ชักชวนกันอ่านหนังสือ หนังสือไม่ว่าจะเป็นแนวไหนล้วนมีประโยชน์
- The Anatomy of Anxiety กายวิภาคศาสตร์ของความวิตกกังวล
หนังสือที่ตั้งใจเข้าไปอ่านเรื่องโครงสร้างความคิดของความวิตกกังวลแต่เมื่อเริ่มอ่านแล้วปรากฎว่าเป็นคุณหมอผู้เขียนหนังสือ ใช้ศาสตร์หลายศาสตร์ในการแก้ปัญหาความวิตกกังวล โดยเฉพาะการแก้ปัญหาด้วยการปรับสมดุลของร่างกายและอาหารการกิน!!!
เป็นหนังสือที่เซอร์ไพรสมากๆ และเป็นโอกาสอันดีที่ทำให้รู้สาเหตุของความวิตกกังวลในอีกแง่มุมหนึ่ง เนื่องจากคุณหมอผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ เป็นจิตแพทย์แบบบูรณาการ แพทย์ฝังเข็ม และครูสอนโยคะ เธอมีคนไข้มากมายมาให้เธอรักษาทางด้านเจตเวชและรวมไปถึงคนไข้ที่รักษามาหลายที่แต่ก็ไม่หายซักที เธอใช้การปรับสมดุลทางร่างกายด้วยอาหารและสามารถรักษาคนไข้ได้สำเร็จจำนวนมาก
ผู้เขียนจำแนกความวิตกกังวลเป็นสองประเภท คือความวิตกกังวลจริง และความวิตกกังวลปลอม ความวิตกกังวลจริงคือความวิตกกังวลจากเหตุการณ์จริง เช่นสูญเสียญาติ เศร้าโศก เลิกรากับคนรัก เป็นต้น ส่วนวิตกกังวลปลอมเกิดจากความคิดไปเองกับสถานการณ์ต่างๆ เช่นการได้รับอีเมลจากเจ้านายว่าทำงานได้ไม่ดี ดังนั้นจิตใจเลยต้องการแสดงผลอธิบายความรู้สึกทางการได้
วิตกกังวลปลอมคือการที่ร่างกายสื่อสารว่ามีความไม่สมดุลทางร่างกาย โดยตอบสนองผ่านทางความเครียด ทำให้เกิดความรู้สึกไม่ถูกต้อง โดยความวิตกกังวลนี้มีอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้วไม่ได้เกิดจากเรื่องราวต่างๆมากระทบจิตใจ แต่เกี่ยวกับสภาพสมดุลของร่างกาย ซึ่งเป็นเรื่องพื้นฐานทั่วๆไปเช่น นำตาลในเลือดต่ำหรือลำไส้อักเสบ นี่เป็นสิ่งที่ผู้เขียนสรุปมา
ผู้เขียนพบว่าความวิตกกังวลปลอม นอกจากสายสื่อประสาทโซโรโทนินแล้ว ยังมีสารสื่อประสาทอีกตัวหนึ่งที่ชื่อว่า GABA ซึ่งมีหน้าสที่เป็นสารเคมียับยั้งพื้นฐานขอบระบบประสาทส่วนกลางและยังมีบทบาทในเรื่องการทำให้เกิดความสงบ
ดังนั้นผู้เขียนจึงเน้นไปที่การปรับสมดุลของร่างกาย ในรูปแบบต่างๆ ที่ทำให้เกิดผลกระทบในการเกิดวิตกกังวลปลอม ซึ่งการปรับสมดุลโดยวิธีการพื้นฐานทั่วไป ได้แก่ การนอนให้เพียงพอ การรับแสงแดด การงดยาทางจิตเวชบางประเภท การลดแป้งและน้ำตาล การลดคาเฟอีน การรับปรทานอาหารที่มีประโยชน์ และการสร้างสติและสมาธิ
#TheAnatomyOfAnxiety #กายวิภาคศาสตร์ของความวิตกกังวล #รีวิวหนังสือ
The Anatomy of Anxiety กายวิภาคศาสตร์ของความวิตกกังวล หนังสือที่ตั้งใจเข้าไปอ่านเรื่องโครงสร้างความคิดของความวิตกกังวลแต่เมื่อเริ่มอ่านแล้วปรากฎว่าเป็นคุณหมอผู้เขียนหนังสือ ใช้ศาสตร์หลายศาสตร์ในการแก้ปัญหาความวิตกกังวล โดยเฉพาะการแก้ปัญหาด้วยการปรับสมดุลของร่างกายและอาหารการกิน!!! เป็นหนังสือที่เซอร์ไพรสมากๆ และเป็นโอกาสอันดีที่ทำให้รู้สาเหตุของความวิตกกังวลในอีกแง่มุมหนึ่ง เนื่องจากคุณหมอผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ เป็นจิตแพทย์แบบบูรณาการ แพทย์ฝังเข็ม และครูสอนโยคะ เธอมีคนไข้มากมายมาให้เธอรักษาทางด้านเจตเวชและรวมไปถึงคนไข้ที่รักษามาหลายที่แต่ก็ไม่หายซักที เธอใช้การปรับสมดุลทางร่างกายด้วยอาหารและสามารถรักษาคนไข้ได้สำเร็จจำนวนมาก ผู้เขียนจำแนกความวิตกกังวลเป็นสองประเภท คือความวิตกกังวลจริง และความวิตกกังวลปลอม ความวิตกกังวลจริงคือความวิตกกังวลจากเหตุการณ์จริง เช่นสูญเสียญาติ เศร้าโศก เลิกรากับคนรัก เป็นต้น ส่วนวิตกกังวลปลอมเกิดจากความคิดไปเองกับสถานการณ์ต่างๆ เช่นการได้รับอีเมลจากเจ้านายว่าทำงานได้ไม่ดี ดังนั้นจิตใจเลยต้องการแสดงผลอธิบายความรู้สึกทางการได้ วิตกกังวลปลอมคือการที่ร่างกายสื่อสารว่ามีความไม่สมดุลทางร่างกาย โดยตอบสนองผ่านทางความเครียด ทำให้เกิดความรู้สึกไม่ถูกต้อง โดยความวิตกกังวลนี้มีอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้วไม่ได้เกิดจากเรื่องราวต่างๆมากระทบจิตใจ แต่เกี่ยวกับสภาพสมดุลของร่างกาย ซึ่งเป็นเรื่องพื้นฐานทั่วๆไปเช่น นำตาลในเลือดต่ำหรือลำไส้อักเสบ นี่เป็นสิ่งที่ผู้เขียนสรุปมา ผู้เขียนพบว่าความวิตกกังวลปลอม นอกจากสายสื่อประสาทโซโรโทนินแล้ว ยังมีสารสื่อประสาทอีกตัวหนึ่งที่ชื่อว่า GABA ซึ่งมีหน้าสที่เป็นสารเคมียับยั้งพื้นฐานขอบระบบประสาทส่วนกลางและยังมีบทบาทในเรื่องการทำให้เกิดความสงบ ดังนั้นผู้เขียนจึงเน้นไปที่การปรับสมดุลของร่างกาย ในรูปแบบต่างๆ ที่ทำให้เกิดผลกระทบในการเกิดวิตกกังวลปลอม ซึ่งการปรับสมดุลโดยวิธีการพื้นฐานทั่วไป ได้แก่ การนอนให้เพียงพอ การรับแสงแดด การงดยาทางจิตเวชบางประเภท การลดแป้งและน้ำตาล การลดคาเฟอีน การรับปรทานอาหารที่มีประโยชน์ และการสร้างสติและสมาธิ #TheAnatomyOfAnxiety #กายวิภาคศาสตร์ของความวิตกกังวล #รีวิวหนังสือ0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 3 มุมมอง 0 รีวิวกรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อกดถูกใจ แชร์ และแสดงความคิดเห็น! - อย่าปล่อยให้ความคิดเชิงลบได้เพ่นพ่านอิสระ ไร้การควบคุม และไร้การจัดการ ให้ทำตัวเป็นเจ้าของความคิดเหล่านั้นและฝึกจัดการความคิดของตัวเอง เพื่อให้มันเอื้อประโยชน์ต่อเราแทนที่จะต่อต้านเรา นอกจากการแทนที่ความคิดต่าง ๆ แล้ว เรายังขจัดความกลัวและความกังขาได้ด้วยการกำหนดกรอบมุมมองใหม่
จากหนังสือ Manifestอย่าปล่อยให้ความคิดเชิงลบได้เพ่นพ่านอิสระ ไร้การควบคุม และไร้การจัดการ ให้ทำตัวเป็นเจ้าของความคิดเหล่านั้นและฝึกจัดการความคิดของตัวเอง เพื่อให้มันเอื้อประโยชน์ต่อเราแทนที่จะต่อต้านเรา นอกจากการแทนที่ความคิดต่าง ๆ แล้ว เรายังขจัดความกลัวและความกังขาได้ด้วยการกำหนดกรอบมุมมองใหม่ จากหนังสือ Manifest0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 4 มุมมอง 0 รีวิว - ในอดีต เมื่อโรงแรมฮิลตันมีห้องรองรับแขกในเมืองไม่เพียงพอ พวกเขาจะสร้างโรงแรมแห่งใหม่อีกหลัง ซื้อที่ดินหลายล้านดอลลาร์แล้ว ก็ลงเงินอีกหลายล้านดอลลาร์เพื่อสร้างโรงแรม แถมยังต้องใช้เงินอีกหลาย ล้านดอลลาร์จ้างบุคลากรมาบริหารโรงแรม กลับกันในระบบเศรษฐกิจแบบแบ่งปันมีบริษัทแอร์บีเอ็นบี (AirBnB) ที่เปิดให้เจ้าของบ้านโพสต์น้องในบ้านตัวเองลงอินเทอร์เน็ต เพื่อให้คนที่สนใจเลือกเข้าพักได้ ลูกค้าจะได้ห้องพักราคาถูกกว่าโรงแรม แถมยังได้เที่ยวชมสัมผัสเมืองใหม่ๆจากมุมมองของผู้อยู่อาศัยแทนที่จะไปในฐานะคนเดินทางต่างถิ่นด้วย
จากหนังสือ The End of Jobsในอดีต เมื่อโรงแรมฮิลตันมีห้องรองรับแขกในเมืองไม่เพียงพอ พวกเขาจะสร้างโรงแรมแห่งใหม่อีกหลัง ซื้อที่ดินหลายล้านดอลลาร์แล้ว ก็ลงเงินอีกหลายล้านดอลลาร์เพื่อสร้างโรงแรม แถมยังต้องใช้เงินอีกหลาย ล้านดอลลาร์จ้างบุคลากรมาบริหารโรงแรม กลับกันในระบบเศรษฐกิจแบบแบ่งปันมีบริษัทแอร์บีเอ็นบี (AirBnB) ที่เปิดให้เจ้าของบ้านโพสต์น้องในบ้านตัวเองลงอินเทอร์เน็ต เพื่อให้คนที่สนใจเลือกเข้าพักได้ ลูกค้าจะได้ห้องพักราคาถูกกว่าโรงแรม แถมยังได้เที่ยวชมสัมผัสเมืองใหม่ๆจากมุมมองของผู้อยู่อาศัยแทนที่จะไปในฐานะคนเดินทางต่างถิ่นด้วย จากหนังสือ The End of Jobs0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 4 มุมมอง 0 รีวิว - การศึกษาวิจัยซ้ำหลายครั้งแสดงให้เห็นว่า สิ่งที่เหล่าคนมีความสุขมีเหมือนกันคือความสัมพันธ์ที่ดี ไม่ต้องสงสัยเลยครับ งานวิจัยด้าน เศรษฐศาสตร์
เรื่อง “Putting a Price Tag on Friends, Relatives, and Neighbours (การติดป้ายราคาให้เพื่อน ญาติ และเพื่อนบ้าน)”
ประเมิน มูลค่าความสุขที่มาจากชีวิตทางสังคมที่ดีขึ้นสูงถึง 131,232 ดอลลาร์ต่อปีในขณะเดียวกันความโดดเดี่ยวนำไปสู่โรคซึมเศร้าบ่อยกว่าที่โรคซึมเศร้านำไปสู่ความโดดเดี่ยว โยฮันน์ ฮารี ตั้งข้อสังเกตว่าการเปลี่ยนแปลง จากความโดดเดี่ยวในเปอร์เซ็นต์ไทล์ที่ 50 ไปเป็น 65 ไม่ได้แค่เพิ่มโอกาสเป็นโรคซึมเศร้าเพียงเล็กน้อยแต่เพิ่มสูงถึงแปดเท่าเลยทีเดียว แต่ไม่ใช่แค่ความสุขเท่านั้นที่ตกอยู่ในความเสี่ยงความโดดเดี่ยวยังส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างยิ่งอีกด้วย
จากหนังสือ วิทยาศาสตร์ว่าด้วยเรื่องคน
การศึกษาวิจัยซ้ำหลายครั้งแสดงให้เห็นว่า สิ่งที่เหล่าคนมีความสุขมีเหมือนกันคือความสัมพันธ์ที่ดี ไม่ต้องสงสัยเลยครับ งานวิจัยด้าน เศรษฐศาสตร์ เรื่อง “Putting a Price Tag on Friends, Relatives, and Neighbours (การติดป้ายราคาให้เพื่อน ญาติ และเพื่อนบ้าน)” ประเมิน มูลค่าความสุขที่มาจากชีวิตทางสังคมที่ดีขึ้นสูงถึง 131,232 ดอลลาร์ต่อปีในขณะเดียวกันความโดดเดี่ยวนำไปสู่โรคซึมเศร้าบ่อยกว่าที่โรคซึมเศร้านำไปสู่ความโดดเดี่ยว โยฮันน์ ฮารี ตั้งข้อสังเกตว่าการเปลี่ยนแปลง จากความโดดเดี่ยวในเปอร์เซ็นต์ไทล์ที่ 50 ไปเป็น 65 ไม่ได้แค่เพิ่มโอกาสเป็นโรคซึมเศร้าเพียงเล็กน้อยแต่เพิ่มสูงถึงแปดเท่าเลยทีเดียว แต่ไม่ใช่แค่ความสุขเท่านั้นที่ตกอยู่ในความเสี่ยงความโดดเดี่ยวยังส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างยิ่งอีกด้วย จากหนังสือ วิทยาศาสตร์ว่าด้วยเรื่องคน0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 5 มุมมอง 0 รีวิว - เจฟ เบโซส
“จับของที่ทุกคนรู้อยู่แล้วว่าดีและจับยาก ค้นหาตำแหน่งดีๆแล้วรอให้มันมาหาคุณเองสิง่ายกว่า ผมพูดอย่างนี้แล้วคุณคงถามว่าแล้วตำแหน่งดีๆมันอยู่ตรงไหน ก็เรื่องที่มันกระตุ้นความสนใจคุณนั่นไงสิ่งที่คุณรู้สึกว่ามันคือภารกิจของคุณผมบอกคนอื่นอยู่เสมอว่าเวลาซื้อบริษัทผมจะพยายามนึกให้ออกว่าผู้นำบริษัทนี้ทำตัวเป็นหมอสอนศาสนาหรือทหารรับจ้าง หมอศาสนาจะสร้างสินค้าและบริการเพราะพวกเขารักลูกค้าพวกเขารักตัวสินค้าตัวบริการแต่ทหารรับจ้างจะสร้างสินค้าหรือบริการเพื่อขายทิ้งแล้วทำกำไร หนึ่งในเรื่องขัดสามัญสำนึกอย่างมากที่สุดคือท้ายที่สุดแล้วหมอสอนศาสนาก็ทำเงินได้มากกว่าทหารรับจ้างอยู่ดี ดังนั้นจงเลือกสิ่งที่คุณหลงใหลนั่นแหละคือคำแนะนำอันดับ หนึ่งของผม”
จากหนังสือ Bold ถ้าคุณไม่เปลี่ยนโลก โลกก็จะเปลี่ยนคุณเจฟ เบโซส “จับของที่ทุกคนรู้อยู่แล้วว่าดีและจับยาก ค้นหาตำแหน่งดีๆแล้วรอให้มันมาหาคุณเองสิง่ายกว่า ผมพูดอย่างนี้แล้วคุณคงถามว่าแล้วตำแหน่งดีๆมันอยู่ตรงไหน ก็เรื่องที่มันกระตุ้นความสนใจคุณนั่นไงสิ่งที่คุณรู้สึกว่ามันคือภารกิจของคุณผมบอกคนอื่นอยู่เสมอว่าเวลาซื้อบริษัทผมจะพยายามนึกให้ออกว่าผู้นำบริษัทนี้ทำตัวเป็นหมอสอนศาสนาหรือทหารรับจ้าง หมอศาสนาจะสร้างสินค้าและบริการเพราะพวกเขารักลูกค้าพวกเขารักตัวสินค้าตัวบริการแต่ทหารรับจ้างจะสร้างสินค้าหรือบริการเพื่อขายทิ้งแล้วทำกำไร หนึ่งในเรื่องขัดสามัญสำนึกอย่างมากที่สุดคือท้ายที่สุดแล้วหมอสอนศาสนาก็ทำเงินได้มากกว่าทหารรับจ้างอยู่ดี ดังนั้นจงเลือกสิ่งที่คุณหลงใหลนั่นแหละคือคำแนะนำอันดับ หนึ่งของผม” จากหนังสือ Bold ถ้าคุณไม่เปลี่ยนโลก โลกก็จะเปลี่ยนคุณ0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 5 มุมมอง 0 รีวิว - หากคุณมีองค์กรการค้าที่เน้นการซื้อขายอยู่ก่อนแล้วและต้องการเปลี่ยน ให้เป็นรูปแบบที่เน้นความสัมพันธ์ มันก็อาจยุ่งยากกว่านี้ พนักงานอาจลาออก พนักงานหลายคนจะบอกว่าคุณเป็นบ้าไปแล้วแต่คุณก็สามารถทำอย่างนั้นได้ก่อนอื่นต้องจัดคณะกรรมการภายในขนาดเล็กที่ประกอบไปด้วยทีมอื่น ๆ เช่น ฝ่ายสนับสนุนลูกค้า ฝ่ายรับรองความสำเร็จของลูกค้า และฝ่ายปฏิบัติการเป็นต้น เพื่ออนุมัติข้อตกลงการซื้อขายแต่ละครั้ง มันจะเริ่มเปลี่ยนแนวคิดจาก พนักงานขายแบบฉายเดี่ยวมาเป็นส่วนหนึ่งของทีม จากนั้นให้เริ่มพูดคุยเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงค่าคอมมิชชัน อย่าบอกว่าคุณกำลังกำจัดมันออกไป นั่นจะทำให้คนคิดมากแค่บอกว่าคุณจะทำให้มันแตกต่างไป เพิ่มค่าคอมมิชชันและเริ่มให้สิทธิ์ในการได้รับค่าคอมมิชชันเมื่อเวลาผ่านไปและบอกทีมขายว่าพวกเขาจะเสียค่าคอมมิชชั่นหากลูกค้าเลิกซื้อสินค้า คุณยังสามารถเสนอค่าคอมมิชชันที่ใหญ่ขึ้นได้หากพวกเขาจะรับหุ้นแทนเงินสด
จากหนังสือ Buildหากคุณมีองค์กรการค้าที่เน้นการซื้อขายอยู่ก่อนแล้วและต้องการเปลี่ยน ให้เป็นรูปแบบที่เน้นความสัมพันธ์ มันก็อาจยุ่งยากกว่านี้ พนักงานอาจลาออก พนักงานหลายคนจะบอกว่าคุณเป็นบ้าไปแล้วแต่คุณก็สามารถทำอย่างนั้นได้ก่อนอื่นต้องจัดคณะกรรมการภายในขนาดเล็กที่ประกอบไปด้วยทีมอื่น ๆ เช่น ฝ่ายสนับสนุนลูกค้า ฝ่ายรับรองความสำเร็จของลูกค้า และฝ่ายปฏิบัติการเป็นต้น เพื่ออนุมัติข้อตกลงการซื้อขายแต่ละครั้ง มันจะเริ่มเปลี่ยนแนวคิดจาก พนักงานขายแบบฉายเดี่ยวมาเป็นส่วนหนึ่งของทีม จากนั้นให้เริ่มพูดคุยเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงค่าคอมมิชชัน อย่าบอกว่าคุณกำลังกำจัดมันออกไป นั่นจะทำให้คนคิดมากแค่บอกว่าคุณจะทำให้มันแตกต่างไป เพิ่มค่าคอมมิชชันและเริ่มให้สิทธิ์ในการได้รับค่าคอมมิชชันเมื่อเวลาผ่านไปและบอกทีมขายว่าพวกเขาจะเสียค่าคอมมิชชั่นหากลูกค้าเลิกซื้อสินค้า คุณยังสามารถเสนอค่าคอมมิชชันที่ใหญ่ขึ้นได้หากพวกเขาจะรับหุ้นแทนเงินสด จากหนังสือ Build0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 12 มุมมอง 0 รีวิว - เมื่อมีใครบางคนนำเรื่องบางอย่างที่เขาเป็นกังวลหรือเป็นทุกข์กับมันมาบอกเล่าให้เราฟัง สิ่งที่เราควรทำที่สุดคือการรับฟังเรื่องราวนั้นให้จบ แล้วตั้งคำถามเพื่อทำให้เขาเห็นว่าเราตั้งใจฟังและเห็นว่าเรื่องของเขามันสำคัญ และยังเป็นการกระตุ้นให้เขาได้ระบายความรู้สึกทั้งหมดออกมาให้หมดด้วย บางทีเขาอาจจะแค่ต้องการระบายมันออกมาก็ได้
จากหนังสือ ร้อยคำพูดให้เขาประทับใจและทำให้เราประสบความสำเร็จเมื่อมีใครบางคนนำเรื่องบางอย่างที่เขาเป็นกังวลหรือเป็นทุกข์กับมันมาบอกเล่าให้เราฟัง สิ่งที่เราควรทำที่สุดคือการรับฟังเรื่องราวนั้นให้จบ แล้วตั้งคำถามเพื่อทำให้เขาเห็นว่าเราตั้งใจฟังและเห็นว่าเรื่องของเขามันสำคัญ และยังเป็นการกระตุ้นให้เขาได้ระบายความรู้สึกทั้งหมดออกมาให้หมดด้วย บางทีเขาอาจจะแค่ต้องการระบายมันออกมาก็ได้ จากหนังสือ ร้อยคำพูดให้เขาประทับใจและทำให้เราประสบความสำเร็จ0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 12 มุมมอง 0 รีวิว -
The Passion Paradox ฉันหมด Passion หรือแค่ยังหามันไม่เจอ
เป็นหนังสือที่ชำแหละทุกๆมุมมองของ Passion ออกมาน่าจะครบถ้วนทุกมุมมองแล้ว ซึ่งเขียนโดยทีมนักเขียน 2คน ตั้งแต่หาความหมาย ข้อดีข้อเสียของ Passion ความสมดุลของชีวิต ลากยาวไปจนการที่จำต้องทิ้ง Passion ไป และการเริ่มต้นชีวิตใหม่หลังจากทิ้ง Passion ไปแล้ว
Passion คือพลังที่จะสร้างการกระทำต่างๆออกมาอย่างมีพลัง แต่ใครๆอาจจะมองข้ามไปว่า Passion มีทั้งแง่บวกและแง่ลบ Passion ในทางลบอาจจะสร้างความเสียหายมหาศาล รวมไปถึงการหมดไฟในการทำงาน
เนื้อหาเล่าถึงที่มาของ Passion และความเข้าใจผิดหลายๆเรื่องของ Passion แล้ว Passion แบบไหนหล่ะที่มีประโยชน์ Passionที่มีประโยชน์ต้องประกอบไปด้วย ความสามาร, อิสระ และความผูกพันธ์ Passionอาจจะทำให้ต้องเลือกระหว่างชีวิตปกติกับการไปตามความฝันที่นำทางโดย Passion แต่มีงานวิจัยว่าการทำสองอย่างไปพร้อมๆกันเป็นทางออกที่ดีที่สุดและเสี่ยงน้อย
ประเภทของ Passion แบ่งออกได้เป็น
-Passion แบบหมกมุ่น Passion แบบนี้ทำให้ไม่สามารถมองเห็นภาพที่เป็นจริงได้ เป็น Passion ที่ไม่ยั่งยืน
-Passion จากความกลัว Passion แบบนี้สร้างพลังได้ก็จริงแต่ไม่ยั่งยืน เป็นเพียงการตอบสนองจากความกลัว
-Passion แบบสอดคล้อง เป็น Passion ที่ดีที่สุด เพราะเป็น Passion ที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของผู้ปฎิบัติ ทำในสิ่งที่รัก ไม่ขัดกับแนวคติที่ดีของชีวิต ทำแล้วมีความสุข
ส่วนที่ชอบที่สุดในหนังสือเล่มนี้คือบทที่ว่าด้วยความสมดุล Passionกับความสมดุลนั้นไม่มีทางจะเดินไปในทิศทางเดียวกันได้ เมื่อมี Passion และทำตาม Passion อย่างจริงจังคุณจะต้องสูญเสียอะไรบางอย่างไป อาจจะความสัมพันธ์กับครอบครัว ความสนใจในเรื่องอื่นๆ ทีมผู้เขียนบอกว่าไม่สามารถแก้ไขได้ แต่พวกเขาแนะวิธีจัดการกับความคิดของคนที่มี Passionสูงคือ ให้กำหนดชีวิตของตัวเอง ให้รู้ว่าตัวเองทำอะไรอยู่ และมุ่งมั่นต่อไป
#ThePassionParadox #ฉันหมดPassionหรือแค่ยังหามันไม่เจอ #รีวิวหนังสือ
The Passion Paradox ฉันหมด Passion หรือแค่ยังหามันไม่เจอ เป็นหนังสือที่ชำแหละทุกๆมุมมองของ Passion ออกมาน่าจะครบถ้วนทุกมุมมองแล้ว ซึ่งเขียนโดยทีมนักเขียน 2คน ตั้งแต่หาความหมาย ข้อดีข้อเสียของ Passion ความสมดุลของชีวิต ลากยาวไปจนการที่จำต้องทิ้ง Passion ไป และการเริ่มต้นชีวิตใหม่หลังจากทิ้ง Passion ไปแล้ว Passion คือพลังที่จะสร้างการกระทำต่างๆออกมาอย่างมีพลัง แต่ใครๆอาจจะมองข้ามไปว่า Passion มีทั้งแง่บวกและแง่ลบ Passion ในทางลบอาจจะสร้างความเสียหายมหาศาล รวมไปถึงการหมดไฟในการทำงาน เนื้อหาเล่าถึงที่มาของ Passion และความเข้าใจผิดหลายๆเรื่องของ Passion แล้ว Passion แบบไหนหล่ะที่มีประโยชน์ Passionที่มีประโยชน์ต้องประกอบไปด้วย ความสามาร, อิสระ และความผูกพันธ์ Passionอาจจะทำให้ต้องเลือกระหว่างชีวิตปกติกับการไปตามความฝันที่นำทางโดย Passion แต่มีงานวิจัยว่าการทำสองอย่างไปพร้อมๆกันเป็นทางออกที่ดีที่สุดและเสี่ยงน้อย ประเภทของ Passion แบ่งออกได้เป็น -Passion แบบหมกมุ่น Passion แบบนี้ทำให้ไม่สามารถมองเห็นภาพที่เป็นจริงได้ เป็น Passion ที่ไม่ยั่งยืน -Passion จากความกลัว Passion แบบนี้สร้างพลังได้ก็จริงแต่ไม่ยั่งยืน เป็นเพียงการตอบสนองจากความกลัว -Passion แบบสอดคล้อง เป็น Passion ที่ดีที่สุด เพราะเป็น Passion ที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของผู้ปฎิบัติ ทำในสิ่งที่รัก ไม่ขัดกับแนวคติที่ดีของชีวิต ทำแล้วมีความสุข ส่วนที่ชอบที่สุดในหนังสือเล่มนี้คือบทที่ว่าด้วยความสมดุล Passionกับความสมดุลนั้นไม่มีทางจะเดินไปในทิศทางเดียวกันได้ เมื่อมี Passion และทำตาม Passion อย่างจริงจังคุณจะต้องสูญเสียอะไรบางอย่างไป อาจจะความสัมพันธ์กับครอบครัว ความสนใจในเรื่องอื่นๆ ทีมผู้เขียนบอกว่าไม่สามารถแก้ไขได้ แต่พวกเขาแนะวิธีจัดการกับความคิดของคนที่มี Passionสูงคือ ให้กำหนดชีวิตของตัวเอง ให้รู้ว่าตัวเองทำอะไรอยู่ และมุ่งมั่นต่อไป #ThePassionParadox #ฉันหมดPassionหรือแค่ยังหามันไม่เจอ #รีวิวหนังสือ0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 12 มุมมอง 0 รีวิว - อาชญากรรมกับการลงทัณฑ์ Crime and punishment
ชื่อหนังสือสื่อออกมาให้อารมณ์เหมือนหนังสือที่มีความรุนแรงและมีความตึงเครียดสูง แต่แท้จริงแล้วเป็นนิยายชีวิตเล่มหนึ่งที่ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องการการฆาตกรรมที่จงใจหนึ่งศพ และไม่ตั้งใจหนึ่งศพ เรื่องราวของหนังสือเล่มนี้เล่าถึงช่วงระยะเวลาไม่เกินหนึ่งเดือนที่มีความเปลี่ยนผันมากมาย และแน่นอนสไลต์การเขียนของ Fyodor Dostoyevsky ยังคงเป็นแนวเดิมชัดเจนไม่เปลี่ยนแปลง
หนังสือเล่มนี้เราใช้เวลาอ่านหลายวัน เล่นเอาซะเหนื่อยเลย เป็นธรรมเนียมของหนังสือคลาสสิกที่เริ่มต้นเล่มจะมีการเล่าถึงประวัติของผู้แต่งหนังสือเล่มนี้ อ่านไปก็จะได้รู้ถึงชีวิตของ Fyodor Dostoyevsky พอสังเขป ฉากหลังของเนื้อเรื่องหนังสือเล่มนี้ คือช่วงปี ค.ศ.1870 โดยประมาณ ขณะนั้น ไม่มีรถยนต์และไม่มีไฟฟ้า
เนื้อเรื่องเป็นเรื่องราวของ ราสโคลนิคอฟ นักศึกษาที่ดรอปการเรียนไว้ ใช้ชีวิตอย่างถังแตกที่กรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เขาเติบโตมากับคุณแม่ที่เลี้ยงเขาและน้องสาวมาคนเดียวเนื่องจากคุณพ่อได้เสียชีวิตตั้งแต่เขายังเด็ก เขามีหัวสมองที่ดีคุณแม่จึงส่งเขาไปเรียนมหาวิทยาที่กรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เขาเป็นความหวังสูงสุดของครอบครัว แต่เนื่องจากทางบ้านขัดสนไม่มีเงินเพียงพอที่จะจ่ายค่าเล่าเรียนเขาจึงอยู่เฉยๆ อย่างไร้ความหวัง เขาใช้ชีวิตเลื่อนลอย สวมใส่เสื้อผ้าเก่าและขาดวิ่น ไม่มีเงินเพียงพอที่จะจ่ายค่าเช่าห้องและซื้ออาหาร สมบัติของเขาที่มีอยู่คือนาฬิกาที่คุณพ่อมอบไว้ให้กับ แหวนที่เขาเก็บไว้เพื่อสำหรับงานแต่งงานของน้องสาวในอนาคต แต่แล้วเขาก็จำเป็นต้องของสองสิ่งนี้ไปจำนำกับคุณป้าที่รับของจำนำที่แสนใจร้าย และกดราคาผู้นำของมาจำนำมากๆ
เหตุการณ์วุ่นวายเกิดขึ้นเนื่อจากเขาได้รับจดหมายจากคุณแม่ว่าน้องสาวจะแต่งงานกับนักกฎหมายอายุ 45 ปี และทั้งแม่กับน้องสาวจะมาอยู่ที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กตามคำรับเชิญของคู่หมั้นน้องสาว ด้วยหลายๆสาเหตุทั้งโกรธแค้น , ต้องการเงิน , ต้องการนำของที่จำนำคืน , ต้องการสร้างความยุติธรรมให้กับสังคม และรวมไปถึงความจิตหลอนของราสโคลนิคอฟ ทำให้เขาตัดสินใจเตรียมวางแผนฆาตกรรมคุณป้ารับจำนำ ท้ายที่สุดเขาทำการฆาตกรรมคุณป้าสำเร็จ หากแต่ในที่ตรงนั้นมีน้องสาวคุณป้าซึ่งเป็นที่รู้กันในสังคมนั้นว่าเป็นคนจิตใจดีซึ่งแตกต่างจากคุณป้ามากมาย เข้ามาเห็นเหตุการณ์พอดีเลยทำให้ ราสโคลนิคอฟต้องฆ่าน้องสาวคุณป้าไปด้วย
การผูกเรื่องราวโยงใย ทั้งการฆาตกรรม , เพื่อนของราสโคลนิคอฟเอง , ตำรวจ , คุณแม่และน้องสาว , เพื่อนที่เจอกันในร้านเหล้าและครอบครัวของเขา และชายเพื่อนบ้านคนที่มาจากบ้านเกิดเดียวกับราสโคลนิคอฟ Fyodor Dostoyevsky สามารถเขียนคลุกเคล้าดำเนินเรื่องจนจบลงได้อย่างหมดจดงดงาม
#อาชญากรรมกับการลงทัณฑ์ #CrimeAndPunishment #รีวิวหนังสือ
อาชญากรรมกับการลงทัณฑ์ Crime and punishment ชื่อหนังสือสื่อออกมาให้อารมณ์เหมือนหนังสือที่มีความรุนแรงและมีความตึงเครียดสูง แต่แท้จริงแล้วเป็นนิยายชีวิตเล่มหนึ่งที่ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องการการฆาตกรรมที่จงใจหนึ่งศพ และไม่ตั้งใจหนึ่งศพ เรื่องราวของหนังสือเล่มนี้เล่าถึงช่วงระยะเวลาไม่เกินหนึ่งเดือนที่มีความเปลี่ยนผันมากมาย และแน่นอนสไลต์การเขียนของ Fyodor Dostoyevsky ยังคงเป็นแนวเดิมชัดเจนไม่เปลี่ยนแปลง หนังสือเล่มนี้เราใช้เวลาอ่านหลายวัน เล่นเอาซะเหนื่อยเลย เป็นธรรมเนียมของหนังสือคลาสสิกที่เริ่มต้นเล่มจะมีการเล่าถึงประวัติของผู้แต่งหนังสือเล่มนี้ อ่านไปก็จะได้รู้ถึงชีวิตของ Fyodor Dostoyevsky พอสังเขป ฉากหลังของเนื้อเรื่องหนังสือเล่มนี้ คือช่วงปี ค.ศ.1870 โดยประมาณ ขณะนั้น ไม่มีรถยนต์และไม่มีไฟฟ้า เนื้อเรื่องเป็นเรื่องราวของ ราสโคลนิคอฟ นักศึกษาที่ดรอปการเรียนไว้ ใช้ชีวิตอย่างถังแตกที่กรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เขาเติบโตมากับคุณแม่ที่เลี้ยงเขาและน้องสาวมาคนเดียวเนื่องจากคุณพ่อได้เสียชีวิตตั้งแต่เขายังเด็ก เขามีหัวสมองที่ดีคุณแม่จึงส่งเขาไปเรียนมหาวิทยาที่กรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เขาเป็นความหวังสูงสุดของครอบครัว แต่เนื่องจากทางบ้านขัดสนไม่มีเงินเพียงพอที่จะจ่ายค่าเล่าเรียนเขาจึงอยู่เฉยๆ อย่างไร้ความหวัง เขาใช้ชีวิตเลื่อนลอย สวมใส่เสื้อผ้าเก่าและขาดวิ่น ไม่มีเงินเพียงพอที่จะจ่ายค่าเช่าห้องและซื้ออาหาร สมบัติของเขาที่มีอยู่คือนาฬิกาที่คุณพ่อมอบไว้ให้กับ แหวนที่เขาเก็บไว้เพื่อสำหรับงานแต่งงานของน้องสาวในอนาคต แต่แล้วเขาก็จำเป็นต้องของสองสิ่งนี้ไปจำนำกับคุณป้าที่รับของจำนำที่แสนใจร้าย และกดราคาผู้นำของมาจำนำมากๆ เหตุการณ์วุ่นวายเกิดขึ้นเนื่อจากเขาได้รับจดหมายจากคุณแม่ว่าน้องสาวจะแต่งงานกับนักกฎหมายอายุ 45 ปี และทั้งแม่กับน้องสาวจะมาอยู่ที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กตามคำรับเชิญของคู่หมั้นน้องสาว ด้วยหลายๆสาเหตุทั้งโกรธแค้น , ต้องการเงิน , ต้องการนำของที่จำนำคืน , ต้องการสร้างความยุติธรรมให้กับสังคม และรวมไปถึงความจิตหลอนของราสโคลนิคอฟ ทำให้เขาตัดสินใจเตรียมวางแผนฆาตกรรมคุณป้ารับจำนำ ท้ายที่สุดเขาทำการฆาตกรรมคุณป้าสำเร็จ หากแต่ในที่ตรงนั้นมีน้องสาวคุณป้าซึ่งเป็นที่รู้กันในสังคมนั้นว่าเป็นคนจิตใจดีซึ่งแตกต่างจากคุณป้ามากมาย เข้ามาเห็นเหตุการณ์พอดีเลยทำให้ ราสโคลนิคอฟต้องฆ่าน้องสาวคุณป้าไปด้วย การผูกเรื่องราวโยงใย ทั้งการฆาตกรรม , เพื่อนของราสโคลนิคอฟเอง , ตำรวจ , คุณแม่และน้องสาว , เพื่อนที่เจอกันในร้านเหล้าและครอบครัวของเขา และชายเพื่อนบ้านคนที่มาจากบ้านเกิดเดียวกับราสโคลนิคอฟ Fyodor Dostoyevsky สามารถเขียนคลุกเคล้าดำเนินเรื่องจนจบลงได้อย่างหมดจดงดงาม #อาชญากรรมกับการลงทัณฑ์ #CrimeAndPunishment #รีวิวหนังสือ0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 13 มุมมอง 0 รีวิว - ข้อเท็จจริงชุดเดียวกันสามารถนำไปใช้แต่งเรื่องได้มากมายไม่จำกัด เรื่องที่เราแต่งขึ้นก็เป็นเพียงแค่เรื่องที่เราแต่งขึ้นเองเท่านั้น เราสามารถปรุงแต่งเรื่องราวจากข้อมูลที่มีอยู่ได้นับร้อยนับพันเรื่อง
ตัวอย่างเช่น มาเรียอาจจะสรุปได้อย่างง่ายดายว่าหลุยส์ไม่รู้เลยว่ามาเรียให้ความสำคัญกับโครงการดังกล่าวมากแค่ไหน หรือเธออาจจะสรุปได้เช่นกันว่าหลุยส์ รู้สึกว่าตัวเองไม่มีความสำคัญเขาจึงทำเช่นนั้นเพื่อแสดงให้เห็นว่าตัวเขาเองมีค่า หรือบางทีเขาอาจเคยต้องรับผิดชอบในความผิดพลาดที่เกิดขึ้นกับบางโครงการที่เขาไม่ได้เข้าร่วมในทุกขั้นตอน แม้ว่าเรื่องเหล่านี้จะมีที่มาจากข้อเท็จจริงเดียวกันแต่กลับทำให้เกิดความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป
จากหนังสือ Crucial Conversationsข้อเท็จจริงชุดเดียวกันสามารถนำไปใช้แต่งเรื่องได้มากมายไม่จำกัด เรื่องที่เราแต่งขึ้นก็เป็นเพียงแค่เรื่องที่เราแต่งขึ้นเองเท่านั้น เราสามารถปรุงแต่งเรื่องราวจากข้อมูลที่มีอยู่ได้นับร้อยนับพันเรื่อง ตัวอย่างเช่น มาเรียอาจจะสรุปได้อย่างง่ายดายว่าหลุยส์ไม่รู้เลยว่ามาเรียให้ความสำคัญกับโครงการดังกล่าวมากแค่ไหน หรือเธออาจจะสรุปได้เช่นกันว่าหลุยส์ รู้สึกว่าตัวเองไม่มีความสำคัญเขาจึงทำเช่นนั้นเพื่อแสดงให้เห็นว่าตัวเขาเองมีค่า หรือบางทีเขาอาจเคยต้องรับผิดชอบในความผิดพลาดที่เกิดขึ้นกับบางโครงการที่เขาไม่ได้เข้าร่วมในทุกขั้นตอน แม้ว่าเรื่องเหล่านี้จะมีที่มาจากข้อเท็จจริงเดียวกันแต่กลับทำให้เกิดความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป จากหนังสือ Crucial Conversations0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 13 มุมมอง 0 รีวิว - ความเชื่อประจำใจผูกติดอยู่กับจิตสำนึกของตัวเองยกตัวอย่างเช่น บางคนรู้สึกมีอิสระเป็นความเชื่อประจำใจน่าจะพบว่าตัวเองกำลังฉุดดึงโอกาสในการทำงานเอาไว้ ความเชื่อประจำใจของใครบางคนคือรู้สึกเป็นที่ต้องการของใครๆก็น่าจะพบว่าตัวเองกำลังคบหาอยู่กับคนเป็นจำนวนหนึ่งซึ่งเป็นความสัมพันธ์ที่แนบแน่นแต่ไม่อยากมีภาระผูกพัน
ใครบางคนที่เอาความสามารถในการควบคุมทุกอย่างในชีวิตเป็นความเชื่อประจำใจเขาต้องกังวลขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุเมื่อได้เห็นสิ่งสะท้อนถึงการสูญเสียความควบคุม หากเขามีความเชื่อประจำใจเป็นการเป็นที่รักของใครๆเพราะเขาอาจจะแกล้งเล่นบทที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลยเรื่องของชีวิตเพราะถ้าไม่จำเป็นต้องพึ่งพาคนอื่นพวกเขาอาจจะโดนคนเหล่านั้นทอดทิ้งเราได้
จากหนังสือ Mountain In Youความเชื่อประจำใจผูกติดอยู่กับจิตสำนึกของตัวเองยกตัวอย่างเช่น บางคนรู้สึกมีอิสระเป็นความเชื่อประจำใจน่าจะพบว่าตัวเองกำลังฉุดดึงโอกาสในการทำงานเอาไว้ ความเชื่อประจำใจของใครบางคนคือรู้สึกเป็นที่ต้องการของใครๆก็น่าจะพบว่าตัวเองกำลังคบหาอยู่กับคนเป็นจำนวนหนึ่งซึ่งเป็นความสัมพันธ์ที่แนบแน่นแต่ไม่อยากมีภาระผูกพัน ใครบางคนที่เอาความสามารถในการควบคุมทุกอย่างในชีวิตเป็นความเชื่อประจำใจเขาต้องกังวลขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุเมื่อได้เห็นสิ่งสะท้อนถึงการสูญเสียความควบคุม หากเขามีความเชื่อประจำใจเป็นการเป็นที่รักของใครๆเพราะเขาอาจจะแกล้งเล่นบทที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลยเรื่องของชีวิตเพราะถ้าไม่จำเป็นต้องพึ่งพาคนอื่นพวกเขาอาจจะโดนคนเหล่านั้นทอดทิ้งเราได้ จากหนังสือ Mountain In You0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 13 มุมมอง 0 รีวิว - Clear Thinking คิดให้เฉียบคม
หนังสือที่เขียนด้วยอดีตพนักงานหน่วยข่าวกรองของอเมริกา เนื้อหาไม่ได้มีเพียงการสอนให้คิดโดยใช้เหตุผลแทนอารมณ์เท่านั้น ยังให้คำแนะนำทางเลือกในการตัดสินใจ และการเปลี่ยนแปลงความคิดเพื่อใช้ชีวิตอย่างมีความสุขด้วย
เป็นหนังสือที่ดีมากเล่มหนึ่งเลย การที่ผู้เขียนเคยทำงานอยู่ในองค์กรหน่วยข่าวกรองเป็นระยะเวลาพอสมควรได้นั้น แสดงว่าเขามีความคิดที่เฉียบคมพอสมควร แต่ในเล่มเขาเล่าว่าความคิดที่เคยเฉียบคมของเขา ต้องถูกปรับปรุงด้วยคนที่มีความคิดเฉียบคมหลายๆคน จนท้ายที่สุดกลายเป็นหลักการความคิดที่เฉียบคมในสำนักงานใช้กัน เรื่องในบทแรกที่ผู้เขียนได้อธิบายที่เกี่ยวของกับการตัดสินใจและแสดงออกก็คือเรื่อง อารมณ์ , อัตตา , ค่าตั้งต้นทางสังคม(ค่านิยม) , ความเฉื่อย (ไม่กล้าออกจากคอมฟอร์ดโซน)
Part ต่อมา เป็นเนื้อหาเกี่ยวกับแนวทางการสร้างความแข็งแกร่งให้ตัวเอง ซึ่งเกี่ยวกับเรื่อง ความรับผิดชอบ , การรู้จักตนเอง , การควบคุมตนเองและอีกหลายหัวข้อ ซึ่งใน part นี้มีเรื่องที่น่าสนใจมาก ผู้แต่งทำงานอย่างหนักแทบไม่ได้นอนเต็มอิ่มมาเป็นเดือนๆแล้วแต่มีงานชิ้นหนึ่งเขาไม่เสร็จเนื่องจากรถโดยสารของเขาติดหิมะเสียเวลาไปสองชั่วโมง หัวหน้าของเขารองานชิ้นนี้อยู่ เขาอ้างเรื่องรถ เรื่องไม่ได้พักผ่อน แล้วทำงานไม่เสร็จ แต่หัวหน้าเขาไม่ฟัง หัวหน้าเขาตอบเมลมาว่า “ผมไม่สน คุณมีความรับผิดชอบต่อทีมของเรา ที่จะต้องทำงานโง่ๆของงคุณให้เสร็จ ถ้าคุณรับหน้าที่นี้ไม่ได้ก็เรียนรู้จากมัน และทีหลังก็แก้ปัญหาให้ได้ ผมไม่อยากร่วมงานกับคุณ ป.ล. อย่าโทษรถเมล์ที่มาสาย ซื้อรถเหอะ”
เขาอธิบายความรู้สึกว่าเขาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ จนเพื่อนทำงานเขาได้สอนเขาว่า การเสียเวลาไปกับความโกรธไม่ดีเลย และไม่ได้ทำงานด้วย หลังจากนั้นเขาก็คิดเองได้ว่า การมีข้ออ้างในเรื่องที่ทำงานไม่เสร็จนั้น นอกจากจะไม่มีใครฟังไม่มีใครสนใจ หัวหน้าเขาต้องการเพียงแค่ชิ้นงานเท่านั้นเรื่องอื่นๆ หัวหน้าและคนอื่นๆเขาไม่ได้สนใจ และเขากลับมาคิดว่าการอ้างเรื่องอื่นๆเพราะงานไม่เสร็จเป็นเรื่องที่ผลักความรับผิดชอบของตัวเองไปกับสิ่งอื่นๆ ซึ่งเป็นความรู้สึกที่แย่และขาดความรับชอบอย่างมาก เขาควรจะต้องตัดการตัวเองให้ดีกว่านี้ หลังจากปรับความคิดแล้วเขากับหัวหน้าของเขาก็ทำงานเข้ากันได้เป็นอย่างดี
Part ท้ายเล่ม เป็นเรื่องการสร้างแนวคิดที่เกี่ยวกับควาสุข เราชอบเป็นพิเศษเลย ผู้เขียนสอนให้มองถึงความรู้จักพอเพียง เขาให้ผู้อ่านลองคิดถึงตอนอายุ 16ปี พวกเราแทบไม่ต้องการอะไรเลย แต่พอโตขึ้นกลับมีความต้องการมากมายและไม่สิ้นสุด , เขาแนะนำให้สร้างสิ่งดีๆกับคนรอบตัว พูดดี ทำดี และใส่ใจ , และให้พึงระลึกถึงความตายที่สามารถเกิดขึ้นได้เสมอ และเมื่อระลึกถึงความตายแล้วเราจะทำทุกอย่างให้เหมือนเป็นวันสุดท้ายขอบชีวิต
#ClearThinking #คิดให้เฉียบคม #รีวิวหนังสือ
Clear Thinking คิดให้เฉียบคม หนังสือที่เขียนด้วยอดีตพนักงานหน่วยข่าวกรองของอเมริกา เนื้อหาไม่ได้มีเพียงการสอนให้คิดโดยใช้เหตุผลแทนอารมณ์เท่านั้น ยังให้คำแนะนำทางเลือกในการตัดสินใจ และการเปลี่ยนแปลงความคิดเพื่อใช้ชีวิตอย่างมีความสุขด้วย เป็นหนังสือที่ดีมากเล่มหนึ่งเลย การที่ผู้เขียนเคยทำงานอยู่ในองค์กรหน่วยข่าวกรองเป็นระยะเวลาพอสมควรได้นั้น แสดงว่าเขามีความคิดที่เฉียบคมพอสมควร แต่ในเล่มเขาเล่าว่าความคิดที่เคยเฉียบคมของเขา ต้องถูกปรับปรุงด้วยคนที่มีความคิดเฉียบคมหลายๆคน จนท้ายที่สุดกลายเป็นหลักการความคิดที่เฉียบคมในสำนักงานใช้กัน เรื่องในบทแรกที่ผู้เขียนได้อธิบายที่เกี่ยวของกับการตัดสินใจและแสดงออกก็คือเรื่อง อารมณ์ , อัตตา , ค่าตั้งต้นทางสังคม(ค่านิยม) , ความเฉื่อย (ไม่กล้าออกจากคอมฟอร์ดโซน) Part ต่อมา เป็นเนื้อหาเกี่ยวกับแนวทางการสร้างความแข็งแกร่งให้ตัวเอง ซึ่งเกี่ยวกับเรื่อง ความรับผิดชอบ , การรู้จักตนเอง , การควบคุมตนเองและอีกหลายหัวข้อ ซึ่งใน part นี้มีเรื่องที่น่าสนใจมาก ผู้แต่งทำงานอย่างหนักแทบไม่ได้นอนเต็มอิ่มมาเป็นเดือนๆแล้วแต่มีงานชิ้นหนึ่งเขาไม่เสร็จเนื่องจากรถโดยสารของเขาติดหิมะเสียเวลาไปสองชั่วโมง หัวหน้าของเขารองานชิ้นนี้อยู่ เขาอ้างเรื่องรถ เรื่องไม่ได้พักผ่อน แล้วทำงานไม่เสร็จ แต่หัวหน้าเขาไม่ฟัง หัวหน้าเขาตอบเมลมาว่า “ผมไม่สน คุณมีความรับผิดชอบต่อทีมของเรา ที่จะต้องทำงานโง่ๆของงคุณให้เสร็จ ถ้าคุณรับหน้าที่นี้ไม่ได้ก็เรียนรู้จากมัน และทีหลังก็แก้ปัญหาให้ได้ ผมไม่อยากร่วมงานกับคุณ ป.ล. อย่าโทษรถเมล์ที่มาสาย ซื้อรถเหอะ” เขาอธิบายความรู้สึกว่าเขาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ จนเพื่อนทำงานเขาได้สอนเขาว่า การเสียเวลาไปกับความโกรธไม่ดีเลย และไม่ได้ทำงานด้วย หลังจากนั้นเขาก็คิดเองได้ว่า การมีข้ออ้างในเรื่องที่ทำงานไม่เสร็จนั้น นอกจากจะไม่มีใครฟังไม่มีใครสนใจ หัวหน้าเขาต้องการเพียงแค่ชิ้นงานเท่านั้นเรื่องอื่นๆ หัวหน้าและคนอื่นๆเขาไม่ได้สนใจ และเขากลับมาคิดว่าการอ้างเรื่องอื่นๆเพราะงานไม่เสร็จเป็นเรื่องที่ผลักความรับผิดชอบของตัวเองไปกับสิ่งอื่นๆ ซึ่งเป็นความรู้สึกที่แย่และขาดความรับชอบอย่างมาก เขาควรจะต้องตัดการตัวเองให้ดีกว่านี้ หลังจากปรับความคิดแล้วเขากับหัวหน้าของเขาก็ทำงานเข้ากันได้เป็นอย่างดี Part ท้ายเล่ม เป็นเรื่องการสร้างแนวคิดที่เกี่ยวกับควาสุข เราชอบเป็นพิเศษเลย ผู้เขียนสอนให้มองถึงความรู้จักพอเพียง เขาให้ผู้อ่านลองคิดถึงตอนอายุ 16ปี พวกเราแทบไม่ต้องการอะไรเลย แต่พอโตขึ้นกลับมีความต้องการมากมายและไม่สิ้นสุด , เขาแนะนำให้สร้างสิ่งดีๆกับคนรอบตัว พูดดี ทำดี และใส่ใจ , และให้พึงระลึกถึงความตายที่สามารถเกิดขึ้นได้เสมอ และเมื่อระลึกถึงความตายแล้วเราจะทำทุกอย่างให้เหมือนเป็นวันสุดท้ายขอบชีวิต #ClearThinking #คิดให้เฉียบคม #รีวิวหนังสือ0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 14 มุมมอง 0 รีวิว - เมื่อเกิดความผิดพลาดต้องแยกให้ได้ว่าอันไหนเป็นเรื่องบังเอิญ อันไหนเป็นเรื่องที่อยู่ในขอบเขตที่ควบคุมได้
จากหนังสือ คิดแบบนี้โชคดีตลอดกาลเมื่อเกิดความผิดพลาดต้องแยกให้ได้ว่าอันไหนเป็นเรื่องบังเอิญ อันไหนเป็นเรื่องที่อยู่ในขอบเขตที่ควบคุมได้ จากหนังสือ คิดแบบนี้โชคดีตลอดกาล0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 14 มุมมอง 0 รีวิว - หนังสือ Art and Fear ซึ่งตีพิมพ์ปี 2001 โดยผู้เขียนอย่างเดวิด เบย์ส และเท็ด ออลแลนด์
ครูแบ่งนักเรียนเป็น 2 กลุ่มโดยกลุ่มแรกจะถูกประเมินคะแนนตามปริมาณที่พวกเขาทำได้ ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งประเมินตามคุณภาพของงานปั้น กลุ่มที่เป็นกลุ่มปริมาณมีงานปั้น 23 กิโลกรัมขึ้นไปจะได้เกรด A ส่วนกลุ่มที่มีน้ำหนักรวมตั้งแต่ 18 กิโลกรัมถึงได้เกรด B เรียงกันลงไป แต่กลุ่มที่ประเมินคุณภาพต้องเป็นงานปั้นที่สมบูรณ์แบบเดียวเพื่อให้ได้เกรด A
ข้อเท็จจริงพบว่าผลงานคุณภาพดีล้วนถูกทำจากกลุ่มที่ถูกประเมินว่าปริมาณทั้งสิ้น เขาทำให้ปริมาณมากแต่เขาพัฒนาและแก้ไขความผิดพลาดให้ผลงานเขาดีขึ้นในชิ้นท้ายๆ กลุ่มคุณภาพจะนั่งขบคิดเรื่องความสมบูรณ์แบบแต่ผลงานชิ้นเดียวอาจไม่ดีพอ
จากหนังสือ กฎ 20 ชั่วโมงแรก
หนังสือ Art and Fear ซึ่งตีพิมพ์ปี 2001 โดยผู้เขียนอย่างเดวิด เบย์ส และเท็ด ออลแลนด์ ครูแบ่งนักเรียนเป็น 2 กลุ่มโดยกลุ่มแรกจะถูกประเมินคะแนนตามปริมาณที่พวกเขาทำได้ ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งประเมินตามคุณภาพของงานปั้น กลุ่มที่เป็นกลุ่มปริมาณมีงานปั้น 23 กิโลกรัมขึ้นไปจะได้เกรด A ส่วนกลุ่มที่มีน้ำหนักรวมตั้งแต่ 18 กิโลกรัมถึงได้เกรด B เรียงกันลงไป แต่กลุ่มที่ประเมินคุณภาพต้องเป็นงานปั้นที่สมบูรณ์แบบเดียวเพื่อให้ได้เกรด A ข้อเท็จจริงพบว่าผลงานคุณภาพดีล้วนถูกทำจากกลุ่มที่ถูกประเมินว่าปริมาณทั้งสิ้น เขาทำให้ปริมาณมากแต่เขาพัฒนาและแก้ไขความผิดพลาดให้ผลงานเขาดีขึ้นในชิ้นท้ายๆ กลุ่มคุณภาพจะนั่งขบคิดเรื่องความสมบูรณ์แบบแต่ผลงานชิ้นเดียวอาจไม่ดีพอ จากหนังสือ กฎ 20 ชั่วโมงแรก0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 14 มุมมอง 0 รีวิว - คิดอย่างจีน
หลักแนวคิดอย่างคนจีนตั้งแต่สมัยก่อนพุทธกาล จนถึงหลักคิดชาวจีนผู้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในยุคปัจจุบัน ผู้แต่คัดแนวคิดของผู้มีชื่อเสียงเรียงตามลำดับเวลา จนเหมือนได้อ่านหนังสือทางประวัติศาสตร์ร่วมไปด้วย แนวคิดที่ดีเหล่านี้ใช้ได้ไม่ล้าสมัยเลย
แน่นอนว่าแนวคิดยุคก่อนพุทธกาล ทางจีนก็มีนักปราชญ์มากมายและหลายๆคนก็เป็นที่รู้จักเช่น ขงจื่อเป็นต้น หลัการของพวกเขาก็คือการใช้ชีวิต เข้าใจชีวิต และอยู่กับธรรมชาติ หลังจากนั้นชาวจีนมีการสู้รบกันเพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ รบราฆ่าฟัน ซึ่งในช่วงนี้จะมีแนวคิดทางด้านการสู้รบ เช่น ซูนหวู่ ซุนปิน เป็นต้น
เมื่อการปกครองของจีนเริ่มเข้าสู่ยุคที่มั่นคงนับตั้งแต่ยุคจิ๋นซีฮ่องเต้ ปรัชญาการบริหารประเทศ การบริหารคน การเอาตัวรอดของนักปราชญ์ที่ต้องรับใช้ฮ่องเต้ที่เหี้ยมโหด ก็เป็นหลักการใช้ชีวิตที่ควรศึกษาเช่นกัน
และแล้วก็มาถึงยุคของการเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนแปลงจากราชวงศ์ชิงเป็นช่วงวุ่นวายของสงครามกลางเมืองในจีนจนท้ายที่สุด เหมา เจ๋อ ตุง รวมประเทศได้สำเร็จ ในช่วงนี้มีแนวคิดดีๆ จาก เหมาเจ๋อตุง , ซุนยัดเซ็น , โจวเอินไหล และเติ่งเสี่ยวผิง ที่น่าสนใจ
ต่อไปเป็นแนวคิดของชาวจีนยุคก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ ได้แก่ แนวคิดของ กิมย้ง , กวนซี่ , เหรินเจ้นเฟย และ ผู้ก่อตั้ง Gree และ Haier ส่วนในท้ายเล่มเป็นแนวคิดสร้างจีนดิจิทัลบุกโลก ได้แก่ ผู้สร้าง Lenovo , Maotai , Alibaba , Tencent , We Chat และ Tiktok
เนื้อหาแต่ละตอนเป็นตอนสั้นๆ โดยที่ผู้เขียนมีความรู้เกี่ยวกับจีนอย่างดีและทางสำนักพิมพ์ได้ร้องขอให้เขาเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา เขาจึงคัดสรรแนวคิดต่างๆอย่างพิถีพิถันและเขียนอธิบายออกมาให้เข้าใจได้ง่าย อ่านแล้วได้ภาพรวมของแนวคิดอย่างจีน อย่างแท้จริง
#คิดอย่างจีน #รีวิวหนังสือ
คิดอย่างจีน หลักแนวคิดอย่างคนจีนตั้งแต่สมัยก่อนพุทธกาล จนถึงหลักคิดชาวจีนผู้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในยุคปัจจุบัน ผู้แต่คัดแนวคิดของผู้มีชื่อเสียงเรียงตามลำดับเวลา จนเหมือนได้อ่านหนังสือทางประวัติศาสตร์ร่วมไปด้วย แนวคิดที่ดีเหล่านี้ใช้ได้ไม่ล้าสมัยเลย แน่นอนว่าแนวคิดยุคก่อนพุทธกาล ทางจีนก็มีนักปราชญ์มากมายและหลายๆคนก็เป็นที่รู้จักเช่น ขงจื่อเป็นต้น หลัการของพวกเขาก็คือการใช้ชีวิต เข้าใจชีวิต และอยู่กับธรรมชาติ หลังจากนั้นชาวจีนมีการสู้รบกันเพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ รบราฆ่าฟัน ซึ่งในช่วงนี้จะมีแนวคิดทางด้านการสู้รบ เช่น ซูนหวู่ ซุนปิน เป็นต้น เมื่อการปกครองของจีนเริ่มเข้าสู่ยุคที่มั่นคงนับตั้งแต่ยุคจิ๋นซีฮ่องเต้ ปรัชญาการบริหารประเทศ การบริหารคน การเอาตัวรอดของนักปราชญ์ที่ต้องรับใช้ฮ่องเต้ที่เหี้ยมโหด ก็เป็นหลักการใช้ชีวิตที่ควรศึกษาเช่นกัน และแล้วก็มาถึงยุคของการเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนแปลงจากราชวงศ์ชิงเป็นช่วงวุ่นวายของสงครามกลางเมืองในจีนจนท้ายที่สุด เหมา เจ๋อ ตุง รวมประเทศได้สำเร็จ ในช่วงนี้มีแนวคิดดีๆ จาก เหมาเจ๋อตุง , ซุนยัดเซ็น , โจวเอินไหล และเติ่งเสี่ยวผิง ที่น่าสนใจ ต่อไปเป็นแนวคิดของชาวจีนยุคก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ ได้แก่ แนวคิดของ กิมย้ง , กวนซี่ , เหรินเจ้นเฟย และ ผู้ก่อตั้ง Gree และ Haier ส่วนในท้ายเล่มเป็นแนวคิดสร้างจีนดิจิทัลบุกโลก ได้แก่ ผู้สร้าง Lenovo , Maotai , Alibaba , Tencent , We Chat และ Tiktok เนื้อหาแต่ละตอนเป็นตอนสั้นๆ โดยที่ผู้เขียนมีความรู้เกี่ยวกับจีนอย่างดีและทางสำนักพิมพ์ได้ร้องขอให้เขาเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา เขาจึงคัดสรรแนวคิดต่างๆอย่างพิถีพิถันและเขียนอธิบายออกมาให้เข้าใจได้ง่าย อ่านแล้วได้ภาพรวมของแนวคิดอย่างจีน อย่างแท้จริง #คิดอย่างจีน #รีวิวหนังสือ0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 17 มุมมอง 0 รีวิว - สัตว์ที่เป็นขนาดใหญ่ที่มนุษย์นำมาเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีขนาดน้ำหนัก 100 ปอนด์ขึ้นไปมี 14 ชนิด เพาะเลี้ยงครั้งแรกในช่วงก่อนศตวรรษที่ 20 ในบรรดาสัตว์เลี้ยงรุ่นโบราณทั้ง 14 ชนิดมีอยู่ 9 ชนิดเป็นสัตว์เลี้ยงที่มีความสำคัญรองลงมา ได้แก่ อูฐอาหรับ อูฐเอเชีย ตัวลามะหรืออัลปาก้า ลา วางเลนเดีย ควายจามรี วัวพันธุ์เต็งและวัวป่า
ส่วนที่แพร่หลายทั่วโลก 5 ชนิดหลักหรือ Major Fast ได้แก่ วัว แกะ แพะ สุกร และม้า
จากหนังสือ ปืน เชื้อโรค เหล็กกล้า กับชะตากรรมของสังคมมนุษย์สัตว์ที่เป็นขนาดใหญ่ที่มนุษย์นำมาเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีขนาดน้ำหนัก 100 ปอนด์ขึ้นไปมี 14 ชนิด เพาะเลี้ยงครั้งแรกในช่วงก่อนศตวรรษที่ 20 ในบรรดาสัตว์เลี้ยงรุ่นโบราณทั้ง 14 ชนิดมีอยู่ 9 ชนิดเป็นสัตว์เลี้ยงที่มีความสำคัญรองลงมา ได้แก่ อูฐอาหรับ อูฐเอเชีย ตัวลามะหรืออัลปาก้า ลา วางเลนเดีย ควายจามรี วัวพันธุ์เต็งและวัวป่า ส่วนที่แพร่หลายทั่วโลก 5 ชนิดหลักหรือ Major Fast ได้แก่ วัว แกะ แพะ สุกร และม้า จากหนังสือ ปืน เชื้อโรค เหล็กกล้า กับชะตากรรมของสังคมมนุษย์0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 17 มุมมอง 0 รีวิว - ถ้าหากเดินลงจากเขามีร้านค้าของฝากเรียงกัน 4 ร้าน ร้านแรกจะขายแพงที่สุดส่วนร้านที่อยู่ด้านล่างสุดจะขายถูกที่สุด
ในทางกลับกันคนที่เดินขึ้นเขา เขาจะเจอร้านแรกที่เคยขายคนลงเขาในราคาถูก แต่ตอนนี้เขาจะขายคนขึ้นเขาได้ในราคาแพงที่สุด
จากหนังสือ กลแก้โกงถ้าหากเดินลงจากเขามีร้านค้าของฝากเรียงกัน 4 ร้าน ร้านแรกจะขายแพงที่สุดส่วนร้านที่อยู่ด้านล่างสุดจะขายถูกที่สุด ในทางกลับกันคนที่เดินขึ้นเขา เขาจะเจอร้านแรกที่เคยขายคนลงเขาในราคาถูก แต่ตอนนี้เขาจะขายคนขึ้นเขาได้ในราคาแพงที่สุด จากหนังสือ กลแก้โกง0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 17 มุมมอง 0 รีวิว - โธมัส ฮัคซ์บี่ย์
"จุดหมายของชีวิตอยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่อยู่ที่ความรู้"โธมัส ฮัคซ์บี่ย์ "จุดหมายของชีวิตอยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่อยู่ที่ความรู้"0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 19 มุมมอง 0 รีวิว - วิคเตอร์ มารี อูโก้
"สิ่งที่กว้างใหญ่ที่สุดบนโลกนี้คือมหาสมุทร สิ่งที่กว้างใหญ่กว่ามหาสมุทรคือท้องฟ้า สิ่งที่กว้างใหญ่กว่าท้องฟ้าก็คือใจคน"
วิคเตอร์ มารี อูโก้ "สิ่งที่กว้างใหญ่ที่สุดบนโลกนี้คือมหาสมุทร สิ่งที่กว้างใหญ่กว่ามหาสมุทรคือท้องฟ้า สิ่งที่กว้างใหญ่กว่าท้องฟ้าก็คือใจคน"0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 19 มุมมอง 0 รีวิว - ปีเตอร์ ลินช์
ในอเมริกามีนักเศรษฐศาสตร์อยู่ 60,000 คนหลายคนถูกว่าจ้างให้ทำนายภาวะเศรษฐกิจถดถอยและอัตราดอกเบี้ยซึ่งหากทำนายถูกต้อง 2 ครั้งติดต่อกัน พวกเขาจะกลายเป็นเศรษฐีทันทีแต่เท่าที่ผมรู้ส่วนใหญ่ยังเป็นลูกจ้างอยู่เหมือนเดิมปีเตอร์ ลินช์ ในอเมริกามีนักเศรษฐศาสตร์อยู่ 60,000 คนหลายคนถูกว่าจ้างให้ทำนายภาวะเศรษฐกิจถดถอยและอัตราดอกเบี้ยซึ่งหากทำนายถูกต้อง 2 ครั้งติดต่อกัน พวกเขาจะกลายเป็นเศรษฐีทันทีแต่เท่าที่ผมรู้ส่วนใหญ่ยังเป็นลูกจ้างอยู่เหมือนเดิม - Malene Chism อธิบายองค์ประกอบหลักของดราม่า 3 ตัว
คือ ม่านหมอกแห่งความไม่ชัดเจน , สามเหลี่ยมแห่งดราม่า(ผู้ร่วม) , แรงต้านภายในตัวเองMalene Chism อธิบายองค์ประกอบหลักของดราม่า 3 ตัว คือ ม่านหมอกแห่งความไม่ชัดเจน , สามเหลี่ยมแห่งดราม่า(ผู้ร่วม) , แรงต้านภายในตัวเอง0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 18 มุมมอง 0 รีวิว - อับราฮัม มาสโลว์ (Abraham Maslow) นักจิตวิทยาชื่อดัง ชาวสหรัฐอเมริกา ได้สรุปทฤษฎีความต้องการพื้นฐาน 5 ขั้นตอน ของมนุษย์ทุกคนไว้อย่างชัดเจน ได้แก่ 1. สามารถอยู่รอดด้วย ปัจจัยสี่ 2. มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน 3. มีความรัก และความผูกพันที่ดี 4. ได้รับการยอมรับนับถือทั้งจากตนเอง และผู้อื่น และ 5. รู้จักและเข้าใจตนเองตามสภาพที่แท้จริง เพื่อ พัฒนาชีวิตของตนเองให้สมบูรณ์ที่สุด
จากหนังสือ ธุรกิจสร้างสุข The Business for Happiness Japanese Styleอับราฮัม มาสโลว์ (Abraham Maslow) นักจิตวิทยาชื่อดัง ชาวสหรัฐอเมริกา ได้สรุปทฤษฎีความต้องการพื้นฐาน 5 ขั้นตอน ของมนุษย์ทุกคนไว้อย่างชัดเจน ได้แก่ 1. สามารถอยู่รอดด้วย ปัจจัยสี่ 2. มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน 3. มีความรัก และความผูกพันที่ดี 4. ได้รับการยอมรับนับถือทั้งจากตนเอง และผู้อื่น และ 5. รู้จักและเข้าใจตนเองตามสภาพที่แท้จริง เพื่อ พัฒนาชีวิตของตนเองให้สมบูรณ์ที่สุด จากหนังสือ ธุรกิจสร้างสุข The Business for Happiness Japanese Style - ความลับของการสร้างแบรนด์ “มูจิ” ให้แข็งแกร่ง ไม่ได้อยู่ที่เปลือกนอกซึ่งเป็นสินค้าดีไซน์เรียบง่าย สีเอิร์ธโทน หากแต่เป็นการส่งออก จิตวิญญาณมูจิ (Mujism) ให้หยั่งรากลึงลงในใจผู้คน แม้ในสังคมที่มีวัฒนธรรมแตกต่างจากญี่ปุ่นสุดขั้ว ถึงขั้นแค่เห็นสินค้าก็รู้ทันทีว่า “นี่แหละมูจิ” โดยไม่ต้องมีป้ายแบรนด์
จากหนังสือ เพราะไม่มีอะไร จึงมีอะไร MUJI
ความลับของการสร้างแบรนด์ “มูจิ” ให้แข็งแกร่ง ไม่ได้อยู่ที่เปลือกนอกซึ่งเป็นสินค้าดีไซน์เรียบง่าย สีเอิร์ธโทน หากแต่เป็นการส่งออก จิตวิญญาณมูจิ (Mujism) ให้หยั่งรากลึงลงในใจผู้คน แม้ในสังคมที่มีวัฒนธรรมแตกต่างจากญี่ปุ่นสุดขั้ว ถึงขั้นแค่เห็นสินค้าก็รู้ทันทีว่า “นี่แหละมูจิ” โดยไม่ต้องมีป้ายแบรนด์ จากหนังสือ เพราะไม่มีอะไร จึงมีอะไร MUJI0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 23 มุมมอง 0 รีวิว - Nose Note บันทึกเรื่องกลิ่นจากปลายจมูก
ผู้เขียนให้คำนิยามตนเองว่า ครูสอนปรุงกลิ่น/ลูกเรือ/คนเล่าเรื่องกลิ่นที่สวยที่สุด หนังสือที่เล่าเรื่องราวของกลิ่น และไขข้อข้องใจของกลิ่นแบบต่างๆ จากครูสอนปรุงกลิ่นแสนสวยโดยการเล่าออกมาอย่างเป็นกันเองมากๆ อ่านสนุกมากๆๆๆๆ
ผู้เขียนเล่าว่าเธอเป็นคนจมูกดีมาตั้งแต่เด็ก สามารถแยกกลิ่นต่างๆออกมาได้ดี จนเข้าไปเรียนคอร์สเรื่องการดมกลิ่น แยกกลิ่น และปรุงกลิ่นถึงอังกฤษ อาชีพหลักของเธอคือพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน (แต่เธอเรียนจบกฎหมายซึ่งไม่เกี่ยวอะไรกับอาชีพของเธอเลย) อาชีพที่เธอทำงานอยู่นั้นมั่นคงที่สุดจนกระทั่ง….วิกฤติการณ์โควิด19 อุบัติขึ้น เธอไม่มีงานเลยเธอจึงตัดสินใจลองเปิดคอร์สสอนปรุงกลิ่น จนเธอสามารถสอนคอร์สปรุ่งกลิ่น 100ครั้งภายใน 6เดือน
เนื้อหาผู้เขียน เขียนได้ดีมากๆ อธิบายเรื่องของกลิ่นอย่างละเมียดละมัย รวมไปถึงการอธิบายกลุ่มของกลิ่นต่างๆ เช่น กลิ่นคลื่นซัดสาด , กลิ่นโปรยฝน และ กลิ่นดอกไม้ ซึ่งเป็นกลุ่มหลักของกลิ่นต่างๆ และเธอยังสามารถเล่าเรื่องกลิ่นที่น่าสงสัยให้คลายสงสัยได้ เช่น กลิ่นตัว , กลิ่นเปรี้ยว ,กลิ่นหนังสือ , กลิ่นประสบการณ์ , กลิ่นตะไคร้ , กลิ่นข้าวหอมมะลิ , กลิ่นกาแฟ และอีกมากมาย
การเล่าเรื่องกลิ่นของผู้เขียน เล่าได้สนุก เห็นภาพ (แต่ไม่ได้กลิ่น 555) เปิดโลกของการดมกลิ่นอย่างมีหลักการ ในหนังสือมีคูปองลด 10% เข้าเรียนคอร์สเรื่องกลิ่นกับเธอด้วย ถ้าอยากเปิดโลกเรื่องการดมกลิ่นอ่านหนังสือเล่มนี้จะเปิดโลกการดมกลิ่นให้ผู้อ่านเข้าใจมากขึ้น
#NoseNote #บันทึกเรื่องกลิ่นจากปลายจมูก #รีวิวหนังสือ
Nose Note บันทึกเรื่องกลิ่นจากปลายจมูก ผู้เขียนให้คำนิยามตนเองว่า ครูสอนปรุงกลิ่น/ลูกเรือ/คนเล่าเรื่องกลิ่นที่สวยที่สุด หนังสือที่เล่าเรื่องราวของกลิ่น และไขข้อข้องใจของกลิ่นแบบต่างๆ จากครูสอนปรุงกลิ่นแสนสวยโดยการเล่าออกมาอย่างเป็นกันเองมากๆ อ่านสนุกมากๆๆๆๆ ผู้เขียนเล่าว่าเธอเป็นคนจมูกดีมาตั้งแต่เด็ก สามารถแยกกลิ่นต่างๆออกมาได้ดี จนเข้าไปเรียนคอร์สเรื่องการดมกลิ่น แยกกลิ่น และปรุงกลิ่นถึงอังกฤษ อาชีพหลักของเธอคือพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน (แต่เธอเรียนจบกฎหมายซึ่งไม่เกี่ยวอะไรกับอาชีพของเธอเลย) อาชีพที่เธอทำงานอยู่นั้นมั่นคงที่สุดจนกระทั่ง….วิกฤติการณ์โควิด19 อุบัติขึ้น เธอไม่มีงานเลยเธอจึงตัดสินใจลองเปิดคอร์สสอนปรุงกลิ่น จนเธอสามารถสอนคอร์สปรุ่งกลิ่น 100ครั้งภายใน 6เดือน เนื้อหาผู้เขียน เขียนได้ดีมากๆ อธิบายเรื่องของกลิ่นอย่างละเมียดละมัย รวมไปถึงการอธิบายกลุ่มของกลิ่นต่างๆ เช่น กลิ่นคลื่นซัดสาด , กลิ่นโปรยฝน และ กลิ่นดอกไม้ ซึ่งเป็นกลุ่มหลักของกลิ่นต่างๆ และเธอยังสามารถเล่าเรื่องกลิ่นที่น่าสงสัยให้คลายสงสัยได้ เช่น กลิ่นตัว , กลิ่นเปรี้ยว ,กลิ่นหนังสือ , กลิ่นประสบการณ์ , กลิ่นตะไคร้ , กลิ่นข้าวหอมมะลิ , กลิ่นกาแฟ และอีกมากมาย การเล่าเรื่องกลิ่นของผู้เขียน เล่าได้สนุก เห็นภาพ (แต่ไม่ได้กลิ่น 555) เปิดโลกของการดมกลิ่นอย่างมีหลักการ ในหนังสือมีคูปองลด 10% เข้าเรียนคอร์สเรื่องกลิ่นกับเธอด้วย ถ้าอยากเปิดโลกเรื่องการดมกลิ่นอ่านหนังสือเล่มนี้จะเปิดโลกการดมกลิ่นให้ผู้อ่านเข้าใจมากขึ้น #NoseNote #บันทึกเรื่องกลิ่นจากปลายจมูก #รีวิวหนังสือ - จากหลักฐานพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงพระนิพนธ์เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๒๘ พระราชทาน แก่พระราชโอรสที่ศึกษาในประเทศยุโรปข้อ ๒ ได้กล่าวถึงเงินพระราชโอรสใช้ในการ ศึกษาเล่าเรียนดังมีข้อความต่อไปนี้
“...เงินค่าที่จะใช้สอยในการเล่าเรียนกินอยู่ นุ่งห่มทั้งปวงนั้น จะใช้เงินพระคลังข้างที่ คือเงินที่เป็นส่วนสิทธิขาดแต่ตัวพ่อเอง ไม่ใช้เงินสำหรับจ่ายราชการแผ่นดิน... การซึ่งใช้เงินพระคลังข้างที่ไม่ใช่เงินแผ่นดิน อย่างเช่นเคยจ่ายให้เจ้านายและบุตร ข้าราชการไปเล่าเรียนแต่ก่อนนั้น เพราะเห็นว่ามีลูกมากด้วยกัน
การซึ่งให้มีโอกาสและให้ทุนทรัพย์ซึ่งจะได้เล่าเรียนวิชานี้ เป็นทรัพย์มรดก อันประเสริฐดีกว่าทรัพย์สินเงินทองอื่น ๆ ด้วยเป็นของติดตัวอยู่ได้ไม่มีอันตรายที่จะ เสื่อมสูญ ลูกคนใดที่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดก็ดี หรือไม่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด ก็ดี ก็จะต้องส่งไปเรียนวิชาทุกคน
....ถ้าใช้เงินแผ่นดินสำหรับให้ไปเล่าเรียนแก่ผู้มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด กลับมา ไม่ได้ทำราชการคุ้มกับเงินที่ลงไป ก็จะเป็นที่ติเตียนของคนบางจำพวกว่ามีลูกมากไป จนต้องใช้เงินแผ่นดินเป็นค่าเล่าเรียนมากมายเหลือเกินแล้วซ้ำไม่ไม่เลือกเฟ้นเอาแต่ ที่เฉลียวฉลาดจะได้ราชการ คนโง่เง่าก็เอาไปเล่าเรียนให้เปลืองเงิน”
จากหนังสือ ศึกชิงพระคลังข้างที่ 2475จากหลักฐานพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงพระนิพนธ์เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๒๘ พระราชทาน แก่พระราชโอรสที่ศึกษาในประเทศยุโรปข้อ ๒ ได้กล่าวถึงเงินพระราชโอรสใช้ในการ ศึกษาเล่าเรียนดังมีข้อความต่อไปนี้ “...เงินค่าที่จะใช้สอยในการเล่าเรียนกินอยู่ นุ่งห่มทั้งปวงนั้น จะใช้เงินพระคลังข้างที่ คือเงินที่เป็นส่วนสิทธิขาดแต่ตัวพ่อเอง ไม่ใช้เงินสำหรับจ่ายราชการแผ่นดิน... การซึ่งใช้เงินพระคลังข้างที่ไม่ใช่เงินแผ่นดิน อย่างเช่นเคยจ่ายให้เจ้านายและบุตร ข้าราชการไปเล่าเรียนแต่ก่อนนั้น เพราะเห็นว่ามีลูกมากด้วยกัน การซึ่งให้มีโอกาสและให้ทุนทรัพย์ซึ่งจะได้เล่าเรียนวิชานี้ เป็นทรัพย์มรดก อันประเสริฐดีกว่าทรัพย์สินเงินทองอื่น ๆ ด้วยเป็นของติดตัวอยู่ได้ไม่มีอันตรายที่จะ เสื่อมสูญ ลูกคนใดที่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดก็ดี หรือไม่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด ก็ดี ก็จะต้องส่งไปเรียนวิชาทุกคน ....ถ้าใช้เงินแผ่นดินสำหรับให้ไปเล่าเรียนแก่ผู้มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด กลับมา ไม่ได้ทำราชการคุ้มกับเงินที่ลงไป ก็จะเป็นที่ติเตียนของคนบางจำพวกว่ามีลูกมากไป จนต้องใช้เงินแผ่นดินเป็นค่าเล่าเรียนมากมายเหลือเกินแล้วซ้ำไม่ไม่เลือกเฟ้นเอาแต่ ที่เฉลียวฉลาดจะได้ราชการ คนโง่เง่าก็เอาไปเล่าเรียนให้เปลืองเงิน” จากหนังสือ ศึกชิงพระคลังข้างที่ 2475 - นักวิจัยชื่อว่า วิส โกเนน จากมหาวิทยาลัยอัมสเตอร์ดัม เปรียบเทียบสิ่งที่ชาวดัตช์ให้ความสำคัญลำดับต้นๆ กับอีก 5 ประเทศ ได้แก่ สหราชอาณาจักร เยอรมนี อิตาลี สาธารณรัฐเช็ก และเดนมาร์ก
และผลลัพธ์ ที่ได้นั้นบอกอะไรมากมายเลยทีเดียว
ทุกประเทศให้ความสำคัญกับครอบครัวเป็นอันดับแรก แต่เมื่อมาถึงเรื่องงาน ประเทศเนเธอร์แลนด์จัดอันดับไว้ต่ำกว่าประเทศ เพื่อนบ้านอื่น ๆ โดยงานมาทีหลังครอบครัว เพื่อน และเวลาว่าง แต่ในประเทศอื่น ๆ เกือบทั้งหมด งานจะมาเป็นลำดับที่ 2 โดย แรงงานในประเทศเนเธอร์แลนด์ให้คุณค่ากับเวลาว่างมากกว่า แรงงานประเทศอื่น ๆ ทั้ง 6 ประเทศ
จากหนังสือ Niksen ศิลปะของการไม่ทำอะไรเลยนักวิจัยชื่อว่า วิส โกเนน จากมหาวิทยาลัยอัมสเตอร์ดัม เปรียบเทียบสิ่งที่ชาวดัตช์ให้ความสำคัญลำดับต้นๆ กับอีก 5 ประเทศ ได้แก่ สหราชอาณาจักร เยอรมนี อิตาลี สาธารณรัฐเช็ก และเดนมาร์ก และผลลัพธ์ ที่ได้นั้นบอกอะไรมากมายเลยทีเดียว ทุกประเทศให้ความสำคัญกับครอบครัวเป็นอันดับแรก แต่เมื่อมาถึงเรื่องงาน ประเทศเนเธอร์แลนด์จัดอันดับไว้ต่ำกว่าประเทศ เพื่อนบ้านอื่น ๆ โดยงานมาทีหลังครอบครัว เพื่อน และเวลาว่าง แต่ในประเทศอื่น ๆ เกือบทั้งหมด งานจะมาเป็นลำดับที่ 2 โดย แรงงานในประเทศเนเธอร์แลนด์ให้คุณค่ากับเวลาว่างมากกว่า แรงงานประเทศอื่น ๆ ทั้ง 6 ประเทศ จากหนังสือ Niksen ศิลปะของการไม่ทำอะไรเลย - เพราะไม่มีอะไรจึงมีอะไร MUJI
หนังสือที่เกี่ยวกับการตลาดสำหรับองค์กรใหญ่ โดยเฉพาะการบุกเบิกตลาดไปต่างประเทศ ไปยังที่ๆวัฒนธรรมแตกต่างกัน ซึ่งเนื้อหาเล่าถึงสำเร็จและความล้มเหลว หลักคิดต่างๆที่ทำให้ MUJI ประสบความสำเร็จในตลาดต่างประเทศได้
ผู้เขียนหนังเป็นคนที่เก่งมาก เขาจบพลศึกษาหลังจากนั้นเขาได้ไปทำงานบริษัทแม่ของ MUJI และย้ายไปที่ MUJI ในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายบุคคล แต่เมื่อปี ค.ศ. 1992 เขาได้ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ ซึ่งในขณะนั้น MUJI ขาดทุนหนักมากจนฟื้นตัวจนทำยอดขายสูงสุดในปี ค.ศ. 2007 และในปี ค.ศ. 2008 เขาได้ขึ้นเป็นประธานใหญ่ ในระหว่างที่เขาดำรงตำแหน่งเป็นช่วงที่ MUJI ออกไปทำตลาดต่างประเทศ ตาม UNIQLO และแบรนด์อื่นๆของญี่ปุ่น
เนื้อหาของหนังสือเขียนออกเป็นบท ซึ่งแต่ละบทใหญ่จะมีบทความสั้นๆจบภายในแต่ละตอนเลย ผู้เขียนเล่าถึงสิ่งที่ทำให้ MUJI มีความเป็นเอกลักษณ์โดดเด่น ยอดขายที่ดีก็คือ MUJI หลักการที่ยึดมั่นมาโดยตลอดไม่เปลี่ยนแปลง ได้แก่ในการออกแบบที่เรียบง่าย , โทนสินค้าเป็นสี Earth Tone , สินค้าแข็งแรงทนทาน , คิดถึงประโยชน์ใช้งาน , เรียบหรู , ไม่จำเป็นต้องแปะแบรนด์ที่สินค้า และ ไม่มีการโฆษณาสินค้าใช้หลักการบอกต่อ และสิ่งสำคัญ MUJI สร้างกระแสและวัฒนธรรม MUJISM ซึ่งหมายถึงแฟนคลับพันธุ์ของ MUJI นั่นเอง
การเล่าเรื่องของอดีตประธาน MUJI (ผู้เขียน) มีเนื้อเบื้องหลังเชิงลึกของ MUJI รวมถึงหลักการและแนวทางการออกแบบสินค้า , การเลือกประเทศที่จะไปลงทุน , การต่อสู้กับบริษัทของจีนที่ไปจดเครื่องหมายการค้า MUJI ก่อนที่ MUJI ญี่ปุ่นจะเข้าไปขาย , การอบรมพนักกงานให้เข้าถึงวัฒนธรรม MUJI และ การคัดเลือกคุณสมบัติเพื่อส่งคนไปบุกเบิกตลาดต่างประเทศโดยเขาต้องมาเพียงคนเดียวและเก็บข้อมูลให้ได้มากที่สุด
เนื้อหาของหนังสือเป็นเรื่องการตลาดที่ดี สามารถอ่านแล้วสามารถนำแนวคิดไปใช้กับงานธุรกิจของผู้อ่านได้
#เพราะไม่มีอะไรจึงมีอะไร #MUJI #รีวิวหนังสือ
เพราะไม่มีอะไรจึงมีอะไร MUJI หนังสือที่เกี่ยวกับการตลาดสำหรับองค์กรใหญ่ โดยเฉพาะการบุกเบิกตลาดไปต่างประเทศ ไปยังที่ๆวัฒนธรรมแตกต่างกัน ซึ่งเนื้อหาเล่าถึงสำเร็จและความล้มเหลว หลักคิดต่างๆที่ทำให้ MUJI ประสบความสำเร็จในตลาดต่างประเทศได้ ผู้เขียนหนังเป็นคนที่เก่งมาก เขาจบพลศึกษาหลังจากนั้นเขาได้ไปทำงานบริษัทแม่ของ MUJI และย้ายไปที่ MUJI ในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายบุคคล แต่เมื่อปี ค.ศ. 1992 เขาได้ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ ซึ่งในขณะนั้น MUJI ขาดทุนหนักมากจนฟื้นตัวจนทำยอดขายสูงสุดในปี ค.ศ. 2007 และในปี ค.ศ. 2008 เขาได้ขึ้นเป็นประธานใหญ่ ในระหว่างที่เขาดำรงตำแหน่งเป็นช่วงที่ MUJI ออกไปทำตลาดต่างประเทศ ตาม UNIQLO และแบรนด์อื่นๆของญี่ปุ่น เนื้อหาของหนังสือเขียนออกเป็นบท ซึ่งแต่ละบทใหญ่จะมีบทความสั้นๆจบภายในแต่ละตอนเลย ผู้เขียนเล่าถึงสิ่งที่ทำให้ MUJI มีความเป็นเอกลักษณ์โดดเด่น ยอดขายที่ดีก็คือ MUJI หลักการที่ยึดมั่นมาโดยตลอดไม่เปลี่ยนแปลง ได้แก่ในการออกแบบที่เรียบง่าย , โทนสินค้าเป็นสี Earth Tone , สินค้าแข็งแรงทนทาน , คิดถึงประโยชน์ใช้งาน , เรียบหรู , ไม่จำเป็นต้องแปะแบรนด์ที่สินค้า และ ไม่มีการโฆษณาสินค้าใช้หลักการบอกต่อ และสิ่งสำคัญ MUJI สร้างกระแสและวัฒนธรรม MUJISM ซึ่งหมายถึงแฟนคลับพันธุ์ของ MUJI นั่นเอง การเล่าเรื่องของอดีตประธาน MUJI (ผู้เขียน) มีเนื้อเบื้องหลังเชิงลึกของ MUJI รวมถึงหลักการและแนวทางการออกแบบสินค้า , การเลือกประเทศที่จะไปลงทุน , การต่อสู้กับบริษัทของจีนที่ไปจดเครื่องหมายการค้า MUJI ก่อนที่ MUJI ญี่ปุ่นจะเข้าไปขาย , การอบรมพนักกงานให้เข้าถึงวัฒนธรรม MUJI และ การคัดเลือกคุณสมบัติเพื่อส่งคนไปบุกเบิกตลาดต่างประเทศโดยเขาต้องมาเพียงคนเดียวและเก็บข้อมูลให้ได้มากที่สุด เนื้อหาของหนังสือเป็นเรื่องการตลาดที่ดี สามารถอ่านแล้วสามารถนำแนวคิดไปใช้กับงานธุรกิจของผู้อ่านได้ #เพราะไม่มีอะไรจึงมีอะไร #MUJI #รีวิวหนังสือ - สมมติว่ามีนักลงทุนสองคนซึ่งเริ่มต้นลงทุนด้วยเงิน 100,000 ดอลลาร์ มีผลตอบแทนเท่ากันที่ 8% ในระยะเวลา 30 ปี แต่เสียค่าธรรมเนียม 1% และ 2% ตามลำดับ ให้สมมติต่ออีกว่าถอนเงินออกมาเพื่อใช้หลังเกษียณนักลงทุนที่เสียค่าธรรมเนียม 2% นั้นจะเงินหมดก่อนอีกคนเป็นเวลา 10 ปี
จากหนังสือ Unshakableสมมติว่ามีนักลงทุนสองคนซึ่งเริ่มต้นลงทุนด้วยเงิน 100,000 ดอลลาร์ มีผลตอบแทนเท่ากันที่ 8% ในระยะเวลา 30 ปี แต่เสียค่าธรรมเนียม 1% และ 2% ตามลำดับ ให้สมมติต่ออีกว่าถอนเงินออกมาเพื่อใช้หลังเกษียณนักลงทุนที่เสียค่าธรรมเนียม 2% นั้นจะเงินหมดก่อนอีกคนเป็นเวลา 10 ปี จากหนังสือ Unshakable - สิ่งที่เรารู้จากกฎของเบส์คือ ประสิทธิภาพการทำนายอันน่าทึ่งของมนุษย์ได้เสนอบางอย่างที่สำคัญซึ่งช่วยให้เราเข้าใจว่าผู้คนคาดการณ์อนาคตอย่างไร ข้อมูลขนาดเล็กก็คือข้อมูลขนาดใหญ่ปลอมตัวมา เหตุผลที่ทำให้เรามักคาดการณ์ได้ดีจากการสังเกตเพียงเล็กน้อย(หรือเพียงแค่ครั้งเดียว) ก็เพราะว่าความรู้ก่อนหน้าของเราเข้มข้นมาก ไม่ว่าเราจะรู้เกี่ยวกับเรื่องนั้นๆหรือไม่ก็ตาม ดูเหมือนว่าเราจะมีข้อมูลก่อนหน้าที่ถูกต้องอย่างน่าประหลาดใจ อยู่ในหัวเกี่ยวกับรายได้รวมของภาพยนตร์และเวลาฉาย ความยาวของ บทกวี หรือวาระที่นักการเมืองอยู่ในตำแหน่ง รวมไปถึงอายุขัยของมนุษย์ เราไม่ต้องตั้งใจรวบรวมข้อมูลเหล่านี้ เราซึมซับมันจากโลกอยู่แล้ว
จากหนังสือ Algorithms to live byสิ่งที่เรารู้จากกฎของเบส์คือ ประสิทธิภาพการทำนายอันน่าทึ่งของมนุษย์ได้เสนอบางอย่างที่สำคัญซึ่งช่วยให้เราเข้าใจว่าผู้คนคาดการณ์อนาคตอย่างไร ข้อมูลขนาดเล็กก็คือข้อมูลขนาดใหญ่ปลอมตัวมา เหตุผลที่ทำให้เรามักคาดการณ์ได้ดีจากการสังเกตเพียงเล็กน้อย(หรือเพียงแค่ครั้งเดียว) ก็เพราะว่าความรู้ก่อนหน้าของเราเข้มข้นมาก ไม่ว่าเราจะรู้เกี่ยวกับเรื่องนั้นๆหรือไม่ก็ตาม ดูเหมือนว่าเราจะมีข้อมูลก่อนหน้าที่ถูกต้องอย่างน่าประหลาดใจ อยู่ในหัวเกี่ยวกับรายได้รวมของภาพยนตร์และเวลาฉาย ความยาวของ บทกวี หรือวาระที่นักการเมืองอยู่ในตำแหน่ง รวมไปถึงอายุขัยของมนุษย์ เราไม่ต้องตั้งใจรวบรวมข้อมูลเหล่านี้ เราซึมซับมันจากโลกอยู่แล้ว จากหนังสือ Algorithms to live by - Hello Fears ว่าไงจ๊ะความกลัว
หนังสือเล่มนี้ เนื้อหาเน้นการกำจัดความกลัวในเรื่องต่างๆ โดยเฉพาะความกลัวที่จากการที่กล้าออกจากคอมฟอร์ตโซน ซึ่งจะทำให้พลาดโอกาสดีๆที่จะเกิดขึ้นในชีวิต เธอโด่งดังจนเป็นที่รู้จักจากการทำการทำสิ่งที่เธอกลัว 100อย่าง ใน100วัน
ผู้เขียนเป็นสาวอายุ 25ปี สัญชาติเวเนซุเอลา เชื้อชาติยิวแต่ย้ายไปอยู่อเมริกาตั้งแต่เด็กๆ เนื้อหาของหนังสือเล่มนี้ เป็นเรื่องเล่าระหว่างที่เธอท้าทายความกลัว 100อย่าง ใน100วัน พร้อมกับลงกิจกรรมต่างๆในโซเชียลเน็ตเวิร์คไปด้วย มีหลายเรื่องที่ท้าทายเป็นอย่างมากสำหรับผู้หญิง เช่น แวกซ์ขนในที่ลับ เป็นหุ่นเปลือยให้นักศึกษาศิลปะวาดรูป การเต้นหน้าตึกที่นิวยอร์ก และอื่นๆ จนเป็นไวรัล และทำให้เธอเป็นที่รู้จัก และในตอนนี้เธอเปิดคอร์สสอนเรื่องการเผชิญความกลัว
เธอตั้งชื่อบทต่างๆในเล่มได้อย่างน่าสนใจ เช่น ฮัลโหลชีวิต , ฮัลโหลสังคม , ฮัลโหลพวกคนที่เกลียดฉัน , ฮัลโหลอีโก้ , ฮัลโหลการปฎิเสธ มีทั้งหมด 10บท เธอเล่าเรื่องและแจกแจงประเด็นได้ดี เพราะเธอได้ผ่านความกลัวมากมายเป็นร้อยเรื่องมาแล้ว ในตอนท้ายบทยังทำ Chart ให้ดูเข้าใจง่านขึ้น ซึ่งเป็นบทสรุปในแต่ละบททำให้นึกเนื้อหาออกได้ทันที สำหรับเราแล้วชอบมากๆเลย
นอกจากที่ผู้เขียนจะอธิบายถึงความกลัวแล้ว เธอยังแก้ปัญหาให้ด้วย และท้ายๆเล่มเธอมีข้อเสนอแนะในการใช้ชีวิตให้ดีและมีความสุข
#HelloFears #ว่าไงจ๊ะความกลัว #รีวิวหนังสือ
Hello Fears ว่าไงจ๊ะความกลัว หนังสือเล่มนี้ เนื้อหาเน้นการกำจัดความกลัวในเรื่องต่างๆ โดยเฉพาะความกลัวที่จากการที่กล้าออกจากคอมฟอร์ตโซน ซึ่งจะทำให้พลาดโอกาสดีๆที่จะเกิดขึ้นในชีวิต เธอโด่งดังจนเป็นที่รู้จักจากการทำการทำสิ่งที่เธอกลัว 100อย่าง ใน100วัน ผู้เขียนเป็นสาวอายุ 25ปี สัญชาติเวเนซุเอลา เชื้อชาติยิวแต่ย้ายไปอยู่อเมริกาตั้งแต่เด็กๆ เนื้อหาของหนังสือเล่มนี้ เป็นเรื่องเล่าระหว่างที่เธอท้าทายความกลัว 100อย่าง ใน100วัน พร้อมกับลงกิจกรรมต่างๆในโซเชียลเน็ตเวิร์คไปด้วย มีหลายเรื่องที่ท้าทายเป็นอย่างมากสำหรับผู้หญิง เช่น แวกซ์ขนในที่ลับ เป็นหุ่นเปลือยให้นักศึกษาศิลปะวาดรูป การเต้นหน้าตึกที่นิวยอร์ก และอื่นๆ จนเป็นไวรัล และทำให้เธอเป็นที่รู้จัก และในตอนนี้เธอเปิดคอร์สสอนเรื่องการเผชิญความกลัว เธอตั้งชื่อบทต่างๆในเล่มได้อย่างน่าสนใจ เช่น ฮัลโหลชีวิต , ฮัลโหลสังคม , ฮัลโหลพวกคนที่เกลียดฉัน , ฮัลโหลอีโก้ , ฮัลโหลการปฎิเสธ มีทั้งหมด 10บท เธอเล่าเรื่องและแจกแจงประเด็นได้ดี เพราะเธอได้ผ่านความกลัวมากมายเป็นร้อยเรื่องมาแล้ว ในตอนท้ายบทยังทำ Chart ให้ดูเข้าใจง่านขึ้น ซึ่งเป็นบทสรุปในแต่ละบททำให้นึกเนื้อหาออกได้ทันที สำหรับเราแล้วชอบมากๆเลย นอกจากที่ผู้เขียนจะอธิบายถึงความกลัวแล้ว เธอยังแก้ปัญหาให้ด้วย และท้ายๆเล่มเธอมีข้อเสนอแนะในการใช้ชีวิตให้ดีและมีความสุข #HelloFears #ว่าไงจ๊ะความกลัว #รีวิวหนังสือ0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 28 มุมมอง 0 รีวิว - Dèyè mòn, gen mòn (“พ้นออกไปจากภูเขาเหล่านี้ ก็คือภูเขาลูกอื่นๆ”)- สุภาษิตของชาวเฮติ
หมายความว่า พอแก้ปัญหาหนึ่งได้ ปัญหาใหม่ก็เกิดขึ้นDèyè mòn, gen mòn (“พ้นออกไปจากภูเขาเหล่านี้ ก็คือภูเขาลูกอื่นๆ”)- สุภาษิตของชาวเฮติ หมายความว่า พอแก้ปัญหาหนึ่งได้ ปัญหาใหม่ก็เกิดขึ้น0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 29 มุมมอง 0 รีวิว - ถ้าวันนี้คุณได้มองเห็นพลังลบหรือเกิดความรู้สึกต่อพลังลบ ก่อนอื่นคุณจะต้องนำความรู้สึกนี้จดบันทึกไว้ ผมเสนอให้คุณใช้ปากกาเขียนบันทึกไว้บนกระดาษโน้ต และแปะไว้หน้าโต๊ะหนังสือของคุณ เพื่อคุณจะได้จดจำและหวนมาครุ่นคิดถึงมันบ่อย ๆ ว่า พลังลบเหล่านี้มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร
อารมณ์ทั้งหมดของเราล้วนเกิดขึ้นตามลักษณะเฉพาะตัวของเราแต่ละคน เพราะฉะนั้นถ้าคุณรู้สึกว่าความรู้สึกต่อพลังลบ นี้เกิดจากพฤติกรรมของคนอื่นสิ่งที่คุณต้องครุ่นคิดก็คือคุณมีลักษณะเฉพาะตัวอะไรถึงทำให้คนอื่นทำเช่นนี้กับตัวคุณ
จุดอ่อนของคุณก็คือความเป็นมาของพลังลบ ถ้าคุณเข้มแข็งและเก่งกาจมากพอแล้ว พลังลบก็จะเป็นเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ต้องไป ซีเรียสกับมัน แค่มองว่าเป็นเรื่องขำ ๆ ก็พอแล้ว
จากหนังสือ เสริมพลังลบ Ne Energyถ้าวันนี้คุณได้มองเห็นพลังลบหรือเกิดความรู้สึกต่อพลังลบ ก่อนอื่นคุณจะต้องนำความรู้สึกนี้จดบันทึกไว้ ผมเสนอให้คุณใช้ปากกาเขียนบันทึกไว้บนกระดาษโน้ต และแปะไว้หน้าโต๊ะหนังสือของคุณ เพื่อคุณจะได้จดจำและหวนมาครุ่นคิดถึงมันบ่อย ๆ ว่า พลังลบเหล่านี้มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร อารมณ์ทั้งหมดของเราล้วนเกิดขึ้นตามลักษณะเฉพาะตัวของเราแต่ละคน เพราะฉะนั้นถ้าคุณรู้สึกว่าความรู้สึกต่อพลังลบ นี้เกิดจากพฤติกรรมของคนอื่นสิ่งที่คุณต้องครุ่นคิดก็คือคุณมีลักษณะเฉพาะตัวอะไรถึงทำให้คนอื่นทำเช่นนี้กับตัวคุณ จุดอ่อนของคุณก็คือความเป็นมาของพลังลบ ถ้าคุณเข้มแข็งและเก่งกาจมากพอแล้ว พลังลบก็จะเป็นเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ต้องไป ซีเรียสกับมัน แค่มองว่าเป็นเรื่องขำ ๆ ก็พอแล้ว จากหนังสือ เสริมพลังลบ Ne Energy0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 28 มุมมอง 0 รีวิว - ศึกชิงพระคลังข้างที่ ๒๔๗๕ จากปล้นพระราชทรัพย์ถึงคดีสวรรคต ร.๘
หนังสือที่ผู้แต่งต้องใช้ความพยายามสูงมากในการรวบรวมหลักฐานชั้นต้น(ข้อมูลจริงๆ เช่น ราชกิจจาฯ , บันทึกการประชุมสภา , หนังสือไว้อาลัยงานศพ) ผู้แต่งเชื่อมโยงเอกสารต่างๆ การลำดับเวลา และหลักฐานเชื่อมโยง เพื่อให้ผู้อ่านได้เข้าใจบริบทได้ไม่ยากจนเกินไป โดยใช้ความคิดเห็นส่วนตัวน้อยมากๆ
หนังสือเล่มนี้เริ่มต้นนิยามคำว่าพระคลังข้างที่เสียก่อน มีบันทึกจากพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ว่าท่านส่งเงินไปให้ลูกเรียนที่ต่างประเทศ(ลูกท่านมีเยอะมาก) การที่จะนำเงินของประเทศไปใช้ในการนี้ไม่เหมาะสม เนื่องจากถ้าลูกของท่านเรียนดีก็จะไม่มีปัญหาอะไรมารับราชการได้ ส่วนคนที่ไม่ต้้งใจเรียน กลับมาแล้วไม่มีคุณภาพท่านจะถูกตำหนิเอาได้ เลยให้แยกเงินส่วนพระองค์(พระคลังข้างที่) ออกจากเงินคลังของประเทศ ซึ่งเงินพระคลังข้างที่ก็จะถูกจัดสรรให้เป็นกี่เปอร์เซนต์ต่อปีซึ่งก็แล้วแต่ช่วง และเงินพระคลังข้างที่นี้ก็จะถูกนำไปใช้และลงทุนเพื่อให้เกิดดอกออกผล เมื่อไม่ต้องรบกวนเงินของคลัง
เมื่อมีการแยกเงินพระคลังข้างที่ชัดเจนแล้ว ปัญหาเรื่องเงินพระคลังข้างที่เกิดขึ้นหลังจากมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ในช่วงที่คณะราษฎรยึดการปกครองได้มีการเจรจากับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 ว่าจะไม่ยึดทรัพย์และจะให้พระองค์อยู่เฉยๆ ภายหลังปรากฎหลักฐานว่ามีการยึดทรัพย์และประมูลขายทอดตลาดด้วย ช่วงที่พระคลังข้างที่ถูกยึดไปโดยคณะราษฎรและรัฐบาลในขณะนั้น พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวต้องย้ายไปประทับที่ประเทศอังกฤษและไม่สามารถจ้างทนายไปต่อสู้ในศาลไทยเพื่อที่จะคัดค้านการยึดทรัพย์
ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีการตั้งกระทู้ถามในเรื่องการซื้อที่ดินพระคลังข้างที่โดยสมาชิกคณะราษฎรหลายคน ในราคาถูกๆ บางกรณีมีการผ่อนจ่ายแล้วนำไปให้เช่าแล้วเอาเงินค่าเช่ามาผ่อนซื้อที่ และคนที่ได้ซื้อที่เป็นของตัวเองมากที่สุดคือขุนนิรันดรชัย ซึ่งหลังจากนั้นคณะรัฐมนตรีไม่สามารถแก้ต่างได้จึงขอลาออกทั้งชุด แต่ภายหลังก็ปรากฎชื่อบุคคลเหล่านี้เข้ามาเป็นรัฐมนตรีใหม่ สาเหตุเกิดจากหลังจากแต่งตั้งพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล(รัชกาลที่ 8) เป็นกษัตริย์แล้วพระองค์ท่านยังทรงพระเยาว์ จึงไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ แล้วให้มีผู้สำเร็จราชการแทนดำเนินการเกี่ยวกับพระราชอำนาจ รวมไปถึงการจัดการพระคลังข้างที่ด้วย ซึ่งถูกแต่งตั้งโยกย้ายโดยคณะราษฎร นี่จึงเป็นสาเหตุให้มีการขายพระคลังข้างที่ออกมา
ภายหลังปรากฎว่าปัจจุบันที่ดินที่ตกทอดมาสู่ลูกหลานของขุนนิรันดรชัยประเมินมูลค่าแล้วมากถึงสึ่หมื่นล้านบาท ซึ่งปลายปี 2563 ลูกชายของขุนนิรันดรชัยได้แถลงข่าวขอพระราชทานอภัยโทษเกี่ยวกับความผิดของคุณพ่อแล้ว
ท้ายเล่มยังมีเรื่องราวเกี่ยวกับคดีสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล(รัชกาลที่ 8) ซึ่งอ่านแล้วได้รู้ว่าพระองค์ท่านกลับมาเยี่ยมประชาชนและตั้งใจจะกลับไปเรียนต่อ แต่เมื่อพอกลับมาที่ประเทศไทยแล้วอยู่ทำพระราชกรณียกิจได้ 7 เดือนก็สวรรคตแล้ว และเป็นที่น่าสังเกตว่าท่าสวรรคตหลังพระราชทานรรัฐธรรมนูญ ปี พ.ศ.2489 ได้ไม่ถึงหนึ่งเดือน
เนื้อหาภายในหนังสือเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่เป็นหลักฐานชั้นต้นทั้งหมด ไม่มีการบิดเบือนประวัติศาสตร์ได้ การรวบรวมเนื้อหาของผู้แต่งหนังสือเล่มนี้น่ายกย่องถึงความพยายามและความกล้าหาญที่จะเปิดเผยความจริงที่ไม่มีใครกล้าเปิดเผยมาก่อน
#ศึกชิงพระคลังข้างที่ #รีวิวหนังสือ
ศึกชิงพระคลังข้างที่ ๒๔๗๕ จากปล้นพระราชทรัพย์ถึงคดีสวรรคต ร.๘ หนังสือที่ผู้แต่งต้องใช้ความพยายามสูงมากในการรวบรวมหลักฐานชั้นต้น(ข้อมูลจริงๆ เช่น ราชกิจจาฯ , บันทึกการประชุมสภา , หนังสือไว้อาลัยงานศพ) ผู้แต่งเชื่อมโยงเอกสารต่างๆ การลำดับเวลา และหลักฐานเชื่อมโยง เพื่อให้ผู้อ่านได้เข้าใจบริบทได้ไม่ยากจนเกินไป โดยใช้ความคิดเห็นส่วนตัวน้อยมากๆ หนังสือเล่มนี้เริ่มต้นนิยามคำว่าพระคลังข้างที่เสียก่อน มีบันทึกจากพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ว่าท่านส่งเงินไปให้ลูกเรียนที่ต่างประเทศ(ลูกท่านมีเยอะมาก) การที่จะนำเงินของประเทศไปใช้ในการนี้ไม่เหมาะสม เนื่องจากถ้าลูกของท่านเรียนดีก็จะไม่มีปัญหาอะไรมารับราชการได้ ส่วนคนที่ไม่ต้้งใจเรียน กลับมาแล้วไม่มีคุณภาพท่านจะถูกตำหนิเอาได้ เลยให้แยกเงินส่วนพระองค์(พระคลังข้างที่) ออกจากเงินคลังของประเทศ ซึ่งเงินพระคลังข้างที่ก็จะถูกจัดสรรให้เป็นกี่เปอร์เซนต์ต่อปีซึ่งก็แล้วแต่ช่วง และเงินพระคลังข้างที่นี้ก็จะถูกนำไปใช้และลงทุนเพื่อให้เกิดดอกออกผล เมื่อไม่ต้องรบกวนเงินของคลัง เมื่อมีการแยกเงินพระคลังข้างที่ชัดเจนแล้ว ปัญหาเรื่องเงินพระคลังข้างที่เกิดขึ้นหลังจากมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ในช่วงที่คณะราษฎรยึดการปกครองได้มีการเจรจากับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 ว่าจะไม่ยึดทรัพย์และจะให้พระองค์อยู่เฉยๆ ภายหลังปรากฎหลักฐานว่ามีการยึดทรัพย์และประมูลขายทอดตลาดด้วย ช่วงที่พระคลังข้างที่ถูกยึดไปโดยคณะราษฎรและรัฐบาลในขณะนั้น พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวต้องย้ายไปประทับที่ประเทศอังกฤษและไม่สามารถจ้างทนายไปต่อสู้ในศาลไทยเพื่อที่จะคัดค้านการยึดทรัพย์ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีการตั้งกระทู้ถามในเรื่องการซื้อที่ดินพระคลังข้างที่โดยสมาชิกคณะราษฎรหลายคน ในราคาถูกๆ บางกรณีมีการผ่อนจ่ายแล้วนำไปให้เช่าแล้วเอาเงินค่าเช่ามาผ่อนซื้อที่ และคนที่ได้ซื้อที่เป็นของตัวเองมากที่สุดคือขุนนิรันดรชัย ซึ่งหลังจากนั้นคณะรัฐมนตรีไม่สามารถแก้ต่างได้จึงขอลาออกทั้งชุด แต่ภายหลังก็ปรากฎชื่อบุคคลเหล่านี้เข้ามาเป็นรัฐมนตรีใหม่ สาเหตุเกิดจากหลังจากแต่งตั้งพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล(รัชกาลที่ 8) เป็นกษัตริย์แล้วพระองค์ท่านยังทรงพระเยาว์ จึงไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ แล้วให้มีผู้สำเร็จราชการแทนดำเนินการเกี่ยวกับพระราชอำนาจ รวมไปถึงการจัดการพระคลังข้างที่ด้วย ซึ่งถูกแต่งตั้งโยกย้ายโดยคณะราษฎร นี่จึงเป็นสาเหตุให้มีการขายพระคลังข้างที่ออกมา ภายหลังปรากฎว่าปัจจุบันที่ดินที่ตกทอดมาสู่ลูกหลานของขุนนิรันดรชัยประเมินมูลค่าแล้วมากถึงสึ่หมื่นล้านบาท ซึ่งปลายปี 2563 ลูกชายของขุนนิรันดรชัยได้แถลงข่าวขอพระราชทานอภัยโทษเกี่ยวกับความผิดของคุณพ่อแล้ว ท้ายเล่มยังมีเรื่องราวเกี่ยวกับคดีสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล(รัชกาลที่ 8) ซึ่งอ่านแล้วได้รู้ว่าพระองค์ท่านกลับมาเยี่ยมประชาชนและตั้งใจจะกลับไปเรียนต่อ แต่เมื่อพอกลับมาที่ประเทศไทยแล้วอยู่ทำพระราชกรณียกิจได้ 7 เดือนก็สวรรคตแล้ว และเป็นที่น่าสังเกตว่าท่าสวรรคตหลังพระราชทานรรัฐธรรมนูญ ปี พ.ศ.2489 ได้ไม่ถึงหนึ่งเดือน เนื้อหาภายในหนังสือเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่เป็นหลักฐานชั้นต้นทั้งหมด ไม่มีการบิดเบือนประวัติศาสตร์ได้ การรวบรวมเนื้อหาของผู้แต่งหนังสือเล่มนี้น่ายกย่องถึงความพยายามและความกล้าหาญที่จะเปิดเผยความจริงที่ไม่มีใครกล้าเปิดเผยมาก่อน #ศึกชิงพระคลังข้างที่ #รีวิวหนังสือ - จากนั้นผมก็อธิบายว่า “ทุกคนในที่นี้ล้วนมีรายได้เพิ่มขึ้นหลายเท่า เมื่อเทียบกับช่วงแรกที่เพิ่งเริ่มทำงาน แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้คุณมีอิสรภาพ ทางการเงิน การมีรายได้เพิ่มขึ้นไม่สามารถรับประกันได้ว่าคุณจะมีอิสรภาพ ทางการเงิน กฎของพาร์กินสันกล่าวไว้ว่า “ค่าใช้จ่ายจะสูงขึ้นตามรายได้ ที่เพิ่มขึ้น” ไม่ว่าคุณจะหาเงินได้มากเท่าไหร่ คุณก็จะใช้มันจนหมด แถม ยังใช้มากกว่าที่หาได้ด้วย”
ถ้าอยากมีอิสรภาพทางการเงิน คุณต้องแหกกฎของพาร์กินสันโดยทำตาม “วิธีแยกส่วนด้วยลิ่ม” ไปตลอดชีวิต หลักการของวิธีดังกล่าวคือนับจากนี้ ไปทุกครั้งที่มีรายได้เพิ่มขึ้น ให้คุณแยกรายได้ที่เพิ่มขึ้นกับค่าใช้จ่ายที่เพิ่ม ขึ้นออกจากกันโดยสิ้นเชิงราวกับใช้ลิ่มตอกลงไปอย่างแรง และตั้งใจ แน่วแน่ว่าจะกัน “รายได้ที่เพิ่มขึ้น” ออกมา 50 เปอร์เซ็นต์เพื่อเก็บเป็น เงินออม แทนที่จะนำไปใช้หมดทั้งก้อน
จากหนังสือ No Excuses! กำจัดข้ออ้างสุดท้ายออกจากชีวิตจากนั้นผมก็อธิบายว่า “ทุกคนในที่นี้ล้วนมีรายได้เพิ่มขึ้นหลายเท่า เมื่อเทียบกับช่วงแรกที่เพิ่งเริ่มทำงาน แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้คุณมีอิสรภาพ ทางการเงิน การมีรายได้เพิ่มขึ้นไม่สามารถรับประกันได้ว่าคุณจะมีอิสรภาพ ทางการเงิน กฎของพาร์กินสันกล่าวไว้ว่า “ค่าใช้จ่ายจะสูงขึ้นตามรายได้ ที่เพิ่มขึ้น” ไม่ว่าคุณจะหาเงินได้มากเท่าไหร่ คุณก็จะใช้มันจนหมด แถม ยังใช้มากกว่าที่หาได้ด้วย” ถ้าอยากมีอิสรภาพทางการเงิน คุณต้องแหกกฎของพาร์กินสันโดยทำตาม “วิธีแยกส่วนด้วยลิ่ม” ไปตลอดชีวิต หลักการของวิธีดังกล่าวคือนับจากนี้ ไปทุกครั้งที่มีรายได้เพิ่มขึ้น ให้คุณแยกรายได้ที่เพิ่มขึ้นกับค่าใช้จ่ายที่เพิ่ม ขึ้นออกจากกันโดยสิ้นเชิงราวกับใช้ลิ่มตอกลงไปอย่างแรง และตั้งใจ แน่วแน่ว่าจะกัน “รายได้ที่เพิ่มขึ้น” ออกมา 50 เปอร์เซ็นต์เพื่อเก็บเป็น เงินออม แทนที่จะนำไปใช้หมดทั้งก้อน จากหนังสือ No Excuses! กำจัดข้ออ้างสุดท้ายออกจากชีวิต0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 30 มุมมอง 0 รีวิว - ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเมื่อความตายมาเยือนมูโซนิอัส เขาก็พร้อมสำหรับมันและพร้อมที่จะตายดีด้วย เขาคือชายผู้ได้เห็นจุดจบของชาวสโตอิกหลายคน ผู้เคยให้คำแนะนำคนเหล่านั้นในบางกรณีให้จากไปเมื่อถึงเวลาและบางกรณีให้รั้งอยู่ต่อเพราะยังมีงานต้องทำ ดังนั้นเขาจึงรู้ดีว่าสุดท้ายแล้วชีวิตของตัวเองย่อมต้องสิ้นสุดลง เขาใช้ชีวิตตามความเชื่อนี้ มาตลอดโดยบอกว่า “คนเราจะใช้ชีวิตในวันนี้ให้ดีได้อย่างไร หากไม่คิดว่ามันอาจเป็นวันสุดท้ายของตัวเอง”
จากหนังสือ Lives Of Stoicsไม่ต้องสงสัยเลยว่าเมื่อความตายมาเยือนมูโซนิอัส เขาก็พร้อมสำหรับมันและพร้อมที่จะตายดีด้วย เขาคือชายผู้ได้เห็นจุดจบของชาวสโตอิกหลายคน ผู้เคยให้คำแนะนำคนเหล่านั้นในบางกรณีให้จากไปเมื่อถึงเวลาและบางกรณีให้รั้งอยู่ต่อเพราะยังมีงานต้องทำ ดังนั้นเขาจึงรู้ดีว่าสุดท้ายแล้วชีวิตของตัวเองย่อมต้องสิ้นสุดลง เขาใช้ชีวิตตามความเชื่อนี้ มาตลอดโดยบอกว่า “คนเราจะใช้ชีวิตในวันนี้ให้ดีได้อย่างไร หากไม่คิดว่ามันอาจเป็นวันสุดท้ายของตัวเอง” จากหนังสือ Lives Of Stoics0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 30 มุมมอง 0 รีวิว - แดเนียล เดโฟ เขียนบันทึกเหตุการณ์โรคระบาดครั้งใหญ่ที่สุดในลอนดอน ในปี 1722 เอาไว้ว่า
ผู้คนนั้นเสพติดคำพยากรณ์และคำทำนายด้านโหราศาสตร์ ความฝัน และความเชื่อดั้งเดิมที่ผิดหลักวิทยาศาสตร์มากกว่าที่เคยเป็นมาหรือนับตั้งแต่ นั้นเป็นต้นมา....ปฏิทินโหราศาสตร์ทำให้พวกเขาหวาดกลัวอย่างมาก...เสาบ้าน และหัวมุมถนนเต็มไปด้วยในแสดงค่ารักษาพยาบาลและกระดาษของพวก หมอเถื่อนที่คอยหลอกล่อและเชื้อเชิญผู้คนให้ไปหาพวกเขาเพื่อรับการเยียวยา ซึ่งโดยทั่ว ๆ ไปแล้วจะมีการเขียนโอ้อวดเอาไว้ว่า “ยาป้องกันโรคระบาดได้ผล ชะงัด" "เครื่องป้องกัน การติดเชื้อที่ไม่มีวันผิดพลาด" "ยาบำรุงขั้นสูงที่ใช้ต่อ ด้านความวิบัติของอากาศ"
โรคระบาดดังกล่าวคร่าชีวิตชาวลอนดอนไปถึงหนึ่งในสี่ภายในเวลา 18 เดือน คุณจะเชื่อในทุกสิ่งทุกอย่างเวลาที่เดิมพันสูงขนาดนั้น
จากหนังสือ จิตวิทยาว่าด้วยเงินแดเนียล เดโฟ เขียนบันทึกเหตุการณ์โรคระบาดครั้งใหญ่ที่สุดในลอนดอน ในปี 1722 เอาไว้ว่า ผู้คนนั้นเสพติดคำพยากรณ์และคำทำนายด้านโหราศาสตร์ ความฝัน และความเชื่อดั้งเดิมที่ผิดหลักวิทยาศาสตร์มากกว่าที่เคยเป็นมาหรือนับตั้งแต่ นั้นเป็นต้นมา....ปฏิทินโหราศาสตร์ทำให้พวกเขาหวาดกลัวอย่างมาก...เสาบ้าน และหัวมุมถนนเต็มไปด้วยในแสดงค่ารักษาพยาบาลและกระดาษของพวก หมอเถื่อนที่คอยหลอกล่อและเชื้อเชิญผู้คนให้ไปหาพวกเขาเพื่อรับการเยียวยา ซึ่งโดยทั่ว ๆ ไปแล้วจะมีการเขียนโอ้อวดเอาไว้ว่า “ยาป้องกันโรคระบาดได้ผล ชะงัด" "เครื่องป้องกัน การติดเชื้อที่ไม่มีวันผิดพลาด" "ยาบำรุงขั้นสูงที่ใช้ต่อ ด้านความวิบัติของอากาศ" โรคระบาดดังกล่าวคร่าชีวิตชาวลอนดอนไปถึงหนึ่งในสี่ภายในเวลา 18 เดือน คุณจะเชื่อในทุกสิ่งทุกอย่างเวลาที่เดิมพันสูงขนาดนั้น จากหนังสือ จิตวิทยาว่าด้วยเงิน0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 34 มุมมอง 0 รีวิว - อะไรหนอที่ทำให้เรากังวลกับความสำเร็จขนาดนี้ ในบางกรณีก็มาจากแรงปรารถนาในจิตใต้สำนึกที่อยากปกป้องผู้ที่รักเรา โดยเฉพาะผู้ที่เคยดูแลเราสมัยยังเด็ก เพราะเราไม่อยากให้พวกเขารู้สึกอิจฉาและต่ำต้อยเพราะความสำเร็จของเรา คู่รักใหม่รูปงามหรือการเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นอาจกลายเป็นเรื่อง ลำบากใจเงียบๆ สำหรับคนรอบตัวเรา มันกระตุ้นให้พวกเขา นึกเปรียบเทียบกับความสำเร็จอันน้อยนิดของตัวเอง เรากลัวว่าพวกเขาจะคิดว่าตัวเองไม่ดีพอจะใกล้ชิดเราอีกต่อไป
จากหนังสือ ความมั่นใจในตัวเอง/การรู้จักตัวเองอะไรหนอที่ทำให้เรากังวลกับความสำเร็จขนาดนี้ ในบางกรณีก็มาจากแรงปรารถนาในจิตใต้สำนึกที่อยากปกป้องผู้ที่รักเรา โดยเฉพาะผู้ที่เคยดูแลเราสมัยยังเด็ก เพราะเราไม่อยากให้พวกเขารู้สึกอิจฉาและต่ำต้อยเพราะความสำเร็จของเรา คู่รักใหม่รูปงามหรือการเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นอาจกลายเป็นเรื่อง ลำบากใจเงียบๆ สำหรับคนรอบตัวเรา มันกระตุ้นให้พวกเขา นึกเปรียบเทียบกับความสำเร็จอันน้อยนิดของตัวเอง เรากลัวว่าพวกเขาจะคิดว่าตัวเองไม่ดีพอจะใกล้ชิดเราอีกต่อไป จากหนังสือ ความมั่นใจในตัวเอง/การรู้จักตัวเอง0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 34 มุมมอง 0 รีวิว - ธุรกิจสร้างสุข The Business for Happiness Japanese Style
หนังสือธุรกิจญี่ปุ่น ที่นำเอาความสุขเป็นที่ตั้ง สองเรื่องนี้ถ้าหากเกี่ยวข้องรวมกันได้ จะเป็นธุรกิจที่เพอร์เฟกท์มากๆ หลังจากนั้นยอดขายและความยั่งยืนจะตามมาเอง เนื้อหาในเล่มมีธุรกิจญี่ปุ่นที่หลากหลายประเภท เพื่อมาเป็นตัวอย่างในเรื่อง ธุรกิจxความสุข (ในเล่มนี้มีเรื่องการถือกำเนิดของความนิยมส้มยูซุด้วย)
ผู้แต่งเป็นทีมงานที่อยู่ในเพจเฟสบุ๊ก Marumura ซึ่งจะมีท่านหนึ่งที่เขียนหนังสือหลายเล่มแล้ว คือ คุณเกตุวดี Marumura ส่วนในเล่มนี้เขียนโดยคุณพิชชารัศมิ์ Marumura ซึ่งก็จบการศึกษาปริญญาโทที่ประเทศญี่ปุ่นมา
ผู้แต่งตั้งคำถามเกี่ยวกับความสุขก่อนที่จะลงเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้ เธอค้นหาปัจจัยที่เกิดความสุข โดยเธอใช้งานวิจัยของ ศ.ทาเคชิ มาเอโนะ ที่สำรวจจากชาวญี่ปุ่น 1,500คน จนได้ปัจจัยแห่งความสุข 4 ข้อ ได้แก่ 1)การตระหนักรู้และการพัฒนา 2)ความสัมพันธ์ที่ดีและความรู้สึกขอบคุณ 3)การมองโลกในแง่ดี และ 4)ความเป็นตัวของตัวเอง
เนื้อหาในหนังสือมีเรื่องราวน่าสนใจหลายเรื่องมาก ผู้แต่งยกตัวอย่าง แอปเปิ้ลมหัศจรรย์ที่ใช้เวลาค้นคว้า ลองผิดลองถูก และปลูกมากว่า 10ปี ถึงจะได้แอปเปิ้ลที่รสชาติสุดยอด , หมู่บ้านส้มยูซุ ที่เคยทำอุตสาหกรรมป่าไม้แล้วป่าไม้ก็หมดไป คนหนุ่มสาวย้ายออกจากหมู่บ้านไปจนเหลือแต่ผู้สูงอายุ ด้วยความพยายามของคุณ โมจิฟูมิ โทตานิ ที่เขารับประทานส้มยูซุมาตั้งแต่เด็ก และรู้สึกว่าอร่อยมากๆ เขาพยายามทำการตลาดให้ส้มยูซุจนเป็นที่รู้จัก โดยใช้เวลายาวนานเป็น 10ปี , บริษัทที่รับพนักงานอายุมากกว่า 60ปี กว่าครึ่งหนึ่งของบริษัท โดยพนักงานอายุสูงสุดคือ พนักงานอายุ 79ปี , บริษัทซีอิ้ว 200ปีที่ถูกสึนามิพังถล่มและสามารถกลับมาขายได้ดีกว่าเดิม โดยต้องไปหาเชื้อจุลินทรีย์หมักซีอิ้วในถังที่เคยมอบให้มหาวิทยาลัยไปศึกษา และร้านข้าวกล่องจากอดีตคนเคยเกเร เป็นต้น
เป็นหนังสือธุรกิจที่อ่านแล้วมีความสุขจริงๆ
#ธุรกิจสร้างสุข #TheBusinessforHappiness #JapaneseStyle #รีวิวหนังสือธุรกิจสร้างสุข The Business for Happiness Japanese Style หนังสือธุรกิจญี่ปุ่น ที่นำเอาความสุขเป็นที่ตั้ง สองเรื่องนี้ถ้าหากเกี่ยวข้องรวมกันได้ จะเป็นธุรกิจที่เพอร์เฟกท์มากๆ หลังจากนั้นยอดขายและความยั่งยืนจะตามมาเอง เนื้อหาในเล่มมีธุรกิจญี่ปุ่นที่หลากหลายประเภท เพื่อมาเป็นตัวอย่างในเรื่อง ธุรกิจxความสุข (ในเล่มนี้มีเรื่องการถือกำเนิดของความนิยมส้มยูซุด้วย) ผู้แต่งเป็นทีมงานที่อยู่ในเพจเฟสบุ๊ก Marumura ซึ่งจะมีท่านหนึ่งที่เขียนหนังสือหลายเล่มแล้ว คือ คุณเกตุวดี Marumura ส่วนในเล่มนี้เขียนโดยคุณพิชชารัศมิ์ Marumura ซึ่งก็จบการศึกษาปริญญาโทที่ประเทศญี่ปุ่นมา ผู้แต่งตั้งคำถามเกี่ยวกับความสุขก่อนที่จะลงเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้ เธอค้นหาปัจจัยที่เกิดความสุข โดยเธอใช้งานวิจัยของ ศ.ทาเคชิ มาเอโนะ ที่สำรวจจากชาวญี่ปุ่น 1,500คน จนได้ปัจจัยแห่งความสุข 4 ข้อ ได้แก่ 1)การตระหนักรู้และการพัฒนา 2)ความสัมพันธ์ที่ดีและความรู้สึกขอบคุณ 3)การมองโลกในแง่ดี และ 4)ความเป็นตัวของตัวเอง เนื้อหาในหนังสือมีเรื่องราวน่าสนใจหลายเรื่องมาก ผู้แต่งยกตัวอย่าง แอปเปิ้ลมหัศจรรย์ที่ใช้เวลาค้นคว้า ลองผิดลองถูก และปลูกมากว่า 10ปี ถึงจะได้แอปเปิ้ลที่รสชาติสุดยอด , หมู่บ้านส้มยูซุ ที่เคยทำอุตสาหกรรมป่าไม้แล้วป่าไม้ก็หมดไป คนหนุ่มสาวย้ายออกจากหมู่บ้านไปจนเหลือแต่ผู้สูงอายุ ด้วยความพยายามของคุณ โมจิฟูมิ โทตานิ ที่เขารับประทานส้มยูซุมาตั้งแต่เด็ก และรู้สึกว่าอร่อยมากๆ เขาพยายามทำการตลาดให้ส้มยูซุจนเป็นที่รู้จัก โดยใช้เวลายาวนานเป็น 10ปี , บริษัทที่รับพนักงานอายุมากกว่า 60ปี กว่าครึ่งหนึ่งของบริษัท โดยพนักงานอายุสูงสุดคือ พนักงานอายุ 79ปี , บริษัทซีอิ้ว 200ปีที่ถูกสึนามิพังถล่มและสามารถกลับมาขายได้ดีกว่าเดิม โดยต้องไปหาเชื้อจุลินทรีย์หมักซีอิ้วในถังที่เคยมอบให้มหาวิทยาลัยไปศึกษา และร้านข้าวกล่องจากอดีตคนเคยเกเร เป็นต้น เป็นหนังสือธุรกิจที่อ่านแล้วมีความสุขจริงๆ #ธุรกิจสร้างสุข #TheBusinessforHappiness #JapaneseStyle #รีวิวหนังสือ0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 34 มุมมอง 0 รีวิว - 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 37 มุมมอง 0 รีวิว
- 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 37 มุมมอง 0 รีวิว
- เล่มนี้ เนื้อหาตรงประเด็นอ่านเข้าใจง่าย แก้ปัญหาเรื่องความคิดที่ไม่ชัดเจน ด้วยวิธีคิดที่น่าสนใจ😃เล่มนี้ เนื้อหาตรงประเด็นอ่านเข้าใจง่าย แก้ปัญหาเรื่องความคิดที่ไม่ชัดเจน ด้วยวิธีคิดที่น่าสนใจ😃2 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 37 มุมมอง 0 รีวิว
- เชิญชวนมารีวิว ป้ายยา และมาโชว์กองเองกัน😉
เชิญชวนมารีวิว ป้ายยา และมาโชว์กองเองกัน😉
เรื่องราวเพิ่มเติม