเลือก Intel เป็น ผู้ผลิตสำรอง (second source) สำหรับชิป M-series รุ่นเริ่มต้น เช่น MacBook Air และ iPad Pro ซึ่งมียอดขายรวมกว่า 20 ล้านเครื่องต่อปี

    ความหมายต่อ Intel และอุตสาหกรรม
    นี่จะเป็นครั้งแรกที่ Intel กลับมาผลิตชิปให้ Apple หลังจากถูกแทนที่โดย TSMC ในปี 2020 หากสำเร็จ Intel จะได้ลูกค้ารายใหญ่ที่ช่วยสร้างความเชื่อมั่นในกระบวนการผลิต 18A ซึ่งเป็นเทคโนโลยีขั้นสูงที่บริษัทพยายามผลักดันให้เป็น แพลตฟอร์ม foundry ระดับโลก การมี Apple เป็นลูกค้าจะช่วยให้ Intel มีจุดยืนแข็งแกร่งขึ้นในการแข่งขันกับ TSMC และ Samsung

    บริบทการแข่งขันและความเสี่ยง
    แม้การทดสอบจะเป็นไปตามแผน แต่ Intel ต้องพิสูจน์ว่า 18A สามารถผลิตได้ในปริมาณมากและมี yield ที่เสถียร ก่อนปี 2027 หากล่าช้า Apple อาจยังคงพึ่งพา TSMC ต่อไป นอกจากนี้ การลงทุนในโรงงานและการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ยังมีความเสี่ยงด้านต้นทุนและกำไรในระยะสั้น

    มุมมองจากตลาดโลก
    การที่ Appleพิจารณา Intel เป็นผู้ผลิตสำรองสะท้อนถึง กลยุทธ์ลดการพึ่งพา TSMC เพียงรายเดียว และสอดคล้องกับนโยบายของสหรัฐฯ ที่ต้องการเพิ่มการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ภายในประเทศ หาก Intel สามารถผลิตชิป M-series ได้จริง จะเป็นการเสริมความมั่นคงของซัพพลายเชนและลดความเสี่ยงจากภูมิรัฐศาสตร์ในเอเชีย

    สรุปเป็นหัวข้อ
    เหตุการณ์ในข่าว
    Apple ลงนาม NDA กับ Intel เพื่อทดสอบกระบวนการผลิต 18A
    คาดว่า Intel จะเริ่มผลิตชิป M-series รุ่นเริ่มต้นได้ในปี 2027
    ถือเป็นครั้งแรกที่ Intel กลับมาผลิตชิปให้ Apple หลังปี 2020

    ข้อมูลเสริมจาก Internet
    MacBook Air และ iPad Pro มียอดขายรวมกว่า 20 ล้านเครื่องต่อปี
    Intel พยายามผลักดัน 18A ให้เป็นแพลตฟอร์ม foundry ระดับโลก
    Apple ต้องการลดการพึ่งพา TSMC และสอดคล้องกับนโยบายสหรัฐฯ

    คำเตือนสำหรับอุตสาหกรรม
    Intel ต้องพิสูจน์ yield และความเสถียรของ 18A ก่อนปี 2027
    หากล่าช้า Apple อาจยังคงพึ่งพา TSMC ต่อไป
    การลงทุนขนาดใหญ่มีความเสี่ยงด้านต้นทุนและกำไรในระยะสั้น

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/intel-moves-closer-to-building-apples-entry-level-m-series-chips-on-18a
    🍏 ข่าว: Intel อาจกลับมาผลิตชิปให้ Apple รายงานล่าสุดเผยว่า Apple ได้ลงนาม NDA กับ Intel และเริ่มทดสอบ PDK (Process Design Kit) ของกระบวนการผลิต 18A โดยผลการจำลองใกล้เคียงกับที่คาดไว้ ทำให้ Apple อาจเลือก Intel เป็น ผู้ผลิตสำรอง (second source) สำหรับชิป M-series รุ่นเริ่มต้น เช่น MacBook Air และ iPad Pro ซึ่งมียอดขายรวมกว่า 20 ล้านเครื่องต่อปี 🏭 ความหมายต่อ Intel และอุตสาหกรรม นี่จะเป็นครั้งแรกที่ Intel กลับมาผลิตชิปให้ Apple หลังจากถูกแทนที่โดย TSMC ในปี 2020 หากสำเร็จ Intel จะได้ลูกค้ารายใหญ่ที่ช่วยสร้างความเชื่อมั่นในกระบวนการผลิต 18A ซึ่งเป็นเทคโนโลยีขั้นสูงที่บริษัทพยายามผลักดันให้เป็น แพลตฟอร์ม foundry ระดับโลก การมี Apple เป็นลูกค้าจะช่วยให้ Intel มีจุดยืนแข็งแกร่งขึ้นในการแข่งขันกับ TSMC และ Samsung ⚡ บริบทการแข่งขันและความเสี่ยง แม้การทดสอบจะเป็นไปตามแผน แต่ Intel ต้องพิสูจน์ว่า 18A สามารถผลิตได้ในปริมาณมากและมี yield ที่เสถียร ก่อนปี 2027 หากล่าช้า Apple อาจยังคงพึ่งพา TSMC ต่อไป นอกจากนี้ การลงทุนในโรงงานและการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ยังมีความเสี่ยงด้านต้นทุนและกำไรในระยะสั้น 🌍 มุมมองจากตลาดโลก การที่ Appleพิจารณา Intel เป็นผู้ผลิตสำรองสะท้อนถึง กลยุทธ์ลดการพึ่งพา TSMC เพียงรายเดียว และสอดคล้องกับนโยบายของสหรัฐฯ ที่ต้องการเพิ่มการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ภายในประเทศ หาก Intel สามารถผลิตชิป M-series ได้จริง จะเป็นการเสริมความมั่นคงของซัพพลายเชนและลดความเสี่ยงจากภูมิรัฐศาสตร์ในเอเชีย 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ เหตุการณ์ในข่าว ➡️ Apple ลงนาม NDA กับ Intel เพื่อทดสอบกระบวนการผลิต 18A ➡️ คาดว่า Intel จะเริ่มผลิตชิป M-series รุ่นเริ่มต้นได้ในปี 2027 ➡️ ถือเป็นครั้งแรกที่ Intel กลับมาผลิตชิปให้ Apple หลังปี 2020 ✅ ข้อมูลเสริมจาก Internet ➡️ MacBook Air และ iPad Pro มียอดขายรวมกว่า 20 ล้านเครื่องต่อปี ➡️ Intel พยายามผลักดัน 18A ให้เป็นแพลตฟอร์ม foundry ระดับโลก ➡️ Apple ต้องการลดการพึ่งพา TSMC และสอดคล้องกับนโยบายสหรัฐฯ ‼️ คำเตือนสำหรับอุตสาหกรรม ⛔ Intel ต้องพิสูจน์ yield และความเสถียรของ 18A ก่อนปี 2027 ⛔ หากล่าช้า Apple อาจยังคงพึ่งพา TSMC ต่อไป ⛔ การลงทุนขนาดใหญ่มีความเสี่ยงด้านต้นทุนและกำไรในระยะสั้น https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/intel-moves-closer-to-building-apples-entry-level-m-series-chips-on-18a
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 201 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าว: Micron ลงทุนสร้างโรงงาน HBM ในญี่ปุ่น

    Micron วางแผนขยายโรงงานที่ฮิโรชิมาเพื่อสร้างโรงงานผลิต High-Bandwidth Memory (HBM) โดยใช้งบลงทุนกว่า 1.5 ล้านล้านเยน (9.6 พันล้านดอลลาร์) การก่อสร้างจะเริ่มในเดือนพฤษภาคมปีหน้า และคาดว่าจะเริ่มส่งมอบผลิตภัณฑ์ในปี 2028

    การสนับสนุนจากรัฐบาลญี่ปุ่น
    กระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น (METI) คาดว่าจะสนับสนุนเงินอุดหนุนสูงสุดถึง 500 พันล้านเยน เพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศและเสริมสร้างศักยภาพอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในประเทศ ซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์ที่ญี่ปุ่นใช้กับโครงการของ TSMC และ Rapidus ที่ได้รับการสนับสนุนเช่นกัน

    บริบทการแข่งขันในตลาด HBM
    ตลาด HBM กำลังเป็นหัวใจสำคัญของซัพพลายเชน AI โดย SK hynix ครองตลาดหลักและส่งออกให้ Nvidia จนถึงปี 2026 ขณะที่ Samsung กำลังเร่งพัฒนา HBM3E แบบ 12 ชั้น ส่วน Micron เองก็มีสัญญาซัพพลายกับ Nvidia และ AMD และกำลังขยายส่วนแบ่งตลาดไปถึง 20% การสร้างโรงงานใหม่ในญี่ปุ่นจะช่วยเพิ่มศักยภาพและลดความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์

    ความสำคัญต่ออนาคต AI
    โรงงานใหม่นี้จะตรงกับช่วงที่ GPU รุ่นถัดไป (HBM4/HBM4E) เริ่มเข้าสู่ตลาด ซึ่งต้องการหน่วยความจำที่มีความเร็วและความหนาแน่นสูงขึ้น หาก Micron สามารถผลิตได้ตามแผนในปี 2028 จะช่วยให้บริษัทมีบทบาทสำคัญในตลาด AI accelerators ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว

    สรุปเป็นหัวข้อ
    เหตุการณ์ในข่าว
    Micron ลงทุน 9.6 พันล้านดอลลาร์สร้างโรงงาน HBM ที่ฮิโรชิมา
    เริ่มก่อสร้างปีหน้า และคาดว่าจะผลิตได้ในปี 2028

    ข้อมูลเสริมจาก Internet
    SK hynix ครองตลาด HBM และส่งออกให้ Nvidia จนถึงปี 2026
    Samsung เร่งพัฒนา HBM3E แบบ 12 ชั้น
    Micron มีสัญญาซัพพลายกับ Nvidia และ AMD และกำลังขยายส่วนแบ่งตลาดถึง 20%

    คำเตือนสำหรับอุตสาหกรรม
    ความต้องการ HBM สูงมาก อาจทำให้เกิดการขาดแคลนและราคาพุ่ง
    การแข่งขันระหว่าง SK hynix, Samsung และ Micron อาจทำให้ตลาดผันผวน
    ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ เช่น ความสัมพันธ์สหรัฐ-จีน อาจกระทบซัพพลายเชน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/micron-plans-hbm-fab-in-japan-as-ai-memory-race-accelerates
    🏭 ข่าว: Micron ลงทุนสร้างโรงงาน HBM ในญี่ปุ่น Micron วางแผนขยายโรงงานที่ฮิโรชิมาเพื่อสร้างโรงงานผลิต High-Bandwidth Memory (HBM) โดยใช้งบลงทุนกว่า 1.5 ล้านล้านเยน (9.6 พันล้านดอลลาร์) การก่อสร้างจะเริ่มในเดือนพฤษภาคมปีหน้า และคาดว่าจะเริ่มส่งมอบผลิตภัณฑ์ในปี 2028 💰 การสนับสนุนจากรัฐบาลญี่ปุ่น กระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น (METI) คาดว่าจะสนับสนุนเงินอุดหนุนสูงสุดถึง 500 พันล้านเยน เพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศและเสริมสร้างศักยภาพอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในประเทศ ซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์ที่ญี่ปุ่นใช้กับโครงการของ TSMC และ Rapidus ที่ได้รับการสนับสนุนเช่นกัน ⚡ บริบทการแข่งขันในตลาด HBM ตลาด HBM กำลังเป็นหัวใจสำคัญของซัพพลายเชน AI โดย SK hynix ครองตลาดหลักและส่งออกให้ Nvidia จนถึงปี 2026 ขณะที่ Samsung กำลังเร่งพัฒนา HBM3E แบบ 12 ชั้น ส่วน Micron เองก็มีสัญญาซัพพลายกับ Nvidia และ AMD และกำลังขยายส่วนแบ่งตลาดไปถึง 20% การสร้างโรงงานใหม่ในญี่ปุ่นจะช่วยเพิ่มศักยภาพและลดความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ 🚀 ความสำคัญต่ออนาคต AI โรงงานใหม่นี้จะตรงกับช่วงที่ GPU รุ่นถัดไป (HBM4/HBM4E) เริ่มเข้าสู่ตลาด ซึ่งต้องการหน่วยความจำที่มีความเร็วและความหนาแน่นสูงขึ้น หาก Micron สามารถผลิตได้ตามแผนในปี 2028 จะช่วยให้บริษัทมีบทบาทสำคัญในตลาด AI accelerators ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ เหตุการณ์ในข่าว ➡️ Micron ลงทุน 9.6 พันล้านดอลลาร์สร้างโรงงาน HBM ที่ฮิโรชิมา ➡️ เริ่มก่อสร้างปีหน้า และคาดว่าจะผลิตได้ในปี 2028 ✅ ข้อมูลเสริมจาก Internet ➡️ SK hynix ครองตลาด HBM และส่งออกให้ Nvidia จนถึงปี 2026 ➡️ Samsung เร่งพัฒนา HBM3E แบบ 12 ชั้น ➡️ Micron มีสัญญาซัพพลายกับ Nvidia และ AMD และกำลังขยายส่วนแบ่งตลาดถึง 20% ‼️ คำเตือนสำหรับอุตสาหกรรม ⛔ ความต้องการ HBM สูงมาก อาจทำให้เกิดการขาดแคลนและราคาพุ่ง ⛔ การแข่งขันระหว่าง SK hynix, Samsung และ Micron อาจทำให้ตลาดผันผวน ⛔ ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ เช่น ความสัมพันธ์สหรัฐ-จีน อาจกระทบซัพพลายเชน https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/micron-plans-hbm-fab-in-japan-as-ai-memory-race-accelerates
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Micron plans $9.6 billion HBM fab in Japan as AI memory race accelerates
    U.S. chipmaker set to expand Hiroshima site with heavy support from Tokyo.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 246 มุมมอง 0 รีวิว
  • บูรพาไม่แพ้ Ep.149 : “ฟุก๊วก-ฟูนันเตโช” หักเหลี่ยม เวียดนาม-กัมพูชา
    .
    พอดแคส บูรพาไม่แพ้ ในตอนนี้ เราจะเล่าถึงความสัมพันธ์ระหว่างเวียดนามกับกัมพูชา โดยเฉพาะโครงการคลองฟูนันเตโช ที่เป็นชนวนความขัดแย้งล่าสุดระหว่าง 2 ประเทศ รวมถึง โครงการสร้างถนนและสะพานเชื่อมเกาะฟุก๊วกของเวียดนาม ซึ่ง 2 โครงการนี้ก็คือ จิ๊กซอร์ของการช่วงชิงอำนาจทางภูมิรัฐศาสตร์ในอ่าวไทย ...
    .
    คลิกฟัง >> https://www.youtube.com/watch?v=b_U5dIFBAS0
    .
    #บูรพาไม่แพ้ #เกาะฟุก๊วก #คลองฟูนันเตโช #เวียดนาม #กัมพูชา #อ่าวไทย
    บูรพาไม่แพ้ Ep.149 : “ฟุก๊วก-ฟูนันเตโช” หักเหลี่ยม เวียดนาม-กัมพูชา . พอดแคส บูรพาไม่แพ้ ในตอนนี้ เราจะเล่าถึงความสัมพันธ์ระหว่างเวียดนามกับกัมพูชา โดยเฉพาะโครงการคลองฟูนันเตโช ที่เป็นชนวนความขัดแย้งล่าสุดระหว่าง 2 ประเทศ รวมถึง โครงการสร้างถนนและสะพานเชื่อมเกาะฟุก๊วกของเวียดนาม ซึ่ง 2 โครงการนี้ก็คือ จิ๊กซอร์ของการช่วงชิงอำนาจทางภูมิรัฐศาสตร์ในอ่าวไทย ... . คลิกฟัง >> https://www.youtube.com/watch?v=b_U5dIFBAS0 . #บูรพาไม่แพ้ #เกาะฟุก๊วก #คลองฟูนันเตโช #เวียดนาม #กัมพูชา #อ่าวไทย
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 191 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศึกกฎหมาย TSMC vs Intel

    TSMC ได้ยื่นฟ้อง Wei-Jen Lo อดีตรองประธานอาวุโสที่เพิ่งเกษียณ โดยกล่าวหาว่าเขาอาจนำข้อมูลลับด้านกระบวนการผลิตชิปไปให้ Intel หลังจากเข้ารับตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงที่นั่นเพียงไม่กี่เดือนหลังลาออก ข้อกล่าวหานี้รวมถึงการละเมิดสัญญาไม่เปิดเผยข้อมูลและสัญญาไม่แข่งขัน ซึ่งถือเป็นการกระทำที่กระทบต่อความมั่นคงทางเทคโนโลยีของไต้หวัน

    Intel ยืนยันความโปร่งใส
    Intel โดย CEO Lip-Bu Tan ได้ออกแถลงการณ์ภายใน ยืนยันว่า Wei-Jen Lo ได้รับการสนับสนุนเต็มที่ และปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมด โดยชี้ว่าบริษัทมีนโยบายเข้มงวดในการป้องกันการนำข้อมูลลับจากบุคคลที่สามมาใช้ การกลับมาของ Lo ยังถูกมองว่าเป็นการเสริมความแข็งแกร่งให้กับ Intel ที่กำลังพยายามกลับมาแข่งขันกับ TSMC ในตลาดการผลิตชิป

    เทคโนโลยี Panther Lake และ 18A
    Intel กำลังผลักดันกระบวนการผลิตใหม่ 18A ที่ใช้เทคโนโลยี RibbonFET และ PowerVia ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสถาปัตยกรรมทรานซิสเตอร์ โดยจะถูกนำมาใช้ในชิป Panther Lake ที่เตรียมเปิดตัวในปี 2026 จุดเด่นคือประสิทธิภาพต่อวัตต์สูงขึ้นและการจัดการพลังงานที่ดีขึ้น ทำให้ Intel มีโอกาสกลับมาเป็นผู้นำด้านการผลิตชิปอีกครั้ง

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมโลก
    การฟ้องร้องครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นเรื่องของสองบริษัท แต่ยังสะท้อนถึงการแข่งขันเชิงภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างสหรัฐฯ และไต้หวันในด้านเทคโนโลยีขั้นสูง หากข้อกล่าวหาพิสูจน์ได้จริง อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและพันธมิตรทั่วโลก ขณะเดียวกัน ความสำเร็จของ Intel ในการผลิตด้วย 18A ก็อาจเปลี่ยนสมดุลของตลาดเซมิคอนดักเตอร์

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การฟ้องร้องของ TSMC ต่อ Wei-Jen Lo
    กล่าวหาว่านำข้อมูลลับและละเมิดสัญญาไม่แข่งขัน

    Intel ปฏิเสธข้อกล่าวหาและสนับสนุนผู้บริหารใหม่
    ยืนยันนโยบายเข้มงวดด้านการปกป้องข้อมูล

    ความก้าวหน้าของ Intel กับกระบวนการผลิต 18A
    ใช้เทคโนโลยี RibbonFET และ PowerVia ในชิป Panther Lake

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์โลก
    อาจเปลี่ยนสมดุลการแข่งขันระหว่างสหรัฐฯ และไต้หวัน

    ความเสี่ยงด้านความมั่นคงข้อมูลและกฎหมาย
    หากพิสูจน์ได้จริง อาจกระทบต่อความเชื่อมั่นและเสถียรภาพของตลาด

    ปัญหาด้าน Yield ของกระบวนการผลิต 18A
    หากไม่สามารถแก้ไขได้ อาจทำให้ Intel ขาดทุนมหาศาลและเสียโอกาสแข่งขัน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/intel-fully-backs-its-controversial-new-hire-that-tsmc-alleges-took-company-secrets-with-him-ceo-lip-bu-tan-highlights-team-blues-strict-ethics-policy-in-internal-memo-amid-high-stakes-lawsuit
    ⚖️ ศึกกฎหมาย TSMC vs Intel TSMC ได้ยื่นฟ้อง Wei-Jen Lo อดีตรองประธานอาวุโสที่เพิ่งเกษียณ โดยกล่าวหาว่าเขาอาจนำข้อมูลลับด้านกระบวนการผลิตชิปไปให้ Intel หลังจากเข้ารับตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงที่นั่นเพียงไม่กี่เดือนหลังลาออก ข้อกล่าวหานี้รวมถึงการละเมิดสัญญาไม่เปิดเผยข้อมูลและสัญญาไม่แข่งขัน ซึ่งถือเป็นการกระทำที่กระทบต่อความมั่นคงทางเทคโนโลยีของไต้หวัน 🏢 Intel ยืนยันความโปร่งใส Intel โดย CEO Lip-Bu Tan ได้ออกแถลงการณ์ภายใน ยืนยันว่า Wei-Jen Lo ได้รับการสนับสนุนเต็มที่ และปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมด โดยชี้ว่าบริษัทมีนโยบายเข้มงวดในการป้องกันการนำข้อมูลลับจากบุคคลที่สามมาใช้ การกลับมาของ Lo ยังถูกมองว่าเป็นการเสริมความแข็งแกร่งให้กับ Intel ที่กำลังพยายามกลับมาแข่งขันกับ TSMC ในตลาดการผลิตชิป 💻 เทคโนโลยี Panther Lake และ 18A Intel กำลังผลักดันกระบวนการผลิตใหม่ 18A ที่ใช้เทคโนโลยี RibbonFET และ PowerVia ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสถาปัตยกรรมทรานซิสเตอร์ โดยจะถูกนำมาใช้ในชิป Panther Lake ที่เตรียมเปิดตัวในปี 2026 จุดเด่นคือประสิทธิภาพต่อวัตต์สูงขึ้นและการจัดการพลังงานที่ดีขึ้น ทำให้ Intel มีโอกาสกลับมาเป็นผู้นำด้านการผลิตชิปอีกครั้ง 🌍 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมโลก การฟ้องร้องครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นเรื่องของสองบริษัท แต่ยังสะท้อนถึงการแข่งขันเชิงภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างสหรัฐฯ และไต้หวันในด้านเทคโนโลยีขั้นสูง หากข้อกล่าวหาพิสูจน์ได้จริง อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและพันธมิตรทั่วโลก ขณะเดียวกัน ความสำเร็จของ Intel ในการผลิตด้วย 18A ก็อาจเปลี่ยนสมดุลของตลาดเซมิคอนดักเตอร์ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การฟ้องร้องของ TSMC ต่อ Wei-Jen Lo ➡️ กล่าวหาว่านำข้อมูลลับและละเมิดสัญญาไม่แข่งขัน ✅ Intel ปฏิเสธข้อกล่าวหาและสนับสนุนผู้บริหารใหม่ ➡️ ยืนยันนโยบายเข้มงวดด้านการปกป้องข้อมูล ✅ ความก้าวหน้าของ Intel กับกระบวนการผลิต 18A ➡️ ใช้เทคโนโลยี RibbonFET และ PowerVia ในชิป Panther Lake ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์โลก ➡️ อาจเปลี่ยนสมดุลการแข่งขันระหว่างสหรัฐฯ และไต้หวัน ‼️ ความเสี่ยงด้านความมั่นคงข้อมูลและกฎหมาย ⛔ หากพิสูจน์ได้จริง อาจกระทบต่อความเชื่อมั่นและเสถียรภาพของตลาด ‼️ ปัญหาด้าน Yield ของกระบวนการผลิต 18A ⛔ หากไม่สามารถแก้ไขได้ อาจทำให้ Intel ขาดทุนมหาศาลและเสียโอกาสแข่งขัน https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/intel-fully-backs-its-controversial-new-hire-that-tsmc-alleges-took-company-secrets-with-him-ceo-lip-bu-tan-highlights-team-blues-strict-ethics-policy-in-internal-memo-amid-high-stakes-lawsuit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 268 มุมมอง 0 รีวิว
  • การจำลองการปิดกั้น Starlink

    ข่าวนี้เล่าถึงการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์จีนที่จำลองการใช้ โดรนติดตั้งเครื่องรบกวนสัญญาณ (jammers) เพื่อสร้าง “เกราะแม่เหล็กไฟฟ้า” ปิดกั้นการเข้าถึง Starlink โดยคาดว่าใช้โดรนประมาณ 1,000–2,000 ลำก็สามารถตัดการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตดาวเทียมได้ ถือเป็นการจำลองเชิงยุทธศาสตร์ที่สะท้อนความตึงเครียดในภูมิภาค

    นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Zhejiang และ Beijing Institute of Technology ได้ใช้ข้อมูลจริงของเครือข่ายดาวเทียม Starlink มาจำลองการสร้าง mesh network ของโดรนติด jammer ครอบคลุมพื้นที่ขนาดไต้หวันในระยะเวลา 12 ชั่วโมง ผลการทดลองชี้ว่า หากใช้โดรนประมาณ 935–2,000 ลำ ที่บินห่างกัน 3–6 ไมล์ สามารถสร้าง “ม่านรบกวนสัญญาณ” สูง 12 ไมล์เพื่อปิดกั้นการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้

    ความหมายเชิงยุทธศาสตร์
    Starlink ถูกมองว่าเป็นจุดแข็งของยูเครนในการต้านทานรัสเซีย ทำให้จีนกังวลว่าไต้หวันอาจใช้เทคโนโลยีเดียวกันหากเกิดความขัดแย้ง การจำลองนี้จึงเป็นการวางแผนเชิงยุทธศาสตร์เพื่อหาวิธีรับมือกับระบบสื่อสารดาวเทียมที่ยืดหยุ่นและยากต่อการปิดกั้น

    การตอบสนองของไต้หวัน
    ไต้หวันเองกำลังลงทุนในระบบป้องกันโดรนและพิจารณาโครงสร้างป้องกันคล้าย Iron Dome เพื่อรับมือกับภัยคุกคามทางอากาศ รวมถึงการป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์และการสื่อสาร ซึ่งสะท้อนถึงการเตรียมพร้อมของประเทศที่เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์โลก

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมและภูมิรัฐศาสตร์
    การศึกษานี้ไม่เพียงแต่เกี่ยวข้องกับการทหาร แต่ยังส่งผลต่อ ห่วงโซ่อุปทานเทคโนโลยีโลก เนื่องจากไต้หวันเป็นผู้ผลิตชิปหลัก หากการสื่อสารถูกตัดขาด อาจกระทบต่อเศรษฐกิจโลกอย่างรุนแรง เหตุการณ์นี้จึงเป็นสัญญาณเตือนว่าความมั่นคงทางดิจิทัลและการสื่อสารเป็นหัวใจสำคัญในยุค AI และเศรษฐกิจดิจิทัล

    สรุปสาระสำคัญ
    การจำลองของนักวิทยาศาสตร์จีน
    ใช้โดรนติด jammer ประมาณ 935–2,000 ลำ
    สามารถสร้างม่านรบกวนสัญญาณสูง 12 ไมล์

    ความหมายเชิงยุทธศาสตร์
    Starlink ถูกมองว่าเป็นจุดแข็งของยูเครน
    จีนกังวลว่าไต้หวันอาจใช้เทคโนโลยีเดียวกัน

    การตอบสนองของไต้หวัน
    ลงทุนในระบบป้องกันโดรนและโครงสร้างคล้าย Iron Dome
    เตรียมพร้อมรับมือภัยคุกคามทางไซเบอร์และการสื่อสาร

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมโลก
    ไต้หวันเป็นศูนย์กลางการผลิตชิป
    การตัดการสื่อสารอาจกระทบเศรษฐกิจโลกอย่างรุนแรง

    คำเตือนต่อภูมิรัฐศาสตร์
    ความตึงเครียดในภูมิภาคอาจกระทบห่วงโซ่อุปทานโลก
    การใช้โดรนรบกวนสัญญาณอาจนำไปสู่สงครามเทคโนโลยีเต็มรูปแบบ

    https://www.tomshardware.com/networking/china-simulated-a-starlink-blockade-over-taiwan-ccp-scientists-say-around-1-000-drones-would-be-enough-to-cut-satellite-internet-to-the-island
    ⚡ การจำลองการปิดกั้น Starlink ข่าวนี้เล่าถึงการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์จีนที่จำลองการใช้ โดรนติดตั้งเครื่องรบกวนสัญญาณ (jammers) เพื่อสร้าง “เกราะแม่เหล็กไฟฟ้า” ปิดกั้นการเข้าถึง Starlink โดยคาดว่าใช้โดรนประมาณ 1,000–2,000 ลำก็สามารถตัดการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตดาวเทียมได้ ถือเป็นการจำลองเชิงยุทธศาสตร์ที่สะท้อนความตึงเครียดในภูมิภาค นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Zhejiang และ Beijing Institute of Technology ได้ใช้ข้อมูลจริงของเครือข่ายดาวเทียม Starlink มาจำลองการสร้าง mesh network ของโดรนติด jammer ครอบคลุมพื้นที่ขนาดไต้หวันในระยะเวลา 12 ชั่วโมง ผลการทดลองชี้ว่า หากใช้โดรนประมาณ 935–2,000 ลำ ที่บินห่างกัน 3–6 ไมล์ สามารถสร้าง “ม่านรบกวนสัญญาณ” สูง 12 ไมล์เพื่อปิดกั้นการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ 🏭 ความหมายเชิงยุทธศาสตร์ Starlink ถูกมองว่าเป็นจุดแข็งของยูเครนในการต้านทานรัสเซีย ทำให้จีนกังวลว่าไต้หวันอาจใช้เทคโนโลยีเดียวกันหากเกิดความขัดแย้ง การจำลองนี้จึงเป็นการวางแผนเชิงยุทธศาสตร์เพื่อหาวิธีรับมือกับระบบสื่อสารดาวเทียมที่ยืดหยุ่นและยากต่อการปิดกั้น 🌍 การตอบสนองของไต้หวัน ไต้หวันเองกำลังลงทุนในระบบป้องกันโดรนและพิจารณาโครงสร้างป้องกันคล้าย Iron Dome เพื่อรับมือกับภัยคุกคามทางอากาศ รวมถึงการป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์และการสื่อสาร ซึ่งสะท้อนถึงการเตรียมพร้อมของประเทศที่เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์โลก 🔒 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมและภูมิรัฐศาสตร์ การศึกษานี้ไม่เพียงแต่เกี่ยวข้องกับการทหาร แต่ยังส่งผลต่อ ห่วงโซ่อุปทานเทคโนโลยีโลก เนื่องจากไต้หวันเป็นผู้ผลิตชิปหลัก หากการสื่อสารถูกตัดขาด อาจกระทบต่อเศรษฐกิจโลกอย่างรุนแรง เหตุการณ์นี้จึงเป็นสัญญาณเตือนว่าความมั่นคงทางดิจิทัลและการสื่อสารเป็นหัวใจสำคัญในยุค AI และเศรษฐกิจดิจิทัล 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การจำลองของนักวิทยาศาสตร์จีน ➡️ ใช้โดรนติด jammer ประมาณ 935–2,000 ลำ ➡️ สามารถสร้างม่านรบกวนสัญญาณสูง 12 ไมล์ ✅ ความหมายเชิงยุทธศาสตร์ ➡️ Starlink ถูกมองว่าเป็นจุดแข็งของยูเครน ➡️ จีนกังวลว่าไต้หวันอาจใช้เทคโนโลยีเดียวกัน ✅ การตอบสนองของไต้หวัน ➡️ ลงทุนในระบบป้องกันโดรนและโครงสร้างคล้าย Iron Dome ➡️ เตรียมพร้อมรับมือภัยคุกคามทางไซเบอร์และการสื่อสาร ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมโลก ➡️ ไต้หวันเป็นศูนย์กลางการผลิตชิป ➡️ การตัดการสื่อสารอาจกระทบเศรษฐกิจโลกอย่างรุนแรง ‼️ คำเตือนต่อภูมิรัฐศาสตร์ ⛔ ความตึงเครียดในภูมิภาคอาจกระทบห่วงโซ่อุปทานโลก ⛔ การใช้โดรนรบกวนสัญญาณอาจนำไปสู่สงครามเทคโนโลยีเต็มรูปแบบ https://www.tomshardware.com/networking/china-simulated-a-starlink-blockade-over-taiwan-ccp-scientists-say-around-1-000-drones-would-be-enough-to-cut-satellite-internet-to-the-island
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 362 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไฟดับที่ Fab 21 ของ TSMC

    ข่าวนี้เกี่ยวกับเหตุไฟฟ้าขัดข้องที่โรงงาน TSMC Fab 21 ในรัฐแอริโซนา สหรัฐฯ ซึ่งส่งผลให้ต้องหยุดการผลิตและมีการสูญเสียเวเฟอร์จำนวนหนึ่ง เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงความเปราะบางของห่วงโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์ และความเสี่ยงที่อุตสาหกรรมต้องเผชิญ

    ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา โรงงานผลิตชิป Fab 21 ของ TSMC ในรัฐแอริโซนา ต้องหยุดการผลิตชั่วคราวเนื่องจากไฟฟ้าขัดข้องที่บริษัทผู้จัดหาก๊าซอุตสาหกรรม Linde เหตุการณ์นี้ไม่ได้ทำให้โรงงานดับไฟทั้งหมด แต่การขาดวัตถุดิบสำคัญทำให้สายการผลิตต้องหยุดลง ส่งผลให้เวเฟอร์ที่อยู่ระหว่างการผลิตบางส่วนถูกทิ้งไป และสร้างความเสียหายทางการเงิน แม้บริษัทจะยังไม่เปิดเผยตัวเลขที่แน่ชัด

    ความเปราะบางของห่วงโซ่อุปทาน
    ในไต้หวัน TSMC ดูแลระบบโครงสร้างพื้นฐานเอง แต่ในสหรัฐฯ บริษัทต้องพึ่งพาผู้จัดหาภายนอก ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการหยุดชะงักที่ควบคุมไม่ได้ เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่าการขยายโรงงานไปต่างประเทศ แม้จะช่วยกระจายความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์ แต่ก็สร้างความท้าทายใหม่ในด้านการจัดการห่วงโซ่อุปทาน

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์
    การหยุดผลิตแม้เพียงไม่กี่ชั่วโมงในโรงงานขั้นสูง สามารถสร้างความเสียหายมหาศาลต่อรายได้และลูกค้า เช่น Apple, Nvidia และ AMD ที่พึ่งพาการผลิตจาก Fab 21 เหตุการณ์นี้ยังตอกย้ำว่าความต่อเนื่องของการผลิตเป็นหัวใจสำคัญในอุตสาหกรรมที่แข่งขันสูง และการสูญเสียแม้เพียงเล็กน้อยก็อาจกระทบต่อทั้งตลาดโลก

    บทเรียนและการปรับตัว
    TSMC ได้เรียนรู้จากเหตุการณ์นี้และเริ่มวางแผนเพื่อป้องกันความเสี่ยงในอนาคต ทั้งการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานใหม่ เช่น โครงการรีไซเคิลน้ำในแอริโซนา และการพิจารณาควบคุมซัพพลายเชนให้เข้มงวดขึ้น เหตุการณ์นี้ยังเป็นสัญญาณเตือนต่อทั้งอุตสาหกรรมว่าความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทานเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม

    สรุปสาระสำคัญ
    เหตุการณ์ไฟฟ้าขัดข้องที่ Fab 21
    เกิดจากปัญหาที่บริษัท Linde ผู้จัดหาก๊าซอุตสาหกรรม
    ส่งผลให้สายการผลิตหยุดชั่วคราวและเวเฟอร์บางส่วนถูกทิ้ง

    ความเปราะบางของห่วงโซ่อุปทาน
    ในไต้หวัน TSMC ดูแลเอง แต่ในสหรัฐฯ ต้องพึ่งพาภายนอก
    ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการหยุดชะงักที่ควบคุมไม่ได้

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม
    ลูกค้ารายใหญ่ เช่น Apple, Nvidia, AMD ได้รับผลกระทบ
    การหยุดผลิตแม้ไม่กี่ชั่วโมงก็สร้างความเสียหายทางการเงินมหาศาล

    การปรับตัวของ TSMC
    ลงทุนในโครงการรีไซเคิลน้ำและโครงสร้างพื้นฐานใหม่
    พิจารณาควบคุมซัพพลายเชนให้เข้มงวดขึ้น

    คำเตือนต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์
    การหยุดผลิตแม้สั้น ๆ สามารถกระทบทั้งตลาดโลก
    ความเสี่ยงจากการพึ่งพาซัพพลายเออร์ภายนอกยังคงสูง

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/tsmc-confirms-september-power-outage-at-fab-21-in-arizona-loss-of-wafers-and-financial-impact-unclear
    ⚡ ไฟดับที่ Fab 21 ของ TSMC ข่าวนี้เกี่ยวกับเหตุไฟฟ้าขัดข้องที่โรงงาน TSMC Fab 21 ในรัฐแอริโซนา สหรัฐฯ ซึ่งส่งผลให้ต้องหยุดการผลิตและมีการสูญเสียเวเฟอร์จำนวนหนึ่ง เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงความเปราะบางของห่วงโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์ และความเสี่ยงที่อุตสาหกรรมต้องเผชิญ ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา โรงงานผลิตชิป Fab 21 ของ TSMC ในรัฐแอริโซนา ต้องหยุดการผลิตชั่วคราวเนื่องจากไฟฟ้าขัดข้องที่บริษัทผู้จัดหาก๊าซอุตสาหกรรม Linde เหตุการณ์นี้ไม่ได้ทำให้โรงงานดับไฟทั้งหมด แต่การขาดวัตถุดิบสำคัญทำให้สายการผลิตต้องหยุดลง ส่งผลให้เวเฟอร์ที่อยู่ระหว่างการผลิตบางส่วนถูกทิ้งไป และสร้างความเสียหายทางการเงิน แม้บริษัทจะยังไม่เปิดเผยตัวเลขที่แน่ชัด 🏭 ความเปราะบางของห่วงโซ่อุปทาน ในไต้หวัน TSMC ดูแลระบบโครงสร้างพื้นฐานเอง แต่ในสหรัฐฯ บริษัทต้องพึ่งพาผู้จัดหาภายนอก ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการหยุดชะงักที่ควบคุมไม่ได้ เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่าการขยายโรงงานไปต่างประเทศ แม้จะช่วยกระจายความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์ แต่ก็สร้างความท้าทายใหม่ในด้านการจัดการห่วงโซ่อุปทาน 🌍 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ การหยุดผลิตแม้เพียงไม่กี่ชั่วโมงในโรงงานขั้นสูง สามารถสร้างความเสียหายมหาศาลต่อรายได้และลูกค้า เช่น Apple, Nvidia และ AMD ที่พึ่งพาการผลิตจาก Fab 21 เหตุการณ์นี้ยังตอกย้ำว่าความต่อเนื่องของการผลิตเป็นหัวใจสำคัญในอุตสาหกรรมที่แข่งขันสูง และการสูญเสียแม้เพียงเล็กน้อยก็อาจกระทบต่อทั้งตลาดโลก 🔒 บทเรียนและการปรับตัว TSMC ได้เรียนรู้จากเหตุการณ์นี้และเริ่มวางแผนเพื่อป้องกันความเสี่ยงในอนาคต ทั้งการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานใหม่ เช่น โครงการรีไซเคิลน้ำในแอริโซนา และการพิจารณาควบคุมซัพพลายเชนให้เข้มงวดขึ้น เหตุการณ์นี้ยังเป็นสัญญาณเตือนต่อทั้งอุตสาหกรรมว่าความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทานเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ เหตุการณ์ไฟฟ้าขัดข้องที่ Fab 21 ➡️ เกิดจากปัญหาที่บริษัท Linde ผู้จัดหาก๊าซอุตสาหกรรม ➡️ ส่งผลให้สายการผลิตหยุดชั่วคราวและเวเฟอร์บางส่วนถูกทิ้ง ✅ ความเปราะบางของห่วงโซ่อุปทาน ➡️ ในไต้หวัน TSMC ดูแลเอง แต่ในสหรัฐฯ ต้องพึ่งพาภายนอก ➡️ ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการหยุดชะงักที่ควบคุมไม่ได้ ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม ➡️ ลูกค้ารายใหญ่ เช่น Apple, Nvidia, AMD ได้รับผลกระทบ ➡️ การหยุดผลิตแม้ไม่กี่ชั่วโมงก็สร้างความเสียหายทางการเงินมหาศาล ✅ การปรับตัวของ TSMC ➡️ ลงทุนในโครงการรีไซเคิลน้ำและโครงสร้างพื้นฐานใหม่ ➡️ พิจารณาควบคุมซัพพลายเชนให้เข้มงวดขึ้น ‼️ คำเตือนต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ⛔ การหยุดผลิตแม้สั้น ๆ สามารถกระทบทั้งตลาดโลก ⛔ ความเสี่ยงจากการพึ่งพาซัพพลายเออร์ภายนอกยังคงสูง https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/tsmc-confirms-september-power-outage-at-fab-21-in-arizona-loss-of-wafers-and-financial-impact-unclear
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 246 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประเทศไทยไม่ใช่ไก่กา จะทรัมป์หรืออันวาร์...ก็ต้องทบทวน! (24/11/68)
    .
    #thaitimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #ทรัมป์ #อันวาร์ #กัมพูชา #มาเลเซีย #ภูมิรัฐศาสตร์ #ข่าวร้อน #ข่าววันนี้ #newsupdate
    ประเทศไทยไม่ใช่ไก่กา จะทรัมป์หรืออันวาร์...ก็ต้องทบทวน! (24/11/68) . #thaitimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #ทรัมป์ #อันวาร์ #กัมพูชา #มาเลเซีย #ภูมิรัฐศาสตร์ #ข่าวร้อน #ข่าววันนี้ #newsupdate
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 238 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • "จีนบรรลุหมุดหมายด้านพลังงานอิสระ ด้วยการสร้างยูเรเนียมจากธอเรียม"

    สถาบันวิจัยของจีนได้ยืนยันความสำเร็จในการสร้างยูเรเนียมจากธอเรียมผ่านกระบวนการฟิชชัน ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่สามารถเปลี่ยนทรัพยากรที่มีอยู่มากในประเทศให้กลายเป็นเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ที่ใช้ได้จริง ความสำเร็จนี้ถูกมองว่าเป็นการลดการพึ่งพาการนำเข้ายูเรเนียมจากต่างประเทศ และช่วยเสริมความมั่นคงทางพลังงานในระยะยาว

    นวัตกรรมฟิชชันและความยั่งยืน
    การเพาะพันธุ์ยูเรเนียมจากธอเรียมถือเป็นเทคโนโลยีที่มีศักยภาพสูง เนื่องจากธอเรียมมีปริมาณมากในธรรมชาติและสามารถนำมาใช้แทนยูเรเนียมที่มีจำกัด กระบวนการนี้ไม่เพียงแต่สร้างเชื้อเพลิงใหม่ แต่ยังช่วยลดปัญหากากนิวเคลียร์ที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม ทำให้จีนถูกมองว่าเป็นผู้นำด้านพลังงานนิวเคลียร์สะอาดในอนาคต

    ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์
    ความสำเร็จนี้อาจเปลี่ยนแปลงสมดุลพลังงานโลก เนื่องจากจีนสามารถลดการนำเข้ายูเรเนียมจากประเทศผู้ผลิตหลัก เช่น คาซัคสถาน แคนาดา และออสเตรเลีย การพึ่งพาตนเองด้านพลังงานจะช่วยให้จีนมีอำนาจต่อรองมากขึ้นในเวทีโลก และยังเป็นการสนับสนุนเป้าหมายลดการปล่อยคาร์บอนตามข้อตกลง Paris Agreement

    ความท้าทายและข้อกังวล
    แม้เทคโนโลยีนี้จะมีศักยภาพสูง แต่ก็ยังมีข้อกังวลเรื่อง ความปลอดภัยของโรงงานนิวเคลียร์ และการจัดการกากนิวเคลียร์ที่ยังคงเป็นความเสี่ยง หากไม่มีมาตรการควบคุมที่เข้มงวด อาจเกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและประชาชน นอกจากนี้ การพัฒนาเทคโนโลยีดังกล่าวยังอาจนำไปสู่การแข่งขันด้านนิวเคลียร์ระหว่างประเทศ

    สรุปสาระสำคัญ
    ความสำเร็จของจีน
    เพาะพันธุ์ยูเรเนียมจากธอเรียมผ่านนวัตกรรมฟิชชัน
    ลดการพึ่งพาการนำเข้ายูเรเนียมจากต่างประเทศ

    ข้อดีของเทคโนโลยี
    ใช้ธอเรียมที่มีปริมาณมากในธรรมชาติ
    ลดปัญหากากนิวเคลียร์และสนับสนุนพลังงานสะอาด

    ผลกระทบระดับโลก
    เปลี่ยนสมดุลพลังงานโลกและเพิ่มอำนาจต่อรองของจีน
    สนับสนุนเป้าหมายลดคาร์บอนตาม Paris Agreement

    คำเตือนและความเสี่ยง
    ความปลอดภัยของโรงงานนิวเคลียร์ยังเป็นข้อกังวล
    อาจนำไปสู่การแข่งขันด้านนิวเคลียร์ระหว่างประเทศ

    https://www.scmp.com/news/china/science/article/3331312/china-reaches-energy-independence-milestone-breeding-uranium-thorium
    ⚛️ "จีนบรรลุหมุดหมายด้านพลังงานอิสระ ด้วยการสร้างยูเรเนียมจากธอเรียม" สถาบันวิจัยของจีนได้ยืนยันความสำเร็จในการสร้างยูเรเนียมจากธอเรียมผ่านกระบวนการฟิชชัน ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่สามารถเปลี่ยนทรัพยากรที่มีอยู่มากในประเทศให้กลายเป็นเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ที่ใช้ได้จริง ความสำเร็จนี้ถูกมองว่าเป็นการลดการพึ่งพาการนำเข้ายูเรเนียมจากต่างประเทศ และช่วยเสริมความมั่นคงทางพลังงานในระยะยาว 🔬 นวัตกรรมฟิชชันและความยั่งยืน การเพาะพันธุ์ยูเรเนียมจากธอเรียมถือเป็นเทคโนโลยีที่มีศักยภาพสูง เนื่องจากธอเรียมมีปริมาณมากในธรรมชาติและสามารถนำมาใช้แทนยูเรเนียมที่มีจำกัด กระบวนการนี้ไม่เพียงแต่สร้างเชื้อเพลิงใหม่ แต่ยังช่วยลดปัญหากากนิวเคลียร์ที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม ทำให้จีนถูกมองว่าเป็นผู้นำด้านพลังงานนิวเคลียร์สะอาดในอนาคต 🌍 ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ ความสำเร็จนี้อาจเปลี่ยนแปลงสมดุลพลังงานโลก เนื่องจากจีนสามารถลดการนำเข้ายูเรเนียมจากประเทศผู้ผลิตหลัก เช่น คาซัคสถาน แคนาดา และออสเตรเลีย การพึ่งพาตนเองด้านพลังงานจะช่วยให้จีนมีอำนาจต่อรองมากขึ้นในเวทีโลก และยังเป็นการสนับสนุนเป้าหมายลดการปล่อยคาร์บอนตามข้อตกลง Paris Agreement 🚨 ความท้าทายและข้อกังวล แม้เทคโนโลยีนี้จะมีศักยภาพสูง แต่ก็ยังมีข้อกังวลเรื่อง ความปลอดภัยของโรงงานนิวเคลียร์ และการจัดการกากนิวเคลียร์ที่ยังคงเป็นความเสี่ยง หากไม่มีมาตรการควบคุมที่เข้มงวด อาจเกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและประชาชน นอกจากนี้ การพัฒนาเทคโนโลยีดังกล่าวยังอาจนำไปสู่การแข่งขันด้านนิวเคลียร์ระหว่างประเทศ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ความสำเร็จของจีน ➡️ เพาะพันธุ์ยูเรเนียมจากธอเรียมผ่านนวัตกรรมฟิชชัน ➡️ ลดการพึ่งพาการนำเข้ายูเรเนียมจากต่างประเทศ ✅ ข้อดีของเทคโนโลยี ➡️ ใช้ธอเรียมที่มีปริมาณมากในธรรมชาติ ➡️ ลดปัญหากากนิวเคลียร์และสนับสนุนพลังงานสะอาด ✅ ผลกระทบระดับโลก ➡️ เปลี่ยนสมดุลพลังงานโลกและเพิ่มอำนาจต่อรองของจีน ➡️ สนับสนุนเป้าหมายลดคาร์บอนตาม Paris Agreement ‼️ คำเตือนและความเสี่ยง ⛔ ความปลอดภัยของโรงงานนิวเคลียร์ยังเป็นข้อกังวล ⛔ อาจนำไปสู่การแข่งขันด้านนิวเคลียร์ระหว่างประเทศ https://www.scmp.com/news/china/science/article/3331312/china-reaches-energy-independence-milestone-breeding-uranium-thorium
    WWW.SCMP.COM
    China reaches energy independence milestone by ‘breeding’ uranium from thorium
    Chinese research institute confirms success of fission-based innovation that is poised to reshape clean, sustainable nuclear power.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 363 มุมมอง 0 รีวิว
  • กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิของสหรัฐฯ (DHS) กำลังสอบสวนบริษัทจีน Bitmain

    รัฐบาลสหรัฐฯ เปิดปฏิบัติการ “Operation Red Sunset” เพื่อตรวจสอบว่าเครื่องขุดจาก Bitmain สามารถถูกควบคุมจากระยะไกลโดยรัฐบาลจีนหรือไม่ เจ้าหน้าที่ได้ทำการยึดและถอดเครื่องเพื่อตรวจสอบชิปและโค้ดภายใน แม้ผลการตรวจสอบยังไม่ถูกเปิดเผย แต่ความกังวลนี้สะท้อนถึงความตึงเครียดทางเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ และจีน

    กรณีที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้า
    ในปี 2024 รัฐบาลสหรัฐฯ เคยสั่งปิดการดำเนินการขุด Bitcoin ขนาดใหญ่ที่อยู่ใกล้ฐานทัพ Warren Air Force Base เนื่องจากใช้เครื่อง Antminer ของ Bitmain นับพันเครื่อง และถูกมองว่าเป็นภัยต่อความมั่นคง นอกจากนี้ รายงานของคณะกรรมาธิการข่าวกรองวุฒิสภาสหรัฐฯ ยังระบุว่าเครื่องขุดของ Bitmainสามารถถูก “ควบคุมจากระยะไกล” ได้

    การตอบโต้ของ Bitmain
    Bitmain ปฏิเสธข้อกล่าวหา โดยยืนยันว่า ปฏิบัติตามกฎหมายสหรัฐฯ อย่างเคร่งครัด และไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องกับการสอดแนมหรือก่อวินาศกรรม บริษัทชี้แจงว่าการที่สินค้าบางส่วนถูกยึดโดย FCC เป็นเพียงการตรวจสอบมาตรฐานสัญญาณเท่านั้น และไม่พบสิ่งผิดปกติ

    ความหมายเชิงภูมิรัฐศาสตร์
    Bitmain ครองตลาดเครื่องขุด Bitcoin กว่า 80% ทั่วโลก แต่การที่สหรัฐฯ กังวลต่อบริษัทจีนรายใหญ่เช่นนี้ สะท้อนถึงความเสี่ยงด้านความมั่นคงไซเบอร์และพลังงาน โดยเฉพาะหลังจีนออกกฎหมายข่าวกรัฐในปี 2017 ที่บังคับให้บริษัทต้องร่วมมือกับหน่วยข่าวกรอง

    สรุปเป็นหัวข้อ
    การสอบสวนของ DHS
    ปฏิบัติการ “Operation Red Sunset” ตรวจสอบเครื่องขุด Bitmain
    ยึดและถอดเครื่องเพื่อตรวจสอบชิปและโค้ด

    กรณีที่เคยเกิดขึ้น
    ปี 2024 สหรัฐฯ ปิดการขุดใกล้ฐานทัพ Warren Air Force Base
    รายงานวุฒิสภาระบุว่าเครื่อง Bitmain อาจถูกควบคุมจากระยะไกล

    การตอบโต้ของ Bitmain
    ปฏิเสธข้อกล่าวหาเรื่องสอดแนมและก่อวินาศกรรม
    ยืนยันว่าปฏิบัติตามกฎหมายสหรัฐฯ และมาตรฐาน FCC

    ความหมายเชิงภูมิรัฐศาสตร์
    Bitmain ครองตลาดเครื่องขุดกว่า 80%
    ความตึงเครียดสหรัฐฯ–จีนเพิ่มขึ้นหลังมีกฎหมายข่าวกรัฐจีน

    คำเตือนจากกรณีนี้
    เครื่องขุดอาจถูกใช้เป็นช่องทางสอดแนมหรือโจมตีโครงสร้างพื้นฐาน
    ความเสี่ยงด้านความมั่นคงไซเบอร์และพลังงานยังคงสูง

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptomining/homeland-security-thinks-chinese-firms-bitcoin-mining-chips-could-be-used-for-espionage-or-to-sabotage-the-power-grid-bitmain-probed-by-u-s-govt-over-national-security-concerns
    ‼️‼️ กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิของสหรัฐฯ (DHS) กำลังสอบสวนบริษัทจีน Bitmain รัฐบาลสหรัฐฯ เปิดปฏิบัติการ “Operation Red Sunset” เพื่อตรวจสอบว่าเครื่องขุดจาก Bitmain สามารถถูกควบคุมจากระยะไกลโดยรัฐบาลจีนหรือไม่ เจ้าหน้าที่ได้ทำการยึดและถอดเครื่องเพื่อตรวจสอบชิปและโค้ดภายใน แม้ผลการตรวจสอบยังไม่ถูกเปิดเผย แต่ความกังวลนี้สะท้อนถึงความตึงเครียดทางเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ และจีน 🔋 กรณีที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้า ในปี 2024 รัฐบาลสหรัฐฯ เคยสั่งปิดการดำเนินการขุด Bitcoin ขนาดใหญ่ที่อยู่ใกล้ฐานทัพ Warren Air Force Base เนื่องจากใช้เครื่อง Antminer ของ Bitmain นับพันเครื่อง และถูกมองว่าเป็นภัยต่อความมั่นคง นอกจากนี้ รายงานของคณะกรรมาธิการข่าวกรองวุฒิสภาสหรัฐฯ ยังระบุว่าเครื่องขุดของ Bitmainสามารถถูก “ควบคุมจากระยะไกล” ได้ 🛡️ การตอบโต้ของ Bitmain Bitmain ปฏิเสธข้อกล่าวหา โดยยืนยันว่า ปฏิบัติตามกฎหมายสหรัฐฯ อย่างเคร่งครัด และไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องกับการสอดแนมหรือก่อวินาศกรรม บริษัทชี้แจงว่าการที่สินค้าบางส่วนถูกยึดโดย FCC เป็นเพียงการตรวจสอบมาตรฐานสัญญาณเท่านั้น และไม่พบสิ่งผิดปกติ 🌐 ความหมายเชิงภูมิรัฐศาสตร์ Bitmain ครองตลาดเครื่องขุด Bitcoin กว่า 80% ทั่วโลก แต่การที่สหรัฐฯ กังวลต่อบริษัทจีนรายใหญ่เช่นนี้ สะท้อนถึงความเสี่ยงด้านความมั่นคงไซเบอร์และพลังงาน โดยเฉพาะหลังจีนออกกฎหมายข่าวกรัฐในปี 2017 ที่บังคับให้บริษัทต้องร่วมมือกับหน่วยข่าวกรอง 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ การสอบสวนของ DHS ➡️ ปฏิบัติการ “Operation Red Sunset” ตรวจสอบเครื่องขุด Bitmain ➡️ ยึดและถอดเครื่องเพื่อตรวจสอบชิปและโค้ด ✅ กรณีที่เคยเกิดขึ้น ➡️ ปี 2024 สหรัฐฯ ปิดการขุดใกล้ฐานทัพ Warren Air Force Base ➡️ รายงานวุฒิสภาระบุว่าเครื่อง Bitmain อาจถูกควบคุมจากระยะไกล ✅ การตอบโต้ของ Bitmain ➡️ ปฏิเสธข้อกล่าวหาเรื่องสอดแนมและก่อวินาศกรรม ➡️ ยืนยันว่าปฏิบัติตามกฎหมายสหรัฐฯ และมาตรฐาน FCC ✅ ความหมายเชิงภูมิรัฐศาสตร์ ➡️ Bitmain ครองตลาดเครื่องขุดกว่า 80% ➡️ ความตึงเครียดสหรัฐฯ–จีนเพิ่มขึ้นหลังมีกฎหมายข่าวกรัฐจีน ‼️ คำเตือนจากกรณีนี้ ⛔ เครื่องขุดอาจถูกใช้เป็นช่องทางสอดแนมหรือโจมตีโครงสร้างพื้นฐาน ⛔ ความเสี่ยงด้านความมั่นคงไซเบอร์และพลังงานยังคงสูง https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptomining/homeland-security-thinks-chinese-firms-bitcoin-mining-chips-could-be-used-for-espionage-or-to-sabotage-the-power-grid-bitmain-probed-by-u-s-govt-over-national-security-concerns
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 363 มุมมอง 0 รีวิว
  • กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ตั้งข้อหาชาวอเมริกัน 4 คนในคดีลักลอบส่งออก GPU Nvidia มีโทษจำคุกสูงสุดถึง 200 ปี

    กลุ่มผู้ต้องหานำโดย Brian Curtis Raymond ผู้ก่อตั้งบริษัท Bitworks ใน Alabama ถูกกล่าวหาว่าซื้อ GPU Nvidia A100, H100, H200 และซูเปอร์คอมพิวเตอร์ HPE จากช่องทางถูกกฎหมาย ก่อนจะขายต่อให้บริษัท Janford Realtor ใน Florida ซึ่งควบคุมโดย Hon Ning “Mathew” Ho จากนั้นมีการส่งออกไปจีนผ่านฮ่องกง มาเลเซีย และไทย โดยใช้เอกสารปลอมและเส้นทางการขนส่งที่ซับซ้อน

    มูลค่าการลักลอบและเส้นทางเงิน
    การดำเนินการนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2023–2025 หลังจากรัฐบาลสหรัฐฯ ออกมาตรการควบคุมการส่งออกชิป AI ขั้นสูง ผู้ต้องหาสามารถลักลอบส่งออก GPU A100 จำนวน 400 ตัว ไปจีนได้สำเร็จ และพยายามส่งออกซูเปอร์คอมพิวเตอร์ HPE อีก 10 เครื่องพร้อม GPU H100 และ H200 แต่ถูกจับกุมก่อน มูลค่าการทำธุรกรรมรวมกว่า 3.89 ล้านดอลลาร์ โดยมีการโอนเงินจากจีนมายังสหรัฐฯ ผ่านการฟอกเงิน

    ความสำคัญเชิงภูมิรัฐศาสตร์
    ชิป AI อย่าง A100/H100/H200 ถือเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนา AI และการประมวลผลขั้นสูง รัฐบาลสหรัฐฯ จึงเข้มงวดต่อการส่งออกไปจีนเพราะเกรงว่าจะถูกนำไปใช้ในงานด้านทหารและการวิจัยเชิงกลยุทธ์ การจับกุมครั้งนี้สะท้อนถึงความตึงเครียดด้านเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่ยังคงรุนแรง

    บทเรียนและผลกระทบ
    แม้ตัวเลข 3.89 ล้านดอลลาร์จะดูเล็กเมื่อเทียบกับตลาด AI ที่มีมูลค่าหลายหมื่นล้าน แต่คดีนี้ชี้ให้เห็นช่องโหว่ในระบบควบคุมการส่งออก และอาจทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ เข้มงวดมากขึ้นต่อบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการจัดจำหน่ายฮาร์ดแวร์ AI ในอนาคต

    สรุปประเด็นสำคัญ
    DOJ ตั้งข้อหาชาวอเมริกัน 4 คนในคดีลักลอบส่งออก GPU และซูเปอร์คอมพิวเตอร์
    ผู้ต้องหาหลักคือ Brian Curtis Raymond และ Hon Ning “Mathew” Ho

    ลักลอบส่งออก GPU A100 จำนวน 400 ตัว สำเร็จ
    พยายามส่งออก HPE Supercomputers และ GPU H200 แต่ถูกจับกุม
    มีโทษจำคุกสูงสุดถึง 200 ปี

    มูลค่าการลักลอบรวมกว่า 3.89 ล้านดอลลาร์
    มีการฟอกเงินผ่านบริษัท Janford Realtor

    สหรัฐฯ คุมเข้มการส่งออกชิป AI ขั้นสูง
    เกรงว่าจะถูกนำไปใช้ในงานด้านทหารและการวิจัยเชิงกลยุทธ์

    ความเสี่ยงด้านความมั่นคงและภูมิรัฐศาสตร์
    การลักลอบส่งออกชิปอาจช่วยเพิ่มศักยภาพด้าน AI ของจีน

    ช่องโหว่ในระบบควบคุมการส่งออก
    อาจทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ เข้มงวดมากขึ้นต่อบริษัทผู้จัดจำหน่ายฮาร์ดแวร์ AI

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/four-americans-charged-with-smuggling-nvidia-gpus-and-hpe-supercomputers-to-china-face-up-to-200-years-in-prison-usd3-89-million-worth-of-gear-smuggled-in-operation
    ⚖️ กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ตั้งข้อหาชาวอเมริกัน 4 คนในคดีลักลอบส่งออก GPU Nvidia มีโทษจำคุกสูงสุดถึง 200 ปี กลุ่มผู้ต้องหานำโดย Brian Curtis Raymond ผู้ก่อตั้งบริษัท Bitworks ใน Alabama ถูกกล่าวหาว่าซื้อ GPU Nvidia A100, H100, H200 และซูเปอร์คอมพิวเตอร์ HPE จากช่องทางถูกกฎหมาย ก่อนจะขายต่อให้บริษัท Janford Realtor ใน Florida ซึ่งควบคุมโดย Hon Ning “Mathew” Ho จากนั้นมีการส่งออกไปจีนผ่านฮ่องกง มาเลเซีย และไทย โดยใช้เอกสารปลอมและเส้นทางการขนส่งที่ซับซ้อน 💰 มูลค่าการลักลอบและเส้นทางเงิน การดำเนินการนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2023–2025 หลังจากรัฐบาลสหรัฐฯ ออกมาตรการควบคุมการส่งออกชิป AI ขั้นสูง ผู้ต้องหาสามารถลักลอบส่งออก GPU A100 จำนวน 400 ตัว ไปจีนได้สำเร็จ และพยายามส่งออกซูเปอร์คอมพิวเตอร์ HPE อีก 10 เครื่องพร้อม GPU H100 และ H200 แต่ถูกจับกุมก่อน มูลค่าการทำธุรกรรมรวมกว่า 3.89 ล้านดอลลาร์ โดยมีการโอนเงินจากจีนมายังสหรัฐฯ ผ่านการฟอกเงิน 🌐 ความสำคัญเชิงภูมิรัฐศาสตร์ ชิป AI อย่าง A100/H100/H200 ถือเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนา AI และการประมวลผลขั้นสูง รัฐบาลสหรัฐฯ จึงเข้มงวดต่อการส่งออกไปจีนเพราะเกรงว่าจะถูกนำไปใช้ในงานด้านทหารและการวิจัยเชิงกลยุทธ์ การจับกุมครั้งนี้สะท้อนถึงความตึงเครียดด้านเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่ยังคงรุนแรง 🚨 บทเรียนและผลกระทบ แม้ตัวเลข 3.89 ล้านดอลลาร์จะดูเล็กเมื่อเทียบกับตลาด AI ที่มีมูลค่าหลายหมื่นล้าน แต่คดีนี้ชี้ให้เห็นช่องโหว่ในระบบควบคุมการส่งออก และอาจทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ เข้มงวดมากขึ้นต่อบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการจัดจำหน่ายฮาร์ดแวร์ AI ในอนาคต 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ DOJ ตั้งข้อหาชาวอเมริกัน 4 คนในคดีลักลอบส่งออก GPU และซูเปอร์คอมพิวเตอร์ ➡️ ผู้ต้องหาหลักคือ Brian Curtis Raymond และ Hon Ning “Mathew” Ho ✅ ลักลอบส่งออก GPU A100 จำนวน 400 ตัว สำเร็จ ➡️ พยายามส่งออก HPE Supercomputers และ GPU H200 แต่ถูกจับกุม ➡️ มีโทษจำคุกสูงสุดถึง 200 ปี ✅ มูลค่าการลักลอบรวมกว่า 3.89 ล้านดอลลาร์ ➡️ มีการฟอกเงินผ่านบริษัท Janford Realtor ✅ สหรัฐฯ คุมเข้มการส่งออกชิป AI ขั้นสูง ➡️ เกรงว่าจะถูกนำไปใช้ในงานด้านทหารและการวิจัยเชิงกลยุทธ์ ‼️ ความเสี่ยงด้านความมั่นคงและภูมิรัฐศาสตร์ ⛔ การลักลอบส่งออกชิปอาจช่วยเพิ่มศักยภาพด้าน AI ของจีน ‼️ ช่องโหว่ในระบบควบคุมการส่งออก ⛔ อาจทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ เข้มงวดมากขึ้นต่อบริษัทผู้จัดจำหน่ายฮาร์ดแวร์ AI https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/four-americans-charged-with-smuggling-nvidia-gpus-and-hpe-supercomputers-to-china-face-up-to-200-years-in-prison-usd3-89-million-worth-of-gear-smuggled-in-operation
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 462 มุมมอง 0 รีวิว
  • จีนเทารักประเทศไทย เพราะเหตุนี้!!! (21/11/68)
    .
    #thaitimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #จีน #ไทย #ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ #ภูมิรัฐศาสตร์ #ข่าวร้อน #ข่าววันนี้ #newsupdate
    จีนเทารักประเทศไทย เพราะเหตุนี้!!! (21/11/68) . #thaitimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #จีน #ไทย #ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ #ภูมิรัฐศาสตร์ #ข่าวร้อน #ข่าววันนี้ #newsupdate
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 256 มุมมอง 0 0 รีวิว
Pages Boosts