• DeepSeek ถูกแบนในเช็ก – เพราะอาจส่งข้อมูลผู้ใช้ให้รัฐบาลจีน

    DeepSeek เป็นบริษัท AI จากจีนที่เปิดตัวในปี 2023 และได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วหลังเปิดตัวแอปบน iOS และ Android ในเดือนมกราคม 2025 โดยสามารถแซง ChatGPT ขึ้นอันดับหนึ่งใน App Store ได้ในหลายประเทศ

    แต่ความนิยมนี้กลับมาพร้อมกับความกังวลด้านความมั่นคง เมื่อหน่วยงานความมั่นคงไซเบอร์แห่งชาติของเช็ก (NÚKIB) ออกรายงานเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2025 ระบุว่า DeepSeek และบริษัทแม่ High-Flyer มี “ความเชื่อมโยงลึก” กับรัฐบาลจีน และอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือในการจารกรรมข้อมูล

    รายงานอ้างถึงกฎหมายจีนหลายฉบับ เช่น:
    - กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติ
    - กฎหมายข่าวกรองแห่งชาติ
    - กฎหมายต่อต้านการจารกรรม

    ซึ่งทั้งหมดบังคับให้บริษัทจีนต้องให้ข้อมูลผู้ใช้แก่รัฐบาล ไม่ว่าผู้ใช้นั้นจะอยู่ประเทศใดก็ตาม

    ผลคือ Czechia ประกาศแบนการใช้งาน DeepSeek ในเกือบทุกกรณี ยกเว้นสำหรับนักวิจัยด้านความปลอดภัย และการใช้งานโมเดลโอเพนซอร์สที่ไม่เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ของบริษัท

    ประเทศอื่น ๆ ที่ออกมาตรการคล้ายกัน ได้แก่ สหรัฐฯ (รวมถึงกองทัพเรือและ NASA), แคนาดา, ออสเตรเลีย, อินเดีย, อิตาลี, เดนมาร์ก, เนเธอร์แลนด์, นอร์เวย์, เกาหลีใต้ และไต้หวัน

    NÚKIB ระบุว่า “ความกังวลต่อ DeepSeek ไม่ได้เกิดจากวัฒนธรรมร่วมกันหรือภูมิศาสตร์ แต่เป็นผลจากการประเมินความเสี่ยงอย่างเป็นกลาง” และคาดว่าประเทศอื่น ๆ จะออกมาตรการเพิ่มเติมในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

    ข้อมูลจากข่าว
    - รัฐบาลเช็กประกาศแบนการใช้งาน DeepSeek เนื่องจากความเสี่ยงด้านความมั่นคงไซเบอร์
    - DeepSeek เป็นบริษัท AI จากจีนที่เปิดตัวในปี 2023 และได้รับความนิยมในปี 2025
    - หน่วยงาน NÚKIB ระบุว่า DeepSeek มีความเชื่อมโยงกับรัฐบาลจีน
    - อ้างถึงกฎหมายจีนที่บังคับให้บริษัทต้องให้ข้อมูลผู้ใช้แก่รัฐบาล
    - การแบนครอบคลุมทุกกรณี ยกเว้นนักวิจัยและการใช้งานแบบ self-host ที่ไม่เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ของบริษัท
    - ประเทศอื่นที่ออกมาตรการคล้ายกัน ได้แก่ สหรัฐฯ, แคนาดา, ออสเตรเลีย, อินเดีย, อิตาลี, เดนมาร์ก, เนเธอร์แลนด์, นอร์เวย์, เกาหลีใต้ และไต้หวัน

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    - ผู้ใช้ DeepSeek อาจเสี่ยงต่อการถูกเก็บข้อมูลและส่งต่อให้รัฐบาลจีนโดยไม่รู้ตัว
    - กฎหมายจีนมีอำนาจเหนือบริษัทจีนแม้จะให้บริการในต่างประเทศ
    - การใช้งานโมเดล AI ที่เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์จีนอาจเปิดช่องให้เกิดการจารกรรมข้อมูล
    - องค์กรควรหลีกเลี่ยงการใช้บริการจากบริษัทที่มีความเชื่อมโยงกับรัฐบาลต่างชาติในงานที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลสำคัญ
    - การใช้งานโมเดลโอเพนซอร์สควรทำแบบ self-host เพื่อป้องกันการส่งข้อมูลออกนอกองค์กร

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/czechia-warns-that-deepseek-can-share-all-user-information-with-the-chinese-government
    DeepSeek ถูกแบนในเช็ก – เพราะอาจส่งข้อมูลผู้ใช้ให้รัฐบาลจีน DeepSeek เป็นบริษัท AI จากจีนที่เปิดตัวในปี 2023 และได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วหลังเปิดตัวแอปบน iOS และ Android ในเดือนมกราคม 2025 โดยสามารถแซง ChatGPT ขึ้นอันดับหนึ่งใน App Store ได้ในหลายประเทศ แต่ความนิยมนี้กลับมาพร้อมกับความกังวลด้านความมั่นคง เมื่อหน่วยงานความมั่นคงไซเบอร์แห่งชาติของเช็ก (NÚKIB) ออกรายงานเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2025 ระบุว่า DeepSeek และบริษัทแม่ High-Flyer มี “ความเชื่อมโยงลึก” กับรัฐบาลจีน และอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือในการจารกรรมข้อมูล รายงานอ้างถึงกฎหมายจีนหลายฉบับ เช่น: - กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติ - กฎหมายข่าวกรองแห่งชาติ - กฎหมายต่อต้านการจารกรรม ซึ่งทั้งหมดบังคับให้บริษัทจีนต้องให้ข้อมูลผู้ใช้แก่รัฐบาล ไม่ว่าผู้ใช้นั้นจะอยู่ประเทศใดก็ตาม ผลคือ Czechia ประกาศแบนการใช้งาน DeepSeek ในเกือบทุกกรณี ยกเว้นสำหรับนักวิจัยด้านความปลอดภัย และการใช้งานโมเดลโอเพนซอร์สที่ไม่เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ของบริษัท ประเทศอื่น ๆ ที่ออกมาตรการคล้ายกัน ได้แก่ สหรัฐฯ (รวมถึงกองทัพเรือและ NASA), แคนาดา, ออสเตรเลีย, อินเดีย, อิตาลี, เดนมาร์ก, เนเธอร์แลนด์, นอร์เวย์, เกาหลีใต้ และไต้หวัน NÚKIB ระบุว่า “ความกังวลต่อ DeepSeek ไม่ได้เกิดจากวัฒนธรรมร่วมกันหรือภูมิศาสตร์ แต่เป็นผลจากการประเมินความเสี่ยงอย่างเป็นกลาง” และคาดว่าประเทศอื่น ๆ จะออกมาตรการเพิ่มเติมในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ✅ ข้อมูลจากข่าว - รัฐบาลเช็กประกาศแบนการใช้งาน DeepSeek เนื่องจากความเสี่ยงด้านความมั่นคงไซเบอร์ - DeepSeek เป็นบริษัท AI จากจีนที่เปิดตัวในปี 2023 และได้รับความนิยมในปี 2025 - หน่วยงาน NÚKIB ระบุว่า DeepSeek มีความเชื่อมโยงกับรัฐบาลจีน - อ้างถึงกฎหมายจีนที่บังคับให้บริษัทต้องให้ข้อมูลผู้ใช้แก่รัฐบาล - การแบนครอบคลุมทุกกรณี ยกเว้นนักวิจัยและการใช้งานแบบ self-host ที่ไม่เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ของบริษัท - ประเทศอื่นที่ออกมาตรการคล้ายกัน ได้แก่ สหรัฐฯ, แคนาดา, ออสเตรเลีย, อินเดีย, อิตาลี, เดนมาร์ก, เนเธอร์แลนด์, นอร์เวย์, เกาหลีใต้ และไต้หวัน ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง - ผู้ใช้ DeepSeek อาจเสี่ยงต่อการถูกเก็บข้อมูลและส่งต่อให้รัฐบาลจีนโดยไม่รู้ตัว - กฎหมายจีนมีอำนาจเหนือบริษัทจีนแม้จะให้บริการในต่างประเทศ - การใช้งานโมเดล AI ที่เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์จีนอาจเปิดช่องให้เกิดการจารกรรมข้อมูล - องค์กรควรหลีกเลี่ยงการใช้บริการจากบริษัทที่มีความเชื่อมโยงกับรัฐบาลต่างชาติในงานที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลสำคัญ - การใช้งานโมเดลโอเพนซอร์สควรทำแบบ self-host เพื่อป้องกันการส่งข้อมูลออกนอกองค์กร https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/czechia-warns-that-deepseek-can-share-all-user-information-with-the-chinese-government
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Czechia warns that DeepSeek can share all user information with the Chinese government
    U.S. lawmakers issued similar warnings after the China-based AI company released its eponymous chatbot.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 55 มุมมอง 0 รีวิว
  • Nvidia เปิดตัว RTX 5050 แบบเงียบ ๆ และไม่มีใครได้การ์ดมาทดสอบก่อน วันเปิดขายก็ไม่มีรีวิวให้ดู → ส่อแววแปลก ๆ ตั้งแต่ต้น → จนทีม TechSpot ต้อง “ซื้อเอง” มาราว 500 ดอลลาร์ออสเตรเลียเพื่อรีวิว

    ผลคือ…มันคือการ์ดระดับเริ่มต้นที่ใช้แรม 8GB GDDR6 บัส 128 บิต → สถาปัตยกรรม Blackwell เหมือน RTX 5090 แต่ถูกตัดสเปกลงหนัก → ความแรงโดยเฉลี่ยในเกม 18 เกมอยู่ที่ 66 fps ที่ 1080p → ต่ำกว่า Radeon RX 7600 เสียอีก

    ที่น่าผิดหวังคือ ราคาประมาณ $250 นี้ เทียบแล้วแพงกว่า RX 9060 XT (8GB) ที่แรงกว่า 44% → และถ้าไปเล่นรุ่น 9060 XT แบบ 16GB ที่ราคาประมาณ $370 ก็แรงกว่า 80% เลย!

    GeForce RTX 5050 เปิดขาย 1 ก.ค. 2025 ด้วยราคา $250  
    • ไม่มีรีวิวล่วงหน้า  
    • ไม่มีเครื่องเทสต์ให้สื่อ

    สเปกหลักของ RTX 5050:  
    • 8GB GDDR6 @ 20Gbps  
    • บัส 128 บิต, 320 GB/s  
    • ใช้สถาปัตยกรรม Blackwell (GB207)  
    • 130W TDP, PCIe 5.0 x8  
    • รองรับ DLSS 4

    ค่าเฉลี่ย 1080p เล่นเกม 18 เกม = 66 fps → ต่ำกว่า RX 7600 (~3%)  
    • RX 9060 XT 8GB แรงกว่า 44% ในราคาแพงกว่าเพียง ~20%  
    • RX 9060 XT 16GB แรงกว่า 80% ที่ $370

    ข้อดี:  
    • ประหยัดพลังงาน  
    • รองรับ DLSS4  
    • เย็นพอใช้ (73°C ที่โหลดเต็ม)

    #ลุงฟันธง
    1️⃣ ใครคิดจะ upgrade จาก RTX 3050 อย่าเลยครับ รอซื้อเครื่องใหม่เลย
    2️⃣ ใครคิดจะซื้อเครื่องใหม่เล็งไปที่ APU ของ AMD เช่น 8700G น่าจะโอเคกว่า
    3️⃣ ใครเป็นสาวก CPU Intel ซื้อเลยครับ

    https://www.techspot.com/review/3011-nvidia-geforce-rtx-5050/
    Nvidia เปิดตัว RTX 5050 แบบเงียบ ๆ และไม่มีใครได้การ์ดมาทดสอบก่อน วันเปิดขายก็ไม่มีรีวิวให้ดู → ส่อแววแปลก ๆ ตั้งแต่ต้น → จนทีม TechSpot ต้อง “ซื้อเอง” มาราว 500 ดอลลาร์ออสเตรเลียเพื่อรีวิว ผลคือ…มันคือการ์ดระดับเริ่มต้นที่ใช้แรม 8GB GDDR6 บัส 128 บิต → สถาปัตยกรรม Blackwell เหมือน RTX 5090 แต่ถูกตัดสเปกลงหนัก → ความแรงโดยเฉลี่ยในเกม 18 เกมอยู่ที่ 66 fps ที่ 1080p → ต่ำกว่า Radeon RX 7600 เสียอีก ที่น่าผิดหวังคือ ราคาประมาณ $250 นี้ เทียบแล้วแพงกว่า RX 9060 XT (8GB) ที่แรงกว่า 44% → และถ้าไปเล่นรุ่น 9060 XT แบบ 16GB ที่ราคาประมาณ $370 ก็แรงกว่า 80% เลย! ✅ GeForce RTX 5050 เปิดขาย 1 ก.ค. 2025 ด้วยราคา $250   • ไม่มีรีวิวล่วงหน้า   • ไม่มีเครื่องเทสต์ให้สื่อ ✅ สเปกหลักของ RTX 5050:   • 8GB GDDR6 @ 20Gbps   • บัส 128 บิต, 320 GB/s   • ใช้สถาปัตยกรรม Blackwell (GB207)   • 130W TDP, PCIe 5.0 x8   • รองรับ DLSS 4 ✅ ค่าเฉลี่ย 1080p เล่นเกม 18 เกม = 66 fps → ต่ำกว่า RX 7600 (~3%)   • RX 9060 XT 8GB แรงกว่า 44% ในราคาแพงกว่าเพียง ~20%   • RX 9060 XT 16GB แรงกว่า 80% ที่ $370 ✅ ข้อดี:   • ประหยัดพลังงาน   • รองรับ DLSS4   • เย็นพอใช้ (73°C ที่โหลดเต็ม) #ลุงฟันธง 1️⃣ ใครคิดจะ upgrade จาก RTX 3050 อย่าเลยครับ รอซื้อเครื่องใหม่เลย 2️⃣ ใครคิดจะซื้อเครื่องใหม่เล็งไปที่ APU ของ AMD เช่น 8700G น่าจะโอเคกว่า 3️⃣ ใครเป็นสาวก CPU Intel ซื้อเลยครับ https://www.techspot.com/review/3011-nvidia-geforce-rtx-5050/
    WWW.TECHSPOT.COM
    Nvidia GeForce RTX 5050 Review
    Nvidia's RTX 5050 launched with no reviews, no benchmarks, and barely any availability. It's their latest GPU release–and once again, you're expected to buy blind. But we've...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 92 มุมมอง 0 รีวิว
  • รัฐบาลออสเตรเลียตั้งเป้าจะ “ถอดบัญชีโซเชียลมีเดียของเยาวชนอายุ 10–15 ปีมากกว่า 1 ล้านบัญชี” → โดยตั้งกฎหมายใหม่ให้ “ผู้ใช้ต้องมีอายุอย่างน้อย 16 ปี” จึงจะใช้งานโซเชียลมีเดียได้ → ถ้าฝ่าฝืน บริษัทแพลตฟอร์มจะถูกปรับถึง A$30 ล้าน (≒ 820 ล้านบาท!)

    แต่ปัญหาคือ…กฎหมายผ่านแล้ว แต่ขั้นตอนปฏิบัติยังไม่ชัดเจน → จะนิยามว่า “โซเชียลมีเดีย” ว่าอะไรบ้าง? เช่น YouTube จะนับรวมไหม? → จะยืนยันอายุผู้ใช้แบบไหน? ใช้ AI, เอกสาร หรือการตรวจสอบโดยมนุษย์? → หากใช้ VPN เปลี่ยนที่อยู่ จะรับมือยังไง?

    หลายแพลตฟอร์มอย่าง YouTube ออกมาคัดค้าน → เพราะมองว่า “ตัวเองไม่ใช่โซเชียล แต่เป็นแพลตฟอร์มวิดีโอเพื่อการเรียนรู้” → กว่า 80% ของครูออสเตรเลียใช้ YouTube ในห้องเรียน → แต่หน่วยงานความปลอดภัยยืนยันว่าต้องรวม YouTube เพราะเด็กใช้มากที่สุดและมีฟีเจอร์ like, share, comment

    ตอนนี้ยังอยู่ในช่วงหารือกับบริษัทเทคโนโลยี → ต้องตกลงให้ได้ว่าบริษัทต้องทำอะไรเพื่อแสดงว่า “กำลังพยายามป้องกันไม่ให้เด็กต่ำกว่า 16 มีบัญชี” → รวมถึงต้องมีช่องให้ครู–ผู้ปกครองแจ้งบัญชีต้องสงสัย และมีวิธีป้องกันการหลบหลีกผ่าน VPN ด้วย

    ออสเตรเลียเตรียมใช้กฎหมายใหม่ที่ “ห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 16 ใช้โซเชียลมีเดีย” เริ่ม ธ.ค. 2025  
    • มีบทลงโทษแพลตฟอร์มละเมิดสูงถึง A$30 ล้าน  
    • คาดว่าจะกระทบบัญชีเยาวชนมากกว่า 1 ล้านราย

    แพลตฟอร์มที่ได้รับผลกระทบอาจรวมถึง YouTube, Instagram, TikTok, X, Facebook ฯลฯ  
    • YouTube เคยคาดว่าจะถูกยกเว้น แต่ถูกบอกว่าต้องรวม เพราะเด็กใช้มากและมีฟีเจอร์ “เสพติด”

    ยังไม่มีแนวทางชัดเจนว่าจะ “ยืนยันอายุผู้ใช้” อย่างไร  
    • ทดลองระบบยืนยันอายุแล้ว แต่ยังไม่ประกาศผลอย่างเป็นทางการ  
    • อยู่ระหว่างหารือกับบริษัทเทคโนโลยีเรื่องแนวทางปฏิบัติ

    ประเทศอื่นๆ เริ่มเดินตามแนวคิดนี้ เช่น นิวซีแลนด์ และฝรั่งเศส  
    • ฝรั่งเศสเตรียมห้ามเด็กต่ำกว่า 15 ใช้โซเชียลเช่นกัน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/07/australia-wants-to-bar-children-from-social-media-can-it-succeed
    รัฐบาลออสเตรเลียตั้งเป้าจะ “ถอดบัญชีโซเชียลมีเดียของเยาวชนอายุ 10–15 ปีมากกว่า 1 ล้านบัญชี” → โดยตั้งกฎหมายใหม่ให้ “ผู้ใช้ต้องมีอายุอย่างน้อย 16 ปี” จึงจะใช้งานโซเชียลมีเดียได้ → ถ้าฝ่าฝืน บริษัทแพลตฟอร์มจะถูกปรับถึง A$30 ล้าน (≒ 820 ล้านบาท!) แต่ปัญหาคือ…กฎหมายผ่านแล้ว แต่ขั้นตอนปฏิบัติยังไม่ชัดเจน → จะนิยามว่า “โซเชียลมีเดีย” ว่าอะไรบ้าง? เช่น YouTube จะนับรวมไหม? → จะยืนยันอายุผู้ใช้แบบไหน? ใช้ AI, เอกสาร หรือการตรวจสอบโดยมนุษย์? → หากใช้ VPN เปลี่ยนที่อยู่ จะรับมือยังไง? หลายแพลตฟอร์มอย่าง YouTube ออกมาคัดค้าน → เพราะมองว่า “ตัวเองไม่ใช่โซเชียล แต่เป็นแพลตฟอร์มวิดีโอเพื่อการเรียนรู้” → กว่า 80% ของครูออสเตรเลียใช้ YouTube ในห้องเรียน → แต่หน่วยงานความปลอดภัยยืนยันว่าต้องรวม YouTube เพราะเด็กใช้มากที่สุดและมีฟีเจอร์ like, share, comment ตอนนี้ยังอยู่ในช่วงหารือกับบริษัทเทคโนโลยี → ต้องตกลงให้ได้ว่าบริษัทต้องทำอะไรเพื่อแสดงว่า “กำลังพยายามป้องกันไม่ให้เด็กต่ำกว่า 16 มีบัญชี” → รวมถึงต้องมีช่องให้ครู–ผู้ปกครองแจ้งบัญชีต้องสงสัย และมีวิธีป้องกันการหลบหลีกผ่าน VPN ด้วย ✅ ออสเตรเลียเตรียมใช้กฎหมายใหม่ที่ “ห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 16 ใช้โซเชียลมีเดีย” เริ่ม ธ.ค. 2025   • มีบทลงโทษแพลตฟอร์มละเมิดสูงถึง A$30 ล้าน   • คาดว่าจะกระทบบัญชีเยาวชนมากกว่า 1 ล้านราย ✅ แพลตฟอร์มที่ได้รับผลกระทบอาจรวมถึง YouTube, Instagram, TikTok, X, Facebook ฯลฯ   • YouTube เคยคาดว่าจะถูกยกเว้น แต่ถูกบอกว่าต้องรวม เพราะเด็กใช้มากและมีฟีเจอร์ “เสพติด” ✅ ยังไม่มีแนวทางชัดเจนว่าจะ “ยืนยันอายุผู้ใช้” อย่างไร   • ทดลองระบบยืนยันอายุแล้ว แต่ยังไม่ประกาศผลอย่างเป็นทางการ   • อยู่ระหว่างหารือกับบริษัทเทคโนโลยีเรื่องแนวทางปฏิบัติ ✅ ประเทศอื่นๆ เริ่มเดินตามแนวคิดนี้ เช่น นิวซีแลนด์ และฝรั่งเศส   • ฝรั่งเศสเตรียมห้ามเด็กต่ำกว่า 15 ใช้โซเชียลเช่นกัน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/07/australia-wants-to-bar-children-from-social-media-can-it-succeed
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Australia wants to bar children from social media. Can it succeed?
    A law that restricts social media use to people 16 and over goes into effect in December, but much about it remains unclear or undecided.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 102 มุมมอง 0 รีวิว
  • สกู๊ตเปิดเส้นทางใหม่ สิงคโปร์-โกตาบารู

    สกู๊ต (Scoot) สายการบินราคาประหยัดในเครือสิงคโปร์แอร์ไลน์ เตรียมกลับมาเปิดให้บริการเส้นทางสิงคโปร์-โกตาบารู รัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย ด้วยเครื่องบิน Embraer E190-E2 สัปดาห์ละ 2 เที่ยวบิน ทุกวันศุกร์และวันอาทิตย์ เริ่มตั้งแต่วันที่ 26 ต.ค. 2568 เป็นต้นไป ได้แก่ ขาไป เที่ยวบินที่ TR460 ออกจากสิงคโปร์ 20.40 น. ถึงโกตาบารู 21.55 น. ใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมง 15 นาที และขากลับ TR461 ออกจากโกตาบารู 22.30 น. ถึงสิงคโปร์ 23.55 น. ใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมง 25 นาที

    โกตาบารู เมืองหลวงของรัฐกลันตัน ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของมาเลเซีย มีท่าอากาศยานสุลต่านอิสมาอิล เปตรา (KBR) ห่างจากด่านเป็งกาลันกูโบ ตรงข้าม อ.ตากใบ จ.นราธิวาส 37 กิโลเมตร และด่านรันเตาปันจัน ตรงข้าม อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส 50 กิโลเมตร เปิดใช้อาคารผู้โดยสารหลังใหม่เมื่อ 1 พ.ค. 2567 มีเที่ยวบินให้บริการวันละกว่า 30 เที่ยวบิน และมีผู้โดยสารใช้บริการมากกว่า 1.5 ล้านคนต่อปี กำลังขยายอาคารผู้โดยสารและรันเวย์เพื่อรองรับผู้โดยสารได้มากถึง 4 ล้านคนต่อปี

    ก่อนหน้านี้สกู๊ตเคยเปิดเส้นทางสิงคโปร์-โกตาบารู เมื่อปี 2562 ด้วยความถี่ 3 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ แต่ได้ยกเลิกไป การเปิดเส้นทางบินใหม่ดังกล่าว จะทำให้สกู๊ตมีเที่ยวบินรวมกัน 115 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ไปยัง 12 เมืองในมาเลเซีย

    นอกจากนี้ สกู๊ตเตรียมเปิดเส้นทางสิงคโปร์-ดานัง และสิงคโปร์-ญาจาง ประเทศเวียดนาม ซึ่งจะทำให้ท่าอากาศยานชางงีมีเครือข่ายเส้นทางบินครอบคลุมกว่า 170 เมือง อีกทั้งสกู๊ตมีแผนเปิดเส้นทางใหม่ไปยังเมดาน ลาบวน ประเทศอินโดนีเซีย และโอกินาวา ประเทศญี่ปุ่น รวมทั้งปรับปรุงเครือข่ายเส้นทางไปยังคลาร์ก ดาเวา มะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ จาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย หาดใหญ่ ประเทศไทย และเพิร์ธ ประเทศออสเตรเลีย เพื่อรองรับความต้องการเดินทางทางอากาศที่เพิ่มมากขึ้น

    สำหรับสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส ปัจจุบันมีท่าอากาศยานหาดใหญ่ จ.สงขลา ซึ่งมีเที่ยวบินไปยังประเทศสิงคโปร์ โดยสายการบินสกู๊ตเป็นประจำทุกวัน 1 เที่ยวบิน และมีไฟล์ตดึกทุกวันจันทร์ ศุกร์ และอาทิตย์ อีก 1 เที่ยวบิน จึงเป็นไปได้ว่าสกู๊ตต้องการเจาะกลุ่มเป้าหมายนักท่องเที่ยวไปยังเมืองโกตาบารู ชมสถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิม และหมู่เกาะเปอร์เฮนเทียน (Pulau Perhentian) แหล่งท่องเที่ยวทางทะเลและดำน้ำยอดนิยมในรัฐตรังกานูมากกว่า ซึ่งจากสนามบินโกตาบารู เดินทางด้วยรถยนต์ไปอีก 60 กิโลเมตร จะถึงท่าเรือกัวลาบูซุต (Kuala Besut) แล้วต่อด้วยเรือเฟอร์รี่เพื่อไปยังเกาะดังกล่าว

    #Newskit
    สกู๊ตเปิดเส้นทางใหม่ สิงคโปร์-โกตาบารู สกู๊ต (Scoot) สายการบินราคาประหยัดในเครือสิงคโปร์แอร์ไลน์ เตรียมกลับมาเปิดให้บริการเส้นทางสิงคโปร์-โกตาบารู รัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย ด้วยเครื่องบิน Embraer E190-E2 สัปดาห์ละ 2 เที่ยวบิน ทุกวันศุกร์และวันอาทิตย์ เริ่มตั้งแต่วันที่ 26 ต.ค. 2568 เป็นต้นไป ได้แก่ ขาไป เที่ยวบินที่ TR460 ออกจากสิงคโปร์ 20.40 น. ถึงโกตาบารู 21.55 น. ใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมง 15 นาที และขากลับ TR461 ออกจากโกตาบารู 22.30 น. ถึงสิงคโปร์ 23.55 น. ใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมง 25 นาที โกตาบารู เมืองหลวงของรัฐกลันตัน ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของมาเลเซีย มีท่าอากาศยานสุลต่านอิสมาอิล เปตรา (KBR) ห่างจากด่านเป็งกาลันกูโบ ตรงข้าม อ.ตากใบ จ.นราธิวาส 37 กิโลเมตร และด่านรันเตาปันจัน ตรงข้าม อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส 50 กิโลเมตร เปิดใช้อาคารผู้โดยสารหลังใหม่เมื่อ 1 พ.ค. 2567 มีเที่ยวบินให้บริการวันละกว่า 30 เที่ยวบิน และมีผู้โดยสารใช้บริการมากกว่า 1.5 ล้านคนต่อปี กำลังขยายอาคารผู้โดยสารและรันเวย์เพื่อรองรับผู้โดยสารได้มากถึง 4 ล้านคนต่อปี ก่อนหน้านี้สกู๊ตเคยเปิดเส้นทางสิงคโปร์-โกตาบารู เมื่อปี 2562 ด้วยความถี่ 3 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ แต่ได้ยกเลิกไป การเปิดเส้นทางบินใหม่ดังกล่าว จะทำให้สกู๊ตมีเที่ยวบินรวมกัน 115 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ไปยัง 12 เมืองในมาเลเซีย นอกจากนี้ สกู๊ตเตรียมเปิดเส้นทางสิงคโปร์-ดานัง และสิงคโปร์-ญาจาง ประเทศเวียดนาม ซึ่งจะทำให้ท่าอากาศยานชางงีมีเครือข่ายเส้นทางบินครอบคลุมกว่า 170 เมือง อีกทั้งสกู๊ตมีแผนเปิดเส้นทางใหม่ไปยังเมดาน ลาบวน ประเทศอินโดนีเซีย และโอกินาวา ประเทศญี่ปุ่น รวมทั้งปรับปรุงเครือข่ายเส้นทางไปยังคลาร์ก ดาเวา มะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ จาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย หาดใหญ่ ประเทศไทย และเพิร์ธ ประเทศออสเตรเลีย เพื่อรองรับความต้องการเดินทางทางอากาศที่เพิ่มมากขึ้น สำหรับสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส ปัจจุบันมีท่าอากาศยานหาดใหญ่ จ.สงขลา ซึ่งมีเที่ยวบินไปยังประเทศสิงคโปร์ โดยสายการบินสกู๊ตเป็นประจำทุกวัน 1 เที่ยวบิน และมีไฟล์ตดึกทุกวันจันทร์ ศุกร์ และอาทิตย์ อีก 1 เที่ยวบิน จึงเป็นไปได้ว่าสกู๊ตต้องการเจาะกลุ่มเป้าหมายนักท่องเที่ยวไปยังเมืองโกตาบารู ชมสถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิม และหมู่เกาะเปอร์เฮนเทียน (Pulau Perhentian) แหล่งท่องเที่ยวทางทะเลและดำน้ำยอดนิยมในรัฐตรังกานูมากกว่า ซึ่งจากสนามบินโกตาบารู เดินทางด้วยรถยนต์ไปอีก 60 กิโลเมตร จะถึงท่าเรือกัวลาบูซุต (Kuala Besut) แล้วต่อด้วยเรือเฟอร์รี่เพื่อไปยังเกาะดังกล่าว #Newskit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 203 มุมมอง 0 รีวิว
  • กล้องวงจรปิด (CCTV) เคยเป็นแค่เรื่องรักษาความปลอดภัย แต่วันนี้มันกลายเป็นเรื่องของ "ความมั่นคงระดับชาติ"

    แคนาดาเพิ่งสั่งให้ Hikvision — บริษัทยักษ์ใหญ่จากจีนที่เป็น ผู้ผลิตกล้องวงจรปิดอันดับ 1 ของโลก — หยุดดำเนินงานในประเทศ โดยระบุว่า “เป็นภัยต่อความมั่นคงของแคนาดา” (แต่ไม่ได้บอกรายละเอียดว่าเพราะอะไร)

    หลายฝ่ายเชื่อว่าสาเหตุอาจมาจากความสัมพันธ์ของ Hikvision กับรัฐจีน ซึ่งมีข่าวว่า กล้องแบรนด์นี้ถูกใช้ในระบบตรวจจับ–ติดตามชาวอุยกูร์ในซินเจียง มาก่อน — และประเทศอย่างสหรัฐฯ สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย ก็เคยแบนมาแล้วเช่นกัน

    ที่น่าสนใจคือ Canada ไม่ใช่แค่ห้ามซื้อใหม่ แต่ จะทยอยเลิกใช้กล้อง Hikvision ที่ติดตั้งอยู่แล้วในสถานที่ราชการ — และขอให้ประชาชน "ใช้วิจารณญาณ" ถ้าจะซื้ออุปกรณ์จากแบรนด์นี้ด้วย

    Hikvision เองก็ออกมาโต้ว่า "ไม่เป็นธรรม ขาดความโปร่งใส และดูเหมือนโดนเล่นงานเพราะเป็นบริษัทจากจีน" — ซึ่งก็สะท้อนว่าเทคโนโลยีบางอย่างกำลังถูกแปะป้าย “น่าเชื่อถือ/ไม่น่าเชื่อถือ” ด้วยเหตุผลทางภูมิรัฐศาสตร์มากกว่าเทคนิคจริง ๆ แล้วครับ

    แคนาดาสั่งให้ Hikvision หยุดดำเนินกิจการในประเทศทันที  
    • อ้างเหตุผลด้าน “ภัยต่อความมั่นคงแห่งชาติ”
    • อิงตามกฎหมาย Investment Canada Act

    Hikvision คือผู้ผลิต CCTV รายใหญ่ที่สุดของโลก  
    • เข้ามาทำตลาดในแคนาดาตั้งแต่ปี 2014  
    • ถูกมองว่ามีความเชื่อมโยงกับโครงการรัฐจีน

    แคนาดาจะทยอยเลิกใช้ Hikvision ในอาคารราชการและภาครัฐ
    • พร้อมขอให้ประชาชน “พิจารณาอย่างรอบคอบ” หากจะใช้อุปกรณ์จากแบรนด์นี้

    ประเทศอื่น ๆ เคยแบน Hikvision มาแล้ว เช่น:  
    • สหรัฐฯ, อังกฤษ, ออสเตรเลีย  
    • โดยเฉพาะจากข้อกล่าวหาว่าอุปกรณ์ถูกใช้สอดแนมชาวอุยกูร์ในจีน (ซึ่งจีนปฏิเสธ)

    Hikvision แถลงการณ์ว่า “การตัดสินใจครั้งนี้ไม่เป็นธรรม และขาดหลักฐานชัดเจน”

    https://www.techradar.com/pro/is-the-worlds-largest-cctv-surveillance-camera-vendor-going-to-be-the-next-huawei-canada-gov-bans-hikvision-amidst-security-fears
    กล้องวงจรปิด (CCTV) เคยเป็นแค่เรื่องรักษาความปลอดภัย แต่วันนี้มันกลายเป็นเรื่องของ "ความมั่นคงระดับชาติ" แคนาดาเพิ่งสั่งให้ Hikvision — บริษัทยักษ์ใหญ่จากจีนที่เป็น ผู้ผลิตกล้องวงจรปิดอันดับ 1 ของโลก — หยุดดำเนินงานในประเทศ โดยระบุว่า “เป็นภัยต่อความมั่นคงของแคนาดา” (แต่ไม่ได้บอกรายละเอียดว่าเพราะอะไร) หลายฝ่ายเชื่อว่าสาเหตุอาจมาจากความสัมพันธ์ของ Hikvision กับรัฐจีน ซึ่งมีข่าวว่า กล้องแบรนด์นี้ถูกใช้ในระบบตรวจจับ–ติดตามชาวอุยกูร์ในซินเจียง มาก่อน — และประเทศอย่างสหรัฐฯ สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย ก็เคยแบนมาแล้วเช่นกัน ที่น่าสนใจคือ Canada ไม่ใช่แค่ห้ามซื้อใหม่ แต่ จะทยอยเลิกใช้กล้อง Hikvision ที่ติดตั้งอยู่แล้วในสถานที่ราชการ — และขอให้ประชาชน "ใช้วิจารณญาณ" ถ้าจะซื้ออุปกรณ์จากแบรนด์นี้ด้วย Hikvision เองก็ออกมาโต้ว่า "ไม่เป็นธรรม ขาดความโปร่งใส และดูเหมือนโดนเล่นงานเพราะเป็นบริษัทจากจีน" — ซึ่งก็สะท้อนว่าเทคโนโลยีบางอย่างกำลังถูกแปะป้าย “น่าเชื่อถือ/ไม่น่าเชื่อถือ” ด้วยเหตุผลทางภูมิรัฐศาสตร์มากกว่าเทคนิคจริง ๆ แล้วครับ ✅ แคนาดาสั่งให้ Hikvision หยุดดำเนินกิจการในประเทศทันที   • อ้างเหตุผลด้าน “ภัยต่อความมั่นคงแห่งชาติ” • อิงตามกฎหมาย Investment Canada Act ✅ Hikvision คือผู้ผลิต CCTV รายใหญ่ที่สุดของโลก   • เข้ามาทำตลาดในแคนาดาตั้งแต่ปี 2014   • ถูกมองว่ามีความเชื่อมโยงกับโครงการรัฐจีน ✅ แคนาดาจะทยอยเลิกใช้ Hikvision ในอาคารราชการและภาครัฐ • พร้อมขอให้ประชาชน “พิจารณาอย่างรอบคอบ” หากจะใช้อุปกรณ์จากแบรนด์นี้ ✅ ประเทศอื่น ๆ เคยแบน Hikvision มาแล้ว เช่น:   • สหรัฐฯ, อังกฤษ, ออสเตรเลีย   • โดยเฉพาะจากข้อกล่าวหาว่าอุปกรณ์ถูกใช้สอดแนมชาวอุยกูร์ในจีน (ซึ่งจีนปฏิเสธ) ✅ Hikvision แถลงการณ์ว่า “การตัดสินใจครั้งนี้ไม่เป็นธรรม และขาดหลักฐานชัดเจน” https://www.techradar.com/pro/is-the-worlds-largest-cctv-surveillance-camera-vendor-going-to-be-the-next-huawei-canada-gov-bans-hikvision-amidst-security-fears
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 227 มุมมอง 0 รีวิว
  • สถานทูตออสเตรเลีย ประจำประเทศไทย แจ้งเตือน!!

    “มีความเสี่ยงต่อการก่อการร้ายในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง สถานที่ท่องเที่ยวในไทยอาจตกเป็นเป้าหมายของการก่อการร้าย รวมถึงในกรุงเทพฯ และภูเก็ต

    มีการประท้วงขนาดใหญ่เกิดขึ้นในกรุงเทพฯ และพื้นที่อื่น ๆ ซึ่งบางครั้งนำไปสู่ความรุนแรง หลีกเลี่ยงการเข้าร่วมการประท้วงและการชุมนุมทุกประเภท

    การใช้กัญชาในประเทศไทยจำกัดเฉพาะเพื่อวัตถุประสงค์ทางการแพทย์เท่านั้น และคุณต้องมีใบสั่งแพทย์
    สถานทูตออสเตรเลีย ประจำประเทศไทย แจ้งเตือน!! “มีความเสี่ยงต่อการก่อการร้ายในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง สถานที่ท่องเที่ยวในไทยอาจตกเป็นเป้าหมายของการก่อการร้าย รวมถึงในกรุงเทพฯ และภูเก็ต มีการประท้วงขนาดใหญ่เกิดขึ้นในกรุงเทพฯ และพื้นที่อื่น ๆ ซึ่งบางครั้งนำไปสู่ความรุนแรง หลีกเลี่ยงการเข้าร่วมการประท้วงและการชุมนุมทุกประเภท การใช้กัญชาในประเทศไทยจำกัดเฉพาะเพื่อวัตถุประสงค์ทางการแพทย์เท่านั้น และคุณต้องมีใบสั่งแพทย์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 264 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผู้พิพากษาศาลรัฐบาลกลางของประเทศออสเตรเลียเพิ่งมีคำตัดสินว่าจากการที่สำนักข่าว ABC ไล่ออกนักข่าว "Antoinette Lattouf " เป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย หลังจากที่เธอโพสต์รายงานของ Human Rights Watch เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนที่ถูกทำลายในฉนวนกาซาบนโซเชียลมีเดีย และวิจารณ์สื่อกระแสหลักหลายครั้ง
    ผู้พิพากษาศาลรัฐบาลกลางของประเทศออสเตรเลียเพิ่งมีคำตัดสินว่าจากการที่สำนักข่าว ABC ไล่ออกนักข่าว "Antoinette Lattouf " เป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย หลังจากที่เธอโพสต์รายงานของ Human Rights Watch เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนที่ถูกทำลายในฉนวนกาซาบนโซเชียลมีเดีย และวิจารณ์สื่อกระแสหลักหลายครั้ง
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 288 มุมมอง 34 0 รีวิว
  • มีงานวิจัยจาก University of Georgia วิเคราะห์แผนยุทธศาสตร์ด้าน AI ของ 50 ประเทศทั่วโลก โดยเน้นเรื่อง “การเตรียมคน” ผ่านนโยบายด้านการศึกษาและอาชีวะ ฝั่งยุโรป (เช่น เยอรมนี สเปน) ดูจะนำหน้าชัดเจน เพราะให้ความสำคัญสูงมากในเรื่อง lifelong learning และการฝึกอบรม AI สำหรับแรงงานทุกช่วงวัย

    ในขณะที่สหรัฐ, ญี่ปุ่น และอีกหลายประเทศอยู่ในกลุ่ม “ให้ความสำคัญระดับกลาง” คือรู้ว่า AI สำคัญ แต่ยังไม่มีแผนจัดเต็มในระดับชาติเหมือนยุโรป

    สิ่งที่น่าสนใจคือ มีเพียง “13 จาก 50 ประเทศ” เท่านั้นที่ให้ AI training อยู่ในระดับความสำคัญสูงสุด — และมีเพียงบางประเทศเท่านั้นที่กล้าเริ่มสอน AI ตั้งแต่ชั้นประถมหรืออนุบาลเลย

    แต่แม้จะพูดถึง AI เป็นเรื่องใหญ่ สิ่งหนึ่งที่กลับถูกมองข้ามคือ “soft skills” แบบมนุษย์ เช่น การสื่อสาร ความคิดสร้างสรรค์ การทำงานร่วมกับผู้อื่น — ซึ่งนักวิจัยเตือนว่าทักษะเหล่านี้คือสิ่งที่ AI แทนไม่ได้ และจะเป็น “จุดต่างสำคัญของมนุษย์ในที่ทำงานอนาคต”

    งานวิจัยสำรวจแผนพัฒนาทักษะ AI ของ 50 ประเทศ พบว่าเพียง 13 ประเทศให้ความสำคัญสูงสุด  
    • 11 ประเทศในยุโรป + เม็กซิโก + ออสเตรเลีย อยู่ในกลุ่ม “ให้ความสำคัญระดับสูง”  
    • สหรัฐ, ญี่ปุ่น และอีก 22 ประเทศ จัดอยู่ในกลุ่ม “ให้ความสำคัญระดับกลาง”

    เกณฑ์วัดระดับความพร้อม ได้แก่:  
    • เป้าหมายระดับชาติ, วิธีการดำเนินงาน, ตัวอย่างโครงการ, ตัวชี้วัดความสำเร็จ, เครื่องมือสนับสนุน, และแผนระยะเวลา

    ประเทศที่เตรียมพร้อมสูงจะมีแผนบูรณาการตั้งแต่ระดับประถม – มหาวิทยาลัย – ที่ทำงาน  
    • เยอรมนีสร้างวัฒนธรรมส่งเสริมความสนใจด้าน AI  
    • สเปนเริ่มสอนพื้นฐาน AI ตั้งแต่ระดับอนุบาล

    มากกว่าครึ่งของประเทศมีนโยบายฝึกอบรมพนักงานในองค์กรแบบเฉพาะอุตสาหกรรม  
    • หลายประเทศสร้างหลักสูตรฝึกอบรม AI สำหรับงานเฉพาะทาง เช่น การผลิต, การแพทย์, พลังงาน

    บางประเทศ (เช่นในเอเชีย) มุ่งเน้นด้านความมั่นคงและสาธารณสุข มากกว่าการพัฒนาทักษะแรงงานโดยตรง

    ทักษะ AI เริ่มกลายเป็น "ข้อได้เปรียบเชิงการแข่งขัน" ระหว่างประเทศในอนาคต  
    • ใครเตรียมคนไว้ก่อน = พร้อมเข้าสู่เศรษฐกิจใหม่ก่อน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/25/the-world-is-preparing-for-the-age-of-ai-in-the-workplace-but-not-at-the-same-pace
    มีงานวิจัยจาก University of Georgia วิเคราะห์แผนยุทธศาสตร์ด้าน AI ของ 50 ประเทศทั่วโลก โดยเน้นเรื่อง “การเตรียมคน” ผ่านนโยบายด้านการศึกษาและอาชีวะ ฝั่งยุโรป (เช่น เยอรมนี สเปน) ดูจะนำหน้าชัดเจน เพราะให้ความสำคัญสูงมากในเรื่อง lifelong learning และการฝึกอบรม AI สำหรับแรงงานทุกช่วงวัย ในขณะที่สหรัฐ, ญี่ปุ่น และอีกหลายประเทศอยู่ในกลุ่ม “ให้ความสำคัญระดับกลาง” คือรู้ว่า AI สำคัญ แต่ยังไม่มีแผนจัดเต็มในระดับชาติเหมือนยุโรป สิ่งที่น่าสนใจคือ มีเพียง “13 จาก 50 ประเทศ” เท่านั้นที่ให้ AI training อยู่ในระดับความสำคัญสูงสุด — และมีเพียงบางประเทศเท่านั้นที่กล้าเริ่มสอน AI ตั้งแต่ชั้นประถมหรืออนุบาลเลย แต่แม้จะพูดถึง AI เป็นเรื่องใหญ่ สิ่งหนึ่งที่กลับถูกมองข้ามคือ “soft skills” แบบมนุษย์ เช่น การสื่อสาร ความคิดสร้างสรรค์ การทำงานร่วมกับผู้อื่น — ซึ่งนักวิจัยเตือนว่าทักษะเหล่านี้คือสิ่งที่ AI แทนไม่ได้ และจะเป็น “จุดต่างสำคัญของมนุษย์ในที่ทำงานอนาคต” ✅ งานวิจัยสำรวจแผนพัฒนาทักษะ AI ของ 50 ประเทศ พบว่าเพียง 13 ประเทศให้ความสำคัญสูงสุด   • 11 ประเทศในยุโรป + เม็กซิโก + ออสเตรเลีย อยู่ในกลุ่ม “ให้ความสำคัญระดับสูง”   • สหรัฐ, ญี่ปุ่น และอีก 22 ประเทศ จัดอยู่ในกลุ่ม “ให้ความสำคัญระดับกลาง” ✅ เกณฑ์วัดระดับความพร้อม ได้แก่:   • เป้าหมายระดับชาติ, วิธีการดำเนินงาน, ตัวอย่างโครงการ, ตัวชี้วัดความสำเร็จ, เครื่องมือสนับสนุน, และแผนระยะเวลา ✅ ประเทศที่เตรียมพร้อมสูงจะมีแผนบูรณาการตั้งแต่ระดับประถม – มหาวิทยาลัย – ที่ทำงาน   • เยอรมนีสร้างวัฒนธรรมส่งเสริมความสนใจด้าน AI   • สเปนเริ่มสอนพื้นฐาน AI ตั้งแต่ระดับอนุบาล ✅ มากกว่าครึ่งของประเทศมีนโยบายฝึกอบรมพนักงานในองค์กรแบบเฉพาะอุตสาหกรรม   • หลายประเทศสร้างหลักสูตรฝึกอบรม AI สำหรับงานเฉพาะทาง เช่น การผลิต, การแพทย์, พลังงาน ✅ บางประเทศ (เช่นในเอเชีย) มุ่งเน้นด้านความมั่นคงและสาธารณสุข มากกว่าการพัฒนาทักษะแรงงานโดยตรง ✅ ทักษะ AI เริ่มกลายเป็น "ข้อได้เปรียบเชิงการแข่งขัน" ระหว่างประเทศในอนาคต   • ใครเตรียมคนไว้ก่อน = พร้อมเข้าสู่เศรษฐกิจใหม่ก่อน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/25/the-world-is-preparing-for-the-age-of-ai-in-the-workplace-but-not-at-the-same-pace
    WWW.THESTAR.COM.MY
    The world is preparing for the age of AI in the workplace, but not at the same pace
    There's no doubt that artificial intelligence will profoundly transform the job market in the coming decades. But how are governments preparing their citizens for this revolution?
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 251 มุมมอง 0 รีวิว
  • การล่มสลายไม่ได้ถูกแสดงทางโทรทัศน์ แต่ได้รับการวางแผนไว้แล้ว ฟอรัมเศรษฐกิจโลกซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นปราการที่ไม่มีใครแตะต้องได้ของการปกครองแบบเทคโนแครต ถูกแฮ็ก รื้อถอน และเปิดโปงจากภายใน ไม่มีเรื่องอื้อฉาวใดๆ เกิดขึ้น แต่เป็นเพียงการทำลายล้าง เจ้าหน้าที่หมวกขาวภายในเครื่องจักรของดาวอสได้ทำลายภาพลวงตาของความสามัคคีทั่วโลก และเปิดโปงว่าอาชญากรรมต่างๆ เช่น การแทรกแซงการเลือกตั้ง การบังคับให้ผู้คนเข้ารับการรักษาพยาบาล การยึดครองที่ดินภายใต้ข้ออ้างของนโยบายด้านสภาพอากาศ และการติดป้ายชื่อบุคคลแต่ละคนอย่างเงียบๆ เพื่อให้ตรวจสอบนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร

    ในช่วงต้นปี 2024 กลุ่มหมวกขาวได้ยึดเอกสารภายใน บันทึกเสียงลับ และการสื่อสารที่เป็นความลับ ซึ่งพิสูจน์ได้ว่าผู้นำฟอรัมเศรษฐกิจโลก (WEF) มีส่วนเกี่ยวข้องกับการฟอกเงินกองทุน "ด้านสภาพอากาศ" กว่า 400,000 ล้านดอลลาร์ผ่านองค์กรพัฒนาเอกชนปลอม กับดักหนี้ และการขโมยสินทรัพย์ดิจิทัล โลกไม่เคยเป็นเป้าหมายของพวกเขา เป้าหมายของพวกเขาคือที่ดิน อาหาร และพลังงาน ภายใต้หน้ากากของ "ความยุติธรรม" พวกเขากดขี่ชาวนา ลิดรอนสิทธิของชนพื้นเมือง และใช้องค์กรการกุศลปลอมเพื่อจัดการรัฐประหารทางการเมือง แต่มันไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น ไฟล์เซิร์ฟเวอร์ WEF ในยุค COVID-19 ซึ่งค้นพบในช่วงปลายปี 2024 แสดงให้เห็นว่ามีการวางแผนการล็อกดาวน์ไว้ล่วงหน้า มีเครือข่ายการทุจริตในสื่อ และมีแผนที่จะนำไบโอเมตริกส์มาใช้ตั้งแต่ปี 2017 วัคซีนเป็นเครื่องมือ วิกฤตได้รับการวางแผน

    ในช่วงต้นปี 2025 ผู้แจ้งเบาะแสเริ่มเปิดเผยด้านมืด: การทดสอบตัวตนดิจิทัลแบบลับในแคนาดา ออสเตรเลีย และเยอรมนี โปรแกรมนำร่องเหล่านี้ผสมผสานสถานะสุขภาพ พฤติกรรมเครดิต และการติดตามโซเชียลมีเดียโดยไม่ได้ขออนุญาต ผู้คนไม่ได้รับการปฏิบัติเหมือนเป็นบุคคล แต่เป็นหน่วยที่ตั้งโปรแกรมได้ บันทึกการวางแผนภายในของฟอรัมเศรษฐกิจโลกเรียกสิ่งเหล่านี้ว่า "คลัสเตอร์พฤติกรรม" และ "โหนดการผลิตข้อมูล" คุกอัจฉริยะของชวาบมีอยู่จริงและเกือบจะพร้อมแล้ว

    ความเย่อหยิ่งครอบงำเมืองดาวอส เสียงจากการประชุมโต๊ะกลมในเดือนมกราคม 2024 เผยให้เห็นซีอีโอพูดเล่นเกี่ยวกับการล่มสลายของตลาด "ตามต้องการ" และการขู่กรรโชกเจ้าหน้าที่เพื่อให้ผ่านกฎหมายภาษีคาร์บอน ปัจจุบัน กลุ่มหมวกขาวมีหลักฐานว่า WEF ให้ทุนสนับสนุนการจลาจล การทุจริตการเลือกตั้ง และใช้ปัญญาประดิษฐ์เพื่อปิดปากผู้เห็นต่าง กำแพงถูกพังทลายลงในเดือนมีนาคม 2025 การ "เกษียณอายุ" ของ Schwab เป็นการออกจากตำแหน่งโดยถูกบังคับ พันธมิตรที่สำคัญเปลี่ยนฝ่าย ประเทศต่างๆ มากกว่าสิบประเทศได้เริ่มการสอบสวนทางอาญา ภาพลักษณ์ของภูมิคุ้มกันของชนชั้นนำพังทลายลง

    ผลกระทบได้เริ่มขึ้นแล้วในวันที่ 21 มิถุนายน ข้อตกลงการค้าที่เชื่อมโยงกับเป้าหมายของฟอรัมเศรษฐกิจโลกกำลังล้มเหลว การหลอกลวง ESG กำลังล้มเหลว การสืบสวนทางนิติวิทยาศาสตร์กำลังดำเนินการอยู่ที่ Deutsche Bank, HSBC และธนาคารใหญ่ๆ อื่นๆ ที่เชื่อมโยงกับ Davos ผู้ที่รับผิดชอบกำลังลาออก ระบบระบุตัวตนดิจิทัลกำลังปิดตัวลง ศูนย์กลางการประสานงานของกลุ่มลับสูญเสียไปแล้ว และความตื่นตระหนกกำลังแพร่กระจายไปทั่วห้องโถงของอำนาจระดับโลก

    นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ข้อมูลที่ได้มาหลังจากการยุบ WEF ถูกนำมาใช้โจมตี WHO, BIS และกลุ่มมนุษยธรรมปลอมทั้งหมดที่ร่วมมือกับ Davos เพื่อแสวงหากำไร การเปิดเผยนี้จะเกิดขึ้นในฤดูร้อนนี้ ซึ่งจะครอบคลุมทั่วโลกและไม่อาจปฏิเสธได้ และจะเป็นเครื่องหมายจุดจบของระบบเก่า เมื่อครั้งหนึ่งเคยทำงานในเงามืด ตอนนี้มันกลับถูกเผาไหม้ต่อหน้าต่อตา

    WEF ล่มสลาย ภาพลวงตาถูกทำลาย และจากเถ้าถ่านของมัน ยุคฟื้นฟูที่แท้จริงได้ถือกำเนิดขึ้น ยุคฟื้นฟูที่ไม่ได้เขียนโดยผู้เผด็จการ แต่เขียนโดยประชาชนที่เป็นอิสระ
    การล่มสลายไม่ได้ถูกแสดงทางโทรทัศน์ แต่ได้รับการวางแผนไว้แล้ว ฟอรัมเศรษฐกิจโลกซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นปราการที่ไม่มีใครแตะต้องได้ของการปกครองแบบเทคโนแครต ถูกแฮ็ก รื้อถอน และเปิดโปงจากภายใน ไม่มีเรื่องอื้อฉาวใดๆ เกิดขึ้น แต่เป็นเพียงการทำลายล้าง เจ้าหน้าที่หมวกขาวภายในเครื่องจักรของดาวอสได้ทำลายภาพลวงตาของความสามัคคีทั่วโลก และเปิดโปงว่าอาชญากรรมต่างๆ เช่น การแทรกแซงการเลือกตั้ง การบังคับให้ผู้คนเข้ารับการรักษาพยาบาล การยึดครองที่ดินภายใต้ข้ออ้างของนโยบายด้านสภาพอากาศ และการติดป้ายชื่อบุคคลแต่ละคนอย่างเงียบๆ เพื่อให้ตรวจสอบนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร ในช่วงต้นปี 2024 กลุ่มหมวกขาวได้ยึดเอกสารภายใน บันทึกเสียงลับ และการสื่อสารที่เป็นความลับ ซึ่งพิสูจน์ได้ว่าผู้นำฟอรัมเศรษฐกิจโลก (WEF) มีส่วนเกี่ยวข้องกับการฟอกเงินกองทุน "ด้านสภาพอากาศ" กว่า 400,000 ล้านดอลลาร์ผ่านองค์กรพัฒนาเอกชนปลอม กับดักหนี้ และการขโมยสินทรัพย์ดิจิทัล โลกไม่เคยเป็นเป้าหมายของพวกเขา เป้าหมายของพวกเขาคือที่ดิน อาหาร และพลังงาน ภายใต้หน้ากากของ "ความยุติธรรม" พวกเขากดขี่ชาวนา ลิดรอนสิทธิของชนพื้นเมือง และใช้องค์กรการกุศลปลอมเพื่อจัดการรัฐประหารทางการเมือง แต่มันไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น ไฟล์เซิร์ฟเวอร์ WEF ในยุค COVID-19 ซึ่งค้นพบในช่วงปลายปี 2024 แสดงให้เห็นว่ามีการวางแผนการล็อกดาวน์ไว้ล่วงหน้า มีเครือข่ายการทุจริตในสื่อ และมีแผนที่จะนำไบโอเมตริกส์มาใช้ตั้งแต่ปี 2017 วัคซีนเป็นเครื่องมือ วิกฤตได้รับการวางแผน ในช่วงต้นปี 2025 ผู้แจ้งเบาะแสเริ่มเปิดเผยด้านมืด: การทดสอบตัวตนดิจิทัลแบบลับในแคนาดา ออสเตรเลีย และเยอรมนี โปรแกรมนำร่องเหล่านี้ผสมผสานสถานะสุขภาพ พฤติกรรมเครดิต และการติดตามโซเชียลมีเดียโดยไม่ได้ขออนุญาต ผู้คนไม่ได้รับการปฏิบัติเหมือนเป็นบุคคล แต่เป็นหน่วยที่ตั้งโปรแกรมได้ บันทึกการวางแผนภายในของฟอรัมเศรษฐกิจโลกเรียกสิ่งเหล่านี้ว่า "คลัสเตอร์พฤติกรรม" และ "โหนดการผลิตข้อมูล" คุกอัจฉริยะของชวาบมีอยู่จริงและเกือบจะพร้อมแล้ว ความเย่อหยิ่งครอบงำเมืองดาวอส เสียงจากการประชุมโต๊ะกลมในเดือนมกราคม 2024 เผยให้เห็นซีอีโอพูดเล่นเกี่ยวกับการล่มสลายของตลาด "ตามต้องการ" และการขู่กรรโชกเจ้าหน้าที่เพื่อให้ผ่านกฎหมายภาษีคาร์บอน ปัจจุบัน กลุ่มหมวกขาวมีหลักฐานว่า WEF ให้ทุนสนับสนุนการจลาจล การทุจริตการเลือกตั้ง และใช้ปัญญาประดิษฐ์เพื่อปิดปากผู้เห็นต่าง กำแพงถูกพังทลายลงในเดือนมีนาคม 2025 การ "เกษียณอายุ" ของ Schwab เป็นการออกจากตำแหน่งโดยถูกบังคับ พันธมิตรที่สำคัญเปลี่ยนฝ่าย ประเทศต่างๆ มากกว่าสิบประเทศได้เริ่มการสอบสวนทางอาญา ภาพลักษณ์ของภูมิคุ้มกันของชนชั้นนำพังทลายลง ผลกระทบได้เริ่มขึ้นแล้วในวันที่ 21 มิถุนายน ข้อตกลงการค้าที่เชื่อมโยงกับเป้าหมายของฟอรัมเศรษฐกิจโลกกำลังล้มเหลว การหลอกลวง ESG กำลังล้มเหลว การสืบสวนทางนิติวิทยาศาสตร์กำลังดำเนินการอยู่ที่ Deutsche Bank, HSBC และธนาคารใหญ่ๆ อื่นๆ ที่เชื่อมโยงกับ Davos ผู้ที่รับผิดชอบกำลังลาออก ระบบระบุตัวตนดิจิทัลกำลังปิดตัวลง ศูนย์กลางการประสานงานของกลุ่มลับสูญเสียไปแล้ว และความตื่นตระหนกกำลังแพร่กระจายไปทั่วห้องโถงของอำนาจระดับโลก นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ข้อมูลที่ได้มาหลังจากการยุบ WEF ถูกนำมาใช้โจมตี WHO, BIS และกลุ่มมนุษยธรรมปลอมทั้งหมดที่ร่วมมือกับ Davos เพื่อแสวงหากำไร การเปิดเผยนี้จะเกิดขึ้นในฤดูร้อนนี้ ซึ่งจะครอบคลุมทั่วโลกและไม่อาจปฏิเสธได้ และจะเป็นเครื่องหมายจุดจบของระบบเก่า เมื่อครั้งหนึ่งเคยทำงานในเงามืด ตอนนี้มันกลับถูกเผาไหม้ต่อหน้าต่อตา WEF ล่มสลาย ภาพลวงตาถูกทำลาย และจากเถ้าถ่านของมัน ยุคฟื้นฟูที่แท้จริงได้ถือกำเนิดขึ้น ยุคฟื้นฟูที่ไม่ได้เขียนโดยผู้เผด็จการ แต่เขียนโดยประชาชนที่เป็นอิสระ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 378 มุมมอง 0 รีวิว
  • เครื่องบินเติมน้ำมันทางอากาศ KC-46A “Pegasus” ของกองทัพอากาศสหรัฐหลายลำ ซึ่งมีชื่อรหัสว่า HIFI31, HIFI32, HIFI33 และ HIFI34 ได้ออกเดินทางจากฐานทัพอากาศ Travis ในรัฐแคลิฟอร์เนียเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา โดยมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกเหนือมหาสมุทรแปซิฟิก

    สิ่งที่น่าสนใจสำหรับกรณีนี้คือ เครื่องบินเติมน้ำมันที่มีรหัสเหล่านี้ เคยมีหน้าที่เติมน้ำมันให้กับเครื่องบินทิ้งระเบิดทางยุทธศาสตร์พิสัยไกล B-52, B-1 และ B-2

    เป็นไปได้ว่าเครื่องบินเติมน้ำมันเหล่านี้ อาจกำลังบินมาทางแปซิฟิค เพื่อเตรียมพร้อมล่วงหน้าในออสเตรเลียหรือที่อื่นในแถบภูมิภาคนี้ เพื่อเตรียมการส่งเครื่องบินทิ้งระเบิดเพิ่มเติมไปยังดิเอโก การ์เซียในมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งอยู่ห่างจากอิหร่านไปประมาณ 2,000 ไมล์
    เครื่องบินเติมน้ำมันทางอากาศ KC-46A “Pegasus” ของกองทัพอากาศสหรัฐหลายลำ ซึ่งมีชื่อรหัสว่า HIFI31, HIFI32, HIFI33 และ HIFI34 ได้ออกเดินทางจากฐานทัพอากาศ Travis ในรัฐแคลิฟอร์เนียเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา โดยมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกเหนือมหาสมุทรแปซิฟิก 👉สิ่งที่น่าสนใจสำหรับกรณีนี้คือ เครื่องบินเติมน้ำมันที่มีรหัสเหล่านี้ เคยมีหน้าที่เติมน้ำมันให้กับเครื่องบินทิ้งระเบิดทางยุทธศาสตร์พิสัยไกล B-52, B-1 และ B-2 เป็นไปได้ว่าเครื่องบินเติมน้ำมันเหล่านี้ อาจกำลังบินมาทางแปซิฟิค เพื่อเตรียมพร้อมล่วงหน้าในออสเตรเลียหรือที่อื่นในแถบภูมิภาคนี้ เพื่อเตรียมการส่งเครื่องบินทิ้งระเบิดเพิ่มเติมไปยังดิเอโก การ์เซียในมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งอยู่ห่างจากอิหร่านไปประมาณ 2,000 ไมล์
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 302 มุมมอง 0 รีวิว
  • Anubis Ransomware: ภัยคุกคามใหม่ที่ทำให้การกู้คืนข้อมูลเป็นไปไม่ได้
    นักวิจัยด้านความปลอดภัยค้นพบ Anubis ซึ่งเป็นมัลแวร์เรียกค่าไถ่แบบ Ransomware-as-a-Service (RaaS) ที่มีความสามารถในการ เข้ารหัสและทำลายข้อมูล โดยมัลแวร์นี้สามารถลบไฟล์อย่างถาวรหลังจากเข้ารหัส ทำให้เหยื่อไม่สามารถกู้คืนข้อมูลได้ แม้จะจ่ายค่าไถ่.

    รายละเอียดการโจมตี
    Anubis สามารถเข้ารหัสข้อมูลบนระบบ Windows และมีโหมด "wipe mode" ที่สามารถลบไฟล์อย่างถาวร.
    มัลแวร์นี้ถูกค้นพบครั้งแรกในเดือนธันวาคม 2024 โดย Trend Micro ซึ่งพบว่ามีความคล้ายคลึงกับมัลแวร์ Sphinx.
    กลุ่มแฮกเกอร์ที่อยู่เบื้องหลัง Anubis กำลังขยายเครือข่าย โดยเสนอส่วนแบ่งรายได้สูงถึง 80% ให้กับผู้ร่วมขบวนการ.
    มัลแวร์แพร่กระจายผ่านอีเมลฟิชชิ่ง ที่ปลอมแปลงเป็นแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้.

    ผลกระทบและข้อควรระวัง
    Anubis สามารถทำให้ข้อมูลสูญหายอย่างถาวร แม้เหยื่อจะยอมจ่ายค่าไถ่.
    มัลแวร์สามารถลบ Shadow Copies ทำให้การกู้คืนข้อมูลจากระบบ Windows เป็นไปไม่ได้.
    องค์กรที่ตกเป็นเหยื่ออาจต้องเผชิญกับความเสียหายทางธุรกิจ เนื่องจากข้อมูลสำคัญถูกทำลาย.

    แนวทางป้องกัน
    หลีกเลี่ยงการเปิดไฟล์แนบจากอีเมลที่น่าสงสัย และตรวจสอบแหล่งที่มาของอีเมลก่อนคลิก.
    สำรองข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ โดยใช้ระบบสำรองข้อมูลที่แยกออกจากเครือข่ายหลัก.
    ใช้ซอฟต์แวร์รักษาความปลอดภัยที่สามารถตรวจจับ Ransomware เช่น Microsoft Defender for Endpoint.

    ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับภัยคุกคามไซเบอร์
    Microsoft เสนอเครื่องมือรักษาความปลอดภัยฟรีให้กับยุโรป เพื่อช่วยป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์.
    ออสเตรเลียเป็นประเทศแรกที่บังคับให้เปิดเผยการจ่ายค่าไถ่ เพื่อเพิ่มความโปร่งใสในการรับมือกับ Ransomware.
    มัลแวร์ที่สามารถทำลายข้อมูลอาจถูกใช้เพื่อกดดันเหยื่อให้จ่ายค่าไถ่เร็วขึ้น โดยไม่ให้โอกาสในการเจรจา.

    https://www.techspot.com/news/108332-anubis-ransomware-can-encrypt-destroy-data-making-file.html
    Anubis Ransomware: ภัยคุกคามใหม่ที่ทำให้การกู้คืนข้อมูลเป็นไปไม่ได้ นักวิจัยด้านความปลอดภัยค้นพบ Anubis ซึ่งเป็นมัลแวร์เรียกค่าไถ่แบบ Ransomware-as-a-Service (RaaS) ที่มีความสามารถในการ เข้ารหัสและทำลายข้อมูล โดยมัลแวร์นี้สามารถลบไฟล์อย่างถาวรหลังจากเข้ารหัส ทำให้เหยื่อไม่สามารถกู้คืนข้อมูลได้ แม้จะจ่ายค่าไถ่. รายละเอียดการโจมตี ✅ Anubis สามารถเข้ารหัสข้อมูลบนระบบ Windows และมีโหมด "wipe mode" ที่สามารถลบไฟล์อย่างถาวร. ✅ มัลแวร์นี้ถูกค้นพบครั้งแรกในเดือนธันวาคม 2024 โดย Trend Micro ซึ่งพบว่ามีความคล้ายคลึงกับมัลแวร์ Sphinx. ✅ กลุ่มแฮกเกอร์ที่อยู่เบื้องหลัง Anubis กำลังขยายเครือข่าย โดยเสนอส่วนแบ่งรายได้สูงถึง 80% ให้กับผู้ร่วมขบวนการ. ✅ มัลแวร์แพร่กระจายผ่านอีเมลฟิชชิ่ง ที่ปลอมแปลงเป็นแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้. ผลกระทบและข้อควรระวัง ‼️ Anubis สามารถทำให้ข้อมูลสูญหายอย่างถาวร แม้เหยื่อจะยอมจ่ายค่าไถ่. ‼️ มัลแวร์สามารถลบ Shadow Copies ทำให้การกู้คืนข้อมูลจากระบบ Windows เป็นไปไม่ได้. ‼️ องค์กรที่ตกเป็นเหยื่ออาจต้องเผชิญกับความเสียหายทางธุรกิจ เนื่องจากข้อมูลสำคัญถูกทำลาย. แนวทางป้องกัน ✅ หลีกเลี่ยงการเปิดไฟล์แนบจากอีเมลที่น่าสงสัย และตรวจสอบแหล่งที่มาของอีเมลก่อนคลิก. ✅ สำรองข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ โดยใช้ระบบสำรองข้อมูลที่แยกออกจากเครือข่ายหลัก. ✅ ใช้ซอฟต์แวร์รักษาความปลอดภัยที่สามารถตรวจจับ Ransomware เช่น Microsoft Defender for Endpoint. ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับภัยคุกคามไซเบอร์ ✅ Microsoft เสนอเครื่องมือรักษาความปลอดภัยฟรีให้กับยุโรป เพื่อช่วยป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์. ✅ ออสเตรเลียเป็นประเทศแรกที่บังคับให้เปิดเผยการจ่ายค่าไถ่ เพื่อเพิ่มความโปร่งใสในการรับมือกับ Ransomware. ‼️ มัลแวร์ที่สามารถทำลายข้อมูลอาจถูกใช้เพื่อกดดันเหยื่อให้จ่ายค่าไถ่เร็วขึ้น โดยไม่ให้โอกาสในการเจรจา. https://www.techspot.com/news/108332-anubis-ransomware-can-encrypt-destroy-data-making-file.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    New Anubis ransomware can encrypt and destroy data, making file recovery impossible
    Security researchers have discovered a new Ransomware-as-a-Service campaign with highly destructive potential. Anubis has only been around for a few months and fortunately, hasn't claimed many victims...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 221 มุมมอง 0 รีวิว
  • 2/
    เอริน โมแลน (Erin Molan) ผู้ประกาศข่าวชาวออสเตรเลีย ที่เคยทำงานให้กับสถานี Sky News Australia และเคยเป็นคอลัมนิสต์ให้กับหนังสือพิมพ์ The Daily Telegraph ในซิดนีย์ กำลังรายงานสภาพเทลอาวีฟหลังการโจมตีตอบโต้จากอิหร่าน

    เธอกล่าวหาอิหร่านว่า ตั้งใจโจมตีไปที่บริเวณที่มีประชากรหนาแน่น และมีครอบครัวจำนวนมากอาศัยอยู่ (จริงๆไม่มีใครอยู่แล้ว หรือมีก็ส่วนน้อย เพราะเกือบทั้งหมดอพยพไปอยู่สถานที่พักพิงที่รัฐบาลจัดให้)

    “ที่นี่บนพื้นดินที่จุดหนึ่งที่ขีปนาวุธยูเรเนียมลูกหนึ่งถูกยิงลงมา และคุณจะเห็นได้ว่าบริเวณนี้มีประชากรหนาแน่นมากเพียงใด ที่นี่คุณจะเห็นอพาร์ตเมนต์จำนวนมาก ครอบครัวจำนวนมาก และรถยนต์จำนวนมากพังยับเยิน รถยนต์พลิกคว่ำ รถทับรถคันอื่นๆ อย่างที่คุณกำลังได้เห็นอยู่นี่

    นี่มันเป็นการโจมตีพลเรือนโดยตรง ซึ่งตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับสิ่งที่กองทัพอิสราเอลทำ พวกเขาจะโจมตีที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานทางทหารเท่านั้น และพื้นที่ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนานิวเคลียร์ นั่นคือสิ่งที่อิสราเอลทำ

    แต่เมื่ออิหร่านตอบโต้ พวกเขาเล็งไปที่พลเรือนแบบไม่เลือกหน้า คุณจะเห็นได้นี่คือผลโดยตรงที่อิหร่านทำ มีผู้เสียชีวิตที่นี่ มีผู้ได้รับบาดเจ็บ มีผู้คนและบ้านเรือนจำนวนมากพังยับเยิน” โมแลนกล่าวหาอิหร่าน และชื่นชมอิสราเอล!
    2/ เอริน โมแลน (Erin Molan) ผู้ประกาศข่าวชาวออสเตรเลีย ที่เคยทำงานให้กับสถานี Sky News Australia และเคยเป็นคอลัมนิสต์ให้กับหนังสือพิมพ์ The Daily Telegraph ในซิดนีย์ กำลังรายงานสภาพเทลอาวีฟหลังการโจมตีตอบโต้จากอิหร่าน เธอกล่าวหาอิหร่านว่า ตั้งใจโจมตีไปที่บริเวณที่มีประชากรหนาแน่น และมีครอบครัวจำนวนมากอาศัยอยู่ (จริงๆไม่มีใครอยู่แล้ว หรือมีก็ส่วนน้อย เพราะเกือบทั้งหมดอพยพไปอยู่สถานที่พักพิงที่รัฐบาลจัดให้) “ที่นี่บนพื้นดินที่จุดหนึ่งที่ขีปนาวุธยูเรเนียมลูกหนึ่งถูกยิงลงมา และคุณจะเห็นได้ว่าบริเวณนี้มีประชากรหนาแน่นมากเพียงใด ที่นี่คุณจะเห็นอพาร์ตเมนต์จำนวนมาก ครอบครัวจำนวนมาก และรถยนต์จำนวนมากพังยับเยิน รถยนต์พลิกคว่ำ รถทับรถคันอื่นๆ อย่างที่คุณกำลังได้เห็นอยู่นี่ นี่มันเป็นการโจมตีพลเรือนโดยตรง ซึ่งตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับสิ่งที่กองทัพอิสราเอลทำ พวกเขาจะโจมตีที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานทางทหารเท่านั้น และพื้นที่ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนานิวเคลียร์ นั่นคือสิ่งที่อิสราเอลทำ แต่เมื่ออิหร่านตอบโต้ พวกเขาเล็งไปที่พลเรือนแบบไม่เลือกหน้า คุณจะเห็นได้นี่คือผลโดยตรงที่อิหร่านทำ มีผู้เสียชีวิตที่นี่ มีผู้ได้รับบาดเจ็บ มีผู้คนและบ้านเรือนจำนวนมากพังยับเยิน” โมแลนกล่าวหาอิหร่าน และชื่นชมอิสราเอล!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 303 มุมมอง 34 0 รีวิว
  • 1/
    เอริน โมแลน (Erin Molan) ผู้ประกาศข่าวชาวออสเตรเลีย ที่เคยทำงานให้กับสถานี Sky News Australia และเคยเป็นคอลัมนิสต์ให้กับหนังสือพิมพ์ The Daily Telegraph ในซิดนีย์ กำลังรายงานสภาพเทลอาวีฟหลังการโจมตีตอบโต้จากอิหร่าน

    เธอกล่าวหาอิหร่านว่า ตั้งใจโจมตีไปที่บริเวณที่มีประชากรหนาแน่น และมีครอบครัวจำนวนมากอาศัยอยู่ (จริงๆไม่มีใครอยู่แล้ว หรือมีก็ส่วนน้อย เพราะเกือบทั้งหมดอพยพไปอยู่สถานที่พักพิงที่รัฐบาลจัดให้)

    “ที่นี่บนพื้นดินที่จุดหนึ่งที่ขีปนาวุธยูเรเนียมลูกหนึ่งถูกยิงลงมา และคุณจะเห็นได้ว่าบริเวณนี้มีประชากรหนาแน่นมากเพียงใด ที่นี่คุณจะเห็นอพาร์ตเมนต์จำนวนมาก ครอบครัวจำนวนมาก และรถยนต์จำนวนมากพังยับเยิน รถยนต์พลิกคว่ำ รถทับรถคันอื่นๆ อย่างที่คุณกำลังได้เห็นอยู่นี่

    นี่มันเป็นการโจมตีพลเรือนโดยตรง ซึ่งตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับสิ่งที่กองทัพอิสราเอลทำ พวกเขาจะโจมตีที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานทางทหารเท่านั้น และพื้นที่ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนานิวเคลียร์ นั่นคือสิ่งที่อิสราเอลทำ

    แต่เมื่ออิหร่านตอบโต้ พวกเขาเล็งไปที่พลเรือนแบบไม่เลือกหน้า คุณจะเห็นได้นี่คือผลโดยตรงที่อิหร่านทำ มีผู้เสียชีวิตที่นี่ มีผู้ได้รับบาดเจ็บ มีผู้คนและบ้านเรือนจำนวนมากพังยับเยิน” โมแลนกล่าวหาอิหร่าน และชื่นชมอิสราเอล!
    1/ เอริน โมแลน (Erin Molan) ผู้ประกาศข่าวชาวออสเตรเลีย ที่เคยทำงานให้กับสถานี Sky News Australia และเคยเป็นคอลัมนิสต์ให้กับหนังสือพิมพ์ The Daily Telegraph ในซิดนีย์ กำลังรายงานสภาพเทลอาวีฟหลังการโจมตีตอบโต้จากอิหร่าน เธอกล่าวหาอิหร่านว่า ตั้งใจโจมตีไปที่บริเวณที่มีประชากรหนาแน่น และมีครอบครัวจำนวนมากอาศัยอยู่ (จริงๆไม่มีใครอยู่แล้ว หรือมีก็ส่วนน้อย เพราะเกือบทั้งหมดอพยพไปอยู่สถานที่พักพิงที่รัฐบาลจัดให้) “ที่นี่บนพื้นดินที่จุดหนึ่งที่ขีปนาวุธยูเรเนียมลูกหนึ่งถูกยิงลงมา และคุณจะเห็นได้ว่าบริเวณนี้มีประชากรหนาแน่นมากเพียงใด ที่นี่คุณจะเห็นอพาร์ตเมนต์จำนวนมาก ครอบครัวจำนวนมาก และรถยนต์จำนวนมากพังยับเยิน รถยนต์พลิกคว่ำ รถทับรถคันอื่นๆ อย่างที่คุณกำลังได้เห็นอยู่นี่ นี่มันเป็นการโจมตีพลเรือนโดยตรง ซึ่งตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับสิ่งที่กองทัพอิสราเอลทำ พวกเขาจะโจมตีที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานทางทหารเท่านั้น และพื้นที่ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนานิวเคลียร์ นั่นคือสิ่งที่อิสราเอลทำ แต่เมื่ออิหร่านตอบโต้ พวกเขาเล็งไปที่พลเรือนแบบไม่เลือกหน้า คุณจะเห็นได้นี่คือผลโดยตรงที่อิหร่านทำ มีผู้เสียชีวิตที่นี่ มีผู้ได้รับบาดเจ็บ มีผู้คนและบ้านเรือนจำนวนมากพังยับเยิน” โมแลนกล่าวหาอิหร่าน และชื่นชมอิสราเอล!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 303 มุมมอง 23 0 รีวิว
  • วงจรอุบาทว์ของการใช้หน้าจอในเด็กและวัยรุ่น
    การใช้หน้าจอมากเกินไป อาจทำให้เกิดปัญหาทางอารมณ์และพฤติกรรม เช่น ความวิตกกังวล, ภาวะซึมเศร้า, ความก้าวร้าว และสมาธิสั้น ซึ่งส่งผลให้ เด็กหันไปใช้หน้าจอมากขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาเหล่านี้

    งานวิจัยจาก มหาวิทยาลัยควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย ได้วิเคราะห์ ข้อมูลจากกว่า 100 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับเด็กกว่า 292,000 คนทั่วโลก

    ข้อมูลจากข่าว
    - การใช้หน้าจอมากเกินไปอาจทำให้เกิดปัญหาทางอารมณ์และพฤติกรรม เช่น วิตกกังวลและซึมเศร้า
    - เด็กอายุ 6-10 ปีได้รับผลกระทบมากที่สุด และพบว่าเด็กชายมีแนวโน้มได้รับผลกระทบมากกว่าเด็กหญิง
    - งานวิจัยนี้วิเคราะห์ข้อมูลจากกว่า 100 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับเด็กกว่า 292,000 คนทั่วโลก
    - วิดีโอเกมมีความเสี่ยงสูงกว่าคอนเทนต์หน้าจอประเภทอื่น ๆ ในการทำให้เกิดปัญหาพฤติกรรม
    - นักวิจัยแนะนำให้แก้ไขทั้งสองด้าน—ลดเวลาหน้าจอและจัดการปัญหาทางอารมณ์ของเด็ก

    ผลกระทบของวิดีโอเกมต่อพฤติกรรมเด็ก
    แม้ว่าวิดีโอเกมบางประเภท จะมีประโยชน์ด้านการศึกษาและช่วยพัฒนาทักษะ แต่ การใช้มากเกินไปอาจส่งผลเสียต่อพฤติกรรมและอารมณ์

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - การลดเวลาหน้าจอเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ หากไม่แก้ไขปัญหาทางอารมณ์ของเด็ก
    - เด็กที่มีปัญหาทางอารมณ์อาจใช้วิดีโอเกมเป็นเครื่องมือในการหลีกเลี่ยงปัญหา
    - การใช้หน้าจอมากเกินไปอาจส่งผลต่อพัฒนาการทางสติปัญญาและการเรียนรู้
    - ต้องติดตามว่าผู้ปกครองและนักการศึกษาจะนำแนวทางแก้ไขนี้ไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่

    แนวทางแก้ไขและการป้องกัน
    นักวิจัยแนะนำ แนวทาง 3-6-9-12 ซึ่งกำหนด ข้อจำกัดการใช้หน้าจอตามช่วงอายุของเด็ก เพื่อช่วยให้ เด็กสามารถพัฒนาทักษะทางสังคมและอารมณ์ได้อย่างเหมาะสม

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/13/how-screen-use-can-be-a-vicious-cycle-for-some-children-and-adolescents
    📱 วงจรอุบาทว์ของการใช้หน้าจอในเด็กและวัยรุ่น การใช้หน้าจอมากเกินไป อาจทำให้เกิดปัญหาทางอารมณ์และพฤติกรรม เช่น ความวิตกกังวล, ภาวะซึมเศร้า, ความก้าวร้าว และสมาธิสั้น ซึ่งส่งผลให้ เด็กหันไปใช้หน้าจอมากขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาเหล่านี้ งานวิจัยจาก มหาวิทยาลัยควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย ได้วิเคราะห์ ข้อมูลจากกว่า 100 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับเด็กกว่า 292,000 คนทั่วโลก ✅ ข้อมูลจากข่าว - การใช้หน้าจอมากเกินไปอาจทำให้เกิดปัญหาทางอารมณ์และพฤติกรรม เช่น วิตกกังวลและซึมเศร้า - เด็กอายุ 6-10 ปีได้รับผลกระทบมากที่สุด และพบว่าเด็กชายมีแนวโน้มได้รับผลกระทบมากกว่าเด็กหญิง - งานวิจัยนี้วิเคราะห์ข้อมูลจากกว่า 100 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับเด็กกว่า 292,000 คนทั่วโลก - วิดีโอเกมมีความเสี่ยงสูงกว่าคอนเทนต์หน้าจอประเภทอื่น ๆ ในการทำให้เกิดปัญหาพฤติกรรม - นักวิจัยแนะนำให้แก้ไขทั้งสองด้าน—ลดเวลาหน้าจอและจัดการปัญหาทางอารมณ์ของเด็ก 🔥 ผลกระทบของวิดีโอเกมต่อพฤติกรรมเด็ก แม้ว่าวิดีโอเกมบางประเภท จะมีประโยชน์ด้านการศึกษาและช่วยพัฒนาทักษะ แต่ การใช้มากเกินไปอาจส่งผลเสียต่อพฤติกรรมและอารมณ์ ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - การลดเวลาหน้าจอเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ หากไม่แก้ไขปัญหาทางอารมณ์ของเด็ก - เด็กที่มีปัญหาทางอารมณ์อาจใช้วิดีโอเกมเป็นเครื่องมือในการหลีกเลี่ยงปัญหา - การใช้หน้าจอมากเกินไปอาจส่งผลต่อพัฒนาการทางสติปัญญาและการเรียนรู้ - ต้องติดตามว่าผู้ปกครองและนักการศึกษาจะนำแนวทางแก้ไขนี้ไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ 🚀 แนวทางแก้ไขและการป้องกัน นักวิจัยแนะนำ แนวทาง 3-6-9-12 ซึ่งกำหนด ข้อจำกัดการใช้หน้าจอตามช่วงอายุของเด็ก เพื่อช่วยให้ เด็กสามารถพัฒนาทักษะทางสังคมและอารมณ์ได้อย่างเหมาะสม https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/13/how-screen-use-can-be-a-vicious-cycle-for-some-children-and-adolescents
    WWW.THESTAR.COM.MY
    How screen use can be a vicious cycle for some children and adolescents
    To cope with behavioral problems linked to excessive screen use, such as aggression or anxiety, some children take refuge... in screens.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 209 มุมมอง 0 รีวิว
  • สหรัฐประณามมาตการคว่ำบาตรต่ออิสราเอลของอังกฤษและพันธมิตร พร้อมเน้นย้ำจุดยืนไม่สนับสนุนการจัดตั้งรัฐปาเลสไตน์

    มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ประณามการคว่ำบาตรของอังกฤษ ออสเตรเลีย แคนาดา นอร์เวย์ และนิวซีแลนด์ ในกรณีที่คว่ำบาตรรัฐมนตรีขวาจัดของอิสราเอล เบน-กวีร์ และสโมทริช กรณียุยงให้เกิดความรุนแรงต่อชาวปาเลสไตน์ โดยกล่าวว่าการเคลื่อนไหวดังกล่าว "ไร้ประโยชน์" ต่อความพยายามหยุดยิงในฉนวนกาซา พร้อมกันนี้ยังเรียกร้องให้ยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรดังกล่าวด้วย!

    ทางด้านไมค์ ฮัคคาบี เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำอิสราเอล ให้สัมภาษณ์กับ BBC ตอกย้ำจะไม่มี “รัฐปาเลสไตน์” เกิดขึ้น! หรือหากต้องการอยากให้เกิดขึ้น ชาติมุสลิมจะต้องแบ่งดินแดนของประเทศตนเองเพื่อร่วมจัดตั้งรัฐปาเลสไตน์ขึ้นเอง
    สหรัฐประณามมาตการคว่ำบาตรต่ออิสราเอลของอังกฤษและพันธมิตร พร้อมเน้นย้ำจุดยืนไม่สนับสนุนการจัดตั้งรัฐปาเลสไตน์ มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ประณามการคว่ำบาตรของอังกฤษ ออสเตรเลีย แคนาดา นอร์เวย์ และนิวซีแลนด์ ในกรณีที่คว่ำบาตรรัฐมนตรีขวาจัดของอิสราเอล เบน-กวีร์ และสโมทริช กรณียุยงให้เกิดความรุนแรงต่อชาวปาเลสไตน์ โดยกล่าวว่าการเคลื่อนไหวดังกล่าว "ไร้ประโยชน์" ต่อความพยายามหยุดยิงในฉนวนกาซา พร้อมกันนี้ยังเรียกร้องให้ยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรดังกล่าวด้วย! ทางด้านไมค์ ฮัคคาบี เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำอิสราเอล ให้สัมภาษณ์กับ BBC ตอกย้ำจะไม่มี “รัฐปาเลสไตน์” เกิดขึ้น! หรือหากต้องการอยากให้เกิดขึ้น ชาติมุสลิมจะต้องแบ่งดินแดนของประเทศตนเองเพื่อร่วมจัดตั้งรัฐปาเลสไตน์ขึ้นเอง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 294 มุมมอง 0 รีวิว
  • Jetstar Asia โบกมือลา ยุติกิจการ 31 ก.ค.นี้

    ธุรกิจการบินในอาเซียนเริ่มมีผู้ออกจากเกม เมื่อเจ็ทสตาร์ กรุ๊ป (Jetstar Group) ประกาศปิดกิจการสายการบินเจ็ทสตาร์ เอเชีย (Jetstar Asia) ซึ่งมีฐานการบินอยู่ในประเทศสิงคโปร์ ภายใต้รหัส 3K  โดยทยอยลดเที่ยวบินลง ก่อนยุติกิจการในวันที่ 31 ก.ค. 2568 ให้เหตุผลว่าสายการบินฯ ต้องเผชิญกับความท้าทายมากขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทั้งต้นทุนจากผู้ให้บริการที่เพิ่มขึ้น ค่าธรรมเนียมสนามบิน และค่าบริการด้านการบิน รวมถึงการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นในภูมิภาค แม้จะพยายามลดผลกระทบจากต้นทุนที่สูงขึ้น แต่ก็ยังไม่สามารถรักษาราคาค่าโดยสารให้ถูกลงได้อย่างยั่งยืน

    สำหรับเที่ยวบินของเจ็ทสตาร์เอเชีย (รหัส 3K) ยังคงให้บริการตามปกติ แต่อาจมีการลดจำนวนเที่ยวบินลง หากมีการเปลี่ยนแปลงเที่ยวบินจะติดต่อกลับไปยังผู้โดยสาร หากไม่ได้รับการติดต่อแสดงว่าเที่ยวบินยังคงให้บริการตามปกติ แต่หากเดินทางหลังวันที่ 31 ก.ค. มีสิทธิ์ขอคืนเงินเต็มจำนวนไปยังช่องทางที่ใช้ชำระเงิน และจะมีการติดต่อกลับโดยตรง หรือเข้าไปที่หน้า Manage Booking เพื่อดำเนินการคืนเงินด้วยตนเอง อย่างไรก็ตาม ผู้โดยสารที่จองเที่ยวบินกับสายการบินเจ็ทสตาร์แอร์เวย์ส (รหัส JQ) หรือเจ็ทสตาร์ เจแปน (รหัส GK) จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเที่ยวบินใดๆ

    สายการบินเจ็ทสตาร์ เอเชีย (3K) เป็นสายการบินราคาประหยัดในกลุ่มเจ็ทสตาร์ กรุ๊ป ซึ่งมีบริษัทเวสต์บรู๊ค อินเวสต์เมนต์ ประเทศสิงคโปร์ ถือหุ้น 51% และกลุ่มบริษัทสายการบินแควนตัส (Qantas) จากออสเตรเลียถือหุ้น 49% มีฐานการบินที่ประเทศสิงคโปร์ เปิดให้บริการครั้งแรกเมื่อวันที่ 13 ธ.ค. 2546 เส้นทางสิงคโปร์-ฮ่องกง ปัจจุบันให้บริการเส้นทางบินระหว่างประเทศระยะสั้น จากท่าอากาศยานชางงี ประเทศสิงคโปร์ ไปยัง 16 เส้นทางใน 9 ประเทศ เช่น ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น จีน มาเลเซีย ศรีลังกา อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และประเทศไทย ไปยังปลายทางกรุงเทพฯ (สุวรรณภูมิ) ภูเก็ต และกระบี่

    เส้นทางยอดนิยมของสายการบินนี้ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร (สุวรรณภูมิ) ไป-กลับสัปดาห์ละ 28 เที่ยวบิน เดนปาซาร์ (บาหลี) อินโดนีเซีย 28 เที่ยวบิน จาการ์ตา อินโดนีเซีย 21 เที่ยวบิน กัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย 21 เที่ยวบิน มะนิลา ฟิลิปปินส์ 18 เที่ยวบิน และภูเก็ต 15 เที่ยวบิน การปิดกิจการของเจ็ทสตาร์ เอเชีย จะกระทบกับพนักงานมากกว่า 500 คนในสิงคโปร์ที่ถูกเลิกจ้าง ส่วนเครื่องบินแอร์บัส A320 จำนวน 13 ลำ จะทยอยถูกนำกลับไปใช้ให้บริการเส้นทางบินภายในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ช่วยเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินให้กลุ่มแควนตัสได้ถึง 500 ล้านเหรียญออสเตรเลีย

    #Newskit
    Jetstar Asia โบกมือลา ยุติกิจการ 31 ก.ค.นี้ ธุรกิจการบินในอาเซียนเริ่มมีผู้ออกจากเกม เมื่อเจ็ทสตาร์ กรุ๊ป (Jetstar Group) ประกาศปิดกิจการสายการบินเจ็ทสตาร์ เอเชีย (Jetstar Asia) ซึ่งมีฐานการบินอยู่ในประเทศสิงคโปร์ ภายใต้รหัส 3K  โดยทยอยลดเที่ยวบินลง ก่อนยุติกิจการในวันที่ 31 ก.ค. 2568 ให้เหตุผลว่าสายการบินฯ ต้องเผชิญกับความท้าทายมากขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทั้งต้นทุนจากผู้ให้บริการที่เพิ่มขึ้น ค่าธรรมเนียมสนามบิน และค่าบริการด้านการบิน รวมถึงการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นในภูมิภาค แม้จะพยายามลดผลกระทบจากต้นทุนที่สูงขึ้น แต่ก็ยังไม่สามารถรักษาราคาค่าโดยสารให้ถูกลงได้อย่างยั่งยืน สำหรับเที่ยวบินของเจ็ทสตาร์เอเชีย (รหัส 3K) ยังคงให้บริการตามปกติ แต่อาจมีการลดจำนวนเที่ยวบินลง หากมีการเปลี่ยนแปลงเที่ยวบินจะติดต่อกลับไปยังผู้โดยสาร หากไม่ได้รับการติดต่อแสดงว่าเที่ยวบินยังคงให้บริการตามปกติ แต่หากเดินทางหลังวันที่ 31 ก.ค. มีสิทธิ์ขอคืนเงินเต็มจำนวนไปยังช่องทางที่ใช้ชำระเงิน และจะมีการติดต่อกลับโดยตรง หรือเข้าไปที่หน้า Manage Booking เพื่อดำเนินการคืนเงินด้วยตนเอง อย่างไรก็ตาม ผู้โดยสารที่จองเที่ยวบินกับสายการบินเจ็ทสตาร์แอร์เวย์ส (รหัส JQ) หรือเจ็ทสตาร์ เจแปน (รหัส GK) จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเที่ยวบินใดๆ สายการบินเจ็ทสตาร์ เอเชีย (3K) เป็นสายการบินราคาประหยัดในกลุ่มเจ็ทสตาร์ กรุ๊ป ซึ่งมีบริษัทเวสต์บรู๊ค อินเวสต์เมนต์ ประเทศสิงคโปร์ ถือหุ้น 51% และกลุ่มบริษัทสายการบินแควนตัส (Qantas) จากออสเตรเลียถือหุ้น 49% มีฐานการบินที่ประเทศสิงคโปร์ เปิดให้บริการครั้งแรกเมื่อวันที่ 13 ธ.ค. 2546 เส้นทางสิงคโปร์-ฮ่องกง ปัจจุบันให้บริการเส้นทางบินระหว่างประเทศระยะสั้น จากท่าอากาศยานชางงี ประเทศสิงคโปร์ ไปยัง 16 เส้นทางใน 9 ประเทศ เช่น ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น จีน มาเลเซีย ศรีลังกา อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และประเทศไทย ไปยังปลายทางกรุงเทพฯ (สุวรรณภูมิ) ภูเก็ต และกระบี่ เส้นทางยอดนิยมของสายการบินนี้ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร (สุวรรณภูมิ) ไป-กลับสัปดาห์ละ 28 เที่ยวบิน เดนปาซาร์ (บาหลี) อินโดนีเซีย 28 เที่ยวบิน จาการ์ตา อินโดนีเซีย 21 เที่ยวบิน กัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย 21 เที่ยวบิน มะนิลา ฟิลิปปินส์ 18 เที่ยวบิน และภูเก็ต 15 เที่ยวบิน การปิดกิจการของเจ็ทสตาร์ เอเชีย จะกระทบกับพนักงานมากกว่า 500 คนในสิงคโปร์ที่ถูกเลิกจ้าง ส่วนเครื่องบินแอร์บัส A320 จำนวน 13 ลำ จะทยอยถูกนำกลับไปใช้ให้บริการเส้นทางบินภายในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ช่วยเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินให้กลุ่มแควนตัสได้ถึง 500 ล้านเหรียญออสเตรเลีย #Newskit
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 427 มุมมอง 0 รีวิว
  • อังกฤษร่วมกับแคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และประเทศอื่นๆ ประกาศใช้มาตรการคว่ำบาตรด้วยการห้ามเดินทางเข้าประเทศรวมทั้งอายัดทรัพย์สินต่อนักการเมืองอิสราเอลหัวรุนแรงสองรายคือ Itamar Ben-Gvir รัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงของอิสราเอล และ Bezalel Smotrich รัฐมนตรีกระทรวงการคลังของอิสราเอล จากการที่นักการเมืองทั้งสองมักจะแสดงความเห็นรุนแรงต่อชาวปาเลสไตน์ในกาซาหลายครั้ง รวมถึงการรณรงค์ต่อต้านการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในฉนวนกาซามาตลอด

    ก่อนหน้านี้ Smotrich กล่าวว่าเขาจะไม่ยอมให้ "แม้แต่เมล็ดข้าวสาลีสักเม็ดเดียว" เข้าไปในเขตกาซา และประกาศว่า 'กาซาจะต้องถูกทำลายล้างให้สิ้นซาก' และชาวปาเลสไตน์จะต้อง 'ย้ายไปยังประเทศที่อื่นให้มากที่สุด'

    สำหรับอังกฤษ การประกาศคว่ำขาตรให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ซึ่งเหมือนเป็นกันพร้อมแตกหักครั้งสำคัญกับรัฐบาลสหรัฐฯ


    วิดีโอ1- ทางด้าน กิเดียน ซาอาร์ รัฐมนตรีต่างประเทศอิสราเอล ออกมากล่าวประณามการตัดสินใจคว่ำบาตรครั้งนี้ที่นำโดยอังกฤษ พร้อมทั้งกล่าวว่าอิสราเอลจะจัดการประชุมรัฐบาลนัดพิเศษในช่วงต้นสัปดาห์หน้า เพื่อเตรียมใช้มาตรการตอบโต้อังกฤษและพันธมิตรของพวกเขาต่อไป
    อังกฤษร่วมกับแคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และประเทศอื่นๆ ประกาศใช้มาตรการคว่ำบาตรด้วยการห้ามเดินทางเข้าประเทศรวมทั้งอายัดทรัพย์สินต่อนักการเมืองอิสราเอลหัวรุนแรงสองรายคือ Itamar Ben-Gvir รัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงของอิสราเอล และ Bezalel Smotrich รัฐมนตรีกระทรวงการคลังของอิสราเอล จากการที่นักการเมืองทั้งสองมักจะแสดงความเห็นรุนแรงต่อชาวปาเลสไตน์ในกาซาหลายครั้ง รวมถึงการรณรงค์ต่อต้านการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในฉนวนกาซามาตลอด ก่อนหน้านี้ Smotrich กล่าวว่าเขาจะไม่ยอมให้ "แม้แต่เมล็ดข้าวสาลีสักเม็ดเดียว" เข้าไปในเขตกาซา และประกาศว่า 'กาซาจะต้องถูกทำลายล้างให้สิ้นซาก' และชาวปาเลสไตน์จะต้อง 'ย้ายไปยังประเทศที่อื่นให้มากที่สุด' สำหรับอังกฤษ การประกาศคว่ำขาตรให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ซึ่งเหมือนเป็นกันพร้อมแตกหักครั้งสำคัญกับรัฐบาลสหรัฐฯ วิดีโอ1- ทางด้าน กิเดียน ซาอาร์ รัฐมนตรีต่างประเทศอิสราเอล ออกมากล่าวประณามการตัดสินใจคว่ำบาตรครั้งนี้ที่นำโดยอังกฤษ พร้อมทั้งกล่าวว่าอิสราเอลจะจัดการประชุมรัฐบาลนัดพิเศษในช่วงต้นสัปดาห์หน้า เพื่อเตรียมใช้มาตรการตอบโต้อังกฤษและพันธมิตรของพวกเขาต่อไป
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 331 มุมมอง 0 รีวิว
  • สหรัฐฯ ใช้คำหยาบคาย มากที่สุดบนโลกออนไลน์

    เมื่อวันก่อน สองนักวิจัย ดร.มาร์ติน ชไวน์เบอร์เกอร์ จากมหาวิทยาลัยควีนส์แลนด์ และ ศ.เคท เบอร์ริดจ์ จากมหาวิทยาลัยโมนาช ประเทศออสเตรเลีย เปิดเผยผลการศึกษาในหัวข้อ "Vulgarity in online discourse around the English-speaking world" (ความหยาบคายในบทสนทนาออนไลน์ทั่วโลกที่ใช้ภาษาอังกฤษ) ตีพิมพ์ลงในวารสารวิชาการลินกัว (Lingua) วิเคราะห์คำหยาบจากเนื้อหาออนไลน์กว่า 1.7 พันล้านคำในคลังข้อมูล GloWbE (Global Web-Based English Corpus)

    ผลการศึกษาพบว่า จาก 20 ประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน สหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักรมีการใช้คำหยาบมากกว่าออสเตรเลีย โดย สหรัฐอเมริกามีคำหยาบคิดเป็น 0.036% ของเนื้อหาออนไลน์ รองลงมาคือ สหราชอาณาจักร 0.025% และออสเตรเลีย 0.022% ถึงกระนั้น แม้ออสเตรเลียจะมีสัดส่วนการใช้คำหยาบน้อยกว่า แต่การศึกษาพบว่าออสเตรเลียมีความคิดสร้างสรรค์ในการใช้คำหยาบสูง เช่น คำว่า “cockknuckle” ที่ไม่พบในประเทศอื่นๆ

    สำหรับศัพท์ที่ใช้บ่อยที่สุดในแต่ละประเทศ สหรัฐอเมริกานิยมใช้คำว่า “*******” ส่วนสหราชอาณาจักรนิยมใช้คำว่า “cunt” ขณะที่ออสเตรเลียใช้คำว่า “crap” บ่อยที่สุด ส่วนประเทศในภูมิภาคอาเซียน พบว่าสิงคโปร์ใช้คำหยาบคายอันดับที่ 4 มาเลเซียอยู่อันดับที่ 6 แต่ประเทศที่ใช้คำหยาบคายต่ำที่สุดคือบังคลาเทศ กานา และแทนซาเนีย

    อย่างไรก็ตาม การศึกษานี้อาจมีข้อจำกัด เนื่องจากข้อมูลจากบล็อกของออสเตรเลียไม่ได้รวมอยู่ในชุดข้อมูล ซึ่งอาจทำให้สัดส่วนการใช้คำหยาบของออสเตรเลียต่ำกว่าความเป็นจริง นอกจากนี้ การใช้คำหยาบยังมีบริบทและความหมายที่แตกต่างกันในแต่ละวัฒนธรรม เช่น คำว่า “cunt” ที่ถือว่าเป็นคำหยาบรุนแรงในหลายประเทศ แต่ในหมู่คนรุ่นใหม่ของออสเตรเลียกลับมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ของออสเตรเลียที่มองว่าเป็นเรื่องปกติ

    ผู้เขียนงานวิจัยกล่าวในตอนหนึ่งว่า ภาษาหยาบคายเป็นสนามเด็กเล่นตามธรรมชาติ สำหรับการปลดปล่อยความคิดสร้างสรรค์ทางภาษา ภาษาหยาบคายใช้ประโยชน์จากข้อห้ามและความกลัวทางสังคม เพื่อสร้างผลกระทบผ่านปริมาณความสั่นสะเทือน พลังทางอารมณ์ และผลกระทบทางสังคมเมื่อละเมิดขอบเขต

    นอกจากนี้ เป็นไปได้ว่าในสหรัฐอเมริกา ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับลัทธิที่เคร่งครัดของนิกายโปรเตสแตนต์ ความศรัทธาในศาสนาคริสต์ และความถือตัว ผู้คนมักไม่ค่อยใช้คำหยาบคายในที่สาธารณะ นั่นอาจหมายความว่าพวกเขามีแนวโน้มที่จะเปิดเผยเรื่องเหล่านี้ทางออนไลน์มากขึ้น ส่วนชาวออสเตรเลียมีแนวโน้มที่จะพูดคุยแบบเห็นหน้ามากขึ้น และที่ทำได้ดีกว่าคือความคิดสร้างสรรค์

    #Newskit
    สหรัฐฯ ใช้คำหยาบคาย มากที่สุดบนโลกออนไลน์ เมื่อวันก่อน สองนักวิจัย ดร.มาร์ติน ชไวน์เบอร์เกอร์ จากมหาวิทยาลัยควีนส์แลนด์ และ ศ.เคท เบอร์ริดจ์ จากมหาวิทยาลัยโมนาช ประเทศออสเตรเลีย เปิดเผยผลการศึกษาในหัวข้อ "Vulgarity in online discourse around the English-speaking world" (ความหยาบคายในบทสนทนาออนไลน์ทั่วโลกที่ใช้ภาษาอังกฤษ) ตีพิมพ์ลงในวารสารวิชาการลินกัว (Lingua) วิเคราะห์คำหยาบจากเนื้อหาออนไลน์กว่า 1.7 พันล้านคำในคลังข้อมูล GloWbE (Global Web-Based English Corpus) ผลการศึกษาพบว่า จาก 20 ประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน สหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักรมีการใช้คำหยาบมากกว่าออสเตรเลีย โดย สหรัฐอเมริกามีคำหยาบคิดเป็น 0.036% ของเนื้อหาออนไลน์ รองลงมาคือ สหราชอาณาจักร 0.025% และออสเตรเลีย 0.022% ถึงกระนั้น แม้ออสเตรเลียจะมีสัดส่วนการใช้คำหยาบน้อยกว่า แต่การศึกษาพบว่าออสเตรเลียมีความคิดสร้างสรรค์ในการใช้คำหยาบสูง เช่น คำว่า “cockknuckle” ที่ไม่พบในประเทศอื่นๆ สำหรับศัพท์ที่ใช้บ่อยที่สุดในแต่ละประเทศ สหรัฐอเมริกานิยมใช้คำว่า “asshole” ส่วนสหราชอาณาจักรนิยมใช้คำว่า “cunt” ขณะที่ออสเตรเลียใช้คำว่า “crap” บ่อยที่สุด ส่วนประเทศในภูมิภาคอาเซียน พบว่าสิงคโปร์ใช้คำหยาบคายอันดับที่ 4 มาเลเซียอยู่อันดับที่ 6 แต่ประเทศที่ใช้คำหยาบคายต่ำที่สุดคือบังคลาเทศ กานา และแทนซาเนีย อย่างไรก็ตาม การศึกษานี้อาจมีข้อจำกัด เนื่องจากข้อมูลจากบล็อกของออสเตรเลียไม่ได้รวมอยู่ในชุดข้อมูล ซึ่งอาจทำให้สัดส่วนการใช้คำหยาบของออสเตรเลียต่ำกว่าความเป็นจริง นอกจากนี้ การใช้คำหยาบยังมีบริบทและความหมายที่แตกต่างกันในแต่ละวัฒนธรรม เช่น คำว่า “cunt” ที่ถือว่าเป็นคำหยาบรุนแรงในหลายประเทศ แต่ในหมู่คนรุ่นใหม่ของออสเตรเลียกลับมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ของออสเตรเลียที่มองว่าเป็นเรื่องปกติ ผู้เขียนงานวิจัยกล่าวในตอนหนึ่งว่า ภาษาหยาบคายเป็นสนามเด็กเล่นตามธรรมชาติ สำหรับการปลดปล่อยความคิดสร้างสรรค์ทางภาษา ภาษาหยาบคายใช้ประโยชน์จากข้อห้ามและความกลัวทางสังคม เพื่อสร้างผลกระทบผ่านปริมาณความสั่นสะเทือน พลังทางอารมณ์ และผลกระทบทางสังคมเมื่อละเมิดขอบเขต นอกจากนี้ เป็นไปได้ว่าในสหรัฐอเมริกา ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับลัทธิที่เคร่งครัดของนิกายโปรเตสแตนต์ ความศรัทธาในศาสนาคริสต์ และความถือตัว ผู้คนมักไม่ค่อยใช้คำหยาบคายในที่สาธารณะ นั่นอาจหมายความว่าพวกเขามีแนวโน้มที่จะเปิดเผยเรื่องเหล่านี้ทางออนไลน์มากขึ้น ส่วนชาวออสเตรเลียมีแนวโน้มที่จะพูดคุยแบบเห็นหน้ามากขึ้น และที่ทำได้ดีกว่าคือความคิดสร้างสรรค์ #Newskit
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 373 มุมมอง 0 รีวิว
  • วัตถุลึกลับในทางช้างเผือกที่ปล่อยทั้งคลื่นวิทยุและรังสีเอกซ์
    ทีมนักวิจัยนานาชาติค้นพบวัตถุอวกาศที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากโลกประมาณ 15,000 ปีแสง ในทางช้างเผือก วัตถุนี้มีชื่อว่า ASKAP J1832-0911 และมีพฤติกรรมที่น่าสนใจคือ ปล่อยทั้งคลื่นวิทยุและรังสีเอกซ์ในรูปแบบที่คาดเดาได้

    ASKAP J1832-0911 ถูกค้นพบครั้งแรกโดย Australian Square Kilometer Array Pathfinder (ASKAP) ซึ่งเป็นกล้องโทรทรรศน์วิทยุในออสเตรเลีย จากนั้น NASA ใช้ Chandra X-Ray Telescope ตรวจสอบเพิ่มเติมและพบว่ามันปล่อยรังสีเอกซ์เป็นระยะ

    พฤติกรรมของวัตถุนี้คือ ทุก 44 นาที มันจะปล่อยคลื่นวิทยุและรังสีเอกซ์เป็นเวลา 2 นาที นักวิจัยตั้งข้อสันนิษฐานว่าอาจเป็น Magnetar หรือ ดาวแคระขาวที่มีสนามแม่เหล็กสูงในระบบดาวคู่ แต่ยังไม่มีคำอธิบายที่แน่ชัด

    ข้อมูลจากข่าว
    - ASKAP J1832-0911 ตั้งอยู่ห่างจากโลก 15,000 ปีแสงในทางช้างเผือก
    - ปล่อยทั้งคลื่นวิทยุและรังสีเอกซ์ในรูปแบบที่คาดเดาได้
    - ทุก 44 นาที วัตถุนี้จะปล่อยคลื่นเป็นเวลา 2 นาที
    - ค้นพบครั้งแรกโดย ASKAP และตรวจสอบเพิ่มเติมโดย Chandra X-Ray Telescope
    - นักวิจัยตั้งข้อสันนิษฐานว่าอาจเป็น Magnetar หรือดาวแคระขาวที่มีสนามแม่เหล็กสูง

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - ยังไม่มีคำอธิบายที่แน่ชัดเกี่ยวกับพฤติกรรมของวัตถุนี้
    - อาจเป็นปรากฏการณ์ทางฟิสิกส์ใหม่ที่ยังไม่เคยพบเห็นมาก่อน
    - ต้องมีการศึกษาต่อเพื่อทำความเข้าใจวัตถุนี้ให้มากขึ้น
    - แม้ว่าจะอยู่ในทางช้างเผือก แต่ระยะทาง 15,000 ปีแสงยังถือว่าไกลมาก

    การค้นพบ ASKAP J1832-0911 อาจช่วยให้นักดาราศาสตร์เข้าใจ วิวัฒนาการของดาวฤกษ์และสนามแม่เหล็กในอวกาศ ได้ดีขึ้น นอกจากนี้ อาจนำไปสู่การค้นพบ วัตถุประเภทใหม่ที่ยังไม่เคยพบเห็นมาก่อน

    https://www.techspot.com/news/108128-unknown-object-milky-way-found-emitting-both-x.html
    🌌 วัตถุลึกลับในทางช้างเผือกที่ปล่อยทั้งคลื่นวิทยุและรังสีเอกซ์ ทีมนักวิจัยนานาชาติค้นพบวัตถุอวกาศที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากโลกประมาณ 15,000 ปีแสง ในทางช้างเผือก วัตถุนี้มีชื่อว่า ASKAP J1832-0911 และมีพฤติกรรมที่น่าสนใจคือ ปล่อยทั้งคลื่นวิทยุและรังสีเอกซ์ในรูปแบบที่คาดเดาได้ ASKAP J1832-0911 ถูกค้นพบครั้งแรกโดย Australian Square Kilometer Array Pathfinder (ASKAP) ซึ่งเป็นกล้องโทรทรรศน์วิทยุในออสเตรเลีย จากนั้น NASA ใช้ Chandra X-Ray Telescope ตรวจสอบเพิ่มเติมและพบว่ามันปล่อยรังสีเอกซ์เป็นระยะ พฤติกรรมของวัตถุนี้คือ ทุก 44 นาที มันจะปล่อยคลื่นวิทยุและรังสีเอกซ์เป็นเวลา 2 นาที นักวิจัยตั้งข้อสันนิษฐานว่าอาจเป็น Magnetar หรือ ดาวแคระขาวที่มีสนามแม่เหล็กสูงในระบบดาวคู่ แต่ยังไม่มีคำอธิบายที่แน่ชัด ✅ ข้อมูลจากข่าว - ASKAP J1832-0911 ตั้งอยู่ห่างจากโลก 15,000 ปีแสงในทางช้างเผือก - ปล่อยทั้งคลื่นวิทยุและรังสีเอกซ์ในรูปแบบที่คาดเดาได้ - ทุก 44 นาที วัตถุนี้จะปล่อยคลื่นเป็นเวลา 2 นาที - ค้นพบครั้งแรกโดย ASKAP และตรวจสอบเพิ่มเติมโดย Chandra X-Ray Telescope - นักวิจัยตั้งข้อสันนิษฐานว่าอาจเป็น Magnetar หรือดาวแคระขาวที่มีสนามแม่เหล็กสูง ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - ยังไม่มีคำอธิบายที่แน่ชัดเกี่ยวกับพฤติกรรมของวัตถุนี้ - อาจเป็นปรากฏการณ์ทางฟิสิกส์ใหม่ที่ยังไม่เคยพบเห็นมาก่อน - ต้องมีการศึกษาต่อเพื่อทำความเข้าใจวัตถุนี้ให้มากขึ้น - แม้ว่าจะอยู่ในทางช้างเผือก แต่ระยะทาง 15,000 ปีแสงยังถือว่าไกลมาก การค้นพบ ASKAP J1832-0911 อาจช่วยให้นักดาราศาสตร์เข้าใจ วิวัฒนาการของดาวฤกษ์และสนามแม่เหล็กในอวกาศ ได้ดีขึ้น นอกจากนี้ อาจนำไปสู่การค้นพบ วัตถุประเภทใหม่ที่ยังไม่เคยพบเห็นมาก่อน https://www.techspot.com/news/108128-unknown-object-milky-way-found-emitting-both-x.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Unknown object in Milky Way found emitting both X-rays and radio waves
    The celestial body, dubbed ASKAP J1832- 0911, was initially found by astronomers using the Australian Square Kilometer Array Pathfinder (ASKAP), a radio telescope located in Australia. Another...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 277 มุมมอง 0 รีวิว
  • AMD Radeon RX 9070 XT vs. Nvidia GeForce RTX 5070: การเปรียบเทียบที่พลิกโฉมตลาด GPU

    AMD เปิดตัว Radeon RX 9070 XT เพื่อแข่งขันโดยตรงกับ Nvidia GeForce RTX 5070 แต่ราคาจริงในตลาดกลับทำให้การแข่งขันนี้ซับซ้อนขึ้น โดย RX 9070 XT มีราคาสูงกว่าคู่แข่งถึง 41% ในสหรัฐฯ และ 34% ในแคนาดา แม้ว่าจะมีประสิทธิภาพสูงกว่าประมาณ 20% ในการเล่นเกมที่ความละเอียด 1440p และ 4K

    รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับการเปรียบเทียบ RX 9070 XT และ RTX 5070
    RX 9070 XT มีประสิทธิภาพสูงกว่า RTX 5070 ประมาณ 17% ที่ 1440p และ 21% ที่ 4K
    - ทำให้ เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการเฟรมเรตสูงขึ้น

    ราคาของ RX 9070 XT สูงกว่าคู่แข่งในหลายประเทศ
    - ในสหรัฐฯ แพงกว่า RTX 5070 ถึง 41%
    - ในแคนาดา แพงกว่า 34%
    - ในเยอรมนี แพงกว่า 26%
    - ในออสเตรเลีย แพงกว่า 18%

    RX 9070 XT มี VRAM ขนาด 16GB ซึ่งมากกว่า RTX 5070 ที่มีเพียง 12GB
    - เหมาะสำหรับ เกมที่ต้องการหน่วยความจำสูงและการใช้งาน AI

    การทดสอบ 57 เกมพบว่า RX 9070 XT มีประสิทธิภาพสูงกว่า RTX 5070 ในหลายเกม
    - เช่น Starfield (+31% ที่ 1440p, +36% ที่ 4K), Horizon Forbidden West (+34% ที่ 1440p, +40% ที่ 4K)

    RTX 5070 มีข้อได้เปรียบด้านเทคโนโลยี DLSS 4 ซึ่งมีการรองรับที่กว้างกว่าระบบ FSR 4 ของ AMD
    - ทำให้ การเล่นเกมที่ใช้การอัปสเกลภาพมีคุณภาพดีกว่า

    https://www.techspot.com/review/2991-amd-radeon-9070-xt-vs-nvidia-rtx-5070/
    AMD Radeon RX 9070 XT vs. Nvidia GeForce RTX 5070: การเปรียบเทียบที่พลิกโฉมตลาด GPU AMD เปิดตัว Radeon RX 9070 XT เพื่อแข่งขันโดยตรงกับ Nvidia GeForce RTX 5070 แต่ราคาจริงในตลาดกลับทำให้การแข่งขันนี้ซับซ้อนขึ้น โดย RX 9070 XT มีราคาสูงกว่าคู่แข่งถึง 41% ในสหรัฐฯ และ 34% ในแคนาดา แม้ว่าจะมีประสิทธิภาพสูงกว่าประมาณ 20% ในการเล่นเกมที่ความละเอียด 1440p และ 4K 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับการเปรียบเทียบ RX 9070 XT และ RTX 5070 ✅ RX 9070 XT มีประสิทธิภาพสูงกว่า RTX 5070 ประมาณ 17% ที่ 1440p และ 21% ที่ 4K - ทำให้ เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการเฟรมเรตสูงขึ้น ✅ ราคาของ RX 9070 XT สูงกว่าคู่แข่งในหลายประเทศ - ในสหรัฐฯ แพงกว่า RTX 5070 ถึง 41% - ในแคนาดา แพงกว่า 34% - ในเยอรมนี แพงกว่า 26% - ในออสเตรเลีย แพงกว่า 18% ✅ RX 9070 XT มี VRAM ขนาด 16GB ซึ่งมากกว่า RTX 5070 ที่มีเพียง 12GB - เหมาะสำหรับ เกมที่ต้องการหน่วยความจำสูงและการใช้งาน AI ✅ การทดสอบ 57 เกมพบว่า RX 9070 XT มีประสิทธิภาพสูงกว่า RTX 5070 ในหลายเกม - เช่น Starfield (+31% ที่ 1440p, +36% ที่ 4K), Horizon Forbidden West (+34% ที่ 1440p, +40% ที่ 4K) ✅ RTX 5070 มีข้อได้เปรียบด้านเทคโนโลยี DLSS 4 ซึ่งมีการรองรับที่กว้างกว่าระบบ FSR 4 ของ AMD - ทำให้ การเล่นเกมที่ใช้การอัปสเกลภาพมีคุณภาพดีกว่า https://www.techspot.com/review/2991-amd-radeon-9070-xt-vs-nvidia-rtx-5070/
    WWW.TECHSPOT.COM
    AMD Radeon RX 9070 XT vs. Nvidia GeForce RTX 5070
    We're revisiting the Radeon RX 9070 XT vs GeForce RTX 5070, now with updated drivers, pricing shifts, and a massive 57-game benchmark at 1440p and 4K to...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 341 มุมมอง 0 รีวิว
  • Elon Musk กลับมาทุ่มเททำงาน 24/7 หลังแพลตฟอร์ม X ฟื้นตัวจากเหตุขัดข้อง

    Elon Musk ประกาศว่าเขาจะกลับมาทำงานเต็มเวลาอีกครั้ง หลังจากแพลตฟอร์ม X (เดิมคือ Twitter) ประสบปัญหาขัดข้องครั้งใหญ่ ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้ใช้หลายหมื่นรายทั่วโลก

    รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับเหตุขัดข้องของ X และการกลับมาทำงานของ Musk
    แพลตฟอร์ม X ประสบปัญหาขัดข้องในสหรัฐฯ โดยมีผู้ใช้รายงานปัญหากว่า 25,800 ราย
    - เหตุขัดข้องเกิดขึ้นเมื่อเวลา 8:51 น. ET และลดลงเหลือ 650 รายภายใน 12:09 น. ET

    ผู้ใช้ในประเทศอื่น ๆ เช่น เยอรมนี, สเปน, ฝรั่งเศส, อินเดีย, แคนาดา, ออสเตรเลีย และอังกฤษ ก็ได้รับผลกระทบ
    - Downdetector รายงานว่าปัญหาส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง

    Musk ประกาศว่าเขาจะกลับมาทำงานเต็มเวลาและนอนในห้องประชุมหรือโรงงาน
    - เขากล่าวว่า ต้องโฟกัสกับ X, xAI และ Tesla รวมถึงการปล่อยจรวด Starship ในสัปดาห์หน้า

    X ไม่ได้ตอบกลับคำร้องขอความคิดเห็นจาก Reuters เกี่ยวกับเหตุขัดข้อง
    - ทำให้ ยังไม่มีข้อมูลชัดเจนเกี่ยวกับสาเหตุของปัญหา

    Musk ลดการใช้จ่ายทางการเมืองหลังจากลงทุนกว่า 300 ล้านดอลลาร์ในการสนับสนุน Donald Trump
    - เขาประกาศว่า จะลดการใช้จ่ายทางการเมืองและกลับมาโฟกัสที่ธุรกิจของตน

    Tesla เผชิญแรงกดดันจากนักลงทุน เนื่องจากยอดขายลดลงหลังจาก Musk แสดงจุดยืนทางการเมือง
    - Tesla รายงานยอดขายลดลงเป็นครั้งแรกในรอบปี

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/25/musk-says-he039ll-resume-working-039247039-at-his-companies-x-outage-mostly-restored
    Elon Musk กลับมาทุ่มเททำงาน 24/7 หลังแพลตฟอร์ม X ฟื้นตัวจากเหตุขัดข้อง Elon Musk ประกาศว่าเขาจะกลับมาทำงานเต็มเวลาอีกครั้ง หลังจากแพลตฟอร์ม X (เดิมคือ Twitter) ประสบปัญหาขัดข้องครั้งใหญ่ ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้ใช้หลายหมื่นรายทั่วโลก 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับเหตุขัดข้องของ X และการกลับมาทำงานของ Musk ✅ แพลตฟอร์ม X ประสบปัญหาขัดข้องในสหรัฐฯ โดยมีผู้ใช้รายงานปัญหากว่า 25,800 ราย - เหตุขัดข้องเกิดขึ้นเมื่อเวลา 8:51 น. ET และลดลงเหลือ 650 รายภายใน 12:09 น. ET ✅ ผู้ใช้ในประเทศอื่น ๆ เช่น เยอรมนี, สเปน, ฝรั่งเศส, อินเดีย, แคนาดา, ออสเตรเลีย และอังกฤษ ก็ได้รับผลกระทบ - Downdetector รายงานว่าปัญหาส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง ✅ Musk ประกาศว่าเขาจะกลับมาทำงานเต็มเวลาและนอนในห้องประชุมหรือโรงงาน - เขากล่าวว่า ต้องโฟกัสกับ X, xAI และ Tesla รวมถึงการปล่อยจรวด Starship ในสัปดาห์หน้า ✅ X ไม่ได้ตอบกลับคำร้องขอความคิดเห็นจาก Reuters เกี่ยวกับเหตุขัดข้อง - ทำให้ ยังไม่มีข้อมูลชัดเจนเกี่ยวกับสาเหตุของปัญหา ✅ Musk ลดการใช้จ่ายทางการเมืองหลังจากลงทุนกว่า 300 ล้านดอลลาร์ในการสนับสนุน Donald Trump - เขาประกาศว่า จะลดการใช้จ่ายทางการเมืองและกลับมาโฟกัสที่ธุรกิจของตน ✅ Tesla เผชิญแรงกดดันจากนักลงทุน เนื่องจากยอดขายลดลงหลังจาก Musk แสดงจุดยืนทางการเมือง - Tesla รายงานยอดขายลดลงเป็นครั้งแรกในรอบปี https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/25/musk-says-he039ll-resume-working-039247039-at-his-companies-x-outage-mostly-restored
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Musk says he'll resume working '24/7' at his companies, X outage mostly restored
    (Reuters) - Elon Musk's social media platform X was largely restored for most users after an outage that impacted tens of thousands of users in the United States on Saturday, according to outage tracking website Downdetector.com, following which he said that he is "back to spending 24/7" at his companies.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 349 มุมมอง 0 รีวิว
  • คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งออสเตรเลียทำข้อมูลรั่วไหลโดยไม่ได้ตั้งใจ

    คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งออสเตรเลีย (AHRC) เกิดเหตุข้อมูลรั่วไหล เนื่องจากข้อผิดพลาดในการตั้งค่าการจัดทำดัชนีของเบราว์เซอร์ ทำให้เอกสารส่วนตัวและข้อมูลส่วนบุคคล ถูกเปิดเผยโดยไม่ได้ตั้งใจ บนอินเทอร์เน็ต

    เอกสารประมาณ 670 ฉบับถูกเปิดเผยโดยไม่ได้ตั้งใจ
    - ในจำนวนนี้ มีประมาณ 100 ฉบับที่ถูกเข้าถึงผ่าน Bing หรือ Google

    ข้อมูลที่รั่วไหลรวมถึงเอกสารจากโครงการสำคัญของ AHRC
    - เช่น Speaking from Experience Project (มี.ค. – ก.ย. 2024), Human Rights Awards 2023 (ก.ค. – ก.ย. 2023) และ National Anti-Racism Framework (ต.ค. 2021 – ก.พ. 2022)

    AHRC ได้แจ้งเตือนผู้ที่ได้รับผลกระทบแล้ว
    - ผู้ที่อาจได้รับผลกระทบ ควรตรวจสอบบัญชีและธุรกรรมทางการเงินเพื่อหากิจกรรมที่น่าสงสัย

    เหตุการณ์นี้ไม่ได้เกิดจากการโจมตีทางไซเบอร์
    - เป็นข้อผิดพลาดทางเทคนิค ไม่ใช่การกระทำที่เป็นอาชญากรรม

    AHRC ยืนยันว่ากำลังดำเนินการแก้ไขและปรับปรุงมาตรการรักษาความปลอดภัย
    - เพื่อ ป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้อีกในอนาคต

    https://www.techradar.com/pro/security/australian-human-right-commission-leaks-docs-and-personal-information-in-browser-indexing-mishap
    คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งออสเตรเลียทำข้อมูลรั่วไหลโดยไม่ได้ตั้งใจ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งออสเตรเลีย (AHRC) เกิดเหตุข้อมูลรั่วไหล เนื่องจากข้อผิดพลาดในการตั้งค่าการจัดทำดัชนีของเบราว์เซอร์ ทำให้เอกสารส่วนตัวและข้อมูลส่วนบุคคล ถูกเปิดเผยโดยไม่ได้ตั้งใจ บนอินเทอร์เน็ต ✅ เอกสารประมาณ 670 ฉบับถูกเปิดเผยโดยไม่ได้ตั้งใจ - ในจำนวนนี้ มีประมาณ 100 ฉบับที่ถูกเข้าถึงผ่าน Bing หรือ Google ✅ ข้อมูลที่รั่วไหลรวมถึงเอกสารจากโครงการสำคัญของ AHRC - เช่น Speaking from Experience Project (มี.ค. – ก.ย. 2024), Human Rights Awards 2023 (ก.ค. – ก.ย. 2023) และ National Anti-Racism Framework (ต.ค. 2021 – ก.พ. 2022) ✅ AHRC ได้แจ้งเตือนผู้ที่ได้รับผลกระทบแล้ว - ผู้ที่อาจได้รับผลกระทบ ควรตรวจสอบบัญชีและธุรกรรมทางการเงินเพื่อหากิจกรรมที่น่าสงสัย ✅ เหตุการณ์นี้ไม่ได้เกิดจากการโจมตีทางไซเบอร์ - เป็นข้อผิดพลาดทางเทคนิค ไม่ใช่การกระทำที่เป็นอาชญากรรม ✅ AHRC ยืนยันว่ากำลังดำเนินการแก้ไขและปรับปรุงมาตรการรักษาความปลอดภัย - เพื่อ ป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้อีกในอนาคต https://www.techradar.com/pro/security/australian-human-right-commission-leaks-docs-and-personal-information-in-browser-indexing-mishap
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 266 มุมมอง 0 รีวิว
  • การพัฒนาควอนตัมคอมพิพิวติ้ง (Quantum Computing) เป็นหนึ่งในความท้าทายทางเทคโนโลยีที่สำคัญของโลกในปัจจุบัน และสภาพอากาศที่หนาวเย็นอาจมีบทบาทในการสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีนี้ เนื่องจาก:

    ### 1. **ความต้องการสภาพแวดล้อมที่เย็นจัด**
    - ควอนตัมคอมพิวเตอร์บางประเภท โดยเฉพาะ **ซูเปอร์คอนดักติ้งควอนตัมบิต (Superconducting Qubits)** จำเป็นต้องทำงานที่อุณหภูมิใกล้ศูนย์สัมบูรณ์ (−273.15°C หรือ 0 เคลวิน) เพื่อลดสัญญาณรบกวนทางความร้อน (Thermal Noise) ที่อาจรบกวนสถานะควอนตัม (Quantum State) ของคิวบิต
    - ประเทศที่มีสภาพอากาศหนาวเย็นโดยธรรมชาติอาจช่วยลดต้นทุนและความซับซ้อนของระบบทำความเย็น (Cryogenic Systems) ที่ใช้ในห้องปฏิบัติการ

    ### 2. **ประเทศที่มีศักยภาพจากสภาพอากาศหนาวเย็น**
    - **แคนาดา, รัสเซีย, สแกนดิเนเวีย (นอร์เวย์, สวีเดน, ฟินแลนด์), ไอซ์แลนด์** และบางส่วนของ **สหรัฐอเมริกา (อลาสกา)** มีภูมิอากาศที่หนาวเย็น ซึ่งอาจเป็นประโยชน์ต่อการทดลองควอนตัมบางประเภท
    - ตัวอย่างเช่น:
    - **แคนาดา** มีบริษัทและสถาบันวิจัยชั้นนำด้านควอนตัม เช่น **D-Wave Systems** (บริษัทแรกของโลกที่ขายควอนตัมคอมพิวเตอร์เชิงพาณิชย์) และ **University of Waterloo** ซึ่งเป็นศูนย์กลางของ **Quantum Valley**
    - **สวีเดนและฟินแลนด์** มีโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ที่แข็งแกร่งและสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับการวิจัย

    ### 3. **แต่...สภาพอากาศหนาวไม่ใช่ปัจจัยหลัก**
    - เทคโนโลยีควอนตัมคอมพิวติ้งยังต้องพึ่งพา **ระบบทำความเย็นขั้นสูง** (เช่น Dilution Refrigerators) อยู่ดี แม้ในประเทศที่หนาวเย็น ดังนั้น ข้อได้เปรียบทางภูมิอากาศอาจมีจำกัด
    - ปัจจัยที่สำคัญกว่าคือ:
    - **การลงทุนในวิจัยและพัฒนา** (เช่น จีน, สหรัฐอเมริกา, สหภาพยุโรป)
    - **ความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยและอุตสาหกรรม**
    - **โครงสร้างพื้นฐานด้านวิศวกรรมและวัสดุศาสตร์**

    ### 4. **ประเทศที่นำด้านควอนตัมคอมพิวติ้งในปัจจุบัน**
    - **สหรัฐอเมริกา** (Google, IBM, Microsoft)
    - **จีน** (ความก้าวหน้าด้วยควอนตัมคอมพิวเตอร์เช่น **Jiuzhang** และ **Zuchongzhi**)
    - **สหภาพยุโรป** (โปรแกรม Quantum Flagship)
    - **แคนาดา** (D-Wave, Xanadu)
    - **ออสเตรเลีย** (Silicon Quantum Computing)

    ### สรุป
    แม้สภาพอากาศหนาวเย็นอาจช่วยในบางแง่มุม (เช่น ลดพลังงานในการทำความเย็น) แต่ความสำเร็จของควอนตัมคอมพิวติ้งขึ้นอยู่กับ **ความสามารถทางวิศวกรรม, การลงทุน, และการพัฒนาอัลกอริธึมควอนตัม** มากกว่า ประเทศที่มีอากาศหนาวอาจได้เปรียบในบางกรณี แต่ไม่ใช่ปัจจัยชี้ขาดที่ทำให้ควอนตัมคอมพิวติ้งประสบความสำเร็จในระดับโลก
    การพัฒนาควอนตัมคอมพิพิวติ้ง (Quantum Computing) เป็นหนึ่งในความท้าทายทางเทคโนโลยีที่สำคัญของโลกในปัจจุบัน และสภาพอากาศที่หนาวเย็นอาจมีบทบาทในการสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีนี้ เนื่องจาก: ### 1. **ความต้องการสภาพแวดล้อมที่เย็นจัด** - ควอนตัมคอมพิวเตอร์บางประเภท โดยเฉพาะ **ซูเปอร์คอนดักติ้งควอนตัมบิต (Superconducting Qubits)** จำเป็นต้องทำงานที่อุณหภูมิใกล้ศูนย์สัมบูรณ์ (−273.15°C หรือ 0 เคลวิน) เพื่อลดสัญญาณรบกวนทางความร้อน (Thermal Noise) ที่อาจรบกวนสถานะควอนตัม (Quantum State) ของคิวบิต - ประเทศที่มีสภาพอากาศหนาวเย็นโดยธรรมชาติอาจช่วยลดต้นทุนและความซับซ้อนของระบบทำความเย็น (Cryogenic Systems) ที่ใช้ในห้องปฏิบัติการ ### 2. **ประเทศที่มีศักยภาพจากสภาพอากาศหนาวเย็น** - **แคนาดา, รัสเซีย, สแกนดิเนเวีย (นอร์เวย์, สวีเดน, ฟินแลนด์), ไอซ์แลนด์** และบางส่วนของ **สหรัฐอเมริกา (อลาสกา)** มีภูมิอากาศที่หนาวเย็น ซึ่งอาจเป็นประโยชน์ต่อการทดลองควอนตัมบางประเภท - ตัวอย่างเช่น: - **แคนาดา** มีบริษัทและสถาบันวิจัยชั้นนำด้านควอนตัม เช่น **D-Wave Systems** (บริษัทแรกของโลกที่ขายควอนตัมคอมพิวเตอร์เชิงพาณิชย์) และ **University of Waterloo** ซึ่งเป็นศูนย์กลางของ **Quantum Valley** - **สวีเดนและฟินแลนด์** มีโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ที่แข็งแกร่งและสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับการวิจัย ### 3. **แต่...สภาพอากาศหนาวไม่ใช่ปัจจัยหลัก** - เทคโนโลยีควอนตัมคอมพิวติ้งยังต้องพึ่งพา **ระบบทำความเย็นขั้นสูง** (เช่น Dilution Refrigerators) อยู่ดี แม้ในประเทศที่หนาวเย็น ดังนั้น ข้อได้เปรียบทางภูมิอากาศอาจมีจำกัด - ปัจจัยที่สำคัญกว่าคือ: - **การลงทุนในวิจัยและพัฒนา** (เช่น จีน, สหรัฐอเมริกา, สหภาพยุโรป) - **ความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยและอุตสาหกรรม** - **โครงสร้างพื้นฐานด้านวิศวกรรมและวัสดุศาสตร์** ### 4. **ประเทศที่นำด้านควอนตัมคอมพิวติ้งในปัจจุบัน** - **สหรัฐอเมริกา** (Google, IBM, Microsoft) - **จีน** (ความก้าวหน้าด้วยควอนตัมคอมพิวเตอร์เช่น **Jiuzhang** และ **Zuchongzhi**) - **สหภาพยุโรป** (โปรแกรม Quantum Flagship) - **แคนาดา** (D-Wave, Xanadu) - **ออสเตรเลีย** (Silicon Quantum Computing) ### สรุป แม้สภาพอากาศหนาวเย็นอาจช่วยในบางแง่มุม (เช่น ลดพลังงานในการทำความเย็น) แต่ความสำเร็จของควอนตัมคอมพิวติ้งขึ้นอยู่กับ **ความสามารถทางวิศวกรรม, การลงทุน, และการพัฒนาอัลกอริธึมควอนตัม** มากกว่า ประเทศที่มีอากาศหนาวอาจได้เปรียบในบางกรณี แต่ไม่ใช่ปัจจัยชี้ขาดที่ทำให้ควอนตัมคอมพิวติ้งประสบความสำเร็จในระดับโลก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 455 มุมมอง 0 รีวิว
  • 13 พฤษภาคม 2568 -รายงานรอยเตอร์สระบุว่า สภาการบินแห่งสหประชาชาติตัดสินเมื่อวันจันทร์ว่า รัสเซียต้องรับผิดชอบต่อเหตุการณ์เครื่องบินของมาเลเซียถูกยิงตกในยูเครน ซึ่งทำให้ผู้โดยสารและลูกเรือทั้ง 298 รายเสียชีวิตทั้งหมด รวมทั้งพลเมืองเนเธอร์แลนด์ 196 ราย และพลเมืองหรือผู้พำนักอาศัยในออสเตรเลีย 38 ราย รัฐบาลเนเธอร์แลนด์และออสเตรเลียระบุในแถลงการณ์แยกกันรัฐบาลทั้งสองกล่าวว่าคณะมนตรีองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) จะพิจารณาว่าจะต้องชดใช้ในรูปแบบใดในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้าเที่ยวบิน MH17 ของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ออกเดินทางจากอัมสเตอร์ดัมไปยังกัวลาลัมเปอร์เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 และถูกยิงตกในยูเครนตะวันออก ขณะที่กลุ่มแบ่งแยกดินแดนที่นิยมรัสเซียและกองกำลังยูเครนกำลังสู้รบกันอย่างดุเดือดในเดือนพฤศจิกายน 2022 ผู้พิพากษาของเนเธอร์แลนด์ได้ตัดสินจำคุกชายชาวรัสเซีย 2 คนและชายชาวยูเครน 1 คนในข้อหาฆาตกรรมในข้อหามีส่วนร่วมในเหตุโจมตีดังกล่าว มอสโกว์กล่าวว่าคำตัดสินดังกล่าว "น่าอับอาย" และระบุว่าจะไม่ส่งตัวพลเมืองของตนกลับประเทศICAO ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ในเมืองมอนทรีออลไม่ได้ตอบสนองต่อคำร้องขอความคิดเห็นในทันที โดยคดีนี้เริ่มต้นขึ้นในปี 2022 โดยออสเตรเลียและเนเธอร์แลนด์“การตัดสินใจครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการค้นหาความจริงและบรรลุความยุติธรรมและการรับผิดชอบต่อเหยื่อทั้งหมดของเที่ยวบิน MH17 และครอบครัวและคนที่พวกเขารัก” แคสเปอร์ เฟลด์คัมป์ รัฐมนตรีต่างประเทศของเนเธอร์แลนด์กล่าวในแถลงการณ์“การตัดสินใจครั้งนี้ยังส่งข้อความที่ชัดเจนไปยังชุมชนระหว่างประเทศด้วยว่า รัฐต่างๆ ไม่สามารถละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศได้โดยไม่ต้องรับโทษ”เนเธอร์แลนด์และออสเตรเลียต้องการให้สภา ICAO สั่งให้รัสเซียเข้าร่วมการเจรจาเรื่องการชดเชย เขากล่าวเสริมเพนนี หว่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศออสเตรเลีย กล่าวว่ารัฐบาลของเธอยินดีกับการตัดสินใจดังกล่าว และเรียกร้องให้ ICAO ดำเนินการอย่างรวดเร็วเพื่อกำหนดแนวทางแก้ไขหว่องกล่าวในแถลงการณ์ว่า "เราขอเรียกร้องให้รัสเซียเผชิญหน้ากับความรับผิดชอบต่อการกระทำรุนแรงอันน่าสยดสยองครั้งนี้ และชดใช้การกระทำที่เลวร้ายนี้ ตามที่กฎหมายระหว่างประเทศกำหนด"ICAO ขาดอำนาจในการกำกับดูแล แต่มีอำนาจโน้มน้าวใจ และกำหนดมาตรฐานการบินระดับโลกที่ได้รับการยอมรับอย่างท่วมท้นจากประเทศสมาชิก 193 ประเทศ ที่มา REUTERS
    13 พฤษภาคม 2568 -รายงานรอยเตอร์สระบุว่า สภาการบินแห่งสหประชาชาติตัดสินเมื่อวันจันทร์ว่า รัสเซียต้องรับผิดชอบต่อเหตุการณ์เครื่องบินของมาเลเซียถูกยิงตกในยูเครน ซึ่งทำให้ผู้โดยสารและลูกเรือทั้ง 298 รายเสียชีวิตทั้งหมด รวมทั้งพลเมืองเนเธอร์แลนด์ 196 ราย และพลเมืองหรือผู้พำนักอาศัยในออสเตรเลีย 38 ราย รัฐบาลเนเธอร์แลนด์และออสเตรเลียระบุในแถลงการณ์แยกกันรัฐบาลทั้งสองกล่าวว่าคณะมนตรีองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) จะพิจารณาว่าจะต้องชดใช้ในรูปแบบใดในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้าเที่ยวบิน MH17 ของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ออกเดินทางจากอัมสเตอร์ดัมไปยังกัวลาลัมเปอร์เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 และถูกยิงตกในยูเครนตะวันออก ขณะที่กลุ่มแบ่งแยกดินแดนที่นิยมรัสเซียและกองกำลังยูเครนกำลังสู้รบกันอย่างดุเดือดในเดือนพฤศจิกายน 2022 ผู้พิพากษาของเนเธอร์แลนด์ได้ตัดสินจำคุกชายชาวรัสเซีย 2 คนและชายชาวยูเครน 1 คนในข้อหาฆาตกรรมในข้อหามีส่วนร่วมในเหตุโจมตีดังกล่าว มอสโกว์กล่าวว่าคำตัดสินดังกล่าว "น่าอับอาย" และระบุว่าจะไม่ส่งตัวพลเมืองของตนกลับประเทศICAO ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ในเมืองมอนทรีออลไม่ได้ตอบสนองต่อคำร้องขอความคิดเห็นในทันที โดยคดีนี้เริ่มต้นขึ้นในปี 2022 โดยออสเตรเลียและเนเธอร์แลนด์“การตัดสินใจครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการค้นหาความจริงและบรรลุความยุติธรรมและการรับผิดชอบต่อเหยื่อทั้งหมดของเที่ยวบิน MH17 และครอบครัวและคนที่พวกเขารัก” แคสเปอร์ เฟลด์คัมป์ รัฐมนตรีต่างประเทศของเนเธอร์แลนด์กล่าวในแถลงการณ์“การตัดสินใจครั้งนี้ยังส่งข้อความที่ชัดเจนไปยังชุมชนระหว่างประเทศด้วยว่า รัฐต่างๆ ไม่สามารถละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศได้โดยไม่ต้องรับโทษ”เนเธอร์แลนด์และออสเตรเลียต้องการให้สภา ICAO สั่งให้รัสเซียเข้าร่วมการเจรจาเรื่องการชดเชย เขากล่าวเสริมเพนนี หว่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศออสเตรเลีย กล่าวว่ารัฐบาลของเธอยินดีกับการตัดสินใจดังกล่าว และเรียกร้องให้ ICAO ดำเนินการอย่างรวดเร็วเพื่อกำหนดแนวทางแก้ไขหว่องกล่าวในแถลงการณ์ว่า "เราขอเรียกร้องให้รัสเซียเผชิญหน้ากับความรับผิดชอบต่อการกระทำรุนแรงอันน่าสยดสยองครั้งนี้ และชดใช้การกระทำที่เลวร้ายนี้ ตามที่กฎหมายระหว่างประเทศกำหนด"ICAO ขาดอำนาจในการกำกับดูแล แต่มีอำนาจโน้มน้าวใจ และกำหนดมาตรฐานการบินระดับโลกที่ได้รับการยอมรับอย่างท่วมท้นจากประเทศสมาชิก 193 ประเทศ ที่มา REUTERS
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 472 มุมมอง 0 รีวิว
  • สืบภาค 8 ตามรวบแก๊งออสเตรเลียปล้นเพื่อนร่วมชาติ 21 ล้าน กบดานวิลล่าหรูพัทยา ค้นบ้าน ผงะพบสิงโตขนาดใหญ่ 2 ตัวเลี้ยงไว้ในบ้าน
    https://www.thai-tai.tv/news/18601/
    สืบภาค 8 ตามรวบแก๊งออสเตรเลียปล้นเพื่อนร่วมชาติ 21 ล้าน กบดานวิลล่าหรูพัทยา ค้นบ้าน ผงะพบสิงโตขนาดใหญ่ 2 ตัวเลี้ยงไว้ในบ้าน https://www.thai-tai.tv/news/18601/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 235 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts