• โซเชียลสุดทน!จี้เขมรหยุดปล้น! "ชุดไทย" (27/06/68) #news1 #ชุดไทย #เคลมโบเดีย #ไทย #เขมร
    โซเชียลสุดทน!จี้เขมรหยุดปล้น! "ชุดไทย" (27/06/68) #news1 #ชุดไทย #เคลมโบเดีย #ไทย #เขมร
    0 Comments 0 Shares 87 Views 41 0 Reviews
  • วันนี้เป็นครั้งแรกที่จะเขียนบทความนี้ทุกตัวอักษรจากหัวใจล้วนๆ ไม่มีอ้างอิงข้อมูลใดๆ ไม่มีการหาข้อมูลใดๆ เพิ่มเติม เพราะส่วนตัวคิดว่า คงถึงเวลาที่เราต้องเรียก "สติ" กัน แม้ว่าการส่งเสียงผ่านกลุ่มนี้ อาจจะเงียบกริบ แต่อย่างน้อยๆ คนที่แวะผ่านมาเห็น ขอจงโปรดใช้วิจารณญานในการ ค.ว.ย. กรณีตระกูลฮุน

    ผมหมายถึง "คิด . วิเคระห์ . แยกแยะ" โปรดอย่างคิดเป็นอื่น

    คงปฏิเสธไม่ได้ว่า สิ่งที่คุณอุ๊งอิ๊งได้ทำลงเป็น เป็นความผิดพลาดที่ไม่สมควรอภัยอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะด้วยเจตนาดีหรือร้ายอย่างใด สิ่งที่ทำลงไป ไม่อาจเรียกว่าเป็น "การกระทำที่ผ่านการคิดไตร่ตรองอย่างรอบคอบแล้ว" ได้เลย

    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในฐานะผู้นำประเทศที่ทุกๆ การกระทำ คือสิ่งแสดงสถานะตัวแทนและผู้นำประเทศ และไม่ว่าจะด้วยการกล่าวอ้างใดๆ ของคนที่เห็นว่านายกฯ ทำอย่างดีที่สุดแล้ว แต่ยิ่งช่วย ก็ยิ่งตอกย้ำว่า ลูกสาวคนสุดท้อง ของคุณทักษิณ ยังไม่มีวุฒิภาวะ และความสามารถเพียงพอใจการเป็นผู้นำประเทศ

    โดยเฉพาะการนำเรื่อง "ประเด็นปัญหาระหว่างประเทศ" ไปคุยผ่าน "ความสัมพันธ์ส่วนตัว" ไม่ว่าคนที่คุยด้วยนั้น จะเป็นผู้นำประเทศคู่กรณีตัวจริง หรือ ตัวจริง ก็ตาม (ผมหมายถึง เป็นโดยตำแหน่ง หรือเป็นโดยการยอมรับ) หรือแม้กระทั่ง เป็นการคุยเพื่อหวังดีต่อประเทศจริงๆ หรือเพียงหวังดีต่อเก้าอี้ตนเองก็ตาม

    นี่คือเรื่องของ "ประเทศ" ที่ไม่ใช่ "ธุรกิจส่วนตัว" ที่ไปคุยกันบนกรีนสนามกอล์ฟ หรือจบที่คลับหรือเลานจ์สักที่่ คุยนอกรอบให้ลงตัว แล้วค่อยไปจบในห้องประชุม การพูดคุยในฐานะประเทศ ต่อให้ใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัว ก็พึงมีคนระวังหลังให้เสมอ ไม่ว่าจะมีอำนาจตัดสินใจหรือไม่ ก็ต้องมีคนช่วยเวลาคุย ไม่ใช่ กำลังจะนอนแล้ว โทรหาอังเคิลซะหน่อย เผื่อเคลียร์ได้

    ผมไม่เคยเชื่อว่าระหว่าง Donald Trump และ Vladimir Putin จะโทรคุยกันโดยอาศัยความสัมพันธ์ส่วนตัว หรือแม้แต่ระหว่าง Vladimir Putin กับ 习近平 (สีจิ้นผิง) จะคุยกันบนความสัมพันธ์ส่วนตัว

    และเมื่อตัดสินใจผิดพลาด เปลี่ยนการพูดคุยที่ควรจะมีแบบแผนและจริงจัง เป็นวาทกรรมก่อนนอน ก็ต้องยอมรับผลที่จะตามมา เมื่อคู่สนทนา จริงจังในทุกๆ บริบท

    สรุป ไม่ว่าสายซัพพอร์ตของ น้องอิ๊ง จะพยายามแก้ต่างด้วยเหตุความหวังดีต่อประเทศอย่างไร มันก็ยิ่งตอกย้ำว่า น้องอิ๊ง ไม่เหมาะกับการเป็นผู้นำอยู่ดี - รู้สึกอย่างไรบ้างครับ เมื่อบทสนทนาหนักๆ กลายเป็นเรื่องคุยก่อนนอน

    แต่!!

    สิ่งที่น่ากลัวกว่าท่านนายกฯ ก็คือ ท่านพ่อนายกฯ ที่ไม่ใช่พ่อนายกฯ เมืองไทย แต่เป็นพ่อนายกฯ เขมร ผู้นำตระกูลฮุน ที่กำลัง "เซาะกร่อนบ่อนทำลาย" ความน่าเชื่อถือของประเทศไทยบนเวทีโลกไปทุกวัน ดูจากสิ่งที่กำลังตามต่อมาจากหลังจาก คลิปเสียงเวอร์ชั่นเต็ม 17 นาทีถูกปล่อยออกมา

    สิ่งที่ท่านผู้นำฮุนกระทำ และบัญชาการให้องคาพยบของเหล่าชนชั้นนำของกัมพูชาทำก็คือ การเขย่าประเทศไทยให้แรงที่สุดเท่าที่จะแรงได้ เพื่อสร้างแต้มต่อไม่ว่าจะมากหรือน้อยเพียงใดให้กับการต่ออายุการกดขี่ข่มเหงคนกัมพูชาให้นานที่สุด

    โดยมีเป้าหมายในการเป็น "คิมอิลซุง" หรือ "คิมจองอิล" ของราชวงศ์กัมพูชาให้จงได้ โดยอาศัยเพียงความชาตินิยมของคนกัมพูชา ที่ยังไม่หลุดพ้นจากภาพจำของการตกเป็นเมืองขึ้นของสยามตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมา ตั้งแต่นครวัดนครธมถูกอโยธยาเผา เรื่อยมาจนกระทั่งเขมรได้รับการปลดปล่อยจากไทย ด้วยปลายกระบอกปืนของฝรั่งเศส แต่ก็ถูกกดโดยเหล่าเสนาอำมาตย์ที่คอยยกไทยให้เป็นศัตรูผ่านตำราเรียนอยู่ตลอดเวลา เหมือนกับที่ตำราเรียนประวัติศาสตร์ไทย ยังคงตอกย้ำการเสียกรุงให้พม่า 2 ครั้งมาโดยตลอด

    ยังดีที่คนไทย ได้รับโอกาสมากกว่า เราจึงหลุดพ้นการกดขี่และเรียกร้องสิทธิเสรีภาพจากผู้ปกครองได้มากกว่าคนกัมพูชา แม้ว่าไทยจะลุ่มๆ ดอนๆ ทางด้านประชาธิปไตยมาตลอด 92 ปี จนถึงวันที่เขียนเรื่องนี้

    แต่คนกัมพูชา ยังไม่หลุดพ้นจากเรื่องนั้น ทั้งปัญหาสงครามกลางเมืองและการช่วงชิงอำนาจที่พึ่งยุติไปเมื่อก่อนโลโซปกแดงไม่กี่ปี แถมซ้ำด้วยการที่กลุ่มชนชั้นนำของประเทศกัมพูขากดหัวประชาชนตัวเองต่อเนื่องยาวนาน ยิ่งทำให้คนกัมพูชายังมองภาพรวมไม่ออก

    ซึ่งก็ไม่ค่อยต่างกันคนไทยเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยๆ เราก็มีเสรีมากกว่าในการพูด พรรคฝ่ายค้านของประเทศเรา ก็ยังด่ารัฐบาลได้ทุกวัน ไม่ต้องติดคุก หรือไปตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นที่ไหน

    ดูได้จาก ไม่ว่าอะไรก็ตามที่ "ไทย" ได้ดิบได้ดี ชาวกัมพูชาบางส่วน ก็จะแปลงสัญชาติเป็น "เคลมโบเดีย" ทันที และเป็นกับไทย และไทยเท่านั้น ไม่มีลาว ไม่มีเวียดนามที่มีพรมแดนติดกับกัมพูชาเหมือนกัน และเจริญกว่ากัมพูชาเหมือนกันแม้แต่น้อย

    ตราบใดก็ตามที่ คนกัมพูชา ยังไม่หลุดกับดักของชนชั้้นนำ ที่พยายามเอาเรื่องความรู้สึกต่ำต้อยทางเชื่อชาติเมื่อเทียบกับไทย มาเป็นอาวุธเหนี่ยวไกฝังกระสุนลงหัวประชาชนกัมพูชา ตราบนั้น การที่ตระกูลฮุน และชนชั้นนำของกัมพูชา จะใช้ไทยเป็นเครื่องมือก็จะไม่มีวันจบไม่มีวันสิ้น

    และวันนี้ คนไทย กำลังเล่นเกมตระกูลฮุนอยู่

    เรากำลังเสริมภาพลักษณ์ให้ "ฮุนเซน" กลายเป็นรัฐบุรุษแห่งชาติกัมพูชา ดังที่คนกัมพูชากำลังได้ชม "ลูกชายใต้แสงจันทร์วันเพ็ญ" (หรือบางคนเรียกว่า "ลูกชายใต้เดือนเพ็ญ") ผ่านทางสถานีโทรทัศน์กัมพูชาในทุกวัน

    คนไทยเรา แค่ต้องฟังเพลง "เราจะทำตามสัญญา" ก็ปิดทีวี เปิด YouTube หรือ Netflix ดูกันหมดแล้ว แต่นี่ละครทั้งเรื่อง คนกัมพูชามีทางเลือกอะไรบ้าง?

    สิ่งที่เราควรทำในนาทีนี้คือ Status Quo หรือ ตรึงทุกอย่างไว้กับที่ให้นานที่สุด เพราะตระกูลฮุน กำลังเล่นเกมที่เรียกว่า Rally Round the Flag หรือการสร้างภาพการคลั่งชาติ ประคองคะแนนนิยม

    ยิ่งฝ่ายตรงข้ามในเกม ร้อนระอุเท่าไหร่ ตระกูลฮุน ก็จะยิ่งได้ ได้ และ ได้ ได้โดยไม่หยุดหย่อน และหากผันเกมให้เป็นความบาดหมางระหว่างเชื้อชาติได้ ตระกูลฮุนจะยิ่งครอง และกดหัวคนกัมพูชาไปได้อีกหลาย Generation

    และเราก็จะเดือดร้อนไปอีกหลาย Generation เช่นกัน และไม่เพียงแต่ชีวิตประชาชนและทหารหาญที่จะต้องเสียไปในวันนี้ หากการปั่นกระแสเพื่อรักษาอำนาจของตระกูลฮุน จุดติดขึ้นมาจริงๆ ประชาชนและทหารหาญที่ คนรักอิ๊ง นำมากล่าวอ้างว่า ต้องการปกป้องนัก ปกป้องหนา ก็จะยิ่งต้องสังเวยชีวิตให้กับสงครามทีจะไม่มีวันสิ้นสุด

    ไม่ต่างจาก ฉนวนกาซ่า ที่ ปาเลสไตน์ ปะทะกับ อิสราเอล ตามที่ ฮุนเซน กล่าวและหวังไว้ว่ามันจะเกิด

    สิ่งที่ต้องทำในเวลานี้จึงควรเป็นการตั้งสติอย่างมาก และมากที่สุด หยุดเต้นตามเพลงกัมพูชา ไม่ว่าจะเป็นการเข้ามาร้องเพลง เต้นรำ ปิดปราสาทในเขตพื้นที่พิพาท หรือการกระทำใดๆ ก็ตาม แม้กระทั่งทหารไทยที่กำลังได้รับแรงเชียร์อย่างมหาศาลให้รบ ก็ควรทิ้งกระบอกปืนไว้ที่ต้้ง แล้วจัดการกับปัญหาต่างๆ ด้วยความอดทนอย่างถึงที่สุด แม้ว่าจะทนไม่ได้ ทนไม่ไหว ก็ต้องทน

    ยิ่งฮุนเซน ไม่สามารถบีบให้กระสุนไทย ฝังในร่างกายคนกัมพูชาได้เท่าไร่

    ยิ่งฮุนเซน ไม่สามารถบีบให้หมัดทหารไทย อัดหน้านักแสดงตุ๊กตาทองรักชาติกัมพูชาที่พยายามยั่วยุในพื้นที่พิพาทรายวันได้เท่าไหร่

    ฮุนเซนก็จะยิ่งอึดอัดกับกระแสที่จะค่อยๆ ตีกลับมากยิ่งขึ้นเท่านั้น

    เมื่อใดก็ตามที่คนไทยสามารถสร้างภาพให้คนกัมพูชาเห็นได้ว่า ฮุนเซน ไม่เท่าไหร่ ไม่ได้ดี ไม่ได้เจ๋ง ซ้ำยังอ่อนด้อย เพราะไม่เคยสร้างความเจริญใดๆ ให้ประเทศเค้าเอง นอกจากความมั่งคั่งของตัวเอง และเป็นเพียงนายใหม่ที่มากดหัวคนกัมพูชามากกว่า สยามในประวัติศาสตร์ และฝรั่งเศสในอดีต

    เพราะฮุนเซนเป็นคนชาติเดียวกันกับคนกัมพูชา ที่ต้องระเหเร่ร่อนมาหางานทำในเมืองไทยเพื่อชีวิตที่่ดีกว่า ไม่สามารถมีชีวิตที่ดีในประเทศตัวเองได้

    ยิ่งภาพความ "ไร้สมรรถภาพ" และ "ไร้ฝีมือ" เกิดขึ้นกับ ฮุนเซน และตระกูลฮุนมากเท่าไหร่ ...เราก็จะใกล้กับความสงบมากขึ้นเท่านั้น

    ณ เวลานี้ จึงไม่ใช่เวลา ส่งทหารเป็นผู้มีอำนาจ หรือต่อให้ส่งอำนาจให้ทหาร ก็ไม่ใช่เวลาที่ทหารจะใช้อำนาจ แต่ต้องเป็นการใช้โอบกอดคนกัมพูชา

    ถ้าเค้าส่งคมมาร้องรำ เราก็เนียนร้องเพลงไทยไปข้างๆ เขาเลย ถือธงชาติ 2 ประเทศเคียงกัน ทำให้รู้สึกว่า คนที่อยู่บริเวณนั้น คือ "คน" เหมือนๆ กัน ที่ต่างก็พูดเขมรได้ พูดไทยเป็นด้วยกันทั้งสิ้น ส่วนคนที่ทำผิดพลาดไป ในตอนนี้ จะลงดาบประหารเลย หรือว่าจะเก็บเอาไว้ด่าเล่นเพลินๆ ก่อน ก็แล้วแต่ท่านจะพิจารณา

    แต่ได้โปรด อย่าหยิบยื่นกระสุนให้ทหารเลย

    หวังว่าเสียงนี้จะเพียงพอที่จะทำให้คนที่แวะเข้ามาอ่าน ได้หยุดความสะใจ และเลือกทางเดินให้กับประเทศอย่างมีวิจารณญาน
    วันนี้เป็นครั้งแรกที่จะเขียนบทความนี้ทุกตัวอักษรจากหัวใจล้วนๆ ไม่มีอ้างอิงข้อมูลใดๆ ไม่มีการหาข้อมูลใดๆ เพิ่มเติม เพราะส่วนตัวคิดว่า คงถึงเวลาที่เราต้องเรียก "สติ" กัน แม้ว่าการส่งเสียงผ่านกลุ่มนี้ อาจจะเงียบกริบ แต่อย่างน้อยๆ คนที่แวะผ่านมาเห็น ขอจงโปรดใช้วิจารณญานในการ ค.ว.ย. กรณีตระกูลฮุน ผมหมายถึง "คิด . วิเคระห์ . แยกแยะ" โปรดอย่างคิดเป็นอื่น คงปฏิเสธไม่ได้ว่า สิ่งที่คุณอุ๊งอิ๊งได้ทำลงเป็น เป็นความผิดพลาดที่ไม่สมควรอภัยอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะด้วยเจตนาดีหรือร้ายอย่างใด สิ่งที่ทำลงไป ไม่อาจเรียกว่าเป็น "การกระทำที่ผ่านการคิดไตร่ตรองอย่างรอบคอบแล้ว" ได้เลย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในฐานะผู้นำประเทศที่ทุกๆ การกระทำ คือสิ่งแสดงสถานะตัวแทนและผู้นำประเทศ และไม่ว่าจะด้วยการกล่าวอ้างใดๆ ของคนที่เห็นว่านายกฯ ทำอย่างดีที่สุดแล้ว แต่ยิ่งช่วย ก็ยิ่งตอกย้ำว่า ลูกสาวคนสุดท้อง ของคุณทักษิณ ยังไม่มีวุฒิภาวะ และความสามารถเพียงพอใจการเป็นผู้นำประเทศ โดยเฉพาะการนำเรื่อง "ประเด็นปัญหาระหว่างประเทศ" ไปคุยผ่าน "ความสัมพันธ์ส่วนตัว" ไม่ว่าคนที่คุยด้วยนั้น จะเป็นผู้นำประเทศคู่กรณีตัวจริง หรือ ตัวจริง ก็ตาม (ผมหมายถึง เป็นโดยตำแหน่ง หรือเป็นโดยการยอมรับ) หรือแม้กระทั่ง เป็นการคุยเพื่อหวังดีต่อประเทศจริงๆ หรือเพียงหวังดีต่อเก้าอี้ตนเองก็ตาม นี่คือเรื่องของ "ประเทศ" ที่ไม่ใช่ "ธุรกิจส่วนตัว" ที่ไปคุยกันบนกรีนสนามกอล์ฟ หรือจบที่คลับหรือเลานจ์สักที่่ คุยนอกรอบให้ลงตัว แล้วค่อยไปจบในห้องประชุม การพูดคุยในฐานะประเทศ ต่อให้ใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัว ก็พึงมีคนระวังหลังให้เสมอ ไม่ว่าจะมีอำนาจตัดสินใจหรือไม่ ก็ต้องมีคนช่วยเวลาคุย ไม่ใช่ กำลังจะนอนแล้ว โทรหาอังเคิลซะหน่อย เผื่อเคลียร์ได้ ผมไม่เคยเชื่อว่าระหว่าง Donald Trump และ Vladimir Putin จะโทรคุยกันโดยอาศัยความสัมพันธ์ส่วนตัว หรือแม้แต่ระหว่าง Vladimir Putin กับ 习近平 (สีจิ้นผิง) จะคุยกันบนความสัมพันธ์ส่วนตัว และเมื่อตัดสินใจผิดพลาด เปลี่ยนการพูดคุยที่ควรจะมีแบบแผนและจริงจัง เป็นวาทกรรมก่อนนอน ก็ต้องยอมรับผลที่จะตามมา เมื่อคู่สนทนา จริงจังในทุกๆ บริบท สรุป ไม่ว่าสายซัพพอร์ตของ น้องอิ๊ง จะพยายามแก้ต่างด้วยเหตุความหวังดีต่อประเทศอย่างไร มันก็ยิ่งตอกย้ำว่า น้องอิ๊ง ไม่เหมาะกับการเป็นผู้นำอยู่ดี - รู้สึกอย่างไรบ้างครับ เมื่อบทสนทนาหนักๆ กลายเป็นเรื่องคุยก่อนนอน แต่!! สิ่งที่น่ากลัวกว่าท่านนายกฯ ก็คือ ท่านพ่อนายกฯ ที่ไม่ใช่พ่อนายกฯ เมืองไทย แต่เป็นพ่อนายกฯ เขมร ผู้นำตระกูลฮุน ที่กำลัง "เซาะกร่อนบ่อนทำลาย" ความน่าเชื่อถือของประเทศไทยบนเวทีโลกไปทุกวัน ดูจากสิ่งที่กำลังตามต่อมาจากหลังจาก คลิปเสียงเวอร์ชั่นเต็ม 17 นาทีถูกปล่อยออกมา สิ่งที่ท่านผู้นำฮุนกระทำ และบัญชาการให้องคาพยบของเหล่าชนชั้นนำของกัมพูชาทำก็คือ การเขย่าประเทศไทยให้แรงที่สุดเท่าที่จะแรงได้ เพื่อสร้างแต้มต่อไม่ว่าจะมากหรือน้อยเพียงใดให้กับการต่ออายุการกดขี่ข่มเหงคนกัมพูชาให้นานที่สุด โดยมีเป้าหมายในการเป็น "คิมอิลซุง" หรือ "คิมจองอิล" ของราชวงศ์กัมพูชาให้จงได้ โดยอาศัยเพียงความชาตินิยมของคนกัมพูชา ที่ยังไม่หลุดพ้นจากภาพจำของการตกเป็นเมืองขึ้นของสยามตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมา ตั้งแต่นครวัดนครธมถูกอโยธยาเผา เรื่อยมาจนกระทั่งเขมรได้รับการปลดปล่อยจากไทย ด้วยปลายกระบอกปืนของฝรั่งเศส แต่ก็ถูกกดโดยเหล่าเสนาอำมาตย์ที่คอยยกไทยให้เป็นศัตรูผ่านตำราเรียนอยู่ตลอดเวลา เหมือนกับที่ตำราเรียนประวัติศาสตร์ไทย ยังคงตอกย้ำการเสียกรุงให้พม่า 2 ครั้งมาโดยตลอด ยังดีที่คนไทย ได้รับโอกาสมากกว่า เราจึงหลุดพ้นการกดขี่และเรียกร้องสิทธิเสรีภาพจากผู้ปกครองได้มากกว่าคนกัมพูชา แม้ว่าไทยจะลุ่มๆ ดอนๆ ทางด้านประชาธิปไตยมาตลอด 92 ปี จนถึงวันที่เขียนเรื่องนี้ แต่คนกัมพูชา ยังไม่หลุดพ้นจากเรื่องนั้น ทั้งปัญหาสงครามกลางเมืองและการช่วงชิงอำนาจที่พึ่งยุติไปเมื่อก่อนโลโซปกแดงไม่กี่ปี แถมซ้ำด้วยการที่กลุ่มชนชั้นนำของประเทศกัมพูขากดหัวประชาชนตัวเองต่อเนื่องยาวนาน ยิ่งทำให้คนกัมพูชายังมองภาพรวมไม่ออก ซึ่งก็ไม่ค่อยต่างกันคนไทยเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยๆ เราก็มีเสรีมากกว่าในการพูด พรรคฝ่ายค้านของประเทศเรา ก็ยังด่ารัฐบาลได้ทุกวัน ไม่ต้องติดคุก หรือไปตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นที่ไหน ดูได้จาก ไม่ว่าอะไรก็ตามที่ "ไทย" ได้ดิบได้ดี ชาวกัมพูชาบางส่วน ก็จะแปลงสัญชาติเป็น "เคลมโบเดีย" ทันที และเป็นกับไทย และไทยเท่านั้น ไม่มีลาว ไม่มีเวียดนามที่มีพรมแดนติดกับกัมพูชาเหมือนกัน และเจริญกว่ากัมพูชาเหมือนกันแม้แต่น้อย ตราบใดก็ตามที่ คนกัมพูชา ยังไม่หลุดกับดักของชนชั้้นนำ ที่พยายามเอาเรื่องความรู้สึกต่ำต้อยทางเชื่อชาติเมื่อเทียบกับไทย มาเป็นอาวุธเหนี่ยวไกฝังกระสุนลงหัวประชาชนกัมพูชา ตราบนั้น การที่ตระกูลฮุน และชนชั้นนำของกัมพูชา จะใช้ไทยเป็นเครื่องมือก็จะไม่มีวันจบไม่มีวันสิ้น และวันนี้ คนไทย กำลังเล่นเกมตระกูลฮุนอยู่ เรากำลังเสริมภาพลักษณ์ให้ "ฮุนเซน" กลายเป็นรัฐบุรุษแห่งชาติกัมพูชา ดังที่คนกัมพูชากำลังได้ชม "ลูกชายใต้แสงจันทร์วันเพ็ญ" (หรือบางคนเรียกว่า "ลูกชายใต้เดือนเพ็ญ") ผ่านทางสถานีโทรทัศน์กัมพูชาในทุกวัน คนไทยเรา แค่ต้องฟังเพลง "เราจะทำตามสัญญา" ก็ปิดทีวี เปิด YouTube หรือ Netflix ดูกันหมดแล้ว แต่นี่ละครทั้งเรื่อง คนกัมพูชามีทางเลือกอะไรบ้าง? สิ่งที่เราควรทำในนาทีนี้คือ Status Quo หรือ ตรึงทุกอย่างไว้กับที่ให้นานที่สุด เพราะตระกูลฮุน กำลังเล่นเกมที่เรียกว่า Rally Round the Flag หรือการสร้างภาพการคลั่งชาติ ประคองคะแนนนิยม ยิ่งฝ่ายตรงข้ามในเกม ร้อนระอุเท่าไหร่ ตระกูลฮุน ก็จะยิ่งได้ ได้ และ ได้ ได้โดยไม่หยุดหย่อน และหากผันเกมให้เป็นความบาดหมางระหว่างเชื้อชาติได้ ตระกูลฮุนจะยิ่งครอง และกดหัวคนกัมพูชาไปได้อีกหลาย Generation และเราก็จะเดือดร้อนไปอีกหลาย Generation เช่นกัน และไม่เพียงแต่ชีวิตประชาชนและทหารหาญที่จะต้องเสียไปในวันนี้ หากการปั่นกระแสเพื่อรักษาอำนาจของตระกูลฮุน จุดติดขึ้นมาจริงๆ ประชาชนและทหารหาญที่ คนรักอิ๊ง นำมากล่าวอ้างว่า ต้องการปกป้องนัก ปกป้องหนา ก็จะยิ่งต้องสังเวยชีวิตให้กับสงครามทีจะไม่มีวันสิ้นสุด ไม่ต่างจาก ฉนวนกาซ่า ที่ ปาเลสไตน์ ปะทะกับ อิสราเอล ตามที่ ฮุนเซน กล่าวและหวังไว้ว่ามันจะเกิด สิ่งที่ต้องทำในเวลานี้จึงควรเป็นการตั้งสติอย่างมาก และมากที่สุด หยุดเต้นตามเพลงกัมพูชา ไม่ว่าจะเป็นการเข้ามาร้องเพลง เต้นรำ ปิดปราสาทในเขตพื้นที่พิพาท หรือการกระทำใดๆ ก็ตาม แม้กระทั่งทหารไทยที่กำลังได้รับแรงเชียร์อย่างมหาศาลให้รบ ก็ควรทิ้งกระบอกปืนไว้ที่ต้้ง แล้วจัดการกับปัญหาต่างๆ ด้วยความอดทนอย่างถึงที่สุด แม้ว่าจะทนไม่ได้ ทนไม่ไหว ก็ต้องทน ยิ่งฮุนเซน ไม่สามารถบีบให้กระสุนไทย ฝังในร่างกายคนกัมพูชาได้เท่าไร่ ยิ่งฮุนเซน ไม่สามารถบีบให้หมัดทหารไทย อัดหน้านักแสดงตุ๊กตาทองรักชาติกัมพูชาที่พยายามยั่วยุในพื้นที่พิพาทรายวันได้เท่าไหร่ ฮุนเซนก็จะยิ่งอึดอัดกับกระแสที่จะค่อยๆ ตีกลับมากยิ่งขึ้นเท่านั้น เมื่อใดก็ตามที่คนไทยสามารถสร้างภาพให้คนกัมพูชาเห็นได้ว่า ฮุนเซน ไม่เท่าไหร่ ไม่ได้ดี ไม่ได้เจ๋ง ซ้ำยังอ่อนด้อย เพราะไม่เคยสร้างความเจริญใดๆ ให้ประเทศเค้าเอง นอกจากความมั่งคั่งของตัวเอง และเป็นเพียงนายใหม่ที่มากดหัวคนกัมพูชามากกว่า สยามในประวัติศาสตร์ และฝรั่งเศสในอดีต เพราะฮุนเซนเป็นคนชาติเดียวกันกับคนกัมพูชา ที่ต้องระเหเร่ร่อนมาหางานทำในเมืองไทยเพื่อชีวิตที่่ดีกว่า ไม่สามารถมีชีวิตที่ดีในประเทศตัวเองได้ ยิ่งภาพความ "ไร้สมรรถภาพ" และ "ไร้ฝีมือ" เกิดขึ้นกับ ฮุนเซน และตระกูลฮุนมากเท่าไหร่ ...เราก็จะใกล้กับความสงบมากขึ้นเท่านั้น ณ เวลานี้ จึงไม่ใช่เวลา ส่งทหารเป็นผู้มีอำนาจ หรือต่อให้ส่งอำนาจให้ทหาร ก็ไม่ใช่เวลาที่ทหารจะใช้อำนาจ แต่ต้องเป็นการใช้โอบกอดคนกัมพูชา ถ้าเค้าส่งคมมาร้องรำ เราก็เนียนร้องเพลงไทยไปข้างๆ เขาเลย ถือธงชาติ 2 ประเทศเคียงกัน ทำให้รู้สึกว่า คนที่อยู่บริเวณนั้น คือ "คน" เหมือนๆ กัน ที่ต่างก็พูดเขมรได้ พูดไทยเป็นด้วยกันทั้งสิ้น ส่วนคนที่ทำผิดพลาดไป ในตอนนี้ จะลงดาบประหารเลย หรือว่าจะเก็บเอาไว้ด่าเล่นเพลินๆ ก่อน ก็แล้วแต่ท่านจะพิจารณา แต่ได้โปรด อย่าหยิบยื่นกระสุนให้ทหารเลย หวังว่าเสียงนี้จะเพียงพอที่จะทำให้คนที่แวะเข้ามาอ่าน ได้หยุดความสะใจ และเลือกทางเดินให้กับประเทศอย่างมีวิจารณญาน
    0 Comments 0 Shares 226 Views 0 Reviews
  • ตั้งแต่ปี 2004... ผมได้พบกุญแจไขสิ่งที่ผมอยากรู้จากคำเพียงคำเดียว "Cultural Transmission" มันนำพาผมไปพบกับงานของศาสตราจารย์ Luigi Luca Cavalli-Sforza และลูกศิษย์ของเขาที่ Standford ชื่อ Spencer Wells… มันได้เปิดโลกทัศน์ของผมในการมองสิ่งต่างๆ ผ่านการพิจารณาหลายๆ ศาสตร์ควบคู่กับความรู้เกี่ยวกับพันธุกรรมมนุษย์และการอพยพย้ายถิ่น เมื่อเรารู้ว่าที่แท้แล้วเราเป็นใคร สิ่งต่างๆ ก็เชื่อมโยงกัน
    .
    ในปีเดียวกันนั้น Bill Clinton ประกาศที่ทำเนียบขาวถึงความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ทางวิทยาศาสตร์ แผนที่ดีเอ็นเออันแรกของมนุษย์ถูกทำสำเร็จ ความลับของสายพันธุ์มนุษย์ถูกไข ทั้งหมดนั้นเป็นเพราะวิสัยทัศน์ของศาสตราจารย์ลูกา ที่มุ่งมั่นเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอมาก่อนหน้านั้นกว่าสามสิบปีเพราะเชื่อมั่นว่ามันซ่อนความลับของมนุษย์ไว้ ทันทีที่แผนที่ดีเอ็นเอสำเร็จ เสปนเซอร์ซึ่งเป็นทายาทรับช่วงงานวิจัยต่อจาก ศจ.ลูกา ก็นำเสนออีกแผนที่หนึ่ง คือแผนที่การอพยพย้ายถิ่นของมนุษย์ย้อนหลังกว่าแสนปีจากแอฟริกา และสาแหรกพันธุกรรมมนุษย์ย้อนถอยไปถึงบรรพบุรุษคนแรกที่เป็นรากลึกที่สุด
    .
    ในเวลานั้น ไม่มีใครหรือสาขาวิชาใดมองความรู้ของมนุษย์ผ่านวิสัยทัศน์นี้ มันเป็นเรื่องใหม่ แต่ความฉงนสนเท่ห์ของผมที่มีกับตัวอย่างดนตรีของไท-ไทยและชาติพันธ์อื่นๆ ในเอเชีย โดยเฉพาะในจีนตอนใต้และประเทศไทย ทำให้ผมเอามานั่งคิด ผลจากการคิดวิเคราะห์ ผมรู้สึกว่ามันเป็นดนตรีชนิดเดียวหรือพูดให้ชัดกว่านั้น มันน่าจะเป็นวัฒนธรรมที่มีรากเหง้าร่วมกัน อาจจัดเป็นสกุลเดียวกันคล้ายๆ กับภาษา และถ้าสิ่งที่นักมานุษยวิทยาเชื่อกันมาเนิ่นนานจนบัดนี้ว่า ดนตรีเกิดมาจากภาษา ว่ามันเริ่มมาจากจุดนั้น มันก็จะต้องมีส่วนสัมพันธ์กับการส่งต่อทางวัฒนธรรม ซึ่งผมแบ่งได้ง่ายๆ ออกเป็นสามลักษณะหลักๆ
    .
    หนึ่งคือ สืบทอดกันมาจากบรรพบุรุษรุ่นสู่รุ่น เป็นเหมือนมรดกทางวัฒนธรรม จารีต ประเพณี / สองคือ รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากดินแดนอื่น-ชนชาติอื่นที่รุ่งเรืองกว่าหรือต่างดินแดนที่คบค้าไปมาหาสู่กันยาวนาน จึงรับเอาธรรมเนียมเขามานิยม / สามคือ เกิดจากการถูกพิชิตให้อยู่ในอาณัตหรือถูกบังคับให้รับวัฒนธรรมผู้อื่นมาเป็นของตน อาจจะยังดำเนินขนบทางวัฒนธรรมเดิมอยู่ได้ขณะที่ต้องยอมรับวัฒนธรรมอื่นเป็นหลัก หรืออาจถูกบังคับให้เลิกวัฒนธรรมของตนแล้วรับเอาวัฒนธรรมของชาติที่พิชิตเป็นของตนแทน
    .
    ในกรณีแรก วัฒนธรรมที่สืบทอดกันมาจะมีอัตลักษณ์ที่จำแนกได้ชัดเจนเหมือนภาษาที่จัดเป็นสกุลหรือ phyla ได้ | กรณีที่สอง ย่อมมีการแทรกของวัฒนธรรมสกุลอื่นเข้ามาผสมผสาน แต่เนื่องจากการเชื่อมโยงกันเป็นไปอย่างละมุนละม่อมจึงไม่มีอะไรถูกทำลาย จะนำไปสู่ความหลากหลายมากขึ้นได้หลายปัจจัย แต่จะยังคงแยกแยะลักษณะของอัตลักษณ์แต่ละสกุลได้ | กรณีที่สาม ไม่ต่างอะไรกับขุดรากถอนโคน วัฒนธรรมสกุลเดิมถูกทำลายไป อาจมีบางคนที่ต่อต้านและต้องการรักษาขนบเก่าไว้อย่างหลบซ่อน ซึ่งจะทำให้กลายเป็นสิ่งต้องห้ามหรือตาบู แต่ก็อาจมีโอกาสที่วันหนึ่งจะถูกฟื้นฟูขึ้น
    .
    ตั้งแต่ปี 2004 ผมหมกมุ่นเรื่องนี้นานนับสิบปี อ่านหนังสือมากมาย ไปเก็บตัวอย่างจากภาคสนาม เสาะหาข้อมูลเสียงจากทุกที่ที่ได้เบาะแส ผมนึกอยู่เวียนวนจนได้สมมุติฐานอันนึงขึ้นมา "เป็นไปได้ไหมว่า ถ้าเรามีสายเลือดที่เชื่อมโยงกันทั้งโลกอย่างที่ ศจ.ลูกา และ เสปนเซอร์ นำเสนอ เราก็น่าจะมีวัฒนธรรมที่เชื่อมโยงกันโดยที่สอดคล้องกับสาแหรกพันธุกรรมด้วย และเมื่อเป็นเช่นนั้น เราก็น่าจะแยกแยะดนตรีซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมมนุษย์ออกเป็นวงศ์ตระกูลได้ในลักษณะเดียวกัน ในเวลาต่อมา ผมพบบทความหนึ่งที่เขียนโดย ศจ. Victor Grauer หัวข้อเรื่อง Music Family ผมจำชื่อเขาได้ทันที เพราะผมเรียนหนังสือเล่มหนึ่งของ Alan Lomax นักมานุษยวิทยาดนตรีที่เป็นตำนานของโลก มันเกี่ยวกับระบบวิเคราะห์ดนตรีพื้นเมืองที่เขาคิดค้นขึ้นเรียกว่า Cantomatrics และอาจารย์วิคเตอร์ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของอลันมีส่วนในการคิดค้นนี้
    .
    ผมเขียนอีเมล์ไปหาอาจารย์วิคเตอร์ตามอีเมล์ที่ปรากฏบนบทความของแก บอกว่าผมอ่าน Music Family แล้วคิดว่าน่าจะเดินไปในทิศทางเดียวกับที่ผมคิด แล้วเล่า Hypothesis ของผมให้แกฟัง บอกว่าผมจะเทรซจากดีเอ็นเอและการอพยพย้ายถิ่นของมนุษย์เป็นวิธีวิจัย แกตอบมาว่าเห็นด้วย นี่เป็นเรื่องใหม่และตื่นเต้นมาก อยากให้ผมแชร์ข้อมูลกับแก จากจุดนี้ไปคือการผจญภัยอันน่าตื่นเต้นของผมกับโครงการ Genomusicology ตั้งแต่วันนั้นมาจนบัดนี้ ยี่สิบปีแล้ว
    .
    ผมเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับความสนใจของผมในเรื่องนี้มาเรื่อย และบางครั้งมันไม่ได้เกี่ยวกับดนตรีแต่เป็นเรื่องอื่น ผมรู้แต่ตอนนั้นว่าความรู้อะไรก็ตามหากมันขัดกับวิทยาศาสตร์นี้ ไม่ว่าจะสาขาวิชาอะไร มันมีแนวโน้มจะผิดพลาด ตัวอย่างเช่นประวัติศาสตร์ ยิ่งถ้าคุณเปิดหน้าต่างหลายๆ ศาสตร์พร้อมกันโดยไม่ยึดติดกับทัศนะของสำนักคิดเดิม คุณจะพบกับหนทางที่กว้างไกลกว่า ยกตัวอย่างเช่นเมื่อคุณหาคำตอบทางประวัติศาสตร์ คุณลองทาบมันกับชีววิทยาพันธุกรรม ขณะเดียวกันก็ทาบมันกับโบราณคดี ภาษาศาสตร์ ธรณีวิทยา นิรุกติศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ปรัมปราคติ ศาสนาเทววิทยา...ฯลฯ มันจะนำคุณไปสู่คำตอบที่หนักแน่นกว่าที่คุณจะจมอยู่กับข้อมูลทางประวัติศาสตร์เพียงอย่างเดียว
    .
    หลายปีที่ผ่านมา เริ่มมีหลายสาขาวิชาที่หันมาใช้แผนที่แผ่นเดียวกับผม ที่ผมเห็นคือนักภาษาศาสตร์ในต่างประเทศมาก่อนเป็นพวกแรก ในไทยที่เริ่มก่อนคือนักโบราณคดีอย่างเช่น อาจารย์รัศมี ชูทรงเดช ท่านล้ำมาก ศึกษาซากบรรพชีวินแล้วเริ่มใช้ข้อมูลดีเอ็นเอมาก่อนที่จะมีนักชีววิทยารุ่นใหม่ที่สนใจด้านนี้เริ่มเอามาใช้ผนวกกับสาขามานุษยวิทยา ช่วงสี่ห้าปีหลังเริ่มมีงานวิจัยเกี่ยวกับดีเอ็นเอของคนไทยออกมาให้เห็นจากนักวิชาการไทยหลายคน
    .
    ถ้าจำเรื่องเก่าๆ ที่ผมเคยเขียนได้บ้างจะเห็นว่าผมพูดอยู่หลายครั้ง "ความแบ่งแยกเป็นความคิดของปีศาจ" และมันเป็นต้นตอความขัดแย้งที่ลุกลามกลายเป็นสงครามและการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ได้ ผมชี้ให้เห็นเสมอๆ ว่าคนเอเชียนั้นเป็นพี่น้องครอบครัวที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นลูกหลานของทายาทแห่งอาดัม (ในทางวิทยาศาสตร์) สองคนคือ Hg O และ Hg C และทายาทแห่งอีฟ (ในทางวิทยาศาสตร์) สี่คนคือ Hg B-M-F-D ดังนั้นพวกเขาไม่ว่าจะเรียกชื่อสมมุติตัวเองว่าอะไร ข้อเท็จจริงก็คือพวกเขาคือพี่น้องกันทั้งสิ้น เก่าใหม่ อ่อนแก่ ตามกาลเวลา
    .
    ด้วยเหตุนี้ ในปี 2008 ผมเขียนบทความหนึ่ง เรื่อง "ชื่อและชนเผ่า" และผมพยายามอธิบายความสมมุติที่ว่านี้ด้วยความพยายามยิ่งที่จะบอกความเป็นมาเป็นไปและความเกี่ยวโยงของแต่ละชาติพันธ์ ผมแบ่งกลุ่มพวกเขาออกเป็นสองกลุ่มง่ายๆ คือพวกเท้าเปียกและพวกเท้าแห้ง พวกเขาเป็นครอบครัวเดียวกันและทั้งหมดอยู่บนดินแดนเอเชียนี้มาตั้งแต่สามหมื่นกว่าปีที่แล้ว แต่พวกเท้าเปียกคือพวกที่อยู่บนซุนดาตอนล่าง ต้องผจญชะตากรรมน้ำท่วมโลกซึ่งหนักกว่าโนอาห์แน่นอน เพราะธรณีวิทยาบอกว่ามีที่เดียวบนโลกในประวัติศาสตร์มนุษย์แสนกว่าปี ที่คุณจะเรียกว่าน้ำท่วมโลกได้จริงๆ คือดินแดนซุนดาแห่งนี้ ไม่ใช่ในดินแดนเสี้ยวจันทร์หรือแถวเทือกเขาอารารัต มันท่วมที่นี่สามครั้งหลังยุคน้ำแข็งสิ้นสุด ทั้งสามครั้งรวมแล้วประมาณร้อยยี่สิบเมตร!.. ส่วนพวกเท้าแห้งก็คือพวกที่อยู่เหนือขึ้นไปในเมนแลนด์เอเชีย ซึ่งก็ได้เป็นสักขีพยานภัยพิบัตินี้เช่นกัน แต่มีเพียงส่วนน้อยที่ได้รับผลจากภัยพิบัติ
    .
    ดังนั้น สำหรับผม ไม่ว่าจะเอ่ยชื่อไหนมันก็คือสิ่งสมมุติ บรรดาพี่น้องในสาแหรกเท้าเปียกในอุษาคเนย์นับจากโบราณจนกระทั่งบัดนี้ อย่างที่บอก พวกเขาล้วนมาจากอัสเลียน แม้ต่อมาพวกเขาทั้งหลายจะกลายเป็นมอญ เป็นข่า เป็นละว้า เป็นขอมทวารวดี เป็นขอมละโว้ เป็นพนม เป็นสยาม เป็นศรีโพธิ์ เป็นมลายู เป็นนุสันทารา เป็นลาว เป็นจามปา เป็นเจนละ เป็นเขมร เป็นญวน... แต่หากคุณแล่เนื้อเถือหนังออกมา โครงสร้างทางโปรตีนของพวกเขาก็มีดีเอ็นเอที่มาจากบรรพบุรุษจากสาแหรกเดียวกันทั้งสิ้น..
    .
    การที่คุณแครี่วายโครโมโซมแฮพโพลกรุ๊พโอ หมายถึงคุณคลานตามกันมาจากบรรพบุรุษเดียวกัน การย่อยออกเป็น sub group ต่างๆ เช่น O1 O1a O1b O1c O2 O2a O2b O2c... คือซับมิวเทชั่นในสกุลเดียวกัน แม้แตกแขนงออกไปแต่คุณยังคงมีสายเลือดที่โยงใยกันอยู่ จีนที่ซึ่งในการวิจัยช่วงแรกถูกจัดเป็น O3 (ปัจจุบันปรับเป็น O2) ยอมรับกันว่าเป็นชนชาติที่มีระบบบันทึกประวัติศาสตร์ดีที่สุดและเก่ากว่าทุกชนชาติในเอเชีย ถอยหลังไปถึงสี่พันกว่าปี แต่พันธุกรรมบอกว่าพวกเขาเป็นน้องเล็กที่สุด มียีนอายุน้อยที่สุดในสาแหรกวงศ์ตระกูล (เรียงจากหลักน้อยไปหามาก O > O1 > O2 หลักน้อยคือเก่ากว่า) ข้อนี้ยิ่งยืนยันว่าสาแหรก Y DNA Hg O มีรากเหง้าที่เก่าแก่ยาวไกลเพียงใด ในโลกนี้พวกเขาเก่ารองจากพวกออสตราอะบอริจิ้น และพวกซาฮารันโบราณ มียีนเป็นพี่ของชาวยุโรปเกือบทั้งหมด ยกเว้นพวกบาสก์ในอุสกาดี สเปน และพวกซามิแถวแลปแลนด์ ฟินด์แลนด์
    .
    Cultural Transmission ที่ส่งผ่านกันไปมานานนับหมื่นปี ทำให้ลักษณะที่ร่วมกันแต่โบราณจากวัฒนธรรมที่พื้นฐานที่สุดไปสู่วัฒนธรรมที่ซับซ้อนที่สุด ยังคงทิ้งเบาะแสความเกี่ยวโยงของพวกเขาเอาไว้ในทุกมิติทุกบริบท มันไม่ได้หายไปไหนและเรามองเห็นมันได้ แบบเดียวกับที่ผมเห็นผ่านดนตรี ตัวอย่างเช่น เราเป็นมนุษย์ที่ยุคบรรพกาลนับถือแม่เป็นใหญ่ เราจึงมีเทวี เจ้าแม่ พระแม่เต็มไปหมด ในดนตรีพื้นเมืองของเราผู้หญิงร้องเสียงสูงและดังทะลุทะลวง เพราะนางมีสถานะที่ได้รับการเคารพไม่ใช่ถูกกดไว้ นอกจากนั้นพวกนางยังมีการประสานเสียง มีพลังแข็งแรงและมั่นใจขณะขับร้อง นางสามารถยืนหยัดเป็นกลุ่มที่มีความสำคัญได้ภายในสังคม แม้ทุกวันนี้ ผู้หญิงก็ยังคงเป็นใหญ่ในบ้าน ทุกบาททุกสตางค์ที่ผมหาได้ก็ต้องส่งมอบให้ภรรยาด้วยความเคารพ
    .
    เวลาที่มองภาพต่อทางประวัติศาสตร์ มุมมองของผมจึงเปลี่ยนไป ผมหยิบความรู้อื่นๆ เท่าที่อ้างอิงเชื่อถือได้มาประกบเข้าด้วยกันเสมอ... ทำไมกษัตริย์เขมรโบราณจะขึ้นครองราชย์ต้องแต่งกับนาค? สำหรับผม นี่คือปรัมปราคติที่สะท้อนการเมืองโบราณ เศรษฐีจากต่างถิ่น (ตัวขาวใส่เสื้อผ้าสวยงาม) จะมาปกครองคนท้องถิ่นที่เป็นคนพื้นเมือง (แก้ผ้า อยู่กับป่าฝนและมรสุม) ก็ต้องดองกับคนท้องถิ่น หลักฐานเจเนติคก็พบว่าพ้องกันว่า ผู้ชายบรรพบุรุษของพวกเรา (Y DNA Hg O) ซึ่งอพยพมาด้วยเส้นทางสายเอเชียกลาง อากาศดี อาหารสมบูรณ์ตลอดทาง พวกเขาคงหล่อเร้าใจไม่น้อยเมื่อเดินทางมาถึงซุนดา พวกผู้หญิงอะบอริจิ้น (mt DNA Hg B / M) พากันเลือกบรรพบุรุษของเราเป็นพ่อพันธ์ อุปมาดังหงส์ทองครองคู่กับนาคยังไงยังงั้น ทำให้ผู้ชายอะบอริจิ้นต้องถอยห่างออกไปจากแผ่นดินใหญ่ การได้แม่สายงูมาเป็นแม่พันธ์อีกสองแม่ ทำให้ลูกหลานพวก Hg O ออกลูกมาเต็มดินแดน มันคือการผสมกันของนกกับงู แต่พวก Hg C ที่ผู้หญิงไม่เลือกลูกหลานก็เลยน้อยกว่า แรงงานที่จะพัฒนาชุมชนและเป็นกำลังรบจึงน้อย ถ้าผู้หญิงของเขาไม่เลือกพวก Hg O และมีจำนวนประชากรพอๆ กัน พวกอัสเลียนกับอะบอริจิ้นคงรบกันแหลกราญตายไปข้างหนึ่ง นี่ไม่ใช่ครั้งเดียว...
    .
    พระนางจามเทวีแห่งละโว้ หรือจะเรียกละโว้ ละว้า ว้า ลั๊วะ ก็คือกัน เป็นข่า เป็นอัสเลียนที่ยังมีความเป็นชนพื้นเมือง เมื่อเทียบชายหนุ่มในเผ่าของนางกับหนุ่มเท้าแห้งพี่น้องสาแหรกเดียวกันแต่ขาวผ่องกว่าเพราะอาศัยอยู่ดินแดนทางเหนือขึ้นไป อากาศแสนดี แต่งตัวหล่อ เหตุฉะนี้ พระนางทำเหมือนบรรพบุรุษอะบอริจิ้นข้างแม่ ไม่เลือกพวกเดียวกันเอง แต่ไปเลือกหนุ่มทางเหนือแถวหริภุญชัยสายไป่เยว่ ทำเอานักรบหนุ่มละว้าถึงกับไม่พอใจทำไมไม่เลือกฉันไปเลือกไอ้ละอ่อนสำอางทางเหนือ เลยท้าพระนางจามพุ่งหอกแข่งกัน ถ้าแพ้ต้องแต่งกับเขา และพระนางจามเทวีชนะนักรบนะ! แปลว่าพระนางจามของเรานี้ก็ยังคงมีทักษะแบบที่ชนเผ่าในสมัยบรรพกาลมี คือโตมานี่ยังรบและล่าสัตว์อยู่ แม่หญิงธรรมดาที่ไหนจะพุ่งหอกชนะ พระนางคงเห็นว่าการแต่งกับหนุ่มทางเหนือเป็นการปรับปรุงสายพันธุ์และทำให้การเมืองมีหนทางที่ก้าวหน้าขึ้นกว่าที่เคยเป็น เพราะการดองลักษณะนี้ พวกเท้าเปียกและเท้าแห้งก็จะมี Cultural Transmission ที่ถ่ายเทต่อกันอย่างละมุนละม่อม ต่างกับพวกยุโรปที่ไปปล้นพวกเมาริ ยึดแผ่นดินพวกเขา แล้วบังคับให้ดีดอะคูเลเล่และเข้าโบสถ์ไปร้องประสานเสียง
    .
    หันมองเครือญาติข้างบ้าน ยุคสมัยแห่งเขมรพระนครนั้นล่มสลายไปนานแล้ว กัมพูชาอยู่ในปกครองของอยุธยายาวนานมาจนรัตนโกสินทร์ ตอนที่พวกอาณานิคมฝรั่งเศสบุกมายึดครอง แล้วฝรั่งพวกนี้ไปเจอนครวัดอยู่ในป่าดงดิบ คนเขมรส่วนใหญ่ในตอนนั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีปราสาทโบราณอยู่ตรงนั้น มันถูกต้นไม้กลืนจนหายไป รากและกิ่งใบเลื้อยพันฝังรากลงไปในตัวปราสาทจนมองไม่เห็น หลังเป็นอิสระจากอาณานิคมฝรั่งเศสพวกกษัตริย์เขมรนั้นมาโตมาเรียนอยู่ที่สยามทั้งนั้น ประวัติศาสตร์บอกชัดไม่ต้องบรรยายอีก Cultural Transmission ถูกส่งผ่านอย่างละมุนละม่อม ไม่ใช่เพราะถูกพิชิตถูกบังคับให้ทำตาม แต่เพราะรากเหง้าเดิมของเขมรเสื่อมสลายไปหมดนานแล้ว และเจ้านายเขมรนิยมชมชอบในขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมแบบไทยจึงรับและเรียนไป จนกระทั่งมันวินาศย่อยยับไปอีกครั้งในยุคเขมรแดง เพราะศิลปิน ปราชญ์ราชบัณฑิต ครู กวี ปัญญาชน...ถูกเขมรแดงฆ่าจนสิ้น
    .
    ผมก็รำคาญนะ พวกเขมรเคลมโบเดียน่ะ แต่ก็คิดว่ามันน่าสงสาร ยังไงก็พี่น้องสาแหรกเดียวกัน แล้วคนฉลาดๆ ของเขาก็ตายไปหมดแล้วตอนยุคเขมรแดงทุ่งสังหาร ที่พอจะรอดมาได้ก็หนีไปอเมริกา-ยุโรปไม่กลับมาอีก อย่างไรก็ตามประวัติศาสตร์ที่บันทึกอยู่ในโลกก็บอกเรื่องราวของสยามและเขมรชัดแจ้งอยู่ มันจะเคลมยังไงก็ไม่มีใครเขาเชื่อ แล้วก็ไม่มีพิษสงอะไรหรอก นอกจากสร้างความรำคาญ ส่งพวกทหารพรานไปเป่าข้าวหลามสักสิบบ้องก็คงหยุดแล้ว
    .
    แต่ไอ้ที่เลวแท้ก็คือไอ้พวกตัวเป็นไทยใจเป็นเขมรนี่แหละ ไอ้ที่ส่งลูกไปปี้กับเขมรก็พอเข้าใจที่มันเกี่ยวดองเป็นเครือญาติกัน แต่ไอ้พวกที่ไม่ได้ดองอะไรแต่เสือกไปรับใช้เขมร อันนี้เรียกขายชาติ ในดีเอ็นเอมีพันธุกรรมสุนัขแทรกอยู่เลยเลือกกินอาจม ไม่กินผัดไทย
    .
    เรื่องที่ผมเขียนให้อ่านนี่มันยาก ผมเข้าใจนะ แต่หากคนเราในทุกวันนี้เข้าใจในข้อนี้ตรงกัน บางทีความขัดแย้งในโลกอาจลดลงจนหมดไปได้ และเราอาจก้าวไปสู่สังคมอุดมคติแบบที่เราไฝ่ฝันถึง "We're All Connected"
    .
    - พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา (2568) -
    .
    https://youtu.be/RdW1HNA5uSc?si=3E1WAUxHdLhSdVsw
    ตั้งแต่ปี 2004... ผมได้พบกุญแจไขสิ่งที่ผมอยากรู้จากคำเพียงคำเดียว "Cultural Transmission" มันนำพาผมไปพบกับงานของศาสตราจารย์ Luigi Luca Cavalli-Sforza และลูกศิษย์ของเขาที่ Standford ชื่อ Spencer Wells… มันได้เปิดโลกทัศน์ของผมในการมองสิ่งต่างๆ ผ่านการพิจารณาหลายๆ ศาสตร์ควบคู่กับความรู้เกี่ยวกับพันธุกรรมมนุษย์และการอพยพย้ายถิ่น เมื่อเรารู้ว่าที่แท้แล้วเราเป็นใคร สิ่งต่างๆ ก็เชื่อมโยงกัน . ในปีเดียวกันนั้น Bill Clinton ประกาศที่ทำเนียบขาวถึงความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ทางวิทยาศาสตร์ แผนที่ดีเอ็นเออันแรกของมนุษย์ถูกทำสำเร็จ ความลับของสายพันธุ์มนุษย์ถูกไข ทั้งหมดนั้นเป็นเพราะวิสัยทัศน์ของศาสตราจารย์ลูกา ที่มุ่งมั่นเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอมาก่อนหน้านั้นกว่าสามสิบปีเพราะเชื่อมั่นว่ามันซ่อนความลับของมนุษย์ไว้ ทันทีที่แผนที่ดีเอ็นเอสำเร็จ เสปนเซอร์ซึ่งเป็นทายาทรับช่วงงานวิจัยต่อจาก ศจ.ลูกา ก็นำเสนออีกแผนที่หนึ่ง คือแผนที่การอพยพย้ายถิ่นของมนุษย์ย้อนหลังกว่าแสนปีจากแอฟริกา และสาแหรกพันธุกรรมมนุษย์ย้อนถอยไปถึงบรรพบุรุษคนแรกที่เป็นรากลึกที่สุด . ในเวลานั้น ไม่มีใครหรือสาขาวิชาใดมองความรู้ของมนุษย์ผ่านวิสัยทัศน์นี้ มันเป็นเรื่องใหม่ แต่ความฉงนสนเท่ห์ของผมที่มีกับตัวอย่างดนตรีของไท-ไทยและชาติพันธ์อื่นๆ ในเอเชีย โดยเฉพาะในจีนตอนใต้และประเทศไทย ทำให้ผมเอามานั่งคิด ผลจากการคิดวิเคราะห์ ผมรู้สึกว่ามันเป็นดนตรีชนิดเดียวหรือพูดให้ชัดกว่านั้น มันน่าจะเป็นวัฒนธรรมที่มีรากเหง้าร่วมกัน อาจจัดเป็นสกุลเดียวกันคล้ายๆ กับภาษา และถ้าสิ่งที่นักมานุษยวิทยาเชื่อกันมาเนิ่นนานจนบัดนี้ว่า ดนตรีเกิดมาจากภาษา ว่ามันเริ่มมาจากจุดนั้น มันก็จะต้องมีส่วนสัมพันธ์กับการส่งต่อทางวัฒนธรรม ซึ่งผมแบ่งได้ง่ายๆ ออกเป็นสามลักษณะหลักๆ . หนึ่งคือ สืบทอดกันมาจากบรรพบุรุษรุ่นสู่รุ่น เป็นเหมือนมรดกทางวัฒนธรรม จารีต ประเพณี / สองคือ รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากดินแดนอื่น-ชนชาติอื่นที่รุ่งเรืองกว่าหรือต่างดินแดนที่คบค้าไปมาหาสู่กันยาวนาน จึงรับเอาธรรมเนียมเขามานิยม / สามคือ เกิดจากการถูกพิชิตให้อยู่ในอาณัตหรือถูกบังคับให้รับวัฒนธรรมผู้อื่นมาเป็นของตน อาจจะยังดำเนินขนบทางวัฒนธรรมเดิมอยู่ได้ขณะที่ต้องยอมรับวัฒนธรรมอื่นเป็นหลัก หรืออาจถูกบังคับให้เลิกวัฒนธรรมของตนแล้วรับเอาวัฒนธรรมของชาติที่พิชิตเป็นของตนแทน . ในกรณีแรก วัฒนธรรมที่สืบทอดกันมาจะมีอัตลักษณ์ที่จำแนกได้ชัดเจนเหมือนภาษาที่จัดเป็นสกุลหรือ phyla ได้ | กรณีที่สอง ย่อมมีการแทรกของวัฒนธรรมสกุลอื่นเข้ามาผสมผสาน แต่เนื่องจากการเชื่อมโยงกันเป็นไปอย่างละมุนละม่อมจึงไม่มีอะไรถูกทำลาย จะนำไปสู่ความหลากหลายมากขึ้นได้หลายปัจจัย แต่จะยังคงแยกแยะลักษณะของอัตลักษณ์แต่ละสกุลได้ | กรณีที่สาม ไม่ต่างอะไรกับขุดรากถอนโคน วัฒนธรรมสกุลเดิมถูกทำลายไป อาจมีบางคนที่ต่อต้านและต้องการรักษาขนบเก่าไว้อย่างหลบซ่อน ซึ่งจะทำให้กลายเป็นสิ่งต้องห้ามหรือตาบู แต่ก็อาจมีโอกาสที่วันหนึ่งจะถูกฟื้นฟูขึ้น . ตั้งแต่ปี 2004 ผมหมกมุ่นเรื่องนี้นานนับสิบปี อ่านหนังสือมากมาย ไปเก็บตัวอย่างจากภาคสนาม เสาะหาข้อมูลเสียงจากทุกที่ที่ได้เบาะแส ผมนึกอยู่เวียนวนจนได้สมมุติฐานอันนึงขึ้นมา "เป็นไปได้ไหมว่า ถ้าเรามีสายเลือดที่เชื่อมโยงกันทั้งโลกอย่างที่ ศจ.ลูกา และ เสปนเซอร์ นำเสนอ เราก็น่าจะมีวัฒนธรรมที่เชื่อมโยงกันโดยที่สอดคล้องกับสาแหรกพันธุกรรมด้วย และเมื่อเป็นเช่นนั้น เราก็น่าจะแยกแยะดนตรีซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมมนุษย์ออกเป็นวงศ์ตระกูลได้ในลักษณะเดียวกัน ในเวลาต่อมา ผมพบบทความหนึ่งที่เขียนโดย ศจ. Victor Grauer หัวข้อเรื่อง Music Family ผมจำชื่อเขาได้ทันที เพราะผมเรียนหนังสือเล่มหนึ่งของ Alan Lomax นักมานุษยวิทยาดนตรีที่เป็นตำนานของโลก มันเกี่ยวกับระบบวิเคราะห์ดนตรีพื้นเมืองที่เขาคิดค้นขึ้นเรียกว่า Cantomatrics และอาจารย์วิคเตอร์ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของอลันมีส่วนในการคิดค้นนี้ . ผมเขียนอีเมล์ไปหาอาจารย์วิคเตอร์ตามอีเมล์ที่ปรากฏบนบทความของแก บอกว่าผมอ่าน Music Family แล้วคิดว่าน่าจะเดินไปในทิศทางเดียวกับที่ผมคิด แล้วเล่า Hypothesis ของผมให้แกฟัง บอกว่าผมจะเทรซจากดีเอ็นเอและการอพยพย้ายถิ่นของมนุษย์เป็นวิธีวิจัย แกตอบมาว่าเห็นด้วย นี่เป็นเรื่องใหม่และตื่นเต้นมาก อยากให้ผมแชร์ข้อมูลกับแก จากจุดนี้ไปคือการผจญภัยอันน่าตื่นเต้นของผมกับโครงการ Genomusicology ตั้งแต่วันนั้นมาจนบัดนี้ ยี่สิบปีแล้ว . ผมเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับความสนใจของผมในเรื่องนี้มาเรื่อย และบางครั้งมันไม่ได้เกี่ยวกับดนตรีแต่เป็นเรื่องอื่น ผมรู้แต่ตอนนั้นว่าความรู้อะไรก็ตามหากมันขัดกับวิทยาศาสตร์นี้ ไม่ว่าจะสาขาวิชาอะไร มันมีแนวโน้มจะผิดพลาด ตัวอย่างเช่นประวัติศาสตร์ ยิ่งถ้าคุณเปิดหน้าต่างหลายๆ ศาสตร์พร้อมกันโดยไม่ยึดติดกับทัศนะของสำนักคิดเดิม คุณจะพบกับหนทางที่กว้างไกลกว่า ยกตัวอย่างเช่นเมื่อคุณหาคำตอบทางประวัติศาสตร์ คุณลองทาบมันกับชีววิทยาพันธุกรรม ขณะเดียวกันก็ทาบมันกับโบราณคดี ภาษาศาสตร์ ธรณีวิทยา นิรุกติศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ปรัมปราคติ ศาสนาเทววิทยา...ฯลฯ มันจะนำคุณไปสู่คำตอบที่หนักแน่นกว่าที่คุณจะจมอยู่กับข้อมูลทางประวัติศาสตร์เพียงอย่างเดียว . หลายปีที่ผ่านมา เริ่มมีหลายสาขาวิชาที่หันมาใช้แผนที่แผ่นเดียวกับผม ที่ผมเห็นคือนักภาษาศาสตร์ในต่างประเทศมาก่อนเป็นพวกแรก ในไทยที่เริ่มก่อนคือนักโบราณคดีอย่างเช่น อาจารย์รัศมี ชูทรงเดช ท่านล้ำมาก ศึกษาซากบรรพชีวินแล้วเริ่มใช้ข้อมูลดีเอ็นเอมาก่อนที่จะมีนักชีววิทยารุ่นใหม่ที่สนใจด้านนี้เริ่มเอามาใช้ผนวกกับสาขามานุษยวิทยา ช่วงสี่ห้าปีหลังเริ่มมีงานวิจัยเกี่ยวกับดีเอ็นเอของคนไทยออกมาให้เห็นจากนักวิชาการไทยหลายคน . ถ้าจำเรื่องเก่าๆ ที่ผมเคยเขียนได้บ้างจะเห็นว่าผมพูดอยู่หลายครั้ง "ความแบ่งแยกเป็นความคิดของปีศาจ" และมันเป็นต้นตอความขัดแย้งที่ลุกลามกลายเป็นสงครามและการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ได้ ผมชี้ให้เห็นเสมอๆ ว่าคนเอเชียนั้นเป็นพี่น้องครอบครัวที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นลูกหลานของทายาทแห่งอาดัม (ในทางวิทยาศาสตร์) สองคนคือ Hg O และ Hg C และทายาทแห่งอีฟ (ในทางวิทยาศาสตร์) สี่คนคือ Hg B-M-F-D ดังนั้นพวกเขาไม่ว่าจะเรียกชื่อสมมุติตัวเองว่าอะไร ข้อเท็จจริงก็คือพวกเขาคือพี่น้องกันทั้งสิ้น เก่าใหม่ อ่อนแก่ ตามกาลเวลา . ด้วยเหตุนี้ ในปี 2008 ผมเขียนบทความหนึ่ง เรื่อง "ชื่อและชนเผ่า" และผมพยายามอธิบายความสมมุติที่ว่านี้ด้วยความพยายามยิ่งที่จะบอกความเป็นมาเป็นไปและความเกี่ยวโยงของแต่ละชาติพันธ์ ผมแบ่งกลุ่มพวกเขาออกเป็นสองกลุ่มง่ายๆ คือพวกเท้าเปียกและพวกเท้าแห้ง พวกเขาเป็นครอบครัวเดียวกันและทั้งหมดอยู่บนดินแดนเอเชียนี้มาตั้งแต่สามหมื่นกว่าปีที่แล้ว แต่พวกเท้าเปียกคือพวกที่อยู่บนซุนดาตอนล่าง ต้องผจญชะตากรรมน้ำท่วมโลกซึ่งหนักกว่าโนอาห์แน่นอน เพราะธรณีวิทยาบอกว่ามีที่เดียวบนโลกในประวัติศาสตร์มนุษย์แสนกว่าปี ที่คุณจะเรียกว่าน้ำท่วมโลกได้จริงๆ คือดินแดนซุนดาแห่งนี้ ไม่ใช่ในดินแดนเสี้ยวจันทร์หรือแถวเทือกเขาอารารัต มันท่วมที่นี่สามครั้งหลังยุคน้ำแข็งสิ้นสุด ทั้งสามครั้งรวมแล้วประมาณร้อยยี่สิบเมตร!.. ส่วนพวกเท้าแห้งก็คือพวกที่อยู่เหนือขึ้นไปในเมนแลนด์เอเชีย ซึ่งก็ได้เป็นสักขีพยานภัยพิบัตินี้เช่นกัน แต่มีเพียงส่วนน้อยที่ได้รับผลจากภัยพิบัติ . ดังนั้น สำหรับผม ไม่ว่าจะเอ่ยชื่อไหนมันก็คือสิ่งสมมุติ บรรดาพี่น้องในสาแหรกเท้าเปียกในอุษาคเนย์นับจากโบราณจนกระทั่งบัดนี้ อย่างที่บอก พวกเขาล้วนมาจากอัสเลียน แม้ต่อมาพวกเขาทั้งหลายจะกลายเป็นมอญ เป็นข่า เป็นละว้า เป็นขอมทวารวดี เป็นขอมละโว้ เป็นพนม เป็นสยาม เป็นศรีโพธิ์ เป็นมลายู เป็นนุสันทารา เป็นลาว เป็นจามปา เป็นเจนละ เป็นเขมร เป็นญวน... แต่หากคุณแล่เนื้อเถือหนังออกมา โครงสร้างทางโปรตีนของพวกเขาก็มีดีเอ็นเอที่มาจากบรรพบุรุษจากสาแหรกเดียวกันทั้งสิ้น.. . การที่คุณแครี่วายโครโมโซมแฮพโพลกรุ๊พโอ หมายถึงคุณคลานตามกันมาจากบรรพบุรุษเดียวกัน การย่อยออกเป็น sub group ต่างๆ เช่น O1 O1a O1b O1c O2 O2a O2b O2c... คือซับมิวเทชั่นในสกุลเดียวกัน แม้แตกแขนงออกไปแต่คุณยังคงมีสายเลือดที่โยงใยกันอยู่ จีนที่ซึ่งในการวิจัยช่วงแรกถูกจัดเป็น O3 (ปัจจุบันปรับเป็น O2) ยอมรับกันว่าเป็นชนชาติที่มีระบบบันทึกประวัติศาสตร์ดีที่สุดและเก่ากว่าทุกชนชาติในเอเชีย ถอยหลังไปถึงสี่พันกว่าปี แต่พันธุกรรมบอกว่าพวกเขาเป็นน้องเล็กที่สุด มียีนอายุน้อยที่สุดในสาแหรกวงศ์ตระกูล (เรียงจากหลักน้อยไปหามาก O > O1 > O2 หลักน้อยคือเก่ากว่า) ข้อนี้ยิ่งยืนยันว่าสาแหรก Y DNA Hg O มีรากเหง้าที่เก่าแก่ยาวไกลเพียงใด ในโลกนี้พวกเขาเก่ารองจากพวกออสตราอะบอริจิ้น และพวกซาฮารันโบราณ มียีนเป็นพี่ของชาวยุโรปเกือบทั้งหมด ยกเว้นพวกบาสก์ในอุสกาดี สเปน และพวกซามิแถวแลปแลนด์ ฟินด์แลนด์ . Cultural Transmission ที่ส่งผ่านกันไปมานานนับหมื่นปี ทำให้ลักษณะที่ร่วมกันแต่โบราณจากวัฒนธรรมที่พื้นฐานที่สุดไปสู่วัฒนธรรมที่ซับซ้อนที่สุด ยังคงทิ้งเบาะแสความเกี่ยวโยงของพวกเขาเอาไว้ในทุกมิติทุกบริบท มันไม่ได้หายไปไหนและเรามองเห็นมันได้ แบบเดียวกับที่ผมเห็นผ่านดนตรี ตัวอย่างเช่น เราเป็นมนุษย์ที่ยุคบรรพกาลนับถือแม่เป็นใหญ่ เราจึงมีเทวี เจ้าแม่ พระแม่เต็มไปหมด ในดนตรีพื้นเมืองของเราผู้หญิงร้องเสียงสูงและดังทะลุทะลวง เพราะนางมีสถานะที่ได้รับการเคารพไม่ใช่ถูกกดไว้ นอกจากนั้นพวกนางยังมีการประสานเสียง มีพลังแข็งแรงและมั่นใจขณะขับร้อง นางสามารถยืนหยัดเป็นกลุ่มที่มีความสำคัญได้ภายในสังคม แม้ทุกวันนี้ ผู้หญิงก็ยังคงเป็นใหญ่ในบ้าน ทุกบาททุกสตางค์ที่ผมหาได้ก็ต้องส่งมอบให้ภรรยาด้วยความเคารพ . เวลาที่มองภาพต่อทางประวัติศาสตร์ มุมมองของผมจึงเปลี่ยนไป ผมหยิบความรู้อื่นๆ เท่าที่อ้างอิงเชื่อถือได้มาประกบเข้าด้วยกันเสมอ... ทำไมกษัตริย์เขมรโบราณจะขึ้นครองราชย์ต้องแต่งกับนาค? สำหรับผม นี่คือปรัมปราคติที่สะท้อนการเมืองโบราณ เศรษฐีจากต่างถิ่น (ตัวขาวใส่เสื้อผ้าสวยงาม) จะมาปกครองคนท้องถิ่นที่เป็นคนพื้นเมือง (แก้ผ้า อยู่กับป่าฝนและมรสุม) ก็ต้องดองกับคนท้องถิ่น หลักฐานเจเนติคก็พบว่าพ้องกันว่า ผู้ชายบรรพบุรุษของพวกเรา (Y DNA Hg O) ซึ่งอพยพมาด้วยเส้นทางสายเอเชียกลาง อากาศดี อาหารสมบูรณ์ตลอดทาง พวกเขาคงหล่อเร้าใจไม่น้อยเมื่อเดินทางมาถึงซุนดา พวกผู้หญิงอะบอริจิ้น (mt DNA Hg B / M) พากันเลือกบรรพบุรุษของเราเป็นพ่อพันธ์ อุปมาดังหงส์ทองครองคู่กับนาคยังไงยังงั้น ทำให้ผู้ชายอะบอริจิ้นต้องถอยห่างออกไปจากแผ่นดินใหญ่ การได้แม่สายงูมาเป็นแม่พันธ์อีกสองแม่ ทำให้ลูกหลานพวก Hg O ออกลูกมาเต็มดินแดน มันคือการผสมกันของนกกับงู แต่พวก Hg C ที่ผู้หญิงไม่เลือกลูกหลานก็เลยน้อยกว่า แรงงานที่จะพัฒนาชุมชนและเป็นกำลังรบจึงน้อย ถ้าผู้หญิงของเขาไม่เลือกพวก Hg O และมีจำนวนประชากรพอๆ กัน พวกอัสเลียนกับอะบอริจิ้นคงรบกันแหลกราญตายไปข้างหนึ่ง นี่ไม่ใช่ครั้งเดียว... . พระนางจามเทวีแห่งละโว้ หรือจะเรียกละโว้ ละว้า ว้า ลั๊วะ ก็คือกัน เป็นข่า เป็นอัสเลียนที่ยังมีความเป็นชนพื้นเมือง เมื่อเทียบชายหนุ่มในเผ่าของนางกับหนุ่มเท้าแห้งพี่น้องสาแหรกเดียวกันแต่ขาวผ่องกว่าเพราะอาศัยอยู่ดินแดนทางเหนือขึ้นไป อากาศแสนดี แต่งตัวหล่อ เหตุฉะนี้ พระนางทำเหมือนบรรพบุรุษอะบอริจิ้นข้างแม่ ไม่เลือกพวกเดียวกันเอง แต่ไปเลือกหนุ่มทางเหนือแถวหริภุญชัยสายไป่เยว่ ทำเอานักรบหนุ่มละว้าถึงกับไม่พอใจทำไมไม่เลือกฉันไปเลือกไอ้ละอ่อนสำอางทางเหนือ เลยท้าพระนางจามพุ่งหอกแข่งกัน ถ้าแพ้ต้องแต่งกับเขา และพระนางจามเทวีชนะนักรบนะ! แปลว่าพระนางจามของเรานี้ก็ยังคงมีทักษะแบบที่ชนเผ่าในสมัยบรรพกาลมี คือโตมานี่ยังรบและล่าสัตว์อยู่ แม่หญิงธรรมดาที่ไหนจะพุ่งหอกชนะ พระนางคงเห็นว่าการแต่งกับหนุ่มทางเหนือเป็นการปรับปรุงสายพันธุ์และทำให้การเมืองมีหนทางที่ก้าวหน้าขึ้นกว่าที่เคยเป็น เพราะการดองลักษณะนี้ พวกเท้าเปียกและเท้าแห้งก็จะมี Cultural Transmission ที่ถ่ายเทต่อกันอย่างละมุนละม่อม ต่างกับพวกยุโรปที่ไปปล้นพวกเมาริ ยึดแผ่นดินพวกเขา แล้วบังคับให้ดีดอะคูเลเล่และเข้าโบสถ์ไปร้องประสานเสียง . หันมองเครือญาติข้างบ้าน ยุคสมัยแห่งเขมรพระนครนั้นล่มสลายไปนานแล้ว กัมพูชาอยู่ในปกครองของอยุธยายาวนานมาจนรัตนโกสินทร์ ตอนที่พวกอาณานิคมฝรั่งเศสบุกมายึดครอง แล้วฝรั่งพวกนี้ไปเจอนครวัดอยู่ในป่าดงดิบ คนเขมรส่วนใหญ่ในตอนนั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีปราสาทโบราณอยู่ตรงนั้น มันถูกต้นไม้กลืนจนหายไป รากและกิ่งใบเลื้อยพันฝังรากลงไปในตัวปราสาทจนมองไม่เห็น หลังเป็นอิสระจากอาณานิคมฝรั่งเศสพวกกษัตริย์เขมรนั้นมาโตมาเรียนอยู่ที่สยามทั้งนั้น ประวัติศาสตร์บอกชัดไม่ต้องบรรยายอีก Cultural Transmission ถูกส่งผ่านอย่างละมุนละม่อม ไม่ใช่เพราะถูกพิชิตถูกบังคับให้ทำตาม แต่เพราะรากเหง้าเดิมของเขมรเสื่อมสลายไปหมดนานแล้ว และเจ้านายเขมรนิยมชมชอบในขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมแบบไทยจึงรับและเรียนไป จนกระทั่งมันวินาศย่อยยับไปอีกครั้งในยุคเขมรแดง เพราะศิลปิน ปราชญ์ราชบัณฑิต ครู กวี ปัญญาชน...ถูกเขมรแดงฆ่าจนสิ้น . ผมก็รำคาญนะ พวกเขมรเคลมโบเดียน่ะ แต่ก็คิดว่ามันน่าสงสาร ยังไงก็พี่น้องสาแหรกเดียวกัน แล้วคนฉลาดๆ ของเขาก็ตายไปหมดแล้วตอนยุคเขมรแดงทุ่งสังหาร ที่พอจะรอดมาได้ก็หนีไปอเมริกา-ยุโรปไม่กลับมาอีก อย่างไรก็ตามประวัติศาสตร์ที่บันทึกอยู่ในโลกก็บอกเรื่องราวของสยามและเขมรชัดแจ้งอยู่ มันจะเคลมยังไงก็ไม่มีใครเขาเชื่อ แล้วก็ไม่มีพิษสงอะไรหรอก นอกจากสร้างความรำคาญ ส่งพวกทหารพรานไปเป่าข้าวหลามสักสิบบ้องก็คงหยุดแล้ว . แต่ไอ้ที่เลวแท้ก็คือไอ้พวกตัวเป็นไทยใจเป็นเขมรนี่แหละ ไอ้ที่ส่งลูกไปปี้กับเขมรก็พอเข้าใจที่มันเกี่ยวดองเป็นเครือญาติกัน แต่ไอ้พวกที่ไม่ได้ดองอะไรแต่เสือกไปรับใช้เขมร อันนี้เรียกขายชาติ ในดีเอ็นเอมีพันธุกรรมสุนัขแทรกอยู่เลยเลือกกินอาจม ไม่กินผัดไทย . เรื่องที่ผมเขียนให้อ่านนี่มันยาก ผมเข้าใจนะ แต่หากคนเราในทุกวันนี้เข้าใจในข้อนี้ตรงกัน บางทีความขัดแย้งในโลกอาจลดลงจนหมดไปได้ และเราอาจก้าวไปสู่สังคมอุดมคติแบบที่เราไฝ่ฝันถึง "We're All Connected" . - พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา (2568) - . https://youtu.be/RdW1HNA5uSc?si=3E1WAUxHdLhSdVsw
    0 Comments 0 Shares 609 Views 0 Reviews
  • พรรคพม่าสวมวิญญาณเคลมโบเดีย อวดอ้างเป็นผู้มาก่อนกาลกับเหตุการณ์ในเกาหลีใต้ แท้จริงก็แค่ เอาสิ่งที่เคยพูดมาเคลมเข้ากับสิ่งที่เกิดขึ้นทีหลัง ดีที่แม่มไม่บอกด้วยว่า พรุ่งนี้พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    พรรคพม่าสวมวิญญาณเคลมโบเดีย อวดอ้างเป็นผู้มาก่อนกาลกับเหตุการณ์ในเกาหลีใต้ แท้จริงก็แค่ เอาสิ่งที่เคยพูดมาเคลมเข้ากับสิ่งที่เกิดขึ้นทีหลัง ดีที่แม่มไม่บอกด้วยว่า พรุ่งนี้พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    Haha
    3
    0 Comments 0 Shares 305 Views 0 Reviews