ชักชวนกันอ่านหนังสือ หนังสือไม่ว่าจะเป็นแนวไหนล้วนมีประโยชน์
- มาริซา โรตส์ และคณะ (2018) ทำการวิจัยพบว่า คน ที่มีพฤติกรรม Passive Aggressive มีความโกรธในระดับเดียวกับคนที่แสดงความโกรธออกมา ต่างกันแค่ระเบิดออกมาให้รู้เลยว่าโกรธ หรือระเบิดอยู่ข้างในแต่แสดงออกมาด้วยวิธีอื่น
ผลกระทบจาก Passive Aggressive คือการทำลาย ความเชื่อมั่น ความเครียด การสื่อสารล้มเหลว การทำงาน ไม่มีประสิทธิภาพ และความโกรธที่มากกว่าเดิมเข้าไปอีก สิ่งที่ต้องระวังคือการคิดว่า Passive Aggressive เป็นเรื่องเฉพาะบุคคล-สันดานว่างั้น
จากหนังสือ โตมาแบบไหน
มาริซา โรตส์ และคณะ (2018) ทำการวิจัยพบว่า คน ที่มีพฤติกรรม Passive Aggressive มีความโกรธในระดับเดียวกับคนที่แสดงความโกรธออกมา ต่างกันแค่ระเบิดออกมาให้รู้เลยว่าโกรธ หรือระเบิดอยู่ข้างในแต่แสดงออกมาด้วยวิธีอื่น ผลกระทบจาก Passive Aggressive คือการทำลาย ความเชื่อมั่น ความเครียด การสื่อสารล้มเหลว การทำงาน ไม่มีประสิทธิภาพ และความโกรธที่มากกว่าเดิมเข้าไปอีก สิ่งที่ต้องระวังคือการคิดว่า Passive Aggressive เป็นเรื่องเฉพาะบุคคล-สันดานว่างั้น จากหนังสือ โตมาแบบไหน0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1 มุมมอง 0 รีวิวกรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อกดถูกใจ แชร์ และแสดงความคิดเห็น! - นายเอ (นามสมมติ) ซึ่งเป็นผู้พิการนั่งรถเข็นกล่าวว่า เขาเคยทำงานด้านการพิมพ์ที่ศูนย์ฝึกอาชีพในโตเกียว แต่ได้รับค่าแรงไม่มากจึงคิดจะเปลี่ยนงานที่มั่นคงกว่าเพราะต้องเลี้ยงดูตัวเอง ผู้จัดการศูนย์ฝึกอาชีพจึงแนะนำมาสมัครงานที่ไอเอสเอฟฮาร์โมนี ที่นี่เขามีหน้าที่พิมพ์นามบัตรให้พนักงานในองค์กรและลูกค้าอื่น ๆ นอกองค์กร เขาบอกว่า “ผมชอบที่นี่เพราะเราทำงาน กันเป็นทีมกับพนักงานคนอื่นที่พิการในส่วนต่างๆ แต่เราก็ช่วยเติมเต็มสิ่งที่ไม่มีและเพิ่มจุดแข็งให้แก่กันและกัน
ผมฝันอยากทำธุรกิจของตัวเองเกี่ยวกับการออกแบบอุปกรณ์สำหรับผู้พิการเช่น รถเข็น ไม้เท้า อุปกรณ์ช่วยฟัง ฯลฯ” แม่ของพนักงานอีกคนที่เป็นผู้พิการเล่าว่าตั้งแต่เด็กลูกของเธอชอบเขียนพู่กันและมีลายมือที่สวยงามที่ไอเอสเอฟเน็ต งานของเขาก็คือ การเขียนตัวอักษรลงบนนามบัตรและทำป้าย โฆษณาต่างๆ ให้กับบริษัทและลูกค้าอื่นๆ แม่ของเขาเล่าว่าการทำงานที่ IFS NET ทำให้ลูกของเธอมีความมั่นใจมากขึ้นว่าเขามีความสามารถและทำสิ่งต่างๆได้ด้วยตนเอง
จากหนังสือ ธุรกิจสร้างสุข The Business for Happiness Japanese Styleนายเอ (นามสมมติ) ซึ่งเป็นผู้พิการนั่งรถเข็นกล่าวว่า เขาเคยทำงานด้านการพิมพ์ที่ศูนย์ฝึกอาชีพในโตเกียว แต่ได้รับค่าแรงไม่มากจึงคิดจะเปลี่ยนงานที่มั่นคงกว่าเพราะต้องเลี้ยงดูตัวเอง ผู้จัดการศูนย์ฝึกอาชีพจึงแนะนำมาสมัครงานที่ไอเอสเอฟฮาร์โมนี ที่นี่เขามีหน้าที่พิมพ์นามบัตรให้พนักงานในองค์กรและลูกค้าอื่น ๆ นอกองค์กร เขาบอกว่า “ผมชอบที่นี่เพราะเราทำงาน กันเป็นทีมกับพนักงานคนอื่นที่พิการในส่วนต่างๆ แต่เราก็ช่วยเติมเต็มสิ่งที่ไม่มีและเพิ่มจุดแข็งให้แก่กันและกัน ผมฝันอยากทำธุรกิจของตัวเองเกี่ยวกับการออกแบบอุปกรณ์สำหรับผู้พิการเช่น รถเข็น ไม้เท้า อุปกรณ์ช่วยฟัง ฯลฯ” แม่ของพนักงานอีกคนที่เป็นผู้พิการเล่าว่าตั้งแต่เด็กลูกของเธอชอบเขียนพู่กันและมีลายมือที่สวยงามที่ไอเอสเอฟเน็ต งานของเขาก็คือ การเขียนตัวอักษรลงบนนามบัตรและทำป้าย โฆษณาต่างๆ ให้กับบริษัทและลูกค้าอื่นๆ แม่ของเขาเล่าว่าการทำงานที่ IFS NET ทำให้ลูกของเธอมีความมั่นใจมากขึ้นว่าเขามีความสามารถและทำสิ่งต่างๆได้ด้วยตนเอง จากหนังสือ ธุรกิจสร้างสุข The Business for Happiness Japanese Style0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2 มุมมอง 0 รีวิว - ซุนฮกได้เสนอยุทธศาสตร์ “เชิดชูฮ่องเต้ บัญชาเหล่าขุนศึก” ซึ่งแผนนี้ได้กลายมาเป็นธงใหญ่สุดของโจโฉในการชิงอำนาจ แม้ว่าภายหลังซุนฮกจะเกิดความขัดแย้งกับโจโฉอย่างหนักทำให้เขาถูกบีบจนตัดสินใจฆ่าตัวตาย แต่โจโฉก็ยังคงยกย่องซุนฮกแล้วใช้ยุทธศาสตร์ของซุนฮกเป็นหลักในการชิงอำนาจจนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายเลยทีเดียว
จากหนังสือ คิดอย่างจีนซุนฮกได้เสนอยุทธศาสตร์ “เชิดชูฮ่องเต้ บัญชาเหล่าขุนศึก” ซึ่งแผนนี้ได้กลายมาเป็นธงใหญ่สุดของโจโฉในการชิงอำนาจ แม้ว่าภายหลังซุนฮกจะเกิดความขัดแย้งกับโจโฉอย่างหนักทำให้เขาถูกบีบจนตัดสินใจฆ่าตัวตาย แต่โจโฉก็ยังคงยกย่องซุนฮกแล้วใช้ยุทธศาสตร์ของซุนฮกเป็นหลักในการชิงอำนาจจนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายเลยทีเดียว จากหนังสือ คิดอย่างจีน0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 6 มุมมอง 0 รีวิว - แปลกดีที่มนุษย์เราเมื่อมองสิ่งต่างๆ เป็นตัวเลขจะมีความคิดอยากขยับตัวเองให้เข้าใกล้ตัวเลขเป้าหมายนั้นๆให้มากขึ้นโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ตรงกับคำกล่าวของอริสโตเติลนักปรัชญายุคเก่าที่กล่าวไว้ว่า “มนุษย์เป็นสัตว์ที่ไล่ล่าและแสวงหาเป้าหมาย (Man is a goal seeking animal)”ซึ่งหลังจากประโยคนี้ก็มีประโยคต่อท้ายว่า “และชีวิตของเขาจะมีความหมายเมื่อเขากำลังแสวงหาและไปถึงเป้าหมายนั้น (His life only has meaning if he is reaching out and striving for his goals)”
จากหนังสือ PDCA แค่จบวันละนิดธุรกิจก็โตหลายเท่าตัวแปลกดีที่มนุษย์เราเมื่อมองสิ่งต่างๆ เป็นตัวเลขจะมีความคิดอยากขยับตัวเองให้เข้าใกล้ตัวเลขเป้าหมายนั้นๆให้มากขึ้นโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ตรงกับคำกล่าวของอริสโตเติลนักปรัชญายุคเก่าที่กล่าวไว้ว่า “มนุษย์เป็นสัตว์ที่ไล่ล่าและแสวงหาเป้าหมาย (Man is a goal seeking animal)”ซึ่งหลังจากประโยคนี้ก็มีประโยคต่อท้ายว่า “และชีวิตของเขาจะมีความหมายเมื่อเขากำลังแสวงหาและไปถึงเป้าหมายนั้น (His life only has meaning if he is reaching out and striving for his goals)” จากหนังสือ PDCA แค่จบวันละนิดธุรกิจก็โตหลายเท่าตัว0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 7 มุมมอง 0 รีวิว - เมื่อปี 1804 โลกมีประชากร 1,000 ล้านคน 23 ปีต่อจากนั้น (1927) โลกมีประชากรเพิ่มขึ้นเป็น 2,000 ล้านคน 33 ปีต่อมา ประชากรโลกเพิ่มขึ้นเป็น 3,000 ล้านคน 14 ปีต่อมา (1974) เพิ่ม เป็น 4,000 ล้านคน อีก13 ปีต่อมา (1987) เป็น 5,000 ล้านคน และ 12 ปีต่อจากนั้น (1999) เพิ่มเป็น 6,000 ล้านคน คาดการณ์ กันว่าประชากรจะทวีขึ้น 7.3-10.7 พันล้านคนในตอนกลาง ศตวรรษนี้ การเพิ่มของประชากรจำนวนมาก ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในประเทศที่ไม่ใช่ประเทศอุตสาหกรรม-ประเทศที่กระตือรือร้น อยากจะปีน “ต้นไม้แห่งการพัฒนา” และหวังจะมีมาตรฐานการครองชีพและการสาธารณสุข-สิ่งซึ่งสังคมของเรามองว่าเป็น เรื่องปกติที่ต้องมีเท่าเทียมกับประเทศอุตสาหกรรม
จากหนังสือ เรียบง่ายไร้กาลเวลา
เมื่อปี 1804 โลกมีประชากร 1,000 ล้านคน 23 ปีต่อจากนั้น (1927) โลกมีประชากรเพิ่มขึ้นเป็น 2,000 ล้านคน 33 ปีต่อมา ประชากรโลกเพิ่มขึ้นเป็น 3,000 ล้านคน 14 ปีต่อมา (1974) เพิ่ม เป็น 4,000 ล้านคน อีก13 ปีต่อมา (1987) เป็น 5,000 ล้านคน และ 12 ปีต่อจากนั้น (1999) เพิ่มเป็น 6,000 ล้านคน คาดการณ์ กันว่าประชากรจะทวีขึ้น 7.3-10.7 พันล้านคนในตอนกลาง ศตวรรษนี้ การเพิ่มของประชากรจำนวนมาก ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในประเทศที่ไม่ใช่ประเทศอุตสาหกรรม-ประเทศที่กระตือรือร้น อยากจะปีน “ต้นไม้แห่งการพัฒนา” และหวังจะมีมาตรฐานการครองชีพและการสาธารณสุข-สิ่งซึ่งสังคมของเรามองว่าเป็น เรื่องปกติที่ต้องมีเท่าเทียมกับประเทศอุตสาหกรรม จากหนังสือ เรียบง่ายไร้กาลเวลา0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 7 มุมมอง 0 รีวิว - แจ๊ก โบเกิล ได้เคยกล่าวเอาไว้ “แนวคิดที่ว่าการมีกระดิ่งคอยสั่นเดือนบอกนักลงทุนทั้งหลายว่าเวลาไหนควรเข้าหรือออกมาจากตลาดนั้นไม่น่าเชื่อถือแม้แต่น้อย” ถึงอย่างนั้นก็ตาม ความจริงที่ว่าตลาดเคลื่อนไหวไปมาใกล้ๆ กับจุดสูงสุดตลอดกาลอาจจะทำให้คุณมีแนวโน้มจะพยายามอยู่ในระยะปลอดภัยด้วยการรออยู่ด้านนอกตลาด ถือเงินสดเอาไว้จนกระทั่งราคาหุ้นนั้นดิ่งลงไป
จากหนังสือ Unshakableแจ๊ก โบเกิล ได้เคยกล่าวเอาไว้ “แนวคิดที่ว่าการมีกระดิ่งคอยสั่นเดือนบอกนักลงทุนทั้งหลายว่าเวลาไหนควรเข้าหรือออกมาจากตลาดนั้นไม่น่าเชื่อถือแม้แต่น้อย” ถึงอย่างนั้นก็ตาม ความจริงที่ว่าตลาดเคลื่อนไหวไปมาใกล้ๆ กับจุดสูงสุดตลอดกาลอาจจะทำให้คุณมีแนวโน้มจะพยายามอยู่ในระยะปลอดภัยด้วยการรออยู่ด้านนอกตลาด ถือเงินสดเอาไว้จนกระทั่งราคาหุ้นนั้นดิ่งลงไป จากหนังสือ Unshakable0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 7 มุมมอง 0 รีวิว - นักวิทยาการคอมพิวเตอร์รู้จักแนวคิดนี้ในชื่อ “ปัญหานายพล ไบแซนไทน์” (Byzantine generals problem) ลองนึกภาพนายพลสองคนที่อยู่คนละฝั่งของหุบเขาและในหุบเขานั้นมีศัตรูของพวกเขาอยู่ ทั้งสองพยายามประสานการโจมตี พวกเขาจะประสบความสำเร็จก็ต่อเมื่อจู่โจมในเวลาเดียวกันเป๊ะเท่านั้น การบุกเข้าไปคนเดียวคือการฆ่าตัวตายที่แย่ไปกว่านั้นข้อความใด ๆ จากนายพลคนหนึ่งจะไปถึงอีกคนได้โดยการส่งกับมือผ่านภูมิประเทศที่มีศัตรูอยู่ ซึ่งหมายความว่ามีโอกาสที่ข้อมูลนั้นๆอาจไปไม่ถึงจุดหมาย นายพลคนแรกจะกำหนดเวลาจู่โจมแต่ไม่กล้าลงมือจนกว่าเขาจะรู้ว่าสหายของเขากำลังเคลื่อนไหวด้วย นายพลคนที่สองได้รับคำสั่งและส่งข้อความกลับไปเพื่อยืนยันแต่ก็ไม่กล้าโจมตีจนกว่าจะรู้ว่านายพลคนแรกได้รับข้อความยืนยันแล้ว(เพราะไม่อย่างนั้นนายพลคนแรกก็จะไม่ขยับ) นายพลคนแรกรับข้อความยืนยันแต่ก็ยังไม่จู่โจมจนกว่าเขาจะแน่ใจว่านายพลคนที่สองรู้ว่าเขาได้รับข้อความแล้ว ถ้าใช้ตรรกะนี้ก็จำเป็นต้องสื่อสารตอบโต้อย่างไม่มีที่สิ้นสุดและเราไม่ต้องการให้เป็นแบบนั้น การสื่อสารเป็นเรื่องของการใช้งานจริงเท่านั้นการใช้ทฤษฎีไม่ช่วยอะไร
จากหนังสือ Algorithms to live byนักวิทยาการคอมพิวเตอร์รู้จักแนวคิดนี้ในชื่อ “ปัญหานายพล ไบแซนไทน์” (Byzantine generals problem) ลองนึกภาพนายพลสองคนที่อยู่คนละฝั่งของหุบเขาและในหุบเขานั้นมีศัตรูของพวกเขาอยู่ ทั้งสองพยายามประสานการโจมตี พวกเขาจะประสบความสำเร็จก็ต่อเมื่อจู่โจมในเวลาเดียวกันเป๊ะเท่านั้น การบุกเข้าไปคนเดียวคือการฆ่าตัวตายที่แย่ไปกว่านั้นข้อความใด ๆ จากนายพลคนหนึ่งจะไปถึงอีกคนได้โดยการส่งกับมือผ่านภูมิประเทศที่มีศัตรูอยู่ ซึ่งหมายความว่ามีโอกาสที่ข้อมูลนั้นๆอาจไปไม่ถึงจุดหมาย นายพลคนแรกจะกำหนดเวลาจู่โจมแต่ไม่กล้าลงมือจนกว่าเขาจะรู้ว่าสหายของเขากำลังเคลื่อนไหวด้วย นายพลคนที่สองได้รับคำสั่งและส่งข้อความกลับไปเพื่อยืนยันแต่ก็ไม่กล้าโจมตีจนกว่าจะรู้ว่านายพลคนแรกได้รับข้อความยืนยันแล้ว(เพราะไม่อย่างนั้นนายพลคนแรกก็จะไม่ขยับ) นายพลคนแรกรับข้อความยืนยันแต่ก็ยังไม่จู่โจมจนกว่าเขาจะแน่ใจว่านายพลคนที่สองรู้ว่าเขาได้รับข้อความแล้ว ถ้าใช้ตรรกะนี้ก็จำเป็นต้องสื่อสารตอบโต้อย่างไม่มีที่สิ้นสุดและเราไม่ต้องการให้เป็นแบบนั้น การสื่อสารเป็นเรื่องของการใช้งานจริงเท่านั้นการใช้ทฤษฎีไม่ช่วยอะไร จากหนังสือ Algorithms to live by0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 10 มุมมอง 0 รีวิว - เทคโนโลยีทางความคิดที่ครอบงำยุคของเราเป็นเพียงเรื่องแต่งมันเป็นคตินิยมแต่ถึงกระนั้น มันก็เป็นเรื่องแต่งที่ทรงพลังและเป็นความจริงมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อแทรกซึมเข้าไปในสังคมทุกภาคส่วน มันเบียดความสัมพันธ์ชนิดอื่นระหว่างมนุษย์กับงานออกไปด้วยความที่มีลักษณะเป็นคำพยากรณ์ที่เหมือนทำให้เป็นจริง
เราจึงไม่อาจคาดหวังให้คตินิยมนี้สูญสลายไปเองได้ หากต้องการกำจัดมันให้สิ้นซาก เราจะต้องก่อร่างสร้างความคิดอื่นขึ้นมาและนั่นก็ไม่ใช่งานที่ง่ายเลย
จากหนังสือ เราทำงานไปทำไม Why We Workเทคโนโลยีทางความคิดที่ครอบงำยุคของเราเป็นเพียงเรื่องแต่งมันเป็นคตินิยมแต่ถึงกระนั้น มันก็เป็นเรื่องแต่งที่ทรงพลังและเป็นความจริงมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อแทรกซึมเข้าไปในสังคมทุกภาคส่วน มันเบียดความสัมพันธ์ชนิดอื่นระหว่างมนุษย์กับงานออกไปด้วยความที่มีลักษณะเป็นคำพยากรณ์ที่เหมือนทำให้เป็นจริง เราจึงไม่อาจคาดหวังให้คตินิยมนี้สูญสลายไปเองได้ หากต้องการกำจัดมันให้สิ้นซาก เราจะต้องก่อร่างสร้างความคิดอื่นขึ้นมาและนั่นก็ไม่ใช่งานที่ง่ายเลย จากหนังสือ เราทำงานไปทำไม Why We Work0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 10 มุมมอง 0 รีวิว - หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาทั้งสองคนก็จัดการให้สถานดูแลคนชราแห่งนี้บันทึก “คำสั่งห้ามกู้ฟื้นคืนชีพ" (Do Not Resuscitate order) หาก หัวใจของเธอหยุดเต้นหรือเธอไม่หายใจ พวกเขาจะไม่พยายามกู้ชีวิตเธอกลับมาจากความตาย พวกเขาจะไม่กดหน้าอกของเธอหรือช็อตไฟฟ้า หรือใส่ท่อหายใจลงไปในลำคอพวกเขาจะปล่อยเธอไป
หลายเดือนผ่านไป เธอรอคอยและอดทนคืนหนึ่งในเดือนเมษายน เธอมีอาการปวดท้อง เธอบอกเรื่องอาการปวดสั้นๆกับพยาบาล แล้วก็ตัดสินใจไม่พูดอะไรมากไปกว่านั้น หลังจากนั้นเธออาเจียนเป็นเลือดเธอไม่ได้บอกใคร เธอไม่ได้กดปุ่มเรียกหรือพูดอะไรกับเพื่อนร่วมห้อง เธออยู่ในเตียงอย่างเงียบสงบ เช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อผู้ช่วยเหลือมาปลุกผู้พัก อาศัยที่ชั้นของเธอพวกเขาก็พบว่าเธอจากไปแล้ว
จากหนังสือ Being Mortal ตาย-เป็นหลังจากนั้นไม่นานพวกเขาทั้งสองคนก็จัดการให้สถานดูแลคนชราแห่งนี้บันทึก “คำสั่งห้ามกู้ฟื้นคืนชีพ" (Do Not Resuscitate order) หาก หัวใจของเธอหยุดเต้นหรือเธอไม่หายใจ พวกเขาจะไม่พยายามกู้ชีวิตเธอกลับมาจากความตาย พวกเขาจะไม่กดหน้าอกของเธอหรือช็อตไฟฟ้า หรือใส่ท่อหายใจลงไปในลำคอพวกเขาจะปล่อยเธอไป หลายเดือนผ่านไป เธอรอคอยและอดทนคืนหนึ่งในเดือนเมษายน เธอมีอาการปวดท้อง เธอบอกเรื่องอาการปวดสั้นๆกับพยาบาล แล้วก็ตัดสินใจไม่พูดอะไรมากไปกว่านั้น หลังจากนั้นเธออาเจียนเป็นเลือดเธอไม่ได้บอกใคร เธอไม่ได้กดปุ่มเรียกหรือพูดอะไรกับเพื่อนร่วมห้อง เธออยู่ในเตียงอย่างเงียบสงบ เช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อผู้ช่วยเหลือมาปลุกผู้พัก อาศัยที่ชั้นของเธอพวกเขาก็พบว่าเธอจากไปแล้ว จากหนังสือ Being Mortal ตาย-เป็น0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 14 มุมมอง 0 รีวิว - ตำนานที่ยืนยงเกี่ยวกับการดื่มน้ำคือความเชื่อที่ว่าเครื่องดื่มที่มีกาเฟอินช่วย ขับปัสสาวะและทำให้คุณฉี่ออกมามากกว่าที่ดื่มเข้าไป เครื่องดื่มแบบนี้อาจไม่ใช่ตัวเลือกทีต่อสุขภาพที่สุดสำหรับการดับกระหายแต่พวกมันมีส่วนในปริมาณสุทธิของสมดุลน้ำในตัวคุณ น่าสนใจว่าความกระหายไม่ใช่ตัวบ่งบอกที่ไว้วางใจได้ว่าคุณต้องการน้ำมากแค่ไหน คนที่ได้รับอนุญาตให้ดื่มน้ำได้เท่าที่ต้องการหลังจากที่กระหายมาก ๆ มักจะบอกว่ารู้สึกดีขึ้นหลังจากที่ดื่มน้ำไปแค่หนึ่งในห้าของปริมาณที่สูญเสียไปในระหว่างที่ขับเหงื่อ
จากหนังสือ วิชาร่างกาย 101
ตำนานที่ยืนยงเกี่ยวกับการดื่มน้ำคือความเชื่อที่ว่าเครื่องดื่มที่มีกาเฟอินช่วย ขับปัสสาวะและทำให้คุณฉี่ออกมามากกว่าที่ดื่มเข้าไป เครื่องดื่มแบบนี้อาจไม่ใช่ตัวเลือกทีต่อสุขภาพที่สุดสำหรับการดับกระหายแต่พวกมันมีส่วนในปริมาณสุทธิของสมดุลน้ำในตัวคุณ น่าสนใจว่าความกระหายไม่ใช่ตัวบ่งบอกที่ไว้วางใจได้ว่าคุณต้องการน้ำมากแค่ไหน คนที่ได้รับอนุญาตให้ดื่มน้ำได้เท่าที่ต้องการหลังจากที่กระหายมาก ๆ มักจะบอกว่ารู้สึกดีขึ้นหลังจากที่ดื่มน้ำไปแค่หนึ่งในห้าของปริมาณที่สูญเสียไปในระหว่างที่ขับเหงื่อ จากหนังสือ วิชาร่างกาย 1010 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 13 มุมมอง 0 รีวิว - World Expo Revisted ย้อนรอายประวัติศาสตร์ยุคอุตสาหกรรมผ่านงานนิทรรศการโลก
เรื่องนี้ไม่เคยรู้… ผู้เขียนเล่าเรื่องงาน World Expo โดยเล่าถึงประวัติความเป็นมา และหยิบเอางาน World Expo ที่เด่นๆ ประมาณ 10ครั้ง มาเล่าถึงที่มาที่ไป การเลือกสถานที่จัดงาน(ซึ่งใหญ่โตมาก) และสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นที่สร้างขึ้นเพื่องาน World Expo โดยเฉพาะ เช่น Crystal Palace , หอ ไอเฟล หรือ อาคารอะโตเมียมที่เบลเยี่ยม นอกจากนี้ผู้เขียนที่เขียนเรื่องเก่งมากๆ ยังโยงเรื่องราวในประวัติศาสตร์ในช่วงนั้นๆมาเล่าประกบคู่กับงาน World Expo ได้อย่างไหลลื่น สนุก และเต็มไปด้วยสาระทางประวัติศาสตร์
หนังสือเล่มนี้บอกเราถึงเรื่องที่ไม่เคยรู้มากก่อน เช่น งาน World Expo ที่มีจัดขึ้นทุกๆ 5ปี และกว่าแต่ละประเทศที่จะได้จัดงานนี้ต้องได้รับการตัดสินผ่าน สำนักนิทรรศการระหว่างประเทศ (BIE) ซึ่งเป็นองค์กรจัดการงาน World Expo
งาน World Expo จะต้องจัดอย่างน้อย 6เดือน และมีผู้เข้าชมครั้งหนึ่งหลายสิบล้านคน โดยการจัดงานจะเป็นงานที่มีธีมงานชัดเจน เพื่อจะแสดงให้เห็นศักยภาพของประเทศนั้นๆ เช่นในครั้งแรกที่จัดขึ้นที่ประเทศอังกฤษ จัดขึ้นในปี ค.ศ.1851 (173ปีที่แล้ว) อังกฤษแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของอุตสาหกรรมเครื่องจักรไอน้ำที่โดดเด่นเป็นต้น
งาน World Expo ที่ผู้เขียนหยิบมาเล่าให้อ่านได้แก่ London 1851 , Philadelphia 1876(ครบรอบ 100ปี จากการประกาศอิศรภาพ) , Paris 1889 , Chcago 1893 (ครบรอบ 400ปี ที่คริสโตเฟอร์ โคลัมบัสค้นพบอเมริกา) , San Fancisco 1915 , New York 1939 , Brussels 1958 , Seattle 1962 , Osaka 1970 และ Shanghai 2010 เพื่อปูทางไปกับงาน World Expo ที่จะเกิดขึ้นอีกครั้งที่ Osaka 2025
นอกจากรายละเอียดเกี่ยวกับงาน World Expo แล้ว ทางผู้เขียนยังสอดแทรกเกร็ดเรื่องราวทางประวัติศาสตร์มากมาย เช่น เรื่องราวของ Crystal Palace ที่สร้างขึ้นที่ลอนดอนจนมาเป็นสโมสรฟุตบอล , เรื่องราวของการถกเถียงก่อนจะสร้างหอไอเฟล , เหตุการณ์ก่อนที่อเมริการจะประกาศอิสรภาพ , การปฎิวัติที่ฝรั่งเศส , การสร้างคลองปานามา และอื่นๆอีกมากมาย
หนังสือเล่มนี้เหมาะมากๆที่จะเป็นความรู้พื่นฐานที่จะต่อยอดความสนใจในเรื่องงาน World Expo เป็นอย่างดี
#WorldExpoRevisted #ย้อนรอายประวัติศาสตร์ยุคอุตสาหกรรมผ่านงานนิทรรศการโลก #รีวิวหนังสือ
World Expo Revisted ย้อนรอายประวัติศาสตร์ยุคอุตสาหกรรมผ่านงานนิทรรศการโลก เรื่องนี้ไม่เคยรู้… ผู้เขียนเล่าเรื่องงาน World Expo โดยเล่าถึงประวัติความเป็นมา และหยิบเอางาน World Expo ที่เด่นๆ ประมาณ 10ครั้ง มาเล่าถึงที่มาที่ไป การเลือกสถานที่จัดงาน(ซึ่งใหญ่โตมาก) และสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นที่สร้างขึ้นเพื่องาน World Expo โดยเฉพาะ เช่น Crystal Palace , หอ ไอเฟล หรือ อาคารอะโตเมียมที่เบลเยี่ยม นอกจากนี้ผู้เขียนที่เขียนเรื่องเก่งมากๆ ยังโยงเรื่องราวในประวัติศาสตร์ในช่วงนั้นๆมาเล่าประกบคู่กับงาน World Expo ได้อย่างไหลลื่น สนุก และเต็มไปด้วยสาระทางประวัติศาสตร์ หนังสือเล่มนี้บอกเราถึงเรื่องที่ไม่เคยรู้มากก่อน เช่น งาน World Expo ที่มีจัดขึ้นทุกๆ 5ปี และกว่าแต่ละประเทศที่จะได้จัดงานนี้ต้องได้รับการตัดสินผ่าน สำนักนิทรรศการระหว่างประเทศ (BIE) ซึ่งเป็นองค์กรจัดการงาน World Expo งาน World Expo จะต้องจัดอย่างน้อย 6เดือน และมีผู้เข้าชมครั้งหนึ่งหลายสิบล้านคน โดยการจัดงานจะเป็นงานที่มีธีมงานชัดเจน เพื่อจะแสดงให้เห็นศักยภาพของประเทศนั้นๆ เช่นในครั้งแรกที่จัดขึ้นที่ประเทศอังกฤษ จัดขึ้นในปี ค.ศ.1851 (173ปีที่แล้ว) อังกฤษแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของอุตสาหกรรมเครื่องจักรไอน้ำที่โดดเด่นเป็นต้น งาน World Expo ที่ผู้เขียนหยิบมาเล่าให้อ่านได้แก่ London 1851 , Philadelphia 1876(ครบรอบ 100ปี จากการประกาศอิศรภาพ) , Paris 1889 , Chcago 1893 (ครบรอบ 400ปี ที่คริสโตเฟอร์ โคลัมบัสค้นพบอเมริกา) , San Fancisco 1915 , New York 1939 , Brussels 1958 , Seattle 1962 , Osaka 1970 และ Shanghai 2010 เพื่อปูทางไปกับงาน World Expo ที่จะเกิดขึ้นอีกครั้งที่ Osaka 2025 นอกจากรายละเอียดเกี่ยวกับงาน World Expo แล้ว ทางผู้เขียนยังสอดแทรกเกร็ดเรื่องราวทางประวัติศาสตร์มากมาย เช่น เรื่องราวของ Crystal Palace ที่สร้างขึ้นที่ลอนดอนจนมาเป็นสโมสรฟุตบอล , เรื่องราวของการถกเถียงก่อนจะสร้างหอไอเฟล , เหตุการณ์ก่อนที่อเมริการจะประกาศอิสรภาพ , การปฎิวัติที่ฝรั่งเศส , การสร้างคลองปานามา และอื่นๆอีกมากมาย หนังสือเล่มนี้เหมาะมากๆที่จะเป็นความรู้พื่นฐานที่จะต่อยอดความสนใจในเรื่องงาน World Expo เป็นอย่างดี #WorldExpoRevisted #ย้อนรอายประวัติศาสตร์ยุคอุตสาหกรรมผ่านงานนิทรรศการโลก #รีวิวหนังสือ0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 14 มุมมอง 0 รีวิว - รายการแบบดิจิตอลที่ทุกคนในครอบครัวเข้าถึงได้ผ่านคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือ เนื่องจากทุกคนสามารถ เขียนสิ่งของที่ตัวเองต้องการลงไปในรายการดังกล่าวได้ ดังนั้นเวลาใครสักคนไปที่ร้านค้า (หรือมีเวลาว่างมาก พอที่จะไป) เขาหรือเธอย่อมซื้อสิ่งของเหล่านั้นได้เลยโดยที่ คนอื่นไม่ต้องเสียเวลามาซื้อเอง มีหลายแอพพลิเคชั่นที่สามารถทำแบบนี้ได้ เช่น Evernote และ Google Keep
จากหนังสือ Productivity Hacksรายการแบบดิจิตอลที่ทุกคนในครอบครัวเข้าถึงได้ผ่านคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือ เนื่องจากทุกคนสามารถ เขียนสิ่งของที่ตัวเองต้องการลงไปในรายการดังกล่าวได้ ดังนั้นเวลาใครสักคนไปที่ร้านค้า (หรือมีเวลาว่างมาก พอที่จะไป) เขาหรือเธอย่อมซื้อสิ่งของเหล่านั้นได้เลยโดยที่ คนอื่นไม่ต้องเสียเวลามาซื้อเอง มีหลายแอพพลิเคชั่นที่สามารถทำแบบนี้ได้ เช่น Evernote และ Google Keep จากหนังสือ Productivity Hacks0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 12 มุมมอง 0 รีวิว - แม่ของเดล คาร์เนกีมีอาชีพเป็นคุณครูอยู่ที่หมู่บ้านนั้น เธอได้รับการศึกษาที่ดี เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งและเห็นอกเห็นใจคนรอบข้าง เธอเชื่อเสมอว่าครอบครัวของเธอจะผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปด้วยกันได้ เธอมักจะร้องเพลงให้เดลฟังเวลาที่เขารู้สึกเศร้า เดลก็รู้ว่าแม่ตั้งใจที่จะร้องเพลงให้กำลังใจเขา แม่หวังว่าวิธีนี้จะช่วยให้ลูกชายของเธอคลายเศร้าลงได้บ้าง อยากให้ลูกของเธอเดินออกมาจากความทุกข์ทรมานใจ ทุกครั้งที่แม่ร้องเพลงเดลจำเนื้อร้องประโยคนั้นไว้ในใจเสมอว่า : มันจะไม่มีทาง เลวร้ายไปกว่านี้
เดล คาร์เนกีผ่านพ้นความท้อแท้ในชีวิตมาได้เพราะกำลังใจและการสนับสนุนของแม่ ทำให้เขาเดินออกมาจากความมืดและกลายเป็นนักเขียนชื่อดังในสหรัฐอเมริกา หนังสือของเขาได้ถูกแปลต่ออีกหลายภาษาและวาง จำหน่ายไปทั่วโลก
จากหนังสือ พลังของการบอกใบ้
แม่ของเดล คาร์เนกีมีอาชีพเป็นคุณครูอยู่ที่หมู่บ้านนั้น เธอได้รับการศึกษาที่ดี เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งและเห็นอกเห็นใจคนรอบข้าง เธอเชื่อเสมอว่าครอบครัวของเธอจะผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปด้วยกันได้ เธอมักจะร้องเพลงให้เดลฟังเวลาที่เขารู้สึกเศร้า เดลก็รู้ว่าแม่ตั้งใจที่จะร้องเพลงให้กำลังใจเขา แม่หวังว่าวิธีนี้จะช่วยให้ลูกชายของเธอคลายเศร้าลงได้บ้าง อยากให้ลูกของเธอเดินออกมาจากความทุกข์ทรมานใจ ทุกครั้งที่แม่ร้องเพลงเดลจำเนื้อร้องประโยคนั้นไว้ในใจเสมอว่า : มันจะไม่มีทาง เลวร้ายไปกว่านี้ เดล คาร์เนกีผ่านพ้นความท้อแท้ในชีวิตมาได้เพราะกำลังใจและการสนับสนุนของแม่ ทำให้เขาเดินออกมาจากความมืดและกลายเป็นนักเขียนชื่อดังในสหรัฐอเมริกา หนังสือของเขาได้ถูกแปลต่ออีกหลายภาษาและวาง จำหน่ายไปทั่วโลก จากหนังสือ พลังของการบอกใบ้0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 13 มุมมอง 0 รีวิว - การเปิดใจให้แผนที่ชีวิตของตนถูกท้าทายและปรับแก้อย่างต่อเนื่อง คนเปิดเผยซึ่งเลือกทางสายที่คนเดินน้อยกว่าจะเป็นคนที่เจริญงอกงามได้อย่างต่อเนื่อง การเปิดเผยทำให้เขาสร้างและรักษาความสัมพันธ์ใกล้ชิดได้มากกว่าคนที่ปกปิด เนื่องจากเขาไม่โกหก พวกเขาจึงรู้สึกมั่นคงและภูมิใจว่าตนไม่สร้างความสับสนแก่โลกแต่ทำตัวให้เป็นแหล่งของปัญญาและความกระจ่าง
จากหนังสือ บทเรียนชีวิตที่จิตแพทย์อยากบอกการเปิดใจให้แผนที่ชีวิตของตนถูกท้าทายและปรับแก้อย่างต่อเนื่อง คนเปิดเผยซึ่งเลือกทางสายที่คนเดินน้อยกว่าจะเป็นคนที่เจริญงอกงามได้อย่างต่อเนื่อง การเปิดเผยทำให้เขาสร้างและรักษาความสัมพันธ์ใกล้ชิดได้มากกว่าคนที่ปกปิด เนื่องจากเขาไม่โกหก พวกเขาจึงรู้สึกมั่นคงและภูมิใจว่าตนไม่สร้างความสับสนแก่โลกแต่ทำตัวให้เป็นแหล่งของปัญญาและความกระจ่าง จากหนังสือ บทเรียนชีวิตที่จิตแพทย์อยากบอก0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 13 มุมมอง 0 รีวิว - การศึกษาโครงการด้านไอทีกว่า 5,400 โครงการ โดยบริษัทที่ปรึกษาธุรกิจอย่างแมคคินซีย์และมหาวิทยาลัย ออกซ์ฟอร์ดพบว่า ผู้เข้าร่วมการทดลองส่วนใหญ่ใช้เทคนิคบริหารเวลาบางอย่าง แต่คนที่ทำงานทันเดดไลน์มีน้อยกว่า 1 ใน 3 ของผู้เข้าร่วมการทดลองทั้งหมด และคนส่วนใหญ่ใช้เวลานานกว่าที่คาดการณ์ไว้ตอนแรกถึง 3.5 เท่า นอกจากนี้แบบสอบถามที่ทำกับกลุ่มนักศึกษายังระบุว่า มีนักศึกษาน้อยกว่า 30% ที่ส่งวิทยานิพนธ์ได้ทันเวลา
จากหนังสือ Your Time เพราะฉันแตกต่างจึงบริหารเวลาแบบนี้การศึกษาโครงการด้านไอทีกว่า 5,400 โครงการ โดยบริษัทที่ปรึกษาธุรกิจอย่างแมคคินซีย์และมหาวิทยาลัย ออกซ์ฟอร์ดพบว่า ผู้เข้าร่วมการทดลองส่วนใหญ่ใช้เทคนิคบริหารเวลาบางอย่าง แต่คนที่ทำงานทันเดดไลน์มีน้อยกว่า 1 ใน 3 ของผู้เข้าร่วมการทดลองทั้งหมด และคนส่วนใหญ่ใช้เวลานานกว่าที่คาดการณ์ไว้ตอนแรกถึง 3.5 เท่า นอกจากนี้แบบสอบถามที่ทำกับกลุ่มนักศึกษายังระบุว่า มีนักศึกษาน้อยกว่า 30% ที่ส่งวิทยานิพนธ์ได้ทันเวลา จากหนังสือ Your Time เพราะฉันแตกต่างจึงบริหารเวลาแบบนี้0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 13 มุมมอง 0 รีวิว - The Five People You Meet in Heaven คน 5 คนที่คุณพบบนสวรรค์
ลึกซึ้ง อิ่มเอม และคำสอนที่ดีเยี่ยม ผู้เขียนเป็นคนเดียวกับคนที่เขียนเรื่อง Tuesdays with Morrie ซึ่งก็เป็นหนังสือระดับตำนานเช่นกัน หนังสือเล่มนี้เป็นนิยายที่แฝงแนวคิดที่เฉียบแหลม กระตุกจิตใจ และทำให้ผู้อ่านเปลี่ยนมุมมองต่อชีวิตใหม่ได้ ด้วยสำนวน การขั้นเรื่อง การโยงเรื่องที่คาดเดาไม่ได้เลย ทำให้หนังสืออ่านสนุก มีลุ้นแบบเล็กๆ และท้ายที่สุดบทสรุปคืออิ่มเอมใจ
หนังสือนิยายเล่มเล็กๆ จากนักเขียนมากฝีมือ ทั้งในเรื่องการวางโครงเรื่อง สำนวนที่กระชับแต่ชักจูงให้ผู้อ่านคิดตามแบบมากกว่าหนึ่งชั้น การบรรยายให้เห็นภาพ และปิดท้ายด้วยหลักการเน้นๆ ห้าข้อแบบคมกริบ
เนื้อเรื่องของนิยายเล่มนี้เริ่มต้นที่ตอนจบ ของชีวิตของเอ็ดดีชายชราวัยแปดสิบกว่าปี เขาเป็นช่างซ่อมเครื่องเล่นสวนสนุก โดยรับช่วงมาจากคุณพ่อที่เสียชีวิตไปตั้งแต่เขายังเป็นหนุ่ม เขาทำงานเป็นช่างซ่อมเครื่องเล่นมาจนถึงอายุปูนนี้ ไม่มีลูก ไม่มีญาติเหลืออยู่ นอกจากนี้เขายังพิการเล็กน้อยจากอุบติเหตุที่เข่าของเขา และยังป่วยเป็นโรคอีกหลายโรค แต่เขายังคงใช้ชีวิตแบบเดิม ตรวจเช็คความผิดพลาดของเครื่องเล่น เติมจาระบี ดูระบบเบรคของรถไฟ และอื่นๆ เพื่อให้เครื่องเล่นเหล่านี้เล่นได้ต่อเนื่องและต้องปลอดภัย จนแล้วจนรอดเมื่อชื่อตอนแรกของหนังสือก็บอกไว้แล้วว่าเป็นตอนจบ เอ็ดดิก็ไม่รอดจากเสียชีวิตจากการช่วยชีวิตเด็กหญิงคนหนึ่ง โดยเกิดจากอุบัติเหตุเครื่องเล่นที่เกิดขึ้นจากความผิดพลาดจากเพื่อนร่วมงาน และเอ็ดดิก็เสียชิวิตในที่เกิดเหตุ
เอ็ดดิได้ล่องลอยไปอยู่บนสวรรค์ และที่นั่นเขาจะพบกับคน 5คน ที่เกี่ยวโยงกับชีวิตของเขาตั้งแต่เขาเกิดมา ซึ่งผู้อ่านอย่างเราๆคงเดาผิดแน่ เพราะหนึ่งในห้าคนนั้น ไม่มีคุณพ่อ ไม่มีคุณแม่ แต่เป็นคนอื่นๆที่พวกเขามีปมในใจกับเอ็ดดิหรือคนที่เอ็ดดิมีปมในใจด้วย เมื่อได้พูดคุยกับแต่ละคนแล้วช่วงท้ายของการพูดคุย ผู้เขียนได้แทรกเรื่องราวดีๆ และฝากแนวคิดดีๆไว้ให้ผู้อ่านได้เข้าใจชีวิตมากขึ้น
เป็นนิยายที่ยอดเยี่ยมอีกเล่มหนึ่งครับ
#TheFivePeopleYouMeetInHeaven #คน5คนที่คุณพบบนสวรรค์ #รีวิวหนังสือ
The Five People You Meet in Heaven คน 5 คนที่คุณพบบนสวรรค์ ลึกซึ้ง อิ่มเอม และคำสอนที่ดีเยี่ยม ผู้เขียนเป็นคนเดียวกับคนที่เขียนเรื่อง Tuesdays with Morrie ซึ่งก็เป็นหนังสือระดับตำนานเช่นกัน หนังสือเล่มนี้เป็นนิยายที่แฝงแนวคิดที่เฉียบแหลม กระตุกจิตใจ และทำให้ผู้อ่านเปลี่ยนมุมมองต่อชีวิตใหม่ได้ ด้วยสำนวน การขั้นเรื่อง การโยงเรื่องที่คาดเดาไม่ได้เลย ทำให้หนังสืออ่านสนุก มีลุ้นแบบเล็กๆ และท้ายที่สุดบทสรุปคืออิ่มเอมใจ หนังสือนิยายเล่มเล็กๆ จากนักเขียนมากฝีมือ ทั้งในเรื่องการวางโครงเรื่อง สำนวนที่กระชับแต่ชักจูงให้ผู้อ่านคิดตามแบบมากกว่าหนึ่งชั้น การบรรยายให้เห็นภาพ และปิดท้ายด้วยหลักการเน้นๆ ห้าข้อแบบคมกริบ เนื้อเรื่องของนิยายเล่มนี้เริ่มต้นที่ตอนจบ ของชีวิตของเอ็ดดีชายชราวัยแปดสิบกว่าปี เขาเป็นช่างซ่อมเครื่องเล่นสวนสนุก โดยรับช่วงมาจากคุณพ่อที่เสียชีวิตไปตั้งแต่เขายังเป็นหนุ่ม เขาทำงานเป็นช่างซ่อมเครื่องเล่นมาจนถึงอายุปูนนี้ ไม่มีลูก ไม่มีญาติเหลืออยู่ นอกจากนี้เขายังพิการเล็กน้อยจากอุบติเหตุที่เข่าของเขา และยังป่วยเป็นโรคอีกหลายโรค แต่เขายังคงใช้ชีวิตแบบเดิม ตรวจเช็คความผิดพลาดของเครื่องเล่น เติมจาระบี ดูระบบเบรคของรถไฟ และอื่นๆ เพื่อให้เครื่องเล่นเหล่านี้เล่นได้ต่อเนื่องและต้องปลอดภัย จนแล้วจนรอดเมื่อชื่อตอนแรกของหนังสือก็บอกไว้แล้วว่าเป็นตอนจบ เอ็ดดิก็ไม่รอดจากเสียชีวิตจากการช่วยชีวิตเด็กหญิงคนหนึ่ง โดยเกิดจากอุบัติเหตุเครื่องเล่นที่เกิดขึ้นจากความผิดพลาดจากเพื่อนร่วมงาน และเอ็ดดิก็เสียชิวิตในที่เกิดเหตุ เอ็ดดิได้ล่องลอยไปอยู่บนสวรรค์ และที่นั่นเขาจะพบกับคน 5คน ที่เกี่ยวโยงกับชีวิตของเขาตั้งแต่เขาเกิดมา ซึ่งผู้อ่านอย่างเราๆคงเดาผิดแน่ เพราะหนึ่งในห้าคนนั้น ไม่มีคุณพ่อ ไม่มีคุณแม่ แต่เป็นคนอื่นๆที่พวกเขามีปมในใจกับเอ็ดดิหรือคนที่เอ็ดดิมีปมในใจด้วย เมื่อได้พูดคุยกับแต่ละคนแล้วช่วงท้ายของการพูดคุย ผู้เขียนได้แทรกเรื่องราวดีๆ และฝากแนวคิดดีๆไว้ให้ผู้อ่านได้เข้าใจชีวิตมากขึ้น เป็นนิยายที่ยอดเยี่ยมอีกเล่มหนึ่งครับ #TheFivePeopleYouMeetInHeaven #คน5คนที่คุณพบบนสวรรค์ #รีวิวหนังสือ0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 13 มุมมอง 0 รีวิว - คนเราจะระลึกหรือเรียกข้อมูลจากความจำออกมาได้ง่ายขึ้น ถ้าอยู่ในสภาพแวดล้อมเดียวกับที่เคยรับข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ สภาพแวดล้อม อุณหภูมิ เสียง กลิ่น รส ฯลฯ เหมือนกับที่เราเคย เห็นในภาพยนตร์อยู่บ่อยๆที่พาคนที่สูญเสียความจำไปยังที่เดิมๆ เพื่อรื้อฟื้นความทรงจำ
จากหนังสือ ฉลาดกว่าคนอื่นในพริบตาคนเราจะระลึกหรือเรียกข้อมูลจากความจำออกมาได้ง่ายขึ้น ถ้าอยู่ในสภาพแวดล้อมเดียวกับที่เคยรับข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ สภาพแวดล้อม อุณหภูมิ เสียง กลิ่น รส ฯลฯ เหมือนกับที่เราเคย เห็นในภาพยนตร์อยู่บ่อยๆที่พาคนที่สูญเสียความจำไปยังที่เดิมๆ เพื่อรื้อฟื้นความทรงจำ จากหนังสือ ฉลาดกว่าคนอื่นในพริบตา0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 15 มุมมอง 0 รีวิว - รู้หรือไม่คำว่าแพสชั่นในภาษาเยอรมันคือ Leidenschaft อันแปลว่า “ความสามารถในการทนทานกับความทุกข์ยาก" (ability to endure adversity) ประหนึ่งจะบอกว่าแม้การแสวงหานั้นจะไม่น่าอภิรมย์ แต่ก็ยังรู้สึกว่าผลที่ได้รับนั้นคุ้มค่ากับสิ่งที่เสียไป สำหรับบางคนงานคือกิจกรรมที่เป็นบันไดขั้นหนึ่งเพื่อจะนำไปสู่การแสวงหาความสุขอื่นๆนอกเหนือจากงานได้ หรือมองว่างานคือที่มาของเงินที่จะนำไปใช้ชีวิตด้านอื่นๆ เราไม่จำเป็นต้องตามหาความหมายให้กับงานก็ได้ งานอาจเป็นสิ่งเลี้ยงชีพที่ไม่จำเป็นต้องมีอุดมคติยิ่งใหญ่มากำกับ
จากหนังสือ ขออภัยแต่ไม่ต้องรีบ No Hurry No Worry
รู้หรือไม่คำว่าแพสชั่นในภาษาเยอรมันคือ Leidenschaft อันแปลว่า “ความสามารถในการทนทานกับความทุกข์ยาก" (ability to endure adversity) ประหนึ่งจะบอกว่าแม้การแสวงหานั้นจะไม่น่าอภิรมย์ แต่ก็ยังรู้สึกว่าผลที่ได้รับนั้นคุ้มค่ากับสิ่งที่เสียไป สำหรับบางคนงานคือกิจกรรมที่เป็นบันไดขั้นหนึ่งเพื่อจะนำไปสู่การแสวงหาความสุขอื่นๆนอกเหนือจากงานได้ หรือมองว่างานคือที่มาของเงินที่จะนำไปใช้ชีวิตด้านอื่นๆ เราไม่จำเป็นต้องตามหาความหมายให้กับงานก็ได้ งานอาจเป็นสิ่งเลี้ยงชีพที่ไม่จำเป็นต้องมีอุดมคติยิ่งใหญ่มากำกับ จากหนังสือ ขออภัยแต่ไม่ต้องรีบ No Hurry No Worry0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 13 มุมมอง 0 รีวิว - วิธีใช้คำพูดเชือดนิ่มๆ สไตล์ผู้ดีเกียวโต
คำพูดสไตล์ผู้ดีเกียวโตเป็นแบบที่ พูดไม่ชัดเจน ไม่ต้องการพูดตรงจนสื่อความต้องการชัดเจน พูดติดตลกนิดหน่อยแต่เชือดเฉือนจนผู้ฟังต้องสะอึก ผู้เขียนยกย่องการพูดสไตล์นี้มากๆ เพราะตัวเธอเป็นคนโตเกียวที่มักจะพูดอะไรตรงไปตรงมา จนอาจจะเกิดผลเสียตามมา ถึงแม้เนือหาในหนังสือมีรายละเอียดในการสอนพูดไม่มากมายนักแต่ก็พอนึกออกว่า การสไตล์ผู้ดีเกียวโตพูดอย่างไร
ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ เธอให้ความยกย่องการพูดสไตล์ผู้ดีเกียวโตมาก เนื่องจากเธอเป็นคนโตเกียวซึ่งเป็นเมืองหลวงใหม่และได้รับอิทธิพลการพูดแบบตรงไปตรงมาจากอเมริกา ส่วนคนเกียวโตซึ่งเป็นเมืองหลวงดั้งเดิม และมีการสืบทอดทางตระกูลมายาวนาน รวมไปถึงคนที่เกียวโตจะอยู่กันแบบไม่ย้ายถิ่นฐาน จนเป็นที่มาการพูดสไตล์ผู้ดีเกียวโตที่พูดกับแบบบัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่น แต่แอบสื่อความต้องการในการสนทนานั้นแบบเนียนๆ และแบบเชือดเฉือนไปในตัว
ผู้เขียนข้องใจมากๆ เพราะการพูดสไตล์ผู้ดีเกียวโตเหมือนจะถูกฝังลงไปในชีวิตของคนเกียวโต และทำให้ผู้คนในเกียวโตพูดคล้ายๆกัน และตัวเธอต้องการศึกษาการพูดสไตล์ผู้ดีเกียวโตเป็นอย่างมาก และเมื่อศึกษารวมไปถึงการทำแบบสอบถามทางอินเตอร์เน็ตได้ระยะหนึ่ง เธอจึงเขียนหนังสือเล่มนี้ออกมา
คำพูดสไตล์ผู้ดีเกียวโตเป็นอย่างไร ยกตัวอย่างดังนี้
เวลาต้องการปฎิเสธคำขอร้องที่ทำได้ยาก
ชาวโตเกียว ตอบว่า “ตอนนี้กำลังยุ่ง ขอโทษด้วย”
คำตอบสไตล์ผู้ดีเกียวโต ตอบว่า “อุ๊ย ดีใจจัง แต่ไปหาคนอื่นที่เหมาะกว่าฉันจะดีกว่านะ”
มีลูกค้าที่ไม่ต้องการติดต่อแล้วโทรมานัดหมาย
ชาวโตเกียว ตอบว่า “ขอโทษด้วย วันนี้คิวจองเต็มแล้ว”
คำตอบสไตล์ผู้ดีเกียวโต ตอบว่า “ขอบคุณนะ เอาไว้มีคิวว่างเมื่อไหร่จะติดต่อกลับไป” (ซึ่งหมายความว่าอาจจะไม่ติดต่อกลับไปเลย เพราะอ้างว่าไม่ว่า)
ยุ่งมาก แต่แขกมาเยี่ยมแล้วไม่ยอมกลับ
ชาวโตเกียว ตอบว่า “พอดีมีนัดต้องขอตัวก่อนนะ”
คำตอบสไตล์ผู้ดีเกียวโต ตอบว่า “เอาละ ขอโทษนะที่รบกวนเวลาตั้งนาน กำลังยุ่งแท้ๆแต่ยังอุตส่าห์มาหา ขอบคุณมากๆเลย”
การพูดสไตล์ผู้ดีเกียวโต บ่งบอกถึงการเจรจาที่ต้องการวินวินทั้งสองฝ่าย และไม่หักหาญน้ำใจกันเกินไป จนอาจจะมองหน้ากันไม่ติดในภายหลัง แต่ก็ยังคงสื่อสารความต้องการในฝั่งเราให้ส่งถึงฝั่งตรงข้ามได้แบบเนียนๆ ซึ่งเป็นวิธีการสื่อสารที่ใช้ได้ในหลายๆสถานการณ์
#วิธีใช้คำพูดเชือดนิ่มๆสไตล์ผู้ดีเกียวโต #รีวิวหนังสือ
วิธีใช้คำพูดเชือดนิ่มๆ สไตล์ผู้ดีเกียวโต คำพูดสไตล์ผู้ดีเกียวโตเป็นแบบที่ พูดไม่ชัดเจน ไม่ต้องการพูดตรงจนสื่อความต้องการชัดเจน พูดติดตลกนิดหน่อยแต่เชือดเฉือนจนผู้ฟังต้องสะอึก ผู้เขียนยกย่องการพูดสไตล์นี้มากๆ เพราะตัวเธอเป็นคนโตเกียวที่มักจะพูดอะไรตรงไปตรงมา จนอาจจะเกิดผลเสียตามมา ถึงแม้เนือหาในหนังสือมีรายละเอียดในการสอนพูดไม่มากมายนักแต่ก็พอนึกออกว่า การสไตล์ผู้ดีเกียวโตพูดอย่างไร ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ เธอให้ความยกย่องการพูดสไตล์ผู้ดีเกียวโตมาก เนื่องจากเธอเป็นคนโตเกียวซึ่งเป็นเมืองหลวงใหม่และได้รับอิทธิพลการพูดแบบตรงไปตรงมาจากอเมริกา ส่วนคนเกียวโตซึ่งเป็นเมืองหลวงดั้งเดิม และมีการสืบทอดทางตระกูลมายาวนาน รวมไปถึงคนที่เกียวโตจะอยู่กันแบบไม่ย้ายถิ่นฐาน จนเป็นที่มาการพูดสไตล์ผู้ดีเกียวโตที่พูดกับแบบบัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่น แต่แอบสื่อความต้องการในการสนทนานั้นแบบเนียนๆ และแบบเชือดเฉือนไปในตัว ผู้เขียนข้องใจมากๆ เพราะการพูดสไตล์ผู้ดีเกียวโตเหมือนจะถูกฝังลงไปในชีวิตของคนเกียวโต และทำให้ผู้คนในเกียวโตพูดคล้ายๆกัน และตัวเธอต้องการศึกษาการพูดสไตล์ผู้ดีเกียวโตเป็นอย่างมาก และเมื่อศึกษารวมไปถึงการทำแบบสอบถามทางอินเตอร์เน็ตได้ระยะหนึ่ง เธอจึงเขียนหนังสือเล่มนี้ออกมา คำพูดสไตล์ผู้ดีเกียวโตเป็นอย่างไร ยกตัวอย่างดังนี้ เวลาต้องการปฎิเสธคำขอร้องที่ทำได้ยาก ชาวโตเกียว ตอบว่า “ตอนนี้กำลังยุ่ง ขอโทษด้วย” คำตอบสไตล์ผู้ดีเกียวโต ตอบว่า “อุ๊ย ดีใจจัง แต่ไปหาคนอื่นที่เหมาะกว่าฉันจะดีกว่านะ” มีลูกค้าที่ไม่ต้องการติดต่อแล้วโทรมานัดหมาย ชาวโตเกียว ตอบว่า “ขอโทษด้วย วันนี้คิวจองเต็มแล้ว” คำตอบสไตล์ผู้ดีเกียวโต ตอบว่า “ขอบคุณนะ เอาไว้มีคิวว่างเมื่อไหร่จะติดต่อกลับไป” (ซึ่งหมายความว่าอาจจะไม่ติดต่อกลับไปเลย เพราะอ้างว่าไม่ว่า) ยุ่งมาก แต่แขกมาเยี่ยมแล้วไม่ยอมกลับ ชาวโตเกียว ตอบว่า “พอดีมีนัดต้องขอตัวก่อนนะ” คำตอบสไตล์ผู้ดีเกียวโต ตอบว่า “เอาละ ขอโทษนะที่รบกวนเวลาตั้งนาน กำลังยุ่งแท้ๆแต่ยังอุตส่าห์มาหา ขอบคุณมากๆเลย” การพูดสไตล์ผู้ดีเกียวโต บ่งบอกถึงการเจรจาที่ต้องการวินวินทั้งสองฝ่าย และไม่หักหาญน้ำใจกันเกินไป จนอาจจะมองหน้ากันไม่ติดในภายหลัง แต่ก็ยังคงสื่อสารความต้องการในฝั่งเราให้ส่งถึงฝั่งตรงข้ามได้แบบเนียนๆ ซึ่งเป็นวิธีการสื่อสารที่ใช้ได้ในหลายๆสถานการณ์ #วิธีใช้คำพูดเชือดนิ่มๆสไตล์ผู้ดีเกียวโต #รีวิวหนังสือ0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 13 มุมมอง 0 รีวิว - ครั้งที่ผมยังอยู่ในโรงเรียน ผมพูดกับครูสอนวิชาช่างไม้ว่างานที่ผมทำอยู่นั้น “ดีพอ” แล้ว ท่านพูดกับผมเพียงว่า มีแต่สิ่งสมบูรณ์แบบเท่านั้นที่จะดีพอ และสิ่งที่ดีพอนั้นยังไม่ถือว่าสมบูรณ์แบบ -แฟรงค์ วัย 82 ปีครั้งที่ผมยังอยู่ในโรงเรียน ผมพูดกับครูสอนวิชาช่างไม้ว่างานที่ผมทำอยู่นั้น “ดีพอ” แล้ว ท่านพูดกับผมเพียงว่า มีแต่สิ่งสมบูรณ์แบบเท่านั้นที่จะดีพอ และสิ่งที่ดีพอนั้นยังไม่ถือว่าสมบูรณ์แบบ -แฟรงค์ วัย 82 ปี0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 14 มุมมอง 0 รีวิว
- การจะประสบความสำเร็จในธุรกิจ คุณต้องรู้จักเป็นผู้ฟังที่ดี แล้วเรียนรู้ที่จะนำทุกไอเดียที่มีมาถกกับคนจำนวนหนึ่ง ก่อนที่จะพูดว่า “เราจะทิ้งไอเดียนี้ไป” หรือ “เรา จะมาลองทำตามไอเดียนี้กันสักตั้ง” ผลพลอยได้อย่างหนึ่งของการมองเห็นความสำคัญของการรู้จักปรึกษาและฟัง ก็คือมันจะมีประโยชน์ต่อด้านอื่นๆ ในชีวิตของคุณด้วย ตัวอย่างเช่น ในการตัดสินใจทางการแพทย์ที่สำคัญ ในการตัดสนใจทางการแพท ตอนที่อายุ 22 ผมหกล้มขณะที่เล่นจับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งขึ้นเหวี่ยง หลังจากที่เดินกะเผลกอยู่ 2 วันด้วยไม้ค้ำ ผมจึงไปหาหมอ ซึ่งหมอบอกผมว่าเส้นเอ็นฉีกขาดอย่างรุนแรงชนิดที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน และต้องผ่าตัดเข่าทันที แม้ตอนนั้นผมจะยังเด็กแต่ก็มีประสบการณ์ในการทำธุรกิจ มาแล้ว 7 ปี ดังนั้นผมจึงรู้ว่าอย่างน้อยที่สุดผมควรขอ ความเห็นที่ 2 ก่อนจากหนังสือ Like a Verginการจะประสบความสำเร็จในธุรกิจ คุณต้องรู้จักเป็นผู้ฟังที่ดี แล้วเรียนรู้ที่จะนำทุกไอเดียที่มีมาถกกับคนจำนวนหนึ่ง ก่อนที่จะพูดว่า “เราจะทิ้งไอเดียนี้ไป” หรือ “เรา จะมาลองทำตามไอเดียนี้กันสักตั้ง” ผลพลอยได้อย่างหนึ่งของการมองเห็นความสำคัญของการรู้จักปรึกษาและฟัง ก็คือมันจะมีประโยชน์ต่อด้านอื่นๆ ในชีวิตของคุณด้วย ตัวอย่างเช่น ในการตัดสินใจทางการแพทย์ที่สำคัญ ในการตัดสนใจทางการแพท ตอนที่อายุ 22 ผมหกล้มขณะที่เล่นจับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งขึ้นเหวี่ยง หลังจากที่เดินกะเผลกอยู่ 2 วันด้วยไม้ค้ำ ผมจึงไปหาหมอ ซึ่งหมอบอกผมว่าเส้นเอ็นฉีกขาดอย่างรุนแรงชนิดที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน และต้องผ่าตัดเข่าทันที แม้ตอนนั้นผมจะยังเด็กแต่ก็มีประสบการณ์ในการทำธุรกิจ มาแล้ว 7 ปี ดังนั้นผมจึงรู้ว่าอย่างน้อยที่สุดผมควรขอ ความเห็นที่ 2 ก่อนจากหนังสือ Like a Vergin0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 14 มุมมอง 0 รีวิว
- เรื่องเล่าจากมหากาพย์ มหาภารตะ เล่ม 1 ตอนกำเนิดพี่น้องเการพและปาณฑพ
เป็นหนังสือที่อยากอ่านมากและคิดว่าต้องอ่านให้จบ นอกจากนี้ยังเป็นหนังสือที่หายากมากๆชุดหนึ่ง เราโชคดีที่ได้มีโอกาสได้เป็นเจ้าของฉบับพิมพ์ซ้ำปี พ.ศ.2564 เนื้อเรื่องมีความดราม่า ความเหลือเชื่อ อภินิหารต่างและความไม่มีเหตุมีผลหลายอย่าง(555) ผสมกับตัวละครมากมายที่มีลักษณะเฉพาะ การลำดับเหตุการณ์ที่ อ.วีระ ได้พยายามเรียบเรียง ทำให้หนังสือชุดนี้เป็นหนังสือชุดอมตะชุดหนึ่งของประเทศไทย
มหากาพย์มหาภารตะ เป็นหนึ่งในสองนิยาย+ตำนานของประเทศอินเดียที่มีอายุประมาณ 3,00 0 ปีมาแล้ว อีกเรื่องหนึ่งคือมหากาพย์รามเกียรติ แต่มหากาพย์มหาภารตะจะเป็นที่รู้จักน้อยกว่า และในไทยก็มีผู้ที่ให้ความสนใจน้อยกว่า อ.วีระ อยากศึกษาเรื่องนี้เนื่องจาก อ.ไปเที่ยวเขมร และเห็นภาพสลักหินนูนต่ำที่มีเรื่องราวของมหากาพย์มหาภารตะอยู่มากมาย อ.ข้องใจตัวเองที่ไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน ก็เลยจัดการค้นคว้าตำราทั้งในไทยและต่างประเทศจำนวนมาก จนกลายมาเป็นเรื่องการเล่าเรื่องผ่านรายการวิทยุ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2546 และออกเป็น CD เสียงจำหน่ายให้ผู้สนใจ แต่ CD เล่าเรื่องนั้นที่เล่าจบไปนั้นในความเป็นจริงยังไม่จบ โดยถ้าอยากรู้ตอนจบจริงๆต้องอ่านจากหนังสือเท่านั้น
อ.วีระตั้งใจที่จะทำมหากาพย์มหาภารตะออกมาเป็นรูปเล่ม ซึ่ง อ.มีข้อมูลอยู่แล้วจำนวนมากและเมื่อจัดการเรียบเรียงเรียบร้อย ค่อยตีพิมพ์ออกมาเล่มแรกเมื่อปี พ.ศ.2550 และมีตีพิมพ์ฉบับรวม 4เล่มจบบริบูรณ์ ชุดแรกเมื่อปี พ.ศ. 2553
เนื้อเรื่องของหนังสือเล่มนี้เป็นแนวเรื่องเล่า ไม่ใช่เป็นนวนิยายที่มีบทพูดของแต่ตัวละคร ซึ่งการอ่านแบบนี้ก็ได้อรรถรสไปอีกแบบ โดยเนื้อหายังครบถ้วนสมบูรณ์ ข้อดีของการเขียนออกมาเป็นเรื่องเล่าก็คือ ผู้เขียนสามารถแทรกเกร็ดความรู้ต่างๆได้ทันที ทำให้สามารถเชื่อมโยงเนื้อเรื่องและคำอธิบายเสริมให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น
ในเล่มหนึ่งนี้ การเล่าเรื่องของผู้เขียนได้เล่าตั้งแต่เรื่องราวของปู่ทวดของตระกูลเการพและปาณฑพ ซึ่งทุกเรื่องราวมีที่มาที่ไปเกี่ยวโยงไปตั้งแต่ต้นจนจบ ซึ่งเล่มหนึ่งเป็นการปูพื้น และความเกี่ยวโยงของตัวละครเกือบทั้งหมด และในท้ายเล่มเป็นจุดพีคของเรื่องที่ครอบครัวปาณฑพได้ถูกหลอกให้เล่นพนันจนแพ้ราบคาบ เกือบที่จะต้องกลายเป็นทาสของตระกูลเการพ และมีเหตุการณ์ที่ตระกูลเการพได้ดูหมิ่นเหยียดหยามตระกูลปาณฑพอย่างรุนแรงที่สุด และสร้างความเจ็บช้ำน้ำใจอย่างประเมินค่าไม่ได้ จนทำให้เกิดสงครามครั้งใหญ่ในเวลาต่อมา แต่ก็มีเหตุการณ์ที่คุณพ่อฝั่งเการพต้องยอมยกเลิกการพนันครั้งนั้นไป แต่ตระกูลเการพยังขอให้ตระกูลปาณฑพเล่นพนันครั้งสุดท้าย ซึ่งตระกูลปาณฑพก็ยังแพ้อยู่ดี โดยการแพ้ครั้งนี้เงื่อนไขคือการที่พวกปาณฑพต้องเนรเทศตัวเองไปอยู่ป่าเป็นเวลา 12ปี และในปีที่13 ถ้าหามีใครพบเจอพวกเขาเข้า พวกเขาจะต้องไปอยู่ป่าอีก 12ปีวนแบบนี้ไปเรื่อยๆ
เรื่องราวของมหากาพย์มหาภารตะ สนุกและน่าติดตามเป็นอย่างยิ่งแต่เนื้อหายาวมาก เล่มแรกยังมีห้าร้อยกว่าหน้า ทั้งหมดรวมสี่เล่มมีจำนวนหน้าถึงสองพันสี่ร้อยกว่าหน้า การอ่านหนังสือชุดนี้ต้องใช้พลังงานและความพยายามพอสมควร
#เรื่องเล่าจากมหากาพย์มหาภารตะ #เล่ม1 #ตอนกำเนิดพี่น้องเการพและปาณฑพ #รีวิวหนังสือ
เรื่องเล่าจากมหากาพย์ มหาภารตะ เล่ม 1 ตอนกำเนิดพี่น้องเการพและปาณฑพ เป็นหนังสือที่อยากอ่านมากและคิดว่าต้องอ่านให้จบ นอกจากนี้ยังเป็นหนังสือที่หายากมากๆชุดหนึ่ง เราโชคดีที่ได้มีโอกาสได้เป็นเจ้าของฉบับพิมพ์ซ้ำปี พ.ศ.2564 เนื้อเรื่องมีความดราม่า ความเหลือเชื่อ อภินิหารต่างและความไม่มีเหตุมีผลหลายอย่าง(555) ผสมกับตัวละครมากมายที่มีลักษณะเฉพาะ การลำดับเหตุการณ์ที่ อ.วีระ ได้พยายามเรียบเรียง ทำให้หนังสือชุดนี้เป็นหนังสือชุดอมตะชุดหนึ่งของประเทศไทย มหากาพย์มหาภารตะ เป็นหนึ่งในสองนิยาย+ตำนานของประเทศอินเดียที่มีอายุประมาณ 3,00 0 ปีมาแล้ว อีกเรื่องหนึ่งคือมหากาพย์รามเกียรติ แต่มหากาพย์มหาภารตะจะเป็นที่รู้จักน้อยกว่า และในไทยก็มีผู้ที่ให้ความสนใจน้อยกว่า อ.วีระ อยากศึกษาเรื่องนี้เนื่องจาก อ.ไปเที่ยวเขมร และเห็นภาพสลักหินนูนต่ำที่มีเรื่องราวของมหากาพย์มหาภารตะอยู่มากมาย อ.ข้องใจตัวเองที่ไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน ก็เลยจัดการค้นคว้าตำราทั้งในไทยและต่างประเทศจำนวนมาก จนกลายมาเป็นเรื่องการเล่าเรื่องผ่านรายการวิทยุ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2546 และออกเป็น CD เสียงจำหน่ายให้ผู้สนใจ แต่ CD เล่าเรื่องนั้นที่เล่าจบไปนั้นในความเป็นจริงยังไม่จบ โดยถ้าอยากรู้ตอนจบจริงๆต้องอ่านจากหนังสือเท่านั้น อ.วีระตั้งใจที่จะทำมหากาพย์มหาภารตะออกมาเป็นรูปเล่ม ซึ่ง อ.มีข้อมูลอยู่แล้วจำนวนมากและเมื่อจัดการเรียบเรียงเรียบร้อย ค่อยตีพิมพ์ออกมาเล่มแรกเมื่อปี พ.ศ.2550 และมีตีพิมพ์ฉบับรวม 4เล่มจบบริบูรณ์ ชุดแรกเมื่อปี พ.ศ. 2553 เนื้อเรื่องของหนังสือเล่มนี้เป็นแนวเรื่องเล่า ไม่ใช่เป็นนวนิยายที่มีบทพูดของแต่ตัวละคร ซึ่งการอ่านแบบนี้ก็ได้อรรถรสไปอีกแบบ โดยเนื้อหายังครบถ้วนสมบูรณ์ ข้อดีของการเขียนออกมาเป็นเรื่องเล่าก็คือ ผู้เขียนสามารถแทรกเกร็ดความรู้ต่างๆได้ทันที ทำให้สามารถเชื่อมโยงเนื้อเรื่องและคำอธิบายเสริมให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น ในเล่มหนึ่งนี้ การเล่าเรื่องของผู้เขียนได้เล่าตั้งแต่เรื่องราวของปู่ทวดของตระกูลเการพและปาณฑพ ซึ่งทุกเรื่องราวมีที่มาที่ไปเกี่ยวโยงไปตั้งแต่ต้นจนจบ ซึ่งเล่มหนึ่งเป็นการปูพื้น และความเกี่ยวโยงของตัวละครเกือบทั้งหมด และในท้ายเล่มเป็นจุดพีคของเรื่องที่ครอบครัวปาณฑพได้ถูกหลอกให้เล่นพนันจนแพ้ราบคาบ เกือบที่จะต้องกลายเป็นทาสของตระกูลเการพ และมีเหตุการณ์ที่ตระกูลเการพได้ดูหมิ่นเหยียดหยามตระกูลปาณฑพอย่างรุนแรงที่สุด และสร้างความเจ็บช้ำน้ำใจอย่างประเมินค่าไม่ได้ จนทำให้เกิดสงครามครั้งใหญ่ในเวลาต่อมา แต่ก็มีเหตุการณ์ที่คุณพ่อฝั่งเการพต้องยอมยกเลิกการพนันครั้งนั้นไป แต่ตระกูลเการพยังขอให้ตระกูลปาณฑพเล่นพนันครั้งสุดท้าย ซึ่งตระกูลปาณฑพก็ยังแพ้อยู่ดี โดยการแพ้ครั้งนี้เงื่อนไขคือการที่พวกปาณฑพต้องเนรเทศตัวเองไปอยู่ป่าเป็นเวลา 12ปี และในปีที่13 ถ้าหามีใครพบเจอพวกเขาเข้า พวกเขาจะต้องไปอยู่ป่าอีก 12ปีวนแบบนี้ไปเรื่อยๆ เรื่องราวของมหากาพย์มหาภารตะ สนุกและน่าติดตามเป็นอย่างยิ่งแต่เนื้อหายาวมาก เล่มแรกยังมีห้าร้อยกว่าหน้า ทั้งหมดรวมสี่เล่มมีจำนวนหน้าถึงสองพันสี่ร้อยกว่าหน้า การอ่านหนังสือชุดนี้ต้องใช้พลังงานและความพยายามพอสมควร #เรื่องเล่าจากมหากาพย์มหาภารตะ #เล่ม1 #ตอนกำเนิดพี่น้องเการพและปาณฑพ #รีวิวหนังสือ0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 15 มุมมอง 0 รีวิว - พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 ทรงมีพระชนมายุ ๑๔ ชันษาเมื่อเสด็จขึ้น ครองราชย์ โดยมีสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) เป็นผู้สำเร็จราชการ ในช่วงที่ทรงเป็นยุวกษัตริย์นี้ ได้เสด็จประพาสเพื่อทอดพระเนตร “ความเจริญ” ด้วยพระองค์เองยังอาณานิคมฝรั่งที่สิงคโปร์ ชวา มลายู พม่า และอินเดีย “เพื่อไปหาตัวแบบการปกครองที่จะทำให้ประเทศเจริญรุ่งเรือง อย่างมั่นคง
ทรงส่งสมาชิกพระราชวงศ์ไปศึกษาที่สิงคโปร์ โปรดให้แปลรัฐธรรมนูญของบางประเทศในยุโรปเป็นภาษาไทย และทรงประทับใจกับกฎหมายในสมัยของนโปเลียน
เมื่อทรงบรรลุนิติภาวะเป็นกษัตริย์โดยสมบูรณ์ทรงแสดงปณิธาน ที่ "ตั้งแต่เสด็จบรมราชาภิเศกเถลิงถวัลยราชสมบัติ ตั้งพระราชหฤทัยจะดำรง รักษาพระนครขอบขันธสีมา ทั้งพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการแลราษฎรให้ ถาวรวัฒนายิ่งขึ้นไป ภายใน ๑ เดือน พระองค์ทรงก่อตั้งพระคลังใหม่ที่รวมศูนย์ ทรงแต่งตั้งสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน และสภาที่ปรึกษาส่วนพระองค์ โดยมีสมาชิกจากพระบรมวงศ์ หลังจากนั้นไม่นานทรงแถลงโครงการ “ปฏิรูป” ได้แก่ สิ่งที่สภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดินควรกระทำและสิ่งที่ควรยกเลิก สิ่งที่ทรงประกาศจะยกเลิกนั้นรวมทั้งการเกณฑ์แรงงาน ระบบทาสและการพนัน
จากหนังสือ ประวัติศาสตร์ไทยร่วมสมัยพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 ทรงมีพระชนมายุ ๑๔ ชันษาเมื่อเสด็จขึ้น ครองราชย์ โดยมีสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) เป็นผู้สำเร็จราชการ ในช่วงที่ทรงเป็นยุวกษัตริย์นี้ ได้เสด็จประพาสเพื่อทอดพระเนตร “ความเจริญ” ด้วยพระองค์เองยังอาณานิคมฝรั่งที่สิงคโปร์ ชวา มลายู พม่า และอินเดีย “เพื่อไปหาตัวแบบการปกครองที่จะทำให้ประเทศเจริญรุ่งเรือง อย่างมั่นคง ทรงส่งสมาชิกพระราชวงศ์ไปศึกษาที่สิงคโปร์ โปรดให้แปลรัฐธรรมนูญของบางประเทศในยุโรปเป็นภาษาไทย และทรงประทับใจกับกฎหมายในสมัยของนโปเลียน เมื่อทรงบรรลุนิติภาวะเป็นกษัตริย์โดยสมบูรณ์ทรงแสดงปณิธาน ที่ "ตั้งแต่เสด็จบรมราชาภิเศกเถลิงถวัลยราชสมบัติ ตั้งพระราชหฤทัยจะดำรง รักษาพระนครขอบขันธสีมา ทั้งพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการแลราษฎรให้ ถาวรวัฒนายิ่งขึ้นไป ภายใน ๑ เดือน พระองค์ทรงก่อตั้งพระคลังใหม่ที่รวมศูนย์ ทรงแต่งตั้งสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน และสภาที่ปรึกษาส่วนพระองค์ โดยมีสมาชิกจากพระบรมวงศ์ หลังจากนั้นไม่นานทรงแถลงโครงการ “ปฏิรูป” ได้แก่ สิ่งที่สภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดินควรกระทำและสิ่งที่ควรยกเลิก สิ่งที่ทรงประกาศจะยกเลิกนั้นรวมทั้งการเกณฑ์แรงงาน ระบบทาสและการพนัน จากหนังสือ ประวัติศาสตร์ไทยร่วมสมัย0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 22 มุมมอง 0 รีวิว - เรามักแข่งกับใครบางคนเสมอ โดยพยายามทำให้ดีกว่าคู่แข่งในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพที่ดีกว่า คุณสมบัติที่มากกว่า หรือการบริการที่เหนือกว่า เรามักเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับผู้อื่น จึงไม่มีใครนึกอยากช่วยเรา
แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราไปทำงานเพื่อแข่งกับตัวเองจะเป็นอย่างไร ถ้าเป้าหมายคือการทำงานในสัปดาห์นี้ให้ดีกว่าสัปดาห์ก่อน ทำเดือนนี้ให้ ดีกว่าเดือนก่อน ด้วยเหตุผลง่าย ๆ แค่ว่า เมื่อถึงตอนที่จากไป เราอยากให้องค์กรอยู่ในสภาพที่ดีกว่าตอนที่เราก้าวเข้ามา
จากหนังสือ Start With Whyเรามักแข่งกับใครบางคนเสมอ โดยพยายามทำให้ดีกว่าคู่แข่งในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพที่ดีกว่า คุณสมบัติที่มากกว่า หรือการบริการที่เหนือกว่า เรามักเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับผู้อื่น จึงไม่มีใครนึกอยากช่วยเรา แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราไปทำงานเพื่อแข่งกับตัวเองจะเป็นอย่างไร ถ้าเป้าหมายคือการทำงานในสัปดาห์นี้ให้ดีกว่าสัปดาห์ก่อน ทำเดือนนี้ให้ ดีกว่าเดือนก่อน ด้วยเหตุผลง่าย ๆ แค่ว่า เมื่อถึงตอนที่จากไป เราอยากให้องค์กรอยู่ในสภาพที่ดีกว่าตอนที่เราก้าวเข้ามา จากหนังสือ Start With Why0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 23 มุมมอง 0 รีวิว - งานวิจัยแสดงให้เห็นว่าเรามีแนวโน้มมองเห็นคนผิวขาวในบทบาทผู้บริหารมากกว่าซึ่งทำให้เกิดอคติในกระบวนการเลื่อนตำแหน่ง ลองพิจารณาคำว่า "เพดานไม้ไผ่" (Bamboo Ceiling) ซึ่งใช้โดยโค้ช ผู้บริหารชื่อเจน อยุน ก็ได้ซึ่งหมายความว่าทั้งๆ ที่คนอเมริกันเชื้อสายเอเชียมีแนวโน้มจะเรียนจบและได้ปริญญาสูงกว่าคนทั่วไปในอเมริกาซึ่งคิดเป็นนักศึกษาราวๆ 1 ใน 5 คนจากมหาวิทยาลัยด้านธุรกิจชั้นน่า ก็ยังเห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่มีรายชื่อติดอันดับซีอีโอระดับท็อป 500 คน ซึ่งจัดอันดับโดยนิตยสาร Fortune คนกลุ่มชาติพันธุ์มักรู้สึกว่าต้องแสดงออกและต้องทำตัวให้ดูเหมือนต้นแบบผู้นำชายผิวขาวถ้าอยากจะได้รับเกียรติอย่างจริงจัง “สำหรับนักวิชาชีพผิวดำ การครองตำแหน่งผู้บริหารถือเป็น ความท้าทายทางอารมณ์เหมือนกัน” เอเดีย ฮาร์วีย์ วิงฟิลด์ นักจิตวิทยาบอกพวกเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณเป็นผู้นำที่มาจากคนกลุ่มน้อยคนแรกขององค์กร คุณอาจต้องจำกัดตัวเองว่าควรทำตัวเปิดเผยมากน้อยแค่ไหนกับเพื่อนร่วมงานผิวขาวเพื่อไม่ให้ความน่าเชื่อถือในสายตาคนอื่นถูกทำลาย
จากหนังสือ ทำงานกับคนต้องใช้อารมณ์ให้เป็น No Hard Feelingsงานวิจัยแสดงให้เห็นว่าเรามีแนวโน้มมองเห็นคนผิวขาวในบทบาทผู้บริหารมากกว่าซึ่งทำให้เกิดอคติในกระบวนการเลื่อนตำแหน่ง ลองพิจารณาคำว่า "เพดานไม้ไผ่" (Bamboo Ceiling) ซึ่งใช้โดยโค้ช ผู้บริหารชื่อเจน อยุน ก็ได้ซึ่งหมายความว่าทั้งๆ ที่คนอเมริกันเชื้อสายเอเชียมีแนวโน้มจะเรียนจบและได้ปริญญาสูงกว่าคนทั่วไปในอเมริกาซึ่งคิดเป็นนักศึกษาราวๆ 1 ใน 5 คนจากมหาวิทยาลัยด้านธุรกิจชั้นน่า ก็ยังเห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่มีรายชื่อติดอันดับซีอีโอระดับท็อป 500 คน ซึ่งจัดอันดับโดยนิตยสาร Fortune คนกลุ่มชาติพันธุ์มักรู้สึกว่าต้องแสดงออกและต้องทำตัวให้ดูเหมือนต้นแบบผู้นำชายผิวขาวถ้าอยากจะได้รับเกียรติอย่างจริงจัง “สำหรับนักวิชาชีพผิวดำ การครองตำแหน่งผู้บริหารถือเป็น ความท้าทายทางอารมณ์เหมือนกัน” เอเดีย ฮาร์วีย์ วิงฟิลด์ นักจิตวิทยาบอกพวกเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณเป็นผู้นำที่มาจากคนกลุ่มน้อยคนแรกขององค์กร คุณอาจต้องจำกัดตัวเองว่าควรทำตัวเปิดเผยมากน้อยแค่ไหนกับเพื่อนร่วมงานผิวขาวเพื่อไม่ให้ความน่าเชื่อถือในสายตาคนอื่นถูกทำลาย จากหนังสือ ทำงานกับคนต้องใช้อารมณ์ให้เป็น No Hard Feelings1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 22 มุมมอง 0 รีวิว
เรื่องราวเพิ่มเติม