อัปเดตล่าสุด
  • องค์การนาซ่าปล่อยยานลำใหม่ทะยานสู่ห้วงอวกาศอีกครั้งใน วันที่ 24 เมษายน 1990 พร้อมนำกล้องโทรทรรศน์ฮับเบิลขึ้นไปด้วย ชาวโลกต่างรอคอยอย่างมีความหวังว่าจะได้รู้เกี่ยวกับจักรวาลมากขึ้น แต่หลังจากปล่อยยานไปได้ 2 สัปดาห์ ภาพถ่ายจากกล้องฮับเบิลที่ได้กลับมานั้นไม่คมชัดเอาเสียเลย ช่างไม่สมกับเป็นโปรเจกต์ที่ต้องทุ่มเงินหลายพันล้าน ดอลลาร์จากการตรวจสอบพบว่าเลนส์กล้องฮับเบิลมีจุดบกพร่องที่ถ้าไม่แก้ไขภาพถ่ายจากกล้องฮับเบิลก็จะยังไม่คมชัดต่อไปและข้อสงสัย มากมายเกี่ยวกับจักรวาลก็คงยังไม่ได้คำตอบไปอีกหลายสิบปีจนกว่าจะมี อุปกรณ์ใหม่มาทดแทน

    จากหนังสือ #HowToProfitInTheStockMarket
    องค์การนาซ่าปล่อยยานลำใหม่ทะยานสู่ห้วงอวกาศอีกครั้งใน วันที่ 24 เมษายน 1990 พร้อมนำกล้องโทรทรรศน์ฮับเบิลขึ้นไปด้วย ชาวโลกต่างรอคอยอย่างมีความหวังว่าจะได้รู้เกี่ยวกับจักรวาลมากขึ้น แต่หลังจากปล่อยยานไปได้ 2 สัปดาห์ ภาพถ่ายจากกล้องฮับเบิลที่ได้กลับมานั้นไม่คมชัดเอาเสียเลย ช่างไม่สมกับเป็นโปรเจกต์ที่ต้องทุ่มเงินหลายพันล้าน ดอลลาร์จากการตรวจสอบพบว่าเลนส์กล้องฮับเบิลมีจุดบกพร่องที่ถ้าไม่แก้ไขภาพถ่ายจากกล้องฮับเบิลก็จะยังไม่คมชัดต่อไปและข้อสงสัย มากมายเกี่ยวกับจักรวาลก็คงยังไม่ได้คำตอบไปอีกหลายสิบปีจนกว่าจะมี อุปกรณ์ใหม่มาทดแทน จากหนังสือ #HowToProfitInTheStockMarket
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 140 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อใดก็ตามที่คุณหยิบยื่นความช่วยเหลือให้ใคร คุณกำลังเชื้อเชิญคนคนนั้นให้มาติดค้างหนี้บุญคุณของคุณอยู่นะครับเพราะพอคุณมอบความช่วยเหลือไปแล้ว คุณจะกลายเป็นเจ้าบุญนายคุณของเขาทันที ซึ่งหมายความว่าคุณอยู่ในสถานะที่มีอำนาจเหนือกว่าอีกฝ่ายแม้คุณจะไม่มีเจตนาทำนองนั้น คุณแค่อยากเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่คนอื่นบ้าง แต่ไม่ว่าคุณจะมีเจตนาดีปานใด ผลสุดท้ายก็ออกมาในรูปนี้อยู่ดี เพราะมันคือธรรมชาติของความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล

    นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมคนบางคนถึงไม่อยากให้คุณช่วย ทั้งที่คุณช่วยแล้วจะทำให้ชีวิตของพวกเขาราบรื่นขึ้น ถ้าคุณมองโลกแบบเอาใจเขามาใส่ใจเรา คุณก็จะเข้าใจความรู้สึกทำนองว่า “ฉันไม่อยากได้ความช่วยเหลือจากคุณ”อย่างน้อยๆ คุณก็คงรู้แล้วว่า ทำไมลูกวัยรุ่นถึงไม่อยากให้คุณช่วย ทั้งที่จริงแล้ว อยากเอ่ยปากขอคุณแทบตาย (พ่อแม่ทุกคนรู้ดีว่าถึงที่สุดแล้วลูกก็จะวิ่งแจ้น กลับมาขอเงิน ขอให้ช่วย และขออื่น ๆ อีกสารพัด)

    จากหนังสือ #TheRulesOfPeople
    เมื่อใดก็ตามที่คุณหยิบยื่นความช่วยเหลือให้ใคร คุณกำลังเชื้อเชิญคนคนนั้นให้มาติดค้างหนี้บุญคุณของคุณอยู่นะครับเพราะพอคุณมอบความช่วยเหลือไปแล้ว คุณจะกลายเป็นเจ้าบุญนายคุณของเขาทันที ซึ่งหมายความว่าคุณอยู่ในสถานะที่มีอำนาจเหนือกว่าอีกฝ่ายแม้คุณจะไม่มีเจตนาทำนองนั้น คุณแค่อยากเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่คนอื่นบ้าง แต่ไม่ว่าคุณจะมีเจตนาดีปานใด ผลสุดท้ายก็ออกมาในรูปนี้อยู่ดี เพราะมันคือธรรมชาติของความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมคนบางคนถึงไม่อยากให้คุณช่วย ทั้งที่คุณช่วยแล้วจะทำให้ชีวิตของพวกเขาราบรื่นขึ้น ถ้าคุณมองโลกแบบเอาใจเขามาใส่ใจเรา คุณก็จะเข้าใจความรู้สึกทำนองว่า “ฉันไม่อยากได้ความช่วยเหลือจากคุณ”อย่างน้อยๆ คุณก็คงรู้แล้วว่า ทำไมลูกวัยรุ่นถึงไม่อยากให้คุณช่วย ทั้งที่จริงแล้ว อยากเอ่ยปากขอคุณแทบตาย (พ่อแม่ทุกคนรู้ดีว่าถึงที่สุดแล้วลูกก็จะวิ่งแจ้น กลับมาขอเงิน ขอให้ช่วย และขออื่น ๆ อีกสารพัด) จากหนังสือ #TheRulesOfPeople
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 95 มุมมอง 0 รีวิว
  • “แรงดึงดูดสูง” จะไม่แสดงออกมากเกินควร คำพูดของพวกเขาฟังดูถ่อมตัวเช่นเดียวกับเสื้อผ้าที่สวมใส่ คนที่มีเสน่ห์มากที่สุดไม่ใช่คนที่ดูหรูหราที่สุด คนเหล่านี้มีแรงดึงดูดแต่ก็ยังแฝงไปด้วยความสุขุมเสมอเสน่ห์จะเพิ่มพูนขึ้นเมื่อคุณซื่อสัตย์กับตัวเองและผู้อื่น เมื่อคุณยอมรับในสิ่งที่คุณเป็นโดยไม่หันไปสวมบทบาทที่ไม่เหมาะกับตัวตนที่แท้จริงของคุณ

    บุคลิกที่ดูมีเสน่ห์ดึงดูดมีหลายรูปแบบและเราแต่ละคนสามารถเพิ่มเสน่ห์ดึงดูดได้ตราบใดที่เราเป็นตัวของตัวเองใน ทุก ๆ สถานการณ์เช่นเดียวกับแมว

    แผ่เสน่ห์และแรงดึงดูดของคุณออกมา โดยเป็นตัวคุณที่จริงใจ สุขุม ไม่เติมแต่ง และเป็นตัวเองอย่างแท้จริง

    จากหนังสือ #HowToLiveLikeYourCat
    “แรงดึงดูดสูง” จะไม่แสดงออกมากเกินควร คำพูดของพวกเขาฟังดูถ่อมตัวเช่นเดียวกับเสื้อผ้าที่สวมใส่ คนที่มีเสน่ห์มากที่สุดไม่ใช่คนที่ดูหรูหราที่สุด คนเหล่านี้มีแรงดึงดูดแต่ก็ยังแฝงไปด้วยความสุขุมเสมอเสน่ห์จะเพิ่มพูนขึ้นเมื่อคุณซื่อสัตย์กับตัวเองและผู้อื่น เมื่อคุณยอมรับในสิ่งที่คุณเป็นโดยไม่หันไปสวมบทบาทที่ไม่เหมาะกับตัวตนที่แท้จริงของคุณ บุคลิกที่ดูมีเสน่ห์ดึงดูดมีหลายรูปแบบและเราแต่ละคนสามารถเพิ่มเสน่ห์ดึงดูดได้ตราบใดที่เราเป็นตัวของตัวเองใน ทุก ๆ สถานการณ์เช่นเดียวกับแมว แผ่เสน่ห์และแรงดึงดูดของคุณออกมา โดยเป็นตัวคุณที่จริงใจ สุขุม ไม่เติมแต่ง และเป็นตัวเองอย่างแท้จริง จากหนังสือ #HowToLiveLikeYourCat
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 320 มุมมอง 0 รีวิว
  • ค่าจัดหนวด สำหรับคนที่ไม่ได้อยากไว้หนวด ผมแนะนำให้ไปกำจัดหนวดแบบถาวรครับ เพราะแค่ไม่มีหนวดภาพลักษณ์ของคุณก็จะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง อีกทั้งการโกนหนวดทำร้ายผิวหน้าอย่างมาก เมื่อไม่ต้องโกนหนวดแล้วผิวหน้าจึงดีขึ้นด้วย ค่ากำจัดหนวดแบบถาวรอยู่ที่ประมาณ 50,000-100,000 เยน แม้ราคาจะไม่ถือว่าถูกแต่สำหรับคนทำงานที่ต้องอาศัย ภาพลักษณ์ก็ถือว่าคุ้มค่ากับการลงทุนนะครับ

    จากหนังสือ #จิตวิทยาสายดาร์ก
    ค่าจัดหนวด สำหรับคนที่ไม่ได้อยากไว้หนวด ผมแนะนำให้ไปกำจัดหนวดแบบถาวรครับ เพราะแค่ไม่มีหนวดภาพลักษณ์ของคุณก็จะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง อีกทั้งการโกนหนวดทำร้ายผิวหน้าอย่างมาก เมื่อไม่ต้องโกนหนวดแล้วผิวหน้าจึงดีขึ้นด้วย ค่ากำจัดหนวดแบบถาวรอยู่ที่ประมาณ 50,000-100,000 เยน แม้ราคาจะไม่ถือว่าถูกแต่สำหรับคนทำงานที่ต้องอาศัย ภาพลักษณ์ก็ถือว่าคุ้มค่ากับการลงทุนนะครับ จากหนังสือ #จิตวิทยาสายดาร์ก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 238 มุมมอง 0 รีวิว
  • ครั้งที่ผมยังอยู่ในโรงเรียน ผมพูดกับครูสอนวิชาช่างไม้ว่างานที่ผมทำอยู่นั้น “ดีพอ” แล้ว ท่านพูดกับผมเพียงว่า มีแต่สิ่งสมบูรณ์แบบเท่านั้นที่จะดีพอ และสิ่งที่ดีพอนั้นยังไม่ถือว่าสมบูรณ์แบบ -แฟรงค์ วัย 82 ปี
    ครั้งที่ผมยังอยู่ในโรงเรียน ผมพูดกับครูสอนวิชาช่างไม้ว่างานที่ผมทำอยู่นั้น “ดีพอ” แล้ว ท่านพูดกับผมเพียงว่า มีแต่สิ่งสมบูรณ์แบบเท่านั้นที่จะดีพอ และสิ่งที่ดีพอนั้นยังไม่ถือว่าสมบูรณ์แบบ -แฟรงค์ วัย 82 ปี
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 209 มุมมอง 0 รีวิว
  • เราสามารถคิดได้ทีละเรื่องเท่านั้น ตอนได้ยินประโยคนี้ครั้งแรกฉันนึกสงสัยว่าทำไมฉันถึงไม่เคยนึกถึงสิ่งที่ชัดเจนแจ่มแจ้งแบบนี้ได้มาก่อน ถ้าเราสามารถคิดได้แค่ทีละหนึ่งเรื่องเท่านั้น งั้นเราแค่เลือกความคิดเชิงบวกแทนความคิดเชิงลบก็ได้แล้วไม่ใช่หรือไง คำตอบคือใช่

    จากหนังสือ Manifest
    เราสามารถคิดได้ทีละเรื่องเท่านั้น ตอนได้ยินประโยคนี้ครั้งแรกฉันนึกสงสัยว่าทำไมฉันถึงไม่เคยนึกถึงสิ่งที่ชัดเจนแจ่มแจ้งแบบนี้ได้มาก่อน ถ้าเราสามารถคิดได้แค่ทีละหนึ่งเรื่องเท่านั้น งั้นเราแค่เลือกความคิดเชิงบวกแทนความคิดเชิงลบก็ได้แล้วไม่ใช่หรือไง คำตอบคือใช่ จากหนังสือ Manifest
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 282 มุมมอง 0 รีวิว
  • คนเจน Z คือคนที่เกิดตั้งแต่ช่วงปี พ.ศ. 2540-2555 หรือคนที่ใน คน วันนี้มีอายุ 10-25 ปีนั้น ถูกนิยามว่าเป็นคนรุ่นที่ “เหงาที่สุดและก็ผูกพันกับสื่อสังคมยุคใหม่ที่เป็นดิจิทัลมากที่สุด พวกเขาน่าจะมีพี่น้องน้อย และเมื่อเติบโตขึ้นก็อาจมีหรือไม่มีคู่ชีวิตซึ่งก็น่าจะมีลูกน้อยมากหรืออาจจะไม่มีเลย ดังนั้นพวกเขาจึงมักจะไม่สามารถพึ่งพาคนอื่นได้มากนักในยามแก่เฒ่า และนั่นทำให้การวางแผนการเงินสำหรับคนเจน Z เป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่งยวด

    จากหนังสือ วิกฤตหุ้นคอนเนอร์แตก

    คนเจน Z คือคนที่เกิดตั้งแต่ช่วงปี พ.ศ. 2540-2555 หรือคนที่ใน คน วันนี้มีอายุ 10-25 ปีนั้น ถูกนิยามว่าเป็นคนรุ่นที่ “เหงาที่สุดและก็ผูกพันกับสื่อสังคมยุคใหม่ที่เป็นดิจิทัลมากที่สุด พวกเขาน่าจะมีพี่น้องน้อย และเมื่อเติบโตขึ้นก็อาจมีหรือไม่มีคู่ชีวิตซึ่งก็น่าจะมีลูกน้อยมากหรืออาจจะไม่มีเลย ดังนั้นพวกเขาจึงมักจะไม่สามารถพึ่งพาคนอื่นได้มากนักในยามแก่เฒ่า และนั่นทำให้การวางแผนการเงินสำหรับคนเจน Z เป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่งยวด จากหนังสือ วิกฤตหุ้นคอนเนอร์แตก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 277 มุมมอง 0 รีวิว
  • ชายคนหนึ่งเป็นคนตกปลาที่เก่งมากเขายังเดินออกไปแล้วได้ปลาขนาด 3 ฟุต หลังจากแกะเบ็ดเขาก็โยนปลากับลงทะเลไป หลังจากนั้นเขาเหวี่ยงเบ็ดไปอีกแล้วเขาก็ได้ปลาขนาด 2 ฟุตกลับมาเขาแกะเบ็ดแล้วก็เหวี่ยงปลา 2 ฟุตลงไปในทะเล ต่อมาเขาเหวี่ยงเบ็ดไปอีก 1 รอบและเขาได้ปลาขนาด 1 ฟุตรอบนี้เขาไม่ทิ้งปลาลงไปในทะเลเขาจับปลาตัวนี้กลับบ้าน นักท่องเที่ยวถามเขาว่าทำไมเขาจึงเอาปลาขนาด 1 ฟุตกลับบ้านเขาพูดว่าที่บ้านเขามีจานแค่ขนาด 1 ฟุต ปลาตัวที่ใหญ่กว่านี้ใส่จานเขาไม่ได้

    จากหนังสือ Design Your Life
    ชายคนหนึ่งเป็นคนตกปลาที่เก่งมากเขายังเดินออกไปแล้วได้ปลาขนาด 3 ฟุต หลังจากแกะเบ็ดเขาก็โยนปลากับลงทะเลไป หลังจากนั้นเขาเหวี่ยงเบ็ดไปอีกแล้วเขาก็ได้ปลาขนาด 2 ฟุตกลับมาเขาแกะเบ็ดแล้วก็เหวี่ยงปลา 2 ฟุตลงไปในทะเล ต่อมาเขาเหวี่ยงเบ็ดไปอีก 1 รอบและเขาได้ปลาขนาด 1 ฟุตรอบนี้เขาไม่ทิ้งปลาลงไปในทะเลเขาจับปลาตัวนี้กลับบ้าน นักท่องเที่ยวถามเขาว่าทำไมเขาจึงเอาปลาขนาด 1 ฟุตกลับบ้านเขาพูดว่าที่บ้านเขามีจานแค่ขนาด 1 ฟุต ปลาตัวที่ใหญ่กว่านี้ใส่จานเขาไม่ได้ จากหนังสือ Design Your Life
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 193 มุมมอง 0 รีวิว
  • มาดูเรื่องของช่างก่อหินสองคนกันครับ คุณเดินเข้าไปหาช่างก่อหินคนแรก และถามว่า “คุณชอบงานที่ทำไหม” เขาเงยหน้าขึ้นมามองคุณและตอบ ว่า “ผมสร้างกำแพงนี้มานานมากแล้ว ช่างเป็นงานที่จืดชืดสิ้นดี แถมฉันยังต้องนั่งหลังขดหลังแข็งทำงานกลางแดดทั้งวัน หินก็โคตรหนักต้องมาแบกทุกวันแบบนี้เล่นเอาหลังแทบหัก ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำแพงจะเสร็จก่อนผมตายหรือเปล่า แต่มันคืองานไม่ทำก็ไม่มีกิน” คุณขอบคุณเขาที่สละ เวลาตอบคำถามแล้วเดินต่อไป

    จากนั้นคุณเดินเข้าไปหาช่างก่อหินคนที่สองซึ่งอยู่ห่างไปไม่ไกลแล้วถามคำถามเดียวกันว่า “คุณชอบงานที่ทำใหม” เขาเงยหน้าขึ้นมาและตอบว่า “ผมรักงานของผม ผมกำลังสร้างมหาวิหาร จริงอยู่ที่ผมสร้าง กำแพงนี้มานานมากแล้ว แถมหลาย ๆ ครั้งงานก็จืดชืด ผมทำงานท่าม กลางแสงแดดแผดเผาทั้งวัน ต้องยกหินหนัก ๆ วันแล้ววันเล่าจนเหนื่อย แทบขาดใจ ผมไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่ากำแพงจะเสร็จก่อนผมตายหรือเปล่า แต่ผมกำลังสร้างมหาวิหารเชียวนะ"

    จากหนังสือ Start With Why
    มาดูเรื่องของช่างก่อหินสองคนกันครับ คุณเดินเข้าไปหาช่างก่อหินคนแรก และถามว่า “คุณชอบงานที่ทำไหม” เขาเงยหน้าขึ้นมามองคุณและตอบ ว่า “ผมสร้างกำแพงนี้มานานมากแล้ว ช่างเป็นงานที่จืดชืดสิ้นดี แถมฉันยังต้องนั่งหลังขดหลังแข็งทำงานกลางแดดทั้งวัน หินก็โคตรหนักต้องมาแบกทุกวันแบบนี้เล่นเอาหลังแทบหัก ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำแพงจะเสร็จก่อนผมตายหรือเปล่า แต่มันคืองานไม่ทำก็ไม่มีกิน” คุณขอบคุณเขาที่สละ เวลาตอบคำถามแล้วเดินต่อไป จากนั้นคุณเดินเข้าไปหาช่างก่อหินคนที่สองซึ่งอยู่ห่างไปไม่ไกลแล้วถามคำถามเดียวกันว่า “คุณชอบงานที่ทำใหม” เขาเงยหน้าขึ้นมาและตอบว่า “ผมรักงานของผม ผมกำลังสร้างมหาวิหาร จริงอยู่ที่ผมสร้าง กำแพงนี้มานานมากแล้ว แถมหลาย ๆ ครั้งงานก็จืดชืด ผมทำงานท่าม กลางแสงแดดแผดเผาทั้งวัน ต้องยกหินหนัก ๆ วันแล้ววันเล่าจนเหนื่อย แทบขาดใจ ผมไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่ากำแพงจะเสร็จก่อนผมตายหรือเปล่า แต่ผมกำลังสร้างมหาวิหารเชียวนะ" จากหนังสือ Start With Why
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 169 มุมมอง 0 รีวิว
  • ถึงแม้ว่าคนเรามักจะยึดติดกับสถานภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบันแต่ก็มีงานวิจัยแสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงทำให้เรามีความสุขมากขึ้นได้

    ในการทดลองจากหนังสือเรื่อง Freakonomics ของสตีเฟน เลวิทท์ เขาเชิญให้คนมาลองตัดสินใจเรื่องสำคัญในชีวิต (เช่น ลาออกจากงาน หรือจบความสัมพันธ์)ด้วยการโยนเหรียญ
    ถ้าได้หัวแปลว่าต้องเปลี่ยน ได้ก้อยแปลว่าไม่ต้องเปลี่ยน

    หกเดือนต่อมา คนที่โยนได้หัวและเปลี่ยนแปลงกลับมีความสุขมากกว่า

    “คนเรามักจะรู้สึกหวาดระแวงเกินไปเวลาต้องตัดสินใจเรื่องสำคัญระดับที่เปลี่ยนชีวิต” เลวิทท์เขียนบอกไว้

    จากหนังสือ ทำงานกับคนต้องใช้อารมณ์ให้เป็น No Hard Feelings
    ถึงแม้ว่าคนเรามักจะยึดติดกับสถานภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบันแต่ก็มีงานวิจัยแสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงทำให้เรามีความสุขมากขึ้นได้ ในการทดลองจากหนังสือเรื่อง Freakonomics ของสตีเฟน เลวิทท์ เขาเชิญให้คนมาลองตัดสินใจเรื่องสำคัญในชีวิต (เช่น ลาออกจากงาน หรือจบความสัมพันธ์)ด้วยการโยนเหรียญ ถ้าได้หัวแปลว่าต้องเปลี่ยน ได้ก้อยแปลว่าไม่ต้องเปลี่ยน หกเดือนต่อมา คนที่โยนได้หัวและเปลี่ยนแปลงกลับมีความสุขมากกว่า “คนเรามักจะรู้สึกหวาดระแวงเกินไปเวลาต้องตัดสินใจเรื่องสำคัญระดับที่เปลี่ยนชีวิต” เลวิทท์เขียนบอกไว้ จากหนังสือ ทำงานกับคนต้องใช้อารมณ์ให้เป็น No Hard Feelings
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 172 มุมมอง 0 รีวิว
  • สะดวกมาก
    ใช้ แอปธนาคาร Scan ได้อย่างรวดเร็ว
    สะดวกมาก ใช้ แอปธนาคาร Scan ได้อย่างรวดเร็ว
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 165 มุมมอง 0 รีวิว
  • Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 170 มุมมอง 0 รีวิว
  • Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 171 มุมมอง 0 รีวิว
เรื่องราวเพิ่มเติม