• ไทยก้าวใหม่ตั้งเป้า "โรงเรียนเตรียมวิศวะ" ดึงสถานประกอบการ ร่วมออกแบบหลักสูตร ปั้นเด็กอาชีวะแข่งขันระดับโลก
    https://www.thai-tai.tv/news/22169/
    .
    #ไทยไท #อาชีวะไทยก้าวใหม่ #เศรษฐฐากรณ์ #ปฏิรูปอาชีวะ #แรงบันดาลใจของชาติ #โรงเรียนเตรียมวิศวะ
    ไทยก้าวใหม่ตั้งเป้า "โรงเรียนเตรียมวิศวะ" ดึงสถานประกอบการ ร่วมออกแบบหลักสูตร ปั้นเด็กอาชีวะแข่งขันระดับโลก https://www.thai-tai.tv/news/22169/ . #ไทยไท #อาชีวะไทยก้าวใหม่ #เศรษฐฐากรณ์ #ปฏิรูปอาชีวะ #แรงบันดาลใจของชาติ #โรงเรียนเตรียมวิศวะ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 17 มุมมอง 0 รีวิว
  • ชาวนาแดนมังกรสร้างเรือดำน้ำใช้งานได้จริงด้วยงบแค่ $5,570! ความฝันที่กลายเป็นจริงของ Zhang Shengwu

    เรื่องราวสุดเหลือเชื่อของ Zhang Shengwu ชาวนาจากมณฑลอานฮุย ประเทศจีน ผู้ใช้เวลากว่า 10 ปีสร้างเรือดำน้ำส่วนตัวชื่อ “Big Black Fish” ด้วยงบประมาณเพียงประมาณ 5,570 ดอลลาร์สหรัฐ กลายเป็นแรงบันดาลใจให้คนทั่วโลกว่า “ความฝันไม่จำกัดด้วยอาชีพหรือเงินทุน”.

    Zhang เติบโตริมแม่น้ำแยงซี เคยทำงานเป็นชาวนา ช่างไม้ ช่างเชื่อม และในอุตสาหกรรมขนส่ง แต่ไม่เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับเรือดำน้ำเลย จนกระทั่งปี 2014 เขาเห็นเรือดำน้ำครั้งแรกจากรายการโทรทัศน์ และตัดสินใจสร้างมันขึ้นมาเองจากเศษเหล็ก แบตเตอรี่ และเครื่องยนต์

    หลังจากต้นแบบแรกมีปัญหาเรื่องการรั่ว Zhang พัฒนารุ่นใหม่ที่สามารถดำน้ำได้ลึกถึง 26 ฟุต รองรับผู้โดยสาร 2 คน ใช้กล้องติดเสาเพื่อตรวจสอบพื้นแม่น้ำก่อนดำน้ำ และเคยใช้เรือดำน้ำนี้ช่วยค้นหาอวนหายจนได้รับค่าจ้างถึง $417

    เรื่องราวของ Zhang ไม่ใช่แค่การสร้างเรือดำน้ำ แต่คือการพิสูจน์ว่า “ความฝันสามารถเป็นจริงได้” หากมีความมุ่งมั่นและความพยายาม

    Zhang Shengwu ใช้เวลากว่า 10 ปีสร้างเรือดำน้ำเอง
    เริ่มต้นจากแรงบันดาลใจที่ได้จากรายการโทรทัศน์ในปี 2014

    งบประมาณทั้งหมดเพียงประมาณ $5,570
    ใช้กับวัสดุและการก่อสร้างทั้งหมด

    เรือดำน้ำชื่อ “Big Black Fish” มีขนาด 22 ฟุต ยาว 5.9 ฟุต สูง
    ดำน้ำได้ลึกถึง 26 ฟุต รองรับผู้โดยสาร 2 คน

    ใช้กล้องติดเสาเพื่อตรวจสอบพื้นแม่น้ำก่อนดำน้ำ
    เคยใช้ช่วยค้นหาอวนหายและได้รับค่าจ้าง $417

    เสริมความมั่นคงด้วยคอนกรีตเกือบ 2 ตันและถังถ่วงน้ำ
    ใช้ซิลิโคนเสริมรอยเชื่อม และมีแผงควบคุมเรืองแสงสีฟ้า

    ได้รับสิทธิบัตรระดับประเทศจากต้นแบบเรือดำน้ำ
    และอีกหนึ่งสิทธิบัตรจากเรือผิวน้ำที่สร้างคลื่นน้อย

    ต้นแบบแรกมีปัญหาเรื่องการรั่วเมื่ออยู่ใต้น้ำ
    ทำให้ต้องพัฒนาใหม่เป็นเรือผิวน้ำก่อนกลับมาสร้างเรือดำน้ำอีกครั้ง

    การสร้างเรือดำน้ำต้องใช้ความรู้ด้านวิศวกรรมและความปลอดภัยสูง
    อาจไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่มีพื้นฐานด้านช่างหรือการออกแบบโครงสร้าง

    https://www.slashgear.com/2010050/china-farmer-homemade-submarine-zhang-shengwu/
    🌊 ชาวนาแดนมังกรสร้างเรือดำน้ำใช้งานได้จริงด้วยงบแค่ $5,570! ความฝันที่กลายเป็นจริงของ Zhang Shengwu เรื่องราวสุดเหลือเชื่อของ Zhang Shengwu ชาวนาจากมณฑลอานฮุย ประเทศจีน ผู้ใช้เวลากว่า 10 ปีสร้างเรือดำน้ำส่วนตัวชื่อ “Big Black Fish” ด้วยงบประมาณเพียงประมาณ 5,570 ดอลลาร์สหรัฐ กลายเป็นแรงบันดาลใจให้คนทั่วโลกว่า “ความฝันไม่จำกัดด้วยอาชีพหรือเงินทุน”. Zhang เติบโตริมแม่น้ำแยงซี เคยทำงานเป็นชาวนา ช่างไม้ ช่างเชื่อม และในอุตสาหกรรมขนส่ง แต่ไม่เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับเรือดำน้ำเลย จนกระทั่งปี 2014 เขาเห็นเรือดำน้ำครั้งแรกจากรายการโทรทัศน์ และตัดสินใจสร้างมันขึ้นมาเองจากเศษเหล็ก แบตเตอรี่ และเครื่องยนต์ หลังจากต้นแบบแรกมีปัญหาเรื่องการรั่ว Zhang พัฒนารุ่นใหม่ที่สามารถดำน้ำได้ลึกถึง 26 ฟุต รองรับผู้โดยสาร 2 คน ใช้กล้องติดเสาเพื่อตรวจสอบพื้นแม่น้ำก่อนดำน้ำ และเคยใช้เรือดำน้ำนี้ช่วยค้นหาอวนหายจนได้รับค่าจ้างถึง $417 เรื่องราวของ Zhang ไม่ใช่แค่การสร้างเรือดำน้ำ แต่คือการพิสูจน์ว่า “ความฝันสามารถเป็นจริงได้” หากมีความมุ่งมั่นและความพยายาม 💪 ✅ Zhang Shengwu ใช้เวลากว่า 10 ปีสร้างเรือดำน้ำเอง ➡️ เริ่มต้นจากแรงบันดาลใจที่ได้จากรายการโทรทัศน์ในปี 2014 ✅ งบประมาณทั้งหมดเพียงประมาณ $5,570 ➡️ ใช้กับวัสดุและการก่อสร้างทั้งหมด ✅ เรือดำน้ำชื่อ “Big Black Fish” มีขนาด 22 ฟุต ยาว 5.9 ฟุต สูง ➡️ ดำน้ำได้ลึกถึง 26 ฟุต รองรับผู้โดยสาร 2 คน ✅ ใช้กล้องติดเสาเพื่อตรวจสอบพื้นแม่น้ำก่อนดำน้ำ ➡️ เคยใช้ช่วยค้นหาอวนหายและได้รับค่าจ้าง $417 ✅ เสริมความมั่นคงด้วยคอนกรีตเกือบ 2 ตันและถังถ่วงน้ำ ➡️ ใช้ซิลิโคนเสริมรอยเชื่อม และมีแผงควบคุมเรืองแสงสีฟ้า ✅ ได้รับสิทธิบัตรระดับประเทศจากต้นแบบเรือดำน้ำ ➡️ และอีกหนึ่งสิทธิบัตรจากเรือผิวน้ำที่สร้างคลื่นน้อย ‼️ ต้นแบบแรกมีปัญหาเรื่องการรั่วเมื่ออยู่ใต้น้ำ ⛔ ทำให้ต้องพัฒนาใหม่เป็นเรือผิวน้ำก่อนกลับมาสร้างเรือดำน้ำอีกครั้ง ‼️ การสร้างเรือดำน้ำต้องใช้ความรู้ด้านวิศวกรรมและความปลอดภัยสูง ⛔ อาจไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่มีพื้นฐานด้านช่างหรือการออกแบบโครงสร้าง https://www.slashgear.com/2010050/china-farmer-homemade-submarine-zhang-shengwu/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    This Chinese Farmer Has A Unique Hobby – He Built A Working Submarine - SlashGear
    A Chinese Farmer living near the Yangtze River in the Anhui province built a working submarine, investing a surprisingly low sum of around $5,570.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 88 มุมมอง 0 รีวิว
  • SpaceX รับดีล $2 พันล้านจากโครงการ Golden Dome ของทรัมป์ — เตรียมส่งดาวเทียม 600 ดวงติดตามภัยคุกคามทางอากาศ

    SpaceX ของ Elon Musk คาดว่าจะได้รับเงินทุนกว่า $2 พันล้านจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เพื่อร่วมพัฒนาโครงการ Golden Dome ซึ่งเป็นระบบป้องกันขีปนาวุธระดับชาติที่ใช้ดาวเทียมกว่า 600 ดวงในการติดตามเป้าหมายเคลื่อนที่ทางอากาศ

    Golden Dome เป็นโครงการป้องกันขีปนาวุธที่ประกาศโดยประธานาธิบดี Donald Trump และรัฐมนตรี Pete Hegseth ในเดือนพฤษภาคม 2025 โดยมีเป้าหมายสร้างระบบป้องกันที่สามารถสกัดขีปนาวุธจากทุกทิศทาง — แม้แต่จากอวกาศ

    SpaceX จะมีบทบาทสำคัญในระบบ “Air Moving Target Indicator” ซึ่งใช้ดาวเทียมกว่า 600 ดวงในการติดตามเป้าหมายที่เคลื่อนที่เร็ว เช่น ขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิกและอากาศยานไร้คนขับ

    เงินทุนนี้มาจาก “One Big Beautiful Bill” ที่ทรัมป์ลงนามในเดือนกรกฎาคม 2025 โดยยังไม่มีการระบุชื่อผู้รับเหมาหลักอย่างเป็นทางการ แต่แหล่งข่าวระบุว่า SpaceX จะเป็นหนึ่งในผู้รับงานหลัก

    นอกจาก SpaceX ยังมีบริษัทอื่นที่เสนอเทคโนโลยีเข้าร่วม เช่น Anduril, Palantir, Lockheed Martin, Northrop Grumman และ L3Harris โดยรัฐบาลไม่ต้องการพึ่งพาบริษัทเดียวเพื่อหลีกเลี่ยง “vendor lock” ที่อาจทำให้ราคาสูงและนวัตกรรมชะงัก

    รายละเอียดของดีล SpaceX
    รับเงินทุน $2 พันล้านจากกระทรวงกลาโหม
    พัฒนาเครือข่ายดาวเทียม 600 ดวงสำหรับระบบติดตามเป้าหมาย
    เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Golden Dome

    โครงการ Golden Dome
    ระบบป้องกันขีปนาวุธขั้นสูงของสหรัฐฯ
    ใช้ดาวเทียม, interceptor, command & control และโครงสร้างพื้นฐานอื่น
    ได้รับแรงบันดาลใจจาก Iron Dome ของอิสราเอล
    คาดว่ามีงบรวมอย่างน้อย $175 พันล้าน และอาจสูงกว่านั้น

    ความเห็นจากผู้เกี่ยวข้อง
    Gen. Chance Saltzman ระบุว่า “เราพึ่งพาอุตสาหกรรมในการแสดงศักยภาพ”
    Sen. Rick Scott เตือนว่าไม่ควรพึ่งพาบริษัทเดียวในการสร้างระบบป้องกัน
    Pentagon ชี้ว่าการผูกขาดอาจขัดขวางนวัตกรรมและเพิ่มต้นทุน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/elon-musks-spacex-will-reportedly-receive-usd2-billion-for-trumps-golden-dome-project-system-to-include-up-to-600-satellites-to-track-fast-moving-airborne-targets
    🛰️💰 SpaceX รับดีล $2 พันล้านจากโครงการ Golden Dome ของทรัมป์ — เตรียมส่งดาวเทียม 600 ดวงติดตามภัยคุกคามทางอากาศ SpaceX ของ Elon Musk คาดว่าจะได้รับเงินทุนกว่า $2 พันล้านจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เพื่อร่วมพัฒนาโครงการ Golden Dome ซึ่งเป็นระบบป้องกันขีปนาวุธระดับชาติที่ใช้ดาวเทียมกว่า 600 ดวงในการติดตามเป้าหมายเคลื่อนที่ทางอากาศ Golden Dome เป็นโครงการป้องกันขีปนาวุธที่ประกาศโดยประธานาธิบดี Donald Trump และรัฐมนตรี Pete Hegseth ในเดือนพฤษภาคม 2025 โดยมีเป้าหมายสร้างระบบป้องกันที่สามารถสกัดขีปนาวุธจากทุกทิศทาง — แม้แต่จากอวกาศ SpaceX จะมีบทบาทสำคัญในระบบ “Air Moving Target Indicator” ซึ่งใช้ดาวเทียมกว่า 600 ดวงในการติดตามเป้าหมายที่เคลื่อนที่เร็ว เช่น ขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิกและอากาศยานไร้คนขับ เงินทุนนี้มาจาก “One Big Beautiful Bill” ที่ทรัมป์ลงนามในเดือนกรกฎาคม 2025 โดยยังไม่มีการระบุชื่อผู้รับเหมาหลักอย่างเป็นทางการ แต่แหล่งข่าวระบุว่า SpaceX จะเป็นหนึ่งในผู้รับงานหลัก นอกจาก SpaceX ยังมีบริษัทอื่นที่เสนอเทคโนโลยีเข้าร่วม เช่น Anduril, Palantir, Lockheed Martin, Northrop Grumman และ L3Harris โดยรัฐบาลไม่ต้องการพึ่งพาบริษัทเดียวเพื่อหลีกเลี่ยง “vendor lock” ที่อาจทำให้ราคาสูงและนวัตกรรมชะงัก ✅ รายละเอียดของดีล SpaceX ➡️ รับเงินทุน $2 พันล้านจากกระทรวงกลาโหม ➡️ พัฒนาเครือข่ายดาวเทียม 600 ดวงสำหรับระบบติดตามเป้าหมาย ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Golden Dome ✅ โครงการ Golden Dome ➡️ ระบบป้องกันขีปนาวุธขั้นสูงของสหรัฐฯ ➡️ ใช้ดาวเทียม, interceptor, command & control และโครงสร้างพื้นฐานอื่น ➡️ ได้รับแรงบันดาลใจจาก Iron Dome ของอิสราเอล ➡️ คาดว่ามีงบรวมอย่างน้อย $175 พันล้าน และอาจสูงกว่านั้น ✅ ความเห็นจากผู้เกี่ยวข้อง ➡️ Gen. Chance Saltzman ระบุว่า “เราพึ่งพาอุตสาหกรรมในการแสดงศักยภาพ” ➡️ Sen. Rick Scott เตือนว่าไม่ควรพึ่งพาบริษัทเดียวในการสร้างระบบป้องกัน ➡️ Pentagon ชี้ว่าการผูกขาดอาจขัดขวางนวัตกรรมและเพิ่มต้นทุน https://www.tomshardware.com/tech-industry/elon-musks-spacex-will-reportedly-receive-usd2-billion-for-trumps-golden-dome-project-system-to-include-up-to-600-satellites-to-track-fast-moving-airborne-targets
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 146 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความ “The Internet is Dying” เตือนภัยอินเทอร์เน็ตยุคใหม่ที่ถูกครอบงำด้วยบอท, SEO Spam และเนื้อหา AI จนสูญเสียความเป็นมนุษย์

    บทความโดย Theena Kumaragurunathan ชี้ว่าเกือบครึ่งของทราฟฟิกอินเทอร์เน็ตในปี 2025 เป็นบอท และหากปล่อยไว้โดยไม่ควบคุม อาจนำไปสู่ “Zombie Internet” ที่ไร้ชีวิตและความจริงร่วมกัน

    สาระสำคัญจากบทความ
    ความทรงจำในยุคอินเทอร์เน็ตแรกเริ่ม ผู้เขียนเล่าย้อนถึงปี 2001 ที่อินเทอร์เน็ตเปิดโลกแห่งความรู้และแรงบันดาลใจให้เขาเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ โดยเน้นว่าอินเทอร์เน็ตยุคนั้นเต็มไปด้วยความจริงใจจากผู้ใช้จริง

    Dead Internet Theory คืออะไร? ทฤษฎีนี้ระบุว่าอินเทอร์เน็ตเริ่ม “ตาย” ตั้งแต่ปลายยุค 2010s เมื่อเนื้อหาถูกครอบงำด้วยบอท, SEO Spam และ AI-generated content จนผู้ใช้รู้สึกว่าโลกออนไลน์ไม่สดใสเหมือนเดิม

    หลักฐานจากงานวิจัย งานของ Bevendorff et al. พบว่าเว็บไซต์รีวิวสินค้าส่วนใหญ่เต็มไปด้วย SEO Spam และเนื้อหา AI ที่ไม่มีความจริงใจ ซึ่งสะท้อนถึงปัญหาในวงกว้าง เช่น ความแตกแยกทางการเมืองและสังคม

    ผลกระทบของ misinformation เนื้อหาเทียมจาก AI ทำให้ผู้คนสูญเสีย “ความจริงร่วมกัน” และสร้างความแตกแยกในสังคมอย่างรุนแรงในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา

    แนวทางฟื้นฟูอินเทอร์เน็ต งานวิจัยของ Campante et al. เสนอว่าเมื่อผู้คนตระหนักถึงภัยของเนื้อหาเทียม พวกเขาจะให้คุณค่ากับแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือมากขึ้น

    เครื่องมือและแนวทางต้าน Zombie Internet
    กรอง Spam และตรวจสอบความจริง
    mosparo, ASSP, Anubis: ป้องกันบอทและสแปม
    CAI SDK, iVerify, Disinfo Toolbox: ตรวจสอบแหล่งข่าวและเนื้อหา

    สร้างชุมชนออนไลน์ที่แท้จริง
    phpBB, Discourse: ฟอรั่มแบบเปิด
    Fediverse (Mastodon, Lemmy): โซเชียลแบบกระจายอำนาจ

    ปกป้องการท่องเว็บ
    DuckDuckGo, Searx: เสิร์ชแบบไม่ติด SEO Spam
    RSS และ curated communities: เข้าถึงเนื้อหาจากแหล่งที่เชื่อถือได้โดยตรง

    ข้อคิดจากผู้เขียน
    แทนที่จะเขียนคำไว้อาลัยให้กับอินเทอร์เน็ตที่เขาไม่รู้จักอีกต่อไป ผู้เขียนเลือกส่งสารถึง “ตัวเองในวัย 18 ปี” ว่า “ยังมีทางที่ดีกว่า และมันอยู่ในมือคุณแล้ว”

    https://news.itsfoss.com/internet-is-dying/
    🧠📉 บทความ “The Internet is Dying” เตือนภัยอินเทอร์เน็ตยุคใหม่ที่ถูกครอบงำด้วยบอท, SEO Spam และเนื้อหา AI จนสูญเสียความเป็นมนุษย์ บทความโดย Theena Kumaragurunathan ชี้ว่าเกือบครึ่งของทราฟฟิกอินเทอร์เน็ตในปี 2025 เป็นบอท และหากปล่อยไว้โดยไม่ควบคุม อาจนำไปสู่ “Zombie Internet” ที่ไร้ชีวิตและความจริงร่วมกัน 🧩 สาระสำคัญจากบทความ 💠 ความทรงจำในยุคอินเทอร์เน็ตแรกเริ่ม ผู้เขียนเล่าย้อนถึงปี 2001 ที่อินเทอร์เน็ตเปิดโลกแห่งความรู้และแรงบันดาลใจให้เขาเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ โดยเน้นว่าอินเทอร์เน็ตยุคนั้นเต็มไปด้วยความจริงใจจากผู้ใช้จริง 💠 Dead Internet Theory คืออะไร? ทฤษฎีนี้ระบุว่าอินเทอร์เน็ตเริ่ม “ตาย” ตั้งแต่ปลายยุค 2010s เมื่อเนื้อหาถูกครอบงำด้วยบอท, SEO Spam และ AI-generated content จนผู้ใช้รู้สึกว่าโลกออนไลน์ไม่สดใสเหมือนเดิม 💠 หลักฐานจากงานวิจัย งานของ Bevendorff et al. พบว่าเว็บไซต์รีวิวสินค้าส่วนใหญ่เต็มไปด้วย SEO Spam และเนื้อหา AI ที่ไม่มีความจริงใจ ซึ่งสะท้อนถึงปัญหาในวงกว้าง เช่น ความแตกแยกทางการเมืองและสังคม 💠 ผลกระทบของ misinformation เนื้อหาเทียมจาก AI ทำให้ผู้คนสูญเสีย “ความจริงร่วมกัน” และสร้างความแตกแยกในสังคมอย่างรุนแรงในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา 💠 แนวทางฟื้นฟูอินเทอร์เน็ต งานวิจัยของ Campante et al. เสนอว่าเมื่อผู้คนตระหนักถึงภัยของเนื้อหาเทียม พวกเขาจะให้คุณค่ากับแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือมากขึ้น 🛠️ เครื่องมือและแนวทางต้าน Zombie Internet 💠 กรอง Spam และตรวจสอบความจริง 🎗️ mosparo, ASSP, Anubis: ป้องกันบอทและสแปม 🎗️ CAI SDK, iVerify, Disinfo Toolbox: ตรวจสอบแหล่งข่าวและเนื้อหา 💠 สร้างชุมชนออนไลน์ที่แท้จริง 🎗️ phpBB, Discourse: ฟอรั่มแบบเปิด 🎗️ Fediverse (Mastodon, Lemmy): โซเชียลแบบกระจายอำนาจ 💠 ปกป้องการท่องเว็บ 🎗️ DuckDuckGo, Searx: เสิร์ชแบบไม่ติด SEO Spam 🎗️ RSS และ curated communities: เข้าถึงเนื้อหาจากแหล่งที่เชื่อถือได้โดยตรง 🧭 ข้อคิดจากผู้เขียน แทนที่จะเขียนคำไว้อาลัยให้กับอินเทอร์เน็ตที่เขาไม่รู้จักอีกต่อไป ผู้เขียนเลือกส่งสารถึง “ตัวเองในวัย 18 ปี” ว่า “ยังมีทางที่ดีกว่า และมันอยู่ในมือคุณแล้ว” https://news.itsfoss.com/internet-is-dying/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    The Internet is Dying. We Can Still Stop It
    Almost 50% of all internet traffic are non-human already. Unchecked, it could lead to a zombie internet.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 131 มุมมอง 0 รีวิว
  • โดรนจิ๋วเลียนแบบค้างคาว อาจเป็นฮีโร่ในภารกิจช่วยชีวิตกลางพายุและความมืด

    ในห้องทดลองที่ดูเหมือนฉากฮาโลวีน—มีหมอก ไฟสลัว และค้างคาวปลอม—นักวิจัยจาก Worcester Polytechnic Institute (WPI) กำลังพัฒนาโดรนขนาดเล็กที่อาจเปลี่ยนโลกของการค้นหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยในสถานการณ์สุดขั้ว เช่น พายุกลางคืน ควันไฟ หรือหิมะตกหนัก

    แรงบันดาลใจของพวกเขาคือ “ค้างคาว” สัตว์ที่สามารถบินในความมืดโดยใช้การสะท้อนเสียงหรือ echolocation นักวิจัยนำหลักการนี้มาสร้างโดรนที่ใช้เซนเซอร์อัลตราโซนิกคล้ายกับที่ใช้ในก๊อกน้ำอัตโนมัติ เพื่อส่งคลื่นเสียงและวิเคราะห์เสียงสะท้อนในการหลบหลีกสิ่งกีดขวาง

    โดรนจิ๋วนี้มีขนาดเท่าฝ่ามือ ใช้วัสดุราคาถูก และสามารถบินในที่มืดได้โดยไม่ต้องพึ่งแสงหรือกล้อง ทำให้เหมาะกับภารกิจช่วยชีวิตในสถานการณ์ที่โดรนทั่วไปใช้งานไม่ได้ เช่น ไฟไหม้กลางคืน หรือพื้นที่ที่ไม่มีไฟฟ้า

    นอกจากนั้น นักวิจัยยังใช้ AI เพื่อช่วยให้โดรนสามารถกรองเสียงรบกวนจากใบพัด และเรียนรู้การตีความเสียงสะท้อนอย่างแม่นยำมากขึ้น แม้ยังไม่สามารถเทียบชั้นกับค้างคาวที่สามารถตรวจจับเส้นผมมนุษย์จากระยะหลายเมตรได้ แต่ก็ถือเป็นก้าวสำคัญ

    ในอนาคต โดรนเหล่านี้อาจทำงานเป็น “ฝูงอัตโนมัติ” ที่สามารถตัดสินใจเองว่าจะค้นหาตรงไหน โดยใช้ข้อมูลจากกรณีผู้สูญหายในอดีตมาสร้างแบบจำลองพฤติกรรมของผู้ประสบภัย

    โดรนจิ๋วเลียนแบบค้างคาวใช้ echolocation เพื่อบินในความมืด
    ใช้เซนเซอร์อัลตราโซนิกในการตรวจจับสิ่งกีดขวาง
    ไม่ต้องพึ่งกล้องหรือแสงไฟในการทำงาน
    เหมาะกับภารกิจช่วยชีวิตในพื้นที่มืดหรือมีควัน

    โดรนมีขนาดเล็ก ราคาถูก และประหยัดพลังงาน
    ใช้วัสดุระดับงานอดิเรกในการประกอบ
    สามารถบินในห้องที่มีหมอกและแสงน้อยได้อย่างแม่นยำ

    ใช้ AI เพื่อปรับปรุงการรับเสียงและการตัดสินใจ
    ลดเสียงรบกวนจากใบพัดด้วยเปลือกพิมพ์ 3D
    สอนให้โดรนแยกแยะเสียงสะท้อนที่สำคัญ

    นักวิจัยพัฒนาโมเดลการค้นหาจากข้อมูลผู้สูญหาย
    ใช้ข้อมูลพฤติกรรมของผู้หลงทางในป่าเพื่อกำหนดเส้นทางค้นหา
    โดรนสามารถทำงานร่วมกับมนุษย์ในการค้นหาแบบอัตโนมัติ

    โดรนทั่วไปยังมีข้อจำกัดในการใช้งานในสถานการณ์สุดขั้ว
    ขนาดใหญ่ เทอะทะ และไม่สามารถบินในที่มืดหรือมีควันได้
    ต้องพึ่งพาการควบคุมจากมนุษย์และแสงไฟในการนำทาง

    การพัฒนาโดรนให้เทียบเท่าค้างคาวยังต้องใช้เวลา
    ค้างคาวสามารถกรองเสียงสะท้อนเฉพาะที่ต้องการได้อย่างแม่นยำ
    ความสามารถในการตรวจจับของโดรนยังห่างไกลจากธรรมชาติ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/31/how-tiny-drones-inspired-by-bats-could-save-lives-in-dark-and-stormy-conditions
    🦇 โดรนจิ๋วเลียนแบบค้างคาว อาจเป็นฮีโร่ในภารกิจช่วยชีวิตกลางพายุและความมืด ในห้องทดลองที่ดูเหมือนฉากฮาโลวีน—มีหมอก ไฟสลัว และค้างคาวปลอม—นักวิจัยจาก Worcester Polytechnic Institute (WPI) กำลังพัฒนาโดรนขนาดเล็กที่อาจเปลี่ยนโลกของการค้นหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยในสถานการณ์สุดขั้ว เช่น พายุกลางคืน ควันไฟ หรือหิมะตกหนัก แรงบันดาลใจของพวกเขาคือ “ค้างคาว” สัตว์ที่สามารถบินในความมืดโดยใช้การสะท้อนเสียงหรือ echolocation นักวิจัยนำหลักการนี้มาสร้างโดรนที่ใช้เซนเซอร์อัลตราโซนิกคล้ายกับที่ใช้ในก๊อกน้ำอัตโนมัติ เพื่อส่งคลื่นเสียงและวิเคราะห์เสียงสะท้อนในการหลบหลีกสิ่งกีดขวาง โดรนจิ๋วนี้มีขนาดเท่าฝ่ามือ ใช้วัสดุราคาถูก และสามารถบินในที่มืดได้โดยไม่ต้องพึ่งแสงหรือกล้อง ทำให้เหมาะกับภารกิจช่วยชีวิตในสถานการณ์ที่โดรนทั่วไปใช้งานไม่ได้ เช่น ไฟไหม้กลางคืน หรือพื้นที่ที่ไม่มีไฟฟ้า นอกจากนั้น นักวิจัยยังใช้ AI เพื่อช่วยให้โดรนสามารถกรองเสียงรบกวนจากใบพัด และเรียนรู้การตีความเสียงสะท้อนอย่างแม่นยำมากขึ้น แม้ยังไม่สามารถเทียบชั้นกับค้างคาวที่สามารถตรวจจับเส้นผมมนุษย์จากระยะหลายเมตรได้ แต่ก็ถือเป็นก้าวสำคัญ ในอนาคต โดรนเหล่านี้อาจทำงานเป็น “ฝูงอัตโนมัติ” ที่สามารถตัดสินใจเองว่าจะค้นหาตรงไหน โดยใช้ข้อมูลจากกรณีผู้สูญหายในอดีตมาสร้างแบบจำลองพฤติกรรมของผู้ประสบภัย ✅ โดรนจิ๋วเลียนแบบค้างคาวใช้ echolocation เพื่อบินในความมืด ➡️ ใช้เซนเซอร์อัลตราโซนิกในการตรวจจับสิ่งกีดขวาง ➡️ ไม่ต้องพึ่งกล้องหรือแสงไฟในการทำงาน ➡️ เหมาะกับภารกิจช่วยชีวิตในพื้นที่มืดหรือมีควัน ✅ โดรนมีขนาดเล็ก ราคาถูก และประหยัดพลังงาน ➡️ ใช้วัสดุระดับงานอดิเรกในการประกอบ ➡️ สามารถบินในห้องที่มีหมอกและแสงน้อยได้อย่างแม่นยำ ✅ ใช้ AI เพื่อปรับปรุงการรับเสียงและการตัดสินใจ ➡️ ลดเสียงรบกวนจากใบพัดด้วยเปลือกพิมพ์ 3D ➡️ สอนให้โดรนแยกแยะเสียงสะท้อนที่สำคัญ ✅ นักวิจัยพัฒนาโมเดลการค้นหาจากข้อมูลผู้สูญหาย ➡️ ใช้ข้อมูลพฤติกรรมของผู้หลงทางในป่าเพื่อกำหนดเส้นทางค้นหา ➡️ โดรนสามารถทำงานร่วมกับมนุษย์ในการค้นหาแบบอัตโนมัติ ‼️ โดรนทั่วไปยังมีข้อจำกัดในการใช้งานในสถานการณ์สุดขั้ว ⛔ ขนาดใหญ่ เทอะทะ และไม่สามารถบินในที่มืดหรือมีควันได้ ⛔ ต้องพึ่งพาการควบคุมจากมนุษย์และแสงไฟในการนำทาง ‼️ การพัฒนาโดรนให้เทียบเท่าค้างคาวยังต้องใช้เวลา ⛔ ค้างคาวสามารถกรองเสียงสะท้อนเฉพาะที่ต้องการได้อย่างแม่นยำ ⛔ ความสามารถในการตรวจจับของโดรนยังห่างไกลจากธรรมชาติ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/31/how-tiny-drones-inspired-by-bats-could-save-lives-in-dark-and-stormy-conditions
    WWW.THESTAR.COM.MY
    How tiny drones inspired by bats could save lives in dark and stormy conditions
    Don't be fooled by the fog machine, spooky lights and fake bats: the robotics lab at Worcester Polytechnic Institute lab isn't hosting a Halloween party.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 96 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Kafka เร็วก็จริง…แต่ Postgres ก็พอแล้ว” — เมื่อระบบ Pub/Sub และ Queue ไม่จำเป็นต้องซับซ้อนเสมอไป

    บทความนี้ตั้งคำถามกับแนวโน้มในวงการเทคโนโลยีที่มักเลือกใช้เครื่องมือที่ “ล้ำ” เกินความจำเป็น เช่น Kafka สำหรับระบบ pub/sub หรือ queue ทั้งที่ในหลายกรณี PostgreSQL ก็สามารถตอบโจทย์ได้ดีพอ โดยเฉพาะในยุคที่ฮาร์ดแวร์มีประสิทธิภาพสูงขึ้นมาก

    ผู้เขียนได้ทำการ benchmark เปรียบเทียบประสิทธิภาพของ PostgreSQL ในการทำงานเป็นระบบ pub/sub และ queue โดยใช้แนวทางที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก Kafka เช่น การใช้ตาราง log partition, offset, และ consumer group เพื่อจำลองพฤติกรรมของ Kafka

    ผลการทดสอบชี้ว่า PostgreSQL สามารถรองรับโหลดระดับหลายแสนข้อความต่อวินาทีได้ โดยเฉพาะในระบบ pub/sub ที่มีการอ่านแบบ fanout สูงถึง 5 เท่า และ latency ที่ยังอยู่ในระดับที่ยอมรับได้

    แนวคิดหลัก
    ไม่จำเป็นต้องใช้ Kafka เสมอไป โดยเฉพาะในระบบที่ไม่ได้มีโหลดระดับ “web-scale”
    PostgreSQL เพียงตัวเดียวสามารถรองรับ use case ได้ถึง 80% ด้วย effort แค่ 20%

    ผลการทดสอบ Pub/Sub
    บนเครื่อง 96 vCPU: เขียนได้ 243,000 msg/s, อ่านได้ 1.2 ล้าน msg/s
    latency p99 อยู่ที่ 853ms, p95 ที่ 242ms
    ใช้ CPU เพียง ~10% แสดงถึงศักยภาพที่ยังเหลืออีกมาก

    ผลการทดสอบ Queue
    บนเครื่อง 96 vCPU: throughput 20,144 msg/s
    latency p99 อยู่ที่ 930ms
    bottleneck อยู่ที่ single-table design ไม่ใช่ที่ฮาร์ดแวร์

    ข้อดีของการใช้ PostgreSQL
    ใช้ SQL ธรรมดาในการ debug, แก้ไข, ลบ หรือ join ข้อมูล
    ลดความซับซ้อนของระบบและค่าใช้จ่ายในการดูแล
    เหมาะกับองค์กรที่ยังไม่ถึงระดับ scale ใหญ่

    บทความนี้ไม่ได้บอกว่า PostgreSQL ดีกว่า Kafka เสมอไป — แต่ชี้ให้เห็นว่า “ความเรียบง่าย” อาจเป็นคำตอบที่ดีกว่าในหลายกรณี โดยเฉพาะเมื่อคุณยังไม่ได้มีปัญหาระดับ “Google-scale”

    https://topicpartition.io/blog/postgres-pubsub-queue-benchmarks
    🗃️ “Kafka เร็วก็จริง…แต่ Postgres ก็พอแล้ว” — เมื่อระบบ Pub/Sub และ Queue ไม่จำเป็นต้องซับซ้อนเสมอไป บทความนี้ตั้งคำถามกับแนวโน้มในวงการเทคโนโลยีที่มักเลือกใช้เครื่องมือที่ “ล้ำ” เกินความจำเป็น เช่น Kafka สำหรับระบบ pub/sub หรือ queue ทั้งที่ในหลายกรณี PostgreSQL ก็สามารถตอบโจทย์ได้ดีพอ โดยเฉพาะในยุคที่ฮาร์ดแวร์มีประสิทธิภาพสูงขึ้นมาก ผู้เขียนได้ทำการ benchmark เปรียบเทียบประสิทธิภาพของ PostgreSQL ในการทำงานเป็นระบบ pub/sub และ queue โดยใช้แนวทางที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก Kafka เช่น การใช้ตาราง log partition, offset, และ consumer group เพื่อจำลองพฤติกรรมของ Kafka 📊 ผลการทดสอบชี้ว่า PostgreSQL สามารถรองรับโหลดระดับหลายแสนข้อความต่อวินาทีได้ โดยเฉพาะในระบบ pub/sub ที่มีการอ่านแบบ fanout สูงถึง 5 เท่า และ latency ที่ยังอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ ✅ แนวคิดหลัก ➡️ ไม่จำเป็นต้องใช้ Kafka เสมอไป โดยเฉพาะในระบบที่ไม่ได้มีโหลดระดับ “web-scale” ➡️ PostgreSQL เพียงตัวเดียวสามารถรองรับ use case ได้ถึง 80% ด้วย effort แค่ 20% ✅ ผลการทดสอบ Pub/Sub ➡️ บนเครื่อง 96 vCPU: เขียนได้ 243,000 msg/s, อ่านได้ 1.2 ล้าน msg/s ➡️ latency p99 อยู่ที่ 853ms, p95 ที่ 242ms ➡️ ใช้ CPU เพียง ~10% แสดงถึงศักยภาพที่ยังเหลืออีกมาก ✅ ผลการทดสอบ Queue ➡️ บนเครื่อง 96 vCPU: throughput 20,144 msg/s ➡️ latency p99 อยู่ที่ 930ms ➡️ bottleneck อยู่ที่ single-table design ไม่ใช่ที่ฮาร์ดแวร์ ✅ ข้อดีของการใช้ PostgreSQL ➡️ ใช้ SQL ธรรมดาในการ debug, แก้ไข, ลบ หรือ join ข้อมูล ➡️ ลดความซับซ้อนของระบบและค่าใช้จ่ายในการดูแล ➡️ เหมาะกับองค์กรที่ยังไม่ถึงระดับ scale ใหญ่ บทความนี้ไม่ได้บอกว่า PostgreSQL ดีกว่า Kafka เสมอไป — แต่ชี้ให้เห็นว่า “ความเรียบง่าย” อาจเป็นคำตอบที่ดีกว่าในหลายกรณี โดยเฉพาะเมื่อคุณยังไม่ได้มีปัญหาระดับ “Google-scale” https://topicpartition.io/blog/postgres-pubsub-queue-benchmarks
    TOPICPARTITION.IO
    Kafka is fast -- I'll use Postgres
    Why you should just use Postgres instead of Kafka for small-scale message queuing and pub-sub patterns. Benchmarks and practical tests included.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 108 มุมมอง 0 รีวิว
  • หัวข้อข่าว: “โดรนกระดาษเกาหลี เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส – ราคาถูก ซ่อมง่าย ใช้จริงในภารกิจทหาร”

    ในยุคที่สงครามและวิกฤตสิ่งแวดล้อมกำลังท้าทายโลก WOW Future Tech บริษัทสตาร์ทอัพจากเกาหลีใต้ได้เปิดตัว “AirSense UAV” โดรนที่สร้างจากกระดาษแข็งและเส้นใยธรรมชาติ ซึ่งไม่ใช่แค่ราคาถูก แต่ยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและซ่อมง่ายอย่างเหลือเชื่อ

    แรงบันดาลใจของ CEO มุนจู คิม มาจากสงครามในยูเครน ที่ทำให้เกิดปัญหาขาดแคลนโดรนในสนามรบ เขาจึงคิดค้นวิธีสร้างโดรนจากวัสดุที่หาได้ง่ายทั่วโลก โดยใช้กระดาษแข็งแทนคาร์บอนไฟเบอร์ ทำให้ต้นทุนลดลงถึง 10 เท่า – จากราคาปกติหลายหมื่นเหรียญ เหลือเพียงประมาณ $1,400 ต่อเครื่อง

    โดรนรุ่นนี้ไม่เพียงแต่ราคาถูก แต่ยังสามารถซ่อมแซมได้ง่ายด้วยเทปหรือกระดาษซ้อนชั้น ไม่ต้องใช้ชิ้นส่วนพิเศษหรือเครื่องมือซับซ้อน นอกจากนี้ยังมีการติดตั้งเซ็นเซอร์ตรวจวัดคุณภาพอากาศที่ผลิตในประเทศ ซึ่งมีราคาถูกกว่าของนำเข้าและมีประสิทธิภาพสูงกว่า

    แม้จะเน้นการใช้งานพลเรือน แต่กระทรวงกลาโหมเกาหลีก็ให้ความสนใจ โดยเริ่มทดสอบใช้งานในภารกิจฝึกและลาดตระเวน และมีแผนจะขยายการใช้งานในอนาคต

    จุดเด่นของโดรนกระดาษ AirSense UAV
    วัสดุหลักคือกระดาษแข็งและเส้นใยธรรมชาติ
    ต้นทุนการผลิตต่ำเพียง ~$1,400 ต่อเครื่อง
    ซ่อมง่ายด้วยเทปหรือกระดาษซ้อน ไม่ต้องใช้ชิ้นส่วนพิเศษ

    ความสามารถด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน
    วัสดุรีไซเคิลได้และหาได้ง่ายทั่วโลก
    ลดการพึ่งพาวัสดุสิ้นเปลืองอย่างคาร์บอนไฟเบอร์
    เหมาะกับการใช้งานในพื้นที่ขาดแคลนทรัพยากร

    การใช้งานในภารกิจจริง
    ทดสอบโดยกระทรวงกลาโหมเกาหลีใต้
    ใช้ในภารกิจฝึกและลาดตระเวน
    มีแผนขยายการใช้งานในเชิงพาณิชย์และต่างประเทศ

    การติดตั้งเซ็นเซอร์ตรวจวัดอากาศ
    ใช้เซ็นเซอร์ผลิตในประเทศ ราคาถูกกว่าของนำเข้า
    มีเทคโนโลยีเหนือกว่าชิ้นส่วนต่างประเทศ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/koreas-cardboard-drones-address-uav-shortages-and-climate-crisis-inspired-by-the-ukraine-war-drone-inventor-looked-for-the-most-easily-sourced-and-repairable-materials
    📦 หัวข้อข่าว: “โดรนกระดาษเกาหลี เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส – ราคาถูก ซ่อมง่าย ใช้จริงในภารกิจทหาร” ในยุคที่สงครามและวิกฤตสิ่งแวดล้อมกำลังท้าทายโลก WOW Future Tech บริษัทสตาร์ทอัพจากเกาหลีใต้ได้เปิดตัว “AirSense UAV” โดรนที่สร้างจากกระดาษแข็งและเส้นใยธรรมชาติ ซึ่งไม่ใช่แค่ราคาถูก แต่ยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและซ่อมง่ายอย่างเหลือเชื่อ แรงบันดาลใจของ CEO มุนจู คิม มาจากสงครามในยูเครน ที่ทำให้เกิดปัญหาขาดแคลนโดรนในสนามรบ เขาจึงคิดค้นวิธีสร้างโดรนจากวัสดุที่หาได้ง่ายทั่วโลก โดยใช้กระดาษแข็งแทนคาร์บอนไฟเบอร์ ทำให้ต้นทุนลดลงถึง 10 เท่า – จากราคาปกติหลายหมื่นเหรียญ เหลือเพียงประมาณ $1,400 ต่อเครื่อง โดรนรุ่นนี้ไม่เพียงแต่ราคาถูก แต่ยังสามารถซ่อมแซมได้ง่ายด้วยเทปหรือกระดาษซ้อนชั้น ไม่ต้องใช้ชิ้นส่วนพิเศษหรือเครื่องมือซับซ้อน นอกจากนี้ยังมีการติดตั้งเซ็นเซอร์ตรวจวัดคุณภาพอากาศที่ผลิตในประเทศ ซึ่งมีราคาถูกกว่าของนำเข้าและมีประสิทธิภาพสูงกว่า แม้จะเน้นการใช้งานพลเรือน แต่กระทรวงกลาโหมเกาหลีก็ให้ความสนใจ โดยเริ่มทดสอบใช้งานในภารกิจฝึกและลาดตระเวน และมีแผนจะขยายการใช้งานในอนาคต ✅ จุดเด่นของโดรนกระดาษ AirSense UAV ➡️ วัสดุหลักคือกระดาษแข็งและเส้นใยธรรมชาติ ➡️ ต้นทุนการผลิตต่ำเพียง ~$1,400 ต่อเครื่อง ➡️ ซ่อมง่ายด้วยเทปหรือกระดาษซ้อน ไม่ต้องใช้ชิ้นส่วนพิเศษ ✅ ความสามารถด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน ➡️ วัสดุรีไซเคิลได้และหาได้ง่ายทั่วโลก ➡️ ลดการพึ่งพาวัสดุสิ้นเปลืองอย่างคาร์บอนไฟเบอร์ ➡️ เหมาะกับการใช้งานในพื้นที่ขาดแคลนทรัพยากร ✅ การใช้งานในภารกิจจริง ➡️ ทดสอบโดยกระทรวงกลาโหมเกาหลีใต้ ➡️ ใช้ในภารกิจฝึกและลาดตระเวน ➡️ มีแผนขยายการใช้งานในเชิงพาณิชย์และต่างประเทศ ✅ การติดตั้งเซ็นเซอร์ตรวจวัดอากาศ ➡️ ใช้เซ็นเซอร์ผลิตในประเทศ ราคาถูกกว่าของนำเข้า ➡️ มีเทคโนโลยีเหนือกว่าชิ้นส่วนต่างประเทศ https://www.tomshardware.com/tech-industry/koreas-cardboard-drones-address-uav-shortages-and-climate-crisis-inspired-by-the-ukraine-war-drone-inventor-looked-for-the-most-easily-sourced-and-repairable-materials
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 195 มุมมอง 0 รีวิว
  • GPUI Component คือชุด UI สำหรับสร้างแอปเดสก์ท็อปด้วย Rust ที่เน้นความเร็ว ความยืดหยุ่น และดีไซน์ทันสมัย

    GPUI Component เป็นไลบรารี UI แบบ cross-platform ที่พัฒนาโดย Longbridge เพื่อใช้กับเฟรมเวิร์ก GPUI โดยเน้นการสร้างแอปเดสก์ท็อปที่มีประสิทธิภาพสูง ใช้งานง่าย และมีดีไซน์ทันสมัยคล้าย macOS และ Windows

    จุดเด่นของ GPUI Component

    มีมากกว่า 60 UI components เช่น ปุ่ม, ตาราง, กราฟ, Markdown viewer, code editor
    ดีไซน์ทันสมัย ได้แรงบันดาลใจจาก shadcn/ui และ native controls ของ macOS/Windows
    ใช้งานง่าย ด้วยแนวคิด Stateless RenderOnce และ API ที่เป็นธรรมชาติ
    รองรับธีมหลายแบบ และปรับแต่งสีผ่าน ThemeColor ได้
    รองรับ layout ที่ยืดหยุ่น เช่น dock layout และ tiles layout
    ประสิทธิภาพสูง โดยเฉพาะกับข้อมูลขนาดใหญ่ เช่น virtualized table/list
    รองรับ Markdown และ HTML รวมถึง syntax highlighting ด้วย Tree Sitter
    มี code editor ในตัว รองรับ LSP และไฟล์ขนาดใหญ่ถึง 200K บรรทัด

    ฟีเจอร์เพิ่มเติมที่น่าสนใจ
    WebView (ทดลองใช้): ใช้ Wry เป็น backend สำหรับแสดงเว็บในแอป
    ระบบ Icon: รองรับ SVG โดยใช้ Lucide หรือไอคอนที่กำหนดเอง
    ระบบ Theme: รองรับ multi-theme และการกำหนดค่าผ่าน JSON schema
    ตัวอย่างการใช้งาน: มีตัวอย่างในโฟลเดอร์ examples และสามารถรันด้วย cargo run --example <name>

    https://github.com/longbridge/gpui-component
    📦 GPUI Component คือชุด UI สำหรับสร้างแอปเดสก์ท็อปด้วย Rust ที่เน้นความเร็ว ความยืดหยุ่น และดีไซน์ทันสมัย GPUI Component เป็นไลบรารี UI แบบ cross-platform ที่พัฒนาโดย Longbridge เพื่อใช้กับเฟรมเวิร์ก GPUI โดยเน้นการสร้างแอปเดสก์ท็อปที่มีประสิทธิภาพสูง ใช้งานง่าย และมีดีไซน์ทันสมัยคล้าย macOS และ Windows 🎯 จุดเด่นของ GPUI Component 🎗️ มีมากกว่า 60 UI components เช่น ปุ่ม, ตาราง, กราฟ, Markdown viewer, code editor 🎗️ ดีไซน์ทันสมัย ได้แรงบันดาลใจจาก shadcn/ui และ native controls ของ macOS/Windows 🎗️ ใช้งานง่าย ด้วยแนวคิด Stateless RenderOnce และ API ที่เป็นธรรมชาติ 🎗️ รองรับธีมหลายแบบ และปรับแต่งสีผ่าน ThemeColor ได้ 🎗️ รองรับ layout ที่ยืดหยุ่น เช่น dock layout และ tiles layout 🎗️ ประสิทธิภาพสูง โดยเฉพาะกับข้อมูลขนาดใหญ่ เช่น virtualized table/list 🎗️ รองรับ Markdown และ HTML รวมถึง syntax highlighting ด้วย Tree Sitter 🎗️ มี code editor ในตัว รองรับ LSP และไฟล์ขนาดใหญ่ถึง 200K บรรทัด 🧪 ฟีเจอร์เพิ่มเติมที่น่าสนใจ 🎗️ WebView (ทดลองใช้): ใช้ Wry เป็น backend สำหรับแสดงเว็บในแอป 🎗️ ระบบ Icon: รองรับ SVG โดยใช้ Lucide หรือไอคอนที่กำหนดเอง 🎗️ ระบบ Theme: รองรับ multi-theme และการกำหนดค่าผ่าน JSON schema 🎗️ ตัวอย่างการใช้งาน: มีตัวอย่างในโฟลเดอร์ examples และสามารถรันด้วย cargo run --example <name> https://github.com/longbridge/gpui-component
    GITHUB.COM
    GitHub - longbridge/gpui-component: Rust GUI components for building fantastic cross-platform desktop application by using GPUI.
    Rust GUI components for building fantastic cross-platform desktop application by using GPUI. - longbridge/gpui-component
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 100 มุมมอง 0 รีวิว
  • “บั๊กเดียวเปลี่ยนชีวิต! เมื่อ PyTorch สอนมากกว่าหลายปีที่ใช้งาน”

    ลองจินตนาการว่าคุณกำลังเทรนโมเดล deep learning บน MacBook ด้วย PyTorch แล้วอยู่ดีๆ loss ก็หยุดนิ่งไม่ขยับ ทั้งที่คุณมั่นใจว่าโค้ดไม่มีปัญหา… นี่คือจุดเริ่มต้นของการผจญภัยของ Elana Simon นักวิจัยจาก Stanford ที่ค้นพบว่าไม่ใช่แค่ hyperparameter ที่ผิด แต่เป็นบั๊กลึกใน PyTorch ที่ซ่อนอยู่ในระดับ kernel บน Apple Silicon GPU!

    เธอเริ่มจากการสงสัยตัวเอง ลองปรับทุกอย่างที่คิดได้ ตั้งแต่ learning rate ไปจนถึง auxiliary loss แต่ encoder weights กลับไม่ขยับเลยแม้แต่นิดเดียว ทั้งที่ decoder weights กลับอัปเดตตามปกติ สุดท้ายเธอพบว่า optimizer Adam บน MPS (Metal Performance Shaders) มีปัญหากับ tensor ที่ไม่ contiguous ซึ่งทำให้บาง operation อย่าง addcmul_() และ addcdiv_() ไม่อัปเดตค่าเลยแม้จะคำนวณเสร็จแล้ว!

    การแก้ปัญหานี้ไม่ใช่แค่การเรียก .contiguous() แต่ยังต้องเข้าใจการทำงานของ kernel, memory layout, และ dispatch system ของ PyTorch อย่างลึกซึ้ง ซึ่งเธอได้เรียนรู้ทั้งหมดจากการไล่ debug ทีละขั้นตอน และสุดท้ายก็สามารถแก้บั๊กได้เอง พร้อมส่ง pull request ไปยัง PyTorch repo!

    นอกจากนั้น เธอยังพบว่า operation อื่นๆ เช่น random_() ก็มีบั๊กแบบเดียวกัน และทั้งหมดนี้เกิดจาก abstraction ที่ “รั่ว” ของ Placeholder ที่ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังจัดการกับ output tensor หรือ input tensor

    เรื่องนี้ไม่ใช่แค่การแก้บั๊ก แต่เป็นบทเรียนสำคัญในการเข้าใจระบบที่เราใช้งานอยู่ และเป็นแรงบันดาลใจให้ใครหลายคนกล้าลงลึกเพื่อเข้าใจสิ่งที่อยู่เบื้องหลัง framework ที่เราใช้ทุกวัน

    ปัญหาเริ่มต้นจาก loss ที่ไม่ลดลง
    เกิดขึ้นกับ encoder weights ที่ไม่อัปเดตเลย

    การตรวจสอบพบว่า gradients มีอยู่จริง
    encoder มี gradient ขนาดใหญ่และไม่เป็น NaN

    Optimizer Adam เป็นต้นเหตุ
    encoder weights ไม่อัปเดตเมื่อใช้ Adam แต่ทำงานปกติเมื่อใช้ SGD

    การตรวจสอบ state ของ Adam พบว่า exp_avg_sq เป็นศูนย์
    ทั้งที่ควรมีค่าเพราะ gradients ไม่เป็นศูนย์

    การเปลี่ยนไปใช้ float64 ทำให้ปัญหาหายไป
    แต่จริงๆ แล้วเป็นเพราะเปลี่ยนจาก MPS ไปใช้ CPU โดยไม่ตั้งใจ

    ปัญหาเกิดจาก device-specific kernel บน MPS
    บาง operation ไม่สามารถเขียนค่าลงใน non-contiguous tensor ได้

    การแก้ไขคือการทำ tensor ให้ contiguous ก่อนใช้งาน
    โดยเรียก .contiguous() ก่อน optimizer step

    การตรวจสอบ source code พบว่า operation บางตัวไม่เช็ค contiguity
    เช่น addcmul_() และ addcdiv_() บน MPS ไม่ทำ copy-back

    การแก้ไขใน PyTorch v2.4 ได้แก้ปัญหานี้แล้ว
    โดยเพิ่มขั้นตอน copy-back สำหรับ non-contiguous output

    macOS 15 รองรับ non-contiguous tensor โดยตรง
    ลดความจำเป็นในการ workaround ด้วยการ copy

    https://elanapearl.github.io/blog/2025/the-bug-that-taught-me-pytorch/
    🧠 “บั๊กเดียวเปลี่ยนชีวิต! เมื่อ PyTorch สอนมากกว่าหลายปีที่ใช้งาน” ลองจินตนาการว่าคุณกำลังเทรนโมเดล deep learning บน MacBook ด้วย PyTorch แล้วอยู่ดีๆ loss ก็หยุดนิ่งไม่ขยับ ทั้งที่คุณมั่นใจว่าโค้ดไม่มีปัญหา… นี่คือจุดเริ่มต้นของการผจญภัยของ Elana Simon นักวิจัยจาก Stanford ที่ค้นพบว่าไม่ใช่แค่ hyperparameter ที่ผิด แต่เป็นบั๊กลึกใน PyTorch ที่ซ่อนอยู่ในระดับ kernel บน Apple Silicon GPU! เธอเริ่มจากการสงสัยตัวเอง ลองปรับทุกอย่างที่คิดได้ ตั้งแต่ learning rate ไปจนถึง auxiliary loss แต่ encoder weights กลับไม่ขยับเลยแม้แต่นิดเดียว ทั้งที่ decoder weights กลับอัปเดตตามปกติ สุดท้ายเธอพบว่า optimizer Adam บน MPS (Metal Performance Shaders) มีปัญหากับ tensor ที่ไม่ contiguous ซึ่งทำให้บาง operation อย่าง addcmul_() และ addcdiv_() ไม่อัปเดตค่าเลยแม้จะคำนวณเสร็จแล้ว! การแก้ปัญหานี้ไม่ใช่แค่การเรียก .contiguous() แต่ยังต้องเข้าใจการทำงานของ kernel, memory layout, และ dispatch system ของ PyTorch อย่างลึกซึ้ง ซึ่งเธอได้เรียนรู้ทั้งหมดจากการไล่ debug ทีละขั้นตอน และสุดท้ายก็สามารถแก้บั๊กได้เอง พร้อมส่ง pull request ไปยัง PyTorch repo! นอกจากนั้น เธอยังพบว่า operation อื่นๆ เช่น random_() ก็มีบั๊กแบบเดียวกัน และทั้งหมดนี้เกิดจาก abstraction ที่ “รั่ว” ของ Placeholder ที่ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังจัดการกับ output tensor หรือ input tensor เรื่องนี้ไม่ใช่แค่การแก้บั๊ก แต่เป็นบทเรียนสำคัญในการเข้าใจระบบที่เราใช้งานอยู่ และเป็นแรงบันดาลใจให้ใครหลายคนกล้าลงลึกเพื่อเข้าใจสิ่งที่อยู่เบื้องหลัง framework ที่เราใช้ทุกวัน ✅ ปัญหาเริ่มต้นจาก loss ที่ไม่ลดลง ➡️ เกิดขึ้นกับ encoder weights ที่ไม่อัปเดตเลย ✅ การตรวจสอบพบว่า gradients มีอยู่จริง ➡️ encoder มี gradient ขนาดใหญ่และไม่เป็น NaN ✅ Optimizer Adam เป็นต้นเหตุ ➡️ encoder weights ไม่อัปเดตเมื่อใช้ Adam แต่ทำงานปกติเมื่อใช้ SGD ✅ การตรวจสอบ state ของ Adam พบว่า exp_avg_sq เป็นศูนย์ ➡️ ทั้งที่ควรมีค่าเพราะ gradients ไม่เป็นศูนย์ ✅ การเปลี่ยนไปใช้ float64 ทำให้ปัญหาหายไป ➡️ แต่จริงๆ แล้วเป็นเพราะเปลี่ยนจาก MPS ไปใช้ CPU โดยไม่ตั้งใจ ✅ ปัญหาเกิดจาก device-specific kernel บน MPS ➡️ บาง operation ไม่สามารถเขียนค่าลงใน non-contiguous tensor ได้ ✅ การแก้ไขคือการทำ tensor ให้ contiguous ก่อนใช้งาน ➡️ โดยเรียก .contiguous() ก่อน optimizer step ✅ การตรวจสอบ source code พบว่า operation บางตัวไม่เช็ค contiguity ➡️ เช่น addcmul_() และ addcdiv_() บน MPS ไม่ทำ copy-back ✅ การแก้ไขใน PyTorch v2.4 ได้แก้ปัญหานี้แล้ว ➡️ โดยเพิ่มขั้นตอน copy-back สำหรับ non-contiguous output ✅ macOS 15 รองรับ non-contiguous tensor โดยตรง ➡️ ลดความจำเป็นในการ workaround ด้วยการ copy https://elanapearl.github.io/blog/2025/the-bug-that-taught-me-pytorch/
    ELANAPEARL.GITHUB.IO
    the bug that taught me more about PyTorch than years of using it
    a loss plateau that looked like my mistake turned out to be a PyTorch bug. tracking it down meant peeling back every layer of abstraction, from optimizer internals to GPU kernels.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 165 มุมมอง 0 รีวิว
  • “เมื่อใบเสร็จกลายเป็นช่องทางสื่อสาร – โปรเจกต์สุดแหวกที่เปิดให้คนแปลกหน้าส่งข้อความถึงโต๊ะทำงาน”

    Andrew Schmelyun นักพัฒนาเว็บสายสร้างสรรค์ ได้เปิดโปรเจกต์สุดแหวกแนวที่ผสมผสานโลกดิจิทัลกับโลกจริงอย่างลงตัว เขาเปิดให้คนแปลกหน้าทั่วโลกส่งข้อความถึงเขาแบบ “ไร้ตัวตน” ผ่านเว็บไซต์ที่เชื่อมต่อกับเครื่องพิมพ์ใบเสร็จบนโต๊ะทำงานของเขาโดยตรง

    แรงบันดาลใจมาจากเพื่อนของเขาที่มีระบบส่งข้อความไปยังโทรศัพท์มือถือ แต่ Andrew ต้องการสิ่งที่ “จับต้องได้” มากกว่า จึงใช้เครื่องพิมพ์ใบเสร็จ Epson TM-T88IV ที่เคยใช้ในโปรเจกต์อื่น ๆ มาเป็นช่องทางรับข้อความ

    เขาสร้างเว็บไซต์ด้วย Laravel บน Raspberry Pi ที่เชื่อมต่อกับเครื่องพิมพ์โดยตรงผ่านพอร์ต USB และใช้คำสั่ง ESC/POS ในการสั่งพิมพ์ข้อความ โดยมีระบบตรวจสอบความยาวและตัวอักษรเพื่อให้แน่ใจว่าข้อความจะพิมพ์ออกมาได้อย่างถูกต้อง

    หลังเปิดให้ใช้งานผ่าน Cloudflare Tunnel เขาได้รับข้อความมากกว่า 1,000 ฉบับจากทั่วโลก ทั้ง ASCII art, บทกวี, มุกตลก, และคำทักทายจากประเทศต่าง ๆ จนเขาตัดสินใจซื้อแผนที่โลกและปักหมุดตามข้อความที่ได้รับ

    แนวคิดของโปรเจกต์
    เปิดให้คนแปลกหน้าส่งข้อความผ่านเว็บไซต์ไปยังเครื่องพิมพ์ใบเสร็จที่โต๊ะทำงาน
    สร้างประสบการณ์การสื่อสารแบบ “จับต้องได้” จากโลกออนไลน์

    ฮาร์ดแวร์ที่ใช้
    เครื่องพิมพ์ Epson TM-T88IV แบบ thermal ไม่ต้องใช้หมึก
    เชื่อมต่อผ่าน Raspberry Pi 4 ด้วย USB
    ใช้ไฟล์ /dev/usb/lp0 เป็นช่องทางส่งข้อมูลไปยังเครื่องพิมพ์

    การพัฒนาเว็บไซต์
    ใช้ Laravel framework บน Raspberry Pi
    ตรวจสอบข้อความก่อนพิมพ์ เช่น ความยาว ตัวอักษรพิเศษ และ transaction number
    ใช้คำสั่ง ESC/POS ในการจัดรูปแบบและสั่งพิมพ์

    การเปิดให้ใช้งาน
    โฮสต์เว็บไซต์บน Raspberry Pi โดยตรง
    ใช้ Cloudflare Tunnel เพื่อเปิดให้เข้าถึงจากอินเทอร์เน็ต
    รองรับ HTTPS และ DNS โดยอัตโนมัติ

    ปฏิกิริยาจากผู้ใช้งาน
    ได้รับข้อความมากกว่า 1,000 ฉบับจากทั่วโลก
    มีข้อความจาก 40 ประเทศ พร้อมปักหมุดบนแผนที่โลก
    ผู้คนชื่นชอบความเรียบง่ายและความเป็นมนุษย์ของการสื่อสารผ่านใบเสร็จ

    https://aschmelyun.com/blog/i-invited-strangers-to-message-me-through-a-receipt-printer/
    📰 “เมื่อใบเสร็จกลายเป็นช่องทางสื่อสาร – โปรเจกต์สุดแหวกที่เปิดให้คนแปลกหน้าส่งข้อความถึงโต๊ะทำงาน” Andrew Schmelyun นักพัฒนาเว็บสายสร้างสรรค์ ได้เปิดโปรเจกต์สุดแหวกแนวที่ผสมผสานโลกดิจิทัลกับโลกจริงอย่างลงตัว เขาเปิดให้คนแปลกหน้าทั่วโลกส่งข้อความถึงเขาแบบ “ไร้ตัวตน” ผ่านเว็บไซต์ที่เชื่อมต่อกับเครื่องพิมพ์ใบเสร็จบนโต๊ะทำงานของเขาโดยตรง แรงบันดาลใจมาจากเพื่อนของเขาที่มีระบบส่งข้อความไปยังโทรศัพท์มือถือ แต่ Andrew ต้องการสิ่งที่ “จับต้องได้” มากกว่า จึงใช้เครื่องพิมพ์ใบเสร็จ Epson TM-T88IV ที่เคยใช้ในโปรเจกต์อื่น ๆ มาเป็นช่องทางรับข้อความ เขาสร้างเว็บไซต์ด้วย Laravel บน Raspberry Pi ที่เชื่อมต่อกับเครื่องพิมพ์โดยตรงผ่านพอร์ต USB และใช้คำสั่ง ESC/POS ในการสั่งพิมพ์ข้อความ โดยมีระบบตรวจสอบความยาวและตัวอักษรเพื่อให้แน่ใจว่าข้อความจะพิมพ์ออกมาได้อย่างถูกต้อง หลังเปิดให้ใช้งานผ่าน Cloudflare Tunnel เขาได้รับข้อความมากกว่า 1,000 ฉบับจากทั่วโลก ทั้ง ASCII art, บทกวี, มุกตลก, และคำทักทายจากประเทศต่าง ๆ จนเขาตัดสินใจซื้อแผนที่โลกและปักหมุดตามข้อความที่ได้รับ ✅ แนวคิดของโปรเจกต์ ➡️ เปิดให้คนแปลกหน้าส่งข้อความผ่านเว็บไซต์ไปยังเครื่องพิมพ์ใบเสร็จที่โต๊ะทำงาน ➡️ สร้างประสบการณ์การสื่อสารแบบ “จับต้องได้” จากโลกออนไลน์ ✅ ฮาร์ดแวร์ที่ใช้ ➡️ เครื่องพิมพ์ Epson TM-T88IV แบบ thermal ไม่ต้องใช้หมึก ➡️ เชื่อมต่อผ่าน Raspberry Pi 4 ด้วย USB ➡️ ใช้ไฟล์ /dev/usb/lp0 เป็นช่องทางส่งข้อมูลไปยังเครื่องพิมพ์ ✅ การพัฒนาเว็บไซต์ ➡️ ใช้ Laravel framework บน Raspberry Pi ➡️ ตรวจสอบข้อความก่อนพิมพ์ เช่น ความยาว ตัวอักษรพิเศษ และ transaction number ➡️ ใช้คำสั่ง ESC/POS ในการจัดรูปแบบและสั่งพิมพ์ ✅ การเปิดให้ใช้งาน ➡️ โฮสต์เว็บไซต์บน Raspberry Pi โดยตรง ➡️ ใช้ Cloudflare Tunnel เพื่อเปิดให้เข้าถึงจากอินเทอร์เน็ต ➡️ รองรับ HTTPS และ DNS โดยอัตโนมัติ ✅ ปฏิกิริยาจากผู้ใช้งาน ➡️ ได้รับข้อความมากกว่า 1,000 ฉบับจากทั่วโลก ➡️ มีข้อความจาก 40 ประเทศ พร้อมปักหมุดบนแผนที่โลก ➡️ ผู้คนชื่นชอบความเรียบง่ายและความเป็นมนุษย์ของการสื่อสารผ่านใบเสร็จ https://aschmelyun.com/blog/i-invited-strangers-to-message-me-through-a-receipt-printer/
    ASCHMELYUN.COM
    I invited strangers to message me through a receipt printer
    Not only did I give internet strangers unrestricted access to send me completely anonymous physical messages, but I also self-hosted the entire site on a Raspberry Pi
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 122 มุมมอง 0 รีวิว
  • เพลงที่ทำให้ Evangelion เป็นมากกว่าอนิเมะ: เปิดตำนาน A Cruel Angel’s Thesis

    เพลง “A Cruel Angel’s Thesis” หรือที่รู้จักในชื่อภาษาญี่ปุ่นว่า “Zankoku na Tenshi no Tēze” ถือเป็นหนึ่งในเพลงประกอบอนิเมะที่ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์วัฒนธรรมป๊อปของญี่ปุ่นและทั่วโลก เพลงนี้ไม่เพียงแต่เป็นเพลงเปิดของอนิเมะ Neon Genesis Evangelion ที่ออกอากาศครั้งแรกเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 1995 ทางสถานี TV Tokyo เท่านั้น แต่ยังกลายเป็นสัญลักษณ์ที่สะท้อนถึงยุคทองของอนิเมะในทศวรรษ 1990s ซึ่งผสมผสานธีมปรัชญา จิตวิทยา และแอ็กชันได้อย่างลงตัว บทความนี้จะพาไปสำรวจประวัติการสร้าง ผลงาน และความโด่งดังของเพลงนี้อย่างละเอียด โดยอ้างอิงจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เพื่อให้เห็นภาพรวมการเดินทางจากเพลงประกอบอนิเมะธรรมดาสู่ไอคอนระดับโลก

    ต้นกำเนิดและแรงบันดาลใจของเพลงนี้เกิดขึ้นในช่วงที่อนิเมะ Neon Genesis Evangelion กำลังอยู่ในขั้นตอนการผลิต โดยผู้กำกับ Hideaki Anno จากสตูดิโอ Gainax เดิมที Anno ต้องการใช้เพลงคลาสสิกจากโอเปร่ารัสเซียเรื่อง Prince Igor ชื่อ “Polovtsian Dances” ของ Alexander Borodin เป็นเพลงเปิด เพื่อสร้างความแปลกใหม่และทดลอง แต่สถานีโทรทัศน์ปฏิเสธเพราะเห็นว่าเพลงนั้น “ก้าวหน้าจนเกินไป” สำหรับอนิเมะที่ออกอากาศช่วงดึก จึงเปลี่ยนมาใช้เพลง J-Pop ซึ่งเป็นแนวเพลงยอดนิยมในญี่ปุ่นในเวลานั้น

    คำร้องของเพลงเขียนโดย Neko Oikawa ที่ได้รับมอบหมายให้สร้างเนื้อหาที่ “ยากและปรัชญา” เพื่อสะท้อนธีมของอนิเมะที่เกี่ยวกับการต่อสู้ภายในจิตใจมนุษย์ ชะตากรรม และการเติบโต แม้ว่า Oikawa จะมีข้อมูลจำกัด เธอเพียงแค่ได้อ่านแผนเสนอโครงการและดูตอนแรกๆ ของอนิเมะแบบเร่งความเร็ว ใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมงในการเขียนคำร้องทั้งหมด โดยมองผ่านมุมมองของ “แม่” ที่ไม่อยากให้ลูกเติบโตและออกจากรัง แต่ต้องยอมรับชะตากรรม ชื่อเพลงได้รับแรงบันดาลใจจากมังงะ “A Cruel God Reigns” (Zankoku na Kami ga Shihai Suru) ของ Moto Hagio ซึ่งมีเนื้อหามืดมนเกี่ยวกับเด็กชายวัย 15 ปีที่เผชิญกับความทุกข์ทรมานจากความผิด การใช้ยาเสพติด และการค้าประเวณี แต่ Oikawa เลือกเน้นธีม “แม่และลูก” แทนโดยไม่ใช้ส่วนที่มืดมนเหล่านั้น

    ทำนองเพลงแต่งโดย Hidetoshi Sato และจัดโดย Toshiyuki Omori โดยการผลิตทั้งหมดเกิดขึ้นแยกจากทีมอนิเมะเพื่อรักษาความเป็นอิสระและความสดใหม่ เพลงนี้มีส่วน instrumental ที่น่าสนใจ เช่น คอรัสในภาษาที่ไม่สามารถแปลได้ ซึ่งบางคนเชื่อว่าได้รับแรงบันดาลใจจากภาษาโบราณหรือ Dead Sea Scrolls นอกจากนี้ Anno ยังขอปรับคำร้องบางส่วน เช่น เปลี่ยนจาก “กลายเป็นอาวุธ” เป็น “กลายเป็นตำนาน” เพื่อเน้นความรักของแม่มากขึ้น และตัดคอรัสชายออกไป

    Yoko Takahashi นักร้องนำ ได้รับเลือกแบบสุ่มและบันทึกเสียงโดยไม่ทราบรายละเอียดของอนิเมะมากนัก เธอพบกับ Anno ครั้งแรกในวันบันทึกเสียง และได้ยินเพลงเปิดตัวพร้อมเสียงของตัวเองครั้งแรกตอนออกอากาศทางทีวี เพลงนี้เป็นซิงเกิลที่ 11 ของเธอ และปล่อยออกมาในวันที่ 25 ตุลาคม 1995 ภายใต้ catalog KIDA-116 พร้อมเพลง “Fly Me to the Moon” ซึ่งเป็นเพลงปิดเรื่อง

    กระบวนการผลิตเพลงเกิดขึ้นก่อนที่อนิเมะจะเสร็จสิ้น โดย Toshimichi Otsuki จาก King Records เป็นผู้ดูแลทีมดนตรีแยกต่างหากจาก Anno เพื่อหลีกเลี่ยงการแทรกแซง แม้กระบวนการจะเร่งรีบ เพลงกลับเข้ากับภาพเปิดเรื่องได้อย่างสมบูรณ์แบบ มีเวอร์ชัน instrumental สองเวอร์ชันในตอนจบของอนิเมะ ได้แก่ “The Heady Feeling of Freedom” ซึ่งเป็นชิ้นเศร้าๆ สำหรับเครื่องสายและกีตาร์ และ “Good, or Don’t Be” ที่เล่นด้วยเปียโนและกีตาร์เบาๆ เวอร์ชันคล้ายกันยังปรากฏในภาพยนตร์ Evangelion: Death and Rebirth

    ตลอดหลายปี เพลงนี้มีเวอร์ชันรีมิกซ์และ cover มากมาย รวมถึงเวอร์ชัน Director’s Edit และเวอร์ชันในภาพยนตร์ Rebuild of Evangelion Takahashi ยังคงฝึกซ้อมร้องเพลงนี้ทุกวัน สูงสุด 2 ชั่วโมง โดยเฉพาะส่วน a cappella ที่ยาก เพื่อให้การแสดงสดยังคงความสดใหม่เหมือนเดิม ในปี 2021 เธอออกหนังสือสอนร้องเพลงนี้และ “Soul’s Refrain” โดยแนะนำให้เริ่มจาก tempo ช้าๆ และฝึก melody ก่อน

    ความสำเร็จของเพลงนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังปล่อยออกมา เพลงขึ้นอันดับ 17 ในชาร์ต Oricon และอยู่ในชาร์ตนานถึง 61 สัปดาห์ กลายเป็นเพลงอนิเมะที่ได้รับความนิยมสูงสุดในญี่ปุ่น โดยติดอันดับต้นๆ ในโพล anisong และคาราโอเกะอย่างต่อเนื่อง ในปี 2025 เพลงนี้ยังติดอันดับ 4 ในชาร์ตคาราโอเกะ JOYSOUND สำหรับครึ่งปีแรก แสดงให้เห็นถึงความยั่งยืนแม้ผ่านไปเกือบ 30 ปี ตามข้อมูลจาก Japanese Society for Rights of Authors, Composers and Publishers เพลงนี้ยังคงเป็นเพลงที่สร้างรายได้จากลิขสิทธิ์สูงสุดในญี่ปุ่น

    ในระดับสากล เพลงนี้ได้รับการยอมรับว่าเป็นเพลงเปิดอนิเมะที่จดจำได้มากที่สุด แม้แต่คนที่ไม่เคยดูอนิเมะก็รู้จัก มันกลายเป็น meme บนอินเทอร์เน็ต โดยเฉพาะในวิดีโอ YouTube และ Reddit ที่นำไป remix หรือ parody นอกจากนี้ยังถูกนำไป sample ในเพลงฮิปฮอป เช่น ในเพลง “Evangelica” ของศิลปินอเมริกัน Albe Back ในปี 2022 ความนิยมยังขยายไปสู่การแสดงสด โดย Takahashi แสดงเพลงนี้ในงานใหญ่ๆ เช่น Anime NYC 2025 ที่เธอชักชวนแฟนๆ ร้องตามทั้งฮอลล์, AnimagiC 2025 ในเยอรมนี และแม้แต่ในรายการปีใหม่ของสถานีโทรทัศน์ตุรกีในปี 2024

    กว่าเกือบสามทศวรรษที่ผ่านมา “A Cruel Angel’s Thesis” ไม่ได้เป็นเพียงเพลงเปิดของ Neon Genesis Evangelion เท่านั้น แต่ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของวัฒนธรรมอนิเมะญี่ปุ่นที่หลอมรวมปรัชญา ดนตรี และอารมณ์ของยุคสมัยเข้าไว้ด้วยกันอย่างงดงาม เสียงร้องของ Yoko Takahashi ไม่ได้เพียงปลุกผู้ชมให้ตื่นขึ้นในตอนต้นของทุกตอน แต่ยังปลุกให้คนทั้งรุ่นหันกลับมามอง “ตัวตน” และ “ความหมายของการเติบโต” ที่ Evangelion ต้องการสื่อ

    ทุกครั้งที่เสียงอินโทรแรกดังขึ้น ความทรงจำของแฟน ๆ ทั่วโลกก็ยังคงถ่ายทอดต่อกันเหมือนเทวทูตที่ไม่เคยหลับใหล เพลงนี้พิสูจน์ให้เห็นว่า “ดนตรี” สามารถสร้างพลังให้ภาพยนตร์หรืออนิเมะกลายเป็นตำนานได้จริง และแม้โลกจะเปลี่ยนไปเพียงใด ท่วงทำนองแห่งเทวทูตผู้โหดร้ายนี้…ก็จะยังคงก้องอยู่ในใจผู้คนตราบนานเท่านาน

    #ลุงเล่าหลานฟัง

    https://youtu.be/y5wkebBCwAE
    🎶 เพลงที่ทำให้ Evangelion เป็นมากกว่าอนิเมะ: เปิดตำนาน A Cruel Angel’s Thesis ▶️ เพลง “A Cruel Angel’s Thesis” หรือที่รู้จักในชื่อภาษาญี่ปุ่นว่า “Zankoku na Tenshi no Tēze” ถือเป็นหนึ่งในเพลงประกอบอนิเมะที่ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์วัฒนธรรมป๊อปของญี่ปุ่นและทั่วโลก เพลงนี้ไม่เพียงแต่เป็นเพลงเปิดของอนิเมะ Neon Genesis Evangelion ที่ออกอากาศครั้งแรกเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 1995 ทางสถานี TV Tokyo เท่านั้น แต่ยังกลายเป็นสัญลักษณ์ที่สะท้อนถึงยุคทองของอนิเมะในทศวรรษ 1990s ซึ่งผสมผสานธีมปรัชญา จิตวิทยา และแอ็กชันได้อย่างลงตัว บทความนี้จะพาไปสำรวจประวัติการสร้าง ผลงาน และความโด่งดังของเพลงนี้อย่างละเอียด โดยอ้างอิงจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เพื่อให้เห็นภาพรวมการเดินทางจากเพลงประกอบอนิเมะธรรมดาสู่ไอคอนระดับโลก 🎂 ต้นกำเนิดและแรงบันดาลใจของเพลงนี้เกิดขึ้นในช่วงที่อนิเมะ Neon Genesis Evangelion กำลังอยู่ในขั้นตอนการผลิต โดยผู้กำกับ Hideaki Anno จากสตูดิโอ Gainax เดิมที Anno ต้องการใช้เพลงคลาสสิกจากโอเปร่ารัสเซียเรื่อง Prince Igor ชื่อ “Polovtsian Dances” ของ Alexander Borodin เป็นเพลงเปิด เพื่อสร้างความแปลกใหม่และทดลอง แต่สถานีโทรทัศน์ปฏิเสธเพราะเห็นว่าเพลงนั้น “ก้าวหน้าจนเกินไป” สำหรับอนิเมะที่ออกอากาศช่วงดึก จึงเปลี่ยนมาใช้เพลง J-Pop ซึ่งเป็นแนวเพลงยอดนิยมในญี่ปุ่นในเวลานั้น ✍️ คำร้องของเพลงเขียนโดย Neko Oikawa ที่ได้รับมอบหมายให้สร้างเนื้อหาที่ “ยากและปรัชญา” เพื่อสะท้อนธีมของอนิเมะที่เกี่ยวกับการต่อสู้ภายในจิตใจมนุษย์ ชะตากรรม และการเติบโต แม้ว่า Oikawa จะมีข้อมูลจำกัด เธอเพียงแค่ได้อ่านแผนเสนอโครงการและดูตอนแรกๆ ของอนิเมะแบบเร่งความเร็ว ใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมงในการเขียนคำร้องทั้งหมด โดยมองผ่านมุมมองของ “แม่” ที่ไม่อยากให้ลูกเติบโตและออกจากรัง แต่ต้องยอมรับชะตากรรม ชื่อเพลงได้รับแรงบันดาลใจจากมังงะ “A Cruel God Reigns” (Zankoku na Kami ga Shihai Suru) ของ Moto Hagio ซึ่งมีเนื้อหามืดมนเกี่ยวกับเด็กชายวัย 15 ปีที่เผชิญกับความทุกข์ทรมานจากความผิด การใช้ยาเสพติด และการค้าประเวณี แต่ Oikawa เลือกเน้นธีม “แม่และลูก” แทนโดยไม่ใช้ส่วนที่มืดมนเหล่านั้น 🎼 ทำนองเพลงแต่งโดย Hidetoshi Sato และจัดโดย Toshiyuki Omori โดยการผลิตทั้งหมดเกิดขึ้นแยกจากทีมอนิเมะเพื่อรักษาความเป็นอิสระและความสดใหม่ เพลงนี้มีส่วน instrumental ที่น่าสนใจ เช่น คอรัสในภาษาที่ไม่สามารถแปลได้ ซึ่งบางคนเชื่อว่าได้รับแรงบันดาลใจจากภาษาโบราณหรือ Dead Sea Scrolls นอกจากนี้ Anno ยังขอปรับคำร้องบางส่วน เช่น เปลี่ยนจาก “กลายเป็นอาวุธ” เป็น “กลายเป็นตำนาน” เพื่อเน้นความรักของแม่มากขึ้น และตัดคอรัสชายออกไป 🎤 Yoko Takahashi นักร้องนำ ได้รับเลือกแบบสุ่มและบันทึกเสียงโดยไม่ทราบรายละเอียดของอนิเมะมากนัก เธอพบกับ Anno ครั้งแรกในวันบันทึกเสียง และได้ยินเพลงเปิดตัวพร้อมเสียงของตัวเองครั้งแรกตอนออกอากาศทางทีวี เพลงนี้เป็นซิงเกิลที่ 11 ของเธอ และปล่อยออกมาในวันที่ 25 ตุลาคม 1995 ภายใต้ catalog KIDA-116 พร้อมเพลง “Fly Me to the Moon” ซึ่งเป็นเพลงปิดเรื่อง 💿 กระบวนการผลิตเพลงเกิดขึ้นก่อนที่อนิเมะจะเสร็จสิ้น โดย Toshimichi Otsuki จาก King Records เป็นผู้ดูแลทีมดนตรีแยกต่างหากจาก Anno เพื่อหลีกเลี่ยงการแทรกแซง แม้กระบวนการจะเร่งรีบ เพลงกลับเข้ากับภาพเปิดเรื่องได้อย่างสมบูรณ์แบบ มีเวอร์ชัน instrumental สองเวอร์ชันในตอนจบของอนิเมะ ได้แก่ “The Heady Feeling of Freedom” ซึ่งเป็นชิ้นเศร้าๆ สำหรับเครื่องสายและกีตาร์ และ “Good, or Don’t Be” ที่เล่นด้วยเปียโนและกีตาร์เบาๆ เวอร์ชันคล้ายกันยังปรากฏในภาพยนตร์ Evangelion: Death and Rebirth 🎗️ตลอดหลายปี เพลงนี้มีเวอร์ชันรีมิกซ์และ cover มากมาย รวมถึงเวอร์ชัน Director’s Edit และเวอร์ชันในภาพยนตร์ Rebuild of Evangelion Takahashi ยังคงฝึกซ้อมร้องเพลงนี้ทุกวัน สูงสุด 2 ชั่วโมง โดยเฉพาะส่วน a cappella ที่ยาก เพื่อให้การแสดงสดยังคงความสดใหม่เหมือนเดิม ในปี 2021 เธอออกหนังสือสอนร้องเพลงนี้และ “Soul’s Refrain” โดยแนะนำให้เริ่มจาก tempo ช้าๆ และฝึก melody ก่อน 🏆 ความสำเร็จของเพลงนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังปล่อยออกมา เพลงขึ้นอันดับ 17 ในชาร์ต Oricon และอยู่ในชาร์ตนานถึง 61 สัปดาห์ กลายเป็นเพลงอนิเมะที่ได้รับความนิยมสูงสุดในญี่ปุ่น โดยติดอันดับต้นๆ ในโพล anisong และคาราโอเกะอย่างต่อเนื่อง ในปี 2025 เพลงนี้ยังติดอันดับ 4 ในชาร์ตคาราโอเกะ JOYSOUND สำหรับครึ่งปีแรก แสดงให้เห็นถึงความยั่งยืนแม้ผ่านไปเกือบ 30 ปี ตามข้อมูลจาก Japanese Society for Rights of Authors, Composers and Publishers เพลงนี้ยังคงเป็นเพลงที่สร้างรายได้จากลิขสิทธิ์สูงสุดในญี่ปุ่น 🌏 ในระดับสากล เพลงนี้ได้รับการยอมรับว่าเป็นเพลงเปิดอนิเมะที่จดจำได้มากที่สุด แม้แต่คนที่ไม่เคยดูอนิเมะก็รู้จัก มันกลายเป็น meme บนอินเทอร์เน็ต โดยเฉพาะในวิดีโอ YouTube และ Reddit ที่นำไป remix หรือ parody นอกจากนี้ยังถูกนำไป sample ในเพลงฮิปฮอป เช่น ในเพลง “Evangelica” ของศิลปินอเมริกัน Albe Back ในปี 2022 ความนิยมยังขยายไปสู่การแสดงสด โดย Takahashi แสดงเพลงนี้ในงานใหญ่ๆ เช่น Anime NYC 2025 ที่เธอชักชวนแฟนๆ ร้องตามทั้งฮอลล์, AnimagiC 2025 ในเยอรมนี และแม้แต่ในรายการปีใหม่ของสถานีโทรทัศน์ตุรกีในปี 2024 ⌛ กว่าเกือบสามทศวรรษที่ผ่านมา “A Cruel Angel’s Thesis” ไม่ได้เป็นเพียงเพลงเปิดของ Neon Genesis Evangelion เท่านั้น แต่ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของวัฒนธรรมอนิเมะญี่ปุ่นที่หลอมรวมปรัชญา ดนตรี และอารมณ์ของยุคสมัยเข้าไว้ด้วยกันอย่างงดงาม เสียงร้องของ Yoko Takahashi ไม่ได้เพียงปลุกผู้ชมให้ตื่นขึ้นในตอนต้นของทุกตอน แต่ยังปลุกให้คนทั้งรุ่นหันกลับมามอง “ตัวตน” และ “ความหมายของการเติบโต” ที่ Evangelion ต้องการสื่อ 📻 ทุกครั้งที่เสียงอินโทรแรกดังขึ้น ความทรงจำของแฟน ๆ ทั่วโลกก็ยังคงถ่ายทอดต่อกันเหมือนเทวทูตที่ไม่เคยหลับใหล เพลงนี้พิสูจน์ให้เห็นว่า “ดนตรี” สามารถสร้างพลังให้ภาพยนตร์หรืออนิเมะกลายเป็นตำนานได้จริง และแม้โลกจะเปลี่ยนไปเพียงใด ท่วงทำนองแห่งเทวทูตผู้โหดร้ายนี้…ก็จะยังคงก้องอยู่ในใจผู้คนตราบนานเท่านาน 💫 #ลุงเล่าหลานฟัง https://youtu.be/y5wkebBCwAE
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 319 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🎞 เขาเล่ากันว่า... 1 ในบรรดา 7 วิญญาณเฮี้ยนที่สิงสู่นักเขียน ถ้า ‘ผีผลัดวัน’ ทำหน้าที่ชวนเรา ‘พักก่อน~’... เจ้าผีตัวต่อไปนี้จะทำหน้าที่ชวนเรา ‘แก้ใหม่!’ ค่ะ

    "สารานุกรมผีนักเขียน" บันทึก "วิญญาณเฮี้ยนทั้ง 7" ที่ทุกคนต้องเผชิญหน้า

    มาดูกันว่า... คุณกำลังถูกผีตนไหนวนเวียนอยู่?

    ----------------------------

    🕯 บันทึกวิญญาณที่ 2 : ผีจอมจู้จี้ เจ้าลัทธิ 'คลั่งความเป๊ะ' จนเฟร่อ!

    เมื่อรู้สาเหตุไปแล้วกับผีตนแรกทำให้เราไม่กล้าเริ่ม "ผีจอมจู้จี้" เป็นผีขยันแก้ ระดับตัวมัมตัวมารดา นางคือต้นเหตุให้เราจมไปกับประโยคเดียวจนทำให้งาน "ไม่มีวันจบ!" ซอยข่อยแน๊...

    ถ้าเราเผลอตามใจนางมากไปหน่อย... งานเขียนที่ "ไร้ที่ติ" ที่สุดของเรา... อาจจะหมายถึงไฟล์ที่ 'ว่างเปล่า' จนไม่มีอะไรให้ติเลยก็ได้นะ! (แบบนี้ไม่เอาน้า! )

    ----------------------------

    เช็กลิสต์อาการ (ว่าโดนผีตนนี้สิงอยู่รึเปล่า)
    ▪ ใช้เวลาเป็นชั่วโมงกับการแก้ประโยคเดียว (นี่เราเขียนนิยายหรือกำลังแกะสลักหินอ่อนกันนะ)
    ▪ จำนวนคำไม่ขยับ: เดี๋ยวน้อยลง เดี๋ยวกเด้งกลับมาเท่าเดิม (อ้าว... สรุปจะเขียนครบจำนวนคำกี่โมง!)
    ▪ เพิ่งพิมพ์จบประโยคปุ๊บ... ต้องรีบย้อนกลับไปแก้ปั๊บ! (ปล่อยผ่านไปย่อหน้าต่อไปไม่ได้ ใจจะขาด)

    ----------------------------

    คาถาปราบผีจอมจับผิด
    "เจรจาสงบศึก” ขณะกำลังจะเริ่มเขียน ให้เราพนมมือ (ในใจ) แล้วบอกผีไปเลยว่า “คุณพี่ขา ตอนนี้เป็นกะของ ‘คนเล่าเรื่อง’ นะคะ เดี๋ยว ‘กะของคนแก้’ จะเรียกอีกทีตอนเขียนจบ”
    "ปล่อยไหลแบบด่วน" ลอง "ตั้งเวลา 15 นาที" แล้วพิมพ์ทุกอย่างที่คิดออกมา กฎเหล็กคือ "ห้ามหยุดพิมพ์ และห้ามลบเด็ดขาด!"
    "เผชิญร่างแรก" ถ้าผีกระซิบว่า "ยังไม่ดีพอ!" ให้เรายิ้มหวานให้ แล้วบอกไปว่า... “ร่างแรกมีไว้ให้ ‘ห่วย’ จ้ะ... เพราะเราแก้ไขไฟล์ที่ว่างเปล่าไม่ได้นะรู้มั้ย!” จุ๊บ! จุ๊บ!

    ----------------------------

    เมื่อคุณพอจะรับมือ “ผีจอมจู้จี้” ได้แล้ว ก็อย่าเพิ่งหมดแรงล่ะ!
    จงระวัง 'น้องผีแบตเสื่อม' ที่จะตามมาดูดพลังจนสมองแฮงก์...

    คืนพรุ่งนี้เตรียมแท่นชาร์จสู้ศึก บันทึกวิญญาณที่ 3 : “ผีแบตเสื่อม”... จนสมอง Burnout!

    #นักเขียน #นักเขียนนิยาย #นักเขียนมือใหม่ #นิยาย #เรื่องสั้น #นามปากกาฌาณินน์ #ฌาณินน์ #บันทึกของฉัน #แรงบันดาลใจนักเขียน #สารานุกรมผีนักเขียน #ฮาโลวีน2025 #คืนปล่อยผี #วันฮาโลวีน
    🎞 เขาเล่ากันว่า... 1 ในบรรดา 7 วิญญาณเฮี้ยนที่สิงสู่นักเขียน ถ้า ‘ผีผลัดวัน’ ทำหน้าที่ชวนเรา ‘พักก่อน~’... เจ้าผีตัวต่อไปนี้จะทำหน้าที่ชวนเรา ‘แก้ใหม่!’ ค่ะ "สารานุกรมผีนักเขียน" บันทึก "วิญญาณเฮี้ยนทั้ง 7" ที่ทุกคนต้องเผชิญหน้า มาดูกันว่า... คุณกำลังถูกผีตนไหนวนเวียนอยู่? 👻 ---------------------------- 🕯 บันทึกวิญญาณที่ 2 : ผีจอมจู้จี้ เจ้าลัทธิ 'คลั่งความเป๊ะ' จนเฟร่อ! เมื่อรู้สาเหตุไปแล้วกับผีตนแรกทำให้เราไม่กล้าเริ่ม "ผีจอมจู้จี้" เป็นผีขยันแก้ ระดับตัวมัมตัวมารดา นางคือต้นเหตุให้เราจมไปกับประโยคเดียวจนทำให้งาน "ไม่มีวันจบ!" ซอยข่อยแน๊... ถ้าเราเผลอตามใจนางมากไปหน่อย... งานเขียนที่ "ไร้ที่ติ" ที่สุดของเรา... อาจจะหมายถึงไฟล์ที่ 'ว่างเปล่า' จนไม่มีอะไรให้ติเลยก็ได้นะ! (แบบนี้ไม่เอาน้า! 😅) ---------------------------- เช็กลิสต์อาการ (ว่าโดนผีตนนี้สิงอยู่รึเปล่า) ▪ ใช้เวลาเป็นชั่วโมงกับการแก้ประโยคเดียว (นี่เราเขียนนิยายหรือกำลังแกะสลักหินอ่อนกันนะ) ▪ จำนวนคำไม่ขยับ: เดี๋ยวน้อยลง เดี๋ยวกเด้งกลับมาเท่าเดิม (อ้าว... สรุปจะเขียนครบจำนวนคำกี่โมง!) ▪ เพิ่งพิมพ์จบประโยคปุ๊บ... ต้องรีบย้อนกลับไปแก้ปั๊บ! (ปล่อยผ่านไปย่อหน้าต่อไปไม่ได้ ใจจะขาด) ---------------------------- 👻คาถาปราบผีจอมจับผิด 📍 "เจรจาสงบศึก” ขณะกำลังจะเริ่มเขียน ให้เราพนมมือ (ในใจ) แล้วบอกผีไปเลยว่า “คุณพี่ขา ตอนนี้เป็นกะของ ‘คนเล่าเรื่อง’ นะคะ เดี๋ยว ‘กะของคนแก้’ จะเรียกอีกทีตอนเขียนจบ” 📍 "ปล่อยไหลแบบด่วน" ลอง "ตั้งเวลา 15 นาที" แล้วพิมพ์ทุกอย่างที่คิดออกมา กฎเหล็กคือ "ห้ามหยุดพิมพ์ และห้ามลบเด็ดขาด!" 📍 "เผชิญร่างแรก" ถ้าผีกระซิบว่า "ยังไม่ดีพอ!" ให้เรายิ้มหวานให้ แล้วบอกไปว่า... “ร่างแรกมีไว้ให้ ‘ห่วย’ จ้ะ... เพราะเราแก้ไขไฟล์ที่ว่างเปล่าไม่ได้นะรู้มั้ย!” จุ๊บ! จุ๊บ! ---------------------------- เมื่อคุณพอจะรับมือ “ผีจอมจู้จี้” ได้แล้ว ก็อย่าเพิ่งหมดแรงล่ะ! จงระวัง 'น้องผีแบตเสื่อม' ที่จะตามมาดูดพลังจนสมองแฮงก์... คืนพรุ่งนี้เตรียมแท่นชาร์จสู้ศึก บันทึกวิญญาณที่ 3 : “ผีแบตเสื่อม”... จนสมอง Burnout! #นักเขียน #นักเขียนนิยาย #นักเขียนมือใหม่ #นิยาย #เรื่องสั้น #นามปากกาฌาณินน์ #ฌาณินน์ #บันทึกของฉัน #แรงบันดาลใจนักเขียน #สารานุกรมผีนักเขียน #ฮาโลวีน2025 #คืนปล่อยผี #วันฮาโลวีน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 286 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🎞 เขาเล่ากันว่า... ในโลกของนักเขียน ไม่ได้มีแค่ตัวละครหรือแรงบันดาลใจ แต่ยังมี “ผี” ที่คอยสิงสู่อยู่ในหัว คอยกินเวลา และกลืนไฟสร้างสรรค์ของเราไปทีละน้อย

    "สารานุกรมผีนักเขียน" บันทึก "วิญญาณเฮี้ยนทั้ง 7" ที่ทุกคนต้องเผชิญหน้า

    มาดูกันว่า... คุณกำลังถูกผีตนไหนสิงสู่อยู่?

    ----------------------------

    🕯 บันทึกวิญญาณที่ 1 : ผีผลัดวัน
    ไอ้ต้าววิญญาณ ผู้เชี่ยวชาญด้านการ "เดี๋ยวก่อน!!"

    เจ้าผีตนนี้ไม่มาหลอกให้เรากลัว แต่ทำตัวน่ารำคาญ จะส่งเสียงกระซิบกระซาบ... ตลอดว่า “เชื่อข้า...ไว้เขียนพรุ่งนี้~~”

    อย่าคิดว่าเป็นความขี้เกียจส่วนตัวนะ! เจ้านี่แหละ “ผีผลัดวัน” ไอ้ตัวดูดไฟทำให้นักเขียนหมดแพสชั่นนั่นแหละ

    รู้สึกคุ้นๆ เหตุการณ์ไหมอ่ะ? ถ้าเผลอไปพยักหน้าตาม เวลาก็จะหายวับไป ทีละวัน... ทีละวัน... จน “ไฟล์ร่างแรก” ที่ตั้งใจไว้ กลายเป็น "สุสานนิยาย" ร้างๆ ดองเค็มตลอดกาล

    ----------------------------

    เช็กลิสต์อาการ (ว่าโดนเข้าแล้ว):
    จ้องหน้าจอเปล่าๆ นานกว่าพิมพ์จริง
    สมุดโน้ตไอเดียหน้าสุดท้ายที่เขียนคือ เมื่อชาติที่แล้ว
    กาแฟแก้วเดิมที่จืดชืด (คาถาที่เป่าไว้คงเสื่อมหมดแล้ว)

    ----------------------------

    วิธีไล่ผี (ฉบับเร่งด่วน):
    เติมเชื้อเพลิง: ชงกาแฟใหม่! เอาเข้มๆ ให้ตื่น (กาแฟดำขลังสุด บอกเลย)
    ขุดของเก่า: ลองไปเปิดดู "ศพไอเดีย" เก่าๆ บางทีอาจมีบางศพที่ยังพอปั๊มหัวใจกลับมาได้
    เขียนมันไปเลย: ผีตัวนี้มันแพ้ "การเริ่มต้น" แค่คุณพิมพ์ประโยคแรกได้เมื่อไหร่... มันก็เผ่นแล้ว เชื่อเหอะ!!

    ----------------------------

    นี่คือ 1 ใน 7 ของผีเฮี้ยน แต่ "ผีผลัดวัน" ขโมยแค่เวลา เรายังพอทวงคืนได้ แต่... ผีตัวต่อไปนั้นจะชวนเรา "แก้งานใหม่" จนไม่มีวันจบ

    มาจ่อรอชมได้พรุ่งนี้เจอกัน
    บันทึกวิญญาณที่ 2 : ผีจอมจู้จี้ เจ้าลัทธิ ‘คลั่งความเป๊ะ’ จนเฟร่อ!
    .
    .
    #นักเขียน #นักเขียนนิยาย #นักเขียนมือใหม่ #นิยาย #เรื่องสั้น #นามปากกาฌาณินน์ #ฌาณินน์ #บันทึกของฉัน #แรงบันดาลใจนักเขียน #ฮาโลวีน #วันฮาโลวีน #คืนปล่อยผี
    🎞 เขาเล่ากันว่า... ในโลกของนักเขียน ไม่ได้มีแค่ตัวละครหรือแรงบันดาลใจ แต่ยังมี “ผี” ที่คอยสิงสู่อยู่ในหัว คอยกินเวลา และกลืนไฟสร้างสรรค์ของเราไปทีละน้อย "สารานุกรมผีนักเขียน" บันทึก "วิญญาณเฮี้ยนทั้ง 7" ที่ทุกคนต้องเผชิญหน้า มาดูกันว่า... คุณกำลังถูกผีตนไหนสิงสู่อยู่? 👻 ---------------------------- 🕯 บันทึกวิญญาณที่ 1 : ผีผลัดวัน ไอ้ต้าววิญญาณ ผู้เชี่ยวชาญด้านการ "เดี๋ยวก่อน!!" เจ้าผีตนนี้ไม่มาหลอกให้เรากลัว แต่ทำตัวน่ารำคาญ จะส่งเสียงกระซิบกระซาบ... ตลอดว่า “เชื่อข้า...ไว้เขียนพรุ่งนี้~~” อย่าคิดว่าเป็นความขี้เกียจส่วนตัวนะ! เจ้านี่แหละ “ผีผลัดวัน” ไอ้ตัวดูดไฟทำให้นักเขียนหมดแพสชั่นนั่นแหละ รู้สึกคุ้นๆ เหตุการณ์ไหมอ่ะ? ถ้าเผลอไปพยักหน้าตาม เวลาก็จะหายวับไป ทีละวัน... ทีละวัน... จน “ไฟล์ร่างแรก” ที่ตั้งใจไว้ กลายเป็น "สุสานนิยาย" ร้างๆ ดองเค็มตลอดกาล ---------------------------- เช็กลิสต์อาการ (ว่าโดนเข้าแล้ว): ▪️จ้องหน้าจอเปล่าๆ นานกว่าพิมพ์จริง ▪️สมุดโน้ตไอเดียหน้าสุดท้ายที่เขียนคือ เมื่อชาติที่แล้ว ▪️กาแฟแก้วเดิมที่จืดชืด (คาถาที่เป่าไว้คงเสื่อมหมดแล้ว) ---------------------------- 👻 วิธีไล่ผี (ฉบับเร่งด่วน): 📍 เติมเชื้อเพลิง: ชงกาแฟใหม่! เอาเข้มๆ ให้ตื่น (กาแฟดำขลังสุด บอกเลย) 📍 ขุดของเก่า: ลองไปเปิดดู "ศพไอเดีย" เก่าๆ บางทีอาจมีบางศพที่ยังพอปั๊มหัวใจกลับมาได้ 📍 เขียนมันไปเลย: ผีตัวนี้มันแพ้ "การเริ่มต้น" แค่คุณพิมพ์ประโยคแรกได้เมื่อไหร่... มันก็เผ่นแล้ว เชื่อเหอะ!! ---------------------------- นี่คือ 1 ใน 7 ของผีเฮี้ยน แต่ "ผีผลัดวัน" ขโมยแค่เวลา เรายังพอทวงคืนได้ แต่... ผีตัวต่อไปนั้นจะชวนเรา "แก้งานใหม่" จนไม่มีวันจบ มาจ่อรอชมได้พรุ่งนี้เจอกัน บันทึกวิญญาณที่ 2 : ผีจอมจู้จี้ เจ้าลัทธิ ‘คลั่งความเป๊ะ’ จนเฟร่อ! . . #นักเขียน #นักเขียนนิยาย #นักเขียนมือใหม่ #นิยาย #เรื่องสั้น #นามปากกาฌาณินน์ #ฌาณินน์ #บันทึกของฉัน #แรงบันดาลใจนักเขียน #ฮาโลวีน #วันฮาโลวีน #คืนปล่อยผี
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 250 มุมมอง 0 รีวิว
  • เปิดตำราสายดาร์ก ถอดรหัส 'คำสาป ๗ ประการ' เสมือนถูกร่ายขึ้นมาพันธนาการนักเขียนมือใหม่ ลองดูสิว่า ... คุณกำลังติดอยู่ในคำสาปข้อไหน?
    ---------

    คำสาปที่ ๑. ความกลัวว่าจะเขียนได้ไม่ดีพอ (Imposter Syndrome)

    อาการทางจิตวิทยา: นี่คือความกลัวที่พบบ่อยที่สุด นักเขียนมือใหม่มักจะเปรียบเทียบผลงานร่างแรกที่ยังไม่สมบูรณ์ของตัวเองกับผลงานที่ตีพิมพ์และขัดเกลามาอย่างดีของนักเขียนมืออาชีพ ทำให้เกิดความรู้สึกว่าตัวเองเป็น "ตัวปลอม" ไม่เก่งจริง และความสามารถยังไม่ถึงขั้น ความคิดนี้บั่นทอนความมั่นใจและอาจทำให้หยุดเขียนไปกลางคัน
    ---------

    คำสาปที่ ๒. ความกลัวคำวิจารณ์ (Fear of Criticism)

    อาการทางจิตวิทยา: งานเขียนเป็นสิ่งที่ออกมาจากความคิดและจิตใจของผู้เขียนโดยตรง การถูกวิจารณ์งานเขียนจึงให้ความรู้สึกเหมือนถูกวิจารณ์ตัวตนของตัวเองไปด้วย ความกลัวที่จะถูกปฏิเสธ ถูกหัวเราะเยาะ หรือถูกมองว่าไม่มีความสามารถ ทำให้นักเขียนจำนวนมากไม่กล้าแบ่งปันผลงานให้ใครอ่าน และเก็บมันไว้กับตัวเอง
    ---------

    คำสาปที่ ๓. ความกลัวหน้ากระดาษเปล่า (Fear of the Blank Page)

    อาการทางจิตวิทยา: การเผชิญหน้ากับความว่างเปล่าที่ต้องเติมเต็มให้ได้นั้นสร้างแรงกดดันมหาศาล มันคือความกลัวที่จะเริ่มต้นไม่ได้ กลัวว่าจะเขียนประโยคแรกได้ไม่ดีพอ หรือกลัวว่าความคิดจะตีบตัน ความคาดหวังที่จะต้องเขียนให้ "สมบูรณ์แบบ" ตั้งแต่แรกเป็นอัมพาตทางความคิดที่ทำให้นักเขียนไม่กล้าลงมือ
    ---------

    คำสาปที่ ๔. ความกลัวว่าไอเดียของเราไม่น่าสนใจหรือไม่ใช่เรื่องใหม่ (Fear of Unoriginality)

    อาการทางจิตวิทยา: ในโลกที่เต็มไปด้วยเรื่องเล่าและข้อมูลข่าวสาร นักเขียนมือใหม่มักจะกังวลว่าพล็อตหรือแนวคิดของตัวเองนั้นซ้ำกับคนอื่น หรือไม่น่าสนใจพอที่จะดึงดูดผู้อ่านได้ ความกลัวนี้เกิดจากการขาดความเชื่อมั่นในมุมมองที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง และมักจะจบลงด้วยการล้มเลิกความคิดไปก่อนที่จะได้พัฒนาต่อ
    ---------

    คำสาปที่ ๕. ความกลัวความล้มเหลว (Fear of Failure)

    อาการทางจิตวิทยา: ความกลัวนี้มีหลายมิติ เช่น กลัวว่าจะเขียนไม่จบ, กลัวว่าจะไม่มีใครอ่าน, กลัวว่าจะไม่ได้รับการตีพิมพ์ การลงทุนลงแรงและเวลาไปกับบางสิ่งที่ไม่รับประกันผลตอบแทนเป็นเรื่องที่น่ากลัว ความคิดที่ว่า "ถ้ามันล้มเหลวขึ้นมา เวลาที่เสียไปจะสูญเปล่า" เป็นกำแพงขนาดใหญ่ที่ขวางกั้นการลงมือทำ
    ---------

    คำสาปที่ ๖. ความกลัวการเปิดเผยตัวตน (Fear of Vulnerability)

    อาการทางจิตวิทยา: งานเขียนที่ดีมักจะสะท้อนความรู้สึกนึกคิด ความเชื่อ หรือประสบการณ์ส่วนตัวของผู้เขียน การนำสิ่งเหล่านี้ออกมาสู่สาธารณะเปรียบเสมือนการเปลือยเปล่าทางความคิดและอารมณ์ นักเขียนอาจกลัวว่าผู้อื่นจะตัดสินตัวตนของพวกเขาผ่านงานเขียนนั้นๆ ทำให้ไม่กล้าที่จะเขียนอย่างตรงไปตรงมาและลึกซึ้ง
    ---------

    คำสาปที่ ๗. ความกลัวว่าจะทำได้ไม่ดีเท่าที่จินตนาการไว้ (Fear of Imperfection)

    อาการทางจิตวิทยา: นักเขียนมักจะมีภาพเรื่องราวที่สมบูรณ์แบบและยิ่งใหญ่อยู่ในหัว แต่เมื่อเริ่มถ่ายทอดออกมาเป็นตัวอักษร กลับพบว่ามันไม่ดีเท่าที่คิดไว้ ช่องว่างระหว่าง "จินตนาการ" กับ "ความเป็นจริงบนหน้ากระดาษ" นี้สร้างความผิดหวังและท้อแท้ ทำให้นักเขียนรู้สึกว่าตัวเองไม่มีความสามารถพอที่จะทำให้เรื่องราวในหัวกลายเป็นจริงได้
    ---------

    ถ้าอ่านมาถึงประโยคนี้ คุณน่าจะเริ่มจะหาทางทำลายคำสาปได้แล้ว ... คาถาทรงพลังที่สุดเพียงบทเดียว นั่นคือ 'การลงมือเขียน'

    ถึงเวลาสารภาพ กระซิบมาหน่อยสิคะว่า 'คำสาป' ข้อไหนที่พันธนาการคุณไว้แน่นที่สุด? บางทีการเผยความลับ อาจเป็นก้าวแรกของการถอนคำสาปก็ได้

    #นักเขียน #นักเขียนนิยาย #นักเขียนมือใหม่ #นิยาย #เรื่องสั้น #นามปากกาฌาณินน์ #ฌาณินน์ #จิตวิทยา #บันทึกของฉัน #แรงบันดาลใจนักเขียน
    เปิดตำราสายดาร์ก ถอดรหัส 'คำสาป ๗ ประการ' เสมือนถูกร่ายขึ้นมาพันธนาการนักเขียนมือใหม่ ลองดูสิว่า ... คุณกำลังติดอยู่ในคำสาปข้อไหน? --------- ♦️คำสาปที่ ๑. ความกลัวว่าจะเขียนได้ไม่ดีพอ (Imposter Syndrome)♦️ อาการทางจิตวิทยา: นี่คือความกลัวที่พบบ่อยที่สุด นักเขียนมือใหม่มักจะเปรียบเทียบผลงานร่างแรกที่ยังไม่สมบูรณ์ของตัวเองกับผลงานที่ตีพิมพ์และขัดเกลามาอย่างดีของนักเขียนมืออาชีพ ทำให้เกิดความรู้สึกว่าตัวเองเป็น "ตัวปลอม" ไม่เก่งจริง และความสามารถยังไม่ถึงขั้น ความคิดนี้บั่นทอนความมั่นใจและอาจทำให้หยุดเขียนไปกลางคัน --------- ♦️คำสาปที่ ๒. ความกลัวคำวิจารณ์ (Fear of Criticism)♦️ อาการทางจิตวิทยา: งานเขียนเป็นสิ่งที่ออกมาจากความคิดและจิตใจของผู้เขียนโดยตรง การถูกวิจารณ์งานเขียนจึงให้ความรู้สึกเหมือนถูกวิจารณ์ตัวตนของตัวเองไปด้วย ความกลัวที่จะถูกปฏิเสธ ถูกหัวเราะเยาะ หรือถูกมองว่าไม่มีความสามารถ ทำให้นักเขียนจำนวนมากไม่กล้าแบ่งปันผลงานให้ใครอ่าน และเก็บมันไว้กับตัวเอง --------- ♦️คำสาปที่ ๓. ความกลัวหน้ากระดาษเปล่า (Fear of the Blank Page)♦️ อาการทางจิตวิทยา: การเผชิญหน้ากับความว่างเปล่าที่ต้องเติมเต็มให้ได้นั้นสร้างแรงกดดันมหาศาล มันคือความกลัวที่จะเริ่มต้นไม่ได้ กลัวว่าจะเขียนประโยคแรกได้ไม่ดีพอ หรือกลัวว่าความคิดจะตีบตัน ความคาดหวังที่จะต้องเขียนให้ "สมบูรณ์แบบ" ตั้งแต่แรกเป็นอัมพาตทางความคิดที่ทำให้นักเขียนไม่กล้าลงมือ --------- ♦️คำสาปที่ ๔. ความกลัวว่าไอเดียของเราไม่น่าสนใจหรือไม่ใช่เรื่องใหม่ (Fear of Unoriginality) ♦️ อาการทางจิตวิทยา: ในโลกที่เต็มไปด้วยเรื่องเล่าและข้อมูลข่าวสาร นักเขียนมือใหม่มักจะกังวลว่าพล็อตหรือแนวคิดของตัวเองนั้นซ้ำกับคนอื่น หรือไม่น่าสนใจพอที่จะดึงดูดผู้อ่านได้ ความกลัวนี้เกิดจากการขาดความเชื่อมั่นในมุมมองที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง และมักจะจบลงด้วยการล้มเลิกความคิดไปก่อนที่จะได้พัฒนาต่อ --------- ♦️คำสาปที่ ๕. ความกลัวความล้มเหลว (Fear of Failure)♦️ อาการทางจิตวิทยา: ความกลัวนี้มีหลายมิติ เช่น กลัวว่าจะเขียนไม่จบ, กลัวว่าจะไม่มีใครอ่าน, กลัวว่าจะไม่ได้รับการตีพิมพ์ การลงทุนลงแรงและเวลาไปกับบางสิ่งที่ไม่รับประกันผลตอบแทนเป็นเรื่องที่น่ากลัว ความคิดที่ว่า "ถ้ามันล้มเหลวขึ้นมา เวลาที่เสียไปจะสูญเปล่า" เป็นกำแพงขนาดใหญ่ที่ขวางกั้นการลงมือทำ --------- ♦️คำสาปที่ ๖. ความกลัวการเปิดเผยตัวตน (Fear of Vulnerability)♦️ อาการทางจิตวิทยา: งานเขียนที่ดีมักจะสะท้อนความรู้สึกนึกคิด ความเชื่อ หรือประสบการณ์ส่วนตัวของผู้เขียน การนำสิ่งเหล่านี้ออกมาสู่สาธารณะเปรียบเสมือนการเปลือยเปล่าทางความคิดและอารมณ์ นักเขียนอาจกลัวว่าผู้อื่นจะตัดสินตัวตนของพวกเขาผ่านงานเขียนนั้นๆ ทำให้ไม่กล้าที่จะเขียนอย่างตรงไปตรงมาและลึกซึ้ง --------- ♦️คำสาปที่ ๗. ความกลัวว่าจะทำได้ไม่ดีเท่าที่จินตนาการไว้ (Fear of Imperfection)♦️ อาการทางจิตวิทยา: นักเขียนมักจะมีภาพเรื่องราวที่สมบูรณ์แบบและยิ่งใหญ่อยู่ในหัว แต่เมื่อเริ่มถ่ายทอดออกมาเป็นตัวอักษร กลับพบว่ามันไม่ดีเท่าที่คิดไว้ ช่องว่างระหว่าง "จินตนาการ" กับ "ความเป็นจริงบนหน้ากระดาษ" นี้สร้างความผิดหวังและท้อแท้ ทำให้นักเขียนรู้สึกว่าตัวเองไม่มีความสามารถพอที่จะทำให้เรื่องราวในหัวกลายเป็นจริงได้ --------- ถ้าอ่านมาถึงประโยคนี้ คุณน่าจะเริ่มจะหาทางทำลายคำสาปได้แล้ว ... คาถาทรงพลังที่สุดเพียงบทเดียว นั่นคือ 'การลงมือเขียน' ถึงเวลาสารภาพ กระซิบมาหน่อยสิคะว่า 'คำสาป' ข้อไหนที่พันธนาการคุณไว้แน่นที่สุด? บางทีการเผยความลับ อาจเป็นก้าวแรกของการถอนคำสาปก็ได้ ❤️ #นักเขียน #นักเขียนนิยาย #นักเขียนมือใหม่ #นิยาย #เรื่องสั้น #นามปากกาฌาณินน์ #ฌาณินน์ #จิตวิทยา #บันทึกของฉัน #แรงบันดาลใจนักเขียน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 301 มุมมอง 0 รีวิว
  • เปิดตำราสายดาร์ก ถอดรหัส 'คำสาป ๗ ประการ' เสมือนถูกร่ายขึ้นมาพันธนาการนักเขียนมือใหม่ ลองดูสิว่า ... คุณกำลังติดอยู่ในคำสาปข้อไหน?
    -----------------
    อ่านต่อในเพจ : ฌาณินน์ นักเขียน
    https://thaitimes.co/posts/281451

    #นักเขียน #นักเขียนนิยาย #นักเขียนมือใหม่ #นิยาย #เรื่องสั้น #นามปากกาฌาณินน์ #ฌาณินน์ #จิตวิทยา #บันทึกของฉัน #แรงบันดาลใจนักเขียน
    เปิดตำราสายดาร์ก ถอดรหัส 'คำสาป ๗ ประการ' เสมือนถูกร่ายขึ้นมาพันธนาการนักเขียนมือใหม่ ลองดูสิว่า ... คุณกำลังติดอยู่ในคำสาปข้อไหน? ----------------- อ่านต่อในเพจ : ฌาณินน์ นักเขียน https://thaitimes.co/posts/281451 #นักเขียน #นักเขียนนิยาย #นักเขียนมือใหม่ #นิยาย #เรื่องสั้น #นามปากกาฌาณินน์ #ฌาณินน์ #จิตวิทยา #บันทึกของฉัน #แรงบันดาลใจนักเขียน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 204 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🎞 เขาเล่ากันว่า... 1 ในบรรดา 7 วิญญาณเฮี้ยนที่สิงสู่นักเขียน ถ้า ‘ผีผลัดวัน’ ทำหน้าที่ชวนเรา ‘พักก่อน~’... เจ้าผีตัวต่อไปนี้จะทำหน้าที่ชวนเรา ‘แก้ใหม่!’ ค่ะ

    "สารานุกรมผีนักเขียน" บันทึก "วิญญาณเฮี้ยนทั้ง 7" ที่ทุกคนต้องเผชิญหน้า

    มาดูกันว่า... คุณกำลังถูกผีตนไหนวนเวียนอยู่?

    -----------------
    อ่านต่อในเพจ : ฌาณินน์ นักเขียน
    https://thaitimes.co/posts/281457
    ------------------
    เมื่อคุณพอจะรับมือ “ผีจอมจู้จี้” ได้แล้ว ก็อย่าเพิ่งหมดแรงล่ะ!
    จงระวัง 'น้องผีแบตเสื่อม' ที่จะตามมาดูดพลังจนสมองแฮงก์...

    คืนพรุ่งนี้เตรียมแท่นชาร์จสู้ศึก บันทึกวิญญาณที่ 3 : “ผีแบตเสื่อม”... จนสมอง Burnout!

    #นักเขียน #นักเขียนนิยาย #นักเขียนมือใหม่ #นิยาย #เรื่องสั้น #นามปากกาฌาณินน์ #ฌาณินน์ #บันทึกของฉัน #แรงบันดาลใจนักเขียน #สารานุกรมผีนักเขียน #ฮาโลวีน2025 #คืนปล่อยผี #วันฮาโลวีน
    🎞 เขาเล่ากันว่า... 1 ในบรรดา 7 วิญญาณเฮี้ยนที่สิงสู่นักเขียน ถ้า ‘ผีผลัดวัน’ ทำหน้าที่ชวนเรา ‘พักก่อน~’... เจ้าผีตัวต่อไปนี้จะทำหน้าที่ชวนเรา ‘แก้ใหม่!’ ค่ะ "สารานุกรมผีนักเขียน" บันทึก "วิญญาณเฮี้ยนทั้ง 7" ที่ทุกคนต้องเผชิญหน้า มาดูกันว่า... คุณกำลังถูกผีตนไหนวนเวียนอยู่? 👻 ----------------- อ่านต่อในเพจ : ฌาณินน์ นักเขียน https://thaitimes.co/posts/281457 ------------------ เมื่อคุณพอจะรับมือ “ผีจอมจู้จี้” ได้แล้ว ก็อย่าเพิ่งหมดแรงล่ะ! จงระวัง 'น้องผีแบตเสื่อม' ที่จะตามมาดูดพลังจนสมองแฮงก์... คืนพรุ่งนี้เตรียมแท่นชาร์จสู้ศึก บันทึกวิญญาณที่ 3 : “ผีแบตเสื่อม”... จนสมอง Burnout! #นักเขียน #นักเขียนนิยาย #นักเขียนมือใหม่ #นิยาย #เรื่องสั้น #นามปากกาฌาณินน์ #ฌาณินน์ #บันทึกของฉัน #แรงบันดาลใจนักเขียน #สารานุกรมผีนักเขียน #ฮาโลวีน2025 #คืนปล่อยผี #วันฮาโลวีน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 262 มุมมอง 0 รีวิว
  • เขาเล่ากันว่า... ในโลกของนักเขียน ไม่ได้มีแค่ตัวละครหรือแรงบันดาลใจ แต่ยังมี “ผี” ที่คอยสิงสู่อยู่ในหัว คอยกินเวลา และกลืนไฟสร้างสรรค์ของเราไปทีละน้อย

    "สารานุกรมผีนักเขียน" บันทึก "วิญญาณเฮี้ยนทั้ง 7" ที่ทุกคนต้องเผชิญหน้า

    มาดูกันว่า... คุณกำลังถูกผีตนไหนสิงสู่อยู่?

    ----------------
    อ่านต่อในเพจ : ฌาณินน์ นักเขียน
    https://thaitimes.co/posts/281455
    ----------------
    มาจ่อรอชมได้พรุ่งนี้เจอกัน
    บันทึกวิญญาณที่ 2 : ผีจอมจู้จี้ เจ้าลัทธิ ‘คลั่งความเป๊ะ’ จนเฟร่อ!
    .
    .
    #นักเขียน #นักเขียนนิยาย #นักเขียนมือใหม่ #นิยาย #เรื่องสั้น #นามปากกาฌาณินน์ #ฌาณินน์ #บันทึกของฉัน #แรงบันดาลใจนักเขียน #ฮาโลวีน #วันฮาโลวีน #คืนปล่อยผี
    เขาเล่ากันว่า... ในโลกของนักเขียน ไม่ได้มีแค่ตัวละครหรือแรงบันดาลใจ แต่ยังมี “ผี” ที่คอยสิงสู่อยู่ในหัว คอยกินเวลา และกลืนไฟสร้างสรรค์ของเราไปทีละน้อย "สารานุกรมผีนักเขียน" บันทึก "วิญญาณเฮี้ยนทั้ง 7" ที่ทุกคนต้องเผชิญหน้า มาดูกันว่า... คุณกำลังถูกผีตนไหนสิงสู่อยู่? 👻 ---------------- อ่านต่อในเพจ : ฌาณินน์ นักเขียน https://thaitimes.co/posts/281455 ---------------- มาจ่อรอชมได้พรุ่งนี้เจอกัน บันทึกวิญญาณที่ 2 : ผีจอมจู้จี้ เจ้าลัทธิ ‘คลั่งความเป๊ะ’ จนเฟร่อ! . . #นักเขียน #นักเขียนนิยาย #นักเขียนมือใหม่ #นิยาย #เรื่องสั้น #นามปากกาฌาณินน์ #ฌาณินน์ #บันทึกของฉัน #แรงบันดาลใจนักเขียน #ฮาโลวีน #วันฮาโลวีน #คืนปล่อยผี
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 237 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Qwertykeys เปิดตัวคีย์บอร์ด QK65 MK3 – ดีไซน์เรโทร พร้อมจอเล่นเกมในตัว!”

    สายคีย์บอร์ด Mechanical ต้องร้องว้าว! เพราะ Qwertykeys กำลังจะเปิดตัว QK65 MK3 รุ่นใหม่ที่ไม่ใช่แค่คีย์บอร์ดธรรมดา แต่มาพร้อม “จอสีขนาดเล็ก” ที่ติดอยู่ด้านขวาของตัวบอร์ด ซึ่งสามารถใช้เล่นเกมในตัวได้เลย!

    จากภาพทีเซอร์บน Instagram และประกาศใน Discord ของแบรนด์ ตัวจอจะเป็นแนวตั้งแบบสี (น่าจะเป็น LCD) และมีปุ่มควบคุมเกมอยู่ใต้จอ รวมถึงปุ่มสไตล์ Game Boy ที่อยู่ด้านบนคล้าย shoulder buttons บนคอนโทรลเลอร์

    ดีไซน์ของ QK65 MK3 มาในโทนเรโทรสุดเท่ สีเทา-เบจ พร้อมแถบสีสันสดใสที่ได้แรงบันดาลใจจากเครื่องเกมยุค 90 และคอมพิวเตอร์เก่า ๆ แต่ก็ยังคงความหลากหลายในการเลือกสีตามสไตล์ของ Qwertykeys เช่นเดิม

    ในด้านสเปก คีย์บอร์ดนี้ใช้เลย์เอาต์ 65% และคาดว่าจะมีตัวเลือกแผ่น plate หลากหลาย เช่น FR4, อะลูมิเนียม, POM, PC และคาร์บอนไฟเบอร์ รวมถึงตัวเคสอะลูมิเนียมที่เป็นมาตรฐานของแบรนด์ และมีตัวเลือก PCB แบบไร้สายด้วย

    ราคายังไม่เปิดเผย แต่ถ้าอิงจากรุ่นก่อนหน้า QK65 v2 อยู่ที่ $165 และ QK65 v2 Classic อยู่ที่ $175 ก็อาจอยู่ในช่วงใกล้เคียงกัน

    จุดเด่นของ QK65 MK3
    มีจอสีขนาดเล็กติดบนตัวคีย์บอร์ด ใช้เล่นเกมได้
    ปุ่มควบคุมเกมอยู่ใต้จอ และมีปุ่มสไตล์ Game Boy ด้านบน
    ดีไซน์เรโทร สีเทา-เบจ พร้อมแถบสีสันสดใส
    ได้แรงบันดาลใจจากเครื่องเกมยุค 90 และคอมพิวเตอร์เก่า
    เลย์เอาต์ 65% เหมาะสำหรับสายเกมและงานทั่วไป
    ตัวเคสอะลูมิเนียม แข็งแรงและสวยงาม
    มีตัวเลือก plate หลากหลาย เช่น FR4, POM, PC, คาร์บอนไฟเบอร์
    รองรับ PCB แบบไร้สาย

    ความคาดหวังและการเปิดตัว
    คาดว่าจะเปิดตัวในเร็ว ๆ นี้
    ราคาน่าจะใกล้เคียงกับ QK65 v2 ($165–$175)
    มีให้เลือกหลายสีตามสไตล์ของ Qwertykeys
    สร้างกระแสในชุมชน Mechanical Keyboard อย่างรวดเร็ว

    https://www.techpowerup.com/342115/qwertykeys-teases-qk65-mk3-retro-mechanical-keyboard-with-built-in-mini-games
    🎮 “Qwertykeys เปิดตัวคีย์บอร์ด QK65 MK3 – ดีไซน์เรโทร พร้อมจอเล่นเกมในตัว!” สายคีย์บอร์ด Mechanical ต้องร้องว้าว! เพราะ Qwertykeys กำลังจะเปิดตัว QK65 MK3 รุ่นใหม่ที่ไม่ใช่แค่คีย์บอร์ดธรรมดา แต่มาพร้อม “จอสีขนาดเล็ก” ที่ติดอยู่ด้านขวาของตัวบอร์ด ซึ่งสามารถใช้เล่นเกมในตัวได้เลย! จากภาพทีเซอร์บน Instagram และประกาศใน Discord ของแบรนด์ ตัวจอจะเป็นแนวตั้งแบบสี (น่าจะเป็น LCD) และมีปุ่มควบคุมเกมอยู่ใต้จอ รวมถึงปุ่มสไตล์ Game Boy ที่อยู่ด้านบนคล้าย shoulder buttons บนคอนโทรลเลอร์ ดีไซน์ของ QK65 MK3 มาในโทนเรโทรสุดเท่ สีเทา-เบจ พร้อมแถบสีสันสดใสที่ได้แรงบันดาลใจจากเครื่องเกมยุค 90 และคอมพิวเตอร์เก่า ๆ แต่ก็ยังคงความหลากหลายในการเลือกสีตามสไตล์ของ Qwertykeys เช่นเดิม ในด้านสเปก คีย์บอร์ดนี้ใช้เลย์เอาต์ 65% และคาดว่าจะมีตัวเลือกแผ่น plate หลากหลาย เช่น FR4, อะลูมิเนียม, POM, PC และคาร์บอนไฟเบอร์ รวมถึงตัวเคสอะลูมิเนียมที่เป็นมาตรฐานของแบรนด์ และมีตัวเลือก PCB แบบไร้สายด้วย ราคายังไม่เปิดเผย แต่ถ้าอิงจากรุ่นก่อนหน้า QK65 v2 อยู่ที่ $165 และ QK65 v2 Classic อยู่ที่ $175 ก็อาจอยู่ในช่วงใกล้เคียงกัน ✅ จุดเด่นของ QK65 MK3 ➡️ มีจอสีขนาดเล็กติดบนตัวคีย์บอร์ด ใช้เล่นเกมได้ ➡️ ปุ่มควบคุมเกมอยู่ใต้จอ และมีปุ่มสไตล์ Game Boy ด้านบน ➡️ ดีไซน์เรโทร สีเทา-เบจ พร้อมแถบสีสันสดใส ➡️ ได้แรงบันดาลใจจากเครื่องเกมยุค 90 และคอมพิวเตอร์เก่า ➡️ เลย์เอาต์ 65% เหมาะสำหรับสายเกมและงานทั่วไป ➡️ ตัวเคสอะลูมิเนียม แข็งแรงและสวยงาม ➡️ มีตัวเลือก plate หลากหลาย เช่น FR4, POM, PC, คาร์บอนไฟเบอร์ ➡️ รองรับ PCB แบบไร้สาย ✅ ความคาดหวังและการเปิดตัว ➡️ คาดว่าจะเปิดตัวในเร็ว ๆ นี้ ➡️ ราคาน่าจะใกล้เคียงกับ QK65 v2 ($165–$175) ➡️ มีให้เลือกหลายสีตามสไตล์ของ Qwertykeys ➡️ สร้างกระแสในชุมชน Mechanical Keyboard อย่างรวดเร็ว https://www.techpowerup.com/342115/qwertykeys-teases-qk65-mk3-retro-mechanical-keyboard-with-built-in-mini-games
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Qwertykeys Teases QK65 MK3: Retro Mechanical Keyboard With Built-In Mini Games
    One of the weirder gimmicks to come out of the enthusiast keyboard market is mini displays on keyboards, generally used to display anything from keyboard battery life and connectivity or OS modes to typing speed. The Qwertykeys QK65 MK3, however, takes the idea of a keyboard-mounted display to the n...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 185 มุมมอง 0 รีวิว
  • "อำลา Yang Chen-Ning: นักฟิสิกส์ผู้เปลี่ยนโลกและสร้างสะพานวิทยาศาสตร์ระหว่างประเทศ"

    Yang Chen-Ning นักฟิสิกส์ระดับโลกและผู้ได้รับรางวัลโนเบลคนแรกของจีน เสียชีวิตอย่างสงบในกรุงปักกิ่งเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ด้วยวัย 103 ปี เขาเป็นบุคคลสำคัญที่มีบทบาททั้งในวงการฟิสิกส์ระดับโลกและการพัฒนาวิทยาศาสตร์ของจีน

    Yang ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ร่วมกับ Tsung-Dao Lee ในปี 1957 จากทฤษฎี “Parity Non-Conservation” ซึ่งพลิกโฉมความเข้าใจเกี่ยวกับแรงพื้นฐานในธรรมชาติ เขายังเป็นผู้ร่วมพัฒนา “Yang-Mills Theory” ซึ่งกลายเป็นรากฐานสำคัญของ Standard Model ในฟิสิกส์อนุภาค

    ชีวิตของเขาเต็มไปด้วยการเดินทางทางวิชาการที่ยิ่งใหญ่ ตั้งแต่เรียนที่มหาวิทยาลัยชิคาโก ไปจนถึงเป็นศาสตราจารย์ที่ Princeton และ SUNY Stony Brook ก่อนจะกลับมารับตำแหน่งที่ Tsinghua University ในจีน ซึ่งเขาอุทิศตนเพื่อพัฒนาการศึกษาวิทยาศาสตร์และสร้างโอกาสให้กับนักวิจัยรุ่นใหม่

    Yang ไม่เพียงเป็นนักฟิสิกส์ผู้ยิ่งใหญ่ แต่ยังเป็นผู้เชื่อมโยงโลกวิทยาศาสตร์ระหว่างจีนและสหรัฐฯ ผ่านการแลกเปลี่ยนนักวิจัยและการให้คำปรึกษาแก่รัฐบาลจีนในโครงการวิทยาศาสตร์ระดับชาติ

    ประวัติชีวิตและการศึกษา
    เกิดที่ Hefei, Anhui ในปี 1922
    เรียนที่ National Southwestern Associated University และ Tsinghua University
    ได้รับปริญญาเอกจาก University of Chicago ในปี 1948

    เส้นทางอาชีพในต่างประเทศ
    เป็นสมาชิกถาวรของ Institute for Advanced Study ที่ Princeton
    ดำรงตำแหน่ง Albert Einstein Professor ที่ SUNY Stony Brook จนถึงปี 1999
    เป็น visiting professor ที่ Chinese University of Hong Kong ตั้งแต่ปี 1986

    ผลงานทางวิทยาศาสตร์
    ร่วมกับ Tsung-Dao Lee เสนอทฤษฎี Parity Non-Conservation ใน weak interaction
    พัฒนา Yang-Mills Theory ซึ่งเป็นรากฐานของ Standard Model
    ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในนักฟิสิกส์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของศตวรรษที่ 20

    บทบาทในจีน
    กลับมารับตำแหน่งที่ Tsinghua University และเป็นประธานกิตติมศักดิ์ของ Institute for Advanced Study
    เสนอแนวทางการฟื้นฟูงานวิจัยพื้นฐานให้รัฐบาลจีน
    สนับสนุนทุนการศึกษาให้นักวิจัยจีนไปศึกษาต่อในสหรัฐฯ
    มีบทบาทสำคัญในการพัฒนานโยบายวิทยาศาสตร์ระดับชาติ

    ความสูญเสียของวงการวิทยาศาสตร์
    การจากไปของ Yang ถือเป็นการสูญเสียบุคคลสำคัญที่มีบทบาททั้งในระดับโลกและระดับชาติ
    ทิ้งไว้เพียงผลงานและแรงบันดาลใจให้กับนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่

    มรดกทางวิชาการ
    ได้รับปริญญากิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยชั้นนำกว่า 20 แห่งทั่วโลก
    เป็นสมาชิกต่างชาติของสถาบันวิทยาศาสตร์มากกว่า 10 แห่ง
    ผลงานของเขายังคงเป็นรากฐานของฟิสิกส์ยุคใหม่

    https://www.chinadaily.com.cn/a/202510/18/WS68f3170ea310f735438b5bf2.html
    🪦 "อำลา Yang Chen-Ning: นักฟิสิกส์ผู้เปลี่ยนโลกและสร้างสะพานวิทยาศาสตร์ระหว่างประเทศ" Yang Chen-Ning นักฟิสิกส์ระดับโลกและผู้ได้รับรางวัลโนเบลคนแรกของจีน เสียชีวิตอย่างสงบในกรุงปักกิ่งเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ด้วยวัย 103 ปี เขาเป็นบุคคลสำคัญที่มีบทบาททั้งในวงการฟิสิกส์ระดับโลกและการพัฒนาวิทยาศาสตร์ของจีน Yang ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ร่วมกับ Tsung-Dao Lee ในปี 1957 จากทฤษฎี “Parity Non-Conservation” ซึ่งพลิกโฉมความเข้าใจเกี่ยวกับแรงพื้นฐานในธรรมชาติ เขายังเป็นผู้ร่วมพัฒนา “Yang-Mills Theory” ซึ่งกลายเป็นรากฐานสำคัญของ Standard Model ในฟิสิกส์อนุภาค ชีวิตของเขาเต็มไปด้วยการเดินทางทางวิชาการที่ยิ่งใหญ่ ตั้งแต่เรียนที่มหาวิทยาลัยชิคาโก ไปจนถึงเป็นศาสตราจารย์ที่ Princeton และ SUNY Stony Brook ก่อนจะกลับมารับตำแหน่งที่ Tsinghua University ในจีน ซึ่งเขาอุทิศตนเพื่อพัฒนาการศึกษาวิทยาศาสตร์และสร้างโอกาสให้กับนักวิจัยรุ่นใหม่ Yang ไม่เพียงเป็นนักฟิสิกส์ผู้ยิ่งใหญ่ แต่ยังเป็นผู้เชื่อมโยงโลกวิทยาศาสตร์ระหว่างจีนและสหรัฐฯ ผ่านการแลกเปลี่ยนนักวิจัยและการให้คำปรึกษาแก่รัฐบาลจีนในโครงการวิทยาศาสตร์ระดับชาติ ✅ ประวัติชีวิตและการศึกษา ➡️ เกิดที่ Hefei, Anhui ในปี 1922 ➡️ เรียนที่ National Southwestern Associated University และ Tsinghua University ➡️ ได้รับปริญญาเอกจาก University of Chicago ในปี 1948 ✅ เส้นทางอาชีพในต่างประเทศ ➡️ เป็นสมาชิกถาวรของ Institute for Advanced Study ที่ Princeton ➡️ ดำรงตำแหน่ง Albert Einstein Professor ที่ SUNY Stony Brook จนถึงปี 1999 ➡️ เป็น visiting professor ที่ Chinese University of Hong Kong ตั้งแต่ปี 1986 ✅ ผลงานทางวิทยาศาสตร์ ➡️ ร่วมกับ Tsung-Dao Lee เสนอทฤษฎี Parity Non-Conservation ใน weak interaction ➡️ พัฒนา Yang-Mills Theory ซึ่งเป็นรากฐานของ Standard Model ➡️ ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในนักฟิสิกส์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของศตวรรษที่ 20 ✅ บทบาทในจีน ➡️ กลับมารับตำแหน่งที่ Tsinghua University และเป็นประธานกิตติมศักดิ์ของ Institute for Advanced Study ➡️ เสนอแนวทางการฟื้นฟูงานวิจัยพื้นฐานให้รัฐบาลจีน ➡️ สนับสนุนทุนการศึกษาให้นักวิจัยจีนไปศึกษาต่อในสหรัฐฯ ➡️ มีบทบาทสำคัญในการพัฒนานโยบายวิทยาศาสตร์ระดับชาติ ‼️ ความสูญเสียของวงการวิทยาศาสตร์ ⛔ การจากไปของ Yang ถือเป็นการสูญเสียบุคคลสำคัญที่มีบทบาททั้งในระดับโลกและระดับชาติ ⛔ ทิ้งไว้เพียงผลงานและแรงบันดาลใจให้กับนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ ✅ มรดกทางวิชาการ ➡️ ได้รับปริญญากิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยชั้นนำกว่า 20 แห่งทั่วโลก ➡️ เป็นสมาชิกต่างชาติของสถาบันวิทยาศาสตร์มากกว่า 10 แห่ง ➡️ ผลงานของเขายังคงเป็นรากฐานของฟิสิกส์ยุคใหม่ https://www.chinadaily.com.cn/a/202510/18/WS68f3170ea310f735438b5bf2.html
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 262 มุมมอง 0 รีวิว
  • "Kubernetes 1 ล้านโหนด: ภารกิจสุดโหดที่กลายเป็นจริง"

    ลองจินตนาการถึง Kubernetes cluster ที่มีถึง 1 ล้านโหนด—ไม่ใช่แค่แนวคิด แต่เป็นการทดลองจริงที่ผลักดันขีดจำกัดของระบบ cloud-native ที่ทรงพลังที่สุดในโลกใบนี้! โครงการ “k8s-1m” โดยผู้เชี่ยวชาญจาก OpenAI และอดีตผู้ร่วมเขียนบทความชื่อดังเรื่องการขยาย Kubernetes สู่ 7,500 โหนด ได้กลับมาอีกครั้ง พร้อมเป้าหมายใหม่ที่ทะเยอทะยานกว่าเดิม: สร้าง cluster ที่มี 1 ล้านโหนดและสามารถจัดการ workload ได้จริง

    เบื้องหลังความสำเร็จนี้คือการแก้ปัญหาทางเทคนิคระดับมหากาพย์ ตั้งแต่การจัดการ IP ด้วย IPv6, การออกแบบระบบ etcd ใหม่ให้รองรับการเขียนระดับแสนครั้งต่อวินาที, ไปจนถึงการสร้าง distributed scheduler ที่สามารถจัดสรร 1 ล้าน pods ได้ภายใน 1 นาที

    แม้จะไม่ใช่ระบบที่พร้อมใช้งานใน production แต่โครงการนี้ได้เปิดเผยขีดจำกัดที่แท้จริงของ Kubernetes และเสนอแนวทางใหม่ในการออกแบบระบบ cloud-native ที่สามารถรองรับ workload ขนาดมหาศาลได้ในอนาคต

    สรุปเนื้อหาจากโครงการ k8s-1m:

    เป้าหมายของโครงการ
    สร้าง Kubernetes cluster ที่มี 1 ล้านโหนด
    ทดสอบขีดจำกัดของระบบ cloud-native
    ไม่เน้นการใช้งานเชิงพาณิชย์ แต่เพื่อการวิจัยและแรงบันดาลใจ

    ปัญหาหลักที่ต้องแก้
    ประสิทธิภาพของ etcd ที่เป็นคอขวด
    ความสามารถของ kube-apiserver ในการจัดการ watch cache
    การจัดการ IP address ด้วย IPv6
    การออกแบบ scheduler ให้กระจายโหลดได้

    เทคนิคที่ใช้ในระบบเครือข่าย
    ใช้ IPv6 แทน IPv4 เพื่อรองรับ IP จำนวนมหาศาล
    สร้าง bridge สำหรับ pod interfaces เพื่อจัดการ MAC address
    ใช้ WireGuard เป็น NAT64 gateway สำหรับบริการที่รองรับเฉพาะ IPv4

    ข้อจำกัดด้านความปลอดภัย
    ไม่ใช้ network policies ระหว่าง workloads เพราะมี prefix มากเกินไป
    ไม่ใช้ firewall ครอบคลุมทุก prefix แต่ใช้ TLS และการจำกัดพอร์ตแทน

    การจัดการ state ด้วย mem_etcd
    สร้าง etcd ใหม่ที่เขียนด้วย Rust ชื่อ mem_etcd
    ลดการใช้ fsync เพื่อเพิ่ม throughput
    ใช้ hash map และ B-tree แยกตาม resource kind
    รองรับการเขียนระดับล้านครั้งต่อวินาที

    คำเตือนเกี่ยวกับ durability
    ลดระดับความทนทานของข้อมูลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
    ไม่ใช้ etcd replicas ในบางกรณีเพื่อหลีกเลี่ยงการลด throughput

    การออกแบบ scheduler แบบกระจาย
    ใช้แนวคิด scatter-gather เพื่อกระจายการคำนวณ
    ใช้ relays หลายระดับเพื่อกระจาย pod ไปยัง schedulers
    ใช้ ValidatingWebhook แทน watch stream เพื่อรับ pod ใหม่เร็วขึ้น

    ปัญหา long-tail latency
    บาง scheduler ช้ากว่าค่าเฉลี่ย ทำให้ระบบรอ
    ใช้เทคนิค pinned CPUs และปรับ GC เพื่อลดความล่าช้า
    ตัดสินใจไม่รอ scheduler ที่ช้าเกินไป

    ผลการทดลอง
    สามารถจัดสรร 1 ล้าน pods ได้ในเวลาประมาณ 1 นาที
    mem_etcd รองรับ 100K–125K requests/sec
    kube-apiserver รองรับ 100K lease updates/sec
    ระบบใช้ RAM และ CPU อย่างมีประสิทธิภาพ

    ข้อจำกัดของภาษา Go
    GC ของ Go เป็นคอขวดหลักในการจัดการ object จำนวนมาก
    การเพิ่ม kube-apiserver replicas ไม่ช่วยลด GC load

    ข้อสรุปจากโครงการ
    ขนาด cluster ไม่สำคัญเท่ากับอัตราการเขียนของ resource kind
    Lease updates เป็นภาระหลักของระบบ
    การแยก etcd ตาม resource kind ช่วยเพิ่ม scalability
    การเปลี่ยน backend ของ etcd และปรับ watch cache ช่วยรองรับ 1 ล้านโหนด

    https://bchess.github.io/k8s-1m/
    🖇️ "Kubernetes 1 ล้านโหนด: ภารกิจสุดโหดที่กลายเป็นจริง" ลองจินตนาการถึง Kubernetes cluster ที่มีถึง 1 ล้านโหนด—ไม่ใช่แค่แนวคิด แต่เป็นการทดลองจริงที่ผลักดันขีดจำกัดของระบบ cloud-native ที่ทรงพลังที่สุดในโลกใบนี้! โครงการ “k8s-1m” โดยผู้เชี่ยวชาญจาก OpenAI และอดีตผู้ร่วมเขียนบทความชื่อดังเรื่องการขยาย Kubernetes สู่ 7,500 โหนด ได้กลับมาอีกครั้ง พร้อมเป้าหมายใหม่ที่ทะเยอทะยานกว่าเดิม: สร้าง cluster ที่มี 1 ล้านโหนดและสามารถจัดการ workload ได้จริง เบื้องหลังความสำเร็จนี้คือการแก้ปัญหาทางเทคนิคระดับมหากาพย์ ตั้งแต่การจัดการ IP ด้วย IPv6, การออกแบบระบบ etcd ใหม่ให้รองรับการเขียนระดับแสนครั้งต่อวินาที, ไปจนถึงการสร้าง distributed scheduler ที่สามารถจัดสรร 1 ล้าน pods ได้ภายใน 1 นาที แม้จะไม่ใช่ระบบที่พร้อมใช้งานใน production แต่โครงการนี้ได้เปิดเผยขีดจำกัดที่แท้จริงของ Kubernetes และเสนอแนวทางใหม่ในการออกแบบระบบ cloud-native ที่สามารถรองรับ workload ขนาดมหาศาลได้ในอนาคต สรุปเนื้อหาจากโครงการ k8s-1m: ✅ เป้าหมายของโครงการ ➡️ สร้าง Kubernetes cluster ที่มี 1 ล้านโหนด ➡️ ทดสอบขีดจำกัดของระบบ cloud-native ➡️ ไม่เน้นการใช้งานเชิงพาณิชย์ แต่เพื่อการวิจัยและแรงบันดาลใจ ✅ ปัญหาหลักที่ต้องแก้ ➡️ ประสิทธิภาพของ etcd ที่เป็นคอขวด ➡️ ความสามารถของ kube-apiserver ในการจัดการ watch cache ➡️ การจัดการ IP address ด้วย IPv6 ➡️ การออกแบบ scheduler ให้กระจายโหลดได้ ✅ เทคนิคที่ใช้ในระบบเครือข่าย ➡️ ใช้ IPv6 แทน IPv4 เพื่อรองรับ IP จำนวนมหาศาล ➡️ สร้าง bridge สำหรับ pod interfaces เพื่อจัดการ MAC address ➡️ ใช้ WireGuard เป็น NAT64 gateway สำหรับบริการที่รองรับเฉพาะ IPv4 ‼️ ข้อจำกัดด้านความปลอดภัย ⛔ ไม่ใช้ network policies ระหว่าง workloads เพราะมี prefix มากเกินไป ⛔ ไม่ใช้ firewall ครอบคลุมทุก prefix แต่ใช้ TLS และการจำกัดพอร์ตแทน ✅ การจัดการ state ด้วย mem_etcd ➡️ สร้าง etcd ใหม่ที่เขียนด้วย Rust ชื่อ mem_etcd ➡️ ลดการใช้ fsync เพื่อเพิ่ม throughput ➡️ ใช้ hash map และ B-tree แยกตาม resource kind ➡️ รองรับการเขียนระดับล้านครั้งต่อวินาที ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับ durability ⛔ ลดระดับความทนทานของข้อมูลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ⛔ ไม่ใช้ etcd replicas ในบางกรณีเพื่อหลีกเลี่ยงการลด throughput ✅ การออกแบบ scheduler แบบกระจาย ➡️ ใช้แนวคิด scatter-gather เพื่อกระจายการคำนวณ ➡️ ใช้ relays หลายระดับเพื่อกระจาย pod ไปยัง schedulers ➡️ ใช้ ValidatingWebhook แทน watch stream เพื่อรับ pod ใหม่เร็วขึ้น ‼️ ปัญหา long-tail latency ⛔ บาง scheduler ช้ากว่าค่าเฉลี่ย ทำให้ระบบรอ ⛔ ใช้เทคนิค pinned CPUs และปรับ GC เพื่อลดความล่าช้า ⛔ ตัดสินใจไม่รอ scheduler ที่ช้าเกินไป ✅ ผลการทดลอง ➡️ สามารถจัดสรร 1 ล้าน pods ได้ในเวลาประมาณ 1 นาที ➡️ mem_etcd รองรับ 100K–125K requests/sec ➡️ kube-apiserver รองรับ 100K lease updates/sec ➡️ ระบบใช้ RAM และ CPU อย่างมีประสิทธิภาพ ‼️ ข้อจำกัดของภาษา Go ⛔ GC ของ Go เป็นคอขวดหลักในการจัดการ object จำนวนมาก ⛔ การเพิ่ม kube-apiserver replicas ไม่ช่วยลด GC load ✅ ข้อสรุปจากโครงการ ➡️ ขนาด cluster ไม่สำคัญเท่ากับอัตราการเขียนของ resource kind ➡️ Lease updates เป็นภาระหลักของระบบ ➡️ การแยก etcd ตาม resource kind ช่วยเพิ่ม scalability ➡️ การเปลี่ยน backend ของ etcd และปรับ watch cache ช่วยรองรับ 1 ล้านโหนด https://bchess.github.io/k8s-1m/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 224 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ครูเคมีใช้เลเซอร์และแผงโซลาร์ส่งเสียงไร้สาย — โปรเจกต์บ้าน ๆ ที่เข้าใจฟิสิกส์ลึกซึ้ง”

    Phil ครูสอนเคมีระดับมัธยมและยูทูบเบอร์สายวิทยาศาสตร์ ได้ค้นพบโดยบังเอิญว่าแผงโซลาร์เซลล์เล็ก ๆ ที่เขาเชื่อมต่อกับลำโพงจะส่งเสียงออกมาเบา ๆ เมื่อโดนแสง เขาจึงเกิดไอเดียสร้างระบบส่งเสียงไร้สายผ่านแสง โดยใช้เพียง iPad, ลำโพงราคาถูก, แผงโซลาร์ และเลเซอร์

    เขาเริ่มจากการต่อ iPad เข้ากับแอมป์ขนาดเล็ก แล้วเชื่อมต่อกับหลอด LED ที่จะกระพริบตามสัญญาณเสียง เมื่อเปิดเพลงจาก iPad แสงจาก LED จะกระพริบตามจังหวะเพลง ซึ่งแผงโซลาร์สามารถ “รับรู้” การเปลี่ยนแปลงของแสงนี้และแปลงกลับเป็นสัญญาณไฟฟ้า ส่งต่อไปยังลำโพงให้เกิดเสียง

    อย่างไรก็ตาม ระยะส่งสัญญาณของ LED มีจำกัด เพราะความเข้มของแสงลดลงตามกฎกำลังสองผกผัน (inverse square law) เมื่ออยู่ไกลจากแหล่งกำเนิดแสง เขาจึงเปลี่ยนมาใช้เลเซอร์ไดโอดราคาถูกแทน ซึ่งสามารถส่งแสงได้ไกลและเข้มกว่า

    ผลลัพธ์คือเสียงเพลงจาก iPad ถูกส่งผ่านลำแสงเลเซอร์ไปยังแผงโซลาร์ที่อยู่อีกฟากของห้อง และเล่นออกลำโพงได้อย่างชัดเจน แม้คุณภาพเสียงจะไม่ถึงระดับ Hi-Fi แต่ก็ฟังรู้เรื่องและน่าทึ่งมาก

    Phil ชี้ว่าเทคโนโลยีนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ — กองทัพใช้เลเซอร์สื่อสารมาตั้งแต่ยุค 1970 แล้ว — แต่การนำมาทำเป็นโปรเจกต์ DIY แบบนี้ช่วยให้คนทั่วไป โดยเฉพาะนักเรียน ได้เข้าใจฟิสิกส์และอิเล็กทรอนิกส์อย่างสนุกและจับต้องได้

    ครูเคมีชื่อ Phil สร้างระบบส่งเสียงไร้สายผ่านแสง
    ใช้ iPad, แอมป์, LED/เลเซอร์, แผงโซลาร์ และลำโพง

    แสงจาก LED หรือเลเซอร์กระพริบตามสัญญาณเสียง
    แผงโซลาร์รับแสงและแปลงกลับเป็นเสียงผ่านลำโพง

    ใช้กฎ inverse square law อธิบายการลดลงของความเข้มแสง
    ระยะทางส่งสัญญาณมีผลต่อคุณภาพเสียง

    เปลี่ยนจาก LED เป็นเลเซอร์เพื่อเพิ่มระยะและความชัด
    ส่งเสียงได้ไกลขึ้นและชัดเจนขึ้น

    โปรเจกต์นี้เป็นการสาธิตเทคโนโลยีที่กองทัพเคยใช้
    เช่น การสื่อสารด้วยเลเซอร์ในยุค 1970

    จุดประสงค์คือการเรียนรู้และสร้างแรงบันดาลใจให้นักเรียน
    เข้าใจฟิสิกส์, อิเล็กทรอนิกส์ และการทดลอง

    https://www.tomshardware.com/maker-stem/teacher-uses-cheap-laser-and-solar-panel-to-transmit-wireless-sound-ipad-powers-home-project-that-was-inspired-by-solar-panel-making-noise-when-attached-to-speaker
    🔊 “ครูเคมีใช้เลเซอร์และแผงโซลาร์ส่งเสียงไร้สาย — โปรเจกต์บ้าน ๆ ที่เข้าใจฟิสิกส์ลึกซึ้ง” Phil ครูสอนเคมีระดับมัธยมและยูทูบเบอร์สายวิทยาศาสตร์ ได้ค้นพบโดยบังเอิญว่าแผงโซลาร์เซลล์เล็ก ๆ ที่เขาเชื่อมต่อกับลำโพงจะส่งเสียงออกมาเบา ๆ เมื่อโดนแสง เขาจึงเกิดไอเดียสร้างระบบส่งเสียงไร้สายผ่านแสง โดยใช้เพียง iPad, ลำโพงราคาถูก, แผงโซลาร์ และเลเซอร์ เขาเริ่มจากการต่อ iPad เข้ากับแอมป์ขนาดเล็ก แล้วเชื่อมต่อกับหลอด LED ที่จะกระพริบตามสัญญาณเสียง เมื่อเปิดเพลงจาก iPad แสงจาก LED จะกระพริบตามจังหวะเพลง ซึ่งแผงโซลาร์สามารถ “รับรู้” การเปลี่ยนแปลงของแสงนี้และแปลงกลับเป็นสัญญาณไฟฟ้า ส่งต่อไปยังลำโพงให้เกิดเสียง อย่างไรก็ตาม ระยะส่งสัญญาณของ LED มีจำกัด เพราะความเข้มของแสงลดลงตามกฎกำลังสองผกผัน (inverse square law) เมื่ออยู่ไกลจากแหล่งกำเนิดแสง เขาจึงเปลี่ยนมาใช้เลเซอร์ไดโอดราคาถูกแทน ซึ่งสามารถส่งแสงได้ไกลและเข้มกว่า ผลลัพธ์คือเสียงเพลงจาก iPad ถูกส่งผ่านลำแสงเลเซอร์ไปยังแผงโซลาร์ที่อยู่อีกฟากของห้อง และเล่นออกลำโพงได้อย่างชัดเจน แม้คุณภาพเสียงจะไม่ถึงระดับ Hi-Fi แต่ก็ฟังรู้เรื่องและน่าทึ่งมาก Phil ชี้ว่าเทคโนโลยีนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ — กองทัพใช้เลเซอร์สื่อสารมาตั้งแต่ยุค 1970 แล้ว — แต่การนำมาทำเป็นโปรเจกต์ DIY แบบนี้ช่วยให้คนทั่วไป โดยเฉพาะนักเรียน ได้เข้าใจฟิสิกส์และอิเล็กทรอนิกส์อย่างสนุกและจับต้องได้ ✅ ครูเคมีชื่อ Phil สร้างระบบส่งเสียงไร้สายผ่านแสง ➡️ ใช้ iPad, แอมป์, LED/เลเซอร์, แผงโซลาร์ และลำโพง ✅ แสงจาก LED หรือเลเซอร์กระพริบตามสัญญาณเสียง ➡️ แผงโซลาร์รับแสงและแปลงกลับเป็นเสียงผ่านลำโพง ✅ ใช้กฎ inverse square law อธิบายการลดลงของความเข้มแสง ➡️ ระยะทางส่งสัญญาณมีผลต่อคุณภาพเสียง ✅ เปลี่ยนจาก LED เป็นเลเซอร์เพื่อเพิ่มระยะและความชัด ➡️ ส่งเสียงได้ไกลขึ้นและชัดเจนขึ้น ✅ โปรเจกต์นี้เป็นการสาธิตเทคโนโลยีที่กองทัพเคยใช้ ➡️ เช่น การสื่อสารด้วยเลเซอร์ในยุค 1970 ✅ จุดประสงค์คือการเรียนรู้และสร้างแรงบันดาลใจให้นักเรียน ➡️ เข้าใจฟิสิกส์, อิเล็กทรอนิกส์ และการทดลอง https://www.tomshardware.com/maker-stem/teacher-uses-cheap-laser-and-solar-panel-to-transmit-wireless-sound-ipad-powers-home-project-that-was-inspired-by-solar-panel-making-noise-when-attached-to-speaker
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 255 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Commodore OS Vision 3.0 ท้าชน Windows 10” — ระบบปฏิบัติการ Linux สไตล์เรโทรที่ชูจุดขาย ‘สงบ ปลอดภัย ไร้รบกวน’

    หลังจาก Microsoft ประกาศยุติการสนับสนุน Windows 10 อย่างเป็นทางการ กลุ่มผู้ใช้จำนวนมากเริ่มมองหาทางเลือกใหม่ และ Commodore — แบรนด์ไอทีในตำนานที่กลับมาอีกครั้ง — ได้เปิดตัวระบบปฏิบัติการ Linux-based ชื่อว่า “Commodore OS Vision 3.0” เพื่อดึงดูดผู้ใช้ที่ไม่พอใจ Windows 11

    Commodore OS Vision 3.0 ถูกออกแบบให้เป็น “พื้นที่สงบ” สำหรับผู้ใช้ที่เบื่อกับระบบที่เต็มไปด้วยโฆษณา การติดตาม และฟีเจอร์ที่ไม่จำเป็น โดยชูจุดขายว่า “No nags. No noise. No tracking.” พร้อมอินเทอร์เฟซเรโทร-ฟิวเจอร์ริสติกที่ได้แรงบันดาลใจจากยุค Commodore 64

    ระบบนี้มีขนาดไฟล์ติดตั้งถึง 35GB เพราะรวมเกมและเดโมกว่า 200 รายการ ทั้งจากยุค Commodore และเกม Linux สมัยใหม่ นอกจากนี้ยังมี Commodore OS BASIC V1 ที่สามารถเขียนโปรแกรม 3D และฟิสิกส์ได้ในตัว โดยไม่ต้องติดตั้งซอฟต์แวร์เพิ่ม

    Commodore ยังเปิดตัว “Commodore OS Central” ซึ่งเป็นศูนย์รวมคู่มือ เกม และเครื่องมือสำหรับนักพัฒนา โดยมีแผนจะพัฒนาเป็นร้านเกมและแพลตฟอร์มชุมชนในอนาคต

    ผู้ใช้สามารถติดตั้งระบบนี้ผ่าน VM หรือเครื่องจริง โดยมีคู่มืออย่างละเอียดในฟอรัมของ Commodore ซึ่งกำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

    ข้อมูลในข่าว
    Microsoft ยุติการสนับสนุน Windows 10 ทำให้ผู้ใช้มองหาทางเลือกใหม่
    Commodore เปิดตัว OS Vision 3.0 บนพื้นฐาน Linux
    ชูจุดขาย “No nags. No noise. No tracking.”
    อินเทอร์เฟซเรโทร-ฟิวเจอร์ริสติก ได้แรงบันดาลใจจาก Commodore 64
    ขนาดไฟล์ติดตั้ง 35GB รวมเกมและเดโมกว่า 200 รายการ
    มี Commodore OS BASIC V1 สำหรับเขียนโปรแกรม 3D และฟิสิกส์
    มีศูนย์รวมทรัพยากรชื่อ “Commodore OS Central”
    รองรับการติดตั้งผ่าน VM หรือเครื่องจริง พร้อมคู่มือในฟอรัม

    https://www.tomshardware.com/software/operating-systems/commodore-needles-microsoft-over-end-of-windows-10-tries-to-lure-disgruntled-users-to-its-linux-based-os-vision-3-0-microsoft-may-be-leaving-you-behind-we-wont
    🖥️ “Commodore OS Vision 3.0 ท้าชน Windows 10” — ระบบปฏิบัติการ Linux สไตล์เรโทรที่ชูจุดขาย ‘สงบ ปลอดภัย ไร้รบกวน’ หลังจาก Microsoft ประกาศยุติการสนับสนุน Windows 10 อย่างเป็นทางการ กลุ่มผู้ใช้จำนวนมากเริ่มมองหาทางเลือกใหม่ และ Commodore — แบรนด์ไอทีในตำนานที่กลับมาอีกครั้ง — ได้เปิดตัวระบบปฏิบัติการ Linux-based ชื่อว่า “Commodore OS Vision 3.0” เพื่อดึงดูดผู้ใช้ที่ไม่พอใจ Windows 11 Commodore OS Vision 3.0 ถูกออกแบบให้เป็น “พื้นที่สงบ” สำหรับผู้ใช้ที่เบื่อกับระบบที่เต็มไปด้วยโฆษณา การติดตาม และฟีเจอร์ที่ไม่จำเป็น โดยชูจุดขายว่า “No nags. No noise. No tracking.” พร้อมอินเทอร์เฟซเรโทร-ฟิวเจอร์ริสติกที่ได้แรงบันดาลใจจากยุค Commodore 64 ระบบนี้มีขนาดไฟล์ติดตั้งถึง 35GB เพราะรวมเกมและเดโมกว่า 200 รายการ ทั้งจากยุค Commodore และเกม Linux สมัยใหม่ นอกจากนี้ยังมี Commodore OS BASIC V1 ที่สามารถเขียนโปรแกรม 3D และฟิสิกส์ได้ในตัว โดยไม่ต้องติดตั้งซอฟต์แวร์เพิ่ม Commodore ยังเปิดตัว “Commodore OS Central” ซึ่งเป็นศูนย์รวมคู่มือ เกม และเครื่องมือสำหรับนักพัฒนา โดยมีแผนจะพัฒนาเป็นร้านเกมและแพลตฟอร์มชุมชนในอนาคต ผู้ใช้สามารถติดตั้งระบบนี้ผ่าน VM หรือเครื่องจริง โดยมีคู่มืออย่างละเอียดในฟอรัมของ Commodore ซึ่งกำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ Microsoft ยุติการสนับสนุน Windows 10 ทำให้ผู้ใช้มองหาทางเลือกใหม่ ➡️ Commodore เปิดตัว OS Vision 3.0 บนพื้นฐาน Linux ➡️ ชูจุดขาย “No nags. No noise. No tracking.” ➡️ อินเทอร์เฟซเรโทร-ฟิวเจอร์ริสติก ได้แรงบันดาลใจจาก Commodore 64 ➡️ ขนาดไฟล์ติดตั้ง 35GB รวมเกมและเดโมกว่า 200 รายการ ➡️ มี Commodore OS BASIC V1 สำหรับเขียนโปรแกรม 3D และฟิสิกส์ ➡️ มีศูนย์รวมทรัพยากรชื่อ “Commodore OS Central” ➡️ รองรับการติดตั้งผ่าน VM หรือเครื่องจริง พร้อมคู่มือในฟอรัม https://www.tomshardware.com/software/operating-systems/commodore-needles-microsoft-over-end-of-windows-10-tries-to-lure-disgruntled-users-to-its-linux-based-os-vision-3-0-microsoft-may-be-leaving-you-behind-we-wont
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 193 มุมมอง 0 รีวิว
  • “เมื่อแอปหาคู่ไม่ตอบโจทย์ — หญิงอเมริกันวัย 42 ใช้บิลบอร์ดหาสามี กลายเป็นไวรัลพร้อมกระแสเกลียดชัง”

    Lisa Catalano หญิงวัย 42 ปีจากซานมาเทโอ รัฐแคลิฟอร์เนีย ตัดสินใจหันหลังให้กับแอปหาคู่ที่ทำให้เธอรู้สึกหมดหวัง และเลือกใช้วิธีสุดแหวกแนวในการหาคู่ชีวิต — เธอขึ้นบิลบอร์ดขนาดใหญ่ 6 จุดตลอดเส้นทาง Highway 101 ระหว่างซานตาคลาราและซานฟรานซิสโก พร้อมข้อความว่าเธอกำลังมองหาสามี

    เธอสร้างเว็บไซต์ส่วนตัวชื่อ MarryLisa.com เพื่อให้ผู้สนใจส่งข้อความเข้ามา และภายในเวลาไม่นานก็ได้รับข้อความกว่า 2,200 ฉบับจากทั่วโลก ทั้งคำชม คำให้กำลังใจ และคำดูถูกอย่างรุนแรง รวมถึงการคุกคามจากเว็บไซต์ 4chan ที่เผยแพร่ข้อมูลส่วนตัวของเธอและครอบครัว

    แม้จะเผชิญกับกระแสลบ แต่เธอกลับได้รับแรงสนับสนุนจากผู้หญิงจำนวนมากที่เข้าใจความรู้สึกของการถูกลดคุณค่าในโลกของแอปหาคู่ และชื่นชมความกล้าหาญของเธอในการเปิดเผยตัวตนอย่างตรงไปตรงมา

    วิธีการหาคู่ของ Lisa Catalano
    ใช้บิลบอร์ดขนาดใหญ่ 6 จุดบน Highway 101 เพื่อประกาศหาสามี
    สร้างเว็บไซต์ MarryLisa.com เพื่อรับข้อความจากผู้สนใจ
    ได้รับข้อความกว่า 2,200 ฉบับจากทั่วโลก

    ความตั้งใจและแรงบันดาลใจ
    เบื่อหน่ายกับแอปหาคู่ที่ทำให้รู้สึกหมดคุณค่า
    ต้องการหาคู่ชีวิตอย่างจริงจังหลังจากสูญเสียคู่หมั้นเมื่อปลายปี 2023
    หวังสร้างครอบครัวภายใน 2-3 ปี

    กระแสตอบรับจากสังคม
    ได้รับคำชมจากผู้หญิงหลายคนที่เข้าใจความรู้สึกของเธอ
    สื่อหลายสำนักให้ความสนใจ เช่น People Magazine, New York Post, ABC News
    เว็บไซต์ MarryLisa.com มียอดเข้าชมเกือบ 1 ล้านครั้งใน 9 วัน

    คำเตือนและข้อจำกัด
    ถูกคุกคามจากเว็บไซต์ 4chan ที่เผยแพร่ข้อมูลส่วนตัวของเธอและครอบครัว
    ข้อความบางส่วนมีเนื้อหามีความรุนแรงและเหยียดเพศ
    การเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวมากเกินไป เช่น น้ำหนัก, ศาสนา, ความชอบ อาจนำไปสู่การถูกวิจารณ์
    การใช้วิธีสาธารณะในการหาคู่อาจเสี่ยงต่อความปลอดภัย

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/11/tired-of-swiping-this-us-woman-turned-to-billboards-to-find-a-husband-then-came-the-hate
    💘 “เมื่อแอปหาคู่ไม่ตอบโจทย์ — หญิงอเมริกันวัย 42 ใช้บิลบอร์ดหาสามี กลายเป็นไวรัลพร้อมกระแสเกลียดชัง” Lisa Catalano หญิงวัย 42 ปีจากซานมาเทโอ รัฐแคลิฟอร์เนีย ตัดสินใจหันหลังให้กับแอปหาคู่ที่ทำให้เธอรู้สึกหมดหวัง และเลือกใช้วิธีสุดแหวกแนวในการหาคู่ชีวิต — เธอขึ้นบิลบอร์ดขนาดใหญ่ 6 จุดตลอดเส้นทาง Highway 101 ระหว่างซานตาคลาราและซานฟรานซิสโก พร้อมข้อความว่าเธอกำลังมองหาสามี เธอสร้างเว็บไซต์ส่วนตัวชื่อ MarryLisa.com เพื่อให้ผู้สนใจส่งข้อความเข้ามา และภายในเวลาไม่นานก็ได้รับข้อความกว่า 2,200 ฉบับจากทั่วโลก ทั้งคำชม คำให้กำลังใจ และคำดูถูกอย่างรุนแรง รวมถึงการคุกคามจากเว็บไซต์ 4chan ที่เผยแพร่ข้อมูลส่วนตัวของเธอและครอบครัว แม้จะเผชิญกับกระแสลบ แต่เธอกลับได้รับแรงสนับสนุนจากผู้หญิงจำนวนมากที่เข้าใจความรู้สึกของการถูกลดคุณค่าในโลกของแอปหาคู่ และชื่นชมความกล้าหาญของเธอในการเปิดเผยตัวตนอย่างตรงไปตรงมา ✅ วิธีการหาคู่ของ Lisa Catalano ➡️ ใช้บิลบอร์ดขนาดใหญ่ 6 จุดบน Highway 101 เพื่อประกาศหาสามี ➡️ สร้างเว็บไซต์ MarryLisa.com เพื่อรับข้อความจากผู้สนใจ ➡️ ได้รับข้อความกว่า 2,200 ฉบับจากทั่วโลก ✅ ความตั้งใจและแรงบันดาลใจ ➡️ เบื่อหน่ายกับแอปหาคู่ที่ทำให้รู้สึกหมดคุณค่า ➡️ ต้องการหาคู่ชีวิตอย่างจริงจังหลังจากสูญเสียคู่หมั้นเมื่อปลายปี 2023 ➡️ หวังสร้างครอบครัวภายใน 2-3 ปี ✅ กระแสตอบรับจากสังคม ➡️ ได้รับคำชมจากผู้หญิงหลายคนที่เข้าใจความรู้สึกของเธอ ➡️ สื่อหลายสำนักให้ความสนใจ เช่น People Magazine, New York Post, ABC News ➡️ เว็บไซต์ MarryLisa.com มียอดเข้าชมเกือบ 1 ล้านครั้งใน 9 วัน ‼️ คำเตือนและข้อจำกัด ⛔ ถูกคุกคามจากเว็บไซต์ 4chan ที่เผยแพร่ข้อมูลส่วนตัวของเธอและครอบครัว ⛔ ข้อความบางส่วนมีเนื้อหามีความรุนแรงและเหยียดเพศ ⛔ การเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวมากเกินไป เช่น น้ำหนัก, ศาสนา, ความชอบ อาจนำไปสู่การถูกวิจารณ์ ⛔ การใช้วิธีสาธารณะในการหาคู่อาจเสี่ยงต่อความปลอดภัย https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/11/tired-of-swiping-this-us-woman-turned-to-billboards-to-find-a-husband-then-came-the-hate
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Tired of swiping, this US woman turned to billboards to find a husband. Then came the hate
    Many of the more than 2,200 "potential suitors" around the world who've reached out to her are online bullies more interested in ridiculing her – or worse.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 258 มุมมอง 0 รีวิว
  • “จากเด็กอายุ 12 สู่ผู้ร่วมพัฒนาเคอร์เนล: Lifebook S2110 จุดประกายการแก้ไขไดรเวอร์ Linux ครั้งแรก”

    Valtteri Koskivuori นักพัฒนาสาย Linux ได้แชร์ประสบการณ์การส่ง patch แรกเข้าสู่เคอร์เนล Linux อย่างเป็นทางการ โดยเริ่มต้นจากความหลงใหลในโน้ตบุ๊กเก่ารุ่น Fujitsu Lifebook S2110 ที่เขาใช้มาตั้งแต่ปี 2005 แม้เครื่องจะมี RAM เพียง 2GB และใช้ฮาร์ดดิสก์แบบจานหมุน แต่ยังสามารถรัน Arch Linux รุ่นล่าสุดได้อย่างลื่นไหล

    แรงบันดาลใจของเขาเริ่มจากการสังเกตว่า “ปุ่ม hotkey” บนเครื่องทำงานได้เพียงครึ่งเดียว — โหมด Application ใช้งานได้ แต่โหมด Player กลับไม่มีการตอบสนองใด ๆ และมีข้อความแปลก ๆ ปรากฏใน kernel log ซึ่งนำไปสู่การสืบค้นโค้ดของไดรเวอร์ fujitsu-laptop.c ในเคอร์เนล

    หลังจากวิเคราะห์โค้ดอย่างละเอียด เขาพบว่าเครื่องของเขาไม่ได้อยู่ใน DMI table ที่ใช้เลือก keymap เฉพาะรุ่น จึงตัดสินใจสร้าง keymap ใหม่สำหรับ S2110 โดยเพิ่ม scancode ที่หายไป และแมปปุ่มให้ตรงกับฟังก์ชัน เช่น เล่นเพลง หยุดเพลง ย้อนเพลง และข้ามเพลง

    เมื่อทดสอบกับ xev และ playerctl พบว่าปุ่มทั้งหมดทำงานได้สมบูรณ์ เขาจึงส่ง patch นี้ไปยัง maintainer ของเคอร์เนลผ่านระบบ mailing list และในเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ patch ก็ถูก merge เข้าสู่ Linux 6.15 และถูก backport ไปยังเวอร์ชัน LTS หลายรุ่น

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Valtteri Koskivuori ส่ง patch แรกเข้าสู่เคอร์เนล Linux เพื่อแก้ไข hotkey บน Lifebook S2110
    ปุ่ม hotkey ทำงานได้ในโหมด Application แต่ไม่ตอบสนองในโหมด Player
    พบข้อความ “Unknown GIRB result” ใน kernel log เมื่อกดปุ่มในโหมด Player
    วิเคราะห์โค้ดใน fujitsu-laptop.c และพบว่าเครื่องไม่ได้อยู่ใน DMI table
    สร้าง keymap ใหม่ keymap_s2110 และเพิ่ม scancode สำหรับปุ่มที่หายไป
    ทดสอบด้วย xev และ playerctl พบว่าปุ่มทำงานได้ครบทุกฟังก์ชัน
    ส่ง patch ผ่าน git send-email ไปยัง maintainer และ mailing list
    Patch ถูก merge เข้าสู่ Linux 6.15 และ backport ไปยัง LTS หลายรุ่น

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    DMI table ใช้ระบุรุ่นของเครื่องเพื่อเลือก keymap ที่เหมาะสม
    sparse_keymap_setup() เป็นฟังก์ชันที่ใช้แมป scancode กับ keycode
    ACPI notify ใช้รับเหตุการณ์จาก firmware และส่งไปยัง input subsystem
    playerctl ใช้ควบคุม media player ผ่าน D-Bus ด้วยโปรโตคอล MPRIS
    การส่ง patch ผ่าน mailing list เป็นวิธีดั้งเดิมที่ยังใช้ในเคอร์เนล Linux

    https://vkoskiv.com/first-linux-patch/
    🧑‍💻 “จากเด็กอายุ 12 สู่ผู้ร่วมพัฒนาเคอร์เนล: Lifebook S2110 จุดประกายการแก้ไขไดรเวอร์ Linux ครั้งแรก” Valtteri Koskivuori นักพัฒนาสาย Linux ได้แชร์ประสบการณ์การส่ง patch แรกเข้าสู่เคอร์เนล Linux อย่างเป็นทางการ โดยเริ่มต้นจากความหลงใหลในโน้ตบุ๊กเก่ารุ่น Fujitsu Lifebook S2110 ที่เขาใช้มาตั้งแต่ปี 2005 แม้เครื่องจะมี RAM เพียง 2GB และใช้ฮาร์ดดิสก์แบบจานหมุน แต่ยังสามารถรัน Arch Linux รุ่นล่าสุดได้อย่างลื่นไหล แรงบันดาลใจของเขาเริ่มจากการสังเกตว่า “ปุ่ม hotkey” บนเครื่องทำงานได้เพียงครึ่งเดียว — โหมด Application ใช้งานได้ แต่โหมด Player กลับไม่มีการตอบสนองใด ๆ และมีข้อความแปลก ๆ ปรากฏใน kernel log ซึ่งนำไปสู่การสืบค้นโค้ดของไดรเวอร์ fujitsu-laptop.c ในเคอร์เนล หลังจากวิเคราะห์โค้ดอย่างละเอียด เขาพบว่าเครื่องของเขาไม่ได้อยู่ใน DMI table ที่ใช้เลือก keymap เฉพาะรุ่น จึงตัดสินใจสร้าง keymap ใหม่สำหรับ S2110 โดยเพิ่ม scancode ที่หายไป และแมปปุ่มให้ตรงกับฟังก์ชัน เช่น เล่นเพลง หยุดเพลง ย้อนเพลง และข้ามเพลง เมื่อทดสอบกับ xev และ playerctl พบว่าปุ่มทั้งหมดทำงานได้สมบูรณ์ เขาจึงส่ง patch นี้ไปยัง maintainer ของเคอร์เนลผ่านระบบ mailing list และในเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ patch ก็ถูก merge เข้าสู่ Linux 6.15 และถูก backport ไปยังเวอร์ชัน LTS หลายรุ่น ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Valtteri Koskivuori ส่ง patch แรกเข้าสู่เคอร์เนล Linux เพื่อแก้ไข hotkey บน Lifebook S2110 ➡️ ปุ่ม hotkey ทำงานได้ในโหมด Application แต่ไม่ตอบสนองในโหมด Player ➡️ พบข้อความ “Unknown GIRB result” ใน kernel log เมื่อกดปุ่มในโหมด Player ➡️ วิเคราะห์โค้ดใน fujitsu-laptop.c และพบว่าเครื่องไม่ได้อยู่ใน DMI table ➡️ สร้าง keymap ใหม่ keymap_s2110 และเพิ่ม scancode สำหรับปุ่มที่หายไป ➡️ ทดสอบด้วย xev และ playerctl พบว่าปุ่มทำงานได้ครบทุกฟังก์ชัน ➡️ ส่ง patch ผ่าน git send-email ไปยัง maintainer และ mailing list ➡️ Patch ถูก merge เข้าสู่ Linux 6.15 และ backport ไปยัง LTS หลายรุ่น ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ DMI table ใช้ระบุรุ่นของเครื่องเพื่อเลือก keymap ที่เหมาะสม ➡️ sparse_keymap_setup() เป็นฟังก์ชันที่ใช้แมป scancode กับ keycode ➡️ ACPI notify ใช้รับเหตุการณ์จาก firmware และส่งไปยัง input subsystem ➡️ playerctl ใช้ควบคุม media player ผ่าน D-Bus ด้วยโปรโตคอล MPRIS ➡️ การส่ง patch ผ่าน mailing list เป็นวิธีดั้งเดิมที่ยังใช้ในเคอร์เนล Linux https://vkoskiv.com/first-linux-patch/
    VKOSKIV.COM
    My First Contribution to Linux
    I upstreamed my first kernel patch, and it was easier than I thought it would be.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 190 มุมมอง 0 รีวิว
  • “โนเบลฟิสิกส์ 2025 ยกย่องการทดลองที่ทำให้โลกควอนตัม ‘จับต้องได้’ — เมื่ออิเล็กตรอนนับพันล้านเต้นรำเป็นหนึ่งเดียว”

    รางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ประจำปี 2025 ตกเป็นของสามนักวิทยาศาสตร์ผู้เปลี่ยนความเข้าใจของเราเกี่ยวกับกลศาสตร์ควอนตัม ได้แก่ John Clarke, Michel H. Devoret และ John M. Martinis จากการค้นพบปรากฏการณ์ “การอุโมงค์ควอนตัมในระดับมหภาค” และ “การควอนตัมของพลังงาน” ในวงจรไฟฟ้าซูเปอร์คอนดักเตอร์

    โดยทั่วไป กลศาสตร์ควอนตัมเป็นศาสตร์ที่อธิบายพฤติกรรมของอนุภาคขนาดเล็ก เช่น อิเล็กตรอนหรือโปรตอน ซึ่งสามารถแสดงพฤติกรรมแปลกประหลาด เช่น การอุโมงค์ผ่านกำแพงพลังงาน หรือการดูดกลืนและปล่อยพลังงานในปริมาณที่แน่นอน แต่สิ่งเหล่านี้มักเกิดในระดับ “จุลภาค” ที่ไม่สามารถมองเห็นหรือสัมผัสได้

    แต่ในปี 1984–1985 ทีมวิจัยจาก UC Berkeley ได้สร้างวงจรไฟฟ้าซูเปอร์คอนดักเตอร์ขนาดประมาณ 1 เซนติเมตร โดยใช้ Josephson junction ซึ่งเป็นการเชื่อมต่อระหว่างซูเปอร์คอนดักเตอร์สองตัวผ่านฉนวนบาง ๆ ผลลัพธ์คือ พวกเขาสามารถควบคุมและสังเกตพฤติกรรมของ “Cooper pairs” — กลุ่มอิเล็กตรอนที่จับคู่กันและเคลื่อนที่อย่างเป็นหนึ่งเดียวโดยไม่มีความต้านทาน

    ในสภาวะเริ่มต้น วงจรไม่มีแรงดันไฟฟ้าใด ๆ ราวกับว่าระบบถูกขังอยู่หลังกำแพงพลังงาน แต่แล้วเกิดการ “อุโมงค์ควอนตัม” — ระบบสามารถหลุดออกจากสถานะนั้นและสร้างแรงดันไฟฟ้าได้ โดยไม่ต้องเพิ่มพลังงานจากภายนอก

    นอกจากนี้ พวกเขายังพิสูจน์ว่า ระบบนี้สามารถดูดกลืนพลังงานจากคลื่นไมโครเวฟในปริมาณที่แน่นอน และเปลี่ยนสถานะพลังงานได้ตามทฤษฎีควอนตัม ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแม้ระบบจะประกอบด้วยอนุภาคนับพันล้าน แต่ก็ยังแสดงพฤติกรรมควอนตัมได้เหมือนอนุภาคเดี่ยว

    การทดลองนี้ไม่เพียงแต่ยืนยันทฤษฎีควอนตัมในระดับมหภาค แต่ยังเป็นรากฐานของเทคโนโลยีควอนตัมยุคใหม่ เช่น คอมพิวเตอร์ควอนตัม เซนเซอร์ควอนตัม และการเข้ารหัสควอนตัม โดยเฉพาะการใช้สถานะพลังงานต่ำและสูงเป็นบิตควอนตัม (qubit) ซึ่ง Martinis ได้นำไปใช้ในงานวิจัยต่อมา

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    รางวัลโนเบลฟิสิกส์ 2025 มอบให้ John Clarke, Michel Devoret และ John Martinis
    จากการค้นพบการอุโมงค์ควอนตัมในระดับมหภาค และการควอนตัมของพลังงาน
    ใช้วงจรไฟฟ้าซูเปอร์คอนดักเตอร์ที่มี Josephson junction เป็นแกนหลัก
    สังเกตพฤติกรรมของ Cooper pairs ที่เคลื่อนที่เป็นหนึ่งเดียว
    ระบบเริ่มต้นในสถานะไม่มีแรงดันไฟฟ้า แล้วเกิดการอุโมงค์ควอนตัมสร้างแรงดัน
    พิสูจน์ว่าระบบดูดกลืนพลังงานจากคลื่นไมโครเวฟในปริมาณที่แน่นอน
    การทดลองเกิดขึ้นที่ UC Berkeley ในช่วงปี 1984–1985
    ผลลัพธ์นำไปสู่การพัฒนา qubit สำหรับคอมพิวเตอร์ควอนตัม
    รางวัลนี้มีมูลค่า 11 ล้านโครนาสวีเดน แบ่งเท่า ๆ กันระหว่างผู้ได้รับรางวัล

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Cooper pairs คืออิเล็กตรอนที่จับคู่กันในซูเปอร์คอนดักเตอร์ ทำให้ไม่มีความต้านทาน
    Josephson junction ถูกตั้งชื่อตาม Brian Josephson ผู้ได้รับรางวัลโนเบลในปี 1973
    ทฤษฎีเบื้องหลังได้รับแรงบันดาลใจจาก Anthony Leggett ผู้ได้รับรางวัลโนเบลในปี 2003
    การอุโมงค์ควอนตัมเคยถูกใช้เพื่ออธิบายการสลายตัวของนิวเคลียสในฟิสิกส์นิวเคลียร์
    คอมพิวเตอร์ควอนตัมใช้สถานะพลังงานของระบบควอนตัมเป็นหน่วยข้อมูล

    https://www.nobelprize.org/prizes/physics/2025/popular-information/
    🔬 “โนเบลฟิสิกส์ 2025 ยกย่องการทดลองที่ทำให้โลกควอนตัม ‘จับต้องได้’ — เมื่ออิเล็กตรอนนับพันล้านเต้นรำเป็นหนึ่งเดียว” รางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ประจำปี 2025 ตกเป็นของสามนักวิทยาศาสตร์ผู้เปลี่ยนความเข้าใจของเราเกี่ยวกับกลศาสตร์ควอนตัม ได้แก่ John Clarke, Michel H. Devoret และ John M. Martinis จากการค้นพบปรากฏการณ์ “การอุโมงค์ควอนตัมในระดับมหภาค” และ “การควอนตัมของพลังงาน” ในวงจรไฟฟ้าซูเปอร์คอนดักเตอร์ โดยทั่วไป กลศาสตร์ควอนตัมเป็นศาสตร์ที่อธิบายพฤติกรรมของอนุภาคขนาดเล็ก เช่น อิเล็กตรอนหรือโปรตอน ซึ่งสามารถแสดงพฤติกรรมแปลกประหลาด เช่น การอุโมงค์ผ่านกำแพงพลังงาน หรือการดูดกลืนและปล่อยพลังงานในปริมาณที่แน่นอน แต่สิ่งเหล่านี้มักเกิดในระดับ “จุลภาค” ที่ไม่สามารถมองเห็นหรือสัมผัสได้ แต่ในปี 1984–1985 ทีมวิจัยจาก UC Berkeley ได้สร้างวงจรไฟฟ้าซูเปอร์คอนดักเตอร์ขนาดประมาณ 1 เซนติเมตร โดยใช้ Josephson junction ซึ่งเป็นการเชื่อมต่อระหว่างซูเปอร์คอนดักเตอร์สองตัวผ่านฉนวนบาง ๆ ผลลัพธ์คือ พวกเขาสามารถควบคุมและสังเกตพฤติกรรมของ “Cooper pairs” — กลุ่มอิเล็กตรอนที่จับคู่กันและเคลื่อนที่อย่างเป็นหนึ่งเดียวโดยไม่มีความต้านทาน ในสภาวะเริ่มต้น วงจรไม่มีแรงดันไฟฟ้าใด ๆ ราวกับว่าระบบถูกขังอยู่หลังกำแพงพลังงาน แต่แล้วเกิดการ “อุโมงค์ควอนตัม” — ระบบสามารถหลุดออกจากสถานะนั้นและสร้างแรงดันไฟฟ้าได้ โดยไม่ต้องเพิ่มพลังงานจากภายนอก นอกจากนี้ พวกเขายังพิสูจน์ว่า ระบบนี้สามารถดูดกลืนพลังงานจากคลื่นไมโครเวฟในปริมาณที่แน่นอน และเปลี่ยนสถานะพลังงานได้ตามทฤษฎีควอนตัม ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแม้ระบบจะประกอบด้วยอนุภาคนับพันล้าน แต่ก็ยังแสดงพฤติกรรมควอนตัมได้เหมือนอนุภาคเดี่ยว การทดลองนี้ไม่เพียงแต่ยืนยันทฤษฎีควอนตัมในระดับมหภาค แต่ยังเป็นรากฐานของเทคโนโลยีควอนตัมยุคใหม่ เช่น คอมพิวเตอร์ควอนตัม เซนเซอร์ควอนตัม และการเข้ารหัสควอนตัม โดยเฉพาะการใช้สถานะพลังงานต่ำและสูงเป็นบิตควอนตัม (qubit) ซึ่ง Martinis ได้นำไปใช้ในงานวิจัยต่อมา ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ รางวัลโนเบลฟิสิกส์ 2025 มอบให้ John Clarke, Michel Devoret และ John Martinis ➡️ จากการค้นพบการอุโมงค์ควอนตัมในระดับมหภาค และการควอนตัมของพลังงาน ➡️ ใช้วงจรไฟฟ้าซูเปอร์คอนดักเตอร์ที่มี Josephson junction เป็นแกนหลัก ➡️ สังเกตพฤติกรรมของ Cooper pairs ที่เคลื่อนที่เป็นหนึ่งเดียว ➡️ ระบบเริ่มต้นในสถานะไม่มีแรงดันไฟฟ้า แล้วเกิดการอุโมงค์ควอนตัมสร้างแรงดัน ➡️ พิสูจน์ว่าระบบดูดกลืนพลังงานจากคลื่นไมโครเวฟในปริมาณที่แน่นอน ➡️ การทดลองเกิดขึ้นที่ UC Berkeley ในช่วงปี 1984–1985 ➡️ ผลลัพธ์นำไปสู่การพัฒนา qubit สำหรับคอมพิวเตอร์ควอนตัม ➡️ รางวัลนี้มีมูลค่า 11 ล้านโครนาสวีเดน แบ่งเท่า ๆ กันระหว่างผู้ได้รับรางวัล ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Cooper pairs คืออิเล็กตรอนที่จับคู่กันในซูเปอร์คอนดักเตอร์ ทำให้ไม่มีความต้านทาน ➡️ Josephson junction ถูกตั้งชื่อตาม Brian Josephson ผู้ได้รับรางวัลโนเบลในปี 1973 ➡️ ทฤษฎีเบื้องหลังได้รับแรงบันดาลใจจาก Anthony Leggett ผู้ได้รับรางวัลโนเบลในปี 2003 ➡️ การอุโมงค์ควอนตัมเคยถูกใช้เพื่ออธิบายการสลายตัวของนิวเคลียสในฟิสิกส์นิวเคลียร์ ➡️ คอมพิวเตอร์ควอนตัมใช้สถานะพลังงานของระบบควอนตัมเป็นหน่วยข้อมูล https://www.nobelprize.org/prizes/physics/2025/popular-information/
    WWW.NOBELPRIZE.ORG
    Nobel Prize in Physics 2025
    The Nobel Prize in Physics 2025 was awarded jointly to John Clarke, Michel H. Devoret and John M. Martinis "for the discovery of macroscopic quantum mechanical tunnelling and energy quantisation in an electric circuit"
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 212 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts