• 18 ปี คณะแพทย์ศิริราช 61 คน ผ่าแยกร่าง “วัน-วาด” แฝดสยาม หัวใจ-ตับ ติดกันสำเร็จ รอดทั้งคู่ ครั้งแรกของโลก

    🔬 การแพทย์ไทยสร้างประวัติศาสตร์ ผ่าแยกแฝดสยามสำเร็จ เป็นครั้งแรกของโลก

    ย้อนกลับไปเมื่อ 18 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550 คณะแพทย์จากโรงพยาบาลศิริราช จำนวน 61 คน ได้สร้างปรากฏการณ์สำคัญ ในวงการแพทย์ระดับโลก ด้วยการผ่าตัดแยกร่างฝาแฝดสยาม ที่มีหัวใจและตับติดกัน ซึ่งเป็นเคสที่ยาก และมีความเสี่ยงสูงสุด ทารกทั้งสองคนคือ

    👶 ด.ญ.ปานตะวัน ธิเย็นใจ หรือน้องวัน แฝดผู้พี่
    👶 ด.ญ.ปานวาด ธิเย็นใจ หรือน้องวาด แฝดผู้น้อง

    ทั้งคู่เป็นบุตรสาวของ น.ส.อุษา ธิเย็นใจ และนายถาวร วิบุลกุล เกิดเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2549 ด้วยวิธีผ่าคลอด ขณะอายุครรภ์ 36 สัปดาห์ โดยมีน้ำหนักแรกคลอดรวมกัน 3,570 กรัม หลังคลอดพบว่า ทั้งคู่ มีร่างกายติดกัน บริเวณช่วงหน้าท้อง ซึ่งเมื่อตรวจอย่างละเอียดพบว่า มีตับติดกันเป็นบริเวณกว้าง และที่สำคัญที่สุดคือ หัวใจของทั้งสองดวงเชื่อมต่อกัน ทำให้มีความเสี่ยงสูงมาก ในการผ่าตัด

    นี่คือเรื่องราวของ "วัน-วาด" และปาฏิหาริย์ของวงการแพทย์ไทย ที่ได้รับการบันทึกว่า เป็นเคสแรกของโลก ที่ผ่าแยกฝาแฝด ที่มีหัวใจติดกัน และรอดชีวิตทั้งคู่ ✨

    👩‍⚕️ ทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และการตัดสินใจครั้งสำคัญ
    การผ่าตัดในครั้งนี้ ต้องอาศัยทีมแพทย์จากหลากหลายสาขา โดยมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหลายท่าน อาทิ

    ✅ ศ.พญ.อังกาบ ปราการรัตน์ หัวหน้าภาควิชาวิสัญญีวิทยา
    ✅ รศ.นพ.สมชาย ศรียศชาติ ศัลยแพทย์หัวใจ
    ✅ ผศ.นพ.มนตรี กิจมณี ศัลยแพทย์ตกแต่ง
    ✅ ผศ.นพ.มงคล เลาหเพ็ญแสง กุมารศัลยแพทย์

    💡 ความท้าทายที่ยิ่งใหญ่
    👉 ทารกมีหัวใจเชื่อมต่อกัน ทำให้ต้องตรวจสอบว่า หัวใจของทั้งคู่ สามารถทำงานแยกจากกัน ได้หรือไม่
    👉 ต้องปิดรอยเชื่อมต่อ ของหัวใจชั่วคราว เพื่อดูผลกระทบก่อนการผ่าตัด
    👉 ต้องแยกตับ ที่ติดกันเป็นบริเวณกว้าง และหลีกเลี่ยงการเสียเลือด ให้มากที่สุด

    📅 หลังจากวางแผนกันอย่างละเอียด การผ่าตัดถูกกำหนดขึ้น ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2550 ขณะที่ทารกมีอายุ 8 เดือน และมีน้ำหนักรวมกัน 10.9 กิโลกรัม

    🔪 ขั้นตอนการผ่าตัด 12 ชั่วโมง ที่ต้องแข่งกับเวลา
    💉 เริ่มต้นด้วยการวางยาสลบ
    ทีมวิสัญญีแพทย์แบ่งเป็น 2 ทีม เพื่อดูแลเด็กแต่ละคนอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันความผิดพลาด ที่อาจเกิดขึ้น

    ❤️ ขั้นตอนที่ 1 แยกหัวใจ
    👉 ใช้เวลาถึง 3 ชั่วโมง เพราะต้องค่อยๆ ตัดแยกหัวใจออกจากกัน โดยไม่ให้เกิดอันตราย ต่อการไหลเวียนโลหิต

    🩺 ขั้นตอนที่ 2 แยกตับ
    👉 ใช้เวลาถึง 2 ชั่วโมง ทีมแพทย์ต้องใช้เทคนิคพิเศษ ในการผ่าตัด เพื่อให้เลือดออกน้อยที่สุด

    🛏 ขั้นตอนที่ 3 เย็บซ่อมแซมอวัยวะ และผนังหน้าท้อง
    👉 แฝดพี่ "ปานตะวัน" มีโอกาสรอดสูงกว่า แต่แฝดน้อง "ปานวาด" ต้องได้รับการดูแลเรื่องหัวใจ เป็นพิเศษ

    ⚠️ ความเสี่ยงที่สูงที่สุด
    การผ่าตัดครั้งนี้ มีความเสี่ยงว่า อาจมีเด็กเพียงคนเดียวที่รอดชีวิต แต่ทีมแพทย์สามารถทำได้สำเร็จ และน้องวัน-วาด มีชีวิตรอดทั้งคู่ 🎉

    👶 ปัจจุบัน "วัน-วาด" ใช้ชีวิตอย่างไร?
    หลังจากผ่านไป 18 ปี นับจากการผ่าตัดแยกร่าง ปัจจุบันทั้งคู่เติบโตขึ้นอย่างแข็งแรง 💖 แม้ว่าต้องมีการติดตามอาการของน้องวาด เนื่องจากมีปัญหาหัวใจอยู่บ้าง แต่ทั้งคู่สามารถใช้ชีวิต ได้ใกล้เคียงกับเด็กปกติ

    คุณแม่ น.ส.อุษา กล่าวว่า
    🗣 "ตอนแรกเสียใจ ที่ลูกเกิดมาไม่ปกติ แต่ตอนนี้รู้สึกดีใจที่สุด ที่ทั้งคู่มีชีวิตรอด อยากขอบคุณทีมแพทย์ทุกท่าน ที่ช่วยชีวิตลูกของฉันไว้"

    🔍 แฝดสยาม คืออะไร?
    🔸 แฝดสยาม หรือ Siamese Twins คือแฝดที่เกิดจาก ไข่ใบเดียวกัน แต่มีความผิดปกติ ในการแบ่งตัวของเอ็มบริโอ ทำให้ร่างกายของทั้งคู่ ติดกันในระดับต่างๆ

    🔹 ประเภทของแฝดสยาม
    ✅ แฝดที่มีอวัยวะภายในติดกัน เช่น หัวใจ ตับ ลำไส้
    ✅ แฝดที่มีอวัยวะภายนอกติดกัน เช่น แขน ขา หรือส่วนอื่นของร่างกาย

    แฝดสยามที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกก็คือ อิน-จัน ฝาแฝดชาวไทย ที่เป็นต้นกำเนิดของคำว่า "Siamese Twins" 👥

    🏥 "ศิริราช" ศูนย์กลางความก้าวหน้า ทางการแพทย์ของไทย
    โรงพยาบาลศิริราช เป็นสถานที่ ที่ให้กำเนิดนวัตกรรม ทางการแพทย์ระดับโลก โดยเฉพาะในเรื่องของ
    การผ่าตัดฝาแฝดสยาม ทีมแพทย์ของศิริราช ไม่เพียงแค่ช่วยเหลือเด็กไทย แต่ยังสามารถนำความรู้นี้ไปช่วยเหลือผู้ป่วยทั่วโลก 🌏

    ✅ เป็นเคสแรกของโลก ที่สามารถแยกแฝดหัวใจติดกัน และรอดชีวิตทั้งคู่
    ✅ เป็นก้าวสำคัญของการแพทย์ไทย ที่ได้รับการยอมรับ ในระดับนานาชาติ

    💬 ปาฏิหาริย์ทางการแพทย์ของไทย
    🎯 คณะแพทย์ศิริราช สร้างประวัติศาสตร์ ด้วยการผ่าตัดแยกแฝดสยาม ที่หัวใจและตับติดกัน ได้สำเร็จเป็นครั้งแรกของโลก
    🎯 "วัน-วาด" มีชีวิตรอดทั้งคู่ ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากมาก
    🎯 เป็นหลักฐานว่าแพทย์ไทย มีความสามารถเทียบเท่าระดับโลก

    👩‍⚕️✨ นี่คือความภาคภูมิใจ ของวงการแพทย์ไทย และเป็นแรงบันดาลใจ ให้กับแพทย์รุ่นใหม่ทั่วโลก 💖

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 2009271 ก.พ. 2568

    📌 #แฝดสยาม #ผ่าตัดแฝด #ศิริราช #วันวาด #ข่าวดังในอดีต #การแพทย์ไทย #นวัตกรรมการแพทย์ #SiameseTwins #แพทย์ไทย #ประวัติศาสตร์การแพทย์
    18 ปี คณะแพทย์ศิริราช 61 คน ผ่าแยกร่าง “วัน-วาด” แฝดสยาม หัวใจ-ตับ ติดกันสำเร็จ รอดทั้งคู่ ครั้งแรกของโลก 🔬 การแพทย์ไทยสร้างประวัติศาสตร์ ผ่าแยกแฝดสยามสำเร็จ เป็นครั้งแรกของโลก ย้อนกลับไปเมื่อ 18 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550 คณะแพทย์จากโรงพยาบาลศิริราช จำนวน 61 คน ได้สร้างปรากฏการณ์สำคัญ ในวงการแพทย์ระดับโลก ด้วยการผ่าตัดแยกร่างฝาแฝดสยาม ที่มีหัวใจและตับติดกัน ซึ่งเป็นเคสที่ยาก และมีความเสี่ยงสูงสุด ทารกทั้งสองคนคือ 👶 ด.ญ.ปานตะวัน ธิเย็นใจ หรือน้องวัน แฝดผู้พี่ 👶 ด.ญ.ปานวาด ธิเย็นใจ หรือน้องวาด แฝดผู้น้อง ทั้งคู่เป็นบุตรสาวของ น.ส.อุษา ธิเย็นใจ และนายถาวร วิบุลกุล เกิดเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2549 ด้วยวิธีผ่าคลอด ขณะอายุครรภ์ 36 สัปดาห์ โดยมีน้ำหนักแรกคลอดรวมกัน 3,570 กรัม หลังคลอดพบว่า ทั้งคู่ มีร่างกายติดกัน บริเวณช่วงหน้าท้อง ซึ่งเมื่อตรวจอย่างละเอียดพบว่า มีตับติดกันเป็นบริเวณกว้าง และที่สำคัญที่สุดคือ หัวใจของทั้งสองดวงเชื่อมต่อกัน ทำให้มีความเสี่ยงสูงมาก ในการผ่าตัด นี่คือเรื่องราวของ "วัน-วาด" และปาฏิหาริย์ของวงการแพทย์ไทย ที่ได้รับการบันทึกว่า เป็นเคสแรกของโลก ที่ผ่าแยกฝาแฝด ที่มีหัวใจติดกัน และรอดชีวิตทั้งคู่ ✨ 👩‍⚕️ ทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และการตัดสินใจครั้งสำคัญ การผ่าตัดในครั้งนี้ ต้องอาศัยทีมแพทย์จากหลากหลายสาขา โดยมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหลายท่าน อาทิ ✅ ศ.พญ.อังกาบ ปราการรัตน์ หัวหน้าภาควิชาวิสัญญีวิทยา ✅ รศ.นพ.สมชาย ศรียศชาติ ศัลยแพทย์หัวใจ ✅ ผศ.นพ.มนตรี กิจมณี ศัลยแพทย์ตกแต่ง ✅ ผศ.นพ.มงคล เลาหเพ็ญแสง กุมารศัลยแพทย์ 💡 ความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ 👉 ทารกมีหัวใจเชื่อมต่อกัน ทำให้ต้องตรวจสอบว่า หัวใจของทั้งคู่ สามารถทำงานแยกจากกัน ได้หรือไม่ 👉 ต้องปิดรอยเชื่อมต่อ ของหัวใจชั่วคราว เพื่อดูผลกระทบก่อนการผ่าตัด 👉 ต้องแยกตับ ที่ติดกันเป็นบริเวณกว้าง และหลีกเลี่ยงการเสียเลือด ให้มากที่สุด 📅 หลังจากวางแผนกันอย่างละเอียด การผ่าตัดถูกกำหนดขึ้น ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2550 ขณะที่ทารกมีอายุ 8 เดือน และมีน้ำหนักรวมกัน 10.9 กิโลกรัม 🔪 ขั้นตอนการผ่าตัด 12 ชั่วโมง ที่ต้องแข่งกับเวลา 💉 เริ่มต้นด้วยการวางยาสลบ ทีมวิสัญญีแพทย์แบ่งเป็น 2 ทีม เพื่อดูแลเด็กแต่ละคนอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันความผิดพลาด ที่อาจเกิดขึ้น ❤️ ขั้นตอนที่ 1 แยกหัวใจ 👉 ใช้เวลาถึง 3 ชั่วโมง เพราะต้องค่อยๆ ตัดแยกหัวใจออกจากกัน โดยไม่ให้เกิดอันตราย ต่อการไหลเวียนโลหิต 🩺 ขั้นตอนที่ 2 แยกตับ 👉 ใช้เวลาถึง 2 ชั่วโมง ทีมแพทย์ต้องใช้เทคนิคพิเศษ ในการผ่าตัด เพื่อให้เลือดออกน้อยที่สุด 🛏 ขั้นตอนที่ 3 เย็บซ่อมแซมอวัยวะ และผนังหน้าท้อง 👉 แฝดพี่ "ปานตะวัน" มีโอกาสรอดสูงกว่า แต่แฝดน้อง "ปานวาด" ต้องได้รับการดูแลเรื่องหัวใจ เป็นพิเศษ ⚠️ ความเสี่ยงที่สูงที่สุด การผ่าตัดครั้งนี้ มีความเสี่ยงว่า อาจมีเด็กเพียงคนเดียวที่รอดชีวิต แต่ทีมแพทย์สามารถทำได้สำเร็จ และน้องวัน-วาด มีชีวิตรอดทั้งคู่ 🎉 👶 ปัจจุบัน "วัน-วาด" ใช้ชีวิตอย่างไร? หลังจากผ่านไป 18 ปี นับจากการผ่าตัดแยกร่าง ปัจจุบันทั้งคู่เติบโตขึ้นอย่างแข็งแรง 💖 แม้ว่าต้องมีการติดตามอาการของน้องวาด เนื่องจากมีปัญหาหัวใจอยู่บ้าง แต่ทั้งคู่สามารถใช้ชีวิต ได้ใกล้เคียงกับเด็กปกติ คุณแม่ น.ส.อุษา กล่าวว่า 🗣 "ตอนแรกเสียใจ ที่ลูกเกิดมาไม่ปกติ แต่ตอนนี้รู้สึกดีใจที่สุด ที่ทั้งคู่มีชีวิตรอด อยากขอบคุณทีมแพทย์ทุกท่าน ที่ช่วยชีวิตลูกของฉันไว้" 🔍 แฝดสยาม คืออะไร? 🔸 แฝดสยาม หรือ Siamese Twins คือแฝดที่เกิดจาก ไข่ใบเดียวกัน แต่มีความผิดปกติ ในการแบ่งตัวของเอ็มบริโอ ทำให้ร่างกายของทั้งคู่ ติดกันในระดับต่างๆ 🔹 ประเภทของแฝดสยาม ✅ แฝดที่มีอวัยวะภายในติดกัน เช่น หัวใจ ตับ ลำไส้ ✅ แฝดที่มีอวัยวะภายนอกติดกัน เช่น แขน ขา หรือส่วนอื่นของร่างกาย แฝดสยามที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกก็คือ อิน-จัน ฝาแฝดชาวไทย ที่เป็นต้นกำเนิดของคำว่า "Siamese Twins" 👥 🏥 "ศิริราช" ศูนย์กลางความก้าวหน้า ทางการแพทย์ของไทย โรงพยาบาลศิริราช เป็นสถานที่ ที่ให้กำเนิดนวัตกรรม ทางการแพทย์ระดับโลก โดยเฉพาะในเรื่องของ การผ่าตัดฝาแฝดสยาม ทีมแพทย์ของศิริราช ไม่เพียงแค่ช่วยเหลือเด็กไทย แต่ยังสามารถนำความรู้นี้ไปช่วยเหลือผู้ป่วยทั่วโลก 🌏 ✅ เป็นเคสแรกของโลก ที่สามารถแยกแฝดหัวใจติดกัน และรอดชีวิตทั้งคู่ ✅ เป็นก้าวสำคัญของการแพทย์ไทย ที่ได้รับการยอมรับ ในระดับนานาชาติ 💬 ปาฏิหาริย์ทางการแพทย์ของไทย 🎯 คณะแพทย์ศิริราช สร้างประวัติศาสตร์ ด้วยการผ่าตัดแยกแฝดสยาม ที่หัวใจและตับติดกัน ได้สำเร็จเป็นครั้งแรกของโลก 🎯 "วัน-วาด" มีชีวิตรอดทั้งคู่ ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากมาก 🎯 เป็นหลักฐานว่าแพทย์ไทย มีความสามารถเทียบเท่าระดับโลก 👩‍⚕️✨ นี่คือความภาคภูมิใจ ของวงการแพทย์ไทย และเป็นแรงบันดาลใจ ให้กับแพทย์รุ่นใหม่ทั่วโลก 💖 ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 2009271 ก.พ. 2568 📌 #แฝดสยาม #ผ่าตัดแฝด #ศิริราช #วันวาด #ข่าวดังในอดีต #การแพทย์ไทย #นวัตกรรมการแพทย์ #SiameseTwins #แพทย์ไทย #ประวัติศาสตร์การแพทย์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 63 มุมมอง 0 รีวิว
  • ช่วงสุญญากาศของชีวิต : โอกาสทองของการเจริญสติ

    "ช่วงสุญญากาศของชีวิต" คือช่วงที่จิตใจรู้สึกว่างเปล่า เบื่อหน่าย ไม่แคร์อะไร ไม่รู้จะทำอะไรต่อไป หรือแม้กระทั่งรู้สึกว่าไม่มีเป้าหมายชีวิต ช่วงเวลาแบบนี้เกิดขึ้นได้กับทุกคน บางคนอาจพบเป็นครั้งคราว แต่ถ้าเกิดบ่อยหรือยืดเยื้อจนกลายเป็นสภาพจิตถาวร ก็อาจทำให้ชีวิตรู้สึกว่า "สูญเปล่า" ได้


    ---

    🔹 วิธีเปลี่ยนช่วงสุญญากาศของชีวิตให้เป็นประโยชน์

    1️⃣ เปลี่ยนมุมมอง : จาก “ฉันเบื่อ” เป็น “ภาวะเบื่อเกิดขึ้น”

    ✅ อย่าหลงไปคิดว่า "ฉันเป็นคนเบื่อ"
    → คิดแบบนี้จะทำให้รู้สึกว่า "ความเบื่อเป็นตัวฉัน" หลีกเลี่ยงไม่ได้ และต้องจมอยู่กับมัน
    ✅ ให้เปลี่ยนเป็น "ตอนนี้มีภาวะเบื่อเกิดขึ้น"
    → มองว่าความเบื่อเป็นเพียงอารมณ์ชั่วคราว ไม่ใช่ตัวเรา มันมาได้ ก็ไปได้

    💡 ตัวอย่างการสังเกต:

    ตอนนี้รู้สึกเบื่อ เพราะไม่ได้อย่างที่หวัง

    ตอนนี้รู้สึกเซ็ง เพราะทำอะไรซ้ำๆ

    ตอนนี้รู้สึกหมดพลัง เพราะเจอเรื่องน่าเบื่อ


    เพียงแค่รู้ทันและแยก "ตัวเรา" ออกจากอารมณ์เบื่อ ความรู้สึกหนักๆ จะเริ่มเบาลง


    ---

    2️⃣ สังเกตเหตุของความเบื่อ : อะไรทำให้รู้สึกแบบนี้?

    ✅ เจาะลึกว่าทำไมถึงเบื่อ

    เบื่อเพราะไม่มีเป้าหมาย?

    เบื่อเพราะรู้สึกว่าชีวิตไม่มีอะไรท้าทาย?

    เบื่อเพราะสภาพแวดล้อมซ้ำซาก?

    เบื่อเพราะมีแรงกดดันที่ทำให้หมดพลัง?


    💡 เมื่อรู้เหตุแล้ว ลองแก้ที่ต้นเหตุ:

    ถ้าเบื่อเพราะไม่มีเป้าหมาย → ตั้งเป้าหมายเล็กๆ ให้ชีวิตมีแรงขับเคลื่อน

    ถ้าเบื่อเพราะซ้ำซาก → เปลี่ยนกิจวัตร ลองทำอะไรใหม่ๆ

    ถ้าเบื่อเพราะกดดัน → ลดความคาดหวังหรือให้เวลากับตัวเองมากขึ้น



    ---

    3️⃣ เปลี่ยนเหตุของความเบื่อ : ทดลองเปลี่ยนกิจกรรม

    ✅ ลองเปลี่ยนสถานการณ์ให้จิตใจได้สดชื่นขึ้น

    ออกไปเดินเล่น สูดอากาศ เปลี่ยนสภาพแวดล้อม

    ลองทำกิจกรรมใหม่ๆ เช่น อ่านหนังสือ ดูสารคดี หรือเรียนรู้สิ่งใหม่

    พูดคุยกับคนที่ให้แรงบันดาลใจ


    💡 ถ้าความเบื่อเกิดจากความรู้สึกซึมเศร้า → ออกกำลังกายสามารถช่วยได้
    เพราะการเคลื่อนไหวร่างกายสามารถเปลี่ยนสารเคมีในสมอง ทำให้รู้สึกดีขึ้นได้


    ---

    4️⃣ ใช้ช่วงเวลานี้เป็นโอกาสฝึกเจริญสติ

    ✅ แทนที่จะปล่อยให้ความเบื่อเข้าครอบงำ → ใช้มันเป็นเครื่องมือฝึกสติ

    นั่งนิ่งๆ แล้วสังเกตความรู้สึกของตัวเอง

    รับรู้ถึงลมหายใจ → หายใจเข้าออกลึกๆ สังเกตว่าความเบื่อเปลี่ยนไปไหม

    จดจ่อกับปัจจุบัน เช่น ฟังเสียงรอบตัว สัมผัสอากาศที่ผิวกาย


    💡 สติช่วยให้เห็นว่าอารมณ์ทุกชนิดไม่เที่ยง → ความเบื่อก็เช่นกัน

    เดี๋ยวมันมา เดี๋ยวมันไป

    ถ้าไม่ไปตอกย้ำหรือจมอยู่กับมัน ความเบื่อจะลดลงเอง



    ---

    5️⃣ เปลี่ยนช่วงว่างเปล่า ให้เป็นโอกาสตั้งเป้าหมายใหม่

    ✅ ถ้ารู้สึกว่าสูญเสียเป้าหมายชีวิต → นี่อาจเป็นโอกาสดีในการค้นหาเป้าหมายใหม่
    💡 ลองถามตัวเอง:

    อะไรคือสิ่งที่เราสนใจแต่ยังไม่ได้ลอง?

    มีอะไรที่อยากเรียนรู้เพิ่มเติม?

    สิ่งที่เคยทำให้มีความสุขคืออะไร?


    🎯 เปลี่ยนช่วงเวลาว่างเปล่าให้เป็นช่วงเวลาของการ "เริ่มต้นใหม่"


    ---

    🔹 สรุป : สุญญากาศของชีวิตไม่ใช่เรื่องเลวร้าย

    💡 ความเบื่อเป็นภาวะที่เกิดขึ้นได้ แต่ไม่ได้เป็นตัวตนของเรา
    💡 ใช้ช่วงเวลานี้เป็นโอกาสฝึกสติ และค้นหาเป้าหมายใหม่
    💡 แค่รู้เท่าทันความเบื่อ ก็สามารถเปลี่ยนมันเป็นพลังบวกได้

    📌 คุณไม่ได้เกิดมาเพื่อให้ชีวิตสูญเปล่า ทุกช่วงเวลามีคุณค่า ขึ้นอยู่กับคุณเลือกใช้มันอย่างไร!

    ช่วงสุญญากาศของชีวิต : โอกาสทองของการเจริญสติ "ช่วงสุญญากาศของชีวิต" คือช่วงที่จิตใจรู้สึกว่างเปล่า เบื่อหน่าย ไม่แคร์อะไร ไม่รู้จะทำอะไรต่อไป หรือแม้กระทั่งรู้สึกว่าไม่มีเป้าหมายชีวิต ช่วงเวลาแบบนี้เกิดขึ้นได้กับทุกคน บางคนอาจพบเป็นครั้งคราว แต่ถ้าเกิดบ่อยหรือยืดเยื้อจนกลายเป็นสภาพจิตถาวร ก็อาจทำให้ชีวิตรู้สึกว่า "สูญเปล่า" ได้ --- 🔹 วิธีเปลี่ยนช่วงสุญญากาศของชีวิตให้เป็นประโยชน์ 1️⃣ เปลี่ยนมุมมอง : จาก “ฉันเบื่อ” เป็น “ภาวะเบื่อเกิดขึ้น” ✅ อย่าหลงไปคิดว่า "ฉันเป็นคนเบื่อ" → คิดแบบนี้จะทำให้รู้สึกว่า "ความเบื่อเป็นตัวฉัน" หลีกเลี่ยงไม่ได้ และต้องจมอยู่กับมัน ✅ ให้เปลี่ยนเป็น "ตอนนี้มีภาวะเบื่อเกิดขึ้น" → มองว่าความเบื่อเป็นเพียงอารมณ์ชั่วคราว ไม่ใช่ตัวเรา มันมาได้ ก็ไปได้ 💡 ตัวอย่างการสังเกต: ตอนนี้รู้สึกเบื่อ เพราะไม่ได้อย่างที่หวัง ตอนนี้รู้สึกเซ็ง เพราะทำอะไรซ้ำๆ ตอนนี้รู้สึกหมดพลัง เพราะเจอเรื่องน่าเบื่อ เพียงแค่รู้ทันและแยก "ตัวเรา" ออกจากอารมณ์เบื่อ ความรู้สึกหนักๆ จะเริ่มเบาลง --- 2️⃣ สังเกตเหตุของความเบื่อ : อะไรทำให้รู้สึกแบบนี้? ✅ เจาะลึกว่าทำไมถึงเบื่อ เบื่อเพราะไม่มีเป้าหมาย? เบื่อเพราะรู้สึกว่าชีวิตไม่มีอะไรท้าทาย? เบื่อเพราะสภาพแวดล้อมซ้ำซาก? เบื่อเพราะมีแรงกดดันที่ทำให้หมดพลัง? 💡 เมื่อรู้เหตุแล้ว ลองแก้ที่ต้นเหตุ: ถ้าเบื่อเพราะไม่มีเป้าหมาย → ตั้งเป้าหมายเล็กๆ ให้ชีวิตมีแรงขับเคลื่อน ถ้าเบื่อเพราะซ้ำซาก → เปลี่ยนกิจวัตร ลองทำอะไรใหม่ๆ ถ้าเบื่อเพราะกดดัน → ลดความคาดหวังหรือให้เวลากับตัวเองมากขึ้น --- 3️⃣ เปลี่ยนเหตุของความเบื่อ : ทดลองเปลี่ยนกิจกรรม ✅ ลองเปลี่ยนสถานการณ์ให้จิตใจได้สดชื่นขึ้น ออกไปเดินเล่น สูดอากาศ เปลี่ยนสภาพแวดล้อม ลองทำกิจกรรมใหม่ๆ เช่น อ่านหนังสือ ดูสารคดี หรือเรียนรู้สิ่งใหม่ พูดคุยกับคนที่ให้แรงบันดาลใจ 💡 ถ้าความเบื่อเกิดจากความรู้สึกซึมเศร้า → ออกกำลังกายสามารถช่วยได้ เพราะการเคลื่อนไหวร่างกายสามารถเปลี่ยนสารเคมีในสมอง ทำให้รู้สึกดีขึ้นได้ --- 4️⃣ ใช้ช่วงเวลานี้เป็นโอกาสฝึกเจริญสติ ✅ แทนที่จะปล่อยให้ความเบื่อเข้าครอบงำ → ใช้มันเป็นเครื่องมือฝึกสติ นั่งนิ่งๆ แล้วสังเกตความรู้สึกของตัวเอง รับรู้ถึงลมหายใจ → หายใจเข้าออกลึกๆ สังเกตว่าความเบื่อเปลี่ยนไปไหม จดจ่อกับปัจจุบัน เช่น ฟังเสียงรอบตัว สัมผัสอากาศที่ผิวกาย 💡 สติช่วยให้เห็นว่าอารมณ์ทุกชนิดไม่เที่ยง → ความเบื่อก็เช่นกัน เดี๋ยวมันมา เดี๋ยวมันไป ถ้าไม่ไปตอกย้ำหรือจมอยู่กับมัน ความเบื่อจะลดลงเอง --- 5️⃣ เปลี่ยนช่วงว่างเปล่า ให้เป็นโอกาสตั้งเป้าหมายใหม่ ✅ ถ้ารู้สึกว่าสูญเสียเป้าหมายชีวิต → นี่อาจเป็นโอกาสดีในการค้นหาเป้าหมายใหม่ 💡 ลองถามตัวเอง: อะไรคือสิ่งที่เราสนใจแต่ยังไม่ได้ลอง? มีอะไรที่อยากเรียนรู้เพิ่มเติม? สิ่งที่เคยทำให้มีความสุขคืออะไร? 🎯 เปลี่ยนช่วงเวลาว่างเปล่าให้เป็นช่วงเวลาของการ "เริ่มต้นใหม่" --- 🔹 สรุป : สุญญากาศของชีวิตไม่ใช่เรื่องเลวร้าย 💡 ความเบื่อเป็นภาวะที่เกิดขึ้นได้ แต่ไม่ได้เป็นตัวตนของเรา 💡 ใช้ช่วงเวลานี้เป็นโอกาสฝึกสติ และค้นหาเป้าหมายใหม่ 💡 แค่รู้เท่าทันความเบื่อ ก็สามารถเปลี่ยนมันเป็นพลังบวกได้ 📌 คุณไม่ได้เกิดมาเพื่อให้ชีวิตสูญเปล่า ทุกช่วงเวลามีคุณค่า ขึ้นอยู่กับคุณเลือกใช้มันอย่างไร!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 83 มุมมอง 0 รีวิว
  • 77 ปี จับ “หะยีสุหลง” จากโต๊ะอิหม่าม นักเคลื่อนไหว ปลายด้ามขวาน สู่สี่ชีวิตถูกอุ้มฆ่า ถ่วงทะเลสาบสงขลา

    📅 ย้อนไปเมื่อ 77 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2491 วันที่ชื่อของ "หะยีสุหลง โต๊ะมีนา" ถูกจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ไทย ในฐานะนักเคลื่อนไหว เพื่อสิทธิของชาวมลายูมุสลิม ในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทว่าการต่อสู้เพื่อความยุติธรรม และสิทธิของประชาชนของเหะยีสุหลง กลับจบลงอย่างโศกนาฏกรรม

    หะยีสุหลงพร้อมกับผู้ติดตามอีก 3 คน หายตัวไปหลังจากเดินทางไปยัง กองบัญชาการตำรวจสันติบาล จังหวัดสงขลา ก่อนถูกสังหาร และถ่วงน้ำในทะเลสาบสงขลา เหตุการณ์นี้กลายเป็น หนึ่งในกรณีการอุ้มฆ่าทางการเมือง ที่สำคัญที่สุดของไทย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความขัดแย้ง ระหว่างอำนาจรัฐ กับกลุ่มชนพื้นเมืองในภาคใต้

    🔍 "หะยีสุหลง บิน อับดุลกาเคร์ ฒูฮัมมัด เอล ฟาโทนิ" หรือที่รู้จักในนาม "หะยีสุหลง" เป็นผู้นำศาสนาและนักเคลื่อนไหวทางสังคม ของชาวมลายูมุสลิม ในภาคใต้ของไทย เป็นประธานกรรมการอิสลามจังหวัดปัตตานี และเป็นบุคคลสำคัญ ในการเรียกร้องให้รัฐไทย ให้ความเป็นธรรมแก่ชาวมุสลิมใน 4 จังหวัดภาคใต้

    📌 ภารกิจของหะยีสุหลง
    ✅ ปรับปรุงระบบการศึกษา โดยก่อตั้ง "ปอเนาะ" หรือโรงเรียนสอนศาสนาอิสลามแห่งแรก
    ✅ ส่งเสริมศาสนาอิสลามที่ถูกต้อง ต่อต้านความเชื่อที่ขัดกับหลักศาสนา
    ✅ เรียกร้องสิทธิและความเป็นธรรม ให้ชาวมลายูมุสลิม ภายใต้กรอบของรัฐไทย

    แต่... เส้นทางการต่อสู้ กลับนำไปสู่ความขัดแย้งกับรัฐบาลไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากที่หะยีสุหลงเสนอ "7 ข้อเรียกร้อง" ต่อรัฐบาลไทย

    📜 7 ข้อเรียกร้องของหะยีสุหลง พ.ศ. 2490
    ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2490 หะยีสุหลงได้เสนอข้อเรียกร้อง 7 ประการต่อ พลเรือตรีถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ซึ่งเป็นข้อเสนอ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม แก่ประชาชนมุสลิม ในภาคใต้

    📝 รายละเอียดของ 7 ข้อเรียกร้อง
    1. ให้แต่งตั้งผู้ว่าราชการ ที่เป็นชาวมลายูมุสลิม และมาจากการเลือกตั้ง
    2. ข้าราชการในพื้นที่ ต้องเป็นมุสลิมอย่างน้อย 80%
    3. ให้ใช้ภาษามลายูและภาษาไทย เป็นภาษาราชการ
    4. ให้ภาษามลายูเป็นภาษากลาง ในโรงเรียนระดับประถมศึกษา
    5. ให้ใช้กฎหมายอิสลาม ในการพิจารณาคดีของศาลศาสนา
    6. รายได้จากภาษีใน 4 จังหวัด ต้องถูกใช้ในพื้นที่นั้น
    7. ให้จัดตั้งคณะกรรมการมุสลิม เพื่อดูแลกิจการของชาวมุสลิม

    💡 แต่กลับเกิดผลกระทบ เนื่องจากข้อเรียกร้องนี้ถูกมองว่า เป็นการพยายามแบ่งแยกดินแดน นำไปสู่การจับกุม และกล่าวหาหะยีสุหลงว่าเป็น "กบฏ"

    ⚖️ หลังการรัฐประหารในวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 ซึ่งเปลี่ยนแปลงรัฐบาล มาเป็นฝ่ายของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม แนวคิด "7 ข้อเรียกร้อง" ของหะยีสุหลง ถูกตีความว่า เป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐ

    📅 เหตุการณ์สำคัญ
    16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2491 → หะยีสุหลงถูกจับกุมที่ปัตตานี
    30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2493 → ศาลฎีกาตัดสินจำคุก 4 ปี 8 เดือน ในข้อหาปลุกระดม ให้ประชาชนต่อต้านรัฐ

    หลังจากพ้นโทษ หะยีสุหลงยังคงถูกจับตามอง และเผชิญกับการคุกคามจากฝ่ายรัฐ จนนำไปสู่เหตุการณ์ "การอุ้มหาย" ที่สร้างความตื่นตัวในสังคม

    🚨 การอุ้มหายและสังหาร 13 สิงหาคม พ.ศ. 2497
    หลังจากได้รับคำสั่ง ให้เข้าพบเจ้าหน้าที่ตำรวจที่สงขลา หะยีสุหลงพร้อมลูกชายวัย 15 ปี ซึ่งเป็นล่าม และพรรคพวกอีก 2 คน ได้เดินทางไปยัง สำนักงานตำรวจสันติบาลจังหวัดสงชลา

    ❌ แล้วพวกเขาก็หายตัวไป...
    หลักฐานทางประวัติศาสตร์ระบุว่า พวกเขาถูกสังหารในบังกะโล ริมทะเลสาบสงขลา โดยใช้เชือกรัดคอ คว้านท้องศพ แล้วผูกกับแท่งซีเมนต์ก่อนถ่วงน้ำ มีหลักฐานโยงไปถึง พล.ต.อ. เผ่า ศรียานนท์ อธิบดีกรมตำรวจในขณะนั้น ว่าเป็นผู้บงการอุ้มฆ่า

    เหตุการณ์นี้ กลายเป็นหนึ่งในคดีอุ้มหาย ที่สะเทือนขวัญที่สุดของไทย และแม้ว่าจะมีการรื้อฟื้นคดี ในปี พ.ศ. 2500 แต่สุดท้าย... ก็ไม่มีใครต้องรับผิดชอบ

    🏛️ เหตุการณ์การอุ้มหายของหะยีสุหลง ส่งผลให้เกิดกระแสต่อต้านรัฐบาล และสร้างแรงบันดาลใจ ให้ขบวนการเคลื่อนไหวในภาคใต้

    📌 ผลกระทบที่สำคัญ
    ✅ จุดชนวนความไม่พอใจ ของชาวมลายูมุสลิมต่อรัฐไทย
    ✅ ทำให้ปัญหาความขัดแย้งใน 4 จังหวัดภาคใต้รุนแรงขึ้น
    ✅ กระตุ้นให้เกิดขบวนการเคลื่อนไห วและกลุ่มติดอาวุธในเวลาต่อมา

    แม้ว่าปัจจุบันปัญหาภาคใต้ จะมีพัฒนาการที่ซับซ้อนขึ้น แต่เหตุการณ์ของหะยีสุหลง ยังคงเป็นเครื่องเตือนใจ ถึงความจำเป็นในการแก้ไขปัญหา ด้วยสันติวิธีและความเป็นธรรม

    📌 กรณีของหะยีสุหลง แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อน ของปัญหาชายแดนใต้ ซึ่งเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ อัตลักษณ์ วัฒนธรรม และการปกครองของรัฐไทย 🔎

    ⚖️ สิ่งที่รัฐควรเรียนรู้
    ✅ การให้สิทธิทางวัฒนธรรมและศาสนา แก่กลุ่มชาติพันธุ์
    ✅ การเปิดพื้นที่การมีส่วนร่วมทางการเมือง
    ✅ การแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง ด้วยกระบวนการสันติ

    📌 เหตุการณ์นี้ เป็นหนึ่งในบทเรียนสำคัญ ของประวัติศาสตร์ไทย ซึ่งยังคงมีอิทธิพล ต่อสถานการณ์ในปัจจุบัน ⬇️

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 161122 ก.พ. 2568

    #หะยีสุหลง #ชายแดนใต้ #อุ้มหาย #77ปีหะยีสุหลง #ประวัติศาสตร์ไทย
    77 ปี จับ “หะยีสุหลง” จากโต๊ะอิหม่าม นักเคลื่อนไหว ปลายด้ามขวาน สู่สี่ชีวิตถูกอุ้มฆ่า ถ่วงทะเลสาบสงขลา 📅 ย้อนไปเมื่อ 77 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2491 วันที่ชื่อของ "หะยีสุหลง โต๊ะมีนา" ถูกจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ไทย ในฐานะนักเคลื่อนไหว เพื่อสิทธิของชาวมลายูมุสลิม ในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทว่าการต่อสู้เพื่อความยุติธรรม และสิทธิของประชาชนของเหะยีสุหลง กลับจบลงอย่างโศกนาฏกรรม หะยีสุหลงพร้อมกับผู้ติดตามอีก 3 คน หายตัวไปหลังจากเดินทางไปยัง กองบัญชาการตำรวจสันติบาล จังหวัดสงขลา ก่อนถูกสังหาร และถ่วงน้ำในทะเลสาบสงขลา เหตุการณ์นี้กลายเป็น หนึ่งในกรณีการอุ้มฆ่าทางการเมือง ที่สำคัญที่สุดของไทย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความขัดแย้ง ระหว่างอำนาจรัฐ กับกลุ่มชนพื้นเมืองในภาคใต้ 🔍 "หะยีสุหลง บิน อับดุลกาเคร์ ฒูฮัมมัด เอล ฟาโทนิ" หรือที่รู้จักในนาม "หะยีสุหลง" เป็นผู้นำศาสนาและนักเคลื่อนไหวทางสังคม ของชาวมลายูมุสลิม ในภาคใต้ของไทย เป็นประธานกรรมการอิสลามจังหวัดปัตตานี และเป็นบุคคลสำคัญ ในการเรียกร้องให้รัฐไทย ให้ความเป็นธรรมแก่ชาวมุสลิมใน 4 จังหวัดภาคใต้ 📌 ภารกิจของหะยีสุหลง ✅ ปรับปรุงระบบการศึกษา โดยก่อตั้ง "ปอเนาะ" หรือโรงเรียนสอนศาสนาอิสลามแห่งแรก ✅ ส่งเสริมศาสนาอิสลามที่ถูกต้อง ต่อต้านความเชื่อที่ขัดกับหลักศาสนา ✅ เรียกร้องสิทธิและความเป็นธรรม ให้ชาวมลายูมุสลิม ภายใต้กรอบของรัฐไทย แต่... เส้นทางการต่อสู้ กลับนำไปสู่ความขัดแย้งกับรัฐบาลไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากที่หะยีสุหลงเสนอ "7 ข้อเรียกร้อง" ต่อรัฐบาลไทย 📜 7 ข้อเรียกร้องของหะยีสุหลง พ.ศ. 2490 ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2490 หะยีสุหลงได้เสนอข้อเรียกร้อง 7 ประการต่อ พลเรือตรีถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ซึ่งเป็นข้อเสนอ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม แก่ประชาชนมุสลิม ในภาคใต้ 📝 รายละเอียดของ 7 ข้อเรียกร้อง 1. ให้แต่งตั้งผู้ว่าราชการ ที่เป็นชาวมลายูมุสลิม และมาจากการเลือกตั้ง 2. ข้าราชการในพื้นที่ ต้องเป็นมุสลิมอย่างน้อย 80% 3. ให้ใช้ภาษามลายูและภาษาไทย เป็นภาษาราชการ 4. ให้ภาษามลายูเป็นภาษากลาง ในโรงเรียนระดับประถมศึกษา 5. ให้ใช้กฎหมายอิสลาม ในการพิจารณาคดีของศาลศาสนา 6. รายได้จากภาษีใน 4 จังหวัด ต้องถูกใช้ในพื้นที่นั้น 7. ให้จัดตั้งคณะกรรมการมุสลิม เพื่อดูแลกิจการของชาวมุสลิม 💡 แต่กลับเกิดผลกระทบ เนื่องจากข้อเรียกร้องนี้ถูกมองว่า เป็นการพยายามแบ่งแยกดินแดน นำไปสู่การจับกุม และกล่าวหาหะยีสุหลงว่าเป็น "กบฏ" ⚖️ หลังการรัฐประหารในวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 ซึ่งเปลี่ยนแปลงรัฐบาล มาเป็นฝ่ายของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม แนวคิด "7 ข้อเรียกร้อง" ของหะยีสุหลง ถูกตีความว่า เป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐ 📅 เหตุการณ์สำคัญ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2491 → หะยีสุหลงถูกจับกุมที่ปัตตานี 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2493 → ศาลฎีกาตัดสินจำคุก 4 ปี 8 เดือน ในข้อหาปลุกระดม ให้ประชาชนต่อต้านรัฐ หลังจากพ้นโทษ หะยีสุหลงยังคงถูกจับตามอง และเผชิญกับการคุกคามจากฝ่ายรัฐ จนนำไปสู่เหตุการณ์ "การอุ้มหาย" ที่สร้างความตื่นตัวในสังคม 🚨 การอุ้มหายและสังหาร 13 สิงหาคม พ.ศ. 2497 หลังจากได้รับคำสั่ง ให้เข้าพบเจ้าหน้าที่ตำรวจที่สงขลา หะยีสุหลงพร้อมลูกชายวัย 15 ปี ซึ่งเป็นล่าม และพรรคพวกอีก 2 คน ได้เดินทางไปยัง สำนักงานตำรวจสันติบาลจังหวัดสงชลา ❌ แล้วพวกเขาก็หายตัวไป... หลักฐานทางประวัติศาสตร์ระบุว่า พวกเขาถูกสังหารในบังกะโล ริมทะเลสาบสงขลา โดยใช้เชือกรัดคอ คว้านท้องศพ แล้วผูกกับแท่งซีเมนต์ก่อนถ่วงน้ำ มีหลักฐานโยงไปถึง พล.ต.อ. เผ่า ศรียานนท์ อธิบดีกรมตำรวจในขณะนั้น ว่าเป็นผู้บงการอุ้มฆ่า เหตุการณ์นี้ กลายเป็นหนึ่งในคดีอุ้มหาย ที่สะเทือนขวัญที่สุดของไทย และแม้ว่าจะมีการรื้อฟื้นคดี ในปี พ.ศ. 2500 แต่สุดท้าย... ก็ไม่มีใครต้องรับผิดชอบ 🏛️ เหตุการณ์การอุ้มหายของหะยีสุหลง ส่งผลให้เกิดกระแสต่อต้านรัฐบาล และสร้างแรงบันดาลใจ ให้ขบวนการเคลื่อนไหวในภาคใต้ 📌 ผลกระทบที่สำคัญ ✅ จุดชนวนความไม่พอใจ ของชาวมลายูมุสลิมต่อรัฐไทย ✅ ทำให้ปัญหาความขัดแย้งใน 4 จังหวัดภาคใต้รุนแรงขึ้น ✅ กระตุ้นให้เกิดขบวนการเคลื่อนไห วและกลุ่มติดอาวุธในเวลาต่อมา แม้ว่าปัจจุบันปัญหาภาคใต้ จะมีพัฒนาการที่ซับซ้อนขึ้น แต่เหตุการณ์ของหะยีสุหลง ยังคงเป็นเครื่องเตือนใจ ถึงความจำเป็นในการแก้ไขปัญหา ด้วยสันติวิธีและความเป็นธรรม 📌 กรณีของหะยีสุหลง แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อน ของปัญหาชายแดนใต้ ซึ่งเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ อัตลักษณ์ วัฒนธรรม และการปกครองของรัฐไทย 🔎 ⚖️ สิ่งที่รัฐควรเรียนรู้ ✅ การให้สิทธิทางวัฒนธรรมและศาสนา แก่กลุ่มชาติพันธุ์ ✅ การเปิดพื้นที่การมีส่วนร่วมทางการเมือง ✅ การแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง ด้วยกระบวนการสันติ 📌 เหตุการณ์นี้ เป็นหนึ่งในบทเรียนสำคัญ ของประวัติศาสตร์ไทย ซึ่งยังคงมีอิทธิพล ต่อสถานการณ์ในปัจจุบัน ⬇️ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 161122 ก.พ. 2568 #หะยีสุหลง #ชายแดนใต้ #อุ้มหาย #77ปีหะยีสุหลง #ประวัติศาสตร์ไทย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 156 มุมมอง 0 รีวิว
  • ❤️ Bob Moore เจ้านายใจบุญ ยกบริษัทให้พนักงานทุกคนเป็นเจ้าของ

    บ็อบ มัวร์ (Bob Moore) ผู้ก่อตั้ง Bob's Red Mill แบรนด์อาหารธัญพืชและผลิตภัณฑ์อบขนมไม่ขัดสีสัญชาติอเมริกันชื่อดัง เสียชีวิตอย่างสงบที่บ้านพักเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ในวัย 94 ปี

    บ็อบหลงใหลในอาหารสุขภาพและธัญพืชไม่ขัดสีเป็นอย่างมาก บ็อบและภรรยา-ชาร์ลีจึงก่อตั้ง Bob's Red Mill ในปี 2521 ช่วงแรกบริษัทผลิตให้เฉพาะคนในท้องถิ่นพื้นที่พอร์ตแลนด์ รัฐโอเรกอน ต่อมาเติบโตอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นธุรกิจอาหารธรรมชาติที่มั่นคง ปัจจุบันเป็นแบรนด์อาหารชั้นนำระดับโลกที่นำเสนอผลิตภัณฑ์มากกว่า 200 รายการในกว่า 70 ประเทศ

    ในวันเกิดอายุครบ 81 ปีของบ็อบ แทนที่จะขายแบรนด์ให้กับบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านอาหาร เขากลับก่อตั้ง Employee Stock Ownership Plan (ESOP) หรือแผนความเป็นเจ้าของหุ้นของพนักงาน และโอนกรรมสิทธิ์ทั้งหมดของบริษัทของเขา ซึ่งมีมูลค่ากว่า 100 ล้านดอลลาร์ ให้กับพนักงานของเขากว่า 700 คน เพราะบ็อบรู้สึกชื่นชมความทุ่มเทของพนักงานที่ช่วยเปลี่ยนแปลงบริษัทให้มายืนในจุดนี้ได้ เขาจึงต้องการตอบแทนพนักงานทุกคน

    นอกจากเป็นเจ้านายใจบุญแล้ว สำหรับคนทั่วไปที่ได้พบกับบ็อบและภรรยา ก็จะสัมผัสได้ถึงความเฉลียวฉลาด ความเอาใจเขามาใส่ใจเรา การให้เกียรติผู้อื่น และที่สำคัญคือใบหน้ายิ้มแย้มอารมณ์ดีอยู่เสมอ ควบคู่ไปกับจริยธรรมที่บ็อบยึดมั่นมาตลอดคือ มีความรับผิดชอบและมีแรงบันดาลใจที่จะรักษาแนวทางในเรื่องอาหารไม่แปรรูป ใช้ส่วนผสมที่บริสุทธิ์และมีคุณภาพสูง เพื่อนำอาหารที่มีประโยชน์มาสู่ผู้คนทั่วโลก

    ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาบ็อบและชาร์ลี (เสียชีวิตในปี 2561) มุ่งหวังที่จะสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นต่อไปผ่านการบริจาคเงินจำนวนมากให้กับสถาบันการศึกษาหลายแห่งในโอเรกอน เช่น ให้ทุนวิจัย Oregon State University สนับสนุนทุนให้กับ Moore Family Center for Whole Grain Foods, Nutrition and Preventive Health ใน College of Health and Human Sciences มีส่วนร่วมก่อตั้งสถาบัน Bob and Charlee Moore Institute for Nutrition & Wellness ที่ Oregon Health & Science University รวมถึงโครงการวิจัยเพิ่มเติมอีกมากมายทั่วรัฐ

    Trey Winthrop ซีอีโอของ Bob’s Red Mill กล่าวว่า

    “มรดกของบ็อบจะคงอยู่ตลอดไปในตัวพวกเราทุกคนที่มีโอกาสร่วมงานกับเขาและได้ซึมซับเข้าสู่แบรนด์ Bob’s Red Mill”

    ✍️ เรียบเรียง : สำนักข่าวดีดี
    📷 ภาพ : FB Bob's Red Mill Natural Foods

    #สำนักข่าวดีดี #เรื่องดีดีมีทุกวัน #ใจบุญ #goodstory #เรื่องราวดีดี
    ❤️ Bob Moore เจ้านายใจบุญ ยกบริษัทให้พนักงานทุกคนเป็นเจ้าของ บ็อบ มัวร์ (Bob Moore) ผู้ก่อตั้ง Bob's Red Mill แบรนด์อาหารธัญพืชและผลิตภัณฑ์อบขนมไม่ขัดสีสัญชาติอเมริกันชื่อดัง เสียชีวิตอย่างสงบที่บ้านพักเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ในวัย 94 ปี บ็อบหลงใหลในอาหารสุขภาพและธัญพืชไม่ขัดสีเป็นอย่างมาก บ็อบและภรรยา-ชาร์ลีจึงก่อตั้ง Bob's Red Mill ในปี 2521 ช่วงแรกบริษัทผลิตให้เฉพาะคนในท้องถิ่นพื้นที่พอร์ตแลนด์ รัฐโอเรกอน ต่อมาเติบโตอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นธุรกิจอาหารธรรมชาติที่มั่นคง ปัจจุบันเป็นแบรนด์อาหารชั้นนำระดับโลกที่นำเสนอผลิตภัณฑ์มากกว่า 200 รายการในกว่า 70 ประเทศ ในวันเกิดอายุครบ 81 ปีของบ็อบ แทนที่จะขายแบรนด์ให้กับบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านอาหาร เขากลับก่อตั้ง Employee Stock Ownership Plan (ESOP) หรือแผนความเป็นเจ้าของหุ้นของพนักงาน และโอนกรรมสิทธิ์ทั้งหมดของบริษัทของเขา ซึ่งมีมูลค่ากว่า 100 ล้านดอลลาร์ ให้กับพนักงานของเขากว่า 700 คน เพราะบ็อบรู้สึกชื่นชมความทุ่มเทของพนักงานที่ช่วยเปลี่ยนแปลงบริษัทให้มายืนในจุดนี้ได้ เขาจึงต้องการตอบแทนพนักงานทุกคน นอกจากเป็นเจ้านายใจบุญแล้ว สำหรับคนทั่วไปที่ได้พบกับบ็อบและภรรยา ก็จะสัมผัสได้ถึงความเฉลียวฉลาด ความเอาใจเขามาใส่ใจเรา การให้เกียรติผู้อื่น และที่สำคัญคือใบหน้ายิ้มแย้มอารมณ์ดีอยู่เสมอ ควบคู่ไปกับจริยธรรมที่บ็อบยึดมั่นมาตลอดคือ มีความรับผิดชอบและมีแรงบันดาลใจที่จะรักษาแนวทางในเรื่องอาหารไม่แปรรูป ใช้ส่วนผสมที่บริสุทธิ์และมีคุณภาพสูง เพื่อนำอาหารที่มีประโยชน์มาสู่ผู้คนทั่วโลก ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาบ็อบและชาร์ลี (เสียชีวิตในปี 2561) มุ่งหวังที่จะสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นต่อไปผ่านการบริจาคเงินจำนวนมากให้กับสถาบันการศึกษาหลายแห่งในโอเรกอน เช่น ให้ทุนวิจัย Oregon State University สนับสนุนทุนให้กับ Moore Family Center for Whole Grain Foods, Nutrition and Preventive Health ใน College of Health and Human Sciences มีส่วนร่วมก่อตั้งสถาบัน Bob and Charlee Moore Institute for Nutrition & Wellness ที่ Oregon Health & Science University รวมถึงโครงการวิจัยเพิ่มเติมอีกมากมายทั่วรัฐ Trey Winthrop ซีอีโอของ Bob’s Red Mill กล่าวว่า “มรดกของบ็อบจะคงอยู่ตลอดไปในตัวพวกเราทุกคนที่มีโอกาสร่วมงานกับเขาและได้ซึมซับเข้าสู่แบรนด์ Bob’s Red Mill” ✍️ เรียบเรียง : สำนักข่าวดีดี 📷 ภาพ : FB Bob's Red Mill Natural Foods #สำนักข่าวดีดี #เรื่องดีดีมีทุกวัน #ใจบุญ #goodstory #เรื่องราวดีดี
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 183 มุมมอง 0 รีวิว
  • ❤️ เล่าสู่กันฟังถึงโลกเปี่ยมพลังบวก จากมุมมองของ จิฮิโระ ยามาดะ ชายหนุ่มผู้ไร้ 2 ขา กับ 1 แขน

    แว่บที่ส่องไอจี @chi_kun0922 แล้วเห็นเฉพาะใบหน้าของหนุ่ม จิฮิโระ ยามาดะ นักพูดสร้างแรงบันดาลใจและยูทูบเบอร์ชื่อดัง สาวๆ คงร้อง... หล่ออ่ะ แต่พอเห็นขาเทียม 2 ข้าง แขนเทียม 1 ข้าง กับทักษะการใช้ชีวิตที่ไม่ย่อหย่อนไปกว่าคนแข็งแรงทั่วๆ ไป เชื่อว่าคุณต้องร้อง... ยอดมนุษย์อ่ะ

    คลิปที่ฉายให้เห็นใบหน้าเปื้อนยิ้ม เจือเสียงหัวเราะบ่อยครั้ง อาจทำให้คุณเข้าใจผิดว่า ยามาดะซังพิการมาแต่กำเนิด ถึงได้ทำใจได้ แต่แท้จริงแล้วเรื่องราวพลิกฟ้าพลิกดินที่ดึงเขาด่ำดิ่งสู่ห้วงเหวลึกนี้เกิดขึ้นเมื่อสิบปีก่อนนี้เอง

    ย้อนกลับไปในคืนวันที่ 24 กรกฎาคม 2012 ยามาดะซังในวัย 20 ปี ออกไปดื่มสังสรรค์กับบริษัทเคเบิลทีวีที่เขาเพิ่งเข้าไปทำงานด้วยไม่นาน และหากคุณกำลังคะเนว่าคงเมาละซี้ โนค่ะ เรื่องจริงคือในเช้าวันนั้นยามาดะซังตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกเหมือนจะมีไข้ แต่เพราะเป็นน้องใหม่ จึงไม่กล้าปฏิเสธเมื่อถูกรุ่นพี่ชวน เขายอมฝืนร่างกายออกไปปาร์ตี้โดยตั้งใจว่าจะไม่แตะอัลกอฮอลล์เป็นอันขาด

    เมื่องานเลี้ยงเลิก เขาพาร่างกายที่อ่วมด้วยพิษไข้ขึ้นรถไฟกลับบ้าน ผลคือเขาเผลอหลับไประหว่างทาง ทำให้นั่งเลยสถานีที่ต้องการลง จึงต้องลงจากรถไฟเพื่อจะเปลี่ยนไปขึ้นรถไฟอีกขบวนเพื่อกลับบ้าน ระหว่างนั่งรอรถไฟที่ชานชาลา เขาเผลอหลับไปอีกครั้ง กระทั่งนายสถานีต้องเดินมาปลุกว่ารถไฟเที่ยวสุดท้ายกำลังจะเทียบสถานีแล้วนั่นแหละ เขาถึงตื่นขึ้นมาแบบสะลืมสะลือ ก่อนจะเดินมุ่งตรงไปรอรถไฟ

    หลังจากนั้นก็ภาพตัด...

    10 วันให้หลัง ยามาดะซังฟื้นขึ้นมาในโรงพยาบาลพร้อมกับขาที่หายไปทั้ง 2 ข้าง และแขนขวาอีกหนึ่งข้าง

    เขากลายเป็นคนพิการ จากเหตุร่วงตกลงไปบนรางรถไฟและถูกรถไฟทับ

    ห้วงเวลานั้นหากใครก็ตามมาอุทานอยู่ตรงหน้าเขาว่า ‘โชคดีๆ ที่ไม่ตาย’ เขาเป็นต้องอยากจะลุกขึ้นตั๊นหน้าด้วยหมัดขวา(ซึ่งเขาไม่มี) พร้อมร้องตะโกนว่า ... ฉันไม่ได้อยากได้โชคแบบนี้โว้ยยยย

    ความคิดอยากตาย... มี

    พยายามฆ่าตัวตายไหม... ใช่

    แล้วอะไรที่ทำให้เขาบิลด์อัพตัวเองจนกลายเป็นยอดมนุษย์ได้อย่างทุกวันนี้

    มันคือมุมมองเชิงบวกที่แว่บขึ้นมาในบ่ายวันหนึ่ง เมื่อเขานั่งรถเข็นมาส่งเพื่อนสมัยมัธยมที่หน้าลิฟต์ในโรงพยาบาลที่เขาพักรักษาตัว

    นาทีที่เขากับเพื่อนๆ โบกมือร่ำลากัน คำพูดของเพื่อนที่ชมว่า “เฮ้ย... นายดูดีกว่าที่ฉันคิดอีกว่ะ” ได้จุดประกายให้เขาอยากก้าวออกจากมุมที่มืดมนที่เขาจมปลักอยู่กับมันมาหลายวัน

    แน่นอนว่ากว่าที่เขาจะพลิกฟื้นจนเป็นคนที่เปี่ยมไปด้วยพลังบวก กระทั่งกลายเป็นไอดอลของคนทุพพลภาพนั้น มันห่างไกลจากคำว่า ‘ง่าย’ หลายปีแสง มีกำแพงอิฐบล็อกสะกัดหน้าหลังซ้ายขวาหลายต่อหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการย้อนกลับไปเรียนเพื่อเอาวุฒิบัตรด้านการทำบัญชีและคอมพิวเตอร์ในโรงเรียนอาชีวศึกษาสำหรับผู้ทุพพลภาพ การหางานที่ได้รับแต่คำปฏิเสธว่าไม่สามารถบรรจุเป็นพนักงานประจำได้ และค่าตอบแทนแรงงานที่ต่ำแสนต่ำ

    “ผมผ่านช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดได้ด้วยการเปลี่ยนทัศนคติ มันอาจจะยากในตอนเริ่มต้น แต่คุณสามารถเปลี่ยนสิ่งต่างๆ ได้ด้วยการมองมันให้ต่างออกไป และเส้นทางที่สั้นที่สุดก็คือการมองสิ่งต่างๆ ให้เป็นบวก ไม่ใช่มองมันแบบลบๆ ขอเพียงคุณเชื่อมั่นว่าเราทุกคนสามารถผ่านเรื่องร้ายๆ ยากๆ ด้วยรอยยิ้มที่ออกมาจากใจของเราจริงๆ”

    แล้วก็เพราะความคิดที่อยากจะบอกให้คนทั้งโลกรู้ว่าคนพิการสามารถใช้ชีวิตในเชิงบวกได้ ทำให้ยามาดะซังตัดสินใจใช้งานโซเชียลมีเดียทั้งยูทูป เฟสบุ้ค และอินสตาแกรม เพื่อแบ่งปันประสบการณ์และความคิดของเขาออกมา โดยมีทั้งทอล์คอธิบายวิธีที่ชีวิตของเขาเปลี่ยนไปด้วยแขนขาเทียม และตามติดชีวิตประจำวัน อาทิ การทำอาหารด้วยมือเดียว การเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยมือเดียว เป็นต้น

    ยามาดะซังหวังว่าการแบ่งปันประสบการณ์ฟื้นตื่นจากฝันร้ายของเขาอาจเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นบ้าง โดยเฉพาะเด็กๆ ที่อาจจะโชคร้ายอย่างเขา

    ที่มาภาพ: IG@chi_kun0922
    เรียบเรียง: สำนักข่าวดีดี

    #สำนักข่าวดีดี #เรื่องดีดีมีทุกวัน #เรื่องราวดีดี #goodstory #แรงบันดาลใจ
    ❤️ เล่าสู่กันฟังถึงโลกเปี่ยมพลังบวก จากมุมมองของ จิฮิโระ ยามาดะ ชายหนุ่มผู้ไร้ 2 ขา กับ 1 แขน แว่บที่ส่องไอจี @chi_kun0922 แล้วเห็นเฉพาะใบหน้าของหนุ่ม จิฮิโระ ยามาดะ นักพูดสร้างแรงบันดาลใจและยูทูบเบอร์ชื่อดัง สาวๆ คงร้อง... หล่ออ่ะ แต่พอเห็นขาเทียม 2 ข้าง แขนเทียม 1 ข้าง กับทักษะการใช้ชีวิตที่ไม่ย่อหย่อนไปกว่าคนแข็งแรงทั่วๆ ไป เชื่อว่าคุณต้องร้อง... ยอดมนุษย์อ่ะ คลิปที่ฉายให้เห็นใบหน้าเปื้อนยิ้ม เจือเสียงหัวเราะบ่อยครั้ง อาจทำให้คุณเข้าใจผิดว่า ยามาดะซังพิการมาแต่กำเนิด ถึงได้ทำใจได้ แต่แท้จริงแล้วเรื่องราวพลิกฟ้าพลิกดินที่ดึงเขาด่ำดิ่งสู่ห้วงเหวลึกนี้เกิดขึ้นเมื่อสิบปีก่อนนี้เอง ย้อนกลับไปในคืนวันที่ 24 กรกฎาคม 2012 ยามาดะซังในวัย 20 ปี ออกไปดื่มสังสรรค์กับบริษัทเคเบิลทีวีที่เขาเพิ่งเข้าไปทำงานด้วยไม่นาน และหากคุณกำลังคะเนว่าคงเมาละซี้ โนค่ะ เรื่องจริงคือในเช้าวันนั้นยามาดะซังตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกเหมือนจะมีไข้ แต่เพราะเป็นน้องใหม่ จึงไม่กล้าปฏิเสธเมื่อถูกรุ่นพี่ชวน เขายอมฝืนร่างกายออกไปปาร์ตี้โดยตั้งใจว่าจะไม่แตะอัลกอฮอลล์เป็นอันขาด เมื่องานเลี้ยงเลิก เขาพาร่างกายที่อ่วมด้วยพิษไข้ขึ้นรถไฟกลับบ้าน ผลคือเขาเผลอหลับไประหว่างทาง ทำให้นั่งเลยสถานีที่ต้องการลง จึงต้องลงจากรถไฟเพื่อจะเปลี่ยนไปขึ้นรถไฟอีกขบวนเพื่อกลับบ้าน ระหว่างนั่งรอรถไฟที่ชานชาลา เขาเผลอหลับไปอีกครั้ง กระทั่งนายสถานีต้องเดินมาปลุกว่ารถไฟเที่ยวสุดท้ายกำลังจะเทียบสถานีแล้วนั่นแหละ เขาถึงตื่นขึ้นมาแบบสะลืมสะลือ ก่อนจะเดินมุ่งตรงไปรอรถไฟ หลังจากนั้นก็ภาพตัด... 10 วันให้หลัง ยามาดะซังฟื้นขึ้นมาในโรงพยาบาลพร้อมกับขาที่หายไปทั้ง 2 ข้าง และแขนขวาอีกหนึ่งข้าง เขากลายเป็นคนพิการ จากเหตุร่วงตกลงไปบนรางรถไฟและถูกรถไฟทับ ห้วงเวลานั้นหากใครก็ตามมาอุทานอยู่ตรงหน้าเขาว่า ‘โชคดีๆ ที่ไม่ตาย’ เขาเป็นต้องอยากจะลุกขึ้นตั๊นหน้าด้วยหมัดขวา(ซึ่งเขาไม่มี) พร้อมร้องตะโกนว่า ... ฉันไม่ได้อยากได้โชคแบบนี้โว้ยยยย ความคิดอยากตาย... มี พยายามฆ่าตัวตายไหม... ใช่ แล้วอะไรที่ทำให้เขาบิลด์อัพตัวเองจนกลายเป็นยอดมนุษย์ได้อย่างทุกวันนี้ มันคือมุมมองเชิงบวกที่แว่บขึ้นมาในบ่ายวันหนึ่ง เมื่อเขานั่งรถเข็นมาส่งเพื่อนสมัยมัธยมที่หน้าลิฟต์ในโรงพยาบาลที่เขาพักรักษาตัว นาทีที่เขากับเพื่อนๆ โบกมือร่ำลากัน คำพูดของเพื่อนที่ชมว่า “เฮ้ย... นายดูดีกว่าที่ฉันคิดอีกว่ะ” ได้จุดประกายให้เขาอยากก้าวออกจากมุมที่มืดมนที่เขาจมปลักอยู่กับมันมาหลายวัน แน่นอนว่ากว่าที่เขาจะพลิกฟื้นจนเป็นคนที่เปี่ยมไปด้วยพลังบวก กระทั่งกลายเป็นไอดอลของคนทุพพลภาพนั้น มันห่างไกลจากคำว่า ‘ง่าย’ หลายปีแสง มีกำแพงอิฐบล็อกสะกัดหน้าหลังซ้ายขวาหลายต่อหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการย้อนกลับไปเรียนเพื่อเอาวุฒิบัตรด้านการทำบัญชีและคอมพิวเตอร์ในโรงเรียนอาชีวศึกษาสำหรับผู้ทุพพลภาพ การหางานที่ได้รับแต่คำปฏิเสธว่าไม่สามารถบรรจุเป็นพนักงานประจำได้ และค่าตอบแทนแรงงานที่ต่ำแสนต่ำ “ผมผ่านช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดได้ด้วยการเปลี่ยนทัศนคติ มันอาจจะยากในตอนเริ่มต้น แต่คุณสามารถเปลี่ยนสิ่งต่างๆ ได้ด้วยการมองมันให้ต่างออกไป และเส้นทางที่สั้นที่สุดก็คือการมองสิ่งต่างๆ ให้เป็นบวก ไม่ใช่มองมันแบบลบๆ ขอเพียงคุณเชื่อมั่นว่าเราทุกคนสามารถผ่านเรื่องร้ายๆ ยากๆ ด้วยรอยยิ้มที่ออกมาจากใจของเราจริงๆ” แล้วก็เพราะความคิดที่อยากจะบอกให้คนทั้งโลกรู้ว่าคนพิการสามารถใช้ชีวิตในเชิงบวกได้ ทำให้ยามาดะซังตัดสินใจใช้งานโซเชียลมีเดียทั้งยูทูป เฟสบุ้ค และอินสตาแกรม เพื่อแบ่งปันประสบการณ์และความคิดของเขาออกมา โดยมีทั้งทอล์คอธิบายวิธีที่ชีวิตของเขาเปลี่ยนไปด้วยแขนขาเทียม และตามติดชีวิตประจำวัน อาทิ การทำอาหารด้วยมือเดียว การเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยมือเดียว เป็นต้น ยามาดะซังหวังว่าการแบ่งปันประสบการณ์ฟื้นตื่นจากฝันร้ายของเขาอาจเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นบ้าง โดยเฉพาะเด็กๆ ที่อาจจะโชคร้ายอย่างเขา ที่มาภาพ: IG@chi_kun0922 เรียบเรียง: สำนักข่าวดีดี #สำนักข่าวดีดี #เรื่องดีดีมีทุกวัน #เรื่องราวดีดี #goodstory #แรงบันดาลใจ
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 211 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ความรัก" พ่อแม่ยิ่งใหญ่เสมอ
    ในวันที่ทุกอย่างดูมืดมน...
    ในวันที่ร่างกายอ่อนล้า...
    ในวันที่โลกเหมือนจะโหดร้ายที่สุด...
    แต่พวกเขาก็ยังจับมือกันไว้แน่น
    เพราะสำหรับพวกเขา "ครอบครัว" ไม่ใช่เพียงคำพูด
    แต่คือหัวใจของการมีชีวิตอยู่
    ติดตามได้ในรายการ ฅนจริงใจไม่ท้อ
    วันเสาร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 11.30-12.00 น.
    ทางสถานีโทรทัศน์ News1 (IPM ช่อง 64 / PSI ช่อง 211)
    หรือ
    เฟซบุ๊ก / ยูทูบ : ฅนจริงใจไม่ท้อ
    โปรดช่วยกดติดตามช่องเพื่อเป็นกำลังใจทีมงานด้วยครับ
    .............................................................................................................
    หากคุณผู้ชมท่านใดต้องการอุดหนุนสินค้าของแม่เจ และน้องโฟกัส สามารถโอนเงินไปได้ที่ ธนาคารกรุงไทย ชื่อบัญชี จรัสศรี กลมกลัน เลขที่บัญชี 593-0-40110-1
    ..........................................................................................................
    #สู้เพื่อลูก #พิการ #สู้ชีวิต #แรงบันดาลใจ #เทรนด์วันนี้ #ฅนจริงใจไม่ท้อ
    "ความรัก" พ่อแม่ยิ่งใหญ่เสมอ ในวันที่ทุกอย่างดูมืดมน... ในวันที่ร่างกายอ่อนล้า... ในวันที่โลกเหมือนจะโหดร้ายที่สุด... แต่พวกเขาก็ยังจับมือกันไว้แน่น เพราะสำหรับพวกเขา "ครอบครัว" ไม่ใช่เพียงคำพูด แต่คือหัวใจของการมีชีวิตอยู่ ติดตามได้ในรายการ ฅนจริงใจไม่ท้อ วันเสาร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 11.30-12.00 น. ทางสถานีโทรทัศน์ News1 (IPM ช่อง 64 / PSI ช่อง 211) หรือ เฟซบุ๊ก / ยูทูบ : ฅนจริงใจไม่ท้อ โปรดช่วยกดติดตามช่องเพื่อเป็นกำลังใจทีมงานด้วยครับ ............................................................................................................. หากคุณผู้ชมท่านใดต้องการอุดหนุนสินค้าของแม่เจ และน้องโฟกัส สามารถโอนเงินไปได้ที่ ธนาคารกรุงไทย ชื่อบัญชี จรัสศรี กลมกลัน เลขที่บัญชี 593-0-40110-1 .......................................................................................................... #สู้เพื่อลูก #พิการ #สู้ชีวิต #แรงบันดาลใจ #เทรนด์วันนี้ #ฅนจริงใจไม่ท้อ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 180 มุมมอง 20 0 รีวิว
  • 📌 เป็นเจ้านายที่ลูกน้องรัก หรือเป็นเจ้านายที่ลูกน้องเกลียด?

    👉 ดูได้ตั้งแต่ก่อนเป็นเจ้านาย!
    เพราะ "นิสัยก่อนมีอำนาจ" คือสิ่งที่บอกว่า
    "เมื่อมีอำนาจแล้วจะเป็นเจ้านายแบบไหน?"


    ---

    📌 ลักษณะของเจ้านายที่ลูกน้องเกลียด

    ❌ 1. คิดถึงแต่ตัวเอง ไม่เคยคิดถึงลูกน้อง

    สั่งงานอย่างเดียว ไม่สนใจว่าลูกน้องเหนื่อยแค่ไหน

    อยากได้ผลลัพธ์ แต่ไม่อยากช่วยแก้ปัญหา


    ❌ 2. ใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล

    แทนที่จะพูดดีๆ กลับเลือกโวยวาย

    ทำผิดเองก็โทษคนอื่น ไม่เคยรับผิดชอบ


    ❌ 3. ไม่มีน้ำใจ ไม่ช่วยให้คนอื่นดีขึ้น

    ไม่เคยให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์

    เห็นลูกน้องมีปัญหาแต่ทำเหมือนไม่ใช่เรื่องของตัวเอง


    ❌ 4. เอาเปรียบ แต่คาดหวังความซื่อสัตย์

    ให้ลูกน้องทำงานหนัก แต่ตัวเองมาสาย กลับเร็ว

    ใช้ความเป็นหัวหน้ากดขี่ แต่อยากให้ลูกน้องเคารพ



    ---

    📌 ลักษณะของเจ้านายที่ลูกน้องรัก

    ✅ 1. เป็นที่พึ่งได้ ไม่ใช่เป็นแค่คนสั่ง

    เวลามีปัญหา ลูกน้องกล้ามาปรึกษา

    ไม่ใช่คนที่ลูกน้องต้องหนีห่าง


    ✅ 2. รู้จักพูดให้ลูกน้องสบายใจ

    ตักเตือนเป็น แต่ไม่ทำให้หมดกำลังใจ

    ให้ฟีดแบ็คเชิงสร้างสรรค์ ไม่ใช่แค่ตำหนิ


    ✅ 3. มีน้ำใจ และเห็นความลำบากของลูกน้อง

    เข้าใจเวลาลูกน้องเหนื่อย ไม่ใช่แค่บีบให้ทำงาน

    หาวิธีช่วยให้ลูกน้องทำงานได้ง่ายขึ้น


    ✅ 4. กล้าขอให้ช่วยเพื่อเป้าหมายส่วนรวม

    ไม่ใช่เอาแต่บังคับ แต่สร้างแรงบันดาลใจ

    ให้ลูกน้องรู้สึกว่า "ฉันทำเพราะฉันอยากช่วยนาย"


    ✅ 5. มีความสามารถที่ลูกน้องยกย่องได้

    ไม่ใช่แค่มีตำแหน่ง แต่มีฝีมือจริง

    เก่งอะไรบางอย่างที่เป็นแรงบันดาลใจให้ลูกน้อง



    ---

    📌 อยากเป็นนายที่ลูกน้องรัก ต้องเริ่มฝึกตั้งแต่วันนี้!

    👉 อย่ารอให้เป็นหัวหน้าก่อนแล้วค่อยฝึก เพราะ "นิสัยของเจ้านายที่ดี" ไม่ได้เกิดขึ้นทันที
    👉 ฝึกเป็นคนที่คนอื่นอยากพึ่งพา ไม่ใช่แค่สั่ง แต่ช่วยให้คนอื่นทำได้ดีขึ้น
    👉 ฝึกใช้อำนาจอย่างมีสติ ไม่ใช่เพื่อให้คนอื่นกลัว แต่เพื่อให้คนอื่นอยากเดินตาม
    👉 จำไว้ว่า ลูกน้องไม่ได้เคารพตำแหน่ง แต่เคารพ "คนที่อยู่ในตำแหน่งนั้น"

    💡 ถ้าเริ่มฝึกตั้งแต่วันนี้ เมื่อถึงเวลาจริง คุณจะเป็นหัวหน้าที่ลูกน้องรัก ไม่ใช่หัวหน้าที่ลูกน้องทน!

    📌 เป็นเจ้านายที่ลูกน้องรัก หรือเป็นเจ้านายที่ลูกน้องเกลียด? 👉 ดูได้ตั้งแต่ก่อนเป็นเจ้านาย! เพราะ "นิสัยก่อนมีอำนาจ" คือสิ่งที่บอกว่า "เมื่อมีอำนาจแล้วจะเป็นเจ้านายแบบไหน?" --- 📌 ลักษณะของเจ้านายที่ลูกน้องเกลียด ❌ 1. คิดถึงแต่ตัวเอง ไม่เคยคิดถึงลูกน้อง สั่งงานอย่างเดียว ไม่สนใจว่าลูกน้องเหนื่อยแค่ไหน อยากได้ผลลัพธ์ แต่ไม่อยากช่วยแก้ปัญหา ❌ 2. ใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล แทนที่จะพูดดีๆ กลับเลือกโวยวาย ทำผิดเองก็โทษคนอื่น ไม่เคยรับผิดชอบ ❌ 3. ไม่มีน้ำใจ ไม่ช่วยให้คนอื่นดีขึ้น ไม่เคยให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์ เห็นลูกน้องมีปัญหาแต่ทำเหมือนไม่ใช่เรื่องของตัวเอง ❌ 4. เอาเปรียบ แต่คาดหวังความซื่อสัตย์ ให้ลูกน้องทำงานหนัก แต่ตัวเองมาสาย กลับเร็ว ใช้ความเป็นหัวหน้ากดขี่ แต่อยากให้ลูกน้องเคารพ --- 📌 ลักษณะของเจ้านายที่ลูกน้องรัก ✅ 1. เป็นที่พึ่งได้ ไม่ใช่เป็นแค่คนสั่ง เวลามีปัญหา ลูกน้องกล้ามาปรึกษา ไม่ใช่คนที่ลูกน้องต้องหนีห่าง ✅ 2. รู้จักพูดให้ลูกน้องสบายใจ ตักเตือนเป็น แต่ไม่ทำให้หมดกำลังใจ ให้ฟีดแบ็คเชิงสร้างสรรค์ ไม่ใช่แค่ตำหนิ ✅ 3. มีน้ำใจ และเห็นความลำบากของลูกน้อง เข้าใจเวลาลูกน้องเหนื่อย ไม่ใช่แค่บีบให้ทำงาน หาวิธีช่วยให้ลูกน้องทำงานได้ง่ายขึ้น ✅ 4. กล้าขอให้ช่วยเพื่อเป้าหมายส่วนรวม ไม่ใช่เอาแต่บังคับ แต่สร้างแรงบันดาลใจ ให้ลูกน้องรู้สึกว่า "ฉันทำเพราะฉันอยากช่วยนาย" ✅ 5. มีความสามารถที่ลูกน้องยกย่องได้ ไม่ใช่แค่มีตำแหน่ง แต่มีฝีมือจริง เก่งอะไรบางอย่างที่เป็นแรงบันดาลใจให้ลูกน้อง --- 📌 อยากเป็นนายที่ลูกน้องรัก ต้องเริ่มฝึกตั้งแต่วันนี้! 👉 อย่ารอให้เป็นหัวหน้าก่อนแล้วค่อยฝึก เพราะ "นิสัยของเจ้านายที่ดี" ไม่ได้เกิดขึ้นทันที 👉 ฝึกเป็นคนที่คนอื่นอยากพึ่งพา ไม่ใช่แค่สั่ง แต่ช่วยให้คนอื่นทำได้ดีขึ้น 👉 ฝึกใช้อำนาจอย่างมีสติ ไม่ใช่เพื่อให้คนอื่นกลัว แต่เพื่อให้คนอื่นอยากเดินตาม 👉 จำไว้ว่า ลูกน้องไม่ได้เคารพตำแหน่ง แต่เคารพ "คนที่อยู่ในตำแหน่งนั้น" 💡 ถ้าเริ่มฝึกตั้งแต่วันนี้ เมื่อถึงเวลาจริง คุณจะเป็นหัวหน้าที่ลูกน้องรัก ไม่ใช่หัวหน้าที่ลูกน้องทน!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 132 มุมมอง 0 รีวิว
  • 33 ปี สิ้น “หมอบุญส่ง เลขะกุล” นักนิยมไพรไทย ผู้บุกเบิกอนุรักษ์ป่าและสัตว์ จุดกำเนิดเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า

    📅 ย้อนไปเมื่อ 33 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2535 ถือเป็นวันแห่งการสูญเสียครั้งสำคัญ ของวงการอนุรักษ์ธรรมชาติไทย เพราะเป็นวันที่ น.พ.บุญส่ง เลขะกุล หรือที่รู้จักกันในนาม “หมอบุญส่ง” จากโลกนี้ไปด้วย โรคหัวใจล้มเหลว ในวัย 85 ปี ณ โรงพยาบาลมเหสักข์ กรุงเทพมหานคร แต่ถึงแม้ร่างกายจะล่วงลับไปแล้ว ผลงานและอุดมการณ์ของท่านยังคงอยู่ และกลายเป็นรากฐานสำคัญ ของการอนุรักษ์ป่าไม้ และสัตว์ป่าของไทย

    หมอบุญส่งไม่ได้เป็นเพียง แพทย์ผู้รักษาผู้คน แต่ยังเป็นนักอนุรักษ์ นักเขียน นักถ่ายภาพ และจิตรกร ผู้เปี่ยมไปด้วย ความหลงใหลในธรรมชาติ ความมุ่งมั่นเป็นแรงผลักดันให้เกิดเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และ กฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า ที่ยังคงใช้มาจนถึงปัจจุบัน 🌳🌿

    🔎 น.พ.บุญส่ง เลขะกุล เกิดเมื่อวันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2467 ที่บ้านถนนนคร ตำบลบ่อยาง อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา เป็นบุตรของพระบริรักษ์เวชกรรม (พิน เลขะกุล) ซึ่งเป็นแพทย์ประจำจังหวัดสงขลา ทำให้หมอบุญส่ง เติบโตมาในครอบครัว ที่ให้ความสำคัญกับการศึกษา และความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์

    📚 เส้นทางการศึกษา
    ✅ มัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนเบญจมราชูทิศ นครศรีธรรมราช
    ✅ มัธยมศึกษาปีที่ 8 โรงเรียนเบญจมบพิตร (ปัจจุบันคือ โรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร) กรุงเทพฯ
    ✅ ปริญญาแพทยศาสตร์บัณฑิต คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (พ.ศ. 2476)

    หลังจากเรียนจบแพทย์ หมอบุญส่งได้เข้าสู่วงการแพทย์ แต่ขณะเดียวกัน ท่านก็เริ่มหลงใหลในธรรมชาติ เดินป่า สังเกตสัตว์ป่า และบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมสัตว์ต่างๆ ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นจุดเริ่มต้น ของการเป็นนักอนุรักษ์ อย่างเต็มตัว

    🌿 จุดเริ่มต้นของการเป็นนักอนุรักษ์
    ช่วงหลัง สงครามโลกครั้งที่ 2 (พ.ศ. 2484 - 2488) การล่าสัตว์เพื่อกีฬา ได้รับความนิยมมากขึ้น การใช้ ไฟส่องสัตว์ และ อาวุธปืนทันสมัย ส่งผลให้ประชากรสัตว์ป่า ลดลงอย่างรวดเร็ว หมอบุญส่งเห็นว่าหากปล่อยไว้เช่นนี้ สัตว์ป่าของไทยจะสูญพันธุ์ จึงรวมตัวกับผู้ที่มีแนวคิดเดียวกัน ก่อตั้ง "นิยมไพรสมาคม" ขึ้นในปี พ.ศ. 2496

    🏡 ศูนย์กลางของนิยมไพรสมาคม ตั้งอยู่ที่บ้านของหมอบุญส่งเอง (บ้านเลขที่ 4 ตรอกโรงภาษีเก่า ถนนเจริญกรุง กรุงเทพฯ) ซึ่งกลายเป็นแหล่งรวม ของผู้สนใจธรรมชาติ นักอนุรักษ์ และนักวิจัยทางด้านสัตว์ป่า

    📖 เป้าหมายของนิยมไพรสมาคม ได้แก่
    ✅ การให้ความรู้ และกระตุ้นจิตสำนึกในการอนุรักษ์
    ✅ การศึกษาพฤติกรรมสัตว์ป่า
    ✅ การผลักดันกฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า
    ✅ การจัดทำ นิตยสารนิยมไพร เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ เกี่ยวกับสัตว์ป่า

    หมอบุญส่งยังได้เดินป่า และเขียนหนังสือสารคดี เกี่ยวกับสัตว์ป่าหลายเล่ม เช่น
    📗 สัตว์ป่าเมืองไทย
    📘 วัวแดง
    📕 แรดไทย
    📗 ช้างไทย

    รวมถึงนวนิยายเกี่ยวกับสัตว์ป่า ที่สร้างชื่อเสียงที่สุด คือ "ชีวิตฉันลูกกระทิง" ซึ่งเคยถูกคัดเลือก เป็น หนังสืออ่านนอกเวลา สำหรับนักเรียน และได้รับการยกย่องเป็น 1 ใน 100 หนังสือดี ที่เด็กและเยาวชนไทยควรอ่าน

    ⚖️ ผลักดันกฎหมายอนุรักษ์สัตว์ป่า
    หมอบุญส่งไม่ได้เพียงแค่เขียนหนังสือ หรือเผยแพร่ความรู้ แต่ยังลงมือผลักดันให้เกิด กฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า ขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย

    📜 ในปี พ.ศ. 2502 หมอบุญส่ง และคณะนิยมไพรสมาคม ได้เข้าพบจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น เพื่อยื่นข้อเสนอให้มี มาตรการคุ้มครองทรัพยากรป่าไม้ และสัตว์ป่า

    🎯 ผลที่ได้คือการออก พระราชบัญญัติสงวน และคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2503 และ พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 ซึ่งเป็นกฎหมายสำคัญ ที่นำไปสู่การประกาศ อุทยานแห่งชาติ และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เช่น
    🌳 อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ (พ.ศ. 2505) อุทยานแห่งชาติแห่งแรกของไทย
    🌲 เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ (พ.ศ. 2508) เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแห่งแรกของไทย

    👑 พระมหากรุณาธิคุณ และการยกย่องเชิดชูเกียรติ
    ในปี พ.ศ. 2526 หมอบุญส่งได้ร่วมกับกลุ่มอนุรักษ์ ก่อตั้ง "มูลนิธิคุ้มครองสัตว์ป่า และพรรณพืชแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์" ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

    ต่อมา ในปี พ.ศ. 2550 ได้มีการจัดงาน "100 ปี หมอบุญส่ง เลขะกุล" ณ สยามสมาคม เพื่อรำลึกถึงคุณงามความดี และผลงานที่ได้ทำไว้ให้กับประเทศ

    🎗️ แม้วันนี้ "หมอบุญส่ง เลขะกุล" จะจากโลกนี้ไปครบ 33 ปี แล้วก็ตาม แต่มรดกแห่งการอนุรักษ์ยังคงอยู่ ไม่ว่าจะเป็น
    ✅ กฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า และอุทยานแห่งชาติ
    ✅ อุทยานและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่ามากมาย
    ✅ หนังสือและบทความที่ช่วยปลูกฝังจิตสำนึกการอนุรักษ์
    ✅ แรงบันดาลใจให้กับนักอนุรักษ์รุ่นใหม่

    💚 "ธรรมชาติไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นของลูกหลานทุกคนในอนาคต" หมอบุญส่ง เลขะกุล 🌏

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 091504 ก.พ. 2568

    📌 #หมอบุญส่งเลขะกุล #อนุรักษ์สัตว์ป่า #ป่าไม้ไทย #นักนิยมไพร #อนุรักษ์ธรรมชาติ #สัตว์ป่า #ป่าต้องรอด #มรดกทางธรรมชาติ #33ปีหมอบุญส่ง #ธรรมชาติเพื่ออนาคต
    33 ปี สิ้น “หมอบุญส่ง เลขะกุล” นักนิยมไพรไทย ผู้บุกเบิกอนุรักษ์ป่าและสัตว์ จุดกำเนิดเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า 📅 ย้อนไปเมื่อ 33 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2535 ถือเป็นวันแห่งการสูญเสียครั้งสำคัญ ของวงการอนุรักษ์ธรรมชาติไทย เพราะเป็นวันที่ น.พ.บุญส่ง เลขะกุล หรือที่รู้จักกันในนาม “หมอบุญส่ง” จากโลกนี้ไปด้วย โรคหัวใจล้มเหลว ในวัย 85 ปี ณ โรงพยาบาลมเหสักข์ กรุงเทพมหานคร แต่ถึงแม้ร่างกายจะล่วงลับไปแล้ว ผลงานและอุดมการณ์ของท่านยังคงอยู่ และกลายเป็นรากฐานสำคัญ ของการอนุรักษ์ป่าไม้ และสัตว์ป่าของไทย หมอบุญส่งไม่ได้เป็นเพียง แพทย์ผู้รักษาผู้คน แต่ยังเป็นนักอนุรักษ์ นักเขียน นักถ่ายภาพ และจิตรกร ผู้เปี่ยมไปด้วย ความหลงใหลในธรรมชาติ ความมุ่งมั่นเป็นแรงผลักดันให้เกิดเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และ กฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า ที่ยังคงใช้มาจนถึงปัจจุบัน 🌳🌿 🔎 น.พ.บุญส่ง เลขะกุล เกิดเมื่อวันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2467 ที่บ้านถนนนคร ตำบลบ่อยาง อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา เป็นบุตรของพระบริรักษ์เวชกรรม (พิน เลขะกุล) ซึ่งเป็นแพทย์ประจำจังหวัดสงขลา ทำให้หมอบุญส่ง เติบโตมาในครอบครัว ที่ให้ความสำคัญกับการศึกษา และความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ 📚 เส้นทางการศึกษา ✅ มัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนเบญจมราชูทิศ นครศรีธรรมราช ✅ มัธยมศึกษาปีที่ 8 โรงเรียนเบญจมบพิตร (ปัจจุบันคือ โรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร) กรุงเทพฯ ✅ ปริญญาแพทยศาสตร์บัณฑิต คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (พ.ศ. 2476) หลังจากเรียนจบแพทย์ หมอบุญส่งได้เข้าสู่วงการแพทย์ แต่ขณะเดียวกัน ท่านก็เริ่มหลงใหลในธรรมชาติ เดินป่า สังเกตสัตว์ป่า และบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมสัตว์ต่างๆ ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นจุดเริ่มต้น ของการเป็นนักอนุรักษ์ อย่างเต็มตัว 🌿 จุดเริ่มต้นของการเป็นนักอนุรักษ์ ช่วงหลัง สงครามโลกครั้งที่ 2 (พ.ศ. 2484 - 2488) การล่าสัตว์เพื่อกีฬา ได้รับความนิยมมากขึ้น การใช้ ไฟส่องสัตว์ และ อาวุธปืนทันสมัย ส่งผลให้ประชากรสัตว์ป่า ลดลงอย่างรวดเร็ว หมอบุญส่งเห็นว่าหากปล่อยไว้เช่นนี้ สัตว์ป่าของไทยจะสูญพันธุ์ จึงรวมตัวกับผู้ที่มีแนวคิดเดียวกัน ก่อตั้ง "นิยมไพรสมาคม" ขึ้นในปี พ.ศ. 2496 🏡 ศูนย์กลางของนิยมไพรสมาคม ตั้งอยู่ที่บ้านของหมอบุญส่งเอง (บ้านเลขที่ 4 ตรอกโรงภาษีเก่า ถนนเจริญกรุง กรุงเทพฯ) ซึ่งกลายเป็นแหล่งรวม ของผู้สนใจธรรมชาติ นักอนุรักษ์ และนักวิจัยทางด้านสัตว์ป่า 📖 เป้าหมายของนิยมไพรสมาคม ได้แก่ ✅ การให้ความรู้ และกระตุ้นจิตสำนึกในการอนุรักษ์ ✅ การศึกษาพฤติกรรมสัตว์ป่า ✅ การผลักดันกฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า ✅ การจัดทำ นิตยสารนิยมไพร เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ เกี่ยวกับสัตว์ป่า หมอบุญส่งยังได้เดินป่า และเขียนหนังสือสารคดี เกี่ยวกับสัตว์ป่าหลายเล่ม เช่น 📗 สัตว์ป่าเมืองไทย 📘 วัวแดง 📕 แรดไทย 📗 ช้างไทย รวมถึงนวนิยายเกี่ยวกับสัตว์ป่า ที่สร้างชื่อเสียงที่สุด คือ "ชีวิตฉันลูกกระทิง" ซึ่งเคยถูกคัดเลือก เป็น หนังสืออ่านนอกเวลา สำหรับนักเรียน และได้รับการยกย่องเป็น 1 ใน 100 หนังสือดี ที่เด็กและเยาวชนไทยควรอ่าน ⚖️ ผลักดันกฎหมายอนุรักษ์สัตว์ป่า หมอบุญส่งไม่ได้เพียงแค่เขียนหนังสือ หรือเผยแพร่ความรู้ แต่ยังลงมือผลักดันให้เกิด กฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า ขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย 📜 ในปี พ.ศ. 2502 หมอบุญส่ง และคณะนิยมไพรสมาคม ได้เข้าพบจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น เพื่อยื่นข้อเสนอให้มี มาตรการคุ้มครองทรัพยากรป่าไม้ และสัตว์ป่า 🎯 ผลที่ได้คือการออก พระราชบัญญัติสงวน และคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2503 และ พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 ซึ่งเป็นกฎหมายสำคัญ ที่นำไปสู่การประกาศ อุทยานแห่งชาติ และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เช่น 🌳 อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ (พ.ศ. 2505) อุทยานแห่งชาติแห่งแรกของไทย 🌲 เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ (พ.ศ. 2508) เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแห่งแรกของไทย 👑 พระมหากรุณาธิคุณ และการยกย่องเชิดชูเกียรติ ในปี พ.ศ. 2526 หมอบุญส่งได้ร่วมกับกลุ่มอนุรักษ์ ก่อตั้ง "มูลนิธิคุ้มครองสัตว์ป่า และพรรณพืชแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์" ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ต่อมา ในปี พ.ศ. 2550 ได้มีการจัดงาน "100 ปี หมอบุญส่ง เลขะกุล" ณ สยามสมาคม เพื่อรำลึกถึงคุณงามความดี และผลงานที่ได้ทำไว้ให้กับประเทศ 🎗️ แม้วันนี้ "หมอบุญส่ง เลขะกุล" จะจากโลกนี้ไปครบ 33 ปี แล้วก็ตาม แต่มรดกแห่งการอนุรักษ์ยังคงอยู่ ไม่ว่าจะเป็น ✅ กฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า และอุทยานแห่งชาติ ✅ อุทยานและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่ามากมาย ✅ หนังสือและบทความที่ช่วยปลูกฝังจิตสำนึกการอนุรักษ์ ✅ แรงบันดาลใจให้กับนักอนุรักษ์รุ่นใหม่ 💚 "ธรรมชาติไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นของลูกหลานทุกคนในอนาคต" หมอบุญส่ง เลขะกุล 🌏 ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 091504 ก.พ. 2568 📌 #หมอบุญส่งเลขะกุล #อนุรักษ์สัตว์ป่า #ป่าไม้ไทย #นักนิยมไพร #อนุรักษ์ธรรมชาติ #สัตว์ป่า #ป่าต้องรอด #มรดกทางธรรมชาติ #33ปีหมอบุญส่ง #ธรรมชาติเพื่ออนาคต
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 442 มุมมอง 0 รีวิว
  • นักวิจัยได้พัฒนายางมะตอยที่สามารถซ่อมแซมรอยแตกและป้องกันการเกิดหลุมบ่อได้ด้วยตัวเอง ผลิตภัณฑ์นี้มีแรงบันดาลใจจากความสามารถในการฟื้นฟูของต้นไม้และสัตว์บางชนิด การวิจัยครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อแก้ไขปัญหาหลุมบ่อในสหราชอาณาจักรที่ต้องการการซ่อมแซมมูลค่าหลายล้านปอนด์ในแต่ละปี

    รอยแตกในยางมะตอยมักเกิดจากการแข็งตัวของบิทูเมนเนื่องจากออกซิเดชัน ทางนักวิทยาศาสตร์จาก King's College London และ Swansea University ได้ร่วมมือกับนักวิจัยในประเทศชิลีเพื่อหาวิธีการย้อนกระบวนการนี้

    ยางมะตอยซ่อมแซมตนเองนี้ได้ถูกพัฒนาโดยใช้ปัญญาประดิษฐ์ โดยนำความสามารถของ Google Cloud AI มาใช้ในการพัฒนาวัสดุศาสตร์และเทคนิคการจำลองที่ทันสมัย ในห้องปฏิบัติการพบว่าวัสดุยางมะตอยใหม่นี้สามารถซ่อมแซมรอยแตกขนาดเล็กในเวลาน้อยกว่าหนึ่งชั่วโมง โดยผสมสปอร์พืชขนาดเล็กที่บรรจุน้ำมันรีไซเคิล ซึ่งจะปล่อยน้ำมันออกมาเมื่อยางมะตอยแตก ทำให้บิทูเมนสามารถไหลกลับมารวมกันได้

    นักวิจัยยังได้ใช้แมชชีนเลิร์นนิงในการวิเคราะห์โมเลกุลอินทรีย์ในบิทูเมนเพื่อเข้าใจโครงสร้างและพฤติกรรมของวัสดุยางมะตอย รวมถึงค้นหาคุณสมบัติทางเคมีที่ช่วยในการซ่อมแซมตนเอง

    ผลิตภัณฑ์นี้ยังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนา แต่มีศักยภาพในการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานและส่งเสริมความยั่งยืนทั่วโลก

    https://www.techspot.com/news/106684-researchers-develop-self-healing-asphalt-repairs-cracks-stops.html
    นักวิจัยได้พัฒนายางมะตอยที่สามารถซ่อมแซมรอยแตกและป้องกันการเกิดหลุมบ่อได้ด้วยตัวเอง ผลิตภัณฑ์นี้มีแรงบันดาลใจจากความสามารถในการฟื้นฟูของต้นไม้และสัตว์บางชนิด การวิจัยครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อแก้ไขปัญหาหลุมบ่อในสหราชอาณาจักรที่ต้องการการซ่อมแซมมูลค่าหลายล้านปอนด์ในแต่ละปี รอยแตกในยางมะตอยมักเกิดจากการแข็งตัวของบิทูเมนเนื่องจากออกซิเดชัน ทางนักวิทยาศาสตร์จาก King's College London และ Swansea University ได้ร่วมมือกับนักวิจัยในประเทศชิลีเพื่อหาวิธีการย้อนกระบวนการนี้ ยางมะตอยซ่อมแซมตนเองนี้ได้ถูกพัฒนาโดยใช้ปัญญาประดิษฐ์ โดยนำความสามารถของ Google Cloud AI มาใช้ในการพัฒนาวัสดุศาสตร์และเทคนิคการจำลองที่ทันสมัย ในห้องปฏิบัติการพบว่าวัสดุยางมะตอยใหม่นี้สามารถซ่อมแซมรอยแตกขนาดเล็กในเวลาน้อยกว่าหนึ่งชั่วโมง โดยผสมสปอร์พืชขนาดเล็กที่บรรจุน้ำมันรีไซเคิล ซึ่งจะปล่อยน้ำมันออกมาเมื่อยางมะตอยแตก ทำให้บิทูเมนสามารถไหลกลับมารวมกันได้ นักวิจัยยังได้ใช้แมชชีนเลิร์นนิงในการวิเคราะห์โมเลกุลอินทรีย์ในบิทูเมนเพื่อเข้าใจโครงสร้างและพฤติกรรมของวัสดุยางมะตอย รวมถึงค้นหาคุณสมบัติทางเคมีที่ช่วยในการซ่อมแซมตนเอง ผลิตภัณฑ์นี้ยังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนา แต่มีศักยภาพในการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานและส่งเสริมความยั่งยืนทั่วโลก https://www.techspot.com/news/106684-researchers-develop-self-healing-asphalt-repairs-cracks-stops.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Researchers develop self-healing asphalt that repairs cracks, stops potholes from forming
    The exact mechanisms of crack formation in asphalt are not fully understood, but they often originate from the hardening of bitumen due to oxidation. To tackle this...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 113 มุมมอง 0 รีวิว
  • "Trump ได้ประกาศแผนการในการเข้าครอบครองตำแหน่งที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนชื่อ 'อ่าวเม็กซิโก' (Gulf of Mexico) เป็น 'อ่าวอเมริกา' (Gulf of America), การประกาศจะเข้ายึดคืนคลองปานามา..., การประกาศจะเข้ายึดครองเกาะกรีนแลนด์ และการเรียกร้องให้ประเทศแคนาดาลดสถานะตนเองลงมาเป็นรัฐที่ 51 ของสหรัฐอเมริกา หรือ แม้แต่การประกาศโครงการส่งนักบินอวกาศสหรัฐฯ ไปปักธงชาติสหรัฐฯ บนดาวอังคาร"
    .
    "ในมุมมองทางภูมิรัฐศาสตร์ สิ่งที่ Trump พยายามจะทำให้เกิดขึ้นอีกครั้งคือการสร้างจักรวรรดินิยมสหรัฐอเมริกาที่มีการเชื่อมโยงสองมหาสมุทรเป็นแกนกลางตามทฤษฎีสมุททานุภาพ (Sea Power) ซึ่งมีใจความสำคัญคือ 'ประเทศที่จะเป็นมหาอำนาจต้องสามารถควบคุมทะเลและมหาสมุทรได้ ดังนั้นการควบคุม Oceans Gateways ซึ่งเชื่อมสองมหาสมุทรเข้าด้วยกันจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง และการจะทำสิ่งนั้นได้ความสำคัญอันดับแรกคือการขยายแสนยานุภาพให้กับกองทัพเรือ'”
    .
    "แนวคิดสมุททานุภาพได้รับการนำเสนอโดยอัลเฟรด ธาเยอร์ มาฮาน (Alfred Thayer Mahan) ผ่านการตีพิมพ์หนังสือ 'The Influence of Sea Power upon History 1660-1783' ในปี 1890 ซึ่งทำให้ Mahan ได้รับการขนานนามว่า 'นักยุทธศาสตร์อเมริกันที่มีความสำคัญมากที่สุดในศตวรรษที่ 19' เพราะในที่สุดทฤษฎีสมุททานุภาพก็กลายเป็นยุทธศาสตร์หลักของวิลเลียม แมกคินลีย์ (William McKinley) ประธานาธิบดีคนที่ 25 ของสหรัฐฯ ที่ดำรงตำแหน่งในช่วงปี 1897-1901"
    .
    "McKinley คือประธานาธิบดีที่นำพาสหรัฐฯ ขึ้นสู่ความเป็นจักรวรรดินิยมโดยการเข้ายึดครอง และ/หรือรับการส่งมอบดินแดนอาณานิคมจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นฮาวาย, กวม, ปวยร์โตรีโก, ฟิลิปปินส์ หรือแม้แต่คิวบา ที่แม้จะได้รับเอกราชจากสเปนแต่ก็ต้องยอมรับสถานะการเป็นดินแดนในอารักขาของสหรัฐฯ"
    .
    "McKinley ถือเป็นบุคคลสำคัญที่วางแนวนโยบายการขยายแสนยานุภาพของกองทัพเรือสหรัฐฯ ขนานใหญ่ การวางตำแหน่งทำเลที่ตั้งทางยุทธศาสตร์เพื่อสร้างฐานทัพเรือไม่ใช่แค่ตามพรมแดนชายฝั่งสหรัฐฯ เท่านั้น หากแต่เป็นการปักหมุดทั่วทั้งโลก ทั้งยังริเริ่มแนวคิดในการเชื่อมสองฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกสู่มหาสมุทรแอนแลนติกผ่านการขุดคลองปานามา โดยการวางแผนทางการเงินเพื่อจัดสรรเงินทุนมหาศาลสำหรับสหรัฐฯ ในการขยายแสนยานุภาพ และการจ่ายเพื่อสนับสนุนความริเริ่มเหล่านี้ก็ล้วนมาจากการที่ McKinley ใช้นโยบายการค้าแบบปกป้องคุ้มกัน สร้างกำแพงภาษี"
    .
    "นั่นทำให้ McKinley คนนี้กลายเป็นไอดอลหรือบุคคลต้นแบบที่ Trump ได้กล่าวถึงในหลายวาระ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสุนทรพจน์หลังสาบานตนเข้ารับตำแหน่งที่เขาชื่นชม McKinley อย่างยิ่งว่าเป็นประธานาธิบดีที่ยิ่งใหญ่"
    .
    ปิติ ศรีแสงนาม เปิดมุมมองยุทธศาสตร์ภูมิรัฐศาสตร์โลกของประธานาธิบดีสหรัฐฯ Donald Trump ที่ได้แรงบันดาลใจจากอดีตประธานาธิบดี William McKinley
    .
    อ่านได้ที่ https://www.the101.world/amidst-the-two-oceans-1/
    .
    ภาพประกอบ: พิรุฬพร นามมูลน้อย
    "Trump ได้ประกาศแผนการในการเข้าครอบครองตำแหน่งที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนชื่อ 'อ่าวเม็กซิโก' (Gulf of Mexico) เป็น 'อ่าวอเมริกา' (Gulf of America), การประกาศจะเข้ายึดคืนคลองปานามา..., การประกาศจะเข้ายึดครองเกาะกรีนแลนด์ และการเรียกร้องให้ประเทศแคนาดาลดสถานะตนเองลงมาเป็นรัฐที่ 51 ของสหรัฐอเมริกา หรือ แม้แต่การประกาศโครงการส่งนักบินอวกาศสหรัฐฯ ไปปักธงชาติสหรัฐฯ บนดาวอังคาร" . "ในมุมมองทางภูมิรัฐศาสตร์ สิ่งที่ Trump พยายามจะทำให้เกิดขึ้นอีกครั้งคือการสร้างจักรวรรดินิยมสหรัฐอเมริกาที่มีการเชื่อมโยงสองมหาสมุทรเป็นแกนกลางตามทฤษฎีสมุททานุภาพ (Sea Power) ซึ่งมีใจความสำคัญคือ 'ประเทศที่จะเป็นมหาอำนาจต้องสามารถควบคุมทะเลและมหาสมุทรได้ ดังนั้นการควบคุม Oceans Gateways ซึ่งเชื่อมสองมหาสมุทรเข้าด้วยกันจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง และการจะทำสิ่งนั้นได้ความสำคัญอันดับแรกคือการขยายแสนยานุภาพให้กับกองทัพเรือ'” . "แนวคิดสมุททานุภาพได้รับการนำเสนอโดยอัลเฟรด ธาเยอร์ มาฮาน (Alfred Thayer Mahan) ผ่านการตีพิมพ์หนังสือ 'The Influence of Sea Power upon History 1660-1783' ในปี 1890 ซึ่งทำให้ Mahan ได้รับการขนานนามว่า 'นักยุทธศาสตร์อเมริกันที่มีความสำคัญมากที่สุดในศตวรรษที่ 19' เพราะในที่สุดทฤษฎีสมุททานุภาพก็กลายเป็นยุทธศาสตร์หลักของวิลเลียม แมกคินลีย์ (William McKinley) ประธานาธิบดีคนที่ 25 ของสหรัฐฯ ที่ดำรงตำแหน่งในช่วงปี 1897-1901" . "McKinley คือประธานาธิบดีที่นำพาสหรัฐฯ ขึ้นสู่ความเป็นจักรวรรดินิยมโดยการเข้ายึดครอง และ/หรือรับการส่งมอบดินแดนอาณานิคมจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นฮาวาย, กวม, ปวยร์โตรีโก, ฟิลิปปินส์ หรือแม้แต่คิวบา ที่แม้จะได้รับเอกราชจากสเปนแต่ก็ต้องยอมรับสถานะการเป็นดินแดนในอารักขาของสหรัฐฯ" . "McKinley ถือเป็นบุคคลสำคัญที่วางแนวนโยบายการขยายแสนยานุภาพของกองทัพเรือสหรัฐฯ ขนานใหญ่ การวางตำแหน่งทำเลที่ตั้งทางยุทธศาสตร์เพื่อสร้างฐานทัพเรือไม่ใช่แค่ตามพรมแดนชายฝั่งสหรัฐฯ เท่านั้น หากแต่เป็นการปักหมุดทั่วทั้งโลก ทั้งยังริเริ่มแนวคิดในการเชื่อมสองฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกสู่มหาสมุทรแอนแลนติกผ่านการขุดคลองปานามา โดยการวางแผนทางการเงินเพื่อจัดสรรเงินทุนมหาศาลสำหรับสหรัฐฯ ในการขยายแสนยานุภาพ และการจ่ายเพื่อสนับสนุนความริเริ่มเหล่านี้ก็ล้วนมาจากการที่ McKinley ใช้นโยบายการค้าแบบปกป้องคุ้มกัน สร้างกำแพงภาษี" . "นั่นทำให้ McKinley คนนี้กลายเป็นไอดอลหรือบุคคลต้นแบบที่ Trump ได้กล่าวถึงในหลายวาระ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสุนทรพจน์หลังสาบานตนเข้ารับตำแหน่งที่เขาชื่นชม McKinley อย่างยิ่งว่าเป็นประธานาธิบดีที่ยิ่งใหญ่" . ปิติ ศรีแสงนาม เปิดมุมมองยุทธศาสตร์ภูมิรัฐศาสตร์โลกของประธานาธิบดีสหรัฐฯ Donald Trump ที่ได้แรงบันดาลใจจากอดีตประธานาธิบดี William McKinley . อ่านได้ที่ https://www.the101.world/amidst-the-two-oceans-1/ . ภาพประกอบ: พิรุฬพร นามมูลน้อย
    WWW.THE101.WORLD
    Amidst the Two Oceans ตอนที่ 1: ว่าด้วยบุคคลต้นแบบของ Donald Trump
    ปิติ ศรีแสงนาม เปิดมุมมองยุทธศาสตร์ภูมิรัฐศาสตร์โลกของประธานาธิบดีสหรัฐฯ Donald Trump ที่ได้แรงบันดาลใจจากอดีตประธานาธิบดีคนหนึ่ง
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 226 มุมมอง 0 รีวิว
  • ออร่าของคน มาจากอะไร?

    คำว่า "ออร่า" ที่เราพูดถึงในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่แค่เรื่องของแสงสีที่ออกมาจากตัวบุคคล แต่หมายถึง "รัศมีแห่งความรู้สึก" ที่แผ่ออกมาโดยที่คนรอบข้างสามารถรับรู้ได้ ไม่ว่าจะเป็นเสน่ห์ ความอบอุ่น หรือพลังงานเชิงบวกที่ทำให้ดูน่าดึงดูดขึ้น

    ออร่าเป็นสิ่งที่สามารถ "เปลี่ยนแปลง" ได้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพันธุกรรมหรือโครงสร้างร่างกายเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจาก "พฤติกรรม อารมณ์ และพลังภายใน" ของแต่ละคน


    ---

    ปัจจัยที่ทำให้คนดูมีออร่ามากขึ้น

    1. ทำกิจกรรมเพื่อคนอื่น

    คนที่มี น้ำใจ ชอบช่วยเหลือผู้อื่น จะมีออร่าที่สดใส

    จิตใจที่ขยายออกไปเพื่อคนอื่น ทำให้พลังชีวิตเปล่งประกาย

    ออร่าของความเมตตา สร้างเสน่ห์ดึงดูดที่ทำให้ดูดีขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ



    2. มีความขวนขวาย กระตือรือร้น

    คนที่ มีเป้าหมาย มีพลังชีวิต มีไฟในการทำงาน จะดูสดใส

    รัศมีของความกระตือรือร้นทำให้ใบหน้าและแววตาดูมีพลัง

    คนเหล่านี้ดูน่าสนใจ เพราะพลังของพวกเขาส่งผลให้คนรอบข้างรู้สึกมีแรงบันดาลใจ



    3. รักษาจิตให้สะอาด ด้วยศีล

    คนที่ มีศีล มีความสุจริตใจ จะมีออร่าแห่งความสงบและน่าเชื่อถือ

    ใบหน้าจะดูอ่อนโยนขึ้น เพราะจิตใจไม่เร่าร้อนด้วยกิเลส

    คนที่โกหก หรือทำผิดศีลบ่อยๆ จะมีออร่าขุ่นมัว ดูไม่น่าไว้ใจ



    4. มีจิตโปร่งใส ด้วยการเจริญสติ

    คนที่ ฝึกเจริญสติอยู่เสมอ จะมีแววตาที่สงบและแจ่มใส

    ออร่าของความสงบ จะทำให้คนรอบข้างรู้สึกสบายใจเมื่อต้องอยู่ใกล้

    ความสว่างจากภายใน ทำให้คนเหล่านี้ดูมีเสน่ห์แบบลึกซึ้ง





    ---

    ออร่า ไม่ใช่เรื่องเหนือธรรมชาติ แต่เป็นผลของกรรมในปัจจุบัน

    ออร่า ไม่ได้เกิดจากโชคชะตา แต่เกิดจากวิถีชีวิตของเราเอง

    คนที่ คิดดี พูดดี ทำดี ย่อมมีออร่าที่ดี

    คนที่ คิดลบ อิจฉา โกรธง่าย จะมีออร่าที่ขุ่นมัว

    ออร่า เปลี่ยนได้ตลอดเวลา ตามสภาวะจิตของแต่ละคน


    ดังนั้น ถ้าอยากดูดีขึ้น ไม่ใช่แค่เปลี่ยนเสื้อผ้า แต่งหน้า หรือศัลยกรรม
    แต่ต้อง ปรับจิตใจให้สะอาด ปรับพฤติกรรมให้เป็นกุศล
    ออร่าที่แท้จริงจะค่อยๆ เปล่งออกมาเองอย่างเป็นธรรมชาติ!

    ออร่าของคน มาจากอะไร? คำว่า "ออร่า" ที่เราพูดถึงในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่แค่เรื่องของแสงสีที่ออกมาจากตัวบุคคล แต่หมายถึง "รัศมีแห่งความรู้สึก" ที่แผ่ออกมาโดยที่คนรอบข้างสามารถรับรู้ได้ ไม่ว่าจะเป็นเสน่ห์ ความอบอุ่น หรือพลังงานเชิงบวกที่ทำให้ดูน่าดึงดูดขึ้น ออร่าเป็นสิ่งที่สามารถ "เปลี่ยนแปลง" ได้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพันธุกรรมหรือโครงสร้างร่างกายเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจาก "พฤติกรรม อารมณ์ และพลังภายใน" ของแต่ละคน --- ปัจจัยที่ทำให้คนดูมีออร่ามากขึ้น 1. ทำกิจกรรมเพื่อคนอื่น คนที่มี น้ำใจ ชอบช่วยเหลือผู้อื่น จะมีออร่าที่สดใส จิตใจที่ขยายออกไปเพื่อคนอื่น ทำให้พลังชีวิตเปล่งประกาย ออร่าของความเมตตา สร้างเสน่ห์ดึงดูดที่ทำให้ดูดีขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ 2. มีความขวนขวาย กระตือรือร้น คนที่ มีเป้าหมาย มีพลังชีวิต มีไฟในการทำงาน จะดูสดใส รัศมีของความกระตือรือร้นทำให้ใบหน้าและแววตาดูมีพลัง คนเหล่านี้ดูน่าสนใจ เพราะพลังของพวกเขาส่งผลให้คนรอบข้างรู้สึกมีแรงบันดาลใจ 3. รักษาจิตให้สะอาด ด้วยศีล คนที่ มีศีล มีความสุจริตใจ จะมีออร่าแห่งความสงบและน่าเชื่อถือ ใบหน้าจะดูอ่อนโยนขึ้น เพราะจิตใจไม่เร่าร้อนด้วยกิเลส คนที่โกหก หรือทำผิดศีลบ่อยๆ จะมีออร่าขุ่นมัว ดูไม่น่าไว้ใจ 4. มีจิตโปร่งใส ด้วยการเจริญสติ คนที่ ฝึกเจริญสติอยู่เสมอ จะมีแววตาที่สงบและแจ่มใส ออร่าของความสงบ จะทำให้คนรอบข้างรู้สึกสบายใจเมื่อต้องอยู่ใกล้ ความสว่างจากภายใน ทำให้คนเหล่านี้ดูมีเสน่ห์แบบลึกซึ้ง --- ออร่า ไม่ใช่เรื่องเหนือธรรมชาติ แต่เป็นผลของกรรมในปัจจุบัน ออร่า ไม่ได้เกิดจากโชคชะตา แต่เกิดจากวิถีชีวิตของเราเอง คนที่ คิดดี พูดดี ทำดี ย่อมมีออร่าที่ดี คนที่ คิดลบ อิจฉา โกรธง่าย จะมีออร่าที่ขุ่นมัว ออร่า เปลี่ยนได้ตลอดเวลา ตามสภาวะจิตของแต่ละคน ดังนั้น ถ้าอยากดูดีขึ้น ไม่ใช่แค่เปลี่ยนเสื้อผ้า แต่งหน้า หรือศัลยกรรม แต่ต้อง ปรับจิตใจให้สะอาด ปรับพฤติกรรมให้เป็นกุศล ออร่าที่แท้จริงจะค่อยๆ เปล่งออกมาเองอย่างเป็นธรรมชาติ!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 206 มุมมอง 0 รีวิว
  • 77 ปี ลอบสังหาร “มหาตมา คานธี” นักต่อสู้ผู้ไร้อาวุธ ผู้บุกเบิกแนวคิด “สัตยาเคราะห์”

    “ตาต่อตาฟันต่อฟัน จะทำให้ทั้งโลกมืดบอด” มหาตมา คานธี

    ย้อนไปเมื่อ 77 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2491 นับเป็นวันที่โลกต้องจารึก เมื่อ "มหาตมา คานธี" ผู้นำทางจิตวิญญาณ และนักต่อสู้เพื่อเอกราชของอินเดีย ถูกลอบสังหารขณะอายุ 78 ปี ภายในบริเวณบ้านพิรลา ในกรุงนิวเดลี เหตุการณ์นี้ ไม่เพียงเป็นจุดสิ้นสุดของชีวิต บุคคลผู้เป็นสัญลักษณ์แห่งสันติภาพ แต่ยังเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ของประวัติศาสตร์อินเดีย และขบวนการเคลื่อนไหว เพื่อสิทธิพลเมืองทั่วโลก

    โศกนาฏกรรมแห่งสันติ วันสุดท้ายของมหาตมา คานธี
    ช่วงเย็นของวันที่ 30 มกราคม 2491 "มหาตมา คานธี" เดินไปยังสวนหลังบ้านพิรลา ซึ่งเป็นสถานที่ ที่เขาใช้จัดการสวดภาวนา เป็นประจำทุกเย็น ท่ามกลางฝูงชน ที่มารอฟังคำสอนของเขา "นถูราม โคฑเส" ชายวัย 30 ปี ผู้เป็นสมาชิกกลุ่มชาตินิยมฮินดู ได้แฝงตัวเข้ามาในฝูงชน และเมื่อคานธี เดินลงจากปะรำพิธี โคฑเสก็ฉวยโอกาส ก้าวออกมากั้นทาง แล้วลั่นไกปืน สามนัดยิงเข้าที่อก และท้องของคานธีระยะเผาขน

    เสียงปืนนั้น เปรียบเสมือนเสียงสะเทือน แห่งประวัติศาสตร์...
    "มหาตมา คานธี" ทรุดลงกับพื้น และกล่าวเพียงว่า "เฮ ราม" (โอ้ พระเจ้า!) ก่อนหมดสติ และจากไปในที่สุด

    เหตุใดโคฑเส จึงลอบสังหารคานธี?
    "นถูราม โคฑเส" เป็นนักชาตินิยมฮินดู และเป็นสมาชิกของ ราษฏรียสวยัมเสวักสงฆ์ (RSS) กลุ่มขวาจัด ที่สนับสนุนการปกครองโดยชาวฮินดู โคฑเสเชื่อว่า คานธีให้ความช่วยเหลือชาวมุสลิม มากเกินไป และมีบทบาทสำคัญ ในการสนับสนุน การแยกดินแดนอินเดีย และปากีสถาน

    เขาเห็นว่าคานธีเป็นอุปสรรค ต่อความเป็นเอกภาพ ของชาวฮินดูในอินเดีย และการที่คานธี เรียกร้องให้รัฐบาลอินเดียส่งเงิน 550 ล้านรูปี ให้กับปากีสถาน ยิ่งทำให้เขาโกรธแค้น

    หลังการสังหาร โคฑเสถูกจับกุมทันที และถูกนำตัวขึ้นศาล พร้อมกับผู้สมรู้ร่วมคิดอีกหลายคน ในที่สุด เขาถูกตัดสินประหารชีวิต และถูกแขวนคอ เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2492

    บุรุษผู้เปลี่ยนแปลงโลกด้วยสันติวิธี ต้นกำเนิดของนักต่อสู้ผู้ยิ่งใหญ่
    "มหาตมา คานธี" หรือ "โมหนทาส กรมจันท์ คานธี" เกิดเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2412 ที่รัฐคุชราต ประเทศอินเดีย เติบโตมาในครอบครัวชาวฮินดู และเดินทางไปศึกษากฎหมายที่ อินเนอร์เทมเพิล ลอนดอน ก่อนกลับมาอินเดีย

    ค้นพบ “สัตยาเคราะห์” บนแผ่นดินแอฟริกาใต้
    ขณะที่คานธีทำงานเป็นทนาย ในแอฟริกาใต้ เขาประสบเหตุการณ์เหยียดเชื้อชาติ เมื่อเขาถูกไล่ออกจากตู้รถไฟชั้นหนึ่ง เพียงเพราะเป็นชาวอินเดีย เหตุการณ์นี้ ทำให้คานธี ตระหนักถึงความอยุติธรรม และจุดประกายให้เขาต่อสู้ เพื่อสิทธิพลเมือง

    คานธีพัฒนาแนวคิด “สัตยาเคราะห์” (Satyagraha) ซึ่งหมายถึง “การยึดมั่นในสัจจะ” หรือ “การต่อต้านโดยสันติวิธี” โดยมุ่งเน้นการใช้ความจริง ความรัก และความไม่รุนแรง เป็นอาวุธหลัก

    สัตยาเคราะห์ พลังแห่งสัจจะและสันติ
    สัตยาเคราะห์เป็นหัวใจสำคัญ ในการต่อสู้ของคานธี เพื่อปลดแอกอินเดียจากอังกฤษ โดยมีหลักการสำคัญ ได้แก่

    1. อหิงสา (Ahimsa) การไม่ใช้ความรุนแรง
    คานธีเชื่อว่า ความรุนแรงก่อให้เกิดความเกลียดชัง และการแก้แค้นที่ไม่มีที่สิ้นสุด

    2. สัจจะ (Satya) ความจริง
    เขาเชื่อว่าความจริงคือสิ่งสูงสุด และคนที่ยึดมั่นในความจริง จะได้รับชัยชนะเสมอ

    3. ตบะ (Tapasya) ความอดทนและเสียสละ
    คานธีอดอาหารประท้วงหลายครั้ง เพื่อเรียกร้องความยุติธรรม ให้กับคนทุกศาสนา

    ขบวนการอิสระของอินเดีย จุดเปลี่ยนประวัติศาสตร์
    เดินขบวนเกลือ (Salt March) ปี 2473
    คานธีนำประชาชนเดินเท้า เป็นระยะทางกว่า 400 กิโลเมตร เพื่อประท้วงกฎหมายภาษีเกลือ ของอังกฤษ ซึ่งเป็นหนึ่งในขบวนการต่อต้าน ที่ทรงพลังที่สุด

    ขบวนการ “ออกจากอินเดีย” (Quit India Movement) ปี 2485
    คานธีเรียกร้องให้อังกฤษ ถอนตัวจากอินเดีย โดยไม่มีเงื่อนไข ทำให้อังกฤษจับกุมเขา และผู้สนับสนุนจำนวนมาก

    ในที่สุด วันที่ 15 สิงหาคม 2490 อินเดียได้รับเอกราชจากอังกฤษ แต่ต้องแลกมา ด้วยการแบ่งประเทศเป็นอินเดีย และปากีสถาน ซึ่งก่อให้เกิดความขัดแย้ง และการอพยพครั้งใหญ่

    มรดกของมหาตมา คานธี อิทธิพลต่อโลก
    แม้จะถูกลอบสังหาร แต่แนวคิดของคานธี ได้เป็นแรงบันดาลใจ ให้ขบวนการเรียกร้องสิทธิพลเมือง ทั่วโลก เช่น

    ✅ มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ขบวนการสิทธิพลเมือง ของคนผิวดำในอเมริกา
    ✅ เนลสัน แมนเดลา การต่อต้านการแบ่งแยกสีผิว ในแอฟริกาใต้
    ✅ ดาไลลามะ การต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพ ของทิเบต

    คานธี กับบทเรียนแห่งสันติ
    การลอบสังหารมหาตมา คานธี เป็นโศกนาฏกรรมที่ยิ่งใหญ่ แต่แนวคิดของเขายังคงอยู่ และเป็นแรงบันดาลใจ ให้ผู้คนทั่วโลก

    🌏 ความจริงและสันติวิธี เป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ในการเปลี่ยนแปลงโลก
    🙏 อหิงสา ไม่ใช่ความอ่อนแอ แต่คือความกล้าหาญ ในการให้อภัย
    💡 สัตยาเคราะห์ เป็นเครื่องมือแห่งการต่อสู้ เพื่อความยุติธรรม

    77 ปี ผ่านไป... ชื่อของคานธี ยังคงเป็นสัญลักษณ์ แห่งสันติภาพ 🕊️

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 300857 ม.ค. 2568

    #MahatmaGandhi #Gandhi77Years #Satyagraha #อหิงสา #สันติวิธี #IndiaIndependence #PeaceMovement #QuitIndia #GandhiPhilosophy #GandhiLegacy
    77 ปี ลอบสังหาร “มหาตมา คานธี” นักต่อสู้ผู้ไร้อาวุธ ผู้บุกเบิกแนวคิด “สัตยาเคราะห์” “ตาต่อตาฟันต่อฟัน จะทำให้ทั้งโลกมืดบอด” มหาตมา คานธี ย้อนไปเมื่อ 77 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2491 นับเป็นวันที่โลกต้องจารึก เมื่อ "มหาตมา คานธี" ผู้นำทางจิตวิญญาณ และนักต่อสู้เพื่อเอกราชของอินเดีย ถูกลอบสังหารขณะอายุ 78 ปี ภายในบริเวณบ้านพิรลา ในกรุงนิวเดลี เหตุการณ์นี้ ไม่เพียงเป็นจุดสิ้นสุดของชีวิต บุคคลผู้เป็นสัญลักษณ์แห่งสันติภาพ แต่ยังเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ของประวัติศาสตร์อินเดีย และขบวนการเคลื่อนไหว เพื่อสิทธิพลเมืองทั่วโลก โศกนาฏกรรมแห่งสันติ วันสุดท้ายของมหาตมา คานธี ช่วงเย็นของวันที่ 30 มกราคม 2491 "มหาตมา คานธี" เดินไปยังสวนหลังบ้านพิรลา ซึ่งเป็นสถานที่ ที่เขาใช้จัดการสวดภาวนา เป็นประจำทุกเย็น ท่ามกลางฝูงชน ที่มารอฟังคำสอนของเขา "นถูราม โคฑเส" ชายวัย 30 ปี ผู้เป็นสมาชิกกลุ่มชาตินิยมฮินดู ได้แฝงตัวเข้ามาในฝูงชน และเมื่อคานธี เดินลงจากปะรำพิธี โคฑเสก็ฉวยโอกาส ก้าวออกมากั้นทาง แล้วลั่นไกปืน สามนัดยิงเข้าที่อก และท้องของคานธีระยะเผาขน เสียงปืนนั้น เปรียบเสมือนเสียงสะเทือน แห่งประวัติศาสตร์... "มหาตมา คานธี" ทรุดลงกับพื้น และกล่าวเพียงว่า "เฮ ราม" (โอ้ พระเจ้า!) ก่อนหมดสติ และจากไปในที่สุด เหตุใดโคฑเส จึงลอบสังหารคานธี? "นถูราม โคฑเส" เป็นนักชาตินิยมฮินดู และเป็นสมาชิกของ ราษฏรียสวยัมเสวักสงฆ์ (RSS) กลุ่มขวาจัด ที่สนับสนุนการปกครองโดยชาวฮินดู โคฑเสเชื่อว่า คานธีให้ความช่วยเหลือชาวมุสลิม มากเกินไป และมีบทบาทสำคัญ ในการสนับสนุน การแยกดินแดนอินเดีย และปากีสถาน เขาเห็นว่าคานธีเป็นอุปสรรค ต่อความเป็นเอกภาพ ของชาวฮินดูในอินเดีย และการที่คานธี เรียกร้องให้รัฐบาลอินเดียส่งเงิน 550 ล้านรูปี ให้กับปากีสถาน ยิ่งทำให้เขาโกรธแค้น หลังการสังหาร โคฑเสถูกจับกุมทันที และถูกนำตัวขึ้นศาล พร้อมกับผู้สมรู้ร่วมคิดอีกหลายคน ในที่สุด เขาถูกตัดสินประหารชีวิต และถูกแขวนคอ เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2492 บุรุษผู้เปลี่ยนแปลงโลกด้วยสันติวิธี ต้นกำเนิดของนักต่อสู้ผู้ยิ่งใหญ่ "มหาตมา คานธี" หรือ "โมหนทาส กรมจันท์ คานธี" เกิดเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2412 ที่รัฐคุชราต ประเทศอินเดีย เติบโตมาในครอบครัวชาวฮินดู และเดินทางไปศึกษากฎหมายที่ อินเนอร์เทมเพิล ลอนดอน ก่อนกลับมาอินเดีย ค้นพบ “สัตยาเคราะห์” บนแผ่นดินแอฟริกาใต้ ขณะที่คานธีทำงานเป็นทนาย ในแอฟริกาใต้ เขาประสบเหตุการณ์เหยียดเชื้อชาติ เมื่อเขาถูกไล่ออกจากตู้รถไฟชั้นหนึ่ง เพียงเพราะเป็นชาวอินเดีย เหตุการณ์นี้ ทำให้คานธี ตระหนักถึงความอยุติธรรม และจุดประกายให้เขาต่อสู้ เพื่อสิทธิพลเมือง คานธีพัฒนาแนวคิด “สัตยาเคราะห์” (Satyagraha) ซึ่งหมายถึง “การยึดมั่นในสัจจะ” หรือ “การต่อต้านโดยสันติวิธี” โดยมุ่งเน้นการใช้ความจริง ความรัก และความไม่รุนแรง เป็นอาวุธหลัก สัตยาเคราะห์ พลังแห่งสัจจะและสันติ สัตยาเคราะห์เป็นหัวใจสำคัญ ในการต่อสู้ของคานธี เพื่อปลดแอกอินเดียจากอังกฤษ โดยมีหลักการสำคัญ ได้แก่ 1. อหิงสา (Ahimsa) การไม่ใช้ความรุนแรง คานธีเชื่อว่า ความรุนแรงก่อให้เกิดความเกลียดชัง และการแก้แค้นที่ไม่มีที่สิ้นสุด 2. สัจจะ (Satya) ความจริง เขาเชื่อว่าความจริงคือสิ่งสูงสุด และคนที่ยึดมั่นในความจริง จะได้รับชัยชนะเสมอ 3. ตบะ (Tapasya) ความอดทนและเสียสละ คานธีอดอาหารประท้วงหลายครั้ง เพื่อเรียกร้องความยุติธรรม ให้กับคนทุกศาสนา ขบวนการอิสระของอินเดีย จุดเปลี่ยนประวัติศาสตร์ เดินขบวนเกลือ (Salt March) ปี 2473 คานธีนำประชาชนเดินเท้า เป็นระยะทางกว่า 400 กิโลเมตร เพื่อประท้วงกฎหมายภาษีเกลือ ของอังกฤษ ซึ่งเป็นหนึ่งในขบวนการต่อต้าน ที่ทรงพลังที่สุด ขบวนการ “ออกจากอินเดีย” (Quit India Movement) ปี 2485 คานธีเรียกร้องให้อังกฤษ ถอนตัวจากอินเดีย โดยไม่มีเงื่อนไข ทำให้อังกฤษจับกุมเขา และผู้สนับสนุนจำนวนมาก ในที่สุด วันที่ 15 สิงหาคม 2490 อินเดียได้รับเอกราชจากอังกฤษ แต่ต้องแลกมา ด้วยการแบ่งประเทศเป็นอินเดีย และปากีสถาน ซึ่งก่อให้เกิดความขัดแย้ง และการอพยพครั้งใหญ่ มรดกของมหาตมา คานธี อิทธิพลต่อโลก แม้จะถูกลอบสังหาร แต่แนวคิดของคานธี ได้เป็นแรงบันดาลใจ ให้ขบวนการเรียกร้องสิทธิพลเมือง ทั่วโลก เช่น ✅ มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ขบวนการสิทธิพลเมือง ของคนผิวดำในอเมริกา ✅ เนลสัน แมนเดลา การต่อต้านการแบ่งแยกสีผิว ในแอฟริกาใต้ ✅ ดาไลลามะ การต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพ ของทิเบต คานธี กับบทเรียนแห่งสันติ การลอบสังหารมหาตมา คานธี เป็นโศกนาฏกรรมที่ยิ่งใหญ่ แต่แนวคิดของเขายังคงอยู่ และเป็นแรงบันดาลใจ ให้ผู้คนทั่วโลก 🌏 ความจริงและสันติวิธี เป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ในการเปลี่ยนแปลงโลก 🙏 อหิงสา ไม่ใช่ความอ่อนแอ แต่คือความกล้าหาญ ในการให้อภัย 💡 สัตยาเคราะห์ เป็นเครื่องมือแห่งการต่อสู้ เพื่อความยุติธรรม 77 ปี ผ่านไป... ชื่อของคานธี ยังคงเป็นสัญลักษณ์ แห่งสันติภาพ 🕊️ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 300857 ม.ค. 2568 #MahatmaGandhi #Gandhi77Years #Satyagraha #อหิงสา #สันติวิธี #IndiaIndependence #PeaceMovement #QuitIndia #GandhiPhilosophy #GandhiLegacy
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 699 มุมมอง 0 รีวิว
  • โรเบิร์ต ฟิโก นายกรัฐมนตรีสโลวาเกีย วางแผนแก้ไขรัฐธรรมนูญของประเทศ โดยจะบรรญัติข้อความในการยอมรับอย่างเป็นทางการเพียง 2 เพศเท่านั้น คือ ชายและหญิง

    ฟิโก ยอมรับว่าได้แรงบันดาลใจหลังจากที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯ ได้ประกาศนโยบายที่คล้ายกันนี้ระหว่างกล่าวสุนทรพจน์รับตำแหน่งเมื่อวันที่ 20 ม.ค. โดยประกาศว่าสหรัฐฯ จะรับรองอย่างเป็นทางการเพียง 2 เพศเท่านั้น คือ ชายและหญิง

    ฟิโก้ ยกย่องจุดยืนของทรัมป์ว่าเป็น "นโยบายที่เป็นไปได้ในทางปฏิบัติและมีเหตุผล" และเสนอแนะว่าสหภาพยุโรปควรปฏิบัติตาม
    โรเบิร์ต ฟิโก นายกรัฐมนตรีสโลวาเกีย วางแผนแก้ไขรัฐธรรมนูญของประเทศ โดยจะบรรญัติข้อความในการยอมรับอย่างเป็นทางการเพียง 2 เพศเท่านั้น คือ ชายและหญิง ฟิโก ยอมรับว่าได้แรงบันดาลใจหลังจากที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯ ได้ประกาศนโยบายที่คล้ายกันนี้ระหว่างกล่าวสุนทรพจน์รับตำแหน่งเมื่อวันที่ 20 ม.ค. โดยประกาศว่าสหรัฐฯ จะรับรองอย่างเป็นทางการเพียง 2 เพศเท่านั้น คือ ชายและหญิง ฟิโก้ ยกย่องจุดยืนของทรัมป์ว่าเป็น "นโยบายที่เป็นไปได้ในทางปฏิบัติและมีเหตุผล" และเสนอแนะว่าสหภาพยุโรปควรปฏิบัติตาม
    Like
    Haha
    Yay
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 259 มุมมอง 0 รีวิว
  • นักวิจัยจากห้องปฏิบัติการแห่งชาติ Brookhaven ของกระทรวงพลังงานสหรัฐกำลังสำรวจแนวคิดของ "Exocortex" ซึ่งเป็นการผสานรวมปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ากับความสามารถทางปัญญาของมนุษย์ โดยมองว่าเป็นการขยายสมองของนักวิทยาศาสตร์ แนวคิดนี้มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มความสามารถทางปัญญาของนักวิจัยโดยการสร้างสะพานเชื่อมระหว่างจิตใจของมนุษย์กับเครือข่ายของ AI

    Exocortex จะประกอบด้วย AI หลายตัวที่เชี่ยวชาญในงานเฉพาะ เช่น การจัดการวรรณกรรมทางวิทยาศาสตร์ การจัดการทดลอง หรือการสังเคราะห์ข้อมูล การทำงานร่วมกันของ AI เหล่านี้จะสร้างความสามารถที่ขยายขอบเขตทางปัญญาของนักวิทยาศาสตร์ได้อย่างมาก

    นอกจากนี้ Exocortex ยังสามารถช่วยเสริมสร้างแรงบันดาลใจและจินตนาการทางวิทยาศาสตร์ได้ โดยการใช้ประโยชน์จาก "การสร้างภาพในจินตนาการ" (หลอน) ซึ่งแม้ว่าการหลอนจะไม่พึงประสงค์ในบางกรณี แต่ก็มีความสำคัญในการเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์และการสื่อสาร

    https://www.techradar.com/pro/an-extension-of-a-scientists-brain-researchers-explore-ai-to-augment-inspiration-and-imagination-to-revolutionize-science
    นักวิจัยจากห้องปฏิบัติการแห่งชาติ Brookhaven ของกระทรวงพลังงานสหรัฐกำลังสำรวจแนวคิดของ "Exocortex" ซึ่งเป็นการผสานรวมปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ากับความสามารถทางปัญญาของมนุษย์ โดยมองว่าเป็นการขยายสมองของนักวิทยาศาสตร์ แนวคิดนี้มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มความสามารถทางปัญญาของนักวิจัยโดยการสร้างสะพานเชื่อมระหว่างจิตใจของมนุษย์กับเครือข่ายของ AI Exocortex จะประกอบด้วย AI หลายตัวที่เชี่ยวชาญในงานเฉพาะ เช่น การจัดการวรรณกรรมทางวิทยาศาสตร์ การจัดการทดลอง หรือการสังเคราะห์ข้อมูล การทำงานร่วมกันของ AI เหล่านี้จะสร้างความสามารถที่ขยายขอบเขตทางปัญญาของนักวิทยาศาสตร์ได้อย่างมาก นอกจากนี้ Exocortex ยังสามารถช่วยเสริมสร้างแรงบันดาลใจและจินตนาการทางวิทยาศาสตร์ได้ โดยการใช้ประโยชน์จาก "การสร้างภาพในจินตนาการ" (หลอน) ซึ่งแม้ว่าการหลอนจะไม่พึงประสงค์ในบางกรณี แต่ก็มีความสำคัญในการเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์และการสื่อสาร https://www.techradar.com/pro/an-extension-of-a-scientists-brain-researchers-explore-ai-to-augment-inspiration-and-imagination-to-revolutionize-science
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 252 มุมมอง 0 รีวิว
  • มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ฯวันพฤหัสบดี ที่ 23 มกราคม 2568 ณ โรงแรมรอยัลริเวอร์ บางพลัด กรุงเทพมหานครมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรม ราชูปถัมภ์ ได้จัดกิจกรรมโครงการเตรียม ความพร้อมก่อนจบ (Jop Ready)นักเรียนทุนพระราชทานเพื่อการ ศึกษาสงเคราะห์ โดยมี 5 กิจกรรม ดังนี้ การสร้างแรงบันดาลใจในตนเองคุณสมบัติของบัณฑิตที่องค์กรส่วนใหญ่ ต้องการ การเขียนจดหมายเพื่อสมัคบก่อนจบงาน และการจัดทำแฟ้มสะสมงาน (Portfolio) การพัฒนาบุคลิกภาพและกราะห์ราชทา การพูดเพื่อการสัมภาษณ์งาน การวางแผนทางการเงิน #มูลนิธิราชประชานุ เคราะห์ฯ #สังคมสงเคราะห์ ##นักเรียน ทุนพระราชทาน #รัชกาลที่10 TikTok@rpk.bkk #ว่างว่างก็แวะมา
    มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ฯวันพฤหัสบดี ที่ 23 มกราคม 2568 ณ โรงแรมรอยัลริเวอร์ บางพลัด กรุงเทพมหานครมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรม ราชูปถัมภ์ ได้จัดกิจกรรมโครงการเตรียม ความพร้อมก่อนจบ (Jop Ready)นักเรียนทุนพระราชทานเพื่อการ ศึกษาสงเคราะห์ โดยมี 5 กิจกรรม ดังนี้ การสร้างแรงบันดาลใจในตนเองคุณสมบัติของบัณฑิตที่องค์กรส่วนใหญ่ ต้องการ การเขียนจดหมายเพื่อสมัคบก่อนจบงาน และการจัดทำแฟ้มสะสมงาน (Portfolio) การพัฒนาบุคลิกภาพและกราะห์ราชทา การพูดเพื่อการสัมภาษณ์งาน การวางแผนทางการเงิน #มูลนิธิราชประชานุ เคราะห์ฯ #สังคมสงเคราะห์ ##นักเรียน ทุนพระราชทาน #รัชกาลที่10 TikTok@rpk.bkk #ว่างว่างก็แวะมา
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 478 มุมมอง 1 0 รีวิว
  • วัดร่องขุน จ.เชียงราย
    วัดดังสีขาวสวยสง่าที่เป็นที่รู้จักกันไปทั่วโลก เลื่องลือด้วยงานออกแบบและการสร้างอันวิจิตร ประหนึ่งวิมานเทพ แดนสวรรค์บนดิน วัดแห่งนี้ได้รับการออกแบบและสร้างขึ้นโดยศิลปินแห่งชาติ อ.เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ด้วยความตั้งใจที่จะถวายวัดแห่งนี้ให้เป็นสมบัติของชาติ โดย อ. เฉลิมชัยได้เอ่ยถึงแรงบันดาลใจสำคัญ 3 สิ่งในการสร้างวัดแห่งนี้ คือ ชาติ-ศาสนา-พระมหากษัตริย์ นอกจากงานสถาปัตยกรรมการสร้างที่อ่อนช้อยสวยงามแล้ว งานประติมากรรม และพุทธประติมากรรม งานแกะสลัก และงานช่างศิลป์ต่างๆ ภายในวัดนั้น ล้วนแล้วแต่ทรงคุณค่าทั้งทางด้านศิลปะและจิตใจหาใดเปรียบมิได้ และแน่นอนว่าวัดร่องขุนแห่งนี้ก็จัดเป็นหนึ่งในแลนด์มาร์คเมืองไทยอันดับต้นๆ แห่งยุคสมัยปัจจุบัน แถมยังติดอันดับวัดสวยที่สุดในโลกที่จัดอันดับในหลายสถาบันด้วย.🤩
    #วัดร่องขุน
    #ท่องเที่ยว
    #เชียงราย
    วัดร่องขุน จ.เชียงราย วัดดังสีขาวสวยสง่าที่เป็นที่รู้จักกันไปทั่วโลก เลื่องลือด้วยงานออกแบบและการสร้างอันวิจิตร ประหนึ่งวิมานเทพ แดนสวรรค์บนดิน วัดแห่งนี้ได้รับการออกแบบและสร้างขึ้นโดยศิลปินแห่งชาติ อ.เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ด้วยความตั้งใจที่จะถวายวัดแห่งนี้ให้เป็นสมบัติของชาติ โดย อ. เฉลิมชัยได้เอ่ยถึงแรงบันดาลใจสำคัญ 3 สิ่งในการสร้างวัดแห่งนี้ คือ ชาติ-ศาสนา-พระมหากษัตริย์ นอกจากงานสถาปัตยกรรมการสร้างที่อ่อนช้อยสวยงามแล้ว งานประติมากรรม และพุทธประติมากรรม งานแกะสลัก และงานช่างศิลป์ต่างๆ ภายในวัดนั้น ล้วนแล้วแต่ทรงคุณค่าทั้งทางด้านศิลปะและจิตใจหาใดเปรียบมิได้ และแน่นอนว่าวัดร่องขุนแห่งนี้ก็จัดเป็นหนึ่งในแลนด์มาร์คเมืองไทยอันดับต้นๆ แห่งยุคสมัยปัจจุบัน แถมยังติดอันดับวัดสวยที่สุดในโลกที่จัดอันดับในหลายสถาบันด้วย.🤩 #วัดร่องขุน #ท่องเที่ยว #เชียงราย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 322 มุมมอง 0 รีวิว
  • 82 ปี “สวัสดี” คำทักทายอย่างเป็นทางการของไทย

    ย้อนไปเมื่อ 82 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2486 ถือเป็นวันสำคัญ ในประวัติศาสตร์ภาษา และวัฒนธรรมของไทย เนื่องจากรัฐบาลไทยในยุคนั้น ได้กำหนดให้คำว่า “สวัสดี” เป็นคำทักทาย ที่ใช้อย่างเป็นทางการ ทั้งในยามพบปะและลาจาก คำนี้ไม่ได้เป็นเพียงคำพูดธรรมดา แต่ยังสื่อถึงความหวังดี และความปรารถนาดีระหว่างผู้คน ซึ่งสะท้อนถึงจิตวิญญาณอันงดงาม ของวัฒนธรรมไทย

    ความหมายของ “สวัสดี”
    คำว่า “สวัสดี” มีรากศัพท์มาจากภาษาสันสกฤต โดยคำนี้ประกอบด้วยสองส่วนสำคัญ ได้แก่
    “สุ” ซึ่งเป็นคำอุปสรรค หมายถึง "ดี" หรือ "งดงาม"
    “อสฺติ” ซึ่งเป็นคำกริยา หมายถึง "มี"

    เมื่อรวมกันจึงแปลว่า “ขอความดีงามจงมีแก่ท่าน” หรือกล่าวในความหมายกว้างว่า “ขอให้คุณมีความสุข ปลอดภัย และรุ่งเรือง”

    ตามที่พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ได้ระบุไว้ คำว่า “สวัสดี” หมายถึง ความดี ความงาม ความเจริญรุ่งเรือง และความปลอดภัย คำนี้ถูกนำมาใช้ เพื่อเป็นทั้งคำอวยพร และคำทักทาย ทำให้ทุกครั้ง ที่มีการกล่าวคำว่า "สวัสดี" ผู้พูดและผู้ฟัง ต่างได้รับความรู้สึกดี ๆ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่น ของภาษาไทย

    จุดเริ่มต้นของคำว่า “สวัสดี”
    คำว่า “สวัสดี” ได้ถูกนำมาใช้ อย่างเป็นทางการครั้งแรก ในปี พ.ศ. 2486 โดยพระยาอุปกิตศิลปสาร (นิ่ม กาญจนาชีวะ) ผู้ซึ่งเป็นอาจารย์ ประจำคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในขณะนั้น พระยาอุปกิตฯ ได้แรงบันดาลใจจากคำว่า “โสตฺถิ” ในภาษาบาลี หรือ “สฺวสฺติ” ในภาษาสันสกฤต และได้นำมาปรับเปลี่ยนเสียง ให้เหมาะสม กับการออกเสียงของคนไทย

    หลังจากนั้น จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในยุคนั้น ได้เห็นความเหมาะสมของคำนี้ และสนับสนุนให้ใช้คำว่า “สวัสดี” เป็นคำทักทายอย่างเป็นทางการ ทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2486 เป็นต้นมา

    ความแตกต่างของ “สวัสดี” กับคำทักทายอื่นในยุคนั้น
    ก่อนที่คำว่า “สวัสดี” จะถูกกำหนดให้เป็นคำทักทาย อย่างเป็นทางการ คนไทยนิยมใช้คำทักทาย ตามโอกาส เช่น

    “ไปไหนมา?” หรือ “กินข้าวหรือยัง?” ในชีวิตประจำวัน
    “กราบเรียน” หรือ “คารวะ” เมื่อพูดกับผู้ใหญ่

    คำว่า “สวัสดี” จึงเข้ามาเติมเต็มบทบาท ของคำทักทาย ที่เหมาะสมกับทุกสถานการณ์ ทั้งในเชิงความหมาย และความสะดวกในการใช้งาน โดยสามารถใช้ได้ทั้งในชีวิตประจำวัน และในพิธีการ อย่างเป็นทางการ

    การพัฒนาคำว่า “สวัสดี” ในยุคปัจจุบัน
    แม้คำว่า “สวัสดี” จะถูกนำมาใช้อย่างกว้างขวาง ในประเทศไทย แต่ในช่วงยุคแรก ๆ มีการกำหนดคำทักทายเพิ่มเติม ในช่วงเวลาต่าง ๆ ของวัน เช่น

    “อรุณสวัสดิ์” (Good morning) สำหรับทักทายในตอนเช้า
    “ทิวาสวัสดิ์” (Good afternoon) สำหรับทักทายในตอนกลางวัน
    “สายัณห์สวัสดิ์” (Good evening) สำหรับทักทายในตอนเย็น
    “ราตรีสวัสดิ์” (Good night) สำหรับกล่าวลาก่อนเข้านอน

    อย่างไรก็ตาม คำว่า “สวัสดี” ยังคงได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะสามารถใช้ได้ทุกช่วงเวลา ไม่ต้องระบุเวลาเฉพาะเจาะจง

    การทักทายด้วย “สวัสดี” สะท้อนถึงวัฒนธรรมไทย
    การกล่าวคำว่า “สวัสดี” มักจะมาพร้อมกับการ ไหว้ ซึ่งเป็นการยกมือขึ้นประนมไว้ที่อก ในลักษณะคล้ายดอกบัวตูม ท่าทางนี้ไม่ได้เป็นเพียง การแสดงความเคารพเท่านั้น แต่ยังแฝงไปด้วยความหมายลึกซึ้ง เช่น

    ความบริสุทธิ์ใจ การประนมมือไว้ที่อก แสดงถึงการพูดจากใจ
    ความเคารพผู้อื่น แสดงความนอบน้อมและให้เกียรติผู้ฟัง
    ความปรารถนาดี การกล่าวคำ “สวัสดี” พร้อมกับการไหว้ เป็นการส่งต่อความหวังดีไปยังผู้อื่น

    นอกจากนี้ การไหว้ยังแบ่งระดับ ตามสถานะของผู้พูดและผู้ฟัง เช่น
    ไหว้แบบสูงสุด สำหรับการแสดงความเคารพต่อพระสงฆ์
    ไหว้แบบกลาง สำหรับผู้ใหญ่ และผู้มีตำแหน่งสูงกว่า
    ไหว้แบบต่ำ สำหรับเพื่อนร่วมงานหรือเพื่อน

    “สวัสดี” ในยุคดิจิทัล
    แม้ในยุคปัจจุบัน ที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญ ในชีวิตประจำวัน คนไทยยังคงใช้คำว่า “สวัสดี” ในการสื่อสาร ผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล เช่น

    - ส่งข้อความทักทาย ในแอปพลิเคชันแชต
    - ใช้คำว่า “สวัสดีค่ะ/ครับ” เป็นคำเปิดหัวข้อในอีเมล
    - ใช้คำว่า “สวัสดี” ในโพสต์ หรือแคปชันบนโซเชียลมีเดีย

    การใช้งานคำนี้ในยุคดิจิทัล ช่วยสะท้อนถึงการอนุรักษ์วัฒนธรรมไทย ในโลกออนไลน์ และยังสร้างความประทับใจ แก่ชาวต่างชาติที่พบเห็น

    “สวัสดี” คำทักทายที่ไม่เคยล้าสมัย
    การเดินทางของคำว่า “สวัสดี” ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2486 จนถึงปัจจุบัน เป็นเครื่องยืนยันถึงความงดงาม ของภาษาไทย และวัฒนธรรมอันลึกซึ้ง คำนี้ไม่ได้เป็นเพียงคำพูด ที่ใช้ในการทักทาย หรืออำลาเท่านั้น แต่ยังเป็นการสื่อสาร ถึงความปรารถนาดี ความเคารพ และความจริงใจ ที่คนไทยมีต่อกัน

    “สวัสดี” จึงไม่ใช่เพียงคำพูดธรรมดา แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ ของความงดงามทางวัฒนธรรม ที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ และส่งต่อให้คนรุ่นหลัง

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 221015 ม.ค. 2568

    #สวัสดี #ภาษาไทย #วัฒนธรรมไทย #คำทักทายไทย #คำทักทาย #วันสวัสดี #รากศัพท์สันสกฤต #ประวัติศาสตร์ไทย #ความงดงามของไทย #มรดกทางวัฒนธรรม ✨ 😊
    82 ปี “สวัสดี” คำทักทายอย่างเป็นทางการของไทย ย้อนไปเมื่อ 82 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2486 ถือเป็นวันสำคัญ ในประวัติศาสตร์ภาษา และวัฒนธรรมของไทย เนื่องจากรัฐบาลไทยในยุคนั้น ได้กำหนดให้คำว่า “สวัสดี” เป็นคำทักทาย ที่ใช้อย่างเป็นทางการ ทั้งในยามพบปะและลาจาก คำนี้ไม่ได้เป็นเพียงคำพูดธรรมดา แต่ยังสื่อถึงความหวังดี และความปรารถนาดีระหว่างผู้คน ซึ่งสะท้อนถึงจิตวิญญาณอันงดงาม ของวัฒนธรรมไทย ความหมายของ “สวัสดี” คำว่า “สวัสดี” มีรากศัพท์มาจากภาษาสันสกฤต โดยคำนี้ประกอบด้วยสองส่วนสำคัญ ได้แก่ “สุ” ซึ่งเป็นคำอุปสรรค หมายถึง "ดี" หรือ "งดงาม" “อสฺติ” ซึ่งเป็นคำกริยา หมายถึง "มี" เมื่อรวมกันจึงแปลว่า “ขอความดีงามจงมีแก่ท่าน” หรือกล่าวในความหมายกว้างว่า “ขอให้คุณมีความสุข ปลอดภัย และรุ่งเรือง” ตามที่พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ได้ระบุไว้ คำว่า “สวัสดี” หมายถึง ความดี ความงาม ความเจริญรุ่งเรือง และความปลอดภัย คำนี้ถูกนำมาใช้ เพื่อเป็นทั้งคำอวยพร และคำทักทาย ทำให้ทุกครั้ง ที่มีการกล่าวคำว่า "สวัสดี" ผู้พูดและผู้ฟัง ต่างได้รับความรู้สึกดี ๆ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่น ของภาษาไทย จุดเริ่มต้นของคำว่า “สวัสดี” คำว่า “สวัสดี” ได้ถูกนำมาใช้ อย่างเป็นทางการครั้งแรก ในปี พ.ศ. 2486 โดยพระยาอุปกิตศิลปสาร (นิ่ม กาญจนาชีวะ) ผู้ซึ่งเป็นอาจารย์ ประจำคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในขณะนั้น พระยาอุปกิตฯ ได้แรงบันดาลใจจากคำว่า “โสตฺถิ” ในภาษาบาลี หรือ “สฺวสฺติ” ในภาษาสันสกฤต และได้นำมาปรับเปลี่ยนเสียง ให้เหมาะสม กับการออกเสียงของคนไทย หลังจากนั้น จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในยุคนั้น ได้เห็นความเหมาะสมของคำนี้ และสนับสนุนให้ใช้คำว่า “สวัสดี” เป็นคำทักทายอย่างเป็นทางการ ทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2486 เป็นต้นมา ความแตกต่างของ “สวัสดี” กับคำทักทายอื่นในยุคนั้น ก่อนที่คำว่า “สวัสดี” จะถูกกำหนดให้เป็นคำทักทาย อย่างเป็นทางการ คนไทยนิยมใช้คำทักทาย ตามโอกาส เช่น “ไปไหนมา?” หรือ “กินข้าวหรือยัง?” ในชีวิตประจำวัน “กราบเรียน” หรือ “คารวะ” เมื่อพูดกับผู้ใหญ่ คำว่า “สวัสดี” จึงเข้ามาเติมเต็มบทบาท ของคำทักทาย ที่เหมาะสมกับทุกสถานการณ์ ทั้งในเชิงความหมาย และความสะดวกในการใช้งาน โดยสามารถใช้ได้ทั้งในชีวิตประจำวัน และในพิธีการ อย่างเป็นทางการ การพัฒนาคำว่า “สวัสดี” ในยุคปัจจุบัน แม้คำว่า “สวัสดี” จะถูกนำมาใช้อย่างกว้างขวาง ในประเทศไทย แต่ในช่วงยุคแรก ๆ มีการกำหนดคำทักทายเพิ่มเติม ในช่วงเวลาต่าง ๆ ของวัน เช่น “อรุณสวัสดิ์” (Good morning) สำหรับทักทายในตอนเช้า “ทิวาสวัสดิ์” (Good afternoon) สำหรับทักทายในตอนกลางวัน “สายัณห์สวัสดิ์” (Good evening) สำหรับทักทายในตอนเย็น “ราตรีสวัสดิ์” (Good night) สำหรับกล่าวลาก่อนเข้านอน อย่างไรก็ตาม คำว่า “สวัสดี” ยังคงได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะสามารถใช้ได้ทุกช่วงเวลา ไม่ต้องระบุเวลาเฉพาะเจาะจง การทักทายด้วย “สวัสดี” สะท้อนถึงวัฒนธรรมไทย การกล่าวคำว่า “สวัสดี” มักจะมาพร้อมกับการ ไหว้ ซึ่งเป็นการยกมือขึ้นประนมไว้ที่อก ในลักษณะคล้ายดอกบัวตูม ท่าทางนี้ไม่ได้เป็นเพียง การแสดงความเคารพเท่านั้น แต่ยังแฝงไปด้วยความหมายลึกซึ้ง เช่น ความบริสุทธิ์ใจ การประนมมือไว้ที่อก แสดงถึงการพูดจากใจ ความเคารพผู้อื่น แสดงความนอบน้อมและให้เกียรติผู้ฟัง ความปรารถนาดี การกล่าวคำ “สวัสดี” พร้อมกับการไหว้ เป็นการส่งต่อความหวังดีไปยังผู้อื่น นอกจากนี้ การไหว้ยังแบ่งระดับ ตามสถานะของผู้พูดและผู้ฟัง เช่น ไหว้แบบสูงสุด สำหรับการแสดงความเคารพต่อพระสงฆ์ ไหว้แบบกลาง สำหรับผู้ใหญ่ และผู้มีตำแหน่งสูงกว่า ไหว้แบบต่ำ สำหรับเพื่อนร่วมงานหรือเพื่อน “สวัสดี” ในยุคดิจิทัล แม้ในยุคปัจจุบัน ที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญ ในชีวิตประจำวัน คนไทยยังคงใช้คำว่า “สวัสดี” ในการสื่อสาร ผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล เช่น - ส่งข้อความทักทาย ในแอปพลิเคชันแชต - ใช้คำว่า “สวัสดีค่ะ/ครับ” เป็นคำเปิดหัวข้อในอีเมล - ใช้คำว่า “สวัสดี” ในโพสต์ หรือแคปชันบนโซเชียลมีเดีย การใช้งานคำนี้ในยุคดิจิทัล ช่วยสะท้อนถึงการอนุรักษ์วัฒนธรรมไทย ในโลกออนไลน์ และยังสร้างความประทับใจ แก่ชาวต่างชาติที่พบเห็น “สวัสดี” คำทักทายที่ไม่เคยล้าสมัย การเดินทางของคำว่า “สวัสดี” ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2486 จนถึงปัจจุบัน เป็นเครื่องยืนยันถึงความงดงาม ของภาษาไทย และวัฒนธรรมอันลึกซึ้ง คำนี้ไม่ได้เป็นเพียงคำพูด ที่ใช้ในการทักทาย หรืออำลาเท่านั้น แต่ยังเป็นการสื่อสาร ถึงความปรารถนาดี ความเคารพ และความจริงใจ ที่คนไทยมีต่อกัน “สวัสดี” จึงไม่ใช่เพียงคำพูดธรรมดา แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ ของความงดงามทางวัฒนธรรม ที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ และส่งต่อให้คนรุ่นหลัง ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 221015 ม.ค. 2568 #สวัสดี #ภาษาไทย #วัฒนธรรมไทย #คำทักทายไทย #คำทักทาย #วันสวัสดี #รากศัพท์สันสกฤต #ประวัติศาสตร์ไทย #ความงดงามของไทย #มรดกทางวัฒนธรรม ✨ 😊
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 559 มุมมอง 0 รีวิว
  • เนื้อเพลง "ด้วยรักตลอดไป" แปลไทยโดย "แดนเจอร์" (ชื่อเดิมของเพลงนี้คือ Love Eternally เพื่อพ่อตลอดไป ประพันธ์โดย Paul Ewing
    เนื้อเพลง "ด้วยรักตลอดไป"
    แปลไทยโดย "แดนเจอร์"
    พ่อเดินท้าว ท่องทั่วไปทั่วทั้งผืนแผ่นดินไทย
    พ่อสัมผัสได้ถึง ทุกๆมือและหัวใจของประชาชน
    พ่อมองเห็นถึง การวางแผนที่ ที่ยิ่งใหญ่
    พวกเราให้ท่าน(พ่อหลวง)ทั้งหมดใจ(เท่าที่มี)
    ซึ่งท่านทำให้พวกเราสามารถลุกขึ้นยืนหยัดได้(นั่นเอง)
    พ่อให้ฝนหลวง จากที่ๆไม่เคยมีฝนตกเลย
    พ่อมอบกำลังใจให้กับพวกเรา ในตอนที่พวกเราร่ำร้องไห้กับความยากจนเข็นใจ
    เพราะท่าน(พ่อหลวง)มีศรัทธาในพวกเรา จึงทำให้พวกเรามีความพยายาม(อย่างยิ่งยวด)
    จนถึง(ใน)ที่สุดแล้ว จนทำให้ประเทศชาติไทยมีความเจริญรุ่งเรือง
    จากตัวเลือกนับเป็นพันๆคน แต่พวกเรากลับเลือกท่านแค่เพียงแค่คนเดียว
    จนเป็นพันๆล้านเสียง จึงบังเกิดเป็นเพียงหนึ่งเดียว(ท่านพ่อหลวง)
    สามัคคีเป็นหนึ่งเดียว
    ซึ่งทั้งหมดนั้นเป็นเอกภาพ
    นับจากนี้ไปพวกเราจะให้ท่าน(พ่อหลวง)
    ด้วยรักตลอดไป
    ในทุกๆดวงใจ ในทุกๆบ้าน ในทุกๆที่
    ท่าน(พ่อหลวง)คือแสงสว่างแห่งความหวัง
    ท่าน(พ่อหลวง)คือที่คุ้มกันภัย(ของพวกเรา)
    และเมื่อเหล่าพายุฝนได้จางหายไป
    ท่านเป็นได้ดั่งแรงบันดาลใจของพวกเรา
    ดังนั้นพวกเราจึงได้ถือนำพาเอาไปด้วย
    เพราะท่านคือพ่อ(หลวง)
    เพราะท่านคือจิตวิญญาณ(ที่ศักดิ์สิทธิ์)
    ท่านเป็นดั่งศูนย์รวมจิตใจของประเทศไทยนี้
    นับต่อจากนี้ไปพวกเราจะให้ท่าน(พ่อหลวง)
    ด้วยรัก(และเคารพยิ่ง)ตลอดไป(ชั่วนิดนิรันดร์)
    ท่านพ่อหลวง(ในหลวงรัชกาลที่ ๙)ท่านเป็นพระมหากษัตริย์(ของพระมหากษัตริย์)
    ท่าน(พ่อหลวง)เป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์(และจะยังคงเป็นตลอดไป)ท่าน(พ่อหลวง)คือพระมหาโพธิสัตว์
    เนื้อเพลง "ด้วยรักตลอดไป" แปลไทยโดย "แดนเจอร์" (ชื่อเดิมของเพลงนี้คือ Love Eternally เพื่อพ่อตลอดไป ประพันธ์โดย Paul Ewing เนื้อเพลง "ด้วยรักตลอดไป" แปลไทยโดย "แดนเจอร์" พ่อเดินท้าว ท่องทั่วไปทั่วทั้งผืนแผ่นดินไทย พ่อสัมผัสได้ถึง ทุกๆมือและหัวใจของประชาชน พ่อมองเห็นถึง การวางแผนที่ ที่ยิ่งใหญ่ พวกเราให้ท่าน(พ่อหลวง)ทั้งหมดใจ(เท่าที่มี) ซึ่งท่านทำให้พวกเราสามารถลุกขึ้นยืนหยัดได้(นั่นเอง) พ่อให้ฝนหลวง จากที่ๆไม่เคยมีฝนตกเลย พ่อมอบกำลังใจให้กับพวกเรา ในตอนที่พวกเราร่ำร้องไห้กับความยากจนเข็นใจ เพราะท่าน(พ่อหลวง)มีศรัทธาในพวกเรา จึงทำให้พวกเรามีความพยายาม(อย่างยิ่งยวด) จนถึง(ใน)ที่สุดแล้ว จนทำให้ประเทศชาติไทยมีความเจริญรุ่งเรือง จากตัวเลือกนับเป็นพันๆคน แต่พวกเรากลับเลือกท่านแค่เพียงแค่คนเดียว จนเป็นพันๆล้านเสียง จึงบังเกิดเป็นเพียงหนึ่งเดียว(ท่านพ่อหลวง) สามัคคีเป็นหนึ่งเดียว ซึ่งทั้งหมดนั้นเป็นเอกภาพ นับจากนี้ไปพวกเราจะให้ท่าน(พ่อหลวง) ด้วยรักตลอดไป ในทุกๆดวงใจ ในทุกๆบ้าน ในทุกๆที่ ท่าน(พ่อหลวง)คือแสงสว่างแห่งความหวัง ท่าน(พ่อหลวง)คือที่คุ้มกันภัย(ของพวกเรา) และเมื่อเหล่าพายุฝนได้จางหายไป ท่านเป็นได้ดั่งแรงบันดาลใจของพวกเรา ดังนั้นพวกเราจึงได้ถือนำพาเอาไปด้วย เพราะท่านคือพ่อ(หลวง) เพราะท่านคือจิตวิญญาณ(ที่ศักดิ์สิทธิ์) ท่านเป็นดั่งศูนย์รวมจิตใจของประเทศไทยนี้ นับต่อจากนี้ไปพวกเราจะให้ท่าน(พ่อหลวง) ด้วยรัก(และเคารพยิ่ง)ตลอดไป(ชั่วนิดนิรันดร์) ท่านพ่อหลวง(ในหลวงรัชกาลที่ ๙)ท่านเป็นพระมหากษัตริย์(ของพระมหากษัตริย์) ท่าน(พ่อหลวง)เป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์(และจะยังคงเป็นตลอดไป)ท่าน(พ่อหลวง)คือพระมหาโพธิสัตว์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 193 มุมมอง 0 รีวิว
  • จากความหวังของฉัน สู่แรงบันดาลใจให้ผู้อื่น
    สวัสดีทุกคน ฉันมีเรื่องมาระบายความในใจ คนเราทุกคนล้วนต้องต่อสู้ ต่อสู้กับสิ่งต่างๆมามากมาย ฉันต่อสู้มานานแล้ว โดยเฉพาะกับมารในตัวเอง และบ่อยครั้งที่มารภายในตัวเองนั้นมีชัยเหนือกว่า และมันก็ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันมีอยู่นั้นแตกสลายไป บ้างก็เสียหาย บ้างก็ตาย แต่ไม่ว่าจะมีสิ่งใดที่หายตายจากไป ฉันก็ยังมีชีวิตอยู่ ยังมีตัวตนอยู่ สิ่งที่ฉันปรารถนาสูงสุดในชีวิตนี้นั้นก็คือ การหลุดพ้น หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดกับวงจรบ้าบอที่มันเกิดตายไม่รู้จักจบจักสิ้น หลุดพ้นจากทุกสิ่งที่มันทำให้ฉันต้องเจ็บปวดทนทุกข์ทรมานอยู่ตลอดเวลา แต่มันมีสิ่งหนึ่งที่ฉันยังต้องทำอยู่ก่อนที่จะตาย นั่นคือการช่วยเหลือคนที่เค้าเป็นอย่างฉัน เจ็บปวดอย่างฉัน แต่ดูๆแล้วคงไม่มีหรอกมั้ง คนอย่างฉัน ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะว่าฉันนั้นมันเป็นตัวประหลาด เป็นตัวแปลกแยก แตกต่างจากคนอื่น แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะบางครั้งคนเราก็มีช่วงเวลาที่ท้อแท้สิ้นหวังหมดกำลังใจในชีวิตนี้ ไม่รู้จะแก้ไขปัญหาต่างๆที่ตนเองนั้นต้องเผชิญพบเจอได้อย่างไรได้ บางครั้งถึงกับคิดสั้น คิดที่จะฆ่าตัวตายไปให้มันพ้นๆจากโลกใบนี้ที่มันแสนจะทารุณก็ตามที ฉันเข้าใจในตัวคุณดี เพราะว่าฉันก็มีความคิดแบบนี้เหมือนกันกับคุณ และก็มีหลายครั้งมากๆด้วย แต่การฆ่าตัวตายนั้นมันไม่ใช่ทางออกที่ดูดีนักสักเท่าไหร่ ถึงแม้ว่ามันจะทำให้คุณหลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานในโลกนี้ไปก็ตามที แต่ก็ใช่ว่าในโลกหน้าชาติภพหน้าต่อไปของคุณนั้นจะหลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานต่างๆเหล่านั้นได้อีก มันไม่ใช่ทางออกที่ดีและถูกต้องตรงจุดต้นเหตุสาเหตูที่แท้จริงของคุณที่คุณมีอยู่ได้ แต่อย่างน้อยฉันก็ยังยกย่องพวกคุณที่ได้ฆ่าตัวตายสำเร็จทุกๆท่านมากมายอย่างยิ่งยวด เพราะอย่างน้อยคุณก็ไม่ได้ไปทำร้ายใครไม่ได้ไปฆ่าใครเค้า และก็ยังมีความกล้าหาญเป็นอย่างยิ่งอีกด้วยที่คุณทำได้สำเร็จ แต่มันไม่ดี ในเมื่อไม่มีใครรักเราเลยสักคน อย่างน้อยๆเราก็ควรที่จะรู้จักรักตัวเราเอง ช่างหัวคนที่มันไม่รักเราไม่เข้าใจเรา พวกนั้นมันก็แค่ไอ้อีพวกผู้คนเห็นแก่ตัวเลวระยำกลุ่มหนึ่งสังคมหนึ่งในหมู่คนมากมาย คุณไม่ต้องไปสนใจใส่ใจพวกมัน ไม่ต้องไปเอาใจเราไปใส่ใจสนใจความรู้สึกของพวกมัน มันไม่เป็นอย่างเรามันไม่เคยเจ็บปวดอย่างเรา มันย่อมไม่รู้ว่ามันรู้สึกอย่างไร ทนทุกข์ทรมานมากมายแค่ไหนเพียงไร คนเราในทุกวันนี้มันขาดศีลขาดธรรม ขาดความดีงาม ขาดความจริงใจ และก็ขาดจิตใจจิตวิญญาณกันทั้งนั้น ทุกวันนี้พวกมันก็เหมือนกับซากศพซอมบี้เดินได้เข้าไปกันทุกวันๆ ผู้คนมีมากมาย แต่คนดีไม่มีเลย แทบจะหาไม่ได้แล้วในโลกอันเสื่อมทรามโสมมใบนี้ เป็นพันธุ์หายากที่ใกล้จะสูญพันธุ์เข้าไปทุกทีๆ
    ความหวังและกำลังใจเป็นสิ่งที่มีค่ามากมายยิ่งนัก มากมายยิ่งกว่าชีวิตเสียอีก นั่นก็เพราะว่าเรามีความหวังอยู่ เราถึงยังปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปในวันข้างหน้า แม้ว่าความหวังนี้นั้นมันเหมือนว่ามันจะมีอยู่ริบหรี่ก็ตามที แต่มันก็เป็นความหวัง และผู้ที่ทำลายความหวังของผู้อื่นนั้น ถือว่าเป็นคนที่ฆ่าเค้าทางอ้อมเลยก็ว่าได้ วิธีที่จะทำให้คนเราได้มีความหวังได้นั้นมีอยู่หลายวิธีด้วยกัน เช่น การให้กำลังใจให้กับคนที่ท้อแท้สิ้นหวังในเวลาที่เค้าต้องการกำลังใจมากที่สุด การให้ทานแก่สรรพสัตว์น้อยใหญ่ที่เราได้ไปพบเห็นพบเจอในที่ต่างๆ โดยเฉพาะเวลาที่เค้าหิวหรือต้องการสิ่งเล็กๆน้อยๆจากใครสักคนมากที่สุด เช่น การให้อาหาร การให้ยารักษาโรค การให้เสื้อผ้าอุ่นๆสักตัวสักผืนเพื่อให้เค้าได้หายคลายจากอาการหนาวร้อนต่างๆ การให้ตังค์กับคนขอทานที่เค้าต้องการนำเงินนั้นไปซื้อของที่เค้าต้องการที่สุดในชีวิตในขณะนั้นมากที่สุด และอื่นๆอีกมากมายหลากหลายรูปแบบ การชื่นชมยินดีกับเค้าในเรื่องที่เค้าทำสำเร็จแม้ว่าเรื่องนั้นๆที่เค้าทำมันจะดูง่ายๆสำหรับเราก็ตามที แต่โดยส่วนรวมแล้วมันก็คือการแบ่งปันน้ำใจให้กับผู้อื่น การไม่ไปซ้ำเติมผู้อื่นเค้าที่เค้าต้องประสบพบเจอกับปัญหาต่างๆในชีวิต ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งที่เราสามารถทำให้กันและกันได้นั่นเอง และก็ยังมีวิธีอื่นๆอีกมากมายหลากหลายวิธีซึ่งแล้วแต่ทุกท่านจะสามารถคิดและให้กันได้
    สรุปโดยรวมแล้วสิ่งที่ฉันอยากจะบอกกล่าวกับคุณก็คือ จงอย่าละทิ้งซึ่งความหวังความฝันของตัวเอง จงรู้จักรักตัวเอง อย่าได้ไปแคร์หรือใส่ใจในความรู้สึกของผู้อื่นหรือผู้คนในสังคมให้มันมากมายนัก เพราะไม่มีใครรู้จักเรารักเราเท่ากับตัวของเราเองหรอกนะ อย่าได้ไปหลงใหลไปตามสังคมหรือผู้อื่นที่ไหลไปตามกระแสต่างๆให้มันมากมายนัก จงเป็นตัวของตัวเองอย่างดีที่สุดนั่นล่ะดีแล้ว และท้ายที่สุดนี้ฉันก็อยากจะบอกกับคุณว่าความดีเท่านั้นที่จะเป็นเสมือนที่พึ่งสุดท้ายของเรา จงสั่งสมความดีไว้ให้มากๆ เพราะมันเป็นเพียงสิ่งเดียวที่สามารถทำให้ชีวิตของคุณนั้นดำเนินไปในทางที่ดีขึ้นกว่าเดิมอย่างแน่นอน ความดีที่เรามีอยู่นั้นจะชักนำพาสิ่งที่ดีๆในชีวิตของเรานั้นดำเนินไปในแนวทางที่เราต้องการปรารถนาอย่างแน่นอน ก็ค่อยๆทำไปทีละนิดทีละหน่อยทีละน้อย สั่งสมมันไว้ให้มากๆเข้าไว้ แล้วสักวันมันต้องมีวันของเรา วันที่เรามีความสุขที่สุดในชีวิตนี้ของเรานั่นเอง ซึ่งในตอนแรกๆมันอาจจะยากสักหน่อยหนึ่ง แต่พอทำไปมากๆเข้าแล้วมันก็จะชินไปเอง และสบายแถมทำได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมอย่างแน่นอน ก็ค่อยๆพยายามทำไปเนาะ สักวันมันคงมีวันของเรา สักวันหนึ่งอย่างแน่นอน ฉันขอให้คุณจงประสบความสำเร็จในชีวิตและโชคดีตลอดไปนะ โชคดีล่ะนะ
    Hi’Everyone.I’m Danger.I want to say everyone to have faith.Faith to important for everyone.Because Have faith,Still have life too.You must to abandon the faith of your.Because,It will do you to die from humanity.And,It will do you to stronger than past.Because we have present,We have future too. Then you have future.Everything will come to you.Good luck to you.From me your best friend.
    จากความหวังของฉัน สู่แรงบันดาลใจให้ผู้อื่น สวัสดีทุกคน ฉันมีเรื่องมาระบายความในใจ คนเราทุกคนล้วนต้องต่อสู้ ต่อสู้กับสิ่งต่างๆมามากมาย ฉันต่อสู้มานานแล้ว โดยเฉพาะกับมารในตัวเอง และบ่อยครั้งที่มารภายในตัวเองนั้นมีชัยเหนือกว่า และมันก็ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันมีอยู่นั้นแตกสลายไป บ้างก็เสียหาย บ้างก็ตาย แต่ไม่ว่าจะมีสิ่งใดที่หายตายจากไป ฉันก็ยังมีชีวิตอยู่ ยังมีตัวตนอยู่ สิ่งที่ฉันปรารถนาสูงสุดในชีวิตนี้นั้นก็คือ การหลุดพ้น หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดกับวงจรบ้าบอที่มันเกิดตายไม่รู้จักจบจักสิ้น หลุดพ้นจากทุกสิ่งที่มันทำให้ฉันต้องเจ็บปวดทนทุกข์ทรมานอยู่ตลอดเวลา แต่มันมีสิ่งหนึ่งที่ฉันยังต้องทำอยู่ก่อนที่จะตาย นั่นคือการช่วยเหลือคนที่เค้าเป็นอย่างฉัน เจ็บปวดอย่างฉัน แต่ดูๆแล้วคงไม่มีหรอกมั้ง คนอย่างฉัน ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะว่าฉันนั้นมันเป็นตัวประหลาด เป็นตัวแปลกแยก แตกต่างจากคนอื่น แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะบางครั้งคนเราก็มีช่วงเวลาที่ท้อแท้สิ้นหวังหมดกำลังใจในชีวิตนี้ ไม่รู้จะแก้ไขปัญหาต่างๆที่ตนเองนั้นต้องเผชิญพบเจอได้อย่างไรได้ บางครั้งถึงกับคิดสั้น คิดที่จะฆ่าตัวตายไปให้มันพ้นๆจากโลกใบนี้ที่มันแสนจะทารุณก็ตามที ฉันเข้าใจในตัวคุณดี เพราะว่าฉันก็มีความคิดแบบนี้เหมือนกันกับคุณ และก็มีหลายครั้งมากๆด้วย แต่การฆ่าตัวตายนั้นมันไม่ใช่ทางออกที่ดูดีนักสักเท่าไหร่ ถึงแม้ว่ามันจะทำให้คุณหลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานในโลกนี้ไปก็ตามที แต่ก็ใช่ว่าในโลกหน้าชาติภพหน้าต่อไปของคุณนั้นจะหลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานต่างๆเหล่านั้นได้อีก มันไม่ใช่ทางออกที่ดีและถูกต้องตรงจุดต้นเหตุสาเหตูที่แท้จริงของคุณที่คุณมีอยู่ได้ แต่อย่างน้อยฉันก็ยังยกย่องพวกคุณที่ได้ฆ่าตัวตายสำเร็จทุกๆท่านมากมายอย่างยิ่งยวด เพราะอย่างน้อยคุณก็ไม่ได้ไปทำร้ายใครไม่ได้ไปฆ่าใครเค้า และก็ยังมีความกล้าหาญเป็นอย่างยิ่งอีกด้วยที่คุณทำได้สำเร็จ แต่มันไม่ดี ในเมื่อไม่มีใครรักเราเลยสักคน อย่างน้อยๆเราก็ควรที่จะรู้จักรักตัวเราเอง ช่างหัวคนที่มันไม่รักเราไม่เข้าใจเรา พวกนั้นมันก็แค่ไอ้อีพวกผู้คนเห็นแก่ตัวเลวระยำกลุ่มหนึ่งสังคมหนึ่งในหมู่คนมากมาย คุณไม่ต้องไปสนใจใส่ใจพวกมัน ไม่ต้องไปเอาใจเราไปใส่ใจสนใจความรู้สึกของพวกมัน มันไม่เป็นอย่างเรามันไม่เคยเจ็บปวดอย่างเรา มันย่อมไม่รู้ว่ามันรู้สึกอย่างไร ทนทุกข์ทรมานมากมายแค่ไหนเพียงไร คนเราในทุกวันนี้มันขาดศีลขาดธรรม ขาดความดีงาม ขาดความจริงใจ และก็ขาดจิตใจจิตวิญญาณกันทั้งนั้น ทุกวันนี้พวกมันก็เหมือนกับซากศพซอมบี้เดินได้เข้าไปกันทุกวันๆ ผู้คนมีมากมาย แต่คนดีไม่มีเลย แทบจะหาไม่ได้แล้วในโลกอันเสื่อมทรามโสมมใบนี้ เป็นพันธุ์หายากที่ใกล้จะสูญพันธุ์เข้าไปทุกทีๆ ความหวังและกำลังใจเป็นสิ่งที่มีค่ามากมายยิ่งนัก มากมายยิ่งกว่าชีวิตเสียอีก นั่นก็เพราะว่าเรามีความหวังอยู่ เราถึงยังปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปในวันข้างหน้า แม้ว่าความหวังนี้นั้นมันเหมือนว่ามันจะมีอยู่ริบหรี่ก็ตามที แต่มันก็เป็นความหวัง และผู้ที่ทำลายความหวังของผู้อื่นนั้น ถือว่าเป็นคนที่ฆ่าเค้าทางอ้อมเลยก็ว่าได้ วิธีที่จะทำให้คนเราได้มีความหวังได้นั้นมีอยู่หลายวิธีด้วยกัน เช่น การให้กำลังใจให้กับคนที่ท้อแท้สิ้นหวังในเวลาที่เค้าต้องการกำลังใจมากที่สุด การให้ทานแก่สรรพสัตว์น้อยใหญ่ที่เราได้ไปพบเห็นพบเจอในที่ต่างๆ โดยเฉพาะเวลาที่เค้าหิวหรือต้องการสิ่งเล็กๆน้อยๆจากใครสักคนมากที่สุด เช่น การให้อาหาร การให้ยารักษาโรค การให้เสื้อผ้าอุ่นๆสักตัวสักผืนเพื่อให้เค้าได้หายคลายจากอาการหนาวร้อนต่างๆ การให้ตังค์กับคนขอทานที่เค้าต้องการนำเงินนั้นไปซื้อของที่เค้าต้องการที่สุดในชีวิตในขณะนั้นมากที่สุด และอื่นๆอีกมากมายหลากหลายรูปแบบ การชื่นชมยินดีกับเค้าในเรื่องที่เค้าทำสำเร็จแม้ว่าเรื่องนั้นๆที่เค้าทำมันจะดูง่ายๆสำหรับเราก็ตามที แต่โดยส่วนรวมแล้วมันก็คือการแบ่งปันน้ำใจให้กับผู้อื่น การไม่ไปซ้ำเติมผู้อื่นเค้าที่เค้าต้องประสบพบเจอกับปัญหาต่างๆในชีวิต ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งที่เราสามารถทำให้กันและกันได้นั่นเอง และก็ยังมีวิธีอื่นๆอีกมากมายหลากหลายวิธีซึ่งแล้วแต่ทุกท่านจะสามารถคิดและให้กันได้ สรุปโดยรวมแล้วสิ่งที่ฉันอยากจะบอกกล่าวกับคุณก็คือ จงอย่าละทิ้งซึ่งความหวังความฝันของตัวเอง จงรู้จักรักตัวเอง อย่าได้ไปแคร์หรือใส่ใจในความรู้สึกของผู้อื่นหรือผู้คนในสังคมให้มันมากมายนัก เพราะไม่มีใครรู้จักเรารักเราเท่ากับตัวของเราเองหรอกนะ อย่าได้ไปหลงใหลไปตามสังคมหรือผู้อื่นที่ไหลไปตามกระแสต่างๆให้มันมากมายนัก จงเป็นตัวของตัวเองอย่างดีที่สุดนั่นล่ะดีแล้ว และท้ายที่สุดนี้ฉันก็อยากจะบอกกับคุณว่าความดีเท่านั้นที่จะเป็นเสมือนที่พึ่งสุดท้ายของเรา จงสั่งสมความดีไว้ให้มากๆ เพราะมันเป็นเพียงสิ่งเดียวที่สามารถทำให้ชีวิตของคุณนั้นดำเนินไปในทางที่ดีขึ้นกว่าเดิมอย่างแน่นอน ความดีที่เรามีอยู่นั้นจะชักนำพาสิ่งที่ดีๆในชีวิตของเรานั้นดำเนินไปในแนวทางที่เราต้องการปรารถนาอย่างแน่นอน ก็ค่อยๆทำไปทีละนิดทีละหน่อยทีละน้อย สั่งสมมันไว้ให้มากๆเข้าไว้ แล้วสักวันมันต้องมีวันของเรา วันที่เรามีความสุขที่สุดในชีวิตนี้ของเรานั่นเอง ซึ่งในตอนแรกๆมันอาจจะยากสักหน่อยหนึ่ง แต่พอทำไปมากๆเข้าแล้วมันก็จะชินไปเอง และสบายแถมทำได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมอย่างแน่นอน ก็ค่อยๆพยายามทำไปเนาะ สักวันมันคงมีวันของเรา สักวันหนึ่งอย่างแน่นอน ฉันขอให้คุณจงประสบความสำเร็จในชีวิตและโชคดีตลอดไปนะ โชคดีล่ะนะ Hi’Everyone.I’m Danger.I want to say everyone to have faith.Faith to important for everyone.Because Have faith,Still have life too.You must to abandon the faith of your.Because,It will do you to die from humanity.And,It will do you to stronger than past.Because we have present,We have future too. Then you have future.Everything will come to you.Good luck to you.From me your best friend.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 281 มุมมอง 0 รีวิว
  • จากความฝันสู่ความจริง
    ความฝันทำให้เกิดความหวัง ความหวังทำให้เกิดแรงบันดาลใจ แรงบันดาลใจทำให้เกิดความมุ่งมั่น ความมุ่งมั่นทำให้เกิดความพยายาม ความพยายามทำให้เกิดความศรัทธา ความศรัทธาทำให้เกิดปาฎิหาริย์ ปาฎิหาริย์ทำให้เกิดขึ้นจริง
    จากความฝันสู่ความจริง ความฝันทำให้เกิดความหวัง ความหวังทำให้เกิดแรงบันดาลใจ แรงบันดาลใจทำให้เกิดความมุ่งมั่น ความมุ่งมั่นทำให้เกิดความพยายาม ความพยายามทำให้เกิดความศรัทธา ความศรัทธาทำให้เกิดปาฎิหาริย์ ปาฎิหาริย์ทำให้เกิดขึ้นจริง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 79 มุมมอง 0 รีวิว
  • 232 ปี กิโยตินสำเร็จโทษ “พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 แห่งฝรั่งเศส” ผิดข้อหาหนัก สมคบประทุษร้าย ต่อเสรีภาพปวงชน และความมั่นคงแห่งรัฐ

    เมื่อวันที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2336 หรือ 232 ปี ที่ผ่านมา พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 แห่งฝรั่งเศส ถูกสำเร็จโทษด้วยเครื่องกิโยติน ณ ปลัสเดอลาเรวอลูซียง (Place de la Révolution) ใจกลางกรุงปารีส พระองค์ถูกตัดสินโทษ ในข้อหาสมคบคิด ต่อต้านเสรีภาพของประชาชน และบ่อนทำลายความมั่นคงของรัฐ เหตุการณ์นี้เป็นจุดพลิกผันสำคัญ ของประวัติศาสตร์ฝรั่งเศส ซึ่งสะท้อนถึงความวุ่นวาย ทางการเมืองและสังคม ในช่วงการปฏิวัติฝรั่งเศส ที่ยิ่งใหญ่

    พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 เสด็จขึ้นครองราชย์ในปี พ.ศ. 2317 ต่อจากพระอัยกา พระเจ้าหลุยส์ที่ 15 ในช่วงเวลานั้น ฝรั่งเศสกำลังเผชิญกับ ปัญหาทางเศรษฐกิจ และความไม่เท่าเทียมทางสังคม ระบบศักดินาที่ให้สิทธิพิเศษ แก่ชนชั้นสูงและศาสนจักร ทำให้ชนชั้นกลาง และประชาชนทั่วไป ตกอยู่ในภาวะกดดันอย่างหนัก ในขณะเดียวกัน หนี้สินมหาศาล ที่เกิดจากสงคราม และการใช้จ่ายฟุ่มเฟือยของราชวงศ์ ยิ่งซ้ำเติมความยากลำบาก ของประชาชน

    พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 กับปัญหาของประเทศ
    พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 มีความตั้งใจที่จะแก้ไข ปัญหาทางเศรษฐกิจของประเทศ ทรงสนับสนุนการปฏิรูปบางอย่าง เช่น การยกเลิกภาษีบางประเภท สำหรับชนชั้นล่าง และการลดอำนาจของศาสนจักร แต่แผนการปฏิรูปดังกล่าว กลับถูกคัดค้านโดยชนชั้นสูง และชนชั้นอภิสิทธิ์ชน ซึ่งมีอิทธิพล ในสภาฐานันดร (Estates-General)

    เมื่อการปฏิรูปล้มเหลว ประชาชนเริ่มรวมตัวกัน และเรียกร้องการเปลี่ยนแปลง ที่รุนแรงมากขึ้น ในปี พ.ศ. 2332 เหตุการณ์บุกยึดคุกบาสตีย์ (Storming of the Bastille) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ ของอำนาจสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ได้ปะทุขึ้น และจุดชนวนให้เกิดการปฏิวัติทั่วประเทศ

    การสูญเสียอำนาจของราชวงศ์
    หลังจากการปฏิวัติเริ่มต้น พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และพระราชินี มารี อ็องตัวแน็ต (Marie Antoinette) ถูกลดทอนอำนาจลงอย่างต่อเนื่อง ในปี พ.ศ. 2334 ฝรั่งเศสประกาศใช้ รัฐธรรมนูญฉบับแรก ที่จำกัดอำนาจของกษัตริย์ และเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครอง เป็นราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ตาม ความไม่สงบในประเทศ ยังคงดำเนินต่อไป และมีการต่อต้านจากฝ่ายกษัตริย์นิยม และชาติยุโรปอื่น ๆ ที่สนับสนุนราชวงศ์

    ความพยายามหลบหนีที่ล้มเหลว
    ในปี พ.ศ. 2334 พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และพระบรมวงศานุวงศ์ ทรงพยายามหลบหนีออกจากกรุงปารีส เพื่อไปรวมตัวกับ กองกำลังฝ่ายกษัตริย์นิยม ใกล้ชายแดนออสเตรีย แต่แผนการดังกล่าวล้มเหลว เมื่อพระองค์ถูกจับกุมที่เมืองวาแรน (Varennes) และถูกนำกลับมายังกรุงปารีส เหตุการณ์นี้ ยิ่งตอกย้ำความไม่ไว้วางใจของประชาชน ที่มีต่อพระองค์ และทำให้กระแสต่อต้านราชวงศ์ เพิ่มมากขึ้น

    คำตัดสินประหารชีวิต
    ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2335 สมัชชาแห่งชาติฝรั่งเศส (National Assembly) ประกาศยกเลิกระบอบกษัตริย์ และสถาปนาฝรั่งเศสเป็นสาธารณรัฐ พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ถูกจับกุมและตั้งข้อหา กบฏต่อชาติ และสมคบคิดกับชาวต่างชาติ โดยหลักฐานสำคัญคือ เอกสารลับใน “ตู้เหล็ก” (Armoire de fer) ซึ่งแสดงให้เห็นว่า พระองค์มีการติดต่อกับชาติยุโรปอื่น ๆ เพื่อขอความช่วยเหลือ ในการต่อต้านการปฏิวัติ

    ลงคะแนนเสียงตัดสินโทษ
    ในวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2336 สภากงว็องซียง (Convention) ได้ลงคะแนนเสียงตัดสินโทษ พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 สมาชิกสภาทั้งหมด 721 คน มีมติเป็นเอกฉันท์ว่า พระองค์มีความผิดจริง ในการลงคะแนนครั้งต่อมา สมาชิกส่วนใหญ่ เห็นชอบให้สำเร็จโทษ ด้วยการประหารชีวิต

    สำเร็จโทษด้วยกิโยติน
    เช้าของวันที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2336 พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ถูกนำพระองค์ไปยัง ปลัสเดอลาเรวอลูซียง พระองค์ทรงแสดงท่าทีสง่างาม และสงบนิ่ง พร้อมกล่าวพระดำรัสสั้น ๆ แสดงความบริสุทธิ์ และภาวนาให้ฝรั่งเศส พบกับสันติภาพ

    ผู้สำเร็จโทษ ชาลส์ อ็องรี ซ็องซง (Charles-Henri Sanson) รายงานว่า พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ทรงยอมรับชะตากรรมของพระองค์ อย่างสง่างาม ท่ามกลางฝูงชน ที่มาร่วมชมเหตุการณ์นับหมื่นคน บางคนได้นำผ้าเช็ดหน้าของตน ไปรองรับพระโลหิต ซึ่งตกลงบนพื้น ซึ่งเป็นการกระทำที่ถูกกล่าวขานถึง ในหน้าประวัติศาสตร์

    "กิโยติน" เครื่องมือแห่งการปฏิวัติ
    "กิโยติน" กลายเป็นสัญลักษณ์ ของความเท่าเทียมทางกฎหมาย ในยุคปฏิวัติฝรั่งเศส อุปกรณ์นี้ถูกคิดค้นขึ้น เพื่อใช้สำเร็จโทษ นักโทษทุกชนชั้น อย่างเท่าเทียมกัน โดยมีคุณลักษณะเด่นคือ ความรวดเร็วและ “ปราศจากความเจ็บปวด” ใบมีดน้ำหนักประมาณ 40 กิโลกรัม ถูกแขวนไว้เหนือโครงไม้และปล่อยลงมาอย่างรวดเร็ว เพื่อตัดศีรษะ

    ระหว่างปี พ.ศ. 2336–2337 หรือที่เรียกว่า ยุคแห่งความหวาดกลัว (Reign of Terror) กิโยตินถูกนำมาใช้สำเร็จโทษ บุคคลสำคัญจำนวนมาก รวมถึงพระราชินี มารี อ็องตัวแน็ต และ มักซีมีเลียง รอแบ็สปีแยร์ ผู้นำฝ่ายปฏิวัติ

    มรดกแห่งพระเจ้าหลุยส์ที่ 16
    การสำเร็จโทษพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ไม่เพียงเป็นจุดจบ ของระบอบกษัตริย์ สมบูรณาญาสิทธิราชย์ ในฝรั่งเศส แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นของยุคใหม่ ที่ประชาชนมีสิทธิและเสียงมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ความวุ่นวายที่เกิดขึ้น ในช่วงการปฏิวัติ ได้สร้างคำถามเกี่ยวกับ การใช้ความรุนแรง ในการบรรลุเป้าหมายทางการเมือง นักประวัติศาสตร์ยังคงถกเถียง ถึงบทบาทและความผิดพลาด ของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ว่าพระองค์ทรงเป็นผู้เคราะห์ร้าย จากเหตุการณ์ที่ใหญ่กว่าพระองค์ หรือเป็นผู้นำที่ล้มเหลว ในการรับมือกับปัญหาของประเทศ

    เหตุการณ์สำเร็จโทษ พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ด้วยกิโยติน สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงที่ลึกซึ้ง ของสังคมฝรั่งเศส และเป็นบทเรียนสำคัญ เกี่ยวกับความซับซ้อน ของการเปลี่ยนผ่านทางการเมือง มรดกที่พระองค์ทิ้งไว้ ไม่ใช่เพียงการสิ้นสุดของราชวงศ์ แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจ ให้เกิดการปฏิวัติ และการเปลี่ยนแปลง ในประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก

    คำถามที่พบบ่อย (FAQs)
    1. พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ทรงมีบทบาทอย่างไร ในช่วงการปฏิวัติฝรั่งเศส?
    พระองค์ทรงพยายามรักษาอำนาจ และตำแหน่งของราชวงศ์ แต่การตัดสินใจที่ผิดพลาดหลายครั้งทำให้สูญเสียความไว้วางใจ จากประชาชน

    2. เหตุใดกิโยติน จึงถูกใช้ในยุคปฏิวัติ?
    กิโยตินถูกมองว่า เป็นเครื่องมือที่ยุติธรรมและรวดเร็ว ในการสำเร็จโทษนักโทษทุกชนชั้น อย่างเท่าเทียม

    3. พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ทรงถูกกล่าวหาว่าอะไร?
    ทรงถูกกล่าวหาว่า สมคบคิดกับชาวต่างชาติ และกบฏต่อประชาชนฝรั่งเศส

    4. ใครคือผู้สำเร็จโทษพระเจ้าหลุยส์?
    ชาลส์ อ็องรี ซ็องซง เป็นผู้สำเร็จโทษพระองค์ ด้วยกิโยติน

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 210947 ม.ค. 2568

    #พระเจ้าหลุยส์ที่16 #การปฏิวัติฝรั่งเศส #กิโยติน #ประวัติศาสตร์ฝรั่งเศส #การปลงพระชนม์ #MarieAntoinette #ReignOfTerror #FrenchRevolution
    232 ปี กิโยตินสำเร็จโทษ “พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 แห่งฝรั่งเศส” ผิดข้อหาหนัก สมคบประทุษร้าย ต่อเสรีภาพปวงชน และความมั่นคงแห่งรัฐ เมื่อวันที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2336 หรือ 232 ปี ที่ผ่านมา พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 แห่งฝรั่งเศส ถูกสำเร็จโทษด้วยเครื่องกิโยติน ณ ปลัสเดอลาเรวอลูซียง (Place de la Révolution) ใจกลางกรุงปารีส พระองค์ถูกตัดสินโทษ ในข้อหาสมคบคิด ต่อต้านเสรีภาพของประชาชน และบ่อนทำลายความมั่นคงของรัฐ เหตุการณ์นี้เป็นจุดพลิกผันสำคัญ ของประวัติศาสตร์ฝรั่งเศส ซึ่งสะท้อนถึงความวุ่นวาย ทางการเมืองและสังคม ในช่วงการปฏิวัติฝรั่งเศส ที่ยิ่งใหญ่ พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 เสด็จขึ้นครองราชย์ในปี พ.ศ. 2317 ต่อจากพระอัยกา พระเจ้าหลุยส์ที่ 15 ในช่วงเวลานั้น ฝรั่งเศสกำลังเผชิญกับ ปัญหาทางเศรษฐกิจ และความไม่เท่าเทียมทางสังคม ระบบศักดินาที่ให้สิทธิพิเศษ แก่ชนชั้นสูงและศาสนจักร ทำให้ชนชั้นกลาง และประชาชนทั่วไป ตกอยู่ในภาวะกดดันอย่างหนัก ในขณะเดียวกัน หนี้สินมหาศาล ที่เกิดจากสงคราม และการใช้จ่ายฟุ่มเฟือยของราชวงศ์ ยิ่งซ้ำเติมความยากลำบาก ของประชาชน พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 กับปัญหาของประเทศ พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 มีความตั้งใจที่จะแก้ไข ปัญหาทางเศรษฐกิจของประเทศ ทรงสนับสนุนการปฏิรูปบางอย่าง เช่น การยกเลิกภาษีบางประเภท สำหรับชนชั้นล่าง และการลดอำนาจของศาสนจักร แต่แผนการปฏิรูปดังกล่าว กลับถูกคัดค้านโดยชนชั้นสูง และชนชั้นอภิสิทธิ์ชน ซึ่งมีอิทธิพล ในสภาฐานันดร (Estates-General) เมื่อการปฏิรูปล้มเหลว ประชาชนเริ่มรวมตัวกัน และเรียกร้องการเปลี่ยนแปลง ที่รุนแรงมากขึ้น ในปี พ.ศ. 2332 เหตุการณ์บุกยึดคุกบาสตีย์ (Storming of the Bastille) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ ของอำนาจสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ได้ปะทุขึ้น และจุดชนวนให้เกิดการปฏิวัติทั่วประเทศ การสูญเสียอำนาจของราชวงศ์ หลังจากการปฏิวัติเริ่มต้น พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และพระราชินี มารี อ็องตัวแน็ต (Marie Antoinette) ถูกลดทอนอำนาจลงอย่างต่อเนื่อง ในปี พ.ศ. 2334 ฝรั่งเศสประกาศใช้ รัฐธรรมนูญฉบับแรก ที่จำกัดอำนาจของกษัตริย์ และเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครอง เป็นราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ตาม ความไม่สงบในประเทศ ยังคงดำเนินต่อไป และมีการต่อต้านจากฝ่ายกษัตริย์นิยม และชาติยุโรปอื่น ๆ ที่สนับสนุนราชวงศ์ ความพยายามหลบหนีที่ล้มเหลว ในปี พ.ศ. 2334 พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และพระบรมวงศานุวงศ์ ทรงพยายามหลบหนีออกจากกรุงปารีส เพื่อไปรวมตัวกับ กองกำลังฝ่ายกษัตริย์นิยม ใกล้ชายแดนออสเตรีย แต่แผนการดังกล่าวล้มเหลว เมื่อพระองค์ถูกจับกุมที่เมืองวาแรน (Varennes) และถูกนำกลับมายังกรุงปารีส เหตุการณ์นี้ ยิ่งตอกย้ำความไม่ไว้วางใจของประชาชน ที่มีต่อพระองค์ และทำให้กระแสต่อต้านราชวงศ์ เพิ่มมากขึ้น คำตัดสินประหารชีวิต ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2335 สมัชชาแห่งชาติฝรั่งเศส (National Assembly) ประกาศยกเลิกระบอบกษัตริย์ และสถาปนาฝรั่งเศสเป็นสาธารณรัฐ พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ถูกจับกุมและตั้งข้อหา กบฏต่อชาติ และสมคบคิดกับชาวต่างชาติ โดยหลักฐานสำคัญคือ เอกสารลับใน “ตู้เหล็ก” (Armoire de fer) ซึ่งแสดงให้เห็นว่า พระองค์มีการติดต่อกับชาติยุโรปอื่น ๆ เพื่อขอความช่วยเหลือ ในการต่อต้านการปฏิวัติ ลงคะแนนเสียงตัดสินโทษ ในวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2336 สภากงว็องซียง (Convention) ได้ลงคะแนนเสียงตัดสินโทษ พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 สมาชิกสภาทั้งหมด 721 คน มีมติเป็นเอกฉันท์ว่า พระองค์มีความผิดจริง ในการลงคะแนนครั้งต่อมา สมาชิกส่วนใหญ่ เห็นชอบให้สำเร็จโทษ ด้วยการประหารชีวิต สำเร็จโทษด้วยกิโยติน เช้าของวันที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2336 พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ถูกนำพระองค์ไปยัง ปลัสเดอลาเรวอลูซียง พระองค์ทรงแสดงท่าทีสง่างาม และสงบนิ่ง พร้อมกล่าวพระดำรัสสั้น ๆ แสดงความบริสุทธิ์ และภาวนาให้ฝรั่งเศส พบกับสันติภาพ ผู้สำเร็จโทษ ชาลส์ อ็องรี ซ็องซง (Charles-Henri Sanson) รายงานว่า พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ทรงยอมรับชะตากรรมของพระองค์ อย่างสง่างาม ท่ามกลางฝูงชน ที่มาร่วมชมเหตุการณ์นับหมื่นคน บางคนได้นำผ้าเช็ดหน้าของตน ไปรองรับพระโลหิต ซึ่งตกลงบนพื้น ซึ่งเป็นการกระทำที่ถูกกล่าวขานถึง ในหน้าประวัติศาสตร์ "กิโยติน" เครื่องมือแห่งการปฏิวัติ "กิโยติน" กลายเป็นสัญลักษณ์ ของความเท่าเทียมทางกฎหมาย ในยุคปฏิวัติฝรั่งเศส อุปกรณ์นี้ถูกคิดค้นขึ้น เพื่อใช้สำเร็จโทษ นักโทษทุกชนชั้น อย่างเท่าเทียมกัน โดยมีคุณลักษณะเด่นคือ ความรวดเร็วและ “ปราศจากความเจ็บปวด” ใบมีดน้ำหนักประมาณ 40 กิโลกรัม ถูกแขวนไว้เหนือโครงไม้และปล่อยลงมาอย่างรวดเร็ว เพื่อตัดศีรษะ ระหว่างปี พ.ศ. 2336–2337 หรือที่เรียกว่า ยุคแห่งความหวาดกลัว (Reign of Terror) กิโยตินถูกนำมาใช้สำเร็จโทษ บุคคลสำคัญจำนวนมาก รวมถึงพระราชินี มารี อ็องตัวแน็ต และ มักซีมีเลียง รอแบ็สปีแยร์ ผู้นำฝ่ายปฏิวัติ มรดกแห่งพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 การสำเร็จโทษพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ไม่เพียงเป็นจุดจบ ของระบอบกษัตริย์ สมบูรณาญาสิทธิราชย์ ในฝรั่งเศส แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นของยุคใหม่ ที่ประชาชนมีสิทธิและเสียงมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ความวุ่นวายที่เกิดขึ้น ในช่วงการปฏิวัติ ได้สร้างคำถามเกี่ยวกับ การใช้ความรุนแรง ในการบรรลุเป้าหมายทางการเมือง นักประวัติศาสตร์ยังคงถกเถียง ถึงบทบาทและความผิดพลาด ของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ว่าพระองค์ทรงเป็นผู้เคราะห์ร้าย จากเหตุการณ์ที่ใหญ่กว่าพระองค์ หรือเป็นผู้นำที่ล้มเหลว ในการรับมือกับปัญหาของประเทศ เหตุการณ์สำเร็จโทษ พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ด้วยกิโยติน สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงที่ลึกซึ้ง ของสังคมฝรั่งเศส และเป็นบทเรียนสำคัญ เกี่ยวกับความซับซ้อน ของการเปลี่ยนผ่านทางการเมือง มรดกที่พระองค์ทิ้งไว้ ไม่ใช่เพียงการสิ้นสุดของราชวงศ์ แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจ ให้เกิดการปฏิวัติ และการเปลี่ยนแปลง ในประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก คำถามที่พบบ่อย (FAQs) 1. พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ทรงมีบทบาทอย่างไร ในช่วงการปฏิวัติฝรั่งเศส? พระองค์ทรงพยายามรักษาอำนาจ และตำแหน่งของราชวงศ์ แต่การตัดสินใจที่ผิดพลาดหลายครั้งทำให้สูญเสียความไว้วางใจ จากประชาชน 2. เหตุใดกิโยติน จึงถูกใช้ในยุคปฏิวัติ? กิโยตินถูกมองว่า เป็นเครื่องมือที่ยุติธรรมและรวดเร็ว ในการสำเร็จโทษนักโทษทุกชนชั้น อย่างเท่าเทียม 3. พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ทรงถูกกล่าวหาว่าอะไร? ทรงถูกกล่าวหาว่า สมคบคิดกับชาวต่างชาติ และกบฏต่อประชาชนฝรั่งเศส 4. ใครคือผู้สำเร็จโทษพระเจ้าหลุยส์? ชาลส์ อ็องรี ซ็องซง เป็นผู้สำเร็จโทษพระองค์ ด้วยกิโยติน ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 210947 ม.ค. 2568 #พระเจ้าหลุยส์ที่16 #การปฏิวัติฝรั่งเศส #กิโยติน #ประวัติศาสตร์ฝรั่งเศส #การปลงพระชนม์ #MarieAntoinette #ReignOfTerror #FrenchRevolution
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 590 มุมมอง 0 รีวิว
  • กฎทองแห่งความสำเร็จ💰🥇

    —ตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน – รู้ว่าต้องการอะไรในชีวิต

    —วางแผนและลงมือทำทันที – อย่ารอจนทุกอย่างสมบูรณ์แบบ

    —บริหารเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ – จัดลำดับความสำคัญ

    —พัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง – เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ตลอดเวลา

    —ลงมือทำทีละขั้น – แบ่งเป้าหมายใหญ่เป็นเป้าหมายย่อย

    —มีวินัยในตัวเอง – ทำสิ่งสำคัญแม้ในวันที่ไม่อยากทำ

    —คิดบวก – มองทุกปัญหาเป็นโอกาส

    —สร้างนิสัยที่ดี – เช่น การอ่านหนังสือหรือออกกำลังกาย

    —เชื่อมั่นในตัวเอง – อย่าปล่อยให้ความกลัวมาขวางทาง

    —รู้จักเรียนรู้จากความล้มเหลว – ใช้มันเป็นบทเรียน

    —ล้อมรอบตัวเองด้วยคนที่เป็นแรงบันดาลใจ

    —อย่ายอมแพ้ – ความสำเร็จต้องใช้เวลา

    —กล้าออกจาก Comfort Zone

    —ตั้งเป้าหมายให้สูงขึ้นเสมอ – อย่าหยุดที่ความสำเร็จแรก

    —สื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ

    —สร้างเครือข่ายที่ดี – Networking สำคัญมาก

    —ใช้เงินอย่างฉลาด – ลงทุนในสิ่งที่มีค่า

    —รับผิดชอบต่อชีวิตตัวเอง

    —อย่ากลัวการเปลี่ยนแปลง

    —มีความยืดหยุ่น – พร้อมปรับแผนตามสถานการณ์

    —โฟกัสที่สิ่งสำคัญที่สุด

    —เลิกเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น

    —สร้างแรงจูงใจให้ตัวเองทุกวัน

    —มีเป้าหมายที่เป็นไปได้

    —ทำงานหนักและฉลาด – ใช้ทั้งพลังและความคิด

    —จัดการความเครียด – รักษาสมดุลชีวิต

    —มีสุขภาพดี – ออกกำลังกายและกินอาหารที่ดี

    —รู้จักขอบคุณสิ่งที่มี – ฝึกความกตัญญู

    —กล้าตัดสินใจ – แม้จะเสี่ยง

    —สม่ำเสมอ – ความสำเร็จมาจากการทำซ้ำ ๆ

    —มองหาโอกาสใหม่ – อย่ากลัวการเริ่มต้นใหม่

    —อย่ายึดติดกับความสำเร็จเก่า

    —มองหาความรู้เพิ่มเติมเสมอ

    —เข้าใจคุณค่าของเวลา

    —แบ่งปันความสำเร็จ – ช่วยเหลือผู้อื่น

    —ฝึกความอดทน

    —เรียนรู้จากผู้ที่ประสบความสำเร็จ

    —อย่าหยุดพัฒนาเทคโนโลยีที่คุณใช้

    —ทำงานเป็นทีม – รู้จักการทำงานร่วมกับผู้อื่น

    —ตั้งคำถามกับตัวเองบ่อย ๆ – เพื่อพัฒนาต่อไป

    —รู้จักปฏิเสธสิ่งที่ไม่สำคัญ

    —รักษาความน่าเชื่อถือ

    —อย่ากลัวที่จะขอความช่วยเหลือ

    —ลงทุนในตัวเอง – เช่น การศึกษา การพัฒนาทักษะ

    —ฝึกสมาธิและจดจ่อ

    —มุ่งมั่นในเป้าหมายจนกว่าจะสำเร็จ

    —รู้จักการพักผ่อน – ไม่ทำงานจนเกินไป

    —สร้างแรงบันดาลใจให้ตัวเองและคนรอบข้าง

    —ทบทวนความสำเร็จและความผิดพลาด – เพื่อพัฒนา

    —อย่าหยุดฝัน – ทุกสิ่งเริ่มต้นจากความฝัน

    หนังสือที่แนะนำให้อ่าน📖🧠
    กฎทองแห่งความสำเร็จ💰🥇 —ตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน – รู้ว่าต้องการอะไรในชีวิต —วางแผนและลงมือทำทันที – อย่ารอจนทุกอย่างสมบูรณ์แบบ —บริหารเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ – จัดลำดับความสำคัญ —พัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง – เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ตลอดเวลา —ลงมือทำทีละขั้น – แบ่งเป้าหมายใหญ่เป็นเป้าหมายย่อย —มีวินัยในตัวเอง – ทำสิ่งสำคัญแม้ในวันที่ไม่อยากทำ —คิดบวก – มองทุกปัญหาเป็นโอกาส —สร้างนิสัยที่ดี – เช่น การอ่านหนังสือหรือออกกำลังกาย —เชื่อมั่นในตัวเอง – อย่าปล่อยให้ความกลัวมาขวางทาง —รู้จักเรียนรู้จากความล้มเหลว – ใช้มันเป็นบทเรียน —ล้อมรอบตัวเองด้วยคนที่เป็นแรงบันดาลใจ —อย่ายอมแพ้ – ความสำเร็จต้องใช้เวลา —กล้าออกจาก Comfort Zone —ตั้งเป้าหมายให้สูงขึ้นเสมอ – อย่าหยุดที่ความสำเร็จแรก —สื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ —สร้างเครือข่ายที่ดี – Networking สำคัญมาก —ใช้เงินอย่างฉลาด – ลงทุนในสิ่งที่มีค่า —รับผิดชอบต่อชีวิตตัวเอง —อย่ากลัวการเปลี่ยนแปลง —มีความยืดหยุ่น – พร้อมปรับแผนตามสถานการณ์ —โฟกัสที่สิ่งสำคัญที่สุด —เลิกเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น —สร้างแรงจูงใจให้ตัวเองทุกวัน —มีเป้าหมายที่เป็นไปได้ —ทำงานหนักและฉลาด – ใช้ทั้งพลังและความคิด —จัดการความเครียด – รักษาสมดุลชีวิต —มีสุขภาพดี – ออกกำลังกายและกินอาหารที่ดี —รู้จักขอบคุณสิ่งที่มี – ฝึกความกตัญญู —กล้าตัดสินใจ – แม้จะเสี่ยง —สม่ำเสมอ – ความสำเร็จมาจากการทำซ้ำ ๆ —มองหาโอกาสใหม่ – อย่ากลัวการเริ่มต้นใหม่ —อย่ายึดติดกับความสำเร็จเก่า —มองหาความรู้เพิ่มเติมเสมอ —เข้าใจคุณค่าของเวลา —แบ่งปันความสำเร็จ – ช่วยเหลือผู้อื่น —ฝึกความอดทน —เรียนรู้จากผู้ที่ประสบความสำเร็จ —อย่าหยุดพัฒนาเทคโนโลยีที่คุณใช้ —ทำงานเป็นทีม – รู้จักการทำงานร่วมกับผู้อื่น —ตั้งคำถามกับตัวเองบ่อย ๆ – เพื่อพัฒนาต่อไป —รู้จักปฏิเสธสิ่งที่ไม่สำคัญ —รักษาความน่าเชื่อถือ —อย่ากลัวที่จะขอความช่วยเหลือ —ลงทุนในตัวเอง – เช่น การศึกษา การพัฒนาทักษะ —ฝึกสมาธิและจดจ่อ —มุ่งมั่นในเป้าหมายจนกว่าจะสำเร็จ —รู้จักการพักผ่อน – ไม่ทำงานจนเกินไป —สร้างแรงบันดาลใจให้ตัวเองและคนรอบข้าง —ทบทวนความสำเร็จและความผิดพลาด – เพื่อพัฒนา —อย่าหยุดฝัน – ทุกสิ่งเริ่มต้นจากความฝัน หนังสือที่แนะนำให้อ่าน📖🧠
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 210 มุมมอง 0 รีวิว
  • กฎทองแห่งความสำเร็จ💰🥇

    —ตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน – รู้ว่าต้องการอะไรในชีวิต

    —วางแผนและลงมือทำทันที – อย่ารอจนทุกอย่างสมบูรณ์แบบ

    —บริหารเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ – จัดลำดับความสำคัญ

    —พัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง – เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ตลอดเวลา

    —ลงมือทำทีละขั้น – แบ่งเป้าหมายใหญ่เป็นเป้าหมายย่อย

    —มีวินัยในตัวเอง – ทำสิ่งสำคัญแม้ในวันที่ไม่อยากทำ

    —คิดบวก – มองทุกปัญหาเป็นโอกาส

    —สร้างนิสัยที่ดี – เช่น การอ่านหนังสือหรือออกกำลังกาย

    —เชื่อมั่นในตัวเอง – อย่าปล่อยให้ความกลัวมาขวางทาง

    —รู้จักเรียนรู้จากความล้มเหลว – ใช้มันเป็นบทเรียน

    —ล้อมรอบตัวเองด้วยคนที่เป็นแรงบันดาลใจ

    —อย่ายอมแพ้ – ความสำเร็จต้องใช้เวลา

    —กล้าออกจาก Comfort Zone

    —ตั้งเป้าหมายให้สูงขึ้นเสมอ – อย่าหยุดที่ความสำเร็จแรก

    —สื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ

    —สร้างเครือข่ายที่ดี – Networking สำคัญมาก

    —ใช้เงินอย่างฉลาด – ลงทุนในสิ่งที่มีค่า

    —รับผิดชอบต่อชีวิตตัวเอง

    —อย่ากลัวการเปลี่ยนแปลง

    —มีความยืดหยุ่น – พร้อมปรับแผนตามสถานการณ์

    —โฟกัสที่สิ่งสำคัญที่สุด

    —เลิกเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น

    —สร้างแรงจูงใจให้ตัวเองทุกวัน

    —มีเป้าหมายที่เป็นไปได้

    —ทำงานหนักและฉลาด – ใช้ทั้งพลังและความคิด

    —จัดการความเครียด – รักษาสมดุลชีวิต

    —มีสุขภาพดี – ออกกำลังกายและกินอาหารที่ดี

    —รู้จักขอบคุณสิ่งที่มี – ฝึกความกตัญญู

    —กล้าตัดสินใจ – แม้จะเสี่ยง

    —สม่ำเสมอ – ความสำเร็จมาจากการทำซ้ำ ๆ

    —มองหาโอกาสใหม่ – อย่ากลัวการเริ่มต้นใหม่

    —อย่ายึดติดกับความสำเร็จเก่า

    —มองหาความรู้เพิ่มเติมเสมอ

    —เข้าใจคุณค่าของเวลา

    —แบ่งปันความสำเร็จ – ช่วยเหลือผู้อื่น

    —ฝึกความอดทน

    —เรียนรู้จากผู้ที่ประสบความสำเร็จ

    —อย่าหยุดพัฒนาเทคโนโลยีที่คุณใช้

    —ทำงานเป็นทีม – รู้จักการทำงานร่วมกับผู้อื่น

    —ตั้งคำถามกับตัวเองบ่อย ๆ – เพื่อพัฒนาต่อไป

    —รู้จักปฏิเสธสิ่งที่ไม่สำคัญ

    —รักษาความน่าเชื่อถือ

    —อย่ากลัวที่จะขอความช่วยเหลือ

    —ลงทุนในตัวเอง – เช่น การศึกษา การพัฒนาทักษะ

    —ฝึกสมาธิและจดจ่อ

    —มุ่งมั่นในเป้าหมายจนกว่าจะสำเร็จ

    —รู้จักการพักผ่อน – ไม่ทำงานจนเกินไป

    —สร้างแรงบันดาลใจให้ตัวเองและคนรอบข้าง

    —ทบทวนความสำเร็จและความผิดพลาด – เพื่อพัฒนา

    —อย่าหยุดฝัน – ทุกสิ่งเริ่มต้นจากความฝัน

    หนังสือที่แนะนำให้อ่าน📖🧠
    กฎทองแห่งความสำเร็จ💰🥇 —ตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน – รู้ว่าต้องการอะไรในชีวิต —วางแผนและลงมือทำทันที – อย่ารอจนทุกอย่างสมบูรณ์แบบ —บริหารเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ – จัดลำดับความสำคัญ —พัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง – เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ตลอดเวลา —ลงมือทำทีละขั้น – แบ่งเป้าหมายใหญ่เป็นเป้าหมายย่อย —มีวินัยในตัวเอง – ทำสิ่งสำคัญแม้ในวันที่ไม่อยากทำ —คิดบวก – มองทุกปัญหาเป็นโอกาส —สร้างนิสัยที่ดี – เช่น การอ่านหนังสือหรือออกกำลังกาย —เชื่อมั่นในตัวเอง – อย่าปล่อยให้ความกลัวมาขวางทาง —รู้จักเรียนรู้จากความล้มเหลว – ใช้มันเป็นบทเรียน —ล้อมรอบตัวเองด้วยคนที่เป็นแรงบันดาลใจ —อย่ายอมแพ้ – ความสำเร็จต้องใช้เวลา —กล้าออกจาก Comfort Zone —ตั้งเป้าหมายให้สูงขึ้นเสมอ – อย่าหยุดที่ความสำเร็จแรก —สื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ —สร้างเครือข่ายที่ดี – Networking สำคัญมาก —ใช้เงินอย่างฉลาด – ลงทุนในสิ่งที่มีค่า —รับผิดชอบต่อชีวิตตัวเอง —อย่ากลัวการเปลี่ยนแปลง —มีความยืดหยุ่น – พร้อมปรับแผนตามสถานการณ์ —โฟกัสที่สิ่งสำคัญที่สุด —เลิกเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น —สร้างแรงจูงใจให้ตัวเองทุกวัน —มีเป้าหมายที่เป็นไปได้ —ทำงานหนักและฉลาด – ใช้ทั้งพลังและความคิด —จัดการความเครียด – รักษาสมดุลชีวิต —มีสุขภาพดี – ออกกำลังกายและกินอาหารที่ดี —รู้จักขอบคุณสิ่งที่มี – ฝึกความกตัญญู —กล้าตัดสินใจ – แม้จะเสี่ยง —สม่ำเสมอ – ความสำเร็จมาจากการทำซ้ำ ๆ —มองหาโอกาสใหม่ – อย่ากลัวการเริ่มต้นใหม่ —อย่ายึดติดกับความสำเร็จเก่า —มองหาความรู้เพิ่มเติมเสมอ —เข้าใจคุณค่าของเวลา —แบ่งปันความสำเร็จ – ช่วยเหลือผู้อื่น —ฝึกความอดทน —เรียนรู้จากผู้ที่ประสบความสำเร็จ —อย่าหยุดพัฒนาเทคโนโลยีที่คุณใช้ —ทำงานเป็นทีม – รู้จักการทำงานร่วมกับผู้อื่น —ตั้งคำถามกับตัวเองบ่อย ๆ – เพื่อพัฒนาต่อไป —รู้จักปฏิเสธสิ่งที่ไม่สำคัญ —รักษาความน่าเชื่อถือ —อย่ากลัวที่จะขอความช่วยเหลือ —ลงทุนในตัวเอง – เช่น การศึกษา การพัฒนาทักษะ —ฝึกสมาธิและจดจ่อ —มุ่งมั่นในเป้าหมายจนกว่าจะสำเร็จ —รู้จักการพักผ่อน – ไม่ทำงานจนเกินไป —สร้างแรงบันดาลใจให้ตัวเองและคนรอบข้าง —ทบทวนความสำเร็จและความผิดพลาด – เพื่อพัฒนา —อย่าหยุดฝัน – ทุกสิ่งเริ่มต้นจากความฝัน หนังสือที่แนะนำให้อ่าน📖🧠
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 202 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🌟 20 วิธีเปลี่ยนตัวเองให้ดีขึ้นใน 1 เดือน 🌟
    พัฒนาตัวเองไปทีละก้าว ให้ชีวิตดีกว่าเดิม! 💪✨
    1. ตั้งเป้าหมายระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว ..จงยึดมั่น..ต่อเป้าหมายนั้น ไม่ใช่ยึดติดกับบุคคล หรือ สิ่งของ..

    2. คนสำเร็จในโลกนี้ล้วนแตกต่าง แต่สิ่งนึงที่เหมือนกัน คือ เขาเหล่านั้น มีนิสัย รักการอ่าน...
    3. จัดระเบียบชีวิต ให้ถูก นับ 1234 ให้เป็น..อะไรก่อนหลัง..เรียงให้ถูก ประหยัดเวลา ทั้งตนเอง และผู้อื่นที่มีเรื่องราวร่วมกัน
    .4. ตื่นเช้า..นกที่ตื่นก่อน ก็จะเจอหนอนก่อน..โอกาสดีๆ อาจจะมาเมื่อไรก็ได้..แบะเราต้องพร้อม.
    .5.ถ้าสวดมนต์นั่งสมาธิได้ จะดีมาก. มันทำให้เรามีความ นิ่ง ..เป็นการฝึกจิต
    .6.ออกกำลังกายสม่ำเสมอ อย่างน้อย เดิน เอาตามสุขภาพ และอายุ..
    .7.จงเป็นผู้ฟังที่ดี ..มีส่วนร่วมในเรื่องราวของผู้อื่น..ไอ้แบบที่ ใครคุยอะไรไม่รู้ .และไม่สน.กูจะพูดในส่วนของกู เรื่องราวของกู..แบบนั้นคือ เข้าสังคมไม่เป็น.
    .8. พัฒนาทักษะเฉพาะทาง ..อาจไม่ต้องเป็นสิ่งใหม่..แต่ต้องเป็น spacialist ในทางนั้น..เลือกเอาจากความชอบส่วนตัว และดูความค้องการของตลาดแรงงานประกอบไปด้วย.
    .9.เลิกผัดวันประกันพรุ่ง คำว่า แปป เดี๋ยว เปลี่ยนเป็น now ถ้าไม่ได้ ระบุไปเลย 30 นาที 1 ชั่วโมง 4 โมง 5 โมง ว่าไป..คำว่า แปป พวกละอ่อนเขาใช้กัน
    .10. ดื่มน้ำมากๆ คนส่วนใหญ่ดื่มน้ำน้อย.
    .
    .11.ตั้งเวลาพักผ่อน เช่น อ่านหนังสือ เล่นโซเชี่ยล นอนอย่าเกิน 22.30น. เพราะเวลานี้น คือ ข่วงที่ร่างกายซ่อมแซมตัวเองได้ดี่ที่สุด.
    .
    12. อ่านหรือฟังแรงบันดาลใจ จากสิ่งที่เราเลือก แต่ต้องคัดกรอง ประเภทตัวจริง..เพราะของปลอมในสื่อต่างๆ มันมีมาก
    .
    13 ชื่นชมธรรมชาติบ้าง ..สีเขียวๆ เดินเหยียบสนามหญ้า บ้าง.
    .
    14 ให้ความสำคัญกับคนสำคัญ อย่างทั่วถึง. คำว่า ไม่มีเวลา ไม่มีจริง เป็นแค่คำอ้าง ของความไม่สำคัญ
    .15. ยอมรับและปล่อยวางสิ่งที่ติดค้างใจ..อาจไม่ต้องอภัย เพราะมันจะโลกสวยเกินไป..เอาแค่ ทดเอาไว้ก่อน..เมื่ออะไรผ่านไป .ค่อยกลับมาคิด.ว่า ทิ้ง..หรือ อะไร ..แค่มันต้องเป็นเรื่อง รองๆ ไปเยอะเลย
    .
    16. เรียนรู้จากคนสำเร็จ อ่านหนังสือของคนที่ประสบความสำเร็จ เอาตัวเข้าไปอยู่ในกลุ่มคนที่สำเร็จ จากการกระทำจริง
    .
    ลองทำตาม ถ้าคุณมีวินัยมากพอ ชีวิตอาจเปลี่ยนไปในแบบที่ไม่เคยคิด..ทัศนคติ และ วินัย ..เมื้อคุณสร้างมัน..มันก็จะกลับมาสร้างคุณ.. 🧧 Kriz
    🌟 20 วิธีเปลี่ยนตัวเองให้ดีขึ้นใน 1 เดือน 🌟 พัฒนาตัวเองไปทีละก้าว ให้ชีวิตดีกว่าเดิม! 💪✨ 1. ตั้งเป้าหมายระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว ..จงยึดมั่น..ต่อเป้าหมายนั้น ไม่ใช่ยึดติดกับบุคคล หรือ สิ่งของ.. 2. คนสำเร็จในโลกนี้ล้วนแตกต่าง แต่สิ่งนึงที่เหมือนกัน คือ เขาเหล่านั้น มีนิสัย รักการอ่าน... 3. จัดระเบียบชีวิต ให้ถูก นับ 1234 ให้เป็น..อะไรก่อนหลัง..เรียงให้ถูก ประหยัดเวลา ทั้งตนเอง และผู้อื่นที่มีเรื่องราวร่วมกัน .4. ตื่นเช้า..นกที่ตื่นก่อน ก็จะเจอหนอนก่อน..โอกาสดีๆ อาจจะมาเมื่อไรก็ได้..แบะเราต้องพร้อม. .5.ถ้าสวดมนต์นั่งสมาธิได้ จะดีมาก. มันทำให้เรามีความ นิ่ง ..เป็นการฝึกจิต .6.ออกกำลังกายสม่ำเสมอ อย่างน้อย เดิน เอาตามสุขภาพ และอายุ.. .7.จงเป็นผู้ฟังที่ดี ..มีส่วนร่วมในเรื่องราวของผู้อื่น..ไอ้แบบที่ ใครคุยอะไรไม่รู้ .และไม่สน.กูจะพูดในส่วนของกู เรื่องราวของกู..แบบนั้นคือ เข้าสังคมไม่เป็น. .8. พัฒนาทักษะเฉพาะทาง ..อาจไม่ต้องเป็นสิ่งใหม่..แต่ต้องเป็น spacialist ในทางนั้น..เลือกเอาจากความชอบส่วนตัว และดูความค้องการของตลาดแรงงานประกอบไปด้วย. .9.เลิกผัดวันประกันพรุ่ง คำว่า แปป เดี๋ยว เปลี่ยนเป็น now ถ้าไม่ได้ ระบุไปเลย 30 นาที 1 ชั่วโมง 4 โมง 5 โมง ว่าไป..คำว่า แปป พวกละอ่อนเขาใช้กัน .10. ดื่มน้ำมากๆ คนส่วนใหญ่ดื่มน้ำน้อย. . .11.ตั้งเวลาพักผ่อน เช่น อ่านหนังสือ เล่นโซเชี่ยล นอนอย่าเกิน 22.30น. เพราะเวลานี้น คือ ข่วงที่ร่างกายซ่อมแซมตัวเองได้ดี่ที่สุด. . 12. อ่านหรือฟังแรงบันดาลใจ จากสิ่งที่เราเลือก แต่ต้องคัดกรอง ประเภทตัวจริง..เพราะของปลอมในสื่อต่างๆ มันมีมาก . 13 ชื่นชมธรรมชาติบ้าง ..สีเขียวๆ เดินเหยียบสนามหญ้า บ้าง. . 14 ให้ความสำคัญกับคนสำคัญ อย่างทั่วถึง. คำว่า ไม่มีเวลา ไม่มีจริง เป็นแค่คำอ้าง ของความไม่สำคัญ .15. ยอมรับและปล่อยวางสิ่งที่ติดค้างใจ..อาจไม่ต้องอภัย เพราะมันจะโลกสวยเกินไป..เอาแค่ ทดเอาไว้ก่อน..เมื่ออะไรผ่านไป .ค่อยกลับมาคิด.ว่า ทิ้ง..หรือ อะไร ..แค่มันต้องเป็นเรื่อง รองๆ ไปเยอะเลย . 16. เรียนรู้จากคนสำเร็จ อ่านหนังสือของคนที่ประสบความสำเร็จ เอาตัวเข้าไปอยู่ในกลุ่มคนที่สำเร็จ จากการกระทำจริง . ลองทำตาม ถ้าคุณมีวินัยมากพอ ชีวิตอาจเปลี่ยนไปในแบบที่ไม่เคยคิด..ทัศนคติ และ วินัย ..เมื้อคุณสร้างมัน..มันก็จะกลับมาสร้างคุณ.. 🧧 Kriz
    3 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 238 มุมมอง 0 รีวิว
  • แฟนพันธฺุ์แท้นักร้องดัง แสตมป์-อภิวัชร์ เผยใจสลายสิ่งที่เจ้าตัวแถลง กรณีพิพาทบนเวทีคอนเสิร์ต เสียใจและเฟลกับเรื่องนี้มาก ขอให้เป็นบทเรียนชีวิต เหลือไว้เพียงความทรงจำดี ๆ แต่กลับไปฟังเพลงด้วยความรู้สึกแบบเดิมไม่ได้อีกแล้ว

    วันนี้ (20 ม.ค.) จากกรณีที่แสตมป์-อภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข นักร้องชื่อดังออกมาโพสต์ขอโทษทุกฝ่ายที่กล่าวถึงบนเวทีเมื่อวันที่ 15 ม.ค. ที่ผ่านมา ไม่ครบทุกประเด็น ทำให้เกิดความเสียหายออกไปในวงกว้าง ทั้งกับตัวบุคคลและวงดนตรีต่างๆ มากมาย โดยเลือกเว้นประเด็นที่แท้จริงของปัญหาทั้งหมด คือการนอกใจภรรยา แต่ยืนยันว่ามีการคุกคามและข่มขู่ด้วยคดีทางการเมือง รวมไปถึงกล่าวถึงเรื่องคดีความ ถอนฟ้องในคดีร่วมกันหมิ่นประมาท 3 คดี ส่วนภรรยาแสตมป์ฟ้องคดีมือที่สาม และจบลงด้วยการได้รับค่าชดใช้ 1 ล้านบาทจากแจม ตามที่ปรากฎเป็นข่าวไปแล้วนั้น

    ล่าสุด บนโซเชียลฯ แชร์โพสต์จากเฟซบุ๊ก Phukijnat Kijmaneemas ผู้ที่ระบุว่าเป็นแฟนพันธฺุ์แท้แสตมป์-อภิวัชร์ โพสต์ข้อความระบุว่า "ถึงพี่แสตมป์ อภิวัชร์ ขอบคุณที่ครั้งหนึ่ง บทเพลงของพี่ได้สร้างแรงบันดาลใจให้ผมในชีวิตหลายอย่างมาก ๆ จนทำให้ผมมีวันนี้ได้ ผมนับถือและศรัทธาพี่ในฐานะแฟนเพลงและน้องชายคนหนึ่งมาโดยตลอด และไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ผมก็พร้อมที่จะเป็นกำลังใจให้พี่ชายคนนี้อยู่เสมอ

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000005982

    #MGROnline #แสตมป์อภิวัชร์
    แฟนพันธฺุ์แท้นักร้องดัง แสตมป์-อภิวัชร์ เผยใจสลายสิ่งที่เจ้าตัวแถลง กรณีพิพาทบนเวทีคอนเสิร์ต เสียใจและเฟลกับเรื่องนี้มาก ขอให้เป็นบทเรียนชีวิต เหลือไว้เพียงความทรงจำดี ๆ แต่กลับไปฟังเพลงด้วยความรู้สึกแบบเดิมไม่ได้อีกแล้ว • วันนี้ (20 ม.ค.) จากกรณีที่แสตมป์-อภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข นักร้องชื่อดังออกมาโพสต์ขอโทษทุกฝ่ายที่กล่าวถึงบนเวทีเมื่อวันที่ 15 ม.ค. ที่ผ่านมา ไม่ครบทุกประเด็น ทำให้เกิดความเสียหายออกไปในวงกว้าง ทั้งกับตัวบุคคลและวงดนตรีต่างๆ มากมาย โดยเลือกเว้นประเด็นที่แท้จริงของปัญหาทั้งหมด คือการนอกใจภรรยา แต่ยืนยันว่ามีการคุกคามและข่มขู่ด้วยคดีทางการเมือง รวมไปถึงกล่าวถึงเรื่องคดีความ ถอนฟ้องในคดีร่วมกันหมิ่นประมาท 3 คดี ส่วนภรรยาแสตมป์ฟ้องคดีมือที่สาม และจบลงด้วยการได้รับค่าชดใช้ 1 ล้านบาทจากแจม ตามที่ปรากฎเป็นข่าวไปแล้วนั้น • ล่าสุด บนโซเชียลฯ แชร์โพสต์จากเฟซบุ๊ก Phukijnat Kijmaneemas ผู้ที่ระบุว่าเป็นแฟนพันธฺุ์แท้แสตมป์-อภิวัชร์ โพสต์ข้อความระบุว่า "ถึงพี่แสตมป์ อภิวัชร์ ขอบคุณที่ครั้งหนึ่ง บทเพลงของพี่ได้สร้างแรงบันดาลใจให้ผมในชีวิตหลายอย่างมาก ๆ จนทำให้ผมมีวันนี้ได้ ผมนับถือและศรัทธาพี่ในฐานะแฟนเพลงและน้องชายคนหนึ่งมาโดยตลอด และไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ผมก็พร้อมที่จะเป็นกำลังใจให้พี่ชายคนนี้อยู่เสมอ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000005982 • #MGROnline #แสตมป์อภิวัชร์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 275 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts