ชักชวนกันอ่านหนังสือ หนังสือไม่ว่าจะเป็นแนวไหนล้วนมีประโยชน์
- คู่มืออารมณ์ดี (2025/108)
คู่มือที่ทำให้หลุดพ้นจากความทุกข์ ซึ่งเกณฑ์ปฎิบัตินี้ถ่ายทอดโดยนักแต่งเพลงชาวจีนที่เคยผ่านชีวิตที่กดดัน และอยู่ในภาวะดิ่งมากๆ (แต่ยังไ่มถึงขั้นที่ต้องปรึกษาคุณหมอ) เธอหลุดพ้นช่วงเวลาแห่งความทุกข์ช่วงนั้นมาได้อย่างไร และเธอได้ค้นพบสิ่งที่ทำให้เธอพลิกชีวิตให้ที่มีความสุขขึ้นมาบ้างได้อย่างไร มาลองอ่านคู่มือของเธอดูครับ
ผมเคยอ่านหนังสือ How to ของนักเขียนชาวจีนมาบ้าง ซึ่งชาวจีนมีแนวคิดที่น่าสนใจ และนักเขียนหลายคนก็อ่านหนังสือที่เป็นตำราจากฝั่งตะวันตกมากเยอะ รวมถึงนักเขียนท่านนี้ด้วย
โดยในเล่มนี้ผู้เขียนเน้นเรื่องจิตวิทยาเชิงบวก โดยอาศัยตำราและหลักการของ คุณมาร์ติน เซลิกแมน เป็นผู้บุกเบิกจิตวิทยาเชิงบวก โดยที่ คุณมาร์ติน เซลิกแมน มีความเชื่อว่า
ระดับความสุขอย่างยั่งยืน = จุดเริ่มต้นของความสุขห้าสิบเปอร์เซ็นต์ + สภาพแวดล้อมสิบเปอร์เซ็นต์ + กิจกรรมที่ปรับแก้ได้สี่สิบเปอร์เซ็นต์
จุดเริ่มต้นของความสุข - ก็คือยีนและความคิดที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด ซึ่งจะเห็นได้ว่าในบางคนสามารถมีความเสขได้กับเรื่องเล็กๆน้อยๆได้ แต่ในบางคนกลับไม่รู้สึกถึงความสุข ซึ่งในส่วนนี้เป็นสิ่งที่ฝังตัวมนุษย์มา ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ โดยมีผลต่อความสุข 50%
สิ่งแวดล้อม - มีผลต่อความสุขได้ 10%
กิจกรรมที่ปรับแก้ - เป็นส่วนที่สามารถปรับได้แก้ได้โดยเฉพาะแนวคิด ถ้าหากสามารถคิดบวกได้ก็จะมีส่วนช่วยให้เกิดความสุข ซึ่งมีสัดส่วนให้ผลกระทบถึง 40% และในส่วนนี้แหละที่ คุณมาร์ติน เซลิกแมนและผู้เขียน เน้นให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง เพื่อสร้างความสุขและหนีจากความทุกข์ ได้ด้วยตัวเองและมีผลต่อความสุขในส่วนบุคคลได้เป็นอย่างมาก
ผู้เขียนนำเสนอแนวคิดต่างๆเพื่อปรับปรุงให้เกิดความคิดบวก และเข้าใจความทุกข์มากขึ้น เธอยังหาวิธีปรับแก้ความคิดในขณะที่เกิดความทุกข์ด้วยกิจกรรมต่างๆ เพื่อให้เกิดความมั่นคงทางอารมณ์ นอกจากนี้เธอยังรู้จากงานวิจัยอีกว่าความสัมพันธ์มีผลต่อความสุขมากๆ ดังนั้นเธอจึงอยากให้ผู้อ่านสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบตัว และในบทสุดท้ายเธอยังมีแนวทางในการทำงานเพื่อความสุขแนะนำผู้อ่านอีกด้วย
ระหว่างบทมีแบบทดสอบเพื่อความเข้าใจตัวเอง รวมไปถึงวิธีการวางแผนเป็นขั้นเป็นตอนเพื่อให้แสงหาความสุขที่ยั่งยืนต่อไป
#คู่มืออารมณ์ดี #รีวิวหนังสือ
คู่มืออารมณ์ดี (2025/108) คู่มือที่ทำให้หลุดพ้นจากความทุกข์ ซึ่งเกณฑ์ปฎิบัตินี้ถ่ายทอดโดยนักแต่งเพลงชาวจีนที่เคยผ่านชีวิตที่กดดัน และอยู่ในภาวะดิ่งมากๆ (แต่ยังไ่มถึงขั้นที่ต้องปรึกษาคุณหมอ) เธอหลุดพ้นช่วงเวลาแห่งความทุกข์ช่วงนั้นมาได้อย่างไร และเธอได้ค้นพบสิ่งที่ทำให้เธอพลิกชีวิตให้ที่มีความสุขขึ้นมาบ้างได้อย่างไร มาลองอ่านคู่มือของเธอดูครับ ผมเคยอ่านหนังสือ How to ของนักเขียนชาวจีนมาบ้าง ซึ่งชาวจีนมีแนวคิดที่น่าสนใจ และนักเขียนหลายคนก็อ่านหนังสือที่เป็นตำราจากฝั่งตะวันตกมากเยอะ รวมถึงนักเขียนท่านนี้ด้วย โดยในเล่มนี้ผู้เขียนเน้นเรื่องจิตวิทยาเชิงบวก โดยอาศัยตำราและหลักการของ คุณมาร์ติน เซลิกแมน เป็นผู้บุกเบิกจิตวิทยาเชิงบวก โดยที่ คุณมาร์ติน เซลิกแมน มีความเชื่อว่า ระดับความสุขอย่างยั่งยืน = จุดเริ่มต้นของความสุขห้าสิบเปอร์เซ็นต์ + สภาพแวดล้อมสิบเปอร์เซ็นต์ + กิจกรรมที่ปรับแก้ได้สี่สิบเปอร์เซ็นต์ จุดเริ่มต้นของความสุข - ก็คือยีนและความคิดที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด ซึ่งจะเห็นได้ว่าในบางคนสามารถมีความเสขได้กับเรื่องเล็กๆน้อยๆได้ แต่ในบางคนกลับไม่รู้สึกถึงความสุข ซึ่งในส่วนนี้เป็นสิ่งที่ฝังตัวมนุษย์มา ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ โดยมีผลต่อความสุข 50% สิ่งแวดล้อม - มีผลต่อความสุขได้ 10% กิจกรรมที่ปรับแก้ - เป็นส่วนที่สามารถปรับได้แก้ได้โดยเฉพาะแนวคิด ถ้าหากสามารถคิดบวกได้ก็จะมีส่วนช่วยให้เกิดความสุข ซึ่งมีสัดส่วนให้ผลกระทบถึง 40% และในส่วนนี้แหละที่ คุณมาร์ติน เซลิกแมนและผู้เขียน เน้นให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง เพื่อสร้างความสุขและหนีจากความทุกข์ ได้ด้วยตัวเองและมีผลต่อความสุขในส่วนบุคคลได้เป็นอย่างมาก ผู้เขียนนำเสนอแนวคิดต่างๆเพื่อปรับปรุงให้เกิดความคิดบวก และเข้าใจความทุกข์มากขึ้น เธอยังหาวิธีปรับแก้ความคิดในขณะที่เกิดความทุกข์ด้วยกิจกรรมต่างๆ เพื่อให้เกิดความมั่นคงทางอารมณ์ นอกจากนี้เธอยังรู้จากงานวิจัยอีกว่าความสัมพันธ์มีผลต่อความสุขมากๆ ดังนั้นเธอจึงอยากให้ผู้อ่านสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบตัว และในบทสุดท้ายเธอยังมีแนวทางในการทำงานเพื่อความสุขแนะนำผู้อ่านอีกด้วย ระหว่างบทมีแบบทดสอบเพื่อความเข้าใจตัวเอง รวมไปถึงวิธีการวางแผนเป็นขั้นเป็นตอนเพื่อให้แสงหาความสุขที่ยั่งยืนต่อไป #คู่มืออารมณ์ดี #รีวิวหนังสือ0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1 มุมมอง 0 รีวิวกรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อกดถูกใจ แชร์ และแสดงความคิดเห็น! - Read To Lead อ่านอย่างผู้นำ (2025/107)
หนังสือที่ถ่ายทอดความสำคัญของการอ่านโดย ดร.ณัชร สยามวาลา ซึ่งรายได้ทั้งหมดผู้เขียนมอบให้มูลนิธิชัยพัฒนา
Read To Lead เล่มนี้นำเสนอว่าผู้นำระดับโลกเป็นนักอ่านตังฉกาจ ซึ่งผู้เขียนเล่าได้อย่างน่าตื่นเต้น บุคคลตัวอย่างที่ผู้เขียนนำเสนอน่าทึ่งมากๆ นอกจากนี้ผู้เขียนซึ่งเป็นนักอ่านให้คำแนะนำเทคนิคการอ่านหนังสือในรูปแบบต่างๆ เพื่อเพิ่มความเร็วในการอ่านหนังสือ ซึ่งเธอสามารถอ่านหนังสือได้ปีละ 365เล่มมาแล้ว
---------
ท้ายเล่มมีบทสัมภาษณ์ผู้นำไทยที่เป็นผู้ที่รักการอ่าน มีบทสัมภาษณ์ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา และในบทสัมภาษณ์คราวนั้น มีการกล่าวถึงการปฎิบัติหน้าที่ของ ดร.สุเมธ ที่ถวายงานให้กับในหลวงรัชกาลที่ 9 ตอนหนึ่งว่า
ผู้เขียน : พระราชดำรัสใดของในหลวงที่จับใจท่านที่สุด อยากจะขอทราบสักพระราชดำรัสหนึ่งปิดท้าย มีไหมคะ หมายถึงว่านึกถึงทีไรก็จับใจมาก
ดร.สุเมธ : รู้สึกว่าจะอันนี้ ประโยคนี้
“…ขอขอบใจที่จะมาช่วยงานฉัน
แต่ขอบอกไว้ก่อนว่ามาช่วยงานฉัน
ฉันไม่มีอะไรจะให้นอกจากความสุข
ที่จะมีร่วมกันในการทำประโยชน์ให้กับผู้อื่น....”
ประโยคแรกที่ได้รับ และยังตกค้างมาสามสิบกว่าปี แล้วยังอยู่ในใจเรานี่แหละ และเป็นประโยคนำทางเลย “ไม่มีอะไรจะให้นอกจากความ สุขที่จะมีร่วมกันในการทำประโยชน์ให้กับผู้อื่น”
ผู้เขียน : หนูเข้าใจเลยค่ะ เพราะว่าสิ่งที่หนูท่าทุกวันนี้ก็ทำถวายพระองค์ท่าน งานทุกอย่างที่ทํา ทุกเล่มเลยนะคะหนังสือ บางเล่มเขียนในค่านำ เลยว่าทําถวายในหลวง เพราะพระองค์ท่านทรงเป็นแรงบันดาลใจให้ เราอยากมอบสิ่งดีๆ ให้ผู้อื่น
ดร.สุเมธ : เพราะฉะนั้นมันไม่ใช่เงิน มันไม่ใช่ของ ไม่ใช่ทรัพย์สินเงินทอง มันคือความสุข และความสุขนี่ทำให้คนอื่นด้วยนะไม่ใช่ทำให้กับตัวเอง ตลกมาก ทำให้กับคนอื่น และนี่สุดยอดมีอันนึงที่บอกว่า “ความสุขร่วมกัน” มีสักกี่คนที่จะได้มีโอกาสทำความสุขร่วมกับพระเจ้าอยู่หัว อันนี้พูดเหมือน กับจะยกยอตัวเองนะ ตัวเองได้ไปอยู่ในจุดนั้น ได้มีโอกาสทองแล้ว มันจะเลวได้ต่อเหรอ ใช่หรือเปล่า นี่มีคนอีกตั้ง 68 ล้านคนอยากเป็นเหมือนอย่างเรา นั่งอยู่ร่วมทำงานกับพระเจ้าอยู่หัว เพื่อก่อประโยชน์ แล้วนี่เรามีโอกาส แล้วน่ะ จะไม่ทำเหรอ คนถึงบอกนี่ 77 ทำไมไม่หยุด ผมจะหยุดอย่างไร ช่วยแนะหน่อยเถิด อยากหยุดนะ งานเหนื่อยนะ ไม่ใช่ไม่เหนื่อย เบื่อนะไม่ใช่ไม่เบื่อ ผมไม่โกหก เป็นมนุษย์วิเศษหรอกอยากจะพัก อยากมีเวลาส่วนตัว แต่มันหยุดไม่ได้
ดร.ณัชร: พระเจ้าอยู่หัวยังทรงงานอยู่เลย…
ดร.สุเมธ : ยอมรับว่าพระองค์ท่านทรงไม่ไหวแล้ว แต่ทางใจคิดว่า ท่านไม่หยุด มีประโยคหนึ่งที่ได้รับจากพระองค์ท่านไม่รู้คิดทีไรมันก็สะท้อนอยู่ในหัวอก ตอนนั้นท่านก็ประทับรถเข็นแล้ว แต่ยังไหว หลังจากเข้าเฝ้าถวาย งานเสร็จแล้ว วันนั้นวันเกิด ก็เป็นธรรมเนียมทุกปีขอพระราชทานพร มีรูปอยู่ ในห้องทำงาน เราก็ก้มลงรับพร เหมือนมีอะไรหนักๆ มาอยู่ที่ไหล่เรา ท่านยกมือมาแตะใหล่เราแล้วบีบอยู่นาน แล้วเขย่าให้พรสามคำ ให้ทาย ทายเท่าไร ก็ทายไม่ถูก....
ผู้เขียน : “ขอบใจนะ"?
ดร.สุเมธ : "สุเมธ งานยังไม่เสร็จ สุเมธ งานยังไม่เสร็จ สุเมธ งาน ยังไม่เสร็จ” นี่คือพรครั้งสุดท้ายที่ยังทรงมีแรง “งานยังไม่เสร็จ” แล้วนี่พอใครถามว่าทำไมไม่หยุดงาน ความจริงประโยคนี้เป็นประโยคที่ไม่ใช่คำตอบจากผม แต่เราได้รับมาแล้วเราก็รู้ว่า ไม่ต้องตอบ คือรู้ สื่อถึงกันได้คือหยุดไม่ได้ ท่านก็จะพระราชทานเงินเดือน ผมก็รับไม่ได้ เพราะท่านทำงาน โดยไม่ทรงรับอะไรเลย เราก็ต้องทำอย่างนั้น ก็ต้องทำ ครอบครัวผมก็มีนะ หลานผมก็มี ก็อยากจะไปเล่นเหมือนกัน แต่ว่าทำไม่ได้
คำสัมภาษณ์อาจจะไม่ใช่บทสรุปของหนังสือเล่มนี้ หากแต่ผมอยากนำเสนอคำสัมภาษณ์นี้มากกว่าเนื้อหาในหนังสือ
#ReadToLead #อ่านอย่างผู้นำ #รีวิวหนังสือ
Read To Lead อ่านอย่างผู้นำ (2025/107) หนังสือที่ถ่ายทอดความสำคัญของการอ่านโดย ดร.ณัชร สยามวาลา ซึ่งรายได้ทั้งหมดผู้เขียนมอบให้มูลนิธิชัยพัฒนา Read To Lead เล่มนี้นำเสนอว่าผู้นำระดับโลกเป็นนักอ่านตังฉกาจ ซึ่งผู้เขียนเล่าได้อย่างน่าตื่นเต้น บุคคลตัวอย่างที่ผู้เขียนนำเสนอน่าทึ่งมากๆ นอกจากนี้ผู้เขียนซึ่งเป็นนักอ่านให้คำแนะนำเทคนิคการอ่านหนังสือในรูปแบบต่างๆ เพื่อเพิ่มความเร็วในการอ่านหนังสือ ซึ่งเธอสามารถอ่านหนังสือได้ปีละ 365เล่มมาแล้ว --------- ท้ายเล่มมีบทสัมภาษณ์ผู้นำไทยที่เป็นผู้ที่รักการอ่าน มีบทสัมภาษณ์ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา และในบทสัมภาษณ์คราวนั้น มีการกล่าวถึงการปฎิบัติหน้าที่ของ ดร.สุเมธ ที่ถวายงานให้กับในหลวงรัชกาลที่ 9 ตอนหนึ่งว่า ผู้เขียน : พระราชดำรัสใดของในหลวงที่จับใจท่านที่สุด อยากจะขอทราบสักพระราชดำรัสหนึ่งปิดท้าย มีไหมคะ หมายถึงว่านึกถึงทีไรก็จับใจมาก ดร.สุเมธ : รู้สึกว่าจะอันนี้ ประโยคนี้ “…ขอขอบใจที่จะมาช่วยงานฉัน แต่ขอบอกไว้ก่อนว่ามาช่วยงานฉัน ฉันไม่มีอะไรจะให้นอกจากความสุข ที่จะมีร่วมกันในการทำประโยชน์ให้กับผู้อื่น....” ประโยคแรกที่ได้รับ และยังตกค้างมาสามสิบกว่าปี แล้วยังอยู่ในใจเรานี่แหละ และเป็นประโยคนำทางเลย “ไม่มีอะไรจะให้นอกจากความ สุขที่จะมีร่วมกันในการทำประโยชน์ให้กับผู้อื่น” ผู้เขียน : หนูเข้าใจเลยค่ะ เพราะว่าสิ่งที่หนูท่าทุกวันนี้ก็ทำถวายพระองค์ท่าน งานทุกอย่างที่ทํา ทุกเล่มเลยนะคะหนังสือ บางเล่มเขียนในค่านำ เลยว่าทําถวายในหลวง เพราะพระองค์ท่านทรงเป็นแรงบันดาลใจให้ เราอยากมอบสิ่งดีๆ ให้ผู้อื่น ดร.สุเมธ : เพราะฉะนั้นมันไม่ใช่เงิน มันไม่ใช่ของ ไม่ใช่ทรัพย์สินเงินทอง มันคือความสุข และความสุขนี่ทำให้คนอื่นด้วยนะไม่ใช่ทำให้กับตัวเอง ตลกมาก ทำให้กับคนอื่น และนี่สุดยอดมีอันนึงที่บอกว่า “ความสุขร่วมกัน” มีสักกี่คนที่จะได้มีโอกาสทำความสุขร่วมกับพระเจ้าอยู่หัว อันนี้พูดเหมือน กับจะยกยอตัวเองนะ ตัวเองได้ไปอยู่ในจุดนั้น ได้มีโอกาสทองแล้ว มันจะเลวได้ต่อเหรอ ใช่หรือเปล่า นี่มีคนอีกตั้ง 68 ล้านคนอยากเป็นเหมือนอย่างเรา นั่งอยู่ร่วมทำงานกับพระเจ้าอยู่หัว เพื่อก่อประโยชน์ แล้วนี่เรามีโอกาส แล้วน่ะ จะไม่ทำเหรอ คนถึงบอกนี่ 77 ทำไมไม่หยุด ผมจะหยุดอย่างไร ช่วยแนะหน่อยเถิด อยากหยุดนะ งานเหนื่อยนะ ไม่ใช่ไม่เหนื่อย เบื่อนะไม่ใช่ไม่เบื่อ ผมไม่โกหก เป็นมนุษย์วิเศษหรอกอยากจะพัก อยากมีเวลาส่วนตัว แต่มันหยุดไม่ได้ ดร.ณัชร: พระเจ้าอยู่หัวยังทรงงานอยู่เลย… ดร.สุเมธ : ยอมรับว่าพระองค์ท่านทรงไม่ไหวแล้ว แต่ทางใจคิดว่า ท่านไม่หยุด มีประโยคหนึ่งที่ได้รับจากพระองค์ท่านไม่รู้คิดทีไรมันก็สะท้อนอยู่ในหัวอก ตอนนั้นท่านก็ประทับรถเข็นแล้ว แต่ยังไหว หลังจากเข้าเฝ้าถวาย งานเสร็จแล้ว วันนั้นวันเกิด ก็เป็นธรรมเนียมทุกปีขอพระราชทานพร มีรูปอยู่ ในห้องทำงาน เราก็ก้มลงรับพร เหมือนมีอะไรหนักๆ มาอยู่ที่ไหล่เรา ท่านยกมือมาแตะใหล่เราแล้วบีบอยู่นาน แล้วเขย่าให้พรสามคำ ให้ทาย ทายเท่าไร ก็ทายไม่ถูก.... ผู้เขียน : “ขอบใจนะ"? ดร.สุเมธ : "สุเมธ งานยังไม่เสร็จ สุเมธ งานยังไม่เสร็จ สุเมธ งาน ยังไม่เสร็จ” นี่คือพรครั้งสุดท้ายที่ยังทรงมีแรง “งานยังไม่เสร็จ” แล้วนี่พอใครถามว่าทำไมไม่หยุดงาน ความจริงประโยคนี้เป็นประโยคที่ไม่ใช่คำตอบจากผม แต่เราได้รับมาแล้วเราก็รู้ว่า ไม่ต้องตอบ คือรู้ สื่อถึงกันได้คือหยุดไม่ได้ ท่านก็จะพระราชทานเงินเดือน ผมก็รับไม่ได้ เพราะท่านทำงาน โดยไม่ทรงรับอะไรเลย เราก็ต้องทำอย่างนั้น ก็ต้องทำ ครอบครัวผมก็มีนะ หลานผมก็มี ก็อยากจะไปเล่นเหมือนกัน แต่ว่าทำไม่ได้ คำสัมภาษณ์อาจจะไม่ใช่บทสรุปของหนังสือเล่มนี้ หากแต่ผมอยากนำเสนอคำสัมภาษณ์นี้มากกว่าเนื้อหาในหนังสือ #ReadToLead #อ่านอย่างผู้นำ #รีวิวหนังสือ0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1 มุมมอง 0 รีวิว - Read To Lead อ่านอย่างผู้นำ (2025/107)
หนังสือที่ถ่ายทอดความสำคัญของการอ่านโดย ดร.ณัชร สยามวาลา ซึ่งรายได้ทั้งหมดผู้เขียนมอบให้มูลนิธิชัยพัฒนา
Read To Lead เล่มนี้นำเสนอว่าผู้นำระดับโลกเป็นนักอ่านตังฉกาจ ซึ่งผู้เขียนเล่าได้อย่างน่าตื่นเต้น บุคคลตัวอย่างที่ผู้เขียนนำเสนอน่าทึ่งมากๆ นอกจากนี้ผู้เขียนซึ่งเป็นนักอ่านให้คำแนะนำเทคนิคการอ่านหนังสือในรูปแบบต่างๆ เพื่อเพิ่มความเร็วในการอ่านหนังสือ ซึ่งเธอสามารถอ่านหนังสือได้ปีละ 365เล่มมาแล้ว
---------
ท้ายเล่มมีบทสัมภาษณ์ผู้นำไทยที่เป็นผู้ที่รักการอ่าน มีบทสัมภาษณ์ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา และในบทสัมภาษณ์คราวนั้น มีการกล่าวถึงการปฎิบัติหน้าที่ของ ดร.สุเมธ ที่ถวายงานให้กับในหลวงรัชกาลที่ 9 ตอนหนึ่งว่า
ผู้เขียน : พระราชดำรัสใดของในหลวงที่จับใจท่านที่สุด อยากจะขอทราบสักพระราชดำรัสหนึ่งปิดท้าย มีไหมคะ หมายถึงว่านึกถึงทีไรก็จับใจมาก
ดร.สุเมธ : รู้สึกว่าจะอันนี้ ประโยคนี้
“…ขอขอบใจที่จะมาช่วยงานฉัน
แต่ขอบอกไว้ก่อนว่ามาช่วยงานฉัน
ฉันไม่มีอะไรจะให้นอกจากความสุข
ที่จะมีร่วมกันในการทำประโยชน์ให้กับผู้อื่น....”
ประโยคแรกที่ได้รับ และยังตกค้างมาสามสิบกว่าปี แล้วยังอยู่ในใจเรานี่แหละ และเป็นประโยคนำทางเลย “ไม่มีอะไรจะให้นอกจากความ สุขที่จะมีร่วมกันในการทำประโยชน์ให้กับผู้อื่น”
ผู้เขียน : หนูเข้าใจเลยค่ะ เพราะว่าสิ่งที่หนูท่าทุกวันนี้ก็ทำถวายพระองค์ท่าน งานทุกอย่างที่ทํา ทุกเล่มเลยนะคะหนังสือ บางเล่มเขียนในค่านำ เลยว่าทําถวายในหลวง เพราะพระองค์ท่านทรงเป็นแรงบันดาลใจให้ เราอยากมอบสิ่งดีๆ ให้ผู้อื่น
ดร.สุเมธ : เพราะฉะนั้นมันไม่ใช่เงิน มันไม่ใช่ของ ไม่ใช่ทรัพย์สินเงินทอง มันคือความสุข และความสุขนี่ทำให้คนอื่นด้วยนะไม่ใช่ทำให้กับตัวเอง ตลกมาก ทำให้กับคนอื่น และนี่สุดยอดมีอันนึงที่บอกว่า “ความสุขร่วมกัน” มีสักกี่คนที่จะได้มีโอกาสทำความสุขร่วมกับพระเจ้าอยู่หัว อันนี้พูดเหมือน กับจะยกยอตัวเองนะ ตัวเองได้ไปอยู่ในจุดนั้น ได้มีโอกาสทองแล้ว มันจะเลวได้ต่อเหรอ ใช่หรือเปล่า นี่มีคนอีกตั้ง 68 ล้านคนอยากเป็นเหมือนอย่างเรา นั่งอยู่ร่วมทำงานกับพระเจ้าอยู่หัว เพื่อก่อประโยชน์ แล้วนี่เรามีโอกาส แล้วน่ะ จะไม่ทำเหรอ คนถึงบอกนี่ 77 ทำไมไม่หยุด ผมจะหยุดอย่างไร ช่วยแนะหน่อยเถิด อยากหยุดนะ งานเหนื่อยนะ ไม่ใช่ไม่เหนื่อย เบื่อนะไม่ใช่ไม่เบื่อ ผมไม่โกหก เป็นมนุษย์วิเศษหรอกอยากจะพัก อยากมีเวลาส่วนตัว แต่มันหยุดไม่ได้
ดร.ณัชร: พระเจ้าอยู่หัวยังทรงงานอยู่เลย…
ดร.สุเมธ : ยอมรับว่าพระองค์ท่านทรงไม่ไหวแล้ว แต่ทางใจคิดว่า ท่านไม่หยุด มีประโยคหนึ่งที่ได้รับจากพระองค์ท่านไม่รู้คิดทีไรมันก็สะท้อนอยู่ในหัวอก ตอนนั้นท่านก็ประทับรถเข็นแล้ว แต่ยังไหว หลังจากเข้าเฝ้าถวาย งานเสร็จแล้ว วันนั้นวันเกิด ก็เป็นธรรมเนียมทุกปีขอพระราชทานพร มีรูปอยู่ ในห้องทำงาน เราก็ก้มลงรับพร เหมือนมีอะไรหนักๆ มาอยู่ที่ไหล่เรา ท่านยกมือมาแตะใหล่เราแล้วบีบอยู่นาน แล้วเขย่าให้พรสามคำ ให้ทาย ทายเท่าไร ก็ทายไม่ถูก....
ผู้เขียน : “ขอบใจนะ"?
ดร.สุเมธ : "สุเมธ งานยังไม่เสร็จ สุเมธ งานยังไม่เสร็จ สุเมธ งาน ยังไม่เสร็จ” นี่คือพรครั้งสุดท้ายที่ยังทรงมีแรง “งานยังไม่เสร็จ” แล้วนี่พอใครถามว่าทำไมไม่หยุดงาน ความจริงประโยคนี้เป็นประโยคที่ไม่ใช่คำตอบจากผม แต่เราได้รับมาแล้วเราก็รู้ว่า ไม่ต้องตอบ คือรู้ สื่อถึงกันได้คือหยุดไม่ได้ ท่านก็จะพระราชทานเงินเดือน ผมก็รับไม่ได้ เพราะท่านทำงาน โดยไม่ทรงรับอะไรเลย เราก็ต้องทำอย่างนั้น ก็ต้องทำ ครอบครัวผมก็มีนะ หลานผมก็มี ก็อยากจะไปเล่นเหมือนกัน แต่ว่าทำไม่ได้
คำสัมภาษณ์อาจจะไม่ใช่บทสรุปของหนังสือเล่มนี้ หากแต่ผมอยากนำเสนอคำสัมภาษณ์นี้มากกว่าเนื้อหาในหนังสือ
#ReadToLead #อ่านอย่างผู้นำ #อ่านอย่างผู้นำ
Read To Lead อ่านอย่างผู้นำ (2025/107) หนังสือที่ถ่ายทอดความสำคัญของการอ่านโดย ดร.ณัชร สยามวาลา ซึ่งรายได้ทั้งหมดผู้เขียนมอบให้มูลนิธิชัยพัฒนา Read To Lead เล่มนี้นำเสนอว่าผู้นำระดับโลกเป็นนักอ่านตังฉกาจ ซึ่งผู้เขียนเล่าได้อย่างน่าตื่นเต้น บุคคลตัวอย่างที่ผู้เขียนนำเสนอน่าทึ่งมากๆ นอกจากนี้ผู้เขียนซึ่งเป็นนักอ่านให้คำแนะนำเทคนิคการอ่านหนังสือในรูปแบบต่างๆ เพื่อเพิ่มความเร็วในการอ่านหนังสือ ซึ่งเธอสามารถอ่านหนังสือได้ปีละ 365เล่มมาแล้ว --------- ท้ายเล่มมีบทสัมภาษณ์ผู้นำไทยที่เป็นผู้ที่รักการอ่าน มีบทสัมภาษณ์ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา และในบทสัมภาษณ์คราวนั้น มีการกล่าวถึงการปฎิบัติหน้าที่ของ ดร.สุเมธ ที่ถวายงานให้กับในหลวงรัชกาลที่ 9 ตอนหนึ่งว่า ผู้เขียน : พระราชดำรัสใดของในหลวงที่จับใจท่านที่สุด อยากจะขอทราบสักพระราชดำรัสหนึ่งปิดท้าย มีไหมคะ หมายถึงว่านึกถึงทีไรก็จับใจมาก ดร.สุเมธ : รู้สึกว่าจะอันนี้ ประโยคนี้ “…ขอขอบใจที่จะมาช่วยงานฉัน แต่ขอบอกไว้ก่อนว่ามาช่วยงานฉัน ฉันไม่มีอะไรจะให้นอกจากความสุข ที่จะมีร่วมกันในการทำประโยชน์ให้กับผู้อื่น....” ประโยคแรกที่ได้รับ และยังตกค้างมาสามสิบกว่าปี แล้วยังอยู่ในใจเรานี่แหละ และเป็นประโยคนำทางเลย “ไม่มีอะไรจะให้นอกจากความ สุขที่จะมีร่วมกันในการทำประโยชน์ให้กับผู้อื่น” ผู้เขียน : หนูเข้าใจเลยค่ะ เพราะว่าสิ่งที่หนูท่าทุกวันนี้ก็ทำถวายพระองค์ท่าน งานทุกอย่างที่ทํา ทุกเล่มเลยนะคะหนังสือ บางเล่มเขียนในค่านำ เลยว่าทําถวายในหลวง เพราะพระองค์ท่านทรงเป็นแรงบันดาลใจให้ เราอยากมอบสิ่งดีๆ ให้ผู้อื่น ดร.สุเมธ : เพราะฉะนั้นมันไม่ใช่เงิน มันไม่ใช่ของ ไม่ใช่ทรัพย์สินเงินทอง มันคือความสุข และความสุขนี่ทำให้คนอื่นด้วยนะไม่ใช่ทำให้กับตัวเอง ตลกมาก ทำให้กับคนอื่น และนี่สุดยอดมีอันนึงที่บอกว่า “ความสุขร่วมกัน” มีสักกี่คนที่จะได้มีโอกาสทำความสุขร่วมกับพระเจ้าอยู่หัว อันนี้พูดเหมือน กับจะยกยอตัวเองนะ ตัวเองได้ไปอยู่ในจุดนั้น ได้มีโอกาสทองแล้ว มันจะเลวได้ต่อเหรอ ใช่หรือเปล่า นี่มีคนอีกตั้ง 68 ล้านคนอยากเป็นเหมือนอย่างเรา นั่งอยู่ร่วมทำงานกับพระเจ้าอยู่หัว เพื่อก่อประโยชน์ แล้วนี่เรามีโอกาส แล้วน่ะ จะไม่ทำเหรอ คนถึงบอกนี่ 77 ทำไมไม่หยุด ผมจะหยุดอย่างไร ช่วยแนะหน่อยเถิด อยากหยุดนะ งานเหนื่อยนะ ไม่ใช่ไม่เหนื่อย เบื่อนะไม่ใช่ไม่เบื่อ ผมไม่โกหก เป็นมนุษย์วิเศษหรอกอยากจะพัก อยากมีเวลาส่วนตัว แต่มันหยุดไม่ได้ ดร.ณัชร: พระเจ้าอยู่หัวยังทรงงานอยู่เลย… ดร.สุเมธ : ยอมรับว่าพระองค์ท่านทรงไม่ไหวแล้ว แต่ทางใจคิดว่า ท่านไม่หยุด มีประโยคหนึ่งที่ได้รับจากพระองค์ท่านไม่รู้คิดทีไรมันก็สะท้อนอยู่ในหัวอก ตอนนั้นท่านก็ประทับรถเข็นแล้ว แต่ยังไหว หลังจากเข้าเฝ้าถวาย งานเสร็จแล้ว วันนั้นวันเกิด ก็เป็นธรรมเนียมทุกปีขอพระราชทานพร มีรูปอยู่ ในห้องทำงาน เราก็ก้มลงรับพร เหมือนมีอะไรหนักๆ มาอยู่ที่ไหล่เรา ท่านยกมือมาแตะใหล่เราแล้วบีบอยู่นาน แล้วเขย่าให้พรสามคำ ให้ทาย ทายเท่าไร ก็ทายไม่ถูก.... ผู้เขียน : “ขอบใจนะ"? ดร.สุเมธ : "สุเมธ งานยังไม่เสร็จ สุเมธ งานยังไม่เสร็จ สุเมธ งาน ยังไม่เสร็จ” นี่คือพรครั้งสุดท้ายที่ยังทรงมีแรง “งานยังไม่เสร็จ” แล้วนี่พอใครถามว่าทำไมไม่หยุดงาน ความจริงประโยคนี้เป็นประโยคที่ไม่ใช่คำตอบจากผม แต่เราได้รับมาแล้วเราก็รู้ว่า ไม่ต้องตอบ คือรู้ สื่อถึงกันได้คือหยุดไม่ได้ ท่านก็จะพระราชทานเงินเดือน ผมก็รับไม่ได้ เพราะท่านทำงาน โดยไม่ทรงรับอะไรเลย เราก็ต้องทำอย่างนั้น ก็ต้องทำ ครอบครัวผมก็มีนะ หลานผมก็มี ก็อยากจะไปเล่นเหมือนกัน แต่ว่าทำไม่ได้ คำสัมภาษณ์อาจจะไม่ใช่บทสรุปของหนังสือเล่มนี้ หากแต่ผมอยากนำเสนอคำสัมภาษณ์นี้มากกว่าเนื้อหาในหนังสือ #ReadToLead #อ่านอย่างผู้นำ #อ่านอย่างผู้นำ0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1 มุมมอง 0 รีวิว - Read To Lead อ่านอย่างผู้นำ (2025/107)
หนังสือที่ถ่ายทอดความสำคัญของการอ่านโดย ดร.ณัชร สยามวาลา ซึ่งรายได้ทั้งหมดผู้เขียนมอบให้มูลนิธิชัยพัฒนา
Read To Lead เล่มนี้นำเสนอว่าผู้นำระดับโลกเป็นนักอ่านตังฉกาจ ซึ่งผู้เขียนเล่าได้อย่างน่าตื่นเต้น บุคคลตัวอย่างที่ผู้เขียนนำเสนอน่าทึ่งมากๆ นอกจากนี้ผู้เขียนซึ่งเป็นนักอ่านให้คำแนะนำเทคนิคการอ่านหนังสือในรูปแบบต่างๆ เพื่อเพิ่มความเร็วในการอ่านหนังสือ ซึ่งเธอสามารถอ่านหนังสือได้ปีละ 365เล่มมาแล้ว
---------
ท้ายเล่มมีบทสัมภาษณ์ผู้นำไทยที่เป็นผู้ที่รักการอ่าน มีบทสัมภาษณ์ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา และในบทสัมภาษณ์คราวนั้น มีการกล่าวถึงการปฎิบัติหน้าที่ของ ดร.สุเมธ ที่ถวายงานให้กับในหลวงรัชกาลที่ 9 ตอนหนึ่งว่า
ผู้เขียน : พระราชดำรัสใดของในหลวงที่จับใจท่านที่สุด อยากจะขอทราบสักพระราชดำรัสหนึ่งปิดท้าย มีไหมคะ หมายถึงว่านึกถึงทีไรก็จับใจมาก
ดร.สุเมธ : รู้สึกว่าจะอันนี้ ประโยคนี้
“…ขอขอบใจที่จะมาช่วยงานฉัน
แต่ขอบอกไว้ก่อนว่ามาช่วยงานฉัน
ฉันไม่มีอะไรจะให้นอกจากความสุข
ที่จะมีร่วมกันในการทำประโยชน์ให้กับผู้อื่น....”
ประโยคแรกที่ได้รับ และยังตกค้างมาสามสิบกว่าปี แล้วยังอยู่ในใจเรานี่แหละ และเป็นประโยคนำทางเลย “ไม่มีอะไรจะให้นอกจากความ สุขที่จะมีร่วมกันในการทำประโยชน์ให้กับผู้อื่น”
ผู้เขียน : หนูเข้าใจเลยค่ะ เพราะว่าสิ่งที่หนูท่าทุกวันนี้ก็ทำถวายพระองค์ท่าน งานทุกอย่างที่ทํา ทุกเล่มเลยนะคะหนังสือ บางเล่มเขียนในค่านำ เลยว่าทําถวายในหลวง เพราะพระองค์ท่านทรงเป็นแรงบันดาลใจให้ เราอยากมอบสิ่งดีๆ ให้ผู้อื่น
ดร.สุเมธ : เพราะฉะนั้นมันไม่ใช่เงิน มันไม่ใช่ของ ไม่ใช่ทรัพย์สินเงินทอง มันคือความสุข และความสุขนี่ทำให้คนอื่นด้วยนะไม่ใช่ทำให้กับตัวเอง ตลกมาก ทำให้กับคนอื่น และนี่สุดยอดมีอันนึงที่บอกว่า “ความสุขร่วมกัน” มีสักกี่คนที่จะได้มีโอกาสทำความสุขร่วมกับพระเจ้าอยู่หัว อันนี้พูดเหมือน กับจะยกยอตัวเองนะ ตัวเองได้ไปอยู่ในจุดนั้น ได้มีโอกาสทองแล้ว มันจะเลวได้ต่อเหรอ ใช่หรือเปล่า นี่มีคนอีกตั้ง 68 ล้านคนอยากเป็นเหมือนอย่างเรา นั่งอยู่ร่วมทำงานกับพระเจ้าอยู่หัว เพื่อก่อประโยชน์ แล้วนี่เรามีโอกาส แล้วน่ะ จะไม่ทำเหรอ คนถึงบอกนี่ 77 ทำไมไม่หยุด ผมจะหยุดอย่างไร ช่วยแนะหน่อยเถิด อยากหยุดนะ งานเหนื่อยนะ ไม่ใช่ไม่เหนื่อย เบื่อนะไม่ใช่ไม่เบื่อ ผมไม่โกหก เป็นมนุษย์วิเศษหรอกอยากจะพัก อยากมีเวลาส่วนตัว แต่มันหยุดไม่ได้
ดร.ณัชร: พระเจ้าอยู่หัวยังทรงงานอยู่เลย…
ดร.สุเมธ : ยอมรับว่าพระองค์ท่านทรงไม่ไหวแล้ว แต่ทางใจคิดว่า ท่านไม่หยุด มีประโยคหนึ่งที่ได้รับจากพระองค์ท่านไม่รู้คิดทีไรมันก็สะท้อนอยู่ในหัวอก ตอนนั้นท่านก็ประทับรถเข็นแล้ว แต่ยังไหว หลังจากเข้าเฝ้าถวาย งานเสร็จแล้ว วันนั้นวันเกิด ก็เป็นธรรมเนียมทุกปีขอพระราชทานพร มีรูปอยู่ ในห้องทำงาน เราก็ก้มลงรับพร เหมือนมีอะไรหนักๆ มาอยู่ที่ไหล่เรา ท่านยกมือมาแตะใหล่เราแล้วบีบอยู่นาน แล้วเขย่าให้พรสามคำ ให้ทาย ทายเท่าไร ก็ทายไม่ถูก....
ผู้เขียน : “ขอบใจนะ"?
ดร.สุเมธ : "สุเมธ งานยังไม่เสร็จ สุเมธ งานยังไม่เสร็จ สุเมธ งาน ยังไม่เสร็จ” นี่คือพรครั้งสุดท้ายที่ยังทรงมีแรง “งานยังไม่เสร็จ” แล้วนี่พอใครถามว่าทำไมไม่หยุดงาน ความจริงประโยคนี้เป็นประโยคที่ไม่ใช่คำตอบจากผม แต่เราได้รับมาแล้วเราก็รู้ว่า ไม่ต้องตอบ คือรู้ สื่อถึงกันได้คือหยุดไม่ได้ ท่านก็จะพระราชทานเงินเดือน ผมก็รับไม่ได้ เพราะท่านทำงาน โดยไม่ทรงรับอะไรเลย เราก็ต้องทำอย่างนั้น ก็ต้องทำ ครอบครัวผมก็มีนะ หลานผมก็มี ก็อยากจะไปเล่นเหมือนกัน แต่ว่าทำไม่ได้
คำสัมภาษณ์อาจจะไม่ใช่บทสรุปของหนังสือเล่มนี้ หากแต่ผมอยากนำเสนอคำสัมภาษณ์นี้มากกว่าเนื้อหาในหนังสือ
#ReadToLead #อ่านอย่างผู้นำ #อ่านอย่างผู้นำ
Read To Lead อ่านอย่างผู้นำ (2025/107) หนังสือที่ถ่ายทอดความสำคัญของการอ่านโดย ดร.ณัชร สยามวาลา ซึ่งรายได้ทั้งหมดผู้เขียนมอบให้มูลนิธิชัยพัฒนา Read To Lead เล่มนี้นำเสนอว่าผู้นำระดับโลกเป็นนักอ่านตังฉกาจ ซึ่งผู้เขียนเล่าได้อย่างน่าตื่นเต้น บุคคลตัวอย่างที่ผู้เขียนนำเสนอน่าทึ่งมากๆ นอกจากนี้ผู้เขียนซึ่งเป็นนักอ่านให้คำแนะนำเทคนิคการอ่านหนังสือในรูปแบบต่างๆ เพื่อเพิ่มความเร็วในการอ่านหนังสือ ซึ่งเธอสามารถอ่านหนังสือได้ปีละ 365เล่มมาแล้ว --------- ท้ายเล่มมีบทสัมภาษณ์ผู้นำไทยที่เป็นผู้ที่รักการอ่าน มีบทสัมภาษณ์ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา และในบทสัมภาษณ์คราวนั้น มีการกล่าวถึงการปฎิบัติหน้าที่ของ ดร.สุเมธ ที่ถวายงานให้กับในหลวงรัชกาลที่ 9 ตอนหนึ่งว่า ผู้เขียน : พระราชดำรัสใดของในหลวงที่จับใจท่านที่สุด อยากจะขอทราบสักพระราชดำรัสหนึ่งปิดท้าย มีไหมคะ หมายถึงว่านึกถึงทีไรก็จับใจมาก ดร.สุเมธ : รู้สึกว่าจะอันนี้ ประโยคนี้ “…ขอขอบใจที่จะมาช่วยงานฉัน แต่ขอบอกไว้ก่อนว่ามาช่วยงานฉัน ฉันไม่มีอะไรจะให้นอกจากความสุข ที่จะมีร่วมกันในการทำประโยชน์ให้กับผู้อื่น....” ประโยคแรกที่ได้รับ และยังตกค้างมาสามสิบกว่าปี แล้วยังอยู่ในใจเรานี่แหละ และเป็นประโยคนำทางเลย “ไม่มีอะไรจะให้นอกจากความ สุขที่จะมีร่วมกันในการทำประโยชน์ให้กับผู้อื่น” ผู้เขียน : หนูเข้าใจเลยค่ะ เพราะว่าสิ่งที่หนูท่าทุกวันนี้ก็ทำถวายพระองค์ท่าน งานทุกอย่างที่ทํา ทุกเล่มเลยนะคะหนังสือ บางเล่มเขียนในค่านำ เลยว่าทําถวายในหลวง เพราะพระองค์ท่านทรงเป็นแรงบันดาลใจให้ เราอยากมอบสิ่งดีๆ ให้ผู้อื่น ดร.สุเมธ : เพราะฉะนั้นมันไม่ใช่เงิน มันไม่ใช่ของ ไม่ใช่ทรัพย์สินเงินทอง มันคือความสุข และความสุขนี่ทำให้คนอื่นด้วยนะไม่ใช่ทำให้กับตัวเอง ตลกมาก ทำให้กับคนอื่น และนี่สุดยอดมีอันนึงที่บอกว่า “ความสุขร่วมกัน” มีสักกี่คนที่จะได้มีโอกาสทำความสุขร่วมกับพระเจ้าอยู่หัว อันนี้พูดเหมือน กับจะยกยอตัวเองนะ ตัวเองได้ไปอยู่ในจุดนั้น ได้มีโอกาสทองแล้ว มันจะเลวได้ต่อเหรอ ใช่หรือเปล่า นี่มีคนอีกตั้ง 68 ล้านคนอยากเป็นเหมือนอย่างเรา นั่งอยู่ร่วมทำงานกับพระเจ้าอยู่หัว เพื่อก่อประโยชน์ แล้วนี่เรามีโอกาส แล้วน่ะ จะไม่ทำเหรอ คนถึงบอกนี่ 77 ทำไมไม่หยุด ผมจะหยุดอย่างไร ช่วยแนะหน่อยเถิด อยากหยุดนะ งานเหนื่อยนะ ไม่ใช่ไม่เหนื่อย เบื่อนะไม่ใช่ไม่เบื่อ ผมไม่โกหก เป็นมนุษย์วิเศษหรอกอยากจะพัก อยากมีเวลาส่วนตัว แต่มันหยุดไม่ได้ ดร.ณัชร: พระเจ้าอยู่หัวยังทรงงานอยู่เลย… ดร.สุเมธ : ยอมรับว่าพระองค์ท่านทรงไม่ไหวแล้ว แต่ทางใจคิดว่า ท่านไม่หยุด มีประโยคหนึ่งที่ได้รับจากพระองค์ท่านไม่รู้คิดทีไรมันก็สะท้อนอยู่ในหัวอก ตอนนั้นท่านก็ประทับรถเข็นแล้ว แต่ยังไหว หลังจากเข้าเฝ้าถวาย งานเสร็จแล้ว วันนั้นวันเกิด ก็เป็นธรรมเนียมทุกปีขอพระราชทานพร มีรูปอยู่ ในห้องทำงาน เราก็ก้มลงรับพร เหมือนมีอะไรหนักๆ มาอยู่ที่ไหล่เรา ท่านยกมือมาแตะใหล่เราแล้วบีบอยู่นาน แล้วเขย่าให้พรสามคำ ให้ทาย ทายเท่าไร ก็ทายไม่ถูก.... ผู้เขียน : “ขอบใจนะ"? ดร.สุเมธ : "สุเมธ งานยังไม่เสร็จ สุเมธ งานยังไม่เสร็จ สุเมธ งาน ยังไม่เสร็จ” นี่คือพรครั้งสุดท้ายที่ยังทรงมีแรง “งานยังไม่เสร็จ” แล้วนี่พอใครถามว่าทำไมไม่หยุดงาน ความจริงประโยคนี้เป็นประโยคที่ไม่ใช่คำตอบจากผม แต่เราได้รับมาแล้วเราก็รู้ว่า ไม่ต้องตอบ คือรู้ สื่อถึงกันได้คือหยุดไม่ได้ ท่านก็จะพระราชทานเงินเดือน ผมก็รับไม่ได้ เพราะท่านทำงาน โดยไม่ทรงรับอะไรเลย เราก็ต้องทำอย่างนั้น ก็ต้องทำ ครอบครัวผมก็มีนะ หลานผมก็มี ก็อยากจะไปเล่นเหมือนกัน แต่ว่าทำไม่ได้ คำสัมภาษณ์อาจจะไม่ใช่บทสรุปของหนังสือเล่มนี้ หากแต่ผมอยากนำเสนอคำสัมภาษณ์นี้มากกว่าเนื้อหาในหนังสือ #ReadToLead #อ่านอย่างผู้นำ #อ่านอย่างผู้นำ0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1 มุมมอง 0 รีวิว - ผมเรียนเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ด้วยตนเองและสร้างเว็บไซต์ชื่อสเปซแล็บส์ ที่เปรียบเสมือนจดหมายรักดิจิทัลถึงดาราศาสตร์ ผมเขียน ทุกเรื่องที่รู้เกี่ยวกับอวกาศด้วยภาษาอังกฤษง่ายๆ แบบงูๆ ปลาๆ แม้ว่า ทักษะเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ไม่ได้ช่วยให้จีบสาวสำเร็จ แต่ก็สำคัญมาก ต่อชีวิตผมในเวลาต่อมา
สำหรับผม วิทยาศาสตร์จรวดมีความหมายเดียวกับทางหนี ในตุรกี เส้นทางชีวิตผมถูกกำหนดไว้แล้ว แต่ในอเมริกาอันเป็นแนวหน้าของ วิทยาศาสตร์จรวด มีความเป็นไปได้ไม่มีที่สิ้นสุด
จากหนังสือ #คิดอย่างนักสร้างจรวด #ThinkLikeARocketScientistผมเรียนเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ด้วยตนเองและสร้างเว็บไซต์ชื่อสเปซแล็บส์ ที่เปรียบเสมือนจดหมายรักดิจิทัลถึงดาราศาสตร์ ผมเขียน ทุกเรื่องที่รู้เกี่ยวกับอวกาศด้วยภาษาอังกฤษง่ายๆ แบบงูๆ ปลาๆ แม้ว่า ทักษะเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ไม่ได้ช่วยให้จีบสาวสำเร็จ แต่ก็สำคัญมาก ต่อชีวิตผมในเวลาต่อมา สำหรับผม วิทยาศาสตร์จรวดมีความหมายเดียวกับทางหนี ในตุรกี เส้นทางชีวิตผมถูกกำหนดไว้แล้ว แต่ในอเมริกาอันเป็นแนวหน้าของ วิทยาศาสตร์จรวด มีความเป็นไปได้ไม่มีที่สิ้นสุด จากหนังสือ #คิดอย่างนักสร้างจรวด #ThinkLikeARocketScientist0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2 มุมมอง 0 รีวิว - พระสูตรซัมบัสตาถอดความจากคำบรรยาย ในพุทธศาสนาบางส่วน หลายอย่างเกี่ยวพันกับคำสอนนิกายมหายาน บอกเล่าตำนานเรื่องที่ว่าพระพุทธเจ้ามีสติปัญญาเหนือกว่านักมายากล ภัทระ ผู้ใช้เวทมนตร์เปลี่ยนสุสานให้เป็น “พระราชวังเทพเจ้า” อย่างไร อีกบทหนึ่งเล่าถึงชีวประวัติพระพุทธเจ้าและการตรัสรู้ของพระองค์ ส่วนบทอื่นบรรยายถึงการจากไปของพระพุทธเจ้า และการมอบความรับผิดชอบ ต่อโลกนี้ให้กับพระเมตไตรยพุทธเจ้า (พระอนาคตพุทธเจ้า-ผู้แปล) บทที่ สองนัก ว่าด้วยพระเมตไตรยพุทธเจ้ามีเนื้อหาเดียวกับตำราที่ได้รับการแปลจาก ภาษาท็อกหรี่เป็นอุยกูร์ ซึ่งเน้นย้ำข้อพิสูจน์ของชิกและซิกลิง วิชาการชาวเยอรมัน ว่าเป็นภาษาโตคาเรียน พระสูตรซัมบัสตาบรรยาย ภาพของโคตันในฐานะศูนย์กลางสำหรับพระที่เดินทางระหว่างเมืองทั้ง หมดในภูมิภาคนี้ไว้อย่างสวยงาม เพราะมันรวบรวมงานประพันธ์ของนัก เขียนหลายคน และถอดความจากทั้งภาษาสันสกฤต จีน ทิเบต และอุยกูร์ ท่ามกลางภาษาอื่นๆ อีกมาก
จากหนังสือ #พลิกประวัติศาสตร์เส้นทางสายไหม #TheSilkRoadพระสูตรซัมบัสตาถอดความจากคำบรรยาย ในพุทธศาสนาบางส่วน หลายอย่างเกี่ยวพันกับคำสอนนิกายมหายาน บอกเล่าตำนานเรื่องที่ว่าพระพุทธเจ้ามีสติปัญญาเหนือกว่านักมายากล ภัทระ ผู้ใช้เวทมนตร์เปลี่ยนสุสานให้เป็น “พระราชวังเทพเจ้า” อย่างไร อีกบทหนึ่งเล่าถึงชีวประวัติพระพุทธเจ้าและการตรัสรู้ของพระองค์ ส่วนบทอื่นบรรยายถึงการจากไปของพระพุทธเจ้า และการมอบความรับผิดชอบ ต่อโลกนี้ให้กับพระเมตไตรยพุทธเจ้า (พระอนาคตพุทธเจ้า-ผู้แปล) บทที่ สองนัก ว่าด้วยพระเมตไตรยพุทธเจ้ามีเนื้อหาเดียวกับตำราที่ได้รับการแปลจาก ภาษาท็อกหรี่เป็นอุยกูร์ ซึ่งเน้นย้ำข้อพิสูจน์ของชิกและซิกลิง วิชาการชาวเยอรมัน ว่าเป็นภาษาโตคาเรียน พระสูตรซัมบัสตาบรรยาย ภาพของโคตันในฐานะศูนย์กลางสำหรับพระที่เดินทางระหว่างเมืองทั้ง หมดในภูมิภาคนี้ไว้อย่างสวยงาม เพราะมันรวบรวมงานประพันธ์ของนัก เขียนหลายคน และถอดความจากทั้งภาษาสันสกฤต จีน ทิเบต และอุยกูร์ ท่ามกลางภาษาอื่นๆ อีกมาก จากหนังสือ #พลิกประวัติศาสตร์เส้นทางสายไหม #TheSilkRoad0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2 มุมมอง 0 รีวิว - ชีวิตนี้ไม่มีทางตัน “ตัน โออิชิ” (2025/106)
ชีวิตของคุณ ตัน ภาสกรนที ที่บอกเล่าโดยตัวของเขาเอง เรื่องราวของหนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องราวชีวิตของคุณตัน ที่เขาเล่าชีวิตในวัยจบมัธยมศึกษาปีที่ 3 และย้ายตัวเองเข้ามาทำงานจากปีนัง มาอยู่ที่กรุงเทพมหานคร ไปจนถึงคุณตันสามารถนำโออิชิเข้ามาระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ได้ ซึ่งจะเรียกได้ว่าคุณตันได้ยืนยันว่านี่คือการเดินของชีวิตของชายคนหนึ่งสู่การเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จจากการทำธุรกิจอย่างแท้จริง
แน่นอนว่าชีวิตที่ไม่ธรรมดาของคุณตัน ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงนั้น เขาไม่ได้ใช้ชีวิตธรรมดาแบบคนทั่วไป โดยตัวเขาเองบอกว่าชีวิตของเขาซึ่งเป็นคนจีนที่อยู่ปีนัง และย้ายมาอยู่กรุงเทพมาหางานทำเพราะครอบครัวความลำบาก เขาจบเพียง ม.3 ที่เป็นนักเรียนที่เรียนธรรมดา และจำเป็นต้องหางานทำโดยไม่สามารถกลับไปเรียนหนังสือต่อได้อีกเลย
จะด้วยความลำบากของชีวิต หรือด้วยความที่เป็นคนซื่อสัตย์ สุจริต เห็นใจผู้อื่น และเป็นช่างสังเกต ตัวคุณตันมักจะเป็นที่รักของเจ้านาย และต่อมาเมื่อเป็นหัวหน้าก็จะได้รับความรักจากลูกน้องเสมอ เขายังเป็นที่รักของหุ้นส่วนธุรกิจของเขา ตัวเขาเองมีความขยัน มีความไม่ยอมแพ้ มีความอดทนเป็นเลิศ และเป็นคนคิดเร็วทำเร็ว ตัดสินใจอย่างรวดเร็วอีกด้วย หากแต่เขารอบคอบอย่างที่สุด ก่อนที่จะตัดสินใจอย่างรวดเร็ว ตัวเขายังต้องรวบรวมข้อมูลอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าก่อนที่จะตัดสินใจครั้งสำคัญๆในชีวิต
ชีวิตของคุณตัน โดยเฉพาะทางธุรกิจนั้นโลดโผน หวาดเสียว และพุ่งทยาน พวกเรานักอ่านจะยังได้เห็นมุมมองพิเศษในการเข้าสู่ธุรกิจของคุณตันที่เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร นอกจากนี้ยังมีบทสัมภาษณ์ผู้ที่เคยร่วงงาน หุ้นส่วน คู่แข่ง และผู้มีพระคุณของคุณตัน ซึ่งจะหาอ่านได้ในหนังสือเล่มนี้
#ชีวิตนี้ไม่มีทางตัน #ตันโออิชิ #รีวิวหนังสือ
ชีวิตนี้ไม่มีทางตัน “ตัน โออิชิ” (2025/106) ชีวิตของคุณ ตัน ภาสกรนที ที่บอกเล่าโดยตัวของเขาเอง เรื่องราวของหนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องราวชีวิตของคุณตัน ที่เขาเล่าชีวิตในวัยจบมัธยมศึกษาปีที่ 3 และย้ายตัวเองเข้ามาทำงานจากปีนัง มาอยู่ที่กรุงเทพมหานคร ไปจนถึงคุณตันสามารถนำโออิชิเข้ามาระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ได้ ซึ่งจะเรียกได้ว่าคุณตันได้ยืนยันว่านี่คือการเดินของชีวิตของชายคนหนึ่งสู่การเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จจากการทำธุรกิจอย่างแท้จริง แน่นอนว่าชีวิตที่ไม่ธรรมดาของคุณตัน ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงนั้น เขาไม่ได้ใช้ชีวิตธรรมดาแบบคนทั่วไป โดยตัวเขาเองบอกว่าชีวิตของเขาซึ่งเป็นคนจีนที่อยู่ปีนัง และย้ายมาอยู่กรุงเทพมาหางานทำเพราะครอบครัวความลำบาก เขาจบเพียง ม.3 ที่เป็นนักเรียนที่เรียนธรรมดา และจำเป็นต้องหางานทำโดยไม่สามารถกลับไปเรียนหนังสือต่อได้อีกเลย จะด้วยความลำบากของชีวิต หรือด้วยความที่เป็นคนซื่อสัตย์ สุจริต เห็นใจผู้อื่น และเป็นช่างสังเกต ตัวคุณตันมักจะเป็นที่รักของเจ้านาย และต่อมาเมื่อเป็นหัวหน้าก็จะได้รับความรักจากลูกน้องเสมอ เขายังเป็นที่รักของหุ้นส่วนธุรกิจของเขา ตัวเขาเองมีความขยัน มีความไม่ยอมแพ้ มีความอดทนเป็นเลิศ และเป็นคนคิดเร็วทำเร็ว ตัดสินใจอย่างรวดเร็วอีกด้วย หากแต่เขารอบคอบอย่างที่สุด ก่อนที่จะตัดสินใจอย่างรวดเร็ว ตัวเขายังต้องรวบรวมข้อมูลอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าก่อนที่จะตัดสินใจครั้งสำคัญๆในชีวิต ชีวิตของคุณตัน โดยเฉพาะทางธุรกิจนั้นโลดโผน หวาดเสียว และพุ่งทยาน พวกเรานักอ่านจะยังได้เห็นมุมมองพิเศษในการเข้าสู่ธุรกิจของคุณตันที่เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร นอกจากนี้ยังมีบทสัมภาษณ์ผู้ที่เคยร่วงงาน หุ้นส่วน คู่แข่ง และผู้มีพระคุณของคุณตัน ซึ่งจะหาอ่านได้ในหนังสือเล่มนี้ #ชีวิตนี้ไม่มีทางตัน #ตันโออิชิ #รีวิวหนังสือ0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 3 มุมมอง 0 รีวิว - สิ่งที่นักลงทุนต้องระวังเกี่ยวกับการใช้วิธีการตีราคา เพราะเมื่ออุตสาหกรรมนั้นโดยรวมมีมูลค่าสูงกว่าที่ควรจะเป็นทั้งอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรม ที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีในช่วงก่อนที่จะเกิดวิกฤติดอทคอม อาจจะให้ค่า P/E หรือ P/B ที่สูงมาก ทำให้การตีราคาของทั้งอุตสาหกรรม อาจจะสูงเกินจริงไปก็เป็นได้ หรือบางอุตสาหกรรม ที่มีค่า P/E หรือ P/B อยู่ที่ระดับต่ำมาก ถ้าใช้วิธีการแบบตีราคา อาจจะทำให้การตีราคาของสินทรัพย์ในอุตสาหกรรมนั้นต่ำกว่าที่ควรจะเป็นอย่างมาก
จากหนังสือ #ศิลปะและวิทยาศาสตร์ของการลงทุนเน้นคุณค่า
#TheArtAnsScienceOfValueInvesting
สิ่งที่นักลงทุนต้องระวังเกี่ยวกับการใช้วิธีการตีราคา เพราะเมื่ออุตสาหกรรมนั้นโดยรวมมีมูลค่าสูงกว่าที่ควรจะเป็นทั้งอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรม ที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีในช่วงก่อนที่จะเกิดวิกฤติดอทคอม อาจจะให้ค่า P/E หรือ P/B ที่สูงมาก ทำให้การตีราคาของทั้งอุตสาหกรรม อาจจะสูงเกินจริงไปก็เป็นได้ หรือบางอุตสาหกรรม ที่มีค่า P/E หรือ P/B อยู่ที่ระดับต่ำมาก ถ้าใช้วิธีการแบบตีราคา อาจจะทำให้การตีราคาของสินทรัพย์ในอุตสาหกรรมนั้นต่ำกว่าที่ควรจะเป็นอย่างมาก จากหนังสือ #ศิลปะและวิทยาศาสตร์ของการลงทุนเน้นคุณค่า #TheArtAnsScienceOfValueInvesting0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 6 มุมมอง 0 รีวิว - ความลำเอียงเกี่ยวกับความเหมาะสมของบุคคลก็ส่งผลด้วย การเป็นคนที่คนอื่นไม่ชอบแถมยังเป็นคนที่ไม่น่าคบหาอย่างยิ่งนั้น ส่งผลเสียหรือกระทั่งทำลายหน้าที่การงานของคุณได้เลย คนเป็นแม่อาจได้รับผลกระทบยิ่งกว่าผู้หญิงที่ไม่มีลูกเสียอีก หลักฐานหลายชิ้นชี้ว่าภาพจำาเหมารวมในเรื่องความอบอุ่นส่งผลเสียต่อคนเป็นแม่ในตลาด แรงงาน มีหลักฐานชี้ว่าคนที่ไม่น่าคบได้รับการประเมินผลงานต่ำกว่า และไม่คู่ควรกับการขึ้นเงินเดือนหรือเลื่อนตำแหน่งเท่าอีกคนที่น่าคบกว่า ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะเป็นจริงทั้งกับชายและหญิง แต่แม้เพื่อนร่วมงานจะ มีเหตุผลมากมายให้ไม่ชอบบางคน ตั้งแต่ความกลับกลอกจนถึงความ หยิ่งยโส “แต่ความสำเร็จในงานที่ไม่ได้เป็นไปตามขนบจะส่งผลให้คน ไม่ชอบหน้าแต่เฉพาะกับผู้หญิงเท่านั้น ไม่ใช่ผู้ชาย” คำกล่าวนี้เป็นของ แมเดอลีน ไฮล์แมน (Madeline Heilman) หนึ่งในนักวิจัยแถวหน้าในสาขานี้ และเราเรียบเรียงใหม่ให้ตรงกว่าเดิมได้ว่า เนื่องจากความลำเอียงของเรา เราจึงมักมีปฏิกิริยาต่อผู้หญิงที่ประสบความสำเร็จแบบเดียวกับที่เรา มีปฏิกิริยาต่อผู้ชายกลับกลอก นั่นคือ เราไม่ชอบพวกเขาและไม่อยาก ทำงานกับพวกเขา
จากหนังสือ #ออกแบบเพื่อเท่าเทียม #WhatWorksความลำเอียงเกี่ยวกับความเหมาะสมของบุคคลก็ส่งผลด้วย การเป็นคนที่คนอื่นไม่ชอบแถมยังเป็นคนที่ไม่น่าคบหาอย่างยิ่งนั้น ส่งผลเสียหรือกระทั่งทำลายหน้าที่การงานของคุณได้เลย คนเป็นแม่อาจได้รับผลกระทบยิ่งกว่าผู้หญิงที่ไม่มีลูกเสียอีก หลักฐานหลายชิ้นชี้ว่าภาพจำาเหมารวมในเรื่องความอบอุ่นส่งผลเสียต่อคนเป็นแม่ในตลาด แรงงาน มีหลักฐานชี้ว่าคนที่ไม่น่าคบได้รับการประเมินผลงานต่ำกว่า และไม่คู่ควรกับการขึ้นเงินเดือนหรือเลื่อนตำแหน่งเท่าอีกคนที่น่าคบกว่า ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะเป็นจริงทั้งกับชายและหญิง แต่แม้เพื่อนร่วมงานจะ มีเหตุผลมากมายให้ไม่ชอบบางคน ตั้งแต่ความกลับกลอกจนถึงความ หยิ่งยโส “แต่ความสำเร็จในงานที่ไม่ได้เป็นไปตามขนบจะส่งผลให้คน ไม่ชอบหน้าแต่เฉพาะกับผู้หญิงเท่านั้น ไม่ใช่ผู้ชาย” คำกล่าวนี้เป็นของ แมเดอลีน ไฮล์แมน (Madeline Heilman) หนึ่งในนักวิจัยแถวหน้าในสาขานี้ และเราเรียบเรียงใหม่ให้ตรงกว่าเดิมได้ว่า เนื่องจากความลำเอียงของเรา เราจึงมักมีปฏิกิริยาต่อผู้หญิงที่ประสบความสำเร็จแบบเดียวกับที่เรา มีปฏิกิริยาต่อผู้ชายกลับกลอก นั่นคือ เราไม่ชอบพวกเขาและไม่อยาก ทำงานกับพวกเขา จากหนังสือ #ออกแบบเพื่อเท่าเทียม #WhatWorks0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 6 มุมมอง 0 รีวิว - แต่ก่อนเวลาเขียนบทความ ผมมักไม่ค่อยมีหลักการ เขียนสะเปะ สะปะตามใจชอบเสียมาก หลังจากอ่านหนังสือชื่อ "The Pyramid Principle" และ "Logical Thinking and Writing” จึงเริ่มตระหนักว่า จะฝึกให้ตัวเองรู้วิธีคิดโครงร่างบทความแล้วค่อยลงมือเขียนได้อย่างไร เช่นนี้ทำให้ผมเขียนได้เร็วขึ้นและมีเหตุมีผลมากขึ้น
จากหนังสือ #EffectiveEfforts #พยายามถูกวิธีมีแต่สำเร็จ
แต่ก่อนเวลาเขียนบทความ ผมมักไม่ค่อยมีหลักการ เขียนสะเปะ สะปะตามใจชอบเสียมาก หลังจากอ่านหนังสือชื่อ "The Pyramid Principle" และ "Logical Thinking and Writing” จึงเริ่มตระหนักว่า จะฝึกให้ตัวเองรู้วิธีคิดโครงร่างบทความแล้วค่อยลงมือเขียนได้อย่างไร เช่นนี้ทำให้ผมเขียนได้เร็วขึ้นและมีเหตุมีผลมากขึ้น จากหนังสือ #EffectiveEfforts #พยายามถูกวิธีมีแต่สำเร็จ0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 8 มุมมอง 0 รีวิว - วิธีคิดของ Ingvar Kamprad (ผู้ก่อตั้ง IKEA) ตอนที่เดินดูตลาดในปักกิ่ง
เขามองเห็นไก่สุดไม่มีขนวางขายเต็มไปหมด ก็เกิดคำถามว่า “พวกเขาเอาขนไก่ไปทำอะไรหมด” แล้วมารู้ภายหลังว่านำไปทิ้ง
จากนั้นไม่นาน IKEA ก็ผลิตผ้านวมขนไก่ ซึ่งถูกกว่าขนเปิด ขน ห่าน
จากหนังสือ #จิบความคิดสะกิดไอเดียวิธีคิดของ Ingvar Kamprad (ผู้ก่อตั้ง IKEA) ตอนที่เดินดูตลาดในปักกิ่ง เขามองเห็นไก่สุดไม่มีขนวางขายเต็มไปหมด ก็เกิดคำถามว่า “พวกเขาเอาขนไก่ไปทำอะไรหมด” แล้วมารู้ภายหลังว่านำไปทิ้ง จากนั้นไม่นาน IKEA ก็ผลิตผ้านวมขนไก่ ซึ่งถูกกว่าขนเปิด ขน ห่าน จากหนังสือ #จิบความคิดสะกิดไอเดีย0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 8 มุมมอง 0 รีวิว - คุณรู้หรือไม่ว่าฟูเปียวมีเงินมากกว่าคุณแต่เขาต้องเปลี่ยนไต 2 ครั้ง สุดท้ายก็ลาจากโลกไป เหม่ยเยียนฟังก็มีเงินมากกว่าคุณ แต่เธอต้องจ้างหมอเฉพาะทางทั้งในและนอกประเทศ สุดท้ายมะเร็งปากมดลูกก็ทำให้เธอลาจากโลกนี้ไป
เฉินเสี่ยวสวี้ก็มีเงินมากกว่าคุณ สุดท้ายมะเร็งเต้านมก็พราก เธอไปจากโลกนี้ หวังจวินเหยาก็มีเงินมากกว่าคุณประมาณ 3,500 ล้าน แต่เขาก็ซื้อชีวิตจากมะเร็งลำไส้ใหญ่ไม่ได้ สุดท้ายเขาก็จากโลกนี้ไป
จางเชิงอวี่ประธานกรรมการบริษัทถงเหรินถังแห่งนครปักกิ่ง มีความเชี่ยวชาญการรักษาโรคมากกว่าคุณ อยู่ๆ เขาก็หัวใจวาย เฉียบพลัน ตายจากโลกนี้ทั้งๆ ที่อายุแค่ 39 ปี หนันหมินประธาน กรรมการบริษัทจงฟากรุ๊ปแห่งนครเซี่ยงไฮ้จากโลกนี้ไปด้วยโรค เส้นเลือดในสมองแตก ทั้งๆ ที่อายุแค่ 37 ปี
ผมขอให้คุณระลึกไว้นะครับว่า
จงอย่าเอาแรงกดดันมาเป็นแรงขับเคลื่อนใช้ร่างกายจนเกิน กำลัง การทำร้ายร่างกายกลายเป็นเรื่องโง่เขลาเป็นที่สุด จงอย่าลืมว่า สุขภาพดีคือต้นทุน หากร่างกายไม่แข็งแรงคุณจะใช้ชีวิตอย่าง ความสุขได้อย่างไร
จากหนังสือ #100วิชายอดคนที่ห้องเรียนไม่มีสอน
คุณรู้หรือไม่ว่าฟูเปียวมีเงินมากกว่าคุณแต่เขาต้องเปลี่ยนไต 2 ครั้ง สุดท้ายก็ลาจากโลกไป เหม่ยเยียนฟังก็มีเงินมากกว่าคุณ แต่เธอต้องจ้างหมอเฉพาะทางทั้งในและนอกประเทศ สุดท้ายมะเร็งปากมดลูกก็ทำให้เธอลาจากโลกนี้ไป เฉินเสี่ยวสวี้ก็มีเงินมากกว่าคุณ สุดท้ายมะเร็งเต้านมก็พราก เธอไปจากโลกนี้ หวังจวินเหยาก็มีเงินมากกว่าคุณประมาณ 3,500 ล้าน แต่เขาก็ซื้อชีวิตจากมะเร็งลำไส้ใหญ่ไม่ได้ สุดท้ายเขาก็จากโลกนี้ไป จางเชิงอวี่ประธานกรรมการบริษัทถงเหรินถังแห่งนครปักกิ่ง มีความเชี่ยวชาญการรักษาโรคมากกว่าคุณ อยู่ๆ เขาก็หัวใจวาย เฉียบพลัน ตายจากโลกนี้ทั้งๆ ที่อายุแค่ 39 ปี หนันหมินประธาน กรรมการบริษัทจงฟากรุ๊ปแห่งนครเซี่ยงไฮ้จากโลกนี้ไปด้วยโรค เส้นเลือดในสมองแตก ทั้งๆ ที่อายุแค่ 37 ปี ผมขอให้คุณระลึกไว้นะครับว่า จงอย่าเอาแรงกดดันมาเป็นแรงขับเคลื่อนใช้ร่างกายจนเกิน กำลัง การทำร้ายร่างกายกลายเป็นเรื่องโง่เขลาเป็นที่สุด จงอย่าลืมว่า สุขภาพดีคือต้นทุน หากร่างกายไม่แข็งแรงคุณจะใช้ชีวิตอย่าง ความสุขได้อย่างไร จากหนังสือ #100วิชายอดคนที่ห้องเรียนไม่มีสอน0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 9 มุมมอง 0 รีวิว - แม้ว่าอัตลักษณ์ของบริษัทจะมีโอกาสก่อให้เกิดการต่อต้านการเปลี่ยนแปลง อย่างแข็งขัน แต่ในปี 2020 ฟิลิปส์ก็ไม่ได้จำหน่ายผลิตภัณฑ์ส่องสว่างใดๆ อีกต่อไป ธุรกิจ 3 ส่วนของบริษัทซึ่งคิดเป็น 98% ของยอดขาย ได้แก่ การวินิจฉัยและ การรักษา การดูแลแบบเชื่อมโยง และสุขภาพส่วนบุคคล
ปัจจุบัน ฟิลิปส์เป็นบริษัทด้านการดูแลสุขภาพที่มียอดขายต่อปีเกือบ 2 หมื่นล้านยูโร
จากหนังสือ #ศาสตร์แห่งการตัดสินใจเมื่อไหร่ควรยอมยกธง #Quit #ThePowerOfKnowingWhenToWalkAway
แม้ว่าอัตลักษณ์ของบริษัทจะมีโอกาสก่อให้เกิดการต่อต้านการเปลี่ยนแปลง อย่างแข็งขัน แต่ในปี 2020 ฟิลิปส์ก็ไม่ได้จำหน่ายผลิตภัณฑ์ส่องสว่างใดๆ อีกต่อไป ธุรกิจ 3 ส่วนของบริษัทซึ่งคิดเป็น 98% ของยอดขาย ได้แก่ การวินิจฉัยและ การรักษา การดูแลแบบเชื่อมโยง และสุขภาพส่วนบุคคล ปัจจุบัน ฟิลิปส์เป็นบริษัทด้านการดูแลสุขภาพที่มียอดขายต่อปีเกือบ 2 หมื่นล้านยูโร จากหนังสือ #ศาสตร์แห่งการตัดสินใจเมื่อไหร่ควรยอมยกธง #Quit #ThePowerOfKnowingWhenToWalkAway0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 9 มุมมอง 0 รีวิว - คุณคือพลาซีโบ You Are The Placebo (2025/105)
ดร.โจ ดิสเพนสซา ผู้ที่ศึกษาเรื่องเกี่ยวกับพลังที่ทรงประสิทธิภาพที่สมองมนุษย์เราทำให้เราได้ แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่เป็นวิทยาศาสตร์แท้ๆ ดร.โจ ประสบความมหัสจรรย์เหล่านี้ด้วยตัวเอง ตอนที่เขาอายุ 23ปี เขากำลังลงแข่งขันไตรกีฬาอยู่ ขณะที่อยู่ในช่วงปั่นจักรยานแล้วก็มีรถเอสยูวีที่ขับโดยคุณยายคนหนึ่งชนเขาเต็มๆและลากเขาไปด้วยอีกระยะหนึ่ง ผลของอุบัติเหตุครั้งนี้คือ รถจักรยานพังยับ แต่ตัว ดร.โจ อาการหนักเลย เพราะกระดูกสันหลังหัก 6ข้อ กระดูกลำตัวถูกบีบ และมีกระดูดที่เอวถูกบีบด้วยเช่นกัน เมื่อไปหาหมอหลายที่คุณหมอพูดเป็นแบบเดียวกันว่า ต้องดามกระดูกสันหลังและที่เอวด้วยแท่งสเตนเลส และเขาจะต้องเจ็บปวดจากการรักษาแบบนี้ไปตลอดชีวิต ….
ดร.โจ ตัดสินใจไม่รักษาด้วยการผ่าตัด เขามีความเชื่อว่าสมองของเขาสามารถสั่งฮอร์โมนให้ยีนและเซลในร่างกายรักษาตัวเองได้ ซึ่งการรักษาที่ว่าใช้การทำสมาธิแบบเข้มข้น หลังจากอุบัติเหตุ 9 สัปดาห์ครึ่ง เขาสามารถลุกขึ้นมาเดินได้ และหลังจากสัปดาห์ที่ 12 เขาไม่รู้สึกปวดอีกเลย หนังสือเล่มนี้กำลังจะบอกคุณว่าพลังภายในที่เกิดจากสมองมีผลต่อร่างกายเกินกว่าที่พวกเราคิดมากๆ
แน่นอนว่าหลังจาก ดร.โจ หายจากอาการบาดเจ็บรุนแรงจากอุบัติเหตุ เขาพยายามศึกษาค้นคว้าเรื่องเกี่ยวกับสมอง จนมีข้อมูลสนับสนุนมากมายมหาศาล เขาเขียนหนังสือออกมาก และทำภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับความวิเศษของสมองมนุษย์ ที่สามารถเยียวยารักษาโรคที่ไม่สามารถหายขาดได้อย่างมหัศจรรย์
พลาซิโบ คือ ยาหลอก ที่ใช้ในการทดสอบทางการแพทย์ เพื่อที่จะดูว่าผู้ป่วยที่ได้รับยาหลอก เช่น น้ำเกลือ เม็ดน้ำตาล รวมถึงแผลผ่าตัดที่กรีดออกมาแล้วเย็บกลับไปโดยที่ไม่ทำการผ่านตัดจริง ส่งผลต่อผู้ป่วยมากน้อยเพียงใด
บทสรุปที่ ดร.โจ สรุปได้คือยาหลอกให้ผลทางการรักษาได้จริง ถึงแม้ว่าไม่เท่ากับการรักษาแต่กลับพบว่าสามารถบรรเทาการเจ็บปวดหรือสร้างความรู้สึกที่ดีเท่ากับการรักษาจริงๆ ในสัดส่วนพอสมควร ดังนั้น ดร.โจ จึงต้องไปหาเหตุผลต่อว่าทำไมผู้ป่วยจึงอาการดีขึ้นทั้งๆที่ไม่ได้ทำการรักษา และเขาก็พบว่าสมองของมนุษย์สามารถเหนี่ยวนำใหร่างกายรักษาตัวเองได้ และเขาศึกษาลึกเข้าไปอีกว่าทำอย่างไรจึงทำให้สมองเพิ่มความสามารถพิเศษได้แบบนี้ และดร.โจ ก็พบว่าการทำสมาธิที่เข้มข้น ส่งผลมากมายต่อร่างกาย เขารักษาผู้ป่วยที่เป็นโรคที่รักษาไม่ได้จำนวนมาก และเขายังร่วมกับผู้เชี่ยวชาญทางด้านเครื่องมือวัดคลื่นสมองเพื่อวัด คลื่นสมองของผู้ป่วยที่เขาดูแลอยู่ในขณะที่อยู่ในสถานะก่อนทำสมาธิกับอยู่ระหว่างทำสมาธิ ซึ่งเมื่อทำสมาธิเข้มข้นแล้วทำให้ผู้ป่วยเหล่านั้นอาการดีขึ้น จนถึงขั้นหายเจ็บป่วยได้อย่างเหลือเชื่อ
ดังนั้นมีเหตุผลมากมายที่จะทำให้ผู้อ่านเชื่อว่า ถ้าคุณจดจ่อและมีสมาธิ ตัวคุณผู้อ่านเองนั่นแหละ คือ พลาซิโบ
#คุณคือพลาซีโบ #YouAreThePlacebo #รีวิวหนังสือคุณคือพลาซีโบ You Are The Placebo (2025/105) ดร.โจ ดิสเพนสซา ผู้ที่ศึกษาเรื่องเกี่ยวกับพลังที่ทรงประสิทธิภาพที่สมองมนุษย์เราทำให้เราได้ แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่เป็นวิทยาศาสตร์แท้ๆ ดร.โจ ประสบความมหัสจรรย์เหล่านี้ด้วยตัวเอง ตอนที่เขาอายุ 23ปี เขากำลังลงแข่งขันไตรกีฬาอยู่ ขณะที่อยู่ในช่วงปั่นจักรยานแล้วก็มีรถเอสยูวีที่ขับโดยคุณยายคนหนึ่งชนเขาเต็มๆและลากเขาไปด้วยอีกระยะหนึ่ง ผลของอุบัติเหตุครั้งนี้คือ รถจักรยานพังยับ แต่ตัว ดร.โจ อาการหนักเลย เพราะกระดูกสันหลังหัก 6ข้อ กระดูกลำตัวถูกบีบ และมีกระดูดที่เอวถูกบีบด้วยเช่นกัน เมื่อไปหาหมอหลายที่คุณหมอพูดเป็นแบบเดียวกันว่า ต้องดามกระดูกสันหลังและที่เอวด้วยแท่งสเตนเลส และเขาจะต้องเจ็บปวดจากการรักษาแบบนี้ไปตลอดชีวิต …. ดร.โจ ตัดสินใจไม่รักษาด้วยการผ่าตัด เขามีความเชื่อว่าสมองของเขาสามารถสั่งฮอร์โมนให้ยีนและเซลในร่างกายรักษาตัวเองได้ ซึ่งการรักษาที่ว่าใช้การทำสมาธิแบบเข้มข้น หลังจากอุบัติเหตุ 9 สัปดาห์ครึ่ง เขาสามารถลุกขึ้นมาเดินได้ และหลังจากสัปดาห์ที่ 12 เขาไม่รู้สึกปวดอีกเลย หนังสือเล่มนี้กำลังจะบอกคุณว่าพลังภายในที่เกิดจากสมองมีผลต่อร่างกายเกินกว่าที่พวกเราคิดมากๆ แน่นอนว่าหลังจาก ดร.โจ หายจากอาการบาดเจ็บรุนแรงจากอุบัติเหตุ เขาพยายามศึกษาค้นคว้าเรื่องเกี่ยวกับสมอง จนมีข้อมูลสนับสนุนมากมายมหาศาล เขาเขียนหนังสือออกมาก และทำภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับความวิเศษของสมองมนุษย์ ที่สามารถเยียวยารักษาโรคที่ไม่สามารถหายขาดได้อย่างมหัศจรรย์ พลาซิโบ คือ ยาหลอก ที่ใช้ในการทดสอบทางการแพทย์ เพื่อที่จะดูว่าผู้ป่วยที่ได้รับยาหลอก เช่น น้ำเกลือ เม็ดน้ำตาล รวมถึงแผลผ่าตัดที่กรีดออกมาแล้วเย็บกลับไปโดยที่ไม่ทำการผ่านตัดจริง ส่งผลต่อผู้ป่วยมากน้อยเพียงใด บทสรุปที่ ดร.โจ สรุปได้คือยาหลอกให้ผลทางการรักษาได้จริง ถึงแม้ว่าไม่เท่ากับการรักษาแต่กลับพบว่าสามารถบรรเทาการเจ็บปวดหรือสร้างความรู้สึกที่ดีเท่ากับการรักษาจริงๆ ในสัดส่วนพอสมควร ดังนั้น ดร.โจ จึงต้องไปหาเหตุผลต่อว่าทำไมผู้ป่วยจึงอาการดีขึ้นทั้งๆที่ไม่ได้ทำการรักษา และเขาก็พบว่าสมองของมนุษย์สามารถเหนี่ยวนำใหร่างกายรักษาตัวเองได้ และเขาศึกษาลึกเข้าไปอีกว่าทำอย่างไรจึงทำให้สมองเพิ่มความสามารถพิเศษได้แบบนี้ และดร.โจ ก็พบว่าการทำสมาธิที่เข้มข้น ส่งผลมากมายต่อร่างกาย เขารักษาผู้ป่วยที่เป็นโรคที่รักษาไม่ได้จำนวนมาก และเขายังร่วมกับผู้เชี่ยวชาญทางด้านเครื่องมือวัดคลื่นสมองเพื่อวัด คลื่นสมองของผู้ป่วยที่เขาดูแลอยู่ในขณะที่อยู่ในสถานะก่อนทำสมาธิกับอยู่ระหว่างทำสมาธิ ซึ่งเมื่อทำสมาธิเข้มข้นแล้วทำให้ผู้ป่วยเหล่านั้นอาการดีขึ้น จนถึงขั้นหายเจ็บป่วยได้อย่างเหลือเชื่อ ดังนั้นมีเหตุผลมากมายที่จะทำให้ผู้อ่านเชื่อว่า ถ้าคุณจดจ่อและมีสมาธิ ตัวคุณผู้อ่านเองนั่นแหละ คือ พลาซิโบ #คุณคือพลาซีโบ #YouAreThePlacebo #รีวิวหนังสือ0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 8 มุมมอง 0 รีวิว - การที่นักประดิษฐ์อย่าง Thomas Alva Edison ยื่นขอสิทธิบัตรส่วนบุคคลได้ถึง 1,083 ใบ ซึ่งถือเป็นจำนวนมากที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา ก็เพราะเขาได้ให้ความ สำคัญกับ “ปริมาณ” ในการสร้างไอเดีย ซึ่งถูกบันทึกไว้ในสมุดโน้ตถึง 3,500 เล่ม
โอเดียส่วนใหญ่นั้นเป็นไอเดีย “แย่ๆ” ที่นำมาใช้งานจริงไม่ได้ แต่การที่เขาให้ความ สำคัญด้านปริมาณไอเดียเพียงส่วนน้อยจากทั้งหมดนั้นก็ส่งผลให้เขาประสบความสำเร็จ
ฟังดูแล้วอาจตรงข้ามกับที่ควรจะเป็นก็จริง แต่ทางลัดสำหรับการหาไอเดียใหม่ๆ นั้นไม่ได้อยู่ที่การหาวิธีสร้างไอเดียที่ดี แต่ควรให้ความสำคัญกับการสร้างไอเดีย แย่ๆ ให้ได้เยอะ ๆ มากกว่า
จากหนังสือ #MoveOn #ชีวิตเริ่มคิดแบบเล็กๆ #LifeHacksการที่นักประดิษฐ์อย่าง Thomas Alva Edison ยื่นขอสิทธิบัตรส่วนบุคคลได้ถึง 1,083 ใบ ซึ่งถือเป็นจำนวนมากที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา ก็เพราะเขาได้ให้ความ สำคัญกับ “ปริมาณ” ในการสร้างไอเดีย ซึ่งถูกบันทึกไว้ในสมุดโน้ตถึง 3,500 เล่ม โอเดียส่วนใหญ่นั้นเป็นไอเดีย “แย่ๆ” ที่นำมาใช้งานจริงไม่ได้ แต่การที่เขาให้ความ สำคัญด้านปริมาณไอเดียเพียงส่วนน้อยจากทั้งหมดนั้นก็ส่งผลให้เขาประสบความสำเร็จ ฟังดูแล้วอาจตรงข้ามกับที่ควรจะเป็นก็จริง แต่ทางลัดสำหรับการหาไอเดียใหม่ๆ นั้นไม่ได้อยู่ที่การหาวิธีสร้างไอเดียที่ดี แต่ควรให้ความสำคัญกับการสร้างไอเดีย แย่ๆ ให้ได้เยอะ ๆ มากกว่า จากหนังสือ #MoveOn #ชีวิตเริ่มคิดแบบเล็กๆ #LifeHacks0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 9 มุมมอง 0 รีวิว - พวกที่โกรธยังกลัวอีกด้วย พวกเขาอาจจะดูเหมือนมั่นอกมั่นใจในโทสะของตัวเอง แต่พวกเขาทำลายข้าวของเพราะความกลัวต่างหาก พวกเขาไม่มีศรัทธาในความสามารถในการอยู่รอดจากความหงุดหงิดและเรียกความ สงบมาสู่จิตใจ ถึงแม้บางอย่างอาจจะเป็นความเสียหายที่สำคัญมากจริงๆก็ตาม พวกเขาขาดความเข้าใจของการฟื้นตัว ว่าความผิดพลาดและความเสียหายสามารถได้รับการเยียวยา แบกรับ และเอาชนะได้ด้วยความใจเย็น ความรัก และเวลาที่มากพอ
จากหนังสือ #คนทํางานผู้มีความฉลาดทางอารมณ์ #TheEmotionallyIntelligentOfficeพวกที่โกรธยังกลัวอีกด้วย พวกเขาอาจจะดูเหมือนมั่นอกมั่นใจในโทสะของตัวเอง แต่พวกเขาทำลายข้าวของเพราะความกลัวต่างหาก พวกเขาไม่มีศรัทธาในความสามารถในการอยู่รอดจากความหงุดหงิดและเรียกความ สงบมาสู่จิตใจ ถึงแม้บางอย่างอาจจะเป็นความเสียหายที่สำคัญมากจริงๆก็ตาม พวกเขาขาดความเข้าใจของการฟื้นตัว ว่าความผิดพลาดและความเสียหายสามารถได้รับการเยียวยา แบกรับ และเอาชนะได้ด้วยความใจเย็น ความรัก และเวลาที่มากพอ จากหนังสือ #คนทํางานผู้มีความฉลาดทางอารมณ์ #TheEmotionallyIntelligentOffice0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 9 มุมมอง 0 รีวิว - เมล็ดพันธุ์ของพระเจ้าอยู่ในเรา ให้ชาวนาที่ฉลาดและขยันขันแข็งมันจะเจริญรุ่งเรืองและเติบโตไปหาพระเจ้า ผู้เป็นเมล็ดพันธุ์นั้น และดังนั้นผลของมันก็จะเป็นเทวภาพ เมล็ด แพร์เติบโตขึ้นเป็นต้นแพร์ เมล็ดนัทเป็นต้นนัท และเมล็ดพระเจ้าเป็นพระเจ้า
เอ็กคาร์ด
จากหนังสือ #ThePerennialPhilosophy #ปรัชญานิรันดร์กาลเมล็ดพันธุ์ของพระเจ้าอยู่ในเรา ให้ชาวนาที่ฉลาดและขยันขันแข็งมันจะเจริญรุ่งเรืองและเติบโตไปหาพระเจ้า ผู้เป็นเมล็ดพันธุ์นั้น และดังนั้นผลของมันก็จะเป็นเทวภาพ เมล็ด แพร์เติบโตขึ้นเป็นต้นแพร์ เมล็ดนัทเป็นต้นนัท และเมล็ดพระเจ้าเป็นพระเจ้า เอ็กคาร์ด จากหนังสือ #ThePerennialPhilosophy #ปรัชญานิรันดร์กาล0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 9 มุมมอง 0 รีวิว - แพทย์ผิวหนังกลุ่มหนึ่งในสวีเดนถึงขั้นทำการทดลองทางคลินิก เพื่อศึกษาว่าชื่อยี่ห้อและบรรจุภัณฑ์ของมอยส์เจอไรเซอร์สำหรับใบหน้า มีผลต่อตัวผลิตภัณฑ์หรือต่อเสียงตอบรับว่ามันใช้ “ได้ผล” หรือไม่ ผู้เข้าร่วมการทดลองทามอยส์เจอไรเซอร์สำหรับใบหน้าวันละสองครั้งนานหกสัปดาห์ โดยระหว่างนั้นก็ยังคงแต่งหน้าและล้างหน้าตามปกติ นักวิจัยสุ่มแบ่งคนทั้งหมดเป็นสามกลุ่มโดยให้ครีมแต่ละกลุ่มต่างชนิดกัน กลุ่ม A ได้ใช้ชาแนลพรีซิชั่นอัลตราคอร์เรกชั่นรีสตรักเจอริงแอนติ-ริงเกิลเฟิร์มมิงครีม SPF 10 กระปุกใหม่เอี่ยม (ราคาขายปลีก 105 ปอนด์สำหรับ ขนาด 50 มิลลิลิตร) กลุ่ม B ได้กระปุกและบรรจุภัณฑ์ของชาแนลเหมือน กลุ่มแรกแต่ตัวครีมข้างในใส่มอยส์เจอไรเซอร์ราคาถูกทั่วไปแทน (อาโกเฟซครีม ราคาขายปลีก 15.75 ปอนด์สำหรับขนาด 50 มิลลิลิตร) ซึ่งมีสีเหมือนครีมชาแนล กลุ่มที่สามคือกลุ่ม C ได้ครีมชาแนลของแท้ในกระปุกสีขาวเรียบง่าย
เมื่อครบหกสัปดาห์ พบว่ากลุ่ม A และกลุ่ม B ซึ่งได้ครีมในบรรจุภัณฑ์ชาแนลใช้ครีมในปริมาณที่มากกว่ากลุ่ม C อย่างมีนัยสำคัญ กลุ่ม B ให้คะแนนการซึมซาบของครีม (ครีมราคาถูก) ไว้สูงกว่าอีกสองกลุ่มอย่างมีนัยสำคัญ อีกทั้งยังมีแนวโน้มที่จะรู้สึกว่าครีมนี้เป็นครีม “หรู” มากกว่ากลุ่มอื่นด้วย ผู้เข้าร่วมการทดลองกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ ไม่คิดว่าครีม (ทั้งหมด) ช่วยแก้ปัญหารอยย่นของตัวเองได้ ผู้สังเกตการณ์ที่ฝึกอบรมมาพบว่าสัญญาณความแก่ชราในทุกกลุ่มไม่มีการเปลี่ยนแปลงสำคัญใดๆ หลังครบหกสัปดาห์
โดยสรุปก็คือ มอยส์เจอไรเซอร์ราคาแพงไม่ได้ “มอบความชุ่มชื้น” ได้ดีกว่าหรือแก้ปัญหารอยย่นได้มีประสิทธิภาพมากกว่ามอยส์เจอไรเซอร์ราคาถูก
จากหนังสือ #ศาสตร์แห่งผิวไม่ผิวเผิน #Skintelligentแพทย์ผิวหนังกลุ่มหนึ่งในสวีเดนถึงขั้นทำการทดลองทางคลินิก เพื่อศึกษาว่าชื่อยี่ห้อและบรรจุภัณฑ์ของมอยส์เจอไรเซอร์สำหรับใบหน้า มีผลต่อตัวผลิตภัณฑ์หรือต่อเสียงตอบรับว่ามันใช้ “ได้ผล” หรือไม่ ผู้เข้าร่วมการทดลองทามอยส์เจอไรเซอร์สำหรับใบหน้าวันละสองครั้งนานหกสัปดาห์ โดยระหว่างนั้นก็ยังคงแต่งหน้าและล้างหน้าตามปกติ นักวิจัยสุ่มแบ่งคนทั้งหมดเป็นสามกลุ่มโดยให้ครีมแต่ละกลุ่มต่างชนิดกัน กลุ่ม A ได้ใช้ชาแนลพรีซิชั่นอัลตราคอร์เรกชั่นรีสตรักเจอริงแอนติ-ริงเกิลเฟิร์มมิงครีม SPF 10 กระปุกใหม่เอี่ยม (ราคาขายปลีก 105 ปอนด์สำหรับ ขนาด 50 มิลลิลิตร) กลุ่ม B ได้กระปุกและบรรจุภัณฑ์ของชาแนลเหมือน กลุ่มแรกแต่ตัวครีมข้างในใส่มอยส์เจอไรเซอร์ราคาถูกทั่วไปแทน (อาโกเฟซครีม ราคาขายปลีก 15.75 ปอนด์สำหรับขนาด 50 มิลลิลิตร) ซึ่งมีสีเหมือนครีมชาแนล กลุ่มที่สามคือกลุ่ม C ได้ครีมชาแนลของแท้ในกระปุกสีขาวเรียบง่าย เมื่อครบหกสัปดาห์ พบว่ากลุ่ม A และกลุ่ม B ซึ่งได้ครีมในบรรจุภัณฑ์ชาแนลใช้ครีมในปริมาณที่มากกว่ากลุ่ม C อย่างมีนัยสำคัญ กลุ่ม B ให้คะแนนการซึมซาบของครีม (ครีมราคาถูก) ไว้สูงกว่าอีกสองกลุ่มอย่างมีนัยสำคัญ อีกทั้งยังมีแนวโน้มที่จะรู้สึกว่าครีมนี้เป็นครีม “หรู” มากกว่ากลุ่มอื่นด้วย ผู้เข้าร่วมการทดลองกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ ไม่คิดว่าครีม (ทั้งหมด) ช่วยแก้ปัญหารอยย่นของตัวเองได้ ผู้สังเกตการณ์ที่ฝึกอบรมมาพบว่าสัญญาณความแก่ชราในทุกกลุ่มไม่มีการเปลี่ยนแปลงสำคัญใดๆ หลังครบหกสัปดาห์ โดยสรุปก็คือ มอยส์เจอไรเซอร์ราคาแพงไม่ได้ “มอบความชุ่มชื้น” ได้ดีกว่าหรือแก้ปัญหารอยย่นได้มีประสิทธิภาพมากกว่ามอยส์เจอไรเซอร์ราคาถูก จากหนังสือ #ศาสตร์แห่งผิวไม่ผิวเผิน #Skintelligent0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 9 มุมมอง 0 รีวิว - การเอาแต่สนใจความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นทั้งที่ประชากรหลายร้อยล้านคนยังใช้ชีวิตอยู่กับความยากจนอาจจะดูแปลกไปสักหน่อย แต่ความจริงแล้วสัดส่วนของประชากรที่ยังชีพด้วยเงินไม่ถึง 1 ดอลลาร์ต่อวันสดลงจาก 40 เปอร์เซ็นต์ในปี 1981 เหลือเพียง 18 เปอร์เซ็นต์ในปี 2004 และคาดว่าจะลดลงเหลือ 12 เปอร์เซ็นต์ในปี 2015 การเติบโตของจีนเพียงประเทศเดียวทำให้ประชาชนกว่า 400 ล้านคนหลุดพ้นจากความยากจน ส่วนประเทศอื่นๆ ที่มีประชากรคิดรวมกันเป็นสัดส่วน 80 เปอร์ เซ็นต์ของโลกก็ล้วนมีปัญหาความยากจนน้อยลง ขณะที่ประเทศที่ยากจนสุดขีดจนต้องมีการแก้ไขอย่างเร่งด่วนลดลงเหลือแค่ 50 ประเทศ ส่วนในอีก 142 ประเทศที่เหลือ ซึ่งรวมถึงจีน อินเดีย บราซิล รัสเซีย อินโดนีเซีย ตุรกี เคนยา และแอฟริกาใต้นั้น คนจนกำลังปรับตัวให้เข้ากับระบบเศรษฐกิจที่กำลังเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไป นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่เราได้เห็นเศรษฐกิจทั่วโลกเติบโตขึ้นอย่างแท้จริง ซึ่งทำให้เกิดระบบสากลที่ประเทศต่างๆ ไม่ใช่ผู้ถูกกระทำหรือผู้สังเกตการณ์อีกต่อไปแล้ว แต่เป็นผู้เล่นที่มีบทบาทเป็นของตัวเองต่างหาก การจัด ระเบียบโลกอย่างแท้จริงจึงถือกำเนิดขึ้น
จากหนังสือ #เมื่อโลกไม่ได้หมุนรอบอเมริกา #ThePostAmericanWorldการเอาแต่สนใจความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นทั้งที่ประชากรหลายร้อยล้านคนยังใช้ชีวิตอยู่กับความยากจนอาจจะดูแปลกไปสักหน่อย แต่ความจริงแล้วสัดส่วนของประชากรที่ยังชีพด้วยเงินไม่ถึง 1 ดอลลาร์ต่อวันสดลงจาก 40 เปอร์เซ็นต์ในปี 1981 เหลือเพียง 18 เปอร์เซ็นต์ในปี 2004 และคาดว่าจะลดลงเหลือ 12 เปอร์เซ็นต์ในปี 2015 การเติบโตของจีนเพียงประเทศเดียวทำให้ประชาชนกว่า 400 ล้านคนหลุดพ้นจากความยากจน ส่วนประเทศอื่นๆ ที่มีประชากรคิดรวมกันเป็นสัดส่วน 80 เปอร์ เซ็นต์ของโลกก็ล้วนมีปัญหาความยากจนน้อยลง ขณะที่ประเทศที่ยากจนสุดขีดจนต้องมีการแก้ไขอย่างเร่งด่วนลดลงเหลือแค่ 50 ประเทศ ส่วนในอีก 142 ประเทศที่เหลือ ซึ่งรวมถึงจีน อินเดีย บราซิล รัสเซีย อินโดนีเซีย ตุรกี เคนยา และแอฟริกาใต้นั้น คนจนกำลังปรับตัวให้เข้ากับระบบเศรษฐกิจที่กำลังเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไป นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่เราได้เห็นเศรษฐกิจทั่วโลกเติบโตขึ้นอย่างแท้จริง ซึ่งทำให้เกิดระบบสากลที่ประเทศต่างๆ ไม่ใช่ผู้ถูกกระทำหรือผู้สังเกตการณ์อีกต่อไปแล้ว แต่เป็นผู้เล่นที่มีบทบาทเป็นของตัวเองต่างหาก การจัด ระเบียบโลกอย่างแท้จริงจึงถือกำเนิดขึ้น จากหนังสือ #เมื่อโลกไม่ได้หมุนรอบอเมริกา #ThePostAmericanWorld0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 14 มุมมอง 0 รีวิว - ระดับความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดของเธอตกไปที่ร้อยละ 92 ซึ่งก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมากมาย แต่แน่นอนว่าไม่ใช่ระดับปกติ สำหรับผู้ป่วยที่ได้รับการช่วยหายใจอยู่ ผมตรวจสอบดูว่าตัวรับสัญญาณ (sensor) หลุดออกจากนิ้วของเธอหรือไม่ ซึ่งมันก็ไม่ได้หลุด “เราเปิดออกซิเจนเต็มที่แล้วหรือยัง?” ผมถามพยาบาล “เปิดจนสุดทางแล้ว” เธอบอก
ผมฟังปอดเธออีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าผู้ป่วยไม่มีอาการปอดแฟบ “เราจะต้องใส่ท่อช่วยหายใจให้ได้” จอห์นส์บอกเขาถอดหน้ากาก ออกซิเจนและพยายามอีกครั้ง
ถึงตอนนี้ ผมควรจะต้องรู้ในที่ไหนสักแห่งในหัวของผมแล้วว่า มีความเป็นไปได้ที่ทางเดินหายใจของเธออาจจะอุดตันเพราะสายเสียงบวมหรือเพราะเลือดออกมาก ถ้าเป็นเช่นนั้น เราก็ไม่สามารถใส่ท่อช่วย หายใจได้ และโอกาสเดียวที่เธอจะมีชีวิตรอดได้คือการผ่าตัดหลอดลมฉุกเฉิน (emergency tracheostomy) ซึ่งเราจะทำให้เกิดรูตรงคอของเธอ และใส่ท่อหายใจลงไปในหลอดลมโดยตรง ความพยายามที่จะใส่ท่อช่วยหายใจทางปากอีกครั้งอาจทำให้สายเสียงกระตุกเกร็งและทำให้ทางเดิน หายใจปิดลงอย่างกะทันหันซึ่งนั่นก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ
จากหนังสือ #เหยื่อหมอ? #Complicationsระดับความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดของเธอตกไปที่ร้อยละ 92 ซึ่งก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมากมาย แต่แน่นอนว่าไม่ใช่ระดับปกติ สำหรับผู้ป่วยที่ได้รับการช่วยหายใจอยู่ ผมตรวจสอบดูว่าตัวรับสัญญาณ (sensor) หลุดออกจากนิ้วของเธอหรือไม่ ซึ่งมันก็ไม่ได้หลุด “เราเปิดออกซิเจนเต็มที่แล้วหรือยัง?” ผมถามพยาบาล “เปิดจนสุดทางแล้ว” เธอบอก ผมฟังปอดเธออีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าผู้ป่วยไม่มีอาการปอดแฟบ “เราจะต้องใส่ท่อช่วยหายใจให้ได้” จอห์นส์บอกเขาถอดหน้ากาก ออกซิเจนและพยายามอีกครั้ง ถึงตอนนี้ ผมควรจะต้องรู้ในที่ไหนสักแห่งในหัวของผมแล้วว่า มีความเป็นไปได้ที่ทางเดินหายใจของเธออาจจะอุดตันเพราะสายเสียงบวมหรือเพราะเลือดออกมาก ถ้าเป็นเช่นนั้น เราก็ไม่สามารถใส่ท่อช่วย หายใจได้ และโอกาสเดียวที่เธอจะมีชีวิตรอดได้คือการผ่าตัดหลอดลมฉุกเฉิน (emergency tracheostomy) ซึ่งเราจะทำให้เกิดรูตรงคอของเธอ และใส่ท่อหายใจลงไปในหลอดลมโดยตรง ความพยายามที่จะใส่ท่อช่วยหายใจทางปากอีกครั้งอาจทำให้สายเสียงกระตุกเกร็งและทำให้ทางเดิน หายใจปิดลงอย่างกะทันหันซึ่งนั่นก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ จากหนังสือ #เหยื่อหมอ? #Complications0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 10 มุมมอง 0 รีวิว - ปัจจุบันมักเรียกโค้งระฆังว่า การแจกแจงปกติ (normal distribution) บางครั้งเรียกการแจกแจงแบบเกาส์ (ชื่อนี้ถือกำเนิดอย่างไร จะกล่าวถึง ภายหลัง) การแจกแจงปกติ มิใช่เส้นโค้งแน่นิ่ง แต่เป็นวงศ์เส้นโค้ง ตำแหน่ง และรูปร่างขึ้นกับสองตัวแปร ตัวแปรที่สองกำหนดขนาดการกระจาย ไร้ชื่อเรียกขานกระทั่งปี 1894 ค่าวัดนี้คือ ค่าเบียงเบนมาตรฐาน (standard deviation) เป็นทฤษฎีเสริมแนวคิดเรื่อง ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานของตัวอย่าง ที่ผมกล่าวถึงก่อนหน้านี้ กล่าวสั้นกระชับ คือถึงความกว้างของเส้นโค้ง จุดที่ทำให้เส้นโค้งมีความสูงราว 60 เปอร์เซ็นต์ของระดับสูงสุด ทุกวันนี้ ความสำคัญของการแจกแจงปกติ แผ่ขยายไกลเกินกว่าการใช้ประมาณค่าในสามเหลี่ยมของปาสกาล เป็นรูปแบบแพร่หลายที่สุดที่พบในการแจกแจงข้อมูล
จากหนังสือ #ชีวิตนี้ฟ้าลิขิต #TheDrunkard’sWalkปัจจุบันมักเรียกโค้งระฆังว่า การแจกแจงปกติ (normal distribution) บางครั้งเรียกการแจกแจงแบบเกาส์ (ชื่อนี้ถือกำเนิดอย่างไร จะกล่าวถึง ภายหลัง) การแจกแจงปกติ มิใช่เส้นโค้งแน่นิ่ง แต่เป็นวงศ์เส้นโค้ง ตำแหน่ง และรูปร่างขึ้นกับสองตัวแปร ตัวแปรที่สองกำหนดขนาดการกระจาย ไร้ชื่อเรียกขานกระทั่งปี 1894 ค่าวัดนี้คือ ค่าเบียงเบนมาตรฐาน (standard deviation) เป็นทฤษฎีเสริมแนวคิดเรื่อง ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานของตัวอย่าง ที่ผมกล่าวถึงก่อนหน้านี้ กล่าวสั้นกระชับ คือถึงความกว้างของเส้นโค้ง จุดที่ทำให้เส้นโค้งมีความสูงราว 60 เปอร์เซ็นต์ของระดับสูงสุด ทุกวันนี้ ความสำคัญของการแจกแจงปกติ แผ่ขยายไกลเกินกว่าการใช้ประมาณค่าในสามเหลี่ยมของปาสกาล เป็นรูปแบบแพร่หลายที่สุดที่พบในการแจกแจงข้อมูล จากหนังสือ #ชีวิตนี้ฟ้าลิขิต #TheDrunkard’sWalk0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 10 มุมมอง 0 รีวิว - ในปี 1978 เอลเลน แลงเกอร์ ซึ่งเป็นนักจิตวิทยา
จากมหาวิทยาลัย ฮาร์วาร์ด ได้ทำการทดลองที่เผยให้เห็นถึงประเด็นดังกล่าว เธอเริ่มต้น ด้วยการเข้าหาคนที่กำลังเข้าแถวรอใช้เครื่องถ่ายเอกสาร แล้วถามพวกเขา ว่าขอแซงคิวถ่ายเอกสารได้ไหม จุดประสงค์ของเธอคือการหาคำตอบว่า ว่าขอนเธอใช้จะมีผลต่อปฏิกิริยาตอบสนองของผู้คนหรือไม่ ซึ่งผลลัพธ์ก็คือ ถ้าเธอบอกว่า “ขอโทษนะคะ ฉันต้องการถ่ายเอกสารแค่ 5 หน้า ฉันขอ ใช้เครื่องก่อนได้ไหมคะ” คนจำนวน 60 เปอร์เซ็นต์จะยอมให้เธอแซงคิว ถ้าเธอระบุเหตุผลโดยบอกว่า “ขอโทษนะคะ ฉันต้องการถ่ายเอกสารแต่ 5 หน้า ฉันขอใช้เครื่องก่อนได้ไหมคะเพราะฉันกำลังรีบ” อัตราการตอบ ตกลงเพิ่มขึ้นเป็น 94 เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าเธอระบุเหตุผลโดยตั้งใจทำให้มัน ฟังดูน่าขบขันอย่าง “ขอโทษนะคะ ฉันต้องการถ่ายเอกสารแค่ 5 หน้า ฉันขอใช้เครื่องก่อนได้ไหมคะเพราะฉันต้องถ่ายเอกสาร” น่าตกใจมากที่ อัตราการตอบตกลงยังคงสูงเหมือนเดิม นั่นคือ 93 เปอร์เซ็นต์
จากหนังสือ #คัมภีร์หน้าหนา #RejectionProofในปี 1978 เอลเลน แลงเกอร์ ซึ่งเป็นนักจิตวิทยา จากมหาวิทยาลัย ฮาร์วาร์ด ได้ทำการทดลองที่เผยให้เห็นถึงประเด็นดังกล่าว เธอเริ่มต้น ด้วยการเข้าหาคนที่กำลังเข้าแถวรอใช้เครื่องถ่ายเอกสาร แล้วถามพวกเขา ว่าขอแซงคิวถ่ายเอกสารได้ไหม จุดประสงค์ของเธอคือการหาคำตอบว่า ว่าขอนเธอใช้จะมีผลต่อปฏิกิริยาตอบสนองของผู้คนหรือไม่ ซึ่งผลลัพธ์ก็คือ ถ้าเธอบอกว่า “ขอโทษนะคะ ฉันต้องการถ่ายเอกสารแค่ 5 หน้า ฉันขอ ใช้เครื่องก่อนได้ไหมคะ” คนจำนวน 60 เปอร์เซ็นต์จะยอมให้เธอแซงคิว ถ้าเธอระบุเหตุผลโดยบอกว่า “ขอโทษนะคะ ฉันต้องการถ่ายเอกสารแต่ 5 หน้า ฉันขอใช้เครื่องก่อนได้ไหมคะเพราะฉันกำลังรีบ” อัตราการตอบ ตกลงเพิ่มขึ้นเป็น 94 เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าเธอระบุเหตุผลโดยตั้งใจทำให้มัน ฟังดูน่าขบขันอย่าง “ขอโทษนะคะ ฉันต้องการถ่ายเอกสารแค่ 5 หน้า ฉันขอใช้เครื่องก่อนได้ไหมคะเพราะฉันต้องถ่ายเอกสาร” น่าตกใจมากที่ อัตราการตอบตกลงยังคงสูงเหมือนเดิม นั่นคือ 93 เปอร์เซ็นต์ จากหนังสือ #คัมภีร์หน้าหนา #RejectionProof0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 13 มุมมอง 0 รีวิว - The Millionaire Fast Lane เปลี่ยนเลนเป็นเศรษฐี (2025/103)
โค้ชหนุ่ม(จักรพงษ์ เมฆพันธุ์ป ผู้แปลหนังสือพ่อรวยสอนลูกและร่วมแปลหนังสือเล่มนี้ด้วย ยังกล่าวในคำนามว่าหนังสือเล่มนี้ตรง แรง ชัดเจนและตอบโจทย์ได้ตรงและเร็วกว่าหนังสือพ่อรวยสอนลูกเสียอีก
ผู้เขียนหนังสือผู้ที่สร้างความร่ำรวยจากการรวยแบบรวดเร็ว (เลนด่วน Fastlane) ด้วยการฉีกกฎทุกตำรา เขามีความคิดที่เป็นแบบเฉพาะ โดยกฎความรวยแบบเลนด่วนของเขาอาจจะดูทำได้ยาก แต่ไม่ถึงกับเป็นไปไม่ได้ เขามีเป้าหมายคนที่ต้องการอยู่ในเลนด่วนในแบบไม่กว้าง แต่ชัดเจน ผมชอบเนื้อหาหนังสือเล่มนี้มาก
ผู้เขียนได้นิยามแนวทางการวางชีวิตของมนุษย์เราในเรื่องความมั่งคั่งไว้ 3 เส้นทางคือ ทางเท้า , เลนช้า และเลนด่วน
ผู้คนที่เลือกใช้ชีวิตแบบทางเท้าคือ เขาไม่สนใจกับการสร้างความมั่งคั่งเลย ใช้ชีวิตไปแบบวันต่อวัน ทำงานแบบไม่มีจุดหมายแค่พอประทังชีวิตและยังสร้างความเดือดร้อนให้กับคนรอบข้างด้วย พวกเขาไม่มีเป้าหมายในความมั่งคั่งเลย
ส่วนผู้ที่ใช้ชีวิตแบบเลนช้า พวกเขาคือคนจำนวนมากในโลกนี้ พวกเขาทำตามตำราที่เขียนเกี่ยวกับการมีอิสรภาพทางการเงินที่มีเนื้อหาคล้ายๆกัน และมุ่งไปในทางเดียวกัน ซึ่งก็คือการประหยัด อดออม มีเงินบางส่วนก็นำไปผ่อนรถ ผ่อนบ้าน ชีวิตทั่วไปของพวกเขาคือการทำงานประจำ มีเงินเหลือใช้ก็เก็บเงิน ออมเงิน เงินที่เหลือก้อนแรกนำมันไปลงไว้ที่กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ส่วนเงินออมที่เป็นส่วนเกินนำไปลงทุนผ่านกองทุนรวม และลงทุนแบบถัวเฉลี่ยในทุกๆเดือน ชีวิตของพวกเขาจะค่อนข้างมั่นคง ไม่หวือหวาและพวกเขาจะรวยมีเงินเก็บหลักล้านได้แน่นอน แต่เมื่อไหร่? เมื่อพวกเขาอายุ 60 ปีโดยเฉลี่ย เมื่ออายุขนาดนั้นพวกเขาจะใช้เงินเหล่านั้นได้อย่างเต็มที่หรือไม่ สุขภาพจะเป็นอย่างไร จะมีมากพอที่จะเหลือใช้ก่อนตายหรือไม่ ระหว่างชีวิตทำงานที่ยาวนาน 20-40ปีนั้น ไม่ได้ราบรื่นเลย พวกเขายังคงต้องเจอวิกฤติเศรษฐกิจ การถูกฉ้อโกงจากการลงทุน ทำให้เงินสะสมของพวกเขาหายไปอย่างน่าเสียดาย นี่คือชีวิตแบบเลนช้า
แล้วชีวิตแบบเลนด่วนหละ แน่นอนว่าคนใช้ชีวิตแบบเลนด่วนสามารถเป็นคนมีเงินหลักล้านได้ก่อนอายุ 30ปี พวกเขาเลือกทำบางสิ่งบางอย่างที่กระทบคนเป็นวงกว้าง และสามารถทำให้เงินของเขางอกเงย และทำงานโดยใช้เวลาสิบกว่าชั่วโมงต่อสัปดาห์ เวลาที่เหลือหละ….พวกเขาพักผ่อน และรอเงินที่ได้จากธุรกิจของพวกเขา รวมไปถึงเงินจากการลงทุน
ส่วนวิธีการของผู้เขียนเขาทำอย่างไร? อยากให้ผู้สนใจอ่านอย่างละเอียดแล้วจะรู้ว่ามันมีความเป็นไปได้อยู่นะ
หนังสือเล่มนี้มีความค่อนแคะ แซะ ประชดประชัน ตรงไปตรงมา โดยผู้เขียนตามสไตล์ของเขา ซึ่งเขาเขียนในฐานะผู้ที่ประสบความสำเร็จแล้ว อ่านแล้วได้อรรถรสดี
#TheMillionaireFastLane #เปลี่ยนเลนเป็นเศรษฐี #รีวิวหนังสือ
The Millionaire Fast Lane เปลี่ยนเลนเป็นเศรษฐี (2025/103) โค้ชหนุ่ม(จักรพงษ์ เมฆพันธุ์ป ผู้แปลหนังสือพ่อรวยสอนลูกและร่วมแปลหนังสือเล่มนี้ด้วย ยังกล่าวในคำนามว่าหนังสือเล่มนี้ตรง แรง ชัดเจนและตอบโจทย์ได้ตรงและเร็วกว่าหนังสือพ่อรวยสอนลูกเสียอีก ผู้เขียนหนังสือผู้ที่สร้างความร่ำรวยจากการรวยแบบรวดเร็ว (เลนด่วน Fastlane) ด้วยการฉีกกฎทุกตำรา เขามีความคิดที่เป็นแบบเฉพาะ โดยกฎความรวยแบบเลนด่วนของเขาอาจจะดูทำได้ยาก แต่ไม่ถึงกับเป็นไปไม่ได้ เขามีเป้าหมายคนที่ต้องการอยู่ในเลนด่วนในแบบไม่กว้าง แต่ชัดเจน ผมชอบเนื้อหาหนังสือเล่มนี้มาก ผู้เขียนได้นิยามแนวทางการวางชีวิตของมนุษย์เราในเรื่องความมั่งคั่งไว้ 3 เส้นทางคือ ทางเท้า , เลนช้า และเลนด่วน ผู้คนที่เลือกใช้ชีวิตแบบทางเท้าคือ เขาไม่สนใจกับการสร้างความมั่งคั่งเลย ใช้ชีวิตไปแบบวันต่อวัน ทำงานแบบไม่มีจุดหมายแค่พอประทังชีวิตและยังสร้างความเดือดร้อนให้กับคนรอบข้างด้วย พวกเขาไม่มีเป้าหมายในความมั่งคั่งเลย ส่วนผู้ที่ใช้ชีวิตแบบเลนช้า พวกเขาคือคนจำนวนมากในโลกนี้ พวกเขาทำตามตำราที่เขียนเกี่ยวกับการมีอิสรภาพทางการเงินที่มีเนื้อหาคล้ายๆกัน และมุ่งไปในทางเดียวกัน ซึ่งก็คือการประหยัด อดออม มีเงินบางส่วนก็นำไปผ่อนรถ ผ่อนบ้าน ชีวิตทั่วไปของพวกเขาคือการทำงานประจำ มีเงินเหลือใช้ก็เก็บเงิน ออมเงิน เงินที่เหลือก้อนแรกนำมันไปลงไว้ที่กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ส่วนเงินออมที่เป็นส่วนเกินนำไปลงทุนผ่านกองทุนรวม และลงทุนแบบถัวเฉลี่ยในทุกๆเดือน ชีวิตของพวกเขาจะค่อนข้างมั่นคง ไม่หวือหวาและพวกเขาจะรวยมีเงินเก็บหลักล้านได้แน่นอน แต่เมื่อไหร่? เมื่อพวกเขาอายุ 60 ปีโดยเฉลี่ย เมื่ออายุขนาดนั้นพวกเขาจะใช้เงินเหล่านั้นได้อย่างเต็มที่หรือไม่ สุขภาพจะเป็นอย่างไร จะมีมากพอที่จะเหลือใช้ก่อนตายหรือไม่ ระหว่างชีวิตทำงานที่ยาวนาน 20-40ปีนั้น ไม่ได้ราบรื่นเลย พวกเขายังคงต้องเจอวิกฤติเศรษฐกิจ การถูกฉ้อโกงจากการลงทุน ทำให้เงินสะสมของพวกเขาหายไปอย่างน่าเสียดาย นี่คือชีวิตแบบเลนช้า แล้วชีวิตแบบเลนด่วนหละ แน่นอนว่าคนใช้ชีวิตแบบเลนด่วนสามารถเป็นคนมีเงินหลักล้านได้ก่อนอายุ 30ปี พวกเขาเลือกทำบางสิ่งบางอย่างที่กระทบคนเป็นวงกว้าง และสามารถทำให้เงินของเขางอกเงย และทำงานโดยใช้เวลาสิบกว่าชั่วโมงต่อสัปดาห์ เวลาที่เหลือหละ….พวกเขาพักผ่อน และรอเงินที่ได้จากธุรกิจของพวกเขา รวมไปถึงเงินจากการลงทุน ส่วนวิธีการของผู้เขียนเขาทำอย่างไร? อยากให้ผู้สนใจอ่านอย่างละเอียดแล้วจะรู้ว่ามันมีความเป็นไปได้อยู่นะ หนังสือเล่มนี้มีความค่อนแคะ แซะ ประชดประชัน ตรงไปตรงมา โดยผู้เขียนตามสไตล์ของเขา ซึ่งเขาเขียนในฐานะผู้ที่ประสบความสำเร็จแล้ว อ่านแล้วได้อรรถรสดี #TheMillionaireFastLane #เปลี่ยนเลนเป็นเศรษฐี #รีวิวหนังสือ0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 10 มุมมอง 0 รีวิว - เป็นเวลา 3 ปีที่เราทำงานร่วมกับนักกีฬาทั่วโลกเพื่อออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ สำหรับเกือบทุกรายการแข่งขัน เราสร้างสรรค์เทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น ฟลายไวร์ (Flywire) และลูนาร์โฟม (LunarFoam) ที่ขับเคลื่อนนวัตกรรมผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง เราได้กำให้รองเท้าบาสเกตบอลไฮเปอร์ดังก์ (Hyperdunk) กลายเป็นหนึ่งในรองเท้าที่โดดเด่นและเร้าใจที่สุดในประวัติศาสตร์โอลิมปิกเป็นเวลา 2 สัปดาห์ในเดือนสิงหาคม เราได้ดูผลิตภัณฑ์และนักกีฬาของเราจากทั่วทุกมุมโลกแข่งขันกันและคว้าชัยชนะบนเวทีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในด้านกีฬา มันเป็นช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมสำหรับไนกี้และกีฬา
หากยังมีข้อสงสัยใดๆ ว่าจีนควรได้รับการพิจารณาให้เป็นตลาดเกิดใหม่หรือไม่ การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกก็ได้ให้คำตอบกลับไปว่า “ไม่!” จีนไม่ใช่ตลาดเกิดใหม่ แต่มันเป็นตลาดที่เกิดแล้วที่ได้ผสมผสานอำนาจและศักยภาพที่สำคัญต่ออนาคตของบริษัทระดับโลกใดๆตาม
จากหนังสือ #เลือกหุ้นอย่างชาญฉลาดแค่อ่านขาดซีอีโอ #InvestingBetweenTheLinesเป็นเวลา 3 ปีที่เราทำงานร่วมกับนักกีฬาทั่วโลกเพื่อออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ สำหรับเกือบทุกรายการแข่งขัน เราสร้างสรรค์เทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น ฟลายไวร์ (Flywire) และลูนาร์โฟม (LunarFoam) ที่ขับเคลื่อนนวัตกรรมผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง เราได้กำให้รองเท้าบาสเกตบอลไฮเปอร์ดังก์ (Hyperdunk) กลายเป็นหนึ่งในรองเท้าที่โดดเด่นและเร้าใจที่สุดในประวัติศาสตร์โอลิมปิกเป็นเวลา 2 สัปดาห์ในเดือนสิงหาคม เราได้ดูผลิตภัณฑ์และนักกีฬาของเราจากทั่วทุกมุมโลกแข่งขันกันและคว้าชัยชนะบนเวทีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในด้านกีฬา มันเป็นช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมสำหรับไนกี้และกีฬา หากยังมีข้อสงสัยใดๆ ว่าจีนควรได้รับการพิจารณาให้เป็นตลาดเกิดใหม่หรือไม่ การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกก็ได้ให้คำตอบกลับไปว่า “ไม่!” จีนไม่ใช่ตลาดเกิดใหม่ แต่มันเป็นตลาดที่เกิดแล้วที่ได้ผสมผสานอำนาจและศักยภาพที่สำคัญต่ออนาคตของบริษัทระดับโลกใดๆตาม จากหนังสือ #เลือกหุ้นอย่างชาญฉลาดแค่อ่านขาดซีอีโอ #InvestingBetweenTheLines0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 14 มุมมอง 0 รีวิว - "คอนเน็กชันที่ได้มาจากเงิน ไม่จีรังยั่งยืน เงินหมด ผลประโยชน์หมด ก็หดหายต่างจากคอนเน็กชันที่สร้างขึ้น เพราะความสามารถจากความสามารถอยู่กับคุณไปตลอดชั่วชีวิตคอนเน็กชันที่สร้างจากความสามารถ ก็อยู่กับคุณไปยาวๆ"
คุณอาจจะรู้จักคนมากขึ้น ได้ร่วมดีล(ข้อตกลง)กับคนที่เอื้อผลประโยชน์ให้คุณได้มากขึ้น แต่ก็อาจเป็นความสัมพันธ์เพียงผิวเผิน ฉาบฉวย ถ้าคุณได้คอนเน็กซันจากการที่คุณมีเงิน หรือคุณรวย วันหนึ่งเงินคุณหมด หรือคุณหมดผลประโยชน์ คอนเน็กชันนั้นก็สิ้นสุดลง ขาดสะบั้นทันที
แต่มันยังมีคอนเน็กชันอีกรูปแบบหนึ่ง ที่ถ้าคุณมีมันจะเหนียวแน่นไม่เปราะบางต่อให้คุณไม่มีเงิน หรือเงินลด หรือธุรกิจมีปัญหา ซึ่งคอนเน็กซันรูปแบบที่กำลังกล่าวถึงนี้มีเงินก็ซื้อไม่ได้ครับ คุณจะมีมัน ได้ก็ด้วยการสร้างมันขึ้นมาเท่านั้นและอันนี้ทุกคนสามารถมีได้ครับ เพราะมันสร้างด้วย “ความสามารถ” ของคุณเอง
จากหนังสือ #สำเร็จนอกกรอบ
"คอนเน็กชันที่ได้มาจากเงิน ไม่จีรังยั่งยืน เงินหมด ผลประโยชน์หมด ก็หดหายต่างจากคอนเน็กชันที่สร้างขึ้น เพราะความสามารถจากความสามารถอยู่กับคุณไปตลอดชั่วชีวิตคอนเน็กชันที่สร้างจากความสามารถ ก็อยู่กับคุณไปยาวๆ" คุณอาจจะรู้จักคนมากขึ้น ได้ร่วมดีล(ข้อตกลง)กับคนที่เอื้อผลประโยชน์ให้คุณได้มากขึ้น แต่ก็อาจเป็นความสัมพันธ์เพียงผิวเผิน ฉาบฉวย ถ้าคุณได้คอนเน็กซันจากการที่คุณมีเงิน หรือคุณรวย วันหนึ่งเงินคุณหมด หรือคุณหมดผลประโยชน์ คอนเน็กชันนั้นก็สิ้นสุดลง ขาดสะบั้นทันที แต่มันยังมีคอนเน็กชันอีกรูปแบบหนึ่ง ที่ถ้าคุณมีมันจะเหนียวแน่นไม่เปราะบางต่อให้คุณไม่มีเงิน หรือเงินลด หรือธุรกิจมีปัญหา ซึ่งคอนเน็กซันรูปแบบที่กำลังกล่าวถึงนี้มีเงินก็ซื้อไม่ได้ครับ คุณจะมีมัน ได้ก็ด้วยการสร้างมันขึ้นมาเท่านั้นและอันนี้ทุกคนสามารถมีได้ครับ เพราะมันสร้างด้วย “ความสามารถ” ของคุณเอง จากหนังสือ #สำเร็จนอกกรอบ0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 14 มุมมอง 0 รีวิว
เรื่องราวเพิ่มเติม