• "แรงบันดาลใจ"
    "แรงบันดาลใจ"
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 15 มุมมอง 0 รีวิว
  • Tatler Taiwan | ปกฉบับเดือนมีนาคม: เจย์ โจว และเฟอร์รารี่
    ร่วมกันสร้างซูเปอร์คาร์ที่มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว

    เจย์ โจว 周杰倫 Jay Chou ศิลปินระดับตำนานแห่งเอเชีย ไม่เพียงแต่มีพรสวรรค์ด้านดนตรีที่โด่งดังไปทั่วโลก แต่ยังเป็นคนที่หลงใหลในซูเปอร์คาร์เป็นอย่างมาก

    เราถามเขาว่าเขารักรถมากแค่ไหน? เขาตอบว่า :
    “แฟนๆ ของผมรู้ดีว่าภาพยนตร์เรื่องแรกที่ผมแสดง Initial D มีธีมเกี่ยวกับการแข่งรถ อีกทั้งฉากเปิดของภาพยนตร์ The Green Hornet ก็มีรถ The Black Beauty ปรากฏในภาพยนตร์แบบเต็มๆ และที่จริงแล้ว ผมอยากให้ทุกคนสัมผัสถึงความรักของผมที่มีต่อรถผ่านผลงานเหล่านี้”

    ในฐานะนักสะสมซูเปอร์คาร์ โรงเก็บรถของเจย์ โจว เปรียบเสมือนพิพิธภัณฑ์ศิลปะยานยนต์ ตั้งแต่ Ferrari F12tdf รุ่นคลาสสิกไปจนถึง LaFerrari Aperta รุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่น ทุกคันสะท้อนถึงรสนิยมเฉพาะตัวและความหลงใหลในความเร็วของเขา เจย์กล่าวต่อว่า :

    “ความรู้สึกของการขับรถที่แรงและเร็ว มันเหมือนกับการแสดงบนเวที เต็มไปด้วยอารมณ์และพลังแห่งการควบคุม”
    ความหลงใหลในความเร็วและพลังของเครื่องยนต์นี้ ไม่เพียงแต่สะท้อนผ่านชีวิตประจำวันของเขา แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจในงานสร้างสรรค์ของเขาด้วย

    การร่วมมือกับแบรนด์ Ferrari ครั้งนี้เป็นการจับคู่ที่ลงตัวอย่างแท้จริง เจย์ ได้เข้าร่วมในทุกขั้นตอนของการออกแบบรถรุ่นพิเศษ ตั้งแต่การเลือกวัสดุ การตกแต่งภายใน ไปจนถึงสีของตัวรถ ทุกองค์ประกอบสะท้อนเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเขา สร้างสรรค์เป็นผลงานศิลปะที่ไม่เหมือนใคร
    เขาบอกกับเราว่า :

    “ศิลปะและดนตรีคือช่องทางที่เชื่อมโยงจิตวิญญาณของผม ดนตรีป๊อปคือเวทีของผม ส่วนการสะสมงานศิลปะคืออีกหนึ่งรูปแบบของความหลงใหล แม้ว่าทั้งสองอย่างจะดูแตกต่างกัน แต่สำหรับผม ทั้งคู่ล้วนเป็นการแสวงหาความงามในแบบของตัวเอง นั้นแหละคือตัวผม”

    Talent / Jay Chou
    Editor / Huan Chen and Maosheng Qi
    Photography / Andrea Frazzetta
    Style / Ferrari Style

    #TatlerTaiwan #TatlerPeople #TatlerCover #CoverStory

    #jaychou #周杰伦 #周杰倫
    #เจย์โจว #โจวเจี๋ยหลุน
    #jaychouthailand
    Tatler Taiwan | ปกฉบับเดือนมีนาคม: เจย์ โจว และเฟอร์รารี่ ร่วมกันสร้างซูเปอร์คาร์ที่มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เจย์ โจว 周杰倫 Jay Chou ศิลปินระดับตำนานแห่งเอเชีย ไม่เพียงแต่มีพรสวรรค์ด้านดนตรีที่โด่งดังไปทั่วโลก แต่ยังเป็นคนที่หลงใหลในซูเปอร์คาร์เป็นอย่างมาก เราถามเขาว่าเขารักรถมากแค่ไหน? เขาตอบว่า : “แฟนๆ ของผมรู้ดีว่าภาพยนตร์เรื่องแรกที่ผมแสดง Initial D มีธีมเกี่ยวกับการแข่งรถ อีกทั้งฉากเปิดของภาพยนตร์ The Green Hornet ก็มีรถ The Black Beauty ปรากฏในภาพยนตร์แบบเต็มๆ และที่จริงแล้ว ผมอยากให้ทุกคนสัมผัสถึงความรักของผมที่มีต่อรถผ่านผลงานเหล่านี้” ในฐานะนักสะสมซูเปอร์คาร์ โรงเก็บรถของเจย์ โจว เปรียบเสมือนพิพิธภัณฑ์ศิลปะยานยนต์ ตั้งแต่ Ferrari F12tdf รุ่นคลาสสิกไปจนถึง LaFerrari Aperta รุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่น ทุกคันสะท้อนถึงรสนิยมเฉพาะตัวและความหลงใหลในความเร็วของเขา เจย์กล่าวต่อว่า : “ความรู้สึกของการขับรถที่แรงและเร็ว มันเหมือนกับการแสดงบนเวที เต็มไปด้วยอารมณ์และพลังแห่งการควบคุม” ความหลงใหลในความเร็วและพลังของเครื่องยนต์นี้ ไม่เพียงแต่สะท้อนผ่านชีวิตประจำวันของเขา แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจในงานสร้างสรรค์ของเขาด้วย การร่วมมือกับแบรนด์ Ferrari ครั้งนี้เป็นการจับคู่ที่ลงตัวอย่างแท้จริง เจย์ ได้เข้าร่วมในทุกขั้นตอนของการออกแบบรถรุ่นพิเศษ ตั้งแต่การเลือกวัสดุ การตกแต่งภายใน ไปจนถึงสีของตัวรถ ทุกองค์ประกอบสะท้อนเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเขา สร้างสรรค์เป็นผลงานศิลปะที่ไม่เหมือนใคร เขาบอกกับเราว่า : “ศิลปะและดนตรีคือช่องทางที่เชื่อมโยงจิตวิญญาณของผม ดนตรีป๊อปคือเวทีของผม ส่วนการสะสมงานศิลปะคืออีกหนึ่งรูปแบบของความหลงใหล แม้ว่าทั้งสองอย่างจะดูแตกต่างกัน แต่สำหรับผม ทั้งคู่ล้วนเป็นการแสวงหาความงามในแบบของตัวเอง นั้นแหละคือตัวผม” Talent / Jay Chou Editor / Huan Chen and Maosheng Qi Photography / Andrea Frazzetta Style / Ferrari Style #TatlerTaiwan #TatlerPeople #TatlerCover #CoverStory #jaychou #周杰伦 #周杰倫 #เจย์โจว #โจวเจี๋ยหลุน #jaychouthailand
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 139 มุมมอง 0 รีวิว
  • 111 ปี สิ้น “เจ้าน้อยศุขเกษม” ปิดตำนานรักสาวชาวพม่า “มะเมียะ” เรื่องจริง หรือแค่…อิงนิยาย?

    🕰️ ตำนานรักข้ามชาติ ที่คนรุ่นหลังยังคงกล่าวขาน 🕰️

    📝 111 ปีที่ผ่านไป…เรื่องราวความรักระหว่าง "เจ้าน้อยศุขเกษม" แห่งนครเชียงใหม่ และ "มะเมียะ" สาวงามจากเมืองมะละแหม่ง ยังคงเป็นเรื่องเล่าที่อบอวล ด้วยกลิ่นอายของความโรแมนติก และโศกเศร้า แต่คำถามที่หลายคนยังสงสัยคือ... เรื่องนี้มีมูลความจริงแค่ไหน? หรือเป็นเพียงตำนาน ที่แต่งเติมเสริมสีสันให้ดูหวานซึ้งเท่านั้น?

    ย้อนรอยตำนานรักข้ามพรมแดน พร้อมเปิดหลักฐานทางประวัติศาสตร์ เพื่อค้นหาคำตอบ ว่าความจริงในตำนานรักอมตะนี้ เป็นเรื่องจริง...หรือเป็นเพียงนิยายที่แต่งขึ้นมา ให้คนล้านนาหลงใหล 💔✨

    💡 "เจ้าน้อยศุขเกษม" หรือในบรรดาศักดิ์ที่รู้จักกันในนาม "เจ้าอุตรการโกศล" เป็นโอรสองค์โตของ เจ้าแก้วนวรัฐ ผู้ครองนครเชียงใหม่คนสุดท้าย กับเจ้าจามรีวงศ์ เป็นผู้มีเชื้อสายแห่งราชวงศ์ทิพย์จักรแห่งล้านนา

    เจ้าน้อยเกิดปี พ.ศ. 2423 ต่อมาในปี พ.ศ. 2441 ถูกส่งไปศึกษา ที่เมืองมะละแหม่ง ประเทศพม่า ซึ่งได้พบ "มะเมียะ" หญิงสาวแม่ค้าชาวพม่า ผู้เปลี่ยนชะตาชีวิตเจ้าน้อยศุขเกษม ไปตลอดกาล

    ได้รับแต่งตั้งเป็น "เจ้าอุตรการโกศล" ถือศักดินา 1,600 แต่ไม่ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าหลวง เนื่องจากอุปนิสัยรักสนุก ไม่เอาการเอางาน กระทั่งถึงแก่กรรม ในวันศุกร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2457 สิริอายุ 32 ปี (หากนับแบบโบราณ ตรงกับ พ.ศ. 2456 อายุ 33 ปี)

    🌸 ตำนานรักที่กล่าวขาน “มะเมียะ” หญิงงามจากแดนพม่า ถูกขนานนามว่า เป็นแม่ค้าสาวงามชาวพม่าจากเมืองมะละแหม่ง ทั้งสองพบรักกันขณะเจ้าน้อยไปศึกษายังโรงเรียนเซนต์แพทริค โดยคำบอกเล่าต่างๆ ระบุว่า

    ❤️ เจ้าน้อยศุขเกษมใช้ชีวิตร่วมกับมะเมียะฉันสามีภรรยา ด้วยการสนับสนุนจากทางบ้านของฝ่ายหญิง
    ❤️ ต่อมาเมื่อข่าวแพร่ถึงเชียงใหม่ เจ้าน้อยถูกเรียกกลับคุ้ม พร้อมคำสั่งให้เลิกคบหากับมะเมียะ อย่างเด็ดขาด
    ❤️ มะเมียะจำต้องปลอมตัวเป็นชาย เพื่อตามขบวนเจ้าน้อยกลับเชียงใหม่ แต่สุดท้ายก็ไม่อาจหลีกพ้นคำสั่ง ของผู้มีอำนาจในคุ้มเชียงใหม่ได้
    ❤️ เรื่องราวจบลงด้วยการที่มะเมียะ ถูกบีบให้เดินทางกลับบ้านเกิด น้ำตารินไหลพรากจากชายคนรักตลอดกาล…😢

    📚 ข้อเท็จจริงในหน้าประวัติศาสตร์ จากเอกสาร และหลักฐานทางประวัติศาสตร์ต่างๆ พบว่า

    📌 ไม่มีหลักฐานใดยืนยันได้ว่า "เจ้าน้อยศุขเกษม" มีความสัมพันธ์กับ "มะเมียะ" จริงในประวัติศาสตร์
    📌 เรื่องราวที่ "ปราณี ศิริธร ณ พัทลุง" นำไปเผยแพร่ในหนังสือ "เพ็ชร์ลานนา" และ ชีวิตรักเจ้าเชียงใหม่ อาจมีโครงเรื่องบางส่วน ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเหตุการณ์ของ "เจ้าวงษ์ตวัน ณ เชียงใหม่" ผู้เป็นน้องชายต่างพระมารดาของเจ้าน้อย
    📌 หลักฐานต่างๆ ชี้ชัดว่า เจ้าน้อยศุขเกษมไม่ได้มีบทบาทสำคัญ ในการสืบราชสันตติวงศ์ของเชียงใหม่ และมีนิสัยไม่รับผิดชอบ จึงได้รับแต่งตั้งเพียงตำแหน่ง "เจ้าอุตรการโกศล"
    📌 เจ้าศุขเกษมสิ้นชีพ ด้วยโรคเส้นประสาทพิการเรื้อรัง ไม่ใช่เพราะตรอมใจ จากการพลัดพรากกับคนรัก

    🧐 ตำนานที่สร้างจากเรื่องจริง…หรือเพียงจินตนาการ? การบอกเล่าต่อๆ กันในหมู่เจ้านายฝ่ายเหนือและประชาชนล้านนาในยุคหลัง ได้ขยายความ และเติมแต่งจนเรื่องราวความรักนี้ กลายเป็นนิยายโศกนาฏกรรม ที่ชวนให้คนฟังหลงใหล

    🌿 "จรัล มโนเพ็ชร" นำเรื่องนี้ไปประพันธ์เป็นบทเพลง "มะเมี้ยะ" และขับร้องด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย ทำให้ตำนานนี้ กลายเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย
    🌿 เมื่อเรื่องราวถูกถ่ายทอดผ่านเพลง และสื่อหนังสือพิมพ์มากขึ้น ผู้คนจำนวนมากเชื่อว่า นี่คือเรื่องจริงของ "เจ้าน้อยศุขเกษม"
    🌿 แท้จริงแล้ว ตำนานดังกล่าว น่าจะได้รับแรงบันดาลใจจากชีวิตของ "เจ้าวงษ์ตวัน" ซึ่งเคยมีปัญหาเรื่องพาผู้หญิงหลบหนี และถูกส่งตัวกลับเชียงใหม่ ตามจดหมายเหตุในสมัยรัชกาลที่ 5 และ 6

    📖 หลักฐานสนับสนุนจากประวัติศาสตร์ล้านนา
    📜 จดหมายเหตุรายวัน ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
    📜 รายงานการศึกษาของเจ้าวงษ์ตวัน ณ เชียงใหม่ ที่เล่าเรียนในโรงเรียนราชวิทยาลัย
    📜 บันทึกการแต่งตั้งตำแหน่ง "เจ้าอุตรการโกศล" ของเจ้าน้อยศุขเกษม
    📜 บทสัมภาษณ์เจ้าดวงเดือน ณ เชียงใหม่ ผู้ร่วมสมัยที่กล่าวถึงเหตุการณ์ เรียกตัวเจ้าน้อยศุขเกษมกลับเชียงใหม่

    🔍 วิเคราะห์และตีความใหม่ เรื่องราวความรักที่เล่าขานระหว่าง "เจ้าน้อยศุขเกษม" กับ "มะเมียะ"
    ✅ มีเค้าโครงจากเรื่องจริงบางส่วน ในราชสำนักเชียงใหม่
    ✅ ถูกเติมแต่งให้มีความโรแมนติกและดราม่า เพื่อให้ชาวบ้านและคนรุ่นหลังเข้าถึง และจดจำได้ง่าย
    ✅ สะท้อนภาพชีวิตในยุคล้านนา ที่ยังคงเคร่งครัดในระบบชนชั้น และการสมรสตามขนบธรรมเนียม
    ✅ ใช้เป็นสัญลักษณ์ของความรักต้องห้าม และการต่อสู้กับกรอบประเพณีเก่าก่อน

    ❤️ "เจ้าน้อยศุขเกษม" กับ "มะเมียะ" ตำนานที่ยังคงมีชีวิต แม้จะไม่มีหลักฐานชี้ชัดว่า ความรักครั้งนี้เป็นจริง แต่เรื่องราว "เจ้าน้อยศุขเกษม" และ "มะเมียะ" ก็ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของ "รักแท้ที่ไม่มีวันสมหวัง"

    🌸 ถูกถ่ายทอดเป็นนิยาย เพลง บทละคร และศิลปวัฒนธรรมในล้านนา
    🌸 กลายเป็นเครื่องเตือนใจ ถึงข้อจำกัดทางชนชั้น และการเมืองในอดีต
    🌸 ยังเป็นตำนานที่คนรุ่นใหม่ศึกษา ซาบซึ้งในแง่มุมของความรัก และความเสียสละ

    📌 สรุปข้อเท็จจริง
    📝 ตำนานรัก "เจ้าน้อยศุขเกษม กับ มะเมียะ" คือ นิยายประวัติศาสตร์ ที่แต่งเติมจากเรื่องจริงบางส่วน
    📝 ข้อเท็จจริงประวัติศาสตร์ยืนยันว่า "เจ้าวงษ์ตวัน" มีชีวิตที่คล้ายกับตำนานดังกล่าวมากกว่า
    📝 การเล่าขานที่ต่อเติมจากรุ่นสู่รุ่น ทำให้ความจริงและเรื่องแต่ง ผสมปนเปกันอย่างลงตัว
    📝 ตำนานนี้ยังคงมีเสน่ห์และคุณค่า ในฐานะเรื่องเล่าแห่งความรักของชาวล้านนา

    🌟 ความรักอาจไม่มีพรมแดน... แต่ขนบธรรมเนียมและประเพณีในอดีตต่างหาก ที่เป็นกำแพงยากจะข้ามได้ 🌟

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 200807 มี.ค. 2568

    📚 🏷️ #ตำนานรักมะเมียะ #เจ้าน้อยศุขเกษม #ล้านนาประวัติศาสตร์ #เชียงใหม่ในอดีต #เพลงมะเมี้ยะ #เรื่องจริงหรือนิยาย #ประวัติศาสตร์ล้านนา #เชียงใหม่เมืองโบราณ #ตำนานล้านนา #รักข้ามพรมแดน
    111 ปี สิ้น “เจ้าน้อยศุขเกษม” ปิดตำนานรักสาวชาวพม่า “มะเมียะ” เรื่องจริง หรือแค่…อิงนิยาย? 🕰️ ตำนานรักข้ามชาติ ที่คนรุ่นหลังยังคงกล่าวขาน 🕰️ 📝 111 ปีที่ผ่านไป…เรื่องราวความรักระหว่าง "เจ้าน้อยศุขเกษม" แห่งนครเชียงใหม่ และ "มะเมียะ" สาวงามจากเมืองมะละแหม่ง ยังคงเป็นเรื่องเล่าที่อบอวล ด้วยกลิ่นอายของความโรแมนติก และโศกเศร้า แต่คำถามที่หลายคนยังสงสัยคือ... เรื่องนี้มีมูลความจริงแค่ไหน? หรือเป็นเพียงตำนาน ที่แต่งเติมเสริมสีสันให้ดูหวานซึ้งเท่านั้น? ย้อนรอยตำนานรักข้ามพรมแดน พร้อมเปิดหลักฐานทางประวัติศาสตร์ เพื่อค้นหาคำตอบ ว่าความจริงในตำนานรักอมตะนี้ เป็นเรื่องจริง...หรือเป็นเพียงนิยายที่แต่งขึ้นมา ให้คนล้านนาหลงใหล 💔✨ 💡 "เจ้าน้อยศุขเกษม" หรือในบรรดาศักดิ์ที่รู้จักกันในนาม "เจ้าอุตรการโกศล" เป็นโอรสองค์โตของ เจ้าแก้วนวรัฐ ผู้ครองนครเชียงใหม่คนสุดท้าย กับเจ้าจามรีวงศ์ เป็นผู้มีเชื้อสายแห่งราชวงศ์ทิพย์จักรแห่งล้านนา เจ้าน้อยเกิดปี พ.ศ. 2423 ต่อมาในปี พ.ศ. 2441 ถูกส่งไปศึกษา ที่เมืองมะละแหม่ง ประเทศพม่า ซึ่งได้พบ "มะเมียะ" หญิงสาวแม่ค้าชาวพม่า ผู้เปลี่ยนชะตาชีวิตเจ้าน้อยศุขเกษม ไปตลอดกาล ได้รับแต่งตั้งเป็น "เจ้าอุตรการโกศล" ถือศักดินา 1,600 แต่ไม่ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าหลวง เนื่องจากอุปนิสัยรักสนุก ไม่เอาการเอางาน กระทั่งถึงแก่กรรม ในวันศุกร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2457 สิริอายุ 32 ปี (หากนับแบบโบราณ ตรงกับ พ.ศ. 2456 อายุ 33 ปี) 🌸 ตำนานรักที่กล่าวขาน “มะเมียะ” หญิงงามจากแดนพม่า ถูกขนานนามว่า เป็นแม่ค้าสาวงามชาวพม่าจากเมืองมะละแหม่ง ทั้งสองพบรักกันขณะเจ้าน้อยไปศึกษายังโรงเรียนเซนต์แพทริค โดยคำบอกเล่าต่างๆ ระบุว่า ❤️ เจ้าน้อยศุขเกษมใช้ชีวิตร่วมกับมะเมียะฉันสามีภรรยา ด้วยการสนับสนุนจากทางบ้านของฝ่ายหญิง ❤️ ต่อมาเมื่อข่าวแพร่ถึงเชียงใหม่ เจ้าน้อยถูกเรียกกลับคุ้ม พร้อมคำสั่งให้เลิกคบหากับมะเมียะ อย่างเด็ดขาด ❤️ มะเมียะจำต้องปลอมตัวเป็นชาย เพื่อตามขบวนเจ้าน้อยกลับเชียงใหม่ แต่สุดท้ายก็ไม่อาจหลีกพ้นคำสั่ง ของผู้มีอำนาจในคุ้มเชียงใหม่ได้ ❤️ เรื่องราวจบลงด้วยการที่มะเมียะ ถูกบีบให้เดินทางกลับบ้านเกิด น้ำตารินไหลพรากจากชายคนรักตลอดกาล…😢 📚 ข้อเท็จจริงในหน้าประวัติศาสตร์ จากเอกสาร และหลักฐานทางประวัติศาสตร์ต่างๆ พบว่า 📌 ไม่มีหลักฐานใดยืนยันได้ว่า "เจ้าน้อยศุขเกษม" มีความสัมพันธ์กับ "มะเมียะ" จริงในประวัติศาสตร์ 📌 เรื่องราวที่ "ปราณี ศิริธร ณ พัทลุง" นำไปเผยแพร่ในหนังสือ "เพ็ชร์ลานนา" และ ชีวิตรักเจ้าเชียงใหม่ อาจมีโครงเรื่องบางส่วน ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเหตุการณ์ของ "เจ้าวงษ์ตวัน ณ เชียงใหม่" ผู้เป็นน้องชายต่างพระมารดาของเจ้าน้อย 📌 หลักฐานต่างๆ ชี้ชัดว่า เจ้าน้อยศุขเกษมไม่ได้มีบทบาทสำคัญ ในการสืบราชสันตติวงศ์ของเชียงใหม่ และมีนิสัยไม่รับผิดชอบ จึงได้รับแต่งตั้งเพียงตำแหน่ง "เจ้าอุตรการโกศล" 📌 เจ้าศุขเกษมสิ้นชีพ ด้วยโรคเส้นประสาทพิการเรื้อรัง ไม่ใช่เพราะตรอมใจ จากการพลัดพรากกับคนรัก 🧐 ตำนานที่สร้างจากเรื่องจริง…หรือเพียงจินตนาการ? การบอกเล่าต่อๆ กันในหมู่เจ้านายฝ่ายเหนือและประชาชนล้านนาในยุคหลัง ได้ขยายความ และเติมแต่งจนเรื่องราวความรักนี้ กลายเป็นนิยายโศกนาฏกรรม ที่ชวนให้คนฟังหลงใหล 🌿 "จรัล มโนเพ็ชร" นำเรื่องนี้ไปประพันธ์เป็นบทเพลง "มะเมี้ยะ" และขับร้องด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย ทำให้ตำนานนี้ กลายเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย 🌿 เมื่อเรื่องราวถูกถ่ายทอดผ่านเพลง และสื่อหนังสือพิมพ์มากขึ้น ผู้คนจำนวนมากเชื่อว่า นี่คือเรื่องจริงของ "เจ้าน้อยศุขเกษม" 🌿 แท้จริงแล้ว ตำนานดังกล่าว น่าจะได้รับแรงบันดาลใจจากชีวิตของ "เจ้าวงษ์ตวัน" ซึ่งเคยมีปัญหาเรื่องพาผู้หญิงหลบหนี และถูกส่งตัวกลับเชียงใหม่ ตามจดหมายเหตุในสมัยรัชกาลที่ 5 และ 6 📖 หลักฐานสนับสนุนจากประวัติศาสตร์ล้านนา 📜 จดหมายเหตุรายวัน ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว 📜 รายงานการศึกษาของเจ้าวงษ์ตวัน ณ เชียงใหม่ ที่เล่าเรียนในโรงเรียนราชวิทยาลัย 📜 บันทึกการแต่งตั้งตำแหน่ง "เจ้าอุตรการโกศล" ของเจ้าน้อยศุขเกษม 📜 บทสัมภาษณ์เจ้าดวงเดือน ณ เชียงใหม่ ผู้ร่วมสมัยที่กล่าวถึงเหตุการณ์ เรียกตัวเจ้าน้อยศุขเกษมกลับเชียงใหม่ 🔍 วิเคราะห์และตีความใหม่ เรื่องราวความรักที่เล่าขานระหว่าง "เจ้าน้อยศุขเกษม" กับ "มะเมียะ" ✅ มีเค้าโครงจากเรื่องจริงบางส่วน ในราชสำนักเชียงใหม่ ✅ ถูกเติมแต่งให้มีความโรแมนติกและดราม่า เพื่อให้ชาวบ้านและคนรุ่นหลังเข้าถึง และจดจำได้ง่าย ✅ สะท้อนภาพชีวิตในยุคล้านนา ที่ยังคงเคร่งครัดในระบบชนชั้น และการสมรสตามขนบธรรมเนียม ✅ ใช้เป็นสัญลักษณ์ของความรักต้องห้าม และการต่อสู้กับกรอบประเพณีเก่าก่อน ❤️ "เจ้าน้อยศุขเกษม" กับ "มะเมียะ" ตำนานที่ยังคงมีชีวิต แม้จะไม่มีหลักฐานชี้ชัดว่า ความรักครั้งนี้เป็นจริง แต่เรื่องราว "เจ้าน้อยศุขเกษม" และ "มะเมียะ" ก็ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของ "รักแท้ที่ไม่มีวันสมหวัง" 🌸 ถูกถ่ายทอดเป็นนิยาย เพลง บทละคร และศิลปวัฒนธรรมในล้านนา 🌸 กลายเป็นเครื่องเตือนใจ ถึงข้อจำกัดทางชนชั้น และการเมืองในอดีต 🌸 ยังเป็นตำนานที่คนรุ่นใหม่ศึกษา ซาบซึ้งในแง่มุมของความรัก และความเสียสละ 📌 สรุปข้อเท็จจริง 📝 ตำนานรัก "เจ้าน้อยศุขเกษม กับ มะเมียะ" คือ นิยายประวัติศาสตร์ ที่แต่งเติมจากเรื่องจริงบางส่วน 📝 ข้อเท็จจริงประวัติศาสตร์ยืนยันว่า "เจ้าวงษ์ตวัน" มีชีวิตที่คล้ายกับตำนานดังกล่าวมากกว่า 📝 การเล่าขานที่ต่อเติมจากรุ่นสู่รุ่น ทำให้ความจริงและเรื่องแต่ง ผสมปนเปกันอย่างลงตัว 📝 ตำนานนี้ยังคงมีเสน่ห์และคุณค่า ในฐานะเรื่องเล่าแห่งความรักของชาวล้านนา 🌟 ความรักอาจไม่มีพรมแดน... แต่ขนบธรรมเนียมและประเพณีในอดีตต่างหาก ที่เป็นกำแพงยากจะข้ามได้ 🌟 ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 200807 มี.ค. 2568 📚 🏷️ #ตำนานรักมะเมียะ #เจ้าน้อยศุขเกษม #ล้านนาประวัติศาสตร์ #เชียงใหม่ในอดีต #เพลงมะเมี้ยะ #เรื่องจริงหรือนิยาย #ประวัติศาสตร์ล้านนา #เชียงใหม่เมืองโบราณ #ตำนานล้านนา #รักข้ามพรมแดน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 213 มุมมอง 0 รีวิว
  • สวัสดีค่ะ Storyฯ หายไปตามรอยซากุระมา จำได้ว่าตอนที่เคยเล่าถึงความหมายของดอกเหมยในวัฒนธรรมจีน มีเพื่อนเพจถามถึงดอกซากุระด้วย วันนี้เลยมาคุยกันสั้นๆ

    เพื่อนเพจคงทราบดีว่าดอกซากุระเป็นดอกไม้ประจำชาติของญี่ปุ่น มีคนกล่าวถึงความหมายของมันต่อคนญี่ปุ่นว่าจริงแล้วคือ Rebirth หรือการเกิดใหม่ กล่าวคือการยอมรับความไม่จีรังในชีวิตแต่ยังเปี่ยมด้วยความหวังว่าสิ่งดีๆ จะเกิดขึ้นใหม่ เฉกเช่นดอกซากุระที่บานให้ชื่นชมเพียงไม่นานก็ร่วงโรยแต่แล้วก็จะผลิใหม่และเบ่งบานให้ชมอีกเรื่อยไป นอกจากนี้ยังมีอีกหลายความหมาย เช่น ความสำเร็จ หัวใจที่เข้มแข็ง ความรัก ความบริสุทธิ์ และความอ่อนโยน ฯลฯ ซึ่งเหล่านี้ล้วนให้อารมณ์แห่งความหวังและความสุข

    แล้วที่จีนล่ะ?

    ดอกซากุระมีชื่อจีนว่า ‘อิงฮวา’ (樱花) หรือโบราณเคยเรียกว่า ‘อิงเถา’ แต่มีการระบุชัดว่าไม่ใช่ดอกท้อ (เถาฮวา) เฉพาะในประเทศจีนมีกว่าสี่สิบสายพันธุ์ เชื่อว่ามีการเริ่มปลูกต้นอิงฮวาในเขตพระราชฐานมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮั่น แต่แพร่สู่บ้านเรือนสามัญชนและพบเห็นได้ทั่วไปในสมัยราชวงศ์ถัง (บ้างก็ว่าในช่วงสมัยถังนี่เองที่ อิงฮวาหรือซากุระถูกเผยแพร่ในญี่ปุ่น) ต่อมาในสมัยซ่งเหนือคนหันมานิยมดอกเหมยมากกว่า ทำให้ดอกอิงฮวาถูกกล่าวขานถึงน้อยลง

    ผลงานทางศิลปะเกี่ยวกับอิงฮวามีน้อยมาก ไม่ว่าจะเป็นบทกวีหรือภาพวาด โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับดอกบ๊วยหรือดอกท้อที่ดูจะเป็นแรงบันดาลใจให้กับผลงานมากกว่า แรกเริ่มเลยในงานประพันธ์ต่างๆ จะเรียกมันว่า ‘ซันอิง’ หมายถึงต้นอิงฮวาที่โตตามป่าเขา โดยบทกวีที่เก่าแก่ที่สุดเกี่ยวกับอิงฮวาคือในสมัยราชวงศ์ใต้ ประพันธ์โดยเสิ่นเยวี้ย (ค.ศ. 441-513) เป็นการบรรยายถึงดอกซันอิงบานรับฤดูใบไม้ผลิ คงจะกล่าวได้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่ดอกอิงฮวาถูกโยงเข้ากับการมาเยือนของวสันตฤดู

    ในสมัยถังมีบทกวีเกี่ยวกับดอกอิงฮวามากกว่ายุคสมัยอื่น บ่งบอกถึงความนิยมในสมัยนั้น โดยนักการเมืองไป๋จวีอี (ค.ศ. 772-846) ได้สร้างผลงานบทกวีชื่นชมความงามของดอกอิงฮวาไว้หลายบท แต่ผลงานของเขามักบ่งบอกถึงอารมณ์แห่งความเสียดายยามบุปผาโรยรา ทว่าแฝงไว้ซึ่งความหวังเพราะซันอิงยังจะคงอยู่และผลิบานใหม่ท่ามกลางป่าเขา โดยผลงานเหล่านี้สะท้อนถึงชีวิตทางการเมืองที่ผ่านร้อนผ่านหนาวของเขา

    อิงฮวากลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่ทราบได้ แต่ในช่วงยุคสมัยถังเช่นเดียวกัน มีการกล่าวถึงธรรมเนียมการหักกิ่งอิงฮวามอบให้กันยามคู่รักต้องจากลา โดยใช้อิงฮวาเป็นตัวแทนแห่งความคนึงหา และในหลายบทกวีในยุคนั้น ใช้อิงฮวาเปรียบเปรยถึงความคิดถึงและความอ้างว้าง ดุจฉากดอกอิงฮวาร่วงโรยโปรยพลิ้วในสายลม Storyฯ ขอยกตัวอย่างจากบทกวี <หักกิ่งบุปผามอบอำลา> ของหยวนเจิ่นในสมัยถัง (ขออภัยหากแปลไม่สละสลวย) ที่กล่าวถึงความอาลัยอาวรณ์ของสตรียามต้องส่งชายคนรักจากไป:
    “ส่งท่านใต้ร่มเงาอิงเถา ใจวสันต์ฝากไว้ในกิ่ง
    ที่ใดชวนให้คำนึงถึงที่สุด นั่นคือป่าอิงเถาอันดารดาษ”

    ต่อมาอิงฮวากลายมาเป็นสัญลักษณ์ของสตรีเพศที่อ่อนหวานและอ่อนโยน ไม่ปรากฏชัดเจนว่ามุมมองในลักษณะนี้เกิดขึ้นเมื่อใด แต่ในบทกวี <ซันอิง> ของหวางอันสือในยุคสมัยซ่งเหนือ (คนเดียวกับที่ฝากผลงานอันโดดเด่น <เหมยฮวา> ที่ Storyฯ เคยเขียนไปแล้ว) มีการบรรยายเปรียบเปรยอิงฮวาดุจสตรีที่เอียงอายหลบอยู่ใต้เงาไม้และเบ่งบานหลังดอกไม้อื่น แต่เมื่อลมวสันต์โชยก็พัดพากลิ่นหอมขจรขจายให้ความงามเป็นที่ประจักษ์ต่อผู้คน

    จะเห็นได้ว่า ในวัฒนธรรมจีนนั้น ความหมายของดอกอิงฮวาคล้ายคลึงกับซากุระในวัฒนธรรมญี่ปุ่น คือเป็นตัวแทนแห่งความไม่จีรัง ความบริสุทธิ์ และความอ่อนหวาน

    แต่ในความคล้ายคลึงก็มีความแตกต่าง เพราะซากุระในญี่ปุ่นแฝงไว้ด้วยความหวังท่ามกลางความไม่จีรังในชีวิต แต่โดยส่วนตัวแล้ว Storyฯ รู้สึกว่าบทกวีเกี่ยวกับอิงฮวาของจีนมักแฝงไว้ด้วยความเศร้า หากจะกล่าวว่าดอกบ๊วยเป็นตัวแทนแห่งความงามที่คงทน ดอกอิงฮวาก็คงเป็นตัวแทนแห่งความงามที่เปราะบาง

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    รูปภาพจาก: พี่ชายของ Storyฯ เอง
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://news.bjd.com.cn/2022/04/08/10066983.shtml
    https://www.baike.com/wikiid/4777101092071907963?from=wiki_content&prd=innerlink&view_id=32kicegvg8m000
    https://www.163.com/dy/article/HV0LDNRE05418YI9.html

    #อิงฮวา #ซากุระจีน
    สวัสดีค่ะ Storyฯ หายไปตามรอยซากุระมา จำได้ว่าตอนที่เคยเล่าถึงความหมายของดอกเหมยในวัฒนธรรมจีน มีเพื่อนเพจถามถึงดอกซากุระด้วย วันนี้เลยมาคุยกันสั้นๆ เพื่อนเพจคงทราบดีว่าดอกซากุระเป็นดอกไม้ประจำชาติของญี่ปุ่น มีคนกล่าวถึงความหมายของมันต่อคนญี่ปุ่นว่าจริงแล้วคือ Rebirth หรือการเกิดใหม่ กล่าวคือการยอมรับความไม่จีรังในชีวิตแต่ยังเปี่ยมด้วยความหวังว่าสิ่งดีๆ จะเกิดขึ้นใหม่ เฉกเช่นดอกซากุระที่บานให้ชื่นชมเพียงไม่นานก็ร่วงโรยแต่แล้วก็จะผลิใหม่และเบ่งบานให้ชมอีกเรื่อยไป นอกจากนี้ยังมีอีกหลายความหมาย เช่น ความสำเร็จ หัวใจที่เข้มแข็ง ความรัก ความบริสุทธิ์ และความอ่อนโยน ฯลฯ ซึ่งเหล่านี้ล้วนให้อารมณ์แห่งความหวังและความสุข แล้วที่จีนล่ะ? ดอกซากุระมีชื่อจีนว่า ‘อิงฮวา’ (樱花) หรือโบราณเคยเรียกว่า ‘อิงเถา’ แต่มีการระบุชัดว่าไม่ใช่ดอกท้อ (เถาฮวา) เฉพาะในประเทศจีนมีกว่าสี่สิบสายพันธุ์ เชื่อว่ามีการเริ่มปลูกต้นอิงฮวาในเขตพระราชฐานมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮั่น แต่แพร่สู่บ้านเรือนสามัญชนและพบเห็นได้ทั่วไปในสมัยราชวงศ์ถัง (บ้างก็ว่าในช่วงสมัยถังนี่เองที่ อิงฮวาหรือซากุระถูกเผยแพร่ในญี่ปุ่น) ต่อมาในสมัยซ่งเหนือคนหันมานิยมดอกเหมยมากกว่า ทำให้ดอกอิงฮวาถูกกล่าวขานถึงน้อยลง ผลงานทางศิลปะเกี่ยวกับอิงฮวามีน้อยมาก ไม่ว่าจะเป็นบทกวีหรือภาพวาด โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับดอกบ๊วยหรือดอกท้อที่ดูจะเป็นแรงบันดาลใจให้กับผลงานมากกว่า แรกเริ่มเลยในงานประพันธ์ต่างๆ จะเรียกมันว่า ‘ซันอิง’ หมายถึงต้นอิงฮวาที่โตตามป่าเขา โดยบทกวีที่เก่าแก่ที่สุดเกี่ยวกับอิงฮวาคือในสมัยราชวงศ์ใต้ ประพันธ์โดยเสิ่นเยวี้ย (ค.ศ. 441-513) เป็นการบรรยายถึงดอกซันอิงบานรับฤดูใบไม้ผลิ คงจะกล่าวได้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่ดอกอิงฮวาถูกโยงเข้ากับการมาเยือนของวสันตฤดู ในสมัยถังมีบทกวีเกี่ยวกับดอกอิงฮวามากกว่ายุคสมัยอื่น บ่งบอกถึงความนิยมในสมัยนั้น โดยนักการเมืองไป๋จวีอี (ค.ศ. 772-846) ได้สร้างผลงานบทกวีชื่นชมความงามของดอกอิงฮวาไว้หลายบท แต่ผลงานของเขามักบ่งบอกถึงอารมณ์แห่งความเสียดายยามบุปผาโรยรา ทว่าแฝงไว้ซึ่งความหวังเพราะซันอิงยังจะคงอยู่และผลิบานใหม่ท่ามกลางป่าเขา โดยผลงานเหล่านี้สะท้อนถึงชีวิตทางการเมืองที่ผ่านร้อนผ่านหนาวของเขา อิงฮวากลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่ทราบได้ แต่ในช่วงยุคสมัยถังเช่นเดียวกัน มีการกล่าวถึงธรรมเนียมการหักกิ่งอิงฮวามอบให้กันยามคู่รักต้องจากลา โดยใช้อิงฮวาเป็นตัวแทนแห่งความคนึงหา และในหลายบทกวีในยุคนั้น ใช้อิงฮวาเปรียบเปรยถึงความคิดถึงและความอ้างว้าง ดุจฉากดอกอิงฮวาร่วงโรยโปรยพลิ้วในสายลม Storyฯ ขอยกตัวอย่างจากบทกวี <หักกิ่งบุปผามอบอำลา> ของหยวนเจิ่นในสมัยถัง (ขออภัยหากแปลไม่สละสลวย) ที่กล่าวถึงความอาลัยอาวรณ์ของสตรียามต้องส่งชายคนรักจากไป: “ส่งท่านใต้ร่มเงาอิงเถา ใจวสันต์ฝากไว้ในกิ่ง ที่ใดชวนให้คำนึงถึงที่สุด นั่นคือป่าอิงเถาอันดารดาษ” ต่อมาอิงฮวากลายมาเป็นสัญลักษณ์ของสตรีเพศที่อ่อนหวานและอ่อนโยน ไม่ปรากฏชัดเจนว่ามุมมองในลักษณะนี้เกิดขึ้นเมื่อใด แต่ในบทกวี <ซันอิง> ของหวางอันสือในยุคสมัยซ่งเหนือ (คนเดียวกับที่ฝากผลงานอันโดดเด่น <เหมยฮวา> ที่ Storyฯ เคยเขียนไปแล้ว) มีการบรรยายเปรียบเปรยอิงฮวาดุจสตรีที่เอียงอายหลบอยู่ใต้เงาไม้และเบ่งบานหลังดอกไม้อื่น แต่เมื่อลมวสันต์โชยก็พัดพากลิ่นหอมขจรขจายให้ความงามเป็นที่ประจักษ์ต่อผู้คน จะเห็นได้ว่า ในวัฒนธรรมจีนนั้น ความหมายของดอกอิงฮวาคล้ายคลึงกับซากุระในวัฒนธรรมญี่ปุ่น คือเป็นตัวแทนแห่งความไม่จีรัง ความบริสุทธิ์ และความอ่อนหวาน แต่ในความคล้ายคลึงก็มีความแตกต่าง เพราะซากุระในญี่ปุ่นแฝงไว้ด้วยความหวังท่ามกลางความไม่จีรังในชีวิต แต่โดยส่วนตัวแล้ว Storyฯ รู้สึกว่าบทกวีเกี่ยวกับอิงฮวาของจีนมักแฝงไว้ด้วยความเศร้า หากจะกล่าวว่าดอกบ๊วยเป็นตัวแทนแห่งความงามที่คงทน ดอกอิงฮวาก็คงเป็นตัวแทนแห่งความงามที่เปราะบาง (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) รูปภาพจาก: พี่ชายของ Storyฯ เอง Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://news.bjd.com.cn/2022/04/08/10066983.shtml https://www.baike.com/wikiid/4777101092071907963?from=wiki_content&prd=innerlink&view_id=32kicegvg8m000 https://www.163.com/dy/article/HV0LDNRE05418YI9.html #อิงฮวา #ซากุระจีน
    樱花 花开花谢皆诗意的早春花木_北京日报网
    我国野生樱花品种最多 樱属植物广泛分布于北半球的温带与亚热带地区。亚洲、欧洲、北美洲均有分布,但主要集中在东亚地区。中国的西南、华南、长江流域、华北、东北地区,俄罗斯、日本、朝鲜一线,以及缅甸、不丹...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 174 มุมมอง 0 รีวิว
  • 46 ปี สิ้น “แม่ผู้ชุบชีวิตใหม่” ย่าไหล-อุไรวรรณ ศิริโสตร์ วีรสตรีอุบลราชธานี แม่คนที่สองของเชลยศึก 🌺

    ย้อนรำลึกถึงเรื่องราวอันยิ่งใหญ่ของ “ย่าไหล-อุไรวรรณ ศิริโสตร์” วีรสตรีแห่งอุบลราชธานี ผู้เป็นเสมือนแม่คนที่สอง ของเชลยศึกฝ่ายสัมพันธมิตร ในสงครามโลก ครั้งที่สอง บทเรียนแห่งความเมตตาและความกล้าหาญ ที่ควรค่าแก่การจารึกในประวัติศาสตร์

    🌏 เรื่องราวที่โลกต้องไม่ลืม ✨ ถ้าจะพูดถึงสงครามโลก ครั้งที่สอง คนส่วนใหญ่มักนึกถึงความโหดร้าย การสูญเสีย และความพินาศของชีวิตมนุษย์นับล้านคน แต่ในความโหดร้ายนั้น...กลับมีความงดงามของมนุษยธรรม และน้ำใจที่ยิ่งใหญ่เกิดขึ้น เรื่องเล่าของ "ย่าไหล-อุไรวรรณ ศิริโสตร์" วีรสตรีแห่งเมืองอุบลราชธานี คือหนึ่งในเรื่องราวที่โลกต้องจารึก ✍️

    ย่าไหลไม่ได้เป็นนักรบ ไม่ได้มีอาวุธใด ๆ แต่เธอมี “หัวใจ” ที่ยิ่งใหญ่ เธอเป็น “แม่คนที่สอง” ของเชลยศึกสัมพันธมิตร ที่ถูกกักขังในสงครามมหาเอเชียบูรพา ยืนหยัดช่วยเหลือมนุษย์ผู้ตกทุกข์ได้ยาก ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าความตายอยู่ไม่ไกลจากตัวเอง และครอบครัวเลยแม้แต่น้อย...

    🕊️ ย้อนรำลึกเหตุการณ์เมื่อ 46 ปี ที่ผ่านมา เมื่อวันจันทร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2522 โลกได้สูญเสีย “แม่ผู้ชุบชีวิตใหม่” แห่งอุบลราชธานี "ย่าไหล-อุไรวรรณ ศิริโสตร์" ในวัย 86 ปี เหล่าทหารสัมพันธมิตรจากหลายประเทศ อาทิ อังกฤษ, อเมริกา, แคนาดา, ฮอลแลนด์, ออสเตรเลีย, อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ต่างร่วมไว้อาลัยด้วยความอาลัยรัก ❤️ เพราะยาไหลคือคนที่เคยให้ชีวิตใหม่ แก่พวกเขา

    "ย่าไหล-อุไรวรรณ ศิริโสตร์" เป็นหญิงชาวอุบลราชธานีธรรมดา แต่ไม่ธรรมดาในหัวใจ ✨ ถูกกล่าวขานว่าเป็น “แม่ผู้ชุบชีวิตใหม่” เพราะในยามที่ เชลยศึกสัมพันธมิตรหลายพันชีวิต ถูกกักขังอย่างโหดร้ายในจังหวัดอุบลราชธานี ย่าไหลและชาวบ้านกลุ่มเล็ก ๆ กลับไม่ละทิ้งมนุษยธรรม นำอาหาร, ยารักษาโรค, เครื่องนุ่งห่ม และแม้แต่การช่วยเหลือหลบหนี มาให้กับเชลยเหล่านั้น โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใด ๆ 🌾

    🕊️ ความกล้าหาญท่ามกลางความโหดร้าย 🗡️ ย้อนกลับไปในช่วงสงครามมหาเอเชียบูรพา พ.ศ. 2484 - 2488 ญี่ปุ่นได้เข้ายึดประเทศไทย และกักขังเชลยศึกฝ่ายสัมพันธมิตร ไว้จำนวนมาก โดยเฉพาะที่จังหวัดอุบลราชธานี พวกเขาถูกทรมาน, อดอยาก และเผชิญโรคภัยต่าง ๆ ทหารญี่ปุ่นมีบทลงโทษที่โหดเหี้ยม เช่น หากจับได้ว่าใครขโมยน้ำมัน จะถูกกรอกน้ำมันจนตาย หรือขโมยตะปู ก็จะถูกตอกตะปูเข้าขา 😨

    แม้จะรู้ว่าความช่วยเหลือ อาจนำมาซึ่งความตาย แต่ย่าไหลก็ยังคงพายเรือฝ่าฝนฟ้าคะนอง นำเชลยศึกบางคน ที่อ่อนแอป่วยไข้ไปหายารักษา บางคืนถึงกับพาเชลยหนีไปตามแม่น้ำ โดยให้พวกเขาเกาะข้างเรือ ลอยไปในความมืด... ย่าไหลกล่าวไว้ว่า “เราคือข้าของแผ่นดิน จำไว้นะลูก เราต้องมีเมตตา ช่วยเหลือผู้ที่ตกทุกข์ได้ยาก โดยไม่ต้องหวังสิ่งใด ๆ ตอบแทน” 💖

    🌏 อนุสาวรีย์แห่งความดีที่คนทั้งโลกต้องรู้ เพื่อรำลึกถึงความเสียสละ และความเมตตาอันยิ่งใหญ่ ชาวเชลยศึกสัมพันธมิตร จึงร่วมกันสร้าง “อนุสาวรีย์แห่งความดี” (Monument of Merit) ตั้งอยู่ที่ทุ่งศรีเมือง จังหวัดอุบลราชธานี 🏛️ โดยมีการจัดงานรำลึกทุกปีในวันที่ 11 เดือน 11 เวลา 11:11 น. เพื่อยกย่องน้ำใจของชาวอุบลฯ และย่าไหลที่ไม่เลือกฝ่าย แต่เลือกช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์

    🏅พิธีเชิดชูเกียรติ และรางวัลแห่งคุณงามความดี หลังสงครามสิ้นสุดในปี 2488 เหล่าทหารสัมพันธมิตร ได้เชิญย่าไหลไปยังค่ายทหาร ที่สนามบินอุบลราชธานี เพื่อแสดงความขอบคุณแ ละมอบรางวัลเชิดชูเกียรติ รวมถึงสิ่งของและเงินช่วยเหลือ เพื่อเป็นการขอบคุณในน้ำใจอันประเสริฐ 🙏

    ❤️วีรสตรีที่ไม่ได้ถืออาวุธ แต่ถือหัวใจแห่งเมตตา ต่างจากวีรสตรีที่เราคุ้นเคยในประวัติศาสตร์ ย่าไหลไม่ได้เป็นนักรบ แต่เธอคือแม่พระที่ “ให้ชีวิตใหม่” ในยามที่คนหนึ่งไม่มีแม้แต่ความหวัง ในการมีชีวิตรอด... ย่าไหลใช้เพียง “หัวใจ” และ “มือเปล่า” เพื่อหยิบยื่นอาหาร ยารักษาโรค และเสื้อผ้าให้พวกเขา แม้จะเสี่ยงตายก็ไม่หวั่นเกรง 🌿

    คุณธรรมที่ส่งต่อผ่านสายเลือด และจิตวิญญาณ สิ่งที่ย่าไหลทำ ไม่ได้เกิดจากการอยากเป็นวีรสตรี แต่เป็นความเชื่อ และการปลูกฝังจากบรรพบุรุษ “เราคือข้าของแผ่นดิน” คือคำสอนที่แม่ถ่ายทอดสู่ย่าไหล และย่าไหลก็ถ่ายทอดต่อให้ลูกหลานเช่นกัน ✨

    🌾 มรดกทางจิตวิญญาณที่ยังคงอยู่จนถึงวันนี้ เรื่องราวของย่าไหลก ลายเป็นแรงบันดาลใจให้คนรุ่นหลัง เชลยศึกและทายาท ยังคงเดินทางกลับมาอุบลราชธานีทุกปี เพื่อแสดงความเคารพต่อย่าไหล และสร้างความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น ระหว่างชาวอุบลราชธานีและนานาชาติ 🕊️

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 191130 มี.ค. 2568

    #แม่ผู้ชุบชีวิตใหม่ #ย่าไหลอุไรวรรณ #อนุสาวรีย์แห่งความดี #วีรสตรีอุบล #ช่วยเหลือเชลยศึก #ประวัติศาสตร์ไทย #อุบลราชธานี #สงครามโลกครั้งที่2 #มนุษยธรรม #แรงบันดาลใจ
    46 ปี สิ้น “แม่ผู้ชุบชีวิตใหม่” ย่าไหล-อุไรวรรณ ศิริโสตร์ วีรสตรีอุบลราชธานี แม่คนที่สองของเชลยศึก 🌺 ย้อนรำลึกถึงเรื่องราวอันยิ่งใหญ่ของ “ย่าไหล-อุไรวรรณ ศิริโสตร์” วีรสตรีแห่งอุบลราชธานี ผู้เป็นเสมือนแม่คนที่สอง ของเชลยศึกฝ่ายสัมพันธมิตร ในสงครามโลก ครั้งที่สอง บทเรียนแห่งความเมตตาและความกล้าหาญ ที่ควรค่าแก่การจารึกในประวัติศาสตร์ 🌏 เรื่องราวที่โลกต้องไม่ลืม ✨ ถ้าจะพูดถึงสงครามโลก ครั้งที่สอง คนส่วนใหญ่มักนึกถึงความโหดร้าย การสูญเสีย และความพินาศของชีวิตมนุษย์นับล้านคน แต่ในความโหดร้ายนั้น...กลับมีความงดงามของมนุษยธรรม และน้ำใจที่ยิ่งใหญ่เกิดขึ้น เรื่องเล่าของ "ย่าไหล-อุไรวรรณ ศิริโสตร์" วีรสตรีแห่งเมืองอุบลราชธานี คือหนึ่งในเรื่องราวที่โลกต้องจารึก ✍️ ย่าไหลไม่ได้เป็นนักรบ ไม่ได้มีอาวุธใด ๆ แต่เธอมี “หัวใจ” ที่ยิ่งใหญ่ เธอเป็น “แม่คนที่สอง” ของเชลยศึกสัมพันธมิตร ที่ถูกกักขังในสงครามมหาเอเชียบูรพา ยืนหยัดช่วยเหลือมนุษย์ผู้ตกทุกข์ได้ยาก ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าความตายอยู่ไม่ไกลจากตัวเอง และครอบครัวเลยแม้แต่น้อย... 🕊️ ย้อนรำลึกเหตุการณ์เมื่อ 46 ปี ที่ผ่านมา เมื่อวันจันทร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2522 โลกได้สูญเสีย “แม่ผู้ชุบชีวิตใหม่” แห่งอุบลราชธานี "ย่าไหล-อุไรวรรณ ศิริโสตร์" ในวัย 86 ปี เหล่าทหารสัมพันธมิตรจากหลายประเทศ อาทิ อังกฤษ, อเมริกา, แคนาดา, ฮอลแลนด์, ออสเตรเลีย, อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ต่างร่วมไว้อาลัยด้วยความอาลัยรัก ❤️ เพราะยาไหลคือคนที่เคยให้ชีวิตใหม่ แก่พวกเขา "ย่าไหล-อุไรวรรณ ศิริโสตร์" เป็นหญิงชาวอุบลราชธานีธรรมดา แต่ไม่ธรรมดาในหัวใจ ✨ ถูกกล่าวขานว่าเป็น “แม่ผู้ชุบชีวิตใหม่” เพราะในยามที่ เชลยศึกสัมพันธมิตรหลายพันชีวิต ถูกกักขังอย่างโหดร้ายในจังหวัดอุบลราชธานี ย่าไหลและชาวบ้านกลุ่มเล็ก ๆ กลับไม่ละทิ้งมนุษยธรรม นำอาหาร, ยารักษาโรค, เครื่องนุ่งห่ม และแม้แต่การช่วยเหลือหลบหนี มาให้กับเชลยเหล่านั้น โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใด ๆ 🌾 🕊️ ความกล้าหาญท่ามกลางความโหดร้าย 🗡️ ย้อนกลับไปในช่วงสงครามมหาเอเชียบูรพา พ.ศ. 2484 - 2488 ญี่ปุ่นได้เข้ายึดประเทศไทย และกักขังเชลยศึกฝ่ายสัมพันธมิตร ไว้จำนวนมาก โดยเฉพาะที่จังหวัดอุบลราชธานี พวกเขาถูกทรมาน, อดอยาก และเผชิญโรคภัยต่าง ๆ ทหารญี่ปุ่นมีบทลงโทษที่โหดเหี้ยม เช่น หากจับได้ว่าใครขโมยน้ำมัน จะถูกกรอกน้ำมันจนตาย หรือขโมยตะปู ก็จะถูกตอกตะปูเข้าขา 😨 แม้จะรู้ว่าความช่วยเหลือ อาจนำมาซึ่งความตาย แต่ย่าไหลก็ยังคงพายเรือฝ่าฝนฟ้าคะนอง นำเชลยศึกบางคน ที่อ่อนแอป่วยไข้ไปหายารักษา บางคืนถึงกับพาเชลยหนีไปตามแม่น้ำ โดยให้พวกเขาเกาะข้างเรือ ลอยไปในความมืด... ย่าไหลกล่าวไว้ว่า “เราคือข้าของแผ่นดิน จำไว้นะลูก เราต้องมีเมตตา ช่วยเหลือผู้ที่ตกทุกข์ได้ยาก โดยไม่ต้องหวังสิ่งใด ๆ ตอบแทน” 💖 🌏 อนุสาวรีย์แห่งความดีที่คนทั้งโลกต้องรู้ เพื่อรำลึกถึงความเสียสละ และความเมตตาอันยิ่งใหญ่ ชาวเชลยศึกสัมพันธมิตร จึงร่วมกันสร้าง “อนุสาวรีย์แห่งความดี” (Monument of Merit) ตั้งอยู่ที่ทุ่งศรีเมือง จังหวัดอุบลราชธานี 🏛️ โดยมีการจัดงานรำลึกทุกปีในวันที่ 11 เดือน 11 เวลา 11:11 น. เพื่อยกย่องน้ำใจของชาวอุบลฯ และย่าไหลที่ไม่เลือกฝ่าย แต่เลือกช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ 🏅พิธีเชิดชูเกียรติ และรางวัลแห่งคุณงามความดี หลังสงครามสิ้นสุดในปี 2488 เหล่าทหารสัมพันธมิตร ได้เชิญย่าไหลไปยังค่ายทหาร ที่สนามบินอุบลราชธานี เพื่อแสดงความขอบคุณแ ละมอบรางวัลเชิดชูเกียรติ รวมถึงสิ่งของและเงินช่วยเหลือ เพื่อเป็นการขอบคุณในน้ำใจอันประเสริฐ 🙏 ❤️วีรสตรีที่ไม่ได้ถืออาวุธ แต่ถือหัวใจแห่งเมตตา ต่างจากวีรสตรีที่เราคุ้นเคยในประวัติศาสตร์ ย่าไหลไม่ได้เป็นนักรบ แต่เธอคือแม่พระที่ “ให้ชีวิตใหม่” ในยามที่คนหนึ่งไม่มีแม้แต่ความหวัง ในการมีชีวิตรอด... ย่าไหลใช้เพียง “หัวใจ” และ “มือเปล่า” เพื่อหยิบยื่นอาหาร ยารักษาโรค และเสื้อผ้าให้พวกเขา แม้จะเสี่ยงตายก็ไม่หวั่นเกรง 🌿 คุณธรรมที่ส่งต่อผ่านสายเลือด และจิตวิญญาณ สิ่งที่ย่าไหลทำ ไม่ได้เกิดจากการอยากเป็นวีรสตรี แต่เป็นความเชื่อ และการปลูกฝังจากบรรพบุรุษ “เราคือข้าของแผ่นดิน” คือคำสอนที่แม่ถ่ายทอดสู่ย่าไหล และย่าไหลก็ถ่ายทอดต่อให้ลูกหลานเช่นกัน ✨ 🌾 มรดกทางจิตวิญญาณที่ยังคงอยู่จนถึงวันนี้ เรื่องราวของย่าไหลก ลายเป็นแรงบันดาลใจให้คนรุ่นหลัง เชลยศึกและทายาท ยังคงเดินทางกลับมาอุบลราชธานีทุกปี เพื่อแสดงความเคารพต่อย่าไหล และสร้างความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น ระหว่างชาวอุบลราชธานีและนานาชาติ 🕊️ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 191130 มี.ค. 2568 #แม่ผู้ชุบชีวิตใหม่ #ย่าไหลอุไรวรรณ #อนุสาวรีย์แห่งความดี #วีรสตรีอุบล #ช่วยเหลือเชลยศึก #ประวัติศาสตร์ไทย #อุบลราชธานี #สงครามโลกครั้งที่2 #มนุษยธรรม #แรงบันดาลใจ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 318 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปปส. จับนักร้องนำ I-ZAX “แซ็ก-วัชรพล ปานพุ่ม” แกนนำขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติ 🌐⚖️

    ปลุกกระแสวงการเพลงร็อกไทยให้สั่นสะเทือน! ข่าวใหญ่ที่ทุกคนไม่คาดคิด นักร้องนำวงร็อกระดับตำนาน “แซ็ก-วัชรพล ปานพุ่ม” หรือที่รู้จักกันในชื่อ “แซ็ก I-ZAX” ถูกจับในคดีค้ายาเสพติดข้ามชาติ โดยสำนักงาน ป.ป.ส. บุกค้นและยึดของกลาง ยาเสพติดจำนวนมหาศาลที่บ้านพัก สร้างความตกตะลึงให้แฟนเพลง และวงการบันเทิงไทยอีกครั้ง 😱🎤

    📌 จุดเริ่มต้นของการจับกุม ที่สั่นสะเทือนวงการ หน่วยงานความมั่นคงจีน ได้จับกุมคนไทย ที่ลักลอบขนยาเสพติด เข้าไปในประเทศจีน และได้ประสานข้อมูลกับสำนักงาน ป.ป.ส. ไทย อย่างรวดเร็ว ข้อมูลที่ได้ กลายเป็นกุญแจสำคัญ ในการขยายผลสืบสวน จนพบเครือข่ายค้ายาข้ามชาติ ที่มีแกนนำเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง ในวงการบันเทิงไทย

    เมื่อข้อมูลจากจีนถึงมือ ป.ป.ส. ไทย เจ้าหน้าที่จึงเริ่มดำเนินการสืบสวนขยายผล ในเครือข่ายผู้ซื้อ-ผู้ขายผ่านช่องทางออนไลน์ 📱💻 กระทั่งพบเบาะแสที่นำไปสู่การจับกุม “แซ็ก-วัชรพล ปานพุ่ม” ขณะที่แซ็กทำการติดต่อซื้อยาเสพติด ในจังหวะที่เจ้าหน้าที่จับกุมผู้จัดการดารา โดยพบว่าแซ็กมีพฤติกรรมเกี่ยวข้อง กับการค้ายาอย่างต่อเนื่อง และเป็นขาประจำในวงการนี้มานานแล้ว

    🚨 ภารกิจบุกค้นจับกุม! พบของกลางยาเสพติดเพียบ ป.ป.ส. พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปฏิบัติการพิเศษ ได้เข้าตรวจค้นบ้านพักของ “แซ็ก I-ZAX” และตรวจยึดของกลาง เป็นยาเสพติดหลายประเภท ทั้ง

    - ยาบ้า
    - ไอซ์ เมทแอมเฟตามีน พิ้งค์โกลด์ สีทอง
    - เอ็กซ์ตาซี
    - เคตามีน
    - MDMA

    รวมไปถึงอุปกรณ์เสพ และชั่งตวงวัดน้ำหนักยา ที่บ่งชี้ถึงการกระจายสินค้า ในระดับแกนนำหัวจ่าย ของขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติ 🚔📦

    การค้นพบครั้งนี้ ไม่เพียงแต่ทำให้ชื่อของ “แซ็ก I-ZAX” ติดอันดับข่าวหน้าหนึ่งเท่านั้น แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นของการขยายผล เพื่อจับกุมศิลปิน และดาราในวงการบันเทิง ที่เกี่ยวข้องกับการเสพ และค้ายาอีกหลายราย 🎭💊

    🎸 จากตำนานวงร็อก สู่ขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติ เส้นทางศิลปินของ I-ZAX วงดนตรีขวัญใจวัยรุ่นยุค 2000 ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2545 ในนาม ไอ-แซ็ก (I-ZAX)

    สมาชิกดั้งเดิม 5 คน ได้แก่
    - พัชรพล ปานพุ่ม หรือแซ็ก นักร้องนำ
    - พงศภัค ทองเจริญ หรือเพชร มือกีตาร์
    - ชัชวาล พูลผล หรือชัช มือเบส
    - จาตุรงค์ เนื่องจำนงค์ หรือจา มือกลอง
    - คำรณ เต่าทอง หรือยา มือคีย์บอร์ด

    มีผลงานอัลบั้มดัง เช่น
    🎶 คนรักกัน (2545)
    🎶 ใจถึงใจ (2547)
    🎶 Tag Team (2549)

    เพลงฮิตระดับชาติอย่าง "ดอกไม้กับหัวใจ", "ปวดใจ" และ "เขียนใจให้เป็นเพลง" เคยทำให้ “แซ็ก” กลายเป็นขวัญใจแฟนเพลงทั่วประเทศ

    🕵️‍♂️ ความจริงอีกด้าน ที่ซ่อนอยู่หลังไมค์ หลังจากห่างหายไปจากวงการเพลง เนื่องจากอาการป่วยไทรอยด์เป็นพิษ แซ็กได้กลับมาร่วมรายการ The Mask Mirror ในปี 2562 ใต้หน้ากาก “น้ำพริกหมู” พร้อมเล่าประสบการณ์ ที่ทุกข์ทรมานจากโรคร้าย จนแฟนเพลงหลายคน ต่างสงสารและเห็นใจ ❤️‍🩹

    แต่เบื้องหลังชีวิตใหม่ ที่ดูเหมือนจะสดใส กลับมีความลับมืดดำซ่อนอยู่! จากการสืบสวนพบว่า แซ็กกลับเข้าไปพัวพัน กับเครือข่ายยาเสพติดอีกครั้ง และในฐานะ “แกนนำระดับหัวจ่าย” ซึ่งมีเครือข่ายลูกค้ามากมาย รวมถึงศิลปิน และดาราในวงการบันเทิงด้วย 💼💸

    ⚖️ ผลกระทบต่อวงการบันเทิง และดนตรีไทย การจับกุมแซ็กในครั้งนี้ ไม่เพียงทำให้วงการเพลงสะเทือนเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญญาณเตือนแรง ถึงวงการบันเทิงไทยว่า ยาเสพติดยังคงเป็นภัยร้าย ที่แฝงตัวในทุกแวดวงสังคม 🚫💉

    ป.ป.ส. เตรียมขยายผลการจับกุม ไปยังเครือข่ายดารา-ศิลปิน ที่เกี่ยวข้องกับแซ็ก I-ZAX อย่างละเอียด และจะมีการออกหมายจับเพิ่มเติม ในเร็ววันนี้

    📢 ยาเสพติดไม่เพียงแต่ ทำลายชีวิตของผู้ใช้เท่านั้น แต่ยังทำลายอนาคต สังคม และครอบครัวอีกด้วย ❌🧬 โทษจำคุกสูงสุดถึง โทษประหารชีวิต การครอบครองยาเสพติดประเภท 1 เช่น ไอซ์, เฮโรอีน, MDMA การจำหน่ายหรือผลิต มีโทษหนักทั้งจำคุกตลอดชีวิต และโทษปรับมหาศาล

    การเลือกเดินทางผิดของแซ็ก I-ZAX ถือเป็นกรณีศึกษาเตือนใจทุกคน ที่อาจหลงผิดในเส้นทางอันตรายนี้ 🛑

    🛡️ สรุปบทเรียนจากคดี “แซ็ก I-ZAX” เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
    ✅ ไม่มีใครหนีพ้นความยุติธรรม
    ✅ ชื่อเสียงและความสำเร็จ ไม่ได้ช่วยปกป้องจากผลของการกระทำผิด
    ✅ วงการบันเทิงควรมีการตรวจสอบภายใน และให้ความสำคัญกับสุขภาพจิต และจริยธรรมของศิลปิน

    ✍️ การจับกุม “แซ็ก-วัชรพล ปานพุ่ม” ถือเป็นข่าวใหญ่ที่สะท้อนปัญหาลึก ในสังคมบันเทิงไทย วง I-ZAX ที่เคยเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นใหม่ กลับกลายเป็นข่าวฉาวระดับชาติ สังคมจึงควรตระหนัก และร่วมมือกันต่อต้านยาเสพติดในทุกมิติ 🚫🕊️

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 181605 มี.ค. 2568

    📌 #แซ็กIZAX #ค้ายาเสพติด #ปปสจับแซ็ก #ข่าวดารา #ข่าวดังวันนี้ #IZAXวงร็อก #ข่าววงการเพลง #ยาเสพติดข้ามชาติ #ข่าวด่วนไทย #จับกุมนักร้องดัง
    ปปส. จับนักร้องนำ I-ZAX “แซ็ก-วัชรพล ปานพุ่ม” แกนนำขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติ 🌐⚖️ ปลุกกระแสวงการเพลงร็อกไทยให้สั่นสะเทือน! ข่าวใหญ่ที่ทุกคนไม่คาดคิด นักร้องนำวงร็อกระดับตำนาน “แซ็ก-วัชรพล ปานพุ่ม” หรือที่รู้จักกันในชื่อ “แซ็ก I-ZAX” ถูกจับในคดีค้ายาเสพติดข้ามชาติ โดยสำนักงาน ป.ป.ส. บุกค้นและยึดของกลาง ยาเสพติดจำนวนมหาศาลที่บ้านพัก สร้างความตกตะลึงให้แฟนเพลง และวงการบันเทิงไทยอีกครั้ง 😱🎤 📌 จุดเริ่มต้นของการจับกุม ที่สั่นสะเทือนวงการ หน่วยงานความมั่นคงจีน ได้จับกุมคนไทย ที่ลักลอบขนยาเสพติด เข้าไปในประเทศจีน และได้ประสานข้อมูลกับสำนักงาน ป.ป.ส. ไทย อย่างรวดเร็ว ข้อมูลที่ได้ กลายเป็นกุญแจสำคัญ ในการขยายผลสืบสวน จนพบเครือข่ายค้ายาข้ามชาติ ที่มีแกนนำเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง ในวงการบันเทิงไทย เมื่อข้อมูลจากจีนถึงมือ ป.ป.ส. ไทย เจ้าหน้าที่จึงเริ่มดำเนินการสืบสวนขยายผล ในเครือข่ายผู้ซื้อ-ผู้ขายผ่านช่องทางออนไลน์ 📱💻 กระทั่งพบเบาะแสที่นำไปสู่การจับกุม “แซ็ก-วัชรพล ปานพุ่ม” ขณะที่แซ็กทำการติดต่อซื้อยาเสพติด ในจังหวะที่เจ้าหน้าที่จับกุมผู้จัดการดารา โดยพบว่าแซ็กมีพฤติกรรมเกี่ยวข้อง กับการค้ายาอย่างต่อเนื่อง และเป็นขาประจำในวงการนี้มานานแล้ว 🚨 ภารกิจบุกค้นจับกุม! พบของกลางยาเสพติดเพียบ ป.ป.ส. พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปฏิบัติการพิเศษ ได้เข้าตรวจค้นบ้านพักของ “แซ็ก I-ZAX” และตรวจยึดของกลาง เป็นยาเสพติดหลายประเภท ทั้ง - ยาบ้า - ไอซ์ เมทแอมเฟตามีน พิ้งค์โกลด์ สีทอง - เอ็กซ์ตาซี - เคตามีน - MDMA รวมไปถึงอุปกรณ์เสพ และชั่งตวงวัดน้ำหนักยา ที่บ่งชี้ถึงการกระจายสินค้า ในระดับแกนนำหัวจ่าย ของขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติ 🚔📦 การค้นพบครั้งนี้ ไม่เพียงแต่ทำให้ชื่อของ “แซ็ก I-ZAX” ติดอันดับข่าวหน้าหนึ่งเท่านั้น แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นของการขยายผล เพื่อจับกุมศิลปิน และดาราในวงการบันเทิง ที่เกี่ยวข้องกับการเสพ และค้ายาอีกหลายราย 🎭💊 🎸 จากตำนานวงร็อก สู่ขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติ เส้นทางศิลปินของ I-ZAX วงดนตรีขวัญใจวัยรุ่นยุค 2000 ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2545 ในนาม ไอ-แซ็ก (I-ZAX) สมาชิกดั้งเดิม 5 คน ได้แก่ - พัชรพล ปานพุ่ม หรือแซ็ก นักร้องนำ - พงศภัค ทองเจริญ หรือเพชร มือกีตาร์ - ชัชวาล พูลผล หรือชัช มือเบส - จาตุรงค์ เนื่องจำนงค์ หรือจา มือกลอง - คำรณ เต่าทอง หรือยา มือคีย์บอร์ด มีผลงานอัลบั้มดัง เช่น 🎶 คนรักกัน (2545) 🎶 ใจถึงใจ (2547) 🎶 Tag Team (2549) เพลงฮิตระดับชาติอย่าง "ดอกไม้กับหัวใจ", "ปวดใจ" และ "เขียนใจให้เป็นเพลง" เคยทำให้ “แซ็ก” กลายเป็นขวัญใจแฟนเพลงทั่วประเทศ 🕵️‍♂️ ความจริงอีกด้าน ที่ซ่อนอยู่หลังไมค์ หลังจากห่างหายไปจากวงการเพลง เนื่องจากอาการป่วยไทรอยด์เป็นพิษ แซ็กได้กลับมาร่วมรายการ The Mask Mirror ในปี 2562 ใต้หน้ากาก “น้ำพริกหมู” พร้อมเล่าประสบการณ์ ที่ทุกข์ทรมานจากโรคร้าย จนแฟนเพลงหลายคน ต่างสงสารและเห็นใจ ❤️‍🩹 แต่เบื้องหลังชีวิตใหม่ ที่ดูเหมือนจะสดใส กลับมีความลับมืดดำซ่อนอยู่! จากการสืบสวนพบว่า แซ็กกลับเข้าไปพัวพัน กับเครือข่ายยาเสพติดอีกครั้ง และในฐานะ “แกนนำระดับหัวจ่าย” ซึ่งมีเครือข่ายลูกค้ามากมาย รวมถึงศิลปิน และดาราในวงการบันเทิงด้วย 💼💸 ⚖️ ผลกระทบต่อวงการบันเทิง และดนตรีไทย การจับกุมแซ็กในครั้งนี้ ไม่เพียงทำให้วงการเพลงสะเทือนเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญญาณเตือนแรง ถึงวงการบันเทิงไทยว่า ยาเสพติดยังคงเป็นภัยร้าย ที่แฝงตัวในทุกแวดวงสังคม 🚫💉 ป.ป.ส. เตรียมขยายผลการจับกุม ไปยังเครือข่ายดารา-ศิลปิน ที่เกี่ยวข้องกับแซ็ก I-ZAX อย่างละเอียด และจะมีการออกหมายจับเพิ่มเติม ในเร็ววันนี้ 📢 ยาเสพติดไม่เพียงแต่ ทำลายชีวิตของผู้ใช้เท่านั้น แต่ยังทำลายอนาคต สังคม และครอบครัวอีกด้วย ❌🧬 โทษจำคุกสูงสุดถึง โทษประหารชีวิต การครอบครองยาเสพติดประเภท 1 เช่น ไอซ์, เฮโรอีน, MDMA การจำหน่ายหรือผลิต มีโทษหนักทั้งจำคุกตลอดชีวิต และโทษปรับมหาศาล การเลือกเดินทางผิดของแซ็ก I-ZAX ถือเป็นกรณีศึกษาเตือนใจทุกคน ที่อาจหลงผิดในเส้นทางอันตรายนี้ 🛑 🛡️ สรุปบทเรียนจากคดี “แซ็ก I-ZAX” เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ✅ ไม่มีใครหนีพ้นความยุติธรรม ✅ ชื่อเสียงและความสำเร็จ ไม่ได้ช่วยปกป้องจากผลของการกระทำผิด ✅ วงการบันเทิงควรมีการตรวจสอบภายใน และให้ความสำคัญกับสุขภาพจิต และจริยธรรมของศิลปิน ✍️ การจับกุม “แซ็ก-วัชรพล ปานพุ่ม” ถือเป็นข่าวใหญ่ที่สะท้อนปัญหาลึก ในสังคมบันเทิงไทย วง I-ZAX ที่เคยเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นใหม่ กลับกลายเป็นข่าวฉาวระดับชาติ สังคมจึงควรตระหนัก และร่วมมือกันต่อต้านยาเสพติดในทุกมิติ 🚫🕊️ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 181605 มี.ค. 2568 📌 #แซ็กIZAX #ค้ายาเสพติด #ปปสจับแซ็ก #ข่าวดารา #ข่าวดังวันนี้ #IZAXวงร็อก #ข่าววงการเพลง #ยาเสพติดข้ามชาติ #ข่าวด่วนไทย #จับกุมนักร้องดัง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 430 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวนี้เล่าถึงความสำเร็จครั้งใหญ่ของนักวิจัยด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ Yohanes Nugroho ผู้ที่ได้พัฒนาเครื่องมือถอดรหัสสำหรับ Akira Ransomware ในระบบ Linux โดยใช้ประโยชน์จากพลังการประมวลผลของ GPU ซึ่งช่วยแก้ไขปัญหาการเข้ารหัสไฟล์ที่เคยเป็นเรื่องยากให้สามารถปลดล็อกได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว

    รายละเอียดที่น่าสนใจเกี่ยวกับเครื่องมือถอดรหัสนี้:

    1) กลไกการถอดรหัส เครื่องมือนี้อาศัยการคำนวณแบบ brute-force โดยใช้ GPU เพื่อค้นหากุญแจถอดรหัส โดยอาศัยช่องโหว่ของ Akira Ransomware ที่สร้างกุญแจเข้ารหัสจาก เวลาในหน่วยนาโนวินาที ซึ่งช่วยลดขอบเขตของความเป็นไปได้ในการค้นหา

    2) ความซับซ้อนในงานวิจัย Nugroho ใช้เวลา 3 สัปดาห์ในการพัฒนาเครื่องมือและลงทุนกว่า $1,200 สำหรับการเช่า GPU ที่ทรงพลัง เช่น RTX 4090 เพื่อทำการถอดรหัสกุญแจผ่านการประมวลผลที่มีศักยภาพสูง โดยใช้ GPU 16 ตัวพร้อมกัน ผลลัพธ์สามารถปลดล็อกไฟล์ได้ในเวลาประมาณ 10 ชั่วโมง

    3) ผลลัพธ์และการพัฒนาเพิ่มเติม แม้เครื่องมือดังกล่าวจะได้รับการเผยแพร่บน GitHub เพื่อให้ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อสามารถนำไปใช้ได้ แต่ยังมีช่องว่างสำหรับผู้เชี่ยวชาญด้าน GPU ในการปรับปรุงโค้ดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้ดียิ่งขึ้น

    งานวิจัยนี้ไม่เพียงช่วยให้เหยื่อสามารถกู้คืนไฟล์ได้ฟรี แต่ยังสร้างแรงบันดาลใจให้กับชุมชนผู้พัฒนาเครื่องมือความปลอดภัยในการปรับปรุงเทคนิคถอดรหัสมัลแวร์ให้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นการส่งสัญญาณถึงผู้พัฒนามัลแวร์ว่า การออกแบบที่ขาดความรอบคอบอาจถูกใช้เป็นจุดอ่อนในการแก้ไขได้

    https://www.bleepingcomputer.com/news/security/gpu-powered-akira-ransomware-decryptor-released-on-github/
    ข่าวนี้เล่าถึงความสำเร็จครั้งใหญ่ของนักวิจัยด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ Yohanes Nugroho ผู้ที่ได้พัฒนาเครื่องมือถอดรหัสสำหรับ Akira Ransomware ในระบบ Linux โดยใช้ประโยชน์จากพลังการประมวลผลของ GPU ซึ่งช่วยแก้ไขปัญหาการเข้ารหัสไฟล์ที่เคยเป็นเรื่องยากให้สามารถปลดล็อกได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว รายละเอียดที่น่าสนใจเกี่ยวกับเครื่องมือถอดรหัสนี้: 1) กลไกการถอดรหัส เครื่องมือนี้อาศัยการคำนวณแบบ brute-force โดยใช้ GPU เพื่อค้นหากุญแจถอดรหัส โดยอาศัยช่องโหว่ของ Akira Ransomware ที่สร้างกุญแจเข้ารหัสจาก เวลาในหน่วยนาโนวินาที ซึ่งช่วยลดขอบเขตของความเป็นไปได้ในการค้นหา 2) ความซับซ้อนในงานวิจัย Nugroho ใช้เวลา 3 สัปดาห์ในการพัฒนาเครื่องมือและลงทุนกว่า $1,200 สำหรับการเช่า GPU ที่ทรงพลัง เช่น RTX 4090 เพื่อทำการถอดรหัสกุญแจผ่านการประมวลผลที่มีศักยภาพสูง โดยใช้ GPU 16 ตัวพร้อมกัน ผลลัพธ์สามารถปลดล็อกไฟล์ได้ในเวลาประมาณ 10 ชั่วโมง 3) ผลลัพธ์และการพัฒนาเพิ่มเติม แม้เครื่องมือดังกล่าวจะได้รับการเผยแพร่บน GitHub เพื่อให้ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อสามารถนำไปใช้ได้ แต่ยังมีช่องว่างสำหรับผู้เชี่ยวชาญด้าน GPU ในการปรับปรุงโค้ดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้ดียิ่งขึ้น งานวิจัยนี้ไม่เพียงช่วยให้เหยื่อสามารถกู้คืนไฟล์ได้ฟรี แต่ยังสร้างแรงบันดาลใจให้กับชุมชนผู้พัฒนาเครื่องมือความปลอดภัยในการปรับปรุงเทคนิคถอดรหัสมัลแวร์ให้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นการส่งสัญญาณถึงผู้พัฒนามัลแวร์ว่า การออกแบบที่ขาดความรอบคอบอาจถูกใช้เป็นจุดอ่อนในการแก้ไขได้ https://www.bleepingcomputer.com/news/security/gpu-powered-akira-ransomware-decryptor-released-on-github/
    WWW.BLEEPINGCOMPUTER.COM
    New Akira ransomware decryptor cracks encryptions keys using GPUs
    Security researcher Yohanes Nugroho has released a decryptor for the Linux variant of Akira ransomware, which utilizes GPU power to retrieve the decryption key and unlock files for free.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 295 มุมมอง 0 รีวิว
  • 30 ปี สิ้นดาราดาวรุ่ง “ธรรม์ โทณะวณิก” ดิ่งคอนโด 16 ชั้น ปมเสียชีวิตยังคงเป็นปริศนา

    🌟 ย้อนรำลึกถึงดาวที่ลับฟ้า กับความจริงที่ยังไม่คลี่คลาย 🌟

    📝 ดาวรุ่งผู้จากไป กับคำถามที่ยังไร้คำตอบ ย้อนไปในค่ำคืนอันเงียบงัน กลางดึกวันพฤหัสบดีที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2538 เวลาห้าทุ่ม 🌌 ทั่วทั้งวงการบันเทิงไทย ต้องเผชิญความสูญเสียครั้งใหญ่ เมื่อ “ธรรม์ โทณะวณิก” ดาราหนุ่มดาวรุ่งวัยเพียง 20 ปี ตกจากดาดฟ้าคอนโดสูง 16 ชั้น ที่อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี เสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ ‼️

    เหตุการณ์ครั้งนั้น ยังคงฝังใจผู้คนที่ติดตามข่าวสาร ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะคำถามที่ยังไม่มีคำตอบถึง "สาเหตุการเสียชีวิต" ว่าคืออุบัติเหตุ อาการซึมเศร้า หรืออาจมีเงื่อนงำบางอย่างซ่อนอยู่?

    👦🏻 "ธรรม์ โทณะวณิก" ชื่อเล่นว่า ธรรม์ เป็นที่รู้จักในฐานะ นักแสดงและนายแบบชาวไทย ที่มีพรสวรรค์และอนาคตสดใสรออยู่ข้างหน้า เกิดและเติบโตที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา

    ธรรม์เป็นบุตรชายของ
    👨‍⚕️ นายแพทย์วิรุณ โทณะวณิก
    ✍🏻 นางอิราวดี นวมานนท์ หรือที่รู้จักกันในชื่อ น้ำอบ นักเขียนชื่อดังระดับตำนาน ผู้เขียนนวนิยายเรื่อง “คือหัตถาครองพิภพ” ที่มีตัวละครสำคัญชื่อ “พจน์” ซึ่งเธอได้แรงบันดาลใจ จากบุคลิกของลูกชายคนนี้เอง

    🎥 จุดเริ่มต้นในวงการบันเทิง ธรรม์เริ่มเข้าสู่วงการตั้งแต่เด็ก ด้วยงานถ่ายแบบในปี พ.ศ. 2527 ในนิตยสาร "สตรีสาร" แต่สิ่งที่ทำให้แจ้งเกิดอย่างเต็มตัว คือบทพระเอกในภาพยนตร์ "กระโปรงบานขาสั้น" ปี พ.ศ. 2537 โดยประกบคู่กับนางเอก "ธัญญาเรศ รามณรงค์"

    🎬 ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดย "ชาติชาย แก้วสว่าง" ผู้กำกับหน้าใหม่ในขณะนั้น แต่กลับพาธรรม์ขึ้นสู่จุดสูงสุดในฐานะ "พระเอกขวัญใจวัยรุ่น" แห่งยุค 90’s

    📚 เส้นทางสายบันเทิง และชีวิตส่วนตัวที่หลายคนไม่เคยรู้

    ✨ ผลงานสร้างชื่อ ธรรม์กลายเป็นขวัญใจวัยรุ่น มีผลงานทั้งในจอเงินและจอแก้ว เช่น
    - กระโปรงบานขาสั้น
    - ม.6/2 ห้องครูวารี
    - กระโปรงบานขาสั้น เทอม 2 ตอนแอบดูบาร์บีคิว
    - ขอเก็บหัวใจเธอไว้คนเดียว
    - สมศรี 422R ภาค 3 โปรแกรม D ปีนี้มีน้อง

    📸 นายแบบยอดนิยม ธรรม์ขึ้นปกนิตยสารวัยรุ่นหลายเล่ม โดยเฉพาะ "เธอกับฉัน" ปี พ.ศ. 2536 ซึ่งธรรม์ได้รับตำแหน่ง "หนุ่มช่างฝันกิตติมศักดิ์" ด้วยคะแนนโหวตถล่มทลาย 💫

    แฟนคลับในยุคนั้น ต่างหลงใหลในความหล่อเหลา และบุคลิกที่อบอุ่นเป็นกันเอง

    ❤️ รักแรกและรักเดียว ธรรม์มีแฟนสาวนอกวงการชื่อ น้ำฝน หรือเบญจพร ตังคานุกูลกิจ คบหากันตั้งแต่เรียนที่ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า ต่อเนื่องมาจนถึงช่วงที่ทั้งคู่ กำลังศึกษาอยู่ที่ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (ABAC)

    ความรักที่ดูเรียบง่ายและมั่นคงนี้เอง ที่ทำให้หลายคนเชื่อว่า ธรรม์ไม่มีเหตุผลที่จะคิดสั้น...

    🚨 คืนสุดท้ายก่อนเสียชีวิต เหตุการณ์ที่ไม่มีใครลืม กลางดึกคืนวันพฤหัสบดีที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2538 เวลา 23.00 น. ธรรม์พลัดตกจากดาดฟ้าคอนโด "ซีเอ็นพี คอนโดมิเนียม" ชั้น 16 ที่พักอาศัยของธรรม์ ในอำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี

    🏢 ธรรม์ตกลงมากระแทกหลังคาบ้านเช่าหลังหนึ่ง โดยที่ "ทองม้วน พุ่มฉัตร" หญิงสาวที่เป็นแฟนคลับกำลังนอนพักผ่อนอยู่ ได้รับบาดเจ็บที่ขาขวา

    👉🏻 ชันสูตรพบว่า ธรรม์ไม่มีสารเสพติดในร่างกาย และไม่มีร่องรอยการต่อสู้ หรือถูกทำร้ายร่างกาย

    🕵️‍♂️ ปมปริศนา
    - อุบัติเหตุพลัดตก?
    - เมาสุราจนเสียการทรงตัว?
    - มีคนจงใจทำให้ต้องตกลงมา?

    ไม่มีใครรู้ความจริง!

    💬 คำพูดสุดท้ายของ “น้ำอบ” มารดาธรรม์ “ธรรม์ไม่มีวันฆ่าตัวตาย! เพราะยังสัญญากับแม่ว่า จะดูละครตอนแรกด้วยกัน และธรรม์ไม่เคยผิดสัญญา...”

    คำพูดนี้จาก "น้ำอบ" ผู้เป็นแม่ ยังคงสะเทือนใจแฟนคลับและสังคมจนถึงทุกวันนี้

    👉🏻 หลายคนเชื่อว่า ธรรม์อาจถูกฆาตกรรม!

    🔍 สาเหตุการเสียชีวิต อุบัติเหตุ หรือฆาตกรรม?
    1️⃣ อุบัติเหตุ บางคนตั้งข้อสันนิษฐานว่า ธรรม์อาจขึ้นไปบนดาดฟ้า เพื่อลดความเครียด สูบบุหรี่ และอาจเผลอพลัดตกลงมา โดยไม่ตั้งใจ

    2️⃣ ฆ่าตัวตาย ข่าวลือในขณะนั้นเล่าว่า ธรรม์มีความเครียดจากชีวิตการทำงาน และเรื่องส่วนตัว แต่ครอบครัวและคนสนิท ต่างปฏิเสธว่าไม่มีพฤติกรรม หรืออาการซึมเศร้า

    3️⃣ ฆาตกรรม ความสงสัยที่ไม่เคยจางหาย... ใครอยู่กับธรรม์ในคืนนั้น? และมีใครได้ยินหรือเห็นอะไรผิดปกติหรือไม่?

    หลายคนยังเชื่อว่า ธรรม์อาจถูกทำให้ตกลงมาอย่างตั้งใจ 😰

    🕰️ 30 ปีผ่านไป ความจริงที่ยังไม่ถูกเปิดเผย แม้เวลาจะผ่านไปกว่า 30 ปี แต่คดีนี้ยังคงไร้บทสรุปชัดเจน 📆

    🔸 ไม่มีพยานหลักฐานใหม่
    🔸 ไม่มีผู้ต้องสงสัยที่ถูกดำเนินคดี
    🔸 ไม่มีคำอธิบายใดๆ จากผู้เกี่ยวข้อง

    ทุกอย่างยังคงเป็นปริศนา ที่ไม่มีใครสามารถคลี่คลายได้...

    🎬 มรดกทางจิตใจ และผลงานที่ธรรม์ทิ้งไว้ แม้ชีวิตของธรรม์จะจบลงในวัยเพียง 20 ปี แต่ผลงานของธรรม์ ยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นใหม่

    ✨ คือตัวแทนของยุคทองวงการบันเทิงไทย
    ✨ คือความทรงจำของใครหลายคน ที่ไม่เคยเลือนหาย

    “ธรรม์ โทณะวณิก ยังอยู่ในหัวใจแฟนคลับเสมอ” ❤️

    📌 “ธรรม์ โทณะวณิก” ตำนานที่ไม่มีวันลืม 30 ปีผ่านไป เหตุการณ์ครั้งนั้นยังคงเป็นปริศนา ที่ก้องอยู่ในใจของแฟนๆ และผู้ติดตามข่าวสาร หลายคนอาจยังคงสงสัย ในชะตากรรมของดาวรุ่งผู้นี้ แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยน คือความทรงจำที่สวยงาม และผลงานที่ธรรม์ได้ทิ้งไว้ให้คนไทย

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 161024 มี.ค. 2568

    📲 #ธรรม์โทณะวณิก #ดารายุค90 #คดีดังในอดีต #ดาราไทยเสียชีวิต #ปริศนาดารา #วงการบันเทิงไทย #ข่าวบันเทิงย้อนหลัง #ดาวรุ่งดวงดับ #ตำนานดาราไทย #ซีเอ็นพีคอนโด
    30 ปี สิ้นดาราดาวรุ่ง “ธรรม์ โทณะวณิก” ดิ่งคอนโด 16 ชั้น ปมเสียชีวิตยังคงเป็นปริศนา 🌟 ย้อนรำลึกถึงดาวที่ลับฟ้า กับความจริงที่ยังไม่คลี่คลาย 🌟 📝 ดาวรุ่งผู้จากไป กับคำถามที่ยังไร้คำตอบ ย้อนไปในค่ำคืนอันเงียบงัน กลางดึกวันพฤหัสบดีที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2538 เวลาห้าทุ่ม 🌌 ทั่วทั้งวงการบันเทิงไทย ต้องเผชิญความสูญเสียครั้งใหญ่ เมื่อ “ธรรม์ โทณะวณิก” ดาราหนุ่มดาวรุ่งวัยเพียง 20 ปี ตกจากดาดฟ้าคอนโดสูง 16 ชั้น ที่อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี เสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ ‼️ เหตุการณ์ครั้งนั้น ยังคงฝังใจผู้คนที่ติดตามข่าวสาร ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะคำถามที่ยังไม่มีคำตอบถึง "สาเหตุการเสียชีวิต" ว่าคืออุบัติเหตุ อาการซึมเศร้า หรืออาจมีเงื่อนงำบางอย่างซ่อนอยู่? 👦🏻 "ธรรม์ โทณะวณิก" ชื่อเล่นว่า ธรรม์ เป็นที่รู้จักในฐานะ นักแสดงและนายแบบชาวไทย ที่มีพรสวรรค์และอนาคตสดใสรออยู่ข้างหน้า เกิดและเติบโตที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ธรรม์เป็นบุตรชายของ 👨‍⚕️ นายแพทย์วิรุณ โทณะวณิก ✍🏻 นางอิราวดี นวมานนท์ หรือที่รู้จักกันในชื่อ น้ำอบ นักเขียนชื่อดังระดับตำนาน ผู้เขียนนวนิยายเรื่อง “คือหัตถาครองพิภพ” ที่มีตัวละครสำคัญชื่อ “พจน์” ซึ่งเธอได้แรงบันดาลใจ จากบุคลิกของลูกชายคนนี้เอง 🎥 จุดเริ่มต้นในวงการบันเทิง ธรรม์เริ่มเข้าสู่วงการตั้งแต่เด็ก ด้วยงานถ่ายแบบในปี พ.ศ. 2527 ในนิตยสาร "สตรีสาร" แต่สิ่งที่ทำให้แจ้งเกิดอย่างเต็มตัว คือบทพระเอกในภาพยนตร์ "กระโปรงบานขาสั้น" ปี พ.ศ. 2537 โดยประกบคู่กับนางเอก "ธัญญาเรศ รามณรงค์" 🎬 ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดย "ชาติชาย แก้วสว่าง" ผู้กำกับหน้าใหม่ในขณะนั้น แต่กลับพาธรรม์ขึ้นสู่จุดสูงสุดในฐานะ "พระเอกขวัญใจวัยรุ่น" แห่งยุค 90’s 📚 เส้นทางสายบันเทิง และชีวิตส่วนตัวที่หลายคนไม่เคยรู้ ✨ ผลงานสร้างชื่อ ธรรม์กลายเป็นขวัญใจวัยรุ่น มีผลงานทั้งในจอเงินและจอแก้ว เช่น - กระโปรงบานขาสั้น - ม.6/2 ห้องครูวารี - กระโปรงบานขาสั้น เทอม 2 ตอนแอบดูบาร์บีคิว - ขอเก็บหัวใจเธอไว้คนเดียว - สมศรี 422R ภาค 3 โปรแกรม D ปีนี้มีน้อง 📸 นายแบบยอดนิยม ธรรม์ขึ้นปกนิตยสารวัยรุ่นหลายเล่ม โดยเฉพาะ "เธอกับฉัน" ปี พ.ศ. 2536 ซึ่งธรรม์ได้รับตำแหน่ง "หนุ่มช่างฝันกิตติมศักดิ์" ด้วยคะแนนโหวตถล่มทลาย 💫 แฟนคลับในยุคนั้น ต่างหลงใหลในความหล่อเหลา และบุคลิกที่อบอุ่นเป็นกันเอง ❤️ รักแรกและรักเดียว ธรรม์มีแฟนสาวนอกวงการชื่อ น้ำฝน หรือเบญจพร ตังคานุกูลกิจ คบหากันตั้งแต่เรียนที่ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า ต่อเนื่องมาจนถึงช่วงที่ทั้งคู่ กำลังศึกษาอยู่ที่ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (ABAC) ความรักที่ดูเรียบง่ายและมั่นคงนี้เอง ที่ทำให้หลายคนเชื่อว่า ธรรม์ไม่มีเหตุผลที่จะคิดสั้น... 🚨 คืนสุดท้ายก่อนเสียชีวิต เหตุการณ์ที่ไม่มีใครลืม กลางดึกคืนวันพฤหัสบดีที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2538 เวลา 23.00 น. ธรรม์พลัดตกจากดาดฟ้าคอนโด "ซีเอ็นพี คอนโดมิเนียม" ชั้น 16 ที่พักอาศัยของธรรม์ ในอำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี 🏢 ธรรม์ตกลงมากระแทกหลังคาบ้านเช่าหลังหนึ่ง โดยที่ "ทองม้วน พุ่มฉัตร" หญิงสาวที่เป็นแฟนคลับกำลังนอนพักผ่อนอยู่ ได้รับบาดเจ็บที่ขาขวา 👉🏻 ชันสูตรพบว่า ธรรม์ไม่มีสารเสพติดในร่างกาย และไม่มีร่องรอยการต่อสู้ หรือถูกทำร้ายร่างกาย 🕵️‍♂️ ปมปริศนา - อุบัติเหตุพลัดตก? - เมาสุราจนเสียการทรงตัว? - มีคนจงใจทำให้ต้องตกลงมา? ไม่มีใครรู้ความจริง! 💬 คำพูดสุดท้ายของ “น้ำอบ” มารดาธรรม์ “ธรรม์ไม่มีวันฆ่าตัวตาย! เพราะยังสัญญากับแม่ว่า จะดูละครตอนแรกด้วยกัน และธรรม์ไม่เคยผิดสัญญา...” คำพูดนี้จาก "น้ำอบ" ผู้เป็นแม่ ยังคงสะเทือนใจแฟนคลับและสังคมจนถึงทุกวันนี้ 👉🏻 หลายคนเชื่อว่า ธรรม์อาจถูกฆาตกรรม! 🔍 สาเหตุการเสียชีวิต อุบัติเหตุ หรือฆาตกรรม? 1️⃣ อุบัติเหตุ บางคนตั้งข้อสันนิษฐานว่า ธรรม์อาจขึ้นไปบนดาดฟ้า เพื่อลดความเครียด สูบบุหรี่ และอาจเผลอพลัดตกลงมา โดยไม่ตั้งใจ 2️⃣ ฆ่าตัวตาย ข่าวลือในขณะนั้นเล่าว่า ธรรม์มีความเครียดจากชีวิตการทำงาน และเรื่องส่วนตัว แต่ครอบครัวและคนสนิท ต่างปฏิเสธว่าไม่มีพฤติกรรม หรืออาการซึมเศร้า 3️⃣ ฆาตกรรม ความสงสัยที่ไม่เคยจางหาย... ใครอยู่กับธรรม์ในคืนนั้น? และมีใครได้ยินหรือเห็นอะไรผิดปกติหรือไม่? หลายคนยังเชื่อว่า ธรรม์อาจถูกทำให้ตกลงมาอย่างตั้งใจ 😰 🕰️ 30 ปีผ่านไป ความจริงที่ยังไม่ถูกเปิดเผย แม้เวลาจะผ่านไปกว่า 30 ปี แต่คดีนี้ยังคงไร้บทสรุปชัดเจน 📆 🔸 ไม่มีพยานหลักฐานใหม่ 🔸 ไม่มีผู้ต้องสงสัยที่ถูกดำเนินคดี 🔸 ไม่มีคำอธิบายใดๆ จากผู้เกี่ยวข้อง ทุกอย่างยังคงเป็นปริศนา ที่ไม่มีใครสามารถคลี่คลายได้... 🎬 มรดกทางจิตใจ และผลงานที่ธรรม์ทิ้งไว้ แม้ชีวิตของธรรม์จะจบลงในวัยเพียง 20 ปี แต่ผลงานของธรรม์ ยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นใหม่ ✨ คือตัวแทนของยุคทองวงการบันเทิงไทย ✨ คือความทรงจำของใครหลายคน ที่ไม่เคยเลือนหาย “ธรรม์ โทณะวณิก ยังอยู่ในหัวใจแฟนคลับเสมอ” ❤️ 📌 “ธรรม์ โทณะวณิก” ตำนานที่ไม่มีวันลืม 30 ปีผ่านไป เหตุการณ์ครั้งนั้นยังคงเป็นปริศนา ที่ก้องอยู่ในใจของแฟนๆ และผู้ติดตามข่าวสาร หลายคนอาจยังคงสงสัย ในชะตากรรมของดาวรุ่งผู้นี้ แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยน คือความทรงจำที่สวยงาม และผลงานที่ธรรม์ได้ทิ้งไว้ให้คนไทย ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 161024 มี.ค. 2568 📲 #ธรรม์โทณะวณิก #ดารายุค90 #คดีดังในอดีต #ดาราไทยเสียชีวิต #ปริศนาดารา #วงการบันเทิงไทย #ข่าวบันเทิงย้อนหลัง #ดาวรุ่งดวงดับ #ตำนานดาราไทย #ซีเอ็นพีคอนโด
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 623 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวนี้เล่าถึงความน่าสนใจในโลกของเกม RPG ยุคเรโทร โดยเฉพาะการที่กลุ่มนักพัฒนาอิสระและผู้สร้างเกม Homebrew ยังคงใช้เครื่องมือที่มีอายุถึง 25 ปีจากเกม King's Field ของ FromSoftware ในการสร้างเกมใหม่ ๆ ที่ได้รับความนิยม

    ย้อนกลับไปในปี 2000 FromSoftware ได้ปล่อยชุดเครื่องมือสร้างเกมชื่อ Sword of Moonlight มาพร้อมกับ King's Field ซึ่งในตอนนั้นเปิดให้ใช้ได้เฉพาะในประเทศญี่ปุ่น โดยผู้ที่ซื้อเกมจะได้รับสิทธิ์ในการใช้ทรัพยากรของ King's Field เพื่อสร้างเกมใหม่และสามารถจำหน่ายเกมเหล่านั้นได้ และน่าสนใจที่เครื่องมือนี้ยังคงถูกใช้งานมาจนถึงทุกวันนี้ในรูปแบบ โอเพ่นซอร์ส ที่มีชุมชนผู้สนับสนุนที่คอยพัฒนาและปรับปรุงให้ทันสมัย

    หนึ่งในตัวอย่างเกมที่ใช้ Sword of Moonlight คือ Lunacid ซึ่งเปิดตัวในปี 2023 โดยได้รับแรงบันดาลใจจากเกม King's Field และ Shadow Tower ของ FromSoftware เกมนี้ได้รับคำชมอย่างล้นหลามใน Steam ด้วยคะแนนรีวิว "Very Positive" จากผู้เล่นกว่า 7,500 คน ผู้เล่นมักพูดถึงบรรยากาศที่ชวนให้คิดถึงยุคเกม PS1 และเพลงประกอบที่เข้ากับบรรยากาศอย่างลงตัว ทั้งนี้ยังมีภาคต่อของเกมนี้ในชื่อ Lunacid: Tears of the Moon ที่จะปล่อยในวันที่ 12 เมษายน 2025

    https://www.techspot.com/news/107154-indie-studios-homebrewers-making-great-new-rpgs-25.html
    ข่าวนี้เล่าถึงความน่าสนใจในโลกของเกม RPG ยุคเรโทร โดยเฉพาะการที่กลุ่มนักพัฒนาอิสระและผู้สร้างเกม Homebrew ยังคงใช้เครื่องมือที่มีอายุถึง 25 ปีจากเกม King's Field ของ FromSoftware ในการสร้างเกมใหม่ ๆ ที่ได้รับความนิยม ย้อนกลับไปในปี 2000 FromSoftware ได้ปล่อยชุดเครื่องมือสร้างเกมชื่อ Sword of Moonlight มาพร้อมกับ King's Field ซึ่งในตอนนั้นเปิดให้ใช้ได้เฉพาะในประเทศญี่ปุ่น โดยผู้ที่ซื้อเกมจะได้รับสิทธิ์ในการใช้ทรัพยากรของ King's Field เพื่อสร้างเกมใหม่และสามารถจำหน่ายเกมเหล่านั้นได้ และน่าสนใจที่เครื่องมือนี้ยังคงถูกใช้งานมาจนถึงทุกวันนี้ในรูปแบบ โอเพ่นซอร์ส ที่มีชุมชนผู้สนับสนุนที่คอยพัฒนาและปรับปรุงให้ทันสมัย หนึ่งในตัวอย่างเกมที่ใช้ Sword of Moonlight คือ Lunacid ซึ่งเปิดตัวในปี 2023 โดยได้รับแรงบันดาลใจจากเกม King's Field และ Shadow Tower ของ FromSoftware เกมนี้ได้รับคำชมอย่างล้นหลามใน Steam ด้วยคะแนนรีวิว "Very Positive" จากผู้เล่นกว่า 7,500 คน ผู้เล่นมักพูดถึงบรรยากาศที่ชวนให้คิดถึงยุคเกม PS1 และเพลงประกอบที่เข้ากับบรรยากาศอย่างลงตัว ทั้งนี้ยังมีภาคต่อของเกมนี้ในชื่อ Lunacid: Tears of the Moon ที่จะปล่อยในวันที่ 12 เมษายน 2025 https://www.techspot.com/news/107154-indie-studios-homebrewers-making-great-new-rpgs-25.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Indie studios and homebrewers are still making great new RPGs with a 25-year-old King's Field toolkit
    In 2023, a little-known indie developer released Lunacid – a retro dungeon crawler that paid homage to FromSoftware games, King's Field and Shadow Tower – the progenitors...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 149 มุมมอง 0 รีวิว
  • เซิร์ฟเวอร์ที่มีชื่อว่า "Global Special Forces" ซึ่งพัฒนาโดยบริษัท Chaoyue Technology ได้รับรางวัล iF Design Award ซึ่งถือเป็นรางวัลระดับนานาชาติที่มอบให้กับผลิตภัณฑ์ที่มีความโดดเด่นด้านการออกแบบ

    คุณสมบัติเด่นของเซิร์ฟเวอร์นี้ได้แก่:
    - การป้องกันการรบกวนทางแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic Shielding) ที่ครอบคลุมช่วง 10K-10GHz
    - ความทนทานต่อการสั่นสะเทือนและแรงกระแทกที่สูงถึง 50g
    - กันความชื้นระดับ IP66 พร้อมรองรับความชื้นได้ถึง 95%
    - การทำงานในอุณหภูมิที่หลากหลาย ตั้งแต่ -55°C ถึง 70°C โดยไม่ส่งผลต่อประสิทธิภาพ
    - ทนต่อการกัดกร่อนจากไอเกลือ (Salt Spray) ได้นานถึง 10 ปี

    เซิร์ฟเวอร์นี้ถูกออกแบบให้รองรับการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่ท้าทาย เช่น การใช้งานบนยานพาหนะ เครื่องบิน หรือเรือ และสามารถทำงานได้อย่างเสถียร แม้ในพื้นที่ที่มีความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม ตัวเครื่องมีดีไซน์โมดูลาร์ที่สามารถถอดประกอบได้ง่าย พร้อมฟังก์ชันการควบคุมด้วย AI และการจัดเก็บข้อมูลในตัว

    ผลิตภัณฑ์นี้เป็นเซิร์ฟเวอร์ LRM (Lightweight Rackmount) ที่ผลิตในประเทศจีน ซึ่งใช้เทคโนโลยีเฉพาะด้าน เช่น การสลับเมทริกซ์แบบ DVI+USB ซึ่งปัจจุบันมีเพียงสองบริษัทในจีนที่สามารถทำได้ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใช้เวลาถึงหนึ่งปีเต็ม ก่อนเปิดตัวในปี 2023 และได้รับความสนใจจากหลากหลายวงการ

    การออกแบบเซิร์ฟเวอร์ในลักษณะนี้สะท้อนให้เห็นถึงการผสมผสานความงามและประสิทธิภาพอย่างลงตัว แม้จะเป็นอุปกรณ์ที่เน้นใช้งานในงานด้านเทคนิคและการป้องกันประเทศ แต่ก็สามารถสร้างแรงบันดาลใจในด้านการออกแบบเชิงอุตสาหกรรม

    https://www.techradar.com/pro/ai-server-designed-for-chinese-military-use-wins-major-global-design-award-in-europe
    เซิร์ฟเวอร์ที่มีชื่อว่า "Global Special Forces" ซึ่งพัฒนาโดยบริษัท Chaoyue Technology ได้รับรางวัล iF Design Award ซึ่งถือเป็นรางวัลระดับนานาชาติที่มอบให้กับผลิตภัณฑ์ที่มีความโดดเด่นด้านการออกแบบ คุณสมบัติเด่นของเซิร์ฟเวอร์นี้ได้แก่: - การป้องกันการรบกวนทางแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic Shielding) ที่ครอบคลุมช่วง 10K-10GHz - ความทนทานต่อการสั่นสะเทือนและแรงกระแทกที่สูงถึง 50g - กันความชื้นระดับ IP66 พร้อมรองรับความชื้นได้ถึง 95% - การทำงานในอุณหภูมิที่หลากหลาย ตั้งแต่ -55°C ถึง 70°C โดยไม่ส่งผลต่อประสิทธิภาพ - ทนต่อการกัดกร่อนจากไอเกลือ (Salt Spray) ได้นานถึง 10 ปี เซิร์ฟเวอร์นี้ถูกออกแบบให้รองรับการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่ท้าทาย เช่น การใช้งานบนยานพาหนะ เครื่องบิน หรือเรือ และสามารถทำงานได้อย่างเสถียร แม้ในพื้นที่ที่มีความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม ตัวเครื่องมีดีไซน์โมดูลาร์ที่สามารถถอดประกอบได้ง่าย พร้อมฟังก์ชันการควบคุมด้วย AI และการจัดเก็บข้อมูลในตัว ผลิตภัณฑ์นี้เป็นเซิร์ฟเวอร์ LRM (Lightweight Rackmount) ที่ผลิตในประเทศจีน ซึ่งใช้เทคโนโลยีเฉพาะด้าน เช่น การสลับเมทริกซ์แบบ DVI+USB ซึ่งปัจจุบันมีเพียงสองบริษัทในจีนที่สามารถทำได้ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใช้เวลาถึงหนึ่งปีเต็ม ก่อนเปิดตัวในปี 2023 และได้รับความสนใจจากหลากหลายวงการ การออกแบบเซิร์ฟเวอร์ในลักษณะนี้สะท้อนให้เห็นถึงการผสมผสานความงามและประสิทธิภาพอย่างลงตัว แม้จะเป็นอุปกรณ์ที่เน้นใช้งานในงานด้านเทคนิคและการป้องกันประเทศ แต่ก็สามารถสร้างแรงบันดาลใจในด้านการออกแบบเชิงอุตสาหกรรม https://www.techradar.com/pro/ai-server-designed-for-chinese-military-use-wins-major-global-design-award-in-europe
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 222 มุมมอง 0 รีวิว
  • Asus และ Microsoft อาจร่วมกันเปิดตัวอุปกรณ์พกพาสำหรับเล่นเกม Xbox ในปี 2025 ภายใต้โครงการที่ชื่อว่า Project Kennan ซึ่งเป็นชื่อรหัสสำหรับอุปกรณ์พกพาที่ Asus พัฒนาขึ้นเพื่อรองรับการเล่นเกม Xbox โดยเฉพาะ

    Microsoft กำลังดำเนินโครงการที่ชื่อว่า Project Bayside ซึ่งเป็นเฟรมเวิร์คที่ช่วยปรับปรุงการทำงานร่วมกันระหว่างระบบปฏิบัติการ Windows และ Xbox ให้เป็นแพลตฟอร์มเดียวกัน การปรับปรุงนี้จะส่งผลให้การใช้งานเกม Xbox บนอุปกรณ์หลากหลายประเภทสะดวกและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตัวอุปกรณ์พกพาของ Asus ก็จะใช้เฟรมเวิร์คนี้เช่นกัน ทำให้มีอินเทอร์เฟซแบบ Xbox ที่คุ้นเคย แต่ยังคงอยู่บนระบบพื้นฐานของ Windows

    สิ่งที่น่าสนใจเพิ่มเติมคือแนวโน้มของตลาดเครื่องเล่นเกมพกพา ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากความสำเร็จของ Steam Deck ในปี 2022 ตลาดนี้กำลังมีการแข่งขันสูงขึ้น เช่น Lenovo เริ่มเปิดตัวเครื่องเล่นเกมพกพาของตนเองในราคาที่แข่งขันได้ และมาพร้อมระบบปฏิบัติการทางเลือกอย่าง SteamOS ซึ่งอาจเป็นความท้าทายสำหรับ Microsoft ในการรักษาส่วนแบ่งตลาดเกมของตน

    การพัฒนานี้สะท้อนถึงความพยายามของ Microsoft ในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่แข่งขันได้ ทั้งในด้านนวัตกรรมและการปรับตัวให้เข้ากับตลาดที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา หากข่าวลือนี้เป็นจริง เราอาจได้เห็น Xbox แบบพกพาที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ผู้เล่นในยุคใหม่ โดยเฉพาะในช่วงปลายปี 2025

    https://www.tomshardware.com/video-games/xbox/asus-rumored-to-launch-xbox-handheld-in-2025-oem-working-with-microsoft-to-unify-windows-and-xbox-libraries
    Asus และ Microsoft อาจร่วมกันเปิดตัวอุปกรณ์พกพาสำหรับเล่นเกม Xbox ในปี 2025 ภายใต้โครงการที่ชื่อว่า Project Kennan ซึ่งเป็นชื่อรหัสสำหรับอุปกรณ์พกพาที่ Asus พัฒนาขึ้นเพื่อรองรับการเล่นเกม Xbox โดยเฉพาะ Microsoft กำลังดำเนินโครงการที่ชื่อว่า Project Bayside ซึ่งเป็นเฟรมเวิร์คที่ช่วยปรับปรุงการทำงานร่วมกันระหว่างระบบปฏิบัติการ Windows และ Xbox ให้เป็นแพลตฟอร์มเดียวกัน การปรับปรุงนี้จะส่งผลให้การใช้งานเกม Xbox บนอุปกรณ์หลากหลายประเภทสะดวกและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตัวอุปกรณ์พกพาของ Asus ก็จะใช้เฟรมเวิร์คนี้เช่นกัน ทำให้มีอินเทอร์เฟซแบบ Xbox ที่คุ้นเคย แต่ยังคงอยู่บนระบบพื้นฐานของ Windows สิ่งที่น่าสนใจเพิ่มเติมคือแนวโน้มของตลาดเครื่องเล่นเกมพกพา ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากความสำเร็จของ Steam Deck ในปี 2022 ตลาดนี้กำลังมีการแข่งขันสูงขึ้น เช่น Lenovo เริ่มเปิดตัวเครื่องเล่นเกมพกพาของตนเองในราคาที่แข่งขันได้ และมาพร้อมระบบปฏิบัติการทางเลือกอย่าง SteamOS ซึ่งอาจเป็นความท้าทายสำหรับ Microsoft ในการรักษาส่วนแบ่งตลาดเกมของตน การพัฒนานี้สะท้อนถึงความพยายามของ Microsoft ในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่แข่งขันได้ ทั้งในด้านนวัตกรรมและการปรับตัวให้เข้ากับตลาดที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา หากข่าวลือนี้เป็นจริง เราอาจได้เห็น Xbox แบบพกพาที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ผู้เล่นในยุคใหม่ โดยเฉพาะในช่วงปลายปี 2025 https://www.tomshardware.com/video-games/xbox/asus-rumored-to-launch-xbox-handheld-in-2025-oem-working-with-microsoft-to-unify-windows-and-xbox-libraries
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 201 มุมมอง 0 รีวิว
  • Bluesky ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียใหม่ที่มุ่งเน้นการสร้างโลกที่ไม่มี "จักรพรรดิ" หรือผู้ควบคุมอำนาจเบ็ดเสร็จบนโซเชียลมีเดีย แนวคิดนี้เป็นแรงบันดาลใจจากความไม่พอใจในแพลตฟอร์มปัจจุบันที่มักถูกควบคุมโดยบุคคลหรือองค์กรที่มีอำนาจเหนือการตัดสินใจ

    Bluesky ก่อตั้งโดย Jay Graber พร้อมกับทีมที่มีจุดมุ่งหมายชัดเจนว่า ผู้ใช้งานควรมีอิสระในการควบคุมและย้ายข้อมูลของตัวเองระหว่างแพลตฟอร์มที่ใช้เทคโนโลยีเดียวกัน ซึ่งต่างจากแพลตฟอร์มใหญ่ๆ อย่าง Twitter (หรือ X) และ Meta ที่ผู้ควบคุมมักใช้อำนาจในทางที่ผู้ใช้ไม่ได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่

    Bluesky ให้ความสำคัญกับผู้ใช้และนักพัฒนา โดยการสร้างระบบที่เปิดโอกาสให้สร้างฟีดส่วนตัวได้ตามความสนใจ เช่น การทำสวน กีฬา หรือการศึกษา ครีเอเตอร์ที่เคยถูกจำกัดโดยอัลกอริทึมของแพลตฟอร์มเดิมจะมีพื้นที่ที่เสรีและควบคุมการนำเสนอเนื้อหาได้ดีขึ้น ต่างจาก Mastodon ที่มีกระบวนการซับซ้อน Bluesky มีระบบที่เข้าใจง่ายสำหรับผู้ใช้ทั่วไป

    แม้ว่า Bluesky จะยังมีผู้ใช้น้อยเมื่อเทียบกับแพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่ แต่พวกเขากลับมองว่านี่เป็น "ปีแห่งการเปิดตัว" ที่จะทำให้ผู้คนได้รู้จักพื้นที่ที่ปลอดภัยและเป็นมิตรสำหรับการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างแท้จริง

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/14/bluesky-wants-039a-world-without-caesars039-for-social-media
    Bluesky ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียใหม่ที่มุ่งเน้นการสร้างโลกที่ไม่มี "จักรพรรดิ" หรือผู้ควบคุมอำนาจเบ็ดเสร็จบนโซเชียลมีเดีย แนวคิดนี้เป็นแรงบันดาลใจจากความไม่พอใจในแพลตฟอร์มปัจจุบันที่มักถูกควบคุมโดยบุคคลหรือองค์กรที่มีอำนาจเหนือการตัดสินใจ Bluesky ก่อตั้งโดย Jay Graber พร้อมกับทีมที่มีจุดมุ่งหมายชัดเจนว่า ผู้ใช้งานควรมีอิสระในการควบคุมและย้ายข้อมูลของตัวเองระหว่างแพลตฟอร์มที่ใช้เทคโนโลยีเดียวกัน ซึ่งต่างจากแพลตฟอร์มใหญ่ๆ อย่าง Twitter (หรือ X) และ Meta ที่ผู้ควบคุมมักใช้อำนาจในทางที่ผู้ใช้ไม่ได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่ Bluesky ให้ความสำคัญกับผู้ใช้และนักพัฒนา โดยการสร้างระบบที่เปิดโอกาสให้สร้างฟีดส่วนตัวได้ตามความสนใจ เช่น การทำสวน กีฬา หรือการศึกษา ครีเอเตอร์ที่เคยถูกจำกัดโดยอัลกอริทึมของแพลตฟอร์มเดิมจะมีพื้นที่ที่เสรีและควบคุมการนำเสนอเนื้อหาได้ดีขึ้น ต่างจาก Mastodon ที่มีกระบวนการซับซ้อน Bluesky มีระบบที่เข้าใจง่ายสำหรับผู้ใช้ทั่วไป แม้ว่า Bluesky จะยังมีผู้ใช้น้อยเมื่อเทียบกับแพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่ แต่พวกเขากลับมองว่านี่เป็น "ปีแห่งการเปิดตัว" ที่จะทำให้ผู้คนได้รู้จักพื้นที่ที่ปลอดภัยและเป็นมิตรสำหรับการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างแท้จริง https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/14/bluesky-wants-039a-world-without-caesars039-for-social-media
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 221 มุมมอง 0 รีวิว
  • 20 ปี สิ้น “สาวสองพันปี” เจ้ากอแก้วประกายกาวิล ณ เชียงใหม่ ✨ เจ้าแม่แห่งการตัดริบบิ้น 🟣 ผู้นำเทรนด์ม่วงหัวจรดเท้า สาวเปรี้ยวแห่งยุค

    ย้อนตำนานเจ้าแม่ตัดริบบิ้น เจ้ากอแก้วประกายกาวิล ณ เชียงใหม่ หญิงสาวผู้เปลี่ยนทุกเวที ให้กลายเป็นรันเวย์แฟชั่นสีม่วง ตลอด 69 ปีเต็มของชีวิต ตัวแทนความเปรี้ยว และกล้าฉีกกฎยุคสมัยอย่างแท้จริง

    เสน่ห์ที่ไม่มีวันลบเลือน วงสังคมไฮโซไทย 🌟 ถ้าจะกล่าวถึงผู้หญิง ที่ไม่เคยปล่อยให้ตัวเองจางหาย จากความสนใจของผู้คน ชื่อของ “เจ้ากอแก้วประกายกาวิล ณ เชียงใหม่” หรือที่เรียกขานกันว่า "เจ้าป้า" ต้องโผล่มาในใจคนรุ่นเก่าและใหม่เสมอ 🟣 เจ้าป้าคือ "สาวสองพันปี" ตำนานแฟชั่นม่วง ที่กลายเป็นไอคอนของความเปรี้ยว ความมั่นใจ และความโดดเด่นเหนือใคร ✨

    ตลอด 69 ปีของชีวิต เจ้ากอแก้วได้สร้างตำนานในหลายบท ทั้งในฐานะลูกหลานเจ้านายฝ่ายเหนือแห่งเชียงใหม่ 🏯 นักเรียนที่มีการศึกษาระดับสากล 📚 ผู้นำแฟชั่นที่ไม่กลัวคำครหา 👜 และ "เจ้าแม่แห่งการตัดริบบิ้น" ✂️ ที่ไม่เคยปล่อยให้เวทีไหนเงียบเหงา ❤️

    👑 เชื้อสายเจ้านายฝ่ายเหนือ อดีตผู้ครองนครเชียงใหม่ เจ้ากอแก้วประกายกาวิล ณ เชียงใหม่ เกิดเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2478 ในตระกูล "ณ เชียงใหม่" อันทรงเกียรติ เป็นธิดาคนสุดท้องของเจ้ากาวิละวงศ์ กับเจ้าศิริประกาย ณ เชียงใหม่ 🌸 เป็นหลานสาวของเจ้าแก้วนวรัฐ ผู้ครองนครเชียงใหม่องค์สุดท้าย

    ชื่อที่มีความหมาย และเรื่องราวที่น่าจดจำ เมื่อแรกเกิด ได้รับพระราชทานชื่อ "ประกายกาวิล" จากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัฐกาลที่ 7 ต่อมาเมื่อหม่อมกอบแก้ว อาภากร ณ อยุธยา ขอเป็นแม่อุปถัมภ์ ได้ไปที่เชียงใหม่ และไปเฝ้าเจ้าตาขอให้ตั้งชื่อหลานสาวว่า “กอบแก้ว” แต่ตัว บ.ใบไม้หายไป จึงกลายเป็น “กอแก้ว” 🎉

    ✈️ เจ้ากอแก้วได้รับการศึกษาระดับประถมศึกษา ที่โรงเรียนเรยีนาเชลีวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่ จากนั้นย้ายไปเรียนที่โรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัย กรุงเทพฯ ก่อนจะเดินทางไปศึกษาต่อ ที่ประเทศอังกฤษ 🇬🇧 และฝรั่งเศส 🇫🇷

    - Raven's Croft ในอีสต์บอร์น
    - Southampton Technical College
    - เรียนพิมพ์ดีดและเลขานุการที่ Pitman College กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
    - ฝึกมารยาทและการเข้าสังคมที่ Lucy Clayton
    - เรียนภาษาและมารยาททางสังคมที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส🇫🇷

    ภายหลัง เจ้ากอแก้วสามารถใช้ภาษาอังกฤษ และฝรั่งเศสได้อย่างคล่องแคล่ว ✍️

    เจ้ากอแก้ว เจ้าแม่แฟชั่นแห่งยุคที่ไม่เคยตกเทรนด์ 💄👠 สีม่วง เอกลักษณ์ที่กลายเป็นตำนาน ไม่ว่าจะผ่านมากี่ทศวรรษ สีม่วงก็ยังเป็นสีประจำตัวของเจ้าป้าคนนี้ 🔮 เจ้าป้าย้อมผมเป็นสีม่วงเข้ม ฟูฟ่องตั้งแต่รากจรดปลาย และเลือกเครื่องแต่งกายทุกชิ้น ตั้งแต่หมวก 🧢 เสื้อผ้า 👗 กระเป๋า 👜 รองเท้า 👠 ไปจนถึงต่างหู 💎 ให้เป็นสีม่วงตั้งแต่หัวจรดเท้า

    เจ้าป้าเคยกล่าวขำๆ ว่า... “ทีแรกเลย ป้าต้องการสีเปลือกมังคุด แต่ไม่รู้ว่าช่างเขาผสมยังไง ผสมไปผสมมามันก็กลายเป็นสีนี้ไปได้ พอออกมาอย่างนี้เราก็เออ สวยดีแฮะ ก็เลยเอาสีนี้ก็สีนี้แหละชอบ” 😄

    ตำนานการตัดริบบิ้นที่ไม่มีใครเทียบ เจ้าป้าได้รับฉายา "เจ้าแม่แห่งการตัดริบบิ้น" ✂️ เพราะการปรากฏตัวที่งานเปิดตัวต่างๆ มักนำมาซึ่งโชคลาภ และความสำเร็จแก่เจ้าของกิจการ 🏢 เคยสร้างสถิติตัดริบบิ้น 8 งานในวันเดียว! เจ้าป้ามีเทคนิคเฉพาะในการ "จรดกรรไกร" ให้นักข่าวถ่ายภาพได้มุมเป๊ะทุกครั้ง 📸

    ความเปรี้ยวที่เหนือกาลเวลา 🕶 เจ้ากอแก้วเริ่มสูบบุหรี่ตั้งแต่อายุ 14 ปี 🚬 ใส่เสื้อเกาะอกตั้งแต่อายุ 20 ปี 👗 และชอบดื่มไวน์ 🍷 พร้อมแต่งหน้าเข้ม ตั้งแต่ยุคที่ผู้หญิงไทยยังนิยมเรียบร้อย เจ้าป้าไม่เคยกลัวคำวิจารณ์ แต่กลับเห็นว่าเป็นสีสันของชีวิต 🖌️

    ถ้อยคำอมตะของสาวสองพันปี "คนมอง ก็อยากมองเอง ช่วยอะไรไม่ได้ เราบังคับเขาไม่ได้ แม้ว่าเขาจะเห็นเราตลก เอาเราไปล้อเลียนก็เถอะ แต่เราถือว่าเขาให้เกียรติเรา" 🌟

    ❤️ เจ้ากอแก้วสมรสครั้งแรกกับ พลตำรวจโท ทิพย์ อัศวรักษ์ มีบุตรชาย 1 คน คือ ทินกร อัศวรักษ์ หรือกุ๊กกี้ ต่อมาหย่าขาดกัน และใช้ชีวิตคู่กับเรืออากาศเอก พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรานนท์ธวัช อีก 6 ปี ก่อนลงเอยกับเอดิลเบอร์โต้ โรเมโร ชาวฟิลิปปินส์ แม้ไม่มีบุตรร่วมกัน แต่ก็มีช่วงเวลาคู่ชีวิตที่มีค่า 💞

    ผลงานและหน้าที่การงานที่น่าประทับใจ 💼
    - บริษัท CTO. Lines
    - เลขานุการและมัคคุเทศก์ บริษัทซีต้า แทรเวล
    - ประชาสัมพันธ์โรงแรมชวลิต หรือแอมบาสซาเดอร์ในปัจจุบัน
    - ประชาสัมพันธ์ ศูนย์บริหารร่างกายโจแอนดรูว์
    - ที่ปรึกษาการตลาด บริษัทเดอะมอลล์กรุ๊ป

    💐 เจ้ากอแก้วประกายกาวิลเสียชีวิต เมื่อช่วงสายวันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 เวลา 10.30 น. ด้วยวัย 69 ปี สิ้นสุดตำนาน "สาวสองพันปี" ณ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 พระราชทานหีบทองทึบ และรับพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ ที่วัดธาตุทอง ✨ พิธีพระราชทานเพลิงศพ จัดขึ้นเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2548

    ตำนานที่ยังคงอยู่ในใจผู้คน 🕊️ 20 ปีผ่านไป ชื่อของเจ้ากอแก้วประกายกาวิล ยังไม่จางหาย เจ้าป้าคือแรงบันดาลใจ ให้คนรุ่นใหม่ที่กล้าคิด กล้าทำ กล้าแสดงออก และกล้าที่จะเป็นตัวของตัวเอง 💜

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 131110 มี.ค. 2568

    #เจ้ากอแก้วประกายกาวิล #สาวสองพันปี #เจ้าแม่ตัดริบบิ้น #แฟชั่นสีม่วง #ไฮโซเชียงใหม่ #ตำนานสังคมไทย #สาวเปรี้ยวแห่งยุค #กอแก้วประกายกาวิล #ChiangMaiLegend #PurpleIcon
    20 ปี สิ้น “สาวสองพันปี” เจ้ากอแก้วประกายกาวิล ณ เชียงใหม่ ✨ เจ้าแม่แห่งการตัดริบบิ้น 🟣 ผู้นำเทรนด์ม่วงหัวจรดเท้า สาวเปรี้ยวแห่งยุค ย้อนตำนานเจ้าแม่ตัดริบบิ้น เจ้ากอแก้วประกายกาวิล ณ เชียงใหม่ หญิงสาวผู้เปลี่ยนทุกเวที ให้กลายเป็นรันเวย์แฟชั่นสีม่วง ตลอด 69 ปีเต็มของชีวิต ตัวแทนความเปรี้ยว และกล้าฉีกกฎยุคสมัยอย่างแท้จริง เสน่ห์ที่ไม่มีวันลบเลือน วงสังคมไฮโซไทย 🌟 ถ้าจะกล่าวถึงผู้หญิง ที่ไม่เคยปล่อยให้ตัวเองจางหาย จากความสนใจของผู้คน ชื่อของ “เจ้ากอแก้วประกายกาวิล ณ เชียงใหม่” หรือที่เรียกขานกันว่า "เจ้าป้า" ต้องโผล่มาในใจคนรุ่นเก่าและใหม่เสมอ 🟣 เจ้าป้าคือ "สาวสองพันปี" ตำนานแฟชั่นม่วง ที่กลายเป็นไอคอนของความเปรี้ยว ความมั่นใจ และความโดดเด่นเหนือใคร ✨ ตลอด 69 ปีของชีวิต เจ้ากอแก้วได้สร้างตำนานในหลายบท ทั้งในฐานะลูกหลานเจ้านายฝ่ายเหนือแห่งเชียงใหม่ 🏯 นักเรียนที่มีการศึกษาระดับสากล 📚 ผู้นำแฟชั่นที่ไม่กลัวคำครหา 👜 และ "เจ้าแม่แห่งการตัดริบบิ้น" ✂️ ที่ไม่เคยปล่อยให้เวทีไหนเงียบเหงา ❤️ 👑 เชื้อสายเจ้านายฝ่ายเหนือ อดีตผู้ครองนครเชียงใหม่ เจ้ากอแก้วประกายกาวิล ณ เชียงใหม่ เกิดเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2478 ในตระกูล "ณ เชียงใหม่" อันทรงเกียรติ เป็นธิดาคนสุดท้องของเจ้ากาวิละวงศ์ กับเจ้าศิริประกาย ณ เชียงใหม่ 🌸 เป็นหลานสาวของเจ้าแก้วนวรัฐ ผู้ครองนครเชียงใหม่องค์สุดท้าย ชื่อที่มีความหมาย และเรื่องราวที่น่าจดจำ เมื่อแรกเกิด ได้รับพระราชทานชื่อ "ประกายกาวิล" จากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัฐกาลที่ 7 ต่อมาเมื่อหม่อมกอบแก้ว อาภากร ณ อยุธยา ขอเป็นแม่อุปถัมภ์ ได้ไปที่เชียงใหม่ และไปเฝ้าเจ้าตาขอให้ตั้งชื่อหลานสาวว่า “กอบแก้ว” แต่ตัว บ.ใบไม้หายไป จึงกลายเป็น “กอแก้ว” 🎉 ✈️ เจ้ากอแก้วได้รับการศึกษาระดับประถมศึกษา ที่โรงเรียนเรยีนาเชลีวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่ จากนั้นย้ายไปเรียนที่โรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัย กรุงเทพฯ ก่อนจะเดินทางไปศึกษาต่อ ที่ประเทศอังกฤษ 🇬🇧 และฝรั่งเศส 🇫🇷 - Raven's Croft ในอีสต์บอร์น - Southampton Technical College - เรียนพิมพ์ดีดและเลขานุการที่ Pitman College กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ - ฝึกมารยาทและการเข้าสังคมที่ Lucy Clayton - เรียนภาษาและมารยาททางสังคมที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส🇫🇷 ภายหลัง เจ้ากอแก้วสามารถใช้ภาษาอังกฤษ และฝรั่งเศสได้อย่างคล่องแคล่ว ✍️ เจ้ากอแก้ว เจ้าแม่แฟชั่นแห่งยุคที่ไม่เคยตกเทรนด์ 💄👠 สีม่วง เอกลักษณ์ที่กลายเป็นตำนาน ไม่ว่าจะผ่านมากี่ทศวรรษ สีม่วงก็ยังเป็นสีประจำตัวของเจ้าป้าคนนี้ 🔮 เจ้าป้าย้อมผมเป็นสีม่วงเข้ม ฟูฟ่องตั้งแต่รากจรดปลาย และเลือกเครื่องแต่งกายทุกชิ้น ตั้งแต่หมวก 🧢 เสื้อผ้า 👗 กระเป๋า 👜 รองเท้า 👠 ไปจนถึงต่างหู 💎 ให้เป็นสีม่วงตั้งแต่หัวจรดเท้า เจ้าป้าเคยกล่าวขำๆ ว่า... “ทีแรกเลย ป้าต้องการสีเปลือกมังคุด แต่ไม่รู้ว่าช่างเขาผสมยังไง ผสมไปผสมมามันก็กลายเป็นสีนี้ไปได้ พอออกมาอย่างนี้เราก็เออ สวยดีแฮะ ก็เลยเอาสีนี้ก็สีนี้แหละชอบ” 😄 ตำนานการตัดริบบิ้นที่ไม่มีใครเทียบ เจ้าป้าได้รับฉายา "เจ้าแม่แห่งการตัดริบบิ้น" ✂️ เพราะการปรากฏตัวที่งานเปิดตัวต่างๆ มักนำมาซึ่งโชคลาภ และความสำเร็จแก่เจ้าของกิจการ 🏢 เคยสร้างสถิติตัดริบบิ้น 8 งานในวันเดียว! เจ้าป้ามีเทคนิคเฉพาะในการ "จรดกรรไกร" ให้นักข่าวถ่ายภาพได้มุมเป๊ะทุกครั้ง 📸 ความเปรี้ยวที่เหนือกาลเวลา 🕶 เจ้ากอแก้วเริ่มสูบบุหรี่ตั้งแต่อายุ 14 ปี 🚬 ใส่เสื้อเกาะอกตั้งแต่อายุ 20 ปี 👗 และชอบดื่มไวน์ 🍷 พร้อมแต่งหน้าเข้ม ตั้งแต่ยุคที่ผู้หญิงไทยยังนิยมเรียบร้อย เจ้าป้าไม่เคยกลัวคำวิจารณ์ แต่กลับเห็นว่าเป็นสีสันของชีวิต 🖌️ ถ้อยคำอมตะของสาวสองพันปี "คนมอง ก็อยากมองเอง ช่วยอะไรไม่ได้ เราบังคับเขาไม่ได้ แม้ว่าเขาจะเห็นเราตลก เอาเราไปล้อเลียนก็เถอะ แต่เราถือว่าเขาให้เกียรติเรา" 🌟 ❤️ เจ้ากอแก้วสมรสครั้งแรกกับ พลตำรวจโท ทิพย์ อัศวรักษ์ มีบุตรชาย 1 คน คือ ทินกร อัศวรักษ์ หรือกุ๊กกี้ ต่อมาหย่าขาดกัน และใช้ชีวิตคู่กับเรืออากาศเอก พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรานนท์ธวัช อีก 6 ปี ก่อนลงเอยกับเอดิลเบอร์โต้ โรเมโร ชาวฟิลิปปินส์ แม้ไม่มีบุตรร่วมกัน แต่ก็มีช่วงเวลาคู่ชีวิตที่มีค่า 💞 ผลงานและหน้าที่การงานที่น่าประทับใจ 💼 - บริษัท CTO. Lines - เลขานุการและมัคคุเทศก์ บริษัทซีต้า แทรเวล - ประชาสัมพันธ์โรงแรมชวลิต หรือแอมบาสซาเดอร์ในปัจจุบัน - ประชาสัมพันธ์ ศูนย์บริหารร่างกายโจแอนดรูว์ - ที่ปรึกษาการตลาด บริษัทเดอะมอลล์กรุ๊ป 💐 เจ้ากอแก้วประกายกาวิลเสียชีวิต เมื่อช่วงสายวันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 เวลา 10.30 น. ด้วยวัย 69 ปี สิ้นสุดตำนาน "สาวสองพันปี" ณ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 พระราชทานหีบทองทึบ และรับพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ ที่วัดธาตุทอง ✨ พิธีพระราชทานเพลิงศพ จัดขึ้นเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2548 ตำนานที่ยังคงอยู่ในใจผู้คน 🕊️ 20 ปีผ่านไป ชื่อของเจ้ากอแก้วประกายกาวิล ยังไม่จางหาย เจ้าป้าคือแรงบันดาลใจ ให้คนรุ่นใหม่ที่กล้าคิด กล้าทำ กล้าแสดงออก และกล้าที่จะเป็นตัวของตัวเอง 💜 ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 131110 มี.ค. 2568 #เจ้ากอแก้วประกายกาวิล #สาวสองพันปี #เจ้าแม่ตัดริบบิ้น #แฟชั่นสีม่วง #ไฮโซเชียงใหม่ #ตำนานสังคมไทย #สาวเปรี้ยวแห่งยุค #กอแก้วประกายกาวิล #ChiangMaiLegend #PurpleIcon
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 630 มุมมอง 0 รีวิว
  • 15 ปี สิ้น “จ่าเพียร ขาเหล็ก” ผู้กำกับนักสู้แห่งเทือกเขาบูโด ตำนานย้ายยากเย็น เซ่นสลับบัญชี โชคร้ายตายก่อนขึ้นรองผู้การ

    🚔 “คงอยากจะขอยศพันตำรวจเอกให้ผม ตอนที่ผมตายแล้ว” คำพูดที่ยังคงก้องในหัวใจคนไทยหลายคน… 🕊️

    🌿 ตำนานที่ยังไม่ลืม ผ่านมากว่า 15 ปี แล้ว... แต่เรื่องราวของ “จ่าเพียร ขาเหล็ก” หรือ พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา ผกก.สภ.บันนังสตา ภ.จว.ยะลา ยังถูกเล่าขานในฐานะ “นักสู้แห่งเทือกเขาบูโด” ผู้ทุ่มเทชีวิตเพื่อความสงบสุขของแผ่นดินปลายด้ามขวาน 🗡️ แม้จะแลกด้วยความเหน็ดเหนื่อย เจ็บปวด และสุดท้าย... ชีวิต

    👮‍♂️ “สมเพียร เอกสมญา” หรือชื่อเล่นว่า “เนี้ยบ” เกิดเมื่อปี 2493 ในครอบครัวยากจนที่จังหวัดสงขลา ชีวิตในวัยเด็กเต็มไปด้วยความลำบาก ต้องช่วยพ่อแม่กรีดยาง เพื่อหารายได้จุนเจือครอบครัว แต่ความยากจน ไม่สามารถปิดกั้นความฝันได้ 🎓

    หลังเรียนจบชั้นประถมปีที่ 4 สมเพียรตัดสินใจเป็นศิษย์วัดเพื่อเรียนต่อ และก้าวขึ้นสู่การเป็นนักเรียนตำรวจ ต้องเปลี่ยนนามสกุลจาก “แซ่เจ่ง” เป็น “เอกสมญา” เพื่อเข้ารับราชการในยุคนั้น

    จุดเริ่มต้นของนักรบแดนใต้ ปี 2513 สมเพียรเริ่มต้นอาชีพตำรวจที่ สถานีตำรวจภูธรบันนังสตา ภ.จว.ยะลา ในช่วงเวลาที่ภาคใต้ร้อนระอุ จากความขัดแย้งของพรรคคอมมิวนิสต์มลายา (พคม.) และกลุ่มขบวนการแบ่งแยกดินแดน

    ชีวิตของสมเพียร ไม่ใช่แค่การจับผู้ร้ายทั่วไป แต่ต้องเผชิญหน้ากับสงครามกองโจร และการลอบสังหารเกือบทุกวัน 😔

    🔥 วีรกรรมและตำนาน “ขาเหล็ก” เหตุการณ์ปะทะที่เกือบเอาชีวิตไม่รอด ปี 2519 ขณะที่ครองยศ "จ่าสิบตำรวจ" ได้เข้าปะทะกับขบวนการก่อการไม่สงบ ที่จับตำรวจและครอบครัวเป็นตัวประกัน บนเขาเจาะปันตัง เหตุการณ์นั้นทำให้ จ่าเพียรเกือบเสียขาข้างซ้าย ต้องใส่เหล็กดามขามาตลอดชีวิต จนได้ฉายาว่า “จ่าเพียร ขาเหล็ก” 🦿

    🦾 “ผมไม่อยากเป็นวีรบุรุษ และจะไม่ขอตายในชุดนักรบ” พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา

    🦅 ปฏิบัติการ “ยูงทอง” ชุดปฏิบัติการปราบปราม กลุ่มก่อการไม่สงบในบันนังสตา มีชื่อเสียงอย่างมากภาย ใต้การนำของจ่าเพียร เคยนำทีมเข้าปะทะกองกำลังกว่า 30 คน ในปี 2526 แม้ตัวเองจะโดนยิงที่ต้นขาขวา แต่ยังสู้ไม่ถอย ✊

    🏡 ความฝันสุดท้ายของจ่าเพียร อยากกลับบ้าน...แค่ใช้ชีวิตกับครอบครัว ในช่วงสุดท้ายของชีวิต พ.ต.อ.สมเพียร ยื่นเรื่องขอย้ายกลับไปอยู่ สภ.กันตัง จ.ตรัง บ้านเกิดของภรรยา เพื่อใช้ชีวิตเงียบสงบช่วง 18 เดือนก่อนเกษียณ แต่การโยกย้ายกลับไม่เกิดขึ้น แม้ว่าจะมีชื่อติดในโผโยกย้ายตั้งแต่แรก แต่ในขั้นตอนสุดท้าย กลับถูกสับเปลี่ยนชื่อ สลับบัญชี เพื่อหลีกทางให้คนของนักการเมือง 🍃

    จ่าเพียรไม่ยอมรับโผอัปยศ จึงเดินทางจากชายแดนใต้สู่กรุงเทพฯ ไปทวงถามความเป็นธรรม ถึงทำเนียบรัฐบาล และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งได้รับคำปลอบใจว่า จะเยียวยาโดยให้ขึ้นตำแหน่ง "รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด" ก่อนที่จะเกษียณอายุราชการ

    💬 “ไม่มีการแต่งตั้งตำรวจครั้งไหนที่แย่เท่าครั้งนี้อีกแล้ว” แม้ว่าจ่าเพยีจะพูดด้วยน้ำตา แต่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

    💔 วันแห่งความสูญเสีย ปฏิบัติการสุดท้ายที่บ้านทับช้าง ในเช้าวันศุกร์ที่ 12 มีนาคม 2553 จ่าเพียร พร้อมด้วยลูกน้อง 4 นาย และ อส.คนสนิทอีก 1 นาย นั่งรถยนต์ปิกอัพ โตโยต้าไฮลักซ์วีโก้ 4 ประตู สีน้ำตาล หมายเลขทะเบียน กข 9302 ยะลา และอส.คนสนิท อีก 1 นาย ออกลาดตระเวนในพื้นที่บ้านทับช้าง แต่ถูกกลุ่มก่อการไม่สงบ กดระเบิด และกราดยิงด้วยอาวุธสงครามอย่างหนัก จ่าเพียรได้รับบาดเจ็บสาหัส และเสียชีวิตในเวลาต่อมา ที่โรงพยาบาลศูนย์ยะลา ลูกน้องได้รับบาดเจ็บสาหัส 3 นาย และอีก 1 นายเสียชีวิต 🔫

    ⚰️ อายุ 59 ปี สิ้นสุดเส้นทางของนักรบผู้ภักดีต่อหน้าที่ บทเรียนชีวิตและความจริงที่เจ็บปวด การต่อสู้ของจ่าเพียร ไม่ใช่แค่ศึกในสนามรบ แต่ยังเป็นศึกในระบบราชการที่ซับซ้อน และมีปัญหาเรื่องอุปถัมภ์ จ่าเพียรไม่ได้รับโอกาสเลื่อนยศหรือโยกย้าย จนกว่าจะเสียชีวิตแล้ว ถึงได้เลื่อนยศ 7 ขั้น เป็น "พลตำรวจเอก" 🕊️

    ⚖️ ระบบที่ควรตอบแทนคนทุ่มเท กลับถูกแทนที่ด้วยสายสัมพันธ์และอำนาจ มรดกและแรงบันดาลใจ
    หลังจากการเสียชีวิตของจ่าเพียร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มอบเงินช่วยเหลือครอบครัวจำนวน 3 ล้านบาท และรับผิดชอบการศึกษาของลูก จนจบปริญญาตรี แต่สิ่งที่จ่าเพียรทิ้งไว้ไม่ใช่แค่เงินทอง

    ❤️ “จ่าเพียร ขาเหล็ก” กลายเป็นสัญลักษณ์ของตำรวจที่ทุ่มเท และไม่ยอมแพ้ต่ออุปถัมภ์

    🗣️ คำพูดสุดท้ายที่ยังตราตรึง "ผมไม่ได้อยากย้ายเพื่อความก้าวหน้า แต่อยากกลับไปอยู่กับครอบครัว ผมทำงานมา 40 ปี แทบไม่มีเวลาให้พวกเขาเลย"

    ❓ คำถามที่ยังไร้คำตอบ แม้เวลาจะผ่านไป 15 ปี แต่เรื่องราวของจ่าเพียร ยังเป็นกระจกสะท้อนปัญหาระบบราชการไทย หลายคนยังสงสัยว่า…

    - ทำไมตำรวจน้ำดี ต้องตายก่อนจึงได้รับการยกย่อง?
    - ทำไมระบบโยกย้าย ถึงเต็มไปด้วยข้อครหา?
    - ใครจะปกป้องผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ที่ไม่มีเส้นสาย?

    🤝 เสียงจากคนในพื้นที่ “จ่าเพียรกลับมาแล้ว” ไม่ใช่แค่ตำรวจ แต่เป็นที่พึ่งของชาวบ้าน

    🕊️ “กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ยะลา ปัตตานี นราธิวาส รู้จักจ่าเพียรในฐานะคนที่ไม่เคยทิ้งพื้นที่”

    🌳 "คนที่เคยเป็นเยาวชนไม่มีอนาคต กลายมาเป็นอาสาสมัครในทีมของจ่าเพียร ด้วยศรัทธาและความเชื่อมั่น"

    🕯️ ตำนานที่ไม่ควรจางหาย ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ที่ชื่อ "สมเพียร เอกสมญา" ไม่ได้ตายเพราะกระสุนหรือระเบิด แต่เพราะระบบที่ล้มเหลวในการดูแลคนดี 💐

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 121155 มี.ค. 2568

    #จ่าเพียรขาเหล็ก #ฮีโร่แดนใต้ #ผู้กำกับนักสู้ #สมเพียรเอกสมญา #ชายแดนใต้ #นักรบแห่งบูโด #ตำรวจไทย #ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ #วีรบุรุษแดนใต้ #ระบบอุปถัมภ์

    15 ปี สิ้น “จ่าเพียร ขาเหล็ก” ผู้กำกับนักสู้แห่งเทือกเขาบูโด ตำนานย้ายยากเย็น เซ่นสลับบัญชี โชคร้ายตายก่อนขึ้นรองผู้การ 🚔 “คงอยากจะขอยศพันตำรวจเอกให้ผม ตอนที่ผมตายแล้ว” คำพูดที่ยังคงก้องในหัวใจคนไทยหลายคน… 🕊️ 🌿 ตำนานที่ยังไม่ลืม ผ่านมากว่า 15 ปี แล้ว... แต่เรื่องราวของ “จ่าเพียร ขาเหล็ก” หรือ พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา ผกก.สภ.บันนังสตา ภ.จว.ยะลา ยังถูกเล่าขานในฐานะ “นักสู้แห่งเทือกเขาบูโด” ผู้ทุ่มเทชีวิตเพื่อความสงบสุขของแผ่นดินปลายด้ามขวาน 🗡️ แม้จะแลกด้วยความเหน็ดเหนื่อย เจ็บปวด และสุดท้าย... ชีวิต 👮‍♂️ “สมเพียร เอกสมญา” หรือชื่อเล่นว่า “เนี้ยบ” เกิดเมื่อปี 2493 ในครอบครัวยากจนที่จังหวัดสงขลา ชีวิตในวัยเด็กเต็มไปด้วยความลำบาก ต้องช่วยพ่อแม่กรีดยาง เพื่อหารายได้จุนเจือครอบครัว แต่ความยากจน ไม่สามารถปิดกั้นความฝันได้ 🎓 หลังเรียนจบชั้นประถมปีที่ 4 สมเพียรตัดสินใจเป็นศิษย์วัดเพื่อเรียนต่อ และก้าวขึ้นสู่การเป็นนักเรียนตำรวจ ต้องเปลี่ยนนามสกุลจาก “แซ่เจ่ง” เป็น “เอกสมญา” เพื่อเข้ารับราชการในยุคนั้น จุดเริ่มต้นของนักรบแดนใต้ ปี 2513 สมเพียรเริ่มต้นอาชีพตำรวจที่ สถานีตำรวจภูธรบันนังสตา ภ.จว.ยะลา ในช่วงเวลาที่ภาคใต้ร้อนระอุ จากความขัดแย้งของพรรคคอมมิวนิสต์มลายา (พคม.) และกลุ่มขบวนการแบ่งแยกดินแดน ชีวิตของสมเพียร ไม่ใช่แค่การจับผู้ร้ายทั่วไป แต่ต้องเผชิญหน้ากับสงครามกองโจร และการลอบสังหารเกือบทุกวัน 😔 🔥 วีรกรรมและตำนาน “ขาเหล็ก” เหตุการณ์ปะทะที่เกือบเอาชีวิตไม่รอด ปี 2519 ขณะที่ครองยศ "จ่าสิบตำรวจ" ได้เข้าปะทะกับขบวนการก่อการไม่สงบ ที่จับตำรวจและครอบครัวเป็นตัวประกัน บนเขาเจาะปันตัง เหตุการณ์นั้นทำให้ จ่าเพียรเกือบเสียขาข้างซ้าย ต้องใส่เหล็กดามขามาตลอดชีวิต จนได้ฉายาว่า “จ่าเพียร ขาเหล็ก” 🦿 🦾 “ผมไม่อยากเป็นวีรบุรุษ และจะไม่ขอตายในชุดนักรบ” พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา 🦅 ปฏิบัติการ “ยูงทอง” ชุดปฏิบัติการปราบปราม กลุ่มก่อการไม่สงบในบันนังสตา มีชื่อเสียงอย่างมากภาย ใต้การนำของจ่าเพียร เคยนำทีมเข้าปะทะกองกำลังกว่า 30 คน ในปี 2526 แม้ตัวเองจะโดนยิงที่ต้นขาขวา แต่ยังสู้ไม่ถอย ✊ 🏡 ความฝันสุดท้ายของจ่าเพียร อยากกลับบ้าน...แค่ใช้ชีวิตกับครอบครัว ในช่วงสุดท้ายของชีวิต พ.ต.อ.สมเพียร ยื่นเรื่องขอย้ายกลับไปอยู่ สภ.กันตัง จ.ตรัง บ้านเกิดของภรรยา เพื่อใช้ชีวิตเงียบสงบช่วง 18 เดือนก่อนเกษียณ แต่การโยกย้ายกลับไม่เกิดขึ้น แม้ว่าจะมีชื่อติดในโผโยกย้ายตั้งแต่แรก แต่ในขั้นตอนสุดท้าย กลับถูกสับเปลี่ยนชื่อ สลับบัญชี เพื่อหลีกทางให้คนของนักการเมือง 🍃 จ่าเพียรไม่ยอมรับโผอัปยศ จึงเดินทางจากชายแดนใต้สู่กรุงเทพฯ ไปทวงถามความเป็นธรรม ถึงทำเนียบรัฐบาล และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งได้รับคำปลอบใจว่า จะเยียวยาโดยให้ขึ้นตำแหน่ง "รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด" ก่อนที่จะเกษียณอายุราชการ 💬 “ไม่มีการแต่งตั้งตำรวจครั้งไหนที่แย่เท่าครั้งนี้อีกแล้ว” แม้ว่าจ่าเพยีจะพูดด้วยน้ำตา แต่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง 💔 วันแห่งความสูญเสีย ปฏิบัติการสุดท้ายที่บ้านทับช้าง ในเช้าวันศุกร์ที่ 12 มีนาคม 2553 จ่าเพียร พร้อมด้วยลูกน้อง 4 นาย และ อส.คนสนิทอีก 1 นาย นั่งรถยนต์ปิกอัพ โตโยต้าไฮลักซ์วีโก้ 4 ประตู สีน้ำตาล หมายเลขทะเบียน กข 9302 ยะลา และอส.คนสนิท อีก 1 นาย ออกลาดตระเวนในพื้นที่บ้านทับช้าง แต่ถูกกลุ่มก่อการไม่สงบ กดระเบิด และกราดยิงด้วยอาวุธสงครามอย่างหนัก จ่าเพียรได้รับบาดเจ็บสาหัส และเสียชีวิตในเวลาต่อมา ที่โรงพยาบาลศูนย์ยะลา ลูกน้องได้รับบาดเจ็บสาหัส 3 นาย และอีก 1 นายเสียชีวิต 🔫 ⚰️ อายุ 59 ปี สิ้นสุดเส้นทางของนักรบผู้ภักดีต่อหน้าที่ บทเรียนชีวิตและความจริงที่เจ็บปวด การต่อสู้ของจ่าเพียร ไม่ใช่แค่ศึกในสนามรบ แต่ยังเป็นศึกในระบบราชการที่ซับซ้อน และมีปัญหาเรื่องอุปถัมภ์ จ่าเพียรไม่ได้รับโอกาสเลื่อนยศหรือโยกย้าย จนกว่าจะเสียชีวิตแล้ว ถึงได้เลื่อนยศ 7 ขั้น เป็น "พลตำรวจเอก" 🕊️ ⚖️ ระบบที่ควรตอบแทนคนทุ่มเท กลับถูกแทนที่ด้วยสายสัมพันธ์และอำนาจ มรดกและแรงบันดาลใจ หลังจากการเสียชีวิตของจ่าเพียร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มอบเงินช่วยเหลือครอบครัวจำนวน 3 ล้านบาท และรับผิดชอบการศึกษาของลูก จนจบปริญญาตรี แต่สิ่งที่จ่าเพียรทิ้งไว้ไม่ใช่แค่เงินทอง ❤️ “จ่าเพียร ขาเหล็ก” กลายเป็นสัญลักษณ์ของตำรวจที่ทุ่มเท และไม่ยอมแพ้ต่ออุปถัมภ์ 🗣️ คำพูดสุดท้ายที่ยังตราตรึง "ผมไม่ได้อยากย้ายเพื่อความก้าวหน้า แต่อยากกลับไปอยู่กับครอบครัว ผมทำงานมา 40 ปี แทบไม่มีเวลาให้พวกเขาเลย" ❓ คำถามที่ยังไร้คำตอบ แม้เวลาจะผ่านไป 15 ปี แต่เรื่องราวของจ่าเพียร ยังเป็นกระจกสะท้อนปัญหาระบบราชการไทย หลายคนยังสงสัยว่า… - ทำไมตำรวจน้ำดี ต้องตายก่อนจึงได้รับการยกย่อง? - ทำไมระบบโยกย้าย ถึงเต็มไปด้วยข้อครหา? - ใครจะปกป้องผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ที่ไม่มีเส้นสาย? 🤝 เสียงจากคนในพื้นที่ “จ่าเพียรกลับมาแล้ว” ไม่ใช่แค่ตำรวจ แต่เป็นที่พึ่งของชาวบ้าน 🕊️ “กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ยะลา ปัตตานี นราธิวาส รู้จักจ่าเพียรในฐานะคนที่ไม่เคยทิ้งพื้นที่” 🌳 "คนที่เคยเป็นเยาวชนไม่มีอนาคต กลายมาเป็นอาสาสมัครในทีมของจ่าเพียร ด้วยศรัทธาและความเชื่อมั่น" 🕯️ ตำนานที่ไม่ควรจางหาย ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ที่ชื่อ "สมเพียร เอกสมญา" ไม่ได้ตายเพราะกระสุนหรือระเบิด แต่เพราะระบบที่ล้มเหลวในการดูแลคนดี 💐 ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 121155 มี.ค. 2568 #จ่าเพียรขาเหล็ก #ฮีโร่แดนใต้ #ผู้กำกับนักสู้ #สมเพียรเอกสมญา #ชายแดนใต้ #นักรบแห่งบูโด #ตำรวจไทย #ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ #วีรบุรุษแดนใต้ #ระบบอุปถัมภ์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 620 มุมมอง 0 รีวิว
  • หลานกตัญญู สู้ช่วยย่าหารายได้ หนักเอาเบาสู้ ทั้งอดทนและทนอด!! #สู้ชีวิต #กตัญญู #นักสู้ #ยากจน #หัวใจแกร่ง #แรงบันดาลใจ #เทรนด์วันนี้ #ฅนจริงใจไม่ท้อ
    หลานกตัญญู สู้ช่วยย่าหารายได้ หนักเอาเบาสู้ ทั้งอดทนและทนอด!! #สู้ชีวิต #กตัญญู #นักสู้ #ยากจน #หัวใจแกร่ง #แรงบันดาลใจ #เทรนด์วันนี้ #ฅนจริงใจไม่ท้อ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 170 มุมมอง 3 0 รีวิว
  • Gemini AI ถูกใช้เพื่อสร้างและบรรยายเกมข้อความแนวผจญภัย (text-based adventure game) ให้มีชีวิตชีวาและดึงดูดผู้เล่นมากขึ้น โดยในบทความจาก TechRadar ผู้เขียนได้ทดลองใช้ Gemini AI ของ Google ในการสร้างประสบการณ์เกมที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเกมคลาสสิกในยุค 70s อย่าง Zork ซึ่งเป็นเกมข้อความแนวผจญภัยที่เปิดโอกาสให้ผู้เล่นได้เลือกตัดสินใจและสำรวจเส้นทางเรื่องราวที่แตกต่างกันไปตามคำตอบของตน

    ในเกมที่สร้างขึ้นโดย Gemini AI นี้ ผู้เล่นเริ่มต้นในป่าลึกลับ โดยมีทางเลือกในการสำรวจสถานที่ต่าง ๆ เช่น เส้นทางที่มุ่งลึกเข้าไปในป่า กำแพงหินที่ปกคลุมด้วยตะไคร่ หรือธารน้ำใสที่ไหลผ่านป่า ความสามารถของ AI ในการบรรยายภาพและสร้างบรรยากาศที่มีชีวิตชีวา ทำให้ผู้เล่นรู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปในโลกแฟนตาซีจริง ๆ โดยตลอดเรื่องราว ผู้เล่นต้องแก้ปริศนาและค้นหากุญแจวิเศษ ซึ่งนำไปสู่การเปิดกล่องลับที่มีความลับซ่อนอยู่

    จุดเด่นของ Gemini คือการติดตามเนื้อหาและนำเกมกลับมาต่อจากที่ค้างไว้ได้อย่างไม่มีสะดุด แม้ว่าผู้เล่นจะหยุดเล่นชั่วคราว Gemini ยังแสดงให้เห็นถึงความสามารถที่น่าสนใจในการประสานเรื่องราวและสร้างประสบการณ์การเล่นที่ต่อเนื่อง

    อย่างไรก็ตาม แม้จะมีคำบรรยายที่ละเอียดและน่าสนใจ แต่ความซับซ้อนและระดับความตื่นเต้นในบางส่วนของเกมยังสามารถพัฒนาได้อีก หากเพิ่มความตึงเครียดและอารมณ์เข้มข้นยิ่งขึ้น เกมที่สร้างโดย AI นี้อาจเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับนักเล่นเกมที่ชื่นชอบความคลาสสิก

    https://www.techradar.com/computing/artificial-intelligence/i-asked-gemini-to-play-a-text-based-adventure-game-with-me-and-the-ai-whisked-me-away-to-a-word-based-fantasy
    Gemini AI ถูกใช้เพื่อสร้างและบรรยายเกมข้อความแนวผจญภัย (text-based adventure game) ให้มีชีวิตชีวาและดึงดูดผู้เล่นมากขึ้น โดยในบทความจาก TechRadar ผู้เขียนได้ทดลองใช้ Gemini AI ของ Google ในการสร้างประสบการณ์เกมที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเกมคลาสสิกในยุค 70s อย่าง Zork ซึ่งเป็นเกมข้อความแนวผจญภัยที่เปิดโอกาสให้ผู้เล่นได้เลือกตัดสินใจและสำรวจเส้นทางเรื่องราวที่แตกต่างกันไปตามคำตอบของตน ในเกมที่สร้างขึ้นโดย Gemini AI นี้ ผู้เล่นเริ่มต้นในป่าลึกลับ โดยมีทางเลือกในการสำรวจสถานที่ต่าง ๆ เช่น เส้นทางที่มุ่งลึกเข้าไปในป่า กำแพงหินที่ปกคลุมด้วยตะไคร่ หรือธารน้ำใสที่ไหลผ่านป่า ความสามารถของ AI ในการบรรยายภาพและสร้างบรรยากาศที่มีชีวิตชีวา ทำให้ผู้เล่นรู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปในโลกแฟนตาซีจริง ๆ โดยตลอดเรื่องราว ผู้เล่นต้องแก้ปริศนาและค้นหากุญแจวิเศษ ซึ่งนำไปสู่การเปิดกล่องลับที่มีความลับซ่อนอยู่ จุดเด่นของ Gemini คือการติดตามเนื้อหาและนำเกมกลับมาต่อจากที่ค้างไว้ได้อย่างไม่มีสะดุด แม้ว่าผู้เล่นจะหยุดเล่นชั่วคราว Gemini ยังแสดงให้เห็นถึงความสามารถที่น่าสนใจในการประสานเรื่องราวและสร้างประสบการณ์การเล่นที่ต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม แม้จะมีคำบรรยายที่ละเอียดและน่าสนใจ แต่ความซับซ้อนและระดับความตื่นเต้นในบางส่วนของเกมยังสามารถพัฒนาได้อีก หากเพิ่มความตึงเครียดและอารมณ์เข้มข้นยิ่งขึ้น เกมที่สร้างโดย AI นี้อาจเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับนักเล่นเกมที่ชื่นชอบความคลาสสิก https://www.techradar.com/computing/artificial-intelligence/i-asked-gemini-to-play-a-text-based-adventure-game-with-me-and-the-ai-whisked-me-away-to-a-word-based-fantasy
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 211 มุมมอง 0 รีวิว
  • “แม่สู้ชีวิต” สู้เพื่อลูกและสามี แม้ต้องเจอสารพัดวิกฤต!!
    #สู้ชีวิต #สู้เพื่อลูก #พิการ #ออทิสติก #นักสู้ #หัวใจแกร่ง #แรงบันดาลใจ #ฅนจริงใจไม่ท้อ
    “แม่สู้ชีวิต” สู้เพื่อลูกและสามี แม้ต้องเจอสารพัดวิกฤต!! #สู้ชีวิต #สู้เพื่อลูก #พิการ #ออทิสติก #นักสู้ #หัวใจแกร่ง #แรงบันดาลใจ #ฅนจริงใจไม่ท้อ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 265 มุมมอง 11 1 รีวิว
  • Richard Sutton และ Andrew Barto, สองผู้บุกเบิกแนวคิดการเรียนรู้แบบเสริมแรง (Reinforcement Learning - RL) ซึ่งเป็นหนึ่งในกระบวนการเรียนรู้ของ AI ได้แสดงความไม่พอใจเกี่ยวกับการที่บริษัทเทคโนโลยีอย่าง OpenAI และ Google นำ AI ออกสู่ตลาดโดยขาดมาตรการป้องกันที่เหมาะสม พวกเขาเปรียบเทียบว่าเหมือนการสร้างสะพานที่ยังไม่ได้ทดสอบความแข็งแรงแต่กลับเปิดใช้งานให้สาธารณชนใช้งาน

    Reinforcement Learning (RL) เป็นหนึ่งในแนวทางหลักของการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) ที่พัฒนาในช่วงทศวรรษ 1980 โดยได้รับแรงบันดาลใจจากจิตวิทยาพฤติกรรมนิยม RL สอนให้ AI ตัดสินใจผ่านการลองผิดลองถูกเพื่อให้บรรลุผลลัพธ์ที่ดีที่สุด เช่นเดียวกับวิธีที่มนุษย์เรียนรู้ RL เป็นรากฐานสำคัญที่บริษัทอย่าง OpenAI และ Google ใช้ในการพัฒนาแพลตฟอร์ม AI ของตน

    Sutton และ Barto ตั้งคำถามถึงการออกแบบ AI ในปัจจุบัน โดยพวกเขามองว่าโมเดล AI เช่น ChatGPT ถูกมองเป็นเพียง "เครื่องมือทำเงิน" และไม่สามารถนำไปสู่การสร้าง "ปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป" (AGI) ได้จริง ทั้งยังชี้ว่าบริษัท AI ปัจจุบันขาดแนวคิดในการลดผลกระทบเชิงลบที่อาจเกิดจากเทคโนโลยี เช่น การหลงเชื่อข้อมูลที่ผิดพลาดหรือการที่ AI แสดงข้อมูลที่ไม่ถูกต้องด้วยความมั่นใจเกินจริง

    Barto กล่าวเพิ่มเติมว่า "วิศวกรรมที่ดีควรให้ความสำคัญกับการลดผลกระทบเชิงลบของเทคโนโลยี แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่บริษัทเหล่านี้ทำ"

    Sutton ได้กล่าวว่าแนวคิดของ AGI (Artificial General Intelligence) หรือปัญญาประดิษฐ์ที่มีความสามารถระดับมนุษย์ ถูกใช้อย่างเกินจริงเพื่อดึงดูดความสนใจทางการตลาด ในขณะที่ Barto ชี้ว่าบริษัทควรเข้าใจเกี่ยวกับการทำงานของสมองมนุษย์ให้ดีกว่านี้ ก่อนที่จะสร้างระบบ AI ที่อ้างว่ามีความฉลาดเทียบเท่ามนุษย์

    https://www.techspot.com/news/107052-reinforcement-learning-pioneers-harshly-criticize-unsafe-state-ai.html
    Richard Sutton และ Andrew Barto, สองผู้บุกเบิกแนวคิดการเรียนรู้แบบเสริมแรง (Reinforcement Learning - RL) ซึ่งเป็นหนึ่งในกระบวนการเรียนรู้ของ AI ได้แสดงความไม่พอใจเกี่ยวกับการที่บริษัทเทคโนโลยีอย่าง OpenAI และ Google นำ AI ออกสู่ตลาดโดยขาดมาตรการป้องกันที่เหมาะสม พวกเขาเปรียบเทียบว่าเหมือนการสร้างสะพานที่ยังไม่ได้ทดสอบความแข็งแรงแต่กลับเปิดใช้งานให้สาธารณชนใช้งาน Reinforcement Learning (RL) เป็นหนึ่งในแนวทางหลักของการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) ที่พัฒนาในช่วงทศวรรษ 1980 โดยได้รับแรงบันดาลใจจากจิตวิทยาพฤติกรรมนิยม RL สอนให้ AI ตัดสินใจผ่านการลองผิดลองถูกเพื่อให้บรรลุผลลัพธ์ที่ดีที่สุด เช่นเดียวกับวิธีที่มนุษย์เรียนรู้ RL เป็นรากฐานสำคัญที่บริษัทอย่าง OpenAI และ Google ใช้ในการพัฒนาแพลตฟอร์ม AI ของตน Sutton และ Barto ตั้งคำถามถึงการออกแบบ AI ในปัจจุบัน โดยพวกเขามองว่าโมเดล AI เช่น ChatGPT ถูกมองเป็นเพียง "เครื่องมือทำเงิน" และไม่สามารถนำไปสู่การสร้าง "ปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป" (AGI) ได้จริง ทั้งยังชี้ว่าบริษัท AI ปัจจุบันขาดแนวคิดในการลดผลกระทบเชิงลบที่อาจเกิดจากเทคโนโลยี เช่น การหลงเชื่อข้อมูลที่ผิดพลาดหรือการที่ AI แสดงข้อมูลที่ไม่ถูกต้องด้วยความมั่นใจเกินจริง Barto กล่าวเพิ่มเติมว่า "วิศวกรรมที่ดีควรให้ความสำคัญกับการลดผลกระทบเชิงลบของเทคโนโลยี แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่บริษัทเหล่านี้ทำ" Sutton ได้กล่าวว่าแนวคิดของ AGI (Artificial General Intelligence) หรือปัญญาประดิษฐ์ที่มีความสามารถระดับมนุษย์ ถูกใช้อย่างเกินจริงเพื่อดึงดูดความสนใจทางการตลาด ในขณะที่ Barto ชี้ว่าบริษัทควรเข้าใจเกี่ยวกับการทำงานของสมองมนุษย์ให้ดีกว่านี้ ก่อนที่จะสร้างระบบ AI ที่อ้างว่ามีความฉลาดเทียบเท่ามนุษย์ https://www.techspot.com/news/107052-reinforcement-learning-pioneers-harshly-criticize-unsafe-state-ai.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Reinforcement learning pioneers harshly criticize the "unsafe" state of AI development
    Richard Sutton and Andrew Barto won this year's Turing Award, considered the Nobel Prize for computing, for their significant contributions to machine learning development. The two researchers...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 302 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🔥 วิธีทำงานให้มีไฟ แม้ไม่มีใจรัก 🔥


    ---

    📌 1️⃣ ถ้าไม่มีใจ งานก็เหมือนไม่เคยเริ่มต้น

    🚫 ปัญหา:

    ทำงานไปวันๆ รอให้หมดเดือน รับเงินเดือนแล้วจบ

    ไม่มีเป้าหมาย ไม่แคร์ผลลัพธ์

    ไม่เห็นความสำคัญของงาน จึงหมดไฟง่าย


    ✅ แนวทางแก้:
    "ให้มองว่างานนี้เป็นสะพาน ไม่ใช่ปลายทาง"

    งานที่ทำวันนี้ อาจไม่ใช่งานสุดท้าย

    แต่มันเป็น "จุดเริ่มต้น" หรือ "กลางทาง" ที่พาคุณไปสู่งานที่ใช่

    ถ้าคุณทำแบบไร้ใจต่อไป คุณจะไม่มีวันไปถึงงานที่รักได้เลย!



    ---

    📌 2️⃣ เปลี่ยนวิธีคิด: "ทำก่อนรัก" ไม่ใช่ "รักก่อนทำ"

    🚫 ปัญหา:

    หลายคนรอให้ "มีใจ" ก่อน แล้วค่อยทำเต็มที่

    แต่ความจริงคือ "ยิ่งทำ ยิ่งชำนาญ ยิ่งเห็นคุณค่า"

    ถ้าเอาแต่เกลียดงาน ไม่อดทน ไม่ตั้งใจ คุณจะไม่รักงานไหนเลย!


    ✅ แนวทางแก้:
    "เปลี่ยนจากการรอให้รักงาน เป็นการสร้างใจให้รักงาน"

    เริ่มจาก ตั้งเป้าหมายเล็กๆ ในแต่ละวัน (งานสำเร็จ 1 อย่างก็ดีแล้ว)

    คิดเป็นขั้นตอน งาน 1 ชิ้น ต้องทำอะไรบ้าง

    ให้รางวัลตัวเอง เมื่อทำเสร็จ (พัก 5 นาที, ดื่มกาแฟ ฯลฯ)



    ---

    📌 3️⃣ ฝึกวินัย แม้ไม่มีใจรักงาน

    🚫 ปัญหา:

    คนที่เบื่องานมักทำงานแบบจับจด

    ไม่มีเป้าหมาย ไม่มีลำดับขั้นตอน

    ทำไปวันๆ พอหมดวันก็หมดไฟ


    ✅ แนวทางแก้:
    "สร้างนิสัยให้ทำงานอย่างมีระบบ"

    ฝึกตั้งเป้าหมายประจำวัน เช่น

    🎯 เช้านี้ต้องส่งรายงาน

    🎯 บ่ายต้องทำสไลด์ประชุม

    🎯 เย็นต้องเคลียร์อีเมล


    มีขั้นบันได 1-2-3 ในการทำงาน ไม่ทำสะเปะสะปะ

    อดทนกับอุปสรรค เพราะงานที่รัก ก็มีปัญหาเหมือนกัน



    ---

    📌 4️⃣ ใช้ "งานปัจจุบัน" สร้าง "โอกาสอนาคต"

    🚫 ปัญหา:

    คิดว่างานนี้ไม่มีประโยชน์กับอนาคต

    ขาดแรงบันดาลใจในการทำงาน

    ไม่มีเป้าหมายชีวิต


    ✅ แนวทางแก้:
    "ทำงานที่มีวันนี้ ให้ดีที่สุด เพราะมันจะเป็นใบเบิกทางไปสู่โอกาสที่ดีกว่า"

    สร้างผลงานให้ดี แม้เป็นงานที่ไม่ชอบ

    พัฒนาทักษะจากงานปัจจุบัน

    ใช้โอกาสนี้เรียนรู้ให้มากที่สุด



    ---

    📌 5️⃣ สร้าง "พานทอง" ไว้รองรับ "งานในฝัน"

    🚫 ปัญหา:

    หลายคนรอให้เจองานที่ชอบก่อน

    ไม่คิดพัฒนาตัวเองในระหว่างทาง

    สุดท้ายพอเจองานที่รัก ก็ไม่มีความสามารถพอทำได้


    ✅ แนวทางแก้:
    "ใช้ช่วงเวลานี้เป็นการเตรียมตัวให้พร้อม"

    ฝึก "ความรับผิดชอบ" กับงานที่มี

    ฝึก "ความอดทน" กับอุปสรรค

    ฝึก "การทำงานให้สำเร็จ"


    📌 จำไว้!
    "คุณสร้างจิตใจแบบนี้ตอนทำงานที่ไม่รักได้ แล้วมันจะเป็นพลังสำคัญเมื่อคุณได้ทำงานที่รักจริงๆ!"


    ---

    🎯 สรุป: วิธีเติมไฟให้ตัวเอง แม้ไม่มีใจรักงาน

    ✅ 1️⃣ มองว่างานนี้เป็นสะพาน ไม่ใช่จุดจบ
    ✅ 2️⃣ อย่ารอให้รักงาน แต่ให้ทำก่อนแล้วจะรักเอง
    ✅ 3️⃣ ฝึกวินัย ทำงานอย่างมีระบบ
    ✅ 4️⃣ ใช้งานปัจจุบันเป็นโอกาสสร้างอนาคต
    ✅ 5️⃣ ฝึกสร้าง "จิตใจนักสู้" ไว้รองรับงานที่ใช่

    📌 "ถ้าคุณทำงานแบบมีระบบ มีเป้าหมาย มีความอดทน งานที่ใช่จะมาหาคุณเอง!"

    🔥 วิธีทำงานให้มีไฟ แม้ไม่มีใจรัก 🔥 --- 📌 1️⃣ ถ้าไม่มีใจ งานก็เหมือนไม่เคยเริ่มต้น 🚫 ปัญหา: ทำงานไปวันๆ รอให้หมดเดือน รับเงินเดือนแล้วจบ ไม่มีเป้าหมาย ไม่แคร์ผลลัพธ์ ไม่เห็นความสำคัญของงาน จึงหมดไฟง่าย ✅ แนวทางแก้: "ให้มองว่างานนี้เป็นสะพาน ไม่ใช่ปลายทาง" งานที่ทำวันนี้ อาจไม่ใช่งานสุดท้าย แต่มันเป็น "จุดเริ่มต้น" หรือ "กลางทาง" ที่พาคุณไปสู่งานที่ใช่ ถ้าคุณทำแบบไร้ใจต่อไป คุณจะไม่มีวันไปถึงงานที่รักได้เลย! --- 📌 2️⃣ เปลี่ยนวิธีคิด: "ทำก่อนรัก" ไม่ใช่ "รักก่อนทำ" 🚫 ปัญหา: หลายคนรอให้ "มีใจ" ก่อน แล้วค่อยทำเต็มที่ แต่ความจริงคือ "ยิ่งทำ ยิ่งชำนาญ ยิ่งเห็นคุณค่า" ถ้าเอาแต่เกลียดงาน ไม่อดทน ไม่ตั้งใจ คุณจะไม่รักงานไหนเลย! ✅ แนวทางแก้: "เปลี่ยนจากการรอให้รักงาน เป็นการสร้างใจให้รักงาน" เริ่มจาก ตั้งเป้าหมายเล็กๆ ในแต่ละวัน (งานสำเร็จ 1 อย่างก็ดีแล้ว) คิดเป็นขั้นตอน งาน 1 ชิ้น ต้องทำอะไรบ้าง ให้รางวัลตัวเอง เมื่อทำเสร็จ (พัก 5 นาที, ดื่มกาแฟ ฯลฯ) --- 📌 3️⃣ ฝึกวินัย แม้ไม่มีใจรักงาน 🚫 ปัญหา: คนที่เบื่องานมักทำงานแบบจับจด ไม่มีเป้าหมาย ไม่มีลำดับขั้นตอน ทำไปวันๆ พอหมดวันก็หมดไฟ ✅ แนวทางแก้: "สร้างนิสัยให้ทำงานอย่างมีระบบ" ฝึกตั้งเป้าหมายประจำวัน เช่น 🎯 เช้านี้ต้องส่งรายงาน 🎯 บ่ายต้องทำสไลด์ประชุม 🎯 เย็นต้องเคลียร์อีเมล มีขั้นบันได 1-2-3 ในการทำงาน ไม่ทำสะเปะสะปะ อดทนกับอุปสรรค เพราะงานที่รัก ก็มีปัญหาเหมือนกัน --- 📌 4️⃣ ใช้ "งานปัจจุบัน" สร้าง "โอกาสอนาคต" 🚫 ปัญหา: คิดว่างานนี้ไม่มีประโยชน์กับอนาคต ขาดแรงบันดาลใจในการทำงาน ไม่มีเป้าหมายชีวิต ✅ แนวทางแก้: "ทำงานที่มีวันนี้ ให้ดีที่สุด เพราะมันจะเป็นใบเบิกทางไปสู่โอกาสที่ดีกว่า" สร้างผลงานให้ดี แม้เป็นงานที่ไม่ชอบ พัฒนาทักษะจากงานปัจจุบัน ใช้โอกาสนี้เรียนรู้ให้มากที่สุด --- 📌 5️⃣ สร้าง "พานทอง" ไว้รองรับ "งานในฝัน" 🚫 ปัญหา: หลายคนรอให้เจองานที่ชอบก่อน ไม่คิดพัฒนาตัวเองในระหว่างทาง สุดท้ายพอเจองานที่รัก ก็ไม่มีความสามารถพอทำได้ ✅ แนวทางแก้: "ใช้ช่วงเวลานี้เป็นการเตรียมตัวให้พร้อม" ฝึก "ความรับผิดชอบ" กับงานที่มี ฝึก "ความอดทน" กับอุปสรรค ฝึก "การทำงานให้สำเร็จ" 📌 จำไว้! "คุณสร้างจิตใจแบบนี้ตอนทำงานที่ไม่รักได้ แล้วมันจะเป็นพลังสำคัญเมื่อคุณได้ทำงานที่รักจริงๆ!" --- 🎯 สรุป: วิธีเติมไฟให้ตัวเอง แม้ไม่มีใจรักงาน ✅ 1️⃣ มองว่างานนี้เป็นสะพาน ไม่ใช่จุดจบ ✅ 2️⃣ อย่ารอให้รักงาน แต่ให้ทำก่อนแล้วจะรักเอง ✅ 3️⃣ ฝึกวินัย ทำงานอย่างมีระบบ ✅ 4️⃣ ใช้งานปัจจุบันเป็นโอกาสสร้างอนาคต ✅ 5️⃣ ฝึกสร้าง "จิตใจนักสู้" ไว้รองรับงานที่ใช่ 📌 "ถ้าคุณทำงานแบบมีระบบ มีเป้าหมาย มีความอดทน งานที่ใช่จะมาหาคุณเอง!"
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 198 มุมมอง 0 รีวิว
  • DeepSeek บริษัทปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่กำลังถูกพูดถึงทั่วโลกในขณะนี้ สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับวงการเทคโนโลยีด้วยโมเดล AI ที่มีประสิทธิภาพสูง และสามารถแข่งขันกับบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำจากต่างประเทศได้อย่างน่าทึ่ง แต่ที่น่าสนใจคือ จุดเริ่มต้นของบริษัทนี้มาจากเมืองหางโจว (Hangzhou) และมหาวิทยาลัยเจ้อเจียง (Zhejiang University) มหาวิทยาลัยชั้นนำที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีมานี้
    .
    มหาวิทยาลัยเจ้อเจียง ตั้งอยู่ในเมืองหางโจว ห่างจากนครเซี่ยงไฮ้ราว 175 กิโลเมตร เป็นเมืองศูนย์กลางด้านเทคโนโลยีและสตาร์ทอัพของจีน ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากซิลิคอนวัลเลย์ของสหรัฐฯ แม้แต่ แจ๊คหม่า (Jack Ma)ผู้ก่อตั้ง Alibaba ยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซ ก็เริ่มต้นธุรกิจจากเมืองนี้ ก่อนที่เขาจะหายตัวไปจากสื่อหลังจากวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลจีนในปี 2563 จนกระทั่งกลับมาปรากฏตัวอีกครั้งเมื่อเร็วๆ นี้ในการพบปะกับสี จิ้นผิง (Xi Jinping) ร่วมกับ เหลียง เหวินเฟิง (Liang Wenfeng) ผู้ก่อตั้ง DeepSeek และศิษย์เก่าของมหาวิทยาลัยเจ้อเจียง
    .
    มหาวิทยาลัยเจ้อเจียงถือเป็นหัวใจสำคัญของระบบนิเวศสตาร์ทอัพที่กำลังรุ่งเรืองของเมืองหางโจว และมีเป้าหมายที่จะก้าวสู่มหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลกภายในปี 2570 โดยมีต้นแบบที่ชัดเจนคือมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด (Stanford University) แห่งสหรัฐฯ มากกว่าการเดินตามมหาวิทยาลัยดังในปักกิ่งหรือเซี่ยงไฮ้
    .
    ปัจจุบัน มหาวิทยาลัยเจ้อเจียงมีนักศึกษาและอาจารย์รวมกันกว่า 70,000 คน กระจายอยู่ในวิทยาเขตทั้ง 7 แห่งของเมืองหางโจว และผลิตงานวิจัยออกมาเป็นจำนวนมาก โดยข้อมูลล่าสุดจาก Leiden Ranking ระบุว่า มหาวิทยาลัยเจ้อเจียงมีจำนวนผลงานตีพิมพ์ทางวิทยาศาสตร์มากที่สุดในโลก และเป็นอันดับสองรองจากฮาร์วาร์ดในด้านจำนวนผลงานที่มีคุณภาพอยู่ใน 10% แรกของวงการวิชาการโลก
    .
    ศิษย์เก่าของมหาวิทยาลัยเจ้อเจียงหลายคนล้วนเป็นเศรษฐีแถวหน้าของจีน เช่น หวงเจิง (Colin Huang) ผู้ก่อตั้ง Pinduoduo และต้วน หย่งผิง (Duan Yongping) เจ้าพ่อธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
    .
    ปัจจุบันจีนกำลังจับตามองกลุ่มสตาร์ทอัพดาวรุ่งแห่งเมืองหางโจวที่เรียกกันว่า "มังกรน้อยทั้งหก" ซึ่ง DeepSeek ก็คือหนึ่งในนั้น เช่นเดียวกับ Manycore Tech สตาร์ทอัพด้านซอฟต์แวร์ 3D และ Deep Robotics สตาร์ทอัพที่เชี่ยวชาญด้านหุ่นยนต์สี่ขา (Quadruped Robot)
    .
    อย่างไรก็ตาม แม้จะเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่มหาวิทยาลัยเจ้อเจียงยังมีความท้าทายอีกหลายประการ โดยเฉพาะในแง่ของการเงินที่ยังคงพึ่งพางบประมาณจากรัฐบาลเป็นหลัก และยังไม่มีเงินทุนกองทุนส่วนตัวที่มีขนาดใหญ่เทียบเท่ามหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก นอกจากนี้บุคลากรส่วนใหญ่ก็ยังเป็นชาวจีนแทบทั้งหมด โดยมีนักวิชาการต่างชาติที่เข้าร่วมไม่มากนัก เนื่องจากข้อจำกัดด้านสิทธิเสรีภาพและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
    .
    กระนั้นก็ตาม วิลเลียม เคอร์บี้ (William Kirby) นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านจีนจาก Harvard Business School ชี้ว่า "การเกิดขึ้นของมหาวิทยาลัยเช่นเจ้อเจียง แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในแวดวงการศึกษาระดับโลก" และถือเป็นก้าวสำคัญในการที่จีนจะก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจด้านการศึกษาที่มีอิทธิพลระดับโลกภายในปี 2578 ตามที่รัฐบาลจีนวางเป้าหมายเอาไว้
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000020876
    ..............
    Sondhi X
    DeepSeek บริษัทปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่กำลังถูกพูดถึงทั่วโลกในขณะนี้ สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับวงการเทคโนโลยีด้วยโมเดล AI ที่มีประสิทธิภาพสูง และสามารถแข่งขันกับบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำจากต่างประเทศได้อย่างน่าทึ่ง แต่ที่น่าสนใจคือ จุดเริ่มต้นของบริษัทนี้มาจากเมืองหางโจว (Hangzhou) และมหาวิทยาลัยเจ้อเจียง (Zhejiang University) มหาวิทยาลัยชั้นนำที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีมานี้ . มหาวิทยาลัยเจ้อเจียง ตั้งอยู่ในเมืองหางโจว ห่างจากนครเซี่ยงไฮ้ราว 175 กิโลเมตร เป็นเมืองศูนย์กลางด้านเทคโนโลยีและสตาร์ทอัพของจีน ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากซิลิคอนวัลเลย์ของสหรัฐฯ แม้แต่ แจ๊คหม่า (Jack Ma)ผู้ก่อตั้ง Alibaba ยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซ ก็เริ่มต้นธุรกิจจากเมืองนี้ ก่อนที่เขาจะหายตัวไปจากสื่อหลังจากวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลจีนในปี 2563 จนกระทั่งกลับมาปรากฏตัวอีกครั้งเมื่อเร็วๆ นี้ในการพบปะกับสี จิ้นผิง (Xi Jinping) ร่วมกับ เหลียง เหวินเฟิง (Liang Wenfeng) ผู้ก่อตั้ง DeepSeek และศิษย์เก่าของมหาวิทยาลัยเจ้อเจียง . มหาวิทยาลัยเจ้อเจียงถือเป็นหัวใจสำคัญของระบบนิเวศสตาร์ทอัพที่กำลังรุ่งเรืองของเมืองหางโจว และมีเป้าหมายที่จะก้าวสู่มหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลกภายในปี 2570 โดยมีต้นแบบที่ชัดเจนคือมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด (Stanford University) แห่งสหรัฐฯ มากกว่าการเดินตามมหาวิทยาลัยดังในปักกิ่งหรือเซี่ยงไฮ้ . ปัจจุบัน มหาวิทยาลัยเจ้อเจียงมีนักศึกษาและอาจารย์รวมกันกว่า 70,000 คน กระจายอยู่ในวิทยาเขตทั้ง 7 แห่งของเมืองหางโจว และผลิตงานวิจัยออกมาเป็นจำนวนมาก โดยข้อมูลล่าสุดจาก Leiden Ranking ระบุว่า มหาวิทยาลัยเจ้อเจียงมีจำนวนผลงานตีพิมพ์ทางวิทยาศาสตร์มากที่สุดในโลก และเป็นอันดับสองรองจากฮาร์วาร์ดในด้านจำนวนผลงานที่มีคุณภาพอยู่ใน 10% แรกของวงการวิชาการโลก . ศิษย์เก่าของมหาวิทยาลัยเจ้อเจียงหลายคนล้วนเป็นเศรษฐีแถวหน้าของจีน เช่น หวงเจิง (Colin Huang) ผู้ก่อตั้ง Pinduoduo และต้วน หย่งผิง (Duan Yongping) เจ้าพ่อธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น . ปัจจุบันจีนกำลังจับตามองกลุ่มสตาร์ทอัพดาวรุ่งแห่งเมืองหางโจวที่เรียกกันว่า "มังกรน้อยทั้งหก" ซึ่ง DeepSeek ก็คือหนึ่งในนั้น เช่นเดียวกับ Manycore Tech สตาร์ทอัพด้านซอฟต์แวร์ 3D และ Deep Robotics สตาร์ทอัพที่เชี่ยวชาญด้านหุ่นยนต์สี่ขา (Quadruped Robot) . อย่างไรก็ตาม แม้จะเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่มหาวิทยาลัยเจ้อเจียงยังมีความท้าทายอีกหลายประการ โดยเฉพาะในแง่ของการเงินที่ยังคงพึ่งพางบประมาณจากรัฐบาลเป็นหลัก และยังไม่มีเงินทุนกองทุนส่วนตัวที่มีขนาดใหญ่เทียบเท่ามหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก นอกจากนี้บุคลากรส่วนใหญ่ก็ยังเป็นชาวจีนแทบทั้งหมด โดยมีนักวิชาการต่างชาติที่เข้าร่วมไม่มากนัก เนื่องจากข้อจำกัดด้านสิทธิเสรีภาพและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ . กระนั้นก็ตาม วิลเลียม เคอร์บี้ (William Kirby) นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านจีนจาก Harvard Business School ชี้ว่า "การเกิดขึ้นของมหาวิทยาลัยเช่นเจ้อเจียง แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในแวดวงการศึกษาระดับโลก" และถือเป็นก้าวสำคัญในการที่จีนจะก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจด้านการศึกษาที่มีอิทธิพลระดับโลกภายในปี 2578 ตามที่รัฐบาลจีนวางเป้าหมายเอาไว้ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000020876 .............. Sondhi X
    Like
    Love
    6
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 1688 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีข่าวที่น่าสนใจเกี่ยวกับการเปิดตัวเมาส์เกมมิ่งรุ่นใหม่ของ Angry Miao ที่ชื่อว่า Infinity Mouse เมาส์ตัวนี้ได้รับการกล่าวถึงว่าเป็น "เมาส์แบตเตอรี่ไม่มีที่สิ้นสุด" หรือ "Infinite Battery" แต่จากการตรวจสอบพบว่าเมาส์นี้สามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้ภายในเวลาเพียง 1.2 วินาทีเท่านั้น

    Angry Miao ได้โปรโมตเมาส์นี้ผ่านแพลตฟอร์ม Kickstarter โดยมีความสำเร็จอย่างมาก โดยได้ระดมทุนมากกว่า $71,000 แม้ว่าการเปิดเผยเทคโนโลยีแบตเตอรี่ที่สัญญาไว้ว่าจะมีขึ้นในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ยังไม่เกิดขึ้น และคาดว่าจะต้องรอจนถึงวันที่ 10 มีนาคม

    ที่น่าสนใจคือ เมาส์นี้ถูกออกแบบมาให้มีน้ำหนักเบาเพียง 50 กรัม และผลิตจากโลหะ มีการออกแบบที่ได้รับแรงบันดาลใจจากรถสปอร์ต Lotus และใช้เซนเซอร์ PAW3950 ที่มีอัตราการโพล 8K พร้อมปุ่มสวิตช์คุณภาพสูง

    อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับการตลาดของเมาส์นี้ โดยเฉพาะการอ้างว่าแบตเตอรี่ไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งอาจทำให้ผู้บริโภคเกิดความสับสน ทั้งนี้ แม้ว่าเมาส์นี้จะมีความสามารถในการชาร์จอย่างรวดเร็ว แต่การอ้างว่าแบตเตอรี่ไม่มีที่สิ้นสุดอาจเป็นเรื่องเกินจริง

    เมื่อมองในด้านดี เมาส์นี้ยังมีการออกแบบที่น่าสนใจและมีประสิทธิภาพที่ดี ซึ่งอาจเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักเล่นเกมที่ต้องการเมาส์น้ำหนักเบาและสามารถชาร์จได้รวดเร็ว

    https://www.tomshardware.com/peripherals/angry-miao-claims-new-gaming-mouse-offers-infinite-battery-premium-tri-mode-mouse-maker-makes-dubious-claims
    มีข่าวที่น่าสนใจเกี่ยวกับการเปิดตัวเมาส์เกมมิ่งรุ่นใหม่ของ Angry Miao ที่ชื่อว่า Infinity Mouse เมาส์ตัวนี้ได้รับการกล่าวถึงว่าเป็น "เมาส์แบตเตอรี่ไม่มีที่สิ้นสุด" หรือ "Infinite Battery" แต่จากการตรวจสอบพบว่าเมาส์นี้สามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้ภายในเวลาเพียง 1.2 วินาทีเท่านั้น Angry Miao ได้โปรโมตเมาส์นี้ผ่านแพลตฟอร์ม Kickstarter โดยมีความสำเร็จอย่างมาก โดยได้ระดมทุนมากกว่า $71,000 แม้ว่าการเปิดเผยเทคโนโลยีแบตเตอรี่ที่สัญญาไว้ว่าจะมีขึ้นในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ยังไม่เกิดขึ้น และคาดว่าจะต้องรอจนถึงวันที่ 10 มีนาคม ที่น่าสนใจคือ เมาส์นี้ถูกออกแบบมาให้มีน้ำหนักเบาเพียง 50 กรัม และผลิตจากโลหะ มีการออกแบบที่ได้รับแรงบันดาลใจจากรถสปอร์ต Lotus และใช้เซนเซอร์ PAW3950 ที่มีอัตราการโพล 8K พร้อมปุ่มสวิตช์คุณภาพสูง อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับการตลาดของเมาส์นี้ โดยเฉพาะการอ้างว่าแบตเตอรี่ไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งอาจทำให้ผู้บริโภคเกิดความสับสน ทั้งนี้ แม้ว่าเมาส์นี้จะมีความสามารถในการชาร์จอย่างรวดเร็ว แต่การอ้างว่าแบตเตอรี่ไม่มีที่สิ้นสุดอาจเป็นเรื่องเกินจริง เมื่อมองในด้านดี เมาส์นี้ยังมีการออกแบบที่น่าสนใจและมีประสิทธิภาพที่ดี ซึ่งอาจเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักเล่นเกมที่ต้องการเมาส์น้ำหนักเบาและสามารถชาร์จได้รวดเร็ว https://www.tomshardware.com/peripherals/angry-miao-claims-new-gaming-mouse-offers-infinite-battery-premium-tri-mode-mouse-maker-makes-dubious-claims
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Angry Miao claims new gaming mouse offers ‘infinite battery’ — premium tri-mode mouse maker makes dubious claims
    The AM Infinity Mouse might be better described as an ‘Instant Charging Mouse’ (1.2s charging), though.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 171 มุมมอง 0 รีวิว
  • นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานตาบาร์บารา (UCSB) ได้พัฒนาหุ่นยนต์ขนาดเล็กที่สามารถรวมตัวและทำงานร่วมกันในลักษณะที่คล้ายกับของเหลวหรือรูปแบบของแข็ง หุ่นยนต์เหล่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อสามารถประกอบตัวขึ้นเป็นรูปทรงใหม่ ๆ หรือสร้างเครื่องมือใหม่ ๆ ได้ตามต้องการ

    นักวิจัยที่ UCSB ได้แรงบันดาลใจจากธรรมชาติ โดยพวกเขาได้พัฒนาและออกแบบหุ่นยนต์ขนาดเล็กที่สามารถทำงานร่วมกันเหมือนกับอาณานิคมของมด หุ่นยนต์เหล่านี้สามารถเปลี่ยนสถานะจากลักษณะ "ไหล" เหมือนของเหลวไปสู่รูปทรงที่เป็นของแข็งได้โดยการปรับเปลี่ยนการหมุนของหุ่นยนต์ แต่ละหน่วยหุ่นยนต์ถูกติดตั้งแม่เหล็กและเกียร์มอเตอร์แปดตัวที่ชั้นนอกของหุ่นยนต์เพื่อนำมาประกอบเป็นรูปร่างต่าง ๆ

    หุ่นยนต์ขนาดเล็กนี้สามารถจำลองกระบวนการทางชีววิทยาที่สำคัญสามประการ คือแรงระหว่างหน่วย, การแบ่งขั้ว (polarization), และการยึดเกาะ ซึ่งกระบวนการเหล่านี้ทำให้หุ่นยนต์สามารถเคลื่อนไหวและประสานงานกันได้เหมือนกับการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ในร่างกายของมนุษย์

    ต่อไปนี้เป็นขั้นตอนที่นักวิจัยจะดำเนินการ: พวกเขาวางแผนที่จะทำให้หุ่นยนต์ขนาดเล็กยิ่งขึ้นและเพิ่มจำนวนหน่วยให้มากขึ้น การพัฒนาหุ่นยนต์ขนาดเล็กที่สามารถประกอบกันเป็นรูปทรงใด ๆ ได้ตามต้องการจะทำให้นักวิจัยสามารถควบคุมและสร้างรูปร่างได้อย่างแม่นยำ

    การพัฒนานี้อาจนำไปสู่การสร้างสรรค์เทคโนโลยีใหม่ ๆ ในอนาคต เช่น หุ่นยนต์ที่สามารถใช้ในการรักษาพยาบาล การสำรวจอวกาศ หรือการก่อสร้างในสภาพแวดล้อมที่เข้าถึงยาก

    https://www.techspot.com/news/106937-scientists-develop-micro-robots-can-flow-like-fluid.html
    นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานตาบาร์บารา (UCSB) ได้พัฒนาหุ่นยนต์ขนาดเล็กที่สามารถรวมตัวและทำงานร่วมกันในลักษณะที่คล้ายกับของเหลวหรือรูปแบบของแข็ง หุ่นยนต์เหล่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อสามารถประกอบตัวขึ้นเป็นรูปทรงใหม่ ๆ หรือสร้างเครื่องมือใหม่ ๆ ได้ตามต้องการ นักวิจัยที่ UCSB ได้แรงบันดาลใจจากธรรมชาติ โดยพวกเขาได้พัฒนาและออกแบบหุ่นยนต์ขนาดเล็กที่สามารถทำงานร่วมกันเหมือนกับอาณานิคมของมด หุ่นยนต์เหล่านี้สามารถเปลี่ยนสถานะจากลักษณะ "ไหล" เหมือนของเหลวไปสู่รูปทรงที่เป็นของแข็งได้โดยการปรับเปลี่ยนการหมุนของหุ่นยนต์ แต่ละหน่วยหุ่นยนต์ถูกติดตั้งแม่เหล็กและเกียร์มอเตอร์แปดตัวที่ชั้นนอกของหุ่นยนต์เพื่อนำมาประกอบเป็นรูปร่างต่าง ๆ หุ่นยนต์ขนาดเล็กนี้สามารถจำลองกระบวนการทางชีววิทยาที่สำคัญสามประการ คือแรงระหว่างหน่วย, การแบ่งขั้ว (polarization), และการยึดเกาะ ซึ่งกระบวนการเหล่านี้ทำให้หุ่นยนต์สามารถเคลื่อนไหวและประสานงานกันได้เหมือนกับการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ในร่างกายของมนุษย์ ต่อไปนี้เป็นขั้นตอนที่นักวิจัยจะดำเนินการ: พวกเขาวางแผนที่จะทำให้หุ่นยนต์ขนาดเล็กยิ่งขึ้นและเพิ่มจำนวนหน่วยให้มากขึ้น การพัฒนาหุ่นยนต์ขนาดเล็กที่สามารถประกอบกันเป็นรูปทรงใด ๆ ได้ตามต้องการจะทำให้นักวิจัยสามารถควบคุมและสร้างรูปร่างได้อย่างแม่นยำ การพัฒนานี้อาจนำไปสู่การสร้างสรรค์เทคโนโลยีใหม่ ๆ ในอนาคต เช่น หุ่นยนต์ที่สามารถใช้ในการรักษาพยาบาล การสำรวจอวกาศ หรือการก่อสร้างในสภาพแวดล้อมที่เข้าถึงยาก https://www.techspot.com/news/106937-scientists-develop-micro-robots-can-flow-like-fluid.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Scientists develop micro-robots that can flow like a fluid or collectively assemble into solid shapes
    Researchers from the University of California, Santa Barbara (UCSB) designed a "material-like" collective of programmable micro-robots, which can behave like a fluid or bond together to create...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 111 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ลุงจำนงค์” แม้ร่างกายเหลือแค่ครึ่งตัว สู้ทำงานหารายได้จุนเจือครอบครัว!

    ……………….

    หากท่านใดต้องการให้กำลังใจหรือช่วยเหลือลุงจำนงค์ สามารถโอนไปได้ที่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ชื่อบัญชี นายจำนงค์ เสือเอี่ยม เลขที่บัญชี 092-1-21063-7

    #สู้ชีวิต #พิการ #นักสู้ #นักสู้ครึ่งตัว #หัวใจแกร่ง #แรงบันดาลใจ #เทรนด์วันนี้ #ฅนจริงใจไม่ท้อ
    “ลุงจำนงค์” แม้ร่างกายเหลือแค่ครึ่งตัว สู้ทำงานหารายได้จุนเจือครอบครัว! ………………. หากท่านใดต้องการให้กำลังใจหรือช่วยเหลือลุงจำนงค์ สามารถโอนไปได้ที่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ชื่อบัญชี นายจำนงค์ เสือเอี่ยม เลขที่บัญชี 092-1-21063-7 #สู้ชีวิต #พิการ #นักสู้ #นักสู้ครึ่งตัว #หัวใจแกร่ง #แรงบันดาลใจ #เทรนด์วันนี้ #ฅนจริงใจไม่ท้อ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 295 มุมมอง 16 0 รีวิว
  • 33 ปี สิ้นราชินีหมอลำสาวเสียงกำมะหยี่ “ฮันนี่ ศรีอีสาน” ตำนานอาถรรพ์ที่ไม่มีวันจางหาย

    🕯️ ย้อนไปเมื่อ 33 ปี ที่ผ่านมา เช้ามืดวันพุธที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2535 วันแห่งความสูญเสียของวงการหมอลำไทย เมื่อราชินีหมอลำสาวเสียงกำมะหยี่ "ฮันนี่ ศรีอีสาน" ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต จากเหตุการณ์รถปิกอัพยางแตก เสียหลักข้ามเลนตกถนนพลิกคว่ำ ที่อำเภอเมืองศรีสะเกษ ขณะกำลังอยู่ในช่วงรุ่งโรจน์ ของอาชีพนักร้องลูกทุ่งหมอลำ

    ⭐ "ฮันนี่ ศรีอีสาน" ดาวรุ่งที่ดับแสงก่อนวัยอันควร จากสาวน้อยบ้านนา...สู่ราชินีหมอลำเสียงกำมะหยี่ 🔹
    "ฮันนี่ ศรีอีสาน" หรือชื่อจริง "นางสาวสุพิณ เหมวิจิตร" เกิดเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2514 ที่บ้านเมย ตำบลดงลิง อำเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ เป็นลูกสาวคนสุดท้องจากพี่น้อง 14 คน แม้จะเรียนจบเพียงระดับประถมศึกษาปีที่ 6 แต่มีความฝันที่จะเป็นศิลปิน และมีพรสวรรค์ด้านการร้องเพลง

    เมื่ออายุ 16 ปี อันนี่ได้ก้าวเข้าสู่วงการหมอลำ เป็นนางเอกหมอลำให้กับคณะชื่อดังหลายคณะ ก่อนจะได้รับโอกาสครั้งสำคัญ ในการเซ็นสัญญาบันทึกเสียงกับ "เยนาวี่ โปรโมชั่น" โดยใช้ชื่อในการแสดงว่า "ฮันนี่ ศรีอีสาน" ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากนักร้องดัง "ฮันนี่-ภัสสร บุณยเกียรติ" ที่กำลังโด่งดังในยุคนั้น

    🎤 จุดสูงสุดของอาชีพนักร้อง ในปี 2534 ฮันนี่เปิดตัวด้วยอัลบั้มแรก "น้ำตาหล่นบนที่นอน" ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ด้วยน้ำเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ จนได้รับฉายา "ราชินีหมอลำสาวเสียงกำมะหยี่"

    📀 ผลงานเพลงเด่น ได้แก่
    ✔ น้ำตาหล่นบนที่นอน
    ✔ วอนพี่มีรักเดียว
    ✔ สาวกาฬสินธุ์
    ✔ รักสองแผ่นดิน
    ✔ ขอแล้วไม่แต่ง

    ด้วยความนิยมที่พุ่งสูงขึ้น ฮันนี่จึงได้เปิดวงดนตรีของตัวเอง เพื่อเดินสายแสดงคอนเสิร์ต ตามจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ

    🚗 โศกนาฏกรรมเช้ามืด 26 กุมภาพันธ์ 2535
    📅 วันพุธที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2535 เวลา 04.30 น. ขณะเดินทางกลับจากการแสดง ที่อำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ รถปิกอัพที่โดยสารมา ประสบอุบัติเหตุยางแตก เสียหลักพุ่งข้ามเลนตกถนนพลิกคว่ำ ที่ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 226 สายศรีสะเกษ - อุบลราชธานี ช่วงกิโลเมตรที่ 10-11 บริเวณตำบลหนองแก้ว อำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ

    💔 "ฮันนี่ ศรีอีสาน" คอหักเสียชีวิตคาที่ ขณะอายุเพียง 21 ปี 4 เดือน 4 วัน

    🎗️ จุดเกิดเหตุได้มีการสร้างศาลอนุสรณ์ เพื่อรำลึกถึง และในทุกๆ ปี จะมีการจัดแสดงคอนเสิร์ตรำลึก

    👻 อาถรรพ์ “ฮันนี่ ศรีอีสาน” กับเรื่องเล่าขนหัวลุก หลังการเสียชีวิตของฮันนี่ ได้เกิดเรื่องเล่าขานเกี่ยวกับวิญญาณ ที่ยังคงวนเวียนอยู่บริเวณที่เกิดเหตุ

    🚘 เห็นเวทีคอนเสิร์ตลอยกลางทาง หลายคนที่ขับรถผ่านบริเวณจุดเกิดเหตุในช่วง ตี 1 ถึงตี 2 เล่าว่าเคยเห็น เวทีคอนเสิร์ตที่มีแสงสีเสียงอลังการ คล้ายกับมีงานแสดง แต่เมื่อเข้าไปใกล้กลับ ไม่มีอะไรอยู่เลย

    📿อาถรรพ์ของทรัพย์สินเธอ มีเรื่องเล่าว่า ผู้ที่ถือโอกาสฉกฉวน นำทรัพย์สินจากที่เกิดเหตุไป ต่างพากันมีอันเป็นไปทุกราย ไม่เว้นแม้กระทั่งนายตำรวจ ที่พบศพเธอเป็นคนแรก ซึ่งมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ก็เสียชีวิตแบบไม่คาดคิด หลังจากนั้นไม่นาน

    🌙 เสียงร้องเพลงยามค่ำคืน มีชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงได้ยิน เสียงร้องเพลงแว่วมาในช่วงกลางดึก โดยเฉพาะเพลง "น้ำตาหล่นบนที่นอน"

    🙏 ย้ายศาลจากศรีสะเกษสู่กาฬสินธุ์ ใน ปี 2558 มีการย้ายศาลฮันนี่ จากจุดเกิดเหตุในศรีสะเกษ กลับไปที่บ้านเกิดที่กมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ หลังจากพี่สาวของฮันนี่ "คำศรี เหมวิจิตร" อ้างว่าวิญญาณของฮันนี่ ไปเข้าฝันพระอาจารย์ประจักษ์ ขอให้ช่วยนำดวงวิญญาณกลับบ้าน

    🔹 พิธีกรรมย้ายศาล ต้องทำถึง 3 ครั้ง ถึงจะสามารถขอวิญญาณของฮันนี่ กลับมาได้

    🎼 มรดกทางดนตรีที่ยังคงอยู่ แม้ว่า "ฮันนี่ ศรีอีสาน" จะจากไปนาน 33 ปี แต่บทเพลงยังคงเป็นที่จดจำ และมีศิลปินหลายคน ได้นำบทเพลงของฮันนี่มาร้องใหม่ รวมถึงศิลปินแห่งชาติอย่าง "บานเย็น รากแก่น" ที่นำเพลงของฮันนี่กลับมาขับร้องอีกครั้ง

    📀 เพลงของฮันนี่ที่ถูกนำมาร้องใหม่ ได้แก่
    ✔ น้ำตาหล่นบนที่นอน
    ✔ วอนพี่มีรักเดียว
    ✔ รักสองแผ่นดิน

    🏆 "ฮันนี่ ศรีอีสาน" ตำนานที่ไม่มีวันลืม ฮันนี่เป็นศิลปินที่มีครบทุกคุณสมบัติ ทั้งเสียงดี รูปร่างหน้าตาสวย และมีเสน่ห์ในการแสดง หลายคนเชื่อว่า ถ้าฮันนี่ยังมีชีวิตอยู่ อาจกลายเป็นตำนานที่ยิ่งใหญ่กว่าที่เป็นอยู่

    🎶 แม้เวลาจะผ่านไป 33 ปี แต่ชื่อของ "ฮันนี่ ศรีอีสาน" ยังคงอยู่ในหัวใจของแฟนเพลง และยังคงเป็นตำนานของวงการหมอลำไทย 🕊️💜

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 260931 ก.พ. 2568

    🔖 #ฮันนี่ศรีอีสาน #ตำนานหมอลำ #น้ำตาหล่นบนที่นอน #อาถรรพ์ฮันนี่ #หมอลำไทย #ข่าวดังในอดีต #อุบัติเหตุหมอลำ #ราชินีเสียงกำมะหยี่ #ลูกทุ่งหมอลำ #วงการลูกทุ่ง
    33 ปี สิ้นราชินีหมอลำสาวเสียงกำมะหยี่ “ฮันนี่ ศรีอีสาน” ตำนานอาถรรพ์ที่ไม่มีวันจางหาย 🕯️ ย้อนไปเมื่อ 33 ปี ที่ผ่านมา เช้ามืดวันพุธที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2535 วันแห่งความสูญเสียของวงการหมอลำไทย เมื่อราชินีหมอลำสาวเสียงกำมะหยี่ "ฮันนี่ ศรีอีสาน" ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต จากเหตุการณ์รถปิกอัพยางแตก เสียหลักข้ามเลนตกถนนพลิกคว่ำ ที่อำเภอเมืองศรีสะเกษ ขณะกำลังอยู่ในช่วงรุ่งโรจน์ ของอาชีพนักร้องลูกทุ่งหมอลำ ⭐ "ฮันนี่ ศรีอีสาน" ดาวรุ่งที่ดับแสงก่อนวัยอันควร จากสาวน้อยบ้านนา...สู่ราชินีหมอลำเสียงกำมะหยี่ 🔹 "ฮันนี่ ศรีอีสาน" หรือชื่อจริง "นางสาวสุพิณ เหมวิจิตร" เกิดเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2514 ที่บ้านเมย ตำบลดงลิง อำเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ เป็นลูกสาวคนสุดท้องจากพี่น้อง 14 คน แม้จะเรียนจบเพียงระดับประถมศึกษาปีที่ 6 แต่มีความฝันที่จะเป็นศิลปิน และมีพรสวรรค์ด้านการร้องเพลง เมื่ออายุ 16 ปี อันนี่ได้ก้าวเข้าสู่วงการหมอลำ เป็นนางเอกหมอลำให้กับคณะชื่อดังหลายคณะ ก่อนจะได้รับโอกาสครั้งสำคัญ ในการเซ็นสัญญาบันทึกเสียงกับ "เยนาวี่ โปรโมชั่น" โดยใช้ชื่อในการแสดงว่า "ฮันนี่ ศรีอีสาน" ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากนักร้องดัง "ฮันนี่-ภัสสร บุณยเกียรติ" ที่กำลังโด่งดังในยุคนั้น 🎤 จุดสูงสุดของอาชีพนักร้อง ในปี 2534 ฮันนี่เปิดตัวด้วยอัลบั้มแรก "น้ำตาหล่นบนที่นอน" ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ด้วยน้ำเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ จนได้รับฉายา "ราชินีหมอลำสาวเสียงกำมะหยี่" 📀 ผลงานเพลงเด่น ได้แก่ ✔ น้ำตาหล่นบนที่นอน ✔ วอนพี่มีรักเดียว ✔ สาวกาฬสินธุ์ ✔ รักสองแผ่นดิน ✔ ขอแล้วไม่แต่ง ด้วยความนิยมที่พุ่งสูงขึ้น ฮันนี่จึงได้เปิดวงดนตรีของตัวเอง เพื่อเดินสายแสดงคอนเสิร์ต ตามจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ 🚗 โศกนาฏกรรมเช้ามืด 26 กุมภาพันธ์ 2535 📅 วันพุธที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2535 เวลา 04.30 น. ขณะเดินทางกลับจากการแสดง ที่อำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ รถปิกอัพที่โดยสารมา ประสบอุบัติเหตุยางแตก เสียหลักพุ่งข้ามเลนตกถนนพลิกคว่ำ ที่ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 226 สายศรีสะเกษ - อุบลราชธานี ช่วงกิโลเมตรที่ 10-11 บริเวณตำบลหนองแก้ว อำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ 💔 "ฮันนี่ ศรีอีสาน" คอหักเสียชีวิตคาที่ ขณะอายุเพียง 21 ปี 4 เดือน 4 วัน 🎗️ จุดเกิดเหตุได้มีการสร้างศาลอนุสรณ์ เพื่อรำลึกถึง และในทุกๆ ปี จะมีการจัดแสดงคอนเสิร์ตรำลึก 👻 อาถรรพ์ “ฮันนี่ ศรีอีสาน” กับเรื่องเล่าขนหัวลุก หลังการเสียชีวิตของฮันนี่ ได้เกิดเรื่องเล่าขานเกี่ยวกับวิญญาณ ที่ยังคงวนเวียนอยู่บริเวณที่เกิดเหตุ 🚘 เห็นเวทีคอนเสิร์ตลอยกลางทาง หลายคนที่ขับรถผ่านบริเวณจุดเกิดเหตุในช่วง ตี 1 ถึงตี 2 เล่าว่าเคยเห็น เวทีคอนเสิร์ตที่มีแสงสีเสียงอลังการ คล้ายกับมีงานแสดง แต่เมื่อเข้าไปใกล้กลับ ไม่มีอะไรอยู่เลย 📿อาถรรพ์ของทรัพย์สินเธอ มีเรื่องเล่าว่า ผู้ที่ถือโอกาสฉกฉวน นำทรัพย์สินจากที่เกิดเหตุไป ต่างพากันมีอันเป็นไปทุกราย ไม่เว้นแม้กระทั่งนายตำรวจ ที่พบศพเธอเป็นคนแรก ซึ่งมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ก็เสียชีวิตแบบไม่คาดคิด หลังจากนั้นไม่นาน 🌙 เสียงร้องเพลงยามค่ำคืน มีชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงได้ยิน เสียงร้องเพลงแว่วมาในช่วงกลางดึก โดยเฉพาะเพลง "น้ำตาหล่นบนที่นอน" 🙏 ย้ายศาลจากศรีสะเกษสู่กาฬสินธุ์ ใน ปี 2558 มีการย้ายศาลฮันนี่ จากจุดเกิดเหตุในศรีสะเกษ กลับไปที่บ้านเกิดที่กมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ หลังจากพี่สาวของฮันนี่ "คำศรี เหมวิจิตร" อ้างว่าวิญญาณของฮันนี่ ไปเข้าฝันพระอาจารย์ประจักษ์ ขอให้ช่วยนำดวงวิญญาณกลับบ้าน 🔹 พิธีกรรมย้ายศาล ต้องทำถึง 3 ครั้ง ถึงจะสามารถขอวิญญาณของฮันนี่ กลับมาได้ 🎼 มรดกทางดนตรีที่ยังคงอยู่ แม้ว่า "ฮันนี่ ศรีอีสาน" จะจากไปนาน 33 ปี แต่บทเพลงยังคงเป็นที่จดจำ และมีศิลปินหลายคน ได้นำบทเพลงของฮันนี่มาร้องใหม่ รวมถึงศิลปินแห่งชาติอย่าง "บานเย็น รากแก่น" ที่นำเพลงของฮันนี่กลับมาขับร้องอีกครั้ง 📀 เพลงของฮันนี่ที่ถูกนำมาร้องใหม่ ได้แก่ ✔ น้ำตาหล่นบนที่นอน ✔ วอนพี่มีรักเดียว ✔ รักสองแผ่นดิน 🏆 "ฮันนี่ ศรีอีสาน" ตำนานที่ไม่มีวันลืม ฮันนี่เป็นศิลปินที่มีครบทุกคุณสมบัติ ทั้งเสียงดี รูปร่างหน้าตาสวย และมีเสน่ห์ในการแสดง หลายคนเชื่อว่า ถ้าฮันนี่ยังมีชีวิตอยู่ อาจกลายเป็นตำนานที่ยิ่งใหญ่กว่าที่เป็นอยู่ 🎶 แม้เวลาจะผ่านไป 33 ปี แต่ชื่อของ "ฮันนี่ ศรีอีสาน" ยังคงอยู่ในหัวใจของแฟนเพลง และยังคงเป็นตำนานของวงการหมอลำไทย 🕊️💜 ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 260931 ก.พ. 2568 🔖 #ฮันนี่ศรีอีสาน #ตำนานหมอลำ #น้ำตาหล่นบนที่นอน #อาถรรพ์ฮันนี่ #หมอลำไทย #ข่าวดังในอดีต #อุบัติเหตุหมอลำ #ราชินีเสียงกำมะหยี่ #ลูกทุ่งหมอลำ #วงการลูกทุ่ง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 618 มุมมอง 0 รีวิว
  • Rolls-Royce กำลังมุ่งหน้าสู่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าด้วยการเปิดตัวรถรุ่น Black Badge Spectre ซึ่งเป็นรถที่ทรงพลังที่สุดที่แบรนด์เคยพัฒนามา นี่เป็นความก้าวหน้าตามธรรมชาติของผู้ผลิตรถหรูที่มีชื่อเสียงมายาวนาน โดยเน้นที่ความเงียบสงบและการขับขี่ที่นุ่มนวล

    Black Badge Spectre นั้นสร้างต่อยอดจากความสำเร็จของรถ Spectre รุ่นมาตรฐาน ซึ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกของ Rolls-Royce โดยในปีที่ผ่านมา Spectre รุ่นมาตรฐานเป็นรุ่นที่มีความต้องการมากที่สุดในยุโรป ความนิยมนี้สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของกลุ่มลูกค้า Rolls-Royce ที่กำลังมีอายุน้อยลงและใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

    Black Badge Spectre มีการออกแบบที่ผสมผสานความหรูหราแบบดั้งเดิมของ Rolls-Royce เข้ากับความทันสมัยและดุดันมากขึ้น คุณสมบัติเด่น ได้แก่ กระจังหน้าที่ส่องสว่าง Illuminated Pantheon Grille และตัวเลือกสีใหม่ Vapour Violet ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากแสงนีออนของวัฒนธรรมคลับในยุค 1980s และ 1990s นอกจากนี้ ยังมีการเปลี่ยนส่วนประกอบโครเมียมให้เป็นสีเข้ม และสามารถเลือกฝากระโปรงหน้าสี Ice Black เพื่อเพิ่มความโดดเด่นได้

    ภายในรถมีการตกแต่งด้วยลายทอคาร์บอนและล้ออะลูมิเนียมฟอร์จขนาด 23 นิ้วที่มี 5 ซี่ ซึ่งเสริมให้รถดูทันสมัยยิ่งขึ้น นอกเหนือจากการออกแบบที่ดึงดูดสายตาแล้ว Black Badge Spectre ยังมอบประสิทธิภาพการขับขี่ที่เพิ่มขึ้น โดยมีพลังงานสูงถึง 485 กิโลวัตต์ (659 แรงม้า) ที่สามารถเข้าถึงได้ด้วยปุ่ม Infinity บนพวงมาลัย ระบบแชสซีและการควบคุมการเลี้ยวได้รับการปรับปรุงเพื่อลดการโยนตัวของรถขณะเร่งและเบรก

    นอกจากนี้ รถยังมีฟีเจอร์ใหม่ Spirited Mode ซึ่งทำหน้าที่คล้ายกับระบบควบคุมการเร่ง (launch control) ทำให้สามารถเร่งจาก 0-60 ไมล์ต่อชั่วโมงได้ในเวลาเพียง 4.1 วินาที ซึ่งเร็วกว่า Spectre รุ่นมาตรฐานถึง 0.3 วินาที โดยสามารถทำได้ด้วยแรงบิดที่เพิ่มขึ้นชั่วคราวถึง 1,075 นิวตันเมตร (Nm)

    แม้ว่า Rolls-Royce จะยังคงไม่เปิดเผยราคาหรือยอดขาย แต่คาดว่าความต้องการของ Black Badge Spectre จะสูงมาก เนื่องจากความสนใจจากลูกค้าตั้งแต่เริ่มเปิดตัวทำให้บริษัทต้องสร้างรถรุ่นนี้ไว้ล่วงหน้าเป็นกลุ่มลับก่อนที่จะมีการเปิดเผยอย่างเป็นทางการ

    ในเรื่องของการชาร์จ แบตเตอรี่ขนาด 120 กิโลวัตต์ชั่วโมงของ Spectre มีความเร็วในการชาร์จสูงสุดที่ 195 กิโลวัตต์ ซึ่งอาจจะดูน้อยเมื่อเทียบกับรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นอื่น ๆ แต่สำหรับกลุ่มลูกค้าของ Rolls-Royce ซึ่งมักมีผู้ช่วยส่วนตัวในการดูแลเรื่องการชาร์จและการบำรุงรักษา จึงไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวล

    การเปลี่ยนแปลงสู่รถยนต์ไฟฟ้าของ Rolls-Royce ดูเหมือนจะราบรื่นกว่าแบรนด์รถหรูอื่น ๆ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการสนับสนุนจาก BMW Group ที่มอบเทคโนโลยีขั้นสูง รวมถึงระบบอินโฟเทนเมนต์ iDrive เวอร์ชันที่ปรับแต่งเฉพาะ

    https://www.techspot.com/news/106888-rolls-royce-goes-bolder-black-badge-spectre-ev.html
    Rolls-Royce กำลังมุ่งหน้าสู่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าด้วยการเปิดตัวรถรุ่น Black Badge Spectre ซึ่งเป็นรถที่ทรงพลังที่สุดที่แบรนด์เคยพัฒนามา นี่เป็นความก้าวหน้าตามธรรมชาติของผู้ผลิตรถหรูที่มีชื่อเสียงมายาวนาน โดยเน้นที่ความเงียบสงบและการขับขี่ที่นุ่มนวล Black Badge Spectre นั้นสร้างต่อยอดจากความสำเร็จของรถ Spectre รุ่นมาตรฐาน ซึ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกของ Rolls-Royce โดยในปีที่ผ่านมา Spectre รุ่นมาตรฐานเป็นรุ่นที่มีความต้องการมากที่สุดในยุโรป ความนิยมนี้สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของกลุ่มลูกค้า Rolls-Royce ที่กำลังมีอายุน้อยลงและใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น Black Badge Spectre มีการออกแบบที่ผสมผสานความหรูหราแบบดั้งเดิมของ Rolls-Royce เข้ากับความทันสมัยและดุดันมากขึ้น คุณสมบัติเด่น ได้แก่ กระจังหน้าที่ส่องสว่าง Illuminated Pantheon Grille และตัวเลือกสีใหม่ Vapour Violet ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากแสงนีออนของวัฒนธรรมคลับในยุค 1980s และ 1990s นอกจากนี้ ยังมีการเปลี่ยนส่วนประกอบโครเมียมให้เป็นสีเข้ม และสามารถเลือกฝากระโปรงหน้าสี Ice Black เพื่อเพิ่มความโดดเด่นได้ ภายในรถมีการตกแต่งด้วยลายทอคาร์บอนและล้ออะลูมิเนียมฟอร์จขนาด 23 นิ้วที่มี 5 ซี่ ซึ่งเสริมให้รถดูทันสมัยยิ่งขึ้น นอกเหนือจากการออกแบบที่ดึงดูดสายตาแล้ว Black Badge Spectre ยังมอบประสิทธิภาพการขับขี่ที่เพิ่มขึ้น โดยมีพลังงานสูงถึง 485 กิโลวัตต์ (659 แรงม้า) ที่สามารถเข้าถึงได้ด้วยปุ่ม Infinity บนพวงมาลัย ระบบแชสซีและการควบคุมการเลี้ยวได้รับการปรับปรุงเพื่อลดการโยนตัวของรถขณะเร่งและเบรก นอกจากนี้ รถยังมีฟีเจอร์ใหม่ Spirited Mode ซึ่งทำหน้าที่คล้ายกับระบบควบคุมการเร่ง (launch control) ทำให้สามารถเร่งจาก 0-60 ไมล์ต่อชั่วโมงได้ในเวลาเพียง 4.1 วินาที ซึ่งเร็วกว่า Spectre รุ่นมาตรฐานถึง 0.3 วินาที โดยสามารถทำได้ด้วยแรงบิดที่เพิ่มขึ้นชั่วคราวถึง 1,075 นิวตันเมตร (Nm) แม้ว่า Rolls-Royce จะยังคงไม่เปิดเผยราคาหรือยอดขาย แต่คาดว่าความต้องการของ Black Badge Spectre จะสูงมาก เนื่องจากความสนใจจากลูกค้าตั้งแต่เริ่มเปิดตัวทำให้บริษัทต้องสร้างรถรุ่นนี้ไว้ล่วงหน้าเป็นกลุ่มลับก่อนที่จะมีการเปิดเผยอย่างเป็นทางการ ในเรื่องของการชาร์จ แบตเตอรี่ขนาด 120 กิโลวัตต์ชั่วโมงของ Spectre มีความเร็วในการชาร์จสูงสุดที่ 195 กิโลวัตต์ ซึ่งอาจจะดูน้อยเมื่อเทียบกับรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นอื่น ๆ แต่สำหรับกลุ่มลูกค้าของ Rolls-Royce ซึ่งมักมีผู้ช่วยส่วนตัวในการดูแลเรื่องการชาร์จและการบำรุงรักษา จึงไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวล การเปลี่ยนแปลงสู่รถยนต์ไฟฟ้าของ Rolls-Royce ดูเหมือนจะราบรื่นกว่าแบรนด์รถหรูอื่น ๆ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการสนับสนุนจาก BMW Group ที่มอบเทคโนโลยีขั้นสูง รวมถึงระบบอินโฟเทนเมนต์ iDrive เวอร์ชันที่ปรับแต่งเฉพาะ https://www.techspot.com/news/106888-rolls-royce-goes-bolder-black-badge-spectre-ev.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Rolls-Royce goes bolder with the Black Badge Spectre EV
    The Black Badge Spectre builds on the success of the standard Spectre – Rolls-Royce's first electric car – which was reportedly the most requested Rolls-Royce model in...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 269 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts