ชักชวนกันอ่านหนังสือ หนังสือไม่ว่าจะเป็นแนวไหนล้วนมีประโยชน์
- ปิโตรเลียมเจลลีขึ้นชื่อว่าไม่ทำให้รูขุมขนอุดตันและไม่มีหลักฐานที่บ่งบอกว่ามิเนอรัลออยล์หรือปิโตรเลียมเจลลีอุดตันรูขุมขนหรือทำให้เกิดสิว นี่เป็นสิ่งที่เน้นย้ำในงานประชุมสัมมนา ของสถาบันแพทย์ผิวหนังอเมริกาว่าด้วยการเกิดสิวอุดตันในปี 1989
จากหนังสือ ศาสตร์แห่งผิว ไม่ผิวเผิน Skintelligent
ปิโตรเลียมเจลลีขึ้นชื่อว่าไม่ทำให้รูขุมขนอุดตันและไม่มีหลักฐานที่บ่งบอกว่ามิเนอรัลออยล์หรือปิโตรเลียมเจลลีอุดตันรูขุมขนหรือทำให้เกิดสิว นี่เป็นสิ่งที่เน้นย้ำในงานประชุมสัมมนา ของสถาบันแพทย์ผิวหนังอเมริกาว่าด้วยการเกิดสิวอุดตันในปี 1989 จากหนังสือ ศาสตร์แห่งผิว ไม่ผิวเผิน Skintelligentกรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อกดถูกใจ แชร์ และแสดงความคิดเห็น! - เศษของวัตถุที่ตกแตกจะถูกเก็บรวบรวมขึ้นมาทีละชิ้น นำมาทำความสะอาด อย่างอ่อนโยน แล้วใช้สารเคลือบแบบโบราณดั้งเดิมซึ่งผลิตมาจากต้นรักญี่ปุ่นหาเพื่อ ติดกลับเข้าด้วยกันใหม่ จากนั้นก็ปล่อยทิ้งไว้จนแห้งก่อนจะนำมาขัดด้วยกระดาษ ทรายอย่างเบามือ หลังจากสมานรอยร้าวด้วยยางรักต่ออีกหลายชั้น สุดท้ายจึงปกปิด ร่องรอยด้วยผงเมทัลลิก ผงทอง หรือผงโลหะชนิดอื่นๆ เช่น ผงเงิน ผงบลอนซ์ ผงทองเหลือง ผงทองแดง ฯลฯ โดยจะทาผงที่เลือกไว้ลงบนยางรักที่ยังหมาดอยู่ และเกลี่ยจนกระทั่งผสานเป็นเนื้อเดียวกัน ให้ความรู้สึกเหมือนกระแสโลหะไหลไป ราวกับสายน้ำ เมื่อขัดเงาเรียบร้อยแล้ว วัตถุนั้นก็จะเผยความแวววาวงดงามออกมา อย่างสมบูรณ์แบบในที่สุด
จากหนังสือ คินสึงิ ศิลปะแห่งการเยียวยาหัวใจและบาดแผลของชีวิตเศษของวัตถุที่ตกแตกจะถูกเก็บรวบรวมขึ้นมาทีละชิ้น นำมาทำความสะอาด อย่างอ่อนโยน แล้วใช้สารเคลือบแบบโบราณดั้งเดิมซึ่งผลิตมาจากต้นรักญี่ปุ่นหาเพื่อ ติดกลับเข้าด้วยกันใหม่ จากนั้นก็ปล่อยทิ้งไว้จนแห้งก่อนจะนำมาขัดด้วยกระดาษ ทรายอย่างเบามือ หลังจากสมานรอยร้าวด้วยยางรักต่ออีกหลายชั้น สุดท้ายจึงปกปิด ร่องรอยด้วยผงเมทัลลิก ผงทอง หรือผงโลหะชนิดอื่นๆ เช่น ผงเงิน ผงบลอนซ์ ผงทองเหลือง ผงทองแดง ฯลฯ โดยจะทาผงที่เลือกไว้ลงบนยางรักที่ยังหมาดอยู่ และเกลี่ยจนกระทั่งผสานเป็นเนื้อเดียวกัน ให้ความรู้สึกเหมือนกระแสโลหะไหลไป ราวกับสายน้ำ เมื่อขัดเงาเรียบร้อยแล้ว วัตถุนั้นก็จะเผยความแวววาวงดงามออกมา อย่างสมบูรณ์แบบในที่สุด จากหนังสือ คินสึงิ ศิลปะแห่งการเยียวยาหัวใจและบาดแผลของชีวิต - เมื่อโลกไม่ได้หมุนรอบอเมริกา The Post American World (2025/17)
เสียดายที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ช้าไป หนังสือเขียนโดยนักเขียนปริญญาเอกจากฮาร์วาร์ดเชื้อสายอินเดียและเป็นคอลัมนิสต์ของนิตยาสาร Time ซึ่งตีพิมพ์ที่อเมริกาปี 2009 และพิมพ์ฉบับภาษาไทยปี 2014 เป็นหนังสือที่ผู้เขียนมองเห็นความเสื่อมของประเทศอเมริกาด้วยสัญญาณหลายๆอย่าง และมองไปที่ประเทศแถบเอเชีย ที่กำลังพัฒนาตัวเองขึ้นมาโดยมองไปที่ประเทศจีนและอินเดียด้วยข้อมูลหลายๆอย่าง ทั้งประวัติศาสตร์ เศรษฐกิจ ระบบการปกครอง วัฒนธรรม และประชากร ซึ่งเมื่อมาดูเฉลยในปัจจุบันภาพที่เห็นตอกย้ำชัดเจนมากกว่าปี 2009 มากมาย
ผู้เขียนเป็นชาวอินดียที่เรียนเก่ง และสามารถไปเรียนต่อในระดับปริญญาโทและเอกที่อเมริกาได้ เขาไปเรียนที่อเมริกาเมื่อปี ค.ศ. 1982 ตอนนั้นเขาอายุ 18ปี ช่วงที่เขาไปเรียนนั้น ที่อเมริกากำลังวุ่นวายหลายเรื่อง เช่นเรื่องที่เวียดนาม คดีเวอเตอร์เกต และวิกฤตพลังงาน แต่หลังจากนั้นอเมริกาก็มั่นคงขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั้งการล่มสลายของสหภาพโซเวียตเป็นต้นมา
เริ่มต้นเล่มซึ่งงานเขียนเขาเขาน่าจะอยู่ในช่วงปี ค.ศ.2007 และใช้ข้อมูลก่อนหน้านั้น เขาเริ่มสังเกตความผิดปกติที่เกิดขึ้นของความเป็นไปของโลกหลายอย่างเช่น ตึกที่สูงที่สุดของโลกอยู่ที่ดูไบ ชายที่รวยที่สุดในโลกเป็นชาวเม็กซิกัน บริษัทมหาชนใหญ่ที่สุดในโลกมาจากจีน เครื่องบินลำใหญ่ที่สุดในโลกผลิตที่รัสเซีย โรงกลั่นน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลกอยู่ในอินเดีย ชิงช้าสวรรค์ใหญ่ที่สุดในโลกอยู่ในสิงคโปร์ บ่อนคาสิโนอันดับหนึ่งอยู่ในมาเก๊า อุตสาหกรรมภาพยนตร์ใหญ่ที่สุดอยู่ที่บอลลีวูดไม่ใช่ฮอลลีวูด และอีกมากมาย ทำไมสิ่งเหล่านี้ไม่ได้อยู่ในอเมริการประเทศที่เป็นมหาอำนาจอันดับหนึ่งยาวนานหลายสิบปี ผู้เขียนวิเคราะห์สาเหตุอีกมากมายหลายอย่างเพื่อให้เห็นถึงความเสื่อมลงของมหาอำนาจอย่างอเมริกา
ผู้เขียนเล็งเห็นว่าประเทศที่จะมาท้าทายอเมริกาไม่ใช่มาจากยุโรปที่เจริญมาแล้วจะไม่สามารถเติบโตต่อไปได้อีก แต่เขากำลังคิดว่าประเทศจีนและอินเดียที่จะสามารถขึ้นมาเป็นคู่แข่งของอเมริกาได้ ผู้เขียนเล่าเรื่องของทั้ง จีนและอินเดียได้ดีมาก เล่าเริ่มจากประวัติศาสตร์ของทั้งสองประเทศ จุดแข็ง จุดพลิกผัน การพัฒนาในด้านต่างๆของทั้งสองประเทศ ความร่วมมือกับประเทศต่างๆ และความช่วยเหลือจากประเทศมหาอำนาจ จนทำให้ทั้งคู่ติด 1ใน5 เศรษฐกิจใหญ่ของโลก
และตอนท้ายเล่มผู้เขียนจึงวกกลับมาดูว่าจุดอ่อนและจุดแข็งขออเมริกาคืออะไร และนำเสนอว่าอเมริกาควรทำอย่างไรเพื่อที่จะคงเป็นประเทศมหาอำนาจอันดับหนึ่งต่อไป
#เมื่อโลกไม่ได้หมุนรอบอเมริกา #ThePostAmericanWorld #รีวิวหนังสือเมื่อโลกไม่ได้หมุนรอบอเมริกา The Post American World (2025/17) เสียดายที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ช้าไป หนังสือเขียนโดยนักเขียนปริญญาเอกจากฮาร์วาร์ดเชื้อสายอินเดียและเป็นคอลัมนิสต์ของนิตยาสาร Time ซึ่งตีพิมพ์ที่อเมริกาปี 2009 และพิมพ์ฉบับภาษาไทยปี 2014 เป็นหนังสือที่ผู้เขียนมองเห็นความเสื่อมของประเทศอเมริกาด้วยสัญญาณหลายๆอย่าง และมองไปที่ประเทศแถบเอเชีย ที่กำลังพัฒนาตัวเองขึ้นมาโดยมองไปที่ประเทศจีนและอินเดียด้วยข้อมูลหลายๆอย่าง ทั้งประวัติศาสตร์ เศรษฐกิจ ระบบการปกครอง วัฒนธรรม และประชากร ซึ่งเมื่อมาดูเฉลยในปัจจุบันภาพที่เห็นตอกย้ำชัดเจนมากกว่าปี 2009 มากมาย ผู้เขียนเป็นชาวอินดียที่เรียนเก่ง และสามารถไปเรียนต่อในระดับปริญญาโทและเอกที่อเมริกาได้ เขาไปเรียนที่อเมริกาเมื่อปี ค.ศ. 1982 ตอนนั้นเขาอายุ 18ปี ช่วงที่เขาไปเรียนนั้น ที่อเมริกากำลังวุ่นวายหลายเรื่อง เช่นเรื่องที่เวียดนาม คดีเวอเตอร์เกต และวิกฤตพลังงาน แต่หลังจากนั้นอเมริกาก็มั่นคงขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั้งการล่มสลายของสหภาพโซเวียตเป็นต้นมา เริ่มต้นเล่มซึ่งงานเขียนเขาเขาน่าจะอยู่ในช่วงปี ค.ศ.2007 และใช้ข้อมูลก่อนหน้านั้น เขาเริ่มสังเกตความผิดปกติที่เกิดขึ้นของความเป็นไปของโลกหลายอย่างเช่น ตึกที่สูงที่สุดของโลกอยู่ที่ดูไบ ชายที่รวยที่สุดในโลกเป็นชาวเม็กซิกัน บริษัทมหาชนใหญ่ที่สุดในโลกมาจากจีน เครื่องบินลำใหญ่ที่สุดในโลกผลิตที่รัสเซีย โรงกลั่นน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลกอยู่ในอินเดีย ชิงช้าสวรรค์ใหญ่ที่สุดในโลกอยู่ในสิงคโปร์ บ่อนคาสิโนอันดับหนึ่งอยู่ในมาเก๊า อุตสาหกรรมภาพยนตร์ใหญ่ที่สุดอยู่ที่บอลลีวูดไม่ใช่ฮอลลีวูด และอีกมากมาย ทำไมสิ่งเหล่านี้ไม่ได้อยู่ในอเมริการประเทศที่เป็นมหาอำนาจอันดับหนึ่งยาวนานหลายสิบปี ผู้เขียนวิเคราะห์สาเหตุอีกมากมายหลายอย่างเพื่อให้เห็นถึงความเสื่อมลงของมหาอำนาจอย่างอเมริกา ผู้เขียนเล็งเห็นว่าประเทศที่จะมาท้าทายอเมริกาไม่ใช่มาจากยุโรปที่เจริญมาแล้วจะไม่สามารถเติบโตต่อไปได้อีก แต่เขากำลังคิดว่าประเทศจีนและอินเดียที่จะสามารถขึ้นมาเป็นคู่แข่งของอเมริกาได้ ผู้เขียนเล่าเรื่องของทั้ง จีนและอินเดียได้ดีมาก เล่าเริ่มจากประวัติศาสตร์ของทั้งสองประเทศ จุดแข็ง จุดพลิกผัน การพัฒนาในด้านต่างๆของทั้งสองประเทศ ความร่วมมือกับประเทศต่างๆ และความช่วยเหลือจากประเทศมหาอำนาจ จนทำให้ทั้งคู่ติด 1ใน5 เศรษฐกิจใหญ่ของโลก และตอนท้ายเล่มผู้เขียนจึงวกกลับมาดูว่าจุดอ่อนและจุดแข็งขออเมริกาคืออะไร และนำเสนอว่าอเมริกาควรทำอย่างไรเพื่อที่จะคงเป็นประเทศมหาอำนาจอันดับหนึ่งต่อไป #เมื่อโลกไม่ได้หมุนรอบอเมริกา #ThePostAmericanWorld #รีวิวหนังสือ - ไม่ไขว้เขวไปกับค่านิยมของคนอื่น ไม่แบกความทุกข์ไว้จนเกินควร กำจัดสิ่งที่ไม่จำเป็นทิ้งไป ใช้ชีวิตเรียบง่ายให้ถึงที่สุด เหล่านี้คือ “แนวทางแบบเซน”
จากหนังสือ 100 เรื่องง่ายๆ เปลี่ยนได้ ชีวิตดี
ไม่ไขว้เขวไปกับค่านิยมของคนอื่น ไม่แบกความทุกข์ไว้จนเกินควร กำจัดสิ่งที่ไม่จำเป็นทิ้งไป ใช้ชีวิตเรียบง่ายให้ถึงที่สุด เหล่านี้คือ “แนวทางแบบเซน” จากหนังสือ 100 เรื่องง่ายๆ เปลี่ยนได้ ชีวิตดี - จิตเดิมแท้ไม่มีวันดับสูญ คือหนึ่งชีวิตที่เป็นปัจจุบันเสมอ มันเป็นมากกว่านานารูปแบบของชีวิตที่ล้วนแต่มีเกิดมีดับ และยังอยู่ลึกเข้าไปข้างใน เป็นแก่นที่มองไม่เห็นและไม่สามารถทำลายได้ คุณสามารถเข้าถึงได้เดี๋ยวนี้ เพราะมันอยู่ลึกๆในตัวคุณ เป็น ธรรมชาติที่แท้จริงของคุณ แต่อย่าใช้ใจคิดเสาะหามันอย่าพยายามเข้าใจมัน คุณจะสัมผัสมันได้ยามที่จิตของคุณนิ่งพอ เมื่อคุณจดจ่อเต็มที่กับจิตปัจจุบัน... การหวนกลับมาตระหนักรู้ถึงมันอีกครั้งและคงความ รู้สึกประจักษ์แจ้งนั้นไว้ นั่นล่ะคือการตื่นรู้
จากหนังสือ The Power Of NOW พลังแห่งจิตปัจจุบันจิตเดิมแท้ไม่มีวันดับสูญ คือหนึ่งชีวิตที่เป็นปัจจุบันเสมอ มันเป็นมากกว่านานารูปแบบของชีวิตที่ล้วนแต่มีเกิดมีดับ และยังอยู่ลึกเข้าไปข้างใน เป็นแก่นที่มองไม่เห็นและไม่สามารถทำลายได้ คุณสามารถเข้าถึงได้เดี๋ยวนี้ เพราะมันอยู่ลึกๆในตัวคุณ เป็น ธรรมชาติที่แท้จริงของคุณ แต่อย่าใช้ใจคิดเสาะหามันอย่าพยายามเข้าใจมัน คุณจะสัมผัสมันได้ยามที่จิตของคุณนิ่งพอ เมื่อคุณจดจ่อเต็มที่กับจิตปัจจุบัน... การหวนกลับมาตระหนักรู้ถึงมันอีกครั้งและคงความ รู้สึกประจักษ์แจ้งนั้นไว้ นั่นล่ะคือการตื่นรู้ จากหนังสือ The Power Of NOW พลังแห่งจิตปัจจุบัน0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 8 มุมมอง 0 รีวิว - “ถ้าลูกโชคดีพอที่จะมีเงินและมีบ้านดีๆ อยู่ ลูกก็จะสามารถ ช่วยคนที่ไม่มีอย่างลูกได้” พ่อบอกผมเช่นนี้ “ชีวิตคนเราก็มีแค่นี้แหละ คือต้องรู้จักเผื่อแผ่ความโชคดีของเรา” พ่อเคยบอกผม เสมอว่าการให้ทำให้เรามีความสุขมากกว่าการรับและสิ่งสำคัญในชีวิตคือเพื่อน ครอบครัว ความเมตตาอารี มีค่ามากกว่าเงินมากมายนัก ค่าของคนไม่ได้อยู่ที่บัญชีธนาคารของเขา ในตอนนั้นผมคิดว่าท่านเพี้ยน แต่ในตอนนี้หลังจากที่ผมได้เห็นสิ่งที่เห็นมาทั้งหมดในชีวิตผมรู้ว่าพ่อพูดถูก
จากหนังสือ ชายผู้มีความสุขที่สุดในโลก The Happiest Man On Earth“ถ้าลูกโชคดีพอที่จะมีเงินและมีบ้านดีๆ อยู่ ลูกก็จะสามารถ ช่วยคนที่ไม่มีอย่างลูกได้” พ่อบอกผมเช่นนี้ “ชีวิตคนเราก็มีแค่นี้แหละ คือต้องรู้จักเผื่อแผ่ความโชคดีของเรา” พ่อเคยบอกผม เสมอว่าการให้ทำให้เรามีความสุขมากกว่าการรับและสิ่งสำคัญในชีวิตคือเพื่อน ครอบครัว ความเมตตาอารี มีค่ามากกว่าเงินมากมายนัก ค่าของคนไม่ได้อยู่ที่บัญชีธนาคารของเขา ในตอนนั้นผมคิดว่าท่านเพี้ยน แต่ในตอนนี้หลังจากที่ผมได้เห็นสิ่งที่เห็นมาทั้งหมดในชีวิตผมรู้ว่าพ่อพูดถูก จากหนังสือ ชายผู้มีความสุขที่สุดในโลก The Happiest Man On Earth0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 9 มุมมอง 0 รีวิว - ภารกิจเสาะหาการถูกปฏิเสธของผมกลับถูกปฏิเสธ ผมไม่จำเป็นต้องขุดมุกออกมาใช้ อธิบายคำขอของตัวเอง หรือสวมวิญญาณเป็นบิลล์ คลินตัน เรียกได้ว่าผมไม่ต้องทำอะไรเลย ผมแค่รวบรวมความกล้าเข้าไปถามแล้วอีกฝ่ายก็ตอบตกลง ผมและแจ็คกี้ร่วมมือกันเปลี่ยนแนวคิดที่บ้าบอให้กลายเป็นจริง และเราก็สนุกสนานไปกับการก้าวออกจากกรอบของกิจกรรมเดิมๆ ที่เราทำทุกวัน ถ้าผมไม่ได้ขอให้เธอทำแบบนั้น ผมก็จะไม่ได้สัมผัสกับช่วงเวลาแบบนี้ โดนัทที่คล้องกันเป็นห่วงโอลิมปิกจะไม่เกิดขึ้น และแจ๊คกี้ก็จะไม่ได้มีโอกาส ทำให้ลูกค้าพึงพอใจด้วยวิธีการที่ไม่คาดคิดขณะขับรถกลับบ้านผมก็อดคิดไม่ได้ว่าความจริงแล้วโลกนี้ใจดีกว่าที่ผมคิด ส่วนผู้คนก็น่ารักกว่าที่ผมเข้าใจ
จากหนังสือ คัมภีร์หน้าหนา Rejection Proofภารกิจเสาะหาการถูกปฏิเสธของผมกลับถูกปฏิเสธ ผมไม่จำเป็นต้องขุดมุกออกมาใช้ อธิบายคำขอของตัวเอง หรือสวมวิญญาณเป็นบิลล์ คลินตัน เรียกได้ว่าผมไม่ต้องทำอะไรเลย ผมแค่รวบรวมความกล้าเข้าไปถามแล้วอีกฝ่ายก็ตอบตกลง ผมและแจ็คกี้ร่วมมือกันเปลี่ยนแนวคิดที่บ้าบอให้กลายเป็นจริง และเราก็สนุกสนานไปกับการก้าวออกจากกรอบของกิจกรรมเดิมๆ ที่เราทำทุกวัน ถ้าผมไม่ได้ขอให้เธอทำแบบนั้น ผมก็จะไม่ได้สัมผัสกับช่วงเวลาแบบนี้ โดนัทที่คล้องกันเป็นห่วงโอลิมปิกจะไม่เกิดขึ้น และแจ๊คกี้ก็จะไม่ได้มีโอกาส ทำให้ลูกค้าพึงพอใจด้วยวิธีการที่ไม่คาดคิดขณะขับรถกลับบ้านผมก็อดคิดไม่ได้ว่าความจริงแล้วโลกนี้ใจดีกว่าที่ผมคิด ส่วนผู้คนก็น่ารักกว่าที่ผมเข้าใจ จากหนังสือ คัมภีร์หน้าหนา Rejection Proof0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 9 มุมมอง 0 รีวิว - หากคุณทำงานเสร็จระหว่างที่โพโมโดโรวิ่งอยู่ให้ทำตามกฎนี้ เมื่อโพโมโดโรเริ่มขึ้นแล้ว ต้องเดินต่อไปจนมีเสียงเตือน เป็นสิ่งดีที่จะใช้ประโยชน์จากโอกาสในการเรียนรู้เพิ่มเติมโดยใช้เวลาที่เหลือใน โพโมโดโรเพื่อทบทวนหรือทำซ้ำให้ดีขึ้นอีกหน่อย และจดสิ่งที่ได้เรียนรู้จนกว่าโพโมโดโรจะดังขึ้น
จากหนังสือ เทคนิคการเคลียร์งาน 25 นาทีจบ The Pomodoro Techniqueหากคุณทำงานเสร็จระหว่างที่โพโมโดโรวิ่งอยู่ให้ทำตามกฎนี้ เมื่อโพโมโดโรเริ่มขึ้นแล้ว ต้องเดินต่อไปจนมีเสียงเตือน เป็นสิ่งดีที่จะใช้ประโยชน์จากโอกาสในการเรียนรู้เพิ่มเติมโดยใช้เวลาที่เหลือใน โพโมโดโรเพื่อทบทวนหรือทำซ้ำให้ดีขึ้นอีกหน่อย และจดสิ่งที่ได้เรียนรู้จนกว่าโพโมโดโรจะดังขึ้น จากหนังสือ เทคนิคการเคลียร์งาน 25 นาทีจบ The Pomodoro Technique0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 7 มุมมอง 0 รีวิว - ตั้งเป้าหมายเฉพาะตน จัดสรรปันส่วนเงิน รักษาวินัยทางการเงิน หมั่นตรวจสอบการเงินตลอดการเดินทาง เพียงเท่านี้คุณก็จะไปถึงเป้าหมายที่ใช่สำหรับคุณ
2 สิ่งที่ต้องระวังเมื่อคนเราอยากรวย นั่นก็คือความโลภและความประมาท เพราะเจ้าสองสิ่งที่ว่านี้นี่แหละ ที่จากเรา “จะรวยๆ” กลายเป็น “จนเฉยๆ” จาก “ผู้ประสบความสำเร็จ” กลายเป็น “ผู้ประสบภัย” แทน
จากหนังสือ สำเร็จนอกกรอบตั้งเป้าหมายเฉพาะตน จัดสรรปันส่วนเงิน รักษาวินัยทางการเงิน หมั่นตรวจสอบการเงินตลอดการเดินทาง เพียงเท่านี้คุณก็จะไปถึงเป้าหมายที่ใช่สำหรับคุณ 2 สิ่งที่ต้องระวังเมื่อคนเราอยากรวย นั่นก็คือความโลภและความประมาท เพราะเจ้าสองสิ่งที่ว่านี้นี่แหละ ที่จากเรา “จะรวยๆ” กลายเป็น “จนเฉยๆ” จาก “ผู้ประสบความสำเร็จ” กลายเป็น “ผู้ประสบภัย” แทน จากหนังสือ สำเร็จนอกกรอบ0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 7 มุมมอง 0 รีวิว - The Outward Mindset เพราะมองออกนอกคุณถึงเห็นข้างใน (2025/16)
มองออกนอกคือการเอาใจเขามาใส่ใจเรา แต่จุดประสงค์ของการเขียนหนังสือเล่มนี้เน้นในเรื่องธุรกิจหรือองค์การเป็นหลัก แต่ก็สามารถนำหลักการนี้นำไปใช้ในเรื่องส่วนบุคคลได้ด้วย เนื้อหาชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่าหากมองจุดประสงค์และปัญหาของหน่วยงานต่างๆที่ต้องส่งงานต่อให้กันนั้น ถ้ามองในลักษณะเข้าใจการกระทำของคู่ประสานงานกัน จะทำให้องค์การมีความสุข และเจริญรุ่งเรืองในที่สุด
เนื่องจากทีมงานผู้เขียนเป็นองค์กรที่รับแก้ปัญหาในเรื่องความสามัคคีในองค์กร พวกเขานำหลักการนี้ไปใช้และสามารถปรับปรุง เปลี่ยนแปลงให้องค์กรจากขาดทุนจนทำให้มีกำไร หลักการง่ายๆของพวกเขาคือการมองออก
เนื้อหาในเล่มทีมผู้เขียน นำตัวอย่างเคสต่างๆที่เกิดขึ้นจริงในวงการธุรกิจโดยที่พวกเขาสามารถเปลี่ยนจากสถานการณ์ย่ำแย่ กลับกลายมาเป็นทีมงานที่แข็งแกร่งได้ ตัวอย่างที่ผู้เขียนยกมาเช่น ทีมหน่วยคอมมานโดที่เคยทำอะไรตามใจ มีเคสร้องเรียนมากมาย และต้องถูกปรับเป็นจำนวนเงินมหาศาล หัวหน้าทีมมีปมใจจากการเลื้ยงดูตั้งแต่เด็ก แต่เขาถูกคำพูดของลูกชายตัวเองจนทำให้คิดได้ว่า เขาควรทำงานโดยมองผู้เกี่ยวข้อง รวมถึงผู้กระทำผิดว่าพวกเขาต้องการอะไรบ้าง และวัตถุประสงค์ที่แท้จริงในการทำงานของเขาทำไปเพื่ออะไร และนำทุกอย่างมาผสานให้สถานการณ์ลงตัว ยังมีเหตุการณ์ลักษณะแบบนี้อีกเช่น บริษัทว่าความยอมคืนเงินที่คิดว่าทำงานว่างความแล้วผลออกมาไม่ดีนักให้กับลูกความตัวเอง , บริษัทรับจ้างทวงหนี้ แทนที่จะรีบทวงหนี้โดยไม่คิดวิธีการ แต่พวกเขารู้ว่าถึงทำไปก็ไม่สามารถนำเงินที่ค้างคืนมาได้ บริษัทเลยทำหน้าที่ช่วยหางานให้กับลูกหนี้ เขียนเรซูเม่ให้ และซักซ้อมการเข้าสัมภาษณ์จนนี้เสียลดลงอย่างมาก ยังมีอีกหลายเรื่องที่น่าอ่านที่ให้ผลในทำนองเดียวกัน
การให้โดยที่ตั้งใจให้ผู้ที่เกี่ยวข้องรอบๆตัวได้บรรลุวัตถุประสงค์ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายหลัก ไม่ว่าจะเป็น ลูกค้า , ฝ่ายขาย , เจ้านาย หรือทีมงานระดับมดงาน โดยไม่คิดถึงเป้าหมายของตัวเองฝ่ายเดียว เมื่อเวลาผ่านไป บรรยากาศจะดีขึ้น จะมีรายได้เข้ามามากขึ้น และสามารถรอดพ้นจากวิกฤติได้
#TheOutwardMindset #เพราะมองออกนอกคุณถึงเห็นข้างใน #รีวิวหนังสือThe Outward Mindset เพราะมองออกนอกคุณถึงเห็นข้างใน (2025/16) มองออกนอกคือการเอาใจเขามาใส่ใจเรา แต่จุดประสงค์ของการเขียนหนังสือเล่มนี้เน้นในเรื่องธุรกิจหรือองค์การเป็นหลัก แต่ก็สามารถนำหลักการนี้นำไปใช้ในเรื่องส่วนบุคคลได้ด้วย เนื้อหาชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่าหากมองจุดประสงค์และปัญหาของหน่วยงานต่างๆที่ต้องส่งงานต่อให้กันนั้น ถ้ามองในลักษณะเข้าใจการกระทำของคู่ประสานงานกัน จะทำให้องค์การมีความสุข และเจริญรุ่งเรืองในที่สุด เนื่องจากทีมงานผู้เขียนเป็นองค์กรที่รับแก้ปัญหาในเรื่องความสามัคคีในองค์กร พวกเขานำหลักการนี้ไปใช้และสามารถปรับปรุง เปลี่ยนแปลงให้องค์กรจากขาดทุนจนทำให้มีกำไร หลักการง่ายๆของพวกเขาคือการมองออก เนื้อหาในเล่มทีมผู้เขียน นำตัวอย่างเคสต่างๆที่เกิดขึ้นจริงในวงการธุรกิจโดยที่พวกเขาสามารถเปลี่ยนจากสถานการณ์ย่ำแย่ กลับกลายมาเป็นทีมงานที่แข็งแกร่งได้ ตัวอย่างที่ผู้เขียนยกมาเช่น ทีมหน่วยคอมมานโดที่เคยทำอะไรตามใจ มีเคสร้องเรียนมากมาย และต้องถูกปรับเป็นจำนวนเงินมหาศาล หัวหน้าทีมมีปมใจจากการเลื้ยงดูตั้งแต่เด็ก แต่เขาถูกคำพูดของลูกชายตัวเองจนทำให้คิดได้ว่า เขาควรทำงานโดยมองผู้เกี่ยวข้อง รวมถึงผู้กระทำผิดว่าพวกเขาต้องการอะไรบ้าง และวัตถุประสงค์ที่แท้จริงในการทำงานของเขาทำไปเพื่ออะไร และนำทุกอย่างมาผสานให้สถานการณ์ลงตัว ยังมีเหตุการณ์ลักษณะแบบนี้อีกเช่น บริษัทว่าความยอมคืนเงินที่คิดว่าทำงานว่างความแล้วผลออกมาไม่ดีนักให้กับลูกความตัวเอง , บริษัทรับจ้างทวงหนี้ แทนที่จะรีบทวงหนี้โดยไม่คิดวิธีการ แต่พวกเขารู้ว่าถึงทำไปก็ไม่สามารถนำเงินที่ค้างคืนมาได้ บริษัทเลยทำหน้าที่ช่วยหางานให้กับลูกหนี้ เขียนเรซูเม่ให้ และซักซ้อมการเข้าสัมภาษณ์จนนี้เสียลดลงอย่างมาก ยังมีอีกหลายเรื่องที่น่าอ่านที่ให้ผลในทำนองเดียวกัน การให้โดยที่ตั้งใจให้ผู้ที่เกี่ยวข้องรอบๆตัวได้บรรลุวัตถุประสงค์ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายหลัก ไม่ว่าจะเป็น ลูกค้า , ฝ่ายขาย , เจ้านาย หรือทีมงานระดับมดงาน โดยไม่คิดถึงเป้าหมายของตัวเองฝ่ายเดียว เมื่อเวลาผ่านไป บรรยากาศจะดีขึ้น จะมีรายได้เข้ามามากขึ้น และสามารถรอดพ้นจากวิกฤติได้ #TheOutwardMindset #เพราะมองออกนอกคุณถึงเห็นข้างใน #รีวิวหนังสือ0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 6 มุมมอง 0 รีวิว - คอลลาเจนที่ใช้ทางการแพทย์ในการฉีดเข้าไปในเหงือกหรือผิวหนังจะเป็น คอลลาเจนที่มาจากหนังวัว หรือในเครื่องสำอางก็จะใช้คอลลาเจนที่มาจากปลิงทะเลที่เป็นสัตว์ชั้นต่ำ มีการนำเจลาตินที่เกิดจากการเสื่อมสภาพของคอลลาเจนมาใช้ตั้งแต่ในอดีต โดยส่วนมากจะนำไปใช้ในการทำกาวและนำไปทำแท่งหมึกด้วย
เราคงจะคุ้นเคยกับเจลลีที่เป็นส่วนประกอบของขนมกันดีนะครับ แถมยังพัฒนาเจลลีที่มีคุณสมบัติละลายน้ำได้ดี ในอาหารแช่แข็งไม่ว่าจะเป็นพาสต้าหรืออาหารสำเร็จรูปก็นำเจลาติน มาใช้ในการยึดวัตถุดิบต่างๆ เข้าไว้ด้วยกัน หรือปลาไหลย่างเองก็ใช้เครื่องปรุงที่มีส่วนผสมของเจลาตินเพื่อให้ดูแวววาวน่ากินมากขึ้น พอมีอาหารสำเร็จรูปที่ใช้กับไมโครเวฟเพิ่มมากขึ้น เจลาตินที่มีคุณสมบัติทำให้ยึดติดได้ก็ถูกนำมาใช้ทำให้มีประโยชน์ในวงกว้างมากขึ้น
จากหนังสือ เรื่องเล่าของความชราคอลลาเจนที่ใช้ทางการแพทย์ในการฉีดเข้าไปในเหงือกหรือผิวหนังจะเป็น คอลลาเจนที่มาจากหนังวัว หรือในเครื่องสำอางก็จะใช้คอลลาเจนที่มาจากปลิงทะเลที่เป็นสัตว์ชั้นต่ำ มีการนำเจลาตินที่เกิดจากการเสื่อมสภาพของคอลลาเจนมาใช้ตั้งแต่ในอดีต โดยส่วนมากจะนำไปใช้ในการทำกาวและนำไปทำแท่งหมึกด้วย เราคงจะคุ้นเคยกับเจลลีที่เป็นส่วนประกอบของขนมกันดีนะครับ แถมยังพัฒนาเจลลีที่มีคุณสมบัติละลายน้ำได้ดี ในอาหารแช่แข็งไม่ว่าจะเป็นพาสต้าหรืออาหารสำเร็จรูปก็นำเจลาติน มาใช้ในการยึดวัตถุดิบต่างๆ เข้าไว้ด้วยกัน หรือปลาไหลย่างเองก็ใช้เครื่องปรุงที่มีส่วนผสมของเจลาตินเพื่อให้ดูแวววาวน่ากินมากขึ้น พอมีอาหารสำเร็จรูปที่ใช้กับไมโครเวฟเพิ่มมากขึ้น เจลาตินที่มีคุณสมบัติทำให้ยึดติดได้ก็ถูกนำมาใช้ทำให้มีประโยชน์ในวงกว้างมากขึ้น จากหนังสือ เรื่องเล่าของความชรา0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 6 มุมมอง 0 รีวิว - ขณะที่คุณกำลังโน้มน้าวฝ่ายตรงข้าม คุณสามารถใช้ประโยชน์จากความเป็นกลุ่มเดียวกันเพื่อให้เกิดพฤติกรรม คล้อยตามฝูงชน อย่างที่เห็นในตัวอย่าง คนในพื้นที่หรือประเทศเดียวกัน จะเกิดพฤติกรรมคล้อยตามฝูงชนมากกว่า มันคืออยากระตุ้นการโน้มน้าวฝ่ายตรงข้ามนั่นเอง
จากหนังสือ ต่อต้านการถูกล้างสมอง Anti-Brainwashingขณะที่คุณกำลังโน้มน้าวฝ่ายตรงข้าม คุณสามารถใช้ประโยชน์จากความเป็นกลุ่มเดียวกันเพื่อให้เกิดพฤติกรรม คล้อยตามฝูงชน อย่างที่เห็นในตัวอย่าง คนในพื้นที่หรือประเทศเดียวกัน จะเกิดพฤติกรรมคล้อยตามฝูงชนมากกว่า มันคืออยากระตุ้นการโน้มน้าวฝ่ายตรงข้ามนั่นเอง จากหนังสือ ต่อต้านการถูกล้างสมอง Anti-Brainwashing0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 5 มุมมอง 0 รีวิว - ในด้านการเงินเราก็มีสถานการณ์ที่คล้ายกัน ลองพิจารณาธรรมชาติ ของเงินเป็นตัวอย่าง ในทางเศรษฐศาสตร์ คำนิยามมาตรฐานของเงินเน้นทีของเงินเป็นงั้นในฐานะ “สื่อกลางในการแลกเปลี่ยน” “เครื่องสะสมมูลค่า” และ “หน่วยในการวัดค่า” นักเศรษฐศาสตร์อย่างพอล แซมมวลสัน สนใจ และ หน่วย โดยนิยามเงินว่า “อะไรก็ตามที่เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป ให้ ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน” คำนิยามนี้คล้ายกับของจอห์น ลอว์ ที่บอกว่าเงินคือ “สัญญานของการส่งต่อ” ดังนั้นเงินจึงไม่ใช่สิ่งที่สำคัญด้วยตัวของมันเอง หากแต่เป็นเพียงสัญลักษณ์หนึ่งเท่านั้น ระบบเศรษฐกิจ ในภาพรวมจึงเป็นระบบแลกเปลี่ยนสินค้าขนาดใหญ่โดยเงินไม่มีนัยสำคัญ ไปกว่าการเป็นเครื่องมืออำนวยความสะดวกเท่านั้น
จากหนังสือ The Money Formula สมการสานล้านพลิกกระดานวอลสตรีทในด้านการเงินเราก็มีสถานการณ์ที่คล้ายกัน ลองพิจารณาธรรมชาติ ของเงินเป็นตัวอย่าง ในทางเศรษฐศาสตร์ คำนิยามมาตรฐานของเงินเน้นทีของเงินเป็นงั้นในฐานะ “สื่อกลางในการแลกเปลี่ยน” “เครื่องสะสมมูลค่า” และ “หน่วยในการวัดค่า” นักเศรษฐศาสตร์อย่างพอล แซมมวลสัน สนใจ และ หน่วย โดยนิยามเงินว่า “อะไรก็ตามที่เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป ให้ ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน” คำนิยามนี้คล้ายกับของจอห์น ลอว์ ที่บอกว่าเงินคือ “สัญญานของการส่งต่อ” ดังนั้นเงินจึงไม่ใช่สิ่งที่สำคัญด้วยตัวของมันเอง หากแต่เป็นเพียงสัญลักษณ์หนึ่งเท่านั้น ระบบเศรษฐกิจ ในภาพรวมจึงเป็นระบบแลกเปลี่ยนสินค้าขนาดใหญ่โดยเงินไม่มีนัยสำคัญ ไปกว่าการเป็นเครื่องมืออำนวยความสะดวกเท่านั้น จากหนังสือ The Money Formula สมการสานล้านพลิกกระดานวอลสตรีท0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 6 มุมมอง 0 รีวิว - โกรทฮอร์โมนมีหน้าที่เพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงาน ขั้นพื้นฐานและเผาผลาญไขมัน วิธีกระตุ้นการหลั่งโกรทฮอร์โมน โดยไม่ต้องออกกำลังกายที่มีประสิทธิภาพก็คือ “การสัมผัสกับ ความรู้สึกท้องว่าง"
สาเหตุเพราะโกรทฮอร์โมนจะถูกหลั่งออกมาตอนนอนหลับ และตอนท้องว่างนั่นเอง
จากหนังสือ จริงๆเราไม่ได้อ้วนแต่สมองสั่งให้อ้วน!
โกรทฮอร์โมนมีหน้าที่เพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงาน ขั้นพื้นฐานและเผาผลาญไขมัน วิธีกระตุ้นการหลั่งโกรทฮอร์โมน โดยไม่ต้องออกกำลังกายที่มีประสิทธิภาพก็คือ “การสัมผัสกับ ความรู้สึกท้องว่าง" สาเหตุเพราะโกรทฮอร์โมนจะถูกหลั่งออกมาตอนนอนหลับ และตอนท้องว่างนั่นเอง จากหนังสือ จริงๆเราไม่ได้อ้วนแต่สมองสั่งให้อ้วน!0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 6 มุมมอง 0 รีวิว - Skintelligent ศาสตร์แห่งผิว ไม่ผิวเผิน (2025/015)
หนังสือที่เขียนโดยแพทย์ผิวหนังผู้หวังดีและตรงไปตรงมา เธอมาอธิบายเรื่องราวความจริงของการทำงานของผิวพรรณทางการแพทย์(ไม่ใช่ทางการตลาด) หลักการที่จะนำครีมหรืออะไรอื่นๆที่จะนำมาใช้กับผิวในส่วนต่างๆของร่างการ ผิวหน้า รอบดวงตา หรือตามร่างกาย ซึ่งเธอบอกว่าการขายครีมบำรุงผิวต่างๆที่มีการโฆษณาขายอยู่เกิน 90% นั้น ตามหลักการทางการแพทย์แล้วไม่จำเป็นเลย นอกจากนี้คุณหมอยังอธิบายอาการต่างๆ พร้อมแนวทางการรักษาแบบไม่ต้องใช้จ่ายในราคาสูง อย่างละเอียด เช่นเรื่องสิว และเรื่องอื่นๆ ข้อมูลมีประโยชน์มากสำหรับผู้ที่ต้องการรู้จริงเรื่องผิวพรรณ
เนื่องจากผมมีลูกสาวและภรรยาที่สวยและผิวพรรณดี จะเห็นได้ว่าการใช้เครื่องประทินผิวของคุณผู้หญิงมีการใช้หลากหลายมากและใช้หลายตำแหน่งซึ่งทำให้เห็นความสำคัญของการดูแลผิว การอ่านหนังสือเล่มนี้เป็นการได้รับข้อมูลที่จริงจังจากแพทย์หญิงผู้มีประสบการณ์ในการรักษาผู้ป่วยทางด้านผิวพรรณมานานประมาณ 20ปี ตรวจคนไข้มาแล้วเกิน 6,000 คนที่ประเทศอังกฤษ เธอประกาศตัวเลยว่าเธอไม่เห็นด้วยกับการโฆษณาเกินจริงของวงการผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องประทินผิว เพราะเธอรู้เป็นอย่างดีกว่าสารผสมตัวใดที่ไม่ได้มีผลจริงๆกับผิว รวมไปถึงการสร้างทฤษฎีใหม่เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับผลิตภัณฑ์ใหม่และสร้างความเชื่อมั่นไปด้วย คุณหมอผู้เขียนหนังสือเล่มนี้เธอพยายามหางานวิจัยต่างๆมาหักล้างข้อมูลต่างๆที่เธอเห็นว่าไม่ถูกต้อง ส่วนในหัวข้อที่ถูกต้องเธอก็สนับสนุนเต็มที่
เรื่องแรกที่คุณหมอต้องทำความเข้าใจก่อนเรื่องอื่นคือ คำว่าสุขภาพผิวดี นิยามของสุขภาพผิวที่ดีคือ ผิวที่สามารถทำหน้าที่ของผิวหนังได้ตามปกติ ไม่มีอาการเจ็บปวด แสบ คัน มีผื่น แต่เมื่อสภาพผิวต้องเปลี่ยนไปตามอายุ ความปกติของผิวของผู้สูงอายุที่จะต้องมีรอยย่อนหรือผิวแห้งลงตามมาตรฐาน แบบนี้ก็เรียกว่าเป็นสุขภาพผิวปกติ แน่นอนย่อมมีความแตกต่างกันด้วยระหว่างชาติพันธุ์ ผิวสี และสภาพความเป็นอยู่ของแต่ละคน แต่ถ้าหากผิวของพวกเขาอยู่ในค่าเฉลี่ยของเชื้อชาติพวกเขาก็เรียกได้ว่าผิวของพวกเขาสุขภาพดีเช่นกัน
เรื่องสำคัญอีกเรื่องคือการอธิบายโครงสร้างของผิวหนัง ผิวหนังส่วนนอกซึ่งเป็นผิวหนังกำพร้าที่เรียกว่าสตราตัมคอร์เนียม ผิวส่วนนี้มีความพิเศษก็คือเป็นเซลผิวที่ตายและทับถมซ้อนกันอยู่หลายชั้น โดยชั้นนอกสุดเมื่อหมดอายุก็จะหลุดลอกออกเป็นขี้ไคล ผิวส่วนนี้เป็นส่วนที่คนภายนอกมองเห็น และมีคุณสมบัติสำคัญมากๆคือกันน้ำและระบายน้ำภายในออกมา ผิวหนังชั้นในก็มีลักษณะแบบเดียวกันคือกันน้ำภายในไม่ให้น้ำออกไปจากร่างกายได้ เป็นการรักษาสมดุลของน้ำในร่างกาย ระหว่างผิวชั้นนอกกับชั้นใน ก็จะมีชั้นไขมัน มีขนภายใน มีต่อมไขมัน ซึ่งโครงสร้างพื้นฐานนี้จะมีผลต่อการเลือกใช้เครื่องประทินผิวต่างๆ
ความรู้ที่ได้จากในเล่มมีเรื่องน่าสนใจมากมาย ได้แก่ ความมหัศจรรย์ของปิโตรเลียมเจลลี่(วาสลีน) ซึ่งสามารถใช้กับส่วนต่างๆเป็นอย่างดี , เรื่องความเข้าใจผิด ในเรื่องคลีนเซอร์ ครีมกันแดด วิตามินเอ , รายละเอียดแบบเจาะลึกเกี่ยวกับโรคที่ผิวหนัง เช่น สิว โรซาเซีย ผื่นอักเสบ ฝ้าและจุดด่างดำ , เรื่องของการฟื้นฟูรอยย่นเช่นรับประทานยา ทาครีม ฉีดโบท็อกซ์ รักษาด้วยแสงและการเย็บผิวหรือกระตุ้นด้วยเข็ม และท้ายเล่มคุณหมอยังสอนวิธีเหลือแพทย์ผิวหนังที่ผู้อ่านต้องการเข้าไปตรวจรักษาด้วย
#Skintelligent #ศาสตร์แห่งผิวไม่ผิวเผิน #รีวิวหนังสือ
Skintelligent ศาสตร์แห่งผิว ไม่ผิวเผิน (2025/015) หนังสือที่เขียนโดยแพทย์ผิวหนังผู้หวังดีและตรงไปตรงมา เธอมาอธิบายเรื่องราวความจริงของการทำงานของผิวพรรณทางการแพทย์(ไม่ใช่ทางการตลาด) หลักการที่จะนำครีมหรืออะไรอื่นๆที่จะนำมาใช้กับผิวในส่วนต่างๆของร่างการ ผิวหน้า รอบดวงตา หรือตามร่างกาย ซึ่งเธอบอกว่าการขายครีมบำรุงผิวต่างๆที่มีการโฆษณาขายอยู่เกิน 90% นั้น ตามหลักการทางการแพทย์แล้วไม่จำเป็นเลย นอกจากนี้คุณหมอยังอธิบายอาการต่างๆ พร้อมแนวทางการรักษาแบบไม่ต้องใช้จ่ายในราคาสูง อย่างละเอียด เช่นเรื่องสิว และเรื่องอื่นๆ ข้อมูลมีประโยชน์มากสำหรับผู้ที่ต้องการรู้จริงเรื่องผิวพรรณ เนื่องจากผมมีลูกสาวและภรรยาที่สวยและผิวพรรณดี จะเห็นได้ว่าการใช้เครื่องประทินผิวของคุณผู้หญิงมีการใช้หลากหลายมากและใช้หลายตำแหน่งซึ่งทำให้เห็นความสำคัญของการดูแลผิว การอ่านหนังสือเล่มนี้เป็นการได้รับข้อมูลที่จริงจังจากแพทย์หญิงผู้มีประสบการณ์ในการรักษาผู้ป่วยทางด้านผิวพรรณมานานประมาณ 20ปี ตรวจคนไข้มาแล้วเกิน 6,000 คนที่ประเทศอังกฤษ เธอประกาศตัวเลยว่าเธอไม่เห็นด้วยกับการโฆษณาเกินจริงของวงการผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องประทินผิว เพราะเธอรู้เป็นอย่างดีกว่าสารผสมตัวใดที่ไม่ได้มีผลจริงๆกับผิว รวมไปถึงการสร้างทฤษฎีใหม่เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับผลิตภัณฑ์ใหม่และสร้างความเชื่อมั่นไปด้วย คุณหมอผู้เขียนหนังสือเล่มนี้เธอพยายามหางานวิจัยต่างๆมาหักล้างข้อมูลต่างๆที่เธอเห็นว่าไม่ถูกต้อง ส่วนในหัวข้อที่ถูกต้องเธอก็สนับสนุนเต็มที่ เรื่องแรกที่คุณหมอต้องทำความเข้าใจก่อนเรื่องอื่นคือ คำว่าสุขภาพผิวดี นิยามของสุขภาพผิวที่ดีคือ ผิวที่สามารถทำหน้าที่ของผิวหนังได้ตามปกติ ไม่มีอาการเจ็บปวด แสบ คัน มีผื่น แต่เมื่อสภาพผิวต้องเปลี่ยนไปตามอายุ ความปกติของผิวของผู้สูงอายุที่จะต้องมีรอยย่อนหรือผิวแห้งลงตามมาตรฐาน แบบนี้ก็เรียกว่าเป็นสุขภาพผิวปกติ แน่นอนย่อมมีความแตกต่างกันด้วยระหว่างชาติพันธุ์ ผิวสี และสภาพความเป็นอยู่ของแต่ละคน แต่ถ้าหากผิวของพวกเขาอยู่ในค่าเฉลี่ยของเชื้อชาติพวกเขาก็เรียกได้ว่าผิวของพวกเขาสุขภาพดีเช่นกัน เรื่องสำคัญอีกเรื่องคือการอธิบายโครงสร้างของผิวหนัง ผิวหนังส่วนนอกซึ่งเป็นผิวหนังกำพร้าที่เรียกว่าสตราตัมคอร์เนียม ผิวส่วนนี้มีความพิเศษก็คือเป็นเซลผิวที่ตายและทับถมซ้อนกันอยู่หลายชั้น โดยชั้นนอกสุดเมื่อหมดอายุก็จะหลุดลอกออกเป็นขี้ไคล ผิวส่วนนี้เป็นส่วนที่คนภายนอกมองเห็น และมีคุณสมบัติสำคัญมากๆคือกันน้ำและระบายน้ำภายในออกมา ผิวหนังชั้นในก็มีลักษณะแบบเดียวกันคือกันน้ำภายในไม่ให้น้ำออกไปจากร่างกายได้ เป็นการรักษาสมดุลของน้ำในร่างกาย ระหว่างผิวชั้นนอกกับชั้นใน ก็จะมีชั้นไขมัน มีขนภายใน มีต่อมไขมัน ซึ่งโครงสร้างพื้นฐานนี้จะมีผลต่อการเลือกใช้เครื่องประทินผิวต่างๆ ความรู้ที่ได้จากในเล่มมีเรื่องน่าสนใจมากมาย ได้แก่ ความมหัศจรรย์ของปิโตรเลียมเจลลี่(วาสลีน) ซึ่งสามารถใช้กับส่วนต่างๆเป็นอย่างดี , เรื่องความเข้าใจผิด ในเรื่องคลีนเซอร์ ครีมกันแดด วิตามินเอ , รายละเอียดแบบเจาะลึกเกี่ยวกับโรคที่ผิวหนัง เช่น สิว โรซาเซีย ผื่นอักเสบ ฝ้าและจุดด่างดำ , เรื่องของการฟื้นฟูรอยย่นเช่นรับประทานยา ทาครีม ฉีดโบท็อกซ์ รักษาด้วยแสงและการเย็บผิวหรือกระตุ้นด้วยเข็ม และท้ายเล่มคุณหมอยังสอนวิธีเหลือแพทย์ผิวหนังที่ผู้อ่านต้องการเข้าไปตรวจรักษาด้วย #Skintelligent #ศาสตร์แห่งผิวไม่ผิวเผิน #รีวิวหนังสือ - “ต้องดูตัวอย่างจากนักเรียนที่ไปสอบด้วยความมั่นใจ แม้พวกเขาจะเตรียมตัวสอบมาเพียงเล็กน้อยก็ตาม แน่นอนว่าพวกเขาแกล้งทำได้ โดยให้กำลังใจและโน้มน้าวตัวเองว่าสามารถพึ่งพาการโม้ในการสอบข้อเขียนได้ หรือใช้การสอบแบบปรนัยให้เป็นประโยชน์กับตัวเอง แต่ทันทีที่พวกเขาเจอคำถามสองสามข้อที่ทำให้รู้สึกสิ้นหวัง ความเป็นจริงก็แทรกซึมเข้ามา ร่างกายจะเต็มไปด้วยฮอร์โมนความเครียดความตื่นตระหนกจะเข้าครอบงำจิตใจ ยิ่งความคาดหวังและความเป็นจริง ไม่ตรงกันมากเพียงใด พวกเขาก็ยิ่งเจอสถานการณ์เลวร้ายมากเท่านั้น
ฉิวหมิงหมิง ศาสตราจารย์ประจำมหาวิทยาลัยแห่งรัฐนิวยอร์ก ในเมืองบัฟฟาโล เริ่มประเมินอิทธิพลของความมั่นใจต่อระดับการอ่านของเด็ก เมื่อพิจารณานักเรียนจาก 34 ประเทศ ฉิวและเพื่อนร่วมงานพบว่าความมั่นใจเล็กๆน้อยๆ อาจเป็นประโยชน์ แต่ถ้ามากเกินไปก็อาจส่งผลเสียได้ ความมั่นใจที่มากเกินไปเชื่อมโยงกับความสามารถในการ อ่านที่ต่ำกว่าเกณฑ์ เพื่ออธิบายการค้นพบนี้ ฉิวรายงานว่า “หากนักเรียนที่มั่นใจมากเกินไปเลือกหนังสือที่ยากเกินไป เช่น The Lord of the Rings แทนที่จะเป็น Harry Potter and the Sorcerer's Stone เขาหรือเธออาจหยุดอ่านหลังจากผ่านไปสองสามหน้าแล้ววางมันทิ้งไว้บนชั้นหนังสือ ในทางตรงกันข้ามนักเรียนที่ตระหนักรู้ในตัวเองมากกว่ามีแนวโน้มสูงกว่า ที่จะอ่านหนังสือเล่มง่ายๆจบ และอ่านหนังสือเล่มอื่นๆต่อไป”
จากหนังสือ Do Hard Things วิทยาศาสตร์ของการไม่ยอมแพ้“ต้องดูตัวอย่างจากนักเรียนที่ไปสอบด้วยความมั่นใจ แม้พวกเขาจะเตรียมตัวสอบมาเพียงเล็กน้อยก็ตาม แน่นอนว่าพวกเขาแกล้งทำได้ โดยให้กำลังใจและโน้มน้าวตัวเองว่าสามารถพึ่งพาการโม้ในการสอบข้อเขียนได้ หรือใช้การสอบแบบปรนัยให้เป็นประโยชน์กับตัวเอง แต่ทันทีที่พวกเขาเจอคำถามสองสามข้อที่ทำให้รู้สึกสิ้นหวัง ความเป็นจริงก็แทรกซึมเข้ามา ร่างกายจะเต็มไปด้วยฮอร์โมนความเครียดความตื่นตระหนกจะเข้าครอบงำจิตใจ ยิ่งความคาดหวังและความเป็นจริง ไม่ตรงกันมากเพียงใด พวกเขาก็ยิ่งเจอสถานการณ์เลวร้ายมากเท่านั้น ฉิวหมิงหมิง ศาสตราจารย์ประจำมหาวิทยาลัยแห่งรัฐนิวยอร์ก ในเมืองบัฟฟาโล เริ่มประเมินอิทธิพลของความมั่นใจต่อระดับการอ่านของเด็ก เมื่อพิจารณานักเรียนจาก 34 ประเทศ ฉิวและเพื่อนร่วมงานพบว่าความมั่นใจเล็กๆน้อยๆ อาจเป็นประโยชน์ แต่ถ้ามากเกินไปก็อาจส่งผลเสียได้ ความมั่นใจที่มากเกินไปเชื่อมโยงกับความสามารถในการ อ่านที่ต่ำกว่าเกณฑ์ เพื่ออธิบายการค้นพบนี้ ฉิวรายงานว่า “หากนักเรียนที่มั่นใจมากเกินไปเลือกหนังสือที่ยากเกินไป เช่น The Lord of the Rings แทนที่จะเป็น Harry Potter and the Sorcerer's Stone เขาหรือเธออาจหยุดอ่านหลังจากผ่านไปสองสามหน้าแล้ววางมันทิ้งไว้บนชั้นหนังสือ ในทางตรงกันข้ามนักเรียนที่ตระหนักรู้ในตัวเองมากกว่ามีแนวโน้มสูงกว่า ที่จะอ่านหนังสือเล่มง่ายๆจบ และอ่านหนังสือเล่มอื่นๆต่อไป” จากหนังสือ Do Hard Things วิทยาศาสตร์ของการไม่ยอมแพ้0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 11 มุมมอง 0 รีวิว - ถ้าจะมีบริษัทสักแห่งที่เปลี่ยนการใช้ข้อพิสูจน์ของสังคมให้กลายเป็นงานศิลปะได้ นั่นก็คือ Booking.com ในเว็บไซต์บริษัทแจ้งผู้เยี่ยมชมหลายจุดตลอดระยะเวลา ที่ลูกค้าใช้งานบนเว็บไซต์ว่า คนอื่น ๆ ทำอะไรไปแล้วบ้างหรือกำลังทำอะไรอยู่ ตัวอย่างเช่น
• เรามองเห็นได้ว่าคนจำนวนเท่าไรกำลังเยี่ยมชมหน้าเดียวกันนี้ในเวลาเดียวกับเรา
เรามองเห็นได้ว่าที่พักแห่งนั้นมีคนเขียนรีวิวมาแล้วกี่ครั้ง เรามองเห็นได้ว่ามีคนจำนวนเท่าไรเคยจองที่พักนั้นในช่วง 24 ชั่วโมง ที่ผ่านมา
• เรามองเห็นได้ว่าผู้เข้าพักให้คะแนนเฉลี่ยห้องนี้หรือที่พักนี้เท่าไร
• เราอ่านรีวิวของคนที่เคยจองที่พักนั้นมาก่อนได้
ตัวกระตุ้นสามแบบ
จากหนังสือ Online Influence ออกแบบให้คนคลิก รวมเทคนิคให้คนซื้อถ้าจะมีบริษัทสักแห่งที่เปลี่ยนการใช้ข้อพิสูจน์ของสังคมให้กลายเป็นงานศิลปะได้ นั่นก็คือ Booking.com ในเว็บไซต์บริษัทแจ้งผู้เยี่ยมชมหลายจุดตลอดระยะเวลา ที่ลูกค้าใช้งานบนเว็บไซต์ว่า คนอื่น ๆ ทำอะไรไปแล้วบ้างหรือกำลังทำอะไรอยู่ ตัวอย่างเช่น • เรามองเห็นได้ว่าคนจำนวนเท่าไรกำลังเยี่ยมชมหน้าเดียวกันนี้ในเวลาเดียวกับเรา เรามองเห็นได้ว่าที่พักแห่งนั้นมีคนเขียนรีวิวมาแล้วกี่ครั้ง เรามองเห็นได้ว่ามีคนจำนวนเท่าไรเคยจองที่พักนั้นในช่วง 24 ชั่วโมง ที่ผ่านมา • เรามองเห็นได้ว่าผู้เข้าพักให้คะแนนเฉลี่ยห้องนี้หรือที่พักนี้เท่าไร • เราอ่านรีวิวของคนที่เคยจองที่พักนั้นมาก่อนได้ ตัวกระตุ้นสามแบบ จากหนังสือ Online Influence ออกแบบให้คนคลิก รวมเทคนิคให้คนซื้อ0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 10 มุมมอง 0 รีวิว - บริษัทนีลเซ่นหรือบริษัทให้บริการตรวจสอบเรตติ้งโทรทัศน์รายอื่นๆ จะตรวจสอบพฤติกรรมการชมโทรทัศน์ในช่วงพัก โฆษณา ถ้ารายการใดบอกผู้โฆษณาว่ามีผู้ชม 10 ล้านคน แต่โฆษณานั้นสร้างความน่าเบื่อจนผู้ชมปิดไปช่องอื่น 1 ล้านคน ดังนั้นผู้โฆษณาก็ต้องจ่ายค่าโฆษณาในราคาที่สูงมาก แต่ถ้าโฆษณาตัวนั้นให้ความบันเทิงและดึงผู้ชมให้คอยติดตามดู ซึ่งเท่ากับตรึงผู้ชมทั้ง 10 ล้าน (หรือมากกว่า)ให้ ดูโฆษณาลำดับถัดไปด้วยฉะนั้น ราคาก็ควรจะลดลงไปด้วย
จากหนังสือ Why Notบริษัทนีลเซ่นหรือบริษัทให้บริการตรวจสอบเรตติ้งโทรทัศน์รายอื่นๆ จะตรวจสอบพฤติกรรมการชมโทรทัศน์ในช่วงพัก โฆษณา ถ้ารายการใดบอกผู้โฆษณาว่ามีผู้ชม 10 ล้านคน แต่โฆษณานั้นสร้างความน่าเบื่อจนผู้ชมปิดไปช่องอื่น 1 ล้านคน ดังนั้นผู้โฆษณาก็ต้องจ่ายค่าโฆษณาในราคาที่สูงมาก แต่ถ้าโฆษณาตัวนั้นให้ความบันเทิงและดึงผู้ชมให้คอยติดตามดู ซึ่งเท่ากับตรึงผู้ชมทั้ง 10 ล้าน (หรือมากกว่า)ให้ ดูโฆษณาลำดับถัดไปด้วยฉะนั้น ราคาก็ควรจะลดลงไปด้วย จากหนังสือ Why Not0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 15 มุมมอง 0 รีวิว - แนนซี แมควิลเลียมส์ นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน อธิบายว่า การปฏิเสธความจริงเป็นกลไกป้องกันตนเอง (Defense Mechanism) ซึ่งมนุษย์ใช้เพื่อปกป้องตัวเองจากอารมณ์และความคิดที่ไม่พึงประสงค์ ทำให้ปัญหาที่มีอยู่ไม่ได้รับการแก้ไขหรือช่วยเหลือ
จากหนังสือ โตมาแบบไหนแนนซี แมควิลเลียมส์ นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน อธิบายว่า การปฏิเสธความจริงเป็นกลไกป้องกันตนเอง (Defense Mechanism) ซึ่งมนุษย์ใช้เพื่อปกป้องตัวเองจากอารมณ์และความคิดที่ไม่พึงประสงค์ ทำให้ปัญหาที่มีอยู่ไม่ได้รับการแก้ไขหรือช่วยเหลือ จากหนังสือ โตมาแบบไหน0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 14 มุมมอง 0 รีวิว - คนส่วนใหญ่ไม่อยากนำมาตรฐานของแมตต์มาใช้ เพราะมาตรฐานเหล่านั้นเข้มงวดมาก แต่ถ้าคุณเต็มใจที่จะทำงานนี้อย่างเอาใจใส่จริงๆ การทำงานแบบแมตต์เป็นทางลัดสู่ความเป็นเลิศที่ซ่อนอยู่อย่างทนโท่ ผู้คนที่ด้านขวาสุดของเส้นโค้งระฆังคว่ำ(คนที่ทำสิ่งต่างๆ ได้ดีกว่าเกณฑ์ปกติ) คือคนที่สามารถสอนเคล็ดลับ เทคนิค และข้อมูลเชิงลึกที่คุณอาจต้องใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อเรียนรู้ได้ พวกเขาจัดการกับส่วนหนักๆให้คุณแล้ว ทั้งยังจ่ายค่าบทเรียนทั้งหมดให้แล้วด้วย คุณจึงไม่จำเป็นต้องเอาอะไรไปแลกอีก การเรียนรู้และพยายามดำเนินชีวิตตามมาตรฐานของแมตต์ช่วยให้ผมกลายมาเป็นคนที่ทำงานได้มีประสิทธิภาพเร็วกว่าปกติ
จากหนังสือ คิดให้เฉียบคม Clear Thinkingคนส่วนใหญ่ไม่อยากนำมาตรฐานของแมตต์มาใช้ เพราะมาตรฐานเหล่านั้นเข้มงวดมาก แต่ถ้าคุณเต็มใจที่จะทำงานนี้อย่างเอาใจใส่จริงๆ การทำงานแบบแมตต์เป็นทางลัดสู่ความเป็นเลิศที่ซ่อนอยู่อย่างทนโท่ ผู้คนที่ด้านขวาสุดของเส้นโค้งระฆังคว่ำ(คนที่ทำสิ่งต่างๆ ได้ดีกว่าเกณฑ์ปกติ) คือคนที่สามารถสอนเคล็ดลับ เทคนิค และข้อมูลเชิงลึกที่คุณอาจต้องใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อเรียนรู้ได้ พวกเขาจัดการกับส่วนหนักๆให้คุณแล้ว ทั้งยังจ่ายค่าบทเรียนทั้งหมดให้แล้วด้วย คุณจึงไม่จำเป็นต้องเอาอะไรไปแลกอีก การเรียนรู้และพยายามดำเนินชีวิตตามมาตรฐานของแมตต์ช่วยให้ผมกลายมาเป็นคนที่ทำงานได้มีประสิทธิภาพเร็วกว่าปกติ จากหนังสือ คิดให้เฉียบคม Clear Thinking0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 12 มุมมอง 0 รีวิว - ทั้งเหมา เจ๋อตง และเจียง ไคเชก ล้วนจัด ลำดับความสำคัญของยุทธศาสตร์ในการทำศึกของพวกเขาไว้อย่างชัดเจน ดังนั้นแม้ว่าพวกเขาจะเป็นศัตรูทางการเมืองต่อกันอย่างรุนแรง แต่เนื่องจากในเวลานั้นญี่ปุ่นคือภัยรุกรานอันดับหนึ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศชาติ จึงยอมละวางความขัดแย้งส่วนตนไว้แล้วหันมาจับมือกันเพื่อช่วยกันทำศึกต่อต้านญี่ปุ่น ทำให้ประเทศจีนสามารถรอดพ้นจากการโดนญี่ปุ่นเข้ายึดครอง ทั้งหมดมาได้ จากนั้นเมื่อภายในประเทศเริ่มกลับสู่ความสงบมากขึ้น พวก เขาก็เริ่มหันมาเปิดศึกภายในต่อกันอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ประเทศจีนก็ไม่ต้องตก เป็นของมหาอำนาจต่างชาติอีกแล้วนั่นเอง
จากหนังสือ คิดอย่างจีนทั้งเหมา เจ๋อตง และเจียง ไคเชก ล้วนจัด ลำดับความสำคัญของยุทธศาสตร์ในการทำศึกของพวกเขาไว้อย่างชัดเจน ดังนั้นแม้ว่าพวกเขาจะเป็นศัตรูทางการเมืองต่อกันอย่างรุนแรง แต่เนื่องจากในเวลานั้นญี่ปุ่นคือภัยรุกรานอันดับหนึ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศชาติ จึงยอมละวางความขัดแย้งส่วนตนไว้แล้วหันมาจับมือกันเพื่อช่วยกันทำศึกต่อต้านญี่ปุ่น ทำให้ประเทศจีนสามารถรอดพ้นจากการโดนญี่ปุ่นเข้ายึดครอง ทั้งหมดมาได้ จากนั้นเมื่อภายในประเทศเริ่มกลับสู่ความสงบมากขึ้น พวก เขาก็เริ่มหันมาเปิดศึกภายในต่อกันอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ประเทศจีนก็ไม่ต้องตก เป็นของมหาอำนาจต่างชาติอีกแล้วนั่นเอง จากหนังสือ คิดอย่างจีน0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 13 มุมมอง 0 รีวิว - ผู้ชายหลายมิติ A Beautiful Mind (2025/014)
ชีวิตของอัจฉริยะทางคณิตศาสตร์ระดับท็อปของอเมริกาช่วงหนึ่ง ซึ่งได้รับการนำเนื้อหาในหนังสือไปสร้างภาพยนตร์ A Beautiful Mind นั่นก็คือหนังสือที่เล่าเรื่องราวของ จอห์น ฟอบส์ แนช จูเนียร์ นั่นเอง หลายๆคนอาจจะรู้จัก จอห์น แนช จากภาพยนตร์แต่ถ้าได้อ่านหนังสือร่วมด้วยจะได้รับอรรถรส และความจริงมากขึ้น มีหลายเรื่องราวที่ภาพยนตร์ได้ตัดความจริงหลายๆเรื่องเกี่ยวกับ จอห์น แนช เช่น เขามีภรรยาสองคน และมีลูกกับภรรยาทั้งสองด้วย เขามีแนวโน้มว่าจะเป็นชาว LGBTQ เป็นต้น และเรื่องที่เป็นความจริงที่เขาเป็นอัจฉริยะ , เป็นโรคทางจิตเวช และหายกลับมาเกือบปกติ จนในท้ายที่สุดเขาได้รับรางวัลโนเบล
ผมใช้ชีวิตอยู่กับจอห์น แนช ทั้งในหนังสือและดูหนังมา 10วัน ชีวิตของเขาน่าเห็นใจมาก ที่จริงแล้วเขามีปัญหาในการเข้าสังคมตั้งแต่เด็กๆ และยังเป็นพวกอัจฉริยะที่เย่อหยิ่งมั่นใจในความรู้ตัวเองสูง ตัวเขาได้รับทุนและสามารถเขาเรียนที่มหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน ที่เป็นศูนย์รวมของนักวิทยาศาสตร์สาขาต่างๆ รวมไปถึงนักคณิตศาสตร์ระดับโลก ที่ย้ายหนีสงครามมาจากยุโรป ในนั้นมีอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์อยู่สอนที่นั่นด้วย ตัวจอห์น แนช เรียนจนเกือบจบ เขาคิดเฟื่องในสิ่งที่คนอื่นคิด หาวิธีแก้ไขโจทน์หรือทฤษฎีทางคณิตศาสตร์ด้วยวิธีที่ไม่เหมือนใคร และใช้การคิดแบบทางอ้อม แต่จนแล้วจนรอดเขาไม่สามารถเขียนงานวิจัยเพื่อที่จะจบปริญญาเอกได้เลย และแล้วเขากลับมาปิ๊งกับทฤษฎีเกม ที่เคยมีการเขียนขึ้นมาโดย จอห์น ฟอน นอยมันน์ และเพื่อน แต่ดูเหมือนทฤษฎีที่เขียนขึ้นมายังใช้งานได้ไม่ดีนัก แนชเขาจึงคิดทฤษฎีเกมที่เป็นทฤษฎีทางผลประโยชน์ที่ไม่ได้มีใครได้เปรียบหรือเสียเปรียบร้อยเปอร์เซ็นต์ รวมไปถึงมีเงื่อนไขอื่นๆด้วย จนเขาส่งงานเขียนทฤษฎีเกมจำนวน 27หน้า เป็นงานจบปริญญาเอกของเขา
หลังจากแนชเรียนจบ เขาได้ทำงานกับบริษัทที่เป็นหน่วยงานวิเคราะห์ข้อมูลส่งให้รัฐบาล บริษัทนี้ทำหน้าที่วิเคราะห์ประเทศที่มีการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ในช่วงสงครามเย็น ต่อมาเขาต้องออกจากงานนี้และเขาผันตัวเองมาเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย แต่ที่แนชต้องการจะเข้าไปสอนคือที่ฮาร์วาร์ดและพรินซ์ตัน ไม่รับเขาเข้าทำงาน เขาจึงต้องไปสอนที่หมาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ขณะนั้นแนชเริ่มทำตัวแปลกๆ เขามีอาการหวาดกลัว และมีความคิดว่ามีทั้งมนุษย์ต่างดาว หรือประเทศคอมมิวนิสต์จะมาทำลายประเทศ และมีคนเหล่านั้นจะมาจับตัวเขา เขาถูกจับเขาไปในโรงพยาบาลจิตเวชหลายครั้ง จากทั้งในมหาวิทยาลัย จากภรรยา และจากแม่ การป่วยทำให้เขาไม่มีงานทำ ต้องหย่ากับภรรยา และแทบไม่ได้เลี้ยงลูกเลย บางช่วงเขาถึงกับต้องอยู่แบบคนไร้บ้าน เขาไม่เหลือใครเลย
ท้ายที่สุดหลังจากสูญเสียเวลาจากการป่วยไป 25ปี เขาเริ่มนิ่งขึ้นและสามารถเขียนงานวิจัยได้ สอนหนังสือได้ และเมื่อครบรอบ 50ปีจากการกำเนิดทฤษฎีเกม เขาได้รับเชิญเข้ารับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์พร้อมกับอีกสองท่านที่ได้นำเอาทฤษฎีเกมที่แนชพัฒนาขึ้นมา ต่อยอดใช้งานได้จริง เขากลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ได้สานสัมพันธ์กับลูกชายทั้งสอง และได้แต่งงานกับภรรยาคนที่สองอีกครั้งในวัยเจ็ดสิบสามปี เขายังคงทำงานเงียบๆ พยายามคิดค้นงานวิจัยใหม่ และกลับมามีชีวติใหม่อีกครั้ง
มีหลายเรื่องที่ในภาพยนตร์ไม่สามารถใส่ลงไปในเนื้อเรื่องได้ แต่สามารถอ่านได้ในหนังสือเล่มนี้ เช่น ประวัติความเป็นมาของคุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยาย รวมไปถึงคุณพ่อคุณแม่ของแนช , ชีวิตในวัยเด็กของเขาและความสนใจของเขา , ความโดดเด่นของเขาสมัยที่เป็นนักเรียน , ความคิดและการใช้ชีวิตทางสังคมที่มีปัญหาสำหรับเขา , มหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน ทั้งในเรื่อง การดึงเอาสุดยอดนักวิทยาศาสตร์ของโลกมาอยู่ที่นี่(แทนที่จะเป็นฮาร์วาร์ด) บรรยากาศในการเรียน การสอน การทำวิจัย และชีวิตความเป็นอยู่ , เรื่องราวของภรรยาคนแรกเอเลนอร์และลูกชายคนแรก และการทอดทิ้งพวกเขาอย่างไม่มีเยื่อใย , การเป็น LGBTQ ของแนช , เบื้อหลังการต่อสู้ภายในองค์กรโนเบลที่มีฝั่งสนับสนุนให้แนชได้รับรางวัลกับฝ่ายต่อต้านแนชเนื่องจากประวัติของเขาที่เคยป่วยมากช่วงก่อนหน้านี้ และอื่นๆอีกมากมาย
#ผู้ชายหลายมิติ #ABeautifulMind #รีวิวหนังสือ
ผู้ชายหลายมิติ A Beautiful Mind (2025/014) ชีวิตของอัจฉริยะทางคณิตศาสตร์ระดับท็อปของอเมริกาช่วงหนึ่ง ซึ่งได้รับการนำเนื้อหาในหนังสือไปสร้างภาพยนตร์ A Beautiful Mind นั่นก็คือหนังสือที่เล่าเรื่องราวของ จอห์น ฟอบส์ แนช จูเนียร์ นั่นเอง หลายๆคนอาจจะรู้จัก จอห์น แนช จากภาพยนตร์แต่ถ้าได้อ่านหนังสือร่วมด้วยจะได้รับอรรถรส และความจริงมากขึ้น มีหลายเรื่องราวที่ภาพยนตร์ได้ตัดความจริงหลายๆเรื่องเกี่ยวกับ จอห์น แนช เช่น เขามีภรรยาสองคน และมีลูกกับภรรยาทั้งสองด้วย เขามีแนวโน้มว่าจะเป็นชาว LGBTQ เป็นต้น และเรื่องที่เป็นความจริงที่เขาเป็นอัจฉริยะ , เป็นโรคทางจิตเวช และหายกลับมาเกือบปกติ จนในท้ายที่สุดเขาได้รับรางวัลโนเบล ผมใช้ชีวิตอยู่กับจอห์น แนช ทั้งในหนังสือและดูหนังมา 10วัน ชีวิตของเขาน่าเห็นใจมาก ที่จริงแล้วเขามีปัญหาในการเข้าสังคมตั้งแต่เด็กๆ และยังเป็นพวกอัจฉริยะที่เย่อหยิ่งมั่นใจในความรู้ตัวเองสูง ตัวเขาได้รับทุนและสามารถเขาเรียนที่มหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน ที่เป็นศูนย์รวมของนักวิทยาศาสตร์สาขาต่างๆ รวมไปถึงนักคณิตศาสตร์ระดับโลก ที่ย้ายหนีสงครามมาจากยุโรป ในนั้นมีอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์อยู่สอนที่นั่นด้วย ตัวจอห์น แนช เรียนจนเกือบจบ เขาคิดเฟื่องในสิ่งที่คนอื่นคิด หาวิธีแก้ไขโจทน์หรือทฤษฎีทางคณิตศาสตร์ด้วยวิธีที่ไม่เหมือนใคร และใช้การคิดแบบทางอ้อม แต่จนแล้วจนรอดเขาไม่สามารถเขียนงานวิจัยเพื่อที่จะจบปริญญาเอกได้เลย และแล้วเขากลับมาปิ๊งกับทฤษฎีเกม ที่เคยมีการเขียนขึ้นมาโดย จอห์น ฟอน นอยมันน์ และเพื่อน แต่ดูเหมือนทฤษฎีที่เขียนขึ้นมายังใช้งานได้ไม่ดีนัก แนชเขาจึงคิดทฤษฎีเกมที่เป็นทฤษฎีทางผลประโยชน์ที่ไม่ได้มีใครได้เปรียบหรือเสียเปรียบร้อยเปอร์เซ็นต์ รวมไปถึงมีเงื่อนไขอื่นๆด้วย จนเขาส่งงานเขียนทฤษฎีเกมจำนวน 27หน้า เป็นงานจบปริญญาเอกของเขา หลังจากแนชเรียนจบ เขาได้ทำงานกับบริษัทที่เป็นหน่วยงานวิเคราะห์ข้อมูลส่งให้รัฐบาล บริษัทนี้ทำหน้าที่วิเคราะห์ประเทศที่มีการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ในช่วงสงครามเย็น ต่อมาเขาต้องออกจากงานนี้และเขาผันตัวเองมาเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย แต่ที่แนชต้องการจะเข้าไปสอนคือที่ฮาร์วาร์ดและพรินซ์ตัน ไม่รับเขาเข้าทำงาน เขาจึงต้องไปสอนที่หมาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ขณะนั้นแนชเริ่มทำตัวแปลกๆ เขามีอาการหวาดกลัว และมีความคิดว่ามีทั้งมนุษย์ต่างดาว หรือประเทศคอมมิวนิสต์จะมาทำลายประเทศ และมีคนเหล่านั้นจะมาจับตัวเขา เขาถูกจับเขาไปในโรงพยาบาลจิตเวชหลายครั้ง จากทั้งในมหาวิทยาลัย จากภรรยา และจากแม่ การป่วยทำให้เขาไม่มีงานทำ ต้องหย่ากับภรรยา และแทบไม่ได้เลี้ยงลูกเลย บางช่วงเขาถึงกับต้องอยู่แบบคนไร้บ้าน เขาไม่เหลือใครเลย ท้ายที่สุดหลังจากสูญเสียเวลาจากการป่วยไป 25ปี เขาเริ่มนิ่งขึ้นและสามารถเขียนงานวิจัยได้ สอนหนังสือได้ และเมื่อครบรอบ 50ปีจากการกำเนิดทฤษฎีเกม เขาได้รับเชิญเข้ารับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์พร้อมกับอีกสองท่านที่ได้นำเอาทฤษฎีเกมที่แนชพัฒนาขึ้นมา ต่อยอดใช้งานได้จริง เขากลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ได้สานสัมพันธ์กับลูกชายทั้งสอง และได้แต่งงานกับภรรยาคนที่สองอีกครั้งในวัยเจ็ดสิบสามปี เขายังคงทำงานเงียบๆ พยายามคิดค้นงานวิจัยใหม่ และกลับมามีชีวติใหม่อีกครั้ง มีหลายเรื่องที่ในภาพยนตร์ไม่สามารถใส่ลงไปในเนื้อเรื่องได้ แต่สามารถอ่านได้ในหนังสือเล่มนี้ เช่น ประวัติความเป็นมาของคุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยาย รวมไปถึงคุณพ่อคุณแม่ของแนช , ชีวิตในวัยเด็กของเขาและความสนใจของเขา , ความโดดเด่นของเขาสมัยที่เป็นนักเรียน , ความคิดและการใช้ชีวิตทางสังคมที่มีปัญหาสำหรับเขา , มหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน ทั้งในเรื่อง การดึงเอาสุดยอดนักวิทยาศาสตร์ของโลกมาอยู่ที่นี่(แทนที่จะเป็นฮาร์วาร์ด) บรรยากาศในการเรียน การสอน การทำวิจัย และชีวิตความเป็นอยู่ , เรื่องราวของภรรยาคนแรกเอเลนอร์และลูกชายคนแรก และการทอดทิ้งพวกเขาอย่างไม่มีเยื่อใย , การเป็น LGBTQ ของแนช , เบื้อหลังการต่อสู้ภายในองค์กรโนเบลที่มีฝั่งสนับสนุนให้แนชได้รับรางวัลกับฝ่ายต่อต้านแนชเนื่องจากประวัติของเขาที่เคยป่วยมากช่วงก่อนหน้านี้ และอื่นๆอีกมากมาย #ผู้ชายหลายมิติ #ABeautifulMind #รีวิวหนังสือ0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 14 มุมมอง 0 รีวิว - นอกจากนั้นจอมพล ป. ยังอ้างตำแหน่งผู้บังคับบัญชาการทหารสูงสุดออก คำสั่งให้พระองค์เจ้าอาทิตย์ฯ และนายปรีดี พนมยงค์ มาประจำกองบัญชาการทหารสูงสุด คือ เท่ากับให้ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บัญชาการทหารสูงสุด และให้ไปรายงานตัวภายใน ๒๔ ชั่วโมง
ปรากฏว่าพระองค์เจ้าอาทิตย์ฯ ได้เสด็จไปรายงานพระองค์ต่อจอมพล ป. ตามคำสั่ง แต่นายปรีดีไม่ยอมไปโดยให้เหตุผลว่านายปรีดีมีตำแหน่งเป็นผู้แทน พระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงเป็นจอมทัพตามรัฐธรรมนูญ ถ้าไปรายงานตนก็เท่ากับเป็นการลดพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ลงอยู่ภายใต้ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ปรากฏว่ามีรัฐมนตรีบางคนได้ชี้แจงและขอร้องให้จอมพล ป.ฯ ถอนคำสั่งที่ว่านั้น ทำให้นายปรีดีรอดตัวไปอีกครั้งหนึ่ง
จากหนังสือ ศึกชิงพระคลังข้างที่ 2475นอกจากนั้นจอมพล ป. ยังอ้างตำแหน่งผู้บังคับบัญชาการทหารสูงสุดออก คำสั่งให้พระองค์เจ้าอาทิตย์ฯ และนายปรีดี พนมยงค์ มาประจำกองบัญชาการทหารสูงสุด คือ เท่ากับให้ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บัญชาการทหารสูงสุด และให้ไปรายงานตัวภายใน ๒๔ ชั่วโมง ปรากฏว่าพระองค์เจ้าอาทิตย์ฯ ได้เสด็จไปรายงานพระองค์ต่อจอมพล ป. ตามคำสั่ง แต่นายปรีดีไม่ยอมไปโดยให้เหตุผลว่านายปรีดีมีตำแหน่งเป็นผู้แทน พระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงเป็นจอมทัพตามรัฐธรรมนูญ ถ้าไปรายงานตนก็เท่ากับเป็นการลดพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ลงอยู่ภายใต้ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ปรากฏว่ามีรัฐมนตรีบางคนได้ชี้แจงและขอร้องให้จอมพล ป.ฯ ถอนคำสั่งที่ว่านั้น ทำให้นายปรีดีรอดตัวไปอีกครั้งหนึ่ง จากหนังสือ ศึกชิงพระคลังข้างที่ 24750 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 15 มุมมอง 0 รีวิว - Niksen หรือ นิกเซนเป็นการกดปุ่มพักชั่วคราวให้ร่างกาย ในช่วงเวลาสั้นๆด้วยการถอนตัวออกมาจากงานและกิจกรรมที่สร้างความกดดัน ปล่อยให้ตัวเองเฉื่อยชาโดยไม่ต้องรู้สึกผิดหรือคิดถึงสิ่งที่ควรทำในช่วงเวลาดังกล่าว นี่แหละคือเคล็ดลับที่ทำให้ชาวดัตช์มีดัชนีความสุขสูงเป็นอันดับต้นๆของโลก
จากหนังสือ Niksen ศิลปะของการไม่ทำอะไรเลยNiksen หรือ นิกเซนเป็นการกดปุ่มพักชั่วคราวให้ร่างกาย ในช่วงเวลาสั้นๆด้วยการถอนตัวออกมาจากงานและกิจกรรมที่สร้างความกดดัน ปล่อยให้ตัวเองเฉื่อยชาโดยไม่ต้องรู้สึกผิดหรือคิดถึงสิ่งที่ควรทำในช่วงเวลาดังกล่าว นี่แหละคือเคล็ดลับที่ทำให้ชาวดัตช์มีดัชนีความสุขสูงเป็นอันดับต้นๆของโลก จากหนังสือ Niksen ศิลปะของการไม่ทำอะไรเลย0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 15 มุมมอง 0 รีวิว - ผมนำหลักการ“อย่าขาดทุน” ไปปรับใช้ในชีวิตของผมอย่างไร? ผมให้ความสำคัญกับแนวคิดนี้มากจนตอนนี้ผมได้บอกที่ปรึกษาของผมทั้งหมดว่า “อย่าเอาแนวคิดการลงทุนมาให้ผมดูจนกว่าคุณจะบอกผมได้ว่าเราสามารถป้องกันหรือลดความเสี่ยงขาลงได้อย่างไร”
จากหนังสือ Unshakableผมนำหลักการ“อย่าขาดทุน” ไปปรับใช้ในชีวิตของผมอย่างไร? ผมให้ความสำคัญกับแนวคิดนี้มากจนตอนนี้ผมได้บอกที่ปรึกษาของผมทั้งหมดว่า “อย่าเอาแนวคิดการลงทุนมาให้ผมดูจนกว่าคุณจะบอกผมได้ว่าเราสามารถป้องกันหรือลดความเสี่ยงขาลงได้อย่างไร” จากหนังสือ Unshakable0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 13 มุมมอง 0 รีวิว
เรื่องราวเพิ่มเติม