อ่านหนังสือกัน
อ่านหนังสือกัน
ชักชวนกันอ่านหนังสือ หนังสือไม่ว่าจะเป็นแนวไหนล้วนมีประโยชน์
  • Public Group
  • 824 Posts
  • 163 Photos
  • 0 Videos
  • 0 Reviews
  • Live Style
  • คุณไรซ์บอกว่า เธอกับสามีไม่รู้มาก่อนเลยว่าวอลมาร์ต ทำประกันสุขภาพให้เขา เมื่อเธอรับรู้ว่ามีกรมธรรม์อยู่ เธอก็ฟ้องวอลมาร์ตต่อ ศาลรัฐบาลกลาง อ้างว่าเงินนี้ควรมาถึงมือครอบครัวไม่ใช่บริษัท ทนายของเธอให้เหตุผลว่า บริษัทต่างๆ ไม่ควรได้กำไรจากความตายของลูกจ้าง "เลวร้ายมากที่ยักษ์ใหญ่อย่างวอลมาร์ตเล่นพนันด้วยชีวิตของลูกจ้าง”

    โฆษกของวอลมาร์ตยอมรับว่าบริษัทถือกรมธรรม์ประกันชีวิตในนามพนักงานนับหมื่นนับแสนคน ไม่ใช่เฉพาะระดับผู้ช่วยผู้จัดการ แต่รวมถึงช่างซ่อมบำรุงด้วย แต่เขาปฏิเสธว่าการทำแบบนี้เท่ากับบริษัทได้กำไรจากความตาย เขาบอกว่า "เรายืนยันว่าเราไม่ได้ประโยชน์จาก ความตายของเพื่อนร่วมงาน” “เราลงทุนไปมากกับพนักงานเหล่านี้” และ บริษัทจะได้ประโยชน์ “ถ้าพนักงานยังมีชีวิตอยู่” ในกรณีไมเคิล ไรซ์ โฆษกผู้นั้นเถียงว่าทุนประกันหรือเงินเอาประกันไม่ใช่ลาภลอยที่บริษัทพึงประสงค์ แต่เป็นค่าตอบแทนต้นทุนที่เสียไปในการอบรมไมเคิล และต้องจ้างคนมาทดแทนเขา “เขาได้รับการอบรมไปไม่น้อย และสั่งสม ประสบการณ์ที่เราทดแทนไม่ได้โดยปราศจากต้นทุน

    จากหนังสือ #เงินไม่ใช่พระเจ้า
    คุณไรซ์บอกว่า เธอกับสามีไม่รู้มาก่อนเลยว่าวอลมาร์ต ทำประกันสุขภาพให้เขา เมื่อเธอรับรู้ว่ามีกรมธรรม์อยู่ เธอก็ฟ้องวอลมาร์ตต่อ ศาลรัฐบาลกลาง อ้างว่าเงินนี้ควรมาถึงมือครอบครัวไม่ใช่บริษัท ทนายของเธอให้เหตุผลว่า บริษัทต่างๆ ไม่ควรได้กำไรจากความตายของลูกจ้าง "เลวร้ายมากที่ยักษ์ใหญ่อย่างวอลมาร์ตเล่นพนันด้วยชีวิตของลูกจ้าง” โฆษกของวอลมาร์ตยอมรับว่าบริษัทถือกรมธรรม์ประกันชีวิตในนามพนักงานนับหมื่นนับแสนคน ไม่ใช่เฉพาะระดับผู้ช่วยผู้จัดการ แต่รวมถึงช่างซ่อมบำรุงด้วย แต่เขาปฏิเสธว่าการทำแบบนี้เท่ากับบริษัทได้กำไรจากความตาย เขาบอกว่า "เรายืนยันว่าเราไม่ได้ประโยชน์จาก ความตายของเพื่อนร่วมงาน” “เราลงทุนไปมากกับพนักงานเหล่านี้” และ บริษัทจะได้ประโยชน์ “ถ้าพนักงานยังมีชีวิตอยู่” ในกรณีไมเคิล ไรซ์ โฆษกผู้นั้นเถียงว่าทุนประกันหรือเงินเอาประกันไม่ใช่ลาภลอยที่บริษัทพึงประสงค์ แต่เป็นค่าตอบแทนต้นทุนที่เสียไปในการอบรมไมเคิล และต้องจ้างคนมาทดแทนเขา “เขาได้รับการอบรมไปไม่น้อย และสั่งสม ประสบการณ์ที่เราทดแทนไม่ได้โดยปราศจากต้นทุน จากหนังสือ #เงินไม่ใช่พระเจ้า
    0 Comments 0 Shares 0 Views 0 Reviews
  • ความลำบากยากเข็ญจะทำให้คุณมีความคิดสร้างสรรค์มันจะไปกระตุ้นการทำงานของภาคส่วนหนึ่งที่มาซ่อนเร้นอยู่ในตัวคุณมันจะทำให้สิ่งต่างๆดูหน้าสนใจ ส่วนหนึ่งของเรื่องเล่ามนุษย์เราเป็นเรื่องของการอยากฝ่าฟันบางอย่างไปให้ได้ เคล็ดลับในเรื่องนี้เธอต้องพยายามรักษาสมดุลให้ดีเลือกที่จะเดินออกมาจากพื้นที่สบายและทนทานต่อความเจ็บปวดที่คู่ควร

    จากหนังสือ #MountainInYou
    ความลำบากยากเข็ญจะทำให้คุณมีความคิดสร้างสรรค์มันจะไปกระตุ้นการทำงานของภาคส่วนหนึ่งที่มาซ่อนเร้นอยู่ในตัวคุณมันจะทำให้สิ่งต่างๆดูหน้าสนใจ ส่วนหนึ่งของเรื่องเล่ามนุษย์เราเป็นเรื่องของการอยากฝ่าฟันบางอย่างไปให้ได้ เคล็ดลับในเรื่องนี้เธอต้องพยายามรักษาสมดุลให้ดีเลือกที่จะเดินออกมาจากพื้นที่สบายและทนทานต่อความเจ็บปวดที่คู่ควร จากหนังสือ #MountainInYou
    0 Comments 0 Shares 0 Views 0 Reviews
  • เคลลี่ จอห์นสัน ผู้คุมสกั้งเวิร์คที่ล็อคฮีทอย่างเข้มงวด สกั้งเวิร์คทำหน้าที่ออกแบบเครื่องบินไอพ่นแบบเร่งด่วนเนื่องจากกองทัพอเมริกาเห็นกองทัพเยอรมันเมื่อปี 1943 ใช้เครื่องพิมพ์ไอพ่นที่มีประสิทธิภาพมาก พวกเขาใช้เวลาออกแบบ 143 วันและยังเร็วกว่าเส้นตายถึง 7 วัน

    เคลลี่ จอห์นสันมีกฎที่ว่า ควรจำกัดจำนวนคนที่เกี่ยวข้องกับโครงการอย่างเข้มงวดยิ่ง
    และยังมีกฎอีกว่า ต้องมีมาตรฐานความปลอดภัยที่เหมาะสมคอยควบคุมคนนอกที่จะเข้าถึงโครงการหรือคนในโครงการอย่างเข้มงวด

    จากหนังสือ #Bold #ถ้าคุณไม่เปลี่ยนโลกโลกก็จะเปลี่ยนคุณ
    เคลลี่ จอห์นสัน ผู้คุมสกั้งเวิร์คที่ล็อคฮีทอย่างเข้มงวด สกั้งเวิร์คทำหน้าที่ออกแบบเครื่องบินไอพ่นแบบเร่งด่วนเนื่องจากกองทัพอเมริกาเห็นกองทัพเยอรมันเมื่อปี 1943 ใช้เครื่องพิมพ์ไอพ่นที่มีประสิทธิภาพมาก พวกเขาใช้เวลาออกแบบ 143 วันและยังเร็วกว่าเส้นตายถึง 7 วัน เคลลี่ จอห์นสันมีกฎที่ว่า ควรจำกัดจำนวนคนที่เกี่ยวข้องกับโครงการอย่างเข้มงวดยิ่ง และยังมีกฎอีกว่า ต้องมีมาตรฐานความปลอดภัยที่เหมาะสมคอยควบคุมคนนอกที่จะเข้าถึงโครงการหรือคนในโครงการอย่างเข้มงวด จากหนังสือ #Bold #ถ้าคุณไม่เปลี่ยนโลกโลกก็จะเปลี่ยนคุณ
    0 Comments 0 Shares 4 Views 0 Reviews
  • การเลิกใส่ใจขี้ปากของคนอื่นช่วยปูทางไปสู่ขั้นตอนที่ 1 คือตัดสินใจว่าควรใส่ใจหรือปล่อยผ่าน จากนั้นนำสิ่งที่คุณตัดสินใจที่เลือกแล้วไปต่อยอดให้เกิดผลสำเร็จเมื่อเข้าสู่ขั้นตอนที่ 2 คือเลิกไม่ใส่ใจเรื่องไม่เป็นเรื่อง

    เมื่อคำนึงถึงผลกระทบที่ความใส่ใจของคุณมีต่อคนอื่นสิ่งเดียวที่คุณทำได้คือการควบคุมพฤติกรรมของตนเองและให้ส่งผลเสียต่อคนอื่นโดยไม่ต้องมานั่งกังวลว่าพวกเขาจะคิดยังไง

    จากหนังสือ #ชีวิตดีขึ้นทุกด้านด้วยการช่างแม่ง
    การเลิกใส่ใจขี้ปากของคนอื่นช่วยปูทางไปสู่ขั้นตอนที่ 1 คือตัดสินใจว่าควรใส่ใจหรือปล่อยผ่าน จากนั้นนำสิ่งที่คุณตัดสินใจที่เลือกแล้วไปต่อยอดให้เกิดผลสำเร็จเมื่อเข้าสู่ขั้นตอนที่ 2 คือเลิกไม่ใส่ใจเรื่องไม่เป็นเรื่อง เมื่อคำนึงถึงผลกระทบที่ความใส่ใจของคุณมีต่อคนอื่นสิ่งเดียวที่คุณทำได้คือการควบคุมพฤติกรรมของตนเองและให้ส่งผลเสียต่อคนอื่นโดยไม่ต้องมานั่งกังวลว่าพวกเขาจะคิดยังไง จากหนังสือ #ชีวิตดีขึ้นทุกด้านด้วยการช่างแม่ง
    0 Comments 0 Shares 4 Views 0 Reviews
  • กลุ่มผู้ได้รับรางวัลโนเบลที่มีคนมีงานอดิเรกด้านศิลปะสูงกว่าคนทั่วไปถึง 2.8 เท่า
    กลุ่มผู้ได้รับรางวัลโนเบลที่มีคนมีงานอดิเรกด้านศิลปะสูงกว่าคนทั่วไปถึง 2.8 เท่า
    0 Comments 0 Shares 9 Views 0 Reviews
  • เฮเลน ฮูเวิร์ส ชาวอเมริกัน

    "นึกถึงเรื่องธรรมชาติ โลกธรรมชาติเปลี่ยนแปลงเคลื่อนไหวตลอดเวลาจากจักรวาลที่ขยายกว้างไม่หยุดจนถึงขนอ่อนบนศีรษะของทารกไม่มีสิ่งไหนยังคงเดิมในพริบตาถัดไป"
    เฮเลน ฮูเวิร์ส ชาวอเมริกัน "นึกถึงเรื่องธรรมชาติ โลกธรรมชาติเปลี่ยนแปลงเคลื่อนไหวตลอดเวลาจากจักรวาลที่ขยายกว้างไม่หยุดจนถึงขนอ่อนบนศีรษะของทารกไม่มีสิ่งไหนยังคงเดิมในพริบตาถัดไป"
    0 Comments 0 Shares 9 Views 0 Reviews
  • ชีวิตสอนอะไรเราบ้าง Life Lessons (2025/116)

    สองนักเขียนผู้ที่คลุกคลีกับกความตายและพูดคุยกับผู้ใกล้ตายมามากมาย หนึ่งในผู้เเขียนเธอกำลังย่างก้าวเข้าสู่ความตาย แต่โชคดีที่ตัวเธอยังสามารถถ่ายทอดเรื่องราวต่างๆในหนังสือเล่มนี้ได้อยู่

    ความตายเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องพบเจอ พวกเราทุกคนรู้ว่าวันใดวันหนึ่งเราก็ต้องตาย แต่ทันทีที่ใครคนใดคนหนึ่งรู้ตัวว่าตนเองเริ่มนับถอยหลังไปสู่ความตาย ความคิดของพวกเขาเหล่านั้นมีมุมมองต่อชีวิตที่เหลืออยู่เปลี่ยนไป ในหนังสือเล่มนี้มีสิ่งที่คนที่ใกล้ตายคิดได้ และผู้เขียนทั้งสองต้องการถ่ายทอดให้ผู้อ่านได้รับรู้ เพื่อการเปลี่ยนแปลงของชีวิตที่ดีขึ้นก่อนที่ความคิดจะถูกบังคับให้เปลี่ยนเมื่อเวลาของชีวิตเหลือน้อยลง

    เรื่องที่ทั้งสองนักเขียนอยากให้เราได้เรียนรู้ ได้แก่ เรื่องที่เกี่ยวกับตัวตน , ความรัก , ความสัมพันธ์ , การสูญเสีย , พลังอำนาจ , ความรู้สึกผิด , เวลา , การให้อภัย , ความสุข และอีกหลายหัวข้อ

    การที่ผู้อ่านได้รับการอธิบายความรู้สึกจริงของผู้ที่กำลังจะตาย รวมไปถึงผู้ป่วยบางคนได้รับการช่วยเหลือจากนักเขียนทั้งสองเพื่อปลดล็อกสิ่งที่ค้างคาอยู่ภายในจิตใจ และเมื่อปลดล็อกความคิดต่างๆที่ทำให้พวกเขาเป็นทุกข์ยิ่งในขณะที่นาฬิกาชีวิตก็เหลือน้อยลงไปทุกที ทำให้ผู้ป่วยเหล่านั้นกลับมีมุมมองต่อชีวิตที่ดีขึ้น พร้อมก้าวไปสู่อีกภพหนึ่งได้อย่างเต็มใจ แล้วทำไมเราไม่ปลดล็อกความคิดของพวกเราเสียก่อนที่จะต้องถึงช่วงเวลานับถอยหลังแบบนั้น

    พวกเรายิ่งปลดล็อกความคิดที่ทำร้ายตัวเองยิ่งเร็วเท่าไหร่ ชีวิตที่เหลือย่อมมีความปลอดโปร่งยาวนานขึ้นเท่านั้น

    #ชีวิตสอนอะไรเราบ้าง #LifeLessons #รีวิวหนังสือ
    ชีวิตสอนอะไรเราบ้าง Life Lessons (2025/116) สองนักเขียนผู้ที่คลุกคลีกับกความตายและพูดคุยกับผู้ใกล้ตายมามากมาย หนึ่งในผู้เเขียนเธอกำลังย่างก้าวเข้าสู่ความตาย แต่โชคดีที่ตัวเธอยังสามารถถ่ายทอดเรื่องราวต่างๆในหนังสือเล่มนี้ได้อยู่ ความตายเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องพบเจอ พวกเราทุกคนรู้ว่าวันใดวันหนึ่งเราก็ต้องตาย แต่ทันทีที่ใครคนใดคนหนึ่งรู้ตัวว่าตนเองเริ่มนับถอยหลังไปสู่ความตาย ความคิดของพวกเขาเหล่านั้นมีมุมมองต่อชีวิตที่เหลืออยู่เปลี่ยนไป ในหนังสือเล่มนี้มีสิ่งที่คนที่ใกล้ตายคิดได้ และผู้เขียนทั้งสองต้องการถ่ายทอดให้ผู้อ่านได้รับรู้ เพื่อการเปลี่ยนแปลงของชีวิตที่ดีขึ้นก่อนที่ความคิดจะถูกบังคับให้เปลี่ยนเมื่อเวลาของชีวิตเหลือน้อยลง เรื่องที่ทั้งสองนักเขียนอยากให้เราได้เรียนรู้ ได้แก่ เรื่องที่เกี่ยวกับตัวตน , ความรัก , ความสัมพันธ์ , การสูญเสีย , พลังอำนาจ , ความรู้สึกผิด , เวลา , การให้อภัย , ความสุข และอีกหลายหัวข้อ การที่ผู้อ่านได้รับการอธิบายความรู้สึกจริงของผู้ที่กำลังจะตาย รวมไปถึงผู้ป่วยบางคนได้รับการช่วยเหลือจากนักเขียนทั้งสองเพื่อปลดล็อกสิ่งที่ค้างคาอยู่ภายในจิตใจ และเมื่อปลดล็อกความคิดต่างๆที่ทำให้พวกเขาเป็นทุกข์ยิ่งในขณะที่นาฬิกาชีวิตก็เหลือน้อยลงไปทุกที ทำให้ผู้ป่วยเหล่านั้นกลับมีมุมมองต่อชีวิตที่ดีขึ้น พร้อมก้าวไปสู่อีกภพหนึ่งได้อย่างเต็มใจ แล้วทำไมเราไม่ปลดล็อกความคิดของพวกเราเสียก่อนที่จะต้องถึงช่วงเวลานับถอยหลังแบบนั้น พวกเรายิ่งปลดล็อกความคิดที่ทำร้ายตัวเองยิ่งเร็วเท่าไหร่ ชีวิตที่เหลือย่อมมีความปลอดโปร่งยาวนานขึ้นเท่านั้น #ชีวิตสอนอะไรเราบ้าง #LifeLessons #รีวิวหนังสือ
    0 Comments 0 Shares 9 Views 0 Reviews
  • ไมเคิล แองเจโล

    "ถ้าผู้คนรู้ว่าข้าพเจ้าทำงานหนักขนาดไหนกว่าจะได้ผลงานชิ้นเอกออกมาก็จะไม่รู้สึกพิศวงเลย"
    ไมเคิล แองเจโล "ถ้าผู้คนรู้ว่าข้าพเจ้าทำงานหนักขนาดไหนกว่าจะได้ผลงานชิ้นเอกออกมาก็จะไม่รู้สึกพิศวงเลย"
    0 Comments 0 Shares 8 Views 0 Reviews
  • จอร์จ เบอนาร์ด ชอว์

    "เมื่อคนสองคนกำลังหยุดภายใต้อิทธิพลของความรักที่รุนแรงยิ่งไร้สติอย่างสุดแสน ตกอยู่ในห้วงฝันล้ำลึกและอารมณ์ชั่ววูบอย่างที่สุด ก็อาจจะสาบานว่าคงสภาวะตื่นเต้นวิปริตและเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ไว้ตลอดตราบจนความตายจะมาพรากจากกัน"
    จอร์จ เบอนาร์ด ชอว์ "เมื่อคนสองคนกำลังหยุดภายใต้อิทธิพลของความรักที่รุนแรงยิ่งไร้สติอย่างสุดแสน ตกอยู่ในห้วงฝันล้ำลึกและอารมณ์ชั่ววูบอย่างที่สุด ก็อาจจะสาบานว่าคงสภาวะตื่นเต้นวิปริตและเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ไว้ตลอดตราบจนความตายจะมาพรากจากกัน"
    0 Comments 0 Shares 8 Views 0 Reviews
  • วิลเลี่ยม ซอมเมอร์เซ็ต มอห์ม

    "ต่อให้มีคนพูดถึงเรื่องงี่เง่านั้น 50 ล้านคน มันยังคงเป็นเรื่องงี่เง่าอยู่วันยังค่ำ"
    วิลเลี่ยม ซอมเมอร์เซ็ต มอห์ม "ต่อให้มีคนพูดถึงเรื่องงี่เง่านั้น 50 ล้านคน มันยังคงเป็นเรื่องงี่เง่าอยู่วันยังค่ำ"
    0 Comments 0 Shares 10 Views 0 Reviews
  • ไบรอัน เทรซี

    "คำถามที่ดี จะเป็นแรงกระตุ้นให้ผู้ถูกถามเกิดความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ ได้เสมอ"
    ไบรอัน เทรซี "คำถามที่ดี จะเป็นแรงกระตุ้นให้ผู้ถูกถามเกิดความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ ได้เสมอ"
    0 Comments 0 Shares 8 Views 0 Reviews
  • The Small Big การเปลี่ยนแปลงเล็กๆที่สร้างความเปลี่ยนแปลงมหาศาล (2025/115)

    ปรมจารย์ทางด้านพฤติกรรมมนุษย์และผู้เชี่ยวชาญการโน้มน้าว 3 คน ร่วมกันช่วยเขียนหนังเล่มนี้ ที่กลั่นกรองหลักการการเปลี่ยนแปลงเล็กๆน้อยๆ ที่ให้ผลกับพฤติกรรมมนุษย์ได้อย่างยิ่งใหญ่ โดยรวบรวมมาให้ผู้อ่าน 52 ข้อ

    ทีมผู้เขียนแยกหลักการต่างๆออกมาเป็นบทความ ทำให้การอ่านเนื้อหาจบได้เป็นบทนั้นๆ พวกเขายกเคสกรณีศึกษา ยืนยันหลักการด้วยงานวิจัย แนะแนวทางการนำหลักการไปใช้ได้จริง และสรุปในตอนท้าย

    ซึ่งเนื้อหาเหล่านี้ที่บางบทได้ให้แนวทางการใช้หลักการในการพัฒนาตัวเอง แต่ส่วนใหญ่แล้วเนื้อหาเป็นการสร้างแรงจูงใจกับผู้อื่น ซึ่งเหมาะกับงานการตลาด ประชาสัมพันธ์ การโฆษณา การเจรจาต่อรอง และงานขายสินค้า อ่านจบแล้วรู้สึกว่าตัวเองมีเหลี่ยมมากขึ้นเลย(555) และยังทำให้รู้ทันผู้ที่ต้องการครอบงำเราอีกด้วย

    #TheSmallBig #การเปลี่ยนแปลงเล็กๆที่สร้างความเปลี่ยนแปลงมหาศาล #รีวิวหนังสือ
    The Small Big การเปลี่ยนแปลงเล็กๆที่สร้างความเปลี่ยนแปลงมหาศาล (2025/115) ปรมจารย์ทางด้านพฤติกรรมมนุษย์และผู้เชี่ยวชาญการโน้มน้าว 3 คน ร่วมกันช่วยเขียนหนังเล่มนี้ ที่กลั่นกรองหลักการการเปลี่ยนแปลงเล็กๆน้อยๆ ที่ให้ผลกับพฤติกรรมมนุษย์ได้อย่างยิ่งใหญ่ โดยรวบรวมมาให้ผู้อ่าน 52 ข้อ ทีมผู้เขียนแยกหลักการต่างๆออกมาเป็นบทความ ทำให้การอ่านเนื้อหาจบได้เป็นบทนั้นๆ พวกเขายกเคสกรณีศึกษา ยืนยันหลักการด้วยงานวิจัย แนะแนวทางการนำหลักการไปใช้ได้จริง และสรุปในตอนท้าย ซึ่งเนื้อหาเหล่านี้ที่บางบทได้ให้แนวทางการใช้หลักการในการพัฒนาตัวเอง แต่ส่วนใหญ่แล้วเนื้อหาเป็นการสร้างแรงจูงใจกับผู้อื่น ซึ่งเหมาะกับงานการตลาด ประชาสัมพันธ์ การโฆษณา การเจรจาต่อรอง และงานขายสินค้า อ่านจบแล้วรู้สึกว่าตัวเองมีเหลี่ยมมากขึ้นเลย(555) และยังทำให้รู้ทันผู้ที่ต้องการครอบงำเราอีกด้วย #TheSmallBig #การเปลี่ยนแปลงเล็กๆที่สร้างความเปลี่ยนแปลงมหาศาล #รีวิวหนังสือ
    0 Comments 0 Shares 9 Views 0 Reviews
  • มีขั้นตอนที่ง่ายที่สุดเพียงหนึ่งขั้นตอนซึ่งนำไปสู่ความทุกข์ นั่นคือการไม่ทําอะไรเลย

    - Happier, ทาล เบน-ชาฮาร์

    จากหนังสือ #คู่มืออารมณ์ดี
    มีขั้นตอนที่ง่ายที่สุดเพียงหนึ่งขั้นตอนซึ่งนำไปสู่ความทุกข์ นั่นคือการไม่ทําอะไรเลย - Happier, ทาล เบน-ชาฮาร์ จากหนังสือ #คู่มืออารมณ์ดี
    0 Comments 0 Shares 9 Views 0 Reviews
  • “ปัญหาไพ่ 4 ใบของวาสัน” (Four-card Problem) ของปีเตอร์ เคทคาร์ต วาสัน (Peter Cathcart Wason) เป็น นักจิตวิทยาด้านการรับรู้ที่มีชื่อเสียงระดับโลก เป็นที่รู้กันว่าในเวลานั้น มีคนตอบถูกไม่ถึง 10% ด้วยซ้ำ

    ที่จริงเราเอาสิ่งที่เคยเรียนมาใช้แก้ปัญหานี้ได้นะครับ จำเรื่อง “เซตและตรรกะ” ที่เรียนในวิชาคณิตศาสตร์สมัยมัธยมปลายได้ไหมครับ มันคือพวก "p อยู่ในเซต A" "กฎเดอมอร์แกน” “บทกลับ” “ประพจน์ ผกผัน” หรือ “ประพจน์แย้งสลับที่” พวกนั้นแหละครับ (ช่างเป็น คณิตศาสตร์เสียจนไม่อยากแม้แต่จะมองเลยละ) “ประพจน์แย้งสลับที่ ที่เราเรียนรู้ตรงนี้คือกฏที่ว่า “ถ้า A จะเป็น B" เป็นจริง ก็แสดงว่า "ถ้าไม่ใช่ B ก็ไม่ใช่ A” ด้วยเช่นกัน ตัวอย่างเช่น “ถ้าเป็นมนุษย์ก็เป็นสัตว์” เป็นจริง ก็แสดงว่า “ถ้าไม่ใช่สัตว์ก็ไม่ใช่มนุษย์" ด้วย

    จากหนังสือ #ไต่ระดับลับสมองด้วยคำถามเชิงตรรกะ
    “ปัญหาไพ่ 4 ใบของวาสัน” (Four-card Problem) ของปีเตอร์ เคทคาร์ต วาสัน (Peter Cathcart Wason) เป็น นักจิตวิทยาด้านการรับรู้ที่มีชื่อเสียงระดับโลก เป็นที่รู้กันว่าในเวลานั้น มีคนตอบถูกไม่ถึง 10% ด้วยซ้ำ ที่จริงเราเอาสิ่งที่เคยเรียนมาใช้แก้ปัญหานี้ได้นะครับ จำเรื่อง “เซตและตรรกะ” ที่เรียนในวิชาคณิตศาสตร์สมัยมัธยมปลายได้ไหมครับ มันคือพวก "p อยู่ในเซต A" "กฎเดอมอร์แกน” “บทกลับ” “ประพจน์ ผกผัน” หรือ “ประพจน์แย้งสลับที่” พวกนั้นแหละครับ (ช่างเป็น คณิตศาสตร์เสียจนไม่อยากแม้แต่จะมองเลยละ) “ประพจน์แย้งสลับที่ ที่เราเรียนรู้ตรงนี้คือกฏที่ว่า “ถ้า A จะเป็น B" เป็นจริง ก็แสดงว่า "ถ้าไม่ใช่ B ก็ไม่ใช่ A” ด้วยเช่นกัน ตัวอย่างเช่น “ถ้าเป็นมนุษย์ก็เป็นสัตว์” เป็นจริง ก็แสดงว่า “ถ้าไม่ใช่สัตว์ก็ไม่ใช่มนุษย์" ด้วย จากหนังสือ #ไต่ระดับลับสมองด้วยคำถามเชิงตรรกะ
    0 Comments 0 Shares 9 Views 0 Reviews
  • สิ่งนี้เกิดขึ้นได้ผ่านการซักซ้อมในใจ (mental rehearsal) เทคนิคนี้ก็คือการที่คุณ หลับตา แล้วจินตนาการว่ากระทำบางสิ่งซ้ำๆ และทบทวนอนาคตที่คุณต้องการภายในใจ ในขณะที่คอยเตือนตัวเองว่า คุณไม่ต้องการเป็นเช่นไร(ตัวตนเก่า) และใครที่คุณต้องการจะเป็นกระบวนการนี้ประกอบด้วยการคิดถึงการกระทำในอนาคต การวางแผนทางเลือกภายในจิตใจ และการมุ่งเน้นความคิดไปที่ประสบการณ์ใหม่

    เรามาดูรายละเอียดของขั้นตอนเหล่านี้กัน เพื่อทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างการซักซ้อมในใจ และมันมีกลไกอย่างไร เวลาที่คุณซักซ้อมชะตากรรมหรือความฝันถึงผลลัพธ์ใหม่ในใจ คุณจะต้องจินตนาการถึงมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกระทั่งคุณคุ้นเคยกับมัน หากคุณมีความรู้และประสบการณ์ฝังลึกอยู่ในสมองเกี่ยวกับความเป็นจริงใหม่ที่ปรารถนามากเท่าใด ก็จะยิ่งมีทรัพยากรสำหรับการสร้างแบบจำลองของสิ่งที่คุณนึกภาพ อยู่ในใจมากขึ้นเท่านั้น ส่งผลให้เจตนารมณ์และความคาดหวังของคุณก็จะยิ่งชัดเจนขึ้น(เหมือนกับกรณีของแม่บ้านโรงแรม) คุณกำลัง “ย้ำเตือน” ตัวเองว่า ชีวิตคุณจะเป็นเช่นไร และจะรู้สึกเช่นไรเมื่อได้สิ่งที่ตนเองต้องการ นี่คือการที่คุณใส่เจตนารมณ์เข้าไปในความ ต้องการของตัวเอง

    จากนั้น คุณหลอมรวมความคิดและเจตนารมณ์ของคุณเข้ากับภาวะอารมณ์ที่ยกระดับ (elevated emotion) เช่น ความสุขหรือความซาบซึ้ง (ผมจะกล่าวถึงรายละเอียดของสภาวะอารมณ์ที่ยกระดับในภายหลัง) เมื่อคุณสามารถเข้าถึงอารมณ์ใหม่นั้นได้และรู้สึกตื่นเต้นกับมัน นั่นก็คือการที่คุณกำลังอาบตัวเองด้วยสารเคมีจากสมองที่จะถูกสร้างขึ้นต่อเมื่อเหตุการณ์อนาคตนั้นได้เกิดขึ้นแล้ว หรือพูดได้ว่า คุณกำลังทำให้ร่างกายของคุณได้ ลิ้มลองประสบการณ์ในอนาคต สมองและร่างกายของคุณไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างระหว่างประสบการณ์จริงในชีวิตของคุณกับการคิดถึงประสบการณ์นั้นๆได้ เพราะสารเคมีในสมองไม่ต่างกัน ดังนั้นสมองและร่างกายของคุณจะเริ่มเชื่อว่ากำลังอยู่ในประสบการณ์ ใหม่ในขณะปัจจุบัน

    จากหนังสือ #คุณคือพลาซีโบ #YouAreThePlacebo
    สิ่งนี้เกิดขึ้นได้ผ่านการซักซ้อมในใจ (mental rehearsal) เทคนิคนี้ก็คือการที่คุณ หลับตา แล้วจินตนาการว่ากระทำบางสิ่งซ้ำๆ และทบทวนอนาคตที่คุณต้องการภายในใจ ในขณะที่คอยเตือนตัวเองว่า คุณไม่ต้องการเป็นเช่นไร(ตัวตนเก่า) และใครที่คุณต้องการจะเป็นกระบวนการนี้ประกอบด้วยการคิดถึงการกระทำในอนาคต การวางแผนทางเลือกภายในจิตใจ และการมุ่งเน้นความคิดไปที่ประสบการณ์ใหม่ เรามาดูรายละเอียดของขั้นตอนเหล่านี้กัน เพื่อทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างการซักซ้อมในใจ และมันมีกลไกอย่างไร เวลาที่คุณซักซ้อมชะตากรรมหรือความฝันถึงผลลัพธ์ใหม่ในใจ คุณจะต้องจินตนาการถึงมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกระทั่งคุณคุ้นเคยกับมัน หากคุณมีความรู้และประสบการณ์ฝังลึกอยู่ในสมองเกี่ยวกับความเป็นจริงใหม่ที่ปรารถนามากเท่าใด ก็จะยิ่งมีทรัพยากรสำหรับการสร้างแบบจำลองของสิ่งที่คุณนึกภาพ อยู่ในใจมากขึ้นเท่านั้น ส่งผลให้เจตนารมณ์และความคาดหวังของคุณก็จะยิ่งชัดเจนขึ้น(เหมือนกับกรณีของแม่บ้านโรงแรม) คุณกำลัง “ย้ำเตือน” ตัวเองว่า ชีวิตคุณจะเป็นเช่นไร และจะรู้สึกเช่นไรเมื่อได้สิ่งที่ตนเองต้องการ นี่คือการที่คุณใส่เจตนารมณ์เข้าไปในความ ต้องการของตัวเอง จากนั้น คุณหลอมรวมความคิดและเจตนารมณ์ของคุณเข้ากับภาวะอารมณ์ที่ยกระดับ (elevated emotion) เช่น ความสุขหรือความซาบซึ้ง (ผมจะกล่าวถึงรายละเอียดของสภาวะอารมณ์ที่ยกระดับในภายหลัง) เมื่อคุณสามารถเข้าถึงอารมณ์ใหม่นั้นได้และรู้สึกตื่นเต้นกับมัน นั่นก็คือการที่คุณกำลังอาบตัวเองด้วยสารเคมีจากสมองที่จะถูกสร้างขึ้นต่อเมื่อเหตุการณ์อนาคตนั้นได้เกิดขึ้นแล้ว หรือพูดได้ว่า คุณกำลังทำให้ร่างกายของคุณได้ ลิ้มลองประสบการณ์ในอนาคต สมองและร่างกายของคุณไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างระหว่างประสบการณ์จริงในชีวิตของคุณกับการคิดถึงประสบการณ์นั้นๆได้ เพราะสารเคมีในสมองไม่ต่างกัน ดังนั้นสมองและร่างกายของคุณจะเริ่มเชื่อว่ากำลังอยู่ในประสบการณ์ ใหม่ในขณะปัจจุบัน จากหนังสือ #คุณคือพลาซีโบ #YouAreThePlacebo
    0 Comments 0 Shares 9 Views 0 Reviews
  • บทนี้เริ่มต้นด้วยการพูดถึง “คนที่รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เรื่อง” และถ้าจะให้สรุปสิ่งที่ผมพูดมาทั้งหมดแบบสั้นๆ ก็เห็นจะต้อง บอกว่า “อย่าเพิ่งด่วนสรุปจะดีกว่า”

    ประวัติศาสตร์นั้นซับซ้อนไม่มีใครรู้หรอกว่าเรื่องที่ทำ อยู่จากนี้ไปจะมีความหมายยังไงบ้าง

    มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่แน่นอน

    “การมีอยู่” ของคนคนหนึ่งย่อมมีความหมายต่อประวัติศาสตร์ ดังนั้น “การมีชีวิตอยู่” จึงสำคัญกว่าการกระทำ หรือ “สิ่งที่ทำ” ประโยคนี้หมายความว่าอย่างไร ถ้าอ่านหนังสือเล่มนี้จบคุณจะเข้าใจครับ

    จากหนังสือ #คิดมากไปทำไมขนาดพระพุทธเจ้ายังเคยทำพลาดเลย
    บทนี้เริ่มต้นด้วยการพูดถึง “คนที่รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เรื่อง” และถ้าจะให้สรุปสิ่งที่ผมพูดมาทั้งหมดแบบสั้นๆ ก็เห็นจะต้อง บอกว่า “อย่าเพิ่งด่วนสรุปจะดีกว่า” ประวัติศาสตร์นั้นซับซ้อนไม่มีใครรู้หรอกว่าเรื่องที่ทำ อยู่จากนี้ไปจะมีความหมายยังไงบ้าง มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่แน่นอน “การมีอยู่” ของคนคนหนึ่งย่อมมีความหมายต่อประวัติศาสตร์ ดังนั้น “การมีชีวิตอยู่” จึงสำคัญกว่าการกระทำ หรือ “สิ่งที่ทำ” ประโยคนี้หมายความว่าอย่างไร ถ้าอ่านหนังสือเล่มนี้จบคุณจะเข้าใจครับ จากหนังสือ #คิดมากไปทำไมขนาดพระพุทธเจ้ายังเคยทำพลาดเลย
    0 Comments 0 Shares 9 Views 0 Reviews
  • ไต่ระดับสมองด้วยคำถามเชิงตรรกะ (2025/113)

    คำถามที่ชวนปวดหัว ปวดใจ มารวมอยู่ในหนังสือเล่มนี้แล้ว 555

    เป็นคำถามเชิงตรรกะ 64 ข้อ ที่เป็นคำถามของบริษัทใหญ่ระดับโลกให้เป็นคำถามเพื่อให้ผู้สมัครเข้าทำงานในองค์กรของพวกเขาตอบเพื่อคัดเลือกเข้าทำงาน โดยคำถามที่ให้มามีข้อมูลน้อยมากๆ และต้องคิดเยอะมากๆ เพื่อจะแก้โจทย์ปัญหาเหล่านี้ได้ มีหลายคำถามท้าทายความคิดมากๆ แต่ก็ต้องยอมแพ้ในที่สุด

    ผู้เขียนพลิกชีวิตด้วยการใช้กตรรกะ(Logic)ต่างๆ แก้โจทย์ปัญหาเหล่านี้ในขณะที่ชีวิตของเขากำลังตกอับอย่างหนัก เขาเชื่อว่าการหัดแก้โจทน์ปัญหาแบบนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ชีวิตเขาประสบความสำเร็จภายในสามปีต่อมา

    คำถามมีระดับความยาก หนึ่งดาว ถึงระดับความยากห้าดาว และยังมีคำถามพิเศษที่มีความยากระดับห้าดาว บวกดาวเพิ่มไปอีก

    ยกตัวอย่างคำถามระดับสามดาว

    เบื้องหน้าของคุณมีทางแยก ทางหนึ่งไปสวรรค์ ทางหนึ่งไปนรก

    มีคนเฝ้าประตูสองคนอยู่ที่ทางแยก คนหนึ่งเป็น “เทวดาพูดความจริงเสมอ” กับอีกคนหนึ่งเป้น “ปีศาจที่โกหกเสมอ” ทั้งสองแปลงร่างเป็นยามหน้าตาเหมือนกันทุกประการ

    คำถาม
    ถ้าคุณถามสามารถถามคำถามที่ตอบว่า “ใช่” หรือ “ไม่ใช่” ได้เพียงคำถามเดียวเพื่อให้คนเฝ้าประตูสองคนนี้ตอบ คุณจะตั้งคำถามว่าอย่างไรเพื่อจะทราบทางไปสวรรค์ได้?
    ไต่ระดับสมองด้วยคำถามเชิงตรรกะ (2025/113) คำถามที่ชวนปวดหัว ปวดใจ มารวมอยู่ในหนังสือเล่มนี้แล้ว 555 เป็นคำถามเชิงตรรกะ 64 ข้อ ที่เป็นคำถามของบริษัทใหญ่ระดับโลกให้เป็นคำถามเพื่อให้ผู้สมัครเข้าทำงานในองค์กรของพวกเขาตอบเพื่อคัดเลือกเข้าทำงาน โดยคำถามที่ให้มามีข้อมูลน้อยมากๆ และต้องคิดเยอะมากๆ เพื่อจะแก้โจทย์ปัญหาเหล่านี้ได้ มีหลายคำถามท้าทายความคิดมากๆ แต่ก็ต้องยอมแพ้ในที่สุด ผู้เขียนพลิกชีวิตด้วยการใช้กตรรกะ(Logic)ต่างๆ แก้โจทย์ปัญหาเหล่านี้ในขณะที่ชีวิตของเขากำลังตกอับอย่างหนัก เขาเชื่อว่าการหัดแก้โจทน์ปัญหาแบบนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ชีวิตเขาประสบความสำเร็จภายในสามปีต่อมา คำถามมีระดับความยาก หนึ่งดาว ถึงระดับความยากห้าดาว และยังมีคำถามพิเศษที่มีความยากระดับห้าดาว บวกดาวเพิ่มไปอีก ยกตัวอย่างคำถามระดับสามดาว เบื้องหน้าของคุณมีทางแยก ทางหนึ่งไปสวรรค์ ทางหนึ่งไปนรก มีคนเฝ้าประตูสองคนอยู่ที่ทางแยก คนหนึ่งเป็น “เทวดาพูดความจริงเสมอ” กับอีกคนหนึ่งเป้น “ปีศาจที่โกหกเสมอ” ทั้งสองแปลงร่างเป็นยามหน้าตาเหมือนกันทุกประการ คำถาม ถ้าคุณถามสามารถถามคำถามที่ตอบว่า “ใช่” หรือ “ไม่ใช่” ได้เพียงคำถามเดียวเพื่อให้คนเฝ้าประตูสองคนนี้ตอบ คุณจะตั้งคำถามว่าอย่างไรเพื่อจะทราบทางไปสวรรค์ได้?
    0 Comments 0 Shares 9 Views 0 Reviews
  • รวมนิยาย YOASOBI วิ่งสู่ค่ำคืน (2025/114)

    ลูกหยงชอบ YOASOBI เมื่อลูกอยากอ่านหนังสือเล่มนี้ พอได้หนังสือมาลูกอ่านรวดเดียวจบภายในหนึ่งวัน แน่นอนว่าลูกหยงประทับใจมากและเข้าใจเนื้อหาของเพลงอย่างไม่มีข้อสงสัย

    ใครก็ตามที่เป็นแฟนเพลงของวง YOASOBI เมื่อได้อ่านหนังสือเล่มนี้จนจบ ก็จะสามารถเชื่อมโยงและตอบทุกข้อสงสัยทุกภาพที่เห็น , ทุกการเคลื่อนไหวใน MV , น้ำเสียง ikura , ที่มาของทำนองดนตรี , เนื้อร้อง และอารมณ์เพลง ในทั้งสี่เพลงดังของ YOASOBI ซึ่งได้แก่ Yoru ni Kakeru , Ano Yume wo Nazotte , Tabun และ Encore ในรูปแบบแบบสามเหลี่ยมสามประสาน คือ เพลง , Music Video และ นิยาย

    YOASOBI เป็นการรวมตัวของผู้ก่อตั้งที่เป็นโปรดิวเซอร์/นักดนตรีมือโปร Ayase กับนักร้องสาววัยเริ่มต้นเป็นผู้ใหญ่ ikura ทั้งสองอายุต่างกัน 25ปี โดยมีหลักการสร้างเพลงจากนิยาย ดังนั้นนิยายจึงเป็นอีกส่วนประกอบหลักในเพลงของ YOASOBI หลังจากได้ฟังเพลงแล้ว ดูMVแล้ว การได้อ่านหนังสือเล่มนี้เป็นการผสานทุกสิ่งเข้าหากัน

    YOASOBI คัดเลือกนิยายจำนวนมากเพื่อนำมาแต่งเพลง โดยนิยายสี่เรื่องนี้ได้รับคัดเลือกจากวงและนำมาแต่งเป็นเพลงด้วย การที่ได้อ่านนิยายพร้อมกับฟังเพลงและอ่านคำแปล(55) จะได้อรรถรสของการฟังเพลงในรูปแบบใหม่ แต่แน่นอนว่าทั้งการร้องและดนตรีที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาก็อยู่ในขั้นสุดยอดด้วย

    ท้ายเล่มมีบทสัมภาษณ์ของ Ayase และ ikura เพื่อทำให้ผู้อ่านรับรู้ถึงที่มาที่ไปของวงดนตรี และการสร้างสรรค์เพลงทั้งสี่เพลงนี้ขึ้นมา … FC ของ YOASOBI ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง

    #รวมนิยายYOASOBI #วิ่งสู่ค่ำคืน #รวมนิยาย #YOASOBI #รีวิวหนังสือ
    รวมนิยาย YOASOBI วิ่งสู่ค่ำคืน (2025/114) ลูกหยงชอบ YOASOBI เมื่อลูกอยากอ่านหนังสือเล่มนี้ พอได้หนังสือมาลูกอ่านรวดเดียวจบภายในหนึ่งวัน แน่นอนว่าลูกหยงประทับใจมากและเข้าใจเนื้อหาของเพลงอย่างไม่มีข้อสงสัย ใครก็ตามที่เป็นแฟนเพลงของวง YOASOBI เมื่อได้อ่านหนังสือเล่มนี้จนจบ ก็จะสามารถเชื่อมโยงและตอบทุกข้อสงสัยทุกภาพที่เห็น , ทุกการเคลื่อนไหวใน MV , น้ำเสียง ikura , ที่มาของทำนองดนตรี , เนื้อร้อง และอารมณ์เพลง ในทั้งสี่เพลงดังของ YOASOBI ซึ่งได้แก่ Yoru ni Kakeru , Ano Yume wo Nazotte , Tabun และ Encore ในรูปแบบแบบสามเหลี่ยมสามประสาน คือ เพลง , Music Video และ นิยาย YOASOBI เป็นการรวมตัวของผู้ก่อตั้งที่เป็นโปรดิวเซอร์/นักดนตรีมือโปร Ayase กับนักร้องสาววัยเริ่มต้นเป็นผู้ใหญ่ ikura ทั้งสองอายุต่างกัน 25ปี โดยมีหลักการสร้างเพลงจากนิยาย ดังนั้นนิยายจึงเป็นอีกส่วนประกอบหลักในเพลงของ YOASOBI หลังจากได้ฟังเพลงแล้ว ดูMVแล้ว การได้อ่านหนังสือเล่มนี้เป็นการผสานทุกสิ่งเข้าหากัน YOASOBI คัดเลือกนิยายจำนวนมากเพื่อนำมาแต่งเพลง โดยนิยายสี่เรื่องนี้ได้รับคัดเลือกจากวงและนำมาแต่งเป็นเพลงด้วย การที่ได้อ่านนิยายพร้อมกับฟังเพลงและอ่านคำแปล(55) จะได้อรรถรสของการฟังเพลงในรูปแบบใหม่ แต่แน่นอนว่าทั้งการร้องและดนตรีที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาก็อยู่ในขั้นสุดยอดด้วย ท้ายเล่มมีบทสัมภาษณ์ของ Ayase และ ikura เพื่อทำให้ผู้อ่านรับรู้ถึงที่มาที่ไปของวงดนตรี และการสร้างสรรค์เพลงทั้งสี่เพลงนี้ขึ้นมา … FC ของ YOASOBI ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง #รวมนิยายYOASOBI #วิ่งสู่ค่ำคืน #รวมนิยาย #YOASOBI #รีวิวหนังสือ
    0 Comments 0 Shares 9 Views 0 Reviews
  • วันหนึ่ง หลังจากที่ให้ยาคุมอาการ สามีกดออดมาที่ เคาน์เตอร์พยาบาล แจ้งว่า
    “คุณหมออยู่ตรงนั้นมั้ยครับ แม่อาร์มอยากกอดหมอ"

    ฉันเองก็งงๆ เพราะเป็นครั้งแรกที่คนไข้กดออดมาขอ

    กอด...

    แต่ก็เดินไป ไปถึงก็ยิ้มให้เหมือนทุกครั้งที่เจอกัน แล้วก็โน้มตัวลงกอดเธอที่นอนอยู่บนเตียง เธอกอดฉันอยู่พักหนึ่ง ฉันเมื่อยเอวมาก เลยขอยืดตัวขึ้นมา

    ขณะที่กอด ฉันสัมผัสได้ถึงความกลัว ทั้งๆ ที่ก่อนหน้าที่ได้คุยกันหลายครั้ง เรื่องการเตรียมตัวจากลา เธอมักบอก เสมอว่า เตรียมตัวมาแล้ว ถึงไม่พร้อม แต่เข้าใจ และไม่กลัว

    แต่วันนี้สิ่งที่ฉันรู้ผ่านสัมผัสนั้นคือผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลัง กลัวมากๆ เป็นธรรมดาที่เธอย่อมจะกลัว เป็นธรรมดามากๆ ที่คนหนึ่งจะกลัวความตาย และบ่อยครั้งที่คนเราไม่รู้ตัว ว่า เรากลัวความตาย ยิ่งเธอมีลูกที่ยังอยู่ในวัยเรียนนี้ ยิ่งเป็น เหตุหนึ่งที่ทำให้เธอกลัวการพลัดพรากนี้

    ฉันไม่ได้ถามเธอว่า เธอกลัวหรือ...เพราะรู้ว่าคงไม่มี ประโยชน์ และเป็นไปได้ว่า เธออาจจะตอบว่า “เธอไม่กลัว" อยู่ดี

    ฉันได้แต่บอกเธอว่า ฉันอยู่ตรงนี้ ฉันจะดูแล ไม่ทอดทิ้ง เธอ ฉันสัญญาว่า จะดูแลให้เธอสุขสบายที่สุดเท่าที่จะทำได้ และ ฉันจะคอยดูแลลูกของเธอต่อไปด้วย ถ้าหากสามีอยากปรึกษา อะไรก็สามารถทำได้เช่นกัน

    เธอยิ้มทั้งน้ำตา และขอบคุณฉัน…

    จากหนังสือ #บทสนทนาสุดท้าย #LastConversations
    วันหนึ่ง หลังจากที่ให้ยาคุมอาการ สามีกดออดมาที่ เคาน์เตอร์พยาบาล แจ้งว่า “คุณหมออยู่ตรงนั้นมั้ยครับ แม่อาร์มอยากกอดหมอ" ฉันเองก็งงๆ เพราะเป็นครั้งแรกที่คนไข้กดออดมาขอ กอด... แต่ก็เดินไป ไปถึงก็ยิ้มให้เหมือนทุกครั้งที่เจอกัน แล้วก็โน้มตัวลงกอดเธอที่นอนอยู่บนเตียง เธอกอดฉันอยู่พักหนึ่ง ฉันเมื่อยเอวมาก เลยขอยืดตัวขึ้นมา ขณะที่กอด ฉันสัมผัสได้ถึงความกลัว ทั้งๆ ที่ก่อนหน้าที่ได้คุยกันหลายครั้ง เรื่องการเตรียมตัวจากลา เธอมักบอก เสมอว่า เตรียมตัวมาแล้ว ถึงไม่พร้อม แต่เข้าใจ และไม่กลัว แต่วันนี้สิ่งที่ฉันรู้ผ่านสัมผัสนั้นคือผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลัง กลัวมากๆ เป็นธรรมดาที่เธอย่อมจะกลัว เป็นธรรมดามากๆ ที่คนหนึ่งจะกลัวความตาย และบ่อยครั้งที่คนเราไม่รู้ตัว ว่า เรากลัวความตาย ยิ่งเธอมีลูกที่ยังอยู่ในวัยเรียนนี้ ยิ่งเป็น เหตุหนึ่งที่ทำให้เธอกลัวการพลัดพรากนี้ ฉันไม่ได้ถามเธอว่า เธอกลัวหรือ...เพราะรู้ว่าคงไม่มี ประโยชน์ และเป็นไปได้ว่า เธออาจจะตอบว่า “เธอไม่กลัว" อยู่ดี ฉันได้แต่บอกเธอว่า ฉันอยู่ตรงนี้ ฉันจะดูแล ไม่ทอดทิ้ง เธอ ฉันสัญญาว่า จะดูแลให้เธอสุขสบายที่สุดเท่าที่จะทำได้ และ ฉันจะคอยดูแลลูกของเธอต่อไปด้วย ถ้าหากสามีอยากปรึกษา อะไรก็สามารถทำได้เช่นกัน เธอยิ้มทั้งน้ำตา และขอบคุณฉัน… จากหนังสือ #บทสนทนาสุดท้าย #LastConversations
    0 Comments 0 Shares 9 Views 0 Reviews
  • ผมนำนิสัยการกินอย่างพอประมาณของชาวโอกินาวามาใช้กับตัวเอง ใช้เวลาอยู่ราวสองสามเดือนในการเปลี่ยนนิสัยการกิน โดยระหว่างนั้นก็ใส่สายรัดข้อมือเพื่อเตือนตัวเองถึงกฎ "กินอิ่มแค่ 80 เปอร์เซ็นต์” ไปด้วย ซึ่งหลักๆแล้วก็เพื่อให้ตัวเองมีสติกับสิ่งที่กินและวิธีการกินนั่นเอง

    จงดูแลร่างกายของคุณด้วยความเคารพ มีความสุขกับอาหาร กับความอุดมสมบูรณ์ ทว่าในระดับพอประมาณเท่านั้น เพื่อที่คุณจะได้มีความสุขกับพวกมันไปได้นานๆ

    จากหนังสือ #สุขเลือกได้ #ChooseTheLifeYouWant
    ผมนำนิสัยการกินอย่างพอประมาณของชาวโอกินาวามาใช้กับตัวเอง ใช้เวลาอยู่ราวสองสามเดือนในการเปลี่ยนนิสัยการกิน โดยระหว่างนั้นก็ใส่สายรัดข้อมือเพื่อเตือนตัวเองถึงกฎ "กินอิ่มแค่ 80 เปอร์เซ็นต์” ไปด้วย ซึ่งหลักๆแล้วก็เพื่อให้ตัวเองมีสติกับสิ่งที่กินและวิธีการกินนั่นเอง จงดูแลร่างกายของคุณด้วยความเคารพ มีความสุขกับอาหาร กับความอุดมสมบูรณ์ ทว่าในระดับพอประมาณเท่านั้น เพื่อที่คุณจะได้มีความสุขกับพวกมันไปได้นานๆ จากหนังสือ #สุขเลือกได้ #ChooseTheLifeYouWant
    0 Comments 0 Shares 9 Views 0 Reviews
  • เรารู้สึกกลัวความจริง หรือเรารู้สึกกลัวความคิดเกี่ยวกับความจริง? เรากลัวสิ่งที่มันเป็นจริง หรือเรากลัวสิ่งที่เราคิดว่ามันเป็น? ยกตัวอย่าง เช่น ความตาย เรากลัวความตายหรือความคิดเรื่องความตาย? ความจริงเป็น อย่างหนึ่งและความคิดเรื่องความจริงนั้นเป็นอีกอย่างหนึ่ง เรากลัวคำว่าความตายหรือความจริงของความตาย? เพราะว่าเมื่อเรากลัวถ้อยคำ กลัวความคิด เราไม่มีวันที่จะเข้าใจความจริง เราจะไม่เคยมองความจริง เราจะไม่มีความสัมพันธ์โดยตรงกับความจริง ต่อเมื่อเราเชื่อมอย่างเป็นเนื้อเดียวอย่างสมบูรณ์ กับความจริงเท่านั้นที่ความกลัวจะสลายไป หากเราไม่เป็นเนื้อเดียวกับความจริง เมื่อนั้นความกลัวจะยังคงมีอยู่ และความเป็นหนึ่งเดียวกับความจริงย่อม เป็นไปไม่ได้ตราบเท่าที่เรายังมีความคิด ความเห็น ทฤษฎี เกี่ยวกับความจริง ดังนั้นเราจำเป็นต้องชัดเจนว่าเรากลัวถ้อยคำ ความคิด หรือความจริง เมื่อเรา เผชิญกับความจริงอย่างตรงไปตรงมา เราไม่มีอะไรที่จะต้องเข้าใจมัน ความจริงอยู่ตรงนั้น และเราจะสามารถอยู่กับมันได้ หากเรากลัวถ้อยคำ เราจะต้องเข้าใจถ้อยคำ เข้าไปสู่กระบวนการทั้งหมดของถ้อยคำหรือศัพท์ที่คำนั้นแสดง

    ความคิดเห็นของเรา ความคิดของเรา ประสบการณ์ของเรา ความรู้ของเราในเรื่องความจริงนั่นเองที่สร้างความกลัว ตราบเท่าที่มีการใช้คำพูดกับความจริง การตั้งชื่อให้กับความจริงและดังนั้นก็จะมีการกำหนดหรือตำหนิ และตราบใดความคิดยังเป็นตัวตัดสินความจริงในฐานะผู้สังเกต ตราบนั้น ความกลัวจะยังคงมีอยู่ ความคิดเป็นผลของอดีต มันมีชีวิตอยู่ได้เพราะการใช้ถ้อยคำ โดยสัญลักษณ์ โดยมโนภาพ ตราบเท่าที่ความคิดยังคงระลึกและเป็นล่ามให้แก่ความจริง ความกลัวจะยังคงอยู่

    จากหนังสือ #TheBookOfLife #แห่งอิสรภาพของชีวิต
    เรารู้สึกกลัวความจริง หรือเรารู้สึกกลัวความคิดเกี่ยวกับความจริง? เรากลัวสิ่งที่มันเป็นจริง หรือเรากลัวสิ่งที่เราคิดว่ามันเป็น? ยกตัวอย่าง เช่น ความตาย เรากลัวความตายหรือความคิดเรื่องความตาย? ความจริงเป็น อย่างหนึ่งและความคิดเรื่องความจริงนั้นเป็นอีกอย่างหนึ่ง เรากลัวคำว่าความตายหรือความจริงของความตาย? เพราะว่าเมื่อเรากลัวถ้อยคำ กลัวความคิด เราไม่มีวันที่จะเข้าใจความจริง เราจะไม่เคยมองความจริง เราจะไม่มีความสัมพันธ์โดยตรงกับความจริง ต่อเมื่อเราเชื่อมอย่างเป็นเนื้อเดียวอย่างสมบูรณ์ กับความจริงเท่านั้นที่ความกลัวจะสลายไป หากเราไม่เป็นเนื้อเดียวกับความจริง เมื่อนั้นความกลัวจะยังคงมีอยู่ และความเป็นหนึ่งเดียวกับความจริงย่อม เป็นไปไม่ได้ตราบเท่าที่เรายังมีความคิด ความเห็น ทฤษฎี เกี่ยวกับความจริง ดังนั้นเราจำเป็นต้องชัดเจนว่าเรากลัวถ้อยคำ ความคิด หรือความจริง เมื่อเรา เผชิญกับความจริงอย่างตรงไปตรงมา เราไม่มีอะไรที่จะต้องเข้าใจมัน ความจริงอยู่ตรงนั้น และเราจะสามารถอยู่กับมันได้ หากเรากลัวถ้อยคำ เราจะต้องเข้าใจถ้อยคำ เข้าไปสู่กระบวนการทั้งหมดของถ้อยคำหรือศัพท์ที่คำนั้นแสดง ความคิดเห็นของเรา ความคิดของเรา ประสบการณ์ของเรา ความรู้ของเราในเรื่องความจริงนั่นเองที่สร้างความกลัว ตราบเท่าที่มีการใช้คำพูดกับความจริง การตั้งชื่อให้กับความจริงและดังนั้นก็จะมีการกำหนดหรือตำหนิ และตราบใดความคิดยังเป็นตัวตัดสินความจริงในฐานะผู้สังเกต ตราบนั้น ความกลัวจะยังคงมีอยู่ ความคิดเป็นผลของอดีต มันมีชีวิตอยู่ได้เพราะการใช้ถ้อยคำ โดยสัญลักษณ์ โดยมโนภาพ ตราบเท่าที่ความคิดยังคงระลึกและเป็นล่ามให้แก่ความจริง ความกลัวจะยังคงอยู่ จากหนังสือ #TheBookOfLife #แห่งอิสรภาพของชีวิต
    0 Comments 0 Shares 10 Views 0 Reviews
  • การแสวงหาคือความโง่ เพราะเรากำลังแสวงหาสิ่งที่เรามีอยู่แล้ว การทำสมาธิเป็นเรื่องโง่ เพราะการทำสมาธิเป็นสภาวะของการไม่ทำอะไรเลย การถามเป็นเรื่องโง่เพราะคำตอบไม่อาจมาจากภายนอกได้ คำตอบต้อง มาจากหัวใจคุณเองเท่านั้น ความจริงแล้วสิ่งที่คุณต้องการรู้ไม่อาจมา ในรูปของคำตอบได้ แต่จะมาพร้อมกับการพัฒนาจิตใจจนเบ่งบาน เป็นการเบ่งบานออกมาจากจิตใจคุณเอง

    แต่ชั่วขณะที่คุณรู้สึกว่าคุณโง่อยู่นั้น คือปัญญาที่เกิดในชั่วขณะอันหาได้ยากยิ่ง คุณไม่อาจรู้สึกโง่ไปได้ตลอด มิฉะนั้นแล้วคุณจะเป็นผู้ที่ ตรัสรู้ ในธรรมเนียมปฏิบัติของเซน เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ทุกยุคและกับทุกอาจารย์ เมื่อใครบางคนเข้ามาบอกว่าเขาต้องการรู้วิธีเป็นพระพุทธเจ้า แล้วอาจารย์จะตีคนผู้นั้นแรงมาก เพราะนั่นเป็นคำถามที่โง่ แต่บางครั้งเหตุการณ์เช่นนี้ก็เกิดขึ้นได้ หากจิตใจเขาสุกงอม และใกล้จะบรรลุ การตีที่หวดลงไปครั้งแรกของอาจารย์ทำให้ใครคนนั้นรู้แจ้ง เขาสามารถเข้าใจจากการตีนั้นว่า การถามวิธีเป็นพระพุทธเจ้าคือเรื่องโง่เพราะเขาเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว!

    ในที่สุด สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นกับผู้แสวงหาทุกคนในระหว่างนั่ง สมาธิ คุณเห็นลำแสงวาบขึ้นมาโดยฉับพลัน และคุณเข้าใจว่านั่นเป็น เรื่องโง่ แต่นั่นคือปัญญาที่เกิดขึ้นในชั่วขณะอันหาได้ยากยิ่ง มีแต่ผู้มี ปัญญาเท่านั้นที่จะรู้สึกว่าตัวเองโง่ได้ คนโง่ไม่เคยรู้สึกว่าตนเองโง่ คนเหล่านั้นคิดว่าตัวเองฉลาด ในขณะที่คนฉลาดคือคนที่มาถึงจุดที่รู้ว่าทุกอย่างเป็นเรื่องโง่

    จากหนังสือ #Everyday #Osho #365วันมหัศจรรย์สมาธิ
    การแสวงหาคือความโง่ เพราะเรากำลังแสวงหาสิ่งที่เรามีอยู่แล้ว การทำสมาธิเป็นเรื่องโง่ เพราะการทำสมาธิเป็นสภาวะของการไม่ทำอะไรเลย การถามเป็นเรื่องโง่เพราะคำตอบไม่อาจมาจากภายนอกได้ คำตอบต้อง มาจากหัวใจคุณเองเท่านั้น ความจริงแล้วสิ่งที่คุณต้องการรู้ไม่อาจมา ในรูปของคำตอบได้ แต่จะมาพร้อมกับการพัฒนาจิตใจจนเบ่งบาน เป็นการเบ่งบานออกมาจากจิตใจคุณเอง แต่ชั่วขณะที่คุณรู้สึกว่าคุณโง่อยู่นั้น คือปัญญาที่เกิดในชั่วขณะอันหาได้ยากยิ่ง คุณไม่อาจรู้สึกโง่ไปได้ตลอด มิฉะนั้นแล้วคุณจะเป็นผู้ที่ ตรัสรู้ ในธรรมเนียมปฏิบัติของเซน เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ทุกยุคและกับทุกอาจารย์ เมื่อใครบางคนเข้ามาบอกว่าเขาต้องการรู้วิธีเป็นพระพุทธเจ้า แล้วอาจารย์จะตีคนผู้นั้นแรงมาก เพราะนั่นเป็นคำถามที่โง่ แต่บางครั้งเหตุการณ์เช่นนี้ก็เกิดขึ้นได้ หากจิตใจเขาสุกงอม และใกล้จะบรรลุ การตีที่หวดลงไปครั้งแรกของอาจารย์ทำให้ใครคนนั้นรู้แจ้ง เขาสามารถเข้าใจจากการตีนั้นว่า การถามวิธีเป็นพระพุทธเจ้าคือเรื่องโง่เพราะเขาเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว! ในที่สุด สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นกับผู้แสวงหาทุกคนในระหว่างนั่ง สมาธิ คุณเห็นลำแสงวาบขึ้นมาโดยฉับพลัน และคุณเข้าใจว่านั่นเป็น เรื่องโง่ แต่นั่นคือปัญญาที่เกิดขึ้นในชั่วขณะอันหาได้ยากยิ่ง มีแต่ผู้มี ปัญญาเท่านั้นที่จะรู้สึกว่าตัวเองโง่ได้ คนโง่ไม่เคยรู้สึกว่าตนเองโง่ คนเหล่านั้นคิดว่าตัวเองฉลาด ในขณะที่คนฉลาดคือคนที่มาถึงจุดที่รู้ว่าทุกอย่างเป็นเรื่องโง่ จากหนังสือ #Everyday #Osho #365วันมหัศจรรย์สมาธิ
    0 Comments 0 Shares 10 Views 0 Reviews
  • เป็นตัวเองในแบบที่ดีที่สุด How To Become The Best Version Of Yourself (2025/112)

    หนังสือเล่มบาง(120หน้า) ที่เขียนโดยนักบริหารและผู้ให้คำปรึกษาทางธุรกิจรุ่นเก๋า เขาประสบความสำเร็จใจชีวิตและการงาน เขียนหนังสือเพื่อออกจำหน่ายได้เกิน 100เล่ม และเขายังเคยเป็นมะเร็งปอดที่รักษาจนหายแล้ว

    เขาถ่ายทอดประสบการณ์ และยกตัวอย่างบุคคลผู้ประสบความสำเร็จชาวญี่ปุ่น มาอธิบายเพื่อยืนยันว่า ผู้อ่านควรพุ่งเป้าไปที่การเป็นตัวเองในแบบที่ดีที่สุด ซึ่งไม่ได้หมายถึงว่าต้องประสบความสำเร็จตามผู้อื่น แต่จงประสบความสำเร็จในแบบของตัวเอง

    เขาได้ปลุกฝังแนวคิดทั้งในรูปแบบของการเป็นลูกน้องที่ดี เป็นหัวหน้าที่เก่ง และเป็นผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จ มีคำหนึ่งที่ผู้เขียนใช้ในเล่มนี้บ่อยๆคือ Good เป็นอุปสรรคของ Great ซึ่งหมายความว่าถ้าผู้ใดพอในแค่ Good เขาคนนั้นจะไม่มีทางไปถึง Great ได้เลย

    #เป็นตัวเองในแบบที่ดีที่สุด #HowToBecomeTheBestVersionOfYourself #รีวิวหนังสือ
    เป็นตัวเองในแบบที่ดีที่สุด How To Become The Best Version Of Yourself (2025/112) หนังสือเล่มบาง(120หน้า) ที่เขียนโดยนักบริหารและผู้ให้คำปรึกษาทางธุรกิจรุ่นเก๋า เขาประสบความสำเร็จใจชีวิตและการงาน เขียนหนังสือเพื่อออกจำหน่ายได้เกิน 100เล่ม และเขายังเคยเป็นมะเร็งปอดที่รักษาจนหายแล้ว เขาถ่ายทอดประสบการณ์ และยกตัวอย่างบุคคลผู้ประสบความสำเร็จชาวญี่ปุ่น มาอธิบายเพื่อยืนยันว่า ผู้อ่านควรพุ่งเป้าไปที่การเป็นตัวเองในแบบที่ดีที่สุด ซึ่งไม่ได้หมายถึงว่าต้องประสบความสำเร็จตามผู้อื่น แต่จงประสบความสำเร็จในแบบของตัวเอง เขาได้ปลุกฝังแนวคิดทั้งในรูปแบบของการเป็นลูกน้องที่ดี เป็นหัวหน้าที่เก่ง และเป็นผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จ มีคำหนึ่งที่ผู้เขียนใช้ในเล่มนี้บ่อยๆคือ Good เป็นอุปสรรคของ Great ซึ่งหมายความว่าถ้าผู้ใดพอในแค่ Good เขาคนนั้นจะไม่มีทางไปถึง Great ได้เลย #เป็นตัวเองในแบบที่ดีที่สุด #HowToBecomeTheBestVersionOfYourself #รีวิวหนังสือ
    0 Comments 0 Shares 10 Views 0 Reviews
  • เมื่อหมอลิสเตอร์เดินทางมาถึงเขาก็ได้เรียนรู้ว่าเด็กชาย เจมส์โดนรถม้าเทียมเกวียนวิ่งทับไปบนขาด้านซ้าย หมอลิสเตอร์ จึงเริ่มสำรวจดูบาดแผลที่ขาของเด็กชาย ก่อนจะพบสิ่งที่เขากลัวมากที่สุดนั่นคือ กระดูกขาซ้ายของเจมส์หักร่วมกับมีบาดแผลเปิดที่ผิวหนัง การหักของกระดูกที่มีแผลเปิดออกสู่ภายนอกเช่นนี้ ปัจจุบันทางการแพทย์จะเรียกว่า กระดูกหักแบบแผลเปิด(open fracture) ที่เรียกว่า open เพราะอากาศสามารถผ่านแผล ที่เปิดนี้ลงไปถึงกระดูกที่หักได้และนั่นก็หมายถึงความเสี่ยงของ การติดเชื้อของกระดูกที่เพิ่มขึ้น สำหรับในยุคของหมอลิสเตอร์ที่ยังไม่มียาปฏิชีวนะใช้นั้น กระดูกหักเช่นนี้เกือบร้อยละร้อยจะตามมาด้วยแผลเน่าเป็นหนอง กระดูกติดเชื้อ ซึ่งวิธีรักษาเดียว ที่พอจะทำได้คือตัดขาข้างนั้นทิ้งไป แต่ใช่ว่าตัดขาแล้วทุกอย่างจะจบ เพราะหลังตัดขาเสร็จ โอกาสที่เด็กคนนี้จะมีการติดเชื้อในกระแสเลือดแล้วเสียชีวิตจะสูงถึง 50 เปอร์เซ็นต์ อย่าว่าแต่ตัดขาเลยครับ ยุคนั้นแค่ผ่าตัดปลายนิ้วเล็กๆโอกาสเสียชีวิต ก็จะอยู่ที่ประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์แล้ว ถึงขนาดหมอผ่าตัดคุยกันเองว่าผู้ป่วยที่ขึ้นเตียงผ่าตัดของเราโอกาสตายยังมากกว่า ส่งพวกเขาไปรบในสงครามเสียอีก

    จากหนังสือ #สงครามที่ไม่มีวันชนะ
    เมื่อหมอลิสเตอร์เดินทางมาถึงเขาก็ได้เรียนรู้ว่าเด็กชาย เจมส์โดนรถม้าเทียมเกวียนวิ่งทับไปบนขาด้านซ้าย หมอลิสเตอร์ จึงเริ่มสำรวจดูบาดแผลที่ขาของเด็กชาย ก่อนจะพบสิ่งที่เขากลัวมากที่สุดนั่นคือ กระดูกขาซ้ายของเจมส์หักร่วมกับมีบาดแผลเปิดที่ผิวหนัง การหักของกระดูกที่มีแผลเปิดออกสู่ภายนอกเช่นนี้ ปัจจุบันทางการแพทย์จะเรียกว่า กระดูกหักแบบแผลเปิด(open fracture) ที่เรียกว่า open เพราะอากาศสามารถผ่านแผล ที่เปิดนี้ลงไปถึงกระดูกที่หักได้และนั่นก็หมายถึงความเสี่ยงของ การติดเชื้อของกระดูกที่เพิ่มขึ้น สำหรับในยุคของหมอลิสเตอร์ที่ยังไม่มียาปฏิชีวนะใช้นั้น กระดูกหักเช่นนี้เกือบร้อยละร้อยจะตามมาด้วยแผลเน่าเป็นหนอง กระดูกติดเชื้อ ซึ่งวิธีรักษาเดียว ที่พอจะทำได้คือตัดขาข้างนั้นทิ้งไป แต่ใช่ว่าตัดขาแล้วทุกอย่างจะจบ เพราะหลังตัดขาเสร็จ โอกาสที่เด็กคนนี้จะมีการติดเชื้อในกระแสเลือดแล้วเสียชีวิตจะสูงถึง 50 เปอร์เซ็นต์ อย่าว่าแต่ตัดขาเลยครับ ยุคนั้นแค่ผ่าตัดปลายนิ้วเล็กๆโอกาสเสียชีวิต ก็จะอยู่ที่ประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์แล้ว ถึงขนาดหมอผ่าตัดคุยกันเองว่าผู้ป่วยที่ขึ้นเตียงผ่าตัดของเราโอกาสตายยังมากกว่า ส่งพวกเขาไปรบในสงครามเสียอีก จากหนังสือ #สงครามที่ไม่มีวันชนะ
    0 Comments 0 Shares 13 Views 0 Reviews
  • ต้นมะเดื่อ(fig tree) และพวกแตนมะเดื่อ(fig wasp) แบ่งปันความสัมพันธ์แบบร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด ลูกมะเดื่อที่คุณกินจริงๆแล้วไม่ใช่ผลของมัน ตรงปลายของลูกจะมีรูเล็กๆและถ้าคุณเข้าไปในรูนี้ (ซึ่งคุณต้องมีขนาดเล็กเท่ากับตัวแตนมะเดื่อจึงจะทำเช่นนั้นได้ เล็กจิ๋วเลยทีเดียวและโชคดีว่ามันเล็กเสียจน คุณไม่สังเกตเห็นเวลากินลูกมะเดื่อ) คุณจะพบดอกไม้เล็กๆหลายร้อยดอกเรียงอยู่ตามผนังด้านใน ผลมะเดื่อเป็นเสมือนเรือนปลูกไม้ในร่มที่มืดมิดสำหรับดอกไม้เหล่านั้น มัน เหมือนกับห้องผสมเกสรดอกไม้ในร่ม และตัวแทนเพียงตัวเดียวที่สามารถผสมเกสรเหล่านั้น ได้ก็คือแตนมะเดื่อต้นไม้จึงได้รับประโยชน์จากการเก็บแตนเอาไว้ แต่จะมีประโยชน์อะไรสำหรับตัวแตน? มันวางไข่ไว้ในดอกไม้เล็กๆ พวกนั้นบางดอกเพื่อให้หนอนที่ฟักออกมาได้กิน แล้วค่อยผสมเกสรของดอกอื่นๆภายในลูกมะเดื่อ “การทรยศ” สำหรับพวกแตนจึงหมายถึงการวางไข่ไว้ในดอกไม้ในลูกมะเดื่อหลายดอกเกินไปและผสมเกสรน้อยเกินไปด้วย แต่ต้นมะเดื่อต้องทำอย่างไรจึงจะ "ตอบโต้” ได้? แอ็กเซลร็อดและแฮมิลตันคิดว่า มีหลายครั้งที่กลายเป็นว่า ถ้าตัวแตนเข้าไปในลูกมะเดื่ออ่อนๆ แล้วไม่ผสมเกสรดอกไม้ให้มากพอสำหรับการเกิดเมล็ด กลับเอาแต่วางไข่ในดอกไม้เกือบทุกดอกแทน ต้นไม้จะปล่อยให้ลูกมะเดื่อที่กำลังเจริญเติบโตอยู่นั้นร่วงหล่นตั้งแต่ยังอ่อนๆและลูกหลานทั้งหมดของแตนตัวนั้นก็จะตาย”

    จากหนังสือ #TheSelfishGene #ยีนเห็นแก่ตัว
    ต้นมะเดื่อ(fig tree) และพวกแตนมะเดื่อ(fig wasp) แบ่งปันความสัมพันธ์แบบร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด ลูกมะเดื่อที่คุณกินจริงๆแล้วไม่ใช่ผลของมัน ตรงปลายของลูกจะมีรูเล็กๆและถ้าคุณเข้าไปในรูนี้ (ซึ่งคุณต้องมีขนาดเล็กเท่ากับตัวแตนมะเดื่อจึงจะทำเช่นนั้นได้ เล็กจิ๋วเลยทีเดียวและโชคดีว่ามันเล็กเสียจน คุณไม่สังเกตเห็นเวลากินลูกมะเดื่อ) คุณจะพบดอกไม้เล็กๆหลายร้อยดอกเรียงอยู่ตามผนังด้านใน ผลมะเดื่อเป็นเสมือนเรือนปลูกไม้ในร่มที่มืดมิดสำหรับดอกไม้เหล่านั้น มัน เหมือนกับห้องผสมเกสรดอกไม้ในร่ม และตัวแทนเพียงตัวเดียวที่สามารถผสมเกสรเหล่านั้น ได้ก็คือแตนมะเดื่อต้นไม้จึงได้รับประโยชน์จากการเก็บแตนเอาไว้ แต่จะมีประโยชน์อะไรสำหรับตัวแตน? มันวางไข่ไว้ในดอกไม้เล็กๆ พวกนั้นบางดอกเพื่อให้หนอนที่ฟักออกมาได้กิน แล้วค่อยผสมเกสรของดอกอื่นๆภายในลูกมะเดื่อ “การทรยศ” สำหรับพวกแตนจึงหมายถึงการวางไข่ไว้ในดอกไม้ในลูกมะเดื่อหลายดอกเกินไปและผสมเกสรน้อยเกินไปด้วย แต่ต้นมะเดื่อต้องทำอย่างไรจึงจะ "ตอบโต้” ได้? แอ็กเซลร็อดและแฮมิลตันคิดว่า มีหลายครั้งที่กลายเป็นว่า ถ้าตัวแตนเข้าไปในลูกมะเดื่ออ่อนๆ แล้วไม่ผสมเกสรดอกไม้ให้มากพอสำหรับการเกิดเมล็ด กลับเอาแต่วางไข่ในดอกไม้เกือบทุกดอกแทน ต้นไม้จะปล่อยให้ลูกมะเดื่อที่กำลังเจริญเติบโตอยู่นั้นร่วงหล่นตั้งแต่ยังอ่อนๆและลูกหลานทั้งหมดของแตนตัวนั้นก็จะตาย” จากหนังสือ #TheSelfishGene #ยีนเห็นแก่ตัว
    0 Comments 0 Shares 13 Views 0 Reviews
More Stories