ชักชวนกันอ่านหนังสือ หนังสือไม่ว่าจะเป็นแนวไหนล้วนมีประโยชน์
Recent Updates
- นักประวัติศาสตร์ชาวกรีกนามว่า เฮโรโดตุส (Herodotus) เป็นหนึ่งในคนแรกๆ ที่เขียนแสดงความสนใจใคร่รู้เรื่องพิธีศพในวัฒนธรรมอื่น เขาบันทึกประวัติศาสตร์กว่า 2,000 ปีก่อนเอาไว้ ในบทความดังกล่าว ผู้ปกครองอาณาจักรเปอร์เซีย (Persian Empire) เรียกชาวกรีกกลุ่มหนึ่ง มาพบ พระองค์รู้ว่าชาวกรีกเผาศพของคนตาย จึงสงสัยว่า “อะไรที่จะทำให้(พวกเขา) ยอมกินเนื้อพ่อที่เสียชีวิตไปแล้วได้บ้าง” ชาวกรีกงุนงง กับคำถามและบอกว่าไม่มีสิ่งมีค่าใดๆ ในโลกนี้เลยที่จะทำให้พวกเขากิน เนื้อคนได้ ต่อมาพระราชาองค์นี้ก็เรียกชาวกัลลาเทียน(Callatian) ซึ่งขึ้นชื่อ เรื่องการกินเนื้อของผู้ล่วงลับมากลุ่มหนึ่ง และถามว่า “จะต้องให้อะไรพวกเขาจึงจะยอมเอาร่างของพ่อที่ตายแล้วไปเผาไฟได้” ชาวกัลลาเทียน อ้อนวอนให้พระองค์หยุดพูด “เรื่องน่าขนพองสยองเกล้า” นี้
จากหนังสือ #จากดับสูญสู่นิรันดร์ #FromHereToEternityนักประวัติศาสตร์ชาวกรีกนามว่า เฮโรโดตุส (Herodotus) เป็นหนึ่งในคนแรกๆ ที่เขียนแสดงความสนใจใคร่รู้เรื่องพิธีศพในวัฒนธรรมอื่น เขาบันทึกประวัติศาสตร์กว่า 2,000 ปีก่อนเอาไว้ ในบทความดังกล่าว ผู้ปกครองอาณาจักรเปอร์เซีย (Persian Empire) เรียกชาวกรีกกลุ่มหนึ่ง มาพบ พระองค์รู้ว่าชาวกรีกเผาศพของคนตาย จึงสงสัยว่า “อะไรที่จะทำให้(พวกเขา) ยอมกินเนื้อพ่อที่เสียชีวิตไปแล้วได้บ้าง” ชาวกรีกงุนงง กับคำถามและบอกว่าไม่มีสิ่งมีค่าใดๆ ในโลกนี้เลยที่จะทำให้พวกเขากิน เนื้อคนได้ ต่อมาพระราชาองค์นี้ก็เรียกชาวกัลลาเทียน(Callatian) ซึ่งขึ้นชื่อ เรื่องการกินเนื้อของผู้ล่วงลับมากลุ่มหนึ่ง และถามว่า “จะต้องให้อะไรพวกเขาจึงจะยอมเอาร่างของพ่อที่ตายแล้วไปเผาไฟได้” ชาวกัลลาเทียน อ้อนวอนให้พระองค์หยุดพูด “เรื่องน่าขนพองสยองเกล้า” นี้ จากหนังสือ #จากดับสูญสู่นิรันดร์ #FromHereToEternity0 Comments 0 Shares 1 Views 0 ReviewsPlease log in to like, share and comment! - ในบางที ณ จุดนี้อาจมีความเปลี่ยนแปลงปู่ทวดซึ่งย้อนกลับไปราว 4,000 รุ่น บางที ณ ที่เริ่มสังเกตเห็นได้แล้ว เช่น กะโหลกหนาขึ้นเล็กน้อยโดยเฉพาะส่วนที่อยู่ใต้คิ้ว แต่ก็เป็นความเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ต่อมาลองย้อนเวลาให้ไกลกว่าเดิมอีกสักหน่อย ถ้าคุณเดินย้อนกลับไปหนึ่งล้านปี รูปของปู่ทวดซึ่งย้อนกลับไป 50,000 รุ่นจะแตกต่างพอที่จะนับเป็นคนละสปีชีส์ สำหรับสปีชีส์ของปู่ทวดรุ่นนี้เราเรียกว่าโฮโมอีเร็กตัส (Homo erectus) ส่วนพวกเราคือโฮโมเซเปียนส์ (Homo sapiens) โฮโมอีเร็กตัสกับโฮโมเซเปียนส์ อาจจะผสมพันธุ์กันไม่ได้ หรือถ้าผสมพันธุ์กันได้ลูกที่เกิดมาก็อาจเป็นหมัน ทำนองเดียวกับล่อซึ่งมีพ่อเป็นลาและแม่เป็นม้า โดยล่อแทบจะไม่มีลูกของตัวเองได้เลย
จากหนังสือ #TheMagicOfReality #มหัศจรรย์แห่งความจริงในบางที ณ จุดนี้อาจมีความเปลี่ยนแปลงปู่ทวดซึ่งย้อนกลับไปราว 4,000 รุ่น บางที ณ ที่เริ่มสังเกตเห็นได้แล้ว เช่น กะโหลกหนาขึ้นเล็กน้อยโดยเฉพาะส่วนที่อยู่ใต้คิ้ว แต่ก็เป็นความเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ต่อมาลองย้อนเวลาให้ไกลกว่าเดิมอีกสักหน่อย ถ้าคุณเดินย้อนกลับไปหนึ่งล้านปี รูปของปู่ทวดซึ่งย้อนกลับไป 50,000 รุ่นจะแตกต่างพอที่จะนับเป็นคนละสปีชีส์ สำหรับสปีชีส์ของปู่ทวดรุ่นนี้เราเรียกว่าโฮโมอีเร็กตัส (Homo erectus) ส่วนพวกเราคือโฮโมเซเปียนส์ (Homo sapiens) โฮโมอีเร็กตัสกับโฮโมเซเปียนส์ อาจจะผสมพันธุ์กันไม่ได้ หรือถ้าผสมพันธุ์กันได้ลูกที่เกิดมาก็อาจเป็นหมัน ทำนองเดียวกับล่อซึ่งมีพ่อเป็นลาและแม่เป็นม้า โดยล่อแทบจะไม่มีลูกของตัวเองได้เลย จากหนังสือ #TheMagicOfReality #มหัศจรรย์แห่งความจริง0 Comments 0 Shares 1 Views 0 Reviews - จัดการ วิตกกังวล วัยรุ่น Anxiety Relief For Teens (2025/098)
คู่มือการจัดการความวิตกกังวลสำหรับวัยรุ่น แต่ในความจริงเนื้อหาในหนังสือนั้นสำหรับวัยรุ่นอ่านได้ และผู้ใหญ่ได้อ่านก็ยิ่งดี
ถึงแม้หนังสือจะพุ่งเป้าไปที่ชีวิตของวัยรุ่น ศัพท์ บริบทต่างๆ สามารถดึงดูดวัยรุ่นให้เข้าไปอ่านหนังเล่มนี้ได้อย่างดี เพราะเริ่มจากการทำเช็คลิสต์ปัญหาใกล้ตัวที่เป็นเรื่องของความวิตกกังวลของเหล่าวัยรุ่น และเมื่อผมจินตนาการย้อนกลับไปตอนเป็นวัยรุ่นและลองทำเช็คลิสต์ในช่วงแรกของเนื้อหา ปรากฎว่าในตอนนั้นผมมีความวิตกกังวลไม่น้อยที่ตรงกับในหัวข้อเหล่านี้ และหนังสือเล่มนี้จี้ประเด็นและหาทางแก้ให้ครับ
ถ้าสมัยก่อนมีหนังสือแบบนี้และที่สำคัญวัยรุ่นสามารถเข้าถึงและตั้งใจอ่านหนังสือเล่มนี้คงจะมีเกิดผลดีกับโลกนี้ไม่น้อยเลย
ผมจะรีวิวในฐานะที่เป็นผู้ใหญ่แล้วอ่านหนังสือเล่มนี้นะครับ ผู้เขียนยกประเด็นที่โดนใจวัยรุ่นโดยใช้ภาษาที่สื่อสารง่ายๆ ไม่มีศัพท์ทางจิตวิทยาที่ทำให้เป็นอุปสรรคในการเข้าถึง โดยเริ่มจากประเด็นของปัญหาของความวิตกกังวล ซึ่งเป็นเรื่องการทำงานของสมองและการทำงานนี้พวกเราและวัยรุ่นสามารถฝึกได้ เปลี่ยนแนวทางการคิด การวางเป้าหมายได้
ต่อมาผู้เขียนได้อธิบายถึงโครงสร้างของความวิตกกังวลว่ามีส่วนประกอบสามอย่างหลังจากถูกกระตุ้นโดยสถานการณ์ต่างๆ คือ ความคิด(คิดจินตนาการในทางที่ไม่ดี) , พฤติกรรม(หนีหรือหลีกเลี่ยง) และ ปฎิกิริยาทางกาย(เหงื่ออก,ใจสั่น) ผู้เขียนสามารถอธิบายให้เข้าใจได้เป็นอย่างดี และที่สำคัญมากๆของเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้คือ วิธีจัดการความวิตกกังวล โดยเริ่มจากความเข้าใจ การฝึกสติ และลงมือทำ โดยที่การลงมือทำ เป็นเรื่องที่ทำเรื่องง่ายๆ ทำตามลำดับขั้นตอนและค่อยๆเพิ่มความท้าทายไปเรื่อยๆ ในท้ายเล่มผู้เขียนอธิบายถึงอาการทางร่างกายที่เกิดจากความวิตกกังวล อย่างเช่นอาการแพนิกซึ่งไม่ใช่อาการที่ทำให้เกิดอันตรายต่อชีวิตเลย มันเป็นแค่อาการที่เกิดตอนวิตกกังวลมากๆเท่านั้น ไม่ใช่อาการถาวร
ถึงแม้อาการวิตกกังวลที่เป็นตัวอย่างในหนังสือจะเป็นอาการที่ค่อนข้างหนักหนา แต่การแก้ไขปัญหาเรื่องความวิตกกังวลได้ตอนที่มันยังไม่ลุกลามใหญ่โตย่อมดีกว่า ส่วนที่ผมชอบในหนังเล่มนี้คือ ผู้เขียนแนะนำการฝึกสติ(สมาธิ) ในหลายรูปแบบมากๆ และเรื่องจัดการเกี่ยวกับความกลัว …ผมคิดว่าจะนำมาเป็นแนวทางในชีวิตประจำวันต่อไป
#จัดการวิตกกังวลวัยรุ่น #AnxietyReliefForTeens #รีวิวหนังสือจัดการ วิตกกังวล วัยรุ่น Anxiety Relief For Teens (2025/098) คู่มือการจัดการความวิตกกังวลสำหรับวัยรุ่น แต่ในความจริงเนื้อหาในหนังสือนั้นสำหรับวัยรุ่นอ่านได้ และผู้ใหญ่ได้อ่านก็ยิ่งดี ถึงแม้หนังสือจะพุ่งเป้าไปที่ชีวิตของวัยรุ่น ศัพท์ บริบทต่างๆ สามารถดึงดูดวัยรุ่นให้เข้าไปอ่านหนังเล่มนี้ได้อย่างดี เพราะเริ่มจากการทำเช็คลิสต์ปัญหาใกล้ตัวที่เป็นเรื่องของความวิตกกังวลของเหล่าวัยรุ่น และเมื่อผมจินตนาการย้อนกลับไปตอนเป็นวัยรุ่นและลองทำเช็คลิสต์ในช่วงแรกของเนื้อหา ปรากฎว่าในตอนนั้นผมมีความวิตกกังวลไม่น้อยที่ตรงกับในหัวข้อเหล่านี้ และหนังสือเล่มนี้จี้ประเด็นและหาทางแก้ให้ครับ ถ้าสมัยก่อนมีหนังสือแบบนี้และที่สำคัญวัยรุ่นสามารถเข้าถึงและตั้งใจอ่านหนังสือเล่มนี้คงจะมีเกิดผลดีกับโลกนี้ไม่น้อยเลย ผมจะรีวิวในฐานะที่เป็นผู้ใหญ่แล้วอ่านหนังสือเล่มนี้นะครับ ผู้เขียนยกประเด็นที่โดนใจวัยรุ่นโดยใช้ภาษาที่สื่อสารง่ายๆ ไม่มีศัพท์ทางจิตวิทยาที่ทำให้เป็นอุปสรรคในการเข้าถึง โดยเริ่มจากประเด็นของปัญหาของความวิตกกังวล ซึ่งเป็นเรื่องการทำงานของสมองและการทำงานนี้พวกเราและวัยรุ่นสามารถฝึกได้ เปลี่ยนแนวทางการคิด การวางเป้าหมายได้ ต่อมาผู้เขียนได้อธิบายถึงโครงสร้างของความวิตกกังวลว่ามีส่วนประกอบสามอย่างหลังจากถูกกระตุ้นโดยสถานการณ์ต่างๆ คือ ความคิด(คิดจินตนาการในทางที่ไม่ดี) , พฤติกรรม(หนีหรือหลีกเลี่ยง) และ ปฎิกิริยาทางกาย(เหงื่ออก,ใจสั่น) ผู้เขียนสามารถอธิบายให้เข้าใจได้เป็นอย่างดี และที่สำคัญมากๆของเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้คือ วิธีจัดการความวิตกกังวล โดยเริ่มจากความเข้าใจ การฝึกสติ และลงมือทำ โดยที่การลงมือทำ เป็นเรื่องที่ทำเรื่องง่ายๆ ทำตามลำดับขั้นตอนและค่อยๆเพิ่มความท้าทายไปเรื่อยๆ ในท้ายเล่มผู้เขียนอธิบายถึงอาการทางร่างกายที่เกิดจากความวิตกกังวล อย่างเช่นอาการแพนิกซึ่งไม่ใช่อาการที่ทำให้เกิดอันตรายต่อชีวิตเลย มันเป็นแค่อาการที่เกิดตอนวิตกกังวลมากๆเท่านั้น ไม่ใช่อาการถาวร ถึงแม้อาการวิตกกังวลที่เป็นตัวอย่างในหนังสือจะเป็นอาการที่ค่อนข้างหนักหนา แต่การแก้ไขปัญหาเรื่องความวิตกกังวลได้ตอนที่มันยังไม่ลุกลามใหญ่โตย่อมดีกว่า ส่วนที่ผมชอบในหนังเล่มนี้คือ ผู้เขียนแนะนำการฝึกสติ(สมาธิ) ในหลายรูปแบบมากๆ และเรื่องจัดการเกี่ยวกับความกลัว …ผมคิดว่าจะนำมาเป็นแนวทางในชีวิตประจำวันต่อไป #จัดการวิตกกังวลวัยรุ่น #AnxietyReliefForTeens #รีวิวหนังสือ0 Comments 0 Shares 2 Views 0 Reviews - คุณควรมองหาของขวัญแทนที่จะหมกมุ่นอยู่กับปัญหา เชื่อสิครับ ว่าคุณจะพบของขวัญอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น ของขวัญหรือบทเรียน จากปัญหาบางอย่างยังมีคุณค่ามากกว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นเสียอีก บางครั้งบทเรียนจากการรับมือกับปัญหาอย่างหนึ่งก็อาจเป็นกุญแจสู่ความ สำเร็จในระยะยาวของคุณ ดังที่นโปเลียน ฮิลล์ เขียนไว้ว่า “ทุกปัญหา หรือความยากลำบากล้วนมีข้อดีหรือประโยชน์ที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันซ่อน อยู่ หน้าที่ของคุณคือหามันให้เจอ”
จากหนังสือ #NoExcuses! #กำจัดข้ออ้างสุดท้ายออกจากชีวิตคุณควรมองหาของขวัญแทนที่จะหมกมุ่นอยู่กับปัญหา เชื่อสิครับ ว่าคุณจะพบของขวัญอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น ของขวัญหรือบทเรียน จากปัญหาบางอย่างยังมีคุณค่ามากกว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นเสียอีก บางครั้งบทเรียนจากการรับมือกับปัญหาอย่างหนึ่งก็อาจเป็นกุญแจสู่ความ สำเร็จในระยะยาวของคุณ ดังที่นโปเลียน ฮิลล์ เขียนไว้ว่า “ทุกปัญหา หรือความยากลำบากล้วนมีข้อดีหรือประโยชน์ที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันซ่อน อยู่ หน้าที่ของคุณคือหามันให้เจอ” จากหนังสือ #NoExcuses! #กำจัดข้ออ้างสุดท้ายออกจากชีวิต0 Comments 0 Shares 2 Views 0 Reviews - เซเนกาเห็นภาษากายของศิษย์อย่างแน่นอน อันที่จริงเขาทนสอนอยู่นานหลายปี แต่ก็ยังคงสอนต่อไป ทำไมน่ะหรือ ก็เพราะเขาหวังว่าคำสอน เนื่องจากเขารู้ว่าความ บางส่วน....ส่วนไหนก็ได้...จะทะลุทะลวงเข้าไปได้บ้าง เสียงนั้นสูงลิ่ว เพราะเขารู้ว่างานของตัวเองคือการพยายามสอนเนโร่ให้เป็น (สุดท้ายก็พยายามจนตายเอง) อีกทั้งยังเป็นเพราะเขาไม่มีวันปฏิเสธ โอกาสที่จะได้อยู่ใกล้ชิดอำนาจและมีอิทธิพลสูงเช่นนี้ด้วย
จากหนังสือ #LivesOfStoicsเซเนกาเห็นภาษากายของศิษย์อย่างแน่นอน อันที่จริงเขาทนสอนอยู่นานหลายปี แต่ก็ยังคงสอนต่อไป ทำไมน่ะหรือ ก็เพราะเขาหวังว่าคำสอน เนื่องจากเขารู้ว่าความ บางส่วน....ส่วนไหนก็ได้...จะทะลุทะลวงเข้าไปได้บ้าง เสียงนั้นสูงลิ่ว เพราะเขารู้ว่างานของตัวเองคือการพยายามสอนเนโร่ให้เป็น (สุดท้ายก็พยายามจนตายเอง) อีกทั้งยังเป็นเพราะเขาไม่มีวันปฏิเสธ โอกาสที่จะได้อยู่ใกล้ชิดอำนาจและมีอิทธิพลสูงเช่นนี้ด้วย จากหนังสือ #LivesOfStoics0 Comments 0 Shares 2 Views 0 Reviews - Last Conversation บทสนทนาสุดท้าย (2025/097)
ผมเคยมีความคิดไปเองว่า ความรู้สึกของคุณหมอถึงการจากไป(หรือการเดินทางไกล)ของคนไข้ ที่เมื่อเวลาที่ผมได้คุยกับคุณหมอหลายต่อหลายท่านในช่วงที่คุณพ่อป่วย ซึ่งผมพอรู้ว่การเดินทางไกลของคุณพ่อในตอนนั้นเหลือเวลาอีกไม่นานนัก แต่ผมเห็นคุณหมอแต่ละท่านไม่ได้มีอารมณ์ร่วมกับการที่คุณพ่อต้องเดินทางไกลนี้เลย อาจเป็นเพราะบรรดาคุณหมอเคยเห็นการเดินทางไกลของคนไข้มากมายจนชาชิน หรือคุณหมอเหล่านั้นจำเป็นต้องแสดงภาพลักษณ์ในรูปแบบของความไว้วางใจกับคนไข้ หรือกฎระเบียบต่างๆที่ทำให้คุณหมอได้มาพบคนไข้คนหนึ่งในเวลาจำกัดและการได้พบกับคนไข้ในภาระกิจหนึ่งๆเท่านั้น หรือคุณหมอเคยเสียใจ/ตกใจในการเดินทางไกลของคนไข้ในช่วงแรกที่เป็นหมอแต่ตอนนี้ไม่รู้สึกอีกแล้ว หรือแม้กระทั่งผมยังคิดว่าคุณหมอส่วนใหญ่ไร้หัวใจ-ไร้ความรู้สึก? แต่หนังสือเล่นนี้ทำให้ผมรู้ว่าผมคิดผิด
การอ่านหนังสือเล่มนี้ทำให้ผมรู้ว่ามีคุณหมออย่างน้อยหนึ่งคน และอาจจะมีจำนวนมากเลยทีเดียวที่มี “หัวใจ” คุณหมอแนตได้ทำให้ผมเห็นถึงเบื้องลึกของหัวใจของคุณหมอ ความปรารถนาดีที่อยากให้คนไข้ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และ “ตายอย่างสมศักดิ์ศรี”
คุณหมอต้องการเผยแพร่ทางเลือกของการเดินทางไกล สำหรับคนไข้ที่เจ็บป่วยระยะสุดท้าย และไม่สามารถรักษาได้ ด้วยการรักษาแบบประคับประคอง(Palliative Care) เพื่อให้คนไข้ได้ทำในสิ่งที่อยากทำเป็นครั้งสุดท้ายและเดินทางไกลด้วยการตายอย่างสมศักดิ์ศรี
ผมเคยหนังสือที่เกี่ยวข้องกับการตายมาหลายเล่ม ทั้งที่เขียนโดยศัลยแพทย์ , อายุรแพทย์ , อดีตพระป่าชาวยุโรปที่สึกมาใช้ชีวิตคารวาสที่เขียนบรรยายการเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางไกล หรือแม้กระทั่งพระเถระ แต่หนังสือเล่มนี้ให้แนวทางการเขียนที่แตกต่างไป หลักการของคุณหมอผู้เขียนหนังสือนั้นต้องการให้มีทางเลือกในการเตรียมตัวเดินทางไกลไว้อีกทางเลือกหนึ่ง ซึ่งเป็นทางเลือกที่ไม่ใช่คนไข้หลายคนของคุณหมอที่ร้องขอให้คุณหมอฉีดยาให้เขาจากไปทันทีซึ่งในประเทศไทยทำไม่ได้เนื่องด้วยไม่มีกฎหมายรองรับ หากแต่คุณหมอแนะนำทางเลือกที่ดีกว่านั้น ทางเลือกที่ว่าคือการรักษาแบบประคับประคอง ไม่รักษา ไม่ให้ยาคีโม ไม่ฉายแสง ไม่ผ่าตัด ไม่เจาะคอ ไม่สอดสายนำส่งอาหาร ไม่ปั๊มหัวใจและอื่นๆ แต่จะให้ยาเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวด ทำให้ร่างการคนไข้ฟื้นสดชื่น เพื่ออย่างน้อยได้พูดคุยกับลูกหลานหรือได้ทำภาระกิจอื่นๆที่อยากทำ แต่การทำแบบนี้ได้นั้นต้องมีการพูดคุยกับทั้งคนไข้และญาติ
เรื่องราวซึ้ง เศร้า สะเทือนใจ เกี่ยวกับคนไข้ของคุณหมอเป็นเรื่องจริงทั้งหมด แต่คุณหมอแนตไม่ได้ต้องการโฟกัสที่จุดนั้น เธออยากให้เราๆผู้อ่านได้รู้ว่ามีทางเลือกให้กับญาติๆที่กำลังอยู่ในสถานะนี้ และรวมไปถึงการวางแผนระยะยาวในการเดินทางไกลสำหรับแต่ละคน ไม่ใช่แค่นั้นการเดินทางไกลอย่างมีคุณภาพคือการเดินทางไกลที่ถึงพร้อมทางจิตใจด้วย การได้ปลดเปลื้องภาระทางจิตใจ และไม่ติดค้างกับโลกนี้แล้ว
ความน่ารักของคุณหมอคุณหมอเรียกคนไข้ทุกคนเป็นเหมือนญาติของตัวเอง พ่อ อากู๋ คุณอา อาม่า หรือ ป๊า และการเข้าถึงชีวิตและแนวคิดของคนไข้ด้วยการรับฟัง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คนไข้เดินทางไกลอย่างมีคุณภาพ ส่วนตัวคิดว่าถ้าหากจะมีโรงพยาบาลหนึ่งที่ทุ่มเทให้กับผู้ป่วยเพื่อให้พวกเขาเตรียมตัวเดินทางไกลได้มากขนาดนี้ ก็เห็นจะมีแต่โรงพยาบาลคูณเท่านั้น
ขอบคุณหนังสือที่ดีมากๆเล่มนี้ ขอบคุณที่คุณหมอวางแนวคิดที่เป็นเป้าหมายในการเดินทางไกล ขอบคุณแนวทางการพูดคุยกับคนไข้ระยะสุดท้าย ขอบคุณที่คุณหมอเป็นผู้นำแนวคิดและมอบแนวทางเป็นทางเลือกในการรักษาแบบประคับประคอง ขอบคุณที่คุณหมอได้เผยแพร่ความรู้สึกของคนไข้หลายๆท่านที่เขารู้ว่าเขากำลังจะเดินทางไกล
ขอบคุณครับ
#LastConversation #บทสนทนาสุดท้าย #รีวิวหนังสือ
Last Conversation บทสนทนาสุดท้าย (2025/097) ผมเคยมีความคิดไปเองว่า ความรู้สึกของคุณหมอถึงการจากไป(หรือการเดินทางไกล)ของคนไข้ ที่เมื่อเวลาที่ผมได้คุยกับคุณหมอหลายต่อหลายท่านในช่วงที่คุณพ่อป่วย ซึ่งผมพอรู้ว่การเดินทางไกลของคุณพ่อในตอนนั้นเหลือเวลาอีกไม่นานนัก แต่ผมเห็นคุณหมอแต่ละท่านไม่ได้มีอารมณ์ร่วมกับการที่คุณพ่อต้องเดินทางไกลนี้เลย อาจเป็นเพราะบรรดาคุณหมอเคยเห็นการเดินทางไกลของคนไข้มากมายจนชาชิน หรือคุณหมอเหล่านั้นจำเป็นต้องแสดงภาพลักษณ์ในรูปแบบของความไว้วางใจกับคนไข้ หรือกฎระเบียบต่างๆที่ทำให้คุณหมอได้มาพบคนไข้คนหนึ่งในเวลาจำกัดและการได้พบกับคนไข้ในภาระกิจหนึ่งๆเท่านั้น หรือคุณหมอเคยเสียใจ/ตกใจในการเดินทางไกลของคนไข้ในช่วงแรกที่เป็นหมอแต่ตอนนี้ไม่รู้สึกอีกแล้ว หรือแม้กระทั่งผมยังคิดว่าคุณหมอส่วนใหญ่ไร้หัวใจ-ไร้ความรู้สึก? แต่หนังสือเล่นนี้ทำให้ผมรู้ว่าผมคิดผิด การอ่านหนังสือเล่มนี้ทำให้ผมรู้ว่ามีคุณหมออย่างน้อยหนึ่งคน และอาจจะมีจำนวนมากเลยทีเดียวที่มี “หัวใจ” คุณหมอแนตได้ทำให้ผมเห็นถึงเบื้องลึกของหัวใจของคุณหมอ ความปรารถนาดีที่อยากให้คนไข้ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และ “ตายอย่างสมศักดิ์ศรี” คุณหมอต้องการเผยแพร่ทางเลือกของการเดินทางไกล สำหรับคนไข้ที่เจ็บป่วยระยะสุดท้าย และไม่สามารถรักษาได้ ด้วยการรักษาแบบประคับประคอง(Palliative Care) เพื่อให้คนไข้ได้ทำในสิ่งที่อยากทำเป็นครั้งสุดท้ายและเดินทางไกลด้วยการตายอย่างสมศักดิ์ศรี ผมเคยหนังสือที่เกี่ยวข้องกับการตายมาหลายเล่ม ทั้งที่เขียนโดยศัลยแพทย์ , อายุรแพทย์ , อดีตพระป่าชาวยุโรปที่สึกมาใช้ชีวิตคารวาสที่เขียนบรรยายการเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางไกล หรือแม้กระทั่งพระเถระ แต่หนังสือเล่มนี้ให้แนวทางการเขียนที่แตกต่างไป หลักการของคุณหมอผู้เขียนหนังสือนั้นต้องการให้มีทางเลือกในการเตรียมตัวเดินทางไกลไว้อีกทางเลือกหนึ่ง ซึ่งเป็นทางเลือกที่ไม่ใช่คนไข้หลายคนของคุณหมอที่ร้องขอให้คุณหมอฉีดยาให้เขาจากไปทันทีซึ่งในประเทศไทยทำไม่ได้เนื่องด้วยไม่มีกฎหมายรองรับ หากแต่คุณหมอแนะนำทางเลือกที่ดีกว่านั้น ทางเลือกที่ว่าคือการรักษาแบบประคับประคอง ไม่รักษา ไม่ให้ยาคีโม ไม่ฉายแสง ไม่ผ่าตัด ไม่เจาะคอ ไม่สอดสายนำส่งอาหาร ไม่ปั๊มหัวใจและอื่นๆ แต่จะให้ยาเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวด ทำให้ร่างการคนไข้ฟื้นสดชื่น เพื่ออย่างน้อยได้พูดคุยกับลูกหลานหรือได้ทำภาระกิจอื่นๆที่อยากทำ แต่การทำแบบนี้ได้นั้นต้องมีการพูดคุยกับทั้งคนไข้และญาติ เรื่องราวซึ้ง เศร้า สะเทือนใจ เกี่ยวกับคนไข้ของคุณหมอเป็นเรื่องจริงทั้งหมด แต่คุณหมอแนตไม่ได้ต้องการโฟกัสที่จุดนั้น เธออยากให้เราๆผู้อ่านได้รู้ว่ามีทางเลือกให้กับญาติๆที่กำลังอยู่ในสถานะนี้ และรวมไปถึงการวางแผนระยะยาวในการเดินทางไกลสำหรับแต่ละคน ไม่ใช่แค่นั้นการเดินทางไกลอย่างมีคุณภาพคือการเดินทางไกลที่ถึงพร้อมทางจิตใจด้วย การได้ปลดเปลื้องภาระทางจิตใจ และไม่ติดค้างกับโลกนี้แล้ว ความน่ารักของคุณหมอคุณหมอเรียกคนไข้ทุกคนเป็นเหมือนญาติของตัวเอง พ่อ อากู๋ คุณอา อาม่า หรือ ป๊า และการเข้าถึงชีวิตและแนวคิดของคนไข้ด้วยการรับฟัง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คนไข้เดินทางไกลอย่างมีคุณภาพ ส่วนตัวคิดว่าถ้าหากจะมีโรงพยาบาลหนึ่งที่ทุ่มเทให้กับผู้ป่วยเพื่อให้พวกเขาเตรียมตัวเดินทางไกลได้มากขนาดนี้ ก็เห็นจะมีแต่โรงพยาบาลคูณเท่านั้น ขอบคุณหนังสือที่ดีมากๆเล่มนี้ ขอบคุณที่คุณหมอวางแนวคิดที่เป็นเป้าหมายในการเดินทางไกล ขอบคุณแนวทางการพูดคุยกับคนไข้ระยะสุดท้าย ขอบคุณที่คุณหมอเป็นผู้นำแนวคิดและมอบแนวทางเป็นทางเลือกในการรักษาแบบประคับประคอง ขอบคุณที่คุณหมอได้เผยแพร่ความรู้สึกของคนไข้หลายๆท่านที่เขารู้ว่าเขากำลังจะเดินทางไกล ขอบคุณครับ #LastConversation #บทสนทนาสุดท้าย #รีวิวหนังสือ0 Comments 0 Shares 4 Views 0 Reviews - กับดักที่นักลงทุนส่วนมากตกหลุมนั้นคือสิ่งที่ผมเรียกว่า ตรรกะวิบัติที่คิด เอาองว่า “นักประวัติศาสตร์คือนักพยากรณ์” ความเข้าใจผิดนี้คือการเชื่อว่าข้อมูลในอดีตนั้นเป็นสัญญาณของเงื่อนไขในอนาคต ที่ซึ่งนวัตกรรมและการเปลี่ยนแปลง นั้นเป็นสิ่งที่หล่อเลี้ยงกระบวนการ
คุณไม่สามารถต่อว่านักลงทุนที่คิดแบบนี้ หากคุณมองการลงทุนเป็นวิทยาศาสตร์ที่อ้างอิงกฎเกณฑ์และหลักการ (Hard Science) และมองว่าวิทยาตากสตร์ควรเป็นคู่มือที่สมบูรณ์แบบสำหรับอนาคต นักภูมิศาสตร์นั้นสามารถดูข้อมูลทางประวัติศาสตร์กว่าพันล้านปีและสร้างแบบจำลองว่าโลก มีที่มาที่ไปอย่างไรได้ เช่นเดียวกันกับนักอุตุนิยมวิทยาและแพทย์ผู้ซึ่งผ่าตัดได้ ในปี 2020 ด้วยวิธีการเดียวกันกับที่พวกเขาทำในปี 1020
แต่การลงทุนนั้นไม่ใช่วิทยาศาสตร์ที่อ้างอิงกฎเกณฑ์และหลักการ ทว่ามันคือฝูงชนกลุ่มใหญ่ที่กำลังทำการตัดสินใจอย่างไม่สมบูรณ์แบบบนข้อมูลอันจำกัด ในเรื่องของสิ่งที่กำลังจะสร้างผลกระทบกับความเป็นอยู่ของพวกเขาอย่างมหาศาล ซึ่งแม้แต่คนฉลาดก็ยังสามารถที่จะประหม่า โลภ และวิตกกังวลกับสิ่งเหล่านี้ได้
จากหนังสือ #จิตวิทยาว่าด้วยเงินกับดักที่นักลงทุนส่วนมากตกหลุมนั้นคือสิ่งที่ผมเรียกว่า ตรรกะวิบัติที่คิด เอาองว่า “นักประวัติศาสตร์คือนักพยากรณ์” ความเข้าใจผิดนี้คือการเชื่อว่าข้อมูลในอดีตนั้นเป็นสัญญาณของเงื่อนไขในอนาคต ที่ซึ่งนวัตกรรมและการเปลี่ยนแปลง นั้นเป็นสิ่งที่หล่อเลี้ยงกระบวนการ คุณไม่สามารถต่อว่านักลงทุนที่คิดแบบนี้ หากคุณมองการลงทุนเป็นวิทยาศาสตร์ที่อ้างอิงกฎเกณฑ์และหลักการ (Hard Science) และมองว่าวิทยาตากสตร์ควรเป็นคู่มือที่สมบูรณ์แบบสำหรับอนาคต นักภูมิศาสตร์นั้นสามารถดูข้อมูลทางประวัติศาสตร์กว่าพันล้านปีและสร้างแบบจำลองว่าโลก มีที่มาที่ไปอย่างไรได้ เช่นเดียวกันกับนักอุตุนิยมวิทยาและแพทย์ผู้ซึ่งผ่าตัดได้ ในปี 2020 ด้วยวิธีการเดียวกันกับที่พวกเขาทำในปี 1020 แต่การลงทุนนั้นไม่ใช่วิทยาศาสตร์ที่อ้างอิงกฎเกณฑ์และหลักการ ทว่ามันคือฝูงชนกลุ่มใหญ่ที่กำลังทำการตัดสินใจอย่างไม่สมบูรณ์แบบบนข้อมูลอันจำกัด ในเรื่องของสิ่งที่กำลังจะสร้างผลกระทบกับความเป็นอยู่ของพวกเขาอย่างมหาศาล ซึ่งแม้แต่คนฉลาดก็ยังสามารถที่จะประหม่า โลภ และวิตกกังวลกับสิ่งเหล่านี้ได้ จากหนังสือ #จิตวิทยาว่าด้วยเงิน0 Comments 0 Shares 4 Views 0 Reviews - นักมวยที่สามารถเอาชนะคู่แข่งที่แข็งแกร่งกว่าได้ในครั้งแรก นักมวยที่สามารถเอาชนะคู่ แข่งขันครั้งต่อไป ถ้าพวกเขาต้องกลับมาเจอกันอีกครั้ง แต่ปรากฏว่าเขาแพ้ให้กับคู่ต่อสู้ที่แข็งแรงกว่า ทำให้เขาคิดว่าครั้งแรกที่เขาชนะมันเป็นเพราะความโชคดีของเขาแต่จริง ๆ แล้วครั้งนี้ที่เขาแพ้เป็นเพราะเขาขาดความมั่นใจในตัวเอง ครูฝึกรู้ถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจึงเข้าไปคุยกับนักกีฬาของเขา นักมวยคนนั้นบอกกับครูฝึกของเขาว่าเขาคิดอย่างไร ทำให้ครูฝึกคิด หาวิธีมาช่วยนักกีฬาของเขา พวกเขาไปหาบันทึกการแข่งขันรอบแรกและเปิดทุกวันก่อนการแข่งขันรอบต่อไป เพื่อสร้างกำลังใจให้กับเขาจนในที่สุด การแข่งขันรอบที่ 3 นักมวยสามารถเอาชนะคู่แข่งที่แข็งแรงกว่าได้อีกครั้ง
จากหนังสือ #พลังของการบอกใบ้นักมวยที่สามารถเอาชนะคู่แข่งที่แข็งแกร่งกว่าได้ในครั้งแรก นักมวยที่สามารถเอาชนะคู่ แข่งขันครั้งต่อไป ถ้าพวกเขาต้องกลับมาเจอกันอีกครั้ง แต่ปรากฏว่าเขาแพ้ให้กับคู่ต่อสู้ที่แข็งแรงกว่า ทำให้เขาคิดว่าครั้งแรกที่เขาชนะมันเป็นเพราะความโชคดีของเขาแต่จริง ๆ แล้วครั้งนี้ที่เขาแพ้เป็นเพราะเขาขาดความมั่นใจในตัวเอง ครูฝึกรู้ถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจึงเข้าไปคุยกับนักกีฬาของเขา นักมวยคนนั้นบอกกับครูฝึกของเขาว่าเขาคิดอย่างไร ทำให้ครูฝึกคิด หาวิธีมาช่วยนักกีฬาของเขา พวกเขาไปหาบันทึกการแข่งขันรอบแรกและเปิดทุกวันก่อนการแข่งขันรอบต่อไป เพื่อสร้างกำลังใจให้กับเขาจนในที่สุด การแข่งขันรอบที่ 3 นักมวยสามารถเอาชนะคู่แข่งที่แข็งแรงกว่าได้อีกครั้ง จากหนังสือ #พลังของการบอกใบ้0 Comments 0 Shares 4 Views 0 Reviews - สุนทรพจน์ก้องโลก Speeches That Changed The World (2025/069)
เชื่อมโยงประวัติศาสตร์และอัตชีวประวัติบุคคลสำคัญของโลกด้วยสุนทรพจน์
สำหรับผู้อ่าน พวกเราจะได้เรียนเรื่องประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจมากๆ ตั้งแต่สมัยเริ่มต้นคริสต์กาล พระศาสดามะหะหมัด ตามไปกับการก่อตั้งประเทศอเมริกา ผู้เรียกร้องสิทธิสตรี สงครามโลก ผู้เรียกร้องการแบ่งแยกสีผิว จนถึงยุคสงครามเย็น ด้วยการนำเสนอสุนทรพจน์ที่เป็นความทรงจำของโลก เรียงตามเวลา สอดแทรกด้วยประวัติย่อๆของผู้ที่กล่าว และบริบทที่เกิดขึ้นขณะกล่าวสุนทรพจน์
อ่านแล้วทำให้รู้เรื่องประวัติศาสตร์ในหลายช่วง สามารถประติดประต่อจิ๊กซอในช่วงเวลาต่างๆ พร้อมกับตัวบุคคลสำคัญ จนทำให้เห็นภาพต่อเนื่องของ timeline คร่าวๆ รวมถึงสาเหตุของเหตุการณ์ต่างๆในอดีต นอกจากนี้ผู้เขียนพยายามเลือกเหตุการณ์ที่ต่อสู้เพื่อความอิสรภาพและความเท่าเทียมทางเพศและทางเชื้อชาติของมนุษย์ชาติ รวมถึงการสร้างสันติภาพในโลก ซึ่งทำได้แนบเนียน และเห็นถึงความสำคัญของสันติภาพ และเสรีภาพของโลกเรา รายชื่อตัวอย่างบุคคลสำคัญที่กล่าวสุนทรพจน์ บารัก โอบามา , ฮิตเลอร์ , เนลสัน แมนเดลา , จอร์จ วอชิงตัน , วินสตัน เชอร์ชิลล์ , มาร์ติน ลูเทอร์ คิง จูเนียร์ , จักรพรรดิฮิโรฮิโต , มิคาอิล กอร์บาชอฟ เป็นต้น รวมทั้งหมด 47ท่าน 47เรื่องราว
#สุนทรพจน์ก้องโลก #SpeechesThatChangedTheWorld #รีวิวหนังสือ
สุนทรพจน์ก้องโลก Speeches That Changed The World (2025/069) เชื่อมโยงประวัติศาสตร์และอัตชีวประวัติบุคคลสำคัญของโลกด้วยสุนทรพจน์ สำหรับผู้อ่าน พวกเราจะได้เรียนเรื่องประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจมากๆ ตั้งแต่สมัยเริ่มต้นคริสต์กาล พระศาสดามะหะหมัด ตามไปกับการก่อตั้งประเทศอเมริกา ผู้เรียกร้องสิทธิสตรี สงครามโลก ผู้เรียกร้องการแบ่งแยกสีผิว จนถึงยุคสงครามเย็น ด้วยการนำเสนอสุนทรพจน์ที่เป็นความทรงจำของโลก เรียงตามเวลา สอดแทรกด้วยประวัติย่อๆของผู้ที่กล่าว และบริบทที่เกิดขึ้นขณะกล่าวสุนทรพจน์ อ่านแล้วทำให้รู้เรื่องประวัติศาสตร์ในหลายช่วง สามารถประติดประต่อจิ๊กซอในช่วงเวลาต่างๆ พร้อมกับตัวบุคคลสำคัญ จนทำให้เห็นภาพต่อเนื่องของ timeline คร่าวๆ รวมถึงสาเหตุของเหตุการณ์ต่างๆในอดีต นอกจากนี้ผู้เขียนพยายามเลือกเหตุการณ์ที่ต่อสู้เพื่อความอิสรภาพและความเท่าเทียมทางเพศและทางเชื้อชาติของมนุษย์ชาติ รวมถึงการสร้างสันติภาพในโลก ซึ่งทำได้แนบเนียน และเห็นถึงความสำคัญของสันติภาพ และเสรีภาพของโลกเรา รายชื่อตัวอย่างบุคคลสำคัญที่กล่าวสุนทรพจน์ บารัก โอบามา , ฮิตเลอร์ , เนลสัน แมนเดลา , จอร์จ วอชิงตัน , วินสตัน เชอร์ชิลล์ , มาร์ติน ลูเทอร์ คิง จูเนียร์ , จักรพรรดิฮิโรฮิโต , มิคาอิล กอร์บาชอฟ เป็นต้น รวมทั้งหมด 47ท่าน 47เรื่องราว #สุนทรพจน์ก้องโลก #SpeechesThatChangedTheWorld #รีวิวหนังสือ0 Comments 0 Shares 5 Views 0 Reviews - “รักคือทุกสิ่ง คือวิถีทางเดียว ที่แต่ละคนจะช่วยเหลือกันและกันได้”
ยูรีพิเดส นักเขียนบทละครชาวกรีกยุคโบราณ
จากหนังสือ #บทเรียนชีวิตที่จิตแพทย์อยากบอก“รักคือทุกสิ่ง คือวิถีทางเดียว ที่แต่ละคนจะช่วยเหลือกันและกันได้” ยูรีพิเดส นักเขียนบทละครชาวกรีกยุคโบราณ จากหนังสือ #บทเรียนชีวิตที่จิตแพทย์อยากบอก0 Comments 0 Shares 5 Views 0 Reviews - เมื่อทำ SSC คุณจะตระหนักได้ว่าคุณสิ้นเปลืองเวลา ไปกับเรื่องที่คาดไม่ถึง จากการศึกษาของ London Business School หลายคนที่ลองใช้เทคนิคนี้รายงานว่า
• 47% ของงานธุรกิจ และ 41% ของงานประสานงาน นั้นมอบหมายให้กับผู้อื่นได้อย่างไม่มีปัญหา
• 35% ของงานติดต่อภายนอกบริษัทก็มอบหมายให้ ผู้อื่นได้
• 21% ของงานสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเจ้านาย กับคนอื่นก็มอบหมายให้ผู้อื่นได้
ลองคิดดูครับ ที่จริงแล้วในการทำงานและการเรียนในแต่ละวัน มีงานน้อยกว่าที่เราคิดไว้มากที่เราจำเป็นต้องลงมือ
จากหนังสือ #YourTime #เพราะฉันแตกต่างจึงบริหารเวลาแบบนี้เมื่อทำ SSC คุณจะตระหนักได้ว่าคุณสิ้นเปลืองเวลา ไปกับเรื่องที่คาดไม่ถึง จากการศึกษาของ London Business School หลายคนที่ลองใช้เทคนิคนี้รายงานว่า • 47% ของงานธุรกิจ และ 41% ของงานประสานงาน นั้นมอบหมายให้กับผู้อื่นได้อย่างไม่มีปัญหา • 35% ของงานติดต่อภายนอกบริษัทก็มอบหมายให้ ผู้อื่นได้ • 21% ของงานสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเจ้านาย กับคนอื่นก็มอบหมายให้ผู้อื่นได้ ลองคิดดูครับ ที่จริงแล้วในการทำงานและการเรียนในแต่ละวัน มีงานน้อยกว่าที่เราคิดไว้มากที่เราจำเป็นต้องลงมือ จากหนังสือ #YourTime #เพราะฉันแตกต่างจึงบริหารเวลาแบบนี้0 Comments 0 Shares 5 Views 0 Reviews - หากคุณเป็นคนหัวนอก คุณสามารถแปลงชื่อเหล่านี้เป็น คำอังกฤษหรือคำภาษาที่คุณชอบเพราะมันจะเตือนความจำคุณได้ดี (จำเรื่องการทำคำให้พิเศษได้ใช่ไหมครับ) เช่น ธัญญาเรศ หากคุณอยากจำเป็นภาษาอังกฤษก็อาจจำเป็น ทันย่า เรด (Tanya Red) หรือชื่อ ชิดชนก ก็เอาเป็น Chit Cha Nok ดูเป็นคนร่าเริงดีจริงไหมครับ หรือวัลลภาก็แปลงได้เป็น Oh La Pa เป็นต้น
การแปลงชื่อไทยให้เป็นต่างชาติพร้อมผูกกับหน้าตาของ คนที่เราอยากจำ สามารถกระตุ้นให้เราจำชื่อพวกเขาได้ดีทีเดียว (อย่าลืมอารมณ์ขันด้วย) ลองดูนะครับ
จากหนังสือ #ฉลาดกว่าคนอื่นในพริบตาหากคุณเป็นคนหัวนอก คุณสามารถแปลงชื่อเหล่านี้เป็น คำอังกฤษหรือคำภาษาที่คุณชอบเพราะมันจะเตือนความจำคุณได้ดี (จำเรื่องการทำคำให้พิเศษได้ใช่ไหมครับ) เช่น ธัญญาเรศ หากคุณอยากจำเป็นภาษาอังกฤษก็อาจจำเป็น ทันย่า เรด (Tanya Red) หรือชื่อ ชิดชนก ก็เอาเป็น Chit Cha Nok ดูเป็นคนร่าเริงดีจริงไหมครับ หรือวัลลภาก็แปลงได้เป็น Oh La Pa เป็นต้น การแปลงชื่อไทยให้เป็นต่างชาติพร้อมผูกกับหน้าตาของ คนที่เราอยากจำ สามารถกระตุ้นให้เราจำชื่อพวกเขาได้ดีทีเดียว (อย่าลืมอารมณ์ขันด้วย) ลองดูนะครับ จากหนังสือ #ฉลาดกว่าคนอื่นในพริบตา0 Comments 0 Shares 9 Views 0 Reviews - การลงมือทำนำไปสู่การจดจ่อ - การกระทำไม่ได้ทำให้คุณบรรลุผลลัพธ์ เพราะสิ่งต่าง ๆ มักจะไม่ค่อยเป็นไปตามแผนที่คุณวางไว้ การลงมือทำเพียงแค่ช่วยให้คุณจดจ่อกับการเติมเต็มความตั้งใจของคุณ ความสนใจต่างหากที่สร้างผลลัพธ์
จากหนังสือ #ThePassionTestการลงมือทำนำไปสู่การจดจ่อ - การกระทำไม่ได้ทำให้คุณบรรลุผลลัพธ์ เพราะสิ่งต่าง ๆ มักจะไม่ค่อยเป็นไปตามแผนที่คุณวางไว้ การลงมือทำเพียงแค่ช่วยให้คุณจดจ่อกับการเติมเต็มความตั้งใจของคุณ ความสนใจต่างหากที่สร้างผลลัพธ์ จากหนังสือ #ThePassionTest0 Comments 0 Shares 9 Views 0 Reviews - เมื่อเราตระหนักถึงพลังอันเกินต้านทานของความสม่ำเสมอในการกำกับการกระทำของมนุษย์ ก็เกิดคำถามสำคัญอย่างหนึ่งขึ้นทันที ได้แก่ พลังนี้ทำงานได้อย่างไร อะไรเป็นตัวกระตุ้นให้ความสม่ำเสมอในตัวทำงานโดยอัตโนมัติ นักจิตวิทยาสังคมคิดว่าพวกเขารู้คำตอบ นั่นคือความมุ่งมั่น (Commitment) ถ้าผมทำให้คุณแสดงความมุ่งมั่นออกมาได้ (การแสดงจุดยืน การให้คำมั่นสัญญาที่บันทึกไว้เป็นหลักฐาน) ก็เท่ากับผมสร้างสถานการณ์ ที่จะทำให้คุณต้องทำอะไรที่สอดคล้องกับคำมั่นนั้นไปโดยอัตโนมัติและไม่คิดให้ถี่ถ้วนรอบคอบ เมื่อมีการแสดงจุดยืนแล้ว แนวโน้มที่เกิดขึ้นตามปกติ คือ การแสดงพฤติกรรมที่สอดคล้องกับจุดยืนนั้นเสมอ
จากหนังสือ #Influence #กลยุทธ์โน้มน้าวและจูงใจคนเมื่อเราตระหนักถึงพลังอันเกินต้านทานของความสม่ำเสมอในการกำกับการกระทำของมนุษย์ ก็เกิดคำถามสำคัญอย่างหนึ่งขึ้นทันที ได้แก่ พลังนี้ทำงานได้อย่างไร อะไรเป็นตัวกระตุ้นให้ความสม่ำเสมอในตัวทำงานโดยอัตโนมัติ นักจิตวิทยาสังคมคิดว่าพวกเขารู้คำตอบ นั่นคือความมุ่งมั่น (Commitment) ถ้าผมทำให้คุณแสดงความมุ่งมั่นออกมาได้ (การแสดงจุดยืน การให้คำมั่นสัญญาที่บันทึกไว้เป็นหลักฐาน) ก็เท่ากับผมสร้างสถานการณ์ ที่จะทำให้คุณต้องทำอะไรที่สอดคล้องกับคำมั่นนั้นไปโดยอัตโนมัติและไม่คิดให้ถี่ถ้วนรอบคอบ เมื่อมีการแสดงจุดยืนแล้ว แนวโน้มที่เกิดขึ้นตามปกติ คือ การแสดงพฤติกรรมที่สอดคล้องกับจุดยืนนั้นเสมอ จากหนังสือ #Influence #กลยุทธ์โน้มน้าวและจูงใจคน0 Comments 0 Shares 10 Views 0 Reviews - มีตัวอย่างที่ใกล้กว่านั้นจากชีวิตของผมเองปีที่แล้วเพื่อนรักคนหนึ่งหยิบยื่น โอกาสให้ผมไปแอฟริกาตะวันออกกับชายวัยกลางคนอีก 15 คนเป็นเวลาหนึ่งเดือนเพื่อพบปะกับผู้อาวุโสในชนเผ่าพื้นเมืองและตั้งค่ายในป่าเขา เหมือนฝันเป็นจริงเลยทีเดียว แต่ตอนนั้นเป็นช่วงที่ผมงานชุกที่สุดในรอบปี ซึ่งถ้าเดินทางผมจะต้องเสียเวลาทำงานไปมาก คราวนี้ผมไปเยี่ยมชายชราบนระเบียงบ้าน เขาบอกผมว่า “พอคุณ อายุเท่าผม คุณจะไม่เสียดายเงินที่ตัวเองเสียไปในเดือนนี้ แต่แอฟริกาจะอยู่ในใจคุณตลอดไป” ผมเดินทางไปสำรวจหลากหลายวัฒนธรรมที่น่าพิศวง ได้เห็นป่าดงพงไพรแสนอัศจรรย์ซึ่งไม่เคยเห็นมาก่อน และยังคิดถึงครอบครัวของผม ความคิดถึงเดือนผมว่าพวกเขามีความหมายกับผมมากแค่ไหน ขณะอยู่ในแทนซาเนีย ผมนั่งเคียงข้างกับผู้อาวุโสของเผ่าและเกิดความคิดที่จะทำโครงการนี้ ความกังวลว่าการเดินทางจะรบกวนกำหนดการที่ “ยุ่งตลอด” เกือบทำให้ผมไม่ได้รับประสบการณ์ ที่สำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต
จากหนังสือ #ความลับ5ข้อที่คุณต้องค้นให้พบก่อนตายมีตัวอย่างที่ใกล้กว่านั้นจากชีวิตของผมเองปีที่แล้วเพื่อนรักคนหนึ่งหยิบยื่น โอกาสให้ผมไปแอฟริกาตะวันออกกับชายวัยกลางคนอีก 15 คนเป็นเวลาหนึ่งเดือนเพื่อพบปะกับผู้อาวุโสในชนเผ่าพื้นเมืองและตั้งค่ายในป่าเขา เหมือนฝันเป็นจริงเลยทีเดียว แต่ตอนนั้นเป็นช่วงที่ผมงานชุกที่สุดในรอบปี ซึ่งถ้าเดินทางผมจะต้องเสียเวลาทำงานไปมาก คราวนี้ผมไปเยี่ยมชายชราบนระเบียงบ้าน เขาบอกผมว่า “พอคุณ อายุเท่าผม คุณจะไม่เสียดายเงินที่ตัวเองเสียไปในเดือนนี้ แต่แอฟริกาจะอยู่ในใจคุณตลอดไป” ผมเดินทางไปสำรวจหลากหลายวัฒนธรรมที่น่าพิศวง ได้เห็นป่าดงพงไพรแสนอัศจรรย์ซึ่งไม่เคยเห็นมาก่อน และยังคิดถึงครอบครัวของผม ความคิดถึงเดือนผมว่าพวกเขามีความหมายกับผมมากแค่ไหน ขณะอยู่ในแทนซาเนีย ผมนั่งเคียงข้างกับผู้อาวุโสของเผ่าและเกิดความคิดที่จะทำโครงการนี้ ความกังวลว่าการเดินทางจะรบกวนกำหนดการที่ “ยุ่งตลอด” เกือบทำให้ผมไม่ได้รับประสบการณ์ ที่สำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต จากหนังสือ #ความลับ5ข้อที่คุณต้องค้นให้พบก่อนตาย0 Comments 0 Shares 10 Views 0 Reviews - หนังยางล้างใจ (2025/095)
ปฎิบัตการเปลี่ยนตัวเอง ด้วยหนังยาง(ยางวง) 1 เส้นที่ข้อมือ ในเวลา 21วัน
โดยนักเขียนเบสเซลเลอร์ คุณวิสูตร แสงอรุณเลิศ ผู้ที่เคยมีชิวิตช่วงหนึ่งที่มีปัญหารุมเร้า เครียด นอนไม่หลับ และนำหลักการหนังยางล้างใจมาใช้กับตัวเอง จนผ่านพ้นวิกฤติในชีวิตช่วงนั้นมาได้ และต่อมาเขาเปิดโครงการ “เปลี่ยนชีวิตใน 21วัน” เพื่อช่วยเหลือและพัฒนาผู้ที่เข้าร่วมโครงการ
ผู้เขียนนำเสนอหลักการเปลี่ยชีวิตใน 21 วันจากงานวิจัยทางจิตวิทยา ของ Dr.Maxwell Maltz ศัลยแพทย์ ในชื่อต้นฉบับที่ว่า 21-Day Habit Theory คุณหมอเป็นหมอศัลยกรรมตกแต่ง คุณหมอได้สังเกตว่าคนเข้าที่ผ่านการผ่าตัดใบหน้าและต้องทำใจรับใบหน้าใหม่ของตนเองที่เปลี่ยนแปลงไป จะสามารถยอมรับใบหน้าใหม่ได้ใน 21วัน คุณหมอยังค้นคว้าต่อไปว่า ตัวเลข 21วัน เป็นตัวเลขที่มนุษย์ใช้ปรับตัวเองให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ในชีวิต
หลักการ 21 วันควบคู่กับหนังยางตรงไหน?
หนังยางที่สวมข้อมือใช้สวมใส่ตลอดทุก 21วัน ใช้สำหรับการดึงหนังยางดีดแขนตัวเองเมื่อเกิดการ “คิดลบ” ทุกครั้งที่คิดลบให้ดีดหนึ่งครั้ง ดังนั้นในวันแรกๆที่เข้าโครงการนี้ ต้องมีการเจ็บแขนหลายๆครั้ง เพื่อเตือนตัวเองไม่ให้คิดลบ นอกจากนี้บทเรียนภายใน 21 วันที่ผู้เขียนวางแผนให้ผู้อ่านได้อ่าน ตัวเขาสอดแทรกหลักคิด หลักปฎิบัติ หลักการใช้ชีวิต ให้มุ่งคิดดี มีความสุข รักตัวเอง มุ่งมั่นในการวางเป้าหมายในชีวิต และความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง
ผู้ที่ตกอยู่ในความทุกข์ สามารถเปลี่ยนตัวเองได้ไม่มากก็น้อย ในปฎิบัติการหนังยางล้างใจนี้
#หนังยางล้างใจ #รีวิวหนังสือ
หนังยางล้างใจ (2025/095) ปฎิบัตการเปลี่ยนตัวเอง ด้วยหนังยาง(ยางวง) 1 เส้นที่ข้อมือ ในเวลา 21วัน โดยนักเขียนเบสเซลเลอร์ คุณวิสูตร แสงอรุณเลิศ ผู้ที่เคยมีชิวิตช่วงหนึ่งที่มีปัญหารุมเร้า เครียด นอนไม่หลับ และนำหลักการหนังยางล้างใจมาใช้กับตัวเอง จนผ่านพ้นวิกฤติในชีวิตช่วงนั้นมาได้ และต่อมาเขาเปิดโครงการ “เปลี่ยนชีวิตใน 21วัน” เพื่อช่วยเหลือและพัฒนาผู้ที่เข้าร่วมโครงการ ผู้เขียนนำเสนอหลักการเปลี่ยชีวิตใน 21 วันจากงานวิจัยทางจิตวิทยา ของ Dr.Maxwell Maltz ศัลยแพทย์ ในชื่อต้นฉบับที่ว่า 21-Day Habit Theory คุณหมอเป็นหมอศัลยกรรมตกแต่ง คุณหมอได้สังเกตว่าคนเข้าที่ผ่านการผ่าตัดใบหน้าและต้องทำใจรับใบหน้าใหม่ของตนเองที่เปลี่ยนแปลงไป จะสามารถยอมรับใบหน้าใหม่ได้ใน 21วัน คุณหมอยังค้นคว้าต่อไปว่า ตัวเลข 21วัน เป็นตัวเลขที่มนุษย์ใช้ปรับตัวเองให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ในชีวิต หลักการ 21 วันควบคู่กับหนังยางตรงไหน? หนังยางที่สวมข้อมือใช้สวมใส่ตลอดทุก 21วัน ใช้สำหรับการดึงหนังยางดีดแขนตัวเองเมื่อเกิดการ “คิดลบ” ทุกครั้งที่คิดลบให้ดีดหนึ่งครั้ง ดังนั้นในวันแรกๆที่เข้าโครงการนี้ ต้องมีการเจ็บแขนหลายๆครั้ง เพื่อเตือนตัวเองไม่ให้คิดลบ นอกจากนี้บทเรียนภายใน 21 วันที่ผู้เขียนวางแผนให้ผู้อ่านได้อ่าน ตัวเขาสอดแทรกหลักคิด หลักปฎิบัติ หลักการใช้ชีวิต ให้มุ่งคิดดี มีความสุข รักตัวเอง มุ่งมั่นในการวางเป้าหมายในชีวิต และความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง ผู้ที่ตกอยู่ในความทุกข์ สามารถเปลี่ยนตัวเองได้ไม่มากก็น้อย ในปฎิบัติการหนังยางล้างใจนี้ #หนังยางล้างใจ #รีวิวหนังสือ0 Comments 0 Shares 10 Views 0 Reviews - ในอังกฤษรัฐบาลได้แนะให้ขยายเวลาเกษียณออกไปเป็น 67 ปี ประเทศในยุโรปก็กำลังพยายามออกกฎหมายแบบเดียวกัน แล้วก็ไม่ใช่แค่ภาครัฐเท่านั้น แต่คณะกรรมการในบริษัทต่างๆ ทั่วโลกตอนนี้ก็กำลังเผชิญกับความท้าทายในการจัดการกับประชากรสูงอายุด้วย
จากหนังสือ #LikeAVerginในอังกฤษรัฐบาลได้แนะให้ขยายเวลาเกษียณออกไปเป็น 67 ปี ประเทศในยุโรปก็กำลังพยายามออกกฎหมายแบบเดียวกัน แล้วก็ไม่ใช่แค่ภาครัฐเท่านั้น แต่คณะกรรมการในบริษัทต่างๆ ทั่วโลกตอนนี้ก็กำลังเผชิญกับความท้าทายในการจัดการกับประชากรสูงอายุด้วย จากหนังสือ #LikeAVergin0 Comments 0 Shares 9 Views 0 Reviews - ชาวนารายเล็กในบริเวณที่ราบลุ่มภาคกลางจึงถูกดึงเข้าสู่เศรษฐกิจตลาดอย่างช้าๆ และไม่เต็มที่ แต่เศรษฐกิจตลาดก็ขยายไปตลอดเวลาเพราะการคมนาคมขนส่งที่ดีขึ้น จากทศวรรษ ๒๔๗๐ การทำนาดำเริ่มเข้า ทดแทนนาหว่านในหลายพื้นที่ ผลผลิตต่อไร่สูงขึ้นและครัวเรือนชาวนาก็มี ข้าวส่วนเกินที่จะขายได้มากขึ้น การส่งออกข้าวพุ่งขึ้นถึงจุดสูงสุดช่วงก่อน สงครามโลกครั้งที่ ๒ จนส่งออกได้ถึง ๑.๕ ล้านตัน คิดเป็น ๓ เท่าของที่เคย ส่งออกเมื่อ ๔๕ ปีก่อนหน้า เจ้าของที่ดินขนาดใหญ่บางรายไม่อาจบริหารจัดการนาเช่าและราคา
จากหนังสือ #ประวัติศาสตร์ไทยร่วมสมัยชาวนารายเล็กในบริเวณที่ราบลุ่มภาคกลางจึงถูกดึงเข้าสู่เศรษฐกิจตลาดอย่างช้าๆ และไม่เต็มที่ แต่เศรษฐกิจตลาดก็ขยายไปตลอดเวลาเพราะการคมนาคมขนส่งที่ดีขึ้น จากทศวรรษ ๒๔๗๐ การทำนาดำเริ่มเข้า ทดแทนนาหว่านในหลายพื้นที่ ผลผลิตต่อไร่สูงขึ้นและครัวเรือนชาวนาก็มี ข้าวส่วนเกินที่จะขายได้มากขึ้น การส่งออกข้าวพุ่งขึ้นถึงจุดสูงสุดช่วงก่อน สงครามโลกครั้งที่ ๒ จนส่งออกได้ถึง ๑.๕ ล้านตัน คิดเป็น ๓ เท่าของที่เคย ส่งออกเมื่อ ๔๕ ปีก่อนหน้า เจ้าของที่ดินขนาดใหญ่บางรายไม่อาจบริหารจัดการนาเช่าและราคา จากหนังสือ #ประวัติศาสตร์ไทยร่วมสมัย0 Comments 0 Shares 9 Views 0 Reviews - สุขเลือกได้ Choose The Life You Want (2025/094)
จากผู้ที่ชีวิตมีแต่ความไม่สบายใจ ผู้เขียนเปลี่ยนชีวิตตัวเองด้วยหลักการหลายข้อจนเขาเปลี่ยนเป็นนักเขียนหนังสือชื่อดังที่เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับความสุข และเขายังเป็นผู้เปิดคอร์สสอนวิชาความสุขในมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ที่มีนักศึกษาลงทะเบียนเรียนมากที่สุด
และนี่เป็นหนังสืออีกเล่มที่ผู้เขียนนำหลักคิดในการคิดสองแบบที่เป็นแนวคิดตรงข้ามกันมาอธิบายว่าควรจะคิดแบบไหนชีวิตถึงจะมีความสุข โดยเขาเขียนออกมาเป็นหัวข้อจำนวน 101 หัวข้อที่ครอบความคิดหรือหลักปฎิบัติในแบบที่ควรทำและไม่ควรทำ เพื่อความสุขของผู้โชคดีที่ได้หยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาอ่าน
เนื้อหาหัวข้อในหนังสือเล่มนี้จะเป็นหัวข้อที่เป็นขั้วตรงข้ามของหลักคิดสองรูปแบบ คือรูปแบบที่พวกเราทำประจำ(แต่เป็นทุกข์) กับรูปแบบที่ควรจะทำซึ่งอาจจะฝืนความเคยชิน((แต่สร้างความสุข) หัวข้อตัวอย่างเช่น
-เพียงแค่ใช้ชีวิต หรือ เลือกที่จะเลือก
-มองข้ามสิ่งมีค่าในชีวิต หรือ ใส่ใจในความพิศวง
-แสดงความเหนือกว่า หรือ ทำให้คนอื่นรู้สึกดี
-ยึดมั่นในความสมบูรณ์แบบ หรือ รู้สึกว่าเมื่อดีพอถือว่าพอแล้ว
และอื่นๆอีกมากมาย
ผู้เขียนจะอธิบายเรื่องเกี่ยวกับความสุขในแต่ละหัวข้อ เป็นข้อความไม่ยาวนัก และปิดท้ายด้วย งานวิจัย , เรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง หรือแม้แต่ชีวิตของตัวผู้เขียนเอง เพื่อแสดงเป็นเคสตัวอย่างสนับสนุนหัวข้อแต่ละหัวข้อ
การที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ ทำให้เห็นแนวคิดในหลายๆหัวข้อที่เราควรจะต้องปรับปรุงเพื่อรอรับความสุขที่จะเกิดขึ้นครับ
#สุขเลือกได้ #ChooseTheLifeYouWant #รีวิวหนังสือ
สุขเลือกได้ Choose The Life You Want (2025/094) จากผู้ที่ชีวิตมีแต่ความไม่สบายใจ ผู้เขียนเปลี่ยนชีวิตตัวเองด้วยหลักการหลายข้อจนเขาเปลี่ยนเป็นนักเขียนหนังสือชื่อดังที่เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับความสุข และเขายังเป็นผู้เปิดคอร์สสอนวิชาความสุขในมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ที่มีนักศึกษาลงทะเบียนเรียนมากที่สุด และนี่เป็นหนังสืออีกเล่มที่ผู้เขียนนำหลักคิดในการคิดสองแบบที่เป็นแนวคิดตรงข้ามกันมาอธิบายว่าควรจะคิดแบบไหนชีวิตถึงจะมีความสุข โดยเขาเขียนออกมาเป็นหัวข้อจำนวน 101 หัวข้อที่ครอบความคิดหรือหลักปฎิบัติในแบบที่ควรทำและไม่ควรทำ เพื่อความสุขของผู้โชคดีที่ได้หยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาอ่าน เนื้อหาหัวข้อในหนังสือเล่มนี้จะเป็นหัวข้อที่เป็นขั้วตรงข้ามของหลักคิดสองรูปแบบ คือรูปแบบที่พวกเราทำประจำ(แต่เป็นทุกข์) กับรูปแบบที่ควรจะทำซึ่งอาจจะฝืนความเคยชิน((แต่สร้างความสุข) หัวข้อตัวอย่างเช่น -เพียงแค่ใช้ชีวิต หรือ เลือกที่จะเลือก -มองข้ามสิ่งมีค่าในชีวิต หรือ ใส่ใจในความพิศวง -แสดงความเหนือกว่า หรือ ทำให้คนอื่นรู้สึกดี -ยึดมั่นในความสมบูรณ์แบบ หรือ รู้สึกว่าเมื่อดีพอถือว่าพอแล้ว และอื่นๆอีกมากมาย ผู้เขียนจะอธิบายเรื่องเกี่ยวกับความสุขในแต่ละหัวข้อ เป็นข้อความไม่ยาวนัก และปิดท้ายด้วย งานวิจัย , เรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง หรือแม้แต่ชีวิตของตัวผู้เขียนเอง เพื่อแสดงเป็นเคสตัวอย่างสนับสนุนหัวข้อแต่ละหัวข้อ การที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ ทำให้เห็นแนวคิดในหลายๆหัวข้อที่เราควรจะต้องปรับปรุงเพื่อรอรับความสุขที่จะเกิดขึ้นครับ #สุขเลือกได้ #ChooseTheLifeYouWant #รีวิวหนังสือ0 Comments 0 Shares 9 Views 0 Reviews - ปรัชญาชีวิต ของ ฌอง-ปอล ชาร์ตร์ (2025/093)
กลั่นกรองสรุปปรัชญา ของ ฌอง-ปอล ชาร์ตร์ โดยอาจารย์พินิจ รัตนกุล (อาจารย์สอนปรัชญา มหาวิทยาลัยมหิดล) ฌอง-ปอล ชาร์ตร์ผู้เที่ยึดถือปรัชญาเอกซิสเตนเซียลลิสม์ (
Existentialism:อัตถิภาวนิยม เน้นการใช้ชีวิตในแบบปัจเจกบุคคลหรือก็คือยึดถือตัวเองเป็นหลัก และมีความเชื่อเรื่องเจตจำนงเสรี ที่แต่ละบุคคลมีสิทธิที่จะทำอะไรก็ได้) แบบเข้มข้น
แน่นอนว่าการสาธยายปรัชญาของ ฌอง-ปอล ชาร์ตร์ โดย อ.พินิจ รัตนกุล เป็นงานเขียนที่บรรยายออกมาให้เข้าใจได้ง่าย ซึ่งการมีเจตจำนงเสรีในมองมุงของฌอง-ปอล ชาร์ตร์ มีหลักเกณฑ์ ข้อสนับสนุนให้เชื่อได้ว่าการมีเจตจำนงเสรีเป็นผลดีต่อมนุษย์เองรวมไปถึง เป็นผลดีต่อโลกด้วย
เจตจำนงเสรีของ ฌอง-ปอล ชาร์ตร์ เริ่มที่จิต หรือดวงจิตครับ การให้คำอธิบายของ ฌอง-ปอล ชาร์ตร์ ในเรื่องจิตน่าสนใจมากๆ มีความคล้ายคลึงกับจิตในทางความเชื่อของโลกตะวันออกโดยที่เขาไม่เคยศึกษาพุทธศาสนาเลย จิตในความเชื่อของ ฌอง-ปอล ชาร์ตร์ คือสิ่งที่เป็นจิตใจที่มีลักษณะโปร่งใส มีอิสระเสรีที่จะคิด บังคับวัตถุต่างๆให้ทำสิ่งได้ก็ได้ โดยที่ ฌอง-ปอล ชาร์ตร์ มองสิ่งอื่นๆนอกจากดวงจิตที่โปร่งใสเป็นวัตถุ โดยเฉพาะร่างกายเขามองว่าร่างกายเป็นวัตถุ เพราะร่างกายไม่สามารถมีเจตจำนงเสรีทำอะไรตามใจได้ ร่างกายไม่สามารถบังคับให้ตัวเองเป็นอมตะ ไม่เสื่อม ไม่เจ็บ ไม่ตายได้ ดังนั้นสิ่งที่นอกเหนือจากร่างกายทั้งหมด ซึ่งก็คือทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีความเป็นอิสระ
ดวงจิตที่เป็นอิสระโปร่งใส ถ้าหากถูกควบคุมด้วยผู้อื่น ร่างกายของตนเอง ความคิดที่ถูกสร้างมาในอดิตหรือคำสอนโดยเป็นกรอบป้องกันดวงจิต ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ฌอง-ปอล ชาร์ตร์ มองว่าเป็นวัตถุ การที่ดวงจิตถูกควบคุมด้วยวัตถุย่อมไม่ใช่จิตที่เป็นอิสระ ดังนั้นการที่จะปลดปล่อยดวงจิตให้มีอิสระต้องหลุดพ้นจากการควบคุมจากวัตถุต่างๆ ด้วยดวงจิตเอง
ดวงจิตนั้นเป็นของเรา เป็นของมนุษย์แต่ละบุคคลงนั้นเรามีสิทธิ์ที่จะเป็นอิสระ สามารถทำตามความคิด ความต้องการของตัวเอง และนั่นควรเป็นพื้นฐานของชีวิตแต่ละบุคคล แน่นอนว่านี่เป็นหลักการพื้นฐานของ ฌอง-ปอล ชาร์ตร์ ที่นำเสนอให้เกิดจิตที่เป็นอิสระ แต่เนื้อหาในเล่มยังมีการอธิบายให้สถานการณ์ต่างๆ เพื่อนำเอาปรัชญานี้ไปใช้ ทั้งในด้าน ส่วนตัวเอง การงาน ความรัก ประเทศชาติ ผู้อื่น และโลกใบนี้
การได้อ่านหนังสือเล่มนี้ ทำให้เกิดความเชื่อที่แท้จริงว่าจิตใจเราควรได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระ โดยมีเหตุผลมากมายรองรับ
#ปรัชญาชีวิตของฌองปอลชาร์ตร์ #ฌองปอลชาร์ตร์ #ฌองปอลชาร์ทร์ #รีวิวหนังสือ
ปรัชญาชีวิต ของ ฌอง-ปอล ชาร์ตร์ (2025/093) กลั่นกรองสรุปปรัชญา ของ ฌอง-ปอล ชาร์ตร์ โดยอาจารย์พินิจ รัตนกุล (อาจารย์สอนปรัชญา มหาวิทยาลัยมหิดล) ฌอง-ปอล ชาร์ตร์ผู้เที่ยึดถือปรัชญาเอกซิสเตนเซียลลิสม์ ( Existentialism:อัตถิภาวนิยม เน้นการใช้ชีวิตในแบบปัจเจกบุคคลหรือก็คือยึดถือตัวเองเป็นหลัก และมีความเชื่อเรื่องเจตจำนงเสรี ที่แต่ละบุคคลมีสิทธิที่จะทำอะไรก็ได้) แบบเข้มข้น แน่นอนว่าการสาธยายปรัชญาของ ฌอง-ปอล ชาร์ตร์ โดย อ.พินิจ รัตนกุล เป็นงานเขียนที่บรรยายออกมาให้เข้าใจได้ง่าย ซึ่งการมีเจตจำนงเสรีในมองมุงของฌอง-ปอล ชาร์ตร์ มีหลักเกณฑ์ ข้อสนับสนุนให้เชื่อได้ว่าการมีเจตจำนงเสรีเป็นผลดีต่อมนุษย์เองรวมไปถึง เป็นผลดีต่อโลกด้วย เจตจำนงเสรีของ ฌอง-ปอล ชาร์ตร์ เริ่มที่จิต หรือดวงจิตครับ การให้คำอธิบายของ ฌอง-ปอล ชาร์ตร์ ในเรื่องจิตน่าสนใจมากๆ มีความคล้ายคลึงกับจิตในทางความเชื่อของโลกตะวันออกโดยที่เขาไม่เคยศึกษาพุทธศาสนาเลย จิตในความเชื่อของ ฌอง-ปอล ชาร์ตร์ คือสิ่งที่เป็นจิตใจที่มีลักษณะโปร่งใส มีอิสระเสรีที่จะคิด บังคับวัตถุต่างๆให้ทำสิ่งได้ก็ได้ โดยที่ ฌอง-ปอล ชาร์ตร์ มองสิ่งอื่นๆนอกจากดวงจิตที่โปร่งใสเป็นวัตถุ โดยเฉพาะร่างกายเขามองว่าร่างกายเป็นวัตถุ เพราะร่างกายไม่สามารถมีเจตจำนงเสรีทำอะไรตามใจได้ ร่างกายไม่สามารถบังคับให้ตัวเองเป็นอมตะ ไม่เสื่อม ไม่เจ็บ ไม่ตายได้ ดังนั้นสิ่งที่นอกเหนือจากร่างกายทั้งหมด ซึ่งก็คือทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีความเป็นอิสระ ดวงจิตที่เป็นอิสระโปร่งใส ถ้าหากถูกควบคุมด้วยผู้อื่น ร่างกายของตนเอง ความคิดที่ถูกสร้างมาในอดิตหรือคำสอนโดยเป็นกรอบป้องกันดวงจิต ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ฌอง-ปอล ชาร์ตร์ มองว่าเป็นวัตถุ การที่ดวงจิตถูกควบคุมด้วยวัตถุย่อมไม่ใช่จิตที่เป็นอิสระ ดังนั้นการที่จะปลดปล่อยดวงจิตให้มีอิสระต้องหลุดพ้นจากการควบคุมจากวัตถุต่างๆ ด้วยดวงจิตเอง ดวงจิตนั้นเป็นของเรา เป็นของมนุษย์แต่ละบุคคลงนั้นเรามีสิทธิ์ที่จะเป็นอิสระ สามารถทำตามความคิด ความต้องการของตัวเอง และนั่นควรเป็นพื้นฐานของชีวิตแต่ละบุคคล แน่นอนว่านี่เป็นหลักการพื้นฐานของ ฌอง-ปอล ชาร์ตร์ ที่นำเสนอให้เกิดจิตที่เป็นอิสระ แต่เนื้อหาในเล่มยังมีการอธิบายให้สถานการณ์ต่างๆ เพื่อนำเอาปรัชญานี้ไปใช้ ทั้งในด้าน ส่วนตัวเอง การงาน ความรัก ประเทศชาติ ผู้อื่น และโลกใบนี้ การได้อ่านหนังสือเล่มนี้ ทำให้เกิดความเชื่อที่แท้จริงว่าจิตใจเราควรได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระ โดยมีเหตุผลมากมายรองรับ #ปรัชญาชีวิตของฌองปอลชาร์ตร์ #ฌองปอลชาร์ตร์ #ฌองปอลชาร์ทร์ #รีวิวหนังสือ0 Comments 0 Shares 12 Views 0 Reviews - ผู้คนได้ยินความเชื่อของ ดร.คิงอย่างชัดเจนและรู้สึกว่าถ้อยคำของ เขาทรงพลังอย่างยิ่ง ผู้ที่เชื่อในสิ่งเดียวกันจะรับเอาจุดมุ่งหมายนั้นมาเป็นของตัวเองและนำไปเล่าให้คนอื่นๆฟัง ส่วนคนที่ได้ฟังก็จะบอกความเชื่อ ของตนแก่คนอื่นต่อไปอีกทอดบางคนอาจมีวิธีเผยแพร่ความเชื่อที่ได้ผลมากกว่าคนอื่น
แล้ววันหนึ่งในฤดูร้อนของปี 1963 ประชาชน 250,000 คนก็มารวม ตัวกันเพื่อฟัง ดร.คิงกล่าวสุนทรพจน์ “ผมมีความฝัน” ที่บันไดของอนุสาวรีย์ลินคอล์น
จากหนังสือ #StartWithWhyผู้คนได้ยินความเชื่อของ ดร.คิงอย่างชัดเจนและรู้สึกว่าถ้อยคำของ เขาทรงพลังอย่างยิ่ง ผู้ที่เชื่อในสิ่งเดียวกันจะรับเอาจุดมุ่งหมายนั้นมาเป็นของตัวเองและนำไปเล่าให้คนอื่นๆฟัง ส่วนคนที่ได้ฟังก็จะบอกความเชื่อ ของตนแก่คนอื่นต่อไปอีกทอดบางคนอาจมีวิธีเผยแพร่ความเชื่อที่ได้ผลมากกว่าคนอื่น แล้ววันหนึ่งในฤดูร้อนของปี 1963 ประชาชน 250,000 คนก็มารวม ตัวกันเพื่อฟัง ดร.คิงกล่าวสุนทรพจน์ “ผมมีความฝัน” ที่บันไดของอนุสาวรีย์ลินคอล์น จากหนังสือ #StartWithWhy0 Comments 0 Shares 13 Views 0 Reviews - เพื่อต่อสู้กับภัยคุกคามทางเทคโนโลยีสหรัฐฯได้ตอบโต้ ในบางครั้งด้วยการกีดกันไม่ให้บริษัทจีน (เช่น Huawei) เข้ามาดำเนินธุรกิจในสหรัฐฯ พยายามบ่อนทำลายการใช้งานในระดับสากล และอาจทำร้ายความอยู่รอดของพวกเขาผ่านการคว่ำบาตรที่ทำให้พวกเขาไม่ได้สิ่งที่จำเป็นสำหรับการผลิต
มีการแยกตัวออกจากกันในทางเทคโนโลยีซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการแยกตัวออกจากกันที่มากขึ้นของจีนและสหรัฐฯ ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อหน้าตาของโลกในอีกห้าปีข้างหน้า
จากหนังสือ #TheChangingWorldOrderเพื่อต่อสู้กับภัยคุกคามทางเทคโนโลยีสหรัฐฯได้ตอบโต้ ในบางครั้งด้วยการกีดกันไม่ให้บริษัทจีน (เช่น Huawei) เข้ามาดำเนินธุรกิจในสหรัฐฯ พยายามบ่อนทำลายการใช้งานในระดับสากล และอาจทำร้ายความอยู่รอดของพวกเขาผ่านการคว่ำบาตรที่ทำให้พวกเขาไม่ได้สิ่งที่จำเป็นสำหรับการผลิต มีการแยกตัวออกจากกันในทางเทคโนโลยีซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการแยกตัวออกจากกันที่มากขึ้นของจีนและสหรัฐฯ ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อหน้าตาของโลกในอีกห้าปีข้างหน้า จากหนังสือ #TheChangingWorldOrder0 Comments 0 Shares 15 Views 0 Reviews - อีลอน มัสก์ เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า “เชื่อเถอะว่าผมเองก็รู้สึกกลัวเป็นเหมือนกัน...เพียงแต่บางครั้งก็มีสิ่งที่สำคัญมากพอจะทำให้คุณศรัทธาจนลงมือทำมันแม้จะยังคงกลัวอยู่ก็ตาม”
จากหนังสือ #น่าจะรู้อย่างนี้ตั้งแต่ตอนอายุ20อีลอน มัสก์ เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า “เชื่อเถอะว่าผมเองก็รู้สึกกลัวเป็นเหมือนกัน...เพียงแต่บางครั้งก็มีสิ่งที่สำคัญมากพอจะทำให้คุณศรัทธาจนลงมือทำมันแม้จะยังคงกลัวอยู่ก็ตาม” จากหนังสือ #น่าจะรู้อย่างนี้ตั้งแต่ตอนอายุ200 Comments 0 Shares 15 Views 0 Reviews - คติประจำใจของพวกเขาคือหลังจากแก้ปัญหาหนึ่งได้แล้ว ต้องหาปัญหาใหม่ที่ใหญ่กว่าทันที พวกเขารู้ว่างานระดับสูงขึ้นจะต้องอาศัยความใจเย็นมากขึ้น พวกเขาจึงตั้งใจขัดเกลาความสามารถในการรับมือกับปัญหา
จากหนังสือ #กฎ30ข้อเปลี่ยนวิธีคิดและชีวิตจากคนธรรมดาให้กลายเป็นผู้ชนะคติประจำใจของพวกเขาคือหลังจากแก้ปัญหาหนึ่งได้แล้ว ต้องหาปัญหาใหม่ที่ใหญ่กว่าทันที พวกเขารู้ว่างานระดับสูงขึ้นจะต้องอาศัยความใจเย็นมากขึ้น พวกเขาจึงตั้งใจขัดเกลาความสามารถในการรับมือกับปัญหา จากหนังสือ #กฎ30ข้อเปลี่ยนวิธีคิดและชีวิตจากคนธรรมดาให้กลายเป็นผู้ชนะ0 Comments 0 Shares 18 Views 0 Reviews - ศาสตร์ทางโลกที่ผมวิ่งตามมาทั้งชีวิตเหมือนพยายามจะบอกว่า “เราจะมีชีวิตอยู่ไปตลอด” เนื้อหาในนั้นอธิบายเหมือนกับหลายอย่างในชีวิตมันสามารถกำหนดได้และมั่นคงแน่นอน เราต้องทำอย่างนั้นเพื่อให้ได้อย่างนี้ ต้องสะสมบางสิ่งเพื่อให้ได้บางอย่าง ทำให้เราอยากได้อะไรที่มากขึ้นเรื่อยๆ ต้องเก่งขึ้นต้องรวยขึ้น
แต่ศาสตร์ทางธรรมพยายามจะบอกเราว่าเราต้องตายนะ มันไม่มีอะไรเป็นของเรา “มันไม่มีอะไรแน่นอนเลย” และ
เหมือนเราเข้ามาเล่นเกมสวมบทบาทเป็นตัวละครนี้ จะหยิบอะไรมาใส่มาสะสมมากแค่ไหน สุดท้ายก็ไม่ใช่ของเราอยู่ดี แล้วจุดพีคของเกมนี้ที่เราลืมไปหรือพยายามจะไม่มองมันคือ “เกมนี้มีเวลาสิ้นสุด”
ที่พีคไปกว่านั้นคือ “ไม่มีใครรู้ว่ามันจะสิ้นสุดเมื่อไหร่ ซึ่งอาจเป็นพรุ่งนี้เลยก็ได้”
ใช่ครับ ความจริงที่เป็นที่สุดคือเราต้องเลิกเล่นเกมนี้ในสักวัน
จากหนังสือ #สู้ดิวะศาสตร์ทางโลกที่ผมวิ่งตามมาทั้งชีวิตเหมือนพยายามจะบอกว่า “เราจะมีชีวิตอยู่ไปตลอด” เนื้อหาในนั้นอธิบายเหมือนกับหลายอย่างในชีวิตมันสามารถกำหนดได้และมั่นคงแน่นอน เราต้องทำอย่างนั้นเพื่อให้ได้อย่างนี้ ต้องสะสมบางสิ่งเพื่อให้ได้บางอย่าง ทำให้เราอยากได้อะไรที่มากขึ้นเรื่อยๆ ต้องเก่งขึ้นต้องรวยขึ้น แต่ศาสตร์ทางธรรมพยายามจะบอกเราว่าเราต้องตายนะ มันไม่มีอะไรเป็นของเรา “มันไม่มีอะไรแน่นอนเลย” และ เหมือนเราเข้ามาเล่นเกมสวมบทบาทเป็นตัวละครนี้ จะหยิบอะไรมาใส่มาสะสมมากแค่ไหน สุดท้ายก็ไม่ใช่ของเราอยู่ดี แล้วจุดพีคของเกมนี้ที่เราลืมไปหรือพยายามจะไม่มองมันคือ “เกมนี้มีเวลาสิ้นสุด” ที่พีคไปกว่านั้นคือ “ไม่มีใครรู้ว่ามันจะสิ้นสุดเมื่อไหร่ ซึ่งอาจเป็นพรุ่งนี้เลยก็ได้” ใช่ครับ ความจริงที่เป็นที่สุดคือเราต้องเลิกเล่นเกมนี้ในสักวัน จากหนังสือ #สู้ดิวะ0 Comments 0 Shares 18 Views 0 Reviews
More Stories