อ่านหนังสือกัน
อ่านหนังสือกัน
ชักชวนกันอ่านหนังสือ หนังสือไม่ว่าจะเป็นแนวไหนล้วนมีประโยชน์
  • กลุ่มสาธารณะ
  • 454 โพสต์
  • 88 รูปภาพ
  • 0 วิดีโอ
  • 0 รีวิว
  • ไลฟ์สไตล์
อัปเดตล่าสุด
  • ในอดีตเมื่อ 40 ปีก่อน ญี่ปุ่นถือว่าได้เปรียบในด้านต้นทุนการผลิต ทำให้บริษัทญี่ปุ่นเติบโตอย่าง รวดเร็วพร้อมกับสินค้าที่มีคุณภาพด้านเทคโนโลยี โดยในช่วง 30 กว่าปีที่ผ่านมาญี่ปุ่นได้นำเอาการบริหาร จัดการพร้อมเทคโนโลยีใหม่ๆ ไปลงทุนในประเทศต่างๆ จึงทำให้บริษัทญี่ปุ่นยังคงสามารถรักษาความเป็นผู้นำ ทางเศรษฐกิจได้มาถึงทุกวันนี้

    จากหนังสือ #ชีวิตวัย70วิกรมกรมดิษฐ์
    ในอดีตเมื่อ 40 ปีก่อน ญี่ปุ่นถือว่าได้เปรียบในด้านต้นทุนการผลิต ทำให้บริษัทญี่ปุ่นเติบโตอย่าง รวดเร็วพร้อมกับสินค้าที่มีคุณภาพด้านเทคโนโลยี โดยในช่วง 30 กว่าปีที่ผ่านมาญี่ปุ่นได้นำเอาการบริหาร จัดการพร้อมเทคโนโลยีใหม่ๆ ไปลงทุนในประเทศต่างๆ จึงทำให้บริษัทญี่ปุ่นยังคงสามารถรักษาความเป็นผู้นำ ทางเศรษฐกิจได้มาถึงทุกวันนี้ จากหนังสือ #ชีวิตวัย70วิกรมกรมดิษฐ์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2 มุมมอง 0 รีวิว
  • ให้แยกแยะระหว่าง "พรสวรรค์" ที่มีมา ตามธรรมชาติออกจาก “สิ่งที่สามารถเรียนเพิ่มเติมได้


    เราสามารถเรียนรู้ฝึกฝนสิ่งไม่ชำนาญแล้วทำได้ดีขึ้น แต่สิ่งนั้นไม่ใช่จุดแข็งของเราอยู่ดี เพราะพรสวรรค์เป็นสิ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด หรือก่อร่างมาตั้งแต่ในวัยเด็กกระทั่งกลายมาเป็นตัวเราที่แตกต่างจากคนอื่น เช่น เพื่อนบางคนสามารถทักทายคนที่เพิ่งเจอกันราวสนิทสนมมาสามสิบปี ซึ่งสำหรับเราเป็นเรื่องยากมาก ความสามารถนี้เกิดจากนิสัยส่วนตัว เกิดจากการทำซ้ำๆตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก เกิดจากสภาพแวดล้อมต่างๆ นานาที่ทำให้คนคนหนึ่งปฏิบัติได้ไหลลื่นและเป็นธรรมชาติ เพื่อนคนนี้อาจเหมาะกับอาชีพพนักงานขายหรือ อาชีพที่ต้องสร้างสัมพันธ์กับลูกค้า เขาจะทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ และมีความสุขมาก ในแบบที่คนฝึกมาก็ทำไม่ได้

    จากหนังสือ #ความลับของความสุข
    ให้แยกแยะระหว่าง "พรสวรรค์" ที่มีมา ตามธรรมชาติออกจาก “สิ่งที่สามารถเรียนเพิ่มเติมได้ เราสามารถเรียนรู้ฝึกฝนสิ่งไม่ชำนาญแล้วทำได้ดีขึ้น แต่สิ่งนั้นไม่ใช่จุดแข็งของเราอยู่ดี เพราะพรสวรรค์เป็นสิ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด หรือก่อร่างมาตั้งแต่ในวัยเด็กกระทั่งกลายมาเป็นตัวเราที่แตกต่างจากคนอื่น เช่น เพื่อนบางคนสามารถทักทายคนที่เพิ่งเจอกันราวสนิทสนมมาสามสิบปี ซึ่งสำหรับเราเป็นเรื่องยากมาก ความสามารถนี้เกิดจากนิสัยส่วนตัว เกิดจากการทำซ้ำๆตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก เกิดจากสภาพแวดล้อมต่างๆ นานาที่ทำให้คนคนหนึ่งปฏิบัติได้ไหลลื่นและเป็นธรรมชาติ เพื่อนคนนี้อาจเหมาะกับอาชีพพนักงานขายหรือ อาชีพที่ต้องสร้างสัมพันธ์กับลูกค้า เขาจะทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ และมีความสุขมาก ในแบบที่คนฝึกมาก็ทำไม่ได้ จากหนังสือ #ความลับของความสุข
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อประเทศอ่อนแอ ประเทศที่เป็นปฏิปักษ์ก็จะใช้ประโยชน์จากจุดอ่อน ของประเทศนั้นเพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์ ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ และสหราช อาณาจักรล้วนมีอาณานิคมในเอเชีย ด้วยการต่อสู้ในยุโรปที่ยืดเยื้อ พวกเขาไม่ สามารถป้องกันตนเองจากญี่ปุ่นได้ เริ่มต้นตั้งแต่เดือนกันยายน 1940 ญี่ปุ่นได้ รุกรานอาณานิคมหลายแห่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเริ่มจากอินโดจีนของ ฝรั่งเศส โดยผนวกเพิ่มพื้นส่วนที่เรียกว่าเขตทรัพยากรทางใต้เข้าไปในขอบเขต ความเจริญรุ่งเรืองร่วมของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ (Greater Cast Asia Co-Prosperity Sphere) ในปี 1941 ญี่ปุ่นเข้ายึดน้ำมันสำรองในหมู่เกาะ อินเดียตะวันออกของเนเธอร์แลนด์


    การขยายอาณาเขตของญี่ปุ่นนี้เป็นภัยคุกคามต่อความทะเยอทะยานของ สหรัฐฯ ในพื้นที่คาบสมุทรแปซิฟิก ในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม 1941 รูสเวลต์ตอบได้ด้วยการอายัดทรัพย์สินของญี่ปุ่นทั้งหมดในสหรัฐอเมริกา ปิดเส้นทางคลอง ปานามาที่ไปสู่เรือญี่ปุ่น และห้ามส่งออกน้ำมันและก๊าซไปยังญี่ปุ่น การดำเนินการ นี้ลดการค้าลงไปสามในสี่และสัดส่วนน้ำมัน 80% ของญี่ปุ่น ญี่ปุ่นคำนวณแล้วว่า น้ำมันจะหมดภายในสองปี ทำให้ญี่ปุ่นอยู่ในจุดที่ต้องเลือกระหว่างการถอยหรือ บุกโจมตีสหรัฐฯ

    จากหนังสือ #TheChangingWorldOrder
    เมื่อประเทศอ่อนแอ ประเทศที่เป็นปฏิปักษ์ก็จะใช้ประโยชน์จากจุดอ่อน ของประเทศนั้นเพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์ ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ และสหราช อาณาจักรล้วนมีอาณานิคมในเอเชีย ด้วยการต่อสู้ในยุโรปที่ยืดเยื้อ พวกเขาไม่ สามารถป้องกันตนเองจากญี่ปุ่นได้ เริ่มต้นตั้งแต่เดือนกันยายน 1940 ญี่ปุ่นได้ รุกรานอาณานิคมหลายแห่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเริ่มจากอินโดจีนของ ฝรั่งเศส โดยผนวกเพิ่มพื้นส่วนที่เรียกว่าเขตทรัพยากรทางใต้เข้าไปในขอบเขต ความเจริญรุ่งเรืองร่วมของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ (Greater Cast Asia Co-Prosperity Sphere) ในปี 1941 ญี่ปุ่นเข้ายึดน้ำมันสำรองในหมู่เกาะ อินเดียตะวันออกของเนเธอร์แลนด์ การขยายอาณาเขตของญี่ปุ่นนี้เป็นภัยคุกคามต่อความทะเยอทะยานของ สหรัฐฯ ในพื้นที่คาบสมุทรแปซิฟิก ในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม 1941 รูสเวลต์ตอบได้ด้วยการอายัดทรัพย์สินของญี่ปุ่นทั้งหมดในสหรัฐอเมริกา ปิดเส้นทางคลอง ปานามาที่ไปสู่เรือญี่ปุ่น และห้ามส่งออกน้ำมันและก๊าซไปยังญี่ปุ่น การดำเนินการ นี้ลดการค้าลงไปสามในสี่และสัดส่วนน้ำมัน 80% ของญี่ปุ่น ญี่ปุ่นคำนวณแล้วว่า น้ำมันจะหมดภายในสองปี ทำให้ญี่ปุ่นอยู่ในจุดที่ต้องเลือกระหว่างการถอยหรือ บุกโจมตีสหรัฐฯ จากหนังสือ #TheChangingWorldOrder
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2 มุมมอง 0 รีวิว
  • "จะมีอะไรยอดเยี่ยมกว่านี้อีกไหมหนอ มีคนชวนฉันไปทำงานที่ใหม่ ถ้าตกลงไปฉันจะได้เจอคนหน้าใหม่ ๆ ได้เรียนรู้วิธีทำงานแบบใหม่ ๆ ได้สัมผัสบรรยากาศการทำงานที่เป็นคนละเรื่องกับที่นี่เลยและได้สัมผัสประสบการณ์ที่กว้างไกลไปกว่าเดิม ถ้ามีอะไรไม่เข้าเค้าเกิดขึ้น ฉันก็เชื่อว่าจะจัดการมันได้แน่ๆ แม้ตลาดแรงงานจะเงียบเหงาอยู่ไม่น้อย แต่ฉัน ก็มั่นใจว่าคงหางานใหม่ได้อยู่แล้ว ถ้าถึงคราวต้องทำจริงๆ แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้นฉันก็จะถือว่ามันเป็นประสบการณ์ที่น่าสนใจ เพราะจะได้เรียนรู้ วิธีรับมือกับการตกงาน และหัดแก้ปัญหาที่อาจผุดขึ้นมาถ้าเกิดต้อง ว่างงานขึ้นมาจริงๆ ถ้าอยู่ต่อ ฉันจะมีโอกาสผูกสัมพันธ์กับผู้คนให้แนบแน่นขึ้นไปอีก ฉันรู้สึกว่าตัวเองก็มีดีอยู่เหมือนกัน ถึงมีคนมาชวนไปทำงานที่ใหม่ ดังนั้นถ้าอยู่ต่อฉันจะขอให้เขาเลื่อนตำแหน่งให้ ถ้ามันต้องคว้าน้ำเหลวไม่ว่าจะมาจากเหตุอันใด มันก็ยังมีโอกาสทองอย่างอื่น ให้ไล่คว้าอยู่อีกตั้งหลายอย่าง ไม่ว่าจะไปซ้ายหรือขวามันก็มีแต่เรื่องน่าตื่นเต้นทั้งนั้นเลย
    กุญแจสำคัญที่จะเปิดโอกาสให้คุณลองทำเรื่องเสี่ยงๆ ในแง่ดีซึ่งจะทำให้รู้สึกดีกับตัวเองนั้นก็คือ การรู้ว่าคุณจะจัดการทุกสิ่ง ที่ต้องเจอในชีวิตได้อย่างแน่นอน

    จากหนังสือ #วิธีเปลี่ยนความกลัวที่มีอยู่ในใจ
    "จะมีอะไรยอดเยี่ยมกว่านี้อีกไหมหนอ มีคนชวนฉันไปทำงานที่ใหม่ ถ้าตกลงไปฉันจะได้เจอคนหน้าใหม่ ๆ ได้เรียนรู้วิธีทำงานแบบใหม่ ๆ ได้สัมผัสบรรยากาศการทำงานที่เป็นคนละเรื่องกับที่นี่เลยและได้สัมผัสประสบการณ์ที่กว้างไกลไปกว่าเดิม ถ้ามีอะไรไม่เข้าเค้าเกิดขึ้น ฉันก็เชื่อว่าจะจัดการมันได้แน่ๆ แม้ตลาดแรงงานจะเงียบเหงาอยู่ไม่น้อย แต่ฉัน ก็มั่นใจว่าคงหางานใหม่ได้อยู่แล้ว ถ้าถึงคราวต้องทำจริงๆ แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้นฉันก็จะถือว่ามันเป็นประสบการณ์ที่น่าสนใจ เพราะจะได้เรียนรู้ วิธีรับมือกับการตกงาน และหัดแก้ปัญหาที่อาจผุดขึ้นมาถ้าเกิดต้อง ว่างงานขึ้นมาจริงๆ ถ้าอยู่ต่อ ฉันจะมีโอกาสผูกสัมพันธ์กับผู้คนให้แนบแน่นขึ้นไปอีก ฉันรู้สึกว่าตัวเองก็มีดีอยู่เหมือนกัน ถึงมีคนมาชวนไปทำงานที่ใหม่ ดังนั้นถ้าอยู่ต่อฉันจะขอให้เขาเลื่อนตำแหน่งให้ ถ้ามันต้องคว้าน้ำเหลวไม่ว่าจะมาจากเหตุอันใด มันก็ยังมีโอกาสทองอย่างอื่น ให้ไล่คว้าอยู่อีกตั้งหลายอย่าง ไม่ว่าจะไปซ้ายหรือขวามันก็มีแต่เรื่องน่าตื่นเต้นทั้งนั้นเลย กุญแจสำคัญที่จะเปิดโอกาสให้คุณลองทำเรื่องเสี่ยงๆ ในแง่ดีซึ่งจะทำให้รู้สึกดีกับตัวเองนั้นก็คือ การรู้ว่าคุณจะจัดการทุกสิ่ง ที่ต้องเจอในชีวิตได้อย่างแน่นอน จากหนังสือ #วิธีเปลี่ยนความกลัวที่มีอยู่ในใจ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 4 มุมมอง 0 รีวิว
  • บางบทเพลงที่หลายๆ คนฟังว่าไพเราะซาบซึ้งถึงหัวใจ กลับมีคำสาปผนึกไว้กับคนเดียวที่อยากให้ยอมรับแต่เขาหรือเธอไม่อยากรับไว้ สาปไว้ให้อยู่ก้ำกึ่ง ชื่นชมพอใจก็ไม่อาจเต็มที่ จะทุกข์ขื่นขมใจก็ไปไม่สุด ออกตึงๆชาๆ ตกอยู่ในภาวะสิ้นยินดี
    ทุกข์ขมที่ผมเคยทำไว้กับคุณ ตอนนี้คุณครอบครองไว้เป็นเจ้าของแต่ผู้เดียว ไม่อาจทุกข์เท่าคุณหรือมากกว่าได้ ล่องลอยอยู่ในความน้อยกว่าที่ไม่อาจไม่อนุญาตตนเองลอยเข้าไปหาความสุขและการยอมรับ ถ้าผมเผลอมีความสุขก็เหมือนผมทอดทิ้งคุณไป ทอดทิ้งคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่ในวิญญาณตนเอง

    จากหนังสือ #SongStruck
    บางบทเพลงที่หลายๆ คนฟังว่าไพเราะซาบซึ้งถึงหัวใจ กลับมีคำสาปผนึกไว้กับคนเดียวที่อยากให้ยอมรับแต่เขาหรือเธอไม่อยากรับไว้ สาปไว้ให้อยู่ก้ำกึ่ง ชื่นชมพอใจก็ไม่อาจเต็มที่ จะทุกข์ขื่นขมใจก็ไปไม่สุด ออกตึงๆชาๆ ตกอยู่ในภาวะสิ้นยินดี ทุกข์ขมที่ผมเคยทำไว้กับคุณ ตอนนี้คุณครอบครองไว้เป็นเจ้าของแต่ผู้เดียว ไม่อาจทุกข์เท่าคุณหรือมากกว่าได้ ล่องลอยอยู่ในความน้อยกว่าที่ไม่อาจไม่อนุญาตตนเองลอยเข้าไปหาความสุขและการยอมรับ ถ้าผมเผลอมีความสุขก็เหมือนผมทอดทิ้งคุณไป ทอดทิ้งคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่ในวิญญาณตนเอง จากหนังสือ #SongStruck
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 5 มุมมอง 0 รีวิว
  • สินค้ากลุ่มแม่และเด็กเป็นสินค้าอีกกลุ่มหนึ่งที่ยังคงเป็นที่ต้องการ ของตลาดในระดับที่ค่อนข้างสูง แม้ในปัจจุบันจะมีข้อมูลอัตราการ เกิดของประชากรที่ลดลงในทุกปี

    ทว่าเมื่อเป็นเรื่องของเด็ก หลายๆ ครอบครัวก็ยังคงให้ความสําคัญ ในทุกด้านมากเป็นอันดับต้น ๆ

    ดังนั้นธุรกิจในกลุ่มสินค้าแม่และเด็กจึงเป็นธุรกิจ ยังคงมีโอกาสเติบโตเช่นเดิม
    เพราะเด็กคือแก้วตาดวงใจของครอบครัวเกือบทุกบ้านจึงเน้น คุณภาพของสินค้าและบริการเกี่ยวกับเด็กมาเป็นอันดับ 1 เข้าทำนองที่ว่าพ่อแม่ประหยัดได้ แต่กับลูกคือต้องไปให้สุด ความคาดหวังเกี่ยวกับสินค้าแม่และเด็กๆ

    หลายครอบครัวจึงมุ่งเน้นไปที่สินค้านั้น เสริมสร้างพัฒนาการให้แก่เด็กอย่างดี พร้อมๆกับทีต้องมีความปลอดภัยเป็นอันดับแรก

    จากหนังสือ #วิธีดูดเงินจากกระเป๋าลูกค้าด้วยวิชาContent
    สินค้ากลุ่มแม่และเด็กเป็นสินค้าอีกกลุ่มหนึ่งที่ยังคงเป็นที่ต้องการ ของตลาดในระดับที่ค่อนข้างสูง แม้ในปัจจุบันจะมีข้อมูลอัตราการ เกิดของประชากรที่ลดลงในทุกปี ทว่าเมื่อเป็นเรื่องของเด็ก หลายๆ ครอบครัวก็ยังคงให้ความสําคัญ ในทุกด้านมากเป็นอันดับต้น ๆ ดังนั้นธุรกิจในกลุ่มสินค้าแม่และเด็กจึงเป็นธุรกิจ ยังคงมีโอกาสเติบโตเช่นเดิม เพราะเด็กคือแก้วตาดวงใจของครอบครัวเกือบทุกบ้านจึงเน้น คุณภาพของสินค้าและบริการเกี่ยวกับเด็กมาเป็นอันดับ 1 เข้าทำนองที่ว่าพ่อแม่ประหยัดได้ แต่กับลูกคือต้องไปให้สุด ความคาดหวังเกี่ยวกับสินค้าแม่และเด็กๆ หลายครอบครัวจึงมุ่งเน้นไปที่สินค้านั้น เสริมสร้างพัฒนาการให้แก่เด็กอย่างดี พร้อมๆกับทีต้องมีความปลอดภัยเป็นอันดับแรก จากหนังสือ #วิธีดูดเงินจากกระเป๋าลูกค้าด้วยวิชาContent
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 5 มุมมอง 0 รีวิว
  • What Work ออกแบบเพื่อเท่าเทียม (2025/039)


    เป็นหนังสือวิชาการที่มีเนื้อหาเพื่อแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำระหว่างชายและหญิง โดยนักวิชาการจากฮาร์วาร์ด เธอใช้งานทางด้านจิตวิทยาและนำงานวิจัยทั่วโลก เพื่อหาวิธีการแก้ไขปัญหาการเหลื่อมล้ำนี้ ด้วยการออกแบบ การออกแบบที่ว่านี้ก็คือการออกแบบกฎเกณฑ์หรือกฎหมายที่ไม่เชิงเป็นการบังคับให้ลดอำนาจของฝ่ายเพศชายลงแต่เป็นการออกกฎเพื่อให้เพศหญิงมีส่วนร่วมเพิ่มเติมขึ้นมา

    แน่นอนว่าเริ่มต้นผู้เขียนต้องชี้ให้เห็นความเหลื่อมล้ำระหว่างเพศชายและหญิงเสียก่อน ซึ่งมีความเหลื่อมล้ำมานานและมีอยู่ทุกแห่ง ซึ่งเกิดจากการความเคยชินที่ฝังลึกและมีอคติหลายเรื่องมาเกี่ยวข้อง ซึ่งการปรับเปลี่ยนทันทีทำได้ยากมาก

    ต่อมาผู้เขียนนำเอางานวิจัยมากมาย เพื่อโต้แย้งความเคยชินที่เกิดขึ้น เช่น ผู้หญิงคำนวณไม่เก่ง , ผู้หญิงไม่กล้าตัดสินใจ , ผู้หญิงเป็นผู้นำไม่ได้ , ผู้หญิงต้องได้รับเงินเดือนน้อยกว่าผู้ชาย เป็นต้น ซึ่งในความเป็นจริงแล้วถึงแม้ผู้หญิงจะมีความกล้าตัดสินใจน้อยกว่าผู้ชาย โดยที่ผู้เขียนบอกว่ามีส่วนของฮอร์โมนเพศที่ต่างกัน แต่ถ้าผู้หญิงอยู่ในสถานการณ์ที่เหมาะสมพวกเธอจะมีความกล้าตัดสินใจเทียบเท่ากับผู้ชายเลยทีเดียว ส่วนในเรื่องอื่นๆ ผู้หญิงเก่งเทียบเท่ากับผู้ชายได้

    ผู้เขียนจึงนำเสนอหาวิธีออกแบบ ทางพฤติกรรมหรือทางจิตวิทยา มาสร้างกฎระเบียบและค่อยๆปรับปรุงให้เพศหญิงเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น ตัวอย่างเช่นที่ประเทศอินเดีย มีกฎหมายให้มีเพศหญิงเข้าดำรงตำแหน่งในสภาพอย่างน้อย 30% ซึ่งพอเกิดกฎหมายนี้ขึ้น ทำให้ในองค์กรการปกครองในส่วนที่เป็นท้องถิ่น ไปจนถึงในระดับหมู่บ้าน มีส่วนผู้หญิงเข้าร่วมมากขึ้น ในคนที่ไม่ค่อยกล้าแสดงออกแต่มีความสามารถสูง ก็เกิดความกล้าที่จะเข้ามาสมัครรับเลือกตั้ง จนเกิดผู้หญิงชาวอินเดียที่มีความสามารถโดดเด่นอยู่ในแวดวงการเมืองมากมาย ผลกระทบต่อมาคือเด็กๆที่เป็นผู้หญิงได้รับโอกาสจากคุณพ่อคุณแม่อนุญาติให้เรียนต่อในระดับสูงขึ้นจากเดิม เด็กหญิงบางคนถึงกับบอกกับคุณพ่อคุณแม่ว่าเธออยากเป็นนักการเมือง นี่เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดในการลดความเหลื่อมล้ำระหว่างเพศชายและเพศหญิงได้

    การที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ทำให้เราเองลดความลำเอียงจากอคติที่เป็นความเคยชินมาแต่ก่อนและการได้รับข้อมูลโดยไม่พิจารณาเลยว่าแท้จริงแล้วเพศหญิงมีความสามารถไม่แตกต่างกับเพศชายเลย เพียงแต่ลดอคติลงและมองด้วยความเป็นกลางก็จะเห็นความสามารถของพวกเธอ

    #WhatWork #ออกแบบเพื่อเท่าเทียม #รีวิวหนังสือ
    What Work ออกแบบเพื่อเท่าเทียม (2025/039) เป็นหนังสือวิชาการที่มีเนื้อหาเพื่อแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำระหว่างชายและหญิง โดยนักวิชาการจากฮาร์วาร์ด เธอใช้งานทางด้านจิตวิทยาและนำงานวิจัยทั่วโลก เพื่อหาวิธีการแก้ไขปัญหาการเหลื่อมล้ำนี้ ด้วยการออกแบบ การออกแบบที่ว่านี้ก็คือการออกแบบกฎเกณฑ์หรือกฎหมายที่ไม่เชิงเป็นการบังคับให้ลดอำนาจของฝ่ายเพศชายลงแต่เป็นการออกกฎเพื่อให้เพศหญิงมีส่วนร่วมเพิ่มเติมขึ้นมา แน่นอนว่าเริ่มต้นผู้เขียนต้องชี้ให้เห็นความเหลื่อมล้ำระหว่างเพศชายและหญิงเสียก่อน ซึ่งมีความเหลื่อมล้ำมานานและมีอยู่ทุกแห่ง ซึ่งเกิดจากการความเคยชินที่ฝังลึกและมีอคติหลายเรื่องมาเกี่ยวข้อง ซึ่งการปรับเปลี่ยนทันทีทำได้ยากมาก ต่อมาผู้เขียนนำเอางานวิจัยมากมาย เพื่อโต้แย้งความเคยชินที่เกิดขึ้น เช่น ผู้หญิงคำนวณไม่เก่ง , ผู้หญิงไม่กล้าตัดสินใจ , ผู้หญิงเป็นผู้นำไม่ได้ , ผู้หญิงต้องได้รับเงินเดือนน้อยกว่าผู้ชาย เป็นต้น ซึ่งในความเป็นจริงแล้วถึงแม้ผู้หญิงจะมีความกล้าตัดสินใจน้อยกว่าผู้ชาย โดยที่ผู้เขียนบอกว่ามีส่วนของฮอร์โมนเพศที่ต่างกัน แต่ถ้าผู้หญิงอยู่ในสถานการณ์ที่เหมาะสมพวกเธอจะมีความกล้าตัดสินใจเทียบเท่ากับผู้ชายเลยทีเดียว ส่วนในเรื่องอื่นๆ ผู้หญิงเก่งเทียบเท่ากับผู้ชายได้ ผู้เขียนจึงนำเสนอหาวิธีออกแบบ ทางพฤติกรรมหรือทางจิตวิทยา มาสร้างกฎระเบียบและค่อยๆปรับปรุงให้เพศหญิงเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น ตัวอย่างเช่นที่ประเทศอินเดีย มีกฎหมายให้มีเพศหญิงเข้าดำรงตำแหน่งในสภาพอย่างน้อย 30% ซึ่งพอเกิดกฎหมายนี้ขึ้น ทำให้ในองค์กรการปกครองในส่วนที่เป็นท้องถิ่น ไปจนถึงในระดับหมู่บ้าน มีส่วนผู้หญิงเข้าร่วมมากขึ้น ในคนที่ไม่ค่อยกล้าแสดงออกแต่มีความสามารถสูง ก็เกิดความกล้าที่จะเข้ามาสมัครรับเลือกตั้ง จนเกิดผู้หญิงชาวอินเดียที่มีความสามารถโดดเด่นอยู่ในแวดวงการเมืองมากมาย ผลกระทบต่อมาคือเด็กๆที่เป็นผู้หญิงได้รับโอกาสจากคุณพ่อคุณแม่อนุญาติให้เรียนต่อในระดับสูงขึ้นจากเดิม เด็กหญิงบางคนถึงกับบอกกับคุณพ่อคุณแม่ว่าเธออยากเป็นนักการเมือง นี่เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดในการลดความเหลื่อมล้ำระหว่างเพศชายและเพศหญิงได้ การที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ทำให้เราเองลดความลำเอียงจากอคติที่เป็นความเคยชินมาแต่ก่อนและการได้รับข้อมูลโดยไม่พิจารณาเลยว่าแท้จริงแล้วเพศหญิงมีความสามารถไม่แตกต่างกับเพศชายเลย เพียงแต่ลดอคติลงและมองด้วยความเป็นกลางก็จะเห็นความสามารถของพวกเธอ #WhatWork #ออกแบบเพื่อเท่าเทียม #รีวิวหนังสือ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 7 มุมมอง 0 รีวิว
  • พวกเราจึงขอเสนอมาตรวัดความน่าจะเป็นสากลโดยไม่ต้องพึ่ง หน่วยไมโครฟอร์ด แต่เป็นหน่วยฮอกวอตส์แทน ลองจินตนาการถึง ชั้นหนังสือในห้องสมุดที่มีแฮร์รี่ พอตเตอร์ครบทุกภาควางอยู่ จากนั้นให้คุณหยิบ แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับห้องแห่งความลับออกมา (เพราะนี่คือหนังสือเล่มโปรดของคุณ) บนชั้นจะเหลือหนังสืออยู่ 6 เล่มซึ่งประกอบด้วย ตัวหนังสือทั้งหมดประมาณ 1,000,000 คำพอดี... ทีนี้คุณลองหยิบออกมาสักเล่มแล้วสุ่มเปิดขึ้นมาหนึ่งหน้า ทำเครื่องหมาย X สีแดงบนคำหนึ่งคำแบบไม่มองหน้ากระดาษ เมื่อเสร็จแล้วให้นำหนังสือเล่มนั้นวางกลับเข้าไป ในชั้นพร้อมกับพก แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับห้องแห่งความลับไปนั่งอ่านเล่นที่ร้านกาแฟสักแห่ง

    คราวนี้สมมติว่ามีใครคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้องสมุด หยิบหนังสือ แฮร์รี่ พอตเตอร์จากชั้นแล้วพลิกเปิดหน้าแบบสุ่ม ก่อนจะหลับตาแล้ว จิ้มไปที่คำหนึ่งคำบนหน้ากระดาษ โอกาสที่เขาหรือเธอจะจิ้มโดนคำที่คุณ ทำเครื่องหมาย X สีแดงเอาไว้จะเท่ากับ 1 ในล้าน

    มาตรวัดแฮร์รี่ พอตเตอร์ยังนำไปปรับใช้กับความน่าจะเป็นอื่น ๆ ได้อีกด้วย ตัวอย่างเช่นจากข้อมูลด้านบนที่ระบุว่าโอกาสเสียชีวิตจาก การกระโดดร่มหนึ่งครั้งเท่ากับ 7 ไมโครมอร์ต หรือราว 7 ในล้าน คราวนี้คุณต้องขอให้เพื่อนสุ่มกากบาทเพิ่มเป็น 7 คำในหนังสือ การเปรียบเทียบโดยยกตัวอย่างหนังสือชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์เช่นนี้อาจช่วยเพิ่มความกล้าให้เรามากขึ้น เพราะเราจะรู้สึกหวาดกลัวมากกว่าเมื่อได้ยินคำว่า “7 ในล้าน” เนื่องจากความสนใจของเราจะพุ่งไปที่คน 7คนที่เอาชีวิตไม่รอด ขณะที่มองข้าม 999,993 คนที่ประสบความสำเร็จในการทำสิ่งที่ใฝ่ฝันว่าต้องทำก่อนตาย แต่ถ้าเรานึกภาพกากบาท 7 จุดจากหน้าหนังสือหลายพันหน้า จะทำให้เรามองความเสี่ยงในมุมที่น่ากลัวน้อยลง

    จากหนังสือ #เล่าเลขให้เป็นเรื่อง
    พวกเราจึงขอเสนอมาตรวัดความน่าจะเป็นสากลโดยไม่ต้องพึ่ง หน่วยไมโครฟอร์ด แต่เป็นหน่วยฮอกวอตส์แทน ลองจินตนาการถึง ชั้นหนังสือในห้องสมุดที่มีแฮร์รี่ พอตเตอร์ครบทุกภาควางอยู่ จากนั้นให้คุณหยิบ แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับห้องแห่งความลับออกมา (เพราะนี่คือหนังสือเล่มโปรดของคุณ) บนชั้นจะเหลือหนังสืออยู่ 6 เล่มซึ่งประกอบด้วย ตัวหนังสือทั้งหมดประมาณ 1,000,000 คำพอดี... ทีนี้คุณลองหยิบออกมาสักเล่มแล้วสุ่มเปิดขึ้นมาหนึ่งหน้า ทำเครื่องหมาย X สีแดงบนคำหนึ่งคำแบบไม่มองหน้ากระดาษ เมื่อเสร็จแล้วให้นำหนังสือเล่มนั้นวางกลับเข้าไป ในชั้นพร้อมกับพก แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับห้องแห่งความลับไปนั่งอ่านเล่นที่ร้านกาแฟสักแห่ง คราวนี้สมมติว่ามีใครคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้องสมุด หยิบหนังสือ แฮร์รี่ พอตเตอร์จากชั้นแล้วพลิกเปิดหน้าแบบสุ่ม ก่อนจะหลับตาแล้ว จิ้มไปที่คำหนึ่งคำบนหน้ากระดาษ โอกาสที่เขาหรือเธอจะจิ้มโดนคำที่คุณ ทำเครื่องหมาย X สีแดงเอาไว้จะเท่ากับ 1 ในล้าน มาตรวัดแฮร์รี่ พอตเตอร์ยังนำไปปรับใช้กับความน่าจะเป็นอื่น ๆ ได้อีกด้วย ตัวอย่างเช่นจากข้อมูลด้านบนที่ระบุว่าโอกาสเสียชีวิตจาก การกระโดดร่มหนึ่งครั้งเท่ากับ 7 ไมโครมอร์ต หรือราว 7 ในล้าน คราวนี้คุณต้องขอให้เพื่อนสุ่มกากบาทเพิ่มเป็น 7 คำในหนังสือ การเปรียบเทียบโดยยกตัวอย่างหนังสือชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์เช่นนี้อาจช่วยเพิ่มความกล้าให้เรามากขึ้น เพราะเราจะรู้สึกหวาดกลัวมากกว่าเมื่อได้ยินคำว่า “7 ในล้าน” เนื่องจากความสนใจของเราจะพุ่งไปที่คน 7คนที่เอาชีวิตไม่รอด ขณะที่มองข้าม 999,993 คนที่ประสบความสำเร็จในการทำสิ่งที่ใฝ่ฝันว่าต้องทำก่อนตาย แต่ถ้าเรานึกภาพกากบาท 7 จุดจากหน้าหนังสือหลายพันหน้า จะทำให้เรามองความเสี่ยงในมุมที่น่ากลัวน้อยลง จากหนังสือ #เล่าเลขให้เป็นเรื่อง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 8 มุมมอง 0 รีวิว
  • ในปี 1971 มีเด็กอังกฤษเจ็ดถึงแปดขวบจำนวน 80เปอร์เซ็นต์ที่ยังเดินไปโรงเรียนเอง ทุกวันนี้มีแค่ 10 เปอร์เซ็นต์ การสำรวจความคิดเห็นล่าสุดจากพ่อแม่จำนวนหนึ่งหมื่นสองพันคนในสิบประเทศเผยให้เห็นว่า นักโทษในเรือนจำยังมีเวลาอยู่กลางแจ้งมากกว่าเด็กส่วนใหญ่ นักวิจัยมหาวิทยาลัยมิชิแกนค้นพบว่าเด็ก ใช้เวลาที่โรงเรียนเพิ่มขึ้น 18 เปอร์เซ็นต์ตั้งแต่ปี 1981 ถึง 1997 เวลาที่ใช้ทำการบ้านเพิ่มขึ้นถึง 145 เปอร์เซ็นต์

    จากหนังสือ #Humankind
    ในปี 1971 มีเด็กอังกฤษเจ็ดถึงแปดขวบจำนวน 80เปอร์เซ็นต์ที่ยังเดินไปโรงเรียนเอง ทุกวันนี้มีแค่ 10 เปอร์เซ็นต์ การสำรวจความคิดเห็นล่าสุดจากพ่อแม่จำนวนหนึ่งหมื่นสองพันคนในสิบประเทศเผยให้เห็นว่า นักโทษในเรือนจำยังมีเวลาอยู่กลางแจ้งมากกว่าเด็กส่วนใหญ่ นักวิจัยมหาวิทยาลัยมิชิแกนค้นพบว่าเด็ก ใช้เวลาที่โรงเรียนเพิ่มขึ้น 18 เปอร์เซ็นต์ตั้งแต่ปี 1981 ถึง 1997 เวลาที่ใช้ทำการบ้านเพิ่มขึ้นถึง 145 เปอร์เซ็นต์ จากหนังสือ #Humankind
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 7 มุมมอง 0 รีวิว
  • คนเราชอบวางแผนเพราะมันเป็นสิ่งที่คุ้นเคยทำแล้วสบายใจ เราหัดวางแผนมาตั้งแต่เรียนชั้นอนุบาล และนิสัยดังกล่าวก็ได้รับการกระตุ้น และฝึกฝนตลอดช่วงการเป็นผู้ใหญ่ คนเราจึงชอบวางแผนในทุกๆเรื่อง แต่ยิ่งเราวางแผนละเอียดเท่าไหร่ เราก็ยิ่งลงมือทำสิ่งต่างๆได้ช้าลงเท่านั้น และเมื่อเราลงมือทำช้า เราก็อาจจะปรับตัวไม่ทันสถานการณ์ที่ เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว สุดท้ายเลยกลายเป็นว่าเราเสียเวลาวางแผนกับสถานการณ์ที่ไม่มีอยู่อีกแล้ว แต่ยังหลอกตัวเองว่ามันยังมีอยู่เพราะว่าเราได้เสียเวลาวางแผนไปแล้ว

    ปัญหาคือมันไม่ได้เป็นแบบนั้นอยู่บ่อยๆ จากผลการวิเคราะห์ บริษัทกว่า 2,496 บริษัท นักวิจัยพบว่าการวางแผนมีผลกับประสิทธิภาพการทํางานเพียงน้อยนิดเท่านั้น

    จากหนังสือ #HowToProfitInTheStockMarket
    คนเราชอบวางแผนเพราะมันเป็นสิ่งที่คุ้นเคยทำแล้วสบายใจ เราหัดวางแผนมาตั้งแต่เรียนชั้นอนุบาล และนิสัยดังกล่าวก็ได้รับการกระตุ้น และฝึกฝนตลอดช่วงการเป็นผู้ใหญ่ คนเราจึงชอบวางแผนในทุกๆเรื่อง แต่ยิ่งเราวางแผนละเอียดเท่าไหร่ เราก็ยิ่งลงมือทำสิ่งต่างๆได้ช้าลงเท่านั้น และเมื่อเราลงมือทำช้า เราก็อาจจะปรับตัวไม่ทันสถานการณ์ที่ เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว สุดท้ายเลยกลายเป็นว่าเราเสียเวลาวางแผนกับสถานการณ์ที่ไม่มีอยู่อีกแล้ว แต่ยังหลอกตัวเองว่ามันยังมีอยู่เพราะว่าเราได้เสียเวลาวางแผนไปแล้ว ปัญหาคือมันไม่ได้เป็นแบบนั้นอยู่บ่อยๆ จากผลการวิเคราะห์ บริษัทกว่า 2,496 บริษัท นักวิจัยพบว่าการวางแผนมีผลกับประสิทธิภาพการทํางานเพียงน้อยนิดเท่านั้น จากหนังสือ #HowToProfitInTheStockMarket
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 6 มุมมอง 0 รีวิว
  • เพราะถ้าคุณไม่เผื่อขาดเผื่อเหลือเอาไว้ แล้วด่วนไปตกลงราคาเสียเป็นมั่นเป็นเหมาะเพื่อแลกกับการจะได้เลื่อนกำหนดส่งของออกไป จะเท่ากับว่าคุณเอากาวไปติดตุ้มถ่วงน้ำหนักไว้กับแขนตาชั่งทั้งสองฝั่ง จนเลื่อนไปเลื่อนมาไม่ได้อีกต่อไป แล้วถ้าอีกฝ่ายเกิดเขี้ยวยาวได้คืบจะเอาศอกขอต่อรองอะไร เพิ่มขึ้นมา คุณก็จะน้ำท่วมปากพูดไม่ได้อีกแล้วว่า “ได้ แต่ต้องคิดเงินเพิ่ม... เพราะคุณไปแบไต๋ให้อีกฝ่ายรู้ราคาที่แน่นอนไปหมดแล้ว เท่ากับว่าคุณเสียรู้ให้อีกฝ่ายเอง ดังนั้น จงอย่าได้ตกลงอะไรเป็นมั่นเป็นเหมาะ 100เปอร์เซ็นต์ จนกว่าคุณจะแน่ใจว่าข้อตกลงทั้งหมดเข้าที่เข้าทางแล้ว ให้พูดแค่ว่า “ราคานี้ก็พอเป็นไปได้ แต่ยังตกลงราคาที่แน่นอนไม่ได้ตอนนี้เพราะต้องคุยเรื่องเงื่อนไขการส่งสินค้าก่อนว่าเป็นอย่างไร”

    จากหนังสือ #TheRulesOfPeople
    เพราะถ้าคุณไม่เผื่อขาดเผื่อเหลือเอาไว้ แล้วด่วนไปตกลงราคาเสียเป็นมั่นเป็นเหมาะเพื่อแลกกับการจะได้เลื่อนกำหนดส่งของออกไป จะเท่ากับว่าคุณเอากาวไปติดตุ้มถ่วงน้ำหนักไว้กับแขนตาชั่งทั้งสองฝั่ง จนเลื่อนไปเลื่อนมาไม่ได้อีกต่อไป แล้วถ้าอีกฝ่ายเกิดเขี้ยวยาวได้คืบจะเอาศอกขอต่อรองอะไร เพิ่มขึ้นมา คุณก็จะน้ำท่วมปากพูดไม่ได้อีกแล้วว่า “ได้ แต่ต้องคิดเงินเพิ่ม... เพราะคุณไปแบไต๋ให้อีกฝ่ายรู้ราคาที่แน่นอนไปหมดแล้ว เท่ากับว่าคุณเสียรู้ให้อีกฝ่ายเอง ดังนั้น จงอย่าได้ตกลงอะไรเป็นมั่นเป็นเหมาะ 100เปอร์เซ็นต์ จนกว่าคุณจะแน่ใจว่าข้อตกลงทั้งหมดเข้าที่เข้าทางแล้ว ให้พูดแค่ว่า “ราคานี้ก็พอเป็นไปได้ แต่ยังตกลงราคาที่แน่นอนไม่ได้ตอนนี้เพราะต้องคุยเรื่องเงื่อนไขการส่งสินค้าก่อนว่าเป็นอย่างไร” จากหนังสือ #TheRulesOfPeople
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 6 มุมมอง 0 รีวิว
  • คนเดียวในคอนโดฯ (2025/038)

    เมื่อปรมจารย์ออกกระบวนท่า ทุกสายตา(ผู้อ่าน)จะถูกสะกดและเคลิบเคลิ้ม

    นิยายที่คุณชาติ กอบจิตติ ใช้เวลาเขียนยาวนานถึง 20 ปี เขียนได้สไตล์ที่แตกต่างจากเดิม ผสมความทะลึ่ง(เจ้าตัวบอกเอง)และเขียนให้เป็นนิยายอิงประวัติศาสตร์(บางเรื่องราวก็ไม่ได้เก่า) ทีเด็ดของนิยายเรื่องนี้ นอกจากเนื้อเรื่องที่สนุกและเหมือนได้หวนกลับไปอ่านหนังสือที่ใช้สำนวนเก่าแก่ (ได้เวลาบอกทีเด็ดแล้ว) ทีเด็ดของนิยายเรื่องนี้คือ ชื่อตัวละครครับ

    คุณชาติไม่ได้ออกหนังสือเล่มใหม่มาหลายปีแล้ว เขายืนยันว่าเขายังเขียนหนังสืออยู่ ถึงแม้ว่านิยายเล่มนี้มีโครงร่างที่จะเขียนมาเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว แต่ก็ไม่มีแรงผลักดันให้เขียนต่อซักที จนกระทั่งไฟในการเขียนหนังสือเกิดจุดติดขึ้นมา นิยายเล่มนี้จึงได้ออกมาให้พวกเราได้อ่านกัน

    ก่อนเข้าเรื่องนิยาย เมื่อสี่ปีก่อนมีเพื่อนคุณชาติถามเขาว่า “เอ็งช่วยตัวเองครั้งแรกเมื่อไหร่” คุณชาติเองก็บ่ายเบี่ยงที่จะตอบ จนคุณชาติจนมุมจนต้องตอบ คำตอบก็คือ “เรื่องมันยาว”

    เรื่องราวต้องเล่าย้อนกลับไปที่ ศึกท่าจีน ในปี ม.ด. 16 ราชวงศ์หนึ่งแห่งตองอู ซึ่งมีการผลัดเปลี่ยนราชวงศ์ และมีการสู้รบกับเมืองสมุทรบุรี พร้อมตัวละครที่มีชื่อคุ้นๆหลายตัว และตัวละครใหม่ที่มีชื่อเก๋ไก๋ เนื้อเรื่องคาดเดาไม่ออกเลย

    ไม่แน่ใจว่าจะแนะนำให้เพื่อนๆอ่านดีมั้ย แต่ถ้ากล้าอ่านแล้วละก็ รับรองความสนุกครับ


    #คนเดียวในคอนโดฯ #รีวิวหนังสือ
    คนเดียวในคอนโดฯ (2025/038) เมื่อปรมจารย์ออกกระบวนท่า ทุกสายตา(ผู้อ่าน)จะถูกสะกดและเคลิบเคลิ้ม นิยายที่คุณชาติ กอบจิตติ ใช้เวลาเขียนยาวนานถึง 20 ปี เขียนได้สไตล์ที่แตกต่างจากเดิม ผสมความทะลึ่ง(เจ้าตัวบอกเอง)และเขียนให้เป็นนิยายอิงประวัติศาสตร์(บางเรื่องราวก็ไม่ได้เก่า) ทีเด็ดของนิยายเรื่องนี้ นอกจากเนื้อเรื่องที่สนุกและเหมือนได้หวนกลับไปอ่านหนังสือที่ใช้สำนวนเก่าแก่ (ได้เวลาบอกทีเด็ดแล้ว) ทีเด็ดของนิยายเรื่องนี้คือ ชื่อตัวละครครับ คุณชาติไม่ได้ออกหนังสือเล่มใหม่มาหลายปีแล้ว เขายืนยันว่าเขายังเขียนหนังสืออยู่ ถึงแม้ว่านิยายเล่มนี้มีโครงร่างที่จะเขียนมาเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว แต่ก็ไม่มีแรงผลักดันให้เขียนต่อซักที จนกระทั่งไฟในการเขียนหนังสือเกิดจุดติดขึ้นมา นิยายเล่มนี้จึงได้ออกมาให้พวกเราได้อ่านกัน ก่อนเข้าเรื่องนิยาย เมื่อสี่ปีก่อนมีเพื่อนคุณชาติถามเขาว่า “เอ็งช่วยตัวเองครั้งแรกเมื่อไหร่” คุณชาติเองก็บ่ายเบี่ยงที่จะตอบ จนคุณชาติจนมุมจนต้องตอบ คำตอบก็คือ “เรื่องมันยาว” เรื่องราวต้องเล่าย้อนกลับไปที่ ศึกท่าจีน ในปี ม.ด. 16 ราชวงศ์หนึ่งแห่งตองอู ซึ่งมีการผลัดเปลี่ยนราชวงศ์ และมีการสู้รบกับเมืองสมุทรบุรี พร้อมตัวละครที่มีชื่อคุ้นๆหลายตัว และตัวละครใหม่ที่มีชื่อเก๋ไก๋ เนื้อเรื่องคาดเดาไม่ออกเลย ไม่แน่ใจว่าจะแนะนำให้เพื่อนๆอ่านดีมั้ย แต่ถ้ากล้าอ่านแล้วละก็ รับรองความสนุกครับ #คนเดียวในคอนโดฯ #รีวิวหนังสือ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 6 มุมมอง 0 รีวิว
  • เริ่มตั้งแต่แพลตฟอร์มซื้อขายเหรียญคริปโทเคอร์เรนซีของแคนาดา ชื่อ Quadriga ที่ “โกงลูกค้า” โดยการรับและจ่ายเงินการซื้อขายเหรียญเข้าบริษัทโดยไม่ได้ซื้อขายให้จริงแต่ทำตัวเป็นแบบแชร์ลูกโซ่ สุดท้ายก็ล้มและเจ้าของซึ่งเป็นคนหนุ่มที่เป็น “ไอดอล” ของคนหนุ่มสาวไปเสียชีวิตที่อินเดีย “อย่างมีเงื่อนงำ” และรหัสการเข้าไปในระบบของแพลตฟอร์มซึ่งมีเขาคนเดียวที่รู้หายไป ดังนั้นเงินของลูกค้าทุกคนก็กลายเป็นศูนย์ และนี่ก็เป็นหนังสารคดีที่ผมเพิ่งดูในเน็ตฟลิกซ์ และเรื่องนี้เกิดขึ้นก่อนที่บิตคอยน์จะบูมด้วยซ้ำ

    จากหนังสือ #วิกฤตหุ้นคอนเนอร์แตก
    เริ่มตั้งแต่แพลตฟอร์มซื้อขายเหรียญคริปโทเคอร์เรนซีของแคนาดา ชื่อ Quadriga ที่ “โกงลูกค้า” โดยการรับและจ่ายเงินการซื้อขายเหรียญเข้าบริษัทโดยไม่ได้ซื้อขายให้จริงแต่ทำตัวเป็นแบบแชร์ลูกโซ่ สุดท้ายก็ล้มและเจ้าของซึ่งเป็นคนหนุ่มที่เป็น “ไอดอล” ของคนหนุ่มสาวไปเสียชีวิตที่อินเดีย “อย่างมีเงื่อนงำ” และรหัสการเข้าไปในระบบของแพลตฟอร์มซึ่งมีเขาคนเดียวที่รู้หายไป ดังนั้นเงินของลูกค้าทุกคนก็กลายเป็นศูนย์ และนี่ก็เป็นหนังสารคดีที่ผมเพิ่งดูในเน็ตฟลิกซ์ และเรื่องนี้เกิดขึ้นก่อนที่บิตคอยน์จะบูมด้วยซ้ำ จากหนังสือ #วิกฤตหุ้นคอนเนอร์แตก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 4 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตามที่โดนัลด์ เยตส์ กล่าวไว้ว่า “คนที่มีเหตุผลในเรื่องความรัก ไม่มีทางที่จะรักใครได้” ความจงรักภักดีอย่างไร้เหตุผลเป็นสิ่งเดียวที่สำคัญ หากความจงรักภักดีของผมหมดลงเมื่อการทุ่มเทไม่คุ้มค่ากับผลประโยชน์ นั่นไม่ใช่ความจงรักภักดีครับแต่คือความเห็นแก่ตัว ความจงรักภักดีคือความเต็มใจที่จะจ่ายเกินราคา การแสดงความรักอย่างบ้าคลั่งคือการส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายรู้ว่าคุณไม่ได้ทำอะไรด้วยความเห็นแก่ตัวอีกต่อไป ซึ่งอันที่จริงคุณก็ทำแบบนั้นไม่ได้อยู่แล้ว นี่เป็นการแสดงออกที่เหมือนกับการบอกว่าคุณไว้ใจฉันได้เพราะฉันบ้าไปแล้ว

    จากหนังสือ #วิทยาศาสตร์ว่าด้วยเรื่องคน
    ตามที่โดนัลด์ เยตส์ กล่าวไว้ว่า “คนที่มีเหตุผลในเรื่องความรัก ไม่มีทางที่จะรักใครได้” ความจงรักภักดีอย่างไร้เหตุผลเป็นสิ่งเดียวที่สำคัญ หากความจงรักภักดีของผมหมดลงเมื่อการทุ่มเทไม่คุ้มค่ากับผลประโยชน์ นั่นไม่ใช่ความจงรักภักดีครับแต่คือความเห็นแก่ตัว ความจงรักภักดีคือความเต็มใจที่จะจ่ายเกินราคา การแสดงความรักอย่างบ้าคลั่งคือการส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายรู้ว่าคุณไม่ได้ทำอะไรด้วยความเห็นแก่ตัวอีกต่อไป ซึ่งอันที่จริงคุณก็ทำแบบนั้นไม่ได้อยู่แล้ว นี่เป็นการแสดงออกที่เหมือนกับการบอกว่าคุณไว้ใจฉันได้เพราะฉันบ้าไปแล้ว จากหนังสือ #วิทยาศาสตร์ว่าด้วยเรื่องคน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 5 มุมมอง 0 รีวิว
  • ในแง่หนึ่ง การจารึกเป็นลายลักษณ์อักษรนี้ ดูเหมือนจะมีความแน่นอนและมั่นคงถาวรดังต้องการคือจะคงอยู่อย่างนั้นๆ จนกว่าวัสดุจะผุสลายหรือสูญหาย หรือถูกทำลายไป แต่วิธีรักษาแบบนี้มีจุดอ่อนที่ทำให้ บุคคลเกิดความประมาท ด้วยวางใจว่ามีพระไตรปิฎกอยู่ในใบลานหรือเล่มหนังสือแล้ว ความเอาใจใส่ที่จะสาธยาย ทวนทาน หรือแม้แต่เล่าเรียน ก็ย่อ หย่อนลงไป หรือถึงกับกลายเป็นความละเลย

    จากหนังสือ #พระไตรปิฎกสิ่งที่ชาวพุทธควรรู้
    ในแง่หนึ่ง การจารึกเป็นลายลักษณ์อักษรนี้ ดูเหมือนจะมีความแน่นอนและมั่นคงถาวรดังต้องการคือจะคงอยู่อย่างนั้นๆ จนกว่าวัสดุจะผุสลายหรือสูญหาย หรือถูกทำลายไป แต่วิธีรักษาแบบนี้มีจุดอ่อนที่ทำให้ บุคคลเกิดความประมาท ด้วยวางใจว่ามีพระไตรปิฎกอยู่ในใบลานหรือเล่มหนังสือแล้ว ความเอาใจใส่ที่จะสาธยาย ทวนทาน หรือแม้แต่เล่าเรียน ก็ย่อ หย่อนลงไป หรือถึงกับกลายเป็นความละเลย จากหนังสือ #พระไตรปิฎกสิ่งที่ชาวพุทธควรรู้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 6 มุมมอง 0 รีวิว
  • เราสามารถมองปัญหานี้ในมุมอื่นนอกจากการลงทุนได้อีก ลองนึกถึง บางคนที่ทำงานวิจัยวิทยาศาสตร์ วันแล้ววันเล่าที่เขาคลุกคลีกับการผ่าตัดหนูทดลองในห้องแล็บห่างไกลจากผู้คนที่เหลือของโลกใบนี้ แล้วพยายามอีกเป็นเวลาหลายปีโดยไร้วี่แววของความสำเร็จ เขาพยายามของเขาอาจหมดความอดทนกับคนขี้แพ้คนนี้ที่มักจะกลับบ้านดึกๆพร้อมกับกลิ่นฉี่หนู แต่แล้วจนกระทั่ง บิงโก! วันหนึ่งเขาก็เจอกับผลลัพธ์ที่ตามหา บางคนที่เฝ้ามองผลการทดลองในแต่ละวันของเขาในอดีตอาจจะบอกว่าเขาไม่ได้อะไรเลยแต่อันที่จริงแล้วทุกวันที่ผ่านไปเขาก็ยิ่งเดินเข้าใกล้ ความน่าจะเป็นของผลลัพธ์สุดท้ายเรื่อยๆ

    จากหนังสือ #FooledByRandomness
    เราสามารถมองปัญหานี้ในมุมอื่นนอกจากการลงทุนได้อีก ลองนึกถึง บางคนที่ทำงานวิจัยวิทยาศาสตร์ วันแล้ววันเล่าที่เขาคลุกคลีกับการผ่าตัดหนูทดลองในห้องแล็บห่างไกลจากผู้คนที่เหลือของโลกใบนี้ แล้วพยายามอีกเป็นเวลาหลายปีโดยไร้วี่แววของความสำเร็จ เขาพยายามของเขาอาจหมดความอดทนกับคนขี้แพ้คนนี้ที่มักจะกลับบ้านดึกๆพร้อมกับกลิ่นฉี่หนู แต่แล้วจนกระทั่ง บิงโก! วันหนึ่งเขาก็เจอกับผลลัพธ์ที่ตามหา บางคนที่เฝ้ามองผลการทดลองในแต่ละวันของเขาในอดีตอาจจะบอกว่าเขาไม่ได้อะไรเลยแต่อันที่จริงแล้วทุกวันที่ผ่านไปเขาก็ยิ่งเดินเข้าใกล้ ความน่าจะเป็นของผลลัพธ์สุดท้ายเรื่อยๆ จากหนังสือ #FooledByRandomness
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 6 มุมมอง 0 รีวิว
  • brother.do.you.love.me. แด่นายน้องชายของฉัน (2025/037)

    หนังสือที่เป็นบันทึกการดูแลน้องชายที่ป่วยเป็นดาวน์ซินโดรม ในช่วงวิกฤติการณ์โควิด ผู้เขียนบันทึกนี้คือพี่ชายคนที่สองจากครอบครัวที่มีพี่น้องเป็นชายสี่พี่น้อง โดยผู้ที่ป่วยเป็นดาวน์ซินโดรมเป็นน้องชายคนเล็กที่ชื่อว่ารูเบ็น ครอบครัวนี้รับรู้ความผิดปกติของรูเบ็นมาตั้งแต่เกิด พวกเรายอมรับและดูแลรูเบ็นเป็นอย่างดี พวกเขารักกันมากๆ ซึ่งดูได้จากบันทึกที่ผู้เขียนได้บรรยายไว้ ตัวผู้เขียนยอมรับตัวเองว่าเป็นเกย์ ซึ่งเขาตั้งใจว่าจะไม่มีลูกเพราะเขาอยากดูแลน้องชายคนนี้

    เรื่องราวน่าประทับใจนี้ ได้ถูกบันทึกหลังจากผู้เขียน(พี่ชาย) เข้าไปรับรูเบ็นน้องชายที่ศูนย์ดูแลผู้ป่วยดาวน์ซินโดรม แห่งหนึ่งสาเหตุเนื่องจากผู้เขียนพบความผิดปกติของน้องชายที่ผอมลงอย่างมาก ร่างกายไม่ได้รับการดูแล และพัฒนาการถดถอยลง ประกอบกับเป็นช่วงที่มีโรคโควิด 19 ระบาด ทำให้ผู้เขียนซึ่งทำอาชีพเป็นไกด์นำเที่ยวต้องหยุดชะงักลง เขาไปรับน้องชายที่ศูนย์ดูแลผู้ป่วยด้วยหัวใจสลาย และพากลับมาอยู่กระท่อมที่ไม่ใช้งานที่ผู้เขียนกับแฟนของเขาเป็นเจ้าของอยู่ ผู้เขียนทำความสะอาดกระท่อมหลังนี้ไว้และวางแผนเพื่อรอรับรูเบ็นมาดูแลไว้เรียบร้อยแล้ว
    ผู้ป่วยดาวน์ซินโดรม นอกจากจะมีปัญหาทางพัฒนาการซึ่งอายุสมองของเขาเหมือนเด็กอายุ 7 ขวบ (ขณะที่เขียนหนังสือผู้เขียนอายุใกล้ 50ปี ส่วนรูเบ็นอายุใกล้ 40ปี) การสื่อสารเป็นอีกเรื่องที่สำคัญมากเนื่องจากผู้ป่วยดาวน์ซินโดรมจะมีอาการลิ้นจุกที่ปากทำให้เขาออกเสียงได้ไม่ชัดเจน ซึ่งจะมีเพียงคนในครอบครัวที่เขาเคยใช้ชีวิตอยู่จึงจะเข้าใจสิ่งที่เขาพูดได้ และผู้ป่วยดาวน์ซินโดรมจะมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง การรับประทานอาหารก็ยากลำบากด้วย เขาจะทำอะไรเชื่องช้า และชีวิตของเขาจะมีรูปแบบชัดเจนเหมือนเดิมประจำ(แต่ไม่เหมือนคนทั่วๆไป) เช่น การใส่เสื้อหลายๆชั้น การต้องใส่ชุดเดิมๆตลอด มีกระเป๋าสำหรับช่วงเวลา ถึงแม้เขาจะพอฟังคำพูดต่างๆได้พอสมควร สามารอ่านเขียนได้ แต่เขาชอบที่สื่อสารด้วยการวาดรูปมากกว่า

    ผู้เขียนทุ่มเทการดูแลน้องชาย มอบความรักโดยการบอกรักกับน้องชายและโอบกอด พยายามให้น้องชายได้เดินออกกำลังกายบ้าง การปลุกน้องชายจากเตียงเป็นสิ่งที่ยากมาก รวมไปถึงการอาบน้ำ การรับประทานอาหารและการรับประทานยา รวมไปถึงเสริมพัฒนาการที่ถดถอยไปจากการไปอยู่ศูนย์ดูแลผู้ป่วย และยังต้องเพิ่มความมั่นใจในการใช้ชีวิตภายนอกอีกด้วย ผู้เขียนต้องสะกดอารมณ์หงุดหงินและต่อสู้กับความเหนื่อยล้าที่เกิดขึ้นอย่างมาก ตัวเขาเขียนอธิบายอารมณ์ต่างๆได้ดีมาก และการเล่าบรรยายเหตุการณ์ต่างๆในคราบครัวย้อนกลับไปในอดีตด้วย ในระหว่างการดูแลน้องชาย ผู้เขียนได้รับการช่วยเหลือจากหน่วยงานต่างๆของรัฐบาลหลายหน่วยงาน และในท้ายเล่มเขาและครอบครัวต้องตัดสินใจครั้งใหญ่ให้กับชีวิตของรูเบ็น

    หนังสือห้าร้อยกว่าหน้าเล่มนี้ ทำให้ผู้อ่านรู้ถึงรายละเอียดของผู้ป่วยดาวน์ซินโดรม และเข้าใจชีวิตของผู้ป่วยมากขึ้น เข้าใจการสื่อสารของเขา ซึ่งทำให้เห็นว่าการสื่อสารเป็นสิ่งสำคัญมากๆ เพื่อที่จะแสดงความรู้สึก(เรื่องการสื่อสารนั้นสำคัญมากๆทั้งกับผู้ป่วย หรือแม้แต่คนทั่วไปอย่างพวกเรา) และยังได้เห็นของพลังแห่งความรักขนาดมหาศาลที่พี่ชาย รวมไปถึงคนในครอบครัวที่มีต่อน้องชาย

    #BrotherDoYouLoveMe #แด่นายน้องชายของฉัน #รีวิวหนังสือ
    brother.do.you.love.me. แด่นายน้องชายของฉัน (2025/037) หนังสือที่เป็นบันทึกการดูแลน้องชายที่ป่วยเป็นดาวน์ซินโดรม ในช่วงวิกฤติการณ์โควิด ผู้เขียนบันทึกนี้คือพี่ชายคนที่สองจากครอบครัวที่มีพี่น้องเป็นชายสี่พี่น้อง โดยผู้ที่ป่วยเป็นดาวน์ซินโดรมเป็นน้องชายคนเล็กที่ชื่อว่ารูเบ็น ครอบครัวนี้รับรู้ความผิดปกติของรูเบ็นมาตั้งแต่เกิด พวกเรายอมรับและดูแลรูเบ็นเป็นอย่างดี พวกเขารักกันมากๆ ซึ่งดูได้จากบันทึกที่ผู้เขียนได้บรรยายไว้ ตัวผู้เขียนยอมรับตัวเองว่าเป็นเกย์ ซึ่งเขาตั้งใจว่าจะไม่มีลูกเพราะเขาอยากดูแลน้องชายคนนี้ เรื่องราวน่าประทับใจนี้ ได้ถูกบันทึกหลังจากผู้เขียน(พี่ชาย) เข้าไปรับรูเบ็นน้องชายที่ศูนย์ดูแลผู้ป่วยดาวน์ซินโดรม แห่งหนึ่งสาเหตุเนื่องจากผู้เขียนพบความผิดปกติของน้องชายที่ผอมลงอย่างมาก ร่างกายไม่ได้รับการดูแล และพัฒนาการถดถอยลง ประกอบกับเป็นช่วงที่มีโรคโควิด 19 ระบาด ทำให้ผู้เขียนซึ่งทำอาชีพเป็นไกด์นำเที่ยวต้องหยุดชะงักลง เขาไปรับน้องชายที่ศูนย์ดูแลผู้ป่วยด้วยหัวใจสลาย และพากลับมาอยู่กระท่อมที่ไม่ใช้งานที่ผู้เขียนกับแฟนของเขาเป็นเจ้าของอยู่ ผู้เขียนทำความสะอาดกระท่อมหลังนี้ไว้และวางแผนเพื่อรอรับรูเบ็นมาดูแลไว้เรียบร้อยแล้ว ผู้ป่วยดาวน์ซินโดรม นอกจากจะมีปัญหาทางพัฒนาการซึ่งอายุสมองของเขาเหมือนเด็กอายุ 7 ขวบ (ขณะที่เขียนหนังสือผู้เขียนอายุใกล้ 50ปี ส่วนรูเบ็นอายุใกล้ 40ปี) การสื่อสารเป็นอีกเรื่องที่สำคัญมากเนื่องจากผู้ป่วยดาวน์ซินโดรมจะมีอาการลิ้นจุกที่ปากทำให้เขาออกเสียงได้ไม่ชัดเจน ซึ่งจะมีเพียงคนในครอบครัวที่เขาเคยใช้ชีวิตอยู่จึงจะเข้าใจสิ่งที่เขาพูดได้ และผู้ป่วยดาวน์ซินโดรมจะมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง การรับประทานอาหารก็ยากลำบากด้วย เขาจะทำอะไรเชื่องช้า และชีวิตของเขาจะมีรูปแบบชัดเจนเหมือนเดิมประจำ(แต่ไม่เหมือนคนทั่วๆไป) เช่น การใส่เสื้อหลายๆชั้น การต้องใส่ชุดเดิมๆตลอด มีกระเป๋าสำหรับช่วงเวลา ถึงแม้เขาจะพอฟังคำพูดต่างๆได้พอสมควร สามารอ่านเขียนได้ แต่เขาชอบที่สื่อสารด้วยการวาดรูปมากกว่า ผู้เขียนทุ่มเทการดูแลน้องชาย มอบความรักโดยการบอกรักกับน้องชายและโอบกอด พยายามให้น้องชายได้เดินออกกำลังกายบ้าง การปลุกน้องชายจากเตียงเป็นสิ่งที่ยากมาก รวมไปถึงการอาบน้ำ การรับประทานอาหารและการรับประทานยา รวมไปถึงเสริมพัฒนาการที่ถดถอยไปจากการไปอยู่ศูนย์ดูแลผู้ป่วย และยังต้องเพิ่มความมั่นใจในการใช้ชีวิตภายนอกอีกด้วย ผู้เขียนต้องสะกดอารมณ์หงุดหงินและต่อสู้กับความเหนื่อยล้าที่เกิดขึ้นอย่างมาก ตัวเขาเขียนอธิบายอารมณ์ต่างๆได้ดีมาก และการเล่าบรรยายเหตุการณ์ต่างๆในคราบครัวย้อนกลับไปในอดีตด้วย ในระหว่างการดูแลน้องชาย ผู้เขียนได้รับการช่วยเหลือจากหน่วยงานต่างๆของรัฐบาลหลายหน่วยงาน และในท้ายเล่มเขาและครอบครัวต้องตัดสินใจครั้งใหญ่ให้กับชีวิตของรูเบ็น หนังสือห้าร้อยกว่าหน้าเล่มนี้ ทำให้ผู้อ่านรู้ถึงรายละเอียดของผู้ป่วยดาวน์ซินโดรม และเข้าใจชีวิตของผู้ป่วยมากขึ้น เข้าใจการสื่อสารของเขา ซึ่งทำให้เห็นว่าการสื่อสารเป็นสิ่งสำคัญมากๆ เพื่อที่จะแสดงความรู้สึก(เรื่องการสื่อสารนั้นสำคัญมากๆทั้งกับผู้ป่วย หรือแม้แต่คนทั่วไปอย่างพวกเรา) และยังได้เห็นของพลังแห่งความรักขนาดมหาศาลที่พี่ชาย รวมไปถึงคนในครอบครัวที่มีต่อน้องชาย #BrotherDoYouLoveMe #แด่นายน้องชายของฉัน #รีวิวหนังสือ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 5 มุมมอง 0 รีวิว
  • ในฟินแลนด์ กฎหมายต่อต้านวิธีคิด(และวิธีขับรถ)แบบนี้ ด้วยการคิดค่าปรับตามรายได้ของผู้ละเมิด ในปี 2003 ยุสซี ซาโลโนจา ทายาทธุรกิจไส้กรอกวัย 27 ปี ถูกปรับ 170,000 ยูโร (ประมาณ 217,000 เหรียญสหรัฐ ณ อัตราแลกเปลี่ยนตอนนั้น) เพราะขับรถ 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในเขตที่ให้ขับไม่เกิน 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซาโลโนจาเป็นชายที่รวยที่สุดคนหนึ่งในฟินแลนด์ มีรายได้ 7ล้านยูโรต่อปี ตำแหน่งแชมป์ใบสั่งแพงที่สุดก่อนหน้าเขาเป็นของอันส์ วานโยกิ ผู้บริหารบริษัทมือถือโนเกีย ในปี 2002 เขาถูกปรับ 116,000 ยูโรโทษฐานขี่มอเตอร์ไซค์ ฮาร์เลย์-เดวิดสันซึ่งผ่านเมืองเฮลซิงกิ ผู้พิพากษาลดหย่อนค่าปรับให้หลัง จากที่วานโยกิชี้ว่ารายได้ของเขาลดลงเนื่องจากโนเกียได้กำไรน้อยลง

    จากหนังสือ #เงินไม่ใช่พระเจ้า
    ในฟินแลนด์ กฎหมายต่อต้านวิธีคิด(และวิธีขับรถ)แบบนี้ ด้วยการคิดค่าปรับตามรายได้ของผู้ละเมิด ในปี 2003 ยุสซี ซาโลโนจา ทายาทธุรกิจไส้กรอกวัย 27 ปี ถูกปรับ 170,000 ยูโร (ประมาณ 217,000 เหรียญสหรัฐ ณ อัตราแลกเปลี่ยนตอนนั้น) เพราะขับรถ 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในเขตที่ให้ขับไม่เกิน 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซาโลโนจาเป็นชายที่รวยที่สุดคนหนึ่งในฟินแลนด์ มีรายได้ 7ล้านยูโรต่อปี ตำแหน่งแชมป์ใบสั่งแพงที่สุดก่อนหน้าเขาเป็นของอันส์ วานโยกิ ผู้บริหารบริษัทมือถือโนเกีย ในปี 2002 เขาถูกปรับ 116,000 ยูโรโทษฐานขี่มอเตอร์ไซค์ ฮาร์เลย์-เดวิดสันซึ่งผ่านเมืองเฮลซิงกิ ผู้พิพากษาลดหย่อนค่าปรับให้หลัง จากที่วานโยกิชี้ว่ารายได้ของเขาลดลงเนื่องจากโนเกียได้กำไรน้อยลง จากหนังสือ #เงินไม่ใช่พระเจ้า
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 7 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความโกรธเป็นแรงกระตุ้นจำนวนมหาศาลช่วยเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ต้องเปลี่ยนในชีวิตเราในยามที่ไม่ได้มองว่ามันเป็นเช่นนั้นเรามีแนวโน้มที่จะฝังกลบมันเอาไว้โดยไม่เคยได้แก้ปัญหาให้เห็นอยู่ตรงหน้าให้เรียบร้อย จุดนี้ความโกรธจะเริ่มล้ำเส้นไปเป็นความก้าวร้าวนั่นคือช่วงเวลาที่ระบายพลังงานที่ว่านั้นไปสู่คนรอบข้าง ซึ่งจะตรงข้ามกับการนำมาใช้ให้เป็นพลังผลักดันเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงในตัวเรา

    จากหนังสือ #MountainInYou #ก้าวข้ามภูผาในใจคุณ
    ความโกรธเป็นแรงกระตุ้นจำนวนมหาศาลช่วยเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ต้องเปลี่ยนในชีวิตเราในยามที่ไม่ได้มองว่ามันเป็นเช่นนั้นเรามีแนวโน้มที่จะฝังกลบมันเอาไว้โดยไม่เคยได้แก้ปัญหาให้เห็นอยู่ตรงหน้าให้เรียบร้อย จุดนี้ความโกรธจะเริ่มล้ำเส้นไปเป็นความก้าวร้าวนั่นคือช่วงเวลาที่ระบายพลังงานที่ว่านั้นไปสู่คนรอบข้าง ซึ่งจะตรงข้ามกับการนำมาใช้ให้เป็นพลังผลักดันเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงในตัวเรา จากหนังสือ #MountainInYou #ก้าวข้ามภูผาในใจคุณ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 8 มุมมอง 0 รีวิว
  • นักกีฬาอเมริกันฟุตบอลพลิกเกมตอนควอเตอร์ที่ 4 พวกเขาอยู่ในตำแหน่งถูกที่เหมาะสมและในจังหวัดที่ถูกเป๊ะๆจนเหมือนระบำที่ซ้อมมาเป็นอย่างดีนี่แหละคือจิตประสาน ไม่ใช่แค่นักกีฬาเรายังพบในบริษัทสตาร์ทอัพบ่อยจนน่าทึ่งเวลาที่ทีมเคลื่อนเข้าหาพื้นที่เป้าหมายเดียวอย่างรวดเร็วไม่น่าเชื่อ

    จากหนังสือ #Bold #ถ้าคุณไม่เปลี่ยนโลกโลกก็จะเปลี่ยนคุณ
    นักกีฬาอเมริกันฟุตบอลพลิกเกมตอนควอเตอร์ที่ 4 พวกเขาอยู่ในตำแหน่งถูกที่เหมาะสมและในจังหวัดที่ถูกเป๊ะๆจนเหมือนระบำที่ซ้อมมาเป็นอย่างดีนี่แหละคือจิตประสาน ไม่ใช่แค่นักกีฬาเรายังพบในบริษัทสตาร์ทอัพบ่อยจนน่าทึ่งเวลาที่ทีมเคลื่อนเข้าหาพื้นที่เป้าหมายเดียวอย่างรวดเร็วไม่น่าเชื่อ จากหนังสือ #Bold #ถ้าคุณไม่เปลี่ยนโลกโลกก็จะเปลี่ยนคุณ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 11 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้องไปขอที่คิดว่าโลจิสติกส์เท่านั้นคือกุญแจของธุรกิจ

    Saul Astrada รีบตอบทันทีว่าหากเราลบคำว่าเท่านั้นออกไปคุณก็เหลือเพียงว่าโลจิสติกส์เป็นกุญแจสำคัญสำหรับธุรกิจซึ่งผมบอกว่าถูกต้องแต่มีกุญแจอื่นอีก 6 ถึง 10 ดอกด้วยกันทางออกแบบผลิตขายตรงซึ่งผลิตเองและขายเองทำเลการจัดร้านมีหลายอย่างด้วยกันที่เป็นกุญแจแต่ผมว่าสิ่งสำคัญที่สุดของธุรกิจของเรานั้นอยู่รอบๆร้าน

    จากหนังสือ #จากศูนย์สู่ซาร่า #FromZeroToZara
    ต้องไปขอที่คิดว่าโลจิสติกส์เท่านั้นคือกุญแจของธุรกิจ Saul Astrada รีบตอบทันทีว่าหากเราลบคำว่าเท่านั้นออกไปคุณก็เหลือเพียงว่าโลจิสติกส์เป็นกุญแจสำคัญสำหรับธุรกิจซึ่งผมบอกว่าถูกต้องแต่มีกุญแจอื่นอีก 6 ถึง 10 ดอกด้วยกันทางออกแบบผลิตขายตรงซึ่งผลิตเองและขายเองทำเลการจัดร้านมีหลายอย่างด้วยกันที่เป็นกุญแจแต่ผมว่าสิ่งสำคัญที่สุดของธุรกิจของเรานั้นอยู่รอบๆร้าน จากหนังสือ #จากศูนย์สู่ซาร่า #FromZeroToZara
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 11 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศิลปะแห่งการพักจิตและพลังแห่งการปล่อยวางความวิตกออกจากจิตใจอาจเป็นเคล็ดลับประกันของพลังงานในตัวมหาบุรุษของเรา

    กัปตัน J.A. Hatfield

    จากหนังสือ #Slow
    ศิลปะแห่งการพักจิตและพลังแห่งการปล่อยวางความวิตกออกจากจิตใจอาจเป็นเคล็ดลับประกันของพลังงานในตัวมหาบุรุษของเรา กัปตัน J.A. Hatfield จากหนังสือ #Slow
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 11 มุมมอง 0 รีวิว
  • นักธุรกิจให้เคล็ดลับ 5 ประการ
    1.ฉันจัดการปัญหาและทำลายมันจนเป็นชิ้นเล็กๆในใจโดยใช้พลังทั้งหมดที่มี
    2.ฉันภาวนาด้วยความจริงใจ
    3.ฉันวาดภาพความสำเร็จไว้ในใจ
    4.ฉันถามตัวเองเสมอว่าอะไรคือสิ่งที่จะสมควรทำเพราะสิ่งที่ไม่ถูกต้องจะไม่มีทางให้ผลดีกับคุณได้
    5.ทุ่มเทแรงกายแรงใจเสมอ แต่ถ้านายคิดถึงความพ่ายแพ้ให้เปลี่ยนความคิดทันทีคิดในแง่บวกเข้าไว้นี่คือพื้นฐานการเอาชนะความยากลำบากและประสบความสำเร็จ

    จากหนังสือ #คิดบวก
    นักธุรกิจให้เคล็ดลับ 5 ประการ 1.ฉันจัดการปัญหาและทำลายมันจนเป็นชิ้นเล็กๆในใจโดยใช้พลังทั้งหมดที่มี 2.ฉันภาวนาด้วยความจริงใจ 3.ฉันวาดภาพความสำเร็จไว้ในใจ 4.ฉันถามตัวเองเสมอว่าอะไรคือสิ่งที่จะสมควรทำเพราะสิ่งที่ไม่ถูกต้องจะไม่มีทางให้ผลดีกับคุณได้ 5.ทุ่มเทแรงกายแรงใจเสมอ แต่ถ้านายคิดถึงความพ่ายแพ้ให้เปลี่ยนความคิดทันทีคิดในแง่บวกเข้าไว้นี่คือพื้นฐานการเอาชนะความยากลำบากและประสบความสำเร็จ จากหนังสือ #คิดบวก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 11 มุมมอง 0 รีวิว
  • อับราฮัม ลินคอล์น

    จิตใจของข้าพเจ้าเปรียบเหมือนเหล็กกล้าชิ้นหนึ่งยากมากที่จะสลักให้เป็นรอย แต่หลังจากสลักสิ่งใดลงไปแล้วเกือบจะเป็นการสุดวิสัยที่จะถูกมันออกเสียได้

    จากหนังสือ #การพูดในที่ชุมนุม
    อับราฮัม ลินคอล์น จิตใจของข้าพเจ้าเปรียบเหมือนเหล็กกล้าชิ้นหนึ่งยากมากที่จะสลักให้เป็นรอย แต่หลังจากสลักสิ่งใดลงไปแล้วเกือบจะเป็นการสุดวิสัยที่จะถูกมันออกเสียได้ จากหนังสือ #การพูดในที่ชุมนุม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 12 มุมมอง 0 รีวิว
  • Meaning Making การสร้างความหมายทำความเข้าใจตัวเองทำความเข้าใจความสัมพันธ์แล้วตีความ

    ถ้าความหมายของความล้มเหลวคืออีกหนึ่งความสำเร็จที่ทำให้รู้ว่าทำแบบไหนไม่เวิร์ค อย่างนั้นแสดงว่ายิ่งล้มเยอะยิ่งสำเร็จไม่ใช่ล้มเหลวแล้วอ่อนแอ

    จากหนังสือ #ทำไมเป็นคนแบบนี้
    Meaning Making การสร้างความหมายทำความเข้าใจตัวเองทำความเข้าใจความสัมพันธ์แล้วตีความ ถ้าความหมายของความล้มเหลวคืออีกหนึ่งความสำเร็จที่ทำให้รู้ว่าทำแบบไหนไม่เวิร์ค อย่างนั้นแสดงว่ายิ่งล้มเยอะยิ่งสำเร็จไม่ใช่ล้มเหลวแล้วอ่อนแอ จากหนังสือ #ทำไมเป็นคนแบบนี้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 12 มุมมอง 0 รีวิว
เรื่องราวเพิ่มเติม