• 56 ปี สิ้น “อิศรา อมันตกุล” นายกสมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทยคนแรก
    ตำนานนักหนังสือพิมพ์ผู้กล้า ✊ สู่ต้นแบบนักสื่อสารมวลชนไทย

    รัฐจับขัง 5 ปี ไม่มีสั่งฟ้อง! แต่หัวใจนักข่าวไม่เคยสิ้นไฟ

    📌 ถ้าพูดถึงตำนานนักข่าวไทย ชื่อ “อิศรา อมันตกุล” คงเป็นหนึ่งในบุคคล ที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุด เพราะคือผู้ที่ไม่เพียงแต่เป็น นายกสมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทยคนแรก แต่ยังเป็นนักข่าว นักเขียน และนักต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน ตัวจริงเสียงจริง วั

    💥 ย้อนไปในอดีตเมื่อ 56 ปี ที่ผ่านมา เพื่อรำลึกถึงชายผู้พลิกโฉม วงการสื่อสารมวลชนไทย อย่างแท้จริง "อาจไม่ใช่คนดังในโลกออนไลน์ แต่ในยุคที่ปากกาคืออาวุธ อิศราคือหนึ่งในนักรบผู้ยิ่งใหญ่"

    “อิศรา อมันตกุล” นักหนังสือพิมพ์ที่ชีวิตจริงยิ่งกว่านวนิยาย
    🗓 เกิดวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2464
    🏠 เชื้อสายมุสลิมอินเดีย จากครอบครัวมูฮัมหมัดซาเลย์ อะมัน และวัน อมรทัต
    🎓 จบชั้นประถมจากโรงเรียนบำรุงวิทยา จ.นครปฐม และชั้นมัธยมจากโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน ปี 2479 คะแนนภาษาอังกฤษอันดับ 1 ของประเทศ

    ชีวิตอิศราไม่ใช่เส้นตรง เริ่มจากครูสอนหนังสือในนครศรีธรรมราช ก่อนที่โชคชะตาจะพากลับสู่เส้นทางของ “นักข่าว”

    นายกสมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทยคนแรก บทบาทที่สร้างมาตรฐานวิชาชีพสื่อไทย ในปี พ.ศ. 2499 อิศราได้รับเลือกให้เป็น นายกสมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทยคนแรก และดำรงตำแหน่งต่อเนื่อง 3 สมัย (2499 - 2501)

    💡 ผลงานสำคัญ เปลี่ยนรูปแบบการจัดหน้าหนังสือพิมพ์จาก 7 คอลัมน์เป็น 8 คอลัมน์ วางรากฐานจรรยาบรรณนักข่าวไทย 🌱 ปกป้องสิทธิเสรีภาพสื่อ แม้ต้องแลกด้วยอิสรภาพของตัวเองก็ตาม "อิศราเชื่อว่า หนังสือพิมพ์คือบันทึกประวัติศาสตร์รายวัน"

    เสรีภาพกับราคาที่ต้องจ่าย เมื่อ “อิศรา” ต้องติดคุกเกือบ 6 ปี โดยไม่มีการฟ้องร้อง!
    📆 วันที่ 21 ตุลาคม 2501 หลังรัฐประหารของจอมพลสฤษดิ์ อิศราในฐานะบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ บางกอกเดลิเมล์ ถูกจับกุมข้อหาคอมมิวนิสต์
    🚫 ไม่มีการสอบสวน ไม่มีการส่งฟ้อง
    ⏳ ถูกขัง 5 ปี 10 เดือน

    แม้จะอยู่ในเรือนจำ แต่อิศรายังคงเขียนงานอย่างต่อเนื่อง ใช้นามปากกามากกว่า 10 ชื่อ เช่น
    ✨ นายอิสระ
    ✨ มะงุมมะงาหรา
    ✨ ธนุธร
    ✨ ดร.x XYZ

    🗨 "เอ็งติดตะรางเพราะทำงานหนังสือพิมพ์ มันยังโก้กว่าติดตะรางเพราะเป็นหัวไม้" เสียงแม่ที่ยังอยู่ในใจอิศราเสมอ

    ผลงานเด่นในวงการหนังสือพิมพ์ ครอบคลุมทุกแขนงข่าว จนกลายเป็นต้นแบบนักข่าว
    📰 หนังสือพิมพ์ที่อิศราเคยร่วมงาน สุภาพบุรุษ, สุวัณณภูมิ, บางกอกรายวัน, พิมพ์ไทยเบื้องหลังข่าว, เอกราช, เดลินิวส์

    📍 อิศราคือผู้ควบคุมการผลิตข่าว สารคดีเชิงข่าว เรื่องแรกของไทย คดีปล้นร้านทองเบ๊ลี่แซ นำไปสร้างเป็นละครเวที และภาพยนตร์ในเวลาต่อมา

    🎯 เทคนิคข่าวของอิศรา เน้นความถูกต้อง เที่ยงธรรม และตรวจสอบได้ "ข่าวไม่ใช่การสร้างสีสัน แต่คือการสะท้อนความจริงของสังคม"

    จุดยืนเพื่อเสรีภาพและศักดิ์ศรี ไม่เคยยอมอำนาจรัฐ ไม่รับสินบน ไม่หวั่นคำขู่ อิศราเป็นนักข่าว ที่ไม่ยอมให้นายทุน หรืออำนาจรัฐแทรกแซงสื่อ
    💼 ตรวจสอบทุกแหล่งข่าว
    🛑 ไม่ประณามผู้ต้องหาโดยไม่มีหลักฐาน
    ✍ ไม่ละเมิดความเป็นส่วนตัวของบุคคล

    อิศราเคยกล่าวว่า "หนังสือพิมพ์อาจดูเหมือนกระดาษไร้ค่า แต่ในวันหน้า มันคือหลักฐานทางประวัติศาสตร์"

    นักเขียนนวนิยายที่ตีแผ่สังคมไทย ผลงานที่ฝังลึกในหัวใจคนไทย
    📚 นวนิยาย นักบุญ-คนบาป (2486)
    🎭 เรื่องสั้น-นวนิยายกว่า 100 เรื่อง
    🖋 ภาษาเขียนที่สวิงสวาย แตกต่างจากนักเขียนร่วมยุค

    "...ชีพจรของงานเต้นเร็วถี่ขึ้นเป็นลำดับ..."
    "...เสียงซ่าของคลื่นที่ยื่นปากจูบชายหาย..."

    จอมพลสฤษดิ์ กับการปิดปากนักข่าว คุกคือคำตอบของรัฐต่อ “ปากกา” ของอิศรา
    📅 ตุลาคม 2501 รัฐประหาร -> จับนักข่าว นักการเมือง นักวิชาการ 📌 รวมถึง กุหลาบ สายประดิษฐ์, สุวัฒน์ วรดิลก และอิศรา อมันตกุล ไม่มีการพิสูจน์ ไม่มีหลักฐาน แต่ถูกขังโดยไม่ไต่สวน

    "นักหนังสือพิมพ์ถูกจับเ พราะเขียนข่าวที่รัฐไม่พอใจ"

    แม้ไร้อิสรภาพ แต่หัวใจยังคงเสรี เขียนหนังสือแม้ในเรือนจำ ใช้หลายนามปากกาเขียนคอลัมน์ และเรื่องสั้น

    📜 แสดงความกล้าหาญในการพูดถึงสังคม
    📢 ปกป้องเสรีภาพผ่านตัวหนังสือ

    "การติดคุกเพราะทำหนังสือพิมพ์ ยังโก้กว่าเป็นหัวไม้!" แม่ของอิศรา

    วาระสุดท้ายที่ไม่สิ้นไฟ ปากกาวาง...แต่คำยังสะท้อนก้อง

    🕯 เสียชีวิต 14 มีนาคม 2512 ด้วยโรคมะเร็งลิ้น อายุ 47 ปี "ผมไม่เสียใจเลย ที่เกิดมาเป็นหนังสือพิมพ์"
    แม้เจ็บป่วยแ ต่ยังเขียนข้อความสั้นๆ ฝากถึงเพื่อนร่วมวิชาชีพ

    ✒ ปณิธานนักข่าวไม่เคยจางหาย สารจากอิศรา ถึงคนข่าวรุ่นใหม่ "ข้าพเจ้าเป็นคนสามัญคนหนึ่ง ซึ่งมั่นหมายจะเขียน เฉพาะเรื่องราวของประชาชน เพื่อถ่ายทอดความคิด ความรู้สึก ความดิ้นรน และความหวังจากประชาชนไปสู่ประชาชน เพราะประชาชนเท่านั้นที่เป็นผู้กำลังต่อสู้ และกำลังทำงานเพื่อสร้างเสรีภาพอันถูกต้อง และศตวรรษแห่งสามัญชน"

    สรุปบทเรียนจากชีวิต “อิศรา อมันตกุล”
    ✨ นักข่าวคือผู้บันทึกประวัติศาสตร์
    ✨ เสรีภาพไม่ใช่ของขวัญจากรัฐ แต่คือสิทธิที่ต้องรักษา
    ✨ จรรยาบรรณต้องมาก่อนผลประโยชน์
    ✨ ปากกาคืออาวุธ แต่ใจต้องเป็นธรรม

    🔖 คำคมจากอิศรา 🖋 "หนังสือพิมพ์คือเอกสารทางประวัติศาสตร์อย่างหนึ่ง และนักข่าวคือผู้บันทึกประวัติศาสตร์วันต่อวัน"

    “เพราะหนังสือพิมพ์ในวันนี้ คือประวัติศาสตร์ของวันหน้า”

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 141021 มี.ค. 2568

    🏷️ #อิศราอมันตกุล #นักข่าวต้นแบบ #เสรีภาพสื่อไทย #สมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทย #นักหนังสือพิมพ์ในตำนาน #ประวัติศาสตร์ข่าวไทย #ชีวิตอิศรา #นักข่าวสายตรง #นักเขียนเพื่อประชาชน #สื่อเสรีไทย
    56 ปี สิ้น “อิศรา อมันตกุล” นายกสมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทยคนแรก ตำนานนักหนังสือพิมพ์ผู้กล้า ✊ สู่ต้นแบบนักสื่อสารมวลชนไทย รัฐจับขัง 5 ปี ไม่มีสั่งฟ้อง! แต่หัวใจนักข่าวไม่เคยสิ้นไฟ 📌 ถ้าพูดถึงตำนานนักข่าวไทย ชื่อ “อิศรา อมันตกุล” คงเป็นหนึ่งในบุคคล ที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุด เพราะคือผู้ที่ไม่เพียงแต่เป็น นายกสมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทยคนแรก แต่ยังเป็นนักข่าว นักเขียน และนักต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน ตัวจริงเสียงจริง วั 💥 ย้อนไปในอดีตเมื่อ 56 ปี ที่ผ่านมา เพื่อรำลึกถึงชายผู้พลิกโฉม วงการสื่อสารมวลชนไทย อย่างแท้จริง "อาจไม่ใช่คนดังในโลกออนไลน์ แต่ในยุคที่ปากกาคืออาวุธ อิศราคือหนึ่งในนักรบผู้ยิ่งใหญ่" “อิศรา อมันตกุล” นักหนังสือพิมพ์ที่ชีวิตจริงยิ่งกว่านวนิยาย 🗓 เกิดวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2464 🏠 เชื้อสายมุสลิมอินเดีย จากครอบครัวมูฮัมหมัดซาเลย์ อะมัน และวัน อมรทัต 🎓 จบชั้นประถมจากโรงเรียนบำรุงวิทยา จ.นครปฐม และชั้นมัธยมจากโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน ปี 2479 คะแนนภาษาอังกฤษอันดับ 1 ของประเทศ ชีวิตอิศราไม่ใช่เส้นตรง เริ่มจากครูสอนหนังสือในนครศรีธรรมราช ก่อนที่โชคชะตาจะพากลับสู่เส้นทางของ “นักข่าว” นายกสมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทยคนแรก บทบาทที่สร้างมาตรฐานวิชาชีพสื่อไทย ในปี พ.ศ. 2499 อิศราได้รับเลือกให้เป็น นายกสมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทยคนแรก และดำรงตำแหน่งต่อเนื่อง 3 สมัย (2499 - 2501) 💡 ผลงานสำคัญ เปลี่ยนรูปแบบการจัดหน้าหนังสือพิมพ์จาก 7 คอลัมน์เป็น 8 คอลัมน์ วางรากฐานจรรยาบรรณนักข่าวไทย 🌱 ปกป้องสิทธิเสรีภาพสื่อ แม้ต้องแลกด้วยอิสรภาพของตัวเองก็ตาม "อิศราเชื่อว่า หนังสือพิมพ์คือบันทึกประวัติศาสตร์รายวัน" เสรีภาพกับราคาที่ต้องจ่าย เมื่อ “อิศรา” ต้องติดคุกเกือบ 6 ปี โดยไม่มีการฟ้องร้อง! 📆 วันที่ 21 ตุลาคม 2501 หลังรัฐประหารของจอมพลสฤษดิ์ อิศราในฐานะบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ บางกอกเดลิเมล์ ถูกจับกุมข้อหาคอมมิวนิสต์ 🚫 ไม่มีการสอบสวน ไม่มีการส่งฟ้อง ⏳ ถูกขัง 5 ปี 10 เดือน แม้จะอยู่ในเรือนจำ แต่อิศรายังคงเขียนงานอย่างต่อเนื่อง ใช้นามปากกามากกว่า 10 ชื่อ เช่น ✨ นายอิสระ ✨ มะงุมมะงาหรา ✨ ธนุธร ✨ ดร.x XYZ 🗨 "เอ็งติดตะรางเพราะทำงานหนังสือพิมพ์ มันยังโก้กว่าติดตะรางเพราะเป็นหัวไม้" เสียงแม่ที่ยังอยู่ในใจอิศราเสมอ ผลงานเด่นในวงการหนังสือพิมพ์ ครอบคลุมทุกแขนงข่าว จนกลายเป็นต้นแบบนักข่าว 📰 หนังสือพิมพ์ที่อิศราเคยร่วมงาน สุภาพบุรุษ, สุวัณณภูมิ, บางกอกรายวัน, พิมพ์ไทยเบื้องหลังข่าว, เอกราช, เดลินิวส์ 📍 อิศราคือผู้ควบคุมการผลิตข่าว สารคดีเชิงข่าว เรื่องแรกของไทย คดีปล้นร้านทองเบ๊ลี่แซ นำไปสร้างเป็นละครเวที และภาพยนตร์ในเวลาต่อมา 🎯 เทคนิคข่าวของอิศรา เน้นความถูกต้อง เที่ยงธรรม และตรวจสอบได้ "ข่าวไม่ใช่การสร้างสีสัน แต่คือการสะท้อนความจริงของสังคม" จุดยืนเพื่อเสรีภาพและศักดิ์ศรี ไม่เคยยอมอำนาจรัฐ ไม่รับสินบน ไม่หวั่นคำขู่ อิศราเป็นนักข่าว ที่ไม่ยอมให้นายทุน หรืออำนาจรัฐแทรกแซงสื่อ 💼 ตรวจสอบทุกแหล่งข่าว 🛑 ไม่ประณามผู้ต้องหาโดยไม่มีหลักฐาน ✍ ไม่ละเมิดความเป็นส่วนตัวของบุคคล อิศราเคยกล่าวว่า "หนังสือพิมพ์อาจดูเหมือนกระดาษไร้ค่า แต่ในวันหน้า มันคือหลักฐานทางประวัติศาสตร์" นักเขียนนวนิยายที่ตีแผ่สังคมไทย ผลงานที่ฝังลึกในหัวใจคนไทย 📚 นวนิยาย นักบุญ-คนบาป (2486) 🎭 เรื่องสั้น-นวนิยายกว่า 100 เรื่อง 🖋 ภาษาเขียนที่สวิงสวาย แตกต่างจากนักเขียนร่วมยุค "...ชีพจรของงานเต้นเร็วถี่ขึ้นเป็นลำดับ..." "...เสียงซ่าของคลื่นที่ยื่นปากจูบชายหาย..." จอมพลสฤษดิ์ กับการปิดปากนักข่าว คุกคือคำตอบของรัฐต่อ “ปากกา” ของอิศรา 📅 ตุลาคม 2501 รัฐประหาร -> จับนักข่าว นักการเมือง นักวิชาการ 📌 รวมถึง กุหลาบ สายประดิษฐ์, สุวัฒน์ วรดิลก และอิศรา อมันตกุล ไม่มีการพิสูจน์ ไม่มีหลักฐาน แต่ถูกขังโดยไม่ไต่สวน "นักหนังสือพิมพ์ถูกจับเ พราะเขียนข่าวที่รัฐไม่พอใจ" แม้ไร้อิสรภาพ แต่หัวใจยังคงเสรี เขียนหนังสือแม้ในเรือนจำ ใช้หลายนามปากกาเขียนคอลัมน์ และเรื่องสั้น 📜 แสดงความกล้าหาญในการพูดถึงสังคม 📢 ปกป้องเสรีภาพผ่านตัวหนังสือ "การติดคุกเพราะทำหนังสือพิมพ์ ยังโก้กว่าเป็นหัวไม้!" แม่ของอิศรา วาระสุดท้ายที่ไม่สิ้นไฟ ปากกาวาง...แต่คำยังสะท้อนก้อง 🕯 เสียชีวิต 14 มีนาคม 2512 ด้วยโรคมะเร็งลิ้น อายุ 47 ปี "ผมไม่เสียใจเลย ที่เกิดมาเป็นหนังสือพิมพ์" แม้เจ็บป่วยแ ต่ยังเขียนข้อความสั้นๆ ฝากถึงเพื่อนร่วมวิชาชีพ ✒ ปณิธานนักข่าวไม่เคยจางหาย สารจากอิศรา ถึงคนข่าวรุ่นใหม่ "ข้าพเจ้าเป็นคนสามัญคนหนึ่ง ซึ่งมั่นหมายจะเขียน เฉพาะเรื่องราวของประชาชน เพื่อถ่ายทอดความคิด ความรู้สึก ความดิ้นรน และความหวังจากประชาชนไปสู่ประชาชน เพราะประชาชนเท่านั้นที่เป็นผู้กำลังต่อสู้ และกำลังทำงานเพื่อสร้างเสรีภาพอันถูกต้อง และศตวรรษแห่งสามัญชน" สรุปบทเรียนจากชีวิต “อิศรา อมันตกุล” ✨ นักข่าวคือผู้บันทึกประวัติศาสตร์ ✨ เสรีภาพไม่ใช่ของขวัญจากรัฐ แต่คือสิทธิที่ต้องรักษา ✨ จรรยาบรรณต้องมาก่อนผลประโยชน์ ✨ ปากกาคืออาวุธ แต่ใจต้องเป็นธรรม 🔖 คำคมจากอิศรา 🖋 "หนังสือพิมพ์คือเอกสารทางประวัติศาสตร์อย่างหนึ่ง และนักข่าวคือผู้บันทึกประวัติศาสตร์วันต่อวัน" “เพราะหนังสือพิมพ์ในวันนี้ คือประวัติศาสตร์ของวันหน้า” ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 141021 มี.ค. 2568 🏷️ #อิศราอมันตกุล #นักข่าวต้นแบบ #เสรีภาพสื่อไทย #สมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทย #นักหนังสือพิมพ์ในตำนาน #ประวัติศาสตร์ข่าวไทย #ชีวิตอิศรา #นักข่าวสายตรง #นักเขียนเพื่อประชาชน #สื่อเสรีไทย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 466 มุมมอง 0 รีวิว
  • ครั้งหนึ่งในสยาม EP6 ตอน อำแดงเทียบ รักซ่อนอำมหิต

    เช้าวันหนึ่ง ในปี 2452 มีผู้พบศพชายปริศนาเสียชีวิตในสภาพไร้ศีรษะ ใกล้บริเวณเขาบันไดอิฐ ในจังหวัดเพชรบุรี ชายคนนี้เป็นใคร และเพราะเหตุใดเขาจึงถูกฆ่าอย่างโหดเหี้ยมเช่นนี้ ค้นหาปริศนาการตายของชายผู้นี้ได้ในสารคดีครั้งหนึ่งในสยาม ตอน อำแดงเทียบ รักซ่อนอำมหิต

    #ครั้งหนึ่งในสยาม #อำแดงเทียบ #รักซ่อนอำมหิต #คดีสะเทือนขวัญ #ฆาตกรรมปริศนา #เขาบันไดอิฐ #เพชรบุรี #อาชญากรรมในอดีต #เรื่องจริงจากอดีต #สารคดีไทย #thaitimes
    ครั้งหนึ่งในสยาม EP6 ตอน อำแดงเทียบ รักซ่อนอำมหิต เช้าวันหนึ่ง ในปี 2452 มีผู้พบศพชายปริศนาเสียชีวิตในสภาพไร้ศีรษะ ใกล้บริเวณเขาบันไดอิฐ ในจังหวัดเพชรบุรี ชายคนนี้เป็นใคร และเพราะเหตุใดเขาจึงถูกฆ่าอย่างโหดเหี้ยมเช่นนี้ ค้นหาปริศนาการตายของชายผู้นี้ได้ในสารคดีครั้งหนึ่งในสยาม ตอน อำแดงเทียบ รักซ่อนอำมหิต #ครั้งหนึ่งในสยาม #อำแดงเทียบ #รักซ่อนอำมหิต #คดีสะเทือนขวัญ #ฆาตกรรมปริศนา #เขาบันไดอิฐ #เพชรบุรี #อาชญากรรมในอดีต #เรื่องจริงจากอดีต #สารคดีไทย #thaitimes
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 433 มุมมอง 21 0 รีวิว
  • ริชาร์ด มาร์ลส์ รัฐมนตรีกลาโหมออสเตรเลีย กล่าวในช่วงหนึ่งของสารคดีกองทัพเรือออสเตรเลีย ซึ่งถ่ายทำโดยสำนักข่าว Sky News ว่า

    “ในโลกที่ไม่แน่นอนเพิ่มมากขึ้น ออสเตรเลียจำเป็นต้องมีศักยภาพด้านการป้องกันประเทศที่เพิ่มมากขึ้น - บางทีออสเตรเลียควรเริ่มต้นด้วยการไม่ส่งเรือรบและเครื่องบินขับไล่ไปที่ชายฝั่งของจีน”

    ท้ายที่สุดแล้ว เมื่อคุณยั่วยุจีน จีนจะตอบโต้กลับ ความยุติธรรมก็คือความยุติธรรม เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น หลังจีนส่งกองเรือพิฆาตติดขีปนาวุธนำวิถี ไปลาดตระเวนและซ้อมรบด้วยการยิงด้วยกระสุนและขีปนาวุธจริงในทะเลแทสมัน ซึ่งตั้งอยู่หน้าบ้านออสเตรเลีย เพื่อตอบโต้ต่อรัฐบาลออสเตรเลีย หลังส่งเรือรบและเครื่องบินสอดแนมไปยังทะเลจีนใต้ เข้าซ้อมรบทางทะเลร่วมกับสหรัฐฯ และญี่ปุ่น ห่างจากชายฝั่งจีนราว 230 ไมล์ทะเล
    ริชาร์ด มาร์ลส์ รัฐมนตรีกลาโหมออสเตรเลีย กล่าวในช่วงหนึ่งของสารคดีกองทัพเรือออสเตรเลีย ซึ่งถ่ายทำโดยสำนักข่าว Sky News ว่า “ในโลกที่ไม่แน่นอนเพิ่มมากขึ้น ออสเตรเลียจำเป็นต้องมีศักยภาพด้านการป้องกันประเทศที่เพิ่มมากขึ้น - บางทีออสเตรเลียควรเริ่มต้นด้วยการไม่ส่งเรือรบและเครื่องบินขับไล่ไปที่ชายฝั่งของจีน” ท้ายที่สุดแล้ว เมื่อคุณยั่วยุจีน จีนจะตอบโต้กลับ ความยุติธรรมก็คือความยุติธรรม เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น หลังจีนส่งกองเรือพิฆาตติดขีปนาวุธนำวิถี ไปลาดตระเวนและซ้อมรบด้วยการยิงด้วยกระสุนและขีปนาวุธจริงในทะเลแทสมัน ซึ่งตั้งอยู่หน้าบ้านออสเตรเลีย เพื่อตอบโต้ต่อรัฐบาลออสเตรเลีย หลังส่งเรือรบและเครื่องบินสอดแนมไปยังทะเลจีนใต้ เข้าซ้อมรบทางทะเลร่วมกับสหรัฐฯ และญี่ปุ่น ห่างจากชายฝั่งจีนราว 230 ไมล์ทะเล
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 280 มุมมอง 0 รีวิว
  • ครั้งหนึ่งในสยาม EP5 ตอนอ่วม อกโรย โจรโหดอยุธยา

    ย้อนกลับไป พ.ศ. 2414 ในสมัยต้นรัชกาลที่ 5 โจรผู้ร้ายกลุ่มหนึ่งโดยมีหัวหน้าโจรชื่ออ่วม อกโรย ออกปล้นฆ่าแถบอยุธยาและอ่างทองจนราษฎรต่างหวาดผวา และลือกันไปทั่วว่า ที่โจรร้ายรายนี้ย่ามใจได้ขนาดนี้ เพราะมีเส้นสายเกี่ยวข้องกับขุนนางในพื้นที่ เมื่อถูกจับได้ก็มีคนเข้าไปช่วยเคลียร์ให้อยู่เสมอ จนชาวบ้านกลัวจนไม่กล้าที่จะไปฟ้องร้อง พวกผู้ร้ายยิ่งกำเริบได้ใจ รวมตัวกันออกปล้นชาวบ้านหนักขึ้น ทำให้ทางการจากส่วนกลาง ต้องส่งข้าราชการมือดี เพื่อปราบโจรกลุ่มนี้ เมื่อถูกจับได้ต้องโทษประหารแบบพิเศษ กลายเป็นหนึ่งในคดีประหารนักโทษที่น่าสะพรึงกลัวมากที่สุดในสังคมที่ยังใช้กฎหมายโบราณ สารคดีครั้งหนึ่งในสยามตอน อ่วม อกโรย โจรโหดอยุธยา

    #ครั้งหนึ่งในสยาม #อ่วมอกโรย #โจรโหดอยุธยา #คดีสะเทือนขวัญ #อาชญากรรมในอดีต #กฎหมายโบราณ #โทษประหารสยอง #ยุครัชกาลที่5 #ขุนนางกับโจร #สารคดีไทย #thaitimes
    ครั้งหนึ่งในสยาม EP5 ตอนอ่วม อกโรย โจรโหดอยุธยา ย้อนกลับไป พ.ศ. 2414 ในสมัยต้นรัชกาลที่ 5 โจรผู้ร้ายกลุ่มหนึ่งโดยมีหัวหน้าโจรชื่ออ่วม อกโรย ออกปล้นฆ่าแถบอยุธยาและอ่างทองจนราษฎรต่างหวาดผวา และลือกันไปทั่วว่า ที่โจรร้ายรายนี้ย่ามใจได้ขนาดนี้ เพราะมีเส้นสายเกี่ยวข้องกับขุนนางในพื้นที่ เมื่อถูกจับได้ก็มีคนเข้าไปช่วยเคลียร์ให้อยู่เสมอ จนชาวบ้านกลัวจนไม่กล้าที่จะไปฟ้องร้อง พวกผู้ร้ายยิ่งกำเริบได้ใจ รวมตัวกันออกปล้นชาวบ้านหนักขึ้น ทำให้ทางการจากส่วนกลาง ต้องส่งข้าราชการมือดี เพื่อปราบโจรกลุ่มนี้ เมื่อถูกจับได้ต้องโทษประหารแบบพิเศษ กลายเป็นหนึ่งในคดีประหารนักโทษที่น่าสะพรึงกลัวมากที่สุดในสังคมที่ยังใช้กฎหมายโบราณ สารคดีครั้งหนึ่งในสยามตอน อ่วม อกโรย โจรโหดอยุธยา #ครั้งหนึ่งในสยาม #อ่วมอกโรย #โจรโหดอยุธยา #คดีสะเทือนขวัญ #อาชญากรรมในอดีต #กฎหมายโบราณ #โทษประหารสยอง #ยุครัชกาลที่5 #ขุนนางกับโจร #สารคดีไทย #thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 501 มุมมอง 27 0 รีวิว
  • ครั้งหนึ่งในสยาม EP4 ตอน อำแดงเหมือน ฝืนรักหักจารีต
    เธอยอมถูกจองจำ เพราะรักแท้ และรักนั้น ผลักดันเธอให้ทำในสิ่งที่เหนือคาดหมาย เรื่องราวความรักที่ต้องฝ่าฟันขวากหนามของอำแดงเหมือนและนายริด ที่นำมาสู่จุดเปลี่ยนสถานะของหญิงไทยได้ในสารคดี ครั้งหนึ่งในสยาม ตอน อำแดงเหมือน ฝืนรักหักจารีต

    #ครั้งหนึ่งในสยาม #อำแดงเหมือน #ฝืนรักหักจารีต #รักแท้เหนือกฎเกณฑ์ #สตรีผู้กล้า #กฎหมายและความรัก #นายริดและอำแดงเหมือน #จุดเปลี่ยนหญิงไทย #สารคดีไทย #ประวัติศาสตร์ที่ต้องรู้ #thaitimes
    ครั้งหนึ่งในสยาม EP4 ตอน อำแดงเหมือน ฝืนรักหักจารีต เธอยอมถูกจองจำ เพราะรักแท้ และรักนั้น ผลักดันเธอให้ทำในสิ่งที่เหนือคาดหมาย เรื่องราวความรักที่ต้องฝ่าฟันขวากหนามของอำแดงเหมือนและนายริด ที่นำมาสู่จุดเปลี่ยนสถานะของหญิงไทยได้ในสารคดี ครั้งหนึ่งในสยาม ตอน อำแดงเหมือน ฝืนรักหักจารีต #ครั้งหนึ่งในสยาม #อำแดงเหมือน #ฝืนรักหักจารีต #รักแท้เหนือกฎเกณฑ์ #สตรีผู้กล้า #กฎหมายและความรัก #นายริดและอำแดงเหมือน #จุดเปลี่ยนหญิงไทย #สารคดีไทย #ประวัติศาสตร์ที่ต้องรู้ #thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 605 มุมมอง 30 0 รีวิว
  • ช่วงสุญญากาศของชีวิต : โอกาสทองของการเจริญสติ

    "ช่วงสุญญากาศของชีวิต" คือช่วงที่จิตใจรู้สึกว่างเปล่า เบื่อหน่าย ไม่แคร์อะไร ไม่รู้จะทำอะไรต่อไป หรือแม้กระทั่งรู้สึกว่าไม่มีเป้าหมายชีวิต ช่วงเวลาแบบนี้เกิดขึ้นได้กับทุกคน บางคนอาจพบเป็นครั้งคราว แต่ถ้าเกิดบ่อยหรือยืดเยื้อจนกลายเป็นสภาพจิตถาวร ก็อาจทำให้ชีวิตรู้สึกว่า "สูญเปล่า" ได้


    ---

    🔹 วิธีเปลี่ยนช่วงสุญญากาศของชีวิตให้เป็นประโยชน์

    1️⃣ เปลี่ยนมุมมอง : จาก “ฉันเบื่อ” เป็น “ภาวะเบื่อเกิดขึ้น”

    ✅ อย่าหลงไปคิดว่า "ฉันเป็นคนเบื่อ"
    → คิดแบบนี้จะทำให้รู้สึกว่า "ความเบื่อเป็นตัวฉัน" หลีกเลี่ยงไม่ได้ และต้องจมอยู่กับมัน
    ✅ ให้เปลี่ยนเป็น "ตอนนี้มีภาวะเบื่อเกิดขึ้น"
    → มองว่าความเบื่อเป็นเพียงอารมณ์ชั่วคราว ไม่ใช่ตัวเรา มันมาได้ ก็ไปได้

    💡 ตัวอย่างการสังเกต:

    ตอนนี้รู้สึกเบื่อ เพราะไม่ได้อย่างที่หวัง

    ตอนนี้รู้สึกเซ็ง เพราะทำอะไรซ้ำๆ

    ตอนนี้รู้สึกหมดพลัง เพราะเจอเรื่องน่าเบื่อ


    เพียงแค่รู้ทันและแยก "ตัวเรา" ออกจากอารมณ์เบื่อ ความรู้สึกหนักๆ จะเริ่มเบาลง


    ---

    2️⃣ สังเกตเหตุของความเบื่อ : อะไรทำให้รู้สึกแบบนี้?

    ✅ เจาะลึกว่าทำไมถึงเบื่อ

    เบื่อเพราะไม่มีเป้าหมาย?

    เบื่อเพราะรู้สึกว่าชีวิตไม่มีอะไรท้าทาย?

    เบื่อเพราะสภาพแวดล้อมซ้ำซาก?

    เบื่อเพราะมีแรงกดดันที่ทำให้หมดพลัง?


    💡 เมื่อรู้เหตุแล้ว ลองแก้ที่ต้นเหตุ:

    ถ้าเบื่อเพราะไม่มีเป้าหมาย → ตั้งเป้าหมายเล็กๆ ให้ชีวิตมีแรงขับเคลื่อน

    ถ้าเบื่อเพราะซ้ำซาก → เปลี่ยนกิจวัตร ลองทำอะไรใหม่ๆ

    ถ้าเบื่อเพราะกดดัน → ลดความคาดหวังหรือให้เวลากับตัวเองมากขึ้น



    ---

    3️⃣ เปลี่ยนเหตุของความเบื่อ : ทดลองเปลี่ยนกิจกรรม

    ✅ ลองเปลี่ยนสถานการณ์ให้จิตใจได้สดชื่นขึ้น

    ออกไปเดินเล่น สูดอากาศ เปลี่ยนสภาพแวดล้อม

    ลองทำกิจกรรมใหม่ๆ เช่น อ่านหนังสือ ดูสารคดี หรือเรียนรู้สิ่งใหม่

    พูดคุยกับคนที่ให้แรงบันดาลใจ


    💡 ถ้าความเบื่อเกิดจากความรู้สึกซึมเศร้า → ออกกำลังกายสามารถช่วยได้
    เพราะการเคลื่อนไหวร่างกายสามารถเปลี่ยนสารเคมีในสมอง ทำให้รู้สึกดีขึ้นได้


    ---

    4️⃣ ใช้ช่วงเวลานี้เป็นโอกาสฝึกเจริญสติ

    ✅ แทนที่จะปล่อยให้ความเบื่อเข้าครอบงำ → ใช้มันเป็นเครื่องมือฝึกสติ

    นั่งนิ่งๆ แล้วสังเกตความรู้สึกของตัวเอง

    รับรู้ถึงลมหายใจ → หายใจเข้าออกลึกๆ สังเกตว่าความเบื่อเปลี่ยนไปไหม

    จดจ่อกับปัจจุบัน เช่น ฟังเสียงรอบตัว สัมผัสอากาศที่ผิวกาย


    💡 สติช่วยให้เห็นว่าอารมณ์ทุกชนิดไม่เที่ยง → ความเบื่อก็เช่นกัน

    เดี๋ยวมันมา เดี๋ยวมันไป

    ถ้าไม่ไปตอกย้ำหรือจมอยู่กับมัน ความเบื่อจะลดลงเอง



    ---

    5️⃣ เปลี่ยนช่วงว่างเปล่า ให้เป็นโอกาสตั้งเป้าหมายใหม่

    ✅ ถ้ารู้สึกว่าสูญเสียเป้าหมายชีวิต → นี่อาจเป็นโอกาสดีในการค้นหาเป้าหมายใหม่
    💡 ลองถามตัวเอง:

    อะไรคือสิ่งที่เราสนใจแต่ยังไม่ได้ลอง?

    มีอะไรที่อยากเรียนรู้เพิ่มเติม?

    สิ่งที่เคยทำให้มีความสุขคืออะไร?


    🎯 เปลี่ยนช่วงเวลาว่างเปล่าให้เป็นช่วงเวลาของการ "เริ่มต้นใหม่"


    ---

    🔹 สรุป : สุญญากาศของชีวิตไม่ใช่เรื่องเลวร้าย

    💡 ความเบื่อเป็นภาวะที่เกิดขึ้นได้ แต่ไม่ได้เป็นตัวตนของเรา
    💡 ใช้ช่วงเวลานี้เป็นโอกาสฝึกสติ และค้นหาเป้าหมายใหม่
    💡 แค่รู้เท่าทันความเบื่อ ก็สามารถเปลี่ยนมันเป็นพลังบวกได้

    📌 คุณไม่ได้เกิดมาเพื่อให้ชีวิตสูญเปล่า ทุกช่วงเวลามีคุณค่า ขึ้นอยู่กับคุณเลือกใช้มันอย่างไร!

    ช่วงสุญญากาศของชีวิต : โอกาสทองของการเจริญสติ "ช่วงสุญญากาศของชีวิต" คือช่วงที่จิตใจรู้สึกว่างเปล่า เบื่อหน่าย ไม่แคร์อะไร ไม่รู้จะทำอะไรต่อไป หรือแม้กระทั่งรู้สึกว่าไม่มีเป้าหมายชีวิต ช่วงเวลาแบบนี้เกิดขึ้นได้กับทุกคน บางคนอาจพบเป็นครั้งคราว แต่ถ้าเกิดบ่อยหรือยืดเยื้อจนกลายเป็นสภาพจิตถาวร ก็อาจทำให้ชีวิตรู้สึกว่า "สูญเปล่า" ได้ --- 🔹 วิธีเปลี่ยนช่วงสุญญากาศของชีวิตให้เป็นประโยชน์ 1️⃣ เปลี่ยนมุมมอง : จาก “ฉันเบื่อ” เป็น “ภาวะเบื่อเกิดขึ้น” ✅ อย่าหลงไปคิดว่า "ฉันเป็นคนเบื่อ" → คิดแบบนี้จะทำให้รู้สึกว่า "ความเบื่อเป็นตัวฉัน" หลีกเลี่ยงไม่ได้ และต้องจมอยู่กับมัน ✅ ให้เปลี่ยนเป็น "ตอนนี้มีภาวะเบื่อเกิดขึ้น" → มองว่าความเบื่อเป็นเพียงอารมณ์ชั่วคราว ไม่ใช่ตัวเรา มันมาได้ ก็ไปได้ 💡 ตัวอย่างการสังเกต: ตอนนี้รู้สึกเบื่อ เพราะไม่ได้อย่างที่หวัง ตอนนี้รู้สึกเซ็ง เพราะทำอะไรซ้ำๆ ตอนนี้รู้สึกหมดพลัง เพราะเจอเรื่องน่าเบื่อ เพียงแค่รู้ทันและแยก "ตัวเรา" ออกจากอารมณ์เบื่อ ความรู้สึกหนักๆ จะเริ่มเบาลง --- 2️⃣ สังเกตเหตุของความเบื่อ : อะไรทำให้รู้สึกแบบนี้? ✅ เจาะลึกว่าทำไมถึงเบื่อ เบื่อเพราะไม่มีเป้าหมาย? เบื่อเพราะรู้สึกว่าชีวิตไม่มีอะไรท้าทาย? เบื่อเพราะสภาพแวดล้อมซ้ำซาก? เบื่อเพราะมีแรงกดดันที่ทำให้หมดพลัง? 💡 เมื่อรู้เหตุแล้ว ลองแก้ที่ต้นเหตุ: ถ้าเบื่อเพราะไม่มีเป้าหมาย → ตั้งเป้าหมายเล็กๆ ให้ชีวิตมีแรงขับเคลื่อน ถ้าเบื่อเพราะซ้ำซาก → เปลี่ยนกิจวัตร ลองทำอะไรใหม่ๆ ถ้าเบื่อเพราะกดดัน → ลดความคาดหวังหรือให้เวลากับตัวเองมากขึ้น --- 3️⃣ เปลี่ยนเหตุของความเบื่อ : ทดลองเปลี่ยนกิจกรรม ✅ ลองเปลี่ยนสถานการณ์ให้จิตใจได้สดชื่นขึ้น ออกไปเดินเล่น สูดอากาศ เปลี่ยนสภาพแวดล้อม ลองทำกิจกรรมใหม่ๆ เช่น อ่านหนังสือ ดูสารคดี หรือเรียนรู้สิ่งใหม่ พูดคุยกับคนที่ให้แรงบันดาลใจ 💡 ถ้าความเบื่อเกิดจากความรู้สึกซึมเศร้า → ออกกำลังกายสามารถช่วยได้ เพราะการเคลื่อนไหวร่างกายสามารถเปลี่ยนสารเคมีในสมอง ทำให้รู้สึกดีขึ้นได้ --- 4️⃣ ใช้ช่วงเวลานี้เป็นโอกาสฝึกเจริญสติ ✅ แทนที่จะปล่อยให้ความเบื่อเข้าครอบงำ → ใช้มันเป็นเครื่องมือฝึกสติ นั่งนิ่งๆ แล้วสังเกตความรู้สึกของตัวเอง รับรู้ถึงลมหายใจ → หายใจเข้าออกลึกๆ สังเกตว่าความเบื่อเปลี่ยนไปไหม จดจ่อกับปัจจุบัน เช่น ฟังเสียงรอบตัว สัมผัสอากาศที่ผิวกาย 💡 สติช่วยให้เห็นว่าอารมณ์ทุกชนิดไม่เที่ยง → ความเบื่อก็เช่นกัน เดี๋ยวมันมา เดี๋ยวมันไป ถ้าไม่ไปตอกย้ำหรือจมอยู่กับมัน ความเบื่อจะลดลงเอง --- 5️⃣ เปลี่ยนช่วงว่างเปล่า ให้เป็นโอกาสตั้งเป้าหมายใหม่ ✅ ถ้ารู้สึกว่าสูญเสียเป้าหมายชีวิต → นี่อาจเป็นโอกาสดีในการค้นหาเป้าหมายใหม่ 💡 ลองถามตัวเอง: อะไรคือสิ่งที่เราสนใจแต่ยังไม่ได้ลอง? มีอะไรที่อยากเรียนรู้เพิ่มเติม? สิ่งที่เคยทำให้มีความสุขคืออะไร? 🎯 เปลี่ยนช่วงเวลาว่างเปล่าให้เป็นช่วงเวลาของการ "เริ่มต้นใหม่" --- 🔹 สรุป : สุญญากาศของชีวิตไม่ใช่เรื่องเลวร้าย 💡 ความเบื่อเป็นภาวะที่เกิดขึ้นได้ แต่ไม่ได้เป็นตัวตนของเรา 💡 ใช้ช่วงเวลานี้เป็นโอกาสฝึกสติ และค้นหาเป้าหมายใหม่ 💡 แค่รู้เท่าทันความเบื่อ ก็สามารถเปลี่ยนมันเป็นพลังบวกได้ 📌 คุณไม่ได้เกิดมาเพื่อให้ชีวิตสูญเปล่า ทุกช่วงเวลามีคุณค่า ขึ้นอยู่กับคุณเลือกใช้มันอย่างไร!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 405 มุมมอง 0 รีวิว
  • ครั้งหนึ่งในสยาม EP3 ตอน ฆ่าชิงทรัพย์เด็ก

    ในสมัยรัชกาลที่ 5 เกิดคดีสะเทือนขวัญผู้คน เมื่อเด็กน้อยอายุเพียง 8 ขวบถูกฆาตกรรมอย่างโหดเหี้ยม คนร้ายที่ลงมือคือใคร! และอะไรคือเหตุจูงใจสุดสลดในครั้งนี้... ร่วมแกะรอยล่าตัวคนร้ายใจโหดได้ในสารคดีครั้งหนึ่งในสยาม ตอน ฆ่าชิงทรัพย์เด็กสมัยรัตนโกสินทร์

    #ครั้งหนึ่งในสยาม #ฆ่าชิงทรัพย์เด็ก #คดีสะเทือนขวัญ #สมัยรัชกาลที่5 #อาชญากรรมในประวัติศาสตร์ #แกะรอยคนร้าย #เรื่องจริงจากอดีต #สารคดีไทย #ประวัติศาสตร์ไทย #thaitimes
    ครั้งหนึ่งในสยาม EP3 ตอน ฆ่าชิงทรัพย์เด็ก ในสมัยรัชกาลที่ 5 เกิดคดีสะเทือนขวัญผู้คน เมื่อเด็กน้อยอายุเพียง 8 ขวบถูกฆาตกรรมอย่างโหดเหี้ยม คนร้ายที่ลงมือคือใคร! และอะไรคือเหตุจูงใจสุดสลดในครั้งนี้... ร่วมแกะรอยล่าตัวคนร้ายใจโหดได้ในสารคดีครั้งหนึ่งในสยาม ตอน ฆ่าชิงทรัพย์เด็กสมัยรัตนโกสินทร์ #ครั้งหนึ่งในสยาม #ฆ่าชิงทรัพย์เด็ก #คดีสะเทือนขวัญ #สมัยรัชกาลที่5 #อาชญากรรมในประวัติศาสตร์ #แกะรอยคนร้าย #เรื่องจริงจากอดีต #สารคดีไทย #ประวัติศาสตร์ไทย #thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 465 มุมมอง 21 0 รีวิว
  • สหรัฐฯ หยุดจ่ายเงิน BBC หันมาชมจีน

    หลายวันก่อน อีลอน มัสก์ปิดองค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศแห่งสหรัฐอเมริกา (USAID)โดยตรง มิเพียงแต่เลิกจ้างพนักงานทั่วโลกจำนวนกว่าหมื่นคนเท่านั้น และยังตัดงบประมาณที่มียอดกว่า 50,000ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี
    เรื่องนี้ทำให้ BBC โกรธมาก และหันมาชมจีนอย่างเต็มที่

    ทีมงานของอีลอน มัสก์เปิดโปงว่าแต่ละปี สื่อจำนวนมากของสหรัฐอเมริกาและยุโรปล้วนได้เงินไม่น้อยจาก USAID
    ส่วน BBC ที่บอกว่าตัวเองเป็นสื่ออิสระและเป็นกลางนั้น ก็มีค่าตอบแทนเช่นกัน โดยแต่ละปีจะได้รับจากUSAIDหลายสิบล้านเหรียญสหรัฐ

    เมื่อ 1 เดือนก่อน สารคดีของ BBC ส่วนใหญ่บอกว่าจีนแย่แล้ว จีนจะพังแล้ว

    แต่หลังจากวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ที่อีลอน มัสก์ตัดงบฯ แล้ว ทำให้ BBC โกรธมาก จึงเร่งพนักงานผลิตสารคดีเรื่อง “โครงการเมดอินไชน่า 2025”ภายในเวลาไม่กี่วัน และออกอากาศด้วย

    สารคดีเรื่องนี้ชมจีนอย่างเต็มที่ อย่างเช่นโดรนทันสมัยนำหน้าของจีน รถยนต์พลังงานใหม่ของ BYD โครงการโซลาร์เซลล์ และ Deepseek เป็นต้น โดยไม่มีคำตำหนิใส่ร้ายใดๆ มีแต่พูดเรื่องดีๆเท่านั้น

    สุดท้าย พิธีกรได้คำสรุปว่า “โครงการเมดอินไชน่า 2025”ของจีนประสบความสำเร็จอย่างบริบูรณ์ สาเหตุคือ ระบบของจีน ความอดทนและการวางแผนระยะยาวของรัฐบาลจีน

    BBC ชอบรายงานจีนในเชิงลบ กระทั่งสร้างข่าวปลอมเกี่ยวกับจีน อย่างเช่นเหตุการณ์ผ้าฝ้ายซินเจียง แต่หลังจากอีลอน มัสก์ตัดงบฯ แล้ว BBC เปลี่ยนท่าทีจากผู้ต้านจีนมาเป็นผู้สนิทกับจีนทันที

    ดิฉันคิดว่า BBC ทำสารคดีดังกล่าว คงไม่ใช่สนิทกับจีนจริงๆ แต่เป็นการเตือนสหรัฐฯ ว่า ถ้าไม่จ่ายเงินต่อ วันหลังก็จะไม่ทำตามคำสั่งอีกแล้ว

    ทีมงานของอีลอน มัสก์โพสต์ข้อความและยืนยันว่า USAIDให้เงินสนับสนุนแก่ผู้สื่อข่าวจำนวนกว่า 6,200 คน สื่อ 707 แห่ง และองค์การภาคเอกชน 279 แห่งของ 30 ประเทศ
    .
    https://web.facebook.com/share/p/1B1cgCWZib/
    สหรัฐฯ หยุดจ่ายเงิน BBC หันมาชมจีน หลายวันก่อน อีลอน มัสก์ปิดองค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศแห่งสหรัฐอเมริกา (USAID)โดยตรง มิเพียงแต่เลิกจ้างพนักงานทั่วโลกจำนวนกว่าหมื่นคนเท่านั้น และยังตัดงบประมาณที่มียอดกว่า 50,000ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี เรื่องนี้ทำให้ BBC โกรธมาก และหันมาชมจีนอย่างเต็มที่ ทีมงานของอีลอน มัสก์เปิดโปงว่าแต่ละปี สื่อจำนวนมากของสหรัฐอเมริกาและยุโรปล้วนได้เงินไม่น้อยจาก USAID ส่วน BBC ที่บอกว่าตัวเองเป็นสื่ออิสระและเป็นกลางนั้น ก็มีค่าตอบแทนเช่นกัน โดยแต่ละปีจะได้รับจากUSAIDหลายสิบล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อ 1 เดือนก่อน สารคดีของ BBC ส่วนใหญ่บอกว่าจีนแย่แล้ว จีนจะพังแล้ว แต่หลังจากวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ที่อีลอน มัสก์ตัดงบฯ แล้ว ทำให้ BBC โกรธมาก จึงเร่งพนักงานผลิตสารคดีเรื่อง “โครงการเมดอินไชน่า 2025”ภายในเวลาไม่กี่วัน และออกอากาศด้วย สารคดีเรื่องนี้ชมจีนอย่างเต็มที่ อย่างเช่นโดรนทันสมัยนำหน้าของจีน รถยนต์พลังงานใหม่ของ BYD โครงการโซลาร์เซลล์ และ Deepseek เป็นต้น โดยไม่มีคำตำหนิใส่ร้ายใดๆ มีแต่พูดเรื่องดีๆเท่านั้น สุดท้าย พิธีกรได้คำสรุปว่า “โครงการเมดอินไชน่า 2025”ของจีนประสบความสำเร็จอย่างบริบูรณ์ สาเหตุคือ ระบบของจีน ความอดทนและการวางแผนระยะยาวของรัฐบาลจีน BBC ชอบรายงานจีนในเชิงลบ กระทั่งสร้างข่าวปลอมเกี่ยวกับจีน อย่างเช่นเหตุการณ์ผ้าฝ้ายซินเจียง แต่หลังจากอีลอน มัสก์ตัดงบฯ แล้ว BBC เปลี่ยนท่าทีจากผู้ต้านจีนมาเป็นผู้สนิทกับจีนทันที ดิฉันคิดว่า BBC ทำสารคดีดังกล่าว คงไม่ใช่สนิทกับจีนจริงๆ แต่เป็นการเตือนสหรัฐฯ ว่า ถ้าไม่จ่ายเงินต่อ วันหลังก็จะไม่ทำตามคำสั่งอีกแล้ว ทีมงานของอีลอน มัสก์โพสต์ข้อความและยืนยันว่า USAIDให้เงินสนับสนุนแก่ผู้สื่อข่าวจำนวนกว่า 6,200 คน สื่อ 707 แห่ง และองค์การภาคเอกชน 279 แห่งของ 30 ประเทศ . https://web.facebook.com/share/p/1B1cgCWZib/
    Haha
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 604 มุมมอง 0 รีวิว
  • BIG Story | โหดร้าย..ตายฟรี !? 🐘

    📅 13 มีนาคม 2565 ครบรอบ 25 ปี วันช้างไทย – แต่ในความเป็นจริง ช้างป่ายังคงถูกล่า ฆ่า และตัดงาอย่างโหดเหี้ยม…

    🔎 คดีล่าสุด: ช้างป่าถูกฆ่าตัดงาที่สงขลา แต่กลายเป็นเพียงข่าวเล็กๆ ที่เงียบหายในสื่อ
    🔎 ย้อนรอย 10 ปี: คดีฆ่าช้าง 2 ตัวในแก่งกระจาน ที่เคยเขย่าโลก…แต่สุดท้ายผู้ต้องหากลับพ้นผิด
    🔎 ความจริงที่น่าตกใจ: ช้างป่ากว่า 20 ตัว ล้มลงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยกว่าครึ่งเป็นการตายผิดธรรมชาติ

    ⚖️ หรือช้างป่าจะไร้ซึ่งความยุติธรรม?
    🛑 กฎหมายทำอะไรได้บ้าง หรือทุกอย่างจะจบลงเหมือนเดิม?

    📲 ติดตามสารคดีเชิงข่าว BIG STORY: ถอดบทเรียน คน-ล้ม-ช้าง บน Thaitimes App

    #BigStory #โหดร้ายตายฟรี #ฆ่าช้างป่า #คนล้มช้าง #ถอดบทเรียน #อาชญากรรมสิ่งแวดล้อม #WildlifeCrime #ความยุติธรรมของช้าง #ThaiTimes
    BIG Story | โหดร้าย..ตายฟรี !? 🐘 📅 13 มีนาคม 2565 ครบรอบ 25 ปี วันช้างไทย – แต่ในความเป็นจริง ช้างป่ายังคงถูกล่า ฆ่า และตัดงาอย่างโหดเหี้ยม… 🔎 คดีล่าสุด: ช้างป่าถูกฆ่าตัดงาที่สงขลา แต่กลายเป็นเพียงข่าวเล็กๆ ที่เงียบหายในสื่อ 🔎 ย้อนรอย 10 ปี: คดีฆ่าช้าง 2 ตัวในแก่งกระจาน ที่เคยเขย่าโลก…แต่สุดท้ายผู้ต้องหากลับพ้นผิด 🔎 ความจริงที่น่าตกใจ: ช้างป่ากว่า 20 ตัว ล้มลงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยกว่าครึ่งเป็นการตายผิดธรรมชาติ ⚖️ หรือช้างป่าจะไร้ซึ่งความยุติธรรม? 🛑 กฎหมายทำอะไรได้บ้าง หรือทุกอย่างจะจบลงเหมือนเดิม? 📲 ติดตามสารคดีเชิงข่าว BIG STORY: ถอดบทเรียน คน-ล้ม-ช้าง บน Thaitimes App #BigStory #โหดร้ายตายฟรี #ฆ่าช้างป่า #คนล้มช้าง #ถอดบทเรียน #อาชญากรรมสิ่งแวดล้อม #WildlifeCrime #ความยุติธรรมของช้าง #ThaiTimes
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 771 มุมมอง 34 0 รีวิว
  • ครั้งหนึ่งในสยาม EP2 ตอน อำแดงอยู่..ชู้ทาสสวาทรัก

    เรื่องราวพิศวาสปนคาวโลกีย์เมื่อผู้มีบรรดาศักดิ์ใช้ทาสสนองความใคร่ จนเป็นชนวนเหตุแห่งคดีสะเทือนขวัญ ด้วยความโกรธและพิษแรงหึง อำแดงอยู่ ทำร้ายนางเกลี้ยงทั้งทุบตี เผาขนลับ จนขาดใจตาย บทสรุปของเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร ติดตาม ครั้งหนึ่งในสยาม ตอน อำแดงอยู่..ชู้ทาสสวาทรัก

    #ครั้งหนึ่งในสยาม #อำแดงอยู่ #ชู้ทาสสวาทรัก #พิศวาสอำมหิต #คดีสะเทือนขวัญ #รักแรงแค้นแรง #สตรีในประวัติศาสตร์ #กฎหมายและศีลธรรม #เรื่องจริงจากอดีต #สารคดีไทย #thaitimes
    ครั้งหนึ่งในสยาม EP2 ตอน อำแดงอยู่..ชู้ทาสสวาทรัก เรื่องราวพิศวาสปนคาวโลกีย์เมื่อผู้มีบรรดาศักดิ์ใช้ทาสสนองความใคร่ จนเป็นชนวนเหตุแห่งคดีสะเทือนขวัญ ด้วยความโกรธและพิษแรงหึง อำแดงอยู่ ทำร้ายนางเกลี้ยงทั้งทุบตี เผาขนลับ จนขาดใจตาย บทสรุปของเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร ติดตาม ครั้งหนึ่งในสยาม ตอน อำแดงอยู่..ชู้ทาสสวาทรัก #ครั้งหนึ่งในสยาม #อำแดงอยู่ #ชู้ทาสสวาทรัก #พิศวาสอำมหิต #คดีสะเทือนขวัญ #รักแรงแค้นแรง #สตรีในประวัติศาสตร์ #กฎหมายและศีลธรรม #เรื่องจริงจากอดีต #สารคดีไทย #thaitimes
    0 ความคิดเห็น 2 การแบ่งปัน 608 มุมมอง 55 0 รีวิว
  • ครั้งหนึ่งในสยาม EP1 ตอน “หลวงบรรเทาทุกข์”

    หน้าที่ของหลวงบรรเทาทุกข์ คือปกครองดูแลบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้ราษฎร แต่กลับทำตัวเป็นหัวหน้าโจรใช้อำนาจข่มเหงชาวบ้าน ฉุดคร่าหญิงสาว ส่งลูกน้องออกปล้นสะดมเสียเอง จุดจบของเขาจะเป็นอย่างไร ติดตามได้ใน สารคดี “ครั้งหนึ่งในสยาม“ ตอน “หลวงบรรเทาทุกข์” ผู้สร้างทุกข์ให้ราษฎร

    #ครั้งหนึ่งในสยาม #หลวงบรรเทาทุกข์ #อำนาจเถื่อน #ขุนนางทรราช #คดีสะเทือนขวัญ #อาชญากรรมในอดีต #ความจริงในประวัติศาสตร์ #สารคดีไทย #เรื่องจริงจากอดีต #thaitimes
    ครั้งหนึ่งในสยาม EP1 ตอน “หลวงบรรเทาทุกข์” หน้าที่ของหลวงบรรเทาทุกข์ คือปกครองดูแลบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้ราษฎร แต่กลับทำตัวเป็นหัวหน้าโจรใช้อำนาจข่มเหงชาวบ้าน ฉุดคร่าหญิงสาว ส่งลูกน้องออกปล้นสะดมเสียเอง จุดจบของเขาจะเป็นอย่างไร ติดตามได้ใน สารคดี “ครั้งหนึ่งในสยาม“ ตอน “หลวงบรรเทาทุกข์” ผู้สร้างทุกข์ให้ราษฎร #ครั้งหนึ่งในสยาม #หลวงบรรเทาทุกข์ #อำนาจเถื่อน #ขุนนางทรราช #คดีสะเทือนขวัญ #อาชญากรรมในอดีต #ความจริงในประวัติศาสตร์ #สารคดีไทย #เรื่องจริงจากอดีต #thaitimes
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 555 มุมมอง 43 0 รีวิว
  • ครั้งหนึ่งในสยาม" คือสารคดีเชิงประวัติศาสตร์ที่พาคุณย้อนเวลากลับไปสำรวจเหตุการณ์จริง คดีสะเทือนขวัญ และเรื่องราวที่ถูกบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ของสยาม ตั้งแต่ยุครัตนโกสินทร์ตอนต้นจนถึงช่วงเปลี่ยนผ่านของสังคมไทย

    ร่วมค้นพบเรื่องราวที่คุณอาจไม่เคยรู้เกี่ยวกับสยามในวันวาน! ติดตาม "ครั้งหนึ่งในสยาม" ได้ที่ thaitimes
    ครั้งหนึ่งในสยาม" คือสารคดีเชิงประวัติศาสตร์ที่พาคุณย้อนเวลากลับไปสำรวจเหตุการณ์จริง คดีสะเทือนขวัญ และเรื่องราวที่ถูกบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ของสยาม ตั้งแต่ยุครัตนโกสินทร์ตอนต้นจนถึงช่วงเปลี่ยนผ่านของสังคมไทย ร่วมค้นพบเรื่องราวที่คุณอาจไม่เคยรู้เกี่ยวกับสยามในวันวาน! ติดตาม "ครั้งหนึ่งในสยาม" ได้ที่ thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 193 มุมมอง 0 รีวิว
  • BIG STORY | สารคดีเชิงข่าว ตีแผ่เรื่องใหญ่ ไขปริศนา ค้นหาความจริง

    เจาะลึกทุกมุมมอง สะท้อนทุกแง่มุมของเหตุการณ์สำคัญ ที่คุณต้องรู้
    ✔ เบื้องหลังคดีดัง
    ✔ ปมปริศนาที่รอการคลี่คลาย
    ✔ เรื่องจริงที่ซ่อนอยู่ใต้พาดหัวข่าว

    📌 BIG STORY – ไม่ใช่แค่ข่าว แต่คือความจริงที่ต้องเปิดเผย
    📲 ติดตามได้ที่ Thaitimes App

    #BigStory #สารคดีเชิงข่าว #ตีแผ่เรื่องใหญ่ #ไขปริศนา #ค้นหาความจริง #ThaiTimes
    BIG STORY | สารคดีเชิงข่าว ตีแผ่เรื่องใหญ่ ไขปริศนา ค้นหาความจริง เจาะลึกทุกมุมมอง สะท้อนทุกแง่มุมของเหตุการณ์สำคัญ ที่คุณต้องรู้ ✔ เบื้องหลังคดีดัง ✔ ปมปริศนาที่รอการคลี่คลาย ✔ เรื่องจริงที่ซ่อนอยู่ใต้พาดหัวข่าว 📌 BIG STORY – ไม่ใช่แค่ข่าว แต่คือความจริงที่ต้องเปิดเผย 📲 ติดตามได้ที่ Thaitimes App #BigStory #สารคดีเชิงข่าว #ตีแผ่เรื่องใหญ่ #ไขปริศนา #ค้นหาความจริง #ThaiTimes
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 541 มุมมอง 0 รีวิว
  • 33 ปี สิ้น “หมอบุญส่ง เลขะกุล” นักนิยมไพรไทย ผู้บุกเบิกอนุรักษ์ป่าและสัตว์ จุดกำเนิดเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า

    📅 ย้อนไปเมื่อ 33 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2535 ถือเป็นวันแห่งการสูญเสียครั้งสำคัญ ของวงการอนุรักษ์ธรรมชาติไทย เพราะเป็นวันที่ น.พ.บุญส่ง เลขะกุล หรือที่รู้จักกันในนาม “หมอบุญส่ง” จากโลกนี้ไปด้วย โรคหัวใจล้มเหลว ในวัย 85 ปี ณ โรงพยาบาลมเหสักข์ กรุงเทพมหานคร แต่ถึงแม้ร่างกายจะล่วงลับไปแล้ว ผลงานและอุดมการณ์ของท่านยังคงอยู่ และกลายเป็นรากฐานสำคัญ ของการอนุรักษ์ป่าไม้ และสัตว์ป่าของไทย

    หมอบุญส่งไม่ได้เป็นเพียง แพทย์ผู้รักษาผู้คน แต่ยังเป็นนักอนุรักษ์ นักเขียน นักถ่ายภาพ และจิตรกร ผู้เปี่ยมไปด้วย ความหลงใหลในธรรมชาติ ความมุ่งมั่นเป็นแรงผลักดันให้เกิดเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และ กฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า ที่ยังคงใช้มาจนถึงปัจจุบัน 🌳🌿

    🔎 น.พ.บุญส่ง เลขะกุล เกิดเมื่อวันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2467 ที่บ้านถนนนคร ตำบลบ่อยาง อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา เป็นบุตรของพระบริรักษ์เวชกรรม (พิน เลขะกุล) ซึ่งเป็นแพทย์ประจำจังหวัดสงขลา ทำให้หมอบุญส่ง เติบโตมาในครอบครัว ที่ให้ความสำคัญกับการศึกษา และความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์

    📚 เส้นทางการศึกษา
    ✅ มัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนเบญจมราชูทิศ นครศรีธรรมราช
    ✅ มัธยมศึกษาปีที่ 8 โรงเรียนเบญจมบพิตร (ปัจจุบันคือ โรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร) กรุงเทพฯ
    ✅ ปริญญาแพทยศาสตร์บัณฑิต คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (พ.ศ. 2476)

    หลังจากเรียนจบแพทย์ หมอบุญส่งได้เข้าสู่วงการแพทย์ แต่ขณะเดียวกัน ท่านก็เริ่มหลงใหลในธรรมชาติ เดินป่า สังเกตสัตว์ป่า และบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมสัตว์ต่างๆ ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นจุดเริ่มต้น ของการเป็นนักอนุรักษ์ อย่างเต็มตัว

    🌿 จุดเริ่มต้นของการเป็นนักอนุรักษ์
    ช่วงหลัง สงครามโลกครั้งที่ 2 (พ.ศ. 2484 - 2488) การล่าสัตว์เพื่อกีฬา ได้รับความนิยมมากขึ้น การใช้ ไฟส่องสัตว์ และ อาวุธปืนทันสมัย ส่งผลให้ประชากรสัตว์ป่า ลดลงอย่างรวดเร็ว หมอบุญส่งเห็นว่าหากปล่อยไว้เช่นนี้ สัตว์ป่าของไทยจะสูญพันธุ์ จึงรวมตัวกับผู้ที่มีแนวคิดเดียวกัน ก่อตั้ง "นิยมไพรสมาคม" ขึ้นในปี พ.ศ. 2496

    🏡 ศูนย์กลางของนิยมไพรสมาคม ตั้งอยู่ที่บ้านของหมอบุญส่งเอง (บ้านเลขที่ 4 ตรอกโรงภาษีเก่า ถนนเจริญกรุง กรุงเทพฯ) ซึ่งกลายเป็นแหล่งรวม ของผู้สนใจธรรมชาติ นักอนุรักษ์ และนักวิจัยทางด้านสัตว์ป่า

    📖 เป้าหมายของนิยมไพรสมาคม ได้แก่
    ✅ การให้ความรู้ และกระตุ้นจิตสำนึกในการอนุรักษ์
    ✅ การศึกษาพฤติกรรมสัตว์ป่า
    ✅ การผลักดันกฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า
    ✅ การจัดทำ นิตยสารนิยมไพร เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ เกี่ยวกับสัตว์ป่า

    หมอบุญส่งยังได้เดินป่า และเขียนหนังสือสารคดี เกี่ยวกับสัตว์ป่าหลายเล่ม เช่น
    📗 สัตว์ป่าเมืองไทย
    📘 วัวแดง
    📕 แรดไทย
    📗 ช้างไทย

    รวมถึงนวนิยายเกี่ยวกับสัตว์ป่า ที่สร้างชื่อเสียงที่สุด คือ "ชีวิตฉันลูกกระทิง" ซึ่งเคยถูกคัดเลือก เป็น หนังสืออ่านนอกเวลา สำหรับนักเรียน และได้รับการยกย่องเป็น 1 ใน 100 หนังสือดี ที่เด็กและเยาวชนไทยควรอ่าน

    ⚖️ ผลักดันกฎหมายอนุรักษ์สัตว์ป่า
    หมอบุญส่งไม่ได้เพียงแค่เขียนหนังสือ หรือเผยแพร่ความรู้ แต่ยังลงมือผลักดันให้เกิด กฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า ขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย

    📜 ในปี พ.ศ. 2502 หมอบุญส่ง และคณะนิยมไพรสมาคม ได้เข้าพบจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น เพื่อยื่นข้อเสนอให้มี มาตรการคุ้มครองทรัพยากรป่าไม้ และสัตว์ป่า

    🎯 ผลที่ได้คือการออก พระราชบัญญัติสงวน และคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2503 และ พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 ซึ่งเป็นกฎหมายสำคัญ ที่นำไปสู่การประกาศ อุทยานแห่งชาติ และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เช่น
    🌳 อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ (พ.ศ. 2505) อุทยานแห่งชาติแห่งแรกของไทย
    🌲 เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ (พ.ศ. 2508) เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแห่งแรกของไทย

    👑 พระมหากรุณาธิคุณ และการยกย่องเชิดชูเกียรติ
    ในปี พ.ศ. 2526 หมอบุญส่งได้ร่วมกับกลุ่มอนุรักษ์ ก่อตั้ง "มูลนิธิคุ้มครองสัตว์ป่า และพรรณพืชแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์" ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

    ต่อมา ในปี พ.ศ. 2550 ได้มีการจัดงาน "100 ปี หมอบุญส่ง เลขะกุล" ณ สยามสมาคม เพื่อรำลึกถึงคุณงามความดี และผลงานที่ได้ทำไว้ให้กับประเทศ

    🎗️ แม้วันนี้ "หมอบุญส่ง เลขะกุล" จะจากโลกนี้ไปครบ 33 ปี แล้วก็ตาม แต่มรดกแห่งการอนุรักษ์ยังคงอยู่ ไม่ว่าจะเป็น
    ✅ กฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า และอุทยานแห่งชาติ
    ✅ อุทยานและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่ามากมาย
    ✅ หนังสือและบทความที่ช่วยปลูกฝังจิตสำนึกการอนุรักษ์
    ✅ แรงบันดาลใจให้กับนักอนุรักษ์รุ่นใหม่

    💚 "ธรรมชาติไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นของลูกหลานทุกคนในอนาคต" หมอบุญส่ง เลขะกุล 🌏

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 091504 ก.พ. 2568

    📌 #หมอบุญส่งเลขะกุล #อนุรักษ์สัตว์ป่า #ป่าไม้ไทย #นักนิยมไพร #อนุรักษ์ธรรมชาติ #สัตว์ป่า #ป่าต้องรอด #มรดกทางธรรมชาติ #33ปีหมอบุญส่ง #ธรรมชาติเพื่ออนาคต
    33 ปี สิ้น “หมอบุญส่ง เลขะกุล” นักนิยมไพรไทย ผู้บุกเบิกอนุรักษ์ป่าและสัตว์ จุดกำเนิดเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า 📅 ย้อนไปเมื่อ 33 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2535 ถือเป็นวันแห่งการสูญเสียครั้งสำคัญ ของวงการอนุรักษ์ธรรมชาติไทย เพราะเป็นวันที่ น.พ.บุญส่ง เลขะกุล หรือที่รู้จักกันในนาม “หมอบุญส่ง” จากโลกนี้ไปด้วย โรคหัวใจล้มเหลว ในวัย 85 ปี ณ โรงพยาบาลมเหสักข์ กรุงเทพมหานคร แต่ถึงแม้ร่างกายจะล่วงลับไปแล้ว ผลงานและอุดมการณ์ของท่านยังคงอยู่ และกลายเป็นรากฐานสำคัญ ของการอนุรักษ์ป่าไม้ และสัตว์ป่าของไทย หมอบุญส่งไม่ได้เป็นเพียง แพทย์ผู้รักษาผู้คน แต่ยังเป็นนักอนุรักษ์ นักเขียน นักถ่ายภาพ และจิตรกร ผู้เปี่ยมไปด้วย ความหลงใหลในธรรมชาติ ความมุ่งมั่นเป็นแรงผลักดันให้เกิดเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และ กฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า ที่ยังคงใช้มาจนถึงปัจจุบัน 🌳🌿 🔎 น.พ.บุญส่ง เลขะกุล เกิดเมื่อวันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2467 ที่บ้านถนนนคร ตำบลบ่อยาง อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา เป็นบุตรของพระบริรักษ์เวชกรรม (พิน เลขะกุล) ซึ่งเป็นแพทย์ประจำจังหวัดสงขลา ทำให้หมอบุญส่ง เติบโตมาในครอบครัว ที่ให้ความสำคัญกับการศึกษา และความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ 📚 เส้นทางการศึกษา ✅ มัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนเบญจมราชูทิศ นครศรีธรรมราช ✅ มัธยมศึกษาปีที่ 8 โรงเรียนเบญจมบพิตร (ปัจจุบันคือ โรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร) กรุงเทพฯ ✅ ปริญญาแพทยศาสตร์บัณฑิต คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (พ.ศ. 2476) หลังจากเรียนจบแพทย์ หมอบุญส่งได้เข้าสู่วงการแพทย์ แต่ขณะเดียวกัน ท่านก็เริ่มหลงใหลในธรรมชาติ เดินป่า สังเกตสัตว์ป่า และบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมสัตว์ต่างๆ ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นจุดเริ่มต้น ของการเป็นนักอนุรักษ์ อย่างเต็มตัว 🌿 จุดเริ่มต้นของการเป็นนักอนุรักษ์ ช่วงหลัง สงครามโลกครั้งที่ 2 (พ.ศ. 2484 - 2488) การล่าสัตว์เพื่อกีฬา ได้รับความนิยมมากขึ้น การใช้ ไฟส่องสัตว์ และ อาวุธปืนทันสมัย ส่งผลให้ประชากรสัตว์ป่า ลดลงอย่างรวดเร็ว หมอบุญส่งเห็นว่าหากปล่อยไว้เช่นนี้ สัตว์ป่าของไทยจะสูญพันธุ์ จึงรวมตัวกับผู้ที่มีแนวคิดเดียวกัน ก่อตั้ง "นิยมไพรสมาคม" ขึ้นในปี พ.ศ. 2496 🏡 ศูนย์กลางของนิยมไพรสมาคม ตั้งอยู่ที่บ้านของหมอบุญส่งเอง (บ้านเลขที่ 4 ตรอกโรงภาษีเก่า ถนนเจริญกรุง กรุงเทพฯ) ซึ่งกลายเป็นแหล่งรวม ของผู้สนใจธรรมชาติ นักอนุรักษ์ และนักวิจัยทางด้านสัตว์ป่า 📖 เป้าหมายของนิยมไพรสมาคม ได้แก่ ✅ การให้ความรู้ และกระตุ้นจิตสำนึกในการอนุรักษ์ ✅ การศึกษาพฤติกรรมสัตว์ป่า ✅ การผลักดันกฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า ✅ การจัดทำ นิตยสารนิยมไพร เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ เกี่ยวกับสัตว์ป่า หมอบุญส่งยังได้เดินป่า และเขียนหนังสือสารคดี เกี่ยวกับสัตว์ป่าหลายเล่ม เช่น 📗 สัตว์ป่าเมืองไทย 📘 วัวแดง 📕 แรดไทย 📗 ช้างไทย รวมถึงนวนิยายเกี่ยวกับสัตว์ป่า ที่สร้างชื่อเสียงที่สุด คือ "ชีวิตฉันลูกกระทิง" ซึ่งเคยถูกคัดเลือก เป็น หนังสืออ่านนอกเวลา สำหรับนักเรียน และได้รับการยกย่องเป็น 1 ใน 100 หนังสือดี ที่เด็กและเยาวชนไทยควรอ่าน ⚖️ ผลักดันกฎหมายอนุรักษ์สัตว์ป่า หมอบุญส่งไม่ได้เพียงแค่เขียนหนังสือ หรือเผยแพร่ความรู้ แต่ยังลงมือผลักดันให้เกิด กฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า ขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย 📜 ในปี พ.ศ. 2502 หมอบุญส่ง และคณะนิยมไพรสมาคม ได้เข้าพบจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น เพื่อยื่นข้อเสนอให้มี มาตรการคุ้มครองทรัพยากรป่าไม้ และสัตว์ป่า 🎯 ผลที่ได้คือการออก พระราชบัญญัติสงวน และคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2503 และ พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 ซึ่งเป็นกฎหมายสำคัญ ที่นำไปสู่การประกาศ อุทยานแห่งชาติ และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เช่น 🌳 อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ (พ.ศ. 2505) อุทยานแห่งชาติแห่งแรกของไทย 🌲 เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ (พ.ศ. 2508) เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแห่งแรกของไทย 👑 พระมหากรุณาธิคุณ และการยกย่องเชิดชูเกียรติ ในปี พ.ศ. 2526 หมอบุญส่งได้ร่วมกับกลุ่มอนุรักษ์ ก่อตั้ง "มูลนิธิคุ้มครองสัตว์ป่า และพรรณพืชแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์" ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ต่อมา ในปี พ.ศ. 2550 ได้มีการจัดงาน "100 ปี หมอบุญส่ง เลขะกุล" ณ สยามสมาคม เพื่อรำลึกถึงคุณงามความดี และผลงานที่ได้ทำไว้ให้กับประเทศ 🎗️ แม้วันนี้ "หมอบุญส่ง เลขะกุล" จะจากโลกนี้ไปครบ 33 ปี แล้วก็ตาม แต่มรดกแห่งการอนุรักษ์ยังคงอยู่ ไม่ว่าจะเป็น ✅ กฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า และอุทยานแห่งชาติ ✅ อุทยานและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่ามากมาย ✅ หนังสือและบทความที่ช่วยปลูกฝังจิตสำนึกการอนุรักษ์ ✅ แรงบันดาลใจให้กับนักอนุรักษ์รุ่นใหม่ 💚 "ธรรมชาติไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นของลูกหลานทุกคนในอนาคต" หมอบุญส่ง เลขะกุล 🌏 ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 091504 ก.พ. 2568 📌 #หมอบุญส่งเลขะกุล #อนุรักษ์สัตว์ป่า #ป่าไม้ไทย #นักนิยมไพร #อนุรักษ์ธรรมชาติ #สัตว์ป่า #ป่าต้องรอด #มรดกทางธรรมชาติ #33ปีหมอบุญส่ง #ธรรมชาติเพื่ออนาคต
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 871 มุมมอง 0 รีวิว
  • นครปฐม - ร้อนระอุ อาจารย์เบียร์ คนตื่นธรรม ปล่อยคลิปอัดหนักคนดิสเครดิต ขณะที่ นายกสมาคมไวยาวัจกร ออกมาจวกไม่ยั้งเดินหน้าถามถึงกรณีล้มละลายแล้วใช้บัญชีผู้เป็นพ่อ เคยแจ้งมาก่อนรับบริจาคหรือไม่ และเคยมีการแจ้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่พิทักษ์ทรัพย์ ถึงแหล่งที่มารายได้ทั้งเงินบริจาค และการขายเสื้อหรือไม่

    กระแสความสนใจกรณี อ.เบียร์ คนตื่นธรรม มีมาอย่างต่อเนื่อง หลังจากมีการเปิดข้อมูลว่าเป็นบุคคลล้มละลาย ซึ่งในโลกโซเชียลมีการถกเถียงแบ่งฝ่ายกันอย่างร้อนแรงทั้งในฝั่งผู้ที่เห็นด้วย และผู้ที่เห็นต่าง ซึ่งประเด็นดังกล่าวเกิดจากคลิปที่ อ.เบียร์ ได้มีการตอบคำถามในคอมเมนต์ในเพจเรื่องเกี่ยวกับสังขารของพระเกจิอาจารย์ที่ละสังขารไปแล้วแต่สรีระไม่เน่าเปื่อย ว่ามีความศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ และมีการแสดงความเห็นว่า เรื่องนี้ไม่มีความศักดิ์สิทธิ์ และได้ยกตัวอย่างเหมือนกับหมาที่ตายไปแล้วในต่างประเทศที่ร่างกายไม่เน่าเปื่อย ทำให้เกิดกระแสแตกในความเห็นดังกล่าวออกเป็นสองทางในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา

    โดยในวันนี้ อ.เบียร์ ได้มีการโพสต์คลิปตอบโต้เกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวว่าได้มีการสอนและยกตัวอย่างซึ่งอยากจะให้ไปชมคลิปทั้งหมดโดยภาพรวมในเรื่องดังกล่าว แต่ได้ติดใจในเรื่องของการที่มีคนนำเอกสารคดีดำคดีแดงที่ปรากฏชื่อตนถูกบังคับคดีพิทักษ์ทรัพย์และศาลมีคำสั่งให้เป็นบุคคลล้มละลาย ซึ่งได้เตรียมไว้ว่าจะแจ้งกับประชาชนและแฟนคลับอยู่แล้ว แต่มีคนจ้องนำมาเสนอเพื่อดิสเครดิตเสียก่อน โดยได้มีการพาดพิงไปถึงพระรูปหนึ่งว่าไม่มีความเป็นพระ เพราะเอาเรื่องเสียหายของคนอื่นไปเผยแพร่ โดยมีการเปิดเผยเลขที่คดีดำคดีแดง โดยไม่มีความเป็นพระ และมีคลิปหลายชุดที่ปรากฏตอบโต้ประเด็นดังกล่าวซึ่งยังมีบางส่วนได้ชี้แจงว่ามีคนที่อิจฉาจ้องจะดิสเครดิตตน ซึ่งได้เตรียมใจกับทีมงานมาก่อนแล้ว และก็เกิดขึ้นจริงๆ แต่เป็นบทพิสูจน์ที่จะทำให้ตนผ่านเรื่องนี้ไปให้ได้ โดยยืนยันถึงความถูกต้องและชัดเจนกับการเปิดรับบริจาค ซึ่งสวนทางกับการเป็นบุคคลล้มละลายของตนว่าได้มีการดำเนินการที่ชัดเจนและไม่หวั่นแม้จะถูกตรวจสอบ

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/local/detail/9680000001345

    #MGROnline #อาจารย์เบียร์คนตื่นธรรม #คนตื่นธรรม
    นครปฐม - ร้อนระอุ อาจารย์เบียร์ คนตื่นธรรม ปล่อยคลิปอัดหนักคนดิสเครดิต ขณะที่ นายกสมาคมไวยาวัจกร ออกมาจวกไม่ยั้งเดินหน้าถามถึงกรณีล้มละลายแล้วใช้บัญชีผู้เป็นพ่อ เคยแจ้งมาก่อนรับบริจาคหรือไม่ และเคยมีการแจ้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่พิทักษ์ทรัพย์ ถึงแหล่งที่มารายได้ทั้งเงินบริจาค และการขายเสื้อหรือไม่ • กระแสความสนใจกรณี อ.เบียร์ คนตื่นธรรม มีมาอย่างต่อเนื่อง หลังจากมีการเปิดข้อมูลว่าเป็นบุคคลล้มละลาย ซึ่งในโลกโซเชียลมีการถกเถียงแบ่งฝ่ายกันอย่างร้อนแรงทั้งในฝั่งผู้ที่เห็นด้วย และผู้ที่เห็นต่าง ซึ่งประเด็นดังกล่าวเกิดจากคลิปที่ อ.เบียร์ ได้มีการตอบคำถามในคอมเมนต์ในเพจเรื่องเกี่ยวกับสังขารของพระเกจิอาจารย์ที่ละสังขารไปแล้วแต่สรีระไม่เน่าเปื่อย ว่ามีความศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ และมีการแสดงความเห็นว่า เรื่องนี้ไม่มีความศักดิ์สิทธิ์ และได้ยกตัวอย่างเหมือนกับหมาที่ตายไปแล้วในต่างประเทศที่ร่างกายไม่เน่าเปื่อย ทำให้เกิดกระแสแตกในความเห็นดังกล่าวออกเป็นสองทางในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา • โดยในวันนี้ อ.เบียร์ ได้มีการโพสต์คลิปตอบโต้เกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวว่าได้มีการสอนและยกตัวอย่างซึ่งอยากจะให้ไปชมคลิปทั้งหมดโดยภาพรวมในเรื่องดังกล่าว แต่ได้ติดใจในเรื่องของการที่มีคนนำเอกสารคดีดำคดีแดงที่ปรากฏชื่อตนถูกบังคับคดีพิทักษ์ทรัพย์และศาลมีคำสั่งให้เป็นบุคคลล้มละลาย ซึ่งได้เตรียมไว้ว่าจะแจ้งกับประชาชนและแฟนคลับอยู่แล้ว แต่มีคนจ้องนำมาเสนอเพื่อดิสเครดิตเสียก่อน โดยได้มีการพาดพิงไปถึงพระรูปหนึ่งว่าไม่มีความเป็นพระ เพราะเอาเรื่องเสียหายของคนอื่นไปเผยแพร่ โดยมีการเปิดเผยเลขที่คดีดำคดีแดง โดยไม่มีความเป็นพระ และมีคลิปหลายชุดที่ปรากฏตอบโต้ประเด็นดังกล่าวซึ่งยังมีบางส่วนได้ชี้แจงว่ามีคนที่อิจฉาจ้องจะดิสเครดิตตน ซึ่งได้เตรียมใจกับทีมงานมาก่อนแล้ว และก็เกิดขึ้นจริงๆ แต่เป็นบทพิสูจน์ที่จะทำให้ตนผ่านเรื่องนี้ไปให้ได้ โดยยืนยันถึงความถูกต้องและชัดเจนกับการเปิดรับบริจาค ซึ่งสวนทางกับการเป็นบุคคลล้มละลายของตนว่าได้มีการดำเนินการที่ชัดเจนและไม่หวั่นแม้จะถูกตรวจสอบ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/local/detail/9680000001345 • #MGROnline #อาจารย์เบียร์คนตื่นธรรม #คนตื่นธรรม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 578 มุมมอง 0 รีวิว
  • "อวสาน" รถญี่ปุ่นในไทย
    จากมุมมองของ Nikkei Asia
    .
    ในวาระส่งท้ายปีเก่า 2567 ต้อนรับปีใหม่ 2568 สื่อยักษ์ใหญ่ชื่อดังของญี่ปุ่นคือ นิคเคอิ เอเชีย (Nikkei Asia) ได้เผยแพร่สารคดีข่าว NIKKEI Film : The sound of engines vanishing in Thailand (นิคเคอิ ฟิล์ม : เสียงของเครื่องยนต์ที่กำลังหายไปจากประเทศไทย) ถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับสถานการณ์ของบรรดารถยนต์แบรนด์ญี่ปุ่นที่ครั้งหนึ่งเคยครอบครองตลาดรถยนต์ในประเทศไทยมากกว่า 90% แต่ในห้วงระยะเวลาเพียง 2 ปีเท่านั้นกลับถูกรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนรุกไล่ ทำให้ในปี 2567 เหลือส่วนแบ่งยอดขายรถยนต์ในตลาดรถใหม่เพียง 76%
    .
    แม้ว่าในปัจจุบันรถยนต์ค่ายญี่ปุ่นจะยังคงสามารถครอบครองตลาดรถใหม่ในประเทศไทยได้มากกว่า 3 ใน 4 แต่เมื่อพิจารณาปัจจัยจากรอบด้านแล้วไม่ว่าจะเป็น แนวโน้มความต้องการของผู้บริโภค พลวัตรของเหล่าดีลเลอร์ผู้ขายรถยนต์ทั่วประเทศไทย การทยอยปิดโรงงาน การไหลออกของบุคลากร-พนักงาน-ผู้บริหารจากค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นไปสู่ค่ายรถจีน รวมไปถึงการคาดการณ์ตลาดรถยนต์ในอนาคตแล้วรถยนต์ญี่ปุ่นหนีไม่พ้นอาจต้องสูญพันธุ์จากประเทศไทยในอนาคตอันใกล้ หากไม่เร่งปรับตัวให้เร็วกว่านี้
    .
    "ผมเพิ่งซื้อรถยนต์บีวายดีรุ่นใหม่ล่าสุด แล้วผมก็เปรียบเทียบรถอีวี กับ รถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์แบบดั้งเดิมเพื่อศึกษาความแตกต่าง ... ฟังก์ชันในรถอีวีของจีนนั้นครบครันมาก อัตราการเร่งก็ฉับไวมาก" คุณบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ ให้สัมภาษณ์กับนิคเคอิเป็นภาษาญี่ปุ่นอันคล่องแคล่ว และเปรียบเทียบต่อว่า
    .
    "ผมมองญี่ปุ่นจากหลาย ๆ มุม ด้วยความที่สำเร็จมาตั้งแต่ในยุคอะนาล็อก ญี่ปุ่นกลับไม่สามารถปรับตัวได้รวดเร็วพอในยุคของเทคโนโลยีดิจิทัล เทียบกับจีนที่ไม่ได้มีความสำเร็จมากนักในยุคของอะนาล็อก แต่พอยุคสมัยของเทคโนโลยีดิจิทัลมาถึง จีนจึงพยายามอย่างมากที่จะดิสรัปอุตสาหกรรมรถยนต์"
    .
    นิคเคอิอธิบายว่า ประเทศไทยซึ่งมีประชากรราว 66 ล้านคน และเป็นระบบเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 2 ของอาเซียน นั้นได้ชื่อเล่นว่าเป็น "ดีทรอยต์แห่งเอเชีย (Detroit of Asia)" ด้วยบรรดาบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นที่เข้ามาตั้งฐานการผลิตในประเทศก่อนหน้านี้นานหลายทศวรรษ แต่จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นในปี 2566 ที่บริษัทรถยนต์จากจีนรุกเข้่ามาทำตลาด และย้ายฐานการผลิตมายังประเทศไทยอย่างจริงจัง
    .
    "เกือบครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา รถยนต์ญี่ปุ่นสามารถครอบครองยอดขายรถยนต์ใหม่ในประเทศไทยได้มากเกือบ 90% แต่จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นเมื่อ รถอีวีจากจีนบุกตลาดประเทศไทยในปี 2566 ส่งผลให้ยอดขายรถใหม่ในประเทศไทยของบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นลดลงต่ำกว่า 80% (เหลือ 77.8% ในปี 2566 และ เหลือ 76.2% ในปี 2567)" นิคเคอิระบุ
    .
    จากนั้นจึงกล่าวกว่า บีวายดี (BYD) คือ หัวหอกของบริษัทรถยนต์จีนที่เข้ามาแย่งชิงตลาดในประเทศไทยจากบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่น โดยนิคเคอิได้ดำเนินการสำรวจการขยายตัวของจำนวนดีลเลอร์รถบีวายดีในไทยพบว่า เกือบ 50% ของดีลเลอร์รถบีวายดีนั้นก่อนหน้านั้นเคยเป็นดีลเลอร์ของรถยนต์ค่ายญี่ปุ่น โดยบีวายดีขยายสาขาไปทั่วประเทศ โดยไม่เพียงกวาดดีลเลอร์จากค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นให้เข้ามาซุกใต้ปีก แต่รวมถึงค่ายรถยนต์จากตะวันตกด้วยเช่นกัน
    .
    การรุกไล่ของค่ายรถยนต์จากจีนไม่หยุดอยู่แค่ในระดับการส่งรถยนต์จากจีนมาขายยังเมืองไทย แต่ยังมีการขยายโรงงานผลิตมายังประเทศไทยอย่างต่อเนื่องด้วย ยกตัวอย่างเช่น บีวายดีที่เพิ่งเริ่มเดินสายพานโรงงานผลิตรถยนต์แบบเต็มระบบแห่งแรกในต่างแดนที่ จ.ระยอง เมื่อเดือนกรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา ทำให้บุคลากรในแวดวงรถยนต์คนไทยที่มีความสามารถตั้งแต่ระดับฝ่ายผลิต จนถึงผู้บริหารที่เคยสังกัดอยู่กับค่ายรถยนต์ญี่ปุ่น ไหลไปอยู่กับบริษัทรถยนต์จีนจำนวนมาก
    .
    ด้วยแรงจูงใจสำคัญเป็นค่าตอบแทนที่มากกว่าเดิม 30% 50% 80% หรือกระทั่งเพิ่มขึ้นเท่าตัว!
    .
    นายสื่อ ชิงเคอ (史青科) หรือ Parker Shi ประธานของเกรท วอลล์ มอเตอร์ อินเตอร์เนชันแนล เจ้าของแบรนด์รถยนต์จีน GWM ให้สัมภาษณ์กับสื่อถึงคู่แข่งค่ายรถยนต์ญี่ปุ่น และการดึงตัวผู้บริหารระดับสูงจากโตโยต้ามาทำงานกับเกรทวอลล์ฯ โดยระบุว่า
    .
    "ด้วยความสัตย์จริง และความเคารพต่อโตโยต้า และรถแบรนด์จากใจ เพราะพวกเขานั้นยอดเยี่ยมจริง ๆ (excellent) คุณวุฒิกร (สุริยะฉันทนานนท์) นั้นเคยทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมที่โตโยต้า และนี่คือเหตุผลที่เขามาอยู่กับเรา" และกล่าวต่อว่า "ถ้าหากคุณไม่มีความกล้าหาญที่จะสู้ ที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง คุณก็ตาย ถ้าหากคุณไม่มีอาวุธที่ดีพอ ผลิตภัณฑ์ที่ดี รูปแบบธุรกิจที่ดี กลยุทธ์ที่ดี คุณก็ตาย ถ้าคุณไม่มีทีมเวิร์คที่ดี คุณก็ตาย ... มันไม่มีคนอยู่รอดหรอก เพราะที่กำลังเป็นอยู่นี้คือคือสงคราม ที่เกิดขึ้นในตลาดที่แข่งขันกันอย่างรุนแรง"
    .
    นิคเคอิ เอเชียยังมีโอกาสได้สัมภาษณ์ผู้บริหารบริษัทรถยนต์ชาวญี่ปุ่นในไทยที่ไม่ยอมเปิดเผยชื่อเสียงเรียงนาม โดยผู้บริหารชาวญี่ปุ่นคนนี้ยอมรับว่า บริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นละเลยความต้องการของผู้บริโภคไทยไปมาก รวมถึงนำเสนอสินค้าที่เทคโนโลยีล้าหลังไปแล้วให้กับตลาดในประเทศกำลังพัฒนาอย่างไทย ซึ่งแตกต่างจากค่ายรถจากจีน
    .
    "มันเป็นความจริงที่ว่าแบรนด์รถญี่ปุ่นนั้นมัวแต่มุ่งเน้นไปที่ตลาดใหญ่ ๆ อย่างในยุโรป สหรัฐฯ และญี่ปุ่น โดยพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เหมาะกับตลาดนั้น ๆ นอกจากนี้สิ่งที่เราตัดสินใจผิดพลาดมากที่สุดก็คือ ความรวดเร็วของการเปลี่ยนผ่านไปสู่รถยนต์ไฟฟ้า
    .
    "และมันเป็นเรื่องจริงที่ค่ายรถญี่ปุ่นนำเสนอสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีค่อนข้างล้าหลัง ซึ่งวางขายอยู่แล้วในประเทศกำลังพัฒนามาขายให้ (ตลาดไทย) ผมคิดว่า นี่เองเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้บริโภคชาวไทยไม่พอใจ และความไม่พอใจนั้นยิ่งนานวันก็สะสมเพิ่มขึ้น ๆ" ผู้บริหารค่ายรถญี่ปุ่นในไทยกล่าวเปิดอก
    .
    ทั้งนี้จากข้อมูลการสำรวจของ LiB Consulting ระบุว่า ภายในปี 2578 (ค.ศ.2035) หรืออีก 10 ปีข้างหน้า ยอดขายรถใหม่ในเมืองไทยจะเปลี่ยนโฉมไปอย่างสิ้นเชิง โดยรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในจะลดปริมาณลงจากปัจจุบันที่ราว 78.5% เหลือเพียง 15% โดยรถอีวี และรถยนต์พลังงานใหม่จะกินส่วนแบ่งการตลาดที่เหลือ จะถูกแบ่งให้รถอีวี (50.7%) และ รถยนต์เทคโนโลยีไฮบริด-อื่นๆ (34.3%)
    .
    ด้วยสถานการณ์และแนวโน้มเช่นนี้ทำให้ ณ ปัจจุบันถือเป็นโอกาสสุดท้ายของค่ายรถยนต์จากญี่ปุ่นในการขยับขับเคลื่อนเพื่อไล่ตามรถอีวีจากจีนให้ทัน และกอบกู้สถานการณ์ด้วยการอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง และตัดสินใจให้เร็ว และฉับไวมากขึ้น
    .
    ทั้งนี้ทั้งนั้น ในเรื่องนี้คุณบุณยสิทธิ์ ประธานเครือสหพัฒน์วัย 87 ที่คร่ำหวอดทั้งในตลาดสินค้าอุปโภคบริโภค แวดวงอุตสาหกรรม และมีสายสัมพันธ์อันล้ำลึกกับแวดวงอุตสาหกรรมไทย ญี่ปุ่น และจีน กล่าวทิ้งท้ายสารคดีข่าวชิ้นนี้เป็นคำแนะนำให้กับบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นที่กำลังเพลี่ยงพล้ำในประเทศไทยไว้อย่างน่าสนใจว่า
    .
    ในมุมของคุณบุญยสิทธิ์ เดิมทีประธานบริษัทญี่ปุ่นเกือบทั้งหมดนั้นเป็นผู้ก่อตั้งบริษัท โดยคนเหล่านี้มีจิตวิญญาณของการบุกเบิกและก่อตั้ง แต่เมื่อมาถึงวันนี้ที่ประธานบริษัทกลายเป็นคนรุ่นใหม่ ๆ ที่เติบโตมาภายในกรอบของบริษัท คนเหล่านี้เวลาตัดสินใจอะไรจึงกระทำด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง ซึ่งหากผู้บริหารรุ่นใหม่เล่านี้ไม่ได้ตัดสินใจเรื่องราวต่าง ๆ ด้วยตัวเอง การตัดสินใจก็จะล่าช้า ไม่ทันการณ์
    .
    อย่างไรก็ตาม ประธานเครือสหพัฒน์ยังกล่าวให้ความหวังด้วยว่า ในสายตาของชาวไทยแบรนด์ญี่ปุ่นยังได้รับความน่าเชื่อถืออย่างสูงอยู่ คนไทยยังมีความเชื่อว่ารถญี่ปุ่นนั้นดีกว่ารถจีน รถยนต์จีนนั้นมีดีเฉพาะเรื่องของแบตเตอรี่ และรถอีวี ซึ่งเมื่อไหร่ที่ค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นเปิดตัวรถที่เป็นรถยนต์อีวีบ้าง ตนก็เชื่อว่าคนไทยจะกลับมานิยมรถยนต์ญี่ปุ่นเหมือนเดิม ซึ่งตนก็คาดหวังว่าบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นจะสามารถแข่งขันกับบริษัทรถยนต์จากจีนได้
    .
    สารคดีข่าวชิ้นนี้ของนิคเคอิ สื่อธุรกิจยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นทิ้งท้ายเอาไว้ว่า ด้วยการรุกคืบอย่างไม่หยุดหย่อนของค่ายรถยนต์จีน เวลาของค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นในไทยนั้นคงเหลือน้อยลงทุกที พร้อมกับทิ้งฉากหลังเป็นภาพพระปรางค์วัดอรุณยามดวงอาทิตย์อัสดง
    .
    แล้วท่านผู้อ่านบูรพาไม่แพ้ละครับ มองว่า ค่ายรถญี่ปุ่นใกล้ถึงคราอวสานจากตลาดไทยหรือยัง? หรือ คิดว่าค่ายรถญี่ปุ่นยังมีโอกาสที่จะกู้สถานการณ์ ช่วงชิงตลาดรถยนต์ไทยกลับคืนมาได้ หากมีการปรับเปลี่ยนวิธีคิด และวิธีทำดังที่นิคเคอิ เอเชียรายงานเอาไว้?
    .
    เนื่องวาระดิถีขึ้นปีใหม่ ๒๕๖๘ ทีมงานเพจบูรพาไม่แพ้ขอให้ท่านผู้อ่านทุกท่าน และครอบครัวมีความสุข สมหวังในสิ่งที่ปรารถนาทุกประการ สวัสดีปีใหม่ครับ 😄 🙏 🎊 🇹🇭 🇯🇵 🇨🇳
    .
    .
    อ้างอิง :
    NIKKEI Film : The sound of engines vanishing in Thailand
    https://www.youtube.com/watch?v=w7ldtHt6Mn4
    "อวสาน" รถญี่ปุ่นในไทย จากมุมมองของ Nikkei Asia . ในวาระส่งท้ายปีเก่า 2567 ต้อนรับปีใหม่ 2568 สื่อยักษ์ใหญ่ชื่อดังของญี่ปุ่นคือ นิคเคอิ เอเชีย (Nikkei Asia) ได้เผยแพร่สารคดีข่าว NIKKEI Film : The sound of engines vanishing in Thailand (นิคเคอิ ฟิล์ม : เสียงของเครื่องยนต์ที่กำลังหายไปจากประเทศไทย) ถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับสถานการณ์ของบรรดารถยนต์แบรนด์ญี่ปุ่นที่ครั้งหนึ่งเคยครอบครองตลาดรถยนต์ในประเทศไทยมากกว่า 90% แต่ในห้วงระยะเวลาเพียง 2 ปีเท่านั้นกลับถูกรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนรุกไล่ ทำให้ในปี 2567 เหลือส่วนแบ่งยอดขายรถยนต์ในตลาดรถใหม่เพียง 76% . แม้ว่าในปัจจุบันรถยนต์ค่ายญี่ปุ่นจะยังคงสามารถครอบครองตลาดรถใหม่ในประเทศไทยได้มากกว่า 3 ใน 4 แต่เมื่อพิจารณาปัจจัยจากรอบด้านแล้วไม่ว่าจะเป็น แนวโน้มความต้องการของผู้บริโภค พลวัตรของเหล่าดีลเลอร์ผู้ขายรถยนต์ทั่วประเทศไทย การทยอยปิดโรงงาน การไหลออกของบุคลากร-พนักงาน-ผู้บริหารจากค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นไปสู่ค่ายรถจีน รวมไปถึงการคาดการณ์ตลาดรถยนต์ในอนาคตแล้วรถยนต์ญี่ปุ่นหนีไม่พ้นอาจต้องสูญพันธุ์จากประเทศไทยในอนาคตอันใกล้ หากไม่เร่งปรับตัวให้เร็วกว่านี้ . "ผมเพิ่งซื้อรถยนต์บีวายดีรุ่นใหม่ล่าสุด แล้วผมก็เปรียบเทียบรถอีวี กับ รถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์แบบดั้งเดิมเพื่อศึกษาความแตกต่าง ... ฟังก์ชันในรถอีวีของจีนนั้นครบครันมาก อัตราการเร่งก็ฉับไวมาก" คุณบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ ให้สัมภาษณ์กับนิคเคอิเป็นภาษาญี่ปุ่นอันคล่องแคล่ว และเปรียบเทียบต่อว่า . "ผมมองญี่ปุ่นจากหลาย ๆ มุม ด้วยความที่สำเร็จมาตั้งแต่ในยุคอะนาล็อก ญี่ปุ่นกลับไม่สามารถปรับตัวได้รวดเร็วพอในยุคของเทคโนโลยีดิจิทัล เทียบกับจีนที่ไม่ได้มีความสำเร็จมากนักในยุคของอะนาล็อก แต่พอยุคสมัยของเทคโนโลยีดิจิทัลมาถึง จีนจึงพยายามอย่างมากที่จะดิสรัปอุตสาหกรรมรถยนต์" . นิคเคอิอธิบายว่า ประเทศไทยซึ่งมีประชากรราว 66 ล้านคน และเป็นระบบเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 2 ของอาเซียน นั้นได้ชื่อเล่นว่าเป็น "ดีทรอยต์แห่งเอเชีย (Detroit of Asia)" ด้วยบรรดาบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นที่เข้ามาตั้งฐานการผลิตในประเทศก่อนหน้านี้นานหลายทศวรรษ แต่จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นในปี 2566 ที่บริษัทรถยนต์จากจีนรุกเข้่ามาทำตลาด และย้ายฐานการผลิตมายังประเทศไทยอย่างจริงจัง . "เกือบครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา รถยนต์ญี่ปุ่นสามารถครอบครองยอดขายรถยนต์ใหม่ในประเทศไทยได้มากเกือบ 90% แต่จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นเมื่อ รถอีวีจากจีนบุกตลาดประเทศไทยในปี 2566 ส่งผลให้ยอดขายรถใหม่ในประเทศไทยของบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นลดลงต่ำกว่า 80% (เหลือ 77.8% ในปี 2566 และ เหลือ 76.2% ในปี 2567)" นิคเคอิระบุ . จากนั้นจึงกล่าวกว่า บีวายดี (BYD) คือ หัวหอกของบริษัทรถยนต์จีนที่เข้ามาแย่งชิงตลาดในประเทศไทยจากบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่น โดยนิคเคอิได้ดำเนินการสำรวจการขยายตัวของจำนวนดีลเลอร์รถบีวายดีในไทยพบว่า เกือบ 50% ของดีลเลอร์รถบีวายดีนั้นก่อนหน้านั้นเคยเป็นดีลเลอร์ของรถยนต์ค่ายญี่ปุ่น โดยบีวายดีขยายสาขาไปทั่วประเทศ โดยไม่เพียงกวาดดีลเลอร์จากค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นให้เข้ามาซุกใต้ปีก แต่รวมถึงค่ายรถยนต์จากตะวันตกด้วยเช่นกัน . การรุกไล่ของค่ายรถยนต์จากจีนไม่หยุดอยู่แค่ในระดับการส่งรถยนต์จากจีนมาขายยังเมืองไทย แต่ยังมีการขยายโรงงานผลิตมายังประเทศไทยอย่างต่อเนื่องด้วย ยกตัวอย่างเช่น บีวายดีที่เพิ่งเริ่มเดินสายพานโรงงานผลิตรถยนต์แบบเต็มระบบแห่งแรกในต่างแดนที่ จ.ระยอง เมื่อเดือนกรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา ทำให้บุคลากรในแวดวงรถยนต์คนไทยที่มีความสามารถตั้งแต่ระดับฝ่ายผลิต จนถึงผู้บริหารที่เคยสังกัดอยู่กับค่ายรถยนต์ญี่ปุ่น ไหลไปอยู่กับบริษัทรถยนต์จีนจำนวนมาก . ด้วยแรงจูงใจสำคัญเป็นค่าตอบแทนที่มากกว่าเดิม 30% 50% 80% หรือกระทั่งเพิ่มขึ้นเท่าตัว! . นายสื่อ ชิงเคอ (史青科) หรือ Parker Shi ประธานของเกรท วอลล์ มอเตอร์ อินเตอร์เนชันแนล เจ้าของแบรนด์รถยนต์จีน GWM ให้สัมภาษณ์กับสื่อถึงคู่แข่งค่ายรถยนต์ญี่ปุ่น และการดึงตัวผู้บริหารระดับสูงจากโตโยต้ามาทำงานกับเกรทวอลล์ฯ โดยระบุว่า . "ด้วยความสัตย์จริง และความเคารพต่อโตโยต้า และรถแบรนด์จากใจ เพราะพวกเขานั้นยอดเยี่ยมจริง ๆ (excellent) คุณวุฒิกร (สุริยะฉันทนานนท์) นั้นเคยทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมที่โตโยต้า และนี่คือเหตุผลที่เขามาอยู่กับเรา" และกล่าวต่อว่า "ถ้าหากคุณไม่มีความกล้าหาญที่จะสู้ ที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง คุณก็ตาย ถ้าหากคุณไม่มีอาวุธที่ดีพอ ผลิตภัณฑ์ที่ดี รูปแบบธุรกิจที่ดี กลยุทธ์ที่ดี คุณก็ตาย ถ้าคุณไม่มีทีมเวิร์คที่ดี คุณก็ตาย ... มันไม่มีคนอยู่รอดหรอก เพราะที่กำลังเป็นอยู่นี้คือคือสงคราม ที่เกิดขึ้นในตลาดที่แข่งขันกันอย่างรุนแรง" . นิคเคอิ เอเชียยังมีโอกาสได้สัมภาษณ์ผู้บริหารบริษัทรถยนต์ชาวญี่ปุ่นในไทยที่ไม่ยอมเปิดเผยชื่อเสียงเรียงนาม โดยผู้บริหารชาวญี่ปุ่นคนนี้ยอมรับว่า บริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นละเลยความต้องการของผู้บริโภคไทยไปมาก รวมถึงนำเสนอสินค้าที่เทคโนโลยีล้าหลังไปแล้วให้กับตลาดในประเทศกำลังพัฒนาอย่างไทย ซึ่งแตกต่างจากค่ายรถจากจีน . "มันเป็นความจริงที่ว่าแบรนด์รถญี่ปุ่นนั้นมัวแต่มุ่งเน้นไปที่ตลาดใหญ่ ๆ อย่างในยุโรป สหรัฐฯ และญี่ปุ่น โดยพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เหมาะกับตลาดนั้น ๆ นอกจากนี้สิ่งที่เราตัดสินใจผิดพลาดมากที่สุดก็คือ ความรวดเร็วของการเปลี่ยนผ่านไปสู่รถยนต์ไฟฟ้า . "และมันเป็นเรื่องจริงที่ค่ายรถญี่ปุ่นนำเสนอสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีค่อนข้างล้าหลัง ซึ่งวางขายอยู่แล้วในประเทศกำลังพัฒนามาขายให้ (ตลาดไทย) ผมคิดว่า นี่เองเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้บริโภคชาวไทยไม่พอใจ และความไม่พอใจนั้นยิ่งนานวันก็สะสมเพิ่มขึ้น ๆ" ผู้บริหารค่ายรถญี่ปุ่นในไทยกล่าวเปิดอก . ทั้งนี้จากข้อมูลการสำรวจของ LiB Consulting ระบุว่า ภายในปี 2578 (ค.ศ.2035) หรืออีก 10 ปีข้างหน้า ยอดขายรถใหม่ในเมืองไทยจะเปลี่ยนโฉมไปอย่างสิ้นเชิง โดยรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในจะลดปริมาณลงจากปัจจุบันที่ราว 78.5% เหลือเพียง 15% โดยรถอีวี และรถยนต์พลังงานใหม่จะกินส่วนแบ่งการตลาดที่เหลือ จะถูกแบ่งให้รถอีวี (50.7%) และ รถยนต์เทคโนโลยีไฮบริด-อื่นๆ (34.3%) . ด้วยสถานการณ์และแนวโน้มเช่นนี้ทำให้ ณ ปัจจุบันถือเป็นโอกาสสุดท้ายของค่ายรถยนต์จากญี่ปุ่นในการขยับขับเคลื่อนเพื่อไล่ตามรถอีวีจากจีนให้ทัน และกอบกู้สถานการณ์ด้วยการอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง และตัดสินใจให้เร็ว และฉับไวมากขึ้น . ทั้งนี้ทั้งนั้น ในเรื่องนี้คุณบุณยสิทธิ์ ประธานเครือสหพัฒน์วัย 87 ที่คร่ำหวอดทั้งในตลาดสินค้าอุปโภคบริโภค แวดวงอุตสาหกรรม และมีสายสัมพันธ์อันล้ำลึกกับแวดวงอุตสาหกรรมไทย ญี่ปุ่น และจีน กล่าวทิ้งท้ายสารคดีข่าวชิ้นนี้เป็นคำแนะนำให้กับบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นที่กำลังเพลี่ยงพล้ำในประเทศไทยไว้อย่างน่าสนใจว่า . ในมุมของคุณบุญยสิทธิ์ เดิมทีประธานบริษัทญี่ปุ่นเกือบทั้งหมดนั้นเป็นผู้ก่อตั้งบริษัท โดยคนเหล่านี้มีจิตวิญญาณของการบุกเบิกและก่อตั้ง แต่เมื่อมาถึงวันนี้ที่ประธานบริษัทกลายเป็นคนรุ่นใหม่ ๆ ที่เติบโตมาภายในกรอบของบริษัท คนเหล่านี้เวลาตัดสินใจอะไรจึงกระทำด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง ซึ่งหากผู้บริหารรุ่นใหม่เล่านี้ไม่ได้ตัดสินใจเรื่องราวต่าง ๆ ด้วยตัวเอง การตัดสินใจก็จะล่าช้า ไม่ทันการณ์ . อย่างไรก็ตาม ประธานเครือสหพัฒน์ยังกล่าวให้ความหวังด้วยว่า ในสายตาของชาวไทยแบรนด์ญี่ปุ่นยังได้รับความน่าเชื่อถืออย่างสูงอยู่ คนไทยยังมีความเชื่อว่ารถญี่ปุ่นนั้นดีกว่ารถจีน รถยนต์จีนนั้นมีดีเฉพาะเรื่องของแบตเตอรี่ และรถอีวี ซึ่งเมื่อไหร่ที่ค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นเปิดตัวรถที่เป็นรถยนต์อีวีบ้าง ตนก็เชื่อว่าคนไทยจะกลับมานิยมรถยนต์ญี่ปุ่นเหมือนเดิม ซึ่งตนก็คาดหวังว่าบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นจะสามารถแข่งขันกับบริษัทรถยนต์จากจีนได้ . สารคดีข่าวชิ้นนี้ของนิคเคอิ สื่อธุรกิจยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นทิ้งท้ายเอาไว้ว่า ด้วยการรุกคืบอย่างไม่หยุดหย่อนของค่ายรถยนต์จีน เวลาของค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นในไทยนั้นคงเหลือน้อยลงทุกที พร้อมกับทิ้งฉากหลังเป็นภาพพระปรางค์วัดอรุณยามดวงอาทิตย์อัสดง . แล้วท่านผู้อ่านบูรพาไม่แพ้ละครับ มองว่า ค่ายรถญี่ปุ่นใกล้ถึงคราอวสานจากตลาดไทยหรือยัง? หรือ คิดว่าค่ายรถญี่ปุ่นยังมีโอกาสที่จะกู้สถานการณ์ ช่วงชิงตลาดรถยนต์ไทยกลับคืนมาได้ หากมีการปรับเปลี่ยนวิธีคิด และวิธีทำดังที่นิคเคอิ เอเชียรายงานเอาไว้? . เนื่องวาระดิถีขึ้นปีใหม่ ๒๕๖๘ ทีมงานเพจบูรพาไม่แพ้ขอให้ท่านผู้อ่านทุกท่าน และครอบครัวมีความสุข สมหวังในสิ่งที่ปรารถนาทุกประการ สวัสดีปีใหม่ครับ 😄 🙏 🎊 🇹🇭 🇯🇵 🇨🇳 . . อ้างอิง : NIKKEI Film : The sound of engines vanishing in Thailand https://www.youtube.com/watch?v=w7ldtHt6Mn4
    Like
    7
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 1239 มุมมอง 1 รีวิว
  • "Greater Israel" : ข้อเท็จจริง เรื่องเล่า หรือการขยายอำนาจในระดับภูมิภาค
    การกระทำล่าสุดของอิสราเอลในฉนวนกาซา เลบานอน และซีเรีย ได้จุดชนวนให้เกิดการคาดเดาเกี่ยวกับความทะเยอทะยานของอิสราเอลที่นำไปสู่ "Greater Israel" ในภูมิภาคอีกครั้ง

    - แนวคิดเรื่อง "Greater Israel" มีที่มาจากคัมภีร์โตราห์ (תּוֹרָה) ซึ่งบรรยายถึงดินแดนอิสราเอลที่ทอดยาวจากแม่น้ำยูเฟรตีสไปจนถึง "แม่น้ำในอียิปต์" (ตีความว่าเป็นแม่น้ำไนล์) ซึ่งดินแดนอิสราเอลในปัจจุบันอยู่ในนี้ และรวมถึงบางส่วนของเลบานอน ซีเรีย จอร์แดน อิรัก ฉนวนกาซา และเวสต์แบงก์

    - ในปี 1967 การเคลื่อนไหวเพื่อ "Greater Israel" เกิดขึ้นหลังจากที่อิสราเอลได้รับชัยชนะในสงครามหกวัน ซึ่งระหว่างนั้น อิสราเอลได้ยึดที่ราบสูงโกลัน เวสต์แบงก์ คาบสมุทรไซนาย และฉนวนกาซา ผลจากการทำสงครามครั้งนั่นส่งผลให้อิสราเอลตั้งถิ่นฐานในดินแดนเหล่านี้อย่างถาวร

    - เบซาเลล สโมทริช รัฐมนตรีกระทรวงการคลังของอิสราเอลคนปัจจุบัน กล่าวในสารคดีปี 2024 ว่า "อนาคตของเยรูซาเล็มคือการขยายไปถึงดามัสกัส" คำพูดดังกล่าวได้จุดชนวนให้ผู้คนไม่สามารถตัดเรื่อง "Greater Israel" ออกไปได้ และยิ่งชัดเจนขึ้นเมื่อซีเรียล่มสลายลง และกองกำลังอิสราเอลเข้ายึดดินแดนส่วนหนึ่งของซีเรียทันที

    - เดือนกันยายน 2024 The Jerusalem Post ได้ตีพิมพ์ (และลบทิ้งในภายหลัง) บทความที่มีชื่อว่า "เลบานอนเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนที่อิสราเอลสัญญาไว้หรือไม่" บทความดังกล่าวถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าส่งเสริมแนวคิดการขยายดินแดนที่นำไปสู่ "Greater Israel"

    - การใช้สัญลักษณ์ทำให้การถกเถียงทวีความรุนแรงขึ้น นักวิจารณ์เคยกล่าวว่าแถบสีน้ำเงินสองแถบบนธงชาติอิสราเอล คือสัญลักษณ์แทนแม่น้ำไนล์และแม่น้ำยูเฟรตีส์ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเป้าหมายในการขยายดินแดน อิสราเอลออกมาปฏิเสธแนวคิดนี้ทันที และไม่เห็นด้วยกับการตีความนี้

    - ในปี 1990 ยัสเซอร์ อาราฟัตอ้างว่าเหรียญสิบอโกโรตของอิสราเอลแสดงแผนที่ของ "Greater Israel" ซึ่งบ่งชี้ว่าเป็นหลักฐานความต้องการขยายดินแดนของไซออนิสต์ แน่นอนว่าข้อกล่าวนี้ถูกอิสราเอลปัดตกเนื่องจากไม่มีมูลความจริง

    - การคาดเดาเกี่ยวกับ "Greater Israel" ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง และการกระทำล่าสุดของอิสราเอล ในการบุกยึดดินแดนซีเรียทำให้ดูสมเหตุสมผลมากขึ้นเรื่อยๆ
    "Greater Israel" : ข้อเท็จจริง เรื่องเล่า หรือการขยายอำนาจในระดับภูมิภาค การกระทำล่าสุดของอิสราเอลในฉนวนกาซา เลบานอน และซีเรีย ได้จุดชนวนให้เกิดการคาดเดาเกี่ยวกับความทะเยอทะยานของอิสราเอลที่นำไปสู่ "Greater Israel" ในภูมิภาคอีกครั้ง - แนวคิดเรื่อง "Greater Israel" มีที่มาจากคัมภีร์โตราห์ (תּוֹרָה) ซึ่งบรรยายถึงดินแดนอิสราเอลที่ทอดยาวจากแม่น้ำยูเฟรตีสไปจนถึง "แม่น้ำในอียิปต์" (ตีความว่าเป็นแม่น้ำไนล์) ซึ่งดินแดนอิสราเอลในปัจจุบันอยู่ในนี้ และรวมถึงบางส่วนของเลบานอน ซีเรีย จอร์แดน อิรัก ฉนวนกาซา และเวสต์แบงก์ - ในปี 1967 การเคลื่อนไหวเพื่อ "Greater Israel" เกิดขึ้นหลังจากที่อิสราเอลได้รับชัยชนะในสงครามหกวัน ซึ่งระหว่างนั้น อิสราเอลได้ยึดที่ราบสูงโกลัน เวสต์แบงก์ คาบสมุทรไซนาย และฉนวนกาซา ผลจากการทำสงครามครั้งนั่นส่งผลให้อิสราเอลตั้งถิ่นฐานในดินแดนเหล่านี้อย่างถาวร - เบซาเลล สโมทริช รัฐมนตรีกระทรวงการคลังของอิสราเอลคนปัจจุบัน กล่าวในสารคดีปี 2024 ว่า "อนาคตของเยรูซาเล็มคือการขยายไปถึงดามัสกัส" คำพูดดังกล่าวได้จุดชนวนให้ผู้คนไม่สามารถตัดเรื่อง "Greater Israel" ออกไปได้ และยิ่งชัดเจนขึ้นเมื่อซีเรียล่มสลายลง และกองกำลังอิสราเอลเข้ายึดดินแดนส่วนหนึ่งของซีเรียทันที - เดือนกันยายน 2024 The Jerusalem Post ได้ตีพิมพ์ (และลบทิ้งในภายหลัง) บทความที่มีชื่อว่า "เลบานอนเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนที่อิสราเอลสัญญาไว้หรือไม่" บทความดังกล่าวถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าส่งเสริมแนวคิดการขยายดินแดนที่นำไปสู่ "Greater Israel" - การใช้สัญลักษณ์ทำให้การถกเถียงทวีความรุนแรงขึ้น นักวิจารณ์เคยกล่าวว่าแถบสีน้ำเงินสองแถบบนธงชาติอิสราเอล คือสัญลักษณ์แทนแม่น้ำไนล์และแม่น้ำยูเฟรตีส์ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเป้าหมายในการขยายดินแดน อิสราเอลออกมาปฏิเสธแนวคิดนี้ทันที และไม่เห็นด้วยกับการตีความนี้ - ในปี 1990 ยัสเซอร์ อาราฟัตอ้างว่าเหรียญสิบอโกโรตของอิสราเอลแสดงแผนที่ของ "Greater Israel" ซึ่งบ่งชี้ว่าเป็นหลักฐานความต้องการขยายดินแดนของไซออนิสต์ แน่นอนว่าข้อกล่าวนี้ถูกอิสราเอลปัดตกเนื่องจากไม่มีมูลความจริง - การคาดเดาเกี่ยวกับ "Greater Israel" ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง และการกระทำล่าสุดของอิสราเอล ในการบุกยึดดินแดนซีเรียทำให้ดูสมเหตุสมผลมากขึ้นเรื่อยๆ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 497 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🚨ข้อมูลที่อันตรายและน่าเป็นห่วงสำหรับมุสลิม แต่เพื่อความสัตย์จริงและประวัติศาสตร์ ผมต้องเผยแพร่มันเกี่ยวกับสัญชาติที่แท้จริงของอัล-โจลานี เพราะเขาเป็น #ยิว และสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนิติศาสตร์อิสลามใน #เทลอาวีฟ! ● ฉากทัศน์เวอร์ชันใหม่ของไซออนิสต์ สำหรับ โจลานี Mohammad al-Jolani ซึ่งปัจจุบันในฐานะผู้นำของกลุ่มผู้ก่อการร้าย HTS ( Tahrir al-Sham ) ในซีเรียได้กลายเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญของสื่อในเครือข่ายระหว่างประเทศ ซึ่งตลอดกิจกรรมของเขาในกลุ่มก่อการร้าย เขาสามารถปฏิบัติตามข้อเรียกร้องของระบอบไซออนิสต์ในตะวันออกกลางตามความต้องการของประเทศตะวันตกอย่างดีเยี่ยมปัจจุบันเขาปรากฏอยู่ในสื่อไซออนิสต์ด้วยหน้าตาที่มีเสน่ห์ เป็นที่นิยม ร่วมสนทนา และมีอารยธรรม เป็นคนที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ขึ้นบัญชีรายชื่อผู้ก่อการร้ายในเดือนพฤษภาคม 2013 และสี่ปีต่อมาตั้งค่าหัว 10 ล้านดอลลาร์สำหรับบุคคลที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการจับกุมของเขาเขามีชื่อเล่นว่า Al-Jolani มาจากชื่อของที่ราบสูงโกลัน ซึ่งระบอบไซออนิสต์ยึดครองและผนวกเข้ากับอาณาเขตของตนในสงครามปี 1967เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2014 โจลานีอ้างว่าเขาจะต่อสู้กับสหรัฐอเมริกาและพันธมิตร อย่างไรก็ตาม เขาถอนตัวออกจากจุดยืนดังกล่าวและประกาศในการให้สัมภาษณ์ว่า ตาห์รีร์ อัล-ชาม #ไม่เป็นภัยคุกคามต่อสหรัฐอเมริกา และได้เรียกร้องรัฐบาลอเมริกา เพื่อลบกลุ่มนี้ออกจากบัญชีรายการผู้ก่อการร้าย● โจลานี และมรดกของอเมริกาสำหรับภูมิภาคนี้ในปี 2033 โจลานีเข้าร่วมกลุ่มอัลกออิดะห์ในอิรักภายใต้การนำของอาบู มัซอับ อัล-ซาร์กาวี เขาก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในตำแหน่งอัลกออิดะห์ในอิรัก และกลายเป็นหนึ่งในผู้ร่วมงานที่ใกล้ชิดของ Abu Musab al-Zarqawi ซึ่งเป็นผู้นำขององค์กรนี้ในขณะนั้นการปรากฏตัวของโจลานีในองค์กรอัลกออิดะห์ในฐานะมรดกของสหรัฐอเมริกาในภูมิภาคนี้เป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางที่เชื่อมโยงโจลานีกับนโยบายอเมริกัน-ไซออนิสต์แม้ว่าอเมริกาจะเผชิญหน้ากับอัลกออิดะห์อย่างชัดเจน แต่ความสัมพันธ์เบื้องหลังผู้นำหลักของอัลกออิดะห์กับหน่วยข่าวกรองอเมริกันยังคงมีการติดต่ออยู่ตลอดเวลา และเพื่อสนับสนุนข้อกล่าวอ้างนี้ ควรกล่าวได้ว่าการกระทำที่ไร้มนุษยธรรมและรุนแรงของอัลกออิดะห์ มีมากกว่าการโจมตีชาติตะวันตก เพื่อให้สอดคล้องกับผลประโยชน์ของชาติตะวันตก และได้เตรียมพื้นที่สำหรับการรณรงค์ของอเมริกาและพันธมิตรในตะวันออกกลางโดยอ้างว่าต่อสู้กับการก่อการร้าย● การบริการที่ดีเยี่ยมของ โจลานี ให้กับอเมริกาในขบวนการ ISISหลังจากการก่อตั้งอัลกออิดะห์ การสร้าง ISIS ก็ถูกจัดให้อยู่ในวาระนโยบายของอเมริกา ซึ่งเป็นหัวข้อที่เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวเน้นย้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า ฮิลลารี คลินตัน อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ประกาศว่า เราสร้าง ISIS ด้วยตัวเราเองอย่างไรก็ตาม ในครั้งนี้ ISIS เป็นข้อแก้ตัวที่ดีที่สุดสำหรับการบริการและการรับใช้ที่ดีของ โจลานีต่อนโยบายของอเมริกา เขาจึงเปิดสาขาของ ISIS ในซีเรียภายใต้ชื่อ Jabhat al-Nusra และรับผิดชอบดูแลเรื่องนี้ กลุ่มนี้ทำหน้าที่เป็นสาขาของ ISIS ในซีเรียภายใต้การนำของ Abu Bakr al-Baghdadi และ al-Baghdadi ได้ช่วยเหลือ โจลานี ด้วยการจัดหานักรบ อาวุธ และเงิน ในเดือนมกราคม 2012 อัล-โจลานีได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้นำแนวร่วมอัล-นุสรา● ญับฮะตุล อัล-นุสเราะห์ จะเป็นที่รู้จักในนาม ญับฮะตุล ตาห์รีร์ อัลชามในปี 2016 โจลานีประกาศว่าต่อจากนี้ไป Jabhat al-Nusra จะเป็นที่รู้จักในชื่อ Jabhat Tahrir al-Shamการเปลี่ยนชื่อองค์กรที่โจลานีเป็นหัวหน้ายังคงเป็นการสานต่อนโยบายอเมริกัน-ไซออนิสต์ และเป็นปฐมบทจนกระทั่งในที่สุด กลุ่มผู้ก่อการร้ายกลุ่มนี้โจมตีซีเรียด้วยอุปกรณ์ชนิดใหม่ เช่น โดรนพิฆาต เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังการประกาศ การหยุดยิงระหว่างระบอบไซออนิสต์กับกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ของเลบานอน ทำให้เกิดความกระจ่างเกี่ยวกับความร่วมมือขององค์กรก่อการร้ายเหล่านี้กับระบอบไซออนิสต์● โจลานี เปลี่ยนสีทุกวันและปรากฏตัวพร้อมกับรูปลักษณ์ใหม่โซฮาอิล คาริมี ผู้สร้างสารคดีแนวต่อต้านกล่าวในการสนทนากับ “ดานา” ว่า “โจลานีได้แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นบุตรชายแห่งกาลเวลาตั้งแต่เริ่มกิจกรรมก่อการร้ายในทุกแง่มุม และเขาได้เปลี่ยนสีและใบหน้าของเขาเพื่อให้สนองตามข้อเรียกร้องของอเมริกา-ไซออนิสต์" เขากล่าวต่อไปว่า ผู้ก่อการร้ายเช่น บิน ลาเดน มีความคิดบางอย่าง และเขาได้เริ่มต้นชีวิตนักรบญิฮาดตั้งแต่เริ่มต้นและดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อที่ผิด ๆ จนกระทั่งถึงจุดสิ้นสุด แต่คนอย่างโจลานีเปลี่ยนสีทุกวันและปรากฏตัวพร้อมกับรูปลักษณ์ใหม่ๆตลอดเวลาคาริมี กล่าวเสริมโดยชี้ให้เห็นว่า โจลานี มีความสอดคล้องกับความคิดของขบวนการภราดรภาพ ด้วยความช่วยเหลือและการสนับสนุนจากซัดดัมและการสนับสนุนของประเทศต่างๆ ที่ต่อต้านขบวนการต่อสู้ กลุ่มภราดรภาพจึงเริ่มก่อกบฏในซีเรีย และต่อมา โจลานีก็เข้าร่วมความคิดเหล่านี้และเติบโตไปพร้อมกับมุมมองของลัทธิซาลาฟีตักฟีรีย์ เขากล่าวเสริมว่า : เมื่อบุคคล เช่น Abu Musab al-Zarqawi เริ่มกิจกรรมการก่อการร้ายของเขา โจลานีก็เข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ หลังจากที่เขาไม่เห็นด้วยกับอัลกออิดะห์ และขัดแย้งกับ Abu Bakr al-Baghdadi จึงหันมาสร้างกลุ่ม Jabhat al-Nusra ขึ้นมา ซึ่งมันคือกลุ่ม Tahrir al-Sham ในเวลาต่อเวลา คาริมี ชี้ให้เห็นว่า โจลานีไม่เคยเป็นบุคคลที่เป็นอิสระในชีวิตการต่อสู้ของเขา และนำนโยบายตะวันตกในภูมิภาคนี้มาปฏิบัติเสมอมาในฐานะเสาหลักไซออนิสต์-อเมริกา คาริมีกล่าวเสริมว่า: วันหนึ่งเขาใช้ชีวิตตามคำสั่งและสถานการณ์ของเจ้านายของเขา และวันหนึ่งเขาก็มีชีวิตอยู่ด้วยมือที่ถือดอกกุหลาบแต่ตอนนี้เราต้องรอดูชะตากรรมที่นโยบายไซออนิสต์-อเมริกา ว่าจะกำหนดให้กับโมฮัมหมัด อัล-โจลานี อย่างไรแต่อาจจะเป็นชะตากรรมที่วันหนึ่งอเมริกากำหนดไว้สำหรับบิน ลาเดน, อาบู บักร์ อัล-แบกดาดี, อัล-ซาร์กาวี, ซัดดัม ฮุสเซน, มูฮัมหมัด มอร์ซี, กัดดาฟี และหุ่นเชิดอื่นๆ อีกมากมายในภูมิภาคนี้#โจลานีเป็นตัวแทนไซออนิสต์ในภูมิภาค ซึ่งพี่น้องจะเห็นบทบาทของเขาในฐานะหุ่นเชิดของไซออนิสต์ในเร็วๆนี้อย่างแน่นอน
    🚨ข้อมูลที่อันตรายและน่าเป็นห่วงสำหรับมุสลิม แต่เพื่อความสัตย์จริงและประวัติศาสตร์ ผมต้องเผยแพร่มันเกี่ยวกับสัญชาติที่แท้จริงของอัล-โจลานี เพราะเขาเป็น #ยิว และสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนิติศาสตร์อิสลามใน #เทลอาวีฟ! ● ฉากทัศน์เวอร์ชันใหม่ของไซออนิสต์ สำหรับ โจลานี Mohammad al-Jolani ซึ่งปัจจุบันในฐานะผู้นำของกลุ่มผู้ก่อการร้าย HTS ( Tahrir al-Sham ) ในซีเรียได้กลายเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญของสื่อในเครือข่ายระหว่างประเทศ ซึ่งตลอดกิจกรรมของเขาในกลุ่มก่อการร้าย เขาสามารถปฏิบัติตามข้อเรียกร้องของระบอบไซออนิสต์ในตะวันออกกลางตามความต้องการของประเทศตะวันตกอย่างดีเยี่ยมปัจจุบันเขาปรากฏอยู่ในสื่อไซออนิสต์ด้วยหน้าตาที่มีเสน่ห์ เป็นที่นิยม ร่วมสนทนา และมีอารยธรรม เป็นคนที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ขึ้นบัญชีรายชื่อผู้ก่อการร้ายในเดือนพฤษภาคม 2013 และสี่ปีต่อมาตั้งค่าหัว 10 ล้านดอลลาร์สำหรับบุคคลที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการจับกุมของเขาเขามีชื่อเล่นว่า Al-Jolani มาจากชื่อของที่ราบสูงโกลัน ซึ่งระบอบไซออนิสต์ยึดครองและผนวกเข้ากับอาณาเขตของตนในสงครามปี 1967เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2014 โจลานีอ้างว่าเขาจะต่อสู้กับสหรัฐอเมริกาและพันธมิตร อย่างไรก็ตาม เขาถอนตัวออกจากจุดยืนดังกล่าวและประกาศในการให้สัมภาษณ์ว่า ตาห์รีร์ อัล-ชาม #ไม่เป็นภัยคุกคามต่อสหรัฐอเมริกา และได้เรียกร้องรัฐบาลอเมริกา เพื่อลบกลุ่มนี้ออกจากบัญชีรายการผู้ก่อการร้าย● โจลานี และมรดกของอเมริกาสำหรับภูมิภาคนี้ในปี 2033 โจลานีเข้าร่วมกลุ่มอัลกออิดะห์ในอิรักภายใต้การนำของอาบู มัซอับ อัล-ซาร์กาวี เขาก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในตำแหน่งอัลกออิดะห์ในอิรัก และกลายเป็นหนึ่งในผู้ร่วมงานที่ใกล้ชิดของ Abu Musab al-Zarqawi ซึ่งเป็นผู้นำขององค์กรนี้ในขณะนั้นการปรากฏตัวของโจลานีในองค์กรอัลกออิดะห์ในฐานะมรดกของสหรัฐอเมริกาในภูมิภาคนี้เป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางที่เชื่อมโยงโจลานีกับนโยบายอเมริกัน-ไซออนิสต์แม้ว่าอเมริกาจะเผชิญหน้ากับอัลกออิดะห์อย่างชัดเจน แต่ความสัมพันธ์เบื้องหลังผู้นำหลักของอัลกออิดะห์กับหน่วยข่าวกรองอเมริกันยังคงมีการติดต่ออยู่ตลอดเวลา และเพื่อสนับสนุนข้อกล่าวอ้างนี้ ควรกล่าวได้ว่าการกระทำที่ไร้มนุษยธรรมและรุนแรงของอัลกออิดะห์ มีมากกว่าการโจมตีชาติตะวันตก เพื่อให้สอดคล้องกับผลประโยชน์ของชาติตะวันตก และได้เตรียมพื้นที่สำหรับการรณรงค์ของอเมริกาและพันธมิตรในตะวันออกกลางโดยอ้างว่าต่อสู้กับการก่อการร้าย● การบริการที่ดีเยี่ยมของ โจลานี ให้กับอเมริกาในขบวนการ ISISหลังจากการก่อตั้งอัลกออิดะห์ การสร้าง ISIS ก็ถูกจัดให้อยู่ในวาระนโยบายของอเมริกา ซึ่งเป็นหัวข้อที่เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวเน้นย้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า ฮิลลารี คลินตัน อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ประกาศว่า เราสร้าง ISIS ด้วยตัวเราเองอย่างไรก็ตาม ในครั้งนี้ ISIS เป็นข้อแก้ตัวที่ดีที่สุดสำหรับการบริการและการรับใช้ที่ดีของ โจลานีต่อนโยบายของอเมริกา เขาจึงเปิดสาขาของ ISIS ในซีเรียภายใต้ชื่อ Jabhat al-Nusra และรับผิดชอบดูแลเรื่องนี้ กลุ่มนี้ทำหน้าที่เป็นสาขาของ ISIS ในซีเรียภายใต้การนำของ Abu Bakr al-Baghdadi และ al-Baghdadi ได้ช่วยเหลือ โจลานี ด้วยการจัดหานักรบ อาวุธ และเงิน ในเดือนมกราคม 2012 อัล-โจลานีได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้นำแนวร่วมอัล-นุสรา● ญับฮะตุล อัล-นุสเราะห์ จะเป็นที่รู้จักในนาม ญับฮะตุล ตาห์รีร์ อัลชามในปี 2016 โจลานีประกาศว่าต่อจากนี้ไป Jabhat al-Nusra จะเป็นที่รู้จักในชื่อ Jabhat Tahrir al-Shamการเปลี่ยนชื่อองค์กรที่โจลานีเป็นหัวหน้ายังคงเป็นการสานต่อนโยบายอเมริกัน-ไซออนิสต์ และเป็นปฐมบทจนกระทั่งในที่สุด กลุ่มผู้ก่อการร้ายกลุ่มนี้โจมตีซีเรียด้วยอุปกรณ์ชนิดใหม่ เช่น โดรนพิฆาต เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังการประกาศ การหยุดยิงระหว่างระบอบไซออนิสต์กับกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ของเลบานอน ทำให้เกิดความกระจ่างเกี่ยวกับความร่วมมือขององค์กรก่อการร้ายเหล่านี้กับระบอบไซออนิสต์● โจลานี เปลี่ยนสีทุกวันและปรากฏตัวพร้อมกับรูปลักษณ์ใหม่โซฮาอิล คาริมี ผู้สร้างสารคดีแนวต่อต้านกล่าวในการสนทนากับ “ดานา” ว่า “โจลานีได้แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นบุตรชายแห่งกาลเวลาตั้งแต่เริ่มกิจกรรมก่อการร้ายในทุกแง่มุม และเขาได้เปลี่ยนสีและใบหน้าของเขาเพื่อให้สนองตามข้อเรียกร้องของอเมริกา-ไซออนิสต์" เขากล่าวต่อไปว่า ผู้ก่อการร้ายเช่น บิน ลาเดน มีความคิดบางอย่าง และเขาได้เริ่มต้นชีวิตนักรบญิฮาดตั้งแต่เริ่มต้นและดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อที่ผิด ๆ จนกระทั่งถึงจุดสิ้นสุด แต่คนอย่างโจลานีเปลี่ยนสีทุกวันและปรากฏตัวพร้อมกับรูปลักษณ์ใหม่ๆตลอดเวลาคาริมี กล่าวเสริมโดยชี้ให้เห็นว่า โจลานี มีความสอดคล้องกับความคิดของขบวนการภราดรภาพ ด้วยความช่วยเหลือและการสนับสนุนจากซัดดัมและการสนับสนุนของประเทศต่างๆ ที่ต่อต้านขบวนการต่อสู้ กลุ่มภราดรภาพจึงเริ่มก่อกบฏในซีเรีย และต่อมา โจลานีก็เข้าร่วมความคิดเหล่านี้และเติบโตไปพร้อมกับมุมมองของลัทธิซาลาฟีตักฟีรีย์ เขากล่าวเสริมว่า : เมื่อบุคคล เช่น Abu Musab al-Zarqawi เริ่มกิจกรรมการก่อการร้ายของเขา โจลานีก็เข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ หลังจากที่เขาไม่เห็นด้วยกับอัลกออิดะห์ และขัดแย้งกับ Abu Bakr al-Baghdadi จึงหันมาสร้างกลุ่ม Jabhat al-Nusra ขึ้นมา ซึ่งมันคือกลุ่ม Tahrir al-Sham ในเวลาต่อเวลา คาริมี ชี้ให้เห็นว่า โจลานีไม่เคยเป็นบุคคลที่เป็นอิสระในชีวิตการต่อสู้ของเขา และนำนโยบายตะวันตกในภูมิภาคนี้มาปฏิบัติเสมอมาในฐานะเสาหลักไซออนิสต์-อเมริกา คาริมีกล่าวเสริมว่า: วันหนึ่งเขาใช้ชีวิตตามคำสั่งและสถานการณ์ของเจ้านายของเขา และวันหนึ่งเขาก็มีชีวิตอยู่ด้วยมือที่ถือดอกกุหลาบแต่ตอนนี้เราต้องรอดูชะตากรรมที่นโยบายไซออนิสต์-อเมริกา ว่าจะกำหนดให้กับโมฮัมหมัด อัล-โจลานี อย่างไรแต่อาจจะเป็นชะตากรรมที่วันหนึ่งอเมริกากำหนดไว้สำหรับบิน ลาเดน, อาบู บักร์ อัล-แบกดาดี, อัล-ซาร์กาวี, ซัดดัม ฮุสเซน, มูฮัมหมัด มอร์ซี, กัดดาฟี และหุ่นเชิดอื่นๆ อีกมากมายในภูมิภาคนี้#โจลานีเป็นตัวแทนไซออนิสต์ในภูมิภาค ซึ่งพี่น้องจะเห็นบทบาทของเขาในฐานะหุ่นเชิดของไซออนิสต์ในเร็วๆนี้อย่างแน่นอน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 821 มุมมอง 0 รีวิว
  • รับงานลงเสียง พากย์ บรรยาย รายการ สปอต
    จิงเกิ้ล VTR. Presentation สารคดี สปอตรถแห่
    จะให้มิกซ์ให้เรียบร้อยหรือแค่ Vo.อย่างเดียวก็ได้ฮะ
    จะให้เขียนCopyหรือScriptให้ก็ได้จ้า
    รับจัดรายการ พิธีกร วิทยากรสื่อและดนตรีสร้างสรรค์เพื่อสังคม
    รับแต่งเพลง ผลิตเพลง โฆษณา ปชส.องค์กร สินค้า
    และเพลงให้นักร้องศิลปินทั่วไปนะครับ
    พร้อมรับตลอดเวย์จ้าฮะจ๊ะค่ะครับ
    กันเองๆฉันมิตรขอรับ
    Tel. 0970462989
    Line&ig&TikTok :Shawsherryduck
    https://youtu.be/R6r_Il3W2c4?si=P19gWzXG_08QIDuK
    https://youtu.be/KFru_mDCOJA?si=_H6y8yoKnP03pNrB
    #ลงเสียง #สปอต #สารคดี #บรรยายพากย์เสียงต่างๆ #ข่าวศิลปะบันเทิง #Sherryduck #ชอว์เชอร์รี่ดั๊ก #ศิลปินนักร้องยุค90 #indie #Artist #อินดี้โคตรๆ #ผลิตสื่อ #Alternative #อัลเทอร์เนทีฟ #ทำเพลง #ห้องบันทึกเสียง #singer #announcer #ชอว์พิชิต
    รับงานลงเสียง พากย์ บรรยาย รายการ สปอต จิงเกิ้ล VTR. Presentation สารคดี สปอตรถแห่ จะให้มิกซ์ให้เรียบร้อยหรือแค่ Vo.อย่างเดียวก็ได้ฮะ จะให้เขียนCopyหรือScriptให้ก็ได้จ้า รับจัดรายการ พิธีกร วิทยากรสื่อและดนตรีสร้างสรรค์เพื่อสังคม รับแต่งเพลง ผลิตเพลง โฆษณา ปชส.องค์กร สินค้า และเพลงให้นักร้องศิลปินทั่วไปนะครับ พร้อมรับตลอดเวย์จ้าฮะจ๊ะค่ะครับ กันเองๆฉันมิตรขอรับ Tel. 0970462989 Line&ig&TikTok :Shawsherryduck https://youtu.be/R6r_Il3W2c4?si=P19gWzXG_08QIDuK https://youtu.be/KFru_mDCOJA?si=_H6y8yoKnP03pNrB #ลงเสียง #สปอต #สารคดี #บรรยายพากย์เสียงต่างๆ #ข่าวศิลปะบันเทิง #Sherryduck #ชอว์เชอร์รี่ดั๊ก #ศิลปินนักร้องยุค90 #indie #Artist #อินดี้โคตรๆ #ผลิตสื่อ #Alternative #อัลเทอร์เนทีฟ #ทำเพลง #ห้องบันทึกเสียง #singer #announcer #ชอว์พิชิต
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1298 มุมมอง 0 รีวิว
  • **ตัวอย่างความยาว 3 นาที** ภาพยนต์เชิงสารคดี "The Evidence" ถ่ายทำโดยนักข่าวที่บันทึกเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในฉนวนกาซา

    The Evidence เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ครบถ้วนสมบูรณ์ ซึ่งรวบรวมหลักฐานที่ไม่อาจปฏิเสธได้เกี่ยวกับอาชญากรรมสงครามที่เกิดขึ้นในฉนวนกาซา ภาพในเหตุการณ์ส่วนหนึ่งถูกใช้เป็นหลักฐานอ้างอิงเพื่อส่งไปยังศาลอาญาระหว่างประเทศ (International Criminal Court-ICC) ซึ่งบันทึกอาชญากรรมสงครามของอิสราเอลต่อชาวปาเลสไตน์อย่างละเอียดถี่ถ้วน

    รับชม "The Evidence" แบบเต็มความยาว 53 นาที ที่ลิ้งค์ด้านล่างนี้
    https://thaitimes.co/posts/111029

    ในภาพยนต์ "The Evidence" นี้ มีทีมผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชนที่มีชื่อเสียงให้ข้อมูลเชิงลึกและการวิเคราะห์ สร้างเรื่องราวที่ทรงพลังซึ่งตรวจสอบหลักฐานของอาชญากรรมสงครามในฉนวนกาซาอย่างเข้มงวด:
    - Kenneth Roth
    อดีตผู้อำนวยการบริหารของ Human Rights Watch
    - Francesca Albanese
    ผู้รายงานพิเศษของสหประชาชาติว่าด้วยดินแดนปาเลสไตน์ที่ถูกยึดครอง
    - Toby Cadman
    ทนายความด้านอาชญากรรมและสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ
    - Aya Majzoub
    Amnesty International รองผู้อำนวยการภูมิภาค MENA (Middle East and North Africa)
    - Bradley Samuels
    หุ้นส่วนผู้ก่อตั้ง SITU
    - Yehuda Shaul
    อดีตทหาร IDF ผู้ก่อตั้ง Breaking the Silence
    - Michael Sfard
    ทนายความชาวอิสราเอลและนักรณรงค์ทางการเมือง
    - Rasha Abdul-Rahim
    ผู้อำนวยการฝ่ายเทคโนโลยีของ Amnesty, Amnesty International

    .
    รับชม "The Evidence" แบบเต็มความยาว 53 นาที ที่ลิ้งค์ด้านล่างนี้
    https://thaitimes.co/posts/111029
    **ตัวอย่างความยาว 3 นาที** ภาพยนต์เชิงสารคดี "The Evidence" ถ่ายทำโดยนักข่าวที่บันทึกเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในฉนวนกาซา The Evidence เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ครบถ้วนสมบูรณ์ ซึ่งรวบรวมหลักฐานที่ไม่อาจปฏิเสธได้เกี่ยวกับอาชญากรรมสงครามที่เกิดขึ้นในฉนวนกาซา ภาพในเหตุการณ์ส่วนหนึ่งถูกใช้เป็นหลักฐานอ้างอิงเพื่อส่งไปยังศาลอาญาระหว่างประเทศ (International Criminal Court-ICC) ซึ่งบันทึกอาชญากรรมสงครามของอิสราเอลต่อชาวปาเลสไตน์อย่างละเอียดถี่ถ้วน รับชม "The Evidence" แบบเต็มความยาว 53 นาที ที่ลิ้งค์ด้านล่างนี้ https://thaitimes.co/posts/111029 ในภาพยนต์ "The Evidence" นี้ มีทีมผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชนที่มีชื่อเสียงให้ข้อมูลเชิงลึกและการวิเคราะห์ สร้างเรื่องราวที่ทรงพลังซึ่งตรวจสอบหลักฐานของอาชญากรรมสงครามในฉนวนกาซาอย่างเข้มงวด: - Kenneth Roth อดีตผู้อำนวยการบริหารของ Human Rights Watch - Francesca Albanese ผู้รายงานพิเศษของสหประชาชาติว่าด้วยดินแดนปาเลสไตน์ที่ถูกยึดครอง - Toby Cadman ทนายความด้านอาชญากรรมและสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ - Aya Majzoub Amnesty International รองผู้อำนวยการภูมิภาค MENA (Middle East and North Africa) - Bradley Samuels หุ้นส่วนผู้ก่อตั้ง SITU - Yehuda Shaul อดีตทหาร IDF ผู้ก่อตั้ง Breaking the Silence - Michael Sfard ทนายความชาวอิสราเอลและนักรณรงค์ทางการเมือง - Rasha Abdul-Rahim ผู้อำนวยการฝ่ายเทคโนโลยีของ Amnesty, Amnesty International . รับชม "The Evidence" แบบเต็มความยาว 53 นาที ที่ลิ้งค์ด้านล่างนี้ https://thaitimes.co/posts/111029
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1435 มุมมอง 70 0 รีวิว
  • "The Evidence" ภาพยนต์เชิงสารคดี ถ่ายทำโดยนักข่าวที่บันทึกเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในฉนวนกาซา

    The Evidence เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ครบถ้วนสมบูรณ์ ซึ่งรวบรวมหลักฐานที่ไม่อาจปฏิเสธได้เกี่ยวกับอาชญากรรมสงครามที่เกิดขึ้นในฉนวนกาซา ภาพในเหตุการณ์ส่วนหนึ่งถูกใช้เป็นหลักฐานอ้างอิงเพื่อส่งไปยังศาลอาญาระหว่างประเทศ (International Criminal Court-ICC) ซึ่งบันทึกอาชญากรรมสงครามของอิสราเอลต่อชาวปาเลสไตน์อย่างละเอียดถี่ถ้วน

    เอกสารการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ความยาว 53 นาทีที่น่าสนใจนี้

    ในภาพยนต์ "The Evidence" นี้ มีทีมผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชนที่มีชื่อเสียงให้ข้อมูลเชิงลึกและการวิเคราะห์ สร้างเรื่องราวที่ทรงพลังซึ่งตรวจสอบหลักฐานของอาชญากรรมสงครามในฉนวนกาซาอย่างเข้มงวด:
    - Kenneth Roth
    อดีตผู้อำนวยการบริหารของ Human Rights Watch
    - Francesca Albanese
    ผู้รายงานพิเศษของสหประชาชาติว่าด้วยดินแดนปาเลสไตน์ที่ถูกยึดครอง
    - Toby Cadman
    ทนายความด้านอาชญากรรมและสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ
    - Aya Majzoub
    Amnesty International รองผู้อำนวยการภูมิภาค MENA (Middle East and North Africa)
    - Bradley Samuels
    หุ้นส่วนผู้ก่อตั้ง SITU
    - Yehuda Shaul
    อดีตทหาร IDF ผู้ก่อตั้ง Breaking the Silence
    - Michael Sfard
    ทนายความชาวอิสราเอลและนักรณรงค์ทางการเมือง
    - Rasha Abdul-Rahim
    ผู้อำนวยการฝ่ายเทคโนโลยีของ Amnesty, Amnesty International

    รับชม "The Evidence" แบบเต็มความยาว 53 นาที ซึ่งมี
    "The Evidence" ภาพยนต์เชิงสารคดี ถ่ายทำโดยนักข่าวที่บันทึกเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในฉนวนกาซา The Evidence เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ครบถ้วนสมบูรณ์ ซึ่งรวบรวมหลักฐานที่ไม่อาจปฏิเสธได้เกี่ยวกับอาชญากรรมสงครามที่เกิดขึ้นในฉนวนกาซา ภาพในเหตุการณ์ส่วนหนึ่งถูกใช้เป็นหลักฐานอ้างอิงเพื่อส่งไปยังศาลอาญาระหว่างประเทศ (International Criminal Court-ICC) ซึ่งบันทึกอาชญากรรมสงครามของอิสราเอลต่อชาวปาเลสไตน์อย่างละเอียดถี่ถ้วน เอกสารการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ความยาว 53 นาทีที่น่าสนใจนี้ ในภาพยนต์ "The Evidence" นี้ มีทีมผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชนที่มีชื่อเสียงให้ข้อมูลเชิงลึกและการวิเคราะห์ สร้างเรื่องราวที่ทรงพลังซึ่งตรวจสอบหลักฐานของอาชญากรรมสงครามในฉนวนกาซาอย่างเข้มงวด: - Kenneth Roth อดีตผู้อำนวยการบริหารของ Human Rights Watch - Francesca Albanese ผู้รายงานพิเศษของสหประชาชาติว่าด้วยดินแดนปาเลสไตน์ที่ถูกยึดครอง - Toby Cadman ทนายความด้านอาชญากรรมและสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ - Aya Majzoub Amnesty International รองผู้อำนวยการภูมิภาค MENA (Middle East and North Africa) - Bradley Samuels หุ้นส่วนผู้ก่อตั้ง SITU - Yehuda Shaul อดีตทหาร IDF ผู้ก่อตั้ง Breaking the Silence - Michael Sfard ทนายความชาวอิสราเอลและนักรณรงค์ทางการเมือง - Rasha Abdul-Rahim ผู้อำนวยการฝ่ายเทคโนโลยีของ Amnesty, Amnesty International รับชม "The Evidence" แบบเต็มความยาว 53 นาที ซึ่งมี
    1 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 1747 มุมมอง 74 0 รีวิว
  • "มหากาพย์ไมดาน จุดเริ่มต้นของสงครามตัวแทนและ Hybrid War" ตอนที่ 1
    ล้างแค้น 30 ปีก็ไม่สาย ลูกผู้ชายชื่อปูตินตั้งสัจจะเอาไว้ว่าตราบใดที่รัสเซียยังไม่กินอิ่มนอนอุ่น ตราบนั้นโลกตะวันตกจงอย่าได้ย่างกรายมาเพ่นพ่านแถวขอบรั้วรัสเซีย
    ***เนื้อหานำเสนออีกด้านหนึ่งของข้อมูล ส่วนจะเป็นข้อเท็จจริงหรือไม่นั้น? โปรดพิจารณาเอาเอง สมองใครสมองมัน ไม่ต้องมาเถียงกับผม ผมไม่มีเวลาเถียงด้วย จะเชื่อหรือไม่เชื่อเงินในบัญชีผมก็เท่าเดิม คือร้อยกว่าบาท 555 ฉะนั้นผมไม่แคร์ว่าจะมีใครเชื่อ
    ***เนื้อหาทั้งหมดผมแคปมาจากสารคดีซึ่งผลิตโดยช่องข่าว RT ของรัสเซีย และช่อง RUPTLY ซึ่งผมไม่มีส่วนได้เสียในการสร้าง การนำเสนอ นอกจากชี้ให้เห็นอีกแง่มุมหนึ่ง และขอให้คนไทยเรียนรู้และปรับใช้เพื่อเอาชาติให้รอด ใครชังชาติ...จะปล่อยชาติล่มจมก็ไม่ควรอ่าน เสียเวลาคุณ คุณควรเอาเวลาไปบ่อนทำลายชาติจะตรงจุดประสงค์คุณมากกว่า
    ***เนื้อหาเรียงลำดับตามที่ปรากฏในสารคดี ซึ่งเมื่อลดทอนเป็นเพียงภาพบางช่วง อาจจะไม่สามารถเล่าเรื่องทั้งหมด หรือเข้าถึงอารมณ์ ความรู้สึกได้ ต้องขออภัยไว้ก่อน หากทาง RT อนุญาต ผมจะนำ VDO ชุดนี้มาเผยแพร่ต่อไป
    ***การรับชม คลิกที่รูปภาพ เนื้อหาอยู่ในคำบรรยายแต่ละภาพเรียงลำดับกันไป
    ผมไม่อยากบอกว่า "ขอให้สนุก" เพราะเนื้อหามันสะเทือนใจและตรงกับความจริงหน้าหนึ่งในประวัติศาสตร์ไทยที่คนไทยถูกยุแยงให้แตกแยกทางความคิด เราเชื่อกันคนละอย่างและนำไปสู่ความเกลียดชังสุดขั้ว
    ไทยเรากำลังอยู่บนปากเหวอย่างเช่นที่อูเครนเคยอยู่มาก่อน...เชื่อผมเถอะ!
    "มหากาพย์ไมดาน จุดเริ่มต้นของสงครามตัวแทนและ Hybrid War" ตอนที่ 1 ล้างแค้น 30 ปีก็ไม่สาย ลูกผู้ชายชื่อปูตินตั้งสัจจะเอาไว้ว่าตราบใดที่รัสเซียยังไม่กินอิ่มนอนอุ่น ตราบนั้นโลกตะวันตกจงอย่าได้ย่างกรายมาเพ่นพ่านแถวขอบรั้วรัสเซีย ***เนื้อหานำเสนออีกด้านหนึ่งของข้อมูล ส่วนจะเป็นข้อเท็จจริงหรือไม่นั้น? โปรดพิจารณาเอาเอง สมองใครสมองมัน ไม่ต้องมาเถียงกับผม ผมไม่มีเวลาเถียงด้วย จะเชื่อหรือไม่เชื่อเงินในบัญชีผมก็เท่าเดิม คือร้อยกว่าบาท 555 ฉะนั้นผมไม่แคร์ว่าจะมีใครเชื่อ ***เนื้อหาทั้งหมดผมแคปมาจากสารคดีซึ่งผลิตโดยช่องข่าว RT ของรัสเซีย และช่อง RUPTLY ซึ่งผมไม่มีส่วนได้เสียในการสร้าง การนำเสนอ นอกจากชี้ให้เห็นอีกแง่มุมหนึ่ง และขอให้คนไทยเรียนรู้และปรับใช้เพื่อเอาชาติให้รอด ใครชังชาติ...จะปล่อยชาติล่มจมก็ไม่ควรอ่าน เสียเวลาคุณ คุณควรเอาเวลาไปบ่อนทำลายชาติจะตรงจุดประสงค์คุณมากกว่า ***เนื้อหาเรียงลำดับตามที่ปรากฏในสารคดี ซึ่งเมื่อลดทอนเป็นเพียงภาพบางช่วง อาจจะไม่สามารถเล่าเรื่องทั้งหมด หรือเข้าถึงอารมณ์ ความรู้สึกได้ ต้องขออภัยไว้ก่อน หากทาง RT อนุญาต ผมจะนำ VDO ชุดนี้มาเผยแพร่ต่อไป ***การรับชม คลิกที่รูปภาพ เนื้อหาอยู่ในคำบรรยายแต่ละภาพเรียงลำดับกันไป ผมไม่อยากบอกว่า "ขอให้สนุก" เพราะเนื้อหามันสะเทือนใจและตรงกับความจริงหน้าหนึ่งในประวัติศาสตร์ไทยที่คนไทยถูกยุแยงให้แตกแยกทางความคิด เราเชื่อกันคนละอย่างและนำไปสู่ความเกลียดชังสุดขั้ว ไทยเรากำลังอยู่บนปากเหวอย่างเช่นที่อูเครนเคยอยู่มาก่อน...เชื่อผมเถอะ!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 474 มุมมอง 0 รีวิว
  • Blue Suede Shoes
    เพลงนี้ถูกบันทึกไว้ครั้งแรกโดยผู้แต่งที่ไม่เต็มใจนักคือนักร้องคันทรี คาร์ล เพอร์กินส์.
    ..เป็นเพลงแรกด้านหนึ่งของอัลบั้มเปิดตัวชื่อเดียวกันของเอลวิส เพรสลีย์ในปี 1956 ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ โดยธรรมชาติแล้ว คนรักดนตรีหลายคนจึงสันนิษฐานว่า“Blue Suede Shoes” เป็นผลงานของเอลวิส แต่เพลงนี้เป็นผลงานของนักบุกเบิกดนตรีร็อกแอนด์โรลที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก และมีต้นกำเนิดที่ซับซ้อนและมีอารมณ์ขันอย่างประหลาด
    “Blue Suede Shoes” ถูกเขียนขึ้นอย่างไม่เต็มใจโดยนักร้องและนักแต่งเพลงชาวเทนเนสซีคาร์ล เพอร์กินส์ เดิมทีเขาเป็นนักร้องแนวคันทรี แต่การผสมผสานระหว่างร็อกแอนด์โรลและดนตรีพื้นบ้านแบบฮิลบิลลี่ของเทือกเขาแอปพาเลเชียนซึ่งเป็นบ้านเกิดของเขาทำให้เขาได้รับฉายาว่าราชาแห่งร็อกกาบิลลี่ในไม่ช้า
    เพอร์กินส์เซ็นสัญญากับค่ายเพลงซันเรคคอร์ดในปี 1954 และในปีถัดมา ก็ได้เล่นดนตรีร่วมกับเพรสลีย์และจอห์นนี่ แคชในอาร์คันซอหลายครั้ง ขณะอยู่หลังเวทีการแสดงในเมืองพาร์กินส์ แคชได้เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับบุคคลประหลาดที่เขาพบในเยอรมนีระหว่างที่รับราชการทหารให้เพอร์กินส์ฟัง
    แคชเล่าถึงจ่าสิบเอกผิวสีชื่อซีวี ไวท์ ซึ่งอ้างว่าอักษรย่อของเขาหมายถึง “กำมะหยี่แชมเปญ” ในคืนนอกเวลางานในมิวนิก ไวท์มักจะจินตนาการว่ารองเท้าทหารสีดำตามระเบียบของเขาเป็นรองเท้าหนังกลับสีน้ำเงินที่ดูเก๋ไก๋ และเตือนทุกคนที่มาเยี่ยมชมไม่ให้เหยียบรองเท้าเหล่านี้
    “คุณควรเขียนเพลงเกี่ยวกับเรื่องนั้น!” แคชเสนอให้เพอร์กินส์
    “แต่ฉันไม่รู้เรื่องรองเท้าเลย!” เพอร์กินส์ประท้วง
    แคชได้ปลูกเมล็ดพันธุ์ไว้แล้ว ไม่กี่สัปดาห์ต่อมา เพอร์กินส์ได้ยินเสียงดังขึ้นขณะกำลังเต้นรำในวิทยาลัย "เฮ้ อย่าเหยียบรองเท้าหนังกลับของฉัน!" และเห็นนักเรียนคนหนึ่งกำลังตำหนิคู่เดตของเขาที่ทำรองเท้าของเขาถลอก เขาเริ่มเขียน "รองเท้าหนังกลับสีน้ำเงิน" ในคืนนั้น โดยใช้กระสอบใส่มันฝรั่งสีน้ำตาลที่สะดวก
    เพอร์กินส์เริ่มต้นด้วยกลอนเด็กของสหรัฐอเมริกา: “หนึ่งเพื่อเงิน สองเพื่อการแสดง!” ก่อนที่จะแสดงรายการชะตากรรมที่เขาอยากอดทนมากกว่าที่จะให้ใครมาเหยียบรองเท้าของเขา: “คุณสามารถล้มฉันลงได้ เหยียบหน้าฉัน…” ความไม่เหมาะสมที่ตลกขบขันเหล่านี้ยิ่งเลวร้ายลง: “คุณสามารถเผาบ้านของฉัน ขโมยรถของฉัน ดื่มเหล้าของฉันจากโถผลไม้เก่า!”
    “Blue Suede Shoes” เป็นเพลงที่สนุกสนานและได้รับความนิยมอย่างมาก ออกจำหน่ายในวันปีใหม่ปี 1956 ขึ้นชาร์ตทั้งเพลงคันทรีและเพลง แนวริธึมแอนด์บลูส์ และขึ้นอันดับสองในชาร์ตเพลงป๊อปหลักของ Billboard ในเดือนมีนาคมปีนั้น แต่แล้วโศกนาฏกรรมก็เกิดขึ้นกับ Carl Perkins
    ขณะที่เพอร์กินส์กำลังเดินทางไปแสดงเพลง “Blue Suede Shoes” ในรายการโทรทัศน์ของเพอร์รี โคโม เพอร์กินส์ประสบอุบัติเหตุทางถนนที่ร้ายแรง คนขับรถบรรทุกเสียชีวิต และนักร้องได้รับบาดเจ็บสาหัส ขณะที่เพอร์กินส์นอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล เนื่องจากไม่สามารถโปรโมตซิงเกิลของเขาได้ เพลงดังกล่าวก็ถูกแซงหน้าโดยเพลง “Heartbreak Hotel” ซึ่งเป็นเพลงเปิดตัวของเอลวิสในสังกัดค่ายเพลงใหญ่
    เพรสลีย์คัฟเวอร์เพลง "Blue Suede Shoes" ในอัลบั้มของเขาในเดือนเดียวกันนั้น และค่ายเพลงของเขาต้องการที่จะปล่อยเพลงนี้ออกมาเป็นซิงเกิล ในตอนแรกเขาไม่อยากแข่งขันกับเพื่อนเรื่องยอดขาย แต่เขาก็ยอมแพ้เมื่อตระหนักว่าค่าลิขสิทธิ์การแต่งเพลงจะช่วยสนับสนุนเพอร์กินส์ในขณะที่เขากำลังพักฟื้น เวอร์ชันที่คล้ายกันมากของเอลวิสก็ขึ้นอันดับ 20

    ปกอัลบั้มอื่นๆ ตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ The Beatles เป็นแฟนตัวยงของ Perkins; Paul McCartney ยืนยันว่า "ถ้าไม่มี Carl Perkins ก็คงไม่มี Beatles" John Lennon เล่นเพลง "Blue Suede Shoes" ในวงสกิฟเฟิลก่อนจะโด่งดังของเขาอย่าง The Quarrymen; และในวง The Beatles; ในฐานะศิลปินเดี่ยว; และกับ Yoko Ono ในวง Plastic Ono เลนนอนยังรับหน้าที่ร้องนำในเวอร์ชันแจมเซสชั่น ของเพลงนี้ในช่วง Let It Be ของ The Beatles ตามที่แสดงในสารคดีของปีเตอร์ แจ็กสันในปี 2021
    The Dave Clark Five เล่นเปียโนได้อย่างสนุกสนาน Uriah Heep ถ่ายทอดอารมณ์ออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยดนตรีแนวพร็อก-ร็อกสุดมันส์ Motörhead ร้องได้อย่างเต็มที่ โดยนักร้องนำ Lemmy ดูเหมือนจะกลั้วคอด้วยเสียงเพลงกรวด Black Sabbath เร่งจังหวะจากความมึนงงตามปกติ และกระตุ้นจินตนาการอันน่ายินดีของนักร้องนำ Ozzy Osbourne ที่สวมรองเท้าหนังกลับสีน้ำเงิน
    Ry Cooder เล่นเพลง “Blue Suede Shoes” จนกลายเป็นหนึ่งในผลงานการเล่นกีตาร์สไลด์อันเป็นเอกลักษณ์ของเขา ดาราฝรั่งเศสจอห์นนี่ ฮัลลีเดย์ ร้องเพลงกอลและร้องคาราโอเกะของเอลวิสไปทั่ว และในปี 2014 สาวกเอลวิสคนแรกของอังกฤษCliff Richard ร้องเพลงคู่กับ Presley จากเพลงฮิตปี 1956 ของเขาอย่างภาคภูมิใจ
    “Blue Suede Shoes” เป็นเพลงแรกของนักร้องคันทรี่ที่มียอดขายกว่าล้านชุดและได้รับความนิยมในกระแสหลัก แต่เพลงนี้ยังคงเชื่อมโยงกับเอลวิส เพรสลีย์ตลอดไป เพอร์กินส์ยอมรับอย่างภาคภูมิใจว่าเอลวิสมีเสน่ห์ดึงดูดใจและมีคุณสมบัติ "X" ซูเปอร์สตาร์ ซึ่งแม้ว่าเขาจะเป็นแค่คนพื้นเพธรรมดาๆ ก็ตาม
    “เอลวิสมีทุกอย่าง” เขากล่าวในบทสัมภาษณ์ “เขาทั้งหน้าตา ท่าทาง ผู้จัดการ และพรสวรรค์ เอลวิสไว้เคราข้างแก้ม ท่าเต้นที่ฉูดฉาด และไม่มีแหวนบนนิ้วของเขา ฉันมีลูกสามคน!”
    อย่างน้อยเขาก็ได้เรียนรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับรองเท้า.
    Blue Suede Shoes เพลงนี้ถูกบันทึกไว้ครั้งแรกโดยผู้แต่งที่ไม่เต็มใจนักคือนักร้องคันทรี คาร์ล เพอร์กินส์. ..เป็นเพลงแรกด้านหนึ่งของอัลบั้มเปิดตัวชื่อเดียวกันของเอลวิส เพรสลีย์ในปี 1956 ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ โดยธรรมชาติแล้ว คนรักดนตรีหลายคนจึงสันนิษฐานว่า“Blue Suede Shoes” เป็นผลงานของเอลวิส แต่เพลงนี้เป็นผลงานของนักบุกเบิกดนตรีร็อกแอนด์โรลที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก และมีต้นกำเนิดที่ซับซ้อนและมีอารมณ์ขันอย่างประหลาด “Blue Suede Shoes” ถูกเขียนขึ้นอย่างไม่เต็มใจโดยนักร้องและนักแต่งเพลงชาวเทนเนสซีคาร์ล เพอร์กินส์ เดิมทีเขาเป็นนักร้องแนวคันทรี แต่การผสมผสานระหว่างร็อกแอนด์โรลและดนตรีพื้นบ้านแบบฮิลบิลลี่ของเทือกเขาแอปพาเลเชียนซึ่งเป็นบ้านเกิดของเขาทำให้เขาได้รับฉายาว่าราชาแห่งร็อกกาบิลลี่ในไม่ช้า เพอร์กินส์เซ็นสัญญากับค่ายเพลงซันเรคคอร์ดในปี 1954 และในปีถัดมา ก็ได้เล่นดนตรีร่วมกับเพรสลีย์และจอห์นนี่ แคชในอาร์คันซอหลายครั้ง ขณะอยู่หลังเวทีการแสดงในเมืองพาร์กินส์ แคชได้เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับบุคคลประหลาดที่เขาพบในเยอรมนีระหว่างที่รับราชการทหารให้เพอร์กินส์ฟัง แคชเล่าถึงจ่าสิบเอกผิวสีชื่อซีวี ไวท์ ซึ่งอ้างว่าอักษรย่อของเขาหมายถึง “กำมะหยี่แชมเปญ” ในคืนนอกเวลางานในมิวนิก ไวท์มักจะจินตนาการว่ารองเท้าทหารสีดำตามระเบียบของเขาเป็นรองเท้าหนังกลับสีน้ำเงินที่ดูเก๋ไก๋ และเตือนทุกคนที่มาเยี่ยมชมไม่ให้เหยียบรองเท้าเหล่านี้ “คุณควรเขียนเพลงเกี่ยวกับเรื่องนั้น!” แคชเสนอให้เพอร์กินส์ “แต่ฉันไม่รู้เรื่องรองเท้าเลย!” เพอร์กินส์ประท้วง แคชได้ปลูกเมล็ดพันธุ์ไว้แล้ว ไม่กี่สัปดาห์ต่อมา เพอร์กินส์ได้ยินเสียงดังขึ้นขณะกำลังเต้นรำในวิทยาลัย "เฮ้ อย่าเหยียบรองเท้าหนังกลับของฉัน!" และเห็นนักเรียนคนหนึ่งกำลังตำหนิคู่เดตของเขาที่ทำรองเท้าของเขาถลอก เขาเริ่มเขียน "รองเท้าหนังกลับสีน้ำเงิน" ในคืนนั้น โดยใช้กระสอบใส่มันฝรั่งสีน้ำตาลที่สะดวก เพอร์กินส์เริ่มต้นด้วยกลอนเด็กของสหรัฐอเมริกา: “หนึ่งเพื่อเงิน สองเพื่อการแสดง!” ก่อนที่จะแสดงรายการชะตากรรมที่เขาอยากอดทนมากกว่าที่จะให้ใครมาเหยียบรองเท้าของเขา: “คุณสามารถล้มฉันลงได้ เหยียบหน้าฉัน…” ความไม่เหมาะสมที่ตลกขบขันเหล่านี้ยิ่งเลวร้ายลง: “คุณสามารถเผาบ้านของฉัน ขโมยรถของฉัน ดื่มเหล้าของฉันจากโถผลไม้เก่า!” “Blue Suede Shoes” เป็นเพลงที่สนุกสนานและได้รับความนิยมอย่างมาก ออกจำหน่ายในวันปีใหม่ปี 1956 ขึ้นชาร์ตทั้งเพลงคันทรีและเพลง แนวริธึมแอนด์บลูส์ และขึ้นอันดับสองในชาร์ตเพลงป๊อปหลักของ Billboard ในเดือนมีนาคมปีนั้น แต่แล้วโศกนาฏกรรมก็เกิดขึ้นกับ Carl Perkins ขณะที่เพอร์กินส์กำลังเดินทางไปแสดงเพลง “Blue Suede Shoes” ในรายการโทรทัศน์ของเพอร์รี โคโม เพอร์กินส์ประสบอุบัติเหตุทางถนนที่ร้ายแรง คนขับรถบรรทุกเสียชีวิต และนักร้องได้รับบาดเจ็บสาหัส ขณะที่เพอร์กินส์นอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล เนื่องจากไม่สามารถโปรโมตซิงเกิลของเขาได้ เพลงดังกล่าวก็ถูกแซงหน้าโดยเพลง “Heartbreak Hotel” ซึ่งเป็นเพลงเปิดตัวของเอลวิสในสังกัดค่ายเพลงใหญ่ เพรสลีย์คัฟเวอร์เพลง "Blue Suede Shoes" ในอัลบั้มของเขาในเดือนเดียวกันนั้น และค่ายเพลงของเขาต้องการที่จะปล่อยเพลงนี้ออกมาเป็นซิงเกิล ในตอนแรกเขาไม่อยากแข่งขันกับเพื่อนเรื่องยอดขาย แต่เขาก็ยอมแพ้เมื่อตระหนักว่าค่าลิขสิทธิ์การแต่งเพลงจะช่วยสนับสนุนเพอร์กินส์ในขณะที่เขากำลังพักฟื้น เวอร์ชันที่คล้ายกันมากของเอลวิสก็ขึ้นอันดับ 20 ปกอัลบั้มอื่นๆ ตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ The Beatles เป็นแฟนตัวยงของ Perkins; Paul McCartney ยืนยันว่า "ถ้าไม่มี Carl Perkins ก็คงไม่มี Beatles" John Lennon เล่นเพลง "Blue Suede Shoes" ในวงสกิฟเฟิลก่อนจะโด่งดังของเขาอย่าง The Quarrymen; และในวง The Beatles; ในฐานะศิลปินเดี่ยว; และกับ Yoko Ono ในวง Plastic Ono เลนนอนยังรับหน้าที่ร้องนำในเวอร์ชันแจมเซสชั่น ของเพลงนี้ในช่วง Let It Be ของ The Beatles ตามที่แสดงในสารคดีของปีเตอร์ แจ็กสันในปี 2021 The Dave Clark Five เล่นเปียโนได้อย่างสนุกสนาน Uriah Heep ถ่ายทอดอารมณ์ออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยดนตรีแนวพร็อก-ร็อกสุดมันส์ Motörhead ร้องได้อย่างเต็มที่ โดยนักร้องนำ Lemmy ดูเหมือนจะกลั้วคอด้วยเสียงเพลงกรวด Black Sabbath เร่งจังหวะจากความมึนงงตามปกติ และกระตุ้นจินตนาการอันน่ายินดีของนักร้องนำ Ozzy Osbourne ที่สวมรองเท้าหนังกลับสีน้ำเงิน Ry Cooder เล่นเพลง “Blue Suede Shoes” จนกลายเป็นหนึ่งในผลงานการเล่นกีตาร์สไลด์อันเป็นเอกลักษณ์ของเขา ดาราฝรั่งเศสจอห์นนี่ ฮัลลีเดย์ ร้องเพลงกอลและร้องคาราโอเกะของเอลวิสไปทั่ว และในปี 2014 สาวกเอลวิสคนแรกของอังกฤษCliff Richard ร้องเพลงคู่กับ Presley จากเพลงฮิตปี 1956 ของเขาอย่างภาคภูมิใจ “Blue Suede Shoes” เป็นเพลงแรกของนักร้องคันทรี่ที่มียอดขายกว่าล้านชุดและได้รับความนิยมในกระแสหลัก แต่เพลงนี้ยังคงเชื่อมโยงกับเอลวิส เพรสลีย์ตลอดไป เพอร์กินส์ยอมรับอย่างภาคภูมิใจว่าเอลวิสมีเสน่ห์ดึงดูดใจและมีคุณสมบัติ "X" ซูเปอร์สตาร์ ซึ่งแม้ว่าเขาจะเป็นแค่คนพื้นเพธรรมดาๆ ก็ตาม “เอลวิสมีทุกอย่าง” เขากล่าวในบทสัมภาษณ์ “เขาทั้งหน้าตา ท่าทาง ผู้จัดการ และพรสวรรค์ เอลวิสไว้เคราข้างแก้ม ท่าเต้นที่ฉูดฉาด และไม่มีแหวนบนนิ้วของเขา ฉันมีลูกสามคน!” อย่างน้อยเขาก็ได้เรียนรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับรองเท้า.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1095 มุมมอง 99 0 รีวิว
  • สารคดี: ฮีโร่โคโรนา – ถูกล่า ถูกไล่ล่า และถูกเนรเทศ! เราจะไม่ลืมคุณ!

    Auf1 ยังไม่ลืมแพทย์ผู้กล้าหาญที่ช่วยชีวิตเราในช่วงโคโรนาไวรัส
    พวกคุณกำลังจะถูกทำลายภายในเร็ววันนี้!

    ในขณะที่สื่อหลักของระบบเงียบเกี่ยวกับเรื่องนี้
    เรายุติความเงียบและให้แพทย์ 14 คนได้พูด

    สำหรับหลายๆ คน ความน่าสะพรึงกลัวของยุคโคโรนาได้สิ้นสุดลงแล้ว
    แต่สำหรับแพทย์ที่ต่อต้านอย่างกล้าหาญ
    ในช่วงที่มีการระบาดใหญ่เพื่อปกป้องผู้คน

    มันยังไม่จบสิ้น พวกเขายังคงถูกตามล่า ไล่ล่า
    และถูกไล่ออกจากสายตาของสาธารณชน
    โดยระบบที่ไร้ความปราณีและมีอำนาจเหนือกว่า

    Source:
    https://auf1-tv.translate.goog/corona-helden-wir-vergessen-euch-nicht/doku-corona-helden-gejagt-gehetzt-geaechtet-wir-vergessen-euch-nicht/?_x_tr_sl=de&_x_tr_tl=th&_x_tr_hl=en&_x_tr_pto=wapp

    1 Aug 2024 Documentary: Corona heroes – hunted, persecuted, ostracized! We won’t forget you!

    เสียง อก ซับไทย 👉 https://odysee.com/@EE:8/Corona-Helden-TH:2
    สารคดี: ฮีโร่โคโรนา – ถูกล่า ถูกไล่ล่า และถูกเนรเทศ! เราจะไม่ลืมคุณ! Auf1 ยังไม่ลืมแพทย์ผู้กล้าหาญที่ช่วยชีวิตเราในช่วงโคโรนาไวรัส พวกคุณกำลังจะถูกทำลายภายในเร็ววันนี้! ในขณะที่สื่อหลักของระบบเงียบเกี่ยวกับเรื่องนี้ เรายุติความเงียบและให้แพทย์ 14 คนได้พูด สำหรับหลายๆ คน ความน่าสะพรึงกลัวของยุคโคโรนาได้สิ้นสุดลงแล้ว แต่สำหรับแพทย์ที่ต่อต้านอย่างกล้าหาญ ในช่วงที่มีการระบาดใหญ่เพื่อปกป้องผู้คน มันยังไม่จบสิ้น พวกเขายังคงถูกตามล่า ไล่ล่า และถูกไล่ออกจากสายตาของสาธารณชน โดยระบบที่ไร้ความปราณีและมีอำนาจเหนือกว่า Source: https://auf1-tv.translate.goog/corona-helden-wir-vergessen-euch-nicht/doku-corona-helden-gejagt-gehetzt-geaechtet-wir-vergessen-euch-nicht/?_x_tr_sl=de&_x_tr_tl=th&_x_tr_hl=en&_x_tr_pto=wapp 1 Aug 2024 Documentary: Corona heroes – hunted, persecuted, ostracized! We won’t forget you! เสียง อก ซับไทย 👉 https://odysee.com/@EE:8/Corona-Helden-TH:2
    AUF1-TV.TRANSLATE.GOOG
    Doku: Corona Helden – gejagt, gehetzt, geächtet! Wir vergessen euch nicht!
    AUF1 hat die Mut-Ärzte, die uns in der Corona-Zeit gerettet haben, nicht vergessen. Bis heute sollen Sie vernichtet werden! Während die Systemmedien darüber schweigen. Wir beenden das Schweigen und lassen 14 Ärzte zu Wort kommen.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 260 มุมมอง 0 รีวิว
  • สารคดี Bluetruth โดย Dr. Pedro Chavez

    https://dioxitube.com/w/aJNKrv79PLdaXQib7mctqk

    การดีท็อกซ์ กราฟีน อ็อกไซด์ (ภาษาอังกฤษ) ข้อมูลจาก Comusav โดย Dr. Pedro Chavez ครับ

    1. https://www.comusav.com/wp-content/uploads/2021/12/ENGLISH-AI-Protocol-16-Dec-2021-.pdf

    2. https://www.comusav.com/wp-content/uploads/2021/11/18-NOV-2021_ENGLISH_COVID19_CDS_PROTOCOLS.pdf
    ขอบคุณข้อมูลจาก
    คุณอดิเทพ จาวลาห์
    สารคดี Bluetruth โดย Dr. Pedro Chavez https://dioxitube.com/w/aJNKrv79PLdaXQib7mctqk การดีท็อกซ์ กราฟีน อ็อกไซด์ (ภาษาอังกฤษ) ข้อมูลจาก Comusav โดย Dr. Pedro Chavez ครับ 1. https://www.comusav.com/wp-content/uploads/2021/12/ENGLISH-AI-Protocol-16-Dec-2021-.pdf 2. https://www.comusav.com/wp-content/uploads/2021/11/18-NOV-2021_ENGLISH_COVID19_CDS_PROTOCOLS.pdf ขอบคุณข้อมูลจาก คุณอดิเทพ จาวลาห์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 318 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts