• CIA อยู่เบื้องหลังลอบสังหาร JFK อิสราเอล-อังกฤษ-ออสซี่ เกี่ยวโยง : คนเคาะข่าว 25-03-68
    : ทนง ขันทอง ผู้เชี่ยวชาญข่าวต่างประเทศ
    ดำเนินรายการโดย นงวดี ถนิมมาลย์

    #คนเคาะข่าว #JFK #ลอบสังหารJFK #CIA #หน่วยข่าวกรอง #อิสราเอล #อังกฤษ #ออสเตรเลีย #ข่าวต่างประเทศ #ทฤษฎีสมคบคิด #Geopolitics #ทนงขันทอง #นงวดีถนิมมาลย์ #ThaiTimes #เบื้องหลังการเมือง #วิเคราะห์ข่าว #เอกสารลับ #การเมืองโลก
    CIA อยู่เบื้องหลังลอบสังหาร JFK อิสราเอล-อังกฤษ-ออสซี่ เกี่ยวโยง : คนเคาะข่าว 25-03-68 : ทนง ขันทอง ผู้เชี่ยวชาญข่าวต่างประเทศ ดำเนินรายการโดย นงวดี ถนิมมาลย์ #คนเคาะข่าว #JFK #ลอบสังหารJFK #CIA #หน่วยข่าวกรอง #อิสราเอล #อังกฤษ #ออสเตรเลีย #ข่าวต่างประเทศ #ทฤษฎีสมคบคิด #Geopolitics #ทนงขันทอง #นงวดีถนิมมาลย์ #ThaiTimes #เบื้องหลังการเมือง #วิเคราะห์ข่าว #เอกสารลับ #การเมืองโลก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 65 มุมมอง 3 1 รีวิว
  • PsiQuantum บริษัทสตาร์ทอัพด้านควอนตัมจากสหรัฐฯ กำลังระดมทุนกว่า 750 ล้านดอลลาร์เพื่อพัฒนาควอนตัมชิปที่สามารถพลิกโฉมวงการเทคโนโลยี ด้วยความร่วมมือกับโรงงาน GlobalFoundries และรัฐบาลจากหลายประเทศ พวกเขามุ่งพัฒนาเทคโนโลยีนี้ให้พร้อมใช้งานภายในปี 2029 หากสำเร็จ นี่จะเป็นก้าวสำคัญในการแก้ปัญหาที่คอมพิวเตอร์ทั่วไปทำไม่ได้ เช่น การพัฒนายาใหม่และแบตเตอรี่ที่ล้ำสมัย

    ข้อดีของควอนตัมคอมพิวติ้ง:
    - ควอนตัมคอมพิวเตอร์สามารถแก้ปัญหาที่คอมพิวเตอร์ทั่วไปต้องใช้เวลาหลายพันหรือหลายล้านปี เช่น การพยากรณ์ปฏิสัมพันธ์ของอะตอมและโมเลกุลที่ช่วยพัฒนาแบตเตอรี่และยาใหม่.

    โครงการที่ร่วมมือกับรัฐบาล:
    - PsiQuantum กำลังสร้างควอนตัมคอมพิวเตอร์ในสองสถานที่ ได้แก่ บริสเบน ประเทศออสเตรเลีย และ ชิคาโก สหรัฐฯ ด้วยการสนับสนุนจากรัฐบาลทั้งสองแห่ง.

    ความท้าทายในการพัฒนาเทคโนโลยี:
    - การสร้างควอนตัมชิปในระดับสูงจำเป็นต้องใช้เงินทุนมหาศาลและการแก้ไขปัญหาด้านความผิดพลาดของชิปควอนตัมที่มีอยู่ ซึ่งยังถือเป็นอุปสรรคหลักในวงการควอนตัม.

    อนาคตของควอนตัมคอมพิวเตอร์:
    - PsiQuantum เชื่อว่าจะสามารถสร้างควอนตัมคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานได้จริงภายในปี 2029 ในขณะที่ Google คาดว่าจะเห็นแอปพลิเคชันควอนตัมที่ใช้งานจริงได้ในอีก 5 ปีข้างหน้า.

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/25/exclusive-quantum-computing-startup-psiquantum-raising-at-least-750-million-at-6-billion-valuation-sources-say
    PsiQuantum บริษัทสตาร์ทอัพด้านควอนตัมจากสหรัฐฯ กำลังระดมทุนกว่า 750 ล้านดอลลาร์เพื่อพัฒนาควอนตัมชิปที่สามารถพลิกโฉมวงการเทคโนโลยี ด้วยความร่วมมือกับโรงงาน GlobalFoundries และรัฐบาลจากหลายประเทศ พวกเขามุ่งพัฒนาเทคโนโลยีนี้ให้พร้อมใช้งานภายในปี 2029 หากสำเร็จ นี่จะเป็นก้าวสำคัญในการแก้ปัญหาที่คอมพิวเตอร์ทั่วไปทำไม่ได้ เช่น การพัฒนายาใหม่และแบตเตอรี่ที่ล้ำสมัย ข้อดีของควอนตัมคอมพิวติ้ง: - ควอนตัมคอมพิวเตอร์สามารถแก้ปัญหาที่คอมพิวเตอร์ทั่วไปต้องใช้เวลาหลายพันหรือหลายล้านปี เช่น การพยากรณ์ปฏิสัมพันธ์ของอะตอมและโมเลกุลที่ช่วยพัฒนาแบตเตอรี่และยาใหม่. โครงการที่ร่วมมือกับรัฐบาล: - PsiQuantum กำลังสร้างควอนตัมคอมพิวเตอร์ในสองสถานที่ ได้แก่ บริสเบน ประเทศออสเตรเลีย และ ชิคาโก สหรัฐฯ ด้วยการสนับสนุนจากรัฐบาลทั้งสองแห่ง. ความท้าทายในการพัฒนาเทคโนโลยี: - การสร้างควอนตัมชิปในระดับสูงจำเป็นต้องใช้เงินทุนมหาศาลและการแก้ไขปัญหาด้านความผิดพลาดของชิปควอนตัมที่มีอยู่ ซึ่งยังถือเป็นอุปสรรคหลักในวงการควอนตัม. อนาคตของควอนตัมคอมพิวเตอร์: - PsiQuantum เชื่อว่าจะสามารถสร้างควอนตัมคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานได้จริงภายในปี 2029 ในขณะที่ Google คาดว่าจะเห็นแอปพลิเคชันควอนตัมที่ใช้งานจริงได้ในอีก 5 ปีข้างหน้า. https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/25/exclusive-quantum-computing-startup-psiquantum-raising-at-least-750-million-at-6-billion-valuation-sources-say
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Exclusive-Quantum computing startup PsiQuantum raising at least $750 million, sources say
    SAN FRANCISCO (Reuters) -Quantum computing startup PsiQuantum is raising at least $750 million at a $6 billion pre-money valuation, according to two people familiar with the matter.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 104 มุมมอง 0 รีวิว
  • 46 ปี สิ้น “แม่ผู้ชุบชีวิตใหม่” ย่าไหล-อุไรวรรณ ศิริโสตร์ วีรสตรีอุบลราชธานี แม่คนที่สองของเชลยศึก 🌺

    ย้อนรำลึกถึงเรื่องราวอันยิ่งใหญ่ของ “ย่าไหล-อุไรวรรณ ศิริโสตร์” วีรสตรีแห่งอุบลราชธานี ผู้เป็นเสมือนแม่คนที่สอง ของเชลยศึกฝ่ายสัมพันธมิตร ในสงครามโลก ครั้งที่สอง บทเรียนแห่งความเมตตาและความกล้าหาญ ที่ควรค่าแก่การจารึกในประวัติศาสตร์

    🌏 เรื่องราวที่โลกต้องไม่ลืม ✨ ถ้าจะพูดถึงสงครามโลก ครั้งที่สอง คนส่วนใหญ่มักนึกถึงความโหดร้าย การสูญเสีย และความพินาศของชีวิตมนุษย์นับล้านคน แต่ในความโหดร้ายนั้น...กลับมีความงดงามของมนุษยธรรม และน้ำใจที่ยิ่งใหญ่เกิดขึ้น เรื่องเล่าของ "ย่าไหล-อุไรวรรณ ศิริโสตร์" วีรสตรีแห่งเมืองอุบลราชธานี คือหนึ่งในเรื่องราวที่โลกต้องจารึก ✍️

    ย่าไหลไม่ได้เป็นนักรบ ไม่ได้มีอาวุธใด ๆ แต่เธอมี “หัวใจ” ที่ยิ่งใหญ่ เธอเป็น “แม่คนที่สอง” ของเชลยศึกสัมพันธมิตร ที่ถูกกักขังในสงครามมหาเอเชียบูรพา ยืนหยัดช่วยเหลือมนุษย์ผู้ตกทุกข์ได้ยาก ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าความตายอยู่ไม่ไกลจากตัวเอง และครอบครัวเลยแม้แต่น้อย...

    🕊️ ย้อนรำลึกเหตุการณ์เมื่อ 46 ปี ที่ผ่านมา เมื่อวันจันทร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2522 โลกได้สูญเสีย “แม่ผู้ชุบชีวิตใหม่” แห่งอุบลราชธานี "ย่าไหล-อุไรวรรณ ศิริโสตร์" ในวัย 86 ปี เหล่าทหารสัมพันธมิตรจากหลายประเทศ อาทิ อังกฤษ, อเมริกา, แคนาดา, ฮอลแลนด์, ออสเตรเลีย, อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ต่างร่วมไว้อาลัยด้วยความอาลัยรัก ❤️ เพราะยาไหลคือคนที่เคยให้ชีวิตใหม่ แก่พวกเขา

    "ย่าไหล-อุไรวรรณ ศิริโสตร์" เป็นหญิงชาวอุบลราชธานีธรรมดา แต่ไม่ธรรมดาในหัวใจ ✨ ถูกกล่าวขานว่าเป็น “แม่ผู้ชุบชีวิตใหม่” เพราะในยามที่ เชลยศึกสัมพันธมิตรหลายพันชีวิต ถูกกักขังอย่างโหดร้ายในจังหวัดอุบลราชธานี ย่าไหลและชาวบ้านกลุ่มเล็ก ๆ กลับไม่ละทิ้งมนุษยธรรม นำอาหาร, ยารักษาโรค, เครื่องนุ่งห่ม และแม้แต่การช่วยเหลือหลบหนี มาให้กับเชลยเหล่านั้น โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใด ๆ 🌾

    🕊️ ความกล้าหาญท่ามกลางความโหดร้าย 🗡️ ย้อนกลับไปในช่วงสงครามมหาเอเชียบูรพา พ.ศ. 2484 - 2488 ญี่ปุ่นได้เข้ายึดประเทศไทย และกักขังเชลยศึกฝ่ายสัมพันธมิตร ไว้จำนวนมาก โดยเฉพาะที่จังหวัดอุบลราชธานี พวกเขาถูกทรมาน, อดอยาก และเผชิญโรคภัยต่าง ๆ ทหารญี่ปุ่นมีบทลงโทษที่โหดเหี้ยม เช่น หากจับได้ว่าใครขโมยน้ำมัน จะถูกกรอกน้ำมันจนตาย หรือขโมยตะปู ก็จะถูกตอกตะปูเข้าขา 😨

    แม้จะรู้ว่าความช่วยเหลือ อาจนำมาซึ่งความตาย แต่ย่าไหลก็ยังคงพายเรือฝ่าฝนฟ้าคะนอง นำเชลยศึกบางคน ที่อ่อนแอป่วยไข้ไปหายารักษา บางคืนถึงกับพาเชลยหนีไปตามแม่น้ำ โดยให้พวกเขาเกาะข้างเรือ ลอยไปในความมืด... ย่าไหลกล่าวไว้ว่า “เราคือข้าของแผ่นดิน จำไว้นะลูก เราต้องมีเมตตา ช่วยเหลือผู้ที่ตกทุกข์ได้ยาก โดยไม่ต้องหวังสิ่งใด ๆ ตอบแทน” 💖

    🌏 อนุสาวรีย์แห่งความดีที่คนทั้งโลกต้องรู้ เพื่อรำลึกถึงความเสียสละ และความเมตตาอันยิ่งใหญ่ ชาวเชลยศึกสัมพันธมิตร จึงร่วมกันสร้าง “อนุสาวรีย์แห่งความดี” (Monument of Merit) ตั้งอยู่ที่ทุ่งศรีเมือง จังหวัดอุบลราชธานี 🏛️ โดยมีการจัดงานรำลึกทุกปีในวันที่ 11 เดือน 11 เวลา 11:11 น. เพื่อยกย่องน้ำใจของชาวอุบลฯ และย่าไหลที่ไม่เลือกฝ่าย แต่เลือกช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์

    🏅พิธีเชิดชูเกียรติ และรางวัลแห่งคุณงามความดี หลังสงครามสิ้นสุดในปี 2488 เหล่าทหารสัมพันธมิตร ได้เชิญย่าไหลไปยังค่ายทหาร ที่สนามบินอุบลราชธานี เพื่อแสดงความขอบคุณแ ละมอบรางวัลเชิดชูเกียรติ รวมถึงสิ่งของและเงินช่วยเหลือ เพื่อเป็นการขอบคุณในน้ำใจอันประเสริฐ 🙏

    ❤️วีรสตรีที่ไม่ได้ถืออาวุธ แต่ถือหัวใจแห่งเมตตา ต่างจากวีรสตรีที่เราคุ้นเคยในประวัติศาสตร์ ย่าไหลไม่ได้เป็นนักรบ แต่เธอคือแม่พระที่ “ให้ชีวิตใหม่” ในยามที่คนหนึ่งไม่มีแม้แต่ความหวัง ในการมีชีวิตรอด... ย่าไหลใช้เพียง “หัวใจ” และ “มือเปล่า” เพื่อหยิบยื่นอาหาร ยารักษาโรค และเสื้อผ้าให้พวกเขา แม้จะเสี่ยงตายก็ไม่หวั่นเกรง 🌿

    คุณธรรมที่ส่งต่อผ่านสายเลือด และจิตวิญญาณ สิ่งที่ย่าไหลทำ ไม่ได้เกิดจากการอยากเป็นวีรสตรี แต่เป็นความเชื่อ และการปลูกฝังจากบรรพบุรุษ “เราคือข้าของแผ่นดิน” คือคำสอนที่แม่ถ่ายทอดสู่ย่าไหล และย่าไหลก็ถ่ายทอดต่อให้ลูกหลานเช่นกัน ✨

    🌾 มรดกทางจิตวิญญาณที่ยังคงอยู่จนถึงวันนี้ เรื่องราวของย่าไหลก ลายเป็นแรงบันดาลใจให้คนรุ่นหลัง เชลยศึกและทายาท ยังคงเดินทางกลับมาอุบลราชธานีทุกปี เพื่อแสดงความเคารพต่อย่าไหล และสร้างความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น ระหว่างชาวอุบลราชธานีและนานาชาติ 🕊️

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 191130 มี.ค. 2568

    #แม่ผู้ชุบชีวิตใหม่ #ย่าไหลอุไรวรรณ #อนุสาวรีย์แห่งความดี #วีรสตรีอุบล #ช่วยเหลือเชลยศึก #ประวัติศาสตร์ไทย #อุบลราชธานี #สงครามโลกครั้งที่2 #มนุษยธรรม #แรงบันดาลใจ
    46 ปี สิ้น “แม่ผู้ชุบชีวิตใหม่” ย่าไหล-อุไรวรรณ ศิริโสตร์ วีรสตรีอุบลราชธานี แม่คนที่สองของเชลยศึก 🌺 ย้อนรำลึกถึงเรื่องราวอันยิ่งใหญ่ของ “ย่าไหล-อุไรวรรณ ศิริโสตร์” วีรสตรีแห่งอุบลราชธานี ผู้เป็นเสมือนแม่คนที่สอง ของเชลยศึกฝ่ายสัมพันธมิตร ในสงครามโลก ครั้งที่สอง บทเรียนแห่งความเมตตาและความกล้าหาญ ที่ควรค่าแก่การจารึกในประวัติศาสตร์ 🌏 เรื่องราวที่โลกต้องไม่ลืม ✨ ถ้าจะพูดถึงสงครามโลก ครั้งที่สอง คนส่วนใหญ่มักนึกถึงความโหดร้าย การสูญเสีย และความพินาศของชีวิตมนุษย์นับล้านคน แต่ในความโหดร้ายนั้น...กลับมีความงดงามของมนุษยธรรม และน้ำใจที่ยิ่งใหญ่เกิดขึ้น เรื่องเล่าของ "ย่าไหล-อุไรวรรณ ศิริโสตร์" วีรสตรีแห่งเมืองอุบลราชธานี คือหนึ่งในเรื่องราวที่โลกต้องจารึก ✍️ ย่าไหลไม่ได้เป็นนักรบ ไม่ได้มีอาวุธใด ๆ แต่เธอมี “หัวใจ” ที่ยิ่งใหญ่ เธอเป็น “แม่คนที่สอง” ของเชลยศึกสัมพันธมิตร ที่ถูกกักขังในสงครามมหาเอเชียบูรพา ยืนหยัดช่วยเหลือมนุษย์ผู้ตกทุกข์ได้ยาก ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าความตายอยู่ไม่ไกลจากตัวเอง และครอบครัวเลยแม้แต่น้อย... 🕊️ ย้อนรำลึกเหตุการณ์เมื่อ 46 ปี ที่ผ่านมา เมื่อวันจันทร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2522 โลกได้สูญเสีย “แม่ผู้ชุบชีวิตใหม่” แห่งอุบลราชธานี "ย่าไหล-อุไรวรรณ ศิริโสตร์" ในวัย 86 ปี เหล่าทหารสัมพันธมิตรจากหลายประเทศ อาทิ อังกฤษ, อเมริกา, แคนาดา, ฮอลแลนด์, ออสเตรเลีย, อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ต่างร่วมไว้อาลัยด้วยความอาลัยรัก ❤️ เพราะยาไหลคือคนที่เคยให้ชีวิตใหม่ แก่พวกเขา "ย่าไหล-อุไรวรรณ ศิริโสตร์" เป็นหญิงชาวอุบลราชธานีธรรมดา แต่ไม่ธรรมดาในหัวใจ ✨ ถูกกล่าวขานว่าเป็น “แม่ผู้ชุบชีวิตใหม่” เพราะในยามที่ เชลยศึกสัมพันธมิตรหลายพันชีวิต ถูกกักขังอย่างโหดร้ายในจังหวัดอุบลราชธานี ย่าไหลและชาวบ้านกลุ่มเล็ก ๆ กลับไม่ละทิ้งมนุษยธรรม นำอาหาร, ยารักษาโรค, เครื่องนุ่งห่ม และแม้แต่การช่วยเหลือหลบหนี มาให้กับเชลยเหล่านั้น โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใด ๆ 🌾 🕊️ ความกล้าหาญท่ามกลางความโหดร้าย 🗡️ ย้อนกลับไปในช่วงสงครามมหาเอเชียบูรพา พ.ศ. 2484 - 2488 ญี่ปุ่นได้เข้ายึดประเทศไทย และกักขังเชลยศึกฝ่ายสัมพันธมิตร ไว้จำนวนมาก โดยเฉพาะที่จังหวัดอุบลราชธานี พวกเขาถูกทรมาน, อดอยาก และเผชิญโรคภัยต่าง ๆ ทหารญี่ปุ่นมีบทลงโทษที่โหดเหี้ยม เช่น หากจับได้ว่าใครขโมยน้ำมัน จะถูกกรอกน้ำมันจนตาย หรือขโมยตะปู ก็จะถูกตอกตะปูเข้าขา 😨 แม้จะรู้ว่าความช่วยเหลือ อาจนำมาซึ่งความตาย แต่ย่าไหลก็ยังคงพายเรือฝ่าฝนฟ้าคะนอง นำเชลยศึกบางคน ที่อ่อนแอป่วยไข้ไปหายารักษา บางคืนถึงกับพาเชลยหนีไปตามแม่น้ำ โดยให้พวกเขาเกาะข้างเรือ ลอยไปในความมืด... ย่าไหลกล่าวไว้ว่า “เราคือข้าของแผ่นดิน จำไว้นะลูก เราต้องมีเมตตา ช่วยเหลือผู้ที่ตกทุกข์ได้ยาก โดยไม่ต้องหวังสิ่งใด ๆ ตอบแทน” 💖 🌏 อนุสาวรีย์แห่งความดีที่คนทั้งโลกต้องรู้ เพื่อรำลึกถึงความเสียสละ และความเมตตาอันยิ่งใหญ่ ชาวเชลยศึกสัมพันธมิตร จึงร่วมกันสร้าง “อนุสาวรีย์แห่งความดี” (Monument of Merit) ตั้งอยู่ที่ทุ่งศรีเมือง จังหวัดอุบลราชธานี 🏛️ โดยมีการจัดงานรำลึกทุกปีในวันที่ 11 เดือน 11 เวลา 11:11 น. เพื่อยกย่องน้ำใจของชาวอุบลฯ และย่าไหลที่ไม่เลือกฝ่าย แต่เลือกช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ 🏅พิธีเชิดชูเกียรติ และรางวัลแห่งคุณงามความดี หลังสงครามสิ้นสุดในปี 2488 เหล่าทหารสัมพันธมิตร ได้เชิญย่าไหลไปยังค่ายทหาร ที่สนามบินอุบลราชธานี เพื่อแสดงความขอบคุณแ ละมอบรางวัลเชิดชูเกียรติ รวมถึงสิ่งของและเงินช่วยเหลือ เพื่อเป็นการขอบคุณในน้ำใจอันประเสริฐ 🙏 ❤️วีรสตรีที่ไม่ได้ถืออาวุธ แต่ถือหัวใจแห่งเมตตา ต่างจากวีรสตรีที่เราคุ้นเคยในประวัติศาสตร์ ย่าไหลไม่ได้เป็นนักรบ แต่เธอคือแม่พระที่ “ให้ชีวิตใหม่” ในยามที่คนหนึ่งไม่มีแม้แต่ความหวัง ในการมีชีวิตรอด... ย่าไหลใช้เพียง “หัวใจ” และ “มือเปล่า” เพื่อหยิบยื่นอาหาร ยารักษาโรค และเสื้อผ้าให้พวกเขา แม้จะเสี่ยงตายก็ไม่หวั่นเกรง 🌿 คุณธรรมที่ส่งต่อผ่านสายเลือด และจิตวิญญาณ สิ่งที่ย่าไหลทำ ไม่ได้เกิดจากการอยากเป็นวีรสตรี แต่เป็นความเชื่อ และการปลูกฝังจากบรรพบุรุษ “เราคือข้าของแผ่นดิน” คือคำสอนที่แม่ถ่ายทอดสู่ย่าไหล และย่าไหลก็ถ่ายทอดต่อให้ลูกหลานเช่นกัน ✨ 🌾 มรดกทางจิตวิญญาณที่ยังคงอยู่จนถึงวันนี้ เรื่องราวของย่าไหลก ลายเป็นแรงบันดาลใจให้คนรุ่นหลัง เชลยศึกและทายาท ยังคงเดินทางกลับมาอุบลราชธานีทุกปี เพื่อแสดงความเคารพต่อย่าไหล และสร้างความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น ระหว่างชาวอุบลราชธานีและนานาชาติ 🕊️ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 191130 มี.ค. 2568 #แม่ผู้ชุบชีวิตใหม่ #ย่าไหลอุไรวรรณ #อนุสาวรีย์แห่งความดี #วีรสตรีอุบล #ช่วยเหลือเชลยศึก #ประวัติศาสตร์ไทย #อุบลราชธานี #สงครามโลกครั้งที่2 #มนุษยธรรม #แรงบันดาลใจ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 374 มุมมอง 0 รีวิว
  • นี่เป็นเรื่องราวที่น่าทึ่งเกี่ยวกับความสำเร็จทางการแพทย์ครั้งสำคัญครับ นักวิทยาศาสตร์และแพทย์ในออสเตรเลียได้สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการติดตั้ง "หัวใจเทียมไทเทเนียม" (BiVACOR Total Artificial Heart) ช่วยให้ผู้ป่วยชายวัย 40 ปีมีชีวิตอยู่ได้ถึง 100 วันก่อนจะได้รับการปลูกถ่ายหัวใจจริงในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา

    หัวใจเทียมนี้ถูกพัฒนาขึ้นด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำ โดยใช้ การลอยด้วยแม่เหล็ก (magnetic levitation) ซึ่งเหมือนกับเทคโนโลยีของรถไฟหัวกระสุน เพื่อลดการสึกหรอและทำงานแทนหัวใจทั้งสองห้องที่ล้มเหลว มันถูกออกแบบให้ใช้ไทเทเนียมเนื่องจากเป็นวัสดุที่แข็งแรง ทนการกัดกร่อน และเข้ากันได้ดีกับร่างกายมนุษย์

    การผ่าตัดที่กินเวลา 6 ชั่วโมงนี้ดำเนินการที่โรงพยาบาล St. Vincent's ในซิดนีย์ โดยเป็นส่วนหนึ่งของโครงการวิจัย Artificial Heart Frontiers Program นำโดย Monash University โครงการนี้มีเป้าหมายพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยหัวใจล้มเหลวจำนวนมากทั่วโลก

    น่าสนใจที่อุปกรณ์นี้ไม่เพียงแต่ช่วยต่ออายุขณะรอการปลูกถ่ายหัวใจ แต่ยังอาจเป็นทางเลือกสำหรับผู้ป่วยที่ไม่สามารถรับการปลูกถ่ายได้ด้วย ในสหรัฐฯ มีการทดลองในเฟสเริ่มต้น (Early Feasibility Study) โดยติดตั้งให้กับผู้ป่วย 5 ราย ซึ่งอุปกรณ์สามารถสนับสนุนชีวิตของพวกเขาได้ในระยะเวลาหลายสัปดาห์ และการทดลองนี้กำลังขยายจำนวนผู้เข้าร่วม

    https://www.techspot.com/news/107125-man-lives-100-days-artificial-titanium-heart-world.html
    นี่เป็นเรื่องราวที่น่าทึ่งเกี่ยวกับความสำเร็จทางการแพทย์ครั้งสำคัญครับ นักวิทยาศาสตร์และแพทย์ในออสเตรเลียได้สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการติดตั้ง "หัวใจเทียมไทเทเนียม" (BiVACOR Total Artificial Heart) ช่วยให้ผู้ป่วยชายวัย 40 ปีมีชีวิตอยู่ได้ถึง 100 วันก่อนจะได้รับการปลูกถ่ายหัวใจจริงในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา หัวใจเทียมนี้ถูกพัฒนาขึ้นด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำ โดยใช้ การลอยด้วยแม่เหล็ก (magnetic levitation) ซึ่งเหมือนกับเทคโนโลยีของรถไฟหัวกระสุน เพื่อลดการสึกหรอและทำงานแทนหัวใจทั้งสองห้องที่ล้มเหลว มันถูกออกแบบให้ใช้ไทเทเนียมเนื่องจากเป็นวัสดุที่แข็งแรง ทนการกัดกร่อน และเข้ากันได้ดีกับร่างกายมนุษย์ การผ่าตัดที่กินเวลา 6 ชั่วโมงนี้ดำเนินการที่โรงพยาบาล St. Vincent's ในซิดนีย์ โดยเป็นส่วนหนึ่งของโครงการวิจัย Artificial Heart Frontiers Program นำโดย Monash University โครงการนี้มีเป้าหมายพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยหัวใจล้มเหลวจำนวนมากทั่วโลก น่าสนใจที่อุปกรณ์นี้ไม่เพียงแต่ช่วยต่ออายุขณะรอการปลูกถ่ายหัวใจ แต่ยังอาจเป็นทางเลือกสำหรับผู้ป่วยที่ไม่สามารถรับการปลูกถ่ายได้ด้วย ในสหรัฐฯ มีการทดลองในเฟสเริ่มต้น (Early Feasibility Study) โดยติดตั้งให้กับผู้ป่วย 5 ราย ซึ่งอุปกรณ์สามารถสนับสนุนชีวิตของพวกเขาได้ในระยะเวลาหลายสัปดาห์ และการทดลองนี้กำลังขยายจำนวนผู้เข้าร่วม https://www.techspot.com/news/107125-man-lives-100-days-artificial-titanium-heart-world.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Man lives 100 days with artificial titanium heart in world-first medical success
    The patient, a man in his 40s from New South Wales, received the BiVACOR Total Artificial Heart (TAH) during a six-hour procedure at St. Vincent's Hospital in...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 191 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปิดตำนาน เริงสวาทสีกา คาดาดฟ้า เรือเดินสมุทร “ยันตระ” เสียชีวิตที่อเมริกา หลังปลอมพาสปอร์ต หนีคดีจนหมดอายุความ 🚢⚖️

    🔵 อวสานตำนานพระชื่อดัง กับชีวิตที่กลับกลายเป็นประวัติศาสตร์สังคมไทย เมื่อเอ่ยถึงชื่อ "ยันตระ อมโร" หรือนายวินัย ละอองสุวรรณ เชื่อว่าคนไทยจำนวนไม่น้อยต้องรู้จัก ไม่ใช่เพียงเพราะเคยเป็น พระภิกษุชื่อดัง ผู้มีผู้ศรัทธามากมาย ทั้งในไทยและต่างประเทศ หากแต่เพราะชีวิตของยันตระ เต็มไปด้วยเรื่องราวดราม่า ฉาวโฉ่ และคดีความที่สั่นสะเทือนวงการสงฆ์ไทย ในยุคหนึ่ง โดยเฉพาะกรณี อาบัติปาราชิก จากข้อกล่าวหาล่วงละเมิดสีกา รวมถึงภาพลักษณ์ ที่แวดล้อมไปด้วยความศรัทธา และความขัดแย้งทางความคิด ซึ่งยังคงตามหลอกหลอน จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิตในต่างแดน ✨

    🔵 จากลูกชาวบ้าน สู่พระนักปฏิบัติชื่อดัง นายวินัย ละอองสุวรรณ เกิดเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2494 ที่อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช ในครอบครัวชาวบ้านธรรมดา ก่อนอุปสมบท ได้ใช้ชีวิตเป็นนักพรตฤๅษีอยู่หลายปี ได้รับการยกย่องว่าเป็น นักปฏิบัติธรรมผู้ทรงภูมิ ทำให้มีผู้คนเลื่อมใสมากมาย

    ต่อมาในวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2517 จึงอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ในธรรมยุติกนิกาย ที่วัดรัตนาราม จังหวัดนครศรีธรรมราช พร้อมตั้งนามให้ตัวเองว่า "ยันตระ อมโรภิกขุ" แปลว่า ผู้ไกลจากกิเลส ซึ่งเป็นชื่อที่ใช้มานาน ตั้งแต่เมื่อครั้งยังเป็นนักพรตฤาษี 🧘‍♂️

    "วัดสุญญตาราม" อาณาจักรแห่งความว่าง หลังจากนั้น พระยันตระได้รับการนิมนต์ ไปเผยแผ่ธรรมในหลายประเทศ มีการจัดตั้ง "สำนักวัดสุญญตาราม" ทั้งในไทยและต่างแดนหลายแห่ง เช่น
    ✅ วัดป่าสุญญตาราม กาญจนบุรี
    ✅ วัดป่าสุญญตาราม เมืองบันดานูน ออสเตรเลีย
    ✅ วัดสุญญตาราม เอสคอนดิโด้ แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา

    บทสวดและคำสอน แนวกรรมฐานของพระยันตระ ถูกตีพิมพ์และเผยแพร่ไปในวงกว้าง หลายคนมองว่ายันตระเป็นพระที่มีความรู้ในพระไตรปิฎก และการปฏิบัติที่เข้มขลัง ✨

    🔵 คดีอื้อฉาว ที่กลายเป็นจุดเปลี่ยนของพระยันตระ ด้วยข้อกล่าวหาเรื่องเพศสัมพันธ์ และพฤติกรรมไม่เหมาะสม ในปี พ.ศ. 2537 วงการสงฆ์สะเทือน เมื่อสีกากลุ่มหนึ่ง ยื่นคำร้องต่อสมเด็จพระสังฆราช และอธิบดีกรมการศาสนา กล่าวหาพระยันตระว่า มีพฤติกรรมล่วงละเมิดทางเพศ กับสีกาหลายคน โดยมีพยานหลักฐานสนับสนุนมากมาย 📂

    ข้อกล่าวหาที่โด่งดัง
    🚢 เหตุการณ์บนเรือเดินสมุทร กล่าวหาว่า ยันตระมีเพศสัมพันธ์กับสีกา บนดาดฟ้าเรือ ระหว่างเดินทางจากสวีเดนไปฟินแลนด์

    🏡 กุฏิริมน้ำในออสเตรเลีย กล่าวหาว่า ยันตระมีพฤติกรรมจับต้องกายสตรี ด้วยความกำหนัด

    🚐 เหตุการณ์ในรถตู้ที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย มีหลักฐานว่า ยันตระเข้าไปหาสีกาในรถตู้ และมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม

    📞 บทสนทนาทางโทรศัพท์ พร่ำพูดถึงความรัก และมีหลักฐานเทปเสียง

    👧 ข้อกล่าวหาการมีบุตรสาว นางจันทิมา มายะรังษี นำเด็กหญิงที่อ้างว่า เป็นบุตรสาวของยันตระ มาแสดงตัว พร้อมภาพถ่ายที่แสดงถึงความสัมพันธ์ ฉันท์สามีภรรยา

    💳 หลักฐานบัตรเครดิต รายการใช้จ่ายในสถานบริการทางเพศ ในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์

    🔵 มติของมหาเถรสมาคม หลังการสืบสวนสอบสวน และตรวจสอบพยานหลักฐาน มหาเถรสมาคมมีมติให้ "พระยันตระ อมโรภิกขุ" ต้องอาบัติปาราชิก ขาดจากความเป็นพระภิกษุ โดยปริยาย ❌

    แต่แทนที่จะยอมรับคำตัดสิน ยันตระกลับประกาศไม่ยอมรับมติ และอ้างว่ายังเป็นพระภิกษุอยู่ โดยเปลี่ยนจีวรเป็นสีเขียว จนได้รับฉายาใหม่จากสื่อว่า

    🦎 "จิ้งเขียว"
    🦹‍♂️ "สมียันดะ"
    🧘‍♂️ "ยันดะ"

    🔵 ปลอมพาสปอร์ต หนีคดีข้ามโลก เมื่อพ้นจากสมณเพศ ยันตระได้ทำพาสปอร์ตปลอม หลบหนีออกจากประเทศไทยไปสหรัฐอเมริกา ในฐานะผู้ลี้ภัยทางการเมือง

    📜 ตลอด 20 ปี ยันตระใช้ชีวิตที่วัดสุญญตาราม เอสคอนดิโด้ แคลิฟอร์เนีย

    ⏳ ระยะเวลาผ่านไป คดีต่าง ๆ หมดอายุความ ทำให้ยันตระาสามารถกลับประเทศไทยได้อีกครั้ง

    🔵 กลับมาเยือนเมืองไทย
    🗓️ 6 กุมภาพันธ์ 2568 ยันตระเดินทางกลับประเทศไทยอีกครั้ง ที่สนามบินสุวรรณภูมิ มีลูกศิษย์รอต้อนรับจำนวนมาก

    🏠 ยันตระได้พบปะกับลูกศิษย์ตามสถานที่ต่าง ๆ รวมถึงเดินทางไปสักการะพระบรมสารีริกธาตุ หรือพระเขี้ยวแก้ว ที่ท้องสนามหลวง

    📍 จากนั้นได้กลับไปยังบ้านเกิดที่อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อกราบอดีตพระอุปัชฌาย์

    บั้นปลายที่แคลิฟอร์เนีย สุดท้ายแล้ว ยันตระกลับไปยังวัดสุญญตาราม เอสคอนดิโด้ แคลิฟอร์เนีย และเสียชีวิตในวันอาทิตย์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2568 สิริรวมอายุ 73 ปี 51 พรรษา 🕊️

    🔵 เสียงสะท้อนจากสังคม และศรัทธาที่ไม่เสื่อมคลาย แม้จะมีข้อกล่าวหาฉาวโฉ่ แต่ก็ยังมีศิษยานุศิษย์ที่ศรัทธาในคำสอน และการปฏิบัติธรรม องพระยันตระ

    🧎‍♂️ หลายคนยังคงกราบไหว้และนับถือ 👉 แต่ในโลกโซเชียลมีการวิพากษ์วิจารณ์ว่า เหมาะสมหรือไม่ที่พระรูปอื่นๆ ยังคงกราบไหว้บุคคลที่ถูกถอดจากสมณเพศ 💬

    🔵 สรุปเรื่องราวชีวิต "ยันตระ อมโร"
    1️⃣ จากนักพรตสู่พระภิกษุผู้ยิ่งใหญ่
    2️⃣ คำสอนและแนวปฏิบัติที่มีผู้ศรัทธาทั่วโลก
    3️⃣ คดีอื้อฉาวที่ทำลายชื่อเสียงและนำไปสู่การถอดถอน
    4️⃣ การหลบหนีและใช้ชีวิตในฐานะผู้ลี้ภัย
    5️⃣ การกลับบ้านเกิดหลังคดีหมดอายุความ
    6️⃣ จบบั้นปลายชีวิตในแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา

    🔵 ชีวิตของ "ยันตระ อมโร" เปรียบเหมือนนิยาย ที่มีทั้งช่วงรุ่งเรืองและตกต่ำ ด้วยพฤติกรรมและการกระทำ ที่นำไปสู่ข้อกล่าวหาหนัก แต่ก็ยังคงมีคนศรัทธาไม่เสื่อมคลาย 💔✨

    👉 เรื่องราวของยันตระ จึงเป็นบทเรียนสำหรับสังคมไทย ในเรื่องศรัทธา ปัญญา และความรับผิดชอบต่อการกระทำ

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 101152 มี.ค. 2568

    🔵 #ยันตระอมโร #ข่าวดราม่า #ประวัติพระดัง #วัดสุญญตาราม #สีกาคาดาดฟ้า #ข่าวไทยวันนี้ #เรื่องเล่าพระดัง #ข่าวพระดัง #ยันตระเสียชีวิต #ข่าวด่วนไทย
    ปิดตำนาน เริงสวาทสีกา คาดาดฟ้า เรือเดินสมุทร “ยันตระ” เสียชีวิตที่อเมริกา หลังปลอมพาสปอร์ต หนีคดีจนหมดอายุความ 🚢⚖️ 🔵 อวสานตำนานพระชื่อดัง กับชีวิตที่กลับกลายเป็นประวัติศาสตร์สังคมไทย เมื่อเอ่ยถึงชื่อ "ยันตระ อมโร" หรือนายวินัย ละอองสุวรรณ เชื่อว่าคนไทยจำนวนไม่น้อยต้องรู้จัก ไม่ใช่เพียงเพราะเคยเป็น พระภิกษุชื่อดัง ผู้มีผู้ศรัทธามากมาย ทั้งในไทยและต่างประเทศ หากแต่เพราะชีวิตของยันตระ เต็มไปด้วยเรื่องราวดราม่า ฉาวโฉ่ และคดีความที่สั่นสะเทือนวงการสงฆ์ไทย ในยุคหนึ่ง โดยเฉพาะกรณี อาบัติปาราชิก จากข้อกล่าวหาล่วงละเมิดสีกา รวมถึงภาพลักษณ์ ที่แวดล้อมไปด้วยความศรัทธา และความขัดแย้งทางความคิด ซึ่งยังคงตามหลอกหลอน จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิตในต่างแดน ✨ 🔵 จากลูกชาวบ้าน สู่พระนักปฏิบัติชื่อดัง นายวินัย ละอองสุวรรณ เกิดเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2494 ที่อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช ในครอบครัวชาวบ้านธรรมดา ก่อนอุปสมบท ได้ใช้ชีวิตเป็นนักพรตฤๅษีอยู่หลายปี ได้รับการยกย่องว่าเป็น นักปฏิบัติธรรมผู้ทรงภูมิ ทำให้มีผู้คนเลื่อมใสมากมาย ต่อมาในวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2517 จึงอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ในธรรมยุติกนิกาย ที่วัดรัตนาราม จังหวัดนครศรีธรรมราช พร้อมตั้งนามให้ตัวเองว่า "ยันตระ อมโรภิกขุ" แปลว่า ผู้ไกลจากกิเลส ซึ่งเป็นชื่อที่ใช้มานาน ตั้งแต่เมื่อครั้งยังเป็นนักพรตฤาษี 🧘‍♂️ "วัดสุญญตาราม" อาณาจักรแห่งความว่าง หลังจากนั้น พระยันตระได้รับการนิมนต์ ไปเผยแผ่ธรรมในหลายประเทศ มีการจัดตั้ง "สำนักวัดสุญญตาราม" ทั้งในไทยและต่างแดนหลายแห่ง เช่น ✅ วัดป่าสุญญตาราม กาญจนบุรี ✅ วัดป่าสุญญตาราม เมืองบันดานูน ออสเตรเลีย ✅ วัดสุญญตาราม เอสคอนดิโด้ แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา บทสวดและคำสอน แนวกรรมฐานของพระยันตระ ถูกตีพิมพ์และเผยแพร่ไปในวงกว้าง หลายคนมองว่ายันตระเป็นพระที่มีความรู้ในพระไตรปิฎก และการปฏิบัติที่เข้มขลัง ✨ 🔵 คดีอื้อฉาว ที่กลายเป็นจุดเปลี่ยนของพระยันตระ ด้วยข้อกล่าวหาเรื่องเพศสัมพันธ์ และพฤติกรรมไม่เหมาะสม ในปี พ.ศ. 2537 วงการสงฆ์สะเทือน เมื่อสีกากลุ่มหนึ่ง ยื่นคำร้องต่อสมเด็จพระสังฆราช และอธิบดีกรมการศาสนา กล่าวหาพระยันตระว่า มีพฤติกรรมล่วงละเมิดทางเพศ กับสีกาหลายคน โดยมีพยานหลักฐานสนับสนุนมากมาย 📂 ข้อกล่าวหาที่โด่งดัง 🚢 เหตุการณ์บนเรือเดินสมุทร กล่าวหาว่า ยันตระมีเพศสัมพันธ์กับสีกา บนดาดฟ้าเรือ ระหว่างเดินทางจากสวีเดนไปฟินแลนด์ 🏡 กุฏิริมน้ำในออสเตรเลีย กล่าวหาว่า ยันตระมีพฤติกรรมจับต้องกายสตรี ด้วยความกำหนัด 🚐 เหตุการณ์ในรถตู้ที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย มีหลักฐานว่า ยันตระเข้าไปหาสีกาในรถตู้ และมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม 📞 บทสนทนาทางโทรศัพท์ พร่ำพูดถึงความรัก และมีหลักฐานเทปเสียง 👧 ข้อกล่าวหาการมีบุตรสาว นางจันทิมา มายะรังษี นำเด็กหญิงที่อ้างว่า เป็นบุตรสาวของยันตระ มาแสดงตัว พร้อมภาพถ่ายที่แสดงถึงความสัมพันธ์ ฉันท์สามีภรรยา 💳 หลักฐานบัตรเครดิต รายการใช้จ่ายในสถานบริการทางเพศ ในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ 🔵 มติของมหาเถรสมาคม หลังการสืบสวนสอบสวน และตรวจสอบพยานหลักฐาน มหาเถรสมาคมมีมติให้ "พระยันตระ อมโรภิกขุ" ต้องอาบัติปาราชิก ขาดจากความเป็นพระภิกษุ โดยปริยาย ❌ แต่แทนที่จะยอมรับคำตัดสิน ยันตระกลับประกาศไม่ยอมรับมติ และอ้างว่ายังเป็นพระภิกษุอยู่ โดยเปลี่ยนจีวรเป็นสีเขียว จนได้รับฉายาใหม่จากสื่อว่า 🦎 "จิ้งเขียว" 🦹‍♂️ "สมียันดะ" 🧘‍♂️ "ยันดะ" 🔵 ปลอมพาสปอร์ต หนีคดีข้ามโลก เมื่อพ้นจากสมณเพศ ยันตระได้ทำพาสปอร์ตปลอม หลบหนีออกจากประเทศไทยไปสหรัฐอเมริกา ในฐานะผู้ลี้ภัยทางการเมือง 📜 ตลอด 20 ปี ยันตระใช้ชีวิตที่วัดสุญญตาราม เอสคอนดิโด้ แคลิฟอร์เนีย ⏳ ระยะเวลาผ่านไป คดีต่าง ๆ หมดอายุความ ทำให้ยันตระาสามารถกลับประเทศไทยได้อีกครั้ง 🔵 กลับมาเยือนเมืองไทย 🗓️ 6 กุมภาพันธ์ 2568 ยันตระเดินทางกลับประเทศไทยอีกครั้ง ที่สนามบินสุวรรณภูมิ มีลูกศิษย์รอต้อนรับจำนวนมาก 🏠 ยันตระได้พบปะกับลูกศิษย์ตามสถานที่ต่าง ๆ รวมถึงเดินทางไปสักการะพระบรมสารีริกธาตุ หรือพระเขี้ยวแก้ว ที่ท้องสนามหลวง 📍 จากนั้นได้กลับไปยังบ้านเกิดที่อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อกราบอดีตพระอุปัชฌาย์ บั้นปลายที่แคลิฟอร์เนีย สุดท้ายแล้ว ยันตระกลับไปยังวัดสุญญตาราม เอสคอนดิโด้ แคลิฟอร์เนีย และเสียชีวิตในวันอาทิตย์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2568 สิริรวมอายุ 73 ปี 51 พรรษา 🕊️ 🔵 เสียงสะท้อนจากสังคม และศรัทธาที่ไม่เสื่อมคลาย แม้จะมีข้อกล่าวหาฉาวโฉ่ แต่ก็ยังมีศิษยานุศิษย์ที่ศรัทธาในคำสอน และการปฏิบัติธรรม องพระยันตระ 🧎‍♂️ หลายคนยังคงกราบไหว้และนับถือ 👉 แต่ในโลกโซเชียลมีการวิพากษ์วิจารณ์ว่า เหมาะสมหรือไม่ที่พระรูปอื่นๆ ยังคงกราบไหว้บุคคลที่ถูกถอดจากสมณเพศ 💬 🔵 สรุปเรื่องราวชีวิต "ยันตระ อมโร" 1️⃣ จากนักพรตสู่พระภิกษุผู้ยิ่งใหญ่ 2️⃣ คำสอนและแนวปฏิบัติที่มีผู้ศรัทธาทั่วโลก 3️⃣ คดีอื้อฉาวที่ทำลายชื่อเสียงและนำไปสู่การถอดถอน 4️⃣ การหลบหนีและใช้ชีวิตในฐานะผู้ลี้ภัย 5️⃣ การกลับบ้านเกิดหลังคดีหมดอายุความ 6️⃣ จบบั้นปลายชีวิตในแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา 🔵 ชีวิตของ "ยันตระ อมโร" เปรียบเหมือนนิยาย ที่มีทั้งช่วงรุ่งเรืองและตกต่ำ ด้วยพฤติกรรมและการกระทำ ที่นำไปสู่ข้อกล่าวหาหนัก แต่ก็ยังคงมีคนศรัทธาไม่เสื่อมคลาย 💔✨ 👉 เรื่องราวของยันตระ จึงเป็นบทเรียนสำหรับสังคมไทย ในเรื่องศรัทธา ปัญญา และความรับผิดชอบต่อการกระทำ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 101152 มี.ค. 2568 🔵 #ยันตระอมโร #ข่าวดราม่า #ประวัติพระดัง #วัดสุญญตาราม #สีกาคาดาดฟ้า #ข่าวไทยวันนี้ #เรื่องเล่าพระดัง #ข่าวพระดัง #ยันตระเสียชีวิต #ข่าวด่วนไทย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 608 มุมมอง 0 รีวิว
  • บริษัท Cortical Labs ในออสเตรเลียได้เปิดตัว CL1 ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์ชีวภาพตัวแรกของโลกที่ผสมผสานเซลล์สมองมนุษย์เข้ากับเทคโนโลยีซิลิคอนแบบดั้งเดิม CL1 ถูกเปิดตัวครั้งแรกในงาน Mobile World Congress ที่บาร์เซโลนา และถูกพัฒนามาเพื่อใช้ในการศึกษาความเป็นไปได้ของ AI และ Machine Learning ที่มีความใกล้เคียงกับสมองของมนุษย์

    CL1 ใช้ชิปซิลิคอนที่มีเซลล์สมองมนุษย์เพาะเลี้ยงอยู่บนพื้นผิว เซลล์สมองเหล่านี้สามารถตอบสนองต่อสัญญาณไฟฟ้าและสร้างเครือข่ายที่ประมวลผลข้อมูลในลักษณะเดียวกับสมองมนุษย์ สิ่งที่น่าสนใจคือ ระบบนี้สามารถสื่อสารสองทางได้ โดยใช้สัญญาณไฟฟ้ากระตุ้นเซลล์สมอง และเก็บข้อมูลการตอบสนองเพื่อนำมาวิเคราะห์ต่อ

    เพื่อให้เซลล์สมองเหล่านี้ยังคงทำงานได้ดี CL1 มาพร้อมระบบช่วยชีวิตที่ควบคุมอุณหภูมิ การแลกเปลี่ยนก๊าซ และเงื่อนไขที่จำเป็นอื่น ๆ

    CL1 ถูกออกแบบมาเพื่อเรียนรู้และปรับตัว เช่นเดียวกับสมองมนุษย์ ตัวอย่างที่เคยมีการทดลอง เช่น การฝึกเซลล์สมองให้เล่นวิดีโอเกมพื้นฐาน สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่า คอมพิวเตอร์ชีวภาพสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในด้านที่ AI แบบเดิมยังไม่สมบูรณ์ เช่น การจดจำรูปแบบและการตัดสินใจในสภาพแวดล้อมที่ไม่แน่นอน

    นอกจากนี้ ความสามารถของเซลล์สมองในการปรับตัวทำให้เกิดศักยภาพใหม่ ๆ ในการประยุกต์ใช้งาน เช่น การพัฒนาหุ่นยนต์ที่ฉลาดยิ่งขึ้น หรือระบบวิเคราะห์ข้อมูลที่ซับซ้อน

    ปัญหาและข้อควรระวัง
    - ความซับซ้อนในการผลิต: การสร้างและดูแลระบบ CL1 ต้องใช้กระบวนการที่ซับซ้อนและยังไม่สามารถผลิตในระดับอุตสาหกรรมได้
    - ปัญหาด้านจริยธรรม: แม้ว่าเซลล์สมองที่ใช้จะถูกเพาะเลี้ยงในห้องแล็บและไม่มีสติสัมปชัญญะ แต่ความก้าวหน้าในเทคโนโลยีนี้อาจต้องการกรอบกฎหมายและจริยธรรมที่ชัดเจนในอนาคต เพื่อป้องกันการละเมิดสิทธิ์ที่เกี่ยวข้องกับเซลล์ชีวภาพมนุษย์

    CL1 จะพร้อมจำหน่ายตั้งแต่เดือนมิถุนายน โดยมีราคาอยู่ที่ประมาณ $35,000 เหมาะสำหรับองค์กรและสถาบันวิจัยที่ต้องการทดสอบหรือสำรวจการใช้งานคอมพิวเตอร์ชีวภาพในเชิงลึก

    CL1 ถือเป็นก้าวใหม่ที่น่าตื่นเต้นในวงการเทคโนโลยีชีวภาพและ AI ซึ่งอาจช่วยพัฒนาอนาคตของการเรียนรู้และการประมวลผลข้อมูล หากคุณสนใจรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ CL1 และความเป็นไปได้ในอนาคตของเทคโนโลยีนี้

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/worlds-first-body-in-a-box-biological-computer-uses-human-brain-cells-with-silicon-based-computing
    บริษัท Cortical Labs ในออสเตรเลียได้เปิดตัว CL1 ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์ชีวภาพตัวแรกของโลกที่ผสมผสานเซลล์สมองมนุษย์เข้ากับเทคโนโลยีซิลิคอนแบบดั้งเดิม CL1 ถูกเปิดตัวครั้งแรกในงาน Mobile World Congress ที่บาร์เซโลนา และถูกพัฒนามาเพื่อใช้ในการศึกษาความเป็นไปได้ของ AI และ Machine Learning ที่มีความใกล้เคียงกับสมองของมนุษย์ CL1 ใช้ชิปซิลิคอนที่มีเซลล์สมองมนุษย์เพาะเลี้ยงอยู่บนพื้นผิว เซลล์สมองเหล่านี้สามารถตอบสนองต่อสัญญาณไฟฟ้าและสร้างเครือข่ายที่ประมวลผลข้อมูลในลักษณะเดียวกับสมองมนุษย์ สิ่งที่น่าสนใจคือ ระบบนี้สามารถสื่อสารสองทางได้ โดยใช้สัญญาณไฟฟ้ากระตุ้นเซลล์สมอง และเก็บข้อมูลการตอบสนองเพื่อนำมาวิเคราะห์ต่อ เพื่อให้เซลล์สมองเหล่านี้ยังคงทำงานได้ดี CL1 มาพร้อมระบบช่วยชีวิตที่ควบคุมอุณหภูมิ การแลกเปลี่ยนก๊าซ และเงื่อนไขที่จำเป็นอื่น ๆ CL1 ถูกออกแบบมาเพื่อเรียนรู้และปรับตัว เช่นเดียวกับสมองมนุษย์ ตัวอย่างที่เคยมีการทดลอง เช่น การฝึกเซลล์สมองให้เล่นวิดีโอเกมพื้นฐาน สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่า คอมพิวเตอร์ชีวภาพสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในด้านที่ AI แบบเดิมยังไม่สมบูรณ์ เช่น การจดจำรูปแบบและการตัดสินใจในสภาพแวดล้อมที่ไม่แน่นอน นอกจากนี้ ความสามารถของเซลล์สมองในการปรับตัวทำให้เกิดศักยภาพใหม่ ๆ ในการประยุกต์ใช้งาน เช่น การพัฒนาหุ่นยนต์ที่ฉลาดยิ่งขึ้น หรือระบบวิเคราะห์ข้อมูลที่ซับซ้อน ปัญหาและข้อควรระวัง - ความซับซ้อนในการผลิต: การสร้างและดูแลระบบ CL1 ต้องใช้กระบวนการที่ซับซ้อนและยังไม่สามารถผลิตในระดับอุตสาหกรรมได้ - ปัญหาด้านจริยธรรม: แม้ว่าเซลล์สมองที่ใช้จะถูกเพาะเลี้ยงในห้องแล็บและไม่มีสติสัมปชัญญะ แต่ความก้าวหน้าในเทคโนโลยีนี้อาจต้องการกรอบกฎหมายและจริยธรรมที่ชัดเจนในอนาคต เพื่อป้องกันการละเมิดสิทธิ์ที่เกี่ยวข้องกับเซลล์ชีวภาพมนุษย์ CL1 จะพร้อมจำหน่ายตั้งแต่เดือนมิถุนายน โดยมีราคาอยู่ที่ประมาณ $35,000 เหมาะสำหรับองค์กรและสถาบันวิจัยที่ต้องการทดสอบหรือสำรวจการใช้งานคอมพิวเตอร์ชีวภาพในเชิงลึก CL1 ถือเป็นก้าวใหม่ที่น่าตื่นเต้นในวงการเทคโนโลยีชีวภาพและ AI ซึ่งอาจช่วยพัฒนาอนาคตของการเรียนรู้และการประมวลผลข้อมูล หากคุณสนใจรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ CL1 และความเป็นไปได้ในอนาคตของเทคโนโลยีนี้ https://www.tomshardware.com/tech-industry/worlds-first-body-in-a-box-biological-computer-uses-human-brain-cells-with-silicon-based-computing
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    World's first 'body in a box' biological computer uses human brain cells with silicon-based computing
    Cortical Labs said the CL1 will be available from June, priced at around $35,000.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 241 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีการค้นพบมัลแวร์ตัวใหม่ที่ชื่อว่า Eleven11bot ซึ่งติดตั้งไปยังอุปกรณ์ IoT (Internet of Things) กว่า 86,000 เครื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกล้องวงจรปิดและ Network Video Recorders (NVRs) เพื่อทำการโจมตี DDoS (Distributed Denial of Service)

    ผู้เชี่ยวชาญจาก Nokia ได้ตรวจพบ Eleven11bot และแชร์ข้อมูลนี้กับแพลตฟอร์มการติดตามภัยคุกคาม GreyNoise Jérôme Meyer นักวิจัยความปลอดภัยของ Nokia กล่าวว่า Eleven11bot เป็นหนึ่งในบ็อตเน็ตที่ใหญ่ที่สุดที่พวกเขาเคยเห็นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และมาจากอุปกรณ์ IoT ที่ถูกเจาะระบบ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากกล้องวงจรปิดและ NVRs

    บ็อตเน็ต Eleven11bot นี้ถูกใช้เพื่อโจมตีให้บริการโทรคมนาคมและเซิร์ฟเวอร์เกมออนไลน์หลายแห่ง โดยในวันนี้ แพลตฟอร์มการติดตามภัยคุกคาม The Shadowserver Foundation รายงานว่าพบอุปกรณ์ที่ติดเชื้อจาก Eleven11bot กว่า 86,400 เครื่องในสหรัฐฯ สหราชอาณาจักร เม็กซิโก แคนาดา และออสเตรเลีย

    การโจมตีจาก Eleven11bot นั้นมีปริมาณข้อมูลหลายร้อยล้านแพ็คเก็ตต่อวินาที และมักจะดำเนินไปหลายวัน โดย GreyNoise ได้บันทึก IP 1,400 แห่งที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของบ็อตเน็ตนี้ในเดือนที่ผ่านมา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอุปกรณ์จริงไม่ใช่ IP ปลอม

    มัลแวร์นี้แพร่กระจายโดยการใช้ช่องโหว่ของรหัสผ่านที่อ่อนแอหรือรหัสผ่านที่เป็นค่าเริ่มต้นของอุปกรณ์ IoT ทำให้แฮกเกอร์สามารถเข้าถึงอุปกรณ์เหล่านี้ได้ นอกจากนี้ยังมีการสแกนพอร์ต Telnet และ SSH ที่เปิดอยู่ในเครือข่ายเพื่อหาช่องทางในการเจาะระบบ

    GreyNoise ได้เผยแพร่รายชื่อ IP ที่เกี่ยวข้องกับ Eleven11bot และแนะนำให้ผู้ดูแลระบบเพิ่มรายการนี้ในบล็อกลิสต์ของพวกเขา และเฝ้าระวังการพยายามเข้าสู่ระบบที่น่าสงสัย

    เพื่อป้องกันการโจมตีนี้ ขอแนะนำให้ผู้ใช้งานตรวจสอบให้อุปกรณ์ IoT ของพวกเขาใช้เฟิร์มแวร์เวอร์ชันล่าสุดและปิดฟีเจอร์การเข้าถึงระยะไกลหากไม่จำเป็น ควรเปลี่ยนรหัสผ่านของบัญชีผู้ดูแลระบบให้แข็งแรงและไม่ซ้ำกับค่าเริ่มต้น นอกจากนี้ควรตรวจสอบว่าอุปกรณ์ที่ใช้งานยังได้รับการสนับสนุนจากผู้ผลิตหรือไม่ และหากอุปกรณ์ถึงจุดสิ้นสุดของการสนับสนุน (EOL) ก็ควรเปลี่ยนเป็นรุ่นใหม่ที่มีความปลอดภัยมากขึ้น

    https://www.bleepingcomputer.com/news/security/new-eleven11bot-botnet-infects-86-000-devices-for-ddos-attacks/
    มีการค้นพบมัลแวร์ตัวใหม่ที่ชื่อว่า Eleven11bot ซึ่งติดตั้งไปยังอุปกรณ์ IoT (Internet of Things) กว่า 86,000 เครื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกล้องวงจรปิดและ Network Video Recorders (NVRs) เพื่อทำการโจมตี DDoS (Distributed Denial of Service) ผู้เชี่ยวชาญจาก Nokia ได้ตรวจพบ Eleven11bot และแชร์ข้อมูลนี้กับแพลตฟอร์มการติดตามภัยคุกคาม GreyNoise Jérôme Meyer นักวิจัยความปลอดภัยของ Nokia กล่าวว่า Eleven11bot เป็นหนึ่งในบ็อตเน็ตที่ใหญ่ที่สุดที่พวกเขาเคยเห็นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และมาจากอุปกรณ์ IoT ที่ถูกเจาะระบบ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากกล้องวงจรปิดและ NVRs บ็อตเน็ต Eleven11bot นี้ถูกใช้เพื่อโจมตีให้บริการโทรคมนาคมและเซิร์ฟเวอร์เกมออนไลน์หลายแห่ง โดยในวันนี้ แพลตฟอร์มการติดตามภัยคุกคาม The Shadowserver Foundation รายงานว่าพบอุปกรณ์ที่ติดเชื้อจาก Eleven11bot กว่า 86,400 เครื่องในสหรัฐฯ สหราชอาณาจักร เม็กซิโก แคนาดา และออสเตรเลีย การโจมตีจาก Eleven11bot นั้นมีปริมาณข้อมูลหลายร้อยล้านแพ็คเก็ตต่อวินาที และมักจะดำเนินไปหลายวัน โดย GreyNoise ได้บันทึก IP 1,400 แห่งที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของบ็อตเน็ตนี้ในเดือนที่ผ่านมา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอุปกรณ์จริงไม่ใช่ IP ปลอม มัลแวร์นี้แพร่กระจายโดยการใช้ช่องโหว่ของรหัสผ่านที่อ่อนแอหรือรหัสผ่านที่เป็นค่าเริ่มต้นของอุปกรณ์ IoT ทำให้แฮกเกอร์สามารถเข้าถึงอุปกรณ์เหล่านี้ได้ นอกจากนี้ยังมีการสแกนพอร์ต Telnet และ SSH ที่เปิดอยู่ในเครือข่ายเพื่อหาช่องทางในการเจาะระบบ GreyNoise ได้เผยแพร่รายชื่อ IP ที่เกี่ยวข้องกับ Eleven11bot และแนะนำให้ผู้ดูแลระบบเพิ่มรายการนี้ในบล็อกลิสต์ของพวกเขา และเฝ้าระวังการพยายามเข้าสู่ระบบที่น่าสงสัย เพื่อป้องกันการโจมตีนี้ ขอแนะนำให้ผู้ใช้งานตรวจสอบให้อุปกรณ์ IoT ของพวกเขาใช้เฟิร์มแวร์เวอร์ชันล่าสุดและปิดฟีเจอร์การเข้าถึงระยะไกลหากไม่จำเป็น ควรเปลี่ยนรหัสผ่านของบัญชีผู้ดูแลระบบให้แข็งแรงและไม่ซ้ำกับค่าเริ่มต้น นอกจากนี้ควรตรวจสอบว่าอุปกรณ์ที่ใช้งานยังได้รับการสนับสนุนจากผู้ผลิตหรือไม่ และหากอุปกรณ์ถึงจุดสิ้นสุดของการสนับสนุน (EOL) ก็ควรเปลี่ยนเป็นรุ่นใหม่ที่มีความปลอดภัยมากขึ้น https://www.bleepingcomputer.com/news/security/new-eleven11bot-botnet-infects-86-000-devices-for-ddos-attacks/
    WWW.BLEEPINGCOMPUTER.COM
    New Eleven11bot botnet infects 86,000 devices for DDoS attacks
    A new botnet malware named 'Eleven11bot' has infected over 86,000 IoT devices, primarily security cameras and network video recorders (NVRs), to conduct DDoS attacks.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 230 มุมมอง 0 รีวิว
  • ออสเตรเลียพร้อมพิจารณาส่งทหารรักษาสันติภาพไปยูเครน

    นายกรัฐมนตรีแอนโธนี อัลบาเนซี กล่าวว่า ออสเตรเลียยินดีที่จะพิจารณาส่งทหารไปเป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังรักษาสันติภาพนานาชาติในยูเครน

    แม้ว่าจะยังไม่ได้มีการร้องขออย่างเป็นทางการ แต่อัลบาเนซีเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของออสเตรเลียที่จะยืนหยัดเคียงข้างเคียฟและต่อต้านการกระทำที่ “ผิดกฎหมายและผิดศีลธรรม” ของรัสเซีย

    นอกจากนี้ยังมีเม็ดเงิน 1,500 ล้านดอลลาร์ ที่ออสเตรเลียให้คำมั่นกับยูเครนถึงความช่วยเหลือด้านต่างๆ

    ที่มา: The Guardian
    ออสเตรเลียพร้อมพิจารณาส่งทหารรักษาสันติภาพไปยูเครน นายกรัฐมนตรีแอนโธนี อัลบาเนซี กล่าวว่า ออสเตรเลียยินดีที่จะพิจารณาส่งทหารไปเป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังรักษาสันติภาพนานาชาติในยูเครน แม้ว่าจะยังไม่ได้มีการร้องขออย่างเป็นทางการ แต่อัลบาเนซีเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของออสเตรเลียที่จะยืนหยัดเคียงข้างเคียฟและต่อต้านการกระทำที่ “ผิดกฎหมายและผิดศีลธรรม” ของรัสเซีย นอกจากนี้ยังมีเม็ดเงิน 1,500 ล้านดอลลาร์ ที่ออสเตรเลียให้คำมั่นกับยูเครนถึงความช่วยเหลือด้านต่างๆ ที่มา: The Guardian
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 212 มุมมอง 0 รีวิว
  • Idemitsu Kosan บริษัทน้ำมันอันดับสองของญี่ปุ่น วางแผนจะสร้างโรงงานผลิตลิเทียมซัลไฟด์ (Lithium Sulphide) ขนาดใหญ่ที่โรงกลั่นน้ำมันในจังหวัดชิบะ ใกล้กรุงโตเกียว โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการพัฒนาแบตเตอรี่ Solid-State สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าของ Toyota

    โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือระหว่าง Idemitsu และ Toyota เพื่อการค้าแบตเตอรี่รุ่นถัดไปและสนับสนุนเป้าหมายของ Toyota ในการเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้แบตเตอรี่สถานะของแข็งภายในปี 2027-2028 โดยแบตเตอรี่ Solid-State นี้ถูกกล่าวถึงว่าเป็นแบตเตอรี่ที่มีความปลอดภัยมากขึ้น มีระยะเวลาใช้งานยาวนานขึ้น และมีการชาร์จไฟที่เร็วกว่าแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนแบบเดิม

    Idemitsu วางแผนจะสร้างโรงงานใหม่ภายในเดือนมิถุนายน 2027 ด้วยงบประมาณประมาณ 21.3 พันล้านเยน (ประมาณ 143 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งโรงงานนี้จะมีความสามารถในการผลิตลิเทียมซัลไฟด์จำนวน 1,000 เมตริกตันต่อปี เพียงพอสำหรับแบตเตอรี่สถานะของแข็งของรถยนต์ไฟฟ้า 50,000-60,000 คัน

    Tetsuji Mishina เจ้าหน้าที่บริหารของ Idemitsu กล่าวว่าบริษัทกำลังพิจารณาการลงทุนในโรงงานนำร่องขนาดใหญ่สำหรับอิเล็กโทรไลต์แข็ง ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของแบตเตอรี่ Solid-State และคาดว่าจะตัดสินใจในปีงบประมาณ 2025

    นอกจากนี้ Idemitsu ยังมองหาการจัดหาลิเทียมที่มั่นคงจากแหล่งในออสเตรเลียและแหล่งอื่น ๆ ทั่วโลก Mishina ยังกล่าวว่า "ความท้าทายสำคัญในการยอมรับแบตเตอรี่ Solid-State ทั่วโลกคือการลดต้นทุนของอิเล็กโทรไลต์แข็ง"

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/02/27/japan039s-idemitsu-to-build-lithium-sulphide-plant-to-help-support-toyota039s-ev-plans
    Idemitsu Kosan บริษัทน้ำมันอันดับสองของญี่ปุ่น วางแผนจะสร้างโรงงานผลิตลิเทียมซัลไฟด์ (Lithium Sulphide) ขนาดใหญ่ที่โรงกลั่นน้ำมันในจังหวัดชิบะ ใกล้กรุงโตเกียว โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการพัฒนาแบตเตอรี่ Solid-State สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าของ Toyota โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือระหว่าง Idemitsu และ Toyota เพื่อการค้าแบตเตอรี่รุ่นถัดไปและสนับสนุนเป้าหมายของ Toyota ในการเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้แบตเตอรี่สถานะของแข็งภายในปี 2027-2028 โดยแบตเตอรี่ Solid-State นี้ถูกกล่าวถึงว่าเป็นแบตเตอรี่ที่มีความปลอดภัยมากขึ้น มีระยะเวลาใช้งานยาวนานขึ้น และมีการชาร์จไฟที่เร็วกว่าแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนแบบเดิม Idemitsu วางแผนจะสร้างโรงงานใหม่ภายในเดือนมิถุนายน 2027 ด้วยงบประมาณประมาณ 21.3 พันล้านเยน (ประมาณ 143 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งโรงงานนี้จะมีความสามารถในการผลิตลิเทียมซัลไฟด์จำนวน 1,000 เมตริกตันต่อปี เพียงพอสำหรับแบตเตอรี่สถานะของแข็งของรถยนต์ไฟฟ้า 50,000-60,000 คัน Tetsuji Mishina เจ้าหน้าที่บริหารของ Idemitsu กล่าวว่าบริษัทกำลังพิจารณาการลงทุนในโรงงานนำร่องขนาดใหญ่สำหรับอิเล็กโทรไลต์แข็ง ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของแบตเตอรี่ Solid-State และคาดว่าจะตัดสินใจในปีงบประมาณ 2025 นอกจากนี้ Idemitsu ยังมองหาการจัดหาลิเทียมที่มั่นคงจากแหล่งในออสเตรเลียและแหล่งอื่น ๆ ทั่วโลก Mishina ยังกล่าวว่า "ความท้าทายสำคัญในการยอมรับแบตเตอรี่ Solid-State ทั่วโลกคือการลดต้นทุนของอิเล็กโทรไลต์แข็ง" https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/02/27/japan039s-idemitsu-to-build-lithium-sulphide-plant-to-help-support-toyota039s-ev-plans
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Japan's Idemitsu to build lithium sulphide plant to help support Toyota's EV plans
    ANEGASAKI, Japan (Reuters) - Japan's No.2 oil refiner, Idemitsu Kosan plans to build a large-scale plant for lithium sulphide, a key material for all-solid-state batteries, at its Chiba refinery, near Tokyo, the company said on Thursday.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 227 มุมมอง 0 รีวิว
  • โฆษกกระทรวงกลาโหมจีน ออกแถลงยืนยันว่า การซ้อมรบของกองทัพเรือจีน ในทะเลแทสมัน (Tasman Sea) ซึ่งเป็นน่านน้ำสากลใกล้ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์นั้น ได้มีการแจ้งเตือนล่วงหน้าแล้วตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ และเป็นการซ้อมรบที่ไม่ก่ออันตรายแก่ฝ่ายใด

    ก่อนหน้านี้ ริชาร์ด-มาร์ลส์ รัฐมนตรีกลาโหมออสเตรเลีย กล่าวหาจีนไม่มีการแจ้งเตือนล่วงหน้าเกี่ยวกับการซ้อมรบซึ่งมีการใช้กระสุนจริง

    การฝึกซ้อมเกิดขึ้นห่างจากช่องแคบแบส (Bass Strait) ออกไปทางตะวันออกเฉียงเหนือราว 350 ไมล์ทะเล ซึ่งช่องแคบแบสนั้นแบ่งแยกรัฐแทสมาเนีย (Tasmania) ออกจากแผ่นดินใหญ่ออสเตรเลีย

    การซ้อมรบของจีนเกิดขึ้นหลังจากเมื่อช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ ออสเตรเลียท้าทายจีน โดยการส่งเครื่องบินของกองทัพอากาศออสเตรเลียไปบินลาดตระเวนในทะเลจีนใต้ ซึ่งใกล้กับอาณาเขตน่านน้ำของจีน ทำให้จีนต้องตอบโต้โดยการส่งเครื่องบินขับไล่ออกมาทำการทิ้งพลุสัญญาณเตือนใกล้กับเครื่องบินของกองทัพอากาศออสเตรเลีย และประกาศจัดการซ้อมรบขึ้นใกล้กับออสเตรเลีย

    โฆษกกระทรวงกลาโหมจีน ออกแถลงยืนยันว่า การซ้อมรบของกองทัพเรือจีน ในทะเลแทสมัน (Tasman Sea) ซึ่งเป็นน่านน้ำสากลใกล้ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์นั้น ได้มีการแจ้งเตือนล่วงหน้าแล้วตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ และเป็นการซ้อมรบที่ไม่ก่ออันตรายแก่ฝ่ายใด ก่อนหน้านี้ ริชาร์ด-มาร์ลส์ รัฐมนตรีกลาโหมออสเตรเลีย กล่าวหาจีนไม่มีการแจ้งเตือนล่วงหน้าเกี่ยวกับการซ้อมรบซึ่งมีการใช้กระสุนจริง การฝึกซ้อมเกิดขึ้นห่างจากช่องแคบแบส (Bass Strait) ออกไปทางตะวันออกเฉียงเหนือราว 350 ไมล์ทะเล ซึ่งช่องแคบแบสนั้นแบ่งแยกรัฐแทสมาเนีย (Tasmania) ออกจากแผ่นดินใหญ่ออสเตรเลีย การซ้อมรบของจีนเกิดขึ้นหลังจากเมื่อช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ ออสเตรเลียท้าทายจีน โดยการส่งเครื่องบินของกองทัพอากาศออสเตรเลียไปบินลาดตระเวนในทะเลจีนใต้ ซึ่งใกล้กับอาณาเขตน่านน้ำของจีน ทำให้จีนต้องตอบโต้โดยการส่งเครื่องบินขับไล่ออกมาทำการทิ้งพลุสัญญาณเตือนใกล้กับเครื่องบินของกองทัพอากาศออสเตรเลีย และประกาศจัดการซ้อมรบขึ้นใกล้กับออสเตรเลีย
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 263 มุมมอง 0 รีวิว
  • ริชาร์ด มาร์ลส์ รัฐมนตรีกลาโหมออสเตรเลีย กล่าวในช่วงหนึ่งของสารคดีกองทัพเรือออสเตรเลีย ซึ่งถ่ายทำโดยสำนักข่าว Sky News ว่า

    “ในโลกที่ไม่แน่นอนเพิ่มมากขึ้น ออสเตรเลียจำเป็นต้องมีศักยภาพด้านการป้องกันประเทศที่เพิ่มมากขึ้น - บางทีออสเตรเลียควรเริ่มต้นด้วยการไม่ส่งเรือรบและเครื่องบินขับไล่ไปที่ชายฝั่งของจีน”

    ท้ายที่สุดแล้ว เมื่อคุณยั่วยุจีน จีนจะตอบโต้กลับ ความยุติธรรมก็คือความยุติธรรม เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น หลังจีนส่งกองเรือพิฆาตติดขีปนาวุธนำวิถี ไปลาดตระเวนและซ้อมรบด้วยการยิงด้วยกระสุนและขีปนาวุธจริงในทะเลแทสมัน ซึ่งตั้งอยู่หน้าบ้านออสเตรเลีย เพื่อตอบโต้ต่อรัฐบาลออสเตรเลีย หลังส่งเรือรบและเครื่องบินสอดแนมไปยังทะเลจีนใต้ เข้าซ้อมรบทางทะเลร่วมกับสหรัฐฯ และญี่ปุ่น ห่างจากชายฝั่งจีนราว 230 ไมล์ทะเล
    ริชาร์ด มาร์ลส์ รัฐมนตรีกลาโหมออสเตรเลีย กล่าวในช่วงหนึ่งของสารคดีกองทัพเรือออสเตรเลีย ซึ่งถ่ายทำโดยสำนักข่าว Sky News ว่า “ในโลกที่ไม่แน่นอนเพิ่มมากขึ้น ออสเตรเลียจำเป็นต้องมีศักยภาพด้านการป้องกันประเทศที่เพิ่มมากขึ้น - บางทีออสเตรเลียควรเริ่มต้นด้วยการไม่ส่งเรือรบและเครื่องบินขับไล่ไปที่ชายฝั่งของจีน” ท้ายที่สุดแล้ว เมื่อคุณยั่วยุจีน จีนจะตอบโต้กลับ ความยุติธรรมก็คือความยุติธรรม เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น หลังจีนส่งกองเรือพิฆาตติดขีปนาวุธนำวิถี ไปลาดตระเวนและซ้อมรบด้วยการยิงด้วยกระสุนและขีปนาวุธจริงในทะเลแทสมัน ซึ่งตั้งอยู่หน้าบ้านออสเตรเลีย เพื่อตอบโต้ต่อรัฐบาลออสเตรเลีย หลังส่งเรือรบและเครื่องบินสอดแนมไปยังทะเลจีนใต้ เข้าซ้อมรบทางทะเลร่วมกับสหรัฐฯ และญี่ปุ่น ห่างจากชายฝั่งจีนราว 230 ไมล์ทะเล
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 278 มุมมอง 0 รีวิว
  • DeepSeek บริษัทสตาร์ทอัพด้าน AI จากจีน ได้ประกาศแผนการเปิดเผยซอร์สโค้ดและข้อมูลหลักในการพัฒนา AI ของพวกเขาให้เป็นสาธารณะตั้งแต่สัปดาห์นี้เป็นต้นไป ก้าวนี้เป็นที่น่าสนใจอย่างมาก เนื่องจากบริษัทอื่นๆ เช่น OpenAI และ Meta Platforms Inc. ยังไม่เปิดเผยซอร์สโค้ดและข้อมูลของพวกเขาในระดับนี้

    DeepSeek ก่อตั้งขึ้นเมื่อ 20 เดือนที่แล้ว และได้สร้างความฮือฮาใน Silicon Valley ด้วยโมเดล AI ที่มีความซับซ้อนสูง บริษัทประกาศบนแพลตฟอร์ม X ว่าโค้ดที่เกี่ยวข้องจะถูกจัดเก็บไว้ใน repository ที่พร้อมให้ดาวน์โหลดและปรับปรุงได้โดยนักพัฒนาและนักวิจัยทั่วโลก ความเคลื่อนไหวนี้เน้นย้ำความมุ่งมั่นของ DeepSeek ที่จะใช้แนวทางการพัฒนา AI แบบโอเพนซอร์ส

    นอกจากนี้ DeepSeek ยังวางแผนที่จะเปิดเผยวิธีการพัฒนาและจัดการโค้ด รวมถึงข้อมูลที่ใช้ในการสร้างโมเดล AI ด้วย ความโปร่งใสนี้จะช่วยให้เทคโนโลยีของพวกเขาถูกนำไปใช้อย่างแพร่หลาย และอาจทำให้เกิดความกังวลเรื่องความปลอดภัยในรัฐบาลต่างๆ จากสหรัฐฯ ถึงออสเตรเลีย

    "เราคือทีมเล็กที่กำลังสำรวจ AGI ตั้งแต่สัปดาห์หน้า เราจะเปิดเผยซอร์สโค้ด 5 repository และแชร์ความก้าวหน้าอย่างเปิดเผย" DeepSeek ประกาศผ่าน X

    ในขณะที่บริษัทใหญ่เช่น Baidu และ OpenAI ยังคงเก็บรักษาข้อมูล AI ของพวกเขาเป็นความลับ การเปิดเผยซอร์สโค้ดของ DeepSeek ทำให้เห็นถึงการแข่งขันระหว่างสหรัฐและจีนในการพัฒนาโมเดล AI ที่มีความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง

    ความก้าวหน้าของ DeepSeek ได้บังคับให้คู่แข่งที่เก่าแก่กว่าเช่น Baidu Inc. นำแนวทางโอเพนซอร์สมาใช้ แต่คู่แข่งในระดับโลกเช่น OpenAI และ Anthropic ยังคงเก็บรักษาโมเดล AI และข้อมูลของพวกเขาเป็นความลับ DeepSeek ที่มีจุดเริ่มต้นจากกองทุนเฮดจ์ฟันด์เชิงปริมาณที่บริหารโดยผู้ก่อตั้ง Liang Wenfeng ยังไม่ได้เปิดเผยการสนับสนุนจากภายนอก ซึ่งอาจทำให้พวกเขามีความกดดันน้อยลงในการสร้างโมเดลรายได้

    การเปิดเผยซอร์สโค้ดของ DeepSeek นี้อาจส่งผลให้มีผู้สนับสนุนเพิ่มขึ้นและการนำเทคโนโลยีของพวกเขาไปใช้อย่างแพร่หลาย ขณะเดียวกันก็เป็นการกระตุ้นการแข่งขันและความกังวลเรื่องความปลอดภัยในระดับโลก

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/02/24/deepseek-promises-to-share-even-more-ai-code-in-a-rare-step
    DeepSeek บริษัทสตาร์ทอัพด้าน AI จากจีน ได้ประกาศแผนการเปิดเผยซอร์สโค้ดและข้อมูลหลักในการพัฒนา AI ของพวกเขาให้เป็นสาธารณะตั้งแต่สัปดาห์นี้เป็นต้นไป ก้าวนี้เป็นที่น่าสนใจอย่างมาก เนื่องจากบริษัทอื่นๆ เช่น OpenAI และ Meta Platforms Inc. ยังไม่เปิดเผยซอร์สโค้ดและข้อมูลของพวกเขาในระดับนี้ DeepSeek ก่อตั้งขึ้นเมื่อ 20 เดือนที่แล้ว และได้สร้างความฮือฮาใน Silicon Valley ด้วยโมเดล AI ที่มีความซับซ้อนสูง บริษัทประกาศบนแพลตฟอร์ม X ว่าโค้ดที่เกี่ยวข้องจะถูกจัดเก็บไว้ใน repository ที่พร้อมให้ดาวน์โหลดและปรับปรุงได้โดยนักพัฒนาและนักวิจัยทั่วโลก ความเคลื่อนไหวนี้เน้นย้ำความมุ่งมั่นของ DeepSeek ที่จะใช้แนวทางการพัฒนา AI แบบโอเพนซอร์ส นอกจากนี้ DeepSeek ยังวางแผนที่จะเปิดเผยวิธีการพัฒนาและจัดการโค้ด รวมถึงข้อมูลที่ใช้ในการสร้างโมเดล AI ด้วย ความโปร่งใสนี้จะช่วยให้เทคโนโลยีของพวกเขาถูกนำไปใช้อย่างแพร่หลาย และอาจทำให้เกิดความกังวลเรื่องความปลอดภัยในรัฐบาลต่างๆ จากสหรัฐฯ ถึงออสเตรเลีย "เราคือทีมเล็กที่กำลังสำรวจ AGI ตั้งแต่สัปดาห์หน้า เราจะเปิดเผยซอร์สโค้ด 5 repository และแชร์ความก้าวหน้าอย่างเปิดเผย" DeepSeek ประกาศผ่าน X ในขณะที่บริษัทใหญ่เช่น Baidu และ OpenAI ยังคงเก็บรักษาข้อมูล AI ของพวกเขาเป็นความลับ การเปิดเผยซอร์สโค้ดของ DeepSeek ทำให้เห็นถึงการแข่งขันระหว่างสหรัฐและจีนในการพัฒนาโมเดล AI ที่มีความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง ความก้าวหน้าของ DeepSeek ได้บังคับให้คู่แข่งที่เก่าแก่กว่าเช่น Baidu Inc. นำแนวทางโอเพนซอร์สมาใช้ แต่คู่แข่งในระดับโลกเช่น OpenAI และ Anthropic ยังคงเก็บรักษาโมเดล AI และข้อมูลของพวกเขาเป็นความลับ DeepSeek ที่มีจุดเริ่มต้นจากกองทุนเฮดจ์ฟันด์เชิงปริมาณที่บริหารโดยผู้ก่อตั้ง Liang Wenfeng ยังไม่ได้เปิดเผยการสนับสนุนจากภายนอก ซึ่งอาจทำให้พวกเขามีความกดดันน้อยลงในการสร้างโมเดลรายได้ การเปิดเผยซอร์สโค้ดของ DeepSeek นี้อาจส่งผลให้มีผู้สนับสนุนเพิ่มขึ้นและการนำเทคโนโลยีของพวกเขาไปใช้อย่างแพร่หลาย ขณะเดียวกันก็เป็นการกระตุ้นการแข่งขันและความกังวลเรื่องความปลอดภัยในระดับโลก https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/02/24/deepseek-promises-to-share-even-more-ai-code-in-a-rare-step
    WWW.THESTAR.COM.MY
    DeepSeek promises to share even more AI code in a rare step
    Chinese AI sensation DeepSeek plans to release key codes and data to the public starting next week, an unusual step to share more of its core technology than rivals such as OpenAI have done.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 243 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทางการออสเตรเลียได้สั่งปรับ Telegram เป็นเงิน 958,000 ดอลลาร์ออสเตรเลีย (ประมาณ 613,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 2.69 ล้านบาท) เนื่องจาก Telegram ล้มเหลวในการเปิดเผยข้อมูลว่าใช้วิธีใดในการจัดการกับเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายและการล่วงละเมิดทางเพศเด็ก

    เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากที่หน่วยงานเฝ้าระวังออนไลน์ของออสเตรเลียขอให้ Telegram และแพลตฟอร์มอื่นๆ เปิดเผยวิธีการในการตรวจจับเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายและการล่วงละเมิดทางเพศเด็กในเดือนมีนาคมปีที่แล้ว แต่ Telegram ตอบกลับหลังจากนั้นถึงกว่า 5 เดือนในวันที่ 13 ตุลาคม 2024 ซึ่งเกินกำหนดเส้นตายที่กำหนดไว้ในวันที่ 6 พฤษภาคม 2024 ทำให้การทำงานของคณะกรรมการถูกขัดขวาง

    ในแถลงการณ์ของ Julie Inman Grant ซึ่งเป็น eSafety Commissioner ของออสเตรเลีย กล่าวว่า การเปิดเผยวิธีการและที่มาของแพลตฟอร์มในการจัดการเนื้อหาดังกล่าวเป็นเรื่องสำคัญ เพื่อปกป้องชุมชนและยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยในอุตสาหกรรมนี้

    Telegram มีเวลา 28 วันในการจ่ายค่าปรับ หรืออาจขอเวลาเพิ่มเติมหรือพยายามยกเลิกค่าปรับนี้ หากไม่จ่าย คณะกรรมการสามารถขอให้ศาลรัฐบาลกลางสั่งปรับได้

    นอกจากนี้ ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Telegram Pavel Durov ซึ่งเป็นชาวรัสเซีย ยังถูกจับกุมที่สนามบินในปารีสเมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้วและถูกตั้งข้อหาหลายคดีเกี่ยวกับการไม่สามารถควบคุมเนื้อหาที่เป็นอันตรายและก่อการร้ายบนแอป Telegram นอกจากนี้ อัยการฝรั่งเศสยังกล่าวหาว่า Telegram ซึ่งตั้งฐานอยู่ที่ดูไบ ล้มเหลวในการดำเนินการกับภาพล่วงละเมิดทางเพศเด็ก

    Durov ถูกปล่อยตัวด้วยเงินประกันจำนวน 5 ล้านยูโร (ประมาณ 23.13 ล้านบาท) และประกาศที่จะดำเนินการป้องกันเนื้อหาที่ผิดกฎหมายอย่างเข้มงวด

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/02/24/australia-fines-telegram-over-response-to-terror-abuse-content
    ทางการออสเตรเลียได้สั่งปรับ Telegram เป็นเงิน 958,000 ดอลลาร์ออสเตรเลีย (ประมาณ 613,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 2.69 ล้านบาท) เนื่องจาก Telegram ล้มเหลวในการเปิดเผยข้อมูลว่าใช้วิธีใดในการจัดการกับเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายและการล่วงละเมิดทางเพศเด็ก เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากที่หน่วยงานเฝ้าระวังออนไลน์ของออสเตรเลียขอให้ Telegram และแพลตฟอร์มอื่นๆ เปิดเผยวิธีการในการตรวจจับเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายและการล่วงละเมิดทางเพศเด็กในเดือนมีนาคมปีที่แล้ว แต่ Telegram ตอบกลับหลังจากนั้นถึงกว่า 5 เดือนในวันที่ 13 ตุลาคม 2024 ซึ่งเกินกำหนดเส้นตายที่กำหนดไว้ในวันที่ 6 พฤษภาคม 2024 ทำให้การทำงานของคณะกรรมการถูกขัดขวาง ในแถลงการณ์ของ Julie Inman Grant ซึ่งเป็น eSafety Commissioner ของออสเตรเลีย กล่าวว่า การเปิดเผยวิธีการและที่มาของแพลตฟอร์มในการจัดการเนื้อหาดังกล่าวเป็นเรื่องสำคัญ เพื่อปกป้องชุมชนและยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยในอุตสาหกรรมนี้ Telegram มีเวลา 28 วันในการจ่ายค่าปรับ หรืออาจขอเวลาเพิ่มเติมหรือพยายามยกเลิกค่าปรับนี้ หากไม่จ่าย คณะกรรมการสามารถขอให้ศาลรัฐบาลกลางสั่งปรับได้ นอกจากนี้ ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Telegram Pavel Durov ซึ่งเป็นชาวรัสเซีย ยังถูกจับกุมที่สนามบินในปารีสเมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้วและถูกตั้งข้อหาหลายคดีเกี่ยวกับการไม่สามารถควบคุมเนื้อหาที่เป็นอันตรายและก่อการร้ายบนแอป Telegram นอกจากนี้ อัยการฝรั่งเศสยังกล่าวหาว่า Telegram ซึ่งตั้งฐานอยู่ที่ดูไบ ล้มเหลวในการดำเนินการกับภาพล่วงละเมิดทางเพศเด็ก Durov ถูกปล่อยตัวด้วยเงินประกันจำนวน 5 ล้านยูโร (ประมาณ 23.13 ล้านบาท) และประกาศที่จะดำเนินการป้องกันเนื้อหาที่ผิดกฎหมายอย่างเข้มงวด https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/02/24/australia-fines-telegram-over-response-to-terror-abuse-content
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Australia fines Telegram over response to terror, abuse content
    Australia's online watchdog said on Feb 24 it has fined Telegram more than US$600,000 (RM2.65mil) for missing a deadline to reveal how it tackles "terrorist" and child sexual abuse content.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 211 มุมมอง 0 รีวิว
  • "สุดคุ้ม!"
    ยูเครนได้รับการสนับสนุนหลักจากผู้นำยุโรปที่มาเยือนวันนี้:

    - ฟินแลนด์: 4.5 ล้านยูโรสำหรับโครงสร้างพื้นฐานของยูเครน และโครงการต่างๆที่เข้าร่วมทำกับสหภาพยุโรป
    - สเปน: ความช่วยเหลือทางทหาร 1,000 ล้านยูโร
    - เดนมาร์ก: บริจาคเงินช่วยเหลือ 270 ล้านยูโร
    - สวีเดน: รับปากจะโอนระบบป้องกันภัยทางอากาศมูลค่า 113 ล้านดอลลาร์
    - ​​สหราชอาณาจักร: ประกาศให้เงินช่วยเหลือทางทหาร 5,600 ล้านดอลลาร์ และยังประกาศพร้อมส่งทหารเข้าสู่ยูเครนพร้อมกับประเทศอื่นๆ
    - ออสเตรเลีย: ออกมาตรการคว่ำบาตรครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศโดยการคว่ำบาตรบุคคลที่เกี่ยวข้อง 70 ราย และนิติบุคคลอีก 79 ราย
    - นิวซีแลนด์: ออกมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียชุดใหม่
    "สุดคุ้ม!" ยูเครนได้รับการสนับสนุนหลักจากผู้นำยุโรปที่มาเยือนวันนี้: - ฟินแลนด์: 4.5 ล้านยูโรสำหรับโครงสร้างพื้นฐานของยูเครน และโครงการต่างๆที่เข้าร่วมทำกับสหภาพยุโรป - สเปน: ความช่วยเหลือทางทหาร 1,000 ล้านยูโร - เดนมาร์ก: บริจาคเงินช่วยเหลือ 270 ล้านยูโร - สวีเดน: รับปากจะโอนระบบป้องกันภัยทางอากาศมูลค่า 113 ล้านดอลลาร์ - ​​สหราชอาณาจักร: ประกาศให้เงินช่วยเหลือทางทหาร 5,600 ล้านดอลลาร์ และยังประกาศพร้อมส่งทหารเข้าสู่ยูเครนพร้อมกับประเทศอื่นๆ - ออสเตรเลีย: ออกมาตรการคว่ำบาตรครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศโดยการคว่ำบาตรบุคคลที่เกี่ยวข้อง 70 ราย และนิติบุคคลอีก 79 ราย - นิวซีแลนด์: ออกมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียชุดใหม่
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 232 มุมมอง 0 รีวิว
  • Morse Micro เพิ่งเปิดตัวเราเตอร์รุ่นใหม่ MM-HL1-EXT ที่มีเทคโนโลยี Wi-Fi HaLow ซึ่งมีจุดเด่นเรื่องการเชื่อมต่อระยะไกลได้ถึง 10 ไมล์ ในพื้นที่ชนบท และ 1.86 ไมล์ในพื้นที่เมือง โดยใช้มาตรฐาน IEEE 802.11ah Wi-Fi HaLow เราเตอร์นี้ยังรองรับ Wi-Fi 4 (802.11n) ด้วยความเร็วสูงสุดที่ 300Mbps ในย่านความถี่ 2.4GHz และ 32Mbps ในย่านความถี่ 900MHz ที่เป็นมาตรฐานในสหรัฐอเมริกา ทำให้มันเป็นโซลูชันการเชื่อมต่อที่ครอบคลุมพื้นที่กว้างและตอบสนองต่อการใช้งาน IoT และอุตสาหกรรมได้ดี

    เราเตอร์ MM-HL1-EXT ขับเคลื่อนด้วย MediaTek MT7621A ซีพียูแบบดูอัลคอร์ พร้อมกับหน่วยความจำ DRAM ขนาด 256MB และ NAND flash ขนาด 32MB โมดูลวิทยุใช้ชิปเซ็ต MM6108 ของ Morse Micro ควบคู่กับ AzureWave AW-HM593 ที่ส่งพลังงานได้สูงสุดถึง 23 dBm เราเตอร์ยังมีพอร์ต Ethernet แบบกิกะบิต 2 พอร์ต และรองรับการเชื่อมต่อผ่าน Ethernet-over-USB อีกด้วย

    เราเตอร์นี้ยังทำงานบนแพลตฟอร์ม OpenWrt 23.05 ที่เป็นซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สและสามารถปรับแต่งได้ตามต้องการ รองรับการอัปเดตเฟิร์มแวร์ออนไลน์ ทำให้สามารถปรับตัวได้ตามความต้องการในอนาคต

    ถึงแม้ว่าเราเตอร์นี้จะมีความเร็ว Wi-Fi HaLow สูงสุดที่ 32Mbps ที่แบนด์วิดธ์ 8MHz แต่ด้วยความสามารถในการรองรับ Wi-Fi 4 ที่ความเร็วสูงสุด 300Mbps ที่แบนด์วิดธ์ 40MHz ทำให้มันมีความหลากหลายและเหมาะสมสำหรับการใช้งานที่หลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพแวดล้อมอุตสาหกรรมที่มีความรุนแรง สองหน่วยของ HaLowLink 1 สามารถใช้เป็นทางเลือกไร้สายแทนการติดตั้งภายนอกและการติดตั้งระยะไกลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    นอกจากนี้เราเตอร์ MM-HL1-EXT ได้รับการรับรองการใช้งานในอเมริกาเหนือ (FCC), แคนาดา (IC) และออสเตรเลีย (RCM) Morse Micro กำลังดำเนินการเพื่อรับรองการใช้งานใน EMEA (868MHz) และเอเชียด้วย

    ที่น่าสนใจคือ Morse Micro ได้พัฒนาเทคโนโลยี Wi-Fi HaLow มานานเกือบสิบปี และได้แสดงความสามารถของฮาร์ดแวร์เราเตอร์ที่สามารถครอบคลุมระยะทาง 2 ไมล์ด้วยแบตเตอรี่เหรียญได้ ในการทดสอบเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2024 และเพิ่มระยะทางเป็น 10 ไมล์ในเดือนกันยายน

    ปัจจุบันเราเตอร์ MM-HL1-EXT มีวางจำหน่ายใน Mouser ราคาประมาณ $99 โดยสต็อกยังมีจำกัด แต่คาดว่าจะมีสินค้ามากขึ้นในวันที่ 14 เมษายน 2025 สำหรับการสั่งซื้อจำนวนมากมีเวลารอจากโรงงานประมาณแปดสัปดาห์

    https://www.techspot.com/news/106889-morse-micro-mm-hl1-ext-router-combines-wi.html
    Morse Micro เพิ่งเปิดตัวเราเตอร์รุ่นใหม่ MM-HL1-EXT ที่มีเทคโนโลยี Wi-Fi HaLow ซึ่งมีจุดเด่นเรื่องการเชื่อมต่อระยะไกลได้ถึง 10 ไมล์ ในพื้นที่ชนบท และ 1.86 ไมล์ในพื้นที่เมือง โดยใช้มาตรฐาน IEEE 802.11ah Wi-Fi HaLow เราเตอร์นี้ยังรองรับ Wi-Fi 4 (802.11n) ด้วยความเร็วสูงสุดที่ 300Mbps ในย่านความถี่ 2.4GHz และ 32Mbps ในย่านความถี่ 900MHz ที่เป็นมาตรฐานในสหรัฐอเมริกา ทำให้มันเป็นโซลูชันการเชื่อมต่อที่ครอบคลุมพื้นที่กว้างและตอบสนองต่อการใช้งาน IoT และอุตสาหกรรมได้ดี เราเตอร์ MM-HL1-EXT ขับเคลื่อนด้วย MediaTek MT7621A ซีพียูแบบดูอัลคอร์ พร้อมกับหน่วยความจำ DRAM ขนาด 256MB และ NAND flash ขนาด 32MB โมดูลวิทยุใช้ชิปเซ็ต MM6108 ของ Morse Micro ควบคู่กับ AzureWave AW-HM593 ที่ส่งพลังงานได้สูงสุดถึง 23 dBm เราเตอร์ยังมีพอร์ต Ethernet แบบกิกะบิต 2 พอร์ต และรองรับการเชื่อมต่อผ่าน Ethernet-over-USB อีกด้วย เราเตอร์นี้ยังทำงานบนแพลตฟอร์ม OpenWrt 23.05 ที่เป็นซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สและสามารถปรับแต่งได้ตามต้องการ รองรับการอัปเดตเฟิร์มแวร์ออนไลน์ ทำให้สามารถปรับตัวได้ตามความต้องการในอนาคต ถึงแม้ว่าเราเตอร์นี้จะมีความเร็ว Wi-Fi HaLow สูงสุดที่ 32Mbps ที่แบนด์วิดธ์ 8MHz แต่ด้วยความสามารถในการรองรับ Wi-Fi 4 ที่ความเร็วสูงสุด 300Mbps ที่แบนด์วิดธ์ 40MHz ทำให้มันมีความหลากหลายและเหมาะสมสำหรับการใช้งานที่หลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพแวดล้อมอุตสาหกรรมที่มีความรุนแรง สองหน่วยของ HaLowLink 1 สามารถใช้เป็นทางเลือกไร้สายแทนการติดตั้งภายนอกและการติดตั้งระยะไกลได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้เราเตอร์ MM-HL1-EXT ได้รับการรับรองการใช้งานในอเมริกาเหนือ (FCC), แคนาดา (IC) และออสเตรเลีย (RCM) Morse Micro กำลังดำเนินการเพื่อรับรองการใช้งานใน EMEA (868MHz) และเอเชียด้วย ที่น่าสนใจคือ Morse Micro ได้พัฒนาเทคโนโลยี Wi-Fi HaLow มานานเกือบสิบปี และได้แสดงความสามารถของฮาร์ดแวร์เราเตอร์ที่สามารถครอบคลุมระยะทาง 2 ไมล์ด้วยแบตเตอรี่เหรียญได้ ในการทดสอบเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2024 และเพิ่มระยะทางเป็น 10 ไมล์ในเดือนกันยายน ปัจจุบันเราเตอร์ MM-HL1-EXT มีวางจำหน่ายใน Mouser ราคาประมาณ $99 โดยสต็อกยังมีจำกัด แต่คาดว่าจะมีสินค้ามากขึ้นในวันที่ 14 เมษายน 2025 สำหรับการสั่งซื้อจำนวนมากมีเวลารอจากโรงงานประมาณแปดสัปดาห์ https://www.techspot.com/news/106889-morse-micro-mm-hl1-ext-router-combines-wi.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    New long-range Wi-Fi HaLow router hits the market for less than $100, up to 10-mile connectivity
    The MM-HL1-EXT sets itself apart from conventional Wi-Fi routers by operating in the 900MHz band in the U.S. while also supporting 2.4GHz Wi-Fi 4 (802.11n). This dual-band...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 186 มุมมอง 0 รีวิว
  • สื่อกัมพูชารายงานว่าการก่อสร้างสนามบินนานาชาติเตโชคืบหน้าไปแล้วกว่า 94% และเตรียมเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในเดือนก.ค. นี้ โดยพิธีเปิดจะมีขึ้นภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต

    ออกญา ชาร์ลส์ วัน จากบริษัท Cambodia Airport Investment Co. Ltd. ได้ให้ข้อมูลความคืบหน้านี้ระหว่างการเยี่ยมชมสนามบินของคณะผู้แทนระดับสูงจากสถานทูตออสเตรเลียและฟิลิปปินส์ นำโดยเอกอัครราชทูตของสองประเทศ เมื่อวันที่ 21 ก.พ. และเขาระบุว่าทีมงานก่อสร้างกำลังทำงานอย่างขยันขันแข็งเพื่อเก็บงานส่วนที่เหลือให้เสร็จสิ้น และให้มั่นใจว่าสนามบินพร้อมเปิดให้บริการตามกำหนดในเดือนก.ค.นี้

    นอกจากนี้ ออกญา ชาร์ลส์ วัน เปิดเผยว่า สถานทูตฟิลิปปินส์ระบุว่าสายการบินฟิลิปปินส์แอร์ไลน์สมีแผนที่จะร่วมมือกับกัมพูชาจัดตั้งโรงเรียนฝึกอบรมการซ่อมเครื่องบินที่มหาวิทยาลัย CamTech

    สนามบินนานาชาติเตโชครอบคลุมพื้นที่กว่า 2,600 เฮกตาร์ ของชุมชนเปรกสเลง ในจ.กันดาล รวมถึงบางส่วนของเมืองตาเขมา และอ.บาตี จ.ตาแก้ว โดยสนามบินได้รับการออกแบบให้รองรับเครื่องบินขนาดใหญ่ เช่น แอร์บัส A380 และโบอิ้ง 747 ซึ่งเบื้องต้นมีขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสาร 13 ล้านคนต่อปี

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/indochina/detail/9680000017879

    #MGROnline #สนามบินนานาชาติเตโช
    สื่อกัมพูชารายงานว่าการก่อสร้างสนามบินนานาชาติเตโชคืบหน้าไปแล้วกว่า 94% และเตรียมเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในเดือนก.ค. นี้ โดยพิธีเปิดจะมีขึ้นภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต • ออกญา ชาร์ลส์ วัน จากบริษัท Cambodia Airport Investment Co. Ltd. ได้ให้ข้อมูลความคืบหน้านี้ระหว่างการเยี่ยมชมสนามบินของคณะผู้แทนระดับสูงจากสถานทูตออสเตรเลียและฟิลิปปินส์ นำโดยเอกอัครราชทูตของสองประเทศ เมื่อวันที่ 21 ก.พ. และเขาระบุว่าทีมงานก่อสร้างกำลังทำงานอย่างขยันขันแข็งเพื่อเก็บงานส่วนที่เหลือให้เสร็จสิ้น และให้มั่นใจว่าสนามบินพร้อมเปิดให้บริการตามกำหนดในเดือนก.ค.นี้ นอกจากนี้ ออกญา ชาร์ลส์ วัน เปิดเผยว่า สถานทูตฟิลิปปินส์ระบุว่าสายการบินฟิลิปปินส์แอร์ไลน์สมีแผนที่จะร่วมมือกับกัมพูชาจัดตั้งโรงเรียนฝึกอบรมการซ่อมเครื่องบินที่มหาวิทยาลัย CamTech • สนามบินนานาชาติเตโชครอบคลุมพื้นที่กว่า 2,600 เฮกตาร์ ของชุมชนเปรกสเลง ในจ.กันดาล รวมถึงบางส่วนของเมืองตาเขมา และอ.บาตี จ.ตาแก้ว โดยสนามบินได้รับการออกแบบให้รองรับเครื่องบินขนาดใหญ่ เช่น แอร์บัส A380 และโบอิ้ง 747 ซึ่งเบื้องต้นมีขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสาร 13 ล้านคนต่อปี • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/indochina/detail/9680000017879 • #MGROnline #สนามบินนานาชาติเตโช
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 288 มุมมอง 0 รีวิว
  • DeepSeek ได้ก่อให้เกิดความกังวลในเรื่องความมั่นคงของชาติในหลายประเทศ โดยแอปนี้ถูกสร้างขึ้นโดยใช้เซมิคอนดักเตอร์ที่มีราคาถูกและไม่ซับซ้อนจาก Nvidia และทำให้มูลค่าหุ้นเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ลดลงหลายพันล้านดอลลาร์เมื่อเปิดตัวโปรแกรม R1

    หลายประเทศเช่น อิตาลี ไต้หวัน ออสเตรเลีย และเกาหลีใต้ ได้สั่งห้ามการใช้งาน DeepSeek เนื่องจากกังวลเกี่ยวกับการรั่วไหลของข้อมูลที่มีความสำคัญ นอกจากนี้ รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังดำเนินการออกกฎหมายเพื่อห้ามใช้งาน DeepSeek บนอุปกรณ์ของรัฐบาล เนื่องจาก DeepSeek เป็นผลิตภัณฑ์จากจีนและอาจเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงแห่งชาติ

    โครงการพัฒนาเทคโนโลยีเช่นนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยในการแก้ปัญหาทางเทคนิค แต่ยังทำให้เห็นถึงความสำคัญของการลงทุนในซอฟต์แวร์และการพัฒนาทรัพยากรบุคคลในด้านเทคโนโลยีอีกด้วย

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/02/17/chatbot-vs-national-security-why-deepseek-is-raising-concerns
    DeepSeek ได้ก่อให้เกิดความกังวลในเรื่องความมั่นคงของชาติในหลายประเทศ โดยแอปนี้ถูกสร้างขึ้นโดยใช้เซมิคอนดักเตอร์ที่มีราคาถูกและไม่ซับซ้อนจาก Nvidia และทำให้มูลค่าหุ้นเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ลดลงหลายพันล้านดอลลาร์เมื่อเปิดตัวโปรแกรม R1 หลายประเทศเช่น อิตาลี ไต้หวัน ออสเตรเลีย และเกาหลีใต้ ได้สั่งห้ามการใช้งาน DeepSeek เนื่องจากกังวลเกี่ยวกับการรั่วไหลของข้อมูลที่มีความสำคัญ นอกจากนี้ รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังดำเนินการออกกฎหมายเพื่อห้ามใช้งาน DeepSeek บนอุปกรณ์ของรัฐบาล เนื่องจาก DeepSeek เป็นผลิตภัณฑ์จากจีนและอาจเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงแห่งชาติ โครงการพัฒนาเทคโนโลยีเช่นนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยในการแก้ปัญหาทางเทคนิค แต่ยังทำให้เห็นถึงความสำคัญของการลงทุนในซอฟต์แวร์และการพัฒนาทรัพยากรบุคคลในด้านเทคโนโลยีอีกด้วย https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/02/17/chatbot-vs-national-security-why-deepseek-is-raising-concerns
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Chatbot vs national security? Why DeepSeek is raising concerns
    Governments from Rome to Seoul are cracking down on the user-friendly Chinese app, saying they need to prevent potential leaks of sensitive information through generative AI services.
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 340 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อไม่นานมานี้ Optera Data บริษัทที่ก่อตั้งโดย Geoff Macleod-Smith ได้เปิดตัวเทคโนโลยีการเก็บข้อมูลแบบใหม่ที่น่าทึ่ง โดยพวกเขาได้พัฒนาดิสก์เก็บข้อมูลที่มีความสามารถในการเก็บข้อมูลได้ถึง 10 เทราไบต์ต่อดิสก์ โดยมีต้นทุนเพียง $1 ต่อเทราไบต์ เทคโนโลยีนี้ถูกพัฒนาโดยทีมวิจัยที่นำโดย Dr. Nicolas Riesen แห่งมหาวิทยาลัยเซาท์ออสเตรเลีย พวกเขาใช้วิธีการปรับแต่งสมบัติการเรืองแสงของอนุภาคนาโนในพื้นที่บันทึกข้อมูล เพื่อเก็บข้อมูลแบบหลายบิต คล้ายกับเทคโนโลยี NAND flash

    ดิสก์เก็บข้อมูลของ Optera Data ใช้อนุภาคนาโนที่ทำจากผลึกซิลิคอนคาร์ไบด์ที่มีวานาเดียม เพื่อเปลี่ยนแปลงสมบัติการเรืองแสงของแสงเมื่อสัมผัสกับเลเซอร์ ซึ่งทำให้สามารถเก็บข้อมูลได้อย่างหนาแน่นและใช้พลังงานต่ำ นอกจากนี้ เทคโนโลยีนี้ยังเหมาะสำหรับศูนย์ข้อมูลที่ต้องการลดการใช้พลังงานและลดต้นทุนการเก็บข้อมูล

    Optera Data ตั้งเป้าหมายที่จะผลิตดิสก์ขนาด 1 เทราไบต์ในระยะสั้น และขยายไปยังขนาด 10 เทราไบต์ในอนาคต ซึ่งจะทำให้การเก็บข้อมูลแบบออปติคอลนี้มีราคาถูกกว่าวิธีการเก็บข้อมูลอื่น ๆ อย่างมาก

    https://www.techradar.com/pro/forget-about-blu-ray-fluo-ray-discs-may-well-be-the-future-of-optical-data-storage-with-10tb-capacities-for-usd1
    เมื่อไม่นานมานี้ Optera Data บริษัทที่ก่อตั้งโดย Geoff Macleod-Smith ได้เปิดตัวเทคโนโลยีการเก็บข้อมูลแบบใหม่ที่น่าทึ่ง โดยพวกเขาได้พัฒนาดิสก์เก็บข้อมูลที่มีความสามารถในการเก็บข้อมูลได้ถึง 10 เทราไบต์ต่อดิสก์ โดยมีต้นทุนเพียง $1 ต่อเทราไบต์ เทคโนโลยีนี้ถูกพัฒนาโดยทีมวิจัยที่นำโดย Dr. Nicolas Riesen แห่งมหาวิทยาลัยเซาท์ออสเตรเลีย พวกเขาใช้วิธีการปรับแต่งสมบัติการเรืองแสงของอนุภาคนาโนในพื้นที่บันทึกข้อมูล เพื่อเก็บข้อมูลแบบหลายบิต คล้ายกับเทคโนโลยี NAND flash ดิสก์เก็บข้อมูลของ Optera Data ใช้อนุภาคนาโนที่ทำจากผลึกซิลิคอนคาร์ไบด์ที่มีวานาเดียม เพื่อเปลี่ยนแปลงสมบัติการเรืองแสงของแสงเมื่อสัมผัสกับเลเซอร์ ซึ่งทำให้สามารถเก็บข้อมูลได้อย่างหนาแน่นและใช้พลังงานต่ำ นอกจากนี้ เทคโนโลยีนี้ยังเหมาะสำหรับศูนย์ข้อมูลที่ต้องการลดการใช้พลังงานและลดต้นทุนการเก็บข้อมูล Optera Data ตั้งเป้าหมายที่จะผลิตดิสก์ขนาด 1 เทราไบต์ในระยะสั้น และขยายไปยังขนาด 10 เทราไบต์ในอนาคต ซึ่งจะทำให้การเก็บข้อมูลแบบออปติคอลนี้มีราคาถูกกว่าวิธีการเก็บข้อมูลอื่น ๆ อย่างมาก https://www.techradar.com/pro/forget-about-blu-ray-fluo-ray-discs-may-well-be-the-future-of-optical-data-storage-with-10tb-capacities-for-usd1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 201 มุมมอง 0 รีวิว
  • Meta บริษัทแม่ของ Facebook ได้ประกาศโครงการใหม่ที่น่าตื่นเต้นซึ่งมีชื่อว่า 'Project Waterworth' โครงการนี้เป็นการวางสายเคเบิลใต้ทะเลระยะทางกว่า 50,000 กิโลเมตร เพื่อเชื่อมต่อทวีปต่างๆ เช่น อเมริกาเหนือและใต้ แอฟริกา เอเชีย และออสเตรเลีย สายเคเบิลนี้จะเป็นสายเคเบิลที่ Meta เป็นเจ้าของและดำเนินการเองทั้งหมด และจะมีมูลค่าการลงทุนมากกว่า 10 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

    สายเคเบิล Project Waterworth จะช่วยเสริมสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคต่างๆ รวมทั้งส่งเสริมการเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัลและการพัฒนาในอินเดีย แอฟริกาใต้ และออสเตรเลีย Meta ยังกล่าวว่าการวางสายเคเบิลนี้จะช่วยหลีกเลี่ยงพื้นที่ที่มีความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ เช่น ยุโรป และทะเลจีนใต้ ทำให้มีความปลอดภัยมากขึ้น

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/meta-plans-50-000-km-undersea-cable-to-connect-the-u-s-brazil-africa-india-and-australia
    Meta บริษัทแม่ของ Facebook ได้ประกาศโครงการใหม่ที่น่าตื่นเต้นซึ่งมีชื่อว่า 'Project Waterworth' โครงการนี้เป็นการวางสายเคเบิลใต้ทะเลระยะทางกว่า 50,000 กิโลเมตร เพื่อเชื่อมต่อทวีปต่างๆ เช่น อเมริกาเหนือและใต้ แอฟริกา เอเชีย และออสเตรเลีย สายเคเบิลนี้จะเป็นสายเคเบิลที่ Meta เป็นเจ้าของและดำเนินการเองทั้งหมด และจะมีมูลค่าการลงทุนมากกว่า 10 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ สายเคเบิล Project Waterworth จะช่วยเสริมสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคต่างๆ รวมทั้งส่งเสริมการเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัลและการพัฒนาในอินเดีย แอฟริกาใต้ และออสเตรเลีย Meta ยังกล่าวว่าการวางสายเคเบิลนี้จะช่วยหลีกเลี่ยงพื้นที่ที่มีความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ เช่น ยุโรป และทะเลจีนใต้ ทำให้มีความปลอดภัยมากขึ้น https://www.tomshardware.com/tech-industry/meta-plans-50-000-km-undersea-cable-to-connect-the-u-s-brazil-africa-india-and-australia
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Meta plans 50,000 km undersea cable to connect the U.S., Brazil, Africa, India, and Australia
    'Project Waterworth' will be Meta's own information superhighway across the southern hemisphere.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 268 มุมมอง 0 รีวิว
  • จะยอมให้ประเทศไทยเป็นอู่ฮั่นสองหรือไม่?

    มหันตภัยเกิดจากการนำไวรัสจากค้างคาวและสัตว์ป่าออกมาและมีการตัดต่อพันธุกรรม

    การสืบสวนสอบสวนของ คณะกรรมาธิการ สภาคองเกรส สหรัฐ ซึ่งแถลงรายงานในวันที่ 5 ธันวาคม 2024
    ได้สรุปถึงกำเนิดไวรัสโควิดเกิดจากมนุษย์ประดิษฐ์ จากข้อมูลตัวไวรัสเอง และ ที่เป็นไปไม่ได้จากธรรมชาติ ลักษณะการระบาด การไม่พบไวรัสโควิดในสัตว์ใด และสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้โดยไม่มีหลักฐานใดที่ชี้บ่งว่าเป็นวิวัฒนาการตามปกติของไวรัสในสัตว์สู่คน จุดรั่วระบาดที่ลามไปทั่วโลกนั้นไม่ได้เกิดที่ตลาดสดอู่ฮั่น แต่ ชี้บ่งไปที่ สถาบันวิจัยไวรัสอู๋ฮั่น (WIV) จากความบกพร่องของห้องชีวะนิรภัยระดับสี่
    นอกจากนั้นเป็นความร่วมมือขององค์กรสหรัฐ ฟาวซี และพวก ทั้งนี้ องค์กร พื้นฐานคือ เกตส์ gates foundation ในการ พัฒนาการสร้างไวรัสใหม่ที่ร้ายแรงกว่าเก่า ติดง่ายขึ้น แพร่ง่ายขึ้น ป่วยและตายมากขึ้น จนถึงติดคนสู่คนและให้แพร่ทางอากาศได้ โดยความรู้ในการสร้างไวรัสโคโรนามาจาก บาริค North Carolina ให้ ดร Shi
    และให้ทุนหลายประเทศทั่วทุกทวีปรวมประเทศไทย ในการเก็บรวบรวมไวรัสจากค้างคาว และสัตว์ป่า โดยประกาศบังหน้าว่าเพื่อให้ถอดรหัสพันธุกรรมว่ามีความโน้มเอียงที่จะเกิดการระบาดหรือไม่ (predict) รวมทั้งเพื่อการพัฒนาวัคซีน และการรับมือ (preparedness and response) ในชื่อรวม one health และหาไวัสทั้งโลก global virome project
    ทั้งนี้ทุนผ่านจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐ DARPA DTRA USAID CDC เป็นต้น และ มีองค์กรผ่านเงิน EcoHealth alliance peter Daszak ไปยังประเทศไทยและอื่นๆ

    รัฐบาลใหม่สหรัฐที่เข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม 2025 ไปแล้ว ทำตามที่ประกาศ และเริ่ม รื้อองค์กรเหล่านี้ และจัดการผู้ต้องรับผิดชอบ และรวมถึงการสมคบร่วมมือให้สินบนระหว่างบริษัทยายักษ์ใหญ่กับองค์กรรัฐ รวม NIH NIAID FDA CDC เป็นต้น สถาบันวิชาการ วารสาร การแพทย์ นักวิจัย เครือข่ายที่จัดการเซ็นเซอร์ข้อมูลที่เป็นจริงป้ายสีให้เป็นเท็จ เช่น ชัวร์ก่อนค่อยแชร์ fact check และเครือของสำนักข่าว และ ตระหนักถึงผลกระทบมหาศาลต่อชีวิตและความพิการเนื่องจากวัคซีน ที่ไม่ได้มีประสิทธิภาพจริง อย่างที่ประกาศและไม่ได้ปลอดภัยจริง

    หน่วยงาน ในประเทศไทยทั้งหมด ที่ยังคงหาไวรัสจากค้างคาวและสัตว์ป่า จนถึง ปัจจุบัน 2025 ต้องยุติกิจกรรมดังกล่าวโดย สิ้นเชิง ไม่ว่าเงินทุนจากต่างประเทศจะมากมายเพียงใดก็ตามหรือจะให้ประเทศไทยเป็นอู่ฮั่นสอง
    และ จนกระทั่งถึงปัจจุบัน ยังมีการตั้งบุคคลต่างชาติ ที่มีการเปิดเผยว่ามีส่วนในการร่วมมือตัดต่อพันธุกรรมและกำเนิดโควิด ฝังตัวทำงานอยู่ในหน่วยงานองค์กรที่สำคัญของประเทศไทย

    ศูนย์ วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ สภากาชาดไทย ยุติการศึกษาวิจัยและยุติความร่วมมือกับองค์กรต่างประเทศ

    ศูนย์ซึ่งเป็นศูนย์ความร่วมมือองค์การอนามัยโลกด้านค้นคว้าอบรมไวรัสสัตว์สู่คน ด้วยได้ทำการค้นหาไวรัสในค้างคาว ตั้งแต่ปี 2000 จาก องค์กรให้ทุนประเทศไทย คือ สกว แลเ สวทช และตั้งแต่ปี 2011 ได้รับทุนจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐและหน่วยงานของเพนตากอน
    ศูนย์ได้ประกาศยุติการทำงานดังกล่าวดังกล่าวเริ่มตั้งแต่ปี 2018 และเด็ดขาดในปี 2020 โดยแจ้งให้หน่วยงานสหรัฐรวมกระทั่งถึงองค์กรระหว่างประเทศทั้งหมดตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา ทั้งนี้เนื่องจากประเมินอันตรายที่ร้ายแรงอันอาจจะเกิดขึ้น ตั้งแต่การลงพื้นที่จนกระทั่งถึงในห้องปฏิบัติการและนำมาสู่การติดเชื้อในมนุษย์และแพร่ไปยังชุมชนจนเป็นโรคระบาดทั่วประเทศ ประกอบกับเงื่อนงำของการเกิดโควิด
    อีกประการที่สำคัญก็คือในปี 2018 ก่อนเกิดโควิด และ 2019 เรื่อยมาจนถึง ตุลาคม2020 มีการประชุมจัดโดยองค์กร EcoHealth alliance และให้ศูนย์เป็นหน่วยงานของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ EID SE Asia research collaboration hub (EID Search) ภายใต้ สถาบันสหรัฐ NIAID และ EcoHealth alliance ชื่อว่า CREID (Centre for Research in EID) ในการรวบรวมไวรัสจากค้างคาวและสัตว์ป่าโดยเฉพาะไวรัสในตระกูลโควิด ไวรัสในตระกูลอีโบล่าและไวรัสในตระกูลนิปาห์ สมองอักเสบและปอดบวมและอื่นๆจาก ไทย ลาว มาเลเซีย ซาราวัค เป็นต้น โดยให้มีการส่งตัวอย่างไปยังต่างประเทศและระบุว่าจะมีการตัดต่อพันธุกรรมเพื่อให้เข้ามนุษย์และก่อโรคได้จากหลอดทดลองและสัตว์ทดลองที่ปรับแต่งพันธุกรรมเหมือนมนุษย์ และมีรายละเอียดความสำเร็จของการสร้างไวรัสตัวใหม่ที่สามารถเข้ามามนุษย์ได้ดีขึ้นและก่อโรคได้แล้ว และเป็นที่มาที่ศูนย์ยุติความร่วมมืออย่างสิ้นเชิง
    ไวรัสที่จะนำมาทดลองปรับแต่งนอกจากจะทำให้เข้ามามนุษย์และเกิดโรคแล้ว ประการสำคัญก็คือทำให้สามารถติดต่อจากคนสู่คนได้ และเป็นที่น่าสังเกตไวรัสหลายตัวนั้นสามารถแพร่ทางอากาศได้ รายละเอียดเหล่านี้ปรากฏขึ้นก่อนการระบาดของโควิดในปลายปี 2019

    เหตุการณ์และหลักฐาน ยังปรากฏ ในบทความหนังสือพิมพ์ วอชิงตันโพสต์ โดยนักข่าว สืบสวน David Willman (investigative journalist รางวัลพูลิตเซอร์ ) ในวันที่ 10 เมษายน 2023 เป็นการรวบรวมข้อมูลจากหลายหน่วยงาน หลายประเทศ รวมทั้งจากศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคโรคอุบัติใหม่ ที่ยุติการรวบรวมตัวอย่างจากสัตว์ป่าและค้างคาว ถือว่าการหาเชื้อในคนถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุดมากกว่าการหาไวรัสที่ไม่รู้จัก ที่จะมาคาดคะเนว่าจะเข้ามามนุษย์และจะเกิดโรคระบาดหรือไม่ รวมทั้งมีความเสี่ยงอันตรายสูงสุดในการนำเชื้อจากสัตว์เข้ามามนุษย์ ในขั้นตอนต่างๆ ตั้งแต่การลงพื้นที่เก็บตัวอย่าง การขนส่งตัวอย่าง และการปฎิบัติในห้องแลป รวมทั้งโอกาสที่จะได้รับไวรัสทั้งๆที่อุปกรณ์ป้องกันตัวอาจไม่ครบถ้วนและในประวัติที่ผ่านมา มีเจ้าหน้าที่ทั้งห้องปฏิบัติการของศูนย์และของหน่วยงานสัตว์ป่าถูกค้างคาวกัด

    จากการประกาศจุดยืนชัดเจน และยุติกิจกรรม
    ใน วันที่ 22 กรกฎาคม 2023 หน่วยงานอิสระของรัฐบาลสหรัฐ U.S. government accountability office (GAO) ที่ไม่ขึ้นกับพรรคการเมืองใดๆ และทำหน้าที่ ในการตรวจสอบ การทำงานของหน่วยงานของสหรัฐในเรื่องการใช้งบประมาณรวมทั้งงบที่ให้ต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาหาไวรัสจากสัตว์ป่าและค้างคาวได้ติดต่อ ศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ และศาสตราจารย์นายแพทย์ธีระวัฒน์ ในฐานะ program leader ที่ได้ทุนจาก สหรัฐ และ เพนตากอนในประเด็นว่าได้ประโยชน์หรือไม่ในการคาดคะเนว่าจะเกิดโรคอุบัติใหม่ ได้ประโยชน์หรือไม่ในการพัฒนาการเตรียมพร้อมและรับมือสำหรับโรคอุบัติใหม่ รวมถึงมีการการถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีหรือไม่ มีความเสี่ยงหรือไม่ในการค้นหาไวรัสจากสัตว์ป่าดังกล่าวในการที่จะได้รับเชื้อเข้ามาในมนุษย์ เข้ามาในห้องปฏิบัติการและกระจายออกสู่ชุมชนหรือไม่ และมีความพร้อมเพียงใดในการป้องกันทางชีวภาพในระดับบุคคลและห้องปฏิบัติการและการบริหารเมื่อเกิดมีบุคลากรเกิดความผิดปกติเกิดขึ้นหรือไม่

    ทางศูนย์ สามารถสรุปได้ว่าการค้นหาไวรัสใหม่นั้นไม่เกิดประโยชน์ในการคาดคะเนการเกิดโรคอุบัติใหม่และไม่ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีและความรู้รวมทั้งเปิดเผยความเสี่ยงสูงสุดในขั้นตอนต่างๆในการปฏิบัติ และมาตรการในการรับมือกับการหลุดเล็ดรอดของเชื้อจะเป็นด้วยความยากมากในสถานภาพปัจจุบัน และ เป็นเหตุผลสำคัญ ในการต้องทำหลายตัวอย่างไวรัสทั้งหมด
    นอกจากนั้นข้อที่ต้องปฏิบัติ ตามพระราชบัญญัติเชื้อโรคและพิษจากสัตว์ ปี 2558 กรณีที่เกิดความเสียหายเกิดขึ้น นั่นก็คือ การรั่วไหลจากห้องปฏิบัติการหรือจากห้องเก็บตัวอย่างและเกิดความเสียหายมีการติดเชื้อ ผู้รับผิดชอบซึ่งก็คือผู้รับผิดชอบโครงการหรือหัวหน้าศูนย์จะต้องได้รับโทษตามหมวดเก้าและหมวด 10 ของพระราชบัญญัติตามประกาศในราชกิจจานุเบกษา โดยมีตั้งแต่ การจำคุก สองปีถึง 10 ปีและปรับ จากหลักแสนเป็นหลักหลายล้าน หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามลักษณะของความเสียหายที่เกิดขึ้น

    • หน่วยงานในประเทศไทย คณะแพทย์ศาสตร์จุฬาหน่วยงานกาชาดรวมทั้งมหาวิทยาลัยอื่น ยังได้รับทุนต่อเนื่องตั้งแต่ที่ศูนย์ยุติบทบาทและทำลายไวรัสทั้งหมด แม้กระทั่งในปัจจุบันเริ่มจากในปี 2024 มีการผ่านให้ทุนจาก CDC มาไทย หลายหน่วยงาน โดยยังมีการเก็บไวรัสจากค้างคาวโดยเน้น โคโรนา นิปาห์ อีโบลา และอ้างว่าจะไม่มีการส่งตัวอย่างออกนอกประเทศ แต่ทั้งนี้ด้วยการพัฒนาการสร้างไวรัสสามารถทำได้โดยเลือกไวรัสที่มีรหัสพันธุกรรมตรงกับแบบที่มีในดาต้าเบสและทำการตัดต่อได้ให้ห้องทดลอง ดังที่ประสบความสำเร็จในการสร้างไวรัสโควิด มาแล้ว

    ที่หาย ไปจากห้องชีวะนิรภัยระดับสี่ของออสเตรเลียนั้น อาจไม่ต้องตกใจมากเท่ากับ สิ่งที่ยังทำในประเทศไทยที่มีความเสี่ยงในการติดเชื้อกันเองระหว่างปฏิบัติการแพร่ไปให้ครอบครัวและชุมชนและต่อเนื่องไประดับประเทศและระดับโลก.

    ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
    ประธาน
    ศูนย์ความเป็นเลิศ ด้านการแพทย์บูรณาการและสาธารณสุข
    และ
    ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก
    มหาวิทยาลัยรังสิต

    เพิ่มเติม
    ประชาชาติธุรกิจ
    30 ตค 2566
    เหตุผลที่ถูกสั่งสอบสวนเพราะยุติ การเอาไวรัสจากค้างคาวมาศึกษาและการทำลายตัวอย่าง
    ย้อนกลับไปที่หมอธีระวัฒน์เตือน
    https://www.prachachat.net/general/news-1426137
    จะยอมให้ประเทศไทยเป็นอู่ฮั่นสองหรือไม่? มหันตภัยเกิดจากการนำไวรัสจากค้างคาวและสัตว์ป่าออกมาและมีการตัดต่อพันธุกรรม การสืบสวนสอบสวนของ คณะกรรมาธิการ สภาคองเกรส สหรัฐ ซึ่งแถลงรายงานในวันที่ 5 ธันวาคม 2024 ได้สรุปถึงกำเนิดไวรัสโควิดเกิดจากมนุษย์ประดิษฐ์ จากข้อมูลตัวไวรัสเอง และ ที่เป็นไปไม่ได้จากธรรมชาติ ลักษณะการระบาด การไม่พบไวรัสโควิดในสัตว์ใด และสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้โดยไม่มีหลักฐานใดที่ชี้บ่งว่าเป็นวิวัฒนาการตามปกติของไวรัสในสัตว์สู่คน จุดรั่วระบาดที่ลามไปทั่วโลกนั้นไม่ได้เกิดที่ตลาดสดอู่ฮั่น แต่ ชี้บ่งไปที่ สถาบันวิจัยไวรัสอู๋ฮั่น (WIV) จากความบกพร่องของห้องชีวะนิรภัยระดับสี่ นอกจากนั้นเป็นความร่วมมือขององค์กรสหรัฐ ฟาวซี และพวก ทั้งนี้ องค์กร พื้นฐานคือ เกตส์ gates foundation ในการ พัฒนาการสร้างไวรัสใหม่ที่ร้ายแรงกว่าเก่า ติดง่ายขึ้น แพร่ง่ายขึ้น ป่วยและตายมากขึ้น จนถึงติดคนสู่คนและให้แพร่ทางอากาศได้ โดยความรู้ในการสร้างไวรัสโคโรนามาจาก บาริค North Carolina ให้ ดร Shi และให้ทุนหลายประเทศทั่วทุกทวีปรวมประเทศไทย ในการเก็บรวบรวมไวรัสจากค้างคาว และสัตว์ป่า โดยประกาศบังหน้าว่าเพื่อให้ถอดรหัสพันธุกรรมว่ามีความโน้มเอียงที่จะเกิดการระบาดหรือไม่ (predict) รวมทั้งเพื่อการพัฒนาวัคซีน และการรับมือ (preparedness and response) ในชื่อรวม one health และหาไวัสทั้งโลก global virome project ทั้งนี้ทุนผ่านจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐ DARPA DTRA USAID CDC เป็นต้น และ มีองค์กรผ่านเงิน EcoHealth alliance peter Daszak ไปยังประเทศไทยและอื่นๆ รัฐบาลใหม่สหรัฐที่เข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม 2025 ไปแล้ว ทำตามที่ประกาศ และเริ่ม รื้อองค์กรเหล่านี้ และจัดการผู้ต้องรับผิดชอบ และรวมถึงการสมคบร่วมมือให้สินบนระหว่างบริษัทยายักษ์ใหญ่กับองค์กรรัฐ รวม NIH NIAID FDA CDC เป็นต้น สถาบันวิชาการ วารสาร การแพทย์ นักวิจัย เครือข่ายที่จัดการเซ็นเซอร์ข้อมูลที่เป็นจริงป้ายสีให้เป็นเท็จ เช่น ชัวร์ก่อนค่อยแชร์ fact check และเครือของสำนักข่าว และ ตระหนักถึงผลกระทบมหาศาลต่อชีวิตและความพิการเนื่องจากวัคซีน ที่ไม่ได้มีประสิทธิภาพจริง อย่างที่ประกาศและไม่ได้ปลอดภัยจริง หน่วยงาน ในประเทศไทยทั้งหมด ที่ยังคงหาไวรัสจากค้างคาวและสัตว์ป่า จนถึง ปัจจุบัน 2025 ต้องยุติกิจกรรมดังกล่าวโดย สิ้นเชิง ไม่ว่าเงินทุนจากต่างประเทศจะมากมายเพียงใดก็ตามหรือจะให้ประเทศไทยเป็นอู่ฮั่นสอง และ จนกระทั่งถึงปัจจุบัน ยังมีการตั้งบุคคลต่างชาติ ที่มีการเปิดเผยว่ามีส่วนในการร่วมมือตัดต่อพันธุกรรมและกำเนิดโควิด ฝังตัวทำงานอยู่ในหน่วยงานองค์กรที่สำคัญของประเทศไทย ศูนย์ วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ สภากาชาดไทย ยุติการศึกษาวิจัยและยุติความร่วมมือกับองค์กรต่างประเทศ ศูนย์ซึ่งเป็นศูนย์ความร่วมมือองค์การอนามัยโลกด้านค้นคว้าอบรมไวรัสสัตว์สู่คน ด้วยได้ทำการค้นหาไวรัสในค้างคาว ตั้งแต่ปี 2000 จาก องค์กรให้ทุนประเทศไทย คือ สกว แลเ สวทช และตั้งแต่ปี 2011 ได้รับทุนจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐและหน่วยงานของเพนตากอน ศูนย์ได้ประกาศยุติการทำงานดังกล่าวดังกล่าวเริ่มตั้งแต่ปี 2018 และเด็ดขาดในปี 2020 โดยแจ้งให้หน่วยงานสหรัฐรวมกระทั่งถึงองค์กรระหว่างประเทศทั้งหมดตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา ทั้งนี้เนื่องจากประเมินอันตรายที่ร้ายแรงอันอาจจะเกิดขึ้น ตั้งแต่การลงพื้นที่จนกระทั่งถึงในห้องปฏิบัติการและนำมาสู่การติดเชื้อในมนุษย์และแพร่ไปยังชุมชนจนเป็นโรคระบาดทั่วประเทศ ประกอบกับเงื่อนงำของการเกิดโควิด อีกประการที่สำคัญก็คือในปี 2018 ก่อนเกิดโควิด และ 2019 เรื่อยมาจนถึง ตุลาคม2020 มีการประชุมจัดโดยองค์กร EcoHealth alliance และให้ศูนย์เป็นหน่วยงานของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ EID SE Asia research collaboration hub (EID Search) ภายใต้ สถาบันสหรัฐ NIAID และ EcoHealth alliance ชื่อว่า CREID (Centre for Research in EID) ในการรวบรวมไวรัสจากค้างคาวและสัตว์ป่าโดยเฉพาะไวรัสในตระกูลโควิด ไวรัสในตระกูลอีโบล่าและไวรัสในตระกูลนิปาห์ สมองอักเสบและปอดบวมและอื่นๆจาก ไทย ลาว มาเลเซีย ซาราวัค เป็นต้น โดยให้มีการส่งตัวอย่างไปยังต่างประเทศและระบุว่าจะมีการตัดต่อพันธุกรรมเพื่อให้เข้ามนุษย์และก่อโรคได้จากหลอดทดลองและสัตว์ทดลองที่ปรับแต่งพันธุกรรมเหมือนมนุษย์ และมีรายละเอียดความสำเร็จของการสร้างไวรัสตัวใหม่ที่สามารถเข้ามามนุษย์ได้ดีขึ้นและก่อโรคได้แล้ว และเป็นที่มาที่ศูนย์ยุติความร่วมมืออย่างสิ้นเชิง ไวรัสที่จะนำมาทดลองปรับแต่งนอกจากจะทำให้เข้ามามนุษย์และเกิดโรคแล้ว ประการสำคัญก็คือทำให้สามารถติดต่อจากคนสู่คนได้ และเป็นที่น่าสังเกตไวรัสหลายตัวนั้นสามารถแพร่ทางอากาศได้ รายละเอียดเหล่านี้ปรากฏขึ้นก่อนการระบาดของโควิดในปลายปี 2019 เหตุการณ์และหลักฐาน ยังปรากฏ ในบทความหนังสือพิมพ์ วอชิงตันโพสต์ โดยนักข่าว สืบสวน David Willman (investigative journalist รางวัลพูลิตเซอร์ ) ในวันที่ 10 เมษายน 2023 เป็นการรวบรวมข้อมูลจากหลายหน่วยงาน หลายประเทศ รวมทั้งจากศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคโรคอุบัติใหม่ ที่ยุติการรวบรวมตัวอย่างจากสัตว์ป่าและค้างคาว ถือว่าการหาเชื้อในคนถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุดมากกว่าการหาไวรัสที่ไม่รู้จัก ที่จะมาคาดคะเนว่าจะเข้ามามนุษย์และจะเกิดโรคระบาดหรือไม่ รวมทั้งมีความเสี่ยงอันตรายสูงสุดในการนำเชื้อจากสัตว์เข้ามามนุษย์ ในขั้นตอนต่างๆ ตั้งแต่การลงพื้นที่เก็บตัวอย่าง การขนส่งตัวอย่าง และการปฎิบัติในห้องแลป รวมทั้งโอกาสที่จะได้รับไวรัสทั้งๆที่อุปกรณ์ป้องกันตัวอาจไม่ครบถ้วนและในประวัติที่ผ่านมา มีเจ้าหน้าที่ทั้งห้องปฏิบัติการของศูนย์และของหน่วยงานสัตว์ป่าถูกค้างคาวกัด จากการประกาศจุดยืนชัดเจน และยุติกิจกรรม ใน วันที่ 22 กรกฎาคม 2023 หน่วยงานอิสระของรัฐบาลสหรัฐ U.S. government accountability office (GAO) ที่ไม่ขึ้นกับพรรคการเมืองใดๆ และทำหน้าที่ ในการตรวจสอบ การทำงานของหน่วยงานของสหรัฐในเรื่องการใช้งบประมาณรวมทั้งงบที่ให้ต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาหาไวรัสจากสัตว์ป่าและค้างคาวได้ติดต่อ ศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ และศาสตราจารย์นายแพทย์ธีระวัฒน์ ในฐานะ program leader ที่ได้ทุนจาก สหรัฐ และ เพนตากอนในประเด็นว่าได้ประโยชน์หรือไม่ในการคาดคะเนว่าจะเกิดโรคอุบัติใหม่ ได้ประโยชน์หรือไม่ในการพัฒนาการเตรียมพร้อมและรับมือสำหรับโรคอุบัติใหม่ รวมถึงมีการการถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีหรือไม่ มีความเสี่ยงหรือไม่ในการค้นหาไวรัสจากสัตว์ป่าดังกล่าวในการที่จะได้รับเชื้อเข้ามาในมนุษย์ เข้ามาในห้องปฏิบัติการและกระจายออกสู่ชุมชนหรือไม่ และมีความพร้อมเพียงใดในการป้องกันทางชีวภาพในระดับบุคคลและห้องปฏิบัติการและการบริหารเมื่อเกิดมีบุคลากรเกิดความผิดปกติเกิดขึ้นหรือไม่ ทางศูนย์ สามารถสรุปได้ว่าการค้นหาไวรัสใหม่นั้นไม่เกิดประโยชน์ในการคาดคะเนการเกิดโรคอุบัติใหม่และไม่ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีและความรู้รวมทั้งเปิดเผยความเสี่ยงสูงสุดในขั้นตอนต่างๆในการปฏิบัติ และมาตรการในการรับมือกับการหลุดเล็ดรอดของเชื้อจะเป็นด้วยความยากมากในสถานภาพปัจจุบัน และ เป็นเหตุผลสำคัญ ในการต้องทำหลายตัวอย่างไวรัสทั้งหมด นอกจากนั้นข้อที่ต้องปฏิบัติ ตามพระราชบัญญัติเชื้อโรคและพิษจากสัตว์ ปี 2558 กรณีที่เกิดความเสียหายเกิดขึ้น นั่นก็คือ การรั่วไหลจากห้องปฏิบัติการหรือจากห้องเก็บตัวอย่างและเกิดความเสียหายมีการติดเชื้อ ผู้รับผิดชอบซึ่งก็คือผู้รับผิดชอบโครงการหรือหัวหน้าศูนย์จะต้องได้รับโทษตามหมวดเก้าและหมวด 10 ของพระราชบัญญัติตามประกาศในราชกิจจานุเบกษา โดยมีตั้งแต่ การจำคุก สองปีถึง 10 ปีและปรับ จากหลักแสนเป็นหลักหลายล้าน หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามลักษณะของความเสียหายที่เกิดขึ้น • หน่วยงานในประเทศไทย คณะแพทย์ศาสตร์จุฬาหน่วยงานกาชาดรวมทั้งมหาวิทยาลัยอื่น ยังได้รับทุนต่อเนื่องตั้งแต่ที่ศูนย์ยุติบทบาทและทำลายไวรัสทั้งหมด แม้กระทั่งในปัจจุบันเริ่มจากในปี 2024 มีการผ่านให้ทุนจาก CDC มาไทย หลายหน่วยงาน โดยยังมีการเก็บไวรัสจากค้างคาวโดยเน้น โคโรนา นิปาห์ อีโบลา และอ้างว่าจะไม่มีการส่งตัวอย่างออกนอกประเทศ แต่ทั้งนี้ด้วยการพัฒนาการสร้างไวรัสสามารถทำได้โดยเลือกไวรัสที่มีรหัสพันธุกรรมตรงกับแบบที่มีในดาต้าเบสและทำการตัดต่อได้ให้ห้องทดลอง ดังที่ประสบความสำเร็จในการสร้างไวรัสโควิด มาแล้ว ที่หาย ไปจากห้องชีวะนิรภัยระดับสี่ของออสเตรเลียนั้น อาจไม่ต้องตกใจมากเท่ากับ สิ่งที่ยังทำในประเทศไทยที่มีความเสี่ยงในการติดเชื้อกันเองระหว่างปฏิบัติการแพร่ไปให้ครอบครัวและชุมชนและต่อเนื่องไประดับประเทศและระดับโลก. ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ประธาน ศูนย์ความเป็นเลิศ ด้านการแพทย์บูรณาการและสาธารณสุข และ ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต เพิ่มเติม ประชาชาติธุรกิจ 30 ตค 2566 เหตุผลที่ถูกสั่งสอบสวนเพราะยุติ การเอาไวรัสจากค้างคาวมาศึกษาและการทำลายตัวอย่าง ย้อนกลับไปที่หมอธีระวัฒน์เตือน https://www.prachachat.net/general/news-1426137
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 753 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าว "จีน-ออสเตรเลีย" เผชิญหน้ากลางอากาศ โดยเครื่องบินขับไล่ J-16 ของจีน ปล่อยพลุใกล้เครื่องบินลาดตระเวน P-8A Poseidon ของออสเตรเลียในทะเลจีนใต้ ที่กำลังเป็นข่าวในขณะนี้ "เป็นข่าวจริง"

    แต่ยังไม่ยืนยันว่าเป็นข่าวเก่า หรือข่าวใหม่ เพราะคลิปที่ถูกเผยแพร่อย่างกว้างขวางในเวลานี้ เป็นคลิปเมื่อเดือนกันยายน 2024
    ข่าว "จีน-ออสเตรเลีย" เผชิญหน้ากลางอากาศ โดยเครื่องบินขับไล่ J-16 ของจีน ปล่อยพลุใกล้เครื่องบินลาดตระเวน P-8A Poseidon ของออสเตรเลียในทะเลจีนใต้ ที่กำลังเป็นข่าวในขณะนี้ "เป็นข่าวจริง" แต่ยังไม่ยืนยันว่าเป็นข่าวเก่า หรือข่าวใหม่ เพราะคลิปที่ถูกเผยแพร่อย่างกว้างขวางในเวลานี้ เป็นคลิปเมื่อเดือนกันยายน 2024
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 222 มุมมอง 0 รีวิว
  • สหรัฐอเมริกา ร่วมกับออสเตรเลียและอังกฤษ กำลังดำเนินการจัดการกับผู้ให้บริการ Zservers ที่มีฐานในรัสเซีย เนื่องจากมีส่วนช่วยเหลือในการโจมตีโดยใช้ Lockbit ransomware ซึ่งเป็นที่กังวลของด้านความมั่นคงแห่งชาติ

    กระทรวงการคลังของสหรัฐ ระบุว่า Zservers ให้บริการโฮสต์ที่ไม่เข้มงวดต่อการตรวจสอบ ทำให้ผู้กระทำการโจมตีสามารถใช้เป็นฐานในการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานสำคัญในสหรัฐและนานาชาติ นอกจากนี้ยังได้ระบุตัวผู้ดูแลระบบคนสำคัญของ Zservers สองรายซึ่งเป็นชาวรัสเซียว่าเป็นเป้าหมายที่ต้องการในการกำจัด

    การกระทำครั้งนี้เป็นความร่วมมือระหว่างสหรัฐ อังกฤษ และออสเตรเลีย เพื่อต่อสู้กับการโจมตีทางไซเบอร์ โดยเฉพาะการใช้ Lockbit ransomware ที่มีความรุนแรง

    การใช้ ransomware ในการโจมตีทางไซเบอร์นั้น ไม่เพียงแค่สร้างความเสียหายทางการเงินให้กับเหยื่อ แต่ยังส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจและบริการสาธารณะอย่างใหญ่หลวง การโจมตีที่สำเร็จจะทำให้ข้อมูลถูกเข้ารหัสและไม่สามารถเข้าถึงได้ จนกว่าจะมีการจ่ายค่าไถ่ ซึ่งบ่อยครั้งการจ่ายค่าไถ่นั้นก็ไม่ได้รับประกันว่าข้อมูลจะถูกปลดล็อกหรือไม่

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/02/11/us-uk-australia-target-russia-based-zservers-over-lockbit-ransomware-attacks
    สหรัฐอเมริกา ร่วมกับออสเตรเลียและอังกฤษ กำลังดำเนินการจัดการกับผู้ให้บริการ Zservers ที่มีฐานในรัสเซีย เนื่องจากมีส่วนช่วยเหลือในการโจมตีโดยใช้ Lockbit ransomware ซึ่งเป็นที่กังวลของด้านความมั่นคงแห่งชาติ กระทรวงการคลังของสหรัฐ ระบุว่า Zservers ให้บริการโฮสต์ที่ไม่เข้มงวดต่อการตรวจสอบ ทำให้ผู้กระทำการโจมตีสามารถใช้เป็นฐานในการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานสำคัญในสหรัฐและนานาชาติ นอกจากนี้ยังได้ระบุตัวผู้ดูแลระบบคนสำคัญของ Zservers สองรายซึ่งเป็นชาวรัสเซียว่าเป็นเป้าหมายที่ต้องการในการกำจัด การกระทำครั้งนี้เป็นความร่วมมือระหว่างสหรัฐ อังกฤษ และออสเตรเลีย เพื่อต่อสู้กับการโจมตีทางไซเบอร์ โดยเฉพาะการใช้ Lockbit ransomware ที่มีความรุนแรง การใช้ ransomware ในการโจมตีทางไซเบอร์นั้น ไม่เพียงแค่สร้างความเสียหายทางการเงินให้กับเหยื่อ แต่ยังส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจและบริการสาธารณะอย่างใหญ่หลวง การโจมตีที่สำเร็จจะทำให้ข้อมูลถูกเข้ารหัสและไม่สามารถเข้าถึงได้ จนกว่าจะมีการจ่ายค่าไถ่ ซึ่งบ่อยครั้งการจ่ายค่าไถ่นั้นก็ไม่ได้รับประกันว่าข้อมูลจะถูกปลดล็อกหรือไม่ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/02/11/us-uk-australia-target-russia-based-zservers-over-lockbit-ransomware-attacks
    WWW.THESTAR.COM.MY
    US, UK, Australia target Russia-based Zservers over Lockbit ransomware attacks
    WASHINGTON (Reuters) - The United States joined Australia and Britain in targeting Russia-based Zservers service provider for its role in supporting the Lockbit ransomware attacks, the U.S. Department of Treasury said on Tuesday, citing national security concerns.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 233 มุมมอง 0 รีวิว
  • Thaipublica’s Pick: Mastercard มีแผนยกเลิกใช้หมายเลขบัตรเครดิตภายในปี 2573
    .
    Mastercard ได้ประกาศแผนการที่จะเลิกใช้หมายเลข 16 หลักบนบัตรเครดิตและบัตรเดบิตภายในปี 2573 เพื่อขจัดการโจรกรรมข้อมูลส่วนบุคคล และการฉ้อโกงจากการใช้บัตร
    .
    หมายเลขที่ใช้ระบุการ์ดในปัจจุบันจะถูกแทนที่รูปแบบดิจิทัล (Tokenisation) และการยืนยันตัวตนด้วยข้อมูลทางชีวภาพ (biometric authentication)
    .
    ในปี 2565 มาสเตอร์การ์ดได้เพิ่มทางไบโอเมตริกซ์ เพื่อให้สามารถชำระเงินด้วยรอยยิ้มหรือโบกมือได้
    .
    รูปแบบใหม่จะมีการแปลงหมายเลขบัตร 16 หลักให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็นตัวเลขหรือโทเค็น แล้วจัดเก็บไว้ในอุปกรณ์ของผู้ใช้ ดังนั้นจึงไม่มีการแชร์ข้อมูลบัตรเมื่อแตะบัตรหรือโทรศัพท์ หรือชำระเงินออนไลน์
    .
    การยกเลิกหมายเลขบัตรเครดิตถือเป็นความพยายามครั้งล่าสุดในการลดการฉ้อโกง การเลิกใช้หมายเลขจะหยุดผู้ฉ้อโกงในการประมวลผลธุรกรรมที่ไม่แสดงบัตรโดยไม่ได้รับอนุญาต
    .
    นอกจากนี้ ยังช่วยลดโอกาสที่จะเกิดความเสียหายทางการเงินของเหยื่อที่ถูกละเมิดข้อมูล หากองค์กรไม่สามารถจัดเก็บรายละเอียดการชำระเงินเหล่านี้ได้อีกต่อไป
    .
    การจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลเป็นปัญหาที่มีการโต้แย้ง ตัวอย่างเช่น การรุกล้ำข้อมูล Optus ในปี 2565 ที่ส่งผลให้ข้อมูลลูกค้าที่เคยมีบัญชีกับบริษัทไว้ในปี 2561 ถูกเปิดเผย
    .
    การยกเลิกความสามารถขององค์กรในการจัดเก็บรายละเอียดการชำระเงินตั้งแต่แรก ช่วยลดความเสี่ยงที่ข้อมูลนี้จะถูกเปิดเผยในการโจมตีในอนาคต
    .
    แม้ว่าจะพยายามลดการฉ้อโกง แต่แนวทางใหม่นี้ก็ทำให้เกิดประเด็นใหม่ๆ ที่ต้องนำมาพิจารณา
    .
    Mastercard กล่าวว่า ลูกค้าจะใช้โทเค็นที่สร้างโดยแอปธนาคารของลูกค้าหรือไบโอเมตริกซ์แทนหมายเลขบัตร ซึ่งอาจเป็นการเปลี่ยนผ่านที่สำหรับลูกค้าที่ใช้บริการธนาคารบนมือถือ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่ใช้บริการธนาคารดิจิทัล ผู้บริโภคสูงวัยและผู้พิการจำนวนมากไม่ใช้บริการธนาคารดิจิทัล ก็จะถูกแบ่งแยกออกจากการคุ้มครองรูปแบบใหม่
    .
    การเพิ่มความปลอดภัยให้กับบัตรเครดิต การยกเลิกหมายเลขออกจะย้ายช่องโหว่ไปยังโทรศัพท์มือถือและผู้ให้บริการโทรคมนาคม
    .
    มิจฉาชีพเข้าถึงโทรศัพท์ของเหยื่ออยู่แล้วผ่านการย้ายค่ายมือถือและใช้เบอร์เดิม กับการหลอกลวงด้วยการแอบอ้างหรือปลอมแปลง การโจมตีเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะมากขึ้นเมื่อพบวิธีใหม่ๆ ในการใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ที่อาจเกิดขึ้น
    .
    นอกจากนี้ ยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับไบโอเมตริกซ์อีกด้วย ซึ่งต่างจากรายละเอียดบัตรเครดิตที่สามารถเปลี่ยนได้เมื่อถูกเปิดเผยในการละเมิดข้อมูล แต่ไบโอเมตริกซ์นั้นตายตัว การมุ่งไปที่ไบโอเมตริกซ์จะเพิ่มความน่าดึงดูดใจของข้อมูลนี้ และอาจทำให้เหยื่อได้รับความเสียหายอย่างต่อเนื่องและแก้ไขไม่ได้
    .
    แม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องปกติ แต่การรุกล้ำข้อมูลไบโอเมตริกซ์ก็เกิดขึ้นได้
    .
    ตัวอย่างเช่น แพลตฟอร์มความปลอดภัยบนเว็บ BioStar 2 ในสหราชอาณาจักรได้เปิดเผยลายนิ้วมือและรายละเอียดการจดจำใบหน้าของผู้คนมากกว่าล้านคน ในออสเตรเลียผู้ให้บริการด้านไอทีให้กับบริษัทบันเทิง Outabox ถูกกล่าวหาว่าได้เปิดเผยข้อมูลการจดจำใบหน้าของชาวออสเตรเลียมากกว่าล้านคน
    .
    เรายังต้องใช้บัตรกันอีกหรือไม่ในอนาคต?
    .
    แม้ว่าการยกเลิกใช้หมายเลขอาจลดการฉ้อโกงบัตรเครดิต แต่เทคโนโลยีค้าปลีกอัจฉริยะที่เกิดขึ้นใหม่อาจทำให้ความจำเป็นในการใช้บัตรโดยรวมหมดไป
    .
    การชำระเงินด้วยสมาร์ทโฟนกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว ทำให้ไม่จำเป็นต้องใช้บัตรจริงอีกต่อไป GlobalData เผยการชำระเงินด้วยกระเป๋าเงินมือถือ(mobile wallet )ในออสเตรเลียในปี 2566 เติบโต 58% เป็น 146.9 พันล้านดอลลาร์ ในเดือนตุลาคม 2567 การชำระเงิน 44% เป็นธุรกรรม ด้วยอุปกรณ์
    .
    เทคโนโลยี "Just-Walk-Out" ที่เป็นนวัตกรรมของ Amazon ได้ขจัดความจำเป็นที่ผู้บริโภคจะต้องพกบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตให้หมดไป
    .
    เทคโนโลยีนี้ได้ใช้แล้วในร้านค้าที่ Amazon เป็นเจ้าของมากกว่า 70 แห่ง และสถานประกอบการของบุคคลที่สามมากกว่า 85 แห่งทั่วสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และออสเตรเลีย ซึ่งรวมถึงสนามกีฬา สนามบิน ร้านขายของชำ ร้านสะดวกซื้อ และภายในสถานศึกษา
    .
    เทคโนโลยีนี้ใช้กล้อง เซ็นเซอร์น้ำหนัก และการผสมผสานของเทคโนโลยี AI ขั้นสูงเพื่อให้ผู้ซื้อในร้านค้าสามารถซื้อสินค้าได้โดยไม่ต้องรูดหรือแตะบัตรที่จุดชำระเงิน
    .
    ปัจจุบันเทคโนโลยีดังกล่าวมีการนำเสนอโดยผู้จำหน่ายรายอื่นๆ มากมาย รวมถึง Trigo, Cognizant และ Grabango นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างการทดลองกับผู้ค้าปลีกระหว่างประเทศอื่นๆ รวมถึงเครือซูเปอร์มาร์เก็ต Tesco และ ALDI
    .
    แม้ว่า Just-Walk-Out จะลดความจำเป็นในการพกพาบัตร แต่ในบางจุดผู้บริโภคยังคงจำเป็นต้องกรอกรายละเอียดบัตรของตนลงในแอป ดังนั้น เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้บัตรและตัวเลขโดยสิ้นเชิง ผู้ให้บริการเทคโนโลยีการค้าปลีกอัจฉริยะจึงหันมาใช้ทางเลือกไบโอเมตริกซ์ เช่น การชำระเงินด้วยการจดจำใบหน้า
    .
    เมื่อประเมินถึงความเร็วที่เทคโนโลยีการค้าปลีกและการชำระเงินอัจฉริยะเข้าสู่ตลาด ก็มีแนวโน้มว่าบัตรเครดิตที่เป็นบัตร หรือไม่ว่าจะมีหมายเลขหรือไม่มีเลย จะกลายเป็นสิ่งไม่จำเป็นในไม่ช้านี้ และจะถูกแทนที่ด้วยตัวเลือกการชำระเงินแบบไบโอเมตริก
    .
    เรื่อง: https://www.abc.net.au/news/2025-02-04/mastercard-credit-card-numbers-biometric/104895038
    .
    ภาพ: https://www.biometricupdate.com/202502/biometrics-tokenization-to-replace-credit-card-numbers-by-2030

    ที่มา Thaipublica
    https://www.facebook.com/share/p/12KbPkwhRqg/?mibextid=wwXIfr
    Thaipublica’s Pick: Mastercard มีแผนยกเลิกใช้หมายเลขบัตรเครดิตภายในปี 2573 . Mastercard ได้ประกาศแผนการที่จะเลิกใช้หมายเลข 16 หลักบนบัตรเครดิตและบัตรเดบิตภายในปี 2573 เพื่อขจัดการโจรกรรมข้อมูลส่วนบุคคล และการฉ้อโกงจากการใช้บัตร . หมายเลขที่ใช้ระบุการ์ดในปัจจุบันจะถูกแทนที่รูปแบบดิจิทัล (Tokenisation) และการยืนยันตัวตนด้วยข้อมูลทางชีวภาพ (biometric authentication) . ในปี 2565 มาสเตอร์การ์ดได้เพิ่มทางไบโอเมตริกซ์ เพื่อให้สามารถชำระเงินด้วยรอยยิ้มหรือโบกมือได้ . รูปแบบใหม่จะมีการแปลงหมายเลขบัตร 16 หลักให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็นตัวเลขหรือโทเค็น แล้วจัดเก็บไว้ในอุปกรณ์ของผู้ใช้ ดังนั้นจึงไม่มีการแชร์ข้อมูลบัตรเมื่อแตะบัตรหรือโทรศัพท์ หรือชำระเงินออนไลน์ . การยกเลิกหมายเลขบัตรเครดิตถือเป็นความพยายามครั้งล่าสุดในการลดการฉ้อโกง การเลิกใช้หมายเลขจะหยุดผู้ฉ้อโกงในการประมวลผลธุรกรรมที่ไม่แสดงบัตรโดยไม่ได้รับอนุญาต . นอกจากนี้ ยังช่วยลดโอกาสที่จะเกิดความเสียหายทางการเงินของเหยื่อที่ถูกละเมิดข้อมูล หากองค์กรไม่สามารถจัดเก็บรายละเอียดการชำระเงินเหล่านี้ได้อีกต่อไป . การจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลเป็นปัญหาที่มีการโต้แย้ง ตัวอย่างเช่น การรุกล้ำข้อมูล Optus ในปี 2565 ที่ส่งผลให้ข้อมูลลูกค้าที่เคยมีบัญชีกับบริษัทไว้ในปี 2561 ถูกเปิดเผย . การยกเลิกความสามารถขององค์กรในการจัดเก็บรายละเอียดการชำระเงินตั้งแต่แรก ช่วยลดความเสี่ยงที่ข้อมูลนี้จะถูกเปิดเผยในการโจมตีในอนาคต . แม้ว่าจะพยายามลดการฉ้อโกง แต่แนวทางใหม่นี้ก็ทำให้เกิดประเด็นใหม่ๆ ที่ต้องนำมาพิจารณา . Mastercard กล่าวว่า ลูกค้าจะใช้โทเค็นที่สร้างโดยแอปธนาคารของลูกค้าหรือไบโอเมตริกซ์แทนหมายเลขบัตร ซึ่งอาจเป็นการเปลี่ยนผ่านที่สำหรับลูกค้าที่ใช้บริการธนาคารบนมือถือ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่ใช้บริการธนาคารดิจิทัล ผู้บริโภคสูงวัยและผู้พิการจำนวนมากไม่ใช้บริการธนาคารดิจิทัล ก็จะถูกแบ่งแยกออกจากการคุ้มครองรูปแบบใหม่ . การเพิ่มความปลอดภัยให้กับบัตรเครดิต การยกเลิกหมายเลขออกจะย้ายช่องโหว่ไปยังโทรศัพท์มือถือและผู้ให้บริการโทรคมนาคม . มิจฉาชีพเข้าถึงโทรศัพท์ของเหยื่ออยู่แล้วผ่านการย้ายค่ายมือถือและใช้เบอร์เดิม กับการหลอกลวงด้วยการแอบอ้างหรือปลอมแปลง การโจมตีเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะมากขึ้นเมื่อพบวิธีใหม่ๆ ในการใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ที่อาจเกิดขึ้น . นอกจากนี้ ยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับไบโอเมตริกซ์อีกด้วย ซึ่งต่างจากรายละเอียดบัตรเครดิตที่สามารถเปลี่ยนได้เมื่อถูกเปิดเผยในการละเมิดข้อมูล แต่ไบโอเมตริกซ์นั้นตายตัว การมุ่งไปที่ไบโอเมตริกซ์จะเพิ่มความน่าดึงดูดใจของข้อมูลนี้ และอาจทำให้เหยื่อได้รับความเสียหายอย่างต่อเนื่องและแก้ไขไม่ได้ . แม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องปกติ แต่การรุกล้ำข้อมูลไบโอเมตริกซ์ก็เกิดขึ้นได้ . ตัวอย่างเช่น แพลตฟอร์มความปลอดภัยบนเว็บ BioStar 2 ในสหราชอาณาจักรได้เปิดเผยลายนิ้วมือและรายละเอียดการจดจำใบหน้าของผู้คนมากกว่าล้านคน ในออสเตรเลียผู้ให้บริการด้านไอทีให้กับบริษัทบันเทิง Outabox ถูกกล่าวหาว่าได้เปิดเผยข้อมูลการจดจำใบหน้าของชาวออสเตรเลียมากกว่าล้านคน . เรายังต้องใช้บัตรกันอีกหรือไม่ในอนาคต? . แม้ว่าการยกเลิกใช้หมายเลขอาจลดการฉ้อโกงบัตรเครดิต แต่เทคโนโลยีค้าปลีกอัจฉริยะที่เกิดขึ้นใหม่อาจทำให้ความจำเป็นในการใช้บัตรโดยรวมหมดไป . การชำระเงินด้วยสมาร์ทโฟนกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว ทำให้ไม่จำเป็นต้องใช้บัตรจริงอีกต่อไป GlobalData เผยการชำระเงินด้วยกระเป๋าเงินมือถือ(mobile wallet )ในออสเตรเลียในปี 2566 เติบโต 58% เป็น 146.9 พันล้านดอลลาร์ ในเดือนตุลาคม 2567 การชำระเงิน 44% เป็นธุรกรรม ด้วยอุปกรณ์ . เทคโนโลยี "Just-Walk-Out" ที่เป็นนวัตกรรมของ Amazon ได้ขจัดความจำเป็นที่ผู้บริโภคจะต้องพกบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตให้หมดไป . เทคโนโลยีนี้ได้ใช้แล้วในร้านค้าที่ Amazon เป็นเจ้าของมากกว่า 70 แห่ง และสถานประกอบการของบุคคลที่สามมากกว่า 85 แห่งทั่วสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และออสเตรเลีย ซึ่งรวมถึงสนามกีฬา สนามบิน ร้านขายของชำ ร้านสะดวกซื้อ และภายในสถานศึกษา . เทคโนโลยีนี้ใช้กล้อง เซ็นเซอร์น้ำหนัก และการผสมผสานของเทคโนโลยี AI ขั้นสูงเพื่อให้ผู้ซื้อในร้านค้าสามารถซื้อสินค้าได้โดยไม่ต้องรูดหรือแตะบัตรที่จุดชำระเงิน . ปัจจุบันเทคโนโลยีดังกล่าวมีการนำเสนอโดยผู้จำหน่ายรายอื่นๆ มากมาย รวมถึง Trigo, Cognizant และ Grabango นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างการทดลองกับผู้ค้าปลีกระหว่างประเทศอื่นๆ รวมถึงเครือซูเปอร์มาร์เก็ต Tesco และ ALDI . แม้ว่า Just-Walk-Out จะลดความจำเป็นในการพกพาบัตร แต่ในบางจุดผู้บริโภคยังคงจำเป็นต้องกรอกรายละเอียดบัตรของตนลงในแอป ดังนั้น เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้บัตรและตัวเลขโดยสิ้นเชิง ผู้ให้บริการเทคโนโลยีการค้าปลีกอัจฉริยะจึงหันมาใช้ทางเลือกไบโอเมตริกซ์ เช่น การชำระเงินด้วยการจดจำใบหน้า . เมื่อประเมินถึงความเร็วที่เทคโนโลยีการค้าปลีกและการชำระเงินอัจฉริยะเข้าสู่ตลาด ก็มีแนวโน้มว่าบัตรเครดิตที่เป็นบัตร หรือไม่ว่าจะมีหมายเลขหรือไม่มีเลย จะกลายเป็นสิ่งไม่จำเป็นในไม่ช้านี้ และจะถูกแทนที่ด้วยตัวเลือกการชำระเงินแบบไบโอเมตริก . เรื่อง: https://www.abc.net.au/news/2025-02-04/mastercard-credit-card-numbers-biometric/104895038 . ภาพ: https://www.biometricupdate.com/202502/biometrics-tokenization-to-replace-credit-card-numbers-by-2030 ที่มา Thaipublica https://www.facebook.com/share/p/12KbPkwhRqg/?mibextid=wwXIfr
    WWW.ABC.NET.AU
    Mastercard is scrapping credit card numbers by 2030 as cards become obsolete
    Physical credit cards, numberless or not, will soon become redundant, as biometric payment options become more popular.
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 537 มุมมอง 0 รีวิว
  • ### 📣ทำไมสูงวัยจึงต้องดูแลเกี่ยวกับสายตา❓️

    📌การดูแลสุขภาพสายตา มีความสำคัญอย่างยิ่งในวัยสูงอายุเนื่องจากการเสื่อมสภาพของสายตาเป็นปัญหาที่พบได้บ่อย การมองเห็นที่ชัดเจนช่วยให้เราดำเนินชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย
    ✅️นี่คือเหตุผลสำคัญที่วัยสูงอายุต้องใส่ใจการดูแลสายตา:

    1. **การเสื่อมสภาพของจอประสาทตา (Age-related Macular Degeneration - AMD):** โรคนี้เป็นสาเหตุหลักของการสูญเสียการมองเห็นในวัยสูงอายุ การดูแลและบำรุงสายตาช่วยลดความเสี่ยง
    2. **ต้อกระจก (Cataracts):** การขุ่นของเลนส์ตาเป็นปัญหาที่พบบ่อยในวัยสูงอายุ การดูแลสายตาและการผ่าตัดสามารถช่วยแก้ไขได้
    3. **ต้อหิน (Glaucoma):** เป็นโรคที่เกิดจากความดันในลูกตาเพิ่มขึ้น ทำลายประสาทตาและนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็น
    4. **โรคเบาหวานขึ้นตา (Diabetic Retinopathy):** เป็นโรคแทรกซ้อนจากโรคเบาหวานที่ทำลายเส้นเลือดในจอตา
    5. **ความเสี่ยงต่อการล้ม:** การมองเห็นที่ไม่ชัดเจนทำให้เสี่ยงต่อการล้มและเกิดอุบัติเหตุในบ้าน

    ### ผลิตภัณฑ์บำรุงสายตาที่นิยม

    1. **Blackmores Lutein-Vision Advanced**
    - **คุณสมบัติ:** มีส่วนผสมของลูทีนและซีแซนทีน ช่วยบำรุงสายตาและลดความเสี่ยงของการเกิดจอประสาทตาเสื่อม
    - **แหล่งผลิต:** ออสเตรเลีย

    2. **Vistra Vision**
    - **คุณสมบัติ:** มีส่วนผสมของสารสกัดจากบิลเบอร์รี่ ลูทีน และซีแซนทีน ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับจอตาและป้องกันการเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อม
    - **แหล่งผลิต:** ประเทศไทย

    3. **Nature’s Bounty Lutein**
    - **คุณสมบัติ:** ประกอบด้วยลูทีนเข้มข้น ช่วยกรองแสงสีฟ้าและลดความเสี่ยงของการเสื่อมสภาพของจอตา
    - **แหล่งผลิต:** สหรัฐอเมริกา

    4. **Mega We Care Nat C Yuzu**
    - **คุณสมบัติ:** มีวิตามินซีสูงจากผลยูกซู ช่วยเสริมสร้างสุขภาพตาและป้องกันโรคเบาหวานขึ้นตา
    - **แหล่งผลิต:** ประเทศไทย

    5. **VisiVite AREDS2 Formula**
    - **คุณสมบัติ:** เป็นสูตรที่ออกแบบตามการศึกษาของ AREDS2 ประกอบด้วยลูทีน ซีแซนทีน วิตามินซี วิตามินอี และสังกะสี ช่วยบำรุงและป้องกันจอประสาทตาเสื่อม
    - **แหล่งผลิต:** สหรัฐอเมริกา

    การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารบำรุงสายตาควรทำภายใต้คำแนะนำของแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการของร่างกายและปลอดภัยสำหรับคุณ
    ### 📣ทำไมสูงวัยจึงต้องดูแลเกี่ยวกับสายตา❓️ 📌การดูแลสุขภาพสายตา มีความสำคัญอย่างยิ่งในวัยสูงอายุเนื่องจากการเสื่อมสภาพของสายตาเป็นปัญหาที่พบได้บ่อย การมองเห็นที่ชัดเจนช่วยให้เราดำเนินชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย ✅️นี่คือเหตุผลสำคัญที่วัยสูงอายุต้องใส่ใจการดูแลสายตา: 1. **การเสื่อมสภาพของจอประสาทตา (Age-related Macular Degeneration - AMD):** โรคนี้เป็นสาเหตุหลักของการสูญเสียการมองเห็นในวัยสูงอายุ การดูแลและบำรุงสายตาช่วยลดความเสี่ยง 2. **ต้อกระจก (Cataracts):** การขุ่นของเลนส์ตาเป็นปัญหาที่พบบ่อยในวัยสูงอายุ การดูแลสายตาและการผ่าตัดสามารถช่วยแก้ไขได้ 3. **ต้อหิน (Glaucoma):** เป็นโรคที่เกิดจากความดันในลูกตาเพิ่มขึ้น ทำลายประสาทตาและนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็น 4. **โรคเบาหวานขึ้นตา (Diabetic Retinopathy):** เป็นโรคแทรกซ้อนจากโรคเบาหวานที่ทำลายเส้นเลือดในจอตา 5. **ความเสี่ยงต่อการล้ม:** การมองเห็นที่ไม่ชัดเจนทำให้เสี่ยงต่อการล้มและเกิดอุบัติเหตุในบ้าน ### ผลิตภัณฑ์บำรุงสายตาที่นิยม 1. **Blackmores Lutein-Vision Advanced** - **คุณสมบัติ:** มีส่วนผสมของลูทีนและซีแซนทีน ช่วยบำรุงสายตาและลดความเสี่ยงของการเกิดจอประสาทตาเสื่อม - **แหล่งผลิต:** ออสเตรเลีย 2. **Vistra Vision** - **คุณสมบัติ:** มีส่วนผสมของสารสกัดจากบิลเบอร์รี่ ลูทีน และซีแซนทีน ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับจอตาและป้องกันการเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อม - **แหล่งผลิต:** ประเทศไทย 3. **Nature’s Bounty Lutein** - **คุณสมบัติ:** ประกอบด้วยลูทีนเข้มข้น ช่วยกรองแสงสีฟ้าและลดความเสี่ยงของการเสื่อมสภาพของจอตา - **แหล่งผลิต:** สหรัฐอเมริกา 4. **Mega We Care Nat C Yuzu** - **คุณสมบัติ:** มีวิตามินซีสูงจากผลยูกซู ช่วยเสริมสร้างสุขภาพตาและป้องกันโรคเบาหวานขึ้นตา - **แหล่งผลิต:** ประเทศไทย 5. **VisiVite AREDS2 Formula** - **คุณสมบัติ:** เป็นสูตรที่ออกแบบตามการศึกษาของ AREDS2 ประกอบด้วยลูทีน ซีแซนทีน วิตามินซี วิตามินอี และสังกะสี ช่วยบำรุงและป้องกันจอประสาทตาเสื่อม - **แหล่งผลิต:** สหรัฐอเมริกา การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารบำรุงสายตาควรทำภายใต้คำแนะนำของแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการของร่างกายและปลอดภัยสำหรับคุณ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 545 มุมมอง 0 รีวิว
  • กระทรวงอุตสาหกรรมของเกิาหลีใต้ สั่งห้ามเจ้าหน้าที่เข้าถึงแอปพลิเคชันแชทบอทเอไอสัญชาติจีน 'DeepSeek' สืบเนื่องจากความกังวลด้านความปลอดภัย จากการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่ของกระทรวงฯรายหนึ่ง ในขณะที่รัฐบาลเตือนให้ระมัดระวังเกี่ยวกับการใช้ Generative AI ในการทำงาน
    .
    พวกเจ้าหน้าที่เปิดเผยว่ารัฐบาลได้ออกประกาศในวันอังคาร(4ก.พ.) เรียกร้องให้กระทรวงต่างๆและหน่วยงานทั้งหลาย ให้ดำเนินการอย่างระมัดระวังเกี่ยวกับการใช้บริการไอเอ ในนั้นรวมถึง DeepSeek และ ChatGPT ในการทำงาน
    .
    โคเรีย ไฮโดร แอนด์ นิวเคลียร์ พาวเวอร์ บริษัทที่บริหารงานโดยภาครัฐ ระบุว่าพวกเขาได้ห้ามใช้บริการ AI ในนั้้นรวมถึง DeepSeek มาตั้งแต่ต้นเดือนแล้ว ส่วนกระทรวงการต่างประเทศบอกว่าได้จำกัดการเข้าถึง DeepSeek ในคอมพิวเตอร์ต่างๆที่เชื่อมต่อกับเครือข่ายภายนอก ตามรายงานของสำนักข่าวยอนฮับ อย่างไรก็ตามทางกระทรวงฯแห่งนี้บอกว่าไม่สามารถยืนยันอย่างเจาะจงเกี่ยวกับมาตรการด้านความมั่นคงที่นำมาใช้
    .
    ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ ทำให้เกาหลีใต้กลายเป็นรัฐบาลล่าสุดที่ส่งเสียงเตือนเกี่ยวกับ DeepSeek ก่อนหน้านี้เมื่อเดือนที่แล้ว ทิม ชาลเมอร์ส รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของออสเตรเลีย เรียกร้องให้ชาวออสเตรเลียระมัดระวังยามที่ใช้เอไอของจีน ในขณะที่พวกเจ้าหน้าที่สหรัฐฯกำลังตรวจสอบนัยด้านความมั่นคงของ DeepSeek เช่นกัน
    .
    รายงานข่าวระบุว่าหน่วยงานเฝ้าระวังความเป็นส่วนตัวของข้อมูลแห่งเกาหลีใต้ มีแผนสอบถามไปยัง DeepSeek เกี่ยวกับแนวทางบริหารจัดการข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้
    .
    DeepSeek สตาร์ทอัพด้านปัญญาประดิษฐ์สัญชาติจีน เปิดตัวโมเดลเอไอใหม่ล่าสุดของบริษัท เมื่อเดือนที่แล้ว ความเคลื่อนไหวดังกล่าวก่อคลื่นความช็อคไปทั่วโลกเทคโนโลยี เนื่องจากบริษัทแห่งนี้อ้างว่าโมเดลของพวกเขานั้นมีประสิทธิภาพเทียบเท่าหรือดีกว่าโมเดลที่พัฒนาในสหรัฐฯ แต่ใช้ต้นทุนต่ำกว่ามาก
    .
    Kakao Corp กลุ่มบริษัทอินเตอร์เน็ตของเกาหลีใต้ ได้แจ้งกับพนักงานให้ละเว้นไว้ซึ่งการใช้งาน DeepSeek สืบเนื่องจากความกังวลด้านความมั่นคง จากการเปิดเผยของโฆษกบริษัทในวันพุธ(5ก.พ.) หนึ่งวันหลังจากบริษัทแห่งนี้แถลจับมือกับเป็นพันธมิตรกับยักณ์ใหญ่ด้านปัญญาประดิษฐ์ OpenAI
    .
    เวลานี้บรรดาบริษัทเทคโนโลยีของเกาหลีใต้ ต่างระมัดระวังมากขึ้นเกี่ยวกับการใช้ Generative AI ในนั้นรวมถึง SK Hynix ผู้ผลิตชิปเอไอ ที่จำกัดการเข้าถึงบริการ Generative AI และอนุญาตให้ใช้งานอย่างจำกัดยามที่มีความจำเป็นจริงๆเท่านั้น
    .
    ส่วน Naver ยักษ์ใหญ่อินเตอร์เน็ตอีกราย เผยว่าได้ร้องขอให้พนักงานอย่าใช้บริการ Generative AI ที่จัดเก็บข้อมูลนอกบริษัท
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000011935
    ..............
    Sondhi X
    กระทรวงอุตสาหกรรมของเกิาหลีใต้ สั่งห้ามเจ้าหน้าที่เข้าถึงแอปพลิเคชันแชทบอทเอไอสัญชาติจีน 'DeepSeek' สืบเนื่องจากความกังวลด้านความปลอดภัย จากการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่ของกระทรวงฯรายหนึ่ง ในขณะที่รัฐบาลเตือนให้ระมัดระวังเกี่ยวกับการใช้ Generative AI ในการทำงาน . พวกเจ้าหน้าที่เปิดเผยว่ารัฐบาลได้ออกประกาศในวันอังคาร(4ก.พ.) เรียกร้องให้กระทรวงต่างๆและหน่วยงานทั้งหลาย ให้ดำเนินการอย่างระมัดระวังเกี่ยวกับการใช้บริการไอเอ ในนั้นรวมถึง DeepSeek และ ChatGPT ในการทำงาน . โคเรีย ไฮโดร แอนด์ นิวเคลียร์ พาวเวอร์ บริษัทที่บริหารงานโดยภาครัฐ ระบุว่าพวกเขาได้ห้ามใช้บริการ AI ในนั้้นรวมถึง DeepSeek มาตั้งแต่ต้นเดือนแล้ว ส่วนกระทรวงการต่างประเทศบอกว่าได้จำกัดการเข้าถึง DeepSeek ในคอมพิวเตอร์ต่างๆที่เชื่อมต่อกับเครือข่ายภายนอก ตามรายงานของสำนักข่าวยอนฮับ อย่างไรก็ตามทางกระทรวงฯแห่งนี้บอกว่าไม่สามารถยืนยันอย่างเจาะจงเกี่ยวกับมาตรการด้านความมั่นคงที่นำมาใช้ . ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ ทำให้เกาหลีใต้กลายเป็นรัฐบาลล่าสุดที่ส่งเสียงเตือนเกี่ยวกับ DeepSeek ก่อนหน้านี้เมื่อเดือนที่แล้ว ทิม ชาลเมอร์ส รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของออสเตรเลีย เรียกร้องให้ชาวออสเตรเลียระมัดระวังยามที่ใช้เอไอของจีน ในขณะที่พวกเจ้าหน้าที่สหรัฐฯกำลังตรวจสอบนัยด้านความมั่นคงของ DeepSeek เช่นกัน . รายงานข่าวระบุว่าหน่วยงานเฝ้าระวังความเป็นส่วนตัวของข้อมูลแห่งเกาหลีใต้ มีแผนสอบถามไปยัง DeepSeek เกี่ยวกับแนวทางบริหารจัดการข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้ . DeepSeek สตาร์ทอัพด้านปัญญาประดิษฐ์สัญชาติจีน เปิดตัวโมเดลเอไอใหม่ล่าสุดของบริษัท เมื่อเดือนที่แล้ว ความเคลื่อนไหวดังกล่าวก่อคลื่นความช็อคไปทั่วโลกเทคโนโลยี เนื่องจากบริษัทแห่งนี้อ้างว่าโมเดลของพวกเขานั้นมีประสิทธิภาพเทียบเท่าหรือดีกว่าโมเดลที่พัฒนาในสหรัฐฯ แต่ใช้ต้นทุนต่ำกว่ามาก . Kakao Corp กลุ่มบริษัทอินเตอร์เน็ตของเกาหลีใต้ ได้แจ้งกับพนักงานให้ละเว้นไว้ซึ่งการใช้งาน DeepSeek สืบเนื่องจากความกังวลด้านความมั่นคง จากการเปิดเผยของโฆษกบริษัทในวันพุธ(5ก.พ.) หนึ่งวันหลังจากบริษัทแห่งนี้แถลจับมือกับเป็นพันธมิตรกับยักณ์ใหญ่ด้านปัญญาประดิษฐ์ OpenAI . เวลานี้บรรดาบริษัทเทคโนโลยีของเกาหลีใต้ ต่างระมัดระวังมากขึ้นเกี่ยวกับการใช้ Generative AI ในนั้นรวมถึง SK Hynix ผู้ผลิตชิปเอไอ ที่จำกัดการเข้าถึงบริการ Generative AI และอนุญาตให้ใช้งานอย่างจำกัดยามที่มีความจำเป็นจริงๆเท่านั้น . ส่วน Naver ยักษ์ใหญ่อินเตอร์เน็ตอีกราย เผยว่าได้ร้องขอให้พนักงานอย่าใช้บริการ Generative AI ที่จัดเก็บข้อมูลนอกบริษัท . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000011935 .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    Love
    Sad
    20
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2279 มุมมอง 1 รีวิว
Pages Boosts