• 7 ปี สิ้น “แม่ทัพหาญ” พลเอกหาญ ลีนานนท์ ผู้บุกเบิกนโยบายใต้ร่มเย็น ค้านเรือเหาะ เลิกปราบปราม สร้างความเข้าใจ ใช้สันติวิธี

    “ดับไฟใต้ด้วยสันติวิธี” คือแนวทางที่ พลเอกหาญ ลีนานนท์ เลือกใช้ตลอดชีวิตการรับราชการ และการเมือง ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าได้ผล ในการสร้างความสงบ ให้กับภาคใต้ของไทย

    📌 7 ปี แล้วที่ พลเอกหาญ ลีนานนท์ หรือ "แม่ทัพหาญ" จากไป ทิ้งไว้เพียงตำนานของแม่ทัพ ผู้เปลี่ยนนโยบายความมั่นคงของไทย จากการใช้กำลัง สู่สันติวิธี 🌿

    แม้จะจากโลกนี้ไปเมื่อ 7 ปี ที่ผ่านมา แต่ชื่อของแม่ทัพหาญ ยังคงถูกกล่าวถึงในแวดวงการเมือง และกองทัพ โดยเฉพาะเรื่อง "นโยบายใต้ร่มเย็น" ที่กลายเป็นแนวทางสำคัญ ในการแก้ปัญหาความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนใต้ 🕊️

    👤 🎖️ เส้นทางสู่กองทัพ
    พลเอกหาญ ลีนานนท์ เกิดเมื่อ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2467 ที่อำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล เป็นบุตรของขุนด่านลีนานนท์ และนางนิตย์ ลีนานนท์

    การศึกษาของแม่ทัพหาญเริ่มจาก
    - โรงเรียนไตรมิตรวิทยาลัย
    - โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย
    - โรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร
    - โรงเรียนนายร้อยทหารบก ร่วมรุ่นกับ พลเอกอาทิตย์ กำลังเอก และพลเอกเทียนชัย ศิริสัมพันธ์

    หลังจบการศึกษา แม่ทัพหาญไต่เต้าขึ้นสู่ ตำแหน่งสำคัญในกองทัพ จนกระทั่งได้รับแต่งตั้ง เป็นแม่ทัพภาคที่ 4 ซึ่งเป็นช่วงที่สร้างคุณูปการ มากที่สุดในชีวิต

    🏅 🔥 ปัญหาภาคใต้ก่อนยุคแม่ทัพหาญ
    ก่อนที่แม่ทัพหาญจะเข้ารับตำแหน่ง ภาคใต้เผชิญปัญหาความรุนแรงจากหลายกลุ่ม ได้แก่
    ✅ ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ (พคท.)
    ✅ ขบวนการโจรก่อการร้ายแบ่งแยกดินแดน (ขจก.)
    ✅ โจรจีนคอมมิวนิสต์มาลายา
    ✅ อิทธิพลท้องถิ่นและกลุ่มผู้มีอำนาจมืด

    รัฐใช้มาตรการปราบปรามอย่างหนัก แต่ไม่ได้ผล จนกระทั่งแม่ทัพหาญ เข้ามาเปลี่ยนแนวทางการแก้ปัญหา

    ☂️ นโยบายใต้ร่มเย็น จากสงครามสู่สันติภาพ
    "ใต้ร่มเย็น" เป็นนโยบายที่ให้ความสำคัญกับการเมือง มากกว่าการทหาร โดยมีหลักการสำคัญ 4 ข้อ ได้แก่

    1️⃣ ปกป้องชีวิต และทรัพย์สินของประชาชน ทั้งไทยพุทธและมุสลิม
    2️⃣ ทำให้พื้นที่ชายแดนไทย-มาเลเซียปลอดภัย เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
    3️⃣ กำจัดอำนาจเผด็จการ และอิทธิพลมืดด้วยสันติวิธี
    4️⃣ สร้างความสัมพันธ์ที่ดี ระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐและประชาชน

    แม่ทัพหาญยึดหลักว่า "ต้องชนะใจประชาชน" ไม่ใช่แค่เอาชนะศัตรู ซึ่งเป็นหัวใจของยุทธศาสตร์ "นโยบาย 66/23" ที่ใช้ปราบคอมมิวนิสต์สำเร็จมาแล้ว

    📝 ผลลัพธ์ของนโยบายใต้ร่มเย็น
    ✅ กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ มอบตัวจำนวนมาก
    ✅ ปัญหาความรุนแรง ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
    ✅ ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ และประชาชนดีขึ้น

    🚢 ค้านเรือเหาะ ไม่เห็นด้วยกับการทุ่มงบประมาณ อย่างไร้ประสิทธิภาพ ⚠️
    ในยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กองทัพบกได้ จัดซื้อเรือเหาะมูลค่า 350 ล้านบาท เพื่อใช้เฝ้าระวังในสามจังหวัดชายแดนใต้ แต่กลับกลายเป็น ประเด็นวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก

    แม่ทัพหาญ เป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญ ที่ออกมาคัดค้าน โดยให้เหตุผลว่า
    ❌ ภูมิประเทศภาคใต้ เต็มไปด้วยป่าดงดิบ เรือเหาะจะจับภาพได้ยาก
    ❌ ขบวนการก่อความไม่สงบ อยู่ปะปนกับชาวบ้าน ไม่ใช่ในป่าเขา
    ❌ อาวุธเทคโนโลยีแพง ไม่ช่วยแก้ปัญหาได้จริง สิ่งที่สำคัญกว่าคือ ความเข้าใจประชาชน
    ❌ เป็นการใช้งบประมาณอย่างไม่คุ้มค่า ขณะที่เงินเหล่านี้ สามารถนำไปพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่ได้

    🔴 บทความ "บทเรียนจากการรบ" ของแม่ทัพหาญ ระบุว่า
    "การซื้อเรือเหาะปราบโจรนี้ แสดงว่าทั้งผู้บังคับบัญชา ไม่มีความคิดที่จะแก้ปัญหาทางยุทธศาสตร์ โจรไม่ได้อยู่ในป่า แต่เขาอยู่ในบ้าน ในหมู่บ้าน ถ้าเรือเหาะถ่ายภาพมาได้ แล้วจะรู้ได้อย่างไร ว่าใครเป็นโจร หรือเป็นชาวบ้าน?"

    ท้ายที่สุด เรือเหาะถูกปลดระวาง โดยไม่เคยใช้งานเต็มศักยภาพ ซึ่งพิสูจน์ว่า แม่ทัพหาญคิดถูก 🛑

    🌟 แม่ทัพหาญ ตำนานที่ยังมีชีวิต
    แม้ว่า พลเอกหาญ ลีนานนท์ จะจากไปเมื่อ 7 ปี ที่ผ่านมา แต่แนวคิดและอุดมการณ์ ยังคงส่งอิทธิพล ต่อการแก้ปัญหาภาคใต้ จนถึงปัจจุบัน

    ✅ พิสูจน์ว่าสันติวิธีดีกว่าการใช้กำลัง
    ✅ เปลี่ยนแนวคิด "สงคราม" เป็น "การเมืองนำการทหาร"
    ✅ ต่อต้านการทุ่มงบประมาณ อย่างไร้เหตุผล
    ✅ เป็นต้นแบบของผู้นำ ที่ประชาชนไว้วางใจ

    🕊️ "แม่ทัพหาญ" อาจจากไป แต่แนวคิดยังคงอยู่ตลอดกาล🔥
    ✅ พลเอกหาญ ลีนานนท์ เป็นแม่ทัพภาคที่ 4 ผู้ริเริ่ม "นโยบายใต้ร่มเย็น"
    ✅ เปลี่ยนจาก "การปราบปราม" เป็น "การสร้างความเข้าใจ"
    ✅ คัดค้านเรือเหาะ 350 ล้าน เพราะมองว่าสิ้นเปลือง และไม่แก้ปัญหาที่แท้จริง
    ✅ สร้างแนวทางสันติวิธี ที่กลายเป็นต้นแบบ การแก้ปัญหาภาคใต้

    🌿 "ดับไฟใต้ไม่ต้องใช้ปืน แต่ต้องใช้ใจ" พลเอกหาญ ลีนานนท์

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 111039 ก.พ. 2568

    📢 #แม่ทัพหาญ #ใต้ร่มเย็น #สันติวิธี #ดับไฟใต้ #การเมืองนำการทหาร #ค้านเรือเหาะ #ภาคใต้ #กองทัพไทย #7ปีสิ้นแม่ทัพหาญ
    7 ปี สิ้น “แม่ทัพหาญ” พลเอกหาญ ลีนานนท์ ผู้บุกเบิกนโยบายใต้ร่มเย็น ค้านเรือเหาะ เลิกปราบปราม สร้างความเข้าใจ ใช้สันติวิธี “ดับไฟใต้ด้วยสันติวิธี” คือแนวทางที่ พลเอกหาญ ลีนานนท์ เลือกใช้ตลอดชีวิตการรับราชการ และการเมือง ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าได้ผล ในการสร้างความสงบ ให้กับภาคใต้ของไทย 📌 7 ปี แล้วที่ พลเอกหาญ ลีนานนท์ หรือ "แม่ทัพหาญ" จากไป ทิ้งไว้เพียงตำนานของแม่ทัพ ผู้เปลี่ยนนโยบายความมั่นคงของไทย จากการใช้กำลัง สู่สันติวิธี 🌿 แม้จะจากโลกนี้ไปเมื่อ 7 ปี ที่ผ่านมา แต่ชื่อของแม่ทัพหาญ ยังคงถูกกล่าวถึงในแวดวงการเมือง และกองทัพ โดยเฉพาะเรื่อง "นโยบายใต้ร่มเย็น" ที่กลายเป็นแนวทางสำคัญ ในการแก้ปัญหาความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนใต้ 🕊️ 👤 🎖️ เส้นทางสู่กองทัพ พลเอกหาญ ลีนานนท์ เกิดเมื่อ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2467 ที่อำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล เป็นบุตรของขุนด่านลีนานนท์ และนางนิตย์ ลีนานนท์ การศึกษาของแม่ทัพหาญเริ่มจาก - โรงเรียนไตรมิตรวิทยาลัย - โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย - โรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร - โรงเรียนนายร้อยทหารบก ร่วมรุ่นกับ พลเอกอาทิตย์ กำลังเอก และพลเอกเทียนชัย ศิริสัมพันธ์ หลังจบการศึกษา แม่ทัพหาญไต่เต้าขึ้นสู่ ตำแหน่งสำคัญในกองทัพ จนกระทั่งได้รับแต่งตั้ง เป็นแม่ทัพภาคที่ 4 ซึ่งเป็นช่วงที่สร้างคุณูปการ มากที่สุดในชีวิต 🏅 🔥 ปัญหาภาคใต้ก่อนยุคแม่ทัพหาญ ก่อนที่แม่ทัพหาญจะเข้ารับตำแหน่ง ภาคใต้เผชิญปัญหาความรุนแรงจากหลายกลุ่ม ได้แก่ ✅ ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ (พคท.) ✅ ขบวนการโจรก่อการร้ายแบ่งแยกดินแดน (ขจก.) ✅ โจรจีนคอมมิวนิสต์มาลายา ✅ อิทธิพลท้องถิ่นและกลุ่มผู้มีอำนาจมืด รัฐใช้มาตรการปราบปรามอย่างหนัก แต่ไม่ได้ผล จนกระทั่งแม่ทัพหาญ เข้ามาเปลี่ยนแนวทางการแก้ปัญหา ☂️ นโยบายใต้ร่มเย็น จากสงครามสู่สันติภาพ "ใต้ร่มเย็น" เป็นนโยบายที่ให้ความสำคัญกับการเมือง มากกว่าการทหาร โดยมีหลักการสำคัญ 4 ข้อ ได้แก่ 1️⃣ ปกป้องชีวิต และทรัพย์สินของประชาชน ทั้งไทยพุทธและมุสลิม 2️⃣ ทำให้พื้นที่ชายแดนไทย-มาเลเซียปลอดภัย เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ 3️⃣ กำจัดอำนาจเผด็จการ และอิทธิพลมืดด้วยสันติวิธี 4️⃣ สร้างความสัมพันธ์ที่ดี ระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐและประชาชน แม่ทัพหาญยึดหลักว่า "ต้องชนะใจประชาชน" ไม่ใช่แค่เอาชนะศัตรู ซึ่งเป็นหัวใจของยุทธศาสตร์ "นโยบาย 66/23" ที่ใช้ปราบคอมมิวนิสต์สำเร็จมาแล้ว 📝 ผลลัพธ์ของนโยบายใต้ร่มเย็น ✅ กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ มอบตัวจำนวนมาก ✅ ปัญหาความรุนแรง ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ✅ ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ และประชาชนดีขึ้น 🚢 ค้านเรือเหาะ ไม่เห็นด้วยกับการทุ่มงบประมาณ อย่างไร้ประสิทธิภาพ ⚠️ ในยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กองทัพบกได้ จัดซื้อเรือเหาะมูลค่า 350 ล้านบาท เพื่อใช้เฝ้าระวังในสามจังหวัดชายแดนใต้ แต่กลับกลายเป็น ประเด็นวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก แม่ทัพหาญ เป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญ ที่ออกมาคัดค้าน โดยให้เหตุผลว่า ❌ ภูมิประเทศภาคใต้ เต็มไปด้วยป่าดงดิบ เรือเหาะจะจับภาพได้ยาก ❌ ขบวนการก่อความไม่สงบ อยู่ปะปนกับชาวบ้าน ไม่ใช่ในป่าเขา ❌ อาวุธเทคโนโลยีแพง ไม่ช่วยแก้ปัญหาได้จริง สิ่งที่สำคัญกว่าคือ ความเข้าใจประชาชน ❌ เป็นการใช้งบประมาณอย่างไม่คุ้มค่า ขณะที่เงินเหล่านี้ สามารถนำไปพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่ได้ 🔴 บทความ "บทเรียนจากการรบ" ของแม่ทัพหาญ ระบุว่า "การซื้อเรือเหาะปราบโจรนี้ แสดงว่าทั้งผู้บังคับบัญชา ไม่มีความคิดที่จะแก้ปัญหาทางยุทธศาสตร์ โจรไม่ได้อยู่ในป่า แต่เขาอยู่ในบ้าน ในหมู่บ้าน ถ้าเรือเหาะถ่ายภาพมาได้ แล้วจะรู้ได้อย่างไร ว่าใครเป็นโจร หรือเป็นชาวบ้าน?" ท้ายที่สุด เรือเหาะถูกปลดระวาง โดยไม่เคยใช้งานเต็มศักยภาพ ซึ่งพิสูจน์ว่า แม่ทัพหาญคิดถูก 🛑 🌟 แม่ทัพหาญ ตำนานที่ยังมีชีวิต แม้ว่า พลเอกหาญ ลีนานนท์ จะจากไปเมื่อ 7 ปี ที่ผ่านมา แต่แนวคิดและอุดมการณ์ ยังคงส่งอิทธิพล ต่อการแก้ปัญหาภาคใต้ จนถึงปัจจุบัน ✅ พิสูจน์ว่าสันติวิธีดีกว่าการใช้กำลัง ✅ เปลี่ยนแนวคิด "สงคราม" เป็น "การเมืองนำการทหาร" ✅ ต่อต้านการทุ่มงบประมาณ อย่างไร้เหตุผล ✅ เป็นต้นแบบของผู้นำ ที่ประชาชนไว้วางใจ 🕊️ "แม่ทัพหาญ" อาจจากไป แต่แนวคิดยังคงอยู่ตลอดกาล🔥 ✅ พลเอกหาญ ลีนานนท์ เป็นแม่ทัพภาคที่ 4 ผู้ริเริ่ม "นโยบายใต้ร่มเย็น" ✅ เปลี่ยนจาก "การปราบปราม" เป็น "การสร้างความเข้าใจ" ✅ คัดค้านเรือเหาะ 350 ล้าน เพราะมองว่าสิ้นเปลือง และไม่แก้ปัญหาที่แท้จริง ✅ สร้างแนวทางสันติวิธี ที่กลายเป็นต้นแบบ การแก้ปัญหาภาคใต้ 🌿 "ดับไฟใต้ไม่ต้องใช้ปืน แต่ต้องใช้ใจ" พลเอกหาญ ลีนานนท์ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 111039 ก.พ. 2568 📢 #แม่ทัพหาญ #ใต้ร่มเย็น #สันติวิธี #ดับไฟใต้ #การเมืองนำการทหาร #ค้านเรือเหาะ #ภาคใต้ #กองทัพไทย #7ปีสิ้นแม่ทัพหาญ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 427 มุมมอง 0 รีวิว
  • 5 ปี โศกนาฏกรรมโคราช จ่าสรรพาวุธคลั่ง กราดยิงเสียชีวิต 31 ศพ บาดเจ็บ 58 คน

    📅 ย้อนรอยเหตุการณ์ โศกนาฏกรรมกราดยิงโคราช ที่เกิดขึ้นเมื่อ 5 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2563 ซึ่งเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ สะเทือนขวัญที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย จ่าสิบเอกจักรพันธ์ ถมมา ทหารสังกัดกองพันสรรพาวุธกระสุนที่ 22 กองบัญชาการช่วยรบที่ 2 ค่ายสุรธรรมพิทักษ์ ได้ก่อเหตุกราดยิงผู้บริสุทธิ์ ในตัวเมืองนครราชสีมา มีผู้เสียชีวิตรวม 31 ศพ รวมตัวผู้ก่อเหตุ และบาดเจ็บ 58 ราย

    เหตุการณ์นี้ ไม่เพียงสร้างความสูญเสีย ให้กับครอบครัวผู้เคราะห์ร้ายเท่านั้น แต่ยังนำไปสู่คำถาม เกี่ยวกับระบบสวัสดิการทหาร ความโปร่งใสของกองทัพ และการควบคุมอาวุธ ของเจ้าหน้าที่รัฐ 🔥

    📌 สาเหตุที่นำไปสู่โศกนาฏกรรม
    จากการสอบสวน พบว่าสาเหตุหลักที่ทำให้ จ.ส.อ. จักรพันธ์ ก่อเหตุในครั้งนี้ เกิดจากปัญหาการเงิน และความขัดแย้ง ในการซื้อบ้านสวัสดิการทหาร 🚪🏡

    🔹 ปมปัญหาซื้อบ้านสวัสดิการ
    จ.ส.อ. จักรพันธ์ ซื้อบ้านจากโครงการสวัสดิการทหาร ในราคา 1,500,000 บาท และมอบหมายให้ นางอนงค์ มิตรจันทร์ ภรรยาของ พ.อ. อนันต์ฐโรจน์ กระแสร์ ผู้บังคับบัญชาของเขา เป็นผู้จัดการเรื่องการตกแต่งบ้าน และเอกสารการซื้อขาย

    🔹 ความขัดแย้งเรื่องเงินส่วนต่าง
    เมื่อดำเนินเรื่องเสร็จสิ้น พบว่ามีเงินเหลือ 50,000 บาท ซึ่งถูกส่งไปให้นายหน้าที่ชื่อ นายพิทยา จ.ส.อ. จักรพันธ์ จึงเรียกร้องขอเงินคืน แต่กลับพบว่าเงินก้อนนี้หมดไปแล้ว โดยก่อนหน้านี้เขาเข้าใจว่า ตนเองจะได้เงินคืนสูงถึง 400,000 บาท

    🔹 การพูดคุยที่ล้มเหลว
    เมื่อมีการนัดเจรจากัน นายพิทยา ขอเวลาเพื่อหาเงินคืน แต่จำนวนเงินที่ตกลงกัน ไม่ได้เป็นไปตามที่ จ.ส.อ. จักรพันธ์ คาดหวัง ทำให้เขารู้สึกว่า ตนเองถูกโกง และไม่ได้รับความเป็นธรรม

    นี่เป็นจุดเริ่มต้น ที่นำไปสู่การสังหารโหด... 🔫

    ⏳ จากปมปัญหา สู่โศกนาฏกรรม
    🔴 จุดเริ่มต้น ก่อเหตุที่บ้านพัก
    📍 เวลา 15.30 น. จ.ส.อ. จักรพันธ์ เดินทางไปบ้านของ พ.อ. อนันต์ฐโรจน์ และใช้อาวุธปืนยิง พ.อ. อนันต์ฐโรจน์ และนางอนงค์ มิตรจันทร์ จนเสียชีวิต จากนั้นไล่ยิงนายพิทยา (นายหน้า) แต่เขาหลบหนีไปได้

    🔴 จุดที่สอง ค่ายทหารสุรธรรมพิทักษ์
    📍 เวลา 16.00 น. จ.ส.อ. จักรพันธ์ เดินทางไปที่ค่ายสุรธรรมพิทักษ์ และชิงอาวุธสงคราม จากคลังแสง ซึ่งรวมถึงปืน HK33, ปืนกล M60 และกระสุนจำนวนมาก โดยในระหว่างนี้ มีการยิงทหารเวร และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เสียชีวิต 1 นาย และบาดเจ็บอีก 1 นาย

    🔴 จุดที่สาม กราดยิงตามถนนโคราช
    📍 ระหว่างทางจากค่ายทหาร ไปยังห้างเทอร์มินอล 21
    จ.ส.อ. จักรพันธ์ ขับรถฮัมวี ออกจากค่ายทหาร กราดยิงผู้คนตามทาง เสียชีวิต 9 ศพ มีผู้ที่ถูกยิงขณะอยู่บนรถ และมีนักเรียนที่ขับจักรยานยนต์ถูกยิงซ้ำ เจ้าหน้าที่ตำรวจ 2 นาย ถูกยิงเสียชีวิต ขณะกำลังเข้าควบคุมสถานการณ์

    🔴 จุดสุดท้าย ห้างเทอร์มินอล 21 โคราช
    📍 เวลา 17.30 น. จ.ส.อ. จักรพันธ์ เข้าไปภายในห้าง และเริ่มกราดยิงผู้คน
    📍 จับตัวประกันกว่า 16 คน และถ่ายทอดสดเหตุการณ์ ลงบนเฟซบุ๊กของตัวเอง 😨
    📍 เกิดเหตุระเบิด และไฟไหม้ภายในห้าง เนื่องจากเขายิงถังแก๊ส
    📍 เวลา 09.14 น. เช้าวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2563 หน่วยอรินทราช 26 วิสามัญฆาตกรรม จ.ส.อ. จักรพันธ์ ที่ ชั้นใต้ดินของห้าง

    ⚖️ บทเรียนจากเหตุการณ์กราดยิงโคราช
    เหตุการณ์นี้นำไปสู่คำถามสำคัญเกี่ยวกับ...
    🔹 การจัดการอาวุธของกองทัพ เหตุใดทหารชั้นผู้น้อย สามารถเข้าถึงอาวุธสงคราม ได้ง่ายขนาดนี้?
    🔹 สวัสดิการทหาร และความโปร่งใสของกองทัพ มีปัญหาเรื่อง "เงินทอน" จริงหรือไม่?
    🔹 บทบาทของสื่อมวลชน การรายงานข่าว ในลักษณะที่เปิดเผยข้อมูล การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ ส่งผลกระทบต่อการควบคุมสถานการณ์
    🔹 ผลกระทบทางจิตวิทยาต่อสังคม เหตุการณ์นี้ สร้างความหวาดกลัว และกระตุ้นให้เกิดคำถาม เกี่ยวกับความปลอดภัย ในที่สาธารณะ

    📍 สรุปเหตุการณ์ และจำนวนผู้เสียชีวิต
    📌 ผู้เสียชีวิตทั้งหมด 31 ศพ รวมผู้ก่อเหตุ
    📌 ผู้บาดเจ็บ 58 ราย

    🔸 พื้นที่ที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุด
    ห้างเทอร์มินอล 21
    เส้นทางจากค่ายทหาร ไปยังตัวเมือง

    🔗 มาตรการ และการเปลี่ยนแปลงหลังเหตุการณ์
    📌 กองทัพบกได้ประกาศมาตรการใหม่
    - ควบคุมการเข้าถึงอาวุธของทหาร
    - ทบทวนโครงการสวัสดิการทหาร
    - สอบสวนขบวนการ "เงินทอน" ที่เกี่ยวข้อง

    📌 รัฐบาลและสื่อมวลชน
    - กสทช. สั่งปรับสถานีโทรทัศน์ 3 ช่อง ฐานละเมิดข้อกำหนดการรายงานข่าว
    - เฟซบุ๊กลบวิดีโอถ่ายทอดสด และโพสต์ของผู้ก่อเหตุ

    📍 ครบ 5 ปี ของเหตุการณ์นี้ ยังคงเป็นเครื่องเตือนใจ ถึงปัญหาหลายประเด็น ที่ต้องได้รับการแก้ไข ทั้งในเรื่องความโปร่งใสของกองทัพ ระบบสวัสดิการของทหาร และบทบาทของสื่อมวลชน

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 082315ก.พ. 2568

    📢 #กราดยิงโคราช #KoratShooting #โศกนาฏกรรมโคราช #ความปลอดภัยในที่สาธารณะ #บทเรียนจากอดีต
    5 ปี โศกนาฏกรรมโคราช จ่าสรรพาวุธคลั่ง กราดยิงเสียชีวิต 31 ศพ บาดเจ็บ 58 คน 📅 ย้อนรอยเหตุการณ์ โศกนาฏกรรมกราดยิงโคราช ที่เกิดขึ้นเมื่อ 5 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2563 ซึ่งเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ สะเทือนขวัญที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย จ่าสิบเอกจักรพันธ์ ถมมา ทหารสังกัดกองพันสรรพาวุธกระสุนที่ 22 กองบัญชาการช่วยรบที่ 2 ค่ายสุรธรรมพิทักษ์ ได้ก่อเหตุกราดยิงผู้บริสุทธิ์ ในตัวเมืองนครราชสีมา มีผู้เสียชีวิตรวม 31 ศพ รวมตัวผู้ก่อเหตุ และบาดเจ็บ 58 ราย เหตุการณ์นี้ ไม่เพียงสร้างความสูญเสีย ให้กับครอบครัวผู้เคราะห์ร้ายเท่านั้น แต่ยังนำไปสู่คำถาม เกี่ยวกับระบบสวัสดิการทหาร ความโปร่งใสของกองทัพ และการควบคุมอาวุธ ของเจ้าหน้าที่รัฐ 🔥 📌 สาเหตุที่นำไปสู่โศกนาฏกรรม จากการสอบสวน พบว่าสาเหตุหลักที่ทำให้ จ.ส.อ. จักรพันธ์ ก่อเหตุในครั้งนี้ เกิดจากปัญหาการเงิน และความขัดแย้ง ในการซื้อบ้านสวัสดิการทหาร 🚪🏡 🔹 ปมปัญหาซื้อบ้านสวัสดิการ จ.ส.อ. จักรพันธ์ ซื้อบ้านจากโครงการสวัสดิการทหาร ในราคา 1,500,000 บาท และมอบหมายให้ นางอนงค์ มิตรจันทร์ ภรรยาของ พ.อ. อนันต์ฐโรจน์ กระแสร์ ผู้บังคับบัญชาของเขา เป็นผู้จัดการเรื่องการตกแต่งบ้าน และเอกสารการซื้อขาย 🔹 ความขัดแย้งเรื่องเงินส่วนต่าง เมื่อดำเนินเรื่องเสร็จสิ้น พบว่ามีเงินเหลือ 50,000 บาท ซึ่งถูกส่งไปให้นายหน้าที่ชื่อ นายพิทยา จ.ส.อ. จักรพันธ์ จึงเรียกร้องขอเงินคืน แต่กลับพบว่าเงินก้อนนี้หมดไปแล้ว โดยก่อนหน้านี้เขาเข้าใจว่า ตนเองจะได้เงินคืนสูงถึง 400,000 บาท 🔹 การพูดคุยที่ล้มเหลว เมื่อมีการนัดเจรจากัน นายพิทยา ขอเวลาเพื่อหาเงินคืน แต่จำนวนเงินที่ตกลงกัน ไม่ได้เป็นไปตามที่ จ.ส.อ. จักรพันธ์ คาดหวัง ทำให้เขารู้สึกว่า ตนเองถูกโกง และไม่ได้รับความเป็นธรรม นี่เป็นจุดเริ่มต้น ที่นำไปสู่การสังหารโหด... 🔫 ⏳ จากปมปัญหา สู่โศกนาฏกรรม 🔴 จุดเริ่มต้น ก่อเหตุที่บ้านพัก 📍 เวลา 15.30 น. จ.ส.อ. จักรพันธ์ เดินทางไปบ้านของ พ.อ. อนันต์ฐโรจน์ และใช้อาวุธปืนยิง พ.อ. อนันต์ฐโรจน์ และนางอนงค์ มิตรจันทร์ จนเสียชีวิต จากนั้นไล่ยิงนายพิทยา (นายหน้า) แต่เขาหลบหนีไปได้ 🔴 จุดที่สอง ค่ายทหารสุรธรรมพิทักษ์ 📍 เวลา 16.00 น. จ.ส.อ. จักรพันธ์ เดินทางไปที่ค่ายสุรธรรมพิทักษ์ และชิงอาวุธสงคราม จากคลังแสง ซึ่งรวมถึงปืน HK33, ปืนกล M60 และกระสุนจำนวนมาก โดยในระหว่างนี้ มีการยิงทหารเวร และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เสียชีวิต 1 นาย และบาดเจ็บอีก 1 นาย 🔴 จุดที่สาม กราดยิงตามถนนโคราช 📍 ระหว่างทางจากค่ายทหาร ไปยังห้างเทอร์มินอล 21 จ.ส.อ. จักรพันธ์ ขับรถฮัมวี ออกจากค่ายทหาร กราดยิงผู้คนตามทาง เสียชีวิต 9 ศพ มีผู้ที่ถูกยิงขณะอยู่บนรถ และมีนักเรียนที่ขับจักรยานยนต์ถูกยิงซ้ำ เจ้าหน้าที่ตำรวจ 2 นาย ถูกยิงเสียชีวิต ขณะกำลังเข้าควบคุมสถานการณ์ 🔴 จุดสุดท้าย ห้างเทอร์มินอล 21 โคราช 📍 เวลา 17.30 น. จ.ส.อ. จักรพันธ์ เข้าไปภายในห้าง และเริ่มกราดยิงผู้คน 📍 จับตัวประกันกว่า 16 คน และถ่ายทอดสดเหตุการณ์ ลงบนเฟซบุ๊กของตัวเอง 😨 📍 เกิดเหตุระเบิด และไฟไหม้ภายในห้าง เนื่องจากเขายิงถังแก๊ส 📍 เวลา 09.14 น. เช้าวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2563 หน่วยอรินทราช 26 วิสามัญฆาตกรรม จ.ส.อ. จักรพันธ์ ที่ ชั้นใต้ดินของห้าง ⚖️ บทเรียนจากเหตุการณ์กราดยิงโคราช เหตุการณ์นี้นำไปสู่คำถามสำคัญเกี่ยวกับ... 🔹 การจัดการอาวุธของกองทัพ เหตุใดทหารชั้นผู้น้อย สามารถเข้าถึงอาวุธสงคราม ได้ง่ายขนาดนี้? 🔹 สวัสดิการทหาร และความโปร่งใสของกองทัพ มีปัญหาเรื่อง "เงินทอน" จริงหรือไม่? 🔹 บทบาทของสื่อมวลชน การรายงานข่าว ในลักษณะที่เปิดเผยข้อมูล การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ ส่งผลกระทบต่อการควบคุมสถานการณ์ 🔹 ผลกระทบทางจิตวิทยาต่อสังคม เหตุการณ์นี้ สร้างความหวาดกลัว และกระตุ้นให้เกิดคำถาม เกี่ยวกับความปลอดภัย ในที่สาธารณะ 📍 สรุปเหตุการณ์ และจำนวนผู้เสียชีวิต 📌 ผู้เสียชีวิตทั้งหมด 31 ศพ รวมผู้ก่อเหตุ 📌 ผู้บาดเจ็บ 58 ราย 🔸 พื้นที่ที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุด ห้างเทอร์มินอล 21 เส้นทางจากค่ายทหาร ไปยังตัวเมือง 🔗 มาตรการ และการเปลี่ยนแปลงหลังเหตุการณ์ 📌 กองทัพบกได้ประกาศมาตรการใหม่ - ควบคุมการเข้าถึงอาวุธของทหาร - ทบทวนโครงการสวัสดิการทหาร - สอบสวนขบวนการ "เงินทอน" ที่เกี่ยวข้อง 📌 รัฐบาลและสื่อมวลชน - กสทช. สั่งปรับสถานีโทรทัศน์ 3 ช่อง ฐานละเมิดข้อกำหนดการรายงานข่าว - เฟซบุ๊กลบวิดีโอถ่ายทอดสด และโพสต์ของผู้ก่อเหตุ 📍 ครบ 5 ปี ของเหตุการณ์นี้ ยังคงเป็นเครื่องเตือนใจ ถึงปัญหาหลายประเด็น ที่ต้องได้รับการแก้ไข ทั้งในเรื่องความโปร่งใสของกองทัพ ระบบสวัสดิการของทหาร และบทบาทของสื่อมวลชน ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 082315ก.พ. 2568 📢 #กราดยิงโคราช #KoratShooting #โศกนาฏกรรมโคราช #ความปลอดภัยในที่สาธารณะ #บทเรียนจากอดีต
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 379 มุมมอง 0 รีวิว
  • 37 ปี ยุทธการบ้านร่มเกล้า ไทย-ลาว ปะทะเดือด พิพาทเนิน 1428 สงครามบ่อแตน

    ย้อนไปเมื่อ 37 ปี ที่ผ่านมา “สมรภูมิร่มเกล้า” คือหนึ่งในเหตุการณ์ ความขัดแย้งทางทหาร ที่รุนแรงที่สุด ระหว่างไทยและลาว จุดศูนย์กลางของสงครามครั้งนี้คือ พื้นที่บ้านร่มเกล้า ต.บ่อภาค อ.ชาติตระการ จ.พิษณุโลก ซึ่งเกิดการสู้รบ ระหว่างกองทัพไทย และกองทัพประชาชนลาว เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2531 นับเป็นเหตุการณ์ ที่สะท้อนให้เห็นถึงปัญหา การปักปันเขตแดน ที่ยังหาข้อสรุปไม่ได้ จนถึงปัจจุบัน

    🔥 ต้นตอของความขัดแย้ง ปัญหาเขตแดนไทย-ลาว
    📜 สนธิสัญญาปักปันเขตแดนสยาม-ฝรั่งเศส (2447-2450)
    ปัญหาการปะทะกัน ที่บ้านร่มเกล้า เกิดจากความคลาดเคลื่อน ในการตีความสนธิสัญญา ระหว่างราชอาณาจักรสยาม กับฝรั่งเศส (ขณะนั้น ลาวเป็นอาณานิคม ของฝรั่งเศส)

    ปี พ.ศ. 2447 และ พ.ศ. 2450 ไทยและฝรั่งเศส ได้ตกลงกำหนดเขตแดน โดยใช้แม่น้ำเหือง เป็นเส้นแบ่งระหว่างดินแดน ไทยและลาว อย่างไรก็ตาม "แม่น้ำเหือง" มี 2 สาย คือ
    - แม่น้ำเหืองป่าหมัน ต้นกำเนิดจากภูสอยดาว
    - แม่น้ำเหืองงา ต้นกำเนิดจากภูเมี่ยง

    ไทยอ้างว่า เส้นเขตแดนต้องใช้ "แม่น้ำเหืองงา" ตามต้นน้ำภูเมี่ยง
    ลาวอ้างว่า เส้นเขตแดนต้องใช้ "แม่น้ำเหืองป่าหมัน" ตามเส้นทางน้ำ ที่ไหลลงแม่น้ำโขง

    ความแตกต่างในการตีความนี้ ทำให้เกิดพื้นที่พิพาทกว่า 70 ตารางกิโลเมตร รวมถึงบริเวณบ้านร่มเกล้า ที่ทั้งสองประเทศอ้างสิทธิ์

    🔥 "บ้านร่มเกล้า" จุดยุทธศาสตร์ ที่นำไปสู่สงคราม
    🏡 การตั้งถิ่นฐานของชาวม้ง และการสัมปทานป่าไม้
    - พ.ศ. 2526 รัฐบาลไทยจัดตั้งหมู่บ้านร่มเกล้า เป็นที่อยู่ของชาวม้ง อดีตสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ แห่งประเทศไทย (พคท.) ที่เข้าร่วมพัฒนาชาติ
    - พ.ศ. 2528 ไทยให้สัมปทานตัดไม้ในพื้นที่นี้ โดยกองทัพภาคที่ 3 ดูแล

    ลาวมองว่า ไทยเข้ามารุกล้ำพื้นที่ และให้กลุ่มม้ง ที่เคยต่อต้านรัฐบาลลาว เข้ามาตั้งถิ่นฐาน เป็นภัยต่อความมั่นคงของลาว

    🔫 ความตึงเครียดเพิ่มขึ้น นำไปสู่สงคราม
    - 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2530 ทหารลาวบุกโจมตี แคมป์ตัดไม้ของไทย ทำให้เกิดการปะทะครั้งแรก
    - 8 สิงหาคม พ.ศ. 2530 ทหารพรานไทย ปะทะกับทหารลาว 200-300 นาย ที่บ้านร่มเกล้า
    - ปลายปี พ.ศ. 2530 ทหารลาวสร้างฐานที่มั่น บนเนิน 1428 และเนิน 1182 ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ
    - 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2531 กองทัพบกไทยเริ่ม "ยุทธการบ้านร่มเกล้า" เพื่อตอบโต้

    🔥 สมรภูมิร่มเกล้า การรบที่ดุเดือดที่สุด ระหว่างไทย-ลาว
    ⚔️ ยุทธการบ้านร่มเกล้า ปฏิบัติการผลักดันทหารลาว
    - ไทยใช้กำลังทหารราบ ทหารม้า ทหารปืนใหญ่ และทหารพราน ในการโจมตี พร้อมส่งเครื่องบินรบ F-5E และ OV-10 โจมตีฐานที่มั่นลาว
    - ทหารลาวมีจรวดแซม และปืนต่อสู้อากาศยาน ทำให้เครื่องบินไทยถูกยิงตกไป 2 ลำ

    🔥 การสู้รบดำเนินไปอย่างดุเดือด เป็นเวลากว่า 2 สัปดาห์ ไทยสามารถยึดคืนพื้นที่ได้ 70% แต่เนิน 1428 ยังคงเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ ที่ยังตียึดไม่ได้

    ✈️ กองทัพอากาศไทยสูญเสียเครื่องบิน
    F-5E ตก 1 ลำ
    OV-10 ตก 1 ลำ

    ไทยพยายามยึดเนิน 1428 แต่ลาวได้เปรียบทางยุทธศาสตร์ ทำให้ไทยไม่สามารถรุกคืบไปได้

    ✍️ การเจรจาหยุดยิง และบทสรุปของสงคราม
    🤝 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2531 หยุดยิงและถอยทัพ
    - 11 กุมภาพันธ์ 2531 นายไกรสอน พรหมวิหาร นายกรัฐมนตรีลาว เสนอหยุดยิง
    - 16-17 กุมภาพันธ์ 2531 ผู้บัญชาการทหารของไทยและลาว เจรจากันที่กรุงเทพฯ
    - 19 กุมภาพันธ์ 2531 ตกลงหยุดยิง ถอยกำลังทหารฝ่ายละ 3 กิโลเมตร

    💔 ความสูญเสียจากสมรภูมิร่มเกล้า
    - ทหารไทยเสียชีวิต 147 นาย, บาดเจ็บ 166 นาย
    - ทหารลาวคาดว่าเสียชีวิต 300-400 นาย, บาดเจ็บ 200-300 นาย
    - ไทยใช้งบประมาณ ในสงครามครั้งนี้กว่า 3,000 ล้านบาท

    ❓ 37 ปี ผ่านไป เขตแดนยังไม่ชัดเจน
    แม้สงครามจะจบลงด้วยการเจรจา แต่ปัญหาเขตแดนไทย-ลาว ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน จนถึงปัจจุบัน สนธิสัญญาปี 2450 ยังถูกตีความต่างกัน ไทยและลาว ยังคงมีข้อพิพาทบางจุด ตามแนวชายแดน บทเรียนของสมรภูมิร่มเกล้า คือ ความสำคัญของการเจรจาทางการทูต แทนการใช้กำลังทหาร

    🔎 FAQ: คำถามที่พบบ่อย เกี่ยวกับสมรภูมิร่มเกล้า
    ❓ สมรภูมิร่มเกล้า เกิดขึ้นเมื่อไหร่?
    📌 เกิดขึ้นช่วง 1-19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2531

    ❓ ทำไมไทยกับลาวถึงสู้รบกัน?
    📌 เกิดจากความขัดแย้งเรื่อง เส้นเขตแดนบริเวณแม่น้ำเหือง ซึ่งไทยและลาว ตีความต่างกัน

    ❓ ไทยชนะสงครามนี้หรือไม่?
    📌 ไทยสามารถยึดคืนพื้นที่ได้ 70% แต่ ไม่สามารถยึดเนิน 1428 ได้ ทำให้ไม่มีฝ่ายใดเป็นผู้ชนะ โดยสมบูรณ์

    ❓ ปัจจุบันไทย-ลาว ยังมีปัญหาชายแดนหรือไม่?
    📌 ยังมีข้อพิพาทบางจุด แต่ปัจจุบันไทยและลาว เน้นการเจรจา แทนการใช้กำลัง

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 010707 ก.พ. 2568

    🔗 #สมรภูมิร่มเกล้า #สงครามไทยลาว #ประวัติศาสตร์ไทย #พิพาทชายแดน #ยุทธการบ้านร่มเกล้า #เนิน1428 #ไทยลาวสัมพันธ์ #ปักปันเขตแดน #แม่น้ำเหือง #สงครามบ่อแตน
    37 ปี ยุทธการบ้านร่มเกล้า ไทย-ลาว ปะทะเดือด พิพาทเนิน 1428 สงครามบ่อแตน ย้อนไปเมื่อ 37 ปี ที่ผ่านมา “สมรภูมิร่มเกล้า” คือหนึ่งในเหตุการณ์ ความขัดแย้งทางทหาร ที่รุนแรงที่สุด ระหว่างไทยและลาว จุดศูนย์กลางของสงครามครั้งนี้คือ พื้นที่บ้านร่มเกล้า ต.บ่อภาค อ.ชาติตระการ จ.พิษณุโลก ซึ่งเกิดการสู้รบ ระหว่างกองทัพไทย และกองทัพประชาชนลาว เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2531 นับเป็นเหตุการณ์ ที่สะท้อนให้เห็นถึงปัญหา การปักปันเขตแดน ที่ยังหาข้อสรุปไม่ได้ จนถึงปัจจุบัน 🔥 ต้นตอของความขัดแย้ง ปัญหาเขตแดนไทย-ลาว 📜 สนธิสัญญาปักปันเขตแดนสยาม-ฝรั่งเศส (2447-2450) ปัญหาการปะทะกัน ที่บ้านร่มเกล้า เกิดจากความคลาดเคลื่อน ในการตีความสนธิสัญญา ระหว่างราชอาณาจักรสยาม กับฝรั่งเศส (ขณะนั้น ลาวเป็นอาณานิคม ของฝรั่งเศส) ปี พ.ศ. 2447 และ พ.ศ. 2450 ไทยและฝรั่งเศส ได้ตกลงกำหนดเขตแดน โดยใช้แม่น้ำเหือง เป็นเส้นแบ่งระหว่างดินแดน ไทยและลาว อย่างไรก็ตาม "แม่น้ำเหือง" มี 2 สาย คือ - แม่น้ำเหืองป่าหมัน ต้นกำเนิดจากภูสอยดาว - แม่น้ำเหืองงา ต้นกำเนิดจากภูเมี่ยง ไทยอ้างว่า เส้นเขตแดนต้องใช้ "แม่น้ำเหืองงา" ตามต้นน้ำภูเมี่ยง ลาวอ้างว่า เส้นเขตแดนต้องใช้ "แม่น้ำเหืองป่าหมัน" ตามเส้นทางน้ำ ที่ไหลลงแม่น้ำโขง ความแตกต่างในการตีความนี้ ทำให้เกิดพื้นที่พิพาทกว่า 70 ตารางกิโลเมตร รวมถึงบริเวณบ้านร่มเกล้า ที่ทั้งสองประเทศอ้างสิทธิ์ 🔥 "บ้านร่มเกล้า" จุดยุทธศาสตร์ ที่นำไปสู่สงคราม 🏡 การตั้งถิ่นฐานของชาวม้ง และการสัมปทานป่าไม้ - พ.ศ. 2526 รัฐบาลไทยจัดตั้งหมู่บ้านร่มเกล้า เป็นที่อยู่ของชาวม้ง อดีตสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ แห่งประเทศไทย (พคท.) ที่เข้าร่วมพัฒนาชาติ - พ.ศ. 2528 ไทยให้สัมปทานตัดไม้ในพื้นที่นี้ โดยกองทัพภาคที่ 3 ดูแล ลาวมองว่า ไทยเข้ามารุกล้ำพื้นที่ และให้กลุ่มม้ง ที่เคยต่อต้านรัฐบาลลาว เข้ามาตั้งถิ่นฐาน เป็นภัยต่อความมั่นคงของลาว 🔫 ความตึงเครียดเพิ่มขึ้น นำไปสู่สงคราม - 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2530 ทหารลาวบุกโจมตี แคมป์ตัดไม้ของไทย ทำให้เกิดการปะทะครั้งแรก - 8 สิงหาคม พ.ศ. 2530 ทหารพรานไทย ปะทะกับทหารลาว 200-300 นาย ที่บ้านร่มเกล้า - ปลายปี พ.ศ. 2530 ทหารลาวสร้างฐานที่มั่น บนเนิน 1428 และเนิน 1182 ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ - 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2531 กองทัพบกไทยเริ่ม "ยุทธการบ้านร่มเกล้า" เพื่อตอบโต้ 🔥 สมรภูมิร่มเกล้า การรบที่ดุเดือดที่สุด ระหว่างไทย-ลาว ⚔️ ยุทธการบ้านร่มเกล้า ปฏิบัติการผลักดันทหารลาว - ไทยใช้กำลังทหารราบ ทหารม้า ทหารปืนใหญ่ และทหารพราน ในการโจมตี พร้อมส่งเครื่องบินรบ F-5E และ OV-10 โจมตีฐานที่มั่นลาว - ทหารลาวมีจรวดแซม และปืนต่อสู้อากาศยาน ทำให้เครื่องบินไทยถูกยิงตกไป 2 ลำ 🔥 การสู้รบดำเนินไปอย่างดุเดือด เป็นเวลากว่า 2 สัปดาห์ ไทยสามารถยึดคืนพื้นที่ได้ 70% แต่เนิน 1428 ยังคงเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ ที่ยังตียึดไม่ได้ ✈️ กองทัพอากาศไทยสูญเสียเครื่องบิน F-5E ตก 1 ลำ OV-10 ตก 1 ลำ ไทยพยายามยึดเนิน 1428 แต่ลาวได้เปรียบทางยุทธศาสตร์ ทำให้ไทยไม่สามารถรุกคืบไปได้ ✍️ การเจรจาหยุดยิง และบทสรุปของสงคราม 🤝 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2531 หยุดยิงและถอยทัพ - 11 กุมภาพันธ์ 2531 นายไกรสอน พรหมวิหาร นายกรัฐมนตรีลาว เสนอหยุดยิง - 16-17 กุมภาพันธ์ 2531 ผู้บัญชาการทหารของไทยและลาว เจรจากันที่กรุงเทพฯ - 19 กุมภาพันธ์ 2531 ตกลงหยุดยิง ถอยกำลังทหารฝ่ายละ 3 กิโลเมตร 💔 ความสูญเสียจากสมรภูมิร่มเกล้า - ทหารไทยเสียชีวิต 147 นาย, บาดเจ็บ 166 นาย - ทหารลาวคาดว่าเสียชีวิต 300-400 นาย, บาดเจ็บ 200-300 นาย - ไทยใช้งบประมาณ ในสงครามครั้งนี้กว่า 3,000 ล้านบาท ❓ 37 ปี ผ่านไป เขตแดนยังไม่ชัดเจน แม้สงครามจะจบลงด้วยการเจรจา แต่ปัญหาเขตแดนไทย-ลาว ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน จนถึงปัจจุบัน สนธิสัญญาปี 2450 ยังถูกตีความต่างกัน ไทยและลาว ยังคงมีข้อพิพาทบางจุด ตามแนวชายแดน บทเรียนของสมรภูมิร่มเกล้า คือ ความสำคัญของการเจรจาทางการทูต แทนการใช้กำลังทหาร 🔎 FAQ: คำถามที่พบบ่อย เกี่ยวกับสมรภูมิร่มเกล้า ❓ สมรภูมิร่มเกล้า เกิดขึ้นเมื่อไหร่? 📌 เกิดขึ้นช่วง 1-19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2531 ❓ ทำไมไทยกับลาวถึงสู้รบกัน? 📌 เกิดจากความขัดแย้งเรื่อง เส้นเขตแดนบริเวณแม่น้ำเหือง ซึ่งไทยและลาว ตีความต่างกัน ❓ ไทยชนะสงครามนี้หรือไม่? 📌 ไทยสามารถยึดคืนพื้นที่ได้ 70% แต่ ไม่สามารถยึดเนิน 1428 ได้ ทำให้ไม่มีฝ่ายใดเป็นผู้ชนะ โดยสมบูรณ์ ❓ ปัจจุบันไทย-ลาว ยังมีปัญหาชายแดนหรือไม่? 📌 ยังมีข้อพิพาทบางจุด แต่ปัจจุบันไทยและลาว เน้นการเจรจา แทนการใช้กำลัง ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 010707 ก.พ. 2568 🔗 #สมรภูมิร่มเกล้า #สงครามไทยลาว #ประวัติศาสตร์ไทย #พิพาทชายแดน #ยุทธการบ้านร่มเกล้า #เนิน1428 #ไทยลาวสัมพันธ์ #ปักปันเขตแดน #แม่น้ำเหือง #สงครามบ่อแตน
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 485 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข้อมูลเพิ่มเติมเบื้องต้น เหตุการณ์เครื่องบินและเฮลิคอปเตอร์ชนกันกลางอากาศใกล้กับสนามบินแห่งชาติรีแกน มีรายงานพบผู้รอดชีวิต 4 ราย

    - อุณหภูมิของน้ำในขณะนี้อยู่ที่ประมาณ 35 องศาฟาเรนไฮต์ (ประมาณ 1.6 องศาเซลเซียส)
    - เฮลิคอปเตอร์ที่ตกคือ VH-60 ซึ่งเป็นรุ่นดัดแปลงของ Blackhawk หรือ Whitehawk ซึ่งใช้สำหรับกองทัพบกสหรัฐเพื่อบรรทุกผู้บังคับบัญชาระดับสูง
    - เจ้าหน้าที่กองทัพสหรัฐเผยว่าพบเฮลิคอปเตอร์ลำดังกล่าวอยู่ในท่าคว่ำและจมอยู่ใต้น้ำในแม่น้ำโปโตแมค มีทหารอยู่บนเครื่อง 3 นาย แต่ไม่มีเจ้าหน้าที่ระดับสูงอยู่ด้วย ทั้งหมดเสียชีวิต!
    - CNN รายงานว่า เครื่องบินโดยสารที่ประสบเหตุมีผู้โดยสาร 60 คนและลูกเรือ 4 คน
    - ขณะเดียวกัน มีรายงานผู้รอดชีวิต 4 ราย ได้รับการช่วยเหลือขึ้นจากน้ำ
    - เสียงจากการควบคุมการจราจรทางอากาศ ระบุถึงปัญหาการมองเห็นหรือการสื่อสารที่ผิดพลาด
    - การค้นหาและกู้ภัยยังคงดำเนินต่อไป
    ข้อมูลเพิ่มเติมเบื้องต้น เหตุการณ์เครื่องบินและเฮลิคอปเตอร์ชนกันกลางอากาศใกล้กับสนามบินแห่งชาติรีแกน มีรายงานพบผู้รอดชีวิต 4 ราย - อุณหภูมิของน้ำในขณะนี้อยู่ที่ประมาณ 35 องศาฟาเรนไฮต์ (ประมาณ 1.6 องศาเซลเซียส) - เฮลิคอปเตอร์ที่ตกคือ VH-60 ซึ่งเป็นรุ่นดัดแปลงของ Blackhawk หรือ Whitehawk ซึ่งใช้สำหรับกองทัพบกสหรัฐเพื่อบรรทุกผู้บังคับบัญชาระดับสูง - เจ้าหน้าที่กองทัพสหรัฐเผยว่าพบเฮลิคอปเตอร์ลำดังกล่าวอยู่ในท่าคว่ำและจมอยู่ใต้น้ำในแม่น้ำโปโตแมค มีทหารอยู่บนเครื่อง 3 นาย แต่ไม่มีเจ้าหน้าที่ระดับสูงอยู่ด้วย ทั้งหมดเสียชีวิต! - CNN รายงานว่า เครื่องบินโดยสารที่ประสบเหตุมีผู้โดยสาร 60 คนและลูกเรือ 4 คน - ขณะเดียวกัน มีรายงานผู้รอดชีวิต 4 ราย ได้รับการช่วยเหลือขึ้นจากน้ำ - เสียงจากการควบคุมการจราจรทางอากาศ ระบุถึงปัญหาการมองเห็นหรือการสื่อสารที่ผิดพลาด - การค้นหาและกู้ภัยยังคงดำเนินต่อไป
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 271 มุมมอง 24 0 รีวิว
  • 3/
    ด่วน! เครื่องบินและเฮลิคอปเตอร์ชนกันกลางอากาศใกล้กับสนามบินแห่งชาติรีแกน (Reagan National Airport) ในวอชิงตัน ดี.ซี. เหนือแม่น้ำโปโตแมค (Potomac River)

    รายงานเบื้องต้น เป็นเที่ยวบินพาณิชย์ 5342 ของ American Airlines ชนกับเฮลิคอปเตอร์ Blackhawk ของกองทัพบก ขณะมุ่งหน้าไปยังสนามบินแห่งชาติรีแกน และตกลงไปในน้ำโปโตแมค ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต ปฏิบัติการกู้ภัยครั้งใหญ่กำลังดำเนินการในแม่น้ำโปโตแมค
    3/ ด่วน! เครื่องบินและเฮลิคอปเตอร์ชนกันกลางอากาศใกล้กับสนามบินแห่งชาติรีแกน (Reagan National Airport) ในวอชิงตัน ดี.ซี. เหนือแม่น้ำโปโตแมค (Potomac River) รายงานเบื้องต้น เป็นเที่ยวบินพาณิชย์ 5342 ของ American Airlines ชนกับเฮลิคอปเตอร์ Blackhawk ของกองทัพบก ขณะมุ่งหน้าไปยังสนามบินแห่งชาติรีแกน และตกลงไปในน้ำโปโตแมค ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต ปฏิบัติการกู้ภัยครั้งใหญ่กำลังดำเนินการในแม่น้ำโปโตแมค
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 314 มุมมอง 34 1 รีวิว
  • 2/
    ด่วน! เครื่องบินและเฮลิคอปเตอร์ชนกันกลางอากาศใกล้กับสนามบินแห่งชาติรีแกน (Reagan National Airport) ในวอชิงตัน ดี.ซี. เหนือแม่น้ำโปโตแมค (Potomac River)

    รายงานเบื้องต้น เป็นเที่ยวบินพาณิชย์ 5342 ของ American Airlines ชนกับเฮลิคอปเตอร์ Blackhawk ของกองทัพบก ขณะมุ่งหน้าไปยังสนามบินแห่งชาติรีแกน และตกลงไปในน้ำโปโตแมค ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต ปฏิบัติการกู้ภัยครั้งใหญ่กำลังดำเนินการในแม่น้ำโปโตแมค
    2/ ด่วน! เครื่องบินและเฮลิคอปเตอร์ชนกันกลางอากาศใกล้กับสนามบินแห่งชาติรีแกน (Reagan National Airport) ในวอชิงตัน ดี.ซี. เหนือแม่น้ำโปโตแมค (Potomac River) รายงานเบื้องต้น เป็นเที่ยวบินพาณิชย์ 5342 ของ American Airlines ชนกับเฮลิคอปเตอร์ Blackhawk ของกองทัพบก ขณะมุ่งหน้าไปยังสนามบินแห่งชาติรีแกน และตกลงไปในน้ำโปโตแมค ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต ปฏิบัติการกู้ภัยครั้งใหญ่กำลังดำเนินการในแม่น้ำโปโตแมค
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 301 มุมมอง 20 0 รีวิว
  • 1/
    ด่วน! เครื่องบินและเฮลิคอปเตอร์ชนกันกลางอากาศใกล้กับสนามบินแห่งชาติรีแกน (Reagan National Airport) ในวอชิงตัน ดี.ซี. เหนือแม่น้ำโปโตแมค (Potomac River)

    รายงานเบื้องต้น เป็นเที่ยวบินพาณิชย์ 5342 ของ American Airlines ชนกับเฮลิคอปเตอร์ Blackhawk ของกองทัพบก ขณะมุ่งหน้าไปยังสนามบินแห่งชาติรีแกน และตกลงไปในน้ำโปโตแมค ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต ปฏิบัติการกู้ภัยครั้งใหญ่กำลังดำเนินการในแม่น้ำโปโตแมค
    1/ ด่วน! เครื่องบินและเฮลิคอปเตอร์ชนกันกลางอากาศใกล้กับสนามบินแห่งชาติรีแกน (Reagan National Airport) ในวอชิงตัน ดี.ซี. เหนือแม่น้ำโปโตแมค (Potomac River) รายงานเบื้องต้น เป็นเที่ยวบินพาณิชย์ 5342 ของ American Airlines ชนกับเฮลิคอปเตอร์ Blackhawk ของกองทัพบก ขณะมุ่งหน้าไปยังสนามบินแห่งชาติรีแกน และตกลงไปในน้ำโปโตแมค ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต ปฏิบัติการกู้ภัยครั้งใหญ่กำลังดำเนินการในแม่น้ำโปโตแมค
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 232 มุมมอง 0 รีวิว
  • พีท เฮกเซธ รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐ ประกาศยกเลิกการคุ้มครองด้านความปลอดภัยส่วนบุคคลของพลเอกมาร์ก มิลลีย์ นายทหารเกษียณอายุ อดีตประธานคณะเสนาธิการร่วมกองทัพสหรัฐ

    เฮกเซธอ้างข้อกล่าวหาว่ามิลลีย์ "บ่อนทำลายสายการบังคับบัญชา" ในช่วงดำรงตำแหน่งวาระแรกของทรัมป์

    เฮกเซธยังสั่งให้รักษาการผู้ตรวจการแผ่นดินจัดตั้งคณะกรรมการ เพื่อสอบสวนข้อเท็จจริงและสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมของพลเอกมิลลีย์ เพื่อให้รัฐมนตรีสามารถพิจารณาว่าเหมาะสมที่จะเปิดการพิจารณาทบทวนยศตำแหน่งทหารของเขาอีกครั้งหรือไม่ จากข้อมูลแหล่งข่าว มิลลีย์มีโอกาสถูกถอดยศหรือปลดออกจากตำแหน่ง แทนที่จะมีสถานะเป็นนายพลเกษียณที่มีตำแหน่งต่อท้าย

    นอกจากนี้ ภาพของมิลลีย์ที่เพนตากอน ซึ่งตั้งอยู่ใน Marshall Corridor ของกองทัพบก ได้ถูกถอดออกไปแล้วเมื่อคืนที่ผ่านมา ซึ่งที่เป็นเรื่องน่าอับอายอย่างมากสำหรับตำแหน่งสูงสุดทางทหารของมิลลีย์
    พีท เฮกเซธ รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐ ประกาศยกเลิกการคุ้มครองด้านความปลอดภัยส่วนบุคคลของพลเอกมาร์ก มิลลีย์ นายทหารเกษียณอายุ อดีตประธานคณะเสนาธิการร่วมกองทัพสหรัฐ เฮกเซธอ้างข้อกล่าวหาว่ามิลลีย์ "บ่อนทำลายสายการบังคับบัญชา" ในช่วงดำรงตำแหน่งวาระแรกของทรัมป์ เฮกเซธยังสั่งให้รักษาการผู้ตรวจการแผ่นดินจัดตั้งคณะกรรมการ เพื่อสอบสวนข้อเท็จจริงและสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมของพลเอกมิลลีย์ เพื่อให้รัฐมนตรีสามารถพิจารณาว่าเหมาะสมที่จะเปิดการพิจารณาทบทวนยศตำแหน่งทหารของเขาอีกครั้งหรือไม่ จากข้อมูลแหล่งข่าว มิลลีย์มีโอกาสถูกถอดยศหรือปลดออกจากตำแหน่ง แทนที่จะมีสถานะเป็นนายพลเกษียณที่มีตำแหน่งต่อท้าย นอกจากนี้ ภาพของมิลลีย์ที่เพนตากอน ซึ่งตั้งอยู่ใน Marshall Corridor ของกองทัพบก ได้ถูกถอดออกไปแล้วเมื่อคืนที่ผ่านมา ซึ่งที่เป็นเรื่องน่าอับอายอย่างมากสำหรับตำแหน่งสูงสุดทางทหารของมิลลีย์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 296 มุมมอง 0 รีวิว
  • เล่นใหญ่รัชดาลัย!!! ปัญหาชายแดน ต้องเจอกับหน่วยรบ 101!?!

    มีคำสั่งเคลื่อนกำลังพลของกองพันทหารสารวัตรที่ 716 (The 716th Military Police Battalion) จากกองพลส่งทางอากาศที่ 101 (101st Airborne Division) มุ่งหน้าสู่ชายแดนสหรัฐฯ-เม็กซิโก

    ภารกิจของพวกเขาคือ ร่วมมือกับหน่วยป้องกันชายแดนและกองกำลังทหารที่มีอยู่เพื่อรักษาความปลอดภัยชายแดนและ "ปกป้องบูรณภาพแห่งดินแดน"

    พันโทฟิลลิป เมสัน ผู้บังคับบัญชากองพันทหารสารวัตรที่ 716 กล่าวว่า

    "พวกเราได้รับการฝึกฝนและพร้อมที่จะสนับสนุนภารกิจสำคัญนี้ เจ้าหน้าที่ของเราทุกนาย มุ่งมั่นที่จะปกป้องชาวอเมริกันทุกคนและสนับสนุนพันธมิตรพลเรือนของเราในการปกป้องบูรณภาพแห่งดินแดนของสหรัฐอเมริกา

    พวกเรายังภูมิใจที่ได้ระดมกำลังเพื่อภารกิจนี้โดยสวมตรา Screaming Eagle ซึ่งมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ต่อกองพันทหารตำรวจที่ 716”

    กองพลส่งทางอากาศที่ 101 ของกองทัพบกสหรัฐฯ ถือเป็นหนึ่งในกำลังพลที่มีชื่อเสียงและได้รับการยกย่องในความกล้าหาญจากผลงานตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 และทุกครั้งที่กองทัพสหรัฐฯมีภารกิจในทุกสนามรบ หน่วยทหารแห่งนี้ก็จะมีส่วนร่วมอยู่เสมอ มาตั้งแต่ปฏิบัติการพายุทะเลทรายในสงครามอิรัก และมาถึงสถานการณ์ตึงเครียดของสหรัฐฯกับอิหร่านในปัจจุบัน
    เล่นใหญ่รัชดาลัย!!! ปัญหาชายแดน ต้องเจอกับหน่วยรบ 101!?! มีคำสั่งเคลื่อนกำลังพลของกองพันทหารสารวัตรที่ 716 (The 716th Military Police Battalion) จากกองพลส่งทางอากาศที่ 101 (101st Airborne Division) มุ่งหน้าสู่ชายแดนสหรัฐฯ-เม็กซิโก ภารกิจของพวกเขาคือ ร่วมมือกับหน่วยป้องกันชายแดนและกองกำลังทหารที่มีอยู่เพื่อรักษาความปลอดภัยชายแดนและ "ปกป้องบูรณภาพแห่งดินแดน" พันโทฟิลลิป เมสัน ผู้บังคับบัญชากองพันทหารสารวัตรที่ 716 กล่าวว่า "พวกเราได้รับการฝึกฝนและพร้อมที่จะสนับสนุนภารกิจสำคัญนี้ เจ้าหน้าที่ของเราทุกนาย มุ่งมั่นที่จะปกป้องชาวอเมริกันทุกคนและสนับสนุนพันธมิตรพลเรือนของเราในการปกป้องบูรณภาพแห่งดินแดนของสหรัฐอเมริกา พวกเรายังภูมิใจที่ได้ระดมกำลังเพื่อภารกิจนี้โดยสวมตรา Screaming Eagle ซึ่งมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ต่อกองพันทหารตำรวจที่ 716” กองพลส่งทางอากาศที่ 101 ของกองทัพบกสหรัฐฯ ถือเป็นหนึ่งในกำลังพลที่มีชื่อเสียงและได้รับการยกย่องในความกล้าหาญจากผลงานตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 และทุกครั้งที่กองทัพสหรัฐฯมีภารกิจในทุกสนามรบ หน่วยทหารแห่งนี้ก็จะมีส่วนร่วมอยู่เสมอ มาตั้งแต่ปฏิบัติการพายุทะเลทรายในสงครามอิรัก และมาถึงสถานการณ์ตึงเครียดของสหรัฐฯกับอิหร่านในปัจจุบัน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 357 มุมมอง 0 รีวิว
  • 25 ปี “ก๊อด'ส อาร์มี่” บุกยึดโรงพยาบาลศูนย์ราชบุรี บทเรียนแห่งความสูญเสีย และความเด็ดขาด

    เช้าตรู่แห่งความเปลี่ยนแปลง
    ย้อนไปเมื่อ 25 ปี ที่ผ่านมา ในเช้าวันที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2543 ถือเป็นวันที่ชาวราชบุรี และประเทศไทยทั้งประเทศ ไม่มีวันลืมได้ นายพินิจ ปองมณี คนขับรถบัสสาย 18 ในอำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี ได้พบกับเหตุการณ์ ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของเขา ไปตลอดกาล เมื่อชายสองคนโบกรถ และกลายเป็นจุดเริ่มต้น ของปฏิบัติการก่อการร้าย ที่สร้างแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ ในประวัติศาสตร์ของประเทศไทย

    "ก๊อด'ส อาร์มี่" กองกำลังที่อยู่เบื้องหลัง
    กองกำลัง "ก๊อด'ส อาร์มี่" เป็นกลุ่มติดอาวุธ ที่มีจุดกำเนิดจากชายแดนไทย-พม่า กลุ่มนี้นำโดยคู่แฝด “ลูเธอร์ ทู” และ “จอห์นนี่ ทู” ซึ่งได้รับการยกย่อง จากผู้ติดตามว่าเป็น “นักบุญ” และมีพลังเหนือธรรมชาติ แนวทางของกลุ่มคือ การต่อต้านรัฐบาลพม่า เพื่อเรียกร้องสิทธิปกครองตนเอง ของชาวกะเหรี่ยง

    ด้วยแรงกดดัน จากการโจมตีของกองทัพพม่า กลุ่มนี้หันมาใช้วิธีการรุนแรง เช่น การจับตัวประกัน และบุกยึดสถานที่สำคัญ โดยหวังให้ทั่วโลกสนใจ ประเด็นผู้อพยพชายแดน ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนี้ ก็เป็นส่วนหนึ่งของแผนนั้น

    เหตุการณ์การยึดโรงพยาบาลศูนย์ราชบุรี
    เมื่อชายฉกรรจ์ทั้ง 10 คน พร้อมอาวุธครบมือขึ้นรถบัส พวกเขาเริ่มดำเนินแผนการณ์ ด้วยการบุกยึดโรงพยาบาลศูนย์ราชบุรี สถานที่ที่มีหมอ พยาบาล และผู้ป่วยที่ต้องการการดูแล ในขณะนั้น

    การดำเนินการของกลุ่มก่อการร้าย เป็นไปอย่างรวดเร็ว พวกเขาสามารถควบคุมตัวบุคลากร และผู้ป่วยรวมกว่า 780 คน และตั้งฐานในบริเวณชั้น 2 ของโรงพยาบาล โดยมีเป้าหมายหลักคือ การบีบบังคับให้รัฐบาลไทย ตอบสนองต่อข้อเรียกร้อง ที่เกี่ยวข้องกับความช่วยเหลือผู้อพยพ

    ข้อเรียกร้องที่แฝงด้วยความสิ้นหวัง
    ข้อเรียกร้องของ "ก๊อด'ส อาร์มี่" ในครั้งนี้ สะท้อนถึงความสิ้นหวังของพวกเขา
    - ให้หยุดยิงปืนใหญ่ที่ชายแดน ซึ่งกระทบต่อชีวิตผู้อพยพ
    - เรียกร้องให้รัฐบาลไทย ช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม แก่ผู้อพยพชาวกะเหรี่ยง
    - เปิดชายแดนไทย-พม่า เพื่อให้ผู้อพยพมีที่พักพิง
    - กดดันรัฐบาลพม่า ให้หยุดการสู้รบ
    - นำแพทย์และอุปกรณ์การแพทย์ ไปรักษากองกำลังกะเหรี่ยง ในชายแดน

    แม้ข้อเรียกร้องเหล่านี้ จะดูมีความหมายในแง่มนุษยธรรม แต่การกระทำของพวกเขา ได้ละเมิดอธิปไตยของไทย และสร้างความเสียหาย ต่อภาพลักษณ์ของกลุ่ม อย่างร้ายแรง

    แผนปฏิบัติการช่วยเหลือ
    รัฐบาลไทยเผชิญกับ ทางเลือกที่ยากลำบาก ระหว่างการตอบสนอง ต่อข้อเรียกร้องของผู้ก่อเหตุ หรือการใช้กำลัง เพื่อยุติสถานการณ์ ในที่สุด พล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์ ผู้บัญชาการกองทัพบก ในขณะนั้น ได้วางแผนปฏิบัติการ ร่วมกับหน่วยปฏิบัติการพิเศษ อรินทราช 26 และนเรศวร 261 เพื่อเข้าเคลียร์พื้นที่และช่วยเหลือตัวประกัน

    ปฏิบัติการช่วงชิงเวลา
    ในคืนวันที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2543 หลังการเจรจาที่ไม่เป็นผลสำเร็จ หน่วยปฏิบัติการพิเศษ ได้ตัดสินใจบุกยึดพื้นที่ในช่วงเวลาที่ผู้ก่อเหตุเริ่มอ่อนล้า ด้วยการจู่โจมอย่างรวดเร็ว และรัดกุม โดยสามารถสังหารผู้ก่อเหตุทั้งหมด 10 คน และช่วยเหลือตัวประกันได้สำเร็จ โดยไม่มีการสูญเสียชีวิต ของพลเรือน

    บทเรียนที่ได้รับ ความสำคัญของการประสานงานหลายฝ่าย
    เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นถึง การประสานงานอย่างมีประสิทธิภาพ ระหว่างกองทัพ ตำรวจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งสามารถลดความสูญเสีย ได้อย่างมาก

    จุดยืนของประเทศไทย
    การปฏิบัติการครั้งนี้ เป็นการส่งสัญญาณชัดเจนว่า ประเทศไทยจะไม่ยอมจำนน ต่อการก่อการร้าย และพร้อมที่จะปกป้องอธิปไตยของตน

    ผลกระทบต่อกลุ่มก๊อด'ส อาร์มี่
    การสูญเสียผู้นำสำคัญ ในการปฏิบัติการครั้งนี้ ส่งผลให้กลุ่มก๊อด'ส อาร์มี่ อ่อนแอลงอย่างมาก และในที่สุด ก็สลายตัวลงในปีถัดมา

    25 ปีผ่านไป บทเรียนสู่อนาคต
    เหตุการณ์ในวันนั้น ยังคงเป็นบทเรียนที่ยิ่งใหญ่ ให้แก่หน่วยงานด้านความมั่นคง และคนไทยทุกคน การเผชิญหน้ากับความท้าทายเช่นนี้ ต้องอาศัยความร่วมมือ ความเด็ดขาด และความเสียสละ จากทุกฝ่าย

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 241345 ม.ค. 2568

    #GodsArmy #ราชบุรี #เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ #บุกโรงพยาบาล #ข่าวด่วนราชบุรี #กองกำลังติดอาวุธ #ประเทศไทย
    25 ปี “ก๊อด'ส อาร์มี่” บุกยึดโรงพยาบาลศูนย์ราชบุรี บทเรียนแห่งความสูญเสีย และความเด็ดขาด เช้าตรู่แห่งความเปลี่ยนแปลง ย้อนไปเมื่อ 25 ปี ที่ผ่านมา ในเช้าวันที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2543 ถือเป็นวันที่ชาวราชบุรี และประเทศไทยทั้งประเทศ ไม่มีวันลืมได้ นายพินิจ ปองมณี คนขับรถบัสสาย 18 ในอำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี ได้พบกับเหตุการณ์ ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของเขา ไปตลอดกาล เมื่อชายสองคนโบกรถ และกลายเป็นจุดเริ่มต้น ของปฏิบัติการก่อการร้าย ที่สร้างแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ ในประวัติศาสตร์ของประเทศไทย "ก๊อด'ส อาร์มี่" กองกำลังที่อยู่เบื้องหลัง กองกำลัง "ก๊อด'ส อาร์มี่" เป็นกลุ่มติดอาวุธ ที่มีจุดกำเนิดจากชายแดนไทย-พม่า กลุ่มนี้นำโดยคู่แฝด “ลูเธอร์ ทู” และ “จอห์นนี่ ทู” ซึ่งได้รับการยกย่อง จากผู้ติดตามว่าเป็น “นักบุญ” และมีพลังเหนือธรรมชาติ แนวทางของกลุ่มคือ การต่อต้านรัฐบาลพม่า เพื่อเรียกร้องสิทธิปกครองตนเอง ของชาวกะเหรี่ยง ด้วยแรงกดดัน จากการโจมตีของกองทัพพม่า กลุ่มนี้หันมาใช้วิธีการรุนแรง เช่น การจับตัวประกัน และบุกยึดสถานที่สำคัญ โดยหวังให้ทั่วโลกสนใจ ประเด็นผู้อพยพชายแดน ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนี้ ก็เป็นส่วนหนึ่งของแผนนั้น เหตุการณ์การยึดโรงพยาบาลศูนย์ราชบุรี เมื่อชายฉกรรจ์ทั้ง 10 คน พร้อมอาวุธครบมือขึ้นรถบัส พวกเขาเริ่มดำเนินแผนการณ์ ด้วยการบุกยึดโรงพยาบาลศูนย์ราชบุรี สถานที่ที่มีหมอ พยาบาล และผู้ป่วยที่ต้องการการดูแล ในขณะนั้น การดำเนินการของกลุ่มก่อการร้าย เป็นไปอย่างรวดเร็ว พวกเขาสามารถควบคุมตัวบุคลากร และผู้ป่วยรวมกว่า 780 คน และตั้งฐานในบริเวณชั้น 2 ของโรงพยาบาล โดยมีเป้าหมายหลักคือ การบีบบังคับให้รัฐบาลไทย ตอบสนองต่อข้อเรียกร้อง ที่เกี่ยวข้องกับความช่วยเหลือผู้อพยพ ข้อเรียกร้องที่แฝงด้วยความสิ้นหวัง ข้อเรียกร้องของ "ก๊อด'ส อาร์มี่" ในครั้งนี้ สะท้อนถึงความสิ้นหวังของพวกเขา - ให้หยุดยิงปืนใหญ่ที่ชายแดน ซึ่งกระทบต่อชีวิตผู้อพยพ - เรียกร้องให้รัฐบาลไทย ช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม แก่ผู้อพยพชาวกะเหรี่ยง - เปิดชายแดนไทย-พม่า เพื่อให้ผู้อพยพมีที่พักพิง - กดดันรัฐบาลพม่า ให้หยุดการสู้รบ - นำแพทย์และอุปกรณ์การแพทย์ ไปรักษากองกำลังกะเหรี่ยง ในชายแดน แม้ข้อเรียกร้องเหล่านี้ จะดูมีความหมายในแง่มนุษยธรรม แต่การกระทำของพวกเขา ได้ละเมิดอธิปไตยของไทย และสร้างความเสียหาย ต่อภาพลักษณ์ของกลุ่ม อย่างร้ายแรง แผนปฏิบัติการช่วยเหลือ รัฐบาลไทยเผชิญกับ ทางเลือกที่ยากลำบาก ระหว่างการตอบสนอง ต่อข้อเรียกร้องของผู้ก่อเหตุ หรือการใช้กำลัง เพื่อยุติสถานการณ์ ในที่สุด พล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์ ผู้บัญชาการกองทัพบก ในขณะนั้น ได้วางแผนปฏิบัติการ ร่วมกับหน่วยปฏิบัติการพิเศษ อรินทราช 26 และนเรศวร 261 เพื่อเข้าเคลียร์พื้นที่และช่วยเหลือตัวประกัน ปฏิบัติการช่วงชิงเวลา ในคืนวันที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2543 หลังการเจรจาที่ไม่เป็นผลสำเร็จ หน่วยปฏิบัติการพิเศษ ได้ตัดสินใจบุกยึดพื้นที่ในช่วงเวลาที่ผู้ก่อเหตุเริ่มอ่อนล้า ด้วยการจู่โจมอย่างรวดเร็ว และรัดกุม โดยสามารถสังหารผู้ก่อเหตุทั้งหมด 10 คน และช่วยเหลือตัวประกันได้สำเร็จ โดยไม่มีการสูญเสียชีวิต ของพลเรือน บทเรียนที่ได้รับ ความสำคัญของการประสานงานหลายฝ่าย เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นถึง การประสานงานอย่างมีประสิทธิภาพ ระหว่างกองทัพ ตำรวจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งสามารถลดความสูญเสีย ได้อย่างมาก จุดยืนของประเทศไทย การปฏิบัติการครั้งนี้ เป็นการส่งสัญญาณชัดเจนว่า ประเทศไทยจะไม่ยอมจำนน ต่อการก่อการร้าย และพร้อมที่จะปกป้องอธิปไตยของตน ผลกระทบต่อกลุ่มก๊อด'ส อาร์มี่ การสูญเสียผู้นำสำคัญ ในการปฏิบัติการครั้งนี้ ส่งผลให้กลุ่มก๊อด'ส อาร์มี่ อ่อนแอลงอย่างมาก และในที่สุด ก็สลายตัวลงในปีถัดมา 25 ปีผ่านไป บทเรียนสู่อนาคต เหตุการณ์ในวันนั้น ยังคงเป็นบทเรียนที่ยิ่งใหญ่ ให้แก่หน่วยงานด้านความมั่นคง และคนไทยทุกคน การเผชิญหน้ากับความท้าทายเช่นนี้ ต้องอาศัยความร่วมมือ ความเด็ดขาด และความเสียสละ จากทุกฝ่าย ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 241345 ม.ค. 2568 #GodsArmy #ราชบุรี #เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ #บุกโรงพยาบาล #ข่าวด่วนราชบุรี #กองกำลังติดอาวุธ #ประเทศไทย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 530 มุมมอง 0 รีวิว
  • "กิตติมศักดิ์"
    อยากติดเหรียญตราบ้างอะไรบ้าง 🥰🥰

    เครื่องหมายการต่อต้านการก่อการร้ายกิตติมศักดิ์ (อรินทราช)
    ปีกร่มเอราวัณ หลักสูตรส่งทางอากาศกองทัพบก ไม่มีเครื่องหมายอุณาโลม ให้เป็นกิตติมศักดิ์
    "กิตติมศักดิ์" อยากติดเหรียญตราบ้างอะไรบ้าง 🥰🥰 เครื่องหมายการต่อต้านการก่อการร้ายกิตติมศักดิ์ (อรินทราช) ปีกร่มเอราวัณ หลักสูตรส่งทางอากาศกองทัพบก ไม่มีเครื่องหมายอุณาโลม ให้เป็นกิตติมศักดิ์
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 198 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตามนี้

    ทนายเดชาเปิดเผยว่า หลังเห็นข้อความยอมรับผิดและขอโทษที่แสตมป์โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก ซึ่งคู่กรณีและครอบครัวก็รู้สึกพอใจ และไม่ติดใจดำเนินคดีแล้ว ขอยุติเรื่องทั้งหมด "ยกเว้นเรื่องคดีหมิ่นสถาบันฯ มาตรา 112 ที่นอกเหนือการจัดการของคู่กรณี เพราะเรื่องนี้คู่กรณีและครอบครัวให้ข้อมูลกับกองทัพบกแล้ว และเป็นหน้าที่ของกองทัพบกและกระทรวงกลาโหม ในการพิจารณาว่าจะดำเนินการหรือไม่ โดยครอบครัวคู่กรณียืนยันว่าไม่ใช่การข่มขู่"

    ทั้งนี้ ปัจจุบันหลังมีการแถลงขอโทษแล้วก็ไม่ได้ติดใจจะดำเนินคดีอะไรอีก อยากให้เรื่องยุติ เว้นแต่หลังจากนี้หากไปให้สัมภาษณ์สื่อกระทบคู่กรณีและครอบครัว ก็จะมีการดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

    ทนายเดชายืนยันอีกว่า ครอบครัวคู่กรณียืนยันว่าไม่มีการคุกคาม ไม่มีการอ้างมาตรา 112 ไปข่มขู่แสตมป์เลย แต่อาจจะมีการแจ้งให้เห็นว่าการแสดงความคิดเห็น หรือการพูด การสนทนาบางสิ่งบางอย่าง มีความหมิ่นเหม่ต่อการละเมิดสถาบันฯ ซึ่งไม่เรียกว่าการข่มขู่ แต่เป็นสิทธิของประชาชนที่จะต้องปกป้องสถาบันฯ เป็นคดียอมความไม่ได้ ต้องว่าไปตามกฎหมาย และเรื่องราวใหญ่โตแล้วไม่มีใครควบคุมได้ เป็นหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องดำเนินการต่อไป

    ที่มา : สำนักข่าว The Standard
    ตามนี้ ทนายเดชาเปิดเผยว่า หลังเห็นข้อความยอมรับผิดและขอโทษที่แสตมป์โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก ซึ่งคู่กรณีและครอบครัวก็รู้สึกพอใจ และไม่ติดใจดำเนินคดีแล้ว ขอยุติเรื่องทั้งหมด "ยกเว้นเรื่องคดีหมิ่นสถาบันฯ มาตรา 112 ที่นอกเหนือการจัดการของคู่กรณี เพราะเรื่องนี้คู่กรณีและครอบครัวให้ข้อมูลกับกองทัพบกแล้ว และเป็นหน้าที่ของกองทัพบกและกระทรวงกลาโหม ในการพิจารณาว่าจะดำเนินการหรือไม่ โดยครอบครัวคู่กรณียืนยันว่าไม่ใช่การข่มขู่" ทั้งนี้ ปัจจุบันหลังมีการแถลงขอโทษแล้วก็ไม่ได้ติดใจจะดำเนินคดีอะไรอีก อยากให้เรื่องยุติ เว้นแต่หลังจากนี้หากไปให้สัมภาษณ์สื่อกระทบคู่กรณีและครอบครัว ก็จะมีการดำเนินการตามกฎหมายต่อไป ทนายเดชายืนยันอีกว่า ครอบครัวคู่กรณียืนยันว่าไม่มีการคุกคาม ไม่มีการอ้างมาตรา 112 ไปข่มขู่แสตมป์เลย แต่อาจจะมีการแจ้งให้เห็นว่าการแสดงความคิดเห็น หรือการพูด การสนทนาบางสิ่งบางอย่าง มีความหมิ่นเหม่ต่อการละเมิดสถาบันฯ ซึ่งไม่เรียกว่าการข่มขู่ แต่เป็นสิทธิของประชาชนที่จะต้องปกป้องสถาบันฯ เป็นคดียอมความไม่ได้ ต้องว่าไปตามกฎหมาย และเรื่องราวใหญ่โตแล้วไม่มีใครควบคุมได้ เป็นหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องดำเนินการต่อไป ที่มา : สำนักข่าว The Standard
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 289 มุมมอง 0 รีวิว
  • พบ 'ชามซุด-ดิน จาบบาร์' ชาวเทกซัสวัย 42 ปี ที่ถูกกล่าวหาขับรถกระบะพุ่งชนผู้คนที่กำลังฉลองส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ในนิวออร์ลีนส์ เคยรับใช้กองทัพสหรัฐฯ นานกว่า 13 ปี ในนั้นรวมถึงประจำการในอัฟกานิสถาน ในขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตของเหตุการณ์นี้เพิ่มเป็น 15 ราย และบาดเจ็บหลายสิบคน
    .
    พวกเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายจากรัฐบาลกลางและในระดับท้องถิ่นในนิวออร์ลีนส์ เชื่อว่า จาบบาร์ ไม่ได้ลงมือเพียงลำพังและกำลังตามล่าพวกผู้สมคบคิด ส่วนทางเอฟบีไอเผยว่า จาบบาร์ มีธงของกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) ผืนหนึ่งในรถกระบะและพวกเขามองเหตุโจมตีครั้งนี้ เป็นไปได้ว่าอาจเป็นการก่อการร้าย
    .
    ในขณะที่ยังคงอยู่ระหว่างการสืบสวน จนถึงตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลอธิบายได้ว่าทำไม จาบบาร์ พลเมืองสหรัฐฯ ที่ว่ากันว่าเกิดและเติบโตในเทกซัส ถึงลงมือโจมตีในนิวออร์ลีนส์ ทั้งนี้ จาบบาร์ เสียชีวิต ณ จุดเกิดเหตุ หลังยิงปะทะกับตำรวจ
    .
    เจ้าหน้าที่รายหนึ่งของกองทัพเผยว่า จาบบาร์ เคยสังกัดกองทัพสหรัฐฯ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านทรัพยากรมนุษย์และผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ตั้งแต่ปี 2007 ถึง 2015 จากนั้นเขาก็เข้าร่วมในทหารกองหนุน ฐานะผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านไอที จนถึงปี 2020 มียศสิบโทในช่วงท้ายของการรับราชการทหาร
    .
    นอกจากนี้ จาบบาร์ ยังคงประจำการในอัฟกานิสถาน ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ 2009 ถึงเดือนมกราคม 2010 จากการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่
    .
    ก่อนรับใช้กองทัพบก เคยสมัครเข้าร่วมกองทัพเรือในเดือนสิงหาคม 2004 ภายใต้โครงการ delayed entry program (โปรแกรมที่ออกแบบมาเพื่อรับรองทหารเกณฑ์ใหม่เข้าสู่กองทัพ ก่อนส่งไปฝึกขั้นพื้นฐาน" แต่เขาถูกปลดออกในอีก 1 เดือนต่อมา จากการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่กองทัพเรือรายหนึ่ง ที่ให้สัมภาษณ์กับรอยเตอร์
    .
    ขณะเดียวกัน ในประวัตินิติบุคคล ยังพบว่า จาบบาร์ เกี่ยวข้องกับหลายธุรกิจในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจนายหน้าอสังหาริมทรัพย์
    .
    เอฟบีไอ เชื่อว่า จาบบาร์ เช่ารถกระบะฟอร์ด ที่เขาใช้ขับพุ่งชนฝูงชนในย่านเฟรนช์ ควอเตอร์ ของนิวออร์ลีนส์ ในช่วงเช้ามืดของวันพุธ (1 ม.ค.) จากนั้นก็เปิดฉากยิงใส่ตำรวจ ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บอย่างน้อย 35 รายและเสียชีวิตอย่างน้อย 10 คน ก่อนที่ต่อมาเอฟบีไอ ได้มีการปรับเพิ่มยอดผู้เสียชีวิตเพิ่มเป็นอย่างน้อย 15 ราย
    .
    การพบธงของไอเอสในรถกระบะ กระตุ้นให้มีการสืบสวนเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่เกี่ยวข้องกับองค์กรก่อการร้าย นอกจากนี้ ทีมสืบสวนยังพบอาวุธและวัตถุต้องสงสัยที่เป็นไปได้ว่าจะเป็นวัตถุระเบิดในยานพาหนะคันดังกล่าว เช่นเดียวกับวัตถุต้องสงสัยอื่นๆ ที่อาจเป็นวัตถุระเบิดในย่านเฟรนช์ ควอเตอร์ ด้วย
    .
    "เราไม่เชื่อว่าจาบบาร์ อยู่เบื้องหลังเพียงคนเดียว เรากำลังไล่ล่าเชิงรุกในทุกเบาะแส ในนั้นรวมถึงพวกที่ทราบว่ามั่วสุมคลุกคลีกับเขา" อเลเทีย ดันแคน เจ้าหน้าที่ระดับสูงของเอฟบีไอระบุ
    .
    จากบันทึกของศาล พบว่า จาบบาร์ หย่าร้างในปี 2022 หลังจากแยกกันอยู่กับภรรยามา 5 ปี ทั้งคู่มีลูกด้วยกัน 1 คน
    .
    ดูเหมือนว่า เขาไม่มีประวัติก่ออาชญากรรมรุนแรงใดๆ ก่อนลงมือโจมตี โดย จาบาร์ เคยโดนเพียงแค่ข้อหาความผิดลหุโทษในปี 2022 ฐานขโมยทรัพย์สิน และเคยถูกจับในปี 2005 ฐานขับขี่โดยใบอนุญาตหมดอายุ
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000000236
    ..............
    Sondhi X
    พบ 'ชามซุด-ดิน จาบบาร์' ชาวเทกซัสวัย 42 ปี ที่ถูกกล่าวหาขับรถกระบะพุ่งชนผู้คนที่กำลังฉลองส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ในนิวออร์ลีนส์ เคยรับใช้กองทัพสหรัฐฯ นานกว่า 13 ปี ในนั้นรวมถึงประจำการในอัฟกานิสถาน ในขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตของเหตุการณ์นี้เพิ่มเป็น 15 ราย และบาดเจ็บหลายสิบคน . พวกเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายจากรัฐบาลกลางและในระดับท้องถิ่นในนิวออร์ลีนส์ เชื่อว่า จาบบาร์ ไม่ได้ลงมือเพียงลำพังและกำลังตามล่าพวกผู้สมคบคิด ส่วนทางเอฟบีไอเผยว่า จาบบาร์ มีธงของกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) ผืนหนึ่งในรถกระบะและพวกเขามองเหตุโจมตีครั้งนี้ เป็นไปได้ว่าอาจเป็นการก่อการร้าย . ในขณะที่ยังคงอยู่ระหว่างการสืบสวน จนถึงตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลอธิบายได้ว่าทำไม จาบบาร์ พลเมืองสหรัฐฯ ที่ว่ากันว่าเกิดและเติบโตในเทกซัส ถึงลงมือโจมตีในนิวออร์ลีนส์ ทั้งนี้ จาบบาร์ เสียชีวิต ณ จุดเกิดเหตุ หลังยิงปะทะกับตำรวจ . เจ้าหน้าที่รายหนึ่งของกองทัพเผยว่า จาบบาร์ เคยสังกัดกองทัพสหรัฐฯ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านทรัพยากรมนุษย์และผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ตั้งแต่ปี 2007 ถึง 2015 จากนั้นเขาก็เข้าร่วมในทหารกองหนุน ฐานะผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านไอที จนถึงปี 2020 มียศสิบโทในช่วงท้ายของการรับราชการทหาร . นอกจากนี้ จาบบาร์ ยังคงประจำการในอัฟกานิสถาน ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ 2009 ถึงเดือนมกราคม 2010 จากการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่ . ก่อนรับใช้กองทัพบก เคยสมัครเข้าร่วมกองทัพเรือในเดือนสิงหาคม 2004 ภายใต้โครงการ delayed entry program (โปรแกรมที่ออกแบบมาเพื่อรับรองทหารเกณฑ์ใหม่เข้าสู่กองทัพ ก่อนส่งไปฝึกขั้นพื้นฐาน" แต่เขาถูกปลดออกในอีก 1 เดือนต่อมา จากการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่กองทัพเรือรายหนึ่ง ที่ให้สัมภาษณ์กับรอยเตอร์ . ขณะเดียวกัน ในประวัตินิติบุคคล ยังพบว่า จาบบาร์ เกี่ยวข้องกับหลายธุรกิจในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ . เอฟบีไอ เชื่อว่า จาบบาร์ เช่ารถกระบะฟอร์ด ที่เขาใช้ขับพุ่งชนฝูงชนในย่านเฟรนช์ ควอเตอร์ ของนิวออร์ลีนส์ ในช่วงเช้ามืดของวันพุธ (1 ม.ค.) จากนั้นก็เปิดฉากยิงใส่ตำรวจ ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บอย่างน้อย 35 รายและเสียชีวิตอย่างน้อย 10 คน ก่อนที่ต่อมาเอฟบีไอ ได้มีการปรับเพิ่มยอดผู้เสียชีวิตเพิ่มเป็นอย่างน้อย 15 ราย . การพบธงของไอเอสในรถกระบะ กระตุ้นให้มีการสืบสวนเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่เกี่ยวข้องกับองค์กรก่อการร้าย นอกจากนี้ ทีมสืบสวนยังพบอาวุธและวัตถุต้องสงสัยที่เป็นไปได้ว่าจะเป็นวัตถุระเบิดในยานพาหนะคันดังกล่าว เช่นเดียวกับวัตถุต้องสงสัยอื่นๆ ที่อาจเป็นวัตถุระเบิดในย่านเฟรนช์ ควอเตอร์ ด้วย . "เราไม่เชื่อว่าจาบบาร์ อยู่เบื้องหลังเพียงคนเดียว เรากำลังไล่ล่าเชิงรุกในทุกเบาะแส ในนั้นรวมถึงพวกที่ทราบว่ามั่วสุมคลุกคลีกับเขา" อเลเทีย ดันแคน เจ้าหน้าที่ระดับสูงของเอฟบีไอระบุ . จากบันทึกของศาล พบว่า จาบบาร์ หย่าร้างในปี 2022 หลังจากแยกกันอยู่กับภรรยามา 5 ปี ทั้งคู่มีลูกด้วยกัน 1 คน . ดูเหมือนว่า เขาไม่มีประวัติก่ออาชญากรรมรุนแรงใดๆ ก่อนลงมือโจมตี โดย จาบาร์ เคยโดนเพียงแค่ข้อหาความผิดลหุโทษในปี 2022 ฐานขโมยทรัพย์สิน และเคยถูกจับในปี 2005 ฐานขับขี่โดยใบอนุญาตหมดอายุ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000000236 .............. Sondhi X
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1544 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฟิลิปปินส์แถลงแผนจะซื้อขีปนาวุธไทฟอนจากสหรัฐฯ ความเคลื่อนไหวที่กระตุ้นเสียงโวยวายจากจีน ที่บอกว่าเป็นการยั่วยุและไร้ความรับผิดชอบ และเตือนว่า "การแข่งขันสะสมอาวุธ (arms race)" ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกใกล้เข้ามาทุกขณะ
    .
    พลโทรอย กาลิโด เสนาธิการกองทัพบกของฟิลิปปินส์ แถลงในวันจันทร์ (23 ธ.ค.) ว่าประเทศของเขาจะซื้อระบบขีปนาวุธพิสัยกลาง ที่กองทัพสหรัฐฯ ส่งเข้ามาประจำการในฟิลิปปินส์อยู่ก่อนแล้ว สำหรับซ้อมรบร่วมประจำปี "เพื่อประโยชน์แห่งการปกป้องอธิปไตยของเรา"
    .
    จีน ประณามการตัดสินใจดังกล่าวของฟิลิปปินส์ ว่าเป็นความเคลื่อนไหวที่ยั่วยุและอันตราย "มันเป็นการเลือกที่ไร้ความรับผิดชอบอย่างที่สุดในประวัติศาสตร์ของประชาชนของพวกเขาเองและประชาชนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนี้ มันยังเป็นการเลือกที่ไร้ความรับผิดชอบอย่างที่สุดสำหรับความมั่นคงในภูมิภาค" เหมา หนิง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนระบุ "ภูมิภาคแห่งนี้ต้องการสันติภาพและความรุ่งเรือง ไม่ใช่ขีปนาวุธและการเผชิญหน้า"
    .
    ปักกิ่งกล่าวอ้างกรรมสิทธิ์เหนือพื้นที่เกือบทั้งหมดของทะเลจีนใต้สวนทางกับกฎหมายระหว่างประเทศ และประจำการกองทัพเรือและยามชายฝั่ง ในความเคลื่อนไหวที่ยกระดับเผชิญหน้ากับบรรดาชาติเพื่อนบ้าน ในนั้นรวมถึงฟิลิปปินส์ เกี่ยวกับประเด็นพิพาทเรื่องแนวปะการังและน่านน้ำ
    .
    พลโทกาลิโด เผยว่าการจัดซื้อนี้ยังไม่อยู่ในงบประมาณปี 2025 แต่คาดหมายว่าทางกองทัพจะใช้เวลา 2 ปีหรือมากกว่านั้น สำหรับเดินหน้าจัดซื้อระบบอาวุธใหม่นี้โดยเสร็จสมบูรณ์
    .
    แท่นยิงขีปนาวุธไทฟอน ที่ติดตั้งบนภาคพื้น เป็นยุทโธปกรณ์ที่ทางบริษัทล็อคฮีด มาร์ติน พัฒนาขึ้นเพื่อป้อนแก่กองทัพสหรัฐฯ มันมีพิสัยทำการ 480 กิโลเมตร และขณะนี้อยู่ระหว่างพัฒนาเวอร์ชันที่มีระยะทำการไกลกว่าเดิม
    .
    ทางพลโทกาลิโด บอกว่า ระบไทฟอนจะสามารถช่วยให้กองทัพฟิลิปปินส์ ปกป้องกองกำลังที่อยู่นอกชายฝั่งได้ไกลถึง 370 กิโลเมตร ซึ่งเป็นขอบเขตไกลสุดของสิทธิทางทะเลของประเทศ ภายใต้อนุสัญญาสหประชาชาติ ว่าด้วยกฎหมายทะเล
    .
    เขากล่าวว่าขีปนาวุธไทฟอน จะช่วยปกป้อง "ทรัพย์สินลอยน้ำของเรา" อ้างถึงเรือของกองทัพเรือ เรือยามฝั่ง และเรืออื่นๆ
    .
    ต่ง จวิน รัฐมตรีกลาโหมจีน เตือนเมื่อเดือนมิถุนายน ว่าการที่กองทัพสหรัฐฯ ประจำการระบบขีปนาวุธไทฟอนในฟิลิปปินส์ก่อนหน้านั้น "กำลังก่อความเสียหายร้ายแรงแก่ความมั่นคงและเสถียรภาพในภูมิภาค"
    .
    อย่างไรก็ตาม ทางพลโทกาลิโด ปฏิเสธเสียงวิจารณ์ดังกล่าว บอกว่าประเทศของเขา "ไม่ควรสนใจประเทศอื่นๆ ที่มองว่ามันก่อความเสียหายแก่ความมั่นคง เพราะว่าเขาไม่มีแผนกระทำการใดๆ ที่เกินเลยผลประโยชน์ของประเทศของเรา"
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000123192
    ..............
    Sondhi X
    ฟิลิปปินส์แถลงแผนจะซื้อขีปนาวุธไทฟอนจากสหรัฐฯ ความเคลื่อนไหวที่กระตุ้นเสียงโวยวายจากจีน ที่บอกว่าเป็นการยั่วยุและไร้ความรับผิดชอบ และเตือนว่า "การแข่งขันสะสมอาวุธ (arms race)" ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกใกล้เข้ามาทุกขณะ . พลโทรอย กาลิโด เสนาธิการกองทัพบกของฟิลิปปินส์ แถลงในวันจันทร์ (23 ธ.ค.) ว่าประเทศของเขาจะซื้อระบบขีปนาวุธพิสัยกลาง ที่กองทัพสหรัฐฯ ส่งเข้ามาประจำการในฟิลิปปินส์อยู่ก่อนแล้ว สำหรับซ้อมรบร่วมประจำปี "เพื่อประโยชน์แห่งการปกป้องอธิปไตยของเรา" . จีน ประณามการตัดสินใจดังกล่าวของฟิลิปปินส์ ว่าเป็นความเคลื่อนไหวที่ยั่วยุและอันตราย "มันเป็นการเลือกที่ไร้ความรับผิดชอบอย่างที่สุดในประวัติศาสตร์ของประชาชนของพวกเขาเองและประชาชนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนี้ มันยังเป็นการเลือกที่ไร้ความรับผิดชอบอย่างที่สุดสำหรับความมั่นคงในภูมิภาค" เหมา หนิง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนระบุ "ภูมิภาคแห่งนี้ต้องการสันติภาพและความรุ่งเรือง ไม่ใช่ขีปนาวุธและการเผชิญหน้า" . ปักกิ่งกล่าวอ้างกรรมสิทธิ์เหนือพื้นที่เกือบทั้งหมดของทะเลจีนใต้สวนทางกับกฎหมายระหว่างประเทศ และประจำการกองทัพเรือและยามชายฝั่ง ในความเคลื่อนไหวที่ยกระดับเผชิญหน้ากับบรรดาชาติเพื่อนบ้าน ในนั้นรวมถึงฟิลิปปินส์ เกี่ยวกับประเด็นพิพาทเรื่องแนวปะการังและน่านน้ำ . พลโทกาลิโด เผยว่าการจัดซื้อนี้ยังไม่อยู่ในงบประมาณปี 2025 แต่คาดหมายว่าทางกองทัพจะใช้เวลา 2 ปีหรือมากกว่านั้น สำหรับเดินหน้าจัดซื้อระบบอาวุธใหม่นี้โดยเสร็จสมบูรณ์ . แท่นยิงขีปนาวุธไทฟอน ที่ติดตั้งบนภาคพื้น เป็นยุทโธปกรณ์ที่ทางบริษัทล็อคฮีด มาร์ติน พัฒนาขึ้นเพื่อป้อนแก่กองทัพสหรัฐฯ มันมีพิสัยทำการ 480 กิโลเมตร และขณะนี้อยู่ระหว่างพัฒนาเวอร์ชันที่มีระยะทำการไกลกว่าเดิม . ทางพลโทกาลิโด บอกว่า ระบไทฟอนจะสามารถช่วยให้กองทัพฟิลิปปินส์ ปกป้องกองกำลังที่อยู่นอกชายฝั่งได้ไกลถึง 370 กิโลเมตร ซึ่งเป็นขอบเขตไกลสุดของสิทธิทางทะเลของประเทศ ภายใต้อนุสัญญาสหประชาชาติ ว่าด้วยกฎหมายทะเล . เขากล่าวว่าขีปนาวุธไทฟอน จะช่วยปกป้อง "ทรัพย์สินลอยน้ำของเรา" อ้างถึงเรือของกองทัพเรือ เรือยามฝั่ง และเรืออื่นๆ . ต่ง จวิน รัฐมตรีกลาโหมจีน เตือนเมื่อเดือนมิถุนายน ว่าการที่กองทัพสหรัฐฯ ประจำการระบบขีปนาวุธไทฟอนในฟิลิปปินส์ก่อนหน้านั้น "กำลังก่อความเสียหายร้ายแรงแก่ความมั่นคงและเสถียรภาพในภูมิภาค" . อย่างไรก็ตาม ทางพลโทกาลิโด ปฏิเสธเสียงวิจารณ์ดังกล่าว บอกว่าประเทศของเขา "ไม่ควรสนใจประเทศอื่นๆ ที่มองว่ามันก่อความเสียหายแก่ความมั่นคง เพราะว่าเขาไม่มีแผนกระทำการใดๆ ที่เกินเลยผลประโยชน์ของประเทศของเรา" . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000123192 .............. Sondhi X
    Like
    8
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 918 มุมมอง 0 รีวิว
  • กองทัพยูเครนสูญเสียทหารไปแล้ว 1,000,000 นาย!

    “นับตั้งแต่เริ่มปฏิบัติการพิเศษ กองทัพยูเครนสูญเสียทหารไปประมาณ 1 ล้านคน ซึ่งรวมทั้งบาดเจ็บและเสียชีวิต นอกจากนี้ยังมีรถถังและรถหุ้มเกราะประมาณ 20,000 คัน”

    รายงานโดย พล.อ.วาเลรี เกราซิมอฟ ประธานคณะเสนาธิการทหารของกองทัพรัสเซีย

    ประเด็นอื่นที่น่าสนใจของ เกราซิมอฟ:
    - เฉพาะในพื้นที่ภูมิภาคเคิร์ส กองทัพยูเครนสูญเสียทหารไปมากกว่า 42,000 นาย รถถังและรถหุ้มเกราะมากกว่า 1,800 คัน

    - การจัดตั้งกองทหารชุดแรกที่ติดตั้งระบบขีปนาวุธพื้นสู่อากาศ S-500 ซึ่งสามารถป้องกันขีปนาวุธเชิงยุทธศาสตร์ได้ใกล้จะเสร็จสมบูรณ์แล้ว

    - มีการปลดปล่อยนิคมมากกว่า 190 แห่งในปีนี้ รวมพื้นที่ประมาณ 4,500 ตารางกิโลเมตร อยู่ภายใต้การควบคุมของรัสเซีย

    - การติดตั้งอาวุธนิวเคลียร์เชิงยุทธศาสตร์ภาคพื้นดินของกองทัพรัสเซียเสร็จสมบูรณ์แล้ว

    - ในปี 2024 มีการจัดตั้งในส่วนของกองกำลังภาคพื้นดิน(กองทัพบก) เพิ่มเติม ประกอบด้วย 2 กองทัพ 1 กองพลทหาร และ 16 หน่วยทหาร รวมถึงเขตทหารอีก 2 เขต

    - กองทัพเรือรัสเซียจะได้รับเรือดำน้ำนิวเคลียร์เชิงยุทธศาสตร์คลาส Borei-A จำนวน 3 ลำภายในปี 2028
    กองทัพยูเครนสูญเสียทหารไปแล้ว 1,000,000 นาย! “นับตั้งแต่เริ่มปฏิบัติการพิเศษ กองทัพยูเครนสูญเสียทหารไปประมาณ 1 ล้านคน ซึ่งรวมทั้งบาดเจ็บและเสียชีวิต นอกจากนี้ยังมีรถถังและรถหุ้มเกราะประมาณ 20,000 คัน” รายงานโดย พล.อ.วาเลรี เกราซิมอฟ ประธานคณะเสนาธิการทหารของกองทัพรัสเซีย ประเด็นอื่นที่น่าสนใจของ เกราซิมอฟ: - เฉพาะในพื้นที่ภูมิภาคเคิร์ส กองทัพยูเครนสูญเสียทหารไปมากกว่า 42,000 นาย รถถังและรถหุ้มเกราะมากกว่า 1,800 คัน - การจัดตั้งกองทหารชุดแรกที่ติดตั้งระบบขีปนาวุธพื้นสู่อากาศ S-500 ซึ่งสามารถป้องกันขีปนาวุธเชิงยุทธศาสตร์ได้ใกล้จะเสร็จสมบูรณ์แล้ว - มีการปลดปล่อยนิคมมากกว่า 190 แห่งในปีนี้ รวมพื้นที่ประมาณ 4,500 ตารางกิโลเมตร อยู่ภายใต้การควบคุมของรัสเซีย - การติดตั้งอาวุธนิวเคลียร์เชิงยุทธศาสตร์ภาคพื้นดินของกองทัพรัสเซียเสร็จสมบูรณ์แล้ว - ในปี 2024 มีการจัดตั้งในส่วนของกองกำลังภาคพื้นดิน(กองทัพบก) เพิ่มเติม ประกอบด้วย 2 กองทัพ 1 กองพลทหาร และ 16 หน่วยทหาร รวมถึงเขตทหารอีก 2 เขต - กองทัพเรือรัสเซียจะได้รับเรือดำน้ำนิวเคลียร์เชิงยุทธศาสตร์คลาส Borei-A จำนวน 3 ลำภายในปี 2028
    Haha
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 269 มุมมอง 0 รีวิว
  • เนื้อกระเทียมพริกไทย ยุคใหม่แบรนด์เกียกกาย

    สินค้ายอดนิยมที่จำหน่ายในงานกาชาด ของสภากาชาดไทย เป็นประจำทุกปี คือ เนื้อกระเทียมพริกไทย ของกองเกียกกาย กรมพลาธิการทหารบก โดยปกติจะใช้สนับสนุนให้กับหน่วยงานของกองทัพบกในการปฏิบัติภารกิจเท่านั้น ไม่ได้ผลิตเพื่อจำหน่าย ฉลากเป็นกระดาษมันสีเหลืองเข้มและเขียว มาถึงปี 2567 จำหน่ายในรูปโฉมใหม่ สกรีนกระป๋องอย่างดีสีแดง ภายใต้แบรนด์เกียกกาย SINCE 1943 พร้อมข้อความ "สูตรดั้งเดิม เสบียงทหาร" ผลิตโดย บริษัท ไทยรวมสินพัฒนาอุตสาหกรรม จำกัด ของกลุ่มไทยยูเนี่ยนกรุ๊ป โรงงานตั้งอยู่ที่จังหวัดสมุทรสาคร

    แม้จะมีน้ำหนักสุทธิ 120 กรัมต่อกระป๋องเหมือนกัน แต่ความแตกต่างระหว่างของกองเกียกกาย กรมพลาธิการทหารบก กับแบรนด์เกียกกาย ที่ผลิตโดยโรงงานไทยรวมสิน ก็คือราคาเพิ่มขึ้นจากเดิม 55 บาทเป็น 70 บาท และปริมาณลดลงจากเดิมเนื้อ 85 กรัม เครื่องปรุงรสและน้ำ 35 กรัม ประกอบด้วย กระเทียม พริกไทย น้ำมันถั่วเหลือง และเกลือ กลายเป็นน้ำหนักเนื้อ 72 กรัม ส่วนประกอบโดยประมาณ เนื้อวัว 60% ซอสกระเทียมพริกไทย 40% (น้ำ กระเทียม น้ำมันถั่วเหลือง ผงพริกไทยขาว เกลือบริโภคไม่เสริมไอโอดีน และผงกระเทียม) ส่วนอายุการเก็บรักษา 2 ปีเช่นเดิม

    สิ่งที่เพิ่มเติมบนกระป๋องก็คือ ข้อมูลโภชนาการ 1 กระป๋องให้พลังงาน 130 กิโลแคลอรี่ ไขมันทั้งหมด 2 กรัม (3%) ไขมันอิ่มตัว 1 กรัม (5%) คอเลสเตอรอล 60 มิลลิกรัม (20%) โปรตีน 26 กรัม คาร์โบไฮเดรต 0 กรัม (0%) น้ำตาลทั้งหมด 0 กรัม โซเดียม 480 มิลลิกรัม (24%) และโพแทสเซียม 260 มิลลิกรัม (7%) สำหรับตัวเลข 1943 หรือ พ.ศ.2486 คาดว่าเป็นเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่สอง ที่ทหารไทยบริโภคเนื้อกระเทียมพริกไทย ในช่วงกรณีพิพาทอินโดจีนและสงครามมหาเอเชียบูรพา

    เมื่อเปิดกระป๋องจะพบกับเนื้อวัวในน้ำปรุงรสกระเทียมพริกไทย หากใครไม่ชอบไขมันที่ลอยมา สามารถนำไปใส่ภาชนะแล้วอุ่นร้อนด้วยไมโครเวฟก่อนรับประทานได้ รสชาติเค็มๆ มันๆ สามารถเติมพริกและกระเทียมซอยเพื่อเพิ่มรสชาติ หรือนำไปปรุงอาหาร เช่น ผัดกะเพราเนื้อ หรือเติมลงในบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปก็ได้เช่นกัน

    สำหรับกองเกียกกาย กรมพลาธิการทหารบก มีโรงงานผลิตเสบียง ผลิตอาหารออกมาได้หลายเมนู เช่น ข้าวผัดอเมริกัน เนื้อวัวทากระเทียมพริกไทย เนื้อนกกระจอกเทศทากระเทียมพริกไทย เนื้อไก่งวงทากระเทียมพริกไทย และไก่ทากระเทียมพริกไทย เป็นต้น ได้รับการรับรองเครื่องหมายฮาลาล เมื่อวันที่ 9 ธ.ค.2546 สามารถผลิตเสบียงกระป๋องภายใต้เครื่องหมายฮาลาลถึง 40 รายการ (61 ผลิตภัณฑ์) ปัจจุบันโรงงานตั้งอยู่ที่ ต.หนองสาหร่าย อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา

    #Newskit
    เนื้อกระเทียมพริกไทย ยุคใหม่แบรนด์เกียกกาย สินค้ายอดนิยมที่จำหน่ายในงานกาชาด ของสภากาชาดไทย เป็นประจำทุกปี คือ เนื้อกระเทียมพริกไทย ของกองเกียกกาย กรมพลาธิการทหารบก โดยปกติจะใช้สนับสนุนให้กับหน่วยงานของกองทัพบกในการปฏิบัติภารกิจเท่านั้น ไม่ได้ผลิตเพื่อจำหน่าย ฉลากเป็นกระดาษมันสีเหลืองเข้มและเขียว มาถึงปี 2567 จำหน่ายในรูปโฉมใหม่ สกรีนกระป๋องอย่างดีสีแดง ภายใต้แบรนด์เกียกกาย SINCE 1943 พร้อมข้อความ "สูตรดั้งเดิม เสบียงทหาร" ผลิตโดย บริษัท ไทยรวมสินพัฒนาอุตสาหกรรม จำกัด ของกลุ่มไทยยูเนี่ยนกรุ๊ป โรงงานตั้งอยู่ที่จังหวัดสมุทรสาคร แม้จะมีน้ำหนักสุทธิ 120 กรัมต่อกระป๋องเหมือนกัน แต่ความแตกต่างระหว่างของกองเกียกกาย กรมพลาธิการทหารบก กับแบรนด์เกียกกาย ที่ผลิตโดยโรงงานไทยรวมสิน ก็คือราคาเพิ่มขึ้นจากเดิม 55 บาทเป็น 70 บาท และปริมาณลดลงจากเดิมเนื้อ 85 กรัม เครื่องปรุงรสและน้ำ 35 กรัม ประกอบด้วย กระเทียม พริกไทย น้ำมันถั่วเหลือง และเกลือ กลายเป็นน้ำหนักเนื้อ 72 กรัม ส่วนประกอบโดยประมาณ เนื้อวัว 60% ซอสกระเทียมพริกไทย 40% (น้ำ กระเทียม น้ำมันถั่วเหลือง ผงพริกไทยขาว เกลือบริโภคไม่เสริมไอโอดีน และผงกระเทียม) ส่วนอายุการเก็บรักษา 2 ปีเช่นเดิม สิ่งที่เพิ่มเติมบนกระป๋องก็คือ ข้อมูลโภชนาการ 1 กระป๋องให้พลังงาน 130 กิโลแคลอรี่ ไขมันทั้งหมด 2 กรัม (3%) ไขมันอิ่มตัว 1 กรัม (5%) คอเลสเตอรอล 60 มิลลิกรัม (20%) โปรตีน 26 กรัม คาร์โบไฮเดรต 0 กรัม (0%) น้ำตาลทั้งหมด 0 กรัม โซเดียม 480 มิลลิกรัม (24%) และโพแทสเซียม 260 มิลลิกรัม (7%) สำหรับตัวเลข 1943 หรือ พ.ศ.2486 คาดว่าเป็นเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่สอง ที่ทหารไทยบริโภคเนื้อกระเทียมพริกไทย ในช่วงกรณีพิพาทอินโดจีนและสงครามมหาเอเชียบูรพา เมื่อเปิดกระป๋องจะพบกับเนื้อวัวในน้ำปรุงรสกระเทียมพริกไทย หากใครไม่ชอบไขมันที่ลอยมา สามารถนำไปใส่ภาชนะแล้วอุ่นร้อนด้วยไมโครเวฟก่อนรับประทานได้ รสชาติเค็มๆ มันๆ สามารถเติมพริกและกระเทียมซอยเพื่อเพิ่มรสชาติ หรือนำไปปรุงอาหาร เช่น ผัดกะเพราเนื้อ หรือเติมลงในบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปก็ได้เช่นกัน สำหรับกองเกียกกาย กรมพลาธิการทหารบก มีโรงงานผลิตเสบียง ผลิตอาหารออกมาได้หลายเมนู เช่น ข้าวผัดอเมริกัน เนื้อวัวทากระเทียมพริกไทย เนื้อนกกระจอกเทศทากระเทียมพริกไทย เนื้อไก่งวงทากระเทียมพริกไทย และไก่ทากระเทียมพริกไทย เป็นต้น ได้รับการรับรองเครื่องหมายฮาลาล เมื่อวันที่ 9 ธ.ค.2546 สามารถผลิตเสบียงกระป๋องภายใต้เครื่องหมายฮาลาลถึง 40 รายการ (61 ผลิตภัณฑ์) ปัจจุบันโรงงานตั้งอยู่ที่ ต.หนองสาหร่าย อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา #Newskit
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 725 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องราวเขมรนั้นเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับผมเสมอมาโดยเฉพาะในเรื่อง “ความกตัญญูกตเวทีอันเป็นคุณสมบัติพื้นฐานของมนุษยชาติ” (แต่จะไม่สามารถเปรียบเทียบกับการตอบแทนบุญคุณชาติบ้านเมือง บุพกษัตริย์และวีรชนของชาติซึ่งยิ่งใหญ่มหาศาลมากกว่ามากมายนัก)ไม่ต้องพูดถึงอดีตกาลโบราณ เอาแค่ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ฝรั่งเศสให้เอกราชกัมพูชา ซึ่งมีไทยส่งเสริมสนับสนุนและเป็นชาติแรกๆ ที่รับรองกัมพูชาเป็นสมาชิก UNช่วงสงครามกลางเมืองกัมพูชา ๒๕๑๕ เป็นต้นไป “รัฐบาลไทยสนับสนุนรัฐบาลเจ้านโรดมสีหนุซึ่งวางตัวเป็นกลางไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดในยุคสงครามเย็น”แต่ CIA เห็นว่าเจ้าสีหนุที่เป็นทั้งพระมหากษัตริย์ ประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรีและไว้ใจไม่ได้ จึงสนับสนุนนายพลลอนนนอลรัฐประหารล้มระบอบกษัตริย์ในกัมพูชาฝ่ายพรรคคคอมมิวนิสต์กัมพูชาเห็นความอ่อนแอของรัฐ จึงยึดประเทศเกิดสงครามกลางเมือง (นี่ คือจุดอ่อนของระบอบกษัตริย์ในกัมพูชาจึงง่ายกับการถูกรัฐประหารและล้มล้างระบอบการปกครอง)สงครามกลางเมืองขยายขอบเขตสร้างความเดือนร้อนต่อประชาชนอย่างมหาศาลและกลายเป็นผู้ลี้ภัยทะลักเข้าสู่ประเทศไทยเป็นจำนวนนับหมิ่นๆ คนตลอดแนวชายแดนไทย/กัมพูชาโดยเฉพาะที่บริเวณเขาอีด่าง จังหวัดสระแก้วในปัจจุบัน (ล้นเกล้ารัชกาลที่ ๙ เสด็จไปเยี่ยมผู้อพยพเขมรจนพระองค์ติดเชื้อโรคร้ายเกือบสิ้นพระชนม์ชีพในช่วงนั้นเลย) จิตอาสาแพทย์ไทยหลายสิบๆ คนเสียสละไปช่วยรักษาโรคให้ผู้อพยพเขมรจำนวนมากกองทัพไทยส่งหน่วยทหารไปวางแผนช่วยรัฐบาลนายพลลอนนอลรบกับคอมมิวนิสต์ โดยกองทัพอากาศส่งเครื่องบินไปโจมตีที่ตั้งเขมรแดงในเขตยึดครองเขมรแดงสนับสนุนนายพลลอนนอล (มีตำนานเล่าขานว่า มีนักบิน T-28 ทอ.ไทยถูกยิงตกที่บริเวณทะเลสาปเขมรแต่ก่อนตายถูกทรมานอย่างโหดเหี้ยมมากๆ) ขณะเดียวกันรัฐบาลลอนนอลฉวยโอกาสประกาศอ้างสิทธิ์เขตไหล่ทวีปทับทะเลอาณาเขตของไทย (ที่เป็นช่องทางให้สมเด็จฮุนเซนและลูกใช้อ้างเป็นพื้นที่ทับซ้อนและหวังนำสู่ศาลโลกเพื่อพลิกผันให้มีการตกลงแบ่งกันคนละครึ่งโดยมีคนไทยในระบอบทักษิณสมรู้ร่วมคิดนายพลลอนนอลคงไม่รู้คำว่า “กตัญญูกตเวทิตา” เป็นแน่แท้ (นายพลลอนนอลหนีไปสหรัฐฯ และเป็นโรคร้ายตายในสหรัฐฯ ไปแล้วและเรื่องที่ต้องเล่าแม้เป็นตำนานแต่ก็เป็นที่รู้กัน คือ เรื่องนี้เพราะ รร.นายร้อย West Piont นั้นไม่ใช่จะสมัครสอบเข้าเรียนได้เหมือนอย่างแหล่งอุดมศึกษาอื่นๆ ในสหรัฐฯ แต่มีเงื่อนไขทางกฎหมายสหรัฐฯ กำกับไว้สำหรับผู้ที่มีสิทธิ์อย่างชัดเจนคือ นายพล ฮุน มาเน็ต ที่เรียนจบจาก รร.นายร้อย West Point นั้นได้เข้าเรียนเพราะกองทัพบกไทย (โดยนายพลท่านหนึ่งสั่งการและอนุมัติให้กองทับบกดำเนินการเอาโคว้ต้าของนักเรียนนายร้อย จปร.ที่สามารถเข้าเรียนได้ตามสิทธิ์ในข้อตกลงระหว่างกองทัพไทยกับกองทัพบกสหรัฐฯ ไปให้ ฮุน มาเน็ต บุตรชายสมเด็จฮุนเซนได้เข้าเรียนที่ West Point เป็นกรณีพิเศษเพื่อสัมพันธไมตรีระหว่างสมเด็จฮุนเซนกับนายพลท่านผู้นั้น)ผมไม่ได้ตำหนิ “นายพลคนใดคนหนึ่งในกองทัพบก” เพราะท่านก็ทำเพื่อสัมพันธไมตรีอันดีเพื่อชาติ (สัมพันธไมตรีนั้นเป็น “นามธรรม” มูลค่าวัดไม่ได้) แต่เรื่องที่ผมอยากพูด คือ คนเนรคุณไม่รู้จักบุญคุณคนไทยทั้งชาติ สำหรับนายกรัฐมนตรี ฮุน มาเน็ต ไม่รู้บุญคุณนักเรียนนายร้อย จปร.ที่สละสิทธิ์ให้เขาไปเรียน :Vachara Riddhagni
    เรื่องราวเขมรนั้นเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับผมเสมอมาโดยเฉพาะในเรื่อง “ความกตัญญูกตเวทีอันเป็นคุณสมบัติพื้นฐานของมนุษยชาติ” (แต่จะไม่สามารถเปรียบเทียบกับการตอบแทนบุญคุณชาติบ้านเมือง บุพกษัตริย์และวีรชนของชาติซึ่งยิ่งใหญ่มหาศาลมากกว่ามากมายนัก)ไม่ต้องพูดถึงอดีตกาลโบราณ เอาแค่ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ฝรั่งเศสให้เอกราชกัมพูชา ซึ่งมีไทยส่งเสริมสนับสนุนและเป็นชาติแรกๆ ที่รับรองกัมพูชาเป็นสมาชิก UNช่วงสงครามกลางเมืองกัมพูชา ๒๕๑๕ เป็นต้นไป “รัฐบาลไทยสนับสนุนรัฐบาลเจ้านโรดมสีหนุซึ่งวางตัวเป็นกลางไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดในยุคสงครามเย็น”แต่ CIA เห็นว่าเจ้าสีหนุที่เป็นทั้งพระมหากษัตริย์ ประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรีและไว้ใจไม่ได้ จึงสนับสนุนนายพลลอนนนอลรัฐประหารล้มระบอบกษัตริย์ในกัมพูชาฝ่ายพรรคคคอมมิวนิสต์กัมพูชาเห็นความอ่อนแอของรัฐ จึงยึดประเทศเกิดสงครามกลางเมือง (นี่ คือจุดอ่อนของระบอบกษัตริย์ในกัมพูชาจึงง่ายกับการถูกรัฐประหารและล้มล้างระบอบการปกครอง)สงครามกลางเมืองขยายขอบเขตสร้างความเดือนร้อนต่อประชาชนอย่างมหาศาลและกลายเป็นผู้ลี้ภัยทะลักเข้าสู่ประเทศไทยเป็นจำนวนนับหมิ่นๆ คนตลอดแนวชายแดนไทย/กัมพูชาโดยเฉพาะที่บริเวณเขาอีด่าง จังหวัดสระแก้วในปัจจุบัน (ล้นเกล้ารัชกาลที่ ๙ เสด็จไปเยี่ยมผู้อพยพเขมรจนพระองค์ติดเชื้อโรคร้ายเกือบสิ้นพระชนม์ชีพในช่วงนั้นเลย) จิตอาสาแพทย์ไทยหลายสิบๆ คนเสียสละไปช่วยรักษาโรคให้ผู้อพยพเขมรจำนวนมากกองทัพไทยส่งหน่วยทหารไปวางแผนช่วยรัฐบาลนายพลลอนนอลรบกับคอมมิวนิสต์ โดยกองทัพอากาศส่งเครื่องบินไปโจมตีที่ตั้งเขมรแดงในเขตยึดครองเขมรแดงสนับสนุนนายพลลอนนอล (มีตำนานเล่าขานว่า มีนักบิน T-28 ทอ.ไทยถูกยิงตกที่บริเวณทะเลสาปเขมรแต่ก่อนตายถูกทรมานอย่างโหดเหี้ยมมากๆ) ขณะเดียวกันรัฐบาลลอนนอลฉวยโอกาสประกาศอ้างสิทธิ์เขตไหล่ทวีปทับทะเลอาณาเขตของไทย (ที่เป็นช่องทางให้สมเด็จฮุนเซนและลูกใช้อ้างเป็นพื้นที่ทับซ้อนและหวังนำสู่ศาลโลกเพื่อพลิกผันให้มีการตกลงแบ่งกันคนละครึ่งโดยมีคนไทยในระบอบทักษิณสมรู้ร่วมคิดนายพลลอนนอลคงไม่รู้คำว่า “กตัญญูกตเวทิตา” เป็นแน่แท้ (นายพลลอนนอลหนีไปสหรัฐฯ และเป็นโรคร้ายตายในสหรัฐฯ ไปแล้วและเรื่องที่ต้องเล่าแม้เป็นตำนานแต่ก็เป็นที่รู้กัน คือ เรื่องนี้เพราะ รร.นายร้อย West Piont นั้นไม่ใช่จะสมัครสอบเข้าเรียนได้เหมือนอย่างแหล่งอุดมศึกษาอื่นๆ ในสหรัฐฯ แต่มีเงื่อนไขทางกฎหมายสหรัฐฯ กำกับไว้สำหรับผู้ที่มีสิทธิ์อย่างชัดเจนคือ นายพล ฮุน มาเน็ต ที่เรียนจบจาก รร.นายร้อย West Point นั้นได้เข้าเรียนเพราะกองทัพบกไทย (โดยนายพลท่านหนึ่งสั่งการและอนุมัติให้กองทับบกดำเนินการเอาโคว้ต้าของนักเรียนนายร้อย จปร.ที่สามารถเข้าเรียนได้ตามสิทธิ์ในข้อตกลงระหว่างกองทัพไทยกับกองทัพบกสหรัฐฯ ไปให้ ฮุน มาเน็ต บุตรชายสมเด็จฮุนเซนได้เข้าเรียนที่ West Point เป็นกรณีพิเศษเพื่อสัมพันธไมตรีระหว่างสมเด็จฮุนเซนกับนายพลท่านผู้นั้น)ผมไม่ได้ตำหนิ “นายพลคนใดคนหนึ่งในกองทัพบก” เพราะท่านก็ทำเพื่อสัมพันธไมตรีอันดีเพื่อชาติ (สัมพันธไมตรีนั้นเป็น “นามธรรม” มูลค่าวัดไม่ได้) แต่เรื่องที่ผมอยากพูด คือ คนเนรคุณไม่รู้จักบุญคุณคนไทยทั้งชาติ สำหรับนายกรัฐมนตรี ฮุน มาเน็ต ไม่รู้บุญคุณนักเรียนนายร้อย จปร.ที่สละสิทธิ์ให้เขาไปเรียน :Vachara Riddhagni
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 886 มุมมอง 0 รีวิว
  • สำนักข่าวกัมพูชาหลายแห่งรายงานว่า นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับข้อพิพาทชายแดนเกาะกูดกับไทย โดยระบุอย่างชัดเจนว่ารัฐบาลกัมพูชาจะไม่ประนีประนอมบูรณภาพแห่งดินแดนของราชอาณาจักร
    .
    ผู้นำเขมรได้แสดงความคิดเห็นดังกล่าวตั้งแต่ปลายเดือน พ.ย. โดยระบุว่าการเจรจาประเด็นเรื่องชายแดนต้องใช้เวลาและการเตรียมการอย่างรอบคอบ
    .
    “สิ่งนี้คือความรับผิดชอบของเรา และเราจะไม่สูญเสียดินแดนหรืออธิปไตย โปรดไว้ใจเราในเรื่องนี้” ผู้นำกัมพูชา กล่าว
    .
    ฮุน มาเนต กล่าวเสริมว่ารัฐบาลกัมพูชาใช้วิถีทางที่ผ่านการไตร่ตรองอย่างรอบคอบและมีวุฒิภาวะ ไม่ตอบสนองอย่างหุนหันพลันแล่น
    .
    “ปัญหาเกาะกูดต้องได้รับการแก้ไขอย่างมีวุฒิภาวะทางการเมืองและความรับผิดชอบ โดยให้ความสำคัญกับบูรณภาพแห่งดินแดนและอธิปไตยของชาติเป็นอย่างแรก” ฮุน มาเนต กล่าว
    .
    นายกรัฐมนตรีกัมพูชาชี้แจงว่า การเจรจาระหว่างกัมพูชาและไทยยังคงดำเนินต่อไป และยังไม่มีการบรรลุข้อตกลงใดๆ ดังนั้นการอ้างว่าเสียเกาะกูดให้ไทยนั้นไม่มีมูลความจริง และย้ำว่าการตอบสนองอย่างใจเย็นของรัฐบาลนั้นเป็นความตั้งใจ ด้วยมีเป้าหมายที่จะแก้ปัญหาผ่านช่องทางทางการทูต มากกว่าที่จะเพิ่มความตึงเครียด
    .
    “การคิดถึงผลประโยชน์ของชาติเป็นสิ่งสำคัญ แต่เราต้องเข้าใจว่าเมื่อใดควรดำเนินการและดำเนินการอย่างไร” ฮุน มาเนต ระบุ
    .
    รัฐบาลกัมพูชาดำเนินการแก้ไขปัญหาชายแดนด้วยการใช้กลไกอย่างเป็นทางการ ไม่ใช่ผ่านแพลตฟอร์มเฟซบุ๊ก หรือกลไกสื่อ ฮุน มาเนต กล่าวเสริม และว่ากลไกการแก้ไขอย่างเป็นทางการคือกลไกที่ตกลงกันโดยรัฐบาลกัมพูชาและไทย คือคณะกรรมการเขตแดนร่วม (JBC) และคณะกรรมการเทคนิคร่วม (JTC) ซึ่งคณะกรรมการเหล่านี้ทำหน้าที่เจรจาเรื่องการกำหนดเขตแดนทางบกและกำหนดเขตแดนทางทะเล
    .
    “ขณะนี้ชายแดนกัมพูชา-ไทย บรรลุข้อตกลงเพียงพรมแดนทางบก ที่ครอบคลุมระยะทาง 805 กิโลเมตร และหลักเขต 73 หลัก รัฐบาลของทั้งสองประเทศบรรลุข้อตกลงไปแล้ว 42 หลัก” ฮุน มาเนต กล่าว และว่าประเด็นเรื่องเกาะกูดยังอยู่ระหว่างเจรจา ยังไม่มีข้อตกลงใดๆ ดังนั้น เกาะนี้จึงยังไม่ถูกยกให้ใคร
    .
    เขายอมรับว่ามีความคิดเห็นและคำวิจารณ์มากมายเกี่ยวกับปัญหาเกาะกูดจากไทย แต่เน้นย้ำว่ารัฐบาลจะไม่นำไฟเข้ามาในบ้านของตัวเอง
    .
    ฮุน มาเนต เสริมว่ากัมพูชาและไทยได้เจรจากันมาตั้งแต่ปี 2549 เกี่ยวกับการกำหนดเขตแดน แต่การหารือเกี่ยวกับดินแดนทางบกและทางทะเลยังไม่เสร็จสิ้นและยังคงดำเนินต่อไป
    .
    ขณะเดียวกัน ฮุนเซน ประธานสภาสูงของกัมพูชา ได้วิพากษ์วิจารณ์นักการเมืองฝ่ายค้านในต่างประเทศที่พยายามเปลี่ยนประเด็นเกาะกูดให้กลายเป็นความขัดแย้งชายแดนระหว่างกัมพูชาและไทยผ่านการยุยงปลุกปั่นประชาชน แม้ว่าสองรัฐบาลจะร่วมมือกันแก้ไขปัญหาโดยสันติ
    .
    ทั้งนี้ อดีตผู้นำเขมรยังได้กล่าวย้อนถึงเรื่องการเจรจาร่วมกันกับ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย เรื่องการเจาะน้ำมันที่เกาะกูด แต่ไม่มีความคืบหน้าใดๆ ในแผนนี้ และในปี 2544 ทั้งสองฝ่ายได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ แต่ไม่มีการหารืออย่างละเอียดในช่วง 23 ปีที่ผ่านมา
    .
    “รัฐบาลทั้งสองประเทศกำลังเจรจากันอย่างสันติเกี่ยวกับปัญหาเกาะกูด แต่ในไทย กลุ่มหัวรุนแรงเรียกร้องให้รัฐบาลอ้างสิทธิเกาะกูดจากกัมพูชา ขณะที่กลุ่มฝ่ายค้านหัวรุนแรงของกัมพูชาในต่างประเทศเรียกร้องให้ชาวกัมพูชาเข้าร่วมการชุมนุมเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลฟ้องศาลระหว่างประเทศเพื่อเรียกร้องเกาะกูดคืน” ฮุนเซน กล่าว
    .
    ฮุนเซนกล่าวว่า ความพยายามของฝ่ายค้านในต่างประเทศครั้งนี้อาจส่งผลร้ายแรงต่อประเทศ
    .
    “ครั้งแล้วครั้งเล่าที่กลุ่มฝ่ายค้านกดดันประชาชนและขัดขวางไม่ให้พวกเขาอยู่กันอย่างสันติ ด้วยการปลุกระดมให้เคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาล บางทีอาจถึงเวลาที่ต้องตราพวกเขาว่าเป็นผู้ก่อการร้าย เพราะพวกเขากำลังยุยงให้เกิดความขัดแย้งด้วยอาวุธระหว่างกัมพูชาและไทย” อดีตผู้นำเขมร กล่าว
    .
    นอกจากนี้ ฮุนเซนยังเรียกร้องให้ชาวกัมพูชาและชาวไทยเชื่อมั่นในรัฐบาลที่ถูกต้องตามกฎหมายในการแก้ไขปัญหาเกาะกูดด้วยสันติวิธี และขอให้กองทัพบกและกองทัพเรือกัมพูชาไม่ระดมกำลังเข้าไปในพื้นที่ดังกล่าว
    .
    อดีตผู้นำเขมรเตือนว่าบาดแผลจากสงครามที่ปราสาทพระวิหาร ปราสาทตาเมือน และปราสาทตากระบัย และความทุกข์ทรมานของประชาชนกัมพูชาและไทยจากการสูญเสียคนรักหรือได้รับบาดเจ็บจากสงครามเหล่านั้นยังคงไม่สิ้นสุด
    .
    “การยุติข้อพิพาทจะดำเนินต่อไป แต่ด้วยการเจรจา เรายังไม่ได้ใช้ความเป็นไปได้ทั้งหมดของการเจรจาทวิภาคี” ฮุนเซน กล่าว.
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000119176
    ..............
    Sondhi X
    สำนักข่าวกัมพูชาหลายแห่งรายงานว่า นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับข้อพิพาทชายแดนเกาะกูดกับไทย โดยระบุอย่างชัดเจนว่ารัฐบาลกัมพูชาจะไม่ประนีประนอมบูรณภาพแห่งดินแดนของราชอาณาจักร . ผู้นำเขมรได้แสดงความคิดเห็นดังกล่าวตั้งแต่ปลายเดือน พ.ย. โดยระบุว่าการเจรจาประเด็นเรื่องชายแดนต้องใช้เวลาและการเตรียมการอย่างรอบคอบ . “สิ่งนี้คือความรับผิดชอบของเรา และเราจะไม่สูญเสียดินแดนหรืออธิปไตย โปรดไว้ใจเราในเรื่องนี้” ผู้นำกัมพูชา กล่าว . ฮุน มาเนต กล่าวเสริมว่ารัฐบาลกัมพูชาใช้วิถีทางที่ผ่านการไตร่ตรองอย่างรอบคอบและมีวุฒิภาวะ ไม่ตอบสนองอย่างหุนหันพลันแล่น . “ปัญหาเกาะกูดต้องได้รับการแก้ไขอย่างมีวุฒิภาวะทางการเมืองและความรับผิดชอบ โดยให้ความสำคัญกับบูรณภาพแห่งดินแดนและอธิปไตยของชาติเป็นอย่างแรก” ฮุน มาเนต กล่าว . นายกรัฐมนตรีกัมพูชาชี้แจงว่า การเจรจาระหว่างกัมพูชาและไทยยังคงดำเนินต่อไป และยังไม่มีการบรรลุข้อตกลงใดๆ ดังนั้นการอ้างว่าเสียเกาะกูดให้ไทยนั้นไม่มีมูลความจริง และย้ำว่าการตอบสนองอย่างใจเย็นของรัฐบาลนั้นเป็นความตั้งใจ ด้วยมีเป้าหมายที่จะแก้ปัญหาผ่านช่องทางทางการทูต มากกว่าที่จะเพิ่มความตึงเครียด . “การคิดถึงผลประโยชน์ของชาติเป็นสิ่งสำคัญ แต่เราต้องเข้าใจว่าเมื่อใดควรดำเนินการและดำเนินการอย่างไร” ฮุน มาเนต ระบุ . รัฐบาลกัมพูชาดำเนินการแก้ไขปัญหาชายแดนด้วยการใช้กลไกอย่างเป็นทางการ ไม่ใช่ผ่านแพลตฟอร์มเฟซบุ๊ก หรือกลไกสื่อ ฮุน มาเนต กล่าวเสริม และว่ากลไกการแก้ไขอย่างเป็นทางการคือกลไกที่ตกลงกันโดยรัฐบาลกัมพูชาและไทย คือคณะกรรมการเขตแดนร่วม (JBC) และคณะกรรมการเทคนิคร่วม (JTC) ซึ่งคณะกรรมการเหล่านี้ทำหน้าที่เจรจาเรื่องการกำหนดเขตแดนทางบกและกำหนดเขตแดนทางทะเล . “ขณะนี้ชายแดนกัมพูชา-ไทย บรรลุข้อตกลงเพียงพรมแดนทางบก ที่ครอบคลุมระยะทาง 805 กิโลเมตร และหลักเขต 73 หลัก รัฐบาลของทั้งสองประเทศบรรลุข้อตกลงไปแล้ว 42 หลัก” ฮุน มาเนต กล่าว และว่าประเด็นเรื่องเกาะกูดยังอยู่ระหว่างเจรจา ยังไม่มีข้อตกลงใดๆ ดังนั้น เกาะนี้จึงยังไม่ถูกยกให้ใคร . เขายอมรับว่ามีความคิดเห็นและคำวิจารณ์มากมายเกี่ยวกับปัญหาเกาะกูดจากไทย แต่เน้นย้ำว่ารัฐบาลจะไม่นำไฟเข้ามาในบ้านของตัวเอง . ฮุน มาเนต เสริมว่ากัมพูชาและไทยได้เจรจากันมาตั้งแต่ปี 2549 เกี่ยวกับการกำหนดเขตแดน แต่การหารือเกี่ยวกับดินแดนทางบกและทางทะเลยังไม่เสร็จสิ้นและยังคงดำเนินต่อไป . ขณะเดียวกัน ฮุนเซน ประธานสภาสูงของกัมพูชา ได้วิพากษ์วิจารณ์นักการเมืองฝ่ายค้านในต่างประเทศที่พยายามเปลี่ยนประเด็นเกาะกูดให้กลายเป็นความขัดแย้งชายแดนระหว่างกัมพูชาและไทยผ่านการยุยงปลุกปั่นประชาชน แม้ว่าสองรัฐบาลจะร่วมมือกันแก้ไขปัญหาโดยสันติ . ทั้งนี้ อดีตผู้นำเขมรยังได้กล่าวย้อนถึงเรื่องการเจรจาร่วมกันกับ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย เรื่องการเจาะน้ำมันที่เกาะกูด แต่ไม่มีความคืบหน้าใดๆ ในแผนนี้ และในปี 2544 ทั้งสองฝ่ายได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ แต่ไม่มีการหารืออย่างละเอียดในช่วง 23 ปีที่ผ่านมา . “รัฐบาลทั้งสองประเทศกำลังเจรจากันอย่างสันติเกี่ยวกับปัญหาเกาะกูด แต่ในไทย กลุ่มหัวรุนแรงเรียกร้องให้รัฐบาลอ้างสิทธิเกาะกูดจากกัมพูชา ขณะที่กลุ่มฝ่ายค้านหัวรุนแรงของกัมพูชาในต่างประเทศเรียกร้องให้ชาวกัมพูชาเข้าร่วมการชุมนุมเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลฟ้องศาลระหว่างประเทศเพื่อเรียกร้องเกาะกูดคืน” ฮุนเซน กล่าว . ฮุนเซนกล่าวว่า ความพยายามของฝ่ายค้านในต่างประเทศครั้งนี้อาจส่งผลร้ายแรงต่อประเทศ . “ครั้งแล้วครั้งเล่าที่กลุ่มฝ่ายค้านกดดันประชาชนและขัดขวางไม่ให้พวกเขาอยู่กันอย่างสันติ ด้วยการปลุกระดมให้เคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาล บางทีอาจถึงเวลาที่ต้องตราพวกเขาว่าเป็นผู้ก่อการร้าย เพราะพวกเขากำลังยุยงให้เกิดความขัดแย้งด้วยอาวุธระหว่างกัมพูชาและไทย” อดีตผู้นำเขมร กล่าว . นอกจากนี้ ฮุนเซนยังเรียกร้องให้ชาวกัมพูชาและชาวไทยเชื่อมั่นในรัฐบาลที่ถูกต้องตามกฎหมายในการแก้ไขปัญหาเกาะกูดด้วยสันติวิธี และขอให้กองทัพบกและกองทัพเรือกัมพูชาไม่ระดมกำลังเข้าไปในพื้นที่ดังกล่าว . อดีตผู้นำเขมรเตือนว่าบาดแผลจากสงครามที่ปราสาทพระวิหาร ปราสาทตาเมือน และปราสาทตากระบัย และความทุกข์ทรมานของประชาชนกัมพูชาและไทยจากการสูญเสียคนรักหรือได้รับบาดเจ็บจากสงครามเหล่านั้นยังคงไม่สิ้นสุด . “การยุติข้อพิพาทจะดำเนินต่อไป แต่ด้วยการเจรจา เรายังไม่ได้ใช้ความเป็นไปได้ทั้งหมดของการเจรจาทวิภาคี” ฮุนเซน กล่าว. . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000119176 .............. Sondhi X
    Angry
    Like
    Yay
    Haha
    Sad
    10
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1117 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🇸🇾 กองกำลังติดอาวุธซีเรียสั่งอพยพกองบัญชาการกองทัพบกและศูนย์บัญชาการกองทัพอากาศในกรุงดามัสกัส
    .
    JUST IN: 🇸🇾 Syrian armed forces order the evacuation of the General Staff headquarters and Air Force command center in Damascus.
    .
    11:08 PM · Dec 7, 2024 · 162K Views
    https://x.com/BRICSinfo/status/1865428106841833737
    🇸🇾 กองกำลังติดอาวุธซีเรียสั่งอพยพกองบัญชาการกองทัพบกและศูนย์บัญชาการกองทัพอากาศในกรุงดามัสกัส . JUST IN: 🇸🇾 Syrian armed forces order the evacuation of the General Staff headquarters and Air Force command center in Damascus. . 11:08 PM · Dec 7, 2024 · 162K Views https://x.com/BRICSinfo/status/1865428106841833737
    Wow
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 191 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประธานาธิบดีเกาหลีใต้อาจถูกตัดสินประหารชีวิต, ต้องสงสัยก่อกบฏ

    ตำรวจเกาหลีใต้ได้เริ่มการสอบสวนประธานาธิบดี, ยุน ซอกยอล, ในข้อกล่าวหาก่อกบฏ, ซึ่งเป็นอาชญากรรมที่เกินกว่าอำนาจคุ้มกันของประธานาธิบดี และอาจได้รับโทษถึงประหารชีวิต

    ฝ่ายค้านยังเรียกร้องให้ดำเนินการสอบสวนข้อกล่าวหาเดียวกันกับอดีตรัฐมนตรีกลาโหม, ตลอดจนเสนาธิการกองทัพบก และหัวหน้ากระทรวงมหาดไทย
    .
    SOUTH KOREAN PRESIDENT COULD BE SENTENCED TO DEATH, SUSPECTED IN INSURRECTION

    The South Korean police have launched an investigation into the country's president, Yoon Suk-yeol, on suspicion of insurrection, a crime that transcends presidential immunity and can be punished with the death penalty.

    The opposition also demanded that the investigation be carried out on the same charge against the ex-Minister of Defense, as well as the chief of staff of the army and the head of the Interior Ministry.
    .
    Last edited 7:48 PM · Dec 5, 2024 · 7,693 Views
    https://x.com/SputnikInt/status/1864652976561827940
    ประธานาธิบดีเกาหลีใต้อาจถูกตัดสินประหารชีวิต, ต้องสงสัยก่อกบฏ ตำรวจเกาหลีใต้ได้เริ่มการสอบสวนประธานาธิบดี, ยุน ซอกยอล, ในข้อกล่าวหาก่อกบฏ, ซึ่งเป็นอาชญากรรมที่เกินกว่าอำนาจคุ้มกันของประธานาธิบดี และอาจได้รับโทษถึงประหารชีวิต ฝ่ายค้านยังเรียกร้องให้ดำเนินการสอบสวนข้อกล่าวหาเดียวกันกับอดีตรัฐมนตรีกลาโหม, ตลอดจนเสนาธิการกองทัพบก และหัวหน้ากระทรวงมหาดไทย . SOUTH KOREAN PRESIDENT COULD BE SENTENCED TO DEATH, SUSPECTED IN INSURRECTION The South Korean police have launched an investigation into the country's president, Yoon Suk-yeol, on suspicion of insurrection, a crime that transcends presidential immunity and can be punished with the death penalty. The opposition also demanded that the investigation be carried out on the same charge against the ex-Minister of Defense, as well as the chief of staff of the army and the head of the Interior Ministry. . Last edited 7:48 PM · Dec 5, 2024 · 7,693 Views https://x.com/SputnikInt/status/1864652976561827940
    Haha
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 281 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🤯ฮันเตอร์ ไบเดน ขู่พ่อของเขาให้อภัยโทษ?

    "เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวเผยว่า ฮันเตอร์ ไบเดน ขู่โจด้วยหนังสือที่เขากำลังเขียนซึ่ง 'จะเปิดเผยต่อสาธารณะ' เกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมาของเขา.. เพียงหนึ่งวันต่อมา, ฮันเตอร์ก็ได้รับการอภัยโทษทั้งหมด.. " ดักลาส แม็กเกรเกอร์ @DougAMacgregor อดีตพันเอกกองทัพบกสหรัฐฯ และอดีตที่ปรึกษากระทรวงกลาโหม เขียนไว้ในบัญชี X ของเขา
    .
    🤯HUNTER BIDEN THREATENED HIS FATHER TO GET A PARDON?

    "White House official reveals Hunter Biden threatened Joe with a book he was writing that 'would go public' on his recent life experiences.. Just day later, Hunter was given a blanket pardon.." Douglas Macgregor @DougAMacgregor, retired US Army Colonel and former Department of Defense adviser, wrote on his X account.
    .
    3:00 AM · Dec 3, 2024 · 2,663 Views
    https://x.com/SputnikInt/status/1863674500564627833
    🤯ฮันเตอร์ ไบเดน ขู่พ่อของเขาให้อภัยโทษ? "เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวเผยว่า ฮันเตอร์ ไบเดน ขู่โจด้วยหนังสือที่เขากำลังเขียนซึ่ง 'จะเปิดเผยต่อสาธารณะ' เกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมาของเขา.. เพียงหนึ่งวันต่อมา, ฮันเตอร์ก็ได้รับการอภัยโทษทั้งหมด.. " ดักลาส แม็กเกรเกอร์ @DougAMacgregor อดีตพันเอกกองทัพบกสหรัฐฯ และอดีตที่ปรึกษากระทรวงกลาโหม เขียนไว้ในบัญชี X ของเขา . 🤯HUNTER BIDEN THREATENED HIS FATHER TO GET A PARDON? "White House official reveals Hunter Biden threatened Joe with a book he was writing that 'would go public' on his recent life experiences.. Just day later, Hunter was given a blanket pardon.." Douglas Macgregor @DougAMacgregor, retired US Army Colonel and former Department of Defense adviser, wrote on his X account. . 3:00 AM · Dec 3, 2024 · 2,663 Views https://x.com/SputnikInt/status/1863674500564627833
    Haha
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 217 มุมมอง 0 รีวิว
  • บริษัท Bombardier Defense ได้ส่งมอบเครื่องบิน Global 6500 ลำแรกให้แก่กองทัพบกสหรัฐ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ High Accuracy Detection and Exploitation System (HADES) ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาขีดความสามารถด้านการข่าวกรอง การเฝ้าระวัง และการลาดตระเวน (Intelligence, Surveillance, and Reconnaissance - ISR)

    เครื่องบินถูกออกแบบมาเพื่อปฏิบัติภารกิจสอดแนมเชิงลึก และรวบรวมข่าวกรองในทุกสภาพแวดล้อม มีการติดตั้งระบบเรดาร์ ASARS-2B ขั้นสูง ซึ่งสามารถสร้างแผนที่ภูมิประเทศโดยละเอียด ตรวจจับเป้าหมายที่กำลังเคลื่อนที่ และติดตามเป้าหมายแบบเรียลไทม์

    ตามรายงานระบุว่า กองทัพตั้งเป้าหมายประจำการไว้ที่ 14-16 ลำ

    พิธีดังกล่าวจัดขึ้นที่สำนักงานใหญ่ของบริษัท Bombardier ในสหรัฐอเมริกาที่เมืองวิชิตา รัฐแคนซัส

    บริษัท Bombardier Defense ได้ส่งมอบเครื่องบิน Global 6500 ลำแรกให้แก่กองทัพบกสหรัฐ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ High Accuracy Detection and Exploitation System (HADES) ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาขีดความสามารถด้านการข่าวกรอง การเฝ้าระวัง และการลาดตระเวน (Intelligence, Surveillance, and Reconnaissance - ISR) เครื่องบินถูกออกแบบมาเพื่อปฏิบัติภารกิจสอดแนมเชิงลึก และรวบรวมข่าวกรองในทุกสภาพแวดล้อม มีการติดตั้งระบบเรดาร์ ASARS-2B ขั้นสูง ซึ่งสามารถสร้างแผนที่ภูมิประเทศโดยละเอียด ตรวจจับเป้าหมายที่กำลังเคลื่อนที่ และติดตามเป้าหมายแบบเรียลไทม์ ตามรายงานระบุว่า กองทัพตั้งเป้าหมายประจำการไว้ที่ 14-16 ลำ พิธีดังกล่าวจัดขึ้นที่สำนักงานใหญ่ของบริษัท Bombardier ในสหรัฐอเมริกาที่เมืองวิชิตา รัฐแคนซัส
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 235 มุมมอง 0 รีวิว
  • เห็นผล ! นบ.ยส.24 ลุยหนัก 55 วัน สกัดกั้น ยึดยาบ้าได้ กว่า 24 ล้านเม็ด
    ตัวเลขยาเสพติด ไม่ลด ! มีแต่พุ่ง ปราบเท่าไหร่ก็ไม่หมด
    ยาบ้า 24,647,000 เม็ด
    ไอซ์ 1,193.548 กิโลกรัม
    เฮโรอีน 91.83 กิโลกรัม
    เคตามีน 3.79 กิโลกรัม
    ยาอี 6 กิโลกรัม
    ฝิ่น 0.66 กิโลกรัม และ ส่วนผสมจากยาเสพติดหลายชนิด ฤทธิ์รุนแรง อาจถึงขั้นเสียชีวิต อย่าง Happy Water อีกกว่า 410 ซอง
    .
    ผู้ต้องหาเย้ยอำนาจรัฐ 312 คน เกม! จำนนพร้อมของกลาง
    สถิติการจับกุม ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม ถึง 24 พฤศจิกายน 2567
    สะท้อนว่า นบ.ยส.24 จะไม่ลดละ ไม่จำนนต่อยาเสพติดภัยร้ายใกล้ตัวที่คุกคามสวัสดิภาพพี่น้องประชาชน อย่างเด็ดขาด !
    .
    เปิดปฏิบัติการปิดล้อมตรวจค้น จับกุม นโยบายสำคัญของ พลโท บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ในฐานะผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด สารตั้งต้น และเคมีภัณฑ์ชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (นบ.ยส.24) ปราบปรามจับกุมผู้ค้ายาเสพติดในพื้นที่ และขยายผลเครือข่ายที่จับกุมได้ทุกระดับอย่างจริงจังทุกพื้นที่ รวมทั้งการขยายผลเพื่ออายัดทรัพย์สินที่ได้มาจากการค้ายาเสพติด ทั้งของผู้ค้า ผู้ช่วยเหลือและสนับสนุนเครือข่ายทั้งหมดมาตรวจสอบ ถือเป็นนโยบายเร่งด่วน โดยให้เป็นมาตรการเชิงรุก ทั้งการป้องกันและปราบปราม เนื่องจากเป็นภัยอันตรายที่บั่นทอนทั้งสังคม เศรษฐกิจ และความมั่นคงของประเทศ โดยเฉพาะ มาตรการป้องกันและสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่เด็ก เยาวชน ไม่ให้เข้าไปข้องเกี่ยวกับยาเสพติดแต่แรก ทั้งนี้ต้องอาศัยการบูรณาการทุกภาคส่วนเพื่อหาทางป้องกันร่วมกัน
    .
    นอกจากนี้ ทางกองทัพภาคที่ 2 ได้นำกำลังพลในส่วนกองบัญชาการกองทัพภาคที่ 2 ค่ายสุรนารี เข้ารับการตรวจปัสสาวะหาสารเสพติด แม้กระทั่งแม่ทัพภาคที่ 2 เอง ก็ต้องเข้ารับการตรวจ ไม่มีการยกเว้น ! ตามนโยบายของกองทัพบกที่ต้องการป้องกันและป้องปรามกำลังพล ไม่ให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและเป็นหลักประกันให้กับสังคม ว่าทหารทุกนายจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดอย่างเด็ดขาด
    #กองทัพภาคที่2
    #กองทัพบกRoyalThaiArmy
    เห็นผล ! นบ.ยส.24 ลุยหนัก 55 วัน สกัดกั้น ยึดยาบ้าได้ กว่า 24 ล้านเม็ด ตัวเลขยาเสพติด ไม่ลด ! มีแต่พุ่ง ปราบเท่าไหร่ก็ไม่หมด ยาบ้า 24,647,000 เม็ด ไอซ์ 1,193.548 กิโลกรัม เฮโรอีน 91.83 กิโลกรัม เคตามีน 3.79 กิโลกรัม ยาอี 6 กิโลกรัม ฝิ่น 0.66 กิโลกรัม และ ส่วนผสมจากยาเสพติดหลายชนิด ฤทธิ์รุนแรง อาจถึงขั้นเสียชีวิต อย่าง Happy Water อีกกว่า 410 ซอง . ผู้ต้องหาเย้ยอำนาจรัฐ 312 คน เกม! จำนนพร้อมของกลาง สถิติการจับกุม ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม ถึง 24 พฤศจิกายน 2567 สะท้อนว่า นบ.ยส.24 จะไม่ลดละ ไม่จำนนต่อยาเสพติดภัยร้ายใกล้ตัวที่คุกคามสวัสดิภาพพี่น้องประชาชน อย่างเด็ดขาด ! . เปิดปฏิบัติการปิดล้อมตรวจค้น จับกุม นโยบายสำคัญของ พลโท บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ในฐานะผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด สารตั้งต้น และเคมีภัณฑ์ชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (นบ.ยส.24) ปราบปรามจับกุมผู้ค้ายาเสพติดในพื้นที่ และขยายผลเครือข่ายที่จับกุมได้ทุกระดับอย่างจริงจังทุกพื้นที่ รวมทั้งการขยายผลเพื่ออายัดทรัพย์สินที่ได้มาจากการค้ายาเสพติด ทั้งของผู้ค้า ผู้ช่วยเหลือและสนับสนุนเครือข่ายทั้งหมดมาตรวจสอบ ถือเป็นนโยบายเร่งด่วน โดยให้เป็นมาตรการเชิงรุก ทั้งการป้องกันและปราบปราม เนื่องจากเป็นภัยอันตรายที่บั่นทอนทั้งสังคม เศรษฐกิจ และความมั่นคงของประเทศ โดยเฉพาะ มาตรการป้องกันและสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่เด็ก เยาวชน ไม่ให้เข้าไปข้องเกี่ยวกับยาเสพติดแต่แรก ทั้งนี้ต้องอาศัยการบูรณาการทุกภาคส่วนเพื่อหาทางป้องกันร่วมกัน . นอกจากนี้ ทางกองทัพภาคที่ 2 ได้นำกำลังพลในส่วนกองบัญชาการกองทัพภาคที่ 2 ค่ายสุรนารี เข้ารับการตรวจปัสสาวะหาสารเสพติด แม้กระทั่งแม่ทัพภาคที่ 2 เอง ก็ต้องเข้ารับการตรวจ ไม่มีการยกเว้น ! ตามนโยบายของกองทัพบกที่ต้องการป้องกันและป้องปรามกำลังพล ไม่ให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและเป็นหลักประกันให้กับสังคม ว่าทหารทุกนายจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดอย่างเด็ดขาด #กองทัพภาคที่2 #กองทัพบกRoyalThaiArmy
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 662 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🤣บริจาคขยะ: ATACMS จำนวนมากของสหรัฐฯ ที่รับปากจะส่งมอบให้ยูเครนหมดอายุในปี ๒๐๑๕🤣

    ATACMS บางส่วนที่หมดอายุในคลังแสงของกองทัพสหรัฐฯ, ซึ่งรับปากว่าจะส่งมอบให้ยูเครน, หมดอายุเร็วสุดในปี ๒๐๑๕ เพื่อยืดอายุการใช้งาน, สหรัฐฯได้ลงทุนมากกว่า ๑ พันล้านดอลลาร์, ตามการคำนวณของสปุตนิก โดยอิงจากเอกสารทางการเงินของกระทรวงกลาโหม

    ในปีงบประมาณ (FY) ๒๐๑๖, ซึ่งเริ่มต้นในวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๐๑๕, กองทัพบกสหรัฐฯ ต้องใช้เงิน ๓๐.๑ ล้านดอลลาร์ ในการปรับเปลี่ยน "๑๐ รายการสินทรัพย์ [ATACMS] ที่หมดอายุ และรีเซ็ตอายุการใช้งานตามสัญญา," ตามรายงานงบประมาณปีงบประมาณ ๒๐๑๖

    เนื่องจาก ATACMS มีอายุการใช้งาน ๑๐ ปี, ขีปนาวุธ ๑๐ ลูกที่ดัดแปลงในปี ๒๐๑๕ คาดว่าจะหมดอายุใช้งานอีกครั้งในปี ๒๐๒๕

    ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา, กองทัพบกสหรัฐฯ ได้พยายามเปลี่ยน ATACMS ด้วยขีปนาวุธ Precision Strike Missile (PrSM) รุ่นใหม่กว่าและก้าวหน้ากว่า แม้ว่าขีปนาวุธแต่ละลูกของ ATACMS จะมีราคาประมาณ ๑ ล้านดอลลาร์, แต่ราคาของ PrSM รุ่นล่าสุดนั้นสูงกว่า ๒ ล้านดอลลาร์ต่อขีปนาวุธหนึ่งลูก

    นี่อาจอธิบายได้ว่าทำไมยูเครนจึงได้รับอาวุธมูลค่า ๓๓,๓๐๐ ล้านดอลลาร์ ผ่านหน่วยงาน Presidential Drawdown Authority (PDA), ในขณะที่สหรัฐฯ ต้องใช้เงิน ๔๕,๗๐๐ ล้านดอลลาร์ ในการซื้ออาวุธใหม่เพื่อเติมเต็มคลังอาวุธ, ตามตัวเลขจาก Ukraine Oversight

    🤣วอชิงตันใช้โอกาสนี้เพียงเพื่อกำจัดอาวุธที่หมดอายุในคลังอาวุธของตน, เช่น ATACMS และอัปเกรดระบบอาวุธด้วยเงินทุนที่เรียกว่า "ความช่วยเหลือทางทหารแก่ยูเครน"🤣
    .
    DONATING JUNK: NUMEROUS US ATACMS PLEDGED TO UKRAINE EXPIRED IN 2015

    Some of the aging ATACMS in American military inventory, which were promised for delivery to Ukraine, expired as early as 2015. To extend their service life, the US invested over $1 billion, according to calculations by Sputnik based on Pentagon financial documents.

    During fiscal year (FY) 2016, which began on October 1, 2015, the US Army had to spend $30.1 million to modify “10 expired [ATACMS] assets and reset their contractual service life,” according to the FY 2016 budget report.

    Since the ATACMS has a 10-year service life, the 10 missiles modified in 2015 are expected to expire again in 2025.

    In recent years, the US Army has been working to replace the ATACMS with the newer and more advanced Precision Strike Missile (PrSM). While each missile of the ATACMS costs approximately $1 million, the price for the latest PrSM exceeds $2 million per missile.

    This may explain why Ukraine received $33.3 billion worth of weapons through the Presidential Drawdown Authority (PDA), while the US had to spend $45.7 billion to buy new weapons to replenish its stockpile, according to figures from Ukraine Oversight.

    Washington simply took the opportunity to get rid of expiring weapons in its inventory, such as the ATACMS, and upgraded its weapons systems with funds labeled as “military assistance to Ukraine.”
    .
    2:18 PM · Nov 21, 2024 · 3,242 Views
    https://x.com/SputnikInt/status/1859496668044964345
    🤣บริจาคขยะ: ATACMS จำนวนมากของสหรัฐฯ ที่รับปากจะส่งมอบให้ยูเครนหมดอายุในปี ๒๐๑๕🤣 ATACMS บางส่วนที่หมดอายุในคลังแสงของกองทัพสหรัฐฯ, ซึ่งรับปากว่าจะส่งมอบให้ยูเครน, หมดอายุเร็วสุดในปี ๒๐๑๕ เพื่อยืดอายุการใช้งาน, สหรัฐฯได้ลงทุนมากกว่า ๑ พันล้านดอลลาร์, ตามการคำนวณของสปุตนิก โดยอิงจากเอกสารทางการเงินของกระทรวงกลาโหม ในปีงบประมาณ (FY) ๒๐๑๖, ซึ่งเริ่มต้นในวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๐๑๕, กองทัพบกสหรัฐฯ ต้องใช้เงิน ๓๐.๑ ล้านดอลลาร์ ในการปรับเปลี่ยน "๑๐ รายการสินทรัพย์ [ATACMS] ที่หมดอายุ และรีเซ็ตอายุการใช้งานตามสัญญา," ตามรายงานงบประมาณปีงบประมาณ ๒๐๑๖ เนื่องจาก ATACMS มีอายุการใช้งาน ๑๐ ปี, ขีปนาวุธ ๑๐ ลูกที่ดัดแปลงในปี ๒๐๑๕ คาดว่าจะหมดอายุใช้งานอีกครั้งในปี ๒๐๒๕ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา, กองทัพบกสหรัฐฯ ได้พยายามเปลี่ยน ATACMS ด้วยขีปนาวุธ Precision Strike Missile (PrSM) รุ่นใหม่กว่าและก้าวหน้ากว่า แม้ว่าขีปนาวุธแต่ละลูกของ ATACMS จะมีราคาประมาณ ๑ ล้านดอลลาร์, แต่ราคาของ PrSM รุ่นล่าสุดนั้นสูงกว่า ๒ ล้านดอลลาร์ต่อขีปนาวุธหนึ่งลูก นี่อาจอธิบายได้ว่าทำไมยูเครนจึงได้รับอาวุธมูลค่า ๓๓,๓๐๐ ล้านดอลลาร์ ผ่านหน่วยงาน Presidential Drawdown Authority (PDA), ในขณะที่สหรัฐฯ ต้องใช้เงิน ๔๕,๗๐๐ ล้านดอลลาร์ ในการซื้ออาวุธใหม่เพื่อเติมเต็มคลังอาวุธ, ตามตัวเลขจาก Ukraine Oversight 🤣วอชิงตันใช้โอกาสนี้เพียงเพื่อกำจัดอาวุธที่หมดอายุในคลังอาวุธของตน, เช่น ATACMS และอัปเกรดระบบอาวุธด้วยเงินทุนที่เรียกว่า "ความช่วยเหลือทางทหารแก่ยูเครน"🤣 . DONATING JUNK: NUMEROUS US ATACMS PLEDGED TO UKRAINE EXPIRED IN 2015 Some of the aging ATACMS in American military inventory, which were promised for delivery to Ukraine, expired as early as 2015. To extend their service life, the US invested over $1 billion, according to calculations by Sputnik based on Pentagon financial documents. During fiscal year (FY) 2016, which began on October 1, 2015, the US Army had to spend $30.1 million to modify “10 expired [ATACMS] assets and reset their contractual service life,” according to the FY 2016 budget report. Since the ATACMS has a 10-year service life, the 10 missiles modified in 2015 are expected to expire again in 2025. In recent years, the US Army has been working to replace the ATACMS with the newer and more advanced Precision Strike Missile (PrSM). While each missile of the ATACMS costs approximately $1 million, the price for the latest PrSM exceeds $2 million per missile. This may explain why Ukraine received $33.3 billion worth of weapons through the Presidential Drawdown Authority (PDA), while the US had to spend $45.7 billion to buy new weapons to replenish its stockpile, according to figures from Ukraine Oversight. Washington simply took the opportunity to get rid of expiring weapons in its inventory, such as the ATACMS, and upgraded its weapons systems with funds labeled as “military assistance to Ukraine.” . 2:18 PM · Nov 21, 2024 · 3,242 Views https://x.com/SputnikInt/status/1859496668044964345
    Like
    Haha
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 665 มุมมอง 0 รีวิว
  • จับตาดูกันต่อไปว่า กองทัพบกจะเอาจริง ด้วยการลงโทษนายทหารระดับเจ้ากรม เพื่อไม่ได้เป็นเยี่ยงอย่างแก่นายพลคนอื่นๆ หรือไม่


    #Sondhix #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิฯ #กองทัพบก #ซ้อมทำร้ายทหาร #กรมยุทธศึกษาทหารบก
    จับตาดูกันต่อไปว่า กองทัพบกจะเอาจริง ด้วยการลงโทษนายทหารระดับเจ้ากรม เพื่อไม่ได้เป็นเยี่ยงอย่างแก่นายพลคนอื่นๆ หรือไม่ #Sondhix #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิฯ #กองทัพบก #ซ้อมทำร้ายทหาร #กรมยุทธศึกษาทหารบก
    Like
    Angry
    Sad
    10
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1599 มุมมอง 120 0 รีวิว
Pages Boosts