• 🚗 Peugeot เปิดตัว E-208 GTi: รถยนต์ไฟฟ้าสไตล์ Hot Hatch
    Peugeot เผยโฉม E-208 GTi ที่งาน 24h of Le Mans โดยออกแบบให้ สืบทอด DNA ของ GTi รุ่นก่อนหน้า พร้อม สมรรถนะระดับแนวหน้า

    🔍 รายละเอียดของ E-208 GTi
    ✅ ใช้มอเตอร์ไฟฟ้า M4+ ให้กำลัง 280 แรงม้า
    - มอเตอร์ติดตั้งที่ล้อหน้า ทำให้สามารถ เร่ง 0-62 ไมล์ต่อชั่วโมงใน 5.7 วินาที
    - ความเร็วสูงสุดถูกจำกัดไว้ที่ 112 ไมล์ต่อชั่วโมง

    ✅ แบตเตอรี่ 54kWh ให้ระยะทาง 217 ไมล์ต่อการชาร์จ
    - ระยะทางต่ำกว่าคู่แข่ง เช่น Renault 5 E-Tech และ Cupra Born VZ
    - ระบบจัดการความร้อนและการกู้คืนพลังงานช่วยเพิ่มประสิทธิภาพแบตเตอรี่

    ✅ ดีไซน์ได้รับแรงบันดาลใจจาก Peugeot 205 GTi
    - สีตัวถังสดใส, พรมและเข็มขัดนิรภัยสีแดง
    - เบาะนั่งออกแบบใหม่พร้อมที่รองศีรษะในตัว

    ✅ โครงสร้างตัวถังปรับปรุงใหม่เพื่อเพิ่มความคล่องตัว
    - ซุ้มล้อกว้างขึ้น, ช่วงล่างเตี้ยลง และระยะยื่นสั้นลง
    - ล้ออัลลอย “Hole” และสปอยเลอร์ช่วยเพิ่มความสปอร์ต

    🔥 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า
    ‼️ ระยะทางต่อการชาร์จอาจเป็นข้อจำกัดสำหรับผู้ใช้บางกลุ่ม
    - 217 ไมล์ต่อการชาร์จอาจไม่เพียงพอสำหรับการเดินทางไกล

    ‼️ น้ำหนักตัวรถเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าจากรุ่น 205 GTi
    - E-208 GTi มีน้ำหนัก 1,596 กิโลกรัม เทียบกับ 848 กิโลกรัมของ 205 GTi

    ‼️ ต้องติดตามว่าราคาจะอยู่ในระดับที่แข่งขันได้หรือไม่
    - Abarth 600e Scorpionisma มีราคาประมาณ £40,000 ซึ่งอาจเป็นตัวชี้วัดราคาของ E-208 GTi

    🚀 อนาคตของ Hot Hatch ไฟฟ้า
    ✅ Peugeot Sport ปรับแต่งระบบกันสะเทือนและเบรกเพื่อเพิ่มความสนุกในการขับขี่
    ✅ E-208 GTi อาจช่วยให้รถยนต์ไฟฟ้าสไตล์ Hot Hatch กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง

    https://www.techradar.com/vehicle-tech/hybrid-electric-vehicles/peugeot-reinvents-its-gti-badge-for-the-ev-age-and-the-e-208-is-the-best-looking-electric-hot-hatch-so-far
    🚗 Peugeot เปิดตัว E-208 GTi: รถยนต์ไฟฟ้าสไตล์ Hot Hatch Peugeot เผยโฉม E-208 GTi ที่งาน 24h of Le Mans โดยออกแบบให้ สืบทอด DNA ของ GTi รุ่นก่อนหน้า พร้อม สมรรถนะระดับแนวหน้า 🔍 รายละเอียดของ E-208 GTi ✅ ใช้มอเตอร์ไฟฟ้า M4+ ให้กำลัง 280 แรงม้า - มอเตอร์ติดตั้งที่ล้อหน้า ทำให้สามารถ เร่ง 0-62 ไมล์ต่อชั่วโมงใน 5.7 วินาที - ความเร็วสูงสุดถูกจำกัดไว้ที่ 112 ไมล์ต่อชั่วโมง ✅ แบตเตอรี่ 54kWh ให้ระยะทาง 217 ไมล์ต่อการชาร์จ - ระยะทางต่ำกว่าคู่แข่ง เช่น Renault 5 E-Tech และ Cupra Born VZ - ระบบจัดการความร้อนและการกู้คืนพลังงานช่วยเพิ่มประสิทธิภาพแบตเตอรี่ ✅ ดีไซน์ได้รับแรงบันดาลใจจาก Peugeot 205 GTi - สีตัวถังสดใส, พรมและเข็มขัดนิรภัยสีแดง - เบาะนั่งออกแบบใหม่พร้อมที่รองศีรษะในตัว ✅ โครงสร้างตัวถังปรับปรุงใหม่เพื่อเพิ่มความคล่องตัว - ซุ้มล้อกว้างขึ้น, ช่วงล่างเตี้ยลง และระยะยื่นสั้นลง - ล้ออัลลอย “Hole” และสปอยเลอร์ช่วยเพิ่มความสปอร์ต 🔥 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า ‼️ ระยะทางต่อการชาร์จอาจเป็นข้อจำกัดสำหรับผู้ใช้บางกลุ่ม - 217 ไมล์ต่อการชาร์จอาจไม่เพียงพอสำหรับการเดินทางไกล ‼️ น้ำหนักตัวรถเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าจากรุ่น 205 GTi - E-208 GTi มีน้ำหนัก 1,596 กิโลกรัม เทียบกับ 848 กิโลกรัมของ 205 GTi ‼️ ต้องติดตามว่าราคาจะอยู่ในระดับที่แข่งขันได้หรือไม่ - Abarth 600e Scorpionisma มีราคาประมาณ £40,000 ซึ่งอาจเป็นตัวชี้วัดราคาของ E-208 GTi 🚀 อนาคตของ Hot Hatch ไฟฟ้า ✅ Peugeot Sport ปรับแต่งระบบกันสะเทือนและเบรกเพื่อเพิ่มความสนุกในการขับขี่ ✅ E-208 GTi อาจช่วยให้รถยนต์ไฟฟ้าสไตล์ Hot Hatch กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง https://www.techradar.com/vehicle-tech/hybrid-electric-vehicles/peugeot-reinvents-its-gti-badge-for-the-ev-age-and-the-e-208-is-the-best-looking-electric-hot-hatch-so-far
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 41 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🧠 SpiNNaker 2: ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่เลียนแบบสมองมนุษย์
    Sandia National Laboratories ได้เปิดตัว SpiNNaker 2 ซึ่งเป็น ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากสมองมนุษย์ โดยใช้ 175,000 CPU cores และ ไม่ต้องใช้ GPU หรือ SSD

    🔍 วิธีการทำงานของ SpiNNaker 2
    SpiNNaker 2 ใช้ สถาปัตยกรรม Spiking Neural Network (SNN) ซึ่งเลียนแบบ การทำงานของเซลล์ประสาทและไซแนปส์ในสมอง โดย แต่ละบอร์ดมี 96GB LPDDR4 memory และ 23GB SRAM ทำให้สามารถ จัดเก็บข้อมูลทั้งหมดในหน่วยความจำโดยไม่ต้องใช้ที่เก็บข้อมูลแยกต่างหาก

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - SpiNNaker 2 ใช้ 175,000 CPU cores และไม่ต้องใช้ GPU หรือ SSD
    - ใช้สถาปัตยกรรม Spiking Neural Network (SNN) เพื่อเลียนแบบสมองมนุษย์
    - แต่ละบอร์ดมี 96GB LPDDR4 memory และ 23GB SRAM
    - สามารถประมวลผลโมเดล AI ขนาดใหญ่และการจำลองสมองทั้งระบบ
    - ระบบใน Dresden อาจมีมากกว่า 720 บอร์ด รวมถึง 5.2 ล้าน CPU cores เมื่อสร้างเสร็จ

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - แม้จะมีประสิทธิภาพสูง แต่ต้องติดตามว่าการเลียนแบบสมองมนุษย์จะมีข้อจำกัดด้านการใช้งานจริงหรือไม่
    - SpiNNaker 2 อาจไม่สามารถแข่งขันกับซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่ใช้ GPU ในงานบางประเภท เช่น การฝึกโมเดล AI ขนาดใหญ่
    - ต้องติดตามว่าการใช้ LPDDR4 memory และ SRAM แทน SSD จะส่งผลต่อความเร็วและความเสถียรของระบบอย่างไร
    - การขยายระบบให้มี 5.2 ล้าน CPU cores อาจต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมากและมีต้นทุนสูง

    SpiNNaker 2 อาจช่วยให้การจำลองสมองและการประมวลผล AI มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยไม่ต้องใช้ GPU อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการออกแบบนี้จะสามารถแข่งขันกับซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่ใช้ GPU ได้หรือไม่

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/supercomputers/brain-inspired-supercomputer-with-no-gpus-or-storage-switched-on-spinnaker-2-mimics-150-180-million-neurons
    🧠 SpiNNaker 2: ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่เลียนแบบสมองมนุษย์ Sandia National Laboratories ได้เปิดตัว SpiNNaker 2 ซึ่งเป็น ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากสมองมนุษย์ โดยใช้ 175,000 CPU cores และ ไม่ต้องใช้ GPU หรือ SSD 🔍 วิธีการทำงานของ SpiNNaker 2 SpiNNaker 2 ใช้ สถาปัตยกรรม Spiking Neural Network (SNN) ซึ่งเลียนแบบ การทำงานของเซลล์ประสาทและไซแนปส์ในสมอง โดย แต่ละบอร์ดมี 96GB LPDDR4 memory และ 23GB SRAM ทำให้สามารถ จัดเก็บข้อมูลทั้งหมดในหน่วยความจำโดยไม่ต้องใช้ที่เก็บข้อมูลแยกต่างหาก ✅ ข้อมูลจากข่าว - SpiNNaker 2 ใช้ 175,000 CPU cores และไม่ต้องใช้ GPU หรือ SSD - ใช้สถาปัตยกรรม Spiking Neural Network (SNN) เพื่อเลียนแบบสมองมนุษย์ - แต่ละบอร์ดมี 96GB LPDDR4 memory และ 23GB SRAM - สามารถประมวลผลโมเดล AI ขนาดใหญ่และการจำลองสมองทั้งระบบ - ระบบใน Dresden อาจมีมากกว่า 720 บอร์ด รวมถึง 5.2 ล้าน CPU cores เมื่อสร้างเสร็จ ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - แม้จะมีประสิทธิภาพสูง แต่ต้องติดตามว่าการเลียนแบบสมองมนุษย์จะมีข้อจำกัดด้านการใช้งานจริงหรือไม่ - SpiNNaker 2 อาจไม่สามารถแข่งขันกับซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่ใช้ GPU ในงานบางประเภท เช่น การฝึกโมเดล AI ขนาดใหญ่ - ต้องติดตามว่าการใช้ LPDDR4 memory และ SRAM แทน SSD จะส่งผลต่อความเร็วและความเสถียรของระบบอย่างไร - การขยายระบบให้มี 5.2 ล้าน CPU cores อาจต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมากและมีต้นทุนสูง SpiNNaker 2 อาจช่วยให้การจำลองสมองและการประมวลผล AI มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยไม่ต้องใช้ GPU อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการออกแบบนี้จะสามารถแข่งขันกับซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่ใช้ GPU ได้หรือไม่ https://www.tomshardware.com/tech-industry/supercomputers/brain-inspired-supercomputer-with-no-gpus-or-storage-switched-on-spinnaker-2-mimics-150-180-million-neurons
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 127 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไม่มีใครเทียบได้กับความน่ารักแบบหวังดีของเมเม่ ส่วนพระแม่โม พระแม่พลอย ไฮโซกล้วย และบี๋ ก็ยังคงเป็นแรงบันดาลใจลำดับถัดมาในมิตรภาพที่อบอุ่นนี้
    ไม่มีใครเทียบได้กับความน่ารักแบบหวังดีของเมเม่ ส่วนพระแม่โม พระแม่พลอย ไฮโซกล้วย และบี๋ ก็ยังคงเป็นแรงบันดาลใจลำดับถัดมาในมิตรภาพที่อบอุ่นนี้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 50 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันหนึ่ง คนที่เคยเต้นเล่นๆในคอสเพลย์ จะกลายเป็นแรงบันดาลใจให้คนทั้งวงการแบบไม่ต้องพยายามมากเกินไป
    วันหนึ่ง คนที่เคยเต้นเล่นๆในคอสเพลย์ จะกลายเป็นแรงบันดาลใจให้คนทั้งวงการแบบไม่ต้องพยายามมากเกินไป
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 45 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🤖 กล้ามเนื้อเทียมที่สามารถตรวจจับความเสียหายและซ่อมแซมตัวเองได้
    นักวิจัยจาก University of Nebraska–Lincoln ได้พัฒนา กล้ามเนื้อเทียมที่สามารถตรวจจับความเสียหายและซ่อมแซมตัวเองได้ ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญใน เทคโนโลยีหุ่นยนต์อ่อน (soft robotics)

    เทคโนโลยีนี้ได้รับแรงบันดาลใจจาก ระบบการรักษาตัวเองของสิ่งมีชีวิต เช่น พืชและสัตว์ โดยใช้ สถาปัตยกรรมหลายชั้น ที่สามารถ ตรวจจับความเสียหาย, ระบุตำแหน่ง และเริ่มกระบวนการซ่อมแซมตัวเองโดยอัตโนมัติ

    โครงสร้างของกล้ามเนื้อเทียมประกอบด้วย สามชั้นหลัก ได้แก่
    1) ชั้นตรวจจับความเสียหาย – ใช้ ไมโครดรอปเล็ตของโลหะเหลวฝังในซิลิโคนอีลาสโตเมอร์ เพื่อสร้างเครือข่ายไฟฟ้าที่สามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของสัญญาณ
    2) ชั้นซ่อมแซมตัวเอง – ทำจาก เทอร์โมพลาสติกอีลาสโตเมอร์ ที่สามารถละลายและปิดรอยแตกเมื่อได้รับความร้อน
    3) ชั้นกระตุ้นการเคลื่อนไหว – ควบคุมการหดตัวและขยายตัวของกล้ามเนื้อผ่านแรงดันน้ำ

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - นักวิจัยจาก University of Nebraska–Lincoln พัฒนากล้ามเนื้อเทียมที่สามารถตรวจจับและซ่อมแซมตัวเองได้
    - ใช้สถาปัตยกรรมสามชั้นที่เลียนแบบระบบรักษาตัวเองของสิ่งมีชีวิต
    - ชั้นตรวจจับความเสียหายใช้โลหะเหลวฝังในซิลิโคนเพื่อสร้างเครือข่ายไฟฟ้า
    - ชั้นซ่อมแซมตัวเองสามารถละลายและปิดรอยแตกเมื่อได้รับความร้อน
    - เทคโนโลยีนี้อาจนำไปใช้ในหุ่นยนต์เกษตร, อุปกรณ์สวมใส่เพื่อสุขภาพ และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - แม้จะสามารถซ่อมแซมตัวเองได้ แต่ยังต้องมีการทดสอบเพิ่มเติมเพื่อประเมินความทนทานในระยะยาว
    - การใช้โลหะเหลวอาจมีข้อจำกัดด้านความปลอดภัยและต้นทุนการผลิต
    - ต้องติดตามว่าผู้ผลิตหุ่นยนต์จะนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ในผลิตภัณฑ์จริงเมื่อใด
    - การซ่อมแซมตัวเองอาจมีข้อจำกัดในกรณีที่เกิดความเสียหายรุนแรงหรือซ้ำซ้อน

    เทคโนโลยีนี้อาจช่วยให้ หุ่นยนต์อ่อนมีความทนทานและใช้งานได้ยาวนานขึ้น โดยเฉพาะใน สภาพแวดล้อมที่มีความเสี่ยงต่อความเสียหาย อย่างไรก็ตาม ต้องมีการพัฒนาเพิ่มเติมเพื่อให้สามารถนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    https://www.tomshardware.com/peripherals/wearable-tech/damage-sensing-and-self-healing-artificial-muscles-heralded-as-huge-step-forward-in-robotics
    🤖 กล้ามเนื้อเทียมที่สามารถตรวจจับความเสียหายและซ่อมแซมตัวเองได้ นักวิจัยจาก University of Nebraska–Lincoln ได้พัฒนา กล้ามเนื้อเทียมที่สามารถตรวจจับความเสียหายและซ่อมแซมตัวเองได้ ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญใน เทคโนโลยีหุ่นยนต์อ่อน (soft robotics) เทคโนโลยีนี้ได้รับแรงบันดาลใจจาก ระบบการรักษาตัวเองของสิ่งมีชีวิต เช่น พืชและสัตว์ โดยใช้ สถาปัตยกรรมหลายชั้น ที่สามารถ ตรวจจับความเสียหาย, ระบุตำแหน่ง และเริ่มกระบวนการซ่อมแซมตัวเองโดยอัตโนมัติ โครงสร้างของกล้ามเนื้อเทียมประกอบด้วย สามชั้นหลัก ได้แก่ 1) ชั้นตรวจจับความเสียหาย – ใช้ ไมโครดรอปเล็ตของโลหะเหลวฝังในซิลิโคนอีลาสโตเมอร์ เพื่อสร้างเครือข่ายไฟฟ้าที่สามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของสัญญาณ 2) ชั้นซ่อมแซมตัวเอง – ทำจาก เทอร์โมพลาสติกอีลาสโตเมอร์ ที่สามารถละลายและปิดรอยแตกเมื่อได้รับความร้อน 3) ชั้นกระตุ้นการเคลื่อนไหว – ควบคุมการหดตัวและขยายตัวของกล้ามเนื้อผ่านแรงดันน้ำ ✅ ข้อมูลจากข่าว - นักวิจัยจาก University of Nebraska–Lincoln พัฒนากล้ามเนื้อเทียมที่สามารถตรวจจับและซ่อมแซมตัวเองได้ - ใช้สถาปัตยกรรมสามชั้นที่เลียนแบบระบบรักษาตัวเองของสิ่งมีชีวิต - ชั้นตรวจจับความเสียหายใช้โลหะเหลวฝังในซิลิโคนเพื่อสร้างเครือข่ายไฟฟ้า - ชั้นซ่อมแซมตัวเองสามารถละลายและปิดรอยแตกเมื่อได้รับความร้อน - เทคโนโลยีนี้อาจนำไปใช้ในหุ่นยนต์เกษตร, อุปกรณ์สวมใส่เพื่อสุขภาพ และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - แม้จะสามารถซ่อมแซมตัวเองได้ แต่ยังต้องมีการทดสอบเพิ่มเติมเพื่อประเมินความทนทานในระยะยาว - การใช้โลหะเหลวอาจมีข้อจำกัดด้านความปลอดภัยและต้นทุนการผลิต - ต้องติดตามว่าผู้ผลิตหุ่นยนต์จะนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ในผลิตภัณฑ์จริงเมื่อใด - การซ่อมแซมตัวเองอาจมีข้อจำกัดในกรณีที่เกิดความเสียหายรุนแรงหรือซ้ำซ้อน เทคโนโลยีนี้อาจช่วยให้ หุ่นยนต์อ่อนมีความทนทานและใช้งานได้ยาวนานขึ้น โดยเฉพาะใน สภาพแวดล้อมที่มีความเสี่ยงต่อความเสียหาย อย่างไรก็ตาม ต้องมีการพัฒนาเพิ่มเติมเพื่อให้สามารถนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ https://www.tomshardware.com/peripherals/wearable-tech/damage-sensing-and-self-healing-artificial-muscles-heralded-as-huge-step-forward-in-robotics
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 141 มุมมอง 0 รีวิว
  • 📱 Xiaomi 16: สมาร์ทโฟนเรือธงแห่งปี 2025
    Xiaomi เตรียมเปิดตัว Xiaomi 16 ในเดือนตุลาคม 2025 โดยมาพร้อมกับ Snapdragon 8 Elite 2 ซึ่งเป็นชิปเซ็ตที่ทรงพลังที่สุดของ Qualcomm ในขณะนี้

    Xiaomi 16 ได้รับการออกแบบใหม่ให้มี ดีไซน์แบบ dual-tone glass และ metal finish ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจาก iPhone 17 นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับ หน้าจอ 6.3 นิ้ว 2K AMOLED ที่รองรับ 120Hz adaptive refresh rate และ LTPO technology

    ระบบกล้องของ Xiaomi 16 ประกอบด้วย เซ็นเซอร์ 50MP สามตัว ได้แก่ เลนส์หลักขนาด 1/1.3 นิ้ว, เลนส์ ultra-wide และเลนส์ telephoto ที่มี AI-assisted macro support

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Xiaomi 16 ใช้ Snapdragon 8 Elite 2 ซึ่งเป็นชิปเซ็ตที่ทรงพลังที่สุดของ Qualcomm
    - หน้าจอ 6.3 นิ้ว 2K AMOLED พร้อม 120Hz adaptive refresh rate และ LTPO technology
    - ระบบกล้องประกอบด้วยเซ็นเซอร์ 50MP สามตัว พร้อม AI-assisted macro support
    - แบตเตอรี่ 6,800mAh รองรับการชาร์จเร็ว 100W แบบมีสาย และ 50W แบบไร้สาย
    - ดีไซน์ dual-tone glass และ metal finish ได้รับแรงบันดาลใจจาก iPhone 17

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - ต้องติดตามว่าประสิทธิภาพของ Snapdragon 8 Elite 2 จะสามารถแข่งขันกับ Apple A19 ได้หรือไม่
    - การออกแบบที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก iPhone 17 อาจทำให้ Xiaomi 16 ถูกเปรียบเทียบกับคู่แข่งโดยตรง
    - ต้องรอดูว่าระบบ AI-assisted macro จะสามารถเพิ่มคุณภาพของภาพถ่ายได้จริงหรือไม่
    - ราคาของ Xiaomi 16 อาจสูงขึ้นจากรุ่นก่อนหน้า เนื่องจากการใช้วัสดุระดับพรีเมียม

    Xiaomi 16 อาจเป็นหนึ่งในสมาร์ทโฟนที่ทรงพลังที่สุดของปี 2025 โดยเน้น AI integration และประสิทธิภาพสูง อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าผู้ใช้จะตอบรับดีไซน์ใหม่และฟีเจอร์ที่เพิ่มเข้ามาอย่างไร

    https://computercity.com/phones/xiaomi-16-the-next-flagship-powerhouse-arrives-late-2025
    📱 Xiaomi 16: สมาร์ทโฟนเรือธงแห่งปี 2025 Xiaomi เตรียมเปิดตัว Xiaomi 16 ในเดือนตุลาคม 2025 โดยมาพร้อมกับ Snapdragon 8 Elite 2 ซึ่งเป็นชิปเซ็ตที่ทรงพลังที่สุดของ Qualcomm ในขณะนี้ Xiaomi 16 ได้รับการออกแบบใหม่ให้มี ดีไซน์แบบ dual-tone glass และ metal finish ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจาก iPhone 17 นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับ หน้าจอ 6.3 นิ้ว 2K AMOLED ที่รองรับ 120Hz adaptive refresh rate และ LTPO technology ระบบกล้องของ Xiaomi 16 ประกอบด้วย เซ็นเซอร์ 50MP สามตัว ได้แก่ เลนส์หลักขนาด 1/1.3 นิ้ว, เลนส์ ultra-wide และเลนส์ telephoto ที่มี AI-assisted macro support ✅ ข้อมูลจากข่าว - Xiaomi 16 ใช้ Snapdragon 8 Elite 2 ซึ่งเป็นชิปเซ็ตที่ทรงพลังที่สุดของ Qualcomm - หน้าจอ 6.3 นิ้ว 2K AMOLED พร้อม 120Hz adaptive refresh rate และ LTPO technology - ระบบกล้องประกอบด้วยเซ็นเซอร์ 50MP สามตัว พร้อม AI-assisted macro support - แบตเตอรี่ 6,800mAh รองรับการชาร์จเร็ว 100W แบบมีสาย และ 50W แบบไร้สาย - ดีไซน์ dual-tone glass และ metal finish ได้รับแรงบันดาลใจจาก iPhone 17 ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - ต้องติดตามว่าประสิทธิภาพของ Snapdragon 8 Elite 2 จะสามารถแข่งขันกับ Apple A19 ได้หรือไม่ - การออกแบบที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก iPhone 17 อาจทำให้ Xiaomi 16 ถูกเปรียบเทียบกับคู่แข่งโดยตรง - ต้องรอดูว่าระบบ AI-assisted macro จะสามารถเพิ่มคุณภาพของภาพถ่ายได้จริงหรือไม่ - ราคาของ Xiaomi 16 อาจสูงขึ้นจากรุ่นก่อนหน้า เนื่องจากการใช้วัสดุระดับพรีเมียม Xiaomi 16 อาจเป็นหนึ่งในสมาร์ทโฟนที่ทรงพลังที่สุดของปี 2025 โดยเน้น AI integration และประสิทธิภาพสูง อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าผู้ใช้จะตอบรับดีไซน์ใหม่และฟีเจอร์ที่เพิ่มเข้ามาอย่างไร https://computercity.com/phones/xiaomi-16-the-next-flagship-powerhouse-arrives-late-2025
    COMPUTERCITY.COM
    Xiaomi 16: The Next Flagship Powerhouse Arrives Late 2025
    Xiaomi is once again poised to shake up the premium smartphone market with the upcoming launch of the Xiaomi 16, expected to debut in October 2025. Building
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 153 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🇦🇹🇩🇪🇨🇭 เที่ยว 3 ประเทศสุดคลาสสิก! 7 วัน 4 คืน
    เดินทางสบายกับ ✈️ Emirates Airlines (EK)
    📅 เดินทาง: 10-16 ก.ย. 68
    💸 ราคาเพียง 67,888.-

    📍 ไฮไลท์เด็ดห้ามพลาด
    🏞 หมู่บ้านฮัลล์สตัทท์ หมู่บ้านริมทะเลสาบสุดโรแมนติก
    🏰 ปราสาทนอยชวานสไตน์ แรงบันดาลใจดิสนีย์
    🏙 เมืองอินส์บรูค • เมืองฟุสเซน • เมืองซุก • เมืองลูเซิร์น
    🗻 นั่งกระเช้าโรแตร์ 360° สู่ยอดเขาทิตลิส
    ❄️ เดินถ้ำน้ำแข็ง • ชมสะพานแขวนวิวสุดต๊าช
    🦁 สิงโตหินลูเซิร์น • สะพานไม้ชาเปล

    #ออสเตรียเยอรมันสวิส #ทัวร์ยุโรป #เที่ยวฟินอินยุโรป
    #ฮัลล์สตัทท์ #นอยชวานสไตน์ #เขาทิตลิส
    #โปรโมชั่นทัวร์ #เที่ยวคุ้มจบในทริปเดียว 🌍✈️🧳

    ดูรายละเอียดเพิ่มเติม
    https://78s.me/efcc39

    ดูทัวร์ยุโรปทั้งหมดได้ที่
    https://78s.me/7e5d16

    LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307
    Facebook: etravelway 78s.me/8a4061
    Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5
    Tiktok : https://78s.me/543eb9
    📷: etravelway 78s.me/05e8da
    ☎️: 0 2116 6395
    🇦🇹🇩🇪🇨🇭 เที่ยว 3 ประเทศสุดคลาสสิก! 7 วัน 4 คืน เดินทางสบายกับ ✈️ Emirates Airlines (EK) 📅 เดินทาง: 10-16 ก.ย. 68 💸 ราคาเพียง 67,888.- 📍 ไฮไลท์เด็ดห้ามพลาด 🏞 หมู่บ้านฮัลล์สตัทท์ หมู่บ้านริมทะเลสาบสุดโรแมนติก 🏰 ปราสาทนอยชวานสไตน์ แรงบันดาลใจดิสนีย์ 🏙 เมืองอินส์บรูค • เมืองฟุสเซน • เมืองซุก • เมืองลูเซิร์น 🗻 นั่งกระเช้าโรแตร์ 360° สู่ยอดเขาทิตลิส ❄️ เดินถ้ำน้ำแข็ง • ชมสะพานแขวนวิวสุดต๊าช 🦁 สิงโตหินลูเซิร์น • สะพานไม้ชาเปล #ออสเตรียเยอรมันสวิส #ทัวร์ยุโรป #เที่ยวฟินอินยุโรป #ฮัลล์สตัทท์ #นอยชวานสไตน์ #เขาทิตลิส #โปรโมชั่นทัวร์ #เที่ยวคุ้มจบในทริปเดียว 🌍✈️🧳 ดูรายละเอียดเพิ่มเติม https://78s.me/efcc39 ดูทัวร์ยุโรปทั้งหมดได้ที่ https://78s.me/7e5d16 LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307 Facebook: etravelway 78s.me/8a4061 Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5 Tiktok : https://78s.me/543eb9 📷: etravelway 78s.me/05e8da ☎️: 0 2116 6395
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 256 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🇦🇹🇩🇪🇨🇭 เที่ยว 3 ประเทศสุดคลาสสิก! 7 วัน 4 คืน
    เดินทางสบายกับ ✈️ Emirates Airlines (EK)
    📅 เดินทาง: 10-16 ก.ย. 68
    💸 ราคาเพียง 67,888.-

    📍 ไฮไลท์เด็ดห้ามพลาด
    🏞 หมู่บ้านฮัลล์สตัทท์ หมู่บ้านริมทะเลสาบสุดโรแมนติก
    🏰 ปราสาทนอยชวานสไตน์ แรงบันดาลใจดิสนีย์
    🏙 เมืองอินส์บรูค • เมืองฟุสเซน • เมืองซุก • เมืองลูเซิร์น
    🗻 นั่งกระเช้าโรแตร์ 360° สู่ยอดเขาทิตลิส
    ❄️ เดินถ้ำน้ำแข็ง • ชมสะพานแขวนวิวสุดต๊าช
    🦁 สิงโตหินลูเซิร์น • สะพานไม้ชาเปล

    #ออสเตรียเยอรมันสวิส #ทัวร์ยุโรป #เที่ยวฟินอินยุโรป
    #ฮัลล์สตัทท์ #นอยชวานสไตน์ #เขาทิตลิส
    #โปรโมชั่นทัวร์ #เที่ยวคุ้มจบในทริปเดียว 🌍✈️🧳

    ดูรายละเอียดเพิ่มเติม
    https://78s.me/efcc39

    ดูทัวร์ยุโรปทั้งหมดได้ที่
    https://78s.me/7e5d16

    LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307
    Facebook: etravelway 78s.me/8a4061
    Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5
    Tiktok : https://78s.me/543eb9
    📷: etravelway 78s.me/05e8da
    ☎️: 0 2116 6395

    #ทัวร์ยุโรป #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway
    🇦🇹🇩🇪🇨🇭 เที่ยว 3 ประเทศสุดคลาสสิก! 7 วัน 4 คืน เดินทางสบายกับ ✈️ Emirates Airlines (EK) 📅 เดินทาง: 10-16 ก.ย. 68 💸 ราคาเพียง 67,888.- 📍 ไฮไลท์เด็ดห้ามพลาด 🏞 หมู่บ้านฮัลล์สตัทท์ หมู่บ้านริมทะเลสาบสุดโรแมนติก 🏰 ปราสาทนอยชวานสไตน์ แรงบันดาลใจดิสนีย์ 🏙 เมืองอินส์บรูค • เมืองฟุสเซน • เมืองซุก • เมืองลูเซิร์น 🗻 นั่งกระเช้าโรแตร์ 360° สู่ยอดเขาทิตลิส ❄️ เดินถ้ำน้ำแข็ง • ชมสะพานแขวนวิวสุดต๊าช 🦁 สิงโตหินลูเซิร์น • สะพานไม้ชาเปล #ออสเตรียเยอรมันสวิส #ทัวร์ยุโรป #เที่ยวฟินอินยุโรป #ฮัลล์สตัทท์ #นอยชวานสไตน์ #เขาทิตลิส #โปรโมชั่นทัวร์ #เที่ยวคุ้มจบในทริปเดียว 🌍✈️🧳 ดูรายละเอียดเพิ่มเติม https://78s.me/efcc39 ดูทัวร์ยุโรปทั้งหมดได้ที่ https://78s.me/7e5d16 LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307 Facebook: etravelway 78s.me/8a4061 Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5 Tiktok : https://78s.me/543eb9 📷: etravelway 78s.me/05e8da ☎️: 0 2116 6395 #ทัวร์ยุโรป #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 254 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันนี้มาคุยกันเกี่ยวกับวลีรักคลาสสิกที่ได้ยินกันบ่อยในหลายละครและนิยายจีน

    ความมีอยู่ว่า
    ... “ความหมายของโคมไฟใบเดียวนี้คือ ขอเพียงคนใจเดียว อีกทั้งยามนี้หิมะตกปกคลุมดูเหมือนศีรษะขาว รวมกันหมายถึง ปรารถนาคนใจเดียว เคียงข้างจนผมขาวมิร้างลา” จื่อจ๊านกล่าวต่อตี้ซวี่...
    - ถอดบทสนทนาจากละครเรื่อง <ไข่มุกเคียงบัลลังก์> (Storyฯ แปลเองจ้า)

    วลี ‘ขอเพียงคนใจเดียว ผมขาวไม่ร้างลา’ (愿得一心人,白头不相离) นี้ยกมาจากบทกวีที่ชื่อว่า ‘ป๋ายโถวอิ๋น’ (白头吟 /ลำนำผมขาว) ซึ่งกล่าวขานว่าเป็นบทประพันธ์ของจั๋วเหวินจวิน แต่มีคนเคยตั้งข้อสังเกตว่าดูจากสไตล์ภาษาแล้วไม่น่าจะใช่ อีกทั้งบทกวีนี้เมื่อแรกปรากฏในบันทึกที่จัดทำขึ้นในสมัยราชวงศ์ซ่งนั้น ไม่ปรากฏนามผู้แต่ง

    จั๋วเหวินจวินคือใคร เพื่อนเพจคุ้นชื่อนี้บ้างหรือไม่? เธอถูกยกย่องเป็น “ไฉหนี่ว์” (คือหญิงที่มากด้วยพรสวรรค์) ที่เลื่องชื่อด้านโคลงกลอนและพิณ เป็นผู้ที่เป็นแรงบันดาลใจของการวาดคิ้วแบบ ‘หย่วนซานเหมย’ ยอดนิยม (ที่ Storyฯ เคยเขียนถึงเกี่ยวกับการเขียนคิ้ว) และเพื่อนเพจบางท่านอาจคุ้นชื่อของเธอจากเรื่องราวของเพลงหงษ์วอนหาคู่ เพราะเธอคือภรรยาของซือหม่าเซียงหรู (กวีเอกสมัยราชวงศ์ฮั่น เจ้าของบทประพันธ์ซ่างหลินฟู่ที่ Storyฯ เคยเขียนถึง)

    ‘ลำนำผมขาว’ เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวความรักระหว่างจั๋วเหวินจวินและซือหม่าเซียงหรูนั่นเอง

    ตำนานรักของเขามีอยู่ว่า ซือหม่าเซียงหรูสมัยที่ยังเป็นบัณฑิตไส้แห้ง ได้บรรเลงเพลงพิณหงส์วอนหาคู่ เป็นที่ต้องตาต้องใจของจั๋วเหวินจวินซึ่งเป็นลูกสาวของมหาเศรษฐี จนเธอหนีตามเขาไป ทั้งสองคนเปิดร้านเหล้าช่วยกันทำมาหากินอย่างยากลำบาก จนในที่สุดจั๋วหวางซุนผู้เป็นพ่อก็ใจอ่อน ยกที่และเงินจำนวนไม่น้อยรับขวัญลูกเขยคนนี้

    ต่อมาซือหม่าเซียงหรูเข้ารับราชการจนเติบใหญ่ได้ดีอยู่ในเมืองหลวง ในขณะที่จั๋วเหวินจวินยังอยู่ที่บ้านเกิด อยู่มาวันหนึ่งเธอได้ยินข่าวว่าเขาอยากจะแต่งอนุภรรยา เธอเสียใจมากและยอมรับไม่ได้ เลยแต่งบทกวีนี้ส่งให้เขาเพื่อกล่าวตัดสัมพันธ์

    มีคน ‘ถอดรหัส’บทกวีนี้ Storyฯ เลยเอามาแปลเป็นไทยให้เข้าใจง่ายๆ... รักของเรานั้นเคยบริสุทธิ์ดุจหิมะขาวบนยอดเขา ดุจดวงจันทร์กลางกลีบเมฆ ครั้นได้ยินว่าท่านมีรักใหม่ ข้าจึงจะจบเรื่องราวของเรา วันนี้เราร่วมดื่มสุราเป็นครั้งสุดท้าย วันพรุ่งก็ทางใครทางมัน แรกเริ่มที่ข้าติดตามท่านนั้น ชีวิตยากลำบาก ทว่าตั้งแต่แต่งงานมาก็ไม่เคยบ่น ขอเพียงมีคนใจเดียวอยู่ด้วยกันจนผมขาวไม่ร้างลา มีรักหวานชื่น อันชายนั้นควรหนักแน่นกับความสัมพันธ์ ความรักเมื่อสูญหายแล้ว เงินทองก็ชดเชยให้ไม่ได้ (บทกวีฉบับจีนดูได้จากในรูป)

    ว่ากันว่า ซือหม่าเซียงหรูเมื่ออ่านบทกวีนี้ก็รำลึกถึงความรักที่เคยมีและวันเวลาที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา และเปลี่ยนใจไม่แต่งงานใหม่ จวบจนบั้นปลายชีวิตก็มีจั๋วเหวินจวินเพียงคนเดียว

    บทกวีลำนำผมขาวนี้โด่งดังมาตลอด เพราะมุมมองที่ให้ความสำคัญของผัวเดียวเมียเดียวในยุคสมัยที่มีค่านิยมว่าชายมีเมียได้หลายคน และเป็นตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นถึงความคิดอันเด็ดเดี่ยวของสตรี

    วลี ‘ขอเพียงคนใจเดียว ผมขาวไม่ร้างลา’ นี้จึงกลายมาเป็นคำบอกรักยอดนิยมเพื่อสะท้อนถึงรักที่มั่นคงไม่ผันแปร แม้ที่มาจะเศร้าไปหน่อย แต่ก็จบลงด้วยดี

    แต่ปัจจุบันมีคนนำไปเขียนเพี้ยนไปก็มี จุดที่เพี้ยนหลักคือการสลับอักษรจาก ‘คนใจเดียว’( 一心人) ไปเป็น ‘ใจรักจากคนคนหนึ่ง’ (一人心) .... สลับอักษรแล้วความหมายแตกต่างมากเลย เพื่อนเพจว่าไหม?

    สุขสันต์วันวาเลนไทน์ย้อนหลังค่ะ

    หมายเหตุ 1: ‘ลำนำผมขาว’ เป็นชื่อที่แปลโดยคุณกนกพร นุ่มทอง จากหนังสือ < 100 ยอดหญิงแห่งประวัติศาสตร์จีน> แต่ Storyฯ แปลฉบับ ‘ถอดรหัส’ ให้ตามข้างต้นเพื่อความง่ายในการเข้าใจ
    หมายเหตุ 2: คำว่า ‘อิ๋น’ ในชื่อของบทกวีนี้ จริงๆ แล้วมีความหมายหลากหลาย รวมถึงเสียงร้องเพรียกของนก หรือการอ่านแบบมีจังหวะจะโคน หรือเสียงถอนหายใจ โดยส่วนตัว Storyฯ คิดว่าจริงๆ แล้วน่าจะหมายถึงเสียงถอนหายใจในบริบทนี้ แต่... ขอใช้ตามที่มีคนเคยแปลไว้ว่า ‘ลำนำผมขาว’ เผื่อเพื่อนเพจที่เคยผ่านตาบทกวีนี้จะได้ไม่สับสน

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก: https://www.hk01.com/即時娛樂/705041/斛珠夫人-陳小紜曬素顏樣盡現氣質-曾承認整容將近十次非常痛
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    http://www.chinatoday.com.cn/zw2018/bktg/202104/t20210407_800242850.html
    http://www.exam58.com/gushi/4582.html
    https://www.sohu.com/a/402043209_99929216
    https://baike.baidu.com/item/白头吟/6866957

    #ไข่มุกเคียงบัลลังก์ #ป๋ายโถวอิ๋น #ลำนำผมขาว #กวีจีนโบราณ #จั๋วเหวินจวิน #ซือหม่าเซียงหรู
    วันนี้มาคุยกันเกี่ยวกับวลีรักคลาสสิกที่ได้ยินกันบ่อยในหลายละครและนิยายจีน ความมีอยู่ว่า ... “ความหมายของโคมไฟใบเดียวนี้คือ ขอเพียงคนใจเดียว อีกทั้งยามนี้หิมะตกปกคลุมดูเหมือนศีรษะขาว รวมกันหมายถึง ปรารถนาคนใจเดียว เคียงข้างจนผมขาวมิร้างลา” จื่อจ๊านกล่าวต่อตี้ซวี่... - ถอดบทสนทนาจากละครเรื่อง <ไข่มุกเคียงบัลลังก์> (Storyฯ แปลเองจ้า) วลี ‘ขอเพียงคนใจเดียว ผมขาวไม่ร้างลา’ (愿得一心人,白头不相离) นี้ยกมาจากบทกวีที่ชื่อว่า ‘ป๋ายโถวอิ๋น’ (白头吟 /ลำนำผมขาว) ซึ่งกล่าวขานว่าเป็นบทประพันธ์ของจั๋วเหวินจวิน แต่มีคนเคยตั้งข้อสังเกตว่าดูจากสไตล์ภาษาแล้วไม่น่าจะใช่ อีกทั้งบทกวีนี้เมื่อแรกปรากฏในบันทึกที่จัดทำขึ้นในสมัยราชวงศ์ซ่งนั้น ไม่ปรากฏนามผู้แต่ง จั๋วเหวินจวินคือใคร เพื่อนเพจคุ้นชื่อนี้บ้างหรือไม่? เธอถูกยกย่องเป็น “ไฉหนี่ว์” (คือหญิงที่มากด้วยพรสวรรค์) ที่เลื่องชื่อด้านโคลงกลอนและพิณ เป็นผู้ที่เป็นแรงบันดาลใจของการวาดคิ้วแบบ ‘หย่วนซานเหมย’ ยอดนิยม (ที่ Storyฯ เคยเขียนถึงเกี่ยวกับการเขียนคิ้ว) และเพื่อนเพจบางท่านอาจคุ้นชื่อของเธอจากเรื่องราวของเพลงหงษ์วอนหาคู่ เพราะเธอคือภรรยาของซือหม่าเซียงหรู (กวีเอกสมัยราชวงศ์ฮั่น เจ้าของบทประพันธ์ซ่างหลินฟู่ที่ Storyฯ เคยเขียนถึง) ‘ลำนำผมขาว’ เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวความรักระหว่างจั๋วเหวินจวินและซือหม่าเซียงหรูนั่นเอง ตำนานรักของเขามีอยู่ว่า ซือหม่าเซียงหรูสมัยที่ยังเป็นบัณฑิตไส้แห้ง ได้บรรเลงเพลงพิณหงส์วอนหาคู่ เป็นที่ต้องตาต้องใจของจั๋วเหวินจวินซึ่งเป็นลูกสาวของมหาเศรษฐี จนเธอหนีตามเขาไป ทั้งสองคนเปิดร้านเหล้าช่วยกันทำมาหากินอย่างยากลำบาก จนในที่สุดจั๋วหวางซุนผู้เป็นพ่อก็ใจอ่อน ยกที่และเงินจำนวนไม่น้อยรับขวัญลูกเขยคนนี้ ต่อมาซือหม่าเซียงหรูเข้ารับราชการจนเติบใหญ่ได้ดีอยู่ในเมืองหลวง ในขณะที่จั๋วเหวินจวินยังอยู่ที่บ้านเกิด อยู่มาวันหนึ่งเธอได้ยินข่าวว่าเขาอยากจะแต่งอนุภรรยา เธอเสียใจมากและยอมรับไม่ได้ เลยแต่งบทกวีนี้ส่งให้เขาเพื่อกล่าวตัดสัมพันธ์ มีคน ‘ถอดรหัส’บทกวีนี้ Storyฯ เลยเอามาแปลเป็นไทยให้เข้าใจง่ายๆ... รักของเรานั้นเคยบริสุทธิ์ดุจหิมะขาวบนยอดเขา ดุจดวงจันทร์กลางกลีบเมฆ ครั้นได้ยินว่าท่านมีรักใหม่ ข้าจึงจะจบเรื่องราวของเรา วันนี้เราร่วมดื่มสุราเป็นครั้งสุดท้าย วันพรุ่งก็ทางใครทางมัน แรกเริ่มที่ข้าติดตามท่านนั้น ชีวิตยากลำบาก ทว่าตั้งแต่แต่งงานมาก็ไม่เคยบ่น ขอเพียงมีคนใจเดียวอยู่ด้วยกันจนผมขาวไม่ร้างลา มีรักหวานชื่น อันชายนั้นควรหนักแน่นกับความสัมพันธ์ ความรักเมื่อสูญหายแล้ว เงินทองก็ชดเชยให้ไม่ได้ (บทกวีฉบับจีนดูได้จากในรูป) ว่ากันว่า ซือหม่าเซียงหรูเมื่ออ่านบทกวีนี้ก็รำลึกถึงความรักที่เคยมีและวันเวลาที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา และเปลี่ยนใจไม่แต่งงานใหม่ จวบจนบั้นปลายชีวิตก็มีจั๋วเหวินจวินเพียงคนเดียว บทกวีลำนำผมขาวนี้โด่งดังมาตลอด เพราะมุมมองที่ให้ความสำคัญของผัวเดียวเมียเดียวในยุคสมัยที่มีค่านิยมว่าชายมีเมียได้หลายคน และเป็นตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นถึงความคิดอันเด็ดเดี่ยวของสตรี วลี ‘ขอเพียงคนใจเดียว ผมขาวไม่ร้างลา’ นี้จึงกลายมาเป็นคำบอกรักยอดนิยมเพื่อสะท้อนถึงรักที่มั่นคงไม่ผันแปร แม้ที่มาจะเศร้าไปหน่อย แต่ก็จบลงด้วยดี แต่ปัจจุบันมีคนนำไปเขียนเพี้ยนไปก็มี จุดที่เพี้ยนหลักคือการสลับอักษรจาก ‘คนใจเดียว’( 一心人) ไปเป็น ‘ใจรักจากคนคนหนึ่ง’ (一人心) .... สลับอักษรแล้วความหมายแตกต่างมากเลย เพื่อนเพจว่าไหม? สุขสันต์วันวาเลนไทน์ย้อนหลังค่ะ หมายเหตุ 1: ‘ลำนำผมขาว’ เป็นชื่อที่แปลโดยคุณกนกพร นุ่มทอง จากหนังสือ < 100 ยอดหญิงแห่งประวัติศาสตร์จีน> แต่ Storyฯ แปลฉบับ ‘ถอดรหัส’ ให้ตามข้างต้นเพื่อความง่ายในการเข้าใจ หมายเหตุ 2: คำว่า ‘อิ๋น’ ในชื่อของบทกวีนี้ จริงๆ แล้วมีความหมายหลากหลาย รวมถึงเสียงร้องเพรียกของนก หรือการอ่านแบบมีจังหวะจะโคน หรือเสียงถอนหายใจ โดยส่วนตัว Storyฯ คิดว่าจริงๆ แล้วน่าจะหมายถึงเสียงถอนหายใจในบริบทนี้ แต่... ขอใช้ตามที่มีคนเคยแปลไว้ว่า ‘ลำนำผมขาว’ เผื่อเพื่อนเพจที่เคยผ่านตาบทกวีนี้จะได้ไม่สับสน (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://www.hk01.com/即時娛樂/705041/斛珠夫人-陳小紜曬素顏樣盡現氣質-曾承認整容將近十次非常痛 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: http://www.chinatoday.com.cn/zw2018/bktg/202104/t20210407_800242850.html http://www.exam58.com/gushi/4582.html https://www.sohu.com/a/402043209_99929216 https://baike.baidu.com/item/白头吟/6866957 #ไข่มุกเคียงบัลลังก์ #ป๋ายโถวอิ๋น #ลำนำผมขาว #กวีจีนโบราณ #จั๋วเหวินจวิน #ซือหม่าเซียงหรู
    WWW.HK01.COM
    香港01|hk01.com 倡議型媒體
    香港01是一家互聯網企業,核心業務為倡議型媒體,主要傳播平台是手機應用程式和網站。企業研發各種互動數碼平台,開發由知識與科技帶動的多元化生活。
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 540 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทรัมป์ประกาศสร้างระบบป้องกันขีปนาวุธ "Golden Dome" ของสหรัฐฯ มูลค่า 175,000 ล้านดอลลาร์แล้ว คิดเป็นเงินไทยกว่า 5,770,000 ล้านบาท

    การตัดสินใจสร้างโกลเดน โดมของสหรัฐฯ มีแรงบันดาลใจส่วนหนึ่งมาจาก "ไอออน โดม" (Iron Dome) ระบบป้องกันภัยทางอากาศของอิสราเอล ที่อิสราเอลได้ใช้ยิงสกัดจรวดและขีปนาวุธมาตั้งแต่ปี 2011 หรือ 14 ปีมาแล้ว

    ด้านเฮกเซธ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของสหรัฐกล่าวยกย่อง "Golden Dome" ว่าเป็นเครื่องป้องกันขีปนาวุธร่อน ขีปนาวุธพิสัยไกล และความเร็วเหนือเสียง แม้ว่าจะยิงมาจากอีกฟากของโลก หรือจะยิงมาจากอวกาศก็ตาม


    อย่างไรก็ตาม หลายฝ่ายมีการตั้งคำถามถึงคุณสมบัติของ "Golden Dome" ว่าจะสามารถรับมือในการป้องกันขีปนาวุธราคาถูก และโดรนขนาดเล็กได้หรือไม่
    ทรัมป์ประกาศสร้างระบบป้องกันขีปนาวุธ "Golden Dome" ของสหรัฐฯ มูลค่า 175,000 ล้านดอลลาร์แล้ว คิดเป็นเงินไทยกว่า 5,770,000 ล้านบาท การตัดสินใจสร้างโกลเดน โดมของสหรัฐฯ มีแรงบันดาลใจส่วนหนึ่งมาจาก "ไอออน โดม" (Iron Dome) ระบบป้องกันภัยทางอากาศของอิสราเอล ที่อิสราเอลได้ใช้ยิงสกัดจรวดและขีปนาวุธมาตั้งแต่ปี 2011 หรือ 14 ปีมาแล้ว ด้านเฮกเซธ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของสหรัฐกล่าวยกย่อง "Golden Dome" ว่าเป็นเครื่องป้องกันขีปนาวุธร่อน ขีปนาวุธพิสัยไกล และความเร็วเหนือเสียง แม้ว่าจะยิงมาจากอีกฟากของโลก หรือจะยิงมาจากอวกาศก็ตาม อย่างไรก็ตาม หลายฝ่ายมีการตั้งคำถามถึงคุณสมบัติของ "Golden Dome" ว่าจะสามารถรับมือในการป้องกันขีปนาวุธราคาถูก และโดรนขนาดเล็กได้หรือไม่
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 273 มุมมอง 21 0 รีวิว
  • #โคราชจุดประกายความฝัน สอนทักษะวอลเล่ย์บอลเยาวชน สร้างแรงบันดาลใจในการเป็นกีฬา
    .
    วันนี้ ( 20 พฤษภาคม 2568 ) ที่โรงเรียนบ้านจอหอ อ.เมือง จ.นครราชสีมา นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา เป็นประธานเปิดการอบรมความรู้ขั้นพื้นที่ฐานกีฬาวอลเล่ย์บอล ตามโครงการพัฒนาด้านการท่องเที่ยวและบริการ ส่งเสริมและพัฒนากีฬาวอลเล่ย์บอลจังหวัดนครราชสีมาสู่ความเป็นเลิศ จัดขึ้นโดยสำนักงานท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดนครราชสีมาร่วมกับสโมสรกีฬาวอลเลย์บอลจังหวัดนครราชสีมาคิวมินซีวีซี เพื่อเป็นการส่งเสริมให้เห็นถึงความสำคัญของการออกกำลังกาย รู้จักใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ ห่างไกลยาเสพติด และรู้จักการเล่นกีฬาเป็นกลุ่มเป็นทีมรวมทั้งสร้างแรงบันดาลใจให้กับเยาวชนในการเล่นกีฬาวอลเล่ย์บอล ซึ่งภายในกิจกรรมได้มีนักเรียนจากโรงเรียนบ้านจอหอร่วมกิจกรรมกว่า 200 คน โดยได้มีนักกีฬาสโมสรวอลเล่ย์บอลจังหวัดนครราชสีมา คิมมินซีวีซี ทั้งทีมชายและทีมหญิง มาร่วมสอนทักษะขั้นพื้นฐานในการเล่นกีฬาวอลเล่ย์บอล ตลอดจนการจัดอบรมความรู้วิธีและเทคนิคให้กับนักเรียนพร้อมกันนี้ยังได้มีการมอบเงินสนับสนุนด้านการกีฬาและอุปกรณ์กีฬาวอลเล่ย์บอลให้กับโรงเรียนบ้านจอหอ อีกด้วย
    #โคราชจุดประกายความฝัน สอนทักษะวอลเล่ย์บอลเยาวชน สร้างแรงบันดาลใจในการเป็นกีฬา . วันนี้ ( 20 พฤษภาคม 2568 ) ที่โรงเรียนบ้านจอหอ อ.เมือง จ.นครราชสีมา นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา เป็นประธานเปิดการอบรมความรู้ขั้นพื้นที่ฐานกีฬาวอลเล่ย์บอล ตามโครงการพัฒนาด้านการท่องเที่ยวและบริการ ส่งเสริมและพัฒนากีฬาวอลเล่ย์บอลจังหวัดนครราชสีมาสู่ความเป็นเลิศ จัดขึ้นโดยสำนักงานท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดนครราชสีมาร่วมกับสโมสรกีฬาวอลเลย์บอลจังหวัดนครราชสีมาคิวมินซีวีซี เพื่อเป็นการส่งเสริมให้เห็นถึงความสำคัญของการออกกำลังกาย รู้จักใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ ห่างไกลยาเสพติด และรู้จักการเล่นกีฬาเป็นกลุ่มเป็นทีมรวมทั้งสร้างแรงบันดาลใจให้กับเยาวชนในการเล่นกีฬาวอลเล่ย์บอล ซึ่งภายในกิจกรรมได้มีนักเรียนจากโรงเรียนบ้านจอหอร่วมกิจกรรมกว่า 200 คน โดยได้มีนักกีฬาสโมสรวอลเล่ย์บอลจังหวัดนครราชสีมา คิมมินซีวีซี ทั้งทีมชายและทีมหญิง มาร่วมสอนทักษะขั้นพื้นฐานในการเล่นกีฬาวอลเล่ย์บอล ตลอดจนการจัดอบรมความรู้วิธีและเทคนิคให้กับนักเรียนพร้อมกันนี้ยังได้มีการมอบเงินสนับสนุนด้านการกีฬาและอุปกรณ์กีฬาวอลเล่ย์บอลให้กับโรงเรียนบ้านจอหอ อีกด้วย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 217 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประธานสหพันธ์นักดนตรีอเมริกันออกแถลงการณ์ตอบโต้ทรัมป์!“สหพันธ์นักดนตรีอเมริกันจะไม่นิ่งเฉยเมื่อสมาชิกสองคนของเรา — บรูซ สปริงส์ทีนและเทย์เลอร์ สวิฟต์ — ถูกประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาโจมตีและโจมตีเป็นการส่วนตัว บรูซ สปริงส์ทีนและเทย์เลอร์ สวิฟต์ไม่เพียงแต่เป็นนักดนตรีที่ยอดเยี่ยมเท่านั้น แต่พวกเขายังเป็นแบบอย่างและแรงบันดาลใจให้กับผู้คนนับล้านในสหรัฐอเมริกาและทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นเพลง Born in the USA หรือ Eras Tour เพลงของพวกเขาล้วนเป็นอมตะ มีอิทธิพล และมีความหมายทางวัฒนธรรมที่ลึกซึ้ง นักดนตรีมีสิทธิที่จะแสดงออกอย่างอิสระ และเราขอแสดงความสามัคคีร่วมกับสมาชิกทุกคนของเรา”
    ประธานสหพันธ์นักดนตรีอเมริกันออกแถลงการณ์ตอบโต้ทรัมป์!“สหพันธ์นักดนตรีอเมริกันจะไม่นิ่งเฉยเมื่อสมาชิกสองคนของเรา — บรูซ สปริงส์ทีนและเทย์เลอร์ สวิฟต์ — ถูกประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาโจมตีและโจมตีเป็นการส่วนตัว บรูซ สปริงส์ทีนและเทย์เลอร์ สวิฟต์ไม่เพียงแต่เป็นนักดนตรีที่ยอดเยี่ยมเท่านั้น แต่พวกเขายังเป็นแบบอย่างและแรงบันดาลใจให้กับผู้คนนับล้านในสหรัฐอเมริกาและทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นเพลง Born in the USA หรือ Eras Tour เพลงของพวกเขาล้วนเป็นอมตะ มีอิทธิพล และมีความหมายทางวัฒนธรรมที่ลึกซึ้ง นักดนตรีมีสิทธิที่จะแสดงออกอย่างอิสระ และเราขอแสดงความสามัคคีร่วมกับสมาชิกทุกคนของเรา”
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 272 มุมมอง 0 รีวิว
  • Apple ใช้ AI และข้อมูลผู้ใช้ใน iOS 19 เพื่อยืดอายุแบตเตอรี่ iPhone

    Apple เตรียมเปิดตัว iOS 19 ที่งาน WWDC เดือนหน้า โดยมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดตั้งแต่ iOS 7 ซึ่งรวมถึง เครื่องมือจัดการแบตเตอรี่ที่ขับเคลื่อนด้วย AI และ ดีไซน์ใหม่ที่เหมือนและเข้ากันได้ระหว่าง iPhone, iPad, Mac และ Vision Pro

    ✅ iOS 19 มาพร้อมกับเครื่องมือจัดการแบตเตอรี่ที่ใช้ AI
    - ระบบจะ ติดตามพฤติกรรมการใช้งานของผู้ใช้และปรับการใช้พลังงานของแอป

    ✅ มีตัวบ่งชี้ใหม่บนหน้าจอล็อกที่แสดงเวลาที่ต้องใช้ในการชาร์จเต็ม
    - ช่วยให้ ผู้ใช้สามารถวางแผนการใช้งานแบตเตอรี่ได้ดีขึ้น

    ✅ AI จะถูกฝังอยู่ในแพ็กเกจ Apple Intelligence และใช้ข้อมูลแบตเตอรี่ที่ Apple เก็บรวบรวมมาหลายปี
    - Apple เชื่อว่า ข้อมูลนี้เพียงพอสำหรับ AI ในการคาดการณ์และลดการใช้พลังงานของแอป

    ✅ iPhone 17 Air เป็นแรงผลักดันหลักของฟีเจอร์นี้ เนื่องจากดีไซน์ที่บางลงทำให้ต้องลดขนาดแบตเตอรี่
    - Apple หวังว่า เครื่องมือ AI นี้จะช่วยให้ iPhone 17 Air มีระยะเวลาการใช้งานที่เหมาะสม

    ✅ iOS 19 จะมีการออกแบบใหม่ที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก visionOS
    - รวมถึง ไอคอนแอป, เมนู, ปุ่มระบบ และองค์ประกอบอื่น ๆ ที่มีลักษณะโปร่งใสและมีมิติ

    ✅ iPadOS 19 และ macOS 16 จะใช้ดีไซน์เดียวกันเพื่อ統一ประสบการณ์การใช้งาน
    - แอป, ไอคอน และสไตล์หน้าต่างจะ มีความคล้ายคลึงกันมากขึ้นระหว่างแพลตฟอร์ม

    https://www.techspot.com/news/107899-apple-use-ai-user-data-ios-19-extend.html
    Apple ใช้ AI และข้อมูลผู้ใช้ใน iOS 19 เพื่อยืดอายุแบตเตอรี่ iPhone Apple เตรียมเปิดตัว iOS 19 ที่งาน WWDC เดือนหน้า โดยมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดตั้งแต่ iOS 7 ซึ่งรวมถึง เครื่องมือจัดการแบตเตอรี่ที่ขับเคลื่อนด้วย AI และ ดีไซน์ใหม่ที่เหมือนและเข้ากันได้ระหว่าง iPhone, iPad, Mac และ Vision Pro ✅ iOS 19 มาพร้อมกับเครื่องมือจัดการแบตเตอรี่ที่ใช้ AI - ระบบจะ ติดตามพฤติกรรมการใช้งานของผู้ใช้และปรับการใช้พลังงานของแอป ✅ มีตัวบ่งชี้ใหม่บนหน้าจอล็อกที่แสดงเวลาที่ต้องใช้ในการชาร์จเต็ม - ช่วยให้ ผู้ใช้สามารถวางแผนการใช้งานแบตเตอรี่ได้ดีขึ้น ✅ AI จะถูกฝังอยู่ในแพ็กเกจ Apple Intelligence และใช้ข้อมูลแบตเตอรี่ที่ Apple เก็บรวบรวมมาหลายปี - Apple เชื่อว่า ข้อมูลนี้เพียงพอสำหรับ AI ในการคาดการณ์และลดการใช้พลังงานของแอป ✅ iPhone 17 Air เป็นแรงผลักดันหลักของฟีเจอร์นี้ เนื่องจากดีไซน์ที่บางลงทำให้ต้องลดขนาดแบตเตอรี่ - Apple หวังว่า เครื่องมือ AI นี้จะช่วยให้ iPhone 17 Air มีระยะเวลาการใช้งานที่เหมาะสม ✅ iOS 19 จะมีการออกแบบใหม่ที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก visionOS - รวมถึง ไอคอนแอป, เมนู, ปุ่มระบบ และองค์ประกอบอื่น ๆ ที่มีลักษณะโปร่งใสและมีมิติ ✅ iPadOS 19 และ macOS 16 จะใช้ดีไซน์เดียวกันเพื่อ統一ประสบการณ์การใช้งาน - แอป, ไอคอน และสไตล์หน้าต่างจะ มีความคล้ายคลึงกันมากขึ้นระหว่างแพลตฟอร์ม https://www.techspot.com/news/107899-apple-use-ai-user-data-ios-19-extend.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Apple will use AI and user data in iOS 19 to extend iPhone battery life
    Apple will likely announce iOS 19 at its Worldwide Developers Conference in June, but details about the update have already leaked. A new report claims the next-gen...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 216 มุมมอง 0 รีวิว
  • TikTok เปิดตัว AI Alive: เทคโนโลยีแปลงภาพนิ่งเป็นวิดีโออัจฉริยะ

    TikTok ได้เปิดตัว AI Alive ซึ่งเป็นฟีเจอร์ใหม่ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถ เปลี่ยนภาพนิ่งเป็นวิดีโอที่มีการเคลื่อนไหว โดยใช้ AI เพื่อสร้างแอนิเมชันที่สมจริง ฟีเจอร์นี้ถูกออกแบบมาเพื่อ เพิ่มความมีชีวิตชีวาให้กับเนื้อหาใน TikTok Stories

    ✅ AI Alive ช่วยให้ผู้ใช้สามารถแปลงภาพนิ่งเป็นวิดีโอที่มีการเคลื่อนไหว
    - ใช้ AI เพื่อสร้างแอนิเมชันที่สมจริง

    ✅ สามารถเลือกภาพจาก Story Album และใช้ AI Alive เพื่อสร้างวิดีโอ
    - เช่น เปลี่ยนภาพพระอาทิตย์ตกให้มีสีสันที่เปลี่ยนไปตามเวลา

    ✅ TikTok ใช้เทคโนโลยีตรวจสอบเนื้อหาเพื่อป้องกันการใช้งานในทางที่ผิด
    - มี การตรวจสอบภาพและคำสั่งก่อนเผยแพร่วิดีโอ

    ✅ วิดีโอที่สร้างจาก AI Alive จะถูกติดป้ายกำกับว่าเป็นเนื้อหา AI
    - ใช้ C2PA metadata เพื่อให้สามารถตรวจสอบแหล่งที่มาของวิดีโอได้

    ✅ TikTok ระบุว่าฟีเจอร์นี้ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างเนื้อหาได้ง่ายขึ้น
    - เน้น การสร้างแรงบันดาลใจและความสนุกสนาน

    https://www.neowin.net/news/tiktok-introduces-ai-alive-its-latest-image-to-video-generator/
    TikTok เปิดตัว AI Alive: เทคโนโลยีแปลงภาพนิ่งเป็นวิดีโออัจฉริยะ TikTok ได้เปิดตัว AI Alive ซึ่งเป็นฟีเจอร์ใหม่ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถ เปลี่ยนภาพนิ่งเป็นวิดีโอที่มีการเคลื่อนไหว โดยใช้ AI เพื่อสร้างแอนิเมชันที่สมจริง ฟีเจอร์นี้ถูกออกแบบมาเพื่อ เพิ่มความมีชีวิตชีวาให้กับเนื้อหาใน TikTok Stories ✅ AI Alive ช่วยให้ผู้ใช้สามารถแปลงภาพนิ่งเป็นวิดีโอที่มีการเคลื่อนไหว - ใช้ AI เพื่อสร้างแอนิเมชันที่สมจริง ✅ สามารถเลือกภาพจาก Story Album และใช้ AI Alive เพื่อสร้างวิดีโอ - เช่น เปลี่ยนภาพพระอาทิตย์ตกให้มีสีสันที่เปลี่ยนไปตามเวลา ✅ TikTok ใช้เทคโนโลยีตรวจสอบเนื้อหาเพื่อป้องกันการใช้งานในทางที่ผิด - มี การตรวจสอบภาพและคำสั่งก่อนเผยแพร่วิดีโอ ✅ วิดีโอที่สร้างจาก AI Alive จะถูกติดป้ายกำกับว่าเป็นเนื้อหา AI - ใช้ C2PA metadata เพื่อให้สามารถตรวจสอบแหล่งที่มาของวิดีโอได้ ✅ TikTok ระบุว่าฟีเจอร์นี้ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างเนื้อหาได้ง่ายขึ้น - เน้น การสร้างแรงบันดาลใจและความสนุกสนาน https://www.neowin.net/news/tiktok-introduces-ai-alive-its-latest-image-to-video-generator/
    WWW.NEOWIN.NET
    TikTok introduces AI Alive, its latest image-to-video generator
    TikTok has introduced a new AI feature called AI Alive, designed to let creators transform static images into dynamic videos.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 231 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ทำบุญคนเดียว…ก็อาจพาตนพ้นทุกข์ได้”

    บุญไม่ใช่แค่สิ่งที่ทำแล้วได้แต้มดีในโลกหน้า
    แต่เป็นสิ่งที่มีพลังบันดาล
    – ให้จิตใจสว่าง
    – ให้รู้สึกถึงคุณค่าของตัวเอง
    – ให้เกิดแรงบันดาลใจในการมีชีวิตแบบที่ไม่เปล่าประโยชน์

    ---

    ทำบุญด้วยใจอย่างไร…ใจก็จะเป็นแบบนั้น

    ลองสังเกตตัวเองดู
    หากคุณเคยทำบุญด้วยใจรำคาญ
    หรือแค่พาตัวไปแต่ปล่อยใจไว้อีกที่
    คุณจะรู้ทันทีเลยว่า “บุญนั้นไม่เบิกบาน”

    แต่หากคุณเคยตื่นเช้าในวันเงียบๆ
    เดินเข้าวัดคนเดียวอย่างสงบ
    ไม่ต้องรอ ไม่ต้องขัดแย้งความคิดใคร
    คุณจะรู้ว่าความสุขที่เรียบง่ายและลึกซึ้งนั้น…มีอยู่จริง

    ---

    ทำบุญคนเดียว ไม่ได้แปลว่าโดดเดี่ยวเสมอไป

    บางคนเข้าใจผิดว่า “ไปวัดคนเดียว” คือเหงา
    “ตักบาตรเงียบๆ” คือไม่มีเพื่อน
    แต่หากคุณสังเกตใจให้ดี
    คุณอาจพบว่า “จิตที่ไม่ต้องแบ่งปันความวุ่นวาย”
    คือจิตที่ได้สัมผัสบุญอย่างเต็มเปี่ยมที่สุด

    คุณไม่ต้องกลัวว่าคนอื่นจะมองว่าคุณไม่มีใคร
    ถ้าจิตคุณกำลังพัฒนาให้ “เป็นที่พึ่งให้ตัวเองได้”
    วันหนึ่ง บุญที่ทำจะกลายเป็นกำลังให้ยืนอยู่ได้อย่างมั่นคง
    ไม่ต้องอิง ไม่ต้องพึ่ง
    แต่ยังมีใจพร้อมเผื่อแผ่

    ---

    หากคุณทำบุญด้วยใจที่ถวิลหาคู่ในฝัน

    แม้จะเบิกบานอยู่คนเดียว
    แต่ลึกๆกลับแอบอธิษฐานว่า

    > “ขอให้ได้เจอใครสักคนสักที”
    ถ้าเผลอแบบนี้บ่อยๆ
    คุณอาจติดนิสัยสร้างวิมานในจินตนาการ
    พร้อมจะมีคนร่วมสุข
    แต่ยังไม่พร้อมจะมีคนร่วมทุกข์ด้วยจริงๆ

    นั่นคือกับดักของจิตที่ฝันมากกว่าตั้งมั่น

    ---

    บทสรุปของการทำบุญคนเดียว

    > ไม่มีใครกำหนดได้ว่า
    “คุณต้องทำบุญกับใคร ถึงจะเรียกว่าดี”
    เพราะสิ่งสำคัญอยู่ที่…
    “ในขณะนั้น ใจคุณเป็นอย่างไร”

    ทำบุญแบบไหน
    ใจคุณก็จะคุ้นชินแบบนั้น
    และนิสัยแบบนั้น…
    จะพาคุณไปเจอชีวิตแบบเดียวกัน
    โดยไม่ต้องอธิษฐานเลยด้วยซ้ำ!
    “ทำบุญคนเดียว…ก็อาจพาตนพ้นทุกข์ได้” บุญไม่ใช่แค่สิ่งที่ทำแล้วได้แต้มดีในโลกหน้า แต่เป็นสิ่งที่มีพลังบันดาล – ให้จิตใจสว่าง – ให้รู้สึกถึงคุณค่าของตัวเอง – ให้เกิดแรงบันดาลใจในการมีชีวิตแบบที่ไม่เปล่าประโยชน์ --- ทำบุญด้วยใจอย่างไร…ใจก็จะเป็นแบบนั้น ลองสังเกตตัวเองดู หากคุณเคยทำบุญด้วยใจรำคาญ หรือแค่พาตัวไปแต่ปล่อยใจไว้อีกที่ คุณจะรู้ทันทีเลยว่า “บุญนั้นไม่เบิกบาน” แต่หากคุณเคยตื่นเช้าในวันเงียบๆ เดินเข้าวัดคนเดียวอย่างสงบ ไม่ต้องรอ ไม่ต้องขัดแย้งความคิดใคร คุณจะรู้ว่าความสุขที่เรียบง่ายและลึกซึ้งนั้น…มีอยู่จริง --- ทำบุญคนเดียว ไม่ได้แปลว่าโดดเดี่ยวเสมอไป บางคนเข้าใจผิดว่า “ไปวัดคนเดียว” คือเหงา “ตักบาตรเงียบๆ” คือไม่มีเพื่อน แต่หากคุณสังเกตใจให้ดี คุณอาจพบว่า “จิตที่ไม่ต้องแบ่งปันความวุ่นวาย” คือจิตที่ได้สัมผัสบุญอย่างเต็มเปี่ยมที่สุด คุณไม่ต้องกลัวว่าคนอื่นจะมองว่าคุณไม่มีใคร ถ้าจิตคุณกำลังพัฒนาให้ “เป็นที่พึ่งให้ตัวเองได้” วันหนึ่ง บุญที่ทำจะกลายเป็นกำลังให้ยืนอยู่ได้อย่างมั่นคง ไม่ต้องอิง ไม่ต้องพึ่ง แต่ยังมีใจพร้อมเผื่อแผ่ --- หากคุณทำบุญด้วยใจที่ถวิลหาคู่ในฝัน แม้จะเบิกบานอยู่คนเดียว แต่ลึกๆกลับแอบอธิษฐานว่า > “ขอให้ได้เจอใครสักคนสักที” ถ้าเผลอแบบนี้บ่อยๆ คุณอาจติดนิสัยสร้างวิมานในจินตนาการ พร้อมจะมีคนร่วมสุข แต่ยังไม่พร้อมจะมีคนร่วมทุกข์ด้วยจริงๆ นั่นคือกับดักของจิตที่ฝันมากกว่าตั้งมั่น --- บทสรุปของการทำบุญคนเดียว > ไม่มีใครกำหนดได้ว่า “คุณต้องทำบุญกับใคร ถึงจะเรียกว่าดี” เพราะสิ่งสำคัญอยู่ที่… “ในขณะนั้น ใจคุณเป็นอย่างไร” ทำบุญแบบไหน ใจคุณก็จะคุ้นชินแบบนั้น และนิสัยแบบนั้น… จะพาคุณไปเจอชีวิตแบบเดียวกัน โดยไม่ต้องอธิษฐานเลยด้วยซ้ำ!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 235 มุมมอง 0 รีวิว
  • ภัยคุกคามใหม่: Ransomware สามารถทำงานโดยตรงบน CPU

    นักวิจัยด้านความปลอดภัยพบว่า แฮกเกอร์สามารถใช้ช่องโหว่ของ microcode เพื่อฝัง ransomware ลงใน CPU โดยตรง ซึ่งทำให้ ซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสไม่สามารถตรวจจับได้ นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในโลกของภัยคุกคามไซเบอร์

    ✅ นักวิจัยจาก Rapid7 พบวิธีใช้ microcode updates เพื่อฝัง ransomware ลงใน CPU
    - ช่องโหว่นี้ได้รับแรงบันดาลใจจาก ข้อบกพร่องใน AMD Zen processors

    ✅ Ransomware ที่ฝังใน CPU สามารถหลบเลี่ยงซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสทั้งหมด
    - เนื่องจาก ทำงานในระดับฮาร์ดแวร์แทนที่จะเป็นซอฟต์แวร์

    ✅ BlackLotus bootkit เคยใช้เทคนิคคล้ายกันในการโจมตี UEFI firmware
    - สามารถ เข้ารหัสข้อมูลก่อนที่ระบบปฏิบัติการจะโหลด

    ✅ นักวิจัยพบว่า Conti ransomware group เคยพยายามพัฒนา ransomware ที่ฝังใน UEFI firmware
    - แสดงให้เห็นว่า แนวคิดนี้ไม่ใช่แค่ทฤษฎี แต่เป็นภัยคุกคามจริง

    ✅ นักวิจัยวิจารณ์ว่าอุตสาหกรรมไอทีมุ่งเน้น AI และ machine learning มากกว่าการแก้ไขปัญหาความปลอดภัยพื้นฐาน
    - ส่งผลให้ ช่องโหว่ระดับลึกยังคงถูกละเลย

    https://www.techspot.com/news/107883-ransomware-can-now-run-directly-cpu-researcher-warns.html
    ภัยคุกคามใหม่: Ransomware สามารถทำงานโดยตรงบน CPU นักวิจัยด้านความปลอดภัยพบว่า แฮกเกอร์สามารถใช้ช่องโหว่ของ microcode เพื่อฝัง ransomware ลงใน CPU โดยตรง ซึ่งทำให้ ซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสไม่สามารถตรวจจับได้ นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในโลกของภัยคุกคามไซเบอร์ ✅ นักวิจัยจาก Rapid7 พบวิธีใช้ microcode updates เพื่อฝัง ransomware ลงใน CPU - ช่องโหว่นี้ได้รับแรงบันดาลใจจาก ข้อบกพร่องใน AMD Zen processors ✅ Ransomware ที่ฝังใน CPU สามารถหลบเลี่ยงซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสทั้งหมด - เนื่องจาก ทำงานในระดับฮาร์ดแวร์แทนที่จะเป็นซอฟต์แวร์ ✅ BlackLotus bootkit เคยใช้เทคนิคคล้ายกันในการโจมตี UEFI firmware - สามารถ เข้ารหัสข้อมูลก่อนที่ระบบปฏิบัติการจะโหลด ✅ นักวิจัยพบว่า Conti ransomware group เคยพยายามพัฒนา ransomware ที่ฝังใน UEFI firmware - แสดงให้เห็นว่า แนวคิดนี้ไม่ใช่แค่ทฤษฎี แต่เป็นภัยคุกคามจริง ✅ นักวิจัยวิจารณ์ว่าอุตสาหกรรมไอทีมุ่งเน้น AI และ machine learning มากกว่าการแก้ไขปัญหาความปลอดภัยพื้นฐาน - ส่งผลให้ ช่องโหว่ระดับลึกยังคงถูกละเลย https://www.techspot.com/news/107883-ransomware-can-now-run-directly-cpu-researcher-warns.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Ransomware can now run directly on the CPU, researcher warns
    A security researcher designed a way to "weaponize" microcode updates to install ransomware directly onto the CPU. Rapid7 analyst Christiaan Beek drew inspiration from a critical flaw...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 149 มุมมอง 0 รีวิว
  • VR จำลองประสบการณ์ความตาย: เทคโนโลยีที่ช่วยให้เราเข้าใจช่วงสุดท้ายของชีวิต

    มหาวิทยาลัยมินนิโซตาได้พัฒนา ประสบการณ์ VR ที่จำลองช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต โดยให้ผู้ใช้สามารถ มองเห็นร่างกายของตนเองจากมุมมองบุคคลที่สาม และรับรู้ถึง ปฏิกิริยาของคนรอบข้างในช่วงเวลาสุดท้าย ซึ่งเป็นแนวทางใหม่ในการช่วยให้ผู้คน เข้าใจและเตรียมตัวรับมือกับความตาย

    ✅ VR จำลองช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตจากมุมมองบุคคลที่สาม
    - ผู้ใช้สามารถ มองเห็นร่างกายของตนเองและรับรู้ถึงปฏิกิริยาของคนรอบข้าง

    ✅ พัฒนาโดยมหาวิทยาลัยมินนิโซตาเพื่อช่วยให้ผู้คนเข้าใจความตาย
    - เป็นแนวทางใหม่ในการ ช่วยให้ผู้คนเตรียมตัวรับมือกับช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต

    ✅ เทคโนโลยีนี้อาจช่วยให้บุคลากรทางการแพทย์เข้าใจความรู้สึกของผู้ป่วยระยะสุดท้าย
    - ช่วยให้ การดูแลผู้ป่วยมีความละเอียดอ่อนและมีมนุษยธรรมมากขึ้น

    ✅ VR จำลองความรู้สึกของการถูกล้อมรอบด้วยคนที่รักในช่วงเวลาสุดท้าย
    - ช่วยให้ผู้ใช้ เข้าใจอารมณ์และความรู้สึกของผู้ที่กำลังจะจากไป

    ✅ แนวคิดนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากงานวิจัยด้านจิตวิทยาและการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย
    - มีการนำไปใช้ในการบำบัดผู้ที่มีความวิตกกังวลเกี่ยวกับความตาย

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/13/what-is-it-like-to-die-this-vr-experience-offers-some-answers
    VR จำลองประสบการณ์ความตาย: เทคโนโลยีที่ช่วยให้เราเข้าใจช่วงสุดท้ายของชีวิต มหาวิทยาลัยมินนิโซตาได้พัฒนา ประสบการณ์ VR ที่จำลองช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต โดยให้ผู้ใช้สามารถ มองเห็นร่างกายของตนเองจากมุมมองบุคคลที่สาม และรับรู้ถึง ปฏิกิริยาของคนรอบข้างในช่วงเวลาสุดท้าย ซึ่งเป็นแนวทางใหม่ในการช่วยให้ผู้คน เข้าใจและเตรียมตัวรับมือกับความตาย ✅ VR จำลองช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตจากมุมมองบุคคลที่สาม - ผู้ใช้สามารถ มองเห็นร่างกายของตนเองและรับรู้ถึงปฏิกิริยาของคนรอบข้าง ✅ พัฒนาโดยมหาวิทยาลัยมินนิโซตาเพื่อช่วยให้ผู้คนเข้าใจความตาย - เป็นแนวทางใหม่ในการ ช่วยให้ผู้คนเตรียมตัวรับมือกับช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต ✅ เทคโนโลยีนี้อาจช่วยให้บุคลากรทางการแพทย์เข้าใจความรู้สึกของผู้ป่วยระยะสุดท้าย - ช่วยให้ การดูแลผู้ป่วยมีความละเอียดอ่อนและมีมนุษยธรรมมากขึ้น ✅ VR จำลองความรู้สึกของการถูกล้อมรอบด้วยคนที่รักในช่วงเวลาสุดท้าย - ช่วยให้ผู้ใช้ เข้าใจอารมณ์และความรู้สึกของผู้ที่กำลังจะจากไป ✅ แนวคิดนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากงานวิจัยด้านจิตวิทยาและการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย - มีการนำไปใช้ในการบำบัดผู้ที่มีความวิตกกังวลเกี่ยวกับความตาย https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/13/what-is-it-like-to-die-this-vr-experience-offers-some-answers
    WWW.THESTAR.COM.MY
    What is it like to die? This VR experience offers some answers
    The dying experience is part of a series of VR simulations developed by a nine-year-old California-based company called Embodied Labs.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 279 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันนี้นั่งฟังเพลงนางไม้อยู่
    แล้วมีความรำลึกถึงอย่างแรงกล้าต่อแรงบันดาลใจในการเรียนรู้เมื่อครั้งอดีต.
    .
    ผมเคยเล่าให้หลายคนฟังเกี่ยวกับปูมหลังของผมว่า การเขียนเพลงของผมมีรากฐานยาวไกลมาจากครูสอนภาษาไทยท่านหนึ่งชื่อครูจันทร์เพ็ญ สมัยที่เรียนอยู่โรงเรียน ภ.ป.ร.ราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ สามพราน นครปฐม... และยังเล่าอีกว่ามีกวีเอกรัตนโกสินทร์ท่านหนึ่งเป็นแรงบันดาลใจด้วย นั่นคือ "ท่านจันทร์" หม่อมเจ้าจันทร์จิรายุวัฒน์ รัชนี (ภายหลังตัดคำ วัฒน์ ออก เหลือ จันทร์จิรายุ). แต่คนส่วนใหญ่ที่มาสัมภาษก็ได้แต่รับฟังและไม่ได้สนใจจะถามไถ่ว่าปูมหลังเหล่านี้ดำเนินไปอย่างไร อย่าว่าแต่ครูจันทร์เพ็ญผู้ไร้ชื่อเสียงเรียงนาม แม้แต่ "ท่านจันทร์" เองก็ไม่ได้เป็นชื่อที่คนรุ่นหลังจะรู้จักและใส่ใจ ทั้งที่ท่านเป็นนักเขียนที่มีผลงานเจิดจ้าอยู่ในยุคสมัยหนึ่ง ท่านเป็นเจ้าของนามปากกา พ.ณ ประมวญมารค เป็นพระโอรสในกรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ กวีเอกอีกท่านที่เป็นที่รู้จักกันดีในนามปากกาว่า น.ม.ส.
    .
    ตอนที่เรียนอยู่ ภปร. ผมอยู่บ้านสาม ตอนเข้าไปใหม่ๆ ครูประจำบ้านชื่อครูสมยศ บ้านพักของท่านอยู่ข้างๆ หอนอนบ้านสาม ครูจันทร์เพ็ญที่สอนภาษาไทยเป็นภรรยาของท่าน และเคยเป็นครูประจำชั้นของผมอยู่ปีหนึ่งในช่วงเรียนชั้นประถม ครูจันทร์เพ็ญสังเกตุเห็นความสนใจในการเขียนโคลงกลอนของผมและมักชวนคุย เป็นเหตุให้ผมเวียนไปคุยที่บ้านพักของท่านเมื่อมีโอกาสว่างจากกิจวัตร ท่านให้กำลังใจผมว่าผมมีโอกาสที่จะเจริญทางการเขียนได้ ท่านให้คำแนะนำอย่างไม่เบื่อหน่ายในเรื่องรูปแบบการเขียนของฉันทลักษณ์ต่างๆ และแนะนำงานหลายชิ้นให้อ่าน เช่นพวกงานเขียนคลาสสิคอย่างนิราศนั่นนี่ของสุนทรภู่เป็นต้น
    .
    ผมสิงสู่ดุจผีร้ายที่ห้องสมุดของโรงเรียนนับแต่นั้น ซ่อนงานที่ชอบไว้อ่านเองเพราะกลัวคนมาตัดหน้ายืมไป (เป็นความประพฤติที่แย่มากและไม่จำเป็นเลย เพื่อนนักเรียนในยุคผมแทบหาคนเป็นนักอ่านไม่ได้) ในจำนวนนั้นมีงานของกวีท่านหนึ่ง ครูบอกว่าครูชอบที่สุด ก็คืองานของท่านจันทร์จิรายุวัฒน์ รัชนี เป็นร้อยกรองที่มีแรงดึงดูดใจผมอย่างอธิบายไม่ถูก มีหนังสือเก่าๆ เล่มบางๆ บางเล่มที่เคยอ่านในตอนนั้น แต่ความทรงจำของผมไม่ปะติดปะต่อนักในภายหลังเมื่อโตเป็นหนุ่มแล้วและพยายามจะหาหนังสือเหล่านั้นมาเก็บเป็นของตัวเอง. หนังสือที่อยากได้มากที่สุดเล่มหนึ่งคือ Facets of Thai Poetry (2525) เพราะเป็นงานโคลงที่เป็นภาษาอังกฤษ แต่ยังไม่เคยหามาครอบครองได้สำเร็จ ยังมีหนังสือเก่าอีกจำนวนหนึ่งที่พยายามหาอยู่ อย่างเช่น โคลงตำรับประมวญมารค (2510), นิราศนายโต๊ะ ณ ท่าช้าง (2511 - นายโต๊ะ เป็นอีกนามปากกาของท่าน), รวมทั้งหนังสือในช่วงหลังเช่น นักกลอนบ่อนเข้าแช่ (2520)... (โดยเฉพาะบทกวีของท่านที่เป็นภาษาอังกฤษซึ่งกระจัดกระจายตีพิมพ์ในนิตยสารสมัยก่อน ยิ่งรวบรวมแสนยาก จริงๆ แล้วอยากได้ฉบับจริงมาเก็บไว้ แต่หากใครมีและเมตตาทำสำเนาให้จะเป็นพระคุณอย่างยิ่ง)
    .
    สิ่งที่โดดเด่นและสร้างความหลงไหลให้แก่ผมก็คือท่านจันทร์เป็นกวีสองภาษา รสชาติทางเสียงและอักษรในบทกวีของท่านเป็นสิ่งที่น่าประทับใจเหลือล้ำสำหรับผม ถ้าคุณเป็นคนรักในโคลงกลอนเชื่อว่าคุณจะรู้สึกเหมือนผมเมื่อได้อ่าน และแม้เมื่อผมอายุมากขึ้นมาจนทุกวันนี้ ก็ยังไม่เคยได้ยินบทกวีที่กระทบโสตประสาทแล้วมีรสชาติเทียบได้เช่นนั้น ถ้าคุณเคยอ่านกวีนิพนธ์ในภาษาอังกฤษคุณจะคุ้นเคยกับรสชาติของมันแบบหนึ่ง และขณะที่คุณอ่านกวีนิพนธ์ไทยในภาษาไทยคุณก็จะคุ้นเคยกับรสชาติคุ้นชินนั้นอีกแบบหนึ่ง แต่ถ้าคุณได้อ่านบทกวีภาษาอังกฤษที่วางอยู่บนฉันทลักษณ์ที่สวยงามแบบไทย โดยเฉพาะเมื่อมันโลดแล่นสลับไปมาระหว่างสองภาษา คุณจะรู้สึกอัศจรรย์ยิ่งกว่าความรู้สึกสองแบบที่กล่าวไปหลายเท่า และตลอดชีวิตผมไม่เคยเห็นงานเขียนแบบนี้จากคนอื่น.. ตัวอย่างเช่น ท่านเขียนประวัติท่านบนโคลงสี่ว่า...
    ================================================
    .
    พฤหัสขึ้นสิบห้าค่ำ เดือนแปด
    จันทร์กระโดดกระเด็นแดด เที่ยงเปรี้ยง
    จอแปดจะแปดแฝด แปดเดี่ยว ก็ดี
    เข้าวษาเสียงเพี้ยง สวดพร้อง คล้องหอน ฯ
    .
    Born : nineteen hundred and ten*
    That was the year when Kings died**
    The stars in heaven did laugh
    On earth people cried when I was born
    .
    [* ค.ศ.1910 / ** พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ห้าและกษัตริย์เอ็ดเวิร์ดที่เจ็ดสวรรคตในปีนั้น]
    =================================================
    .
    พี่เนาว์ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ กวีรัตนโกสินทร์อีกท่าน กล่าวไว้ไม่ผิด...
    "ท่านจันทร์ เป็นกวีของกวี"
    แม้วันนี้ความรู้สึกอย่างนี้ของผมก็ยังไม่เปลี่ยน
    แรงบันดาลใจนี้ส่งผลให้ผมตะเกียกตะกายอย่างยิ่งเสมอมาที่จะเขียนเพลงให้ภาษาสวยงามสักเสี้ยวธุลีนึงของท่าน
    .
    =================================================
    อาจารย์ เขียน ยิ้มศิริ ปฏิมากรเอกของไทยเคยปั้นรูปเหมือนศีรษะของท่านจันทร์
    ท่านเขียนกวีว่า....
    .
    ช่างปั้นเขาช่างปั้น รูปเหมือน หัวเฮย
    ยังมิทันจะเลือน หนุ่มฟ้อ
    เดือนปีสักกี่เดือน หาจด จำแฮ
    ดูประดุจรูปล้อ ธาตุน้ำลมไฟ ฯ
    .
    วันหนึ่งกายหยาบนี้ จักสลาย
    เหลือแต่หัวตัวหาย ตกฟ้า
    อักษรจะนอนหงาย ปกเปิด
    หรือว่าคว่ำดำหล้า ธาตุสิ้นดินสูญ ฯ
    .
    - พ ณ.ประมวญมารค (2531) ==============================================
    ท่านสิ้นเมื่อปี พ.ศ.2534
    แต่อักษรของท่านไม่คว่ำและมีน้ำหนักมั่นคงจารึกลงในแผ่นดินไม่มีวันสิ้นสูญ.
    .
    ด้วยจิตคารวะ
    พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา
    2566
    วันนี้นั่งฟังเพลงนางไม้อยู่ แล้วมีความรำลึกถึงอย่างแรงกล้าต่อแรงบันดาลใจในการเรียนรู้เมื่อครั้งอดีต. . ผมเคยเล่าให้หลายคนฟังเกี่ยวกับปูมหลังของผมว่า การเขียนเพลงของผมมีรากฐานยาวไกลมาจากครูสอนภาษาไทยท่านหนึ่งชื่อครูจันทร์เพ็ญ สมัยที่เรียนอยู่โรงเรียน ภ.ป.ร.ราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ สามพราน นครปฐม... และยังเล่าอีกว่ามีกวีเอกรัตนโกสินทร์ท่านหนึ่งเป็นแรงบันดาลใจด้วย นั่นคือ "ท่านจันทร์" หม่อมเจ้าจันทร์จิรายุวัฒน์ รัชนี (ภายหลังตัดคำ วัฒน์ ออก เหลือ จันทร์จิรายุ). แต่คนส่วนใหญ่ที่มาสัมภาษก็ได้แต่รับฟังและไม่ได้สนใจจะถามไถ่ว่าปูมหลังเหล่านี้ดำเนินไปอย่างไร อย่าว่าแต่ครูจันทร์เพ็ญผู้ไร้ชื่อเสียงเรียงนาม แม้แต่ "ท่านจันทร์" เองก็ไม่ได้เป็นชื่อที่คนรุ่นหลังจะรู้จักและใส่ใจ ทั้งที่ท่านเป็นนักเขียนที่มีผลงานเจิดจ้าอยู่ในยุคสมัยหนึ่ง ท่านเป็นเจ้าของนามปากกา พ.ณ ประมวญมารค เป็นพระโอรสในกรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ กวีเอกอีกท่านที่เป็นที่รู้จักกันดีในนามปากกาว่า น.ม.ส. . ตอนที่เรียนอยู่ ภปร. ผมอยู่บ้านสาม ตอนเข้าไปใหม่ๆ ครูประจำบ้านชื่อครูสมยศ บ้านพักของท่านอยู่ข้างๆ หอนอนบ้านสาม ครูจันทร์เพ็ญที่สอนภาษาไทยเป็นภรรยาของท่าน และเคยเป็นครูประจำชั้นของผมอยู่ปีหนึ่งในช่วงเรียนชั้นประถม ครูจันทร์เพ็ญสังเกตุเห็นความสนใจในการเขียนโคลงกลอนของผมและมักชวนคุย เป็นเหตุให้ผมเวียนไปคุยที่บ้านพักของท่านเมื่อมีโอกาสว่างจากกิจวัตร ท่านให้กำลังใจผมว่าผมมีโอกาสที่จะเจริญทางการเขียนได้ ท่านให้คำแนะนำอย่างไม่เบื่อหน่ายในเรื่องรูปแบบการเขียนของฉันทลักษณ์ต่างๆ และแนะนำงานหลายชิ้นให้อ่าน เช่นพวกงานเขียนคลาสสิคอย่างนิราศนั่นนี่ของสุนทรภู่เป็นต้น . ผมสิงสู่ดุจผีร้ายที่ห้องสมุดของโรงเรียนนับแต่นั้น ซ่อนงานที่ชอบไว้อ่านเองเพราะกลัวคนมาตัดหน้ายืมไป (เป็นความประพฤติที่แย่มากและไม่จำเป็นเลย เพื่อนนักเรียนในยุคผมแทบหาคนเป็นนักอ่านไม่ได้) ในจำนวนนั้นมีงานของกวีท่านหนึ่ง ครูบอกว่าครูชอบที่สุด ก็คืองานของท่านจันทร์จิรายุวัฒน์ รัชนี เป็นร้อยกรองที่มีแรงดึงดูดใจผมอย่างอธิบายไม่ถูก มีหนังสือเก่าๆ เล่มบางๆ บางเล่มที่เคยอ่านในตอนนั้น แต่ความทรงจำของผมไม่ปะติดปะต่อนักในภายหลังเมื่อโตเป็นหนุ่มแล้วและพยายามจะหาหนังสือเหล่านั้นมาเก็บเป็นของตัวเอง. หนังสือที่อยากได้มากที่สุดเล่มหนึ่งคือ Facets of Thai Poetry (2525) เพราะเป็นงานโคลงที่เป็นภาษาอังกฤษ แต่ยังไม่เคยหามาครอบครองได้สำเร็จ ยังมีหนังสือเก่าอีกจำนวนหนึ่งที่พยายามหาอยู่ อย่างเช่น โคลงตำรับประมวญมารค (2510), นิราศนายโต๊ะ ณ ท่าช้าง (2511 - นายโต๊ะ เป็นอีกนามปากกาของท่าน), รวมทั้งหนังสือในช่วงหลังเช่น นักกลอนบ่อนเข้าแช่ (2520)... (โดยเฉพาะบทกวีของท่านที่เป็นภาษาอังกฤษซึ่งกระจัดกระจายตีพิมพ์ในนิตยสารสมัยก่อน ยิ่งรวบรวมแสนยาก จริงๆ แล้วอยากได้ฉบับจริงมาเก็บไว้ แต่หากใครมีและเมตตาทำสำเนาให้จะเป็นพระคุณอย่างยิ่ง) . สิ่งที่โดดเด่นและสร้างความหลงไหลให้แก่ผมก็คือท่านจันทร์เป็นกวีสองภาษา รสชาติทางเสียงและอักษรในบทกวีของท่านเป็นสิ่งที่น่าประทับใจเหลือล้ำสำหรับผม ถ้าคุณเป็นคนรักในโคลงกลอนเชื่อว่าคุณจะรู้สึกเหมือนผมเมื่อได้อ่าน และแม้เมื่อผมอายุมากขึ้นมาจนทุกวันนี้ ก็ยังไม่เคยได้ยินบทกวีที่กระทบโสตประสาทแล้วมีรสชาติเทียบได้เช่นนั้น ถ้าคุณเคยอ่านกวีนิพนธ์ในภาษาอังกฤษคุณจะคุ้นเคยกับรสชาติของมันแบบหนึ่ง และขณะที่คุณอ่านกวีนิพนธ์ไทยในภาษาไทยคุณก็จะคุ้นเคยกับรสชาติคุ้นชินนั้นอีกแบบหนึ่ง แต่ถ้าคุณได้อ่านบทกวีภาษาอังกฤษที่วางอยู่บนฉันทลักษณ์ที่สวยงามแบบไทย โดยเฉพาะเมื่อมันโลดแล่นสลับไปมาระหว่างสองภาษา คุณจะรู้สึกอัศจรรย์ยิ่งกว่าความรู้สึกสองแบบที่กล่าวไปหลายเท่า และตลอดชีวิตผมไม่เคยเห็นงานเขียนแบบนี้จากคนอื่น.. ตัวอย่างเช่น ท่านเขียนประวัติท่านบนโคลงสี่ว่า... ================================================ . พฤหัสขึ้นสิบห้าค่ำ เดือนแปด จันทร์กระโดดกระเด็นแดด เที่ยงเปรี้ยง จอแปดจะแปดแฝด แปดเดี่ยว ก็ดี เข้าวษาเสียงเพี้ยง สวดพร้อง คล้องหอน ฯ . Born : nineteen hundred and ten* That was the year when Kings died** The stars in heaven did laugh On earth people cried when I was born . [* ค.ศ.1910 / ** พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ห้าและกษัตริย์เอ็ดเวิร์ดที่เจ็ดสวรรคตในปีนั้น] ================================================= . พี่เนาว์ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ กวีรัตนโกสินทร์อีกท่าน กล่าวไว้ไม่ผิด... "ท่านจันทร์ เป็นกวีของกวี" แม้วันนี้ความรู้สึกอย่างนี้ของผมก็ยังไม่เปลี่ยน แรงบันดาลใจนี้ส่งผลให้ผมตะเกียกตะกายอย่างยิ่งเสมอมาที่จะเขียนเพลงให้ภาษาสวยงามสักเสี้ยวธุลีนึงของท่าน . ================================================= อาจารย์ เขียน ยิ้มศิริ ปฏิมากรเอกของไทยเคยปั้นรูปเหมือนศีรษะของท่านจันทร์ ท่านเขียนกวีว่า.... . ช่างปั้นเขาช่างปั้น รูปเหมือน หัวเฮย ยังมิทันจะเลือน หนุ่มฟ้อ เดือนปีสักกี่เดือน หาจด จำแฮ ดูประดุจรูปล้อ ธาตุน้ำลมไฟ ฯ . วันหนึ่งกายหยาบนี้ จักสลาย เหลือแต่หัวตัวหาย ตกฟ้า อักษรจะนอนหงาย ปกเปิด หรือว่าคว่ำดำหล้า ธาตุสิ้นดินสูญ ฯ . - พ ณ.ประมวญมารค (2531) ============================================== ท่านสิ้นเมื่อปี พ.ศ.2534 แต่อักษรของท่านไม่คว่ำและมีน้ำหนักมั่นคงจารึกลงในแผ่นดินไม่มีวันสิ้นสูญ. . ด้วยจิตคารวะ พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา 2566
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 501 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ปัตตานีไม่ใช่ดินแดนที่ถูกยึด”
    เปิดหลักฐานสยามและอังกฤษที่ยืนยันอธิปไตยของไทย

    #อัษฎางค์ยมนาค

    การเมืองของประวัติศาสตร์ และมายาคติแห่งการ “สูญเสียดินแดน”

    เมื่อ ดร.มหาเธร์ โมฮัมหมัด อดีตผู้นำผู้ทรงอิทธิพลของมาเลเซีย โพสต์ข้อความเรียกร้องความเห็นใจต่อ “การสูญเสียดินแดนของชาวมลายู” โดยมีนัยว่าพรมแดนปัจจุบันของมาเลเซียถูกจำกัด เพราะดินแดนบางส่วนตกเป็นของประเทศเพื่อนบ้านอย่างไทย วาทกรรมนี้จึงถูกปล่อยออกมาในลักษณะที่ปลุกอารมณ์ผู้คน และสร้างภาพลวงตาว่าชาวมลายูเคยถูก “ยึดครอง”

    แต่หากไม่ใช้ปัญญาแยกแยะระหว่างวาทกรรมกับข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ ก็ย่อมตกเป็นเหยื่อของ “มายาคติแห่งการถูกกดขี่” ซึ่งกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับแนวคิดแบ่งแยกดินแดนที่ยังคุกรุ่น

    ประเทศไทยไม่เคย “ยึด” ดินแดนจากมาเลเซีย เพราะ “มาเลเซีย” ยังไม่ปรากฏในฐานะรัฐชาติในช่วงเวลานั้น ดินแดนที่เรียกว่า มลายา หรือ คาบสมุทรมลายู ในอดีต ประกอบด้วยรัฐสุลต่านอิสระหลายแห่ง รวมถึง ปัตตานี ซึ่งยอมรับอธิปไตยของสยามในฐานะ “รัฐบรรณาการ” มาตั้งแต่สมัยอยุธยา

    ในบรรดาหัวเมืองมลายูที่เคยขึ้นกับไทย ได้แก่ ไทรบุรี กะลันตัน ตรังกานู และปัตตานี ซึ่งอังกฤษเองก็รับรองอย่างเป็นทางการใน “สัญญาเบอร์นี” (พ.ศ. 2369) ว่าเมืองเหล่านี้เป็นดินแดนภายใต้อำนาจของกรุงเทพฯ

    อย่างไรก็ตาม เมื่อจักรวรรดิอังกฤษขยายอิทธิพลในภูมิภาค หลังชัยชนะเหนือจีนและพม่า ไทยซึ่งเป็นประเทศเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ไม่ตกเป็นอาณานิคม จึงต้องยอมแลกดินแดนบางส่วนเพื่อรักษาเอกราชโดยรวม

    ผลก็คือ ไทยต้องเสีย ไทรบุรี กะลันตัน และตรังกานู ไปให้อังกฤษ ซึ่งต่อมาถูกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของมาเลเซีย แต่ ปัตตานี ยังคงอยู่ภายใต้อธิปไตยของไทยจนถึงปัจจุบัน

    เพื่อคลี่คลายความเข้าใจผิด และตั้งหลักให้กับข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ บทความนี้จึงขอนำเสนอหลักฐานจาก พระราชพงศาวดารรัชกาลที่ 5 พระนิพนธ์โดย สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ พร้อมอ้างอิงเอกสารของอังกฤษ เพื่อให้ข้อเท็จจริงได้ยืนเคียงข้างวาทกรรมร่วมสมัยอย่างมีศักดิ์ศรี

    อ่านรายละเอียดฉบับเต็มได้ที่
    www.atsadang.com/?p=5503
    #อัษฎางค์ดอทคอม
    “ปัตตานีไม่ใช่ดินแดนที่ถูกยึด” เปิดหลักฐานสยามและอังกฤษที่ยืนยันอธิปไตยของไทย #อัษฎางค์ยมนาค การเมืองของประวัติศาสตร์ และมายาคติแห่งการ “สูญเสียดินแดน” เมื่อ ดร.มหาเธร์ โมฮัมหมัด อดีตผู้นำผู้ทรงอิทธิพลของมาเลเซีย โพสต์ข้อความเรียกร้องความเห็นใจต่อ “การสูญเสียดินแดนของชาวมลายู” โดยมีนัยว่าพรมแดนปัจจุบันของมาเลเซียถูกจำกัด เพราะดินแดนบางส่วนตกเป็นของประเทศเพื่อนบ้านอย่างไทย วาทกรรมนี้จึงถูกปล่อยออกมาในลักษณะที่ปลุกอารมณ์ผู้คน และสร้างภาพลวงตาว่าชาวมลายูเคยถูก “ยึดครอง” แต่หากไม่ใช้ปัญญาแยกแยะระหว่างวาทกรรมกับข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ ก็ย่อมตกเป็นเหยื่อของ “มายาคติแห่งการถูกกดขี่” ซึ่งกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับแนวคิดแบ่งแยกดินแดนที่ยังคุกรุ่น ประเทศไทยไม่เคย “ยึด” ดินแดนจากมาเลเซีย เพราะ “มาเลเซีย” ยังไม่ปรากฏในฐานะรัฐชาติในช่วงเวลานั้น ดินแดนที่เรียกว่า มลายา หรือ คาบสมุทรมลายู ในอดีต ประกอบด้วยรัฐสุลต่านอิสระหลายแห่ง รวมถึง ปัตตานี ซึ่งยอมรับอธิปไตยของสยามในฐานะ “รัฐบรรณาการ” มาตั้งแต่สมัยอยุธยา ในบรรดาหัวเมืองมลายูที่เคยขึ้นกับไทย ได้แก่ ไทรบุรี กะลันตัน ตรังกานู และปัตตานี ซึ่งอังกฤษเองก็รับรองอย่างเป็นทางการใน “สัญญาเบอร์นี” (พ.ศ. 2369) ว่าเมืองเหล่านี้เป็นดินแดนภายใต้อำนาจของกรุงเทพฯ อย่างไรก็ตาม เมื่อจักรวรรดิอังกฤษขยายอิทธิพลในภูมิภาค หลังชัยชนะเหนือจีนและพม่า ไทยซึ่งเป็นประเทศเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ไม่ตกเป็นอาณานิคม จึงต้องยอมแลกดินแดนบางส่วนเพื่อรักษาเอกราชโดยรวม ผลก็คือ ไทยต้องเสีย ไทรบุรี กะลันตัน และตรังกานู ไปให้อังกฤษ ซึ่งต่อมาถูกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของมาเลเซีย แต่ ปัตตานี ยังคงอยู่ภายใต้อธิปไตยของไทยจนถึงปัจจุบัน เพื่อคลี่คลายความเข้าใจผิด และตั้งหลักให้กับข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ บทความนี้จึงขอนำเสนอหลักฐานจาก พระราชพงศาวดารรัชกาลที่ 5 พระนิพนธ์โดย สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ พร้อมอ้างอิงเอกสารของอังกฤษ เพื่อให้ข้อเท็จจริงได้ยืนเคียงข้างวาทกรรมร่วมสมัยอย่างมีศักดิ์ศรี อ่านรายละเอียดฉบับเต็มได้ที่ www.atsadang.com/?p=5503 #อัษฎางค์ดอทคอม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 455 มุมมอง 0 รีวิว
  • นักวิทยาศาสตร์จาก Oregon State University ได้ค้นพบ แบคทีเรียสายเคเบิลชนิดใหม่ ที่สามารถ นำไฟฟ้าได้ โดยใช้ เส้นใยที่มีส่วนประกอบของนิกเกิล ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่พบได้ยากในสิ่งมีชีวิต

    แบคทีเรียชนิดนี้มีชื่อว่า Candidatus Electrothrix yaqonensis ซึ่งถูกค้นพบใน พื้นที่โคลนของอ่าว Yaquina Bay รัฐโอเรกอน โดยมีโครงสร้างเป็น เส้นใยยาวที่เชื่อมต่อเซลล์รูปแท่งเข้าด้วยกัน และสามารถ ส่งผ่านอิเล็กตรอนได้ในระยะทางหลายเซนติเมตร

    ✅ Candidatus Electrothrix yaqonensis เป็นแบคทีเรียสายเคเบิลชนิดใหม่
    - ถูกค้นพบใน พื้นที่โคลนของอ่าว Yaquina Bay รัฐโอเรกอน
    - มีโครงสร้างเป็น เส้นใยยาวที่เชื่อมต่อเซลล์รูปแท่งเข้าด้วยกัน

    ✅ สามารถนำไฟฟ้าได้โดยใช้เส้นใยที่มีส่วนประกอบของนิกเกิล
    - เส้นใยมี ร่องผิวที่กว้างกว่าสายเคเบิลแบคทีเรียชนิดอื่นถึงสามเท่า
    - ช่วยให้สามารถ ส่งผ่านอิเล็กตรอนได้ในระยะทางหลายเซนติเมตร

    ✅ มีบทบาทสำคัญในการปรับสมดุลทางเคมีของตะกอน
    - สามารถ เชื่อมต่อออกซิเจนหรือนิเตรตที่อยู่บนพื้นผิวตะกอนกับซัลไฟด์ที่อยู่ลึกลงไป
    - ช่วยให้เกิด ปฏิกิริยารีดอกซ์ในระยะทางที่ไกลขึ้น

    ✅ มีศักยภาพในการนำไปใช้ในเทคโนโลยีชีวภาพและการบำบัดสิ่งแวดล้อม
    - สามารถ ใช้ในการกำจัดมลพิษจากตะกอน
    - อาจเป็นแรงบันดาลใจในการพัฒนา อุปกรณ์ชีวอิเล็กทรอนิกส์ใหม่

    https://www.techspot.com/news/107808-scientists-discover-new-electricity-conducting-bacterium-oregon-mudflats.html
    นักวิทยาศาสตร์จาก Oregon State University ได้ค้นพบ แบคทีเรียสายเคเบิลชนิดใหม่ ที่สามารถ นำไฟฟ้าได้ โดยใช้ เส้นใยที่มีส่วนประกอบของนิกเกิล ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่พบได้ยากในสิ่งมีชีวิต แบคทีเรียชนิดนี้มีชื่อว่า Candidatus Electrothrix yaqonensis ซึ่งถูกค้นพบใน พื้นที่โคลนของอ่าว Yaquina Bay รัฐโอเรกอน โดยมีโครงสร้างเป็น เส้นใยยาวที่เชื่อมต่อเซลล์รูปแท่งเข้าด้วยกัน และสามารถ ส่งผ่านอิเล็กตรอนได้ในระยะทางหลายเซนติเมตร ✅ Candidatus Electrothrix yaqonensis เป็นแบคทีเรียสายเคเบิลชนิดใหม่ - ถูกค้นพบใน พื้นที่โคลนของอ่าว Yaquina Bay รัฐโอเรกอน - มีโครงสร้างเป็น เส้นใยยาวที่เชื่อมต่อเซลล์รูปแท่งเข้าด้วยกัน ✅ สามารถนำไฟฟ้าได้โดยใช้เส้นใยที่มีส่วนประกอบของนิกเกิล - เส้นใยมี ร่องผิวที่กว้างกว่าสายเคเบิลแบคทีเรียชนิดอื่นถึงสามเท่า - ช่วยให้สามารถ ส่งผ่านอิเล็กตรอนได้ในระยะทางหลายเซนติเมตร ✅ มีบทบาทสำคัญในการปรับสมดุลทางเคมีของตะกอน - สามารถ เชื่อมต่อออกซิเจนหรือนิเตรตที่อยู่บนพื้นผิวตะกอนกับซัลไฟด์ที่อยู่ลึกลงไป - ช่วยให้เกิด ปฏิกิริยารีดอกซ์ในระยะทางที่ไกลขึ้น ✅ มีศักยภาพในการนำไปใช้ในเทคโนโลยีชีวภาพและการบำบัดสิ่งแวดล้อม - สามารถ ใช้ในการกำจัดมลพิษจากตะกอน - อาจเป็นแรงบันดาลใจในการพัฒนา อุปกรณ์ชีวอิเล็กทรอนิกส์ใหม่ https://www.techspot.com/news/107808-scientists-discover-new-electricity-conducting-bacterium-oregon-mudflats.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Scientists discover electricity-conducting bacteria with nickel-based fibers
    Scientists have identified a new species of bacteria in the mudflats of Oregon's Yaquina Bay that is capable of conducting electricity, a property uncommon among living organisms.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 154 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตามล่าหา 'ดาวเหนือ'
    ด๋องรู้สึกเหมือนกำลังพายเรืออยู่ในทะเลอันกว้างใหญ่ที่ไร้จุดหมาย
    แต่ละวันเริ่มต้นขึ้นด้วยแรงเฉื่อย เขาลุกไปทำงานเพียงเพราะ "ต้องทำ" ไม่ได้มีเป้าหมายที่ชัดเจน
    งานที่ทำก็ไม่ได้เลวร้าย แต่ก็ไม่ได้รู้สึกถึงความหมายหรือความรักที่จะทำ มันเป็นแค่การทำตามคำสั่งไปวันๆ
    เหมือนเป็นฟันเฟืองตัวเล็กๆ ในเครื่องจักรขนาดใหญ่ หมุนไปตามแรงขับเคลื่อนของคนอื่น โดยไม่รู้เลยว่าปลายทางคือที่ใด
    เขาเคยได้ยินคำว่า "ดาวเหนือ" มาบ้าง ในฐานะสัญลักษณ์ของแรงบันดาลใจและเข็มทิศชีวิต
    แต่สำหรับด๋อง คำนี้ดูห่างไกลเหลือเกิน มันเป็นเพียงถ้อยคำสวยหรูในโลกอุดมคติ ที่ไม่มีอยู่จริงในชีวิตการทำงานอันแสนธรรมดาของเขา
    .
    วันหนึ่ง จุดเปลี่ยนเล็กๆ ก็มาถึง เมื่อหัวหน้ามอบหมายโปรเจกต์หนึ่งให้
    มันเป็นงานที่หนัก ต้องใช้ความละเอียดสูง และดูเหมือนจะไม่มีใครอยากทำ เพราะมันทั้งน่าเบื่อและซ้ำซาก
    เพื่อนร่วมงานหลายคนแสดงท่าทีเหนื่อยหน่าย แต่ด๋องเลือกที่จะรับมันไว้โดยไม่ปริปากบ่น
    ในหัวคิดเพียงแค่ว่า "ก็ต้องทำ" ในเมื่อหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็แค่ก้มหน้าก้มตาทำให้เสร็จไป
    ด๋องทุ่มเทเวลาหลายสัปดาห์ให้กับโปรเจกต์นี้ อาศัยเพียง "เครื่องมือ" ที่มี ความรู้พื้นฐานที่ร่ำเรียนมา และความอึดเข้าแลก
    เขาจมดิ่งอยู่กับตัวเลขและเอกสาร แก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปทีละจุด แม้จะไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่างานนี้จะนำไปสู่สิ่งใด
    .
    วันนำเสนอผลงานมาถึง
    ด๋องยืนอยู่หน้าห้องประชุม นำเสนอสิ่งที่เขาได้ทำลงไปอย่างละเอียด ทั้งขั้นตอน ปัญหาที่พบ และวิธีแก้ไขแบบตามตำรา
    หัวหน้าและผู้ใหญ่ในห้องพยักหน้าพอใจในความเรียบร้อยและครบถ้วนตามที่มอบหมาย
    โปรเจกต์นี้ "สำเร็จ" ในสายตาของทุกคน และด๋องก็ได้รับคำชมตามระเบียบ
    แต่เมื่อเดินออกจากห้องประชุม แสงแดดยามบ่ายกลับไม่ได้ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นใจเลย
    ความรู้สึกที่ถาโถมเข้ามาไม่ใช่ความภาคภูมิใจ แต่เป็นความว่างเปล่าที่กัดกินข้างใน
    เหมือนเพิ่งปีนขึ้นไปบนยอดเขาได้สำเร็จ แต่กลับพบว่าตัวเองมัวแต่ก้มหน้าก้มตาเดิน ไม่ได้แหงนมองวิวทิวทัศน์ระหว่างทางเลย
    "นี่คือทั้งหมดแล้วเหรอ?" คำถามนี้ดังก้องอยู่ในใจ "ชีวิตการทำงานมีแค่นี้เองเหรอ? แค่ทำสิ่งที่ 'ต้องทำ' ให้ดีที่สุด แล้วก็รู้สึกว่างเปล่าแบบนี้?"
    .
    ความว่างเปล่าครั้งนั้นกลายเป็นแรงผลักดันเงียบๆ ให้ด๋องเริ่มมองหาบางสิ่งบางอย่างที่ขาดหายไป
    เขาเริ่มหยิบหนังสือพัฒนาตนเองที่เคยเมินเฉยขึ้นมาอ่านอีกครั้ง แต่คราวนี้อ่านด้วยสายตาที่แตกต่างออกไป
    ไม่ได้อ่านเพื่อหาสูตรสำเร็จ แต่เพื่อทำความเข้าใจความรู้สึกสับสนภายในใจของตัวเอง
    เขาได้อ่านเรื่องราวของผู้คนมากมายที่ดูเหมือนจะมี "ดาวเหนือ" เป็นของตัวเอง ส่องนำทางชีวิตและการทำงาน
    ด๋องเริ่ม "มองแบบอย่าง" จากคนเหล่านั้น ไม่ใช่การเลียนแบบภายนอก แต่พยายามทำความเข้าใจความคิด "เจตนา" และคุณค่าที่ขับเคลื่อนพวกเขา
    เขาเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองอย่างจริงจังว่า นอกจากการ "ต้องทำ" แล้ว มีอะไรที่เขา "อยากจะทำ" กันแน่? และต้อง "จำเป็นต้องทำ" อะไรบ้างเพื่อให้ไปถึงจุดนั้น?
    .
    ไม่นานหลังจากนั้น ด๋องได้เข้าร่วมเวิร์กช็อปของบริษัทเกี่ยวกับวิสัยทัศน์และเป้าหมายองค์กร
    เขาได้ฟังเรื่องราวเบื้องหลังความสำเร็จ ฟังความฝันของผู้บริหารและเพื่อนร่วมงานจากแผนกต่างๆ
    เหมือนจิ๊กซอว์ที่กระจัดกระจายค่อยๆ ประกอบกันเป็นภาพใหญ่ที่เขาไม่เคยมองเห็นมาก่อน
    ด๋องเริ่มเข้าใจว่างานเล็กๆ ที่เขาทำ อาจมีความเชื่อมโยงกับเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น และเขาก็พบว่ามีบางประเด็นใน "วิสัยทัศน์ร่วม" นั้นที่สอดคล้องกับสิ่งที่เริ่มก่อตัวขึ้นในใจว่าเขา "อยากจะทำ"
    เขาตัดสินใจเริ่มต้นโปรเจกต์เล็กๆ นอกเหนือจากงานประจำ เป็นโปรเจกต์ที่เกิดจากความสนใจส่วนตัวและความตั้งใจที่อยากเห็นบางอย่างเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น
    ครั้งนี้ ด๋องมี "เจตนา" ที่ชัดเจนในการลงมือทำ เขาพยายาม "จัดแนว" การกระทำทุกอย่างให้สอดคล้องกับ "ดาวเหนือ" ที่เริ่มส่องแสงประกายอ่อนๆ ให้เห็น
    .
    เส้นทางของโปรเจกต์ใหม่นี้ไม่ได้ราบรื่นเลย
    เขาต้องเผชิญกับความไม่รู้ ต้องกล้าก้าวออกจาก comfort zone ไปขอความช่วยเหลือจากคนที่ไม่เคยแม้แต่จะคุยด้วย
    อุปสรรคถาโถมเข้ามาไม่หยุดหย่อน ทั้งปัญหาที่ไม่คาดคิด ความผิดพลาดจากการลองผิดลองถูก
    แต่ครั้งนี้แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง แม้จะเหน็ดเหนื่อย แต่ใจกลับเต็มไปด้วยพลังและความตื่นเต้น
    เขาล้มเหลวหลายครั้ง แต่ทุกครั้งคือการเรียนรู้ เขาไม่ได้ทำเพราะ "ต้องทำ" แต่ทำเพราะ "อยากทำ" และเริ่มรู้สึก "ชอบ" กระบวนการเรียนรู้และสร้างสรรค์นี้จริงๆ
    ช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดคือตอนที่ทีมเล็กๆ ของเขา (ซึ่งรวมตัวกันด้วย "วิสัยทัศน์ร่วม") ต้องเผชิญหน้ากับปัญหาที่ใหญ่มากจนเกือบต้องยอมแพ้
    .
    แทนที่จะท้อถอย ด๋องกลับรู้สึกถึงพลังที่มองไม่เห็น ที่ผลักดันให้สู้ต่อไป
    เขาไม่ได้สู้แค่คนเดียว แต่สู้ไปพร้อมกับเพื่อนร่วมทีมที่เชื่อในสิ่งเดียวกัน ด้วย "เจตนา" และ "วิสัยทัศน์ร่วม" ที่ชัดเจน
    พวกเขาช่วยกันระดมสมอง เรียนรู้จากความผิดพลาด และปรับตัวอย่างรวดเร็วในทุกสถานการณ์ (Unconscious to Conscious Learning)
    ในที่สุด พวกเขาก็สามารถฝ่าฟันอุปสรรคครั้งใหญ่นั้นไปได้สำเร็จ ไม่ใช่ด้วยเครื่องมือวิเศษ แต่ด้วยความมุ่งมั่นและการเรียนรู้ร่วมกัน
    ความรู้สึกหลังจากการฝ่าฟันครั้งนี้นั้นแตกต่างจากครั้งแรกราวฟ้ากับเหว
    มันไม่ใช่ความว่างเปล่า แต่เป็นความอิ่มเอมใจที่ได้ทำในสิ่งที่เชื่อ ได้ทุ่มเทอย่างสุดกำลัง และได้เติบโตผ่านความท้าทายร่วมกับทีม
    เมื่อมองย้อนกลับไปที่โปรเจกต์แรกที่เคยทำด้วยความรู้สึกว่างเปล่า
    .
    วันนี้เขาเพิ่งได้เรียนรู้ว่า งาน "น่าเบื่อ" และ "ซ้ำซาก" ที่เขาทำไปเพราะ "ต้องทำ" ในวันนั้น
    ที่จริงแล้ว มันไม่ใช่แค่การทำงานให้เสร็จไปวันๆ
    แต่มันคือบททดสอบและบทฝึกฝนที่สำคัญยิ่งยวด
    งานนั้นได้สร้างและลับคม "เครื่องมือ" ที่จำเป็นที่สุดให้เขา นั่นคือ ความอดทน ความละเอียดรอบคอบ และทักษะการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า
    ทักษะพื้นฐานเหล่านี้เองที่กลายเป็นรากฐานอันแข็งแกร่ง
    ที่ทำให้เขามีความพร้อมที่จะรับมือกับความท้าทายที่ซับซ้อนกว่ามากในโปรเจกต์ที่สอง
    โปรเจกต์ที่เป็นสิ่งที่เขา "รักที่จะทำ" อย่างแท้จริง
    เรื่องราวของด๋องสอนเราว่า เส้นทางสู่การค้นพบสิ่งที่ "รักที่จะทำ" นั้น
    มักไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป
    บางครั้งเราต้องผ่านช่วงเวลาของการ "ต้องทำ" ในสิ่งที่เราอาจยังไม่เห็นคุณค่าหรือความหมายในทันที
    แต่งานเหล่านั้น หากเรามี "เจตนา" ที่จะเรียนรู้และพัฒนาตนเอง
    จะช่วยสร้าง "เครื่องมือ" และทักษะพื้นฐานที่จำเป็นอย่างยิ่ง
    ซึ่งเครื่องมือเหล่านั้นจะกลายเป็นพลังสำคัญที่ช่วยให้เราคว้าโอกาสและเอาชนะอุปสรรคได้
    .
    การออกตามหา "ดาวเหนือ" ไม่ใช่แค่การมองหาแรงบันดาลใจจากภายนอก
    แต่คือกระบวนการภายในของการทำความเข้าใจตัวเอง การมองหาแบบอย่างที่ดี การตั้ง "เจตนา" ที่ชัดเจน
    และการ "จัดแนว (Align)" การกระทำทุกอย่างให้สอดคล้องกับเป้าหมายและคุณค่าที่เรายึดมั่น
    และที่สำคัญที่สุด คือการค่อยๆ เปลี่ยนจาก mindset ที่ทำเพราะ "ต้องทำ"
    ไปสู่การได้ทำในสิ่งที่ "อยากทำ", "จำเป็นต้องทำ", "ชอบที่จะทำ"
    และท้ายที่สุดคือการได้ทำในสิ่งที่ "รักที่จะทำ" อย่างแท้จริง
    เพราะเมื่อใดที่เราได้ทำในสิ่งที่รักและมีความหมาย
    แม้ต้องเผชิญความยากลำบากใดๆ เราก็จะพบกับความอิ่มเอมใจที่แท้จริง
    และความหมายที่ลึกซึ้งในงานที่เราทำ เช่นเดียวกับที่ด๋องได้ค้นพบในที่สุด

    www.10x-consulting.com
    ตามล่าหา 'ดาวเหนือ' ด๋องรู้สึกเหมือนกำลังพายเรืออยู่ในทะเลอันกว้างใหญ่ที่ไร้จุดหมาย แต่ละวันเริ่มต้นขึ้นด้วยแรงเฉื่อย เขาลุกไปทำงานเพียงเพราะ "ต้องทำ" ไม่ได้มีเป้าหมายที่ชัดเจน งานที่ทำก็ไม่ได้เลวร้าย แต่ก็ไม่ได้รู้สึกถึงความหมายหรือความรักที่จะทำ มันเป็นแค่การทำตามคำสั่งไปวันๆ เหมือนเป็นฟันเฟืองตัวเล็กๆ ในเครื่องจักรขนาดใหญ่ หมุนไปตามแรงขับเคลื่อนของคนอื่น โดยไม่รู้เลยว่าปลายทางคือที่ใด เขาเคยได้ยินคำว่า "ดาวเหนือ" มาบ้าง ในฐานะสัญลักษณ์ของแรงบันดาลใจและเข็มทิศชีวิต แต่สำหรับด๋อง คำนี้ดูห่างไกลเหลือเกิน มันเป็นเพียงถ้อยคำสวยหรูในโลกอุดมคติ ที่ไม่มีอยู่จริงในชีวิตการทำงานอันแสนธรรมดาของเขา . วันหนึ่ง จุดเปลี่ยนเล็กๆ ก็มาถึง เมื่อหัวหน้ามอบหมายโปรเจกต์หนึ่งให้ มันเป็นงานที่หนัก ต้องใช้ความละเอียดสูง และดูเหมือนจะไม่มีใครอยากทำ เพราะมันทั้งน่าเบื่อและซ้ำซาก เพื่อนร่วมงานหลายคนแสดงท่าทีเหนื่อยหน่าย แต่ด๋องเลือกที่จะรับมันไว้โดยไม่ปริปากบ่น ในหัวคิดเพียงแค่ว่า "ก็ต้องทำ" ในเมื่อหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็แค่ก้มหน้าก้มตาทำให้เสร็จไป ด๋องทุ่มเทเวลาหลายสัปดาห์ให้กับโปรเจกต์นี้ อาศัยเพียง "เครื่องมือ" ที่มี ความรู้พื้นฐานที่ร่ำเรียนมา และความอึดเข้าแลก เขาจมดิ่งอยู่กับตัวเลขและเอกสาร แก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปทีละจุด แม้จะไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่างานนี้จะนำไปสู่สิ่งใด . วันนำเสนอผลงานมาถึง ด๋องยืนอยู่หน้าห้องประชุม นำเสนอสิ่งที่เขาได้ทำลงไปอย่างละเอียด ทั้งขั้นตอน ปัญหาที่พบ และวิธีแก้ไขแบบตามตำรา หัวหน้าและผู้ใหญ่ในห้องพยักหน้าพอใจในความเรียบร้อยและครบถ้วนตามที่มอบหมาย โปรเจกต์นี้ "สำเร็จ" ในสายตาของทุกคน และด๋องก็ได้รับคำชมตามระเบียบ แต่เมื่อเดินออกจากห้องประชุม แสงแดดยามบ่ายกลับไม่ได้ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นใจเลย ความรู้สึกที่ถาโถมเข้ามาไม่ใช่ความภาคภูมิใจ แต่เป็นความว่างเปล่าที่กัดกินข้างใน เหมือนเพิ่งปีนขึ้นไปบนยอดเขาได้สำเร็จ แต่กลับพบว่าตัวเองมัวแต่ก้มหน้าก้มตาเดิน ไม่ได้แหงนมองวิวทิวทัศน์ระหว่างทางเลย "นี่คือทั้งหมดแล้วเหรอ?" คำถามนี้ดังก้องอยู่ในใจ "ชีวิตการทำงานมีแค่นี้เองเหรอ? แค่ทำสิ่งที่ 'ต้องทำ' ให้ดีที่สุด แล้วก็รู้สึกว่างเปล่าแบบนี้?" . ความว่างเปล่าครั้งนั้นกลายเป็นแรงผลักดันเงียบๆ ให้ด๋องเริ่มมองหาบางสิ่งบางอย่างที่ขาดหายไป เขาเริ่มหยิบหนังสือพัฒนาตนเองที่เคยเมินเฉยขึ้นมาอ่านอีกครั้ง แต่คราวนี้อ่านด้วยสายตาที่แตกต่างออกไป ไม่ได้อ่านเพื่อหาสูตรสำเร็จ แต่เพื่อทำความเข้าใจความรู้สึกสับสนภายในใจของตัวเอง เขาได้อ่านเรื่องราวของผู้คนมากมายที่ดูเหมือนจะมี "ดาวเหนือ" เป็นของตัวเอง ส่องนำทางชีวิตและการทำงาน ด๋องเริ่ม "มองแบบอย่าง" จากคนเหล่านั้น ไม่ใช่การเลียนแบบภายนอก แต่พยายามทำความเข้าใจความคิด "เจตนา" และคุณค่าที่ขับเคลื่อนพวกเขา เขาเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองอย่างจริงจังว่า นอกจากการ "ต้องทำ" แล้ว มีอะไรที่เขา "อยากจะทำ" กันแน่? และต้อง "จำเป็นต้องทำ" อะไรบ้างเพื่อให้ไปถึงจุดนั้น? . ไม่นานหลังจากนั้น ด๋องได้เข้าร่วมเวิร์กช็อปของบริษัทเกี่ยวกับวิสัยทัศน์และเป้าหมายองค์กร เขาได้ฟังเรื่องราวเบื้องหลังความสำเร็จ ฟังความฝันของผู้บริหารและเพื่อนร่วมงานจากแผนกต่างๆ เหมือนจิ๊กซอว์ที่กระจัดกระจายค่อยๆ ประกอบกันเป็นภาพใหญ่ที่เขาไม่เคยมองเห็นมาก่อน ด๋องเริ่มเข้าใจว่างานเล็กๆ ที่เขาทำ อาจมีความเชื่อมโยงกับเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น และเขาก็พบว่ามีบางประเด็นใน "วิสัยทัศน์ร่วม" นั้นที่สอดคล้องกับสิ่งที่เริ่มก่อตัวขึ้นในใจว่าเขา "อยากจะทำ" เขาตัดสินใจเริ่มต้นโปรเจกต์เล็กๆ นอกเหนือจากงานประจำ เป็นโปรเจกต์ที่เกิดจากความสนใจส่วนตัวและความตั้งใจที่อยากเห็นบางอย่างเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ครั้งนี้ ด๋องมี "เจตนา" ที่ชัดเจนในการลงมือทำ เขาพยายาม "จัดแนว" การกระทำทุกอย่างให้สอดคล้องกับ "ดาวเหนือ" ที่เริ่มส่องแสงประกายอ่อนๆ ให้เห็น . เส้นทางของโปรเจกต์ใหม่นี้ไม่ได้ราบรื่นเลย เขาต้องเผชิญกับความไม่รู้ ต้องกล้าก้าวออกจาก comfort zone ไปขอความช่วยเหลือจากคนที่ไม่เคยแม้แต่จะคุยด้วย อุปสรรคถาโถมเข้ามาไม่หยุดหย่อน ทั้งปัญหาที่ไม่คาดคิด ความผิดพลาดจากการลองผิดลองถูก แต่ครั้งนี้แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง แม้จะเหน็ดเหนื่อย แต่ใจกลับเต็มไปด้วยพลังและความตื่นเต้น เขาล้มเหลวหลายครั้ง แต่ทุกครั้งคือการเรียนรู้ เขาไม่ได้ทำเพราะ "ต้องทำ" แต่ทำเพราะ "อยากทำ" และเริ่มรู้สึก "ชอบ" กระบวนการเรียนรู้และสร้างสรรค์นี้จริงๆ ช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดคือตอนที่ทีมเล็กๆ ของเขา (ซึ่งรวมตัวกันด้วย "วิสัยทัศน์ร่วม") ต้องเผชิญหน้ากับปัญหาที่ใหญ่มากจนเกือบต้องยอมแพ้ . แทนที่จะท้อถอย ด๋องกลับรู้สึกถึงพลังที่มองไม่เห็น ที่ผลักดันให้สู้ต่อไป เขาไม่ได้สู้แค่คนเดียว แต่สู้ไปพร้อมกับเพื่อนร่วมทีมที่เชื่อในสิ่งเดียวกัน ด้วย "เจตนา" และ "วิสัยทัศน์ร่วม" ที่ชัดเจน พวกเขาช่วยกันระดมสมอง เรียนรู้จากความผิดพลาด และปรับตัวอย่างรวดเร็วในทุกสถานการณ์ (Unconscious to Conscious Learning) ในที่สุด พวกเขาก็สามารถฝ่าฟันอุปสรรคครั้งใหญ่นั้นไปได้สำเร็จ ไม่ใช่ด้วยเครื่องมือวิเศษ แต่ด้วยความมุ่งมั่นและการเรียนรู้ร่วมกัน ความรู้สึกหลังจากการฝ่าฟันครั้งนี้นั้นแตกต่างจากครั้งแรกราวฟ้ากับเหว มันไม่ใช่ความว่างเปล่า แต่เป็นความอิ่มเอมใจที่ได้ทำในสิ่งที่เชื่อ ได้ทุ่มเทอย่างสุดกำลัง และได้เติบโตผ่านความท้าทายร่วมกับทีม เมื่อมองย้อนกลับไปที่โปรเจกต์แรกที่เคยทำด้วยความรู้สึกว่างเปล่า . วันนี้เขาเพิ่งได้เรียนรู้ว่า งาน "น่าเบื่อ" และ "ซ้ำซาก" ที่เขาทำไปเพราะ "ต้องทำ" ในวันนั้น ที่จริงแล้ว มันไม่ใช่แค่การทำงานให้เสร็จไปวันๆ แต่มันคือบททดสอบและบทฝึกฝนที่สำคัญยิ่งยวด งานนั้นได้สร้างและลับคม "เครื่องมือ" ที่จำเป็นที่สุดให้เขา นั่นคือ ความอดทน ความละเอียดรอบคอบ และทักษะการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ทักษะพื้นฐานเหล่านี้เองที่กลายเป็นรากฐานอันแข็งแกร่ง ที่ทำให้เขามีความพร้อมที่จะรับมือกับความท้าทายที่ซับซ้อนกว่ามากในโปรเจกต์ที่สอง โปรเจกต์ที่เป็นสิ่งที่เขา "รักที่จะทำ" อย่างแท้จริง เรื่องราวของด๋องสอนเราว่า เส้นทางสู่การค้นพบสิ่งที่ "รักที่จะทำ" นั้น มักไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป บางครั้งเราต้องผ่านช่วงเวลาของการ "ต้องทำ" ในสิ่งที่เราอาจยังไม่เห็นคุณค่าหรือความหมายในทันที แต่งานเหล่านั้น หากเรามี "เจตนา" ที่จะเรียนรู้และพัฒนาตนเอง จะช่วยสร้าง "เครื่องมือ" และทักษะพื้นฐานที่จำเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งเครื่องมือเหล่านั้นจะกลายเป็นพลังสำคัญที่ช่วยให้เราคว้าโอกาสและเอาชนะอุปสรรคได้ . การออกตามหา "ดาวเหนือ" ไม่ใช่แค่การมองหาแรงบันดาลใจจากภายนอก แต่คือกระบวนการภายในของการทำความเข้าใจตัวเอง การมองหาแบบอย่างที่ดี การตั้ง "เจตนา" ที่ชัดเจน และการ "จัดแนว (Align)" การกระทำทุกอย่างให้สอดคล้องกับเป้าหมายและคุณค่าที่เรายึดมั่น และที่สำคัญที่สุด คือการค่อยๆ เปลี่ยนจาก mindset ที่ทำเพราะ "ต้องทำ" ไปสู่การได้ทำในสิ่งที่ "อยากทำ", "จำเป็นต้องทำ", "ชอบที่จะทำ" และท้ายที่สุดคือการได้ทำในสิ่งที่ "รักที่จะทำ" อย่างแท้จริง เพราะเมื่อใดที่เราได้ทำในสิ่งที่รักและมีความหมาย แม้ต้องเผชิญความยากลำบากใดๆ เราก็จะพบกับความอิ่มเอมใจที่แท้จริง และความหมายที่ลึกซึ้งในงานที่เราทำ เช่นเดียวกับที่ด๋องได้ค้นพบในที่สุด www.10x-consulting.com
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 457 มุมมอง 0 รีวิว
  • Asus ได้เปิดตัว TUF Gaming T500 ซึ่งเป็นเดสก์ท็อปเกมมิ่งที่ใช้ CPU แบบโมบาย แทนที่จะเป็น CPU เดสก์ท็อปแบบดั้งเดิม โดยมีเป้าหมายเพื่อ ลดอุณหภูมิและเพิ่มประสิทธิภาพการระบายความร้อน

    TUF Gaming T500 ใช้ Intel Core i7-13620H ซึ่งเป็น CPU แบบ 6+4 คอร์ พร้อม 16 เธรด และสามารถเร่งความเร็วได้ถึง 4.9GHz โดย Asus อ้างว่า สามารถให้ประสิทธิภาพระดับเดสก์ท็อป แต่มีอุณหภูมิที่ต่ำกว่ามาก

    นอกจากนี้ ตัวเครื่องยังสามารถติดตั้ง Nvidia GeForce RTX 5060 Ti ซึ่งเป็น GPU ที่ใช้สถาปัตยกรรม Blackwell และมี VRAM 16GB รองรับการเล่นเกมที่ 1440p และ 4K ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ✅ ใช้ CPU แบบโมบายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายความร้อน
    - ใช้ Intel Core i7-13620H ซึ่งมี 6+4 คอร์ และ 16 เธรด
    - เร่งความเร็วได้ถึง 4.9GHz

    ✅ ระบบระบายความร้อนที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ
    - มี พัดลมขนาด 90mm, ฮีตซิงค์ และท่อระบายความร้อน 3 เส้น
    - ลดโอกาสที่ CPU จะเกิดการ Throttling

    ✅ รองรับ GPU ระดับสูง
    - สามารถติดตั้ง Nvidia GeForce RTX 5060 Ti (VRAM 16GB)
    - รองรับ DLSS สำหรับการเล่นเกมที่ 4K

    ✅ ดีไซน์และความทนทาน
    - ตัวเครื่องได้รับแรงบันดาลใจจาก Mecha Anime
    - ผ่านมาตรฐาน MIL-STD-810H ทนต่อแรงกระแทกและอุณหภูมิสูง

    ✅ การเชื่อมต่อและพอร์ต
    - มี USB-C, USB-A, HDMI, Ethernet และช่องเสียบหูฟัง
    - รองรับ Wi-Fi 6 และ Bluetooth 5.4

    https://www.techspot.com/news/107787-asus-tuf-gaming-t500-mobile-cpu-powered-desktop.html
    Asus ได้เปิดตัว TUF Gaming T500 ซึ่งเป็นเดสก์ท็อปเกมมิ่งที่ใช้ CPU แบบโมบาย แทนที่จะเป็น CPU เดสก์ท็อปแบบดั้งเดิม โดยมีเป้าหมายเพื่อ ลดอุณหภูมิและเพิ่มประสิทธิภาพการระบายความร้อน TUF Gaming T500 ใช้ Intel Core i7-13620H ซึ่งเป็น CPU แบบ 6+4 คอร์ พร้อม 16 เธรด และสามารถเร่งความเร็วได้ถึง 4.9GHz โดย Asus อ้างว่า สามารถให้ประสิทธิภาพระดับเดสก์ท็อป แต่มีอุณหภูมิที่ต่ำกว่ามาก นอกจากนี้ ตัวเครื่องยังสามารถติดตั้ง Nvidia GeForce RTX 5060 Ti ซึ่งเป็น GPU ที่ใช้สถาปัตยกรรม Blackwell และมี VRAM 16GB รองรับการเล่นเกมที่ 1440p และ 4K ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ✅ ใช้ CPU แบบโมบายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายความร้อน - ใช้ Intel Core i7-13620H ซึ่งมี 6+4 คอร์ และ 16 เธรด - เร่งความเร็วได้ถึง 4.9GHz ✅ ระบบระบายความร้อนที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ - มี พัดลมขนาด 90mm, ฮีตซิงค์ และท่อระบายความร้อน 3 เส้น - ลดโอกาสที่ CPU จะเกิดการ Throttling ✅ รองรับ GPU ระดับสูง - สามารถติดตั้ง Nvidia GeForce RTX 5060 Ti (VRAM 16GB) - รองรับ DLSS สำหรับการเล่นเกมที่ 4K ✅ ดีไซน์และความทนทาน - ตัวเครื่องได้รับแรงบันดาลใจจาก Mecha Anime - ผ่านมาตรฐาน MIL-STD-810H ทนต่อแรงกระแทกและอุณหภูมิสูง ✅ การเชื่อมต่อและพอร์ต - มี USB-C, USB-A, HDMI, Ethernet และช่องเสียบหูฟัง - รองรับ Wi-Fi 6 และ Bluetooth 5.4 https://www.techspot.com/news/107787-asus-tuf-gaming-t500-mobile-cpu-powered-desktop.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    The Asus TUF Gaming T500 is a mobile CPU-powered desktop for better thermals
    At the heart of the TUF Gaming T500 is up to an Intel Core i7-13620H processor. This is a 6+4 core CPU with 16 threads and boosted...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 219 มุมมอง 0 รีวิว
  • Micro-credential: อาวุธลับอัปสกิล เพิ่มแต้มต่อให้คนทำงานยุคดิจิทัล
    รายงานล่าสุดจาก Coursera Micro-Credentials Impact Report 2025 - Thailand)

    ในโลกการทำงานปัจจุบันที่หมุนเร็วตามเทคโนโลยีดิจิทัล การหยุดนิ่งอยู่กับที่เท่ากับถอยหลัง คนทำงานอย่างเราๆ ต่างต้องเผชิญกับความท้าทายในการรักษาความสามารถในการแข่งขันและสร้างความก้าวหน้าในสายอาชีพ ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงนี้ "Micro-credential" หรือ "หน่วยกิตย่อย" ได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้คุณอัปเดตทักษะได้อย่างรวดเร็วและตรงจุด เพิ่มโอกาสให้คุณโดดเด่นในตลาดแรงงาน

    Micro-credential คืออะไร? (ฉบับคนทำงาน)
    ลองนึกภาพการเข้าคอร์สออนไลน์สั้นๆ หลังเลิกงาน หรือในวันหยุดสุดสัปดาห์ เพื่อเรียนรู้ทักษะใหม่ที่กำลังเป็นที่ต้องการ เช่น การวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) การตลาดดิจิทัล (Digital Marketing) หรือแม้แต่ทักษะเฉพาะทางอย่าง Generative AI (GenAI) เมื่อเรียนจบและผ่านการวัดผล คุณจะได้รับใบรับรองหรือสัญลักษณ์ดิจิทัล (Badge) ที่ใช้ยืนยันกับหัวหน้า เพื่อนร่วมงาน หรือบริษัทใหม่ได้ว่า "ฉันมีทักษะนี้จริง" นี่แหละครับคือ Micro-credential – หลักสูตรเข้มข้น ยืดหยุ่น ใช้เวลาไม่นาน และเน้นทักษะที่เอาไปใช้งานได้ทันที ตอบโจทย์คนทำงานที่มีเวลาน้อยแต่อยากพัฒนาตัวเอง

    ทำไม Micro-credential ถึงสำคัญต่อเส้นทางอาชีพของคุณ?
    -ทันโลก ทันเกม:
    ช่วยให้คุณตามทันเทรนด์และเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงลักษณะงานของคุณ ทำให้คุณยังคงเป็นที่ต้องการขององค์กร
    -ปิดจุดอ่อน เติมจุดแข็ง:
    รู้สึกว่าตัวเองขาดทักษะไหน หรืออยากเสริมความเชี่ยวชาญด้านใด ก็เลือกเรียนเพิ่มเติมได้ตรงประเด็น ไม่ต้องเสียเวลากับหลักสูตรยาวๆ
    -สร้างความคล่องตัว (Career Agility):
    เพิ่มทางเลือกให้คุณสามารถปรับเปลี่ยนบทบาทหน้าที่ หรือแม้กระทั่งเปลี่ยนสายงานได้ง่ายขึ้นในอนาคต
    -แสดงความมุ่งมั่น:
    การมี Micro-credential บ่งบอกว่าคุณเป็นคนที่ไม่หยุดเรียนรู้และกระตือรือร้นที่จะพัฒนาตัวเอง ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่นายจ้างมองหา

    มุมมองจากฝั่งนายจ้าง: ทำไมบริษัทถึงมองหาคนที่มี Micro-credential?
    การเข้าใจว่านายจ้างคิดอย่างไรจะช่วยให้คุณวางแผนพัฒนาตัวเองได้ดีขึ้น รายงานล่าสุดจาก Coursera (Micro-Credentials Impact Report 2025 - Thailand) ให้ข้อมูลที่น่าสนใจมากครับ:
    -โปรไฟล์โดดเด่น:
    นายจ้างไทยถึง 98% มองว่า Micro-credential ทำให้เรซูเม่ของคุณน่าสนใจขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
    -ตัดสินใจจ้างง่ายขึ้น:
    95% ของนายจ้างมีการจ้างงานคนที่มี Micro-credential อย่างน้อยหนึ่งใบในปีที่ผ่านมา
    -ต่อรองเงินเดือนได้เปรียบ:
    97% ยินดีเสนอเงินเดือนเริ่มต้นสูงขึ้นให้คนที่มี Micro-credential โดยเฉพาะสาย GenAI หรือหน่วยกิตที่เทียบโอนได้ (Credit-bearing)

    ทักษะเฉพาะทางคือแต้มต่อสำคัญ:
    นายจ้าง 98% มีแนวโน้มจะเลือกคนที่มีทักษะ GenAI มากกว่าคนที่ไม่มี
    ถึงขั้นที่ 95% อาจยอมเลือกคนประสบการณ์น้อยกว่าแต่มีใบรับรอง GenAI มากกว่าคนเก๋าเกมแต่ขาดทักษะนี้!
    และ
    98% ก็มีแนวโน้มจะเลือกคนที่มีหน่วยกิตเทียบโอนได้ มากกว่าคนที่ไม่มีเช่นกัน
    -ลดเวลา (และต้นทุน) สอนงาน:
    นายจ้าง 92% พบว่าพนักงานใหม่ที่มี Micro-credential ตรงสายงาน จะเรียนรู้งานได้เร็วขึ้น ช่วยประหยัดต้นทุนการฝึกอบรมภายใน
    -ทักษะการสื่อสารยังคงสำคัญ:
    นอกจากทักษะเฉพาะทาง นายจ้างไทยยังเน้น "การสื่อสารทางธุรกิจ" ที่ดี เพราะต่อให้เก่งเทคโนโลยีแค่ไหน ถ้าสื่อสารไม่รู้เรื่อง งานก็เดินต่อลำบาก โดยเฉพาะในธุรกิจบริการและการท่องเที่ยว

    ประโยชน์โดยตรงต่อคนทำงานอย่างคุณ
    -เพิ่มโอกาสได้งานและเงินเดือน:
    ชัดเจนจากข้อมูลว่า Micro-credential ช่วยให้คุณได้เปรียบทั้งตอนสมัครงานและตอนต่อรองเงินเดือน
    -พัฒนาทักษะแบบเร่งรัด ตรงเป้า:
    เลือกเรียนเฉพาะสิ่งที่คุณต้องการ หรือสิ่งที่จำเป็นต่องานในปัจจุบัน/อนาคต ประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย
    -เรียนรู้ได้ตามสไตล์คุณ:
    ไม่ว่าจะเป็นหลังเลิกงาน เสาร์อาทิตย์ หรือตอนพักเที่ยง ก็สามารถจัดสรรเวลาเรียนได้เอง
    -สร้างความมั่นใจ:
    การมีใบรับรองทักษะใหม่ๆ เพิ่มความมั่นใจในการทำงานและการนำเสนอตัวเอง
    -เป็นใบเบิกทางสู่บทบาทใหม่:
    อยากลองเปลี่ยนสายงาน? Micro-credential ช่วยปูพื้นฐานทักษะที่จำเป็นให้คุณได้

    Micro-credential: เครื่องมือจัดการเส้นทางอาชีพเชิงรุก
    ในฐานะคนทำงาน การมองหา Micro-credential ไม่ใช่แค่การเรียนเพิ่ม แต่คือการ "บริหารจัดการเส้นทางอาชีพ" ของคุณในเชิงรุก:
    -รักษาความสดใหม่:
    ทำให้โปรไฟล์ของคุณทันสมัย ไม่ตกยุค
    -สร้างความแตกต่าง:
    ในสนามการแข่งขันที่รุนแรง ทักษะเฉพาะทางคือสิ่งที่ทำให้คุณไม่เหมือนใคร
    -ลงทุนในตัวเอง:
    เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าเพื่อโอกาสและความก้าวหน้าในระยะยาว

    สถิติยืนยัน Micro-credential คือ Game Changer ของคนทำงาน
    ข้อมูลเชิงลึกจาก Coursera ตอกย้ำอย่างชัดเจนว่า Micro-credential ไม่ใช่แค่เทรนด์ แต่คือปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการตัดสินใจของนายจ้างในประเทศไทย สถิติที่น่าทึ่ง เช่น 98% ของนายจ้างมองว่าช่วยเสริมแกร่งใบสมัคร, 97% ยินดีจ่ายสูงขึ้นสำหรับผู้มีหน่วยกิตนี้, และความต้องการที่พุ่งสูงถึง 95-98% สำหรับผู้มีทักษะ GenAI หรือหน่วยกิตเทียบโอนได้ ล้วนชี้ให้เห็นว่า การมี Micro-credential สามารถสร้างความได้เปรียบที่จับต้องได้ทั้งในแง่โอกาสการจ้างงานและผลตอบแทน

    การมุ่งมั่นพัฒนาทักษะอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ สอดคล้องกับแนวคิดการทำงานยุคใหม่ที่ต้องกล้าลอง กล้าเผชิญความท้าทาย และเรียนรู้จากประสบการณ์อย่างรวดเร็ว สำหรับคนทำงานที่ต้องการเสริมสร้างทัศนคติแบบ "ล้มให้เร็ว สำเร็จให้ไวขึ้น" เพื่อขับเคลื่อนเส้นทางอาชีพ การศึกษาแนวคิดเพิ่มเติมจากแหล่งความรู้อย่างหนังสือ "Fail Fast Succeed More: ล้มให้เร็ว สำเร็จให้สุด" โดย 10X Consulting ก็อาจเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยเปิดมุมมองและสร้างแรงบันดาลใจในการพัฒนาตนเองได้อย่างน่าสนใจครับ

    www.10-xconsulting.com
    Micro-credential: อาวุธลับอัปสกิล เพิ่มแต้มต่อให้คนทำงานยุคดิจิทัล รายงานล่าสุดจาก Coursera Micro-Credentials Impact Report 2025 - Thailand) ในโลกการทำงานปัจจุบันที่หมุนเร็วตามเทคโนโลยีดิจิทัล การหยุดนิ่งอยู่กับที่เท่ากับถอยหลัง คนทำงานอย่างเราๆ ต่างต้องเผชิญกับความท้าทายในการรักษาความสามารถในการแข่งขันและสร้างความก้าวหน้าในสายอาชีพ ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงนี้ "Micro-credential" หรือ "หน่วยกิตย่อย" ได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้คุณอัปเดตทักษะได้อย่างรวดเร็วและตรงจุด เพิ่มโอกาสให้คุณโดดเด่นในตลาดแรงงาน Micro-credential คืออะไร? (ฉบับคนทำงาน) ลองนึกภาพการเข้าคอร์สออนไลน์สั้นๆ หลังเลิกงาน หรือในวันหยุดสุดสัปดาห์ เพื่อเรียนรู้ทักษะใหม่ที่กำลังเป็นที่ต้องการ เช่น การวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) การตลาดดิจิทัล (Digital Marketing) หรือแม้แต่ทักษะเฉพาะทางอย่าง Generative AI (GenAI) เมื่อเรียนจบและผ่านการวัดผล คุณจะได้รับใบรับรองหรือสัญลักษณ์ดิจิทัล (Badge) ที่ใช้ยืนยันกับหัวหน้า เพื่อนร่วมงาน หรือบริษัทใหม่ได้ว่า "ฉันมีทักษะนี้จริง" นี่แหละครับคือ Micro-credential – หลักสูตรเข้มข้น ยืดหยุ่น ใช้เวลาไม่นาน และเน้นทักษะที่เอาไปใช้งานได้ทันที ตอบโจทย์คนทำงานที่มีเวลาน้อยแต่อยากพัฒนาตัวเอง ทำไม Micro-credential ถึงสำคัญต่อเส้นทางอาชีพของคุณ? -ทันโลก ทันเกม: ช่วยให้คุณตามทันเทรนด์และเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงลักษณะงานของคุณ ทำให้คุณยังคงเป็นที่ต้องการขององค์กร -ปิดจุดอ่อน เติมจุดแข็ง: รู้สึกว่าตัวเองขาดทักษะไหน หรืออยากเสริมความเชี่ยวชาญด้านใด ก็เลือกเรียนเพิ่มเติมได้ตรงประเด็น ไม่ต้องเสียเวลากับหลักสูตรยาวๆ -สร้างความคล่องตัว (Career Agility): เพิ่มทางเลือกให้คุณสามารถปรับเปลี่ยนบทบาทหน้าที่ หรือแม้กระทั่งเปลี่ยนสายงานได้ง่ายขึ้นในอนาคต -แสดงความมุ่งมั่น: การมี Micro-credential บ่งบอกว่าคุณเป็นคนที่ไม่หยุดเรียนรู้และกระตือรือร้นที่จะพัฒนาตัวเอง ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่นายจ้างมองหา มุมมองจากฝั่งนายจ้าง: ทำไมบริษัทถึงมองหาคนที่มี Micro-credential? การเข้าใจว่านายจ้างคิดอย่างไรจะช่วยให้คุณวางแผนพัฒนาตัวเองได้ดีขึ้น รายงานล่าสุดจาก Coursera (Micro-Credentials Impact Report 2025 - Thailand) ให้ข้อมูลที่น่าสนใจมากครับ: -โปรไฟล์โดดเด่น: นายจ้างไทยถึง 98% มองว่า Micro-credential ทำให้เรซูเม่ของคุณน่าสนใจขึ้นอย่างเห็นได้ชัด -ตัดสินใจจ้างง่ายขึ้น: 95% ของนายจ้างมีการจ้างงานคนที่มี Micro-credential อย่างน้อยหนึ่งใบในปีที่ผ่านมา -ต่อรองเงินเดือนได้เปรียบ: 97% ยินดีเสนอเงินเดือนเริ่มต้นสูงขึ้นให้คนที่มี Micro-credential โดยเฉพาะสาย GenAI หรือหน่วยกิตที่เทียบโอนได้ (Credit-bearing) ทักษะเฉพาะทางคือแต้มต่อสำคัญ: นายจ้าง 98% มีแนวโน้มจะเลือกคนที่มีทักษะ GenAI มากกว่าคนที่ไม่มี ถึงขั้นที่ 95% อาจยอมเลือกคนประสบการณ์น้อยกว่าแต่มีใบรับรอง GenAI มากกว่าคนเก๋าเกมแต่ขาดทักษะนี้! และ 98% ก็มีแนวโน้มจะเลือกคนที่มีหน่วยกิตเทียบโอนได้ มากกว่าคนที่ไม่มีเช่นกัน -ลดเวลา (และต้นทุน) สอนงาน: นายจ้าง 92% พบว่าพนักงานใหม่ที่มี Micro-credential ตรงสายงาน จะเรียนรู้งานได้เร็วขึ้น ช่วยประหยัดต้นทุนการฝึกอบรมภายใน -ทักษะการสื่อสารยังคงสำคัญ: นอกจากทักษะเฉพาะทาง นายจ้างไทยยังเน้น "การสื่อสารทางธุรกิจ" ที่ดี เพราะต่อให้เก่งเทคโนโลยีแค่ไหน ถ้าสื่อสารไม่รู้เรื่อง งานก็เดินต่อลำบาก โดยเฉพาะในธุรกิจบริการและการท่องเที่ยว ประโยชน์โดยตรงต่อคนทำงานอย่างคุณ -เพิ่มโอกาสได้งานและเงินเดือน: ชัดเจนจากข้อมูลว่า Micro-credential ช่วยให้คุณได้เปรียบทั้งตอนสมัครงานและตอนต่อรองเงินเดือน -พัฒนาทักษะแบบเร่งรัด ตรงเป้า: เลือกเรียนเฉพาะสิ่งที่คุณต้องการ หรือสิ่งที่จำเป็นต่องานในปัจจุบัน/อนาคต ประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย -เรียนรู้ได้ตามสไตล์คุณ: ไม่ว่าจะเป็นหลังเลิกงาน เสาร์อาทิตย์ หรือตอนพักเที่ยง ก็สามารถจัดสรรเวลาเรียนได้เอง -สร้างความมั่นใจ: การมีใบรับรองทักษะใหม่ๆ เพิ่มความมั่นใจในการทำงานและการนำเสนอตัวเอง -เป็นใบเบิกทางสู่บทบาทใหม่: อยากลองเปลี่ยนสายงาน? Micro-credential ช่วยปูพื้นฐานทักษะที่จำเป็นให้คุณได้ Micro-credential: เครื่องมือจัดการเส้นทางอาชีพเชิงรุก ในฐานะคนทำงาน การมองหา Micro-credential ไม่ใช่แค่การเรียนเพิ่ม แต่คือการ "บริหารจัดการเส้นทางอาชีพ" ของคุณในเชิงรุก: -รักษาความสดใหม่: ทำให้โปรไฟล์ของคุณทันสมัย ไม่ตกยุค -สร้างความแตกต่าง: ในสนามการแข่งขันที่รุนแรง ทักษะเฉพาะทางคือสิ่งที่ทำให้คุณไม่เหมือนใคร -ลงทุนในตัวเอง: เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าเพื่อโอกาสและความก้าวหน้าในระยะยาว สถิติยืนยัน Micro-credential คือ Game Changer ของคนทำงาน ข้อมูลเชิงลึกจาก Coursera ตอกย้ำอย่างชัดเจนว่า Micro-credential ไม่ใช่แค่เทรนด์ แต่คือปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการตัดสินใจของนายจ้างในประเทศไทย สถิติที่น่าทึ่ง เช่น 98% ของนายจ้างมองว่าช่วยเสริมแกร่งใบสมัคร, 97% ยินดีจ่ายสูงขึ้นสำหรับผู้มีหน่วยกิตนี้, และความต้องการที่พุ่งสูงถึง 95-98% สำหรับผู้มีทักษะ GenAI หรือหน่วยกิตเทียบโอนได้ ล้วนชี้ให้เห็นว่า การมี Micro-credential สามารถสร้างความได้เปรียบที่จับต้องได้ทั้งในแง่โอกาสการจ้างงานและผลตอบแทน การมุ่งมั่นพัฒนาทักษะอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ สอดคล้องกับแนวคิดการทำงานยุคใหม่ที่ต้องกล้าลอง กล้าเผชิญความท้าทาย และเรียนรู้จากประสบการณ์อย่างรวดเร็ว สำหรับคนทำงานที่ต้องการเสริมสร้างทัศนคติแบบ "ล้มให้เร็ว สำเร็จให้ไวขึ้น" เพื่อขับเคลื่อนเส้นทางอาชีพ การศึกษาแนวคิดเพิ่มเติมจากแหล่งความรู้อย่างหนังสือ "Fail Fast Succeed More: ล้มให้เร็ว สำเร็จให้สุด" โดย 10X Consulting ก็อาจเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยเปิดมุมมองและสร้างแรงบันดาลใจในการพัฒนาตนเองได้อย่างน่าสนใจครับ www.10-xconsulting.com
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 500 มุมมอง 0 รีวิว
  • เสริมพลัง OKRs ด้วย NLP: ขับเคลื่อนเป้าหมาย เริ่มที่ 'ตัวเรา' สู่องค์กร

    OD with OKRs and NLP

    ในโลกธุรกิจปัจจุบัน การมีเป้าหมายที่ชัดเจนและวัดผลได้เป็นสิ่งสำคัญ OKRs (Objectives and Key Results) หรือ "หลักการตั้งเป้าหมายและวัดผลลัพธ์" ได้กลายเป็นเครื่องมือที่หลายองค์กรเลือกใช้ เปรียบเสมือน "เข็มทิศนำทาง" ให้องค์กรก้าวไปสู่เป้าหมายที่ท้าทายและสร้างแรงบันดาลใจ
    .
    แต่
    การจะทำให้ OKR เกิดผลสำเร็จจริง ๆ จนเป็นการ "ลงมือทำที่เห็นผล" นั้น ไม่ใช่แค่การมีเครื่องมือที่ดีเท่านั้น หัวใจสำคัญกลับอยู่ที่ "การเปลี่ยนแปลงที่ตัวเราเอง"
    .
    ผู้นำและสมาชิกในทีมต้องเริ่มต้นจากการปรับเปลี่ยนทัศนคติและสภาวะภายใน ("BEING" หรือ "การตระหนักรู้ในตนเอง") ให้พร้อมเติบโต ซึ่ง NLP (Neuro - Linguistic Programming) หรือ "ศาสตร์การเข้าใจและปรับเปลี่ยนกระบวนการคิดและภาษา" คือกุญแจสำคัญที่จะช่วยเสริมพลังในมิติภายในนี้ได้อย่างยอดเยี่ยม เมื่อ OKRs และ NLP ทำงานร่วมกัน จะเกิดพลังทวีคูณ ขับเคลื่อนองค์กรไปข้างหน้าได้อย่างแท้จริง
    .
    (อ่านต่อใน Comment และโพสต์ในลิงค์ https://www.facebook.com/share/p/15WjjCLacJ/ และ https://lnkd.in/gCab5Ys8)

    www.10-xconsulting.com
    www.lifealignmentor.com
    เสริมพลัง OKRs ด้วย NLP: ขับเคลื่อนเป้าหมาย เริ่มที่ 'ตัวเรา' สู่องค์กร OD with OKRs and NLP ในโลกธุรกิจปัจจุบัน การมีเป้าหมายที่ชัดเจนและวัดผลได้เป็นสิ่งสำคัญ OKRs (Objectives and Key Results) หรือ "หลักการตั้งเป้าหมายและวัดผลลัพธ์" ได้กลายเป็นเครื่องมือที่หลายองค์กรเลือกใช้ เปรียบเสมือน "เข็มทิศนำทาง" ให้องค์กรก้าวไปสู่เป้าหมายที่ท้าทายและสร้างแรงบันดาลใจ . แต่ การจะทำให้ OKR เกิดผลสำเร็จจริง ๆ จนเป็นการ "ลงมือทำที่เห็นผล" นั้น ไม่ใช่แค่การมีเครื่องมือที่ดีเท่านั้น หัวใจสำคัญกลับอยู่ที่ "การเปลี่ยนแปลงที่ตัวเราเอง" . ผู้นำและสมาชิกในทีมต้องเริ่มต้นจากการปรับเปลี่ยนทัศนคติและสภาวะภายใน ("BEING" หรือ "การตระหนักรู้ในตนเอง") ให้พร้อมเติบโต ซึ่ง NLP (Neuro - Linguistic Programming) หรือ "ศาสตร์การเข้าใจและปรับเปลี่ยนกระบวนการคิดและภาษา" คือกุญแจสำคัญที่จะช่วยเสริมพลังในมิติภายในนี้ได้อย่างยอดเยี่ยม เมื่อ OKRs และ NLP ทำงานร่วมกัน จะเกิดพลังทวีคูณ ขับเคลื่อนองค์กรไปข้างหน้าได้อย่างแท้จริง . (อ่านต่อใน Comment และโพสต์ในลิงค์ https://www.facebook.com/share/p/15WjjCLacJ/ และ https://lnkd.in/gCab5Ys8) www.10-xconsulting.com www.lifealignmentor.com
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 369 มุมมอง 0 รีวิว
  • Ruby เป็นภาษาการเขียนโปรแกรมแบบไดนามิกและโอเพ่นซอร์สที่ออกแบบมาเพื่อให้การเขียนโค้ดเป็นเรื่องที่ทรงพลังและสนุกสนาน ถูกพัฒนาขึ้นในช่วงกลางปี 1990 โดย Yukihiro “Matz” Matsumoto ในประเทศญี่ปุ่น โดย Ruby ได้รับแรงบันดาลใจจากภาษาโปรแกรมที่เขาชื่นชอบ เช่น Perl, Smalltalk, Eiffel, Ada และ Lisp

    Ruby มีจุดเด่นที่สำคัญคือการเป็นภาษาเชิงวัตถุ (Object-Oriented) ที่ทุกอย่างในภาษาเป็นวัตถุ รวมถึงตัวเลขและข้อความ ทำให้โค้ดมีความยืดหยุ่นและอ่านง่าย นอกจากนี้ Ruby ยังมีชุมชนผู้ใช้งานที่เข้มแข็งและทรัพยากรที่หลากหลาย เช่น RubyGems ซึ่งเป็นตัวจัดการแพ็กเกจที่ช่วยเพิ่มความสามารถของภาษา

    ในปี 2025 Ruby ยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยมีการอัปเดตที่สำคัญ เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพ การปรับปรุงความปลอดภัย และการรองรับ Unicode รุ่นใหม่

    ✅ คุณสมบัติของ Ruby
    - เป็นภาษาเชิงวัตถุที่ทุกอย่างเป็นวัตถุ
    - มีไวยากรณ์ที่อ่านง่ายและเป็นธรรมชาติ

    ✅ การใช้งานและความนิยม
    - ใช้ในงานพัฒนาเว็บ เช่น Ruby on Rails
    - ใช้ในงานอัตโนมัติ การประมวลผลข้อมูล และ DevOps

    ✅ การพัฒนาในปี 2025
    - Ruby 3.5.0-preview1 เพิ่มการรองรับ Unicode 15.1.0 และปรับปรุงประสิทธิภาพ
    - Ruby 3.4.3 และ 3.3.8 แก้ไขช่องโหว่ด้านความปลอดภัย

    ✅ ชุมชนและทรัพยากร
    - ชุมชนผู้ใช้งานที่เข้มแข็งและทรัพยากรฟรี เช่น Ruby Weekly และ GoRails

    https://computercity.com/software/ruby-computer-language-explained
    Ruby เป็นภาษาการเขียนโปรแกรมแบบไดนามิกและโอเพ่นซอร์สที่ออกแบบมาเพื่อให้การเขียนโค้ดเป็นเรื่องที่ทรงพลังและสนุกสนาน ถูกพัฒนาขึ้นในช่วงกลางปี 1990 โดย Yukihiro “Matz” Matsumoto ในประเทศญี่ปุ่น โดย Ruby ได้รับแรงบันดาลใจจากภาษาโปรแกรมที่เขาชื่นชอบ เช่น Perl, Smalltalk, Eiffel, Ada และ Lisp Ruby มีจุดเด่นที่สำคัญคือการเป็นภาษาเชิงวัตถุ (Object-Oriented) ที่ทุกอย่างในภาษาเป็นวัตถุ รวมถึงตัวเลขและข้อความ ทำให้โค้ดมีความยืดหยุ่นและอ่านง่าย นอกจากนี้ Ruby ยังมีชุมชนผู้ใช้งานที่เข้มแข็งและทรัพยากรที่หลากหลาย เช่น RubyGems ซึ่งเป็นตัวจัดการแพ็กเกจที่ช่วยเพิ่มความสามารถของภาษา ในปี 2025 Ruby ยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยมีการอัปเดตที่สำคัญ เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพ การปรับปรุงความปลอดภัย และการรองรับ Unicode รุ่นใหม่ ✅ คุณสมบัติของ Ruby - เป็นภาษาเชิงวัตถุที่ทุกอย่างเป็นวัตถุ - มีไวยากรณ์ที่อ่านง่ายและเป็นธรรมชาติ ✅ การใช้งานและความนิยม - ใช้ในงานพัฒนาเว็บ เช่น Ruby on Rails - ใช้ในงานอัตโนมัติ การประมวลผลข้อมูล และ DevOps ✅ การพัฒนาในปี 2025 - Ruby 3.5.0-preview1 เพิ่มการรองรับ Unicode 15.1.0 และปรับปรุงประสิทธิภาพ - Ruby 3.4.3 และ 3.3.8 แก้ไขช่องโหว่ด้านความปลอดภัย ✅ ชุมชนและทรัพยากร - ชุมชนผู้ใช้งานที่เข้มแข็งและทรัพยากรฟรี เช่น Ruby Weekly และ GoRails https://computercity.com/software/ruby-computer-language-explained
    COMPUTERCITY.COM
    Ruby Computer Language Explained
    Ruby is a dynamic, open-source programming language that’s designed to make coding not just powerful, but joyful. Created by Yukihiro "Matz" Matsumoto in
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 201 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts