• 4 ปี ทุ่งสังหาร “พะโค” ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์หงสาวดี 82 ศพ แสงไฟฉายจากมือถือ ฤาจะสู้เปลวไฟจากไรเฟิล บทบาทของโลกที่เงียบงัน

    ✍️ เหตุการณ์ที่พะโคเมื่อ 9 เมษายน 2564 คือหนึ่งในความรุนแรง หลังรัฐประหารเมียนมา ที่โลกไม่ควรลืม กับการสังหารหมู่พลเรือน 82 ราย ภายใต้เงียบสงัดของประชาคมโลก และการประท้วงด้วยแสงไฟจากมือถือ ที่ไม่อาจสู้เปลวไฟจากปืนไรเฟิลได้ พะโคต้องไม่ใช่แค่บทเรียนที่ถูกลืม 🔥

    🧭 เสียงเงียบที่กลบเสียงปืน เมื่อเช้าวันศุกร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2564 ประชาชนในเมืองพะโค ประเทศเมียนมา ตื่นขึ้นมาท่ามกลางเสียงปืนดังสนั่น 🚨 ไม่นานจากเหตุการณ์รัฐประหารในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ กองทัพพม่าเริ่มปฏิบัติการ กวาดล้างการต่อต้านอย่างรุนแรง เหตุการณ์ที่เมืองพะโคในวันนั้น กลายเป็นการสังหารหมู่ที่ร้ายแรงที่สุดในช่วงหลังรัฐประหาร ด้วยจำนวนผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 82 ศพ ในวันเดียว 😢

    แต่สิ่งที่เจ็บปวดยิ่งกว่ากระสุน คือ “ความเงียบ” ของโลก 🌍 ที่ไม่มีเสียงเรียกร้องความยุติธรรมที่เพียงพอ

    🏞️ "พะโค" (Bago) หรือหงสาวดี เป็นเมืองสำคัญทางภาคใต้ของเมียนมา ห่างจากย่างกุ้งเพียง 91 กิโลเมตร 🌏 เคยเป็นเมืองหลวง ของอาณาจักรมอญและตองอู ปัจจุบันเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจ และวัฒนธรรมที่สำคัญ อยู่ใกล้เส้นทางยุทธศาสตร์ และง่ายต่อการเคลื่อนย้ายกำลังพลของกองทัพ

    จุดยุทธศาสตร์นี้เอง ทำให้พะโคกลายเป็นพื้นที่สำคัญ ที่ประชาชนใช้ประท้วง และกองทัพใช้เพื่อ “แสดงพลัง” 💣

    🔫 เหตุการณ์ 9 เมษายน 2564 วันที่ไฟจากไรเฟิลกลืนชีวิต

    ⏰ เวลาเริ่มต้น ตี 4 กองทัพเมียนมาส่งทหาร 250 นาย เข้าบุกบ้านเรือนในย่านชินสอบู, นันตอว์ยา, มอว์กัน และปนนาซู ใกล้พระราชวังกัมโพชธานี

    ⚔️ เวลา 05.00 น. ทหาร 5 หน่วย เริ่มกราดยิงผู้ชุมนุมโดยไม่เลือกหน้า ใช้อาวุธสงครามเต็มรูปแบบ ประชาชนสู้กลับด้วยระเบิดปิงปอง และขว้างสิ่งของ ✊

    เจ้าหน้าที่ทหาร เข้าควบคุมสถานการณ์ได้ในช่วง 10.00 น.

    🩸 ผลที่ตามมา มีพลเรือนเสียชีวิตอย่างน้อย 82 ราย บุคลากรแพทย์ถูกขัดขวาง ไม่ให้เข้าช่วยเหลือ บางศพถูกกองรวมไว้ในเจดีย์เสยะมุนี บางศพถูกเผาทิ้ง...เพื่อปิดบังหลักฐาน

    📈 ลำดับเหตุการณ์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
    9 เม.ย. 64 ช่วงเช้า ทหารบุกบ้านเรือน ยิงสดประชาชน
    9 เม.ย. 64 ช่วงสาย นำศพมากองรวมในเจดีย์ ปิดล้อมพื้นที่
    10 เม.ย. 64 เอเอพีพีรายงานยอดเสียชีวิต 82 ราย
    11 เม.ย. 64 UN เรียกร้องให้ยุติความรุนแรงทันที

    💣 อาวุธที่ใช้: ปืนไรเฟิล, ระเบิดแรงสูง, ยิงใส่ผู้ชุมนุมแบบสุ่ม

    📷 วิดีโอจาก AFP แสดงให้เห็นผู้ชุมนุม ใช้กระสอบทรายเป็นเกราะกำบัง

    💡 บทบาทของชาวพะโค และการต่อต้านด้วย “แสงไฟ” เมื่ออาวุธหนักเป็นของทหาร... แต่ประชาชนมีเพียงโทรศัพท์มือถือ พวกเขาเลือกใช้ แสงไฟแฟลช 📱 เป็นเครื่องมือแห่งการต่อต้าน ✨ Flash Strike หรือ “การชุมนุมเงียบ” ในช่วงค่ำคืน

    คนเมียนมาเปิดไฟฉายมือถือ ร้องเพลงต้านรัฐประหาร เป็นสัญลักษณ์ของ “แสงแห่งเสรีภาพ” ที่สู้กับ “เปลวไฟจากกระสุน” แม้รู้ว่าจะโดนยิง...แต่ยังคงยืนหยัด

    🧯 การตอบสนองของรัฐบาลทหาร ปฏิเสธข้อเท็จจริง

    📺 ทางการเมียนมารายงานว่า มีผู้เสียชีวิตเพียง “1 ราย” ในเหตุการณ์พะโค

    📵 อินเทอร์เน็ตถูกตัดขาด ข้อมูลถูกปิดกั้น

    ⛔ ความจริงที่พยายามลบล้าง ขัดขวางไม่ให้หน่วยแพทย์เข้าถึงพื้นที่ ขนศพขึ้นรถบรรทุกไปซ่อน เผาศพทิ้งเพื่อทำลายหลักฐาน นี่คือการบิดเบือนความจริง อย่างเป็นระบบ 🧠

    🧊 ความเงียบของประชาคมโลก = การสมรู้ร่วมคิด? แม้มีหลักฐานจำนวนมากจากคลิปวิดีโอ 📹 และรายงานจาก NGOs แต่… ประชาคมโลกกลับเลือก “นิ่งเงียบ” 🫥

    🌐 คำถามที่คาใจ
    ทำไมไม่มีการแทรกแซงจาก UN?
    การเรียกร้องความช่วยเหลือถูกละเลยหรือไม่?
    การคว่ำบาตรเศรษฐกิจเพียงพอหรือเปล่า?

    เสียงจากคนตาย...อาจเงียบ แต่ “ความเงียบของโลก” ดังกว่า

    🌍 องค์กรสิทธิมนุษยชน และความพยายามในการเปิดโปงความจริง องค์กรที่เกี่ยวข้อง เช่น AAPP หรือสมาคมช่วยเหลือนักโทษการเมือง, Myanmar Now, AFP, BBC Burmese, Amnesty International 📣 ได้รายงานเหตุการณ์นี้ให้โลกได้รับรู้ แต่ยังขาด “กลไกที่มีผลบังคับ” ในการดำเนินคดี ต่อผู้นำกองทัพเมียนมา

    🕯️ พะโคในความทรงจำของชาวเมียนมา “แสงจากมือถือ...อาจไม่ชนะไฟจากปืน แต่แสงนั้นจะไม่มีวันดับในใจเรา” ผู้ประท้วงนิรนามในพะโค

    พะโคกลายเป็น “สัญลักษณ์แห่งการเสียสละ” เป็นคำเตือนว่า เสรีภาพไม่ได้ได้มาโดยง่าย และไม่ควรถูกลืม

    ✅ พะโคต้องไม่ใช่แค่บทเรียนที่ถูกลืม 4 ปีผ่านไป...ความยุติธรรมยังไม่มา 🕰️ แต่ความหวังยังอยู่ในแสงแฟลชของประชาชน

    พะโคไม่ใช่แค่ “เหตุการณ์” แต่คือ “หน้าหนึ่งในประวัติศาสตร์ ที่ต้องเขียนด้วยความจริง”

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 090953 เม.ย. 2568

    📱 #พะโค #เมียนมา #FlashStrike #รัฐประหารเมียนมา #สังหารหมู่ #สิทธิมนุษยชน #ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ #UN #SaveMyanmar #BagoMassacre
    4 ปี ทุ่งสังหาร “พะโค” ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์หงสาวดี 82 ศพ แสงไฟฉายจากมือถือ ฤาจะสู้เปลวไฟจากไรเฟิล บทบาทของโลกที่เงียบงัน ✍️ เหตุการณ์ที่พะโคเมื่อ 9 เมษายน 2564 คือหนึ่งในความรุนแรง หลังรัฐประหารเมียนมา ที่โลกไม่ควรลืม กับการสังหารหมู่พลเรือน 82 ราย ภายใต้เงียบสงัดของประชาคมโลก และการประท้วงด้วยแสงไฟจากมือถือ ที่ไม่อาจสู้เปลวไฟจากปืนไรเฟิลได้ พะโคต้องไม่ใช่แค่บทเรียนที่ถูกลืม 🔥 🧭 เสียงเงียบที่กลบเสียงปืน เมื่อเช้าวันศุกร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2564 ประชาชนในเมืองพะโค ประเทศเมียนมา ตื่นขึ้นมาท่ามกลางเสียงปืนดังสนั่น 🚨 ไม่นานจากเหตุการณ์รัฐประหารในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ กองทัพพม่าเริ่มปฏิบัติการ กวาดล้างการต่อต้านอย่างรุนแรง เหตุการณ์ที่เมืองพะโคในวันนั้น กลายเป็นการสังหารหมู่ที่ร้ายแรงที่สุดในช่วงหลังรัฐประหาร ด้วยจำนวนผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 82 ศพ ในวันเดียว 😢 แต่สิ่งที่เจ็บปวดยิ่งกว่ากระสุน คือ “ความเงียบ” ของโลก 🌍 ที่ไม่มีเสียงเรียกร้องความยุติธรรมที่เพียงพอ 🏞️ "พะโค" (Bago) หรือหงสาวดี เป็นเมืองสำคัญทางภาคใต้ของเมียนมา ห่างจากย่างกุ้งเพียง 91 กิโลเมตร 🌏 เคยเป็นเมืองหลวง ของอาณาจักรมอญและตองอู ปัจจุบันเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจ และวัฒนธรรมที่สำคัญ อยู่ใกล้เส้นทางยุทธศาสตร์ และง่ายต่อการเคลื่อนย้ายกำลังพลของกองทัพ จุดยุทธศาสตร์นี้เอง ทำให้พะโคกลายเป็นพื้นที่สำคัญ ที่ประชาชนใช้ประท้วง และกองทัพใช้เพื่อ “แสดงพลัง” 💣 🔫 เหตุการณ์ 9 เมษายน 2564 วันที่ไฟจากไรเฟิลกลืนชีวิต ⏰ เวลาเริ่มต้น ตี 4 กองทัพเมียนมาส่งทหาร 250 นาย เข้าบุกบ้านเรือนในย่านชินสอบู, นันตอว์ยา, มอว์กัน และปนนาซู ใกล้พระราชวังกัมโพชธานี ⚔️ เวลา 05.00 น. ทหาร 5 หน่วย เริ่มกราดยิงผู้ชุมนุมโดยไม่เลือกหน้า ใช้อาวุธสงครามเต็มรูปแบบ ประชาชนสู้กลับด้วยระเบิดปิงปอง และขว้างสิ่งของ ✊ เจ้าหน้าที่ทหาร เข้าควบคุมสถานการณ์ได้ในช่วง 10.00 น. 🩸 ผลที่ตามมา มีพลเรือนเสียชีวิตอย่างน้อย 82 ราย บุคลากรแพทย์ถูกขัดขวาง ไม่ให้เข้าช่วยเหลือ บางศพถูกกองรวมไว้ในเจดีย์เสยะมุนี บางศพถูกเผาทิ้ง...เพื่อปิดบังหลักฐาน 📈 ลำดับเหตุการณ์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ 9 เม.ย. 64 ช่วงเช้า ทหารบุกบ้านเรือน ยิงสดประชาชน 9 เม.ย. 64 ช่วงสาย นำศพมากองรวมในเจดีย์ ปิดล้อมพื้นที่ 10 เม.ย. 64 เอเอพีพีรายงานยอดเสียชีวิต 82 ราย 11 เม.ย. 64 UN เรียกร้องให้ยุติความรุนแรงทันที 💣 อาวุธที่ใช้: ปืนไรเฟิล, ระเบิดแรงสูง, ยิงใส่ผู้ชุมนุมแบบสุ่ม 📷 วิดีโอจาก AFP แสดงให้เห็นผู้ชุมนุม ใช้กระสอบทรายเป็นเกราะกำบัง 💡 บทบาทของชาวพะโค และการต่อต้านด้วย “แสงไฟ” เมื่ออาวุธหนักเป็นของทหาร... แต่ประชาชนมีเพียงโทรศัพท์มือถือ พวกเขาเลือกใช้ แสงไฟแฟลช 📱 เป็นเครื่องมือแห่งการต่อต้าน ✨ Flash Strike หรือ “การชุมนุมเงียบ” ในช่วงค่ำคืน คนเมียนมาเปิดไฟฉายมือถือ ร้องเพลงต้านรัฐประหาร เป็นสัญลักษณ์ของ “แสงแห่งเสรีภาพ” ที่สู้กับ “เปลวไฟจากกระสุน” แม้รู้ว่าจะโดนยิง...แต่ยังคงยืนหยัด 🧯 การตอบสนองของรัฐบาลทหาร ปฏิเสธข้อเท็จจริง 📺 ทางการเมียนมารายงานว่า มีผู้เสียชีวิตเพียง “1 ราย” ในเหตุการณ์พะโค 📵 อินเทอร์เน็ตถูกตัดขาด ข้อมูลถูกปิดกั้น ⛔ ความจริงที่พยายามลบล้าง ขัดขวางไม่ให้หน่วยแพทย์เข้าถึงพื้นที่ ขนศพขึ้นรถบรรทุกไปซ่อน เผาศพทิ้งเพื่อทำลายหลักฐาน นี่คือการบิดเบือนความจริง อย่างเป็นระบบ 🧠 🧊 ความเงียบของประชาคมโลก = การสมรู้ร่วมคิด? แม้มีหลักฐานจำนวนมากจากคลิปวิดีโอ 📹 และรายงานจาก NGOs แต่… ประชาคมโลกกลับเลือก “นิ่งเงียบ” 🫥 🌐 คำถามที่คาใจ ทำไมไม่มีการแทรกแซงจาก UN? การเรียกร้องความช่วยเหลือถูกละเลยหรือไม่? การคว่ำบาตรเศรษฐกิจเพียงพอหรือเปล่า? เสียงจากคนตาย...อาจเงียบ แต่ “ความเงียบของโลก” ดังกว่า 🌍 องค์กรสิทธิมนุษยชน และความพยายามในการเปิดโปงความจริง องค์กรที่เกี่ยวข้อง เช่น AAPP หรือสมาคมช่วยเหลือนักโทษการเมือง, Myanmar Now, AFP, BBC Burmese, Amnesty International 📣 ได้รายงานเหตุการณ์นี้ให้โลกได้รับรู้ แต่ยังขาด “กลไกที่มีผลบังคับ” ในการดำเนินคดี ต่อผู้นำกองทัพเมียนมา 🕯️ พะโคในความทรงจำของชาวเมียนมา “แสงจากมือถือ...อาจไม่ชนะไฟจากปืน แต่แสงนั้นจะไม่มีวันดับในใจเรา” ผู้ประท้วงนิรนามในพะโค พะโคกลายเป็น “สัญลักษณ์แห่งการเสียสละ” เป็นคำเตือนว่า เสรีภาพไม่ได้ได้มาโดยง่าย และไม่ควรถูกลืม ✅ พะโคต้องไม่ใช่แค่บทเรียนที่ถูกลืม 4 ปีผ่านไป...ความยุติธรรมยังไม่มา 🕰️ แต่ความหวังยังอยู่ในแสงแฟลชของประชาชน พะโคไม่ใช่แค่ “เหตุการณ์” แต่คือ “หน้าหนึ่งในประวัติศาสตร์ ที่ต้องเขียนด้วยความจริง” ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 090953 เม.ย. 2568 📱 #พะโค #เมียนมา #FlashStrike #รัฐประหารเมียนมา #สังหารหมู่ #สิทธิมนุษยชน #ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ #UN #SaveMyanmar #BagoMassacre
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 148 มุมมอง 0 รีวิว
  • วิดีโอมุมใหม่ความยาวกว่าเดิมของการกำจัดนักเคลื่อนไหวชาตินิยมหัวรุนแรง "เดเมียน กานูล" (Demyan Ganul) ในโอเดสซา

    คลิปเดิม
    https://thaitimes.co/posts/194376

    กานูล เป็นแกนนำของขบวนการชาตินิยมหัวรุนแรงของยูเครนที่มีชื่อเสียงเรื่องความโหดเหี้ยม โดยดำรงตำแหน่งผู้นำฝ่ายความมั่นคงของกลุ่ม "Right Sector" นอกจากนี้ เขายังมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงในเหตุจลาจลเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2014 ซึ่งคือการวางเพลิงอาคารสหภาพแรงงาน จนทำให้มีผู้เสียชีวิตเกือบ 50 ราย

    นอกเหนือจากบทบาทของเขาในการสังหารหมู่ที่โอเดสซาแล้ว กานูลยังมีส่วนร่วมในกิจกรรมชาตินิยมต่างๆ เช่น:
    - การทำลายอนุสรณ์สถาน และสัญลักษณ์ต่างๆที่เกี่ยวข้องกับรัสเซีย
    - การก่อกวนการแสดงคอนเสิร์ตของศิลปินชาวรัสเซียและการทำร้ายประชาชนที่พูดภาษารัสเซีย
    - สนับสนุนความพยายามระดมพลของยูเครนอย่างแข็งขันหลังจากเริ่มปฏิบัติการทางทหารพิเศษของรัสเซีย รวมถึงการ เข้าร่วมกองกำลังใต้ดินที่คอย "ปราบปราม" ฝ่ายต่อต้านการระดมพลของยูเครน
    - เขายังมีหมายจับจากทางรัสเซียอีกด้วย

    การสังหารกานูลครั้งนี้เกิดขึ้นอย่างน่าสงสัย เนื่องจากใกล้กับวันครบรอบ 11 ปีของเหตุเพลิงไหม้และการสังหารหมู่ที่ Odessa
    วิดีโอมุมใหม่ความยาวกว่าเดิมของการกำจัดนักเคลื่อนไหวชาตินิยมหัวรุนแรง "เดเมียน กานูล" (Demyan Ganul) ในโอเดสซา คลิปเดิม https://thaitimes.co/posts/194376 กานูล เป็นแกนนำของขบวนการชาตินิยมหัวรุนแรงของยูเครนที่มีชื่อเสียงเรื่องความโหดเหี้ยม โดยดำรงตำแหน่งผู้นำฝ่ายความมั่นคงของกลุ่ม "Right Sector" นอกจากนี้ เขายังมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงในเหตุจลาจลเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2014 ซึ่งคือการวางเพลิงอาคารสหภาพแรงงาน จนทำให้มีผู้เสียชีวิตเกือบ 50 ราย นอกเหนือจากบทบาทของเขาในการสังหารหมู่ที่โอเดสซาแล้ว กานูลยังมีส่วนร่วมในกิจกรรมชาตินิยมต่างๆ เช่น: - การทำลายอนุสรณ์สถาน และสัญลักษณ์ต่างๆที่เกี่ยวข้องกับรัสเซีย - การก่อกวนการแสดงคอนเสิร์ตของศิลปินชาวรัสเซียและการทำร้ายประชาชนที่พูดภาษารัสเซีย - สนับสนุนความพยายามระดมพลของยูเครนอย่างแข็งขันหลังจากเริ่มปฏิบัติการทางทหารพิเศษของรัสเซีย รวมถึงการ เข้าร่วมกองกำลังใต้ดินที่คอย "ปราบปราม" ฝ่ายต่อต้านการระดมพลของยูเครน - เขายังมีหมายจับจากทางรัสเซียอีกด้วย การสังหารกานูลครั้งนี้เกิดขึ้นอย่างน่าสงสัย เนื่องจากใกล้กับวันครบรอบ 11 ปีของเหตุเพลิงไหม้และการสังหารหมู่ที่ Odessa
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 889 มุมมอง 0 รีวิว
  • การสังหารพลเรือนโดยสมาชิก HTS ของรัฐบาลซีเรียไม่ได้ลดลงเลย เพียงแต่พวกเขาลดการถ่ายวิดีโอลงเท่านั้น

    นี่คือการก่อเหตุสังหารหมู่ชาวชีอะห์และอลาไวย์ครั้งใหม่บนชายฝั่งซีเรียตะวันตก

    รัฐบาลของโจลานีใช้ข้ออ้างในการเข้าปราบปรามกลุ่มต่อต้าน ต่อมาพวกเขาเริ่มสังหารประชาชนจากความไม่พอใจที่มีมาตั้งแต่ในอดีต
    การสังหารพลเรือนโดยสมาชิก HTS ของรัฐบาลซีเรียไม่ได้ลดลงเลย เพียงแต่พวกเขาลดการถ่ายวิดีโอลงเท่านั้น นี่คือการก่อเหตุสังหารหมู่ชาวชีอะห์และอลาไวย์ครั้งใหม่บนชายฝั่งซีเรียตะวันตก รัฐบาลของโจลานีใช้ข้ออ้างในการเข้าปราบปรามกลุ่มต่อต้าน ต่อมาพวกเขาเริ่มสังหารประชาชนจากความไม่พอใจที่มีมาตั้งแต่ในอดีต
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 308 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทรัมป์เพิ่งสั่งโจมตีกรุงซานา เมืองหลวงของเยเมน รวมทั้งพื้นที่โดยรอบ หลังจากเยเมนปฏิเสธนั่งเฉยๆ เพื่อมองดูการสังหารหมู่ชาวปาเลสไตน์ในกาซา จากฝีมืออิสราเอล ซึ่งอเมริกาสนับสนุนอย่างเต็มที่

    การโจมตีเยเมนมีขึ้นหลังจากที่ กลุ่มฮูตีประกาศประกาศเริ่มกลับมาโจมตีเรือของอิสราเอลในทะเลแดงและทะเลอาหรับอีกครั้ง เพื่อเป็นการตอบโต้การตัดไฟฟ้าและความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมของอิสราเอลไปยังฉนวนกาซา

    เครื่องบินที่เข้าร่วมในการโจมตีทางอากาศของสหรัฐฯ ในเยเมนในวันนี้:
    เครื่องบิน P8 Poseidon ของกองทัพเรือสหรัฐฯ ขึ้นบินจากประเทศบาห์เรน
    เครื่องบินขับไล่ MQ-4C Triton ของกองทัพเรือสหรัฐฯ ขึ้นบินจากประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 🇦🇪
    RC-135V ของกองทัพอากาศสหรัฐฯ จากประเทศกาตาร์
    เครื่องบิน KC2 Voyager ของกองทัพอากาศอังกฤษ จากไซปรัส
    ฝูงบินเหล่านี้สนับสนุนการโจมตีทางอากาศโดยทำหน้าที่เฝ้าระวัง เติมเชื้อเพลิง และอื่นๆ ร่วมกับเครื่องบินขับไล่ F-18 Hornet ของกองทัพเรือสหรัฐฯ จากเรือบรรทุกเครื่องบิน USS Harry S. Truman ในทะเลแดง

    ฐานทัพสหรัฐในซาอุ กาตาร์ UAE และบาห์เรน ประกาศเตรียมพร้อมเต็มรูปแบบ หลังสหรัฐถล่มเยเมน

    ภาพจากทำเนียบขาว เผยให้เห็นทรัมป์ยืนบัญชาการโจมตีด้วยตัวเอง และยังโพสต์ข้อความระบุว่า:
    "เราจะใช้สรรพกำลังที่มีอยู่โจมตีอย่างท่วมท้นจนกว่าจะบรรลุเป้าหมาย"
    "ถึงฮูตี เวลาพวกคุณหมดแล้ว การโจมตีจากคุณจะต้องหยุดลงในวันนี้ หากยังดื้ดึง นรกจะถล่มคุณในแบบที่คุณไม่เคยเห็นมาก่อน"

    นอกจากนี้ ทรัมป์ยังส่งคำขู่ไปถึงอิหร่านว่า:
    "หยุดสนับสนุนฮูตีเดี๋ยวนี้! หากคุณยังทำต่อไป จงระวัง! เพราะอเมริกาจะถือว่าคุณมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ และเราจะไม่ปราณีใครกับเรื่องนี้"
    ทรัมป์เพิ่งสั่งโจมตีกรุงซานา เมืองหลวงของเยเมน รวมทั้งพื้นที่โดยรอบ หลังจากเยเมนปฏิเสธนั่งเฉยๆ เพื่อมองดูการสังหารหมู่ชาวปาเลสไตน์ในกาซา จากฝีมืออิสราเอล ซึ่งอเมริกาสนับสนุนอย่างเต็มที่ การโจมตีเยเมนมีขึ้นหลังจากที่ กลุ่มฮูตีประกาศประกาศเริ่มกลับมาโจมตีเรือของอิสราเอลในทะเลแดงและทะเลอาหรับอีกครั้ง เพื่อเป็นการตอบโต้การตัดไฟฟ้าและความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมของอิสราเอลไปยังฉนวนกาซา เครื่องบินที่เข้าร่วมในการโจมตีทางอากาศของสหรัฐฯ ในเยเมนในวันนี้: เครื่องบิน P8 Poseidon ของกองทัพเรือสหรัฐฯ ขึ้นบินจากประเทศบาห์เรน เครื่องบินขับไล่ MQ-4C Triton ของกองทัพเรือสหรัฐฯ ขึ้นบินจากประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 🇦🇪 RC-135V ของกองทัพอากาศสหรัฐฯ จากประเทศกาตาร์ เครื่องบิน KC2 Voyager ของกองทัพอากาศอังกฤษ จากไซปรัส ฝูงบินเหล่านี้สนับสนุนการโจมตีทางอากาศโดยทำหน้าที่เฝ้าระวัง เติมเชื้อเพลิง และอื่นๆ ร่วมกับเครื่องบินขับไล่ F-18 Hornet ของกองทัพเรือสหรัฐฯ จากเรือบรรทุกเครื่องบิน USS Harry S. Truman ในทะเลแดง ฐานทัพสหรัฐในซาอุ กาตาร์ UAE และบาห์เรน ประกาศเตรียมพร้อมเต็มรูปแบบ หลังสหรัฐถล่มเยเมน ภาพจากทำเนียบขาว เผยให้เห็นทรัมป์ยืนบัญชาการโจมตีด้วยตัวเอง และยังโพสต์ข้อความระบุว่า: "เราจะใช้สรรพกำลังที่มีอยู่โจมตีอย่างท่วมท้นจนกว่าจะบรรลุเป้าหมาย" "ถึงฮูตี เวลาพวกคุณหมดแล้ว การโจมตีจากคุณจะต้องหยุดลงในวันนี้ หากยังดื้ดึง นรกจะถล่มคุณในแบบที่คุณไม่เคยเห็นมาก่อน" นอกจากนี้ ทรัมป์ยังส่งคำขู่ไปถึงอิหร่านว่า: "หยุดสนับสนุนฮูตีเดี๋ยวนี้! หากคุณยังทำต่อไป จงระวัง! เพราะอเมริกาจะถือว่าคุณมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ และเราจะไม่ปราณีใครกับเรื่องนี้"
    Sad
    Angry
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 551 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันนี้ในโอเดสซานักเคลื่อนไหวชาตินิยมหัวรุนแรง "เดเมียน กานูล" (Demyan Ganul) ถูกสังหาร


    กานูล เป็นแกนนำของขบวนการชาตินิยมหัวรุนแรงของยูเครนที่มีชื่อเสียงเรื่องความโหดเหี้ยม โดยดำรงตำแหน่งผู้นำฝ่ายความมั่นคงของกลุ่ม "Right Sector" นอกจากนี้ เขายังมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงในเหตุจลาจลเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2014 ซึ่งคือการวางเพลิงอาคารสหภาพแรงงาน จนทำให้มีผู้เสียชีวิตเกือบ 50 ราย

    นอกเหนือจากบทบาทของเขาในการสังหารหมู่ที่โอเดสซาแล้ว กานูลยังมีส่วนร่วมในกิจกรรมชาตินิยมต่างๆ เช่น:

    - การทำลายอนุสรณ์สถาน และสัญลักษณ์ต่างๆที่เกี่ยวข้องกับรัสเซีย

    - การก่อกวนการแสดงคอนเสิร์ตของศิลปินชาวรัสเซียและการทำร้ายประชาชนที่พูดภาษารัสเซีย

    - สนับสนุนความพยายามระดมพลของยูเครนอย่างแข็งขันหลังจากเริ่มปฏิบัติการทางทหารพิเศษของรัสเซีย รวมถึงการ เข้าร่วมกองกำลังใต้ดินที่คอย "ปราบปราม" ฝ่ายต่อต้านการระดมพลของยูเครน

    - เขายังมีหมายจับจากทางรัสเซียอีกด้วย

    การสังหารกานูลครั้งนี้เกิดขึ้นอย่างน่าสงสัย เนื่องจากใกล้กับวันครบรอบ 11 ปีของเหตุเพลิงไหม้และการสังหารหมู่ที่ Odessa
    วันนี้ในโอเดสซานักเคลื่อนไหวชาตินิยมหัวรุนแรง "เดเมียน กานูล" (Demyan Ganul) ถูกสังหาร กานูล เป็นแกนนำของขบวนการชาตินิยมหัวรุนแรงของยูเครนที่มีชื่อเสียงเรื่องความโหดเหี้ยม โดยดำรงตำแหน่งผู้นำฝ่ายความมั่นคงของกลุ่ม "Right Sector" นอกจากนี้ เขายังมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงในเหตุจลาจลเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2014 ซึ่งคือการวางเพลิงอาคารสหภาพแรงงาน จนทำให้มีผู้เสียชีวิตเกือบ 50 ราย นอกเหนือจากบทบาทของเขาในการสังหารหมู่ที่โอเดสซาแล้ว กานูลยังมีส่วนร่วมในกิจกรรมชาตินิยมต่างๆ เช่น: - การทำลายอนุสรณ์สถาน และสัญลักษณ์ต่างๆที่เกี่ยวข้องกับรัสเซีย - การก่อกวนการแสดงคอนเสิร์ตของศิลปินชาวรัสเซียและการทำร้ายประชาชนที่พูดภาษารัสเซีย - สนับสนุนความพยายามระดมพลของยูเครนอย่างแข็งขันหลังจากเริ่มปฏิบัติการทางทหารพิเศษของรัสเซีย รวมถึงการ เข้าร่วมกองกำลังใต้ดินที่คอย "ปราบปราม" ฝ่ายต่อต้านการระดมพลของยูเครน - เขายังมีหมายจับจากทางรัสเซียอีกด้วย การสังหารกานูลครั้งนี้เกิดขึ้นอย่างน่าสงสัย เนื่องจากใกล้กับวันครบรอบ 11 ปีของเหตุเพลิงไหม้และการสังหารหมู่ที่ Odessa
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 900 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีแนวโน้มว่า "อาหมัด อัลชารา" ผู้นำซีเรียจะตอบรับคำเชิญของสหภาพยุโรปในการเข้าร่วมการประชุมสุดยอดที่กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยี่ยม ช่วงกลางเดือนมีนาคมนี้ ซึ่งนับเป็นการเยือนยุโรปครั้งแรกของเขา

    "จากอดีตผู้ก่อการร้ายที่มีค่าตัวสิบล้านดอลลาร์สหรัฐ ตอนนี้เขากำลังได้รับการเชิดชูและโอบอุ้มโดยชาวยุโรป ท่ามกลางข่าวการสังหารหมู่ชาวซีเรียเกือบหนึ่งพันรายในขณะที่เขาอยู่ในตำแหน่งผู้นำ ซึ่งไม่ได้มีความแตกต่างจากเมื่อก่อนที่เขาอยู่ในสถานะผู้นำกลุ่มก่อการร้าย HTS สักนิดเดียว"
    มีแนวโน้มว่า "อาหมัด อัลชารา" ผู้นำซีเรียจะตอบรับคำเชิญของสหภาพยุโรปในการเข้าร่วมการประชุมสุดยอดที่กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยี่ยม ช่วงกลางเดือนมีนาคมนี้ ซึ่งนับเป็นการเยือนยุโรปครั้งแรกของเขา "จากอดีตผู้ก่อการร้ายที่มีค่าตัวสิบล้านดอลลาร์สหรัฐ ตอนนี้เขากำลังได้รับการเชิดชูและโอบอุ้มโดยชาวยุโรป ท่ามกลางข่าวการสังหารหมู่ชาวซีเรียเกือบหนึ่งพันรายในขณะที่เขาอยู่ในตำแหน่งผู้นำ ซึ่งไม่ได้มีความแตกต่างจากเมื่อก่อนที่เขาอยู่ในสถานะผู้นำกลุ่มก่อการร้าย HTS สักนิดเดียว"
    Sad
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 246 มุมมอง 0 รีวิว
  • ภาพการสังหารหมู่ในซีเรียโดยเจ้าหน้าที่รัฐบาลซีเรีย ซึ่งเดิมคือสมาชิกก่อการร้าย HTS ยังคงมีให้เห็น แม้จะมีคำสั่ง "ห้ามถ่ายคลิปวิดีโอ" แล้วก็ตาม
    ภาพการสังหารหมู่ในซีเรียโดยเจ้าหน้าที่รัฐบาลซีเรีย ซึ่งเดิมคือสมาชิกก่อการร้าย HTS ยังคงมีให้เห็น แม้จะมีคำสั่ง "ห้ามถ่ายคลิปวิดีโอ" แล้วก็ตาม
    Sad
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 428 มุมมอง 37 0 รีวิว
  • การเดินทางของชาวยิวในประวัติ ศาสตร์ตลอดหนึ่งพันปีที่ผ่านมา

    1080 – การขับไล่จากฝรั่งเศส
    1098 – การขับไล่จากสาธารณรัฐเช็ก
    1113 – การขับไล่จากเคียฟรุส (วลาดิมีร์ โมโนมัค)
    1113 – การสังหารหมู่ชาวยิวในเคียฟ
    1147 – การขับไล่จากฝรั่งเศส
    1171 – การขับไล่จากอิตาลี
    1188 – การขับไล่จากอังกฤษ
    1198 – การขับไล่จากอังกฤษ
    1290 – การขับไล่จากอังกฤษ
    1298 – การขับไล่จากสวิตเซอร์แลนด์ (ชาวยิว 100 คนถูกประหารชีวิตด้วยการแขวนคอ)
    1306 – การขับไล่จากฝรั่งเศส (3,000 คนถูกเผาทั้งเป็น)
    1360 – การขับไล่จากฮังการี 1391 - การขับไล่ออกจากสเปน (ประหารชีวิต 30,000 คน เผาทั้งเป็น 5,000 คน)
    1394 - การขับไล่ออกจากฝรั่งเศส
    1407 - การขับไล่ออกจากโปแลนด์
    1492 - การขับไล่ออกจากสเปน (กฎหมายห้ามชาวยิวเข้าประเทศตลอดไป)
    1492 - การขับไล่ออกจากซิซิลี
    1495 - การขับไล่ออกจากลิทัวเนียและเคียฟ
    1496 - การขับไล่ออกจากโปรตุเกส
    1510 - การขับไล่ออกจากอังกฤษ
    1516 - การขับไล่ออกจากโปรตุเกส
    1516 - กฎหมายในซิซิลีอนุญาตให้ชาวยิวอาศัยอยู่ในเกตโตเท่านั้น
    1541 - การขับไล่ออกจากออสเตรีย
    1555 - การขับไล่ออกจากโปรตุเกส
    1555 - กฎหมายที่ออกในกรุงโรมอนุญาตให้ชาวยิวอาศัยอยู่ในเกตโตเท่านั้น 1567 – การขับไล่จากอิตาลี
    1570 – การขับไล่จากเยอรมนี (บรันเดนเบิร์ก)
    1580 – การขับไล่จากโนฟโกรอด (อีวานผู้โหดร้าย)
    1592 – การขับไล่จากฝรั่งเศส
    1616 – การขับไล่จากสวิตเซอร์แลนด์
    1629 – การขับไล่จากสเปนและโปรตุเกส (ฟิลิปที่ 4)
    1634 – การขับไล่จากสวิตเซอร์แลนด์
    1655 – การขับไล่จากสวิตเซอร์แลนด์
    1660 – การขับไล่จากเคียฟ
    1701 – การขับไล่ออกจากสวิตเซอร์แลนด์อย่างสมบูรณ์ (พระราชกฤษฎีกาของฟิลิปที่ 5)
    1806 – คำขาดของนโปเลียน บาดาร์จา
    1828 – การขับไล่จากเคียฟ
    1933 – การขับไล่จากเยอรมนีและการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์

    **ลำดับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์สั้นๆ นี้ เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนกับชาวยิวในช่วงพันปีที่ผ่านมาและระบุว่าชาวยิวไม่ได้รับการยอมจำนนจากผู้คนทั่วโลก

    มีเพียงชาวอิสลามที่ต้องทนกับความชั่วร้ายของพวกเขาเท่านั้นที่ยอมทน และไม่เคยขับไล่พวกเขา

    *และพวกเขาตอบแทนชาวมุสลิม*

    *เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 1948 ดินแดนของชาวมุสลิมในปาเลสไตน์ถูกยึดครองโดยกลุ่มไซออนิสต์

    จริงๆๆมีอีกเพียบ มันยาวเกินถ้าจะรวบรวม เอาเป็นว่าใครสนใจก็พิมพ์คำนี้ เเล้วค้นหามาแปลดูครับ ถ้าระบุปีด้วยยิ่งดี
    jews historically for the past thousand years expulsion
    การเดินทางของชาวยิวในประวัติ ศาสตร์ตลอดหนึ่งพันปีที่ผ่านมา 1080 – การขับไล่จากฝรั่งเศส 1098 – การขับไล่จากสาธารณรัฐเช็ก 1113 – การขับไล่จากเคียฟรุส (วลาดิมีร์ โมโนมัค) 1113 – การสังหารหมู่ชาวยิวในเคียฟ 1147 – การขับไล่จากฝรั่งเศส 1171 – การขับไล่จากอิตาลี 1188 – การขับไล่จากอังกฤษ 1198 – การขับไล่จากอังกฤษ 1290 – การขับไล่จากอังกฤษ 1298 – การขับไล่จากสวิตเซอร์แลนด์ (ชาวยิว 100 คนถูกประหารชีวิตด้วยการแขวนคอ) 1306 – การขับไล่จากฝรั่งเศส (3,000 คนถูกเผาทั้งเป็น) 1360 – การขับไล่จากฮังการี 1391 - การขับไล่ออกจากสเปน (ประหารชีวิต 30,000 คน เผาทั้งเป็น 5,000 คน) 1394 - การขับไล่ออกจากฝรั่งเศส 1407 - การขับไล่ออกจากโปแลนด์ 1492 - การขับไล่ออกจากสเปน (กฎหมายห้ามชาวยิวเข้าประเทศตลอดไป) 1492 - การขับไล่ออกจากซิซิลี 1495 - การขับไล่ออกจากลิทัวเนียและเคียฟ 1496 - การขับไล่ออกจากโปรตุเกส 1510 - การขับไล่ออกจากอังกฤษ 1516 - การขับไล่ออกจากโปรตุเกส 1516 - กฎหมายในซิซิลีอนุญาตให้ชาวยิวอาศัยอยู่ในเกตโตเท่านั้น 1541 - การขับไล่ออกจากออสเตรีย 1555 - การขับไล่ออกจากโปรตุเกส 1555 - กฎหมายที่ออกในกรุงโรมอนุญาตให้ชาวยิวอาศัยอยู่ในเกตโตเท่านั้น 1567 – การขับไล่จากอิตาลี 1570 – การขับไล่จากเยอรมนี (บรันเดนเบิร์ก) 1580 – การขับไล่จากโนฟโกรอด (อีวานผู้โหดร้าย) 1592 – การขับไล่จากฝรั่งเศส 1616 – การขับไล่จากสวิตเซอร์แลนด์ 1629 – การขับไล่จากสเปนและโปรตุเกส (ฟิลิปที่ 4) 1634 – การขับไล่จากสวิตเซอร์แลนด์ 1655 – การขับไล่จากสวิตเซอร์แลนด์ 1660 – การขับไล่จากเคียฟ 1701 – การขับไล่ออกจากสวิตเซอร์แลนด์อย่างสมบูรณ์ (พระราชกฤษฎีกาของฟิลิปที่ 5) 1806 – คำขาดของนโปเลียน บาดาร์จา 1828 – การขับไล่จากเคียฟ 1933 – การขับไล่จากเยอรมนีและการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ **ลำดับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์สั้นๆ นี้ เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนกับชาวยิวในช่วงพันปีที่ผ่านมาและระบุว่าชาวยิวไม่ได้รับการยอมจำนนจากผู้คนทั่วโลก มีเพียงชาวอิสลามที่ต้องทนกับความชั่วร้ายของพวกเขาเท่านั้นที่ยอมทน และไม่เคยขับไล่พวกเขา *และพวกเขาตอบแทนชาวมุสลิม* *เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 1948 ดินแดนของชาวมุสลิมในปาเลสไตน์ถูกยึดครองโดยกลุ่มไซออนิสต์ จริงๆๆมีอีกเพียบ มันยาวเกินถ้าจะรวบรวม เอาเป็นว่าใครสนใจก็พิมพ์คำนี้ เเล้วค้นหามาแปลดูครับ ถ้าระบุปีด้วยยิ่งดี jews historically for the past thousand years expulsion
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 529 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประชาชนชาวเนปาลหลายแสนคน (บางแหล่งข่าวระบุมากกว่าล้านคน) มารวมตัวกันเพื่อต้อนรับ "สมเด็จพระราชาธิบดีคยาเนนทรา พีระ พิกรม ชาห์ เทวะ" กษัตริย์พระองค์สุดท้ายของเนปาล หลังจากสถาบันกษัตริย์ถูกยุบในปีพ.ศ. 2551 (2008) ขณะพระองค์เสด็จกลับกรุงกาฐมาณฑุ [กาด-มาน-ดุ] เมืองหลวงของเนปาล ขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศพยายามเรียกร้องให้เนปาลฟื้นฟูสถาบันกษัตริย์มานานหลายปี

    ผู้ชุมนุมที่มาต้อนรับฯรายหนึ่งบอกว่า เค้าเป็นผู้ที่เคยร่วมชุมนุมประท้วงต่อต้านพระองค์เมื่อปี 2006 แต่ตอนนี้เปลี่ยนใจต้องการให้มีสถาบันฯ ต้องการให้พระองค์กลับมาครองราช เพราะนักการเมืองคอร์รัปชั่นกันอย่างเลวร้าย เหล่าผู้มีอำนาจไม่ทำอะไรให้ประเทศเลย

    ตอนนั้นที่เค้าออกมาชุมนุมประท้วงไม่เอาสถาบันกษัตริย์เพราะคิดว่าจะช่วยทำให้ประเทศดีขึ้น แต่เค้าคิดผิด ประเทศย่ำแย่หนักกว่าเดิม ตอนนี้เลยเปลี่ยนใจอยากให้ฟื้นฟูสถาบันฯ

    ในปีพ.ศ. 2551 สภานิติบัญญัติแห่งชาติของเนปาล ได้มีมติยกเลิกการปกครองระบอบราชาธิปไตย และสถาปนาสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล เป็นการสิ้นสุดระบอบการปกครองของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ปกครองประเทศกว่า 240 ปี และราชวงศ์ชาห์ซึ่งปกครองแผ่นดินนี้เกือบ 500 ปี
    .
    ก่อนการล่มสลายของสถาบันกษัตริย์เนปาล:
    สรุปคร่าวๆมาจาก ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร
    https://www.posttoday.com/columnist/639757
    หลังเหตุการณ์สังหารหมู่ของราชวงศ์เนปาลในปี 2001 ส่งผลให้พระมหากษัตริย์พิเรนทรพีรพิกรมศาหเทวะและสมเด็จพระราชินีไอศวรรยาราชยลักษมีเทวีศาหะ เสด็จสวรรคต พร้อมด้วยสมาชิกพระราชวงศ์อีก 7 พระองค์

    ต่อมาเจ้าชายชญาเนนทร พระอนุชาของพระมหากษัตริย์พิเรนทราพระมหากษัตริย์เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดความขัดแย้งกับฝ่ายการเมืองอย่างรุนแรง โดยที่กษัตริย์ชญาเนนทรพยายามปกป้องสถาบันกษัตริย์อย่างเต็มที่ โดยอ้างสาเหตุจากการทุจริตคอรัปชั่น และการบริหารเทศที่ล้มเหลวของพรรคการเมืองทั้งหลาย

    ในปี 2002 กษัตริย์ชญาเนนทรทรงประกาศยุบสภา แต่การเมืองที่วุ่นวาย ไม่สามารถจัดการเลือกตั้งได้สำเร็จ จนที่สุดพระองค์ตัดสินใจยึดอำนาจในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2005 ส่งผลให้เกิดความไม่พอใจจากพรรคการเมืองต่างๆ

    ในปี 2006 กลุ่มพันธมิตรพรรคการเมืองรวมตัวกันต่อต้านการปกครองของพระมหากษัตริย์ชญาเนนทร จนเกิดความวุ่นวายภายในประเทศ จนนำไปสู่การเสียชีวิตของผู้ชุมนุมที่ไม่พอใจสถาบันกษัตริย์

    ในที่สุดพระมหากษัตริย์ชญาเนนทร ทรงยอมให้อำนาจบริหารแก่พรรคการเมืองเพื่อกลับคืนสู่ประชาธิปไตยอีกครั้ง และพรรคการเมืองต่างเรียกร้องให้จัดตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาเพื่อกำหนดบทบาทในการเมืองของพระมหากษัตริย์

    10 มิถุนายน ค.ศ. 2006 รัฐสภาเนปาลได้ยกเลิกอำนาจที่สำคัญๆของพระมหากษัตริย์ รวมทั้งอำนาจในการยับยั้งกฎหมาย ทำให้บทบาทของพระมหากษัตริย์ในฐานะที่ทำงานร่วมกับรัฐสภาได้สิ้นสุดลง (King in Parliament) และลดทอนพระมหากษัตริย์เป็นเพียงตรายาง แต่ให้พระองค์ยังทรงทำหน้าที่ประมุขของรัฐในการต้อนรับอาคันตุกะและทูตานุทูตต่อไปได้ และรัฐสภาได้โอนอำนาจที่พระมหากษัตริย์เคยมีไปที่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ส่งผลให้อำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่มีมาตลอด 239 ปีมีอันต้องสิ้นสุดลง

    23 สิงหาคม ค.ศ. 2007 รัฐบาลในช่วงเปลี่ยนผ่านของเนปาลได้ยึดทรัพย์สินทั้งหมดของพระมหากษัตริย์ชญาเนนทรที่สืบจากพระเชษฐาของพระองค์ให้เป็นสมบัติของชาติ รวมทั้งพระราชวัง (Narayanhiti Palace) แต่ไม่ได้ยึดทรัพย์สินที่กษัตริย์ชญาเนนทรครอบครองก่อนขึ้นครองราชย์

    24 ธันวาคม ค.ศ. 2007 รัฐสภารักษาการได้ลงมติว่า อาจจะมีการให้สถาบันพระมหากษัตริย์ยุติลงชั่วคราวในปี ค.ศ. 2008 อันเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงสันติภาพกับพวกกบฏเหมาอิสต์ ซึ่งข้อเสนอดังกล่าวนี้คือร่างกฎหมายแก้ไขรัฐธรรมนูญที่จะเปลี่ยนเนปาลให้เป็นสาธารณรัฐนั่นเอง

    28 พฤษภาคม ค.ศ. 2008 สภาร่างรัฐธรรมนูญประกาศอย่างเป็นทางการว่าในรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขจะไม่มีสถาบันพระมหากษัตริย์อีกต่อไป และเนปาลจะเปลี่ยนไปเป็นสาธารณรัฐ การตัดสินดังกล่าวเกิดขึ้นโดยไม่มีการทำประชามติ กษัตริย์ชญาเนนทรยอมรับการตัดสินดังกล่าว และขอให้รัฐบาลจัดที่พักอาศัยให้พระองค์และพระบรมวงศานุวงศ์ และรัฐบาลได้จัดให้พระองค์พำนักอยู่ที่วังแห่งหนึ่ง (Nirmal Niwas Palace)

    ประชาชนชาวเนปาลหลายแสนคน (บางแหล่งข่าวระบุมากกว่าล้านคน) มารวมตัวกันเพื่อต้อนรับ "สมเด็จพระราชาธิบดีคยาเนนทรา พีระ พิกรม ชาห์ เทวะ" กษัตริย์พระองค์สุดท้ายของเนปาล หลังจากสถาบันกษัตริย์ถูกยุบในปีพ.ศ. 2551 (2008) ขณะพระองค์เสด็จกลับกรุงกาฐมาณฑุ [กาด-มาน-ดุ] เมืองหลวงของเนปาล ขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศพยายามเรียกร้องให้เนปาลฟื้นฟูสถาบันกษัตริย์มานานหลายปี ผู้ชุมนุมที่มาต้อนรับฯรายหนึ่งบอกว่า เค้าเป็นผู้ที่เคยร่วมชุมนุมประท้วงต่อต้านพระองค์เมื่อปี 2006 แต่ตอนนี้เปลี่ยนใจต้องการให้มีสถาบันฯ ต้องการให้พระองค์กลับมาครองราช เพราะนักการเมืองคอร์รัปชั่นกันอย่างเลวร้าย เหล่าผู้มีอำนาจไม่ทำอะไรให้ประเทศเลย ตอนนั้นที่เค้าออกมาชุมนุมประท้วงไม่เอาสถาบันกษัตริย์เพราะคิดว่าจะช่วยทำให้ประเทศดีขึ้น แต่เค้าคิดผิด ประเทศย่ำแย่หนักกว่าเดิม ตอนนี้เลยเปลี่ยนใจอยากให้ฟื้นฟูสถาบันฯ ในปีพ.ศ. 2551 สภานิติบัญญัติแห่งชาติของเนปาล ได้มีมติยกเลิกการปกครองระบอบราชาธิปไตย และสถาปนาสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล เป็นการสิ้นสุดระบอบการปกครองของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ปกครองประเทศกว่า 240 ปี และราชวงศ์ชาห์ซึ่งปกครองแผ่นดินนี้เกือบ 500 ปี . ก่อนการล่มสลายของสถาบันกษัตริย์เนปาล: สรุปคร่าวๆมาจาก ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร https://www.posttoday.com/columnist/639757 หลังเหตุการณ์สังหารหมู่ของราชวงศ์เนปาลในปี 2001 ส่งผลให้พระมหากษัตริย์พิเรนทรพีรพิกรมศาหเทวะและสมเด็จพระราชินีไอศวรรยาราชยลักษมีเทวีศาหะ เสด็จสวรรคต พร้อมด้วยสมาชิกพระราชวงศ์อีก 7 พระองค์ ต่อมาเจ้าชายชญาเนนทร พระอนุชาของพระมหากษัตริย์พิเรนทราพระมหากษัตริย์เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดความขัดแย้งกับฝ่ายการเมืองอย่างรุนแรง โดยที่กษัตริย์ชญาเนนทรพยายามปกป้องสถาบันกษัตริย์อย่างเต็มที่ โดยอ้างสาเหตุจากการทุจริตคอรัปชั่น และการบริหารเทศที่ล้มเหลวของพรรคการเมืองทั้งหลาย ในปี 2002 กษัตริย์ชญาเนนทรทรงประกาศยุบสภา แต่การเมืองที่วุ่นวาย ไม่สามารถจัดการเลือกตั้งได้สำเร็จ จนที่สุดพระองค์ตัดสินใจยึดอำนาจในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2005 ส่งผลให้เกิดความไม่พอใจจากพรรคการเมืองต่างๆ ในปี 2006 กลุ่มพันธมิตรพรรคการเมืองรวมตัวกันต่อต้านการปกครองของพระมหากษัตริย์ชญาเนนทร จนเกิดความวุ่นวายภายในประเทศ จนนำไปสู่การเสียชีวิตของผู้ชุมนุมที่ไม่พอใจสถาบันกษัตริย์ ในที่สุดพระมหากษัตริย์ชญาเนนทร ทรงยอมให้อำนาจบริหารแก่พรรคการเมืองเพื่อกลับคืนสู่ประชาธิปไตยอีกครั้ง และพรรคการเมืองต่างเรียกร้องให้จัดตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาเพื่อกำหนดบทบาทในการเมืองของพระมหากษัตริย์ 10 มิถุนายน ค.ศ. 2006 รัฐสภาเนปาลได้ยกเลิกอำนาจที่สำคัญๆของพระมหากษัตริย์ รวมทั้งอำนาจในการยับยั้งกฎหมาย ทำให้บทบาทของพระมหากษัตริย์ในฐานะที่ทำงานร่วมกับรัฐสภาได้สิ้นสุดลง (King in Parliament) และลดทอนพระมหากษัตริย์เป็นเพียงตรายาง แต่ให้พระองค์ยังทรงทำหน้าที่ประมุขของรัฐในการต้อนรับอาคันตุกะและทูตานุทูตต่อไปได้ และรัฐสภาได้โอนอำนาจที่พระมหากษัตริย์เคยมีไปที่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ส่งผลให้อำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่มีมาตลอด 239 ปีมีอันต้องสิ้นสุดลง 23 สิงหาคม ค.ศ. 2007 รัฐบาลในช่วงเปลี่ยนผ่านของเนปาลได้ยึดทรัพย์สินทั้งหมดของพระมหากษัตริย์ชญาเนนทรที่สืบจากพระเชษฐาของพระองค์ให้เป็นสมบัติของชาติ รวมทั้งพระราชวัง (Narayanhiti Palace) แต่ไม่ได้ยึดทรัพย์สินที่กษัตริย์ชญาเนนทรครอบครองก่อนขึ้นครองราชย์ 24 ธันวาคม ค.ศ. 2007 รัฐสภารักษาการได้ลงมติว่า อาจจะมีการให้สถาบันพระมหากษัตริย์ยุติลงชั่วคราวในปี ค.ศ. 2008 อันเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงสันติภาพกับพวกกบฏเหมาอิสต์ ซึ่งข้อเสนอดังกล่าวนี้คือร่างกฎหมายแก้ไขรัฐธรรมนูญที่จะเปลี่ยนเนปาลให้เป็นสาธารณรัฐนั่นเอง 28 พฤษภาคม ค.ศ. 2008 สภาร่างรัฐธรรมนูญประกาศอย่างเป็นทางการว่าในรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขจะไม่มีสถาบันพระมหากษัตริย์อีกต่อไป และเนปาลจะเปลี่ยนไปเป็นสาธารณรัฐ การตัดสินดังกล่าวเกิดขึ้นโดยไม่มีการทำประชามติ กษัตริย์ชญาเนนทรยอมรับการตัดสินดังกล่าว และขอให้รัฐบาลจัดที่พักอาศัยให้พระองค์และพระบรมวงศานุวงศ์ และรัฐบาลได้จัดให้พระองค์พำนักอยู่ที่วังแห่งหนึ่ง (Nirmal Niwas Palace)
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 590 มุมมอง 0 รีวิว
  • กองทหารรัสเซียที่ฐานทัพอากาศ Hmeimim ในซีเรียตะวันตกกำลังพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้ผู้ลี้ภัยชาวซีเรียผ่อนคลายความกังวล หลังจากต้องหลบหนีการสังหารหมู่โดยกองกำลัง HTS ของรัฐบาลซีเรียใหม่

    ขณะที่ทั้งสื่อและผู้นำโลกตะวันตกยังคงนิ่งเฉย
    กองทหารรัสเซียที่ฐานทัพอากาศ Hmeimim ในซีเรียตะวันตกกำลังพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้ผู้ลี้ภัยชาวซีเรียผ่อนคลายความกังวล หลังจากต้องหลบหนีการสังหารหมู่โดยกองกำลัง HTS ของรัฐบาลซีเรียใหม่ ขณะที่ทั้งสื่อและผู้นำโลกตะวันตกยังคงนิ่งเฉย
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 229 มุมมอง 0 รีวิว
  • นี่ละยิวจอมทรยศและเนรคุณ..#เมื่อยิวถามจีนว่า
    ทำไมไม่ช่วยอิสรา.เอล​รบกับ ฮามา.ส
    ลองฟังคับตอบ ประชาชนจีนที่รู้ประวัติศาสตร์​อ่านแล้วถึงกับอึง ยาวหน่อย แต่เป็นความรู้ระดับ #พันปี

    “เมื่อ Ross อเมริกันเชื้อสายยิวกล่าวโจมตี ทำไม จีน ไม่สนับสนุนอิสราเอลโจมตี ฮามาส“

    นี่คือคำตอบ
    ประวัติศาสตร์อีกมุมหนึ่งของชนชาติยิว...

    สองวันที่ผ่านมา
    Ross อดีตประธานภาคพื้นเอเซียแปซิฟิคของ พรรครีพับริกัน
    ได้สร้างข่าวพาดหัวด้วยการ กล่าวหา ชาวจีน ที่เล่นอินเตอร์เนต ว่า ไม่มีความเห็นอกเห็นใจชาวยิว อันเนื่องจากเหตุการณ์ความขัดแย้งที่กาซ่า..

    ต่อมา มีชาวเนตจีนรายหนึ่ง เข้ามาเห็น จึงเขียนบทความอย่างยืดยาว เพื่อสอนบทเรียนทาง ประวัติศาสตร์ แก่ชาวอเมริกันยิวคนนี้..
    สรุปว่า ต่อมา Ross ได้แอบลบบทวิจารณ์นี้ทิ้งไป...

    ไม่มีใครรู้ว่าผู้เขียนบทความโต้แย้งชายจีนผู้นี้เป็นใคร
    แต่ อย่างไรก็ตาม ข้อเขียนของเขาได้หลุดรอดออกมา และ ถูกเผยแพร่ออกไปอย่างกว้างขวาง!

    เป็นข้อเขียนที่ทุกคนต้องอ่าน!

    เพราะเป็นการตอบโต้ที่แข็งกร้าวของชาวเนตจีน..( 11 กค. 2024 )

    สวัสดีครับคุณ Enge...
    ผมรู้สึกช๊อคไปกับคำพูดของคุณที่ว่า
    "หากโลกจะสนใจช่วยชาวยิวในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 (WW II)ืชาวยิวหกล้านคนก็คงไม่ถูกสังหาร"...

    แต่นี่ คงมิใช่ เหตุผล หรือ ทำให้กองทัพยิว มีสิทธิที่จะก่อสงครามล้างเผ่าพันธุ์ต่อชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซ่าแต่อย่างใด...

    ยิ่งไปกว่า มันไม่เป็นความจริงด้วย..

    ในระหว่าง WW II นั้น ชาวจีนในเซี่ยงไฮ้ และ นานจิง กำลังถูกรุกราน และ ถูกสังหารหมู่ โดยกองทัพญี่ปุ่น
    ในขณะที่ชาวยิวถูกฆ่าโดยนาซี..

    แต่กระนั้นก็ดี แม้ชาวจีนจะประสบเคราะห์กรรมขนาดนั้น ก็ยังยินดีรับเอาชาวยิวกว่า 50,000 คน ที่อพยพไปยังประเทศจีนเพื่อหนีภัยจากนาซี...

    แต่วิธีตอบแทนแบบยิวก็คือ การร่วมมือกับญี่ปุ่น เพื่อสร้างทรัฐชาวยิว ขึ้นในบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน!
    แผนงานนี้เป็นที่เลื่องลือในนามของ Pufferfish Plan..
    แต่ก็โชคร้าย ซึ่งในที่สุดแผนการณ์นี้ล้มเหลว..
    ทำให้นิทานเรื่องชาวนาและงูเห่า ไม่อาจเกิดเป็นจริงได้ในแผ่นดินจีน...

    แต่ที่เหลือเชื่อยิ่งกว่านั้นคือ เมื่อราวสองสัปดาห์ที่ผ่านมา
    เจ้าหน้าที่คนของสถานทูตอิสราเอล ได้กล่าวอ้างอย่างเปิดเผยผ่านทางรูปถ่ายว่า ที่ตั้งของสถานทูตที่อยู่บนถนนในเซี่ยงไฮ้ เกิดจากการยินยอมให้ใช้ของฝรั่งเศส!(ทั้งที่เรื่องกฏหมายสิทธิสภาพนอกอาณาเขต ถูกยกเลิกไปนานแล้ว)

    แต่แน่นอน
    หากพูดถึงสัมพันธภาพระหว่างจีน กับ ชาวยิว ย่อมมีอะไรที่มากไปกว่านั้นมากมาย

    ชาวยิวได้ร่อนเร่มายังประเทศจีนตั้งแต่สมัย ราชวงศ์ซ่ง
    หรือ ราวพันปีที่ผ่านมา และ ได้ตั้งถิ่นฐานในจีนตั้งแต่นั้นมา

    ราชวงศ์ซ่ง ปกครองอาณาจักรจีนโบราณ ที่ถือกันว่าสมบูรณ์พูนสุขิและ ร่ำรวยที่สุดราชวงศ์หนึ่ง

    อย่างไรก็ดี
    ในกาลต่อมา เมื่อราชวงศ์ซ่งล่มสลาย ผู้คนอพยพหนีภัยไปทางทิศใต้
    นักธุรกิจชาวยิว ที่มีชื่อสกุล Pu ได้ใช้กำลังทหารส่วนตัว เข่นฆ่าชาวเมืองจำนวนมากที่เคยเป็นราษฎรภายใต้การปกครองของราชวงศ์ซ่ง แล้วนำศพไปให้กองทัพของราชวงศ์ หยวน
    เพื่อเป็นสัญญลักษณ์ของการยอมรับในอำนาจของผู้ปกครองชาว มงโกล รายใหม่

    ในหลายสิบปีหลังจากนั้น ราชวงศ์ จูหยวนจาง ได้โค่นราชวงศ์หยวนลง และ จัดตั้งราชวงศ์หมิงขึ้น
    คนจีนที่สืบเชื้อสายจากชาวฮั่น จึงกลับขึ้นมามีอำนาจอีกครั้ง
    แต่ก็มิได้ขับไล่ชุมชนชาวยิวกลุ่มทรยศเหล่านี้ออกไป (ทั้งที่ได้เข่นฆ่าชาวจีนไปมากก่อนหน้านั้น)

    ต่อมา ในสมัยประวัติศาสตร์ช่วงการเกิดสงครามฝิ่น
    มีนักธุรกิจชาวยิว ตระกูล Sassoon ได้นำฝิ่นจำนวนมากมาจำหน่ายเพื่อหวังผลกำไร
    ทำให้ชาวจีนติดฝิ่นกันงอมแงม ประชากรชาวจีน อ่อนแอ และ ล้มตายกันเป็นจำนวนมาก.. คุณ (Mr Ross)เคยใช้ชีวิตอยู่ในเอเซียมาหลายปี น่าจะคุ้นเคยกับเรื่องนี้ดี

    เหตุการณ์ สงครามฉนวนกาซ่าในครั้งนี้
    ชาวจีน มิได้รู้สึกเห็นใจ ชาวยิว เพราะชาวจีน มีการศึกษาเรื่องคุณธรรม ร่วมสามพันปีมาแล้ว

    "Shangshu" วรรณกรรมคลาสิกที่ยังเหลืออยู่ของจีน ที่เขียนขึ้นมาตั้งแต่ยุคศตวรรษที่ 10 ก่อนคริสตกาลหรือราว 3,000 ปีพอดี ซึ่งคงเป็นระยะเวลาเดียวกับที่ชาวยิวถูกขับไล่ออกจากดินแดนแห่งพันธสัญญา (Promised Land) และเป็นชนชาติเร่ร่อนตั้งแต่นั้นมา

    ถ้าคุณ( Mr. Ross )คุ้นเคย กับอดีต และ ประวัติศาสตร์ ชาวยิว ของคุณ คุณก็ควรรับรู้และตระหนักถึงมันด้วย

    ชาวอียิปต์ ยอมรับ ชาวยิว เข้าไปในดินแดนของตน
    แต่ ชาวยิว กลับทรยศ ต่อชาวอียิปต์ หลายต่อหลายครั้ง
    จนในที่สุด ชาวยิว ก็ถูกเข่นฆ่าและ ขับไล่ออกไปจากดินแดนอียิปต์โดย กษัตริย์ฟาโรห์

    อาณาจักรโรมัน ยอมรับ ชาวยิว เป็นส่วนหนึ่งของโรมัน ถึงขนาดจัดตั้งชุมชนให้เป็น กลุ่มก้อน โดยเฉพาะ
    แต่ ชาวยิว กลับถือโอกาสก่อการกบฎ ในช่วงเวลาที่กษัตริย์ Trajan มุ่งขยายดินแดนไปทางตะวันออก และ กองกำลังความมั่นคงในโรมันอ่อนแอลง

    หลังจาก ชาวยิว สังหารกองกำลังโรมัน ที่มีอยู่น้อยนิด
    ชาวยิว ก็บุกสังหาร พลเรือนชาวโรมัน อย่างบ้าคลั่ง
    ถึงขนาด เฉือนเอาผิวหนังมาทำเสื้อผ้า กินเนื้อเป็นอาหาร และ โยนซากศพไปเป็นอาหารของสัตว์ดุร้าย..

    ในเมือง Cyprus Salamis และ Libya พลเรือนชาวโรมันราว 220,000 คน ถูกสังหารโดย ชาวยิว

    แม้ต่อหน้าพลเรือนชาวโรมัน
    ชาวยิวดูจะทารุณโหดร้ายมาก
    แต่ในที่สุดกษัตริย์ Trajan ใช้กำลังทหารเพียงสองชุด ก็สามารถทวงคืนอำนาจจากชาวยิวได้อย่างสมบูรณ์

    กองทัพโรมันที่โกรธแค้นได้เคลื่อนทัพจากดินแดนเมโสโปเตเมีย ไปตามฝั่ง ตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน..จนทำให้ชาวยิวที่อาศัยในพื้นที่เหล่านี้ถูกเข่นฆ่าจนเกือบหมด
    ต่อมา ชาวยิว ก็ก่อกบฎอีกครั้ง ครววนี้ มุ่งสังหารผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์ โดยเฉพาะ

    แต่ครั้งนี้ โชคไม่เข้าข้างชาวยิว เมื่อต้องพบกับกษัตริย์ Hadrian ผู้ได้ชื่อว่าเป็นกษัตริย์ที่เฉลียวฉลาดที่สุดคนหนึ่งของกรุงโรม ผู้ที่ได้ระดมกำลังทหาร 120,000 นาย เข้าจัดการสังหาร ชาวยิว ที่ก่อการกบฎได้อย่างเบ็ดเสร็จ

    กษัตริย์ Hadrian ได้ศึกษาบทเรียนจากยุคสมัยของกษัตริย์ Trajan
    จึงได้ยกเลิก ชุมชนชาวยิว เสียทั้งหมด
    ทำให้ชาวยิวต้องอยู่กันอย่างกระจัดกระจาย และ แตกกระสานซ่านเซ็นไปทั่วโลก

    นอกจากนั้น ยังมีจักรพรรดิ Titus ผู้บุกทำลาย และ สังหาร ชาวยิวในกรุงเยลูซาเล็ม
    ที่เคยเป็น Second Temple จนปัจจุบันเหลือเพียง Western Wall (หรือที่เรียกว่า กำแพงร้องไห้)ที่ชาวยิวใช้เป็นที่สวดมนต์ไปติดต่อพระเจ้าฯ

    เป็นเวลานับพันปี ที่ชาวยิว ต้องถูก เข่นฆ่า และ ขับออกนอกประเทศต่างๆนับครั้งไม่ถ้วน
    แต่ พวกคุณ ชาวยิว ก็ได้ทรยศต่อ ชาติต่างๆ จำนวนไม่น้อย ที่เห็นอกเห็นใจต่อความยากลำบากของพวกคุณ

    กระนั้นก็ดี
    พวกคุณ ก็ยังคงโอหัง เชื่อว่า ชนชาติตน เป็นชนชาติอภิสิทธิ์ ที่เหนือกว่าคนชาติอื่นๆ และ เชื่อว่า เป็น ชนชาติ ที่พระเจ้าเลือกสรรไว้ ให้เป็นใหญ่กว่าชนชาติอื่นใด

    ทำให้ ชาวไซออนนิสยิว ไม่เคยตระหนักถึงอดีตของตน..
    จนเป็นที่สรุปกันแล้วว่า วัฒนธรรมของชนชาติยิว มีลักษณะที่เข้ากับใครยาก และ ไม่ยอมปรับตัวเข้าหาวัฒนธรรมอื่น

    ความเชื่อของชาวยิวเหล่านี้ จะใช้กับคนจีนไม่ได้
    เพราะ คนจีนมีหลักการด้านคุณธรรมของตนเอง และ ไม่เคยคิดว่าชนชาติตนเหนือกว่าคนชนะชาติอื่น
    แต่จะปฏิบัติต่อคนชาติอื่น อย่างเท่าเทียมกัน และ ไม่เกรงกลัวต่อชนชาติอื่น ที่คิดว่าเหนือกว่าชาวจีน

    คนจีน จะมีความ อดทน อดกลั้น มีความละอายใจ มีความกตัญญูรู้คุณ และ รู้จักตอบแทนบุญคุณคน

    John Rabe อดีตนาซี ผู้ที่ครั้งหนึ่ง เคยช่วยชีวิตชาวจีนที่นานจิง คนจีนที่รู้เรื่องนี้ จะนึกถึงบุญคุณของเขาเสมอ

    จากเหตุการณ์ เมื่อสองปีที่แล้ว ที่โรงพยาบาล สถานที่ที่หลานของ John Rabe ทำงานอยู่ เกิดการขาดแคลนยารักษาโรค
    จึงร้องขอความช่วยเหลือไปยังสถานทูตจีนในเยอรมัน
    ปรากฏว่า ชาวจีนต่างช่วยกันบริจาคเงินและสิ่งของให้กันอย่างแข็งขัน ด้วยความสำนึกในพระคุณในอดีต ของ John Rabe

    ในช่วง WW II ประธานของสภากาชาดแห่งสวีเดน เคยช่วยเหลือเชลยถึง 35,000 คน จากค่ายกักกันของนาซี
    โดยในจำนวนนี้เป็นชาวยิวถึง 6,000 คน..

    ต่อมา เมื่อเขาถูกยูเอ็น ส่งไปเป็นผู้แทน เพื่อยืนยันประเด็นที่เกี่ยวกับขอบเขตดินแดนในกรุงเยรูซาเล็ม ที่กำหนดขึ้นใหม่ระหว่างอิสราเอล กับ ปาเลสไตน์

    ปรากฏว่าเขาถูกยิงถึงหกนัดและเสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ จากมือสังหารชาวยิว..
    เพียงเพราะ เขาพูดถึง "ความยุติธรรม" เพียงไม่กี่คำ

    ในระหว่าง WW II เช่นเดียวกัน
    ประเทศยูโกสลาเวีย เคยช่วยชีวิตเด็กผู้หญิงชาวยิวไว้คนหนึ่ง..
    แต่ 50 ปีต่อมา เธอกลับเป็นคนสั่งให้ทิ้งระเบิดยูโกสลาเวียอย่างไม่เลือกหน้า...

    หลายปีต่อมา
    เมื่อเธอ ถูกผู้สื่อข่าวถามในระหว่างการให้สัมภาษณ์ว่า เธอรู้สึกเสียใจบ้างหรือไม่ กับการสั่งทิ้งระเบิดยูโกสลาเวีย..
    เธอตอบว่า.."ไม่เลย"..

    เธอผู้นั้น คือ อดีตสตรีที่เป็น รัฐมนตรีต่างประเทศ คนแรกของสหรัฐ..Madeleine Albright!

    ในการให้สัมภาษณ์ในรายการ 60 Minutes ในปี1996..
    M. Albright กล่าวว่า
    การที่สหรัฐแซงชั่นอิรัค(สมัยซัดดัม) ซึ่งได้สังหารเด็กชาวอิรัคไปกว่าครึ่งล้าน (เพราะขาดแคลนอาหารและยารักษาโรค)นั้น
    เป็นสิ่งที่คุ้มค่า!
    ทั้งๆที่ การบุกเข้ายึดครองอิรัคเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายระหว่างประเทศ
    เพราะสหรัฐอ้างว่า อิรัคกำลังผลิตอาวุธทำลายล้าง
    ด้วยการนำเสนอเพียงภาพ “ผงซักฟอก” ในสื่อ ว่าคือ “สารเคมี” ที่ใช้สร้างอาวุธชีวภาพ

    นาง M. Albright กล่าวอย่างโจ่งแจ้งท้าทายว่า..
    การเข่นฆ่าเด็กนับล้าน เป็นสิ่งที่คุ้มค่าแล้ว!

    ในปี 1947 เมื่อชาวยิว อพยพทางเรือมายังดินแดนปาเลสไตน์
    มีการเขียนข้างลำเรือไว้ว่า..
    "คนเยอรมันได้ทำลายบ้านเรือนของเรา โปรดอย่าทำลายความหวังของเราอีก"...

    ด้วยความเมตตา ชาวปาเลสไตน์ยอมรับชาวยิวอพยพเข้าสู่ดินแดนของตน..
    ในที่สุด ชาวยิว อ้างในภายหลังว่า ดินแดน ปาเลสไตน์ นี้ เป็นดินแดนแห่งพันธสัญญา- Promised Land ของพวกเราชนชาติยิว!

    ตลอดเวลากว่า 70 ปี ที่ชาวไซออนนิสต์ยิว ได้สังหารชาวปาเลสไตน์ ผู้ที่เมตตา และ ยินยอมให้ชาวยิวเข้ามาตั้งถิ่นฐานต่อเนื่องยาวนาน

    แต่ ชาวยิว กลับมาเนรคุณ สร้างอาณาจักรแห่งการเหยียดผิว ที่เปรียบเสมือนเรือนจำกลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลก..
    และ ยังปฏิบัติ ต่อชาวปาเลสไตน์เยี่ยงสัตว์ (subhumans)

    พวกคุณชาวยิว
    ยังจะต้องการความเห็นอกเห็นใจอีกมากแค่ไหน คุณจึงจะพอใจ

    สำหรับการไม่รู้จักบุญคุณคน และ จากข้อมูลใน ประวัติศาสตร์ที่พวกคุณตอบแทนความเมตตา และ ตอบแทนการยอมรับของคนชาติอื่นด้วยการทรยศ ด้วยการพร้อมที่จะฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาติอื่นที่เคยช่วยเหลือพวกคุณ ชาวยิว อีกหรือ!

    ประโยคหนึ่ง ที่เขียนในวรรณกรรมคลาสสิก ของจีน ที่ชื่อว่า..“การเดินหน้าเข้าสู่ตวามตาย” (The Death March)...กล่าวว่า

    "ประเทศเล็ก ที่ไม่ตระหนักในตนเอง ไม่เคารพต่อประเทศอื่นๆ แสดงความหยาบช้า ดูถูกดูแคลน ประเทศเพื่อนบ้านอันมั่นคงที่ตั้งอยู่ก่อน
    พลันแต่มี ความโลภ ไม่อินังขังขอบต่อ มิตรภาพ และ ความเป็นเพื่อน..
    ก็ย่อมจะนำพาตนเอง เดินทางไปสู่ความพินาศย่อยยับอย่างไม่ต้องสงสัย“

    บทความนี้น่าสนใจมาก
    เป็นประวัติศาสตร์ ที่ชาวโลกอีกหลายล้านอาจจะยังไม่เคยได้รับรู้

    ซึ่ง อาจจะมีคนตั้งกระทู้ ตั้งข้อโต้แย้ง ขึ้นมาได้

    อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครทราบความเป็นจริง
    อยู่ที่ คนตั้งกระทู้ จะหาหลักฐานมาโต้แย้งทางประวัติศาสตร์ ได้ หรือ ไม่ได้

    ซึ่งหากมีข้อมูลทางประวัติศาสตร์มาโต้แย้งได้
    ก็จะยิ่งน่าศึกษา น่าติดตาม
    เพื่อให้ความจริงกระจ่างยิ่งขึ้น
    และ นับเป็นเรื่องดี ที่จะได้ทราบกันจริงๆว่า
    “ ยิว เป็นชนชาติประเภทใด?“
    ดีจริงแท้ หรือ ซาตานลวงโลก กันแน่ ?
    ......
    (แปลโดย : SB-22/07/24)
    ส่งต่อจาก วิชา มหาคุณ
    นี่ละยิวจอมทรยศและเนรคุณ..#เมื่อยิวถามจีนว่า ทำไมไม่ช่วยอิสรา.เอล​รบกับ ฮามา.ส ลองฟังคับตอบ ประชาชนจีนที่รู้ประวัติศาสตร์​อ่านแล้วถึงกับอึง ยาวหน่อย แต่เป็นความรู้ระดับ #พันปี “เมื่อ Ross อเมริกันเชื้อสายยิวกล่าวโจมตี ทำไม จีน ไม่สนับสนุนอิสราเอลโจมตี ฮามาส“ นี่คือคำตอบ ประวัติศาสตร์อีกมุมหนึ่งของชนชาติยิว... สองวันที่ผ่านมา Ross อดีตประธานภาคพื้นเอเซียแปซิฟิคของ พรรครีพับริกัน ได้สร้างข่าวพาดหัวด้วยการ กล่าวหา ชาวจีน ที่เล่นอินเตอร์เนต ว่า ไม่มีความเห็นอกเห็นใจชาวยิว อันเนื่องจากเหตุการณ์ความขัดแย้งที่กาซ่า.. ต่อมา มีชาวเนตจีนรายหนึ่ง เข้ามาเห็น จึงเขียนบทความอย่างยืดยาว เพื่อสอนบทเรียนทาง ประวัติศาสตร์ แก่ชาวอเมริกันยิวคนนี้.. สรุปว่า ต่อมา Ross ได้แอบลบบทวิจารณ์นี้ทิ้งไป... ไม่มีใครรู้ว่าผู้เขียนบทความโต้แย้งชายจีนผู้นี้เป็นใคร แต่ อย่างไรก็ตาม ข้อเขียนของเขาได้หลุดรอดออกมา และ ถูกเผยแพร่ออกไปอย่างกว้างขวาง! เป็นข้อเขียนที่ทุกคนต้องอ่าน! เพราะเป็นการตอบโต้ที่แข็งกร้าวของชาวเนตจีน..( 11 กค. 2024 ) สวัสดีครับคุณ Enge... ผมรู้สึกช๊อคไปกับคำพูดของคุณที่ว่า "หากโลกจะสนใจช่วยชาวยิวในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 (WW II)ืชาวยิวหกล้านคนก็คงไม่ถูกสังหาร"... แต่นี่ คงมิใช่ เหตุผล หรือ ทำให้กองทัพยิว มีสิทธิที่จะก่อสงครามล้างเผ่าพันธุ์ต่อชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซ่าแต่อย่างใด... ยิ่งไปกว่า มันไม่เป็นความจริงด้วย.. ในระหว่าง WW II นั้น ชาวจีนในเซี่ยงไฮ้ และ นานจิง กำลังถูกรุกราน และ ถูกสังหารหมู่ โดยกองทัพญี่ปุ่น ในขณะที่ชาวยิวถูกฆ่าโดยนาซี.. แต่กระนั้นก็ดี แม้ชาวจีนจะประสบเคราะห์กรรมขนาดนั้น ก็ยังยินดีรับเอาชาวยิวกว่า 50,000 คน ที่อพยพไปยังประเทศจีนเพื่อหนีภัยจากนาซี... แต่วิธีตอบแทนแบบยิวก็คือ การร่วมมือกับญี่ปุ่น เพื่อสร้างทรัฐชาวยิว ขึ้นในบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน! แผนงานนี้เป็นที่เลื่องลือในนามของ Pufferfish Plan.. แต่ก็โชคร้าย ซึ่งในที่สุดแผนการณ์นี้ล้มเหลว.. ทำให้นิทานเรื่องชาวนาและงูเห่า ไม่อาจเกิดเป็นจริงได้ในแผ่นดินจีน... แต่ที่เหลือเชื่อยิ่งกว่านั้นคือ เมื่อราวสองสัปดาห์ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่คนของสถานทูตอิสราเอล ได้กล่าวอ้างอย่างเปิดเผยผ่านทางรูปถ่ายว่า ที่ตั้งของสถานทูตที่อยู่บนถนนในเซี่ยงไฮ้ เกิดจากการยินยอมให้ใช้ของฝรั่งเศส!(ทั้งที่เรื่องกฏหมายสิทธิสภาพนอกอาณาเขต ถูกยกเลิกไปนานแล้ว) แต่แน่นอน หากพูดถึงสัมพันธภาพระหว่างจีน กับ ชาวยิว ย่อมมีอะไรที่มากไปกว่านั้นมากมาย ชาวยิวได้ร่อนเร่มายังประเทศจีนตั้งแต่สมัย ราชวงศ์ซ่ง หรือ ราวพันปีที่ผ่านมา และ ได้ตั้งถิ่นฐานในจีนตั้งแต่นั้นมา ราชวงศ์ซ่ง ปกครองอาณาจักรจีนโบราณ ที่ถือกันว่าสมบูรณ์พูนสุขิและ ร่ำรวยที่สุดราชวงศ์หนึ่ง อย่างไรก็ดี ในกาลต่อมา เมื่อราชวงศ์ซ่งล่มสลาย ผู้คนอพยพหนีภัยไปทางทิศใต้ นักธุรกิจชาวยิว ที่มีชื่อสกุล Pu ได้ใช้กำลังทหารส่วนตัว เข่นฆ่าชาวเมืองจำนวนมากที่เคยเป็นราษฎรภายใต้การปกครองของราชวงศ์ซ่ง แล้วนำศพไปให้กองทัพของราชวงศ์ หยวน เพื่อเป็นสัญญลักษณ์ของการยอมรับในอำนาจของผู้ปกครองชาว มงโกล รายใหม่ ในหลายสิบปีหลังจากนั้น ราชวงศ์ จูหยวนจาง ได้โค่นราชวงศ์หยวนลง และ จัดตั้งราชวงศ์หมิงขึ้น คนจีนที่สืบเชื้อสายจากชาวฮั่น จึงกลับขึ้นมามีอำนาจอีกครั้ง แต่ก็มิได้ขับไล่ชุมชนชาวยิวกลุ่มทรยศเหล่านี้ออกไป (ทั้งที่ได้เข่นฆ่าชาวจีนไปมากก่อนหน้านั้น) ต่อมา ในสมัยประวัติศาสตร์ช่วงการเกิดสงครามฝิ่น มีนักธุรกิจชาวยิว ตระกูล Sassoon ได้นำฝิ่นจำนวนมากมาจำหน่ายเพื่อหวังผลกำไร ทำให้ชาวจีนติดฝิ่นกันงอมแงม ประชากรชาวจีน อ่อนแอ และ ล้มตายกันเป็นจำนวนมาก.. คุณ (Mr Ross)เคยใช้ชีวิตอยู่ในเอเซียมาหลายปี น่าจะคุ้นเคยกับเรื่องนี้ดี เหตุการณ์ สงครามฉนวนกาซ่าในครั้งนี้ ชาวจีน มิได้รู้สึกเห็นใจ ชาวยิว เพราะชาวจีน มีการศึกษาเรื่องคุณธรรม ร่วมสามพันปีมาแล้ว "Shangshu" วรรณกรรมคลาสิกที่ยังเหลืออยู่ของจีน ที่เขียนขึ้นมาตั้งแต่ยุคศตวรรษที่ 10 ก่อนคริสตกาลหรือราว 3,000 ปีพอดี ซึ่งคงเป็นระยะเวลาเดียวกับที่ชาวยิวถูกขับไล่ออกจากดินแดนแห่งพันธสัญญา (Promised Land) และเป็นชนชาติเร่ร่อนตั้งแต่นั้นมา ถ้าคุณ( Mr. Ross )คุ้นเคย กับอดีต และ ประวัติศาสตร์ ชาวยิว ของคุณ คุณก็ควรรับรู้และตระหนักถึงมันด้วย ชาวอียิปต์ ยอมรับ ชาวยิว เข้าไปในดินแดนของตน แต่ ชาวยิว กลับทรยศ ต่อชาวอียิปต์ หลายต่อหลายครั้ง จนในที่สุด ชาวยิว ก็ถูกเข่นฆ่าและ ขับไล่ออกไปจากดินแดนอียิปต์โดย กษัตริย์ฟาโรห์ อาณาจักรโรมัน ยอมรับ ชาวยิว เป็นส่วนหนึ่งของโรมัน ถึงขนาดจัดตั้งชุมชนให้เป็น กลุ่มก้อน โดยเฉพาะ แต่ ชาวยิว กลับถือโอกาสก่อการกบฎ ในช่วงเวลาที่กษัตริย์ Trajan มุ่งขยายดินแดนไปทางตะวันออก และ กองกำลังความมั่นคงในโรมันอ่อนแอลง หลังจาก ชาวยิว สังหารกองกำลังโรมัน ที่มีอยู่น้อยนิด ชาวยิว ก็บุกสังหาร พลเรือนชาวโรมัน อย่างบ้าคลั่ง ถึงขนาด เฉือนเอาผิวหนังมาทำเสื้อผ้า กินเนื้อเป็นอาหาร และ โยนซากศพไปเป็นอาหารของสัตว์ดุร้าย.. ในเมือง Cyprus Salamis และ Libya พลเรือนชาวโรมันราว 220,000 คน ถูกสังหารโดย ชาวยิว แม้ต่อหน้าพลเรือนชาวโรมัน ชาวยิวดูจะทารุณโหดร้ายมาก แต่ในที่สุดกษัตริย์ Trajan ใช้กำลังทหารเพียงสองชุด ก็สามารถทวงคืนอำนาจจากชาวยิวได้อย่างสมบูรณ์ กองทัพโรมันที่โกรธแค้นได้เคลื่อนทัพจากดินแดนเมโสโปเตเมีย ไปตามฝั่ง ตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน..จนทำให้ชาวยิวที่อาศัยในพื้นที่เหล่านี้ถูกเข่นฆ่าจนเกือบหมด ต่อมา ชาวยิว ก็ก่อกบฎอีกครั้ง ครววนี้ มุ่งสังหารผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์ โดยเฉพาะ แต่ครั้งนี้ โชคไม่เข้าข้างชาวยิว เมื่อต้องพบกับกษัตริย์ Hadrian ผู้ได้ชื่อว่าเป็นกษัตริย์ที่เฉลียวฉลาดที่สุดคนหนึ่งของกรุงโรม ผู้ที่ได้ระดมกำลังทหาร 120,000 นาย เข้าจัดการสังหาร ชาวยิว ที่ก่อการกบฎได้อย่างเบ็ดเสร็จ กษัตริย์ Hadrian ได้ศึกษาบทเรียนจากยุคสมัยของกษัตริย์ Trajan จึงได้ยกเลิก ชุมชนชาวยิว เสียทั้งหมด ทำให้ชาวยิวต้องอยู่กันอย่างกระจัดกระจาย และ แตกกระสานซ่านเซ็นไปทั่วโลก นอกจากนั้น ยังมีจักรพรรดิ Titus ผู้บุกทำลาย และ สังหาร ชาวยิวในกรุงเยลูซาเล็ม ที่เคยเป็น Second Temple จนปัจจุบันเหลือเพียง Western Wall (หรือที่เรียกว่า กำแพงร้องไห้)ที่ชาวยิวใช้เป็นที่สวดมนต์ไปติดต่อพระเจ้าฯ เป็นเวลานับพันปี ที่ชาวยิว ต้องถูก เข่นฆ่า และ ขับออกนอกประเทศต่างๆนับครั้งไม่ถ้วน แต่ พวกคุณ ชาวยิว ก็ได้ทรยศต่อ ชาติต่างๆ จำนวนไม่น้อย ที่เห็นอกเห็นใจต่อความยากลำบากของพวกคุณ กระนั้นก็ดี พวกคุณ ก็ยังคงโอหัง เชื่อว่า ชนชาติตน เป็นชนชาติอภิสิทธิ์ ที่เหนือกว่าคนชาติอื่นๆ และ เชื่อว่า เป็น ชนชาติ ที่พระเจ้าเลือกสรรไว้ ให้เป็นใหญ่กว่าชนชาติอื่นใด ทำให้ ชาวไซออนนิสยิว ไม่เคยตระหนักถึงอดีตของตน.. จนเป็นที่สรุปกันแล้วว่า วัฒนธรรมของชนชาติยิว มีลักษณะที่เข้ากับใครยาก และ ไม่ยอมปรับตัวเข้าหาวัฒนธรรมอื่น ความเชื่อของชาวยิวเหล่านี้ จะใช้กับคนจีนไม่ได้ เพราะ คนจีนมีหลักการด้านคุณธรรมของตนเอง และ ไม่เคยคิดว่าชนชาติตนเหนือกว่าคนชนะชาติอื่น แต่จะปฏิบัติต่อคนชาติอื่น อย่างเท่าเทียมกัน และ ไม่เกรงกลัวต่อชนชาติอื่น ที่คิดว่าเหนือกว่าชาวจีน คนจีน จะมีความ อดทน อดกลั้น มีความละอายใจ มีความกตัญญูรู้คุณ และ รู้จักตอบแทนบุญคุณคน John Rabe อดีตนาซี ผู้ที่ครั้งหนึ่ง เคยช่วยชีวิตชาวจีนที่นานจิง คนจีนที่รู้เรื่องนี้ จะนึกถึงบุญคุณของเขาเสมอ จากเหตุการณ์ เมื่อสองปีที่แล้ว ที่โรงพยาบาล สถานที่ที่หลานของ John Rabe ทำงานอยู่ เกิดการขาดแคลนยารักษาโรค จึงร้องขอความช่วยเหลือไปยังสถานทูตจีนในเยอรมัน ปรากฏว่า ชาวจีนต่างช่วยกันบริจาคเงินและสิ่งของให้กันอย่างแข็งขัน ด้วยความสำนึกในพระคุณในอดีต ของ John Rabe ในช่วง WW II ประธานของสภากาชาดแห่งสวีเดน เคยช่วยเหลือเชลยถึง 35,000 คน จากค่ายกักกันของนาซี โดยในจำนวนนี้เป็นชาวยิวถึง 6,000 คน.. ต่อมา เมื่อเขาถูกยูเอ็น ส่งไปเป็นผู้แทน เพื่อยืนยันประเด็นที่เกี่ยวกับขอบเขตดินแดนในกรุงเยรูซาเล็ม ที่กำหนดขึ้นใหม่ระหว่างอิสราเอล กับ ปาเลสไตน์ ปรากฏว่าเขาถูกยิงถึงหกนัดและเสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ จากมือสังหารชาวยิว.. เพียงเพราะ เขาพูดถึง "ความยุติธรรม" เพียงไม่กี่คำ ในระหว่าง WW II เช่นเดียวกัน ประเทศยูโกสลาเวีย เคยช่วยชีวิตเด็กผู้หญิงชาวยิวไว้คนหนึ่ง.. แต่ 50 ปีต่อมา เธอกลับเป็นคนสั่งให้ทิ้งระเบิดยูโกสลาเวียอย่างไม่เลือกหน้า... หลายปีต่อมา เมื่อเธอ ถูกผู้สื่อข่าวถามในระหว่างการให้สัมภาษณ์ว่า เธอรู้สึกเสียใจบ้างหรือไม่ กับการสั่งทิ้งระเบิดยูโกสลาเวีย.. เธอตอบว่า.."ไม่เลย".. เธอผู้นั้น คือ อดีตสตรีที่เป็น รัฐมนตรีต่างประเทศ คนแรกของสหรัฐ..Madeleine Albright! ในการให้สัมภาษณ์ในรายการ 60 Minutes ในปี1996.. M. Albright กล่าวว่า การที่สหรัฐแซงชั่นอิรัค(สมัยซัดดัม) ซึ่งได้สังหารเด็กชาวอิรัคไปกว่าครึ่งล้าน (เพราะขาดแคลนอาหารและยารักษาโรค)นั้น เป็นสิ่งที่คุ้มค่า! ทั้งๆที่ การบุกเข้ายึดครองอิรัคเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายระหว่างประเทศ เพราะสหรัฐอ้างว่า อิรัคกำลังผลิตอาวุธทำลายล้าง ด้วยการนำเสนอเพียงภาพ “ผงซักฟอก” ในสื่อ ว่าคือ “สารเคมี” ที่ใช้สร้างอาวุธชีวภาพ นาง M. Albright กล่าวอย่างโจ่งแจ้งท้าทายว่า.. การเข่นฆ่าเด็กนับล้าน เป็นสิ่งที่คุ้มค่าแล้ว! ในปี 1947 เมื่อชาวยิว อพยพทางเรือมายังดินแดนปาเลสไตน์ มีการเขียนข้างลำเรือไว้ว่า.. "คนเยอรมันได้ทำลายบ้านเรือนของเรา โปรดอย่าทำลายความหวังของเราอีก"... ด้วยความเมตตา ชาวปาเลสไตน์ยอมรับชาวยิวอพยพเข้าสู่ดินแดนของตน.. ในที่สุด ชาวยิว อ้างในภายหลังว่า ดินแดน ปาเลสไตน์ นี้ เป็นดินแดนแห่งพันธสัญญา- Promised Land ของพวกเราชนชาติยิว! ตลอดเวลากว่า 70 ปี ที่ชาวไซออนนิสต์ยิว ได้สังหารชาวปาเลสไตน์ ผู้ที่เมตตา และ ยินยอมให้ชาวยิวเข้ามาตั้งถิ่นฐานต่อเนื่องยาวนาน แต่ ชาวยิว กลับมาเนรคุณ สร้างอาณาจักรแห่งการเหยียดผิว ที่เปรียบเสมือนเรือนจำกลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลก.. และ ยังปฏิบัติ ต่อชาวปาเลสไตน์เยี่ยงสัตว์ (subhumans) พวกคุณชาวยิว ยังจะต้องการความเห็นอกเห็นใจอีกมากแค่ไหน คุณจึงจะพอใจ สำหรับการไม่รู้จักบุญคุณคน และ จากข้อมูลใน ประวัติศาสตร์ที่พวกคุณตอบแทนความเมตตา และ ตอบแทนการยอมรับของคนชาติอื่นด้วยการทรยศ ด้วยการพร้อมที่จะฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาติอื่นที่เคยช่วยเหลือพวกคุณ ชาวยิว อีกหรือ! ประโยคหนึ่ง ที่เขียนในวรรณกรรมคลาสสิก ของจีน ที่ชื่อว่า..“การเดินหน้าเข้าสู่ตวามตาย” (The Death March)...กล่าวว่า "ประเทศเล็ก ที่ไม่ตระหนักในตนเอง ไม่เคารพต่อประเทศอื่นๆ แสดงความหยาบช้า ดูถูกดูแคลน ประเทศเพื่อนบ้านอันมั่นคงที่ตั้งอยู่ก่อน พลันแต่มี ความโลภ ไม่อินังขังขอบต่อ มิตรภาพ และ ความเป็นเพื่อน.. ก็ย่อมจะนำพาตนเอง เดินทางไปสู่ความพินาศย่อยยับอย่างไม่ต้องสงสัย“ บทความนี้น่าสนใจมาก เป็นประวัติศาสตร์ ที่ชาวโลกอีกหลายล้านอาจจะยังไม่เคยได้รับรู้ ซึ่ง อาจจะมีคนตั้งกระทู้ ตั้งข้อโต้แย้ง ขึ้นมาได้ อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครทราบความเป็นจริง อยู่ที่ คนตั้งกระทู้ จะหาหลักฐานมาโต้แย้งทางประวัติศาสตร์ ได้ หรือ ไม่ได้ ซึ่งหากมีข้อมูลทางประวัติศาสตร์มาโต้แย้งได้ ก็จะยิ่งน่าศึกษา น่าติดตาม เพื่อให้ความจริงกระจ่างยิ่งขึ้น และ นับเป็นเรื่องดี ที่จะได้ทราบกันจริงๆว่า “ ยิว เป็นชนชาติประเภทใด?“ ดีจริงแท้ หรือ ซาตานลวงโลก กันแน่ ? ...... (แปลโดย : SB-22/07/24) ส่งต่อจาก วิชา มหาคุณ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1039 มุมมอง 0 รีวิว
  • #เมื่อยิวถามจีนว่า
    ทำไมไม่ช่วยอิสรา.เอล​รบกับ ฮามา.ส
    ลองฟังคับตอบ ประชาชนจีนที่รู้ประวัติศาสตร์​อ่านแล้วถึงกับอึง ยาวหน่อย แต่เป็นความรู้ระดับ #พันปี

    “เมื่อ Ross อเมริกันเชื้อสายยิวกล่าวโจมตี ทำไม จีน ไม่สนับสนุนอิสราเอลโจมตี ฮามาส“

    นี่คือคำตอบ

    (แปลโดย SB-22/07/24)
    ส่งต่อจาก วิชา มหาคุณ

    ประวัติศาสตร์อีกมุมหนึ่งของชนชาติยิว...

    สองวันที่ผ่านมา
    Ross อดีตประธานภาคพื้นเอเซียแปซิฟิคของ พรรครีพับริกัน
    ได้สร้างข่าวพาดหัวด้วยการ กล่าวหา ชาวจีน ที่เล่นอินเตอร์เนต ว่า ไม่มีความเห็นอกเห็นใจชาวยิว อันเนื่องจากเหตุการณ์ความขัดแย้งที่กาซ่า..

    ต่อมา มีชาวเนตจีนรายหนึ่ง เข้ามาเห็น จึงเขียนบทความอย่างยืดยาว เพื่อสอนบทเรียนทาง ประวัติศาสตร์ แก่ชาวอเมริกันยิวคนนี้..
    สรุปว่า ต่อมา Ross ได้แอบลบบทวิจารณ์นี้ทิ้งไป...

    ไม่มีใครรู้ว่าผู้เขียนบทความโต้แย้งชายจีนผู้นี้เป็นใคร
    แต่ อย่างไรก็ตาม ข้อเขียนของเขาได้หลุดรอดออกมา และ ถูกเผยแพร่ออกไปอย่างกว้างขวาง!

    เป็นข้อเขียนที่ทุกคนต้องอ่าน!

    เพราะเป็นการตอบโต้ที่แข็งกร้าวของชาวเนตจีน..( 11 กค. 2024 )

    สวัสดีครับคุณ Enge...
    ผมรู้สึกช๊อคไปกับคำพูดของคุณที่ว่า
    "หากโลกจะสนใจช่วยชาวยิวในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 (WW II)ืชาวยิวหกล้านคนก็คงไม่ถูกสังหาร"...

    แต่นี่ คงมิใช่ เหตุผล หรือ ทำให้กองทัพยิว มีสิทธิที่จะก่อสงครามล้างเผ่าพันธุ์ต่อชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซ่าแต่อย่างใด...

    ยิ่งไปกว่า มันไม่เป็นความจริงด้วย..

    ในระหว่าง WW II นั้น ชาวจีนในเซี่ยงไฮ้ และ นานจิง กำลังถูกรุกราน และ ถูกสังหารหมู่ โดยกองทัพญี่ปุ่น
    ในขณะที่ชาวยิวถูกฆ่าโดยนาซี..

    แต่กระนั้นก็ดี แม้ชาวจีนจะประสบเคราะห์กรรมขนาดนั้น ก็ยังยินดีรับเอาชาวยิวกว่า 50,000 คน ที่อพยพไปยังประเทศจีนเพื่อหนีภัยจากนาซี...

    แต่วิธีตอบแทนแบบยิวก็คือ การร่วมมือกับญี่ปุ่น เพื่อสร้างทรัฐชาวยิว ขึ้นในบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน!
    แผนงานนี้เป็นที่เลื่องลือในนามของ Pufferfish Plan..
    แต่ก็โชคร้าย ซึ่งในที่สุดแผนการณ์นี้ล้มเหลว..
    ทำให้นิทานเรื่องชาวนาและงูเห่า ไม่อาจเกิดเป็นจริงได้ในแผ่นดินจีน...

    แต่ที่เหลือเชื่อยิ่งกว่านั้นคือ เมื่อราวสองสัปดาห์ที่ผ่านมา
    เจ้าหน้าที่คนของสถานทูตอิสราเอล ได้กล่าวอ้างอย่างเปิดเผยผ่านทางรูปถ่ายว่า ที่ตั้งของสถานทูตที่อยู่บนถนนในเซี่ยงไฮ้ เกิดจากการยินยอมให้ใช้ของฝรั่งเศส!(ทั้งที่เรื่องกฏหมายสิทธิสภาพนอกอาณาเขต ถูกยกเลิกไปนานแล้ว)

    แต่แน่นอน
    หากพูดถึงสัมพันธภาพระหว่างจีน กับ ชาวยิว ย่อมมีอะไรที่มากไปกว่านั้นมากมาย

    ชาวยิวได้ร่อนเร่มายังประเทศจีนตั้งแต่สมัย ราชวงศ์ซ่ง
    หรือ ราวพันปีที่ผ่านมา และ ได้ตั้งถิ่นฐานในจีนตั้งแต่นั้นมา

    ราชวงศ์ซ่ง ปกครองอาณาจักรจีนโบราณ ที่ถือกันว่าสมบูรณ์พูนสุขิและ ร่ำรวยที่สุดราชวงศ์หนึ่ง

    อย่างไรก็ดี
    ในกาลต่อมา เมื่อราชวงศ์ซ่งล่มสลาย ผู้คนอพยพหนีภัยไปทางทิศใต้
    นักธุรกิจชาวยิว ที่มีชื่อสกุล Pu ได้ใช้กำลังทหารส่วนตัว เข่นฆ่าชาวเมืองจำนวนมากที่เคยเป็นราษฎรภายใต้การปกครองของราชวงศ์ซ่ง แล้วนำศพไปให้กองทัพของราชวงศ์ หยวน
    เพื่อเป็นสัญญลักษณ์ของการยอมรับในอำนาจของผู้ปกครองชาว มงโกล รายใหม่

    ในหลายสิบปีหลังจากนั้น ราชวงศ์ จูหยวนจาง ได้โค่นราชวงศ์หยวนลง และ จัดตั้งราชวงศ์หมิงขึ้น
    คนจีนที่สืบเชื้อสายจากชาวฮั่น จึงกลับขึ้นมามีอำนาจอีกครั้ง
    แต่ก็มิได้ขับไล่ชุมชนชาวยิวกลุ่มทรยศเหล่านี้ออกไป (ทั้งที่ได้เข่นฆ่าชาวจีนไปมากก่อนหน้านั้น)

    ต่อมา ในสมัยประวัติศาสตร์ช่วงการเกิดสงครามฝิ่น
    มีนักธุรกิจชาวยิว ตระกูล Sassoon ได้นำฝิ่นจำนวนมากมาจำหน่ายเพื่อหวังผลกำไร
    ทำให้ชาวจีนติดฝิ่นกันงอมแงม ประชากรชาวจีน อ่อนแอ และ ล้มตายกันเป็นจำนวนมาก.. คุณ (Mr Ross)เคยใช้ชีวิตอยู่ในเอเซียมาหลายปี น่าจะคุ้นเคยกับเรื่องนี้ดี

    เหตุการณ์ สงครามฉนวนกาซ่าในครั้งนี้
    ชาวจีน มิได้รู้สึกเห็นใจ ชาวยิว เพราะชาวจีน มีการศึกษาเรื่องคุณธรรม ร่วมสามพันปีมาแล้ว

    "Shangshu" วรรณกรรมคลาสิกที่ยังเหลืออยู่ของจีน ที่เขียนขึ้นมาตั้งแต่ยุคศตวรรษที่ 10 ก่อนคริสตกาลหรือราว 3,000 ปีพอดี ซึ่งคงเป็นระยะเวลาเดียวกับที่ชาวยิวถูกขับไล่ออกจากดินแดนแห่งพันธสัญญา (Promised Land) และเป็นชนชาติเร่ร่อนตั้งแต่นั้นมา

    ถ้าคุณ( Mr. Ross )คุ้นเคย กับอดีต และ ประวัติศาสตร์ ชาวยิว ของคุณ คุณก็ควรรับรู้และตระหนักถึงมันด้วย

    ชาวอียิปต์ ยอมรับ ชาวยิว เข้าไปในดินแดนของตน
    แต่ ชาวยิว กลับทรยศ ต่อชาวอียิปต์ หลายต่อหลายครั้ง
    จนในที่สุด ชาวยิว ก็ถูกเข่นฆ่าและ ขับไล่ออกไปจากดินแดนอียิปต์โดย กษัตริย์ฟาโรห์

    อาณาจักรโรมัน ยอมรับ ชาวยิว เป็นส่วนหนึ่งของโรมัน ถึงขนาดจัดตั้งชุมชนให้เป็น กลุ่มก้อน โดยเฉพาะ
    แต่ ชาวยิว กลับถือโอกาสก่อการกบฎ ในช่วงเวลาที่กษัตริย์ Trajan มุ่งขยายดินแดนไปทางตะวันออก และ กองกำลังความมั่นคงในโรมันอ่อนแอลง

    หลังจาก ชาวยิว สังหารกองกำลังโรมัน ที่มีอยู่น้อยนิด
    ชาวยิว ก็บุกสังหาร พลเรือนชาวโรมัน อย่างบ้าคลั่ง
    ถึงขนาด เฉือนเอาผิวหนังมาทำเสื้อผ้า กินเนื้อเป็นอาหาร และ โยนซากศพไปเป็นอาหารของสัตว์ดุร้าย..

    ในเมือง Cyprus Salamis และ Libya พลเรือนชาวโรมันราว 220,000 คน ถูกสังหารโดย ชาวยิว

    แม้ต่อหน้าพลเรือนชาวโรมัน
    ชาวยิวดูจะทารุณโหดร้ายมาก
    แต่ในที่สุดกษัตริย์ Trajan ใช้กำลังทหารเพียงสองชุด ก็สามารถทวงคืนอำนาจจากชาวยิวได้อย่างสมบูรณ์

    กองทัพโรมันที่โกรธแค้นได้เคลื่อนทัพจากดินแดนเมโสโปเตเมีย ไปตามฝั่ง ตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน..จนทำให้ชาวยิวที่อาศัยในพื้นที่เหล่านี้ถูกเข่นฆ่าจนเกือบหมด
    ต่อมา ชาวยิว ก็ก่อกบฎอีกครั้ง ครววนี้ มุ่งสังหารผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์ โดยเฉพาะ

    แต่ครั้งนี้ โชคไม่เข้าข้างชาวยิว เมื่อต้องพบกับกษัตริย์ Hadrian ผู้ได้ชื่อว่าเป็นกษัตริย์ที่เฉลียวฉลาดที่สุดคนหนึ่งของกรุงโรม ผู้ที่ได้ระดมกำลังทหาร 120,000 นาย เข้าจัดการสังหาร ชาวยิว ที่ก่อการกบฎได้อย่างเบ็ดเสร็จ

    กษัตริย์ Hadrian ได้ศึกษาบทเรียนจากยุคสมัยของกษัตริย์ Trajan
    จึงได้ยกเลิก ชุมชนชาวยิว เสียทั้งหมด
    ทำให้ชาวยิวต้องอยู่กันอย่างกระจัดกระจาย และ แตกกระสานซ่านเซ็นไปทั่วโลก

    นอกจากนั้น ยังมีจักรพรรดิ Titus ผู้บุกทำลาย และ สังหาร ชาวยิวในกรุงเยลูซาเล็ม
    ที่เคยเป็น Second Temple จนปัจจุบันเหลือเพียง Western Wall (หรือที่เรียกว่า กำแพงร้องไห้)ที่ชาวยิวใช้เป็นที่สวดมนต์ไปติดต่อพระเจ้าฯ

    เป็นเวลานับพันปี ที่ชาวยิว ต้องถูก เข่นฆ่า และ ขับออกนอกประเทศต่างๆนับครั้งไม่ถ้วน
    แต่ พวกคุณ ชาวยิว ก็ได้ทรยศต่อ ชาติต่างๆ จำนวนไม่น้อย ที่เห็นอกเห็นใจต่อความยากลำบากของพวกคุณ

    กระนั้นก็ดี
    พวกคุณ ก็ยังคงโอหัง เชื่อว่า ชนชาติตน เป็นชนชาติอภิสิทธิ์ ที่เหนือกว่าคนชาติอื่นๆ และ เชื่อว่า เป็น ชนชาติ ที่พระเจ้าเลือกสรรไว้ ให้เป็นใหญ่กว่าชนชาติอื่นใด

    ทำให้ ชาวไซออนนิสยิว ไม่เคยตระหนักถึงอดีตของตน..
    จนเป็นที่สรุปกันแล้วว่า วัฒนธรรมของชนชาติยิว มีลักษณะที่เข้ากับใครยาก และ ไม่ยอมปรับตัวเข้าหาวัฒนธรรมอื่น

    ความเชื่อของชาวยิวเหล่านี้ จะใช้กับคนจีนไม่ได้
    เพราะ คนจีนมีหลักการด้านคุณธรรมของตนเอง และ ไม่เคยคิดว่าชนชาติตนเหนือกว่าคนชนะชาติอื่น
    แต่จะปฏิบัติต่อคนชาติอื่น อย่างเท่าเทียมกัน และ ไม่เกรงกลัวต่อชนชาติอื่น ที่คิดว่าเหนือกว่าชาวจีน

    คนจีน จะมีความ อดทน อดกลั้น มีความละอายใจ มีความกตัญญูรู้คุณ และ รู้จักตอบแทนบุญคุณคน

    John Rabe อดีตนาซี ผู้ที่ครั้งหนึ่ง เคยช่วยชีวิตชาวจีนที่นานจิง คนจีนที่รู้เรื่องนี้ จะนึกถึงบุญคุณของเขาเสมอ

    จากเหตุการณ์ เมื่อสองปีที่แล้ว ที่โรงพยาบาล สถานที่ที่หลานของ John Rabe ทำงานอยู่ เกิดการขาดแคลนยารักษาโรค
    จึงร้องขอความช่วยเหลือไปยังสถานทูตจีนในเยอรมัน
    ปรากฏว่า ชาวจีนต่างช่วยกันบริจาคเงินและสิ่งของให้กันอย่างแข็งขัน ด้วยความสำนึกในพระคุณในอดีต ของ John Rabe

    ในช่วง WW II ประธานของสภากาชาดแห่งสวีเดน เคยช่วยเหลือเชลยถึง 35,000 คน จากค่ายกักกันของนาซี
    โดยในจำนวนนี้เป็นชาวยิวถึง 6,000 คน..

    ต่อมา เมื่อเขาถูกยูเอ็น ส่งไปเป็นผู้แทน เพื่อยืนยันประเด็นที่เกี่ยวกับขอบเขตดินแดนในกรุงเยรูซาเล็ม ที่กำหนดขึ้นใหม่ระหว่างอิสราเอล กับ ปาเลสไตน์

    ปรากฏว่าเขาถูกยิงถึงหกนัดและเสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ จากมือสังหารชาวยิว..
    เพียงเพราะ เขาพูดถึง "ความยุติธรรม" เพียงไม่กี่คำ

    ในระหว่าง WW II เช่นเดียวกัน
    ประเทศยูโกสลาเวีย เคยช่วยชีวิตเด็กผู้หญิงชาวยิวไว้คนหนึ่ง..
    แต่ 50 ปีต่อมา เธอกลับเป็นคนสั่งให้ทิ้งระเบิดยูโกสลาเวียอย่างไม่เลือกหน้า...

    หลายปีต่อมา
    เมื่อเธอ ถูกผู้สื่อข่าวถามในระหว่างการให้สัมภาษณ์ว่า เธอรู้สึกเสียใจบ้างหรือไม่ กับการสั่งทิ้งระเบิดยูโกสลาเวีย..
    เธอตอบว่า.."ไม่เลย"..

    เธอผู้นั้น คือ อดีตสตรีที่เป็น รัฐมนตรีต่างประเทศ คนแรกของสหรัฐ..Madeleine Albright!

    ในการให้สัมภาษณ์ในรายการ 60 Minutes ในปี1996..
    M. Albright กล่าวว่า
    การที่สหรัฐแซงชั่นอิรัค(สมัยซัดดัม) ซึ่งได้สังหารเด็กชาวอิรัคไปกว่าครึ่งล้าน (เพราะขาดแคลนอาหารและยารักษาโรค)นั้น
    เป็นสิ่งที่คุ้มค่า!
    ทั้งๆที่ การบุกเข้ายึดครองอิรัคเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายระหว่างประเทศ
    เพราะสหรัฐอ้างว่า อิรัคกำลังผลิตอาวุธทำลายล้าง
    ด้วยการนำเสนอเพียงภาพ “ผงซักฟอก” ในสื่อ ว่าคือ “สารเคมี” ที่ใช้สร้างอาวุธชีวภาพ

    นาง M. Albright กล่าวอย่างโจ่งแจ้งท้าทายว่า..
    การเข่นฆ่าเด็กนับล้าน เป็นสิ่งที่คุ้มค่าแล้ว!

    ในปี 1947 เมื่อชาวยิว อพยพทางเรือมายังดินแดนปาเลสไตน์
    มีการเขียนข้างลำเรือไว้ว่า..
    "คนเยอรมันได้ทำลายบ้านเรือนของเรา โปรดอย่าทำลายความหวังของเราอีก"...

    ด้วยความเมตตา ชาวปาเลสไตน์ยอมรับชาวยิวอพยพเข้าสู่ดินแดนของตน..
    ในที่สุด ชาวยิว อ้างในภายหลังว่า ดินแดน ปาเลสไตน์ นี้ เป็นดินแดนแห่งพันธสัญญา- Promised Land ของพวกเราชนชาติยิว!

    ตลอดเวลากว่า 70 ปี ที่ชาวไซออนนิสต์ยิว ได้สังหารชาวปาเลสไตน์ ผู้ที่เมตตา และ ยินยอมให้ชาวยิวเข้ามาตั้งถิ่นฐานต่อเนื่องยาวนาน

    แต่ ชาวยิว กลับมาเนรคุณ สร้างอาณาจักรแห่งการเหยียดผิว ที่เปรียบเสมือนเรือนจำกลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลก..
    และ ยังปฏิบัติ ต่อชาวปาเลสไตน์เยี่ยงสัตว์ (subhumans)

    พวกคุณชาวยิว
    ยังจะต้องการความเห็นอกเห็นใจอีกมากแค่ไหน คุณจึงจะพอใจ

    สำหรับการไม่รู้จักบุญคุณคน และ จากข้อมูลใน ประวัติศาสตร์ที่พวกคุณตอบแทนความเมตตา และ ตอบแทนการยอมรับของคนชาติอื่นด้วยการทรยศ ด้วยการพร้อมที่จะฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาติอื่นที่เคยช่วยเหลือพวกคุณ ชาวยิว อีกหรือ!

    ประโยคหนึ่ง ที่เขียนในวรรณกรรมคลาสสิก ของจีน ที่ชื่อว่า..“การเดินหน้าเข้าสู่ตวามตาย” (The Death March)...กล่าวว่า

    "ประเทศเล็ก ที่ไม่ตระหนักในตนเอง ไม่เคารพต่อประเทศอื่นๆ แสดงความหยาบช้า ดูถูกดูแคลน ประเทศเพื่อนบ้านอันมั่นคงที่ตั้งอยู่ก่อน
    พลันแต่มี ความโลภ ไม่อินังขังขอบต่อ มิตรภาพ และ ความเป็นเพื่อน..
    ก็ย่อมจะนำพาตนเอง เดินทางไปสู่ความพินาศย่อยยับอย่างไม่ต้องสงสัย“

    บทความนี้น่าสนใจมาก
    เป็นประวัติศาสตร์ ที่ชาวโลกอีกหลายล้านอาจจะยังไม่เคยได้รับรู้

    ซึ่ง อาจจะมีคนตั้งกระทู้ ตั้งข้อโต้แย้ง ขึ้นมาได้

    อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครทราบความเป็นจริง
    อยู่ที่ คนตั้งกระทู้ จะหาหลักฐานมาโต้แย้งทางประวัติศาสตร์ ได้ หรือ ไม่ได้

    ซึ่งหากมีข้อมูลทางประวัติศาสตร์มาโต้แย้งได้
    ก็จะยิ่งน่าศึกษา น่าติดตาม
    เพื่อให้ความจริงกระจ่างยิ่งขึ้น
    และ นับเป็นเรื่องดี ที่จะได้ทราบกันจริงๆว่า
    “ ยิว เป็นชนชาติประเภทใด?“
    ดีจริงแท้ หรือ ซาตานลวงโลก กันแน่ ?
    ......
    (แปลโดย : SB-22/07/24)
    ส่งต่อจาก วิชา มหาคุณ
    #เมื่อยิวถามจีนว่า ทำไมไม่ช่วยอิสรา.เอล​รบกับ ฮามา.ส ลองฟังคับตอบ ประชาชนจีนที่รู้ประวัติศาสตร์​อ่านแล้วถึงกับอึง ยาวหน่อย แต่เป็นความรู้ระดับ #พันปี “เมื่อ Ross อเมริกันเชื้อสายยิวกล่าวโจมตี ทำไม จีน ไม่สนับสนุนอิสราเอลโจมตี ฮามาส“ นี่คือคำตอบ (แปลโดย SB-22/07/24) ส่งต่อจาก วิชา มหาคุณ ประวัติศาสตร์อีกมุมหนึ่งของชนชาติยิว... สองวันที่ผ่านมา Ross อดีตประธานภาคพื้นเอเซียแปซิฟิคของ พรรครีพับริกัน ได้สร้างข่าวพาดหัวด้วยการ กล่าวหา ชาวจีน ที่เล่นอินเตอร์เนต ว่า ไม่มีความเห็นอกเห็นใจชาวยิว อันเนื่องจากเหตุการณ์ความขัดแย้งที่กาซ่า.. ต่อมา มีชาวเนตจีนรายหนึ่ง เข้ามาเห็น จึงเขียนบทความอย่างยืดยาว เพื่อสอนบทเรียนทาง ประวัติศาสตร์ แก่ชาวอเมริกันยิวคนนี้.. สรุปว่า ต่อมา Ross ได้แอบลบบทวิจารณ์นี้ทิ้งไป... ไม่มีใครรู้ว่าผู้เขียนบทความโต้แย้งชายจีนผู้นี้เป็นใคร แต่ อย่างไรก็ตาม ข้อเขียนของเขาได้หลุดรอดออกมา และ ถูกเผยแพร่ออกไปอย่างกว้างขวาง! เป็นข้อเขียนที่ทุกคนต้องอ่าน! เพราะเป็นการตอบโต้ที่แข็งกร้าวของชาวเนตจีน..( 11 กค. 2024 ) สวัสดีครับคุณ Enge... ผมรู้สึกช๊อคไปกับคำพูดของคุณที่ว่า "หากโลกจะสนใจช่วยชาวยิวในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 (WW II)ืชาวยิวหกล้านคนก็คงไม่ถูกสังหาร"... แต่นี่ คงมิใช่ เหตุผล หรือ ทำให้กองทัพยิว มีสิทธิที่จะก่อสงครามล้างเผ่าพันธุ์ต่อชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซ่าแต่อย่างใด... ยิ่งไปกว่า มันไม่เป็นความจริงด้วย.. ในระหว่าง WW II นั้น ชาวจีนในเซี่ยงไฮ้ และ นานจิง กำลังถูกรุกราน และ ถูกสังหารหมู่ โดยกองทัพญี่ปุ่น ในขณะที่ชาวยิวถูกฆ่าโดยนาซี.. แต่กระนั้นก็ดี แม้ชาวจีนจะประสบเคราะห์กรรมขนาดนั้น ก็ยังยินดีรับเอาชาวยิวกว่า 50,000 คน ที่อพยพไปยังประเทศจีนเพื่อหนีภัยจากนาซี... แต่วิธีตอบแทนแบบยิวก็คือ การร่วมมือกับญี่ปุ่น เพื่อสร้างทรัฐชาวยิว ขึ้นในบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน! แผนงานนี้เป็นที่เลื่องลือในนามของ Pufferfish Plan.. แต่ก็โชคร้าย ซึ่งในที่สุดแผนการณ์นี้ล้มเหลว.. ทำให้นิทานเรื่องชาวนาและงูเห่า ไม่อาจเกิดเป็นจริงได้ในแผ่นดินจีน... แต่ที่เหลือเชื่อยิ่งกว่านั้นคือ เมื่อราวสองสัปดาห์ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่คนของสถานทูตอิสราเอล ได้กล่าวอ้างอย่างเปิดเผยผ่านทางรูปถ่ายว่า ที่ตั้งของสถานทูตที่อยู่บนถนนในเซี่ยงไฮ้ เกิดจากการยินยอมให้ใช้ของฝรั่งเศส!(ทั้งที่เรื่องกฏหมายสิทธิสภาพนอกอาณาเขต ถูกยกเลิกไปนานแล้ว) แต่แน่นอน หากพูดถึงสัมพันธภาพระหว่างจีน กับ ชาวยิว ย่อมมีอะไรที่มากไปกว่านั้นมากมาย ชาวยิวได้ร่อนเร่มายังประเทศจีนตั้งแต่สมัย ราชวงศ์ซ่ง หรือ ราวพันปีที่ผ่านมา และ ได้ตั้งถิ่นฐานในจีนตั้งแต่นั้นมา ราชวงศ์ซ่ง ปกครองอาณาจักรจีนโบราณ ที่ถือกันว่าสมบูรณ์พูนสุขิและ ร่ำรวยที่สุดราชวงศ์หนึ่ง อย่างไรก็ดี ในกาลต่อมา เมื่อราชวงศ์ซ่งล่มสลาย ผู้คนอพยพหนีภัยไปทางทิศใต้ นักธุรกิจชาวยิว ที่มีชื่อสกุล Pu ได้ใช้กำลังทหารส่วนตัว เข่นฆ่าชาวเมืองจำนวนมากที่เคยเป็นราษฎรภายใต้การปกครองของราชวงศ์ซ่ง แล้วนำศพไปให้กองทัพของราชวงศ์ หยวน เพื่อเป็นสัญญลักษณ์ของการยอมรับในอำนาจของผู้ปกครองชาว มงโกล รายใหม่ ในหลายสิบปีหลังจากนั้น ราชวงศ์ จูหยวนจาง ได้โค่นราชวงศ์หยวนลง และ จัดตั้งราชวงศ์หมิงขึ้น คนจีนที่สืบเชื้อสายจากชาวฮั่น จึงกลับขึ้นมามีอำนาจอีกครั้ง แต่ก็มิได้ขับไล่ชุมชนชาวยิวกลุ่มทรยศเหล่านี้ออกไป (ทั้งที่ได้เข่นฆ่าชาวจีนไปมากก่อนหน้านั้น) ต่อมา ในสมัยประวัติศาสตร์ช่วงการเกิดสงครามฝิ่น มีนักธุรกิจชาวยิว ตระกูล Sassoon ได้นำฝิ่นจำนวนมากมาจำหน่ายเพื่อหวังผลกำไร ทำให้ชาวจีนติดฝิ่นกันงอมแงม ประชากรชาวจีน อ่อนแอ และ ล้มตายกันเป็นจำนวนมาก.. คุณ (Mr Ross)เคยใช้ชีวิตอยู่ในเอเซียมาหลายปี น่าจะคุ้นเคยกับเรื่องนี้ดี เหตุการณ์ สงครามฉนวนกาซ่าในครั้งนี้ ชาวจีน มิได้รู้สึกเห็นใจ ชาวยิว เพราะชาวจีน มีการศึกษาเรื่องคุณธรรม ร่วมสามพันปีมาแล้ว "Shangshu" วรรณกรรมคลาสิกที่ยังเหลืออยู่ของจีน ที่เขียนขึ้นมาตั้งแต่ยุคศตวรรษที่ 10 ก่อนคริสตกาลหรือราว 3,000 ปีพอดี ซึ่งคงเป็นระยะเวลาเดียวกับที่ชาวยิวถูกขับไล่ออกจากดินแดนแห่งพันธสัญญา (Promised Land) และเป็นชนชาติเร่ร่อนตั้งแต่นั้นมา ถ้าคุณ( Mr. Ross )คุ้นเคย กับอดีต และ ประวัติศาสตร์ ชาวยิว ของคุณ คุณก็ควรรับรู้และตระหนักถึงมันด้วย ชาวอียิปต์ ยอมรับ ชาวยิว เข้าไปในดินแดนของตน แต่ ชาวยิว กลับทรยศ ต่อชาวอียิปต์ หลายต่อหลายครั้ง จนในที่สุด ชาวยิว ก็ถูกเข่นฆ่าและ ขับไล่ออกไปจากดินแดนอียิปต์โดย กษัตริย์ฟาโรห์ อาณาจักรโรมัน ยอมรับ ชาวยิว เป็นส่วนหนึ่งของโรมัน ถึงขนาดจัดตั้งชุมชนให้เป็น กลุ่มก้อน โดยเฉพาะ แต่ ชาวยิว กลับถือโอกาสก่อการกบฎ ในช่วงเวลาที่กษัตริย์ Trajan มุ่งขยายดินแดนไปทางตะวันออก และ กองกำลังความมั่นคงในโรมันอ่อนแอลง หลังจาก ชาวยิว สังหารกองกำลังโรมัน ที่มีอยู่น้อยนิด ชาวยิว ก็บุกสังหาร พลเรือนชาวโรมัน อย่างบ้าคลั่ง ถึงขนาด เฉือนเอาผิวหนังมาทำเสื้อผ้า กินเนื้อเป็นอาหาร และ โยนซากศพไปเป็นอาหารของสัตว์ดุร้าย.. ในเมือง Cyprus Salamis และ Libya พลเรือนชาวโรมันราว 220,000 คน ถูกสังหารโดย ชาวยิว แม้ต่อหน้าพลเรือนชาวโรมัน ชาวยิวดูจะทารุณโหดร้ายมาก แต่ในที่สุดกษัตริย์ Trajan ใช้กำลังทหารเพียงสองชุด ก็สามารถทวงคืนอำนาจจากชาวยิวได้อย่างสมบูรณ์ กองทัพโรมันที่โกรธแค้นได้เคลื่อนทัพจากดินแดนเมโสโปเตเมีย ไปตามฝั่ง ตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน..จนทำให้ชาวยิวที่อาศัยในพื้นที่เหล่านี้ถูกเข่นฆ่าจนเกือบหมด ต่อมา ชาวยิว ก็ก่อกบฎอีกครั้ง ครววนี้ มุ่งสังหารผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์ โดยเฉพาะ แต่ครั้งนี้ โชคไม่เข้าข้างชาวยิว เมื่อต้องพบกับกษัตริย์ Hadrian ผู้ได้ชื่อว่าเป็นกษัตริย์ที่เฉลียวฉลาดที่สุดคนหนึ่งของกรุงโรม ผู้ที่ได้ระดมกำลังทหาร 120,000 นาย เข้าจัดการสังหาร ชาวยิว ที่ก่อการกบฎได้อย่างเบ็ดเสร็จ กษัตริย์ Hadrian ได้ศึกษาบทเรียนจากยุคสมัยของกษัตริย์ Trajan จึงได้ยกเลิก ชุมชนชาวยิว เสียทั้งหมด ทำให้ชาวยิวต้องอยู่กันอย่างกระจัดกระจาย และ แตกกระสานซ่านเซ็นไปทั่วโลก นอกจากนั้น ยังมีจักรพรรดิ Titus ผู้บุกทำลาย และ สังหาร ชาวยิวในกรุงเยลูซาเล็ม ที่เคยเป็น Second Temple จนปัจจุบันเหลือเพียง Western Wall (หรือที่เรียกว่า กำแพงร้องไห้)ที่ชาวยิวใช้เป็นที่สวดมนต์ไปติดต่อพระเจ้าฯ เป็นเวลานับพันปี ที่ชาวยิว ต้องถูก เข่นฆ่า และ ขับออกนอกประเทศต่างๆนับครั้งไม่ถ้วน แต่ พวกคุณ ชาวยิว ก็ได้ทรยศต่อ ชาติต่างๆ จำนวนไม่น้อย ที่เห็นอกเห็นใจต่อความยากลำบากของพวกคุณ กระนั้นก็ดี พวกคุณ ก็ยังคงโอหัง เชื่อว่า ชนชาติตน เป็นชนชาติอภิสิทธิ์ ที่เหนือกว่าคนชาติอื่นๆ และ เชื่อว่า เป็น ชนชาติ ที่พระเจ้าเลือกสรรไว้ ให้เป็นใหญ่กว่าชนชาติอื่นใด ทำให้ ชาวไซออนนิสยิว ไม่เคยตระหนักถึงอดีตของตน.. จนเป็นที่สรุปกันแล้วว่า วัฒนธรรมของชนชาติยิว มีลักษณะที่เข้ากับใครยาก และ ไม่ยอมปรับตัวเข้าหาวัฒนธรรมอื่น ความเชื่อของชาวยิวเหล่านี้ จะใช้กับคนจีนไม่ได้ เพราะ คนจีนมีหลักการด้านคุณธรรมของตนเอง และ ไม่เคยคิดว่าชนชาติตนเหนือกว่าคนชนะชาติอื่น แต่จะปฏิบัติต่อคนชาติอื่น อย่างเท่าเทียมกัน และ ไม่เกรงกลัวต่อชนชาติอื่น ที่คิดว่าเหนือกว่าชาวจีน คนจีน จะมีความ อดทน อดกลั้น มีความละอายใจ มีความกตัญญูรู้คุณ และ รู้จักตอบแทนบุญคุณคน John Rabe อดีตนาซี ผู้ที่ครั้งหนึ่ง เคยช่วยชีวิตชาวจีนที่นานจิง คนจีนที่รู้เรื่องนี้ จะนึกถึงบุญคุณของเขาเสมอ จากเหตุการณ์ เมื่อสองปีที่แล้ว ที่โรงพยาบาล สถานที่ที่หลานของ John Rabe ทำงานอยู่ เกิดการขาดแคลนยารักษาโรค จึงร้องขอความช่วยเหลือไปยังสถานทูตจีนในเยอรมัน ปรากฏว่า ชาวจีนต่างช่วยกันบริจาคเงินและสิ่งของให้กันอย่างแข็งขัน ด้วยความสำนึกในพระคุณในอดีต ของ John Rabe ในช่วง WW II ประธานของสภากาชาดแห่งสวีเดน เคยช่วยเหลือเชลยถึง 35,000 คน จากค่ายกักกันของนาซี โดยในจำนวนนี้เป็นชาวยิวถึง 6,000 คน.. ต่อมา เมื่อเขาถูกยูเอ็น ส่งไปเป็นผู้แทน เพื่อยืนยันประเด็นที่เกี่ยวกับขอบเขตดินแดนในกรุงเยรูซาเล็ม ที่กำหนดขึ้นใหม่ระหว่างอิสราเอล กับ ปาเลสไตน์ ปรากฏว่าเขาถูกยิงถึงหกนัดและเสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ จากมือสังหารชาวยิว.. เพียงเพราะ เขาพูดถึง "ความยุติธรรม" เพียงไม่กี่คำ ในระหว่าง WW II เช่นเดียวกัน ประเทศยูโกสลาเวีย เคยช่วยชีวิตเด็กผู้หญิงชาวยิวไว้คนหนึ่ง.. แต่ 50 ปีต่อมา เธอกลับเป็นคนสั่งให้ทิ้งระเบิดยูโกสลาเวียอย่างไม่เลือกหน้า... หลายปีต่อมา เมื่อเธอ ถูกผู้สื่อข่าวถามในระหว่างการให้สัมภาษณ์ว่า เธอรู้สึกเสียใจบ้างหรือไม่ กับการสั่งทิ้งระเบิดยูโกสลาเวีย.. เธอตอบว่า.."ไม่เลย".. เธอผู้นั้น คือ อดีตสตรีที่เป็น รัฐมนตรีต่างประเทศ คนแรกของสหรัฐ..Madeleine Albright! ในการให้สัมภาษณ์ในรายการ 60 Minutes ในปี1996.. M. Albright กล่าวว่า การที่สหรัฐแซงชั่นอิรัค(สมัยซัดดัม) ซึ่งได้สังหารเด็กชาวอิรัคไปกว่าครึ่งล้าน (เพราะขาดแคลนอาหารและยารักษาโรค)นั้น เป็นสิ่งที่คุ้มค่า! ทั้งๆที่ การบุกเข้ายึดครองอิรัคเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายระหว่างประเทศ เพราะสหรัฐอ้างว่า อิรัคกำลังผลิตอาวุธทำลายล้าง ด้วยการนำเสนอเพียงภาพ “ผงซักฟอก” ในสื่อ ว่าคือ “สารเคมี” ที่ใช้สร้างอาวุธชีวภาพ นาง M. Albright กล่าวอย่างโจ่งแจ้งท้าทายว่า.. การเข่นฆ่าเด็กนับล้าน เป็นสิ่งที่คุ้มค่าแล้ว! ในปี 1947 เมื่อชาวยิว อพยพทางเรือมายังดินแดนปาเลสไตน์ มีการเขียนข้างลำเรือไว้ว่า.. "คนเยอรมันได้ทำลายบ้านเรือนของเรา โปรดอย่าทำลายความหวังของเราอีก"... ด้วยความเมตตา ชาวปาเลสไตน์ยอมรับชาวยิวอพยพเข้าสู่ดินแดนของตน.. ในที่สุด ชาวยิว อ้างในภายหลังว่า ดินแดน ปาเลสไตน์ นี้ เป็นดินแดนแห่งพันธสัญญา- Promised Land ของพวกเราชนชาติยิว! ตลอดเวลากว่า 70 ปี ที่ชาวไซออนนิสต์ยิว ได้สังหารชาวปาเลสไตน์ ผู้ที่เมตตา และ ยินยอมให้ชาวยิวเข้ามาตั้งถิ่นฐานต่อเนื่องยาวนาน แต่ ชาวยิว กลับมาเนรคุณ สร้างอาณาจักรแห่งการเหยียดผิว ที่เปรียบเสมือนเรือนจำกลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลก.. และ ยังปฏิบัติ ต่อชาวปาเลสไตน์เยี่ยงสัตว์ (subhumans) พวกคุณชาวยิว ยังจะต้องการความเห็นอกเห็นใจอีกมากแค่ไหน คุณจึงจะพอใจ สำหรับการไม่รู้จักบุญคุณคน และ จากข้อมูลใน ประวัติศาสตร์ที่พวกคุณตอบแทนความเมตตา และ ตอบแทนการยอมรับของคนชาติอื่นด้วยการทรยศ ด้วยการพร้อมที่จะฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาติอื่นที่เคยช่วยเหลือพวกคุณ ชาวยิว อีกหรือ! ประโยคหนึ่ง ที่เขียนในวรรณกรรมคลาสสิก ของจีน ที่ชื่อว่า..“การเดินหน้าเข้าสู่ตวามตาย” (The Death March)...กล่าวว่า "ประเทศเล็ก ที่ไม่ตระหนักในตนเอง ไม่เคารพต่อประเทศอื่นๆ แสดงความหยาบช้า ดูถูกดูแคลน ประเทศเพื่อนบ้านอันมั่นคงที่ตั้งอยู่ก่อน พลันแต่มี ความโลภ ไม่อินังขังขอบต่อ มิตรภาพ และ ความเป็นเพื่อน.. ก็ย่อมจะนำพาตนเอง เดินทางไปสู่ความพินาศย่อยยับอย่างไม่ต้องสงสัย“ บทความนี้น่าสนใจมาก เป็นประวัติศาสตร์ ที่ชาวโลกอีกหลายล้านอาจจะยังไม่เคยได้รับรู้ ซึ่ง อาจจะมีคนตั้งกระทู้ ตั้งข้อโต้แย้ง ขึ้นมาได้ อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครทราบความเป็นจริง อยู่ที่ คนตั้งกระทู้ จะหาหลักฐานมาโต้แย้งทางประวัติศาสตร์ ได้ หรือ ไม่ได้ ซึ่งหากมีข้อมูลทางประวัติศาสตร์มาโต้แย้งได้ ก็จะยิ่งน่าศึกษา น่าติดตาม เพื่อให้ความจริงกระจ่างยิ่งขึ้น และ นับเป็นเรื่องดี ที่จะได้ทราบกันจริงๆว่า “ ยิว เป็นชนชาติประเภทใด?“ ดีจริงแท้ หรือ ซาตานลวงโลก กันแน่ ? ...... (แปลโดย : SB-22/07/24) ส่งต่อจาก วิชา มหาคุณ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1022 มุมมอง 0 รีวิว
  • "มาครง ฟาดใส่ปูตินอีกครั้งต่อหน้าทรัมป์"
    โดยระบุว่าเขายุติเจรจากับปูตินหลังเหตุการณ์ในเมืองบูชา (Bucha) ของยูเครน ซึ่งเกี่ยวข้องกับ “อาชญากรรมสงคราม” มาครงยังกล่าวถึงท่าทีใหม่ของเขาอีกว่า ขณะนี้เขาพร้อมกลับมาเจรจากับปูตินอีกครั้ง หลังสหรัฐมีการเปลี่ยนแปลงอำนาจการปกครอง

    "ผมยุติการเจรจากับประธานาธิบดีปูตินหลังเหตุการณ์ที่เมืองบูชา ซึ่งเป็นเรื่องอาชญากรรมสงคราม เพราะผมคิดว่าเราคงไม่ได้อะไรจากเขาในตอนนั้น"

    "แต่ตอนนี้สหรัฐฯ มีความเป็นจริงใหม่และรัฐบาลชุดใหม่ ผมคิดว่านั่นคือเหตุผลที่การหารือครั้งนี้อาจมีประโยชน์ ตอนนี้มีเหตุผลที่น่าเชื่อถือในการกลับมาติดต่อและเจรจากับปูตินใหม่อีกครั้ง"

    .
    เหตุการณ์ในเมืองบูชา ซึ่งอยู่ห่างจากเคียฟ เมืองหลวงของยูเครนเพียงเล็กน้อย เกิดขึ้นช่วงเริ่มต้นสงครามในปี 2022 ขณะนั้นรัสเซียบุกประชิดเมืองเคียฟ

    สื่อตะวันตกประโคมข่าวพบศพพลเรือนจำนวนมากอยู่ในเมือง แน่นอนว่าพวกเขากล่าวหาว่ารัสเซียเป็นผู้ก่ออาชญากรรมร้ายแรงนี้

    รัสเซียออกมาตอบโต้ข้อกล่าวหาสังหารหมู่ในเมืองบูชา โดยกล่าวว่าเป็นโฆษณาชวนเชื่อของกองกำลังพิเศษเคียฟที่ได้ทุนสนับสนุนจากตะวันตกและสหรัฐเพื่อป้ายสีมอสโก และพร้อมให้เปิดการสอบสวนคดีอาชญากรรมสงครามต่อที่ประชุมคณะมนตรีความมั่นคง ซึ่งรัสเซียพร้อมแสดงหลักฐานพิสูจน์ความบริสุทธิ์

    ไม่ถึงหนึ่งเดือน ข่าวนี้ก็เงียบหายไปจากหน้าสื่อ ไม่มีใครพูดถึงอีกเลย แต่รัสเซียยังคงพยายามรื้อฟื้นการสอบสวน เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ของตนเอง


    "มาครง ฟาดใส่ปูตินอีกครั้งต่อหน้าทรัมป์" โดยระบุว่าเขายุติเจรจากับปูตินหลังเหตุการณ์ในเมืองบูชา (Bucha) ของยูเครน ซึ่งเกี่ยวข้องกับ “อาชญากรรมสงคราม” มาครงยังกล่าวถึงท่าทีใหม่ของเขาอีกว่า ขณะนี้เขาพร้อมกลับมาเจรจากับปูตินอีกครั้ง หลังสหรัฐมีการเปลี่ยนแปลงอำนาจการปกครอง "ผมยุติการเจรจากับประธานาธิบดีปูตินหลังเหตุการณ์ที่เมืองบูชา ซึ่งเป็นเรื่องอาชญากรรมสงคราม เพราะผมคิดว่าเราคงไม่ได้อะไรจากเขาในตอนนั้น" "แต่ตอนนี้สหรัฐฯ มีความเป็นจริงใหม่และรัฐบาลชุดใหม่ ผมคิดว่านั่นคือเหตุผลที่การหารือครั้งนี้อาจมีประโยชน์ ตอนนี้มีเหตุผลที่น่าเชื่อถือในการกลับมาติดต่อและเจรจากับปูตินใหม่อีกครั้ง" . เหตุการณ์ในเมืองบูชา ซึ่งอยู่ห่างจากเคียฟ เมืองหลวงของยูเครนเพียงเล็กน้อย เกิดขึ้นช่วงเริ่มต้นสงครามในปี 2022 ขณะนั้นรัสเซียบุกประชิดเมืองเคียฟ สื่อตะวันตกประโคมข่าวพบศพพลเรือนจำนวนมากอยู่ในเมือง แน่นอนว่าพวกเขากล่าวหาว่ารัสเซียเป็นผู้ก่ออาชญากรรมร้ายแรงนี้ รัสเซียออกมาตอบโต้ข้อกล่าวหาสังหารหมู่ในเมืองบูชา โดยกล่าวว่าเป็นโฆษณาชวนเชื่อของกองกำลังพิเศษเคียฟที่ได้ทุนสนับสนุนจากตะวันตกและสหรัฐเพื่อป้ายสีมอสโก และพร้อมให้เปิดการสอบสวนคดีอาชญากรรมสงครามต่อที่ประชุมคณะมนตรีความมั่นคง ซึ่งรัสเซียพร้อมแสดงหลักฐานพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ไม่ถึงหนึ่งเดือน ข่าวนี้ก็เงียบหายไปจากหน้าสื่อ ไม่มีใครพูดถึงอีกเลย แต่รัสเซียยังคงพยายามรื้อฟื้นการสอบสวน เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ของตนเอง
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 292 มุมมอง 21 0 รีวิว
  • สำนักงานสื่อของรัฐบาลปาเลสไตน์ในฉนวนกาซารายงานภาพรวมของการโจมตีจากอิสราเอล:

    ➤ ประชาชนมากกว่า 61,000 คน ตกเป็นเหยื่อของสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของอิสราเอลในฉนวนกาซา

    ➤ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของอิสราเอลทำให้ชาวปาเลสไตน์มากกว่าสองล้านคนต้องพลัดถิ่นฐานจากบ้านเรือนของตน

    ➤ ที่อยู่อาศัยมากกว่า 150,000 ยูนิต ได้รับความเสียหายในฉนวนกาซาจากการโจมตีทำลายของอิสราเอล

    ➤ กองกำลังอิสราเอลก่อเหตุสังหารหมู่ยกครอบครัวไปมากถึง 9,268 คตรอบครัว ในระหว่างการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในฉนวนกาซา

    ➤ กองกำลังอิสราเอลสังหารบุคลากรทางการแพทย์ไป 1,155 ราย นักข่าว 205 ราย และเจ้าหน้าที่บริการสาธารธภัยพลเรือน 194 ราย

    ➤ กองกำลังอิสราเอลทำลายโรงพยาบาลประมาณ 34 แห่งในฉนวนกาซา
    สำนักงานสื่อของรัฐบาลปาเลสไตน์ในฉนวนกาซารายงานภาพรวมของการโจมตีจากอิสราเอล: ➤ ประชาชนมากกว่า 61,000 คน ตกเป็นเหยื่อของสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของอิสราเอลในฉนวนกาซา ➤ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของอิสราเอลทำให้ชาวปาเลสไตน์มากกว่าสองล้านคนต้องพลัดถิ่นฐานจากบ้านเรือนของตน ➤ ที่อยู่อาศัยมากกว่า 150,000 ยูนิต ได้รับความเสียหายในฉนวนกาซาจากการโจมตีทำลายของอิสราเอล ➤ กองกำลังอิสราเอลก่อเหตุสังหารหมู่ยกครอบครัวไปมากถึง 9,268 คตรอบครัว ในระหว่างการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในฉนวนกาซา ➤ กองกำลังอิสราเอลสังหารบุคลากรทางการแพทย์ไป 1,155 ราย นักข่าว 205 ราย และเจ้าหน้าที่บริการสาธารธภัยพลเรือน 194 ราย ➤ กองกำลังอิสราเอลทำลายโรงพยาบาลประมาณ 34 แห่งในฉนวนกาซา
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 305 มุมมอง 26 0 รีวิว
  • 83 ปี แห่งการประชุมวันเซ จุดเริ่มไอน์ซัทซ์กรุพเพิน นาซีเยอรมนี ปฏิบัติการล้างบางชาวยิว


    ย้อนไปเมื่อ 83 ปี ที่ผ่านมา ในวันที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2485 การประชุมวันเซ (Wannsee Conference) ณ คฤหาสน์โกเบน วันเซ ชานกรุงเบอร์ลิน เยอรมนี ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญ ที่เปลี่ยนโฉมหน้า ประวัติศาสตร์โลก ไปตลอดกาล ที่นี่ ผู้นำนาซีเยอรมัน รวมถึงสมาชิกระดับสูง ของหน่วยเอสเอส (SS) และเจ้าหน้าที่ข้าราชการระดับสูง ได้ร่วมกันวางแผนเพื่อดำเนิน "การแก้ปัญหาชาวยิว ครั้งสุดท้าย" หรือ “Final Solution” ซึ่งเป็นโครงการ ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว ทั่วทวีปยุโรป

    การประชุมวันเซ จุดเริ่มต้นการล้างบาง
    การประชุมครั้งนี้ถูกจัดขึ้นโดย ไรน์ฮาร์ด ไฮดริช (Reinhard Heydrich) ผู้อำนวยการ สำนักความมั่นคงหลักไรช์ (Reich Security Main Office) โดยมีเป้าหมายเพื่อวางแผน และสร้างความร่วมมือ ระหว่างกระทรวงต่าง ๆ ของเยอรมนี ในปฏิบัติการกำจัดชาวยิว ทั่วทั้งทวีปยุโรป ไฮดริชต้องการความแน่ใจว่า หน่วยงานของรัฐทุกแห่ง เช่น กระทรวงยุติธรรม กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงการต่างประเทศ จะปฏิบัติตามแผนการ ที่ถูกกำหนดอย่างชัดเจน

    นอกจากการสร้างความร่วมมือ ไฮดริชยังได้ใช้การประชุมครั้งนี้ เพื่อชี้แจงแผนการ ส่งชาวยิวในยุโรปตะวันตก ไปยังค่ายมรณะในโปแลนด์ เช่น ค่ายเอาชวิทซ์ (Auschwitz) และเทรบลินกา (Treblinka) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ “การแก้ปัญหาชาวยิว ครั้งสุดท้าย”

    ผู้เข้าร่วมการประชุม มีทั้งหมด 15 คน ซึ่งเป็นตัวแทนระดับสูง จากหลายหน่วยงาน รวมถึงผู้นำจากหน่วยเอสเอส ผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ และข้าราชการระดับสูง หนึ่งในนั้นคือ อัดอล์ฟ ไอช์มันน์ (Adolf Eichmann) ผู้มีบทบาทสำคัญ ในการประสานงาน และดำเนินการขนส่งชาวยิว ไปยังค่ายมรณะ

    ในบันทึกการประชุม ที่หลงเหลือมาจากสงคราม แสดงให้เห็นว่า ผู้เข้าร่วมไม่ได้แสดงความขัดแย้ง ต่อแผนการนี้ แต่กลับสนับสนุน และมีการพูดคุย ถึงวิธีการอย่างละเอียด

    ไอน์ซัทซ์กรุพเพิน กองกำลังสังหาร ที่ปฏิบัติการในแนวรบตะวันออก
    ไอน์ซัทซ์กรุพเพิน (Einsatzgruppen) หรือ "หน่วยปฏิบัติการเฉพาะกิจ" เป็นกลุ่มกองกำลัง ของหน่วยเอสเอส ที่ถูกจัดตั้งขึ้น เพื่อปฏิบัติภารกิจสังหารหมู่ ในพื้นที่ที่กองทัพเยอรมันยึดครอง โดยเฉพาะในยุโรปตะวันออก หลังการรุกรานโปแลนด์ และสหภาพโซเวียต หน่วยเหล่านี้ มีหน้าที่กำจัดกลุ่มคน ที่ถูกระบุว่า เป็นภัยต่อระบอบนาซี เช่น ชาวยิว ชาวโรมานี (ยิปซี) ปัญญาชน และสมาชิกฝ่ายตรงข้าม ทางการเมือง

    ปฏิบัติการไอน์ซัทซ์กรุพเพิน
    การสังหารหมู่ส่วนใหญ่ มักเกิดขึ้นผ่านการยิงเป้า ในพื้นที่ชนบทหรือป่าลึก ตัวอย่างที่เป็นที่รู้จักคือ การสังหารหมู่ที่บาบี ยาร์ (Babi Yar) ในยูเครน เมื่อเดือนกันยายน 2484 ซึ่งมีชาวยิวมากกว่า 33,000 คน ถูกสังหารภายในเวลาเพียง 2 วัน

    ในช่วงแรก เหยื่อถูกบังคับ ให้ขุดหลุมศพของตนเอง ก่อนจะถูกยิงเป้า ต่อมานาซีเริ่มใช้วิธีการที่ "มีประสิทธิภาพมากขึ้น" เช่น การส่งเหยื่อไปยังค่ายมรณะ และสังหารในห้องรมแก๊ส

    ตามการประเมิน ของนักประวัติศาสตร์ หน่วยไอน์ซัทซ์กรุพเพิน มีส่วนรับผิดชอบ ต่อการสังหารผู้คนกว่า 2 ล้านคน ซึ่งในจำนวนนี้ มีชาวยิวประมาณ 1.3 ล้านคน

    มาตรการสุดท้าย การล้างเผ่าพันธุ์อย่างเป็นระบบ
    บังคับใช้กฎหมาย แบ่งแยกชาวยิว
    ก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง เยอรมนีเริ่มจากการบังคับใช้ กฎหมายเนือร์นแบร์ก (Nuremberg Laws) ในปี 1935 ซึ่งแยกชาวยิว ออกจากสังคมเยอรมัน อย่างเป็นทางการ

    ตั้งเกตโต
    ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ชาวยิวถูกบังคับ ให้ย้ายไปอาศัยในเขตเกตโต (Ghetto) เช่น เกตโตวอร์ซอ (Warsaw Ghetto) ซึ่งมีสภาพความเป็นอยู่ที่แออัด และไร้มนุษยธรรม

    การเนรเทศและสังหารหมู่
    ชาวยิวถูกขนส่งใน "รถไฟมรณะ" ไปยังค่ายมรณะ เช่น เอาชวิทซ์ เพื่อถูกสังหาร ในห้องรมแก๊ส

    มาตรการสุดท้ายของนาซี นำไปสู่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวกว่า 6 ล้านคน คิดเป็นสองในสาม ของประชากรยิวในยุโรป ในขณะนั้น

    เอกสารที่หลงเหลือ
    หลังสงครามสิ้นสุดลง สำเนาพิธีสารการประชุมวันเซ ถูกค้นพบโดยฝ่ายสัมพันธมิตร และถูกนำมาใช้เป็นหลักฐานสำคัญ ในการพิจารณาคดีเนือร์นแบร์ก (Nuremberg Trials) เพื่อดำเนินคดี กับผู้นำนาซี

    สำนึกผิดและสร้างอนุสรณ์
    ปัจจุบัน อาคารที่เคยใช้จัดการประชุมวันเซ ได้ถูกเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ และอนุสรณ์สถาน เพื่อรำลึกถึงเหยื่อ ของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์

    คำถามที่พบบ่อย (FAQs)
    1. การประชุมวันเซ มีผลกระทบอย่างไรต่อชาวยิว?
    การประชุมวันเซ เป็นการกำหนดแผนปฏิบัติการ สังหารหมู่ชาวยิว อย่างเป็นระบบ ทั่วทวีปยุโรป ซึ่งนำไปสู่การสูญเสียชีวิต ของชาวยิวกว่า 6 ล้านคน

    2. หน่วยไอน์ซัทซ์กรุพเพิน ทำหน้าที่อะไร?
    ไอน์ซัทซ์กรุพเพิน เป็นหน่วยกองกำลังของเอสเอส ที่มีหน้าที่ปฏิบัติการสังหารหมู่ ในยุโรปตะวันออก โดยใช้วิธีการยิงเป้า และการสังหารหมู่ในระดับใหญ่

    3. มีชาวยิวกี่คนที่เสียชีวิต ในเหตุการณ์ฮอโลคอสต์?
    ในเหตุการณ์ฮอโลคอสต์ ชาวยิวประมาณ 6 ล้านคน ถูกสังหาร รวมถึงผู้เสียชีวิตจากกลุ่มชาติพันธุ์ และชนกลุ่มน้อยอื่น ๆ อีกกว่า 11 ล้านคน

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 200908 ม.ค. 2568

    #Holocaust #WannseeConference #Einsatzgruppen #FinalSolution #NaziGermany #JewishHistory #WorldWarII #Genocide #NeverAgain #HistoryMatters
    83 ปี แห่งการประชุมวันเซ จุดเริ่มไอน์ซัทซ์กรุพเพิน นาซีเยอรมนี ปฏิบัติการล้างบางชาวยิว ย้อนไปเมื่อ 83 ปี ที่ผ่านมา ในวันที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2485 การประชุมวันเซ (Wannsee Conference) ณ คฤหาสน์โกเบน วันเซ ชานกรุงเบอร์ลิน เยอรมนี ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญ ที่เปลี่ยนโฉมหน้า ประวัติศาสตร์โลก ไปตลอดกาล ที่นี่ ผู้นำนาซีเยอรมัน รวมถึงสมาชิกระดับสูง ของหน่วยเอสเอส (SS) และเจ้าหน้าที่ข้าราชการระดับสูง ได้ร่วมกันวางแผนเพื่อดำเนิน "การแก้ปัญหาชาวยิว ครั้งสุดท้าย" หรือ “Final Solution” ซึ่งเป็นโครงการ ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว ทั่วทวีปยุโรป การประชุมวันเซ จุดเริ่มต้นการล้างบาง การประชุมครั้งนี้ถูกจัดขึ้นโดย ไรน์ฮาร์ด ไฮดริช (Reinhard Heydrich) ผู้อำนวยการ สำนักความมั่นคงหลักไรช์ (Reich Security Main Office) โดยมีเป้าหมายเพื่อวางแผน และสร้างความร่วมมือ ระหว่างกระทรวงต่าง ๆ ของเยอรมนี ในปฏิบัติการกำจัดชาวยิว ทั่วทั้งทวีปยุโรป ไฮดริชต้องการความแน่ใจว่า หน่วยงานของรัฐทุกแห่ง เช่น กระทรวงยุติธรรม กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงการต่างประเทศ จะปฏิบัติตามแผนการ ที่ถูกกำหนดอย่างชัดเจน นอกจากการสร้างความร่วมมือ ไฮดริชยังได้ใช้การประชุมครั้งนี้ เพื่อชี้แจงแผนการ ส่งชาวยิวในยุโรปตะวันตก ไปยังค่ายมรณะในโปแลนด์ เช่น ค่ายเอาชวิทซ์ (Auschwitz) และเทรบลินกา (Treblinka) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ “การแก้ปัญหาชาวยิว ครั้งสุดท้าย” ผู้เข้าร่วมการประชุม มีทั้งหมด 15 คน ซึ่งเป็นตัวแทนระดับสูง จากหลายหน่วยงาน รวมถึงผู้นำจากหน่วยเอสเอส ผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ และข้าราชการระดับสูง หนึ่งในนั้นคือ อัดอล์ฟ ไอช์มันน์ (Adolf Eichmann) ผู้มีบทบาทสำคัญ ในการประสานงาน และดำเนินการขนส่งชาวยิว ไปยังค่ายมรณะ ในบันทึกการประชุม ที่หลงเหลือมาจากสงคราม แสดงให้เห็นว่า ผู้เข้าร่วมไม่ได้แสดงความขัดแย้ง ต่อแผนการนี้ แต่กลับสนับสนุน และมีการพูดคุย ถึงวิธีการอย่างละเอียด ไอน์ซัทซ์กรุพเพิน กองกำลังสังหาร ที่ปฏิบัติการในแนวรบตะวันออก ไอน์ซัทซ์กรุพเพิน (Einsatzgruppen) หรือ "หน่วยปฏิบัติการเฉพาะกิจ" เป็นกลุ่มกองกำลัง ของหน่วยเอสเอส ที่ถูกจัดตั้งขึ้น เพื่อปฏิบัติภารกิจสังหารหมู่ ในพื้นที่ที่กองทัพเยอรมันยึดครอง โดยเฉพาะในยุโรปตะวันออก หลังการรุกรานโปแลนด์ และสหภาพโซเวียต หน่วยเหล่านี้ มีหน้าที่กำจัดกลุ่มคน ที่ถูกระบุว่า เป็นภัยต่อระบอบนาซี เช่น ชาวยิว ชาวโรมานี (ยิปซี) ปัญญาชน และสมาชิกฝ่ายตรงข้าม ทางการเมือง ปฏิบัติการไอน์ซัทซ์กรุพเพิน การสังหารหมู่ส่วนใหญ่ มักเกิดขึ้นผ่านการยิงเป้า ในพื้นที่ชนบทหรือป่าลึก ตัวอย่างที่เป็นที่รู้จักคือ การสังหารหมู่ที่บาบี ยาร์ (Babi Yar) ในยูเครน เมื่อเดือนกันยายน 2484 ซึ่งมีชาวยิวมากกว่า 33,000 คน ถูกสังหารภายในเวลาเพียง 2 วัน ในช่วงแรก เหยื่อถูกบังคับ ให้ขุดหลุมศพของตนเอง ก่อนจะถูกยิงเป้า ต่อมานาซีเริ่มใช้วิธีการที่ "มีประสิทธิภาพมากขึ้น" เช่น การส่งเหยื่อไปยังค่ายมรณะ และสังหารในห้องรมแก๊ส ตามการประเมิน ของนักประวัติศาสตร์ หน่วยไอน์ซัทซ์กรุพเพิน มีส่วนรับผิดชอบ ต่อการสังหารผู้คนกว่า 2 ล้านคน ซึ่งในจำนวนนี้ มีชาวยิวประมาณ 1.3 ล้านคน มาตรการสุดท้าย การล้างเผ่าพันธุ์อย่างเป็นระบบ บังคับใช้กฎหมาย แบ่งแยกชาวยิว ก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง เยอรมนีเริ่มจากการบังคับใช้ กฎหมายเนือร์นแบร์ก (Nuremberg Laws) ในปี 1935 ซึ่งแยกชาวยิว ออกจากสังคมเยอรมัน อย่างเป็นทางการ ตั้งเกตโต ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ชาวยิวถูกบังคับ ให้ย้ายไปอาศัยในเขตเกตโต (Ghetto) เช่น เกตโตวอร์ซอ (Warsaw Ghetto) ซึ่งมีสภาพความเป็นอยู่ที่แออัด และไร้มนุษยธรรม การเนรเทศและสังหารหมู่ ชาวยิวถูกขนส่งใน "รถไฟมรณะ" ไปยังค่ายมรณะ เช่น เอาชวิทซ์ เพื่อถูกสังหาร ในห้องรมแก๊ส มาตรการสุดท้ายของนาซี นำไปสู่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวกว่า 6 ล้านคน คิดเป็นสองในสาม ของประชากรยิวในยุโรป ในขณะนั้น เอกสารที่หลงเหลือ หลังสงครามสิ้นสุดลง สำเนาพิธีสารการประชุมวันเซ ถูกค้นพบโดยฝ่ายสัมพันธมิตร และถูกนำมาใช้เป็นหลักฐานสำคัญ ในการพิจารณาคดีเนือร์นแบร์ก (Nuremberg Trials) เพื่อดำเนินคดี กับผู้นำนาซี สำนึกผิดและสร้างอนุสรณ์ ปัจจุบัน อาคารที่เคยใช้จัดการประชุมวันเซ ได้ถูกเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ และอนุสรณ์สถาน เพื่อรำลึกถึงเหยื่อ ของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ คำถามที่พบบ่อย (FAQs) 1. การประชุมวันเซ มีผลกระทบอย่างไรต่อชาวยิว? การประชุมวันเซ เป็นการกำหนดแผนปฏิบัติการ สังหารหมู่ชาวยิว อย่างเป็นระบบ ทั่วทวีปยุโรป ซึ่งนำไปสู่การสูญเสียชีวิต ของชาวยิวกว่า 6 ล้านคน 2. หน่วยไอน์ซัทซ์กรุพเพิน ทำหน้าที่อะไร? ไอน์ซัทซ์กรุพเพิน เป็นหน่วยกองกำลังของเอสเอส ที่มีหน้าที่ปฏิบัติการสังหารหมู่ ในยุโรปตะวันออก โดยใช้วิธีการยิงเป้า และการสังหารหมู่ในระดับใหญ่ 3. มีชาวยิวกี่คนที่เสียชีวิต ในเหตุการณ์ฮอโลคอสต์? ในเหตุการณ์ฮอโลคอสต์ ชาวยิวประมาณ 6 ล้านคน ถูกสังหาร รวมถึงผู้เสียชีวิตจากกลุ่มชาติพันธุ์ และชนกลุ่มน้อยอื่น ๆ อีกกว่า 11 ล้านคน ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 200908 ม.ค. 2568 #Holocaust #WannseeConference #Einsatzgruppen #FinalSolution #NaziGermany #JewishHistory #WorldWarII #Genocide #NeverAgain #HistoryMatters
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1130 มุมมอง 0 รีวิว
  • อีกหนึ่งเวอร์ชั่นของวิดีโอที่ยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าเนทันยาฮูเป็นอาชญากรสงครามในข้อหาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์ในกาซา โดยมีโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกามีส่วนรู้เห็นด้วย โดยให้ความช่วยเหลือทางทหารและอาวุธต่ออิสราเอลมูลค่าเกือบ 3 หมื่นล้านดอลลาร์

    ในการให้สัมภาษณ์กับ MSNBC ไบเดนยอมรับว่า เขาเตือนเนทันยาฮูว่าอย่าทิ้งระเบิดปูพรมใส่พื้นที่พลเรือน จากคำพูดของไบเดน เนทันยาฮูไม่ได้ปฏิเสธการกระทำนั้น แต่กลับตอบโต้ไบเดนว่า สหรัฐเองก็ทำมาก่อน ทั้งในเบอร์ลิน และฮิโรชิมา

    สิ่งที่คนทั่วโลกได้เห็นมาตลอด 15 เดือน คือการระเบิดปูพรมและสังหารหมู่ชาวปาเลสไตน์ แต่การให้สัมภาษณ์ของสหรัฐที่นำโดยบลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ ที่มีสายเลือดยิวอยู่ในตัว กลับพยายามบอกผ่านสื่อที่อยู่ในการควบคุมของพวกเขาว่าสิ่งที่เราเห็นนั้นไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจริง แต่เป็นเพียงการปกป้องตัวเองตามสิทธิของอิสราเอลเท่านั้น
    อีกหนึ่งเวอร์ชั่นของวิดีโอที่ยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าเนทันยาฮูเป็นอาชญากรสงครามในข้อหาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์ในกาซา โดยมีโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกามีส่วนรู้เห็นด้วย โดยให้ความช่วยเหลือทางทหารและอาวุธต่ออิสราเอลมูลค่าเกือบ 3 หมื่นล้านดอลลาร์ ในการให้สัมภาษณ์กับ MSNBC ไบเดนยอมรับว่า เขาเตือนเนทันยาฮูว่าอย่าทิ้งระเบิดปูพรมใส่พื้นที่พลเรือน จากคำพูดของไบเดน เนทันยาฮูไม่ได้ปฏิเสธการกระทำนั้น แต่กลับตอบโต้ไบเดนว่า สหรัฐเองก็ทำมาก่อน ทั้งในเบอร์ลิน และฮิโรชิมา สิ่งที่คนทั่วโลกได้เห็นมาตลอด 15 เดือน คือการระเบิดปูพรมและสังหารหมู่ชาวปาเลสไตน์ แต่การให้สัมภาษณ์ของสหรัฐที่นำโดยบลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ ที่มีสายเลือดยิวอยู่ในตัว กลับพยายามบอกผ่านสื่อที่อยู่ในการควบคุมของพวกเขาว่าสิ่งที่เราเห็นนั้นไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจริง แต่เป็นเพียงการปกป้องตัวเองตามสิทธิของอิสราเอลเท่านั้น
    Like
    Sad
    Angry
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 396 มุมมอง 38 0 รีวิว
  • 2/ (วิดีโอแบบสั้น)

    วิดีโอนี้ยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าเนทันยาฮูเป็นอาชญากรสงครามในข้อหาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์ในกาซา โดยมีโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกามีส่วนรู้เห็นด้วย โดยให้ความช่วยเหลือทางทหารและอาวุธต่ออิสราเอลมูลค่าเกือบ 3 หมื่นล้านดอลลาร์

    ในการให้สัมภาษณ์กับ MSNBC ไบเดนยอมรับว่า เขาบอกกับเนทันยาฮูว่าอิสราเอลอย่าทิ้งระเบิดปูพรมใส่พื้นที่พลเรือน จากคำพูดของไบเดน เนทันยาฮูไม่ได้ปฏิเสธการกระทำนั้น แต่กลับตอบโต้ไบเดนว่า สหรัฐเองก็ทำมาก่อน ทั้งในเบอร์ลิน และฮิโรชิมา

    สิ่งที่คนทั่วโลกได้เห็นมาตลอด 15 เดือน คือการระเบิดปูพรมและสังหารหมู่ชาวปาเลสไตน์ แต่การให้สัมภาษณ์ของสหรัฐที่นำโดยบลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ ที่มีสายเลือดยิวอยู่ในตัว กลับพยายามบอกผ่านสื่อที่อยู่ในการควบคุมของพวกเขาว่าสิ่งที่เราเห็นนั้นไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจริง แต่เป็นเพียงการปกป้องตัวเองตามสิทธิของอิสราเอลเท่านั้น
    2/ (วิดีโอแบบสั้น) วิดีโอนี้ยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าเนทันยาฮูเป็นอาชญากรสงครามในข้อหาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์ในกาซา โดยมีโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกามีส่วนรู้เห็นด้วย โดยให้ความช่วยเหลือทางทหารและอาวุธต่ออิสราเอลมูลค่าเกือบ 3 หมื่นล้านดอลลาร์ ในการให้สัมภาษณ์กับ MSNBC ไบเดนยอมรับว่า เขาบอกกับเนทันยาฮูว่าอิสราเอลอย่าทิ้งระเบิดปูพรมใส่พื้นที่พลเรือน จากคำพูดของไบเดน เนทันยาฮูไม่ได้ปฏิเสธการกระทำนั้น แต่กลับตอบโต้ไบเดนว่า สหรัฐเองก็ทำมาก่อน ทั้งในเบอร์ลิน และฮิโรชิมา สิ่งที่คนทั่วโลกได้เห็นมาตลอด 15 เดือน คือการระเบิดปูพรมและสังหารหมู่ชาวปาเลสไตน์ แต่การให้สัมภาษณ์ของสหรัฐที่นำโดยบลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ ที่มีสายเลือดยิวอยู่ในตัว กลับพยายามบอกผ่านสื่อที่อยู่ในการควบคุมของพวกเขาว่าสิ่งที่เราเห็นนั้นไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจริง แต่เป็นเพียงการปกป้องตัวเองตามสิทธิของอิสราเอลเท่านั้น
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 448 มุมมอง 33 0 รีวิว
  • 1/ (วิดีโอแบบยาว)

    วิดีโอนี้ยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าเนทันยาฮูเป็นอาชญากรสงครามในข้อหาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์ในกาซา โดยมีโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกามีส่วนรู้เห็นด้วย โดยให้ความช่วยเหลือทางทหารและอาวุธต่ออิสราเอลมูลค่าเกือบ 3 หมื่นล้านดอลลาร์

    ในการให้สัมภาษณ์กับ MSNBC ไบเดนยอมรับว่า เขาบอกกับเนทันยาฮูว่าอิสราเอลอย่าทิ้งระเบิดปูพรมใส่พื้นที่พลเรือน จากคำพูดของไบเดน เนทันยาฮูไม่ได้ปฏิเสธการกระทำนั้น แต่กลับตอบโต้ไบเดนว่า สหรัฐเองก็ทำมาก่อน ทั้งในเบอร์ลิน และฮิโรชิมา

    สิ่งที่คนทั่วโลกได้เห็นมาตลอด 15 เดือน คือการระเบิดปูพรมและสังหารหมู่ชาวปาเลสไตน์ แต่การให้สัมภาษณ์ของสหรัฐที่นำโดยบลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ ที่มีสายเลือดยิวอยู่ในตัว กลับพยายามบอกผ่านสื่อที่อยู่ในการควบคุมของพวกเขาว่าสิ่งที่เราเห็นนั้นไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจริง แต่เป็นเพียงการปกป้องตัวเองตามสิทธิของอิสราเอลเท่านั้น
    1/ (วิดีโอแบบยาว) วิดีโอนี้ยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าเนทันยาฮูเป็นอาชญากรสงครามในข้อหาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์ในกาซา โดยมีโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกามีส่วนรู้เห็นด้วย โดยให้ความช่วยเหลือทางทหารและอาวุธต่ออิสราเอลมูลค่าเกือบ 3 หมื่นล้านดอลลาร์ ในการให้สัมภาษณ์กับ MSNBC ไบเดนยอมรับว่า เขาบอกกับเนทันยาฮูว่าอิสราเอลอย่าทิ้งระเบิดปูพรมใส่พื้นที่พลเรือน จากคำพูดของไบเดน เนทันยาฮูไม่ได้ปฏิเสธการกระทำนั้น แต่กลับตอบโต้ไบเดนว่า สหรัฐเองก็ทำมาก่อน ทั้งในเบอร์ลิน และฮิโรชิมา สิ่งที่คนทั่วโลกได้เห็นมาตลอด 15 เดือน คือการระเบิดปูพรมและสังหารหมู่ชาวปาเลสไตน์ แต่การให้สัมภาษณ์ของสหรัฐที่นำโดยบลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ ที่มีสายเลือดยิวอยู่ในตัว กลับพยายามบอกผ่านสื่อที่อยู่ในการควบคุมของพวกเขาว่าสิ่งที่เราเห็นนั้นไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจริง แต่เป็นเพียงการปกป้องตัวเองตามสิทธิของอิสราเอลเท่านั้น
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 419 มุมมอง 20 0 รีวิว
  • "กลุ่มฮูตีประกาศหยุดยิงเช่นกัน แต่ก็พร้อมจะกลับมาดำเนินการอีกครั้งหากการสังหารหมู่ชาวกาซายังคงดำเนินต่อไป"

    ผู้นำกลุ่มอันซารุลเลาะห์ หรือกลุ่มฮูตีในเยเมน อับดุล-มาลิก อัล-ฮูซี ประกาศหยุดปฏิบัติการโจมตีเรือที่แล่นผ่านทะเลแดง หลังอิสราเอลและฮามาส บรรลุข้อตกลงหยุดยิง แต่จะกลับมาโจมตีต่อทันทีหากอิสราเอลละเมิดข้อตกลงดังกล่าว

    คาดว่า ข้อตกลงหยุดยิงในกาซา จะมีผลบังคับใช้ในวันอาทิตย์ที่ 19 มกราคมนี้ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2566 กลุ่มฮูตีปฏิบัติการโจมตีเรือมากกว่า 100 ครั้ง และจมเรือไป 2 ลำ, ยึดเรือได้ 1 ลำ และมีลูกเรือเสียชีวิตอย่างน้อย 4 ราย ซึ่งความรุนแรงของการโจมตีดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อการเดินเรือทั่วโลกและกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนเส้นทางการเดินเรือด้วย
    "กลุ่มฮูตีประกาศหยุดยิงเช่นกัน แต่ก็พร้อมจะกลับมาดำเนินการอีกครั้งหากการสังหารหมู่ชาวกาซายังคงดำเนินต่อไป" ผู้นำกลุ่มอันซารุลเลาะห์ หรือกลุ่มฮูตีในเยเมน อับดุล-มาลิก อัล-ฮูซี ประกาศหยุดปฏิบัติการโจมตีเรือที่แล่นผ่านทะเลแดง หลังอิสราเอลและฮามาส บรรลุข้อตกลงหยุดยิง แต่จะกลับมาโจมตีต่อทันทีหากอิสราเอลละเมิดข้อตกลงดังกล่าว คาดว่า ข้อตกลงหยุดยิงในกาซา จะมีผลบังคับใช้ในวันอาทิตย์ที่ 19 มกราคมนี้ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2566 กลุ่มฮูตีปฏิบัติการโจมตีเรือมากกว่า 100 ครั้ง และจมเรือไป 2 ลำ, ยึดเรือได้ 1 ลำ และมีลูกเรือเสียชีวิตอย่างน้อย 4 ราย ซึ่งความรุนแรงของการโจมตีดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อการเดินเรือทั่วโลกและกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนเส้นทางการเดินเรือด้วย
    Like
    Love
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 330 มุมมอง 0 รีวิว
  • รายงานประจำวันโดยกระทรวงสาธารณสุขในฉนวนกาซาเกี่ยวกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โดยอิสราเอล:

    กองกำลังอิสราเอลได้ก่อเหตุสังหารหมู่ครอบครัวในฉนวนกาซา 2 ครั้งในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 28 ราย และบาดเจ็บอีก 89 ราย

    ยอดผู้เสียชีวิตชาวปาเลสไตน์ที่ได้รับการบันทึกจนถึงปัจจุบันอยู่ที่ 46,565 ราย และบาดเจ็บอีก 109,660 รายตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม 2023
    รายงานประจำวันโดยกระทรวงสาธารณสุขในฉนวนกาซาเกี่ยวกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โดยอิสราเอล: กองกำลังอิสราเอลได้ก่อเหตุสังหารหมู่ครอบครัวในฉนวนกาซา 2 ครั้งในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 28 ราย และบาดเจ็บอีก 89 ราย ยอดผู้เสียชีวิตชาวปาเลสไตน์ที่ได้รับการบันทึกจนถึงปัจจุบันอยู่ที่ 46,565 ราย และบาดเจ็บอีก 109,660 รายตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม 2023
    Sad
    Like
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 439 มุมมอง 0 รีวิว
  • ชายชาวเทกซัสวัย 42 ปี ก่อเหตุขับรถกระบะพุ่งใส่ฝูงชนที่กำลังฉลองขึ้นปีใหม่ในย่านเฟรนช์ควอเตอร์ในนิวออร์ลีนส์ จากนั้นก็เปิดฉากยิงใส่ตำรวจ ปลิดชีพผู้คนไปอย่างน้อย 10 ราย และบาดเจ็บ 35 คน ในเหตุโจมตีตอนเช้ามืดที่ทางเอฟบีไอระบุว่ามีความเป็นไปได้ที่อาจเป็นการก่อการร้าย
    .
    คนขับรถซึ่งเอฟบีไอระบุมีชื่อว่า ชามซุด-ดิน จาบบาร์ พลเมืองสหรัฐฯ จากเทกซัส เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ หลังยิงปะทะกับตำรวจ และอาจมีคนอื่นร่วมมือด้วย จากการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่้
    .
    เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นตอน 3.15 น.ตามเวลาท้องถิ่น (ตรงกับเมืองไทย 16.15 น.) ณ แยกถนนคานาลตัดกับถนนเบอร์บอน จุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวประวัติศาสตร์ในย่านเฟรนช์ควอเตอร์ของเมืองนิวออร์ลีนส์ ซึ่งมีการแสดงดนตรี และบาร์ดึงดูดผู้คนจำนวนมาก
    .
    ธงของกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) ถูกพบในรถกระบะคันที่เกิดเหตุ กระตุ้นให้มีการสืบสวนความเป็นไปได้ที่จะเกี่ยวข้องกับองค์กรก่อการร้าย จากถ้อยแถลงของเอฟบีไอ พร้อมระบุว่ารถกระบะคันนี้ดูเหมือนเป็นยานพาหนะที่เช่ามา
    .
    "เราไม่เชื่อว่าจาบบาร์ อยู่เบื้องหลังเพียงคนเดียว เรากำลังไล่ล่าเชิงรุกในทุกเบาะแส ในนั้นรวมถึงพวกที่รู้ว่ามั่วสุมคลุกคลีกับเขา" อเลเทีย ดันแคน เจ้าหน้าที่ระดับสูงของเอฟบีไอระบุ พร้อมเผยด้วยว่าทีมสืบสวนพบอาวุธและเป็นไปได้ว่าจะเป็นวัตถุระเบิดชิ้นหนึ่งในรถกระบะ นอกจากนี้ ยังพบวัตถุต้องสงสัยอื่นๆ เป็นไปได้ว่าจะเป็นวัตถุระเบิดในย่านเฟรช์ควอเตอร์ และระเบิด 2 ลูกถูกกำจัดแล้ว
    .
    ดันแคน ยืนยันยอดผู้เสียชีวิต 10 ราย หลังจากสมาชิกสภาคองเกรสรายหนึ่ง บอกว่าจำนวนผู้เสียชีวิตอาจเพิ่มสูงกว่านี้
    .
    เจ้าหน้าที่เลื่อนการแข่งขัน "ชูการ์โบว์ล" ศึกอเมริกันฟุตบอล รอบชิงชนะเลิศในระดับมหาวิทยาลัย ที่มีกำหนดเล่นกันในนิวออร์ลีนส์ ในทุกๆ ปีของวันขึ้นปีใหม่ ออกไป 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ เมืองแห่งนี้ยังมีคิวรับหน้าเสื่อเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันศึกอเมริกันฟุตบอลระดับอาชีพ NFL รอบชิงชนะเลิศ หรือซูเปอร์โบว์ล ในวันที่ 9 กุมภาพันธ์
    .
    ผู้นำของเมืองรายหนึ่งเล่าว่า คนร้ายมาในชุดเครื่องแบบทหารเต็มขั้น ขณะที่ แอนน์ เคิร์คแพทริค ผู้บัญชาการตำรวจแถลงข่าวว่า "มันไม่ใช่แค่การก่อการร้าย แต่มันเป็นปีศาจ เขามุ่งหน้าแบบไม่ยอมถอยกลับในการสังหารหมู่และก่อความเสียหาย"
    .
    เคิร์คแพทริค บอกว่าหลังจากหักเลี้ยวรถไปชนรั้วกั้น คนร้ายควักปืนลั่นไกยิงออกมาจากตัวรถเข้าใส่พวกเจ้าหน้าที่ ทำให้ตำรวจได้รับบาดเจ็บ 2 ราย อย่างไรก็ตาม อาการของทั้งคู่ทรงตัวแล้ว ขณะที่ตำรวจเผยว่ามีเจ้าหน้าที่ 400 ราย ที่กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่เฟรนช์ ควอเตอร์ ในช่วงเวลาที่เกิดเหตุ
    .
    "มันเป็นสถานการณ์ที่อ่อนไหว และเราอยู่ระหว่างประสานงานกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายท้องถิ่นและระดับรัฐบาลกลาง เพื่อรับประกันการสืบสวนอย่างครบถ้วนและละเอียด เพื่อนำตัวพวกที่อาจเป็นส่วนหนึ่งของเหตุการณ์นี้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม" เจฟฟ์ แลนดรี ผู้ว่าการรัฐลุยเซียนากล่าวบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์
    .
    สื่อมวลชนท้องถิ่นรายงานว่าพวกผู้ได้รับบาดเจ็บถูกระจายส่งโรงพยาบาลอย่างน้อย 5 แห่ง ขณะที่ซีบีเอสนิวส์ รายงานผู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่า พวกเขาได้ยินเสียงชนดังสนั่นจากถนนสายดังกล่าว และพบเห็นรถกระบะสีข่าวพุ่งชนแนวกั้นด้วยความเร็วสูง
    .
    ในการตอบสนองต่อเหตุขับรถโจมตีถนนคนเดินหลายต่อหลายเหตุการณ์ทั่วโลก ทางเมืองนิวออร์ลีนส์ อยู่ระหว่างดำเนินการรื้อถอนและติดตั้งใหม่แนวกั้นเหล็กที่เรียกว่าระบบเสากั้น (bollards) ที่ไว้กั้นการสัญจรของยานพาหนะในเขตคนเดินถนนบนถนนเบอร์บอน อย่างไรก็ตาม ไม่เป็นที่ชัดเจนว่าโครงการดังกล่าวมีความคืบหน้าไปถึงไหนตอนที่เกิดเหตุโจมตีในวันพุธ (1 ม.ค.)
    .
    โครงการก่อสร้างนี้เริ่มในเดือนพฤศจิกายน 2024 และมีกำหนดเดินหน้าไปจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2025 อ้างอิงข้อมูลบนเว็บไซต์ของเมือง
    .
    ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ ต่อโทรศัพท์หานายกเทศมนตรีของเมือง แสดงจุดยืนว่ารัฐบาลกลางพร้อมให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ ขณะที่ว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ บอกว่ารัฐบาลของเขาจะช่วยนิวออร์ลันส์ สืบสวนและฟื้นตัว จากสิ่งที่เขาเรียกว่าการกระทำที่ชั่วช้า
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000000231
    ..............
    Sondhi X
    ชายชาวเทกซัสวัย 42 ปี ก่อเหตุขับรถกระบะพุ่งใส่ฝูงชนที่กำลังฉลองขึ้นปีใหม่ในย่านเฟรนช์ควอเตอร์ในนิวออร์ลีนส์ จากนั้นก็เปิดฉากยิงใส่ตำรวจ ปลิดชีพผู้คนไปอย่างน้อย 10 ราย และบาดเจ็บ 35 คน ในเหตุโจมตีตอนเช้ามืดที่ทางเอฟบีไอระบุว่ามีความเป็นไปได้ที่อาจเป็นการก่อการร้าย . คนขับรถซึ่งเอฟบีไอระบุมีชื่อว่า ชามซุด-ดิน จาบบาร์ พลเมืองสหรัฐฯ จากเทกซัส เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ หลังยิงปะทะกับตำรวจ และอาจมีคนอื่นร่วมมือด้วย จากการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่้ . เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นตอน 3.15 น.ตามเวลาท้องถิ่น (ตรงกับเมืองไทย 16.15 น.) ณ แยกถนนคานาลตัดกับถนนเบอร์บอน จุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวประวัติศาสตร์ในย่านเฟรนช์ควอเตอร์ของเมืองนิวออร์ลีนส์ ซึ่งมีการแสดงดนตรี และบาร์ดึงดูดผู้คนจำนวนมาก . ธงของกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) ถูกพบในรถกระบะคันที่เกิดเหตุ กระตุ้นให้มีการสืบสวนความเป็นไปได้ที่จะเกี่ยวข้องกับองค์กรก่อการร้าย จากถ้อยแถลงของเอฟบีไอ พร้อมระบุว่ารถกระบะคันนี้ดูเหมือนเป็นยานพาหนะที่เช่ามา . "เราไม่เชื่อว่าจาบบาร์ อยู่เบื้องหลังเพียงคนเดียว เรากำลังไล่ล่าเชิงรุกในทุกเบาะแส ในนั้นรวมถึงพวกที่รู้ว่ามั่วสุมคลุกคลีกับเขา" อเลเทีย ดันแคน เจ้าหน้าที่ระดับสูงของเอฟบีไอระบุ พร้อมเผยด้วยว่าทีมสืบสวนพบอาวุธและเป็นไปได้ว่าจะเป็นวัตถุระเบิดชิ้นหนึ่งในรถกระบะ นอกจากนี้ ยังพบวัตถุต้องสงสัยอื่นๆ เป็นไปได้ว่าจะเป็นวัตถุระเบิดในย่านเฟรช์ควอเตอร์ และระเบิด 2 ลูกถูกกำจัดแล้ว . ดันแคน ยืนยันยอดผู้เสียชีวิต 10 ราย หลังจากสมาชิกสภาคองเกรสรายหนึ่ง บอกว่าจำนวนผู้เสียชีวิตอาจเพิ่มสูงกว่านี้ . เจ้าหน้าที่เลื่อนการแข่งขัน "ชูการ์โบว์ล" ศึกอเมริกันฟุตบอล รอบชิงชนะเลิศในระดับมหาวิทยาลัย ที่มีกำหนดเล่นกันในนิวออร์ลีนส์ ในทุกๆ ปีของวันขึ้นปีใหม่ ออกไป 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ เมืองแห่งนี้ยังมีคิวรับหน้าเสื่อเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันศึกอเมริกันฟุตบอลระดับอาชีพ NFL รอบชิงชนะเลิศ หรือซูเปอร์โบว์ล ในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ . ผู้นำของเมืองรายหนึ่งเล่าว่า คนร้ายมาในชุดเครื่องแบบทหารเต็มขั้น ขณะที่ แอนน์ เคิร์คแพทริค ผู้บัญชาการตำรวจแถลงข่าวว่า "มันไม่ใช่แค่การก่อการร้าย แต่มันเป็นปีศาจ เขามุ่งหน้าแบบไม่ยอมถอยกลับในการสังหารหมู่และก่อความเสียหาย" . เคิร์คแพทริค บอกว่าหลังจากหักเลี้ยวรถไปชนรั้วกั้น คนร้ายควักปืนลั่นไกยิงออกมาจากตัวรถเข้าใส่พวกเจ้าหน้าที่ ทำให้ตำรวจได้รับบาดเจ็บ 2 ราย อย่างไรก็ตาม อาการของทั้งคู่ทรงตัวแล้ว ขณะที่ตำรวจเผยว่ามีเจ้าหน้าที่ 400 ราย ที่กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่เฟรนช์ ควอเตอร์ ในช่วงเวลาที่เกิดเหตุ . "มันเป็นสถานการณ์ที่อ่อนไหว และเราอยู่ระหว่างประสานงานกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายท้องถิ่นและระดับรัฐบาลกลาง เพื่อรับประกันการสืบสวนอย่างครบถ้วนและละเอียด เพื่อนำตัวพวกที่อาจเป็นส่วนหนึ่งของเหตุการณ์นี้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม" เจฟฟ์ แลนดรี ผู้ว่าการรัฐลุยเซียนากล่าวบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ . สื่อมวลชนท้องถิ่นรายงานว่าพวกผู้ได้รับบาดเจ็บถูกระจายส่งโรงพยาบาลอย่างน้อย 5 แห่ง ขณะที่ซีบีเอสนิวส์ รายงานผู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่า พวกเขาได้ยินเสียงชนดังสนั่นจากถนนสายดังกล่าว และพบเห็นรถกระบะสีข่าวพุ่งชนแนวกั้นด้วยความเร็วสูง . ในการตอบสนองต่อเหตุขับรถโจมตีถนนคนเดินหลายต่อหลายเหตุการณ์ทั่วโลก ทางเมืองนิวออร์ลีนส์ อยู่ระหว่างดำเนินการรื้อถอนและติดตั้งใหม่แนวกั้นเหล็กที่เรียกว่าระบบเสากั้น (bollards) ที่ไว้กั้นการสัญจรของยานพาหนะในเขตคนเดินถนนบนถนนเบอร์บอน อย่างไรก็ตาม ไม่เป็นที่ชัดเจนว่าโครงการดังกล่าวมีความคืบหน้าไปถึงไหนตอนที่เกิดเหตุโจมตีในวันพุธ (1 ม.ค.) . โครงการก่อสร้างนี้เริ่มในเดือนพฤศจิกายน 2024 และมีกำหนดเดินหน้าไปจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2025 อ้างอิงข้อมูลบนเว็บไซต์ของเมือง . ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ ต่อโทรศัพท์หานายกเทศมนตรีของเมือง แสดงจุดยืนว่ารัฐบาลกลางพร้อมให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ ขณะที่ว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ บอกว่ารัฐบาลของเขาจะช่วยนิวออร์ลันส์ สืบสวนและฟื้นตัว จากสิ่งที่เขาเรียกว่าการกระทำที่ชั่วช้า . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000000231 .............. Sondhi X
    Like
    Sad
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1552 มุมมอง 0 รีวิว
  • โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ บอกผ่านไปยังประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน ว่าควรเตรียมพร้อมสำหรับทำข้อตกลงกับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ในการยุติสงครามในยูเครนที่ลากยาวมานานเกือบ 3 ปี
    .
    "ต้องทำข้อตกลง" ทรัมป์ กล่าวระหว่างแถลงข่าว ณ สโมสรมาร์อาลาโกของเขา ในปาล์มบีช รัฐฟลอริดา พร้อมบอกต่อว่าเขาจะพูดคุยกับปูตินและเซเลนกสกี เกี่ยวกับการนำพาสงครามในยูเครนไปสู่จุดจบ และบอกว่าเขารู้สึกเป็นทุกข์กับภาพแห่งการสังหารหมู่จากความขัดแย้งนี้ "มันต้องหยุดลง"
    .
    ทรัมป์ ไม่ได้ตอบตรงๆ เมื่อถูกถามว่า เขาเชื่อหรือไม่ว่ายูเครนควรยอมสละดินแดนให้รัสเซีย ส่วนหนึ่งในเจรจาต่อรองเพื่อยุติสงคราม โดยว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ รายนี้บอกแต่เพียงว่าดินแดนส่วนใหญ่ในความขัดแย้ง เหลือแต่ซากปรักหักพังและมันจะต้องใช้เวลาในการบูรณะฟื้นูนานกว่า 1 ศตวรรษ "ที่ผมหมายถึงคือ เมืองต่างๆ ไม่เหลืออาคารยืนตระหง่านอีกแล้ว มันเป็นสถานที่ที่ถูกทำลายล้าง"
    .
    นอกจากนี้ ทรัมป์ ยังกล่าวด้วยว่าเขาได้เห็นภาพถ่ายในสมรภูมิรบที่มีศพเกลื่อนไปหมด ซึ่งมันทำให้เขาย้อนนึกถึงภาพถ่ายอันน่าสยดสยองของสงครามกลางเมืองอเมริการะหว่างปี 1861-1865
    .
    ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เคยบอกว่าเขาอยากให้สงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนจบลงอย่างรวดเร็ว แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดใดๆ เขาบอกกับนิตยสารไทม์ในบทสัมภาษณ์ที่เผยแพร่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ว่าตนเอง "มีแผนที่ดีมากๆ" ที่จะช่วยให้ความขัดแย้งยุติลง แต่หากเขาเผยแพร่มันในตอนนี้ "มันจะกลายเป็นแผนที่เกือบจะไร้ค่า"
    .
    ท่าทีของทรัมป์ต่อสงครามในยูเครน มีขึ้นในขณะที่ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ รายนี้ บอกกับพวกผู้สื่อข่าวในวันเดียวกัน ว่าประธานาธิบดีเซเลนสกี จะไม่ได้รับเชิญเข้าร่วมพิธีสาบานตนรับตำแหน่งในเดือนหน้า ส่งสัญญาณถึงแนวโน้มตีตัวออกห่างจากผู้นำยูเครน
    .
    ทรัมป์ ซึ่งเอาชนะ กมลา แฮร์ริส ตัวแทนจากพรรคเดโมแครต เมื่อเดือนที่แล้ว จะสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐฯ ในวันที่ 20 มกราคม ณ พิธี ซึ่งจะจัดขึ้นที่อาคารรัฐสภาในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.
    .
    ในวันจันทร์ (16 ธ.ค.) ทรัมป์ จัดการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการครั้งแรกนับตั้งแต่ชนะการเลือกตั้ง และระหว่างนั้นผู้สื่อข่าวถามว่าเขาจะเชิญเซเลนสกี ร่วมพิธีสาบานตนหรือไม่ ทรัมป์ ตอบว่า "ไม่ ผมไม่ได้เชิญเขา อย่างไรก็ตาม ถ้าเขาอยากมา ผมก็อยากมีเขาอยู่ร่วมด้วย"
    .
    ขณะเดียวกัน สื่อมวลชนรายงานว่า ทรัมป์ ได้เชิญ สี จิ้นผิง ผู้นำจีน เข้าร่วมพิธีสาบานตนด้วย ทั้งนี้มีข่าวว่ามีการเชื้อเชิญตั้งแต่เมื่อช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน ไม่นานหลังจาก ทรัมป์ ชนะเลือกตั้ง อย่างไรก็ตามไม่เป็นที่ชัดเจนว่า สี จะตอบรับคำเชิญหรือไม่
    .
    กระนั้นก็ตาม สำนักข่าวซีบีเอสรายงานว่า ในเบื้องต้นเอกอัครราชทูตจีนประจำสหรัฐฯพร้อมด้วยคู่สมรส คาดหมายว่าจะเข้าร่วมพิธีสาบานตนของทรัมป์ ในแนวทางปฏิบัติตามมาตรฐาน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000120828
    ..............
    Sondhi X
    โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ บอกผ่านไปยังประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน ว่าควรเตรียมพร้อมสำหรับทำข้อตกลงกับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ในการยุติสงครามในยูเครนที่ลากยาวมานานเกือบ 3 ปี . "ต้องทำข้อตกลง" ทรัมป์ กล่าวระหว่างแถลงข่าว ณ สโมสรมาร์อาลาโกของเขา ในปาล์มบีช รัฐฟลอริดา พร้อมบอกต่อว่าเขาจะพูดคุยกับปูตินและเซเลนกสกี เกี่ยวกับการนำพาสงครามในยูเครนไปสู่จุดจบ และบอกว่าเขารู้สึกเป็นทุกข์กับภาพแห่งการสังหารหมู่จากความขัดแย้งนี้ "มันต้องหยุดลง" . ทรัมป์ ไม่ได้ตอบตรงๆ เมื่อถูกถามว่า เขาเชื่อหรือไม่ว่ายูเครนควรยอมสละดินแดนให้รัสเซีย ส่วนหนึ่งในเจรจาต่อรองเพื่อยุติสงคราม โดยว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ รายนี้บอกแต่เพียงว่าดินแดนส่วนใหญ่ในความขัดแย้ง เหลือแต่ซากปรักหักพังและมันจะต้องใช้เวลาในการบูรณะฟื้นูนานกว่า 1 ศตวรรษ "ที่ผมหมายถึงคือ เมืองต่างๆ ไม่เหลืออาคารยืนตระหง่านอีกแล้ว มันเป็นสถานที่ที่ถูกทำลายล้าง" . นอกจากนี้ ทรัมป์ ยังกล่าวด้วยว่าเขาได้เห็นภาพถ่ายในสมรภูมิรบที่มีศพเกลื่อนไปหมด ซึ่งมันทำให้เขาย้อนนึกถึงภาพถ่ายอันน่าสยดสยองของสงครามกลางเมืองอเมริการะหว่างปี 1861-1865 . ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เคยบอกว่าเขาอยากให้สงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนจบลงอย่างรวดเร็ว แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดใดๆ เขาบอกกับนิตยสารไทม์ในบทสัมภาษณ์ที่เผยแพร่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ว่าตนเอง "มีแผนที่ดีมากๆ" ที่จะช่วยให้ความขัดแย้งยุติลง แต่หากเขาเผยแพร่มันในตอนนี้ "มันจะกลายเป็นแผนที่เกือบจะไร้ค่า" . ท่าทีของทรัมป์ต่อสงครามในยูเครน มีขึ้นในขณะที่ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ รายนี้ บอกกับพวกผู้สื่อข่าวในวันเดียวกัน ว่าประธานาธิบดีเซเลนสกี จะไม่ได้รับเชิญเข้าร่วมพิธีสาบานตนรับตำแหน่งในเดือนหน้า ส่งสัญญาณถึงแนวโน้มตีตัวออกห่างจากผู้นำยูเครน . ทรัมป์ ซึ่งเอาชนะ กมลา แฮร์ริส ตัวแทนจากพรรคเดโมแครต เมื่อเดือนที่แล้ว จะสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐฯ ในวันที่ 20 มกราคม ณ พิธี ซึ่งจะจัดขึ้นที่อาคารรัฐสภาในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. . ในวันจันทร์ (16 ธ.ค.) ทรัมป์ จัดการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการครั้งแรกนับตั้งแต่ชนะการเลือกตั้ง และระหว่างนั้นผู้สื่อข่าวถามว่าเขาจะเชิญเซเลนสกี ร่วมพิธีสาบานตนหรือไม่ ทรัมป์ ตอบว่า "ไม่ ผมไม่ได้เชิญเขา อย่างไรก็ตาม ถ้าเขาอยากมา ผมก็อยากมีเขาอยู่ร่วมด้วย" . ขณะเดียวกัน สื่อมวลชนรายงานว่า ทรัมป์ ได้เชิญ สี จิ้นผิง ผู้นำจีน เข้าร่วมพิธีสาบานตนด้วย ทั้งนี้มีข่าวว่ามีการเชื้อเชิญตั้งแต่เมื่อช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน ไม่นานหลังจาก ทรัมป์ ชนะเลือกตั้ง อย่างไรก็ตามไม่เป็นที่ชัดเจนว่า สี จะตอบรับคำเชิญหรือไม่ . กระนั้นก็ตาม สำนักข่าวซีบีเอสรายงานว่า ในเบื้องต้นเอกอัครราชทูตจีนประจำสหรัฐฯพร้อมด้วยคู่สมรส คาดหมายว่าจะเข้าร่วมพิธีสาบานตนของทรัมป์ ในแนวทางปฏิบัติตามมาตรฐาน . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000120828 .............. Sondhi X
    Like
    Yay
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1000 มุมมอง 0 รีวิว
  • อิสราเอลสั่งปิดสถานทูตในดับลิน โดยกล่าวโทษ "นโยบายต่อต้านอิสราเอลอย่างรุนแรงของรัฐบาลไอร์แลนด์"
    - รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศอิสราเอล กล่าว

    การตัดสินใจดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่รัฐบาลไอร์แลนด์ปรพกาศว่า จะขอให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ขยายความหมายของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ โดยอ้างว่าอิสราเอลได้สังหารหมู่ประชาชนในฉนวนกาซา
    อิสราเอลสั่งปิดสถานทูตในดับลิน โดยกล่าวโทษ "นโยบายต่อต้านอิสราเอลอย่างรุนแรงของรัฐบาลไอร์แลนด์" - รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศอิสราเอล กล่าว การตัดสินใจดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่รัฐบาลไอร์แลนด์ปรพกาศว่า จะขอให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ขยายความหมายของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ โดยอ้างว่าอิสราเอลได้สังหารหมู่ประชาชนในฉนวนกาซา
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 192 มุมมอง 0 รีวิว
  • สิ่งที่เกิดขึ้นในซีเรียวันนี้ถือว่า "หักปากกาเซียน" แบบไม่เคยมีมาก่อน จนถึงขณะนี้การวิเคราะห์ก็ยังแตกเป็นหลายกระแส ต่างจากสถานการณ์ที่อื่นที่มักจะวิเคราะห์ต่างกันไม่กี่สาย นั่นหมายความไม่มีใครรู้จริงว่าเบื้องหลังการโค่นล้มรัฐบาลซีเรียคือใครแผนที่นี้ผมยืมมาจาก Council on Foreign Relations (CFR) ระบุพื้นที่ของกลุ่มต่างๆ ก่อนการยึดดามัสกัส เราจะเห็น 1) สีส้มของรัฐบาลอัสซาด 2) สีชมพูกลุ่ม HTS กองกำลังอัลกออิดะห์เดิมที่เข้ายึดดามัสกัสได้ 3.) สีเหลืองคือพื้นที่ตุรกีคุมไว้รวมกลุ่มถึง SNA ที่ตุรกีหนุน 4.) พื้นที่ยึดครองของชาวเคิร์ด และยังมีฐานกำลังของสหรัฐฯ (เทา) กับรัสเซีย (แดง)บทวิเคราะห์ของ CFR ให้น้ำหนักไปที่การแทรกแซงโดยตุรกี เพราะกลุ่ม HTS ได้รับการหนุนด้านอาวุธจากตุรกี และกลุ่มติดอาวุธซีเรียที่ตุรกีหนุนก็มาเป็นแนวร่วมให้ HTS เป้าหมายการหนุนก็เพื่อทำลายรัฐบาลอัสซาดที่เป็นภัยคุกคามต่อตุรกี และเพื่อสร้างแนวร่วมต่อต้านพวกเคิร์ด ซึ่งต้องการแยกดินแดนในซีเรียและตุรกีและในอิรักมาตั้งเป็นประเทศเอกราชแต่ถึงที่สุดแล้ว CFR ก็ฟันธงไม่ได้ว่าตุรกีอยู่เบื้องหลัง 100% เพราะแม้ตุรกีจะได้ประโยชน์ แต่โทษของการแทรกแซงก็มี นั่นคือจะเกิดความไร้เสถียรภาพในซีเรียอย่างหนัก (กลุ่มต่างๆ ฆ่าฟันกันเองหลังจากนี้เพราะไม่มีเป้าหมายร่วมกันอีกต่อไป) จากนั้นคลื่นผู้อพยพจะทะลักเข้าไปในตุรกี แม้จะเป็นได้สูงที่ตุรกีอยู่เบื้องหลัง อย่างที่สื่อตุรกีอ้างผู้เชี่ยวชาญที่เชื่อว่าการโจมตีของกลุ่ม HTS จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้หากตุรกีไม่อนุมัติ การสนับสนุนกองทัพแห่งชาติซีเรีย (SNA) ซึ่งสนับสนุนกลุ่มที่เป็นกองหนุนให้กับ HTS ในการรุกยึดประเทศจนสำเร็จแต่สื่อตุรกี คือ Medyascope กลับกังวลมากกว่ากับการแทรกแซง โดยบอกว่า "ที่สำคัญกว่านั้น เมื่อคุณดูแผนที่ ซีเรียจะถูกปกครองโดยองค์กรสองแห่งที่ตุรกีมองว่าเป็นองค์กรก่อการร้าย (HTS อัลกออิดะห์เก่า และ PYD กลุ่มชาวเคิร์ดที่รัฐบาลตุรกีถือว่าช่วยชาวเคิร์ดในตุรกีแยกดินแดน) เราต้องการสถานที่ที่องค์กรก่อการร้ายทั้งหมดกำลังก่อความวุ่นวายในซีเรียซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้านของเราหรือไม่ ตุรกีได้รับอะไรจากเรื่องนี้? การก่อตั้งรัฐก่อการร้ายแห่งใหม่งั้นหรือ?"ดังนั้น การฟันธงว่าตุรกีมีแต่ได้จากสถานการณ์นี้น่าจะไม่ถูกต้องทั้งหมด ดังนั้นคำถามก็คือใครก็แน่นที่น่าจะได้ประโยชน์?โดนัลก์ ทรัมป์ บอกว่าแค่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในซีเรีย Not our war แต่มันจริงแค่ไหน? ก็ในเมื่อกองทัพสหรัฐฯ อยู่ที่นั่น และสนับสนุกองต่างๆ รวมถึงกองกำลังเคิร์ดมีมุมมองที่น่าใจจากฝ่ายค้านของตุรกี คือ พรรคคอมมิวนิสต์แห่งตุรกี (TKP) ได้ออกแถลงการณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยระบุว่าแผนการแบ่งซีเรียที่จักรวรรดินิยมสหรัฐและกลุ่มปฏิกิริยาในภูมิภาคที่เริ่มต้นเมื่อประมาณ 15 ปีก่อนประสบความสำเร็จเมื่อวานนี้ และ 'ผู้ชนะ' ทั้งหมดในซีเรียล้วนเป็นพันธมิตรของสหรัฐและอิสราเอล' และเน้นย้ำว่าเสถียรภาพและสันติภาพจะไม่เกิดขึ้นกับซีเรีย "ตรงกันข้าม ช่วงเวลาแห่งความป่าเถื่อนจะเริ่มต้นขึ้นในซีเรีย ซึ่งการสังหารหมู่ การยึดครอง การปล้นสะดม และการขัดแย้งไม่รู้จบเกิดขึ้นมาหลายปีแล้ว เนื่องจากกองกำลังต่อต้านกลุ่มสุดท้ายที่คอยสกัดกั้นสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดได้ถูกกำจัดออกไปแล้ว"ในแถลงการณ์ของ TKP ได้เน้นย้ำว่าผู้ชนะในภาพในซีเรียคืออิสราเอล "ในตอนนี้" และได้รับการพิสูจน์อีกครั้งแล้วว่าปัญหาอิสราเอลไม่ใช่ปัญหาทางศาสนา "กลุ่มญิฮาด (หมายถึง HTS) และอิสราเอลได้ทำงานร่วมกันอย่างสอดประสานกันเพื่อยึดครองซีเรีย รัฐบาลตุรกีเป็นองค์ประกอบที่รับประกันความกลมเกลียวนี้การที่อิสราเอลชนะก็คือการที่จักรวรรดินิยมของสหรัฐฯ ชนะ ในปัจจุบัน ผู้ชนะทั้งหมดในซีเรียเป็นพันธมิตรของสหรัฐฯ และอิสราเอล บางทีการปะทะกันอย่างนองเลือดอาจเกิดขึ้นระหว่าง "ผู้ชนะ" หรือบางที "ความกลมกลืน" ที่เห็นบนภาคพื้นดินเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์อาจได้รับการสถาปนาโดยสหรัฐฯแต่ "สันติภาพ" ของสหรัฐฯ นั้นเต็มไปด้วยเลือดเสมอและเต็มไปด้วยความขัดแย้งใหม่ๆ เสมอ สันติภาพ เสถียรภาพ และความสงบสุขสามารถสถาปนาได้ในซีเรียก็ต่อเมื่อจักรวรรดินิยมและญิฮาดพ่ายแพ้เท่านั้น"แน่นอนว่าจะมีการต่อต้านจักรวรรดินิยมและลัทธิไซออนิสต์ในซีเรีย การต่อต้านนี้จะดำเนินการด้วยมุมมองปฏิวัติ ปกป้องลัทธิฆราวาส และสร้างความเป็นหนึ่งเดียวโดยไม่ต้องพึ่งพาอำนาจระหว่างประเทศอื่น ๆ หรือไม่ ขึ้นอยู่กับการพัฒนาในตุรกีในระดับหนึ่ง”'ประเทศของเรา (ตุรกี) และพลเมืองของเรากำลังเผชิญกับการทดสอบครั้งใหญ่'********************ป.ล. - ยังมีอีกกระแสการวิเคราะห์หนึ่ง เช่น BBC บอกว่าตุรกีกับรัสเซียน่าจะตกลงกันไม่ได้ในการประชุมระหว่างผู้นำตุรกีกับรัสเซียเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม นำไปสู่การเผด็จศึกดามัสกัสในที่สุดแต่สื่อตุรกีก็แย้งว่า รัสเซียไม่มีแรงช่วยรัฐบาลอัสซาดอีกต่อไปเพราะต้องแบกสงครามยูเครนที่จู่ๆ ก็หนักขึ้นกว่าเดิม ในขณะที่อิหร่านที่ช่วยฐบาลอัสซาดมาโดยตลอด ตอนนี้ก็ช่วยไม่ไหวเพราะกรำศึกกับอิสราเอลจนงอม (ทั้งรบกันโดยตรงและผ่านกลุ่มฮิซบอลลอฮ์ในเลบานอนเป็นต้น)ดังนั้น แต่ตั้งแต่วันที่ 27 พฤศจิกายนเป็นต้นมา อันเป็นวันที่ฝ่ายต่อต้าน "เสียงปืนแตก" อีกครั้งหลายเงียบมา 4 ปี ในเวลานั้นอัสซาดไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างที่เขาคาดหวังจากอิหร่านหรือรัสเซียเลยKornkit Disthan
    สิ่งที่เกิดขึ้นในซีเรียวันนี้ถือว่า "หักปากกาเซียน" แบบไม่เคยมีมาก่อน จนถึงขณะนี้การวิเคราะห์ก็ยังแตกเป็นหลายกระแส ต่างจากสถานการณ์ที่อื่นที่มักจะวิเคราะห์ต่างกันไม่กี่สาย นั่นหมายความไม่มีใครรู้จริงว่าเบื้องหลังการโค่นล้มรัฐบาลซีเรียคือใครแผนที่นี้ผมยืมมาจาก Council on Foreign Relations (CFR) ระบุพื้นที่ของกลุ่มต่างๆ ก่อนการยึดดามัสกัส เราจะเห็น 1) สีส้มของรัฐบาลอัสซาด 2) สีชมพูกลุ่ม HTS กองกำลังอัลกออิดะห์เดิมที่เข้ายึดดามัสกัสได้ 3.) สีเหลืองคือพื้นที่ตุรกีคุมไว้รวมกลุ่มถึง SNA ที่ตุรกีหนุน 4.) พื้นที่ยึดครองของชาวเคิร์ด และยังมีฐานกำลังของสหรัฐฯ (เทา) กับรัสเซีย (แดง)บทวิเคราะห์ของ CFR ให้น้ำหนักไปที่การแทรกแซงโดยตุรกี เพราะกลุ่ม HTS ได้รับการหนุนด้านอาวุธจากตุรกี และกลุ่มติดอาวุธซีเรียที่ตุรกีหนุนก็มาเป็นแนวร่วมให้ HTS เป้าหมายการหนุนก็เพื่อทำลายรัฐบาลอัสซาดที่เป็นภัยคุกคามต่อตุรกี และเพื่อสร้างแนวร่วมต่อต้านพวกเคิร์ด ซึ่งต้องการแยกดินแดนในซีเรียและตุรกีและในอิรักมาตั้งเป็นประเทศเอกราชแต่ถึงที่สุดแล้ว CFR ก็ฟันธงไม่ได้ว่าตุรกีอยู่เบื้องหลัง 100% เพราะแม้ตุรกีจะได้ประโยชน์ แต่โทษของการแทรกแซงก็มี นั่นคือจะเกิดความไร้เสถียรภาพในซีเรียอย่างหนัก (กลุ่มต่างๆ ฆ่าฟันกันเองหลังจากนี้เพราะไม่มีเป้าหมายร่วมกันอีกต่อไป) จากนั้นคลื่นผู้อพยพจะทะลักเข้าไปในตุรกี แม้จะเป็นได้สูงที่ตุรกีอยู่เบื้องหลัง อย่างที่สื่อตุรกีอ้างผู้เชี่ยวชาญที่เชื่อว่าการโจมตีของกลุ่ม HTS จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้หากตุรกีไม่อนุมัติ การสนับสนุนกองทัพแห่งชาติซีเรีย (SNA) ซึ่งสนับสนุนกลุ่มที่เป็นกองหนุนให้กับ HTS ในการรุกยึดประเทศจนสำเร็จแต่สื่อตุรกี คือ Medyascope กลับกังวลมากกว่ากับการแทรกแซง โดยบอกว่า "ที่สำคัญกว่านั้น เมื่อคุณดูแผนที่ ซีเรียจะถูกปกครองโดยองค์กรสองแห่งที่ตุรกีมองว่าเป็นองค์กรก่อการร้าย (HTS อัลกออิดะห์เก่า และ PYD กลุ่มชาวเคิร์ดที่รัฐบาลตุรกีถือว่าช่วยชาวเคิร์ดในตุรกีแยกดินแดน) เราต้องการสถานที่ที่องค์กรก่อการร้ายทั้งหมดกำลังก่อความวุ่นวายในซีเรียซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้านของเราหรือไม่ ตุรกีได้รับอะไรจากเรื่องนี้? การก่อตั้งรัฐก่อการร้ายแห่งใหม่งั้นหรือ?"ดังนั้น การฟันธงว่าตุรกีมีแต่ได้จากสถานการณ์นี้น่าจะไม่ถูกต้องทั้งหมด ดังนั้นคำถามก็คือใครก็แน่นที่น่าจะได้ประโยชน์?โดนัลก์ ทรัมป์ บอกว่าแค่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในซีเรีย Not our war แต่มันจริงแค่ไหน? ก็ในเมื่อกองทัพสหรัฐฯ อยู่ที่นั่น และสนับสนุกองต่างๆ รวมถึงกองกำลังเคิร์ดมีมุมมองที่น่าใจจากฝ่ายค้านของตุรกี คือ พรรคคอมมิวนิสต์แห่งตุรกี (TKP) ได้ออกแถลงการณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยระบุว่าแผนการแบ่งซีเรียที่จักรวรรดินิยมสหรัฐและกลุ่มปฏิกิริยาในภูมิภาคที่เริ่มต้นเมื่อประมาณ 15 ปีก่อนประสบความสำเร็จเมื่อวานนี้ และ 'ผู้ชนะ' ทั้งหมดในซีเรียล้วนเป็นพันธมิตรของสหรัฐและอิสราเอล' และเน้นย้ำว่าเสถียรภาพและสันติภาพจะไม่เกิดขึ้นกับซีเรีย "ตรงกันข้าม ช่วงเวลาแห่งความป่าเถื่อนจะเริ่มต้นขึ้นในซีเรีย ซึ่งการสังหารหมู่ การยึดครอง การปล้นสะดม และการขัดแย้งไม่รู้จบเกิดขึ้นมาหลายปีแล้ว เนื่องจากกองกำลังต่อต้านกลุ่มสุดท้ายที่คอยสกัดกั้นสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดได้ถูกกำจัดออกไปแล้ว"ในแถลงการณ์ของ TKP ได้เน้นย้ำว่าผู้ชนะในภาพในซีเรียคืออิสราเอล "ในตอนนี้" และได้รับการพิสูจน์อีกครั้งแล้วว่าปัญหาอิสราเอลไม่ใช่ปัญหาทางศาสนา "กลุ่มญิฮาด (หมายถึง HTS) และอิสราเอลได้ทำงานร่วมกันอย่างสอดประสานกันเพื่อยึดครองซีเรีย รัฐบาลตุรกีเป็นองค์ประกอบที่รับประกันความกลมเกลียวนี้การที่อิสราเอลชนะก็คือการที่จักรวรรดินิยมของสหรัฐฯ ชนะ ในปัจจุบัน ผู้ชนะทั้งหมดในซีเรียเป็นพันธมิตรของสหรัฐฯ และอิสราเอล บางทีการปะทะกันอย่างนองเลือดอาจเกิดขึ้นระหว่าง "ผู้ชนะ" หรือบางที "ความกลมกลืน" ที่เห็นบนภาคพื้นดินเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์อาจได้รับการสถาปนาโดยสหรัฐฯแต่ "สันติภาพ" ของสหรัฐฯ นั้นเต็มไปด้วยเลือดเสมอและเต็มไปด้วยความขัดแย้งใหม่ๆ เสมอ สันติภาพ เสถียรภาพ และความสงบสุขสามารถสถาปนาได้ในซีเรียก็ต่อเมื่อจักรวรรดินิยมและญิฮาดพ่ายแพ้เท่านั้น"แน่นอนว่าจะมีการต่อต้านจักรวรรดินิยมและลัทธิไซออนิสต์ในซีเรีย การต่อต้านนี้จะดำเนินการด้วยมุมมองปฏิวัติ ปกป้องลัทธิฆราวาส และสร้างความเป็นหนึ่งเดียวโดยไม่ต้องพึ่งพาอำนาจระหว่างประเทศอื่น ๆ หรือไม่ ขึ้นอยู่กับการพัฒนาในตุรกีในระดับหนึ่ง”'ประเทศของเรา (ตุรกี) และพลเมืองของเรากำลังเผชิญกับการทดสอบครั้งใหญ่'********************ป.ล. - ยังมีอีกกระแสการวิเคราะห์หนึ่ง เช่น BBC บอกว่าตุรกีกับรัสเซียน่าจะตกลงกันไม่ได้ในการประชุมระหว่างผู้นำตุรกีกับรัสเซียเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม นำไปสู่การเผด็จศึกดามัสกัสในที่สุดแต่สื่อตุรกีก็แย้งว่า รัสเซียไม่มีแรงช่วยรัฐบาลอัสซาดอีกต่อไปเพราะต้องแบกสงครามยูเครนที่จู่ๆ ก็หนักขึ้นกว่าเดิม ในขณะที่อิหร่านที่ช่วยฐบาลอัสซาดมาโดยตลอด ตอนนี้ก็ช่วยไม่ไหวเพราะกรำศึกกับอิสราเอลจนงอม (ทั้งรบกันโดยตรงและผ่านกลุ่มฮิซบอลลอฮ์ในเลบานอนเป็นต้น)ดังนั้น แต่ตั้งแต่วันที่ 27 พฤศจิกายนเป็นต้นมา อันเป็นวันที่ฝ่ายต่อต้าน "เสียงปืนแตก" อีกครั้งหลายเงียบมา 4 ปี ในเวลานั้นอัสซาดไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างที่เขาคาดหวังจากอิหร่านหรือรัสเซียเลยKornkit Disthan
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 524 มุมมอง 0 รีวิว
  • ถูกดีมีมาตรฐาน สังหารหมู่โชห่วยไปกี่รายละ
    ถูก ดี มีมาตรฐาน ก็แค่ชื่อสวยหรูดูโก้เท่านั้น
    แพง เลว สองมาตรฐาน นี่แหละของจริงที่คาราบวยกรุ๊ปของไอ้กร๊วกแอ๊ดกับไอ้เสถียรสถุนที่พนักงานระดับสูงอย่างกะสวรรค์ ลูกจ้างชั่นต่ำและทาสในระบบถูกดีมีมาตรฐานปลอมๆอย่างกะนรก
    มาตรฐานนรก จาก ถูก-ดี มีมาตรฐาน
    ถูก - เป็นแรงงานบุคลากรราคาถูก และทำงานเยอะไม่มีพัก OT ก็ไม่มี ที่ถูกไม่ใช่สินค้า แต่ค่าตอบแทนมันถูก และมันถูกเกินไป เป็นได้แค่ลูกจ้างราคาถูกจะไปสู้กันซึ่งๆหน้าได้อย่างไร หลอกให้มาโดนมัดมือชก ธุรกิจส้นตีนแบบนี้ไม่มีใครเขาทำกันหรอก
    ดี - ดีแต่กดขี่หลังหลอกลวงโชห่วยโง่ๆมาแล้วหลายราย แต่ล้มละลายไม่มีชิ้นดีเพราะ ถูก-ดี มีมาตรฐาน แบรนด์โก้จี๊ดจ๊าด
    มีมาตรฐาน - มีมาตรฐานที่หนึ่งและมาตรฐานที่สอง ใช้ทีมกฎหมายข่มเหงข่มขู่โชห่วยโง่ๆที่ตัวเองหลอกลวงมาแล้ว
    ถูกดีมีมาตรฐาน สังหารหมู่โชห่วยไปกี่รายละ ถูก ดี มีมาตรฐาน ก็แค่ชื่อสวยหรูดูโก้เท่านั้น แพง เลว สองมาตรฐาน นี่แหละของจริงที่คาราบวยกรุ๊ปของไอ้กร๊วกแอ๊ดกับไอ้เสถียรสถุนที่พนักงานระดับสูงอย่างกะสวรรค์ ลูกจ้างชั่นต่ำและทาสในระบบถูกดีมีมาตรฐานปลอมๆอย่างกะนรก มาตรฐานนรก จาก ถูก-ดี มีมาตรฐาน ถูก - เป็นแรงงานบุคลากรราคาถูก และทำงานเยอะไม่มีพัก OT ก็ไม่มี ที่ถูกไม่ใช่สินค้า แต่ค่าตอบแทนมันถูก และมันถูกเกินไป เป็นได้แค่ลูกจ้างราคาถูกจะไปสู้กันซึ่งๆหน้าได้อย่างไร หลอกให้มาโดนมัดมือชก ธุรกิจส้นตีนแบบนี้ไม่มีใครเขาทำกันหรอก ดี - ดีแต่กดขี่หลังหลอกลวงโชห่วยโง่ๆมาแล้วหลายราย แต่ล้มละลายไม่มีชิ้นดีเพราะ ถูก-ดี มีมาตรฐาน แบรนด์โก้จี๊ดจ๊าด มีมาตรฐาน - มีมาตรฐานที่หนึ่งและมาตรฐานที่สอง ใช้ทีมกฎหมายข่มเหงข่มขู่โชห่วยโง่ๆที่ตัวเองหลอกลวงมาแล้ว
    “ทีดี ตะวันแดง” เจ้าของแฟรนไชส์ โชห่วยถูกดีฯ ออกแถลงการณ์ ชี้กลุ่มที่ไปร้องเรียนดีเอสไอ กล่าวหาบริษัทหลอกลวงลงทุน คือพวกที่เบียดบังเงินบริษัท หลายคนถูกดำเนินคดี จึงรวมตัวกันไปร้องเรียน เผยแพร่ความเท็จให้สังคมเข้าใจผิด เพื่อต่อรองเรื่องหนี้สินและคดีความของตัวเอง ลั่นจะดำเนินการทางกฎหมายเต็มที่ ขอสื่ออย่าตกเป็นเครื่องมือ

    อ่านต่อ >> https://news1live.com/detail/9670000115206

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 454 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts