• YouTube ทดสอบระบบตรวจสอบอายุด้วย AI ในสหรัฐฯ: ปกป้องเยาวชนหรือรุกล้ำความเป็นส่วนตัว?

    YouTube เริ่มทดสอบระบบตรวจสอบอายุด้วย AI ในสหรัฐฯ โดยไม่พึ่งข้อมูลวันเกิดที่ผู้ใช้กรอกเอง แต่ใช้พฤติกรรมการใช้งาน เช่น ประเภทวิดีโอที่ดู, คำค้นหา, และอายุบัญชี เพื่อประเมินว่าเป็นผู้ใหญ่หรือเยาวชน หากระบบ AI ประเมินว่าเป็นเยาวชน YouTube จะปิดโฆษณาแบบเจาะกลุ่ม, เปิดฟีเจอร์ดูแลสุขภาพดิจิทัล และจำกัดการดูเนื้อหาบางประเภทโดยอัตโนมัติ

    แม้เป้าหมายคือการปกป้องเยาวชนจากเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิส่วนบุคคลเตือนว่า ระบบนี้อาจละเมิดความเป็นส่วนตัวและเสรีภาพในการแสดงออก โดยเฉพาะเมื่อผู้ใช้ที่ถูกประเมินผิดต้องส่งบัตรประชาชน, บัตรเครดิต หรือภาพถ่ายตนเองเพื่อยืนยันอายุ ซึ่งอาจเปิดช่องให้เกิดการเก็บข้อมูลส่วนตัวโดยไม่มีความโปร่งใส

    ระบบนี้ยังส่งผลกระทบต่อธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่เน้นกลุ่มวัยรุ่น เพราะโฆษณาแบบเจาะกลุ่มจะถูกปิด และเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับสินค้าอาจถูกจำกัดการเข้าถึง

    YouTube ทดสอบระบบตรวจสอบอายุด้วย AI ในสหรัฐฯ
    ใช้พฤติกรรมการใช้งานแทนข้อมูลวันเกิดที่ผู้ใช้กรอก

    หากระบบประเมินว่าเป็นเยาวชน จะปิดโฆษณาแบบเจาะกลุ่ม
    พร้อมเปิดฟีเจอร์ดูแลสุขภาพดิจิทัล และจำกัดเนื้อหาบางประเภท

    ระบบนี้เคยใช้ในอังกฤษและออสเตรเลียมาก่อน
    และกำลังขยายสู่สหรัฐฯ ตามแรงกดดันจากกฎหมายความปลอดภัยออนไลน์

    ผู้ใช้ที่ถูกประเมินผิดต้องยืนยันตัวตนด้วยบัตรประชาชนหรือภาพถ่าย
    เพื่อขอสิทธิ์เข้าถึงเนื้อหาที่ถูกจำกัด

    ธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่เน้นกลุ่มวัยรุ่นจะได้รับผลกระทบ
    เพราะโฆษณาและเนื้อหาถูกจำกัดการเข้าถึง

    ระบบนี้อาจขยายไปยังบริการอื่นของ Google เช่น Google Ads และ Google Play
    ส่งผลต่อกลยุทธ์การตลาดดิจิทัลโดยรวม

    การตรวจสอบอายุด้วย AI เป็นแนวทางใหม่ที่หลายแพลตฟอร์มเริ่มนำมาใช้
    เช่น TikTok และ Instagram ก็เริ่มใช้ระบบคล้ายกัน

    กฎหมาย Online Safety Act ในอังกฤษบังคับให้แพลตฟอร์มปกป้องเยาวชนจากเนื้อหาผู้ใหญ่
    เป็นแรงผลักดันให้ YouTube ปรับระบบในประเทศอื่น

    การใช้ AI ประเมินอายุช่วยลดการพึ่งพาข้อมูลส่วนตัวโดยตรง
    แต่ต้องมีความแม่นยำสูงเพื่อไม่ให้เกิดการประเมินผิด

    การจำกัดเนื้อหาสำหรับเยาวชนอาจช่วยลดผลกระทบด้านสุขภาพจิต
    โดยเฉพาะเนื้อหาที่กระตุ้นความเครียดหรือพฤติกรรมเสี่ยง

    https://wccftech.com/youtube-tests-ai-powered-age-verification-in-the-u-s-to-safeguard-teens/
    🧠🔞 YouTube ทดสอบระบบตรวจสอบอายุด้วย AI ในสหรัฐฯ: ปกป้องเยาวชนหรือรุกล้ำความเป็นส่วนตัว? YouTube เริ่มทดสอบระบบตรวจสอบอายุด้วย AI ในสหรัฐฯ โดยไม่พึ่งข้อมูลวันเกิดที่ผู้ใช้กรอกเอง แต่ใช้พฤติกรรมการใช้งาน เช่น ประเภทวิดีโอที่ดู, คำค้นหา, และอายุบัญชี เพื่อประเมินว่าเป็นผู้ใหญ่หรือเยาวชน หากระบบ AI ประเมินว่าเป็นเยาวชน YouTube จะปิดโฆษณาแบบเจาะกลุ่ม, เปิดฟีเจอร์ดูแลสุขภาพดิจิทัล และจำกัดการดูเนื้อหาบางประเภทโดยอัตโนมัติ แม้เป้าหมายคือการปกป้องเยาวชนจากเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิส่วนบุคคลเตือนว่า ระบบนี้อาจละเมิดความเป็นส่วนตัวและเสรีภาพในการแสดงออก โดยเฉพาะเมื่อผู้ใช้ที่ถูกประเมินผิดต้องส่งบัตรประชาชน, บัตรเครดิต หรือภาพถ่ายตนเองเพื่อยืนยันอายุ ซึ่งอาจเปิดช่องให้เกิดการเก็บข้อมูลส่วนตัวโดยไม่มีความโปร่งใส ระบบนี้ยังส่งผลกระทบต่อธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่เน้นกลุ่มวัยรุ่น เพราะโฆษณาแบบเจาะกลุ่มจะถูกปิด และเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับสินค้าอาจถูกจำกัดการเข้าถึง ✅ YouTube ทดสอบระบบตรวจสอบอายุด้วย AI ในสหรัฐฯ ➡️ ใช้พฤติกรรมการใช้งานแทนข้อมูลวันเกิดที่ผู้ใช้กรอก ✅ หากระบบประเมินว่าเป็นเยาวชน จะปิดโฆษณาแบบเจาะกลุ่ม ➡️ พร้อมเปิดฟีเจอร์ดูแลสุขภาพดิจิทัล และจำกัดเนื้อหาบางประเภท ✅ ระบบนี้เคยใช้ในอังกฤษและออสเตรเลียมาก่อน ➡️ และกำลังขยายสู่สหรัฐฯ ตามแรงกดดันจากกฎหมายความปลอดภัยออนไลน์ ✅ ผู้ใช้ที่ถูกประเมินผิดต้องยืนยันตัวตนด้วยบัตรประชาชนหรือภาพถ่าย ➡️ เพื่อขอสิทธิ์เข้าถึงเนื้อหาที่ถูกจำกัด ✅ ธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่เน้นกลุ่มวัยรุ่นจะได้รับผลกระทบ ➡️ เพราะโฆษณาและเนื้อหาถูกจำกัดการเข้าถึง ✅ ระบบนี้อาจขยายไปยังบริการอื่นของ Google เช่น Google Ads และ Google Play ➡️ ส่งผลต่อกลยุทธ์การตลาดดิจิทัลโดยรวม ✅ การตรวจสอบอายุด้วย AI เป็นแนวทางใหม่ที่หลายแพลตฟอร์มเริ่มนำมาใช้ ➡️ เช่น TikTok และ Instagram ก็เริ่มใช้ระบบคล้ายกัน ✅ กฎหมาย Online Safety Act ในอังกฤษบังคับให้แพลตฟอร์มปกป้องเยาวชนจากเนื้อหาผู้ใหญ่ ➡️ เป็นแรงผลักดันให้ YouTube ปรับระบบในประเทศอื่น ✅ การใช้ AI ประเมินอายุช่วยลดการพึ่งพาข้อมูลส่วนตัวโดยตรง ➡️ แต่ต้องมีความแม่นยำสูงเพื่อไม่ให้เกิดการประเมินผิด ✅ การจำกัดเนื้อหาสำหรับเยาวชนอาจช่วยลดผลกระทบด้านสุขภาพจิต ➡️ โดยเฉพาะเนื้อหาที่กระตุ้นความเครียดหรือพฤติกรรมเสี่ยง https://wccftech.com/youtube-tests-ai-powered-age-verification-in-the-u-s-to-safeguard-teens/
    WCCFTECH.COM
    YouTube Tests AI-Powered Age Verification In The U.S. To Safeguard Teens While Navigating Privacy And Free Speech Challenges
    YouTube is testing a new age-verification system in the U.S. that relies on the technology to distinguish adults and minors
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 181 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากห้องแล็บสู่โลกออนไลน์: เมื่อเครื่องมือแพทย์กลายเป็นช่องโหว่ให้ข้อมูลหลุด

    ลองจินตนาการว่า MRI หรือ X-ray ที่คุณเพิ่งตรวจ ถูกเก็บไว้ในระบบที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตโดยไม่มีรหัสผ่าน หรือใช้รหัสง่าย ๆ อย่าง “123456” แล้วข้อมูลนั้น—รวมถึงชื่อ เบอร์โทร และผลตรวจ—หลุดออกไปให้ใครก็ได้เห็น

    นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในตอนนี้ จากการค้นพบของนักวิจัยจาก Modat ที่สแกนหาอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตทั่วโลก และพบว่ามีมากกว่า 1.2 ล้านเครื่องที่ตั้งค่าผิดพลาด ทำให้ข้อมูลหลุดออกมาโดยไม่ตั้งใจ

    ข้อมูลที่หลุดไม่ใช่แค่ภาพสแกนสมองหรือผลเลือด แต่ยังรวมถึงข้อมูลส่วนตัวที่สามารถนำไปใช้หลอกลวง หรือแม้แต่แบล็กเมล์ผู้ป่วยได้ เช่น ขู่จะเปิดเผยโรคที่เป็นให้ครอบครัวรู้ หากไม่จ่ายเงิน

    ที่น่าตกใจคือ อุปกรณ์เหล่านี้ส่วนใหญ่ตั้งค่าให้เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตตั้งแต่โรงงาน โดยไม่มีความจำเป็นทางคลินิก และโรงพยาบาลจำนวนมากไม่เคยเปลี่ยนรหัสผ่านเริ่มต้น หรืออัปเดตระบบเลย

    นอกจากการขโมยข้อมูล ยังมีความเสี่ยงที่แฮกเกอร์จะ “แก้ไข” ข้อมูล เช่น เปลี่ยนผลตรวจ หรือเพิ่มขนาดยาที่สั่งจ่าย ซึ่งอาจส่งผลต่อชีวิตผู้ป่วยโดยตรง

    พบอุปกรณ์ทางการแพทย์กว่า 1.2 ล้านเครื่องที่ตั้งค่าผิดพลาด
    ทำให้ข้อมูลหลุดออกสู่สาธารณะโดยไม่ตั้งใจ

    ข้อมูลที่หลุดรวมถึง MRI, X-ray, ผลเลือด และข้อมูลส่วนตัว
    เช่น ชื่อ เบอร์โทร และหมายเลขผู้ป่วย

    บางอุปกรณ์ไม่มีรหัสผ่าน หรือใช้รหัสง่าย ๆ เช่น “admin” หรือ “123456”
    ทำให้แฮกเกอร์เข้าถึงข้อมูลได้ง่าย

    ข้อมูลที่หลุดอาจถูกใช้แบล็กเมล์หรือหลอกลวงผู้ป่วย
    เช่น ส่งอีเมลปลอมจากโรงพยาบาลเพื่อขโมยข้อมูลเพิ่มเติม

    ประเทศที่มีอุปกรณ์หลุดมากที่สุดคือสหรัฐฯ, แอฟริกาใต้, ออสเตรเลีย, บราซิล และเยอรมนี
    รวมกันมากกว่า 600,000 เครื่อง

    ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ใช้แนวทาง proactive security
    เช่น ตรวจสอบอุปกรณ์ทั้งหมดและจัดการช่องโหว่ล่วงหน้า

    https://www.techradar.com/pro/security/mri-scans-x-rays-and-more-leaked-online-in-major-breach-over-a-million-healthcare-devices-affected-heres-what-we-know
    🧠💥 เรื่องเล่าจากห้องแล็บสู่โลกออนไลน์: เมื่อเครื่องมือแพทย์กลายเป็นช่องโหว่ให้ข้อมูลหลุด ลองจินตนาการว่า MRI หรือ X-ray ที่คุณเพิ่งตรวจ ถูกเก็บไว้ในระบบที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตโดยไม่มีรหัสผ่าน หรือใช้รหัสง่าย ๆ อย่าง “123456” แล้วข้อมูลนั้น—รวมถึงชื่อ เบอร์โทร และผลตรวจ—หลุดออกไปให้ใครก็ได้เห็น นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในตอนนี้ จากการค้นพบของนักวิจัยจาก Modat ที่สแกนหาอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตทั่วโลก และพบว่ามีมากกว่า 1.2 ล้านเครื่องที่ตั้งค่าผิดพลาด ทำให้ข้อมูลหลุดออกมาโดยไม่ตั้งใจ ข้อมูลที่หลุดไม่ใช่แค่ภาพสแกนสมองหรือผลเลือด แต่ยังรวมถึงข้อมูลส่วนตัวที่สามารถนำไปใช้หลอกลวง หรือแม้แต่แบล็กเมล์ผู้ป่วยได้ เช่น ขู่จะเปิดเผยโรคที่เป็นให้ครอบครัวรู้ หากไม่จ่ายเงิน ที่น่าตกใจคือ อุปกรณ์เหล่านี้ส่วนใหญ่ตั้งค่าให้เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตตั้งแต่โรงงาน โดยไม่มีความจำเป็นทางคลินิก และโรงพยาบาลจำนวนมากไม่เคยเปลี่ยนรหัสผ่านเริ่มต้น หรืออัปเดตระบบเลย นอกจากการขโมยข้อมูล ยังมีความเสี่ยงที่แฮกเกอร์จะ “แก้ไข” ข้อมูล เช่น เปลี่ยนผลตรวจ หรือเพิ่มขนาดยาที่สั่งจ่าย ซึ่งอาจส่งผลต่อชีวิตผู้ป่วยโดยตรง ✅ พบอุปกรณ์ทางการแพทย์กว่า 1.2 ล้านเครื่องที่ตั้งค่าผิดพลาด ➡️ ทำให้ข้อมูลหลุดออกสู่สาธารณะโดยไม่ตั้งใจ ✅ ข้อมูลที่หลุดรวมถึง MRI, X-ray, ผลเลือด และข้อมูลส่วนตัว ➡️ เช่น ชื่อ เบอร์โทร และหมายเลขผู้ป่วย ✅ บางอุปกรณ์ไม่มีรหัสผ่าน หรือใช้รหัสง่าย ๆ เช่น “admin” หรือ “123456” ➡️ ทำให้แฮกเกอร์เข้าถึงข้อมูลได้ง่าย ✅ ข้อมูลที่หลุดอาจถูกใช้แบล็กเมล์หรือหลอกลวงผู้ป่วย ➡️ เช่น ส่งอีเมลปลอมจากโรงพยาบาลเพื่อขโมยข้อมูลเพิ่มเติม ✅ ประเทศที่มีอุปกรณ์หลุดมากที่สุดคือสหรัฐฯ, แอฟริกาใต้, ออสเตรเลีย, บราซิล และเยอรมนี ➡️ รวมกันมากกว่า 600,000 เครื่อง ✅ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ใช้แนวทาง proactive security ➡️ เช่น ตรวจสอบอุปกรณ์ทั้งหมดและจัดการช่องโหว่ล่วงหน้า https://www.techradar.com/pro/security/mri-scans-x-rays-and-more-leaked-online-in-major-breach-over-a-million-healthcare-devices-affected-heres-what-we-know
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 141 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากสนามเกม: Copilot Gaming ผู้ช่วย AI ที่เข้าใจเกมของคุณ

    Microsoft กำลังเปลี่ยนวิธีที่เราสื่อสารกับเกม ด้วยการเปิดตัว “Copilot for Gaming” เวอร์ชัน Beta สำหรับผู้ใช้ Xbox Insiders บน Windows PC ผ่าน Game Bar โดยเป้าหมายคือการสร้าง “ผู้ช่วยเกม” ที่รู้ว่าเรากำลังเล่นอะไร และสามารถให้คำแนะนำแบบเรียลไทม์เมื่อเราติดอยู่ในด่านยากหรือไม่รู้จะทำอะไรต่อ

    ฟีเจอร์เด่นของ Copilot Gaming ได้แก่:
    - Voice Mode: พูดคุยกับ AI ได้ทันทีระหว่างเล่นเกม โดยไม่ต้องพิมพ์หรือออกจากหน้าจอ
    - Screenshot Analysis: AI สามารถดูภาพหน้าจอของเกมที่เรากำลังเล่น เพื่อให้คำแนะนำที่ตรงจุด
    - Game Awareness: รู้ว่าเรากำลังเล่นเกมอะไร และสามารถให้คำแนะนำเฉพาะเกม เช่น วิธีผ่านบอส หรือเลือกตัวละครที่เหมาะกับทีม

    Copilot ยังสามารถตอบคำถามเกี่ยวกับบัญชี Xbox, ประวัติการเล่น, และแนะนำเกมใหม่ที่น่าสนใจ โดยไม่ต้องออกจากเกมหรือเปิดเบราว์เซอร์ค้นหา

    แม้จะยังอยู่ในช่วง Beta และเปิดให้ใช้เฉพาะบางประเทศ เช่น สหรัฐฯ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และออสเตรเลีย แต่ Microsoft มีแผนจะขยายฟีเจอร์นี้ไปยังผู้ใช้ทั่วไปในอนาคต พร้อมเพิ่มความสามารถด้านการโค้ชเกมแบบ proactive และการปรับแต่งตามผู้เล่นแต่ละคน

    Microsoft เปิดตัว Copilot for Gaming (Beta) สำหรับ Xbox Insiders บน Windows PC
    ใช้งานผ่าน Game Bar โดยกด Windows + G แล้วเลือกไอคอน Gaming Copilot

    ฟีเจอร์ Voice Mode ช่วยให้ผู้เล่นพูดคุยกับ AI ได้ทันทีระหว่างเล่นเกม
    ไม่ต้องพิมพ์หรือออกจากหน้าจอเกม

    AI สามารถวิเคราะห์ภาพหน้าจอเพื่อให้คำแนะนำที่ตรงจุด
    เช่น วิธีผ่านด่านหรือแก้ปริศนา

    Copilot รู้ว่าเรากำลังเล่นเกมอะไร และให้คำแนะนำเฉพาะเกม
    เช่น Minecraft, Overwatch 2, หรือเกมอื่น ๆ ที่รองรับ

    ผู้ใช้สามารถถามเกี่ยวกับบัญชี Xbox, ประวัติการเล่น, และแนะนำเกมใหม่
    ทำให้ประสบการณ์เกมเป็นส่วนตัวมากขึ้น

    เปิดให้ใช้เฉพาะบางประเทศและเฉพาะผู้ที่อายุ 18 ปีขึ้นไป
    เช่น สหรัฐฯ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และอื่น ๆ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/microsoft-brings-ai-powered-assistance-to-gaming-copilot-gaming-beta-and-copilot-3d-creative-features-went-live-this-week
    🎮🤖 เรื่องเล่าจากสนามเกม: Copilot Gaming ผู้ช่วย AI ที่เข้าใจเกมของคุณ Microsoft กำลังเปลี่ยนวิธีที่เราสื่อสารกับเกม ด้วยการเปิดตัว “Copilot for Gaming” เวอร์ชัน Beta สำหรับผู้ใช้ Xbox Insiders บน Windows PC ผ่าน Game Bar โดยเป้าหมายคือการสร้าง “ผู้ช่วยเกม” ที่รู้ว่าเรากำลังเล่นอะไร และสามารถให้คำแนะนำแบบเรียลไทม์เมื่อเราติดอยู่ในด่านยากหรือไม่รู้จะทำอะไรต่อ ฟีเจอร์เด่นของ Copilot Gaming ได้แก่: - Voice Mode: พูดคุยกับ AI ได้ทันทีระหว่างเล่นเกม โดยไม่ต้องพิมพ์หรือออกจากหน้าจอ - Screenshot Analysis: AI สามารถดูภาพหน้าจอของเกมที่เรากำลังเล่น เพื่อให้คำแนะนำที่ตรงจุด - Game Awareness: รู้ว่าเรากำลังเล่นเกมอะไร และสามารถให้คำแนะนำเฉพาะเกม เช่น วิธีผ่านบอส หรือเลือกตัวละครที่เหมาะกับทีม Copilot ยังสามารถตอบคำถามเกี่ยวกับบัญชี Xbox, ประวัติการเล่น, และแนะนำเกมใหม่ที่น่าสนใจ โดยไม่ต้องออกจากเกมหรือเปิดเบราว์เซอร์ค้นหา แม้จะยังอยู่ในช่วง Beta และเปิดให้ใช้เฉพาะบางประเทศ เช่น สหรัฐฯ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และออสเตรเลีย แต่ Microsoft มีแผนจะขยายฟีเจอร์นี้ไปยังผู้ใช้ทั่วไปในอนาคต พร้อมเพิ่มความสามารถด้านการโค้ชเกมแบบ proactive และการปรับแต่งตามผู้เล่นแต่ละคน ✅ Microsoft เปิดตัว Copilot for Gaming (Beta) สำหรับ Xbox Insiders บน Windows PC ➡️ ใช้งานผ่าน Game Bar โดยกด Windows + G แล้วเลือกไอคอน Gaming Copilot ✅ ฟีเจอร์ Voice Mode ช่วยให้ผู้เล่นพูดคุยกับ AI ได้ทันทีระหว่างเล่นเกม ➡️ ไม่ต้องพิมพ์หรือออกจากหน้าจอเกม ✅ AI สามารถวิเคราะห์ภาพหน้าจอเพื่อให้คำแนะนำที่ตรงจุด ➡️ เช่น วิธีผ่านด่านหรือแก้ปริศนา ✅ Copilot รู้ว่าเรากำลังเล่นเกมอะไร และให้คำแนะนำเฉพาะเกม ➡️ เช่น Minecraft, Overwatch 2, หรือเกมอื่น ๆ ที่รองรับ ✅ ผู้ใช้สามารถถามเกี่ยวกับบัญชี Xbox, ประวัติการเล่น, และแนะนำเกมใหม่ ➡️ ทำให้ประสบการณ์เกมเป็นส่วนตัวมากขึ้น ✅ เปิดให้ใช้เฉพาะบางประเทศและเฉพาะผู้ที่อายุ 18 ปีขึ้นไป ➡️ เช่น สหรัฐฯ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และอื่น ๆ https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/microsoft-brings-ai-powered-assistance-to-gaming-copilot-gaming-beta-and-copilot-3d-creative-features-went-live-this-week
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 170 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากอากาศที่เราหายใจ: มลพิษกลางแจ้งกับความเสี่ยงโรคสมองเสื่อม

    ลองจินตนาการว่าอากาศที่เราหายใจทุกวัน ไม่ใช่แค่ทำให้ไอหรือหอบ แต่อาจค่อย ๆ ทำลายความทรงจำของเราไปทีละนิด นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ได้วิเคราะห์ข้อมูลจากกว่า 29 ล้านคนทั่วโลก และพบว่า “การสัมผัสมลพิษทางอากาศกลางแจ้งในระยะยาว” มีความเชื่อมโยงกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของโรคสมองเสื่อม เช่น อัลไซเมอร์

    พวกเขาเจาะลึกถึง 51 งานวิจัย และพบว่า 3 ชนิดของมลพิษที่มีผลชัดเจน ได้แก่:
    - PM2.5: ฝุ่นขนาดเล็กมากที่สามารถเข้าสู่ปอดลึกและแม้แต่สมอง
    - NO₂: ก๊าซที่เกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น ไอเสียรถยนต์
    - เขม่าควัน (Soot): อนุภาคจากการเผาไหม้ เช่น เตาไม้หรือโรงงาน

    ผลกระทบไม่ใช่แค่เรื่องปอดหรือหัวใจ แต่ยังรวมถึงสมอง โดยพบว่า:
    - ทุก 10 μg/m³ ของ PM2.5 เพิ่มความเสี่ยงโรคสมองเสื่อมขึ้น 17%
    - NO₂ เพิ่มความเสี่ยง 3% ต่อ 10 μg/m³
    - เขม่าควันเพิ่มความเสี่ยง 13% ต่อ 1 μg/m³

    นักวิจัยยังชี้ว่า การวางผังเมือง การขนส่ง และนโยบายสิ่งแวดล้อม ควรมีบทบาทร่วมในการป้องกันโรคสมองเสื่อม ไม่ใช่แค่ระบบสาธารณสุขเท่านั้น

    การสัมผัสมลพิษทางอากาศกลางแจ้งในระยะยาวเชื่อมโยงกับความเสี่ยงโรคสมองเสื่อม
    วิเคราะห์จากข้อมูลของผู้คนกว่า 29 ล้านคนทั่วโลก

    งานวิจัยรวม 51 ชิ้น โดย 34 ชิ้นถูกนำมาวิเคราะห์เชิงสถิติ
    ครอบคลุมจากอเมริกาเหนือ ยุโรป เอเชีย และออสเตรเลีย

    พบความสัมพันธ์เชิงสถิติระหว่าง 3 มลพิษกับโรคสมองเสื่อม
    PM2.5, NO₂ และเขม่าควัน

    PM2.5 เพิ่มความเสี่ยงโรคสมองเสื่อม 17% ต่อ 10 μg/m³
    พบมากในไอเสียรถยนต์ โรงงาน และฝุ่นก่อสร้าง

    NO₂ เพิ่มความเสี่ยง 3% ต่อ 10 μg/m³
    มาจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น ดีเซล

    เขม่าควันเพิ่มความเสี่ยง 13% ต่อ 1 μg/m³
    มาจากเตาไม้และการเผาไหม้ในบ้านหรืออุตสาหกรรม

    นักวิจัยเสนอให้ใช้แนวทางสหวิทยาการในการป้องกันโรคสมองเสื่อม
    รวมถึงการออกแบบเมืองและนโยบายสิ่งแวดล้อม

    WHO ระบุว่า 99% ของประชากรโลกหายใจอากาศที่มีมลพิษเกินมาตรฐาน
    โดยเฉพาะในเมืองใหญ่และประเทศกำลังพัฒนา

    กลไกที่มลพิษอาจทำให้เกิดโรคสมองเสื่อมคือการอักเสบและ oxidative stress
    ส่งผลต่อเซลล์สมองและการทำงานของระบบประสาท

    มลพิษสามารถเข้าสู่สมองผ่านเส้นเลือดหรือเส้นประสาทรับกลิ่น
    ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสมองที่คล้ายกับอัลไซเมอร์

    กลุ่มประชากรชายขอบมักได้รับผลกระทบจากมลพิษมากกว่า
    แต่กลับมีตัวแทนในงานวิจัยน้อย

    มลพิษทางอากาศอาจเป็นภัยเงียบที่ทำลายสมองโดยไม่รู้ตัว
    โดยเฉพาะในเมืองที่มีการจราจรหนาแน่นและโรงงานอุตสาหกรรม

    ความเสี่ยงโรคสมองเสื่อมอาจเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากมลพิษที่พบทั่วไป
    เช่น PM2.5 ที่พบในระดับ 10 μg/m³ บนถนนในลอนดอน

    การไม่ควบคุมมลพิษอาจเพิ่มภาระต่อระบบสาธารณสุขในอนาคต
    ทั้งในด้านค่าใช้จ่ายและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและครอบครัว

    การวิจัยยังขาดความหลากหลายของกลุ่มตัวอย่าง
    ทำให้ไม่สามารถประเมินผลกระทบในประชากรบางกลุ่มได้อย่างแม่นยำ

    https://www.cam.ac.uk/research/news/long-term-exposure-to-outdoor-air-pollution-linked-to-increased-risk-of-dementia
    🧠🌫️ เรื่องเล่าจากอากาศที่เราหายใจ: มลพิษกลางแจ้งกับความเสี่ยงโรคสมองเสื่อม ลองจินตนาการว่าอากาศที่เราหายใจทุกวัน ไม่ใช่แค่ทำให้ไอหรือหอบ แต่อาจค่อย ๆ ทำลายความทรงจำของเราไปทีละนิด นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ได้วิเคราะห์ข้อมูลจากกว่า 29 ล้านคนทั่วโลก และพบว่า “การสัมผัสมลพิษทางอากาศกลางแจ้งในระยะยาว” มีความเชื่อมโยงกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของโรคสมองเสื่อม เช่น อัลไซเมอร์ พวกเขาเจาะลึกถึง 51 งานวิจัย และพบว่า 3 ชนิดของมลพิษที่มีผลชัดเจน ได้แก่: - PM2.5: ฝุ่นขนาดเล็กมากที่สามารถเข้าสู่ปอดลึกและแม้แต่สมอง - NO₂: ก๊าซที่เกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น ไอเสียรถยนต์ - เขม่าควัน (Soot): อนุภาคจากการเผาไหม้ เช่น เตาไม้หรือโรงงาน ผลกระทบไม่ใช่แค่เรื่องปอดหรือหัวใจ แต่ยังรวมถึงสมอง โดยพบว่า: - ทุก 10 μg/m³ ของ PM2.5 เพิ่มความเสี่ยงโรคสมองเสื่อมขึ้น 17% - NO₂ เพิ่มความเสี่ยง 3% ต่อ 10 μg/m³ - เขม่าควันเพิ่มความเสี่ยง 13% ต่อ 1 μg/m³ นักวิจัยยังชี้ว่า การวางผังเมือง การขนส่ง และนโยบายสิ่งแวดล้อม ควรมีบทบาทร่วมในการป้องกันโรคสมองเสื่อม ไม่ใช่แค่ระบบสาธารณสุขเท่านั้น ✅ การสัมผัสมลพิษทางอากาศกลางแจ้งในระยะยาวเชื่อมโยงกับความเสี่ยงโรคสมองเสื่อม ➡️ วิเคราะห์จากข้อมูลของผู้คนกว่า 29 ล้านคนทั่วโลก ✅ งานวิจัยรวม 51 ชิ้น โดย 34 ชิ้นถูกนำมาวิเคราะห์เชิงสถิติ ➡️ ครอบคลุมจากอเมริกาเหนือ ยุโรป เอเชีย และออสเตรเลีย ✅ พบความสัมพันธ์เชิงสถิติระหว่าง 3 มลพิษกับโรคสมองเสื่อม ➡️ PM2.5, NO₂ และเขม่าควัน ✅ PM2.5 เพิ่มความเสี่ยงโรคสมองเสื่อม 17% ต่อ 10 μg/m³ ➡️ พบมากในไอเสียรถยนต์ โรงงาน และฝุ่นก่อสร้าง ✅ NO₂ เพิ่มความเสี่ยง 3% ต่อ 10 μg/m³ ➡️ มาจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น ดีเซล ✅ เขม่าควันเพิ่มความเสี่ยง 13% ต่อ 1 μg/m³ ➡️ มาจากเตาไม้และการเผาไหม้ในบ้านหรืออุตสาหกรรม ✅ นักวิจัยเสนอให้ใช้แนวทางสหวิทยาการในการป้องกันโรคสมองเสื่อม ➡️ รวมถึงการออกแบบเมืองและนโยบายสิ่งแวดล้อม ✅ WHO ระบุว่า 99% ของประชากรโลกหายใจอากาศที่มีมลพิษเกินมาตรฐาน ➡️ โดยเฉพาะในเมืองใหญ่และประเทศกำลังพัฒนา ✅ กลไกที่มลพิษอาจทำให้เกิดโรคสมองเสื่อมคือการอักเสบและ oxidative stress ➡️ ส่งผลต่อเซลล์สมองและการทำงานของระบบประสาท ✅ มลพิษสามารถเข้าสู่สมองผ่านเส้นเลือดหรือเส้นประสาทรับกลิ่น ➡️ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสมองที่คล้ายกับอัลไซเมอร์ ✅ กลุ่มประชากรชายขอบมักได้รับผลกระทบจากมลพิษมากกว่า ➡️ แต่กลับมีตัวแทนในงานวิจัยน้อย ‼️ มลพิษทางอากาศอาจเป็นภัยเงียบที่ทำลายสมองโดยไม่รู้ตัว ⛔ โดยเฉพาะในเมืองที่มีการจราจรหนาแน่นและโรงงานอุตสาหกรรม ‼️ ความเสี่ยงโรคสมองเสื่อมอาจเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากมลพิษที่พบทั่วไป ⛔ เช่น PM2.5 ที่พบในระดับ 10 μg/m³ บนถนนในลอนดอน ‼️ การไม่ควบคุมมลพิษอาจเพิ่มภาระต่อระบบสาธารณสุขในอนาคต ⛔ ทั้งในด้านค่าใช้จ่ายและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและครอบครัว ‼️ การวิจัยยังขาดความหลากหลายของกลุ่มตัวอย่าง ⛔ ทำให้ไม่สามารถประเมินผลกระทบในประชากรบางกลุ่มได้อย่างแม่นยำ https://www.cam.ac.uk/research/news/long-term-exposure-to-outdoor-air-pollution-linked-to-increased-risk-of-dementia
    WWW.CAM.AC.UK
    Long-term exposure to outdoor air pollution linked to increased risk of dementia
    An analysis of studies incorporating data from almost 30 million people has highlighted the role that air pollution – including that coming from car exhaust
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 174 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: US CLOUD Act กับแรงสั่นสะเทือนอธิปไตยข้อมูลไทย

    ในยุคที่ข้อมูลคือทรัพย์สินล้ำค่า และ AI คือเครื่องมือแห่งอำนาจ ประเทศมหาอำนาจต่างเร่งสะสม “ข้อมูล” ผ่านเทคโนโลยีคลาวด์และโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล โดยเฉพาะบริษัทสัญชาติสหรัฐที่ครองตลาด hyperscaler ทั่วโลก แต่สิ่งที่หลายคนอาจไม่รู้คือ กฎหมาย CLOUD Act ของสหรัฐฯ ที่ออกในปี 2018 ได้เปลี่ยนเกมนี้ไปอย่างสิ้นเชิง

    กฎหมายนี้ให้อำนาจเจ้าหน้าที่สหรัฐเรียกดูข้อมูลจากบริษัทอเมริกันได้ แม้ข้อมูลนั้นจะอยู่ในเซิร์ฟเวอร์ต่างประเทศ เช่น ไทย หรือยุโรป โดยไม่ต้องผ่านรัฐบาลประเทศนั้นเลย และหากบริษัทไม่ยอมส่งข้อมูล ก็ต้องไปโต้แย้งในศาลสหรัฐเอง ไม่ใช่หน้าที่ของรัฐบาลไทยหรือ EU

    ผลกระทบจึงไม่ใช่แค่เรื่อง “ความเป็นส่วนตัว” แต่ลามไปถึง “อธิปไตยไซเบอร์” ของประเทศ เช่น ข้อมูลความมั่นคงแห่งชาติ ข้อมูลทางการค้า หรือข้อมูลบุคคลจาก EU ที่อาจละเมิด GDPR ได้ทันทีหากถูกเรียกดูโดยสหรัฐ

    หลายประเทศจึงเริ่มตอบโต้ เช่น ฝรั่งเศสออกมาตรฐาน SecNumCloud ที่ห้ามผู้ให้บริการตกอยู่ภายใต้ CLOUD Act เยอรมนีผลักดัน GAIA-X คลาวด์แบบกระจายศูนย์ และออสเตรเลียแม้จะลงนามข้อตกลงกับสหรัฐ แต่ก็ออกกฎหมายบังคับให้เก็บข้อมูลสำคัญในประเทศและเข้ารหัสสองชั้น

    สำหรับไทย บทความแนะนำให้เริ่มจากการประเมินประเภทข้อมูล กำหนดตำแหน่งจัดเก็บ ต่อรองสัญญาให้โปร่งใส และวางระบบเข้ารหัสที่เราถือกุญแจเอง เพื่อรักษาสมดุลระหว่างความคล่องตัวทางธุรกิจและอธิปไตยไซเบอร์

    CLOUD Act ละเมิดหลักการอธิปไตยข้อมูลของประเทศต่างๆ
    โดยเฉพาะเมื่อข้อมูลถูกจัดเก็บโดยบริษัทสหรัฐ แม้ในเซิร์ฟเวอร์ต่างประเทศ

    องค์กรไทยอาจตกอยู่ในความเสี่ยงทางกฎหมายทั้งจากสหรัฐและ EU
    หากไม่วางแผนการจัดเก็บและเข้ารหัสข้อมูลอย่างรอบคอบ

    การใช้คลาวด์ไม่ใช่แค่การส่งออกข้อมูล แต่คือการส่งออก “เขตอำนาจศาล”
    เส้นแบ่งแดนในโลกกายภาพไม่รับประกันความเป็นเจ้าของข้อมูล

    https://www.thansettakij.com/blogs/columnist/635062
    🌐🔐 เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: US CLOUD Act กับแรงสั่นสะเทือนอธิปไตยข้อมูลไทย ในยุคที่ข้อมูลคือทรัพย์สินล้ำค่า และ AI คือเครื่องมือแห่งอำนาจ ประเทศมหาอำนาจต่างเร่งสะสม “ข้อมูล” ผ่านเทคโนโลยีคลาวด์และโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล โดยเฉพาะบริษัทสัญชาติสหรัฐที่ครองตลาด hyperscaler ทั่วโลก แต่สิ่งที่หลายคนอาจไม่รู้คือ กฎหมาย CLOUD Act ของสหรัฐฯ ที่ออกในปี 2018 ได้เปลี่ยนเกมนี้ไปอย่างสิ้นเชิง กฎหมายนี้ให้อำนาจเจ้าหน้าที่สหรัฐเรียกดูข้อมูลจากบริษัทอเมริกันได้ แม้ข้อมูลนั้นจะอยู่ในเซิร์ฟเวอร์ต่างประเทศ เช่น ไทย หรือยุโรป โดยไม่ต้องผ่านรัฐบาลประเทศนั้นเลย และหากบริษัทไม่ยอมส่งข้อมูล ก็ต้องไปโต้แย้งในศาลสหรัฐเอง ไม่ใช่หน้าที่ของรัฐบาลไทยหรือ EU ผลกระทบจึงไม่ใช่แค่เรื่อง “ความเป็นส่วนตัว” แต่ลามไปถึง “อธิปไตยไซเบอร์” ของประเทศ เช่น ข้อมูลความมั่นคงแห่งชาติ ข้อมูลทางการค้า หรือข้อมูลบุคคลจาก EU ที่อาจละเมิด GDPR ได้ทันทีหากถูกเรียกดูโดยสหรัฐ หลายประเทศจึงเริ่มตอบโต้ เช่น ฝรั่งเศสออกมาตรฐาน SecNumCloud ที่ห้ามผู้ให้บริการตกอยู่ภายใต้ CLOUD Act เยอรมนีผลักดัน GAIA-X คลาวด์แบบกระจายศูนย์ และออสเตรเลียแม้จะลงนามข้อตกลงกับสหรัฐ แต่ก็ออกกฎหมายบังคับให้เก็บข้อมูลสำคัญในประเทศและเข้ารหัสสองชั้น สำหรับไทย บทความแนะนำให้เริ่มจากการประเมินประเภทข้อมูล กำหนดตำแหน่งจัดเก็บ ต่อรองสัญญาให้โปร่งใส และวางระบบเข้ารหัสที่เราถือกุญแจเอง เพื่อรักษาสมดุลระหว่างความคล่องตัวทางธุรกิจและอธิปไตยไซเบอร์ ‼️ CLOUD Act ละเมิดหลักการอธิปไตยข้อมูลของประเทศต่างๆ ⛔ โดยเฉพาะเมื่อข้อมูลถูกจัดเก็บโดยบริษัทสหรัฐ แม้ในเซิร์ฟเวอร์ต่างประเทศ ‼️ องค์กรไทยอาจตกอยู่ในความเสี่ยงทางกฎหมายทั้งจากสหรัฐและ EU ⛔ หากไม่วางแผนการจัดเก็บและเข้ารหัสข้อมูลอย่างรอบคอบ ‼️ การใช้คลาวด์ไม่ใช่แค่การส่งออกข้อมูล แต่คือการส่งออก “เขตอำนาจศาล” ⛔ เส้นแบ่งแดนในโลกกายภาพไม่รับประกันความเป็นเจ้าของข้อมูล https://www.thansettakij.com/blogs/columnist/635062
    WWW.THANSETTAKIJ.COM
    “ข้อมูลอยู่ไหน ใครเข้าถึงได้บ้าง” ทำไม US CLOUD Act อาจเป็นแรงสั่นสะเทือนอธิปไตยไซเบอร์ไทย และเราควรรับมืออย่างไร
    โดย นรินทร์ฤทธิ์ เปรมอภิวัฒโนกุล (AFONcyber) อุปนายกสมาคมความมั่นคงปลอดภัยระบบสารสนเทศ (TISA) และกรรมการผู้จัดการ บริษัท ซอเวอเร้นท์ จำกัด
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 199 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข่าว: เมื่อเกมผู้ใหญ่กลายเป็นภัยต่อแบรนด์—Valve vs Mastercard

    เรื่องเริ่มจากการที่ Steam และ Itch.io ลบหรือซ่อนเกม NSFW จำนวนมาก โดยอ้างว่า “ถูกกดดันจาก payment processors” ซึ่งรวมถึง Mastercard ที่ถูกกล่าวหาว่าใช้กฎ Rule 5.12.7 เพื่อปฏิเสธการทำธุรกรรมที่ “อาจทำลายภาพลักษณ์ของแบรนด์”

    Mastercard ออกแถลงการณ์ว่า “เราไม่ได้ประเมินเกมใด ๆ หรือสั่งให้ลบเกมจากแพลตฟอร์ม” แต่ Valve โต้กลับทันทีว่า Mastercard สื่อสารผ่านตัวกลาง เช่น payment processors และธนาคารผู้รับชำระเงิน โดยไม่ได้ติดต่อกับ Valve โดยตรง แม้ Valve จะร้องขอให้คุยกันตรง ๆ ก็ตาม

    Valve ยืนยันว่า payment processors ปฏิเสธนโยบายของ Steam ที่พยายามเผยแพร่เฉพาะเกมที่ถูกกฎหมาย และอ้างถึง Rule 5.12.7 ว่าเกม NSFW บางประเภท “อาจเป็นภัยต่อแบรนด์ Mastercard” แม้จะไม่ผิดกฎหมายก็ตาม

    Mastercard ปฏิเสธว่าไม่ได้สั่งให้ลบเกม NSFW จาก Steam หรือ Itch.io
    ระบุว่า “อนุญาตให้ทำธุรกรรมที่ถูกกฎหมายทั้งหมด”
    แต่ต้องมีการควบคุมไม่ให้ใช้บัตร Mastercard ซื้อเนื้อหาผิดกฎหมาย

    Valve ยืนยันว่า Mastercard สื่อสารผ่านตัวกลาง ไม่เคยคุยตรง ๆ กับ Valve
    ใช้ payment processors และ acquiring banks เป็นตัวแทน
    Valve ขอคุยตรง ๆ แต่ไม่ได้รับการตอบกลับ

    Rule 5.12.7 ของ Mastercard ถูกใช้เป็นเหตุผลในการปฏิเสธเกม NSFW บางประเภท
    ห้ามธุรกรรมที่ “ผิดกฎหมาย หรืออาจทำลาย goodwill หรือภาพลักษณ์ของแบรนด์”
    รวมถึงเนื้อหาที่ “ลามกอนาจารอย่างชัดเจนและไม่มีคุณค่าทางศิลปะ”

    Itch.io ก็ได้รับแรงกดดันเช่นกัน และเริ่มลบเกม NSFW ออกจากแพลตฟอร์ม
    โดยเฉพาะเกมที่มีเนื้อหา LGBTQ+ หรือเนื้อหาที่ไม่เข้าข่ายผิดกฎหมาย
    ปัจจุบันเริ่มนำเกมฟรีกลับมา และมองหาผู้ให้บริการชำระเงินรายใหม่

    GOG ออกแคมเปญ FreedomToBuy เพื่อสนับสนุนสิทธิ์ในการซื้อเกม NSFW
    แจกเกม NSFW ฟรีกว่า 1 ล้านชุดในช่วงสุดสัปดาห์
    เป็นการตอบโต้การเซ็นเซอร์จาก payment processors

    Rule 5.12.7 ของ Mastercard ให้อำนาจในการตัดสินว่าเนื้อหาใด “ไม่เหมาะสม” ได้อย่างกว้างขวาง
    แม้เนื้อหาจะไม่ผิดกฎหมาย ก็อาจถูกปฏิเสธได้
    ส่งผลให้เกิดการเซ็นเซอร์เนื้อหาที่หลากหลายโดยไม่มีมาตรฐานชัดเจน

    การสื่อสารผ่านตัวกลางทำให้เกิดความคลุมเครือและขาดความโปร่งใส
    Valve ไม่สามารถเจรจาโดยตรงกับ Mastercard
    ทำให้การตัดสินใจลบเกมขาดความชัดเจนและความรับผิดชอบ

    การลบเกม NSFW โดยไม่ระบุเหตุผลชัดเจน อาจกระทบต่อผู้พัฒนาเกมอินดี้และชุมชน LGBTQ+
    เกมที่ไม่ผิดกฎหมายถูกลบเพราะ “เสี่ยงต่อแบรนด์”
    สร้างบรรยากาศแห่งความกลัวและการเซ็นเซอร์ในวงการเกม

    การควบคุมเนื้อหาผ่านระบบการชำระเงินอาจกลายเป็นเครื่องมือในการจำกัดเสรีภาพทางศิลปะ
    ผู้ให้บริการชำระเงินมีอำนาจเหนือแพลตฟอร์มเกม
    อาจนำไปสู่การควบคุมเนื้อหาทางวัฒนธรรมในวงกว้าง

    “Patently offensive” เป็นคำที่ตีความได้กว้างและขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของบริษัท
    ไม่มีมาตรฐานกลางในการวัดคุณค่าทางศิลปะ
    อาจถูกใช้เป็นข้ออ้างในการลบเนื้อหาที่ไม่ถูกใจ

    Collective Shout กลุ่มนักเคลื่อนไหวจากออสเตรเลียอยู่เบื้องหลังการกดดัน payment processors
    เคยส่งจดหมายถึง Mastercard, Visa, PayPal และบริษัทอื่น ๆ
    อ้างว่าเกม NSFW เป็น “สื่อลามกที่รุนแรง” และควรถูกลบ

    การหาผู้ให้บริการชำระเงินที่สนับสนุนเนื้อหาผู้ใหญ่กลายเป็นทางรอดของแพลตฟอร์มเกมอินดี้
    Itch.io กำลังเจรจากับผู้ให้บริการรายใหม่
    เพื่อรักษาเสรีภาพในการเผยแพร่เนื้อหาที่ถูกกฎหมาย

    https://www.pcgamer.com/games/mastercard-deflects-blame-for-nsfw-games-being-taken-down-but-valve-says-payment-processors-specifically-cited-a-mastercard-rule-about-damaging-the-brand/
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: เมื่อเกมผู้ใหญ่กลายเป็นภัยต่อแบรนด์—Valve vs Mastercard เรื่องเริ่มจากการที่ Steam และ Itch.io ลบหรือซ่อนเกม NSFW จำนวนมาก โดยอ้างว่า “ถูกกดดันจาก payment processors” ซึ่งรวมถึง Mastercard ที่ถูกกล่าวหาว่าใช้กฎ Rule 5.12.7 เพื่อปฏิเสธการทำธุรกรรมที่ “อาจทำลายภาพลักษณ์ของแบรนด์” Mastercard ออกแถลงการณ์ว่า “เราไม่ได้ประเมินเกมใด ๆ หรือสั่งให้ลบเกมจากแพลตฟอร์ม” แต่ Valve โต้กลับทันทีว่า Mastercard สื่อสารผ่านตัวกลาง เช่น payment processors และธนาคารผู้รับชำระเงิน โดยไม่ได้ติดต่อกับ Valve โดยตรง แม้ Valve จะร้องขอให้คุยกันตรง ๆ ก็ตาม Valve ยืนยันว่า payment processors ปฏิเสธนโยบายของ Steam ที่พยายามเผยแพร่เฉพาะเกมที่ถูกกฎหมาย และอ้างถึง Rule 5.12.7 ว่าเกม NSFW บางประเภท “อาจเป็นภัยต่อแบรนด์ Mastercard” แม้จะไม่ผิดกฎหมายก็ตาม ✅ Mastercard ปฏิเสธว่าไม่ได้สั่งให้ลบเกม NSFW จาก Steam หรือ Itch.io ➡️ ระบุว่า “อนุญาตให้ทำธุรกรรมที่ถูกกฎหมายทั้งหมด” ➡️ แต่ต้องมีการควบคุมไม่ให้ใช้บัตร Mastercard ซื้อเนื้อหาผิดกฎหมาย ✅ Valve ยืนยันว่า Mastercard สื่อสารผ่านตัวกลาง ไม่เคยคุยตรง ๆ กับ Valve ➡️ ใช้ payment processors และ acquiring banks เป็นตัวแทน ➡️ Valve ขอคุยตรง ๆ แต่ไม่ได้รับการตอบกลับ ✅ Rule 5.12.7 ของ Mastercard ถูกใช้เป็นเหตุผลในการปฏิเสธเกม NSFW บางประเภท ➡️ ห้ามธุรกรรมที่ “ผิดกฎหมาย หรืออาจทำลาย goodwill หรือภาพลักษณ์ของแบรนด์” ➡️ รวมถึงเนื้อหาที่ “ลามกอนาจารอย่างชัดเจนและไม่มีคุณค่าทางศิลปะ” ✅ Itch.io ก็ได้รับแรงกดดันเช่นกัน และเริ่มลบเกม NSFW ออกจากแพลตฟอร์ม ➡️ โดยเฉพาะเกมที่มีเนื้อหา LGBTQ+ หรือเนื้อหาที่ไม่เข้าข่ายผิดกฎหมาย ➡️ ปัจจุบันเริ่มนำเกมฟรีกลับมา และมองหาผู้ให้บริการชำระเงินรายใหม่ ✅ GOG ออกแคมเปญ FreedomToBuy เพื่อสนับสนุนสิทธิ์ในการซื้อเกม NSFW ➡️ แจกเกม NSFW ฟรีกว่า 1 ล้านชุดในช่วงสุดสัปดาห์ ➡️ เป็นการตอบโต้การเซ็นเซอร์จาก payment processors ‼️ Rule 5.12.7 ของ Mastercard ให้อำนาจในการตัดสินว่าเนื้อหาใด “ไม่เหมาะสม” ได้อย่างกว้างขวาง ⛔ แม้เนื้อหาจะไม่ผิดกฎหมาย ก็อาจถูกปฏิเสธได้ ⛔ ส่งผลให้เกิดการเซ็นเซอร์เนื้อหาที่หลากหลายโดยไม่มีมาตรฐานชัดเจน ‼️ การสื่อสารผ่านตัวกลางทำให้เกิดความคลุมเครือและขาดความโปร่งใส ⛔ Valve ไม่สามารถเจรจาโดยตรงกับ Mastercard ⛔ ทำให้การตัดสินใจลบเกมขาดความชัดเจนและความรับผิดชอบ ‼️ การลบเกม NSFW โดยไม่ระบุเหตุผลชัดเจน อาจกระทบต่อผู้พัฒนาเกมอินดี้และชุมชน LGBTQ+ ⛔ เกมที่ไม่ผิดกฎหมายถูกลบเพราะ “เสี่ยงต่อแบรนด์” ⛔ สร้างบรรยากาศแห่งความกลัวและการเซ็นเซอร์ในวงการเกม ‼️ การควบคุมเนื้อหาผ่านระบบการชำระเงินอาจกลายเป็นเครื่องมือในการจำกัดเสรีภาพทางศิลปะ ⛔ ผู้ให้บริการชำระเงินมีอำนาจเหนือแพลตฟอร์มเกม ⛔ อาจนำไปสู่การควบคุมเนื้อหาทางวัฒนธรรมในวงกว้าง ✅ “Patently offensive” เป็นคำที่ตีความได้กว้างและขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของบริษัท ➡️ ไม่มีมาตรฐานกลางในการวัดคุณค่าทางศิลปะ ➡️ อาจถูกใช้เป็นข้ออ้างในการลบเนื้อหาที่ไม่ถูกใจ ✅ Collective Shout กลุ่มนักเคลื่อนไหวจากออสเตรเลียอยู่เบื้องหลังการกดดัน payment processors ➡️ เคยส่งจดหมายถึง Mastercard, Visa, PayPal และบริษัทอื่น ๆ ➡️ อ้างว่าเกม NSFW เป็น “สื่อลามกที่รุนแรง” และควรถูกลบ ✅ การหาผู้ให้บริการชำระเงินที่สนับสนุนเนื้อหาผู้ใหญ่กลายเป็นทางรอดของแพลตฟอร์มเกมอินดี้ ➡️ Itch.io กำลังเจรจากับผู้ให้บริการรายใหม่ ➡️ เพื่อรักษาเสรีภาพในการเผยแพร่เนื้อหาที่ถูกกฎหมาย https://www.pcgamer.com/games/mastercard-deflects-blame-for-nsfw-games-being-taken-down-but-valve-says-payment-processors-specifically-cited-a-mastercard-rule-about-damaging-the-brand/
    WWW.PCGAMER.COM
    Mastercard deflects blame for NSFW games being taken down, but Valve says payment processors 'specifically cited' a Mastercard rule about damaging the brand
    Steam and Itch.io are worried about trouble with their payment processors, and Mastercard is not a payment processor.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 259 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข่าว: เมื่อแคลเซียมกลายเป็นกุญแจไขจักรวาล—แรงที่ห้าอาจซ่อนอยู่ในลอนของ King Plot

    ทีมนักฟิสิกส์จาก ETH Zurich ร่วมกับสถาบันในเยอรมนีและออสเตรเลีย ได้ทำการวัดความเปลี่ยนแปลงพลังงานในอะตอมของแคลเซียม (Ca) ด้วยความแม่นยำระดับ sub-Hertz โดยใช้เทคนิค “isotope shift spectroscopy” ซึ่งเปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงพลังงานระหว่างไอโซโทปต่าง ๆ ของแคลเซียมที่มีจำนวนโปรตอนเท่ากันแต่ต่างกันที่จำนวนของนิวตรอน

    พวกเขาใช้ “King plot” ซึ่งเป็นกราฟที่ควรจะเรียงตัวเป็นเส้นตรงหากทุกอย่างเป็นไปตามทฤษฎีฟิสิกส์มาตรฐาน (Standard Model) แต่ผลลัพธ์กลับแสดงความโค้งอย่างชัดเจน—nonlinearity ที่มีนัยสำคัญถึงระดับ 10³ σ ซึ่งเกินกว่าความผิดพลาดจากการสุ่ม

    แม้จะยังไม่สามารถยืนยันการมีอยู่ของแรงใหม่ได้ แต่ผลการทดลองนี้ได้ช่วยจำกัดขอบเขตของ “Yukawa interaction” ซึ่งเป็นแรงสมมุติที่อาจเกิดจากโบซอนชนิดใหม่ที่มีมวลระหว่าง 10 ถึง 10⁷ eV/c² และอาจเป็นตัวกลางของแรงที่ห้า

    นักวิจัยวัดการเปลี่ยนแปลงพลังงานในไอโซโทปของแคลเซียมด้วยความแม่นยำระดับ sub-Hertz
    ใช้เทคนิค ion trapping และ quantum logic spectroscopy
    วัดการเปลี่ยนแปลงในสอง transition: ³P₀ → ³P₁ และ ²S₁/₂ → ²D₅/₂

    ใช้ King plot เพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของ isotope shifts
    หากทุกอย่างเป็นไปตาม Standard Model จุดจะเรียงเป็นเส้นตรง
    แต่พบความโค้ง (nonlinearity) ที่มีนัยสำคัญสูง

    ผลการทดลองช่วยจำกัดขอบเขตของ Yukawa interaction
    เป็นแรงสมมุติที่อาจเกิดจากโบซอนชนิดใหม่
    มวลของโบซอนอยู่ในช่วง 10 ถึง 10⁷ eV/c²

    การวัดร่วมกันของไอโซโทปใน ion trap ช่วยลด noise และเพิ่มความแม่นยำ
    วัดความต่างของความถี่ได้ถึงระดับ 100 millihertz
    ใช้การวัดแบบ differential เพื่อขจัดความผิดพลาดร่วม

    ผลการทดลองอาจอธิบาย nuclear polarization ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ยังไม่เข้าใจดีนัก
    เป็นการบิดเบือนของนิวเคลียสจากอิเล็กตรอนรอบข้าง
    อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้ King plot โค้ง

    King plot เป็นเครื่องมือสำคัญในการค้นหาฟิสิกส์นอกเหนือจาก Standard Model
    ใช้เปรียบเทียบ isotope shifts จากหลาย transition
    ช่วยแยกสัญญาณที่อาจเกิดจากแรงใหม่

    Yukawa interaction เคยถูกเสนอในทฤษฎีแรงนิวเคลียร์ตั้งแต่ยุคแรกของฟิสิกส์ควอนตัม
    เป็นแรงที่มีระยะสั้นและเกิดจากโบซอน
    อาจเป็นกุญแจสู่การเข้าใจ dark matter และแรงที่ห้า

    การทดลองในแคลเซียมมีข้อได้เปรียบเพราะมีไอโซโทปเสถียรหลายชนิด
    Ca⁴⁰, Ca⁴², Ca⁴⁴, Ca⁴⁶, Ca⁴⁸
    ทำให้สามารถวิเคราะห์ความเปลี่ยนแปลงได้หลากหลาย

    https://www.neowin.net/news/fifth-force-of-nature-could-explain-universes-most-mysteriously-abundant-thing/
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: เมื่อแคลเซียมกลายเป็นกุญแจไขจักรวาล—แรงที่ห้าอาจซ่อนอยู่ในลอนของ King Plot ทีมนักฟิสิกส์จาก ETH Zurich ร่วมกับสถาบันในเยอรมนีและออสเตรเลีย ได้ทำการวัดความเปลี่ยนแปลงพลังงานในอะตอมของแคลเซียม (Ca) ด้วยความแม่นยำระดับ sub-Hertz โดยใช้เทคนิค “isotope shift spectroscopy” ซึ่งเปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงพลังงานระหว่างไอโซโทปต่าง ๆ ของแคลเซียมที่มีจำนวนโปรตอนเท่ากันแต่ต่างกันที่จำนวนของนิวตรอน พวกเขาใช้ “King plot” ซึ่งเป็นกราฟที่ควรจะเรียงตัวเป็นเส้นตรงหากทุกอย่างเป็นไปตามทฤษฎีฟิสิกส์มาตรฐาน (Standard Model) แต่ผลลัพธ์กลับแสดงความโค้งอย่างชัดเจน—nonlinearity ที่มีนัยสำคัญถึงระดับ 10³ σ ซึ่งเกินกว่าความผิดพลาดจากการสุ่ม แม้จะยังไม่สามารถยืนยันการมีอยู่ของแรงใหม่ได้ แต่ผลการทดลองนี้ได้ช่วยจำกัดขอบเขตของ “Yukawa interaction” ซึ่งเป็นแรงสมมุติที่อาจเกิดจากโบซอนชนิดใหม่ที่มีมวลระหว่าง 10 ถึง 10⁷ eV/c² และอาจเป็นตัวกลางของแรงที่ห้า ✅ นักวิจัยวัดการเปลี่ยนแปลงพลังงานในไอโซโทปของแคลเซียมด้วยความแม่นยำระดับ sub-Hertz ➡️ ใช้เทคนิค ion trapping และ quantum logic spectroscopy ➡️ วัดการเปลี่ยนแปลงในสอง transition: ³P₀ → ³P₁ และ ²S₁/₂ → ²D₅/₂ ✅ ใช้ King plot เพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของ isotope shifts ➡️ หากทุกอย่างเป็นไปตาม Standard Model จุดจะเรียงเป็นเส้นตรง ➡️ แต่พบความโค้ง (nonlinearity) ที่มีนัยสำคัญสูง ✅ ผลการทดลองช่วยจำกัดขอบเขตของ Yukawa interaction ➡️ เป็นแรงสมมุติที่อาจเกิดจากโบซอนชนิดใหม่ ➡️ มวลของโบซอนอยู่ในช่วง 10 ถึง 10⁷ eV/c² ✅ การวัดร่วมกันของไอโซโทปใน ion trap ช่วยลด noise และเพิ่มความแม่นยำ ➡️ วัดความต่างของความถี่ได้ถึงระดับ 100 millihertz ➡️ ใช้การวัดแบบ differential เพื่อขจัดความผิดพลาดร่วม ✅ ผลการทดลองอาจอธิบาย nuclear polarization ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ยังไม่เข้าใจดีนัก ➡️ เป็นการบิดเบือนของนิวเคลียสจากอิเล็กตรอนรอบข้าง ➡️ อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้ King plot โค้ง ✅ King plot เป็นเครื่องมือสำคัญในการค้นหาฟิสิกส์นอกเหนือจาก Standard Model ➡️ ใช้เปรียบเทียบ isotope shifts จากหลาย transition ➡️ ช่วยแยกสัญญาณที่อาจเกิดจากแรงใหม่ ✅ Yukawa interaction เคยถูกเสนอในทฤษฎีแรงนิวเคลียร์ตั้งแต่ยุคแรกของฟิสิกส์ควอนตัม ➡️ เป็นแรงที่มีระยะสั้นและเกิดจากโบซอน ➡️ อาจเป็นกุญแจสู่การเข้าใจ dark matter และแรงที่ห้า ✅ การทดลองในแคลเซียมมีข้อได้เปรียบเพราะมีไอโซโทปเสถียรหลายชนิด ➡️ Ca⁴⁰, Ca⁴², Ca⁴⁴, Ca⁴⁶, Ca⁴⁸ ➡️ ทำให้สามารถวิเคราะห์ความเปลี่ยนแปลงได้หลากหลาย https://www.neowin.net/news/fifth-force-of-nature-could-explain-universes-most-mysteriously-abundant-thing/
    WWW.NEOWIN.NET
    Fifth force of nature could explain Universe's most mysteriously abundant thing
    Ultra-precise tests reveal subtle anomalies, leading to speculation about a hidden fifth force that could explain what we don't understand about the most abundant substance in the Universe.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 243 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฮุนเซน ship หายละ! ผชช.ออสเตรเลียเปิดดาวเทียมยัน #เขมรยิงก่อน (4/8/68)
    Hun Sen’s done for. Australian experts release satellite proof: #CambodiaFiredFirst.

    #TruthFromThailand
    #CambodiaNoCeasefire
    #Hunsenfiredfirst
    #CambodianDeception
    #กัมพูชายิงก่อน
    #ข่าวด่วนชายแดน
    #เปิดโปงความจริง
    #Thaitimes #News1 #Shorts
    ฮุนเซน ship หายละ! ผชช.ออสเตรเลียเปิดดาวเทียมยัน #เขมรยิงก่อน (4/8/68) Hun Sen’s done for. Australian experts release satellite proof: #CambodiaFiredFirst. #TruthFromThailand #CambodiaNoCeasefire #Hunsenfiredfirst #CambodianDeception #กัมพูชายิงก่อน #ข่าวด่วนชายแดน #เปิดโปงความจริง #Thaitimes #News1 #Shorts
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 169 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากห้องทดลอง: เมื่อควอนตัมมาช่วยออกแบบชิป

    ทีมนักวิจัยจากออสเตรเลียได้พัฒนาเทคนิคใหม่ที่ผสานระหว่างควอนตัมคอมพิวติ้งกับแมชชีนเลิร์นนิง เพื่อออกแบบชิปเซมิคอนดักเตอร์ได้แม่นยำและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยใช้โมเดลที่เรียกว่า Quantum Kernel-Aligned Regressor (QKAR) ซึ่งสามารถแปลงข้อมูลคลาสสิกให้กลายเป็นสถานะควอนตัม แล้ววิเคราะห์หาความสัมพันธ์ซับซ้อนในข้อมูลขนาดเล็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    การทดลองใช้กับตัวอย่างจริง 159 ชิ้นของ GaN HEMT (Gallium Nitride High Electron Mobility Transistor) พบว่า QKAR สามารถคาดการณ์ค่าความต้านทาน Ohmic contact ได้แม่นยำกว่าระบบแมชชีนเลิร์นนิงแบบเดิมถึง 8.8–20.1% ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญในการออกแบบชิปให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านได้ดี

    นักวิจัยออสเตรเลียพัฒนาเทคนิค QKAR เพื่อออกแบบชิปเซมิคอนดักเตอร์
    ใช้ควอนตัมคอมพิวติ้งแปลงข้อมูลคลาสสิกเป็นสถานะควอนตัม
    วิเคราะห์ข้อมูลผ่าน quantum kernel ก่อนส่งต่อให้แมชชีนเลิร์นนิงประมวลผล

    ใช้ข้อมูลจาก 159 ตัวอย่าง GaN HEMT เพื่อทดสอบโมเดล
    GaN HEMT เป็นวัสดุที่ใช้ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ประสิทธิภาพสูง
    โฟกัสที่การคาดการณ์ค่าความต้านทาน Ohmic contact ซึ่งเป็นจุดสำคัญในการออกแบบชิป

    QKAR มีประสิทธิภาพเหนือกว่าโมเดลแมชชีนเลิร์นนิงแบบเดิมถึง 20.1%
    เหมาะกับข้อมูลขนาดเล็กและมีความซับซ้อนสูง
    ช่วยลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มประสิทธิภาพของอุปกรณ์

    เทคนิคนี้สามารถใช้งานได้กับฮาร์ดแวร์ควอนตัมระดับ NISQ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน
    ไม่ต้องรอควอนตัมคอมพิวเตอร์ระดับใหญ่
    เป็นก้าวแรกสู่การนำควอนตัมมาใช้จริงในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์

    การผสานควอนตัมกับแมชชีนเลิร์นนิงอาจเปลี่ยนวิธีออกแบบชิปในอนาคต
    เปิดทางสู่การออกแบบที่แม่นยำและรวดเร็วขึ้น
    ลดการพึ่งพาการทดลองในห้องแล็บแบบเดิม

    ฮาร์ดแวร์ควอนตัมในปัจจุบันยังมีข้อจำกัดด้านความเสถียรและการแก้ไขข้อผิดพลาด
    ต้องการ qubit ที่มีคุณภาพสูงและระบบควบคุมที่แม่นยำ
    การขยายการใช้งานจริงยังต้องพัฒนาอีกมาก

    การใช้ควอนตัมกับข้อมูลขนาดใหญ่ยังไม่สามารถทำได้เต็มรูปแบบ
    ต้องใช้เทคนิคลดมิติข้อมูลก่อนเข้าสู่ระบบควอนตัม
    อาจสูญเสียรายละเอียดบางส่วนที่สำคัญ

    การเปรียบเทียบกับโมเดลคลาสสิกยังขึ้นอยู่กับการปรับแต่งพารามิเตอร์ของแต่ละโมเดล
    โมเดลคลาสสิกอาจให้ผลลัพธ์ใกล้เคียงหากปรับแต่งอย่างเหมาะสม
    ต้องมีการทดสอบในบริบทที่หลากหลายก่อนสรุปว่า QML เหนือกว่า

    การนำเทคนิคนี้ไปใช้ในอุตสาหกรรมจริงยังต้องผ่านการพิสูจน์เพิ่มเติม
    ต้องทดสอบกับกระบวนการผลิตจริงและอุปกรณ์หลากหลายประเภท
    ต้องมีการประเมินความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ก่อนนำไปใช้เชิงพาณิชย์

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/quantum-computing/quantum-machine-learning-unlocks-new-efficient-chip-design-pipeline-encoding-data-in-quantum-states-then-analyzing-it-with-machine-learning-up-to-20-percent-more-effective-than-traditional-models
    🎙️ เรื่องเล่าจากห้องทดลอง: เมื่อควอนตัมมาช่วยออกแบบชิป ทีมนักวิจัยจากออสเตรเลียได้พัฒนาเทคนิคใหม่ที่ผสานระหว่างควอนตัมคอมพิวติ้งกับแมชชีนเลิร์นนิง เพื่อออกแบบชิปเซมิคอนดักเตอร์ได้แม่นยำและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยใช้โมเดลที่เรียกว่า Quantum Kernel-Aligned Regressor (QKAR) ซึ่งสามารถแปลงข้อมูลคลาสสิกให้กลายเป็นสถานะควอนตัม แล้ววิเคราะห์หาความสัมพันธ์ซับซ้อนในข้อมูลขนาดเล็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ การทดลองใช้กับตัวอย่างจริง 159 ชิ้นของ GaN HEMT (Gallium Nitride High Electron Mobility Transistor) พบว่า QKAR สามารถคาดการณ์ค่าความต้านทาน Ohmic contact ได้แม่นยำกว่าระบบแมชชีนเลิร์นนิงแบบเดิมถึง 8.8–20.1% ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญในการออกแบบชิปให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านได้ดี ✅ นักวิจัยออสเตรเลียพัฒนาเทคนิค QKAR เพื่อออกแบบชิปเซมิคอนดักเตอร์ ➡️ ใช้ควอนตัมคอมพิวติ้งแปลงข้อมูลคลาสสิกเป็นสถานะควอนตัม ➡️ วิเคราะห์ข้อมูลผ่าน quantum kernel ก่อนส่งต่อให้แมชชีนเลิร์นนิงประมวลผล ✅ ใช้ข้อมูลจาก 159 ตัวอย่าง GaN HEMT เพื่อทดสอบโมเดล ➡️ GaN HEMT เป็นวัสดุที่ใช้ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ประสิทธิภาพสูง ➡️ โฟกัสที่การคาดการณ์ค่าความต้านทาน Ohmic contact ซึ่งเป็นจุดสำคัญในการออกแบบชิป ✅ QKAR มีประสิทธิภาพเหนือกว่าโมเดลแมชชีนเลิร์นนิงแบบเดิมถึง 20.1% ➡️ เหมาะกับข้อมูลขนาดเล็กและมีความซับซ้อนสูง ➡️ ช่วยลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มประสิทธิภาพของอุปกรณ์ ✅ เทคนิคนี้สามารถใช้งานได้กับฮาร์ดแวร์ควอนตัมระดับ NISQ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ➡️ ไม่ต้องรอควอนตัมคอมพิวเตอร์ระดับใหญ่ ➡️ เป็นก้าวแรกสู่การนำควอนตัมมาใช้จริงในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ✅ การผสานควอนตัมกับแมชชีนเลิร์นนิงอาจเปลี่ยนวิธีออกแบบชิปในอนาคต ➡️ เปิดทางสู่การออกแบบที่แม่นยำและรวดเร็วขึ้น ➡️ ลดการพึ่งพาการทดลองในห้องแล็บแบบเดิม ‼️ ฮาร์ดแวร์ควอนตัมในปัจจุบันยังมีข้อจำกัดด้านความเสถียรและการแก้ไขข้อผิดพลาด ⛔ ต้องการ qubit ที่มีคุณภาพสูงและระบบควบคุมที่แม่นยำ ⛔ การขยายการใช้งานจริงยังต้องพัฒนาอีกมาก ‼️ การใช้ควอนตัมกับข้อมูลขนาดใหญ่ยังไม่สามารถทำได้เต็มรูปแบบ ⛔ ต้องใช้เทคนิคลดมิติข้อมูลก่อนเข้าสู่ระบบควอนตัม ⛔ อาจสูญเสียรายละเอียดบางส่วนที่สำคัญ ‼️ การเปรียบเทียบกับโมเดลคลาสสิกยังขึ้นอยู่กับการปรับแต่งพารามิเตอร์ของแต่ละโมเดล ⛔ โมเดลคลาสสิกอาจให้ผลลัพธ์ใกล้เคียงหากปรับแต่งอย่างเหมาะสม ⛔ ต้องมีการทดสอบในบริบทที่หลากหลายก่อนสรุปว่า QML เหนือกว่า ‼️ การนำเทคนิคนี้ไปใช้ในอุตสาหกรรมจริงยังต้องผ่านการพิสูจน์เพิ่มเติม ⛔ ต้องทดสอบกับกระบวนการผลิตจริงและอุปกรณ์หลากหลายประเภท ⛔ ต้องมีการประเมินความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ก่อนนำไปใช้เชิงพาณิชย์ https://www.tomshardware.com/tech-industry/quantum-computing/quantum-machine-learning-unlocks-new-efficient-chip-design-pipeline-encoding-data-in-quantum-states-then-analyzing-it-with-machine-learning-up-to-20-percent-more-effective-than-traditional-models
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Quantum machine learning unlocks new efficient chip design pipeline — encoding data in quantum states then analyzing it with machine learning up to 20% more effective than traditional models
    By combining classic machine learning and new quantum techniques, researchers may be able to develop new semiconductor designs faster than ever before.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 189 มุมมอง 0 รีวิว
  • นักวิเคราะห์ดาวเทียมออสเตรเลียชี้หลักฐานชัด! กัมพูชาเริ่มขัดแย้ง-เสริมกำลังก่อนปะทะ
    https://www.thai-tai.tv/news/20534/
    .
    #ข้อมูลดาวเทียม #นาธานรูเซอร์ #ASPI #กัมพูชาเริ่มก่อน #ชายแดนไทยกัมพูชา #หลักฐานชัด #ความขัดแย้ง #สงคราม #อุดรมีชัย #พระวิหาร
    นักวิเคราะห์ดาวเทียมออสเตรเลียชี้หลักฐานชัด! กัมพูชาเริ่มขัดแย้ง-เสริมกำลังก่อนปะทะ https://www.thai-tai.tv/news/20534/ . #ข้อมูลดาวเทียม #นาธานรูเซอร์ #ASPI #กัมพูชาเริ่มก่อน #ชายแดนไทยกัมพูชา #หลักฐานชัด #ความขัดแย้ง #สงคราม #อุดรมีชัย #พระวิหาร
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 185 มุมมอง 0 รีวิว
  • โจห์ โลว์ นักธุรกิจผู้อื้อฉาว ซุกเชี่ยงไฮ้-ใช้ชื่อปลอม

    โจห์ โลว์ (Jho Low) หรือ โลว์ เต็ก โจห์ (Low Taek Jho) นักธุรกิจชาวปีนัง ประเทศมาเลเซียวัย 43 ปี ในฐานะผู้ต้องหาหลบหนีคดีทุจริตยักยอกเงินกองทุนวันเอ็มดีบี (1MDB) กองทุนพัฒนาเศรษฐกิจระยะยาวของมาเลเซีย 4,500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ที่ตำรวจสากล (Interpol) ต้องการตัวมาตั้งแต่ปี 2561 ล่าสุดสองนักข่าวสายสืบสวนอย่าง แบรดลีย์ โฮป (Bradley Hope) และ ทอม ไรต์ (Tom Wright) เปิดเผยผ่านพอดแคสต์ Finding Jho Low เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (18 ก.ค.) ว่ายังคงใช้ชีวิตอย่างหรูหราในเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน และใช้หนังสือเดินทางปลอมของออสเตรเลีย

    ทั้งสองอ้างว่า อดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย นาจิบ ราซัค แนะนำให้โลว์หลบหนีออกนอกประเทศเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบ แม้จะเป็นผู้ต้องหาหลบหนีคดี แต่ก็ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในย่านกรีนฮิลล์ (Green Hills) ซึ่งเป็นย่านเศรษฐี มีบ้านสไตล์อเมริกันและเป็นที่นิยมในหมู่ชาวต่างชาติ รวมทั้งขับรถยนต์หรู และมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยชาวจีน 2 คนคอยดูแล นอกจากนี้ ยังเปิดเผยเอกสารที่ได้รับมาใหม่ เป็นหนังสือเดินทางปลอมของออสเตรเลีย ใช้ชื่อภาษากรีกว่า คอนสเตนติโนส อคิลลีส (Constantinos Achilles) อีกด้วย

    อย่างไรก็ตาม รายงานข่าวของสำนักข่าวเบอร์นามา ระบุว่า นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย อันวาร์ อิบราฮิม ไม่ทราบอย่างเป็นทางการว่า โจห์ โลว์ หนีไปประเทศจีน ต้องตรวจสอบกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยก่อน ส่วนสำนักข่าวเอบีซีนิวส์ของออสเตรเลีย ติดต่อไปยังกระทรวงการต่างประเทศและการค้า (DFAT) และตำรวจสหพันธรัฐออสเตรเลียเพื่อสอบถามเพิ่มเติม กลับไม่ยืนยันว่าทราบเรื่องนี้หรือไม่ ซึ่งที่ผ่านมาออสเตรเลียเคยขับไล่ทูตอิสราเอลออกไปเมื่อปี 2553 เพราะหน่วยข่าวกรองของอิสราเอล (Mossad) ใช้หนังสือเดินทางออสเตรเลียปลอมลอบ สังหารผู้นำระดับสูงของกลุ่มฮามาสในดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

    สำหรับโจห์ โลว์ ได้ชื่อว่าเป็นนักธุรกิจเพลย์บอยคนหนึ่งในมาเลเซีย ยักยอกเงินกองทุนวันเอ็มดีบีไปซื้ออสังหาริมทรัพย์หรูหราในสหรัฐฯ รวมถึงงานศิลปะ เครื่องบินเจ็ตส่วนตัว และเรือยอทช์สุดหรูที่ชื่อว่า อีควลนิมิตี (Equanimity) ซึ่งถูกทางการอินโดนีเซียกักบริเวณนอกชายฝั่งเกาะบาหลี ก่อนขายทอดตลาดและนำเงินคืนรัฐบาลมาเลเซีย รวมทั้งสนับสนุนการสร้างภาพยนตร์ The Wolf of Wall Street (คนจะรวย ช่วยไม่ได้) ในปี 2556 นำแสดงโดย ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ ซึ่งต่อมากระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ อ้างว่าได้รับเงินทุนจากเงินมาเลเซียที่ยักยอกมา ปัจจุบันยังคงถูกทางการมาเลเซีย สิงคโปร์ และสหรัฐฯ ออกหมายจับ

    #Newskit
    โจห์ โลว์ นักธุรกิจผู้อื้อฉาว ซุกเชี่ยงไฮ้-ใช้ชื่อปลอม โจห์ โลว์ (Jho Low) หรือ โลว์ เต็ก โจห์ (Low Taek Jho) นักธุรกิจชาวปีนัง ประเทศมาเลเซียวัย 43 ปี ในฐานะผู้ต้องหาหลบหนีคดีทุจริตยักยอกเงินกองทุนวันเอ็มดีบี (1MDB) กองทุนพัฒนาเศรษฐกิจระยะยาวของมาเลเซีย 4,500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ที่ตำรวจสากล (Interpol) ต้องการตัวมาตั้งแต่ปี 2561 ล่าสุดสองนักข่าวสายสืบสวนอย่าง แบรดลีย์ โฮป (Bradley Hope) และ ทอม ไรต์ (Tom Wright) เปิดเผยผ่านพอดแคสต์ Finding Jho Low เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (18 ก.ค.) ว่ายังคงใช้ชีวิตอย่างหรูหราในเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน และใช้หนังสือเดินทางปลอมของออสเตรเลีย ทั้งสองอ้างว่า อดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย นาจิบ ราซัค แนะนำให้โลว์หลบหนีออกนอกประเทศเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบ แม้จะเป็นผู้ต้องหาหลบหนีคดี แต่ก็ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในย่านกรีนฮิลล์ (Green Hills) ซึ่งเป็นย่านเศรษฐี มีบ้านสไตล์อเมริกันและเป็นที่นิยมในหมู่ชาวต่างชาติ รวมทั้งขับรถยนต์หรู และมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยชาวจีน 2 คนคอยดูแล นอกจากนี้ ยังเปิดเผยเอกสารที่ได้รับมาใหม่ เป็นหนังสือเดินทางปลอมของออสเตรเลีย ใช้ชื่อภาษากรีกว่า คอนสเตนติโนส อคิลลีส (Constantinos Achilles) อีกด้วย อย่างไรก็ตาม รายงานข่าวของสำนักข่าวเบอร์นามา ระบุว่า นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย อันวาร์ อิบราฮิม ไม่ทราบอย่างเป็นทางการว่า โจห์ โลว์ หนีไปประเทศจีน ต้องตรวจสอบกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยก่อน ส่วนสำนักข่าวเอบีซีนิวส์ของออสเตรเลีย ติดต่อไปยังกระทรวงการต่างประเทศและการค้า (DFAT) และตำรวจสหพันธรัฐออสเตรเลียเพื่อสอบถามเพิ่มเติม กลับไม่ยืนยันว่าทราบเรื่องนี้หรือไม่ ซึ่งที่ผ่านมาออสเตรเลียเคยขับไล่ทูตอิสราเอลออกไปเมื่อปี 2553 เพราะหน่วยข่าวกรองของอิสราเอล (Mossad) ใช้หนังสือเดินทางออสเตรเลียปลอมลอบ สังหารผู้นำระดับสูงของกลุ่มฮามาสในดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สำหรับโจห์ โลว์ ได้ชื่อว่าเป็นนักธุรกิจเพลย์บอยคนหนึ่งในมาเลเซีย ยักยอกเงินกองทุนวันเอ็มดีบีไปซื้ออสังหาริมทรัพย์หรูหราในสหรัฐฯ รวมถึงงานศิลปะ เครื่องบินเจ็ตส่วนตัว และเรือยอทช์สุดหรูที่ชื่อว่า อีควลนิมิตี (Equanimity) ซึ่งถูกทางการอินโดนีเซียกักบริเวณนอกชายฝั่งเกาะบาหลี ก่อนขายทอดตลาดและนำเงินคืนรัฐบาลมาเลเซีย รวมทั้งสนับสนุนการสร้างภาพยนตร์ The Wolf of Wall Street (คนจะรวย ช่วยไม่ได้) ในปี 2556 นำแสดงโดย ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ ซึ่งต่อมากระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ อ้างว่าได้รับเงินทุนจากเงินมาเลเซียที่ยักยอกมา ปัจจุบันยังคงถูกทางการมาเลเซีย สิงคโปร์ และสหรัฐฯ ออกหมายจับ #Newskit
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 454 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: SquidLoader แฝงตัวในกล้อง Kubernetes ปล่อยมัลแวร์เข้าสถาบันการเงิน

    การโจมตีเริ่มจากอีเมลภาษาจีนที่แนบไฟล์ RAR มีรหัสผ่าน พร้อมแนบข้อความหลอกว่าเป็น “แบบฟอร์มลงทะเบียนธุรกิจเงินตราต่างประเทศผ่าน Bond Connect” เพื่อหลอกให้ผู้รับเปิดไฟล์ซึ่งปลอมเป็นเอกสาร Word แต่จริง ๆ แล้วเป็น executable ที่ใช้ชื่อและ icon ของ AMDRSServ.exe

    หลังจากเปิดใช้งาน ตัวมัลแวร์จะ:
    1️⃣ ปลดล็อก payload หลัก
    2️⃣ เชื่อมต่อกับ Command & Control (C2) server โดยใช้ path ที่เลียนแบบ API ของ Kubernetes เช่น /api/v1/namespaces/kube-system/services เพื่อหลบการตรวจสอบ
    3️⃣ ส่งข้อมูลเครื่องกลับไป เช่น IP, username, OS
    4️⃣ ดาวน์โหลดและเปิดใช้งาน Cobalt Strike Beacon เพื่อเข้าควบคุมเครื่องแบบต่อเนื่องผ่าน server สำรอง (เช่น 182.92.239.24)

    มีการพบตัวอย่างแบบเดียวกันในสิงคโปร์และออสเตรเลีย ทำให้คาดว่าเป็น แคมเปญระดับภูมิภาคหรือทั่วโลก ที่ใช้เป้าหมายเป็นสถาบันการเงิน

    Trellix พบแคมเปญมัลแวร์ SquidLoader โจมตีสถาบันการเงินฮ่องกง
    โดยใช้ spear-phishing mail หลอกเป็นแบบฟอร์ม Bond Connect

    อีเมลเป็นภาษาจีน พร้อมแนบไฟล์ RAR มีรหัสผ่านอยู่ในเนื้ออีเมล
    ช่วยหลบระบบตรวจสอบอีเมลอัตโนมัติได้ระดับหนึ่ง

    ไฟล์ปลอมตัวเป็น Word document icon และใช้ชื่อ executable จาก AMD
    เช่น AMDRSServ.exe เพื่อไม่ให้ผู้ใช้งานสงสัย

    ระบบมัลแวร์มี 5 ขั้นตอน รวมถึงการเชื่อมต่อกับ C2 และเรียกใช้ Cobalt Strike
    เพื่อควบคุมเครื่องเป้าหมายแบบต่อเนื่องและหลบตรวจจับได้ดี

    Path ที่ใช้เชื่อมต่อ C2 ปลอมเป็น API ของ Kubernetes
    ช่วยกลืนเนียนกับทราฟฟิกเครือข่ายในองค์กรที่ใช้ container

    ตัวอย่างอื่นถูกพบในสิงคโปร์และออสเตรเลีย
    แสดงว่าเป็นแคมเปญเชิงรุกระดับภูมิภาคหรือข้ามชาติ

    SquidLoader ใช้เทคนิคหลบตรวจจับขั้นสูง เช่น anti-analysis และ anti-debugging
    ตรวจหาเครื่องมืออย่าง IDA Pro, Windbg และ username แบบ sandbox

    หากตรวจพบว่าตัวเองอยู่ใน sandbox หรือเครื่องวิเคราะห์ ตัวมัลแวร์จะปิดตัวเองทันที
    พร้อมแสดงข้อความหลอกว่า “ไฟล์เสีย เปิดไม่ได้” เพื่อหลอก sandbox

    ใช้เทคนิค Asynchronous Procedure Calls (APC) กับ thread ที่ตั้ง sleep ยาว
    ทำให้ emulator และ sandbox ทำงานไม่ถูกต้องและวิเคราะห์ไม่ได้

    ระดับการตรวจจับใกล้ศูนย์บน VirusTotal ณ วันที่วิเคราะห์
    หมายถึงองค์กรส่วนใหญ่ยังไม่รู้ว่าตัวเองถูกเจาะหรือเสี่ยง

    หากไม่ใช้ระบบตรวจจับพฤติกรรมหรือ endpoint protection เชิงลึก จะไม่สามารถระบุหรือหยุดการโจมตีได้
    โดยเฉพาะองค์กรที่พึ่ง signature-based antivirus แบบเดิม

    https://hackread.com/squidloader-malware-hits-hong-kong-financial-firms/
    🎙️ เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: SquidLoader แฝงตัวในกล้อง Kubernetes ปล่อยมัลแวร์เข้าสถาบันการเงิน การโจมตีเริ่มจากอีเมลภาษาจีนที่แนบไฟล์ RAR มีรหัสผ่าน พร้อมแนบข้อความหลอกว่าเป็น “แบบฟอร์มลงทะเบียนธุรกิจเงินตราต่างประเทศผ่าน Bond Connect” เพื่อหลอกให้ผู้รับเปิดไฟล์ซึ่งปลอมเป็นเอกสาร Word แต่จริง ๆ แล้วเป็น executable ที่ใช้ชื่อและ icon ของ AMDRSServ.exe หลังจากเปิดใช้งาน ตัวมัลแวร์จะ: 1️⃣ ปลดล็อก payload หลัก 2️⃣ เชื่อมต่อกับ Command & Control (C2) server โดยใช้ path ที่เลียนแบบ API ของ Kubernetes เช่น /api/v1/namespaces/kube-system/services เพื่อหลบการตรวจสอบ 3️⃣ ส่งข้อมูลเครื่องกลับไป เช่น IP, username, OS 4️⃣ ดาวน์โหลดและเปิดใช้งาน Cobalt Strike Beacon เพื่อเข้าควบคุมเครื่องแบบต่อเนื่องผ่าน server สำรอง (เช่น 182.92.239.24) มีการพบตัวอย่างแบบเดียวกันในสิงคโปร์และออสเตรเลีย ทำให้คาดว่าเป็น แคมเปญระดับภูมิภาคหรือทั่วโลก ที่ใช้เป้าหมายเป็นสถาบันการเงิน ✅ Trellix พบแคมเปญมัลแวร์ SquidLoader โจมตีสถาบันการเงินฮ่องกง ➡️ โดยใช้ spear-phishing mail หลอกเป็นแบบฟอร์ม Bond Connect ✅ อีเมลเป็นภาษาจีน พร้อมแนบไฟล์ RAR มีรหัสผ่านอยู่ในเนื้ออีเมล ➡️ ช่วยหลบระบบตรวจสอบอีเมลอัตโนมัติได้ระดับหนึ่ง ✅ ไฟล์ปลอมตัวเป็น Word document icon และใช้ชื่อ executable จาก AMD ➡️ เช่น AMDRSServ.exe เพื่อไม่ให้ผู้ใช้งานสงสัย ✅ ระบบมัลแวร์มี 5 ขั้นตอน รวมถึงการเชื่อมต่อกับ C2 และเรียกใช้ Cobalt Strike ➡️ เพื่อควบคุมเครื่องเป้าหมายแบบต่อเนื่องและหลบตรวจจับได้ดี ✅ Path ที่ใช้เชื่อมต่อ C2 ปลอมเป็น API ของ Kubernetes ➡️ ช่วยกลืนเนียนกับทราฟฟิกเครือข่ายในองค์กรที่ใช้ container ✅ ตัวอย่างอื่นถูกพบในสิงคโปร์และออสเตรเลีย ➡️ แสดงว่าเป็นแคมเปญเชิงรุกระดับภูมิภาคหรือข้ามชาติ ‼️ SquidLoader ใช้เทคนิคหลบตรวจจับขั้นสูง เช่น anti-analysis และ anti-debugging ⛔ ตรวจหาเครื่องมืออย่าง IDA Pro, Windbg และ username แบบ sandbox ‼️ หากตรวจพบว่าตัวเองอยู่ใน sandbox หรือเครื่องวิเคราะห์ ตัวมัลแวร์จะปิดตัวเองทันที ⛔ พร้อมแสดงข้อความหลอกว่า “ไฟล์เสีย เปิดไม่ได้” เพื่อหลอก sandbox ‼️ ใช้เทคนิค Asynchronous Procedure Calls (APC) กับ thread ที่ตั้ง sleep ยาว ⛔ ทำให้ emulator และ sandbox ทำงานไม่ถูกต้องและวิเคราะห์ไม่ได้ ‼️ ระดับการตรวจจับใกล้ศูนย์บน VirusTotal ณ วันที่วิเคราะห์ ⛔ หมายถึงองค์กรส่วนใหญ่ยังไม่รู้ว่าตัวเองถูกเจาะหรือเสี่ยง ‼️ หากไม่ใช้ระบบตรวจจับพฤติกรรมหรือ endpoint protection เชิงลึก จะไม่สามารถระบุหรือหยุดการโจมตีได้ ⛔ โดยเฉพาะองค์กรที่พึ่ง signature-based antivirus แบบเดิม https://hackread.com/squidloader-malware-hits-hong-kong-financial-firms/
    HACKREAD.COM
    SquidLoader Malware Campaign Hits Hong Kong Financial Firms
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 255 มุมมอง 0 รีวิว
  • วิดีโอจากออสเตรเลีย เผยให้เห็นรถถัง M1A1 Abrams ที่กำลังถูกส่งมอบไปยังยูเครน
    วิดีโอจากออสเตรเลีย เผยให้เห็นรถถัง M1A1 Abrams ที่กำลังถูกส่งมอบไปยังยูเครน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 281 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • DeepSeek ถูกแบนในเช็ก – เพราะอาจส่งข้อมูลผู้ใช้ให้รัฐบาลจีน

    DeepSeek เป็นบริษัท AI จากจีนที่เปิดตัวในปี 2023 และได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วหลังเปิดตัวแอปบน iOS และ Android ในเดือนมกราคม 2025 โดยสามารถแซง ChatGPT ขึ้นอันดับหนึ่งใน App Store ได้ในหลายประเทศ

    แต่ความนิยมนี้กลับมาพร้อมกับความกังวลด้านความมั่นคง เมื่อหน่วยงานความมั่นคงไซเบอร์แห่งชาติของเช็ก (NÚKIB) ออกรายงานเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2025 ระบุว่า DeepSeek และบริษัทแม่ High-Flyer มี “ความเชื่อมโยงลึก” กับรัฐบาลจีน และอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือในการจารกรรมข้อมูล

    รายงานอ้างถึงกฎหมายจีนหลายฉบับ เช่น:
    - กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติ
    - กฎหมายข่าวกรองแห่งชาติ
    - กฎหมายต่อต้านการจารกรรม

    ซึ่งทั้งหมดบังคับให้บริษัทจีนต้องให้ข้อมูลผู้ใช้แก่รัฐบาล ไม่ว่าผู้ใช้นั้นจะอยู่ประเทศใดก็ตาม

    ผลคือ Czechia ประกาศแบนการใช้งาน DeepSeek ในเกือบทุกกรณี ยกเว้นสำหรับนักวิจัยด้านความปลอดภัย และการใช้งานโมเดลโอเพนซอร์สที่ไม่เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ของบริษัท

    ประเทศอื่น ๆ ที่ออกมาตรการคล้ายกัน ได้แก่ สหรัฐฯ (รวมถึงกองทัพเรือและ NASA), แคนาดา, ออสเตรเลีย, อินเดีย, อิตาลี, เดนมาร์ก, เนเธอร์แลนด์, นอร์เวย์, เกาหลีใต้ และไต้หวัน

    NÚKIB ระบุว่า “ความกังวลต่อ DeepSeek ไม่ได้เกิดจากวัฒนธรรมร่วมกันหรือภูมิศาสตร์ แต่เป็นผลจากการประเมินความเสี่ยงอย่างเป็นกลาง” และคาดว่าประเทศอื่น ๆ จะออกมาตรการเพิ่มเติมในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

    ข้อมูลจากข่าว
    - รัฐบาลเช็กประกาศแบนการใช้งาน DeepSeek เนื่องจากความเสี่ยงด้านความมั่นคงไซเบอร์
    - DeepSeek เป็นบริษัท AI จากจีนที่เปิดตัวในปี 2023 และได้รับความนิยมในปี 2025
    - หน่วยงาน NÚKIB ระบุว่า DeepSeek มีความเชื่อมโยงกับรัฐบาลจีน
    - อ้างถึงกฎหมายจีนที่บังคับให้บริษัทต้องให้ข้อมูลผู้ใช้แก่รัฐบาล
    - การแบนครอบคลุมทุกกรณี ยกเว้นนักวิจัยและการใช้งานแบบ self-host ที่ไม่เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ของบริษัท
    - ประเทศอื่นที่ออกมาตรการคล้ายกัน ได้แก่ สหรัฐฯ, แคนาดา, ออสเตรเลีย, อินเดีย, อิตาลี, เดนมาร์ก, เนเธอร์แลนด์, นอร์เวย์, เกาหลีใต้ และไต้หวัน

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    - ผู้ใช้ DeepSeek อาจเสี่ยงต่อการถูกเก็บข้อมูลและส่งต่อให้รัฐบาลจีนโดยไม่รู้ตัว
    - กฎหมายจีนมีอำนาจเหนือบริษัทจีนแม้จะให้บริการในต่างประเทศ
    - การใช้งานโมเดล AI ที่เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์จีนอาจเปิดช่องให้เกิดการจารกรรมข้อมูล
    - องค์กรควรหลีกเลี่ยงการใช้บริการจากบริษัทที่มีความเชื่อมโยงกับรัฐบาลต่างชาติในงานที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลสำคัญ
    - การใช้งานโมเดลโอเพนซอร์สควรทำแบบ self-host เพื่อป้องกันการส่งข้อมูลออกนอกองค์กร

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/czechia-warns-that-deepseek-can-share-all-user-information-with-the-chinese-government
    DeepSeek ถูกแบนในเช็ก – เพราะอาจส่งข้อมูลผู้ใช้ให้รัฐบาลจีน DeepSeek เป็นบริษัท AI จากจีนที่เปิดตัวในปี 2023 และได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วหลังเปิดตัวแอปบน iOS และ Android ในเดือนมกราคม 2025 โดยสามารถแซง ChatGPT ขึ้นอันดับหนึ่งใน App Store ได้ในหลายประเทศ แต่ความนิยมนี้กลับมาพร้อมกับความกังวลด้านความมั่นคง เมื่อหน่วยงานความมั่นคงไซเบอร์แห่งชาติของเช็ก (NÚKIB) ออกรายงานเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2025 ระบุว่า DeepSeek และบริษัทแม่ High-Flyer มี “ความเชื่อมโยงลึก” กับรัฐบาลจีน และอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือในการจารกรรมข้อมูล รายงานอ้างถึงกฎหมายจีนหลายฉบับ เช่น: - กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติ - กฎหมายข่าวกรองแห่งชาติ - กฎหมายต่อต้านการจารกรรม ซึ่งทั้งหมดบังคับให้บริษัทจีนต้องให้ข้อมูลผู้ใช้แก่รัฐบาล ไม่ว่าผู้ใช้นั้นจะอยู่ประเทศใดก็ตาม ผลคือ Czechia ประกาศแบนการใช้งาน DeepSeek ในเกือบทุกกรณี ยกเว้นสำหรับนักวิจัยด้านความปลอดภัย และการใช้งานโมเดลโอเพนซอร์สที่ไม่เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ของบริษัท ประเทศอื่น ๆ ที่ออกมาตรการคล้ายกัน ได้แก่ สหรัฐฯ (รวมถึงกองทัพเรือและ NASA), แคนาดา, ออสเตรเลีย, อินเดีย, อิตาลี, เดนมาร์ก, เนเธอร์แลนด์, นอร์เวย์, เกาหลีใต้ และไต้หวัน NÚKIB ระบุว่า “ความกังวลต่อ DeepSeek ไม่ได้เกิดจากวัฒนธรรมร่วมกันหรือภูมิศาสตร์ แต่เป็นผลจากการประเมินความเสี่ยงอย่างเป็นกลาง” และคาดว่าประเทศอื่น ๆ จะออกมาตรการเพิ่มเติมในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ✅ ข้อมูลจากข่าว - รัฐบาลเช็กประกาศแบนการใช้งาน DeepSeek เนื่องจากความเสี่ยงด้านความมั่นคงไซเบอร์ - DeepSeek เป็นบริษัท AI จากจีนที่เปิดตัวในปี 2023 และได้รับความนิยมในปี 2025 - หน่วยงาน NÚKIB ระบุว่า DeepSeek มีความเชื่อมโยงกับรัฐบาลจีน - อ้างถึงกฎหมายจีนที่บังคับให้บริษัทต้องให้ข้อมูลผู้ใช้แก่รัฐบาล - การแบนครอบคลุมทุกกรณี ยกเว้นนักวิจัยและการใช้งานแบบ self-host ที่ไม่เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ของบริษัท - ประเทศอื่นที่ออกมาตรการคล้ายกัน ได้แก่ สหรัฐฯ, แคนาดา, ออสเตรเลีย, อินเดีย, อิตาลี, เดนมาร์ก, เนเธอร์แลนด์, นอร์เวย์, เกาหลีใต้ และไต้หวัน ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง - ผู้ใช้ DeepSeek อาจเสี่ยงต่อการถูกเก็บข้อมูลและส่งต่อให้รัฐบาลจีนโดยไม่รู้ตัว - กฎหมายจีนมีอำนาจเหนือบริษัทจีนแม้จะให้บริการในต่างประเทศ - การใช้งานโมเดล AI ที่เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์จีนอาจเปิดช่องให้เกิดการจารกรรมข้อมูล - องค์กรควรหลีกเลี่ยงการใช้บริการจากบริษัทที่มีความเชื่อมโยงกับรัฐบาลต่างชาติในงานที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลสำคัญ - การใช้งานโมเดลโอเพนซอร์สควรทำแบบ self-host เพื่อป้องกันการส่งข้อมูลออกนอกองค์กร https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/czechia-warns-that-deepseek-can-share-all-user-information-with-the-chinese-government
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Czechia warns that DeepSeek can share all user information with the Chinese government
    U.S. lawmakers issued similar warnings after the China-based AI company released its eponymous chatbot.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 451 มุมมอง 0 รีวิว
  • Nvidia เปิดตัว RTX 5050 แบบเงียบ ๆ และไม่มีใครได้การ์ดมาทดสอบก่อน วันเปิดขายก็ไม่มีรีวิวให้ดู → ส่อแววแปลก ๆ ตั้งแต่ต้น → จนทีม TechSpot ต้อง “ซื้อเอง” มาราว 500 ดอลลาร์ออสเตรเลียเพื่อรีวิว

    ผลคือ…มันคือการ์ดระดับเริ่มต้นที่ใช้แรม 8GB GDDR6 บัส 128 บิต → สถาปัตยกรรม Blackwell เหมือน RTX 5090 แต่ถูกตัดสเปกลงหนัก → ความแรงโดยเฉลี่ยในเกม 18 เกมอยู่ที่ 66 fps ที่ 1080p → ต่ำกว่า Radeon RX 7600 เสียอีก

    ที่น่าผิดหวังคือ ราคาประมาณ $250 นี้ เทียบแล้วแพงกว่า RX 9060 XT (8GB) ที่แรงกว่า 44% → และถ้าไปเล่นรุ่น 9060 XT แบบ 16GB ที่ราคาประมาณ $370 ก็แรงกว่า 80% เลย!

    GeForce RTX 5050 เปิดขาย 1 ก.ค. 2025 ด้วยราคา $250  
    • ไม่มีรีวิวล่วงหน้า  
    • ไม่มีเครื่องเทสต์ให้สื่อ

    สเปกหลักของ RTX 5050:  
    • 8GB GDDR6 @ 20Gbps  
    • บัส 128 บิต, 320 GB/s  
    • ใช้สถาปัตยกรรม Blackwell (GB207)  
    • 130W TDP, PCIe 5.0 x8  
    • รองรับ DLSS 4

    ค่าเฉลี่ย 1080p เล่นเกม 18 เกม = 66 fps → ต่ำกว่า RX 7600 (~3%)  
    • RX 9060 XT 8GB แรงกว่า 44% ในราคาแพงกว่าเพียง ~20%  
    • RX 9060 XT 16GB แรงกว่า 80% ที่ $370

    ข้อดี:  
    • ประหยัดพลังงาน  
    • รองรับ DLSS4  
    • เย็นพอใช้ (73°C ที่โหลดเต็ม)

    #ลุงฟันธง
    1️⃣ ใครคิดจะ upgrade จาก RTX 3050 อย่าเลยครับ รอซื้อเครื่องใหม่เลย
    2️⃣ ใครคิดจะซื้อเครื่องใหม่เล็งไปที่ APU ของ AMD เช่น 8700G น่าจะโอเคกว่า
    3️⃣ ใครเป็นสาวก CPU Intel ซื้อเลยครับ

    https://www.techspot.com/review/3011-nvidia-geforce-rtx-5050/
    Nvidia เปิดตัว RTX 5050 แบบเงียบ ๆ และไม่มีใครได้การ์ดมาทดสอบก่อน วันเปิดขายก็ไม่มีรีวิวให้ดู → ส่อแววแปลก ๆ ตั้งแต่ต้น → จนทีม TechSpot ต้อง “ซื้อเอง” มาราว 500 ดอลลาร์ออสเตรเลียเพื่อรีวิว ผลคือ…มันคือการ์ดระดับเริ่มต้นที่ใช้แรม 8GB GDDR6 บัส 128 บิต → สถาปัตยกรรม Blackwell เหมือน RTX 5090 แต่ถูกตัดสเปกลงหนัก → ความแรงโดยเฉลี่ยในเกม 18 เกมอยู่ที่ 66 fps ที่ 1080p → ต่ำกว่า Radeon RX 7600 เสียอีก ที่น่าผิดหวังคือ ราคาประมาณ $250 นี้ เทียบแล้วแพงกว่า RX 9060 XT (8GB) ที่แรงกว่า 44% → และถ้าไปเล่นรุ่น 9060 XT แบบ 16GB ที่ราคาประมาณ $370 ก็แรงกว่า 80% เลย! ✅ GeForce RTX 5050 เปิดขาย 1 ก.ค. 2025 ด้วยราคา $250   • ไม่มีรีวิวล่วงหน้า   • ไม่มีเครื่องเทสต์ให้สื่อ ✅ สเปกหลักของ RTX 5050:   • 8GB GDDR6 @ 20Gbps   • บัส 128 บิต, 320 GB/s   • ใช้สถาปัตยกรรม Blackwell (GB207)   • 130W TDP, PCIe 5.0 x8   • รองรับ DLSS 4 ✅ ค่าเฉลี่ย 1080p เล่นเกม 18 เกม = 66 fps → ต่ำกว่า RX 7600 (~3%)   • RX 9060 XT 8GB แรงกว่า 44% ในราคาแพงกว่าเพียง ~20%   • RX 9060 XT 16GB แรงกว่า 80% ที่ $370 ✅ ข้อดี:   • ประหยัดพลังงาน   • รองรับ DLSS4   • เย็นพอใช้ (73°C ที่โหลดเต็ม) #ลุงฟันธง 1️⃣ ใครคิดจะ upgrade จาก RTX 3050 อย่าเลยครับ รอซื้อเครื่องใหม่เลย 2️⃣ ใครคิดจะซื้อเครื่องใหม่เล็งไปที่ APU ของ AMD เช่น 8700G น่าจะโอเคกว่า 3️⃣ ใครเป็นสาวก CPU Intel ซื้อเลยครับ https://www.techspot.com/review/3011-nvidia-geforce-rtx-5050/
    WWW.TECHSPOT.COM
    Nvidia GeForce RTX 5050 Review
    Nvidia's RTX 5050 launched with no reviews, no benchmarks, and barely any availability. It's their latest GPU release–and once again, you're expected to buy blind. But we've...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 308 มุมมอง 0 รีวิว
  • รัฐบาลออสเตรเลียตั้งเป้าจะ “ถอดบัญชีโซเชียลมีเดียของเยาวชนอายุ 10–15 ปีมากกว่า 1 ล้านบัญชี” → โดยตั้งกฎหมายใหม่ให้ “ผู้ใช้ต้องมีอายุอย่างน้อย 16 ปี” จึงจะใช้งานโซเชียลมีเดียได้ → ถ้าฝ่าฝืน บริษัทแพลตฟอร์มจะถูกปรับถึง A$30 ล้าน (≒ 820 ล้านบาท!)

    แต่ปัญหาคือ…กฎหมายผ่านแล้ว แต่ขั้นตอนปฏิบัติยังไม่ชัดเจน → จะนิยามว่า “โซเชียลมีเดีย” ว่าอะไรบ้าง? เช่น YouTube จะนับรวมไหม? → จะยืนยันอายุผู้ใช้แบบไหน? ใช้ AI, เอกสาร หรือการตรวจสอบโดยมนุษย์? → หากใช้ VPN เปลี่ยนที่อยู่ จะรับมือยังไง?

    หลายแพลตฟอร์มอย่าง YouTube ออกมาคัดค้าน → เพราะมองว่า “ตัวเองไม่ใช่โซเชียล แต่เป็นแพลตฟอร์มวิดีโอเพื่อการเรียนรู้” → กว่า 80% ของครูออสเตรเลียใช้ YouTube ในห้องเรียน → แต่หน่วยงานความปลอดภัยยืนยันว่าต้องรวม YouTube เพราะเด็กใช้มากที่สุดและมีฟีเจอร์ like, share, comment

    ตอนนี้ยังอยู่ในช่วงหารือกับบริษัทเทคโนโลยี → ต้องตกลงให้ได้ว่าบริษัทต้องทำอะไรเพื่อแสดงว่า “กำลังพยายามป้องกันไม่ให้เด็กต่ำกว่า 16 มีบัญชี” → รวมถึงต้องมีช่องให้ครู–ผู้ปกครองแจ้งบัญชีต้องสงสัย และมีวิธีป้องกันการหลบหลีกผ่าน VPN ด้วย

    ออสเตรเลียเตรียมใช้กฎหมายใหม่ที่ “ห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 16 ใช้โซเชียลมีเดีย” เริ่ม ธ.ค. 2025  
    • มีบทลงโทษแพลตฟอร์มละเมิดสูงถึง A$30 ล้าน  
    • คาดว่าจะกระทบบัญชีเยาวชนมากกว่า 1 ล้านราย

    แพลตฟอร์มที่ได้รับผลกระทบอาจรวมถึง YouTube, Instagram, TikTok, X, Facebook ฯลฯ  
    • YouTube เคยคาดว่าจะถูกยกเว้น แต่ถูกบอกว่าต้องรวม เพราะเด็กใช้มากและมีฟีเจอร์ “เสพติด”

    ยังไม่มีแนวทางชัดเจนว่าจะ “ยืนยันอายุผู้ใช้” อย่างไร  
    • ทดลองระบบยืนยันอายุแล้ว แต่ยังไม่ประกาศผลอย่างเป็นทางการ  
    • อยู่ระหว่างหารือกับบริษัทเทคโนโลยีเรื่องแนวทางปฏิบัติ

    ประเทศอื่นๆ เริ่มเดินตามแนวคิดนี้ เช่น นิวซีแลนด์ และฝรั่งเศส  
    • ฝรั่งเศสเตรียมห้ามเด็กต่ำกว่า 15 ใช้โซเชียลเช่นกัน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/07/australia-wants-to-bar-children-from-social-media-can-it-succeed
    รัฐบาลออสเตรเลียตั้งเป้าจะ “ถอดบัญชีโซเชียลมีเดียของเยาวชนอายุ 10–15 ปีมากกว่า 1 ล้านบัญชี” → โดยตั้งกฎหมายใหม่ให้ “ผู้ใช้ต้องมีอายุอย่างน้อย 16 ปี” จึงจะใช้งานโซเชียลมีเดียได้ → ถ้าฝ่าฝืน บริษัทแพลตฟอร์มจะถูกปรับถึง A$30 ล้าน (≒ 820 ล้านบาท!) แต่ปัญหาคือ…กฎหมายผ่านแล้ว แต่ขั้นตอนปฏิบัติยังไม่ชัดเจน → จะนิยามว่า “โซเชียลมีเดีย” ว่าอะไรบ้าง? เช่น YouTube จะนับรวมไหม? → จะยืนยันอายุผู้ใช้แบบไหน? ใช้ AI, เอกสาร หรือการตรวจสอบโดยมนุษย์? → หากใช้ VPN เปลี่ยนที่อยู่ จะรับมือยังไง? หลายแพลตฟอร์มอย่าง YouTube ออกมาคัดค้าน → เพราะมองว่า “ตัวเองไม่ใช่โซเชียล แต่เป็นแพลตฟอร์มวิดีโอเพื่อการเรียนรู้” → กว่า 80% ของครูออสเตรเลียใช้ YouTube ในห้องเรียน → แต่หน่วยงานความปลอดภัยยืนยันว่าต้องรวม YouTube เพราะเด็กใช้มากที่สุดและมีฟีเจอร์ like, share, comment ตอนนี้ยังอยู่ในช่วงหารือกับบริษัทเทคโนโลยี → ต้องตกลงให้ได้ว่าบริษัทต้องทำอะไรเพื่อแสดงว่า “กำลังพยายามป้องกันไม่ให้เด็กต่ำกว่า 16 มีบัญชี” → รวมถึงต้องมีช่องให้ครู–ผู้ปกครองแจ้งบัญชีต้องสงสัย และมีวิธีป้องกันการหลบหลีกผ่าน VPN ด้วย ✅ ออสเตรเลียเตรียมใช้กฎหมายใหม่ที่ “ห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 16 ใช้โซเชียลมีเดีย” เริ่ม ธ.ค. 2025   • มีบทลงโทษแพลตฟอร์มละเมิดสูงถึง A$30 ล้าน   • คาดว่าจะกระทบบัญชีเยาวชนมากกว่า 1 ล้านราย ✅ แพลตฟอร์มที่ได้รับผลกระทบอาจรวมถึง YouTube, Instagram, TikTok, X, Facebook ฯลฯ   • YouTube เคยคาดว่าจะถูกยกเว้น แต่ถูกบอกว่าต้องรวม เพราะเด็กใช้มากและมีฟีเจอร์ “เสพติด” ✅ ยังไม่มีแนวทางชัดเจนว่าจะ “ยืนยันอายุผู้ใช้” อย่างไร   • ทดลองระบบยืนยันอายุแล้ว แต่ยังไม่ประกาศผลอย่างเป็นทางการ   • อยู่ระหว่างหารือกับบริษัทเทคโนโลยีเรื่องแนวทางปฏิบัติ ✅ ประเทศอื่นๆ เริ่มเดินตามแนวคิดนี้ เช่น นิวซีแลนด์ และฝรั่งเศส   • ฝรั่งเศสเตรียมห้ามเด็กต่ำกว่า 15 ใช้โซเชียลเช่นกัน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/07/australia-wants-to-bar-children-from-social-media-can-it-succeed
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Australia wants to bar children from social media. Can it succeed?
    A law that restricts social media use to people 16 and over goes into effect in December, but much about it remains unclear or undecided.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 322 มุมมอง 0 รีวิว
  • สกู๊ตเปิดเส้นทางใหม่ สิงคโปร์-โกตาบารู

    สกู๊ต (Scoot) สายการบินราคาประหยัดในเครือสิงคโปร์แอร์ไลน์ เตรียมกลับมาเปิดให้บริการเส้นทางสิงคโปร์-โกตาบารู รัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย ด้วยเครื่องบิน Embraer E190-E2 สัปดาห์ละ 2 เที่ยวบิน ทุกวันศุกร์และวันอาทิตย์ เริ่มตั้งแต่วันที่ 26 ต.ค. 2568 เป็นต้นไป ได้แก่ ขาไป เที่ยวบินที่ TR460 ออกจากสิงคโปร์ 20.40 น. ถึงโกตาบารู 21.55 น. ใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมง 15 นาที และขากลับ TR461 ออกจากโกตาบารู 22.30 น. ถึงสิงคโปร์ 23.55 น. ใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมง 25 นาที

    โกตาบารู เมืองหลวงของรัฐกลันตัน ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของมาเลเซีย มีท่าอากาศยานสุลต่านอิสมาอิล เปตรา (KBR) ห่างจากด่านเป็งกาลันกูโบ ตรงข้าม อ.ตากใบ จ.นราธิวาส 37 กิโลเมตร และด่านรันเตาปันจัน ตรงข้าม อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส 50 กิโลเมตร เปิดใช้อาคารผู้โดยสารหลังใหม่เมื่อ 1 พ.ค. 2567 มีเที่ยวบินให้บริการวันละกว่า 30 เที่ยวบิน และมีผู้โดยสารใช้บริการมากกว่า 1.5 ล้านคนต่อปี กำลังขยายอาคารผู้โดยสารและรันเวย์เพื่อรองรับผู้โดยสารได้มากถึง 4 ล้านคนต่อปี

    ก่อนหน้านี้สกู๊ตเคยเปิดเส้นทางสิงคโปร์-โกตาบารู เมื่อปี 2562 ด้วยความถี่ 3 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ แต่ได้ยกเลิกไป การเปิดเส้นทางบินใหม่ดังกล่าว จะทำให้สกู๊ตมีเที่ยวบินรวมกัน 115 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ไปยัง 12 เมืองในมาเลเซีย

    นอกจากนี้ สกู๊ตเตรียมเปิดเส้นทางสิงคโปร์-ดานัง และสิงคโปร์-ญาจาง ประเทศเวียดนาม ซึ่งจะทำให้ท่าอากาศยานชางงีมีเครือข่ายเส้นทางบินครอบคลุมกว่า 170 เมือง อีกทั้งสกู๊ตมีแผนเปิดเส้นทางใหม่ไปยังเมดาน ลาบวน ประเทศอินโดนีเซีย และโอกินาวา ประเทศญี่ปุ่น รวมทั้งปรับปรุงเครือข่ายเส้นทางไปยังคลาร์ก ดาเวา มะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ จาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย หาดใหญ่ ประเทศไทย และเพิร์ธ ประเทศออสเตรเลีย เพื่อรองรับความต้องการเดินทางทางอากาศที่เพิ่มมากขึ้น

    สำหรับสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส ปัจจุบันมีท่าอากาศยานหาดใหญ่ จ.สงขลา ซึ่งมีเที่ยวบินไปยังประเทศสิงคโปร์ โดยสายการบินสกู๊ตเป็นประจำทุกวัน 1 เที่ยวบิน และมีไฟล์ตดึกทุกวันจันทร์ ศุกร์ และอาทิตย์ อีก 1 เที่ยวบิน จึงเป็นไปได้ว่าสกู๊ตต้องการเจาะกลุ่มเป้าหมายนักท่องเที่ยวไปยังเมืองโกตาบารู ชมสถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิม และหมู่เกาะเปอร์เฮนเทียน (Pulau Perhentian) แหล่งท่องเที่ยวทางทะเลและดำน้ำยอดนิยมในรัฐตรังกานูมากกว่า ซึ่งจากสนามบินโกตาบารู เดินทางด้วยรถยนต์ไปอีก 60 กิโลเมตร จะถึงท่าเรือกัวลาบูซุต (Kuala Besut) แล้วต่อด้วยเรือเฟอร์รี่เพื่อไปยังเกาะดังกล่าว

    #Newskit
    สกู๊ตเปิดเส้นทางใหม่ สิงคโปร์-โกตาบารู สกู๊ต (Scoot) สายการบินราคาประหยัดในเครือสิงคโปร์แอร์ไลน์ เตรียมกลับมาเปิดให้บริการเส้นทางสิงคโปร์-โกตาบารู รัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย ด้วยเครื่องบิน Embraer E190-E2 สัปดาห์ละ 2 เที่ยวบิน ทุกวันศุกร์และวันอาทิตย์ เริ่มตั้งแต่วันที่ 26 ต.ค. 2568 เป็นต้นไป ได้แก่ ขาไป เที่ยวบินที่ TR460 ออกจากสิงคโปร์ 20.40 น. ถึงโกตาบารู 21.55 น. ใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมง 15 นาที และขากลับ TR461 ออกจากโกตาบารู 22.30 น. ถึงสิงคโปร์ 23.55 น. ใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมง 25 นาที โกตาบารู เมืองหลวงของรัฐกลันตัน ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของมาเลเซีย มีท่าอากาศยานสุลต่านอิสมาอิล เปตรา (KBR) ห่างจากด่านเป็งกาลันกูโบ ตรงข้าม อ.ตากใบ จ.นราธิวาส 37 กิโลเมตร และด่านรันเตาปันจัน ตรงข้าม อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส 50 กิโลเมตร เปิดใช้อาคารผู้โดยสารหลังใหม่เมื่อ 1 พ.ค. 2567 มีเที่ยวบินให้บริการวันละกว่า 30 เที่ยวบิน และมีผู้โดยสารใช้บริการมากกว่า 1.5 ล้านคนต่อปี กำลังขยายอาคารผู้โดยสารและรันเวย์เพื่อรองรับผู้โดยสารได้มากถึง 4 ล้านคนต่อปี ก่อนหน้านี้สกู๊ตเคยเปิดเส้นทางสิงคโปร์-โกตาบารู เมื่อปี 2562 ด้วยความถี่ 3 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ แต่ได้ยกเลิกไป การเปิดเส้นทางบินใหม่ดังกล่าว จะทำให้สกู๊ตมีเที่ยวบินรวมกัน 115 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ไปยัง 12 เมืองในมาเลเซีย นอกจากนี้ สกู๊ตเตรียมเปิดเส้นทางสิงคโปร์-ดานัง และสิงคโปร์-ญาจาง ประเทศเวียดนาม ซึ่งจะทำให้ท่าอากาศยานชางงีมีเครือข่ายเส้นทางบินครอบคลุมกว่า 170 เมือง อีกทั้งสกู๊ตมีแผนเปิดเส้นทางใหม่ไปยังเมดาน ลาบวน ประเทศอินโดนีเซีย และโอกินาวา ประเทศญี่ปุ่น รวมทั้งปรับปรุงเครือข่ายเส้นทางไปยังคลาร์ก ดาเวา มะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ จาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย หาดใหญ่ ประเทศไทย และเพิร์ธ ประเทศออสเตรเลีย เพื่อรองรับความต้องการเดินทางทางอากาศที่เพิ่มมากขึ้น สำหรับสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส ปัจจุบันมีท่าอากาศยานหาดใหญ่ จ.สงขลา ซึ่งมีเที่ยวบินไปยังประเทศสิงคโปร์ โดยสายการบินสกู๊ตเป็นประจำทุกวัน 1 เที่ยวบิน และมีไฟล์ตดึกทุกวันจันทร์ ศุกร์ และอาทิตย์ อีก 1 เที่ยวบิน จึงเป็นไปได้ว่าสกู๊ตต้องการเจาะกลุ่มเป้าหมายนักท่องเที่ยวไปยังเมืองโกตาบารู ชมสถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิม และหมู่เกาะเปอร์เฮนเทียน (Pulau Perhentian) แหล่งท่องเที่ยวทางทะเลและดำน้ำยอดนิยมในรัฐตรังกานูมากกว่า ซึ่งจากสนามบินโกตาบารู เดินทางด้วยรถยนต์ไปอีก 60 กิโลเมตร จะถึงท่าเรือกัวลาบูซุต (Kuala Besut) แล้วต่อด้วยเรือเฟอร์รี่เพื่อไปยังเกาะดังกล่าว #Newskit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 542 มุมมอง 0 รีวิว
  • กล้องวงจรปิด (CCTV) เคยเป็นแค่เรื่องรักษาความปลอดภัย แต่วันนี้มันกลายเป็นเรื่องของ "ความมั่นคงระดับชาติ"

    แคนาดาเพิ่งสั่งให้ Hikvision — บริษัทยักษ์ใหญ่จากจีนที่เป็น ผู้ผลิตกล้องวงจรปิดอันดับ 1 ของโลก — หยุดดำเนินงานในประเทศ โดยระบุว่า “เป็นภัยต่อความมั่นคงของแคนาดา” (แต่ไม่ได้บอกรายละเอียดว่าเพราะอะไร)

    หลายฝ่ายเชื่อว่าสาเหตุอาจมาจากความสัมพันธ์ของ Hikvision กับรัฐจีน ซึ่งมีข่าวว่า กล้องแบรนด์นี้ถูกใช้ในระบบตรวจจับ–ติดตามชาวอุยกูร์ในซินเจียง มาก่อน — และประเทศอย่างสหรัฐฯ สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย ก็เคยแบนมาแล้วเช่นกัน

    ที่น่าสนใจคือ Canada ไม่ใช่แค่ห้ามซื้อใหม่ แต่ จะทยอยเลิกใช้กล้อง Hikvision ที่ติดตั้งอยู่แล้วในสถานที่ราชการ — และขอให้ประชาชน "ใช้วิจารณญาณ" ถ้าจะซื้ออุปกรณ์จากแบรนด์นี้ด้วย

    Hikvision เองก็ออกมาโต้ว่า "ไม่เป็นธรรม ขาดความโปร่งใส และดูเหมือนโดนเล่นงานเพราะเป็นบริษัทจากจีน" — ซึ่งก็สะท้อนว่าเทคโนโลยีบางอย่างกำลังถูกแปะป้าย “น่าเชื่อถือ/ไม่น่าเชื่อถือ” ด้วยเหตุผลทางภูมิรัฐศาสตร์มากกว่าเทคนิคจริง ๆ แล้วครับ

    แคนาดาสั่งให้ Hikvision หยุดดำเนินกิจการในประเทศทันที  
    • อ้างเหตุผลด้าน “ภัยต่อความมั่นคงแห่งชาติ”
    • อิงตามกฎหมาย Investment Canada Act

    Hikvision คือผู้ผลิต CCTV รายใหญ่ที่สุดของโลก  
    • เข้ามาทำตลาดในแคนาดาตั้งแต่ปี 2014  
    • ถูกมองว่ามีความเชื่อมโยงกับโครงการรัฐจีน

    แคนาดาจะทยอยเลิกใช้ Hikvision ในอาคารราชการและภาครัฐ
    • พร้อมขอให้ประชาชน “พิจารณาอย่างรอบคอบ” หากจะใช้อุปกรณ์จากแบรนด์นี้

    ประเทศอื่น ๆ เคยแบน Hikvision มาแล้ว เช่น:  
    • สหรัฐฯ, อังกฤษ, ออสเตรเลีย  
    • โดยเฉพาะจากข้อกล่าวหาว่าอุปกรณ์ถูกใช้สอดแนมชาวอุยกูร์ในจีน (ซึ่งจีนปฏิเสธ)

    Hikvision แถลงการณ์ว่า “การตัดสินใจครั้งนี้ไม่เป็นธรรม และขาดหลักฐานชัดเจน”

    https://www.techradar.com/pro/is-the-worlds-largest-cctv-surveillance-camera-vendor-going-to-be-the-next-huawei-canada-gov-bans-hikvision-amidst-security-fears
    กล้องวงจรปิด (CCTV) เคยเป็นแค่เรื่องรักษาความปลอดภัย แต่วันนี้มันกลายเป็นเรื่องของ "ความมั่นคงระดับชาติ" แคนาดาเพิ่งสั่งให้ Hikvision — บริษัทยักษ์ใหญ่จากจีนที่เป็น ผู้ผลิตกล้องวงจรปิดอันดับ 1 ของโลก — หยุดดำเนินงานในประเทศ โดยระบุว่า “เป็นภัยต่อความมั่นคงของแคนาดา” (แต่ไม่ได้บอกรายละเอียดว่าเพราะอะไร) หลายฝ่ายเชื่อว่าสาเหตุอาจมาจากความสัมพันธ์ของ Hikvision กับรัฐจีน ซึ่งมีข่าวว่า กล้องแบรนด์นี้ถูกใช้ในระบบตรวจจับ–ติดตามชาวอุยกูร์ในซินเจียง มาก่อน — และประเทศอย่างสหรัฐฯ สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย ก็เคยแบนมาแล้วเช่นกัน ที่น่าสนใจคือ Canada ไม่ใช่แค่ห้ามซื้อใหม่ แต่ จะทยอยเลิกใช้กล้อง Hikvision ที่ติดตั้งอยู่แล้วในสถานที่ราชการ — และขอให้ประชาชน "ใช้วิจารณญาณ" ถ้าจะซื้ออุปกรณ์จากแบรนด์นี้ด้วย Hikvision เองก็ออกมาโต้ว่า "ไม่เป็นธรรม ขาดความโปร่งใส และดูเหมือนโดนเล่นงานเพราะเป็นบริษัทจากจีน" — ซึ่งก็สะท้อนว่าเทคโนโลยีบางอย่างกำลังถูกแปะป้าย “น่าเชื่อถือ/ไม่น่าเชื่อถือ” ด้วยเหตุผลทางภูมิรัฐศาสตร์มากกว่าเทคนิคจริง ๆ แล้วครับ ✅ แคนาดาสั่งให้ Hikvision หยุดดำเนินกิจการในประเทศทันที   • อ้างเหตุผลด้าน “ภัยต่อความมั่นคงแห่งชาติ” • อิงตามกฎหมาย Investment Canada Act ✅ Hikvision คือผู้ผลิต CCTV รายใหญ่ที่สุดของโลก   • เข้ามาทำตลาดในแคนาดาตั้งแต่ปี 2014   • ถูกมองว่ามีความเชื่อมโยงกับโครงการรัฐจีน ✅ แคนาดาจะทยอยเลิกใช้ Hikvision ในอาคารราชการและภาครัฐ • พร้อมขอให้ประชาชน “พิจารณาอย่างรอบคอบ” หากจะใช้อุปกรณ์จากแบรนด์นี้ ✅ ประเทศอื่น ๆ เคยแบน Hikvision มาแล้ว เช่น:   • สหรัฐฯ, อังกฤษ, ออสเตรเลีย   • โดยเฉพาะจากข้อกล่าวหาว่าอุปกรณ์ถูกใช้สอดแนมชาวอุยกูร์ในจีน (ซึ่งจีนปฏิเสธ) ✅ Hikvision แถลงการณ์ว่า “การตัดสินใจครั้งนี้ไม่เป็นธรรม และขาดหลักฐานชัดเจน” https://www.techradar.com/pro/is-the-worlds-largest-cctv-surveillance-camera-vendor-going-to-be-the-next-huawei-canada-gov-bans-hikvision-amidst-security-fears
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 455 มุมมอง 0 รีวิว
  • สถานทูตออสเตรเลีย ประจำประเทศไทย แจ้งเตือน!!

    “มีความเสี่ยงต่อการก่อการร้ายในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง สถานที่ท่องเที่ยวในไทยอาจตกเป็นเป้าหมายของการก่อการร้าย รวมถึงในกรุงเทพฯ และภูเก็ต

    มีการประท้วงขนาดใหญ่เกิดขึ้นในกรุงเทพฯ และพื้นที่อื่น ๆ ซึ่งบางครั้งนำไปสู่ความรุนแรง หลีกเลี่ยงการเข้าร่วมการประท้วงและการชุมนุมทุกประเภท

    การใช้กัญชาในประเทศไทยจำกัดเฉพาะเพื่อวัตถุประสงค์ทางการแพทย์เท่านั้น และคุณต้องมีใบสั่งแพทย์
    สถานทูตออสเตรเลีย ประจำประเทศไทย แจ้งเตือน!! “มีความเสี่ยงต่อการก่อการร้ายในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง สถานที่ท่องเที่ยวในไทยอาจตกเป็นเป้าหมายของการก่อการร้าย รวมถึงในกรุงเทพฯ และภูเก็ต มีการประท้วงขนาดใหญ่เกิดขึ้นในกรุงเทพฯ และพื้นที่อื่น ๆ ซึ่งบางครั้งนำไปสู่ความรุนแรง หลีกเลี่ยงการเข้าร่วมการประท้วงและการชุมนุมทุกประเภท การใช้กัญชาในประเทศไทยจำกัดเฉพาะเพื่อวัตถุประสงค์ทางการแพทย์เท่านั้น และคุณต้องมีใบสั่งแพทย์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 398 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผู้พิพากษาศาลรัฐบาลกลางของประเทศออสเตรเลียเพิ่งมีคำตัดสินว่าจากการที่สำนักข่าว ABC ไล่ออกนักข่าว "Antoinette Lattouf " เป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย หลังจากที่เธอโพสต์รายงานของ Human Rights Watch เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนที่ถูกทำลายในฉนวนกาซาบนโซเชียลมีเดีย และวิจารณ์สื่อกระแสหลักหลายครั้ง
    ผู้พิพากษาศาลรัฐบาลกลางของประเทศออสเตรเลียเพิ่งมีคำตัดสินว่าจากการที่สำนักข่าว ABC ไล่ออกนักข่าว "Antoinette Lattouf " เป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย หลังจากที่เธอโพสต์รายงานของ Human Rights Watch เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนที่ถูกทำลายในฉนวนกาซาบนโซเชียลมีเดีย และวิจารณ์สื่อกระแสหลักหลายครั้ง
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 404 มุมมอง 34 0 รีวิว
  • มีงานวิจัยจาก University of Georgia วิเคราะห์แผนยุทธศาสตร์ด้าน AI ของ 50 ประเทศทั่วโลก โดยเน้นเรื่อง “การเตรียมคน” ผ่านนโยบายด้านการศึกษาและอาชีวะ ฝั่งยุโรป (เช่น เยอรมนี สเปน) ดูจะนำหน้าชัดเจน เพราะให้ความสำคัญสูงมากในเรื่อง lifelong learning และการฝึกอบรม AI สำหรับแรงงานทุกช่วงวัย

    ในขณะที่สหรัฐ, ญี่ปุ่น และอีกหลายประเทศอยู่ในกลุ่ม “ให้ความสำคัญระดับกลาง” คือรู้ว่า AI สำคัญ แต่ยังไม่มีแผนจัดเต็มในระดับชาติเหมือนยุโรป

    สิ่งที่น่าสนใจคือ มีเพียง “13 จาก 50 ประเทศ” เท่านั้นที่ให้ AI training อยู่ในระดับความสำคัญสูงสุด — และมีเพียงบางประเทศเท่านั้นที่กล้าเริ่มสอน AI ตั้งแต่ชั้นประถมหรืออนุบาลเลย

    แต่แม้จะพูดถึง AI เป็นเรื่องใหญ่ สิ่งหนึ่งที่กลับถูกมองข้ามคือ “soft skills” แบบมนุษย์ เช่น การสื่อสาร ความคิดสร้างสรรค์ การทำงานร่วมกับผู้อื่น — ซึ่งนักวิจัยเตือนว่าทักษะเหล่านี้คือสิ่งที่ AI แทนไม่ได้ และจะเป็น “จุดต่างสำคัญของมนุษย์ในที่ทำงานอนาคต”

    งานวิจัยสำรวจแผนพัฒนาทักษะ AI ของ 50 ประเทศ พบว่าเพียง 13 ประเทศให้ความสำคัญสูงสุด  
    • 11 ประเทศในยุโรป + เม็กซิโก + ออสเตรเลีย อยู่ในกลุ่ม “ให้ความสำคัญระดับสูง”  
    • สหรัฐ, ญี่ปุ่น และอีก 22 ประเทศ จัดอยู่ในกลุ่ม “ให้ความสำคัญระดับกลาง”

    เกณฑ์วัดระดับความพร้อม ได้แก่:  
    • เป้าหมายระดับชาติ, วิธีการดำเนินงาน, ตัวอย่างโครงการ, ตัวชี้วัดความสำเร็จ, เครื่องมือสนับสนุน, และแผนระยะเวลา

    ประเทศที่เตรียมพร้อมสูงจะมีแผนบูรณาการตั้งแต่ระดับประถม – มหาวิทยาลัย – ที่ทำงาน  
    • เยอรมนีสร้างวัฒนธรรมส่งเสริมความสนใจด้าน AI  
    • สเปนเริ่มสอนพื้นฐาน AI ตั้งแต่ระดับอนุบาล

    มากกว่าครึ่งของประเทศมีนโยบายฝึกอบรมพนักงานในองค์กรแบบเฉพาะอุตสาหกรรม  
    • หลายประเทศสร้างหลักสูตรฝึกอบรม AI สำหรับงานเฉพาะทาง เช่น การผลิต, การแพทย์, พลังงาน

    บางประเทศ (เช่นในเอเชีย) มุ่งเน้นด้านความมั่นคงและสาธารณสุข มากกว่าการพัฒนาทักษะแรงงานโดยตรง

    ทักษะ AI เริ่มกลายเป็น "ข้อได้เปรียบเชิงการแข่งขัน" ระหว่างประเทศในอนาคต  
    • ใครเตรียมคนไว้ก่อน = พร้อมเข้าสู่เศรษฐกิจใหม่ก่อน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/25/the-world-is-preparing-for-the-age-of-ai-in-the-workplace-but-not-at-the-same-pace
    มีงานวิจัยจาก University of Georgia วิเคราะห์แผนยุทธศาสตร์ด้าน AI ของ 50 ประเทศทั่วโลก โดยเน้นเรื่อง “การเตรียมคน” ผ่านนโยบายด้านการศึกษาและอาชีวะ ฝั่งยุโรป (เช่น เยอรมนี สเปน) ดูจะนำหน้าชัดเจน เพราะให้ความสำคัญสูงมากในเรื่อง lifelong learning และการฝึกอบรม AI สำหรับแรงงานทุกช่วงวัย ในขณะที่สหรัฐ, ญี่ปุ่น และอีกหลายประเทศอยู่ในกลุ่ม “ให้ความสำคัญระดับกลาง” คือรู้ว่า AI สำคัญ แต่ยังไม่มีแผนจัดเต็มในระดับชาติเหมือนยุโรป สิ่งที่น่าสนใจคือ มีเพียง “13 จาก 50 ประเทศ” เท่านั้นที่ให้ AI training อยู่ในระดับความสำคัญสูงสุด — และมีเพียงบางประเทศเท่านั้นที่กล้าเริ่มสอน AI ตั้งแต่ชั้นประถมหรืออนุบาลเลย แต่แม้จะพูดถึง AI เป็นเรื่องใหญ่ สิ่งหนึ่งที่กลับถูกมองข้ามคือ “soft skills” แบบมนุษย์ เช่น การสื่อสาร ความคิดสร้างสรรค์ การทำงานร่วมกับผู้อื่น — ซึ่งนักวิจัยเตือนว่าทักษะเหล่านี้คือสิ่งที่ AI แทนไม่ได้ และจะเป็น “จุดต่างสำคัญของมนุษย์ในที่ทำงานอนาคต” ✅ งานวิจัยสำรวจแผนพัฒนาทักษะ AI ของ 50 ประเทศ พบว่าเพียง 13 ประเทศให้ความสำคัญสูงสุด   • 11 ประเทศในยุโรป + เม็กซิโก + ออสเตรเลีย อยู่ในกลุ่ม “ให้ความสำคัญระดับสูง”   • สหรัฐ, ญี่ปุ่น และอีก 22 ประเทศ จัดอยู่ในกลุ่ม “ให้ความสำคัญระดับกลาง” ✅ เกณฑ์วัดระดับความพร้อม ได้แก่:   • เป้าหมายระดับชาติ, วิธีการดำเนินงาน, ตัวอย่างโครงการ, ตัวชี้วัดความสำเร็จ, เครื่องมือสนับสนุน, และแผนระยะเวลา ✅ ประเทศที่เตรียมพร้อมสูงจะมีแผนบูรณาการตั้งแต่ระดับประถม – มหาวิทยาลัย – ที่ทำงาน   • เยอรมนีสร้างวัฒนธรรมส่งเสริมความสนใจด้าน AI   • สเปนเริ่มสอนพื้นฐาน AI ตั้งแต่ระดับอนุบาล ✅ มากกว่าครึ่งของประเทศมีนโยบายฝึกอบรมพนักงานในองค์กรแบบเฉพาะอุตสาหกรรม   • หลายประเทศสร้างหลักสูตรฝึกอบรม AI สำหรับงานเฉพาะทาง เช่น การผลิต, การแพทย์, พลังงาน ✅ บางประเทศ (เช่นในเอเชีย) มุ่งเน้นด้านความมั่นคงและสาธารณสุข มากกว่าการพัฒนาทักษะแรงงานโดยตรง ✅ ทักษะ AI เริ่มกลายเป็น "ข้อได้เปรียบเชิงการแข่งขัน" ระหว่างประเทศในอนาคต   • ใครเตรียมคนไว้ก่อน = พร้อมเข้าสู่เศรษฐกิจใหม่ก่อน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/25/the-world-is-preparing-for-the-age-of-ai-in-the-workplace-but-not-at-the-same-pace
    WWW.THESTAR.COM.MY
    The world is preparing for the age of AI in the workplace, but not at the same pace
    There's no doubt that artificial intelligence will profoundly transform the job market in the coming decades. But how are governments preparing their citizens for this revolution?
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 428 มุมมอง 0 รีวิว
  • การล่มสลายไม่ได้ถูกแสดงทางโทรทัศน์ แต่ได้รับการวางแผนไว้แล้ว ฟอรัมเศรษฐกิจโลกซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นปราการที่ไม่มีใครแตะต้องได้ของการปกครองแบบเทคโนแครต ถูกแฮ็ก รื้อถอน และเปิดโปงจากภายใน ไม่มีเรื่องอื้อฉาวใดๆ เกิดขึ้น แต่เป็นเพียงการทำลายล้าง เจ้าหน้าที่หมวกขาวภายในเครื่องจักรของดาวอสได้ทำลายภาพลวงตาของความสามัคคีทั่วโลก และเปิดโปงว่าอาชญากรรมต่างๆ เช่น การแทรกแซงการเลือกตั้ง การบังคับให้ผู้คนเข้ารับการรักษาพยาบาล การยึดครองที่ดินภายใต้ข้ออ้างของนโยบายด้านสภาพอากาศ และการติดป้ายชื่อบุคคลแต่ละคนอย่างเงียบๆ เพื่อให้ตรวจสอบนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร

    ในช่วงต้นปี 2024 กลุ่มหมวกขาวได้ยึดเอกสารภายใน บันทึกเสียงลับ และการสื่อสารที่เป็นความลับ ซึ่งพิสูจน์ได้ว่าผู้นำฟอรัมเศรษฐกิจโลก (WEF) มีส่วนเกี่ยวข้องกับการฟอกเงินกองทุน "ด้านสภาพอากาศ" กว่า 400,000 ล้านดอลลาร์ผ่านองค์กรพัฒนาเอกชนปลอม กับดักหนี้ และการขโมยสินทรัพย์ดิจิทัล โลกไม่เคยเป็นเป้าหมายของพวกเขา เป้าหมายของพวกเขาคือที่ดิน อาหาร และพลังงาน ภายใต้หน้ากากของ "ความยุติธรรม" พวกเขากดขี่ชาวนา ลิดรอนสิทธิของชนพื้นเมือง และใช้องค์กรการกุศลปลอมเพื่อจัดการรัฐประหารทางการเมือง แต่มันไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น ไฟล์เซิร์ฟเวอร์ WEF ในยุค COVID-19 ซึ่งค้นพบในช่วงปลายปี 2024 แสดงให้เห็นว่ามีการวางแผนการล็อกดาวน์ไว้ล่วงหน้า มีเครือข่ายการทุจริตในสื่อ และมีแผนที่จะนำไบโอเมตริกส์มาใช้ตั้งแต่ปี 2017 วัคซีนเป็นเครื่องมือ วิกฤตได้รับการวางแผน

    ในช่วงต้นปี 2025 ผู้แจ้งเบาะแสเริ่มเปิดเผยด้านมืด: การทดสอบตัวตนดิจิทัลแบบลับในแคนาดา ออสเตรเลีย และเยอรมนี โปรแกรมนำร่องเหล่านี้ผสมผสานสถานะสุขภาพ พฤติกรรมเครดิต และการติดตามโซเชียลมีเดียโดยไม่ได้ขออนุญาต ผู้คนไม่ได้รับการปฏิบัติเหมือนเป็นบุคคล แต่เป็นหน่วยที่ตั้งโปรแกรมได้ บันทึกการวางแผนภายในของฟอรัมเศรษฐกิจโลกเรียกสิ่งเหล่านี้ว่า "คลัสเตอร์พฤติกรรม" และ "โหนดการผลิตข้อมูล" คุกอัจฉริยะของชวาบมีอยู่จริงและเกือบจะพร้อมแล้ว

    ความเย่อหยิ่งครอบงำเมืองดาวอส เสียงจากการประชุมโต๊ะกลมในเดือนมกราคม 2024 เผยให้เห็นซีอีโอพูดเล่นเกี่ยวกับการล่มสลายของตลาด "ตามต้องการ" และการขู่กรรโชกเจ้าหน้าที่เพื่อให้ผ่านกฎหมายภาษีคาร์บอน ปัจจุบัน กลุ่มหมวกขาวมีหลักฐานว่า WEF ให้ทุนสนับสนุนการจลาจล การทุจริตการเลือกตั้ง และใช้ปัญญาประดิษฐ์เพื่อปิดปากผู้เห็นต่าง กำแพงถูกพังทลายลงในเดือนมีนาคม 2025 การ "เกษียณอายุ" ของ Schwab เป็นการออกจากตำแหน่งโดยถูกบังคับ พันธมิตรที่สำคัญเปลี่ยนฝ่าย ประเทศต่างๆ มากกว่าสิบประเทศได้เริ่มการสอบสวนทางอาญา ภาพลักษณ์ของภูมิคุ้มกันของชนชั้นนำพังทลายลง

    ผลกระทบได้เริ่มขึ้นแล้วในวันที่ 21 มิถุนายน ข้อตกลงการค้าที่เชื่อมโยงกับเป้าหมายของฟอรัมเศรษฐกิจโลกกำลังล้มเหลว การหลอกลวง ESG กำลังล้มเหลว การสืบสวนทางนิติวิทยาศาสตร์กำลังดำเนินการอยู่ที่ Deutsche Bank, HSBC และธนาคารใหญ่ๆ อื่นๆ ที่เชื่อมโยงกับ Davos ผู้ที่รับผิดชอบกำลังลาออก ระบบระบุตัวตนดิจิทัลกำลังปิดตัวลง ศูนย์กลางการประสานงานของกลุ่มลับสูญเสียไปแล้ว และความตื่นตระหนกกำลังแพร่กระจายไปทั่วห้องโถงของอำนาจระดับโลก

    นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ข้อมูลที่ได้มาหลังจากการยุบ WEF ถูกนำมาใช้โจมตี WHO, BIS และกลุ่มมนุษยธรรมปลอมทั้งหมดที่ร่วมมือกับ Davos เพื่อแสวงหากำไร การเปิดเผยนี้จะเกิดขึ้นในฤดูร้อนนี้ ซึ่งจะครอบคลุมทั่วโลกและไม่อาจปฏิเสธได้ และจะเป็นเครื่องหมายจุดจบของระบบเก่า เมื่อครั้งหนึ่งเคยทำงานในเงามืด ตอนนี้มันกลับถูกเผาไหม้ต่อหน้าต่อตา

    WEF ล่มสลาย ภาพลวงตาถูกทำลาย และจากเถ้าถ่านของมัน ยุคฟื้นฟูที่แท้จริงได้ถือกำเนิดขึ้น ยุคฟื้นฟูที่ไม่ได้เขียนโดยผู้เผด็จการ แต่เขียนโดยประชาชนที่เป็นอิสระ
    การล่มสลายไม่ได้ถูกแสดงทางโทรทัศน์ แต่ได้รับการวางแผนไว้แล้ว ฟอรัมเศรษฐกิจโลกซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นปราการที่ไม่มีใครแตะต้องได้ของการปกครองแบบเทคโนแครต ถูกแฮ็ก รื้อถอน และเปิดโปงจากภายใน ไม่มีเรื่องอื้อฉาวใดๆ เกิดขึ้น แต่เป็นเพียงการทำลายล้าง เจ้าหน้าที่หมวกขาวภายในเครื่องจักรของดาวอสได้ทำลายภาพลวงตาของความสามัคคีทั่วโลก และเปิดโปงว่าอาชญากรรมต่างๆ เช่น การแทรกแซงการเลือกตั้ง การบังคับให้ผู้คนเข้ารับการรักษาพยาบาล การยึดครองที่ดินภายใต้ข้ออ้างของนโยบายด้านสภาพอากาศ และการติดป้ายชื่อบุคคลแต่ละคนอย่างเงียบๆ เพื่อให้ตรวจสอบนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร ในช่วงต้นปี 2024 กลุ่มหมวกขาวได้ยึดเอกสารภายใน บันทึกเสียงลับ และการสื่อสารที่เป็นความลับ ซึ่งพิสูจน์ได้ว่าผู้นำฟอรัมเศรษฐกิจโลก (WEF) มีส่วนเกี่ยวข้องกับการฟอกเงินกองทุน "ด้านสภาพอากาศ" กว่า 400,000 ล้านดอลลาร์ผ่านองค์กรพัฒนาเอกชนปลอม กับดักหนี้ และการขโมยสินทรัพย์ดิจิทัล โลกไม่เคยเป็นเป้าหมายของพวกเขา เป้าหมายของพวกเขาคือที่ดิน อาหาร และพลังงาน ภายใต้หน้ากากของ "ความยุติธรรม" พวกเขากดขี่ชาวนา ลิดรอนสิทธิของชนพื้นเมือง และใช้องค์กรการกุศลปลอมเพื่อจัดการรัฐประหารทางการเมือง แต่มันไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น ไฟล์เซิร์ฟเวอร์ WEF ในยุค COVID-19 ซึ่งค้นพบในช่วงปลายปี 2024 แสดงให้เห็นว่ามีการวางแผนการล็อกดาวน์ไว้ล่วงหน้า มีเครือข่ายการทุจริตในสื่อ และมีแผนที่จะนำไบโอเมตริกส์มาใช้ตั้งแต่ปี 2017 วัคซีนเป็นเครื่องมือ วิกฤตได้รับการวางแผน ในช่วงต้นปี 2025 ผู้แจ้งเบาะแสเริ่มเปิดเผยด้านมืด: การทดสอบตัวตนดิจิทัลแบบลับในแคนาดา ออสเตรเลีย และเยอรมนี โปรแกรมนำร่องเหล่านี้ผสมผสานสถานะสุขภาพ พฤติกรรมเครดิต และการติดตามโซเชียลมีเดียโดยไม่ได้ขออนุญาต ผู้คนไม่ได้รับการปฏิบัติเหมือนเป็นบุคคล แต่เป็นหน่วยที่ตั้งโปรแกรมได้ บันทึกการวางแผนภายในของฟอรัมเศรษฐกิจโลกเรียกสิ่งเหล่านี้ว่า "คลัสเตอร์พฤติกรรม" และ "โหนดการผลิตข้อมูล" คุกอัจฉริยะของชวาบมีอยู่จริงและเกือบจะพร้อมแล้ว ความเย่อหยิ่งครอบงำเมืองดาวอส เสียงจากการประชุมโต๊ะกลมในเดือนมกราคม 2024 เผยให้เห็นซีอีโอพูดเล่นเกี่ยวกับการล่มสลายของตลาด "ตามต้องการ" และการขู่กรรโชกเจ้าหน้าที่เพื่อให้ผ่านกฎหมายภาษีคาร์บอน ปัจจุบัน กลุ่มหมวกขาวมีหลักฐานว่า WEF ให้ทุนสนับสนุนการจลาจล การทุจริตการเลือกตั้ง และใช้ปัญญาประดิษฐ์เพื่อปิดปากผู้เห็นต่าง กำแพงถูกพังทลายลงในเดือนมีนาคม 2025 การ "เกษียณอายุ" ของ Schwab เป็นการออกจากตำแหน่งโดยถูกบังคับ พันธมิตรที่สำคัญเปลี่ยนฝ่าย ประเทศต่างๆ มากกว่าสิบประเทศได้เริ่มการสอบสวนทางอาญา ภาพลักษณ์ของภูมิคุ้มกันของชนชั้นนำพังทลายลง ผลกระทบได้เริ่มขึ้นแล้วในวันที่ 21 มิถุนายน ข้อตกลงการค้าที่เชื่อมโยงกับเป้าหมายของฟอรัมเศรษฐกิจโลกกำลังล้มเหลว การหลอกลวง ESG กำลังล้มเหลว การสืบสวนทางนิติวิทยาศาสตร์กำลังดำเนินการอยู่ที่ Deutsche Bank, HSBC และธนาคารใหญ่ๆ อื่นๆ ที่เชื่อมโยงกับ Davos ผู้ที่รับผิดชอบกำลังลาออก ระบบระบุตัวตนดิจิทัลกำลังปิดตัวลง ศูนย์กลางการประสานงานของกลุ่มลับสูญเสียไปแล้ว และความตื่นตระหนกกำลังแพร่กระจายไปทั่วห้องโถงของอำนาจระดับโลก นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ข้อมูลที่ได้มาหลังจากการยุบ WEF ถูกนำมาใช้โจมตี WHO, BIS และกลุ่มมนุษยธรรมปลอมทั้งหมดที่ร่วมมือกับ Davos เพื่อแสวงหากำไร การเปิดเผยนี้จะเกิดขึ้นในฤดูร้อนนี้ ซึ่งจะครอบคลุมทั่วโลกและไม่อาจปฏิเสธได้ และจะเป็นเครื่องหมายจุดจบของระบบเก่า เมื่อครั้งหนึ่งเคยทำงานในเงามืด ตอนนี้มันกลับถูกเผาไหม้ต่อหน้าต่อตา WEF ล่มสลาย ภาพลวงตาถูกทำลาย และจากเถ้าถ่านของมัน ยุคฟื้นฟูที่แท้จริงได้ถือกำเนิดขึ้น ยุคฟื้นฟูที่ไม่ได้เขียนโดยผู้เผด็จการ แต่เขียนโดยประชาชนที่เป็นอิสระ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 605 มุมมอง 0 รีวิว
  • เครื่องบินเติมน้ำมันทางอากาศ KC-46A “Pegasus” ของกองทัพอากาศสหรัฐหลายลำ ซึ่งมีชื่อรหัสว่า HIFI31, HIFI32, HIFI33 และ HIFI34 ได้ออกเดินทางจากฐานทัพอากาศ Travis ในรัฐแคลิฟอร์เนียเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา โดยมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกเหนือมหาสมุทรแปซิฟิก

    สิ่งที่น่าสนใจสำหรับกรณีนี้คือ เครื่องบินเติมน้ำมันที่มีรหัสเหล่านี้ เคยมีหน้าที่เติมน้ำมันให้กับเครื่องบินทิ้งระเบิดทางยุทธศาสตร์พิสัยไกล B-52, B-1 และ B-2

    เป็นไปได้ว่าเครื่องบินเติมน้ำมันเหล่านี้ อาจกำลังบินมาทางแปซิฟิค เพื่อเตรียมพร้อมล่วงหน้าในออสเตรเลียหรือที่อื่นในแถบภูมิภาคนี้ เพื่อเตรียมการส่งเครื่องบินทิ้งระเบิดเพิ่มเติมไปยังดิเอโก การ์เซียในมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งอยู่ห่างจากอิหร่านไปประมาณ 2,000 ไมล์
    เครื่องบินเติมน้ำมันทางอากาศ KC-46A “Pegasus” ของกองทัพอากาศสหรัฐหลายลำ ซึ่งมีชื่อรหัสว่า HIFI31, HIFI32, HIFI33 และ HIFI34 ได้ออกเดินทางจากฐานทัพอากาศ Travis ในรัฐแคลิฟอร์เนียเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา โดยมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกเหนือมหาสมุทรแปซิฟิก 👉สิ่งที่น่าสนใจสำหรับกรณีนี้คือ เครื่องบินเติมน้ำมันที่มีรหัสเหล่านี้ เคยมีหน้าที่เติมน้ำมันให้กับเครื่องบินทิ้งระเบิดทางยุทธศาสตร์พิสัยไกล B-52, B-1 และ B-2 เป็นไปได้ว่าเครื่องบินเติมน้ำมันเหล่านี้ อาจกำลังบินมาทางแปซิฟิค เพื่อเตรียมพร้อมล่วงหน้าในออสเตรเลียหรือที่อื่นในแถบภูมิภาคนี้ เพื่อเตรียมการส่งเครื่องบินทิ้งระเบิดเพิ่มเติมไปยังดิเอโก การ์เซียในมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งอยู่ห่างจากอิหร่านไปประมาณ 2,000 ไมล์
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 408 มุมมอง 0 รีวิว
  • Anubis Ransomware: ภัยคุกคามใหม่ที่ทำให้การกู้คืนข้อมูลเป็นไปไม่ได้
    นักวิจัยด้านความปลอดภัยค้นพบ Anubis ซึ่งเป็นมัลแวร์เรียกค่าไถ่แบบ Ransomware-as-a-Service (RaaS) ที่มีความสามารถในการ เข้ารหัสและทำลายข้อมูล โดยมัลแวร์นี้สามารถลบไฟล์อย่างถาวรหลังจากเข้ารหัส ทำให้เหยื่อไม่สามารถกู้คืนข้อมูลได้ แม้จะจ่ายค่าไถ่.

    รายละเอียดการโจมตี
    Anubis สามารถเข้ารหัสข้อมูลบนระบบ Windows และมีโหมด "wipe mode" ที่สามารถลบไฟล์อย่างถาวร.
    มัลแวร์นี้ถูกค้นพบครั้งแรกในเดือนธันวาคม 2024 โดย Trend Micro ซึ่งพบว่ามีความคล้ายคลึงกับมัลแวร์ Sphinx.
    กลุ่มแฮกเกอร์ที่อยู่เบื้องหลัง Anubis กำลังขยายเครือข่าย โดยเสนอส่วนแบ่งรายได้สูงถึง 80% ให้กับผู้ร่วมขบวนการ.
    มัลแวร์แพร่กระจายผ่านอีเมลฟิชชิ่ง ที่ปลอมแปลงเป็นแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้.

    ผลกระทบและข้อควรระวัง
    Anubis สามารถทำให้ข้อมูลสูญหายอย่างถาวร แม้เหยื่อจะยอมจ่ายค่าไถ่.
    มัลแวร์สามารถลบ Shadow Copies ทำให้การกู้คืนข้อมูลจากระบบ Windows เป็นไปไม่ได้.
    องค์กรที่ตกเป็นเหยื่ออาจต้องเผชิญกับความเสียหายทางธุรกิจ เนื่องจากข้อมูลสำคัญถูกทำลาย.

    แนวทางป้องกัน
    หลีกเลี่ยงการเปิดไฟล์แนบจากอีเมลที่น่าสงสัย และตรวจสอบแหล่งที่มาของอีเมลก่อนคลิก.
    สำรองข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ โดยใช้ระบบสำรองข้อมูลที่แยกออกจากเครือข่ายหลัก.
    ใช้ซอฟต์แวร์รักษาความปลอดภัยที่สามารถตรวจจับ Ransomware เช่น Microsoft Defender for Endpoint.

    ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับภัยคุกคามไซเบอร์
    Microsoft เสนอเครื่องมือรักษาความปลอดภัยฟรีให้กับยุโรป เพื่อช่วยป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์.
    ออสเตรเลียเป็นประเทศแรกที่บังคับให้เปิดเผยการจ่ายค่าไถ่ เพื่อเพิ่มความโปร่งใสในการรับมือกับ Ransomware.
    มัลแวร์ที่สามารถทำลายข้อมูลอาจถูกใช้เพื่อกดดันเหยื่อให้จ่ายค่าไถ่เร็วขึ้น โดยไม่ให้โอกาสในการเจรจา.

    https://www.techspot.com/news/108332-anubis-ransomware-can-encrypt-destroy-data-making-file.html
    Anubis Ransomware: ภัยคุกคามใหม่ที่ทำให้การกู้คืนข้อมูลเป็นไปไม่ได้ นักวิจัยด้านความปลอดภัยค้นพบ Anubis ซึ่งเป็นมัลแวร์เรียกค่าไถ่แบบ Ransomware-as-a-Service (RaaS) ที่มีความสามารถในการ เข้ารหัสและทำลายข้อมูล โดยมัลแวร์นี้สามารถลบไฟล์อย่างถาวรหลังจากเข้ารหัส ทำให้เหยื่อไม่สามารถกู้คืนข้อมูลได้ แม้จะจ่ายค่าไถ่. รายละเอียดการโจมตี ✅ Anubis สามารถเข้ารหัสข้อมูลบนระบบ Windows และมีโหมด "wipe mode" ที่สามารถลบไฟล์อย่างถาวร. ✅ มัลแวร์นี้ถูกค้นพบครั้งแรกในเดือนธันวาคม 2024 โดย Trend Micro ซึ่งพบว่ามีความคล้ายคลึงกับมัลแวร์ Sphinx. ✅ กลุ่มแฮกเกอร์ที่อยู่เบื้องหลัง Anubis กำลังขยายเครือข่าย โดยเสนอส่วนแบ่งรายได้สูงถึง 80% ให้กับผู้ร่วมขบวนการ. ✅ มัลแวร์แพร่กระจายผ่านอีเมลฟิชชิ่ง ที่ปลอมแปลงเป็นแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้. ผลกระทบและข้อควรระวัง ‼️ Anubis สามารถทำให้ข้อมูลสูญหายอย่างถาวร แม้เหยื่อจะยอมจ่ายค่าไถ่. ‼️ มัลแวร์สามารถลบ Shadow Copies ทำให้การกู้คืนข้อมูลจากระบบ Windows เป็นไปไม่ได้. ‼️ องค์กรที่ตกเป็นเหยื่ออาจต้องเผชิญกับความเสียหายทางธุรกิจ เนื่องจากข้อมูลสำคัญถูกทำลาย. แนวทางป้องกัน ✅ หลีกเลี่ยงการเปิดไฟล์แนบจากอีเมลที่น่าสงสัย และตรวจสอบแหล่งที่มาของอีเมลก่อนคลิก. ✅ สำรองข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ โดยใช้ระบบสำรองข้อมูลที่แยกออกจากเครือข่ายหลัก. ✅ ใช้ซอฟต์แวร์รักษาความปลอดภัยที่สามารถตรวจจับ Ransomware เช่น Microsoft Defender for Endpoint. ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับภัยคุกคามไซเบอร์ ✅ Microsoft เสนอเครื่องมือรักษาความปลอดภัยฟรีให้กับยุโรป เพื่อช่วยป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์. ✅ ออสเตรเลียเป็นประเทศแรกที่บังคับให้เปิดเผยการจ่ายค่าไถ่ เพื่อเพิ่มความโปร่งใสในการรับมือกับ Ransomware. ‼️ มัลแวร์ที่สามารถทำลายข้อมูลอาจถูกใช้เพื่อกดดันเหยื่อให้จ่ายค่าไถ่เร็วขึ้น โดยไม่ให้โอกาสในการเจรจา. https://www.techspot.com/news/108332-anubis-ransomware-can-encrypt-destroy-data-making-file.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    New Anubis ransomware can encrypt and destroy data, making file recovery impossible
    Security researchers have discovered a new Ransomware-as-a-Service campaign with highly destructive potential. Anubis has only been around for a few months and fortunately, hasn't claimed many victims...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 327 มุมมอง 0 รีวิว
  • 2/
    เอริน โมแลน (Erin Molan) ผู้ประกาศข่าวชาวออสเตรเลีย ที่เคยทำงานให้กับสถานี Sky News Australia และเคยเป็นคอลัมนิสต์ให้กับหนังสือพิมพ์ The Daily Telegraph ในซิดนีย์ กำลังรายงานสภาพเทลอาวีฟหลังการโจมตีตอบโต้จากอิหร่าน

    เธอกล่าวหาอิหร่านว่า ตั้งใจโจมตีไปที่บริเวณที่มีประชากรหนาแน่น และมีครอบครัวจำนวนมากอาศัยอยู่ (จริงๆไม่มีใครอยู่แล้ว หรือมีก็ส่วนน้อย เพราะเกือบทั้งหมดอพยพไปอยู่สถานที่พักพิงที่รัฐบาลจัดให้)

    “ที่นี่บนพื้นดินที่จุดหนึ่งที่ขีปนาวุธยูเรเนียมลูกหนึ่งถูกยิงลงมา และคุณจะเห็นได้ว่าบริเวณนี้มีประชากรหนาแน่นมากเพียงใด ที่นี่คุณจะเห็นอพาร์ตเมนต์จำนวนมาก ครอบครัวจำนวนมาก และรถยนต์จำนวนมากพังยับเยิน รถยนต์พลิกคว่ำ รถทับรถคันอื่นๆ อย่างที่คุณกำลังได้เห็นอยู่นี่

    นี่มันเป็นการโจมตีพลเรือนโดยตรง ซึ่งตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับสิ่งที่กองทัพอิสราเอลทำ พวกเขาจะโจมตีที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานทางทหารเท่านั้น และพื้นที่ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนานิวเคลียร์ นั่นคือสิ่งที่อิสราเอลทำ

    แต่เมื่ออิหร่านตอบโต้ พวกเขาเล็งไปที่พลเรือนแบบไม่เลือกหน้า คุณจะเห็นได้นี่คือผลโดยตรงที่อิหร่านทำ มีผู้เสียชีวิตที่นี่ มีผู้ได้รับบาดเจ็บ มีผู้คนและบ้านเรือนจำนวนมากพังยับเยิน” โมแลนกล่าวหาอิหร่าน และชื่นชมอิสราเอล!
    2/ เอริน โมแลน (Erin Molan) ผู้ประกาศข่าวชาวออสเตรเลีย ที่เคยทำงานให้กับสถานี Sky News Australia และเคยเป็นคอลัมนิสต์ให้กับหนังสือพิมพ์ The Daily Telegraph ในซิดนีย์ กำลังรายงานสภาพเทลอาวีฟหลังการโจมตีตอบโต้จากอิหร่าน เธอกล่าวหาอิหร่านว่า ตั้งใจโจมตีไปที่บริเวณที่มีประชากรหนาแน่น และมีครอบครัวจำนวนมากอาศัยอยู่ (จริงๆไม่มีใครอยู่แล้ว หรือมีก็ส่วนน้อย เพราะเกือบทั้งหมดอพยพไปอยู่สถานที่พักพิงที่รัฐบาลจัดให้) “ที่นี่บนพื้นดินที่จุดหนึ่งที่ขีปนาวุธยูเรเนียมลูกหนึ่งถูกยิงลงมา และคุณจะเห็นได้ว่าบริเวณนี้มีประชากรหนาแน่นมากเพียงใด ที่นี่คุณจะเห็นอพาร์ตเมนต์จำนวนมาก ครอบครัวจำนวนมาก และรถยนต์จำนวนมากพังยับเยิน รถยนต์พลิกคว่ำ รถทับรถคันอื่นๆ อย่างที่คุณกำลังได้เห็นอยู่นี่ นี่มันเป็นการโจมตีพลเรือนโดยตรง ซึ่งตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับสิ่งที่กองทัพอิสราเอลทำ พวกเขาจะโจมตีที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานทางทหารเท่านั้น และพื้นที่ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนานิวเคลียร์ นั่นคือสิ่งที่อิสราเอลทำ แต่เมื่ออิหร่านตอบโต้ พวกเขาเล็งไปที่พลเรือนแบบไม่เลือกหน้า คุณจะเห็นได้นี่คือผลโดยตรงที่อิหร่านทำ มีผู้เสียชีวิตที่นี่ มีผู้ได้รับบาดเจ็บ มีผู้คนและบ้านเรือนจำนวนมากพังยับเยิน” โมแลนกล่าวหาอิหร่าน และชื่นชมอิสราเอล!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 431 มุมมอง 34 0 รีวิว
Pages Boosts