ชักชวนกันอ่านหนังสือ หนังสือไม่ว่าจะเป็นแนวไหนล้วนมีประโยชน์
- กลุ่มสาธารณะ
- 853 โพสต์
- 168 รูปภาพ
- 0 วิดีโอ
- 0 รีวิว
- ไลฟ์สไตล์
- ถ้าเรายอมรับคำขอทุกๆอย่างของเขา เด็กจะคิดว่า “คุณยอมเขาทุกอย่าง” แล้วต่อไปพวกเขาก็จะร้องไห้หรือทำอะไรก็ได้ที่จะทำให้พวกเขาได้ในสิ่งที่ต้องการ พวกเขาจะขอมากขึ้นเรื่อยๆ และสร้างปัญหาให้กับพ่อแม่
นักศึกษาศาสตร์ชาวโซเวียต มาร์คา กล่าวไว้ว่า : ผู้คนส่วนใหญ่มักจะพูดว่า ฉันเป็นแม่ ฉันเป็นพ่อ ฉันจะให้ทุกสิ่งทุกอย่างกับลูกเรายอมเสียสละทุกอย่างทำให้ลูกพอใจที่สุด นี่อาจจะเป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุดสำหรับเด็ก การทำให้เด็กทุกเรื่องที่เด็กขอมันเป็นการวางยาผิดให้กับลูกเราได้ “ฆ่า” ความสุขของลูก ถ้าเรารักลูกเราต้องรู้จักที่จะปฏิเสธ ทำให้เขารู้จักเลือก ในบางครั้งจะทำให้พวกเขาเติบโตขึ้นมาเป็นคนที่มีความรับผิดชอบในการ กระทำของตัวเอง
จากหนังสือ #พลังของการบอกใบ้ถ้าเรายอมรับคำขอทุกๆอย่างของเขา เด็กจะคิดว่า “คุณยอมเขาทุกอย่าง” แล้วต่อไปพวกเขาก็จะร้องไห้หรือทำอะไรก็ได้ที่จะทำให้พวกเขาได้ในสิ่งที่ต้องการ พวกเขาจะขอมากขึ้นเรื่อยๆ และสร้างปัญหาให้กับพ่อแม่ นักศึกษาศาสตร์ชาวโซเวียต มาร์คา กล่าวไว้ว่า : ผู้คนส่วนใหญ่มักจะพูดว่า ฉันเป็นแม่ ฉันเป็นพ่อ ฉันจะให้ทุกสิ่งทุกอย่างกับลูกเรายอมเสียสละทุกอย่างทำให้ลูกพอใจที่สุด นี่อาจจะเป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุดสำหรับเด็ก การทำให้เด็กทุกเรื่องที่เด็กขอมันเป็นการวางยาผิดให้กับลูกเราได้ “ฆ่า” ความสุขของลูก ถ้าเรารักลูกเราต้องรู้จักที่จะปฏิเสธ ทำให้เขารู้จักเลือก ในบางครั้งจะทำให้พวกเขาเติบโตขึ้นมาเป็นคนที่มีความรับผิดชอบในการ กระทำของตัวเอง จากหนังสือ #พลังของการบอกใบ้0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2 มุมมอง 0 รีวิวกรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อกดถูกใจ แชร์ และแสดงความคิดเห็น! - งานของเบรอเกิลและเอรัสมุสแนะว่าวิธีสร้างความมั่นใจให้มากขึ้นไม่ใช่การย้ำเตือนตัวเองเรื่องศักดิ์ศรี แต่เป็นการทำใจยอมรับความแปลกประหลาดของมนุษย์ให้ได้ต่างหาก ตอนนี้เราเป็นคนโง่ ในอดีตเราก็เคยเป็นคนโง่ และเราจะเป็นคนโง่ ในอนาคตต่อไปอีก มันไม่ใช่เรื่องผิดมนุษย์เราไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากนี้แล้ว
สิ่งที่เรายอมรับอย่างหน้าชื่นตาบานอยู่ก่อนแล้ว เรายอมรับว่าตัวเองโง่ โง่เหมือนพวกเขาและมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ หลังจากนั้นการเสี่ยงลองทำอะไรสักอย่างแล้วล้มเหลวก็จะไม่มีพิษสงเจ็บปวดอีกต่อไป ความกลัวว่าจะต้องอับอายขายหน้าก็ไม่ใช่อุปสรรคที่ซ่อนอยู่ในเงามืดของจิตใจแล้ว เราจะมีอิสระได้ลองทำสิ่งต่างๆ เมื่อยอมรับได้ว่าความล้มเหลวเป็นเรื่องธรรมดา ถึงโดนปฏิเสธหลายครั้งก็อาจมีสักครั้งที่ทำสำเร็จ เราอาจได้จูบ ได้เพื่อน และได้เลื่อนตำแหน่ง
จากหนังสือ #ความมั่นใจในตัวเอง #การรู้จักตัวเองงานของเบรอเกิลและเอรัสมุสแนะว่าวิธีสร้างความมั่นใจให้มากขึ้นไม่ใช่การย้ำเตือนตัวเองเรื่องศักดิ์ศรี แต่เป็นการทำใจยอมรับความแปลกประหลาดของมนุษย์ให้ได้ต่างหาก ตอนนี้เราเป็นคนโง่ ในอดีตเราก็เคยเป็นคนโง่ และเราจะเป็นคนโง่ ในอนาคตต่อไปอีก มันไม่ใช่เรื่องผิดมนุษย์เราไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากนี้แล้ว สิ่งที่เรายอมรับอย่างหน้าชื่นตาบานอยู่ก่อนแล้ว เรายอมรับว่าตัวเองโง่ โง่เหมือนพวกเขาและมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ หลังจากนั้นการเสี่ยงลองทำอะไรสักอย่างแล้วล้มเหลวก็จะไม่มีพิษสงเจ็บปวดอีกต่อไป ความกลัวว่าจะต้องอับอายขายหน้าก็ไม่ใช่อุปสรรคที่ซ่อนอยู่ในเงามืดของจิตใจแล้ว เราจะมีอิสระได้ลองทำสิ่งต่างๆ เมื่อยอมรับได้ว่าความล้มเหลวเป็นเรื่องธรรมดา ถึงโดนปฏิเสธหลายครั้งก็อาจมีสักครั้งที่ทำสำเร็จ เราอาจได้จูบ ได้เพื่อน และได้เลื่อนตำแหน่ง จากหนังสือ #ความมั่นใจในตัวเอง #การรู้จักตัวเอง0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2 มุมมอง 0 รีวิว - คนที่นึกถึงอดีตในแง่ลบ เมื่อการวางแผนแบบกำหนดเงื่อนไขเป็นเทคนิคที่ ส่งผลต่อความรู้สึกยากง่ายของงานได้ ถ้าในซอกหลืบของจิตใจคิดว่า “ฉันอาจจะไม่ไหวก็ได้” ต่อ ให้วางแผนไว้ดีเพียงใด วิธีนี้ก็อาจไม่ได้ผล
ยิ่งเป็นคนที่นึกถึงอดีตในแง่ลบมากเท่าใด การวางแผนแบบกำหนดเงื่อนไขก็จะยิ่งได้ผลน้อย ลงเท่านั้น ทุกครั้งที่ภาพเชิงลบปรากฏขึ้น เช่น “เมื่อ สัปดาห์ก่อนก็ทำงานคล้ายๆ กันนี้ไปแล้วนะ..." และ “ฉันพลาดงานเดิมๆ หลายครั้งแล้วนะ...” ความมุ่งมั่นที่มีต่อแผนนั้นก็จะลดลงไปด้วย
จากหนังสือ #YourTime #เพราะฉันแตกต่างจึงบริหารเวลาแบบนี้คนที่นึกถึงอดีตในแง่ลบ เมื่อการวางแผนแบบกำหนดเงื่อนไขเป็นเทคนิคที่ ส่งผลต่อความรู้สึกยากง่ายของงานได้ ถ้าในซอกหลืบของจิตใจคิดว่า “ฉันอาจจะไม่ไหวก็ได้” ต่อ ให้วางแผนไว้ดีเพียงใด วิธีนี้ก็อาจไม่ได้ผล ยิ่งเป็นคนที่นึกถึงอดีตในแง่ลบมากเท่าใด การวางแผนแบบกำหนดเงื่อนไขก็จะยิ่งได้ผลน้อย ลงเท่านั้น ทุกครั้งที่ภาพเชิงลบปรากฏขึ้น เช่น “เมื่อ สัปดาห์ก่อนก็ทำงานคล้ายๆ กันนี้ไปแล้วนะ..." และ “ฉันพลาดงานเดิมๆ หลายครั้งแล้วนะ...” ความมุ่งมั่นที่มีต่อแผนนั้นก็จะลดลงไปด้วย จากหนังสือ #YourTime #เพราะฉันแตกต่างจึงบริหารเวลาแบบนี้0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2 มุมมอง 0 รีวิว - Tim Kreider ได้บันทึกไว้ในบทความ “Busy Trap" จาก New York Times ว่า “ทุกคนที่ผมรู้จักกำลังยุ่งมาก พวกเขากังวลและรู้สึกผิดเวลาที่พวกเขาไม่ทำงาน หรือไม่ทำอะไรสักอย่างเพื่อให้การงานของเขาก้าวหน้า ลอดเวลา..."
จากหนังสือ #ขออภัยแต่ไม่ต้องรีบ #NoHurryNoWorryTim Kreider ได้บันทึกไว้ในบทความ “Busy Trap" จาก New York Times ว่า “ทุกคนที่ผมรู้จักกำลังยุ่งมาก พวกเขากังวลและรู้สึกผิดเวลาที่พวกเขาไม่ทำงาน หรือไม่ทำอะไรสักอย่างเพื่อให้การงานของเขาก้าวหน้า ลอดเวลา..." จากหนังสือ #ขออภัยแต่ไม่ต้องรีบ #NoHurryNoWorry0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 5 มุมมอง 0 รีวิว - ทุนนิยมศตวรรษที่ 21 Capital In The Twenty-First Century (2025/121)
ปลายปีแล้วมาเคลียร์หนังสือเล่มอ้วนกันดีกว่า
นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังชาวฝรั่งเศส Thomas Piketty ที่เคยเขียนหนังสือขายดีมาหลายเล่มแล้ว เล่มนี้เขาต้องการจัดการเรื่องความเหลื่อมล้ำในทางเศรษฐาสตร์ที่เห็นกันอย่างชัดเจนอยู่แล้วว่า ความเลื่อมล้ำของชนชั้นร่ำรวยในส่วนสูงสุด 1% ซึ่งครองความมั่งคั่งอยู่รวๆ 30% ของความมั่งคั่งทั้งหมด และถ้านับรวมชนชั้นร่ำรวย 10% พวกเขาครองสินสินทรัพย์ความมั่งคั่งไปกว่า 50% ของความมั่งคั่งทั้งหมด
ผู้เขียนซึ่งอยากจะหาวิธีลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจของทุกชนชั้น เขาเริ่มจากการหาข้อมูลมากมายในอดีต หาค่าตัวเลขและสมการเพื่อใช้ในการอ้างอิงและเปรียบเทียบ เพื่อจะหาตัวเลขที่ใกล้เคียงความเป็นจริงเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อที่จะหาสาเหตุตั้งแต่อดีตย้อนหลังไปสองร้อยกว่าปี และความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา และเขายังหาข้อเสนอแนะเท่าที่พอจะทำได้เพื่อลดความเหลื่อมล้ำที่ว่านี้
เพื่อต้องการหาที่มาที่ไป และประวัติศาสตร์ของความเหลื่อมล้ำ ผู้เขียนจึงต้องค้นคว้าหาข้อมูลเท่าที่เป็นไปได้ โดยย้อนกลับไปที่ปลายศตวรรษที่ 18 ข้อมูลที่เขานำมาใช้นั้นน่าทึ่งมาก… เขานำข้อมูลมาจากนิยายชื่อดังจากสองประเทศคือจากประเทศบ้านเกิดของเขาเอง ฝรั่งเศส โดยนักเขียน ออนอเร เดอ บาลซัก ในหนังสือที่ชื่อว่า พ่อกอริโยต์ (1835) และนักเขียน วิกเตอร์ ฮูโก ในเรื่อง ตรวนชีวิต Les Misérables (1862) และ นิยายจากประเทศอังกฤษ โดยนักเขียน เจน ออสเตน ในหลายเรื่องที่สื่อถึงความเป็นอยู่ ชีวิตของคนจนและคนรวยในขณะนั้น ค่าเงินที่อ้างอิง
ข้อมูลเริ่มจะมีมากขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 แต่กลับมาเจอเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่หนึ่งและครั้งที่สอง ซึ่งผิดเพี้ยนไปจากปกติ เขาพยายามรวบรวมข้อมูลต่อจนถึงต้นศตวรรษที่ 21 และพอจะอธิบายในเรื่องความเหลื่อมล้ำ และสาเหตุในการเปลี่ยนแปลงตัวเลขในความเหลื่อมล้ำในช่วงตลอดสองร้อยกว่าปีที่ผ่านมาได้
จากการค้นหาตัวเลขก่อนจะปูทางไปยังข้อเสนอแนะในการลดความเหลื่อมล้ำ ผู้เขียนได้เขียนอธิบายออกมาอย่างละเอียดและจนสามารถให้ผู้อ่านที่ไม่มีพื้นฐานทางด้านเศรษฐกิจ/เศรษฐศาสตร์ สามารถอ่านให้เข้าใจได้ (เจ้าตัวออกตัวว่าถ้าผู้ที่มีพื้นฐานสามารถข้ามไปได้หลายบทในช่วงต้น)
ท้ายที่สุด ผู้เขียนคิดจได้ข้อสรุปว่าการใช้ระบบภาษีที่หลากหลายและมีประสิทธิภาพ(ในแบบที่พอดี) จะทำให้ความเหลื่อมล้ำลดลงได้
#ทุนนิยมศตวรรษที่21 #Capital #CapitalInTheTwentyFirstCentury #รีวิวหนังสือ #หนังสือเล่มหนา
ทุนนิยมศตวรรษที่ 21 Capital In The Twenty-First Century (2025/121) ปลายปีแล้วมาเคลียร์หนังสือเล่มอ้วนกันดีกว่า นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังชาวฝรั่งเศส Thomas Piketty ที่เคยเขียนหนังสือขายดีมาหลายเล่มแล้ว เล่มนี้เขาต้องการจัดการเรื่องความเหลื่อมล้ำในทางเศรษฐาสตร์ที่เห็นกันอย่างชัดเจนอยู่แล้วว่า ความเลื่อมล้ำของชนชั้นร่ำรวยในส่วนสูงสุด 1% ซึ่งครองความมั่งคั่งอยู่รวๆ 30% ของความมั่งคั่งทั้งหมด และถ้านับรวมชนชั้นร่ำรวย 10% พวกเขาครองสินสินทรัพย์ความมั่งคั่งไปกว่า 50% ของความมั่งคั่งทั้งหมด ผู้เขียนซึ่งอยากจะหาวิธีลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจของทุกชนชั้น เขาเริ่มจากการหาข้อมูลมากมายในอดีต หาค่าตัวเลขและสมการเพื่อใช้ในการอ้างอิงและเปรียบเทียบ เพื่อจะหาตัวเลขที่ใกล้เคียงความเป็นจริงเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อที่จะหาสาเหตุตั้งแต่อดีตย้อนหลังไปสองร้อยกว่าปี และความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา และเขายังหาข้อเสนอแนะเท่าที่พอจะทำได้เพื่อลดความเหลื่อมล้ำที่ว่านี้ เพื่อต้องการหาที่มาที่ไป และประวัติศาสตร์ของความเหลื่อมล้ำ ผู้เขียนจึงต้องค้นคว้าหาข้อมูลเท่าที่เป็นไปได้ โดยย้อนกลับไปที่ปลายศตวรรษที่ 18 ข้อมูลที่เขานำมาใช้นั้นน่าทึ่งมาก… เขานำข้อมูลมาจากนิยายชื่อดังจากสองประเทศคือจากประเทศบ้านเกิดของเขาเอง ฝรั่งเศส โดยนักเขียน ออนอเร เดอ บาลซัก ในหนังสือที่ชื่อว่า พ่อกอริโยต์ (1835) และนักเขียน วิกเตอร์ ฮูโก ในเรื่อง ตรวนชีวิต Les Misérables (1862) และ นิยายจากประเทศอังกฤษ โดยนักเขียน เจน ออสเตน ในหลายเรื่องที่สื่อถึงความเป็นอยู่ ชีวิตของคนจนและคนรวยในขณะนั้น ค่าเงินที่อ้างอิง ข้อมูลเริ่มจะมีมากขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 แต่กลับมาเจอเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่หนึ่งและครั้งที่สอง ซึ่งผิดเพี้ยนไปจากปกติ เขาพยายามรวบรวมข้อมูลต่อจนถึงต้นศตวรรษที่ 21 และพอจะอธิบายในเรื่องความเหลื่อมล้ำ และสาเหตุในการเปลี่ยนแปลงตัวเลขในความเหลื่อมล้ำในช่วงตลอดสองร้อยกว่าปีที่ผ่านมาได้ จากการค้นหาตัวเลขก่อนจะปูทางไปยังข้อเสนอแนะในการลดความเหลื่อมล้ำ ผู้เขียนได้เขียนอธิบายออกมาอย่างละเอียดและจนสามารถให้ผู้อ่านที่ไม่มีพื้นฐานทางด้านเศรษฐกิจ/เศรษฐศาสตร์ สามารถอ่านให้เข้าใจได้ (เจ้าตัวออกตัวว่าถ้าผู้ที่มีพื้นฐานสามารถข้ามไปได้หลายบทในช่วงต้น) ท้ายที่สุด ผู้เขียนคิดจได้ข้อสรุปว่าการใช้ระบบภาษีที่หลากหลายและมีประสิทธิภาพ(ในแบบที่พอดี) จะทำให้ความเหลื่อมล้ำลดลงได้ #ทุนนิยมศตวรรษที่21 #Capital #CapitalInTheTwentyFirstCentury #รีวิวหนังสือ #หนังสือเล่มหนา0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 6 มุมมอง 0 รีวิว - ซิลแวน โกลด์แมน (Sylvan Goldman) และ หลังจากที่เขาซื้อกิจการของร้านขายของชำขนาดเล็กหลายแห่งในปี 1934 เขาก็สังเกตเห็นว่า ลูกค้าของเขาหยุดการซื้อ เมื่อตะกร้าใส่สินค้าที่พวกเขาถือเริ่มหนักเกินไป นี่สร้างแรงบันดาลใจให้เขาคิดค้นรถเข็นสินค้าขึ้นมา ซึ่งในตอนแรกสุดที่คิดค้นขึ้นมานั้น รถเข็นเป็นเพียงเก้าอี้พับได้ที่มีล้อและตะกร้าเหล็กที่มีน้ำหนักมากติดอยู่คู่หนึ่ง สิ่งประดิษฐ์นี้ดูไม่คุ้นตาเสียจนใน ตอนแรกไม่มีลูกค้าของโกลด์แมนใช้แม้แต่คนเดียว แม้กระทั่งหลังจากที่เขาสร้างรถเข็นขึ้นมา จำนวนมากเกินพอ วางรถเข็นไว้ในจุดที่เด่นสะดุดตาในร้านและขึ้นป้ายอธิบายการใช้งาน และประโยชน์ของรถเข็นแล้วก็ตาม เขารู้สึกหงุดหงิดและพร้อมจะยอมแพ้ แต่เขาก็ทดลองแนวคิดอีกอย่างเพื่อลดความไม่แน่ใจของลูกค้าดู ซึ่งเป็นแนวคิดที่อยู่บนหลักเรื่องการพิสูจน์จากสังคม โดยเขาจ้างคนให้มาเลือกซื้อสินค้าพร้อมเข็นรถไปทั่วร้าน ไม่นานหลังจากนั้นลูกค้าจริงของเขาก็เริ่มทำตาม สิ่งประดิษฐ์ของเขาได้รับความนิยมไปทั่วประเทศและเขาก็เสียชีวิตในฐานะชายผู้ร่ำรวยที่มีทรัพย์สินมูลค่ากว่า 400 ล้านดอลลาร์
จากหนังสือ #Influence #กลยุทธ์โน้มน้าวและจูงใจคนซิลแวน โกลด์แมน (Sylvan Goldman) และ หลังจากที่เขาซื้อกิจการของร้านขายของชำขนาดเล็กหลายแห่งในปี 1934 เขาก็สังเกตเห็นว่า ลูกค้าของเขาหยุดการซื้อ เมื่อตะกร้าใส่สินค้าที่พวกเขาถือเริ่มหนักเกินไป นี่สร้างแรงบันดาลใจให้เขาคิดค้นรถเข็นสินค้าขึ้นมา ซึ่งในตอนแรกสุดที่คิดค้นขึ้นมานั้น รถเข็นเป็นเพียงเก้าอี้พับได้ที่มีล้อและตะกร้าเหล็กที่มีน้ำหนักมากติดอยู่คู่หนึ่ง สิ่งประดิษฐ์นี้ดูไม่คุ้นตาเสียจนใน ตอนแรกไม่มีลูกค้าของโกลด์แมนใช้แม้แต่คนเดียว แม้กระทั่งหลังจากที่เขาสร้างรถเข็นขึ้นมา จำนวนมากเกินพอ วางรถเข็นไว้ในจุดที่เด่นสะดุดตาในร้านและขึ้นป้ายอธิบายการใช้งาน และประโยชน์ของรถเข็นแล้วก็ตาม เขารู้สึกหงุดหงิดและพร้อมจะยอมแพ้ แต่เขาก็ทดลองแนวคิดอีกอย่างเพื่อลดความไม่แน่ใจของลูกค้าดู ซึ่งเป็นแนวคิดที่อยู่บนหลักเรื่องการพิสูจน์จากสังคม โดยเขาจ้างคนให้มาเลือกซื้อสินค้าพร้อมเข็นรถไปทั่วร้าน ไม่นานหลังจากนั้นลูกค้าจริงของเขาก็เริ่มทำตาม สิ่งประดิษฐ์ของเขาได้รับความนิยมไปทั่วประเทศและเขาก็เสียชีวิตในฐานะชายผู้ร่ำรวยที่มีทรัพย์สินมูลค่ากว่า 400 ล้านดอลลาร์ จากหนังสือ #Influence #กลยุทธ์โน้มน้าวและจูงใจคน0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 7 มุมมอง 0 รีวิว - บุคลิกกล้าบ้าบิ่นและรักอิสระเวลาอยู่ในที่สาธารณะของแบรนสัน รวมถึงการเป็นผู้ชายผมยาวสีทอง หน้าตาหล่อเหมือนดารา ขี้อวด และชอบโฆษณาตนเองจนติดเป็นนิสัย อาจทำให้เราเข้าใจเขาผิดได้ เพราะในที่ส่วนตัวนั้น แบรนสันเป็นคนที่ตั้งใจฟังคนอื่นอย่างเอาเป็นเอาตาย เขาจะปล่อยให้คนอื่นเป็นฝ่ายพูดทั้งหมด เขาบอกว่าตนเองได้กลายเป็นนักฟังเพราะความจำเป็น กล่าวคือ เขามีภาวะผิดปกติด้านการอ่านและภาษา (Dyslexia) เขาจึงจบการศึกษามาได้ด้วยการฟัง มากกว่าการอ่าน
ที่จริงแล้วมีเจ้าของธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอีกหลายคนเป็นโรคนี้ ผมสงสัยว่าพวกเขาก็คงเหมือนกับแบรนสัน คือพัฒนาทักษะ การฟังอันทรงพลังมาตั้งแต่เด็ก จนความสามารถนี้เป็นประโยชน์ กับพวกเขาเมื่อก้าวเข้ามาในโลกธุรกิจ ตอนที่แบรนสันนั่งเขียน หนังสือเกี่ยวกับการบริหารคน The Virgin Way: Everything I Know About Leadership เขาอุทิศเนื้อหาหนึ่งในสามของเล่มให้กับศิลปะ การฟัง และยังเขียนคำคมอันทรงพลังไว้ด้วยว่า “ไม่มีใครเรียนรู้สิ่งใด จากการฟังตัวเองพูด"
เทคนิคการฟังของแบรนสันอีกอย่างหนึ่งคือการจดบันทึก เขามีสมุดบันทึกเล่มหนึ่งอยู่กับตัวเองตลอดเวลา และสนับสนุนให้พนักงาน ทำแบบเดียวกัน เพราะการจดบันทึกจะทำให้คุณจดจ่อกับสิ่งที่คนอื่นพูด และยังเป็นการแสดงให้ผู้พูดเห็นว่าคุณสนใจและใส่ใจกับสิ่งที่เขาพูดด้วย
จากหนังสือ #พลังแห่งการหยุดพูดในโลกที่คนพูดไม่หยุด #STFUบุคลิกกล้าบ้าบิ่นและรักอิสระเวลาอยู่ในที่สาธารณะของแบรนสัน รวมถึงการเป็นผู้ชายผมยาวสีทอง หน้าตาหล่อเหมือนดารา ขี้อวด และชอบโฆษณาตนเองจนติดเป็นนิสัย อาจทำให้เราเข้าใจเขาผิดได้ เพราะในที่ส่วนตัวนั้น แบรนสันเป็นคนที่ตั้งใจฟังคนอื่นอย่างเอาเป็นเอาตาย เขาจะปล่อยให้คนอื่นเป็นฝ่ายพูดทั้งหมด เขาบอกว่าตนเองได้กลายเป็นนักฟังเพราะความจำเป็น กล่าวคือ เขามีภาวะผิดปกติด้านการอ่านและภาษา (Dyslexia) เขาจึงจบการศึกษามาได้ด้วยการฟัง มากกว่าการอ่าน ที่จริงแล้วมีเจ้าของธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอีกหลายคนเป็นโรคนี้ ผมสงสัยว่าพวกเขาก็คงเหมือนกับแบรนสัน คือพัฒนาทักษะ การฟังอันทรงพลังมาตั้งแต่เด็ก จนความสามารถนี้เป็นประโยชน์ กับพวกเขาเมื่อก้าวเข้ามาในโลกธุรกิจ ตอนที่แบรนสันนั่งเขียน หนังสือเกี่ยวกับการบริหารคน The Virgin Way: Everything I Know About Leadership เขาอุทิศเนื้อหาหนึ่งในสามของเล่มให้กับศิลปะ การฟัง และยังเขียนคำคมอันทรงพลังไว้ด้วยว่า “ไม่มีใครเรียนรู้สิ่งใด จากการฟังตัวเองพูด" เทคนิคการฟังของแบรนสันอีกอย่างหนึ่งคือการจดบันทึก เขามีสมุดบันทึกเล่มหนึ่งอยู่กับตัวเองตลอดเวลา และสนับสนุนให้พนักงาน ทำแบบเดียวกัน เพราะการจดบันทึกจะทำให้คุณจดจ่อกับสิ่งที่คนอื่นพูด และยังเป็นการแสดงให้ผู้พูดเห็นว่าคุณสนใจและใส่ใจกับสิ่งที่เขาพูดด้วย จากหนังสือ #พลังแห่งการหยุดพูดในโลกที่คนพูดไม่หยุด #STFU0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 7 มุมมอง 0 รีวิว - ลี วัย 78 ปี อุทิศทั้งชีวิตให้แก่การทำความเข้าใจการทำงานของสมองมนุษย์ รวมถึงวิธีที่เราสะกดจิตตนเองจากการใช้ความคิด เขาบอกผมว่า “เรามักถูกโปรแกรมจิตมาตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก เราถูกสะกดจิตด้วยมุมมองด้านลบที่มีต่อตัวเอง สิ่งนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ตอนที่เรายังเป็นเด็กเล็กๆ แต่เราก็มีอำนาจถอดมนต์สะกดด้วยความคิดของเราเหมือนกัน เราต้องเลือกว่าจะปลูกดอกไม้หรือวัชพืชลงไปในใจ จิตใต้สำนึกถือว่าทุกความคิดเป็นคาถาสะกด”
จากหนังสือ #ความลับ5ข้อที่คุณต้องค้นให้พบก่อนตายลี วัย 78 ปี อุทิศทั้งชีวิตให้แก่การทำความเข้าใจการทำงานของสมองมนุษย์ รวมถึงวิธีที่เราสะกดจิตตนเองจากการใช้ความคิด เขาบอกผมว่า “เรามักถูกโปรแกรมจิตมาตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก เราถูกสะกดจิตด้วยมุมมองด้านลบที่มีต่อตัวเอง สิ่งนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ตอนที่เรายังเป็นเด็กเล็กๆ แต่เราก็มีอำนาจถอดมนต์สะกดด้วยความคิดของเราเหมือนกัน เราต้องเลือกว่าจะปลูกดอกไม้หรือวัชพืชลงไปในใจ จิตใต้สำนึกถือว่าทุกความคิดเป็นคาถาสะกด” จากหนังสือ #ความลับ5ข้อที่คุณต้องค้นให้พบก่อนตาย0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 7 มุมมอง 0 รีวิว - ความเล็กของเรา (เรามีเครื่องบินไม่กี่ลำเท่านั้น) ทำให้สามารถมอบประสบการณ์การบินแก่ลูกค้าของเราชนิดที่สายการบินที่มีฝูงบินขนาดใหญ่ไม่สามารถทำได้ เช่น ผู้โดยสารชั้นอัพเปอร์คลาสของเรา (ซึ่งคิดราคาเทียบเท่ากับชั้นธุรกิจ แต่ให้บริการเทียบเท่าเฟิร์สต์ตลาสทุกประการ) จะมีบริการรับ-ส่ง ระหว่างสนามบินกับบ้านหรือโรงแรมฟรีด้วยรถลิมูซีนซึ่งหากคู่แข่งของเราอยากมีบริการนี้บ้าง พวกเขาจะต้องทำในทุกเส้นทางทั่วโลก ไม่ใช่แค่บางเส้นทางที่มีเวอร์จิ้นเป็นคู่แข่ง เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นสิ่งที่แพงมากสำหรับพวกเขา
จากหนังสือ #LikeAVerginความเล็กของเรา (เรามีเครื่องบินไม่กี่ลำเท่านั้น) ทำให้สามารถมอบประสบการณ์การบินแก่ลูกค้าของเราชนิดที่สายการบินที่มีฝูงบินขนาดใหญ่ไม่สามารถทำได้ เช่น ผู้โดยสารชั้นอัพเปอร์คลาสของเรา (ซึ่งคิดราคาเทียบเท่ากับชั้นธุรกิจ แต่ให้บริการเทียบเท่าเฟิร์สต์ตลาสทุกประการ) จะมีบริการรับ-ส่ง ระหว่างสนามบินกับบ้านหรือโรงแรมฟรีด้วยรถลิมูซีนซึ่งหากคู่แข่งของเราอยากมีบริการนี้บ้าง พวกเขาจะต้องทำในทุกเส้นทางทั่วโลก ไม่ใช่แค่บางเส้นทางที่มีเวอร์จิ้นเป็นคู่แข่ง เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นสิ่งที่แพงมากสำหรับพวกเขา จากหนังสือ #LikeAVergin0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 7 มุมมอง 0 รีวิว - คณะราษฎรฝ่ายพลเรือนข้างนายปรีดี ประสบความสำเร็จในการนำสยามสู่ "ความเจริญ" ตามสมควร แต่ความพยายามสร้างความชอบธรรมให้กับระบอบการปกครองใหม่ผ่านระบบผู้แทนราษฎร ไม่ได้ก้าวหน้าไปเท่าที่ควร รัฐธรรมนูญฉบับถาวรซึ่งประกาศใช้เมื่อเดือนธันวาคม ๒๔๗๕ กำหนดให้มี สภาเดียวโดยมีสมาชิก ๒ ประเภท ครึ่งหนึ่งมาจากการเลือกตั้งอีกครึ่งหนึ่งมาจากการแต่งตั้ง โดยทฤษฎีคณะรัฐมนตรีต้องรับผิดชอบกับสภานี้ แต่ก็อาจจะครอบงำสภาได้โดยใช้สมาชิกแต่งตั้งครึ่งหนึ่งนั้น ต้นปี ๒๔๗๖ กลุ่มนิยมเจ้ากลุ่มหนึ่งพยายามก่อตั้งพรรคการเมือง แต่พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวไม่ทรง ยินยอมและทรงพยายามทำให้พรรคการเมืองทั้งหมดผิดกฎหมาย ซึ่งรวมทั้งคณะราษฎรด้วยต่อมาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเสนอร่างพระราชบัญญัติพรรคการเมือง แต่รัฐบาลก็ปฏิเสธด้วยกลัวว่าถ้าผ่านกฎหมายนี้จะเอื้อให้ กลุ่มนิยมเจ้าหวนคืนสู่อำนาจได้อีก
จากหนังสือ #ประวัติศาสตร์ไทยร่วมสมัยคณะราษฎรฝ่ายพลเรือนข้างนายปรีดี ประสบความสำเร็จในการนำสยามสู่ "ความเจริญ" ตามสมควร แต่ความพยายามสร้างความชอบธรรมให้กับระบอบการปกครองใหม่ผ่านระบบผู้แทนราษฎร ไม่ได้ก้าวหน้าไปเท่าที่ควร รัฐธรรมนูญฉบับถาวรซึ่งประกาศใช้เมื่อเดือนธันวาคม ๒๔๗๕ กำหนดให้มี สภาเดียวโดยมีสมาชิก ๒ ประเภท ครึ่งหนึ่งมาจากการเลือกตั้งอีกครึ่งหนึ่งมาจากการแต่งตั้ง โดยทฤษฎีคณะรัฐมนตรีต้องรับผิดชอบกับสภานี้ แต่ก็อาจจะครอบงำสภาได้โดยใช้สมาชิกแต่งตั้งครึ่งหนึ่งนั้น ต้นปี ๒๔๗๖ กลุ่มนิยมเจ้ากลุ่มหนึ่งพยายามก่อตั้งพรรคการเมือง แต่พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวไม่ทรง ยินยอมและทรงพยายามทำให้พรรคการเมืองทั้งหมดผิดกฎหมาย ซึ่งรวมทั้งคณะราษฎรด้วยต่อมาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเสนอร่างพระราชบัญญัติพรรคการเมือง แต่รัฐบาลก็ปฏิเสธด้วยกลัวว่าถ้าผ่านกฎหมายนี้จะเอื้อให้ กลุ่มนิยมเจ้าหวนคืนสู่อำนาจได้อีก จากหนังสือ #ประวัติศาสตร์ไทยร่วมสมัย0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 10 มุมมอง 0 รีวิว - ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า "การบิดขี้เกียจ" ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่สัตว์ส่วนใหญ่ทํา และเป็นปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายที่มนุษย์เรามักจะมองข้ามไปอยู่บ่อยครั้งทั้งๆ ที่มันช่วยให้เรากินนอนอย่างแจ่มใสและเป็นการริ่มต้น วันใหม่ที่ดี
จากหนังสือ #HowToLiveLikeYourCatปรากฏการณ์นี้เรียกว่า "การบิดขี้เกียจ" ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่สัตว์ส่วนใหญ่ทํา และเป็นปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายที่มนุษย์เรามักจะมองข้ามไปอยู่บ่อยครั้งทั้งๆ ที่มันช่วยให้เรากินนอนอย่างแจ่มใสและเป็นการริ่มต้น วันใหม่ที่ดี จากหนังสือ #HowToLiveLikeYourCat0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 10 มุมมอง 0 รีวิว - 5 วัน หลังการตายของพี่ชายที่ฉันเกลียด (2025/120)
หนังสือเล่มนี้ไม่ใช่นิยาย น่าจะถูกจัดอยู่ในหมวดสารคดี
ผู้เขียนนำเอาประสบการณ์ชีวิตส่วนตัวของตัวเอง ที่เล่าเรื่องชีวิตช่วงหนึ่งที่เธอต้องได้รับหน้าที่ในการจัดการศพของพี่ชายที่เสียชีวิตกระทันหัน และก็ตามปกหนังสือเลยพี่ชายคนเดียวของเธอที่มีกันสองพี่น้องนั้นเองที่เป็นคนที่เธอเกลียด เนื่องจากเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นดังนั้นจึงไม่มีเรื่องเซอร์ไพรส์ใดๆ แต่ก็ได้รับข้อมูลจริงที่เกิดขึ้นในด้านการจัดการงานศพของชาวญี่ปุ่น และหลังจากนั้น หนังเล่มบางเล่มนี้อธิบายความรู้สึกของผู้เขียนได้ครบถ้วน เปิดมุมของของชีวิตชาวญี่ปุ่นได้เป็นอย่างดี
#5วันหลังการตายของพี่ชายที่ฉันเกลียด #รีวิวหนังสือ5 วัน หลังการตายของพี่ชายที่ฉันเกลียด (2025/120) หนังสือเล่มนี้ไม่ใช่นิยาย น่าจะถูกจัดอยู่ในหมวดสารคดี ผู้เขียนนำเอาประสบการณ์ชีวิตส่วนตัวของตัวเอง ที่เล่าเรื่องชีวิตช่วงหนึ่งที่เธอต้องได้รับหน้าที่ในการจัดการศพของพี่ชายที่เสียชีวิตกระทันหัน และก็ตามปกหนังสือเลยพี่ชายคนเดียวของเธอที่มีกันสองพี่น้องนั้นเองที่เป็นคนที่เธอเกลียด เนื่องจากเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นดังนั้นจึงไม่มีเรื่องเซอร์ไพรส์ใดๆ แต่ก็ได้รับข้อมูลจริงที่เกิดขึ้นในด้านการจัดการงานศพของชาวญี่ปุ่น และหลังจากนั้น หนังเล่มบางเล่มนี้อธิบายความรู้สึกของผู้เขียนได้ครบถ้วน เปิดมุมของของชีวิตชาวญี่ปุ่นได้เป็นอย่างดี #5วันหลังการตายของพี่ชายที่ฉันเกลียด #รีวิวหนังสือ0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 12 มุมมอง 0 รีวิว - สำหรับทั้งสหรัฐฯและจีน มีบางด้านที่แต่ละฝ่ายเห็นว่าสำคัญที่สุด โดยหลักแล้วอยู่บนพื้นฐานเรื่องความใกล้ชิด (พวกเขาให้ความสนใจมากที่สุดเกี่ยวกับประเทศและพื้นที่ที่อยู่ใกล้พวกเขามากที่สุด) และ/หรือการได้มาซึ่งสิ่งที่จำเป็น (พวกเขาให้ความสนใจมากที่สุดเกี่ยวกับการไม่ถูกตัดขาดจากแร่ธาตุและเทคโนโลยีที่จำเป็น) และให้ความสำคัญเรื่องตลาดส่งออกในระดับที่รองลงมา พื้นที่ที่สำคัญที่สุดสำหรับชาวจีนเป็นอันดับแรกคือพื้นที่ซึ่งพวกเขาถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของจีน รองลงมาคือบริเวณชายแดน(ในทะเลจีน ต่างๆ) และในพื้นที่เส้นทางขนส่งหลัก(ประเทศกลุ่ม Belt and Road) หรือพื้นที่ ซึ่งเป็นแหล่งผู้ผลิตสินค้าและวัตถุดิบเพื่อการนำเข้าที่สำคัญ และอันดับสามคือประเทศต่างๆ ที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจหรือเชิงกลยุทธ์สำหรับการเข้า เป็นพันธมิตร
จากหนังสือ #TheChangingWorldOrderสำหรับทั้งสหรัฐฯและจีน มีบางด้านที่แต่ละฝ่ายเห็นว่าสำคัญที่สุด โดยหลักแล้วอยู่บนพื้นฐานเรื่องความใกล้ชิด (พวกเขาให้ความสนใจมากที่สุดเกี่ยวกับประเทศและพื้นที่ที่อยู่ใกล้พวกเขามากที่สุด) และ/หรือการได้มาซึ่งสิ่งที่จำเป็น (พวกเขาให้ความสนใจมากที่สุดเกี่ยวกับการไม่ถูกตัดขาดจากแร่ธาตุและเทคโนโลยีที่จำเป็น) และให้ความสำคัญเรื่องตลาดส่งออกในระดับที่รองลงมา พื้นที่ที่สำคัญที่สุดสำหรับชาวจีนเป็นอันดับแรกคือพื้นที่ซึ่งพวกเขาถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของจีน รองลงมาคือบริเวณชายแดน(ในทะเลจีน ต่างๆ) และในพื้นที่เส้นทางขนส่งหลัก(ประเทศกลุ่ม Belt and Road) หรือพื้นที่ ซึ่งเป็นแหล่งผู้ผลิตสินค้าและวัตถุดิบเพื่อการนำเข้าที่สำคัญ และอันดับสามคือประเทศต่างๆ ที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจหรือเชิงกลยุทธ์สำหรับการเข้า เป็นพันธมิตร จากหนังสือ #TheChangingWorldOrder0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 12 มุมมอง 0 รีวิว - ฉันหยิบกรณีนี้มาเล่าให้ฟังก็เพราะมันเป็นเรื่องที่สำคัญกับทุกคน หากนาธานรู้ล่วงหน้าว่าเขาจะทำอาชีพอะไรตอนอายุ 35 ปี เขาก็คงทั้งดีใจและประหลาดใจสุดๆ แต่เจ้าตัวคงคิดไม่ออกว่าจะ หาทางก้าวจากจุดเริ่มต้นที่อยากเป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษใน ยูทาห์ ไปเป็นอาจารย์สอนวิชาธุรกิจในสถาบันชื่อดังที่ฝรั่งเศสได้ อย่างไร กุญแจสำคัญก็คือการเล็งเป้าหมายใหญ่ๆแล้วค่อยๆ ก้าวไปยังทิศทางนั้น สุดท้ายคุณก็จะประสบความสำเร็จเกินกว่าที่ จินตนาการไว้มากมายนัก
จากหนังสือ #น่าจะรู้อย่างนี้ตั้งแต่ตอนอายุ20ฉันหยิบกรณีนี้มาเล่าให้ฟังก็เพราะมันเป็นเรื่องที่สำคัญกับทุกคน หากนาธานรู้ล่วงหน้าว่าเขาจะทำอาชีพอะไรตอนอายุ 35 ปี เขาก็คงทั้งดีใจและประหลาดใจสุดๆ แต่เจ้าตัวคงคิดไม่ออกว่าจะ หาทางก้าวจากจุดเริ่มต้นที่อยากเป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษใน ยูทาห์ ไปเป็นอาจารย์สอนวิชาธุรกิจในสถาบันชื่อดังที่ฝรั่งเศสได้ อย่างไร กุญแจสำคัญก็คือการเล็งเป้าหมายใหญ่ๆแล้วค่อยๆ ก้าวไปยังทิศทางนั้น สุดท้ายคุณก็จะประสบความสำเร็จเกินกว่าที่ จินตนาการไว้มากมายนัก จากหนังสือ #น่าจะรู้อย่างนี้ตั้งแต่ตอนอายุ200 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 12 มุมมอง 0 รีวิว - คนเจน Z ตอนนี้จะเป็นตัวเอกด้านการบริโภคและพยายามจะใช้พฤติกรรมการบริโภค ของตนเองในการเคลื่อนไหวโลก ตัวอย่าง เช่น มีความเคลื่อนไหวที่จะซื้อ(buycott) สินค้าหรือบริการของบริษัทที่มีค่านิยมเคารพในความหลากหลาย และคว่ำบาตร(boycott) สินค้าหรือบริการของบริษัทที่ไม่เป็นเช่นนั้น คนเจน Z ไม่คิดจะซื้อสินค้าหรือบริการด้วยเกณฑ์ด้านฟังก์ชัน หรือราคาอย่างเดียวเหมือนคนรุ่นก่อน แต่จะเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคของพวกเขาตามแต่ว่าจะมีความรู้สึกร่วมกับค่านิยมหรือโลกทัศน์ที่บริษัทนั้นนำเสนอหรือไม่
จากหนังสือ #สุดยอดกลยุทธ์8บริษัทแนวหน้าของโลกคนเจน Z ตอนนี้จะเป็นตัวเอกด้านการบริโภคและพยายามจะใช้พฤติกรรมการบริโภค ของตนเองในการเคลื่อนไหวโลก ตัวอย่าง เช่น มีความเคลื่อนไหวที่จะซื้อ(buycott) สินค้าหรือบริการของบริษัทที่มีค่านิยมเคารพในความหลากหลาย และคว่ำบาตร(boycott) สินค้าหรือบริการของบริษัทที่ไม่เป็นเช่นนั้น คนเจน Z ไม่คิดจะซื้อสินค้าหรือบริการด้วยเกณฑ์ด้านฟังก์ชัน หรือราคาอย่างเดียวเหมือนคนรุ่นก่อน แต่จะเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคของพวกเขาตามแต่ว่าจะมีความรู้สึกร่วมกับค่านิยมหรือโลกทัศน์ที่บริษัทนั้นนำเสนอหรือไม่ จากหนังสือ #สุดยอดกลยุทธ์8บริษัทแนวหน้าของโลก0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 12 มุมมอง 0 รีวิว - เมื่อตัวตนอันสูงส่งอยู่ที่ไหน เจ้าพรายกระซิบก็จะอยู่ตรงนั้นด้วยเหมือนกันและจะไม่หนีหายไปไหนเลย อย่ามัวเสียเวลาคร่ำครวญอยู่เลยว่านานๆ มันจึงจะผุดขึ้นมาสักที! ฉันขอรับรองเลยว่ามันจะยังอยู่ที่ ตรงนั้น คุณต้องตระหนักรู้ว่าในใจคุณมีเจ้าพรายกระซิบอยู่จริงๆ และคุณก็ยังมีอะไรมากกว่านั้น รวมทั้งตัวตนอันสูงส่งด้วย ไม่มีอะไรถูกหรือผิด แต่ละอย่างแค่จะทำให้คุณได้รับประสบการณ์ในชีวิตที่ไม่เหมือนกันเท่านั้นเอง
จากหนังสือ #วิธีเปลี่ยนความกลัวที่มีอยู่ในใจเมื่อตัวตนอันสูงส่งอยู่ที่ไหน เจ้าพรายกระซิบก็จะอยู่ตรงนั้นด้วยเหมือนกันและจะไม่หนีหายไปไหนเลย อย่ามัวเสียเวลาคร่ำครวญอยู่เลยว่านานๆ มันจึงจะผุดขึ้นมาสักที! ฉันขอรับรองเลยว่ามันจะยังอยู่ที่ ตรงนั้น คุณต้องตระหนักรู้ว่าในใจคุณมีเจ้าพรายกระซิบอยู่จริงๆ และคุณก็ยังมีอะไรมากกว่านั้น รวมทั้งตัวตนอันสูงส่งด้วย ไม่มีอะไรถูกหรือผิด แต่ละอย่างแค่จะทำให้คุณได้รับประสบการณ์ในชีวิตที่ไม่เหมือนกันเท่านั้นเอง จากหนังสือ #วิธีเปลี่ยนความกลัวที่มีอยู่ในใจ0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 12 มุมมอง 0 รีวิว - ทฤษฎีกลยุทธ์ คือ การรวบรวมคำสอนของคนรุ่นก่อน เป็นต้นว่า “ในเวลาแบบนี้ถ้าใช้วิธีการต่อผู้นี้ก็แพ้ได้ยาก" หรือ "มิสิทธิ์ชนะสูงขึ้นนะ" สิ่งสำคัญคือ การเรียนรู้ ภูมิปัญญาของคนรุ่นก่อนให้ดี และตกผลึกมาเป็นแนวทางสำหรับทํางานออกแบบ
จากหนังสือ #PackageDesignเพื่อการตลาดยุค5.0ทฤษฎีกลยุทธ์ คือ การรวบรวมคำสอนของคนรุ่นก่อน เป็นต้นว่า “ในเวลาแบบนี้ถ้าใช้วิธีการต่อผู้นี้ก็แพ้ได้ยาก" หรือ "มิสิทธิ์ชนะสูงขึ้นนะ" สิ่งสำคัญคือ การเรียนรู้ ภูมิปัญญาของคนรุ่นก่อนให้ดี และตกผลึกมาเป็นแนวทางสำหรับทํางานออกแบบ จากหนังสือ #PackageDesignเพื่อการตลาดยุค5.00 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 12 มุมมอง 0 รีวิว - "There is a very easy way to return from a casino with a small fortune: go there with a large one.” Jack Yelton
“วิธีง่ายๆ ที่จะกลับมาจากกาสิโนด้วยสมบัติ ขนาดเล็ก คือ ไปที่นั่นด้วยสมบัติขนาดใหญ่” แจ็ค เยลตัน
จากหนังสือ #30วิธีเอาชนะโชคชะตา
"There is a very easy way to return from a casino with a small fortune: go there with a large one.” Jack Yelton “วิธีง่ายๆ ที่จะกลับมาจากกาสิโนด้วยสมบัติ ขนาดเล็ก คือ ไปที่นั่นด้วยสมบัติขนาดใหญ่” แจ็ค เยลตัน จากหนังสือ #30วิธีเอาชนะโชคชะตา0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 12 มุมมอง 0 รีวิว - ความลี้ลับของเวลา The Order Of Time (2025/119)
เรื่องของเวลาที่เขียนโดยนักควอนตัมฟิสิกส์ ต่อคำถามที่ว่าถ้าจับเวลาของคนที่ถือนาฬิกาอยู่บนพื้นกับคนที่ถือนาฬิกาอยู่บนภูเขา เวลาเดินเท่ากันหรือไม่? คำตอบคือ ถ้าใช้นาฬิกาที่มีความเที่ยงตรงมากๆ จะสามารถวัดความแตกต่างที่ต่างกันของเวลาได้ เวลาที่พื้นดินเดินเร็วกว่าเวลาที่ภูเขา
นักวิทยาศาสตร์มากมายหลายคนที่ต้องการเข้าใจเรื่องของเวลา อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ก็เป็นคนหนึ่งในนั้น เขาค้นพบว่าโดยทั่วไปสมการของฟิสิกส์จะต้องมีตัวแปรที่เป็นเวลาเข้ามาอยู่ในสมการเสมอ แต่เขาเห็นว่าสมการแม่เหล็กไฟฟ้าของ แม็กซ์เวล (สมการของแมกซ์เวลล์ (อังกฤษ: Maxwell's equations) ประกอบด้วยสมการ 4 สมการ ตั้งชื่อตาม เจมส์ เคลิร์ก แมกซ์เวลล์ โดย โอลิเวอร์ เฮวิไซด์ สมการทั้ง 4 นี้ใช้อธิบายถึงพฤติกรรมของ สนามไฟฟ้า และ สนามแม่เหล็ก รวมถึงปฏิกิริยาที่มีต่อสารต่าง ๆ) ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก และพยายามค้นคว้าว่าจะสามารถอธิบายเรื่องเวลาว่าเป็นอย่างไร หนังสือเล่มนี้มีคำตอบหลากหลายแง่มุมครับ
จากการวิเคราะห์ทางฟิสิกส์ ผู้เขียนเห็นว่าเวลาเป็นสิ่งสมมติที่ไม่สามารถอ้างอิงได้ เวลาที่เรียกว่าปัจจุบันเป็นเรื่องไร้สาระ และเวลาในอดีตหรืออนาคตก็ไม่มีเช่นกัน มีการพิสูจน์ว่าเวลาที่ต่างกันเกิดจากแรงดึงดูดระหว่างมวลที่ต่างกันทำให้เวลาเดินต่างกัน นี่ยังไม่รวมถึงเวลาที่เราเห็นภาพต่างๆในระยะไกลในตอนนั้น มันก็ไม่ใช่เวลาปัจจุบันที่เกิดขึ้นในขณะนั้นจริงๆ เช่นแสงอาทิตย์ที่เราได้เห็นในตอนนี้ มันเกิดขึ้นในเวลาก่อนหน้านี้หรือก็คือมันผ่านมาแล้วประมาณ 8นาทีก่อนจากดวงอาทิตย์ ไหนเรื่องเวลาจะเกิดจากการเปรียบเทียบในมุมของของแต่ละคนในจุดที่มองอยู่ และยิ่งไปกว่านั้นถ้ามองในมุมมองของจักรวาลใหญ่ที่มองมาถึงมนุษย์ตัวเล็กๆอย่างเรา เรื่องของเวลาจึงแทบจะแตกต่างกันจนไม่สามารถนิยามได้ นอกจากนี้เวลายังอยู่ในเรื่องของควอนตัมฟิสิกส์อีกด้วย นั่นยิ่งทำให้เกิดการสุ่มของเวลาที่อาจจะสามารถระบุได้หรือไม่สามารถระบุได้เลยในส่วนใหญ่ นอกจากนี้ยังมีการอธิบายว่าเวลาไม่มีจริง สิ่งที่จริงก็คือพลังงานซึ่งนักฟิสิกส์สามารถอธิบายได้
บทสรุปของผู้เขียนจึงมองว่าเวลาไม่ควรเป็นสิ่งที่ต้องสนใจเพราะในความเป็นจริงก็ยังไม่สามารถพิสูจน์อะไรได้เลยว่าจริงๆแล้วเราอยู่ตรงไหนของเวลา
#ความลี้ลับของเวลา #TheOrderOfTime #รีวิวหนังสือ
ความลี้ลับของเวลา The Order Of Time (2025/119) เรื่องของเวลาที่เขียนโดยนักควอนตัมฟิสิกส์ ต่อคำถามที่ว่าถ้าจับเวลาของคนที่ถือนาฬิกาอยู่บนพื้นกับคนที่ถือนาฬิกาอยู่บนภูเขา เวลาเดินเท่ากันหรือไม่? คำตอบคือ ถ้าใช้นาฬิกาที่มีความเที่ยงตรงมากๆ จะสามารถวัดความแตกต่างที่ต่างกันของเวลาได้ เวลาที่พื้นดินเดินเร็วกว่าเวลาที่ภูเขา นักวิทยาศาสตร์มากมายหลายคนที่ต้องการเข้าใจเรื่องของเวลา อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ก็เป็นคนหนึ่งในนั้น เขาค้นพบว่าโดยทั่วไปสมการของฟิสิกส์จะต้องมีตัวแปรที่เป็นเวลาเข้ามาอยู่ในสมการเสมอ แต่เขาเห็นว่าสมการแม่เหล็กไฟฟ้าของ แม็กซ์เวล (สมการของแมกซ์เวลล์ (อังกฤษ: Maxwell's equations) ประกอบด้วยสมการ 4 สมการ ตั้งชื่อตาม เจมส์ เคลิร์ก แมกซ์เวลล์ โดย โอลิเวอร์ เฮวิไซด์ สมการทั้ง 4 นี้ใช้อธิบายถึงพฤติกรรมของ สนามไฟฟ้า และ สนามแม่เหล็ก รวมถึงปฏิกิริยาที่มีต่อสารต่าง ๆ) ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก และพยายามค้นคว้าว่าจะสามารถอธิบายเรื่องเวลาว่าเป็นอย่างไร หนังสือเล่มนี้มีคำตอบหลากหลายแง่มุมครับ จากการวิเคราะห์ทางฟิสิกส์ ผู้เขียนเห็นว่าเวลาเป็นสิ่งสมมติที่ไม่สามารถอ้างอิงได้ เวลาที่เรียกว่าปัจจุบันเป็นเรื่องไร้สาระ และเวลาในอดีตหรืออนาคตก็ไม่มีเช่นกัน มีการพิสูจน์ว่าเวลาที่ต่างกันเกิดจากแรงดึงดูดระหว่างมวลที่ต่างกันทำให้เวลาเดินต่างกัน นี่ยังไม่รวมถึงเวลาที่เราเห็นภาพต่างๆในระยะไกลในตอนนั้น มันก็ไม่ใช่เวลาปัจจุบันที่เกิดขึ้นในขณะนั้นจริงๆ เช่นแสงอาทิตย์ที่เราได้เห็นในตอนนี้ มันเกิดขึ้นในเวลาก่อนหน้านี้หรือก็คือมันผ่านมาแล้วประมาณ 8นาทีก่อนจากดวงอาทิตย์ ไหนเรื่องเวลาจะเกิดจากการเปรียบเทียบในมุมของของแต่ละคนในจุดที่มองอยู่ และยิ่งไปกว่านั้นถ้ามองในมุมมองของจักรวาลใหญ่ที่มองมาถึงมนุษย์ตัวเล็กๆอย่างเรา เรื่องของเวลาจึงแทบจะแตกต่างกันจนไม่สามารถนิยามได้ นอกจากนี้เวลายังอยู่ในเรื่องของควอนตัมฟิสิกส์อีกด้วย นั่นยิ่งทำให้เกิดการสุ่มของเวลาที่อาจจะสามารถระบุได้หรือไม่สามารถระบุได้เลยในส่วนใหญ่ นอกจากนี้ยังมีการอธิบายว่าเวลาไม่มีจริง สิ่งที่จริงก็คือพลังงานซึ่งนักฟิสิกส์สามารถอธิบายได้ บทสรุปของผู้เขียนจึงมองว่าเวลาไม่ควรเป็นสิ่งที่ต้องสนใจเพราะในความเป็นจริงก็ยังไม่สามารถพิสูจน์อะไรได้เลยว่าจริงๆแล้วเราอยู่ตรงไหนของเวลา #ความลี้ลับของเวลา #TheOrderOfTime #รีวิวหนังสือ0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 15 มุมมอง 0 รีวิว - ระหว่างปี 1991 ถึง 2020 ดัชนี S&P 500 ซึ่งเป็นดัชนีของบริษัท มหาชนที่ใหญ่ที่สุด 500 แห่งในสหรัฐอเมริกา ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 9.77% ต่อปี
เหล่าผู้ที่ลงทุนในหุ้นแต่ละตัวก็ไม่คุ้มค่าเช่นกัน การศึกษาโดยที่ ปรึกษาของ Bernstein พบว่าในช่วงเวลาเดียวกันนักลงทุนรายย่อยโดย เฉลี่ยที่ซื้อหุ้นแต่ละตัวได้รับผลตอบแทนเพียง 2.1% ต่อปี ซึ่งหมายความ ว่าในช่วงระยะเวลา 30 ปี “ชายบนท้องถนน” มีประสิทธิภาพต่ำกว่า สินทรัพย์ทุกประเภท รวมถึงเงินสดด้วย (เช่น ตั๋วเงินคลัง 3 เดือน)
จากหนังสือ #8ขั้นตอนลงทุนในหุ้นระยะยาวระหว่างปี 1991 ถึง 2020 ดัชนี S&P 500 ซึ่งเป็นดัชนีของบริษัท มหาชนที่ใหญ่ที่สุด 500 แห่งในสหรัฐอเมริกา ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 9.77% ต่อปี เหล่าผู้ที่ลงทุนในหุ้นแต่ละตัวก็ไม่คุ้มค่าเช่นกัน การศึกษาโดยที่ ปรึกษาของ Bernstein พบว่าในช่วงเวลาเดียวกันนักลงทุนรายย่อยโดย เฉลี่ยที่ซื้อหุ้นแต่ละตัวได้รับผลตอบแทนเพียง 2.1% ต่อปี ซึ่งหมายความ ว่าในช่วงระยะเวลา 30 ปี “ชายบนท้องถนน” มีประสิทธิภาพต่ำกว่า สินทรัพย์ทุกประเภท รวมถึงเงินสดด้วย (เช่น ตั๋วเงินคลัง 3 เดือน) จากหนังสือ #8ขั้นตอนลงทุนในหุ้นระยะยาว0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 15 มุมมอง 0 รีวิว - ทำไมกฎหมายและระเบียบข้อบังคับมากมาย บริษัท และสถาบันหลายแห่ง จึงเริ่มต้นจากสมมติฐานที่ว่าคนไว้ใจไม่ได้ ในเมื่อวิทยาศาสตร์บอกกับเราอยู่เรื่อย ๆ ว่าพวกเราอยู่บนโลก A ทำไมเรายังคงดึงดันที่จะเชื่อว่าเราอยู่บนโลก B
จากหนังสือ #Humankindทำไมกฎหมายและระเบียบข้อบังคับมากมาย บริษัท และสถาบันหลายแห่ง จึงเริ่มต้นจากสมมติฐานที่ว่าคนไว้ใจไม่ได้ ในเมื่อวิทยาศาสตร์บอกกับเราอยู่เรื่อย ๆ ว่าพวกเราอยู่บนโลก A ทำไมเรายังคงดึงดันที่จะเชื่อว่าเราอยู่บนโลก B จากหนังสือ #Humankind0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 15 มุมมอง 0 รีวิว - ในปี 1957 นักเขียนชื่อ เอโอดอร์ เกเซล เขียนหนังสือด้วยแนวคิดเดียวกับวลี “ก็แค่ปฏิเสธ” บรรณาธิการหนังสือของเธโอดอร์ชื่อ เบนเน็ต เคิร์ฟ ท้าพนันว่าเขาไม่มีทางเขียนหนังสือด้วยการใช้คำเพียง 50 คำอย่าง แน่นอน สำหรับคนทั่วๆไปแล้ว ข้อจำกัดนี้คงเป็นอุปสรรคกีดขวางที่ยากจะก้าวผ่าน และที่แน่ๆ พวกเขาคงขอเพิ่มจำนวนคำที่ใช้เขียน
ทว่าเธโอดอร์กลับมองว่าข้อจำกัดดังกล่าวเป็นอิสรภาพอย่างหนึ่ง มันทำให้เขาทุ่มเทศึกษาพจนานุกรมและเลือกถ้อยคำมาใช้อย่างสร้างสรรค์ ผลก็คือเธโอดอร์ เกเซล หรือที่รู้จักกันในชื่อ ดร.ซูส ได้เขียนหนังสือที่ทำราย ได้มหาศาลและโด่งดังมากที่สุดของเขา หนังสือเล่มนั้นชื่อว่า Green Eggs and Ham
จากหนังสือ #Stretch
ในปี 1957 นักเขียนชื่อ เอโอดอร์ เกเซล เขียนหนังสือด้วยแนวคิดเดียวกับวลี “ก็แค่ปฏิเสธ” บรรณาธิการหนังสือของเธโอดอร์ชื่อ เบนเน็ต เคิร์ฟ ท้าพนันว่าเขาไม่มีทางเขียนหนังสือด้วยการใช้คำเพียง 50 คำอย่าง แน่นอน สำหรับคนทั่วๆไปแล้ว ข้อจำกัดนี้คงเป็นอุปสรรคกีดขวางที่ยากจะก้าวผ่าน และที่แน่ๆ พวกเขาคงขอเพิ่มจำนวนคำที่ใช้เขียน ทว่าเธโอดอร์กลับมองว่าข้อจำกัดดังกล่าวเป็นอิสรภาพอย่างหนึ่ง มันทำให้เขาทุ่มเทศึกษาพจนานุกรมและเลือกถ้อยคำมาใช้อย่างสร้างสรรค์ ผลก็คือเธโอดอร์ เกเซล หรือที่รู้จักกันในชื่อ ดร.ซูส ได้เขียนหนังสือที่ทำราย ได้มหาศาลและโด่งดังมากที่สุดของเขา หนังสือเล่มนั้นชื่อว่า Green Eggs and Ham จากหนังสือ #Stretch0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 15 มุมมอง 0 รีวิว - ใจมนุษย์นี้สุดซับซ้อนครับ แม้การระรานคนอื่นจะเป็นสิ่งที่ไม่ชอบธรรมก็จริง แต่ถ้าคุณโดนใครหาเรื่อง ก็ขอให้เห็นใจเถิดว่าที่อีกฝ่ายจิตใจเร่าร้อนเช่นนี้ต้องมีเหตุอะไรสักอย่างในอดีต แล้วก็อย่าลดตัวเป็นอันธพาลตอบโต้ไปเสียเองนะครับ ต่อให้คุณหรือคนที่คุณรักต้องทุกข์หนักเพราะได้รับความอยุติธรรม อย่างไรก็ตามความเข้าอกเข้าใจในพฤติกรรมของอันธพาลจะช่วยบรรเทา ความรู้สึกว่าคุณถูกข่มขู่ให้เบาบางลงได้ เพราะคุณจะเป็นฝ่ายที่มองว่าพวกเขาจิตใจอ่อนแอ ขาดอำนาจ และกำลังเป็นเหยื่อตัวจริงอยู่
จากหนังสือ #TheRulesOfPeopleใจมนุษย์นี้สุดซับซ้อนครับ แม้การระรานคนอื่นจะเป็นสิ่งที่ไม่ชอบธรรมก็จริง แต่ถ้าคุณโดนใครหาเรื่อง ก็ขอให้เห็นใจเถิดว่าที่อีกฝ่ายจิตใจเร่าร้อนเช่นนี้ต้องมีเหตุอะไรสักอย่างในอดีต แล้วก็อย่าลดตัวเป็นอันธพาลตอบโต้ไปเสียเองนะครับ ต่อให้คุณหรือคนที่คุณรักต้องทุกข์หนักเพราะได้รับความอยุติธรรม อย่างไรก็ตามความเข้าอกเข้าใจในพฤติกรรมของอันธพาลจะช่วยบรรเทา ความรู้สึกว่าคุณถูกข่มขู่ให้เบาบางลงได้ เพราะคุณจะเป็นฝ่ายที่มองว่าพวกเขาจิตใจอ่อนแอ ขาดอำนาจ และกำลังเป็นเหยื่อตัวจริงอยู่ จากหนังสือ #TheRulesOfPeople0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 15 มุมมอง 0 รีวิว - ในหนังสือ ยุคเศรษฐกิจที่สี่ (The Fourth Economy) รอน เดวิสัน ได้แบ่ง ช่วงเวลา 700 ปีในประวัติศาสตร์ออกเป็นยุคทางเศรษฐกิจ 3 ยุคคือ ยุค เกษตรกรรม (ปี 1300-1700), ยุคอุตสาหกรรม (ปี 1700-1900) และ ยุคของความรู้ (ปี 1900-2000)
จากหนังสือ #TheEndOfJobsในหนังสือ ยุคเศรษฐกิจที่สี่ (The Fourth Economy) รอน เดวิสัน ได้แบ่ง ช่วงเวลา 700 ปีในประวัติศาสตร์ออกเป็นยุคทางเศรษฐกิจ 3 ยุคคือ ยุค เกษตรกรรม (ปี 1300-1700), ยุคอุตสาหกรรม (ปี 1700-1900) และ ยุคของความรู้ (ปี 1900-2000) จากหนังสือ #TheEndOfJobs0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 16 มุมมอง 0 รีวิว - ตลอด 3,000 ปีที่ผ่านมาการดัดกะโหลกเด็กเกิดขึ้นในหลายครั้ง แต่ในบางกรณีเราไม่รู้ว่าทำไปเพื่ออะไร เหตุผลที่เรียบง่ายที่สุดคือมันจะทำให้รู้ทันทีว่าคุณเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มไหน ซึ่งอาจเป็นกลุ่ม วัฒนธรรม สังคมในวงกว้างหรืออาจเป็นชนชั้นทางสังคม บางทีมันอาจเป็นแค่แฟชั่น เมื่อ 270,000 ปีที่แล้วตอนที่ชาวฮั่นขยายอาณาจักรไปยังยุโรปตะวันออกและเอเชีย กลุ่มคนที่มีปฏิสัมพันธ์กับชาวฮั่นเริ่มตัดรูปทรงหัวกะโหลกเด็กตามพวกเขา ตอนนั้นมันเป็นกระแสแฟชั่นอย่างหนึ่งและสิ่งนี้เองที่ทำให้เรา รู้ว่าชาวฮั่นเคยมีอิทธิพลอยู่ในบริเวณใดบ้างของทวีปนั้น
จากหนังสือ #ความลับของกระดูกตลอด 3,000 ปีที่ผ่านมาการดัดกะโหลกเด็กเกิดขึ้นในหลายครั้ง แต่ในบางกรณีเราไม่รู้ว่าทำไปเพื่ออะไร เหตุผลที่เรียบง่ายที่สุดคือมันจะทำให้รู้ทันทีว่าคุณเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มไหน ซึ่งอาจเป็นกลุ่ม วัฒนธรรม สังคมในวงกว้างหรืออาจเป็นชนชั้นทางสังคม บางทีมันอาจเป็นแค่แฟชั่น เมื่อ 270,000 ปีที่แล้วตอนที่ชาวฮั่นขยายอาณาจักรไปยังยุโรปตะวันออกและเอเชีย กลุ่มคนที่มีปฏิสัมพันธ์กับชาวฮั่นเริ่มตัดรูปทรงหัวกะโหลกเด็กตามพวกเขา ตอนนั้นมันเป็นกระแสแฟชั่นอย่างหนึ่งและสิ่งนี้เองที่ทำให้เรา รู้ว่าชาวฮั่นเคยมีอิทธิพลอยู่ในบริเวณใดบ้างของทวีปนั้น จากหนังสือ #ความลับของกระดูก0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 17 มุมมอง 0 รีวิว
เรื่องราวเพิ่มเติม