• สองแถวแปลงร่าง พลิกโฉมขนส่งท้องถิ่น

    เทศกาลงานออกแบบกรุงเทพฯ 2568 หรือ Bangkok Design Week 2025 ที่ลานคนเมือง ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร หนึ่งในนิทรรศการที่น่าสนใจ คือ สองแถวแปลงร่าง จัดแสดงรถสองแถวต้นแบบ ที่บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมกับ บริษัท บัสซิ่ง ทรานสิท จำกัด ผู้ให้บริการขอนแก่นซิตี้บัส จังหวัดขอนแก่น และเมย์เดย์ กลุ่มนักออกแบบนวัตกรรมเกี่ยวกับการเดินทาง ร่วมกันออกแบบและพัฒนาขึ้น โดยใช้ระยะเวลาเกือบ 1 ปี

    จากการสอบถามทีมงานที่ร่วมพัฒนารถสองแถว ระบุว่า ต้นทุนในการประกอบรถสองแถว รวมระบบต่างๆ เช่น GPS และระบบจัดเก็บค่าโดยสาร รวมกันโดยประมาณไม่ถึง 1 ล้านบาท

    รถสองแถวแปลงร่าง ออกแบบภายใต้แนวคิดที่มุ่งเน้นความปลอดภัย ความสะดวกในการเดินทาง และความสะดวกสบายภายในห้องโดยสาร พร้อมแอปพลิเคชัน ที่สามารถระบุตำแหน่งของรถโดยสาร และเวลาที่รถจะมาถึง ณ จุดจอด โดยตัวรถโดยสารมีขนาดเล็ก ทำให้คล่องตัวในการขับขี่และจอดรับส่ง ทางขึ้น-ลง 2 ทางเพื่อความคล่องตัว บันไดทางขึ้นเฉพาะด้านข้างตัวรถ เพื่อความปลอดภัย ส่วนภายในรถโดยสารมีระบบหมุนเวียนอากาศ ให้อากาศถ่ายเทได้ แม้ปิดหน้าต่างเวลาฝนตก

    ระบบแจ้งจุดจอดถัดไป รูปแบบจอภาพและเสียง พัฒนาระบบโดย บัสซิ่ง ทรานสิท และระบบการจ่ายเงิน ที่รองรับสังคมไร้เงินสด เช่น จ่ายผ่านคิวอาร์โค้ด แตะบัตรโดยสาร และเครื่องจ่ายเงินอัตโนมัติ รองรับธนบัตรและเหรียญ ที่นั่งมีทั้งหมด 10 ที่นั่ง พร้อมเข็มขัดนิรภัย โดยมีที่นั่งสีแดง เป็นที่นั่งสำรองสำหรับบุคคลพิเศษ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น ไว-ไฟ ที่ชาร์จโทรศัพท์มือถือ และช่องทางการติดต่อกับคนขับภายในห้องโดยสาร ผ่านระบบอินเตอร์คอมอีกด้วย

    แต่เนื่องจากข้อจำกัดของรถกระบะ ทำให้ไม่สามารถทำเป็นรถชานต่ำได้ แต่ได้ออกแบบให้ขึ้น-ลงง่าย มีราวจับมั่นคงแทน รวมทั้งการที่ยังคงเปิดท้ายด้านหลัง เพราะตามกฎหมายการขนส่งทางบก รถโดยสารมาตรฐาน 3 ฉ ไม่มีเครื่องปรับอากาศ จำนวนที่นั่งผู้โดยสารไม่เกิน 12 ที่นั่ง กำหนดให้ประตูทางขึ้น-ลงต้องเป็นด้านข้างหรือด้านท้ายของรถ แต่ได้เปลี่ยนให้ขึ้นรถจากด้านข้างแล้วลงทางด้านหลังแทน

    สำหรับนิทรรศการรถสองแถวแปลงร่าง จะจัดแสดงถึงวันอาทิตย์ที่ 23 ก.พ. 2568 และทดลองให้บริการในเส้นทางวงกลม เสาชิงช้า เอ็มอาร์ทีสามยอด ประตูผี ถนนราชดำเนินกลาง และถนนดินสอ ในวันเสาร์ที่ 22 และวันอาทิตย์ที่ 23 ก.พ. 2568 ตั้งแต่เวลา 15.00-20.00 น. หลังจากนั้น บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด มีแผนจะนำมาให้บริการในเส้นทางหมู่บ้านทิพวัล จ.สมุทรปราการ ซึ่งใกล้กับโรงงานโตโยต้าสำโรง กลางปี 2568 ต่อไป

    #Newskit
    สองแถวแปลงร่าง พลิกโฉมขนส่งท้องถิ่น เทศกาลงานออกแบบกรุงเทพฯ 2568 หรือ Bangkok Design Week 2025 ที่ลานคนเมือง ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร หนึ่งในนิทรรศการที่น่าสนใจ คือ สองแถวแปลงร่าง จัดแสดงรถสองแถวต้นแบบ ที่บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมกับ บริษัท บัสซิ่ง ทรานสิท จำกัด ผู้ให้บริการขอนแก่นซิตี้บัส จังหวัดขอนแก่น และเมย์เดย์ กลุ่มนักออกแบบนวัตกรรมเกี่ยวกับการเดินทาง ร่วมกันออกแบบและพัฒนาขึ้น โดยใช้ระยะเวลาเกือบ 1 ปี จากการสอบถามทีมงานที่ร่วมพัฒนารถสองแถว ระบุว่า ต้นทุนในการประกอบรถสองแถว รวมระบบต่างๆ เช่น GPS และระบบจัดเก็บค่าโดยสาร รวมกันโดยประมาณไม่ถึง 1 ล้านบาท รถสองแถวแปลงร่าง ออกแบบภายใต้แนวคิดที่มุ่งเน้นความปลอดภัย ความสะดวกในการเดินทาง และความสะดวกสบายภายในห้องโดยสาร พร้อมแอปพลิเคชัน ที่สามารถระบุตำแหน่งของรถโดยสาร และเวลาที่รถจะมาถึง ณ จุดจอด โดยตัวรถโดยสารมีขนาดเล็ก ทำให้คล่องตัวในการขับขี่และจอดรับส่ง ทางขึ้น-ลง 2 ทางเพื่อความคล่องตัว บันไดทางขึ้นเฉพาะด้านข้างตัวรถ เพื่อความปลอดภัย ส่วนภายในรถโดยสารมีระบบหมุนเวียนอากาศ ให้อากาศถ่ายเทได้ แม้ปิดหน้าต่างเวลาฝนตก ระบบแจ้งจุดจอดถัดไป รูปแบบจอภาพและเสียง พัฒนาระบบโดย บัสซิ่ง ทรานสิท และระบบการจ่ายเงิน ที่รองรับสังคมไร้เงินสด เช่น จ่ายผ่านคิวอาร์โค้ด แตะบัตรโดยสาร และเครื่องจ่ายเงินอัตโนมัติ รองรับธนบัตรและเหรียญ ที่นั่งมีทั้งหมด 10 ที่นั่ง พร้อมเข็มขัดนิรภัย โดยมีที่นั่งสีแดง เป็นที่นั่งสำรองสำหรับบุคคลพิเศษ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น ไว-ไฟ ที่ชาร์จโทรศัพท์มือถือ และช่องทางการติดต่อกับคนขับภายในห้องโดยสาร ผ่านระบบอินเตอร์คอมอีกด้วย แต่เนื่องจากข้อจำกัดของรถกระบะ ทำให้ไม่สามารถทำเป็นรถชานต่ำได้ แต่ได้ออกแบบให้ขึ้น-ลงง่าย มีราวจับมั่นคงแทน รวมทั้งการที่ยังคงเปิดท้ายด้านหลัง เพราะตามกฎหมายการขนส่งทางบก รถโดยสารมาตรฐาน 3 ฉ ไม่มีเครื่องปรับอากาศ จำนวนที่นั่งผู้โดยสารไม่เกิน 12 ที่นั่ง กำหนดให้ประตูทางขึ้น-ลงต้องเป็นด้านข้างหรือด้านท้ายของรถ แต่ได้เปลี่ยนให้ขึ้นรถจากด้านข้างแล้วลงทางด้านหลังแทน สำหรับนิทรรศการรถสองแถวแปลงร่าง จะจัดแสดงถึงวันอาทิตย์ที่ 23 ก.พ. 2568 และทดลองให้บริการในเส้นทางวงกลม เสาชิงช้า เอ็มอาร์ทีสามยอด ประตูผี ถนนราชดำเนินกลาง และถนนดินสอ ในวันเสาร์ที่ 22 และวันอาทิตย์ที่ 23 ก.พ. 2568 ตั้งแต่เวลา 15.00-20.00 น. หลังจากนั้น บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด มีแผนจะนำมาให้บริการในเส้นทางหมู่บ้านทิพวัล จ.สมุทรปราการ ซึ่งใกล้กับโรงงานโตโยต้าสำโรง กลางปี 2568 ต่อไป #Newskit
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 149 มุมมอง 0 รีวิว
  • ชาวมุสลิมไม่พอใจ ร้องเรียนนักเรียนโรงเรียนวชิรธรรมสาธิตถามคำถาม อาจารย์เบียร์ คนตื่นธรรม "ถ้าเราเลี้ยงหมูในมัสยิดจะบาปไหม" เรียกเสียงหัวเราะทั้งโรงเรียน ล่าสุดทางโรงเรียนขออภัยแล้ว แต่ผู้อำนวยการโรงเรียนติดราชการต่างจังหวัด รอการนัดหมายกับคณะกรรมการอิสลามประจำกรุงเทพมหานครอีกครั้ง

    วันนี้ (16 ก.พ.) รายงานข่าวแจ้งว่า ได้มีชาวมุสลิมไม่พอใจกรณีที่มีวิดีโอคลิปบนโซเชียลมีเดีย นักเรียนรายหนึ่งถาม นายณัฐพล บุญสา หรืออาจารย์เบียร์ คนตื่นธรรม อินฟลูเอนเซอร์ด้านศาสนาพุทธชื่อดัง โดยนักเรียนถามว่า "ถ้าเราเลี้ยงหมูในมัสยิดจะบาปไหม" ซึ่งอาจารย์เบียร์กล่าวว่า "มันจะไปเลี้ยงยังไง มันก็ปัญญาอ่อนเนาะ" นักเรียนทั้งโรงเรียนต่างส่งเสียงหัวเราะกรี๊ดกร๊าดชอบใจด้วยความตลกขบขัน โดยพบว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นที่โรงเรียนวชิรธรรมสาธิต กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 10 ก.พ.ที่ผ่านมา

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000015407

    #MGROnline #โรงเรียนวชิรธรรมสาธิต #อาจารย์เบียร์คนตื่นธรรม #ถ้าเราเลี้ยงหมูในมัสยิดจะบาปไหม
    ชาวมุสลิมไม่พอใจ ร้องเรียนนักเรียนโรงเรียนวชิรธรรมสาธิตถามคำถาม อาจารย์เบียร์ คนตื่นธรรม "ถ้าเราเลี้ยงหมูในมัสยิดจะบาปไหม" เรียกเสียงหัวเราะทั้งโรงเรียน ล่าสุดทางโรงเรียนขออภัยแล้ว แต่ผู้อำนวยการโรงเรียนติดราชการต่างจังหวัด รอการนัดหมายกับคณะกรรมการอิสลามประจำกรุงเทพมหานครอีกครั้ง • วันนี้ (16 ก.พ.) รายงานข่าวแจ้งว่า ได้มีชาวมุสลิมไม่พอใจกรณีที่มีวิดีโอคลิปบนโซเชียลมีเดีย นักเรียนรายหนึ่งถาม นายณัฐพล บุญสา หรืออาจารย์เบียร์ คนตื่นธรรม อินฟลูเอนเซอร์ด้านศาสนาพุทธชื่อดัง โดยนักเรียนถามว่า "ถ้าเราเลี้ยงหมูในมัสยิดจะบาปไหม" ซึ่งอาจารย์เบียร์กล่าวว่า "มันจะไปเลี้ยงยังไง มันก็ปัญญาอ่อนเนาะ" นักเรียนทั้งโรงเรียนต่างส่งเสียงหัวเราะกรี๊ดกร๊าดชอบใจด้วยความตลกขบขัน โดยพบว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นที่โรงเรียนวชิรธรรมสาธิต กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 10 ก.พ.ที่ผ่านมา • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000015407 • #MGROnline #โรงเรียนวชิรธรรมสาธิต #อาจารย์เบียร์คนตื่นธรรม #ถ้าเราเลี้ยงหมูในมัสยิดจะบาปไหม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 178 มุมมอง 0 รีวิว
  • โฆษกอัยการเผย อัยการคดีพิเศษยื่นฟ้อง "ลูก-เมีย"หมอบุญ กับพวก รวม13 คน เฉ้อโกงประชาชนเสียหายกว่า 1.6 หมื่นล้าน กำชับดีเอสไอ ตามตัว"หมอบุญ"กับพวกเอาตัวมาฟ้องภายในอายุความ 15 ปี

    วันนี้(14 ก.พ.) นายศักดิ์เกษม นิไทรโยค ผู้ตรวจการอัยการ ในฐานะโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยว่า ตามที่สำนักงานคดีพิเศษ สำนักงานอัยการสูงสุด ได้รับสำนวนจากพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ คดีระหว่าง นางสาวอรเกศ ปัญญาเนตินาถ กับพวก ผู้กล่าวหา นายบุญ วนาสิน กับพวกรวม 16 คน ผู้ต้องหา ฐาน “ร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนและร่วมกันฉ้อโกงประชาชน” เหตุเกิดเมื่อประมาณปี 2553 วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด ถึงวันที่ 15 ธ.ค. 2567 ต่างกรรมต่างวาระกัน ในท้องที่แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง, แขวงศิริราช เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร และหลายท้องที่ทั่วราชอาณาจักรเกี่ยวพันกัน คิดเป็นค่าเสียหายประมาณ 16,100,602,806 บาท

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000014862

    #MGROnline #หมอบุญ #อัยการ #ฉ้อโกง
    โฆษกอัยการเผย อัยการคดีพิเศษยื่นฟ้อง "ลูก-เมีย"หมอบุญ กับพวก รวม13 คน เฉ้อโกงประชาชนเสียหายกว่า 1.6 หมื่นล้าน กำชับดีเอสไอ ตามตัว"หมอบุญ"กับพวกเอาตัวมาฟ้องภายในอายุความ 15 ปี • วันนี้(14 ก.พ.) นายศักดิ์เกษม นิไทรโยค ผู้ตรวจการอัยการ ในฐานะโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยว่า ตามที่สำนักงานคดีพิเศษ สำนักงานอัยการสูงสุด ได้รับสำนวนจากพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ คดีระหว่าง นางสาวอรเกศ ปัญญาเนตินาถ กับพวก ผู้กล่าวหา นายบุญ วนาสิน กับพวกรวม 16 คน ผู้ต้องหา ฐาน “ร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนและร่วมกันฉ้อโกงประชาชน” เหตุเกิดเมื่อประมาณปี 2553 วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด ถึงวันที่ 15 ธ.ค. 2567 ต่างกรรมต่างวาระกัน ในท้องที่แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง, แขวงศิริราช เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร และหลายท้องที่ทั่วราชอาณาจักรเกี่ยวพันกัน คิดเป็นค่าเสียหายประมาณ 16,100,602,806 บาท • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000014862 • #MGROnline #หมอบุญ #อัยการ #ฉ้อโกง
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 185 มุมมอง 0 รีวิว
  • 11 กุมภาพันธ์ 2568-รายงานข่าวnews.ch7.com ระบุว่าชูวิทย์ฝากข้อความวิเคราะห์ 8 ประเด็น ความผิดพลาดในคดี ยกฟ้องตู้ห่าวภายหลังศาลอาญากรุงเทพใต้ พิพากษายกฟ้องตู้ห่าว วันนี้ (11 ก.พ.68) นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ซึ่งเคยมีบทบาทแฉขบวนการกลุ่มทุนจีนเทา ฝากข้อความวิเคราะห์ ประเด็นศาลฯ ยกฟ้องคดีตู้ห่าว โดยระบุถึง 8 ประเด็น ความผิดพลาดของคดีตู้ห่าว ดังนี้1.การวางแผนจับกุมที่ผิดพลาดตั้งแต่แรก ด้วยกำลังเจ้าหน้าที่ไม่เพียงพอจนปล่อยผู้ต้องหาไปโดยไม่รู้ตัว ไม่มีการสอดแนม เก็บข้อมูลจำนวนคน จำนวนพนักงาน จนมีการปล่อยผู้ต้องหาไปจำนวนมาก ซ้ำยังปล่อยนักท่องเที่ยวจีนที่ฉี่ไม่ม่วงออกไปตามหากุญแจรถแล้วขับรถหนีไป เมื่อเจ้าหน้าที่ไม่เพียงพอ จีนเทาขนของหนี แถมมีเวลาซ่อนยา และที่สำคัญจับตัวการสำคัญไม่ได้ ปล่อยหนีหายไป ทั้งที่อยู่ในที่เกิดเหตุ2.เก็บหลักฐานแบบขยัก เว้นวรรค ไม่ครบถ้วน ที่เกิดเหตุมี 3 อาคาร คือ อาคารจินหลิง อาคารลีลา อาคารวิบวับคาร์วอช วันแรก 26 ตุลาคม 2565 ค้นแค่อาคารจินหลิง พบยาเสพติด 4 กิโลกรัม เว้นวรรคไปอีก 5 วัน เพิ่งไปค้นอาคารวิบวับฯ ในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2565 พบยาเสพติดเกือบ 1 กิโลกรัม แต่ไปบันทึกเลขคดีในวันที่ 2 พฤศจิกายน 2565 บอกว่าไม่พบผู้กระทำความผิด ทั้งที่ความเป็นจริงพบ นายเหมา หยาง ในกล้องวงจรปิด และความจริงอาจมียาเสพติดมากกว่านั้นเพราะเป็นโกดังขนาดใหญ่ แต่ขนหนีออกไปได้วันที่ 27 พฤศจิกายน 2565 รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ อัยการ ป.ป.ส. ไปตรวจที่เกิดเหตุเพิ่มเติมยังพบของกลาง ถาดไม้ หลอดดูด ที่ปั่นจมูก ชิป อุปกรณ์เล่นการพนัน และพบรถของกลางอีก 11 คัน ยังไม่ได้ตรวจค้น แถมยังตรวจค้นรถตู้ของหลานชายตู้ห่าว ทะเบียน 8กภ 1234 กรุงเทพมหานคร ในที่เกิดเหตุ พบอุปกรณ์เสพยาในรถ3.การปล่อยรถของกลาง และผู้ต้องหารายสำคัญ ปล่อยหลานชายตู้ห่าว หวัง เจิ้น หนาน ทั้งที่อยู่ในที่เกิดเหตุ เพราะรถตู้อัลพาร์ดยังอยู่ อีกทั้งยังปล่อยผู้ต้องหากลางทาง นายหวัง เทียนฮุย ไปด้วย และมีการปล่อยรถของ เดวิด ฮอลล์ เบนซ์ S Class สีดำ รวมแล้วปล่อยรถของกลางไป 4 คัน4. ผู้ทำสำนวนเป็นหัวหน้าของตำรวจที่ปล่อยรถคืนให้กับผู้ต้องหา5. การตัดต่อกล้องวงจรปิด เซิร์ฟเวอร์มี 4 ตัว ในผับจินหลิง อาคารวิบวับฯ 2 ตัว จำนวนกล้อง 40 กล้อง และอาคารลีลา เซิร์ฟเวอร์ 2 ตัว จำนวนกล้อง 68 กล้อง แต่ส่งกล้องให้พิสูจน์หลักฐานแค่ 1 เซิร์ฟเวอร์ โดยส่งให้พิสูจน์แค่วันที่ 21-26 ตุลาคม 2565 ทั้งนี้เพื่อปิดบังบ่อนในอาคารลีลา และปิดบังไม่ให้เห็นตู้ห่าวกับหลาน6.ออกหมายจับตู้ห่าวล่าช้า บุกจับจินหลิงวันที่ 26 ตุลาคม 2565 ออกหมายจับ 22 พฤศจิกายน 25657. แจ้งข้อหาฟอกเงินตู้ห่าวล่าช้า ตู้ห่าวโดนข้อหายาเสพติดร้ายแรง และข้อหายาเสพติดเป็นความผิดมูลฐานฟอกเงิน แต่ไม่ยอมตั้งข้อหาตั้งแต่แรก เหมือนจงใจให้มีการยักย้ายถ่ายเททรัพย์สิน จนเจอเงินในบัญชีตู้ห่าวแค่ 1 แสน จนกระทั่ง 24 ธันวาคม 2565 แจ้งข้อหาฟอกเงินกับคนสนิทตู้ห่าว แต่ยังไม่แจ้งฟอกเงินกับตู้ห่าว โดยมาแจ้งในภายหลัง8. ท้ายสุดเจ้าของสำนวนทำผิดพลาดจน ผบ.ตร. และอัยการสูงสุด ต้องมาทำคดีเอง แต่หลักฐานต่าง ๆ ได้ถูกทำลายไปเป็นจำนวนมากแล้วที่มา : https://news.ch7.com/detail/784300?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTEAAR32maa_Iu_r1eyqvV_J-LQX_6R96iKqYEYZtHTZwPyCzYcgV4vyC3lf-j0_aem_Wbsu5wDoZFo1T6XSFm1RjA#m70f2wjiy1oxa38wwc
    11 กุมภาพันธ์ 2568-รายงานข่าวnews.ch7.com ระบุว่าชูวิทย์ฝากข้อความวิเคราะห์ 8 ประเด็น ความผิดพลาดในคดี ยกฟ้องตู้ห่าวภายหลังศาลอาญากรุงเทพใต้ พิพากษายกฟ้องตู้ห่าว วันนี้ (11 ก.พ.68) นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ซึ่งเคยมีบทบาทแฉขบวนการกลุ่มทุนจีนเทา ฝากข้อความวิเคราะห์ ประเด็นศาลฯ ยกฟ้องคดีตู้ห่าว โดยระบุถึง 8 ประเด็น ความผิดพลาดของคดีตู้ห่าว ดังนี้1.การวางแผนจับกุมที่ผิดพลาดตั้งแต่แรก ด้วยกำลังเจ้าหน้าที่ไม่เพียงพอจนปล่อยผู้ต้องหาไปโดยไม่รู้ตัว ไม่มีการสอดแนม เก็บข้อมูลจำนวนคน จำนวนพนักงาน จนมีการปล่อยผู้ต้องหาไปจำนวนมาก ซ้ำยังปล่อยนักท่องเที่ยวจีนที่ฉี่ไม่ม่วงออกไปตามหากุญแจรถแล้วขับรถหนีไป เมื่อเจ้าหน้าที่ไม่เพียงพอ จีนเทาขนของหนี แถมมีเวลาซ่อนยา และที่สำคัญจับตัวการสำคัญไม่ได้ ปล่อยหนีหายไป ทั้งที่อยู่ในที่เกิดเหตุ2.เก็บหลักฐานแบบขยัก เว้นวรรค ไม่ครบถ้วน ที่เกิดเหตุมี 3 อาคาร คือ อาคารจินหลิง อาคารลีลา อาคารวิบวับคาร์วอช วันแรก 26 ตุลาคม 2565 ค้นแค่อาคารจินหลิง พบยาเสพติด 4 กิโลกรัม เว้นวรรคไปอีก 5 วัน เพิ่งไปค้นอาคารวิบวับฯ ในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2565 พบยาเสพติดเกือบ 1 กิโลกรัม แต่ไปบันทึกเลขคดีในวันที่ 2 พฤศจิกายน 2565 บอกว่าไม่พบผู้กระทำความผิด ทั้งที่ความเป็นจริงพบ นายเหมา หยาง ในกล้องวงจรปิด และความจริงอาจมียาเสพติดมากกว่านั้นเพราะเป็นโกดังขนาดใหญ่ แต่ขนหนีออกไปได้วันที่ 27 พฤศจิกายน 2565 รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ อัยการ ป.ป.ส. ไปตรวจที่เกิดเหตุเพิ่มเติมยังพบของกลาง ถาดไม้ หลอดดูด ที่ปั่นจมูก ชิป อุปกรณ์เล่นการพนัน และพบรถของกลางอีก 11 คัน ยังไม่ได้ตรวจค้น แถมยังตรวจค้นรถตู้ของหลานชายตู้ห่าว ทะเบียน 8กภ 1234 กรุงเทพมหานคร ในที่เกิดเหตุ พบอุปกรณ์เสพยาในรถ3.การปล่อยรถของกลาง และผู้ต้องหารายสำคัญ ปล่อยหลานชายตู้ห่าว หวัง เจิ้น หนาน ทั้งที่อยู่ในที่เกิดเหตุ เพราะรถตู้อัลพาร์ดยังอยู่ อีกทั้งยังปล่อยผู้ต้องหากลางทาง นายหวัง เทียนฮุย ไปด้วย และมีการปล่อยรถของ เดวิด ฮอลล์ เบนซ์ S Class สีดำ รวมแล้วปล่อยรถของกลางไป 4 คัน4. ผู้ทำสำนวนเป็นหัวหน้าของตำรวจที่ปล่อยรถคืนให้กับผู้ต้องหา5. การตัดต่อกล้องวงจรปิด เซิร์ฟเวอร์มี 4 ตัว ในผับจินหลิง อาคารวิบวับฯ 2 ตัว จำนวนกล้อง 40 กล้อง และอาคารลีลา เซิร์ฟเวอร์ 2 ตัว จำนวนกล้อง 68 กล้อง แต่ส่งกล้องให้พิสูจน์หลักฐานแค่ 1 เซิร์ฟเวอร์ โดยส่งให้พิสูจน์แค่วันที่ 21-26 ตุลาคม 2565 ทั้งนี้เพื่อปิดบังบ่อนในอาคารลีลา และปิดบังไม่ให้เห็นตู้ห่าวกับหลาน6.ออกหมายจับตู้ห่าวล่าช้า บุกจับจินหลิงวันที่ 26 ตุลาคม 2565 ออกหมายจับ 22 พฤศจิกายน 25657. แจ้งข้อหาฟอกเงินตู้ห่าวล่าช้า ตู้ห่าวโดนข้อหายาเสพติดร้ายแรง และข้อหายาเสพติดเป็นความผิดมูลฐานฟอกเงิน แต่ไม่ยอมตั้งข้อหาตั้งแต่แรก เหมือนจงใจให้มีการยักย้ายถ่ายเททรัพย์สิน จนเจอเงินในบัญชีตู้ห่าวแค่ 1 แสน จนกระทั่ง 24 ธันวาคม 2565 แจ้งข้อหาฟอกเงินกับคนสนิทตู้ห่าว แต่ยังไม่แจ้งฟอกเงินกับตู้ห่าว โดยมาแจ้งในภายหลัง8. ท้ายสุดเจ้าของสำนวนทำผิดพลาดจน ผบ.ตร. และอัยการสูงสุด ต้องมาทำคดีเอง แต่หลักฐานต่าง ๆ ได้ถูกทำลายไปเป็นจำนวนมากแล้วที่มา : https://news.ch7.com/detail/784300?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTEAAR32maa_Iu_r1eyqvV_J-LQX_6R96iKqYEYZtHTZwPyCzYcgV4vyC3lf-j0_aem_Wbsu5wDoZFo1T6XSFm1RjA#m70f2wjiy1oxa38wwc
    NEWS.CH7.COM
    ข่าวชูวิทย์วิเคราะห์ 8 ประเด็น ความผิดพลาด ยกฟ้องตู้ห่าว
    ชูวิทย์ฝากข้อความวิเคราะห์ 8 ประเด็น ความผิดพลาดในคดี ยกฟ้องตู้ห่าว ภายหลังศาลอาญากรุงเทพใต้ พิพากษายกฟ้องตู้ห่าว…
    Like
    Angry
    2
    2 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 338 มุมมอง 0 รีวิว
  • สนธิเล่าเรื่อง 10-2-68
    .
    สวัสดีเช้าวันจันทร์ที่อากาศของกรุงเทพมหานครเย็นลงอีกแล้ว วันนี้มีเรื่องราวที่น่าสนใจหลาย ๆเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเบื้องลึกบางประการ เกี่ยวกับ "โทรศัพท์ น้องแตงโม" ที่ ถูกนำกลับมาที่ประเทศไทย และอยู่ในมือของ DSI เรียบร้อยแล้ว รวมถึงเรื่องสัพเพเหระต่าง ๆ ด้วย รับรองว่าสนุกสนานไม่เหมือนใครสไตล์ "สนธิ ... เล่าเรื่อง" แน่นอน

    https://www.youtube.com/watch?v=J7YGwxSYUQ4
    สนธิเล่าเรื่อง 10-2-68 . สวัสดีเช้าวันจันทร์ที่อากาศของกรุงเทพมหานครเย็นลงอีกแล้ว วันนี้มีเรื่องราวที่น่าสนใจหลาย ๆเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเบื้องลึกบางประการ เกี่ยวกับ "โทรศัพท์ น้องแตงโม" ที่ ถูกนำกลับมาที่ประเทศไทย และอยู่ในมือของ DSI เรียบร้อยแล้ว รวมถึงเรื่องสัพเพเหระต่าง ๆ ด้วย รับรองว่าสนุกสนานไม่เหมือนใครสไตล์ "สนธิ ... เล่าเรื่อง" แน่นอน https://www.youtube.com/watch?v=J7YGwxSYUQ4
    สนธิเล่าเรื่อง 10-2-68
    .
    สวัสดีเช้าวันจันทร์ที่อากาศของกรุงเทพมหานครเย็นลงอีกแล้ว วันนี้มีเรื่องราวที่น่าสนใจหลาย ๆเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเบื้องลึกบางประการ เกี่ยวกับ "โทรศัพท์ น้องแตงโม" ที่ ถูกนำกลับมาที่ประเทศไทย และอยู่ในมือของ DSI เรียบร้อยแล้ว รวมถึงเรื่องสัพเพเหระต่าง ๆ ด้วย รับรองว่าสนุกสนานไม่เหมือนใครสไตล์ "สนธิ ... เล่าเรื่อง" แน่นอน

    https://www.youtube.com/watch?v=J7YGwxSYUQ4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 110 มุมมอง 0 รีวิว
  • สนธิเล่าเรื่อง 10-2-68
    .
    สวัสดีเช้าวันจันทร์ที่อากาศของกรุงเทพมหานครเย็นลงอีกแล้ว วันนี้มีเรื่องราวที่น่าสนใจหลาย ๆเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเบื้องลึกบางประการ เกี่ยวกับ "โทรศัพท์ น้องแตงโม" ที่ ถูกนำกลับมาที่ประเทศไทย และอยู่ในมือของ DSI เรียบร้อยแล้ว รวมถึงเรื่องสัพเพเหระต่าง ๆ ด้วย รับรองว่าสนุกสนานไม่เหมือนใครสไตล์ "สนธิ ... เล่าเรื่อง" แน่นอน

    https://www.youtube.com/watch?v=J7YGwxSYUQ4
    สนธิเล่าเรื่อง 10-2-68 . สวัสดีเช้าวันจันทร์ที่อากาศของกรุงเทพมหานครเย็นลงอีกแล้ว วันนี้มีเรื่องราวที่น่าสนใจหลาย ๆเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเบื้องลึกบางประการ เกี่ยวกับ "โทรศัพท์ น้องแตงโม" ที่ ถูกนำกลับมาที่ประเทศไทย และอยู่ในมือของ DSI เรียบร้อยแล้ว รวมถึงเรื่องสัพเพเหระต่าง ๆ ด้วย รับรองว่าสนุกสนานไม่เหมือนใครสไตล์ "สนธิ ... เล่าเรื่อง" แน่นอน https://www.youtube.com/watch?v=J7YGwxSYUQ4
    Like
    Love
    Wow
    74
    4 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 2877 มุมมอง 4 รีวิว
  • สนธิเล่าเรื่อง 10-2-68
    .
    สวัสดีเช้าวันจันทร์ที่อากาศของกรุงเทพมหานครเย็นลงอีกแล้ว วันนี้คุณสนธิมีเรื่องราวที่น่าสนใจหลาย ๆ เรื่องมาเล่าให้ฟัง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเบื้องลึกบางประการ เกี่ยวกับ "โทรศัพท์ น้องแตงโม" ที่ ถูกนำกลับมาที่ประเทศไทย และอยู่ในมือของ DSI เรียบร้อยแล้ว รวมถึงเรื่องสัพเพเหระต่าง ๆ ด้วย รับรองว่าสนุกสนานไม่เหมือนใครสไตล์ "สนธิ ... เล่าเรื่อง" แน่นอน
    .
    คลิกชม >> https://www.youtube.com/watch?v=J7YGwxSYUQ4
    สนธิเล่าเรื่อง 10-2-68 . สวัสดีเช้าวันจันทร์ที่อากาศของกรุงเทพมหานครเย็นลงอีกแล้ว วันนี้คุณสนธิมีเรื่องราวที่น่าสนใจหลาย ๆ เรื่องมาเล่าให้ฟัง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเบื้องลึกบางประการ เกี่ยวกับ "โทรศัพท์ น้องแตงโม" ที่ ถูกนำกลับมาที่ประเทศไทย และอยู่ในมือของ DSI เรียบร้อยแล้ว รวมถึงเรื่องสัพเพเหระต่าง ๆ ด้วย รับรองว่าสนุกสนานไม่เหมือนใครสไตล์ "สนธิ ... เล่าเรื่อง" แน่นอน . คลิกชม >> https://www.youtube.com/watch?v=J7YGwxSYUQ4
    Like
    Love
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 208 มุมมอง 0 รีวิว
  • รถไฟความเร็วสูงไทย ไปให้สุดถึงหนองคาย

    แม้ว่าโครงการรถไฟความเร็วสูง ช่วงกรุงเทพฯ-นครราชสีมา ระยะทาง 251 กิโลเมตร ยังคงไปไม่ถึงไหน เพราะช่วงบางซื่อ-ดอนเมืองยังไม่ก่อสร้าง และช่วงบ้านโพ-พระแก้ว กำลังปรับแบบก่อสร้างสถานีรถไฟอยุธยา ตามคำแนะนำของยูเนสโก แต่ล่าสุดรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อนุมัติโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร-หนองคาย หรือโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ระยะที่ 2 ช่วงนครราชสีมา–หนองคาย เมื่อวันที่ 4 ก.พ. ที่ผ่านมา วงเงิน 341,351.42 ล้านบาท

    สำหรับโครงการรถไฟความเร็วสูง ช่วงนครราชสีมา–หนองคาย มีระยะทาง 357.12 กิโลเมตร ประกอบด้วย 5 สถานี ได้แก่ 1. สถานีบัวใหญ่ จ.นครราชสีมา 2. สถานีบ้านไผ่ จ.ขอนแก่น 3. สถานีขอนแก่น 4. สถานีอุดรธานี และ 5. สถานีหนองคาย โดยจะเริ่มก่อสร้างในปีงบประมาณ 2578 คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2575 พร้อมกันนี้ จะมีก่อสร้างศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้านาทา จ.หนองคาย สำหรับเปลี่ยนถ่ายสินค้าทางรถไฟ ระหว่างขนาดทาง 1 เมตร ของรถไฟไทย กับขนาดทางมาตรฐาน 1.45 เมตร ของโครงการรถไฟลาว-จีน ในรูปแบบศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) อีกด้วย

    อีกด้านหนึ่ง ยังมีโครงการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-ลาว หนองคาย-เวียงจันทน์ แห่งที่ 2 ห่างจากสะพานมิตรภาพเดิม 30 เมตร โดยจะมีทั้งทางรถไฟขนาด 1 เมตร และ 1.435 เมตร เชื่อมต่อระหว่างสถานีหนองคาย ประเทศไทย กับสถานีเวียงจันทน์ใต้ ของโครงการรถไฟลาว-จีน ขณะนี้อยู่ในระหว่างการออกแบบ คาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณเดือน ก.ย.2568 ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบและลงนามข้อตกลงความร่วมมือในการก่อสร้างสะพานระหว่างไทยและลาว คาดว่าจะก่อสร้างได้ในไตรมาสที่ 3/2569 ใช้ระยะเวลาก่อสร้างประมาณ 36 เดือน แล้วเสร็จพร้อมเปิดบริการในปี 2572

    ปัจจุบันการรถไฟแห่งประเทศไทย กำลังก่อสร้างรถไฟทางคู่ระยะที่ 2 ช่วงขอนแก่น-หนองคาย กับกิจการร่วมค้า ช.ทวี-เอเอส ก่อสร้าง (บริษัท ช.ทวีก่อสร้าง จำกัด บริษัท เอ.เอส.แอสโซซิเอท เอนจิเนียริ่ง (1964) จำกัด บริษัท ทิพากร จำกัด และ บริษัท เค เอส ร่วมค้า จำกัด) ระยะทาง 167 กิโลเมตร วงเงินสัญญา 28,679 ล้านบาท ประกอบด้วยทางรถไฟใหม่เพิ่ม 1 ทาง ขนานไปกับทางรถไฟเดิม พร้อมก่อสร้างอาคารสถานี 14 สถานี ที่หยุดรถ 4 แห่ง ลานบรรทุกสินค้า 3 แห่ง ขณะนี้อยู่ระหว่างรอเงินกู้จากกระทรวงการคลังงวดแรกก่อนออกหนังสือแจ้งให้เอกชนเริ่มงาน (NTP) ในเดือน เม.ย.2568 คาดว่าจะแล้วเสร็จและเปิดให้บริการได้ในปี 2571

    #Newskit
    รถไฟความเร็วสูงไทย ไปให้สุดถึงหนองคาย แม้ว่าโครงการรถไฟความเร็วสูง ช่วงกรุงเทพฯ-นครราชสีมา ระยะทาง 251 กิโลเมตร ยังคงไปไม่ถึงไหน เพราะช่วงบางซื่อ-ดอนเมืองยังไม่ก่อสร้าง และช่วงบ้านโพ-พระแก้ว กำลังปรับแบบก่อสร้างสถานีรถไฟอยุธยา ตามคำแนะนำของยูเนสโก แต่ล่าสุดรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อนุมัติโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร-หนองคาย หรือโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ระยะที่ 2 ช่วงนครราชสีมา–หนองคาย เมื่อวันที่ 4 ก.พ. ที่ผ่านมา วงเงิน 341,351.42 ล้านบาท สำหรับโครงการรถไฟความเร็วสูง ช่วงนครราชสีมา–หนองคาย มีระยะทาง 357.12 กิโลเมตร ประกอบด้วย 5 สถานี ได้แก่ 1. สถานีบัวใหญ่ จ.นครราชสีมา 2. สถานีบ้านไผ่ จ.ขอนแก่น 3. สถานีขอนแก่น 4. สถานีอุดรธานี และ 5. สถานีหนองคาย โดยจะเริ่มก่อสร้างในปีงบประมาณ 2578 คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2575 พร้อมกันนี้ จะมีก่อสร้างศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้านาทา จ.หนองคาย สำหรับเปลี่ยนถ่ายสินค้าทางรถไฟ ระหว่างขนาดทาง 1 เมตร ของรถไฟไทย กับขนาดทางมาตรฐาน 1.45 เมตร ของโครงการรถไฟลาว-จีน ในรูปแบบศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) อีกด้วย อีกด้านหนึ่ง ยังมีโครงการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-ลาว หนองคาย-เวียงจันทน์ แห่งที่ 2 ห่างจากสะพานมิตรภาพเดิม 30 เมตร โดยจะมีทั้งทางรถไฟขนาด 1 เมตร และ 1.435 เมตร เชื่อมต่อระหว่างสถานีหนองคาย ประเทศไทย กับสถานีเวียงจันทน์ใต้ ของโครงการรถไฟลาว-จีน ขณะนี้อยู่ในระหว่างการออกแบบ คาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณเดือน ก.ย.2568 ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบและลงนามข้อตกลงความร่วมมือในการก่อสร้างสะพานระหว่างไทยและลาว คาดว่าจะก่อสร้างได้ในไตรมาสที่ 3/2569 ใช้ระยะเวลาก่อสร้างประมาณ 36 เดือน แล้วเสร็จพร้อมเปิดบริการในปี 2572 ปัจจุบันการรถไฟแห่งประเทศไทย กำลังก่อสร้างรถไฟทางคู่ระยะที่ 2 ช่วงขอนแก่น-หนองคาย กับกิจการร่วมค้า ช.ทวี-เอเอส ก่อสร้าง (บริษัท ช.ทวีก่อสร้าง จำกัด บริษัท เอ.เอส.แอสโซซิเอท เอนจิเนียริ่ง (1964) จำกัด บริษัท ทิพากร จำกัด และ บริษัท เค เอส ร่วมค้า จำกัด) ระยะทาง 167 กิโลเมตร วงเงินสัญญา 28,679 ล้านบาท ประกอบด้วยทางรถไฟใหม่เพิ่ม 1 ทาง ขนานไปกับทางรถไฟเดิม พร้อมก่อสร้างอาคารสถานี 14 สถานี ที่หยุดรถ 4 แห่ง ลานบรรทุกสินค้า 3 แห่ง ขณะนี้อยู่ระหว่างรอเงินกู้จากกระทรวงการคลังงวดแรกก่อนออกหนังสือแจ้งให้เอกชนเริ่มงาน (NTP) ในเดือน เม.ย.2568 คาดว่าจะแล้วเสร็จและเปิดให้บริการได้ในปี 2571 #Newskit
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 299 มุมมอง 0 รีวิว
  • 33 ปี สิ้น “หมอบุญส่ง เลขะกุล” นักนิยมไพรไทย ผู้บุกเบิกอนุรักษ์ป่าและสัตว์ จุดกำเนิดเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า

    📅 ย้อนไปเมื่อ 33 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2535 ถือเป็นวันแห่งการสูญเสียครั้งสำคัญ ของวงการอนุรักษ์ธรรมชาติไทย เพราะเป็นวันที่ น.พ.บุญส่ง เลขะกุล หรือที่รู้จักกันในนาม “หมอบุญส่ง” จากโลกนี้ไปด้วย โรคหัวใจล้มเหลว ในวัย 85 ปี ณ โรงพยาบาลมเหสักข์ กรุงเทพมหานคร แต่ถึงแม้ร่างกายจะล่วงลับไปแล้ว ผลงานและอุดมการณ์ของท่านยังคงอยู่ และกลายเป็นรากฐานสำคัญ ของการอนุรักษ์ป่าไม้ และสัตว์ป่าของไทย

    หมอบุญส่งไม่ได้เป็นเพียง แพทย์ผู้รักษาผู้คน แต่ยังเป็นนักอนุรักษ์ นักเขียน นักถ่ายภาพ และจิตรกร ผู้เปี่ยมไปด้วย ความหลงใหลในธรรมชาติ ความมุ่งมั่นเป็นแรงผลักดันให้เกิดเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และ กฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า ที่ยังคงใช้มาจนถึงปัจจุบัน 🌳🌿

    🔎 น.พ.บุญส่ง เลขะกุล เกิดเมื่อวันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2467 ที่บ้านถนนนคร ตำบลบ่อยาง อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา เป็นบุตรของพระบริรักษ์เวชกรรม (พิน เลขะกุล) ซึ่งเป็นแพทย์ประจำจังหวัดสงขลา ทำให้หมอบุญส่ง เติบโตมาในครอบครัว ที่ให้ความสำคัญกับการศึกษา และความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์

    📚 เส้นทางการศึกษา
    ✅ มัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนเบญจมราชูทิศ นครศรีธรรมราช
    ✅ มัธยมศึกษาปีที่ 8 โรงเรียนเบญจมบพิตร (ปัจจุบันคือ โรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร) กรุงเทพฯ
    ✅ ปริญญาแพทยศาสตร์บัณฑิต คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (พ.ศ. 2476)

    หลังจากเรียนจบแพทย์ หมอบุญส่งได้เข้าสู่วงการแพทย์ แต่ขณะเดียวกัน ท่านก็เริ่มหลงใหลในธรรมชาติ เดินป่า สังเกตสัตว์ป่า และบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมสัตว์ต่างๆ ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นจุดเริ่มต้น ของการเป็นนักอนุรักษ์ อย่างเต็มตัว

    🌿 จุดเริ่มต้นของการเป็นนักอนุรักษ์
    ช่วงหลัง สงครามโลกครั้งที่ 2 (พ.ศ. 2484 - 2488) การล่าสัตว์เพื่อกีฬา ได้รับความนิยมมากขึ้น การใช้ ไฟส่องสัตว์ และ อาวุธปืนทันสมัย ส่งผลให้ประชากรสัตว์ป่า ลดลงอย่างรวดเร็ว หมอบุญส่งเห็นว่าหากปล่อยไว้เช่นนี้ สัตว์ป่าของไทยจะสูญพันธุ์ จึงรวมตัวกับผู้ที่มีแนวคิดเดียวกัน ก่อตั้ง "นิยมไพรสมาคม" ขึ้นในปี พ.ศ. 2496

    🏡 ศูนย์กลางของนิยมไพรสมาคม ตั้งอยู่ที่บ้านของหมอบุญส่งเอง (บ้านเลขที่ 4 ตรอกโรงภาษีเก่า ถนนเจริญกรุง กรุงเทพฯ) ซึ่งกลายเป็นแหล่งรวม ของผู้สนใจธรรมชาติ นักอนุรักษ์ และนักวิจัยทางด้านสัตว์ป่า

    📖 เป้าหมายของนิยมไพรสมาคม ได้แก่
    ✅ การให้ความรู้ และกระตุ้นจิตสำนึกในการอนุรักษ์
    ✅ การศึกษาพฤติกรรมสัตว์ป่า
    ✅ การผลักดันกฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า
    ✅ การจัดทำ นิตยสารนิยมไพร เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ เกี่ยวกับสัตว์ป่า

    หมอบุญส่งยังได้เดินป่า และเขียนหนังสือสารคดี เกี่ยวกับสัตว์ป่าหลายเล่ม เช่น
    📗 สัตว์ป่าเมืองไทย
    📘 วัวแดง
    📕 แรดไทย
    📗 ช้างไทย

    รวมถึงนวนิยายเกี่ยวกับสัตว์ป่า ที่สร้างชื่อเสียงที่สุด คือ "ชีวิตฉันลูกกระทิง" ซึ่งเคยถูกคัดเลือก เป็น หนังสืออ่านนอกเวลา สำหรับนักเรียน และได้รับการยกย่องเป็น 1 ใน 100 หนังสือดี ที่เด็กและเยาวชนไทยควรอ่าน

    ⚖️ ผลักดันกฎหมายอนุรักษ์สัตว์ป่า
    หมอบุญส่งไม่ได้เพียงแค่เขียนหนังสือ หรือเผยแพร่ความรู้ แต่ยังลงมือผลักดันให้เกิด กฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า ขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย

    📜 ในปี พ.ศ. 2502 หมอบุญส่ง และคณะนิยมไพรสมาคม ได้เข้าพบจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น เพื่อยื่นข้อเสนอให้มี มาตรการคุ้มครองทรัพยากรป่าไม้ และสัตว์ป่า

    🎯 ผลที่ได้คือการออก พระราชบัญญัติสงวน และคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2503 และ พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 ซึ่งเป็นกฎหมายสำคัญ ที่นำไปสู่การประกาศ อุทยานแห่งชาติ และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เช่น
    🌳 อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ (พ.ศ. 2505) อุทยานแห่งชาติแห่งแรกของไทย
    🌲 เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ (พ.ศ. 2508) เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแห่งแรกของไทย

    👑 พระมหากรุณาธิคุณ และการยกย่องเชิดชูเกียรติ
    ในปี พ.ศ. 2526 หมอบุญส่งได้ร่วมกับกลุ่มอนุรักษ์ ก่อตั้ง "มูลนิธิคุ้มครองสัตว์ป่า และพรรณพืชแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์" ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

    ต่อมา ในปี พ.ศ. 2550 ได้มีการจัดงาน "100 ปี หมอบุญส่ง เลขะกุล" ณ สยามสมาคม เพื่อรำลึกถึงคุณงามความดี และผลงานที่ได้ทำไว้ให้กับประเทศ

    🎗️ แม้วันนี้ "หมอบุญส่ง เลขะกุล" จะจากโลกนี้ไปครบ 33 ปี แล้วก็ตาม แต่มรดกแห่งการอนุรักษ์ยังคงอยู่ ไม่ว่าจะเป็น
    ✅ กฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า และอุทยานแห่งชาติ
    ✅ อุทยานและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่ามากมาย
    ✅ หนังสือและบทความที่ช่วยปลูกฝังจิตสำนึกการอนุรักษ์
    ✅ แรงบันดาลใจให้กับนักอนุรักษ์รุ่นใหม่

    💚 "ธรรมชาติไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นของลูกหลานทุกคนในอนาคต" หมอบุญส่ง เลขะกุล 🌏

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 091504 ก.พ. 2568

    📌 #หมอบุญส่งเลขะกุล #อนุรักษ์สัตว์ป่า #ป่าไม้ไทย #นักนิยมไพร #อนุรักษ์ธรรมชาติ #สัตว์ป่า #ป่าต้องรอด #มรดกทางธรรมชาติ #33ปีหมอบุญส่ง #ธรรมชาติเพื่ออนาคต
    33 ปี สิ้น “หมอบุญส่ง เลขะกุล” นักนิยมไพรไทย ผู้บุกเบิกอนุรักษ์ป่าและสัตว์ จุดกำเนิดเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า 📅 ย้อนไปเมื่อ 33 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2535 ถือเป็นวันแห่งการสูญเสียครั้งสำคัญ ของวงการอนุรักษ์ธรรมชาติไทย เพราะเป็นวันที่ น.พ.บุญส่ง เลขะกุล หรือที่รู้จักกันในนาม “หมอบุญส่ง” จากโลกนี้ไปด้วย โรคหัวใจล้มเหลว ในวัย 85 ปี ณ โรงพยาบาลมเหสักข์ กรุงเทพมหานคร แต่ถึงแม้ร่างกายจะล่วงลับไปแล้ว ผลงานและอุดมการณ์ของท่านยังคงอยู่ และกลายเป็นรากฐานสำคัญ ของการอนุรักษ์ป่าไม้ และสัตว์ป่าของไทย หมอบุญส่งไม่ได้เป็นเพียง แพทย์ผู้รักษาผู้คน แต่ยังเป็นนักอนุรักษ์ นักเขียน นักถ่ายภาพ และจิตรกร ผู้เปี่ยมไปด้วย ความหลงใหลในธรรมชาติ ความมุ่งมั่นเป็นแรงผลักดันให้เกิดเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และ กฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า ที่ยังคงใช้มาจนถึงปัจจุบัน 🌳🌿 🔎 น.พ.บุญส่ง เลขะกุล เกิดเมื่อวันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2467 ที่บ้านถนนนคร ตำบลบ่อยาง อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา เป็นบุตรของพระบริรักษ์เวชกรรม (พิน เลขะกุล) ซึ่งเป็นแพทย์ประจำจังหวัดสงขลา ทำให้หมอบุญส่ง เติบโตมาในครอบครัว ที่ให้ความสำคัญกับการศึกษา และความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ 📚 เส้นทางการศึกษา ✅ มัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนเบญจมราชูทิศ นครศรีธรรมราช ✅ มัธยมศึกษาปีที่ 8 โรงเรียนเบญจมบพิตร (ปัจจุบันคือ โรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร) กรุงเทพฯ ✅ ปริญญาแพทยศาสตร์บัณฑิต คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (พ.ศ. 2476) หลังจากเรียนจบแพทย์ หมอบุญส่งได้เข้าสู่วงการแพทย์ แต่ขณะเดียวกัน ท่านก็เริ่มหลงใหลในธรรมชาติ เดินป่า สังเกตสัตว์ป่า และบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมสัตว์ต่างๆ ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นจุดเริ่มต้น ของการเป็นนักอนุรักษ์ อย่างเต็มตัว 🌿 จุดเริ่มต้นของการเป็นนักอนุรักษ์ ช่วงหลัง สงครามโลกครั้งที่ 2 (พ.ศ. 2484 - 2488) การล่าสัตว์เพื่อกีฬา ได้รับความนิยมมากขึ้น การใช้ ไฟส่องสัตว์ และ อาวุธปืนทันสมัย ส่งผลให้ประชากรสัตว์ป่า ลดลงอย่างรวดเร็ว หมอบุญส่งเห็นว่าหากปล่อยไว้เช่นนี้ สัตว์ป่าของไทยจะสูญพันธุ์ จึงรวมตัวกับผู้ที่มีแนวคิดเดียวกัน ก่อตั้ง "นิยมไพรสมาคม" ขึ้นในปี พ.ศ. 2496 🏡 ศูนย์กลางของนิยมไพรสมาคม ตั้งอยู่ที่บ้านของหมอบุญส่งเอง (บ้านเลขที่ 4 ตรอกโรงภาษีเก่า ถนนเจริญกรุง กรุงเทพฯ) ซึ่งกลายเป็นแหล่งรวม ของผู้สนใจธรรมชาติ นักอนุรักษ์ และนักวิจัยทางด้านสัตว์ป่า 📖 เป้าหมายของนิยมไพรสมาคม ได้แก่ ✅ การให้ความรู้ และกระตุ้นจิตสำนึกในการอนุรักษ์ ✅ การศึกษาพฤติกรรมสัตว์ป่า ✅ การผลักดันกฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า ✅ การจัดทำ นิตยสารนิยมไพร เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ เกี่ยวกับสัตว์ป่า หมอบุญส่งยังได้เดินป่า และเขียนหนังสือสารคดี เกี่ยวกับสัตว์ป่าหลายเล่ม เช่น 📗 สัตว์ป่าเมืองไทย 📘 วัวแดง 📕 แรดไทย 📗 ช้างไทย รวมถึงนวนิยายเกี่ยวกับสัตว์ป่า ที่สร้างชื่อเสียงที่สุด คือ "ชีวิตฉันลูกกระทิง" ซึ่งเคยถูกคัดเลือก เป็น หนังสืออ่านนอกเวลา สำหรับนักเรียน และได้รับการยกย่องเป็น 1 ใน 100 หนังสือดี ที่เด็กและเยาวชนไทยควรอ่าน ⚖️ ผลักดันกฎหมายอนุรักษ์สัตว์ป่า หมอบุญส่งไม่ได้เพียงแค่เขียนหนังสือ หรือเผยแพร่ความรู้ แต่ยังลงมือผลักดันให้เกิด กฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า ขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย 📜 ในปี พ.ศ. 2502 หมอบุญส่ง และคณะนิยมไพรสมาคม ได้เข้าพบจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น เพื่อยื่นข้อเสนอให้มี มาตรการคุ้มครองทรัพยากรป่าไม้ และสัตว์ป่า 🎯 ผลที่ได้คือการออก พระราชบัญญัติสงวน และคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2503 และ พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 ซึ่งเป็นกฎหมายสำคัญ ที่นำไปสู่การประกาศ อุทยานแห่งชาติ และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เช่น 🌳 อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ (พ.ศ. 2505) อุทยานแห่งชาติแห่งแรกของไทย 🌲 เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ (พ.ศ. 2508) เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแห่งแรกของไทย 👑 พระมหากรุณาธิคุณ และการยกย่องเชิดชูเกียรติ ในปี พ.ศ. 2526 หมอบุญส่งได้ร่วมกับกลุ่มอนุรักษ์ ก่อตั้ง "มูลนิธิคุ้มครองสัตว์ป่า และพรรณพืชแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์" ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ต่อมา ในปี พ.ศ. 2550 ได้มีการจัดงาน "100 ปี หมอบุญส่ง เลขะกุล" ณ สยามสมาคม เพื่อรำลึกถึงคุณงามความดี และผลงานที่ได้ทำไว้ให้กับประเทศ 🎗️ แม้วันนี้ "หมอบุญส่ง เลขะกุล" จะจากโลกนี้ไปครบ 33 ปี แล้วก็ตาม แต่มรดกแห่งการอนุรักษ์ยังคงอยู่ ไม่ว่าจะเป็น ✅ กฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า และอุทยานแห่งชาติ ✅ อุทยานและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่ามากมาย ✅ หนังสือและบทความที่ช่วยปลูกฝังจิตสำนึกการอนุรักษ์ ✅ แรงบันดาลใจให้กับนักอนุรักษ์รุ่นใหม่ 💚 "ธรรมชาติไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นของลูกหลานทุกคนในอนาคต" หมอบุญส่ง เลขะกุล 🌏 ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 091504 ก.พ. 2568 📌 #หมอบุญส่งเลขะกุล #อนุรักษ์สัตว์ป่า #ป่าไม้ไทย #นักนิยมไพร #อนุรักษ์ธรรมชาติ #สัตว์ป่า #ป่าต้องรอด #มรดกทางธรรมชาติ #33ปีหมอบุญส่ง #ธรรมชาติเพื่ออนาคต
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 476 มุมมอง 0 รีวิว
  • ครูวาฬ สอนเปียโน​ กีตาร์​ ​ตามบ้าน และออนไลน์
    สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี หลักสูตรดุริยางคศาสตรบัณฑิต (ดศ.บ.) วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล เมื่อปีพ.ศ. 2555

    สาขาวิชาที่รับสอน :
    1. ปฏิบัติเครื่องดนตรี Piano สำหรับดนตรีคลาสสิค และดนตรีสมัยนิยม
    2. ปฏิบัติเครื่องดนตรี Guitar สำหรับดนตรีคลาสสิค และดนตรีสมัยนิยม
    3. ทฤษฎีดนตรีตะวันตก Western Music Theory
    4. การฝึกโสตและการอ่านโน้ต Ear Training And Sight-Singing
    5. ลักษณะของจังหวะ ควบคู่กับเครื่องกำกับจังหวะ Rhythm Concept With Metronome

    รูปแบบการสอน และสถานที่รับสอน :
    1. Private Teaching บริเวณที่พักอาศัยของผู้เรียน ในจังหวัดกรุงเทพมหานคร และในจังหวัดนนทบุรี
    2. Online Teaching หรือ Learn From Home ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต โดยการใช้ Web and Video Conferencing Application ต่างๆ เช่น Google Meets, Cisco Webex, Zoom, Line ฯลฯ ในทุกจังหวัดของประเทศไทย และต่างประเทศ

    วัตถุประสงค์ของการสอน :
    1. ให้ผู้เรียนสามารถสอบเข้าศึกษาต่อในสาขาวิชาดนตรี ระดับเตรียมอุดมฯ และระดับปริญญาตรี, การสอบตามเกณฑ์ในระดับต่างๆ และการสอบเทียบทางด้านดนตรี
    2. ให้ผู้เรียนมีความผ่อนคลาย สบายอารมณ์ การสังสรรค์ และงานอดิเรก
    3. ให้ผู้เรียนสามารถประกอบอาชีพดนตรีในอนาคต
    4. ให้ผู้เรียนมีความเข้าใจ และความรู้ ที่เพียงพอในศาสตร์ด้านดนตรี

    * หัวข้อหลักในการเรียน การสอน​ :
    1. เทคนิคพื้นฐาน Basic ต่างๆ ตั้งแต่ท่าทาง, การจัดระเบียบ, รูปลักษณ์, ลักษณะที่ดี และถูกต้อง
    2. วิธีการเล่นดนตรี การซ้อมดนตรีที่ดี มีประสิทธิภาพ ถูกวิธี และเป็นระบบ เช่น ความสบาย, การ Save พลัง และการป้องกันการบาดเจ็บได้ดี
    3. Mindset ระบบความคิด, Attitude ทัศนคติ, การวางแผน Plan, วิธีคิด, ความสัมพันธ์ และการคิดล่วงหน้า
    4. เทคนิคในการอ่านโน้ตดนตรี
    5. การให้ความสำคัญกับคุณภาพเสียง มิติเสียงที่ควรจะเป็น และทิศทางประโยคของบทเพลง
    6. เทคนิคการบรรเลงเครื่องดนตรี การควบคุมเสียง และความต่อเนื่องในการเล่นอย่างมั่นใจ ไม่สะดุดและติดขัด
    7. ความเที่ยงตรงของจังหวะ, ความเร็วของจังหวะ Tempo มีความคงที่ และระดับเสียงที่ถูกต้อง
    8. การเล่นดนตรี ร่วมกับผู้อื่น เพื่อพัฒนาโสตประสาท การรักษาจังหวะ และอารมณ์เพลง ให้มีประสิทธิภาพ
    9. การบริหารการจัดการ และการก้าวข้ามผ่านอุปสรรค
    และอื่นๆ อีกมากมาย เพื่อปูพื้นฐานทักษะเหล่านี้ ให้แข็งแรง แข็งแกร่ง ไปจนถึงสามารถเล่นเพลงได้ทุกเพลงในโลก ที่มีโน้ตเพลงอยู่ข้างหน้าเรา อย่างมีประสิทธิภาพ

    ประสบการณ์การทำงานและการสอน :
    1. เข้าร่วมคณะนักร้องเสียงประสาน Mahidol Symphonic Choir เมื่อปีพ.ศ. 2551 - 2552 ผ่านการแสดงร้องเสียงประสานในบทเพลง
    - Ludwig van Beethoven, "An die Freude" (Ode to Joy) from Symphony No.9, Op.125 "Choral" (1882) และ​ Carl Orff's Carmina Burana​ ร่วมกับวงดุริยางค์ฟีลฮาร์โมนิกแห่งประเทศไทย หรือ Thailand Philharmonic Orchestra
    - Johannes Brahms's Ein Deutshes Requiem
    - Puccini's Messa di Gloria
    2. ผู้ช่วยคณะกรรมการคุมสอบเข้าศึกษาต่อในระดับเตรียมอุดมดนตรี และระดับปริญญาตรี วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล เ​​มื่อปีพ.ศ. 2552
    3. รับสอนตามสถาบันสอนดนตรี, โรงเรียนสอนดนตรี, ที่พักอาศัยของผู้เรียน และที่พักอาศัยของครูผู้สอน ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2555 ถึงปัจจุบัน

    ประวัติการฝึกอบรม :
    1. เข้าร่วมอบรมโครงการ "การใช้ดนตรีเพื่อพัฒนาคุณธรรม จริยธรรม" วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ ม.มหิดล เมื่อปีพ.ศ. 2553
    2. เข้าร่วมอบรมหลักสูตร "พัฒนาผู้นำองค์กรนักศึกษามหาวิทยาลัยมหิดล MU Leadership Program" รุ่นที่ 1 เมื่อปีพ.ศ. 2553
    3. ผ่านการอบรมออนไลน์ "โควิด19 และระบาดวิทยา" โดยศาสตราจารย์ นพ. ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในปีพ.ศ. 2564
    4. ผ่านการอบรมออนไลน์ "ชีวิตวิถีใหม่และความฉลาดทางดิจิทัล New Normal Life and Digital Quotient" โดยรองศาสตราจารย์ ยืน ภู่วรวรรณ ผู้ทรงคุณวุฒิมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในปีพ.ศ. 2564
    5. ผ่านการอบรมออนไลน์ "โครงการความร่วมมือทางวิชาการเพื่อพัฒนาบุคลากรทางไซเบอร์" สำหรับบุคคลทั่วไป "หลักสูตรเสริมสร้างการรับรู้ที่แข็งแกร่งด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ Build a Strong Security Awareness Program" โดยสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) และบริษัท เทรนด์ไมโคร (ประเทศไทย) จำกัด ในปีพ.ศ. 2564
    6. เข้าร่วมอบรมออนไลน์ "Thailand National Cyber Week 2021 เพื่อพัฒนาองค์ความรู้และทักษะด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์" โดยสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) ในปีพ.ศ. 2564

    คุณลักษณะ :
    ใจเย็น ใส่ใจในรายละเอียด สามารถปรับแก้ไขเนื้อหา เรื่องราวต่างๆ ให้เหมาะสมตามสถานการณ์ของแต่ละบุคคล รวมถึงการฝึกระเบียบวินัยเบื้องต้นต่อตนเองและผู้อื่น ให้ความสำคัญกับสุขอนามัย ทั้งแนวทางการดูแล การจัดการ การปฏิบัติ การป้องกัน ระหว่างผู้เรียนและผู้สอน ให้ดีมีประสิทธิภาพมากที่สุด

    คุณสมบัติของผู้เรียน :
    มีเครื่องดนตรีเป็นของตนเอง ทุกเพศ ทุกเชื้อชาติ ตั้งแต่วัยมัธยมต้น​ อายุ​ 12​ ปี​, วัยมัธยมปลาย, วัยมหาวิทยาลัย, วัยผู้ใหญ่, วัยกลางคน และวัยผู้สูงอายุ​ อายุ​ 60​ ปีขึ้นไป

    สนใจสมัครเรียน :
    ติดต่อได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 081-483-5190
    ถ้าไม่มีสัญญานตอบรับ หรือไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนั้น สามารถไปที่เว็บไซต์ https://bestkru.com/39158 ได้เช่นกัน และรอการติดต่อกลับ จากครูวาฬได้ ทั้ง 2 ช่องทางครับ

    ขอบคุณครับ
    ครูวาฬ สอนเปียโน​ กีตาร์​ ​ตามบ้าน และออนไลน์ สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี หลักสูตรดุริยางคศาสตรบัณฑิต (ดศ.บ.) วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล เมื่อปีพ.ศ. 2555 สาขาวิชาที่รับสอน : 1. ปฏิบัติเครื่องดนตรี Piano สำหรับดนตรีคลาสสิค และดนตรีสมัยนิยม 2. ปฏิบัติเครื่องดนตรี Guitar สำหรับดนตรีคลาสสิค และดนตรีสมัยนิยม 3. ทฤษฎีดนตรีตะวันตก Western Music Theory 4. การฝึกโสตและการอ่านโน้ต Ear Training And Sight-Singing 5. ลักษณะของจังหวะ ควบคู่กับเครื่องกำกับจังหวะ Rhythm Concept With Metronome รูปแบบการสอน และสถานที่รับสอน : 1. Private Teaching บริเวณที่พักอาศัยของผู้เรียน ในจังหวัดกรุงเทพมหานคร และในจังหวัดนนทบุรี 2. Online Teaching หรือ Learn From Home ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต โดยการใช้ Web and Video Conferencing Application ต่างๆ เช่น Google Meets, Cisco Webex, Zoom, Line ฯลฯ ในทุกจังหวัดของประเทศไทย และต่างประเทศ วัตถุประสงค์ของการสอน : 1. ให้ผู้เรียนสามารถสอบเข้าศึกษาต่อในสาขาวิชาดนตรี ระดับเตรียมอุดมฯ และระดับปริญญาตรี, การสอบตามเกณฑ์ในระดับต่างๆ และการสอบเทียบทางด้านดนตรี 2. ให้ผู้เรียนมีความผ่อนคลาย สบายอารมณ์ การสังสรรค์ และงานอดิเรก 3. ให้ผู้เรียนสามารถประกอบอาชีพดนตรีในอนาคต 4. ให้ผู้เรียนมีความเข้าใจ และความรู้ ที่เพียงพอในศาสตร์ด้านดนตรี * หัวข้อหลักในการเรียน การสอน​ : 1. เทคนิคพื้นฐาน Basic ต่างๆ ตั้งแต่ท่าทาง, การจัดระเบียบ, รูปลักษณ์, ลักษณะที่ดี และถูกต้อง 2. วิธีการเล่นดนตรี การซ้อมดนตรีที่ดี มีประสิทธิภาพ ถูกวิธี และเป็นระบบ เช่น ความสบาย, การ Save พลัง และการป้องกันการบาดเจ็บได้ดี 3. Mindset ระบบความคิด, Attitude ทัศนคติ, การวางแผน Plan, วิธีคิด, ความสัมพันธ์ และการคิดล่วงหน้า 4. เทคนิคในการอ่านโน้ตดนตรี 5. การให้ความสำคัญกับคุณภาพเสียง มิติเสียงที่ควรจะเป็น และทิศทางประโยคของบทเพลง 6. เทคนิคการบรรเลงเครื่องดนตรี การควบคุมเสียง และความต่อเนื่องในการเล่นอย่างมั่นใจ ไม่สะดุดและติดขัด 7. ความเที่ยงตรงของจังหวะ, ความเร็วของจังหวะ Tempo มีความคงที่ และระดับเสียงที่ถูกต้อง 8. การเล่นดนตรี ร่วมกับผู้อื่น เพื่อพัฒนาโสตประสาท การรักษาจังหวะ และอารมณ์เพลง ให้มีประสิทธิภาพ 9. การบริหารการจัดการ และการก้าวข้ามผ่านอุปสรรค และอื่นๆ อีกมากมาย เพื่อปูพื้นฐานทักษะเหล่านี้ ให้แข็งแรง แข็งแกร่ง ไปจนถึงสามารถเล่นเพลงได้ทุกเพลงในโลก ที่มีโน้ตเพลงอยู่ข้างหน้าเรา อย่างมีประสิทธิภาพ ประสบการณ์การทำงานและการสอน : 1. เข้าร่วมคณะนักร้องเสียงประสาน Mahidol Symphonic Choir เมื่อปีพ.ศ. 2551 - 2552 ผ่านการแสดงร้องเสียงประสานในบทเพลง - Ludwig van Beethoven, "An die Freude" (Ode to Joy) from Symphony No.9, Op.125 "Choral" (1882) และ​ Carl Orff's Carmina Burana​ ร่วมกับวงดุริยางค์ฟีลฮาร์โมนิกแห่งประเทศไทย หรือ Thailand Philharmonic Orchestra - Johannes Brahms's Ein Deutshes Requiem - Puccini's Messa di Gloria 2. ผู้ช่วยคณะกรรมการคุมสอบเข้าศึกษาต่อในระดับเตรียมอุดมดนตรี และระดับปริญญาตรี วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล เ​​มื่อปีพ.ศ. 2552 3. รับสอนตามสถาบันสอนดนตรี, โรงเรียนสอนดนตรี, ที่พักอาศัยของผู้เรียน และที่พักอาศัยของครูผู้สอน ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2555 ถึงปัจจุบัน ประวัติการฝึกอบรม : 1. เข้าร่วมอบรมโครงการ "การใช้ดนตรีเพื่อพัฒนาคุณธรรม จริยธรรม" วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ ม.มหิดล เมื่อปีพ.ศ. 2553 2. เข้าร่วมอบรมหลักสูตร "พัฒนาผู้นำองค์กรนักศึกษามหาวิทยาลัยมหิดล MU Leadership Program" รุ่นที่ 1 เมื่อปีพ.ศ. 2553 3. ผ่านการอบรมออนไลน์ "โควิด19 และระบาดวิทยา" โดยศาสตราจารย์ นพ. ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในปีพ.ศ. 2564 4. ผ่านการอบรมออนไลน์ "ชีวิตวิถีใหม่และความฉลาดทางดิจิทัล New Normal Life and Digital Quotient" โดยรองศาสตราจารย์ ยืน ภู่วรวรรณ ผู้ทรงคุณวุฒิมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในปีพ.ศ. 2564 5. ผ่านการอบรมออนไลน์ "โครงการความร่วมมือทางวิชาการเพื่อพัฒนาบุคลากรทางไซเบอร์" สำหรับบุคคลทั่วไป "หลักสูตรเสริมสร้างการรับรู้ที่แข็งแกร่งด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ Build a Strong Security Awareness Program" โดยสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) และบริษัท เทรนด์ไมโคร (ประเทศไทย) จำกัด ในปีพ.ศ. 2564 6. เข้าร่วมอบรมออนไลน์ "Thailand National Cyber Week 2021 เพื่อพัฒนาองค์ความรู้และทักษะด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์" โดยสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) ในปีพ.ศ. 2564 คุณลักษณะ : ใจเย็น ใส่ใจในรายละเอียด สามารถปรับแก้ไขเนื้อหา เรื่องราวต่างๆ ให้เหมาะสมตามสถานการณ์ของแต่ละบุคคล รวมถึงการฝึกระเบียบวินัยเบื้องต้นต่อตนเองและผู้อื่น ให้ความสำคัญกับสุขอนามัย ทั้งแนวทางการดูแล การจัดการ การปฏิบัติ การป้องกัน ระหว่างผู้เรียนและผู้สอน ให้ดีมีประสิทธิภาพมากที่สุด คุณสมบัติของผู้เรียน : มีเครื่องดนตรีเป็นของตนเอง ทุกเพศ ทุกเชื้อชาติ ตั้งแต่วัยมัธยมต้น​ อายุ​ 12​ ปี​, วัยมัธยมปลาย, วัยมหาวิทยาลัย, วัยผู้ใหญ่, วัยกลางคน และวัยผู้สูงอายุ​ อายุ​ 60​ ปีขึ้นไป สนใจสมัครเรียน : ติดต่อได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 081-483-5190 ถ้าไม่มีสัญญานตอบรับ หรือไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนั้น สามารถไปที่เว็บไซต์ https://bestkru.com/39158 ได้เช่นกัน และรอการติดต่อกลับ จากครูวาฬได้ ทั้ง 2 ช่องทางครับ ขอบคุณครับ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 436 มุมมอง 0 รีวิว
  • #หมายกำหนดการ
    25 กุมภาพันธ์ 2568
    ในหลวง พระราชินี จะเสด็จฯ ทรงเปิดสวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ และสวนจากภูผาสู่มหานที
    เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร


    #พระราชินีสุทิดา #苏提达王后 #QueenSuthida
    #หมายกำหนดการ 25 กุมภาพันธ์ 2568 ในหลวง พระราชินี จะเสด็จฯ ทรงเปิดสวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ และสวนจากภูผาสู่มหานที เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร #พระราชินีสุทิดา #苏提达王后 #QueenSuthida
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 168 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศาลารอรถเมล์ 2-3 แสน แพงสมฐานะยุคชัชชาติ

    กลายเป็นที่วิจารณ์สนั่นโซเชียลฯ เมื่อกรุงเทพมหานคร (กทม.) ยุคผู้ว่าฯ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ เผยโฉมศาลาที่พักผู้โดยสารฯ โฉมใหม่ มี 2 รูปแบบ ได้แก่ Type C2 ขนาด 2x3 เมตร 3 ที่นั่ง และ Type C3 ขนาด 2x6 เมตร 6 ที่นั่ง โดยในปีงบประมาณ 2566 ก่อสร้างแล้วเสร็จ 30 หลัง ปีงบประมาณ 2567 ก่อสร้างแล้วเสร็จ 60 หลัง อยู่ระหว่างก่อสร้าง 29 หลัง และปีงบประมาณ 2568 ได้รับงบประมาณในการก่อสร้าง 300 หลัง ทั่วกรุงเทพฯ

    ปรากฎว่ากลายเป็นที่วิจารณ์ถึงความเหมาะสม เพราะตามรายงานข่าวระบุว่า ศาลารอรถเมล์ Type C2 แบบ 3 ที่นั่ง ใช้งบประมาณ 230,000 บาทต่อหลัง และ Type C3 แบบ 6 ที่นั่ง ใช้งบประมาณ 320,000 บาทต่อหลัง ซึ่งพิจารณาจากวัสดุแล้วแพงกว่าบ้านน็อกดาวน์

    ไม่นับรวมเสียงสะท้อนจากผู้ใช้รถเมล์ว่า แม้จะดูดีทันสมัย แต่แทบใช้ประโยชน์หลบแดดหลบฝนไม่ได้เลย เพราะที่นั่งริมสุดและด้านหลังพอดีกับขอบหลังคา อีกทั้งทำหลังคาเชิดขึ้น แดดส่องถึง ฝนตกลงมาถึง แถมจำนวนที่นั่งน้อยเกินไป ส่วนที่นั่งที่ทำจากพลาสติก เกรงว่าจะไม่คงทนถาวรเมื่อเทียบกับที่นั่งสแตนเลสหรือปูน อีกทั้งบางจุดยังติดตั้งทับทางเดินสำหรับผู้พิการ บางจุดเช่น BTS กรุงธนบุรี เป็นมุมอับสายตามีต้นไม้บัง รถเมล์ไม่จอด

    ร้อนไปถึงนายสิทธิพร สมคิดสรรพ์ ผู้อำนวยการสำนักการจราจรและขนส่ง ชี้แจงว่า งบประมาณก่อสร้างครอบคลุมงานรื้อย้ายระบบสาธารณูปโภค งานฐานรากคอนกรีตเสริมเหล็ก งานเชื่อมประกอบโครงสร้างเหล็ก งานหลังคาเมทัลชีท งานรางน้ำ งานม้านั่ง งานระบบไฟฟ้าแสงสว่างภายใน และงานบรรจบไฟฟ้าสาธารณะกับการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) เป็นต้น

    ยืนยันว่าราคาเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ หรือแนวทางปฏิบัติของหน่วยงานของรัฐ ซึ่งเมื่อประกวดราคาอิเล็คทรอนิกส์ (e-bidding) ราคาจึงต่ำลงอีก นอกจากนี้ ยังคำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนทุกกลุ่ม มีความมั่นคงแข็งแรง สามารถบังแดดบังฝนด้วยหลังคาขนาดใหญ่และแผ่นอะคริลิกใสด้านหลัง มีพื้นที่นั่งคอยเหมาะสม สวยงามกลมกลืน ไม่บดบังทัศนียภาพ ไม่สร้างจุดอับสายตา และประหยัดพื้นที่ทางเท้า ไม่กีดขวางทางเดินอีกด้วย

    อย่างไรก็ตาม เมื่อจำแนกรายละเอียดค่าก่อสร้างจากเอกสารประกวดราคา พบว่าราคากลางบวกค่าแฟคเตอร์ (Factor) หนักไปทางงานโครงสร้างประมาณ 88,000-131,000 บาท โดยเฉพาะงานเสา งานโครงรับเก้าอี้ งานโครงรับแผ่นอลูมิเนียมและอครีลิคที่เชื่อมประกอบจากโรงงาน ประกอบกับงานไฟฟ้าแสงสว่างประมาณ 46,000-47,000 บาท ส่วนงานตกแต่ง สัญลักษณ์และป้ายข้อมูลประมาณ 39,000-48,000 บาทเศษ จึงเป็นที่กังขาว่าจะคุ้มค่ากับเงินภาษีประชาชนหรือไม่

    #Newskit
    ศาลารอรถเมล์ 2-3 แสน แพงสมฐานะยุคชัชชาติ กลายเป็นที่วิจารณ์สนั่นโซเชียลฯ เมื่อกรุงเทพมหานคร (กทม.) ยุคผู้ว่าฯ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ เผยโฉมศาลาที่พักผู้โดยสารฯ โฉมใหม่ มี 2 รูปแบบ ได้แก่ Type C2 ขนาด 2x3 เมตร 3 ที่นั่ง และ Type C3 ขนาด 2x6 เมตร 6 ที่นั่ง โดยในปีงบประมาณ 2566 ก่อสร้างแล้วเสร็จ 30 หลัง ปีงบประมาณ 2567 ก่อสร้างแล้วเสร็จ 60 หลัง อยู่ระหว่างก่อสร้าง 29 หลัง และปีงบประมาณ 2568 ได้รับงบประมาณในการก่อสร้าง 300 หลัง ทั่วกรุงเทพฯ ปรากฎว่ากลายเป็นที่วิจารณ์ถึงความเหมาะสม เพราะตามรายงานข่าวระบุว่า ศาลารอรถเมล์ Type C2 แบบ 3 ที่นั่ง ใช้งบประมาณ 230,000 บาทต่อหลัง และ Type C3 แบบ 6 ที่นั่ง ใช้งบประมาณ 320,000 บาทต่อหลัง ซึ่งพิจารณาจากวัสดุแล้วแพงกว่าบ้านน็อกดาวน์ ไม่นับรวมเสียงสะท้อนจากผู้ใช้รถเมล์ว่า แม้จะดูดีทันสมัย แต่แทบใช้ประโยชน์หลบแดดหลบฝนไม่ได้เลย เพราะที่นั่งริมสุดและด้านหลังพอดีกับขอบหลังคา อีกทั้งทำหลังคาเชิดขึ้น แดดส่องถึง ฝนตกลงมาถึง แถมจำนวนที่นั่งน้อยเกินไป ส่วนที่นั่งที่ทำจากพลาสติก เกรงว่าจะไม่คงทนถาวรเมื่อเทียบกับที่นั่งสแตนเลสหรือปูน อีกทั้งบางจุดยังติดตั้งทับทางเดินสำหรับผู้พิการ บางจุดเช่น BTS กรุงธนบุรี เป็นมุมอับสายตามีต้นไม้บัง รถเมล์ไม่จอด ร้อนไปถึงนายสิทธิพร สมคิดสรรพ์ ผู้อำนวยการสำนักการจราจรและขนส่ง ชี้แจงว่า งบประมาณก่อสร้างครอบคลุมงานรื้อย้ายระบบสาธารณูปโภค งานฐานรากคอนกรีตเสริมเหล็ก งานเชื่อมประกอบโครงสร้างเหล็ก งานหลังคาเมทัลชีท งานรางน้ำ งานม้านั่ง งานระบบไฟฟ้าแสงสว่างภายใน และงานบรรจบไฟฟ้าสาธารณะกับการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) เป็นต้น ยืนยันว่าราคาเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ หรือแนวทางปฏิบัติของหน่วยงานของรัฐ ซึ่งเมื่อประกวดราคาอิเล็คทรอนิกส์ (e-bidding) ราคาจึงต่ำลงอีก นอกจากนี้ ยังคำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนทุกกลุ่ม มีความมั่นคงแข็งแรง สามารถบังแดดบังฝนด้วยหลังคาขนาดใหญ่และแผ่นอะคริลิกใสด้านหลัง มีพื้นที่นั่งคอยเหมาะสม สวยงามกลมกลืน ไม่บดบังทัศนียภาพ ไม่สร้างจุดอับสายตา และประหยัดพื้นที่ทางเท้า ไม่กีดขวางทางเดินอีกด้วย อย่างไรก็ตาม เมื่อจำแนกรายละเอียดค่าก่อสร้างจากเอกสารประกวดราคา พบว่าราคากลางบวกค่าแฟคเตอร์ (Factor) หนักไปทางงานโครงสร้างประมาณ 88,000-131,000 บาท โดยเฉพาะงานเสา งานโครงรับเก้าอี้ งานโครงรับแผ่นอลูมิเนียมและอครีลิคที่เชื่อมประกอบจากโรงงาน ประกอบกับงานไฟฟ้าแสงสว่างประมาณ 46,000-47,000 บาท ส่วนงานตกแต่ง สัญลักษณ์และป้ายข้อมูลประมาณ 39,000-48,000 บาทเศษ จึงเป็นที่กังขาว่าจะคุ้มค่ากับเงินภาษีประชาชนหรือไม่ #Newskit
    Like
    Haha
    Angry
    4
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 380 มุมมอง 0 รีวิว
  • วัดอรุณฯ ศาสนสถานงานศิลป์ชั้นเอกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์

    หากเอ่ยถึง วัดอรุณราชวราราม ราชวรมหาวิหาร (Wat Arun Ratchawararam Ratchawaramahawihan) หรือที่เรียกกันสั้น ๆ ว่า วัดอรุณฯ เราเชื่อว่าหลายคนน่าจะรู้จักเป็นอย่างดี เพราะเป็นวัดสำคัญคู่บ้านคู่เมืองมาช้านาน แถมยังตั้งเด่นเป็นสง่าริมแม่น้ำเจ้าพระยา จนกลายเป็นสัญลักษณ์ความสวยงามที่ประจักษ์ต่อสายตาชาวโลก อีกทั้งยังเป็นสถาปัตยกรรมที่งดงามประเมินค่าไม่ได้ โดยมีคติความเชื่อที่ว่า หากได้ไปไหว้พระวัดอรุณฯ ชีวิตจะรุ่งโรจน์ทุกคืนวัน วันนี้เราเลยถือโอกาสพาเพื่อน ๆ ไปท่องเที่ยวพร้อมทำความรู้จักกับวัดอรุณราชวราราม ราชวรมหาวิหาร ให้มากขึ้นกัน

    และด้วยวัดอรุณฯเป็นวัดที่มีสถาปัตยกรรมที่สวยงาม โดดเด่นด้วยพระปรางค์สีทองที่สูงตระหง่าน เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของชาวไทยและชาวต่างชาติมากมาย จึงมีมักมีผู้ศรัทธามาวัดอรุณเพื่อสักการะพระปรางค์ ไหว้พระ และขอพร พิธีการขอพรที่พบเห็นโดยทั่วไปคือจะจุดธูป เทียน และดอกไม้ ไหว้พระประธานในพระอุโบสถ แล้วเดินรอบพระปรางค์ บ้างก็สวดเทวะมันตรา และตั้งจิตอธิษฐานขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตนเคารพศรัทธา เชื่อกันว่าการขอพรที่วัดอรุณฯจะทำให้สมหวังในสิ่งที่ปรารถนา

    ประวัติวัดอรุณราชวราราม ราชวรมหาวิหาร

    วัดอรุณฯ เป็นวัดโบราณที่มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา แรกเรียกว่า วัดมะกอก มีเรื่องเล่าว่า เมื่อพระเจ้าตาก (สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช) ทรงนำกองทัพมาเพื่อเลือกชัยภูมิในการสร้างราชธานีใหม่ พระองค์เสด็จฯ ถึงวัดมะกอกในเวลารุ่งแจ้ง เมื่อทรงสถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานี จึงทรงปฏิสังขรณ์พระอารามแห่งนี้ และสถาปนาเป็นพระอารามหลวง พระราชทานนามว่า วัดแจ้ง เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร (พระแก้วมรกต) ซึ่งอัญเชิญมาจากเวียงจันทน์

    ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์) ทรงสถาปนาพระอุโบสถและพระวิหารหลังใหม่ พร้อมทั้งอัญเชิญพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรมาประดิษฐานที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม แต่ยังไม่ทันแล้วเสร็จพระองค์ก็เสด็จสวรรคต หลังจากนั้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ 2) จึงทรงดำเนินการปฏิสังขรณ์ต่อ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามว่า วัดอรุณราชธาราม ภายหลังพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามว่า วัดอรุณราชวราราม

    วัดอรุณราชวราราม ราชวรมหาวิหาร ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของชาติ ตามประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 66 ตอนที่ 64 วันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2492 และประกาศระวางแนวเขตโบราณสถานในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 72 ตอนที่ 14 วันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2498

    วัดอรุณราชวราราม ราชวรมหาวิหาร ตั้งอยู่ที่ไหน?

    วัดอรุณฯ เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรมหาวิหาร หมายถึงพระอารามที่พระมหากษัตริย์ สมเด็จพระราชินี สมเด็จพระยุพราช ทรงสร้างหรือปฏิสังขรณ์เป็นการส่วนพระองค์ ตั้งอยู่ที่แขวงวัดอรุณ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ฝั่งธนบุรี ทั้งยังอยู่ในเขตพระบรมมหาราชวังเดิม
    ที่ตั้ง : เลขที่ 34 ถนนวังเดิม แขวงวัดอรุณ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร
    วัดอรุณฯ ศาสนสถานงานศิลป์ชั้นเอกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ หากเอ่ยถึง วัดอรุณราชวราราม ราชวรมหาวิหาร (Wat Arun Ratchawararam Ratchawaramahawihan) หรือที่เรียกกันสั้น ๆ ว่า วัดอรุณฯ เราเชื่อว่าหลายคนน่าจะรู้จักเป็นอย่างดี เพราะเป็นวัดสำคัญคู่บ้านคู่เมืองมาช้านาน แถมยังตั้งเด่นเป็นสง่าริมแม่น้ำเจ้าพระยา จนกลายเป็นสัญลักษณ์ความสวยงามที่ประจักษ์ต่อสายตาชาวโลก อีกทั้งยังเป็นสถาปัตยกรรมที่งดงามประเมินค่าไม่ได้ โดยมีคติความเชื่อที่ว่า หากได้ไปไหว้พระวัดอรุณฯ ชีวิตจะรุ่งโรจน์ทุกคืนวัน วันนี้เราเลยถือโอกาสพาเพื่อน ๆ ไปท่องเที่ยวพร้อมทำความรู้จักกับวัดอรุณราชวราราม ราชวรมหาวิหาร ให้มากขึ้นกัน และด้วยวัดอรุณฯเป็นวัดที่มีสถาปัตยกรรมที่สวยงาม โดดเด่นด้วยพระปรางค์สีทองที่สูงตระหง่าน เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของชาวไทยและชาวต่างชาติมากมาย จึงมีมักมีผู้ศรัทธามาวัดอรุณเพื่อสักการะพระปรางค์ ไหว้พระ และขอพร พิธีการขอพรที่พบเห็นโดยทั่วไปคือจะจุดธูป เทียน และดอกไม้ ไหว้พระประธานในพระอุโบสถ แล้วเดินรอบพระปรางค์ บ้างก็สวดเทวะมันตรา และตั้งจิตอธิษฐานขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตนเคารพศรัทธา เชื่อกันว่าการขอพรที่วัดอรุณฯจะทำให้สมหวังในสิ่งที่ปรารถนา ประวัติวัดอรุณราชวราราม ราชวรมหาวิหาร วัดอรุณฯ เป็นวัดโบราณที่มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา แรกเรียกว่า วัดมะกอก มีเรื่องเล่าว่า เมื่อพระเจ้าตาก (สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช) ทรงนำกองทัพมาเพื่อเลือกชัยภูมิในการสร้างราชธานีใหม่ พระองค์เสด็จฯ ถึงวัดมะกอกในเวลารุ่งแจ้ง เมื่อทรงสถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานี จึงทรงปฏิสังขรณ์พระอารามแห่งนี้ และสถาปนาเป็นพระอารามหลวง พระราชทานนามว่า วัดแจ้ง เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร (พระแก้วมรกต) ซึ่งอัญเชิญมาจากเวียงจันทน์ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์) ทรงสถาปนาพระอุโบสถและพระวิหารหลังใหม่ พร้อมทั้งอัญเชิญพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรมาประดิษฐานที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม แต่ยังไม่ทันแล้วเสร็จพระองค์ก็เสด็จสวรรคต หลังจากนั้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ 2) จึงทรงดำเนินการปฏิสังขรณ์ต่อ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามว่า วัดอรุณราชธาราม ภายหลังพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามว่า วัดอรุณราชวราราม วัดอรุณราชวราราม ราชวรมหาวิหาร ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของชาติ ตามประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 66 ตอนที่ 64 วันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2492 และประกาศระวางแนวเขตโบราณสถานในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 72 ตอนที่ 14 วันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2498 วัดอรุณราชวราราม ราชวรมหาวิหาร ตั้งอยู่ที่ไหน? วัดอรุณฯ เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรมหาวิหาร หมายถึงพระอารามที่พระมหากษัตริย์ สมเด็จพระราชินี สมเด็จพระยุพราช ทรงสร้างหรือปฏิสังขรณ์เป็นการส่วนพระองค์ ตั้งอยู่ที่แขวงวัดอรุณ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ฝั่งธนบุรี ทั้งยังอยู่ในเขตพระบรมมหาราชวังเดิม ที่ตั้ง : เลขที่ 34 ถนนวังเดิม แขวงวัดอรุณ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 309 มุมมอง 0 รีวิว
  • โพลเผย "คนกรุง" 3 ใน 4 ชี้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 รุนแรงมาก
    "รัฐ-กทม." ไร้ประสิทธิภาพ-รถฟรีไม่ช่วยแก้ปัญหา
    .
    วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2568 ศูนย์สำรวจความคิดเห็นนิด้าโพล สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจของประชาชน เรื่อง “กรุงเทพฯ เมืองในฝุ่น” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 27-28 มกราคม 2568 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร กระจายทุกระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ รวมจำนวนทั้งสิ้น 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับปัญหาวิกฤตฝุ่นละออง PM 2.5 ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร พบว่า ชาวกทม. มากกว่า 90% ชี้ปัญหารุนแรงถึงรุนแรงมาก, รถเมล์-รถไฟฟ้าฟรีช่วยแก้ปัญหาได้น้อย, ส่วนใหญ่ชี้หน่วยงานภาครัฐ-กทม. ไร้ประสิทธิภาพโดยเฉพาะ กรมควบคุมมลพิษ และกรุงเทพมหานคร
    .
    สำหรับคำถามและผลการสำรวจที่น่าสนใจมีดังนี้คือ
    .
    เมื่อถามประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานครถึงความรุนแรงของวิกฤตฝุ่นละออง PM 2.5 ช่วงหลายวันที่ผ่านมา พบว่า
    ร้อยละ 74.43 ระบุว่า มีความรุนแรงมาก
    ร้อยละ 18.55 ระบุว่า ค่อนข้างมีความรุนแรง
    ร้อยละ 5.88 ระบุว่า ไม่ค่อยมีความรุนแรง
    ร้อยละ 1.14 ระบุว่า ไม่มีความรุนแรงเลย
    .
    ขณะที่ความคิดเห็นต่อการสั่งการหรือขอความร่วมมือให้ปิดสถานศึกษาและทำงานที่บ้าน (Work from Home) ช่วยแก้ไขปัญหาวิกฤตฝุ่นละออง PM 2.5 ในกรุงเทพมหานคร พบว่า
    ร้อยละ 33.82 ระบุว่า ช่วยแก้ไขปัญหาได้พอสมควร
    ร้อยละ 33.21 ระบุว่า ช่วยแก้ไขปัญหาได้น้อยมาก
    ร้อยละ 24.50 ระบุว่า ไม่ช่วยแก้ไขปัญหาเลย
    ร้อยละ 8.47 ระบุว่า ช่วยแก้ไขปัญหาได้มาก
    .
    ในประเด็นการให้ประชาชนใช้บริการรถเมล์และรถไฟฟ้า BTS - MRT ฟรี 7 วัน ช่วยแก้ไขปัญหาวิกฤตฝุ่นละออง PM 2.5 ในกรุงเทพมหานคร พบว่า
    ร้อยละ 34.89 ระบุว่า ช่วยแก้ไขปัญหาได้น้อยมาก
    ร้อยละ 33.89 ระบุว่า ไม่ช่วยแก้ไขปัญหาเลย
    ร้อยละ 24.50 ระบุว่า ช่วยแก้ไขปัญหาได้พอสมควร
    ร้อยละ 6.72 ระบุว่า ช่วยแก้ไขปัญหาได้มาก
    .
    ส่วนคำถามเรื่องประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ในกรุงเทพมหานครของหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง พบว่า
    ร้อยละ 41.15 ระบุว่า ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ
    ร้อยละ 35.34 ระบุว่า ไม่มีประสิทธิภาพเลย
    ร้อยละ 20.38 ระบุว่า ค่อนข้างมีประสิทธิภาพ
    ร้อยละ 3.13 ระบุว่า มีประสิทธิภาพมาก
    .
    เมื่อถามถึงหน่วยงานที่ประชาชนคาดหวังให้แก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ในกรุงเทพมหานคร พบว่า
    ร้อยละ 41.15 ระบุว่า กรมควบคุมมลพิษ
    ร้อยละ 34.27 ระบุว่า กรุงเทพมหานคร
    ร้อยละ 27.02 ระบุว่า กรมฝนหลวงและการบินเกษตร
    ร้อยละ 20.23 ระบุว่า กรมการขนส่งทางบก
    ร้อยละ 17.56 ระบุว่า ไม่มีความหวังกับหน่วยงานราชการใดๆ
    ร้อยละ 16.34 ระบุว่า กระทรวงอุตสาหกรรม
    ร้อยละ 13.89 ระบุว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
    ร้อยละ 12.67 ระบุว่า สำนักนายกรัฐมนตรี
    ร้อยละ 12.44 ระบุว่า กระทรวงมหาดไทย
    ร้อยละ 10.46 ระบุว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
    ร้อยละ 9.39 ระบุว่า กระทรวงการต่างประเทศ
    ร้อยละ 8.70 ระบุว่า กระทรวงกลาโหม
    ร้อยละ 8.47 ระบุว่า กระทรวงพาณิชย์
    ร้อยละ 7.79 ระบุว่า กระทรวงการคลัง
    .
    คลิกอ่าน >> https://sondhitalk.com/detail/9680000010602
    โพลเผย "คนกรุง" 3 ใน 4 ชี้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 รุนแรงมาก "รัฐ-กทม." ไร้ประสิทธิภาพ-รถฟรีไม่ช่วยแก้ปัญหา . วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2568 ศูนย์สำรวจความคิดเห็นนิด้าโพล สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจของประชาชน เรื่อง “กรุงเทพฯ เมืองในฝุ่น” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 27-28 มกราคม 2568 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร กระจายทุกระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ รวมจำนวนทั้งสิ้น 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับปัญหาวิกฤตฝุ่นละออง PM 2.5 ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร พบว่า ชาวกทม. มากกว่า 90% ชี้ปัญหารุนแรงถึงรุนแรงมาก, รถเมล์-รถไฟฟ้าฟรีช่วยแก้ปัญหาได้น้อย, ส่วนใหญ่ชี้หน่วยงานภาครัฐ-กทม. ไร้ประสิทธิภาพโดยเฉพาะ กรมควบคุมมลพิษ และกรุงเทพมหานคร . สำหรับคำถามและผลการสำรวจที่น่าสนใจมีดังนี้คือ . เมื่อถามประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานครถึงความรุนแรงของวิกฤตฝุ่นละออง PM 2.5 ช่วงหลายวันที่ผ่านมา พบว่า ร้อยละ 74.43 ระบุว่า มีความรุนแรงมาก ร้อยละ 18.55 ระบุว่า ค่อนข้างมีความรุนแรง ร้อยละ 5.88 ระบุว่า ไม่ค่อยมีความรุนแรง ร้อยละ 1.14 ระบุว่า ไม่มีความรุนแรงเลย . ขณะที่ความคิดเห็นต่อการสั่งการหรือขอความร่วมมือให้ปิดสถานศึกษาและทำงานที่บ้าน (Work from Home) ช่วยแก้ไขปัญหาวิกฤตฝุ่นละออง PM 2.5 ในกรุงเทพมหานคร พบว่า ร้อยละ 33.82 ระบุว่า ช่วยแก้ไขปัญหาได้พอสมควร ร้อยละ 33.21 ระบุว่า ช่วยแก้ไขปัญหาได้น้อยมาก ร้อยละ 24.50 ระบุว่า ไม่ช่วยแก้ไขปัญหาเลย ร้อยละ 8.47 ระบุว่า ช่วยแก้ไขปัญหาได้มาก . ในประเด็นการให้ประชาชนใช้บริการรถเมล์และรถไฟฟ้า BTS - MRT ฟรี 7 วัน ช่วยแก้ไขปัญหาวิกฤตฝุ่นละออง PM 2.5 ในกรุงเทพมหานคร พบว่า ร้อยละ 34.89 ระบุว่า ช่วยแก้ไขปัญหาได้น้อยมาก ร้อยละ 33.89 ระบุว่า ไม่ช่วยแก้ไขปัญหาเลย ร้อยละ 24.50 ระบุว่า ช่วยแก้ไขปัญหาได้พอสมควร ร้อยละ 6.72 ระบุว่า ช่วยแก้ไขปัญหาได้มาก . ส่วนคำถามเรื่องประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ในกรุงเทพมหานครของหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง พบว่า ร้อยละ 41.15 ระบุว่า ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ ร้อยละ 35.34 ระบุว่า ไม่มีประสิทธิภาพเลย ร้อยละ 20.38 ระบุว่า ค่อนข้างมีประสิทธิภาพ ร้อยละ 3.13 ระบุว่า มีประสิทธิภาพมาก . เมื่อถามถึงหน่วยงานที่ประชาชนคาดหวังให้แก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ในกรุงเทพมหานคร พบว่า ร้อยละ 41.15 ระบุว่า กรมควบคุมมลพิษ ร้อยละ 34.27 ระบุว่า กรุงเทพมหานคร ร้อยละ 27.02 ระบุว่า กรมฝนหลวงและการบินเกษตร ร้อยละ 20.23 ระบุว่า กรมการขนส่งทางบก ร้อยละ 17.56 ระบุว่า ไม่มีความหวังกับหน่วยงานราชการใดๆ ร้อยละ 16.34 ระบุว่า กระทรวงอุตสาหกรรม ร้อยละ 13.89 ระบุว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร้อยละ 12.67 ระบุว่า สำนักนายกรัฐมนตรี ร้อยละ 12.44 ระบุว่า กระทรวงมหาดไทย ร้อยละ 10.46 ระบุว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร้อยละ 9.39 ระบุว่า กระทรวงการต่างประเทศ ร้อยละ 8.70 ระบุว่า กระทรวงกลาโหม ร้อยละ 8.47 ระบุว่า กระทรวงพาณิชย์ ร้อยละ 7.79 ระบุว่า กระทรวงการคลัง . คลิกอ่าน >> https://sondhitalk.com/detail/9680000010602
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 456 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🧐🟡🟠 เช้านี้คุณภาพอากาศ กทม. อยู่ในเกณฑ์ปานกลาง มีสีส้มเกินมาตรฐาน 26 พื้นที่ ฝุ่นเริ่มสูงขึ้นดั่งคำพยากรณ์
    📊ศูนย์ข้อมูลคุณภาพอากาศกรุงเทพมหานครรายงานสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 วันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2568 เวลา 07.00 น.
    🟡🔍 ค่าเฉลี่ยของกรุงเทพมหานคร 35.3 มคก./ลบ.ม.
    🔍↗️ ฝุ่นละอองมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
    🟡 ภาพรวม : คุณภาพอากาศ กทม. อยู่ในเกณฑ์ปานกลาง
    🟠 เกินมาตรฐาน เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ จำนวน 26 พื้นที่
    🩺 ข้อแนะนำสุขภาพ:
    🟠 คุณภาพอากาศระดับสีส้ม: เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ
    ▪️ประชาชนทั่วไป : ใช้อุปกรณ์ป้องกันตนเอง เช่น หน้ากากป้องกัน PM2.5 ทุกครั้งที่ออกนอกอาคาร
    จำกัดระยะเวลาในการทำกิจกรรมหรือการออกกำลังกายกลางแจ้งที่ใช้แรงมาก
    ควรสังเกตอาการผิดปกติ เช่น ไอ หายใจลำบาก ระคายเคืองตา
    ▪️ประชาชนกลุ่มเสี่ยง : ใช้อุปกรณ์ป้องกันตนเอง เช่น หน้ากากป้องกัน PM2.5 ทุกครั้งที่ออกนอกอาคาร
    เลี่ยงการทำกิจกรรมหรือการออกกำลังกายกลางแจ้งที่ใช้แรงมาก ให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ หากมีอาการผิดปกติให้รีบไปพบแพทย์
    🔍🟠 ณ เวลา 07.00 น. ตรวจวัดได้ 26-53 มคก./ลบ.ม. พบว่าเกินมาตรฐานอยู่ในระดับสีส้ม เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ (มาตรฐานไม่เกิน 37.5 มคก./ลบ.ม.) จำนวน 26 พื้นที่ คือ
    1.เขตลาดกระบัง ด้านหน้าโรงพยาบาลนคราภิบาล : มีค่าเท่ากับ 53.0 มคก./ลบ.ม.
    2.เขตคลองสามวา ภายในสำนักงานเขตคลองสามวา : มีค่าเท่ากับ 47.8 มคก./ลบ.ม.
    3.เขตหนองจอก บริเวณหน้าสำนักงานเขตหนองจอก : มีค่าเท่ากับ 45.4 มคก./ลบ.ม.
    4.เขตพระโขนง ภายในสำนักงานเขตพระโขนง : มีค่าเท่ากับ 44.1 มคก./ลบ.ม.
    5.เขตบางขุนเทียน ภายในสำนักงานเขตบางขุนเทียน : มีค่าเท่ากับ 43.5 มคก./ลบ.ม.
    6.เขตคันนายาว บริเวณปากทางถนนสวนสยามตัดกับถนนรามอินทรา : มีค่าเท่ากับ 43.3 มคก./ลบ.ม.
    7.เขตภาษีเจริญ หน้ามหาวิทยาลัยสยาม(ประมาณซอยเพชรเกษม 36) ทางเข้ามหาวิทยาลัย : มีค่าเท่ากับ 42.9 มคก./ลบ.ม.
    8.เขตประเวศ ด้านหน้าห้างสรรพสินค้าซีคอน สแควร์ : มีค่าเท่ากับ 42.8 มคก./ลบ.ม.
    9.เขตมีนบุรี สวนเฉลิมพระเกียรติ ร.9 ตรงข้ามสำนักงานเขตมีนบุรี : มีค่าเท่ากับ 41.6 มคก./ลบ.ม.
    10.สวนพระนคร เขตลาดกระบัง : มีค่าเท่ากับ 41.4 มคก./ลบ.ม.
    11.เขตบางกอกน้อย บริเวณหน้าสถานีตำรวจรถไฟบางกอกน้อย : มีค่าเท่ากับ 41.2 มคก./ลบ.ม.
    12.เขตหนองแขม สามแยกข้างป้อมตำรวจ ถนนมาเจริญ เพชรเกษม 81 : มีค่าเท่ากับ 41.1 มคก./ลบ.ม.
    13.เขตหลักสี่ ภายในสำนักงานเขตหลักสี่ : มีค่าเท่ากับ 40.7 มคก./ลบ.ม.
    14.เขตบางนา บริเวณหน้าห้าง สรรพสินค้าบิ๊กซี บางนา : มีค่าเท่ากับ 40.5 มคก./ลบ.ม.
    15.สวน 60 พรรษาสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ เขตลาดกระบัง : มีค่าเท่ากับ 40.5 มคก./ลบ.ม.
    16.เขตทวีวัฒนา ทางเข้าสนามหลวง 2 : มีค่าเท่ากับ 40.3 มคก./ลบ.ม.
    17.เขตธนบุรี ริมป้ายรถเมล์บริเวณแยกมไหศวรรย์ : มีค่าเท่ากับ 40.0 มคก./ลบ.ม.
    18.สวนหนองจอก เขตหนองจอก : มีค่าเท่ากับ 40.0 มคก./ลบ.ม.
    19.เขตวังทองหลาง ด้านหน้าปั๊มน้ำมัน เอสโซ่ ซ.ลาดพร้าว 95 : มีค่าเท่ากับ 39.7 มคก./ลบ.ม.
    20.สวนรมณีย์ทุ่งสีกัน เขตดอนเมือง : มีค่าเท่ากับ 39.3 มคก./ลบ.ม.
    21.สวนเสรีไทย เขตบึงกุ่ม : มีค่าเท่ากับ 39.3 มคก./ลบ.ม.
    22.เขตตลิ่งชัน ถนนพุทธมณฑลสาย 1 ตัดกับถนนบรมราชชนนี : มีค่าเท่ากับ 38.9 มคก./ลบ.ม.
    23.เขตคลองเตย ภายในสำนักงานเขตคลองเตย : มีค่าเท่ากับ 38.7 มคก./ลบ.ม.
    24.เขตลาดพร้าว ภายในสำนักงานเขตลาดพร้าว : มีค่าเท่ากับ 38.0 มคก./ลบ.ม.
    25.เขตบางเขน ภายในสำนักงานเขตบางเขน : มีค่าเท่ากับ 37.7 มคก./ลบ.ม.
    26.เขตสวนหลวง ด้านหน้าสำนักงานเขตสวนหลวง : มีค่าเท่ากับ 37.6 มคก./ลบ.ม.
    .
    🧐 ในช่วงวันที่ 30 ม.ค. - 1 ก.พ. 2568 การระบายอากาศอยู่ในเกณฑ์ "ไม่ดี - อ่อน" ประกอบกับมีการเกิดอินเวอร์ชั่นใกล้ผิวพื้น อย่างต่อเนื่อง ทำให้มลพิษทางอากาศแพร่กระจายได้อย่างจำกัด ส่งผลให้ความเข้มข้นของฝุ่นละอองมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ส่วนวันที่ 2-7 ก.พ. การระบายอากาศอยู่ในเกณฑ์ "อ่อน-ดี" ส่งผลให้ความเข้มข้นของฝุ่นละอองมีแนวโน้มทรงตัวถึงลดลง และคาดการณ์วันนี้ อากาศเย็นในตอนเช้า
    .
    🔥 🛰 ดาวเทียมจาก NASA ไม่พบจุดความร้อนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และ NASA ก็พาเธอกลับมาไม่ได้
    .
    📲😷 ท่านสามารถตรวจสอบข้อมูลคุณภาพอากาศก่อนออกจากบ้าน ผ่านทาง
    - แอปพลิเคชัน AirBKK
    - www.airbkk.com
    - FB: สำนักสิ่งแวดล้อม กรุงเทพมหานคร
    - FB: กองจัดการคุณภาพอากาศและเสียง สำนักสิ่งแวดล้อม
    - FB: กรุงเทพมหานคร
    - แอปพลิเคชัน AirBKK
    - LINE ALERT
    📲🤮 หากท่านพบเห็นแหล่งกำเนิดมลพิษสามารถแจ้งเบาะแสผ่านทาง Traffy Fondue
    #ค่าฝุ่นกทม #ฝุ่น #PM25
    #สิ่งแวดล้อมดี #สุขภาพดี
    #ลีซานอัลไกอีบ

    cr. facebook กรุงเทพมหานคร https://www.facebook.com/bangkokbma
    🧐🟡🟠 เช้านี้คุณภาพอากาศ กทม. อยู่ในเกณฑ์ปานกลาง มีสีส้มเกินมาตรฐาน 26 พื้นที่ ฝุ่นเริ่มสูงขึ้นดั่งคำพยากรณ์ 📊ศูนย์ข้อมูลคุณภาพอากาศกรุงเทพมหานครรายงานสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 วันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2568 เวลา 07.00 น. 🟡🔍 ค่าเฉลี่ยของกรุงเทพมหานคร 35.3 มคก./ลบ.ม. 🔍↗️ ฝุ่นละอองมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 🟡 ภาพรวม : คุณภาพอากาศ กทม. อยู่ในเกณฑ์ปานกลาง 🟠 เกินมาตรฐาน เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ จำนวน 26 พื้นที่ 🩺 ข้อแนะนำสุขภาพ: 🟠 คุณภาพอากาศระดับสีส้ม: เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ ▪️ประชาชนทั่วไป : ใช้อุปกรณ์ป้องกันตนเอง เช่น หน้ากากป้องกัน PM2.5 ทุกครั้งที่ออกนอกอาคาร จำกัดระยะเวลาในการทำกิจกรรมหรือการออกกำลังกายกลางแจ้งที่ใช้แรงมาก ควรสังเกตอาการผิดปกติ เช่น ไอ หายใจลำบาก ระคายเคืองตา ▪️ประชาชนกลุ่มเสี่ยง : ใช้อุปกรณ์ป้องกันตนเอง เช่น หน้ากากป้องกัน PM2.5 ทุกครั้งที่ออกนอกอาคาร เลี่ยงการทำกิจกรรมหรือการออกกำลังกายกลางแจ้งที่ใช้แรงมาก ให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ หากมีอาการผิดปกติให้รีบไปพบแพทย์ 🔍🟠 ณ เวลา 07.00 น. ตรวจวัดได้ 26-53 มคก./ลบ.ม. พบว่าเกินมาตรฐานอยู่ในระดับสีส้ม เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ (มาตรฐานไม่เกิน 37.5 มคก./ลบ.ม.) จำนวน 26 พื้นที่ คือ 1.เขตลาดกระบัง ด้านหน้าโรงพยาบาลนคราภิบาล : มีค่าเท่ากับ 53.0 มคก./ลบ.ม. 2.เขตคลองสามวา ภายในสำนักงานเขตคลองสามวา : มีค่าเท่ากับ 47.8 มคก./ลบ.ม. 3.เขตหนองจอก บริเวณหน้าสำนักงานเขตหนองจอก : มีค่าเท่ากับ 45.4 มคก./ลบ.ม. 4.เขตพระโขนง ภายในสำนักงานเขตพระโขนง : มีค่าเท่ากับ 44.1 มคก./ลบ.ม. 5.เขตบางขุนเทียน ภายในสำนักงานเขตบางขุนเทียน : มีค่าเท่ากับ 43.5 มคก./ลบ.ม. 6.เขตคันนายาว บริเวณปากทางถนนสวนสยามตัดกับถนนรามอินทรา : มีค่าเท่ากับ 43.3 มคก./ลบ.ม. 7.เขตภาษีเจริญ หน้ามหาวิทยาลัยสยาม(ประมาณซอยเพชรเกษม 36) ทางเข้ามหาวิทยาลัย : มีค่าเท่ากับ 42.9 มคก./ลบ.ม. 8.เขตประเวศ ด้านหน้าห้างสรรพสินค้าซีคอน สแควร์ : มีค่าเท่ากับ 42.8 มคก./ลบ.ม. 9.เขตมีนบุรี สวนเฉลิมพระเกียรติ ร.9 ตรงข้ามสำนักงานเขตมีนบุรี : มีค่าเท่ากับ 41.6 มคก./ลบ.ม. 10.สวนพระนคร เขตลาดกระบัง : มีค่าเท่ากับ 41.4 มคก./ลบ.ม. 11.เขตบางกอกน้อย บริเวณหน้าสถานีตำรวจรถไฟบางกอกน้อย : มีค่าเท่ากับ 41.2 มคก./ลบ.ม. 12.เขตหนองแขม สามแยกข้างป้อมตำรวจ ถนนมาเจริญ เพชรเกษม 81 : มีค่าเท่ากับ 41.1 มคก./ลบ.ม. 13.เขตหลักสี่ ภายในสำนักงานเขตหลักสี่ : มีค่าเท่ากับ 40.7 มคก./ลบ.ม. 14.เขตบางนา บริเวณหน้าห้าง สรรพสินค้าบิ๊กซี บางนา : มีค่าเท่ากับ 40.5 มคก./ลบ.ม. 15.สวน 60 พรรษาสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ เขตลาดกระบัง : มีค่าเท่ากับ 40.5 มคก./ลบ.ม. 16.เขตทวีวัฒนา ทางเข้าสนามหลวง 2 : มีค่าเท่ากับ 40.3 มคก./ลบ.ม. 17.เขตธนบุรี ริมป้ายรถเมล์บริเวณแยกมไหศวรรย์ : มีค่าเท่ากับ 40.0 มคก./ลบ.ม. 18.สวนหนองจอก เขตหนองจอก : มีค่าเท่ากับ 40.0 มคก./ลบ.ม. 19.เขตวังทองหลาง ด้านหน้าปั๊มน้ำมัน เอสโซ่ ซ.ลาดพร้าว 95 : มีค่าเท่ากับ 39.7 มคก./ลบ.ม. 20.สวนรมณีย์ทุ่งสีกัน เขตดอนเมือง : มีค่าเท่ากับ 39.3 มคก./ลบ.ม. 21.สวนเสรีไทย เขตบึงกุ่ม : มีค่าเท่ากับ 39.3 มคก./ลบ.ม. 22.เขตตลิ่งชัน ถนนพุทธมณฑลสาย 1 ตัดกับถนนบรมราชชนนี : มีค่าเท่ากับ 38.9 มคก./ลบ.ม. 23.เขตคลองเตย ภายในสำนักงานเขตคลองเตย : มีค่าเท่ากับ 38.7 มคก./ลบ.ม. 24.เขตลาดพร้าว ภายในสำนักงานเขตลาดพร้าว : มีค่าเท่ากับ 38.0 มคก./ลบ.ม. 25.เขตบางเขน ภายในสำนักงานเขตบางเขน : มีค่าเท่ากับ 37.7 มคก./ลบ.ม. 26.เขตสวนหลวง ด้านหน้าสำนักงานเขตสวนหลวง : มีค่าเท่ากับ 37.6 มคก./ลบ.ม. . 🧐 ในช่วงวันที่ 30 ม.ค. - 1 ก.พ. 2568 การระบายอากาศอยู่ในเกณฑ์ "ไม่ดี - อ่อน" ประกอบกับมีการเกิดอินเวอร์ชั่นใกล้ผิวพื้น อย่างต่อเนื่อง ทำให้มลพิษทางอากาศแพร่กระจายได้อย่างจำกัด ส่งผลให้ความเข้มข้นของฝุ่นละอองมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ส่วนวันที่ 2-7 ก.พ. การระบายอากาศอยู่ในเกณฑ์ "อ่อน-ดี" ส่งผลให้ความเข้มข้นของฝุ่นละอองมีแนวโน้มทรงตัวถึงลดลง และคาดการณ์วันนี้ อากาศเย็นในตอนเช้า . 🔥 🛰 ดาวเทียมจาก NASA ไม่พบจุดความร้อนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และ NASA ก็พาเธอกลับมาไม่ได้ . 📲😷 ท่านสามารถตรวจสอบข้อมูลคุณภาพอากาศก่อนออกจากบ้าน ผ่านทาง - แอปพลิเคชัน AirBKK - www.airbkk.com - FB: สำนักสิ่งแวดล้อม กรุงเทพมหานคร - FB: กองจัดการคุณภาพอากาศและเสียง สำนักสิ่งแวดล้อม - FB: กรุงเทพมหานคร - แอปพลิเคชัน AirBKK - LINE ALERT 📲🤮 หากท่านพบเห็นแหล่งกำเนิดมลพิษสามารถแจ้งเบาะแสผ่านทาง Traffy Fondue #ค่าฝุ่นกทม #ฝุ่น #PM25 #สิ่งแวดล้อมดี #สุขภาพดี #ลีซานอัลไกอีบ cr. facebook กรุงเทพมหานคร https://www.facebook.com/bangkokbma
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 627 มุมมอง 0 รีวิว
  • เปิดสะพานทศมราชัน สร้างมา 5 ปีกว่าจะมีวันนี้

    เวลา 09.09 น. วันที่ 29 ม.ค. นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คมนาคม เป็นประธานในพิธีเปิดสะพานทศมราชัน ที่ด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษสุขสวัสดิ์ ระหว่างรอโครงการทางพิเศษสายพระราม 3-ดาวคะนอง-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันตก ของการทางพิเศษแห่งประเทศไทยก่อสร้างแล้วเสร็จ คิดค่าผ่านทางตามปกติของทางพิเศษเฉลิมมหานคร คาดว่าจะช่วยบรรเทาปัญหาการจราจรบนสะพานพระราม 9 จาก 100,470 คันต่อวัน ลดเหลือ 75,325 คันต่อวัน

    สำหรับความคืบหน้าโครงการฯ ตลอดสายทาง 18.7 กิโลเมตร ณ สิ้นเดือน ธ.ค. 2567 ภาพรวม 86.28% เร็วกว่าแผน 1.03% คาดว่าเปิดให้บริการประมาณปลายปี 2568 โดยขาออกกรุงเทพฯ จากทางพิเศษเฉลิมมหานคร และทางพิเศษศรีรัช ก่อนขึ้นสะพานทศมราชันต้องรับบัตรผ่านทางพิเศษที่ด่านบางโคล่ และจ่ายเงินที่ด่านปลายทาง โดยคิดค่าผ่านทางแบ่งเป็น 2 ช่วง ได้แก่ ช่วงดาวคะนอง-พระราม 3 และช่วงดาวคะนอง-วงแหวนฯ ตะวันตก ได้แก่ รถ 4 ล้อ ช่วงละ 30 บาท รถ 6-10 ล้อช่วงละ 60 บาท รถมากกว่า 10 ล้อช่วงละ 90 บาท

    สะพานทศมราชัน เป็นส่วนหนึ่งของโครงการฯ สัญญา 4 ลักษณะเป็นสะพานคู่ (Cable Stayed Bridge) แบบไม่มีเสาอยู่ในลำน้ำ ขนาด 8 ช่องจราจร ความยาว 781.2 เมตร รับแรงลมได้สูงถึง 270 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มูลค่าโครงการ 6,636.19 ล้านบาท ก่อสร้างโดย บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) เริ่มต้นสัญญา 16 ม.ค. 2563 แล้วเสร็จตามสัญญาวันที่ 30 มี.ค. 2566 รวม 1,170 วัน ก่อนส่งมอบให้การทางพิเศษฯ

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนาม “สะพานทศมราชัน” หมายถึง พระมหากษัตริย์ลำดับที่ 10 และพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เชิญตราสัญลักษณ์งานเฉลิมพระเกียรติฯ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 ก.ค. 2567 ไปประดิษฐานบนสะพานแห่งนี้ โดยเมื่อวันที่ 14 ธ.ค. 2567 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดสะพานทศมราชัน

    องค์ประกอบสถาปัตยกรรมของสะพาน ได้แก่ 1.ส่วนยอดของเสาสะพาน หมายถึง ฝ่าพระหัตถ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แสดงถึงความโอบอุ้มปกป้อง ให้ความรัก ความห่วงใย พสกนิกรต่างสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่เหนือเกล้า 2.สายเคเบิลเป็นสีเหลือง สื่อถึงวันพระบรมราชสมภพคือวันจันทร์ 3.รูปปั้นพญานาคสีเหลืองทองอยู่บนโคนเสาสะพานทั้ง 4 ต้น ซึ่งเป็นราศีประจำปีมะโรง ปีพระบรมราชสมภพ เพื่อถวายอารักขาแด่พระองค์ 4.รั้วสะพานกันกระโดด ออกแบบให้เป็นลายดอกรวงผึ้ง ต้นไม้ประจำพระองค์

    #Newskit
    -----
    ลุ้นรับฟรี บัตร Touch 'n Go มาเลเซีย สำหรับผู้อ่าน Newskit บน Thaitimes ร่วมสนุกได้ถึงวันที่ 31 ม.ค. 2568 คลิก >>> https://forms.gle/sCSp9i1Ub9KDjYZg9
    เปิดสะพานทศมราชัน สร้างมา 5 ปีกว่าจะมีวันนี้ เวลา 09.09 น. วันที่ 29 ม.ค. นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คมนาคม เป็นประธานในพิธีเปิดสะพานทศมราชัน ที่ด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษสุขสวัสดิ์ ระหว่างรอโครงการทางพิเศษสายพระราม 3-ดาวคะนอง-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันตก ของการทางพิเศษแห่งประเทศไทยก่อสร้างแล้วเสร็จ คิดค่าผ่านทางตามปกติของทางพิเศษเฉลิมมหานคร คาดว่าจะช่วยบรรเทาปัญหาการจราจรบนสะพานพระราม 9 จาก 100,470 คันต่อวัน ลดเหลือ 75,325 คันต่อวัน สำหรับความคืบหน้าโครงการฯ ตลอดสายทาง 18.7 กิโลเมตร ณ สิ้นเดือน ธ.ค. 2567 ภาพรวม 86.28% เร็วกว่าแผน 1.03% คาดว่าเปิดให้บริการประมาณปลายปี 2568 โดยขาออกกรุงเทพฯ จากทางพิเศษเฉลิมมหานคร และทางพิเศษศรีรัช ก่อนขึ้นสะพานทศมราชันต้องรับบัตรผ่านทางพิเศษที่ด่านบางโคล่ และจ่ายเงินที่ด่านปลายทาง โดยคิดค่าผ่านทางแบ่งเป็น 2 ช่วง ได้แก่ ช่วงดาวคะนอง-พระราม 3 และช่วงดาวคะนอง-วงแหวนฯ ตะวันตก ได้แก่ รถ 4 ล้อ ช่วงละ 30 บาท รถ 6-10 ล้อช่วงละ 60 บาท รถมากกว่า 10 ล้อช่วงละ 90 บาท สะพานทศมราชัน เป็นส่วนหนึ่งของโครงการฯ สัญญา 4 ลักษณะเป็นสะพานคู่ (Cable Stayed Bridge) แบบไม่มีเสาอยู่ในลำน้ำ ขนาด 8 ช่องจราจร ความยาว 781.2 เมตร รับแรงลมได้สูงถึง 270 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มูลค่าโครงการ 6,636.19 ล้านบาท ก่อสร้างโดย บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) เริ่มต้นสัญญา 16 ม.ค. 2563 แล้วเสร็จตามสัญญาวันที่ 30 มี.ค. 2566 รวม 1,170 วัน ก่อนส่งมอบให้การทางพิเศษฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนาม “สะพานทศมราชัน” หมายถึง พระมหากษัตริย์ลำดับที่ 10 และพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เชิญตราสัญลักษณ์งานเฉลิมพระเกียรติฯ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 ก.ค. 2567 ไปประดิษฐานบนสะพานแห่งนี้ โดยเมื่อวันที่ 14 ธ.ค. 2567 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดสะพานทศมราชัน องค์ประกอบสถาปัตยกรรมของสะพาน ได้แก่ 1.ส่วนยอดของเสาสะพาน หมายถึง ฝ่าพระหัตถ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แสดงถึงความโอบอุ้มปกป้อง ให้ความรัก ความห่วงใย พสกนิกรต่างสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่เหนือเกล้า 2.สายเคเบิลเป็นสีเหลือง สื่อถึงวันพระบรมราชสมภพคือวันจันทร์ 3.รูปปั้นพญานาคสีเหลืองทองอยู่บนโคนเสาสะพานทั้ง 4 ต้น ซึ่งเป็นราศีประจำปีมะโรง ปีพระบรมราชสมภพ เพื่อถวายอารักขาแด่พระองค์ 4.รั้วสะพานกันกระโดด ออกแบบให้เป็นลายดอกรวงผึ้ง ต้นไม้ประจำพระองค์ #Newskit ----- ลุ้นรับฟรี บัตร Touch 'n Go มาเลเซีย สำหรับผู้อ่าน Newskit บน Thaitimes ร่วมสนุกได้ถึงวันที่ 31 ม.ค. 2568 คลิก >>> https://forms.gle/sCSp9i1Ub9KDjYZg9
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 591 มุมมอง 0 รีวิว
  • เครื่องบินโดยสารแอร์บัสของสายการบินแอร์ปูซาน (Air Busan) ของเกาหลีใต้เกิดเพลิงลุกไหม้ที่ท่าอากาศยานนานาชาติกิมแฮทางตอนใต้ของเกาหลีใต้ ขณะกำลังตรียมเดินทางไปยังฮ่องกงเมื่อค่ำวานนี้ (28 ม.ค.) แต่โชคดีที่ผู้โดยสารทั้ง 169 คนและลูกเรืออีก 7 คนถูกอพยพได้ทัน และมีผู้บาดเจ็บเล็กน้อยเพียง 3 คน
    .
    สำนักงานดับเพลิงปูซานได้รับแจ้งเหตุเพลิงไหม้ซึ่งปะทุขึ้นภายในลำตัวเครื่องบินเมื่อเวลาราว 22.30 น. ตามเวลาท้องถิ่น ขณะที่สำนักข่าวยอนฮัปรายงานว่าต้นเพลิงเกิดที่ส่วนหางของเครื่อง
    .
    คลิปเหตุการณ์ที่สถานีโทรทัศน์ YTN เผยแพร่ทำให้เห็นว่ามีการใช้สไลด์อพยพผู้โดยสารลงจากเครื่องบินทั้ง 2 ฝั่ง ขณะที่หน่วยกู้ภัยเร่งจัดการกับควันและไฟที่ไหม้เครื่องบิน
    .
    ต่อมาสำนักข่าวยอนฮัปได้เผยแพร่คลิปแนวหลังคาห้องโดยสารที่เป็นรูโหว่อันเกิดจากการถูกไฟไหม้
    .
    เหตุระทึกครั้งนี้เกิดขึ้นเพียง 1 เดือนหลังจากที่เครื่องบินโบอิ้งของสายการบินเจจูแอร์ (Jeju Air) ซึ่งเดินทางจากกรุงเทพมหานครประสบอุบัติเหตุลื่นไถลหลุดรันเวย์ที่สนามบินนานาชาติมูอัน หลังลงจอดในสภาพล้อไม่กาง ซึ่งทำให้ผู้โดยสารและลูกเรือเสียชีวิตรวม 179 คน และมีลูกเรือที่นั่งอยู่บริเวณส่วนหางรอดมาได้เพียง 2 คน
    .
    สำหรับแอร์ปูซานเป็นสายการบินต้นทุนต่ำในเครือเอเชียนาแอร์ไลน์ส (Asiana Airlines) ซึ่งเพิ่งจะถูกควบกิจการโดยโคเรียนแอร์ (Korean Air) เมื่อเดือน ธ.ค.
    .
    แอร์บัสซึ่งเป็นผู้ผู้ผลิตเครื่องบินยืนยันว่าได้รับรายงานอุบัติเหตุดังกล่าวแล้ว และอยู่ระหว่างประสานงานกับทางแอร์ปูซาน
    .
    เครื่องบินลำเกิดเหตุเป็นแอร์บัส A321 neo หมายเลขท้ายเครื่อง HL7763 ซึ่งผ่านการใช้งานมาแล้ว 17 ปี ตามข้อมูลจาก Aviation Safety Network
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000009127
    ..............
    Sondhi X
    เครื่องบินโดยสารแอร์บัสของสายการบินแอร์ปูซาน (Air Busan) ของเกาหลีใต้เกิดเพลิงลุกไหม้ที่ท่าอากาศยานนานาชาติกิมแฮทางตอนใต้ของเกาหลีใต้ ขณะกำลังตรียมเดินทางไปยังฮ่องกงเมื่อค่ำวานนี้ (28 ม.ค.) แต่โชคดีที่ผู้โดยสารทั้ง 169 คนและลูกเรืออีก 7 คนถูกอพยพได้ทัน และมีผู้บาดเจ็บเล็กน้อยเพียง 3 คน . สำนักงานดับเพลิงปูซานได้รับแจ้งเหตุเพลิงไหม้ซึ่งปะทุขึ้นภายในลำตัวเครื่องบินเมื่อเวลาราว 22.30 น. ตามเวลาท้องถิ่น ขณะที่สำนักข่าวยอนฮัปรายงานว่าต้นเพลิงเกิดที่ส่วนหางของเครื่อง . คลิปเหตุการณ์ที่สถานีโทรทัศน์ YTN เผยแพร่ทำให้เห็นว่ามีการใช้สไลด์อพยพผู้โดยสารลงจากเครื่องบินทั้ง 2 ฝั่ง ขณะที่หน่วยกู้ภัยเร่งจัดการกับควันและไฟที่ไหม้เครื่องบิน . ต่อมาสำนักข่าวยอนฮัปได้เผยแพร่คลิปแนวหลังคาห้องโดยสารที่เป็นรูโหว่อันเกิดจากการถูกไฟไหม้ . เหตุระทึกครั้งนี้เกิดขึ้นเพียง 1 เดือนหลังจากที่เครื่องบินโบอิ้งของสายการบินเจจูแอร์ (Jeju Air) ซึ่งเดินทางจากกรุงเทพมหานครประสบอุบัติเหตุลื่นไถลหลุดรันเวย์ที่สนามบินนานาชาติมูอัน หลังลงจอดในสภาพล้อไม่กาง ซึ่งทำให้ผู้โดยสารและลูกเรือเสียชีวิตรวม 179 คน และมีลูกเรือที่นั่งอยู่บริเวณส่วนหางรอดมาได้เพียง 2 คน . สำหรับแอร์ปูซานเป็นสายการบินต้นทุนต่ำในเครือเอเชียนาแอร์ไลน์ส (Asiana Airlines) ซึ่งเพิ่งจะถูกควบกิจการโดยโคเรียนแอร์ (Korean Air) เมื่อเดือน ธ.ค. . แอร์บัสซึ่งเป็นผู้ผู้ผลิตเครื่องบินยืนยันว่าได้รับรายงานอุบัติเหตุดังกล่าวแล้ว และอยู่ระหว่างประสานงานกับทางแอร์ปูซาน . เครื่องบินลำเกิดเหตุเป็นแอร์บัส A321 neo หมายเลขท้ายเครื่อง HL7763 ซึ่งผ่านการใช้งานมาแล้ว 17 ปี ตามข้อมูลจาก Aviation Safety Network . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000009127 .............. Sondhi X
    Like
    Sad
    Love
    Wow
    17
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2123 มุมมอง 0 รีวิว
  • รองโฆษกกรมราชทัณฑ์ ยืนยัน "กันต์ กันตถาวร" ผู้ต้องหาคดีดิไอคอน ไม่ได้เสียชีวิตในเรือนจำฯ มีสุขภาพร่างกายและจิตใจปกติ ญาติ-ทนายเข้าเยี่ยมตลอด

    วันนี้ (28 ม.ค.) นางกนกวรรณ จิ๋วเชื้อพันธุ์ ผู้บัญชาการเรือนจำจังหวัดนนทบุรี ในฐานะรองโฆษกกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยกรณีกระแสข่าว นายกันต์ กันตถาวร ผู้ต้องหาคดี "ดิไอคอน กรุ๊ป" ผูกคอเสียชีวิตในเรือนจำ ว่า ได้รับรายงานจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครว่า นายกันต์ ยังอยู่ภายในเรือนจำฯ ตามปกติ รวมทั้งสุขภาพร่างกายและจิตใจปกติ ไม่ได้มีอาการเครียดแสดงให้เห็นออกมา ซึ่งมีญาติและทนายมาเยี่ยมตลอด ยืนยันการเสียชีวิตดังกล่าวไม่เป็นความจริง

    นางกนกวรรณ กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีที่อ้างว่า นายกันต์ รับไม่ได้เหมือน "มิน-พีชญา" และ "แซม-ยุรนันท์" 2 บอสดิไอคอน ที่ได้รับการปล่อยตัวนั้น ไม่เป็นข้อเท็จจริง อย่างไรก็ตาม กรมราชทัณฑ์มีการควบคุมดูแลผู้ต้องขัง ตามมาตรฐานอย่างเท่าเทียมและเฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง

    #MGROnline #บอสดารา #กันต์กันตถาวร #บอสกันต์ #ดิไอคอน
    รองโฆษกกรมราชทัณฑ์ ยืนยัน "กันต์ กันตถาวร" ผู้ต้องหาคดีดิไอคอน ไม่ได้เสียชีวิตในเรือนจำฯ มีสุขภาพร่างกายและจิตใจปกติ ญาติ-ทนายเข้าเยี่ยมตลอด • วันนี้ (28 ม.ค.) นางกนกวรรณ จิ๋วเชื้อพันธุ์ ผู้บัญชาการเรือนจำจังหวัดนนทบุรี ในฐานะรองโฆษกกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยกรณีกระแสข่าว นายกันต์ กันตถาวร ผู้ต้องหาคดี "ดิไอคอน กรุ๊ป" ผูกคอเสียชีวิตในเรือนจำ ว่า ได้รับรายงานจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครว่า นายกันต์ ยังอยู่ภายในเรือนจำฯ ตามปกติ รวมทั้งสุขภาพร่างกายและจิตใจปกติ ไม่ได้มีอาการเครียดแสดงให้เห็นออกมา ซึ่งมีญาติและทนายมาเยี่ยมตลอด ยืนยันการเสียชีวิตดังกล่าวไม่เป็นความจริง • นางกนกวรรณ กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีที่อ้างว่า นายกันต์ รับไม่ได้เหมือน "มิน-พีชญา" และ "แซม-ยุรนันท์" 2 บอสดิไอคอน ที่ได้รับการปล่อยตัวนั้น ไม่เป็นข้อเท็จจริง อย่างไรก็ตาม กรมราชทัณฑ์มีการควบคุมดูแลผู้ต้องขัง ตามมาตรฐานอย่างเท่าเทียมและเฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง • #MGROnline #บอสดารา #กันต์กันตถาวร #บอสกันต์ #ดิไอคอน
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 471 มุมมอง 0 รีวิว
  • มาถึงตอนนี้ ถ้าจะสรุปว่านายชัชชาติ สิทธิพันธ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครสอบตกในการแก้ปัญหาฝุ่น pm 2.5คงไม่เกินจริง นายชัชชาติพยายามแก้ตัวว่าอย่าใช้อารมณ์ความรู้สึกมาตัดสิน
    แต่ตัวเลขค่าฝุ่นที่คุกคามชีวิต ความเป็นอยู่ของชาวกทมอย่างหนักในปีนี้มันคือวิทยาศาสตร์ไม่ใช่ความรู้สึกวิทยาศาสตร์ ถึงเวลานี้ไม่ใช่แค่เรื่องฝุ่นที่นายชัชชาติสอบตก แต่ยังมีปัญหาใหญ่ใหญ่ของกทมที่นายชัชชาติสอบตก เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นรถติดหรือน้ําท่วมเกือบสามปีในสมัยชัชชาติเป็นพ่อเมืองกทม ไม่เห็นรถติดจะน้อยลง น้ําท่วมก็ท่วมเหมือนเดิมไม่มีอะไรแตกต่าง
    ฝุ่นมหาภัยอาจจะมีข้อดีอยู่บ้างที่ทําให้คนไทยได้เห็นภาพนายชัชชาติเป็นคนเก่งในการสร้างภาพ เก่งด้านวาทกรรมเท่านั้น ซึ่งในช่วงตอนหาเสียงเขาพูดทุกเรื่องไม่สวยหรูทั้งสิ้นไม่ว่าจะคําพูดว่าศึกษาปัญหามาแล้วสองปี ถ้าทําไม่ได้อย่าอาสามาเป็นผู้ว่ากทมในเรื่องฝุ่นนายชัชชาติ พูดว่าคน กทม มีสิทธิที่จะได้รับอากาศบริสุทธิ์เพราะคนเราต้องหายใจทุกวัน เห็นเลยว่าตอนหาเสียงกับตอนทํางานจริง มันต่างกัน
    ตอนหาเสียงดันกล้าพูดเหมือนตัวเองเป็นซุปเปอร์แมนเก่งอยู่คนเดียว รู้อยู่คนเดียว วางท่าข่มคนอื่นเหมือนคนไม่รู้ปัญหา ทํางานไม่เป็น มาตอนนี้เป็นผู้ว่า กทม เป็นมาเกือบ 3 ปีสถานการณ์ฝุ่นหนักหนาสาหัสกว่าเดิม คนที่กล้าอวดอ้างว่าตัวเองรู้จริงเก่งจริง ศึกษามาหมดแล้ว อย่างนายชัชชาติเอาแค่ลงมือทําอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันก็ยังทําไม่ได้เลยมีแต่งานอีเว้นท์ต้านฝุ่น ถลุงงบ หาแก่นสารไม่ได้ กรรมของคน กทม แท้ๆ (ชัชชาติ ผู้ว่าคนเก่ง(แต่ปาก) ของคนกรุงเต้บ)
    ติดตามข่าวซีฟๆแบบนี้ได้ที่ #คิงส์โพธิ์ดำ
    มาถึงตอนนี้ ถ้าจะสรุปว่านายชัชชาติ สิทธิพันธ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครสอบตกในการแก้ปัญหาฝุ่น pm 2.5คงไม่เกินจริง นายชัชชาติพยายามแก้ตัวว่าอย่าใช้อารมณ์ความรู้สึกมาตัดสิน แต่ตัวเลขค่าฝุ่นที่คุกคามชีวิต ความเป็นอยู่ของชาวกทมอย่างหนักในปีนี้มันคือวิทยาศาสตร์ไม่ใช่ความรู้สึกวิทยาศาสตร์ ถึงเวลานี้ไม่ใช่แค่เรื่องฝุ่นที่นายชัชชาติสอบตก แต่ยังมีปัญหาใหญ่ใหญ่ของกทมที่นายชัชชาติสอบตก เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นรถติดหรือน้ําท่วมเกือบสามปีในสมัยชัชชาติเป็นพ่อเมืองกทม ไม่เห็นรถติดจะน้อยลง น้ําท่วมก็ท่วมเหมือนเดิมไม่มีอะไรแตกต่าง ฝุ่นมหาภัยอาจจะมีข้อดีอยู่บ้างที่ทําให้คนไทยได้เห็นภาพนายชัชชาติเป็นคนเก่งในการสร้างภาพ เก่งด้านวาทกรรมเท่านั้น ซึ่งในช่วงตอนหาเสียงเขาพูดทุกเรื่องไม่สวยหรูทั้งสิ้นไม่ว่าจะคําพูดว่าศึกษาปัญหามาแล้วสองปี ถ้าทําไม่ได้อย่าอาสามาเป็นผู้ว่ากทมในเรื่องฝุ่นนายชัชชาติ พูดว่าคน กทม มีสิทธิที่จะได้รับอากาศบริสุทธิ์เพราะคนเราต้องหายใจทุกวัน เห็นเลยว่าตอนหาเสียงกับตอนทํางานจริง มันต่างกัน ตอนหาเสียงดันกล้าพูดเหมือนตัวเองเป็นซุปเปอร์แมนเก่งอยู่คนเดียว รู้อยู่คนเดียว วางท่าข่มคนอื่นเหมือนคนไม่รู้ปัญหา ทํางานไม่เป็น มาตอนนี้เป็นผู้ว่า กทม เป็นมาเกือบ 3 ปีสถานการณ์ฝุ่นหนักหนาสาหัสกว่าเดิม คนที่กล้าอวดอ้างว่าตัวเองรู้จริงเก่งจริง ศึกษามาหมดแล้ว อย่างนายชัชชาติเอาแค่ลงมือทําอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันก็ยังทําไม่ได้เลยมีแต่งานอีเว้นท์ต้านฝุ่น ถลุงงบ หาแก่นสารไม่ได้ กรรมของคน กทม แท้ๆ (ชัชชาติ ผู้ว่าคนเก่ง(แต่ปาก) ของคนกรุงเต้บ) ติดตามข่าวซีฟๆแบบนี้ได้ที่ #คิงส์โพธิ์ดำ
    Like
    Haha
    2
    2 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 331 มุมมอง 0 รีวิว
  • รองนายกฯ และ รมว.คมนาคม เผยของบกลางชดเชยผู้ประกอบการเดินรถไฟฟ้าและรถเมล์ฟรี 7 วัน งอกขึ้นจาก 140 ล้าน เป็น 329.82 ล้าน อ้าง รฟม. เปลี่ยนใจของบฯ ไว้ใช้โครงการอื่น ส่วน ขสมก. ขอเพิ่ม 51 ล้าน แต่ยังอ้างทำเพื่อประชาชน เพราะสุดท้ายก็เป็นเงินของรัฐอยู่ดี
    .
    วันนี้ (28 ม.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คมนาคม กล่าวถึงการของบกลาง 140 ล้านบาท เพื่อขออนุมัติจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อนำเงินไปจ่ายชดเชยให้กับผู้ประกอบการรถไฟฟ้า และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) จากมาตรการให้ประชาชนขึ้นรถไฟฟ้า และรถเมล์ฟรี ระหว่างวันที่ 25-31 ม.ค. ว่า หลังจากเปิดให้บริการฟรี 7 วัน ตั้งแต่วันที่ 25 ม.ค. มีประชาชนใช้บริการในมาตรการดังกล่าว ประมาณ 500,000 คน ซึ่งสูงกว่าตัวเลขเดิม 45 ถึง 60% โดยเฉพาะใน 2 วันที่ผ่านมา
    .
    ส่วนที่มีหลายฝ่ายท้วงติงว่า ตัวเลขที่เพิ่มขึ้นไม่ได้มาจากผู้ใช้รถยนต์นั้น นายสุริยะ กล่าวว่า สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ได้ประเมินตัวเลขจากกล้องวงจรปิดของกรุงเทพมหานคร (กทม.) ซึ่งใน กทม. มีการใช้รถใช้ถนนประมาณวันละ 10 ล้านคัน เป็นรถยนต์ส่วนบุคคลครึ่งหนึ่ง ประมาณ 5 ล้านคัน 10 และพบว่า จากมาตรการดังกล่าว มีการใช้รถยนต์ส่วนบุคคลลดลง 10% หรือประมาณ 5 แสนคัน
    .
    สำหรับงบกลาง ที่กระทรวงคมนาคมจะขออนุมัติจากที่ประชุม ครม. จากเดิมที่ระบุไว้ 140 ล้านบาท แต่ต้องเพิ่มเป็น 329.82 ล้านบาท เนื่องจากเดิม การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ไม่ของบประมาณไว้ แต่ภายหลัง รฟม. แจ้งว่าจะขอกันงบประมาณไว้เพื่อใช้ในโครงการอื่นๆ เป็นจำนวน 144 ล้านบาท เช่นเดียวกันกับ ขสมก. ที่ขอเพิ่ม 51 ล้านบาท และเมื่อนำไปรวมกับเงินที่ต้องจ่ายชดเชยให้กับบริษัทบีทีเอส (BTS) จำนวน 133 ล้านบาท ทำให้กระทรวงคมนาคมต้องยื่นของบกลางเพิ่มขึ้น
    .
    เมื่อถามว่าผู้บริหารรถไฟฟ้าบีทีเอส ระบุว่า ในส่วนของบริษัทฯ มีการประเมินเงินชดเชยจากมาตรการของรัฐบาลอยู่ที่ 200 ล้านบาทนั้น นายสุริยะ ระบุว่า นี่เป็นตัวเลขที่บีทีเอสคิดย้อนหลังไป 7 วัน แต่รัฐบาลจะชดเชย 7 วันที่ออกมาตรการ คือ 25 – 31 ม.ค. 2568 ถามว่าบริษัทบีทีเอสได้วางบิลที่กระทรวงคมนาคมแล้วหรือยัง นายสุริยะ ระบุว่า ยังไม่ได้วางบิล เพราะต้องรอให้ครบกำหนด 7 วัน
    .
    เมื่อถามว่ามีแนวโน้มจะขยายมาตรการดังกล่าวอีกหรือไม่ นายสุริยะ กล่าวว่า ขอประเมินสถานการณ์ให้รอบด้าน ส่วนที่ว่ามีความกังวลหรือไม่ จากที่เคยขอ 140 ล้านบาท ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์แล้ว แต่ตัวเลขจริงพุ่งสูงถึง 329 ล้านบาท นายสุริยะ กล่าวว่า ทั้งหมดนี้คือการทำเพื่อประชาชน เพราะตัวเลข 140 ล้านบาท ยังไม่รวมกับรถเมล์ ขสมก. แต่สุดท้ายไม่ว่าจะเป็น เงินของ ขสมก. หรืองบกลางของรัฐบาล ก็ถือว่าเป็นงบประมาณของรัฐบาลอยู่แล้ว แต่ย้ำว่ารัฐบาลมีเพดานในการจ่ายเงินชดเชยไม่ให้เกิน 329 ล้านบาท
    .
    เมื่อถามว่า มาตรการครั้งหน้า หากมีการดำเนินการอีกจะมีการขอความร่วมมือภาคเอกชนให้บริการฟรีหรือไม่ นายสุริยะ ความจริงรัฐบาลสามารถขอความร่วมมือจากภาคเอกชนได้ แต่ภาคเอกชนก็มีการลงทุน ตัวเลขผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น ถ้าคิดแบบจำนวนเต็มรัฐบาลต้องจ่ายเงินชดเชยเยอะกว่านี้อีก ซึ่งรัฐบาลขอแค่ 7 วัน เยอะกว่านี้จะไม่เพิ่มให้ ถามว่าที่ประชุม ครม. จะเห็นชอบงบกลางหรือไม่ หลังจากของบเพิ่มขึ้น นายสุริยะ ระบุว่า ต้องอธิบายว่าตัวเลขที่เพิ่มขึ้นเป็นของ รฟม. จากเดิมที่จะให้ รฟม. รับผิดชอบ ซึ่งขอย้ำว่า สุดท้ายแล้วก็เป็นเงินของรัฐบาลอยู่ดี.
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000008789
    .........
    Sondhi X
    รองนายกฯ และ รมว.คมนาคม เผยของบกลางชดเชยผู้ประกอบการเดินรถไฟฟ้าและรถเมล์ฟรี 7 วัน งอกขึ้นจาก 140 ล้าน เป็น 329.82 ล้าน อ้าง รฟม. เปลี่ยนใจของบฯ ไว้ใช้โครงการอื่น ส่วน ขสมก. ขอเพิ่ม 51 ล้าน แต่ยังอ้างทำเพื่อประชาชน เพราะสุดท้ายก็เป็นเงินของรัฐอยู่ดี . วันนี้ (28 ม.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คมนาคม กล่าวถึงการของบกลาง 140 ล้านบาท เพื่อขออนุมัติจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อนำเงินไปจ่ายชดเชยให้กับผู้ประกอบการรถไฟฟ้า และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) จากมาตรการให้ประชาชนขึ้นรถไฟฟ้า และรถเมล์ฟรี ระหว่างวันที่ 25-31 ม.ค. ว่า หลังจากเปิดให้บริการฟรี 7 วัน ตั้งแต่วันที่ 25 ม.ค. มีประชาชนใช้บริการในมาตรการดังกล่าว ประมาณ 500,000 คน ซึ่งสูงกว่าตัวเลขเดิม 45 ถึง 60% โดยเฉพาะใน 2 วันที่ผ่านมา . ส่วนที่มีหลายฝ่ายท้วงติงว่า ตัวเลขที่เพิ่มขึ้นไม่ได้มาจากผู้ใช้รถยนต์นั้น นายสุริยะ กล่าวว่า สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ได้ประเมินตัวเลขจากกล้องวงจรปิดของกรุงเทพมหานคร (กทม.) ซึ่งใน กทม. มีการใช้รถใช้ถนนประมาณวันละ 10 ล้านคัน เป็นรถยนต์ส่วนบุคคลครึ่งหนึ่ง ประมาณ 5 ล้านคัน 10 และพบว่า จากมาตรการดังกล่าว มีการใช้รถยนต์ส่วนบุคคลลดลง 10% หรือประมาณ 5 แสนคัน . สำหรับงบกลาง ที่กระทรวงคมนาคมจะขออนุมัติจากที่ประชุม ครม. จากเดิมที่ระบุไว้ 140 ล้านบาท แต่ต้องเพิ่มเป็น 329.82 ล้านบาท เนื่องจากเดิม การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ไม่ของบประมาณไว้ แต่ภายหลัง รฟม. แจ้งว่าจะขอกันงบประมาณไว้เพื่อใช้ในโครงการอื่นๆ เป็นจำนวน 144 ล้านบาท เช่นเดียวกันกับ ขสมก. ที่ขอเพิ่ม 51 ล้านบาท และเมื่อนำไปรวมกับเงินที่ต้องจ่ายชดเชยให้กับบริษัทบีทีเอส (BTS) จำนวน 133 ล้านบาท ทำให้กระทรวงคมนาคมต้องยื่นของบกลางเพิ่มขึ้น . เมื่อถามว่าผู้บริหารรถไฟฟ้าบีทีเอส ระบุว่า ในส่วนของบริษัทฯ มีการประเมินเงินชดเชยจากมาตรการของรัฐบาลอยู่ที่ 200 ล้านบาทนั้น นายสุริยะ ระบุว่า นี่เป็นตัวเลขที่บีทีเอสคิดย้อนหลังไป 7 วัน แต่รัฐบาลจะชดเชย 7 วันที่ออกมาตรการ คือ 25 – 31 ม.ค. 2568 ถามว่าบริษัทบีทีเอสได้วางบิลที่กระทรวงคมนาคมแล้วหรือยัง นายสุริยะ ระบุว่า ยังไม่ได้วางบิล เพราะต้องรอให้ครบกำหนด 7 วัน . เมื่อถามว่ามีแนวโน้มจะขยายมาตรการดังกล่าวอีกหรือไม่ นายสุริยะ กล่าวว่า ขอประเมินสถานการณ์ให้รอบด้าน ส่วนที่ว่ามีความกังวลหรือไม่ จากที่เคยขอ 140 ล้านบาท ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์แล้ว แต่ตัวเลขจริงพุ่งสูงถึง 329 ล้านบาท นายสุริยะ กล่าวว่า ทั้งหมดนี้คือการทำเพื่อประชาชน เพราะตัวเลข 140 ล้านบาท ยังไม่รวมกับรถเมล์ ขสมก. แต่สุดท้ายไม่ว่าจะเป็น เงินของ ขสมก. หรืองบกลางของรัฐบาล ก็ถือว่าเป็นงบประมาณของรัฐบาลอยู่แล้ว แต่ย้ำว่ารัฐบาลมีเพดานในการจ่ายเงินชดเชยไม่ให้เกิน 329 ล้านบาท . เมื่อถามว่า มาตรการครั้งหน้า หากมีการดำเนินการอีกจะมีการขอความร่วมมือภาคเอกชนให้บริการฟรีหรือไม่ นายสุริยะ ความจริงรัฐบาลสามารถขอความร่วมมือจากภาคเอกชนได้ แต่ภาคเอกชนก็มีการลงทุน ตัวเลขผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น ถ้าคิดแบบจำนวนเต็มรัฐบาลต้องจ่ายเงินชดเชยเยอะกว่านี้อีก ซึ่งรัฐบาลขอแค่ 7 วัน เยอะกว่านี้จะไม่เพิ่มให้ ถามว่าที่ประชุม ครม. จะเห็นชอบงบกลางหรือไม่ หลังจากของบเพิ่มขึ้น นายสุริยะ ระบุว่า ต้องอธิบายว่าตัวเลขที่เพิ่มขึ้นเป็นของ รฟม. จากเดิมที่จะให้ รฟม. รับผิดชอบ ซึ่งขอย้ำว่า สุดท้ายแล้วก็เป็นเงินของรัฐบาลอยู่ดี. . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000008789 ......... Sondhi X
    Like
    Angry
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1449 มุมมอง 0 รีวิว
  • สส.เพื่อไทย ประธานวิปรัฐบาล เคลมค่าฝุ่นดีขึ้น เพราะนโยบายขึ้นรถไฟฟ้าและรถเมล์ฟรี 7 วัน มีประชาชนใช้รถสาธารณะมากขึ้น ส่วนที่ สว.วิจารณ์บริหารประเทศไร้เดียงสา บอกมาเลยว่าจะให้แก้อย่างไร ไม่ใช่สร้างแต่วาทกรรมด่ากัน
    .
    วันนี้ (27 ม.ค.) ที่รัฐสภา นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) ให้สัมภาษณ์ถึงการแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 ของรัฐบาล ว่า วันนี้ค่าฝุ่นดีขึ้น เนื่องจากกระทรวงคมนาคมออกนโยบายขึ้นรถไฟฟ้าและรถเมล์ฟรี 7 วัน มีประชาชนใช้รถสาธารณะมากขึ้น มีการประสานงานให้ชะลอการก่อสร้างบางส่วนที่เกิดมลพิษในพื้นที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) ส่วนทางต่างจังหวัด ผู้ว่าราชการจังหวัดมีการขอความร่วมมือลดการเผา และงดการซื้ออ้อยเผาไหม้ ตนเชื่อว่าขณะนี้สถานการณ์ดีขึ้น
    .
    เมื่อถามถึงกรณีที่สมาชิกวุฒิสภา (สว.) มองว่ามาตรการของรัฐบาลอาจจะไม่ดีพอในการแก้ไขปัญหา เหมือนคนไทยต้องเผชิญชะตากรรมกับการบริหารประเทศอย่างไร้เดียงสา นายวิสุทธิ์ กล่าวว่า ไม่ใช่ไร้เดียงสา สว. ที่มีความรู้บอกมาเลยว่าจะให้แก้อย่างไร เสนอะแนะรัฐบาลได้ เป็นนักการเมืองไม่ใช่มาสร้างแต่วาทกรรมด่ากัน ตอนนี้รัฐบาลก็แก้ปัญหาอย่างเต็มที่ ปัญหาดังกล่าวไม่ได้เกิดในประเทศไทยเท่านั้น จะให้แก้ไขอะไรก็พูดจากันดีๆ ใช้วาจาด้อยค่าไม่เหมาะสมที่จะเป็นนักการเมือง
    .
    “มีอะไรก็บอกได้ไม่กล้าบอกรัฐบาลมาบอกผม ผมจะไปรับฟัง วุฒิคนไหนล่ะไปว่ารัฐบาลไร้เดียงสา แบบนี้ไม่ใช่นักการเมืองที่ดี” นายวิสุทธิ์ กล่าว
    .
    ส่วนร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด นายวิสุทธิ์ กล่าวว่า ขณะนี้กำลังเร่งรัดอยู่ ตนตามมาตลอด วันนี้อย่ามอบแต่รัฐบาลแก้ไขเพียงอย่างเดียว ประชาชนทั้งประเทศต้องมีส่วนช่วยกัน ต้องมีการตักเตือนกัน ส่วนที่มีภาพประชาชนเซลฟี่ภาพเผาอ้อยลงโซเชียลนั้น นายวิสุทธิ์ กล่าวว่า ก็โดนจับไปแล้ว ใครเผาก็โดนจับ เพราะฉะนั้นประชาชนควรตรวจดูใครเผาหญ้าเผาป่าช่วงนี้ต้องแจ้งไปทางอำเภอ เจ้าหน้าที่พร้อมดำเนินการอยู่แล้ว และเมื่อถามถึงปัญหาฝุ่นควันข้ามแดน นายวิสุทธิ์ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีได้ประสานกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อหาแนวทางในการเจรจาเพื่อลดการเผาอยู่
    .
    ข้อมูลจากกรมการขนส่งทางราง ระบุว่า เมื่อวันที่ 25 ม.ค. ซึ่งเป็นวันแรกของมาตรการขึ้นรถไฟฟ้าและรถเมล์ฟรี 7 วัน พบว่ามีผู้ใช้บริการระบบรถไฟฟ้ารวมทั้งสิ้น 1,634,446 คน-เที่ยว เพิ่มขึ้นถึง 45.29% เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยวันเสาร์ในสามสัปดาห์ของเดือน ม.ค. 2568 ขณะที่องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ระบุว่า มีจำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้น 175,974 คน หรือเพิ่มขึ้น 43% เมื่อเทียบกับวันเสาร์ที่ 18 ม.ค. ที่ผ่านมา
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000008543
    .........
    Sondhi X
    สส.เพื่อไทย ประธานวิปรัฐบาล เคลมค่าฝุ่นดีขึ้น เพราะนโยบายขึ้นรถไฟฟ้าและรถเมล์ฟรี 7 วัน มีประชาชนใช้รถสาธารณะมากขึ้น ส่วนที่ สว.วิจารณ์บริหารประเทศไร้เดียงสา บอกมาเลยว่าจะให้แก้อย่างไร ไม่ใช่สร้างแต่วาทกรรมด่ากัน . วันนี้ (27 ม.ค.) ที่รัฐสภา นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) ให้สัมภาษณ์ถึงการแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 ของรัฐบาล ว่า วันนี้ค่าฝุ่นดีขึ้น เนื่องจากกระทรวงคมนาคมออกนโยบายขึ้นรถไฟฟ้าและรถเมล์ฟรี 7 วัน มีประชาชนใช้รถสาธารณะมากขึ้น มีการประสานงานให้ชะลอการก่อสร้างบางส่วนที่เกิดมลพิษในพื้นที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) ส่วนทางต่างจังหวัด ผู้ว่าราชการจังหวัดมีการขอความร่วมมือลดการเผา และงดการซื้ออ้อยเผาไหม้ ตนเชื่อว่าขณะนี้สถานการณ์ดีขึ้น . เมื่อถามถึงกรณีที่สมาชิกวุฒิสภา (สว.) มองว่ามาตรการของรัฐบาลอาจจะไม่ดีพอในการแก้ไขปัญหา เหมือนคนไทยต้องเผชิญชะตากรรมกับการบริหารประเทศอย่างไร้เดียงสา นายวิสุทธิ์ กล่าวว่า ไม่ใช่ไร้เดียงสา สว. ที่มีความรู้บอกมาเลยว่าจะให้แก้อย่างไร เสนอะแนะรัฐบาลได้ เป็นนักการเมืองไม่ใช่มาสร้างแต่วาทกรรมด่ากัน ตอนนี้รัฐบาลก็แก้ปัญหาอย่างเต็มที่ ปัญหาดังกล่าวไม่ได้เกิดในประเทศไทยเท่านั้น จะให้แก้ไขอะไรก็พูดจากันดีๆ ใช้วาจาด้อยค่าไม่เหมาะสมที่จะเป็นนักการเมือง . “มีอะไรก็บอกได้ไม่กล้าบอกรัฐบาลมาบอกผม ผมจะไปรับฟัง วุฒิคนไหนล่ะไปว่ารัฐบาลไร้เดียงสา แบบนี้ไม่ใช่นักการเมืองที่ดี” นายวิสุทธิ์ กล่าว . ส่วนร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด นายวิสุทธิ์ กล่าวว่า ขณะนี้กำลังเร่งรัดอยู่ ตนตามมาตลอด วันนี้อย่ามอบแต่รัฐบาลแก้ไขเพียงอย่างเดียว ประชาชนทั้งประเทศต้องมีส่วนช่วยกัน ต้องมีการตักเตือนกัน ส่วนที่มีภาพประชาชนเซลฟี่ภาพเผาอ้อยลงโซเชียลนั้น นายวิสุทธิ์ กล่าวว่า ก็โดนจับไปแล้ว ใครเผาก็โดนจับ เพราะฉะนั้นประชาชนควรตรวจดูใครเผาหญ้าเผาป่าช่วงนี้ต้องแจ้งไปทางอำเภอ เจ้าหน้าที่พร้อมดำเนินการอยู่แล้ว และเมื่อถามถึงปัญหาฝุ่นควันข้ามแดน นายวิสุทธิ์ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีได้ประสานกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อหาแนวทางในการเจรจาเพื่อลดการเผาอยู่ . ข้อมูลจากกรมการขนส่งทางราง ระบุว่า เมื่อวันที่ 25 ม.ค. ซึ่งเป็นวันแรกของมาตรการขึ้นรถไฟฟ้าและรถเมล์ฟรี 7 วัน พบว่ามีผู้ใช้บริการระบบรถไฟฟ้ารวมทั้งสิ้น 1,634,446 คน-เที่ยว เพิ่มขึ้นถึง 45.29% เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยวันเสาร์ในสามสัปดาห์ของเดือน ม.ค. 2568 ขณะที่องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ระบุว่า มีจำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้น 175,974 คน หรือเพิ่มขึ้น 43% เมื่อเทียบกับวันเสาร์ที่ 18 ม.ค. ที่ผ่านมา . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000008543 ......... Sondhi X
    Like
    Haha
    Angry
    Love
    18
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1554 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร สั่งยุติเรื่องสอบสวนวินัยร้ายแรงข้าราชการบางคน ปมทุจริตจัดซื้อเครื่องออกกำลังกาย 7 โครงการ ระบุไม่มีหลักฐานบ่งชี้ อดีต ผอ.สำนักวัฒนธรรมฯ ทำผิดขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้าง แต่ยังต้องสอบสวนต่อ 11 คน
    .
    วันนี้ (27 ม.ค.) รายงานข่าวแจ้งว่า นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร มีคำสั่งยุติเรื่อง กรณีการดำเนินการของคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยอย่างร้ายแรงของข้าราชการกรุงเทพมหานคร ในการดำเนินโครงการจัดซื้อครุภัณฑ์เสริมสร้างสมรรถภาพทางกายสำหรับศูนย์นันทนาการฯ และศูนย์กีฬา สำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว (สวท.) จำนวน 7 โครงการ ที่ถูกตั้งข้อสังเกตว่ามีราคาสูงเกินจากราคาตลาด ตามคำสั่ง กทม. ที่ 2364/2567 ลงวันที่ 1 ส.ค. 2567 ที่ผ่านมา
    .
    เนื่องจากในชั้นสอบสวนไม่ปรากฎพยานหลักฐานใดบ่งชี้ว่า นายสมบูรณ์ หอมนาน อดีตผู้อำนวยการสำนักวัฒนธรรม กีฬาและการท่องเที่ยว (ปัจจุบันย้ายไปเป็นหัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านสิ่งแวดล้อม) และข้าราชการรวม 19 ราย ได้กระทำการหรือสั่งการให้ผู้ใต้บังคับบัญชา กระทำผิดขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้าง ทั้ง 7 โครงการ พฤติการณ์เป็นการปฏิบัติหน้าที่ราชการ ตามสมควรแก่กรณีแล้ว จึงไม่ได้กระทำผิดวินัยในเรื่องที่ถูกกล่าวหา เห็นควรยุติเรื่อง
    .
    จึงอาศัยอำนาจตามมาตรา 44 และมาตรา 52 (1) แห่ง พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการกรุงเทพมหานครและบุคลากรกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2554 ประกอบกับ มาตรา 93 วรรคสอง พ.ร.บ.ข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 ข้อ 63(1) และข้อ 72 ของกฎ ก.ก.ว่าด้วยการดำเนินการทางวินัย พ.ศ. 2565 จึงให้ยุติ ตั้งแต่วันที่ 14 ม.ค. 2568 เป็นต้นไป ขณะเดียวกัน ยังมีคำสั่งกรุงเทพมหานคร เรื่อง พบข้อบกพร่องของข้าราชการอีก 10 ราย ซึ่งเป็นความผิดวินัยไม่ร้ายแรง มีโทษลดเงินเดือน 2% ระยะเวลา 1 เดือน อย่างไรก็ตาม ยังพบว่ามีข้าราชการ กทม. ต้องสอบสวนต่อ 11 คน
    .
    สำหรับการร้องเรียนการจัดซื้อเครื่องออกกำลังกายของศูนย์กีฬา กทม. จำนวน 7 โครงการ ได้แก่ 1. โครงการจัดซื้อครุภัณฑ์เสริมสร้างสมรรถภาพทางกาย 21 รายการ สำหรับศูนย์กีฬาอ่อนนุช 15.69 ล้านบาท 2. โครงการจัดซื้อครุภัณฑ์เสริมสร้างสมรรถภาพทางกาย สำหรับศูนย์กีฬาเฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา 12.11 ล้านบาท 3. โครงการจัดซื้อครุภัณฑ์เสริมสร้างสมรรถภาพทางกาย สำหรับศูนย์กีฬามิตรไมตรี 11.01 ล้านบาท
    .
    4. โครงการประกวดราคาซื้อครุภัณฑ์เสริมสร้างสมรรถภาพทางกาย 11 รายการ ของศูนย์กีฬาวชิรเบญจทัศ วงเงินงบประมาณ 4.99 ล้านบาท 5. โครงการจัดซื้อครุภัณฑ์เสริมสร้างสมรรถภาพทางกาย สำหรับศูนย์กีฬาวารีภิรมย์ 4.99 ล้านบาท 6. โครงการจัดซื้อครุภัณฑ์เสริมสร้างสมรรถภาพทางกาย สำหรับศูนย์นันทนาการ สังกัดส่วนนันทนาการ 17.9 ล้านบาท และ 7. โครงการจัดซื้อครุภัณฑ์เสริมสร้างสมรรถภาพทางกาย สำหรับศูนย์นันทนาการวัดดอกไม้ 11.52 ล้านบาท
    .
    โดยได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกับข้าราชการที่เกี่ยวข้อง 25 ราย และขยายผลข้าราชการที่เกี่ยวข้องอีก 4 ราย รวม 29 ราย เมื่อผลการสอบสวนพบว่ามีมูล จึงรวบรวมข้อมูลส่งให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ดำเนินการตามกฎหมาย ขณะที่ปลัดกรุงเทพมหานคร มีคำสั่งย้ายผู้บริหารที่มีส่วนเกี่ยวข้องในกระบวนการจัดซื้อ ทั้ง 7 โครงการไปปฏิบัติหน้าที่ประจำสำนักงานปลัด กทม. พร้อมทั้งเสนอแต่งตั้งคณะกรรมการสอบทางวินัยอย่างร้ายแรง กระทั่งการสอบสวนแล้วเสร็จ จึงสรุปสำนวนรายงานต่อผู้ว่าฯ กทม. เรียบร้อยแล้ว ในที่สุดนายชัชชาติมีคำสั่งยุติเรื่องและคำสั่งพบข้อบกพร่องดังกล่าว ซึ่งหลังสอบสวนพบว่ายังมีข้าราชการที่ต้องสอบสวนต่อ 11 คน ส่วนที่เหลือให้ยุติเรื่อง
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000008519
    .........
    Sondhi X
    ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร สั่งยุติเรื่องสอบสวนวินัยร้ายแรงข้าราชการบางคน ปมทุจริตจัดซื้อเครื่องออกกำลังกาย 7 โครงการ ระบุไม่มีหลักฐานบ่งชี้ อดีต ผอ.สำนักวัฒนธรรมฯ ทำผิดขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้าง แต่ยังต้องสอบสวนต่อ 11 คน . วันนี้ (27 ม.ค.) รายงานข่าวแจ้งว่า นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร มีคำสั่งยุติเรื่อง กรณีการดำเนินการของคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยอย่างร้ายแรงของข้าราชการกรุงเทพมหานคร ในการดำเนินโครงการจัดซื้อครุภัณฑ์เสริมสร้างสมรรถภาพทางกายสำหรับศูนย์นันทนาการฯ และศูนย์กีฬา สำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว (สวท.) จำนวน 7 โครงการ ที่ถูกตั้งข้อสังเกตว่ามีราคาสูงเกินจากราคาตลาด ตามคำสั่ง กทม. ที่ 2364/2567 ลงวันที่ 1 ส.ค. 2567 ที่ผ่านมา . เนื่องจากในชั้นสอบสวนไม่ปรากฎพยานหลักฐานใดบ่งชี้ว่า นายสมบูรณ์ หอมนาน อดีตผู้อำนวยการสำนักวัฒนธรรม กีฬาและการท่องเที่ยว (ปัจจุบันย้ายไปเป็นหัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านสิ่งแวดล้อม) และข้าราชการรวม 19 ราย ได้กระทำการหรือสั่งการให้ผู้ใต้บังคับบัญชา กระทำผิดขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้าง ทั้ง 7 โครงการ พฤติการณ์เป็นการปฏิบัติหน้าที่ราชการ ตามสมควรแก่กรณีแล้ว จึงไม่ได้กระทำผิดวินัยในเรื่องที่ถูกกล่าวหา เห็นควรยุติเรื่อง . จึงอาศัยอำนาจตามมาตรา 44 และมาตรา 52 (1) แห่ง พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการกรุงเทพมหานครและบุคลากรกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2554 ประกอบกับ มาตรา 93 วรรคสอง พ.ร.บ.ข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 ข้อ 63(1) และข้อ 72 ของกฎ ก.ก.ว่าด้วยการดำเนินการทางวินัย พ.ศ. 2565 จึงให้ยุติ ตั้งแต่วันที่ 14 ม.ค. 2568 เป็นต้นไป ขณะเดียวกัน ยังมีคำสั่งกรุงเทพมหานคร เรื่อง พบข้อบกพร่องของข้าราชการอีก 10 ราย ซึ่งเป็นความผิดวินัยไม่ร้ายแรง มีโทษลดเงินเดือน 2% ระยะเวลา 1 เดือน อย่างไรก็ตาม ยังพบว่ามีข้าราชการ กทม. ต้องสอบสวนต่อ 11 คน . สำหรับการร้องเรียนการจัดซื้อเครื่องออกกำลังกายของศูนย์กีฬา กทม. จำนวน 7 โครงการ ได้แก่ 1. โครงการจัดซื้อครุภัณฑ์เสริมสร้างสมรรถภาพทางกาย 21 รายการ สำหรับศูนย์กีฬาอ่อนนุช 15.69 ล้านบาท 2. โครงการจัดซื้อครุภัณฑ์เสริมสร้างสมรรถภาพทางกาย สำหรับศูนย์กีฬาเฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา 12.11 ล้านบาท 3. โครงการจัดซื้อครุภัณฑ์เสริมสร้างสมรรถภาพทางกาย สำหรับศูนย์กีฬามิตรไมตรี 11.01 ล้านบาท . 4. โครงการประกวดราคาซื้อครุภัณฑ์เสริมสร้างสมรรถภาพทางกาย 11 รายการ ของศูนย์กีฬาวชิรเบญจทัศ วงเงินงบประมาณ 4.99 ล้านบาท 5. โครงการจัดซื้อครุภัณฑ์เสริมสร้างสมรรถภาพทางกาย สำหรับศูนย์กีฬาวารีภิรมย์ 4.99 ล้านบาท 6. โครงการจัดซื้อครุภัณฑ์เสริมสร้างสมรรถภาพทางกาย สำหรับศูนย์นันทนาการ สังกัดส่วนนันทนาการ 17.9 ล้านบาท และ 7. โครงการจัดซื้อครุภัณฑ์เสริมสร้างสมรรถภาพทางกาย สำหรับศูนย์นันทนาการวัดดอกไม้ 11.52 ล้านบาท . โดยได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกับข้าราชการที่เกี่ยวข้อง 25 ราย และขยายผลข้าราชการที่เกี่ยวข้องอีก 4 ราย รวม 29 ราย เมื่อผลการสอบสวนพบว่ามีมูล จึงรวบรวมข้อมูลส่งให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ดำเนินการตามกฎหมาย ขณะที่ปลัดกรุงเทพมหานคร มีคำสั่งย้ายผู้บริหารที่มีส่วนเกี่ยวข้องในกระบวนการจัดซื้อ ทั้ง 7 โครงการไปปฏิบัติหน้าที่ประจำสำนักงานปลัด กทม. พร้อมทั้งเสนอแต่งตั้งคณะกรรมการสอบทางวินัยอย่างร้ายแรง กระทั่งการสอบสวนแล้วเสร็จ จึงสรุปสำนวนรายงานต่อผู้ว่าฯ กทม. เรียบร้อยแล้ว ในที่สุดนายชัชชาติมีคำสั่งยุติเรื่องและคำสั่งพบข้อบกพร่องดังกล่าว ซึ่งหลังสอบสวนพบว่ายังมีข้าราชการที่ต้องสอบสวนต่อ 11 คน ส่วนที่เหลือให้ยุติเรื่อง . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000008519 ......... Sondhi X
    Like
    Haha
    Sad
    Angry
    16
    3 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1342 มุมมอง 1 รีวิว
  • ทรงแย้มพระสรวลตลอดเวลา

    ท่านเหนื่อยนะ ทรงพระดำเนิน​ไกลอยู่ ทั้งที่ตามหมายนั้นจะทรงประทับรถไฟฟ้า​พระที่นั่ง แต่ทั้งสอง​พระองค์​ทรงเลือกที่จะพระดำเนิน เพื่อให้ใกล้ชิดพสกนิกร​ที่มารอเฝ้าฯ มากยิ่งขึ้น

    "ไม่มีใครรักประชาชนคนไทย​เท่าสถาบัน​พระมหากษัตริย์​อีกแล้ว" 💛💜

    ขอทั้งสอง​พระองค์​ทรง​พระ​เจริญ​ยิ่ง​ยืนนาน

    .

    วันนี้ (๒๕ ม.ค. ๒๕๖๘) เวลา ๑๗.๑๒ น.พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติ “วชิรสถิต ๗๒ พรรษา” บริเวณสะพานดำรงสถิต ณ ถนนเจริญกรุง เขตพระนคร และทรงเปิดซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติ “วชิรธำรง ๗๒ พรรษา” บริเวณห้าแยกหมอมี เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗ ภายใต้โครงการ “เบญจกตัญญุตา บารมีแห่งมังกรสยาม” ณ ถนนเจริญกรุง เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร
    ทรงแย้มพระสรวลตลอดเวลา ท่านเหนื่อยนะ ทรงพระดำเนิน​ไกลอยู่ ทั้งที่ตามหมายนั้นจะทรงประทับรถไฟฟ้า​พระที่นั่ง แต่ทั้งสอง​พระองค์​ทรงเลือกที่จะพระดำเนิน เพื่อให้ใกล้ชิดพสกนิกร​ที่มารอเฝ้าฯ มากยิ่งขึ้น "ไม่มีใครรักประชาชนคนไทย​เท่าสถาบัน​พระมหากษัตริย์​อีกแล้ว" 💛💜 ขอทั้งสอง​พระองค์​ทรง​พระ​เจริญ​ยิ่ง​ยืนนาน . วันนี้ (๒๕ ม.ค. ๒๕๖๘) เวลา ๑๗.๑๒ น.พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติ “วชิรสถิต ๗๒ พรรษา” บริเวณสะพานดำรงสถิต ณ ถนนเจริญกรุง เขตพระนคร และทรงเปิดซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติ “วชิรธำรง ๗๒ พรรษา” บริเวณห้าแยกหมอมี เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗ ภายใต้โครงการ “เบญจกตัญญุตา บารมีแห่งมังกรสยาม” ณ ถนนเจริญกรุง เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร
    Like
    Love
    2
    0 ความคิดเห็น 2 การแบ่งปัน 444 มุมมอง 0 รีวิว
  • พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติ “วชิรสถิต 72 พรรษา” บริเวณสะพานดำรงสถิต ณ ถนนเจริญกรุง เขตพระนคร และทรงเปิดซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติ “วชิรธำรง 72 พรรษา” บริเวณห้าแยกหมอมี เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 ภายใต้โครงการ “เบญจกตัญญุตา บารมีแห่งมังกรสยาม” ณ ถนนเจริญกรุง เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร

    🙏🏻ทรงพระเจริญ

    ที่มา NBT Connext
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติ “วชิรสถิต 72 พรรษา” บริเวณสะพานดำรงสถิต ณ ถนนเจริญกรุง เขตพระนคร และทรงเปิดซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติ “วชิรธำรง 72 พรรษา” บริเวณห้าแยกหมอมี เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 ภายใต้โครงการ “เบญจกตัญญุตา บารมีแห่งมังกรสยาม” ณ ถนนเจริญกรุง เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร 🙏🏻ทรงพระเจริญ ที่มา NBT Connext
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 257 มุมมอง 0 รีวิว
  • โครงการสร้าง ๒ ซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๘ และในโอกาสครบรอบ ๕๐ ปี แห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย - จีน ในปี ๒๕๖๘ โดยดำเนินการจัดสร้างบนถนนเจริญกรุง เป็นถาวรวัตถุ จำนวน ๒ ซุ้ม

    ซุ้มประตู "วชิรสถิต ๗๒ พรรษา" [ซุ้มหัวมังกร] ตรงเชิงสะพานดำรงสถิต
    ซุ้มประตู "วชิรธำรง ๗๒ พรรษา" [ซุ้มหางมังกร] บริเวณแยกหมอมี

    มีรูปแบบการก่อสร้างตามแบบพระราชนิยม ในราชวงศ์จีนตอนเหนือ บางส่วนเป็นลายไทย โดยออกแบบให้มีความผสมผสานและแสดงให้เห็นถึงเอกลักษณ์ของความเป็นไทย
    จะเป็นแลนด์มาร์กการท่องเที่ยวแห่งใหม่ของกรุงเทพมหานคร

    Cr. : หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย Thai Chamber , พระลาน

    #พระราชินีสุทิดา #苏提达王后 #QueenSuthida
    โครงการสร้าง ๒ ซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๘ และในโอกาสครบรอบ ๕๐ ปี แห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย - จีน ในปี ๒๕๖๘ โดยดำเนินการจัดสร้างบนถนนเจริญกรุง เป็นถาวรวัตถุ จำนวน ๒ ซุ้ม ซุ้มประตู "วชิรสถิต ๗๒ พรรษา" [ซุ้มหัวมังกร] ตรงเชิงสะพานดำรงสถิต ซุ้มประตู "วชิรธำรง ๗๒ พรรษา" [ซุ้มหางมังกร] บริเวณแยกหมอมี มีรูปแบบการก่อสร้างตามแบบพระราชนิยม ในราชวงศ์จีนตอนเหนือ บางส่วนเป็นลายไทย โดยออกแบบให้มีความผสมผสานและแสดงให้เห็นถึงเอกลักษณ์ของความเป็นไทย จะเป็นแลนด์มาร์กการท่องเที่ยวแห่งใหม่ของกรุงเทพมหานคร Cr. : หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย Thai Chamber , พระลาน #พระราชินีสุทิดา #苏提达王后 #QueenSuthida
    Love
    Like
    8
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 431 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts