อ่านหนังสือกัน
อ่านหนังสือกัน
ชักชวนกันอ่านหนังสือ หนังสือไม่ว่าจะเป็นแนวไหนล้วนมีประโยชน์
  • กลุ่มสาธารณะ
  • 499 โพสต์
  • 96 รูปภาพ
  • 0 วิดีโอ
  • 0 รีวิว
  • ไลฟ์สไตล์
อัปเดตล่าสุด
  • โอคีฟก้าวข้ามสัญชาตญาณของเรา และกรณีนี้ก็ยิ่งแปลกมากขึ้นไปอีกแพทย์แนะนำให้เธอหยุดวิ่ง ก็ไม่น่าแปลกใจในเมื่อกระดูกน่องของเธอหัก ครึ่งขนาดนั้น แต่เธอกลับปฏิเสธ เธอวิ่งระยะ 18 ไมล์สุดท้ายด้วยความเจ็บปวดซึ่ง แทบทนไม่ไหว และ เข้าเส้นชัย ด้วยเวลา 6:14:20 ชั่วโมง

    คุณอาจคิดว่านี่เป็นเรื่องราวที่แปลก ประหลาด และคงมีแบบนี้แค่ครั้งเดียว แต่จริงๆแล้วมันไม่ใช่เรื่องประหลาดอย่างที่คุณคาด อันที่จริงในวันเดียวกันนั้นในการวิ่งมาราธอนรายการเดียวกัน ในระยะทางที่เท่ากันในการแข่งขัน นักวิ่งอีกคนก็เท้าพลิก และวิ่งอีก 18ไมล์ที่เหลือต่อไปทั้งอย่างนั้น สตีเฟน คีลีย์ ซึ่งวิ่งไปได้ 8 ไมล์ เหยียบขวดน้ำที่กลิ้งอยู่ ทำให้เท้าขวา น่อง และสะโพกของเขาได้รับบาดเจ็บ ความ เจ็บปวดแย่ลงเรื่อย ๆ เมื่อถึงระยะทาง 16 ไมล์ เขาต้องแวะที่เต็นท์กายภาพเพื่อรับ ความช่วยเหลือทางการแพทย์ โดยเป็นการหยุดครั้งแรกจาก 4 หรือ 5 ครั้ง ก่อนจะ เข้าเส้นชัยในเวลา 3:57:33 ชั่วโมง

    จากหนังสือ #ศาสตร์แห่งการตัดสินใจเมื่อไหร่ควรยอมยกธง #Quit #ThePowerOfKnowingWhenToWalkAway
    โอคีฟก้าวข้ามสัญชาตญาณของเรา และกรณีนี้ก็ยิ่งแปลกมากขึ้นไปอีกแพทย์แนะนำให้เธอหยุดวิ่ง ก็ไม่น่าแปลกใจในเมื่อกระดูกน่องของเธอหัก ครึ่งขนาดนั้น แต่เธอกลับปฏิเสธ เธอวิ่งระยะ 18 ไมล์สุดท้ายด้วยความเจ็บปวดซึ่ง แทบทนไม่ไหว และ เข้าเส้นชัย ด้วยเวลา 6:14:20 ชั่วโมง คุณอาจคิดว่านี่เป็นเรื่องราวที่แปลก ประหลาด และคงมีแบบนี้แค่ครั้งเดียว แต่จริงๆแล้วมันไม่ใช่เรื่องประหลาดอย่างที่คุณคาด อันที่จริงในวันเดียวกันนั้นในการวิ่งมาราธอนรายการเดียวกัน ในระยะทางที่เท่ากันในการแข่งขัน นักวิ่งอีกคนก็เท้าพลิก และวิ่งอีก 18ไมล์ที่เหลือต่อไปทั้งอย่างนั้น สตีเฟน คีลีย์ ซึ่งวิ่งไปได้ 8 ไมล์ เหยียบขวดน้ำที่กลิ้งอยู่ ทำให้เท้าขวา น่อง และสะโพกของเขาได้รับบาดเจ็บ ความ เจ็บปวดแย่ลงเรื่อย ๆ เมื่อถึงระยะทาง 16 ไมล์ เขาต้องแวะที่เต็นท์กายภาพเพื่อรับ ความช่วยเหลือทางการแพทย์ โดยเป็นการหยุดครั้งแรกจาก 4 หรือ 5 ครั้ง ก่อนจะ เข้าเส้นชัยในเวลา 3:57:33 ชั่วโมง จากหนังสือ #ศาสตร์แห่งการตัดสินใจเมื่อไหร่ควรยอมยกธง #Quit #ThePowerOfKnowingWhenToWalkAway
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2 มุมมอง 0 รีวิว
  • หลังจากที่คุณตายไปได้หลายชั่วโมง หรืออาจเป็นหลายวันก็ตาม ท่านหนวดจะยังรอให้คุณฟื้นขึ้นจากความตาย และมาเติมอาหารให้ท่านอย่างเดิม ลงในจานใบเดิม มันจะไม่พุ่งลงมา จกเนื้อมนุษย์ในทันที แต่ยังไงเสียแมวก็ต้องกิน และคุณคือคนที่ให้อาหารมัน นี่คือสัญญาทาสที่แน่นแฟ้นระหว่างแมวกับมนุษย์ ความตายไม่ได้ปลดระวางเราจากหน้าที่อันเป็นภารกิจผูกพันนี้หากคุณเกิดหัวใจวายขึ้นมาในห้องนั่งเล่นและไม่มีใครเจอคุณก่อน ที่จะพลาดเดทจิบกาแฟกับซีล่าในวันพฤหัสหน้า ท่านหนวดมุกมิก ผู้หิวโหยและทนรอไม่ไหว ก็อาจจะละทิ้งจานเปล่าของมัน และวน มาดูร่างไร้วิญญาณของคุณว่ามีอะไรที่น่าจะกินได้บ้าง

    จากหนังสือ #ถ้าฉันตายน้องแมวจะหม่ำลูกตาฉันไหมนะ? #WillMyCatEatMyEeyeballs?
    หลังจากที่คุณตายไปได้หลายชั่วโมง หรืออาจเป็นหลายวันก็ตาม ท่านหนวดจะยังรอให้คุณฟื้นขึ้นจากความตาย และมาเติมอาหารให้ท่านอย่างเดิม ลงในจานใบเดิม มันจะไม่พุ่งลงมา จกเนื้อมนุษย์ในทันที แต่ยังไงเสียแมวก็ต้องกิน และคุณคือคนที่ให้อาหารมัน นี่คือสัญญาทาสที่แน่นแฟ้นระหว่างแมวกับมนุษย์ ความตายไม่ได้ปลดระวางเราจากหน้าที่อันเป็นภารกิจผูกพันนี้หากคุณเกิดหัวใจวายขึ้นมาในห้องนั่งเล่นและไม่มีใครเจอคุณก่อน ที่จะพลาดเดทจิบกาแฟกับซีล่าในวันพฤหัสหน้า ท่านหนวดมุกมิก ผู้หิวโหยและทนรอไม่ไหว ก็อาจจะละทิ้งจานเปล่าของมัน และวน มาดูร่างไร้วิญญาณของคุณว่ามีอะไรที่น่าจะกินได้บ้าง จากหนังสือ #ถ้าฉันตายน้องแมวจะหม่ำลูกตาฉันไหมนะ? #WillMyCatEatMyEeyeballs?
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2 มุมมอง 0 รีวิว
  • คิดออย่างนักสร้างจรวด Think Like A Rocket Scientist (2025/048)

    สุดยอดนักคิดนักเขียนแนะนำให้อ่านหนังสือเล่มนี้ อดัม แกรท์ , บิล เกตส์ , ซูซาน เคน ,มัลคอล์ม แลดเวลล์ และ แดเนียล เอช. พิงค์ แต่น่าเสียดายที่หนังสือไม่ดูไม่เป็นที่รู้จักมากนัก หนังสือเล่มนี้มีดีและว้าว ด้วยทั้งเนื้อหาที่เราไม่เคยรู้รายละเอียดมาก่อน(การสร้างจรวด) และการเขียนที่มีความลื่นไหล อ่านสนุก และมีความเรื่องทางจิตวิทยาพัฒนาตัวเอง ผู้เขียนอยากให้มุมมองในการเปลี่ยนความคิดเพื่อสร้างชีวิตที่ดีขึ้น ด้วยหลักการสร้างจรวดเนื่องจากการสร้างจรวดไปสำรวจดวงจันทร์หรือดางอังคารเป็นการสร้างโดยที่เริ่มจากศูนย์ ไม่รู้สภาพแวดล้อม และทุกเรื่องคิดใหม่ทำใหม่ทั้งหมด!!!

    ผู้เขียนเคยอยู่ในทีมการสร้างยานสำรวจ โดยอยู่ในส่วนการนำยานสำรวจร่อนจอดลงที่พื้นผิวดาวอังคารขององกรค์นาซ่า เขาเป็นคนตรกีที่มีความฝันที่อยากสร้างจรวดจนได้มีโอกาสไปเรียนและอยู่ในทีมที่ช่วยกันคิดวิธีและแก้ไขปัญหา ต่อมาเขาได้ออกจากงานสร้างจรวด และเข้าไปเรียนกฎหมายจนจบที่หนึ่งในมหาวิทยาลัย และทำอาชีพเป็นอาจารย์สอนกฎหมายอยู่พักใหญ่ หลังจากนั้นเขาผันตัวเองมาเป็นนักพูด นักคิด นักเขียน โอนเน้นเรื่องการพัฒนาตนเองจากหลักการสร้างจรวด

    การสร้างจรวดมีความสำคัญสำหรับแนวคิดที่นอกจากเป็นวิทยาศาสตร์แล้วยังเกี่ยวกับเรื่องทางจิตวิทยาและอคติต่างด้วย เมื่อ กันยายน ปี 1962 ประธานาธิปดี จอห์น เอฟ. เคเนดี ประกาศว่าจะส่งมนุษย์ไปเหยียบดวงจันทร์ให้ได้ภายใน 10 ปี โดยที่ไม่มีพื้นฐาน ไม่มีความรู้ และไม่มีคนที่พร้อมจะทำงานในเรื่องนี้ แต่ปรากฎว่าพวกเขาทำสำเร็จก่อนจะถึงเวลา 10ปี เป็นการระดมความคิด เงินทุน และการร่วมมือจากหลายๆส่วน เนื้อหาสอดแทรกในส่วนที่มีการสร้างจรวดตั้งแต่การหาวัสดุ การคำนวน ความเสี่ยง ความล้มเหลว ความผิดหวัง ความผิดพลาด รวมไปถึงนักสำรวจอาวกาศ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เคยรู้มาก่อน

    ผู้เขียนเชื่อมโยงเรื่องการสร้างจรวด เพื่อต้องการที่จะวางแนวคิดให้ผู้อ่านคิดในแบบการสร้างจรวด ซึ่งเป็นการคิดนอกกรอบมากๆ การที่ต้องล้มแนวความคิดดั้งเดิม การที่ต้องขัดแยังกับผู้ที่ยึดติดความคิดเดิมไม่ยอมเปลี่ยนแปลง ในบทแรกผู้เขียนเจาะลึกไปที่ปัญหาการยึดติดผลลัพธ์ทางวิทยาศาสตร์ซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้ว แต่เขากลับคิดว่าผลลัพธ์ไม่ได้สำเท่ากับ แนวคิดและการตั้งคำถามก่อนที่จะนำมาสู่ผลลัพธ์ ทั้งนี้รวมไปถึงในระหว่างการค้นหาผลลัพธ์ที่กว่าจะได้บทสรุปนั้น ได้ผ่านวิธีการอะไรบ้างลองผิดลองถูกมาแบบไหน และเขายังแจ้งว่าถึงแม้ว่าจะได้ผลลัพธ์ทางวิทยาศาสตร์นั้นแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะถูกต้องสมบูรณ์ไปตลอดกาล เพราะถ้าหากมีคนคิดค้นและพิสูจน์ทฤษฎีใหม่ขึ้นมาได้ ผลลัพธ์ที่ใช้กับตอนแรกก็ต้องถูกแทนที่ ยกตัวอย่างในเรื่องทฤษฎ์อะตอมที่ภายหลังพวกเรารู้กันว่าที่จริงมันมีการเคลื่อนไหวในรู้แบบของควันตัม

    นอกจากนี้ผู้เขียนยังเสริมสร้างแนวคิดในเรื่องการกล้าทดลองสิ่งใหม่ๆ การจัดการความเสี่ยงที่เกิดขึ้น และมุมมองต่อความล้มเหลว(ซึ่งต้องเกิดขึ้นกับทุกคน) โดยการเชื่อมโยงกับวิทยาศาสตร์การสร้างจรวด จากอดีตขององกร์นาซา ไปจนถึงการสร้างจรวดของเอกชนผ่าน สเปซเอ็กซ์ และโครงการเอ็กซ์ของอเมซอน

    หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่ดีมาก เปลี่ยนแปลงมุมมองและแนวคิดให้ผู้อ่าน เพื่อที่จะหลุดพ้นสิ่งเดิมและสร้างสิ่งใหม่อย่างมั่นคง เสียดายที่หนังสือไม่ได้รับการตอบรับเท่าที่ควร

    #คิดออย่างนักสร้างจรวด #ThinkLikeARocketScientist #รีวิวหนังสือ
    คิดออย่างนักสร้างจรวด Think Like A Rocket Scientist (2025/048) สุดยอดนักคิดนักเขียนแนะนำให้อ่านหนังสือเล่มนี้ อดัม แกรท์ , บิล เกตส์ , ซูซาน เคน ,มัลคอล์ม แลดเวลล์ และ แดเนียล เอช. พิงค์ แต่น่าเสียดายที่หนังสือไม่ดูไม่เป็นที่รู้จักมากนัก หนังสือเล่มนี้มีดีและว้าว ด้วยทั้งเนื้อหาที่เราไม่เคยรู้รายละเอียดมาก่อน(การสร้างจรวด) และการเขียนที่มีความลื่นไหล อ่านสนุก และมีความเรื่องทางจิตวิทยาพัฒนาตัวเอง ผู้เขียนอยากให้มุมมองในการเปลี่ยนความคิดเพื่อสร้างชีวิตที่ดีขึ้น ด้วยหลักการสร้างจรวดเนื่องจากการสร้างจรวดไปสำรวจดวงจันทร์หรือดางอังคารเป็นการสร้างโดยที่เริ่มจากศูนย์ ไม่รู้สภาพแวดล้อม และทุกเรื่องคิดใหม่ทำใหม่ทั้งหมด!!! ผู้เขียนเคยอยู่ในทีมการสร้างยานสำรวจ โดยอยู่ในส่วนการนำยานสำรวจร่อนจอดลงที่พื้นผิวดาวอังคารขององกรค์นาซ่า เขาเป็นคนตรกีที่มีความฝันที่อยากสร้างจรวดจนได้มีโอกาสไปเรียนและอยู่ในทีมที่ช่วยกันคิดวิธีและแก้ไขปัญหา ต่อมาเขาได้ออกจากงานสร้างจรวด และเข้าไปเรียนกฎหมายจนจบที่หนึ่งในมหาวิทยาลัย และทำอาชีพเป็นอาจารย์สอนกฎหมายอยู่พักใหญ่ หลังจากนั้นเขาผันตัวเองมาเป็นนักพูด นักคิด นักเขียน โอนเน้นเรื่องการพัฒนาตนเองจากหลักการสร้างจรวด การสร้างจรวดมีความสำคัญสำหรับแนวคิดที่นอกจากเป็นวิทยาศาสตร์แล้วยังเกี่ยวกับเรื่องทางจิตวิทยาและอคติต่างด้วย เมื่อ กันยายน ปี 1962 ประธานาธิปดี จอห์น เอฟ. เคเนดี ประกาศว่าจะส่งมนุษย์ไปเหยียบดวงจันทร์ให้ได้ภายใน 10 ปี โดยที่ไม่มีพื้นฐาน ไม่มีความรู้ และไม่มีคนที่พร้อมจะทำงานในเรื่องนี้ แต่ปรากฎว่าพวกเขาทำสำเร็จก่อนจะถึงเวลา 10ปี เป็นการระดมความคิด เงินทุน และการร่วมมือจากหลายๆส่วน เนื้อหาสอดแทรกในส่วนที่มีการสร้างจรวดตั้งแต่การหาวัสดุ การคำนวน ความเสี่ยง ความล้มเหลว ความผิดหวัง ความผิดพลาด รวมไปถึงนักสำรวจอาวกาศ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เคยรู้มาก่อน ผู้เขียนเชื่อมโยงเรื่องการสร้างจรวด เพื่อต้องการที่จะวางแนวคิดให้ผู้อ่านคิดในแบบการสร้างจรวด ซึ่งเป็นการคิดนอกกรอบมากๆ การที่ต้องล้มแนวความคิดดั้งเดิม การที่ต้องขัดแยังกับผู้ที่ยึดติดความคิดเดิมไม่ยอมเปลี่ยนแปลง ในบทแรกผู้เขียนเจาะลึกไปที่ปัญหาการยึดติดผลลัพธ์ทางวิทยาศาสตร์ซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้ว แต่เขากลับคิดว่าผลลัพธ์ไม่ได้สำเท่ากับ แนวคิดและการตั้งคำถามก่อนที่จะนำมาสู่ผลลัพธ์ ทั้งนี้รวมไปถึงในระหว่างการค้นหาผลลัพธ์ที่กว่าจะได้บทสรุปนั้น ได้ผ่านวิธีการอะไรบ้างลองผิดลองถูกมาแบบไหน และเขายังแจ้งว่าถึงแม้ว่าจะได้ผลลัพธ์ทางวิทยาศาสตร์นั้นแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะถูกต้องสมบูรณ์ไปตลอดกาล เพราะถ้าหากมีคนคิดค้นและพิสูจน์ทฤษฎีใหม่ขึ้นมาได้ ผลลัพธ์ที่ใช้กับตอนแรกก็ต้องถูกแทนที่ ยกตัวอย่างในเรื่องทฤษฎ์อะตอมที่ภายหลังพวกเรารู้กันว่าที่จริงมันมีการเคลื่อนไหวในรู้แบบของควันตัม นอกจากนี้ผู้เขียนยังเสริมสร้างแนวคิดในเรื่องการกล้าทดลองสิ่งใหม่ๆ การจัดการความเสี่ยงที่เกิดขึ้น และมุมมองต่อความล้มเหลว(ซึ่งต้องเกิดขึ้นกับทุกคน) โดยการเชื่อมโยงกับวิทยาศาสตร์การสร้างจรวด จากอดีตขององกร์นาซา ไปจนถึงการสร้างจรวดของเอกชนผ่าน สเปซเอ็กซ์ และโครงการเอ็กซ์ของอเมซอน หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่ดีมาก เปลี่ยนแปลงมุมมองและแนวคิดให้ผู้อ่าน เพื่อที่จะหลุดพ้นสิ่งเดิมและสร้างสิ่งใหม่อย่างมั่นคง เสียดายที่หนังสือไม่ได้รับการตอบรับเท่าที่ควร #คิดออย่างนักสร้างจรวด #ThinkLikeARocketScientist #รีวิวหนังสือ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผมใช้เครื่องมือตัดเนื้อเยื่อสีขาวและชั้นไขมันสีเหลืองที่ปกปิดฐานของถุงน้ำดีอยู่ ถึงตอนนี้เราจะได้เห็นคอกว้างและช่วงแคบสั้นๆ ของถุงน้ำดีลงไปจนถึงท่อซึ่งไม่ได้มีความหนาไปกว่าก้านดอกเดซี่ แต่ขยายบนหน้าจอออกมาเห็นเป็นขนาดใหญ่เท่ากับท่อประปา เพื่อให้แน่ใจว่าเรากำลังมองอยู่ที่ท่อถุงน้ำดีและไม่ใช้ท่อน้ำดีหลักของตับ ผมชำแหละ เนื้อเยื่อรอบๆเพิ่มขึ้นอีกนิด อาจารย์ศัลยแพทย์เจ้าของไข้และผมหยุดมือตรงจุดนี้เหมือนทุกๆครั้ง เพื่อคุยกันเรื่องกายวิภาค คอของถุงน้ำดีตรงเข้าไปในท่อที่เรากำลังมองอยู่ ดังนั้นมันจึงเป็นท่อที่ถูกต้องเราได้ผ่าตัดจนเห็นความยาวของท่อน้ำดีพอสมควรโดยที่ไม่เห็นท่อน้ำดี หลักเลย เราเห็นตรงกันว่าทุกอย่างดูสมบูรณ์แบบ “จัดการเลย” อาจารย์ ศัลยแพทย์เจ้าของไข้บอก

    จากหนังสือ #เหยื่อหมอ? #Complications
    ผมใช้เครื่องมือตัดเนื้อเยื่อสีขาวและชั้นไขมันสีเหลืองที่ปกปิดฐานของถุงน้ำดีอยู่ ถึงตอนนี้เราจะได้เห็นคอกว้างและช่วงแคบสั้นๆ ของถุงน้ำดีลงไปจนถึงท่อซึ่งไม่ได้มีความหนาไปกว่าก้านดอกเดซี่ แต่ขยายบนหน้าจอออกมาเห็นเป็นขนาดใหญ่เท่ากับท่อประปา เพื่อให้แน่ใจว่าเรากำลังมองอยู่ที่ท่อถุงน้ำดีและไม่ใช้ท่อน้ำดีหลักของตับ ผมชำแหละ เนื้อเยื่อรอบๆเพิ่มขึ้นอีกนิด อาจารย์ศัลยแพทย์เจ้าของไข้และผมหยุดมือตรงจุดนี้เหมือนทุกๆครั้ง เพื่อคุยกันเรื่องกายวิภาค คอของถุงน้ำดีตรงเข้าไปในท่อที่เรากำลังมองอยู่ ดังนั้นมันจึงเป็นท่อที่ถูกต้องเราได้ผ่าตัดจนเห็นความยาวของท่อน้ำดีพอสมควรโดยที่ไม่เห็นท่อน้ำดี หลักเลย เราเห็นตรงกันว่าทุกอย่างดูสมบูรณ์แบบ “จัดการเลย” อาจารย์ ศัลยแพทย์เจ้าของไข้บอก จากหนังสือ #เหยื่อหมอ? #Complications
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 3 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความหลากหลายของอินเดียมีความเป็นมาย้อนหลังไป 4,000 ปี ทั้งยังฝังรากลึกในวัฒนธรรม ภาษา และขนบธรรมเนียมประเพณี ประ เทศนี้มีภาษาหลักอยู่ 17 ภาษาและภาษาถิ่นอีก 22,000 ภาษา ซึ่งล้วนเกิดจากการมีราชอาณาจักรและรัฐที่แตกต่างกันหลายร้อยแห่งมาเป็น เวลาหลายร้อยปี ตอนที่อังกฤษกำลังจะออกจากอินเดียในปี 1947 รัฐบาลใหม่ต้องเจรจาข้อตกลงเรื่องดินแดนกับผู้ปกครองอีกกว่า 500ราย โดยมีทั้งการให้สินบน ข่มขู่ หรือบางครั้งก็ใช้กำลังทหารบังคับ นับตั้งแต่พรรคคองเกรสตกต่ำลงในช่วงทศวรรษที่ 1970 ก็ยังไม่มีพรรคไหนที่ฝากผลงานอันน่าจดจำไว้เลย รัฐบาลทุกชุดตลอดช่วง 20 ปีที่ผ่านมาเป็น รัฐบาลผสมจากพรรคระดับภูมิภาคต่าง ๆ ซึ่งแทบไม่มีส่วนคล้ายคลึงกันเลย โดยรูชีร์ ชาร์มา ผู้ดูแลหลักทรัพย์ตลาดเกิดใหม่มูลค่า 35,000 ล้าน ดอลลาร์ของบริษัทมอร์แกน สแตนเลย์ ชี้ให้เห็นว่า คนส่วนใหญ่จากทั้ง หมด 28 รัฐพากันเทคะแนนให้กับพรรคระดับภูมิภาคที่ครองฐานเสียงอยู่ จนกลายเป็นผลเสียของพรรคระดับชาติ

    จากหนังสือ #เมื่อโลกไม่ได้หมุนรอบอเมริกา #ThePostAmericanWorld
    ความหลากหลายของอินเดียมีความเป็นมาย้อนหลังไป 4,000 ปี ทั้งยังฝังรากลึกในวัฒนธรรม ภาษา และขนบธรรมเนียมประเพณี ประ เทศนี้มีภาษาหลักอยู่ 17 ภาษาและภาษาถิ่นอีก 22,000 ภาษา ซึ่งล้วนเกิดจากการมีราชอาณาจักรและรัฐที่แตกต่างกันหลายร้อยแห่งมาเป็น เวลาหลายร้อยปี ตอนที่อังกฤษกำลังจะออกจากอินเดียในปี 1947 รัฐบาลใหม่ต้องเจรจาข้อตกลงเรื่องดินแดนกับผู้ปกครองอีกกว่า 500ราย โดยมีทั้งการให้สินบน ข่มขู่ หรือบางครั้งก็ใช้กำลังทหารบังคับ นับตั้งแต่พรรคคองเกรสตกต่ำลงในช่วงทศวรรษที่ 1970 ก็ยังไม่มีพรรคไหนที่ฝากผลงานอันน่าจดจำไว้เลย รัฐบาลทุกชุดตลอดช่วง 20 ปีที่ผ่านมาเป็น รัฐบาลผสมจากพรรคระดับภูมิภาคต่าง ๆ ซึ่งแทบไม่มีส่วนคล้ายคลึงกันเลย โดยรูชีร์ ชาร์มา ผู้ดูแลหลักทรัพย์ตลาดเกิดใหม่มูลค่า 35,000 ล้าน ดอลลาร์ของบริษัทมอร์แกน สแตนเลย์ ชี้ให้เห็นว่า คนส่วนใหญ่จากทั้ง หมด 28 รัฐพากันเทคะแนนให้กับพรรคระดับภูมิภาคที่ครองฐานเสียงอยู่ จนกลายเป็นผลเสียของพรรคระดับชาติ จากหนังสือ #เมื่อโลกไม่ได้หมุนรอบอเมริกา #ThePostAmericanWorld
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 3 มุมมอง 0 รีวิว
  • แนวคิดเรื่องรูขุมขนอุดตันเข้าสู่โลกผลิตภัณฑ์ดูแลผิวในปี 1972 เมื่อมีบทความฉบับหนึ่งเชื่อมโยงสิวในสตรีวัยผู้ใหญ่เข้ากับการใช้ เครื่องสำอางสูตรที่ใส่ส่วนผสมบางอย่างซึ่งเชื่อกันว่าอาจทำให้เกิดสิว “อุดตัน” การค้นหาว่าสารเคมีใดคือสาเหตุของเรื่องนี้กลายเป็นภารกิจของขาใหญ่สกินแคร์ ส่งผลให้เกิด “การทดลองกับหูกระต่าย” ที่สร้าง ความเข้าใจผิดจนทำให้ส่วนผสมหลายอย่างถูกตีตราแบบมั่วๆ ว่า “อุดตันรูขุมขน” หลังจากนั้นสิบปีจึงมีการทดลองกับมนุษย์เพื่อทดสอบการอุดตันรูขุมขน และผลที่ได้ก็แตกต่างจากการทดสอบกับหูกระต่ายอย่างมาก

    จากหนังสือ #ศาสตร์แห่งผิวไม่ผิวเผิน #Skintelligent
    แนวคิดเรื่องรูขุมขนอุดตันเข้าสู่โลกผลิตภัณฑ์ดูแลผิวในปี 1972 เมื่อมีบทความฉบับหนึ่งเชื่อมโยงสิวในสตรีวัยผู้ใหญ่เข้ากับการใช้ เครื่องสำอางสูตรที่ใส่ส่วนผสมบางอย่างซึ่งเชื่อกันว่าอาจทำให้เกิดสิว “อุดตัน” การค้นหาว่าสารเคมีใดคือสาเหตุของเรื่องนี้กลายเป็นภารกิจของขาใหญ่สกินแคร์ ส่งผลให้เกิด “การทดลองกับหูกระต่าย” ที่สร้าง ความเข้าใจผิดจนทำให้ส่วนผสมหลายอย่างถูกตีตราแบบมั่วๆ ว่า “อุดตันรูขุมขน” หลังจากนั้นสิบปีจึงมีการทดลองกับมนุษย์เพื่อทดสอบการอุดตันรูขุมขน และผลที่ได้ก็แตกต่างจากการทดสอบกับหูกระต่ายอย่างมาก จากหนังสือ #ศาสตร์แห่งผิวไม่ผิวเผิน #Skintelligent
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 5 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรายังไม่ทราบว่าการรู้พหุภาษานำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทาง เอพิเจเนติกส์หรือไม่ แต่รู้ว่าพรสวรรค์ด้านภาษา (ซึ่งอยู่ปลายด้านหนึ่ง ของระดับความสามารถทางภาษา) กับความบกพร่องด้านภาษา (ซึ่งอยู่ด้านตรงข้าม) มีองค์ประกอบของอัตราพันธุกรรมอยู่ แต่ใช่ว่ายืนใด ยืนหนึ่งจะกำหนดว่าใครจะมีพรสวรรค์ในการเรียนภาษาหรือไม่ เพราะความสามารถทางภาษาเชื่อมโยงกับยืนหลายตัว รวมถึงการแสดงออกของยืนเหล่านั้น

    จากหนังสือ #พลังแห่งภาษา #ThePowerOfLanguage
    เรายังไม่ทราบว่าการรู้พหุภาษานำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทาง เอพิเจเนติกส์หรือไม่ แต่รู้ว่าพรสวรรค์ด้านภาษา (ซึ่งอยู่ปลายด้านหนึ่ง ของระดับความสามารถทางภาษา) กับความบกพร่องด้านภาษา (ซึ่งอยู่ด้านตรงข้าม) มีองค์ประกอบของอัตราพันธุกรรมอยู่ แต่ใช่ว่ายืนใด ยืนหนึ่งจะกำหนดว่าใครจะมีพรสวรรค์ในการเรียนภาษาหรือไม่ เพราะความสามารถทางภาษาเชื่อมโยงกับยืนหลายตัว รวมถึงการแสดงออกของยืนเหล่านั้น จากหนังสือ #พลังแห่งภาษา #ThePowerOfLanguage
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 5 มุมมอง 0 รีวิว
  • ในสหรัฐอเมริกา มีค่านิยมที่แจ่มแจ้งอยู่หลายประการ อาทิ “ประชาธิปไตย” ในระบอบประชาธิปไตย มติของประชาชนจะแผ่อิทธิพล ไปถึงนโยบายของรัฐ โดยรัฐบาลจะเอาประชามติไปดำเนินการตามความ ต้องการที่ประชาชนสะท้อนออกมา นี่แหละคือความหมายของประชาธิปไตย

    จากหนังสือ #หลักแห่งการรวบอำนาจ #RequiemForTheAmericanDream
    ในสหรัฐอเมริกา มีค่านิยมที่แจ่มแจ้งอยู่หลายประการ อาทิ “ประชาธิปไตย” ในระบอบประชาธิปไตย มติของประชาชนจะแผ่อิทธิพล ไปถึงนโยบายของรัฐ โดยรัฐบาลจะเอาประชามติไปดำเนินการตามความ ต้องการที่ประชาชนสะท้อนออกมา นี่แหละคือความหมายของประชาธิปไตย จากหนังสือ #หลักแห่งการรวบอำนาจ #RequiemForTheAmericanDream
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 5 มุมมอง 0 รีวิว
  • ยีนมนุษย์ ประสบการณ์ที่ได้เจอในแต่ละวันจะเป็นตัวกำหนดว่าสวิตช์ไหนจะถูกเปิด
    ยกตัวอย่างเช่นงานวิจัยที่ได้ศึกษา DNA ของพนักงานฉุกเฉินการแพทย์กล่าวว่ายิ่งเป็นคนที่เคยเจอเหตุการณ์ไม่ดี สวิตช์ของยืนที่ส่งผลต่อสภาพจิตใจจะยิ่งมีการเปลี่ยนแปลง จึงทำให้กลุ่มพนักงานฉุกเฉินการแพทย์เกิดอารมณ์เชิงลบได้ง่ายกว่าในอดีต

    จากหนังสือ #แผนที่ค้นหาพรสวรรค์
    ยีนมนุษย์ ประสบการณ์ที่ได้เจอในแต่ละวันจะเป็นตัวกำหนดว่าสวิตช์ไหนจะถูกเปิด ยกตัวอย่างเช่นงานวิจัยที่ได้ศึกษา DNA ของพนักงานฉุกเฉินการแพทย์กล่าวว่ายิ่งเป็นคนที่เคยเจอเหตุการณ์ไม่ดี สวิตช์ของยืนที่ส่งผลต่อสภาพจิตใจจะยิ่งมีการเปลี่ยนแปลง จึงทำให้กลุ่มพนักงานฉุกเฉินการแพทย์เกิดอารมณ์เชิงลบได้ง่ายกว่าในอดีต จากหนังสือ #แผนที่ค้นหาพรสวรรค์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 5 มุมมอง 0 รีวิว
  • หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว Cien años de soledad (2525/047)

    นิยายคลาสสิกที่เขียนโดยนักเขียนชาวโคลัมเบีย และในตอนนี้ Netflix ได้สร้างซีรี่ย์จากนิยายเรื่องนี้ออกเผยแพร่แล้ว โดยที่พื้นฐานของนืยายอยู่ที่บริเวณหนึ่งของประเทศสเปน เป็นนิยายที่มีเนื้อเรื่องของความบ้าคลั่งของตระกูล ตระกูลหนึ่งที่พวกเขาลงหลักปักฐานสร้างเมืองขึ้นมาที่ชื่อว่ามาก็อนโด โดยเริ่มจากครอบครัวบวนเดียที่เกิดจากการแต่งงานกันของญาติห่างกันคู่หนึ่ง โดยที่ครบครัวฝ่ายหญิงบอกให้ลูกของพวกเขาว่าเธอห้ามมีลูกกับสามีเธอที่เป็นญาติของเธอโดยเด็ดขาด เพราะความเป็นญาตินี้จะทำลูกเกิดมาเป็นอีกัวน่าหรือถ้าปกติก็จะมีหางเป็นหางหมู พร้อมกับมอบกางเกงในที่มีเข็มขัดหนังรัดไว้หลายเส้น ความวุ่นวายที่ไม่สิ้นสุด การเกิดของเรื่องราวที่ตั้งตัวไม่ติด ความคิดนอกกรอบสุดๆของผู้เขียน ทำให้นิยายเรื่องนี้วุ่นวาย ยืดยาว สับสน ประติดประต่อยาก แต่ก็ให้ความแปลกใหม่และแหกกฎเกณฑ์ สรุปได้ว่าถ้าไม่ได้อ่านไม่เข้าใจหรอก…

    ผู้เขียนที่กล้าจะแตกต่าง กล้าทลายกรอบความคิด กรอบวัฒนธรรมเดิม โดยบางเรื่องก็ดูหนักและมีเรื่องเกี่ยวกับทางเพศโดยรวมแล้วน่าจะเหมาะกับวัยผู้ใหญ่ การสร้างเรื่องของนิยายก็วุ่นวายสุดๆ เรื่องเก่าจบไปแบบงงๆ เรื่องใหม่ก็มาแทรกแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว การอ่านนิยายต้องมีสมาธิมากๆ ทั้งตัวละครที่มีชื่อคล้ายๆกัน ตัดชื่อหน้าหรือตัดชื่อหลัง แต่ละตัวละครมีความสัมพันธ์ เป็นลูก หลาน เหลน ลื่อ หรือ ปู่ ย่า ตา ตาย ทวด เทียด (โอ๊ยวุ่นวาย) ต้องคาราวะความคิดของผู้เขียนที่สร้างเรื่องราว วุ่นวายได้ไม่จบไม่สิ้นตลอดระยะเวลา 100ปี

    นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในนิยาย(บางส่วน) ยิปซี กระดูกส่งเสียงได้ สงครามกลางมือ คนตายแล้วฟื้น กางเกงในเข็มขัด คนกินดิน โรคติดต่อนอนไม่หลับ เสรีนิยม ฆาตกรรม Sex เด็กๆมากๆมายจากรุ่นสู่รุ่น กลิ่นเขม่าควันปืน นักทำนายไพ่ ฝาแฝด ผู้หญิงผู้มีอำนาจวิเศษทำให้สัตว์และพืชออกลูกเป็นแฝดต่อๆกัน คุณยายทวดอายุร้อยปีแต่แข็งแรงและชอบเลี้ยงเด็ก ผู้หญิงที่ถูกเลี้ยงมาเป็นราชินี รถไฟแห่งความวุ่นวาย ต้นเกาลัด คนที่ตรอมใจตาย ผู้ชายถูกผูกไว้กับต้นไม้จนตาย ผู้หญิงที่มีแมงป่องเป็นบริวาร ผู้ชายที่ถูกติดตามด้วยผีเสื้อ การสังหารหมู่ของกรรมกร เด็กที่ถูกลอยมากับน้ำ เครื่องบิน บันทึกผืนหนัง ปลวก มด คนที่อายุยืนที่สุด(ที่คาดไม่ถึง) และอื่นๆอีกมากมาย

    #หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว #CienAñosDeSoledad #รีวิวหนังสือ
    หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว Cien años de soledad (2525/047) นิยายคลาสสิกที่เขียนโดยนักเขียนชาวโคลัมเบีย และในตอนนี้ Netflix ได้สร้างซีรี่ย์จากนิยายเรื่องนี้ออกเผยแพร่แล้ว โดยที่พื้นฐานของนืยายอยู่ที่บริเวณหนึ่งของประเทศสเปน เป็นนิยายที่มีเนื้อเรื่องของความบ้าคลั่งของตระกูล ตระกูลหนึ่งที่พวกเขาลงหลักปักฐานสร้างเมืองขึ้นมาที่ชื่อว่ามาก็อนโด โดยเริ่มจากครอบครัวบวนเดียที่เกิดจากการแต่งงานกันของญาติห่างกันคู่หนึ่ง โดยที่ครบครัวฝ่ายหญิงบอกให้ลูกของพวกเขาว่าเธอห้ามมีลูกกับสามีเธอที่เป็นญาติของเธอโดยเด็ดขาด เพราะความเป็นญาตินี้จะทำลูกเกิดมาเป็นอีกัวน่าหรือถ้าปกติก็จะมีหางเป็นหางหมู พร้อมกับมอบกางเกงในที่มีเข็มขัดหนังรัดไว้หลายเส้น ความวุ่นวายที่ไม่สิ้นสุด การเกิดของเรื่องราวที่ตั้งตัวไม่ติด ความคิดนอกกรอบสุดๆของผู้เขียน ทำให้นิยายเรื่องนี้วุ่นวาย ยืดยาว สับสน ประติดประต่อยาก แต่ก็ให้ความแปลกใหม่และแหกกฎเกณฑ์ สรุปได้ว่าถ้าไม่ได้อ่านไม่เข้าใจหรอก… ผู้เขียนที่กล้าจะแตกต่าง กล้าทลายกรอบความคิด กรอบวัฒนธรรมเดิม โดยบางเรื่องก็ดูหนักและมีเรื่องเกี่ยวกับทางเพศโดยรวมแล้วน่าจะเหมาะกับวัยผู้ใหญ่ การสร้างเรื่องของนิยายก็วุ่นวายสุดๆ เรื่องเก่าจบไปแบบงงๆ เรื่องใหม่ก็มาแทรกแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว การอ่านนิยายต้องมีสมาธิมากๆ ทั้งตัวละครที่มีชื่อคล้ายๆกัน ตัดชื่อหน้าหรือตัดชื่อหลัง แต่ละตัวละครมีความสัมพันธ์ เป็นลูก หลาน เหลน ลื่อ หรือ ปู่ ย่า ตา ตาย ทวด เทียด (โอ๊ยวุ่นวาย) ต้องคาราวะความคิดของผู้เขียนที่สร้างเรื่องราว วุ่นวายได้ไม่จบไม่สิ้นตลอดระยะเวลา 100ปี นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในนิยาย(บางส่วน) ยิปซี กระดูกส่งเสียงได้ สงครามกลางมือ คนตายแล้วฟื้น กางเกงในเข็มขัด คนกินดิน โรคติดต่อนอนไม่หลับ เสรีนิยม ฆาตกรรม Sex เด็กๆมากๆมายจากรุ่นสู่รุ่น กลิ่นเขม่าควันปืน นักทำนายไพ่ ฝาแฝด ผู้หญิงผู้มีอำนาจวิเศษทำให้สัตว์และพืชออกลูกเป็นแฝดต่อๆกัน คุณยายทวดอายุร้อยปีแต่แข็งแรงและชอบเลี้ยงเด็ก ผู้หญิงที่ถูกเลี้ยงมาเป็นราชินี รถไฟแห่งความวุ่นวาย ต้นเกาลัด คนที่ตรอมใจตาย ผู้ชายถูกผูกไว้กับต้นไม้จนตาย ผู้หญิงที่มีแมงป่องเป็นบริวาร ผู้ชายที่ถูกติดตามด้วยผีเสื้อ การสังหารหมู่ของกรรมกร เด็กที่ถูกลอยมากับน้ำ เครื่องบิน บันทึกผืนหนัง ปลวก มด คนที่อายุยืนที่สุด(ที่คาดไม่ถึง) และอื่นๆอีกมากมาย #หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว #CienAñosDeSoledad #รีวิวหนังสือ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 6 มุมมอง 0 รีวิว
  • การเปลี่ยนการถูกปฏิเสธให้เป็นเรื่องดีต้องอาศัยความกล้า คุณต้องจ้องเข้าไปและมองการถูกปฏิเสธอย่างที่มันเป็นจริง ๆ นั่นคือประสบการณ์ที่อาจทำร้ายหรือช่วยเหลือคุณโดยขึ้นอยู่กับว่าคุณจะมองมันอย่างไร เพราะทั้งหมดล้วนขึ้นอยู่กับทัศนคติของคุณ โดยปกติแล้วการถูกปฏิเสธถือเป็นเรื่องเจ็บปวด ถ้าคุณมองว่ามันคือความล้มเหลว สิ่งที่คอยทำร้ายจิตใจหรือเหตุผลในการวางมือ มันก็จะเป็นอย่างที่คุณมอง แต่ถ้าคุณมีความกล้า ที่จะถอยออกมาหนึ่งก้าวแล้วมองการถูกปฏิเสธในแง่มุมที่ต่างออกไป คุณจะค้นพบเรื่องน่าทึ่ง กล่าวคือ ไม่มีการถูกปฏิเสธครั้งใดที่เลวร้าย ถ้าคุณพิจารณาให้ดี คุณจะพบต้นหลิวและหมู่บ้านอันแสนน่ารัก

    จากหนังสือ #คัมภีร์หน้าหนา #RejectionProof
    การเปลี่ยนการถูกปฏิเสธให้เป็นเรื่องดีต้องอาศัยความกล้า คุณต้องจ้องเข้าไปและมองการถูกปฏิเสธอย่างที่มันเป็นจริง ๆ นั่นคือประสบการณ์ที่อาจทำร้ายหรือช่วยเหลือคุณโดยขึ้นอยู่กับว่าคุณจะมองมันอย่างไร เพราะทั้งหมดล้วนขึ้นอยู่กับทัศนคติของคุณ โดยปกติแล้วการถูกปฏิเสธถือเป็นเรื่องเจ็บปวด ถ้าคุณมองว่ามันคือความล้มเหลว สิ่งที่คอยทำร้ายจิตใจหรือเหตุผลในการวางมือ มันก็จะเป็นอย่างที่คุณมอง แต่ถ้าคุณมีความกล้า ที่จะถอยออกมาหนึ่งก้าวแล้วมองการถูกปฏิเสธในแง่มุมที่ต่างออกไป คุณจะค้นพบเรื่องน่าทึ่ง กล่าวคือ ไม่มีการถูกปฏิเสธครั้งใดที่เลวร้าย ถ้าคุณพิจารณาให้ดี คุณจะพบต้นหลิวและหมู่บ้านอันแสนน่ารัก จากหนังสือ #คัมภีร์หน้าหนา #RejectionProof
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 17 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ฉันเชื่อว่าเขาเพียงแต่ไม่สามารถแสดงความรักอย่างชัดเจนได้ ไม่ใช่ว่าเขาไม่คิด มีพ่อที่ไหนไม่รักลูกบ้างล่ะ” หญิงนางนั้นประสานมือ ไว้ตรงปากใหญ่ๆ ของสปอนจ์บ็อบที่ยิ้มกว้าง ผมสองสามปอยสยาย อยู่ที่หน้าอกถูกแสงแดดที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่างส่องจนเป็นสีแดงอยู่ รำไร
    "ลองคิดย้อนกลับมา พ่อคนหนึ่งต้องยับยั้งใจเท่าไรถึงจะสะกด ความคิดถึงที่มีต่อลูกได้ พวกเขาไม่ได้อยู่ด้วยกันมาแค่วันสองวัน เดือนสองเดือน เขาเป็นพ่อของเด็กคนนี้มาแล้วเจ็ดปี ตอนนี้ก็ยังเป็น ในวันหน้าก็ยังเป็น ฉันสร้างเวยป๋อให้เขาโดยใช้ชื่อว่า 'ภูเขาเหนือภูเขา แล้วลูกก็จะทิ้งข้อความเอาไว้บนเวยป๋ออันนี้ทุกวัน พูดทุกสิ่งที่อยาก บอกกับพ่อ ฉันเอาไอดีกับพาสเวิร์ดบอกเขาไปแล้ว เขาทำความเข้าใจ สถานการณ์ของลูกผ่านเวยป๋ออันนี้ได้ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องโทร. หรือพบหน้า ถึงแม้ตอนนี้จะเป็นฉันที่กำลังใช้ไอดีนี้ แต่ฉันหวังว่าวัน หนึ่งเขาจะเอาไอดีนี้ไปเล่น หรือเล่นต่อไอดีอันนี้ ไม่ก็บอกความจริงแก่ ลูกเอง

    จากหนังสือ #เจ้าแม่จัดหารัก
    “ฉันเชื่อว่าเขาเพียงแต่ไม่สามารถแสดงความรักอย่างชัดเจนได้ ไม่ใช่ว่าเขาไม่คิด มีพ่อที่ไหนไม่รักลูกบ้างล่ะ” หญิงนางนั้นประสานมือ ไว้ตรงปากใหญ่ๆ ของสปอนจ์บ็อบที่ยิ้มกว้าง ผมสองสามปอยสยาย อยู่ที่หน้าอกถูกแสงแดดที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่างส่องจนเป็นสีแดงอยู่ รำไร "ลองคิดย้อนกลับมา พ่อคนหนึ่งต้องยับยั้งใจเท่าไรถึงจะสะกด ความคิดถึงที่มีต่อลูกได้ พวกเขาไม่ได้อยู่ด้วยกันมาแค่วันสองวัน เดือนสองเดือน เขาเป็นพ่อของเด็กคนนี้มาแล้วเจ็ดปี ตอนนี้ก็ยังเป็น ในวันหน้าก็ยังเป็น ฉันสร้างเวยป๋อให้เขาโดยใช้ชื่อว่า 'ภูเขาเหนือภูเขา แล้วลูกก็จะทิ้งข้อความเอาไว้บนเวยป๋ออันนี้ทุกวัน พูดทุกสิ่งที่อยาก บอกกับพ่อ ฉันเอาไอดีกับพาสเวิร์ดบอกเขาไปแล้ว เขาทำความเข้าใจ สถานการณ์ของลูกผ่านเวยป๋ออันนี้ได้ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องโทร. หรือพบหน้า ถึงแม้ตอนนี้จะเป็นฉันที่กำลังใช้ไอดีนี้ แต่ฉันหวังว่าวัน หนึ่งเขาจะเอาไอดีนี้ไปเล่น หรือเล่นต่อไอดีอันนี้ ไม่ก็บอกความจริงแก่ ลูกเอง จากหนังสือ #เจ้าแม่จัดหารัก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 16 มุมมอง 0 รีวิว
  • อย่าขี้ขลาดและขี้ตกใจเกินไปกับการกระทำของตัวเองเลย ทั้งชีวิตคือการทดลอง ยิ่งทดลองมากเท่าไหร่ยิ่งดี- ราล์ฟ วอลโด เอเมอร์สัน

    จากหนังสือ #13สิ่งที่คนเข้มแข็งเขาไม่ทำกัน #13ThingsMentallyStrongPeopleDon'tDo
    อย่าขี้ขลาดและขี้ตกใจเกินไปกับการกระทำของตัวเองเลย ทั้งชีวิตคือการทดลอง ยิ่งทดลองมากเท่าไหร่ยิ่งดี- ราล์ฟ วอลโด เอเมอร์สัน จากหนังสือ #13สิ่งที่คนเข้มแข็งเขาไม่ทำกัน #13ThingsMentallyStrongPeopleDon'tDo
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 18 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผลกระทบที่ว่าก็มีตั้งแต่ “ไม่มีความกระตือรือร้น” “ไม่อยากใช้ความคิด” “ขี้เกียจ ขยับตัว” “รู้สึกถึงความดีใจ โมโห เศร้า สนุก ได้ชัดเจนกว่าเมื่อก่อน” “คนรอบข้างรู้สึกว่า ลักษณะนิสัยเปลี่ยนไป” “ไม่ถนัดใช้ความจำหรือการคำนวณ” ซึ่งมักพบทั่วไปในผู้สูงอายุ แต่อาการเหล่านี้ถือว่าไม่ได้ส่งผลให้มีปัญหาในการใช้ชีวิตตามปกติ และยังใช้ชีวิตด้วยตัวเองได้ แต่หากมีอาการหลงๆ ลืม ๆ ที่ทำให้มีผลกระทบกับการใช้ชีวิตประจำวัน อาจเป็นไปได้ ที่จะเป็นโรคอะไรบางอย่างอยู่ ซึ่งไม่ได้มีแค่ความชราตามปกติ ในกรณีนี้ต้องระวังให้ดีนะครับ เพราะมีหลายเคสไม่ได้เป็นแค่สมองฝ่อที่เกิดจากความชราทางกายภาพนั่นเอง!

    จากหนังสือ #เรื่องเล่าของความชรา
    ผลกระทบที่ว่าก็มีตั้งแต่ “ไม่มีความกระตือรือร้น” “ไม่อยากใช้ความคิด” “ขี้เกียจ ขยับตัว” “รู้สึกถึงความดีใจ โมโห เศร้า สนุก ได้ชัดเจนกว่าเมื่อก่อน” “คนรอบข้างรู้สึกว่า ลักษณะนิสัยเปลี่ยนไป” “ไม่ถนัดใช้ความจำหรือการคำนวณ” ซึ่งมักพบทั่วไปในผู้สูงอายุ แต่อาการเหล่านี้ถือว่าไม่ได้ส่งผลให้มีปัญหาในการใช้ชีวิตตามปกติ และยังใช้ชีวิตด้วยตัวเองได้ แต่หากมีอาการหลงๆ ลืม ๆ ที่ทำให้มีผลกระทบกับการใช้ชีวิตประจำวัน อาจเป็นไปได้ ที่จะเป็นโรคอะไรบางอย่างอยู่ ซึ่งไม่ได้มีแค่ความชราตามปกติ ในกรณีนี้ต้องระวังให้ดีนะครับ เพราะมีหลายเคสไม่ได้เป็นแค่สมองฝ่อที่เกิดจากความชราทางกายภาพนั่นเอง! จากหนังสือ #เรื่องเล่าของความชรา
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 18 มุมมอง 0 รีวิว
  • การคบหาระหว่างคนเราควรมีระยะห่างระหว่างกันเช่นเดียวกับ เม่นสองตัวที่มีระยะห่างระหว่างกันที่เหมาะสม เพราะคนสองคนย่อมแตกต่างกันไม่ว่าจะเป็นด้านแนวคิด วัฒนธรรม ความรู้ความสามารถ อุปนิสัย เป็นต้น ซึ่งความแตกต่างเหล่านี้ย่อมส่งผลต่อทัศนคติและ รูปแบบความสัมพันธ์ เมื่อเราพูดคุยสนิทสนมกันเกินไป อุปนิสัยที่แตกต่าง ของทั้งสองฝ่ายก็จะยิ่งเห็นชัด การกระทบกระทั่งจึงยากที่จะหลีกเลี่ยง ฉะนั้นหากคนคนหนึ่งสามารถนำกฎนี้มาใช้ในชีวิตส่วนตัวและชีวิตการทำงานได้อย่างเหมาะสมก็จะช่วยลดการกระทบกระทั่งที่ไม่ควรเกิดลง ไปได้มากและจะทำให้ได้ผลลัพธ์แบบที่คาดไม่ถึง

    จากหนังสือ #ต่อต้านการถูกล้างสมอง #AntiBrainwashing
    การคบหาระหว่างคนเราควรมีระยะห่างระหว่างกันเช่นเดียวกับ เม่นสองตัวที่มีระยะห่างระหว่างกันที่เหมาะสม เพราะคนสองคนย่อมแตกต่างกันไม่ว่าจะเป็นด้านแนวคิด วัฒนธรรม ความรู้ความสามารถ อุปนิสัย เป็นต้น ซึ่งความแตกต่างเหล่านี้ย่อมส่งผลต่อทัศนคติและ รูปแบบความสัมพันธ์ เมื่อเราพูดคุยสนิทสนมกันเกินไป อุปนิสัยที่แตกต่าง ของทั้งสองฝ่ายก็จะยิ่งเห็นชัด การกระทบกระทั่งจึงยากที่จะหลีกเลี่ยง ฉะนั้นหากคนคนหนึ่งสามารถนำกฎนี้มาใช้ในชีวิตส่วนตัวและชีวิตการทำงานได้อย่างเหมาะสมก็จะช่วยลดการกระทบกระทั่งที่ไม่ควรเกิดลง ไปได้มากและจะทำให้ได้ผลลัพธ์แบบที่คาดไม่ถึง จากหนังสือ #ต่อต้านการถูกล้างสมอง #AntiBrainwashing
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 15 มุมมอง 0 รีวิว
  • หากคุณเคยเรียนเรื่อง การจัดหมู่ (Combination) และการจัดเรียง (Permutation) ในโรงเรียน คุณอาจจำได้ราง ๆ ว่าต้องคำนวณอย่างไร สหสัมพันธ์แต่ละค่านั้น คำนวณระหว่างหุ้น 2 ตัว ดังนั้นคำถามคือ ถ้ามีหุ้นN แล้ว เราสามารถจัดหมู่ได้กี่แบบ ก่อนอื่นเราต้องเลือกหุ้น 1 ตัว ซึ่ง จัดหมู่ได้ N แบบ จากนั้นเราเลือกหุ้นอีกตัวจากหุ้นที่เหลือซึ่งมี N-1 แบบ เราเลือกหุ้นอกตัวจากการเลือกหุ้นทั้ง 2 ตัวร่วมกันนี้สามารถจัดหมู่ได้ N(N-1) แบบ โดยไม่สนว่าจะเลือกหุ้น A ก่อนแล้วตามด้วย B หรือเลือกหุ้น B ก่อนแล้วตามด้วย A จากนั้นเราจะหารจำนวนนี้ด้วย 2 ผลลัพธ์ที่ได้คือจำนวนวิธีการจัดหมู่และจำนวนค่าพารามิเตอร์สหสัมพันธ์จึงเป็น N(N-1)/2

    จากหนังสือ #TheMoneyFormula #สมการสานล้านพลิกกระดานวอลสตรีท
    หากคุณเคยเรียนเรื่อง การจัดหมู่ (Combination) และการจัดเรียง (Permutation) ในโรงเรียน คุณอาจจำได้ราง ๆ ว่าต้องคำนวณอย่างไร สหสัมพันธ์แต่ละค่านั้น คำนวณระหว่างหุ้น 2 ตัว ดังนั้นคำถามคือ ถ้ามีหุ้นN แล้ว เราสามารถจัดหมู่ได้กี่แบบ ก่อนอื่นเราต้องเลือกหุ้น 1 ตัว ซึ่ง จัดหมู่ได้ N แบบ จากนั้นเราเลือกหุ้นอีกตัวจากหุ้นที่เหลือซึ่งมี N-1 แบบ เราเลือกหุ้นอกตัวจากการเลือกหุ้นทั้ง 2 ตัวร่วมกันนี้สามารถจัดหมู่ได้ N(N-1) แบบ โดยไม่สนว่าจะเลือกหุ้น A ก่อนแล้วตามด้วย B หรือเลือกหุ้น B ก่อนแล้วตามด้วย A จากนั้นเราจะหารจำนวนนี้ด้วย 2 ผลลัพธ์ที่ได้คือจำนวนวิธีการจัดหมู่และจำนวนค่าพารามิเตอร์สหสัมพันธ์จึงเป็น N(N-1)/2 จากหนังสือ #TheMoneyFormula #สมการสานล้านพลิกกระดานวอลสตรีท
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 13 มุมมอง 0 รีวิว
  • เวลาที่คุณขี้เกียจทำอาหาร จะเลือกซื้อสลัดอกไก่ที่วางขายในร้านสะดวกซื้อก็ได้ อกไก่หาซื้อได้ง่ายมากถ้าคุณ สามารถกินอกไก่ได้ต่อเนื่อง 2 สัปดาห์ คุณจะต้องลืมความรู้สึก อยากกินของหวานยามเหนื่อยล้าได้แน่นอน

    จากหนังสือ #จริงๆเราไม่ได้อ้วนแต่สมองสั่งให้อ้วน!
    เวลาที่คุณขี้เกียจทำอาหาร จะเลือกซื้อสลัดอกไก่ที่วางขายในร้านสะดวกซื้อก็ได้ อกไก่หาซื้อได้ง่ายมากถ้าคุณ สามารถกินอกไก่ได้ต่อเนื่อง 2 สัปดาห์ คุณจะต้องลืมความรู้สึก อยากกินของหวานยามเหนื่อยล้าได้แน่นอน จากหนังสือ #จริงๆเราไม่ได้อ้วนแต่สมองสั่งให้อ้วน!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 13 มุมมอง 0 รีวิว
  • จิตแพทย์และผู้รอดชีวิตจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวตั้งข้อสังเกตว่าตอนที่เขาอยู่ในค่ายเอาชวิทซ์ นักโทษคนหนึ่งบอกเขาว่าเพื่อเพิ่มโอกาสรอดชีวิต เขาควรทำสองสิ่งง่ายๆ อย่างการโกนขนและยืนหลังตรง หรือ พูดอีกอย่างคือควบคุมสิ่งที่ควบคุมได้ นั่นไม่ได้แตกต่างจากคำแนะนำ ที่จอห์น สมิธ บอกกับเพื่อนร่วมงานในเจมส์ทาวน์เท่าไหร่นัก ลีขเชื่อว่าการฟื้นคืนสู่ภาวะปกติในสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยอันตราย “ต้องอาศัย การเชื่อว่าตัวเองควบคุมสถานการณ์ได้อย่างน้อยบางส่วน และไม่ยอมรับ ความพ่ายแพ้ทางจิตใจ” เขาสรุปว่า “อิสระในการเลือกบ่งชี้ถึงการพลิกฟื้นจากความรู้สึกพ่ายแพ้ทางจิตใจ และฟื้นฟูอำนาจควบคุมสถานการณ์กลับมา ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการฟื้นตัว... (ความหมดอาลัยตายอยาก คือศัพท์ทางการแพทย์ที่ใช้เรียกความพ่ายแพ้ทางจิตใจ หากพูดอย่าง เจาะจง มันเป็นอาการผิดปกติที่เกิดจากปฏิกิริยาตอบสนองตามปกติเพื่อ รับมือกับเหตุการณ์)

    จากหนังสือ #DoHardThings #วิทยาศาสตร์ของการไม่ยอมแพ้
    จิตแพทย์และผู้รอดชีวิตจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวตั้งข้อสังเกตว่าตอนที่เขาอยู่ในค่ายเอาชวิทซ์ นักโทษคนหนึ่งบอกเขาว่าเพื่อเพิ่มโอกาสรอดชีวิต เขาควรทำสองสิ่งง่ายๆ อย่างการโกนขนและยืนหลังตรง หรือ พูดอีกอย่างคือควบคุมสิ่งที่ควบคุมได้ นั่นไม่ได้แตกต่างจากคำแนะนำ ที่จอห์น สมิธ บอกกับเพื่อนร่วมงานในเจมส์ทาวน์เท่าไหร่นัก ลีขเชื่อว่าการฟื้นคืนสู่ภาวะปกติในสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยอันตราย “ต้องอาศัย การเชื่อว่าตัวเองควบคุมสถานการณ์ได้อย่างน้อยบางส่วน และไม่ยอมรับ ความพ่ายแพ้ทางจิตใจ” เขาสรุปว่า “อิสระในการเลือกบ่งชี้ถึงการพลิกฟื้นจากความรู้สึกพ่ายแพ้ทางจิตใจ และฟื้นฟูอำนาจควบคุมสถานการณ์กลับมา ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการฟื้นตัว... (ความหมดอาลัยตายอยาก คือศัพท์ทางการแพทย์ที่ใช้เรียกความพ่ายแพ้ทางจิตใจ หากพูดอย่าง เจาะจง มันเป็นอาการผิดปกติที่เกิดจากปฏิกิริยาตอบสนองตามปกติเพื่อ รับมือกับเหตุการณ์) จากหนังสือ #DoHardThings #วิทยาศาสตร์ของการไม่ยอมแพ้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 13 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความทะเยอทะยานที่มีมากขึ้นของระบอบเผด็จการเบ็ดเสร็จอาจเริ่มมา จากราชวงศ์ฉิน (Qin) ในยุคจีนโบราณ (221-206 ก่อนคริสตศักราช) หลังจากมีชัยเหนือทุกรัฐสงคราม จิ๋นซีฮ่องเต้ก็สามารถควบคุมจักรวรรดิขนาดใหญ่ ที่มีประชากรหลายสิบล้านคนที่ต่างชาติพันธุ์ ต่างภาษามีความศรัทธายึดมั่น ในขนบธรรมเนียมและจงรักภักดีกับกลุ่มขุนนางท้องถิ่นมาได้ เพื่อสร้างฐานอำนาจให้มั่นคง ระบอบราชวงศ์ฉินที่กำชัยชนะจะต้องพยายามสลายอำนาจ ส่วนภูมิภาคใดๆ ที่อาจท้าทายอำนาจของตนให้ได้ต้องริบเอาพื้นที่ทำลายความมั่งมีของขุนนางท้องถิ่น และบีบให้ผู้มีอิทธิพลในภูมิภาคจำต้องย้ายเข้าไปยังเมืองหลวงแห่งเซียงหยาง (Xiangyang) นั่นคือการแยกพวกเขา ให้ออกจากฐานอำนาจและทำให้สามารถเฝ้าติดตามพวกเขาได้อย่างง่ายดาย ระบอบราชวงศ์ฉินยังสร้างแคมเปญกันอย่างบ้าคลั่งเพื่อรณรงค์ด้าน การรวมศูนย์และสร้างความเป็นหนึ่งเดียว (homogenization) พวกเขาสร้างตัวอักษรแบบใหม่ที่ง่ายกว่าเพื่อให้ใช้ทั่วไปในจักรวรรดิและสร้างมาตรฐานของเหรียญตรา ทั้งน้ำหนักและการวัดต่างๆ พวกเขายังสร้างเครือข่ายถนนหนทางแผ่ขยายออกจากเมืองหลวงเชียงหยาง อีกทั้งสร้างที่พักสถานีขนส่ง และด่านทหารให้ได้มาตรฐาน ประชาชนต้องมีใบอนุญาตในการ เข้าออกเขตเมืองหลวงหรือในเขตชายแดน แม้แต่ความกว้างของเพลาก็ยังเป็นมาตรฐาน เพื่อให้มั่นใจได้ว่าเกวียนและรถศึกจะวิ่งในร่องถนนเดียวกันได้

    จากหนังสือ #Nexus
    ความทะเยอทะยานที่มีมากขึ้นของระบอบเผด็จการเบ็ดเสร็จอาจเริ่มมา จากราชวงศ์ฉิน (Qin) ในยุคจีนโบราณ (221-206 ก่อนคริสตศักราช) หลังจากมีชัยเหนือทุกรัฐสงคราม จิ๋นซีฮ่องเต้ก็สามารถควบคุมจักรวรรดิขนาดใหญ่ ที่มีประชากรหลายสิบล้านคนที่ต่างชาติพันธุ์ ต่างภาษามีความศรัทธายึดมั่น ในขนบธรรมเนียมและจงรักภักดีกับกลุ่มขุนนางท้องถิ่นมาได้ เพื่อสร้างฐานอำนาจให้มั่นคง ระบอบราชวงศ์ฉินที่กำชัยชนะจะต้องพยายามสลายอำนาจ ส่วนภูมิภาคใดๆ ที่อาจท้าทายอำนาจของตนให้ได้ต้องริบเอาพื้นที่ทำลายความมั่งมีของขุนนางท้องถิ่น และบีบให้ผู้มีอิทธิพลในภูมิภาคจำต้องย้ายเข้าไปยังเมืองหลวงแห่งเซียงหยาง (Xiangyang) นั่นคือการแยกพวกเขา ให้ออกจากฐานอำนาจและทำให้สามารถเฝ้าติดตามพวกเขาได้อย่างง่ายดาย ระบอบราชวงศ์ฉินยังสร้างแคมเปญกันอย่างบ้าคลั่งเพื่อรณรงค์ด้าน การรวมศูนย์และสร้างความเป็นหนึ่งเดียว (homogenization) พวกเขาสร้างตัวอักษรแบบใหม่ที่ง่ายกว่าเพื่อให้ใช้ทั่วไปในจักรวรรดิและสร้างมาตรฐานของเหรียญตรา ทั้งน้ำหนักและการวัดต่างๆ พวกเขายังสร้างเครือข่ายถนนหนทางแผ่ขยายออกจากเมืองหลวงเชียงหยาง อีกทั้งสร้างที่พักสถานีขนส่ง และด่านทหารให้ได้มาตรฐาน ประชาชนต้องมีใบอนุญาตในการ เข้าออกเขตเมืองหลวงหรือในเขตชายแดน แม้แต่ความกว้างของเพลาก็ยังเป็นมาตรฐาน เพื่อให้มั่นใจได้ว่าเกวียนและรถศึกจะวิ่งในร่องถนนเดียวกันได้ จากหนังสือ #Nexus
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 15 มุมมอง 0 รีวิว
  • สิ่งแรกที่เราต้องทำไม่ใช่การมีความมั่นใจซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ได้สร้างกันขึ้นมาได้ง่าย ๆ แต่เป็น การเรียนรู้และฝึกฝนเทคนิคที่ช่วยให้พูดได้ดีขึ้น เมื่อทำได้แล้วความมั่นใจก็จะเกิดขึ้นตามมาเอง
    สำรวจตัวเองในที่นี้คือการฝึกสังเกตว่าตัวเราเอง รู้สึกอย่างไรเวลาที่พูดคุยกับคนอื่น ถ้ารู้สึกผ่อนคลายหรือสนุกก็ให้ถือว่าประสบความสำเร็จ ในทางกลับกันถ้ารู้สึกอึดอัดหรือคิดว่าการสนทนาไม่ราบรื่นเท่าที่ควร ก็ให้คุณจดจำว่าจุดไหนและเรื่องอะไรที่ไม่ถนัด แล้วนำไปฝึกฝน พัฒนาตัวเองในภายหลัง

    จากหนังสือ #ทำไมคุยกับคนนี้แล้วรู้สึกดีจัง
    สิ่งแรกที่เราต้องทำไม่ใช่การมีความมั่นใจซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ได้สร้างกันขึ้นมาได้ง่าย ๆ แต่เป็น การเรียนรู้และฝึกฝนเทคนิคที่ช่วยให้พูดได้ดีขึ้น เมื่อทำได้แล้วความมั่นใจก็จะเกิดขึ้นตามมาเอง สำรวจตัวเองในที่นี้คือการฝึกสังเกตว่าตัวเราเอง รู้สึกอย่างไรเวลาที่พูดคุยกับคนอื่น ถ้ารู้สึกผ่อนคลายหรือสนุกก็ให้ถือว่าประสบความสำเร็จ ในทางกลับกันถ้ารู้สึกอึดอัดหรือคิดว่าการสนทนาไม่ราบรื่นเท่าที่ควร ก็ให้คุณจดจำว่าจุดไหนและเรื่องอะไรที่ไม่ถนัด แล้วนำไปฝึกฝน พัฒนาตัวเองในภายหลัง จากหนังสือ #ทำไมคุยกับคนนี้แล้วรู้สึกดีจัง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 15 มุมมอง 0 รีวิว
  • Into The Magic Shop เราทุกคนล้วนมีร้านเวทมนตร์อยู่ในใจ (2025/046)

    หนังสือดีที่เล่าจากเรื่องจริงของชีวิต อาจารย์ศัลยแพทย์ประสาทมือหนึ่งของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด แต่ถ้าหากกลับไปดูชีวิตของผู้เขียนในช่วงอายุ 12ปี ที่เขาเล่าชีวิตในเล่ม เขาไม่น่าแม้แต่จะคิดว่าตัวเองสามารถเป็นหมอได้ ด้วยครอบครัวที่แหลกสลายคุณพ่อติดเหล้าหนักมาก หาเงินมาจุนเจือครอบครัวได้บ้างไม่ได้บ้าง และทำร้ายคุณแม่ จนทำให้คุณแม่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า และกินยาเกินขนาดเพื่อจบชีวิตตัวเอง ลูกๆทั้งสามคนได้กินข้าวบ้าง ไม่ได้กินข้าวบ้าง บางที่ต้องไปขออาหารจากเพื่อน สภาพจิตของลูกๆทุกคนย่ำแย่

    ผู้เขียนมีเรื่องยึดเหนี่ยวเรื่องเดียวคือการเล่นมายากล และชีวิตของเขาได้เปลี่ยนไปเมื่อปลอกนิ้วมือสำหรับเล่นมายากลหายไป เขาคิดว่าพี่ชายหยิบของเขาไป เขาขี่จักรยานท่ามกลางความร้อนในมืองแลงคาสเตอร์ แคลิฟอเนีย จนไปหยุดที่ร้านขายอุปกรณ์มายากลร้านหนึ่ง เขาผลักประตู้เข้า แต่ไม่พบเจ้าของร้าน เขาพบคุณแม่ของเจ้าของร้าน เธอชื่อว่ารูธเธอเห็นผู้เขียนที่เป็นเด็กชายวัยสอบสองขวบ ที่มีแววตาอมทุกข์ เธอบอกว่าเธอจะอยู่ที่ร้านลูกชายเธอหกอาทิตย์และเธออยากสอนมายากลทางจิตใจให้กับผู้เขียน ต่อมาเขาทำตามมายากลที่คุณยายสอน…เขาประสบความสำเร็จและล้มเหลวในชีวิตจากมายากลนี้

    เด็กชายคนหนึ่งได้รับคำสอนที่จัดการความรู้สึกและพิจารณาจิตใจ ชายคุณยายซึ่งรู้จักกันที่ร้านขายอุปกรณ์เล่นมายากล เธอบอกว่าเธอได้รับการสอนเวทมนตร์นี้มาอีกทีและเธอให้สัญญากับคนที่สอนเธอว่าเธอจะต้องถ่ายทอดเวทมนตร์นี้ เธอเลือกแล้วที่จะสอนเวทมนตร์นี้ให้กับผู้เขียน ซึ่งมีชีวิตที่มีความทุกข์มาก หาทางออกให้กับชีวิตไม่ได้ เพราะอยู่ในความควบคุมของคุณพ่อและคุณแม่ เขารู้สึกเจ็บจี๊ด ทนไม่ได้ทุกครั้งที่คุณพ่อของเขาเมาเหล้ากลับมา และอาละวาดอย่างหนักซึ่งเป็นแบบนี้ทุกครั้ง คุณแม่ต้องทนทุกข์ทรมานอย่างมากในสถานการณ์นี้ คุณยายรูธสอนอะไรกับผู้เขียนในตอนเป็นเด็กอายุ 12ปี

    การสอนของคุณยายรูธไม่ได้เอาเรื่องที่ยากมาสอนให้กับผู้เขียนเลย(แต่ทำยากมาก) นั่นคือการมีสติ มีสมาธิ รู้จักฟังร่างกายจากอาการต่างๆ และทำความเข้าใจกับอาการเหล่านั้น และสมาธิเพื่อให้จิตใจและร่างการเยือกเย็นลง รวมถึงรายละเอียดในการสอนอีกหลายอย่าง

    ในท้ายที่สุดถึงผู้เขียนจะเข้าใจหลักสอนละทำการสอนได้เป็นอย่างดี โดยที่ชีวิตของตัวเขาเริ่มดีขึ้น แต่เขากลับพบว่าชีวิตที่ดีขึ้นของเขาไม่ได้ทำให้คนรอบข้างพัฒนาให้ดีขึ้นได้เลย จึงเป็นข้อสรุปว่าการทำตามเวทมนตร์เหล่านี้จะให้ผลดีได้ด้วยตัวเอง ส่วนคนอื่นถ้าไม่ทำก็ไม่ได้รับผลดี

    คุณหมอผู้เขียนเล่าเรื่องราวชีวิตของเขาพร้อมกับการทำตามเวทมนตร์ของคุณยายรูธจนได้ดิบได้ดีได้สิ่งที่ต้องการ แต่มันไม่ได้ง่ายเลยที่เขาทำมาจนสำเร็จหากแต่เขายังคงยึดมั่นในคำสอนของคุณยายรูธโดยไม่คำนึงถึงอุปสรรคที่เขาต้องเผชิญ และถ้าเขาทิ้งคำสอนเหล่านั้นเขาจะรับผลในการใช้ชีวิตของเขาอย่างไร … มีคำตอบในเล่มครับ

    #IntoTheMagicShop #เราทุกคนล้วนมีร้านเวทมนตร์อยู่ในใจ #รีวิวหนังสือ
    Into The Magic Shop เราทุกคนล้วนมีร้านเวทมนตร์อยู่ในใจ (2025/046) หนังสือดีที่เล่าจากเรื่องจริงของชีวิต อาจารย์ศัลยแพทย์ประสาทมือหนึ่งของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด แต่ถ้าหากกลับไปดูชีวิตของผู้เขียนในช่วงอายุ 12ปี ที่เขาเล่าชีวิตในเล่ม เขาไม่น่าแม้แต่จะคิดว่าตัวเองสามารถเป็นหมอได้ ด้วยครอบครัวที่แหลกสลายคุณพ่อติดเหล้าหนักมาก หาเงินมาจุนเจือครอบครัวได้บ้างไม่ได้บ้าง และทำร้ายคุณแม่ จนทำให้คุณแม่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า และกินยาเกินขนาดเพื่อจบชีวิตตัวเอง ลูกๆทั้งสามคนได้กินข้าวบ้าง ไม่ได้กินข้าวบ้าง บางที่ต้องไปขออาหารจากเพื่อน สภาพจิตของลูกๆทุกคนย่ำแย่ ผู้เขียนมีเรื่องยึดเหนี่ยวเรื่องเดียวคือการเล่นมายากล และชีวิตของเขาได้เปลี่ยนไปเมื่อปลอกนิ้วมือสำหรับเล่นมายากลหายไป เขาคิดว่าพี่ชายหยิบของเขาไป เขาขี่จักรยานท่ามกลางความร้อนในมืองแลงคาสเตอร์ แคลิฟอเนีย จนไปหยุดที่ร้านขายอุปกรณ์มายากลร้านหนึ่ง เขาผลักประตู้เข้า แต่ไม่พบเจ้าของร้าน เขาพบคุณแม่ของเจ้าของร้าน เธอชื่อว่ารูธเธอเห็นผู้เขียนที่เป็นเด็กชายวัยสอบสองขวบ ที่มีแววตาอมทุกข์ เธอบอกว่าเธอจะอยู่ที่ร้านลูกชายเธอหกอาทิตย์และเธออยากสอนมายากลทางจิตใจให้กับผู้เขียน ต่อมาเขาทำตามมายากลที่คุณยายสอน…เขาประสบความสำเร็จและล้มเหลวในชีวิตจากมายากลนี้ เด็กชายคนหนึ่งได้รับคำสอนที่จัดการความรู้สึกและพิจารณาจิตใจ ชายคุณยายซึ่งรู้จักกันที่ร้านขายอุปกรณ์เล่นมายากล เธอบอกว่าเธอได้รับการสอนเวทมนตร์นี้มาอีกทีและเธอให้สัญญากับคนที่สอนเธอว่าเธอจะต้องถ่ายทอดเวทมนตร์นี้ เธอเลือกแล้วที่จะสอนเวทมนตร์นี้ให้กับผู้เขียน ซึ่งมีชีวิตที่มีความทุกข์มาก หาทางออกให้กับชีวิตไม่ได้ เพราะอยู่ในความควบคุมของคุณพ่อและคุณแม่ เขารู้สึกเจ็บจี๊ด ทนไม่ได้ทุกครั้งที่คุณพ่อของเขาเมาเหล้ากลับมา และอาละวาดอย่างหนักซึ่งเป็นแบบนี้ทุกครั้ง คุณแม่ต้องทนทุกข์ทรมานอย่างมากในสถานการณ์นี้ คุณยายรูธสอนอะไรกับผู้เขียนในตอนเป็นเด็กอายุ 12ปี การสอนของคุณยายรูธไม่ได้เอาเรื่องที่ยากมาสอนให้กับผู้เขียนเลย(แต่ทำยากมาก) นั่นคือการมีสติ มีสมาธิ รู้จักฟังร่างกายจากอาการต่างๆ และทำความเข้าใจกับอาการเหล่านั้น และสมาธิเพื่อให้จิตใจและร่างการเยือกเย็นลง รวมถึงรายละเอียดในการสอนอีกหลายอย่าง ในท้ายที่สุดถึงผู้เขียนจะเข้าใจหลักสอนละทำการสอนได้เป็นอย่างดี โดยที่ชีวิตของตัวเขาเริ่มดีขึ้น แต่เขากลับพบว่าชีวิตที่ดีขึ้นของเขาไม่ได้ทำให้คนรอบข้างพัฒนาให้ดีขึ้นได้เลย จึงเป็นข้อสรุปว่าการทำตามเวทมนตร์เหล่านี้จะให้ผลดีได้ด้วยตัวเอง ส่วนคนอื่นถ้าไม่ทำก็ไม่ได้รับผลดี คุณหมอผู้เขียนเล่าเรื่องราวชีวิตของเขาพร้อมกับการทำตามเวทมนตร์ของคุณยายรูธจนได้ดิบได้ดีได้สิ่งที่ต้องการ แต่มันไม่ได้ง่ายเลยที่เขาทำมาจนสำเร็จหากแต่เขายังคงยึดมั่นในคำสอนของคุณยายรูธโดยไม่คำนึงถึงอุปสรรคที่เขาต้องเผชิญ และถ้าเขาทิ้งคำสอนเหล่านั้นเขาจะรับผลในการใช้ชีวิตของเขาอย่างไร … มีคำตอบในเล่มครับ #IntoTheMagicShop #เราทุกคนล้วนมีร้านเวทมนตร์อยู่ในใจ #รีวิวหนังสือ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 14 มุมมอง 0 รีวิว
  • “อาชญากรแทบทุกคนจะประสบกับภาวะทางจิตใจและ อารมณ์อย่างหนึ่งคือ ในขณะที่ต้องใช้ความรอบคอบและระมัดระวังอย่างที่สุดนั้น พลังแห่งเจตจำนงและความสามารถในการใช้เหตุผลจะอ่อนตัวลง ซึ่งเป็นตัวการที่บั่นทอนร่างกายและจิตใจของมนุษย์”

    จากหนังสือ #อาชญากรรมกับการลงทัณฑ์
    “อาชญากรแทบทุกคนจะประสบกับภาวะทางจิตใจและ อารมณ์อย่างหนึ่งคือ ในขณะที่ต้องใช้ความรอบคอบและระมัดระวังอย่างที่สุดนั้น พลังแห่งเจตจำนงและความสามารถในการใช้เหตุผลจะอ่อนตัวลง ซึ่งเป็นตัวการที่บั่นทอนร่างกายและจิตใจของมนุษย์” จากหนังสือ #อาชญากรรมกับการลงทัณฑ์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 16 มุมมอง 0 รีวิว
  • ด้านซอฟต์แวร์สำหรับออฟฟิศที่มาจากบริษัทระดับโลกอย่างไอบีเอ็มหรือไมโครซอฟต์ แต่ภายในบริษัทกลับต้องเผชิญกับวิกฤตครั้งใหญ่เพราะพนักงาน 28% ลาออกจากบริษัททุกปี พร้อมๆกับการสูญหายไปของความรู้ในการทำงานและความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวของทีม

    จากหนังสือ #ธุรกิจสร้างสุข #TheBusinessForHappinessJapaneseStyle
    ด้านซอฟต์แวร์สำหรับออฟฟิศที่มาจากบริษัทระดับโลกอย่างไอบีเอ็มหรือไมโครซอฟต์ แต่ภายในบริษัทกลับต้องเผชิญกับวิกฤตครั้งใหญ่เพราะพนักงาน 28% ลาออกจากบริษัททุกปี พร้อมๆกับการสูญหายไปของความรู้ในการทำงานและความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวของทีม จากหนังสือ #ธุรกิจสร้างสุข #TheBusinessForHappinessJapaneseStyle
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 16 มุมมอง 0 รีวิว
  • ส่วนแนวทางปฏิบัติของคอมมูนประชาชนจะมีความเคร่งครัดราวกับระเบียบแบบแผนของทหาร มีการกำหนดกิจกรรมทั้งหมดในชีวิตประจำวัน ให้ทำงานตั้งแต่เช้าจรดเย็น แต่รัฐจะมีหลักประกันเรื่องปัจจัยพื้นฐานของชีวิต ได้แก่ บ้าน อาหาร เสื้อผ้า สถานเลี้ยงเด็ก การจัดการแต่งงาน การ รักษาพยาบาล บ้านพักคนชรา พิธีศพ เป็นต้น


    แต่ผลลัพธ์ของนโยบายก้าวกระโดดไกลกลับเลวร้ายอย่างหนัก โดยเฉพาะเรื่องของการผลิตเหล็กกล้าที่มุ่งหวังจะให้ผลิตได้เท่ากับอังกฤษในสมัยนั้น ผู้คนระดับสูงในรัฐบาลจีนต่างคาดหวังว่าผลผลิตจะต้องได้อย่างมหาศาล แต่กลับกลายเป็นว่าเหล็กกล้าที่ผลิตได้ราว 11ล้านตันจากนโยบายนี้กลับ มีคุณภาพเข้าเกณฑ์เพียง 8 ล้านตัน แต่สิ่งที่หนักยิ่งกว่าคือผลผลิตทาง ด้านการเกษตรที่สามารถเพิ่มผลผลิตได้เพียง 2% เท่านั้น เพราะการที่แรงงานมีการเคลื่อนย้ายขนานใหญ่มากเกินไป ทำให้แรงงานในชนบทหลายแห่งขาดแคลน เนื่องจากกิจการก่อสร้างในเมืองมีอัตราเพิ่มกว่า 87% กระทั่ง เกิดเป็นแรงต่อต้านจากเหล่าชาวนาจำนวนไม่น้อย ปัญหาใหญ่อีกเรื่องก็คือ กว่าที่เหมา เจ๋อตงจะรับรู้ว่านโยบายก้าวกระโดดไกลมีความผิดพลาดร้ายแรง ก็สายไปเสียแล้ว เนื่องจากเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นจำนวนมากจงใจส่งข้อมูลและ ตัวเลขให้ดูดีขึ้นจนผิดไปจากสภาพความเป็นจริง ทำให้เหมา เจ๋อตงยังคง ผลักดันแผนก้าวกระโดดไกลต่อไป กลุ่มผู้นำของพรรคคอมมิวนิสต์เองก็ไม่ได้คัดค้านเช่นกัน

    จากหนังสือ #คิดอย่างจีน
    ส่วนแนวทางปฏิบัติของคอมมูนประชาชนจะมีความเคร่งครัดราวกับระเบียบแบบแผนของทหาร มีการกำหนดกิจกรรมทั้งหมดในชีวิตประจำวัน ให้ทำงานตั้งแต่เช้าจรดเย็น แต่รัฐจะมีหลักประกันเรื่องปัจจัยพื้นฐานของชีวิต ได้แก่ บ้าน อาหาร เสื้อผ้า สถานเลี้ยงเด็ก การจัดการแต่งงาน การ รักษาพยาบาล บ้านพักคนชรา พิธีศพ เป็นต้น แต่ผลลัพธ์ของนโยบายก้าวกระโดดไกลกลับเลวร้ายอย่างหนัก โดยเฉพาะเรื่องของการผลิตเหล็กกล้าที่มุ่งหวังจะให้ผลิตได้เท่ากับอังกฤษในสมัยนั้น ผู้คนระดับสูงในรัฐบาลจีนต่างคาดหวังว่าผลผลิตจะต้องได้อย่างมหาศาล แต่กลับกลายเป็นว่าเหล็กกล้าที่ผลิตได้ราว 11ล้านตันจากนโยบายนี้กลับ มีคุณภาพเข้าเกณฑ์เพียง 8 ล้านตัน แต่สิ่งที่หนักยิ่งกว่าคือผลผลิตทาง ด้านการเกษตรที่สามารถเพิ่มผลผลิตได้เพียง 2% เท่านั้น เพราะการที่แรงงานมีการเคลื่อนย้ายขนานใหญ่มากเกินไป ทำให้แรงงานในชนบทหลายแห่งขาดแคลน เนื่องจากกิจการก่อสร้างในเมืองมีอัตราเพิ่มกว่า 87% กระทั่ง เกิดเป็นแรงต่อต้านจากเหล่าชาวนาจำนวนไม่น้อย ปัญหาใหญ่อีกเรื่องก็คือ กว่าที่เหมา เจ๋อตงจะรับรู้ว่านโยบายก้าวกระโดดไกลมีความผิดพลาดร้ายแรง ก็สายไปเสียแล้ว เนื่องจากเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นจำนวนมากจงใจส่งข้อมูลและ ตัวเลขให้ดูดีขึ้นจนผิดไปจากสภาพความเป็นจริง ทำให้เหมา เจ๋อตงยังคง ผลักดันแผนก้าวกระโดดไกลต่อไป กลุ่มผู้นำของพรรคคอมมิวนิสต์เองก็ไม่ได้คัดค้านเช่นกัน จากหนังสือ #คิดอย่างจีน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 17 มุมมอง 0 รีวิว
  • เพื่อทำให้ญี่ปุ่นระแวงจอมพล ป. ยิ่งขึ้น โดยกระจายคำกลอนซ้ำ ๆ หลายวันและบอกช้า ๆ ขอให้ผู้ฟัง จดไว้ ซึ่งฝ่ายญี่ปุ่นก็ได้จดไว้ด้วย คำกลอนนั้นนายปรีดีได้บันทึกเอาไว้ในหนังสือ บางเรื่องเกี่ยวกับพระบรมวงศานุวงศ์ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ ความว่า

    “เป็นจอมพลไฉนยอมเป็นจอมแพ้ ทำผิดแล้วคิดแก้ไม่ได้หรือ เกิดเป็นชายชาตรีมีฝีมือ ใยจึงดื้อให้ไพรีนั่งขี่คอ”

    จากหนังสือ #ศึกชิงพระคลังข้างที่2475
    เพื่อทำให้ญี่ปุ่นระแวงจอมพล ป. ยิ่งขึ้น โดยกระจายคำกลอนซ้ำ ๆ หลายวันและบอกช้า ๆ ขอให้ผู้ฟัง จดไว้ ซึ่งฝ่ายญี่ปุ่นก็ได้จดไว้ด้วย คำกลอนนั้นนายปรีดีได้บันทึกเอาไว้ในหนังสือ บางเรื่องเกี่ยวกับพระบรมวงศานุวงศ์ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ ความว่า “เป็นจอมพลไฉนยอมเป็นจอมแพ้ ทำผิดแล้วคิดแก้ไม่ได้หรือ เกิดเป็นชายชาตรีมีฝีมือ ใยจึงดื้อให้ไพรีนั่งขี่คอ” จากหนังสือ #ศึกชิงพระคลังข้างที่2475
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 17 มุมมอง 0 รีวิว
เรื่องราวเพิ่มเติม