อ่านหนังสือกัน
อ่านหนังสือกัน
ชักชวนกันอ่านหนังสือ หนังสือไม่ว่าจะเป็นแนวไหนล้วนมีประโยชน์
  • กลุ่มสาธารณะ
  • 870 โพสต์
  • 169 รูปภาพ
  • 0 วิดีโอ
  • 0 รีวิว
  • ไลฟ์สไตล์
อัปเดตล่าสุด
  • นักวิชาการเชื่อว่า สมัยนั้นมีคนกลุ่มหนึ่งอาศัยอยู่บริเวณ ทุ่งหญ้าสเตปป์ในยุโรปตะวันออกและพูดภาษาที่นักวิชาการ เรียกว่า “โปรโต-อินโด-ยูโรเปียน” (Proto-Indo-European) หรือ “อินโด-ยูโรเปียนดั้งเดิม


    เวลาต่อมา คนกลุ่มนี้แยกย้ายอพยพไปตั้งรกรากในที่ต่างๆ ตั้งแต่ยุโรปทางตอนเหนือไปจนถึงเอเชียตะวันออกกลางและ อินเดีย ส่วนภาษาโปรโต-อินโด-ยูโรเปียนที่คนเหล่านี้พกติดตัว ไปด้วยก็พัฒนาไปเป็นภาษาตระกูลต่างๆ อย่างตระกูลภาษา เจอร์แมนิก (Germanic เช่น ภาษาเยอรมันและภาษาอังกฤษ) ตระกูลภาษาอิแทลิก (Italic เช่น ภาษาละติน) และตระกูลภาษา อินโด-อารยัน (Indo-Aryan เช่น ภาษาสันสกฤตและภาษาบาลี) เป็นต้น

    จากหนังสือ #WordOdyssey #คำสัมพันธ์ศัพท์ซ้อน
    นักวิชาการเชื่อว่า สมัยนั้นมีคนกลุ่มหนึ่งอาศัยอยู่บริเวณ ทุ่งหญ้าสเตปป์ในยุโรปตะวันออกและพูดภาษาที่นักวิชาการ เรียกว่า “โปรโต-อินโด-ยูโรเปียน” (Proto-Indo-European) หรือ “อินโด-ยูโรเปียนดั้งเดิม เวลาต่อมา คนกลุ่มนี้แยกย้ายอพยพไปตั้งรกรากในที่ต่างๆ ตั้งแต่ยุโรปทางตอนเหนือไปจนถึงเอเชียตะวันออกกลางและ อินเดีย ส่วนภาษาโปรโต-อินโด-ยูโรเปียนที่คนเหล่านี้พกติดตัว ไปด้วยก็พัฒนาไปเป็นภาษาตระกูลต่างๆ อย่างตระกูลภาษา เจอร์แมนิก (Germanic เช่น ภาษาเยอรมันและภาษาอังกฤษ) ตระกูลภาษาอิแทลิก (Italic เช่น ภาษาละติน) และตระกูลภาษา อินโด-อารยัน (Indo-Aryan เช่น ภาษาสันสกฤตและภาษาบาลี) เป็นต้น จากหนังสือ #WordOdyssey #คำสัมพันธ์ศัพท์ซ้อน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 3 มุมมอง 0 รีวิว
  • อีโก้ที่เงียบเชียบคือการรักษาสมดุลภายในตัวเอง โดยยอมรับว่าเราต้องการความมั่นใจ แต่ก็ตระหนักถึงจุดแข็งและจุดอ่อน รวมถึงสถานการณ์ของตัวเองด้วย มันคือการเปิดใจให้กว้างและเปิดรับผู้อื่นแทนที่จะเอาแต่ป้องกันตัวและปิดกั้น มันคือความสามารถในการถอย ออกมาเพื่อมองให้กว้างขึ้นและเข้าใจว่าการสูญเสียระยะสั้นเป็นส่วนหนึ่ง ของประโยชน์ระยะยาว เราจะทำให้อีโก้เงียบเสียงลงได้อย่างไร คำตอบคือการถามว่า อะไรคือสิ่งที่ทำให้คุณเจ็บแสบ ครุ่นคิด และถอยห่าง อะไรทำให้คุณเข้าสู่โหมดป้องกันตัวโดยอัตโนมัติ คุณเพิกเฉยต่อคำ วิพากษ์วิจารณ์ทันทีหรือพิจารณาและประเมินมันก่อน สิ่งที่คุณตามหา คือการตระหนักรู้ในตัวเองและการไตร่ตรองบวกกับการรู้ว่าตัวเองเป็นใคร อย่างชัดเจน การรู้สึกเคลือบแคลงในตัวเองและความไม่มั่นคงทางใจ เล็กน้อยเป็นเรื่องปกติ การตั้งรับและปกป้องตัวเองมากเกินไปเป็นสัญญาณ บ่งบอกว่าอีโก้ส่งเสียงดังเกินไป เมื่อเราผสมผสานการรับรู้ การตระหนักรู้ และความรู้สึกมั่นคงปลอดภัยเข้าด้วยกัน เราจะสามารถก้าวข้ามความ มั่นใจจอมปลอมที่แพร่กระจายอยู่ทั่วโลก ความมั่นใจคือการทำเรื่องยากซึ่งบางครั้งก็นำไปสู่ความล้มเหลว แต่ในขณะเดียวกันก็เข้าใจสถานการณ์ของตัวเอง และกลับไปทำสิ่งที่ต้องทำต่อ

    จากหนังสือ #DoHardThings #วิทยาศาสตร์ของการไม่ยอมแพ้
    อีโก้ที่เงียบเชียบคือการรักษาสมดุลภายในตัวเอง โดยยอมรับว่าเราต้องการความมั่นใจ แต่ก็ตระหนักถึงจุดแข็งและจุดอ่อน รวมถึงสถานการณ์ของตัวเองด้วย มันคือการเปิดใจให้กว้างและเปิดรับผู้อื่นแทนที่จะเอาแต่ป้องกันตัวและปิดกั้น มันคือความสามารถในการถอย ออกมาเพื่อมองให้กว้างขึ้นและเข้าใจว่าการสูญเสียระยะสั้นเป็นส่วนหนึ่ง ของประโยชน์ระยะยาว เราจะทำให้อีโก้เงียบเสียงลงได้อย่างไร คำตอบคือการถามว่า อะไรคือสิ่งที่ทำให้คุณเจ็บแสบ ครุ่นคิด และถอยห่าง อะไรทำให้คุณเข้าสู่โหมดป้องกันตัวโดยอัตโนมัติ คุณเพิกเฉยต่อคำ วิพากษ์วิจารณ์ทันทีหรือพิจารณาและประเมินมันก่อน สิ่งที่คุณตามหา คือการตระหนักรู้ในตัวเองและการไตร่ตรองบวกกับการรู้ว่าตัวเองเป็นใคร อย่างชัดเจน การรู้สึกเคลือบแคลงในตัวเองและความไม่มั่นคงทางใจ เล็กน้อยเป็นเรื่องปกติ การตั้งรับและปกป้องตัวเองมากเกินไปเป็นสัญญาณ บ่งบอกว่าอีโก้ส่งเสียงดังเกินไป เมื่อเราผสมผสานการรับรู้ การตระหนักรู้ และความรู้สึกมั่นคงปลอดภัยเข้าด้วยกัน เราจะสามารถก้าวข้ามความ มั่นใจจอมปลอมที่แพร่กระจายอยู่ทั่วโลก ความมั่นใจคือการทำเรื่องยากซึ่งบางครั้งก็นำไปสู่ความล้มเหลว แต่ในขณะเดียวกันก็เข้าใจสถานการณ์ของตัวเอง และกลับไปทำสิ่งที่ต้องทำต่อ จากหนังสือ #DoHardThings #วิทยาศาสตร์ของการไม่ยอมแพ้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 3 มุมมอง 0 รีวิว
  • การให้ส่วนลด 5 เปอร์เซ็นต์อาจโน้มน้าวให้การคิด ระบบ 1 สนใจได้สักเท่าไร คุณควรเสนอสิ่งที่เป็นโอกาสทองอย่างแท้จริง สิ่งที่จะทำให้เกิดข้อได้เปรียบอย่างมากและพิเศษสุดๆ เช่น ส่วนลดเยอะๆ ข้อเสนอ เงินคืน และราคาถูกเป็นพิเศษ (ดูตัวอย่างก่อนหน้านี้) หรืออาจบอกวิธีแก้ปัญหาในชีวิตประจำวันแบบง่าย ๆ เช่นไม่ควรทำให้ข้อเสนอพิเศษซับซ้อนเกินไปเวลาสื่อสารกับการคิดระบบ 1 ซึ่งเราเปรียบเทียบไว้ก่อนหน้านี้ว่าเทียบเท่าสมองเด็กเจ็ดขวบ ดังนั้นให้ใช้ประโยคง่ายๆ และถ้าจะให้ดีควรใช้คำไม่เกิน 5 คำ เพราะการคิดระบบ 1 มีแนวโน้มจะเมินเฉย ข้อความที่เย็นเย้อยืดยาว ถ้ายึดจำนวนคำ 5 คำไว้ให้มั่น คุณจะมีโอกาสทำให้ ระบบ 1 อ่านข้อความของคุณได้โดยอัตโนมัติ และดึงให้ผู้เยี่ยมชมหลุดออกจาก สิ่งที่กำลังทำอยู่สำเร็จ

    นอกจากนี้ ให้ใช้ฟอนต์ขนาดใหญ่ ไม่เช่นนั้นจะไม่มีใครสนใจอ่าน แต่ถึงอย่างไรการคิดระบบ 1 ก็ไม่ได้โน้มน้าวง่ายขนาดนั้น สุดท้ายจึงควรใช้ภาพที่สนับสนุนข้อความของคุณและทำให้เข้าใจชัดเจนได้เร็วยิ่งขึ้นอีก

    จากหนังสือ #OnlineInfluence #ออกแบบให้คนคลิกรวมเทคนิคให้คนซื้อ
    การให้ส่วนลด 5 เปอร์เซ็นต์อาจโน้มน้าวให้การคิด ระบบ 1 สนใจได้สักเท่าไร คุณควรเสนอสิ่งที่เป็นโอกาสทองอย่างแท้จริง สิ่งที่จะทำให้เกิดข้อได้เปรียบอย่างมากและพิเศษสุดๆ เช่น ส่วนลดเยอะๆ ข้อเสนอ เงินคืน และราคาถูกเป็นพิเศษ (ดูตัวอย่างก่อนหน้านี้) หรืออาจบอกวิธีแก้ปัญหาในชีวิตประจำวันแบบง่าย ๆ เช่นไม่ควรทำให้ข้อเสนอพิเศษซับซ้อนเกินไปเวลาสื่อสารกับการคิดระบบ 1 ซึ่งเราเปรียบเทียบไว้ก่อนหน้านี้ว่าเทียบเท่าสมองเด็กเจ็ดขวบ ดังนั้นให้ใช้ประโยคง่ายๆ และถ้าจะให้ดีควรใช้คำไม่เกิน 5 คำ เพราะการคิดระบบ 1 มีแนวโน้มจะเมินเฉย ข้อความที่เย็นเย้อยืดยาว ถ้ายึดจำนวนคำ 5 คำไว้ให้มั่น คุณจะมีโอกาสทำให้ ระบบ 1 อ่านข้อความของคุณได้โดยอัตโนมัติ และดึงให้ผู้เยี่ยมชมหลุดออกจาก สิ่งที่กำลังทำอยู่สำเร็จ นอกจากนี้ ให้ใช้ฟอนต์ขนาดใหญ่ ไม่เช่นนั้นจะไม่มีใครสนใจอ่าน แต่ถึงอย่างไรการคิดระบบ 1 ก็ไม่ได้โน้มน้าวง่ายขนาดนั้น สุดท้ายจึงควรใช้ภาพที่สนับสนุนข้อความของคุณและทำให้เข้าใจชัดเจนได้เร็วยิ่งขึ้นอีก จากหนังสือ #OnlineInfluence #ออกแบบให้คนคลิกรวมเทคนิคให้คนซื้อ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 5 มุมมอง 0 รีวิว
  • บริษัท Callwave กับบริษัท Padoo ทำโดยไม่จำเป็นต้องมีพนักงาน ต้อนรับ ทั้งสองบริษัทรู้ดีว่าการทำงานที่บ้านโดยใช้โทรศัพท์สายเดียวมักมีปัญหา เพราะขณะกำลังออนไลน์อยู่จะไม่รู้ว่ามีคนกำลังโทรเข้ามา ครัวเรือนสามารถขอโทรศัพท์สายที่สองได้ในราคาสามร้อยดอลลาร์หรือมากกว่าต่อปี ซึ่งก็ยังถือว่าแพงมาก Callwave และ Padoo จึงเสนอบริการรับโอนสายต่อถ้าสายไม่ว่าง แทนที่ผู้โทรเข้ามาจะได้รับสัญญาณไม่ว่าง สายของเขาจะถูกโอนไปที่ Callwave และ Padoo ซึ่งจะบันทึกข้อความเสียงเอาไว้ จากนั้นทั้งสองบริษัทจะส่งข้อความสัญญาณเสียงแนบไปกับอีเมลให้คนที่กำลังออนไลน์รู้ว่ามีสายโทรเข้ามา ใน 2ปีแรกของพวกเขา Callwave ดึงดูดลูกค้าได้กว่า 6 ล้านราย และ Padoo มีลูกค้า700,000 ราย

    จากหนังสือ #WhyNot
    บริษัท Callwave กับบริษัท Padoo ทำโดยไม่จำเป็นต้องมีพนักงาน ต้อนรับ ทั้งสองบริษัทรู้ดีว่าการทำงานที่บ้านโดยใช้โทรศัพท์สายเดียวมักมีปัญหา เพราะขณะกำลังออนไลน์อยู่จะไม่รู้ว่ามีคนกำลังโทรเข้ามา ครัวเรือนสามารถขอโทรศัพท์สายที่สองได้ในราคาสามร้อยดอลลาร์หรือมากกว่าต่อปี ซึ่งก็ยังถือว่าแพงมาก Callwave และ Padoo จึงเสนอบริการรับโอนสายต่อถ้าสายไม่ว่าง แทนที่ผู้โทรเข้ามาจะได้รับสัญญาณไม่ว่าง สายของเขาจะถูกโอนไปที่ Callwave และ Padoo ซึ่งจะบันทึกข้อความเสียงเอาไว้ จากนั้นทั้งสองบริษัทจะส่งข้อความสัญญาณเสียงแนบไปกับอีเมลให้คนที่กำลังออนไลน์รู้ว่ามีสายโทรเข้ามา ใน 2ปีแรกของพวกเขา Callwave ดึงดูดลูกค้าได้กว่า 6 ล้านราย และ Padoo มีลูกค้า700,000 ราย จากหนังสือ #WhyNot
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 5 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อเคียวเซร่าเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์และมีทรัพย์สิน มากเกินความคาดหมาย ผมก็รู้สึกสับสนงุนงงมากทีเดียว ด้วยเหตุนี้ผมจึงคิดว่าทรัพย์สินเหล่านี้ไม่ใช่ของของผม แต่ เป็นสิ่งที่หยิบยืมมาจากสังคมชั่วคราวเท่านั้น

    ตอนที่ผมได้รับรางวัลซึ่งมอบให้กับคนที่อุทิศตัวเพื่อการพัฒนาเทคโนโลยี ผมคิดขึ้นมาว่าผมควรอยู่ในฐานะผู้มอบรางวัลไม่ใช่ผู้รับรางวัล

    ด้วยเหตุนี้ผมจึงตัดสินใจก่อตั้ง “รางวัลเกียวโต” เพื่อนำทรัพย์สินที่ตัวเองหามาได้กลับคืนสู่สังคมแค่สักเล็กน้อยก็ยังดี

    อินาโมริ คาซุโอะ

    จากหนังสือ #หัวใจ #Kokoro
    เมื่อเคียวเซร่าเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์และมีทรัพย์สิน มากเกินความคาดหมาย ผมก็รู้สึกสับสนงุนงงมากทีเดียว ด้วยเหตุนี้ผมจึงคิดว่าทรัพย์สินเหล่านี้ไม่ใช่ของของผม แต่ เป็นสิ่งที่หยิบยืมมาจากสังคมชั่วคราวเท่านั้น ตอนที่ผมได้รับรางวัลซึ่งมอบให้กับคนที่อุทิศตัวเพื่อการพัฒนาเทคโนโลยี ผมคิดขึ้นมาว่าผมควรอยู่ในฐานะผู้มอบรางวัลไม่ใช่ผู้รับรางวัล ด้วยเหตุนี้ผมจึงตัดสินใจก่อตั้ง “รางวัลเกียวโต” เพื่อนำทรัพย์สินที่ตัวเองหามาได้กลับคืนสู่สังคมแค่สักเล็กน้อยก็ยังดี อินาโมริ คาซุโอะ จากหนังสือ #หัวใจ #Kokoro
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 8 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรเดลไมเออร์เข้ามาขณะที่ทีมแพทย์ที่ดูแลเธอกำลังเตรียมให้ยา ลดภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน(hyperthyroidism) 'เขา' บอกให้ทุกคนชะลอการทำงานลงชั่วครู่ เพื่อตรวจสอบความคิดของพวกเขาให้แน่ใจว่า ไม่ได้กำลังพยายามบีบอัดข้อเท็จจริงลงไปในคำอธิบายที่เรียบง่าย สอดคล้องกันแต่สุดท้ายเป็นแค่คำอธิบายผิดๆ

    เขาอยากให้ชะลอการปฏิบัติงานต่างๆลง เพราะคณะแพทย์เพิ่งจะ กระโดดไปคว้าข้อสรุปที่ดูเหมือนจะสมเหตุสมผลโดยที่ยังไม่ได้คำนึงถึง สาเหตุอื่น “ภาวะต่อมไทรอยต์ทำงานเกินเป็นสาเหตุทั่วไปของภาวะหัวใจเต้น ผิดจังหวะ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นแบบนั้นเสมอไป” เขากล่าวเช่นนี้ในภายหลัง แม้ว่ามันจะสมเหตุสมผลแต่ก็ไม่น่าใช่ หรือกล่าวอีกอย่างคือมันเป็นไปได้แต่ไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น

    เจ้าหน้าที่จึงเริ่มค้นหาสาเหตุอื่นและวินิจฉัยได้อย่างรวดเร็วว่าเธอปอดยุบ “ซี่โครงที่หักและปอดที่ยุบต่างก็ไม่ปรากฏในภาพเอ็กซ์เรย์ แต่ว่าสภาพปอดเช่นนี้ทำให้เธอตายได้” พวกเขาจึงพักเรื่องต่อมไทรอยด์ไว้ก่อน แล้วรีบรักษาปอดที่ยุบตัว ในที่สุดหัวใจของเธอก็กลับมาเต้นเป็นปกติอีกครั้ง เมื่อผลการตรวจต่อมไทรอยด์อย่างเป็นทางการของเธอมาถึงในวันรุ่งขึ้น ปรากฏว่าค่าต่างๆปกติดี เป็นไปดังที่เรเคลไมเออร์ได้กล่าวไว้ว่า “คุณต้อง ะมัดระวังมากๆ เวลาที่คำอธิบายง่ายๆ ผุดขึ้นมาในใจ แล้วอธิบายทุกสิ่งอย่างได้ลงตัวหมดจดในคราวเดียว นั่นคือเวลาที่คุณต้องหยุดแล ตรวจสอบความคิดใหม่”

    เมื่อการตัดสินใจครั้งใดๆ มีเดิมพันที่สูงและไม่มีทางย้อนคืนได้ คุณควรตัดสินใจในวินาทีท้ายสุดและเหลือตัวเลือกไว้ตรงหน้าให้ได้มากที่สุดเท่าที่ จะเป็นไปได้ขณะที่ยังคงรวบรวมข้อมูลต่อไป

    จากหนังสือ #คิดให้เฉียบคม #ClearThinking
    เรเดลไมเออร์เข้ามาขณะที่ทีมแพทย์ที่ดูแลเธอกำลังเตรียมให้ยา ลดภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน(hyperthyroidism) 'เขา' บอกให้ทุกคนชะลอการทำงานลงชั่วครู่ เพื่อตรวจสอบความคิดของพวกเขาให้แน่ใจว่า ไม่ได้กำลังพยายามบีบอัดข้อเท็จจริงลงไปในคำอธิบายที่เรียบง่าย สอดคล้องกันแต่สุดท้ายเป็นแค่คำอธิบายผิดๆ เขาอยากให้ชะลอการปฏิบัติงานต่างๆลง เพราะคณะแพทย์เพิ่งจะ กระโดดไปคว้าข้อสรุปที่ดูเหมือนจะสมเหตุสมผลโดยที่ยังไม่ได้คำนึงถึง สาเหตุอื่น “ภาวะต่อมไทรอยต์ทำงานเกินเป็นสาเหตุทั่วไปของภาวะหัวใจเต้น ผิดจังหวะ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นแบบนั้นเสมอไป” เขากล่าวเช่นนี้ในภายหลัง แม้ว่ามันจะสมเหตุสมผลแต่ก็ไม่น่าใช่ หรือกล่าวอีกอย่างคือมันเป็นไปได้แต่ไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น เจ้าหน้าที่จึงเริ่มค้นหาสาเหตุอื่นและวินิจฉัยได้อย่างรวดเร็วว่าเธอปอดยุบ “ซี่โครงที่หักและปอดที่ยุบต่างก็ไม่ปรากฏในภาพเอ็กซ์เรย์ แต่ว่าสภาพปอดเช่นนี้ทำให้เธอตายได้” พวกเขาจึงพักเรื่องต่อมไทรอยด์ไว้ก่อน แล้วรีบรักษาปอดที่ยุบตัว ในที่สุดหัวใจของเธอก็กลับมาเต้นเป็นปกติอีกครั้ง เมื่อผลการตรวจต่อมไทรอยด์อย่างเป็นทางการของเธอมาถึงในวันรุ่งขึ้น ปรากฏว่าค่าต่างๆปกติดี เป็นไปดังที่เรเคลไมเออร์ได้กล่าวไว้ว่า “คุณต้อง ะมัดระวังมากๆ เวลาที่คำอธิบายง่ายๆ ผุดขึ้นมาในใจ แล้วอธิบายทุกสิ่งอย่างได้ลงตัวหมดจดในคราวเดียว นั่นคือเวลาที่คุณต้องหยุดแล ตรวจสอบความคิดใหม่” เมื่อการตัดสินใจครั้งใดๆ มีเดิมพันที่สูงและไม่มีทางย้อนคืนได้ คุณควรตัดสินใจในวินาทีท้ายสุดและเหลือตัวเลือกไว้ตรงหน้าให้ได้มากที่สุดเท่าที่ จะเป็นไปได้ขณะที่ยังคงรวบรวมข้อมูลต่อไป จากหนังสือ #คิดให้เฉียบคม #ClearThinking
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 8 มุมมอง 0 รีวิว
  • สุมาอี้อดทนรอโอกาสอยู่หลายปี กระทั่งในปี ค.ศ. 249 สุมาอี้แจ้งราชสำนักว่าป่วยหนัก โจซองต้องการตรวจสอบว่าสุมาอี้ป่วยจริงหรือแกล้งป่วย จึงส่งคนสนิทของตนไปเยี่ยมถึงบ้าน สุมาอี้ทราบเช่นนั้นจึงทำทีแสร้งป่วยได้เสมือนจริงมาก ทั้งยังแสดงท่าทีว่ามีอาการเลอะเลือน ต้องให้คนป้อนข้าวต้มให้ แล้วก็แกล้งกินจนเลอะ อีกฝ่ายหลงเชื่อจึงกลับไปรายงานตามที่เห็น โจซองก็ประมาทคิดว่าสุมาอี้ป่วยหนักเช่นนี้คงใกล้ตายแน่แล้ว แต่ที่จริงเป็นแผนล่อให้โจซองตายใจ กระทั่งวันหนึ่งโจซองจัดขบวนออกล่าสัตว์แล้ว ทูลเชิญฮ่องเต้โจซองและเหล่าขุนนางทั้งหลายออกเดินทางไปพร้อมกันที่นอกเมือง แต่นี่ก็เป็นโอกาสของสุมาอี้แล้ว เนื่องจากระหว่างที่โจซองใช้อำนาจตาม อำเภอใจนั้น สุมาอี้ได้รวบรวมกองทหารเอาไว้อย่างลับๆหลายปี อีกทั้งก่อนหน้านี้สุมาอี้เคยนำทัพทำศึกกับขงเบ้งติดต่อกันหลายปี สร้างบารมีกับเหล่าขุนพลและนายทหารไว้มาก ขุนนางหลายคนในราชสำนักก็ยืนข้างเขา ดังนั้นเมื่อถึงเวลาที่พวกโจซองนำคนออกไปล่าสัตว์ สุมาอี้จึงสั่งทหารสามพันคนของ ตนเข้าควบคุมจุดสำคัญในเมืองหลวง แล้วตัวเขาก็เข้าเฝ้าพระนางกวยไทเฮา แจ้งว่าสาเหตุที่ต้องลงมือทำในครั้งนี้ เป็นเพราะโจซองบริหารบ้านเมืองอย่างเลวร้าย ทั้งยังทุจริตและทำตนเหนือฮ่องเต้ ไทเฮาก็จำต้องทำตามคำของสุมาอี้ ซึ่งก็ทำให้การยึดอำนาจของสุมาอี้ถูกต้องชอบธรรมมากขึ้น พวกโจซองที่ออกไปนอกเมืองกว่าจะรู้ว่าพวกตนเสียท่าก็สายไปแล้ว

    จากหนังสือ #คิดอย่างจีน
    สุมาอี้อดทนรอโอกาสอยู่หลายปี กระทั่งในปี ค.ศ. 249 สุมาอี้แจ้งราชสำนักว่าป่วยหนัก โจซองต้องการตรวจสอบว่าสุมาอี้ป่วยจริงหรือแกล้งป่วย จึงส่งคนสนิทของตนไปเยี่ยมถึงบ้าน สุมาอี้ทราบเช่นนั้นจึงทำทีแสร้งป่วยได้เสมือนจริงมาก ทั้งยังแสดงท่าทีว่ามีอาการเลอะเลือน ต้องให้คนป้อนข้าวต้มให้ แล้วก็แกล้งกินจนเลอะ อีกฝ่ายหลงเชื่อจึงกลับไปรายงานตามที่เห็น โจซองก็ประมาทคิดว่าสุมาอี้ป่วยหนักเช่นนี้คงใกล้ตายแน่แล้ว แต่ที่จริงเป็นแผนล่อให้โจซองตายใจ กระทั่งวันหนึ่งโจซองจัดขบวนออกล่าสัตว์แล้ว ทูลเชิญฮ่องเต้โจซองและเหล่าขุนนางทั้งหลายออกเดินทางไปพร้อมกันที่นอกเมือง แต่นี่ก็เป็นโอกาสของสุมาอี้แล้ว เนื่องจากระหว่างที่โจซองใช้อำนาจตาม อำเภอใจนั้น สุมาอี้ได้รวบรวมกองทหารเอาไว้อย่างลับๆหลายปี อีกทั้งก่อนหน้านี้สุมาอี้เคยนำทัพทำศึกกับขงเบ้งติดต่อกันหลายปี สร้างบารมีกับเหล่าขุนพลและนายทหารไว้มาก ขุนนางหลายคนในราชสำนักก็ยืนข้างเขา ดังนั้นเมื่อถึงเวลาที่พวกโจซองนำคนออกไปล่าสัตว์ สุมาอี้จึงสั่งทหารสามพันคนของ ตนเข้าควบคุมจุดสำคัญในเมืองหลวง แล้วตัวเขาก็เข้าเฝ้าพระนางกวยไทเฮา แจ้งว่าสาเหตุที่ต้องลงมือทำในครั้งนี้ เป็นเพราะโจซองบริหารบ้านเมืองอย่างเลวร้าย ทั้งยังทุจริตและทำตนเหนือฮ่องเต้ ไทเฮาก็จำต้องทำตามคำของสุมาอี้ ซึ่งก็ทำให้การยึดอำนาจของสุมาอี้ถูกต้องชอบธรรมมากขึ้น พวกโจซองที่ออกไปนอกเมืองกว่าจะรู้ว่าพวกตนเสียท่าก็สายไปแล้ว จากหนังสือ #คิดอย่างจีน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 8 มุมมอง 0 รีวิว
  • การยอมรับตัวเอง คือการโอบรับสิ่งที่เราเปลี่ยนแปลงไม่ได้และสิ่งที่เราอาจไม่ชอบเกี่ยวกับตัวเอง มีบางสิ่งเกี่ยวกับตัวเองที่ฉันไม่พอใจในแบบที่มันเป็น เช่นการที่ฉันต้องใส่แว่นตาเพื่อให้เห็นสิ่งรอบตัวชัดเจน ไฝและกระจำนวนมหาศาล ระดับความอดทนต่อความเจ็บปวดที่ต่ำ และความเตี้ยของตัวเอง แต่ทั้งสิ่งที่ฉันไม่ชอบและสิ่งที่ฉันชอบเกี่ยวกับตัวเองก็รวมกันเป็นตัวฉันที่สมบูรณ์และแท้จริง คนที่ยอมรับว่าตัวเองไม่สมบูรณ์แบบคือคนที่เข้าใกล้ความสุขที่แท้จริง

    จากหนังสือ #ว่าไงจ๊ะความกลัว #HelloFears
    การยอมรับตัวเอง คือการโอบรับสิ่งที่เราเปลี่ยนแปลงไม่ได้และสิ่งที่เราอาจไม่ชอบเกี่ยวกับตัวเอง มีบางสิ่งเกี่ยวกับตัวเองที่ฉันไม่พอใจในแบบที่มันเป็น เช่นการที่ฉันต้องใส่แว่นตาเพื่อให้เห็นสิ่งรอบตัวชัดเจน ไฝและกระจำนวนมหาศาล ระดับความอดทนต่อความเจ็บปวดที่ต่ำ และความเตี้ยของตัวเอง แต่ทั้งสิ่งที่ฉันไม่ชอบและสิ่งที่ฉันชอบเกี่ยวกับตัวเองก็รวมกันเป็นตัวฉันที่สมบูรณ์และแท้จริง คนที่ยอมรับว่าตัวเองไม่สมบูรณ์แบบคือคนที่เข้าใกล้ความสุขที่แท้จริง จากหนังสือ #ว่าไงจ๊ะความกลัว #HelloFears
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 8 มุมมอง 0 รีวิว
  • ในโลกธุรกิจ การอยู่ท่ามกลางแสงสว่างนั้นเป็นเรื่องดี เพราะมัน ช่วยให้เรามีโอกาสสร้างคอนเนคชั่น มีพื้นที่สื่อ และมีโอกาสสร้าง ยอดขายตามมาแต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้าคุณเป็นคนอินโทรเวิร์ตที่ไม่ขอบแสง หรือที่ยิ่งไปกว่านั้น จะเกิดอะไรขึ้นถ้าคุณเป็น “บริษัท”อินโทรเวิร์ต

    นั่นคือสิ่งที่พวกเราเป็นครับ วีเลิร์นน่าจะเป็นหนึ่งในบริษัท ที่อัดแน่นไปด้วยคนอินโทรเวิร์ตมากที่สุดแล้ว ไล่ตั้งแต่พนักงาน ผู้บริหาร ไปจนถึงเจ้าของบริษัท!

    จากหนังสือ #วิชาคนตัวเล็ก #SmallRules
    ในโลกธุรกิจ การอยู่ท่ามกลางแสงสว่างนั้นเป็นเรื่องดี เพราะมัน ช่วยให้เรามีโอกาสสร้างคอนเนคชั่น มีพื้นที่สื่อ และมีโอกาสสร้าง ยอดขายตามมาแต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้าคุณเป็นคนอินโทรเวิร์ตที่ไม่ขอบแสง หรือที่ยิ่งไปกว่านั้น จะเกิดอะไรขึ้นถ้าคุณเป็น “บริษัท”อินโทรเวิร์ต นั่นคือสิ่งที่พวกเราเป็นครับ วีเลิร์นน่าจะเป็นหนึ่งในบริษัท ที่อัดแน่นไปด้วยคนอินโทรเวิร์ตมากที่สุดแล้ว ไล่ตั้งแต่พนักงาน ผู้บริหาร ไปจนถึงเจ้าของบริษัท! จากหนังสือ #วิชาคนตัวเล็ก #SmallRules
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 8 มุมมอง 0 รีวิว
  • เลนเศรษฐีไม่มีสคริปต์ UNSCRIPTED (2025/122)

    สืบเนื่องจากเล่มก่อนหน้านี้ The Millionaire Fast Lane เปลี่ยนเลนเป็นเศรษฐี
    ที่เขียนโดยนักเขียนที่เป็นผู้ประสบความสำเร็จ และเรียกตัวเองว่าเป็นเศรษฐีแล้ว

    โดยเล่มนี้ต่างจากเล่มก่อนตรงที่เล่มเปลี่ยนเลนเป็นเศรษฐีคือการแนะแนวทางเพื่อสร้างความั่งคั่ง ส่วนเล่มนี้เลนเศรษฐีไม่มีสคริปต์ เป็นการอธิบายแนวคิดของผู้เขียนและหลักปรัชญาที่เขาดำเนินชีวิตผ่านมา

    UNSCRIPTED ในความหมายของหนังสือเล่มนี้คือการเล่นนอกกฎ (แหกกฎ) ทำในสิ่งที่สังคมโน้มน้าวให้คนส่วนใหญ่ใช้ชีวิตในบริบทที่เหมือนกัน โดยบทบาทที่สังคมทำเป็นแนวทางไว้นั้นผู้เขียนยืนยันว่าไม่ถูกต้องและเป็นหนทางที่จะนำไปสู่ชีวิตวัยเกษียณที่เป็นชีวิตธรรมดาไม่มั่งคั่ง

    ผู้เขียนได้ทำการชี้แจงให้เห็นถึงที่มาของความจำเป็นที่ต้องเล่นนอกบท นอกจากนี้เขายังพยายามปลุกจิตปลุกใจให้ผู้อ่านกล้าที่จะเล่นนอกบท และทำตามแนวคิดของเขา ซึ่งการลองทำนี้ไม่ได้ทำให้เกิดความเสียหายเลย ท้ายเล่มเขายังแนะแนวทางดีๆในการทำธุรกิจ แนวทางการออมเงิน และการลงทุนอีกด้วย

    #เลนเศรษฐีไม่มีสคริปต์ #UNSCRIPTED #รีวิวหนังสือ #TheMillionaireFastLane #เปลี่ยนเลนเป็นเศรษฐี
    เลนเศรษฐีไม่มีสคริปต์ UNSCRIPTED (2025/122) สืบเนื่องจากเล่มก่อนหน้านี้ The Millionaire Fast Lane เปลี่ยนเลนเป็นเศรษฐี ที่เขียนโดยนักเขียนที่เป็นผู้ประสบความสำเร็จ และเรียกตัวเองว่าเป็นเศรษฐีแล้ว โดยเล่มนี้ต่างจากเล่มก่อนตรงที่เล่มเปลี่ยนเลนเป็นเศรษฐีคือการแนะแนวทางเพื่อสร้างความั่งคั่ง ส่วนเล่มนี้เลนเศรษฐีไม่มีสคริปต์ เป็นการอธิบายแนวคิดของผู้เขียนและหลักปรัชญาที่เขาดำเนินชีวิตผ่านมา UNSCRIPTED ในความหมายของหนังสือเล่มนี้คือการเล่นนอกกฎ (แหกกฎ) ทำในสิ่งที่สังคมโน้มน้าวให้คนส่วนใหญ่ใช้ชีวิตในบริบทที่เหมือนกัน โดยบทบาทที่สังคมทำเป็นแนวทางไว้นั้นผู้เขียนยืนยันว่าไม่ถูกต้องและเป็นหนทางที่จะนำไปสู่ชีวิตวัยเกษียณที่เป็นชีวิตธรรมดาไม่มั่งคั่ง ผู้เขียนได้ทำการชี้แจงให้เห็นถึงที่มาของความจำเป็นที่ต้องเล่นนอกบท นอกจากนี้เขายังพยายามปลุกจิตปลุกใจให้ผู้อ่านกล้าที่จะเล่นนอกบท และทำตามแนวคิดของเขา ซึ่งการลองทำนี้ไม่ได้ทำให้เกิดความเสียหายเลย ท้ายเล่มเขายังแนะแนวทางดีๆในการทำธุรกิจ แนวทางการออมเงิน และการลงทุนอีกด้วย #เลนเศรษฐีไม่มีสคริปต์ #UNSCRIPTED #รีวิวหนังสือ #TheMillionaireFastLane #เปลี่ยนเลนเป็นเศรษฐี
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 12 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปัญหาคือ สมองของมนุษย์โม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อให้เรามีความสุขและเดิมเต็ม มันถูกออกแบบมาให้เราเอาชีวิตรอด อวัยวะอายุกว่าสอง ล้านปีนี้มองหาสิ่งผิดปกติอยู่เสมอ ไม่ว่าสิ่งใดก็ตามที่ทำให้เขาเจ็บปวด เพื่อที่เราจะได้ต่อสู้กับมันหรือไม่ก็หนีให้ห่างจากมันไป ถ้าคุณและผมปล่อยให้เจ้าซอฟต์แวร์โบราณนี้ควบคุมทุกอย่าง เราจะมีโอกาสจากใหนมาเพลิดเพลินกับชีวิต?

    จากหนังสือ #Unshakable
    ปัญหาคือ สมองของมนุษย์โม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อให้เรามีความสุขและเดิมเต็ม มันถูกออกแบบมาให้เราเอาชีวิตรอด อวัยวะอายุกว่าสอง ล้านปีนี้มองหาสิ่งผิดปกติอยู่เสมอ ไม่ว่าสิ่งใดก็ตามที่ทำให้เขาเจ็บปวด เพื่อที่เราจะได้ต่อสู้กับมันหรือไม่ก็หนีให้ห่างจากมันไป ถ้าคุณและผมปล่อยให้เจ้าซอฟต์แวร์โบราณนี้ควบคุมทุกอย่าง เราจะมีโอกาสจากใหนมาเพลิดเพลินกับชีวิต? จากหนังสือ #Unshakable
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 14 มุมมอง 0 รีวิว
  • กฎของลาปลาซเสนอกฎง่าย ๆ ข้อแรกให้แก่เราในการเผชิญหน้ากับข้อมูลขนาดเล็กในโลกแห่งความเป็นจริง แม้ว่าเราจะได้สังเกตการณ์เพียงไม่กี่ครั้ง(หรือเพียงครั้งเดียว) กฎนี้ก็ยังให้แนวทางปฏิบัติแก่เราคุณอยากคำนวณโอกาสที่รถบัสจะมาสายใช่ไหม คำนวณโอกาสที่ทีมซอฟต์บอล ของคุณจะชนะใช่หรือเปล่า คุณก็แค่นับจำนวนครั้งที่เหตุการณ์เกิดขึ้น ในอดีตบวกหนึ่งแล้วหารด้วยจำนวนโอกาสทั้งหมดบวกสอง ความสวยงามของกฎของลาปลาชคือ ไม่ว่าเราจะมีจุดข้อมูลเพียงจุดเดียวหรือหลายล้าน จุดมันก็ใช้ได้ดีพอๆกัน ความเชื่อของแอนนี่ตัวน้อยจากละครเพลง Annie ว่าดวงอาทิตย์จะขึ้นในวันพรุ่งนี้นั้นสมเหตุสมผลแล้ว มันบอกเราว่าสำหรับโลกที่เห็นดวงอาทิตย์ขึ้นติดต่อกันประมาณ 1.6 ล้านล้านวัน โอกาสที่พระอาทิตย์ขึ้นอีกครั้งใน “ความพยายาม” ครั้งต่อไปก็ไม่ต่างจาก 100%เลย

    จากหนังสือ #AlgorithmsToLiveBy
    กฎของลาปลาซเสนอกฎง่าย ๆ ข้อแรกให้แก่เราในการเผชิญหน้ากับข้อมูลขนาดเล็กในโลกแห่งความเป็นจริง แม้ว่าเราจะได้สังเกตการณ์เพียงไม่กี่ครั้ง(หรือเพียงครั้งเดียว) กฎนี้ก็ยังให้แนวทางปฏิบัติแก่เราคุณอยากคำนวณโอกาสที่รถบัสจะมาสายใช่ไหม คำนวณโอกาสที่ทีมซอฟต์บอล ของคุณจะชนะใช่หรือเปล่า คุณก็แค่นับจำนวนครั้งที่เหตุการณ์เกิดขึ้น ในอดีตบวกหนึ่งแล้วหารด้วยจำนวนโอกาสทั้งหมดบวกสอง ความสวยงามของกฎของลาปลาชคือ ไม่ว่าเราจะมีจุดข้อมูลเพียงจุดเดียวหรือหลายล้าน จุดมันก็ใช้ได้ดีพอๆกัน ความเชื่อของแอนนี่ตัวน้อยจากละครเพลง Annie ว่าดวงอาทิตย์จะขึ้นในวันพรุ่งนี้นั้นสมเหตุสมผลแล้ว มันบอกเราว่าสำหรับโลกที่เห็นดวงอาทิตย์ขึ้นติดต่อกันประมาณ 1.6 ล้านล้านวัน โอกาสที่พระอาทิตย์ขึ้นอีกครั้งใน “ความพยายาม” ครั้งต่อไปก็ไม่ต่างจาก 100%เลย จากหนังสือ #AlgorithmsToLiveBy
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 13 มุมมอง 0 รีวิว
  • คำอธิบายของแกรนต์เรื่องการคิดเชิงเงื่อนไขทำให้ผมนึกถึง คนรู้จักคนหนึ่งที่เรียกตัวเองว่ารอตเทน แอปเปิล เขาเป็นนักออกแบบที่ทำงานเสริมด้าน “การแทรกแซง” ขนาดเล็กแต่มีความสร้างสรรค์เป็นอย่างสูง ด้วยการเปลี่ยนสิ่งของในชุมชนเมืองที่ถูกมองว่าไม่มีค่าทั้งยังถูกมองข้ามให้เป็นส่วนประกอบที่มีประโยชน์หรือ น่ามองขึ้นสำหรับสภาพแวดล้อมของคนเดินเท้า เช่น ที่นั่งแบบถอดเข้าออกได้ สามารถเปลี่ยนที่จอดจักรยานให้กลายเป็นเก้าอี้ เปลี่ยนเขียงที่ไม่ใช้แล้วให้เป็นโต๊ะหมากรุกและนำไปติดไว้ด้านบนหัวดับเพลิง ทำเกมปริศนาซูโดกุบนกระเบื้องปูพื้นในสถานีรถไฟไต้ดิน ทำเชือกกระโดดจากเทปกั้นพื้นที่ก่อสร้างที่ถูกทิ้งยังได้เลย

    จากหนังสือ #TheArtOfNoticing #ศิลปะแห่งการสังเกต
    คำอธิบายของแกรนต์เรื่องการคิดเชิงเงื่อนไขทำให้ผมนึกถึง คนรู้จักคนหนึ่งที่เรียกตัวเองว่ารอตเทน แอปเปิล เขาเป็นนักออกแบบที่ทำงานเสริมด้าน “การแทรกแซง” ขนาดเล็กแต่มีความสร้างสรรค์เป็นอย่างสูง ด้วยการเปลี่ยนสิ่งของในชุมชนเมืองที่ถูกมองว่าไม่มีค่าทั้งยังถูกมองข้ามให้เป็นส่วนประกอบที่มีประโยชน์หรือ น่ามองขึ้นสำหรับสภาพแวดล้อมของคนเดินเท้า เช่น ที่นั่งแบบถอดเข้าออกได้ สามารถเปลี่ยนที่จอดจักรยานให้กลายเป็นเก้าอี้ เปลี่ยนเขียงที่ไม่ใช้แล้วให้เป็นโต๊ะหมากรุกและนำไปติดไว้ด้านบนหัวดับเพลิง ทำเกมปริศนาซูโดกุบนกระเบื้องปูพื้นในสถานีรถไฟไต้ดิน ทำเชือกกระโดดจากเทปกั้นพื้นที่ก่อสร้างที่ถูกทิ้งยังได้เลย จากหนังสือ #TheArtOfNoticing #ศิลปะแห่งการสังเกต
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 14 มุมมอง 0 รีวิว
  • ภาพลวงตาของการเคลื่อนที่สัมพัทธ์ทำให้เข้าใจผิดในทางตรงกันข้ามได้ด้วย กล่าวคือ คิดว่ารถไฟอีกขบวนเคลื่อนที่แต่ในความเป็นจริงรถไฟ ของคุณนั่นแหละที่กำลังเคลื่อนที่ เราบอกความแตกต่างระหว่างการ เคลื่อนที่ปรากฏ (หรือความรู้สึกว่ากำลังเคลื่อนที่) กับการเคลื่อนที่จริงได้ยาก ถ้ารถไฟกระตุกก่อนเคลื่อนที่ก็ง่ายมากเมื่อเทียบกับการออกตัวอย่างนิ่มนวล ตอนที่รถไฟขบวนที่คุณนั่งแซงรถไฟอีกขบวนที่วิ่งช้ากว้าเล็กน้อย ในบางครั้งคุณอาจรู้สึกเหมือนรถไฟของคุณอยู่นิ่งแต่อีกขบวน กำลังวิ่งถอยหลังช้า ๆ

    จากหนังสือ #TheMagicOfReality #มหัศจรรย์แห่งความจริง
    ภาพลวงตาของการเคลื่อนที่สัมพัทธ์ทำให้เข้าใจผิดในทางตรงกันข้ามได้ด้วย กล่าวคือ คิดว่ารถไฟอีกขบวนเคลื่อนที่แต่ในความเป็นจริงรถไฟ ของคุณนั่นแหละที่กำลังเคลื่อนที่ เราบอกความแตกต่างระหว่างการ เคลื่อนที่ปรากฏ (หรือความรู้สึกว่ากำลังเคลื่อนที่) กับการเคลื่อนที่จริงได้ยาก ถ้ารถไฟกระตุกก่อนเคลื่อนที่ก็ง่ายมากเมื่อเทียบกับการออกตัวอย่างนิ่มนวล ตอนที่รถไฟขบวนที่คุณนั่งแซงรถไฟอีกขบวนที่วิ่งช้ากว้าเล็กน้อย ในบางครั้งคุณอาจรู้สึกเหมือนรถไฟของคุณอยู่นิ่งแต่อีกขบวน กำลังวิ่งถอยหลังช้า ๆ จากหนังสือ #TheMagicOfReality #มหัศจรรย์แห่งความจริง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 14 มุมมอง 0 รีวิว
  • การเลือกนายกเทศมนตรี ซึ่งเรียกอย่างหรูหราว่า “ลอร์ดนายก เทศมนตรีลอนดอน” นั้นก็น่าจะเป็นการเลือกตั้งที่ไม่เหมือนใครที่สุดในโลก นั่นคือเลือกจากทั้งผู้อยู่อาศัยจำนวนหนึ่ง กับตัวแทนของธุรกิจและ หน่วยงานต่างๆ ที่อยู่ในพื้นที่หนึ่งตารางไมล์นี้ โดยจำนวนผู้อยู่อาศัยนั้น มีไม่เท่าไร ส่วนมากจะเป็นตัวแทนธุรกิจมากกว่าที่กุมเสียงการเลือกตั้งเอาไว้

    เหตุผลก็คือ พื้นที่หนึ่งตารางไมล์นี้เป็นพื้นที่ธุรกิจเข้มข้น จะนับจำนวนผู้อยู่อาศัยที่แท้จริงได้ก็ต้องนับผู้คนที่เข้ามาทำงานในเวลากลางวันด้วย ซึ่งมีมากเป็นหลักแสน ในขณะที่ผู้อยู่อาศัยมีเพียงกว่าหมื่นคนนิดๆ โดยจำนวนเสียงของธุรกิจจะนับตามสัดส่วนของพนักงานที่เดินทาง เข้ามาทำงานในแต่ละวัน เมื่อรวมๆ แล้ว เสียงที่มาจากธุรกิจนั้นมีมากถึง ประมาณ 3 ใน 4 เลยทีเดียว

    และหากจะเปรียบกันแล้ว มหานครลอนดอนนั้นเพิ่งมีการเลือก นายกเทศมนตรีครั้งแรกในปี 2000 ในขณะที่ท่านลอร์ดนายกเทศมนตรี ลอนดอนผู้รับหน้าที่บริหารซิตีออฟลอนดอนนั้นมีการเลือกกันมายาวนานนับตั้งแต่ปี 1189 และนับจนถึงปัจจุบันก็มีนายกเทศมนตรีอย่างต่อเนื่อง มาแล้วมากกว่า 700 คน

    จากหนังสือ #เงินเปลี่ยนโลก #ForMoneyToChangeTheWorld
    การเลือกนายกเทศมนตรี ซึ่งเรียกอย่างหรูหราว่า “ลอร์ดนายก เทศมนตรีลอนดอน” นั้นก็น่าจะเป็นการเลือกตั้งที่ไม่เหมือนใครที่สุดในโลก นั่นคือเลือกจากทั้งผู้อยู่อาศัยจำนวนหนึ่ง กับตัวแทนของธุรกิจและ หน่วยงานต่างๆ ที่อยู่ในพื้นที่หนึ่งตารางไมล์นี้ โดยจำนวนผู้อยู่อาศัยนั้น มีไม่เท่าไร ส่วนมากจะเป็นตัวแทนธุรกิจมากกว่าที่กุมเสียงการเลือกตั้งเอาไว้ เหตุผลก็คือ พื้นที่หนึ่งตารางไมล์นี้เป็นพื้นที่ธุรกิจเข้มข้น จะนับจำนวนผู้อยู่อาศัยที่แท้จริงได้ก็ต้องนับผู้คนที่เข้ามาทำงานในเวลากลางวันด้วย ซึ่งมีมากเป็นหลักแสน ในขณะที่ผู้อยู่อาศัยมีเพียงกว่าหมื่นคนนิดๆ โดยจำนวนเสียงของธุรกิจจะนับตามสัดส่วนของพนักงานที่เดินทาง เข้ามาทำงานในแต่ละวัน เมื่อรวมๆ แล้ว เสียงที่มาจากธุรกิจนั้นมีมากถึง ประมาณ 3 ใน 4 เลยทีเดียว และหากจะเปรียบกันแล้ว มหานครลอนดอนนั้นเพิ่งมีการเลือก นายกเทศมนตรีครั้งแรกในปี 2000 ในขณะที่ท่านลอร์ดนายกเทศมนตรี ลอนดอนผู้รับหน้าที่บริหารซิตีออฟลอนดอนนั้นมีการเลือกกันมายาวนานนับตั้งแต่ปี 1189 และนับจนถึงปัจจุบันก็มีนายกเทศมนตรีอย่างต่อเนื่อง มาแล้วมากกว่า 700 คน จากหนังสือ #เงินเปลี่ยนโลก #ForMoneyToChangeTheWorld
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 13 มุมมอง 0 รีวิว
  • การที่โมริ เอโตะ เจ้าของผลงานซึ่งได้รับการคัดเลือกให้นำมาใช้ออกข้อสอบบ่อย ๆ มาเขียนนวนิยายที่มีโรงเรียนกวดวิชาเป็นฉาก ถือเป็นเหตุบังเอิญที่น่าสนใจ ทว่าอาจไม่ใช่เหตุบังเอิญเสียทีเดียว น่าจะเรียกว่าเป็น บทสรุปหนึ่งและความสำเร็จของนักเขียนที่เขียนวรรณกรรมเด็กมามากมาย มากกว่า สำหรับนักเขียนที่เขียนเรื่องราวโดยมีเด็กประถมเป็นตัวเอก คงเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่สนใจเรื่องการศึกษา

    จากหนังสือ #โรงเรียนจันทร์เสี้ยวแห่งความหวัง
    การที่โมริ เอโตะ เจ้าของผลงานซึ่งได้รับการคัดเลือกให้นำมาใช้ออกข้อสอบบ่อย ๆ มาเขียนนวนิยายที่มีโรงเรียนกวดวิชาเป็นฉาก ถือเป็นเหตุบังเอิญที่น่าสนใจ ทว่าอาจไม่ใช่เหตุบังเอิญเสียทีเดียว น่าจะเรียกว่าเป็น บทสรุปหนึ่งและความสำเร็จของนักเขียนที่เขียนวรรณกรรมเด็กมามากมาย มากกว่า สำหรับนักเขียนที่เขียนเรื่องราวโดยมีเด็กประถมเป็นตัวเอก คงเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่สนใจเรื่องการศึกษา จากหนังสือ #โรงเรียนจันทร์เสี้ยวแห่งความหวัง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 15 มุมมอง 0 รีวิว
  • ในช่วงระหว่างปี 1993 ถึงปี 2012 คน 1% ด้านบนสุดเห็นรายได้ของ พวกเขาเติบโต 86% ขณะที่ด้านล่างอีก 99% มองเห็นการเติบโตแค่เพียง 6.6%

    โจเซฟ สติกลิตส์ เขียนไว้ในปี 2011 ว่าขณะที่คน 1% ด้านบนได้เห็นรายได้ของพวกเขาเพิ่มขึ้น 18% ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา แต่คนที่อยู่ตรงกลางนั้นเห็นรายได้ของพวกเขาลดลง สำหรับชายที่มีวุฒิการศึกษามัรยมปลาย การลดลงที่พวกเขามองเห็นนั้นมีความลาดชันอย่างมาก คือ ลดลงถึง 12% เพียงแค่ช่วงหนึ่งในสี่ของทศวรรษที่ผ่านมา

    บ้านใหม่ของชาวอเมริกันโดยเฉลี่ยในปัจจุบันนั้นมีจำนวนห้องน้ำมากกว่าจำนวนผู้อยู่อาศัย กว่าครึ่งหนึ่งมีห้องนอนจำนวนสี่ห้องหรือมากกว่า เพิ่มขึ้นจาก 18% ในปี 1983

    จากหนังสือ #จิตวิทยาว่าด้วยเงิน
    ในช่วงระหว่างปี 1993 ถึงปี 2012 คน 1% ด้านบนสุดเห็นรายได้ของ พวกเขาเติบโต 86% ขณะที่ด้านล่างอีก 99% มองเห็นการเติบโตแค่เพียง 6.6% โจเซฟ สติกลิตส์ เขียนไว้ในปี 2011 ว่าขณะที่คน 1% ด้านบนได้เห็นรายได้ของพวกเขาเพิ่มขึ้น 18% ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา แต่คนที่อยู่ตรงกลางนั้นเห็นรายได้ของพวกเขาลดลง สำหรับชายที่มีวุฒิการศึกษามัรยมปลาย การลดลงที่พวกเขามองเห็นนั้นมีความลาดชันอย่างมาก คือ ลดลงถึง 12% เพียงแค่ช่วงหนึ่งในสี่ของทศวรรษที่ผ่านมา บ้านใหม่ของชาวอเมริกันโดยเฉลี่ยในปัจจุบันนั้นมีจำนวนห้องน้ำมากกว่าจำนวนผู้อยู่อาศัย กว่าครึ่งหนึ่งมีห้องนอนจำนวนสี่ห้องหรือมากกว่า เพิ่มขึ้นจาก 18% ในปี 1983 จากหนังสือ #จิตวิทยาว่าด้วยเงิน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 15 มุมมอง 0 รีวิว
  • ถ้าเรายอมรับคำขอทุกๆอย่างของเขา เด็กจะคิดว่า “คุณยอมเขาทุกอย่าง” แล้วต่อไปพวกเขาก็จะร้องไห้หรือทำอะไรก็ได้ที่จะทำให้พวกเขาได้ในสิ่งที่ต้องการ พวกเขาจะขอมากขึ้นเรื่อยๆ และสร้างปัญหาให้กับพ่อแม่

    นักศึกษาศาสตร์ชาวโซเวียต มาร์คา กล่าวไว้ว่า : ผู้คนส่วนใหญ่มักจะพูดว่า ฉันเป็นแม่ ฉันเป็นพ่อ ฉันจะให้ทุกสิ่งทุกอย่างกับลูกเรายอมเสียสละทุกอย่างทำให้ลูกพอใจที่สุด นี่อาจจะเป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุดสำหรับเด็ก การทำให้เด็กทุกเรื่องที่เด็กขอมันเป็นการวางยาผิดให้กับลูกเราได้ “ฆ่า” ความสุขของลูก ถ้าเรารักลูกเราต้องรู้จักที่จะปฏิเสธ ทำให้เขารู้จักเลือก ในบางครั้งจะทำให้พวกเขาเติบโตขึ้นมาเป็นคนที่มีความรับผิดชอบในการ กระทำของตัวเอง

    จากหนังสือ #พลังของการบอกใบ้
    ถ้าเรายอมรับคำขอทุกๆอย่างของเขา เด็กจะคิดว่า “คุณยอมเขาทุกอย่าง” แล้วต่อไปพวกเขาก็จะร้องไห้หรือทำอะไรก็ได้ที่จะทำให้พวกเขาได้ในสิ่งที่ต้องการ พวกเขาจะขอมากขึ้นเรื่อยๆ และสร้างปัญหาให้กับพ่อแม่ นักศึกษาศาสตร์ชาวโซเวียต มาร์คา กล่าวไว้ว่า : ผู้คนส่วนใหญ่มักจะพูดว่า ฉันเป็นแม่ ฉันเป็นพ่อ ฉันจะให้ทุกสิ่งทุกอย่างกับลูกเรายอมเสียสละทุกอย่างทำให้ลูกพอใจที่สุด นี่อาจจะเป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุดสำหรับเด็ก การทำให้เด็กทุกเรื่องที่เด็กขอมันเป็นการวางยาผิดให้กับลูกเราได้ “ฆ่า” ความสุขของลูก ถ้าเรารักลูกเราต้องรู้จักที่จะปฏิเสธ ทำให้เขารู้จักเลือก ในบางครั้งจะทำให้พวกเขาเติบโตขึ้นมาเป็นคนที่มีความรับผิดชอบในการ กระทำของตัวเอง จากหนังสือ #พลังของการบอกใบ้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 16 มุมมอง 0 รีวิว
  • งานของเบรอเกิลและเอรัสมุสแนะว่าวิธีสร้างความมั่นใจให้มากขึ้นไม่ใช่การย้ำเตือนตัวเองเรื่องศักดิ์ศรี แต่เป็นการทำใจยอมรับความแปลกประหลาดของมนุษย์ให้ได้ต่างหาก ตอนนี้เราเป็นคนโง่ ในอดีตเราก็เคยเป็นคนโง่ และเราจะเป็นคนโง่ ในอนาคตต่อไปอีก มันไม่ใช่เรื่องผิดมนุษย์เราไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากนี้แล้ว

    สิ่งที่เรายอมรับอย่างหน้าชื่นตาบานอยู่ก่อนแล้ว เรายอมรับว่าตัวเองโง่ โง่เหมือนพวกเขาและมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ หลังจากนั้นการเสี่ยงลองทำอะไรสักอย่างแล้วล้มเหลวก็จะไม่มีพิษสงเจ็บปวดอีกต่อไป ความกลัวว่าจะต้องอับอายขายหน้าก็ไม่ใช่อุปสรรคที่ซ่อนอยู่ในเงามืดของจิตใจแล้ว เราจะมีอิสระได้ลองทำสิ่งต่างๆ เมื่อยอมรับได้ว่าความล้มเหลวเป็นเรื่องธรรมดา ถึงโดนปฏิเสธหลายครั้งก็อาจมีสักครั้งที่ทำสำเร็จ เราอาจได้จูบ ได้เพื่อน และได้เลื่อนตำแหน่ง

    จากหนังสือ #ความมั่นใจในตัวเอง #การรู้จักตัวเอง
    งานของเบรอเกิลและเอรัสมุสแนะว่าวิธีสร้างความมั่นใจให้มากขึ้นไม่ใช่การย้ำเตือนตัวเองเรื่องศักดิ์ศรี แต่เป็นการทำใจยอมรับความแปลกประหลาดของมนุษย์ให้ได้ต่างหาก ตอนนี้เราเป็นคนโง่ ในอดีตเราก็เคยเป็นคนโง่ และเราจะเป็นคนโง่ ในอนาคตต่อไปอีก มันไม่ใช่เรื่องผิดมนุษย์เราไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากนี้แล้ว สิ่งที่เรายอมรับอย่างหน้าชื่นตาบานอยู่ก่อนแล้ว เรายอมรับว่าตัวเองโง่ โง่เหมือนพวกเขาและมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ หลังจากนั้นการเสี่ยงลองทำอะไรสักอย่างแล้วล้มเหลวก็จะไม่มีพิษสงเจ็บปวดอีกต่อไป ความกลัวว่าจะต้องอับอายขายหน้าก็ไม่ใช่อุปสรรคที่ซ่อนอยู่ในเงามืดของจิตใจแล้ว เราจะมีอิสระได้ลองทำสิ่งต่างๆ เมื่อยอมรับได้ว่าความล้มเหลวเป็นเรื่องธรรมดา ถึงโดนปฏิเสธหลายครั้งก็อาจมีสักครั้งที่ทำสำเร็จ เราอาจได้จูบ ได้เพื่อน และได้เลื่อนตำแหน่ง จากหนังสือ #ความมั่นใจในตัวเอง #การรู้จักตัวเอง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 16 มุมมอง 0 รีวิว
  • คนที่นึกถึงอดีตในแง่ลบ เมื่อการวางแผนแบบกำหนดเงื่อนไขเป็นเทคนิคที่ ส่งผลต่อความรู้สึกยากง่ายของงานได้ ถ้าในซอกหลืบของจิตใจคิดว่า “ฉันอาจจะไม่ไหวก็ได้” ต่อ ให้วางแผนไว้ดีเพียงใด วิธีนี้ก็อาจไม่ได้ผล

    ยิ่งเป็นคนที่นึกถึงอดีตในแง่ลบมากเท่าใด การวางแผนแบบกำหนดเงื่อนไขก็จะยิ่งได้ผลน้อย ลงเท่านั้น ทุกครั้งที่ภาพเชิงลบปรากฏขึ้น เช่น “เมื่อ สัปดาห์ก่อนก็ทำงานคล้ายๆ กันนี้ไปแล้วนะ..." และ “ฉันพลาดงานเดิมๆ หลายครั้งแล้วนะ...” ความมุ่งมั่นที่มีต่อแผนนั้นก็จะลดลงไปด้วย

    จากหนังสือ #YourTime #เพราะฉันแตกต่างจึงบริหารเวลาแบบนี้
    คนที่นึกถึงอดีตในแง่ลบ เมื่อการวางแผนแบบกำหนดเงื่อนไขเป็นเทคนิคที่ ส่งผลต่อความรู้สึกยากง่ายของงานได้ ถ้าในซอกหลืบของจิตใจคิดว่า “ฉันอาจจะไม่ไหวก็ได้” ต่อ ให้วางแผนไว้ดีเพียงใด วิธีนี้ก็อาจไม่ได้ผล ยิ่งเป็นคนที่นึกถึงอดีตในแง่ลบมากเท่าใด การวางแผนแบบกำหนดเงื่อนไขก็จะยิ่งได้ผลน้อย ลงเท่านั้น ทุกครั้งที่ภาพเชิงลบปรากฏขึ้น เช่น “เมื่อ สัปดาห์ก่อนก็ทำงานคล้ายๆ กันนี้ไปแล้วนะ..." และ “ฉันพลาดงานเดิมๆ หลายครั้งแล้วนะ...” ความมุ่งมั่นที่มีต่อแผนนั้นก็จะลดลงไปด้วย จากหนังสือ #YourTime #เพราะฉันแตกต่างจึงบริหารเวลาแบบนี้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 16 มุมมอง 0 รีวิว
  • Tim Kreider ได้บันทึกไว้ในบทความ “Busy Trap" จาก New York Times ว่า “ทุกคนที่ผมรู้จักกำลังยุ่งมาก พวกเขากังวลและรู้สึกผิดเวลาที่พวกเขาไม่ทำงาน หรือไม่ทำอะไรสักอย่างเพื่อให้การงานของเขาก้าวหน้า ลอดเวลา..."

    จากหนังสือ #ขออภัยแต่ไม่ต้องรีบ #NoHurryNoWorry
    Tim Kreider ได้บันทึกไว้ในบทความ “Busy Trap" จาก New York Times ว่า “ทุกคนที่ผมรู้จักกำลังยุ่งมาก พวกเขากังวลและรู้สึกผิดเวลาที่พวกเขาไม่ทำงาน หรือไม่ทำอะไรสักอย่างเพื่อให้การงานของเขาก้าวหน้า ลอดเวลา..." จากหนังสือ #ขออภัยแต่ไม่ต้องรีบ #NoHurryNoWorry
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 17 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทุนนิยมศตวรรษที่ 21 Capital In The Twenty-First Century (2025/121)

    ปลายปีแล้วมาเคลียร์หนังสือเล่มอ้วนกันดีกว่า

    นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังชาวฝรั่งเศส Thomas Piketty ที่เคยเขียนหนังสือขายดีมาหลายเล่มแล้ว เล่มนี้เขาต้องการจัดการเรื่องความเหลื่อมล้ำในทางเศรษฐาสตร์ที่เห็นกันอย่างชัดเจนอยู่แล้วว่า ความเลื่อมล้ำของชนชั้นร่ำรวยในส่วนสูงสุด 1% ซึ่งครองความมั่งคั่งอยู่รวๆ 30% ของความมั่งคั่งทั้งหมด และถ้านับรวมชนชั้นร่ำรวย 10% พวกเขาครองสินสินทรัพย์ความมั่งคั่งไปกว่า 50% ของความมั่งคั่งทั้งหมด

    ผู้เขียนซึ่งอยากจะหาวิธีลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจของทุกชนชั้น เขาเริ่มจากการหาข้อมูลมากมายในอดีต หาค่าตัวเลขและสมการเพื่อใช้ในการอ้างอิงและเปรียบเทียบ เพื่อจะหาตัวเลขที่ใกล้เคียงความเป็นจริงเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อที่จะหาสาเหตุตั้งแต่อดีตย้อนหลังไปสองร้อยกว่าปี และความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา และเขายังหาข้อเสนอแนะเท่าที่พอจะทำได้เพื่อลดความเหลื่อมล้ำที่ว่านี้

    เพื่อต้องการหาที่มาที่ไป และประวัติศาสตร์ของความเหลื่อมล้ำ ผู้เขียนจึงต้องค้นคว้าหาข้อมูลเท่าที่เป็นไปได้ โดยย้อนกลับไปที่ปลายศตวรรษที่ 18 ข้อมูลที่เขานำมาใช้นั้นน่าทึ่งมาก… เขานำข้อมูลมาจากนิยายชื่อดังจากสองประเทศคือจากประเทศบ้านเกิดของเขาเอง ฝรั่งเศส โดยนักเขียน ออนอเร เดอ บาลซัก ในหนังสือที่ชื่อว่า พ่อกอริโยต์ (1835) และนักเขียน วิกเตอร์ ฮูโก ในเรื่อง ตรวนชีวิต Les Misérables (1862) และ นิยายจากประเทศอังกฤษ โดยนักเขียน เจน ออสเตน ในหลายเรื่องที่สื่อถึงความเป็นอยู่ ชีวิตของคนจนและคนรวยในขณะนั้น ค่าเงินที่อ้างอิง

    ข้อมูลเริ่มจะมีมากขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 แต่กลับมาเจอเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่หนึ่งและครั้งที่สอง ซึ่งผิดเพี้ยนไปจากปกติ เขาพยายามรวบรวมข้อมูลต่อจนถึงต้นศตวรรษที่ 21 และพอจะอธิบายในเรื่องความเหลื่อมล้ำ และสาเหตุในการเปลี่ยนแปลงตัวเลขในความเหลื่อมล้ำในช่วงตลอดสองร้อยกว่าปีที่ผ่านมาได้

    จากการค้นหาตัวเลขก่อนจะปูทางไปยังข้อเสนอแนะในการลดความเหลื่อมล้ำ ผู้เขียนได้เขียนอธิบายออกมาอย่างละเอียดและจนสามารถให้ผู้อ่านที่ไม่มีพื้นฐานทางด้านเศรษฐกิจ/เศรษฐศาสตร์ สามารถอ่านให้เข้าใจได้ (เจ้าตัวออกตัวว่าถ้าผู้ที่มีพื้นฐานสามารถข้ามไปได้หลายบทในช่วงต้น)

    ท้ายที่สุด ผู้เขียนคิดจได้ข้อสรุปว่าการใช้ระบบภาษีที่หลากหลายและมีประสิทธิภาพ(ในแบบที่พอดี) จะทำให้ความเหลื่อมล้ำลดลงได้

    #ทุนนิยมศตวรรษที่21 #Capital #CapitalInTheTwentyFirstCentury #รีวิวหนังสือ #หนังสือเล่มหนา
    ทุนนิยมศตวรรษที่ 21 Capital In The Twenty-First Century (2025/121) ปลายปีแล้วมาเคลียร์หนังสือเล่มอ้วนกันดีกว่า นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังชาวฝรั่งเศส Thomas Piketty ที่เคยเขียนหนังสือขายดีมาหลายเล่มแล้ว เล่มนี้เขาต้องการจัดการเรื่องความเหลื่อมล้ำในทางเศรษฐาสตร์ที่เห็นกันอย่างชัดเจนอยู่แล้วว่า ความเลื่อมล้ำของชนชั้นร่ำรวยในส่วนสูงสุด 1% ซึ่งครองความมั่งคั่งอยู่รวๆ 30% ของความมั่งคั่งทั้งหมด และถ้านับรวมชนชั้นร่ำรวย 10% พวกเขาครองสินสินทรัพย์ความมั่งคั่งไปกว่า 50% ของความมั่งคั่งทั้งหมด ผู้เขียนซึ่งอยากจะหาวิธีลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจของทุกชนชั้น เขาเริ่มจากการหาข้อมูลมากมายในอดีต หาค่าตัวเลขและสมการเพื่อใช้ในการอ้างอิงและเปรียบเทียบ เพื่อจะหาตัวเลขที่ใกล้เคียงความเป็นจริงเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อที่จะหาสาเหตุตั้งแต่อดีตย้อนหลังไปสองร้อยกว่าปี และความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา และเขายังหาข้อเสนอแนะเท่าที่พอจะทำได้เพื่อลดความเหลื่อมล้ำที่ว่านี้ เพื่อต้องการหาที่มาที่ไป และประวัติศาสตร์ของความเหลื่อมล้ำ ผู้เขียนจึงต้องค้นคว้าหาข้อมูลเท่าที่เป็นไปได้ โดยย้อนกลับไปที่ปลายศตวรรษที่ 18 ข้อมูลที่เขานำมาใช้นั้นน่าทึ่งมาก… เขานำข้อมูลมาจากนิยายชื่อดังจากสองประเทศคือจากประเทศบ้านเกิดของเขาเอง ฝรั่งเศส โดยนักเขียน ออนอเร เดอ บาลซัก ในหนังสือที่ชื่อว่า พ่อกอริโยต์ (1835) และนักเขียน วิกเตอร์ ฮูโก ในเรื่อง ตรวนชีวิต Les Misérables (1862) และ นิยายจากประเทศอังกฤษ โดยนักเขียน เจน ออสเตน ในหลายเรื่องที่สื่อถึงความเป็นอยู่ ชีวิตของคนจนและคนรวยในขณะนั้น ค่าเงินที่อ้างอิง ข้อมูลเริ่มจะมีมากขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 แต่กลับมาเจอเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่หนึ่งและครั้งที่สอง ซึ่งผิดเพี้ยนไปจากปกติ เขาพยายามรวบรวมข้อมูลต่อจนถึงต้นศตวรรษที่ 21 และพอจะอธิบายในเรื่องความเหลื่อมล้ำ และสาเหตุในการเปลี่ยนแปลงตัวเลขในความเหลื่อมล้ำในช่วงตลอดสองร้อยกว่าปีที่ผ่านมาได้ จากการค้นหาตัวเลขก่อนจะปูทางไปยังข้อเสนอแนะในการลดความเหลื่อมล้ำ ผู้เขียนได้เขียนอธิบายออกมาอย่างละเอียดและจนสามารถให้ผู้อ่านที่ไม่มีพื้นฐานทางด้านเศรษฐกิจ/เศรษฐศาสตร์ สามารถอ่านให้เข้าใจได้ (เจ้าตัวออกตัวว่าถ้าผู้ที่มีพื้นฐานสามารถข้ามไปได้หลายบทในช่วงต้น) ท้ายที่สุด ผู้เขียนคิดจได้ข้อสรุปว่าการใช้ระบบภาษีที่หลากหลายและมีประสิทธิภาพ(ในแบบที่พอดี) จะทำให้ความเหลื่อมล้ำลดลงได้ #ทุนนิยมศตวรรษที่21 #Capital #CapitalInTheTwentyFirstCentury #รีวิวหนังสือ #หนังสือเล่มหนา
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 17 มุมมอง 0 รีวิว
  • ซิลแวน โกลด์แมน (Sylvan Goldman) และ หลังจากที่เขาซื้อกิจการของร้านขายของชำขนาดเล็กหลายแห่งในปี 1934 เขาก็สังเกตเห็นว่า ลูกค้าของเขาหยุดการซื้อ เมื่อตะกร้าใส่สินค้าที่พวกเขาถือเริ่มหนักเกินไป นี่สร้างแรงบันดาลใจให้เขาคิดค้นรถเข็นสินค้าขึ้นมา ซึ่งในตอนแรกสุดที่คิดค้นขึ้นมานั้น รถเข็นเป็นเพียงเก้าอี้พับได้ที่มีล้อและตะกร้าเหล็กที่มีน้ำหนักมากติดอยู่คู่หนึ่ง สิ่งประดิษฐ์นี้ดูไม่คุ้นตาเสียจนใน ตอนแรกไม่มีลูกค้าของโกลด์แมนใช้แม้แต่คนเดียว แม้กระทั่งหลังจากที่เขาสร้างรถเข็นขึ้นมา จำนวนมากเกินพอ วางรถเข็นไว้ในจุดที่เด่นสะดุดตาในร้านและขึ้นป้ายอธิบายการใช้งาน และประโยชน์ของรถเข็นแล้วก็ตาม เขารู้สึกหงุดหงิดและพร้อมจะยอมแพ้ แต่เขาก็ทดลองแนวคิดอีกอย่างเพื่อลดความไม่แน่ใจของลูกค้าดู ซึ่งเป็นแนวคิดที่อยู่บนหลักเรื่องการพิสูจน์จากสังคม โดยเขาจ้างคนให้มาเลือกซื้อสินค้าพร้อมเข็นรถไปทั่วร้าน ไม่นานหลังจากนั้นลูกค้าจริงของเขาก็เริ่มทำตาม สิ่งประดิษฐ์ของเขาได้รับความนิยมไปทั่วประเทศและเขาก็เสียชีวิตในฐานะชายผู้ร่ำรวยที่มีทรัพย์สินมูลค่ากว่า 400 ล้านดอลลาร์

    จากหนังสือ #Influence #กลยุทธ์โน้มน้าวและจูงใจคน
    ซิลแวน โกลด์แมน (Sylvan Goldman) และ หลังจากที่เขาซื้อกิจการของร้านขายของชำขนาดเล็กหลายแห่งในปี 1934 เขาก็สังเกตเห็นว่า ลูกค้าของเขาหยุดการซื้อ เมื่อตะกร้าใส่สินค้าที่พวกเขาถือเริ่มหนักเกินไป นี่สร้างแรงบันดาลใจให้เขาคิดค้นรถเข็นสินค้าขึ้นมา ซึ่งในตอนแรกสุดที่คิดค้นขึ้นมานั้น รถเข็นเป็นเพียงเก้าอี้พับได้ที่มีล้อและตะกร้าเหล็กที่มีน้ำหนักมากติดอยู่คู่หนึ่ง สิ่งประดิษฐ์นี้ดูไม่คุ้นตาเสียจนใน ตอนแรกไม่มีลูกค้าของโกลด์แมนใช้แม้แต่คนเดียว แม้กระทั่งหลังจากที่เขาสร้างรถเข็นขึ้นมา จำนวนมากเกินพอ วางรถเข็นไว้ในจุดที่เด่นสะดุดตาในร้านและขึ้นป้ายอธิบายการใช้งาน และประโยชน์ของรถเข็นแล้วก็ตาม เขารู้สึกหงุดหงิดและพร้อมจะยอมแพ้ แต่เขาก็ทดลองแนวคิดอีกอย่างเพื่อลดความไม่แน่ใจของลูกค้าดู ซึ่งเป็นแนวคิดที่อยู่บนหลักเรื่องการพิสูจน์จากสังคม โดยเขาจ้างคนให้มาเลือกซื้อสินค้าพร้อมเข็นรถไปทั่วร้าน ไม่นานหลังจากนั้นลูกค้าจริงของเขาก็เริ่มทำตาม สิ่งประดิษฐ์ของเขาได้รับความนิยมไปทั่วประเทศและเขาก็เสียชีวิตในฐานะชายผู้ร่ำรวยที่มีทรัพย์สินมูลค่ากว่า 400 ล้านดอลลาร์ จากหนังสือ #Influence #กลยุทธ์โน้มน้าวและจูงใจคน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 18 มุมมอง 0 รีวิว
  • บุคลิกกล้าบ้าบิ่นและรักอิสระเวลาอยู่ในที่สาธารณะของแบรนสัน รวมถึงการเป็นผู้ชายผมยาวสีทอง หน้าตาหล่อเหมือนดารา ขี้อวด และชอบโฆษณาตนเองจนติดเป็นนิสัย อาจทำให้เราเข้าใจเขาผิดได้ เพราะในที่ส่วนตัวนั้น แบรนสันเป็นคนที่ตั้งใจฟังคนอื่นอย่างเอาเป็นเอาตาย เขาจะปล่อยให้คนอื่นเป็นฝ่ายพูดทั้งหมด เขาบอกว่าตนเองได้กลายเป็นนักฟังเพราะความจำเป็น กล่าวคือ เขามีภาวะผิดปกติด้านการอ่านและภาษา (Dyslexia) เขาจึงจบการศึกษามาได้ด้วยการฟัง มากกว่าการอ่าน

    ที่จริงแล้วมีเจ้าของธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอีกหลายคนเป็นโรคนี้ ผมสงสัยว่าพวกเขาก็คงเหมือนกับแบรนสัน คือพัฒนาทักษะ การฟังอันทรงพลังมาตั้งแต่เด็ก จนความสามารถนี้เป็นประโยชน์ กับพวกเขาเมื่อก้าวเข้ามาในโลกธุรกิจ ตอนที่แบรนสันนั่งเขียน หนังสือเกี่ยวกับการบริหารคน The Virgin Way: Everything I Know About Leadership เขาอุทิศเนื้อหาหนึ่งในสามของเล่มให้กับศิลปะ การฟัง และยังเขียนคำคมอันทรงพลังไว้ด้วยว่า “ไม่มีใครเรียนรู้สิ่งใด จากการฟังตัวเองพูด"

    เทคนิคการฟังของแบรนสันอีกอย่างหนึ่งคือการจดบันทึก เขามีสมุดบันทึกเล่มหนึ่งอยู่กับตัวเองตลอดเวลา และสนับสนุนให้พนักงาน ทำแบบเดียวกัน เพราะการจดบันทึกจะทำให้คุณจดจ่อกับสิ่งที่คนอื่นพูด และยังเป็นการแสดงให้ผู้พูดเห็นว่าคุณสนใจและใส่ใจกับสิ่งที่เขาพูดด้วย

    จากหนังสือ #พลังแห่งการหยุดพูดในโลกที่คนพูดไม่หยุด #STFU
    บุคลิกกล้าบ้าบิ่นและรักอิสระเวลาอยู่ในที่สาธารณะของแบรนสัน รวมถึงการเป็นผู้ชายผมยาวสีทอง หน้าตาหล่อเหมือนดารา ขี้อวด และชอบโฆษณาตนเองจนติดเป็นนิสัย อาจทำให้เราเข้าใจเขาผิดได้ เพราะในที่ส่วนตัวนั้น แบรนสันเป็นคนที่ตั้งใจฟังคนอื่นอย่างเอาเป็นเอาตาย เขาจะปล่อยให้คนอื่นเป็นฝ่ายพูดทั้งหมด เขาบอกว่าตนเองได้กลายเป็นนักฟังเพราะความจำเป็น กล่าวคือ เขามีภาวะผิดปกติด้านการอ่านและภาษา (Dyslexia) เขาจึงจบการศึกษามาได้ด้วยการฟัง มากกว่าการอ่าน ที่จริงแล้วมีเจ้าของธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอีกหลายคนเป็นโรคนี้ ผมสงสัยว่าพวกเขาก็คงเหมือนกับแบรนสัน คือพัฒนาทักษะ การฟังอันทรงพลังมาตั้งแต่เด็ก จนความสามารถนี้เป็นประโยชน์ กับพวกเขาเมื่อก้าวเข้ามาในโลกธุรกิจ ตอนที่แบรนสันนั่งเขียน หนังสือเกี่ยวกับการบริหารคน The Virgin Way: Everything I Know About Leadership เขาอุทิศเนื้อหาหนึ่งในสามของเล่มให้กับศิลปะ การฟัง และยังเขียนคำคมอันทรงพลังไว้ด้วยว่า “ไม่มีใครเรียนรู้สิ่งใด จากการฟังตัวเองพูด" เทคนิคการฟังของแบรนสันอีกอย่างหนึ่งคือการจดบันทึก เขามีสมุดบันทึกเล่มหนึ่งอยู่กับตัวเองตลอดเวลา และสนับสนุนให้พนักงาน ทำแบบเดียวกัน เพราะการจดบันทึกจะทำให้คุณจดจ่อกับสิ่งที่คนอื่นพูด และยังเป็นการแสดงให้ผู้พูดเห็นว่าคุณสนใจและใส่ใจกับสิ่งที่เขาพูดด้วย จากหนังสือ #พลังแห่งการหยุดพูดในโลกที่คนพูดไม่หยุด #STFU
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 18 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลี วัย 78 ปี อุทิศทั้งชีวิตให้แก่การทำความเข้าใจการทำงานของสมองมนุษย์ รวมถึงวิธีที่เราสะกดจิตตนเองจากการใช้ความคิด เขาบอกผมว่า “เรามักถูกโปรแกรมจิตมาตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก เราถูกสะกดจิตด้วยมุมมองด้านลบที่มีต่อตัวเอง สิ่งนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ตอนที่เรายังเป็นเด็กเล็กๆ แต่เราก็มีอำนาจถอดมนต์สะกดด้วยความคิดของเราเหมือนกัน เราต้องเลือกว่าจะปลูกดอกไม้หรือวัชพืชลงไปในใจ จิตใต้สำนึกถือว่าทุกความคิดเป็นคาถาสะกด”

    จากหนังสือ #ความลับ5ข้อที่คุณต้องค้นให้พบก่อนตาย
    ลี วัย 78 ปี อุทิศทั้งชีวิตให้แก่การทำความเข้าใจการทำงานของสมองมนุษย์ รวมถึงวิธีที่เราสะกดจิตตนเองจากการใช้ความคิด เขาบอกผมว่า “เรามักถูกโปรแกรมจิตมาตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก เราถูกสะกดจิตด้วยมุมมองด้านลบที่มีต่อตัวเอง สิ่งนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ตอนที่เรายังเป็นเด็กเล็กๆ แต่เราก็มีอำนาจถอดมนต์สะกดด้วยความคิดของเราเหมือนกัน เราต้องเลือกว่าจะปลูกดอกไม้หรือวัชพืชลงไปในใจ จิตใต้สำนึกถือว่าทุกความคิดเป็นคาถาสะกด” จากหนังสือ #ความลับ5ข้อที่คุณต้องค้นให้พบก่อนตาย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 18 มุมมอง 0 รีวิว
เรื่องราวเพิ่มเติม