• สื่อมาเลย์เตือนอันวาร์แรง
    ไม่ใช่สงครามของมาเลย์
    หากเสียไทยไป = เปิดทางให้อินโดฯ ชิงอำนาจ
    #7ดอกจิก
    สื่อมาเลย์เตือนอันวาร์แรง ไม่ใช่สงครามของมาเลย์ หากเสียไทยไป = เปิดทางให้อินโดฯ ชิงอำนาจ #7ดอกจิก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 11 มุมมอง 0 รีวิว
  • เขมรไว้ใจไม่ได้,คนเขมรในประเทศไทยตอนนี้ จริงๆทุกๆคนต้องอยู่ในหมวดสมมุติฐานที่ว่า"คือไส้ศึกภายในประเทศไทย"พร้อมก่อเหตุไม่ดีต่างๆได้ตลอดเวลาเพราะเป็นเผ่าพันธุ์คู่สงครามศัตรูกันจริงด้านภัยคุกคามรุกรานอธิปไตยไทยในขณะนี้และยิงระเบิดใส่คนไทยตายก่อนจริง วางกับระเบิดใส่ทหารไทยขาขาดจริง,ประชาชนคนเขมรหัวเราะสะใจที่คนไทยถูกทำร้ายทำลายและชอบใจที่คนไทยสูญเสียจริง,คนเขมรทั้งประเทศเสมือนสนับสนุนสงครามกับไทย,ประเทศไทยต้องห้ามคนเขมรเข้าประเทศไทยทั้งหมด มีต้องถีบออกทั้งหมดทันที คนเนรคุณคนทรยศอย่าเก็บไว้บนแผ่นดินไทยส่วนมันจะเคลื่อนตัวเหี้ยไปอยู่ไหนเรื่องของมันแต่ประเทศไทยเวลานี้ ต้องแบนต้องห้านคนเขมรมีตัวตนอยู่บนแผ่นดินไทยทั้งหมด.,คว่ำบาตรเขมรด้วยทุกๆช่องทาง หรือทั้งหมด ตัดทุกๆอย่างจริง คนไทยส่งเสบียงอาหาร ไฟฟ้าน้ำมันให้โจรเขมรต้องถูกอายัดเงินทองทรัพย์สินมันทั้งหมด,คนเขมรใดๆมีทรัพย์สินในแผ่นดินไทย ตังในแผ่นดินไทยเสมือนไส้ศึกสามารถใช้ทรัพย์สินนั้นจ้างก่ออาชญากรรมบนแผ่นดินไทยได้ต้องยึดอายัดทรัพย์สินของคนฝ่ายเชื้อชาติศัตรูให้หมด มรึงต้องออกจากประเทศไทยสถานเดียวนั้น ทหารไทยต้องใจเด็ดดขาด ประกาศกฎอัยการศึกทั่วประเทศไทยทันทีจึงจะควบคุมภัยมั่นคงต่างๆทุกๆมิติที่เราคาดไม่ถึงได้หมดในเหตุการณ์ภัยเขมรนี้,ปลอดภัยจึงพิจารณาทีหลังได้ คำสั่งใดๆเด็ดขาดจัดการศัตรูของชาติทุกๆมิติจะมีประสิทธิและประสิทธิผลจริง.,มิใช่แค่ตลอดพื้นที่บริเวณแนวพรมแดนเท่านั้นเพราะวิธีชนะศึกสงครามฆ่าฝ่ายชั่วเลวตรงข้ามเรา อาจจัดการสาระพัดหลากหลายวิธีได้หรือพร้อมๆกันได้หมด,อำนาจฝ่ายนักการเมืองไม่สามารถจัดการภาวะผิดปกตินี้ได้หรอก,มันต้องทันกาลเฉียบไว.

    https://youtu.be/Ds8Fyw7R2sE?si=nA2YJbOhFqyOnF9x
    เขมรไว้ใจไม่ได้,คนเขมรในประเทศไทยตอนนี้ จริงๆทุกๆคนต้องอยู่ในหมวดสมมุติฐานที่ว่า"คือไส้ศึกภายในประเทศไทย"พร้อมก่อเหตุไม่ดีต่างๆได้ตลอดเวลาเพราะเป็นเผ่าพันธุ์คู่สงครามศัตรูกันจริงด้านภัยคุกคามรุกรานอธิปไตยไทยในขณะนี้และยิงระเบิดใส่คนไทยตายก่อนจริง วางกับระเบิดใส่ทหารไทยขาขาดจริง,ประชาชนคนเขมรหัวเราะสะใจที่คนไทยถูกทำร้ายทำลายและชอบใจที่คนไทยสูญเสียจริง,คนเขมรทั้งประเทศเสมือนสนับสนุนสงครามกับไทย,ประเทศไทยต้องห้ามคนเขมรเข้าประเทศไทยทั้งหมด มีต้องถีบออกทั้งหมดทันที คนเนรคุณคนทรยศอย่าเก็บไว้บนแผ่นดินไทยส่วนมันจะเคลื่อนตัวเหี้ยไปอยู่ไหนเรื่องของมันแต่ประเทศไทยเวลานี้ ต้องแบนต้องห้านคนเขมรมีตัวตนอยู่บนแผ่นดินไทยทั้งหมด.,คว่ำบาตรเขมรด้วยทุกๆช่องทาง หรือทั้งหมด ตัดทุกๆอย่างจริง คนไทยส่งเสบียงอาหาร ไฟฟ้าน้ำมันให้โจรเขมรต้องถูกอายัดเงินทองทรัพย์สินมันทั้งหมด,คนเขมรใดๆมีทรัพย์สินในแผ่นดินไทย ตังในแผ่นดินไทยเสมือนไส้ศึกสามารถใช้ทรัพย์สินนั้นจ้างก่ออาชญากรรมบนแผ่นดินไทยได้ต้องยึดอายัดทรัพย์สินของคนฝ่ายเชื้อชาติศัตรูให้หมด มรึงต้องออกจากประเทศไทยสถานเดียวนั้น ทหารไทยต้องใจเด็ดดขาด ประกาศกฎอัยการศึกทั่วประเทศไทยทันทีจึงจะควบคุมภัยมั่นคงต่างๆทุกๆมิติที่เราคาดไม่ถึงได้หมดในเหตุการณ์ภัยเขมรนี้,ปลอดภัยจึงพิจารณาทีหลังได้ คำสั่งใดๆเด็ดขาดจัดการศัตรูของชาติทุกๆมิติจะมีประสิทธิและประสิทธิผลจริง.,มิใช่แค่ตลอดพื้นที่บริเวณแนวพรมแดนเท่านั้นเพราะวิธีชนะศึกสงครามฆ่าฝ่ายชั่วเลวตรงข้ามเรา อาจจัดการสาระพัดหลากหลายวิธีได้หรือพร้อมๆกันได้หมด,อำนาจฝ่ายนักการเมืองไม่สามารถจัดการภาวะผิดปกตินี้ได้หรอก,มันต้องทันกาลเฉียบไว. https://youtu.be/Ds8Fyw7R2sE?si=nA2YJbOhFqyOnF9x
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 68 มุมมอง 0 รีวิว
  • หลุม ตอนที่ 5
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “หลุม”

    ตอน 5 (จบ)

    รายการขุดหลุมของฝั่งยูเครน นอกจากใช้ยาโด๊ป เกรด 2 เกรด 3 ที่วางขายกันอย่างโจ๊งครึ่มแล้ว รายนาย Saak ที่ไปเอามาเป็น ผู้ว่าการแคว้นโอเดสสา ดูเหมือนจะไม่ได้มาตัวเปล่า และภาระกิจของเขา น่าจะอยู่ตำแหน่งหัวไม้ขีดจุดชนวนได้

    ตั้งแต่ตอน นาย Saak รับใบสั่งให้เป็นประธานาธิบดีจอร์เจีย คนออกใบสั่งมีของขวัญแถมมาให้อุ่นใจ เป็นหน่วยรบปฏิบัติการพิเศษมอสสาด จากอิสราเอล จำนวนหนึ่งพันคน เอามาฝึกทหารจอร์เจีย ข่าวว่าฝึกเสร็จแล้วก็ไม่ได้กลับอิสราเอล ยังนั่งล้อมวงจั่วไพ่อยู่ในจอร์เจียต่อ… เอะ ทำไมมันเหมือนกันหมด พวกที่เข้ามาฝึกๆๆๆ แล้วไม่ออกไป หรือออกไปน้อยกว่าตอนเข้ามานี่ คุ้นๆครับ

    คราวนี้ เมื่อนาย Saak มารับตำแหน่งผู้ว่าการแคว้นโอเดสสา แกคงจะเป็นห่วงของแถมจากอิสราเอล กลัวจะเหงาจับเจ่าอยู่ในจอร์เจีย เลยขนติดตัวมาที่โอเดสสาด้วยทั้งกองพันนั่นแหละ เรื่องนี้จึงเป็นที่จับตามอง เอามาทำไมกัน เอาไว้เตรียมสู้กับทหารรัสเซียพันกว่าคน ที่ประจำอยู่ทรานนิสเตรีย เผื่อเป็นเด็กดื้อ เดินผ่านเข้ามาในยูเครนอย่างนั้นหรือ

    สื่อทั้งเล็กทั้งใหญ่ต่างวิเคราะห์ว่า ยูเครนเดินหมากแบบนี้ น่าจะเป็นชนวนให้เกิดเรื่องใหญ่ เป็นการบีบไข่รัสเซียให้หน้าเขียวได้ ถ้ารัสเซียไม่ช่วย สาวร่างบางทรานนิสเตรีย ก็เสียชื่อลูกพี่ใหญ่ตายชัก แต่ถ้าตัดสินใจลุย ก็ไม่แคล้ว ต้องมีเรื่องกับยูเครน ไม่รู้รอบที่เท่าไหร่ ยังมีมอนโดวา คอยแยงอีก โฮ้ย คราวนี้ คุณพี่ปูของผม คงหน้าเหี่ยวหล่อลดลงไปนิดหน่อย

    แม้จะมีทั้งยาโด๊ป ของแถม แต่ผมว่า นายช๊อกโกแลต ยังไงก็ไม่น่าจะทะเล่อทะล่า คิดวางแผนขุดหลุม ขุดบ่อล่อให้คุณพี่ปูตินเดินตกหลุมง่ายๆ อย่างนั้นนะ เสียชื่อมาถึงแฟนคลับหมด ยูเครนมีกำลังอะไรไปสู้รัสเซีย กระดูกเบอร์ห่างเป็นคืบ ยูเครนถูกต้มซ้ำซาก ดักดานไม่เข็ด เดือดร้อนมาถึงประชาชนของตน เจ็บตาย จากแรงยุ ดูจากยาโด๊ปแต่ละรายการมาจากไหน ก็แหล่งเดียวกันทั้งนั้น
    อเมริกา นักล่าใบตองแห้ง พยายามจะฮุบเอายูเครน ที่พลเมืองแบ่งเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งอยากไปอยู่กับรัสเสีย อีกฝ่ายอยากไปอยู่กับอียู ให้มาอยู่กับอียูทั้งหมด หรือจริงๆ ก็คือ อยู่ฝ่ายอเมริกานั่นแหละ เพราะรู้ว่ายูเครนเป็นจุดสำคัญกับรัสเซียทางด้านยุทธสาศตร์ อเมริกาพยายามมาหลายรอบ รอบสุดท้ายก็คือต้นปีที่แล้ว 2014 ก็ยังไม่สำเร็จ ยังค้างคาไม่รู้หมู่รู้จ่าเหมือนเดิม อเมริกาใช้วิธียุให้มีการประท้วงเผาเมือง โดยส่งคนไปวางแผน ก็นางเหยี่ยว Nuland นั่นแหละ รวมทั้งส่งคนไปร่วมปฏิบัติการ แล้วก็ไม่สำเร็จ (มีรายละเอียดที่น่าจะทำให้เข้าใจเรื่องมากขึ้น อยู่ในนิทานเรื่อง รุกคืบ หรือรุกฆาต และนิทานเรื่อง แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3 ครับ )

    ใช้วิธียุให้เขาตีกัน ยังไม่ได้เรื่องตามต้องการ อเมริกาเปลี่ยนมาใช้วิธีหาเรื่องคว่ำบาตรรัสเซียไปเรื่อยๆก่อน แต่ที่อเมริกายังไม่มีที่ท่าว่าจะใช้ ไม่ว่าแบบเบาหรือหนัก คือ กดดันรัสเซียด้วยกองกำลังของนาโต้ เสือฟันหรอ จะว่า อเมริกาเกิดรักสงบ มันก็ผิดสันดานนักล่าใบตองแห้งมากไปหน่อย ก็น่าสงสัยว่า คงใช้นาโต้ไปไล่งับแล้ว แต่คงงับคุณพี่ปูเขาไม่เข้า ก็เสือมันฟันหรอ จะไปทำอะไรได้ เอะ … แล้วกองกำลังของอเมริกาเองล่ะ พร้อมหรือเปล่า ไม่เห็นออกข่าวมาบ้างเลย อุบไต๋เงียบเลยนะพี่

    แผนใช้เด็กๆไปขุดหลุม กะให้คุณพี่ปูเลือดขึ้นหน้า ยกทัพกรีฑามาบดขยี้ยูเครน เปิดโอกาสให้อเมริกาและชาวโลกชี้ หน้าประณามรัสเซียว่า เห็นมั้ย รัสเซียนักเลงโต แสดงความก้าวร้าวอีกแล้ว ยึดไครเมียไม่พอ จะต้องยึดยูเครนให้ได้ เรื่องแบบนี้สื่อใส่สี น่าจะเตรียมพาดหัวข่าวรอไว้ด้วยซ้ำ

    การใช้วิธีขุดหลุมล่อแบบนี้ กองกำลังของอเมริกาเอง “ควร” จะต้องพร้อม เพราะถ้ารัสเซียเกิดเลือดฝาดขึ้นหน้า ไม่สนใจหลุมลึก หลุมตื้น เดินลุยใส่ อเมริกาจะทำอย่างไร ลำพังกองทัพของนาโต้ เสือฟันหรอ ผมว่า เอารัสเซียยามนี้ไม่อยู่หรอก ต้องใช้กองกำลังของอเมริกามาร่วมด้วย

    กองเรือของอเมริกาขณะนี้ ที่ใกล้ยูเครนที่สุด น่าจะเป็นที่ไปแอบซุ่มไว้แถวสวีเดน กับแถวแคนาดา ทางทะเลบอลติกเหนือนู่น กว่าจะยุรยาตรมายูเครน ไม่ทันแกงกินแน่ อเมริกาจึงน่าจะใช้การสกัดที่มา ทางอากาศมากกว่า เล่นแบบนั้น แปลว่า อเมริกา ” พร้อม” ก่อสงคราม.. ไม่ใช่แค่สงครามยูเครน แต่อาจลามเป็นสงครามโลกได้ อเมริกา “พร้อม” ไหม
    เพราะรัสเซียกับพวก คงไม่ยอมถูกเจาะกระบาลหัวฟรีๆ มันคงต้องมีการแลกของกันหน่อย

    ส่วนรัสเซีย น่าจะรู้อยู่แล้วว่า เขากำลังขุดหลุมล่อ และน่าจะรู้นานแล้วด้วย อย่าลืมว่า ยูเครนก็แดนเก่าของสหภาพโซเวียต ครึ่งหนึ่งของชาวยูเครน ก็ยังผูกพันกับรัสเซีย รัสเซียน่าจะนั่งรอด้วยซ้ำว่า เมื่อไหร่หลุมนี้ จะขุดเสร็จ และถ้าเป็นอย่างนั้น แสดงว่า รัสเซีย “พร้อม” รับมือกับหลุมล่อของอเมริกา
    ถ้าทั้ง 2 ฝ่าย พร้อม ที่จะเล่นยาวจนเป็นสงคราม เหตุการณ์ อาจจะทยอยเกิดในหลายภูมิภาค ตั้งแต่ยุโรป ตะวันออกกลาง และเอเซีย เพราะอเมริกา จะไม่ปล่อยให้ฝั่งรัสเซีย มีการรวมตัวเพื่อส่งกำลังช่วยกัน โดยเฉพาะ ระหว่าง รัสเซีย จีน อิหร่าน เกาหลีเหนือแน่นอน อเมริกาจึงน่าจะเลือกใช้วิธี แยกจุดชนวนในภูมิภาคต่างๆ นั้น ให้เดือด ในเวลาใกล้เคียงกัน ให้แต่ละคนมัวแต่วุ่นวายอยู่กับเรื่องในบ้าน หรือใกล้บ้านตัวเอง

    และก็เป็นไปได้ว่า หลุมที่ขุดล่อนี้ อาจจะ “ฝ่อ” ไม่เป็นท่า ไม่ได้ผลทั้งฝ่ายอเมริกา ที่ไม่ “พร้อม” รบ เพราะเห็นว่า รัสเซีย ดัน “พร้อม” รับ และอาจจะรุกกลับ ถ้าเป็นอย่างนั้น เรื่องของสาวร่างบางทรานนิสเตรีย จะค่อยๆเงียบไปเอง และการตีปีบ น่าจะมีเริ่มใหม่ แต่เปลี่ยนสถานที่ ไล่ตีไปเรื่อยๆ เดี๋ยวพวกนักข่าวใส่สีจะตกงาน ของจริงคงต้องรอให้เรื่องอิหร่าน ญี่ปุ่น ลงตัวเสียก่อน เดือนมิถุนายนไปแล้วค่อยว่ากัน ส่วนบรรดาเสี่ยปั้มน้ำมันของผม ไม่ว่า ปั้มใหญ่ ปั้มเล็ก น่าจะต้องเตรียมอาชีพอื่นไว้รองรับบ้างนะครับเสี่ย

    ส่วนตัวผม เอนไปทางฝ่อนะ อเมริกา ณ ตอนนี้ น่าจะยังไม่พร้อมลุยกับคุณพี่ปูของผมหรอก คนเราถ้าพร้อม ไม่น่าตีปีบเอะอะ มาเงียบๆ มันกว่า

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    15 มิ.ย. 2558
    หลุม ตอนที่ 5 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “หลุม” ตอน 5 (จบ) รายการขุดหลุมของฝั่งยูเครน นอกจากใช้ยาโด๊ป เกรด 2 เกรด 3 ที่วางขายกันอย่างโจ๊งครึ่มแล้ว รายนาย Saak ที่ไปเอามาเป็น ผู้ว่าการแคว้นโอเดสสา ดูเหมือนจะไม่ได้มาตัวเปล่า และภาระกิจของเขา น่าจะอยู่ตำแหน่งหัวไม้ขีดจุดชนวนได้ ตั้งแต่ตอน นาย Saak รับใบสั่งให้เป็นประธานาธิบดีจอร์เจีย คนออกใบสั่งมีของขวัญแถมมาให้อุ่นใจ เป็นหน่วยรบปฏิบัติการพิเศษมอสสาด จากอิสราเอล จำนวนหนึ่งพันคน เอามาฝึกทหารจอร์เจีย ข่าวว่าฝึกเสร็จแล้วก็ไม่ได้กลับอิสราเอล ยังนั่งล้อมวงจั่วไพ่อยู่ในจอร์เจียต่อ… เอะ ทำไมมันเหมือนกันหมด พวกที่เข้ามาฝึกๆๆๆ แล้วไม่ออกไป หรือออกไปน้อยกว่าตอนเข้ามานี่ คุ้นๆครับ คราวนี้ เมื่อนาย Saak มารับตำแหน่งผู้ว่าการแคว้นโอเดสสา แกคงจะเป็นห่วงของแถมจากอิสราเอล กลัวจะเหงาจับเจ่าอยู่ในจอร์เจีย เลยขนติดตัวมาที่โอเดสสาด้วยทั้งกองพันนั่นแหละ เรื่องนี้จึงเป็นที่จับตามอง เอามาทำไมกัน เอาไว้เตรียมสู้กับทหารรัสเซียพันกว่าคน ที่ประจำอยู่ทรานนิสเตรีย เผื่อเป็นเด็กดื้อ เดินผ่านเข้ามาในยูเครนอย่างนั้นหรือ สื่อทั้งเล็กทั้งใหญ่ต่างวิเคราะห์ว่า ยูเครนเดินหมากแบบนี้ น่าจะเป็นชนวนให้เกิดเรื่องใหญ่ เป็นการบีบไข่รัสเซียให้หน้าเขียวได้ ถ้ารัสเซียไม่ช่วย สาวร่างบางทรานนิสเตรีย ก็เสียชื่อลูกพี่ใหญ่ตายชัก แต่ถ้าตัดสินใจลุย ก็ไม่แคล้ว ต้องมีเรื่องกับยูเครน ไม่รู้รอบที่เท่าไหร่ ยังมีมอนโดวา คอยแยงอีก โฮ้ย คราวนี้ คุณพี่ปูของผม คงหน้าเหี่ยวหล่อลดลงไปนิดหน่อย แม้จะมีทั้งยาโด๊ป ของแถม แต่ผมว่า นายช๊อกโกแลต ยังไงก็ไม่น่าจะทะเล่อทะล่า คิดวางแผนขุดหลุม ขุดบ่อล่อให้คุณพี่ปูตินเดินตกหลุมง่ายๆ อย่างนั้นนะ เสียชื่อมาถึงแฟนคลับหมด ยูเครนมีกำลังอะไรไปสู้รัสเซีย กระดูกเบอร์ห่างเป็นคืบ ยูเครนถูกต้มซ้ำซาก ดักดานไม่เข็ด เดือดร้อนมาถึงประชาชนของตน เจ็บตาย จากแรงยุ ดูจากยาโด๊ปแต่ละรายการมาจากไหน ก็แหล่งเดียวกันทั้งนั้น อเมริกา นักล่าใบตองแห้ง พยายามจะฮุบเอายูเครน ที่พลเมืองแบ่งเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งอยากไปอยู่กับรัสเสีย อีกฝ่ายอยากไปอยู่กับอียู ให้มาอยู่กับอียูทั้งหมด หรือจริงๆ ก็คือ อยู่ฝ่ายอเมริกานั่นแหละ เพราะรู้ว่ายูเครนเป็นจุดสำคัญกับรัสเซียทางด้านยุทธสาศตร์ อเมริกาพยายามมาหลายรอบ รอบสุดท้ายก็คือต้นปีที่แล้ว 2014 ก็ยังไม่สำเร็จ ยังค้างคาไม่รู้หมู่รู้จ่าเหมือนเดิม อเมริกาใช้วิธียุให้มีการประท้วงเผาเมือง โดยส่งคนไปวางแผน ก็นางเหยี่ยว Nuland นั่นแหละ รวมทั้งส่งคนไปร่วมปฏิบัติการ แล้วก็ไม่สำเร็จ (มีรายละเอียดที่น่าจะทำให้เข้าใจเรื่องมากขึ้น อยู่ในนิทานเรื่อง รุกคืบ หรือรุกฆาต และนิทานเรื่อง แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3 ครับ ) ใช้วิธียุให้เขาตีกัน ยังไม่ได้เรื่องตามต้องการ อเมริกาเปลี่ยนมาใช้วิธีหาเรื่องคว่ำบาตรรัสเซียไปเรื่อยๆก่อน แต่ที่อเมริกายังไม่มีที่ท่าว่าจะใช้ ไม่ว่าแบบเบาหรือหนัก คือ กดดันรัสเซียด้วยกองกำลังของนาโต้ เสือฟันหรอ จะว่า อเมริกาเกิดรักสงบ มันก็ผิดสันดานนักล่าใบตองแห้งมากไปหน่อย ก็น่าสงสัยว่า คงใช้นาโต้ไปไล่งับแล้ว แต่คงงับคุณพี่ปูเขาไม่เข้า ก็เสือมันฟันหรอ จะไปทำอะไรได้ เอะ … แล้วกองกำลังของอเมริกาเองล่ะ พร้อมหรือเปล่า ไม่เห็นออกข่าวมาบ้างเลย อุบไต๋เงียบเลยนะพี่ แผนใช้เด็กๆไปขุดหลุม กะให้คุณพี่ปูเลือดขึ้นหน้า ยกทัพกรีฑามาบดขยี้ยูเครน เปิดโอกาสให้อเมริกาและชาวโลกชี้ หน้าประณามรัสเซียว่า เห็นมั้ย รัสเซียนักเลงโต แสดงความก้าวร้าวอีกแล้ว ยึดไครเมียไม่พอ จะต้องยึดยูเครนให้ได้ เรื่องแบบนี้สื่อใส่สี น่าจะเตรียมพาดหัวข่าวรอไว้ด้วยซ้ำ การใช้วิธีขุดหลุมล่อแบบนี้ กองกำลังของอเมริกาเอง “ควร” จะต้องพร้อม เพราะถ้ารัสเซียเกิดเลือดฝาดขึ้นหน้า ไม่สนใจหลุมลึก หลุมตื้น เดินลุยใส่ อเมริกาจะทำอย่างไร ลำพังกองทัพของนาโต้ เสือฟันหรอ ผมว่า เอารัสเซียยามนี้ไม่อยู่หรอก ต้องใช้กองกำลังของอเมริกามาร่วมด้วย กองเรือของอเมริกาขณะนี้ ที่ใกล้ยูเครนที่สุด น่าจะเป็นที่ไปแอบซุ่มไว้แถวสวีเดน กับแถวแคนาดา ทางทะเลบอลติกเหนือนู่น กว่าจะยุรยาตรมายูเครน ไม่ทันแกงกินแน่ อเมริกาจึงน่าจะใช้การสกัดที่มา ทางอากาศมากกว่า เล่นแบบนั้น แปลว่า อเมริกา ” พร้อม” ก่อสงคราม.. ไม่ใช่แค่สงครามยูเครน แต่อาจลามเป็นสงครามโลกได้ อเมริกา “พร้อม” ไหม เพราะรัสเซียกับพวก คงไม่ยอมถูกเจาะกระบาลหัวฟรีๆ มันคงต้องมีการแลกของกันหน่อย ส่วนรัสเซีย น่าจะรู้อยู่แล้วว่า เขากำลังขุดหลุมล่อ และน่าจะรู้นานแล้วด้วย อย่าลืมว่า ยูเครนก็แดนเก่าของสหภาพโซเวียต ครึ่งหนึ่งของชาวยูเครน ก็ยังผูกพันกับรัสเซีย รัสเซียน่าจะนั่งรอด้วยซ้ำว่า เมื่อไหร่หลุมนี้ จะขุดเสร็จ และถ้าเป็นอย่างนั้น แสดงว่า รัสเซีย “พร้อม” รับมือกับหลุมล่อของอเมริกา ถ้าทั้ง 2 ฝ่าย พร้อม ที่จะเล่นยาวจนเป็นสงคราม เหตุการณ์ อาจจะทยอยเกิดในหลายภูมิภาค ตั้งแต่ยุโรป ตะวันออกกลาง และเอเซีย เพราะอเมริกา จะไม่ปล่อยให้ฝั่งรัสเซีย มีการรวมตัวเพื่อส่งกำลังช่วยกัน โดยเฉพาะ ระหว่าง รัสเซีย จีน อิหร่าน เกาหลีเหนือแน่นอน อเมริกาจึงน่าจะเลือกใช้วิธี แยกจุดชนวนในภูมิภาคต่างๆ นั้น ให้เดือด ในเวลาใกล้เคียงกัน ให้แต่ละคนมัวแต่วุ่นวายอยู่กับเรื่องในบ้าน หรือใกล้บ้านตัวเอง และก็เป็นไปได้ว่า หลุมที่ขุดล่อนี้ อาจจะ “ฝ่อ” ไม่เป็นท่า ไม่ได้ผลทั้งฝ่ายอเมริกา ที่ไม่ “พร้อม” รบ เพราะเห็นว่า รัสเซีย ดัน “พร้อม” รับ และอาจจะรุกกลับ ถ้าเป็นอย่างนั้น เรื่องของสาวร่างบางทรานนิสเตรีย จะค่อยๆเงียบไปเอง และการตีปีบ น่าจะมีเริ่มใหม่ แต่เปลี่ยนสถานที่ ไล่ตีไปเรื่อยๆ เดี๋ยวพวกนักข่าวใส่สีจะตกงาน ของจริงคงต้องรอให้เรื่องอิหร่าน ญี่ปุ่น ลงตัวเสียก่อน เดือนมิถุนายนไปแล้วค่อยว่ากัน ส่วนบรรดาเสี่ยปั้มน้ำมันของผม ไม่ว่า ปั้มใหญ่ ปั้มเล็ก น่าจะต้องเตรียมอาชีพอื่นไว้รองรับบ้างนะครับเสี่ย ส่วนตัวผม เอนไปทางฝ่อนะ อเมริกา ณ ตอนนี้ น่าจะยังไม่พร้อมลุยกับคุณพี่ปูของผมหรอก คนเราถ้าพร้อม ไม่น่าตีปีบเอะอะ มาเงียบๆ มันกว่า สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 15 มิ.ย. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 102 มุมมอง 0 รีวิว
  • หลุม ตอนที่ 3 – 4
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “หลุม”

    ตอน 3

    คุณช๊อกโกแลต ไปได้ยาโด๊ปมาจากไหนไม่ทราบแน่ แต่ต้องถอยหลังไปเล่าบางเรื่องของยูเครน เมื่อปลายปี ค.ศ.2014 เสียหน่อย เผื่อจะหาแหล่งขายยาโด๊ปเจอ

    ปลายเดือนตุลาคม 2014 คุณช๊อกโกแลต ประธานาธืบดียูเครน จัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ เพื่อคัดเด็กในคาถาเข้าสภาตามใจนายใหญ่ เพราะว่าสมาชิกสภาชุดที่มีอยู่ มันสั่งให้ยกมือกางแขนนอนกลิ้งยาก และกว่าจะหมดวาระ ว่าเข้าไปถึงปี 2017 โน่น ไม่ทันการแน่ ข่าวว่าการให้จัดเลือกตั้งใหม่ เป็นใบสั่งของนางเหยี่ยว Victoria Nuland เจ้าของวลีอันโด่งดัง **** the EU แห่งกระทรวงต่างประเทศของอเมริกา (อ่านรายละเอียดของสาเหตุการให้ F ของนางเหยี่ยวได้ในนิทานเรื่อง หักหน้าหักหลัง )

    เขาสั่งได้ จัดได้กันจริงๆ แล้วยูเครนก็ได้สมาชิกสภาใหม่ ที่อยู่ในแถว ภายใต้การควบคุมของนายกรัฐมนตรีคนใหม่ แต่หน้าเก่า เด็กในกระเป๋าใส่เศษสตางค์ของนางเหยี่ยว ชื่อนาย Arseniy Yatsenyuk หนุ่มยิวหน้ามน อดีตนายกรัฐมนตรียูเครนสมัยหนึ่ง ที่นางเหยี่ยวเป็นผู้เลือกกับมือ ตัดหน้าอียู และเป็นอดีตรัฐมนตรีคลังอีกสมัย เรียกว่าเป็นตัวโปรดตัวจริงของนางเหยี่ยว ซึ่งข่าวบอกว่า เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของหน่วยงาน ชื่อ “Church of Scientology” ซึ่งเป็นหน่วยข่าวกรอง แขนงหนึ่งของอเมริกา อีกด้วย

    นาย Yats ไม่มาคนเดียว เขาเสนอชื่อรัฐมนตรีน่าสนใจ 3 คน

    คนแรก ชื่อ นาง Natalie Jaresko ให้เป็นรัฐมนตรีการคลัง

    คุณนาย Ja แม้จะพูดภาษายูเครนคล่องปรื้อ เพราะมาอยู่เมืองเคียฟ ( Kyiv) ต้ังแต่ปี 1992 ในฐานะเจ้าหน้าที่สถานทูตอเมริกัน ใช่ครับสถานทูตอเมริกัน ก็คุณนายเป็นคนอเมริกัน แม้จะอ้างว่ามีรากเหง้างอกจากยูเครน แต่คุณนาย Ja ก็ถือสัญชาติอเมริกัน เรียนจบ ป โท จาก ฮาร์วาด
    ปี 1995 คุณนาย Ja ลาออกจากสถานทูต ไปคุมกองทุนชื่อ Western NIS Enterprise Fund (WNISEF) ซึ่งเป็นของรัฐบาลอเมริกัน ตั้งโดยสภาสูงของอเมริกัน และเป็นเงินทุนอุดหนุนผ่าน USAID มีขนาดเงินกองทุน จำนวน 150 ล้านเหรียญ
    นอกจากนี้ คุณนาย Ja ยังบริหารกองทุน ชื่อ Horizon Capital Associates, LLC. (ไม่รู้ขนาดของกองทุน)

    ทั้ง 2 กองทุน มีวัตถุประสงค์ที่จะลงทุนในธุรกิจบริการ ธุรกิจอุตสาหกรรม ธุรกิจด้านของกินของใช้ โดยจะลงทุนในบริษัทขนาดกลาง ทั้งในยูเครน เบลาลุส และมอนโดวา เรียกว่า เป็นรายการกวาดกิจการ แถบยูเครนเข้ากระเป๋า ดูๆ ก็ไม่ต่างกับการบังคับให้แปรรูปรัฐวิสากิจ แต่ยูเครนไม่ค่อยมีรัฐวิสาหกิจจะให้แปร เลยต้องใช้กองทุนเข้าไปซื้อบริษัทแบบดื้อๆ ด้านๆ ง่ายกว่าแยะ

    เมื่อคุณนาย Ja แถลงรับตำแหน่งรัฐมนตรีคลัง คุณนายบอกว่า ทีมเราต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศ ให้มีความโปร่งใส และขจัดทุจริต ฟังคุ้นหูดีไหมครับ สงสัยพวกโพยนี่ เขาอัดโรเนียวแจกทั่วโลก และไอ้พฤติกรรมที่ทำ กับคำพูดนี่ มันก็สับปรับเหมือนกันหมด

    ผู้คนสงสัย แล้วคนอเมริกันไปเป็นรัฐมนตรีที่ยูเครนได้ยังไง เขียนมั่วหรือเปล่า ไม่มั่วครับ

    1 วันก่อนการสาบานตัวเข้ารับตำแหน่ง คุณช๊อกโกแลต ก็จัดการออกสัญชาติยูเครนให้คุณนาย Ja ก็แค่นั้นเอง คุณนายก็ถือ 2 สัญชาติควบ มีปัญหาอะไรไหม

    โปรดเชื่อมั่นในความเป็นประชาธิปไตย ของอเมริกา ที่จะเข้าไปล้วง ไปขุด ไปออกเสียง สั่งการที่ไหน แม้แต่ไปอยู่ในรัฐบาลประเทศอื่น ก็ได้ในโลก เยี่ยมจังพี่ ผมไม่เคยเห็นใครตวัดได้เก่งอย่างนี้เลย เขียนชมขนาดนี้แล้วจะเลิกป่วน เพจผมไหมครับ ไอ้เรื่องทำให้เครื่องค้าง กดอะไรไม่ได้เลย สลับข้อความ ข้อความหายนี่ ฯลฯ เล่นแบบนี้มานานแล้วนะ เบื่อฉิบหายเลย ให้มันสร้างสรรกว่านี้ได้ไหมครับ

    ส่งคุณนาย Ja มาคนเดียว คงกลัวจ่ายตลาดไม่ทัน นาย Yats เลยเสนอชื่อ นาย Aviras Abromavicius นักการเงินชาวลิทัวเนีย ให้มารับตำแหน่งรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ นาย Ab นี่ เป็นหุ้นส่วนและผู้จัดการกองทุน ชื่อ East Capital ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในสวีเดน มีกองทุนอยู่ใน ประเทศตลาดเกิดใหม่ 25 ประเทศ ขนาดของแต่กองทุน ประมาณ 100 ล้านเหรียญขึ้นไป

    ถ้าผมเป็นชาวยูเครน ผมจะยุให้มีการอารยะขัดขืน (ฮา) ไม่จ่ายภาษีจนกว่า บรรดารัฐมนตรีต่างชาตินี่ จะออกไปให้พ้นจากคณะรัฐบาล เพราะมันเป็นการดูหมิ่นประชาชนในชาติมาก ที่เอาคนต่างชาติมาบริหารชาติตนเองน่ะ ชาวยูเครนทนได้ยังไงครับ

    แล้วคุณช๊อกโกแลต ก็ออกสัญชาติยูเครนให้ นาย Ab พร้อมๆกับ คุณนาย Ja ไม่มีปัญหากับประชาธิปไตยของยูเครน แม้แต่น้อย และไม่มีไอ้พวกใบตองแห้ง มาด่าวันละ 3 เวลาหลังอาหาร เพราะมันเป็นคนจัดมาให้ (ฮา และ โห่) ต้องการประชาธิปไตยอย่างนี้ใช่ไหม ใช่ไหม ใช่ไหม

    ยังครับ ยัง ยังไม่เป็นประชาธิปไตยพอ นาย Yats เลยไปสรรหามาอีกหนึ่ง คราวนี้ได้ชาวจอร์เจีย ชื่อ Alexander Kvitashvili เขาเป็นอดีตรัฐมนตรีสาธารณะสุข ของจอร์เจีย สมัยที่ นาย Saak, Mikheil Saakashvili เป็นประธานาธิบดี ของ จอร์เจีย ( Georgia)
    นาย Kvit นี่น่าชื่นชมที่สุด ถือว่าเป็นผู้กล้าหาญจริง เป็นคนต่างชาติ ยังไม่พอ พูดภาษายูเครนไม่ได้ ฟังไม่ออกแม้แต่คำเดียว แต่รับหน้าที่จะมาปราบการทุจริต ในวงการสาธารณสุขของยูเครน ถ้าทำงานนี้สำเร็จ ควรต้องตกรางวัล ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี แทนนาย Yats เสียเลย ถ้านางเหยี่ยว Nuland ยอม

    อ้อ ตกความไปหน่อย นายKvit นี่ก็เรียนจบ ป โทที่อเมริกา และทำงานที่ Atlanta Medical Center ในอเมริกาอยู่พักหนึ่ง ก่อนกลับมาทำงานกับ United Nations Development Program ที่จอร์เจีย และทำงานร่วมกับหลายองค์กรทางด้านสาธารณสุขของอเมริกา

    ช่างเลือกกันดีนะครับ

    ##############
    ตอน 4

    เห็นแหล่งส่งยาโด๊ปของคุณช๊อกโกแลตแวบแวบ แต่ มันยังไม่ชัดเจน

    Loli Kantor เป็นนักข่าวประเภท ทั้งถ่าย(รูป)ทั้งเล่า ชาวอิสราเอล/อเมริกัน เล่าว่า เธอเดินทางไปโปแลนด์ เมื่อปี ค.ศ.2004 เพื่อไปค้นหาด้วยตัวเอง ว่าเกิดอะไรกับครอบครัวของตัวบ้างระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2

    Kantor บอกว่า พ่อแม่ของเธอรอดตายจาก Holocaust แต่ก็เห็นชื่อปู่ยาตายาย ลุงป้า ตายเกลี้ยง ตามรายชื่อที่พวกนาซีรวบรวมไว้ เธอบอกว่า ชื่อคนตาย มีแต่ ยิว ยิว ยิว ฉันเดินไปถ่ายรูปสถานที่ฆ่าหมู่ชาวยิวทั้งหลาย ฉันถามตัวเองว่า แล้วชาวยิว ที่ยังเป็นๆอยู่ในยุโรปตะวันออกมีไหม เขาอยู่ที่ไหนกัน แล้วฉันก็พบพวกเขาที่ยูเครน หลังจากน้ันเจ้าตัวก็เทียวไปเทียวมายูเครนต่อมาอีก 8 ปี และเขียนหนังสือ ชื่อ Beyond the Forest ที่มีรูปภาพเกี่ยวกับชีวิตชาวยิวรุ่นเก่า

    ระหว่างที่ถ่ายรูปทำหนังสือ Kantor ก็ได้เห็นการเกิดใหม่ของชุมชน ชาวยิว rebirth of Jewish communities ในยูเครน Kantor ตื่นเต้น เธอกลับไปคุยกับ David Fisherman ศาสตราจารย์ชาวยิว ที่ Theological Seminary of America ซึ่งก็สอนที่มหาวิทยาลัย Kiew ของยูเครนด้วย
    ท่าน ศจ บอกว่า ตอนนี้ เหมือนเป็นช่วงเวลาของการดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ ของชาวยิวกับยูเครน ไม่เคยมีช่วงไหนที่ดีอย่างนี้มาก่อนเลย มันเกิดอะไรขึ้นล่ะ Kantor ถ้าจะตกข่าวแยะ

    ท่าน ศจ บอกว่า มันคงมีส่วน มาจากการพุ่งเป็นพลุ ของนาย Ihor Kolomoyski มหาเศรษฐีใหญ่ชาวยิวนั่นแหละ ซึ่งได้รับเลือก ตั้งแต่ปีก่อน ให้เป็นผู้ว่าการเมือง Dnipropetrovsk (ถ้าสะกดผิดก็ขออำไพนะครับ เขียนยากชะมัด) ซึ่งเป็นเสมือนเมือง ศูนย์กลางของยูเครนเลยนะ ก่อนหน้านั้น นาย มอยสกี้ (Kolomoyski) สร้างศูนย์สันทนาการ มูลค่าหลายร้อยล้านเหรียญ ขึ้นที่กลางเมือง ต้ังชื่อว่า Menorah Center (menorah คือเชิงเทียน 7 กิ่ง ที่ใช้ในพิธีของชาวยิว และเป็นสัญลักษณ์ของศาสนาชาวยิว) มีของทุกอย่างเกี่ยวกับชาวยิว รวมทั้ง Holocaust Museum เรียกว่า เป็นศูนย์สันทนาการของชาวยิว ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เข้าใจไหม… อ้อ อย่างนี้นี่เอง อันนี้ผมรำพึง

    นายมอยสกี้นี่ เป็นคนพูดจาไม่อ้อมค้อม เสียงดังฟังชัด ก็ทั้งรวย ทั้งเป็นผู้ว่าฯ เราๆก็น่าจะคุ้นกับการพูดแบบนี้ของคนอย่างนี้นะครับ เขาบอกว่า เมืองนี้ ไม่มีที่ให้สำหรับพวกที่อยากไปอยู่กับรัสเซีย …เด็ดขาดจริง

    ท่าน ศจ บอก เขาพูดแบบนี้ มันเลยทำให้ภาพพจน์ของรัฐบาลใหม่ ออกกลิ่นยิวแรงไปหน่อย ไม่หน่อยหรอก ท่าน ศจ คุณประธานาธิบดี ช๊อกโกแลต เองก็เพิ่งจัดงานรำลึก 70 ปี ของ Auschwitz แถมตั้งนาย Vladimir Grossman ซึ่งเป็นชาวยิว ให้เป็นประธานสภาใหม่เอี่ยมนี่ด้วย

    Kantor ยังไม่แน่ใจ เธอไปถาม Igor Shchupak หัวหน้าพิพิธภัณฑ์ Holocaust ว่า ตกลงตอนนี้ พวกยิวที่นี่มีความสุขมากเลยใช่ไหม หัวหน้า บอก ใช่แล้ว มันเป็น golden age ของชาวยิวในยูเครนเชียวล่ะ มันเป็นฝีมือเขาละ ฝีมือของนายมอยสกี้

    นายมอยสกี้ เป็นใครมาจากไหน ข่าวบอกเขารวยมาจากการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เป็นเจ้าของบริษัทน้ำมันใหญ่ที่สุดในแถบนั้น เป็นเจ้าของสื่อ เจ้าของโรงแรม สาระพัด ฯลฯ แต่เรื่องรวย สำหรับบางคนมันอาจจะน่าตื่นเต้น แต่สำหรับชาวยิว เรื่องรวย คงไม่ใช่เป็นเรื่องต้องตื่นเต้น รวยและมีอำนาจต่างหาก ที่เป็นเรื่องจำเป็น เป็นสูตรบังคับ นายมอยสกี้จึงตั้งตัวเป็นมาเฟียใหญ่ประจำยูเครน ถนัดในการเก็บกวาดฝ่ายตรงกันข้าม ธุรกิจสีเทาอยู่ในมือเขาทั้งนั้น นายกเล็กของเมืองที่อยู่ฝั่งที่เชียร์รัสเซีย อีก 2 คน ที่ชาวบ้านเรียกชื่อว่า Dopa กับ Gepa ซึ่งแม้จะเป็นชาวยิวด้วยกัน แต่เมื่ออุดมการณ์ต่างกับเจ้าพ่อมอยสกี้ ผลปรากฏว่า คนหนึ่งจึงถูกยิง และอีกคนถูกจับติดคุก ยิวด้วยกัน ยังเล่นดุขนาดนี้
    เรื่องของนายมอยสกี้ ยังมีที่น่าสนใจ เกี่ยวพันกับสถานการณ์ปัจจุบันของยูเครนคือ นอกจากเป็นผู้ว่าการนครที่เป็นศูนย์กลางของยูเครน เป็นผู้ก่อตั้งสหภาพชาวยิวยุโรป (European Jewish Union) และประกาศชัดเจนว่าไม่เอารัสเซียแล้ว ยังมีข่าวว่า เขามีกองกำลังของตัวเอง จัดตั้งแบบพวกนาซีเยอรมัน (แต่ไม่เกี่ยวกับนาซีเยอรมัน) จำนวนประมาณ 2 หมื่นคน มีนโยบายชัดเจนว่า ถ้าอยู่คนละฝ่าย หรือไม่พอใจ ก็อย่าอยู่ร่วมกัน และนโยบายของเขาคือไม่เอารัสเซียแค่นั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาเตรียมกองกำลังนี้ไว้ทำอะไร

    ยาโด๊ป ยี่ห้อ นาย Saak นายYats นายมอยสกี้ นี่เองหรือ ที่ทำให้ คุณช๊อกโกแลต เกิดฟิตจัด คิดขุดหลุมล่อรัสเซีย

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    14 มิ.ย. 2558
    หลุม ตอนที่ 3 – 4 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “หลุม” ตอน 3 คุณช๊อกโกแลต ไปได้ยาโด๊ปมาจากไหนไม่ทราบแน่ แต่ต้องถอยหลังไปเล่าบางเรื่องของยูเครน เมื่อปลายปี ค.ศ.2014 เสียหน่อย เผื่อจะหาแหล่งขายยาโด๊ปเจอ ปลายเดือนตุลาคม 2014 คุณช๊อกโกแลต ประธานาธืบดียูเครน จัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ เพื่อคัดเด็กในคาถาเข้าสภาตามใจนายใหญ่ เพราะว่าสมาชิกสภาชุดที่มีอยู่ มันสั่งให้ยกมือกางแขนนอนกลิ้งยาก และกว่าจะหมดวาระ ว่าเข้าไปถึงปี 2017 โน่น ไม่ทันการแน่ ข่าวว่าการให้จัดเลือกตั้งใหม่ เป็นใบสั่งของนางเหยี่ยว Victoria Nuland เจ้าของวลีอันโด่งดัง Fuck the EU แห่งกระทรวงต่างประเทศของอเมริกา (อ่านรายละเอียดของสาเหตุการให้ F ของนางเหยี่ยวได้ในนิทานเรื่อง หักหน้าหักหลัง ) เขาสั่งได้ จัดได้กันจริงๆ แล้วยูเครนก็ได้สมาชิกสภาใหม่ ที่อยู่ในแถว ภายใต้การควบคุมของนายกรัฐมนตรีคนใหม่ แต่หน้าเก่า เด็กในกระเป๋าใส่เศษสตางค์ของนางเหยี่ยว ชื่อนาย Arseniy Yatsenyuk หนุ่มยิวหน้ามน อดีตนายกรัฐมนตรียูเครนสมัยหนึ่ง ที่นางเหยี่ยวเป็นผู้เลือกกับมือ ตัดหน้าอียู และเป็นอดีตรัฐมนตรีคลังอีกสมัย เรียกว่าเป็นตัวโปรดตัวจริงของนางเหยี่ยว ซึ่งข่าวบอกว่า เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของหน่วยงาน ชื่อ “Church of Scientology” ซึ่งเป็นหน่วยข่าวกรอง แขนงหนึ่งของอเมริกา อีกด้วย นาย Yats ไม่มาคนเดียว เขาเสนอชื่อรัฐมนตรีน่าสนใจ 3 คน คนแรก ชื่อ นาง Natalie Jaresko ให้เป็นรัฐมนตรีการคลัง คุณนาย Ja แม้จะพูดภาษายูเครนคล่องปรื้อ เพราะมาอยู่เมืองเคียฟ ( Kyiv) ต้ังแต่ปี 1992 ในฐานะเจ้าหน้าที่สถานทูตอเมริกัน ใช่ครับสถานทูตอเมริกัน ก็คุณนายเป็นคนอเมริกัน แม้จะอ้างว่ามีรากเหง้างอกจากยูเครน แต่คุณนาย Ja ก็ถือสัญชาติอเมริกัน เรียนจบ ป โท จาก ฮาร์วาด ปี 1995 คุณนาย Ja ลาออกจากสถานทูต ไปคุมกองทุนชื่อ Western NIS Enterprise Fund (WNISEF) ซึ่งเป็นของรัฐบาลอเมริกัน ตั้งโดยสภาสูงของอเมริกัน และเป็นเงินทุนอุดหนุนผ่าน USAID มีขนาดเงินกองทุน จำนวน 150 ล้านเหรียญ นอกจากนี้ คุณนาย Ja ยังบริหารกองทุน ชื่อ Horizon Capital Associates, LLC. (ไม่รู้ขนาดของกองทุน) ทั้ง 2 กองทุน มีวัตถุประสงค์ที่จะลงทุนในธุรกิจบริการ ธุรกิจอุตสาหกรรม ธุรกิจด้านของกินของใช้ โดยจะลงทุนในบริษัทขนาดกลาง ทั้งในยูเครน เบลาลุส และมอนโดวา เรียกว่า เป็นรายการกวาดกิจการ แถบยูเครนเข้ากระเป๋า ดูๆ ก็ไม่ต่างกับการบังคับให้แปรรูปรัฐวิสากิจ แต่ยูเครนไม่ค่อยมีรัฐวิสาหกิจจะให้แปร เลยต้องใช้กองทุนเข้าไปซื้อบริษัทแบบดื้อๆ ด้านๆ ง่ายกว่าแยะ เมื่อคุณนาย Ja แถลงรับตำแหน่งรัฐมนตรีคลัง คุณนายบอกว่า ทีมเราต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศ ให้มีความโปร่งใส และขจัดทุจริต ฟังคุ้นหูดีไหมครับ สงสัยพวกโพยนี่ เขาอัดโรเนียวแจกทั่วโลก และไอ้พฤติกรรมที่ทำ กับคำพูดนี่ มันก็สับปรับเหมือนกันหมด ผู้คนสงสัย แล้วคนอเมริกันไปเป็นรัฐมนตรีที่ยูเครนได้ยังไง เขียนมั่วหรือเปล่า ไม่มั่วครับ 1 วันก่อนการสาบานตัวเข้ารับตำแหน่ง คุณช๊อกโกแลต ก็จัดการออกสัญชาติยูเครนให้คุณนาย Ja ก็แค่นั้นเอง คุณนายก็ถือ 2 สัญชาติควบ มีปัญหาอะไรไหม โปรดเชื่อมั่นในความเป็นประชาธิปไตย ของอเมริกา ที่จะเข้าไปล้วง ไปขุด ไปออกเสียง สั่งการที่ไหน แม้แต่ไปอยู่ในรัฐบาลประเทศอื่น ก็ได้ในโลก เยี่ยมจังพี่ ผมไม่เคยเห็นใครตวัดได้เก่งอย่างนี้เลย เขียนชมขนาดนี้แล้วจะเลิกป่วน เพจผมไหมครับ ไอ้เรื่องทำให้เครื่องค้าง กดอะไรไม่ได้เลย สลับข้อความ ข้อความหายนี่ ฯลฯ เล่นแบบนี้มานานแล้วนะ เบื่อฉิบหายเลย ให้มันสร้างสรรกว่านี้ได้ไหมครับ ส่งคุณนาย Ja มาคนเดียว คงกลัวจ่ายตลาดไม่ทัน นาย Yats เลยเสนอชื่อ นาย Aviras Abromavicius นักการเงินชาวลิทัวเนีย ให้มารับตำแหน่งรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ นาย Ab นี่ เป็นหุ้นส่วนและผู้จัดการกองทุน ชื่อ East Capital ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในสวีเดน มีกองทุนอยู่ใน ประเทศตลาดเกิดใหม่ 25 ประเทศ ขนาดของแต่กองทุน ประมาณ 100 ล้านเหรียญขึ้นไป ถ้าผมเป็นชาวยูเครน ผมจะยุให้มีการอารยะขัดขืน (ฮา) ไม่จ่ายภาษีจนกว่า บรรดารัฐมนตรีต่างชาตินี่ จะออกไปให้พ้นจากคณะรัฐบาล เพราะมันเป็นการดูหมิ่นประชาชนในชาติมาก ที่เอาคนต่างชาติมาบริหารชาติตนเองน่ะ ชาวยูเครนทนได้ยังไงครับ แล้วคุณช๊อกโกแลต ก็ออกสัญชาติยูเครนให้ นาย Ab พร้อมๆกับ คุณนาย Ja ไม่มีปัญหากับประชาธิปไตยของยูเครน แม้แต่น้อย และไม่มีไอ้พวกใบตองแห้ง มาด่าวันละ 3 เวลาหลังอาหาร เพราะมันเป็นคนจัดมาให้ (ฮา และ โห่) ต้องการประชาธิปไตยอย่างนี้ใช่ไหม ใช่ไหม ใช่ไหม ยังครับ ยัง ยังไม่เป็นประชาธิปไตยพอ นาย Yats เลยไปสรรหามาอีกหนึ่ง คราวนี้ได้ชาวจอร์เจีย ชื่อ Alexander Kvitashvili เขาเป็นอดีตรัฐมนตรีสาธารณะสุข ของจอร์เจีย สมัยที่ นาย Saak, Mikheil Saakashvili เป็นประธานาธิบดี ของ จอร์เจีย ( Georgia) นาย Kvit นี่น่าชื่นชมที่สุด ถือว่าเป็นผู้กล้าหาญจริง เป็นคนต่างชาติ ยังไม่พอ พูดภาษายูเครนไม่ได้ ฟังไม่ออกแม้แต่คำเดียว แต่รับหน้าที่จะมาปราบการทุจริต ในวงการสาธารณสุขของยูเครน ถ้าทำงานนี้สำเร็จ ควรต้องตกรางวัล ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี แทนนาย Yats เสียเลย ถ้านางเหยี่ยว Nuland ยอม อ้อ ตกความไปหน่อย นายKvit นี่ก็เรียนจบ ป โทที่อเมริกา และทำงานที่ Atlanta Medical Center ในอเมริกาอยู่พักหนึ่ง ก่อนกลับมาทำงานกับ United Nations Development Program ที่จอร์เจีย และทำงานร่วมกับหลายองค์กรทางด้านสาธารณสุขของอเมริกา ช่างเลือกกันดีนะครับ ############## ตอน 4 เห็นแหล่งส่งยาโด๊ปของคุณช๊อกโกแลตแวบแวบ แต่ มันยังไม่ชัดเจน Loli Kantor เป็นนักข่าวประเภท ทั้งถ่าย(รูป)ทั้งเล่า ชาวอิสราเอล/อเมริกัน เล่าว่า เธอเดินทางไปโปแลนด์ เมื่อปี ค.ศ.2004 เพื่อไปค้นหาด้วยตัวเอง ว่าเกิดอะไรกับครอบครัวของตัวบ้างระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 Kantor บอกว่า พ่อแม่ของเธอรอดตายจาก Holocaust แต่ก็เห็นชื่อปู่ยาตายาย ลุงป้า ตายเกลี้ยง ตามรายชื่อที่พวกนาซีรวบรวมไว้ เธอบอกว่า ชื่อคนตาย มีแต่ ยิว ยิว ยิว ฉันเดินไปถ่ายรูปสถานที่ฆ่าหมู่ชาวยิวทั้งหลาย ฉันถามตัวเองว่า แล้วชาวยิว ที่ยังเป็นๆอยู่ในยุโรปตะวันออกมีไหม เขาอยู่ที่ไหนกัน แล้วฉันก็พบพวกเขาที่ยูเครน หลังจากน้ันเจ้าตัวก็เทียวไปเทียวมายูเครนต่อมาอีก 8 ปี และเขียนหนังสือ ชื่อ Beyond the Forest ที่มีรูปภาพเกี่ยวกับชีวิตชาวยิวรุ่นเก่า ระหว่างที่ถ่ายรูปทำหนังสือ Kantor ก็ได้เห็นการเกิดใหม่ของชุมชน ชาวยิว rebirth of Jewish communities ในยูเครน Kantor ตื่นเต้น เธอกลับไปคุยกับ David Fisherman ศาสตราจารย์ชาวยิว ที่ Theological Seminary of America ซึ่งก็สอนที่มหาวิทยาลัย Kiew ของยูเครนด้วย ท่าน ศจ บอกว่า ตอนนี้ เหมือนเป็นช่วงเวลาของการดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ ของชาวยิวกับยูเครน ไม่เคยมีช่วงไหนที่ดีอย่างนี้มาก่อนเลย มันเกิดอะไรขึ้นล่ะ Kantor ถ้าจะตกข่าวแยะ ท่าน ศจ บอกว่า มันคงมีส่วน มาจากการพุ่งเป็นพลุ ของนาย Ihor Kolomoyski มหาเศรษฐีใหญ่ชาวยิวนั่นแหละ ซึ่งได้รับเลือก ตั้งแต่ปีก่อน ให้เป็นผู้ว่าการเมือง Dnipropetrovsk (ถ้าสะกดผิดก็ขออำไพนะครับ เขียนยากชะมัด) ซึ่งเป็นเสมือนเมือง ศูนย์กลางของยูเครนเลยนะ ก่อนหน้านั้น นาย มอยสกี้ (Kolomoyski) สร้างศูนย์สันทนาการ มูลค่าหลายร้อยล้านเหรียญ ขึ้นที่กลางเมือง ต้ังชื่อว่า Menorah Center (menorah คือเชิงเทียน 7 กิ่ง ที่ใช้ในพิธีของชาวยิว และเป็นสัญลักษณ์ของศาสนาชาวยิว) มีของทุกอย่างเกี่ยวกับชาวยิว รวมทั้ง Holocaust Museum เรียกว่า เป็นศูนย์สันทนาการของชาวยิว ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เข้าใจไหม… อ้อ อย่างนี้นี่เอง อันนี้ผมรำพึง นายมอยสกี้นี่ เป็นคนพูดจาไม่อ้อมค้อม เสียงดังฟังชัด ก็ทั้งรวย ทั้งเป็นผู้ว่าฯ เราๆก็น่าจะคุ้นกับการพูดแบบนี้ของคนอย่างนี้นะครับ เขาบอกว่า เมืองนี้ ไม่มีที่ให้สำหรับพวกที่อยากไปอยู่กับรัสเซีย …เด็ดขาดจริง ท่าน ศจ บอก เขาพูดแบบนี้ มันเลยทำให้ภาพพจน์ของรัฐบาลใหม่ ออกกลิ่นยิวแรงไปหน่อย ไม่หน่อยหรอก ท่าน ศจ คุณประธานาธิบดี ช๊อกโกแลต เองก็เพิ่งจัดงานรำลึก 70 ปี ของ Auschwitz แถมตั้งนาย Vladimir Grossman ซึ่งเป็นชาวยิว ให้เป็นประธานสภาใหม่เอี่ยมนี่ด้วย Kantor ยังไม่แน่ใจ เธอไปถาม Igor Shchupak หัวหน้าพิพิธภัณฑ์ Holocaust ว่า ตกลงตอนนี้ พวกยิวที่นี่มีความสุขมากเลยใช่ไหม หัวหน้า บอก ใช่แล้ว มันเป็น golden age ของชาวยิวในยูเครนเชียวล่ะ มันเป็นฝีมือเขาละ ฝีมือของนายมอยสกี้ นายมอยสกี้ เป็นใครมาจากไหน ข่าวบอกเขารวยมาจากการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เป็นเจ้าของบริษัทน้ำมันใหญ่ที่สุดในแถบนั้น เป็นเจ้าของสื่อ เจ้าของโรงแรม สาระพัด ฯลฯ แต่เรื่องรวย สำหรับบางคนมันอาจจะน่าตื่นเต้น แต่สำหรับชาวยิว เรื่องรวย คงไม่ใช่เป็นเรื่องต้องตื่นเต้น รวยและมีอำนาจต่างหาก ที่เป็นเรื่องจำเป็น เป็นสูตรบังคับ นายมอยสกี้จึงตั้งตัวเป็นมาเฟียใหญ่ประจำยูเครน ถนัดในการเก็บกวาดฝ่ายตรงกันข้าม ธุรกิจสีเทาอยู่ในมือเขาทั้งนั้น นายกเล็กของเมืองที่อยู่ฝั่งที่เชียร์รัสเซีย อีก 2 คน ที่ชาวบ้านเรียกชื่อว่า Dopa กับ Gepa ซึ่งแม้จะเป็นชาวยิวด้วยกัน แต่เมื่ออุดมการณ์ต่างกับเจ้าพ่อมอยสกี้ ผลปรากฏว่า คนหนึ่งจึงถูกยิง และอีกคนถูกจับติดคุก ยิวด้วยกัน ยังเล่นดุขนาดนี้ เรื่องของนายมอยสกี้ ยังมีที่น่าสนใจ เกี่ยวพันกับสถานการณ์ปัจจุบันของยูเครนคือ นอกจากเป็นผู้ว่าการนครที่เป็นศูนย์กลางของยูเครน เป็นผู้ก่อตั้งสหภาพชาวยิวยุโรป (European Jewish Union) และประกาศชัดเจนว่าไม่เอารัสเซียแล้ว ยังมีข่าวว่า เขามีกองกำลังของตัวเอง จัดตั้งแบบพวกนาซีเยอรมัน (แต่ไม่เกี่ยวกับนาซีเยอรมัน) จำนวนประมาณ 2 หมื่นคน มีนโยบายชัดเจนว่า ถ้าอยู่คนละฝ่าย หรือไม่พอใจ ก็อย่าอยู่ร่วมกัน และนโยบายของเขาคือไม่เอารัสเซียแค่นั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาเตรียมกองกำลังนี้ไว้ทำอะไร ยาโด๊ป ยี่ห้อ นาย Saak นายYats นายมอยสกี้ นี่เองหรือ ที่ทำให้ คุณช๊อกโกแลต เกิดฟิตจัด คิดขุดหลุมล่อรัสเซีย สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 14 มิ.ย. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 198 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้มข้ามศตวรรษ บทแถม ตอน ฤทธิ์ยิว 7 – 8
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทแถม
    “ฤทธิ์ยิว”

    (7)

    ปี คศ 1917 เป็นปีแรก ของการเป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ของ Woodlow Wilson ตอนนั้นยุโรปทำสงครามกันไป 3 ปีแล้ว และทำท่าว่าจะค้างเติ่ง ไม่เห็นทางแพ้ทางชนะของฝ่ายใดชัดเจน เยอรมันยังเดินหน้าใช้เรือดำน้ำยิงกองเรือของอังกฤษ แต่แล้วอเมริกา เป็นกลางต่อไปไม่ไหว ประกาศร่วมสงครามโลก เป็นช่วงเวลาใกล้เคียงกับการปฏิวัติในรัสเซีย ซึ่งเกิดขึ้น 2 ครั้ง ครั้งแรก เพื่อโค่นล้มซาร์ ครั้งที่สองเพื่อเอาพวกบอลเชวิก นักปฏิวัติชาวยิว เข้ามาอยู่ในอำนาจ

    บทบาทของชาวยิวในการปฏิวัติรัสเซีย เป็นเรื่องที่ซับซ้อนและน่าสนใจ และส่วนที่น่าสนใจเป็นพิเศษ คือ ขบวนการของบอลเชวิกนั้น มีชาวยิวเป็นหัวหน้า จำนวนมากถึง 3 ใน 4 ขณะที่ เมื่อปี คศ 1907 ในการประชุมพรรคสังคมนิยม มีชาวยิวเป็นสมาชิก ประมาณ 1 ใน 3 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่านั้น น่าจะแสดงให้เห็นว่า ทฤษฏี internal/external นั้นพวกยิวเอาจริง โดยฉเพาะในการโค่นล้มซาร์ มีบันทึกของของพวกไซออนนิสต์ เขียนไว้ว่า เรากำลังก่อตั้งและผูกสัมพันธ์ ระหว่างชาวยิวในอเมริกา กับ ยิวในยุโรปตะวันออก เพื่อจะได้ร่วมประสานกันในการโค่นล้มซาร์ของรัสเซีย และเสริมสร้างให้การปกครองตนเองของชาวยิวเข้มแข็งขี้น

    หลอด Winston Churchill ของอังกฤษ มีความเห็นในเรื่องนี้ว่า... อิทธิพลของพวกยิวในรัสเซียมีมากจริงๆ และมีบทบาทสูงในการปฏิวัติ...และ ในปี คศ 1920 Churchill ยังเขียนบทความอธิบายถึงความต่างระหว่าง ไซออนนิสต์ที่ดี กับบอลเชวิกที่เลวร้าย เขาบอกว่า ไซออนนิสต์ต้องการแค่จะมีประเทศของตนเอง ขณะที่พวกบอลเชวิก เป็นพวกยิวที่ไม่มีสัญชาติ ต้องการแต่จะก่อเรื่องวุ่นวาย และหวังไปถึงจะครองโลก Churchill บอกว่า มันเป็นการสมคบคิดของพวกคนบาป.. อืม… สมเป็นความเห็นของท่านหลอด แห่งเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ที่ตวัดลิ้น และปากกาไปมาได้ตามประโยชน์
    หลอด Winston ลุ้นให้พวกไซออนนิสต์มานานไม่น้อยกว่า 15 ปี ขณะเดียวกัน พวกยิวก็สนับสนุนท่านหลอดด้านการเมือง จนมีข่าวลือว่า ท่านหลอดก็มีชื่ออยู่ในบัญชีรายจ่ายของพวกไซออนนิสต์กระเป๋าหนัก

    ปฏิวัติรัสเซียเป็นเรื่องมีความสำคัญ แต่เหตุการณ์ก่อนการปฏิวัติ Balfour Declarationในวันที่ 2 ธันวาคม อาจมีความสำคัญไม่แพ้กันและเกี่ยวโยงกัน

    Balfour Declaration เป็นจดหมายจาก Arthur James Balfour รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของอังกฤษ ที่เขียนไปถึง Baron Rothschild (แปลกดีไหมครับ) สัญญาว่าจะยกดินแดนเนื้อที่เล็กกระจ้อยคือ ปาเลสไตน์ ซึ่งไม่ไช่เป็นของอังกฤษ แต่เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรออตโตมาน ให้เป็นดินแดนเพื่อชาวยิวไปตั้งบ้านตั้งเมือง ต้องยอมรับว่า ชาวเกาะแน่จริงๆ ทำสัญญายกที่ของคนอื่นให้ คนอื่นอีกคนนี่ มันต้องคารวะในความกลมกลิ้งของคนทำสัญญา แล้วคนรับสัญญาจะเอาที่ของคนอื่นที่ไม่ใช่เจ้าของล่ะ ตกหลุม หรือลุ่มลึก ในตอนนั้น อังกฤษหลอกให้คนทั่วไปเข้าใจว่า อังกฤษต้องการปาเลสไตน์เอง เพราะอยู่ใกล้กับคลองซุเอซ ที่อังกฤษต้องการคุม แต่จริงๆแล้ว อังกฤษต้องการฉกปาเลสไตน์มาจากออตโตมาน เพื่อเอามาให้พวกยิว

    ระหว่างอังกฤษกับยิว ใครกำลังต้มใคร

    เริ่มตั้งแต่ต้นปี คศ 1916 อังกฤษ รู้ดีอยู่แก่ใจว่า ยิวเป็นเครือข่ายที่มีอิทธิพลมาก โดยเฉพาะในความเห็นของหลอด Churchill ซึ่งบอกว่า ถ้าเราเอาพวกยิวมาอยู่ในมือได้ โอกาสชนะสงครามของอังกฤษก็มีสูงขึ้น อังกฤษพยายามหา “อะไร” ที่จะมาใช้เป็นข้อแลกเปลี่ยนกับพวกยิว เพื่อให้พวกยิวสนับสนุนอังกฤษอย่างเต็มที่ ยิวมีอยู่ในทุกประเทศโดยฉเพาะเยอรมัน และยุโรปตะวันออก
    ปลายปี คศ 1916 James Malcolm ที่ปรึกษาของรัฐบาลอังกฤษ แนะนำว่า อังกฤษน่าจะเอาเรื่องปาเลสไตน์ไปต่อรองกับยิว สัญญาว่าจะยกปาเลสไตน์ให้พวกไซออนนิสต์ไงล่ะ แล้วพวกยิวก็จะไปใช้อิทธิพลของพวกเขาที่มีอยู่เกือบทั่วโลก โดยเฉพาะในอเมริกาทำประโยชน์ให้อังกฤษเอง อังกฤษไม่เล่นตัวนาน เมื่อ David Lloyd George ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ของอังกฤษ ในเดือนธันวาคม 1916 เขาสั่งการทันที

    Lloyd George เป็นขวัญใจพวกไซออนนิสต์อยู่แล้ว คงไม่ลืมกันว่า เมื่อเป็นนายกรัฐมนตรี เขาอ่อนอยู่ในมือใคร เขาสั่งให้ลูกน้องซ้ายขวา Sir Mark Sykes และหลอด Arthur Balfour ไปคุยกับพวกยิวทันที

    Sykes หลบไปจับเข่า Weizmann และไซออนนิสต์อีกหลายคน พวกยิวบอก ไม่มีปัญหา ถ้าเราทำให้ตามสัญญาแล้ว อย่าเบี้ยวเราก็แล้วกัน ขณะเดียวกัน พวกยิวก็ปล่อยข่าว ว่า เยอรมันก็คุยทำนองเดียวกันกับพวกเขาอย่างนี้แหละ ดูเหมือนพวกยิวพยายามจะไล่ราคาหุ้นให้ถึงเพดาน เมื่อข่าวไล่ราคาหุ้นลือกระฉ่อนในลอนดอน รัฐบาลอังกฤษถึงกับนั่งไม่ติด

    ในที่สุด ร่างแรก ของ Balfour Declaration ของอังกฤษก็ออกมาในเดือนกรกฎาคม 1917 แต่เป็นฝีมือร่างของ Brandeis ชาวยิวที่เป็นผู้พิพากษาศาลสูง คนแรกของอเมริกา ฝีมือมั่วขั้นสูงจริงๆ และร่างที่ 2 ก็ออกมากลางเดือนตุลาคม รัฐบาลอังกฤษพร้อมที่จะแถลงอย่างเป็นทางการในปลายเดือนตุลาคม

    เวลาการปฏิวัติรัสเซียของบอลเชวิก การประการคำสัญญาของอังกฤษเกี่ยวกับปาเลสไตน์ การประกาศเข้าสงครามโลกของอเมริกา ดูแบบประชาชนคนซื่อ ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวพันกันเลย

    ####################
    ” ฤทธิ์ยิว”

    (8 จบ)
    เมื่อพูดถึงการทำสงคราม สำหรับคนส่วนใหญ่ มันหมายถึงการสู้รบ การทำลาย การบาดเจ็บล้มตาย แต่สำหรับคนบางพวก สงครามไม่ได้มีความหมายอย่างนั้น สำหรับพวกเขา สงครามหมายถึง โอกาสทอง สำหรับสร้างกำไรมหาศาล และเป็นโอกาสสำหรับการเปลี่ยนมือ หรือทิศทางของฐานอำนาจในโลก และสำหรับผู้ที่ไปอยู่ถูกตำแหน่ง ถูกที่ สงครามอาจสร้างทั้งความร่ำรวย และอำนาจให้กับผู้นั้น อย่างเหลือเชื่อ และเหลือประมาณ

    สงครามโลกครั้งที่ 1 นับเป็นโอกาสทอง ที่สร้างผลกำไรให้แก่ชาวยิว ในหลายๆเรื่องอย่างเหลือเชื่อ

    เรื่องแรก : ตำแหน่งใหญ่ๆรอบตัว Taft และ Wilson ดูเหมือนจะถูกครอบ และครองโดยชาวยิว โดยฉเพาะ เรื่องการอนุญาตให้ชาวยิวอพยพเข้ามาอยู่ในอเมริกา ซึ่งมีชาวยิวเป็นผู้ดูแลในตำแหน่งใหญ่สุด และทำให้จำนวนชาวยิวที่อพยพมาอยู่ในอเมริกาเพิ่มขึ้นอย่างมาก เป็น 4 ล้านกว่าคน นับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นต้นมา

    เรื่องที่สอง : Balfour Declaration ซึ่งอังกฤษสัญญาว่าจะเอาปาเลสไตน์มาให้ยิว แม้จะยังมาไม่ถึง แต่เป็นถึงเจ้าของเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย ตกปากตกคำเป็นหนังสือให้เขา ถ้าทำไม่ได้ ยิวก็คงเอาไว้บีบให้หาอย่างอื่นมาทดแทน เอาไว้ใช้ทวงไปได้อีกนานแสนนาน ถึงหากจะไม่ได้อะไรมาทดแทน เอาไว้ด่าลำเลิก ก็พอแก้เหงาปาก

    เรื่องที่สาม : โลกนี้เปลี่ยนไปแยะสำหรับยิว รัสเซีย ที่มีชาวยิวอยู่มากมาย และปกครองโดยซาร์ ที่เกลียดยิว และยิวก็เกลียดซาร์ เปลี่ยนเป็นปกครองโดยพวกยิวบอลเชวิก ที่พวกยิวไปจัดการเอามานั่งแท่น มันยิ่งกว่าถูกลอตเตอรี่รางวัลที่หนึ่งของพวกยิวเลยล่ะ ส่วนเยอรมัน ซึ่งปกครองโดย Kaiser Wilhelm ที่ 2 ที่ไม่ชอบยิวเช่นกัน เปลี่ยนเป็นรัฐบาล Weimar นี่ก็รางวัลใหญ่ไม่น้อย นอกจากนี้ ยิวยังได้ถือเชือก ชักใยรัฐบาลของประเทศมหาอำนาจเก่าอย่างอังกฤษ และอำนาจใหม่อย่างอเมริกา ที่หวังจะครองโลก ไม่เรียกว่าสงครามโลก สร้างโอกาสทองให้ยิว แล้วจะเรียกว่าอะไร
    เรื่องสุดท้าย : หันไปทางไหนก็มีแต่เงินหล่นใส่ การได้คุม War Industry Board ในรัฐบาล Wilson ของ Bernard Baruch ซึ่งเป็นการควบคุมจ่ายเงินของกองทัพยามสงคราม คงไม่ต้องอธิบายมากว่า เงินงอกในกระเป๋าพวกยิวอย่างไร และขนาดไหน

    เล่าเลยไปถึงเหตุการณ์หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 สักนิด จะได้เห็นฤทธิ์ยิวชัดขึ้นอีกหน่อย

    หลังจากสงครามโลกจบลง บรรดาผู้ชนะสงครามก็จัดประชุมที่ปารีส ในเดือนมกราคม คศ 1919 เพื่อแบ่งสมบัติ ที่ได้มาจากการต้ม และการปล้น

    ทีมยิวของ Wilson คิดว่าพวกตัวน่าจะเป็นผู้กำกับการประชุม เพราะถ้าไม่มีอเมริกามาเข้าฉากรบ อังกฤษ ก็อาจต้องไปนั่งรอ อยู่ที่นอกประตูตึกประชุมด้วยซ้ำ แล้วใครล่ะที่เอาอเมริกาใส่ถาดมาให้อังกฤษ ไม่ใช่ยิวหรือไง ยิวคนไหน นู่น ยิว Brandies ไง ที่ไปจูง Wilson ออกมาจากการนั่งเขียนจดหมายถึงเมียใครอยู่อย่างเหงาๆ ในทำเนียบขาว ให้มายืนหน้าเครียด บัญชาการรบแทน

    ไม่ใช่แค่ทีมยิวของ Wilson เท่านั้น ที่นั่งหน้าสลอน อยู่แถวหน้าของการประชุมที่ปารีส ดูเหมือนทุกประเทศที่ชนะสงคราม จะมีตัวแทนชาวยิวมานั่งกำกับในที่ประชุมด้วย มีทั้งยิวจากโปแลนด์ ยิวจากฮอลแลนด์ ยิวจากเบลเยี่ยม และมากที่สุด คือ ยิวจากอเมริกา

    อังกฤษชักหงุดหงิด เราต่างหาก เป็นคนเสียสละเริ่มทำสงคราม เป็นคนวางแผนตั้งแต่ต้น ทั้งบี้เยอรมัน ทั้งต้มรัสเซีย ทั้งหลอกฝรั่งเศส มาถึงวันนี้ วันที่ทุกฝ่าย(ที่ชนะ) ได้อย่างที่ต้องการกันหมด
    ก็เพราะเรา เอะ แต่อังกฤษจ่ายค่าแบกถาดใส่อเมริกา ให้พวกยิวหรือยังครับท่าน งั้นตกลงเป็นเพียงกระดาษ แผ่นเดียวที่อังกฤษลงทุนใช้ต้มยิว ให้ไปแบกอเมริกามาซินะ

    อเมริกา อมยิ้มในหน้า เออ ดูมันกัดกัน แย่งกัน ว่า ใครที่สร้างสงครามสำเร็จ และใครไปอุ้ม ไปแบกอเมริกามาเข้าสงคราม สำหรับหลายคนในอเมริกา ใครสร้างสงครามอย่างไร ไม่สำคัญ และใครที่คิดว่าอุ้มอเมริกามาได้ ถ้าอเมริกาไม่พร้อมใจ หรือวางแผนให้ถูกอุ้ม จะอุ้มอเมริกามาได้แน่หรือ อเมริกาทำตัวเหมือนไอ้โง่ถูกหลอก แต่จริงๆแล้ว สงครามโลกครั้งที่ 1 ทำให้อเมริกาได้โอกาสทองมากกว่าใครๆ มากขนาดเดินเบียดอังกฤษ ตกจากเส้นทางสู่การเป็น หมายเลขหนึ่งของโลกไปเรียบร้อย
    มันเป็นเรื่องน่าสนใจ ที่ทุกฝ่ายต่างคิดว่า ตนเองได้กำไร และหลอกใช้ฝ่ายอื่นสำเร็จทั้งสิ้น

    และถ้าสังเกตกันอีกนิด จะเห็นว่า สงครามโลกครั้งที่ 1 นี้ นอกจากจะมีอาณาจักร หรือจักรวรรดิ์เก่าแก่ล่มสล่าย ไป 3 รายแล้ว ทุกประเทศมีค่าใช้จ่าย หรือต้นทุนทั้งสิ้น โดยเฉพาะต้นทุน ที่เป็นชีวิต ของพลเมืองและทหารนับล้าน บ้านเมืองที่พังทลายเหลือแต่ซาก ผู้ชนะอย่างอังกฤษ ก็ไม่แน่ว่าคุ้มทุนที่ลงไป อเมริกาแน่นอนกำไรมหาศาล แต่ก็ต้องลงทุนไม่น้อย โดยเฉพาะชีวิตทหารอเมริกันที่ไปรบ ดูเหมือนจะมีแต่ชาวยิวเท่านั้น ที่ไม่มีต้นทุนที่ต้องเสีย ด้านชีวิตพลเมือง ทหาร และบ้านเมืองเลย

    ยิวแค่ลงทุนด้วยปาก กับใช้เล่ห์เหลี่ยม และทำให้ผู้อื่นเชื่อว่ายิวมีอำนาจ ที่สร้างจากสื่อกระป๋องสียี่ห้อยิวเท่านั้นเอง แต่ยิวก็ทำสำเร็จ แต่การวิธีลงทุนแบบนี้ของยิว มีเส้นทางต่อมาอย่างไร มีผลในสงครามโลกครั้งที่ 2 แบบไหน และจะเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 3 หรือไม่ น่าติดตามนะครับ

    ไม่มีใครหนีกรรมของตนเองพ้นอย่างแน่นอน

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    9 มิ.ย. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ บทแถม ตอน ฤทธิ์ยิว 7 – 8 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทแถม “ฤทธิ์ยิว” (7) ปี คศ 1917 เป็นปีแรก ของการเป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ของ Woodlow Wilson ตอนนั้นยุโรปทำสงครามกันไป 3 ปีแล้ว และทำท่าว่าจะค้างเติ่ง ไม่เห็นทางแพ้ทางชนะของฝ่ายใดชัดเจน เยอรมันยังเดินหน้าใช้เรือดำน้ำยิงกองเรือของอังกฤษ แต่แล้วอเมริกา เป็นกลางต่อไปไม่ไหว ประกาศร่วมสงครามโลก เป็นช่วงเวลาใกล้เคียงกับการปฏิวัติในรัสเซีย ซึ่งเกิดขึ้น 2 ครั้ง ครั้งแรก เพื่อโค่นล้มซาร์ ครั้งที่สองเพื่อเอาพวกบอลเชวิก นักปฏิวัติชาวยิว เข้ามาอยู่ในอำนาจ บทบาทของชาวยิวในการปฏิวัติรัสเซีย เป็นเรื่องที่ซับซ้อนและน่าสนใจ และส่วนที่น่าสนใจเป็นพิเศษ คือ ขบวนการของบอลเชวิกนั้น มีชาวยิวเป็นหัวหน้า จำนวนมากถึง 3 ใน 4 ขณะที่ เมื่อปี คศ 1907 ในการประชุมพรรคสังคมนิยม มีชาวยิวเป็นสมาชิก ประมาณ 1 ใน 3 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่านั้น น่าจะแสดงให้เห็นว่า ทฤษฏี internal/external นั้นพวกยิวเอาจริง โดยฉเพาะในการโค่นล้มซาร์ มีบันทึกของของพวกไซออนนิสต์ เขียนไว้ว่า เรากำลังก่อตั้งและผูกสัมพันธ์ ระหว่างชาวยิวในอเมริกา กับ ยิวในยุโรปตะวันออก เพื่อจะได้ร่วมประสานกันในการโค่นล้มซาร์ของรัสเซีย และเสริมสร้างให้การปกครองตนเองของชาวยิวเข้มแข็งขี้น หลอด Winston Churchill ของอังกฤษ มีความเห็นในเรื่องนี้ว่า... อิทธิพลของพวกยิวในรัสเซียมีมากจริงๆ และมีบทบาทสูงในการปฏิวัติ...และ ในปี คศ 1920 Churchill ยังเขียนบทความอธิบายถึงความต่างระหว่าง ไซออนนิสต์ที่ดี กับบอลเชวิกที่เลวร้าย เขาบอกว่า ไซออนนิสต์ต้องการแค่จะมีประเทศของตนเอง ขณะที่พวกบอลเชวิก เป็นพวกยิวที่ไม่มีสัญชาติ ต้องการแต่จะก่อเรื่องวุ่นวาย และหวังไปถึงจะครองโลก Churchill บอกว่า มันเป็นการสมคบคิดของพวกคนบาป.. อืม… สมเป็นความเห็นของท่านหลอด แห่งเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ที่ตวัดลิ้น และปากกาไปมาได้ตามประโยชน์ หลอด Winston ลุ้นให้พวกไซออนนิสต์มานานไม่น้อยกว่า 15 ปี ขณะเดียวกัน พวกยิวก็สนับสนุนท่านหลอดด้านการเมือง จนมีข่าวลือว่า ท่านหลอดก็มีชื่ออยู่ในบัญชีรายจ่ายของพวกไซออนนิสต์กระเป๋าหนัก ปฏิวัติรัสเซียเป็นเรื่องมีความสำคัญ แต่เหตุการณ์ก่อนการปฏิวัติ Balfour Declarationในวันที่ 2 ธันวาคม อาจมีความสำคัญไม่แพ้กันและเกี่ยวโยงกัน Balfour Declaration เป็นจดหมายจาก Arthur James Balfour รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของอังกฤษ ที่เขียนไปถึง Baron Rothschild (แปลกดีไหมครับ) สัญญาว่าจะยกดินแดนเนื้อที่เล็กกระจ้อยคือ ปาเลสไตน์ ซึ่งไม่ไช่เป็นของอังกฤษ แต่เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรออตโตมาน ให้เป็นดินแดนเพื่อชาวยิวไปตั้งบ้านตั้งเมือง ต้องยอมรับว่า ชาวเกาะแน่จริงๆ ทำสัญญายกที่ของคนอื่นให้ คนอื่นอีกคนนี่ มันต้องคารวะในความกลมกลิ้งของคนทำสัญญา แล้วคนรับสัญญาจะเอาที่ของคนอื่นที่ไม่ใช่เจ้าของล่ะ ตกหลุม หรือลุ่มลึก ในตอนนั้น อังกฤษหลอกให้คนทั่วไปเข้าใจว่า อังกฤษต้องการปาเลสไตน์เอง เพราะอยู่ใกล้กับคลองซุเอซ ที่อังกฤษต้องการคุม แต่จริงๆแล้ว อังกฤษต้องการฉกปาเลสไตน์มาจากออตโตมาน เพื่อเอามาให้พวกยิว ระหว่างอังกฤษกับยิว ใครกำลังต้มใคร เริ่มตั้งแต่ต้นปี คศ 1916 อังกฤษ รู้ดีอยู่แก่ใจว่า ยิวเป็นเครือข่ายที่มีอิทธิพลมาก โดยเฉพาะในความเห็นของหลอด Churchill ซึ่งบอกว่า ถ้าเราเอาพวกยิวมาอยู่ในมือได้ โอกาสชนะสงครามของอังกฤษก็มีสูงขึ้น อังกฤษพยายามหา “อะไร” ที่จะมาใช้เป็นข้อแลกเปลี่ยนกับพวกยิว เพื่อให้พวกยิวสนับสนุนอังกฤษอย่างเต็มที่ ยิวมีอยู่ในทุกประเทศโดยฉเพาะเยอรมัน และยุโรปตะวันออก ปลายปี คศ 1916 James Malcolm ที่ปรึกษาของรัฐบาลอังกฤษ แนะนำว่า อังกฤษน่าจะเอาเรื่องปาเลสไตน์ไปต่อรองกับยิว สัญญาว่าจะยกปาเลสไตน์ให้พวกไซออนนิสต์ไงล่ะ แล้วพวกยิวก็จะไปใช้อิทธิพลของพวกเขาที่มีอยู่เกือบทั่วโลก โดยเฉพาะในอเมริกาทำประโยชน์ให้อังกฤษเอง อังกฤษไม่เล่นตัวนาน เมื่อ David Lloyd George ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ของอังกฤษ ในเดือนธันวาคม 1916 เขาสั่งการทันที Lloyd George เป็นขวัญใจพวกไซออนนิสต์อยู่แล้ว คงไม่ลืมกันว่า เมื่อเป็นนายกรัฐมนตรี เขาอ่อนอยู่ในมือใคร เขาสั่งให้ลูกน้องซ้ายขวา Sir Mark Sykes และหลอด Arthur Balfour ไปคุยกับพวกยิวทันที Sykes หลบไปจับเข่า Weizmann และไซออนนิสต์อีกหลายคน พวกยิวบอก ไม่มีปัญหา ถ้าเราทำให้ตามสัญญาแล้ว อย่าเบี้ยวเราก็แล้วกัน ขณะเดียวกัน พวกยิวก็ปล่อยข่าว ว่า เยอรมันก็คุยทำนองเดียวกันกับพวกเขาอย่างนี้แหละ ดูเหมือนพวกยิวพยายามจะไล่ราคาหุ้นให้ถึงเพดาน เมื่อข่าวไล่ราคาหุ้นลือกระฉ่อนในลอนดอน รัฐบาลอังกฤษถึงกับนั่งไม่ติด ในที่สุด ร่างแรก ของ Balfour Declaration ของอังกฤษก็ออกมาในเดือนกรกฎาคม 1917 แต่เป็นฝีมือร่างของ Brandeis ชาวยิวที่เป็นผู้พิพากษาศาลสูง คนแรกของอเมริกา ฝีมือมั่วขั้นสูงจริงๆ และร่างที่ 2 ก็ออกมากลางเดือนตุลาคม รัฐบาลอังกฤษพร้อมที่จะแถลงอย่างเป็นทางการในปลายเดือนตุลาคม เวลาการปฏิวัติรัสเซียของบอลเชวิก การประการคำสัญญาของอังกฤษเกี่ยวกับปาเลสไตน์ การประกาศเข้าสงครามโลกของอเมริกา ดูแบบประชาชนคนซื่อ ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวพันกันเลย #################### ” ฤทธิ์ยิว” (8 จบ) เมื่อพูดถึงการทำสงคราม สำหรับคนส่วนใหญ่ มันหมายถึงการสู้รบ การทำลาย การบาดเจ็บล้มตาย แต่สำหรับคนบางพวก สงครามไม่ได้มีความหมายอย่างนั้น สำหรับพวกเขา สงครามหมายถึง โอกาสทอง สำหรับสร้างกำไรมหาศาล และเป็นโอกาสสำหรับการเปลี่ยนมือ หรือทิศทางของฐานอำนาจในโลก และสำหรับผู้ที่ไปอยู่ถูกตำแหน่ง ถูกที่ สงครามอาจสร้างทั้งความร่ำรวย และอำนาจให้กับผู้นั้น อย่างเหลือเชื่อ และเหลือประมาณ สงครามโลกครั้งที่ 1 นับเป็นโอกาสทอง ที่สร้างผลกำไรให้แก่ชาวยิว ในหลายๆเรื่องอย่างเหลือเชื่อ เรื่องแรก : ตำแหน่งใหญ่ๆรอบตัว Taft และ Wilson ดูเหมือนจะถูกครอบ และครองโดยชาวยิว โดยฉเพาะ เรื่องการอนุญาตให้ชาวยิวอพยพเข้ามาอยู่ในอเมริกา ซึ่งมีชาวยิวเป็นผู้ดูแลในตำแหน่งใหญ่สุด และทำให้จำนวนชาวยิวที่อพยพมาอยู่ในอเมริกาเพิ่มขึ้นอย่างมาก เป็น 4 ล้านกว่าคน นับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นต้นมา เรื่องที่สอง : Balfour Declaration ซึ่งอังกฤษสัญญาว่าจะเอาปาเลสไตน์มาให้ยิว แม้จะยังมาไม่ถึง แต่เป็นถึงเจ้าของเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย ตกปากตกคำเป็นหนังสือให้เขา ถ้าทำไม่ได้ ยิวก็คงเอาไว้บีบให้หาอย่างอื่นมาทดแทน เอาไว้ใช้ทวงไปได้อีกนานแสนนาน ถึงหากจะไม่ได้อะไรมาทดแทน เอาไว้ด่าลำเลิก ก็พอแก้เหงาปาก เรื่องที่สาม : โลกนี้เปลี่ยนไปแยะสำหรับยิว รัสเซีย ที่มีชาวยิวอยู่มากมาย และปกครองโดยซาร์ ที่เกลียดยิว และยิวก็เกลียดซาร์ เปลี่ยนเป็นปกครองโดยพวกยิวบอลเชวิก ที่พวกยิวไปจัดการเอามานั่งแท่น มันยิ่งกว่าถูกลอตเตอรี่รางวัลที่หนึ่งของพวกยิวเลยล่ะ ส่วนเยอรมัน ซึ่งปกครองโดย Kaiser Wilhelm ที่ 2 ที่ไม่ชอบยิวเช่นกัน เปลี่ยนเป็นรัฐบาล Weimar นี่ก็รางวัลใหญ่ไม่น้อย นอกจากนี้ ยิวยังได้ถือเชือก ชักใยรัฐบาลของประเทศมหาอำนาจเก่าอย่างอังกฤษ และอำนาจใหม่อย่างอเมริกา ที่หวังจะครองโลก ไม่เรียกว่าสงครามโลก สร้างโอกาสทองให้ยิว แล้วจะเรียกว่าอะไร เรื่องสุดท้าย : หันไปทางไหนก็มีแต่เงินหล่นใส่ การได้คุม War Industry Board ในรัฐบาล Wilson ของ Bernard Baruch ซึ่งเป็นการควบคุมจ่ายเงินของกองทัพยามสงคราม คงไม่ต้องอธิบายมากว่า เงินงอกในกระเป๋าพวกยิวอย่างไร และขนาดไหน เล่าเลยไปถึงเหตุการณ์หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 สักนิด จะได้เห็นฤทธิ์ยิวชัดขึ้นอีกหน่อย หลังจากสงครามโลกจบลง บรรดาผู้ชนะสงครามก็จัดประชุมที่ปารีส ในเดือนมกราคม คศ 1919 เพื่อแบ่งสมบัติ ที่ได้มาจากการต้ม และการปล้น ทีมยิวของ Wilson คิดว่าพวกตัวน่าจะเป็นผู้กำกับการประชุม เพราะถ้าไม่มีอเมริกามาเข้าฉากรบ อังกฤษ ก็อาจต้องไปนั่งรอ อยู่ที่นอกประตูตึกประชุมด้วยซ้ำ แล้วใครล่ะที่เอาอเมริกาใส่ถาดมาให้อังกฤษ ไม่ใช่ยิวหรือไง ยิวคนไหน นู่น ยิว Brandies ไง ที่ไปจูง Wilson ออกมาจากการนั่งเขียนจดหมายถึงเมียใครอยู่อย่างเหงาๆ ในทำเนียบขาว ให้มายืนหน้าเครียด บัญชาการรบแทน ไม่ใช่แค่ทีมยิวของ Wilson เท่านั้น ที่นั่งหน้าสลอน อยู่แถวหน้าของการประชุมที่ปารีส ดูเหมือนทุกประเทศที่ชนะสงคราม จะมีตัวแทนชาวยิวมานั่งกำกับในที่ประชุมด้วย มีทั้งยิวจากโปแลนด์ ยิวจากฮอลแลนด์ ยิวจากเบลเยี่ยม และมากที่สุด คือ ยิวจากอเมริกา อังกฤษชักหงุดหงิด เราต่างหาก เป็นคนเสียสละเริ่มทำสงคราม เป็นคนวางแผนตั้งแต่ต้น ทั้งบี้เยอรมัน ทั้งต้มรัสเซีย ทั้งหลอกฝรั่งเศส มาถึงวันนี้ วันที่ทุกฝ่าย(ที่ชนะ) ได้อย่างที่ต้องการกันหมด ก็เพราะเรา เอะ แต่อังกฤษจ่ายค่าแบกถาดใส่อเมริกา ให้พวกยิวหรือยังครับท่าน งั้นตกลงเป็นเพียงกระดาษ แผ่นเดียวที่อังกฤษลงทุนใช้ต้มยิว ให้ไปแบกอเมริกามาซินะ อเมริกา อมยิ้มในหน้า เออ ดูมันกัดกัน แย่งกัน ว่า ใครที่สร้างสงครามสำเร็จ และใครไปอุ้ม ไปแบกอเมริกามาเข้าสงคราม สำหรับหลายคนในอเมริกา ใครสร้างสงครามอย่างไร ไม่สำคัญ และใครที่คิดว่าอุ้มอเมริกามาได้ ถ้าอเมริกาไม่พร้อมใจ หรือวางแผนให้ถูกอุ้ม จะอุ้มอเมริกามาได้แน่หรือ อเมริกาทำตัวเหมือนไอ้โง่ถูกหลอก แต่จริงๆแล้ว สงครามโลกครั้งที่ 1 ทำให้อเมริกาได้โอกาสทองมากกว่าใครๆ มากขนาดเดินเบียดอังกฤษ ตกจากเส้นทางสู่การเป็น หมายเลขหนึ่งของโลกไปเรียบร้อย มันเป็นเรื่องน่าสนใจ ที่ทุกฝ่ายต่างคิดว่า ตนเองได้กำไร และหลอกใช้ฝ่ายอื่นสำเร็จทั้งสิ้น และถ้าสังเกตกันอีกนิด จะเห็นว่า สงครามโลกครั้งที่ 1 นี้ นอกจากจะมีอาณาจักร หรือจักรวรรดิ์เก่าแก่ล่มสล่าย ไป 3 รายแล้ว ทุกประเทศมีค่าใช้จ่าย หรือต้นทุนทั้งสิ้น โดยเฉพาะต้นทุน ที่เป็นชีวิต ของพลเมืองและทหารนับล้าน บ้านเมืองที่พังทลายเหลือแต่ซาก ผู้ชนะอย่างอังกฤษ ก็ไม่แน่ว่าคุ้มทุนที่ลงไป อเมริกาแน่นอนกำไรมหาศาล แต่ก็ต้องลงทุนไม่น้อย โดยเฉพาะชีวิตทหารอเมริกันที่ไปรบ ดูเหมือนจะมีแต่ชาวยิวเท่านั้น ที่ไม่มีต้นทุนที่ต้องเสีย ด้านชีวิตพลเมือง ทหาร และบ้านเมืองเลย ยิวแค่ลงทุนด้วยปาก กับใช้เล่ห์เหลี่ยม และทำให้ผู้อื่นเชื่อว่ายิวมีอำนาจ ที่สร้างจากสื่อกระป๋องสียี่ห้อยิวเท่านั้นเอง แต่ยิวก็ทำสำเร็จ แต่การวิธีลงทุนแบบนี้ของยิว มีเส้นทางต่อมาอย่างไร มีผลในสงครามโลกครั้งที่ 2 แบบไหน และจะเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 3 หรือไม่ น่าติดตามนะครับ ไม่มีใครหนีกรรมของตนเองพ้นอย่างแน่นอน สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 9 มิ.ย. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 167 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้มข้ามศตวรรษ บทแถม ตอน ฤทธิ์ยิว 5 – 6
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทแถม
    “ฤทธิ์ยิว”

    (5)

    นี่เล่ามา เป็นการเจริญเติบโตของอิทธิพลยิว ก่อนอเมริกาจะมีประธานาธิบดี ชื่อ Woodlow Wilson ที่ได้รับสมญาว่า “สุดยอดตัวสำรอง” รองจากประธานาธิบดี Franklin D Roosevelt ที่ได้รับขนานนามว่า “เป็นสุดยอดขวัญใจ” ของอเมริกันยิว Wilson นั้น เป็นที่รู้กันว่าเขาใกล้ชิดกับพวกยิว และรัฐบาลของเขาอยู่ในมือพวกยิว Wilson รู้สึกจะเป็นประธานาธิบดีของอเมริกาคนแรก ที่ยิวให้การสนับสนุนเต็มที่ ดันเต็มหลัง ทั้งด้านการเงิน และการอื่น นับเป็นม้าแข่ง ที่พวกยิวบอกว่า นำถ้วยรางวัลมาให้พวกเขาอย่างคุ้มการลงทุน

    พวกยิวมีจำนวนไม่กี่หยิบมือ แต่ไม่กี่หยิบมือนี้ ได้หยิบชิ้นปลามัน สร้างฐานอำนาจในปี 1912 เรียบร้อย Herzl อายุสั้น เลยไม่ได้นั่งบัลลังก์ใด แต่ผู้ที่เดินตามเจตนารมย์ของเขาดูเหมือนจะดำเนินการไม่พลาดเป้าหมาย ที่ Herzl กำหนดไว้

    – Oscar Straus ยิวเยอรมัน เป็นยิวคนแรก ที่ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีในอเมริกา เขาได้ในสมัยประธานาธิบดี Roosevelt และต่อมาได้ไปเป็นทูต ประจำออตโตมาน ในสมัยของ Taft
    – Jacob Schiff หัวหน้าใหญ่ ของบริษัทการเงิน Kuhn, Loeb รายนี้คงไม่ต้องบรรยายสรรพคุณ
    – Louis Marshall ไซออนนิสต์ ผู้ก่อตั้ง AJC
    – พี่น้องตระกูล Warburg: Paul, Felix และ Max ตระกูลนี้ก็คงไม่ต้องบรรยาย
    – Henry Morgenthau, Sr. ทนายความ พ่อของ Henry ซึ่งต่อมามีอิทธิพลมากกว่าพ่อ
    – Louis Brandeis ทนายความ ไซออนนิสต์ชนิดเข้ม ซึ่งต่อมามีอิทธิพลสูงยิ่ง
    – Samuel Untermyer ทนายความเขี้ยวยาว
    – Bernard Baruch นักการเงินจาก วอลสตรีท สุดยอดนักชักใย
    – Stephen Wise นักบวชยิวออสเตรียนและ ไซออนนิสต์อย่างเข้มข้น
    – Richard Gottheil นักบวชยิวอังกฤษ และ ไซออนนิสต์

    นี่เป็นตาข่ายยิวตัวสำคัญ เฉพาะฝั่งอเมริกาเท่านั้น ยังมีทางฝั่งอังกฤษ และยุโรปที่ทำงานกันเป็นเครือข่ายอีกไม่น้อย

    พวกที่ใช้อำนาจอันร้ายกาจของก ระเป๋าเงิน รายใหญ่ที่สำแดงเดชช่วย Wilson คือ Henry Morgenthau, Jacob Schiff, Samuel Untermyer และหน้าใหม่แต่มาแรง คือ Bernard Baruch ส่วนบทบาทของ Warburg นั้นน่าสนใจ เขาน่าจะเป็นมันสมองให้ยิว ทั้งฝั่งอเมริกา ยุโรป โดยเฉพาะเยอรมัน และ Federal Reserve System ของอเมริกา เป็นผลงานของ Paul Warburg ล้วนๆ

    Morgenthau สนับสนุน ม้าชื่อ Wilson ตั้งแต่ Wilson ยังเป็นผู้ว่าการนิวเจอร์ซี เขาจ่ายเงินดูแล Wilson เป็นรายเดือน เป็นที่รู้กันว่า Morgenthau สนับสนุน Wilson แบบไม่มีอั้น และเมื่อ Wilson ได้เป็นประธานาธิบดี ในปี 1912 เขาก็ตอบแทน Morgenthau แบบไม่อั้นเช่นเดียวกัน Morgenthau ได้ไปเป็นทูตอเมริกา ประจำที่ออตโตมานตามคาด เพื่อดูแลปาเลสไตน์

    ส่วน Louise Brandis ได้รับเสนอชื่อให้เป็นผู้พิพากษาศาลสูง เป็นยิวคนแรกในวงการยุติธรรม เขาเป็นอยู่ 23 ปีและมีบทบาทสำคัญในสงครามโลกทั้ง 2 ครั้ง แต่ที่มาของการได้ตำแหน่งของเขา ค่อนข้างพิเศษกว่าใคร

    มีเรื่องเล่ากันว่า เมื่อ Wilson ได้นั่งเก้าอี้ตำแหน่งประธานาธิบดี ในปี 1914 ไม่กี่วัน เขามียิวรุ่นใหญ่ ที่อยู่ในกลุ่มเจ้าของกระเป๋าที่ สนับสนุน Wilson มาขอพบ คือ Samuel Untermeyer ซึ่งเป็นทนาย ของสำนักงาน Guggemheim, Untermeyer & Marshall ที่ดูแลด้านกฏหมายให้แก่ Kuhn, Loeb & Co
    Untermeyer บอกกับ Wilson ว่า เขามีลูกความที่เป็นภรรยา ของอาจารย์ ที่สอนอยู่ที่มหาวิทยาลัย Princton ช่วงเดียวกับที่ Wilson สอน และลูกความของเขาขอให้แจ้งกับ Wilson ว่า เธอยินดีที่จะรับเงิน 40,000 เหรียญ แทนการฟ้องร้อง Wilson เรื่องการผิดสัญญา แล้ว Untermeyer ก็ควักจดหมายมัดใหญ่ ยื่นให้ Wilson มันเป็นจดหมายที่ Wilson เขียนถึงเมียของเพื่อนร่วมงาน Wilson จำลายมือตัวเองได้ แต่เขาบอกว่า เขาไม่มีเงิน 40,000 เหรียญที่จะจ่ายให้กับคนที่แบล๊กเมล์เขา Untermeyer บอกไม่เป็นไรหรอก ท่านประธานาธิบดี เรื่องเงินจำนวนนี้ ผมจะเป็นคนจัดการแทนท่านเอง แต่ผมขอให้ท่านรับปากว่า เมื่อมีตำแหน่งในศาลสูงว่างเมื่อ ไหร่ ขอให้แต่งตั้ง ไซออนนิสต์ ยิวเคร่ง ชื่อ Louise Dembitz Brandeis ก็แล้วกัน Wilson ก็รับปาก หลังจากนั้น ไม่ถึงปี วันที่ 5 มิถุนายน 1915 Louise Brandeis ก็ได้รับเลือกเป็นผู้พิพากษาศาลสูง

    แต่คนที่ได้ตำแหน่ง และมีบทบาทโดดเด่นที่สุด คือ Bernard Baruch ซึ่งเป็นมหาเศรษฐีตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 30 Baruch โผล่มาจากไหนไม่มีใครรู้ อยู่ดีๆ ก็หยิบชิ้นปลามัน ในปี คศ 1915 อังกฤษทำสงครามกับเยอรมันแล้ว แต่อเมริกายังเป็นกลาง Baruch เตือนให้อเมริกาเตรียมพร้อมสำหรับเข้าสงคราม เขาหงุดหงิดว่า อเมริกาไม่เตรียมอะไรเลย เขาเชื่อว่าอเมริกาต้องถูกลากเข้าไปทำสงครามแน่นอน และจะมาเร็วกว่าที่คิด และคงเป็นเรื่องของนางฟ้าเศก Baruch ได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้า สภากลาโหม Council of National Defense ในต้นปี คศ 1916 เขาเข้าไปควบคุม หน่วยงานน่าสนใจคือ คณกรรมการสำหรับกิจการสงคราม War Industries Board (WIB) ซึ่งในเวลาสงคราม หน่วยงานนี้จะมีอำนาจล้นฟ้า และ Baruch คนเดียวโดดๆ เป็นคนคุม และกุมแน่นหน่วยงานนี้ตลอดช่วงเวลาสงคราม

    ในคำให้การของ Baruch ต่อวุฒิสมาชิก Albert Jefferies เขาสรุป บทบาทของเขาดังนี้:

    ” ผมเป็นคนดูแลตัดสินใจ ว่า จะให้ใคร หน่วยงานไหน ได้อะไร การตัดสินใจอยู่ที่ผม ท่านประธานาธิบดี มอบหมายให้ผมเป็นคนตัดสินใจ ว่า กองทัพบก หรือ กองทัพเรือ ควรจะได้อะไร หรือ การรถไฟ ควรมีอะไร หรือ ฝ่ายสัมพันธมิตร หรือ ท่านนายพล Allenby ควรมีรถไฟหรือไม่ หรือควรเอาไปใช้ที่รัสเซีย หรือใช้ที่ฝรั่งเศส ใช่ ผมมีอำนาจมาก ผมอาจมีอำนาจมากกว่าที่ใครๆเคยมีในสงคราม มันน่าสงสัย แต่มันเป็นเรื่องจริง”
    ก็น่าสงสัยจริงอยู่หรอก ว่า คนหนุ่มชาวยิว ที่ไม่เคยได้ลงเลือกตั้งอะไรเลย ไม่มีประสบการณ์ทางการเมืองแม้แต่น้อย แต่ในยามวิกฤติ เขากลายเป็นผู้มีอำนาจมากที่สุดในรัฐบาล รองมาจากประธานาธิบดี บทบาทของเขาตอนสงครามโลกครั้งที่ 1 ว่าใหญ่แล้ว แต่นั่นมันเป็นแค่การซ้อมใหญ่ ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อ Franklin D Roosevelt เป็นประธานาธิบดี Baruch ในฐานะ หัวหน้า สำนักงาน War Mobilization ดูเหมือนจะใหญ่มากกว่า และในฐานะที่เขาได้กลายเป็นเพื่อนสนิทของท่านหลอด Winston Churchill ของอังกฤษด้วย “Barney” ก็กลายเป็นชื่อ ที่ใครๆ ก็ต้องเรียกหา

    ####################
    “ฤทธิ์ยิว”

    (6)

    สงครามโลกครั้งที่ 1 ตีระฆังเริ่ม ในเดือนสิงหาคม 1914 เมื่อกองทัพเยอรมันเคลื่อนพลผ่านเข้าไปในเขตแดนของเบลเยี่ยม ที่ประกาศตัวเป็นกลาง โดยมีเป้าหมายปลายทางคือฝรั่งเศส หลังจากนั้นหลายประเทศก็ทยอยกันเข้าสู่สงคราม ถึงปลายปี 1914 ประมาณ 10 ประเทศ ก็อยู่ในสภาวะสงคราม แต่อเมริกา ยังใช้ยโนบายเป็นกลางอยู่ต่อไป อีกเกือบ 2 ปีครึ่ง สุนทรพจน์ของ Wilson เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม คศ 1914 หลังจากสงครามเริ่มหมาดๆ ประกาศชัดหูคนอเมริกัน ว่า”…เรามีหน้าที่ ที่จะเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ ที่มีความสงบ…” และเมื่อตอนหาเสียง ที่จะเป็นประธานาธิบดีสมัย 2 ในปี 1916 คำขวัญของ Wilson ที่บอกว่า เขาไม่พาเราเข้าสงคราม he kept us out of war ยังก้องหูคนอเมริกันอยู่

    แต่แล้วในวันที่ 2 เมษายน 1917 Wilson ก็เลี้ยวออกนอกเส้นทางกระทันหัน ประกาศสงครามกับเยอรมัน ชาวบ้านอเมริกันตามไม่ทันหัวทิ่มกันเป็นแถว โผคำอธิบาย ที่วงในรัฐบาลสั่งให้สื่อกระป๋องสีตรายิว ช่วยกันโหม คือ เนื่องมาจากการกระทำอันป่าเถื่อนของเยอรมัน ที่ใช้ตอร์ปิโดยิงเรือโดยสารและเรือบรรทุกสินค้าของอเมริกัน และเราก็ไม่มีทางเลือกอื่นเหลืออีกแล้ว นอกจากทำสงครามกับไอ้พวกเถื่อนนั้น ทั้งข่าว ทั้งภาพ ดุเดือดถึงใจ
    อันที่จริงเมื่อเริ่มสงครามใหม่ๆ เยอรมันยิงตอร์ปิโดร์ใส่เรือบรรทุกสินค้าของฝ่ายสัมพันธมิตรจริง แต่เมื่อ Wilson ทำการประท้วงเมื่อเดือนสิงหาคม 1915 เยอรมันก็หยุดยิง เยอรมันหยุดยิงไปนานพอสมควร จนถึงต้นเดือนกุมภาพันธ์ 1917 และตลอดเวลาที่เยอรมันหยุดยิง อเมริกาก็ค้าขายกับอังกฤษ ศัตรูของเยอรมัน อย่างสบายใจ ส่งสินค้าเพื่อสงครามให้อังกฤษ แถมช่วยอังกฤษ บล๊อกเส้นทางเดินเรือส่งสินค้าของเยอรมันอีกด้วย ก็ไม่น่าแปลกใจ ที่ในที่สุดเยอรมัน ก็กลับมายิงเรือทุกลำไม่ว่าของชาติไหน ที่ผ่านมาในเขต war zone

    แล้วตกลงสาเหตุ ของการประกาศเข้าสู่สงครามของอเมริกา จริงๆมันคืออะไรกันแน่

    วุฒิสมาชิก George Norris บอกว่า คนอเมริกัน ถูกทำให้เข้วจากประวัติศาสตร์ และจากความจริงที่มาจากการที่พวกนักการเงินวอลสตรีท ให้เงินกู้จำนวนมหึมากับพวกสัมพันธมิตร และแน่นอนพวกนี้กลัวหนี้สูญ ทั้งๆที่พวกเขาก็ทำกำไรได้มากมายจากการขายอาวุธยุทโธปกรณ์ กลุ่มพวกนี้แหละ ที่ใช้ให้พวกสื่อกระป๋องสี ละเลงเสียจนคนอเมริกัน เปลี่ยนใจ อยากจะทำสงครามกันไปหมด ทุกสงครามมีแต่ความหายนะ…. เรา เข้าสู่สงครามเพราะคำสั่งของทอง และใครล่ะที่มีทอง …

    อำนาจ เป็นเรื่องที่น่าสนใจ บางทีการสร้างภาพว่า มีอำนาจ ก็ทำให้กลายเป็นมีอำนาจจริงไปได้ ถ้ามีคนเชื่อ พวกยิวขณะนั้น ไม่มีกองทัพของตนเอง ไม่มีประเทศของตนเอง แถม มีเรื่องขัดแย้งเกิดอยู่ในหลายประเทศ และในหลายประเทศนั้น มีชาวยิว อยู่จำนวนน้อยมาก ไม่เกิน 1 หรือ 2 % ของจำนวนพลเมืองในประเทศนั้นๆ แต่คนจำนวนเท่าหยิบมือนี้ สามารถบงการนโยบายต่างประเทศได้ สามารถจุดชนวนสงครามได้ และสามารถชี้นำ หรือคัดท้ายผลของสงครามนั้นได้อีกด้วย ตัวอย่างที่เห็น คือ การที่อเมริกายกเลิกสนธิสัญญากับรัสเซีย ในปี 1911, การเลือกตั้งประธานาธิบดีของอเมริกา ในปี 1912 และอีกหลายเรื่องที่จะเล่าต่อไป

    แต่สิ่งสำคัญ ที่ทำให้คน “เชื่อ” ในภาพที่สร้างนั้น เป็นผลงานของสื่อ ไม่ว่าจะเป็นสื่อประเภทใด พวกยิวซื้อ ครอบครอง และควบคุมไว้หมดสิ้น และใช้อย่างได้ผลเลิศ เป็นเรื่องที่เราไม่ควรมองข้าม

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    8 มิ.ย. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ บทแถม ตอน ฤทธิ์ยิว 5 – 6 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทแถม “ฤทธิ์ยิว” (5) นี่เล่ามา เป็นการเจริญเติบโตของอิทธิพลยิว ก่อนอเมริกาจะมีประธานาธิบดี ชื่อ Woodlow Wilson ที่ได้รับสมญาว่า “สุดยอดตัวสำรอง” รองจากประธานาธิบดี Franklin D Roosevelt ที่ได้รับขนานนามว่า “เป็นสุดยอดขวัญใจ” ของอเมริกันยิว Wilson นั้น เป็นที่รู้กันว่าเขาใกล้ชิดกับพวกยิว และรัฐบาลของเขาอยู่ในมือพวกยิว Wilson รู้สึกจะเป็นประธานาธิบดีของอเมริกาคนแรก ที่ยิวให้การสนับสนุนเต็มที่ ดันเต็มหลัง ทั้งด้านการเงิน และการอื่น นับเป็นม้าแข่ง ที่พวกยิวบอกว่า นำถ้วยรางวัลมาให้พวกเขาอย่างคุ้มการลงทุน พวกยิวมีจำนวนไม่กี่หยิบมือ แต่ไม่กี่หยิบมือนี้ ได้หยิบชิ้นปลามัน สร้างฐานอำนาจในปี 1912 เรียบร้อย Herzl อายุสั้น เลยไม่ได้นั่งบัลลังก์ใด แต่ผู้ที่เดินตามเจตนารมย์ของเขาดูเหมือนจะดำเนินการไม่พลาดเป้าหมาย ที่ Herzl กำหนดไว้ – Oscar Straus ยิวเยอรมัน เป็นยิวคนแรก ที่ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีในอเมริกา เขาได้ในสมัยประธานาธิบดี Roosevelt และต่อมาได้ไปเป็นทูต ประจำออตโตมาน ในสมัยของ Taft – Jacob Schiff หัวหน้าใหญ่ ของบริษัทการเงิน Kuhn, Loeb รายนี้คงไม่ต้องบรรยายสรรพคุณ – Louis Marshall ไซออนนิสต์ ผู้ก่อตั้ง AJC – พี่น้องตระกูล Warburg: Paul, Felix และ Max ตระกูลนี้ก็คงไม่ต้องบรรยาย – Henry Morgenthau, Sr. ทนายความ พ่อของ Henry ซึ่งต่อมามีอิทธิพลมากกว่าพ่อ – Louis Brandeis ทนายความ ไซออนนิสต์ชนิดเข้ม ซึ่งต่อมามีอิทธิพลสูงยิ่ง – Samuel Untermyer ทนายความเขี้ยวยาว – Bernard Baruch นักการเงินจาก วอลสตรีท สุดยอดนักชักใย – Stephen Wise นักบวชยิวออสเตรียนและ ไซออนนิสต์อย่างเข้มข้น – Richard Gottheil นักบวชยิวอังกฤษ และ ไซออนนิสต์ นี่เป็นตาข่ายยิวตัวสำคัญ เฉพาะฝั่งอเมริกาเท่านั้น ยังมีทางฝั่งอังกฤษ และยุโรปที่ทำงานกันเป็นเครือข่ายอีกไม่น้อย พวกที่ใช้อำนาจอันร้ายกาจของก ระเป๋าเงิน รายใหญ่ที่สำแดงเดชช่วย Wilson คือ Henry Morgenthau, Jacob Schiff, Samuel Untermyer และหน้าใหม่แต่มาแรง คือ Bernard Baruch ส่วนบทบาทของ Warburg นั้นน่าสนใจ เขาน่าจะเป็นมันสมองให้ยิว ทั้งฝั่งอเมริกา ยุโรป โดยเฉพาะเยอรมัน และ Federal Reserve System ของอเมริกา เป็นผลงานของ Paul Warburg ล้วนๆ Morgenthau สนับสนุน ม้าชื่อ Wilson ตั้งแต่ Wilson ยังเป็นผู้ว่าการนิวเจอร์ซี เขาจ่ายเงินดูแล Wilson เป็นรายเดือน เป็นที่รู้กันว่า Morgenthau สนับสนุน Wilson แบบไม่มีอั้น และเมื่อ Wilson ได้เป็นประธานาธิบดี ในปี 1912 เขาก็ตอบแทน Morgenthau แบบไม่อั้นเช่นเดียวกัน Morgenthau ได้ไปเป็นทูตอเมริกา ประจำที่ออตโตมานตามคาด เพื่อดูแลปาเลสไตน์ ส่วน Louise Brandis ได้รับเสนอชื่อให้เป็นผู้พิพากษาศาลสูง เป็นยิวคนแรกในวงการยุติธรรม เขาเป็นอยู่ 23 ปีและมีบทบาทสำคัญในสงครามโลกทั้ง 2 ครั้ง แต่ที่มาของการได้ตำแหน่งของเขา ค่อนข้างพิเศษกว่าใคร มีเรื่องเล่ากันว่า เมื่อ Wilson ได้นั่งเก้าอี้ตำแหน่งประธานาธิบดี ในปี 1914 ไม่กี่วัน เขามียิวรุ่นใหญ่ ที่อยู่ในกลุ่มเจ้าของกระเป๋าที่ สนับสนุน Wilson มาขอพบ คือ Samuel Untermeyer ซึ่งเป็นทนาย ของสำนักงาน Guggemheim, Untermeyer & Marshall ที่ดูแลด้านกฏหมายให้แก่ Kuhn, Loeb & Co Untermeyer บอกกับ Wilson ว่า เขามีลูกความที่เป็นภรรยา ของอาจารย์ ที่สอนอยู่ที่มหาวิทยาลัย Princton ช่วงเดียวกับที่ Wilson สอน และลูกความของเขาขอให้แจ้งกับ Wilson ว่า เธอยินดีที่จะรับเงิน 40,000 เหรียญ แทนการฟ้องร้อง Wilson เรื่องการผิดสัญญา แล้ว Untermeyer ก็ควักจดหมายมัดใหญ่ ยื่นให้ Wilson มันเป็นจดหมายที่ Wilson เขียนถึงเมียของเพื่อนร่วมงาน Wilson จำลายมือตัวเองได้ แต่เขาบอกว่า เขาไม่มีเงิน 40,000 เหรียญที่จะจ่ายให้กับคนที่แบล๊กเมล์เขา Untermeyer บอกไม่เป็นไรหรอก ท่านประธานาธิบดี เรื่องเงินจำนวนนี้ ผมจะเป็นคนจัดการแทนท่านเอง แต่ผมขอให้ท่านรับปากว่า เมื่อมีตำแหน่งในศาลสูงว่างเมื่อ ไหร่ ขอให้แต่งตั้ง ไซออนนิสต์ ยิวเคร่ง ชื่อ Louise Dembitz Brandeis ก็แล้วกัน Wilson ก็รับปาก หลังจากนั้น ไม่ถึงปี วันที่ 5 มิถุนายน 1915 Louise Brandeis ก็ได้รับเลือกเป็นผู้พิพากษาศาลสูง แต่คนที่ได้ตำแหน่ง และมีบทบาทโดดเด่นที่สุด คือ Bernard Baruch ซึ่งเป็นมหาเศรษฐีตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 30 Baruch โผล่มาจากไหนไม่มีใครรู้ อยู่ดีๆ ก็หยิบชิ้นปลามัน ในปี คศ 1915 อังกฤษทำสงครามกับเยอรมันแล้ว แต่อเมริกายังเป็นกลาง Baruch เตือนให้อเมริกาเตรียมพร้อมสำหรับเข้าสงคราม เขาหงุดหงิดว่า อเมริกาไม่เตรียมอะไรเลย เขาเชื่อว่าอเมริกาต้องถูกลากเข้าไปทำสงครามแน่นอน และจะมาเร็วกว่าที่คิด และคงเป็นเรื่องของนางฟ้าเศก Baruch ได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้า สภากลาโหม Council of National Defense ในต้นปี คศ 1916 เขาเข้าไปควบคุม หน่วยงานน่าสนใจคือ คณกรรมการสำหรับกิจการสงคราม War Industries Board (WIB) ซึ่งในเวลาสงคราม หน่วยงานนี้จะมีอำนาจล้นฟ้า และ Baruch คนเดียวโดดๆ เป็นคนคุม และกุมแน่นหน่วยงานนี้ตลอดช่วงเวลาสงคราม ในคำให้การของ Baruch ต่อวุฒิสมาชิก Albert Jefferies เขาสรุป บทบาทของเขาดังนี้: ” ผมเป็นคนดูแลตัดสินใจ ว่า จะให้ใคร หน่วยงานไหน ได้อะไร การตัดสินใจอยู่ที่ผม ท่านประธานาธิบดี มอบหมายให้ผมเป็นคนตัดสินใจ ว่า กองทัพบก หรือ กองทัพเรือ ควรจะได้อะไร หรือ การรถไฟ ควรมีอะไร หรือ ฝ่ายสัมพันธมิตร หรือ ท่านนายพล Allenby ควรมีรถไฟหรือไม่ หรือควรเอาไปใช้ที่รัสเซีย หรือใช้ที่ฝรั่งเศส ใช่ ผมมีอำนาจมาก ผมอาจมีอำนาจมากกว่าที่ใครๆเคยมีในสงคราม มันน่าสงสัย แต่มันเป็นเรื่องจริง” ก็น่าสงสัยจริงอยู่หรอก ว่า คนหนุ่มชาวยิว ที่ไม่เคยได้ลงเลือกตั้งอะไรเลย ไม่มีประสบการณ์ทางการเมืองแม้แต่น้อย แต่ในยามวิกฤติ เขากลายเป็นผู้มีอำนาจมากที่สุดในรัฐบาล รองมาจากประธานาธิบดี บทบาทของเขาตอนสงครามโลกครั้งที่ 1 ว่าใหญ่แล้ว แต่นั่นมันเป็นแค่การซ้อมใหญ่ ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อ Franklin D Roosevelt เป็นประธานาธิบดี Baruch ในฐานะ หัวหน้า สำนักงาน War Mobilization ดูเหมือนจะใหญ่มากกว่า และในฐานะที่เขาได้กลายเป็นเพื่อนสนิทของท่านหลอด Winston Churchill ของอังกฤษด้วย “Barney” ก็กลายเป็นชื่อ ที่ใครๆ ก็ต้องเรียกหา #################### “ฤทธิ์ยิว” (6) สงครามโลกครั้งที่ 1 ตีระฆังเริ่ม ในเดือนสิงหาคม 1914 เมื่อกองทัพเยอรมันเคลื่อนพลผ่านเข้าไปในเขตแดนของเบลเยี่ยม ที่ประกาศตัวเป็นกลาง โดยมีเป้าหมายปลายทางคือฝรั่งเศส หลังจากนั้นหลายประเทศก็ทยอยกันเข้าสู่สงคราม ถึงปลายปี 1914 ประมาณ 10 ประเทศ ก็อยู่ในสภาวะสงคราม แต่อเมริกา ยังใช้ยโนบายเป็นกลางอยู่ต่อไป อีกเกือบ 2 ปีครึ่ง สุนทรพจน์ของ Wilson เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม คศ 1914 หลังจากสงครามเริ่มหมาดๆ ประกาศชัดหูคนอเมริกัน ว่า”…เรามีหน้าที่ ที่จะเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ ที่มีความสงบ…” และเมื่อตอนหาเสียง ที่จะเป็นประธานาธิบดีสมัย 2 ในปี 1916 คำขวัญของ Wilson ที่บอกว่า เขาไม่พาเราเข้าสงคราม he kept us out of war ยังก้องหูคนอเมริกันอยู่ แต่แล้วในวันที่ 2 เมษายน 1917 Wilson ก็เลี้ยวออกนอกเส้นทางกระทันหัน ประกาศสงครามกับเยอรมัน ชาวบ้านอเมริกันตามไม่ทันหัวทิ่มกันเป็นแถว โผคำอธิบาย ที่วงในรัฐบาลสั่งให้สื่อกระป๋องสีตรายิว ช่วยกันโหม คือ เนื่องมาจากการกระทำอันป่าเถื่อนของเยอรมัน ที่ใช้ตอร์ปิโดยิงเรือโดยสารและเรือบรรทุกสินค้าของอเมริกัน และเราก็ไม่มีทางเลือกอื่นเหลืออีกแล้ว นอกจากทำสงครามกับไอ้พวกเถื่อนนั้น ทั้งข่าว ทั้งภาพ ดุเดือดถึงใจ อันที่จริงเมื่อเริ่มสงครามใหม่ๆ เยอรมันยิงตอร์ปิโดร์ใส่เรือบรรทุกสินค้าของฝ่ายสัมพันธมิตรจริง แต่เมื่อ Wilson ทำการประท้วงเมื่อเดือนสิงหาคม 1915 เยอรมันก็หยุดยิง เยอรมันหยุดยิงไปนานพอสมควร จนถึงต้นเดือนกุมภาพันธ์ 1917 และตลอดเวลาที่เยอรมันหยุดยิง อเมริกาก็ค้าขายกับอังกฤษ ศัตรูของเยอรมัน อย่างสบายใจ ส่งสินค้าเพื่อสงครามให้อังกฤษ แถมช่วยอังกฤษ บล๊อกเส้นทางเดินเรือส่งสินค้าของเยอรมันอีกด้วย ก็ไม่น่าแปลกใจ ที่ในที่สุดเยอรมัน ก็กลับมายิงเรือทุกลำไม่ว่าของชาติไหน ที่ผ่านมาในเขต war zone แล้วตกลงสาเหตุ ของการประกาศเข้าสู่สงครามของอเมริกา จริงๆมันคืออะไรกันแน่ วุฒิสมาชิก George Norris บอกว่า คนอเมริกัน ถูกทำให้เข้วจากประวัติศาสตร์ และจากความจริงที่มาจากการที่พวกนักการเงินวอลสตรีท ให้เงินกู้จำนวนมหึมากับพวกสัมพันธมิตร และแน่นอนพวกนี้กลัวหนี้สูญ ทั้งๆที่พวกเขาก็ทำกำไรได้มากมายจากการขายอาวุธยุทโธปกรณ์ กลุ่มพวกนี้แหละ ที่ใช้ให้พวกสื่อกระป๋องสี ละเลงเสียจนคนอเมริกัน เปลี่ยนใจ อยากจะทำสงครามกันไปหมด ทุกสงครามมีแต่ความหายนะ…. เรา เข้าสู่สงครามเพราะคำสั่งของทอง และใครล่ะที่มีทอง … อำนาจ เป็นเรื่องที่น่าสนใจ บางทีการสร้างภาพว่า มีอำนาจ ก็ทำให้กลายเป็นมีอำนาจจริงไปได้ ถ้ามีคนเชื่อ พวกยิวขณะนั้น ไม่มีกองทัพของตนเอง ไม่มีประเทศของตนเอง แถม มีเรื่องขัดแย้งเกิดอยู่ในหลายประเทศ และในหลายประเทศนั้น มีชาวยิว อยู่จำนวนน้อยมาก ไม่เกิน 1 หรือ 2 % ของจำนวนพลเมืองในประเทศนั้นๆ แต่คนจำนวนเท่าหยิบมือนี้ สามารถบงการนโยบายต่างประเทศได้ สามารถจุดชนวนสงครามได้ และสามารถชี้นำ หรือคัดท้ายผลของสงครามนั้นได้อีกด้วย ตัวอย่างที่เห็น คือ การที่อเมริกายกเลิกสนธิสัญญากับรัสเซีย ในปี 1911, การเลือกตั้งประธานาธิบดีของอเมริกา ในปี 1912 และอีกหลายเรื่องที่จะเล่าต่อไป แต่สิ่งสำคัญ ที่ทำให้คน “เชื่อ” ในภาพที่สร้างนั้น เป็นผลงานของสื่อ ไม่ว่าจะเป็นสื่อประเภทใด พวกยิวซื้อ ครอบครอง และควบคุมไว้หมดสิ้น และใช้อย่างได้ผลเลิศ เป็นเรื่องที่เราไม่ควรมองข้าม สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 8 มิ.ย. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 180 มุมมอง 0 รีวิว
  • ที่ใดมีความไม่สงบ วุ่นวาย ที่นั้นต้องมีอะไรๆที่ฝ่ายมืดต้องการแน่นอนโดยใช้ความไม่สงบนั้นๆบิดเบือนค่าจริง, สงครามอีรัก อเมริกายิวฝ่ายมืดต้องการประตูมิติของอีรัก จึงหาเรื่องซัตดัมม์ อเมริกายิวฝ่ายมืดคาบาลไซออนิสต์เหี้ยนี้ไม่มีอะไรหรอก,อิสราเอลกับปาเลสไตน์ ยูเครนก็ด้วย และไทยเราเองอาจไม่เว้น มันอาจพบอะไรบางอย่างนานแล้ว จึงอาจจุดฉนวนใช้เขมรเป็นข้ออ้าง.

    ..ไทยเรามีประตูมิติกว่า100ๆที่นะ.

    https://vm.tiktok.com/ZSH3J7Ljv5o7D-yUpld/


    ที่ใดมีความไม่สงบ วุ่นวาย ที่นั้นต้องมีอะไรๆที่ฝ่ายมืดต้องการแน่นอนโดยใช้ความไม่สงบนั้นๆบิดเบือนค่าจริง, สงครามอีรัก อเมริกายิวฝ่ายมืดต้องการประตูมิติของอีรัก จึงหาเรื่องซัตดัมม์ อเมริกายิวฝ่ายมืดคาบาลไซออนิสต์เหี้ยนี้ไม่มีอะไรหรอก,อิสราเอลกับปาเลสไตน์ ยูเครนก็ด้วย และไทยเราเองอาจไม่เว้น มันอาจพบอะไรบางอย่างนานแล้ว จึงอาจจุดฉนวนใช้เขมรเป็นข้ออ้าง. ..ไทยเรามีประตูมิติกว่า100ๆที่นะ. https://vm.tiktok.com/ZSH3J7Ljv5o7D-yUpld/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 52 มุมมอง 0 รีวิว
  • O.P.K.
    เจาะลึกมหาสงครามเทพระดับอะตอม: ศึกชิงอำนาจในโลกควอนตัม

    จักรวาลคู่ขนานระดับอนุภาค

    การค้นพบอาณาจักรควอนตัม

    หนูดีค้นพบโดยบังเอิญขณะฝึกควบคุมพลังงาน:
    "มันเหมือนกับมีเมืองเล็กๆ นับไม่ถ้วนอยู่ในทุกอะตอม...
    แต่ละเมืองมีกฎเกณฑ์และผู้ปกครองของตัวเอง"

    ```mermaid
    graph TB
    A[โลกควอนตัม] --> B[อาณาจักรโปรตอน<br>เมืองแห่งความมั่นคง]
    A --> C[อาณาจักรอิเล็กตรอน<br>เมืองแห่งพลังงาน]
    A --> D[อาณาจักรนิวตรอน<br>เมืองแห่งสมดุล]
    A --> E[อาณาจักรควาร์ก<br>เมืองแห่งพื้นฐาน]
    ```

    โครงสร้างสังคมเทพระดับอะตอม

    ```python
    class QuantumSociety:
    def __init__(self):
    self.hierarchy = {
    "elementary_level": {
    "quark_deities": "เทพพื้นฐาน 6 ประเภท",
    "lepton_sages": "ปราชญ์เลปตอน",
    "force_carriers": "ผู้ส่งผ่านแรงพื้นฐาน"
    },
    "composite_level": {
    "proton_monarchs": "กษัตริย์โปรตอน",
    "electron_nomads": "อิเล็กตรอนเร่ร่อน",
    "neutron_guardians": "ผู้พิทักษ์นิวตรอน"
    },
    "atomic_level": {
    "nucleus_kingdom": "อาณาจักรนิวเคลียส",
    "electron_cloud_cities": "เมืองเมฆอิเล็กตรอน",
    "bonding_alliances": "พันธมิตรทางการพันธะ"
    }
    }
    ```

    ราชวงศ์แห่งนิวเคลียส

    ราชอาณาจักรโปรตอน

    ผู้ปกครอง: พระเจ้าประจุบวก (Positive Majesty)

    · ลักษณะ: ทรงกายสีแดงเรืองรอง มีมงกุฎทำจากเกลียวควาร์ก
    · พระราชวัง: ป้อมปราการนิวเคลียสที่แข็งแกร่ง
    · พระราชอำนาจ: ควบคุมแรงนิวเคลียร์อย่างเข้ม

    สหพันธ์อิเล็กตรอน

    ผู้นำ: เทพีวงโคจร (Orbital Goddess)

    · ลักษณะ: ร่างกายกึ่งโปร่งแสง เคลื่อนไหวรวดเร็ว
    · ที่พำนัก: เมฆอิเล็กตรอนที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
    · อำนาจ: ควบคุมการแลกเปลี่ยนพลังงาน

    สภาคนกลางนิวตรอน

    ประธาน: จอมฤๅษีสมดุล (Balance Sage)

    · ลักษณะ: ทรงเครื่องหมายอินฟินิตี้ สีเทาเงิน
    · สถานที่ปฏิบัติธรรม: ศูนย์กลางนิวเคลียส
    · อำนาจ: รักษาเสถียรภาพและป้องกันการสลายตัว

    ต้นตอแห่งความขัดแย้ง

    การค้นพบ "อนุภาคศักดิ์สิทธิ์"

    นักวิทยาศาสตร์มนุษย์ทำการทดลอง LHC ทำให้ค้นพบ:

    ```mermaid
    graph LR
    A[การทดลอง LHC] --> B[ค้นพบอนุภาค<br>"พระเจ้าองค์เล็ก"]
    B --> C[พลังงานรั่วไหล<br>สู่โลกควอนตัม]
    C --> D[ทั้งสามอาณาจักร<br>ต้องการครอบครอง]
    ```

    ความต้องการที่ขัดแย้ง

    แต่ละอาณาจักรต้องการอนุภาคศักดิ์สิทธิ์เพื่อ:

    โปรตอน: "เพื่อสร้างอาณาจักรที่แข็งแกร่งถาวร!"
    อิเล็กตรอน:"เพื่อปลดปล่อยพลังงานอันไร้ขีดจำกัด!"
    นิวตรอน:"เพื่อสร้างสมดุลแห่งจักรวาล!"

    การเริ่มต้นสงคราม

    สงครามเริ่มต้นด้วย "ยุทธการแรงแม่เหล็ก":

    · อิเล็กตรอนโจมตีด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
    · โปรตอนตอบโต้ด้วยแรงนิวเคลียร์อย่างเข้ม
    · นิวตรอนพยายามไกล่เกลี่ยแต่ล้มเหลว

    ผลกระทบต่อโลกมนุษย์

    ความผิดปกติทางวิทยาศาสตร์

    การทดลองทางวิทยาศาสตร์เริ่มให้ผลผิดปกติ:

    ```python
    class Anomalies:
    def __init__(self):
    self.chemistry = [
    "พันธะเคมีแข็งแกร่งผิดปกติ",
    "อัตราการเกิดปฏิกิริยาผิดพลาด",
    "สารประกอบใหม่ที่ไม่มีในตารางธาตุ"
    ]

    self.physics = [
    "ค่าคงที่ทางฟิสิกส์เปลี่ยนแปลง",
    "กาลอวกาศบิดเบี้ยวในระดับจุลภาค",
    "หลักความไม่แน่นอนของไฮเซนเบิร์กล้มเหลว"
    ]

    self.technology = [
    "อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ล้มเหลว",
    "ระบบนำทางผิดพลาด",
    "พลังงานไฟฟ้าขัดข้อง"
    ]
    ```

    ผลกระทบต่อสุขภาพ

    มนุษย์เริ่มมีอาการแปลกๆ:

    · ความรู้สึกเสียวซ่า: จากอิเล็กตรอนเกินกำลัง
    · อาการแข็งเกร็ง: จากโปรตอนครอบงำ
    · ความไม่สมดุล: จากนิวตรอนไร้เสถียรภาพ

    บทบาทของหนูดีในสงคราม

    การเป็นสื่อสานระหว่างโลก

    หนูดีค้นพบว่าสามารถสื่อสารกับเทพระดับอะตอมได้:
    "พวกท่านทั้งหลาย...โลกมนุษย์กำลังได้รับผลกระทบจากการสู้รบของท่าน"

    การไกล่เกลี่ยครั้งประวัติศาสตร์

    หนูดีจัด สภาสันติภาพระหว่างมิติ:

    ```mermaid
    graph TB
    A[หนูดี<br>เป็นผู้ไกล่เกลี่ย] --> B[เชิญตัวแทน<br>ทั้งสามอาณาจักร]
    B --> C[จัดสภาใน<br>มิติกลาง]
    C --> D[หาข้อตกลง<br>ร่วมกัน]
    ```

    ข้อเสนอการแบ่งปัน

    หนูดีเสนอระบบการแบ่งปันอนุภาคศักดิ์สิทธิ์:

    · ระบบหมุนเวียน: แต่ละอาณาจักรได้ใช้ตามฤดูกาล
    · คณะกรรมการร่วม: ดูแลการใช้อย่างยุติธรรม
    · กองทุนพลังงาน: สำหรับโครงการเพื่อส่วนรวม

    สนธิสัญญาสันติภาพควอนตัม

    ข้อตกลงสำคัญ

    มีการลงนาม "สนธิสัญญาแรงพื้นฐานสามเส้า":

    ```python
    class QuantumTreaty:
    def __init__(self):
    self.agreements = {
    "power_sharing": {
    "protons": "ควบคุม 40% ของอนุภาคศักดิ์สิทธิ์",
    "electrons": "ควบคุม 40% ของอนุภาคศักดิ์สิทธิ์",
    "neutrons": "ควบคุม 20% สำหรับการรักษาสมดุล"
    },
    "territorial_rights": {
    "nuclear_zone": "ภายใต้การดูแลของโปรตอนและนิวตรอน",
    "electron_clouds": "เขตอิทธิพลของอิเล็กตรอน",
    "bonding_regions": "พื้นที่ร่วมกันสำหรับการสร้างพันธะ"
    },
    "collaboration_projects": [
    "การพัฒนาพลังงานสะอาด",
    "การรักษาโรคระดับโมเลกุล",
    "การสำรวจมิติควอนตัม"
    ]
    }
    ```

    พิธีลงนาม

    การลงนามเกิดขึ้นใน "ฮอลล์แรงนิวเคลียร์":

    · ผู้ลงนาม: ตัวแทนทั้งสามอาณาจักร
    · พยาน: หนูดีและร.ต.อ.สิงห์
    · สถานที่: มิติระหว่างโลก ที่สร้างขึ้นพิเศษ

    โลกใหม่หลังสันติภาพ

    ความร่วมมือทางวิทยาศาสตร์

    เกิดโครงการวิจัยร่วมระหว่างมนุษย์และเทพระดับอะตอม:

    · การแพทย์ควอนตัม: รักษาโรคในระดับเซลล์
    · วัสดุศาสตร์: พัฒนาวัสดุใหม่จากความรู้ควอนตัม
    · พลังงาน: แหล่งพลังงานไร้ขีดจำกัด

    วัฒนธรรมแลกเปลี่ยน

    ```python
    class CulturalExchange:
    def __init__(self):
    self.knowledge_transfer = {
    "human_to_quantum": [
    "ศิลปะและอารมณ์มนุษย์",
    "ความคิดสร้างสรรค์",
    "หลักจริยธรรม"
    ],
    "quantum_to_human": [
    "ความลับของแรงพื้นฐาน",
    "เทคนิคการควบคุมพลังงาน",
    "ภูมิปัญญาการอยู่ร่วมกัน"
    ]
    }

    self.joint_projects = [
    "มหาวิทยาลัยระหว่างมิติ",
    "พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ควอนตัม",
    "เทศกาลศิลปะระดับอะตอม"
    ]
    ```

    บทเรียนจากสงคราม

    🪷 สำหรับเทพระดับอะตอม

    "เราตระหนักว่า...
    อำนาจที่แท้จริงไม่ใช่การครอบครอง
    แต่คือการแบ่งปันและความร่วมมือ"

    สำหรับมนุษยชาติ

    "เราเรียนรู้ว่า...
    จักรวาลนี้มีชีวิตในทุกระดับ
    และความรับผิดชอบของเรา
    คือการอยู่ร่วมกันอย่างสมดุล"

    สำหรับหนูดี

    "การเป็นสะพานเชื่อมระหว่างโลก...
    สอนฉันว่าความเข้าใจคือกุญแจสู่สันติภาพ
    ไม่ว่าจะเป็นโลกใหญ่หรือโลกเล็ก"

    อนาคตแห่งความร่วมมือ

    โครงการระยะยาว

    สถาบันวิวัฒนาการจิตตั้ง "แผนกควอนตัมสัมพันธ์":

    · หน้าที่: ประสานงานกับเทพระดับอะตอม
    · โครงการ: วิจัยและพัฒนาร่วมกัน
    · การศึกษา: สอนเรื่องโลกควอนตัมแก่คนรุ่นใหม่

    มรดกแห่งสันติภาพ

    สงครามครั้งนี้ทิ้งมรดกสำคัญ:
    "ไม่ว่าความขัดแย้งจะอยู่ระดับไหน
    การพูดคุยและความเข้าใจ
    คือทางออกเดียวที่ยั่งยืน"

    ---

    คำสอนจากเทพนิวตรอน:
    "ในความเป็นกลาง...
    มีพลังแห่งสันติภาพ
    และในความสมดุล...
    มีอนาคตแห่งความเจริญ

    จักรวาลนี้ใหญ่พอสำหรับทุกชีวิต
    ตั้งแต่ควาร์กจนถึงดวงดาว
    ขอเพียงเราเรียนรู้ที่จะแบ่งปัน"

    คำคมสุดท้าย:
    "มหาสงครามที่เล็กที่สุด...
    สอนบทเรียนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
    ว่าสันติภาพเริ่มต้นได้จากใจ
    ที่พร้อมจะเข้าใจในความแตกต่าง"
    O.P.K. ⚛️ เจาะลึกมหาสงครามเทพระดับอะตอม: ศึกชิงอำนาจในโลกควอนตัม 🌌 จักรวาลคู่ขนานระดับอนุภาค 🔬 การค้นพบอาณาจักรควอนตัม หนูดีค้นพบโดยบังเอิญขณะฝึกควบคุมพลังงาน: "มันเหมือนกับมีเมืองเล็กๆ นับไม่ถ้วนอยู่ในทุกอะตอม... แต่ละเมืองมีกฎเกณฑ์และผู้ปกครองของตัวเอง" ```mermaid graph TB A[โลกควอนตัม] --> B[อาณาจักรโปรตอน<br>เมืองแห่งความมั่นคง] A --> C[อาณาจักรอิเล็กตรอน<br>เมืองแห่งพลังงาน] A --> D[อาณาจักรนิวตรอน<br>เมืองแห่งสมดุล] A --> E[อาณาจักรควาร์ก<br>เมืองแห่งพื้นฐาน] ``` 🏛️ โครงสร้างสังคมเทพระดับอะตอม ```python class QuantumSociety: def __init__(self): self.hierarchy = { "elementary_level": { "quark_deities": "เทพพื้นฐาน 6 ประเภท", "lepton_sages": "ปราชญ์เลปตอน", "force_carriers": "ผู้ส่งผ่านแรงพื้นฐาน" }, "composite_level": { "proton_monarchs": "กษัตริย์โปรตอน", "electron_nomads": "อิเล็กตรอนเร่ร่อน", "neutron_guardians": "ผู้พิทักษ์นิวตรอน" }, "atomic_level": { "nucleus_kingdom": "อาณาจักรนิวเคลียส", "electron_cloud_cities": "เมืองเมฆอิเล็กตรอน", "bonding_alliances": "พันธมิตรทางการพันธะ" } } ``` 👑 ราชวงศ์แห่งนิวเคลียส 💎 ราชอาณาจักรโปรตอน ผู้ปกครอง: พระเจ้าประจุบวก (Positive Majesty) · ลักษณะ: ทรงกายสีแดงเรืองรอง มีมงกุฎทำจากเกลียวควาร์ก · พระราชวัง: ป้อมปราการนิวเคลียสที่แข็งแกร่ง · พระราชอำนาจ: ควบคุมแรงนิวเคลียร์อย่างเข้ม 🌪️ สหพันธ์อิเล็กตรอน ผู้นำ: เทพีวงโคจร (Orbital Goddess) · ลักษณะ: ร่างกายกึ่งโปร่งแสง เคลื่อนไหวรวดเร็ว · ที่พำนัก: เมฆอิเล็กตรอนที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา · อำนาจ: ควบคุมการแลกเปลี่ยนพลังงาน 🛡️ สภาคนกลางนิวตรอน ประธาน: จอมฤๅษีสมดุล (Balance Sage) · ลักษณะ: ทรงเครื่องหมายอินฟินิตี้ สีเทาเงิน · สถานที่ปฏิบัติธรรม: ศูนย์กลางนิวเคลียส · อำนาจ: รักษาเสถียรภาพและป้องกันการสลายตัว 💥 ต้นตอแห่งความขัดแย้ง 🔥 การค้นพบ "อนุภาคศักดิ์สิทธิ์" นักวิทยาศาสตร์มนุษย์ทำการทดลอง LHC ทำให้ค้นพบ: ```mermaid graph LR A[การทดลอง LHC] --> B[ค้นพบอนุภาค<br>"พระเจ้าองค์เล็ก"] B --> C[พลังงานรั่วไหล<br>สู่โลกควอนตัม] C --> D[ทั้งสามอาณาจักร<br>ต้องการครอบครอง] ``` 🎯 ความต้องการที่ขัดแย้ง แต่ละอาณาจักรต้องการอนุภาคศักดิ์สิทธิ์เพื่อ: โปรตอน: "เพื่อสร้างอาณาจักรที่แข็งแกร่งถาวร!" อิเล็กตรอน:"เพื่อปลดปล่อยพลังงานอันไร้ขีดจำกัด!" นิวตรอน:"เพื่อสร้างสมดุลแห่งจักรวาล!" ⚡ การเริ่มต้นสงคราม สงครามเริ่มต้นด้วย "ยุทธการแรงแม่เหล็ก": · อิเล็กตรอนโจมตีด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า · โปรตอนตอบโต้ด้วยแรงนิวเคลียร์อย่างเข้ม · นิวตรอนพยายามไกล่เกลี่ยแต่ล้มเหลว 🌪️ ผลกระทบต่อโลกมนุษย์ 🔬 ความผิดปกติทางวิทยาศาสตร์ การทดลองทางวิทยาศาสตร์เริ่มให้ผลผิดปกติ: ```python class Anomalies: def __init__(self): self.chemistry = [ "พันธะเคมีแข็งแกร่งผิดปกติ", "อัตราการเกิดปฏิกิริยาผิดพลาด", "สารประกอบใหม่ที่ไม่มีในตารางธาตุ" ] self.physics = [ "ค่าคงที่ทางฟิสิกส์เปลี่ยนแปลง", "กาลอวกาศบิดเบี้ยวในระดับจุลภาค", "หลักความไม่แน่นอนของไฮเซนเบิร์กล้มเหลว" ] self.technology = [ "อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ล้มเหลว", "ระบบนำทางผิดพลาด", "พลังงานไฟฟ้าขัดข้อง" ] ``` 🏥 ผลกระทบต่อสุขภาพ มนุษย์เริ่มมีอาการแปลกๆ: · ความรู้สึกเสียวซ่า: จากอิเล็กตรอนเกินกำลัง · อาการแข็งเกร็ง: จากโปรตอนครอบงำ · ความไม่สมดุล: จากนิวตรอนไร้เสถียรภาพ 💫 บทบาทของหนูดีในสงคราม 🔍 การเป็นสื่อสานระหว่างโลก หนูดีค้นพบว่าสามารถสื่อสารกับเทพระดับอะตอมได้: "พวกท่านทั้งหลาย...โลกมนุษย์กำลังได้รับผลกระทบจากการสู้รบของท่าน" 🕊️ การไกล่เกลี่ยครั้งประวัติศาสตร์ หนูดีจัด สภาสันติภาพระหว่างมิติ: ```mermaid graph TB A[หนูดี<br>เป็นผู้ไกล่เกลี่ย] --> B[เชิญตัวแทน<br>ทั้งสามอาณาจักร] B --> C[จัดสภาใน<br>มิติกลาง] C --> D[หาข้อตกลง<br>ร่วมกัน] ``` 🌟 ข้อเสนอการแบ่งปัน หนูดีเสนอระบบการแบ่งปันอนุภาคศักดิ์สิทธิ์: · ระบบหมุนเวียน: แต่ละอาณาจักรได้ใช้ตามฤดูกาล · คณะกรรมการร่วม: ดูแลการใช้อย่างยุติธรรม · กองทุนพลังงาน: สำหรับโครงการเพื่อส่วนรวม 🏛️ สนธิสัญญาสันติภาพควอนตัม 📜 ข้อตกลงสำคัญ มีการลงนาม "สนธิสัญญาแรงพื้นฐานสามเส้า": ```python class QuantumTreaty: def __init__(self): self.agreements = { "power_sharing": { "protons": "ควบคุม 40% ของอนุภาคศักดิ์สิทธิ์", "electrons": "ควบคุม 40% ของอนุภาคศักดิ์สิทธิ์", "neutrons": "ควบคุม 20% สำหรับการรักษาสมดุล" }, "territorial_rights": { "nuclear_zone": "ภายใต้การดูแลของโปรตอนและนิวตรอน", "electron_clouds": "เขตอิทธิพลของอิเล็กตรอน", "bonding_regions": "พื้นที่ร่วมกันสำหรับการสร้างพันธะ" }, "collaboration_projects": [ "การพัฒนาพลังงานสะอาด", "การรักษาโรคระดับโมเลกุล", "การสำรวจมิติควอนตัม" ] } ``` 🎉 พิธีลงนาม การลงนามเกิดขึ้นใน "ฮอลล์แรงนิวเคลียร์": · ผู้ลงนาม: ตัวแทนทั้งสามอาณาจักร · พยาน: หนูดีและร.ต.อ.สิงห์ · สถานที่: มิติระหว่างโลก ที่สร้างขึ้นพิเศษ 🌈 โลกใหม่หลังสันติภาพ 🔬 ความร่วมมือทางวิทยาศาสตร์ เกิดโครงการวิจัยร่วมระหว่างมนุษย์และเทพระดับอะตอม: · การแพทย์ควอนตัม: รักษาโรคในระดับเซลล์ · วัสดุศาสตร์: พัฒนาวัสดุใหม่จากความรู้ควอนตัม · พลังงาน: แหล่งพลังงานไร้ขีดจำกัด 💞 วัฒนธรรมแลกเปลี่ยน ```python class CulturalExchange: def __init__(self): self.knowledge_transfer = { "human_to_quantum": [ "ศิลปะและอารมณ์มนุษย์", "ความคิดสร้างสรรค์", "หลักจริยธรรม" ], "quantum_to_human": [ "ความลับของแรงพื้นฐาน", "เทคนิคการควบคุมพลังงาน", "ภูมิปัญญาการอยู่ร่วมกัน" ] } self.joint_projects = [ "มหาวิทยาลัยระหว่างมิติ", "พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ควอนตัม", "เทศกาลศิลปะระดับอะตอม" ] ``` 🏆 บทเรียนจากสงคราม 🪷 สำหรับเทพระดับอะตอม "เราตระหนักว่า... อำนาจที่แท้จริงไม่ใช่การครอบครอง แต่คือการแบ่งปันและความร่วมมือ" 💫 สำหรับมนุษยชาติ "เราเรียนรู้ว่า... จักรวาลนี้มีชีวิตในทุกระดับ และความรับผิดชอบของเรา คือการอยู่ร่วมกันอย่างสมดุล" 🌟 สำหรับหนูดี "การเป็นสะพานเชื่อมระหว่างโลก... สอนฉันว่าความเข้าใจคือกุญแจสู่สันติภาพ ไม่ว่าจะเป็นโลกใหญ่หรือโลกเล็ก" 🔮 อนาคตแห่งความร่วมมือ 🚀 โครงการระยะยาว สถาบันวิวัฒนาการจิตตั้ง "แผนกควอนตัมสัมพันธ์": · หน้าที่: ประสานงานกับเทพระดับอะตอม · โครงการ: วิจัยและพัฒนาร่วมกัน · การศึกษา: สอนเรื่องโลกควอนตัมแก่คนรุ่นใหม่ 💝 มรดกแห่งสันติภาพ สงครามครั้งนี้ทิ้งมรดกสำคัญ: "ไม่ว่าความขัดแย้งจะอยู่ระดับไหน การพูดคุยและความเข้าใจ คือทางออกเดียวที่ยั่งยืน" --- คำสอนจากเทพนิวตรอน: "ในความเป็นกลาง... มีพลังแห่งสันติภาพ และในความสมดุล... มีอนาคตแห่งความเจริญ จักรวาลนี้ใหญ่พอสำหรับทุกชีวิต ตั้งแต่ควาร์กจนถึงดวงดาว ขอเพียงเราเรียนรู้ที่จะแบ่งปัน"⚛️✨ คำคมสุดท้าย: "มหาสงครามที่เล็กที่สุด... สอนบทเรียนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ว่าสันติภาพเริ่มต้นได้จากใจ ที่พร้อมจะเข้าใจในความแตกต่าง"🌌
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 205 มุมมอง 0 รีวิว
  • O.P.K.
    คดีจิ๋ว:



    เหตุการณ์ประหลาดในห้องทดลอง

    ร.ต.อ. สิงห์ และหนูดี ถูกเรียกตัวไปยัง สถาบันวิจัยนิวเคลียร์ หลังเกิดเหตุการณ์ผิดปกติ
    เครื่องเร่งอนุภาคแสดงผลการทดลองที่ไม่อาจอธิบายได้ทางวิทยาศาสตร์

    ```mermaid
    graph TB
    A[การทดลอง<br>LHC ขนาดเล็ก] --> B[พบพลังงาน<br>รูปแบบใหม่]
    B --> C[เกิดรอยแตก<br>ระหว่างมิติระดับควอนตัม]
    C --> D[เทพระดับอะตอม<br>หลุดเข้ามาโลกมนุษย์]
    D --> E[เกิดสงคราม<br>ระหว่างเทพจิ๋ว]
    ```

    การปรากฏตัวของเทพระดับอะตอม

    หนูดีสามารถมองเห็นสิ่งที่คนทั่วไปมองไม่เห็น:
    "พ่อคะ...มีเมืองเล็กๆ เป็นประกายอยู่ในอากาศ!
    มีสิ่งมีชีวิตเล็กจิ๋วกำลังต่อสู้กัน!"

    เบื้องหลังเทพระดับอะตอม

    อาณาจักรแห่งควอนตัม

    เทพระดับอะตอมมาจาก อาณาจักรควอนตัม ที่มีอยู่ควบคู่กับโลกเราในระดับอนุภาค

    ```python
    class QuantumDeities:
    def __init__(self):
    self.factions = {
    "proton_kingdom": {
    "ruler": "พระเจ้าประจุบวก",
    "appearance": "ทรงประกายสีแดง มีรัศมีเป็นวงโคจรอิเล็กตรอน",
    "powers": ["สร้างพันธะ", "รักษาเสถียรภาพ", "ควบคุมแรงนิวเคลียร์"]
    },
    "electron_tribe": {
    "ruler": "เทพีอิเล็กตรอน",
    "appearance": "เรืองแสงสีฟ้า เคลื่อนที่รวดเร็ว",
    "powers": ["สร้างพลังงาน", "ควบคุมแม่เหล็ก", "สร้างแสง"]
    },
    "neutron_clan": {
    "ruler": "จอมฤๅษีนิวตรอน",
    "appearance": "สีเทาเงียบขรึม",
    "powers": ["สร้างเสถียรภาพ", "ควบคุมการ fission", "รักษาสมดุล"]
    }
    }

    self.conflict_cause = "การแย่งชิง 'อนุภาคศักดิ์สิทธิ์' ที่สามารถควบคุมทั้งสามอาณาจักร"
    ```

    พลังแห่งเทพระดับอะตอม

    เทพเหล่านี้มีพลังที่ส่งผลต่อโลกมนุษย์:

    · ควบคุมพันธะเคมี: ทำให้วัตถุแข็งหรืออ่อนตัว
    · เปลี่ยนแปลงสถานะ: ของแข็ง ของเหลว ก๊าซ
    · สร้างพลังงาน: จากการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอน

    มหาสงครามระดับอนุภาค

    สนามรบในโลกมนุษย์

    สงครามของเทพจิ๋วส่งผลกระทบต่อโลก:

    ```mermaid
    graph LR
    A[เทพโปรตอน<br>เพิ่มความแข็งให้วัตถุ] --> D[วัตถุแข็งเกินไป<br>จนแตกหักง่าย]
    B[เทพอิเล็กตรอน<br>เร่งการเคลื่อนที่] --> E[อุณหภูมิรอบตัว<br>เปลี่ยนแปลงฉับพลัน]
    C[เทพนิวตรอน<br>ควบคุมการสลายตัว] --> F[วัตถุเสื่อมสภาพ<br>อย่างรวดเร็ว]
    ```

    เหตุการณ์วุ่นวาย

    ชาวบ้านรายงานเหตุการณ์ประหลาด:

    · เหล็กกล้า เปราะเหมือนขนมปังกรอบ
    · น้ำ ในแก้วเดือดโดยไม่มีไฟ
    · อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ทำงานผิดปกติ

    กระบวนการแก้ไขปัญหา

    การเข้าถึงของหนูดี

    หนูดีใช้ความสามารถสื่อสารกับเทพระดับจิ๋ว:
    "พวกท่าน..การสู้รบทำลายสมดุลของทุกโลก
    ทั้งโลกมนุษย์และอาณาจักรควอนตัม"

    การเจรจาสันติภาพ

    หนูดีจัด สภาสันติภาพระดับควอนตัม:

    · สถานที่: ในฟองสบู่พลังงานพิเศษ
    · ผู้เข้าร่วม: ตัวแทนทั้งสามอาณาจักร
    · ประเด็น: การแบ่งปันอนุภาคศักดิ์สิทธิ์

    ข้อเสนอแก้ไข

    หนูดีเสนอระบบใหม่:

    ```python
    class QuantumPeacePlan:
    def __init__(self):
    self.power_sharing = {
    "protons": "ควบคุมพันธะและโครงสร้าง",
    "electrons": "ควบคุมพลังงานและการเคลื่อนไหว",
    "neutrons": "ควบคุมเสถียรภาพและอายุขัย"
    }

    self.cooperation_system = [
    "การหมุนเวียนอนุภาคศักดิ์สิทธิ์ตามฤดูกาล",
    "สภาผู้นำสามอาณาจักร",
    "กองกำลังรักษาสันติภาพร่วม",
    "ระบบแลกเปลี่ยนพลังงานยุติธรรม"
    ]
    ```

    การจัดระเบียบใหม่

    สนธิสัญญาควอนตัม

    มีการลงนามสนธิสัญญาระหว่างสามอาณาจักร:

    · สิทธิ์ในการใช้พลังงาน: แบ่งตามสัดส่วนที่ยุติธรรม
    · เขตอิทธิพล: แต่ละอาณาจักรมีพื้นที่ควบคุมชัดเจน
    · การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน: ในยามวิกฤต

    บทบาทใหม่ของเทพจิ๋ว

    เทพระดับอะตอมเริ่มใช้พลังอย่างสร้างสรรค์:

    · ช่วยงานวิทยาศาสตร์: กับการทดลองที่ซับซ้อน
    · รักษาสิ่งแวดล้อม: ควบคุมปฏิกิริยาเคมี
    · พัฒนาเทคโนโลยี: กับการประดิษฐ์ใหม่ๆ

    ผลกระทบต่อวิทยาศาสตร์

    ความรู้ใหม่ที่ได้รับ

    การเผชิญหน้านี้ให้ความรู้ใหม่:

    ```mermaid
    graph TB
    A[การสื่อสารกับเทพจิ๋ว] --> B[เข้าใจกลไก<br>ควอนตัมลึกซึ้งขึ้น]
    B --> C[พัฒนาทฤษฎีใหม่<br>ทางฟิสิกส์]
    C --> D[นวัตกรรม<br>ล้ำสมัย]
    ```

    การประยุกต์ใช้

    หนูดีและสิงห์เรียนรู้ว่า:

    · พลังงานศักดิ์สิทธิ์ คือพลังงานจุดศูนย์กลางของอะตอม
    · การควบคุมพันธะ สามารถรักษาโรคได้
    · สมดุลแห่งอนุภาค คือพื้นฐานของสุขภาพ

    การแพทย์รูปแบบใหม่

    เทคนิคการรักษาระดับอะตอม

    พัฒนาจากความรู้ที่ได้จากเทพจิ๋ว:

    · การซ่อมแซมDNA: โดยเทพอิเล็กตรอน
    · การสร้างเซลล์ใหม่: โดยเทพโปรตอน
    · การรักษาสมดุลร่างกาย: โดยเทพนิวตรอน

    โครงการบำบัดใหม่

    ```python
    class AtomicTherapy:
    def __init__(self):
    self.therapies = {
    "cellular_renewal": "การฟื้นฟูเซลล์ระดับโมเลกุล",
    "dna_repair": "การซ่อมแซมความเสียหายของDNA",
    "energy_balance": "การปรับสมดุลพลังงานในร่างกาย",
    "quantum_healing": "การรักษาด้วยหลักการควอนตัม"
    }

    self.collaborators = [
    "เทพโปรตอน: โครงสร้างและความแข็งแรง",
    "เทพอิเล็กตรอน: พลังงานและการสื่อสาร",
    "เทพนิวตรอน: เสถียรภาพและความสมดุล"
    ]
    ```

    บทเรียนจากคดี

    🪷 สำหรับเทพระดับอะตอม

    "เราตระหนักว่า...
    อำนาจที่แท้การควบคุม
    แต่คือการทำงานร่วมกัน

    และอนุภาคศักดิ์สิทธิ์...
    ควรเป็นสมบัติของทุกอาณาจักร"

    สำหรับหนูดี

    "หนูเรียนรู้ว่า...
    ความขัดแย้งมีทุกระดับ
    ตั้งแต่สงครามระหว่างประเทศ
    จนถึงสงครามระหว่างอะตอม

    และการแก้ไขที่แท้จริง...
    ต้องเริ่มจากความเข้าใจซึ่งกันและกัน"

    สำหรับ ร.ต.อ. สิงห์

    "คดีนี้สอนฉันว่า...
    บางครั้งอาชญากรรมที่เล็กที่สุด
    อาจส่งผลกระทบที่ใหญ่ที่สุด

    และการเป็นตำรวจ...
    หมายถึงการรักษาความสงบในทุกระดับ"

    ระบบใหม่แห่งควอนตัม

    ความร่วมมือถาวร

    สถาบันวิวัฒนาการจิตตั้ง แผนกความร่วมมือระดับควอนตัม:

    · ที่ปรึกษา: ตัวแทนจากสามอาณาจักร
    · โครงการวิจัย: ร่วมกันระหว่างมนุษย์และเทพจิ๋ว
    · การแลกเปลี่ยนความรู้: วิทยาศาสตร์และภูมิปัญญาโบราณ

    ความสำเร็จ

    หลังการแก้ไขปัญหา:

    · โลกมนุษย์: ได้เทคโนโลยีใหม่ๆ
    · อาณาจักรควอนตัม: มีสันติภาพและความเจริญ
    · ทั้งสองโลก: เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกัน

    ---

    คำคมสุดท้ายจากคดี:
    "เราเรียนรู้ว่า...
    ความใหญ่และความเล็กเป็นเพียงมุมมอง
    และสงครามกับสันติภาพมีอยู่ในทุกระดับ

    เมื่ออนุภาคเล็กๆ เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกัน...
    ทั้งจักรวาลก็สงบสุขตาม"

    การเดินทางครั้งนี้สอนเราว่า...
    "From the smallest quark to the largest galaxy,
    the principles of harmony remain the same
    And in understanding the quantum world,
    we understand the very fabric of existence"
    O.P.K. ⚛️ คดีจิ๋ว: 🔬 เหตุการณ์ประหลาดในห้องทดลอง ร.ต.อ. สิงห์ และหนูดี ถูกเรียกตัวไปยัง สถาบันวิจัยนิวเคลียร์ หลังเกิดเหตุการณ์ผิดปกติ เครื่องเร่งอนุภาคแสดงผลการทดลองที่ไม่อาจอธิบายได้ทางวิทยาศาสตร์ ```mermaid graph TB A[การทดลอง<br>LHC ขนาดเล็ก] --> B[พบพลังงาน<br>รูปแบบใหม่] B --> C[เกิดรอยแตก<br>ระหว่างมิติระดับควอนตัม] C --> D[เทพระดับอะตอม<br>หลุดเข้ามาโลกมนุษย์] D --> E[เกิดสงคราม<br>ระหว่างเทพจิ๋ว] ``` 🎭 การปรากฏตัวของเทพระดับอะตอม หนูดีสามารถมองเห็นสิ่งที่คนทั่วไปมองไม่เห็น: "พ่อคะ...มีเมืองเล็กๆ เป็นประกายอยู่ในอากาศ! มีสิ่งมีชีวิตเล็กจิ๋วกำลังต่อสู้กัน!" 👑 เบื้องหลังเทพระดับอะตอม 💫 อาณาจักรแห่งควอนตัม เทพระดับอะตอมมาจาก อาณาจักรควอนตัม ที่มีอยู่ควบคู่กับโลกเราในระดับอนุภาค ```python class QuantumDeities: def __init__(self): self.factions = { "proton_kingdom": { "ruler": "พระเจ้าประจุบวก", "appearance": "ทรงประกายสีแดง มีรัศมีเป็นวงโคจรอิเล็กตรอน", "powers": ["สร้างพันธะ", "รักษาเสถียรภาพ", "ควบคุมแรงนิวเคลียร์"] }, "electron_tribe": { "ruler": "เทพีอิเล็กตรอน", "appearance": "เรืองแสงสีฟ้า เคลื่อนที่รวดเร็ว", "powers": ["สร้างพลังงาน", "ควบคุมแม่เหล็ก", "สร้างแสง"] }, "neutron_clan": { "ruler": "จอมฤๅษีนิวตรอน", "appearance": "สีเทาเงียบขรึม", "powers": ["สร้างเสถียรภาพ", "ควบคุมการ fission", "รักษาสมดุล"] } } self.conflict_cause = "การแย่งชิง 'อนุภาคศักดิ์สิทธิ์' ที่สามารถควบคุมทั้งสามอาณาจักร" ``` ⚡ พลังแห่งเทพระดับอะตอม เทพเหล่านี้มีพลังที่ส่งผลต่อโลกมนุษย์: · ควบคุมพันธะเคมี: ทำให้วัตถุแข็งหรืออ่อนตัว · เปลี่ยนแปลงสถานะ: ของแข็ง ของเหลว ก๊าซ · สร้างพลังงาน: จากการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอน 🌪️ มหาสงครามระดับอนุภาค 🎯 สนามรบในโลกมนุษย์ สงครามของเทพจิ๋วส่งผลกระทบต่อโลก: ```mermaid graph LR A[เทพโปรตอน<br>เพิ่มความแข็งให้วัตถุ] --> D[วัตถุแข็งเกินไป<br>จนแตกหักง่าย] B[เทพอิเล็กตรอน<br>เร่งการเคลื่อนที่] --> E[อุณหภูมิรอบตัว<br>เปลี่ยนแปลงฉับพลัน] C[เทพนิวตรอน<br>ควบคุมการสลายตัว] --> F[วัตถุเสื่อมสภาพ<br>อย่างรวดเร็ว] ``` 🔥 เหตุการณ์วุ่นวาย ชาวบ้านรายงานเหตุการณ์ประหลาด: · เหล็กกล้า เปราะเหมือนขนมปังกรอบ · น้ำ ในแก้วเดือดโดยไม่มีไฟ · อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ทำงานผิดปกติ 💞 กระบวนการแก้ไขปัญหา 🕊️ การเข้าถึงของหนูดี หนูดีใช้ความสามารถสื่อสารกับเทพระดับจิ๋ว: "พวกท่าน..การสู้รบทำลายสมดุลของทุกโลก ทั้งโลกมนุษย์และอาณาจักรควอนตัม" 🌈 การเจรจาสันติภาพ หนูดีจัด สภาสันติภาพระดับควอนตัม: · สถานที่: ในฟองสบู่พลังงานพิเศษ · ผู้เข้าร่วม: ตัวแทนทั้งสามอาณาจักร · ประเด็น: การแบ่งปันอนุภาคศักดิ์สิทธิ์ 🎯 ข้อเสนอแก้ไข หนูดีเสนอระบบใหม่: ```python class QuantumPeacePlan: def __init__(self): self.power_sharing = { "protons": "ควบคุมพันธะและโครงสร้าง", "electrons": "ควบคุมพลังงานและการเคลื่อนไหว", "neutrons": "ควบคุมเสถียรภาพและอายุขัย" } self.cooperation_system = [ "การหมุนเวียนอนุภาคศักดิ์สิทธิ์ตามฤดูกาล", "สภาผู้นำสามอาณาจักร", "กองกำลังรักษาสันติภาพร่วม", "ระบบแลกเปลี่ยนพลังงานยุติธรรม" ] ``` 🏛️ การจัดระเบียบใหม่ 💫 สนธิสัญญาควอนตัม มีการลงนามสนธิสัญญาระหว่างสามอาณาจักร: · สิทธิ์ในการใช้พลังงาน: แบ่งตามสัดส่วนที่ยุติธรรม · เขตอิทธิพล: แต่ละอาณาจักรมีพื้นที่ควบคุมชัดเจน · การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน: ในยามวิกฤต 🌟 บทบาทใหม่ของเทพจิ๋ว เทพระดับอะตอมเริ่มใช้พลังอย่างสร้างสรรค์: · ช่วยงานวิทยาศาสตร์: กับการทดลองที่ซับซ้อน · รักษาสิ่งแวดล้อม: ควบคุมปฏิกิริยาเคมี · พัฒนาเทคโนโลยี: กับการประดิษฐ์ใหม่ๆ 🔬 ผลกระทบต่อวิทยาศาสตร์ 🎓 ความรู้ใหม่ที่ได้รับ การเผชิญหน้านี้ให้ความรู้ใหม่: ```mermaid graph TB A[การสื่อสารกับเทพจิ๋ว] --> B[เข้าใจกลไก<br>ควอนตัมลึกซึ้งขึ้น] B --> C[พัฒนาทฤษฎีใหม่<br>ทางฟิสิกส์] C --> D[นวัตกรรม<br>ล้ำสมัย] ``` 💡 การประยุกต์ใช้ หนูดีและสิงห์เรียนรู้ว่า: · พลังงานศักดิ์สิทธิ์ คือพลังงานจุดศูนย์กลางของอะตอม · การควบคุมพันธะ สามารถรักษาโรคได้ · สมดุลแห่งอนุภาค คือพื้นฐานของสุขภาพ 🏥 การแพทย์รูปแบบใหม่ 🌈 เทคนิคการรักษาระดับอะตอม พัฒนาจากความรู้ที่ได้จากเทพจิ๋ว: · การซ่อมแซมDNA: โดยเทพอิเล็กตรอน · การสร้างเซลล์ใหม่: โดยเทพโปรตอน · การรักษาสมดุลร่างกาย: โดยเทพนิวตรอน 💊 โครงการบำบัดใหม่ ```python class AtomicTherapy: def __init__(self): self.therapies = { "cellular_renewal": "การฟื้นฟูเซลล์ระดับโมเลกุล", "dna_repair": "การซ่อมแซมความเสียหายของDNA", "energy_balance": "การปรับสมดุลพลังงานในร่างกาย", "quantum_healing": "การรักษาด้วยหลักการควอนตัม" } self.collaborators = [ "เทพโปรตอน: โครงสร้างและความแข็งแรง", "เทพอิเล็กตรอน: พลังงานและการสื่อสาร", "เทพนิวตรอน: เสถียรภาพและความสมดุล" ] ``` 📚 บทเรียนจากคดี 🪷 สำหรับเทพระดับอะตอม "เราตระหนักว่า... อำนาจที่แท้การควบคุม แต่คือการทำงานร่วมกัน และอนุภาคศักดิ์สิทธิ์... ควรเป็นสมบัติของทุกอาณาจักร" 💫 สำหรับหนูดี "หนูเรียนรู้ว่า... ความขัดแย้งมีทุกระดับ ตั้งแต่สงครามระหว่างประเทศ จนถึงสงครามระหว่างอะตอม และการแก้ไขที่แท้จริง... ต้องเริ่มจากความเข้าใจซึ่งกันและกัน" 👮 สำหรับ ร.ต.อ. สิงห์ "คดีนี้สอนฉันว่า... บางครั้งอาชญากรรมที่เล็กที่สุด อาจส่งผลกระทบที่ใหญ่ที่สุด และการเป็นตำรวจ... หมายถึงการรักษาความสงบในทุกระดับ" 🌟 ระบบใหม่แห่งควอนตัม 💞 ความร่วมมือถาวร สถาบันวิวัฒนาการจิตตั้ง แผนกความร่วมมือระดับควอนตัม: · ที่ปรึกษา: ตัวแทนจากสามอาณาจักร · โครงการวิจัย: ร่วมกันระหว่างมนุษย์และเทพจิ๋ว · การแลกเปลี่ยนความรู้: วิทยาศาสตร์และภูมิปัญญาโบราณ 🏆 ความสำเร็จ หลังการแก้ไขปัญหา: · โลกมนุษย์: ได้เทคโนโลยีใหม่ๆ · อาณาจักรควอนตัม: มีสันติภาพและความเจริญ · ทั้งสองโลก: เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกัน --- คำคมสุดท้ายจากคดี: "เราเรียนรู้ว่า... ความใหญ่และความเล็กเป็นเพียงมุมมอง และสงครามกับสันติภาพมีอยู่ในทุกระดับ เมื่ออนุภาคเล็กๆ เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกัน... ทั้งจักรวาลก็สงบสุขตาม"⚛️✨ การเดินทางครั้งนี้สอนเราว่า... "From the smallest quark to the largest galaxy, the principles of harmony remain the same And in understanding the quantum world, we understand the very fabric of existence"🌌🌈
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 187 มุมมอง 0 รีวิว
  • Klook เตรียมเข้าตลาดหุ้นสหรัฐฯ: ก้าวใหม่ของแพลตฟอร์มท่องเที่ยวจากเอเชีย

    Klook แพลตฟอร์มจองกิจกรรมและบริการท่องเที่ยวชื่อดังจากฮ่องกงที่ได้รับการสนับสนุนจาก SoftBank ได้ยื่นเอกสารขอเสนอขายหุ้น IPO ในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กแล้ว โดยใช้สัญลักษณ์ “KLK” ถือเป็นก้าวสำคัญในการขยายธุรกิจสู่ระดับโลก ท่ามกลางสัญญาณฟื้นตัวของตลาด IPO สหรัฐฯ หลังจากความผันผวนจากสงครามภาษีและการปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่ช่วยกระตุ้นความต้องการลงทุน

    การเข้าตลาดหุ้นครั้งนี้มี Goldman Sachs, Morgan Stanley และ J.P. Morgan เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ ซึ่งสะท้อนถึงความมั่นใจของนักลงทุนในศักยภาพของ Klook ที่เติบโตอย่างรวดเร็วในตลาดท่องเที่ยวดิจิทัล

    Klook ยื่นขอ IPO ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ
    เตรียมจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE)
    ใช้สัญลักษณ์ “KLK” ในการซื้อขายหุ้น

    ได้รับการสนับสนุนจาก SoftBank
    SoftBank เป็นหนึ่งในผู้ลงทุนหลักของ Klook
    การสนับสนุนนี้ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและเงินทุนในการขยายธุรกิจ

    ตลาด IPO สหรัฐฯ เริ่มฟื้นตัว
    ปัจจัยบวกจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยและการฟื้นตัวของตลาดหุ้น
    แม้จะมีความล่าช้าจากการปิดทำการของรัฐบาล แต่ความต้องการลงทุนยังคงแข็งแกร่ง

    มีธนาคารชั้นนำเป็นผู้จัดการ IPO
    Goldman Sachs, Morgan Stanley และ J.P. Morgan เป็นผู้จัดการหลัก
    สะท้อนถึงความมั่นใจในศักยภาพของ Klook จากสถาบันการเงินระดับโลก

    คำเตือน: การลงทุนใน IPO มีความเสี่ยง
    ราคาหุ้นอาจผันผวนสูงในช่วงแรกของการเปิดตลาด
    นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลพื้นฐานของบริษัทก่อนตัดสินใจ

    อุตสาหกรรมท่องเที่ยวยังเผชิญความไม่แน่นอน
    ความเสี่ยงจากโรคระบาด การเมือง และเศรษฐกิจโลกยังคงมีผลต่อธุรกิจ
    การฟื้นตัวของการท่องเที่ยวอาจไม่เท่ากันในแต่ละภูมิภาค

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/11/travel-booking-platform-klook-makes-us-ipo-filing-public
    📈 Klook เตรียมเข้าตลาดหุ้นสหรัฐฯ: ก้าวใหม่ของแพลตฟอร์มท่องเที่ยวจากเอเชีย Klook แพลตฟอร์มจองกิจกรรมและบริการท่องเที่ยวชื่อดังจากฮ่องกงที่ได้รับการสนับสนุนจาก SoftBank ได้ยื่นเอกสารขอเสนอขายหุ้น IPO ในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กแล้ว โดยใช้สัญลักษณ์ “KLK” ถือเป็นก้าวสำคัญในการขยายธุรกิจสู่ระดับโลก ท่ามกลางสัญญาณฟื้นตัวของตลาด IPO สหรัฐฯ หลังจากความผันผวนจากสงครามภาษีและการปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่ช่วยกระตุ้นความต้องการลงทุน การเข้าตลาดหุ้นครั้งนี้มี Goldman Sachs, Morgan Stanley และ J.P. Morgan เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ ซึ่งสะท้อนถึงความมั่นใจของนักลงทุนในศักยภาพของ Klook ที่เติบโตอย่างรวดเร็วในตลาดท่องเที่ยวดิจิทัล ✅ Klook ยื่นขอ IPO ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ➡️ เตรียมจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE) ➡️ ใช้สัญลักษณ์ “KLK” ในการซื้อขายหุ้น ✅ ได้รับการสนับสนุนจาก SoftBank ➡️ SoftBank เป็นหนึ่งในผู้ลงทุนหลักของ Klook ➡️ การสนับสนุนนี้ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและเงินทุนในการขยายธุรกิจ ✅ ตลาด IPO สหรัฐฯ เริ่มฟื้นตัว ➡️ ปัจจัยบวกจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยและการฟื้นตัวของตลาดหุ้น ➡️ แม้จะมีความล่าช้าจากการปิดทำการของรัฐบาล แต่ความต้องการลงทุนยังคงแข็งแกร่ง ✅ มีธนาคารชั้นนำเป็นผู้จัดการ IPO ➡️ Goldman Sachs, Morgan Stanley และ J.P. Morgan เป็นผู้จัดการหลัก ➡️ สะท้อนถึงความมั่นใจในศักยภาพของ Klook จากสถาบันการเงินระดับโลก ‼️ คำเตือน: การลงทุนใน IPO มีความเสี่ยง ⛔ ราคาหุ้นอาจผันผวนสูงในช่วงแรกของการเปิดตลาด ⛔ นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลพื้นฐานของบริษัทก่อนตัดสินใจ ‼️ อุตสาหกรรมท่องเที่ยวยังเผชิญความไม่แน่นอน ⛔ ความเสี่ยงจากโรคระบาด การเมือง และเศรษฐกิจโลกยังคงมีผลต่อธุรกิจ ⛔ การฟื้นตัวของการท่องเที่ยวอาจไม่เท่ากันในแต่ละภูมิภาค https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/11/travel-booking-platform-klook-makes-us-ipo-filing-public
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Travel booking platform Klook makes US IPO filing public
    (Reuters) -SoftBank-backed Klook, an online travel booking platform, filed for an initial public offering in the United States on Monday.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 104 มุมมอง 0 รีวิว
  • กัมพูชาปฏิเสธข้อกล่าวหา! กลาโหมเขมรลั่น ไม่ได้วาง "ทุ่นระเบิดใหม่" ชี้ทหารไทยเหยียบเป็นทุ่นระเบิดเก่าจากสงคราม
    https://www.thai-tai.tv/news/22306/
    .
    #ไทยไท #กลาโหมกัมพูชา #ปฏิเสธวางทุ่นระเบิดใหม่ #อนุสัญญาออตตาวา #ห้วยตามาเรีย #สงครามกลางเมือง
    กัมพูชาปฏิเสธข้อกล่าวหา! กลาโหมเขมรลั่น ไม่ได้วาง "ทุ่นระเบิดใหม่" ชี้ทหารไทยเหยียบเป็นทุ่นระเบิดเก่าจากสงคราม https://www.thai-tai.tv/news/22306/ . #ไทยไท #กลาโหมกัมพูชา #ปฏิเสธวางทุ่นระเบิดใหม่ #อนุสัญญาออตตาวา #ห้วยตามาเรีย #สงครามกลางเมือง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 27 มุมมอง 0 รีวิว
  • "สหรัฐฯ เตรียมแบน TP-Link — ความปลอดภัยไซเบอร์หรือสงครามการค้า? "

    รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังพิจารณาแบนการขายอุปกรณ์เครือข่ายจาก TP-Link Systems ซึ่งครองตลาดผู้ใช้ตามบ้านและธุรกิจขนาดเล็กกว่า 50% โดยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคงและความเชื่อมโยงกับรัฐบาลจีน แม้ TP-Link จะปฏิเสธข้อกล่าวหาและยืนยันว่าเป็นบริษัทอเมริกันที่แยกตัวจากจีนแล้วก็ตาม

    เหตุผลที่สหรัฐฯ เตรียมแบน TP-Link
    TP-Link ถูกกล่าวหาว่าอาจอยู่ภายใต้อิทธิพลของรัฐบาลจีน
    แม้จะมีสำนักงานใหญ่ในแคลิฟอร์เนียและโรงงานในเวียดนาม แต่ยังมีการดำเนินงานบางส่วนในจีน

    อุปกรณ์ TP-Link พบในฐานทัพสหรัฐฯ และร้านค้าสำหรับทหาร
    สร้างความกังวลเรื่องการสอดแนมและการโจมตีไซเบอร์

    ราคาถูกและประสิทธิภาพดี ทำให้ TP-Link เป็นที่นิยมในตลาด
    โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP)

    ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่ถูกเปิดเผย
    กลุ่มแฮกเกอร์ Camaro Dragon ใช้ firmware ปลอมโจมตีหน่วยงานต่างประเทศ
    พบเฉพาะในอุปกรณ์ TP-Link แต่มีความเสี่ยงต่ออุปกรณ์อื่นด้วย

    Microsoft พบว่า TP-Link ถูกใช้ในการโจมตีแบบ “password spraying”
    กลุ่มแฮกเกอร์จีนใช้ router ที่ถูกเจาะระบบเพื่อเข้าถึงบัญชี Microsoft

    อุปกรณ์ใหม่มักมี firmware ที่ล้าสมัยและตั้งค่าความปลอดภัยไม่ดี
    เช่น รหัสผ่านเริ่มต้นที่ไม่ได้เปลี่ยน ทำให้ถูกโจมตีได้ง่าย

    ทางเลือกสำหรับผู้ใช้ TP-Link
    ใช้ firmware แบบ open-source เช่น OpenWRT หรือ DD-WRT
    เพิ่มความปลอดภัยและฟีเจอร์ เช่น VPN, ad blocker, network monitor

    เปลี่ยน router หากอุปกรณ์เก่าเกิน 4–5 ปี
    เพื่อประสิทธิภาพและความปลอดภัยที่ดีกว่า

    ตรวจสอบว่า router ได้รับการอัปเดตจาก ISP หรือไม่
    หากเป็นอุปกรณ์ที่เช่า ควรปรึกษาผู้ให้บริการก่อนเปลี่ยน

    แนวโน้มของตลาด router และความปลอดภัย
    ผู้ผลิตเริ่มบังคับให้ผู้ใช้เปลี่ยนรหัสผ่านและอัปเดต firmware ตั้งแต่แรก
    เช่น Amazon Eero, Netgear Orbi, Asus ZenWifi

    router ราคาถูกมักบังคับให้ติดตั้งผ่านแอปมือถือ
    อาจไม่สะดวกสำหรับผู้ใช้ที่ชอบตั้งค่าด้วยตนเอง

    https://krebsonsecurity.com/2025/11/drilling-down-on-uncle-sams-proposed-tp-link-ban/
    📡 "สหรัฐฯ เตรียมแบน TP-Link — ความปลอดภัยไซเบอร์หรือสงครามการค้า? 🔒🇺🇸" รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังพิจารณาแบนการขายอุปกรณ์เครือข่ายจาก TP-Link Systems ซึ่งครองตลาดผู้ใช้ตามบ้านและธุรกิจขนาดเล็กกว่า 50% โดยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคงและความเชื่อมโยงกับรัฐบาลจีน แม้ TP-Link จะปฏิเสธข้อกล่าวหาและยืนยันว่าเป็นบริษัทอเมริกันที่แยกตัวจากจีนแล้วก็ตาม 🔖 เหตุผลที่สหรัฐฯ เตรียมแบน TP-Link ✅ TP-Link ถูกกล่าวหาว่าอาจอยู่ภายใต้อิทธิพลของรัฐบาลจีน ➡️ แม้จะมีสำนักงานใหญ่ในแคลิฟอร์เนียและโรงงานในเวียดนาม แต่ยังมีการดำเนินงานบางส่วนในจีน ✅ อุปกรณ์ TP-Link พบในฐานทัพสหรัฐฯ และร้านค้าสำหรับทหาร ➡️ สร้างความกังวลเรื่องการสอดแนมและการโจมตีไซเบอร์ ✅ ราคาถูกและประสิทธิภาพดี ทำให้ TP-Link เป็นที่นิยมในตลาด ➡️ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP) ⛔🚫 ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่ถูกเปิดเผย ‼️ กลุ่มแฮกเกอร์ Camaro Dragon ใช้ firmware ปลอมโจมตีหน่วยงานต่างประเทศ ⛔ พบเฉพาะในอุปกรณ์ TP-Link แต่มีความเสี่ยงต่ออุปกรณ์อื่นด้วย ‼️ Microsoft พบว่า TP-Link ถูกใช้ในการโจมตีแบบ “password spraying” ⛔ กลุ่มแฮกเกอร์จีนใช้ router ที่ถูกเจาะระบบเพื่อเข้าถึงบัญชี Microsoft ‼️ อุปกรณ์ใหม่มักมี firmware ที่ล้าสมัยและตั้งค่าความปลอดภัยไม่ดี ⛔ เช่น รหัสผ่านเริ่มต้นที่ไม่ได้เปลี่ยน ทำให้ถูกโจมตีได้ง่าย ✅ ทางเลือกสำหรับผู้ใช้ TP-Link ✅ ใช้ firmware แบบ open-source เช่น OpenWRT หรือ DD-WRT ➡️ เพิ่มความปลอดภัยและฟีเจอร์ เช่น VPN, ad blocker, network monitor ✅ เปลี่ยน router หากอุปกรณ์เก่าเกิน 4–5 ปี ➡️ เพื่อประสิทธิภาพและความปลอดภัยที่ดีกว่า ✅ ตรวจสอบว่า router ได้รับการอัปเดตจาก ISP หรือไม่ ➡️ หากเป็นอุปกรณ์ที่เช่า ควรปรึกษาผู้ให้บริการก่อนเปลี่ยน ✅ แนวโน้มของตลาด router และความปลอดภัย ✅ ผู้ผลิตเริ่มบังคับให้ผู้ใช้เปลี่ยนรหัสผ่านและอัปเดต firmware ตั้งแต่แรก ➡️ เช่น Amazon Eero, Netgear Orbi, Asus ZenWifi ✅ router ราคาถูกมักบังคับให้ติดตั้งผ่านแอปมือถือ ➡️ อาจไม่สะดวกสำหรับผู้ใช้ที่ชอบตั้งค่าด้วยตนเอง https://krebsonsecurity.com/2025/11/drilling-down-on-uncle-sams-proposed-tp-link-ban/
    KREBSONSECURITY.COM
    Drilling Down on Uncle Sam’s Proposed TP-Link Ban
    The U.S. government is reportedly preparing to ban the sale of wireless routers and other networking gear from TP-Link Systems, a tech company that currently enjoys an estimated 50% market share among home users and small businesses. Experts say while…
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 111 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทหารไทย ผู้นำคนใหม่ของไทย หรือเดอะทีมไทยเรา,ท่านจะผิดพลาดแบบยุคโควิด19ไม่ได้อีกแล้วนะ,จะเป็นขี้ข้าทาสอีลิทคาบาลไซออนิสต์หรือใดๆแบบเดิมๆในอดีตไม่ได้อีกแล้วนะ,กฎหมายมากมายที่ออกมาล้วนเป็นไปเพื่อควบคุมคนไทยเป็นทาสในยุคใหม่AIชัดเจนมากของagenda2030มัน,cbdc,เงินดิจิดัล,เมืองอัจฉริยะ,ไบโอเมทริกต่างๆเอย,เหล่านี้เป็นต้นล้วนเป็นภัยอันตรายชัดเจน ระดับฝ่ายข่าวกรอกทางความมั่นคงของชาติทหารเราถ้าพลาดเรื่องนี้ ท่านในนามกองทัพไทยถือว่าทรยศหักหลัง,ไม่สมควรมีประจำการบนแผ่นดินไทยเพราะมิได้ปกป้องดูแลเรา..ประชาชนคนไทยขัดเจนด้วย สมคบคิดจะปกครองให้คนไทยเป็นทาสระบบคาบาลชัดเจนนั้นเอง,ท่านต้องไม่พลาดอีก,ไม่มองโลกแคบขนาดนั้น,บริบทมากมายมันสะท้อนทางฝ่ายมืดชัดเจน ภาษีคาร์บอนก็ผ่านครม.แล้ว,พรบ.การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศก็ผ่านแล้ว,นี้คือการเดินไปทางนรกชัดเจน ,ประเทศไทยจะเดินบนทางนรกไม่ได้อีก,ถ้าเดินทางนี้แสดงว่าเราสิ้นทั้งสามสถาบันแล้ว,มิอาจไว้วางใจสามเสาหักต่อไปได้อีก,เพราะแสดงว่าอยู่ภายใต้ทาสมันไปแล้วเช่นกัน หัวโขนนี้จะเอามาหลอกลวงคนไทยทั้งประเทศเพราะบรรลุเป้าหมายของฝ่ายชั่วซาตานไม่สมควรสิ้น,แสดงว่าการลดประชากรไทยจากวัคซีนอำมหิตนี้ที่ฉีดเกือบหมดทุกๆคนคือการปกครองของฝ่ายมืดเบ็ดเสร็จจริงประจำประเทศไทยเรา,มีทางเดียวที่ทหารจะจบความสงสัยคือนำพาคนไทยปลดปล่อยคนไทยจริงอีกจากการปกครองของฝ่ายมืดมันในไทยเรา,ฉีกกฎหมายอีลิททั้งหมดทิ้งทันทีแล้วทหารเขียนกฎหมายใหม่หมด,กฎหมายอดีตเป็นกฎหมายฝ่ายมืด เผาไฟทิ้งทุกๆฉบับเลย ตำราเรียนเท็จก็เอามาเผาทิ้งด้วย เรา..ประเทศไทยจะรอดไปยุคใหม่บนฐานค่าความจริงได้จริง,ทหารไทยต้องยึดอำนาจ ทหารไทยต้อง ใจหาญสไตล์บิ๊กกุ้ง,เราทั้งประเทศจึงจะรอดจากสงครามโลกของซาตานที่ปกครองโลกนี้จริง,เรา..สามารถเป็นบัวลอยพ้นน้ำทั้งประเทศได้จากสายบัวสายทหารไทยเรานำพาที่แข็งแกร่งและนั้นนี้เรา..คนไทยทั้งหมดด้วยรวมกันเป็นต้นบัวทั้งสายนั้นสู่บัวพ้นน้ำในที่สุดของประเทศไทยเราบนดินปุ๋ยโคลนตมจากพื้นฐานมูลใต้น้ำของซาตานที่สร้างขึ้นหรือธรรมชาติซาตานที่สร้างโลกนี้ขึ้น,แต่มิอาจขัดขวางเรา..ประเทศไทยบรรลุแจ้งได้นั้นเอง.,ทหารไทยต้องเด็ดขาดได้แล้ว.

    https://youtube.com/shorts/IPw1NT681uE?si=RvQko8iionjAGhQC
    ทหารไทย ผู้นำคนใหม่ของไทย หรือเดอะทีมไทยเรา,ท่านจะผิดพลาดแบบยุคโควิด19ไม่ได้อีกแล้วนะ,จะเป็นขี้ข้าทาสอีลิทคาบาลไซออนิสต์หรือใดๆแบบเดิมๆในอดีตไม่ได้อีกแล้วนะ,กฎหมายมากมายที่ออกมาล้วนเป็นไปเพื่อควบคุมคนไทยเป็นทาสในยุคใหม่AIชัดเจนมากของagenda2030มัน,cbdc,เงินดิจิดัล,เมืองอัจฉริยะ,ไบโอเมทริกต่างๆเอย,เหล่านี้เป็นต้นล้วนเป็นภัยอันตรายชัดเจน ระดับฝ่ายข่าวกรอกทางความมั่นคงของชาติทหารเราถ้าพลาดเรื่องนี้ ท่านในนามกองทัพไทยถือว่าทรยศหักหลัง,ไม่สมควรมีประจำการบนแผ่นดินไทยเพราะมิได้ปกป้องดูแลเรา..ประชาชนคนไทยขัดเจนด้วย สมคบคิดจะปกครองให้คนไทยเป็นทาสระบบคาบาลชัดเจนนั้นเอง,ท่านต้องไม่พลาดอีก,ไม่มองโลกแคบขนาดนั้น,บริบทมากมายมันสะท้อนทางฝ่ายมืดชัดเจน ภาษีคาร์บอนก็ผ่านครม.แล้ว,พรบ.การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศก็ผ่านแล้ว,นี้คือการเดินไปทางนรกชัดเจน ,ประเทศไทยจะเดินบนทางนรกไม่ได้อีก,ถ้าเดินทางนี้แสดงว่าเราสิ้นทั้งสามสถาบันแล้ว,มิอาจไว้วางใจสามเสาหักต่อไปได้อีก,เพราะแสดงว่าอยู่ภายใต้ทาสมันไปแล้วเช่นกัน หัวโขนนี้จะเอามาหลอกลวงคนไทยทั้งประเทศเพราะบรรลุเป้าหมายของฝ่ายชั่วซาตานไม่สมควรสิ้น,แสดงว่าการลดประชากรไทยจากวัคซีนอำมหิตนี้ที่ฉีดเกือบหมดทุกๆคนคือการปกครองของฝ่ายมืดเบ็ดเสร็จจริงประจำประเทศไทยเรา,มีทางเดียวที่ทหารจะจบความสงสัยคือนำพาคนไทยปลดปล่อยคนไทยจริงอีกจากการปกครองของฝ่ายมืดมันในไทยเรา,ฉีกกฎหมายอีลิททั้งหมดทิ้งทันทีแล้วทหารเขียนกฎหมายใหม่หมด,กฎหมายอดีตเป็นกฎหมายฝ่ายมืด เผาไฟทิ้งทุกๆฉบับเลย ตำราเรียนเท็จก็เอามาเผาทิ้งด้วย เรา..ประเทศไทยจะรอดไปยุคใหม่บนฐานค่าความจริงได้จริง,ทหารไทยต้องยึดอำนาจ ทหารไทยต้อง ใจหาญสไตล์บิ๊กกุ้ง,เราทั้งประเทศจึงจะรอดจากสงครามโลกของซาตานที่ปกครองโลกนี้จริง,เรา..สามารถเป็นบัวลอยพ้นน้ำทั้งประเทศได้จากสายบัวสายทหารไทยเรานำพาที่แข็งแกร่งและนั้นนี้เรา..คนไทยทั้งหมดด้วยรวมกันเป็นต้นบัวทั้งสายนั้นสู่บัวพ้นน้ำในที่สุดของประเทศไทยเราบนดินปุ๋ยโคลนตมจากพื้นฐานมูลใต้น้ำของซาตานที่สร้างขึ้นหรือธรรมชาติซาตานที่สร้างโลกนี้ขึ้น,แต่มิอาจขัดขวางเรา..ประเทศไทยบรรลุแจ้งได้นั้นเอง.,ทหารไทยต้องเด็ดขาดได้แล้ว. https://youtube.com/shorts/IPw1NT681uE?si=RvQko8iionjAGhQC
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 143 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้มข้ามศตวรรษ บทแถม ตอน ฤทธิ์ยิว 3 – 4
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทแถม
    “ฤทธิ์ยิว”

    (3)

    ในปี ค.ศ.1880 มีชาวยิวในอเมริกาประมาณ 250,000 คน ( 0.5%) แต่พอถึงปี 1900 เพียง 20 ปี ต่อมา ตัวเลขเพิ่มเป็น 1.5 ล้านคน และในปี 1918 เพิ่มเป็น 3 ล้านคน และอิทธิพลทางการเมืองของชาวยิว ก็เพิ่มขึ้นในอเมริกา อย่างมากมายเช่นเดียวกัน

    ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นช่วงที่ยิวเร่งลดน้ำพรวนดิน แผ่อิทธิพลในอเมริกา ปี ค.ศ.1901 ประธานาธิบดี William McKinley ถูกยิงตาย โดยชาวโปลหัวรุนแรง ชื่อ Leon Czolgosz ซึ่งถูกปั่นหัว โดยชาวยิวที่ชอบก่อเรื่องวุ่นวาย 2 คน คือ Emma Goldman และ Alexander Berkman และผู้ที่ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีแทน คือรองประธานาธิบดี Theodore Roosevelt ซึ่งขณะนั้น อายุเพียง 42 ปี นับเป็นประธานาธิบดี ที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา เรื่องนี้น่าสนใจ

    Roosevelt ชื่อดังขึ้นมาจากบทบาทของทหารเรือหนุ่ม ที่ไปรบชนะสเปนที่คิวบา ในปี 1898 และด้วยแรงสนับสนุนสุดตัวของกลุ่มชาวยิว ในปี 1900 เขาได้รับเลือกตั้งเป็น ผู้ว่าการนครนิวยอร์ค และในปีเดียวกันนั้น ก็ได้รับเลือกเป็นรองประธานาธิบดี น่าสนในหนักขึ้นไปอีก

    Roosevelt เป็นยิวหรือเปล่า เจ้าตัวไม่เคยตอบรับ หรือตอบปฏิเสธ แต่น่าสนใจว่า Roosevelt อาจเป็นเด็กสร้างของยิวคือ หลังเขาได้เป็นขึ้นประธานาธิบดี ในปี 1901 โดยเหตุการณ์บังคับหรือจัดตั้งก็ตาม ในปี 1904 เขาลงเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี ด้วยความสมัครใจ และก็ได้รับเลือกตั้งสมใจ และประวัติศาสตร์ ก็ได้จารึกชื่อ Oscar Straus เป็นชาวยิวคนแรก ที่ได้รับแต่งตั้งให้เข้าร่วมรัฐบาลในอเมริกา จากการสนับสนุนเต็มตัวของ Roosevelt และในฐานะเป็นรัฐมนตรีดูแลด้านแรงงานและพาณิชย์ Straus เอาหน่วยงานด้านคนเข้าเมือง มาดูแลเอง และช่วงนั้นก็กลายเป็นช่วงที่จำนวนชาวยิวอพยพ มายังอเมริกาเพิ่มขึ้นสูงสุด หลังจากนั้น Straus ก็ได้ไปเป็นทูตอเมริกา ประจำออตโตมาน เหมือนไปดูปาเลสไตน์ทุกซอกมุม ก่อนแผนยึดเอามาครองของชาวยิว
    อำนาจเงินอันร้ายกาจของชาวยิว แสดงให้เห็นอย่างเด่นชัด ในปี 1912 เมื่อ Roosevelt ปฏิเสธที่จะลงสมัครเป็นประธานาธิบดีอีกรอบ แต่สนับสนุนให้ William Taft รัฐมนตรีกลาโหม สมัยรัฐบาลเขา และเป็นได้เป็นประธานาธิบดี ในปี 1908 ลงสมัครต่ออีกวาระ แต่ปรากฎว่ามีพวกลิพับลิกันเรียกร้องให้ Roosevelt ลงสมัครด้วย ตามธรรมเนียม ก็ต้องเสนอชื่อประธานาธิบดีในตำแหน่ง คือ Taft ต่อไป แต่ Roosevelt ก็ดันเล่นตลก ลงสมัครในนามพรรคที่ 3 ปี 1912 ด้วย จึงกลายเป็นเรื่องที่พิลึกมาก ของประวัติศาสตร์การเลือกตั้งของอเมริกา ที่มีประธานาธิบดี Taft ลงสมัครเป็นสมัยที่ 2 ส่วน Roosevelt ลงสมัคร เป็นคู่แข่งจากพรรคที่ 3 และ มี Woodlow Wilson สมัครสมัยแรก ในนามพรรค ดีโมแครต

    สำหรับชาวบ้านคงงง ที่ได้เห็นอดีตประธานาธิบดีกับ ประธานาธิบดี ที่อยู่ในตำแหน่งแข่งกับ Wilson ตัวแทนของ เดโมแครตสมัยแรก และผลก็เป็นที่รู้กันว่า Wilson ชนะเลือกตั้งครั้งนั้น และครั้งต่อไปในปี 1916 อีกสมัย เพื่อทำหน้าที่ครบถ้วนเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 1 คือ ก่อนระหว่าง และหลัง สงคราม

    ชาวบ้านคงไม่รู้ว่า ผู้สมัครทั้ง 3 คน ได้รับการสนับสนุน จากกระเป๋าเงินอันมีอำนาจร้ายกาจ ของพวกยิวทั้งหมด เพราะฉนั้น ใครได้เป็นประธานาธิบดีคงไม่สำคัญ สำคัญว่าจะต้องมาจัดการทำหน้าที่เกี่ยวกับสงครามโลกให้ครบถ้วนตามใบสั่ง มากกว่า

    เรื่องนี้อยู่ในรายงานของ Henry Ford ชื่อ Dearborn Independent ซึ่งบันทึกเกี่ยวกับคำให้การใน รัฐสภา เมื่อ ปี 1914 ของ Paul Warburg นายธนาคารชาวยิว ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนาม “เจ้าพ่อ Federal Reserve” หุ้นส่วนของ Kuhn, Loeb & Co ซึ่งสรุปว่า Paul Warburg ให้การว่า หุ้นส่วนคนหนึ่งของ Kuhn Loeb ให้เงินสนับสนุน Roosevelt ส่วน Felix น้องของ Paul (ซึ่งก็เป็นหุ้นส่วนอีกคนหนึ่งเช่นกัน) ให้เงินสนับสนุน Taft ส่วน Jacob Schiff หุ้นส่วนใหญ่ตัวแสบ ให้เงินสนับสนุน Wilson
    คำให้การนี้ทำให้เห็นการทำงานของยิว เหนือผู้สมัครทั้ง 3 คน คนใดชนะเลือกตั้ง ยิวก็ชนะด้วย พวกเขาแทงม้าทุกตัวจริงๆ

    แม้ ในขณะนั้นเรายังไม่เห็นหลักฐานกันชัดเจนว่า ยิวสนับสนุน Roosevelt อย่างไร แต่การแต่งตั้ง Straus ให้คุมเรื่องการเข้าเมือง และพวกยิวก็ทะลักเข้าไปเต็มอเมริกาในช่วงนั้น ก็พอทำให้เราเห็นภาพได้พอสมควร

    ส่วนกรณีของ Taft ซึ่งเป็นผู้ส่งออก Straus ไปเป็นทูตที่ออตโตมาน และแม้ยิวก็ยังไหลเข้ามาในอเมริกาอย่างมากมายต่อเนื่อง แต่ Taft ก็ยังเล่นบทไม่สมใจนายทุน ในเรื่องของชาวยิวที่อยู่ต่างประเทศ โดยเฉพาะปัญหาเกี่ยวกับชาวยิวที่อยู่ในรัสเซีย

    สื่ออเมริกัน ซึ่งแน่นอนอยู่ในมือของพวกยิว พากันลงข่าวใส่สีเข้มข้น เช่น Time รายงานว่า ชาวยิวถูกเชือดยังกับเชือดแกะ, เด็กยิวถูกรุมทิ้งโดยกลุ่มชนกระหายเลือด, จำนวนชาวยิวที่ถูกฆ่าสูงขึ้นทุก วัน ฯลฯ ในที่สุด นายกรัฐมนตรีรัสเซีย นาย Pyotr Stolypin ก็ถูกยิงตาย โดยชาวยิวชื่อ Mordekhai Gershkovich หรือที่รู้จักกันในชื่อ Dmitri Bogrov ยิ่งทำให้การตอบโต้ ระหว่าง ยิว/รัสเซีย เลวร้ายลงไปกว่าเดิม

    ####################
    ” ฤทธิ์ยิว”

    (4)

    แม้จะเกิดเหตุการณ์รุนแรงในรัสเสียเพิ่มขึ้น แต่พวกยิวในอเมริกาเห็นว่ายังแรงไม่พอ ยิวไซออนนิสต์อ้างว่า มีการปิดกั้นไม่ให้ชาวยิวที่อยู่ในอเมริกา เดินทางเข้าไปในรัสเซีย การปิดกั้นนี่เริ่มมาพักใหญ่แล้วนะ และก็เข้มงวดมากขึ้นเรื่อยๆ ในยุคประธานาธิบดี Taft นี่แหละ Taft ควรทำอะไรเสียบ้าง เสียงนายทุนยิวฟ่อใส่ แต่ Taft คงจัดการไม่ได้ง่ายๆ เพราะอเมริกากับรัสเซีย มีสนธิสัญญาต่างตอบแทนระหว่างกัน เรื่องการพาณิชย์และการเดินเรืออย่างเสรี ตั้งแตปี 1832 ซึ่งแต่ละประเทศมีสิทธิเสรีในการกำหนดการเข้าออกประเทศ แก่พลเมืองของทั้ง 2 ประเทศ
    ไซออนนิสต์ เห็นโอกาสกดดันรัสเซียจากภายนอก ถ้างั้น อเมริกาก็ยกเลิกสนธิสัญญานี้เลยซิ แล้วไซออนนิสต์ก็ทำสำเร็จ โดยการจัดการของพวกยิวกลุ่มเล็กๆ ไม่กี่คน ที่นำโดยทนายชาวยิว Louis Marshall นักการเงินชาวยิว Jacob Schiff และพรรคพวก จาก American Jewish Committee ซึ่งมีพลังอย่างยิ่งในตอนนั้น และ มีมาถึงตอนนี้

    พวกเขายกประเด็นเรื่องยกเลิกสนธิสัญญานี้ ตั้งแต่ปี 1908 แต่ มาจับขาบีบเข่าถาม Taft เอาจริงจังในปี 1910 เมื่อตอนที่ Taft เตรียมตัวจะลงสมัครเป็นประธานาธิบดีสมัย 2 เราสามารถจัดให้ชาวยิวลงคะแนนเสียงให้ท่านได้นะ แต่ท่านจะมีอะไรมาแลกเปลี่ยนกับเรา (quid pro quo)

    Taft เห็นว่าข้อเสนอของพวกยิว ที่จะให้ยกเลิกสนธิสัญญากับรัสเซีย ไม่เป็นประโยชน์อะไรกับอเมริกาเลย เขาทำท่าไม่รับลูกที่ยิวโยนมา

    พวกยิวไม่ยอมหยุด ปี 1911 Marshall เริ่มโหมประเด็นนี้ใหม่ คราวนี้เขาบอกว่า การที่อเมริกายอมให้รัสเซีย ห้ามยิวอเมริกาเข้าประเทศ ไม่ใช่เป็นการดูหมิ่นคนยิวหรอกนะ แต่มันเป็นการดูหมิ่นคนอเมริกัน แล้วสื่อกระป๋องสี ยี่ห้อยิว ก็ช่วยกันประโคมข่าว โดยมี Samuel Straus เป็นหัวหอก ออกนำล่ารายชื่อ ทำหนังสือกดดันไปถึงรัฐสภา ยอดเยี่ยมจริงๆ

    แต่ Taft ก็ยังไม่ยอมอ่อนอยู่ในมือยิวง่ายๆ เขาบอกว่า มีอเมริกันยิวอยู่ในรัสเซีย เพียง 28 คนเท่านั้น และมีคนอเมริกันยิว ที่ถูกรัสเซียปฏิเสธการเข้าเมืองแค่ 4 คน ใน 5 ปี! แต่พวกยิวก็ไม่ยอมเลิกรา เดินหน้าลุยไม่หยุด เหมือนต้องการทดสอบอำนาจของตัว แล้วก็เป็นเรื่องเหลือเชื่อ ว่าในที่สุด พวกยิวก็ทำสำเร็จ
    เป็น Schiff ที่ไปจูง Taft เดินมาที่ทางออก เขาบอก Taft ว่า ท่านก็แค่ลงชื่อในคำขอมติจากรัฐสภา ที่เหลือเป็นเรื่องของเรา แล้ววันที่ 13 ธันวาคม 1911 รัฐสภาก็เห็นชอบให้อเมริกาบอกเลิกสนธิสัญญากับรัสเซีย ด้วยคะแนนเสียง 301 ต่อ 1 เสียงค้าน และเมื่อเรื่องส่งถึงวุฒิสภา มีการแก้ไขเล็กน้อย และวุฒิสมาชิกก็ลงคะแนนเสียงเป็นเอกฉันท์ ในวันที่ 19 ธันวาคม1911 ให้ดำเนินการตามที่รัฐสภาเสนอ (ผมอ่านบทความนี้ แล้วก็แปลกใจมาก ว่า Taft ถูกบีบจากอะไร และบีบตรงไหน แต่ยังหาข้อมูลเพิ่มเติมไม่เจอ)

    รัสเซียถึงกับอึ้ง พูดไม่ออกกับการตัดสินใจของอเมริกา รัสเซียรู้ว่าเรื่องมาจากการผลักดันของพวกยิว แต่รัสเซียนึกไม่ถึงว่าอเมริกา “อยู่มือ” พวกยิวถึงขนาดนั้นแล้ว และการปฏิวัติรัสเซีย โดยพวกบอลเชวิก ที่นำโดยชาวยิว ก็เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์ดังกล่าวนั้นประมาณ 6 ปี หลังจากการทดสอบ แสดงให้เห็นว่า “ผ่าน”

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    7 มิ.ย. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ บทแถม ตอน ฤทธิ์ยิว 3 – 4 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทแถม “ฤทธิ์ยิว” (3) ในปี ค.ศ.1880 มีชาวยิวในอเมริกาประมาณ 250,000 คน ( 0.5%) แต่พอถึงปี 1900 เพียง 20 ปี ต่อมา ตัวเลขเพิ่มเป็น 1.5 ล้านคน และในปี 1918 เพิ่มเป็น 3 ล้านคน และอิทธิพลทางการเมืองของชาวยิว ก็เพิ่มขึ้นในอเมริกา อย่างมากมายเช่นเดียวกัน ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นช่วงที่ยิวเร่งลดน้ำพรวนดิน แผ่อิทธิพลในอเมริกา ปี ค.ศ.1901 ประธานาธิบดี William McKinley ถูกยิงตาย โดยชาวโปลหัวรุนแรง ชื่อ Leon Czolgosz ซึ่งถูกปั่นหัว โดยชาวยิวที่ชอบก่อเรื่องวุ่นวาย 2 คน คือ Emma Goldman และ Alexander Berkman และผู้ที่ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีแทน คือรองประธานาธิบดี Theodore Roosevelt ซึ่งขณะนั้น อายุเพียง 42 ปี นับเป็นประธานาธิบดี ที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา เรื่องนี้น่าสนใจ Roosevelt ชื่อดังขึ้นมาจากบทบาทของทหารเรือหนุ่ม ที่ไปรบชนะสเปนที่คิวบา ในปี 1898 และด้วยแรงสนับสนุนสุดตัวของกลุ่มชาวยิว ในปี 1900 เขาได้รับเลือกตั้งเป็น ผู้ว่าการนครนิวยอร์ค และในปีเดียวกันนั้น ก็ได้รับเลือกเป็นรองประธานาธิบดี น่าสนในหนักขึ้นไปอีก Roosevelt เป็นยิวหรือเปล่า เจ้าตัวไม่เคยตอบรับ หรือตอบปฏิเสธ แต่น่าสนใจว่า Roosevelt อาจเป็นเด็กสร้างของยิวคือ หลังเขาได้เป็นขึ้นประธานาธิบดี ในปี 1901 โดยเหตุการณ์บังคับหรือจัดตั้งก็ตาม ในปี 1904 เขาลงเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี ด้วยความสมัครใจ และก็ได้รับเลือกตั้งสมใจ และประวัติศาสตร์ ก็ได้จารึกชื่อ Oscar Straus เป็นชาวยิวคนแรก ที่ได้รับแต่งตั้งให้เข้าร่วมรัฐบาลในอเมริกา จากการสนับสนุนเต็มตัวของ Roosevelt และในฐานะเป็นรัฐมนตรีดูแลด้านแรงงานและพาณิชย์ Straus เอาหน่วยงานด้านคนเข้าเมือง มาดูแลเอง และช่วงนั้นก็กลายเป็นช่วงที่จำนวนชาวยิวอพยพ มายังอเมริกาเพิ่มขึ้นสูงสุด หลังจากนั้น Straus ก็ได้ไปเป็นทูตอเมริกา ประจำออตโตมาน เหมือนไปดูปาเลสไตน์ทุกซอกมุม ก่อนแผนยึดเอามาครองของชาวยิว อำนาจเงินอันร้ายกาจของชาวยิว แสดงให้เห็นอย่างเด่นชัด ในปี 1912 เมื่อ Roosevelt ปฏิเสธที่จะลงสมัครเป็นประธานาธิบดีอีกรอบ แต่สนับสนุนให้ William Taft รัฐมนตรีกลาโหม สมัยรัฐบาลเขา และเป็นได้เป็นประธานาธิบดี ในปี 1908 ลงสมัครต่ออีกวาระ แต่ปรากฎว่ามีพวกลิพับลิกันเรียกร้องให้ Roosevelt ลงสมัครด้วย ตามธรรมเนียม ก็ต้องเสนอชื่อประธานาธิบดีในตำแหน่ง คือ Taft ต่อไป แต่ Roosevelt ก็ดันเล่นตลก ลงสมัครในนามพรรคที่ 3 ปี 1912 ด้วย จึงกลายเป็นเรื่องที่พิลึกมาก ของประวัติศาสตร์การเลือกตั้งของอเมริกา ที่มีประธานาธิบดี Taft ลงสมัครเป็นสมัยที่ 2 ส่วน Roosevelt ลงสมัคร เป็นคู่แข่งจากพรรคที่ 3 และ มี Woodlow Wilson สมัครสมัยแรก ในนามพรรค ดีโมแครต สำหรับชาวบ้านคงงง ที่ได้เห็นอดีตประธานาธิบดีกับ ประธานาธิบดี ที่อยู่ในตำแหน่งแข่งกับ Wilson ตัวแทนของ เดโมแครตสมัยแรก และผลก็เป็นที่รู้กันว่า Wilson ชนะเลือกตั้งครั้งนั้น และครั้งต่อไปในปี 1916 อีกสมัย เพื่อทำหน้าที่ครบถ้วนเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 1 คือ ก่อนระหว่าง และหลัง สงคราม ชาวบ้านคงไม่รู้ว่า ผู้สมัครทั้ง 3 คน ได้รับการสนับสนุน จากกระเป๋าเงินอันมีอำนาจร้ายกาจ ของพวกยิวทั้งหมด เพราะฉนั้น ใครได้เป็นประธานาธิบดีคงไม่สำคัญ สำคัญว่าจะต้องมาจัดการทำหน้าที่เกี่ยวกับสงครามโลกให้ครบถ้วนตามใบสั่ง มากกว่า เรื่องนี้อยู่ในรายงานของ Henry Ford ชื่อ Dearborn Independent ซึ่งบันทึกเกี่ยวกับคำให้การใน รัฐสภา เมื่อ ปี 1914 ของ Paul Warburg นายธนาคารชาวยิว ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนาม “เจ้าพ่อ Federal Reserve” หุ้นส่วนของ Kuhn, Loeb & Co ซึ่งสรุปว่า Paul Warburg ให้การว่า หุ้นส่วนคนหนึ่งของ Kuhn Loeb ให้เงินสนับสนุน Roosevelt ส่วน Felix น้องของ Paul (ซึ่งก็เป็นหุ้นส่วนอีกคนหนึ่งเช่นกัน) ให้เงินสนับสนุน Taft ส่วน Jacob Schiff หุ้นส่วนใหญ่ตัวแสบ ให้เงินสนับสนุน Wilson คำให้การนี้ทำให้เห็นการทำงานของยิว เหนือผู้สมัครทั้ง 3 คน คนใดชนะเลือกตั้ง ยิวก็ชนะด้วย พวกเขาแทงม้าทุกตัวจริงๆ แม้ ในขณะนั้นเรายังไม่เห็นหลักฐานกันชัดเจนว่า ยิวสนับสนุน Roosevelt อย่างไร แต่การแต่งตั้ง Straus ให้คุมเรื่องการเข้าเมือง และพวกยิวก็ทะลักเข้าไปเต็มอเมริกาในช่วงนั้น ก็พอทำให้เราเห็นภาพได้พอสมควร ส่วนกรณีของ Taft ซึ่งเป็นผู้ส่งออก Straus ไปเป็นทูตที่ออตโตมาน และแม้ยิวก็ยังไหลเข้ามาในอเมริกาอย่างมากมายต่อเนื่อง แต่ Taft ก็ยังเล่นบทไม่สมใจนายทุน ในเรื่องของชาวยิวที่อยู่ต่างประเทศ โดยเฉพาะปัญหาเกี่ยวกับชาวยิวที่อยู่ในรัสเซีย สื่ออเมริกัน ซึ่งแน่นอนอยู่ในมือของพวกยิว พากันลงข่าวใส่สีเข้มข้น เช่น Time รายงานว่า ชาวยิวถูกเชือดยังกับเชือดแกะ, เด็กยิวถูกรุมทิ้งโดยกลุ่มชนกระหายเลือด, จำนวนชาวยิวที่ถูกฆ่าสูงขึ้นทุก วัน ฯลฯ ในที่สุด นายกรัฐมนตรีรัสเซีย นาย Pyotr Stolypin ก็ถูกยิงตาย โดยชาวยิวชื่อ Mordekhai Gershkovich หรือที่รู้จักกันในชื่อ Dmitri Bogrov ยิ่งทำให้การตอบโต้ ระหว่าง ยิว/รัสเซีย เลวร้ายลงไปกว่าเดิม #################### ” ฤทธิ์ยิว” (4) แม้จะเกิดเหตุการณ์รุนแรงในรัสเสียเพิ่มขึ้น แต่พวกยิวในอเมริกาเห็นว่ายังแรงไม่พอ ยิวไซออนนิสต์อ้างว่า มีการปิดกั้นไม่ให้ชาวยิวที่อยู่ในอเมริกา เดินทางเข้าไปในรัสเซีย การปิดกั้นนี่เริ่มมาพักใหญ่แล้วนะ และก็เข้มงวดมากขึ้นเรื่อยๆ ในยุคประธานาธิบดี Taft นี่แหละ Taft ควรทำอะไรเสียบ้าง เสียงนายทุนยิวฟ่อใส่ แต่ Taft คงจัดการไม่ได้ง่ายๆ เพราะอเมริกากับรัสเซีย มีสนธิสัญญาต่างตอบแทนระหว่างกัน เรื่องการพาณิชย์และการเดินเรืออย่างเสรี ตั้งแตปี 1832 ซึ่งแต่ละประเทศมีสิทธิเสรีในการกำหนดการเข้าออกประเทศ แก่พลเมืองของทั้ง 2 ประเทศ ไซออนนิสต์ เห็นโอกาสกดดันรัสเซียจากภายนอก ถ้างั้น อเมริกาก็ยกเลิกสนธิสัญญานี้เลยซิ แล้วไซออนนิสต์ก็ทำสำเร็จ โดยการจัดการของพวกยิวกลุ่มเล็กๆ ไม่กี่คน ที่นำโดยทนายชาวยิว Louis Marshall นักการเงินชาวยิว Jacob Schiff และพรรคพวก จาก American Jewish Committee ซึ่งมีพลังอย่างยิ่งในตอนนั้น และ มีมาถึงตอนนี้ พวกเขายกประเด็นเรื่องยกเลิกสนธิสัญญานี้ ตั้งแต่ปี 1908 แต่ มาจับขาบีบเข่าถาม Taft เอาจริงจังในปี 1910 เมื่อตอนที่ Taft เตรียมตัวจะลงสมัครเป็นประธานาธิบดีสมัย 2 เราสามารถจัดให้ชาวยิวลงคะแนนเสียงให้ท่านได้นะ แต่ท่านจะมีอะไรมาแลกเปลี่ยนกับเรา (quid pro quo) Taft เห็นว่าข้อเสนอของพวกยิว ที่จะให้ยกเลิกสนธิสัญญากับรัสเซีย ไม่เป็นประโยชน์อะไรกับอเมริกาเลย เขาทำท่าไม่รับลูกที่ยิวโยนมา พวกยิวไม่ยอมหยุด ปี 1911 Marshall เริ่มโหมประเด็นนี้ใหม่ คราวนี้เขาบอกว่า การที่อเมริกายอมให้รัสเซีย ห้ามยิวอเมริกาเข้าประเทศ ไม่ใช่เป็นการดูหมิ่นคนยิวหรอกนะ แต่มันเป็นการดูหมิ่นคนอเมริกัน แล้วสื่อกระป๋องสี ยี่ห้อยิว ก็ช่วยกันประโคมข่าว โดยมี Samuel Straus เป็นหัวหอก ออกนำล่ารายชื่อ ทำหนังสือกดดันไปถึงรัฐสภา ยอดเยี่ยมจริงๆ แต่ Taft ก็ยังไม่ยอมอ่อนอยู่ในมือยิวง่ายๆ เขาบอกว่า มีอเมริกันยิวอยู่ในรัสเซีย เพียง 28 คนเท่านั้น และมีคนอเมริกันยิว ที่ถูกรัสเซียปฏิเสธการเข้าเมืองแค่ 4 คน ใน 5 ปี! แต่พวกยิวก็ไม่ยอมเลิกรา เดินหน้าลุยไม่หยุด เหมือนต้องการทดสอบอำนาจของตัว แล้วก็เป็นเรื่องเหลือเชื่อ ว่าในที่สุด พวกยิวก็ทำสำเร็จ เป็น Schiff ที่ไปจูง Taft เดินมาที่ทางออก เขาบอก Taft ว่า ท่านก็แค่ลงชื่อในคำขอมติจากรัฐสภา ที่เหลือเป็นเรื่องของเรา แล้ววันที่ 13 ธันวาคม 1911 รัฐสภาก็เห็นชอบให้อเมริกาบอกเลิกสนธิสัญญากับรัสเซีย ด้วยคะแนนเสียง 301 ต่อ 1 เสียงค้าน และเมื่อเรื่องส่งถึงวุฒิสภา มีการแก้ไขเล็กน้อย และวุฒิสมาชิกก็ลงคะแนนเสียงเป็นเอกฉันท์ ในวันที่ 19 ธันวาคม1911 ให้ดำเนินการตามที่รัฐสภาเสนอ (ผมอ่านบทความนี้ แล้วก็แปลกใจมาก ว่า Taft ถูกบีบจากอะไร และบีบตรงไหน แต่ยังหาข้อมูลเพิ่มเติมไม่เจอ) รัสเซียถึงกับอึ้ง พูดไม่ออกกับการตัดสินใจของอเมริกา รัสเซียรู้ว่าเรื่องมาจากการผลักดันของพวกยิว แต่รัสเซียนึกไม่ถึงว่าอเมริกา “อยู่มือ” พวกยิวถึงขนาดนั้นแล้ว และการปฏิวัติรัสเซีย โดยพวกบอลเชวิก ที่นำโดยชาวยิว ก็เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์ดังกล่าวนั้นประมาณ 6 ปี หลังจากการทดสอบ แสดงให้เห็นว่า “ผ่าน” สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 7 มิ.ย. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 199 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้มข้ามศตวรรษ บทแถม ตอน ฤทธิ์ยิว 1 – 2
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทแถม
    “ฤทธิ์ยิว”

    (1)

    เรามักจะได้ยินการกล่าวถึงยิวในเชิงลบมากกว่าบวก สำหรับเราส่วนใหญ่ในแดนสยาม ชาวยิวที่เราพอคุ้นหู รุ่นแรกๆ คือ ไชล๊อก พ่อค้าชาวยิว ในหนังสือเรื่อง เวนิสวาณิช ซึ่งพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงแปลจาก The Merchant of Venice ของเชคสปียร์ เป็นหนังสืออ่านอยู่ในหลักสูตรก ระทรวงศึกษา สำหรับชั้นมัธยม เมื่อประมาณกว่า 60 ปีมาแล้ว ผมก็ต้องเรียน และจำได้ว่า จะมีคำพูดติดปากคนรุ่นผม เวลาใครเค็มจัด หรือเห็นแก่ตัว จะถูกเพื่อนด่า ว่า อย่ายิวนักซิโว้ย หรือมึงนี่มันไชล๊อกจริง แสดงว่านิสัยชาวยิวที่โด่งดังในสมัยเชคสปียร์ และในสายตาของชาวอังกฤษ รวมทั้งในบ้านเรา ที่รู้จักยิวน้อยมาก คงไม่ได้นึกถึงชาวยิวในทางบวก

    ยิวถูกกล่าวหาว่ามีบทบาทเกี่ยวกับสงคราม หรือความขัดแย้งในสังคมอยู่เรื่อย แน่นอนมันไม่ใช่บทบาททางสร้างสันติภาพ หรือประนีประนอม แต่มันไปในทางจุดชนวน หรือสร้างกำไร และหาประโยชน์เสียมากกว่า

    นักประวัติศาสตร์บางค่าย ถึงกับแจงว่า นิสัยทางลบนี้ของชาวยิว เป็นมาตั้งแต่สมัยยิวรุ่นแรกๆย้อนไปถึง โจเซฟ บุตรของ เจคอบ ที่ถูกขายเป็นทาสตั้งแต่สมัย ฟาโรห์ของ อียิปต์นั่นเชียว โจเซฟ ทำงานเข้าตานายทาส จนฟาโรห์เรียกไปใช้งาน ให้เป็นหัวหน้าทาส เมื่อเกิดข้าวยากหมากแพง อดอยากกันไปทั่วเมือง ชาวนาก็กระด้างกระเดื่องไม่ยอมทำนา จนกว่าจะมีอาหารมาให้กิน โจเซฟจึงจัดการแบบลูกโหด ใช้นโยบายเอาที่ดินกับปศุสัตว์ มาแลกกับอาหาร ชาวนาทนอดอยากไม่ไหว ยอมขายนา ขายสัตว์ราคาถูก แลกกับอาหาร แล้วโจเซฟก็เปลี่ยนสถานะ จากทาส เป็นคนรวย ด้วยนโยบาย ที่น่าจะเป็นต้นแบบของ “สร้างความรวยจากความหายนะของผู้อื่น”
    เวลาผ่านไป ชาวยิวยิ่งสร้างชื่อเสียงว่า เป็นผู้ถนัดสร้างความวุ่นวายทางการเมือง และเป็นนักฉวยโอกาส จนจักรพรรดิคลอดิอุสของโรมัน ออกประกาศว่า ชาวยิวจากเมืองอเล็กซานเดรีย เป็นต้นเชื้อแห่งความวุ่นวายที่ระบาดไปจนทั่วโลก และในที่สุด ก็ประกาศขับไล่ชาวยิวออกไปจากโรม แต่ชาวยิวก็ไปก่อความวุ่นวายในนครเยรูซาเลมต่อ ครั้งแล้วครั้งเล่า และแสดงอาการเป็นศัตรูกับโรมอย่างเปิดเผย โรมถึงกับด่าชาวยิวว่า เป็นเผ่าพันธ์ที่สร้างแต่ความจัญไรให้แก่ผู้อื่น (Quintilian, a race which is a curse to other) หรือเผ่าพันธ์ที่ถูกสาปแช่ง (Seneca, an accursed race)

    มาจนถึงสมัยยุคกลาง Middle Ages จนถึง ยุค เกิดใหม่ Renaissance ชื่อเสียงเชิงลบของชาวยิวก็ยังมีอยู่ต่อเนื่อง ในปี ค.ศ. 1770 บรรดานักปราชญ์ ชื่อดังของยุโรป ต่างออกมาให้ความเห็นเกี่ยวกับชาวยืว Baron d’Holbach (นักปราชญ์ และนักเขียน ชาวฝรั่งเศส/เยอรมัน) กล่าวว่า ชาวยิวสร้างตนเองขึ้นมาจากการฆ่าฟัน จากความอยุติธรรม ความโหดร้าย ความเอาเปรียบ และความอดอยากของผู้อื่น ส่วน Voltaire (นักปราชญ์ชาวฝรั่งเศส) บอกว่า เขาจะไม่เแปลกใจเลยว่า คนพวกนี้ วันหนึ่งจะเป็นเผ่าพันธ์ที่อันตรายยิ่งต่อมนุษยชาติ ส่วน Immanuel Kant (นักปราชญ์ชาวเยอรมัน) บอกว่า ชาวยิว เป็นชาติพันธุ์แห่งการหลอกลวง

    และจากข้อสังเกต หรือความเห็น ของผู้ที่ทำการศึกษาเกี่ยวกับชาวยิว ส่วนใหญ่ก็สรุปไปในทำนองเดียวกันว่า เป็นศตวรรษมาแล้ว ที่ชาวยิววุ่นวายอยู่กับการทำสงคราม การก่อความขัดแย้งทางสังคม การสร้างความกดดันทางเศรษฐกิจ และทำกำไร จากสิ่งเหล่านั้น

    ####################
    “ฤทธิ์ยิว”

    (2)
    ดูจากจำนวนชาวยิวที่กระจายอยู่ตามประเทศต่างๆ ซึ่งจะว่าไป มีจำนวนน้อยมาก พวกเขาน่าจะเป็นพวกที่ถูกเอาเปรียบมากกว่า แต่ดูเหมือนเรื่องมันจะกลับตาลปัตร ชาวยิวแสดงให้เห็นฤทธิ์เดชของพวกเขา ในการสร้างความวุ่นวายแก่สังคม เพื่อให้เกิดประโยชน์กับพวกตนได้อย่างมหัศจรรย์

    ฤทธิ์เดชของชาวยิว ที่เข้ามามีส่วนสร้างสงครามโลกทั้ง 2 ครั้ง มีบันทึกให้เห็นอยู่ในประวัติศาสตร์ เริ่มตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 18 เป็นต้นมา ยิวเริ่มเข้ามามีอิทธิพลในรัฐบาลอเมริกัน ปี ค.ศ. 1845 ยิวรุ่นแรก ที่เข้ามาอยู่ในสภาสูงของอเมริกา คือ Levis Levin และ David Yulee ปี 1887 Washington Barlette ได้เป็นผู้ว่าการรัฐ คาลิฟอร์เนีย และปี 1889 Solomon Hirsch เป็นยิวคนแรก ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นทูตของอเมริกา ไปประจำอยู่ที่อาณาจักรออตโตมาน โดยประธานาธิบดี Harrison

    ในส่วนอื่นของโลก เช่นที่รัสเซีย ยิวเป็นผู้เร่งอุณภูมิในรัสเซียให้สูงขี้นอย่างมาก จากการที่พวกก่อความวุ่นวาย ซึ่งมีชาวยิวร่วมด้วย 2,3 คน ลอบปลงพระชนม์พระเจ้าซาร์ Alexander ที่ 2 สำเร็จ ในปี ค.ศ.1881 และเหตุการณ์นี้ ทำให้ชาวยิวถูกล้างแค้น โดนลอบสังหารเป็นประจำ ต่อเนื่องอีกเป็นสิบปี และมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ และปี 1882 รัสเซียก็ออกกฏหมายที่เรียกว่า May Law of 1883 ห้ามชาวยิวอาศัยอยู่ และทำธุรกิจในบริเวณที่เรียกว่า Pale of Settlement พวกยิวจึงเริ่มอพยพออกจากรัสเซีย หนีกฏ Pale มุ่งหน้าไปเยอรมัน เป็นที่หมายแรก

    ก่อนหน้าที่พวกชาวยิว ที่สร้างความปั่นป่วนในรัสเซีย จะมุ่งหน้ามาเยอรมัน ชาวยิวที่อยู่ในเยอรมันเอง ก็มีอิทธิพลในเยอรมันไม่น้อยแล้ว Richard Wagner ผู้ประพันธ์เพลงอมตะ ของเยอรมันยังออกปากว่า หนังสือพิมพ์ในเยอรมันอยู่ในมือชาวยิวเกือบหมดแล้ว นอกจากนี้ ยังเป็นที่พูดกันว่า ทุกวันนี้ พวกยิวกลายเป็นผู้กำหนดทิศทางของสังคมและการเมืองในเยอรมันไปแล้ว ช่วงปลาย ค.ศ.1800 ถึง ต้น 1900 ดูเหมือนชาวยิวจะมีอิทธิพลเพิ่มขึ้นอีก จำนวนยิวที่เป็นกรรมการในบริษัทใหญ่ๆ หรืออยู่ในตำแหน่งบริหาร มีถึง 24% ในขณะที่ชาวยิวมีไม่เกิน 2 % ของจำนวนพลเมืองของเยอรมันทั้งหมด
    แต่ที่สำคัญที่สุด คือการกำเนิด ของกลุ่มไซออนนิสม์ Zionism ซึ่ง Theodor Herzl เป็นผู้ก่อตั้งอย่างเป็นทางการ เมื่อ ค.ศ.1897 หลักการพื้นฐานของ ไซออนนิสม์ ที่เขาเขียนไว้ในหนังสือ Der Judenstaat (The Jewish State) สรุปคร่าวๆความคิดของเขา ที่บอกว่า ชาวยิวไม่มีวันพ้นจากการถูกข่มเหง ตราบใดที่ยังมีสถานะเป็นคนต่างชาติอยู่ในทุกๆแห่ง ดังนั้น ยิวจึงจำเป็นต้องมีรัฐของตนเอง พวกเขาหารือถึงสถานที่ต่างๆแต่ไม่ลงตัว จนเมื่อมีการประชุม World Zionist Organization ครั้งแรก เมื่อปี ค.ศ.1897 ก็ได้ข้อยุติว่า มันควรเป็น Palestine

    แต่มันมีปัญหาว่า บริเวณดังกล่าวอยู่ในอาณัติของอาณาจักรออตโตมาน และประชากรที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในบริเวณนั้น ส่วนใหญ่เป็นมุสลิม และคริสเตียนอาหรับ ถึงกระนั้นพวกไซออนนิสต์ก็ตั้งใจว่า พวกเขาจะไปปักหลักที่นั่น ยึดปาเลสไตน์มาจากออตโตมานให้ได้ไม่ว่าด้วยวิธีใด ก็วิธีหนึ่ง มันดูเหมือนเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เอาเลย แต่พวกเขาก็มุ่งมั่นจนน่าตกใจ

    พวกเขาคิดว่า ทางเดียวที่จะทำให้มันเป็นไปได้ ก็โดยต้องใช้กำลังเท่านั้น และมันต้องใช้ผ่านสถานการณ์ที่เป็นวิกฤติ เช่น ผ่านการทำสงคราม ซึ่งจะทำให้พวกเขามีโอกาสชักใย สร้างความได้เปรียบ และนั่นเป็นต้นกำเนิดของหลักการ สร้างกำไรจากความหายนะ ” profit through distress” มันจะทำได้จากทั้งภายใน และภายนอกประเทศ ในประเทศที่มีชาวยิวมากพอ แต่มีอำนาจรัฐน้อย พวกเขาคิดใช้วิธีปลุกระดม สร้างความวุ่นวายภายในประเทศ และสำหรับประเทศที่พวกเขามีอำนาจ เขาจะใช้อำนาจนั้นสร้างความร่ำรวย และใช้ความร่ำรวยนั้น ไปกำหนดนโยบายของประเทศ ส่วนในประเทศที่พวกเขาไม่มีทั้งจำนวนประชาชน และไม่มีอำนาจ เขาก็จะใช้อำนาจจากภายนอก มากดดันให้ได้การสนับสนุนเพื่อวัตถุประสงค์ของพวกเขา

    พวกไซออนนิสต์เอาจริงกับยุทธศาสตร์ ป่วนข้างใน/ ปั่นข้างนอก internal/extentnal ตามคำพูดของ Herzl ที่เขียนไว้เองว่า

    ” When we sink, we become a revolutionary proletariat, the subordinate officers of the revolutionary party; when we rise, there rises also our terrible power of purse”
    เมื่อเราล่ม เราจะกลายเป็นกรรมกรผู้ปฏิวัติ ผู้สนับสนุนของพรรคปฏิวัติ
    เมื่อเรารุ่ง เงินในกระเป๋าของเรา ก็จะแสดงอำนาจอันร้ายกาจออกมาด้วย

    อันที่จริง Herzl ได้คาดการณ์ไว้ด้วยซ้ำว่า จะต้องเกิดสงครามโลก ไซออนนิสต์รุ่นแรก Litman Rosenthal เขียนไว้ในบันทึกของเขา เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 1914 ว่า เขาจำได้ถึงการสนทนากับ Herzl เมื่อปี ค.ศ. 1897 ซึ่งเขาอ้างว่า Herzl พูดว่า:

    “ตุรกีอาจปฏิเสธ หรือไม่ยอมเข้าใจเรา เราจะต้องไม่ถอดใจ เราจะต้องหาทางที่จะได้ตามที่เราต้องการ ไม่ช้าก็เร็ว จะต้องมีความขัดแย้งระหว่างประเทศ สงครามในยุโรปจะต้องเกิดขึ้นแน่นอน ผมจะถือนาฬิกาคอยดูเวลาหายนะนั้น หลังจากสงครามจบสิ้น การประชุมเพื่อสันติภาพจะต้องเกิดขึ้น เราจะต้องเตรียมพร้อมสำหรับเวลานั้น เราจะต้องทำให้เขาเขิญเราเข้าไปร่วมการประชุมกับประเทศต่างๆ และเราจะต้องพิสูจน์ ให้เขาเห็นถึงทางออกที่สำคัญเร่งด่วน ของพวกไซออนนิสต์ ที่เขาจะต้องตอบกับชาวยิว”

    พวกยิวเอาจริงกับการดำเนินการตามแผนข้างต้น พวกเขาเดินหน้าเรื่องการปฏิวัติในรัสเซีย เพื่อโค่นล้มรัฐบาลที่เขาเกลียดชัง และพยายามที่จะก่อความวุ่นวายในออตโตมานด้วย ส่วนในเยอรมัน ในอังกฤษ และ อเมริกา พวกเขาใช้อำนาจเงินอันร้ายกาจในกระเป๋า อย่างเต็มที่ เพื่อที่จะให้มีการนำทางไปสู่นโยบาย ที่จะต้องมีจัดการระเบียบของโลกเสียใหม่ ที่เป็นประโยชน์กับพวกเขา พวกเขาพยายามตัดตอนพวกที่คัดค้าน ขวางทางพวกเขา แต่ให้การสนับสนุน พวกที่เห็นด้วยกับแนวทางของพวกเขา พร้อมกับเพิ่มความมั่งคั่งให้พวกยิวด้วยกัน

    ทั้งหมดนี้เพื่อเป็นแนวทางที่จะนำไปสู่การจัดตั้ง รัฐปาเลสไตน์ ที่จะเป็นศูนย์กลางของยิวทั่วโลก

    การปฏิวัติ และสงคราม จึงเป็นภาระกิจเร่งด่วน อันดับแรกของพวกเขา

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    6 มิ.ย. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ บทแถม ตอน ฤทธิ์ยิว 1 – 2 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทแถม “ฤทธิ์ยิว” (1) เรามักจะได้ยินการกล่าวถึงยิวในเชิงลบมากกว่าบวก สำหรับเราส่วนใหญ่ในแดนสยาม ชาวยิวที่เราพอคุ้นหู รุ่นแรกๆ คือ ไชล๊อก พ่อค้าชาวยิว ในหนังสือเรื่อง เวนิสวาณิช ซึ่งพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงแปลจาก The Merchant of Venice ของเชคสปียร์ เป็นหนังสืออ่านอยู่ในหลักสูตรก ระทรวงศึกษา สำหรับชั้นมัธยม เมื่อประมาณกว่า 60 ปีมาแล้ว ผมก็ต้องเรียน และจำได้ว่า จะมีคำพูดติดปากคนรุ่นผม เวลาใครเค็มจัด หรือเห็นแก่ตัว จะถูกเพื่อนด่า ว่า อย่ายิวนักซิโว้ย หรือมึงนี่มันไชล๊อกจริง แสดงว่านิสัยชาวยิวที่โด่งดังในสมัยเชคสปียร์ และในสายตาของชาวอังกฤษ รวมทั้งในบ้านเรา ที่รู้จักยิวน้อยมาก คงไม่ได้นึกถึงชาวยิวในทางบวก ยิวถูกกล่าวหาว่ามีบทบาทเกี่ยวกับสงคราม หรือความขัดแย้งในสังคมอยู่เรื่อย แน่นอนมันไม่ใช่บทบาททางสร้างสันติภาพ หรือประนีประนอม แต่มันไปในทางจุดชนวน หรือสร้างกำไร และหาประโยชน์เสียมากกว่า นักประวัติศาสตร์บางค่าย ถึงกับแจงว่า นิสัยทางลบนี้ของชาวยิว เป็นมาตั้งแต่สมัยยิวรุ่นแรกๆย้อนไปถึง โจเซฟ บุตรของ เจคอบ ที่ถูกขายเป็นทาสตั้งแต่สมัย ฟาโรห์ของ อียิปต์นั่นเชียว โจเซฟ ทำงานเข้าตานายทาส จนฟาโรห์เรียกไปใช้งาน ให้เป็นหัวหน้าทาส เมื่อเกิดข้าวยากหมากแพง อดอยากกันไปทั่วเมือง ชาวนาก็กระด้างกระเดื่องไม่ยอมทำนา จนกว่าจะมีอาหารมาให้กิน โจเซฟจึงจัดการแบบลูกโหด ใช้นโยบายเอาที่ดินกับปศุสัตว์ มาแลกกับอาหาร ชาวนาทนอดอยากไม่ไหว ยอมขายนา ขายสัตว์ราคาถูก แลกกับอาหาร แล้วโจเซฟก็เปลี่ยนสถานะ จากทาส เป็นคนรวย ด้วยนโยบาย ที่น่าจะเป็นต้นแบบของ “สร้างความรวยจากความหายนะของผู้อื่น” เวลาผ่านไป ชาวยิวยิ่งสร้างชื่อเสียงว่า เป็นผู้ถนัดสร้างความวุ่นวายทางการเมือง และเป็นนักฉวยโอกาส จนจักรพรรดิคลอดิอุสของโรมัน ออกประกาศว่า ชาวยิวจากเมืองอเล็กซานเดรีย เป็นต้นเชื้อแห่งความวุ่นวายที่ระบาดไปจนทั่วโลก และในที่สุด ก็ประกาศขับไล่ชาวยิวออกไปจากโรม แต่ชาวยิวก็ไปก่อความวุ่นวายในนครเยรูซาเลมต่อ ครั้งแล้วครั้งเล่า และแสดงอาการเป็นศัตรูกับโรมอย่างเปิดเผย โรมถึงกับด่าชาวยิวว่า เป็นเผ่าพันธ์ที่สร้างแต่ความจัญไรให้แก่ผู้อื่น (Quintilian, a race which is a curse to other) หรือเผ่าพันธ์ที่ถูกสาปแช่ง (Seneca, an accursed race) มาจนถึงสมัยยุคกลาง Middle Ages จนถึง ยุค เกิดใหม่ Renaissance ชื่อเสียงเชิงลบของชาวยิวก็ยังมีอยู่ต่อเนื่อง ในปี ค.ศ. 1770 บรรดานักปราชญ์ ชื่อดังของยุโรป ต่างออกมาให้ความเห็นเกี่ยวกับชาวยืว Baron d’Holbach (นักปราชญ์ และนักเขียน ชาวฝรั่งเศส/เยอรมัน) กล่าวว่า ชาวยิวสร้างตนเองขึ้นมาจากการฆ่าฟัน จากความอยุติธรรม ความโหดร้าย ความเอาเปรียบ และความอดอยากของผู้อื่น ส่วน Voltaire (นักปราชญ์ชาวฝรั่งเศส) บอกว่า เขาจะไม่เแปลกใจเลยว่า คนพวกนี้ วันหนึ่งจะเป็นเผ่าพันธ์ที่อันตรายยิ่งต่อมนุษยชาติ ส่วน Immanuel Kant (นักปราชญ์ชาวเยอรมัน) บอกว่า ชาวยิว เป็นชาติพันธุ์แห่งการหลอกลวง และจากข้อสังเกต หรือความเห็น ของผู้ที่ทำการศึกษาเกี่ยวกับชาวยิว ส่วนใหญ่ก็สรุปไปในทำนองเดียวกันว่า เป็นศตวรรษมาแล้ว ที่ชาวยิววุ่นวายอยู่กับการทำสงคราม การก่อความขัดแย้งทางสังคม การสร้างความกดดันทางเศรษฐกิจ และทำกำไร จากสิ่งเหล่านั้น #################### “ฤทธิ์ยิว” (2) ดูจากจำนวนชาวยิวที่กระจายอยู่ตามประเทศต่างๆ ซึ่งจะว่าไป มีจำนวนน้อยมาก พวกเขาน่าจะเป็นพวกที่ถูกเอาเปรียบมากกว่า แต่ดูเหมือนเรื่องมันจะกลับตาลปัตร ชาวยิวแสดงให้เห็นฤทธิ์เดชของพวกเขา ในการสร้างความวุ่นวายแก่สังคม เพื่อให้เกิดประโยชน์กับพวกตนได้อย่างมหัศจรรย์ ฤทธิ์เดชของชาวยิว ที่เข้ามามีส่วนสร้างสงครามโลกทั้ง 2 ครั้ง มีบันทึกให้เห็นอยู่ในประวัติศาสตร์ เริ่มตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 18 เป็นต้นมา ยิวเริ่มเข้ามามีอิทธิพลในรัฐบาลอเมริกัน ปี ค.ศ. 1845 ยิวรุ่นแรก ที่เข้ามาอยู่ในสภาสูงของอเมริกา คือ Levis Levin และ David Yulee ปี 1887 Washington Barlette ได้เป็นผู้ว่าการรัฐ คาลิฟอร์เนีย และปี 1889 Solomon Hirsch เป็นยิวคนแรก ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นทูตของอเมริกา ไปประจำอยู่ที่อาณาจักรออตโตมาน โดยประธานาธิบดี Harrison ในส่วนอื่นของโลก เช่นที่รัสเซีย ยิวเป็นผู้เร่งอุณภูมิในรัสเซียให้สูงขี้นอย่างมาก จากการที่พวกก่อความวุ่นวาย ซึ่งมีชาวยิวร่วมด้วย 2,3 คน ลอบปลงพระชนม์พระเจ้าซาร์ Alexander ที่ 2 สำเร็จ ในปี ค.ศ.1881 และเหตุการณ์นี้ ทำให้ชาวยิวถูกล้างแค้น โดนลอบสังหารเป็นประจำ ต่อเนื่องอีกเป็นสิบปี และมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ และปี 1882 รัสเซียก็ออกกฏหมายที่เรียกว่า May Law of 1883 ห้ามชาวยิวอาศัยอยู่ และทำธุรกิจในบริเวณที่เรียกว่า Pale of Settlement พวกยิวจึงเริ่มอพยพออกจากรัสเซีย หนีกฏ Pale มุ่งหน้าไปเยอรมัน เป็นที่หมายแรก ก่อนหน้าที่พวกชาวยิว ที่สร้างความปั่นป่วนในรัสเซีย จะมุ่งหน้ามาเยอรมัน ชาวยิวที่อยู่ในเยอรมันเอง ก็มีอิทธิพลในเยอรมันไม่น้อยแล้ว Richard Wagner ผู้ประพันธ์เพลงอมตะ ของเยอรมันยังออกปากว่า หนังสือพิมพ์ในเยอรมันอยู่ในมือชาวยิวเกือบหมดแล้ว นอกจากนี้ ยังเป็นที่พูดกันว่า ทุกวันนี้ พวกยิวกลายเป็นผู้กำหนดทิศทางของสังคมและการเมืองในเยอรมันไปแล้ว ช่วงปลาย ค.ศ.1800 ถึง ต้น 1900 ดูเหมือนชาวยิวจะมีอิทธิพลเพิ่มขึ้นอีก จำนวนยิวที่เป็นกรรมการในบริษัทใหญ่ๆ หรืออยู่ในตำแหน่งบริหาร มีถึง 24% ในขณะที่ชาวยิวมีไม่เกิน 2 % ของจำนวนพลเมืองของเยอรมันทั้งหมด แต่ที่สำคัญที่สุด คือการกำเนิด ของกลุ่มไซออนนิสม์ Zionism ซึ่ง Theodor Herzl เป็นผู้ก่อตั้งอย่างเป็นทางการ เมื่อ ค.ศ.1897 หลักการพื้นฐานของ ไซออนนิสม์ ที่เขาเขียนไว้ในหนังสือ Der Judenstaat (The Jewish State) สรุปคร่าวๆความคิดของเขา ที่บอกว่า ชาวยิวไม่มีวันพ้นจากการถูกข่มเหง ตราบใดที่ยังมีสถานะเป็นคนต่างชาติอยู่ในทุกๆแห่ง ดังนั้น ยิวจึงจำเป็นต้องมีรัฐของตนเอง พวกเขาหารือถึงสถานที่ต่างๆแต่ไม่ลงตัว จนเมื่อมีการประชุม World Zionist Organization ครั้งแรก เมื่อปี ค.ศ.1897 ก็ได้ข้อยุติว่า มันควรเป็น Palestine แต่มันมีปัญหาว่า บริเวณดังกล่าวอยู่ในอาณัติของอาณาจักรออตโตมาน และประชากรที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในบริเวณนั้น ส่วนใหญ่เป็นมุสลิม และคริสเตียนอาหรับ ถึงกระนั้นพวกไซออนนิสต์ก็ตั้งใจว่า พวกเขาจะไปปักหลักที่นั่น ยึดปาเลสไตน์มาจากออตโตมานให้ได้ไม่ว่าด้วยวิธีใด ก็วิธีหนึ่ง มันดูเหมือนเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เอาเลย แต่พวกเขาก็มุ่งมั่นจนน่าตกใจ พวกเขาคิดว่า ทางเดียวที่จะทำให้มันเป็นไปได้ ก็โดยต้องใช้กำลังเท่านั้น และมันต้องใช้ผ่านสถานการณ์ที่เป็นวิกฤติ เช่น ผ่านการทำสงคราม ซึ่งจะทำให้พวกเขามีโอกาสชักใย สร้างความได้เปรียบ และนั่นเป็นต้นกำเนิดของหลักการ สร้างกำไรจากความหายนะ ” profit through distress” มันจะทำได้จากทั้งภายใน และภายนอกประเทศ ในประเทศที่มีชาวยิวมากพอ แต่มีอำนาจรัฐน้อย พวกเขาคิดใช้วิธีปลุกระดม สร้างความวุ่นวายภายในประเทศ และสำหรับประเทศที่พวกเขามีอำนาจ เขาจะใช้อำนาจนั้นสร้างความร่ำรวย และใช้ความร่ำรวยนั้น ไปกำหนดนโยบายของประเทศ ส่วนในประเทศที่พวกเขาไม่มีทั้งจำนวนประชาชน และไม่มีอำนาจ เขาก็จะใช้อำนาจจากภายนอก มากดดันให้ได้การสนับสนุนเพื่อวัตถุประสงค์ของพวกเขา พวกไซออนนิสต์เอาจริงกับยุทธศาสตร์ ป่วนข้างใน/ ปั่นข้างนอก internal/extentnal ตามคำพูดของ Herzl ที่เขียนไว้เองว่า ” When we sink, we become a revolutionary proletariat, the subordinate officers of the revolutionary party; when we rise, there rises also our terrible power of purse” เมื่อเราล่ม เราจะกลายเป็นกรรมกรผู้ปฏิวัติ ผู้สนับสนุนของพรรคปฏิวัติ เมื่อเรารุ่ง เงินในกระเป๋าของเรา ก็จะแสดงอำนาจอันร้ายกาจออกมาด้วย อันที่จริง Herzl ได้คาดการณ์ไว้ด้วยซ้ำว่า จะต้องเกิดสงครามโลก ไซออนนิสต์รุ่นแรก Litman Rosenthal เขียนไว้ในบันทึกของเขา เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 1914 ว่า เขาจำได้ถึงการสนทนากับ Herzl เมื่อปี ค.ศ. 1897 ซึ่งเขาอ้างว่า Herzl พูดว่า: “ตุรกีอาจปฏิเสธ หรือไม่ยอมเข้าใจเรา เราจะต้องไม่ถอดใจ เราจะต้องหาทางที่จะได้ตามที่เราต้องการ ไม่ช้าก็เร็ว จะต้องมีความขัดแย้งระหว่างประเทศ สงครามในยุโรปจะต้องเกิดขึ้นแน่นอน ผมจะถือนาฬิกาคอยดูเวลาหายนะนั้น หลังจากสงครามจบสิ้น การประชุมเพื่อสันติภาพจะต้องเกิดขึ้น เราจะต้องเตรียมพร้อมสำหรับเวลานั้น เราจะต้องทำให้เขาเขิญเราเข้าไปร่วมการประชุมกับประเทศต่างๆ และเราจะต้องพิสูจน์ ให้เขาเห็นถึงทางออกที่สำคัญเร่งด่วน ของพวกไซออนนิสต์ ที่เขาจะต้องตอบกับชาวยิว” พวกยิวเอาจริงกับการดำเนินการตามแผนข้างต้น พวกเขาเดินหน้าเรื่องการปฏิวัติในรัสเซีย เพื่อโค่นล้มรัฐบาลที่เขาเกลียดชัง และพยายามที่จะก่อความวุ่นวายในออตโตมานด้วย ส่วนในเยอรมัน ในอังกฤษ และ อเมริกา พวกเขาใช้อำนาจเงินอันร้ายกาจในกระเป๋า อย่างเต็มที่ เพื่อที่จะให้มีการนำทางไปสู่นโยบาย ที่จะต้องมีจัดการระเบียบของโลกเสียใหม่ ที่เป็นประโยชน์กับพวกเขา พวกเขาพยายามตัดตอนพวกที่คัดค้าน ขวางทางพวกเขา แต่ให้การสนับสนุน พวกที่เห็นด้วยกับแนวทางของพวกเขา พร้อมกับเพิ่มความมั่งคั่งให้พวกยิวด้วยกัน ทั้งหมดนี้เพื่อเป็นแนวทางที่จะนำไปสู่การจัดตั้ง รัฐปาเลสไตน์ ที่จะเป็นศูนย์กลางของยิวทั่วโลก การปฏิวัติ และสงคราม จึงเป็นภาระกิจเร่งด่วน อันดับแรกของพวกเขา สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 6 มิ.ย. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 243 มุมมอง 0 รีวิว
  • เขมรไว้ใจไม่ได้,นักการเมืองไทยไว้ใจไม่ได้,ทหารไทยแบบสไตล์บิ๊กกุ้งท่านมีอำนาจในมือในปัจจุบัน,ทางออกของชาติ หนทางเดียวคือท่านต้องประกาศกฎอัยการศึกทั่วประเทศไทยก่อน ส่วนอื่นๆจะตามมาเอง,1-2เดือนแรก,อายัดเงินเทาๆทั้งหมดสบายทันที.

    ..นี้คือการยิง การวางระเบิดคือการยิง.
    ..คนเขมรต้องออกจากแผ่นดินไทยทันทีทั้งหมด,มรึงต้องไปจัดการคนของมรึงแบบฮุนเซนเอง.
    ..เราอย่าให้มันอาศัยประเทศไทยอยู่ทุกๆตัว ใช้คนของมันกดดันมันเอง ต้องผลักดันออกไปจากประเทศไทยทั้งหมด,ต้องตั้งข้อสมุติฐานจริงก่อนว่า ประชาชนเขมรสนับสนุนรัฐบาลเขมรทำสงครามใส่ไทยยิงระเบิดใส่คนไทย วางระเบิดหมายฆ่าคนไทยชัดเจนร่วมกันไว้ก่อน.

    ..แผ่นดินไทยต้องมาก่อน รัฐบาลเปลี่ยนได้ แต่แผ่นดินไทยหาใหม่เปลี่ยนใหม่ไม่ได้ ยึดอำนาจคือคำตอบที่ถูกต้อง.

    https://youtube.com/watch?v=HiIRz7YaJQA&si=iqzzp7NptLXUOpo0
    เขมรไว้ใจไม่ได้,นักการเมืองไทยไว้ใจไม่ได้,ทหารไทยแบบสไตล์บิ๊กกุ้งท่านมีอำนาจในมือในปัจจุบัน,ทางออกของชาติ หนทางเดียวคือท่านต้องประกาศกฎอัยการศึกทั่วประเทศไทยก่อน ส่วนอื่นๆจะตามมาเอง,1-2เดือนแรก,อายัดเงินเทาๆทั้งหมดสบายทันที. ..นี้คือการยิง การวางระเบิดคือการยิง. ..คนเขมรต้องออกจากแผ่นดินไทยทันทีทั้งหมด,มรึงต้องไปจัดการคนของมรึงแบบฮุนเซนเอง. ..เราอย่าให้มันอาศัยประเทศไทยอยู่ทุกๆตัว ใช้คนของมันกดดันมันเอง ต้องผลักดันออกไปจากประเทศไทยทั้งหมด,ต้องตั้งข้อสมุติฐานจริงก่อนว่า ประชาชนเขมรสนับสนุนรัฐบาลเขมรทำสงครามใส่ไทยยิงระเบิดใส่คนไทย วางระเบิดหมายฆ่าคนไทยชัดเจนร่วมกันไว้ก่อน. ..แผ่นดินไทยต้องมาก่อน รัฐบาลเปลี่ยนได้ แต่แผ่นดินไทยหาใหม่เปลี่ยนใหม่ไม่ได้ ยึดอำนาจคือคำตอบที่ถูกต้อง. https://youtube.com/watch?v=HiIRz7YaJQA&si=iqzzp7NptLXUOpo0
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 67 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..ความผิดสำเร็จแล้ว เอาพวกมันเดอะแก๊งมันมาประหารอย่างจริงจังให้หมด,ไม่สามารถละเว้นโทษประหารได้,ศัตรูของชาติเรากลางสนามรบชัดเจน,ต้องการเห็นพวกนี้ถูกลงโทษอย่างจริงจังเป็นเป็นเยี่ยงอย่างเสียที,ขายชาติทำชั่วทำเลวกับชาติจนเคยตัว,ลุแก่อำนาจตนเองว่าใหญ่โต ,ประชาชนเราตายคาสนามรบ นอกแนวรบ ใน7/11นะ มรึงมาสั่งหยุด ให้เขมรโจมตีไทย นี้คือคนทรยศต่ออธิปไตยไทยชัดเจนหากกองทัพไทยไม่มีปัญญาความสามารถเอาคนชั่วเลวนี้มาประหารได้ จงยุบสถานะตัวไปเถอะ,เรา..ประชาชนจะล้างระบบเอง,แล้วตั้งใหม่หมด,เอาบิ๊กกุ้งและลูกน้องบวกเครือข่ายคนสนิทท่านมาบังคับบัญชาบริหารจัดการภาคปกป้องแผ่นดินไทยประเทศใหม่,เป็นกระทรวงสังหารศัตรูชาติไทยก็ว่า,หรือกระทรวงสงครามไทยเลยก็ว่า,ล้างอำนาจอิทธิพลเก่าทั้งหมดไปในตัว,โละทหารบัดสบเหี้ยๆออกไปอัตโนมัติเลย.

    ..กองทัพไทย ผบ.ทบ.และผบ.สส.ท่านต้องจัดการเรื่องนี้ขั้นเด็ดขาด นี้คือแผ่นดินไทยจะมาทำล่อเล่นไม่ได้ ประชาชนเราตายจริงและตายเกือบหมดครอบครัว ตลอดทหารหาญที่เสียชีวิตพิการบาดเจ็บเป็นอันมากจากผลการทรยศขายชาติของไอ้สาระเลวชั่วพวกนี้.

    https://youtu.be/2LRRScF1VdM?si=2le9OLVzP9VsIYAa
    ..ความผิดสำเร็จแล้ว เอาพวกมันเดอะแก๊งมันมาประหารอย่างจริงจังให้หมด,ไม่สามารถละเว้นโทษประหารได้,ศัตรูของชาติเรากลางสนามรบชัดเจน,ต้องการเห็นพวกนี้ถูกลงโทษอย่างจริงจังเป็นเป็นเยี่ยงอย่างเสียที,ขายชาติทำชั่วทำเลวกับชาติจนเคยตัว,ลุแก่อำนาจตนเองว่าใหญ่โต ,ประชาชนเราตายคาสนามรบ นอกแนวรบ ใน7/11นะ มรึงมาสั่งหยุด ให้เขมรโจมตีไทย นี้คือคนทรยศต่ออธิปไตยไทยชัดเจนหากกองทัพไทยไม่มีปัญญาความสามารถเอาคนชั่วเลวนี้มาประหารได้ จงยุบสถานะตัวไปเถอะ,เรา..ประชาชนจะล้างระบบเอง,แล้วตั้งใหม่หมด,เอาบิ๊กกุ้งและลูกน้องบวกเครือข่ายคนสนิทท่านมาบังคับบัญชาบริหารจัดการภาคปกป้องแผ่นดินไทยประเทศใหม่,เป็นกระทรวงสังหารศัตรูชาติไทยก็ว่า,หรือกระทรวงสงครามไทยเลยก็ว่า,ล้างอำนาจอิทธิพลเก่าทั้งหมดไปในตัว,โละทหารบัดสบเหี้ยๆออกไปอัตโนมัติเลย. ..กองทัพไทย ผบ.ทบ.และผบ.สส.ท่านต้องจัดการเรื่องนี้ขั้นเด็ดขาด นี้คือแผ่นดินไทยจะมาทำล่อเล่นไม่ได้ ประชาชนเราตายจริงและตายเกือบหมดครอบครัว ตลอดทหารหาญที่เสียชีวิตพิการบาดเจ็บเป็นอันมากจากผลการทรยศขายชาติของไอ้สาระเลวชั่วพวกนี้. https://youtu.be/2LRRScF1VdM?si=2le9OLVzP9VsIYAa
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 102 มุมมอง 0 รีวิว
  • เบอร์ลินเตรียมพร้อมสำหรับทำสงครามกับมอสโก และพร้อมอำนวยความสะดวกส่งกองกำลังนาโต 800,00 นาย มุ่งหน้าสู่ชายแดนรัสเซีย จากการเปิดเผยของ พลโทอเล็กซานเดอร์ ซอลล์แฟรงค์ ผู้บัญชาการปฏิบัติการร่วมของเยอรมนี
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000107130

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire

    เบอร์ลินเตรียมพร้อมสำหรับทำสงครามกับมอสโก และพร้อมอำนวยความสะดวกส่งกองกำลังนาโต 800,00 นาย มุ่งหน้าสู่ชายแดนรัสเซีย จากการเปิดเผยของ พลโทอเล็กซานเดอร์ ซอลล์แฟรงค์ ผู้บัญชาการปฏิบัติการร่วมของเยอรมนี . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000107130 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 346 มุมมอง 0 รีวิว
  • ซามูไรแบกถาด ตอนที่ 5
    “ซามูไรแบกถาด”

    ตอน 5 (จบ)

    นายอาเบะ ได้รับเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นสมัยที่ 2 ในเดือนธันวาคม 2012 เขามาจากครอบครัวนักการเมืองขนานแท้ดั้งเดิม ท้ังพ่อและปู่เป็นนักการเมืองท้องถิ่น ส่วนแม่ของอาเบะ เป็นลูกสาวของนักการเมืองชื่อดังระดับประเทศ นาย Nobusuke Kishi อดีตนายกรัฐมนตรี ในช่วง 1957-1960 ซึ่งเคยเป็นรัฐมนตรี ตั้งแต่สมัยนายพลโตโจที่นำการรบ สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 นาย Kishi เป็นผู้ต้ังพรรค Democratic Party ต่อมาพรรคนี้ไปรวมกับพรรค Liberty ของอดีตนายกรัฐมนตรี Shigaru Yoshida พรรคขวาจัด ชาตินิยม และเปลี่ยนชื่อเป็นพรรค LDP ซึ่งครองอำนาจในญี่ปุ่นอย่างยาวนาน

    นายอาเบะ นี่ เคยไปเรียนหนังสือที่ University of Southern California แต่ไม่จบ กลับมาทำงานการเมืองในญี่ปุ่นต่อ เขานับเป็นลูกหม้อของพรรค LDP ถูกวางตัวให้เป็นดาราดาวรุ่ง ในที่สุดก็ได้เป็นนายกรัฐมนตรีสมใจคนดันในช่วงปี 2005-2006 เขาดูเหมือนนิยมตะวันตก และมีจุดยืนที่แข็งกร้าวกับเกาหลีเหนือมาตลอด โดยพยายามหาทางคว่ำบาตรเกาหลีเหนือผ่านสหประชาติ และเมื่อตอนหาเสียงเลือกต้ังในปี ค.ศ.2012 เขาชูประเด็นเรื่องข้อพิพาทกับจีน และการขึ้นมาของจีนแทนที่ญี่ปุ่น ในเรื่องการเติบโตของเศรษฐกิจและการค้าในเอเซีย

    นับว่า สุดกร่าง CFR มีสายตายาวไกล และลึกซึ้ง การเลือกไพ่แต่ละใบของนักล่าใบตองแห้ง ดูเหมือนจะมีรูปแบบที่ชัดเจนพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นการเปิดบ่อน หรือสร้างรังโจรที่ประเทศใด ไม่ว่าจะหัวนอก หรือหัวใน ต้องพร้อมรับใช้จนสุดทาง และสุดตัว
    คงจำกันได้ว่า CFR นั้นเป็นผลผลิตของกลุ่มอิลิต นักการเงิน และนักธุรกิจ แองโกลอเมริกัน จาก 2 ฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก ที่เป็นผู้อำนวยการสร้างสงครามโลกครั้งที่ 1 และ ครั้งที่ 2 ความใหญ่ของ CFR นั้น เกินจินตนาการของเราๆ ชาวโลกส่วนใหญ่ไม่รู้จักว่า CFR คืออะไร มีอิทธิพลแค่ไหน อิทธิพล และอำนาจของ CFR เริ่มเห็นเด่นชัดขึ้น เมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยมีอิทธิพลครอบงำการเมือง และรัฐบาลของอเมริกา ต้ังแต่ประมาณปี 1950 เป็นต้นมา และเมื่ออำนาจของอเมริกาครอบงำโลก ก็คงไม่เกินไปที่จะบอกว่า CFR นั้นก็มีส่วนครอบงำโลกด้วย

    (เรื่อง ของ CFR นั้น ผมเขียนเล่าไว้ในนิทาน เรื่อง “มายากลยุทธ” และ “แกะรอยนักล่า” สำหรับท่านผู้อ่าน ที่เข้ามาอ่านตอนหลังๆ ถ้าอยากเข้าใจความเป็นไปของโลกนี้ อีกมุมมอง อีกชุดของข้อมูล ลองอ่านนิทาน 2 เรื่องนี้นะครับ)

    ข้อมูลคร่าวๆ เกี่ยวกับ CFR (เปิดดูจากกูเกิลได้ครับ) คือ ก่อตั้งในปี ค.ศ.1921 มีสมาชิก เริ่มแรกประมาณ 20 คน ซึ่งเป็นชาวอังกฤษและอเมริกัน ปัจจุบันมีสมาชิกทั่วโลกประมา ณ 5 พันคน สมาชิกส่วนใหญ่ เป็นพวกฝรั่งแองโกลแซกซอน และชาวยุโรป ใน 5 พันคนนี้ ส่วนใหญ่เป็นระดับผู้นำ หัวหน้า และผู้บริหารระดับสูงของประเทศ และบรรษัทข้ามชาติ มีหลายคน เป็นประธานาธิบดีของอเมริกา หลายคน เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ เป็นรัฐมนตรีกลาโหม เป็นรัฐมนตรีการคลัง เป็นผู้ว่าการธนาคารกลาง เป็นหัวหน้าซีไอเอและหลายคนเป็นพระราชวงศ์ในยุโรปและอังกฤษ ฯลฯ

    สำหรับไทยแลนด์แดนสมันน้อย เรามีคนไทยที่ถูกลาก หรือ สมัครใจ เข้าไปเกี่ยวกับ CFR โดยเป็นสมาชิกขององค์กร ชื่อ Trilatteral Commission ซึ่งเป็นองค์กรลูกของ CFR ที่ต้ังขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1973 ขณะน้ัน นาย David Rockefeller ซึ่งเป็นประธาน CFR เห็นว่า ควรจะเอานักธุรกิจชาวญี่ปุ่น เข้ามาอยู่ในความดูแลของ CFR ด้วย เลยพ่วงเอาชาวเอเซีย ลาติน และอาฟริกา ที่เข้าข่ายน่าจะเป็นประโยชน์ และมีแนวความคิด เกี่ยวกับความเป็นไปในโลกแนวทางเดียวกันกับ CFR เข้ามาร่วมด้วย
    จากเอกสารของ Trilateral Commissionเอง ปี ค.ศ.2014 ปรากฏมีรายชื่อ คนไทย เป็นสมาชิก Trilatteral Commission 4 คน คือ

    1. นายณรงค์ชัย อัครเศรณี
    2. นายสมเกียรติ ต้ังกิจวานิชย์ (ผู้อำนวยการ สถาบัน TDRI ของไทย)
    3. นางธาริษา วัฒนเกศ (อดีต ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย)
    4. นายกานต์ ตระกูลฮุน (กรรมการผู้จัดการใหญ่ ปูนซิเมนต์ไทย)

    ปี ค.ศ.2015 รายชื่อ ซึ่งเปลี่ยนเมื่อเดือนเมษายน นี้เอง เหลือ 2 ชื่อ ดังนี้

    1. นายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์
    2. นางธาริษา วัฒนเกศ

    ทำไมผมพูดเรื่องญี่ปุ่น นายอาเบะ และเครือข่ายของ CFR เพราะมันเกี่ยวกัน และมันเป็นตัวอย่าง ที่น่าจะทำให้เรามองเห็นภาพหลายภาพชัดเจนขึ้น

    CFR นั้น เริ่มมีคนพูดถึงกันในช่วงประมาณปี ค.ศ.1960 แต่ช่วงนั้น ข้อมูลส่วนใหญ่ของ CFR ยังไม่มีออกมาแพร่หลายมากนัก นักวิเคราะห์การเมือง และคนทั่วไป จึงมอง CFR ไปในแนวทฤษฏีสมคบคิด ซึ่งมักทำให้ที่ผู้ได้ยินเรื่อง CFR ไม่ให้น้ำหนัก ไม่ให้ความเชื่อถือ ถึงอำนาจและอิทธิพลจริงขององค์กรนี้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป เทคโนโลยีสมัยใหม่ ทำให้การเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ง่ายขึ้น และลึกขึ้น มีเอกสารที่เหมือนเป็นใบเสร็จ ออกมาให้เราศึกษามากขึ้น อย่างเช่นรายงานการวิเคราะห์ของ CFR เอง ที่ออกมาให้เห็นแนวความคิดของ CFR และกลายมาเป็นนโยบายของรัฐบาลอเมริกา และการดำเนินงานของอเมริกาตามนโยบาย ที่เสนอแนะโดย CFR อย่างจริงจังในหลายส่วนของโลก จึงทำให้ผู้ที่ติดตามดูความเป็น ไปขององค์กร CFR เชื่อมากขึ้นว่า การครอบงำโลกโดย CFR ไม่ใช่เป็นเพียงทฤษฏี แต่มันเป็นของจริง อำนาจจริง อิทธิพลจริง ที่ครอบงำโลกนี้อยู่

    และถ้ามันเป็นของจริงเช่นนั้น เรื่อง Grand Stategy แผนสอยมังกร ของ CFR ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องที่เราจะอ่านเล่น หรืออ่านแล้วก็แล้วกัน เราน่าจะต้อง อ่าน และวิเคราะห์เองต่อไปอีกด้วยว่า เมื่อญี่ปุ่น ซึ่งถูก Grand Strategy กำหนดให้มีบทบาทสำคัญ ในการสอยมังกรให้ร่วงนั้น ญี่ปุ่นเอาจริง เดินหน้าตามแผนที่ CFR กำหนดขนาดไหน และการเดินตามแผนนั้น เราคงจะพอมองเห็นได้ว่า อเมริกา กำลัง “ใช้” ญี่ปุ่น และไม่ได้ใช้ไปเดินเล่น จ่ายตลาด แต่ เป็นการ “ใช้” ให้ญี่ปุ่นไปรบแทน และอาจไปตายแทน ด้วยค่าใช้จ่ายที่อาจเป็นเงินภาษี หรือเงินกู้ของญี่ปุ่น แต่มันเป็น “ราคา” ที่ชาวญี่ปุ่นจะต้องจ่าย
    ขณะเดียวกัน ถ้าอเมริกลากเอาแดนสยาม เข้าไปร่วมขบวนการกับญี่ปุ่น ให้ช่วยกันสอยจีน เราจะถูก “ใช้” ไปรบแทน จนถึงตายแทน ร่วมกับญี่ปุ่นด้วยหรือไม่ นั่นเป็นประเด็นหนึ่ง ที่ต้องคิดกัน แต่ผมค่อนข้างเชื่อว่า ลุงตู่ของผมคงมองออก ไม่คิดเป็นคนรับใช้ต่างชาติ แต่ถ้าเกิดเหตุการณ์ผันแปร มีการบีบไข่กัน จนต้องมีการเปลี่ยนแปลง เราก็ช่วยกันมอง ช่วยกันคิดให้ดีๆ นะครับ รูปแบบที่ไอ้นักล่ามันชอบใช้ ไพ่ที่มันชอบเล่นมีอยู่ อย่าตกหลุมมันง่ายๆอีก นั่นก็เป็นเรื่องหนึ่ง

    แต่อีกเรื่องที่น่าห่วงไม่น้อย หรืออาจจะมากกว่าคือ กรณีที่ญี่ปุ่นเดินหน้า ตาม CFR อย่างไม่หยุดนั่นแหละครับ ถ้าเกิดถึงเวลาอัน “เหมาะสม” อเมริกาสั่งให้ญี่ปุ่นเคลื่อนพล ไปปะทะจีน หรือตอนนั้นสถานการณ์ในเอเซียมันตึงเครียดได้ที่ ตามความต้องการของอเมริกาแล้ว แม้เราจะฉีกตัวออกมาจากการไปช่วยเขาแบกถาดได้ แต่ถ้าบรรดาคุณยุ่น ที่ขณะนี้ กระจายกันอยู่ในแดนสยามของเราไม่น้อย ไม่ว่าในกรุงเทพ โดยเฉพาะแถบสุขุมวิท ซึ่งใกล้จะเปลี่ยนเป็นแดนปลาดิบ แล้ว ยังมีที่ต่างจังหวัด ทางภาคเหนือ เช่น เชียงราย เชียงใหม่ ภาคตะวันออก เช่น ชลบุรี ศรีราชา หรือภาคใต้ เช่น ชุมพร ถ้าคุณยุ่นเขาพากันเปลี่ยนชุด หยิบเครื่องแบบทหารมาใส่ เหมือนสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ.2484 ที่กองทหารญี่ปุ่นบุกเข้าเมือง ไทย ยกพลมาจากทางภาคใต้ของไทย มาจาก สงขลา ปัตตานี นครศรีธรรมราช สุราษฏร์ธานี ชุมพร ประจวบคีรีขันธ์ พอถึงวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ.2484 ชาวญี่ปุ่นในกรุงเทพฯ ก็แต่งชุดทหารเดินเต็มอยู่ในกรุงเทพฯกันหมด แม้แต่หมอฟันของแม่ผม ผมได้แต่หวังว่า เหตุการณ์เช่นนั้นคงไม่เกิดขึ้นอีก

    และแม้ว่า ข้อสังเกตที่ว่า นายอาเบะอาจจะเล่นบท 2 หน้า จะเป็นซามูไรแบกถาด หรือซามูไรทิ้งถาด สิ่งที่ผมเขียนเล่ามา ผลกระทบต่อบ้านเรา ก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ก็คงยังน่าเป็นห่วงเช่นเดิม บางส่วน บางอย่างอาจจะมีการเปลี่ยน ถ้าเขาหักหลังกันเอง แต่ก็ไม่ได้ทำให้เราอยู่ในสถานะที่ได้เปรียบอะไรขึ้นมา เพราะไม่น่าไว้วางใจทั้งคนใช้ให้แบกถาด และคนแบกถาด หรือจะเป็นคนทิ้งถาด
    ในชีวิตคนเรา เห็นสงครามโลกครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว สงครามโลกครั้งที่ 2 ผมยังไม่โตพอที่จะไปรบ แต่โตพอที่จะรู้เรื่องว่า บ้านเมืองเราอยู่ในสภาพบ้านพัง สาแหร่กขาดอย่างไร ครอบครัวเราส่วนใหญ่ลำบากอย่างไร และมันทิ้งอะไรไว้กับบ้านเมืองเราครอบครัวเรา ผ่านไป 70 ปี ยังจำได้ไม่ลืม

    เราชาวสยาม จะต้องตื่นรู้เสียที ไม่ใช่เขียนให้แตกตื่น แต่ต้องตื่นมารับรู้ ทันเหตุการณ์นอกบ้าน ที่จะมีผลกระทบในบ้านเราเสียบ้าง ช่วยกันปลุก ช่วยกันให้ข้อมูล ไม่จำเป็นต้องเชื่อ แต่รู้แล้วเอาไปหาข้อมูลต่อ ว่า ที่อ่านกันมานี้ จริงเท็จอย่างไร แล้วคิดต่อ ดีกว่าไม่รู้จะคิดอะไร มันเป็นสมัยโลกาภิวัฒน์มิใช่หรือ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็ว เปลี่ยนแปลงเร็ว อย่ามัวเพลิดเพลินอยู่แต่กับการดูละครน้ำเน่า กับข่าวย้อมสี จนลืมสนใจภัยใหญ่ ที่อาจใกล้เราเข้ามาทุกทีแล้วนะครับ

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    27 พ.ค. 2558
    ซามูไรแบกถาด ตอนที่ 5 “ซามูไรแบกถาด” ตอน 5 (จบ) นายอาเบะ ได้รับเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นสมัยที่ 2 ในเดือนธันวาคม 2012 เขามาจากครอบครัวนักการเมืองขนานแท้ดั้งเดิม ท้ังพ่อและปู่เป็นนักการเมืองท้องถิ่น ส่วนแม่ของอาเบะ เป็นลูกสาวของนักการเมืองชื่อดังระดับประเทศ นาย Nobusuke Kishi อดีตนายกรัฐมนตรี ในช่วง 1957-1960 ซึ่งเคยเป็นรัฐมนตรี ตั้งแต่สมัยนายพลโตโจที่นำการรบ สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 นาย Kishi เป็นผู้ต้ังพรรค Democratic Party ต่อมาพรรคนี้ไปรวมกับพรรค Liberty ของอดีตนายกรัฐมนตรี Shigaru Yoshida พรรคขวาจัด ชาตินิยม และเปลี่ยนชื่อเป็นพรรค LDP ซึ่งครองอำนาจในญี่ปุ่นอย่างยาวนาน นายอาเบะ นี่ เคยไปเรียนหนังสือที่ University of Southern California แต่ไม่จบ กลับมาทำงานการเมืองในญี่ปุ่นต่อ เขานับเป็นลูกหม้อของพรรค LDP ถูกวางตัวให้เป็นดาราดาวรุ่ง ในที่สุดก็ได้เป็นนายกรัฐมนตรีสมใจคนดันในช่วงปี 2005-2006 เขาดูเหมือนนิยมตะวันตก และมีจุดยืนที่แข็งกร้าวกับเกาหลีเหนือมาตลอด โดยพยายามหาทางคว่ำบาตรเกาหลีเหนือผ่านสหประชาติ และเมื่อตอนหาเสียงเลือกต้ังในปี ค.ศ.2012 เขาชูประเด็นเรื่องข้อพิพาทกับจีน และการขึ้นมาของจีนแทนที่ญี่ปุ่น ในเรื่องการเติบโตของเศรษฐกิจและการค้าในเอเซีย นับว่า สุดกร่าง CFR มีสายตายาวไกล และลึกซึ้ง การเลือกไพ่แต่ละใบของนักล่าใบตองแห้ง ดูเหมือนจะมีรูปแบบที่ชัดเจนพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นการเปิดบ่อน หรือสร้างรังโจรที่ประเทศใด ไม่ว่าจะหัวนอก หรือหัวใน ต้องพร้อมรับใช้จนสุดทาง และสุดตัว คงจำกันได้ว่า CFR นั้นเป็นผลผลิตของกลุ่มอิลิต นักการเงิน และนักธุรกิจ แองโกลอเมริกัน จาก 2 ฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก ที่เป็นผู้อำนวยการสร้างสงครามโลกครั้งที่ 1 และ ครั้งที่ 2 ความใหญ่ของ CFR นั้น เกินจินตนาการของเราๆ ชาวโลกส่วนใหญ่ไม่รู้จักว่า CFR คืออะไร มีอิทธิพลแค่ไหน อิทธิพล และอำนาจของ CFR เริ่มเห็นเด่นชัดขึ้น เมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยมีอิทธิพลครอบงำการเมือง และรัฐบาลของอเมริกา ต้ังแต่ประมาณปี 1950 เป็นต้นมา และเมื่ออำนาจของอเมริกาครอบงำโลก ก็คงไม่เกินไปที่จะบอกว่า CFR นั้นก็มีส่วนครอบงำโลกด้วย (เรื่อง ของ CFR นั้น ผมเขียนเล่าไว้ในนิทาน เรื่อง “มายากลยุทธ” และ “แกะรอยนักล่า” สำหรับท่านผู้อ่าน ที่เข้ามาอ่านตอนหลังๆ ถ้าอยากเข้าใจความเป็นไปของโลกนี้ อีกมุมมอง อีกชุดของข้อมูล ลองอ่านนิทาน 2 เรื่องนี้นะครับ) ข้อมูลคร่าวๆ เกี่ยวกับ CFR (เปิดดูจากกูเกิลได้ครับ) คือ ก่อตั้งในปี ค.ศ.1921 มีสมาชิก เริ่มแรกประมาณ 20 คน ซึ่งเป็นชาวอังกฤษและอเมริกัน ปัจจุบันมีสมาชิกทั่วโลกประมา ณ 5 พันคน สมาชิกส่วนใหญ่ เป็นพวกฝรั่งแองโกลแซกซอน และชาวยุโรป ใน 5 พันคนนี้ ส่วนใหญ่เป็นระดับผู้นำ หัวหน้า และผู้บริหารระดับสูงของประเทศ และบรรษัทข้ามชาติ มีหลายคน เป็นประธานาธิบดีของอเมริกา หลายคน เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ เป็นรัฐมนตรีกลาโหม เป็นรัฐมนตรีการคลัง เป็นผู้ว่าการธนาคารกลาง เป็นหัวหน้าซีไอเอและหลายคนเป็นพระราชวงศ์ในยุโรปและอังกฤษ ฯลฯ สำหรับไทยแลนด์แดนสมันน้อย เรามีคนไทยที่ถูกลาก หรือ สมัครใจ เข้าไปเกี่ยวกับ CFR โดยเป็นสมาชิกขององค์กร ชื่อ Trilatteral Commission ซึ่งเป็นองค์กรลูกของ CFR ที่ต้ังขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1973 ขณะน้ัน นาย David Rockefeller ซึ่งเป็นประธาน CFR เห็นว่า ควรจะเอานักธุรกิจชาวญี่ปุ่น เข้ามาอยู่ในความดูแลของ CFR ด้วย เลยพ่วงเอาชาวเอเซีย ลาติน และอาฟริกา ที่เข้าข่ายน่าจะเป็นประโยชน์ และมีแนวความคิด เกี่ยวกับความเป็นไปในโลกแนวทางเดียวกันกับ CFR เข้ามาร่วมด้วย จากเอกสารของ Trilateral Commissionเอง ปี ค.ศ.2014 ปรากฏมีรายชื่อ คนไทย เป็นสมาชิก Trilatteral Commission 4 คน คือ 1. นายณรงค์ชัย อัครเศรณี 2. นายสมเกียรติ ต้ังกิจวานิชย์ (ผู้อำนวยการ สถาบัน TDRI ของไทย) 3. นางธาริษา วัฒนเกศ (อดีต ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย) 4. นายกานต์ ตระกูลฮุน (กรรมการผู้จัดการใหญ่ ปูนซิเมนต์ไทย) ปี ค.ศ.2015 รายชื่อ ซึ่งเปลี่ยนเมื่อเดือนเมษายน นี้เอง เหลือ 2 ชื่อ ดังนี้ 1. นายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ 2. นางธาริษา วัฒนเกศ ทำไมผมพูดเรื่องญี่ปุ่น นายอาเบะ และเครือข่ายของ CFR เพราะมันเกี่ยวกัน และมันเป็นตัวอย่าง ที่น่าจะทำให้เรามองเห็นภาพหลายภาพชัดเจนขึ้น CFR นั้น เริ่มมีคนพูดถึงกันในช่วงประมาณปี ค.ศ.1960 แต่ช่วงนั้น ข้อมูลส่วนใหญ่ของ CFR ยังไม่มีออกมาแพร่หลายมากนัก นักวิเคราะห์การเมือง และคนทั่วไป จึงมอง CFR ไปในแนวทฤษฏีสมคบคิด ซึ่งมักทำให้ที่ผู้ได้ยินเรื่อง CFR ไม่ให้น้ำหนัก ไม่ให้ความเชื่อถือ ถึงอำนาจและอิทธิพลจริงขององค์กรนี้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป เทคโนโลยีสมัยใหม่ ทำให้การเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ง่ายขึ้น และลึกขึ้น มีเอกสารที่เหมือนเป็นใบเสร็จ ออกมาให้เราศึกษามากขึ้น อย่างเช่นรายงานการวิเคราะห์ของ CFR เอง ที่ออกมาให้เห็นแนวความคิดของ CFR และกลายมาเป็นนโยบายของรัฐบาลอเมริกา และการดำเนินงานของอเมริกาตามนโยบาย ที่เสนอแนะโดย CFR อย่างจริงจังในหลายส่วนของโลก จึงทำให้ผู้ที่ติดตามดูความเป็น ไปขององค์กร CFR เชื่อมากขึ้นว่า การครอบงำโลกโดย CFR ไม่ใช่เป็นเพียงทฤษฏี แต่มันเป็นของจริง อำนาจจริง อิทธิพลจริง ที่ครอบงำโลกนี้อยู่ และถ้ามันเป็นของจริงเช่นนั้น เรื่อง Grand Stategy แผนสอยมังกร ของ CFR ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องที่เราจะอ่านเล่น หรืออ่านแล้วก็แล้วกัน เราน่าจะต้อง อ่าน และวิเคราะห์เองต่อไปอีกด้วยว่า เมื่อญี่ปุ่น ซึ่งถูก Grand Strategy กำหนดให้มีบทบาทสำคัญ ในการสอยมังกรให้ร่วงนั้น ญี่ปุ่นเอาจริง เดินหน้าตามแผนที่ CFR กำหนดขนาดไหน และการเดินตามแผนนั้น เราคงจะพอมองเห็นได้ว่า อเมริกา กำลัง “ใช้” ญี่ปุ่น และไม่ได้ใช้ไปเดินเล่น จ่ายตลาด แต่ เป็นการ “ใช้” ให้ญี่ปุ่นไปรบแทน และอาจไปตายแทน ด้วยค่าใช้จ่ายที่อาจเป็นเงินภาษี หรือเงินกู้ของญี่ปุ่น แต่มันเป็น “ราคา” ที่ชาวญี่ปุ่นจะต้องจ่าย ขณะเดียวกัน ถ้าอเมริกลากเอาแดนสยาม เข้าไปร่วมขบวนการกับญี่ปุ่น ให้ช่วยกันสอยจีน เราจะถูก “ใช้” ไปรบแทน จนถึงตายแทน ร่วมกับญี่ปุ่นด้วยหรือไม่ นั่นเป็นประเด็นหนึ่ง ที่ต้องคิดกัน แต่ผมค่อนข้างเชื่อว่า ลุงตู่ของผมคงมองออก ไม่คิดเป็นคนรับใช้ต่างชาติ แต่ถ้าเกิดเหตุการณ์ผันแปร มีการบีบไข่กัน จนต้องมีการเปลี่ยนแปลง เราก็ช่วยกันมอง ช่วยกันคิดให้ดีๆ นะครับ รูปแบบที่ไอ้นักล่ามันชอบใช้ ไพ่ที่มันชอบเล่นมีอยู่ อย่าตกหลุมมันง่ายๆอีก นั่นก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่อีกเรื่องที่น่าห่วงไม่น้อย หรืออาจจะมากกว่าคือ กรณีที่ญี่ปุ่นเดินหน้า ตาม CFR อย่างไม่หยุดนั่นแหละครับ ถ้าเกิดถึงเวลาอัน “เหมาะสม” อเมริกาสั่งให้ญี่ปุ่นเคลื่อนพล ไปปะทะจีน หรือตอนนั้นสถานการณ์ในเอเซียมันตึงเครียดได้ที่ ตามความต้องการของอเมริกาแล้ว แม้เราจะฉีกตัวออกมาจากการไปช่วยเขาแบกถาดได้ แต่ถ้าบรรดาคุณยุ่น ที่ขณะนี้ กระจายกันอยู่ในแดนสยามของเราไม่น้อย ไม่ว่าในกรุงเทพ โดยเฉพาะแถบสุขุมวิท ซึ่งใกล้จะเปลี่ยนเป็นแดนปลาดิบ แล้ว ยังมีที่ต่างจังหวัด ทางภาคเหนือ เช่น เชียงราย เชียงใหม่ ภาคตะวันออก เช่น ชลบุรี ศรีราชา หรือภาคใต้ เช่น ชุมพร ถ้าคุณยุ่นเขาพากันเปลี่ยนชุด หยิบเครื่องแบบทหารมาใส่ เหมือนสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ.2484 ที่กองทหารญี่ปุ่นบุกเข้าเมือง ไทย ยกพลมาจากทางภาคใต้ของไทย มาจาก สงขลา ปัตตานี นครศรีธรรมราช สุราษฏร์ธานี ชุมพร ประจวบคีรีขันธ์ พอถึงวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ.2484 ชาวญี่ปุ่นในกรุงเทพฯ ก็แต่งชุดทหารเดินเต็มอยู่ในกรุงเทพฯกันหมด แม้แต่หมอฟันของแม่ผม ผมได้แต่หวังว่า เหตุการณ์เช่นนั้นคงไม่เกิดขึ้นอีก และแม้ว่า ข้อสังเกตที่ว่า นายอาเบะอาจจะเล่นบท 2 หน้า จะเป็นซามูไรแบกถาด หรือซามูไรทิ้งถาด สิ่งที่ผมเขียนเล่ามา ผลกระทบต่อบ้านเรา ก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ก็คงยังน่าเป็นห่วงเช่นเดิม บางส่วน บางอย่างอาจจะมีการเปลี่ยน ถ้าเขาหักหลังกันเอง แต่ก็ไม่ได้ทำให้เราอยู่ในสถานะที่ได้เปรียบอะไรขึ้นมา เพราะไม่น่าไว้วางใจทั้งคนใช้ให้แบกถาด และคนแบกถาด หรือจะเป็นคนทิ้งถาด ในชีวิตคนเรา เห็นสงครามโลกครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว สงครามโลกครั้งที่ 2 ผมยังไม่โตพอที่จะไปรบ แต่โตพอที่จะรู้เรื่องว่า บ้านเมืองเราอยู่ในสภาพบ้านพัง สาแหร่กขาดอย่างไร ครอบครัวเราส่วนใหญ่ลำบากอย่างไร และมันทิ้งอะไรไว้กับบ้านเมืองเราครอบครัวเรา ผ่านไป 70 ปี ยังจำได้ไม่ลืม เราชาวสยาม จะต้องตื่นรู้เสียที ไม่ใช่เขียนให้แตกตื่น แต่ต้องตื่นมารับรู้ ทันเหตุการณ์นอกบ้าน ที่จะมีผลกระทบในบ้านเราเสียบ้าง ช่วยกันปลุก ช่วยกันให้ข้อมูล ไม่จำเป็นต้องเชื่อ แต่รู้แล้วเอาไปหาข้อมูลต่อ ว่า ที่อ่านกันมานี้ จริงเท็จอย่างไร แล้วคิดต่อ ดีกว่าไม่รู้จะคิดอะไร มันเป็นสมัยโลกาภิวัฒน์มิใช่หรือ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็ว เปลี่ยนแปลงเร็ว อย่ามัวเพลิดเพลินอยู่แต่กับการดูละครน้ำเน่า กับข่าวย้อมสี จนลืมสนใจภัยใหญ่ ที่อาจใกล้เราเข้ามาทุกทีแล้วนะครับ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 27 พ.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 256 มุมมอง 0 รีวิว
  • ซามูไรแบกถาด ตอนที่ 4
    “ซามูไรแบกถาด”

    ตอน 4

    อังกฤษ ซึ่งมีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับญี่ปุ่นมานานกว่าร้อยปี Anglo-Japanese Alliance มีมาตั้งแต่ ค.ศ.1902 ถ้าจำกันได้ การที่ญี่ปุ่นลุกขึ้นทำสงครามกับรัสเซีย ในปี ค.ศ.1904 ส่วนหนึ่งก็มาจากแรงยุของอังกฤษ ทำให้อังกฤษยังชื่นชมญี่ปุ่นอยู่จนทุกวันนี้ สัมพันธ์อังกฤษ-ญี่ปุ่นสะดุดชั่วคราวในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ก็ไม่ได้ทำให้อังกฤษตัดจนขาดกับญี่ปุ่นอย่างจริงจัง

    ล่าสุด เมื่ออังกฤษจะมีการเลือกตั้งทั่ว ไป ในต้นเดือนพฤษาคม และผลของการเลือกต้ัง ทำให้ได้นายเดวิด แคมารอน คนชอบจีบปากเวลาพูด กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี ของชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ อีกรอบหนึ่ง Chatham House ถังขยะความคิดหมายเลขหนึ่ง ของอังกฤษ แฝดตัวพี่ของไอ้สุดกร่าง CFR เจ้าของแผนสอยมังกร ซึ่งก็มีอิทธิพลต่อรัฐบาลอังกฤษ ไม่ต่างกับที่ CFR มีอิทธิพลต่อรัฐบาลอเมริกา ก็ได้เขียนบทความ ออกมาเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2015 เป็นช่วงเวลาใกล้เคียงกับที่ ไอ้สุดกร่าง เขียนแผนสอยมังกร ออกมาตบหน้าอาเฮีย ยังกับนัดกัน…

    รายงานของ Chatham House เป็นข้อเสนอต่อรัฐบาลอังกฤษ ชุดใหม่ ที่จะได้มาจากการเลือกตั้ง สรุปว่า

    …ตลอดเวลา 3 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลญี่ปุ่นได้ให้ความสำคัญเรื่องความมั่นคงของประเทศ โดยพยายามจัดทำนโยบายในแนวทางรุกมากขึ้น โดยมีเป้าหมายทั้งระดับภูมิภาค และระดับโลก นโยบายนี้น่าจะสอดคล้องกับความต้องการของอังกฤษ …

    …ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ยอมรับว่า ตนเองมี (หรือ หวัง?!) ผลประโยชน์มากมายในเอเซีย เช่นที่อินโดนีเซีย เกี่ยวกับธุรกิจการเงิน และการประกันภัย หรือเกี่ยวกับเรื่องน้ำมัน และแก๊ส ในส่วนอื่นของภูมิภาค ที่อยู่ทั้งในระยะสำรวจและขุดเจาะ และธุรกิจอื่นๆอีกมากมาย ความมั่นคงของภูมิภาคเอเซีย จึงเป็นเรื่องจำเป็น และเป็นเรื่องหนึ่ง ที่อังกฤษให้ความสำคัญ โดยเฉพาะ จะต้องพยายามรักษาเส้นทางเดินเรือ จากอังกฤษไปถึงเอเซีย ในบริเวณต่างๆเอาไว้ แต่นโยบายของจีน เกี่ยวกับข้อพิพาทในทะเลจีนใต้ และตะวันออก การไม่สามัคคีกันในเอเซียอาคเณย์ และการถูกข่มขู่จากผู้ก่อการร้าย และสลัดทะเล ทำให้ผลประโยชน์ของอังกฤษมีความ เสี่ยงเพิ่มขึ้น … พูดภาษาชาวบ้าน ก็หมายความว่า อังกฤษ ทำท่าจะไม่รวยขึ้น หรือจะจนลงด้วยซ้ำ จากการที่ควบคุม ทั้งผู้ใหญ่ ทั้งเด็กแถวเอเซีย ไม่อยู่หมัด เหมือนสมัยเป็นนายท่านของพวกอาณานิคม
    แต่มันติดปัญหา … ชาวเกาะใหญ่ฯ สารภาพอย่างหมดท่า แม้จะรู้ว่าเป็นเรื่องสำคัญ แต่ก็คงจะส่งกองกำลังของตนเอง ไปดูแลอย่างเดิมไม่ได้ เพราะงบด้านความมั่นคง ถูกตัดเสียเหลือสั้นกว่านิ้วก้อย และถ้าพรรคอนุรักษ์นิยม เจ้าของนโยบายการตัดงบด้านความมั่นคง กลับมาเป็นรัฐบาล (ซึ่งก็กลับมาจริงๆ) งบนี้ก็คงถูกตัดเหมือนเดิม ทางออกที่ดีที่สุดของรัฐบาลใหม่ คือไปจับมือกับญี่ปุ่นเสียให้แน่น เพราะญี่ปุ่นเองก็ต้องจับตาจ้อง คอยกันท่าไม่ให้จีนแหยมหน้า เข้ามาใกล้ตัวเองอยู่แล้ว...

    ….ข่าวเรื่องญี่ปุ่นต้ังงบด้าน ความมั่นคงสำหรับปี 2015 เสียสูงลิ่วถึง 4 หมื่น 2 พันล้านเหรียญ ทำให้ชาวเกาะใหญ่ฯ ตาโตเท่าไข่ห่าน งบขนาดนี้ ชาวเกาะใหญ่ฯ บอก เราไปเอี่ยวกับเขาน่ะ ดีที่สุดแล้ว …..

    นอกจากนี้ ชาวเกาะใหญ่ฯ ได้ยินมาว่า อเมริกากับญี่ปุ่น กำลังร่างยุทธศาสตร์ที่จะใช้ฐานทัพของญี่ปุ่นที่ Djibouti (ที่โซมาเลีย) ซึ่งเป็นฐานทัพนอกบ้านฐานแรกของญี่ปุ่น เพื่อใช้การปราบสลัดแถบนั้น ซึ่งมันจะเป็นประโยชน์มาก กับเส้นทางเดินเรือพาณิชย์ของอังกฤษ และดูแลผลประโยชน์ของอังกฤษ ได้ทั้งแถบตะวันออกกลาง และเอเซีย …. ซึ่งนายอาเบะ ก็แบะท่าไว้แล้ว ตั้งแต่มาคารวะอังกฤษในปี 2014 ว่า อยากจะเป็นหุ้นส่วนด้านความมั่นคงกับอังกฤษมากขึ้น เป็นท่าทีใหม่ของญี่ปุ่นที่มีกับชาวเกาะใหญ่ฯ ในรอบหลายปีเลยทีเดียว…

    Chatham House ฝาแฝดตัวพี่ ของสุดกร่าง CFR บอกว่า เราน่าจะชวน ญี่ปุ่น ชาวเกาะด้วยกัน มาทำสัญญาความร่วมมือสาระพัด แต่ดูๆไปแล้ว มันเป็นการกลบเกลื่อนความต้องการ จริงของชาวเกาะใหญ่ ที่ต้องการให้ญี่ปุ่น เป็นตัวแทน เป็นยาม เป็นหน่วยลาดตะเวน เป็นหน่วยปะทะ ถือถาดบริการชาวเกาะใหญ่ ในเอเซีย ในตะวันออกกลาง ยาวไปถึงโซมาเลียได้ยิ่งดี เหมือนกับที่ญี่ปุ่น กำลังเตรียมตัวทำให้นักล่าใบตองแห้ง แต่ ชาวเกาะใหญ่ฯ ถือไพ่เหนือมือคุณยุ่นเขา เหมือนนักล่าฯ หรือเปล่าล่ะ อาจจะถือไพ่ใต้มือเขาเสียด้วยซ้ำ ถ้าเขารู้ว่า บ้อท่า ถังแตก งบหดสั้นกว่านิ้วก้อยอย่างนั้น

    คิดไปคิดมา Chatham House แนะนำให้ชาวเกาะใหญ่กัดฟัน เสนอให้ร่วมมือด้านข่าวกรองกับญี่ปุ่นไปเลย และจริงๆ ถ้าจะปกป้องผลประโยชน์ของเราได้ดี เราก็น่าจะให้เขารู้ข้อมูลข่าวกรอง ของฝ่ายตรงกันข้ามมากกว่านี้ ….แสดงว่าชาวเกาะฝีมือไม่เบา จารกรรมจนได้ข้อมูลดีๆมาแยะ แต่อมแอบไว้ก่อน
    อืม… นี่มันเรื่องใหญ่มากนะครับ อังกฤษ มีระบบการจารกรรมข้อมูลข่าวสารและสัญญานทั่วโลก เช่นระบบ Echelon ที่โด่งดังมาก และมีระบบอื่นๆอีกมาก เขาว่ามันมีถึง 10 ระบบแล้ว จากหลายหน่วยงานข่าวกรองของอังกฤษ และข้อมูลทั้งหมดที่ไปล้วงได้มา จะถูกส่งไปที่ศูนย์รวม ที่เรียกว่า Government Communications Headquarters (GCHQ) ซึ่งสามารถใช้ร่วมกับระบบจารก รรมข่าวกรองของ National Security Council (NSC) ของอเมริกา เช่น ระบบ Prism ที่นายEdward Snowden เอามาแฉ เมื่อ 2,3 ปีก่อน จนเป็นเรื่องครึกโครม ด่าทอ ต่อว่า พวกกันเอง แอบดักฟังกันเอง

    ทั้ง 2 หน่วยงานนี้ มีข้อตกลงให้ความร่วมมือกัน ว่าข้อมูลที่ล้วงมาได้จากการจาร กรรมของ ทั้ง 2 หน่วยงานนี้ ตกลงที่จะแชร์กัน กับ เฉพาะไม่กี่ประเทศ ที่เรียกว่า 5 ตา 7 ตา (5ตา five eyes มีเฉพาะพวกแองโกลแซกซอน คือ อังกฤษ อเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ส่วน 7 ตา เพิ่ม สวีเดน กับ เดนมาร์ก เข้าไปด้วย รายละเอียดอยู่ในนิทานเรื่อง ผลัดกันล้วง)

    ถ้าอังกฤษ และญี่ปุ่นตกลงให้ความร่วมมือกันด้านข่าวกรอง ญี่ปุ่นจะเป็นพันธมิตรข่าวกรองของกลุ่มแองโกลแซกซอน จากเอเซียชาติแรก และมันน่าจะทำให้เห็นชัดเจนว่า ญี่ปุ่นเลือกยืนอยู่ที่ใด และการแบ่งข้างในภูมิภาคเอเซี ยคงยิ่งกว่าชัดเจน และ ผู้ที่จะเป็นเป้าใหญ่ ของการเล่นเป็นทีม ของแฝดพี่น้องตัวแสบของโลก Chatham House และ CFR คงไม่พ้นอาเฮียแห่งแดนมังกร และน่าเป็นห่วงว่า เอเซียคงร้อนระอุไม่แพ้ตะวันออกกลาง สมใจอเมริกา ที่ต้องการให้ประเทศในเอเซียทะเลาะกันเอง ตีกันเอง จนน่วม ก่อนที่อเมริกา จะยาตราเข้ามาเก็บกวาด
    และถ้าคิดถึงความต่อเนื่อง ของเรื่องราว ระยะเวลาของการปล่อยรายงาน สู่สาธารณะ และสันดานของผู้ที่เกี่ยวข้องแล้ว มีความเป็นไปได้ว่า อาจเป็นการสมคบกัน ระหว่างฝาแฝดสุดแสบ ที่ CFR จะวางแผนร่วมกับ Chatham House คิดหาวิธีการที่จะสู้กับระบบป้องกัน A2/AD ของจีน ซึ่งอเมริกากำลังหนักใจอยู่ โดยการเอาระบบการเจาะข่าวกรอง ด้านสัญญาณ ทุกรูปแบบ รวมทั้งด้านไซเบอร์ ของอังกฤษ ร่วมกับของอเมริกา และออกข่าวกดดันจีน และไม่แน่ว่า อังกฤษ จะแอบมาติดต้ังระบบให้ญี่ปุ่น ที่เกาะ Yonaguni เรียบร้อยไปแล้วก็ได้ ป่านนี้คุณพี่อาเบะ อาจจะนับขนจมูกอาเฮียไปหลายรอบ แล้ว เหมือนกับฐานทัพของญี่ปุ่น ที่ Djibuti ที่อังกฤษออกมาปูดว่า ญี่ปุ่นมีแล้ว โดยที่เรื่อง การขยายกองทัพ SDF ของญี่ปุ่นยังไม่ผ่านสภาสูงเลย แต่ญี่ปุ่นก็เดินหน้าทำไปจนเสร็จแล้ว

    ถ้าพวกเขา จับมือเล่นละครกันแบบนี้จริง เรื่อง Grand Strategy แผนสอยมังกร ของอเมริกา ก็ยิ่งน่าจับตามากขึ้น และเราก็คงต้องติดตามดูความเคลื่อนไหว ในภูมิภาคเอเซียของเรา กันอย่างใกล้ชิด เพราะเรื่องมันใกล้บ้านเรามากนะครับ

    (เรื่องระบบ A2/AD นี้ รายละเอียดอยู่ในนิทานเรื่อง แผนสอยมังกร ครับ)

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    26 พ.ค. 2558
    ซามูไรแบกถาด ตอนที่ 4 “ซามูไรแบกถาด” ตอน 4 อังกฤษ ซึ่งมีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับญี่ปุ่นมานานกว่าร้อยปี Anglo-Japanese Alliance มีมาตั้งแต่ ค.ศ.1902 ถ้าจำกันได้ การที่ญี่ปุ่นลุกขึ้นทำสงครามกับรัสเซีย ในปี ค.ศ.1904 ส่วนหนึ่งก็มาจากแรงยุของอังกฤษ ทำให้อังกฤษยังชื่นชมญี่ปุ่นอยู่จนทุกวันนี้ สัมพันธ์อังกฤษ-ญี่ปุ่นสะดุดชั่วคราวในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ก็ไม่ได้ทำให้อังกฤษตัดจนขาดกับญี่ปุ่นอย่างจริงจัง ล่าสุด เมื่ออังกฤษจะมีการเลือกตั้งทั่ว ไป ในต้นเดือนพฤษาคม และผลของการเลือกต้ัง ทำให้ได้นายเดวิด แคมารอน คนชอบจีบปากเวลาพูด กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี ของชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ อีกรอบหนึ่ง Chatham House ถังขยะความคิดหมายเลขหนึ่ง ของอังกฤษ แฝดตัวพี่ของไอ้สุดกร่าง CFR เจ้าของแผนสอยมังกร ซึ่งก็มีอิทธิพลต่อรัฐบาลอังกฤษ ไม่ต่างกับที่ CFR มีอิทธิพลต่อรัฐบาลอเมริกา ก็ได้เขียนบทความ ออกมาเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2015 เป็นช่วงเวลาใกล้เคียงกับที่ ไอ้สุดกร่าง เขียนแผนสอยมังกร ออกมาตบหน้าอาเฮีย ยังกับนัดกัน… รายงานของ Chatham House เป็นข้อเสนอต่อรัฐบาลอังกฤษ ชุดใหม่ ที่จะได้มาจากการเลือกตั้ง สรุปว่า …ตลอดเวลา 3 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลญี่ปุ่นได้ให้ความสำคัญเรื่องความมั่นคงของประเทศ โดยพยายามจัดทำนโยบายในแนวทางรุกมากขึ้น โดยมีเป้าหมายทั้งระดับภูมิภาค และระดับโลก นโยบายนี้น่าจะสอดคล้องกับความต้องการของอังกฤษ … …ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ยอมรับว่า ตนเองมี (หรือ หวัง?!) ผลประโยชน์มากมายในเอเซีย เช่นที่อินโดนีเซีย เกี่ยวกับธุรกิจการเงิน และการประกันภัย หรือเกี่ยวกับเรื่องน้ำมัน และแก๊ส ในส่วนอื่นของภูมิภาค ที่อยู่ทั้งในระยะสำรวจและขุดเจาะ และธุรกิจอื่นๆอีกมากมาย ความมั่นคงของภูมิภาคเอเซีย จึงเป็นเรื่องจำเป็น และเป็นเรื่องหนึ่ง ที่อังกฤษให้ความสำคัญ โดยเฉพาะ จะต้องพยายามรักษาเส้นทางเดินเรือ จากอังกฤษไปถึงเอเซีย ในบริเวณต่างๆเอาไว้ แต่นโยบายของจีน เกี่ยวกับข้อพิพาทในทะเลจีนใต้ และตะวันออก การไม่สามัคคีกันในเอเซียอาคเณย์ และการถูกข่มขู่จากผู้ก่อการร้าย และสลัดทะเล ทำให้ผลประโยชน์ของอังกฤษมีความ เสี่ยงเพิ่มขึ้น … พูดภาษาชาวบ้าน ก็หมายความว่า อังกฤษ ทำท่าจะไม่รวยขึ้น หรือจะจนลงด้วยซ้ำ จากการที่ควบคุม ทั้งผู้ใหญ่ ทั้งเด็กแถวเอเซีย ไม่อยู่หมัด เหมือนสมัยเป็นนายท่านของพวกอาณานิคม แต่มันติดปัญหา … ชาวเกาะใหญ่ฯ สารภาพอย่างหมดท่า แม้จะรู้ว่าเป็นเรื่องสำคัญ แต่ก็คงจะส่งกองกำลังของตนเอง ไปดูแลอย่างเดิมไม่ได้ เพราะงบด้านความมั่นคง ถูกตัดเสียเหลือสั้นกว่านิ้วก้อย และถ้าพรรคอนุรักษ์นิยม เจ้าของนโยบายการตัดงบด้านความมั่นคง กลับมาเป็นรัฐบาล (ซึ่งก็กลับมาจริงๆ) งบนี้ก็คงถูกตัดเหมือนเดิม ทางออกที่ดีที่สุดของรัฐบาลใหม่ คือไปจับมือกับญี่ปุ่นเสียให้แน่น เพราะญี่ปุ่นเองก็ต้องจับตาจ้อง คอยกันท่าไม่ให้จีนแหยมหน้า เข้ามาใกล้ตัวเองอยู่แล้ว... ….ข่าวเรื่องญี่ปุ่นต้ังงบด้าน ความมั่นคงสำหรับปี 2015 เสียสูงลิ่วถึง 4 หมื่น 2 พันล้านเหรียญ ทำให้ชาวเกาะใหญ่ฯ ตาโตเท่าไข่ห่าน งบขนาดนี้ ชาวเกาะใหญ่ฯ บอก เราไปเอี่ยวกับเขาน่ะ ดีที่สุดแล้ว ….. นอกจากนี้ ชาวเกาะใหญ่ฯ ได้ยินมาว่า อเมริกากับญี่ปุ่น กำลังร่างยุทธศาสตร์ที่จะใช้ฐานทัพของญี่ปุ่นที่ Djibouti (ที่โซมาเลีย) ซึ่งเป็นฐานทัพนอกบ้านฐานแรกของญี่ปุ่น เพื่อใช้การปราบสลัดแถบนั้น ซึ่งมันจะเป็นประโยชน์มาก กับเส้นทางเดินเรือพาณิชย์ของอังกฤษ และดูแลผลประโยชน์ของอังกฤษ ได้ทั้งแถบตะวันออกกลาง และเอเซีย …. ซึ่งนายอาเบะ ก็แบะท่าไว้แล้ว ตั้งแต่มาคารวะอังกฤษในปี 2014 ว่า อยากจะเป็นหุ้นส่วนด้านความมั่นคงกับอังกฤษมากขึ้น เป็นท่าทีใหม่ของญี่ปุ่นที่มีกับชาวเกาะใหญ่ฯ ในรอบหลายปีเลยทีเดียว… Chatham House ฝาแฝดตัวพี่ ของสุดกร่าง CFR บอกว่า เราน่าจะชวน ญี่ปุ่น ชาวเกาะด้วยกัน มาทำสัญญาความร่วมมือสาระพัด แต่ดูๆไปแล้ว มันเป็นการกลบเกลื่อนความต้องการ จริงของชาวเกาะใหญ่ ที่ต้องการให้ญี่ปุ่น เป็นตัวแทน เป็นยาม เป็นหน่วยลาดตะเวน เป็นหน่วยปะทะ ถือถาดบริการชาวเกาะใหญ่ ในเอเซีย ในตะวันออกกลาง ยาวไปถึงโซมาเลียได้ยิ่งดี เหมือนกับที่ญี่ปุ่น กำลังเตรียมตัวทำให้นักล่าใบตองแห้ง แต่ ชาวเกาะใหญ่ฯ ถือไพ่เหนือมือคุณยุ่นเขา เหมือนนักล่าฯ หรือเปล่าล่ะ อาจจะถือไพ่ใต้มือเขาเสียด้วยซ้ำ ถ้าเขารู้ว่า บ้อท่า ถังแตก งบหดสั้นกว่านิ้วก้อยอย่างนั้น คิดไปคิดมา Chatham House แนะนำให้ชาวเกาะใหญ่กัดฟัน เสนอให้ร่วมมือด้านข่าวกรองกับญี่ปุ่นไปเลย และจริงๆ ถ้าจะปกป้องผลประโยชน์ของเราได้ดี เราก็น่าจะให้เขารู้ข้อมูลข่าวกรอง ของฝ่ายตรงกันข้ามมากกว่านี้ ….แสดงว่าชาวเกาะฝีมือไม่เบา จารกรรมจนได้ข้อมูลดีๆมาแยะ แต่อมแอบไว้ก่อน อืม… นี่มันเรื่องใหญ่มากนะครับ อังกฤษ มีระบบการจารกรรมข้อมูลข่าวสารและสัญญานทั่วโลก เช่นระบบ Echelon ที่โด่งดังมาก และมีระบบอื่นๆอีกมาก เขาว่ามันมีถึง 10 ระบบแล้ว จากหลายหน่วยงานข่าวกรองของอังกฤษ และข้อมูลทั้งหมดที่ไปล้วงได้มา จะถูกส่งไปที่ศูนย์รวม ที่เรียกว่า Government Communications Headquarters (GCHQ) ซึ่งสามารถใช้ร่วมกับระบบจารก รรมข่าวกรองของ National Security Council (NSC) ของอเมริกา เช่น ระบบ Prism ที่นายEdward Snowden เอามาแฉ เมื่อ 2,3 ปีก่อน จนเป็นเรื่องครึกโครม ด่าทอ ต่อว่า พวกกันเอง แอบดักฟังกันเอง ทั้ง 2 หน่วยงานนี้ มีข้อตกลงให้ความร่วมมือกัน ว่าข้อมูลที่ล้วงมาได้จากการจาร กรรมของ ทั้ง 2 หน่วยงานนี้ ตกลงที่จะแชร์กัน กับ เฉพาะไม่กี่ประเทศ ที่เรียกว่า 5 ตา 7 ตา (5ตา five eyes มีเฉพาะพวกแองโกลแซกซอน คือ อังกฤษ อเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ส่วน 7 ตา เพิ่ม สวีเดน กับ เดนมาร์ก เข้าไปด้วย รายละเอียดอยู่ในนิทานเรื่อง ผลัดกันล้วง) ถ้าอังกฤษ และญี่ปุ่นตกลงให้ความร่วมมือกันด้านข่าวกรอง ญี่ปุ่นจะเป็นพันธมิตรข่าวกรองของกลุ่มแองโกลแซกซอน จากเอเซียชาติแรก และมันน่าจะทำให้เห็นชัดเจนว่า ญี่ปุ่นเลือกยืนอยู่ที่ใด และการแบ่งข้างในภูมิภาคเอเซี ยคงยิ่งกว่าชัดเจน และ ผู้ที่จะเป็นเป้าใหญ่ ของการเล่นเป็นทีม ของแฝดพี่น้องตัวแสบของโลก Chatham House และ CFR คงไม่พ้นอาเฮียแห่งแดนมังกร และน่าเป็นห่วงว่า เอเซียคงร้อนระอุไม่แพ้ตะวันออกกลาง สมใจอเมริกา ที่ต้องการให้ประเทศในเอเซียทะเลาะกันเอง ตีกันเอง จนน่วม ก่อนที่อเมริกา จะยาตราเข้ามาเก็บกวาด และถ้าคิดถึงความต่อเนื่อง ของเรื่องราว ระยะเวลาของการปล่อยรายงาน สู่สาธารณะ และสันดานของผู้ที่เกี่ยวข้องแล้ว มีความเป็นไปได้ว่า อาจเป็นการสมคบกัน ระหว่างฝาแฝดสุดแสบ ที่ CFR จะวางแผนร่วมกับ Chatham House คิดหาวิธีการที่จะสู้กับระบบป้องกัน A2/AD ของจีน ซึ่งอเมริกากำลังหนักใจอยู่ โดยการเอาระบบการเจาะข่าวกรอง ด้านสัญญาณ ทุกรูปแบบ รวมทั้งด้านไซเบอร์ ของอังกฤษ ร่วมกับของอเมริกา และออกข่าวกดดันจีน และไม่แน่ว่า อังกฤษ จะแอบมาติดต้ังระบบให้ญี่ปุ่น ที่เกาะ Yonaguni เรียบร้อยไปแล้วก็ได้ ป่านนี้คุณพี่อาเบะ อาจจะนับขนจมูกอาเฮียไปหลายรอบ แล้ว เหมือนกับฐานทัพของญี่ปุ่น ที่ Djibuti ที่อังกฤษออกมาปูดว่า ญี่ปุ่นมีแล้ว โดยที่เรื่อง การขยายกองทัพ SDF ของญี่ปุ่นยังไม่ผ่านสภาสูงเลย แต่ญี่ปุ่นก็เดินหน้าทำไปจนเสร็จแล้ว ถ้าพวกเขา จับมือเล่นละครกันแบบนี้จริง เรื่อง Grand Strategy แผนสอยมังกร ของอเมริกา ก็ยิ่งน่าจับตามากขึ้น และเราก็คงต้องติดตามดูความเคลื่อนไหว ในภูมิภาคเอเซียของเรา กันอย่างใกล้ชิด เพราะเรื่องมันใกล้บ้านเรามากนะครับ (เรื่องระบบ A2/AD นี้ รายละเอียดอยู่ในนิทานเรื่อง แผนสอยมังกร ครับ) สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 26 พ.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 235 มุมมอง 0 รีวิว
  • ซามูไรแบกถาด ตอนที่ 3
    “ซามูไรแบกถาด”

    ตอน 3

    น่าสนใจว่า เมื่อนายอาเบะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี รอบ 2 ในปี ค.ศ.2012 นั้น เหมือนกับเขามากับภาระกิจพิเศษ รู้งานล่วงหน้าว่า จะต้องทำอะไรบ้าง และทำอะไรก่อนหลัง

    จากประเทศที่ประกาศตัวว่ารักสงบ และไม่ฝักฝ่ายการทำสงคราม เมื่อรับตำแหน่งใหม่ๆ นายอาเบะ ฉลองเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ด้วยการตั้งสภาความมั่นคงแห่งชาติ National Security Council (NSC) ขึ้น เป็นครั้งแรกของญี่ปุ่น (หลังสงครามโลกครั้งที่ 2) ญี่ปุ่นใช้ สภาความมั่นคงของอเมริกา เป็นแม่แบบ และวัตถุประสงค์หลัก ของการจัดตั้ง NSC ตอนนึง ระบุว่า หนึ่งในเรื่องสำคัญที่สุด ที่กระทบความมั่นคงของญี่ปุ่นคือ การเจริญเติบโตของจีน ญี่ปุ่นจะต้องมีนโยบายที่แก้ไขเรื่องนี้ อย่างครอบคลุมทุกด้าน ไม่ใช่แต่ทางวิธีการทูตเท่านั้น แต่จะต้องรวมนโยบายด้านการป้องกัน และการใช้นโยบายการค้า การเงิน และอื่นๆด้วย …สงสัยไอ้สุดกร่าง ช่วยร่างให้ เขียนแบบกร่างๆอย่างนี้….

    หลังจากนั้น เขาเสนอกฏหมายเกี่ยวกับการรักษาความลับของชาติเข้าสภา ต่อมาก็จัดร่างยุทธศาสตร์ความมั่นคงของชาติและ พยายามที่จะให้มีการตีความรัฐธรรมนูญ ขยายขอบเขตนิยาม การปกป้องตนเอง ของประเทศให้กว้างขวางขึ้น …นี่เดินตามพิมพ์เขียว ของใครนะ

    นอกจากนั้น นายอาเบะยังเดินสาย แวะไปจับเข่าถึง 49 เข่า 49 ประเทศ แน่นอน ยกเว้นไม่ไปแดนมังกร กับไม่ไปเยี่ยมน้องคิมของผมที่เกาหลีเหนือ ดูเหมือนนายอาเบะนี่ แกจะชอบเข่าฝรั่งมากกว่าเข่าเอเซียด้วยกัน ข่าวว่า แกไปทำข้อตกลงความร่วมมือด้านความ มั่นคง กับออสเตรเลีย อังกฤษ ฝรั่งเศส และนาโต้ เรียบร้อยหมดแล้ว นับว่า สุดกร่าง CFR เป็นพี่เลี้ยง ที่ชำนาญการเลี้ยงเด็กสร้างจริงๆ

    การขยับดาบซามูไรของนายอาเบะในช่วงนั้น ทำให้สื่อคอการเมืองหันขวับ พาดหัวข่าวตัวโตว่า “Japan is back” ญี่ปุ่นกลับมาแล้ว กลับมาทำอะไร ตอนนั้นยังไม่มีใครตายาว มองเห็นว่า ญี่ปุ่น หรือนายอาเบะ มีแผนการอะไรกันแน่
    ระหว่างนั้น นายอาเบะ ก็ขยับงบประมาณด้านความมั่นคง ของประเทศ เขยิบขึ้นไปทุกปี และงบประมาณในปี 2015 สูงลิ่วไปถึง 4.98 ล้านล้านเย็น หรือ 4 หมื่น 2 พันล้านเหรียญ เพื่อเตรียมจ่ายค่า เครื่องบินรบ เรือรบ ฯลฯ ที่พวกนายหน้าค้าอาวุธ (ต้ม) เตรียมไว้ให้

    งบประมาณสูงลิ่วนี้ มิได้ลอยมาง่ายๆ นายอาเบะ ต้องออกแรง ให้มีการตีความรัฐธรรมนูญเช่นเดียวกัน

    นาย James R. Holmes ศาสตราจารย์ด้านการวางยุทธศาสตร์ของ Naval War College เขียนถึง ภารกิจแบกถาดของนายอาเบะไว้อย่างน่าคิด เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2015 หัวเรื่อง” This Brave New U.S – Japan Alliance”

    ” …นาย ชินโซะ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น เดินทางมาวอชิงตันสัปดาห์นี้ .. เป้าหมายหนึ่งคือ เพื่อมายกเครื่อง แนวทางความมั่นคงระหว่างอเมริกากับญี่ปุ่น ซึ่งมีผลเกี่ยวกับการเมือง และการทหาร ของทั้ง 2 ประเทศ … ทั้ง 2 ฝ่ายสัญญากันว่า จะรักษาสันติภาพและความมั่นคงของญี่ปุนในทุกขั้นตอน รวมทั้งในสถานการณ์ที่ญี่ปุ่นไม่ได้ถูกโจมตีทางอาวุธ... ทั้งสองฝ่าย ตกลงว่า ต่างมีสิทธิที่จะตอบโต้ ผู้ที่ใช้อาวุธโจมตีอเมริกา หรือโจมตีประเทศอื่น ที่มีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับญี่ปุ่น และแม้ญี่ปุ่นเองจะไม่ได้ถูกโจมตีอย่างรุนแรง..”

    ท่านศาสตราจารย์มีความเห็นว่า ข้อตกลงแบบนี้ออกจะจืดชืด...ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น อย่างที่ตีปิ๊บกัน

    ท่าน ศจ ว่า การเป็นพันธมิตร มีหลายแบบ แบบเท่าเทียมกัน หรือแบบ who has the gold makes the rule ใครมีทองก็นับเป็นพี่ ซึ่งในความคิดของ ท่าน ศจ ว่า สัมพันธ์ วอชิงตัน-โตเกียวตั้งแต่ ค.ศ.1951 มาแล้ว เป็นแบบหลัง หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา แม้อเมริกาจะเอาอดีตศัตรูมาเป็นพันธมิตร มันก็แค่เป็นการเอามาอยู่ใกล้ตัว เพื่อให้แน่ใจว่า นักฆ่าจะไม่ฟื้นคืนชีพมากกว่า อเมริกาทำอย่างนั้น กับทั้งญี่ปุ่น และเยอรมัน … คุณป้าเข็มขัดเหล็กรับทราบด้วยนะครับ ว่าท่าน ศจ เขามองคุณป้าอย่างไร…

    ….ความคิดแบบนี้ ยังมีอยู่ตลอด ผู้คนยังจำได้เสมอ ถึงคำพูดอันโด่งดังของ Lord Ismay เลขาธิการนาโต้คนแรก ที่บอกว่า ..กลุ่มพันธมิตรแอตแลนติก Atlantic Alliance ยังมีอยู่ก็เพื่อ ให้อเมริกาคงอยู่ รัสเซียไป และเยอรมันล่ม the Americans in, the Russians out and the Germans down… เช่นเดียวกับ พันธมิตรของอเมริกา-ญี่ปุ่น ก็มีไว้ เพื่อให้อเมริกาคงอยู่ คอมมิวนิสต์ เช่นรัสเซีย จีน ไป และญี่ปุ่นล่ม…
    …อเมริกา ต้องการคุมญี่ปุ่น ไม่ให้เอาเงินไปสร้างกองทัพใหญ่โต ขณะเดียวกับรัฐมนตรีกลาโหมอเมริกา ดันไปเดินประโคมข่าวในญี่ปุ่นว่า การปรับแนวทางด้านความมั่นคงใหม่ของญี่ปุ่นนี่ เยี่ยมยอด…. มันคงเยี่ยมจริง เพราะวอชิงตันยังไม่ต้องควักกระเป็าสักเหรียญเดียว แต่ญี่ปุ่นต้องแก้กฏหมายเกี่ยวกับการควบคุมงบประมาณด้านความมั่นคง ซึ่งกำหนดเพดานไว้ว่า ต้องไม่เกินกว่า 1 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี …. นี่แปลว่า อเมริกาเปลี่ยนใจเลิกคุมเข้มนักฆ่าแล้วหรือ เปล่าหรอก ท่าน ศจ บอกว่า อเมริกายังคุมญี่ปุ่นเข้มเหมือนเดิม ถึงจะสนับสนุนให้ญี่ปุ่นขยายกองกำลังอย่างไร สุดท้าย อเมริกาก็จะเป็นผู้ออกคำสั่งกับกองทัพญี่ปุ่นเอง … และไม่ว่า ต่อไปข้างหน้า ญี่ปุ่นจะมีเศรษฐกิจโตขี้นในเอเซียขนาดไหน เชื่อเถอะว่า วอชิงตัน ก็ยังมีวิธีคุมญี่ปุ่นได้อยู่ดี..

    … ถึงอย่างนั้น มันก็เป็นความกล้าของทั้ง 2 ฝ่าย ที่เล่มเกมนี้กัน ก็หวังว่า ทั้ง 2 ฝ่ายพร้อมที่จะเล่นเกมนี้...ท่าน ศจ สรุป

    ท่าน ศจ นี่ เขียนได้กวนใจจริงๆ ชวนให้คิดว่า อเมริกาก็รู้ดีอยู่ว่า ญี่ปุ่นเองก็อาจคิดแหกคอก ถือโอกาสจากการที่อเมริกายกขึ้นเป็นหัวหมู่ สร้างกองกำลังของตัวเองขึ้นมาใหม่ เพื่อกลับมา เป็นญี่ปุ่นที่ยิ่งใหญ่ เหมือนสมัยสงครามโลก แต่ อเมริกาก็สนับสนุนให้ญี่ปุ่นทำ แสดงว่าอเมริกาน่าจะมีแผนสกัดสับคอ รออยู่ หรือหลอกให้ญี่ปุ่นลงเหวลึกไปเลย ญี่ปุ่นเอง ก็น่าจะรู้ว่าอเมริกาคิดกับตนเองอย่างไร รู้แล้วยังคิดแหกคอกไหม ถ้าคิดจะแหกคอก มันก็ต้องเล่นกันตอนนี้แหละ เนียนไปกับบทแบกถาด ถึงเวลาก็ค่อยโยนถาดทิ้ง

    แต่ไม่ว่าญี่ปุ่นจะคิดเล่นบทแบกถาด บริการอเมริกาต่อไป หรือคิดแหกคอก กลับมาสวมวิญญาณนักรบ หรือนักฆ่า เหมือนสมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ญี่ปุ่นก่อศัตรูคู่แค้นอย่าง จีน และเกาหลี ชนิดยากจะให้อภัยกัน ญี่ปุ่นก็ไม่เคยเป็นแบบอย่างของ การเป็นเพื่อนแท้กับใคร
    ปลาดิบ ทำจากปลาปักเป้า เขาว่าน่ากิน อร่อยหนักหนา มองไม่มีพิษ ไม่มีภัย แต่ถ้าเอาพิษปลาปักเป้าออกไม่เป็น คนกินก็ถูกนำส่งวัดมาหลายรายแล้ว

    สัมพันธ์ญี่ปุ่นอเมริกาน่าศึกษา และน่าจับตา ไม่ใช่เป็นเรื่องเข้าใจ และวางใจได้ง่ายๆ

    แต่ญี่ปุ่นคงต้องมีคุณสมบัติบางอย่าง ซึ่งเป็นที่น่าต้องการ ของผู้ที่มุ่งหมายจะให้การปฏิบัติภาระกิจสำเร็จลุล่วงอย่างไม่มีโอกาสพลาด เมื่อรับปากแล้วก็ต้องทำจนถึงที่สุด แม้ที่สุด จะหมายถึงจบชีวิต หรือความหายนะ มันคงเป็นนิสัยซามูไร ที่รับใช้ “นาย” จนถึงที่สุด หรืออย่างไร

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    25 พ.ค. 2558
    ซามูไรแบกถาด ตอนที่ 3 “ซามูไรแบกถาด” ตอน 3 น่าสนใจว่า เมื่อนายอาเบะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี รอบ 2 ในปี ค.ศ.2012 นั้น เหมือนกับเขามากับภาระกิจพิเศษ รู้งานล่วงหน้าว่า จะต้องทำอะไรบ้าง และทำอะไรก่อนหลัง จากประเทศที่ประกาศตัวว่ารักสงบ และไม่ฝักฝ่ายการทำสงคราม เมื่อรับตำแหน่งใหม่ๆ นายอาเบะ ฉลองเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ด้วยการตั้งสภาความมั่นคงแห่งชาติ National Security Council (NSC) ขึ้น เป็นครั้งแรกของญี่ปุ่น (หลังสงครามโลกครั้งที่ 2) ญี่ปุ่นใช้ สภาความมั่นคงของอเมริกา เป็นแม่แบบ และวัตถุประสงค์หลัก ของการจัดตั้ง NSC ตอนนึง ระบุว่า หนึ่งในเรื่องสำคัญที่สุด ที่กระทบความมั่นคงของญี่ปุ่นคือ การเจริญเติบโตของจีน ญี่ปุ่นจะต้องมีนโยบายที่แก้ไขเรื่องนี้ อย่างครอบคลุมทุกด้าน ไม่ใช่แต่ทางวิธีการทูตเท่านั้น แต่จะต้องรวมนโยบายด้านการป้องกัน และการใช้นโยบายการค้า การเงิน และอื่นๆด้วย …สงสัยไอ้สุดกร่าง ช่วยร่างให้ เขียนแบบกร่างๆอย่างนี้…. หลังจากนั้น เขาเสนอกฏหมายเกี่ยวกับการรักษาความลับของชาติเข้าสภา ต่อมาก็จัดร่างยุทธศาสตร์ความมั่นคงของชาติและ พยายามที่จะให้มีการตีความรัฐธรรมนูญ ขยายขอบเขตนิยาม การปกป้องตนเอง ของประเทศให้กว้างขวางขึ้น …นี่เดินตามพิมพ์เขียว ของใครนะ นอกจากนั้น นายอาเบะยังเดินสาย แวะไปจับเข่าถึง 49 เข่า 49 ประเทศ แน่นอน ยกเว้นไม่ไปแดนมังกร กับไม่ไปเยี่ยมน้องคิมของผมที่เกาหลีเหนือ ดูเหมือนนายอาเบะนี่ แกจะชอบเข่าฝรั่งมากกว่าเข่าเอเซียด้วยกัน ข่าวว่า แกไปทำข้อตกลงความร่วมมือด้านความ มั่นคง กับออสเตรเลีย อังกฤษ ฝรั่งเศส และนาโต้ เรียบร้อยหมดแล้ว นับว่า สุดกร่าง CFR เป็นพี่เลี้ยง ที่ชำนาญการเลี้ยงเด็กสร้างจริงๆ การขยับดาบซามูไรของนายอาเบะในช่วงนั้น ทำให้สื่อคอการเมืองหันขวับ พาดหัวข่าวตัวโตว่า “Japan is back” ญี่ปุ่นกลับมาแล้ว กลับมาทำอะไร ตอนนั้นยังไม่มีใครตายาว มองเห็นว่า ญี่ปุ่น หรือนายอาเบะ มีแผนการอะไรกันแน่ ระหว่างนั้น นายอาเบะ ก็ขยับงบประมาณด้านความมั่นคง ของประเทศ เขยิบขึ้นไปทุกปี และงบประมาณในปี 2015 สูงลิ่วไปถึง 4.98 ล้านล้านเย็น หรือ 4 หมื่น 2 พันล้านเหรียญ เพื่อเตรียมจ่ายค่า เครื่องบินรบ เรือรบ ฯลฯ ที่พวกนายหน้าค้าอาวุธ (ต้ม) เตรียมไว้ให้ งบประมาณสูงลิ่วนี้ มิได้ลอยมาง่ายๆ นายอาเบะ ต้องออกแรง ให้มีการตีความรัฐธรรมนูญเช่นเดียวกัน นาย James R. Holmes ศาสตราจารย์ด้านการวางยุทธศาสตร์ของ Naval War College เขียนถึง ภารกิจแบกถาดของนายอาเบะไว้อย่างน่าคิด เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2015 หัวเรื่อง” This Brave New U.S – Japan Alliance” ” …นาย ชินโซะ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น เดินทางมาวอชิงตันสัปดาห์นี้ .. เป้าหมายหนึ่งคือ เพื่อมายกเครื่อง แนวทางความมั่นคงระหว่างอเมริกากับญี่ปุ่น ซึ่งมีผลเกี่ยวกับการเมือง และการทหาร ของทั้ง 2 ประเทศ … ทั้ง 2 ฝ่ายสัญญากันว่า จะรักษาสันติภาพและความมั่นคงของญี่ปุนในทุกขั้นตอน รวมทั้งในสถานการณ์ที่ญี่ปุ่นไม่ได้ถูกโจมตีทางอาวุธ... ทั้งสองฝ่าย ตกลงว่า ต่างมีสิทธิที่จะตอบโต้ ผู้ที่ใช้อาวุธโจมตีอเมริกา หรือโจมตีประเทศอื่น ที่มีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับญี่ปุ่น และแม้ญี่ปุ่นเองจะไม่ได้ถูกโจมตีอย่างรุนแรง..” ท่านศาสตราจารย์มีความเห็นว่า ข้อตกลงแบบนี้ออกจะจืดชืด...ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น อย่างที่ตีปิ๊บกัน ท่าน ศจ ว่า การเป็นพันธมิตร มีหลายแบบ แบบเท่าเทียมกัน หรือแบบ who has the gold makes the rule ใครมีทองก็นับเป็นพี่ ซึ่งในความคิดของ ท่าน ศจ ว่า สัมพันธ์ วอชิงตัน-โตเกียวตั้งแต่ ค.ศ.1951 มาแล้ว เป็นแบบหลัง หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา แม้อเมริกาจะเอาอดีตศัตรูมาเป็นพันธมิตร มันก็แค่เป็นการเอามาอยู่ใกล้ตัว เพื่อให้แน่ใจว่า นักฆ่าจะไม่ฟื้นคืนชีพมากกว่า อเมริกาทำอย่างนั้น กับทั้งญี่ปุ่น และเยอรมัน … คุณป้าเข็มขัดเหล็กรับทราบด้วยนะครับ ว่าท่าน ศจ เขามองคุณป้าอย่างไร… ….ความคิดแบบนี้ ยังมีอยู่ตลอด ผู้คนยังจำได้เสมอ ถึงคำพูดอันโด่งดังของ Lord Ismay เลขาธิการนาโต้คนแรก ที่บอกว่า ..กลุ่มพันธมิตรแอตแลนติก Atlantic Alliance ยังมีอยู่ก็เพื่อ ให้อเมริกาคงอยู่ รัสเซียไป และเยอรมันล่ม the Americans in, the Russians out and the Germans down… เช่นเดียวกับ พันธมิตรของอเมริกา-ญี่ปุ่น ก็มีไว้ เพื่อให้อเมริกาคงอยู่ คอมมิวนิสต์ เช่นรัสเซีย จีน ไป และญี่ปุ่นล่ม… …อเมริกา ต้องการคุมญี่ปุ่น ไม่ให้เอาเงินไปสร้างกองทัพใหญ่โต ขณะเดียวกับรัฐมนตรีกลาโหมอเมริกา ดันไปเดินประโคมข่าวในญี่ปุ่นว่า การปรับแนวทางด้านความมั่นคงใหม่ของญี่ปุ่นนี่ เยี่ยมยอด…. มันคงเยี่ยมจริง เพราะวอชิงตันยังไม่ต้องควักกระเป็าสักเหรียญเดียว แต่ญี่ปุ่นต้องแก้กฏหมายเกี่ยวกับการควบคุมงบประมาณด้านความมั่นคง ซึ่งกำหนดเพดานไว้ว่า ต้องไม่เกินกว่า 1 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี …. นี่แปลว่า อเมริกาเปลี่ยนใจเลิกคุมเข้มนักฆ่าแล้วหรือ เปล่าหรอก ท่าน ศจ บอกว่า อเมริกายังคุมญี่ปุ่นเข้มเหมือนเดิม ถึงจะสนับสนุนให้ญี่ปุ่นขยายกองกำลังอย่างไร สุดท้าย อเมริกาก็จะเป็นผู้ออกคำสั่งกับกองทัพญี่ปุ่นเอง … และไม่ว่า ต่อไปข้างหน้า ญี่ปุ่นจะมีเศรษฐกิจโตขี้นในเอเซียขนาดไหน เชื่อเถอะว่า วอชิงตัน ก็ยังมีวิธีคุมญี่ปุ่นได้อยู่ดี.. … ถึงอย่างนั้น มันก็เป็นความกล้าของทั้ง 2 ฝ่าย ที่เล่มเกมนี้กัน ก็หวังว่า ทั้ง 2 ฝ่ายพร้อมที่จะเล่นเกมนี้...ท่าน ศจ สรุป ท่าน ศจ นี่ เขียนได้กวนใจจริงๆ ชวนให้คิดว่า อเมริกาก็รู้ดีอยู่ว่า ญี่ปุ่นเองก็อาจคิดแหกคอก ถือโอกาสจากการที่อเมริกายกขึ้นเป็นหัวหมู่ สร้างกองกำลังของตัวเองขึ้นมาใหม่ เพื่อกลับมา เป็นญี่ปุ่นที่ยิ่งใหญ่ เหมือนสมัยสงครามโลก แต่ อเมริกาก็สนับสนุนให้ญี่ปุ่นทำ แสดงว่าอเมริกาน่าจะมีแผนสกัดสับคอ รออยู่ หรือหลอกให้ญี่ปุ่นลงเหวลึกไปเลย ญี่ปุ่นเอง ก็น่าจะรู้ว่าอเมริกาคิดกับตนเองอย่างไร รู้แล้วยังคิดแหกคอกไหม ถ้าคิดจะแหกคอก มันก็ต้องเล่นกันตอนนี้แหละ เนียนไปกับบทแบกถาด ถึงเวลาก็ค่อยโยนถาดทิ้ง แต่ไม่ว่าญี่ปุ่นจะคิดเล่นบทแบกถาด บริการอเมริกาต่อไป หรือคิดแหกคอก กลับมาสวมวิญญาณนักรบ หรือนักฆ่า เหมือนสมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ญี่ปุ่นก่อศัตรูคู่แค้นอย่าง จีน และเกาหลี ชนิดยากจะให้อภัยกัน ญี่ปุ่นก็ไม่เคยเป็นแบบอย่างของ การเป็นเพื่อนแท้กับใคร ปลาดิบ ทำจากปลาปักเป้า เขาว่าน่ากิน อร่อยหนักหนา มองไม่มีพิษ ไม่มีภัย แต่ถ้าเอาพิษปลาปักเป้าออกไม่เป็น คนกินก็ถูกนำส่งวัดมาหลายรายแล้ว สัมพันธ์ญี่ปุ่นอเมริกาน่าศึกษา และน่าจับตา ไม่ใช่เป็นเรื่องเข้าใจ และวางใจได้ง่ายๆ แต่ญี่ปุ่นคงต้องมีคุณสมบัติบางอย่าง ซึ่งเป็นที่น่าต้องการ ของผู้ที่มุ่งหมายจะให้การปฏิบัติภาระกิจสำเร็จลุล่วงอย่างไม่มีโอกาสพลาด เมื่อรับปากแล้วก็ต้องทำจนถึงที่สุด แม้ที่สุด จะหมายถึงจบชีวิต หรือความหายนะ มันคงเป็นนิสัยซามูไร ที่รับใช้ “นาย” จนถึงที่สุด หรืออย่างไร สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 25 พ.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 245 มุมมอง 0 รีวิว
  • “เปิดฝา ‘ปลากระป๋อง’ โซเวียต – เจาะลึกชิป K565PY3 ด้วยกล้องจุลทรรศน์”

    เรื่องราวเริ่มต้นจากโพสต์ของ CPU Duke นักสะสมชิปผู้หลงใหลในเทคโนโลยีเก่า ที่ได้รับชิปโซเวียตจากผู้ใช้ชื่อ RetroNora7734 และตัดสินใจ “เปิดฝา” ของ K565PY3 ซึ่งเป็น DRAM ขนาด 16KB ที่ผลิตโดยโรงงาน Mezon ในมอลโดวา

    ฝาครอบของชิปแข็งแรงมากจนต้องเปิดเหมือนปลากระป๋อง! เมื่อเปิดออก เขาใช้กล้องจุลทรรศน์แบบสะท้อนแสงเพื่อสำรวจโครงสร้างภายใน พบว่าชิปมีเซลล์หน่วยความจำเรียงกันเป็นเมทริกซ์ขนาด 128 x 128 เซลล์

    จากนั้นเขาใช้กล้องจุลทรรศน์แบบโลหะวิทยาเพื่อดูรายละเอียดลึกขึ้น พบคำสลักภาษารัสเซียที่แปลว่า “Tempo” ซึ่งอาจหมายถึงความเร็วของ DRAM และยังเห็นโครงสร้างของ CAS (Column Address Strobe) และ RAS (Row Address Strobe) ที่ใช้ในการเข้าถึงข้อมูลใน DRAM

    ชิป K565PY3 นี้เป็นการลอกเลียนแบบ Intel 4116 ซึ่งเคยใช้ในคอมพิวเตอร์ระดับตำนาน เช่น Apple II, Commodore PET และ ZX Spectrum รวมถึงเครื่องเล่นเกมอาเขตอย่าง Defender และ Missile Command โดยชิปโซเวียตนี้อาจถูกใช้ในคอมพิวเตอร์โซเวียตที่ลอกแบบจากตะวันตก หรือในระบบฝังตัวของอุตสาหกรรม

    K565PY3 เป็น DRAM ขนาด 16KB จากยุคสงครามเย็น
    ผลิตโดยโรงงาน Mezon ในมอลโดวา
    เป็นการลอกเลียนแบบ Intel 4116 DRAM
    ใช้ในคอมพิวเตอร์ตะวันตกยุค 70s–80s เช่น Apple II และ IBM PC
    โครงสร้างภายในเป็นเมทริกซ์ 128 x 128 เซลล์

    CPU Duke ใช้กล้องจุลทรรศน์หลายชนิดในการสำรวจ
    กล้องสะท้อนแสงเผยโครงสร้างเซลล์หน่วยความจำ
    กล้องโลหะวิทยาเผยคำสลัก “Tempo” และโครงสร้าง CAS/RAS

    ชิปนี้อาจถูกใช้ในคอมพิวเตอร์โซเวียตที่ลอกแบบจากตะวันตก
    รวมถึงระบบฝังตัวในอุตสาหกรรมของโซเวียต
    ลอกแบบจากชิปของ Mostek ซึ่งเป็นผู้ผลิตร่วมกับ Intel

    คำเตือนเกี่ยวกับการเก็บสะสมชิปเก่า
    ชิปเก่าอาจมีสารเคมีหรือโลหะหนักที่เป็นอันตราย
    ควรเก็บในที่ปลอดภัยและหลีกเลี่ยงการสัมผัสโดยตรง

    ความเสี่ยงจากการเปิดฝาชิปด้วยมือ
    อาจทำให้โครงสร้างภายในเสียหาย
    ต้องใช้เครื่องมือเฉพาะและความชำนาญสูง

    https://www.tomshardware.com/pc-components/dram/cpu-collector-peels-the-lid-off-a-soviet-era-fish-can-chip-to-peer-inside-with-multiple-microscopes-k565ru3-was-a-soviet-era-clone-of-western-chips-like-the-intel-designed-4116
    🧪 “เปิดฝา ‘ปลากระป๋อง’ โซเวียต – เจาะลึกชิป K565PY3 ด้วยกล้องจุลทรรศน์” เรื่องราวเริ่มต้นจากโพสต์ของ CPU Duke นักสะสมชิปผู้หลงใหลในเทคโนโลยีเก่า ที่ได้รับชิปโซเวียตจากผู้ใช้ชื่อ RetroNora7734 และตัดสินใจ “เปิดฝา” ของ K565PY3 ซึ่งเป็น DRAM ขนาด 16KB ที่ผลิตโดยโรงงาน Mezon ในมอลโดวา ฝาครอบของชิปแข็งแรงมากจนต้องเปิดเหมือนปลากระป๋อง! เมื่อเปิดออก เขาใช้กล้องจุลทรรศน์แบบสะท้อนแสงเพื่อสำรวจโครงสร้างภายใน พบว่าชิปมีเซลล์หน่วยความจำเรียงกันเป็นเมทริกซ์ขนาด 128 x 128 เซลล์ จากนั้นเขาใช้กล้องจุลทรรศน์แบบโลหะวิทยาเพื่อดูรายละเอียดลึกขึ้น พบคำสลักภาษารัสเซียที่แปลว่า “Tempo” ซึ่งอาจหมายถึงความเร็วของ DRAM และยังเห็นโครงสร้างของ CAS (Column Address Strobe) และ RAS (Row Address Strobe) ที่ใช้ในการเข้าถึงข้อมูลใน DRAM ชิป K565PY3 นี้เป็นการลอกเลียนแบบ Intel 4116 ซึ่งเคยใช้ในคอมพิวเตอร์ระดับตำนาน เช่น Apple II, Commodore PET และ ZX Spectrum รวมถึงเครื่องเล่นเกมอาเขตอย่าง Defender และ Missile Command โดยชิปโซเวียตนี้อาจถูกใช้ในคอมพิวเตอร์โซเวียตที่ลอกแบบจากตะวันตก หรือในระบบฝังตัวของอุตสาหกรรม ✅ K565PY3 เป็น DRAM ขนาด 16KB จากยุคสงครามเย็น ➡️ ผลิตโดยโรงงาน Mezon ในมอลโดวา ➡️ เป็นการลอกเลียนแบบ Intel 4116 DRAM ➡️ ใช้ในคอมพิวเตอร์ตะวันตกยุค 70s–80s เช่น Apple II และ IBM PC ➡️ โครงสร้างภายในเป็นเมทริกซ์ 128 x 128 เซลล์ ✅ CPU Duke ใช้กล้องจุลทรรศน์หลายชนิดในการสำรวจ ➡️ กล้องสะท้อนแสงเผยโครงสร้างเซลล์หน่วยความจำ ➡️ กล้องโลหะวิทยาเผยคำสลัก “Tempo” และโครงสร้าง CAS/RAS ✅ ชิปนี้อาจถูกใช้ในคอมพิวเตอร์โซเวียตที่ลอกแบบจากตะวันตก ➡️ รวมถึงระบบฝังตัวในอุตสาหกรรมของโซเวียต ➡️ ลอกแบบจากชิปของ Mostek ซึ่งเป็นผู้ผลิตร่วมกับ Intel ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับการเก็บสะสมชิปเก่า ⛔ ชิปเก่าอาจมีสารเคมีหรือโลหะหนักที่เป็นอันตราย ⛔ ควรเก็บในที่ปลอดภัยและหลีกเลี่ยงการสัมผัสโดยตรง ‼️ ความเสี่ยงจากการเปิดฝาชิปด้วยมือ ⛔ อาจทำให้โครงสร้างภายในเสียหาย ⛔ ต้องใช้เครื่องมือเฉพาะและความชำนาญสูง https://www.tomshardware.com/pc-components/dram/cpu-collector-peels-the-lid-off-a-soviet-era-fish-can-chip-to-peer-inside-with-multiple-microscopes-k565ru3-was-a-soviet-era-clone-of-western-chips-like-the-intel-designed-4116
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 91 มุมมอง 0 รีวิว
  • ซามูไรแบกถาด ตอนที่ 2
    “ซามูไรแบกถาด”

    ตอน 2

    หลังจากสอบสัมภาษณ์เสร็จเมื่อปลายเดือนเมษายน คุณพี่อาเบะ ก็รีบเดินทางกลับญี่ปุ่น แกต้องมาจัดการเแก้ไข เรื่องภายในของญี่ปุ่นอีกหลายเรื่อง เพื่อให้บทบาทของหัวหมู่ทะลวงฟัน ดำเนินการได้ครบถ้วน ตามที่กำหนดไว้ใน Grand Strategy อย่างเรียบร้อยโดยไม่มีอุปสรรค รัฐบาลของคุณพี่อาเบะ ต้องเสนอร่างกฏหมาย 2 ฉบับเข้าสภา มันเป็นกฏหมายเกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศทั้ง 2 ฉบับ

    กฏหมายฉบับหนึ่ง จะเป็นการแก้ไข กฏหมายอีก 10 ฉบับ ที่เกี่ยวโยงกัน เพื่อยกเลิกข้อจำกัด เกี่ยวกับการปกป้องตนเองของญี่ปุ่น Self Defence Forces (SDF) และ สิทธิที่จะใช้กองกำลังของประเทศ ช่วยเหลือประเทศ “อื่น” ที่ถูกโจมตี “ใน” อาณาเขตของญี่ปุ่น ส่วนกฏหมายอีกฉบับ เป็นการสร้างอำนาจให้กับรัฐบาล ที่จะเอากองกำลังของประเทศ ไปใช้ต่อสู้ “นอก” อาณาเขตของญี่ปุ่นได้ มันเป็นเรื่องใหญ่สำหรับญี่ปุ่น แต่ญี่ปุ่นก็ทำตามใบสั่งโดยไม่เกี่ยง ไม่งอน น่ารักซะไม่มีล่ะ

    หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพของญี่ปุ่นทั้งหมด ถูกให้ยกเลิก และอเมริกา โดยนายพลดักกลาส แมคอาเธอร์ ผู้บัญชาการกองกำลังฝ่ายสัมพันธมิตรภาคพื้นแปซิฟิก ก็จัดการให้ญี่ปุ่น จัดทำรัฐธรรมนูญของญี่ปุ่นขึ้นใหม่ในปี ค.ศ.1947 และมาตรา 9 ของรัฐธรรมนูญ เขียนไว้อย่างสวยหรู ตามถ้อยคำ ที่กำกับโดยท่านนายพล อ่านกันให้ซึ้งนะครับ

    ” ด้วยความปรารถนาอย่างจริงใจ ที่จะให้เกิดสันติภาพที่มีแบบแผนขึ้นในสากล เราประชาชนชาวญี่ปุ่น จึงขอปฏิเสธตลอดกาล ต่อการใช้อำนาจโดยชาติใดและการข่มขู่ใด หรือการใช้กำลังใด เพื่อตัดสินข้อขัดแย้งระหว่างประเทศ และเพื่อให้บรรลุถึงวัตถุประสงค์ ดังกล่าวข้างต้น เราจะไม่ดำรงกองกำลัง ไม่ว่า ทางบก ทางทะเล และทางอากาศ รวมทั้งไม่สร้างสงครามใด และจะไม่ถือสิทธิใดของรัฐ ที่จะก่อสงคราม”
    (“Aspiring sincerely to an international peace based on order, the Japanese people forever renounce war as a sovereign right of the nation and the threat or use of force as means of settling international disputes. In order to accomplish the aim of the preceding paragraph, land, sea and airforces, as well as other war potential, will never be maintained. The right of belligerency of the state will not be recognized.”)

    “ตลอดกาล” หรือ forever ของญี่ปุ่น ก็ไม่นานเท่าไหร่หรอก

    เมื่อเกิดสงครามเย็น และสงครามเกาหลี ญี่ปุ่นก็ชักหน้าจ๋อย ขอผมมีกองกำลังไว้ป้องกันประเทศสักหน่อย ได้ไหมครับท่านนายพล การแสดงความปรารถนา อย่างตลอดกาลของญี่ปุ่น ตามมาตรา 9 ของรัฐธรรมนูญดังกล่าวข้างต้น จึงได้มีการเปลี่ยนแปลง โดยมีการออกกฏหมายใน ปี ค.ศ.1954 ให้ญี่ปุ่นสามารถมีกองกำลังเพียงพอ ที่จะดูแลปกป้องตัวเองได้ Self Defence Forces (SDF) หลังจากนั้น ญี่ปุ่นพยายามแก้รัฐธรรมนูญ มาตรานี้มาหลายครั้ง เพื่อขยายกองกำลังขึ้นอีก แต่ไม่เคยมีรัฐบาลใดทำสำเร็จ เพราะประชาชนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ ไม่สนับสนุน ชาวญี่ปุ่นยังเข็ดขยาดกับสงคราม

    แต่ครั้งนี้ นายอาเบะไม่รู้ไปกินอะไรมา กำลังภายในสูงส่งมาก กฏหมายทั้ง 2 ฉบับ ที่จะนำทางไปสู่การแก้มาตรา 9 ของรัฐธรรมนูญญี่ปุ่นด้วยนั้น สภาผู้แทนของญี่ปุ่น ว่าง่ายผ่านร่างกฏหมายทั้ง 2 ฉบับนี้เรียบร้อยไปแล้ว เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคมนี้เอง กฏหมายนี้ยังจะต้องส่งเข้าสภาสูงเพื่อพิจารณาด้วย โดยมีกำหนดการพิจารณาในฤดูร้อนของญี่ปุ่น (ประมาณเดือนกรกฏาคม) ข่าวว่า เดิมสภาสูงของญี่ปุ่น จะปิดสมัยประชุม สิ้นเดือนมิถุนายนนี้ แต่เนื่องจากจะต้องผ่านกฏหมายสำคัญนี้ จึงจะมีการยืดสมัยประชุมออกไป เพื่อรอพิจารณากฏหมายดังกล่าว ซึ่งจะต้องมีการแก้รัฐธรรมนูญของญี่ปุ่น เพื่อให้กองทัพของญี่ปุ่นร่อนไปทำทั่วโลกได้
    ทั้งหมดนี้ ไม่เป็นปัญหาสำหรับคุณพี่อาเบะ ทุกอย่างเดินหน้าตามใบสั่ง สภาจะปิด ก็เปิดได้ แหม… ทำไมมันว่าง่ายกันยังนี้หนอ ไม่รู้จักเจ็บ ไม่รู้จักจำมั่งหรือไร เขาทิ้งบอมบ์จนประชาชนคนชาติเดียวกันตายหมู่ที่ละเป็นแสนๆ นี่เขาหลอกเอาขึ้นแท่นเป็นหัวหมู่ ให้ไปตายแทน ไม่ใช่แต่ในเอเซีย ในตะวันออกกลาง ก็อาจจะต้องไปล้างปั้ม ชิงปั้ม ให้เขา ก็ยังรีบร้อนเดินหน้าทำให้เขาอีก เออ ผมละงงจริงๆ บุญหนักหนา ที่มันตัดขาดเรา ไม่ต้องเป็นขี้ข้า หัวซุกหัวซุนวิ่งรับใช้มัน ทำทุกอย่างตามที่มันต้องการ รวมทั้งไปตายแทนมัน…

    ผมเป็นอเมริกา ผมต้องตกรางวัลนายอาเบะเต็มอัตราเลย เพราะก่อนหน้าจะเอาร่างกฏหมายทั้งหลายนี่เข้าสภา นายอาเบะ ลงทุนเชิญนายทหารระดับสูงจากอเมริกา และยุโรปมาชมแสนยานุภาพของญี่ปุ่น อาวุธสุดทันสมัย ที่กองทัพเรือญี่ปุ่น “เตรียมพร้อม” ที่จะซื้อ ทันทีที่รัฐสภาญี่ปุ่นอนุมัติ ทำงานล่วงหน้าแบบนี่ ไม่ให้โบนัส ก็ใจจืดไปหน่อย

    ยังไม่หมดครับ ย้อนไปก่อนหน้านี้ นายอาเบะ ได้ขอให้สภาอนุมัติเพิ่มงบประมาณด้านความมั่นคง โดยเฉพาะ เพื่อตั้งฐานทัพติดตั้งเรดาร์ที่เกาะ Yonaguni ซึ่งเป็นดินแดนของญี่ปุ่น ที่อยู่ใกล้ที่สุดกับจีน และตั้งหน่วยสะเทื้อนน้ำสะเทื้อนบก ตามรูปแบบของอังกฤษ ตามยุทธศาสตร์เอาติดแดนที่ถูกศัตรูยึดไปกลับคืน นี่กะดูถึงขนจมูกอาเฮียเลยซินะ

    อังกฤษ และญี่ปุ่น มีสภาพเป็นเกาะเหมือนกัน ท่านนายพล Richard Spencer อดีตผู้บัญชาการ กองทัพเรือของสหภาพยุโรป แต่ปัจจุบัน มีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาให้กับ Self Defense Force (SDF) ของญี่ปุ่น ยุทธศาสตร์ที่เราแนะนำ เหมาะสมแล้ว …อ้อ นี่ เขาจัดส่งเป็นแพ๊กเกจเลยนะ เพื่อปั้นกองทัพเดนตายให้ญี่ปุ่น

    กองทัพญี่ปุ่นไม่ได้ยิงกระสุนอีกเลย แม้แต่นัดเดียว นับตั้งแต่ถูกอเมริกายึดครองในปี ค.ศ.1945 บริษัทผลิตอาวุธของญี่ปุ่นเอง หลายบริษัท ผันตัวเองไปผลิตสินค้า เพื่อความสดวกสบายของชีวิต แทนการผลิตอาวุธ และการผลิตอาวุธเพื่อส่งออกของญี่ปุ่น ถูกห้ามโดยเด็ดขาด และเปลี่ยนเป็นการผลิต รถถัง เครื่องบินรบ เรือรบ เรือดำน้ำ เฉพาะตามโครงการ SDF เท่านั้น
    แต่ในปีที่แล้ว นายอาเบะ ก็ปรับนโยบายด้านความมั่นคงของญี่ปุ่นใหม่ ด้วยการเริ่มติดต่อกับผู้ผลิตอาวุธต่างประเทศ รวมทั้ง เครื่องบินรบ และเรือรบ เขาบอกว่า ยุทธศาสตร์การสร้างสันติภาพของญี่ปุ่น จำเป็นต้องใช้ร่วมกับการป้องกันด้วยอาวุธทางทหาร… ยุทธศาสตร์เดียวกับลูกพี่เป๊ะเลย รักษาสันติภาพในตะวันออกกลาง เสียจนทะลายราบเกือบหมดประเทศ

    เมื่อต้นปี ญี่ปุ่นเปิดตัวเรือรบลำใหม่ ชื่อ Izumo เป็นเรือรบที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 มีรันเวย์ยาวถึง 250 เมตร บรรทุกเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์เต็มอัตรา Izumo ยังมีพี่เลี้ยงประกบข้างอีก 2 ลำ เป็นเรือรบชนิดบรรทุกเครื่องบิน รายงานข่าวอ้างว่า ขณะนี้ กองทัพเรือของญี่ปุ่น ใหญ่กว่ากองทัพเรือของฝรั่งเศสบวกกับอังกฤษเสียด้วยซ้ำ …น่าสนใจ ไม่รู้ข่าวนี้ใส่สีเข้มหรือเปล่า ต้องกรองหน่อยนะครับ

    ถนนทุกสายกำลังมุ่งไปสู่โตเกียว!

    MAST บริษัทนายหน้าค้าอาวุธใหญ่ของอังกฤษ ตีปีกฉีกยิ้ม กับนโยบายใหม่ของนาย อาเบะ หรือ ของ ไอ้สุดกร่าง CFR นั่นแหละ MAST รับหน้าที่ จัดรายการเชิญพ่อค้าขายอาวุธ มาแลกเปลียนความคิด ว่าจะ (ต้ม) ขายอาวุธให้ญี่ปุ่นอย่างไรดี ส่วนใหญ่ เห็นพ้องกันว่า ญี่ปุ่นเรื้อเวทีมานาน 70 ปี เราต้องใช้ นโยบายว่า อาวุธที่ญี่ปุ่นสร้างขึ้นมาตอนหลัง ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ในการรบจริงเลยนะ ว่ามันจะใช้การได้ขนาดไหน นอกจากนี้พวกเขายังเล็งเหยื่อ ไปทั้งแถบ ตั้งแต่ เวียตนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย และ ฟิลิปปินส์ ….อ้อ ไม่มีชื่อ ไทยแลนด์

    ท่านที่ปรึกษาใหญ่ นายพล Spencer บอกว่า การเปลี่ยนนโยบายของญี่ปุ่นด้านความมั่นคงนี้ อย่ามองว่าเป็นแค่การเปิดประตู ให้พวกนักค้าอาวุธเข้ามานะ มันเป็นการเปิดประตูของญี่ปุ่น ที่พาตัวเองออกไปสู่บทบาท ด้านการทหารระดับโลกต่างหาก… เยี่ยมครับ สมเป็นที่ปรึกษาด้านความมั่นคง เขาส่งคน(ต้ม) มาถูกงานจริงๆ

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    24 พ.ค. 2558
    ซามูไรแบกถาด ตอนที่ 2 “ซามูไรแบกถาด” ตอน 2 หลังจากสอบสัมภาษณ์เสร็จเมื่อปลายเดือนเมษายน คุณพี่อาเบะ ก็รีบเดินทางกลับญี่ปุ่น แกต้องมาจัดการเแก้ไข เรื่องภายในของญี่ปุ่นอีกหลายเรื่อง เพื่อให้บทบาทของหัวหมู่ทะลวงฟัน ดำเนินการได้ครบถ้วน ตามที่กำหนดไว้ใน Grand Strategy อย่างเรียบร้อยโดยไม่มีอุปสรรค รัฐบาลของคุณพี่อาเบะ ต้องเสนอร่างกฏหมาย 2 ฉบับเข้าสภา มันเป็นกฏหมายเกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศทั้ง 2 ฉบับ กฏหมายฉบับหนึ่ง จะเป็นการแก้ไข กฏหมายอีก 10 ฉบับ ที่เกี่ยวโยงกัน เพื่อยกเลิกข้อจำกัด เกี่ยวกับการปกป้องตนเองของญี่ปุ่น Self Defence Forces (SDF) และ สิทธิที่จะใช้กองกำลังของประเทศ ช่วยเหลือประเทศ “อื่น” ที่ถูกโจมตี “ใน” อาณาเขตของญี่ปุ่น ส่วนกฏหมายอีกฉบับ เป็นการสร้างอำนาจให้กับรัฐบาล ที่จะเอากองกำลังของประเทศ ไปใช้ต่อสู้ “นอก” อาณาเขตของญี่ปุ่นได้ มันเป็นเรื่องใหญ่สำหรับญี่ปุ่น แต่ญี่ปุ่นก็ทำตามใบสั่งโดยไม่เกี่ยง ไม่งอน น่ารักซะไม่มีล่ะ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพของญี่ปุ่นทั้งหมด ถูกให้ยกเลิก และอเมริกา โดยนายพลดักกลาส แมคอาเธอร์ ผู้บัญชาการกองกำลังฝ่ายสัมพันธมิตรภาคพื้นแปซิฟิก ก็จัดการให้ญี่ปุ่น จัดทำรัฐธรรมนูญของญี่ปุ่นขึ้นใหม่ในปี ค.ศ.1947 และมาตรา 9 ของรัฐธรรมนูญ เขียนไว้อย่างสวยหรู ตามถ้อยคำ ที่กำกับโดยท่านนายพล อ่านกันให้ซึ้งนะครับ ” ด้วยความปรารถนาอย่างจริงใจ ที่จะให้เกิดสันติภาพที่มีแบบแผนขึ้นในสากล เราประชาชนชาวญี่ปุ่น จึงขอปฏิเสธตลอดกาล ต่อการใช้อำนาจโดยชาติใดและการข่มขู่ใด หรือการใช้กำลังใด เพื่อตัดสินข้อขัดแย้งระหว่างประเทศ และเพื่อให้บรรลุถึงวัตถุประสงค์ ดังกล่าวข้างต้น เราจะไม่ดำรงกองกำลัง ไม่ว่า ทางบก ทางทะเล และทางอากาศ รวมทั้งไม่สร้างสงครามใด และจะไม่ถือสิทธิใดของรัฐ ที่จะก่อสงคราม” (“Aspiring sincerely to an international peace based on order, the Japanese people forever renounce war as a sovereign right of the nation and the threat or use of force as means of settling international disputes. In order to accomplish the aim of the preceding paragraph, land, sea and airforces, as well as other war potential, will never be maintained. The right of belligerency of the state will not be recognized.”) “ตลอดกาล” หรือ forever ของญี่ปุ่น ก็ไม่นานเท่าไหร่หรอก เมื่อเกิดสงครามเย็น และสงครามเกาหลี ญี่ปุ่นก็ชักหน้าจ๋อย ขอผมมีกองกำลังไว้ป้องกันประเทศสักหน่อย ได้ไหมครับท่านนายพล การแสดงความปรารถนา อย่างตลอดกาลของญี่ปุ่น ตามมาตรา 9 ของรัฐธรรมนูญดังกล่าวข้างต้น จึงได้มีการเปลี่ยนแปลง โดยมีการออกกฏหมายใน ปี ค.ศ.1954 ให้ญี่ปุ่นสามารถมีกองกำลังเพียงพอ ที่จะดูแลปกป้องตัวเองได้ Self Defence Forces (SDF) หลังจากนั้น ญี่ปุ่นพยายามแก้รัฐธรรมนูญ มาตรานี้มาหลายครั้ง เพื่อขยายกองกำลังขึ้นอีก แต่ไม่เคยมีรัฐบาลใดทำสำเร็จ เพราะประชาชนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ ไม่สนับสนุน ชาวญี่ปุ่นยังเข็ดขยาดกับสงคราม แต่ครั้งนี้ นายอาเบะไม่รู้ไปกินอะไรมา กำลังภายในสูงส่งมาก กฏหมายทั้ง 2 ฉบับ ที่จะนำทางไปสู่การแก้มาตรา 9 ของรัฐธรรมนูญญี่ปุ่นด้วยนั้น สภาผู้แทนของญี่ปุ่น ว่าง่ายผ่านร่างกฏหมายทั้ง 2 ฉบับนี้เรียบร้อยไปแล้ว เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคมนี้เอง กฏหมายนี้ยังจะต้องส่งเข้าสภาสูงเพื่อพิจารณาด้วย โดยมีกำหนดการพิจารณาในฤดูร้อนของญี่ปุ่น (ประมาณเดือนกรกฏาคม) ข่าวว่า เดิมสภาสูงของญี่ปุ่น จะปิดสมัยประชุม สิ้นเดือนมิถุนายนนี้ แต่เนื่องจากจะต้องผ่านกฏหมายสำคัญนี้ จึงจะมีการยืดสมัยประชุมออกไป เพื่อรอพิจารณากฏหมายดังกล่าว ซึ่งจะต้องมีการแก้รัฐธรรมนูญของญี่ปุ่น เพื่อให้กองทัพของญี่ปุ่นร่อนไปทำทั่วโลกได้ ทั้งหมดนี้ ไม่เป็นปัญหาสำหรับคุณพี่อาเบะ ทุกอย่างเดินหน้าตามใบสั่ง สภาจะปิด ก็เปิดได้ แหม… ทำไมมันว่าง่ายกันยังนี้หนอ ไม่รู้จักเจ็บ ไม่รู้จักจำมั่งหรือไร เขาทิ้งบอมบ์จนประชาชนคนชาติเดียวกันตายหมู่ที่ละเป็นแสนๆ นี่เขาหลอกเอาขึ้นแท่นเป็นหัวหมู่ ให้ไปตายแทน ไม่ใช่แต่ในเอเซีย ในตะวันออกกลาง ก็อาจจะต้องไปล้างปั้ม ชิงปั้ม ให้เขา ก็ยังรีบร้อนเดินหน้าทำให้เขาอีก เออ ผมละงงจริงๆ บุญหนักหนา ที่มันตัดขาดเรา ไม่ต้องเป็นขี้ข้า หัวซุกหัวซุนวิ่งรับใช้มัน ทำทุกอย่างตามที่มันต้องการ รวมทั้งไปตายแทนมัน… ผมเป็นอเมริกา ผมต้องตกรางวัลนายอาเบะเต็มอัตราเลย เพราะก่อนหน้าจะเอาร่างกฏหมายทั้งหลายนี่เข้าสภา นายอาเบะ ลงทุนเชิญนายทหารระดับสูงจากอเมริกา และยุโรปมาชมแสนยานุภาพของญี่ปุ่น อาวุธสุดทันสมัย ที่กองทัพเรือญี่ปุ่น “เตรียมพร้อม” ที่จะซื้อ ทันทีที่รัฐสภาญี่ปุ่นอนุมัติ ทำงานล่วงหน้าแบบนี่ ไม่ให้โบนัส ก็ใจจืดไปหน่อย ยังไม่หมดครับ ย้อนไปก่อนหน้านี้ นายอาเบะ ได้ขอให้สภาอนุมัติเพิ่มงบประมาณด้านความมั่นคง โดยเฉพาะ เพื่อตั้งฐานทัพติดตั้งเรดาร์ที่เกาะ Yonaguni ซึ่งเป็นดินแดนของญี่ปุ่น ที่อยู่ใกล้ที่สุดกับจีน และตั้งหน่วยสะเทื้อนน้ำสะเทื้อนบก ตามรูปแบบของอังกฤษ ตามยุทธศาสตร์เอาติดแดนที่ถูกศัตรูยึดไปกลับคืน นี่กะดูถึงขนจมูกอาเฮียเลยซินะ อังกฤษ และญี่ปุ่น มีสภาพเป็นเกาะเหมือนกัน ท่านนายพล Richard Spencer อดีตผู้บัญชาการ กองทัพเรือของสหภาพยุโรป แต่ปัจจุบัน มีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาให้กับ Self Defense Force (SDF) ของญี่ปุ่น ยุทธศาสตร์ที่เราแนะนำ เหมาะสมแล้ว …อ้อ นี่ เขาจัดส่งเป็นแพ๊กเกจเลยนะ เพื่อปั้นกองทัพเดนตายให้ญี่ปุ่น กองทัพญี่ปุ่นไม่ได้ยิงกระสุนอีกเลย แม้แต่นัดเดียว นับตั้งแต่ถูกอเมริกายึดครองในปี ค.ศ.1945 บริษัทผลิตอาวุธของญี่ปุ่นเอง หลายบริษัท ผันตัวเองไปผลิตสินค้า เพื่อความสดวกสบายของชีวิต แทนการผลิตอาวุธ และการผลิตอาวุธเพื่อส่งออกของญี่ปุ่น ถูกห้ามโดยเด็ดขาด และเปลี่ยนเป็นการผลิต รถถัง เครื่องบินรบ เรือรบ เรือดำน้ำ เฉพาะตามโครงการ SDF เท่านั้น แต่ในปีที่แล้ว นายอาเบะ ก็ปรับนโยบายด้านความมั่นคงของญี่ปุ่นใหม่ ด้วยการเริ่มติดต่อกับผู้ผลิตอาวุธต่างประเทศ รวมทั้ง เครื่องบินรบ และเรือรบ เขาบอกว่า ยุทธศาสตร์การสร้างสันติภาพของญี่ปุ่น จำเป็นต้องใช้ร่วมกับการป้องกันด้วยอาวุธทางทหาร… ยุทธศาสตร์เดียวกับลูกพี่เป๊ะเลย รักษาสันติภาพในตะวันออกกลาง เสียจนทะลายราบเกือบหมดประเทศ เมื่อต้นปี ญี่ปุ่นเปิดตัวเรือรบลำใหม่ ชื่อ Izumo เป็นเรือรบที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 มีรันเวย์ยาวถึง 250 เมตร บรรทุกเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์เต็มอัตรา Izumo ยังมีพี่เลี้ยงประกบข้างอีก 2 ลำ เป็นเรือรบชนิดบรรทุกเครื่องบิน รายงานข่าวอ้างว่า ขณะนี้ กองทัพเรือของญี่ปุ่น ใหญ่กว่ากองทัพเรือของฝรั่งเศสบวกกับอังกฤษเสียด้วยซ้ำ …น่าสนใจ ไม่รู้ข่าวนี้ใส่สีเข้มหรือเปล่า ต้องกรองหน่อยนะครับ ถนนทุกสายกำลังมุ่งไปสู่โตเกียว! MAST บริษัทนายหน้าค้าอาวุธใหญ่ของอังกฤษ ตีปีกฉีกยิ้ม กับนโยบายใหม่ของนาย อาเบะ หรือ ของ ไอ้สุดกร่าง CFR นั่นแหละ MAST รับหน้าที่ จัดรายการเชิญพ่อค้าขายอาวุธ มาแลกเปลียนความคิด ว่าจะ (ต้ม) ขายอาวุธให้ญี่ปุ่นอย่างไรดี ส่วนใหญ่ เห็นพ้องกันว่า ญี่ปุ่นเรื้อเวทีมานาน 70 ปี เราต้องใช้ นโยบายว่า อาวุธที่ญี่ปุ่นสร้างขึ้นมาตอนหลัง ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ในการรบจริงเลยนะ ว่ามันจะใช้การได้ขนาดไหน นอกจากนี้พวกเขายังเล็งเหยื่อ ไปทั้งแถบ ตั้งแต่ เวียตนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย และ ฟิลิปปินส์ ….อ้อ ไม่มีชื่อ ไทยแลนด์ ท่านที่ปรึกษาใหญ่ นายพล Spencer บอกว่า การเปลี่ยนนโยบายของญี่ปุ่นด้านความมั่นคงนี้ อย่ามองว่าเป็นแค่การเปิดประตู ให้พวกนักค้าอาวุธเข้ามานะ มันเป็นการเปิดประตูของญี่ปุ่น ที่พาตัวเองออกไปสู่บทบาท ด้านการทหารระดับโลกต่างหาก… เยี่ยมครับ สมเป็นที่ปรึกษาด้านความมั่นคง เขาส่งคน(ต้ม) มาถูกงานจริงๆ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 24 พ.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 257 มุมมอง 0 รีวิว
  • ซามูไรแบกถาด ตอนที่ 1
    “ซามูไรแบกถาด ”

    ตอน 1

    เรื่องโรฮิงญา เป็นเหมือนหนังขั้นรายการนะครับ ที่เจ้าของโรงฟอกย้อมยี่ห้อต่างๆ เขาเร่งใส่สีมาย้อมพวกเรา เพื่อสร้างประเด็นให้เราบ้าจี้ตาม และเขียนถึงกันทั้งวัน จนตัวด่างจากสีย้อมเละไปหมด แถมยืนงงและหลงทางตามที่เขาต้องการ จริงๆ ไม่ได้เป็นเรื่องตัดสินใจยาก หรือเป็นปัญหาใหญ่อะไรหนักหนา ใครที่เมตตาจิตสูง เห็นแล้วสงสาร ก็นึกเรื่องชาวนากับงูเห่าแล้วกัน น่าเลี้ยงไว้ดูเล่นนักหรือครับงูเห่าน่ะ เลิกบ้าจี้ตามสื่อฝรั่ง สื่อซื้อ สื่องี่เง่าบ้านเราได้แล้ว ไอ้พวกองค์กรอะไรมันสั่งให้เราสงสาร ก็ให้มันอุ้มไปเลี้ยงเอง โรฮิงญามันยังลอยเรืออยู่ทะเลนอกฝั่งเรา ก็ปล่อยให้มันลอยต่อไปแล้วกัน พูดเหมือนคนใจดำ แต่มันจำเป็น และลุงตู่คงจะมองออก เล่นเป็น

    วันนี้ เรามาคุยกันต่อ ถึงพวกที่ไม่ได้ลอยเรือ แต่ลอยฟ้ามาอยู่เต็มบ้านเราแล้ว ซักวันหนึ่ง อาจลุกขึ้นมามีพิษมากกว่างูเห่า ถ้ามันลุกขึ้นติดอาวุธกันหมด ซึ่งเป็นเรื่องต่อเนื่องจาก Grand Strategy ของสุดกร่าง CFR ที่ผมเล่าให้ฟังใน นิทานเรื่อง” แผนสอยมังกร” ดีไหมครับ

    Grand Strategy บอกว่า อเมริกาต้องมียุทธศาสตร์ ที่มีความเข้มข้นสูงสุด เพื่อเตรียมการสอย หรือสยบมังกร ที่โตเร็ว ใหญ่เร็ว จนอเมริกาทนดูต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว ยุทธศาสตร์ระดับใหญ่ยิ่งนี้ จำเป็นต้องจัดระเบียบลูกหาบแถวเอเซียเสียใหม่ อเมริกามอบหน้าที่ให้ญี่ปุ่นเป็นหัวหน้า หัวหมู่ทะลวงฟัน คุมลูกหาบของอเมริกาในภาคพื้นเอเซีย ซึ่งทุกราย ได้รับการติดยศติดอาวุธกันถ้วนหน้า เพื่อเตรียมตัวโซ้ยกับอาเฮีย แต่รายการนี้ คุณสมันน้อยไม่เกี่ยว ไอ้สุดกร่าง CFR มันไม่นับเราเป็นเพื่อน เป็นลูกหาบแล้ว ถือว่ามันเป็นฝ่ายตัดเราเองนะ ลุงตู่คร้าบ รับทราบด้วยนะคร้าบ มันตัดฉับเราเองนะ หมดเวรหมดกรรมกันแล้ว รีบไปทำบุญกรวดน้ำคว่ำขันให้มันด้วย แล้วอย่าไปใจอ่อนกับมันอีก จะมาขอยื้มใช้อะไร ก็ให้ไปใช้ที่อื่น ไปใช้ที่ญี่ปุ่นโน่นเลย ไปเลย
    Grand Strategy ไม่ได้เขียนออกมาขู่จีนเล่นๆ เขาเตรียมการตามแผนไว้ล่วงหน้าจนเกือบครบถ้วน เหลือแต่เอาผักชีมาโรยหลอกคนดูเท่านั้น จึงออกรายงานมาฟาดหน้าอาเฮีย เป็นการ “ท้าทาย” ยังไม่อยากใช้คำว่า ” ท้ารบ” เพราะไอ้นักล่าคงต้องการให้ฝั่งอาเฮียออกอาวุธก่อน

    หลังจาก Grand Strategy ออกมาไม่นานเท่าไหร่ พอให้ชาวบ้านรับรู้ว่า อเมริกาคิดอย่างไรกับจีน และจะมีแผนดำเนินการอย่างไรในเอเซีย นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ชินโซะ อาเบะ Shinzo Abe ผู้ที่ได้รับเลือกให้เป็นหัวหมู่ ทะลวงฟัน ในแผนสอยมังกรของสุดกร่าง CFR ก็บังเอิญ ต้องเดินทางไปกรุงวอชิงตัน ในปลายเดือนเมษายน (2015) แหม วางบทให้ดาราออกฉากเป๊ะๆ สมกับเป็นเจ้าของโรงสร้างหนังฮอลลีวู้ด สุดยอดแห่งการฟอกย้อม ต้มตุ๋น (คนดู) จนเปื่อยทั้งโลกจริงๆ

    การไปอเมริกาของนายอาเบะครั้งนี้ ไม่ใช่ไปเยี่ยมเยียนธรรมดา มันเหมือนเป็นการไปสอบสัมภาษณ์ เพื่อเตรียมตัวเลื่อนชั้นของญี่ปุ่น จากลูกหาบที่ดีกว่าลูกหาบทั่วไปหน่อย เพราะยอมให้ไอ้นักล่าใบตองแห้ง มันปลูกดอกเห็ดเสียราบเป็นเมืองๆ ให้เลื่อนเป็นหัวหน้าลูกหาบหมายเลขหนี่งในเอเซียเลย ที่ไอ้นักล่าจะเมตตา ประทานความร่วมมือทางเศรษฐกิจ และความมั่นคงเพิ่มเติมให้ โดยนายอาเบะ จะต้องไปบรรเลงให้รัฐสภาของอเมริกาฟัง ถึงสถานการณ์ในเอเซีย ในสายตาของญี่ปุ่น จริงๆก็คือไปพูดเกี่ยวกันจีนน่ะ ว่า น่ากลัว น่ารังเกียจอย่างไร รุกรานต่อความมั่นคงในภูมิภาคอย่าง ไร ไปด่าคนเอเซียด้วยกัน ผมดำตาตี่ด้วยกัน ให้ฝรั่งฟังนั่นแหละ มันถึงจะสมใจฝรั่ง และคราวนี้เขาว่า นายอาเบะ สอบสัมภาษณ์ แสดงสุนทรพจน์เป็นภาษาอังกฤษ ยาวหลายชั่วโมงด้วย เก่งจริงๆ

    ผลของการสอบสัมภาษณ์ ปรากฏว่า สื่อต่างพากันตบมือเป่าปากว่า นายอาเบะพูดดีเหลือหลาย ถือเป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ การด่าจีนได้ผล ทำให้รัฐสภาของอเมริกานายใหญ่ ให้ความเห็นชอบต่อ “แนวทาง” การร่วมมือด้านความมั่นคง ระหว่างญี่ปุ่นกันอเมริกา US – Japan Joint Defense Guidelines ซึ่งสุดกร่าง CFR เตรียมไว้ให้นั่นแหละ
    แนวทาง หรือ Guidelines นี้ สร้างความตื่นเต้นสำหรับสำหรับผู้คนทั่วไป ที่ไม่รู้เบื้องหลัง และเบื้องหน้า เพราะมันเป็นการเปลี่ยนแปลงสถานะของญี่ปุ่นในด้านความมั่นคง หรือการทหาร แบบปฏิวัติ กลับหลังหัน หรือกลืนน้ำลายที่บ้วนไปแล้ว เรียกแบบไหนก็ได้ทั้งนั้น แล้วแต่มุมมอง และอัธยาศัยของท่านผู้อ่าน

    นับแต่แพ้สงครามโลก ญี่ปุ่น ได้รับอนุญาตจากอเมริกาให้มีกองทัพได้ เพียงเพื่อเป็นการปกป้องตนเอง Japan Self- Defense Forces (JSDF) ในเฉพาะอาณาบริเวณ รอบๆประเทศญี่ปุ่น “area surrounding Japan” เท่านั้น แต่จากการไปสอบสัมภาษณ์ครั้งนี้ อเมริกาได้กลืนน้ำลาย ปรับเปลี่ยนนโยบายใหม่ ยอมให้ JSDF ของญี่ปุ่น ขยายกิจการ สามารถปฏิบัติการไปได้ “ทั่วโลก” ไม่ต้องจับเจ่า วิ่งวนอยู่แต่รอบเกาะญี่ปุ่นให้เวียนหัว… แน่จริงๆ คุณพี่อาเบะ แต่ผมสงสัย คุณพี่แกจะเข้าใจหรือเปล่านะว่า เขากำลังให้คุณพี่ทำอะไร

    มันจะสอบไม่ผ่าน ไม่ได้เลื่อนชั้นได้ยังไง ก็ทั้งคนสอบ คนตรวจข้อสอบ รู้ข้อสอบที่เขียนโดย สุดกร่าง CFR ล่วงหน้า อเมริกาจะให้ญี่ปุ่นเป็น หัวหมู่ทะลวงฟัน จะให้วิ่งจ๊องแจ๊งอยู่ระหว่างเกาะตัวเองจะไปทำอะไรได้ มันต้องให้วิ่งไปทุกย่านน้ำ เพื่อประกบหน้า ดักหลังจีนให้ครบ ทัพหลวงฝ่าด่านไหนไม่ได้ ให้คุณพี่อาเบะคุมทัพไปแทน มันต้องยั่งงี้ สื่อใส่สี ถึงกับออกปากว่า Guidelines นี้ เป็นเอกสารที่เป็นการเปลี่ยนโฉมหน้าใหม่ หรือปฏิรูปญี่ปุ่นที่เดียว a revolutionary document เล่นเอาวิญญานซามูไรหวนกลับ เดินหล่อกล้ามใหญ่ขึ้น เขาให้เอาไว้แบกถาดรับใช้เขาน่ะครับ
    ตามแนวทางใหม่นี้ รัฐมนตรีต่างประเทศ John Kerry ( ผู้ซึ่งในสายตาของผม ช่างไร้เสน่ห์ และศิลปในทางเจรจาอย่างยิ่ง ยังไม่เคยสร้างความประทับใจให้ กับผมได้ ไม่ว่าทางบวก หรือทางลบ นอกจากสร้างความน่าเบื่อ) กับนาย Ashton Carter รัฐมนตรีกลาโหมมาดเสมียน ออกมาร่วมตีปิ๊บ กับรัฐมนตรีต่างประเทศ และรัฐมนตรีกลาโหมญี่ปุ่น บอกว่า ….คราวนี้แหละ ญี่ปุ่น สามารถเข้ามาช่วยอเมริกาได้ แม้แต่ในการภาระกิจที่ตะวันออกกลาง ว่าเข้านั่น … เราไม่ได้ตั้งใจติดอาวุธให้ญี่ปุ่น เพื่อให้ไปรบกับจีนนะ แม้จะมีความน่าห่วงว่า จีนอาจจะเพิ่มความก่อกวนในทะเลจีนก็ตาม…เนี่ยะ มันพูดออกข่าวกันแบบนี้ จะให้ชื่นชมว่ามีศิลปในการเจรจา ไหวหรือครับ

    นอกจากนี้ ก๊วนตีปิ๊บ บอกอีกว่า … มันก็เป็นไปได้นะ ที่เกาหลีเหนือ ก็อาจจะเป็นอีกรายการหนึ่ง ที่สร้างความตึงเครียดให้กับภูมิภาค … นี่เป็นการพาดพิงถึงเกาหลีเหนือ ของน้องคิมของผม โดยไม่มีสาเหตุอันควรนะ ผมไม่พอใจอย่างยิ่ง แต่น้องเขาจะคิดอย่างไร ผมไม่กล้าเดาใจเขา

    ลูกพี่พล่ามไม่พอ ลูกน้องก๊วนตีปิ๊บออกมาเสริมต่อ …ต่อไปนี้ ญี่ปุ่นจะสามารถปกป้องเรือรบของอเมริกัน ที่กำลังปฏิบัติภาระกิจ ยิงจรวดอยู่แถวนั้นก็ได้ …หมายความว่าอะไร เรือรบอเมริกาจะไปยิงจรวดใส่ใครอยู่แถวนั้น …แถวนั้น น่ะ แถวไหน

    ก๊วนตีปิ๊บยังเมามัน โม้ต่ออีกว่า …นอกจากญี่ปุ่น จะมีโอกาสตอบโต้ การโจมตีของประเทศที่สาม ถ้าเข้ามาใกล้ญี่ปุ่นแล้ว ….ความเป็นไปได้อีกอย่าง คือ ญี่ปุ่นอาจยิงจรวด ที่มีการมุ่งเป้าไปที่อเมริกา.. แม้ว่าญี่ปุ่นเอง จะไม่ได้ถูกโจมตี….

    อืม.. ไอ้นักล่าใบตองแห้งนี่มันร้ายจริงๆ มันหลอกยกญี่ปุ่นขึ้นแท่น ติดอาวุธ นอกจากคอยแบกถาดเดินตามบริการ จัดการสาระพัดที่ไอ้นักล่าจะสั่งแล้ว หัวหมู่ยังต้องทำหน้าที่เป็นยาม คอยเฝ้าดูมังกรขยับตัวให้มัน และนอกจากเฝ้าจีนแล้ว แต่ที่หัวหมู่จะต้องเฝ้ามอง แบบตาไม่กระพริบ น่าจะเป็นจรวด จากเกาหลีเหนือมากกว่า เพราะอยู่ใกล้กันแค่นั้น กลัวเขาจะส่งของขวัญ ข้ามน้ำข้ามทะเล มาลงกลางหลังคาทำเนียบขาว ..แบบไม่รู้ตัว หรือรู้ … แต่ ก็ทำอะไรไม่ทัน …..คุณพี่อาเบะทราบไหมครับ รับทำหน้าที่แบบนี้ แล้วดันเกิดผลฉิบหายในบ้านตัวเองแทน ประกันเขาไม่จ่ายให้นะครับ

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    23 พ.ค. 2558
    ซามูไรแบกถาด ตอนที่ 1 “ซามูไรแบกถาด ” ตอน 1 เรื่องโรฮิงญา เป็นเหมือนหนังขั้นรายการนะครับ ที่เจ้าของโรงฟอกย้อมยี่ห้อต่างๆ เขาเร่งใส่สีมาย้อมพวกเรา เพื่อสร้างประเด็นให้เราบ้าจี้ตาม และเขียนถึงกันทั้งวัน จนตัวด่างจากสีย้อมเละไปหมด แถมยืนงงและหลงทางตามที่เขาต้องการ จริงๆ ไม่ได้เป็นเรื่องตัดสินใจยาก หรือเป็นปัญหาใหญ่อะไรหนักหนา ใครที่เมตตาจิตสูง เห็นแล้วสงสาร ก็นึกเรื่องชาวนากับงูเห่าแล้วกัน น่าเลี้ยงไว้ดูเล่นนักหรือครับงูเห่าน่ะ เลิกบ้าจี้ตามสื่อฝรั่ง สื่อซื้อ สื่องี่เง่าบ้านเราได้แล้ว ไอ้พวกองค์กรอะไรมันสั่งให้เราสงสาร ก็ให้มันอุ้มไปเลี้ยงเอง โรฮิงญามันยังลอยเรืออยู่ทะเลนอกฝั่งเรา ก็ปล่อยให้มันลอยต่อไปแล้วกัน พูดเหมือนคนใจดำ แต่มันจำเป็น และลุงตู่คงจะมองออก เล่นเป็น วันนี้ เรามาคุยกันต่อ ถึงพวกที่ไม่ได้ลอยเรือ แต่ลอยฟ้ามาอยู่เต็มบ้านเราแล้ว ซักวันหนึ่ง อาจลุกขึ้นมามีพิษมากกว่างูเห่า ถ้ามันลุกขึ้นติดอาวุธกันหมด ซึ่งเป็นเรื่องต่อเนื่องจาก Grand Strategy ของสุดกร่าง CFR ที่ผมเล่าให้ฟังใน นิทานเรื่อง” แผนสอยมังกร” ดีไหมครับ Grand Strategy บอกว่า อเมริกาต้องมียุทธศาสตร์ ที่มีความเข้มข้นสูงสุด เพื่อเตรียมการสอย หรือสยบมังกร ที่โตเร็ว ใหญ่เร็ว จนอเมริกาทนดูต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว ยุทธศาสตร์ระดับใหญ่ยิ่งนี้ จำเป็นต้องจัดระเบียบลูกหาบแถวเอเซียเสียใหม่ อเมริกามอบหน้าที่ให้ญี่ปุ่นเป็นหัวหน้า หัวหมู่ทะลวงฟัน คุมลูกหาบของอเมริกาในภาคพื้นเอเซีย ซึ่งทุกราย ได้รับการติดยศติดอาวุธกันถ้วนหน้า เพื่อเตรียมตัวโซ้ยกับอาเฮีย แต่รายการนี้ คุณสมันน้อยไม่เกี่ยว ไอ้สุดกร่าง CFR มันไม่นับเราเป็นเพื่อน เป็นลูกหาบแล้ว ถือว่ามันเป็นฝ่ายตัดเราเองนะ ลุงตู่คร้าบ รับทราบด้วยนะคร้าบ มันตัดฉับเราเองนะ หมดเวรหมดกรรมกันแล้ว รีบไปทำบุญกรวดน้ำคว่ำขันให้มันด้วย แล้วอย่าไปใจอ่อนกับมันอีก จะมาขอยื้มใช้อะไร ก็ให้ไปใช้ที่อื่น ไปใช้ที่ญี่ปุ่นโน่นเลย ไปเลย Grand Strategy ไม่ได้เขียนออกมาขู่จีนเล่นๆ เขาเตรียมการตามแผนไว้ล่วงหน้าจนเกือบครบถ้วน เหลือแต่เอาผักชีมาโรยหลอกคนดูเท่านั้น จึงออกรายงานมาฟาดหน้าอาเฮีย เป็นการ “ท้าทาย” ยังไม่อยากใช้คำว่า ” ท้ารบ” เพราะไอ้นักล่าคงต้องการให้ฝั่งอาเฮียออกอาวุธก่อน หลังจาก Grand Strategy ออกมาไม่นานเท่าไหร่ พอให้ชาวบ้านรับรู้ว่า อเมริกาคิดอย่างไรกับจีน และจะมีแผนดำเนินการอย่างไรในเอเซีย นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ชินโซะ อาเบะ Shinzo Abe ผู้ที่ได้รับเลือกให้เป็นหัวหมู่ ทะลวงฟัน ในแผนสอยมังกรของสุดกร่าง CFR ก็บังเอิญ ต้องเดินทางไปกรุงวอชิงตัน ในปลายเดือนเมษายน (2015) แหม วางบทให้ดาราออกฉากเป๊ะๆ สมกับเป็นเจ้าของโรงสร้างหนังฮอลลีวู้ด สุดยอดแห่งการฟอกย้อม ต้มตุ๋น (คนดู) จนเปื่อยทั้งโลกจริงๆ การไปอเมริกาของนายอาเบะครั้งนี้ ไม่ใช่ไปเยี่ยมเยียนธรรมดา มันเหมือนเป็นการไปสอบสัมภาษณ์ เพื่อเตรียมตัวเลื่อนชั้นของญี่ปุ่น จากลูกหาบที่ดีกว่าลูกหาบทั่วไปหน่อย เพราะยอมให้ไอ้นักล่าใบตองแห้ง มันปลูกดอกเห็ดเสียราบเป็นเมืองๆ ให้เลื่อนเป็นหัวหน้าลูกหาบหมายเลขหนี่งในเอเซียเลย ที่ไอ้นักล่าจะเมตตา ประทานความร่วมมือทางเศรษฐกิจ และความมั่นคงเพิ่มเติมให้ โดยนายอาเบะ จะต้องไปบรรเลงให้รัฐสภาของอเมริกาฟัง ถึงสถานการณ์ในเอเซีย ในสายตาของญี่ปุ่น จริงๆก็คือไปพูดเกี่ยวกันจีนน่ะ ว่า น่ากลัว น่ารังเกียจอย่างไร รุกรานต่อความมั่นคงในภูมิภาคอย่าง ไร ไปด่าคนเอเซียด้วยกัน ผมดำตาตี่ด้วยกัน ให้ฝรั่งฟังนั่นแหละ มันถึงจะสมใจฝรั่ง และคราวนี้เขาว่า นายอาเบะ สอบสัมภาษณ์ แสดงสุนทรพจน์เป็นภาษาอังกฤษ ยาวหลายชั่วโมงด้วย เก่งจริงๆ ผลของการสอบสัมภาษณ์ ปรากฏว่า สื่อต่างพากันตบมือเป่าปากว่า นายอาเบะพูดดีเหลือหลาย ถือเป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ การด่าจีนได้ผล ทำให้รัฐสภาของอเมริกานายใหญ่ ให้ความเห็นชอบต่อ “แนวทาง” การร่วมมือด้านความมั่นคง ระหว่างญี่ปุ่นกันอเมริกา US – Japan Joint Defense Guidelines ซึ่งสุดกร่าง CFR เตรียมไว้ให้นั่นแหละ แนวทาง หรือ Guidelines นี้ สร้างความตื่นเต้นสำหรับสำหรับผู้คนทั่วไป ที่ไม่รู้เบื้องหลัง และเบื้องหน้า เพราะมันเป็นการเปลี่ยนแปลงสถานะของญี่ปุ่นในด้านความมั่นคง หรือการทหาร แบบปฏิวัติ กลับหลังหัน หรือกลืนน้ำลายที่บ้วนไปแล้ว เรียกแบบไหนก็ได้ทั้งนั้น แล้วแต่มุมมอง และอัธยาศัยของท่านผู้อ่าน นับแต่แพ้สงครามโลก ญี่ปุ่น ได้รับอนุญาตจากอเมริกาให้มีกองทัพได้ เพียงเพื่อเป็นการปกป้องตนเอง Japan Self- Defense Forces (JSDF) ในเฉพาะอาณาบริเวณ รอบๆประเทศญี่ปุ่น “area surrounding Japan” เท่านั้น แต่จากการไปสอบสัมภาษณ์ครั้งนี้ อเมริกาได้กลืนน้ำลาย ปรับเปลี่ยนนโยบายใหม่ ยอมให้ JSDF ของญี่ปุ่น ขยายกิจการ สามารถปฏิบัติการไปได้ “ทั่วโลก” ไม่ต้องจับเจ่า วิ่งวนอยู่แต่รอบเกาะญี่ปุ่นให้เวียนหัว… แน่จริงๆ คุณพี่อาเบะ แต่ผมสงสัย คุณพี่แกจะเข้าใจหรือเปล่านะว่า เขากำลังให้คุณพี่ทำอะไร มันจะสอบไม่ผ่าน ไม่ได้เลื่อนชั้นได้ยังไง ก็ทั้งคนสอบ คนตรวจข้อสอบ รู้ข้อสอบที่เขียนโดย สุดกร่าง CFR ล่วงหน้า อเมริกาจะให้ญี่ปุ่นเป็น หัวหมู่ทะลวงฟัน จะให้วิ่งจ๊องแจ๊งอยู่ระหว่างเกาะตัวเองจะไปทำอะไรได้ มันต้องให้วิ่งไปทุกย่านน้ำ เพื่อประกบหน้า ดักหลังจีนให้ครบ ทัพหลวงฝ่าด่านไหนไม่ได้ ให้คุณพี่อาเบะคุมทัพไปแทน มันต้องยั่งงี้ สื่อใส่สี ถึงกับออกปากว่า Guidelines นี้ เป็นเอกสารที่เป็นการเปลี่ยนโฉมหน้าใหม่ หรือปฏิรูปญี่ปุ่นที่เดียว a revolutionary document เล่นเอาวิญญานซามูไรหวนกลับ เดินหล่อกล้ามใหญ่ขึ้น เขาให้เอาไว้แบกถาดรับใช้เขาน่ะครับ ตามแนวทางใหม่นี้ รัฐมนตรีต่างประเทศ John Kerry ( ผู้ซึ่งในสายตาของผม ช่างไร้เสน่ห์ และศิลปในทางเจรจาอย่างยิ่ง ยังไม่เคยสร้างความประทับใจให้ กับผมได้ ไม่ว่าทางบวก หรือทางลบ นอกจากสร้างความน่าเบื่อ) กับนาย Ashton Carter รัฐมนตรีกลาโหมมาดเสมียน ออกมาร่วมตีปิ๊บ กับรัฐมนตรีต่างประเทศ และรัฐมนตรีกลาโหมญี่ปุ่น บอกว่า ….คราวนี้แหละ ญี่ปุ่น สามารถเข้ามาช่วยอเมริกาได้ แม้แต่ในการภาระกิจที่ตะวันออกกลาง ว่าเข้านั่น … เราไม่ได้ตั้งใจติดอาวุธให้ญี่ปุ่น เพื่อให้ไปรบกับจีนนะ แม้จะมีความน่าห่วงว่า จีนอาจจะเพิ่มความก่อกวนในทะเลจีนก็ตาม…เนี่ยะ มันพูดออกข่าวกันแบบนี้ จะให้ชื่นชมว่ามีศิลปในการเจรจา ไหวหรือครับ นอกจากนี้ ก๊วนตีปิ๊บ บอกอีกว่า … มันก็เป็นไปได้นะ ที่เกาหลีเหนือ ก็อาจจะเป็นอีกรายการหนึ่ง ที่สร้างความตึงเครียดให้กับภูมิภาค … นี่เป็นการพาดพิงถึงเกาหลีเหนือ ของน้องคิมของผม โดยไม่มีสาเหตุอันควรนะ ผมไม่พอใจอย่างยิ่ง แต่น้องเขาจะคิดอย่างไร ผมไม่กล้าเดาใจเขา ลูกพี่พล่ามไม่พอ ลูกน้องก๊วนตีปิ๊บออกมาเสริมต่อ …ต่อไปนี้ ญี่ปุ่นจะสามารถปกป้องเรือรบของอเมริกัน ที่กำลังปฏิบัติภาระกิจ ยิงจรวดอยู่แถวนั้นก็ได้ …หมายความว่าอะไร เรือรบอเมริกาจะไปยิงจรวดใส่ใครอยู่แถวนั้น …แถวนั้น น่ะ แถวไหน ก๊วนตีปิ๊บยังเมามัน โม้ต่ออีกว่า …นอกจากญี่ปุ่น จะมีโอกาสตอบโต้ การโจมตีของประเทศที่สาม ถ้าเข้ามาใกล้ญี่ปุ่นแล้ว ….ความเป็นไปได้อีกอย่าง คือ ญี่ปุ่นอาจยิงจรวด ที่มีการมุ่งเป้าไปที่อเมริกา.. แม้ว่าญี่ปุ่นเอง จะไม่ได้ถูกโจมตี…. อืม.. ไอ้นักล่าใบตองแห้งนี่มันร้ายจริงๆ มันหลอกยกญี่ปุ่นขึ้นแท่น ติดอาวุธ นอกจากคอยแบกถาดเดินตามบริการ จัดการสาระพัดที่ไอ้นักล่าจะสั่งแล้ว หัวหมู่ยังต้องทำหน้าที่เป็นยาม คอยเฝ้าดูมังกรขยับตัวให้มัน และนอกจากเฝ้าจีนแล้ว แต่ที่หัวหมู่จะต้องเฝ้ามอง แบบตาไม่กระพริบ น่าจะเป็นจรวด จากเกาหลีเหนือมากกว่า เพราะอยู่ใกล้กันแค่นั้น กลัวเขาจะส่งของขวัญ ข้ามน้ำข้ามทะเล มาลงกลางหลังคาทำเนียบขาว ..แบบไม่รู้ตัว หรือรู้ … แต่ ก็ทำอะไรไม่ทัน …..คุณพี่อาเบะทราบไหมครับ รับทำหน้าที่แบบนี้ แล้วดันเกิดผลฉิบหายในบ้านตัวเองแทน ประกันเขาไม่จ่ายให้นะครับ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 23 พ.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 239 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..ส่วนตัวรับไม่ได้จริงๆ ลูกๆหลานๆเราคนไทย ฟันธงเลยว่า มาจากวัคซีนแน่นอน,มันคือความอำมหิตและบรมโคตรความเห็นแก่ได้แก่ตัว ความอยากใหญ่อยากอยู่ค้ำฟ้าของพวกสาระเลวชั่วชนชั้นปกครองในประเทศไทยเราที่เหี้ยและบัดสบโคตรพ่อโคตรแมร่งมันจริงๆ,และเหตุการณ์ความวุ่นวายมากมายในไทยบอกเลยว่ามันเบี่ยงเบนความสนใจจากสงครามวัคซีนโควิด19นี้ล่ะที่ผ่านๆมาเพราะเริ่มออกฤทธิ์ออกเดชสังหารคนไทยเราแล้ว,มันจึงสร้างสาระพัดเรื่องราวตีออกห่างจากเรื่องนี้เพราะหากคนไทยตื่นรู้ทั่วประเทศว่าเรากำลังจะตายจากพวกมันสั่งฉีดวัคซีน มันจะถูกการไล่ล่าและโดนแก้แค้นจากเราประชาชนคนไทย,พวกนี้ต้องตายทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าและอนุมัติการฉีดวัคซีน.
    ..พวกมันสมรู้ร่วมคิด สุมหัวรู้กาลกันหมดล่ะ ทั้งแดกค้ายาวัคซีนด้วย ทหารไทยเลวชั่ว จริงเหรอหน่วยข่าวกรองระดับเทพแบบมันจะไม่รู้ค่าจริง,ตำรวจไทยก็ด้วย,ทั้งหมดล้มเหลวในการปกครองเพื่อปกป้องชีวิตเรา..ประชาชนคนไทยชัดเชน จนนำไปสู่การส่งเสริมสนับสนุนการฉีดวัคซีนอย่างบ้าคลั่ง,มีแสดงหนังหน้าร่วมบริจาคค่ายาวัคซีนด้วย มันแกล้งโง่เพื่อฉีดคนไทยเราให้ตายหรือโง่จริงๆก็ไม่รู้.
    ..ขอแสดงความเสียใจต่อผู้บาดเจ็บและพิการตลอดจนสูญเสียชีวิตหรือตายกันเกือบยกบ้านยกครัวเลย,บางบ้านตายยกครัวจริงๆ,ลูกตายก่อน พ่อแม่ทำพินัยกรรมกว่าร้อยล้านรอไว้ให้แต่ไร้ลูกมารอรับน่าเศร้าใจมาก และพ่อแม่เองก็กำลังโดยสังหารก่ออาชญากรรมทางวัคซีนเข็มอาวุธชีวภาพด้วยเจ็บป่วยเรื้อรังโรครุมสาระพัดด้วย.,จึงแสดงความสุดเสียใจเป็นอันมากต่อพวกเราคนไทย,มันกะจะสังหารฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุเรา..คนไทยจริงๆนะ,มันคนต่างชาติพวกไซออนิสต์และกบฎคนเนรคุณบรรพบุรุษรวมทั้งทรยศคนไทยเราทั้งประเทศด้วยจะแห่มาอยู่ในไทยแทนคนไทยที่ตายเกือบหมดประเทศในอนาคตอันใกล้นี้ไง,มันก็ออกกฎหมายเตรียมรอไว้ให้ต่างชาติมาซื้อมาครองครอบที่ดินอิสระแบบขายไร่ละ40ล้านบาทที่เป็นข่าวในยุคลุงนั้นล่ะ ไม่รวมเช่าที่99ปีสำเร็จด้วย ตลอดboiให้ต่างชาติคนละ35ไร่ด้วยล่ะถ้าจำไม่ผิด,เรา..พร้อมสังหารอดีตผู้นำมาลงโทษทั้งหมดจริงจังหรือยัง,ความตายยังน้อยเกินไปกับความมันที่กะฆ่าคนไทยเราทั้งประเทศด้วยวัคซีนโควิดmRNAด้วย.

    https://vm.tiktok.com/ZSHcn899PBd3j-3EJvE/
    ..ส่วนตัวรับไม่ได้จริงๆ ลูกๆหลานๆเราคนไทย ฟันธงเลยว่า มาจากวัคซีนแน่นอน,มันคือความอำมหิตและบรมโคตรความเห็นแก่ได้แก่ตัว ความอยากใหญ่อยากอยู่ค้ำฟ้าของพวกสาระเลวชั่วชนชั้นปกครองในประเทศไทยเราที่เหี้ยและบัดสบโคตรพ่อโคตรแมร่งมันจริงๆ,และเหตุการณ์ความวุ่นวายมากมายในไทยบอกเลยว่ามันเบี่ยงเบนความสนใจจากสงครามวัคซีนโควิด19นี้ล่ะที่ผ่านๆมาเพราะเริ่มออกฤทธิ์ออกเดชสังหารคนไทยเราแล้ว,มันจึงสร้างสาระพัดเรื่องราวตีออกห่างจากเรื่องนี้เพราะหากคนไทยตื่นรู้ทั่วประเทศว่าเรากำลังจะตายจากพวกมันสั่งฉีดวัคซีน มันจะถูกการไล่ล่าและโดนแก้แค้นจากเราประชาชนคนไทย,พวกนี้ต้องตายทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าและอนุมัติการฉีดวัคซีน. ..พวกมันสมรู้ร่วมคิด สุมหัวรู้กาลกันหมดล่ะ ทั้งแดกค้ายาวัคซีนด้วย ทหารไทยเลวชั่ว จริงเหรอหน่วยข่าวกรองระดับเทพแบบมันจะไม่รู้ค่าจริง,ตำรวจไทยก็ด้วย,ทั้งหมดล้มเหลวในการปกครองเพื่อปกป้องชีวิตเรา..ประชาชนคนไทยชัดเชน จนนำไปสู่การส่งเสริมสนับสนุนการฉีดวัคซีนอย่างบ้าคลั่ง,มีแสดงหนังหน้าร่วมบริจาคค่ายาวัคซีนด้วย มันแกล้งโง่เพื่อฉีดคนไทยเราให้ตายหรือโง่จริงๆก็ไม่รู้. ..ขอแสดงความเสียใจต่อผู้บาดเจ็บและพิการตลอดจนสูญเสียชีวิตหรือตายกันเกือบยกบ้านยกครัวเลย,บางบ้านตายยกครัวจริงๆ,ลูกตายก่อน พ่อแม่ทำพินัยกรรมกว่าร้อยล้านรอไว้ให้แต่ไร้ลูกมารอรับน่าเศร้าใจมาก และพ่อแม่เองก็กำลังโดยสังหารก่ออาชญากรรมทางวัคซีนเข็มอาวุธชีวภาพด้วยเจ็บป่วยเรื้อรังโรครุมสาระพัดด้วย.,จึงแสดงความสุดเสียใจเป็นอันมากต่อพวกเราคนไทย,มันกะจะสังหารฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุเรา..คนไทยจริงๆนะ,มันคนต่างชาติพวกไซออนิสต์และกบฎคนเนรคุณบรรพบุรุษรวมทั้งทรยศคนไทยเราทั้งประเทศด้วยจะแห่มาอยู่ในไทยแทนคนไทยที่ตายเกือบหมดประเทศในอนาคตอันใกล้นี้ไง,มันก็ออกกฎหมายเตรียมรอไว้ให้ต่างชาติมาซื้อมาครองครอบที่ดินอิสระแบบขายไร่ละ40ล้านบาทที่เป็นข่าวในยุคลุงนั้นล่ะ ไม่รวมเช่าที่99ปีสำเร็จด้วย ตลอดboiให้ต่างชาติคนละ35ไร่ด้วยล่ะถ้าจำไม่ผิด,เรา..พร้อมสังหารอดีตผู้นำมาลงโทษทั้งหมดจริงจังหรือยัง,ความตายยังน้อยเกินไปกับความมันที่กะฆ่าคนไทยเราทั้งประเทศด้วยวัคซีนโควิดmRNAด้วย. https://vm.tiktok.com/ZSHcn899PBd3j-3EJvE/
    @thanyaporn538

    รูปถ่ายเรา 3 คน แม่ไม่เคยขออะไรลูกเลยนะ และไม่เคยอยากขอแต่ครั้งนี้แม่ขอนะ ขอร้องสู้ไปกับแม่ แม่รู้หนูรักแม่มาก เพราะงั้นหนูต้องห่วงแม่ ไม่ทิ้งแม่ไว้คนเดียว แม่พ่อและทุกคนรักหนูมากนะ 🤍

    ♬ เสียงต้นฉบับ - ว่างจากเลี้ยงลูกก็มารีวิว - ว่างจากเลี้ยงลูกก็มารีวิว
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 150 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts