• แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3 ตอนที่ 12
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3”
    ตอนที่ 12

    ปัจจัยสุดท้าย ที่จะตามประเมินกันคือ เรื่องกองกำลัง ซึ่งมีทั้งในระบบและนอกระบบ

    สำหรับกองกำลังในระบบ เป็นเรื่องที่ประเมินยาก เนื่องจากความแตกต่างทางข้อมูลของของแต่ละแหล่งที่มา ซึ่งแน่นอน มีทั้งการซ่อนตัวเลขไม่ให้อีกฝ่ายรู้ความจริง หรือแต่งให้ดูดีกว่าเป็นจริง จึงเป็นเรื่องที่ยากจะยืนยัน ตัวเลขที่จะนำมาแสดงต่อไปนี้ ผมได้มาจากหลายแหล่ง มีทั้งเวบด้านทหาร และข้อมูลที่มีผู้รู้ทางด้านนี้ส่งมาให้ ผมใช้ตัวเลขที่ประเมินจากทุกแหล่งข้อมูลที่ได้ มาเปรียบเทียบ และ ประมาณความเป็นไปได้นะครับ

    ฝ่ายอเมริกา 5 อันดับแรก

    – อเมริกา มีประมาณ 2.2 ล้านนาย
    – เกาหลีใต้ มีประมาณ 1 ล้านนาย
    – อังกฤษ มีประมาณ 4 แสนนาย
    – ฝรั่งเศษ มีประมาณ 4 แสนนาย
    – ออสเตรเลีย มีประมาณ 3.5 แสนนาย
    – ที่เหลือรวมๆกันของพันธมิตร มีประมาณ 2 ล้านนาย
    รวมทั้งหมดประมาณ 7 ล้านนาย

    ส่วนกองกำลังในระบบ ของฝ่ายรัสเซีย 5 อันดับแรก

    – จีน มีประมาณ 4.3 ล้านนาย
    – รัสเซีย มีประมาณ 3.2 ล้านนาย
    – อินเดีย มีประมาณ 3.4 ล้านนาย
    – เกาหลีเหนือ มีประมาณ 2 ล้านนาย
    – อิหร่าน มีประมาณ 3 ล้านนาย
    – ที่เหลือรวมๆกันของพันธมิตร มีประมาณ 2 ล้านนาย
    รวมทั้งหมดประมาณ 18 ล้านนาย

    สรุป กองกำลังในระบบ หรือประจำกองทัพ ระหว่างฝ่ายอเมริกากับฝ่ายรัสเซีย อัตราส่วนประมาณ 1: 2.5 ฝ่ายรัสเซียมีมากกว่าฝ่ายอเมริกากว่าเท่าครึ่ง

    คงพอเห็นแล้วว่า มีจำนวนพันธมิตรมาก ก็เรื่องหนึ่ง แต่เวลาทำสงคราม จำนวนนักรบ อาจสำคัญกว่าเพื่อนที่เป็นภาระรุงรังนะครับ

    เกี่ยวกับเรื่องกองกำลังนั้น อเมริกาเลิกระบบทหารเกณฑ์ไปแล้ว มีแต่ทหารสมัคร ขณะที่รัสเซีย จีน เกาหลีเหนือ และ อิหร่าน ยังมีระบบทหารเกณฑ์ตามกฏหมายอยู่ ซึ่งจะทำให้ทั้ง 4 ประเทศ สามารถเรียกทหารสำรอง และทหารเกณฑ์ได้อีกหลายสิบล้านนาย

    ยังมีตัวแปรที่มีกองกำลังขนาดใหญ่ ที่ผมไม่ได้ใส่ไป 2 ประเทศ คือ บราซิล และตุรกี บราซิล นั้น อยู่ระหว่างจะเป็นกลาง หรือเข้ากับฝ่ายรัสเซีย มีกองกำลังประมาณ 4 แสนคน ส่วนตุรกีนั้น ด้วยความเป็นนก 2 หัว ชอบเล่นเกมเสียว ตุรกียังเล่นเสียวต่อ ไม่ตัดสินใจ มีกองกำลังประมาณ 6 แสนคน

    สำหรับไทยแลนด์ แดนสมันน้อยนั้น ผมไม่ได้เอามาใส่อยู่ฝ่ายใดเลย เพราะไม่สามารถคาดเดาความลึกซึ้งยาวไกลในวิสัยทัศน์ของท่านผู้นำได้ ไม่แตะดีกว่าครับ ได้แต่แอบหวังว่า พระสยามเทวาธิราชท่านคงดลใจให้ไปถูกทาง เพื่อให้สมันน้อยรอดพ้นจากอันตราย

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    5 ธค. 2557
    แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3 ตอนที่ 12 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3” ตอนที่ 12 ปัจจัยสุดท้าย ที่จะตามประเมินกันคือ เรื่องกองกำลัง ซึ่งมีทั้งในระบบและนอกระบบ สำหรับกองกำลังในระบบ เป็นเรื่องที่ประเมินยาก เนื่องจากความแตกต่างทางข้อมูลของของแต่ละแหล่งที่มา ซึ่งแน่นอน มีทั้งการซ่อนตัวเลขไม่ให้อีกฝ่ายรู้ความจริง หรือแต่งให้ดูดีกว่าเป็นจริง จึงเป็นเรื่องที่ยากจะยืนยัน ตัวเลขที่จะนำมาแสดงต่อไปนี้ ผมได้มาจากหลายแหล่ง มีทั้งเวบด้านทหาร และข้อมูลที่มีผู้รู้ทางด้านนี้ส่งมาให้ ผมใช้ตัวเลขที่ประเมินจากทุกแหล่งข้อมูลที่ได้ มาเปรียบเทียบ และ ประมาณความเป็นไปได้นะครับ ฝ่ายอเมริกา 5 อันดับแรก – อเมริกา มีประมาณ 2.2 ล้านนาย – เกาหลีใต้ มีประมาณ 1 ล้านนาย – อังกฤษ มีประมาณ 4 แสนนาย – ฝรั่งเศษ มีประมาณ 4 แสนนาย – ออสเตรเลีย มีประมาณ 3.5 แสนนาย – ที่เหลือรวมๆกันของพันธมิตร มีประมาณ 2 ล้านนาย รวมทั้งหมดประมาณ 7 ล้านนาย ส่วนกองกำลังในระบบ ของฝ่ายรัสเซีย 5 อันดับแรก – จีน มีประมาณ 4.3 ล้านนาย – รัสเซีย มีประมาณ 3.2 ล้านนาย – อินเดีย มีประมาณ 3.4 ล้านนาย – เกาหลีเหนือ มีประมาณ 2 ล้านนาย – อิหร่าน มีประมาณ 3 ล้านนาย – ที่เหลือรวมๆกันของพันธมิตร มีประมาณ 2 ล้านนาย รวมทั้งหมดประมาณ 18 ล้านนาย สรุป กองกำลังในระบบ หรือประจำกองทัพ ระหว่างฝ่ายอเมริกากับฝ่ายรัสเซีย อัตราส่วนประมาณ 1: 2.5 ฝ่ายรัสเซียมีมากกว่าฝ่ายอเมริกากว่าเท่าครึ่ง คงพอเห็นแล้วว่า มีจำนวนพันธมิตรมาก ก็เรื่องหนึ่ง แต่เวลาทำสงคราม จำนวนนักรบ อาจสำคัญกว่าเพื่อนที่เป็นภาระรุงรังนะครับ เกี่ยวกับเรื่องกองกำลังนั้น อเมริกาเลิกระบบทหารเกณฑ์ไปแล้ว มีแต่ทหารสมัคร ขณะที่รัสเซีย จีน เกาหลีเหนือ และ อิหร่าน ยังมีระบบทหารเกณฑ์ตามกฏหมายอยู่ ซึ่งจะทำให้ทั้ง 4 ประเทศ สามารถเรียกทหารสำรอง และทหารเกณฑ์ได้อีกหลายสิบล้านนาย ยังมีตัวแปรที่มีกองกำลังขนาดใหญ่ ที่ผมไม่ได้ใส่ไป 2 ประเทศ คือ บราซิล และตุรกี บราซิล นั้น อยู่ระหว่างจะเป็นกลาง หรือเข้ากับฝ่ายรัสเซีย มีกองกำลังประมาณ 4 แสนคน ส่วนตุรกีนั้น ด้วยความเป็นนก 2 หัว ชอบเล่นเกมเสียว ตุรกียังเล่นเสียวต่อ ไม่ตัดสินใจ มีกองกำลังประมาณ 6 แสนคน สำหรับไทยแลนด์ แดนสมันน้อยนั้น ผมไม่ได้เอามาใส่อยู่ฝ่ายใดเลย เพราะไม่สามารถคาดเดาความลึกซึ้งยาวไกลในวิสัยทัศน์ของท่านผู้นำได้ ไม่แตะดีกว่าครับ ได้แต่แอบหวังว่า พระสยามเทวาธิราชท่านคงดลใจให้ไปถูกทาง เพื่อให้สมันน้อยรอดพ้นจากอันตราย สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 5 ธค. 2557
    0 Comments 0 Shares 84 Views 0 Reviews
  • แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3 ตอนที่ 9
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3”
    ตอนที่ 9

    ลองมาไล่เรียงดูพันธมิตรของแต่ละฝ่าย ว่ามีใคร ฝีไม้ลายมือขนาดไหนกันบ้าง

    ฝ่ายอเมริกา
    – กลุ่ม Anglo Saxon นำโดย อังกฤษ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และแคนาดา
    – กลุ่มตะวันออกกลาง นำโดย พวกเสี่ยน้ำมันค่ายซาอุดิอารเบีย มี ซาอุดิ อารเบีย, อาหรับอามิเรต, บาห์เรน, คูเวต, การ์ต้า, จอร์แดน , อิรัก (น่าสงสัย) และ ตุรกี (ซึ่งแม้จะอยู่นอกกลุ่มพวกเสี่ย แต่ก็ถือว่าเป็นลูกหาบอเมริกา แต่ระยะหลังพฤติกรรมน่าสงสัย) และอิสราเอลตัวแสบ
    – กลุ่มยุโรป หมดทั้งทวีป รักกันมากน้อยนั้นอีกเรื่องหนึ่ง มี NATOเป็นผู้คุมฝูง
    – กลุ่มเอเซีย มีญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฟิลิปปินส์ เวียตนาม ลาว เขมร พม่า (น่าสงสัย) ปากีสถาน อาฟกานิสถาน
    – กลุ่มอาฟริกา มี อิยิปต์เป็นตัวหลัก
    – กลุ่มลาตินอเมริกา ยังมองไม่เห็นตัวหลัก

    ฝ่ายรัสเซีย
    – กลุ่มเอเซีย มี จีน เกาหลีเหนือ อินเดีย พม่า และกลุ่มเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ (Shanghai Co-Operation)
    – กลุ่มยุโรป ที่เปิดเผยยังไม่มี
    – กลุ่มตะวันออกกลาง มีอิหร่าน ซีเรีย และเลบานอน
    – กลุ่มอาฟริกา ยังไม่ยอมเปิดเผยตัว
    – กลุ่มลาติน มีบราซิล และคิวบา

    เห็นได้ชัดว่าในด้านปริมาณ ฝ่ายอเมริกามีมากกว่าฝ่ายรัสเซีย จนฝ่ายรัสเซียน่าจะถอดใจ แต่ถ้าลองมาไล่เรียงด้านศักยภาพของเหล่าพันธมิตรของแต่ละฝ่ายดูบ้าง ว่าใครเป็นมวยประเภทไม้ประดับ หรือใครเป็นมวยประเภทหมัดหนักแบบท่อนซุง

    ฝ่ายอเมริกา

    หมัดหนักที่สุดคืออิสราเอล มีความพร้อมทั้งด้านกองกำลังอาวุธ ส่วนหมัดรองมี ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ฝรั่งเศษ สวีเดน และซาอุดิ ที่มีกองกำลังใกล้เคียงกัน และอาวุธไม่น้อยหน้ากัน ส่วนแถบเอเซีย ที่พอใช้การได้มี เกาหลี ฟิลิปปินส์ เวียตนาม และญี่ปุ่น แต่เป็นพวกหมัดเบา

    สรุปพันธมิตรที่อเมริกาจะพึ่งได้จริงๆมี 9 ประเทศ เป็นรุ่นหมัดหนักแค่ 1 เดียว !

    ฝ่ายรัสเซีย
    รุ่นใหญ่หมัดหนักมีเพียบ คือ จีน อินเดีย บราซิล เกาหลีเหนือ (แม้จะเป็นประเทศเล็ก แต่แรงและเผ็ดจัด) อิหร่าน เลบานอน และม้ามืดคือคิวบา
    รุ่นกลางมีซีเรีย (และอาจจะพ่วงเอาตุรกีและอิรัก เข้ามาด้วย ต้องดูอีกสักระยะหนึ่ง) และพม่า มี 9 ประเทศเท่ากัน เป็นรุ่นหมัดหนักเสีย 7 ประเทศ !

    สำหรับเลบานอน เป็นหมากสำคัญอีกตัวหนึ่ง หลายท่านอาจจะไม่รู้ จากการที่เลบานอน เป็นเจ้าของกองกำลัง Hezbollah ซึ่ง มีศักยภาพสูง และมีวินัยสูงครอบครองบริเวณที่สามารถก่อการอันตรายให้กับอิสราเอลอย่างยิ่ง ทำให้เลบานอนเป็นประเทศที่อเมริกาพยายามซื้อ ถ้าซื้อไม่ได้ก็ต้องทำลาย ขณะเดียวกัน อิหร่านก็ทุ่มสุดตัวเช่นเดียวกัน ในการส่งเสียเลี้ยงดูพวก Hezbollah ดังนั้น ถ้าเลบานอนสามารถทำให้อิสราเอลเหนื่อยได้ อเมริกาก็เซได้

    สรุป เรื่องพันธมิตร

    ฝ่ายอเมริกา แม้จะมีจำนวนมากกว่า ดูเผินๆ ฟังแต่ข่าวย้อมสี มันน่าคึกคัก ว่าโลกทั้งใบอยู่ฝ่ายอเมริกาทั้งนั้น แต่ดูเหมือนจะเป็นพวกที่จำเป็นจะต้องอยู่กับอเมริกา เพราะมีเชือกผูกหรือถูกต้อนเข้าคอกไม่น้อย แบบนี้เวลาจะไปรบน่ะ ถามจริงๆ เขาจะไปตายแทนให้หรือ แถมจะเป็นภาระให้อเมริกาต้องมาดูแล เพราะกองกำลังของตัวเองก็มีไม่พอแม้จะดูแลตัวเอง จะเอาที่ไหนไปช่วยลูกพี่ มีแต่กำลังปาก ถึงตอนเข้าฉากรบจริง อเมริกาอาจบอกตัวใครตัวมันนะพวก

    ส่วน ฝ่ายรัสเซีย เห็นแล้วเหมือนจำนวนน้อยจนน่าใจหาย แต่ดูศักยภาพแล้ว ไม่น่าต้องอธิบายมาก เป็นพวกถูกอเมริกาไล่บี้ เสียจนแทบไม่มีที่ยืนแทบทั้งนั้น ตั้งแต่ตัวหัวหน้าเอง แบบนี้มีอะไรจะต้องเสีย ไม่รบต่างหาก อาจจะเสียจนไม่มีที่ยืน แล้วการรบด้วยความคับแค้น ความฮึด และความอึด มันเป็นอย่างไร นึกถึงภาพเด็กแสบเกาหลีกับอิหร่านเสี่ยนิวเคลียร์ ก็น่าจะพอเห็นภาพกันออก ไม่ต้องบรรยายมากนะครับ

    ตกลงฝ่ายอเมริกา ที่ว่าพวกมาก เกรงจะเป็นประเภทพวกมาก ลากลงเหวเสียมากกว่า แบบนี้ ฝ่ายรัสเซีย กลุ่มเล็กแต่เหนียวและหนัก น่าจะดีกว่า

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    4 ธค. 2557
    แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3 ตอนที่ 9 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3” ตอนที่ 9 ลองมาไล่เรียงดูพันธมิตรของแต่ละฝ่าย ว่ามีใคร ฝีไม้ลายมือขนาดไหนกันบ้าง ฝ่ายอเมริกา – กลุ่ม Anglo Saxon นำโดย อังกฤษ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และแคนาดา – กลุ่มตะวันออกกลาง นำโดย พวกเสี่ยน้ำมันค่ายซาอุดิอารเบีย มี ซาอุดิ อารเบีย, อาหรับอามิเรต, บาห์เรน, คูเวต, การ์ต้า, จอร์แดน , อิรัก (น่าสงสัย) และ ตุรกี (ซึ่งแม้จะอยู่นอกกลุ่มพวกเสี่ย แต่ก็ถือว่าเป็นลูกหาบอเมริกา แต่ระยะหลังพฤติกรรมน่าสงสัย) และอิสราเอลตัวแสบ – กลุ่มยุโรป หมดทั้งทวีป รักกันมากน้อยนั้นอีกเรื่องหนึ่ง มี NATOเป็นผู้คุมฝูง – กลุ่มเอเซีย มีญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฟิลิปปินส์ เวียตนาม ลาว เขมร พม่า (น่าสงสัย) ปากีสถาน อาฟกานิสถาน – กลุ่มอาฟริกา มี อิยิปต์เป็นตัวหลัก – กลุ่มลาตินอเมริกา ยังมองไม่เห็นตัวหลัก ฝ่ายรัสเซีย – กลุ่มเอเซีย มี จีน เกาหลีเหนือ อินเดีย พม่า และกลุ่มเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ (Shanghai Co-Operation) – กลุ่มยุโรป ที่เปิดเผยยังไม่มี – กลุ่มตะวันออกกลาง มีอิหร่าน ซีเรีย และเลบานอน – กลุ่มอาฟริกา ยังไม่ยอมเปิดเผยตัว – กลุ่มลาติน มีบราซิล และคิวบา เห็นได้ชัดว่าในด้านปริมาณ ฝ่ายอเมริกามีมากกว่าฝ่ายรัสเซีย จนฝ่ายรัสเซียน่าจะถอดใจ แต่ถ้าลองมาไล่เรียงด้านศักยภาพของเหล่าพันธมิตรของแต่ละฝ่ายดูบ้าง ว่าใครเป็นมวยประเภทไม้ประดับ หรือใครเป็นมวยประเภทหมัดหนักแบบท่อนซุง ฝ่ายอเมริกา หมัดหนักที่สุดคืออิสราเอล มีความพร้อมทั้งด้านกองกำลังอาวุธ ส่วนหมัดรองมี ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ฝรั่งเศษ สวีเดน และซาอุดิ ที่มีกองกำลังใกล้เคียงกัน และอาวุธไม่น้อยหน้ากัน ส่วนแถบเอเซีย ที่พอใช้การได้มี เกาหลี ฟิลิปปินส์ เวียตนาม และญี่ปุ่น แต่เป็นพวกหมัดเบา สรุปพันธมิตรที่อเมริกาจะพึ่งได้จริงๆมี 9 ประเทศ เป็นรุ่นหมัดหนักแค่ 1 เดียว ! ฝ่ายรัสเซีย รุ่นใหญ่หมัดหนักมีเพียบ คือ จีน อินเดีย บราซิล เกาหลีเหนือ (แม้จะเป็นประเทศเล็ก แต่แรงและเผ็ดจัด) อิหร่าน เลบานอน และม้ามืดคือคิวบา รุ่นกลางมีซีเรีย (และอาจจะพ่วงเอาตุรกีและอิรัก เข้ามาด้วย ต้องดูอีกสักระยะหนึ่ง) และพม่า มี 9 ประเทศเท่ากัน เป็นรุ่นหมัดหนักเสีย 7 ประเทศ ! สำหรับเลบานอน เป็นหมากสำคัญอีกตัวหนึ่ง หลายท่านอาจจะไม่รู้ จากการที่เลบานอน เป็นเจ้าของกองกำลัง Hezbollah ซึ่ง มีศักยภาพสูง และมีวินัยสูงครอบครองบริเวณที่สามารถก่อการอันตรายให้กับอิสราเอลอย่างยิ่ง ทำให้เลบานอนเป็นประเทศที่อเมริกาพยายามซื้อ ถ้าซื้อไม่ได้ก็ต้องทำลาย ขณะเดียวกัน อิหร่านก็ทุ่มสุดตัวเช่นเดียวกัน ในการส่งเสียเลี้ยงดูพวก Hezbollah ดังนั้น ถ้าเลบานอนสามารถทำให้อิสราเอลเหนื่อยได้ อเมริกาก็เซได้ สรุป เรื่องพันธมิตร ฝ่ายอเมริกา แม้จะมีจำนวนมากกว่า ดูเผินๆ ฟังแต่ข่าวย้อมสี มันน่าคึกคัก ว่าโลกทั้งใบอยู่ฝ่ายอเมริกาทั้งนั้น แต่ดูเหมือนจะเป็นพวกที่จำเป็นจะต้องอยู่กับอเมริกา เพราะมีเชือกผูกหรือถูกต้อนเข้าคอกไม่น้อย แบบนี้เวลาจะไปรบน่ะ ถามจริงๆ เขาจะไปตายแทนให้หรือ แถมจะเป็นภาระให้อเมริกาต้องมาดูแล เพราะกองกำลังของตัวเองก็มีไม่พอแม้จะดูแลตัวเอง จะเอาที่ไหนไปช่วยลูกพี่ มีแต่กำลังปาก ถึงตอนเข้าฉากรบจริง อเมริกาอาจบอกตัวใครตัวมันนะพวก ส่วน ฝ่ายรัสเซีย เห็นแล้วเหมือนจำนวนน้อยจนน่าใจหาย แต่ดูศักยภาพแล้ว ไม่น่าต้องอธิบายมาก เป็นพวกถูกอเมริกาไล่บี้ เสียจนแทบไม่มีที่ยืนแทบทั้งนั้น ตั้งแต่ตัวหัวหน้าเอง แบบนี้มีอะไรจะต้องเสีย ไม่รบต่างหาก อาจจะเสียจนไม่มีที่ยืน แล้วการรบด้วยความคับแค้น ความฮึด และความอึด มันเป็นอย่างไร นึกถึงภาพเด็กแสบเกาหลีกับอิหร่านเสี่ยนิวเคลียร์ ก็น่าจะพอเห็นภาพกันออก ไม่ต้องบรรยายมากนะครับ ตกลงฝ่ายอเมริกา ที่ว่าพวกมาก เกรงจะเป็นประเภทพวกมาก ลากลงเหวเสียมากกว่า แบบนี้ ฝ่ายรัสเซีย กลุ่มเล็กแต่เหนียวและหนัก น่าจะดีกว่า สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 4 ธค. 2557
    0 Comments 0 Shares 132 Views 0 Reviews
  • แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3 ตอนที่ 8
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3”
    ตอนที่ 8

    ในการทำสงคราม สิ่งสำคัญที่จะตัดสินแพ้ชนะกันคือ ยุทธศาสตร์ของแต่ละฝ่าย ซึ่งเราคงไม่สามารถจะไปรู้ได้ แต่ในการวางยุทธศาสตร์ มันก็คล้ายกับการเขียนบทละครและกำกับการแสดง ซึ่งจะต้องคำนึงถึงปัจจัยที่เกี่ ยวข้อง เช่น ความสามารถของตัวละคร ฉากประกอบ งบประมาณ และองค์ประกอบอื่นๆ ที่จะเอามาใช้ในการแสดงว่า ปัจจัยที่มีอยู่เหมาะสมกับการวางยุทธศาสตร์นั้นๆแค่ไหน ยุทธศาสตร์จะดีเลิศอย่างไร แต่ถ้าปัจจัยมันไม่เอื้อ มันก็ไม่แน่ว่าจะชนะใส หรืออาจจะชนะ แต่แบบหืดขึ้นคอก็เป็นได้

    สำหรับคู่ชิงสงครามโลกครั้งที่ 3 ที่เปิดหน้าเปิดตัวกันชัดเจนแล้วคือ อเมริกากับพวกฝ่ายหนึ่งและ รัสเซียกับพวก อีกฝ่ายหนึ่ง

    แม้เราจะไม่รู้ยุทธศาสตร์ หรือรู้ว่าบทละครชิงโลกของแต่ละฝ่าย ว่าจะเดินกันอย่างไร แต่มันก็พอมีหลายปัจจัยของแต่ละฝ่าย ที่เป็นส่วนสำคัญที่ฝ่ายวางยุทธศาสตร์เขาก็ต้องนำมาพิจารณา และเราก็น่าจะพอตามดูและประเมินได้ระดับหนึ่ง คือ

    – พันธมิตร
    – สภาพเศรษฐกิจ
    – กำลังอาวุธยุโธปกรณ์ ทั้งด้าน hardware และ software
    – กำลังพล ทั้งในระบบ และนอกระบบ

    สำหรับปัจจัยเกี่ยวกับพันธมิตร ตั้งแต่กลางปีเป็นต้นมา การแบ่งค่าย แบ่งข้าง โดยความสมัครใจ หรือโดยการหักแขนล๊อกคอก็ตาม ต่างทำกันอย่างชัดเจน แทบไม่เหลือให้เดามาก แต่ละฝายคงคาดการณ์รู้กันเองแล้วว่า เวลาออกโรงแสดงฉากใหญ่ น่าจะใกล้เข้ามาทุกที ถึงมีการแจกบทให้แสดงกันอย่างเปิดเผย

    ดูตัวอย่างเล็กๆน้อยๆจากการ ประชุม APEC เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน ค.ศ.2014 ที่แดนมังกร และการประชุม G20 ที่แดนจิงโจ้ ในกลางเดือนพฤศจิกายน ค.ศ.2014 นี่ก็แล้วกันเป็นการแสดงที่เห็นชัด ถึงการแบ่งพวกของ คู่ชิงศึกสงครามโลกชัดเจนดี
    ที่แดนมังกร ตัวละครเอก ผู้นำของแต่ละฝ่าย นายโอบามาและนายปูติน มีการเผชิญหน้ากันจังๆ แต่สื่อรายงานว่า นายโอบามา พยายามเลี่ยงนายปูตินอย่างเห็นชัด เลี่ยงทำไม ทำให้มองไม่เห็นความองอาจผ่าเผยของผู้นำฝ่ายอเมริกา แถมหน้าตาท่าทางของท่านผู้นำอเมริกา ก็เหมือนคนไปกินยาผิดมา ทั้งหมอง ทั้งหม่น ราศรีพี่เบิ้มหมายเลขหนึ่งของโลก ไม่รู้หล่นไปไหนหมด

    ส่วนนายปูตินเดินอาดๆมาเข้าฉาก หลังจากแสดงบทสุภาพบุรุษคลุมไหล่คุณนายสีแล้ว ก็โดดมาเล่นบทตบไหล่ฝ่ายตรงข้าม เหมือนเป็นการทักทาย หรือท้าทาย ไม่แน่ใจ แต่นายโอบามาดันเอียงหลบ ยกแรกแสดงแบบนี้ นายปูตินก็น่าจะได้คะแนนนำ ส่วนนายโอบามา ถ้าพวกพันธมิตรลูกหาบ เห็นทั้ง โหงวเฮ้งและการแสดงเปิดตัวของลูกพี่แล้ว อาจเหนื่อยใจ แทน แทบไม่อยากไปเข้าฉากรบด้วย

    ส่วนมังกรเจ้าถิ่น ทำตัวเป็นเจ้าภาพที่ดูเหมือนกำลังดี แต่ตอนท้ายก็เปิดไต๋ แสดงตัวว่าเป็นคนรักเพื่อนแบบไม่กลัวถูกนินทา เวลาถ่ายรูปหมู่ จัดให้นายโอบามาไปยืนเสียไกลเกือบตกเฟรม ส่วนนายปูตินเอามายืนทำหน้าหล่ออยู่ติดกับเจ้าภาพ ให้มันรู้กันว่า คู่นี้เขารักจริง ไม่ทิ้งกันยามยาก

    ส่วนที่แดนจิงโจ้ ก็ตรงกันข้าม ทีใครทีมัน กลุ่มเจ้าภาพไม่เล่นบทลำเอียงเหมือนที่แดนมังกร มันไม่ถึงใจ แต่หยิบเอาบทผู้ดีรุมตีแขก (แถวบ้านผมเขาเรียกหมาหมู่ครับ) มา รับรองนายปูติน ไล่มาตั้งแต่เจ้าภาพ นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย นายกรัฐมนตรีอังกฤษ แต่เยี่ยมสุดน่าจะได้รางวัลจากอเมริกา คือนายกรัฐมนตรีแคนาดาที่บอกว่า ผมคงต้องจับมือกับคุณกระมัง ปูติน แต่จะให้ดีรัสเซียควรจะออกไปจากไปUkraine ได้แล้ว กลุ่ม Anglo Saxon ช่วยกันแจกคำด่ารัสเซียเป็นของชำร่วย เป็นการต้อน มากกว่ารับนายปูติน

    ขนาดสื่อเรียกการประชุมนี้ว่า G20-1 เหมือนไม่เห็นหัวรัสเซียว่าเป็นสมาชิกด้วย

    นายปูตินก็ใช่เล่นที่ไหน ไม่ไปเข้าประชุมตัวเปล่า หอบเอาเรือรบบรรทุกอาวุธนิวเคลียร์ไปด้วย 4 ลำ อ้างว่า มีข่าวกรองมา ว่าจะมีการต้อนรับจัดเต็มแบบพิเศษจากใครก็ไม่รู้ จริงไม่จริงไม่รู้ แต่เรื่องแบบนี้ประมาทไม่ได้ เอาชื่อไปทิ้งแถวแดนจิงโจ้คงไม่เท่ห์นัก ยังไม่ได้เริ่มเล่นบทพระเอกในสงครามชิงโลกกันเลย

    แต่ดูๆไปแล้ว เหมือนนายปูตินตั้งใจยียวน ก๊วน อเมริกากับพวกมากกว่า นายปูตินน่าจะกำลังส่งสัญญาณว่า ไม่ใช่แค่พร้อมสู้กับการรุมกินโต๊ะของอเมริกาและพวกเท่านั้นนะ เข้าใจไหม…!? มันเป็นการยกระดับการส่งสัญญาณของรัสเซีย !

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    3 ธค. 2557
    แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3 ตอนที่ 8 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3” ตอนที่ 8 ในการทำสงคราม สิ่งสำคัญที่จะตัดสินแพ้ชนะกันคือ ยุทธศาสตร์ของแต่ละฝ่าย ซึ่งเราคงไม่สามารถจะไปรู้ได้ แต่ในการวางยุทธศาสตร์ มันก็คล้ายกับการเขียนบทละครและกำกับการแสดง ซึ่งจะต้องคำนึงถึงปัจจัยที่เกี่ ยวข้อง เช่น ความสามารถของตัวละคร ฉากประกอบ งบประมาณ และองค์ประกอบอื่นๆ ที่จะเอามาใช้ในการแสดงว่า ปัจจัยที่มีอยู่เหมาะสมกับการวางยุทธศาสตร์นั้นๆแค่ไหน ยุทธศาสตร์จะดีเลิศอย่างไร แต่ถ้าปัจจัยมันไม่เอื้อ มันก็ไม่แน่ว่าจะชนะใส หรืออาจจะชนะ แต่แบบหืดขึ้นคอก็เป็นได้ สำหรับคู่ชิงสงครามโลกครั้งที่ 3 ที่เปิดหน้าเปิดตัวกันชัดเจนแล้วคือ อเมริกากับพวกฝ่ายหนึ่งและ รัสเซียกับพวก อีกฝ่ายหนึ่ง แม้เราจะไม่รู้ยุทธศาสตร์ หรือรู้ว่าบทละครชิงโลกของแต่ละฝ่าย ว่าจะเดินกันอย่างไร แต่มันก็พอมีหลายปัจจัยของแต่ละฝ่าย ที่เป็นส่วนสำคัญที่ฝ่ายวางยุทธศาสตร์เขาก็ต้องนำมาพิจารณา และเราก็น่าจะพอตามดูและประเมินได้ระดับหนึ่ง คือ – พันธมิตร – สภาพเศรษฐกิจ – กำลังอาวุธยุโธปกรณ์ ทั้งด้าน hardware และ software – กำลังพล ทั้งในระบบ และนอกระบบ สำหรับปัจจัยเกี่ยวกับพันธมิตร ตั้งแต่กลางปีเป็นต้นมา การแบ่งค่าย แบ่งข้าง โดยความสมัครใจ หรือโดยการหักแขนล๊อกคอก็ตาม ต่างทำกันอย่างชัดเจน แทบไม่เหลือให้เดามาก แต่ละฝายคงคาดการณ์รู้กันเองแล้วว่า เวลาออกโรงแสดงฉากใหญ่ น่าจะใกล้เข้ามาทุกที ถึงมีการแจกบทให้แสดงกันอย่างเปิดเผย ดูตัวอย่างเล็กๆน้อยๆจากการ ประชุม APEC เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน ค.ศ.2014 ที่แดนมังกร และการประชุม G20 ที่แดนจิงโจ้ ในกลางเดือนพฤศจิกายน ค.ศ.2014 นี่ก็แล้วกันเป็นการแสดงที่เห็นชัด ถึงการแบ่งพวกของ คู่ชิงศึกสงครามโลกชัดเจนดี ที่แดนมังกร ตัวละครเอก ผู้นำของแต่ละฝ่าย นายโอบามาและนายปูติน มีการเผชิญหน้ากันจังๆ แต่สื่อรายงานว่า นายโอบามา พยายามเลี่ยงนายปูตินอย่างเห็นชัด เลี่ยงทำไม ทำให้มองไม่เห็นความองอาจผ่าเผยของผู้นำฝ่ายอเมริกา แถมหน้าตาท่าทางของท่านผู้นำอเมริกา ก็เหมือนคนไปกินยาผิดมา ทั้งหมอง ทั้งหม่น ราศรีพี่เบิ้มหมายเลขหนึ่งของโลก ไม่รู้หล่นไปไหนหมด ส่วนนายปูตินเดินอาดๆมาเข้าฉาก หลังจากแสดงบทสุภาพบุรุษคลุมไหล่คุณนายสีแล้ว ก็โดดมาเล่นบทตบไหล่ฝ่ายตรงข้าม เหมือนเป็นการทักทาย หรือท้าทาย ไม่แน่ใจ แต่นายโอบามาดันเอียงหลบ ยกแรกแสดงแบบนี้ นายปูตินก็น่าจะได้คะแนนนำ ส่วนนายโอบามา ถ้าพวกพันธมิตรลูกหาบ เห็นทั้ง โหงวเฮ้งและการแสดงเปิดตัวของลูกพี่แล้ว อาจเหนื่อยใจ แทน แทบไม่อยากไปเข้าฉากรบด้วย ส่วนมังกรเจ้าถิ่น ทำตัวเป็นเจ้าภาพที่ดูเหมือนกำลังดี แต่ตอนท้ายก็เปิดไต๋ แสดงตัวว่าเป็นคนรักเพื่อนแบบไม่กลัวถูกนินทา เวลาถ่ายรูปหมู่ จัดให้นายโอบามาไปยืนเสียไกลเกือบตกเฟรม ส่วนนายปูตินเอามายืนทำหน้าหล่ออยู่ติดกับเจ้าภาพ ให้มันรู้กันว่า คู่นี้เขารักจริง ไม่ทิ้งกันยามยาก ส่วนที่แดนจิงโจ้ ก็ตรงกันข้าม ทีใครทีมัน กลุ่มเจ้าภาพไม่เล่นบทลำเอียงเหมือนที่แดนมังกร มันไม่ถึงใจ แต่หยิบเอาบทผู้ดีรุมตีแขก (แถวบ้านผมเขาเรียกหมาหมู่ครับ) มา รับรองนายปูติน ไล่มาตั้งแต่เจ้าภาพ นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย นายกรัฐมนตรีอังกฤษ แต่เยี่ยมสุดน่าจะได้รางวัลจากอเมริกา คือนายกรัฐมนตรีแคนาดาที่บอกว่า ผมคงต้องจับมือกับคุณกระมัง ปูติน แต่จะให้ดีรัสเซียควรจะออกไปจากไปUkraine ได้แล้ว กลุ่ม Anglo Saxon ช่วยกันแจกคำด่ารัสเซียเป็นของชำร่วย เป็นการต้อน มากกว่ารับนายปูติน ขนาดสื่อเรียกการประชุมนี้ว่า G20-1 เหมือนไม่เห็นหัวรัสเซียว่าเป็นสมาชิกด้วย นายปูตินก็ใช่เล่นที่ไหน ไม่ไปเข้าประชุมตัวเปล่า หอบเอาเรือรบบรรทุกอาวุธนิวเคลียร์ไปด้วย 4 ลำ อ้างว่า มีข่าวกรองมา ว่าจะมีการต้อนรับจัดเต็มแบบพิเศษจากใครก็ไม่รู้ จริงไม่จริงไม่รู้ แต่เรื่องแบบนี้ประมาทไม่ได้ เอาชื่อไปทิ้งแถวแดนจิงโจ้คงไม่เท่ห์นัก ยังไม่ได้เริ่มเล่นบทพระเอกในสงครามชิงโลกกันเลย แต่ดูๆไปแล้ว เหมือนนายปูตินตั้งใจยียวน ก๊วน อเมริกากับพวกมากกว่า นายปูตินน่าจะกำลังส่งสัญญาณว่า ไม่ใช่แค่พร้อมสู้กับการรุมกินโต๊ะของอเมริกาและพวกเท่านั้นนะ เข้าใจไหม…!? มันเป็นการยกระดับการส่งสัญญาณของรัสเซีย ! สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 3 ธค. 2557
    0 Comments 0 Shares 132 Views 0 Reviews
  • มาดูมวยปล้ำที่ออสเตรเลีย แบบ Super VIP(12/10/68) #news1 #ข่าววันนี้ #ข่าวดัง #Tiktokกีฬา #มวยปล้ำ
    มาดูมวยปล้ำที่ออสเตรเลีย แบบ Super VIP(12/10/68) #news1 #ข่าววันนี้ #ข่าวดัง #Tiktokกีฬา #มวยปล้ำ
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 279 Views 0 0 Reviews
  • “Voyager 1 เตรียมสร้างประวัติศาสตร์ — เป็นวัตถุจากมนุษย์ชิ้นแรกที่อยู่ห่างจากโลกหนึ่งวันแสงในพฤศจิกายน 2026”

    ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 5 กันยายน 1977 NASA ได้ส่งยาน Voyager 1 ขึ้นสู่อวกาศเพื่อศึกษาดาวเคราะห์รอบนอกของระบบสุริยะ โดยใช้เทคนิค “gravity assist” หรือการเหวี่ยงแรงโน้มถ่วงจากดาวเคราะห์เพื่อเพิ่มความเร็ว ซึ่งทำให้ยานสามารถเดินทางออกไปไกลกว่าที่เคยมีมา ปัจจุบัน Voyager 1 เคลื่อนที่ด้วยความเร็วประมาณ 38,000 ไมล์ต่อชั่วโมง และอยู่ห่างจากโลกประมาณ 15.67 พันล้านไมล์

    ในเดือนพฤศจิกายน 2026 ยาน Voyager 1 จะกลายเป็นวัตถุที่มนุษย์สร้างขึ้นชิ้นแรกที่อยู่ห่างจากโลก “หนึ่งวันแสง” หรือระยะทางที่แสงเดินทางในสุญญากาศเป็นเวลา 24 ชั่วโมง คิดเป็นประมาณ 16.09 พันล้านไมล์ ซึ่งหมายความว่า สัญญาณวิทยุจากโลกจะใช้เวลาทั้งวันในการเดินทางไปถึงยาน และอีกวันในการตอบกลับกลับมายังโลก

    แม้จะอยู่ไกลขนาดนั้น ยานยังคงส่งข้อมูลกลับมาได้ เช่น ข้อมูลสนามแม่เหล็ก รังสีคอสมิก และคลื่นพลาสมา ซึ่งช่วยให้นักวิทยาศาสตร์เข้าใจสภาพแวดล้อมในอวกาศระหว่างดาวได้ดีขึ้น โดยใช้เครือข่ายเสาอากาศ Deep Space Network ที่ตั้งอยู่ในสหรัฐฯ สเปน และออสเตรเลีย

    Voyager 1 เคยผ่านขอบเขตของระบบสุริยะที่เรียกว่า “heliopause” ในปี 2012 และเข้าสู่อวกาศระหว่างดาวอย่างเป็นทางการ โดยในอีก 300 ปีข้างหน้า มันจะเข้าสู่บริเวณใกล้ของ Oort Cloud และอาจใช้เวลาอีก 30,000 ปีในการผ่านออกไปทั้งหมด

    แม้พลังงานของยานจะลดลงเรื่อย ๆ และคาดว่าจะหยุดทำงานในปี 2030–2036 แต่ Voyager 1 จะยังคงล่องลอยต่อไปในอวกาศอย่างเงียบ ๆ โดยไม่มีใครควบคุม มุ่งหน้าไปยังกลุ่มดาว Ophiuchus และจะเข้าใกล้ดาวในกลุ่ม Ursa Minor ในปี ค.ศ. 40,272

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Voyager 1 จะอยู่ห่างจากโลกหนึ่งวันแสงในเดือนพฤศจิกายน 2026
    หนึ่งวันแสงเท่ากับประมาณ 16.09 พันล้านไมล์
    สัญญาณวิทยุใช้เวลา 24 ชั่วโมงในการเดินทางไปยังยาน และอีก 24 ชั่วโมงในการตอบกลับ
    ยานเคลื่อนที่ด้วยความเร็วประมาณ 38,000 ไมล์ต่อชั่วโมง
    เคยผ่าน heliopause และเข้าสู่อวกาศระหว่างดาวในปี 2012
    ปัจจุบันยังส่งข้อมูลวิทยาศาสตร์กลับมายังโลกได้
    ใช้เครือข่าย Deep Space Network ใน 3 ประเทศเพื่อรับสัญญาณ
    จะเข้าสู่ Oort Cloud ในอีก 300 ปี และใช้เวลาอีก 30,000 ปีในการผ่านออกไป
    คาดว่าจะหยุดทำงานในปี 2030–2036 เนื่องจากพลังงานหมด
    จะเข้าใกล้ดาวในกลุ่ม Ursa Minor ในปี 40,272

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Voyager 1 ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ RTG ที่แปลงความร้อนจากพลูโตเนียมเป็นไฟฟ้า
    ข้อมูลที่ส่งกลับมาช่วยปรับปรุงโมเดลของสภาพแวดล้อมระหว่างดาว
    Apollo 10 เคยทำความเร็วสูงสุดที่มนุษย์สร้างได้คือ 25,000 ไมล์ต่อชั่วโมง
    แสงจากดวงอาทิตย์ใช้เวลาเพียง 8 นาทีในการเดินทางมายังโลก
    Voyager 1 ยังบรรจุแผ่นทองคำ “Golden Record” ที่บันทึกเสียงและภาพจากโลกเพื่อสื่อสารกับสิ่งมีชีวิตต่างดาว

    https://www.slashgear.com/1984279/nasa-voyager-1-light-day-from-earth-november-2026/
    🚀 “Voyager 1 เตรียมสร้างประวัติศาสตร์ — เป็นวัตถุจากมนุษย์ชิ้นแรกที่อยู่ห่างจากโลกหนึ่งวันแสงในพฤศจิกายน 2026” ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 5 กันยายน 1977 NASA ได้ส่งยาน Voyager 1 ขึ้นสู่อวกาศเพื่อศึกษาดาวเคราะห์รอบนอกของระบบสุริยะ โดยใช้เทคนิค “gravity assist” หรือการเหวี่ยงแรงโน้มถ่วงจากดาวเคราะห์เพื่อเพิ่มความเร็ว ซึ่งทำให้ยานสามารถเดินทางออกไปไกลกว่าที่เคยมีมา ปัจจุบัน Voyager 1 เคลื่อนที่ด้วยความเร็วประมาณ 38,000 ไมล์ต่อชั่วโมง และอยู่ห่างจากโลกประมาณ 15.67 พันล้านไมล์ ในเดือนพฤศจิกายน 2026 ยาน Voyager 1 จะกลายเป็นวัตถุที่มนุษย์สร้างขึ้นชิ้นแรกที่อยู่ห่างจากโลก “หนึ่งวันแสง” หรือระยะทางที่แสงเดินทางในสุญญากาศเป็นเวลา 24 ชั่วโมง คิดเป็นประมาณ 16.09 พันล้านไมล์ ซึ่งหมายความว่า สัญญาณวิทยุจากโลกจะใช้เวลาทั้งวันในการเดินทางไปถึงยาน และอีกวันในการตอบกลับกลับมายังโลก แม้จะอยู่ไกลขนาดนั้น ยานยังคงส่งข้อมูลกลับมาได้ เช่น ข้อมูลสนามแม่เหล็ก รังสีคอสมิก และคลื่นพลาสมา ซึ่งช่วยให้นักวิทยาศาสตร์เข้าใจสภาพแวดล้อมในอวกาศระหว่างดาวได้ดีขึ้น โดยใช้เครือข่ายเสาอากาศ Deep Space Network ที่ตั้งอยู่ในสหรัฐฯ สเปน และออสเตรเลีย Voyager 1 เคยผ่านขอบเขตของระบบสุริยะที่เรียกว่า “heliopause” ในปี 2012 และเข้าสู่อวกาศระหว่างดาวอย่างเป็นทางการ โดยในอีก 300 ปีข้างหน้า มันจะเข้าสู่บริเวณใกล้ของ Oort Cloud และอาจใช้เวลาอีก 30,000 ปีในการผ่านออกไปทั้งหมด แม้พลังงานของยานจะลดลงเรื่อย ๆ และคาดว่าจะหยุดทำงานในปี 2030–2036 แต่ Voyager 1 จะยังคงล่องลอยต่อไปในอวกาศอย่างเงียบ ๆ โดยไม่มีใครควบคุม มุ่งหน้าไปยังกลุ่มดาว Ophiuchus และจะเข้าใกล้ดาวในกลุ่ม Ursa Minor ในปี ค.ศ. 40,272 ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Voyager 1 จะอยู่ห่างจากโลกหนึ่งวันแสงในเดือนพฤศจิกายน 2026 ➡️ หนึ่งวันแสงเท่ากับประมาณ 16.09 พันล้านไมล์ ➡️ สัญญาณวิทยุใช้เวลา 24 ชั่วโมงในการเดินทางไปยังยาน และอีก 24 ชั่วโมงในการตอบกลับ ➡️ ยานเคลื่อนที่ด้วยความเร็วประมาณ 38,000 ไมล์ต่อชั่วโมง ➡️ เคยผ่าน heliopause และเข้าสู่อวกาศระหว่างดาวในปี 2012 ➡️ ปัจจุบันยังส่งข้อมูลวิทยาศาสตร์กลับมายังโลกได้ ➡️ ใช้เครือข่าย Deep Space Network ใน 3 ประเทศเพื่อรับสัญญาณ ➡️ จะเข้าสู่ Oort Cloud ในอีก 300 ปี และใช้เวลาอีก 30,000 ปีในการผ่านออกไป ➡️ คาดว่าจะหยุดทำงานในปี 2030–2036 เนื่องจากพลังงานหมด ➡️ จะเข้าใกล้ดาวในกลุ่ม Ursa Minor ในปี 40,272 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Voyager 1 ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ RTG ที่แปลงความร้อนจากพลูโตเนียมเป็นไฟฟ้า ➡️ ข้อมูลที่ส่งกลับมาช่วยปรับปรุงโมเดลของสภาพแวดล้อมระหว่างดาว ➡️ Apollo 10 เคยทำความเร็วสูงสุดที่มนุษย์สร้างได้คือ 25,000 ไมล์ต่อชั่วโมง ➡️ แสงจากดวงอาทิตย์ใช้เวลาเพียง 8 นาทีในการเดินทางมายังโลก ➡️ Voyager 1 ยังบรรจุแผ่นทองคำ “Golden Record” ที่บันทึกเสียงและภาพจากโลกเพื่อสื่อสารกับสิ่งมีชีวิตต่างดาว https://www.slashgear.com/1984279/nasa-voyager-1-light-day-from-earth-november-2026/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    NASA's Voyager 1 Is Set To Hit A Historic Landmark In November 2026 - SlashGear
    In November 2026, Voyager 1 will hit yet another milestone when it becomes the first manmade object to reach a distance of one light day from Earth.
    0 Comments 0 Shares 170 Views 0 Reviews
  • “Ultrahuman เปิดตัว Blood Vision Cloud — วิเคราะห์ผลเลือดด้วย AI ฟรี พร้อมแนะนำสุขภาพแบบเจาะลึก”

    Ultrahuman บริษัทเทคโนโลยีสุขภาพจากอินเดียเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ “Blood Vision Cloud” ที่เปลี่ยนวิธีการดูแลสุขภาพส่วนบุคคลไปอย่างสิ้นเชิง โดยผู้ใช้สามารถอัปโหลดผลตรวจเลือดเก่า ๆ เข้าแอป Ultrahuman แล้วให้ระบบ AI วิเคราะห์ข้อมูล พร้อมสรุปแนวโน้มสุขภาพระยะยาว แนะนำอาหารและอาหารเสริมที่เหมาะสม รวมถึงให้คะแนน “Blood Age” เพื่อดูว่าร่างกายของคุณแก่เร็วแค่ไหนจากภายใน

    ฟีเจอร์นี้เปิดให้ใช้งานฟรีทั่วโลกผ่านแอป Ultrahuman โดยไม่จำเป็นต้องใช้ผลิตภัณฑ์อื่นของบริษัท เช่น Ring Air หรือ M1 Glucose Tracker แม้จะสามารถเชื่อมโยงข้อมูลจากอุปกรณ์เหล่านั้นเพื่อให้ได้ภาพรวมสุขภาพที่แม่นยำยิ่งขึ้น

    Blood Vision Cloud ยังสามารถแสดงผลแบบแดชบอร์ดที่เข้าใจง่าย โดยดึงข้อมูลจากไฟล์ PDF ผลเลือดของผู้ใช้ แล้วแสดงว่าค่าต่าง ๆ อยู่ในช่วงปกติหรือไม่ พร้อมคำแนะนำจาก “AI Clinician” ที่ช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจผลตรวจได้โดยไม่ต้องรอพบแพทย์

    นอกจากนี้ Ultrahuman ยังมีแผนขยายการวิเคราะห์ไปยัง CT scan, MRI และรายงานวินิจฉัยอื่น ๆ ในอนาคต และเปิดบริการ Blood Vision Essentials ในราคา $99 สำหรับผู้ที่ต้องการตรวจเลือดใหม่ รวมถึงแผน Blood Vision Annual Plan ราคา $499 ที่ขยายบริการไปยัง UK, ออสเตรเลีย, ซาอุดิอาระเบีย และ UAE

    แม้จะมีคู่แข่งอย่าง Oura และ Whoop ที่มีฟีเจอร์คล้ายกัน แต่ Ultrahuman หวังว่า Blood Vision Cloud จะเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้การดูแลสุขภาพเชิงป้องกันเข้าถึงได้ง่ายขึ้น และเป็น “การแพทย์ก่อนป่วย” ที่ทุกคนควรได้รับ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Blood Vision Cloud เป็นฟีเจอร์ใหม่ของ Ultrahuman ที่วิเคราะห์ผลเลือดด้วย AI
    ผู้ใช้สามารถอัปโหลดผลตรวจเลือดเก่าในรูปแบบ PDF เพื่อรับคำแนะนำสุขภาพ
    ระบบให้ข้อมูลเชิงลึก เช่น แนวโน้มสุขภาพ, คำแนะนำอาหารเสริม, และคะแนน Blood Age
    ใช้งานได้ฟรีทั่วโลกผ่านแอป Ultrahuman โดยไม่ต้องมีอุปกรณ์เสริม
    สามารถเชื่อมโยงข้อมูลจาก Ring Air และ UltraTrace เพื่อวิเคราะห์เชิงลึก
    มีแผนขยายการวิเคราะห์ไปยัง CT scan, MRI และรายงานวินิจฉัยอื่น ๆ
    เปิดบริการ Blood Vision Essentials ราคา $99 และ Annual Plan ราคา $499
    ขยายบริการไปยัง UK, ออสเตรเลีย, ซาอุดิอาระเบีย และ UAE

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Blood Age เป็นแนวคิดที่ใช้วัดอายุทางชีวภาพจากค่าบ่งชี้ในเลือด
    AI Clinician เป็นระบบที่ช่วยแปลผลตรวจสุขภาพให้เข้าใจง่ายขึ้น
    การวิเคราะห์ผลเลือดด้วย AI ช่วยลดภาระของแพทย์และเพิ่มการเข้าถึงข้อมูล
    Oura และ Whoop มีฟีเจอร์คล้ายกัน เช่น Health Panels และ Advanced Labs
    การดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน (preventive care) กำลังเป็นเทรนด์สำคัญในวงการแพทย์

    https://www.techradar.com/health-fitness/this-wearable-now-offers-free-blood-analysis-to-help-you-understand-your-health
    🩸 “Ultrahuman เปิดตัว Blood Vision Cloud — วิเคราะห์ผลเลือดด้วย AI ฟรี พร้อมแนะนำสุขภาพแบบเจาะลึก” Ultrahuman บริษัทเทคโนโลยีสุขภาพจากอินเดียเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ “Blood Vision Cloud” ที่เปลี่ยนวิธีการดูแลสุขภาพส่วนบุคคลไปอย่างสิ้นเชิง โดยผู้ใช้สามารถอัปโหลดผลตรวจเลือดเก่า ๆ เข้าแอป Ultrahuman แล้วให้ระบบ AI วิเคราะห์ข้อมูล พร้อมสรุปแนวโน้มสุขภาพระยะยาว แนะนำอาหารและอาหารเสริมที่เหมาะสม รวมถึงให้คะแนน “Blood Age” เพื่อดูว่าร่างกายของคุณแก่เร็วแค่ไหนจากภายใน ฟีเจอร์นี้เปิดให้ใช้งานฟรีทั่วโลกผ่านแอป Ultrahuman โดยไม่จำเป็นต้องใช้ผลิตภัณฑ์อื่นของบริษัท เช่น Ring Air หรือ M1 Glucose Tracker แม้จะสามารถเชื่อมโยงข้อมูลจากอุปกรณ์เหล่านั้นเพื่อให้ได้ภาพรวมสุขภาพที่แม่นยำยิ่งขึ้น Blood Vision Cloud ยังสามารถแสดงผลแบบแดชบอร์ดที่เข้าใจง่าย โดยดึงข้อมูลจากไฟล์ PDF ผลเลือดของผู้ใช้ แล้วแสดงว่าค่าต่าง ๆ อยู่ในช่วงปกติหรือไม่ พร้อมคำแนะนำจาก “AI Clinician” ที่ช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจผลตรวจได้โดยไม่ต้องรอพบแพทย์ นอกจากนี้ Ultrahuman ยังมีแผนขยายการวิเคราะห์ไปยัง CT scan, MRI และรายงานวินิจฉัยอื่น ๆ ในอนาคต และเปิดบริการ Blood Vision Essentials ในราคา $99 สำหรับผู้ที่ต้องการตรวจเลือดใหม่ รวมถึงแผน Blood Vision Annual Plan ราคา $499 ที่ขยายบริการไปยัง UK, ออสเตรเลีย, ซาอุดิอาระเบีย และ UAE แม้จะมีคู่แข่งอย่าง Oura และ Whoop ที่มีฟีเจอร์คล้ายกัน แต่ Ultrahuman หวังว่า Blood Vision Cloud จะเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้การดูแลสุขภาพเชิงป้องกันเข้าถึงได้ง่ายขึ้น และเป็น “การแพทย์ก่อนป่วย” ที่ทุกคนควรได้รับ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Blood Vision Cloud เป็นฟีเจอร์ใหม่ของ Ultrahuman ที่วิเคราะห์ผลเลือดด้วย AI ➡️ ผู้ใช้สามารถอัปโหลดผลตรวจเลือดเก่าในรูปแบบ PDF เพื่อรับคำแนะนำสุขภาพ ➡️ ระบบให้ข้อมูลเชิงลึก เช่น แนวโน้มสุขภาพ, คำแนะนำอาหารเสริม, และคะแนน Blood Age ➡️ ใช้งานได้ฟรีทั่วโลกผ่านแอป Ultrahuman โดยไม่ต้องมีอุปกรณ์เสริม ➡️ สามารถเชื่อมโยงข้อมูลจาก Ring Air และ UltraTrace เพื่อวิเคราะห์เชิงลึก ➡️ มีแผนขยายการวิเคราะห์ไปยัง CT scan, MRI และรายงานวินิจฉัยอื่น ๆ ➡️ เปิดบริการ Blood Vision Essentials ราคา $99 และ Annual Plan ราคา $499 ➡️ ขยายบริการไปยัง UK, ออสเตรเลีย, ซาอุดิอาระเบีย และ UAE ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Blood Age เป็นแนวคิดที่ใช้วัดอายุทางชีวภาพจากค่าบ่งชี้ในเลือด ➡️ AI Clinician เป็นระบบที่ช่วยแปลผลตรวจสุขภาพให้เข้าใจง่ายขึ้น ➡️ การวิเคราะห์ผลเลือดด้วย AI ช่วยลดภาระของแพทย์และเพิ่มการเข้าถึงข้อมูล ➡️ Oura และ Whoop มีฟีเจอร์คล้ายกัน เช่น Health Panels และ Advanced Labs ➡️ การดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน (preventive care) กำลังเป็นเทรนด์สำคัญในวงการแพทย์ https://www.techradar.com/health-fitness/this-wearable-now-offers-free-blood-analysis-to-help-you-understand-your-health
    0 Comments 0 Shares 220 Views 0 Reviews
  • “Lego Game Boy กลายเป็น Game Boy จริง — โมดิฟายด้วย PCB แท้ เล่นตลับจริงได้ใน 24 ชั่วโมง!”

    เมื่อ Lego เปิดตัวชุดโมเดล Game Boy เพื่อเป็นของสะสมสำหรับแฟน ๆ เกมยุค 90 หลายคนอาจคิดว่าเป็นแค่ของตั้งโชว์ แต่สำหรับ Natalie the Nerd นักโมดิฟายจากออสเตรเลีย มันคือ “โอกาสที่ต้องทำให้เกิดขึ้นจริง” เธอใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งวันหลังชุด Lego วางขาย ก็เปลี่ยนมันให้กลายเป็น Game Boy ที่เล่นตลับจริงได้

    จุดเริ่มต้นคือช่องว่างด้านหลังหน้าจอของโมเดล ซึ่งออกแบบมาให้ใส่ตลับปลอมได้ Natalie ใช้ช่องนั้นเป็นจุดติดตั้ง PCB ที่เธอออกแบบเอง โดยใช้ชิป MGB (Game Boy Pocket) ที่มี RAM ในตัว ทำให้ประหยัดพื้นที่และไม่ต้องใช้ VRAM แยกแบบรุ่น DMG ดั้งเดิม

    เธอยังติดตั้งหน้าจอขนาดเล็กที่สุดในตลาดแทน lenticular card ที่ Lego ให้มา และเชื่อมต่อ USB-C พร้อมปุ่มกดผ่านชิ้นส่วน 3D-printed ที่เธอออกแบบเอง แม้ปุ่มจะยังไม่ทำงานได้จริง แต่เธอวางแผนจะพัฒนาให้เชื่อมต่อกับ PCB ได้ในอนาคต

    ผลลัพธ์คือ Game Boy ที่สามารถใส่ตลับจริงได้ — แม้ในวิดีโอจะยังเห็นแค่การบูตเข้าเกม Tetris แต่ก็ถือเป็นก้าวแรกของการเปลี่ยนของเล่นให้กลายเป็นเครื่องเล่นเกมจริง และเธอยังประกาศว่าจะปล่อยไฟล์โมดิฟายให้ทุกคนสามารถแปลง Lego Game Boy ของตัวเองได้ในอนาคต

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Natalie the Nerd โมดิฟาย Lego Game Boy ให้เล่นตลับจริงได้ภายใน 24 ชั่วโมง
    ใช้ชิป MGB (Pocket) ที่มี RAM ในตัวเพื่อประหยัดพื้นที่
    PCB ที่ออกแบบมีขนาดเล็กกว่าตลับ DMG จริง
    ติดตั้งหน้าจอขนาดเล็กที่สุดในตลาดแทน lenticular card ของ Lego
    เชื่อมต่อ USB-C และปุ่มกดผ่านชิ้นส่วน 3D-printed
    ปุ่มกดยังไม่ทำงานจริง แต่มีแผนพัฒนาให้เชื่อมต่อกับ PCB
    สามารถบูตเกม Tetris จากตลับจริงได้แล้ว
    Natalie เคยสร้าง Game Boy โปร่งใสจากศูนย์มาก่อน
    มีแผนปล่อยไฟล์โมดิฟายให้ผู้ใช้ทั่วไปสามารถแปลงชุด Lego ได้

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    MGB CPU มี VRAM ในตัว ต่างจาก DMG ที่ต้องใช้ VRAM แยก
    Lego Game Boy ถูกออกแบบร่วมกับ Nintendo เพื่อเป็นของสะสม ไม่ใช่เครื่องเล่นจริง
    การใช้ 3D printing ช่วยให้สามารถเชื่อมต่อปุ่มและพอร์ตได้แม้โครงสร้างเป็น Lego
    PCB ของ Game Boy มีโครงสร้างง่าย: CPU, RAM, ตัวกรองไฟ และตัวควบคุมเสียง
    โมดิฟายนี้ไม่ใช้ FPGA หรือการจำลอง แต่เป็นการใช้ชิ้นส่วน Game Boy จริง

    https://www.tomshardware.com/video-games/retro-gaming/ingenious-modder-turns-lego-game-boy-into-an-actual-game-boy-that-can-run-real-cartridges-new-lego-set-gets-outfitted-with-custom-pcb-in-less-than-a-day-3d-printing-required-for-future-button-support
    🎮 “Lego Game Boy กลายเป็น Game Boy จริง — โมดิฟายด้วย PCB แท้ เล่นตลับจริงได้ใน 24 ชั่วโมง!” เมื่อ Lego เปิดตัวชุดโมเดล Game Boy เพื่อเป็นของสะสมสำหรับแฟน ๆ เกมยุค 90 หลายคนอาจคิดว่าเป็นแค่ของตั้งโชว์ แต่สำหรับ Natalie the Nerd นักโมดิฟายจากออสเตรเลีย มันคือ “โอกาสที่ต้องทำให้เกิดขึ้นจริง” เธอใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งวันหลังชุด Lego วางขาย ก็เปลี่ยนมันให้กลายเป็น Game Boy ที่เล่นตลับจริงได้ จุดเริ่มต้นคือช่องว่างด้านหลังหน้าจอของโมเดล ซึ่งออกแบบมาให้ใส่ตลับปลอมได้ Natalie ใช้ช่องนั้นเป็นจุดติดตั้ง PCB ที่เธอออกแบบเอง โดยใช้ชิป MGB (Game Boy Pocket) ที่มี RAM ในตัว ทำให้ประหยัดพื้นที่และไม่ต้องใช้ VRAM แยกแบบรุ่น DMG ดั้งเดิม เธอยังติดตั้งหน้าจอขนาดเล็กที่สุดในตลาดแทน lenticular card ที่ Lego ให้มา และเชื่อมต่อ USB-C พร้อมปุ่มกดผ่านชิ้นส่วน 3D-printed ที่เธอออกแบบเอง แม้ปุ่มจะยังไม่ทำงานได้จริง แต่เธอวางแผนจะพัฒนาให้เชื่อมต่อกับ PCB ได้ในอนาคต ผลลัพธ์คือ Game Boy ที่สามารถใส่ตลับจริงได้ — แม้ในวิดีโอจะยังเห็นแค่การบูตเข้าเกม Tetris แต่ก็ถือเป็นก้าวแรกของการเปลี่ยนของเล่นให้กลายเป็นเครื่องเล่นเกมจริง และเธอยังประกาศว่าจะปล่อยไฟล์โมดิฟายให้ทุกคนสามารถแปลง Lego Game Boy ของตัวเองได้ในอนาคต ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Natalie the Nerd โมดิฟาย Lego Game Boy ให้เล่นตลับจริงได้ภายใน 24 ชั่วโมง ➡️ ใช้ชิป MGB (Pocket) ที่มี RAM ในตัวเพื่อประหยัดพื้นที่ ➡️ PCB ที่ออกแบบมีขนาดเล็กกว่าตลับ DMG จริง ➡️ ติดตั้งหน้าจอขนาดเล็กที่สุดในตลาดแทน lenticular card ของ Lego ➡️ เชื่อมต่อ USB-C และปุ่มกดผ่านชิ้นส่วน 3D-printed ➡️ ปุ่มกดยังไม่ทำงานจริง แต่มีแผนพัฒนาให้เชื่อมต่อกับ PCB ➡️ สามารถบูตเกม Tetris จากตลับจริงได้แล้ว ➡️ Natalie เคยสร้าง Game Boy โปร่งใสจากศูนย์มาก่อน ➡️ มีแผนปล่อยไฟล์โมดิฟายให้ผู้ใช้ทั่วไปสามารถแปลงชุด Lego ได้ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ MGB CPU มี VRAM ในตัว ต่างจาก DMG ที่ต้องใช้ VRAM แยก ➡️ Lego Game Boy ถูกออกแบบร่วมกับ Nintendo เพื่อเป็นของสะสม ไม่ใช่เครื่องเล่นจริง ➡️ การใช้ 3D printing ช่วยให้สามารถเชื่อมต่อปุ่มและพอร์ตได้แม้โครงสร้างเป็น Lego ➡️ PCB ของ Game Boy มีโครงสร้างง่าย: CPU, RAM, ตัวกรองไฟ และตัวควบคุมเสียง ➡️ โมดิฟายนี้ไม่ใช้ FPGA หรือการจำลอง แต่เป็นการใช้ชิ้นส่วน Game Boy จริง https://www.tomshardware.com/video-games/retro-gaming/ingenious-modder-turns-lego-game-boy-into-an-actual-game-boy-that-can-run-real-cartridges-new-lego-set-gets-outfitted-with-custom-pcb-in-less-than-a-day-3d-printing-required-for-future-button-support
    0 Comments 0 Shares 182 Views 0 Reviews
  • เหยื่อ – ขวาง ตอนที่ 3
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
    ตอนที่ 2 : “ขวาง 3”

    ประมาณ ค.ศ. 1882 น้อยคนในโลกจะรู้จักว่า ไอ้ดำ ๆ เหนียว ๆ และที่ทุกวันนี้เรียกกันว่า น้ำมันดิบน่ะ มันมีค่ามหาศาลขนาดไหน ถึงกับเรียกเป็นทองดำกันเลย สมัยนั้นรู้จักกันแต่น้ำมันเติมตะเกียง ซึ่งโรงงานของเยอรมันนั่นแหละ เป็นผู้ผลิตตะเกียง ชื่อ Stohwasser น้ำมันนี้ เรียกว่า “rock oil” เพราะมันไหลออกมาจากหิน ซึ่งมีอยู่มากในแถบ Titusville ของ รัฐPennsylvania และที่ Baku ของรัสเซีย หรือ Galicia ซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของโปแลนด์

    ค.ศ. 1870 นาย John D Rockefeller ตั้งบริษัท Standard Oil ขึ้นเพื่อหาน้ำมันมาเติมตะเกียง (ไม่ได้หรูหรา ตั้งแท่นขุดเจาะน้ำมันกลางทะเลกัน อย่างที่คิดหรอกนะ ในสมัยนั้น) และเอามาใช้เป็นส่วนประกอบในการทำยาในอเมริกา ตอนนั้นยังไม่มีใครคิด เอาน้ำมันมาใช้ในการอุตสาหกรรม ฝรั่งก็ไม่ได้ฉลาดล้ำไปทุกเรื่องหรอก

    แต่อย่างน้อยก็มีคนเข้าใจ และรู้จักคิด คือ กัปตัน Fisher ทหารเรืออังกฤษ ปี ค.ศ. 1882 กัปตันบอกว่า ถ้ากองทัพเรืออังกฤษเปลี่ยนจากใช้ถ่านหิน มาเป็นใช้น้ำมัน เรือรบอังกฤษจะวิ่งฉิวเลย เพราะไม่ต้องไปเปลืองน้ำหนักกับถ่านหิน ผลของการคิดก้าวไกล คุณกัปตันได้ก้อนอิฐเต็มหัว ใคร ๆ หาว่าเขาบ๊อง (เคยเขียนให้อ่านกันแล้วครับ ในนิทานเรื่องมายากลยุทธ) คุณกัปตันเจ็บใจ ซุ่มทำการบ้านอยู่หลายปี

    ขณะเดียวกัน ค.ศ. 1885 วิศวกรชาวเยอรมัน นาย Gottlieb Daimler ก็เป็นคนคิดเครื่องยนต์ให้รถวิ่งโดยใช้น้ำมัน แต่ขณะนั้นรถยนต์มันเป็นเครื่องวิ่งแทนเท้าของพวกเศรษฐีเท่านั้น ชาวบ้านทั่วไปคงยังต้องใช้เท้าส่วนตัววิ่งเองตามเดิม ไม่ได้มีโอกาสได้ชื่นชมผลงานอันแสนสุดยอดนี้ในตอนนั้น แต่ถึงอย่างไรข่าวนี้แน่นอน ยิ่งเพิ่มความไม่พอใจให้แก่อังกฤษ

    ปี ค.ศ. 1905 อังกฤษเริ่ม “รู้สึก” ว่าน้ำมันนี่ น่าจะเป็นอาวุธสำคัญ แต่ทำอย่างไรล่ะ ทั้งเกาะใหญ่ของอังกฤษมีแต่น้ำมันตะเกียง ไม่มีแหล่งน้ำมันดิบของตัวเอง ใครรู้อายเขาตาย เป็นตั้งจักรภพอังกฤษ ใหญ่ซะไม่มีละ แต่ดันต้องพึงอเมริกา รัสเซีย หรือเม็กซิโก ให้ส่งน้ำมันให้ เป็นสิ่งที่อังกฤษรังเกียจ และเสียหน้าอันใหญ่โตมาก ตามประสาคนยะโส

    ย้อนไปในปี ค.ศ. 1904 คุณกัปตัน Fisher มีคนตาแหลมมองเห็นว่า ไอ้หมอนี่นอกจากไม่บ๊องแล้ว มันยังเป็นอัจฉริยะอีกด้วย (2 อย่างนี้เส้นตัดแบ่ง มันบางมากนะครับ) คุณกัปตันเลยได้เลื่อนตำแหน่งเป็นถึงผู้บัญชาการทหารเรือ เขารีบตั้งคณะกรรมการ เพื่อพิจารณาว่า จะหาน้ำมันมาจากไหนและทำอย่างไร เพื่อเอามาให้กองทัพเรืออังกฤษใช้ คราวนี้เอาจริง !
    ขณะนั้นอังกฤษไปจับจองครองพื้นที่อยู่ที่เปอร์เซีย (Persia) และ Arabia Gulf ที่เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรออตโตมานแล้ว เปอร์เซียเองไม่ได้เป็นอาณานิคมของอังกฤษ แต่อังกฤษมีวิธีไปตั้งสถานกงสุลอยู่ที่เมือง Bushier และ Bandar Abbas โดยการเอากองทัพเรือมาจอดขวางกลางอ่าว ก็เท่านั้นเองแหละ เป็นการขวางไม่ให้ใครใช้เส้นทางไปสู่อินเดีย อังกฤษทำแบบนี้มาทุกครั้งที่ต้องการข่มขู่เหยื่อ สมันน้อยก็โดนมาแล้ว ยังจำ ร.ศ. 112 ได้หรือเปล่า หรือต้องให้ลุงนิทานเล่า เกินไปนะ ประวัติศาสตร์สำคัญของบ้านเรานะ หาอ่านกันเองบ้าง

    ค.ศ. 1905 อังกฤษส่งสายลับมือหนึ่ง ชื่อ นาย Sidney Reilly (ซึ่งจริง ๆ เป็นชาวรัสเซีย ชื่อ Sigmund Georgjevich Rosenblum ชาวเมือง Odessa ในรัสเซีย) ให้เดินทางเข้าไปในเปอร์เซีย ภายใต้คำสั่งลับสุดยอดให้ไปควานหาตัวบุคคลลึกลับ ชื่อ นาย William Knox D’Arcy!

    ต้องยอมรับว่าการข่าวกรองและการจารกรรมของอังกฤษ นำหน้ามาตลอดเป็นหลายร้อยปี ปัจจุบันก็ยังอยู่แถวหน้า ตัวใหญ่ ๆ ของ CIA ของนักล่ารุ่นใหม่ ก็เรียนงานมาจากรุ่นเก่านี้ทั้งนั้นแหละ โดยเฉพาะช่วงสงครามโลกและสงครามเย็น

    นาย D’Arcy เป็นวิศวกรชาวออสเตรเลีย ซึ่งสนใจและศึกษาประวัติศาสตร์เป็นงานอดิเรก อย่างเอาจริงและลึกซึ้ง ชนิดพูดกับก้อนหินรู้เรื่อง และเป็นคริสเตียนที่เคร่งครัด เขามีความเชื่อแบบฝันเฟื่องว่า เทพเจ้าแห่งไฟของเปอร์เซีย (Ormuzd) จุดน้ำมันตะเกียงถวายพระผู้เป็นเจ้าในสมัยโบราณตลอดเวลา แสดงว่าแถบนั้นน่าจะต้องมีน้ำมัน “rock oil” (พวกเฟื่อง พวกบ๊อง นี่ดูดี ๆ นะครับ บอกแล้วเส้นแบ่ง มันบางมาก !) เขาจึงไปเดินสำรวจแถวนั้นอยู่หลายรอบ และเมื่อเชื่อมากขึ้นว่า น่าจะมี “rock oil” เขาก็ไปติดต่อขอกู้เงินจากนายธนาคารของอังกฤษ เพื่อสนับสนุนความฝันเฟื่องของเขา (ข่าวมันน่าจะหลุดรอด ไปในช่วงนี่แหละ เพราะฉะนั้นถ้าอยากมีความลับอย่าไปยุ่งกับนายธนาคารเชียว !)

    ประมาณช่วงปลาย ค.ศ. 1890 กว่า ๆ กษัตริย์ Reza Khan Pahlevi เพิ่งขึ้นครองบัลลังก์เปอร์เซีย ซึ่งปัจจุบันเป็นอิหร่าน ได้เรียก นาย D’Arcy เข้าไปคุย เพราะนาย D’Arcy เป็นวิศวกรฝรั่งที่เดินทางเข้าออกหาน้ำมันอยู่แถวนั้น จนเป็นที่รู้จักกันดี ท่าน Khan อยากสร้างทางรถไฟ และอยากทำอุตสาหกรรมในเปอร์เซีย เลยอาศัยนาย D’Arcy เป็นที่ปรึกษา ตอนนั้นคงมีฝรั่งให้คุยด้วยไม่มาก

    ค.ศ. 1901 บุญหล่นใส่นาย D’Arcy โครมใหญ่ ท่าน Khan ให้รางวัลเป็นสินน้ำใจที่นาย D’Arcy มาให้คำแนะนำ เป็นสัมปทานอายุ 60 ปี ที่อนุญาตให้นาย D’Arcy จะค้น จะขุด จะเจาะ อย่างไรก็ได้บนแผ่นดินของเปอร์เซีย และขุดได้อะไรมาก็ให้เป็นสมบัติของนาย D’Arcy โดยไม่มีใครจะมาขวางได้ !
    นาย D’Arcy จ่ายเงินไปประมาณเท่ากับ 2 หมื่นปอนด์ และตกลงจะแบ่งให้ ท่าน Khan 16% จากจำนวนรายได้ที่ได้จากขายน้ำมัน ถ้าขุดเจอจากแหล่งนี้ นาย D’Arcy ไม่รู้เลยว่า เขาได้เอกสารมีค่ามหาศาล มันรวมไปถึงให้เป็นสิทธิตกทอดถึงทายาทและผู้รับโอนด้วย แม่เจ้าโว้ย ! สิทธิในการจะขุดน้ำมันไปจนถึง ค.ศ. 1961 เชียวนะ

    นาย Reilly สมกับเป็นสายลับมือหนึ่ง เขาควานหาตัวนาย D’Arcy จนเจอ ในปี คศ 1905 ขณะที่นาย D’Arcy กำลังจะเซ็นสัญญา เลือกฝรั่งเศสมาเป็นหุ้นส่วน เป็นฝรั่งเศสที่ส่งมาโดยกลุ่มธนาคาร ของ Rothschild ในปารีส (แสดงว่า Rothschild มีการข่าวดี จำเรื่องปั่นหุ้น insider trading ครั้งแรกของโลกโดย Rothschild ฝ่ายอังกฤษได้ไหมครับ ก็มาจากการข่าวพิเศษของพวก Rothschild เล่าอยู่ในนิทานเรื่องมายากลยุทธ) นาย D’Arcy กะว่าจะให้หุ้นส่วนฝรั่งเศสขุดต่อ และตัวเขาจะเดินทางกลับไปออสเตรเลีย แหม เดินกลางแดด หาน้ำมันอยู่นาน ไอ้ที่ยังไม่เพี้ยน ก็เพี้ยนจริงได้เหมือนกัน

    สายลับ Reilly ลงทุนปลอมตัวเป็นพระ ไปตีสนิทกับนาย D’Arcy นั่งกล่อมนาย D’Arcy ว่า ทั้งหมดนี่น่า คงเป็นรางวัลที่พระผู้เป็นเจ้า ประทานให้กับสาวกที่ซื่อสัตย์ของพระองค์ คงไม่มีใครที่จะมีบุญขนาดนี้อีกแล้ว แต่จะได้บุญมากขึ้น ถ้าไม่เก็บไว้คนเดียว แต่ให้คนส่วนมากได้ประโยชน์ด้วย พระผู้เป็นเจ้าจะยิ่งดีใจ นาย Reilly คงกล่าวอย่างนั้น

    ในที่สุด นาย D’Arcy ก็ตกลงโอนสิทธิสัมปทานให้แก่บริษัท ที่มีชื่อว่า Anglo Persian Oil Company ซึ่งตอนนั้นใช้ชื่อ Lord Strathcona นักการเงินชาวสก๊อต ซึ่งรัฐบาลอังกฤษส่งมาให้เป็นนอ มินี (ตกลงนอมินีน้ำมัน รายที่ 1 เท่าที่เรารู้นี่ เริ่มโดยอังกฤษนะครับ สำหรับสมันน้อย ปตท. ใครเป็นนอมินี ให้ใครบ้าง โปรดช่วยกันสืบต่อ อาจจะย้อนกลับไปที่เดิม อย่าแปลกใจก็แล้วกัน) ส่วนสายลับ Reilly ก็คงเกษียณไปพร้อมด้วยเงินรางวัลก้อนโต หรือไม่ก็โดนเก็บลงหีบ ตามธรรมเนียมชะตาชีวิต ของคนที่เป็นสายลับที่รู้ความลับชนิดปิดลึก วงการนี้เขาโหดร้ายอย่างนี้แหละ !

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    28 ส.ค. 2557
    เหยื่อ – ขวาง ตอนที่ 3 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ” ตอนที่ 2 : “ขวาง 3” ประมาณ ค.ศ. 1882 น้อยคนในโลกจะรู้จักว่า ไอ้ดำ ๆ เหนียว ๆ และที่ทุกวันนี้เรียกกันว่า น้ำมันดิบน่ะ มันมีค่ามหาศาลขนาดไหน ถึงกับเรียกเป็นทองดำกันเลย สมัยนั้นรู้จักกันแต่น้ำมันเติมตะเกียง ซึ่งโรงงานของเยอรมันนั่นแหละ เป็นผู้ผลิตตะเกียง ชื่อ Stohwasser น้ำมันนี้ เรียกว่า “rock oil” เพราะมันไหลออกมาจากหิน ซึ่งมีอยู่มากในแถบ Titusville ของ รัฐPennsylvania และที่ Baku ของรัสเซีย หรือ Galicia ซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของโปแลนด์ ค.ศ. 1870 นาย John D Rockefeller ตั้งบริษัท Standard Oil ขึ้นเพื่อหาน้ำมันมาเติมตะเกียง (ไม่ได้หรูหรา ตั้งแท่นขุดเจาะน้ำมันกลางทะเลกัน อย่างที่คิดหรอกนะ ในสมัยนั้น) และเอามาใช้เป็นส่วนประกอบในการทำยาในอเมริกา ตอนนั้นยังไม่มีใครคิด เอาน้ำมันมาใช้ในการอุตสาหกรรม ฝรั่งก็ไม่ได้ฉลาดล้ำไปทุกเรื่องหรอก แต่อย่างน้อยก็มีคนเข้าใจ และรู้จักคิด คือ กัปตัน Fisher ทหารเรืออังกฤษ ปี ค.ศ. 1882 กัปตันบอกว่า ถ้ากองทัพเรืออังกฤษเปลี่ยนจากใช้ถ่านหิน มาเป็นใช้น้ำมัน เรือรบอังกฤษจะวิ่งฉิวเลย เพราะไม่ต้องไปเปลืองน้ำหนักกับถ่านหิน ผลของการคิดก้าวไกล คุณกัปตันได้ก้อนอิฐเต็มหัว ใคร ๆ หาว่าเขาบ๊อง (เคยเขียนให้อ่านกันแล้วครับ ในนิทานเรื่องมายากลยุทธ) คุณกัปตันเจ็บใจ ซุ่มทำการบ้านอยู่หลายปี ขณะเดียวกัน ค.ศ. 1885 วิศวกรชาวเยอรมัน นาย Gottlieb Daimler ก็เป็นคนคิดเครื่องยนต์ให้รถวิ่งโดยใช้น้ำมัน แต่ขณะนั้นรถยนต์มันเป็นเครื่องวิ่งแทนเท้าของพวกเศรษฐีเท่านั้น ชาวบ้านทั่วไปคงยังต้องใช้เท้าส่วนตัววิ่งเองตามเดิม ไม่ได้มีโอกาสได้ชื่นชมผลงานอันแสนสุดยอดนี้ในตอนนั้น แต่ถึงอย่างไรข่าวนี้แน่นอน ยิ่งเพิ่มความไม่พอใจให้แก่อังกฤษ ปี ค.ศ. 1905 อังกฤษเริ่ม “รู้สึก” ว่าน้ำมันนี่ น่าจะเป็นอาวุธสำคัญ แต่ทำอย่างไรล่ะ ทั้งเกาะใหญ่ของอังกฤษมีแต่น้ำมันตะเกียง ไม่มีแหล่งน้ำมันดิบของตัวเอง ใครรู้อายเขาตาย เป็นตั้งจักรภพอังกฤษ ใหญ่ซะไม่มีละ แต่ดันต้องพึงอเมริกา รัสเซีย หรือเม็กซิโก ให้ส่งน้ำมันให้ เป็นสิ่งที่อังกฤษรังเกียจ และเสียหน้าอันใหญ่โตมาก ตามประสาคนยะโส ย้อนไปในปี ค.ศ. 1904 คุณกัปตัน Fisher มีคนตาแหลมมองเห็นว่า ไอ้หมอนี่นอกจากไม่บ๊องแล้ว มันยังเป็นอัจฉริยะอีกด้วย (2 อย่างนี้เส้นตัดแบ่ง มันบางมากนะครับ) คุณกัปตันเลยได้เลื่อนตำแหน่งเป็นถึงผู้บัญชาการทหารเรือ เขารีบตั้งคณะกรรมการ เพื่อพิจารณาว่า จะหาน้ำมันมาจากไหนและทำอย่างไร เพื่อเอามาให้กองทัพเรืออังกฤษใช้ คราวนี้เอาจริง ! ขณะนั้นอังกฤษไปจับจองครองพื้นที่อยู่ที่เปอร์เซีย (Persia) และ Arabia Gulf ที่เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรออตโตมานแล้ว เปอร์เซียเองไม่ได้เป็นอาณานิคมของอังกฤษ แต่อังกฤษมีวิธีไปตั้งสถานกงสุลอยู่ที่เมือง Bushier และ Bandar Abbas โดยการเอากองทัพเรือมาจอดขวางกลางอ่าว ก็เท่านั้นเองแหละ เป็นการขวางไม่ให้ใครใช้เส้นทางไปสู่อินเดีย อังกฤษทำแบบนี้มาทุกครั้งที่ต้องการข่มขู่เหยื่อ สมันน้อยก็โดนมาแล้ว ยังจำ ร.ศ. 112 ได้หรือเปล่า หรือต้องให้ลุงนิทานเล่า เกินไปนะ ประวัติศาสตร์สำคัญของบ้านเรานะ หาอ่านกันเองบ้าง ค.ศ. 1905 อังกฤษส่งสายลับมือหนึ่ง ชื่อ นาย Sidney Reilly (ซึ่งจริง ๆ เป็นชาวรัสเซีย ชื่อ Sigmund Georgjevich Rosenblum ชาวเมือง Odessa ในรัสเซีย) ให้เดินทางเข้าไปในเปอร์เซีย ภายใต้คำสั่งลับสุดยอดให้ไปควานหาตัวบุคคลลึกลับ ชื่อ นาย William Knox D’Arcy! ต้องยอมรับว่าการข่าวกรองและการจารกรรมของอังกฤษ นำหน้ามาตลอดเป็นหลายร้อยปี ปัจจุบันก็ยังอยู่แถวหน้า ตัวใหญ่ ๆ ของ CIA ของนักล่ารุ่นใหม่ ก็เรียนงานมาจากรุ่นเก่านี้ทั้งนั้นแหละ โดยเฉพาะช่วงสงครามโลกและสงครามเย็น นาย D’Arcy เป็นวิศวกรชาวออสเตรเลีย ซึ่งสนใจและศึกษาประวัติศาสตร์เป็นงานอดิเรก อย่างเอาจริงและลึกซึ้ง ชนิดพูดกับก้อนหินรู้เรื่อง และเป็นคริสเตียนที่เคร่งครัด เขามีความเชื่อแบบฝันเฟื่องว่า เทพเจ้าแห่งไฟของเปอร์เซีย (Ormuzd) จุดน้ำมันตะเกียงถวายพระผู้เป็นเจ้าในสมัยโบราณตลอดเวลา แสดงว่าแถบนั้นน่าจะต้องมีน้ำมัน “rock oil” (พวกเฟื่อง พวกบ๊อง นี่ดูดี ๆ นะครับ บอกแล้วเส้นแบ่ง มันบางมาก !) เขาจึงไปเดินสำรวจแถวนั้นอยู่หลายรอบ และเมื่อเชื่อมากขึ้นว่า น่าจะมี “rock oil” เขาก็ไปติดต่อขอกู้เงินจากนายธนาคารของอังกฤษ เพื่อสนับสนุนความฝันเฟื่องของเขา (ข่าวมันน่าจะหลุดรอด ไปในช่วงนี่แหละ เพราะฉะนั้นถ้าอยากมีความลับอย่าไปยุ่งกับนายธนาคารเชียว !) ประมาณช่วงปลาย ค.ศ. 1890 กว่า ๆ กษัตริย์ Reza Khan Pahlevi เพิ่งขึ้นครองบัลลังก์เปอร์เซีย ซึ่งปัจจุบันเป็นอิหร่าน ได้เรียก นาย D’Arcy เข้าไปคุย เพราะนาย D’Arcy เป็นวิศวกรฝรั่งที่เดินทางเข้าออกหาน้ำมันอยู่แถวนั้น จนเป็นที่รู้จักกันดี ท่าน Khan อยากสร้างทางรถไฟ และอยากทำอุตสาหกรรมในเปอร์เซีย เลยอาศัยนาย D’Arcy เป็นที่ปรึกษา ตอนนั้นคงมีฝรั่งให้คุยด้วยไม่มาก ค.ศ. 1901 บุญหล่นใส่นาย D’Arcy โครมใหญ่ ท่าน Khan ให้รางวัลเป็นสินน้ำใจที่นาย D’Arcy มาให้คำแนะนำ เป็นสัมปทานอายุ 60 ปี ที่อนุญาตให้นาย D’Arcy จะค้น จะขุด จะเจาะ อย่างไรก็ได้บนแผ่นดินของเปอร์เซีย และขุดได้อะไรมาก็ให้เป็นสมบัติของนาย D’Arcy โดยไม่มีใครจะมาขวางได้ ! นาย D’Arcy จ่ายเงินไปประมาณเท่ากับ 2 หมื่นปอนด์ และตกลงจะแบ่งให้ ท่าน Khan 16% จากจำนวนรายได้ที่ได้จากขายน้ำมัน ถ้าขุดเจอจากแหล่งนี้ นาย D’Arcy ไม่รู้เลยว่า เขาได้เอกสารมีค่ามหาศาล มันรวมไปถึงให้เป็นสิทธิตกทอดถึงทายาทและผู้รับโอนด้วย แม่เจ้าโว้ย ! สิทธิในการจะขุดน้ำมันไปจนถึง ค.ศ. 1961 เชียวนะ นาย Reilly สมกับเป็นสายลับมือหนึ่ง เขาควานหาตัวนาย D’Arcy จนเจอ ในปี คศ 1905 ขณะที่นาย D’Arcy กำลังจะเซ็นสัญญา เลือกฝรั่งเศสมาเป็นหุ้นส่วน เป็นฝรั่งเศสที่ส่งมาโดยกลุ่มธนาคาร ของ Rothschild ในปารีส (แสดงว่า Rothschild มีการข่าวดี จำเรื่องปั่นหุ้น insider trading ครั้งแรกของโลกโดย Rothschild ฝ่ายอังกฤษได้ไหมครับ ก็มาจากการข่าวพิเศษของพวก Rothschild เล่าอยู่ในนิทานเรื่องมายากลยุทธ) นาย D’Arcy กะว่าจะให้หุ้นส่วนฝรั่งเศสขุดต่อ และตัวเขาจะเดินทางกลับไปออสเตรเลีย แหม เดินกลางแดด หาน้ำมันอยู่นาน ไอ้ที่ยังไม่เพี้ยน ก็เพี้ยนจริงได้เหมือนกัน สายลับ Reilly ลงทุนปลอมตัวเป็นพระ ไปตีสนิทกับนาย D’Arcy นั่งกล่อมนาย D’Arcy ว่า ทั้งหมดนี่น่า คงเป็นรางวัลที่พระผู้เป็นเจ้า ประทานให้กับสาวกที่ซื่อสัตย์ของพระองค์ คงไม่มีใครที่จะมีบุญขนาดนี้อีกแล้ว แต่จะได้บุญมากขึ้น ถ้าไม่เก็บไว้คนเดียว แต่ให้คนส่วนมากได้ประโยชน์ด้วย พระผู้เป็นเจ้าจะยิ่งดีใจ นาย Reilly คงกล่าวอย่างนั้น ในที่สุด นาย D’Arcy ก็ตกลงโอนสิทธิสัมปทานให้แก่บริษัท ที่มีชื่อว่า Anglo Persian Oil Company ซึ่งตอนนั้นใช้ชื่อ Lord Strathcona นักการเงินชาวสก๊อต ซึ่งรัฐบาลอังกฤษส่งมาให้เป็นนอ มินี (ตกลงนอมินีน้ำมัน รายที่ 1 เท่าที่เรารู้นี่ เริ่มโดยอังกฤษนะครับ สำหรับสมันน้อย ปตท. ใครเป็นนอมินี ให้ใครบ้าง โปรดช่วยกันสืบต่อ อาจจะย้อนกลับไปที่เดิม อย่าแปลกใจก็แล้วกัน) ส่วนสายลับ Reilly ก็คงเกษียณไปพร้อมด้วยเงินรางวัลก้อนโต หรือไม่ก็โดนเก็บลงหีบ ตามธรรมเนียมชะตาชีวิต ของคนที่เป็นสายลับที่รู้ความลับชนิดปิดลึก วงการนี้เขาโหดร้ายอย่างนี้แหละ ! สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 28 ส.ค. 2557
    0 Comments 0 Shares 315 Views 0 Reviews
  • ..ถ้าเป็นจริง ผู้นำประเทศไทยเราต้องระดับคนเหนือมนุษย์เข้ามาปกครองจริงๆนะ,มีพลังเวทย์ยิ่งสุดยอดแบบหนังจักรๆวงศ์ๆเรานั้นล่ะ,กากๆต้องหลบลงจากผู้ปกครองประเทศไทย,ปีศาจจำแลงแปลงร่างกายมาต้องดูออก,มองเห็นแบบมีระบบออโต้ตาทิพย์หูทิพย์ใจทิพย์ อ่านจิตอ่านใจคนฝ่ายตรงข้ามได้ด้วย,ประเทศไทยเราต้องอัพเลเวลกันจริงจังตามนี้นะจึงจะรอดหรือเกรียวdna12-13เกรียวเราต้องได้คืนมา,มิใช่มี1-2เกรียวdnaแบบมนุษย์ปัจจุบัน,โลกก่อนล้านล้านปีของเรามีเช่นนั้นมาแล้ว,เราคนยุคปัจจุบันต้องทำได้ด้วย,มิเช่นนั้นพวกชั่วเลวสาระพัดจากต่างดาวอวกาศหรือใต้โลกใต้มหาสมุทรเราควบคุมเราสิ้นซากแบบปัจจุบันนี้ที่deep stateไซออนิสต์ต้องการปกครองควบคุมเรา.,ไทยเราต้องเป็นต้นแบบนะ.
    ระบบการกักขังและการเฝ้าระวังที่โหดร้ายของพรรคคอมมิวนิสต์จีนเปิดใช้งานโดย Silicon Valley เอกสารภายในแสดง | Associated Press (AP)

    ap ได้รับเอกสารที่จำแนกและภายในหลายหมื่นหน้าซึ่งแสดงให้เห็นว่า บริษัท ในสหรัฐอเมริกา (Microsoft, Intel, Oracle, IBM, Dell Amazon Web Services และระบบอื่น ๆ ) ออกแบบและทำการตลาดระบบที่กลายเป็นรากฐานสำหรับกรงดิจิตอลของจีน

    ในระดับสูงสุดไม่มี "US vs พวกเขา" ประเทศนี้เทียบกับประเทศนั้นหรือซ้ายเทียบกับด้านขวามันคือ "Satanic รักร่วมเพศเฒ่าหัวงูคลับ Freemasons Club" ทำงานร่วมกันเพื่อกดขี่มนุษยชาติ

    ลิงค์ข่าวap

    Silicon Valley เปิดใช้งานรัฐตำรวจดิจิตอลในประเทศจีนได้อย่างไร
    https://youtube.com/watch?v=uo_-d0lShxo&si=1EF92ko7zzGXmIhk

    ข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติมด้านล่าง:

    ❇พรรคคอมมิวนิสต์จีน (CCP) ได้รับเลือกจากผู้ควบคุมให้เป็นศูนย์ควบคุมของออสเตรเลีย


    ❇โดนัลด์ทรัมป์เสนอการใช้จ่ายเงิน 5500 พันล้านพันล้านเหรียญสหรัฐใน AI นั้นน่ากลัวอย่างยิ่งและทุกคนควรกลัว! | Ryan Villie (ผู้เชี่ยวชาญ AI)
    ..ถ้าเป็นจริง ผู้นำประเทศไทยเราต้องระดับคนเหนือมนุษย์เข้ามาปกครองจริงๆนะ,มีพลังเวทย์ยิ่งสุดยอดแบบหนังจักรๆวงศ์ๆเรานั้นล่ะ,กากๆต้องหลบลงจากผู้ปกครองประเทศไทย,ปีศาจจำแลงแปลงร่างกายมาต้องดูออก,มองเห็นแบบมีระบบออโต้ตาทิพย์หูทิพย์ใจทิพย์ อ่านจิตอ่านใจคนฝ่ายตรงข้ามได้ด้วย,ประเทศไทยเราต้องอัพเลเวลกันจริงจังตามนี้นะจึงจะรอดหรือเกรียวdna12-13เกรียวเราต้องได้คืนมา,มิใช่มี1-2เกรียวdnaแบบมนุษย์ปัจจุบัน,โลกก่อนล้านล้านปีของเรามีเช่นนั้นมาแล้ว,เราคนยุคปัจจุบันต้องทำได้ด้วย,มิเช่นนั้นพวกชั่วเลวสาระพัดจากต่างดาวอวกาศหรือใต้โลกใต้มหาสมุทรเราควบคุมเราสิ้นซากแบบปัจจุบันนี้ที่deep stateไซออนิสต์ต้องการปกครองควบคุมเรา.,ไทยเราต้องเป็นต้นแบบนะ. 🇨🇳ระบบการกักขังและการเฝ้าระวังที่โหดร้ายของพรรคคอมมิวนิสต์จีนเปิดใช้งานโดย Silicon Valley เอกสารภายในแสดง | Associated Press (AP) ap ได้รับเอกสารที่จำแนกและภายในหลายหมื่นหน้าซึ่งแสดงให้เห็นว่า บริษัท ในสหรัฐอเมริกา (Microsoft, Intel, Oracle, IBM, Dell Amazon Web Services และระบบอื่น ๆ ) ออกแบบและทำการตลาดระบบที่กลายเป็นรากฐานสำหรับกรงดิจิตอลของจีน ⚡ในระดับสูงสุดไม่มี "US vs พวกเขา" ประเทศนี้เทียบกับประเทศนั้นหรือซ้ายเทียบกับด้านขวามันคือ "Satanic รักร่วมเพศเฒ่าหัวงูคลับ Freemasons Club" ทำงานร่วมกันเพื่อกดขี่มนุษยชาติ ลิงค์ข่าว👉ap Silicon Valley เปิดใช้งานรัฐตำรวจดิจิตอลในประเทศจีนได้อย่างไร https://youtube.com/watch?v=uo_-d0lShxo&si=1EF92ko7zzGXmIhk 🎓ข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติมด้านล่าง: ❇พรรคคอมมิวนิสต์จีน (CCP) ได้รับเลือกจากผู้ควบคุมให้เป็นศูนย์ควบคุมของออสเตรเลีย ❇โดนัลด์ทรัมป์เสนอการใช้จ่ายเงิน 5500 พันล้านพันล้านเหรียญสหรัฐใน AI นั้นน่ากลัวอย่างยิ่งและทุกคนควรกลัว! | Ryan Villie (ผู้เชี่ยวชาญ AI)
    0 Comments 0 Shares 260 Views 0 Reviews
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
    ตอนที่ 1 : “เสี้ยม 2”
    Istanbul ฤดูร้อน ปี ค.ศ. 1914 เมืองหลวงของจักรวรรดิออตโตมาน เหมือนอยู่ไกลไปครึ่งโลกห่างวัง ฤดูร้อนใน Ischi ที่ Emperor Franz Joseph ที่ 1 ลงนามในแถลงการณ์ “To My People” เมื่อวันที่ 28 ก.ค 1914 แจ้งให้ชาวออสเตรียรู้ว่า ออสเตรียได้ประกาศสงครามกับ Serbia อย่างเป็นทางการแล้ว !
    เป็นเวลาหลายศตวรรษมาแล้ว ที่อาณาจักรออตโตมานควบคุมทางใต้และตะวันออกของเมดิเตอเรเนียน ตั้งแต่เมือง Alexandretta ถึง Arish และจาก Maghreb ไปถึง Suez ส่วน Algeria และ Tunesia ตกอยู่ในการดูแลของฝรั่งเศส ในขณะที่อังกฤษงาบ อียิปต์ไปเรียบร้อยแล้ว
    ในปี ค.ศ. 1911 อิตาลีได้ยึดหัวหาดอยู่ที่ลิเบีย ก่อนที่จะเกิดสงครามโลก อาณาจักรออตโตมานถูกรุมทึ้งจนเหลือเพียงตุรกี (เท่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน) ตะวันออกกลางและอิรัค (เท่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน) และดินแดนยาวเป็นเส้นก๋วยเตี๋ยวอยู่แถบคาบสมุทรอารเบียยาวไปถึงเยเมน
    ตรงบริเวณนี้แหละ ตรงที่เป็นภาคใต้ของตุรกีปัจจุบัน ที่เป็นศูนย์กลางของสงครามในตะวันออกกลางในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 ดินแดนส่วนนี้ได้พยุงตัวด้วยความยากลำบาก เป็นเวลากว่า 400 ปี ที่จะให้อยู่รอดพ้นจากการเหลือแต่ชื่อ แต่แล้วพอถึงต้นศตวรรษที่ 20 ดินแดนส่วนนี้ก็ยิ่งอาการสาหัส กลายเป็นแดนวิกฤติ อย่างที่เรารู้อยู่ในปัจจุบัน บริเวณที่เมืองต่าง ๆ ในแถบนั้นต้องประสบกับความทุกข์ทรมานยาวหลายชั่วคน เช่น Basra, Bagdad, Aleppo, Damascus, Beirut, Gaza และ Suez ฯลฯ เมืองที่เราเห็นชื่อตามสื่อและ breaking news ซ้ำแล้วซ้ำอีก จนแทบจะเลิกสนใจเพราะนึกว่าเอาเทปของเก่ามาเล่นซ้ำ
    โชคดีที่พวกชักใยหรือตัวละครเอกที่แสดงอยู่ในฉากสงครามโลกครั้งที่ 1 ขณะนั้นยังไม่รู้ว่า ที่สนามหลังบ้านของอาณาจักรออตโตมาน มีแหล่งพลังงานน้ำมันใหญ่ที่สุด ซ่อนตัวอยู่ ถ้าไอ้พวกนั้นได้รู้ การต่อสู้ที่ตะวันออกกลางช่วงนั้นคงจะยิ่งดุเดือดและทารุณโหดร้าย ป่าเถื่อนกว่าที่ได้เกิดขึ้นอีกมากมาย ในขณะนั้น คู่สงครามต่างแสดงบทที่ดูเหมือนจะต้องการเพียงแค่ กำจัดอีกฝ่ายหนึ่งให้หมดไปจากทางเดินของตน ไม่ให้อีกฝ่ายหนึ่งมีอิทธิพล มีอำนาจมากกว่า ยิ่งใหญ่กว่า ต่างฝ่ายต่างไม่ต้องการให้อีกฝ่ายทำสำเร็จ และพยายามทุกอย่างที่จะขัดขวางกันและกันเท่านั้น
    อังกฤษ ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าข้างซ้าย สบโอกาสที่จะสลายอาณาจักรออตโตมาน ของนักไต่ลวดชาวตุรกี และยึดเอามาเป็นของตน เพื่อขยายอิทธิพลของตนไปทางตะวันออกกลางมากขึ้น ขณะนั้นอังกฤษมีอิทธิพลเหนืออียิปต์ อยู่แล้ว ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1888 และเหนืออินเดีย ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1857 ยังเหลืออาณาจักรออตโตมาน ซึ่งตั้งอยู่ตรงกลาง ระหว่าง 2 อาณานิคมสำคัญ นี่ถ้าได้อาณาจักรออตโตมานอีกรายการ อาการฟันห่างระหว่างอียิปต์กับอินเดียก็จะแคบเข้ามา อังกฤษจะนั่งรอให้โอกาสวิ่งผ่านไป โดยไม่ฉวยได้อย่างไร ความคิดที่จะใช้สงครามโลกเป็นเครื่องมือถอนราก ถอนโคน อาณาจักรของนักไต่ลวด พร้อมกับการสกัดและทำลายเยอรมันที่คิดทาบรัศมีด้วยการสร้างทางรถไฟสาย Berlin Bagdad ไปพร้อมกันจึงเกิดขึ้น
    อาณาจักรออตโตมาน ตัดสินใจว่าจะวางตัวเป็นกลาง ก็เป็นคนป่วยนี่ ไม่แข็งแรงพอที่จะไปต่อสู้กับใครได้ อยู่เฉย ๆ น่าจะดีและเหมาะกับสภาพของออตโตมานตอนนั้นมากกว่า สุลต่านผู้ครองจักรวรรดิออตโตมาน เป็นเสมือนหุ่นไม่มีอำนาจจริง หลังจากสุลต่าน Abdulhamid II ซึ่งเป็นสุลต่านที่มีอำนาจคนสุด ท้าย ถูกโค่นลงเมื่อปี 1908 แล้ว สุลต่านคนต่อ ๆ มา ก็หมกตัวอยู่แต่ในฮาเร็ม ให้รัฐบาลทหาร ซึ่งนำโดย Three Pasha เป็นผู้บริหารแทน ปาชาไม่ใช่พวกเคร่งศาสนาและออกจะเป็นพวกนิยมตะวันตกด้วยซ้ำ
    เป็นทหารจะไปรู้เรื่องการค้ามากมายอะไร (ผมหมายถึงปาชานะครับ อย่าเข้าใจผิดว่าเขียนถึงทหารอื่น ซึ่งเก่งทั้งการทหาร การค้า การปกครอง และอื่น ๆ อีกมากมาย) แล้วอาณาจักรออตโตมานก็ถึงเวลากระเป๋าแห้ง และฉีกขาดต่อมา เป็นหนี้ฝรั่งตะวันตกบานตะเกียง ชนิดไม่มีทางจะใช้คืน นอกจากเบี้ยวเขา หรือเป็นทาสเขาไปเท่านั้น แล้วไงล่ะ ขอไปร่วมอยู่ฝั่งเดียวกับเขา เขาก็ถีบทิ้ง นักไต่ลวดจึงถลาลงพื้น หัวฟาดอย่างเดียวไม่พอ กระเป๋าฉีกขาดอีกด้วย ทั้งเจ็บ ทั้งจนขนาดนี้ จะมีทางเลือกอะไร จึงจำใจไปเข้ากับอีกฝ่ายหนึ่ง
    ตุลาคม ค.ศ. 1914 ตุรกี (หรืออาณาจักรออตโตมานขณะนั้น) จึงประกาศตัวอยู่ฝ่ายเยอรมันกับพวก ที่น่าจะกระเป๋าตุงเพราะทำซ่า ว่าจะสร้างทางรถไฟข้ามทวีป เบอร์ลิน แบกแดด ท้าทายชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย แต่ก่อนประกาศตัวอยู่กับฝ่ายเยอรมันเป็นทางการ คนป่วยตุรกีแอบทำสัญญาลับกับ คุณหมอเยอรมัน เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม หลังจากนั้นไม่นาน เรือรบสัญชาติเยอรมัน 2 ลำ SMS Goeben และ SMS Breslau ก็วิ่งมาเงียบ ๆ จากฝั่งตะวันตกของเมดิเตอริเรเนียน ถึงกรุงคอนสแตนติโนเบิล เมื่อเทียบท่าเรียบร้อย ก็ทำพิธีส่งมอบให้ออตโตมาน ซึ่งขณะนั้นบอกว่ายังเป็นกลางอยู่ ออตโตมานตั้งชื่อเรือเสียใหม่ว่า Yavuz และ Midilli ให้มีกลิ่นแกะตุรกีติดเรือ แทนกลิ่นไส้กรอกกับผักดองเปรี้ยวของเยอรมัน พลประจำเรือชาวเยอรมันยังไม่ได้หายตัวไปไหน แค่เปลี่ยนชุดและใส่หมวกตุรกีแทนเท่านั้น เป็นคนป่วยที่ดูเหมือน ยังมีเหลี่ยมติดตัวอยู่ไม่น้อย
    หลังจากนั่นเรือรบ 2 ลำ เดินทางต่อไปถึง Golden Horn และต่อไปที่เมือง Dardanelles ปฏิบัติการยั่วยวนก็เกิดขึ้นทันที ออตโตมานและเยอรมัน ได้ปิดทางเชื่อมระหว่างรัสเซียออกจากพวก คือ ฝรั่งเศส และอังกฤษ หลังจากนั้น เครื่องบินรบติดธงออตโตมาน ก็บินขึ้นจากเรือรบ Goeben ถล่มท่าเรือรัสเซียที่ทะเลดำ การยั่วยวนได้ผล ต้นเดือนพฤศจิกายน รัสเซีย อังกฤษ และฝรั่งเศส ก็ประกาศสงครามกับจักรวรรดิออตโตมาน
    อังกฤษพยายามที่จะทลายการปิดกั้นเส้นทางที่ Dardanelles และยึดเมืองคอนสแตนติโนเบิล ยกโขยงกองทัพเรือมาพร้อมกับของฝรั่งเศสมาทางแหลม Gallipoli การสู้รบเป็นไปอย่างดุเดือด ทั้งทางเรือและทางบก ผลสุดท้ายคนป่วย ออตโตมานที่มีหมอดียาดี ยี่ห้อเยอรมัน ลุกขึ้นกวาดกองทัพอังกฤษแตกกลับ ลงทะเล ผลของคนป่วยได้ยาดี ทำให้ท่านหลอด Winston Churchill แม่ทัพเรือ ยื่นใบลาออกเพราะแพ้คนป่วย จะแก้ตัวยังไงดี ลาออกง่ายกว่า ผลการประเมินคนป่วยผิดคาดนี้ ทำให้เกิดบาดแผลมากมาย ทหารของออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ลูกกระเป๋งของอังกฤษตายเป็นเบือ จนเดี๋ยวนี้ทั้ง 2 ชาติ ก็ไม่มีวันลืมสงครามคนป่วย
    ความพ่ายแพ้ที่ Gallipoli ทำให้ฝ่ายสัมพันธมิตรโดยเฉพาะอังกฤษ เปลี่ยนยุทธศาสตร์การรบใหม่ หลังจากแผนการตีกล่องดวงใจ ของออตโตมานล้มเหลว อังกฤษเปลี่ยนแผนเป็น ไล่เซิ้งเมืองรอบนอกให้ยับเยินแทน เป้าหมายมุ่งไปที่เมืองที่มีชาวอาหรับอ่อนแอดูแลอยู่
    กลยุทธที่อังกฤษถนัดใช้และพกติดตัวไว้เสมอ คือไม้เสี้ยม ไม่ต้องลงทุนมาก ใช้ความคิดชั่ว ๆ กับปากก็พอ อังกฤษตั้งใจจะใช้ชาวอาหรับ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรออตโตมาน เป็นเครื่องมือในการช่วยทลายออตโตมานเอง ในที่สุดก็หาเครื่องมือนี้เจอที่เมือง Hejaz ที่บริเวณตะวันตกของคาบสมุทรอารเบีย
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
17 ส.ค. 2557
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ” ตอนที่ 1 : “เสี้ยม 2” Istanbul ฤดูร้อน ปี ค.ศ. 1914 เมืองหลวงของจักรวรรดิออตโตมาน เหมือนอยู่ไกลไปครึ่งโลกห่างวัง ฤดูร้อนใน Ischi ที่ Emperor Franz Joseph ที่ 1 ลงนามในแถลงการณ์ “To My People” เมื่อวันที่ 28 ก.ค 1914 แจ้งให้ชาวออสเตรียรู้ว่า ออสเตรียได้ประกาศสงครามกับ Serbia อย่างเป็นทางการแล้ว ! เป็นเวลาหลายศตวรรษมาแล้ว ที่อาณาจักรออตโตมานควบคุมทางใต้และตะวันออกของเมดิเตอเรเนียน ตั้งแต่เมือง Alexandretta ถึง Arish และจาก Maghreb ไปถึง Suez ส่วน Algeria และ Tunesia ตกอยู่ในการดูแลของฝรั่งเศส ในขณะที่อังกฤษงาบ อียิปต์ไปเรียบร้อยแล้ว ในปี ค.ศ. 1911 อิตาลีได้ยึดหัวหาดอยู่ที่ลิเบีย ก่อนที่จะเกิดสงครามโลก อาณาจักรออตโตมานถูกรุมทึ้งจนเหลือเพียงตุรกี (เท่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน) ตะวันออกกลางและอิรัค (เท่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน) และดินแดนยาวเป็นเส้นก๋วยเตี๋ยวอยู่แถบคาบสมุทรอารเบียยาวไปถึงเยเมน ตรงบริเวณนี้แหละ ตรงที่เป็นภาคใต้ของตุรกีปัจจุบัน ที่เป็นศูนย์กลางของสงครามในตะวันออกกลางในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 ดินแดนส่วนนี้ได้พยุงตัวด้วยความยากลำบาก เป็นเวลากว่า 400 ปี ที่จะให้อยู่รอดพ้นจากการเหลือแต่ชื่อ แต่แล้วพอถึงต้นศตวรรษที่ 20 ดินแดนส่วนนี้ก็ยิ่งอาการสาหัส กลายเป็นแดนวิกฤติ อย่างที่เรารู้อยู่ในปัจจุบัน บริเวณที่เมืองต่าง ๆ ในแถบนั้นต้องประสบกับความทุกข์ทรมานยาวหลายชั่วคน เช่น Basra, Bagdad, Aleppo, Damascus, Beirut, Gaza และ Suez ฯลฯ เมืองที่เราเห็นชื่อตามสื่อและ breaking news ซ้ำแล้วซ้ำอีก จนแทบจะเลิกสนใจเพราะนึกว่าเอาเทปของเก่ามาเล่นซ้ำ โชคดีที่พวกชักใยหรือตัวละครเอกที่แสดงอยู่ในฉากสงครามโลกครั้งที่ 1 ขณะนั้นยังไม่รู้ว่า ที่สนามหลังบ้านของอาณาจักรออตโตมาน มีแหล่งพลังงานน้ำมันใหญ่ที่สุด ซ่อนตัวอยู่ ถ้าไอ้พวกนั้นได้รู้ การต่อสู้ที่ตะวันออกกลางช่วงนั้นคงจะยิ่งดุเดือดและทารุณโหดร้าย ป่าเถื่อนกว่าที่ได้เกิดขึ้นอีกมากมาย ในขณะนั้น คู่สงครามต่างแสดงบทที่ดูเหมือนจะต้องการเพียงแค่ กำจัดอีกฝ่ายหนึ่งให้หมดไปจากทางเดินของตน ไม่ให้อีกฝ่ายหนึ่งมีอิทธิพล มีอำนาจมากกว่า ยิ่งใหญ่กว่า ต่างฝ่ายต่างไม่ต้องการให้อีกฝ่ายทำสำเร็จ และพยายามทุกอย่างที่จะขัดขวางกันและกันเท่านั้น อังกฤษ ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าข้างซ้าย สบโอกาสที่จะสลายอาณาจักรออตโตมาน ของนักไต่ลวดชาวตุรกี และยึดเอามาเป็นของตน เพื่อขยายอิทธิพลของตนไปทางตะวันออกกลางมากขึ้น ขณะนั้นอังกฤษมีอิทธิพลเหนืออียิปต์ อยู่แล้ว ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1888 และเหนืออินเดีย ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1857 ยังเหลืออาณาจักรออตโตมาน ซึ่งตั้งอยู่ตรงกลาง ระหว่าง 2 อาณานิคมสำคัญ นี่ถ้าได้อาณาจักรออตโตมานอีกรายการ อาการฟันห่างระหว่างอียิปต์กับอินเดียก็จะแคบเข้ามา อังกฤษจะนั่งรอให้โอกาสวิ่งผ่านไป โดยไม่ฉวยได้อย่างไร ความคิดที่จะใช้สงครามโลกเป็นเครื่องมือถอนราก ถอนโคน อาณาจักรของนักไต่ลวด พร้อมกับการสกัดและทำลายเยอรมันที่คิดทาบรัศมีด้วยการสร้างทางรถไฟสาย Berlin Bagdad ไปพร้อมกันจึงเกิดขึ้น อาณาจักรออตโตมาน ตัดสินใจว่าจะวางตัวเป็นกลาง ก็เป็นคนป่วยนี่ ไม่แข็งแรงพอที่จะไปต่อสู้กับใครได้ อยู่เฉย ๆ น่าจะดีและเหมาะกับสภาพของออตโตมานตอนนั้นมากกว่า สุลต่านผู้ครองจักรวรรดิออตโตมาน เป็นเสมือนหุ่นไม่มีอำนาจจริง หลังจากสุลต่าน Abdulhamid II ซึ่งเป็นสุลต่านที่มีอำนาจคนสุด ท้าย ถูกโค่นลงเมื่อปี 1908 แล้ว สุลต่านคนต่อ ๆ มา ก็หมกตัวอยู่แต่ในฮาเร็ม ให้รัฐบาลทหาร ซึ่งนำโดย Three Pasha เป็นผู้บริหารแทน ปาชาไม่ใช่พวกเคร่งศาสนาและออกจะเป็นพวกนิยมตะวันตกด้วยซ้ำ เป็นทหารจะไปรู้เรื่องการค้ามากมายอะไร (ผมหมายถึงปาชานะครับ อย่าเข้าใจผิดว่าเขียนถึงทหารอื่น ซึ่งเก่งทั้งการทหาร การค้า การปกครอง และอื่น ๆ อีกมากมาย) แล้วอาณาจักรออตโตมานก็ถึงเวลากระเป๋าแห้ง และฉีกขาดต่อมา เป็นหนี้ฝรั่งตะวันตกบานตะเกียง ชนิดไม่มีทางจะใช้คืน นอกจากเบี้ยวเขา หรือเป็นทาสเขาไปเท่านั้น แล้วไงล่ะ ขอไปร่วมอยู่ฝั่งเดียวกับเขา เขาก็ถีบทิ้ง นักไต่ลวดจึงถลาลงพื้น หัวฟาดอย่างเดียวไม่พอ กระเป๋าฉีกขาดอีกด้วย ทั้งเจ็บ ทั้งจนขนาดนี้ จะมีทางเลือกอะไร จึงจำใจไปเข้ากับอีกฝ่ายหนึ่ง ตุลาคม ค.ศ. 1914 ตุรกี (หรืออาณาจักรออตโตมานขณะนั้น) จึงประกาศตัวอยู่ฝ่ายเยอรมันกับพวก ที่น่าจะกระเป๋าตุงเพราะทำซ่า ว่าจะสร้างทางรถไฟข้ามทวีป เบอร์ลิน แบกแดด ท้าทายชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย แต่ก่อนประกาศตัวอยู่กับฝ่ายเยอรมันเป็นทางการ คนป่วยตุรกีแอบทำสัญญาลับกับ คุณหมอเยอรมัน เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม หลังจากนั้นไม่นาน เรือรบสัญชาติเยอรมัน 2 ลำ SMS Goeben และ SMS Breslau ก็วิ่งมาเงียบ ๆ จากฝั่งตะวันตกของเมดิเตอริเรเนียน ถึงกรุงคอนสแตนติโนเบิล เมื่อเทียบท่าเรียบร้อย ก็ทำพิธีส่งมอบให้ออตโตมาน ซึ่งขณะนั้นบอกว่ายังเป็นกลางอยู่ ออตโตมานตั้งชื่อเรือเสียใหม่ว่า Yavuz และ Midilli ให้มีกลิ่นแกะตุรกีติดเรือ แทนกลิ่นไส้กรอกกับผักดองเปรี้ยวของเยอรมัน พลประจำเรือชาวเยอรมันยังไม่ได้หายตัวไปไหน แค่เปลี่ยนชุดและใส่หมวกตุรกีแทนเท่านั้น เป็นคนป่วยที่ดูเหมือน ยังมีเหลี่ยมติดตัวอยู่ไม่น้อย หลังจากนั่นเรือรบ 2 ลำ เดินทางต่อไปถึง Golden Horn และต่อไปที่เมือง Dardanelles ปฏิบัติการยั่วยวนก็เกิดขึ้นทันที ออตโตมานและเยอรมัน ได้ปิดทางเชื่อมระหว่างรัสเซียออกจากพวก คือ ฝรั่งเศส และอังกฤษ หลังจากนั้น เครื่องบินรบติดธงออตโตมาน ก็บินขึ้นจากเรือรบ Goeben ถล่มท่าเรือรัสเซียที่ทะเลดำ การยั่วยวนได้ผล ต้นเดือนพฤศจิกายน รัสเซีย อังกฤษ และฝรั่งเศส ก็ประกาศสงครามกับจักรวรรดิออตโตมาน อังกฤษพยายามที่จะทลายการปิดกั้นเส้นทางที่ Dardanelles และยึดเมืองคอนสแตนติโนเบิล ยกโขยงกองทัพเรือมาพร้อมกับของฝรั่งเศสมาทางแหลม Gallipoli การสู้รบเป็นไปอย่างดุเดือด ทั้งทางเรือและทางบก ผลสุดท้ายคนป่วย ออตโตมานที่มีหมอดียาดี ยี่ห้อเยอรมัน ลุกขึ้นกวาดกองทัพอังกฤษแตกกลับ ลงทะเล ผลของคนป่วยได้ยาดี ทำให้ท่านหลอด Winston Churchill แม่ทัพเรือ ยื่นใบลาออกเพราะแพ้คนป่วย จะแก้ตัวยังไงดี ลาออกง่ายกว่า ผลการประเมินคนป่วยผิดคาดนี้ ทำให้เกิดบาดแผลมากมาย ทหารของออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ลูกกระเป๋งของอังกฤษตายเป็นเบือ จนเดี๋ยวนี้ทั้ง 2 ชาติ ก็ไม่มีวันลืมสงครามคนป่วย ความพ่ายแพ้ที่ Gallipoli ทำให้ฝ่ายสัมพันธมิตรโดยเฉพาะอังกฤษ เปลี่ยนยุทธศาสตร์การรบใหม่ หลังจากแผนการตีกล่องดวงใจ ของออตโตมานล้มเหลว อังกฤษเปลี่ยนแผนเป็น ไล่เซิ้งเมืองรอบนอกให้ยับเยินแทน เป้าหมายมุ่งไปที่เมืองที่มีชาวอาหรับอ่อนแอดูแลอยู่ กลยุทธที่อังกฤษถนัดใช้และพกติดตัวไว้เสมอ คือไม้เสี้ยม ไม่ต้องลงทุนมาก ใช้ความคิดชั่ว ๆ กับปากก็พอ อังกฤษตั้งใจจะใช้ชาวอาหรับ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรออตโตมาน เป็นเครื่องมือในการช่วยทลายออตโตมานเอง ในที่สุดก็หาเครื่องมือนี้เจอที่เมือง Hejaz ที่บริเวณตะวันตกของคาบสมุทรอารเบีย สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
17 ส.ค. 2557
    0 Comments 0 Shares 346 Views 0 Reviews
  • “Ghost Shark: เรือดำน้ำไร้คนขับแห่งอนาคตของออสเตรเลีย — เมื่อ AI ใต้น้ำกลายเป็นอาวุธยุทธศาสตร์ระดับชาติ”

    กองทัพเรือออสเตรเลียได้เปิดตัวโครงการ Ghost Shark อย่างเป็นทางการในเดือนกันยายน 2025 โดยเป็นการลงทุนครั้งใหญ่กว่า 1.7 พันล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (ประมาณ 1.12 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพื่อจัดซื้อเรือดำน้ำไร้คนขับแบบ XL-AUV (Extra-Large Autonomous Undersea Vehicle) จากบริษัท Anduril Industries ซึ่งจะผลิตภายในประเทศโดย Anduril Australia ร่วมกับบริษัทในเครือกว่า 40 แห่ง

    Ghost Shark ถูกออกแบบมาเพื่อภารกิจด้านข่าวกรอง การลาดตระเวน และการโจมตีแบบลับ โดยมีความสามารถในการปฏิบัติการระยะไกลโดยไม่ต้องใช้ลูกเรือ และสามารถปล่อยจากชายฝั่งหรือเรือรบได้โดยตรง ตัวเรือยังสามารถขนส่งผ่านเครื่องบิน C-17A Globemaster III ได้ในตู้คอนเทนเนอร์มาตรฐาน ทำให้สามารถนำไปใช้งานได้ทั่วโลก

    แม้รายละเอียดทางเทคนิคจะยังถูกเก็บเป็นความลับ แต่มีการคาดการณ์ว่า Ghost Shark อาจสามารถติดตั้งตอร์ปิโด Mark 48 ซึ่งเป็นอาวุธหนักที่กองทัพเรือออสเตรเลียใช้อยู่ และอาจมีระบบ AI “Lattice” ที่ช่วยให้เรือสามารถควบคุมโดรนอื่น ๆ ได้เอง

    โครงการนี้เริ่มต้นจากการลงทุนพัฒนาเบื้องต้นราว 140 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย และใช้เวลาเพียง 3 ปีจากแนวคิดสู่การผลิตจริง โดยมีการส่งมอบต้นแบบแล้ว 3 ลำ และเตรียมเข้าสู่การผลิตเต็มรูปแบบในปีหน้า

    Ghost Shark ไม่เพียงแต่จะเสริมกำลังเรือดำน้ำแบบมีลูกเรือเท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ป้องกันประเทศที่เน้นการใช้เทคโนโลยีอัตโนมัติ เพื่อสร้างความได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์ในภูมิภาคอินโดแปซิฟิก และอาจกลายเป็นสินค้าส่งออกด้านความมั่นคงในอนาคต

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    รัฐบาลออสเตรเลียลงทุน 1.7 พันล้านดอลลาร์ออสเตรเลียในโครงการ Ghost Shark
    Ghost Shark เป็นเรือดำน้ำไร้คนขับแบบ XL-AUV ที่พัฒนาโดย Anduril Industries
    ผลิตภายในประเทศโดย Anduril Australia ร่วมกับบริษัทในเครือกว่า 40 แห่ง
    เรือสามารถปล่อยจากชายฝั่งหรือเรือรบ และขนส่งผ่านเครื่องบิน C-17A ได้
    มีความสามารถด้านข่าวกรอง การลาดตระเวน และการโจมตีแบบลับ
    อาจติดตั้งตอร์ปิโด Mark 48 และใช้ระบบ AI “Lattice”
    ส่งมอบต้นแบบแล้ว 3 ลำ และเตรียมผลิตเต็มรูปแบบในปี 2026
    โครงการนี้สร้างงานใหม่กว่า 150 ตำแหน่ง และสนับสนุนงานเดิมอีก 120 ตำแหน่ง
    เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ป้องกันประเทศตามแผน National Defence Strategy 2024

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    XL-AUV เป็นเทคโนโลยีที่กำลังได้รับความสนใจจากหลายประเทศ เช่น สหรัฐฯ และญี่ปุ่น
    ระบบ AI ใต้น้ำช่วยให้เรือสามารถตัดสินใจได้เองในภารกิจที่ซับซ้อน
    การใช้เรือไร้คนขับช่วยลดความเสี่ยงต่อชีวิตทหารในภารกิจอันตราย
    Ghost Shark อาจกลายเป็นต้นแบบของการพัฒนาเรือดำน้ำอัตโนมัติในอนาคต
    การขนส่งผ่าน C-17A ทำให้สามารถ deploy ได้รวดเร็วในสถานการณ์ฉุกเฉิน

    https://www.slashgear.com/1975958/royal-australian-navy-ghost-shark-autonomous-submarine/
    🦈 “Ghost Shark: เรือดำน้ำไร้คนขับแห่งอนาคตของออสเตรเลีย — เมื่อ AI ใต้น้ำกลายเป็นอาวุธยุทธศาสตร์ระดับชาติ” กองทัพเรือออสเตรเลียได้เปิดตัวโครงการ Ghost Shark อย่างเป็นทางการในเดือนกันยายน 2025 โดยเป็นการลงทุนครั้งใหญ่กว่า 1.7 พันล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (ประมาณ 1.12 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพื่อจัดซื้อเรือดำน้ำไร้คนขับแบบ XL-AUV (Extra-Large Autonomous Undersea Vehicle) จากบริษัท Anduril Industries ซึ่งจะผลิตภายในประเทศโดย Anduril Australia ร่วมกับบริษัทในเครือกว่า 40 แห่ง Ghost Shark ถูกออกแบบมาเพื่อภารกิจด้านข่าวกรอง การลาดตระเวน และการโจมตีแบบลับ โดยมีความสามารถในการปฏิบัติการระยะไกลโดยไม่ต้องใช้ลูกเรือ และสามารถปล่อยจากชายฝั่งหรือเรือรบได้โดยตรง ตัวเรือยังสามารถขนส่งผ่านเครื่องบิน C-17A Globemaster III ได้ในตู้คอนเทนเนอร์มาตรฐาน ทำให้สามารถนำไปใช้งานได้ทั่วโลก แม้รายละเอียดทางเทคนิคจะยังถูกเก็บเป็นความลับ แต่มีการคาดการณ์ว่า Ghost Shark อาจสามารถติดตั้งตอร์ปิโด Mark 48 ซึ่งเป็นอาวุธหนักที่กองทัพเรือออสเตรเลียใช้อยู่ และอาจมีระบบ AI “Lattice” ที่ช่วยให้เรือสามารถควบคุมโดรนอื่น ๆ ได้เอง โครงการนี้เริ่มต้นจากการลงทุนพัฒนาเบื้องต้นราว 140 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย และใช้เวลาเพียง 3 ปีจากแนวคิดสู่การผลิตจริง โดยมีการส่งมอบต้นแบบแล้ว 3 ลำ และเตรียมเข้าสู่การผลิตเต็มรูปแบบในปีหน้า Ghost Shark ไม่เพียงแต่จะเสริมกำลังเรือดำน้ำแบบมีลูกเรือเท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ป้องกันประเทศที่เน้นการใช้เทคโนโลยีอัตโนมัติ เพื่อสร้างความได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์ในภูมิภาคอินโดแปซิฟิก และอาจกลายเป็นสินค้าส่งออกด้านความมั่นคงในอนาคต ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ รัฐบาลออสเตรเลียลงทุน 1.7 พันล้านดอลลาร์ออสเตรเลียในโครงการ Ghost Shark ➡️ Ghost Shark เป็นเรือดำน้ำไร้คนขับแบบ XL-AUV ที่พัฒนาโดย Anduril Industries ➡️ ผลิตภายในประเทศโดย Anduril Australia ร่วมกับบริษัทในเครือกว่า 40 แห่ง ➡️ เรือสามารถปล่อยจากชายฝั่งหรือเรือรบ และขนส่งผ่านเครื่องบิน C-17A ได้ ➡️ มีความสามารถด้านข่าวกรอง การลาดตระเวน และการโจมตีแบบลับ ➡️ อาจติดตั้งตอร์ปิโด Mark 48 และใช้ระบบ AI “Lattice” ➡️ ส่งมอบต้นแบบแล้ว 3 ลำ และเตรียมผลิตเต็มรูปแบบในปี 2026 ➡️ โครงการนี้สร้างงานใหม่กว่า 150 ตำแหน่ง และสนับสนุนงานเดิมอีก 120 ตำแหน่ง ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ป้องกันประเทศตามแผน National Defence Strategy 2024 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ XL-AUV เป็นเทคโนโลยีที่กำลังได้รับความสนใจจากหลายประเทศ เช่น สหรัฐฯ และญี่ปุ่น ➡️ ระบบ AI ใต้น้ำช่วยให้เรือสามารถตัดสินใจได้เองในภารกิจที่ซับซ้อน ➡️ การใช้เรือไร้คนขับช่วยลดความเสี่ยงต่อชีวิตทหารในภารกิจอันตราย ➡️ Ghost Shark อาจกลายเป็นต้นแบบของการพัฒนาเรือดำน้ำอัตโนมัติในอนาคต ➡️ การขนส่งผ่าน C-17A ทำให้สามารถ deploy ได้รวดเร็วในสถานการณ์ฉุกเฉิน https://www.slashgear.com/1975958/royal-australian-navy-ghost-shark-autonomous-submarine/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    The Royal Australian Navy Has A Billion-Dollar Ghost Shark Submarine Fleet On The Way - SlashGear
    The Australian government has signed a five-year contract with Anduril Industries worth $1.12 billion to build an undisclosed number of Ghost Shark XL-AUVs.
    0 Comments 0 Shares 253 Views 0 Reviews
  • “AI กู้คืนเงินหลวงอังกฤษ 480 ล้านปอนด์ — Fraud Risk Assessment Accelerator กลายเป็นอาวุธใหม่ปราบโกงระดับโลก”

    รัฐบาลสหราชอาณาจักรประกาศความสำเร็จครั้งใหญ่ในการใช้ระบบปัญญาประดิษฐ์ชื่อว่า “Fraud Risk Assessment Accelerator” ซึ่งสามารถช่วยกู้คืนเงินที่สูญเสียจากการทุจริตได้มากถึง 480 ล้านปอนด์ภายในเวลาเพียง 12 เดือน (เมษายน 2024 – เมษายน 2025) ถือเป็นสถิติสูงสุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ

    ระบบนี้ถูกนำมาใช้เพื่อจัดการกับการโกงในโครงการ Bounce Back Loan ที่เกิดขึ้นช่วงโควิด ซึ่งมีการอนุมัติเงินกู้สูงสุดถึง 50,000 ปอนด์ต่อบริษัทโดยไม่มีการตรวจสอบที่เข้มงวด ทำให้เกิดการโกงอย่างแพร่หลาย เช่น การสร้างบริษัทปลอม หรือการขอเงินกู้หลายครั้งโดยไม่สิทธิ์

    AI ตัวนี้ไม่เพียงแต่ช่วยตรวจสอบย้อนหลัง แต่ยังสามารถวิเคราะห์นโยบายใหม่ล่วงหน้าเพื่อหาช่องโหว่ก่อนที่ผู้ไม่หวังดีจะใช้ประโยชน์ได้ ถือเป็นการ “fraud-proof” นโยบายตั้งแต่ขั้นตอนออกแบบ ซึ่งช่วยป้องกันการสูญเสียในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    หลังจากประสบความสำเร็จในอังกฤษ รัฐบาลเตรียมขยายการใช้งานไปยังประเทศพันธมิตร เช่น สหรัฐฯ แคนาดา ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ โดยจะมีการประกาศอย่างเป็นทางการในงานประชุมต่อต้านการทุจริตระดับนานาชาติที่จัดร่วมกับกลุ่ม Five Eyes

    อย่างไรก็ตาม กลุ่มสิทธิมนุษยชนได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับการใช้ AI ในการตรวจสอบสิทธิ์สวัสดิการ โดยระบุว่าอาจเกิดความลำเอียงและผลลัพธ์ที่ไม่เป็นธรรม เช่น การเลือกปฏิบัติต่อผู้มีอายุ ความพิการ หรือเชื้อชาติ ซึ่งเป็นประเด็นที่รัฐบาลต้องรับมืออย่างรอบคอบในการขยายระบบนี้

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    รัฐบาลอังกฤษใช้ AI Fraud Risk Assessment Accelerator กู้คืนเงินได้ 480 ล้านปอนด์ใน 12 เดือน
    186 ล้านปอนด์ในจำนวนนี้เกี่ยวข้องกับการโกงโครงการ Bounce Back Loan ช่วงโควิด
    ระบบสามารถวิเคราะห์นโยบายใหม่เพื่อหาช่องโหว่ก่อนถูกโกง
    ป้องกันบริษัทนับแสนที่พยายามยุบตัวเพื่อหลบเลี่ยงการคืนเงินกู้
    รัฐบาลเตรียมขยายการใช้งานไปยังสหรัฐฯ แคนาดา ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์
    เงินที่กู้คืนจะนำไปใช้ในบริการสาธารณะ เช่น โรงเรียน โรงพยาบาล และตำรวจ
    มีการประกาศผลในงานประชุมต่อต้านการทุจริตร่วมกับกลุ่ม Five Eyes
    ระบบนี้พัฒนาโดยนักวิจัยของรัฐบาลอังกฤษเอง

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Bounce Back Loan เป็นโครงการช่วยเหลือธุรกิจช่วงโควิดที่ถูกวิจารณ์เรื่องการตรวจสอบไม่เข้มงวด
    การใช้ AI ในการวิเคราะห์นโยบายล่วงหน้าเป็นแนวทางใหม่ที่หลายประเทศเริ่มนำมาใช้
    Five Eyes เป็นพันธมิตรข่าวกรองระหว่างอังกฤษ สหรัฐฯ แคนาดา ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์
    การใช้ AI ในภาครัฐเริ่มแพร่หลาย เช่น การตรวจสอบภาษี การจัดสรรสวัสดิการ และการวิเคราะห์ความเสี่ยง
    การกู้คืนเงินจากการโกงช่วยลดภาระงบประมาณและเพิ่มความเชื่อมั่นในระบบราชการ

    https://www.techradar.com/pro/security/uk-government-says-a-new-ai-tool-helped-it-recover-almost-gbp500-million-in-fraud-losses-and-now-its-going-global
    💰 “AI กู้คืนเงินหลวงอังกฤษ 480 ล้านปอนด์ — Fraud Risk Assessment Accelerator กลายเป็นอาวุธใหม่ปราบโกงระดับโลก” รัฐบาลสหราชอาณาจักรประกาศความสำเร็จครั้งใหญ่ในการใช้ระบบปัญญาประดิษฐ์ชื่อว่า “Fraud Risk Assessment Accelerator” ซึ่งสามารถช่วยกู้คืนเงินที่สูญเสียจากการทุจริตได้มากถึง 480 ล้านปอนด์ภายในเวลาเพียง 12 เดือน (เมษายน 2024 – เมษายน 2025) ถือเป็นสถิติสูงสุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ ระบบนี้ถูกนำมาใช้เพื่อจัดการกับการโกงในโครงการ Bounce Back Loan ที่เกิดขึ้นช่วงโควิด ซึ่งมีการอนุมัติเงินกู้สูงสุดถึง 50,000 ปอนด์ต่อบริษัทโดยไม่มีการตรวจสอบที่เข้มงวด ทำให้เกิดการโกงอย่างแพร่หลาย เช่น การสร้างบริษัทปลอม หรือการขอเงินกู้หลายครั้งโดยไม่สิทธิ์ AI ตัวนี้ไม่เพียงแต่ช่วยตรวจสอบย้อนหลัง แต่ยังสามารถวิเคราะห์นโยบายใหม่ล่วงหน้าเพื่อหาช่องโหว่ก่อนที่ผู้ไม่หวังดีจะใช้ประโยชน์ได้ ถือเป็นการ “fraud-proof” นโยบายตั้งแต่ขั้นตอนออกแบบ ซึ่งช่วยป้องกันการสูญเสียในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ หลังจากประสบความสำเร็จในอังกฤษ รัฐบาลเตรียมขยายการใช้งานไปยังประเทศพันธมิตร เช่น สหรัฐฯ แคนาดา ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ โดยจะมีการประกาศอย่างเป็นทางการในงานประชุมต่อต้านการทุจริตระดับนานาชาติที่จัดร่วมกับกลุ่ม Five Eyes อย่างไรก็ตาม กลุ่มสิทธิมนุษยชนได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับการใช้ AI ในการตรวจสอบสิทธิ์สวัสดิการ โดยระบุว่าอาจเกิดความลำเอียงและผลลัพธ์ที่ไม่เป็นธรรม เช่น การเลือกปฏิบัติต่อผู้มีอายุ ความพิการ หรือเชื้อชาติ ซึ่งเป็นประเด็นที่รัฐบาลต้องรับมืออย่างรอบคอบในการขยายระบบนี้ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ รัฐบาลอังกฤษใช้ AI Fraud Risk Assessment Accelerator กู้คืนเงินได้ 480 ล้านปอนด์ใน 12 เดือน ➡️ 186 ล้านปอนด์ในจำนวนนี้เกี่ยวข้องกับการโกงโครงการ Bounce Back Loan ช่วงโควิด ➡️ ระบบสามารถวิเคราะห์นโยบายใหม่เพื่อหาช่องโหว่ก่อนถูกโกง ➡️ ป้องกันบริษัทนับแสนที่พยายามยุบตัวเพื่อหลบเลี่ยงการคืนเงินกู้ ➡️ รัฐบาลเตรียมขยายการใช้งานไปยังสหรัฐฯ แคนาดา ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ➡️ เงินที่กู้คืนจะนำไปใช้ในบริการสาธารณะ เช่น โรงเรียน โรงพยาบาล และตำรวจ ➡️ มีการประกาศผลในงานประชุมต่อต้านการทุจริตร่วมกับกลุ่ม Five Eyes ➡️ ระบบนี้พัฒนาโดยนักวิจัยของรัฐบาลอังกฤษเอง ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Bounce Back Loan เป็นโครงการช่วยเหลือธุรกิจช่วงโควิดที่ถูกวิจารณ์เรื่องการตรวจสอบไม่เข้มงวด ➡️ การใช้ AI ในการวิเคราะห์นโยบายล่วงหน้าเป็นแนวทางใหม่ที่หลายประเทศเริ่มนำมาใช้ ➡️ Five Eyes เป็นพันธมิตรข่าวกรองระหว่างอังกฤษ สหรัฐฯ แคนาดา ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ➡️ การใช้ AI ในภาครัฐเริ่มแพร่หลาย เช่น การตรวจสอบภาษี การจัดสรรสวัสดิการ และการวิเคราะห์ความเสี่ยง ➡️ การกู้คืนเงินจากการโกงช่วยลดภาระงบประมาณและเพิ่มความเชื่อมั่นในระบบราชการ https://www.techradar.com/pro/security/uk-government-says-a-new-ai-tool-helped-it-recover-almost-gbp500-million-in-fraud-losses-and-now-its-going-global
    WWW.TECHRADAR.COM
    UK’s fraud detection AI to be licensed abroad after recovering £480m in lost revenue
    The Fraud Risk Assessment Accelerator is now set to be licensed abroad
    0 Comments 0 Shares 320 Views 0 Reviews
  • “Meta เปิดใช้งาน Teen Accounts ทั่วโลก — ปรับโซเชียลให้ปลอดภัยขึ้นสำหรับวัยรุ่นยุคใหม่”

    Meta ประกาศเปิดใช้งานฟีเจอร์ “Teen Accounts” บน Facebook และ Messenger ทั่วโลกเมื่อวันที่ 25 กันยายน 2025 หลังจากทดลองใช้ในกลุ่มประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก เช่น สหรัฐฯ อังกฤษ แคนาดา และออสเตรเลีย ฟีเจอร์นี้ออกแบบมาเพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ใช้วัยรุ่นอายุ 13–17 ปี โดยมีการตั้งค่าความเป็นส่วนตัวอัตโนมัติ การจำกัดเนื้อหา และระบบควบคุมโดยผู้ปกครอง

    Teen Accounts ถูกออกแบบให้ตอบโจทย์ความกังวลของผู้ปกครอง เช่น การจำกัดการส่งข้อความเฉพาะกับคนที่เคยติดต่อกันมาก่อน การตั้งค่าบัญชีเป็นแบบส่วนตัวโดยอัตโนมัติ และการจำกัดการมองเห็นเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ “Quiet Mode” ที่เปิดใช้งานในช่วงกลางคืน และระบบแจ้งเตือนให้หยุดใช้งานเมื่อครบ 60 นาทีต่อวัน

    สำหรับผู้ใช้ที่อายุต่ำกว่า 16 ปี การเปลี่ยนแปลงการตั้งค่าความปลอดภัยจะต้องได้รับความยินยอมจากผู้ปกครองก่อน เช่น การปิดระบบเบลอภาพที่อาจมีเนื้อหาไม่เหมาะสมในข้อความส่วนตัว หรือการเปิดใช้งานฟีเจอร์ Live บน Instagram

    การเปิดใช้งาน Teen Accounts ทั่วโลกเกิดขึ้นท่ามกลางแรงกดดันจากสังคมและหน่วยงานกำกับดูแลที่ต้องการให้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียรับผิดชอบต่อผลกระทบที่มีต่อเยาวชน โดยเฉพาะเรื่องสุขภาพจิต การเสพติดหน้าจอ และการถูกล่อลวงออนไลน์

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Meta เปิดใช้งาน Teen Accounts บน Facebook และ Messenger ทั่วโลก
    ฟีเจอร์นี้ออกแบบสำหรับผู้ใช้วัยรุ่นอายุ 13–17 ปี
    บัญชีจะถูกตั้งค่าเป็นแบบส่วนตัวโดยอัตโนมัติ
    จำกัดการส่งข้อความเฉพาะกับคนที่เคยติดต่อกันมาก่อน
    จำกัดการมองเห็นเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมและการโต้ตอบกับคนแปลกหน้า
    มีระบบแจ้งเตือนให้หยุดใช้งานเมื่อครบ 60 นาทีต่อวัน
    เปิดใช้งาน Quiet Mode ในช่วงกลางคืน
    ผู้ใช้ต่ำกว่า 16 ปีต้องได้รับความยินยอมจากผู้ปกครองในการเปลี่ยนแปลงการตั้งค่า
    ฟีเจอร์นี้เคยเปิดใช้งานบน Instagram ก่อนขยายมายัง Facebook และ Messenger

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Facebook มีผู้ใช้วัยรุ่นลดลงจาก 71% ในปี 2014 เหลือเพียง 32% ในปี 2024
    วัยรุ่นนิยมใช้แพลตฟอร์มอื่น เช่น TikTok, YouTube และ Snapchat มากกว่า
    Teen Accounts เป็นส่วนหนึ่งของการตอบสนองต่อกฎหมาย Kids Online Safety Act (KOSA)
    Meta เผชิญคดีความหลายร้อยคดีเกี่ยวกับผลกระทบของโซเชียลมีเดียต่อเด็ก
    ฟีเจอร์ใหม่ช่วยให้ผู้ปกครองสามารถดูรายชื่อเพื่อนและเวลาการใช้งานของลูกได้

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/26/meta-activates-facebook-039teen-accounts039-worldwide
    🧒 “Meta เปิดใช้งาน Teen Accounts ทั่วโลก — ปรับโซเชียลให้ปลอดภัยขึ้นสำหรับวัยรุ่นยุคใหม่” Meta ประกาศเปิดใช้งานฟีเจอร์ “Teen Accounts” บน Facebook และ Messenger ทั่วโลกเมื่อวันที่ 25 กันยายน 2025 หลังจากทดลองใช้ในกลุ่มประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก เช่น สหรัฐฯ อังกฤษ แคนาดา และออสเตรเลีย ฟีเจอร์นี้ออกแบบมาเพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ใช้วัยรุ่นอายุ 13–17 ปี โดยมีการตั้งค่าความเป็นส่วนตัวอัตโนมัติ การจำกัดเนื้อหา และระบบควบคุมโดยผู้ปกครอง Teen Accounts ถูกออกแบบให้ตอบโจทย์ความกังวลของผู้ปกครอง เช่น การจำกัดการส่งข้อความเฉพาะกับคนที่เคยติดต่อกันมาก่อน การตั้งค่าบัญชีเป็นแบบส่วนตัวโดยอัตโนมัติ และการจำกัดการมองเห็นเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ “Quiet Mode” ที่เปิดใช้งานในช่วงกลางคืน และระบบแจ้งเตือนให้หยุดใช้งานเมื่อครบ 60 นาทีต่อวัน สำหรับผู้ใช้ที่อายุต่ำกว่า 16 ปี การเปลี่ยนแปลงการตั้งค่าความปลอดภัยจะต้องได้รับความยินยอมจากผู้ปกครองก่อน เช่น การปิดระบบเบลอภาพที่อาจมีเนื้อหาไม่เหมาะสมในข้อความส่วนตัว หรือการเปิดใช้งานฟีเจอร์ Live บน Instagram การเปิดใช้งาน Teen Accounts ทั่วโลกเกิดขึ้นท่ามกลางแรงกดดันจากสังคมและหน่วยงานกำกับดูแลที่ต้องการให้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียรับผิดชอบต่อผลกระทบที่มีต่อเยาวชน โดยเฉพาะเรื่องสุขภาพจิต การเสพติดหน้าจอ และการถูกล่อลวงออนไลน์ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Meta เปิดใช้งาน Teen Accounts บน Facebook และ Messenger ทั่วโลก ➡️ ฟีเจอร์นี้ออกแบบสำหรับผู้ใช้วัยรุ่นอายุ 13–17 ปี ➡️ บัญชีจะถูกตั้งค่าเป็นแบบส่วนตัวโดยอัตโนมัติ ➡️ จำกัดการส่งข้อความเฉพาะกับคนที่เคยติดต่อกันมาก่อน ➡️ จำกัดการมองเห็นเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมและการโต้ตอบกับคนแปลกหน้า ➡️ มีระบบแจ้งเตือนให้หยุดใช้งานเมื่อครบ 60 นาทีต่อวัน ➡️ เปิดใช้งาน Quiet Mode ในช่วงกลางคืน ➡️ ผู้ใช้ต่ำกว่า 16 ปีต้องได้รับความยินยอมจากผู้ปกครองในการเปลี่ยนแปลงการตั้งค่า ➡️ ฟีเจอร์นี้เคยเปิดใช้งานบน Instagram ก่อนขยายมายัง Facebook และ Messenger ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Facebook มีผู้ใช้วัยรุ่นลดลงจาก 71% ในปี 2014 เหลือเพียง 32% ในปี 2024 ➡️ วัยรุ่นนิยมใช้แพลตฟอร์มอื่น เช่น TikTok, YouTube และ Snapchat มากกว่า ➡️ Teen Accounts เป็นส่วนหนึ่งของการตอบสนองต่อกฎหมาย Kids Online Safety Act (KOSA) ➡️ Meta เผชิญคดีความหลายร้อยคดีเกี่ยวกับผลกระทบของโซเชียลมีเดียต่อเด็ก ➡️ ฟีเจอร์ใหม่ช่วยให้ผู้ปกครองสามารถดูรายชื่อเพื่อนและเวลาการใช้งานของลูกได้ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/26/meta-activates-facebook-039teen-accounts039-worldwide
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Meta activates Facebook 'teen accounts' worldwide
    Meta's teen accounts, which offer additional security settings, content restrictions and parental controls for users aged 13 to 17, were first introduced on Instagram last year.
    0 Comments 0 Shares 241 Views 0 Reviews
  • ลักเซมเบิร์ก เป็นอีกหนึ่งประเทศที่ประกาศให้การรับรอง "รัฐปาเลสไตน์" อย่างเป็นทางการ

    นายกรัฐมนตรีลักเซมเบิร์ก ลุก ฟรีเดิน (Luc Frieden) ประกาศในที่ประชุมของสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ (ยูเอ็น) ที่มีผู้นำจากกว่า 140 ประเทศเข้าร่วม

    ในวันเดียวกันนี้ ยังมีอีกหลายประเทศที่โดดเดี่ยวอิสราเอล โดยการประกาศรับรอง "รัฐปาเลสไตน์" อย่างเป็นทางการ ประกอบด้วย ฝรั่งเศส แอนดอร์รา เบลเยียม มอลตา และโมนาโก

    ก่อนหน้านี้หนึ่งวันหลัง อังกฤษ แคนาดา ออสเตรเลีย และโปรตุเกส เพิ่งประกาศรับรอง "รัฐปาเลสไตน์"
    ลักเซมเบิร์ก เป็นอีกหนึ่งประเทศที่ประกาศให้การรับรอง "รัฐปาเลสไตน์" อย่างเป็นทางการ นายกรัฐมนตรีลักเซมเบิร์ก ลุก ฟรีเดิน (Luc Frieden) ประกาศในที่ประชุมของสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ (ยูเอ็น) ที่มีผู้นำจากกว่า 140 ประเทศเข้าร่วม ในวันเดียวกันนี้ ยังมีอีกหลายประเทศที่โดดเดี่ยวอิสราเอล โดยการประกาศรับรอง "รัฐปาเลสไตน์" อย่างเป็นทางการ ประกอบด้วย ฝรั่งเศส แอนดอร์รา เบลเยียม มอลตา และโมนาโก ก่อนหน้านี้หนึ่งวันหลัง อังกฤษ แคนาดา ออสเตรเลีย และโปรตุเกส เพิ่งประกาศรับรอง "รัฐปาเลสไตน์"
    0 Comments 0 Shares 284 Views 0 0 Reviews
  • ~เปิดลับ การบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัติร์ย์ ตั้งแต่ปี2550เป็นต้นมา
    ==================

    ~ เรียบเรียงจากบทความของ คุณภุมรัตน์ ทักษาดิพงษ์
    อดีตผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ
    =================================

    นับตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมา การบ่อนทำลายสถาบันสูงสุด…เกิดขึ้นมากผิดปกติ …มีการเปิดเผย… ไม่เกรงกลัว…โดย กลุ่มต่อต้านสถาบันกษัตริย์…ไม่เพียงเคลื่อนไหวในประเทศเท่านั้น

    …แต่ยังไปเคลื่อนไหวในต่างประเทศ …โดยเฉพาะในสหรัฐ

    ~ ด้วยการป้อนชุดข้อมูล…ที่ดูเหมือนจริง…แต่เป็นความเท็จ …ส่วนหนึ่งเป็นผลงานของนักล็อบบี้…จากสำนักงานกฎหมายที่มีชื่อเสียง…และบริษัทประชาสัมพันธ์ …ที่ถูกใครบางคนจ้างไว้ 3 บริษัท บริษัทละ 1.1 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี (ประมาณ 30.3 ล้านบาท)

    ~ เพื่อไปล็อบบี้…สมาชิกรัฐสภา…และรัฐบาลอเมริกัน…เพื่อผลทางการเมืองของตน… อย่างไรก็ดี …ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้น… คือ เกิดกระแสต่อต้านสถาบันกษัตริย์ในหมู่นักการเมืองอเมริกันมากขึ้น…อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

    ~ ฝ่ายที่ต่อต้านสถาบันกษัตริย์ไทยในสหรัฐ…ทวีความเข้มแข็งมากขึ้น… มีการสร้างเว็บไซต์ในรูปแบบหลากหลาย …เขียนบทความภาษาต่างๆ… ซึ่งส่วนใหญ่มาจากข้อเขียนของคนอเมริกัน 2 คน คนหนึ่ง…คือ

    - เจ.เค. แห่งคณะกรรมการวิเทศสัมพันธ์ (Council on Foreign Relations) อันทรงอิทธิพลในสหรัฐ ที่ เจ.เค. ได้เขียนบทความ…โจมตีสถาบันกษัตริย์ และยกย่องเชิดชูฝ่ายตรงข้ามสถาบันกษัตริย์ว่า เป็น "ฝ่ายประชาธิปไตย" สลับกันมาหลายปีแล้ว

    - อีกคนหนึ่ง คือ เอ.เอ็ม.เอ็ม. ที่ยอมรับว่า… ได้รับการว่าจ้าง…ให้มาทำงานด้านนี้ และ…เป็นคนที่นำเอาคดีของ โจ กอร์ดอน และ อำพล ตั้งนพกุล หรือ “อากง” มาเขียนโจมตี ม.112 …เพื่อให้พาดพิงไปถึงพระมหากษัตริย์ไทย ในรัชกาลที่ 9

    ~ในความเป็นจริง… คนพวกนี้…ไม่ได้มีความรู้อะไรมากมาย… แต่ได้รับข้อมูลจากนักประวัติศาสตร์ชาวไทย…สายสาธารณรัฐ…ที่คนไทยรู้จักดี

    ~ ในกลางปี 2556 …นักล็อบบี้พวกนี้…วางแผนผลักดันให้มีการอภิปรายเชิงวิชาการ…ในที่ประชุมประจำปี…ของสมาคมเอเชียศึกษา (Association of Asian Studies)… ซึ่งมีคนไทย…ที่ต่อต้านสถาบันกษัตริย์…มีอิทธิพลอยู่

    ~ การอภิปรายดังกล่าว…มีเป้าหมาย…มุ่งโจมตีสถาบันกษัตริย์ไทย…ในรัชกาลที่ 9 เป็นการเฉพาะ …รวมทั้ง…มีแผนตีพิมพ์หนังสืออีกเล่มหนึ่ง…โดยสำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยชั้นนำของสหรัฐ ……ที่ผู้เขียนอ้างหลักฐาน…จากห้องสมุดมหาวิทยาลัย
    ……รัฐสภาของสหรัฐ ……ที่ดูเผินๆ แล้วน่าเชื่อถือ …หรือเลือกเฉพาะส่วนที่สนับสนุนความคิดของตน…… เพื่อหาทางทำลายความเชื่อถือพระมหากษัตริย์ไทยในรัชกาลที่ 9

    ~ ก่อนหน้านี้…เมื่อปี 2554 …ในวาระครบ 7 รอบ 84 พรรษา…ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 …นักล็อบบี้อเมริกัน…ได้ส่งชุดข้อมูล…ที่ปั้นแต่งขึ้น…จนทำให้สมาชิกสภาสหรัฐหลงเชื่อ

    ~ สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ…พยายามหลีกเลี่ยง…ไม่ส่งหนังสือถวายพระพร…ตามที่เคยปฏิบัติมา …จนสภาสูง…ต้องส่งหนังสือถวายพระพรแทน ……สะท้อนให้เห็นว่า…… นักล็อบบี้ยิสต์อเมริกัน……ทำงานให้กับนายจ้างคนไทยที่ไม่ชอบสถาบันกษัตริย์อย่างได้ผล ……ทำให้รัฐสภาชุดก่อนเข้าใจผิด …และต่อต้านสถาบันกษัตริย์ไทย… ตกทอดมาถึงสภาใหม่ชุดที่ 113 ในปัจจุบัน

    ~ ไม่เพียงแต่เท่านั้น …สถาบันบางแห่งของสหรัฐ …เช่น กองทุนแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (National Endowment for Democracy) ยังจัดสรรเงินงบประมาณของรัฐ……คิดเป็นเงินไทยกว่า 1,500 ล้านบาท และ…อีกโครงการเป็นเงิน 200-300 ล้านบาท ……ให้กับกลุ่มต่อต้านสถาบันกษัตริย์ …ตามที่กลุ่มพวกนี้ร้องขอมา

    ~ โดยอ้างว่า…เพื่อนำไปใช้ในการให้ความรู้ประชาชนในการพัฒนาประชาธิไตย แต่…กลับนำไปสร้างสื่อและเว็บไซต์ ปลุกระดม โฆษณาชวนเชื่อให้คนไทยบางกลุ่มต่อต้านสถาบันกษัตริย์ว่า ไม่เป็นประชาธิปไตย เพราะ เป็นสถาบันที่มีสิทธิเหนือประชาชน

    ~ นักล็อบบี้เหล่านี้…ได้สร้างข้อมูลขึ้นมาชุดหนึ่ง…หรือหลายชุด ……และไปเคลื่อนไหวชักจูง… ชี้นำ… โน้มน้าว…ให้สมาชิกรัฐสภา และสถาบันอื่นของสหรัฐ เชื่อในวาทะกรรมที่ว่า

    ~ สถาบันสูงสุดของไทย หรือ สถาบันกษัตริย์นั้น…เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประชาธิปไตย ……สถาบันกษัตริย์ไทย…ทำลายสิทธิมนุษยชน …อ้างว่า…ปัญหาของเมืองไทย……ไม่ใช่เรื่องการเมือง…… แต่เป็นปัญหาการสืบราชสมบัติ ……ที่กษัตริย์ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาน……เพื่อจะเสนอให้ใครบางคนเป็น “ทางออก” ของชาติ (จากการเลือกตั้ง เพื่อเป็นประมุขของรัฐ หรือ เป็นประธานาธิบดี นั่นเอง)

    ~ พวกนี้…พยายามป้อนข้อมูล…ให้รัฐสภาอเมริกันเชื่อว่า “สถาบันไม่สู้แล้ว” เพราะ…ถ้าสถาบันไม่สู้ …สหรัฐก็ไม่มีทางเป็นอื่น…นอกจากจะยืนข้างฝ่ายประชาธิปไตย…ที่อยู่ตรงข้ามกับสถาบันกษัตริย์… และเป็นการส่งสัญญานไปยังประเทศ…ที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เช่น อังกฤษ ญี่ปุ่น รวมทั้งจีน…ที่สนับสนุนสถาบันสูงสุด ตลอดมา …หากสหรัฐ…และประเทศเหล่านี้…สรุปว่า ฝ่ายสถาบันกษัตริย์แพ้แน่ …สหรัฐและประเทศเหล่านี้…ซึ่งคิดถึงผลประโยชน์ของประเทศเขาเป็นสำคัญ…ก็ต้องเข้าข้างฝ่ายชนะ ที่ถือเป็น "ฝ่ายประชาธิปไตย"

    ~ อย่างไรก็ดี …ฝ่ายสถาบันกษัตริย์…ส่งสัญญาน…มาหลายครั้งแล้วว่า “ยังสู้” และ “ไม่ยอมแพ้” โดยเฉพาะ…ในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธ.ค. 2555 ที่ประชาชนชาวไทย…ได้ไปชุมนุมที่ลานพระบรมรูปฯ อย่างมืดฟ้ามัวดิน…เพื่อเข้าเฝ้าถวายพระพร …สะท้อนให้เห็นว่า …ประชาชนพร้อมที่จะสู้เคียงข้าง แม้จะปรากฏ “แรงเฉื่อย” ในสถาบันทหาร และ รัฐบาลในยุคนั้นก็ตาม จึงมีแต่ประชาชนเท่านั้น…ที่จะเป็นกำแพงป้องกันสถาบันสูงสุดของประเทศ……ให้พ้นจากการคุกคามจากฝ่ายบ่อนทำลายในและนอกประเทศได้

    ~ รัฐบาลชุดก่อน…เคยให้ทุนมหาวิทยาลัยดังในอเมริกา …อาทิ คอร์แนล วิสคอนซิน เพนซิลเวเนีย ยูซีแอลเอ. จอห์น ฮอพกินส์ วอชิงตัน ดี.ซี. เพื่อสร้าง “ศูนย์ไทยศึกษา” และ “เพื่อนประเทศไทย” เพื่อให้เข้าใจสถาบันกษัตริย์ของไทย แต่…ปรากฏว่า ……ศูนย์เหล่านี้……กลายเป็นกระบอกเสียงเผยแพร่การต่อต้านสถาบันสูงสุดไปหมด ……และอาจขยายเครือข่ายกว้างขวางมากขึ้น…… ไปยังออสเตรเลีย ญี่ปุ่น สหภาพยุโรปอีกด้วย

    ~ ไทยถูกคุกคาม…ด้วยสงครามยุคใหม่ …ทั้งสงครามอสมมาตร (Asymmetric Warfare) เช่น การก่อความรุนแรงช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค. 2553 และ…สถานการณ์ความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ สงครามทุน และ สงครามไซเบอร์ …สงครามทั้งสามนี้…มีศูนย์กลางอยู่ที่สหรัฐ …แต่มีสนามรบอยู่ทั่วโลก

    ~ ในไทย สหรัฐต้องการใช้สนามบินอู่ตะเภา…เป็น Global Transpark ตอบสนองยุทธศาสตร์ของสหรัฐ ในภูมิภาคนี้ …มีข่าวว่า สหรัฐได้ส่งทหารรับจ้าง ที่เป็นทหารผ่านศึกแบบแรมโบ้ …ที่เรียกว่า “แบล็ควอเตอร์” ประมาณ 5-6 ชุดมาประจำอยู่ในไทย …โดยแต่ละคนได้รับค่าจ้างปีละ 1.1 ล้านเหรียญสหรัฐ …เบี้ยเลี้ยงต่างหาก …เพื่อใช้ในการปฏิบัติการลับ (Covert Action) ตามนโยบายของสหรัฐ …ซึ่งอเมริกาถนัดในเรื่องพวกนี้มาก …และประสบความสำเร็จในละตินอเมริกามาแล้ว

    ~ อันตรายที่เกิดขึ้น…ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยนั้น……เป็นเรื่องจริง…และหนักหนา ……ชาติและสถาบัน……กำลังเสี่ยงอันตรายอย่างคาดไม่ถึง ……สิ่งที่เห็นทั้งในไทยและในต่างประเทศ…เป็นเพียง “ยอดภูเขาน้ำแข็ง” ที่โผล่เหนือน้ำเพียง 1 ส่วน แต่อีก 9 ส่วนอยู่ใต้น้ำ

    ~ บทความนี้……ไม่ต้องการให้คนไทย…ไปต่อต้านสหรัฐ …เพียงแต่ขอให้เพื่อนคนไทย…อย่าปล่อยให้คนมาทำร้ายประเทศชาติ…และราชบัลลังก์เท่านั้น …ปัญหาของประเทศไทย…ต้องแก้ด้วยคนไทยเป็นหลัก …เราต้องช่วยกันเป็นปราการด่านสุดท้าย……ในการปกป้องชาติและราชบัลลังก์ ……ให้ต่างชาติได้ตระหนักว่า ……สถาบันสูงสุดยังสู้ ……และคนไทยพร้อมจะสู้เพื่อปกป้องสถาบันสำคัญยิ่งของชาติ
    ขอบคุณเจ้าของภาพบทความและคนโพสครับ

    ~ เรียบเรียงจากบทความของ คุณภุมรัตน์ ทักษาดิพงษ์
    อดีตผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ
    ~เปิดลับ การบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัติร์ย์ ตั้งแต่ปี2550เป็นต้นมา ================== ~ เรียบเรียงจากบทความของ คุณภุมรัตน์ ทักษาดิพงษ์ อดีตผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ================================= นับตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมา การบ่อนทำลายสถาบันสูงสุด…เกิดขึ้นมากผิดปกติ …มีการเปิดเผย… ไม่เกรงกลัว…โดย กลุ่มต่อต้านสถาบันกษัตริย์…ไม่เพียงเคลื่อนไหวในประเทศเท่านั้น …แต่ยังไปเคลื่อนไหวในต่างประเทศ …โดยเฉพาะในสหรัฐ ~ ด้วยการป้อนชุดข้อมูล…ที่ดูเหมือนจริง…แต่เป็นความเท็จ …ส่วนหนึ่งเป็นผลงานของนักล็อบบี้…จากสำนักงานกฎหมายที่มีชื่อเสียง…และบริษัทประชาสัมพันธ์ …ที่ถูกใครบางคนจ้างไว้ 3 บริษัท บริษัทละ 1.1 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี (ประมาณ 30.3 ล้านบาท) ~ เพื่อไปล็อบบี้…สมาชิกรัฐสภา…และรัฐบาลอเมริกัน…เพื่อผลทางการเมืองของตน… อย่างไรก็ดี …ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้น… คือ เกิดกระแสต่อต้านสถาบันกษัตริย์ในหมู่นักการเมืองอเมริกันมากขึ้น…อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ~ ฝ่ายที่ต่อต้านสถาบันกษัตริย์ไทยในสหรัฐ…ทวีความเข้มแข็งมากขึ้น… มีการสร้างเว็บไซต์ในรูปแบบหลากหลาย …เขียนบทความภาษาต่างๆ… ซึ่งส่วนใหญ่มาจากข้อเขียนของคนอเมริกัน 2 คน คนหนึ่ง…คือ - เจ.เค. แห่งคณะกรรมการวิเทศสัมพันธ์ (Council on Foreign Relations) อันทรงอิทธิพลในสหรัฐ ที่ เจ.เค. ได้เขียนบทความ…โจมตีสถาบันกษัตริย์ และยกย่องเชิดชูฝ่ายตรงข้ามสถาบันกษัตริย์ว่า เป็น "ฝ่ายประชาธิปไตย" สลับกันมาหลายปีแล้ว - อีกคนหนึ่ง คือ เอ.เอ็ม.เอ็ม. ที่ยอมรับว่า… ได้รับการว่าจ้าง…ให้มาทำงานด้านนี้ และ…เป็นคนที่นำเอาคดีของ โจ กอร์ดอน และ อำพล ตั้งนพกุล หรือ “อากง” มาเขียนโจมตี ม.112 …เพื่อให้พาดพิงไปถึงพระมหากษัตริย์ไทย ในรัชกาลที่ 9 ~ในความเป็นจริง… คนพวกนี้…ไม่ได้มีความรู้อะไรมากมาย… แต่ได้รับข้อมูลจากนักประวัติศาสตร์ชาวไทย…สายสาธารณรัฐ…ที่คนไทยรู้จักดี ~ ในกลางปี 2556 …นักล็อบบี้พวกนี้…วางแผนผลักดันให้มีการอภิปรายเชิงวิชาการ…ในที่ประชุมประจำปี…ของสมาคมเอเชียศึกษา (Association of Asian Studies)… ซึ่งมีคนไทย…ที่ต่อต้านสถาบันกษัตริย์…มีอิทธิพลอยู่ ~ การอภิปรายดังกล่าว…มีเป้าหมาย…มุ่งโจมตีสถาบันกษัตริย์ไทย…ในรัชกาลที่ 9 เป็นการเฉพาะ …รวมทั้ง…มีแผนตีพิมพ์หนังสืออีกเล่มหนึ่ง…โดยสำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยชั้นนำของสหรัฐ ……ที่ผู้เขียนอ้างหลักฐาน…จากห้องสมุดมหาวิทยาลัย ……รัฐสภาของสหรัฐ ……ที่ดูเผินๆ แล้วน่าเชื่อถือ …หรือเลือกเฉพาะส่วนที่สนับสนุนความคิดของตน…… เพื่อหาทางทำลายความเชื่อถือพระมหากษัตริย์ไทยในรัชกาลที่ 9 ~ ก่อนหน้านี้…เมื่อปี 2554 …ในวาระครบ 7 รอบ 84 พรรษา…ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 …นักล็อบบี้อเมริกัน…ได้ส่งชุดข้อมูล…ที่ปั้นแต่งขึ้น…จนทำให้สมาชิกสภาสหรัฐหลงเชื่อ ~ สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ…พยายามหลีกเลี่ยง…ไม่ส่งหนังสือถวายพระพร…ตามที่เคยปฏิบัติมา …จนสภาสูง…ต้องส่งหนังสือถวายพระพรแทน ……สะท้อนให้เห็นว่า…… นักล็อบบี้ยิสต์อเมริกัน……ทำงานให้กับนายจ้างคนไทยที่ไม่ชอบสถาบันกษัตริย์อย่างได้ผล ……ทำให้รัฐสภาชุดก่อนเข้าใจผิด …และต่อต้านสถาบันกษัตริย์ไทย… ตกทอดมาถึงสภาใหม่ชุดที่ 113 ในปัจจุบัน ~ ไม่เพียงแต่เท่านั้น …สถาบันบางแห่งของสหรัฐ …เช่น กองทุนแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (National Endowment for Democracy) ยังจัดสรรเงินงบประมาณของรัฐ……คิดเป็นเงินไทยกว่า 1,500 ล้านบาท และ…อีกโครงการเป็นเงิน 200-300 ล้านบาท ……ให้กับกลุ่มต่อต้านสถาบันกษัตริย์ …ตามที่กลุ่มพวกนี้ร้องขอมา ~ โดยอ้างว่า…เพื่อนำไปใช้ในการให้ความรู้ประชาชนในการพัฒนาประชาธิไตย แต่…กลับนำไปสร้างสื่อและเว็บไซต์ ปลุกระดม โฆษณาชวนเชื่อให้คนไทยบางกลุ่มต่อต้านสถาบันกษัตริย์ว่า ไม่เป็นประชาธิปไตย เพราะ เป็นสถาบันที่มีสิทธิเหนือประชาชน ~ นักล็อบบี้เหล่านี้…ได้สร้างข้อมูลขึ้นมาชุดหนึ่ง…หรือหลายชุด ……และไปเคลื่อนไหวชักจูง… ชี้นำ… โน้มน้าว…ให้สมาชิกรัฐสภา และสถาบันอื่นของสหรัฐ เชื่อในวาทะกรรมที่ว่า ~ สถาบันสูงสุดของไทย หรือ สถาบันกษัตริย์นั้น…เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประชาธิปไตย ……สถาบันกษัตริย์ไทย…ทำลายสิทธิมนุษยชน …อ้างว่า…ปัญหาของเมืองไทย……ไม่ใช่เรื่องการเมือง…… แต่เป็นปัญหาการสืบราชสมบัติ ……ที่กษัตริย์ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาน……เพื่อจะเสนอให้ใครบางคนเป็น “ทางออก” ของชาติ (จากการเลือกตั้ง เพื่อเป็นประมุขของรัฐ หรือ เป็นประธานาธิบดี นั่นเอง) ~ พวกนี้…พยายามป้อนข้อมูล…ให้รัฐสภาอเมริกันเชื่อว่า “สถาบันไม่สู้แล้ว” เพราะ…ถ้าสถาบันไม่สู้ …สหรัฐก็ไม่มีทางเป็นอื่น…นอกจากจะยืนข้างฝ่ายประชาธิปไตย…ที่อยู่ตรงข้ามกับสถาบันกษัตริย์… และเป็นการส่งสัญญานไปยังประเทศ…ที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เช่น อังกฤษ ญี่ปุ่น รวมทั้งจีน…ที่สนับสนุนสถาบันสูงสุด ตลอดมา …หากสหรัฐ…และประเทศเหล่านี้…สรุปว่า ฝ่ายสถาบันกษัตริย์แพ้แน่ …สหรัฐและประเทศเหล่านี้…ซึ่งคิดถึงผลประโยชน์ของประเทศเขาเป็นสำคัญ…ก็ต้องเข้าข้างฝ่ายชนะ ที่ถือเป็น "ฝ่ายประชาธิปไตย" ~ อย่างไรก็ดี …ฝ่ายสถาบันกษัตริย์…ส่งสัญญาน…มาหลายครั้งแล้วว่า “ยังสู้” และ “ไม่ยอมแพ้” โดยเฉพาะ…ในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธ.ค. 2555 ที่ประชาชนชาวไทย…ได้ไปชุมนุมที่ลานพระบรมรูปฯ อย่างมืดฟ้ามัวดิน…เพื่อเข้าเฝ้าถวายพระพร …สะท้อนให้เห็นว่า …ประชาชนพร้อมที่จะสู้เคียงข้าง แม้จะปรากฏ “แรงเฉื่อย” ในสถาบันทหาร และ รัฐบาลในยุคนั้นก็ตาม จึงมีแต่ประชาชนเท่านั้น…ที่จะเป็นกำแพงป้องกันสถาบันสูงสุดของประเทศ……ให้พ้นจากการคุกคามจากฝ่ายบ่อนทำลายในและนอกประเทศได้ ~ รัฐบาลชุดก่อน…เคยให้ทุนมหาวิทยาลัยดังในอเมริกา …อาทิ คอร์แนล วิสคอนซิน เพนซิลเวเนีย ยูซีแอลเอ. จอห์น ฮอพกินส์ วอชิงตัน ดี.ซี. เพื่อสร้าง “ศูนย์ไทยศึกษา” และ “เพื่อนประเทศไทย” เพื่อให้เข้าใจสถาบันกษัตริย์ของไทย แต่…ปรากฏว่า ……ศูนย์เหล่านี้……กลายเป็นกระบอกเสียงเผยแพร่การต่อต้านสถาบันสูงสุดไปหมด ……และอาจขยายเครือข่ายกว้างขวางมากขึ้น…… ไปยังออสเตรเลีย ญี่ปุ่น สหภาพยุโรปอีกด้วย ~ ไทยถูกคุกคาม…ด้วยสงครามยุคใหม่ …ทั้งสงครามอสมมาตร (Asymmetric Warfare) เช่น การก่อความรุนแรงช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค. 2553 และ…สถานการณ์ความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ สงครามทุน และ สงครามไซเบอร์ …สงครามทั้งสามนี้…มีศูนย์กลางอยู่ที่สหรัฐ …แต่มีสนามรบอยู่ทั่วโลก ~ ในไทย สหรัฐต้องการใช้สนามบินอู่ตะเภา…เป็น Global Transpark ตอบสนองยุทธศาสตร์ของสหรัฐ ในภูมิภาคนี้ …มีข่าวว่า สหรัฐได้ส่งทหารรับจ้าง ที่เป็นทหารผ่านศึกแบบแรมโบ้ …ที่เรียกว่า “แบล็ควอเตอร์” ประมาณ 5-6 ชุดมาประจำอยู่ในไทย …โดยแต่ละคนได้รับค่าจ้างปีละ 1.1 ล้านเหรียญสหรัฐ …เบี้ยเลี้ยงต่างหาก …เพื่อใช้ในการปฏิบัติการลับ (Covert Action) ตามนโยบายของสหรัฐ …ซึ่งอเมริกาถนัดในเรื่องพวกนี้มาก …และประสบความสำเร็จในละตินอเมริกามาแล้ว ~ อันตรายที่เกิดขึ้น…ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยนั้น……เป็นเรื่องจริง…และหนักหนา ……ชาติและสถาบัน……กำลังเสี่ยงอันตรายอย่างคาดไม่ถึง ……สิ่งที่เห็นทั้งในไทยและในต่างประเทศ…เป็นเพียง “ยอดภูเขาน้ำแข็ง” ที่โผล่เหนือน้ำเพียง 1 ส่วน แต่อีก 9 ส่วนอยู่ใต้น้ำ ~ บทความนี้……ไม่ต้องการให้คนไทย…ไปต่อต้านสหรัฐ …เพียงแต่ขอให้เพื่อนคนไทย…อย่าปล่อยให้คนมาทำร้ายประเทศชาติ…และราชบัลลังก์เท่านั้น …ปัญหาของประเทศไทย…ต้องแก้ด้วยคนไทยเป็นหลัก …เราต้องช่วยกันเป็นปราการด่านสุดท้าย……ในการปกป้องชาติและราชบัลลังก์ ……ให้ต่างชาติได้ตระหนักว่า ……สถาบันสูงสุดยังสู้ ……และคนไทยพร้อมจะสู้เพื่อปกป้องสถาบันสำคัญยิ่งของชาติ ขอบคุณเจ้าของภาพบทความและคนโพสครับ ~ เรียบเรียงจากบทความของ คุณภุมรัตน์ ทักษาดิพงษ์ อดีตผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ
    0 Comments 0 Shares 384 Views 0 Reviews
  • ฝรั่งเศสกับซาอุดีอาระเบีย ร่วมจัดประชุมผู้นำจากหลายสิบประเทศทั่วโลกในวันจันทร์ (22 ก.ย.) เพื่อระดมความสนับสนุนในการแก้ไขวิกฤตอิสราเอล-ปาเลสไตน์ด้วยแนวทางให้ 2 ฝ่ายต่างมีฐานะเป็นรัฐอยู่เคียงคู่กัน โดยเป็นที่คาดหมายกันว่าจะมีอีกหลายชาติใช้โอกาสหารือกันที่นิวยอร์กคราวนี้ประกาศรับรองรัฐปาเลสไตน์เพิ่มมากขึ้น หลังจากเมื่อวันอาทิตย์ (21) 4 ชาติตะวันตก ได้แก่ สหราชอาณาจักร, แคนาดา, ออสเตรเลีย, และโปรตุเกส นำร่องไปก่อนแล้ว
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000090833

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    ฝรั่งเศสกับซาอุดีอาระเบีย ร่วมจัดประชุมผู้นำจากหลายสิบประเทศทั่วโลกในวันจันทร์ (22 ก.ย.) เพื่อระดมความสนับสนุนในการแก้ไขวิกฤตอิสราเอล-ปาเลสไตน์ด้วยแนวทางให้ 2 ฝ่ายต่างมีฐานะเป็นรัฐอยู่เคียงคู่กัน โดยเป็นที่คาดหมายกันว่าจะมีอีกหลายชาติใช้โอกาสหารือกันที่นิวยอร์กคราวนี้ประกาศรับรองรัฐปาเลสไตน์เพิ่มมากขึ้น หลังจากเมื่อวันอาทิตย์ (21) 4 ชาติตะวันตก ได้แก่ สหราชอาณาจักร, แคนาดา, ออสเตรเลีย, และโปรตุเกส นำร่องไปก่อนแล้ว . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000090833 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    Sad
    3
    1 Comments 0 Shares 526 Views 0 Reviews
  • ..ศาลการเมืองโลกผีบ้า.

    ..นี้ถือว่ามิตรที่ดีใจยุคนั้น ส่วนจะแลกมากับอะไรเราก็มิรู้ได้.
    #ไต้หวันพิพากษาให้เป็นของไทย
    #อาร์เจนตินาพิพากษาให้เป็นของไทย
    #ออสเตรเลียพิพากษาให้เป็นของไทย

    ..นี้คือศัตรูไทยของแท้ พร้อมทำลายชาติไทยตลอดเวลาที่มีโอกาสและถือว่าคือชาติที่ชั่วเลวทำเพื่อผลประโยชน์ตนเองเท่านั้น.

    #ญี่ปุ่นพิพากษาให้เป็นของกัมพูชา
    #รัสเซียพิพากษาให้เป็นของกัมพูชา
    #ฝรั่งเศสพิพากษาให้เป็นของกัมพูชา
    #อังกฤษพิพากษาให้เป็นของกัมพูชา
    #อียิปต์พิพากษาให้เป็นของกัมพูชา
    #เปรูพิพากษาให้เป็นของกัมพูชา
    #อิตาลีพิพากษาให้เป็นของกัมพูชา
    #โปแลนด์เป็นประธานพิพากษาให้เป็นของกัมพูชา
    #ปานามาเป็นรองประธานพิพากษาให้เป็นของกัมพูชา



    วันที่ 15 มิถุนายน 2505 ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ได้ตัดสินให้ปราสาทเขาพระวิหารเป็นของกัมพูชา

    ผู้พิพากษา
    ผู้พิพากษามีทั้งหมด 14 ท่าน คะแนนเสียง 9 ต่อ 3 ตัดสินว่าปราสาทเขาพระวิหารอยู่ในอาณาเขตภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา และ คะแนนเสียง 7 ต่อ 5 ตัดสินว่า ไทยต้องคืนวัตถุสิ่งประติมากรรม แผ่นศิลา ส่วนปรักหักพังของอนุสาวรีย์รูปหินทราย เครื่องปั้นดินเผาโบราณและปราสาทหรือบริเวณเขาพระวิหารให้แก่กัมพูชา

    โบดาน วินิอาร์สกิ (Bohdan Winiarski) : ชาวโปแลนด์ เป็นประธาน— พิพากษาให้เป็นของกัมพูชา

    ริคาร์โด อาลฟาโร (Ricardo Alfaro) : ชาวปานามา เป็นรองประธาน — พิพากษาให้เป็นของกัมพูชา

    ลูซิโอ มอเรโน กินตานา (Lucio Moreno Quintana) : ชาวอาร์เจนตินา — พิพากษาให้เป็นของไทย

    เวลลิงตัน คู (Wellington Koo) : ชาวจีนไต้หวัน — พิพากษาให้เป็นของไทย

    เซอร์ เพอร์ซี สเปนเดอร์ (Percy Spender) : ชาวออสเตรเลีย — พิพากษาให้เป็นของไทย

    จูลส์ บาเดอวังต์ (Jules Basdevant) : ชาวฝรั่งเศส — พิพากษาให้เป็นของกัมพูชา

    อับดุล บาดาวี (Abdul Badawi) : ชาวอียิปต์ — พิพากษาให้เป็นของกัมพูชา

    เซอร์ เจรัลด์ ฟิตซ์มอริส (Sir Gerald Fitzmaurice) : ชาวอังกฤษ — พิพากษาให้เป็นของกัมพูชา

    วลาดิเมียร์ คอเรดสกี (Vladimir Koretsky) : ชาวรัสเซีย — พิพากษาให้เป็นของกัมพูชา

    โคะทะโระ ทะนะกะ (Kotaro Tanaka) : ชาวญี่ปุ่น — พิพากษาให้เป็นของกัมพูชา

    โจเซ่ บุสตามันเต อี ริเบโร (José Bustamante y Rivero) : ชาวเปรู — พิพากษาให้เป็นของกัมพูชา

    เกตาโน มอเรลลี (Gaetano Morelli) : ชาวอิตาลี — พิพากษาให้เป็นของกัมพูชา

    สปีโรปูลอส (Jean Spiropoulos) : ชาวกรีก — งดออกเสียง (ป่วย)

    โรแบร์โต คอร์โดวา (Roberto Cordova) : ชาวเม็กซิโก — งดออกเสียง (ป่วย)

    ฟิลิป เจสซัป (Philip Jessup) : ชาวอเมริกา (ทนายฝ่ายไทย)

    กานเย กวนเยต์ (Garnier-Coignet) : นายทะเบียนศาล


    ..ศาลการเมืองโลกผีบ้า. ..นี้ถือว่ามิตรที่ดีใจยุคนั้น ส่วนจะแลกมากับอะไรเราก็มิรู้ได้. #ไต้หวันพิพากษาให้เป็นของไทย #อาร์เจนตินาพิพากษาให้เป็นของไทย #ออสเตรเลียพิพากษาให้เป็นของไทย ..นี้คือศัตรูไทยของแท้ พร้อมทำลายชาติไทยตลอดเวลาที่มีโอกาสและถือว่าคือชาติที่ชั่วเลวทำเพื่อผลประโยชน์ตนเองเท่านั้น. #ญี่ปุ่นพิพากษาให้เป็นของกัมพูชา #รัสเซียพิพากษาให้เป็นของกัมพูชา #ฝรั่งเศสพิพากษาให้เป็นของกัมพูชา #อังกฤษพิพากษาให้เป็นของกัมพูชา #อียิปต์พิพากษาให้เป็นของกัมพูชา #เปรูพิพากษาให้เป็นของกัมพูชา #อิตาลีพิพากษาให้เป็นของกัมพูชา #โปแลนด์เป็นประธานพิพากษาให้เป็นของกัมพูชา #ปานามาเป็นรองประธานพิพากษาให้เป็นของกัมพูชา วันที่ 15 มิถุนายน 2505 ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ได้ตัดสินให้ปราสาทเขาพระวิหารเป็นของกัมพูชา ผู้พิพากษา ผู้พิพากษามีทั้งหมด 14 ท่าน คะแนนเสียง 9 ต่อ 3 ตัดสินว่าปราสาทเขาพระวิหารอยู่ในอาณาเขตภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา และ คะแนนเสียง 7 ต่อ 5 ตัดสินว่า ไทยต้องคืนวัตถุสิ่งประติมากรรม แผ่นศิลา ส่วนปรักหักพังของอนุสาวรีย์รูปหินทราย เครื่องปั้นดินเผาโบราณและปราสาทหรือบริเวณเขาพระวิหารให้แก่กัมพูชา โบดาน วินิอาร์สกิ (Bohdan Winiarski) : ชาวโปแลนด์ เป็นประธาน— พิพากษาให้เป็นของกัมพูชา ริคาร์โด อาลฟาโร (Ricardo Alfaro) : ชาวปานามา เป็นรองประธาน — พิพากษาให้เป็นของกัมพูชา ลูซิโอ มอเรโน กินตานา (Lucio Moreno Quintana) : ชาวอาร์เจนตินา — พิพากษาให้เป็นของไทย เวลลิงตัน คู (Wellington Koo) : ชาวจีนไต้หวัน — พิพากษาให้เป็นของไทย เซอร์ เพอร์ซี สเปนเดอร์ (Percy Spender) : ชาวออสเตรเลีย — พิพากษาให้เป็นของไทย จูลส์ บาเดอวังต์ (Jules Basdevant) : ชาวฝรั่งเศส — พิพากษาให้เป็นของกัมพูชา อับดุล บาดาวี (Abdul Badawi) : ชาวอียิปต์ — พิพากษาให้เป็นของกัมพูชา เซอร์ เจรัลด์ ฟิตซ์มอริส (Sir Gerald Fitzmaurice) : ชาวอังกฤษ — พิพากษาให้เป็นของกัมพูชา วลาดิเมียร์ คอเรดสกี (Vladimir Koretsky) : ชาวรัสเซีย — พิพากษาให้เป็นของกัมพูชา โคะทะโระ ทะนะกะ (Kotaro Tanaka) : ชาวญี่ปุ่น — พิพากษาให้เป็นของกัมพูชา โจเซ่ บุสตามันเต อี ริเบโร (José Bustamante y Rivero) : ชาวเปรู — พิพากษาให้เป็นของกัมพูชา เกตาโน มอเรลลี (Gaetano Morelli) : ชาวอิตาลี — พิพากษาให้เป็นของกัมพูชา สปีโรปูลอส (Jean Spiropoulos) : ชาวกรีก — งดออกเสียง (ป่วย) โรแบร์โต คอร์โดวา (Roberto Cordova) : ชาวเม็กซิโก — งดออกเสียง (ป่วย) ฟิลิป เจสซัป (Philip Jessup) : ชาวอเมริกา (ทนายฝ่ายไทย) กานเย กวนเยต์ (Garnier-Coignet) : นายทะเบียนศาล
    0 Comments 0 Shares 401 Views 0 Reviews
  • เนทันยาฮู ประกาศจะไม่มีรัฐปาเลสไตน์เกิดขึ้นอย่างแน่นอน ไม่ว่าใครจะประกาศรับรอง คำประกาศอย่างเด็ดขาดของเนทันยาฮูเกิดขึ้นหลังจากอังกฤษ แคนาดา และออสเตรเลีย เป็นสามประเทศล่าสุดที่รับรองปาเลสไตน์อย่างเป็นทางการ

    คาดว่าในการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ที่นิวยอร์ก ซึ่งกำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า จะมีประเทศอื่นๆรับรองปาเลสไตน์เพิ่มขึ้นอีก ซึ่งนำโดยฝรั่งเศส

    เนทันยาฮูยังประกาศอย่างชัดเจนถึงกาารเข้ายึดดินแดนปาเลสไตน์ว่า "เราได้เพิ่มจำนวนการตั้งถิ่นฐานของชาวยิวในยูเดียและซามาเรีย (เวสต์แบงก์ - ปาเลสไตน์) เป็นสองเท่า และเราจะยังคงเดินหน้าต่อไปบนเส้นทางนี้"
    เนทันยาฮู ประกาศจะไม่มีรัฐปาเลสไตน์เกิดขึ้นอย่างแน่นอน ไม่ว่าใครจะประกาศรับรอง คำประกาศอย่างเด็ดขาดของเนทันยาฮูเกิดขึ้นหลังจากอังกฤษ แคนาดา และออสเตรเลีย เป็นสามประเทศล่าสุดที่รับรองปาเลสไตน์อย่างเป็นทางการ คาดว่าในการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ที่นิวยอร์ก ซึ่งกำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า จะมีประเทศอื่นๆรับรองปาเลสไตน์เพิ่มขึ้นอีก ซึ่งนำโดยฝรั่งเศส เนทันยาฮูยังประกาศอย่างชัดเจนถึงกาารเข้ายึดดินแดนปาเลสไตน์ว่า "เราได้เพิ่มจำนวนการตั้งถิ่นฐานของชาวยิวในยูเดียและซามาเรีย (เวสต์แบงก์ - ปาเลสไตน์) เป็นสองเท่า และเราจะยังคงเดินหน้าต่อไปบนเส้นทางนี้"
    Angry
    1
    0 Comments 0 Shares 284 Views 0 0 Reviews
  • กระทรวงการต่างประเทศอิสราเอล ออกแถลงการณ์ตอบโต้อังกฤษ แคนาดา และออสเตรเลีย ที่ประกาศยอมรับสถานะปาเลสไตน์เป็นรัฐอิสระอย่างเป็นทางการ:

    ในแถลงการณ์ระบุว่า อิสราเอลปฏิเสธอย่างหนักแน่นต่อการรับรองรัฐปาเลสไตน์จากประเทศตะวันตก โดยกล่าวว่าการเคลื่อนไหวดังกล่าว "ไม่ได้ส่งเสริมสันติภาพและยิ่งทำให้ภูมิภาคสั่นคลอนมากขึ้น"
    กระทรวงการต่างประเทศอิสราเอล ออกแถลงการณ์ตอบโต้อังกฤษ แคนาดา และออสเตรเลีย ที่ประกาศยอมรับสถานะปาเลสไตน์เป็นรัฐอิสระอย่างเป็นทางการ: ในแถลงการณ์ระบุว่า อิสราเอลปฏิเสธอย่างหนักแน่นต่อการรับรองรัฐปาเลสไตน์จากประเทศตะวันตก โดยกล่าวว่าการเคลื่อนไหวดังกล่าว "ไม่ได้ส่งเสริมสันติภาพและยิ่งทำให้ภูมิภาคสั่นคลอนมากขึ้น"
    0 Comments 0 Shares 328 Views 0 Reviews
  • เบอร์ฮาเนตติน ดูรัน (Burhanettin Duran) หัวหน้าฝ่ายสื่อสารของรัฐบาลตุรกี กล่าวแสดงความยินดี ต่อการประกาศรับรองปาเลสไตน์ของ อังกฤษ แคนาดา และออสเตรเลีย:
    - เรายินดีกับการตัดสินใจของสหราชอาณาจักร แคนาดา และออสเตรเลีย ที่ยอมรับปาเลสไตน์ในฐานะรัฐอิสระ
    - ประเทศที่ต่อต้านการโจมตีชาวปาเลสไตน์โดยอิสราเอลและยอมรับปาเลสไตน์เป็นรัฐ คือฝ่ายที่ถูกต้องในประวัติศาสตร์
    - เราขอเรียกร้องให้ประชาคมระหว่างประเทศก้าวเดินตามรอยประวัติศาสตร์นี้ เพื่อสร้างสันติภาพและความยุติธรรม
    - ในฐานะตุรกี เราจะยังคงสนับสนุนการสถาปนารัฐปาเลสไตน์ที่เป็นอิสระ โดยมีเยรูซาเล็มตะวันออกเป็นเมืองหลวงในทุกเวที
    .
    ตุรกี (Türkiye) ประกาศรับรองปาเลสไตน์ อย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 15 พฤศจิกายน ค.ศ. 1988 ซึ่งเป็นวันที่ องค์การปลดปล่อยปาเลสไตน์ (PLO) ภายใต้การนำของ ยัสเซอร์ อาราฟัต ประกาศจัดตั้ง รัฐปาเลสไตน์ (State of Palestine) อย่างเป็นทางการ ในการประชุมสภาแห่งชาติปาเลสไตน์ที่กรุงแอลเจียร์ ประเทศแอลจีเรีย
    เบอร์ฮาเนตติน ดูรัน (Burhanettin Duran) หัวหน้าฝ่ายสื่อสารของรัฐบาลตุรกี กล่าวแสดงความยินดี ต่อการประกาศรับรองปาเลสไตน์ของ อังกฤษ แคนาดา และออสเตรเลีย: - เรายินดีกับการตัดสินใจของสหราชอาณาจักร แคนาดา และออสเตรเลีย ที่ยอมรับปาเลสไตน์ในฐานะรัฐอิสระ - ประเทศที่ต่อต้านการโจมตีชาวปาเลสไตน์โดยอิสราเอลและยอมรับปาเลสไตน์เป็นรัฐ คือฝ่ายที่ถูกต้องในประวัติศาสตร์ - เราขอเรียกร้องให้ประชาคมระหว่างประเทศก้าวเดินตามรอยประวัติศาสตร์นี้ เพื่อสร้างสันติภาพและความยุติธรรม - ในฐานะตุรกี เราจะยังคงสนับสนุนการสถาปนารัฐปาเลสไตน์ที่เป็นอิสระ โดยมีเยรูซาเล็มตะวันออกเป็นเมืองหลวงในทุกเวที . 👉 ตุรกี (Türkiye) ประกาศรับรองปาเลสไตน์ อย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 15 พฤศจิกายน ค.ศ. 1988 ซึ่งเป็นวันที่ องค์การปลดปล่อยปาเลสไตน์ (PLO) ภายใต้การนำของ ยัสเซอร์ อาราฟัต ประกาศจัดตั้ง รัฐปาเลสไตน์ (State of Palestine) อย่างเป็นทางการ ในการประชุมสภาแห่งชาติปาเลสไตน์ที่กรุงแอลเจียร์ ประเทศแอลจีเรีย
    0 Comments 0 Shares 319 Views 0 Reviews
  • แถลงการณ์จากนายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย "แอนโทนี แอลบานีส" ประกาศรับรอง “ปาเลสไตน์” เป็นรัฐอิสระอย่างเป็นทางการ

    แคนาดา และ สหราชอาณาจักร กำลังรับรอง "ปาเลสไตน์" ด้วยเช่นกัน
    แถลงการณ์จากนายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย "แอนโทนี แอลบานีส" ประกาศรับรอง “ปาเลสไตน์” เป็นรัฐอิสระอย่างเป็นทางการ แคนาดา และ สหราชอาณาจักร กำลังรับรอง "ปาเลสไตน์" ด้วยเช่นกัน
    0 Comments 0 Shares 250 Views 0 Reviews
  • สมาชิกรัฐสภา (สส.) และ วุฒิสมาชิกสหรัฐฯ(สว.) แถลงการณ์ถึงแคนาดา ออสเตรเลีย ฝรั่งเศส และสหราชอาณาจักร โดยข่มขู่ว่าจะมี “มาตรการลงโทษ” หากประกาศรับรองรัฐปาเลสไตน์

    แถลงการณ์นี้ออกมาเมื่อวันที่ 20 กันยายน

    วันนี้วันที่ 21 กันยายน ทั้งออสเตรเลีย อังกฤษ แคนาดา ประกาศรับรอง "ปาเลสไตน์" เป็นรัฐอิสระเรียบร้อยไปแล้ว บ่งบอกว่าทั้งสามประเทศนี้ไม่ได้เกรงกลัวคำขู่ของสหรัฐแต่อย่างใด

    ขณะที่ฝรั่งเศส มีรายงานว่าจะประกาศรับรองปาเลสไตน์ ในวันพรุ่งนี้ คือวันจันทร์ที่ 22 กันยายน

    คำประกาศรับรองของ ออสเตรเลีย แคนาดา และอังกฤษ เกิดขึ้นหลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ เดินทางเยือนอังกฤษเพียงหนึ่งวันเท่านั้น!
    สมาชิกรัฐสภา (สส.) และ วุฒิสมาชิกสหรัฐฯ(สว.) แถลงการณ์ถึงแคนาดา ออสเตรเลีย ฝรั่งเศส และสหราชอาณาจักร โดยข่มขู่ว่าจะมี “มาตรการลงโทษ” หากประกาศรับรองรัฐปาเลสไตน์ 👉แถลงการณ์นี้ออกมาเมื่อวันที่ 20 กันยายน 👉วันนี้วันที่ 21 กันยายน ทั้งออสเตรเลีย อังกฤษ แคนาดา ประกาศรับรอง "ปาเลสไตน์" เป็นรัฐอิสระเรียบร้อยไปแล้ว บ่งบอกว่าทั้งสามประเทศนี้ไม่ได้เกรงกลัวคำขู่ของสหรัฐแต่อย่างใด 👉ขณะที่ฝรั่งเศส มีรายงานว่าจะประกาศรับรองปาเลสไตน์ ในวันพรุ่งนี้ คือวันจันทร์ที่ 22 กันยายน 👉คำประกาศรับรองของ ออสเตรเลีย แคนาดา และอังกฤษ เกิดขึ้นหลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ เดินทางเยือนอังกฤษเพียงหนึ่งวันเท่านั้น!
    0 Comments 0 Shares 305 Views 0 Reviews
  • “แผนที่โลกกลับหัว: Robert Simmon ท้าทายความเคยชิน — เมื่อ ‘ใต้’ ขึ้นมาอยู่บนสุด โลกก็เปลี่ยนไป”

    ถ้าคุณหลับตาแล้วนึกถึงแผนที่โลก ภาพที่ปรากฏในหัวน่าจะเป็นแบบที่เราคุ้นเคย: อเมริกาเหนือและยุโรปอยู่ด้านบน แอฟริกาอยู่ตรงกลาง และออสเตรเลียกับแอนตาร์กติกาอยู่ด้านล่าง แต่ Robert Simmon นักทำแผนที่ผู้เคยร่วมงานกับ NASA Earth Observatory และ Planet Labs ได้ตั้งคำถามว่า “ทำไมต้องเป็นแบบนั้น?” และเขาได้ตอบด้วยการสร้างแผนที่โลกแบบ “south-up” หรือ “ใต้ขึ้นบน” ที่พลิกทุกอย่างกลับหัว

    แผนที่ของ Simmon ยังคงถูกต้องทางภูมิศาสตร์ทุกประการ มีประเทศ ทะเลสาบ เมือง และถนนครบถ้วน พร้อมแผนที่ย่อยแสดงชีวนิเวศของโลก การใช้ที่ดิน และความลึกของมหาสมุทร แต่เมื่อมองด้วยทิศใต้เป็นด้านบน ทุกอย่างดูแปลกตาและชวนให้ตั้งคำถามว่า “ทำไมเราถึงยึดติดกับการวางทิศเหนือไว้ด้านบน?”

    ความจริงคือ แผนที่ในอดีตไม่ได้มีทิศเหนืออยู่ด้านบนเสมอไป ในยุคจีนโบราณ เช่น สมัยราชวงศ์ฮั่นและถัง นักเดินเรือใช้เข็มแม่เหล็กที่ชี้ไปทางใต้เป็นหลัก และแผนที่จำนวนมากในยุโรปยุคกลางก็มีทิศตะวันออกหรือใต้เป็นด้านบน การที่ทิศเหนือกลายเป็นมาตรฐานเกิดจากอิทธิพลของ Ptolemy ซึ่งเป็นผู้กำหนดเส้นละติจูดและลองจิจูด ทำให้แผนที่ที่ตามมารับเอาทิศเหนือไว้ด้านบนโดยอัตโนมัติ

    นอกจากนี้ยังมีมิติทางจิตวิทยา: เรามักมองว่าสิ่งที่อยู่ด้านบนคือ “ดี” และสิ่งที่อยู่ด้านล่างคือ “แย่” ซึ่งส่งผลต่อการรับรู้ทางภูมิศาสตร์ เช่น การมองว่าประเทศทางเหนือมีสถานะสูงกว่าโดยไม่รู้ตัว การเปลี่ยนแผนที่ให้ใต้ขึ้นบนจึงไม่ใช่แค่การกลับหัวภาพ — แต่เป็นการกลับหัวความคิด

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Robert Simmon สร้างแผนที่โลกแบบ south-up เพื่อท้าทายความเคยชิน
    แผนที่มีข้อมูลครบถ้วน เช่น ประเทศ เมือง ถนน มหาสมุทร และแผนที่ย่อย
    การวางทิศใต้ไว้ด้านบนทำให้ผู้ดูรู้สึกแปลกตาและตั้งคำถามกับมาตรฐานเดิม
    แผนที่นี้ถูกส่งเข้าร่วมโครงการ Maps.com เพื่อเผยแพร่สู่สาธารณะ

    ประวัติศาสตร์และหลักการ
    ในอดีตแผนที่มีทิศใต้หรือทิศตะวันออกเป็นด้านบน ไม่ใช่ทิศเหนือเสมอไป
    นักเดินเรือจีนโบราณใช้เข็มแม่เหล็กที่ชี้ไปทางใต้เป็นหลัก
    Ptolemy เป็นผู้กำหนดระบบละติจูด–ลองจิจูด ทำให้ทิศเหนือกลายเป็นมาตรฐาน
    การวางทิศบนแผนที่มีผลต่อการรับรู้ทางจิตวิทยาและสังคม

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    การใช้แผนที่ south-up ถูกนำไปใช้ในห้องเรียนเพื่อกระตุ้นการคิดเชิงวิพากษ์
    นักวิจัยพบว่าเมื่อใช้แผนที่แบบ south-up อคติทางภูมิศาสตร์ลดลง
    ภาษาอังกฤษมีคำพูดที่สะท้อนอคติ เช่น “up north” กับ “down south”
    แผนที่แบบกลับหัวเคยถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ทางการเมืองในศตวรรษที่ 20

    https://www.maps.com/this-map-is-not-upside-down/
    🗺️ “แผนที่โลกกลับหัว: Robert Simmon ท้าทายความเคยชิน — เมื่อ ‘ใต้’ ขึ้นมาอยู่บนสุด โลกก็เปลี่ยนไป” ถ้าคุณหลับตาแล้วนึกถึงแผนที่โลก ภาพที่ปรากฏในหัวน่าจะเป็นแบบที่เราคุ้นเคย: อเมริกาเหนือและยุโรปอยู่ด้านบน แอฟริกาอยู่ตรงกลาง และออสเตรเลียกับแอนตาร์กติกาอยู่ด้านล่าง แต่ Robert Simmon นักทำแผนที่ผู้เคยร่วมงานกับ NASA Earth Observatory และ Planet Labs ได้ตั้งคำถามว่า “ทำไมต้องเป็นแบบนั้น?” และเขาได้ตอบด้วยการสร้างแผนที่โลกแบบ “south-up” หรือ “ใต้ขึ้นบน” ที่พลิกทุกอย่างกลับหัว แผนที่ของ Simmon ยังคงถูกต้องทางภูมิศาสตร์ทุกประการ มีประเทศ ทะเลสาบ เมือง และถนนครบถ้วน พร้อมแผนที่ย่อยแสดงชีวนิเวศของโลก การใช้ที่ดิน และความลึกของมหาสมุทร แต่เมื่อมองด้วยทิศใต้เป็นด้านบน ทุกอย่างดูแปลกตาและชวนให้ตั้งคำถามว่า “ทำไมเราถึงยึดติดกับการวางทิศเหนือไว้ด้านบน?” ความจริงคือ แผนที่ในอดีตไม่ได้มีทิศเหนืออยู่ด้านบนเสมอไป ในยุคจีนโบราณ เช่น สมัยราชวงศ์ฮั่นและถัง นักเดินเรือใช้เข็มแม่เหล็กที่ชี้ไปทางใต้เป็นหลัก และแผนที่จำนวนมากในยุโรปยุคกลางก็มีทิศตะวันออกหรือใต้เป็นด้านบน การที่ทิศเหนือกลายเป็นมาตรฐานเกิดจากอิทธิพลของ Ptolemy ซึ่งเป็นผู้กำหนดเส้นละติจูดและลองจิจูด ทำให้แผนที่ที่ตามมารับเอาทิศเหนือไว้ด้านบนโดยอัตโนมัติ นอกจากนี้ยังมีมิติทางจิตวิทยา: เรามักมองว่าสิ่งที่อยู่ด้านบนคือ “ดี” และสิ่งที่อยู่ด้านล่างคือ “แย่” ซึ่งส่งผลต่อการรับรู้ทางภูมิศาสตร์ เช่น การมองว่าประเทศทางเหนือมีสถานะสูงกว่าโดยไม่รู้ตัว การเปลี่ยนแผนที่ให้ใต้ขึ้นบนจึงไม่ใช่แค่การกลับหัวภาพ — แต่เป็นการกลับหัวความคิด ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Robert Simmon สร้างแผนที่โลกแบบ south-up เพื่อท้าทายความเคยชิน ➡️ แผนที่มีข้อมูลครบถ้วน เช่น ประเทศ เมือง ถนน มหาสมุทร และแผนที่ย่อย ➡️ การวางทิศใต้ไว้ด้านบนทำให้ผู้ดูรู้สึกแปลกตาและตั้งคำถามกับมาตรฐานเดิม ➡️ แผนที่นี้ถูกส่งเข้าร่วมโครงการ Maps.com เพื่อเผยแพร่สู่สาธารณะ ✅ ประวัติศาสตร์และหลักการ ➡️ ในอดีตแผนที่มีทิศใต้หรือทิศตะวันออกเป็นด้านบน ไม่ใช่ทิศเหนือเสมอไป ➡️ นักเดินเรือจีนโบราณใช้เข็มแม่เหล็กที่ชี้ไปทางใต้เป็นหลัก ➡️ Ptolemy เป็นผู้กำหนดระบบละติจูด–ลองจิจูด ทำให้ทิศเหนือกลายเป็นมาตรฐาน ➡️ การวางทิศบนแผนที่มีผลต่อการรับรู้ทางจิตวิทยาและสังคม ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ การใช้แผนที่ south-up ถูกนำไปใช้ในห้องเรียนเพื่อกระตุ้นการคิดเชิงวิพากษ์ ➡️ นักวิจัยพบว่าเมื่อใช้แผนที่แบบ south-up อคติทางภูมิศาสตร์ลดลง ➡️ ภาษาอังกฤษมีคำพูดที่สะท้อนอคติ เช่น “up north” กับ “down south” ➡️ แผนที่แบบกลับหัวเคยถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ทางการเมืองในศตวรรษที่ 20 https://www.maps.com/this-map-is-not-upside-down/
    WWW.MAPS.COM
    This Map Is Not Upside Down
    While conventional and commonplace today, maps have not always had north at the top. And they don't need to.
    0 Comments 0 Shares 249 Views 0 Reviews
  • “ฮ่องกงเตรียมปรับแนวทางการใช้หน้าจอของเด็ก — แก้ปัญาสายตาสั้นและสุขภาพจิตในยุคดิจิทัล”

    รัฐบาลฮ่องกงเตรียมประกาศแนวทางใหม่ในการจำกัดเวลาใช้หน้าจอของเด็กในนโยบายสุขภาพที่จะเปิดเผยในสัปดาห์นี้ โดยจะเน้นการลดการใช้มือถือและโซเชียลมีเดียในกลุ่มเด็กเล็ก ทั้งในโรงเรียนและที่บ้าน โดยไม่ใช้มาตรการทางกฎหมาย แต่จะปรับปรุงแนวทางแนะนำให้ชัดเจนและทันสมัยมากขึ้น

    การเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นจากความกังวลเรื่องอัตราสายตาสั้นในเด็กฮ่องกงที่สูงที่สุดในโลก และแนวโน้มการใช้หน้าจอเพื่อความบันเทิงที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มนักเรียนประถมและมัธยม ซึ่งมีการใช้มือถือเพื่อเรียนและเล่นในระดับที่เกินคำแนะนำเดิมของกรมอนามัย

    ปัจจุบันฮ่องกงไม่มีข้อบังคับทางกฎหมายเกี่ยวกับเวลาใช้หน้าจอ แต่มีแนวทางแนะนำ เช่น เด็กอายุต่ำกว่า 2 ปีควรหลีกเลี่ยงหน้าจอ ยกเว้นการวิดีโอคอลกับผู้ปกครอง เด็กอายุ 2–5 ปีควรจำกัดไว้ที่ 1 ชั่วโมงต่อวัน และเด็กอายุ 6–12 ปีไม่เกิน 2 ชั่วโมงต่อวัน

    รัฐบาลจะปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตและการศึกษาเพื่อปรับปรุงแนวทางให้เหมาะสมกับยุคปัจจุบัน โดยอาจพิจารณาให้โรงเรียนจำกัดการใช้มือถือในชั้นเรียน และตั้งคำถามว่าเด็กประถมควรเข้าถึงโซเชียลมีเดียหรือไม่

    ในระดับโลก หลายประเทศเริ่มใช้มาตรการควบคุมที่เข้มงวดขึ้น เช่น จีนจำกัดเวลาเล่นเกมออนไลน์ของเด็กไว้แค่ 1 ชั่วโมงต่อวันในวันหยุด, ออสเตรเลียเตรียมแบนโซเชียลมีเดียสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปี และฝรั่งเศสออกกฎหมายให้แพลตฟอร์มต้องตรวจสอบอายุผู้ใช้และขอความยินยอมจากผู้ปกครอง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ฮ่องกงเตรียมปรับแนวทางการใช้หน้าจอของเด็กในนโยบายสุขภาพ
    เน้นลดการใช้มือถือและโซเชียลมีเดียในกลุ่มเด็กเล็ก
    ไม่มีการออกกฎหมาย แต่จะปรับปรุงแนวทางแนะนำให้ทันสมัย
    ปัจจุบันแนวทางแนะนำคือ 1–2 ชั่วโมงต่อวันตามช่วงอายุ

    เหตุผลและแรงจูงใจ
    เด็กฮ่องกงมีอัตราสายตาสั้นสูงที่สุดในโลก
    การใช้หน้าจอเพื่อความบันเทิงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
    นักเรียนใช้มือถือเพื่อเรียนและเล่นเกินคำแนะนำเดิม
    รัฐบาลจะปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตและการศึกษา

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    จีนจำกัดเวลาเล่นเกมออนไลน์ของเด็กไว้ที่ 1 ชั่วโมงต่อวันในวันหยุด
    ออสเตรเลียเตรียมแบนโซเชียลมีเดียสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปี
    ฝรั่งเศสออกกฎหมายให้แพลตฟอร์มต้องตรวจสอบอายุและขอความยินยอม
    สหรัฐฯ เสนอร่างกฎหมาย Kids Off Social Media Act เพื่อแบนเด็กต่ำกว่า 13 ปี

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/17/how-much-screen-time-should-kids-have-hong-kong-leader-to-seek-expert-advice
    📱 “ฮ่องกงเตรียมปรับแนวทางการใช้หน้าจอของเด็ก — แก้ปัญาสายตาสั้นและสุขภาพจิตในยุคดิจิทัล” รัฐบาลฮ่องกงเตรียมประกาศแนวทางใหม่ในการจำกัดเวลาใช้หน้าจอของเด็กในนโยบายสุขภาพที่จะเปิดเผยในสัปดาห์นี้ โดยจะเน้นการลดการใช้มือถือและโซเชียลมีเดียในกลุ่มเด็กเล็ก ทั้งในโรงเรียนและที่บ้าน โดยไม่ใช้มาตรการทางกฎหมาย แต่จะปรับปรุงแนวทางแนะนำให้ชัดเจนและทันสมัยมากขึ้น การเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นจากความกังวลเรื่องอัตราสายตาสั้นในเด็กฮ่องกงที่สูงที่สุดในโลก และแนวโน้มการใช้หน้าจอเพื่อความบันเทิงที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มนักเรียนประถมและมัธยม ซึ่งมีการใช้มือถือเพื่อเรียนและเล่นในระดับที่เกินคำแนะนำเดิมของกรมอนามัย ปัจจุบันฮ่องกงไม่มีข้อบังคับทางกฎหมายเกี่ยวกับเวลาใช้หน้าจอ แต่มีแนวทางแนะนำ เช่น เด็กอายุต่ำกว่า 2 ปีควรหลีกเลี่ยงหน้าจอ ยกเว้นการวิดีโอคอลกับผู้ปกครอง เด็กอายุ 2–5 ปีควรจำกัดไว้ที่ 1 ชั่วโมงต่อวัน และเด็กอายุ 6–12 ปีไม่เกิน 2 ชั่วโมงต่อวัน รัฐบาลจะปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตและการศึกษาเพื่อปรับปรุงแนวทางให้เหมาะสมกับยุคปัจจุบัน โดยอาจพิจารณาให้โรงเรียนจำกัดการใช้มือถือในชั้นเรียน และตั้งคำถามว่าเด็กประถมควรเข้าถึงโซเชียลมีเดียหรือไม่ ในระดับโลก หลายประเทศเริ่มใช้มาตรการควบคุมที่เข้มงวดขึ้น เช่น จีนจำกัดเวลาเล่นเกมออนไลน์ของเด็กไว้แค่ 1 ชั่วโมงต่อวันในวันหยุด, ออสเตรเลียเตรียมแบนโซเชียลมีเดียสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปี และฝรั่งเศสออกกฎหมายให้แพลตฟอร์มต้องตรวจสอบอายุผู้ใช้และขอความยินยอมจากผู้ปกครอง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ฮ่องกงเตรียมปรับแนวทางการใช้หน้าจอของเด็กในนโยบายสุขภาพ ➡️ เน้นลดการใช้มือถือและโซเชียลมีเดียในกลุ่มเด็กเล็ก ➡️ ไม่มีการออกกฎหมาย แต่จะปรับปรุงแนวทางแนะนำให้ทันสมัย ➡️ ปัจจุบันแนวทางแนะนำคือ 1–2 ชั่วโมงต่อวันตามช่วงอายุ ✅ เหตุผลและแรงจูงใจ ➡️ เด็กฮ่องกงมีอัตราสายตาสั้นสูงที่สุดในโลก ➡️ การใช้หน้าจอเพื่อความบันเทิงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ➡️ นักเรียนใช้มือถือเพื่อเรียนและเล่นเกินคำแนะนำเดิม ➡️ รัฐบาลจะปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตและการศึกษา ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ จีนจำกัดเวลาเล่นเกมออนไลน์ของเด็กไว้ที่ 1 ชั่วโมงต่อวันในวันหยุด ➡️ ออสเตรเลียเตรียมแบนโซเชียลมีเดียสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปี ➡️ ฝรั่งเศสออกกฎหมายให้แพลตฟอร์มต้องตรวจสอบอายุและขอความยินยอม ➡️ สหรัฐฯ เสนอร่างกฎหมาย Kids Off Social Media Act เพื่อแบนเด็กต่ำกว่า 13 ปี https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/17/how-much-screen-time-should-kids-have-hong-kong-leader-to-seek-expert-advice
    WWW.THESTAR.COM.MY
    How much screen time should kids have? Hong Kong leader to seek expert advice
    Government source rules out bans but backs tougher restrictions on device use in schools and homes under new initiative within policy address.
    0 Comments 0 Shares 268 Views 0 Reviews
  • ฟอกเงินแน่นอน,สะสมอาวุธแน่นอน,เปลี่ยนเงินดำเป็นเงินขาวจากนั้นไปซื้ออาวุธญี่ปุ่น เกาหลีใต้ทางลับ ซื้ออาวุธอาหรับลูกน้องอเมริกาทางลับเครือข่ายบิลลาเดนที่ซ่อนตัวในเขมรอีก,อย่าลืมว่าISหนีตายมาอาเชียนเราไม่น้อย1ในนั้นคือเขมรซึ่งฮุนเซนคือฮับอาชญากรโลกอยู่แล้ว,ขี้ข้าciaต่างจากมุสลิมฝั่งศัตรูอเมริกาแน่นอนเพราะอเมริกาฝ่ายมืดเลี้ยงพวกนี้ไว้ใช้งานนั้นเอง เขมรก็ถูกเลี้ยงเพื่อให้ทำเงินสายดำส่งให้เครือข่ายตาอเมริกานี้ล่ะ อเมริกาแกล้งว่าอายัดตังเขมรกว่าแสนล้านเหรียญก็บอกใบ้ว่ากูได้รับตังมรึงเขมรแล้วนะ,ออสเตรเลียก็ด้วยธรรมดาที่ไหนยาเสพติดตรึมค้าอวัยวะค้ามนุษย์ก็ชาติตัวพ่อเอาลงไปแดกใต้ดินใต้อุโมงค์ออสเตรเลียด้วย ประเทศนี้คนหายเป็นว่าเล่นเพราะดึงตัวคนลงไปแดกนั้นเอง.,เขมรคือฮับเชื่อมต่อไม่แพ้พม่ายุคอ่องชานตัวแม่,จากนั้นเพื่อบรรลุเป้าหมายนายใหญ่ฝรั่งยุโรปอเมริกสั่งมาต้องเอาบ่อน้ำมันและที่ดินไทยมาให้ได้ ทองคำแร่เอิร์ธเต็มภูเขาไทย รวมสาระพัดอาจตังกว่า100ล้านล้านบาทกันเลยจากปิดตัวเลขแค่10-20ล้านล้านบาท,ญี่ปุ่นจึงออกตัวแรงผ่านนอมินีนักลงทุนญี่ปุ่นบังหน้า,จากมุกมาเลย์อเมริกาหยุดยิงแทรกแซงไม่ได้ ไทยเล่นมุกปิดด่านเขมรอาจแพ้ ญี่ปุ่นจงรีบกระโดดไปช่วยเขมรเปิดด่านต่ออายุฮุนเซนให้ได้,จะได้ใช้ฮุนเซนยึดกิจการจีนท่าเรือเรียมจีนเลย,จะไปเสียเวลากับสมรังสีไม่ได้ เอาเดี๋ยวนี้ก่อน,ญี่ปุ่นจึงเป็นตัวเลือกรองสุดท้ายเปิดหน้า,ใครเชียร์ญี่ปุ่นว่าไปเข้าใจปิดญี่ปุ่นคือกากมาก ญี่ปุ่นอเมริกาฝรั่งเศสคือเดอะแก๊งตาอีลิทอเมริกายิวหมดพวกเดียวกันตัวพ่อพิมพ์ตังใช้เองแบบอเมริกาโน้นมีทองคำค้ำห่าเหวจริงอะไร,มันมาเอาเงินบาทที่มีทองคำค้ำประกันแลกตังกระดาษมัน มันคุ้มจะตาย,
    ..ญี่ปุ่นขี้โกงตั้งแต่ผูกขาดห้ามไทยสร้างรถยนต์เองได้แล้วโดยข้าราชการเลวและนักการเมืองชั่วในอดีตไปลงนามห้ามคนไทยผ่านกฎหมายกดคนไทยห้ามสร้างรถยนต์ประดิษฐ์รถยนต์แข่งญี่ปุ่นได้,ข้าราชการไทยโง่บวกนักการเมืองทั้งโง่และขายชาติทรยศคนไทยด้วยไม่บังคับญี่ปุ่นถ้าจะลงทุนในไทยต้องถ่ายทอดนวัตกรรมเทคโนโลยีผลิตรถยนต์ด้วยและอิสระให้คนไทยคิค้นสร้างสรรค์ประดิษฐ์สร้างทำรถยนต์ได้,
    ..ญี่ปุ่นเอาเปรียบประเทศมาโดยตลอดผ่านวิถีปกครองที่นักการเมืองคตโกง,สมุนไพรไทยมากมายก็แอบไปจดลิขสิทธิ์เองจากไทย,ตั้งโรงงานในไทยทำสาระพัดเอาเปรียบคนไทยพืชพันธ์มากมายมันตู่ว่าเป็นของมันโน้นกูจดสิทธิหมดแล้วมันว่า,และอื่นๆตรึมที่ลูกพี่มันไม่ทำ กากเดนที่เหลือแดกแบบบ่อน้ำมันทั่วไทย บ่อทองคำตาออสเตรเลียลูกน้องอเมริกาก็มาผูกขาดบ่อทองคำหาแดกบนแผ่นดินไทยจนคนไทยยากจนเป็นอันมากไม่ต่างจากแอฟริกาหรอก,
    ..เอเชียเราจึงมาร่วมสามัคคีกันกำจัดขี้ข้าอเมริกาฝรั่งยุโรปนี้กันจริงๆจังๆ อย่าให้พวกมันฝรั่งและลูกน้องมันแบบญี่ปุ่น ออสเตรเลียใช้เป็นฐานมากอบโกยคนเอเชียชาติอาเชียนแบบเราอีกเลยต้องกำจัดถีบออกจากเอเชียเราทั้งหมด,ประเทศไหนทำลายได้ต้องทำลายเลย,แบบเขมรทำลายสิ้นชาติก็ต้องทำลาย ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย มาเลย์ สิงคโปร์ หากมาเอาเปรียบชาติอาเชียนเอเชียปกติอีกก็สมควรถูกทำลาย ทำงานให้ฝรั่งยุโรปอเมริกา ใช้ไม่ได้,โดยไทยเราด้วยทหารพระราชาเราต้องกำจัดนักการเมืองระบบการปกครองฝรั่งนี้ให้สิ้นซากก่อน มีมาตลอดทศวรรษเหี้ยทรัพยากรแบบบ่อน้ำมันหาใช่เป็นของคนไทยแผ่นดินไทย มันบีบบังคับผ่านระบบส่งออกการปกครองมันเอาทรัพยากรไทยเราไปเกือบหมดแผ่นดินไทย,ทหารไทยต้องตัดสินใจใหม่ทั้งหมด กำจัดทหารเลวนอกแถวก็ต้องกำจัดศัตรูภายในเรานี้ทิ้งให้สิ้นซาก ทำลายเพื่อเกิดใหม่.,ยุคใหม่คนไทยเราจะสร้างร่วมกันเองกับทหารไทยพระราชาเรา.

    https://youtube.com/watch?v=Jixc2JITJJk&si=Vdi8LQdZ1g0Oa37H
    ฟอกเงินแน่นอน,สะสมอาวุธแน่นอน,เปลี่ยนเงินดำเป็นเงินขาวจากนั้นไปซื้ออาวุธญี่ปุ่น เกาหลีใต้ทางลับ ซื้ออาวุธอาหรับลูกน้องอเมริกาทางลับเครือข่ายบิลลาเดนที่ซ่อนตัวในเขมรอีก,อย่าลืมว่าISหนีตายมาอาเชียนเราไม่น้อย1ในนั้นคือเขมรซึ่งฮุนเซนคือฮับอาชญากรโลกอยู่แล้ว,ขี้ข้าciaต่างจากมุสลิมฝั่งศัตรูอเมริกาแน่นอนเพราะอเมริกาฝ่ายมืดเลี้ยงพวกนี้ไว้ใช้งานนั้นเอง เขมรก็ถูกเลี้ยงเพื่อให้ทำเงินสายดำส่งให้เครือข่ายตาอเมริกานี้ล่ะ อเมริกาแกล้งว่าอายัดตังเขมรกว่าแสนล้านเหรียญก็บอกใบ้ว่ากูได้รับตังมรึงเขมรแล้วนะ,ออสเตรเลียก็ด้วยธรรมดาที่ไหนยาเสพติดตรึมค้าอวัยวะค้ามนุษย์ก็ชาติตัวพ่อเอาลงไปแดกใต้ดินใต้อุโมงค์ออสเตรเลียด้วย ประเทศนี้คนหายเป็นว่าเล่นเพราะดึงตัวคนลงไปแดกนั้นเอง.,เขมรคือฮับเชื่อมต่อไม่แพ้พม่ายุคอ่องชานตัวแม่,จากนั้นเพื่อบรรลุเป้าหมายนายใหญ่ฝรั่งยุโรปอเมริกสั่งมาต้องเอาบ่อน้ำมันและที่ดินไทยมาให้ได้ ทองคำแร่เอิร์ธเต็มภูเขาไทย รวมสาระพัดอาจตังกว่า100ล้านล้านบาทกันเลยจากปิดตัวเลขแค่10-20ล้านล้านบาท,ญี่ปุ่นจึงออกตัวแรงผ่านนอมินีนักลงทุนญี่ปุ่นบังหน้า,จากมุกมาเลย์อเมริกาหยุดยิงแทรกแซงไม่ได้ ไทยเล่นมุกปิดด่านเขมรอาจแพ้ ญี่ปุ่นจงรีบกระโดดไปช่วยเขมรเปิดด่านต่ออายุฮุนเซนให้ได้,จะได้ใช้ฮุนเซนยึดกิจการจีนท่าเรือเรียมจีนเลย,จะไปเสียเวลากับสมรังสีไม่ได้ เอาเดี๋ยวนี้ก่อน,ญี่ปุ่นจึงเป็นตัวเลือกรองสุดท้ายเปิดหน้า,ใครเชียร์ญี่ปุ่นว่าไปเข้าใจปิดญี่ปุ่นคือกากมาก ญี่ปุ่นอเมริกาฝรั่งเศสคือเดอะแก๊งตาอีลิทอเมริกายิวหมดพวกเดียวกันตัวพ่อพิมพ์ตังใช้เองแบบอเมริกาโน้นมีทองคำค้ำห่าเหวจริงอะไร,มันมาเอาเงินบาทที่มีทองคำค้ำประกันแลกตังกระดาษมัน มันคุ้มจะตาย, ..ญี่ปุ่นขี้โกงตั้งแต่ผูกขาดห้ามไทยสร้างรถยนต์เองได้แล้วโดยข้าราชการเลวและนักการเมืองชั่วในอดีตไปลงนามห้ามคนไทยผ่านกฎหมายกดคนไทยห้ามสร้างรถยนต์ประดิษฐ์รถยนต์แข่งญี่ปุ่นได้,ข้าราชการไทยโง่บวกนักการเมืองทั้งโง่และขายชาติทรยศคนไทยด้วยไม่บังคับญี่ปุ่นถ้าจะลงทุนในไทยต้องถ่ายทอดนวัตกรรมเทคโนโลยีผลิตรถยนต์ด้วยและอิสระให้คนไทยคิค้นสร้างสรรค์ประดิษฐ์สร้างทำรถยนต์ได้, ..ญี่ปุ่นเอาเปรียบประเทศมาโดยตลอดผ่านวิถีปกครองที่นักการเมืองคตโกง,สมุนไพรไทยมากมายก็แอบไปจดลิขสิทธิ์เองจากไทย,ตั้งโรงงานในไทยทำสาระพัดเอาเปรียบคนไทยพืชพันธ์มากมายมันตู่ว่าเป็นของมันโน้นกูจดสิทธิหมดแล้วมันว่า,และอื่นๆตรึมที่ลูกพี่มันไม่ทำ กากเดนที่เหลือแดกแบบบ่อน้ำมันทั่วไทย บ่อทองคำตาออสเตรเลียลูกน้องอเมริกาก็มาผูกขาดบ่อทองคำหาแดกบนแผ่นดินไทยจนคนไทยยากจนเป็นอันมากไม่ต่างจากแอฟริกาหรอก, ..เอเชียเราจึงมาร่วมสามัคคีกันกำจัดขี้ข้าอเมริกาฝรั่งยุโรปนี้กันจริงๆจังๆ อย่าให้พวกมันฝรั่งและลูกน้องมันแบบญี่ปุ่น ออสเตรเลียใช้เป็นฐานมากอบโกยคนเอเชียชาติอาเชียนแบบเราอีกเลยต้องกำจัดถีบออกจากเอเชียเราทั้งหมด,ประเทศไหนทำลายได้ต้องทำลายเลย,แบบเขมรทำลายสิ้นชาติก็ต้องทำลาย ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย มาเลย์ สิงคโปร์ หากมาเอาเปรียบชาติอาเชียนเอเชียปกติอีกก็สมควรถูกทำลาย ทำงานให้ฝรั่งยุโรปอเมริกา ใช้ไม่ได้,โดยไทยเราด้วยทหารพระราชาเราต้องกำจัดนักการเมืองระบบการปกครองฝรั่งนี้ให้สิ้นซากก่อน มีมาตลอดทศวรรษเหี้ยทรัพยากรแบบบ่อน้ำมันหาใช่เป็นของคนไทยแผ่นดินไทย มันบีบบังคับผ่านระบบส่งออกการปกครองมันเอาทรัพยากรไทยเราไปเกือบหมดแผ่นดินไทย,ทหารไทยต้องตัดสินใจใหม่ทั้งหมด กำจัดทหารเลวนอกแถวก็ต้องกำจัดศัตรูภายในเรานี้ทิ้งให้สิ้นซาก ทำลายเพื่อเกิดใหม่.,ยุคใหม่คนไทยเราจะสร้างร่วมกันเองกับทหารไทยพระราชาเรา. https://youtube.com/watch?v=Jixc2JITJJk&si=Vdi8LQdZ1g0Oa37H
    0 Comments 0 Shares 420 Views 0 Reviews
More Results