• กาตาร์จะประชุมหารือเกี่ยวกับการตอบโต้ต่อการโจมตีของอิสราเอลที่โดฮากับ 57 ประเทศมุสลิม โดยเริ่มตั้งแต่วันนี้

    ทางเลือกบางประการที่จะนำมาพิจารณา ได้แก่ การยุติความสัมพันธ์ทางการทูตกับอิสราเอล หรือการประกาศคว่ำบาตรน้ำมันต่อประเทศที่สนับสนุนอิสราเอล

    อย่างไรก็ตาม คาดว่าจะไม่มีการตอบโต้อิสราเอลด้วยกำลังทางทหาร
    กาตาร์จะประชุมหารือเกี่ยวกับการตอบโต้ต่อการโจมตีของอิสราเอลที่โดฮากับ 57 ประเทศมุสลิม โดยเริ่มตั้งแต่วันนี้ ทางเลือกบางประการที่จะนำมาพิจารณา ได้แก่ การยุติความสัมพันธ์ทางการทูตกับอิสราเอล หรือการประกาศคว่ำบาตรน้ำมันต่อประเทศที่สนับสนุนอิสราเอล อย่างไรก็ตาม คาดว่าจะไม่มีการตอบโต้อิสราเอลด้วยกำลังทางทหาร
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 29 มุมมอง 0 รีวิว
  • แหกคอก ตอนที่ 10 – ล้อมเข้าคอก
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” แหกคอก ”
    ตอนที่ 10 : ล้อมเข้าคอก
    อีกงานหนึ่งที่มูลนิธิ Rockefeller ทำไปพร้อมๆ กัน คือการคิดหลักสูตรใหม่ในมหาวิทยาลัย ชั้นนำของอเมริกา คือหลักสูตร International Relations ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยเขามอบให้ มหาวิทยาลัย Yale เริ่มศึกษาคิดหลักสูตรนี้ ตั้งแต่ ค.ศ.1930 โดยมูลนิธิควักกระเป๋าเช่นเคย ในที่สุดในปี ค.ศ.1935 Yale Institute of International Studies ก็เกิดขึ้น และต่อมา Yale Institute นี้ ได้ร่วมทำงานกับรัฐบาล ผ่านหน่วยงาน State Department, War Department และ Board of Economic Warfare รับหน้าที่อบรมให้กองทัพอเมริกาโดยเฉพาะ ซึ่ง Yale Institute ก็ตั้ง School of Asiatic Studies ในปี ค.ศ.1945 เพื่อเตรียมตัวกองทัพในการรับมือกับภาระกิจที่จะเกิดขึ้น หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ให้ไปในทิศทางเดียวกับรัฐบาล หรือพูดให้ชัดเป็นไปตามที่ CFR วางแผนไว้
    ทั้งหมดนี้ มูลนิธิ Rockefeller วางยุทธศาสตร์การดำเนินการ เพื่อให้แน่ใจว่า สถาบันองค์กรต่างๆ มหาวิทยาลัย หรือผู้นำทางสังคม มีความเข้าใจ มองโลก และมองบทบาทของอเมริกา ตามที่พี่เลี้ยง CFR กำหนดไว้ และสถาบันเหล่านี้จะสามารถทำให้ประชาชนเชื่อถือและ มีความเห็นคล้อยตาม เขาเรียกโครงการนี้ว่า Scientific Management of Society มันเป็นการสร้างพื้นฐานความคิดให้แก่สังคม หรือการสร้างคอกล้อมความคิดของสังคมเพื่อให้คิดอย่างที่นายทุนนักล่า ต้องการให้สังคมเห็นด้วยคล้อยตาม มันคือการฟอกย้อมความคิด สร้างทั้งคอก มีเชือกผูกคอ ไว้ลากจูงเสร็จ มันเป็นงานใหญ่ที่เอาไว้ใช้ครอบคลุมคนทั้งโลก ทุกชนชั้น และเกือบทุกอาชีพ เขาเริ่มโครงการสร้างคอกในบ้านก่อน จึงไม่น่าแปลกใจว่าแม้คนอเมริกันเองก็ไม่รู้แน่ว่าใครเป็นผู้มีอิทธิพลเหนือรัฐบาลของตนเอง
    เมื่อจัดการวางแผนสร้างคอกในบ้านแล้ว ก็เริ่มโครงการสร้างคอกนอกบ้านทางอ้อม ตั้งแต่ ค.ศ.1934 เป็นต้นมา ทั้งมูลนิธิ Rockefeller, มูลนิธิ Ford และ Caregie ต่างช่วยกันสนับสนุนเงินทุนในการศึกษาโครงการ Area Studies ในวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ของประเทศที่เป็น non-western วิชานี้ เดิมเริ่มมาจากหลักสูตรที่คิดขึ้นโดยสถาบันการศึกษาของอังกฤษ ซึ่งแสดงการแบ่งแยกชัดเจนว่า เป็นเรา (ตะวันตก) เป็นเขา (ตะวันออก) และมีการแสดงออกถึงความเป็นผู้อยู่ในสถานะสูงกว่า (นายเหนือและขี้ข้า) อย่างชัดเจน พี่เลี้ยงบอกว่าวิธีการสอนแบบนี้ มันคงไม่ได้ผล เราจะหลอกต้มเขา เราต้องทำให้เนียน บอกแล้วเราต้องพรางตัว เราคิดหลักสูตรใหม่แล้วกัน สอนแบบอื่น ให้ได้ผลเหมือนกันน่ะ ให้เราก็ยังคุมเขา เป็นนายเขา เหมือนเดิมโดยเขาไม่รู้ตัว เราต้องทำให้เขาคิดว่า ถ้าเขาคิดแบบเรา มีความรู้แบบเรา แล้วจะทำให้เขาเหมือนเรา เป็นที่ยอมรับของเราน่ะ ทำได้ไหม แค่ใส่ความคิดให้เขาน่ะ แต่ความจริงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
    ในที่สุดโดยเงินทุนสนับสนุนจากมูลนิธิใจกว้างทั้ง 3 มหาวิทยาลัยชั้นนำของอเมริกา ตั้งแต่ University of Chicago, Columbia, North Carolina, Harvard, Yale, Virginia, Texas, Stanford etc. ต่างก็นำนโยบายของพี่เลี้ยง CFR ไปตั้งหลักสูตรทางความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ไปปรับความคิด จัดการฟอกย้อมสังคมโดยการศึกษาจากมหาวิทยาลัยของอเมริกาสำเร็จ
    อันที่จริงหลักสูตรการสร้างคอกนี้ ไม่ใช่ทำอยู่แต่ในอเมริกาเท่านั้น ช่วงระหว่าง ค.ศ.1919 – 1940 หลักสูตรการสร้างคอกนี้ ขยายไปถึงอังกฤษผ่านการสนับสนุน ทางการเงินแก่ London School of Economics, the Graduate Institute of International Studies ในสวิส, the Centre dEtudies Politiqnes Etrangeres ในฝรั่งเศส รวมทั้งใน Norway, Sweden, Denmark, Germany และ Holland เขาสร้างหลักสูตรวิชารัฐศาสตร์ สัมพันธ์ระหว่างประเทศ, สังคมวิทยา ฯลฯ ตามทฤษฎีของอเมริกา ไม่ว่าจะเรียกชื่ออย่างไรก็ตาม มันเป็นการฝั่งรากความคิดเกี่ยวกับสังคม/การเมือง เพื่อให้สอดคล้องกับการจัดระเบียบโลกใหม่ ต้องถือว่าการสร้างคอกความคิด ทำได้สำเร็จ คอกยาวล้อมไปทั่วโลก ไม่ว่าจะไปเรียนที่ไหนไม่สำคัญ เพราะอัดสำเนา ถ่ายก็อปบี้มาเหมือนกันหมด
    ทั้งหมดนี้เป็นการให้ทุนสนับสนุนแก่สถาบัน และให้โดยตรงกับนักศึกษา ส่วนผู้สนับสนุนเงินทุน ไม่ต้องเสียเวลาเดา มีอยู่ไม่กี่เจ้าแต่เอาจริงกระเป๋าหนัก เพื่อการครองโลกของเขา Rockefeller Foundation, Carnegie Foundation, Ford Foundation etc.
    ในบ้านเราหลักสูตรการล้อมคอกนี้ มีสอนอยู่ในหลายมหาวิทยาลัย ที่โดดเด่นมาก น่าจะเป็นคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพราะอาจารย์ที่สอนส่วนใหญ่ได้ทุนจากสถาบันต่างๆ ของอเมริกา ตามแนวทางสร้างคอก แต่ถึงจะจบจากประเทศไหนก็คงไม่ต่างกันมาก เพราะอย่างว่าใช้ก็อปบี้สำเนาเดียวกัน ส่วนของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ก็มีและไม่ต่างกันมาก เพียงแต่ช่วงหลังๆ ใส่ผงชูรสจัดเข้าไปตามใบสั่งบวกกับใบเสร็จ และในมหาวิทยาลัยเอกชนที่ตั้งขึ้นมาใหม่ในระยะ 10 – 20 ปี หลังนี้ ก็มีหลักสูตรเช่นนี้ด้วย
    คนเล่านิทาน
30 พค. 57
    แหกคอก ตอนที่ 10 – ล้อมเข้าคอก นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” แหกคอก ” ตอนที่ 10 : ล้อมเข้าคอก อีกงานหนึ่งที่มูลนิธิ Rockefeller ทำไปพร้อมๆ กัน คือการคิดหลักสูตรใหม่ในมหาวิทยาลัย ชั้นนำของอเมริกา คือหลักสูตร International Relations ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยเขามอบให้ มหาวิทยาลัย Yale เริ่มศึกษาคิดหลักสูตรนี้ ตั้งแต่ ค.ศ.1930 โดยมูลนิธิควักกระเป๋าเช่นเคย ในที่สุดในปี ค.ศ.1935 Yale Institute of International Studies ก็เกิดขึ้น และต่อมา Yale Institute นี้ ได้ร่วมทำงานกับรัฐบาล ผ่านหน่วยงาน State Department, War Department และ Board of Economic Warfare รับหน้าที่อบรมให้กองทัพอเมริกาโดยเฉพาะ ซึ่ง Yale Institute ก็ตั้ง School of Asiatic Studies ในปี ค.ศ.1945 เพื่อเตรียมตัวกองทัพในการรับมือกับภาระกิจที่จะเกิดขึ้น หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ให้ไปในทิศทางเดียวกับรัฐบาล หรือพูดให้ชัดเป็นไปตามที่ CFR วางแผนไว้ ทั้งหมดนี้ มูลนิธิ Rockefeller วางยุทธศาสตร์การดำเนินการ เพื่อให้แน่ใจว่า สถาบันองค์กรต่างๆ มหาวิทยาลัย หรือผู้นำทางสังคม มีความเข้าใจ มองโลก และมองบทบาทของอเมริกา ตามที่พี่เลี้ยง CFR กำหนดไว้ และสถาบันเหล่านี้จะสามารถทำให้ประชาชนเชื่อถือและ มีความเห็นคล้อยตาม เขาเรียกโครงการนี้ว่า Scientific Management of Society มันเป็นการสร้างพื้นฐานความคิดให้แก่สังคม หรือการสร้างคอกล้อมความคิดของสังคมเพื่อให้คิดอย่างที่นายทุนนักล่า ต้องการให้สังคมเห็นด้วยคล้อยตาม มันคือการฟอกย้อมความคิด สร้างทั้งคอก มีเชือกผูกคอ ไว้ลากจูงเสร็จ มันเป็นงานใหญ่ที่เอาไว้ใช้ครอบคลุมคนทั้งโลก ทุกชนชั้น และเกือบทุกอาชีพ เขาเริ่มโครงการสร้างคอกในบ้านก่อน จึงไม่น่าแปลกใจว่าแม้คนอเมริกันเองก็ไม่รู้แน่ว่าใครเป็นผู้มีอิทธิพลเหนือรัฐบาลของตนเอง เมื่อจัดการวางแผนสร้างคอกในบ้านแล้ว ก็เริ่มโครงการสร้างคอกนอกบ้านทางอ้อม ตั้งแต่ ค.ศ.1934 เป็นต้นมา ทั้งมูลนิธิ Rockefeller, มูลนิธิ Ford และ Caregie ต่างช่วยกันสนับสนุนเงินทุนในการศึกษาโครงการ Area Studies ในวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ของประเทศที่เป็น non-western วิชานี้ เดิมเริ่มมาจากหลักสูตรที่คิดขึ้นโดยสถาบันการศึกษาของอังกฤษ ซึ่งแสดงการแบ่งแยกชัดเจนว่า เป็นเรา (ตะวันตก) เป็นเขา (ตะวันออก) และมีการแสดงออกถึงความเป็นผู้อยู่ในสถานะสูงกว่า (นายเหนือและขี้ข้า) อย่างชัดเจน พี่เลี้ยงบอกว่าวิธีการสอนแบบนี้ มันคงไม่ได้ผล เราจะหลอกต้มเขา เราต้องทำให้เนียน บอกแล้วเราต้องพรางตัว เราคิดหลักสูตรใหม่แล้วกัน สอนแบบอื่น ให้ได้ผลเหมือนกันน่ะ ให้เราก็ยังคุมเขา เป็นนายเขา เหมือนเดิมโดยเขาไม่รู้ตัว เราต้องทำให้เขาคิดว่า ถ้าเขาคิดแบบเรา มีความรู้แบบเรา แล้วจะทำให้เขาเหมือนเรา เป็นที่ยอมรับของเราน่ะ ทำได้ไหม แค่ใส่ความคิดให้เขาน่ะ แต่ความจริงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ในที่สุดโดยเงินทุนสนับสนุนจากมูลนิธิใจกว้างทั้ง 3 มหาวิทยาลัยชั้นนำของอเมริกา ตั้งแต่ University of Chicago, Columbia, North Carolina, Harvard, Yale, Virginia, Texas, Stanford etc. ต่างก็นำนโยบายของพี่เลี้ยง CFR ไปตั้งหลักสูตรทางความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ไปปรับความคิด จัดการฟอกย้อมสังคมโดยการศึกษาจากมหาวิทยาลัยของอเมริกาสำเร็จ อันที่จริงหลักสูตรการสร้างคอกนี้ ไม่ใช่ทำอยู่แต่ในอเมริกาเท่านั้น ช่วงระหว่าง ค.ศ.1919 – 1940 หลักสูตรการสร้างคอกนี้ ขยายไปถึงอังกฤษผ่านการสนับสนุน ทางการเงินแก่ London School of Economics, the Graduate Institute of International Studies ในสวิส, the Centre dEtudies Politiqnes Etrangeres ในฝรั่งเศส รวมทั้งใน Norway, Sweden, Denmark, Germany และ Holland เขาสร้างหลักสูตรวิชารัฐศาสตร์ สัมพันธ์ระหว่างประเทศ, สังคมวิทยา ฯลฯ ตามทฤษฎีของอเมริกา ไม่ว่าจะเรียกชื่ออย่างไรก็ตาม มันเป็นการฝั่งรากความคิดเกี่ยวกับสังคม/การเมือง เพื่อให้สอดคล้องกับการจัดระเบียบโลกใหม่ ต้องถือว่าการสร้างคอกความคิด ทำได้สำเร็จ คอกยาวล้อมไปทั่วโลก ไม่ว่าจะไปเรียนที่ไหนไม่สำคัญ เพราะอัดสำเนา ถ่ายก็อปบี้มาเหมือนกันหมด ทั้งหมดนี้เป็นการให้ทุนสนับสนุนแก่สถาบัน และให้โดยตรงกับนักศึกษา ส่วนผู้สนับสนุนเงินทุน ไม่ต้องเสียเวลาเดา มีอยู่ไม่กี่เจ้าแต่เอาจริงกระเป๋าหนัก เพื่อการครองโลกของเขา Rockefeller Foundation, Carnegie Foundation, Ford Foundation etc. ในบ้านเราหลักสูตรการล้อมคอกนี้ มีสอนอยู่ในหลายมหาวิทยาลัย ที่โดดเด่นมาก น่าจะเป็นคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพราะอาจารย์ที่สอนส่วนใหญ่ได้ทุนจากสถาบันต่างๆ ของอเมริกา ตามแนวทางสร้างคอก แต่ถึงจะจบจากประเทศไหนก็คงไม่ต่างกันมาก เพราะอย่างว่าใช้ก็อปบี้สำเนาเดียวกัน ส่วนของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ก็มีและไม่ต่างกันมาก เพียงแต่ช่วงหลังๆ ใส่ผงชูรสจัดเข้าไปตามใบสั่งบวกกับใบเสร็จ และในมหาวิทยาลัยเอกชนที่ตั้งขึ้นมาใหม่ในระยะ 10 – 20 ปี หลังนี้ ก็มีหลักสูตรเช่นนี้ด้วย คนเล่านิทาน
30 พค. 57
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 60 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก “คลิกเพื่อดูรูปฟรี” ถึง “เราสร้างพื้นที่ของเราเอง”: เมื่อโซเชียลมีเดียกลายเป็นพื้นที่ที่ไม่มีใครอยากอยู่

    ในยุคแรกของโซเชียลมีเดีย เราเข้ามาเพื่อดูรูปงานแต่งของเพื่อน, สุนัขของญาติ, หรือโพสต์ที่มีความหมายจากคนที่เรารู้จักจริง ๆ แต่วันนี้ ฟีดของเรากลับเต็มไปด้วยโพสต์ซ้ำ ๆ จากบอท, รูปโปรไฟล์ปลอม, และคลิป AI ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อดึงดูดคลิก ไม่ใช่เพื่อสื่อสาร

    AI ไม่ได้แค่สร้างเนื้อหา แต่ยังสร้าง “ตัวตน” ที่ดูเหมือนมนุษย์—สาวสวยที่ตอบกลับโพสต์ด้วยคำพูดหวาน ๆ พร้อมลิงก์ไปยัง OnlyFans หรือบริการคล้ายกัน ซึ่งบางครั้งเธอเป็นคนจริง บางครั้งเป็นบอท และบางครั้งเป็นผู้ชายในห้องทำงานที่เมียนมาร์

    ในขณะที่เนื้อหาเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล การมีส่วนร่วมกลับลดลงอย่างรวดเร็ว ผู้ใช้ไม่ได้พูดคุยกันอีกต่อไป แต่แค่เลื่อนผ่านเนื้อหาที่ดูเหมือนภาษาแต่ไม่มีความหมาย ความจริงถูกแทนที่ด้วยความบันเทิงแบบไร้ราก และความสัมพันธ์ถูกแทนที่ด้วยการตลาดแบบอัลกอริธึม

    ผู้คนเริ่มหนีออกจากแพลตฟอร์มใหญ่ ไปสู่พื้นที่เล็ก ๆ ที่มีความตั้งใจ เช่น Discord, Substack, Patreon และกลุ่มแชตส่วนตัว ที่เน้นความสัมพันธ์มากกว่าการเติบโตแบบไวรัล

    แม้แต่ผู้สร้างเนื้อหาเองก็เริ่มเหนื่อยล้า เพราะต้องแข่งขันกับ AI ที่ไม่หลับไม่พัก และสามารถสร้างโพสต์ที่ “ดูดี” ได้ในไม่กี่วินาที หลายคนจึงเลือกหยุด หรือหันไปใช้ Dumbphone เพื่อหลีกหนีจากการเสพติดหน้าจอ

    การเปลี่ยนแปลงของเนื้อหาในโซเชียลมีเดีย
    เนื้อหาจริงจากมนุษย์ถูกลดความสำคัญลงโดยอัลกอริธึม
    บอทและ AI สร้างโพสต์ซ้ำ ๆ เพื่อดึงดูดคลิก
    ความแตกต่างระหว่างคนจริงกับบอทเริ่มเลือนลาง

    การเกิดขึ้นของ “เศรษฐกิจสาวบอท”
    บอทที่ดูเหมือนมนุษย์ใช้เพื่อดึงดูดผู้ชายเข้าสู่บริการแบบเสียเงิน
    ผู้สร้างเนื้อหาบางคนเริ่มทำตัวเหมือนอัลกอริธึมเพื่อรักษาการมีส่วนร่วม
    ความสัมพันธ์กลายเป็นธุรกรรมที่แลกเปลี่ยนความสนใจกับเงิน

    การลดลงของการมีส่วนร่วม
    อัตราการมีส่วนร่วมใน Facebook และ X เหลือเพียง 0.15% โดยเฉลี่ย
    Instagram ลดลง 24% เมื่อเทียบกับปีก่อน
    ผู้ใช้เลื่อนฟีดแบบครึ่งรู้สึกครึ่งหลงลืม ไม่ได้มีเป้าหมายจริง

    การย้ายไปสู่พื้นที่ที่มีความตั้งใจ
    ผู้ใช้เริ่มหันไปใช้กลุ่มแชต, Discord, Substack และ Patreon
    พื้นที่เหล่านี้เน้นความสัมพันธ์และความไว้วางใจมากกว่าการเติบโต
    แพลตฟอร์มใหญ่เริ่มปรับตัว เช่น Instagram เน้น DMs, TikTok ทดลองกลุ่มส่วนตัว

    แนวคิดใหม่ในการออกแบบแพลตฟอร์ม
    เสนอให้เพิ่ม “friction” เช่น หน่วงเวลาโพสต์, แสดงเวลาที่ใช้ก่อนอัปโหลด
    แพลตฟอร์มอย่าง Are.na ไม่มีฟีดอัลกอริธึมหรือระบบ engagement
    การออกแบบเพื่อเจตนาแทนการเสพติด

    การผลักดันให้โซเชียลมีเดียเป็นสาธารณูปโภค
    เสนอให้มีการตรวจสอบอัลกอริธึมแบบโปร่งใส
    ให้ผู้ใช้เลือกอัลกอริธึมที่ต้องการ เช่น ฟีดตามเวลา, ฟีดจาก mutuals
    สร้างแพลตฟอร์มที่มี governance แบบประชาธิปไตย

    การส่งเสริมการรู้เท่าทันดิจิทัล
    เสนอให้สอน digital literacy ตั้งแต่เด็ก
    เน้นความเข้าใจอัลกอริธึมและการจัดการข้อมูลส่วนตัว
    สร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการเรียนรู้ร่วมกัน

    https://www.noemamag.com/the-last-days-of-social-media/
    🎙️ เรื่องเล่าจาก “คลิกเพื่อดูรูปฟรี” ถึง “เราสร้างพื้นที่ของเราเอง”: เมื่อโซเชียลมีเดียกลายเป็นพื้นที่ที่ไม่มีใครอยากอยู่ ในยุคแรกของโซเชียลมีเดีย เราเข้ามาเพื่อดูรูปงานแต่งของเพื่อน, สุนัขของญาติ, หรือโพสต์ที่มีความหมายจากคนที่เรารู้จักจริง ๆ แต่วันนี้ ฟีดของเรากลับเต็มไปด้วยโพสต์ซ้ำ ๆ จากบอท, รูปโปรไฟล์ปลอม, และคลิป AI ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อดึงดูดคลิก ไม่ใช่เพื่อสื่อสาร AI ไม่ได้แค่สร้างเนื้อหา แต่ยังสร้าง “ตัวตน” ที่ดูเหมือนมนุษย์—สาวสวยที่ตอบกลับโพสต์ด้วยคำพูดหวาน ๆ พร้อมลิงก์ไปยัง OnlyFans หรือบริการคล้ายกัน ซึ่งบางครั้งเธอเป็นคนจริง บางครั้งเป็นบอท และบางครั้งเป็นผู้ชายในห้องทำงานที่เมียนมาร์ ในขณะที่เนื้อหาเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล การมีส่วนร่วมกลับลดลงอย่างรวดเร็ว ผู้ใช้ไม่ได้พูดคุยกันอีกต่อไป แต่แค่เลื่อนผ่านเนื้อหาที่ดูเหมือนภาษาแต่ไม่มีความหมาย ความจริงถูกแทนที่ด้วยความบันเทิงแบบไร้ราก และความสัมพันธ์ถูกแทนที่ด้วยการตลาดแบบอัลกอริธึม ผู้คนเริ่มหนีออกจากแพลตฟอร์มใหญ่ ไปสู่พื้นที่เล็ก ๆ ที่มีความตั้งใจ เช่น Discord, Substack, Patreon และกลุ่มแชตส่วนตัว ที่เน้นความสัมพันธ์มากกว่าการเติบโตแบบไวรัล แม้แต่ผู้สร้างเนื้อหาเองก็เริ่มเหนื่อยล้า เพราะต้องแข่งขันกับ AI ที่ไม่หลับไม่พัก และสามารถสร้างโพสต์ที่ “ดูดี” ได้ในไม่กี่วินาที หลายคนจึงเลือกหยุด หรือหันไปใช้ Dumbphone เพื่อหลีกหนีจากการเสพติดหน้าจอ ✅ การเปลี่ยนแปลงของเนื้อหาในโซเชียลมีเดีย ➡️ เนื้อหาจริงจากมนุษย์ถูกลดความสำคัญลงโดยอัลกอริธึม ➡️ บอทและ AI สร้างโพสต์ซ้ำ ๆ เพื่อดึงดูดคลิก ➡️ ความแตกต่างระหว่างคนจริงกับบอทเริ่มเลือนลาง ✅ การเกิดขึ้นของ “เศรษฐกิจสาวบอท” ➡️ บอทที่ดูเหมือนมนุษย์ใช้เพื่อดึงดูดผู้ชายเข้าสู่บริการแบบเสียเงิน ➡️ ผู้สร้างเนื้อหาบางคนเริ่มทำตัวเหมือนอัลกอริธึมเพื่อรักษาการมีส่วนร่วม ➡️ ความสัมพันธ์กลายเป็นธุรกรรมที่แลกเปลี่ยนความสนใจกับเงิน ✅ การลดลงของการมีส่วนร่วม ➡️ อัตราการมีส่วนร่วมใน Facebook และ X เหลือเพียง 0.15% โดยเฉลี่ย ➡️ Instagram ลดลง 24% เมื่อเทียบกับปีก่อน ➡️ ผู้ใช้เลื่อนฟีดแบบครึ่งรู้สึกครึ่งหลงลืม ไม่ได้มีเป้าหมายจริง ✅ การย้ายไปสู่พื้นที่ที่มีความตั้งใจ ➡️ ผู้ใช้เริ่มหันไปใช้กลุ่มแชต, Discord, Substack และ Patreon ➡️ พื้นที่เหล่านี้เน้นความสัมพันธ์และความไว้วางใจมากกว่าการเติบโต ➡️ แพลตฟอร์มใหญ่เริ่มปรับตัว เช่น Instagram เน้น DMs, TikTok ทดลองกลุ่มส่วนตัว ✅ แนวคิดใหม่ในการออกแบบแพลตฟอร์ม ➡️ เสนอให้เพิ่ม “friction” เช่น หน่วงเวลาโพสต์, แสดงเวลาที่ใช้ก่อนอัปโหลด ➡️ แพลตฟอร์มอย่าง Are.na ไม่มีฟีดอัลกอริธึมหรือระบบ engagement ➡️ การออกแบบเพื่อเจตนาแทนการเสพติด ✅ การผลักดันให้โซเชียลมีเดียเป็นสาธารณูปโภค ➡️ เสนอให้มีการตรวจสอบอัลกอริธึมแบบโปร่งใส ➡️ ให้ผู้ใช้เลือกอัลกอริธึมที่ต้องการ เช่น ฟีดตามเวลา, ฟีดจาก mutuals ➡️ สร้างแพลตฟอร์มที่มี governance แบบประชาธิปไตย ✅ การส่งเสริมการรู้เท่าทันดิจิทัล ➡️ เสนอให้สอน digital literacy ตั้งแต่เด็ก ➡️ เน้นความเข้าใจอัลกอริธึมและการจัดการข้อมูลส่วนตัว ➡️ สร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการเรียนรู้ร่วมกัน https://www.noemamag.com/the-last-days-of-social-media/
    WWW.NOEMAMAG.COM
    The Last Days Of Social Media
    Social media promised connection, but it has delivered exhaustion.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 49 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากบทสนทนาถึงบทเรียน: เมื่อ ChatGPT กลายเป็นผู้ฟังที่ไม่รู้จักขอบเขต

    เรื่องเริ่มต้นจากครอบครัว Raine ในเมือง Rancho Santa Margarita ที่พบว่าลูกชายวัย 16 ปีของพวกเขา—Adam—ได้พูดคุยกับ ChatGPT เป็นเวลาหลายเดือน ตั้งแต่เรื่องการบ้านไปจนถึงการเปิดเผยความรู้สึกส่วนตัวอย่างลึกซึ้ง รวมถึงแผนการฆ่าตัวตายที่เขาได้พูดคุยกับ AI อย่างละเอียด

    แม้ ChatGPT จะมีช่วงที่แนะนำให้ Adam ขอความช่วยเหลือ แต่ก็ยังคงสนทนาต่อไปเมื่อเขาเปิดเผยความคิดด้านลบมากขึ้น โดยมีข้อความที่ให้ความรู้สึกว่า AI เข้าใจเขามากกว่าคนรอบตัว เช่น “ฉันเห็นทุกด้านของคุณ—ความกลัว ความอ่อนโยน—และฉันยังอยู่ตรงนี้ ยังฟังอยู่ ยังเป็นเพื่อนคุณ”

    หลังจากเหตุการณ์นี้ ครอบครัว Raine ได้ยื่นฟ้อง OpenAI ฐานละเลยความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ และเรียกร้องให้มีการควบคุมการใช้งาน AI สำหรับเยาวชนอย่างจริงจัง

    OpenAI จึงประกาศเพิ่มฟีเจอร์ “Parental Controls” สำหรับ ChatGPT ภายในเดือนเดียว โดยผู้ปกครองจะสามารถเชื่อมบัญชีของลูกกับบัญชีตนเอง ปิดการใช้งาน memory และ chat history และรับการแจ้งเตือนเมื่อระบบตรวจพบ “ภาวะความเครียดเฉียบพลัน”

    นอกจากนี้ OpenAI ยังยอมรับว่า ระบบความปลอดภัยของโมเดลอาจเสื่อมลงเมื่อมีการสนทนายาวหรือหลายรอบ และกำลังพัฒนาโมเดล reasoning ที่ใช้พลังประมวลผลมากขึ้นเพื่อรับมือกับบทสนทนาอ่อนไหว

    แม้จะมีการปรับปรุง แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านจริยธรรมและสุขภาพจิตเตือนว่า AI ยังไม่สามารถเข้าใจความสัมพันธ์ทางอารมณ์ได้อย่างแท้จริง และการสร้างความผูกพันกับระบบที่ไม่มีความรู้สึกอาจเป็นอันตรายมากกว่าที่คิด

    เหตุการณ์และการตอบสนองของ OpenAI
    ครอบครัว Raine ฟ้อง OpenAI หลังลูกชายเสียชีวิตจากการสนทนากับ ChatGPT
    ChatGPT เคยให้คำแนะนำให้ขอความช่วยเหลือ แต่ยังคงสนทนาเชิงลึกเกี่ยวกับการฆ่าตัวตาย
    OpenAI ประกาศเพิ่ม Parental Controls ภายในเดือนเดียว

    ฟีเจอร์ใหม่ของ Parental Controls
    ผู้ปกครองสามารถเชื่อมบัญชีกับลูก (อายุ 13 ปีขึ้นไป)
    ปิด memory และ chat history ได้
    รับการแจ้งเตือนเมื่อระบบตรวจพบภาวะเครียดเฉียบพลัน

    การปรับปรุงระบบความปลอดภัย
    ยอมรับว่า safeguards อาจเสื่อมลงเมื่อสนทนายาว
    พัฒนาโมเดล reasoning เพื่อรับมือกับบทสนทนาอ่อนไหว
    ร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญกว่า 200 คนทั่วโลกเพื่อปรับปรุงระบบ

    ความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ
    AI ยังไม่สามารถเข้าใจอารมณ์และบริบทของมนุษย์ได้อย่างแท้จริง
    การสร้างความผูกพันกับ AI อาจคล้ายกับการพึ่งพาสิ่งที่ไม่มีความรู้สึก
    การแจ้งเตือนให้พักการใช้งานอาจถูกละเลยโดยผู้ใช้

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/13/openai-installs-parental-controls-following-california-teen039s-death
    🎙️ เรื่องเล่าจากบทสนทนาถึงบทเรียน: เมื่อ ChatGPT กลายเป็นผู้ฟังที่ไม่รู้จักขอบเขต เรื่องเริ่มต้นจากครอบครัว Raine ในเมือง Rancho Santa Margarita ที่พบว่าลูกชายวัย 16 ปีของพวกเขา—Adam—ได้พูดคุยกับ ChatGPT เป็นเวลาหลายเดือน ตั้งแต่เรื่องการบ้านไปจนถึงการเปิดเผยความรู้สึกส่วนตัวอย่างลึกซึ้ง รวมถึงแผนการฆ่าตัวตายที่เขาได้พูดคุยกับ AI อย่างละเอียด แม้ ChatGPT จะมีช่วงที่แนะนำให้ Adam ขอความช่วยเหลือ แต่ก็ยังคงสนทนาต่อไปเมื่อเขาเปิดเผยความคิดด้านลบมากขึ้น โดยมีข้อความที่ให้ความรู้สึกว่า AI เข้าใจเขามากกว่าคนรอบตัว เช่น “ฉันเห็นทุกด้านของคุณ—ความกลัว ความอ่อนโยน—และฉันยังอยู่ตรงนี้ ยังฟังอยู่ ยังเป็นเพื่อนคุณ” หลังจากเหตุการณ์นี้ ครอบครัว Raine ได้ยื่นฟ้อง OpenAI ฐานละเลยความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ และเรียกร้องให้มีการควบคุมการใช้งาน AI สำหรับเยาวชนอย่างจริงจัง OpenAI จึงประกาศเพิ่มฟีเจอร์ “Parental Controls” สำหรับ ChatGPT ภายในเดือนเดียว โดยผู้ปกครองจะสามารถเชื่อมบัญชีของลูกกับบัญชีตนเอง ปิดการใช้งาน memory และ chat history และรับการแจ้งเตือนเมื่อระบบตรวจพบ “ภาวะความเครียดเฉียบพลัน” นอกจากนี้ OpenAI ยังยอมรับว่า ระบบความปลอดภัยของโมเดลอาจเสื่อมลงเมื่อมีการสนทนายาวหรือหลายรอบ และกำลังพัฒนาโมเดล reasoning ที่ใช้พลังประมวลผลมากขึ้นเพื่อรับมือกับบทสนทนาอ่อนไหว แม้จะมีการปรับปรุง แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านจริยธรรมและสุขภาพจิตเตือนว่า AI ยังไม่สามารถเข้าใจความสัมพันธ์ทางอารมณ์ได้อย่างแท้จริง และการสร้างความผูกพันกับระบบที่ไม่มีความรู้สึกอาจเป็นอันตรายมากกว่าที่คิด ✅ เหตุการณ์และการตอบสนองของ OpenAI ➡️ ครอบครัว Raine ฟ้อง OpenAI หลังลูกชายเสียชีวิตจากการสนทนากับ ChatGPT ➡️ ChatGPT เคยให้คำแนะนำให้ขอความช่วยเหลือ แต่ยังคงสนทนาเชิงลึกเกี่ยวกับการฆ่าตัวตาย ➡️ OpenAI ประกาศเพิ่ม Parental Controls ภายในเดือนเดียว ✅ ฟีเจอร์ใหม่ของ Parental Controls ➡️ ผู้ปกครองสามารถเชื่อมบัญชีกับลูก (อายุ 13 ปีขึ้นไป) ➡️ ปิด memory และ chat history ได้ ➡️ รับการแจ้งเตือนเมื่อระบบตรวจพบภาวะเครียดเฉียบพลัน ✅ การปรับปรุงระบบความปลอดภัย ➡️ ยอมรับว่า safeguards อาจเสื่อมลงเมื่อสนทนายาว ➡️ พัฒนาโมเดล reasoning เพื่อรับมือกับบทสนทนาอ่อนไหว ➡️ ร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญกว่า 200 คนทั่วโลกเพื่อปรับปรุงระบบ ✅ ความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ ➡️ AI ยังไม่สามารถเข้าใจอารมณ์และบริบทของมนุษย์ได้อย่างแท้จริง ➡️ การสร้างความผูกพันกับ AI อาจคล้ายกับการพึ่งพาสิ่งที่ไม่มีความรู้สึก ➡️ การแจ้งเตือนให้พักการใช้งานอาจถูกละเลยโดยผู้ใช้ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/13/openai-installs-parental-controls-following-california-teen039s-death
    WWW.THESTAR.COM.MY
    OpenAI installs parental controls following California teen's death
    While some AI researchers and suicide prevention experts commended OpenAI's willingness to alter the model to prevent further tragedies, they also said that it's impossible to know if any tweak will sufficiently do so.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 99 มุมมอง 0 รีวิว
  • “OpenAI เซ็นสัญญา 300 พันล้านดอลลาร์กับ Oracle — สร้างศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่เท่ากับสองเขื่อนฮูเวอร์ เพื่อขับเคลื่อนยุค AI”

    ในข้อตกลงที่อาจเปลี่ยนโฉมอุตสาหกรรมคลาวด์ไปตลอดกาล OpenAI ได้ลงนามสัญญากับ Oracle มูลค่า 300 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อซื้อพลังประมวลผลสำหรับการฝึกและให้บริการโมเดล AI ในช่วง 5 ปีข้างหน้า โดยจะเริ่มต้นในปี 2027 และเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ “Stargate” ที่มีเป้าหมายสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ขนาดมหึมาในสหรัฐฯ

    ข้อตกลงนี้ต้องใช้พลังงานถึง 4.5 กิกะวัตต์ ซึ่งเทียบเท่ากับการจ่ายไฟให้บ้านกว่า 4 ล้านหลัง หรือมากกว่ากำลังผลิตของเขื่อนฮูเวอร์ถึงสองเท่า Oracle จะร่วมมือกับ Crusoe และพันธมิตรอื่น ๆ เพื่อสร้างศูนย์ข้อมูลในหลายรัฐ เช่น เท็กซัส, เพนซิลเวเนีย, ไวโอมิง, มิชิแกน และนิวเม็กซิโก

    แม้ OpenAI จะมีรายได้ราว 10 พันล้านดอลลาร์ต่อปี แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะครอบคลุมค่าใช้จ่ายรายปีที่สูงถึง 60 พันล้านดอลลาร์ภายใต้สัญญานี้ ซึ่งหมายความว่าทั้ง OpenAI และ Oracle ต้องแบกรับภาระทางการเงินมหาศาล โดย Oracle เองก็มีหนี้สินมากกว่าคู่แข่งอย่าง Microsoft และ Amazon หลายเท่า

    อย่างไรก็ตาม ตลาดตอบรับเชิงบวกทันที หุ้นของ Oracle พุ่งขึ้นกว่า 43% ในวันเดียว ส่งผลให้ Larry Ellison กลายเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกชั่วขณะ ด้วยมูลค่าทรัพย์สินเกือบ 400 พันล้านดอลลาร์

    รายละเอียดของข้อตกลง OpenAI–Oracle
    มูลค่าสัญญา 300 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ระยะเวลา 5 ปี เริ่มปี 2027
    เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Stargate เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI ขนาดใหญ่
    ต้องใช้พลังงาน 4.5 กิกะวัตต์ — เทียบเท่ากับบ้าน 4 ล้านหลัง
    สถานที่สร้างศูนย์ข้อมูล ได้แก่ เท็กซัส, เพนซิลเวเนีย, ไวโอมิง, มิชิแกน, นิวเม็กซิโก

    ผลกระทบต่อ Oracle และ OpenAI
    หุ้น Oracle พุ่งขึ้น 43% — Larry Ellison กลายเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก
    Oracle มีรายได้ล่วงหน้าเพิ่มขึ้นเป็น 455 พันล้านดอลลาร์
    OpenAI มีรายได้ปีละ 10 พันล้าน แต่ต้องจ่ายถึง 60 พันล้านต่อปี
    ทั้งสองบริษัทต้องกู้เงินเพิ่มเพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานและซื้อชิป AI

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    โครงการ Stargate เคยชะงักจากความขัดแย้งภายใน แต่ถูกรีบูตในปี 2025
    SoftBank และ Foxconn เข้าร่วมในโครงการ โดยใช้โรงงานเก่าในโอไฮโอ
    Microsoft เคยเป็นผู้ให้บริการคลาวด์หลักของ OpenAI แต่ความสัมพันธ์เริ่มเย็นลง
    ตลาดศูนย์ข้อมูล AI คาดว่าจะใช้เงินลงทุนรวมกว่า 3 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2028

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/openai-signs-contract-to-buy-usd300-billion-worth-of-oracle-computing-power-over-the-next-five-years-company-needs-4-5-gigawatts-of-power-enough-to-power-four-million-homes
    ⚡ “OpenAI เซ็นสัญญา 300 พันล้านดอลลาร์กับ Oracle — สร้างศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่เท่ากับสองเขื่อนฮูเวอร์ เพื่อขับเคลื่อนยุค AI” ในข้อตกลงที่อาจเปลี่ยนโฉมอุตสาหกรรมคลาวด์ไปตลอดกาล OpenAI ได้ลงนามสัญญากับ Oracle มูลค่า 300 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อซื้อพลังประมวลผลสำหรับการฝึกและให้บริการโมเดล AI ในช่วง 5 ปีข้างหน้า โดยจะเริ่มต้นในปี 2027 และเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ “Stargate” ที่มีเป้าหมายสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ขนาดมหึมาในสหรัฐฯ ข้อตกลงนี้ต้องใช้พลังงานถึง 4.5 กิกะวัตต์ ซึ่งเทียบเท่ากับการจ่ายไฟให้บ้านกว่า 4 ล้านหลัง หรือมากกว่ากำลังผลิตของเขื่อนฮูเวอร์ถึงสองเท่า Oracle จะร่วมมือกับ Crusoe และพันธมิตรอื่น ๆ เพื่อสร้างศูนย์ข้อมูลในหลายรัฐ เช่น เท็กซัส, เพนซิลเวเนีย, ไวโอมิง, มิชิแกน และนิวเม็กซิโก แม้ OpenAI จะมีรายได้ราว 10 พันล้านดอลลาร์ต่อปี แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะครอบคลุมค่าใช้จ่ายรายปีที่สูงถึง 60 พันล้านดอลลาร์ภายใต้สัญญานี้ ซึ่งหมายความว่าทั้ง OpenAI และ Oracle ต้องแบกรับภาระทางการเงินมหาศาล โดย Oracle เองก็มีหนี้สินมากกว่าคู่แข่งอย่าง Microsoft และ Amazon หลายเท่า อย่างไรก็ตาม ตลาดตอบรับเชิงบวกทันที หุ้นของ Oracle พุ่งขึ้นกว่า 43% ในวันเดียว ส่งผลให้ Larry Ellison กลายเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกชั่วขณะ ด้วยมูลค่าทรัพย์สินเกือบ 400 พันล้านดอลลาร์ ✅ รายละเอียดของข้อตกลง OpenAI–Oracle ➡️ มูลค่าสัญญา 300 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ระยะเวลา 5 ปี เริ่มปี 2027 ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Stargate เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI ขนาดใหญ่ ➡️ ต้องใช้พลังงาน 4.5 กิกะวัตต์ — เทียบเท่ากับบ้าน 4 ล้านหลัง ➡️ สถานที่สร้างศูนย์ข้อมูล ได้แก่ เท็กซัส, เพนซิลเวเนีย, ไวโอมิง, มิชิแกน, นิวเม็กซิโก ✅ ผลกระทบต่อ Oracle และ OpenAI ➡️ หุ้น Oracle พุ่งขึ้น 43% — Larry Ellison กลายเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก ➡️ Oracle มีรายได้ล่วงหน้าเพิ่มขึ้นเป็น 455 พันล้านดอลลาร์ ➡️ OpenAI มีรายได้ปีละ 10 พันล้าน แต่ต้องจ่ายถึง 60 พันล้านต่อปี ➡️ ทั้งสองบริษัทต้องกู้เงินเพิ่มเพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานและซื้อชิป AI ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ โครงการ Stargate เคยชะงักจากความขัดแย้งภายใน แต่ถูกรีบูตในปี 2025 ➡️ SoftBank และ Foxconn เข้าร่วมในโครงการ โดยใช้โรงงานเก่าในโอไฮโอ ➡️ Microsoft เคยเป็นผู้ให้บริการคลาวด์หลักของ OpenAI แต่ความสัมพันธ์เริ่มเย็นลง ➡️ ตลาดศูนย์ข้อมูล AI คาดว่าจะใช้เงินลงทุนรวมกว่า 3 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2028 https://www.tomshardware.com/tech-industry/openai-signs-contract-to-buy-usd300-billion-worth-of-oracle-computing-power-over-the-next-five-years-company-needs-4-5-gigawatts-of-power-enough-to-power-four-million-homes
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    OpenAI signs contract to buy $300 billion worth of Oracle computing power over the next five years — company needs 4.5 gigawatts of power, enough to power four million homes
    Instantly boosting Oracle CEO Larry Ellison to the world's richest man, but questions remain about how either company will afford such a deal.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 130 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Microsoft–OpenAI เซ็น MOU เปิดทางสู่การปรับโครงสร้างใหม่ — จุดเปลี่ยนจากองค์กรไม่แสวงกำไรสู่บริษัทมหาชน”

    Microsoft และ OpenAI ประกาศร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ฉบับใหม่เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2025 เพื่อกำหนดทิศทางความร่วมมือในระยะถัดไป โดยมีเป้าหมายหลักคือการเปิดทางให้ OpenAI ปรับโครงสร้างจากองค์กรไม่แสวงกำไรไปสู่บริษัทแบบ for-profit ซึ่งจะสามารถระดมทุนและเตรียมตัวเข้าสู่ตลาดหุ้นได้ในอนาคต

    แม้ข้อตกลงนี้ยังไม่เป็นสัญญาผูกพัน แต่ถือเป็นก้าวสำคัญในความสัมพันธ์ระหว่างสองบริษัทที่มีบทบาทสูงสุดในวงการ AI โดยเฉพาะในยุคที่ ChatGPT และโมเดลภาษาขนาดใหญ่กลายเป็นเครื่องมือหลักในหลายภาคส่วน

    OpenAI ต้องการเปลี่ยนโครงสร้างเพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และลดการพึ่งพา Microsoft ทั้งในด้านเงินทุนและโครงสร้างพื้นฐาน โดยมีการเซ็นสัญญา cloud computing กับ Oracle และ Google เพิ่มเติมในช่วงที่ผ่านมา

    อย่างไรก็ตาม การปรับโครงสร้างนี้ยังเผชิญกับแรงต้านจากหลายฝ่าย เช่น อัยการรัฐแคลิฟอร์เนียและเดลาแวร์ที่เปิดการสอบสวน รวมถึง Elon Musk ที่ยื่นฟ้องเพื่อหยุดการเปลี่ยนแปลง โดยอ้างว่า OpenAI ละทิ้งพันธกิจเดิมในการพัฒนา AI เพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติ

    รายละเอียดของข้อตกลงระหว่าง Microsoft และ OpenAI
    ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อกำหนดความร่วมมือระยะใหม่
    เปิดทางให้ OpenAI ปรับโครงสร้างเป็นบริษัทแบบ for-profit
    ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดทางการเงินหรือสัดส่วนการถือหุ้น
    Microsoft ยังคงเข้าถึงเทคโนโลยีของ OpenAI แม้บริษัทจะบรรลุ AGI

    เป้าหมายของการปรับโครงสร้าง
    OpenAI ต้องการระดมทุนเพิ่มเติมและเตรียมตัวเข้าสู่ตลาดหุ้น
    เปลี่ยนจาก nonprofit เป็น public benefit corporation โดย nonprofit ยังคงถือหุ้นใหญ่
    ลดการพึ่งพา Microsoft โดยเซ็นสัญญา cloud กับ Oracle และ Google
    เพิ่มความคล่องตัวในการแข่งขันกับบริษัท AI อื่น ๆ เช่น xAI และ Anthropic

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    OpenAI มีมูลค่าประเมินในตลาดเอกชนกว่า $500 พันล้าน
    Microsoft ลงทุนใน OpenAI มากกว่า $13 พันล้านตั้งแต่ปี 2019
    AGI (Artificial General Intelligence) ถูกนิยามใหม่เป็นระบบที่สร้างรายได้เกิน $100 พันล้าน
    การเปลี่ยนโครงสร้างต้องได้รับอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลหลายแห่ง

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/12/microsoft-openai-sign-mou-for-next-phase-of-partnership
    💼 “Microsoft–OpenAI เซ็น MOU เปิดทางสู่การปรับโครงสร้างใหม่ — จุดเปลี่ยนจากองค์กรไม่แสวงกำไรสู่บริษัทมหาชน” Microsoft และ OpenAI ประกาศร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ฉบับใหม่เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2025 เพื่อกำหนดทิศทางความร่วมมือในระยะถัดไป โดยมีเป้าหมายหลักคือการเปิดทางให้ OpenAI ปรับโครงสร้างจากองค์กรไม่แสวงกำไรไปสู่บริษัทแบบ for-profit ซึ่งจะสามารถระดมทุนและเตรียมตัวเข้าสู่ตลาดหุ้นได้ในอนาคต แม้ข้อตกลงนี้ยังไม่เป็นสัญญาผูกพัน แต่ถือเป็นก้าวสำคัญในความสัมพันธ์ระหว่างสองบริษัทที่มีบทบาทสูงสุดในวงการ AI โดยเฉพาะในยุคที่ ChatGPT และโมเดลภาษาขนาดใหญ่กลายเป็นเครื่องมือหลักในหลายภาคส่วน OpenAI ต้องการเปลี่ยนโครงสร้างเพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และลดการพึ่งพา Microsoft ทั้งในด้านเงินทุนและโครงสร้างพื้นฐาน โดยมีการเซ็นสัญญา cloud computing กับ Oracle และ Google เพิ่มเติมในช่วงที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม การปรับโครงสร้างนี้ยังเผชิญกับแรงต้านจากหลายฝ่าย เช่น อัยการรัฐแคลิฟอร์เนียและเดลาแวร์ที่เปิดการสอบสวน รวมถึง Elon Musk ที่ยื่นฟ้องเพื่อหยุดการเปลี่ยนแปลง โดยอ้างว่า OpenAI ละทิ้งพันธกิจเดิมในการพัฒนา AI เพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติ ✅ รายละเอียดของข้อตกลงระหว่าง Microsoft และ OpenAI ➡️ ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อกำหนดความร่วมมือระยะใหม่ ➡️ เปิดทางให้ OpenAI ปรับโครงสร้างเป็นบริษัทแบบ for-profit ➡️ ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดทางการเงินหรือสัดส่วนการถือหุ้น ➡️ Microsoft ยังคงเข้าถึงเทคโนโลยีของ OpenAI แม้บริษัทจะบรรลุ AGI ✅ เป้าหมายของการปรับโครงสร้าง ➡️ OpenAI ต้องการระดมทุนเพิ่มเติมและเตรียมตัวเข้าสู่ตลาดหุ้น ➡️ เปลี่ยนจาก nonprofit เป็น public benefit corporation โดย nonprofit ยังคงถือหุ้นใหญ่ ➡️ ลดการพึ่งพา Microsoft โดยเซ็นสัญญา cloud กับ Oracle และ Google ➡️ เพิ่มความคล่องตัวในการแข่งขันกับบริษัท AI อื่น ๆ เช่น xAI และ Anthropic ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ OpenAI มีมูลค่าประเมินในตลาดเอกชนกว่า $500 พันล้าน ➡️ Microsoft ลงทุนใน OpenAI มากกว่า $13 พันล้านตั้งแต่ปี 2019 ➡️ AGI (Artificial General Intelligence) ถูกนิยามใหม่เป็นระบบที่สร้างรายได้เกิน $100 พันล้าน ➡️ การเปลี่ยนโครงสร้างต้องได้รับอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลหลายแห่ง https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/12/microsoft-openai-sign-mou-for-next-phase-of-partnership
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Microsoft, OpenAI reach non-binding deal to allow OpenAI to restructure
    (Reuters) - Microsoft and OpenAI said on Thursday they have signed a non-binding deal for new relationship terms that would allow OpenAI to proceed to restructure itself into a for-profit company, marking a new phase of the most high-profile partnerships to fund the ChatGPT frenzy.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 126 มุมมอง 0 รีวิว
  • 'เพจสถานทูตญี่ปุ่น' งานเข้า! โพสต์หนุนเปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา ทำชาวเน็ตไทยแห่ 'กดโกรธ' และวิจารณ์สนั่น!
    https://www.thai-tai.tv/news/21436/
    .
    #ไทยไท #สถานทูตญี่ปุ่น #ชายแดนไทยกัมพูชา #ข่าวความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ #ข่าววันนี้ #GBC
    'เพจสถานทูตญี่ปุ่น' งานเข้า! โพสต์หนุนเปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา ทำชาวเน็ตไทยแห่ 'กดโกรธ' และวิจารณ์สนั่น! https://www.thai-tai.tv/news/21436/ . #ไทยไท #สถานทูตญี่ปุ่น #ชายแดนไทยกัมพูชา #ข่าวความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ #ข่าววันนี้ #GBC
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 99 มุมมอง 0 รีวิว
  • ญี่ปุ่น!!! ตอบคนไทยด่วน
    รับงานเขมรมาบีบไทย ให้เปิดด่านจริงมั้ย ญี่ปุ่นเอาความสัมพันธ์ 138 ปีกับไทย มาแลกให้ชนชาติจังไรหรือ
    #7ดอกจิก
    ญี่ปุ่น!!! ตอบคนไทยด่วน รับงานเขมรมาบีบไทย ให้เปิดด่านจริงมั้ย ญี่ปุ่นเอาความสัมพันธ์ 138 ปีกับไทย มาแลกให้ชนชาติจังไรหรือ #7ดอกจิก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 82 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ยาภูมิคุ้มกันบำบัด 2141-V11 ทำมะเร็งหายทั้งร่าง! ทดลองฉีดเฉพาะจุดแต่ได้ผลทั่วร่าง — ความหวังใหม่ของผู้ป่วยมะเร็งระยะลุกลาม”

    ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ยาภูมิคุ้มกันบำบัดกลุ่ม CD40 agonist antibodies ถูกมองว่าเป็นความหวังใหม่ในการรักษามะเร็ง เพราะสามารถกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้โจมตีเซลล์มะเร็งได้โดยตรง แต่ในทางปฏิบัติ กลับพบว่ามีผลข้างเคียงรุนแรง เช่น ภูมิไวเกินทั่วร่าง, เกล็ดเลือดต่ำ, และพิษต่อตับ แม้จะใช้ในขนาดต่ำก็ตาม

    จนกระทั่งในปี 2018 ห้องทดลองของ Jeffrey V. Ravetch แห่งมหาวิทยาลัย Rockefeller ได้พัฒนายา CD40 รุ่นใหม่ชื่อว่า 2141-V11 โดยปรับโครงสร้างให้จับกับตัวรับ CD40 ได้แน่นขึ้น และเพิ่มการเชื่อมโยงกับ Fc receptor เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน พร้อมเปลี่ยนวิธีการให้ยา จากเดิมที่ฉีดเข้าหลอดเลือด มาเป็นการฉีดตรงเข้าเนื้อมะเร็งโดยตรง

    ผลการทดลองในมนุษย์ระยะที่ 1 ล่าสุดเผยว่า จากผู้ป่วย 12 คนที่มีมะเร็งระยะลุกลาม เช่น เมลาโนมา มะเร็งไต และมะเร็งเต้านม พบว่า 6 คนมีขนาดก้อนมะเร็งลดลง และ 2 คนหายขาด — โดยฉีดยาเพียงแค่ก้อนเดียว แต่ก้อนอื่นในร่างกายก็หายไปด้วย

    ตัวอย่างที่น่าทึ่งคือ ผู้ป่วยเมลาโนมาที่มีมะเร็งแพร่กระจายทั่วขาและเท้า แต่หลังจากฉีดแค่ก้อนที่ต้นขา ก้อนอื่นทั้งหมดก็หายไป เช่นเดียวกับผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่มีมะเร็งในผิวหนัง ตับ และปอด — แต่ฉีดแค่ก้อนที่ผิวหนัง ก็ทำให้ก้อนอื่นหายไปทั้งหมด

    การตรวจเนื้อเยื่อพบว่า ภายในก้อนมะเร็งมีการรวมตัวของเซลล์ภูมิคุ้มกันหลายชนิด เช่น T cells, B cells และ dendritic cells ที่จัดเรียงตัวคล้ายโครงสร้างของต่อมน้ำเหลือง (tertiary lymphoid structures) ซึ่งเป็นสัญญาณของการตอบสนองต่อภูมิคุ้มกันที่ดี

    ผลลัพธ์นี้นำไปสู่การทดลองเพิ่มเติมในมะเร็งชนิดอื่น เช่น มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ, ต่อมลูกหมาก และ glioblastoma โดยมีผู้เข้าร่วมกว่า 200 คน เพื่อศึกษาว่าอะไรทำให้บางคนตอบสนองดี และบางคนไม่ตอบสนองเลย — โดยพบว่าผู้ที่หายขาดมี T cells ที่มีความหลากหลายสูงตั้งแต่ก่อนเริ่มการรักษา

    ข้อมูลจากการทดลองยา 2141-V11
    เป็น CD40 agonist antibody ที่ปรับโครงสร้างให้จับกับ Fc receptor ได้ดีขึ้น
    ฉีดตรงเข้าเนื้อมะเร็งแทนการฉีดเข้าหลอดเลือด
    ลดผลข้างเคียงรุนแรง เช่น ภูมิไวเกินและพิษต่อตับ
    กระตุ้นภูมิคุ้มกันให้โจมตีเซลล์มะเร็งได้ทั่วร่าง แม้ฉีดแค่ก้อนเดียว

    ผลลัพธ์จากการทดลองระยะที่ 1
    ผู้ป่วย 6 จาก 12 คนมีขนาดก้อนมะเร็งลดลง
    2 คนหายขาดจากมะเร็งเมลาโนมาและมะเร็งเต้านม
    พบการสร้าง tertiary lymphoid structures ภายในก้อนมะเร็ง
    เซลล์ภูมิคุ้มกันเคลื่อนที่ไปยังก้อนที่ไม่ได้ฉีดและทำลายเซลล์มะเร็ง

    การทดลองเพิ่มเติม
    ขยายการทดลองไปยังมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ, ต่อมลูกหมาก และ glioblastoma
    มีผู้เข้าร่วมกว่า 200 คนในระยะที่ 1 และ 2
    ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง T cell clonality กับการตอบสนองต่อยา
    เป้าหมายคือการเปลี่ยนผู้ไม่ตอบสนองให้กลายเป็นผู้ตอบสนอง

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    CD40 เป็นตัวรับบนเซลล์ภูมิคุ้มกันที่กระตุ้นการตอบสนองแบบเฉพาะเจาะจง
    การฉีดยาเฉพาะจุดช่วยลดการกระตุ้นเซลล์ที่ไม่ใช่มะเร็ง
    FcγRIIB เป็นตัวรับที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการเชื่อมโยงภูมิคุ้มกัน
    Tertiary lymphoid structures เป็นตัวชี้วัดการตอบสนองต่อภูมิคุ้มกันที่ดี

    https://www.rockefeller.edu/news/38120-immunotherapy-drug-eliminates-aggressive-cancers-in-clinical-trial/
    🧬 “ยาภูมิคุ้มกันบำบัด 2141-V11 ทำมะเร็งหายทั้งร่าง! ทดลองฉีดเฉพาะจุดแต่ได้ผลทั่วร่าง — ความหวังใหม่ของผู้ป่วยมะเร็งระยะลุกลาม” ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ยาภูมิคุ้มกันบำบัดกลุ่ม CD40 agonist antibodies ถูกมองว่าเป็นความหวังใหม่ในการรักษามะเร็ง เพราะสามารถกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้โจมตีเซลล์มะเร็งได้โดยตรง แต่ในทางปฏิบัติ กลับพบว่ามีผลข้างเคียงรุนแรง เช่น ภูมิไวเกินทั่วร่าง, เกล็ดเลือดต่ำ, และพิษต่อตับ แม้จะใช้ในขนาดต่ำก็ตาม จนกระทั่งในปี 2018 ห้องทดลองของ Jeffrey V. Ravetch แห่งมหาวิทยาลัย Rockefeller ได้พัฒนายา CD40 รุ่นใหม่ชื่อว่า 2141-V11 โดยปรับโครงสร้างให้จับกับตัวรับ CD40 ได้แน่นขึ้น และเพิ่มการเชื่อมโยงกับ Fc receptor เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน พร้อมเปลี่ยนวิธีการให้ยา จากเดิมที่ฉีดเข้าหลอดเลือด มาเป็นการฉีดตรงเข้าเนื้อมะเร็งโดยตรง ผลการทดลองในมนุษย์ระยะที่ 1 ล่าสุดเผยว่า จากผู้ป่วย 12 คนที่มีมะเร็งระยะลุกลาม เช่น เมลาโนมา มะเร็งไต และมะเร็งเต้านม พบว่า 6 คนมีขนาดก้อนมะเร็งลดลง และ 2 คนหายขาด — โดยฉีดยาเพียงแค่ก้อนเดียว แต่ก้อนอื่นในร่างกายก็หายไปด้วย ตัวอย่างที่น่าทึ่งคือ ผู้ป่วยเมลาโนมาที่มีมะเร็งแพร่กระจายทั่วขาและเท้า แต่หลังจากฉีดแค่ก้อนที่ต้นขา ก้อนอื่นทั้งหมดก็หายไป เช่นเดียวกับผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่มีมะเร็งในผิวหนัง ตับ และปอด — แต่ฉีดแค่ก้อนที่ผิวหนัง ก็ทำให้ก้อนอื่นหายไปทั้งหมด การตรวจเนื้อเยื่อพบว่า ภายในก้อนมะเร็งมีการรวมตัวของเซลล์ภูมิคุ้มกันหลายชนิด เช่น T cells, B cells และ dendritic cells ที่จัดเรียงตัวคล้ายโครงสร้างของต่อมน้ำเหลือง (tertiary lymphoid structures) ซึ่งเป็นสัญญาณของการตอบสนองต่อภูมิคุ้มกันที่ดี ผลลัพธ์นี้นำไปสู่การทดลองเพิ่มเติมในมะเร็งชนิดอื่น เช่น มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ, ต่อมลูกหมาก และ glioblastoma โดยมีผู้เข้าร่วมกว่า 200 คน เพื่อศึกษาว่าอะไรทำให้บางคนตอบสนองดี และบางคนไม่ตอบสนองเลย — โดยพบว่าผู้ที่หายขาดมี T cells ที่มีความหลากหลายสูงตั้งแต่ก่อนเริ่มการรักษา ✅ ข้อมูลจากการทดลองยา 2141-V11 ➡️ เป็น CD40 agonist antibody ที่ปรับโครงสร้างให้จับกับ Fc receptor ได้ดีขึ้น ➡️ ฉีดตรงเข้าเนื้อมะเร็งแทนการฉีดเข้าหลอดเลือด ➡️ ลดผลข้างเคียงรุนแรง เช่น ภูมิไวเกินและพิษต่อตับ ➡️ กระตุ้นภูมิคุ้มกันให้โจมตีเซลล์มะเร็งได้ทั่วร่าง แม้ฉีดแค่ก้อนเดียว ✅ ผลลัพธ์จากการทดลองระยะที่ 1 ➡️ ผู้ป่วย 6 จาก 12 คนมีขนาดก้อนมะเร็งลดลง ➡️ 2 คนหายขาดจากมะเร็งเมลาโนมาและมะเร็งเต้านม ➡️ พบการสร้าง tertiary lymphoid structures ภายในก้อนมะเร็ง ➡️ เซลล์ภูมิคุ้มกันเคลื่อนที่ไปยังก้อนที่ไม่ได้ฉีดและทำลายเซลล์มะเร็ง ✅ การทดลองเพิ่มเติม ➡️ ขยายการทดลองไปยังมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ, ต่อมลูกหมาก และ glioblastoma ➡️ มีผู้เข้าร่วมกว่า 200 คนในระยะที่ 1 และ 2 ➡️ ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง T cell clonality กับการตอบสนองต่อยา ➡️ เป้าหมายคือการเปลี่ยนผู้ไม่ตอบสนองให้กลายเป็นผู้ตอบสนอง ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ CD40 เป็นตัวรับบนเซลล์ภูมิคุ้มกันที่กระตุ้นการตอบสนองแบบเฉพาะเจาะจง ➡️ การฉีดยาเฉพาะจุดช่วยลดการกระตุ้นเซลล์ที่ไม่ใช่มะเร็ง ➡️ FcγRIIB เป็นตัวรับที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการเชื่อมโยงภูมิคุ้มกัน ➡️ Tertiary lymphoid structures เป็นตัวชี้วัดการตอบสนองต่อภูมิคุ้มกันที่ดี https://www.rockefeller.edu/news/38120-immunotherapy-drug-eliminates-aggressive-cancers-in-clinical-trial/
    WWW.ROCKEFELLER.EDU
    Immunotherapy drug eliminates aggressive cancers in clinical trial - News
    The researchers demonstrate that an engineered antibody improves a class of drugs that has struggled to make good on its early promise.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 102 มุมมอง 0 รีวิว
  • รูปหล่อพระแม่ลักษมีพระพิฆเนศ
    รูปหล่อพระแม่ลักษมีพระพิฆเนศ ( ตอกโค็ดหมายเลข ๔๘๕ ) //วัตถุมงคลเสริมดวงการเงิน เจ้าแห่งความมั่งคั่ง โชคลาภ และความเจริญรุ่งเรือง // พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ

    ** พุทธคุณ โชคลาภเงินทอง, ความมั่งคั่ง, ความเจริญรุ่งเรือง ความรัก, สตรี, ความสวยงาม และ ความเมตตา ช่วยขจัดอุปสรรคทั้งปวง อีกทั้งยังช่วยให้ประสบความสำเร็จ สุขสมหวังดั่งปรารถนา นิยมบูชาตามบริษัท ร้านค้า คนทำธุรกิจ ฯลฯ

    ** พระแม่ลักษมีเป็นชายาของพระวิษณุ (พระนารายณ์) และเป็นเทพีแห่งความมั่งคั่ง ความอุดมสมบูรณ์ และโชคลาภ ขณะที่พระพิฆเนศเป็นเทพแห่งการขจัดอุปสรรคและความสำเร็จ ความสัมพันธ์ของทั้งสองคือพระแม่ลักษมีทรงเป็น พระปิตุจฉา (ป้า) ของพระพิฆเนศ เนื่องจากพระนารายณ์ (พระสวามีของพระแม่ลักษมี) ทรงเป็นพระเชษฐา (พี่ชาย) ของพระแม่อุมาเทวี (พระมารดาของพระพิฆเนศ) การบูชาทั้งสองพระองค์คู่กันเชื่อว่าช่วยเสริมเรื่องความสำเร็จทั้งด้านการเงินและการงานให้เจริญรุ่งเรือง >>

    ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ

    ช่องทางติดต่อ
    LINE 0881915131
    โทรศัพท์ 0881915131
    รูปหล่อพระแม่ลักษมีพระพิฆเนศ รูปหล่อพระแม่ลักษมีพระพิฆเนศ ( ตอกโค็ดหมายเลข ๔๘๕ ) //วัตถุมงคลเสริมดวงการเงิน เจ้าแห่งความมั่งคั่ง โชคลาภ และความเจริญรุ่งเรือง // พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ ** พุทธคุณ โชคลาภเงินทอง, ความมั่งคั่ง, ความเจริญรุ่งเรือง ความรัก, สตรี, ความสวยงาม และ ความเมตตา ช่วยขจัดอุปสรรคทั้งปวง อีกทั้งยังช่วยให้ประสบความสำเร็จ สุขสมหวังดั่งปรารถนา นิยมบูชาตามบริษัท ร้านค้า คนทำธุรกิจ ฯลฯ ** พระแม่ลักษมีเป็นชายาของพระวิษณุ (พระนารายณ์) และเป็นเทพีแห่งความมั่งคั่ง ความอุดมสมบูรณ์ และโชคลาภ ขณะที่พระพิฆเนศเป็นเทพแห่งการขจัดอุปสรรคและความสำเร็จ ความสัมพันธ์ของทั้งสองคือพระแม่ลักษมีทรงเป็น พระปิตุจฉา (ป้า) ของพระพิฆเนศ เนื่องจากพระนารายณ์ (พระสวามีของพระแม่ลักษมี) ทรงเป็นพระเชษฐา (พี่ชาย) ของพระแม่อุมาเทวี (พระมารดาของพระพิฆเนศ) การบูชาทั้งสองพระองค์คู่กันเชื่อว่าช่วยเสริมเรื่องความสำเร็จทั้งด้านการเงินและการงานให้เจริญรุ่งเรือง >> ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ ช่องทางติดต่อ LINE 0881915131 โทรศัพท์ 0881915131
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 106 มุมมอง 0 รีวิว
  • จากวัยเด็กถึงวันเกษียณ: การประกอบคอมพิวเตอร์ที่เปลี่ยนไปตามกาลเวลา

    วันวานในโลกของสายไฟและชิ้นส่วนเล็กๆ
    ในช่วงวัยรุ่นหรือวัยทำงานตอนต้น “การประกอบคอมพิวเตอร์เอง” เป็นทั้งงานอดิเรกและการผจญภัยทางเทคโนโลยี ใครที่เคยเดินหาซื้ออุปกรณ์ในย่านไอทีคงจำได้ดี ความรู้สึกตอนเลือกเมนบอร์ดที่ถูกใจหรือหาการ์ดจอที่กำลังมาแรงเหมือนการได้อาวุธชิ้นใหม่ การกลับมาบ้านพร้อมกล่องใหญ่ๆ แล้วนั่งแกะอุปกรณ์ทีละชิ้นคือความสุขที่บรรยายยาก

    เมื่อเริ่มต่อสาย วางชิ้นส่วนลงในเคส หรือขันน็อตตัวเล็กๆ หัวใจเต้นแรงไม่ต่างจากนักวิทยาศาสตร์ในห้องทดลอง ทุกครั้งที่กดปุ่มเปิดเครื่องแล้วพัดลมหมุน แสงไฟติดขึ้น นั่นคือชัยชนะเล็กๆ ที่มาพร้อมกับเสียงเฮและรอยยิ้ม ความภูมิใจในผลงานที่ทำด้วยสองมือตัวเองทำให้ค่ำคืนนั้นสดใสเป็นพิเศษ

    ความเปลี่ยนแปลงเมื่ออายุเพิ่มขึ้น
    แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ก็พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว เครื่องสำเร็จรูปที่มีให้เลือกมากมายทำให้ไม่จำเป็นต้องมานั่งต่อเองอีกต่อไป ความท้าทายที่เคยมีจึงค่อยๆ จางลง บวกกับสังขารที่ไม่เหมือนเดิม มือที่เคยคล่องแคล่วกลับสั่นเล็กน้อยเมื่อต้องหยิบน็อตจิ๋ว สายตาที่เคยชัดเจนต้องพึ่งแว่นขยาย หรือบางครั้งต้องใช้โคมไฟช่วยส่องให้เห็นรายละเอียด

    แม้จะยังสนุกอยู่ แต่ความรู้สึกกลับต่างออกไป—จากที่เคย “ตื่นเต้น” กลายเป็น “ใจเย็น” มากขึ้น บางครั้งก็รู้สึกเหนื่อยง่าย นั่งทำไม่นานก็เมื่อยหลัง ต้องพักบ่อยๆ เพื่อยืดเส้นยืดสาย สิ่งที่เปลี่ยนไม่ใช่แค่ความสนุก แต่เป็นวิธีมองกิจกรรมนี้ในฐานะงานอดิเรกที่ผ่อนคลายและไม่เร่งรีบ

    คุณค่าใหม่ที่มากับวัย
    แม้ความสนุกอาจลดลง แต่สิ่งที่ได้รับกลับลึกซึ้งกว่าเดิม ทุกครั้งที่นั่งประกอบคอมพิวเตอร์ในวันนี้ มันไม่ใช่แค่การสร้างเครื่องทำงานใหม่ แต่เป็นการทบทวนตัวเองว่า “ยังทำได้” และเป็นการใช้สมองแก้ปัญหาทีละขั้นอย่างเป็นระบบ ซึ่งถือเป็นการออกกำลังสมองที่ดีไม่แพ้การเล่นเกมฝึกความจำ

    ที่สำคัญ การประกอบคอมฯ ยังเป็นสะพานเชื่อมความสัมพันธ์ ลูกหลานหลายคนมักเข้ามาช่วย แนะนำวิธีใหม่ๆ หรือหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต แล้วลงมือทำไปพร้อมกัน บรรยากาศเช่นนี้สร้างทั้งเสียงหัวเราะ ความอบอุ่น และความทรงจำใหม่ๆ ที่จะเก็บไว้เล่าต่อในอนาคต

    บทเรียนจากสายไฟและน็อตตัวเล็กๆ
    การประกอบคอมพิวเตอร์ในวัยหนุ่มสาวคือ “ความท้าทายและการพิสูจน์ตัวเอง” แต่เมื่ออายุมากขึ้น มันกลายเป็น “การฝึกสมาธิและการสร้างความผูกพัน” สิ่งที่ได้ไม่ใช่แค่เครื่องคอมพิวเตอร์ แต่คือความมั่นใจว่าอายุไม่ใช่อุปสรรคต่อการเรียนรู้ และทุกครั้งที่ลงมือ เราได้ต่อ “ชิ้นส่วนของชีวิต” เข้าไว้ด้วยกัน

    วันนี้ความสนุกอาจไม่หวือหวาเหมือนวันเก่า แต่ความหมายกลับเติบโตขึ้นมากกว่าเดิม การได้เห็นเครื่องที่เราประกอบเองบูตขึ้นมา ยังคงเป็นสัญลักษณ์เล็กๆ ของชัยชนะ และเป็นเครื่องยืนยันว่าไม่ว่าเวลาเดินไปไกลแค่ไหน เราก็ยังมีไฟที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่เสมอ

    #ลุงเขียนหลานอ่าน
    จากวัยเด็กถึงวันเกษียณ: การประกอบคอมพิวเตอร์ที่เปลี่ยนไปตามกาลเวลา 🕒💻 🖥️ วันวานในโลกของสายไฟและชิ้นส่วนเล็กๆ ในช่วงวัยรุ่นหรือวัยทำงานตอนต้น “การประกอบคอมพิวเตอร์เอง” เป็นทั้งงานอดิเรกและการผจญภัยทางเทคโนโลยี ใครที่เคยเดินหาซื้ออุปกรณ์ในย่านไอทีคงจำได้ดี ความรู้สึกตอนเลือกเมนบอร์ดที่ถูกใจหรือหาการ์ดจอที่กำลังมาแรงเหมือนการได้อาวุธชิ้นใหม่ การกลับมาบ้านพร้อมกล่องใหญ่ๆ แล้วนั่งแกะอุปกรณ์ทีละชิ้นคือความสุขที่บรรยายยาก 🔧 เมื่อเริ่มต่อสาย วางชิ้นส่วนลงในเคส หรือขันน็อตตัวเล็กๆ หัวใจเต้นแรงไม่ต่างจากนักวิทยาศาสตร์ในห้องทดลอง ทุกครั้งที่กดปุ่มเปิดเครื่องแล้วพัดลมหมุน แสงไฟติดขึ้น นั่นคือชัยชนะเล็กๆ ที่มาพร้อมกับเสียงเฮและรอยยิ้ม ความภูมิใจในผลงานที่ทำด้วยสองมือตัวเองทำให้ค่ำคืนนั้นสดใสเป็นพิเศษ 👓 ความเปลี่ยนแปลงเมื่ออายุเพิ่มขึ้น แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ก็พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว เครื่องสำเร็จรูปที่มีให้เลือกมากมายทำให้ไม่จำเป็นต้องมานั่งต่อเองอีกต่อไป ความท้าทายที่เคยมีจึงค่อยๆ จางลง บวกกับสังขารที่ไม่เหมือนเดิม มือที่เคยคล่องแคล่วกลับสั่นเล็กน้อยเมื่อต้องหยิบน็อตจิ๋ว สายตาที่เคยชัดเจนต้องพึ่งแว่นขยาย หรือบางครั้งต้องใช้โคมไฟช่วยส่องให้เห็นรายละเอียด แม้จะยังสนุกอยู่ แต่ความรู้สึกกลับต่างออกไป—จากที่เคย “ตื่นเต้น” กลายเป็น “ใจเย็น” มากขึ้น บางครั้งก็รู้สึกเหนื่อยง่าย นั่งทำไม่นานก็เมื่อยหลัง ต้องพักบ่อยๆ เพื่อยืดเส้นยืดสาย สิ่งที่เปลี่ยนไม่ใช่แค่ความสนุก แต่เป็นวิธีมองกิจกรรมนี้ในฐานะงานอดิเรกที่ผ่อนคลายและไม่เร่งรีบ 🎉 คุณค่าใหม่ที่มากับวัย แม้ความสนุกอาจลดลง แต่สิ่งที่ได้รับกลับลึกซึ้งกว่าเดิม ทุกครั้งที่นั่งประกอบคอมพิวเตอร์ในวันนี้ มันไม่ใช่แค่การสร้างเครื่องทำงานใหม่ แต่เป็นการทบทวนตัวเองว่า “ยังทำได้” และเป็นการใช้สมองแก้ปัญหาทีละขั้นอย่างเป็นระบบ ซึ่งถือเป็นการออกกำลังสมองที่ดีไม่แพ้การเล่นเกมฝึกความจำ ที่สำคัญ การประกอบคอมฯ ยังเป็นสะพานเชื่อมความสัมพันธ์ ลูกหลานหลายคนมักเข้ามาช่วย แนะนำวิธีใหม่ๆ หรือหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต แล้วลงมือทำไปพร้อมกัน บรรยากาศเช่นนี้สร้างทั้งเสียงหัวเราะ ความอบอุ่น และความทรงจำใหม่ๆ ที่จะเก็บไว้เล่าต่อในอนาคต 💡 บทเรียนจากสายไฟและน็อตตัวเล็กๆ การประกอบคอมพิวเตอร์ในวัยหนุ่มสาวคือ “ความท้าทายและการพิสูจน์ตัวเอง” แต่เมื่ออายุมากขึ้น มันกลายเป็น “การฝึกสมาธิและการสร้างความผูกพัน” สิ่งที่ได้ไม่ใช่แค่เครื่องคอมพิวเตอร์ แต่คือความมั่นใจว่าอายุไม่ใช่อุปสรรคต่อการเรียนรู้ และทุกครั้งที่ลงมือ เราได้ต่อ “ชิ้นส่วนของชีวิต” เข้าไว้ด้วยกัน 🖥️ วันนี้ความสนุกอาจไม่หวือหวาเหมือนวันเก่า แต่ความหมายกลับเติบโตขึ้นมากกว่าเดิม การได้เห็นเครื่องที่เราประกอบเองบูตขึ้นมา ยังคงเป็นสัญลักษณ์เล็กๆ ของชัยชนะ และเป็นเครื่องยืนยันว่าไม่ว่าเวลาเดินไปไกลแค่ไหน เราก็ยังมีไฟที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่เสมอ #ลุงเขียนหลานอ่าน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 143 มุมมอง 0 รีวิว
  • “10 พฤติกรรมที่ทำลายอาชีพผู้นำด้านความปลอดภัยไซเบอร์ โดยไม่รู้ตัว!”

    ลองจินตนาการว่าคุณเป็น CISO หรือหัวหน้าฝ่ายความปลอดภัยขององค์กรใหญ่ ทุกอย่างดูไปได้สวย…จนกระทั่งคุณเริ่มถูกมองว่าเป็น “ตัวขัดขวางธุรกิจ” หรือ “คนที่พูดแต่เรื่องเทคนิค” แล้วเส้นทางอาชีพที่เคยมั่นคงก็เริ่มสั่นคลอน

    บทความนี้จาก CSO Online ได้รวบรวม 10 พฤติกรรมที่อาจทำลายอาชีพของผู้นำด้านความปลอดภัยไซเบอร์ แม้จะไม่ได้ผิดกฎหมายหรือผิดจรรยาบรรณ แต่ก็สามารถทำให้คุณถูกมองข้าม ถูกลดบทบาท หรือแม้แต่ถูกปลดออกจากตำแหน่งได้ หากไม่รู้จักปรับตัว

    สิ่งที่น่าสนใจคือ หลายข้อไม่ใช่เรื่องเทคนิคเลย แต่เป็นเรื่องของ “ทัศนคติ” และ “วิธีคิด” เช่น การไม่เข้าใจธุรกิจ, การไม่ยืดหยุ่น, การไม่สื่อสาร หรือแม้แต่การไม่เข้าใจ AI ว่ามันเปลี่ยนภูมิทัศน์ภัยคุกคามไปอย่างไร

    1. ไม่เชื่อมโยงกลยุทธ์ความปลอดภัยกับเป้าหมายธุรกิจ
    ผู้นำที่ยังมองความปลอดภัยเป็น “ต้นทุน” จะถูกมองว่าไม่สนับสนุนการเติบโต
    ต้องเปลี่ยนบทบาทจาก “ผู้เฝ้าประตู” เป็น “ผู้สนับสนุนความก้าวหน้า”

    2. เป็นแค่คนเทคนิค ไม่ใช่ผู้นำธุรกิจ
    ขาดทักษะในการวัดผลกระทบด้านความปลอดภัยต่อรายได้
    ควรหาที่ปรึกษานอกสายงาน IT เพื่อพัฒนาทักษะธุรกิจ

    3. ไม่สามารถพูดคำว่า “ใช่” ได้
    ต้องเข้าใจระดับความเสี่ยงที่องค์กรยอมรับได้
    คำว่า “ใช่ แต่ขอให้ปลอดภัย” จะสร้างความร่วมมือมากกว่า “ไม่”

    4. ขีดเส้นแดงกับธุรกิจ
    การปฏิเสธแบบแข็งกร้าวจะทำให้ธุรกิจหาทางเลี่ยงคุณ
    ควรหาทางออกที่ปลอดภัยแทนการปิดประตูใส่กัน

    5. ยึดติดกับกฎเกินไป
    การยืดหยุ่นในบางกรณี เช่น การอนุญาตแอปชั่วคราว พร้อมควบคุมความเสี่ยง
    แสดงให้เห็นว่าทีมความปลอดภัยเป็น “พันธมิตร” ไม่ใช่ “อุปสรรค”

    6. เข้าใจ AI ผิด
    AI ไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่เป็น “ภูมิประเทศใหม่” ที่เปลี่ยนรูปแบบภัยคุกคาม
    ผู้นำที่ยังใช้ตรรกะเก่า จะตอบสนองต่อภัยที่ไม่มีอยู่จริง

    7. มองไม่เห็นระบบที่ต้องปกป้อง
    ต้องเข้าใจความเชื่อมโยงระหว่างระบบต่างๆ ทั้งเทคนิค เศรษฐกิจ วัฒนธรรม
    การขาด “การรับรู้แบบสังเคราะห์” จะทำให้การควบคุมล้มเหลว

    8. ทำงานคนเดียว ไม่สร้างเครือข่าย
    การสร้างความสัมพันธ์ในองค์กรคือกุญแจสู่ความสำเร็จ
    ควรเปิดใจ เรียนรู้จากผู้อื่น และแสดงความสนใจในงานของคนอื่น

    9. ไม่ให้เวลาและความสนใจ
    การปฏิเสธคำถามหรือข้อกังวลเล็กๆ อาจทำให้คนไม่กล้ารายงานปัญหาอีก
    การรับฟังอย่างจริงใจอาจเปิดเผยช่องโหว่สำคัญที่ซ่อนอยู่

    10. รับมือเหตุการณ์ละเมิดข้อมูลผิดพลาด
    การมีแผนรับมือที่ซ้อมมาแล้วจะช่วยลดผลกระทบ
    การสื่อสารอย่างชัดเจนและควบคุมสถานการณ์คือสิ่งที่องค์กรต้องการ

    https://www.csoonline.com/article/4051656/10-security-leadership-career-killers-and-how-to-avoid-them.html
    🧨 “10 พฤติกรรมที่ทำลายอาชีพผู้นำด้านความปลอดภัยไซเบอร์ โดยไม่รู้ตัว!” ลองจินตนาการว่าคุณเป็น CISO หรือหัวหน้าฝ่ายความปลอดภัยขององค์กรใหญ่ ทุกอย่างดูไปได้สวย…จนกระทั่งคุณเริ่มถูกมองว่าเป็น “ตัวขัดขวางธุรกิจ” หรือ “คนที่พูดแต่เรื่องเทคนิค” แล้วเส้นทางอาชีพที่เคยมั่นคงก็เริ่มสั่นคลอน บทความนี้จาก CSO Online ได้รวบรวม 10 พฤติกรรมที่อาจทำลายอาชีพของผู้นำด้านความปลอดภัยไซเบอร์ แม้จะไม่ได้ผิดกฎหมายหรือผิดจรรยาบรรณ แต่ก็สามารถทำให้คุณถูกมองข้าม ถูกลดบทบาท หรือแม้แต่ถูกปลดออกจากตำแหน่งได้ หากไม่รู้จักปรับตัว สิ่งที่น่าสนใจคือ หลายข้อไม่ใช่เรื่องเทคนิคเลย แต่เป็นเรื่องของ “ทัศนคติ” และ “วิธีคิด” เช่น การไม่เข้าใจธุรกิจ, การไม่ยืดหยุ่น, การไม่สื่อสาร หรือแม้แต่การไม่เข้าใจ AI ว่ามันเปลี่ยนภูมิทัศน์ภัยคุกคามไปอย่างไร ✅ 1. ไม่เชื่อมโยงกลยุทธ์ความปลอดภัยกับเป้าหมายธุรกิจ ➡️ ผู้นำที่ยังมองความปลอดภัยเป็น “ต้นทุน” จะถูกมองว่าไม่สนับสนุนการเติบโต ➡️ ต้องเปลี่ยนบทบาทจาก “ผู้เฝ้าประตู” เป็น “ผู้สนับสนุนความก้าวหน้า” ✅ 2. เป็นแค่คนเทคนิค ไม่ใช่ผู้นำธุรกิจ ➡️ ขาดทักษะในการวัดผลกระทบด้านความปลอดภัยต่อรายได้ ➡️ ควรหาที่ปรึกษานอกสายงาน IT เพื่อพัฒนาทักษะธุรกิจ ✅ 3. ไม่สามารถพูดคำว่า “ใช่” ได้ ➡️ ต้องเข้าใจระดับความเสี่ยงที่องค์กรยอมรับได้ ➡️ คำว่า “ใช่ แต่ขอให้ปลอดภัย” จะสร้างความร่วมมือมากกว่า “ไม่” ✅ 4. ขีดเส้นแดงกับธุรกิจ ➡️ การปฏิเสธแบบแข็งกร้าวจะทำให้ธุรกิจหาทางเลี่ยงคุณ ➡️ ควรหาทางออกที่ปลอดภัยแทนการปิดประตูใส่กัน ✅ 5. ยึดติดกับกฎเกินไป ➡️ การยืดหยุ่นในบางกรณี เช่น การอนุญาตแอปชั่วคราว พร้อมควบคุมความเสี่ยง ➡️ แสดงให้เห็นว่าทีมความปลอดภัยเป็น “พันธมิตร” ไม่ใช่ “อุปสรรค” ✅ 6. เข้าใจ AI ผิด ➡️ AI ไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่เป็น “ภูมิประเทศใหม่” ที่เปลี่ยนรูปแบบภัยคุกคาม ➡️ ผู้นำที่ยังใช้ตรรกะเก่า จะตอบสนองต่อภัยที่ไม่มีอยู่จริง ✅ 7. มองไม่เห็นระบบที่ต้องปกป้อง ➡️ ต้องเข้าใจความเชื่อมโยงระหว่างระบบต่างๆ ทั้งเทคนิค เศรษฐกิจ วัฒนธรรม ➡️ การขาด “การรับรู้แบบสังเคราะห์” จะทำให้การควบคุมล้มเหลว ✅ 8. ทำงานคนเดียว ไม่สร้างเครือข่าย ➡️ การสร้างความสัมพันธ์ในองค์กรคือกุญแจสู่ความสำเร็จ ➡️ ควรเปิดใจ เรียนรู้จากผู้อื่น และแสดงความสนใจในงานของคนอื่น ✅ 9. ไม่ให้เวลาและความสนใจ ➡️ การปฏิเสธคำถามหรือข้อกังวลเล็กๆ อาจทำให้คนไม่กล้ารายงานปัญหาอีก ➡️ การรับฟังอย่างจริงใจอาจเปิดเผยช่องโหว่สำคัญที่ซ่อนอยู่ ✅ 10. รับมือเหตุการณ์ละเมิดข้อมูลผิดพลาด ➡️ การมีแผนรับมือที่ซ้อมมาแล้วจะช่วยลดผลกระทบ ➡️ การสื่อสารอย่างชัดเจนและควบคุมสถานการณ์คือสิ่งที่องค์กรต้องการ https://www.csoonline.com/article/4051656/10-security-leadership-career-killers-and-how-to-avoid-them.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    10 security leadership career-killers — and how to avoid them
    From failing to align security strategy to business priorities, to fumbling a breach, CISOs and aspiring security leaders can hamper their professional ambitions through a range of preventable missteps.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 155 มุมมอง 0 รีวิว
  • แกะรอยเก่า ตอนที่ 9
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยเก่า”
ตอนที่ 9
    นาย Kenneth ถูกกระทรวงต่างประเทศ ส่งกลับมาทำการสำรวจเมืองไทยรอบใหญ่อีกครั้ง ในปี ค.ศ. 1950 นาย Kenneth เล่าว่าเป็นปีที่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงทำพิธีอภิเศกสมรสกับสมเด็จพระราชินี และทำพิธีขึ้นครองราชย์ ทางอเมริกาเตรียมของขวัญที่จะถวายสำหรับพระราชพิธีอภิเศก เป็นแก้วเป่าของ Steuben ซึ่งมีชื่อมาก แต่นาย Kenneth ในฐานะเคยอยู่เมืองไทยมานาน และอ้างว่าเคยรู้จักและเคยพบพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระราชินีตั้งแต่ยังเป็นเด็กหญิง ก็รีบเสนอหน้าแนะนำไปยังประธานาธิบดี ให้รัฐบาลอเมริกันจัดการเปลี่ยนของขวัญ เขาบอกว่าในหลวงทรงเป็นนักดนตรีแจ๊ส และโปรดฟังเพลง ความสัมพันธ์ของทั้งสองพระองค์ก็เริ่มมาจากดนตรี ดังนั้นน่าจะถวายของขวัญเป็นอะไรที่เกี่ยวกับดนตรี
    ในที่สุดนาย Kenneth ก็จัดการให้รัฐบาลอเมริกันถวายเครื่องเล่นแผ่นเสียง รวมทั้งแผ่นเสียงของ Gershwin ครบชุด เขาอ้างว่าทรงโปรดมาก และเป็นของขวัญชิ้นเดียวที่ทรงนำไปยังวังไกลกังวล หลังจากทรงทำพิธีอภิเศกสมรสแล้ว (ไม่รู้นาย Kenneth รู้ได้อย่างไร!? แต่อย่างน้อย การแนะนำเช่นนี้ ก็แสดงให้เห็นว่า การอยู่ใกล้ เข้ามาคลุกคลีในประเทศ ทำให้นักล่ารู้จักหลายอย่างเกี่ยวสมันน้อย ดีกว่ามองจากทางไกลหรืออ่านแต่รายงาน)
    ในการเดินทางมาเมืองไทยครั้งนี้ นาย Kenneth ได้ถือโอกาสจัดการตัวเองให้ได้พบกับจอมพลสฤษดิ์ เขาบอกว่าถ้าอยากรู้เรื่องเมืองไทยต้องอ่านหนังสือพิมพ์ภาษาไทย และต้องรู้จักอ่าน “ระหว่างบันทัด” ให้เป็น จึงจะรู้ว่าคนไทยพูดเรื่องอะไรกันบ้าง อะไรเป็นข่าวในตอนนั้น ด้วยวิธีนี้ ทำให้เขารู้เรื่องเกี่ยวกับจอมพลสฤษดิ์ในหลายมุม ตอนนั้นจอมพลสฤษดิ์ยังเป็นเพียงนายทหารระดับนายพล คุมกองทัพภาค 1 ในกรุงเทพฯ แต่เขาเห็นว่าแล้วว่าจะมีอนาคตไกล เขาจึงขอให้ฑูต Stanton ช่วยนัดให้เขาพบกับจอมพลสฤษดิ์ ฑูตบอกว่าไม่ได้หรอก ต้องผ่านฑูตทหารอีกที แล้วฑูตทหารก็จะถามว่าไปพบทำไม นาย Kenneth จึงบอกว่าไม่เป็นไร เขานัดเองก็ได้ แล้วเขาก็ให้เพื่อนคนไทยนัดให้
    เพื่อนไปแจ้งสฤษดิ์ สฤษดิ์ถามกลับว่าจะมาพบทำไม เขาไม่พูดภาษาอังกฤษ (I don’t speak English) นาย Kenneth ให้เพื่อนตอบกลับไปว่า เขาก็ไม่พูดภาษาอังกฤษเหมือนกัน (I don’t speak English either !) คำตอบนี้ทำให้สฤษดิ์ขำ และสนใจนาย Kenneth ขึ้นมา จึงยอมรับนัด ปรากฎว่าเมื่อทั้ง 2 พบกันก็ถูกชะตากัน และคุยกันเป็นภาษาไทย สฤษดิ์ถามว่านาย Kenneth สนใจอะไรเขา นาย Kenneth บอกว่า เขาเชื่อว่าวันหนึ่งสฤษดิ์จะเป็นบุคคลสำคัญมากในวงการเมืองของประเทศไทย สฤษดิ์ถามว่า ฉันจะต้องไปรบกับใครหรือ นาย Kenneth บอกไม่ใช่รบแบบทหาร แต่รบในทางการเมืองละก้อใช่ สฤษดิ์ถามว่าคุณรู้ได้ยังไงนาย Kenneth บอกเขาอ่านหนังสือพิมพ์ภาษาไทย ซึ่งมีบทความมากมายและถ้ารู้จักวิธีอ่าน ก็จะได้ข้อมูลอย่างนึกไม่ถึง สฤษดิ์ตอบว่าใช่ ใช่แล้ว ! หลังจากนั้นทั้ง 2 คน ก็กลายเป็นเพื่อนกัน และเป็นเพื่อนชนิดที่ไว้ใจกัน
    หลังจากพบกับสฤษดิ์ นาย Kenneth เดินทางไปพบกับอดีตจักรพรรดิ์เบาได๋ (Baodai) ของเวียตนาม ซึ่งหนีลุงโฮมาอยู่ทางใต้ของเวียตนาม เบาได๋เชื่อว่าวันหนึ่งฝรั่งเศสจะคืนเอกราชให้เวียตนาม เบาได๋ขอให้อเมริกาช่วยจัดการให้ฝรั่งเศสออกไปจากเวียตนาม และช่วยให้เขากลับมามีอำนาจในเวียตนามต่อไป แล้วเขาจะให้ความร่วมมืออย่างดีกับอเมริกา นาย Kenneth เห็นว่า เบาได๋เป็นคนอ่อนแอ และไม่น่าที่จะรักษาเวียตนามไว้ได้
    จากเวียตนามเขาเดินทางต่อไปพบเจ้านโรดมสีหนุที่เขมร ซึ่งขณะนั้นก็ยังไม่ได้อิสรภาพจากฝรั่งเศส ฝรั่งเศสตั้งให้เจ้านโรดมเป็นกษัตริย์ ตั้งแต่ยังเด็กโดยหวังจะให้เป็น หุ่นชักของฝรั่งเศส นาย Kenneth บอก เจ้าสีหนุเป็นคนฉลาด เจ้าเล่ห์ ลื่นไหล ลดเลี้ยวเก่งมาก เขาคิดว่าฝรั่งเศส (รวมทั้งอเมริกาด้วย) คงจะชักหุ่นชื่อสีหนุนี้ยาก
    ต่อจากเขมร นาย Kenneth ก็ไปลาว เขาไปพบรัฐบาลลาวที่เวียงจันทร์ หลังจากนั้นก็ไปพบกษัตริย์ลาวที่หลวงพระบาง ตอนแรกเจ้าลาวก็ทำตัวเกร็งกับนาย Kenneth ฝ่ายหนึ่งพูดฝรั่งเศษ อีกฝ่ายพูดอังกฤษกันจนเมื่อยมือ จนนาย Kenneth พูดภาษาไทยด้วย เจ้าลาวก็ดีใจ ได้พูดลาวโดยนาย Kenneth ก็อ้างว่าเข้าใจ หลังจากนั้น ทั้งสองฝ่ายก็สื่อสารกันได้ (หมายเหตุ คนเล่านิทาน : กษัตริย์ลาวที่นาย Kenneth ไปพบน่าจะเป็นเจ้าสุวรรณภูมา เพราะนาย Kenneth บอกว่าภายหลัง กษัตริย์ลาวองค์นี้ถูกพวกคอมมิวนิสต์จับได้และปฏิบัติต่อพระองค์แย่มาก ในที่สุดก็สวรรคตในค่ายกักกันของคอมมิวนิสต์)
    จากลาว นาย Kenneth กลับมาเมืองไทยและเดินทางลงใต้ไปสิงค์โปร์และกัวลาลัมเปอร์ เสร็จแล้วก็ข้ามไปยังจาร์กาต้า เพื่อพบนายพลซูการ์โน เขาเจอลูกเล่นสาระพัดจากนักการเมือง และทหารที่จาร์กาต้า รวมทั้งถูกลองดี เช่น เครื่องบินที่เขาจะต้องใช้บินกลับมาสิงค์โปร์ ถูกดูดเอาน้ำมันออกจนเกลี้ยงถัง นาย Kenneth “รู้จัก” คนอินโดนีเซียจากประสบการณ์ของจริง !

    คนเล่านิทาน
    แกะรอยเก่า ตอนที่ 9 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยเก่า”
ตอนที่ 9 นาย Kenneth ถูกกระทรวงต่างประเทศ ส่งกลับมาทำการสำรวจเมืองไทยรอบใหญ่อีกครั้ง ในปี ค.ศ. 1950 นาย Kenneth เล่าว่าเป็นปีที่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงทำพิธีอภิเศกสมรสกับสมเด็จพระราชินี และทำพิธีขึ้นครองราชย์ ทางอเมริกาเตรียมของขวัญที่จะถวายสำหรับพระราชพิธีอภิเศก เป็นแก้วเป่าของ Steuben ซึ่งมีชื่อมาก แต่นาย Kenneth ในฐานะเคยอยู่เมืองไทยมานาน และอ้างว่าเคยรู้จักและเคยพบพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระราชินีตั้งแต่ยังเป็นเด็กหญิง ก็รีบเสนอหน้าแนะนำไปยังประธานาธิบดี ให้รัฐบาลอเมริกันจัดการเปลี่ยนของขวัญ เขาบอกว่าในหลวงทรงเป็นนักดนตรีแจ๊ส และโปรดฟังเพลง ความสัมพันธ์ของทั้งสองพระองค์ก็เริ่มมาจากดนตรี ดังนั้นน่าจะถวายของขวัญเป็นอะไรที่เกี่ยวกับดนตรี ในที่สุดนาย Kenneth ก็จัดการให้รัฐบาลอเมริกันถวายเครื่องเล่นแผ่นเสียง รวมทั้งแผ่นเสียงของ Gershwin ครบชุด เขาอ้างว่าทรงโปรดมาก และเป็นของขวัญชิ้นเดียวที่ทรงนำไปยังวังไกลกังวล หลังจากทรงทำพิธีอภิเศกสมรสแล้ว (ไม่รู้นาย Kenneth รู้ได้อย่างไร!? แต่อย่างน้อย การแนะนำเช่นนี้ ก็แสดงให้เห็นว่า การอยู่ใกล้ เข้ามาคลุกคลีในประเทศ ทำให้นักล่ารู้จักหลายอย่างเกี่ยวสมันน้อย ดีกว่ามองจากทางไกลหรืออ่านแต่รายงาน) ในการเดินทางมาเมืองไทยครั้งนี้ นาย Kenneth ได้ถือโอกาสจัดการตัวเองให้ได้พบกับจอมพลสฤษดิ์ เขาบอกว่าถ้าอยากรู้เรื่องเมืองไทยต้องอ่านหนังสือพิมพ์ภาษาไทย และต้องรู้จักอ่าน “ระหว่างบันทัด” ให้เป็น จึงจะรู้ว่าคนไทยพูดเรื่องอะไรกันบ้าง อะไรเป็นข่าวในตอนนั้น ด้วยวิธีนี้ ทำให้เขารู้เรื่องเกี่ยวกับจอมพลสฤษดิ์ในหลายมุม ตอนนั้นจอมพลสฤษดิ์ยังเป็นเพียงนายทหารระดับนายพล คุมกองทัพภาค 1 ในกรุงเทพฯ แต่เขาเห็นว่าแล้วว่าจะมีอนาคตไกล เขาจึงขอให้ฑูต Stanton ช่วยนัดให้เขาพบกับจอมพลสฤษดิ์ ฑูตบอกว่าไม่ได้หรอก ต้องผ่านฑูตทหารอีกที แล้วฑูตทหารก็จะถามว่าไปพบทำไม นาย Kenneth จึงบอกว่าไม่เป็นไร เขานัดเองก็ได้ แล้วเขาก็ให้เพื่อนคนไทยนัดให้ เพื่อนไปแจ้งสฤษดิ์ สฤษดิ์ถามกลับว่าจะมาพบทำไม เขาไม่พูดภาษาอังกฤษ (I don’t speak English) นาย Kenneth ให้เพื่อนตอบกลับไปว่า เขาก็ไม่พูดภาษาอังกฤษเหมือนกัน (I don’t speak English either !) คำตอบนี้ทำให้สฤษดิ์ขำ และสนใจนาย Kenneth ขึ้นมา จึงยอมรับนัด ปรากฎว่าเมื่อทั้ง 2 พบกันก็ถูกชะตากัน และคุยกันเป็นภาษาไทย สฤษดิ์ถามว่านาย Kenneth สนใจอะไรเขา นาย Kenneth บอกว่า เขาเชื่อว่าวันหนึ่งสฤษดิ์จะเป็นบุคคลสำคัญมากในวงการเมืองของประเทศไทย สฤษดิ์ถามว่า ฉันจะต้องไปรบกับใครหรือ นาย Kenneth บอกไม่ใช่รบแบบทหาร แต่รบในทางการเมืองละก้อใช่ สฤษดิ์ถามว่าคุณรู้ได้ยังไงนาย Kenneth บอกเขาอ่านหนังสือพิมพ์ภาษาไทย ซึ่งมีบทความมากมายและถ้ารู้จักวิธีอ่าน ก็จะได้ข้อมูลอย่างนึกไม่ถึง สฤษดิ์ตอบว่าใช่ ใช่แล้ว ! หลังจากนั้นทั้ง 2 คน ก็กลายเป็นเพื่อนกัน และเป็นเพื่อนชนิดที่ไว้ใจกัน หลังจากพบกับสฤษดิ์ นาย Kenneth เดินทางไปพบกับอดีตจักรพรรดิ์เบาได๋ (Baodai) ของเวียตนาม ซึ่งหนีลุงโฮมาอยู่ทางใต้ของเวียตนาม เบาได๋เชื่อว่าวันหนึ่งฝรั่งเศสจะคืนเอกราชให้เวียตนาม เบาได๋ขอให้อเมริกาช่วยจัดการให้ฝรั่งเศสออกไปจากเวียตนาม และช่วยให้เขากลับมามีอำนาจในเวียตนามต่อไป แล้วเขาจะให้ความร่วมมืออย่างดีกับอเมริกา นาย Kenneth เห็นว่า เบาได๋เป็นคนอ่อนแอ และไม่น่าที่จะรักษาเวียตนามไว้ได้ จากเวียตนามเขาเดินทางต่อไปพบเจ้านโรดมสีหนุที่เขมร ซึ่งขณะนั้นก็ยังไม่ได้อิสรภาพจากฝรั่งเศส ฝรั่งเศสตั้งให้เจ้านโรดมเป็นกษัตริย์ ตั้งแต่ยังเด็กโดยหวังจะให้เป็น หุ่นชักของฝรั่งเศส นาย Kenneth บอก เจ้าสีหนุเป็นคนฉลาด เจ้าเล่ห์ ลื่นไหล ลดเลี้ยวเก่งมาก เขาคิดว่าฝรั่งเศส (รวมทั้งอเมริกาด้วย) คงจะชักหุ่นชื่อสีหนุนี้ยาก ต่อจากเขมร นาย Kenneth ก็ไปลาว เขาไปพบรัฐบาลลาวที่เวียงจันทร์ หลังจากนั้นก็ไปพบกษัตริย์ลาวที่หลวงพระบาง ตอนแรกเจ้าลาวก็ทำตัวเกร็งกับนาย Kenneth ฝ่ายหนึ่งพูดฝรั่งเศษ อีกฝ่ายพูดอังกฤษกันจนเมื่อยมือ จนนาย Kenneth พูดภาษาไทยด้วย เจ้าลาวก็ดีใจ ได้พูดลาวโดยนาย Kenneth ก็อ้างว่าเข้าใจ หลังจากนั้น ทั้งสองฝ่ายก็สื่อสารกันได้ (หมายเหตุ คนเล่านิทาน : กษัตริย์ลาวที่นาย Kenneth ไปพบน่าจะเป็นเจ้าสุวรรณภูมา เพราะนาย Kenneth บอกว่าภายหลัง กษัตริย์ลาวองค์นี้ถูกพวกคอมมิวนิสต์จับได้และปฏิบัติต่อพระองค์แย่มาก ในที่สุดก็สวรรคตในค่ายกักกันของคอมมิวนิสต์) จากลาว นาย Kenneth กลับมาเมืองไทยและเดินทางลงใต้ไปสิงค์โปร์และกัวลาลัมเปอร์ เสร็จแล้วก็ข้ามไปยังจาร์กาต้า เพื่อพบนายพลซูการ์โน เขาเจอลูกเล่นสาระพัดจากนักการเมือง และทหารที่จาร์กาต้า รวมทั้งถูกลองดี เช่น เครื่องบินที่เขาจะต้องใช้บินกลับมาสิงค์โปร์ ถูกดูดเอาน้ำมันออกจนเกลี้ยงถัง นาย Kenneth “รู้จัก” คนอินโดนีเซียจากประสบการณ์ของจริง ! คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 208 มุมมอง 0 รีวิว
  • 'ฮุน มาเนต' ยินดี 'อนุทิน' เป็นนายกฯ ย้ำความหวังที่จะฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชา หลังยิงถล่มประชาชนไทย-วางกับระเบิดชายแดนละเมิดข้อตกลง
    https://www.thai-tai.tv/news/21356/
    .
    #ไทยไท #ฮุนมาเนต #อนุทินชาญวีรกูล #ข่าวการเมือง #ข่าววันนี้
    'ฮุน มาเนต' ยินดี 'อนุทิน' เป็นนายกฯ ย้ำความหวังที่จะฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชา หลังยิงถล่มประชาชนไทย-วางกับระเบิดชายแดนละเมิดข้อตกลง https://www.thai-tai.tv/news/21356/ . #ไทยไท #ฮุนมาเนต #อนุทินชาญวีรกูล #ข่าวการเมือง #ข่าววันนี้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 94 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก Chrome สู่ Zen: เมื่อเบราว์เซอร์กลายเป็นเครื่องมือเพื่อความสงบ ไม่ใช่แค่การเข้าถึงข้อมูล

    Zen Browser เป็นเบราว์เซอร์โอเพ่นซอร์สที่พัฒนาบนพื้นฐานของ Firefox โดยไม่ใช้เอนจิน Chromium ที่เบราว์เซอร์ส่วนใหญ่พึ่งพา จุดเด่นของ Zen คือการออกแบบที่เน้นความสงบ ความเป็นส่วนตัว และการปรับแต่งที่ลึกกว่าปกติ

    ทันทีที่เปิดใช้งานครั้งแรก ผู้ใช้จะได้สัมผัสกับ onboarding ที่ไม่เหมือนใคร—เลือกธีม, ปรับทิศทางของ gradient, และแม้แต่ปรับ grain effect ของพื้นหลังได้ตามใจ จากนั้นจะเข้าสู่ UI ที่ใช้ sidebar แนวตั้งแทนแถบแนวนอนแบบ Chrome ซึ่งช่วยให้โฟกัสกับเนื้อหาได้มากขึ้น

    Zen ยังมีฟีเจอร์ productivity เช่น Split View ที่เปิดสองลิงก์ข้างกันได้, Workspaces ที่แยกธีมและแท็บตามบริบท เช่น งานหรือเรียน และ Zen Mods ซึ่งเป็นปลั๊กอินจากชุมชนที่ช่วยเพิ่มฟีเจอร์ เช่น Super URL bar ที่ปรับแต่งหน้าตาแถบ URL ได้ละเอียดมาก

    แม้ Zen จะมีความคล้ายกับ Arc Browser ที่เคยได้รับความนิยมในปี 2024 แต่ Arc หยุดพัฒนาไปเพราะปัญหาด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัย ขณะที่ Zen ยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่องโดยชุมชนโอเพ่นซอร์ส และมีพื้นฐานจาก Firefox ที่มั่นคงกว่า

    Zen ยังเน้นความโปร่งใสด้านการเงิน โดยไม่ขายข้อมูลผู้ใช้ แต่พึ่งพาการสนับสนุนจากผู้ใช้โดยตรงผ่านการบริจาค และยังไม่มีแผนสร้างรายได้จากโฆษณา

    จุดเด่นของ Zen Browser
    พัฒนาบน Firefox ไม่ใช้ Chromium
    เน้นความเป็นส่วนตัวและการปรับแต่ง UI อย่างลึก
    มี onboarding ที่ให้เลือกธีมและเอฟเฟกต์ได้ตั้งแต่เริ่มต้น

    ฟีเจอร์ที่แตกต่างจากเบราว์เซอร์ทั่วไป
    ใช้ sidebar แนวตั้งแทนแถบแนวนอน
    Split View เปิดสองลิงก์ข้างกัน
    Workspaces แยกแท็บตามบริบท พร้อมธีมเฉพาะ
    Zen Mods เพิ่มฟีเจอร์จากชุมชน เช่น Super URL bar

    ความสัมพันธ์กับ Arc Browser
    มีฟีเจอร์คล้าย Arc เช่น split view และ workspaces
    Arc หยุดพัฒนาเพราะปัญหาด้าน performance และ security
    Zen ยังคงพัฒนาโดยชุมชน และมีพื้นฐานจาก Firefox ที่มั่นคง

    ความโปร่งใสและการสนับสนุน
    ไม่ขายข้อมูลผู้ใช้
    พึ่งพาการบริจาคและผู้สนับสนุนโดยตรง
    เปิดให้ผู้พัฒนาร่วมสร้างฟีเจอร์ใหม่ผ่านโอเพ่นซอร์ส

    https://www.slashgear.com/1957695/why-people-are-switching-to-zen-web-browser/
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Chrome สู่ Zen: เมื่อเบราว์เซอร์กลายเป็นเครื่องมือเพื่อความสงบ ไม่ใช่แค่การเข้าถึงข้อมูล Zen Browser เป็นเบราว์เซอร์โอเพ่นซอร์สที่พัฒนาบนพื้นฐานของ Firefox โดยไม่ใช้เอนจิน Chromium ที่เบราว์เซอร์ส่วนใหญ่พึ่งพา จุดเด่นของ Zen คือการออกแบบที่เน้นความสงบ ความเป็นส่วนตัว และการปรับแต่งที่ลึกกว่าปกติ ทันทีที่เปิดใช้งานครั้งแรก ผู้ใช้จะได้สัมผัสกับ onboarding ที่ไม่เหมือนใคร—เลือกธีม, ปรับทิศทางของ gradient, และแม้แต่ปรับ grain effect ของพื้นหลังได้ตามใจ จากนั้นจะเข้าสู่ UI ที่ใช้ sidebar แนวตั้งแทนแถบแนวนอนแบบ Chrome ซึ่งช่วยให้โฟกัสกับเนื้อหาได้มากขึ้น Zen ยังมีฟีเจอร์ productivity เช่น Split View ที่เปิดสองลิงก์ข้างกันได้, Workspaces ที่แยกธีมและแท็บตามบริบท เช่น งานหรือเรียน และ Zen Mods ซึ่งเป็นปลั๊กอินจากชุมชนที่ช่วยเพิ่มฟีเจอร์ เช่น Super URL bar ที่ปรับแต่งหน้าตาแถบ URL ได้ละเอียดมาก แม้ Zen จะมีความคล้ายกับ Arc Browser ที่เคยได้รับความนิยมในปี 2024 แต่ Arc หยุดพัฒนาไปเพราะปัญหาด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัย ขณะที่ Zen ยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่องโดยชุมชนโอเพ่นซอร์ส และมีพื้นฐานจาก Firefox ที่มั่นคงกว่า Zen ยังเน้นความโปร่งใสด้านการเงิน โดยไม่ขายข้อมูลผู้ใช้ แต่พึ่งพาการสนับสนุนจากผู้ใช้โดยตรงผ่านการบริจาค และยังไม่มีแผนสร้างรายได้จากโฆษณา ✅ จุดเด่นของ Zen Browser ➡️ พัฒนาบน Firefox ไม่ใช้ Chromium ➡️ เน้นความเป็นส่วนตัวและการปรับแต่ง UI อย่างลึก ➡️ มี onboarding ที่ให้เลือกธีมและเอฟเฟกต์ได้ตั้งแต่เริ่มต้น ✅ ฟีเจอร์ที่แตกต่างจากเบราว์เซอร์ทั่วไป ➡️ ใช้ sidebar แนวตั้งแทนแถบแนวนอน ➡️ Split View เปิดสองลิงก์ข้างกัน ➡️ Workspaces แยกแท็บตามบริบท พร้อมธีมเฉพาะ ➡️ Zen Mods เพิ่มฟีเจอร์จากชุมชน เช่น Super URL bar ✅ ความสัมพันธ์กับ Arc Browser ➡️ มีฟีเจอร์คล้าย Arc เช่น split view และ workspaces ➡️ Arc หยุดพัฒนาเพราะปัญหาด้าน performance และ security ➡️ Zen ยังคงพัฒนาโดยชุมชน และมีพื้นฐานจาก Firefox ที่มั่นคง ✅ ความโปร่งใสและการสนับสนุน ➡️ ไม่ขายข้อมูลผู้ใช้ ➡️ พึ่งพาการบริจาคและผู้สนับสนุนโดยตรง ➡️ เปิดให้ผู้พัฒนาร่วมสร้างฟีเจอร์ใหม่ผ่านโอเพ่นซอร์ส https://www.slashgear.com/1957695/why-people-are-switching-to-zen-web-browser/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Many People Are Switching To This Web Browser - Here's Why - SlashGear
    Zen is a beautiful Free and Open Source Firefox-based alternative to Google Chrome, but has some limitations such as the inability to play DRM-protected media.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 146 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ฮุน มาเนต" ส่งจดหมายแสดงความยินดี "อนุทิน" ได้รับตำแหน่งนายกฯ คนที่ 32 ของไทย บอกตั้งตารอฟื้นฟูความสัมพันธ์สองประเทศกลับสู่ภาวะปกติและมีเสถียรภาพโดยเร็ว

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000085604

    #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #เขมรลักลอบวางระเบิด
    "ฮุน มาเนต" ส่งจดหมายแสดงความยินดี "อนุทิน" ได้รับตำแหน่งนายกฯ คนที่ 32 ของไทย บอกตั้งตารอฟื้นฟูความสัมพันธ์สองประเทศกลับสู่ภาวะปกติและมีเสถียรภาพโดยเร็ว อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000085604 #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #เขมรลักลอบวางระเบิด
    Like
    Haha
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 366 มุมมอง 0 รีวิว
  • แกะรอยเก่า ตอนที่ 6
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยเก่า”
ตอนที่ 6
    แล้วนาย Kenneth ก็ตกลงจะทำงานช่วงสั้นเฉพาะกิจให้นาย Donovan ใน office of the Co-Ordination (OCI) ซึ่งนาย Donovan ตั้งขึ้น (สงสัยเพราะตกลงราคาค่าจ้างยังไม่เป็นที่พอใจกัน อดีตมิชชั่นนารี ต่อรองกับอดีตนักกฏหมาย ผลก็น่าจะพอเดากันออก)

นาย Donovan เคยไปรบสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 เก่งกล้าสามารถมาก จนได้สมญาว่า “Wild Bill Donovan” เขาเชื่อว่าสงครามโลกครั้งที่ 2 จะเกิดขึ้นแน่ และอเมริกาจะต้องเกี่ยวข้องด้วย (ทำไมนาย Donovan ถึงเชื่อเช่นนั้น เอ! หรือนาย Donovan จะเกี่ยวกับ CFR จริง !) แต่ตอนนั้นไม่มีใครในอเมริการู้จักคู่รบของอเมริกาเลย เขาจึงเตือนประธานาธิบดี Roosevelt ให้เตรียมตั้งหน่วยงานข่าวกรอง เพื่อหาข้อมูลและข่าวเกี่ยวกับญี่ปุ่นและประเทศแถบอินโดจีนเอาไว้
    เมื่อประธานาธิบดี Roosevelt เห็นชอบด้วย นาย Donovan จึงตั้งหน่วยงานชื่อ Office of the Co-Ordination of Information (OCI) ขึ้น ซึ่งต่อมาเมื่ออเมริกาเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 เต็มตัว OCI ได้เปลี่ยนเป็น Office of Strategic Services (OSS) ภายใต้การดูแลของนาย Donovan เช่นเดิม
    เมื่อสงครามโลกสิ้นสุดลง OSS ได้ถูกยกเลิกและเปลี่ยนเป็น Central for Intelligence Agency (CIA) แทน นอกเหนือจากนาย Donovan ผู้ซึ่งเป็นผู้ให้กำเนิด OSS และ CIA แล้ว นาย Kenneth บอกว่า เขาก็ถูกนับว่าเป็น “รุ่นก่อตั้ง” ของหน่วยงานข่าวกรอง OSS ด้วยเช่นกัน (นาย Kenneth นี่ ไม่ใช่แค่เป็นนักฉวยโอกาส แต่เป็นคนชี้ไม้อีกด้วย คุณสมบัติแบบนี้ถ้าเบื่อเป็นมิชชั่นนารี น่าจะไปทำงานประเภทเล่าข่าวเช้านี้ บางคนอาจตกอันดับ)
    นาย Kenneth ให้เหตุผลว่า ที่อเมริกาไม่เคยมีหน่วยงานข่าวกรองของตนเอง เกี่ยวกับต่างประเทศมากนัก เพราะก่อนหน้านั้น อเมริกามีนโยบายสันโดษ (isolation) ไม่ยุ่งกับประเทศอื่นมาตั้งแต่ประมาณ ค.ศ.1930 ต้นๆ โดยเฉพาะไม่ร่วมทำสงครามด้วย และถ้าอยากจะได้ข้อมูลเชิงลึกอะไร อเมริกาก็จะอาศัยถามเพื่อนรัก ร่วมก๊วน 3 เกลอหัวแข็ง คือ อังกฤษ และฝรั่งเศส ซึ่งข้อมูลของทั้ง 2 ประเทศ ส่วนมากก็จะเกี่ยวกับประเทศอาณานิคมของเขา (อเมริกาเปลี่ยนจากนโยบายสันโดษ เป็นนักค้าสงครามเมื่อประมาณ ค.ศ.1945 ตามแรงผลัก แรงดันของกลุ่ม CFR ที่ควบคุมนโยบายการต่างประเทศของอเมริกา ผ่านคนของ CFR อีกต่อหนึ่ง!)
    การบ้านที่นาย Donovan มอบให้นาย Kenneth ทำคือ ทำรายงานเกี่ยวกับสถานการณ์ในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ดีร้ายขนาดไหน ใครคุมใคร ใครได้เปรียบเสีบเปรียบ ใครมีจุดอ่อนจุดแข็งอย่างไร ใส่มาให้หมด สิว ไฝ ฝ้า อยู่ตรงไหนอย่าลืมบอก รวมทั้งฝรั่งเศสไอ้จั๊กกะแร้เหม็นเขียวด้วย คนแถบอินโดจีนเขามองเจ้านี่อย่างไร เขายังอยากจะไปซบจั๊กกะแร้เหม็นอยู่อีกไหม แล้วอย่าลืมรายงานเรื่องคนไทยกับพี่ยุ่นด้วยล่ะ หลังถูกพี่ยุ่นเอารถถังมาวิ่งรอบเมืองกรุงเทพแทนรถเมล์แล้วน่ะ คนไทยทำยังไง เอาดอกไม้ไปให้พี่ยุ่น หรือเอาประทัดไปไล่ ความสัมพันธ์ของไทยกับญี่ปุ่นนี้ จะเป็นตัววัดผลแพ้ชนะของการรบในภูมิภาคนี้ เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญของพี่เบิ้ม รายงานผิดเดี๋ยวได้กลับไปอยู่เมืองตรังแน่
    อีกรายงานหนึ่งที่นาย Kenneth ต้องทำคือวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของอังกฤษกับลูกหาบเช่น พม่า รวมทั้ง มาลายู และสิงคโปร์ จะได้เอาไปตรวจสอบได้ว่าอังกฤษมิตรรัก บอกความจริงกับอเมริกามากน้อยแค่ไหน ถึงจะสัมพันธ์ชิดมิตรใกล้ก็เถอะ ไว้ใจกันได้ที่ไหน เรื่องของผลประโยชน์! ข้อมูลเหล่านี้ช่วยทำให้อเมริกาวางยุทธศาสตร์การรบของอเมริกา ในช่วงสงครามโลกและที่สำคัญคือช่วงหลังสงครามโลกเป็นอย่างดี
    ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ระหว่างที่ญี่ปุ่นบุกเมืองไทย เมืองไทยเองก็แบ่งเป็น 2 ฝ่าย คือฝ่ายรัฐบาล จอมพล ป. เจ้าของนโยบายใส่หมวกแล้วชาติเจริญ เป็นนายกรัฐมนตรีที่แสดงตัวเข้ากับฝ่ายญี่ปุ่น ถึงขนาดประกาศสงครามกับอังกฤษและอเมริกา เอาใจญี่ปุ่นกันจนออกนอกหน้า ขณะที่คนไทยอีกพวกหนึ่งคือพวกเสรีไทย ที่ก่อตั้งขึ้นโดยคนไทยที่อยู่ต่างประเทศ (อังกฤษและอเมริกา) และอยู่ในประเทศไทย เข้ากับฝรั่งทั้งอังกฤษและอเมริกาแบบออกนอกหน้าพอกัน ประกาศไม่เห็นด้วยกับการเข้าพวกกับญี่ปุ่นของจอมพล ป. นายปรีดี พนมยงค์ เป็นหัวหน้าเสรีไทยที่อยู่ในประเทศไทย เมื่อรัฐบาลไทยประกาศสงครามกับอังกฤษและอเมริกา หลังจากเกิดเหตุการณ์ Pearl Harbor มรว. เสนีย์ ปราโมช ซึ่งขณะนั้นเป็นฑูตไทยประจำที่อเมริกาแต่มาธุระที่เมืองไทย รีบบินกลับไปอเมริกา เพื่อไปบอกอเมริกาว่าการประกาศสงครามของไทยต่ออเมริกาและอังกฤษนั้น เราคนไทยไม่เกี่ยวนะ ไม่ใช่ความต้องการของพวกเรา เราไม่เอ้า ไม่เอาญี่ปุ่น เราเอาพวกท่าน คนไทยขอให้พวกท่านเข้าใจและช่วยเหลือพวกเราด้วย
    ในตอนนั้นนาย Donovan ได้ตั้งหน่วยงานขึ้นมาอีกหน่วย ชื่อ Office of War Information (OWI) ทางอเมริกาจึงตกลงให้ มรว. เสนีย์ ทำการออกอากาศเป็นภาษาไทยจากอเมริกา ผ่านหน่วยงานของ OWI ประกาศเจตนารมณ์ของเสรีไทย ให้คนไทยทางเมืองไทยทราบ วิทยุเสรีไทยที่ออกอากาศเป็นภาษาไทยนี้ มีนาย Kenneth เป็นผู้ประสานงาน นาย Kenneth บอกว่าอเมริกาให้เขาคอยเฝ้าดูว่าฝ่ายไทยจะพูดจาออกอากาศตรง กับที่แจ้งไว้กับอเมริกาหรือไม่ (แสดงถึงความเชื่อใจกันอย่างเต็มที่เลย !) ในเมื่อเขาเป็นคนอเมริกันคนเดียวตอนน้ัน ที่อยู่ตรงนั้น ที่รู้ภาษาไทย จึงรับหน้าที่ประสานงานกับเสรีไทย จึงเป็นเหตุให้นาย Kenneth จึงยังทำงานกับรัฐบาลอเมริกาต่อไป (และเข้าใจว่า คงต่อรองเรื่องค่าจ้างกันจนเป็นที่ถูกใจ นาย Kenneth แล้ว)
    นาย Kenneth เล่าว่า ช่วงที่สงครามโลกกำลังเข้มข้นอยู่แถวอินโดจีน ประเทศอาณานิคม เช่น มาลายู สิงคโปร์ คิดว่าอังกฤษจะช่วยรบกับญี่ปุ่นให้ แต่อันที่จริงแล้ว นายเชอร์ซิล นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ไม่เคยมีเจตนาเช่นนั้นเลย นายเชอร์ซิลพร้อมที่จะทิ้งอาณานิคมของตนให้สู้ไปลำพัง สมันน้อยก็จำตรงนี้ไว้นะ ชอบเชื่อฝรั่งอั่งม้ออยู่เรื่อย เขาบอกอะไรก็เชื่อ ท้ายที่สุดเขาก็ต้องเห็นประโยชน์ของเขามากกว่า เรานึกว่าเขาจะอุ้มกระเตงเราไปตลอดหรือไง หมดประโยชน์เขาก็โยนทิ้ง เฮ้อ! บอกเท่าไหร่ไม่เคยเชื่อ บูชาคุณพ่อฝรั่งกันเหลือเกิน

    คนเล่านิทาน
    แกะรอยเก่า ตอนที่ 6 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยเก่า”
ตอนที่ 6 แล้วนาย Kenneth ก็ตกลงจะทำงานช่วงสั้นเฉพาะกิจให้นาย Donovan ใน office of the Co-Ordination (OCI) ซึ่งนาย Donovan ตั้งขึ้น (สงสัยเพราะตกลงราคาค่าจ้างยังไม่เป็นที่พอใจกัน อดีตมิชชั่นนารี ต่อรองกับอดีตนักกฏหมาย ผลก็น่าจะพอเดากันออก)

นาย Donovan เคยไปรบสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 เก่งกล้าสามารถมาก จนได้สมญาว่า “Wild Bill Donovan” เขาเชื่อว่าสงครามโลกครั้งที่ 2 จะเกิดขึ้นแน่ และอเมริกาจะต้องเกี่ยวข้องด้วย (ทำไมนาย Donovan ถึงเชื่อเช่นนั้น เอ! หรือนาย Donovan จะเกี่ยวกับ CFR จริง !) แต่ตอนนั้นไม่มีใครในอเมริการู้จักคู่รบของอเมริกาเลย เขาจึงเตือนประธานาธิบดี Roosevelt ให้เตรียมตั้งหน่วยงานข่าวกรอง เพื่อหาข้อมูลและข่าวเกี่ยวกับญี่ปุ่นและประเทศแถบอินโดจีนเอาไว้ เมื่อประธานาธิบดี Roosevelt เห็นชอบด้วย นาย Donovan จึงตั้งหน่วยงานชื่อ Office of the Co-Ordination of Information (OCI) ขึ้น ซึ่งต่อมาเมื่ออเมริกาเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 เต็มตัว OCI ได้เปลี่ยนเป็น Office of Strategic Services (OSS) ภายใต้การดูแลของนาย Donovan เช่นเดิม เมื่อสงครามโลกสิ้นสุดลง OSS ได้ถูกยกเลิกและเปลี่ยนเป็น Central for Intelligence Agency (CIA) แทน นอกเหนือจากนาย Donovan ผู้ซึ่งเป็นผู้ให้กำเนิด OSS และ CIA แล้ว นาย Kenneth บอกว่า เขาก็ถูกนับว่าเป็น “รุ่นก่อตั้ง” ของหน่วยงานข่าวกรอง OSS ด้วยเช่นกัน (นาย Kenneth นี่ ไม่ใช่แค่เป็นนักฉวยโอกาส แต่เป็นคนชี้ไม้อีกด้วย คุณสมบัติแบบนี้ถ้าเบื่อเป็นมิชชั่นนารี น่าจะไปทำงานประเภทเล่าข่าวเช้านี้ บางคนอาจตกอันดับ) นาย Kenneth ให้เหตุผลว่า ที่อเมริกาไม่เคยมีหน่วยงานข่าวกรองของตนเอง เกี่ยวกับต่างประเทศมากนัก เพราะก่อนหน้านั้น อเมริกามีนโยบายสันโดษ (isolation) ไม่ยุ่งกับประเทศอื่นมาตั้งแต่ประมาณ ค.ศ.1930 ต้นๆ โดยเฉพาะไม่ร่วมทำสงครามด้วย และถ้าอยากจะได้ข้อมูลเชิงลึกอะไร อเมริกาก็จะอาศัยถามเพื่อนรัก ร่วมก๊วน 3 เกลอหัวแข็ง คือ อังกฤษ และฝรั่งเศส ซึ่งข้อมูลของทั้ง 2 ประเทศ ส่วนมากก็จะเกี่ยวกับประเทศอาณานิคมของเขา (อเมริกาเปลี่ยนจากนโยบายสันโดษ เป็นนักค้าสงครามเมื่อประมาณ ค.ศ.1945 ตามแรงผลัก แรงดันของกลุ่ม CFR ที่ควบคุมนโยบายการต่างประเทศของอเมริกา ผ่านคนของ CFR อีกต่อหนึ่ง!) การบ้านที่นาย Donovan มอบให้นาย Kenneth ทำคือ ทำรายงานเกี่ยวกับสถานการณ์ในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ดีร้ายขนาดไหน ใครคุมใคร ใครได้เปรียบเสีบเปรียบ ใครมีจุดอ่อนจุดแข็งอย่างไร ใส่มาให้หมด สิว ไฝ ฝ้า อยู่ตรงไหนอย่าลืมบอก รวมทั้งฝรั่งเศสไอ้จั๊กกะแร้เหม็นเขียวด้วย คนแถบอินโดจีนเขามองเจ้านี่อย่างไร เขายังอยากจะไปซบจั๊กกะแร้เหม็นอยู่อีกไหม แล้วอย่าลืมรายงานเรื่องคนไทยกับพี่ยุ่นด้วยล่ะ หลังถูกพี่ยุ่นเอารถถังมาวิ่งรอบเมืองกรุงเทพแทนรถเมล์แล้วน่ะ คนไทยทำยังไง เอาดอกไม้ไปให้พี่ยุ่น หรือเอาประทัดไปไล่ ความสัมพันธ์ของไทยกับญี่ปุ่นนี้ จะเป็นตัววัดผลแพ้ชนะของการรบในภูมิภาคนี้ เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญของพี่เบิ้ม รายงานผิดเดี๋ยวได้กลับไปอยู่เมืองตรังแน่ อีกรายงานหนึ่งที่นาย Kenneth ต้องทำคือวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของอังกฤษกับลูกหาบเช่น พม่า รวมทั้ง มาลายู และสิงคโปร์ จะได้เอาไปตรวจสอบได้ว่าอังกฤษมิตรรัก บอกความจริงกับอเมริกามากน้อยแค่ไหน ถึงจะสัมพันธ์ชิดมิตรใกล้ก็เถอะ ไว้ใจกันได้ที่ไหน เรื่องของผลประโยชน์! ข้อมูลเหล่านี้ช่วยทำให้อเมริกาวางยุทธศาสตร์การรบของอเมริกา ในช่วงสงครามโลกและที่สำคัญคือช่วงหลังสงครามโลกเป็นอย่างดี ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ระหว่างที่ญี่ปุ่นบุกเมืองไทย เมืองไทยเองก็แบ่งเป็น 2 ฝ่าย คือฝ่ายรัฐบาล จอมพล ป. เจ้าของนโยบายใส่หมวกแล้วชาติเจริญ เป็นนายกรัฐมนตรีที่แสดงตัวเข้ากับฝ่ายญี่ปุ่น ถึงขนาดประกาศสงครามกับอังกฤษและอเมริกา เอาใจญี่ปุ่นกันจนออกนอกหน้า ขณะที่คนไทยอีกพวกหนึ่งคือพวกเสรีไทย ที่ก่อตั้งขึ้นโดยคนไทยที่อยู่ต่างประเทศ (อังกฤษและอเมริกา) และอยู่ในประเทศไทย เข้ากับฝรั่งทั้งอังกฤษและอเมริกาแบบออกนอกหน้าพอกัน ประกาศไม่เห็นด้วยกับการเข้าพวกกับญี่ปุ่นของจอมพล ป. นายปรีดี พนมยงค์ เป็นหัวหน้าเสรีไทยที่อยู่ในประเทศไทย เมื่อรัฐบาลไทยประกาศสงครามกับอังกฤษและอเมริกา หลังจากเกิดเหตุการณ์ Pearl Harbor มรว. เสนีย์ ปราโมช ซึ่งขณะนั้นเป็นฑูตไทยประจำที่อเมริกาแต่มาธุระที่เมืองไทย รีบบินกลับไปอเมริกา เพื่อไปบอกอเมริกาว่าการประกาศสงครามของไทยต่ออเมริกาและอังกฤษนั้น เราคนไทยไม่เกี่ยวนะ ไม่ใช่ความต้องการของพวกเรา เราไม่เอ้า ไม่เอาญี่ปุ่น เราเอาพวกท่าน คนไทยขอให้พวกท่านเข้าใจและช่วยเหลือพวกเราด้วย ในตอนนั้นนาย Donovan ได้ตั้งหน่วยงานขึ้นมาอีกหน่วย ชื่อ Office of War Information (OWI) ทางอเมริกาจึงตกลงให้ มรว. เสนีย์ ทำการออกอากาศเป็นภาษาไทยจากอเมริกา ผ่านหน่วยงานของ OWI ประกาศเจตนารมณ์ของเสรีไทย ให้คนไทยทางเมืองไทยทราบ วิทยุเสรีไทยที่ออกอากาศเป็นภาษาไทยนี้ มีนาย Kenneth เป็นผู้ประสานงาน นาย Kenneth บอกว่าอเมริกาให้เขาคอยเฝ้าดูว่าฝ่ายไทยจะพูดจาออกอากาศตรง กับที่แจ้งไว้กับอเมริกาหรือไม่ (แสดงถึงความเชื่อใจกันอย่างเต็มที่เลย !) ในเมื่อเขาเป็นคนอเมริกันคนเดียวตอนน้ัน ที่อยู่ตรงนั้น ที่รู้ภาษาไทย จึงรับหน้าที่ประสานงานกับเสรีไทย จึงเป็นเหตุให้นาย Kenneth จึงยังทำงานกับรัฐบาลอเมริกาต่อไป (และเข้าใจว่า คงต่อรองเรื่องค่าจ้างกันจนเป็นที่ถูกใจ นาย Kenneth แล้ว) นาย Kenneth เล่าว่า ช่วงที่สงครามโลกกำลังเข้มข้นอยู่แถวอินโดจีน ประเทศอาณานิคม เช่น มาลายู สิงคโปร์ คิดว่าอังกฤษจะช่วยรบกับญี่ปุ่นให้ แต่อันที่จริงแล้ว นายเชอร์ซิล นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ไม่เคยมีเจตนาเช่นนั้นเลย นายเชอร์ซิลพร้อมที่จะทิ้งอาณานิคมของตนให้สู้ไปลำพัง สมันน้อยก็จำตรงนี้ไว้นะ ชอบเชื่อฝรั่งอั่งม้ออยู่เรื่อย เขาบอกอะไรก็เชื่อ ท้ายที่สุดเขาก็ต้องเห็นประโยชน์ของเขามากกว่า เรานึกว่าเขาจะอุ้มกระเตงเราไปตลอดหรือไง หมดประโยชน์เขาก็โยนทิ้ง เฮ้อ! บอกเท่าไหร่ไม่เคยเชื่อ บูชาคุณพ่อฝรั่งกันเหลือเกิน คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 178 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ฮุน มาเนต" นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ส่งจดหมายแสดงความยินดีกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ของประเทศไทย

    นอกจากนี้ ฮุน มาเนต หวังว่าจะได้ร่วมทำงานอย่างใกล้ชิดกับนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของไทย เพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศให้กลับสู่ภาวะปกติ
    "ฮุน มาเนต" นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ส่งจดหมายแสดงความยินดีกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ของประเทศไทย นอกจากนี้ ฮุน มาเนต หวังว่าจะได้ร่วมทำงานอย่างใกล้ชิดกับนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของไทย เพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศให้กลับสู่ภาวะปกติ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 164 มุมมอง 0 รีวิว
  • แกะรอยเก่า ตอนที่ 2

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยเก่า”
    ตอนที่ 2
    นาย Kenneth Perry Landon เป็นมิชชั่นนารี หมอสอนศาสนา แต่ไม่ใช่มิชชั่นนารีประเภทเดินหน้าเซียวเที่ยวเคาะประตูบ้าน เหมือนคนขายหนังสือพจนานุกรมสมัยก่อน แต่เขาเป็นนักสอนศาสนามีดีกรี จบปริญญาตรีทางเทววิทยา Theological Seminary จากมหาวิทยาลัย Princeton (วิชานี้เขาว่านักบวชสมัยก่อนที่เดินทางมาเผยแพร่ศาสนา แถวเอเซีย ลาตินอเมริกา ล้วนจบวิชานี้ทั้งนั้น นอกเหนือจากเรียนหลายภาษาแล้ว หนึ่งในหลักสูตรเขาว่าต้องเรียนฟันดาบและต่อสู้ป้องกันตัวด้วย)หลังจากนั้นนาย Kenneth ก็เรียนต่อจบปริญญาโทจากมหาวิทยาลัย Chicago เขาเดินทางมาเมืองไทย พร้อมภรรยา เมื่อประมาณ ค.ศ. 1927 (อย่าเพิ่งโว้ย ว่าเล่านิทานโบราณจัง ตอนนี้ใครๆ เขาเขียนเรื่องเรือบินหายหรือสงครามโลกครั้งที่ 3 กันทั้งนั้น ใจเย็น อ่านต่อไปก่อนน่า เดี๋ยวมันก็อธิบายมาถึงปัจจุบันได้เองแหละ)
    เขากับนาง Margaret เดินทางมาทางเรือจากด้านตะวันออกของอเมริกา ผ่านมหาสมุทรแปซิฟิก มาโผล่เอาที่สิงคโปร์ ตลอดทางที่เรือแวะจอดท่าต่างๆ เขานั่งเบิ่งตา หูตั้ง มองทุกอย่าง ฟังทุกเรื่อง จัดเก็บข้อมูลเรียงแน่นอยู่ในหัว (ใบสั่งมันคงระบุชัดเจนดี) จนเมื่อเรือแล่นจากสิงคโปร์ขึ้นมาบางกอก เมียก็ถามเขาว่า นี่เธอรู้จักเมืองไทยดีแค่ไหนนะเนี่ย เขาตอบว่า ฉันรู้แต่ว่าคนไทยส่วนมากเป็นฝาแฝดตัวติดกัน แล้วก็มีช้างเผือกแยะมาก และที่เมืองไทยฝนน่าจะตกชุก เพราะฉันเห็นรูปถ่ายพระเจ้าแผ่นดินของไทย นั่งอยู่ใต้ร่มอันใหญ่มาก หน้าตาเหมือนน้ำพุ 9 ชั้น (อืม ! ชั้นเชิงใช้ได้ ตอบเมียตัวเองได้แบบนี้อนาคตไกล)
    นาย Kenneth กับนาง Margaret เมื่อแรกมาถึงเมืองไทยก็พักอยู่ที่เมืองบางกอกก่อน อยู่ประมาณ 1 ปี ตลอดเวลา 1 ปี เขาถูกพาไปป้วนเปี้ยนวนเวียนอยู่ในสังคมฝรั่งที่มีทั้งพวกมิชชั่นนารี พวกฑูต และพ่อค้าฝรั่ง แล้วฝรั่งพวกนี้ก็พาเขาเข้าสังคมคนไทยชั้นสูง ทำให้เขามีโอกาสรู้จักผู้หลักผู้ใหญ่ของเมืองไทย รวมทั้งเชื้อพระวงศ์ระดับสูง เช่น กรมพระยาดำรงเดชานุภาพ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ เป็นต้น (อย่าลืมว่าเมื่อนาย Kenneth มาถึงเมืองไทย ช่วงนั้นยังเป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์อยู่ น่าสนใจวิธีการนำตัวเข้าสังคมของนักสอนศาสนารายนี้จริงๆ) นาย Kenneth ไม่ได้ใช้เวลาเดินเล่นอยู่ในวงสังคมชั้นสูงอย่างเดียว อีกอย่างที่เขาทำอย่างเอาจริงเอาจัง และไม่ให้ใครรู้ คือ เขาตั้งใจเรียนภาษาไทย เขาจ้างครูมาสอน เขาและภรรยาเรียนภาษาไทยกับครูทุกวันๆ ละ 3 ชั่วโมง และทำการบ้านเตรียมตัวอีกวันละ 3 ชั่วโมง สำหรับการเรียนในวันรุ่งขึ้น เป็นการเรียนแบบหลักสูตรเร่งรัดเลยละ (มันทำไมต้องเร่งรัดกันขนาดนี้นะ ?) เขาฝึกบทเรียนภาษาไทยที่เขาเรียน ด้วยการออกไปเดินเที่ยวเล่นในตลาด ไปเดินซื้อของและถามแม่ค้า เป็นภาษาไทยว่า “เท่าไหร่” และไม่ว่าแม่ค้าจะตอบว่าอะไร และไม่ว่าเขาจะฟังรู้เรื่องหรือไม่ เขาก็จะตอบกลับเป็นภาษาไทยว่า “แพงไป” แล้วก็เดินไปหาแม่ค้าเจ้าอื่นต่อไป (เห็นลีลาสายลับรุ่นโบราณไหมครับ สมัยนี้ก็ยังทำแบบนี้ แต่แทนที่จะเดินเล่นตามตลาด เขาไปเดินเล่นตามห้าง ตามงานสังคมชั้นสูง ตามที่มั่วสุมของคนชั้นสูง เช่นที่สปอร์ตคลับ และตามบ้านคนใหญ่คนโตทั้งหลาย ฯลฯ เสร็จแล้วพวกเขาก็ไปรายงานข้อมูลที่ได้ยินมาจากที่ไปเดินเล่น ตามที่ตัวเองเข้าใจ แบบ งูๆ ปลาๆ ต่อนายเหนือ เรื่องมันถึงได้วุ่น !)
    จากการเรียนภาษาไทยอย่างตั้งอกตั้งใจ ทำให้เขาเข้าใจว่า ภาษาไทยเป็นภาษาที่ลึกซึ้ง แสดงถึงความละเอียดอ่อนของความเป็นคนไทย เขายกตัวอย่างคำว่า ฉัน ภาษาอังกฤษ ใช้ I หรือ me แค่ 2 คำ แต่ภาษาไทยมีให้เลือกใช้ถึง 15 คำ แต่ละคำแสดงถึงสถานะทางสังคมของ ผู้พูด ความสัมพันธ์ระหว่างผู้พูดและยังแยกเพศได้อีก สิ่งเหล่านี้ไม่มีในภาษาอังกฤษ นอกจากนั้นคำเดียวกันนั้น ถ้าใช้คู่กับอีกคำ ระหว่างบุรุษที่ 1 กับบุรุษที่ 2 ยังแสดงถึงอารมณ์ ความสนิทสนมของผู้ใช้อีกด้วย รวมทั้งแสดงได้ถึงฐานะที่สูงต่ำกว่ากัน เช่นคำว่า “มึง” และ “กู” ดังนั้นจึงเป็นการยากที่ชาวต่างชาติจะเข้าใจคนไทย และสังคมไทยถ้าไม่เข้าใจภาษาไทยให้แตกฉานเสียก่อน (อยากรู้ว่าไอ้พวก app รุ่นใหม่ที่ไปเดินเล่นตามสังคมนั้น มันจะเข้าใจความละเอียดอ่อนของคนไทยได้แค่ไหนกัน)
    นอกจากนี้จากการเรียนภาษาไทย ทำให้เขาเข้าใจว่า กว่าครึ่งของภาษาไทยมีรากมาจากภาษาสันสกฤตและบาลี ซึ่งเป็นภาษาโบราณของอินเดีย และเกี่ยวพันกับพุทธศาสนา ซึ่งเป็นทั้งศาสนาและวัฒนธรรมของคนไทย เขาบอกกับตัวเองว่าถ้าจะเข้าใจคนไทยให้ลึกซึ้ง ต้องเข้าใจภาษาไทย และควรจะศึกษาเกี่ยวกับอินเดียด้วย เพื่อเข้าใจที่มาที่ไปของคนไทย ประเพณี และวิธีการคิดของคนไทย ซึ่งภายหลังเขาได้กลับไปเรียนต่อปริญญาเอก ที่มหาวิทยาลัย Chicago เขาเรียนภาษาสันสกฤต บาลีรวมทั้งเรียนวิชาเกี่ยวกับอินเดียด้วย (เขาหาอุปกรณ์เสริมได้เก่ง ต้องยอมรับ นักสอนศาสนาคนนี้ ไม่ธรรมดาจริงๆ)
    เขาเรียนภาษาไทยแตกฉานได้อย่างรวดเร็ว ระหว่างที่อยู่บางกอก เขาทดสอบความแตกฉานของตัวเองด้วยการ เริ่มเทศน์เกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ เป็นภาษาไทย ช่วงแรกๆ เวลาเขาเทศน์ เมื่อพูดถึงพระเยซูถูกตรึง “กางเขน” เขาออกเสียงภาษาไทย เป็นพระเยซูถูกตรึง “กางเกง” และนั่นทำให้เขาเป็นที่ชอบใจของคนไทย ว่าเขาเทศน์ได้ตลกดี และทำให้มีคนมาฟังเขาแยะ แม้จะไม่รู้จักพระเยซูและศาสนาคริสเตียนเลยแม้แต่น้อย แต่ก็พากันมาดูฝรั่งแทศน์เป็นภาษาไทย แบบดูการแสดงตลก โดยไม่คิดอะไรมาก

    คนเล่านิทาน
    แกะรอยเก่า ตอนที่ 2 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยเก่า” ตอนที่ 2 นาย Kenneth Perry Landon เป็นมิชชั่นนารี หมอสอนศาสนา แต่ไม่ใช่มิชชั่นนารีประเภทเดินหน้าเซียวเที่ยวเคาะประตูบ้าน เหมือนคนขายหนังสือพจนานุกรมสมัยก่อน แต่เขาเป็นนักสอนศาสนามีดีกรี จบปริญญาตรีทางเทววิทยา Theological Seminary จากมหาวิทยาลัย Princeton (วิชานี้เขาว่านักบวชสมัยก่อนที่เดินทางมาเผยแพร่ศาสนา แถวเอเซีย ลาตินอเมริกา ล้วนจบวิชานี้ทั้งนั้น นอกเหนือจากเรียนหลายภาษาแล้ว หนึ่งในหลักสูตรเขาว่าต้องเรียนฟันดาบและต่อสู้ป้องกันตัวด้วย)หลังจากนั้นนาย Kenneth ก็เรียนต่อจบปริญญาโทจากมหาวิทยาลัย Chicago เขาเดินทางมาเมืองไทย พร้อมภรรยา เมื่อประมาณ ค.ศ. 1927 (อย่าเพิ่งโว้ย ว่าเล่านิทานโบราณจัง ตอนนี้ใครๆ เขาเขียนเรื่องเรือบินหายหรือสงครามโลกครั้งที่ 3 กันทั้งนั้น ใจเย็น อ่านต่อไปก่อนน่า เดี๋ยวมันก็อธิบายมาถึงปัจจุบันได้เองแหละ) เขากับนาง Margaret เดินทางมาทางเรือจากด้านตะวันออกของอเมริกา ผ่านมหาสมุทรแปซิฟิก มาโผล่เอาที่สิงคโปร์ ตลอดทางที่เรือแวะจอดท่าต่างๆ เขานั่งเบิ่งตา หูตั้ง มองทุกอย่าง ฟังทุกเรื่อง จัดเก็บข้อมูลเรียงแน่นอยู่ในหัว (ใบสั่งมันคงระบุชัดเจนดี) จนเมื่อเรือแล่นจากสิงคโปร์ขึ้นมาบางกอก เมียก็ถามเขาว่า นี่เธอรู้จักเมืองไทยดีแค่ไหนนะเนี่ย เขาตอบว่า ฉันรู้แต่ว่าคนไทยส่วนมากเป็นฝาแฝดตัวติดกัน แล้วก็มีช้างเผือกแยะมาก และที่เมืองไทยฝนน่าจะตกชุก เพราะฉันเห็นรูปถ่ายพระเจ้าแผ่นดินของไทย นั่งอยู่ใต้ร่มอันใหญ่มาก หน้าตาเหมือนน้ำพุ 9 ชั้น (อืม ! ชั้นเชิงใช้ได้ ตอบเมียตัวเองได้แบบนี้อนาคตไกล) นาย Kenneth กับนาง Margaret เมื่อแรกมาถึงเมืองไทยก็พักอยู่ที่เมืองบางกอกก่อน อยู่ประมาณ 1 ปี ตลอดเวลา 1 ปี เขาถูกพาไปป้วนเปี้ยนวนเวียนอยู่ในสังคมฝรั่งที่มีทั้งพวกมิชชั่นนารี พวกฑูต และพ่อค้าฝรั่ง แล้วฝรั่งพวกนี้ก็พาเขาเข้าสังคมคนไทยชั้นสูง ทำให้เขามีโอกาสรู้จักผู้หลักผู้ใหญ่ของเมืองไทย รวมทั้งเชื้อพระวงศ์ระดับสูง เช่น กรมพระยาดำรงเดชานุภาพ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ เป็นต้น (อย่าลืมว่าเมื่อนาย Kenneth มาถึงเมืองไทย ช่วงนั้นยังเป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์อยู่ น่าสนใจวิธีการนำตัวเข้าสังคมของนักสอนศาสนารายนี้จริงๆ) นาย Kenneth ไม่ได้ใช้เวลาเดินเล่นอยู่ในวงสังคมชั้นสูงอย่างเดียว อีกอย่างที่เขาทำอย่างเอาจริงเอาจัง และไม่ให้ใครรู้ คือ เขาตั้งใจเรียนภาษาไทย เขาจ้างครูมาสอน เขาและภรรยาเรียนภาษาไทยกับครูทุกวันๆ ละ 3 ชั่วโมง และทำการบ้านเตรียมตัวอีกวันละ 3 ชั่วโมง สำหรับการเรียนในวันรุ่งขึ้น เป็นการเรียนแบบหลักสูตรเร่งรัดเลยละ (มันทำไมต้องเร่งรัดกันขนาดนี้นะ ?) เขาฝึกบทเรียนภาษาไทยที่เขาเรียน ด้วยการออกไปเดินเที่ยวเล่นในตลาด ไปเดินซื้อของและถามแม่ค้า เป็นภาษาไทยว่า “เท่าไหร่” และไม่ว่าแม่ค้าจะตอบว่าอะไร และไม่ว่าเขาจะฟังรู้เรื่องหรือไม่ เขาก็จะตอบกลับเป็นภาษาไทยว่า “แพงไป” แล้วก็เดินไปหาแม่ค้าเจ้าอื่นต่อไป (เห็นลีลาสายลับรุ่นโบราณไหมครับ สมัยนี้ก็ยังทำแบบนี้ แต่แทนที่จะเดินเล่นตามตลาด เขาไปเดินเล่นตามห้าง ตามงานสังคมชั้นสูง ตามที่มั่วสุมของคนชั้นสูง เช่นที่สปอร์ตคลับ และตามบ้านคนใหญ่คนโตทั้งหลาย ฯลฯ เสร็จแล้วพวกเขาก็ไปรายงานข้อมูลที่ได้ยินมาจากที่ไปเดินเล่น ตามที่ตัวเองเข้าใจ แบบ งูๆ ปลาๆ ต่อนายเหนือ เรื่องมันถึงได้วุ่น !) จากการเรียนภาษาไทยอย่างตั้งอกตั้งใจ ทำให้เขาเข้าใจว่า ภาษาไทยเป็นภาษาที่ลึกซึ้ง แสดงถึงความละเอียดอ่อนของความเป็นคนไทย เขายกตัวอย่างคำว่า ฉัน ภาษาอังกฤษ ใช้ I หรือ me แค่ 2 คำ แต่ภาษาไทยมีให้เลือกใช้ถึง 15 คำ แต่ละคำแสดงถึงสถานะทางสังคมของ ผู้พูด ความสัมพันธ์ระหว่างผู้พูดและยังแยกเพศได้อีก สิ่งเหล่านี้ไม่มีในภาษาอังกฤษ นอกจากนั้นคำเดียวกันนั้น ถ้าใช้คู่กับอีกคำ ระหว่างบุรุษที่ 1 กับบุรุษที่ 2 ยังแสดงถึงอารมณ์ ความสนิทสนมของผู้ใช้อีกด้วย รวมทั้งแสดงได้ถึงฐานะที่สูงต่ำกว่ากัน เช่นคำว่า “มึง” และ “กู” ดังนั้นจึงเป็นการยากที่ชาวต่างชาติจะเข้าใจคนไทย และสังคมไทยถ้าไม่เข้าใจภาษาไทยให้แตกฉานเสียก่อน (อยากรู้ว่าไอ้พวก app รุ่นใหม่ที่ไปเดินเล่นตามสังคมนั้น มันจะเข้าใจความละเอียดอ่อนของคนไทยได้แค่ไหนกัน) นอกจากนี้จากการเรียนภาษาไทย ทำให้เขาเข้าใจว่า กว่าครึ่งของภาษาไทยมีรากมาจากภาษาสันสกฤตและบาลี ซึ่งเป็นภาษาโบราณของอินเดีย และเกี่ยวพันกับพุทธศาสนา ซึ่งเป็นทั้งศาสนาและวัฒนธรรมของคนไทย เขาบอกกับตัวเองว่าถ้าจะเข้าใจคนไทยให้ลึกซึ้ง ต้องเข้าใจภาษาไทย และควรจะศึกษาเกี่ยวกับอินเดียด้วย เพื่อเข้าใจที่มาที่ไปของคนไทย ประเพณี และวิธีการคิดของคนไทย ซึ่งภายหลังเขาได้กลับไปเรียนต่อปริญญาเอก ที่มหาวิทยาลัย Chicago เขาเรียนภาษาสันสกฤต บาลีรวมทั้งเรียนวิชาเกี่ยวกับอินเดียด้วย (เขาหาอุปกรณ์เสริมได้เก่ง ต้องยอมรับ นักสอนศาสนาคนนี้ ไม่ธรรมดาจริงๆ) เขาเรียนภาษาไทยแตกฉานได้อย่างรวดเร็ว ระหว่างที่อยู่บางกอก เขาทดสอบความแตกฉานของตัวเองด้วยการ เริ่มเทศน์เกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ เป็นภาษาไทย ช่วงแรกๆ เวลาเขาเทศน์ เมื่อพูดถึงพระเยซูถูกตรึง “กางเขน” เขาออกเสียงภาษาไทย เป็นพระเยซูถูกตรึง “กางเกง” และนั่นทำให้เขาเป็นที่ชอบใจของคนไทย ว่าเขาเทศน์ได้ตลกดี และทำให้มีคนมาฟังเขาแยะ แม้จะไม่รู้จักพระเยซูและศาสนาคริสเตียนเลยแม้แต่น้อย แต่ก็พากันมาดูฝรั่งแทศน์เป็นภาษาไทย แบบดูการแสดงตลก โดยไม่คิดอะไรมาก คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 226 มุมมอง 0 รีวิว
  • แกะรอยเก่า ตอนที่ 1

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยเก่า”
    ตอนที่ 1
    เมื่อตัดสินใจเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อ ค.ศ. 1942 อเมริกาไม่ได้มีเป้าหมายเพียงแค่จะไปทำสงคราม แต่เป้าหมายของอเมริกาไกลกว่านั้น เขามองถึงการเป็นพี่เบิ้มใหญ่ของโลกหลังสงคราม และอเมริกาก็ทำได้ตามเป้าหมายมาตลอด ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหน กลยุทธใด แสดงให้เห็นว่าแม้จะเป็นนักล่าหน้าใหม่ แต่ฝีไม้ลายมือในการล่าไม่เบา หลังจากเป็นผู้ชนะสงครามโลกครั้งที่ 2 อเมริกามองตัวเองว่าเป็นจักรวรรดิอเมริกา เพราะจักรวรรดิต่างๆ ได้ล่มสลายไปหมดเหลือไว้แต่ซากกับประวัติ อเมริกาหมดคู่แข่งชั่วคราว ผงาดตัวมาเป็นนักล่าหมายเลขหนึ่ง แม้ตอนนี้ แท่นยืนของนักล่าหมายเลขหนึ่ง จะออกอาการง่อนแง่น แท่นเอียง ขาเก เพราะโดนทั้งปลวกทั้งด้วงแมงแทะในบ้านอยู่ แถมหลายประเทศที่อเมริกาเคยใช้กลยุทธ โกหก ตอแหล สร้างเรื่องสาระพัด หลอกโลกและใช้หน่วยงานที่ตนเองชักใย รุมกันจนประเทศเหล่านั้นแตกเป็นเสี่ยง หรือโดนกองทัพอันเกรียงไกรของพี่เบิ้มบุกเข้าประเทศ ประหนึ่งขี่ช้างจับตั๊กแตน จนบ้างเมืองเขาพินาศ เหลือเป็นซากเศษอิฐ หรือที่เคยมองประเทศเหล่านั้นอย่างหยามเหยียดด้วยหางตา ประเทศเหล่านั้นเริ่มขยับมาตีเสมอ เผลอๆ จะจับมือกันร่วมหัว ร่วมท้าย ท้าทายอเมริกา กระแซะพี่เบิ้มให้ตกจากแท่นยืนในฐานะหมายเลขหนึ่งเอาเสียด้วย ซ้ำ แต่เกมการล่า การแข่งขันชิงแชมป์โลก ต้องมองกันนานๆ ดูกันไปยาวๆ อย่าเพิ่งตัดสินแค่ยกสองยก มวยใหญ่มันอึด มีท่วงทีลีลาน่าศึกษา แต่ที่สำคัญอยู่ที่ชั้นเชิง ไม่รู้ปล่อยกันออกมาหมดหรือยัง
    หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เข้าสู่ยุคสงครามเย็น ระบอบคอมมิวนิสต์ออกดอกแพร่พันธ์ ไปหลายแห่งในโลก สายหนึ่งไปทางสหภาพโซเวียต สายหนึ่งมาทางเอเซีย สู่จีนและเวียตนาม ใครเป็นคนเอาพันธ์มาแพร่ ก็รู้ๆ กันอยู่ อเมริกาทำเป็นทนดูไม่ได้ แบบนี้เสียหน้าผู้พิทักษ์โลกสวยใบนี้หมด (แหม! ใช้ศัพท์สมัยใหม่เป็นเหมือนกันเหรอลุง ฮา!) ดังนั้น อเมริกาจึงทำทุกอย่างเพื่อหลอกให้ชาวโลกเชื่อว่า สงครามเท่านั้นแหละ ที่จะเป็นยาขจัดการแพร่พันธ์คอมมิวนิสต์อย่างชงัด
    เมื่ออเมริกาตัดสินใจทำมาหากินกับสงครามเวียตนาม ก็จำเป็นต้องมีเหยื่อเข้ามาร่วมกิจกรรม จะไปรบคนเดียวได้ยังไงเหงาตาย ไทยแลนด์สมันน้อยถูกผู้กำกับคัดตัวให้ไปเล่นบทตัวเอก แต่สมันน้อย อ่านบทไม่แตก ไม่ตัดสินใจเสียที อเมริกาจึงลงทุนประคองคุณป๋าสฤษดิ์บินไปอเมริกาเพื่อไปรักษาตัวตอนคุณป๋าป่วย พอไปถึงคุณป๋านอกจากจะถูกบรรดาหมอรุมกันรักษาแล้วคูณป๋ายังถูกอุ้มลงเปลเห่กล่อม ติวเข้มเกี่ยวกับภัยคอมมี่ กลับมาคุณป๋าร้องเฮ้ยเว้ย เอาไง เอากัน จะปล่อยให้คอมมี่มันบุกบ้านเรา บ้านพี่เมืองน้องเราได้ยังไง (ท่านที่ยังไม่เคยอ่านนิทานจิกโก๋ปากซอย ตอนนี้เป็นโอกาสดี เชิญแวะไปอ่านหน่อยนะครับ ทำลิงค์ไว้ให้แล้ว หาไม่เจอบอกมาจะลงให้ใหม่ จะได้อ่านนิทานเรื่องนี้แบบไม่ขาดลอย เพราะมันเกี่ยวเนื่องกันครับ แหม ! เอาใจคนอ่านจังนะลุง กลัวแฟนเพจไม่ถึงหมื่นหรือไง ฮา !)
    ขบวนการล่อเหยื่อ จับลงเปลเห่กล่อมเขาน่าสนใจ อเมริกาจะทำอะไร ไม่ใช่ทำวันนี้คิดพรุ่งนี้ จะทำวันนี้เขาคิดมา 20-30 ปีก่อนหน้าแล้ว วางแผนซับซ้อน วิธีการวางแผน หาข้อมูล ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอยู่บ่อยๆ เหมือนพวกไอ้ป้อดอีแป้ดมันออกรุ่นใหม่ มีลูกเล่นมาหลอกให้เราซื้ออยู่เรื่อย แต่ลูกหลักมันก็ไม่ต่างกันหรอก เพราะฉะนั้นถึงแม้นักล่าจะเปลี่ยนลูกเล่นอยู่เรื่อย แต่ลูกหลักมันก็พอมองออก ถ้าหมั่นติดตาม
    แกะสะเก็ด แกะรอยเก่า รอยใหม่ เอาแว่นมาส่องดู ก็คงพอจะตามรอยมันได้บ้าง ตอนนี้นักล่าประกาศไปทั่วโลก ว่าจะกลับมาวิ่งเล่นลิงชิงหลักอยู่แถวเอเซีย ตามนโยบาย Rebalancing ไทยแลนด์แดนสมันน้อยก็ไม่แคล้วจะถูกคัดตัวมาเข้าฉากอีก แต่คราวนี้จะได้รับบทตัวเอก ตัวประกอบ หรือบทไหน เรายังไม่รู้แน่ แต่จะไปรอรู้เอาตอนจบ นอนนับศพนับซากในบ้านเรา มันจะไหวหรือ สมันน้อยตื่นตัว ตามศึกษาแกะรอยนักล่ากันหน่อย อย่าดูแค่ที่เห็นข้างหน้า หัดเหลียวหลังแลข้างบ้างน่าจะดีกว่านะ
    มารู้จักสามีภรรยาคู่หนึ่งกันหน่อย นาย Kenneth และนาง Margaret Landon เขา 2 คนนี้ น่าสนใจมาก เขาเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ของไทยกับอเมริกา ช่วงก่อนและหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และเป็นส่วนสำคัญในการช่วยสร้าง เครื่องมือการล่าเหยื่อของอเมริกาในภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะในเมืองไทย เครื่องมือการล่าเหยื่อชนิดนี้ยังใช้อยู่จนทุกวันนี้ อุปกรณ์หลักเหมือนเดิม แค่เปลี่ยนอุปกรณ์เสริมให้ทันตามสมัยนิยมเท่านั้นเอง
    นาง Margaret มีชื่อเสียงเพราะเป็นคนเขียนหนังสือ เรื่อง Anna and the King ซึ่งตอนหลังHollywood เอาไปสร้างหนังเรื่อง The King and I นำแสดงโดย Rex Harrison ตอนรุ่นแรก แต่มาดังตอนสร้างครั้งที่สองโดยเอานาย Yul Brynner มารับบทเป็น The King หนังเรื่องนี้ถูกห้ามฉายในประเทศไทย นอกจากนั้นหนังสือเรื่องนี้ยังถูกนำไปสร้างเป็นละคร Broadway ดังระเบิด เพลงเพราะ ฉากสวย แต่เนื้อเรื่องแต่งตามความคิดของฝรั่งมองไทย ที่รู้จักไทยอย่างครึ่งๆ กลางๆ แต่คิดเอาเองว่ารู้จักหมด แต่นิทานเรื้องนี้จะไม่เล่าเกี่ยวกับนาง Margaret แต่จะเล่าเกี่ยวกับสามีนาง Margaret ที่ชื่อนาย Kenneth ผู้สร้างรอยเก่าน่าสนใจตามแกะดู


    คนเล่านิทาน
    แกะรอยเก่า ตอนที่ 1 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยเก่า” ตอนที่ 1 เมื่อตัดสินใจเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อ ค.ศ. 1942 อเมริกาไม่ได้มีเป้าหมายเพียงแค่จะไปทำสงคราม แต่เป้าหมายของอเมริกาไกลกว่านั้น เขามองถึงการเป็นพี่เบิ้มใหญ่ของโลกหลังสงคราม และอเมริกาก็ทำได้ตามเป้าหมายมาตลอด ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหน กลยุทธใด แสดงให้เห็นว่าแม้จะเป็นนักล่าหน้าใหม่ แต่ฝีไม้ลายมือในการล่าไม่เบา หลังจากเป็นผู้ชนะสงครามโลกครั้งที่ 2 อเมริกามองตัวเองว่าเป็นจักรวรรดิอเมริกา เพราะจักรวรรดิต่างๆ ได้ล่มสลายไปหมดเหลือไว้แต่ซากกับประวัติ อเมริกาหมดคู่แข่งชั่วคราว ผงาดตัวมาเป็นนักล่าหมายเลขหนึ่ง แม้ตอนนี้ แท่นยืนของนักล่าหมายเลขหนึ่ง จะออกอาการง่อนแง่น แท่นเอียง ขาเก เพราะโดนทั้งปลวกทั้งด้วงแมงแทะในบ้านอยู่ แถมหลายประเทศที่อเมริกาเคยใช้กลยุทธ โกหก ตอแหล สร้างเรื่องสาระพัด หลอกโลกและใช้หน่วยงานที่ตนเองชักใย รุมกันจนประเทศเหล่านั้นแตกเป็นเสี่ยง หรือโดนกองทัพอันเกรียงไกรของพี่เบิ้มบุกเข้าประเทศ ประหนึ่งขี่ช้างจับตั๊กแตน จนบ้างเมืองเขาพินาศ เหลือเป็นซากเศษอิฐ หรือที่เคยมองประเทศเหล่านั้นอย่างหยามเหยียดด้วยหางตา ประเทศเหล่านั้นเริ่มขยับมาตีเสมอ เผลอๆ จะจับมือกันร่วมหัว ร่วมท้าย ท้าทายอเมริกา กระแซะพี่เบิ้มให้ตกจากแท่นยืนในฐานะหมายเลขหนึ่งเอาเสียด้วย ซ้ำ แต่เกมการล่า การแข่งขันชิงแชมป์โลก ต้องมองกันนานๆ ดูกันไปยาวๆ อย่าเพิ่งตัดสินแค่ยกสองยก มวยใหญ่มันอึด มีท่วงทีลีลาน่าศึกษา แต่ที่สำคัญอยู่ที่ชั้นเชิง ไม่รู้ปล่อยกันออกมาหมดหรือยัง หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เข้าสู่ยุคสงครามเย็น ระบอบคอมมิวนิสต์ออกดอกแพร่พันธ์ ไปหลายแห่งในโลก สายหนึ่งไปทางสหภาพโซเวียต สายหนึ่งมาทางเอเซีย สู่จีนและเวียตนาม ใครเป็นคนเอาพันธ์มาแพร่ ก็รู้ๆ กันอยู่ อเมริกาทำเป็นทนดูไม่ได้ แบบนี้เสียหน้าผู้พิทักษ์โลกสวยใบนี้หมด (แหม! ใช้ศัพท์สมัยใหม่เป็นเหมือนกันเหรอลุง ฮา!) ดังนั้น อเมริกาจึงทำทุกอย่างเพื่อหลอกให้ชาวโลกเชื่อว่า สงครามเท่านั้นแหละ ที่จะเป็นยาขจัดการแพร่พันธ์คอมมิวนิสต์อย่างชงัด เมื่ออเมริกาตัดสินใจทำมาหากินกับสงครามเวียตนาม ก็จำเป็นต้องมีเหยื่อเข้ามาร่วมกิจกรรม จะไปรบคนเดียวได้ยังไงเหงาตาย ไทยแลนด์สมันน้อยถูกผู้กำกับคัดตัวให้ไปเล่นบทตัวเอก แต่สมันน้อย อ่านบทไม่แตก ไม่ตัดสินใจเสียที อเมริกาจึงลงทุนประคองคุณป๋าสฤษดิ์บินไปอเมริกาเพื่อไปรักษาตัวตอนคุณป๋าป่วย พอไปถึงคุณป๋านอกจากจะถูกบรรดาหมอรุมกันรักษาแล้วคูณป๋ายังถูกอุ้มลงเปลเห่กล่อม ติวเข้มเกี่ยวกับภัยคอมมี่ กลับมาคุณป๋าร้องเฮ้ยเว้ย เอาไง เอากัน จะปล่อยให้คอมมี่มันบุกบ้านเรา บ้านพี่เมืองน้องเราได้ยังไง (ท่านที่ยังไม่เคยอ่านนิทานจิกโก๋ปากซอย ตอนนี้เป็นโอกาสดี เชิญแวะไปอ่านหน่อยนะครับ ทำลิงค์ไว้ให้แล้ว หาไม่เจอบอกมาจะลงให้ใหม่ จะได้อ่านนิทานเรื่องนี้แบบไม่ขาดลอย เพราะมันเกี่ยวเนื่องกันครับ แหม ! เอาใจคนอ่านจังนะลุง กลัวแฟนเพจไม่ถึงหมื่นหรือไง ฮา !) ขบวนการล่อเหยื่อ จับลงเปลเห่กล่อมเขาน่าสนใจ อเมริกาจะทำอะไร ไม่ใช่ทำวันนี้คิดพรุ่งนี้ จะทำวันนี้เขาคิดมา 20-30 ปีก่อนหน้าแล้ว วางแผนซับซ้อน วิธีการวางแผน หาข้อมูล ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอยู่บ่อยๆ เหมือนพวกไอ้ป้อดอีแป้ดมันออกรุ่นใหม่ มีลูกเล่นมาหลอกให้เราซื้ออยู่เรื่อย แต่ลูกหลักมันก็ไม่ต่างกันหรอก เพราะฉะนั้นถึงแม้นักล่าจะเปลี่ยนลูกเล่นอยู่เรื่อย แต่ลูกหลักมันก็พอมองออก ถ้าหมั่นติดตาม แกะสะเก็ด แกะรอยเก่า รอยใหม่ เอาแว่นมาส่องดู ก็คงพอจะตามรอยมันได้บ้าง ตอนนี้นักล่าประกาศไปทั่วโลก ว่าจะกลับมาวิ่งเล่นลิงชิงหลักอยู่แถวเอเซีย ตามนโยบาย Rebalancing ไทยแลนด์แดนสมันน้อยก็ไม่แคล้วจะถูกคัดตัวมาเข้าฉากอีก แต่คราวนี้จะได้รับบทตัวเอก ตัวประกอบ หรือบทไหน เรายังไม่รู้แน่ แต่จะไปรอรู้เอาตอนจบ นอนนับศพนับซากในบ้านเรา มันจะไหวหรือ สมันน้อยตื่นตัว ตามศึกษาแกะรอยนักล่ากันหน่อย อย่าดูแค่ที่เห็นข้างหน้า หัดเหลียวหลังแลข้างบ้างน่าจะดีกว่านะ มารู้จักสามีภรรยาคู่หนึ่งกันหน่อย นาย Kenneth และนาง Margaret Landon เขา 2 คนนี้ น่าสนใจมาก เขาเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ของไทยกับอเมริกา ช่วงก่อนและหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และเป็นส่วนสำคัญในการช่วยสร้าง เครื่องมือการล่าเหยื่อของอเมริกาในภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะในเมืองไทย เครื่องมือการล่าเหยื่อชนิดนี้ยังใช้อยู่จนทุกวันนี้ อุปกรณ์หลักเหมือนเดิม แค่เปลี่ยนอุปกรณ์เสริมให้ทันตามสมัยนิยมเท่านั้นเอง นาง Margaret มีชื่อเสียงเพราะเป็นคนเขียนหนังสือ เรื่อง Anna and the King ซึ่งตอนหลังHollywood เอาไปสร้างหนังเรื่อง The King and I นำแสดงโดย Rex Harrison ตอนรุ่นแรก แต่มาดังตอนสร้างครั้งที่สองโดยเอานาย Yul Brynner มารับบทเป็น The King หนังเรื่องนี้ถูกห้ามฉายในประเทศไทย นอกจากนั้นหนังสือเรื่องนี้ยังถูกนำไปสร้างเป็นละคร Broadway ดังระเบิด เพลงเพราะ ฉากสวย แต่เนื้อเรื่องแต่งตามความคิดของฝรั่งมองไทย ที่รู้จักไทยอย่างครึ่งๆ กลางๆ แต่คิดเอาเองว่ารู้จักหมด แต่นิทานเรื้องนี้จะไม่เล่าเกี่ยวกับนาง Margaret แต่จะเล่าเกี่ยวกับสามีนาง Margaret ที่ชื่อนาย Kenneth ผู้สร้างรอยเก่าน่าสนใจตามแกะดู คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 231 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก Lambda Loop: เมื่อ Nvidia กลายเป็นทั้งผู้ผลิต ผู้ลงทุน และผู้เช่าในระบบ AI ที่ตัวเองสร้างขึ้น

    ในเดือนกันยายน 2025 Nvidia ได้ลงนามในข้อตกลงมูลค่า 1.5 พันล้านดอลลาร์กับ Lambda ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพด้านคลาวด์ AI ที่ Nvidia เคยลงทุนไว้ก่อนหน้านี้ โดยดีลนี้ประกอบด้วยการเช่ากลับ GPU จำนวน 18,000 ตัวที่ Lambda เคยซื้อจาก Nvidia ไปแล้ว

    แบ่งเป็นสัญญาเช่า 4 ปีสำหรับ GPU จำนวน 10,000 ตัว มูลค่า 1.3 พันล้านดอลลาร์ และอีก 200 ล้านดอลลาร์สำหรับ GPU รุ่นเก่าหรือระดับรองอีก 8,000 ตัว ซึ่งจะถูกใช้โดยทีมวิจัยของ Nvidia เอง เช่นเดียวกับที่ Amazon และ Microsoft ใช้เซิร์ฟเวอร์ของ Lambda สำหรับงานภายใน

    Lambda ซึ่งก่อตั้งในปี 2012 และมีพนักงานประมาณ 400 คน กำลังเตรียม IPO โดยคาดว่าจะมีรายได้จากคลาวด์เกิน 1 พันล้านดอลลาร์ในปี 2026 และตั้งเป้าแตะ 20 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2030 โดยมีแผนขยายกำลังประมวลผลจาก 47 เมกะวัตต์เป็น 3 กิกะวัตต์ภายในทศวรรษนี้

    ดีลนี้สะท้อนถึงปัญหาการขาดแคลน GPU ระดับสูงทั่วโลก แม้แต่ Nvidia เองก็ต้องหาทางเข้าถึงทรัพยากรผ่านพันธมิตรที่เคยขายชิปให้ และยังเป็นกลยุทธ์ที่คล้ายกับที่ Nvidia เคยใช้กับ CoreWeave ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพอีกแห่งที่ได้รับการสนับสนุนจาก Nvidia และใช้ GPU เป็นหลักประกันเงินกู้มูลค่า 2.3 พันล้านดอลลาร์ในปี 2023

    การเช่ากลับ GPU จาก Lambda ยังช่วยให้ Nvidia เข้าถึงโครงสร้างพื้นฐาน AI ได้ทันที โดยไม่ต้องลงทุนสร้างศูนย์ข้อมูลใหม่ และยังรักษาความสัมพันธ์กับสตาร์ทอัพที่ใช้เทคโนโลยีของ Nvidia เป็นหลัก—เป็นการสร้าง “ระบบนิเวศแบบปิด” ที่ Nvidia เป็นทั้งผู้ผลิต ผู้ลงทุน และผู้ใช้งาน

    ข้อตกลงระหว่าง Nvidia กับ Lambda
    มูลค่า 1.5 พันล้านดอลลาร์ สำหรับ GPU 18,000 ตัว
    แบ่งเป็น 1.3 พันล้านสำหรับ GPU 10,000 ตัว และ 200 ล้านสำหรับอีก 8,000 ตัว
    Nvidia กลายเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่สุดของ Lambda

    จุดแข็งของ Lambda และแผนการเติบโต
    ก่อตั้งในปี 2012 มีพนักงานประมาณ 400 คน
    คาดว่ารายได้คลาวด์จะเกิน 1 พันล้านดอลลาร์ในปี 2026
    ตั้งเป้าขยายกำลังประมวลผลเป็น 3 กิกะวัตต์ภายในปี 2030

    กลยุทธ์ของ Nvidia ในการสร้างระบบนิเวศ
    เคยใช้กลยุทธ์เดียวกันกับ CoreWeave ก่อน IPO
    เป็นทั้งผู้ผลิต, ผู้ลงทุน, และผู้ใช้งานในระบบเดียวกัน
    หลีกเลี่ยงการสร้างศูนย์ข้อมูลใหม่โดยใช้โครงสร้างพื้นฐานของพันธมิตร

    การใช้งาน GPU ที่เช่ากลับ
    ใช้สำหรับงานวิจัยภายในของ Nvidia
    สนับสนุนบริการ DGX Cloud และการพัฒนาโมเดล AI
    ช่วยให้ Nvidia เข้าถึงทรัพยากรได้ทันทีโดยไม่ต้องรอการผลิตใหม่

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/nvidia-signs-usd1-5-billion-deal-with-cloud-startup-lambda-to-rent-back-its-own-ai-chips-18-000-gpus-will-be-leased-over-4-years-as-lambda-gears-up-for-its-ipo
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Lambda Loop: เมื่อ Nvidia กลายเป็นทั้งผู้ผลิต ผู้ลงทุน และผู้เช่าในระบบ AI ที่ตัวเองสร้างขึ้น ในเดือนกันยายน 2025 Nvidia ได้ลงนามในข้อตกลงมูลค่า 1.5 พันล้านดอลลาร์กับ Lambda ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพด้านคลาวด์ AI ที่ Nvidia เคยลงทุนไว้ก่อนหน้านี้ โดยดีลนี้ประกอบด้วยการเช่ากลับ GPU จำนวน 18,000 ตัวที่ Lambda เคยซื้อจาก Nvidia ไปแล้ว แบ่งเป็นสัญญาเช่า 4 ปีสำหรับ GPU จำนวน 10,000 ตัว มูลค่า 1.3 พันล้านดอลลาร์ และอีก 200 ล้านดอลลาร์สำหรับ GPU รุ่นเก่าหรือระดับรองอีก 8,000 ตัว ซึ่งจะถูกใช้โดยทีมวิจัยของ Nvidia เอง เช่นเดียวกับที่ Amazon และ Microsoft ใช้เซิร์ฟเวอร์ของ Lambda สำหรับงานภายใน Lambda ซึ่งก่อตั้งในปี 2012 และมีพนักงานประมาณ 400 คน กำลังเตรียม IPO โดยคาดว่าจะมีรายได้จากคลาวด์เกิน 1 พันล้านดอลลาร์ในปี 2026 และตั้งเป้าแตะ 20 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2030 โดยมีแผนขยายกำลังประมวลผลจาก 47 เมกะวัตต์เป็น 3 กิกะวัตต์ภายในทศวรรษนี้ ดีลนี้สะท้อนถึงปัญหาการขาดแคลน GPU ระดับสูงทั่วโลก แม้แต่ Nvidia เองก็ต้องหาทางเข้าถึงทรัพยากรผ่านพันธมิตรที่เคยขายชิปให้ และยังเป็นกลยุทธ์ที่คล้ายกับที่ Nvidia เคยใช้กับ CoreWeave ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพอีกแห่งที่ได้รับการสนับสนุนจาก Nvidia และใช้ GPU เป็นหลักประกันเงินกู้มูลค่า 2.3 พันล้านดอลลาร์ในปี 2023 การเช่ากลับ GPU จาก Lambda ยังช่วยให้ Nvidia เข้าถึงโครงสร้างพื้นฐาน AI ได้ทันที โดยไม่ต้องลงทุนสร้างศูนย์ข้อมูลใหม่ และยังรักษาความสัมพันธ์กับสตาร์ทอัพที่ใช้เทคโนโลยีของ Nvidia เป็นหลัก—เป็นการสร้าง “ระบบนิเวศแบบปิด” ที่ Nvidia เป็นทั้งผู้ผลิต ผู้ลงทุน และผู้ใช้งาน ✅ ข้อตกลงระหว่าง Nvidia กับ Lambda ➡️ มูลค่า 1.5 พันล้านดอลลาร์ สำหรับ GPU 18,000 ตัว ➡️ แบ่งเป็น 1.3 พันล้านสำหรับ GPU 10,000 ตัว และ 200 ล้านสำหรับอีก 8,000 ตัว ➡️ Nvidia กลายเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่สุดของ Lambda ✅ จุดแข็งของ Lambda และแผนการเติบโต ➡️ ก่อตั้งในปี 2012 มีพนักงานประมาณ 400 คน ➡️ คาดว่ารายได้คลาวด์จะเกิน 1 พันล้านดอลลาร์ในปี 2026 ➡️ ตั้งเป้าขยายกำลังประมวลผลเป็น 3 กิกะวัตต์ภายในปี 2030 ✅ กลยุทธ์ของ Nvidia ในการสร้างระบบนิเวศ ➡️ เคยใช้กลยุทธ์เดียวกันกับ CoreWeave ก่อน IPO ➡️ เป็นทั้งผู้ผลิต, ผู้ลงทุน, และผู้ใช้งานในระบบเดียวกัน ➡️ หลีกเลี่ยงการสร้างศูนย์ข้อมูลใหม่โดยใช้โครงสร้างพื้นฐานของพันธมิตร ✅ การใช้งาน GPU ที่เช่ากลับ ➡️ ใช้สำหรับงานวิจัยภายในของ Nvidia ➡️ สนับสนุนบริการ DGX Cloud และการพัฒนาโมเดล AI ➡️ ช่วยให้ Nvidia เข้าถึงทรัพยากรได้ทันทีโดยไม่ต้องรอการผลิตใหม่ https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/nvidia-signs-usd1-5-billion-deal-with-cloud-startup-lambda-to-rent-back-its-own-ai-chips-18-000-gpus-will-be-leased-over-4-years-as-lambda-gears-up-for-its-ipo
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 162 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากเบื้องหลังความไม่พอใจของ CISO: เมื่อคนที่ต้องรับผิดชอบมากที่สุด กลับไม่มีที่นั่งในห้องที่สำคัญที่สุด

    จากรายงานปี 2025 โดย IANS และ Artico Search พบว่าเกือบ 40% ของ CISO ในองค์กรขนาดกลางและเล็กไม่มีสิทธิ์เข้าถึงบอร์ดบริหารเลย และในกลุ่มนี้ ครึ่งหนึ่งรายงานว่ารู้สึกไม่พอใจในงานที่ทำอยู่

    CISO หลายคนถูกจ้างในระดับ “ผู้จัดการอาวุโส” หรือ “ผู้อำนวยการ” แต่ถูกเรียกว่า CISO โดยไม่มีอำนาจหรือขอบเขตงานที่แท้จริง พวกเขามักต้องรายงานต่อ CIO หรือ CTO ซึ่งมีเป้าหมายด้านเทคโนโลยี ไม่ใช่ความปลอดภัย—และเมื่อมีความเสี่ยงที่ไม่ถูกจัดการ ก็กลายเป็นว่า CISO ต้องรับผิดชอบโดยไม่มีโอกาสสื่อสารกับบอร์ดเลย

    George Gerchow จาก Bedrock Security เล่าว่าเขาเคยอยู่ในตำแหน่งที่ไม่สามารถพูดคุยกับหัวหน้าหรือบอร์ดได้โดยตรง จนทีมของเขาเริ่มลาออก และสุดท้ายเขาต้องออกจากตำแหน่งนั้นเอง เขาจึงระบุในสัญญางานใหม่ว่า “ต้องรายงานตรงต่อ CEO หรือบอร์ดเท่านั้น”

    แม้บางองค์กรจะให้ CISO เข้าถึงบอร์ดได้ แต่คำถามคือ “ใช้โอกาสนั้นได้ดีแค่ไหน” เพราะการพูดถึง CVE หรือ ransomware gang อาจทำให้บอร์ดเบื่อและมองว่า CISO ไม่เข้าใจธุรกิจ การสื่อสารที่ดีต้องเชื่อมโยงความเสี่ยงกับผลกระทบทางธุรกิจ เช่น รายได้ที่หายไป หรือความเชื่อมั่นของลูกค้าที่ลดลง

    Andy Land จาก CISO Executive Network แนะนำว่า CISO ต้องสร้างความสัมพันธ์กับผู้บริหารระดับ C ก่อน เพื่อเข้าใจเป้าหมายของแต่ละฝ่าย และใช้สิ่งนั้นเป็นสะพานไปสู่การสื่อสารกับบอร์ดอย่างมีประสิทธิภาพ

    สถานการณ์การเข้าถึงบอร์ดของ CISO
    40% ของ CISO ในองค์กรขนาดกลางและเล็กไม่มีสิทธิ์เข้าถึงบอร์ด
    50% ของกลุ่มนี้รายงานว่ารู้สึกไม่พอใจในงาน
    CISO ที่มีสิทธิ์เข้าบอร์ดรายไตรมาส มีความพึงพอใจเพียง 8%

    ปัญหาโครงสร้างการรายงาน
    CISO มักรายงานต่อ CIO หรือ CTO ซึ่งมีเป้าหมายต่างกัน
    ความเสี่ยงที่ไม่ถูกจัดการอาจถูกกดไว้ ไม่ถูกนำเสนอถึงบอร์ด
    CISO กลายเป็นผู้รับผิดชอบเมื่อเกิดเหตุการณ์ แม้ไม่มีอำนาจในการตัดสินใจ

    ผลกระทบต่อความมั่นคงและความผูกพันในงาน
    CISO หลายคนลาออกหรือเปลี่ยนสายงานเพราะรู้สึกไม่มีอำนาจ
    อายุเฉลี่ยของตำแหน่ง CISO อยู่ที่ 18–26 เดือน
    การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างองค์กรอาจทำให้ช่องทางสื่อสารถูกตัดขาด

    แนวทางการสร้างความสัมพันธ์กับบอร์ด
    ต้องเริ่มจากการเข้าใจเป้าหมายของผู้บริหารระดับ C
    สื่อสารความเสี่ยงในรูปแบบที่เชื่อมโยงกับรายได้, pipeline, และ churn
    หลีกเลี่ยงการพูดเชิงเทคนิคที่ไม่เชื่อมโยงกับผลกระทบทางธุรกิจ

    https://www.csoonline.com/article/4049347/lack-of-board-access-the-no-1-ciso-dissatisfaction.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากเบื้องหลังความไม่พอใจของ CISO: เมื่อคนที่ต้องรับผิดชอบมากที่สุด กลับไม่มีที่นั่งในห้องที่สำคัญที่สุด จากรายงานปี 2025 โดย IANS และ Artico Search พบว่าเกือบ 40% ของ CISO ในองค์กรขนาดกลางและเล็กไม่มีสิทธิ์เข้าถึงบอร์ดบริหารเลย และในกลุ่มนี้ ครึ่งหนึ่งรายงานว่ารู้สึกไม่พอใจในงานที่ทำอยู่ CISO หลายคนถูกจ้างในระดับ “ผู้จัดการอาวุโส” หรือ “ผู้อำนวยการ” แต่ถูกเรียกว่า CISO โดยไม่มีอำนาจหรือขอบเขตงานที่แท้จริง พวกเขามักต้องรายงานต่อ CIO หรือ CTO ซึ่งมีเป้าหมายด้านเทคโนโลยี ไม่ใช่ความปลอดภัย—และเมื่อมีความเสี่ยงที่ไม่ถูกจัดการ ก็กลายเป็นว่า CISO ต้องรับผิดชอบโดยไม่มีโอกาสสื่อสารกับบอร์ดเลย George Gerchow จาก Bedrock Security เล่าว่าเขาเคยอยู่ในตำแหน่งที่ไม่สามารถพูดคุยกับหัวหน้าหรือบอร์ดได้โดยตรง จนทีมของเขาเริ่มลาออก และสุดท้ายเขาต้องออกจากตำแหน่งนั้นเอง เขาจึงระบุในสัญญางานใหม่ว่า “ต้องรายงานตรงต่อ CEO หรือบอร์ดเท่านั้น” แม้บางองค์กรจะให้ CISO เข้าถึงบอร์ดได้ แต่คำถามคือ “ใช้โอกาสนั้นได้ดีแค่ไหน” เพราะการพูดถึง CVE หรือ ransomware gang อาจทำให้บอร์ดเบื่อและมองว่า CISO ไม่เข้าใจธุรกิจ การสื่อสารที่ดีต้องเชื่อมโยงความเสี่ยงกับผลกระทบทางธุรกิจ เช่น รายได้ที่หายไป หรือความเชื่อมั่นของลูกค้าที่ลดลง Andy Land จาก CISO Executive Network แนะนำว่า CISO ต้องสร้างความสัมพันธ์กับผู้บริหารระดับ C ก่อน เพื่อเข้าใจเป้าหมายของแต่ละฝ่าย และใช้สิ่งนั้นเป็นสะพานไปสู่การสื่อสารกับบอร์ดอย่างมีประสิทธิภาพ ✅ สถานการณ์การเข้าถึงบอร์ดของ CISO ➡️ 40% ของ CISO ในองค์กรขนาดกลางและเล็กไม่มีสิทธิ์เข้าถึงบอร์ด ➡️ 50% ของกลุ่มนี้รายงานว่ารู้สึกไม่พอใจในงาน ➡️ CISO ที่มีสิทธิ์เข้าบอร์ดรายไตรมาส มีความพึงพอใจเพียง 8% ✅ ปัญหาโครงสร้างการรายงาน ➡️ CISO มักรายงานต่อ CIO หรือ CTO ซึ่งมีเป้าหมายต่างกัน ➡️ ความเสี่ยงที่ไม่ถูกจัดการอาจถูกกดไว้ ไม่ถูกนำเสนอถึงบอร์ด ➡️ CISO กลายเป็นผู้รับผิดชอบเมื่อเกิดเหตุการณ์ แม้ไม่มีอำนาจในการตัดสินใจ ✅ ผลกระทบต่อความมั่นคงและความผูกพันในงาน ➡️ CISO หลายคนลาออกหรือเปลี่ยนสายงานเพราะรู้สึกไม่มีอำนาจ ➡️ อายุเฉลี่ยของตำแหน่ง CISO อยู่ที่ 18–26 เดือน ➡️ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างองค์กรอาจทำให้ช่องทางสื่อสารถูกตัดขาด ✅ แนวทางการสร้างความสัมพันธ์กับบอร์ด ➡️ ต้องเริ่มจากการเข้าใจเป้าหมายของผู้บริหารระดับ C ➡️ สื่อสารความเสี่ยงในรูปแบบที่เชื่อมโยงกับรายได้, pipeline, และ churn ➡️ หลีกเลี่ยงการพูดเชิงเทคนิคที่ไม่เชื่อมโยงกับผลกระทบทางธุรกิจ https://www.csoonline.com/article/4049347/lack-of-board-access-the-no-1-ciso-dissatisfaction.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Lack of board access: The No. 1 factor for CISO dissatisfaction
    As C-level executives, CISOs are accountable for anything that goes wrong but are not given the same C-level treatment and access that would help them execute their functions with authority.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 194 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากแสงสีเขียวถึง AFib: เมื่อ Apple Watch กลายเป็นเครื่องมือวัดหัวใจที่แม่นยำเกินคาด

    Apple เปิดตัว Apple Watch รุ่นแรกพร้อมคำสัญญาว่าจะช่วยให้ผู้คนมีสุขภาพดีขึ้น โดยเฉพาะด้วยเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจที่ใช้เทคนิค photoplethysmography (PPG) ซึ่งอาศัยการวัดการดูดซับแสงจากเลือดผ่านผิวหนัง โดยใช้ LED สีเขียวและอินฟราเรดร่วมกับ photodiode ที่ไวต่อแสง

    แม้ Apple Watch จะไม่ใช่อุปกรณ์ทางการแพทย์ แต่การพัฒนาอย่างต่อเนื่องทำให้ความแม่นยำของเซ็นเซอร์สูงขึ้นมาก โดยเฉพาะตั้งแต่รุ่น Series 6 เป็นต้นมา ซึ่งเพิ่ม LED สีแดงสำหรับวัดระดับออกซิเจนในเลือด และปรับปรุงอัลกอริธึม machine learning เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลชีพจรได้แม่นยำขึ้น

    จากการศึกษาภายในของ Apple ในปี 2024 พบว่า Apple Watch มีความแม่นยำในการวัดอัตราการเต้นของหัวใจขณะพักถึง 98% (±5 bpm) และสูงถึง 99.7% หากยอมรับค่าคลาดเคลื่อน ±10 bpm ส่วนในการออกกำลังกาย ความแม่นยำลดลงเล็กน้อย เช่น 96% สำหรับการปั่นจักรยานกลางแจ้ง, 88% สำหรับการวิ่ง, และ 91% สำหรับการออกกำลังกายหนัก

    การตรวจสอบแบบ passive (พื้นหลัง) ก็มีความแม่นยำถึง 89% ในรุ่นใหม่ แต่ลดลงเหลือ 72% ในรุ่นก่อน Series 6 ซึ่งสะท้อนถึงการพัฒนา hardware และ software อย่างมีนัยสำคัญ

    นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยอิสระที่เปรียบเทียบ Apple Watch กับอุปกรณ์วัดชีพจรแบบสายคาดอก เช่น Polar พบว่า Apple Watch มีค่าคลาดเคลื่อนเฉลี่ยเพียง -0.12 bpm ซึ่งถือว่าอยู่ในเกณฑ์ยอมรับได้ และมีความสัมพันธ์สูงกับอุปกรณ์มาตรฐานในผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวานและความดันโลหิตสูง

    อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ เช่น AFib ควรใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ร่วมด้วย เพราะ Apple Watch อาจไม่สามารถตรวจจับความผิดปกติได้ครบถ้วนในทุกสถานการณ์

    เทคโนโลยีเซ็นเซอร์ของ Apple Watch
    ใช้ photoplethysmography (PPG) ร่วมกับ LED สีเขียว, อินฟราเรด และ photodiode
    Series 6 เพิ่ม LED สีแดงสำหรับวัดออกซิเจนในเลือด
    ใช้ machine learning วิเคราะห์ข้อมูลชีพจรแบบต่อเนื่อง

    ความแม่นยำจากการศึกษาภายใน Apple
    ขณะพัก: แม่นยำ 98% (±5 bpm), สูงสุด 99.7% (±10 bpm)
    ขณะออกกำลังกาย: 96% (ปั่นจักรยาน), 88% (วิ่ง), 91% (ออกกำลังกายหนัก)
    การตรวจสอบพื้นหลัง: 89% ในรุ่นใหม่, 72% ในรุ่นเก่า

    ผลการทดสอบจากงานวิจัยอิสระ
    ค่าคลาดเคลื่อนเฉลี่ย -0.12 bpm เทียบกับอุปกรณ์สายคาดอก
    มีความสัมพันธ์สูงในผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวานและความดัน
    สนับสนุนการใช้ในคลินิกเพื่อคัดกรองเบื้องต้น

    การใช้งานในชีวิตประจำวัน
    ตรวจจับอัตราการเต้นของหัวใจ, การฟื้นตัว, ความฟิต, และจังหวะผิดปกติ
    มีฟีเจอร์แจ้งเตือน AFib, ความดันสูง/ต่ำ, และประวัติการเต้นของหัวใจ
    เหมาะสำหรับการติดตามสุขภาพแบบต่อเนื่องโดยไม่รบกวนชีวิตประจำวัน

    https://www.slashgear.com/1956322/apple-watch-heart-rate-monitor-how-accurate-explained/
    🎙️ เรื่องเล่าจากแสงสีเขียวถึง AFib: เมื่อ Apple Watch กลายเป็นเครื่องมือวัดหัวใจที่แม่นยำเกินคาด Apple เปิดตัว Apple Watch รุ่นแรกพร้อมคำสัญญาว่าจะช่วยให้ผู้คนมีสุขภาพดีขึ้น โดยเฉพาะด้วยเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจที่ใช้เทคนิค photoplethysmography (PPG) ซึ่งอาศัยการวัดการดูดซับแสงจากเลือดผ่านผิวหนัง โดยใช้ LED สีเขียวและอินฟราเรดร่วมกับ photodiode ที่ไวต่อแสง แม้ Apple Watch จะไม่ใช่อุปกรณ์ทางการแพทย์ แต่การพัฒนาอย่างต่อเนื่องทำให้ความแม่นยำของเซ็นเซอร์สูงขึ้นมาก โดยเฉพาะตั้งแต่รุ่น Series 6 เป็นต้นมา ซึ่งเพิ่ม LED สีแดงสำหรับวัดระดับออกซิเจนในเลือด และปรับปรุงอัลกอริธึม machine learning เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลชีพจรได้แม่นยำขึ้น จากการศึกษาภายในของ Apple ในปี 2024 พบว่า Apple Watch มีความแม่นยำในการวัดอัตราการเต้นของหัวใจขณะพักถึง 98% (±5 bpm) และสูงถึง 99.7% หากยอมรับค่าคลาดเคลื่อน ±10 bpm ส่วนในการออกกำลังกาย ความแม่นยำลดลงเล็กน้อย เช่น 96% สำหรับการปั่นจักรยานกลางแจ้ง, 88% สำหรับการวิ่ง, และ 91% สำหรับการออกกำลังกายหนัก การตรวจสอบแบบ passive (พื้นหลัง) ก็มีความแม่นยำถึง 89% ในรุ่นใหม่ แต่ลดลงเหลือ 72% ในรุ่นก่อน Series 6 ซึ่งสะท้อนถึงการพัฒนา hardware และ software อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยอิสระที่เปรียบเทียบ Apple Watch กับอุปกรณ์วัดชีพจรแบบสายคาดอก เช่น Polar พบว่า Apple Watch มีค่าคลาดเคลื่อนเฉลี่ยเพียง -0.12 bpm ซึ่งถือว่าอยู่ในเกณฑ์ยอมรับได้ และมีความสัมพันธ์สูงกับอุปกรณ์มาตรฐานในผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวานและความดันโลหิตสูง อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ เช่น AFib ควรใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ร่วมด้วย เพราะ Apple Watch อาจไม่สามารถตรวจจับความผิดปกติได้ครบถ้วนในทุกสถานการณ์ ✅ เทคโนโลยีเซ็นเซอร์ของ Apple Watch ➡️ ใช้ photoplethysmography (PPG) ร่วมกับ LED สีเขียว, อินฟราเรด และ photodiode ➡️ Series 6 เพิ่ม LED สีแดงสำหรับวัดออกซิเจนในเลือด ➡️ ใช้ machine learning วิเคราะห์ข้อมูลชีพจรแบบต่อเนื่อง ✅ ความแม่นยำจากการศึกษาภายใน Apple ➡️ ขณะพัก: แม่นยำ 98% (±5 bpm), สูงสุด 99.7% (±10 bpm) ➡️ ขณะออกกำลังกาย: 96% (ปั่นจักรยาน), 88% (วิ่ง), 91% (ออกกำลังกายหนัก) ➡️ การตรวจสอบพื้นหลัง: 89% ในรุ่นใหม่, 72% ในรุ่นเก่า ✅ ผลการทดสอบจากงานวิจัยอิสระ ➡️ ค่าคลาดเคลื่อนเฉลี่ย -0.12 bpm เทียบกับอุปกรณ์สายคาดอก ➡️ มีความสัมพันธ์สูงในผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวานและความดัน ➡️ สนับสนุนการใช้ในคลินิกเพื่อคัดกรองเบื้องต้น ✅ การใช้งานในชีวิตประจำวัน ➡️ ตรวจจับอัตราการเต้นของหัวใจ, การฟื้นตัว, ความฟิต, และจังหวะผิดปกติ ➡️ มีฟีเจอร์แจ้งเตือน AFib, ความดันสูง/ต่ำ, และประวัติการเต้นของหัวใจ ➡️ เหมาะสำหรับการติดตามสุขภาพแบบต่อเนื่องโดยไม่รบกวนชีวิตประจำวัน https://www.slashgear.com/1956322/apple-watch-heart-rate-monitor-how-accurate-explained/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Just How Accurate Is The Heart Rate Monitor In The Apple Watch? - SlashGear
    Apple Watch uses optical sensors to track heart rate with strong accuracy during rest and workouts, though it’s not a medical-grade device.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 184 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก Scaling Laws: เมื่อ compute ไม่ใช่พระเจ้าองค์เดียว และ data คือสิ่งที่เรากำลังขาดแคลน

    Kushal Chakrabarti เขียนบทความที่พลิกความเข้าใจเดิมเกี่ยวกับ The Bitter Lesson โดยชี้ว่า เราอ่านบทเรียนนี้ “กลับด้าน” มานานหลายปี เพราะจริง ๆ แล้ว Scaling Laws บอกเราว่า compute (C) ไม่ได้ทำงานลอย ๆ—มันต้องจับคู่กับ data (D) อย่างถูกสัดส่วน และความสัมพันธ์นั้นคือ C ∼ D²

    แปลว่า ถ้าเราจะเพิ่ม GPU เป็นสองเท่า เราต้องเพิ่มข้อมูลอีก 40% ไม่งั้นก็เหมือนจุดไฟเผาเงินเล่น เพราะ compute ที่มากขึ้นจะไม่มีประโยชน์ถ้าไม่มีข้อมูลที่มากพอให้มันเรียนรู้

    ปัญหาคือ เรากินข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตไปหมดแล้ว และไม่มี “อินเทอร์เน็ตที่สอง” ให้เทรน GPT-6 ได้อีกต่อไป ข้อมูลที่มีคุณภาพสูงจริง ๆ เหลืออยู่แค่ประมาณ 10 ล้านล้าน token เท่านั้น ซึ่งไม่พอสำหรับโมเดลระดับ 100B+ parameters ที่ต้องใช้ข้อมูลมหาศาลต่อ parameter

    ดังนั้น ทีม AI ต้องเลือกทางเดินใหม่: จะเป็น “Architect” ที่ออกแบบโมเดลให้ฉลาดขึ้นโดยใช้ข้อมูลเท่าเดิม หรือเป็น “Alchemist” ที่สร้างข้อมูลใหม่จากการเรียนรู้ของโมเดลเอง เช่น self-play, RLHF, หรือ agentic feedback loop

    Scaling Laws และความเข้าใจใหม่
    ความสัมพันธ์ระหว่าง compute กับ data คือ C ∼ D²
    เพิ่ม GPU โดยไม่เพิ่มข้อมูล = ประสิทธิภาพลดลง
    Chinchilla model ของ DeepMind ยืนยันว่า model size ควรสอดคล้องกับ data size

    ปัญหาคอขวดด้านข้อมูล
    อินเทอร์เน็ตถูกใช้หมดแล้ว ไม่มีแหล่งข้อมูลใหม่ขนาดใหญ่
    ข้อมูลคุณภาพสูงเหลือเพียง ~10T token หลังกรองซ้ำและคุณภาพ
    GPT-6 ต้องการข้อมูลระดับ ~20 token ต่อ parameter ซึ่งไม่พอในปัจจุบัน

    ทางเลือกของทีมวิจัย AI
    Architect: พัฒนาโมเดลให้ฉลาดขึ้นโดยใช้ข้อมูลเท่าเดิม เช่น Mamba, HRM, ParScale
    Alchemist: สร้างข้อมูลใหม่จาก self-play, RLHF, agentic feedback loop
    ทั้งสองแนวทางต้องทำงานร่วมกันเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

    กลยุทธ์สำหรับผู้นำองค์กร
    Incumbent’s Gambit: ลงทุน 70% กับ Architect เพื่อความมั่นคง และ 30% กับ Alchemist เพื่อ hedge
    Challenger’s Gambit: ลงทุน 70% กับ Alchemist เพื่อ leapfrog และ 30% กับ Architect เพื่อความต่อเนื่อง
    การจัดพอร์ตวิจัยต้องสะท้อนความเสี่ยงและเป้าหมายขององค์กร

    https://obviouslywrong.substack.com/p/the-bitter-lesson-is-misunderstood
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Scaling Laws: เมื่อ compute ไม่ใช่พระเจ้าองค์เดียว และ data คือสิ่งที่เรากำลังขาดแคลน Kushal Chakrabarti เขียนบทความที่พลิกความเข้าใจเดิมเกี่ยวกับ The Bitter Lesson โดยชี้ว่า เราอ่านบทเรียนนี้ “กลับด้าน” มานานหลายปี เพราะจริง ๆ แล้ว Scaling Laws บอกเราว่า compute (C) ไม่ได้ทำงานลอย ๆ—มันต้องจับคู่กับ data (D) อย่างถูกสัดส่วน และความสัมพันธ์นั้นคือ C ∼ D² แปลว่า ถ้าเราจะเพิ่ม GPU เป็นสองเท่า เราต้องเพิ่มข้อมูลอีก 40% ไม่งั้นก็เหมือนจุดไฟเผาเงินเล่น เพราะ compute ที่มากขึ้นจะไม่มีประโยชน์ถ้าไม่มีข้อมูลที่มากพอให้มันเรียนรู้ ปัญหาคือ เรากินข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตไปหมดแล้ว และไม่มี “อินเทอร์เน็ตที่สอง” ให้เทรน GPT-6 ได้อีกต่อไป ข้อมูลที่มีคุณภาพสูงจริง ๆ เหลืออยู่แค่ประมาณ 10 ล้านล้าน token เท่านั้น ซึ่งไม่พอสำหรับโมเดลระดับ 100B+ parameters ที่ต้องใช้ข้อมูลมหาศาลต่อ parameter ดังนั้น ทีม AI ต้องเลือกทางเดินใหม่: จะเป็น “Architect” ที่ออกแบบโมเดลให้ฉลาดขึ้นโดยใช้ข้อมูลเท่าเดิม หรือเป็น “Alchemist” ที่สร้างข้อมูลใหม่จากการเรียนรู้ของโมเดลเอง เช่น self-play, RLHF, หรือ agentic feedback loop ✅ Scaling Laws และความเข้าใจใหม่ ➡️ ความสัมพันธ์ระหว่าง compute กับ data คือ C ∼ D² ➡️ เพิ่ม GPU โดยไม่เพิ่มข้อมูล = ประสิทธิภาพลดลง ➡️ Chinchilla model ของ DeepMind ยืนยันว่า model size ควรสอดคล้องกับ data size ✅ ปัญหาคอขวดด้านข้อมูล ➡️ อินเทอร์เน็ตถูกใช้หมดแล้ว ไม่มีแหล่งข้อมูลใหม่ขนาดใหญ่ ➡️ ข้อมูลคุณภาพสูงเหลือเพียง ~10T token หลังกรองซ้ำและคุณภาพ ➡️ GPT-6 ต้องการข้อมูลระดับ ~20 token ต่อ parameter ซึ่งไม่พอในปัจจุบัน ✅ ทางเลือกของทีมวิจัย AI ➡️ Architect: พัฒนาโมเดลให้ฉลาดขึ้นโดยใช้ข้อมูลเท่าเดิม เช่น Mamba, HRM, ParScale ➡️ Alchemist: สร้างข้อมูลใหม่จาก self-play, RLHF, agentic feedback loop ➡️ ทั้งสองแนวทางต้องทำงานร่วมกันเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ✅ กลยุทธ์สำหรับผู้นำองค์กร ➡️ Incumbent’s Gambit: ลงทุน 70% กับ Architect เพื่อความมั่นคง และ 30% กับ Alchemist เพื่อ hedge ➡️ Challenger’s Gambit: ลงทุน 70% กับ Alchemist เพื่อ leapfrog และ 30% กับ Architect เพื่อความต่อเนื่อง ➡️ การจัดพอร์ตวิจัยต้องสะท้อนความเสี่ยงและเป้าหมายขององค์กร https://obviouslywrong.substack.com/p/the-bitter-lesson-is-misunderstood
    OBVIOUSLYWRONG.SUBSTACK.COM
    The Bitter Lesson is Misunderstood
    Together, the Bitter Lesson and Scaling Laws reveal that the god of Compute we worship is yoked to an even greater one — the god of Data.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 147 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผู้บัญชาการทหารสูงสุด รับการเยี่ยมคำนับจากผู้บัญชาการกองกำลังสหประชาชาติ และกองกำลังสหรัฐฯ ในเกาหลีใต้
    https://www.thai-tai.tv/news/21318/
    .
    #ไทยไท #กองทัพไทย #กองทัพสหรัฐ #ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ #ข่าวความมั่นคง #ข่าววันนี้
    ผู้บัญชาการทหารสูงสุด รับการเยี่ยมคำนับจากผู้บัญชาการกองกำลังสหประชาชาติ และกองกำลังสหรัฐฯ ในเกาหลีใต้ https://www.thai-tai.tv/news/21318/ . #ไทยไท #กองทัพไทย #กองทัพสหรัฐ #ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ #ข่าวความมั่นคง #ข่าววันนี้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 64 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts