• ภาพประวัติศาสตร์
    ภาพประวัติศาสตร์
    0 Comments 0 Shares 7 Views 0 Reviews
  • ..เราแชร์บอกคนไทยด้วยกันเองที่ยังไม่กันเถอะ,นี้ล่ะคือการศึกษาที่ล้มเหลวด้วย อีลิทถอนบันทึกเรื่องราวมากมายของความจริงในประวัติศาสตร์ไทยเราออกจากหลักสูตรกระบวนการเรียนการสอนขั้นพื้นฐานของเยาวชนไทยเราจริงๆทำเนียนๆมาหลายสิบปีแล้ว ถ้าจะเอาจริงๆคงเริ่มล้างสมองเยาวชนไทยเราหลังปี2530มาหรือหลังขุดพบบ่อน้ำมันไทยนั้นล่ะก็ด้วย,
    ..การปกครองที่ล้มเหลว,วิถีปกครองที่คนเลวมากกว่าคนดีหรือคนชั่วเสือกมีตำแหน่งสูงสุด,คนเหี้ยๆส่งเสริมไปเป็นหัวหน้าห้องนั้นเอง.,คนเลวๆประจำห้องจะปกป้องคนเลวจากห้องอื่นได้มั้งสมาชิกทั้งห้องจึงพากันเลือกมันขึ้นเป็นหัวหน้าห้อง,ครูเครอก็เอากับเขาด้วย,ประชาธิปไตยครูว่า,เหี้ยไปชี้เหตุผลชี้แจ้งชัดเจนด้วยว่ามันเกเรมันพาลมันเหี้ยประจำห้องนะครูเห็นแล้ว ขาดคุณสมบัติและจรรโลงดำรงไว้ให้คนดีขึ้นดูแลให้ห้องนี้มีสถานะความดีสิ่งดีๆเป็นอัตลักษณ์หรือมาตุภูมิแห่งความดีดำรงไว้เป็นต้นแบบๆแบบอย่างที่ดีแก่คนรุ่นต่อไปก็ว่า,อันเดียวกัน วิถีการปกครองในปัจจุบันเราเหี้ยหมดในตอนนี้ ล้มเหลวทัังระบบ.
    ..
    ..สถานะนี้เราจึงร่วมกันแชร์เยอะๆ,เขมรจริงๆต้องถูกยึดคืนมาโดยทันทีอัตโนมัติโดยฝรั่งเศสสั่งการโดยตรงและเป็นพยานรับผิดชอบต่อการทำชั่วเลวของฝรั่งเศสในอดีตด้วย,บังคับเขมรอัตโนมัติให้ต้องคืนพื้นที่ดังกล่าวโดยทันทีและวไม่มีเงื่อนไขแก่ประเทศไทย.,โดยประเทศไทยไม่ต้องทำอะไรเลย,เพราะประวัติศาสตร์ทั้งหมดมีบันทึกเป็นพยานหลักฐานอยู่ในหลายๆประเทศแม้ในไทยเราเองก็มีอย่างชัดเจน.

    https://youtube.com/shorts/gwV3rSCQcz0?si=m7FUdTTnMLWvrlx7
    ..เราแชร์บอกคนไทยด้วยกันเองที่ยังไม่กันเถอะ,นี้ล่ะคือการศึกษาที่ล้มเหลวด้วย อีลิทถอนบันทึกเรื่องราวมากมายของความจริงในประวัติศาสตร์ไทยเราออกจากหลักสูตรกระบวนการเรียนการสอนขั้นพื้นฐานของเยาวชนไทยเราจริงๆทำเนียนๆมาหลายสิบปีแล้ว ถ้าจะเอาจริงๆคงเริ่มล้างสมองเยาวชนไทยเราหลังปี2530มาหรือหลังขุดพบบ่อน้ำมันไทยนั้นล่ะก็ด้วย, ..การปกครองที่ล้มเหลว,วิถีปกครองที่คนเลวมากกว่าคนดีหรือคนชั่วเสือกมีตำแหน่งสูงสุด,คนเหี้ยๆส่งเสริมไปเป็นหัวหน้าห้องนั้นเอง.,คนเลวๆประจำห้องจะปกป้องคนเลวจากห้องอื่นได้มั้งสมาชิกทั้งห้องจึงพากันเลือกมันขึ้นเป็นหัวหน้าห้อง,ครูเครอก็เอากับเขาด้วย,ประชาธิปไตยครูว่า,เหี้ยไปชี้เหตุผลชี้แจ้งชัดเจนด้วยว่ามันเกเรมันพาลมันเหี้ยประจำห้องนะครูเห็นแล้ว ขาดคุณสมบัติและจรรโลงดำรงไว้ให้คนดีขึ้นดูแลให้ห้องนี้มีสถานะความดีสิ่งดีๆเป็นอัตลักษณ์หรือมาตุภูมิแห่งความดีดำรงไว้เป็นต้นแบบๆแบบอย่างที่ดีแก่คนรุ่นต่อไปก็ว่า,อันเดียวกัน วิถีการปกครองในปัจจุบันเราเหี้ยหมดในตอนนี้ ล้มเหลวทัังระบบ. .. ..สถานะนี้เราจึงร่วมกันแชร์เยอะๆ,เขมรจริงๆต้องถูกยึดคืนมาโดยทันทีอัตโนมัติโดยฝรั่งเศสสั่งการโดยตรงและเป็นพยานรับผิดชอบต่อการทำชั่วเลวของฝรั่งเศสในอดีตด้วย,บังคับเขมรอัตโนมัติให้ต้องคืนพื้นที่ดังกล่าวโดยทันทีและวไม่มีเงื่อนไขแก่ประเทศไทย.,โดยประเทศไทยไม่ต้องทำอะไรเลย,เพราะประวัติศาสตร์ทั้งหมดมีบันทึกเป็นพยานหลักฐานอยู่ในหลายๆประเทศแม้ในไทยเราเองก็มีอย่างชัดเจน. https://youtube.com/shorts/gwV3rSCQcz0?si=m7FUdTTnMLWvrlx7
    0 Comments 0 Shares 27 Views 0 Reviews
  • แถลงการณ์ล่าสุดของเนทันยาฮูยอมรับว่า เขามีคำสั่งให้โจมตีสถานที่ตั้งนิวเคลียร์ของอิหร่านเมื่อ 6 เดือนที่แล้ว นั่นคือเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน

    เนทันยาฮูยังกล่าวอีกว่า เขาวางแผนรับมือการโจมตีด้วยขีปนาวุธของอิหร่านมานานแล้ว หลังจากวางแผนทำลายโรงงานเสริมสมรรถนะที่ใหญ่ที่สุดของพวกเขาในนาตันซ์ ซึ่งเป็นการโจมตีอีกครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์อิสราเอล
    แถลงการณ์ล่าสุดของเนทันยาฮูยอมรับว่า เขามีคำสั่งให้โจมตีสถานที่ตั้งนิวเคลียร์ของอิหร่านเมื่อ 6 เดือนที่แล้ว นั่นคือเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน เนทันยาฮูยังกล่าวอีกว่า เขาวางแผนรับมือการโจมตีด้วยขีปนาวุธของอิหร่านมานานแล้ว หลังจากวางแผนทำลายโรงงานเสริมสมรรถนะที่ใหญ่ที่สุดของพวกเขาในนาตันซ์ ซึ่งเป็นการโจมตีอีกครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์อิสราเอล
    0 Comments 0 Shares 82 Views 12 0 Reviews
  • คำปราศรัยของรัฐมนตรีกลาโหม "อิสราเอล แคทซ์" :

    ปฏิบัติการทางทหารที่มุ่งเป้าไปที่อิหร่านโดยตรงครั้งนี้ เป็นช่วงเวลาสำคัญ ในประวัติศาสตร์ของอิสราเอลและชาวยิว เป้าหมายคือการทำลายด้านนิวเคลียร์ของอิหร่าน และกำจัดทุกสิ่งที่เป็นภัยคุกคามต่อการดำรงอยู่ของอิสราเอล

    "เราได้จัดการกับแขนปลาหมึก (หมายถึงตัวแทนของอิหร่าน) ไปจนหมดสิ้นแล้ว คืนนี้เราจะกำจัดหัวของปลาหมึกยักษ์" แคทซ์กล่าวทิ้งท้าย
    คำปราศรัยของรัฐมนตรีกลาโหม "อิสราเอล แคทซ์" : ปฏิบัติการทางทหารที่มุ่งเป้าไปที่อิหร่านโดยตรงครั้งนี้ เป็นช่วงเวลาสำคัญ ในประวัติศาสตร์ของอิสราเอลและชาวยิว เป้าหมายคือการทำลายด้านนิวเคลียร์ของอิหร่าน และกำจัดทุกสิ่งที่เป็นภัยคุกคามต่อการดำรงอยู่ของอิสราเอล "เราได้จัดการกับแขนปลาหมึก (หมายถึงตัวแทนของอิหร่าน) ไปจนหมดสิ้นแล้ว คืนนี้เราจะกำจัดหัวของปลาหมึกยักษ์" แคทซ์กล่าวทิ้งท้าย
    Sad
    1
    0 Comments 0 Shares 94 Views 15 0 Reviews
  • **วลีจีน ‘นักล่ากวางไม่ยี่หระกระต่าย’**

    สวัสดีค่ะ วันนี้มาคุยกันสั้นๆ เรื่อง ‘วลีเด็ด’

    เพื่อนเพจที่ได้ดูเรื่อง <จิ่วฉงจื่อ บุปผาเหนือลิขิต> คงจำได้ว่าตอนท้ายเรื่องพระเอกขอลาออกจากราชการ เหตุผลของเขานั้นหากอ่านจากซับไทยอาจไม่ค่อยเข้าใจความหมาย Storyฯ จึงขอแปลใหม่โดยมีความแตกต่างจากซับไทยเล็กน้อยว่า “จนเมื่อมาพบกับโต้วเจา นางทำให้กระหม่อมรู้ว่า นักล่ากวางเมื่อเจอกระต่ายต้องยับยั้งชั่งใจ นักล่าสัตว์เจอภูเขาต้องมองให้กว้าง” (หมายเหตุ ในซับไทยใช้คำว่า ‘นายพราน’ ซึ่งไม่ผิดแต่ทำให้บริบทที่มาของวลีนี้ขาดหายไป)

    ยังฟังดูงงๆ ใช่ไหม? จะเข้าใจความหมายของมันก็ต้องเข้าใจบริบทและที่มาของมันค่ะ สองประโยค “นักล่ากวาง.... ต้องมองให้กว้าง” นี้ไม่ใช่วลีจีนโบราณ แต่มันมีรากฐานมาจากวรรณกรรมโบราณที่ชื่อว่า ‘หวยหนานจื่อ’ (淮南子 / บุรุษเมืองหวยหนาน) ถูกยกมาจากบรรพที่มีชื่อว่า ‘ซัวหลินซุ่น’ (说林训/ คำสอนจากป่าไม้)

    หวยหนานจื่อเป็นผลงานในยุคสมัยฮั่นตะวันตกของอ๋องหวยหนาน (หลิวอัน) และบัณฑิตในสังกัด ต่อมาถูกนำถวายให้แก่องค์ฮั่นอู่ตี้ (ปี 138 ก่อนคริสตกาล) เดิมมีทั้งหมด 3 บทรวม 62 บรรพ: บทใน 21 บรรพยาวกว่าสองแสนอักษร (ปัจจุบันเหลือเพียงหนึ่งแสนสามหมื่นอักษร); บทกลาง 8 บรรพ (สูญหายไปแล้ว); และบทนอก 33 บรรพ (สูญหายไปแล้ว) โดยเนื้อหาของหวยหนานจื่อครอบคลุมเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ ตำนานเล่าขาน (เช่นเรื่องหนี่ว์วาซ่อมแซมฟ้า โฮ่วอี้ยิงตะวัน) ข้อมูลทางธรรมชาติ (เช่นฤดูกาล) หลักหยินหยาง คำสอนขงจื๊อ คำสอนลัทธิเต๋า กลยุทธ์การศึกการทหาร ฯลฯ เรียบเรียงเป็นคำกล่าวสอนชี้ชวนให้คิดและสะท้อนปรัชญาชีวิต จัดเป็นหนึ่งในวรรณกรรมที่อ่านยากมากที่สุดของจีน ทั้งด้วยภาษาที่ใช้และเนื้อหาที่ลึกซึ้งแอบแฝง โดยมีหลายวรรคหลายประโยคที่ถูกยกย่องเป็น ‘วลีเด็ด’ ข้ามกาลเวลาจวบจนปัจจุบัน

    ประโยค “นักล่ากวางเมื่อเจอกระต่ายต้องยับยั้งชั่งใจ” แปลงมาจากหนึ่งในวรรคเด็ดของ ‘หวยหนานจื่อ-ซัวหลินซุ่น’ ที่อ่านเต็มๆ ว่า “นักล่ากวางไม่ยี่หระกระต่าย คนเจรจาสินค้าพันตำลึงทองไม่ถกเถียงเงินจำนวนเล็กน้อย” (逐鹿者不顾兔,决千金之货者不争铢两之价。) ความหมายก็คือว่า คนเราเมื่อมีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ ก็ไม่ควรวอกแวกไปกับเรื่องเล็กน้อยที่ผ่านเข้ามา เหมือนกับนักล่ากวางที่มีเป้าหมายคือกวาง ก็ไม่ควรเสียสมาธิและพลังงานไปกับการล่ากระต่ายที่ผ่านเข้ามา

    ส่วนประโยคหลัง “นักล่าสัตว์เจอภูเขาต้องมองให้กว้าง” แปลงมาจากอีกหนึ่งในวรรคเด็ดของ ‘หวยหนานจื่อ-ซัวหลินซุ่น’ ที่อ่านเต็มๆ ว่า “นักล่าสัตว์มองไม่เห็นภูเขาไท่ซาน ความกระหายภายนอกบดบังความกระจ่างภายในใจ” (逐兽者目不见太山,嗜欲在外,则明所蔽矣。) ความหมายก็คือว่า เมื่อเราใจจดจ่ออยู่กับบางอย่างเราจะมองไม่เห็นภาพใหญ่ เหมือนกับนายพรานที่มัวแต่มองเหยื่อจนไม่เห็นความสวยงามของภูเขา และความต้องการบางอย่างอาจรุนแรงจนบดบังสติความคิดที่ควรมี

    เมื่อเข้าใจบริบทที่มาของประโยคทั้งสองแล้ว เพื่อนเพจคงเข้าใจได้ไม่ยากถึงความนัยที่แท้จริง... พระเอกบอกว่า นางเอกสอนให้เขามองข้ามความสะใจชั่ววูบของการแก้แค้น แต่ให้มองการพลิกคดีของติ้งกั๋วกงและตระกูลเจี่ยงเป็นเป้าหมายใหญ่ และไม่ให้ความแค้นมาบดบังความรู้สึกผิดชอบชั่วดีและภาระหน้าที่ในการผดุงธรรมเพื่อบ้านเมือง มองข้ามความรู้สึกส่วนตัวไปยังภาพที่ใหญ่กว่าซึ่งก็คือความเดือดร้อนหรือความสุขสงบของประชาชน

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจากในละครและจาก:
    https://www.cosmopolitan.com/tw/entertainment/movies/g63261255/blossom-ending/
    https://www.thepaper.cn/newsDetail_forward_27370559
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://www.ihchina.cn/details/7011.html
    https://paper.people.com.cn/fcyym/html/2024-08/02/content_26075300.htm
    https://ctext.org/huainanzi/shuo-lin-xun/zhs
    https://www.xinfajia.net/4835.html
    https://www.gushiwen.cn/mingju/juv_2e11ccdf0840.aspx
    https://www.shidianguji.com/zh/mingju/7474306868938162226

    #จิ่วฉงจื่อ #วลีจีน #หวยหนานจื่อ #นายพรานกับกระต่าย #สาระจีน
    **วลีจีน ‘นักล่ากวางไม่ยี่หระกระต่าย’** สวัสดีค่ะ วันนี้มาคุยกันสั้นๆ เรื่อง ‘วลีเด็ด’ เพื่อนเพจที่ได้ดูเรื่อง <จิ่วฉงจื่อ บุปผาเหนือลิขิต> คงจำได้ว่าตอนท้ายเรื่องพระเอกขอลาออกจากราชการ เหตุผลของเขานั้นหากอ่านจากซับไทยอาจไม่ค่อยเข้าใจความหมาย Storyฯ จึงขอแปลใหม่โดยมีความแตกต่างจากซับไทยเล็กน้อยว่า “จนเมื่อมาพบกับโต้วเจา นางทำให้กระหม่อมรู้ว่า นักล่ากวางเมื่อเจอกระต่ายต้องยับยั้งชั่งใจ นักล่าสัตว์เจอภูเขาต้องมองให้กว้าง” (หมายเหตุ ในซับไทยใช้คำว่า ‘นายพราน’ ซึ่งไม่ผิดแต่ทำให้บริบทที่มาของวลีนี้ขาดหายไป) ยังฟังดูงงๆ ใช่ไหม? จะเข้าใจความหมายของมันก็ต้องเข้าใจบริบทและที่มาของมันค่ะ สองประโยค “นักล่ากวาง.... ต้องมองให้กว้าง” นี้ไม่ใช่วลีจีนโบราณ แต่มันมีรากฐานมาจากวรรณกรรมโบราณที่ชื่อว่า ‘หวยหนานจื่อ’ (淮南子 / บุรุษเมืองหวยหนาน) ถูกยกมาจากบรรพที่มีชื่อว่า ‘ซัวหลินซุ่น’ (说林训/ คำสอนจากป่าไม้) หวยหนานจื่อเป็นผลงานในยุคสมัยฮั่นตะวันตกของอ๋องหวยหนาน (หลิวอัน) และบัณฑิตในสังกัด ต่อมาถูกนำถวายให้แก่องค์ฮั่นอู่ตี้ (ปี 138 ก่อนคริสตกาล) เดิมมีทั้งหมด 3 บทรวม 62 บรรพ: บทใน 21 บรรพยาวกว่าสองแสนอักษร (ปัจจุบันเหลือเพียงหนึ่งแสนสามหมื่นอักษร); บทกลาง 8 บรรพ (สูญหายไปแล้ว); และบทนอก 33 บรรพ (สูญหายไปแล้ว) โดยเนื้อหาของหวยหนานจื่อครอบคลุมเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ ตำนานเล่าขาน (เช่นเรื่องหนี่ว์วาซ่อมแซมฟ้า โฮ่วอี้ยิงตะวัน) ข้อมูลทางธรรมชาติ (เช่นฤดูกาล) หลักหยินหยาง คำสอนขงจื๊อ คำสอนลัทธิเต๋า กลยุทธ์การศึกการทหาร ฯลฯ เรียบเรียงเป็นคำกล่าวสอนชี้ชวนให้คิดและสะท้อนปรัชญาชีวิต จัดเป็นหนึ่งในวรรณกรรมที่อ่านยากมากที่สุดของจีน ทั้งด้วยภาษาที่ใช้และเนื้อหาที่ลึกซึ้งแอบแฝง โดยมีหลายวรรคหลายประโยคที่ถูกยกย่องเป็น ‘วลีเด็ด’ ข้ามกาลเวลาจวบจนปัจจุบัน ประโยค “นักล่ากวางเมื่อเจอกระต่ายต้องยับยั้งชั่งใจ” แปลงมาจากหนึ่งในวรรคเด็ดของ ‘หวยหนานจื่อ-ซัวหลินซุ่น’ ที่อ่านเต็มๆ ว่า “นักล่ากวางไม่ยี่หระกระต่าย คนเจรจาสินค้าพันตำลึงทองไม่ถกเถียงเงินจำนวนเล็กน้อย” (逐鹿者不顾兔,决千金之货者不争铢两之价。) ความหมายก็คือว่า คนเราเมื่อมีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ ก็ไม่ควรวอกแวกไปกับเรื่องเล็กน้อยที่ผ่านเข้ามา เหมือนกับนักล่ากวางที่มีเป้าหมายคือกวาง ก็ไม่ควรเสียสมาธิและพลังงานไปกับการล่ากระต่ายที่ผ่านเข้ามา ส่วนประโยคหลัง “นักล่าสัตว์เจอภูเขาต้องมองให้กว้าง” แปลงมาจากอีกหนึ่งในวรรคเด็ดของ ‘หวยหนานจื่อ-ซัวหลินซุ่น’ ที่อ่านเต็มๆ ว่า “นักล่าสัตว์มองไม่เห็นภูเขาไท่ซาน ความกระหายภายนอกบดบังความกระจ่างภายในใจ” (逐兽者目不见太山,嗜欲在外,则明所蔽矣。) ความหมายก็คือว่า เมื่อเราใจจดจ่ออยู่กับบางอย่างเราจะมองไม่เห็นภาพใหญ่ เหมือนกับนายพรานที่มัวแต่มองเหยื่อจนไม่เห็นความสวยงามของภูเขา และความต้องการบางอย่างอาจรุนแรงจนบดบังสติความคิดที่ควรมี เมื่อเข้าใจบริบทที่มาของประโยคทั้งสองแล้ว เพื่อนเพจคงเข้าใจได้ไม่ยากถึงความนัยที่แท้จริง... พระเอกบอกว่า นางเอกสอนให้เขามองข้ามความสะใจชั่ววูบของการแก้แค้น แต่ให้มองการพลิกคดีของติ้งกั๋วกงและตระกูลเจี่ยงเป็นเป้าหมายใหญ่ และไม่ให้ความแค้นมาบดบังความรู้สึกผิดชอบชั่วดีและภาระหน้าที่ในการผดุงธรรมเพื่อบ้านเมือง มองข้ามความรู้สึกส่วนตัวไปยังภาพที่ใหญ่กว่าซึ่งก็คือความเดือดร้อนหรือความสุขสงบของประชาชน (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://www.cosmopolitan.com/tw/entertainment/movies/g63261255/blossom-ending/ https://www.thepaper.cn/newsDetail_forward_27370559 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://www.ihchina.cn/details/7011.html https://paper.people.com.cn/fcyym/html/2024-08/02/content_26075300.htm https://ctext.org/huainanzi/shuo-lin-xun/zhs https://www.xinfajia.net/4835.html https://www.gushiwen.cn/mingju/juv_2e11ccdf0840.aspx https://www.shidianguji.com/zh/mingju/7474306868938162226 #จิ่วฉงจื่อ #วลีจีน #หวยหนานจื่อ #นายพรานกับกระต่าย #สาระจีน
    1 Comments 0 Shares 95 Views 0 Reviews
  • ..ข้อเท็จจริงจริงๆเราไม่ทราบได้.,แต่ถ้าจริงเพื่อปราบปรามเดอะแก๊งอาชญากรรมต่างๆและเดอะแก๊งค้ามนุษย์ในสหรัฐหรือทั่วอเมริกาหรือล้างบางครั้งใหญ่ในอเมริกาก็น่าฟังได้.

    ..💥 ข่าวล่าสุด: สงครามของทรัมป์ต่อการล่วงละเมิดเด็ก – ประธานาธิบดีที่ทำลายล้างอาณาจักรของพวกชอบเด็กที่พวกเขาสาบานว่าจะไม่มีวันถูกแตะต้อง

    💥 คำสั่งฝ่ายบริหารของทรัมป์ได้เปิดฉากการปราบปรามการล่วงละเมิดเด็ก การค้ามนุษย์ และผู้ล่าเหยื่อออนไลน์ที่โหดร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ ในขณะที่คนอื่นพูด เขาก็ลงมือทำ และรัฐบาลเงาก็ไม่เคยให้อภัยเขาเลย

    👉 อ่านเรื่องราวทั้งหมดได้ที่นี่: https://amg-news.com/just-in-trumps-executive-war-on-child-abuse-the-president-who-shattered-the-pedophile-empire-they-swore-would-never-be-touched/
    ..ข้อเท็จจริงจริงๆเราไม่ทราบได้.,แต่ถ้าจริงเพื่อปราบปรามเดอะแก๊งอาชญากรรมต่างๆและเดอะแก๊งค้ามนุษย์ในสหรัฐหรือทั่วอเมริกาหรือล้างบางครั้งใหญ่ในอเมริกาก็น่าฟังได้. ..💥 ข่าวล่าสุด: สงครามของทรัมป์ต่อการล่วงละเมิดเด็ก – ประธานาธิบดีที่ทำลายล้างอาณาจักรของพวกชอบเด็กที่พวกเขาสาบานว่าจะไม่มีวันถูกแตะต้อง 💥 คำสั่งฝ่ายบริหารของทรัมป์ได้เปิดฉากการปราบปรามการล่วงละเมิดเด็ก การค้ามนุษย์ และผู้ล่าเหยื่อออนไลน์ที่โหดร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ ในขณะที่คนอื่นพูด เขาก็ลงมือทำ และรัฐบาลเงาก็ไม่เคยให้อภัยเขาเลย 👉 อ่านเรื่องราวทั้งหมดได้ที่นี่: https://amg-news.com/just-in-trumps-executive-war-on-child-abuse-the-president-who-shattered-the-pedophile-empire-they-swore-would-never-be-touched/
    AMG-NEWS.COM
    JUST IN: TRUMP’S EXECUTIVE WAR ON CHILD ABUSE - THE PRESIDENT WHO SHATTERED THE PEDOPHILE EMPIRE THEY SWORE WOULD NEVER BE TOUCHED - amg-news.com - American Media Group
    Trump’s executive orders launched the most ruthless crackdown on child abuse, human trafficking, and online predators in U.S. history. While others talked, he took action — and the Deep State has never forgiven him.
    0 Comments 0 Shares 57 Views 0 Reviews
  • 🏗️ Amazon ลงทุน 20 พันล้านดอลลาร์ สร้างศูนย์ข้อมูล AI ในเพนซิลเวเนีย
    Amazon Web Services (AWS) ประกาศแผนลงทุนอย่างน้อย 20 พันล้านดอลลาร์ เพื่อสร้าง ศูนย์ข้อมูล AI และคลาวด์คอมพิวติ้ง ในรัฐเพนซิลเวเนีย ซึ่งถือเป็น การลงทุนภาคเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของรัฐ

    AWS จะสร้าง AI campuses ใน Salem Township และ Falls Township โดยมีแผนขยายเพิ่มเติม ซึ่งอาจทำให้ มูลค่าการลงทุนสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Amazon ลงทุน 20 พันล้านดอลลาร์ในศูนย์ข้อมูล AI และคลาวด์คอมพิวติ้งในเพนซิลเวเนีย
    - โครงการนี้จะสร้างงาน IT อย่างน้อย 1,250 ตำแหน่ง พร้อมงานก่อสร้างและบำรุงรักษาอีกหลายพันตำแหน่ง
    - รัฐเพนซิลเวเนียทำงานร่วมกับ Amazon และผู้นำท้องถิ่นเพื่อสรุปข้อตกลงนี้
    - Governor Josh Shapiro ระบุว่าโครงการนี้จะช่วยให้รัฐมีบทบาทสำคัญในการพัฒนา AI ขั้นสูง
    - Amazon ลงทุนในเพนซิลเวเนียมากกว่า 26 พันล้านดอลลาร์ตั้งแต่ปี 2010

    🔥 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม AI และเศรษฐกิจ
    การลงทุนครั้งนี้ ช่วยให้สหรัฐฯ รักษาความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรม AI และ เพิ่มโอกาสการจ้างงานในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - แม้โครงการนี้จะสร้างงานจำนวนมาก แต่ต้องติดตามว่าผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจะเป็นอย่างไร
    - Amazon อาจได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีจากรัฐ ซึ่งอาจส่งผลต่อรายได้ของรัฐบาลท้องถิ่น
    - ต้องติดตามว่าโครงการนี้จะช่วยให้เพนซิลเวเนียกลายเป็นศูนย์กลาง AI ระดับโลกหรือไม่
    - การพัฒนา AI ยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยและการใช้ข้อมูลส่วนบุคคล

    Amazon มุ่งเน้น การพัฒนา AI และโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ เพื่อรองรับ บริการ AI ขั้นสูง เช่น Generative AI และ Machine Learning อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการลงทุนนี้จะส่งผลต่อการแข่งขันในตลาด AI อย่างไร

    https://www.techspot.com/news/108276-amazon-invest-20-billion-ai-data-centers-across.html
    🏗️ Amazon ลงทุน 20 พันล้านดอลลาร์ สร้างศูนย์ข้อมูล AI ในเพนซิลเวเนีย Amazon Web Services (AWS) ประกาศแผนลงทุนอย่างน้อย 20 พันล้านดอลลาร์ เพื่อสร้าง ศูนย์ข้อมูล AI และคลาวด์คอมพิวติ้ง ในรัฐเพนซิลเวเนีย ซึ่งถือเป็น การลงทุนภาคเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของรัฐ AWS จะสร้าง AI campuses ใน Salem Township และ Falls Township โดยมีแผนขยายเพิ่มเติม ซึ่งอาจทำให้ มูลค่าการลงทุนสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ ✅ ข้อมูลจากข่าว - Amazon ลงทุน 20 พันล้านดอลลาร์ในศูนย์ข้อมูล AI และคลาวด์คอมพิวติ้งในเพนซิลเวเนีย - โครงการนี้จะสร้างงาน IT อย่างน้อย 1,250 ตำแหน่ง พร้อมงานก่อสร้างและบำรุงรักษาอีกหลายพันตำแหน่ง - รัฐเพนซิลเวเนียทำงานร่วมกับ Amazon และผู้นำท้องถิ่นเพื่อสรุปข้อตกลงนี้ - Governor Josh Shapiro ระบุว่าโครงการนี้จะช่วยให้รัฐมีบทบาทสำคัญในการพัฒนา AI ขั้นสูง - Amazon ลงทุนในเพนซิลเวเนียมากกว่า 26 พันล้านดอลลาร์ตั้งแต่ปี 2010 🔥 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม AI และเศรษฐกิจ การลงทุนครั้งนี้ ช่วยให้สหรัฐฯ รักษาความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรม AI และ เพิ่มโอกาสการจ้างงานในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - แม้โครงการนี้จะสร้างงานจำนวนมาก แต่ต้องติดตามว่าผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจะเป็นอย่างไร - Amazon อาจได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีจากรัฐ ซึ่งอาจส่งผลต่อรายได้ของรัฐบาลท้องถิ่น - ต้องติดตามว่าโครงการนี้จะช่วยให้เพนซิลเวเนียกลายเป็นศูนย์กลาง AI ระดับโลกหรือไม่ - การพัฒนา AI ยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยและการใช้ข้อมูลส่วนบุคคล Amazon มุ่งเน้น การพัฒนา AI และโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ เพื่อรองรับ บริการ AI ขั้นสูง เช่น Generative AI และ Machine Learning อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการลงทุนนี้จะส่งผลต่อการแข่งขันในตลาด AI อย่างไร https://www.techspot.com/news/108276-amazon-invest-20-billion-ai-data-centers-across.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Amazon to invest $20 billion in AI data centers across Pennsylvania
    Amazon has announced plans to invest at least $20 billion in new cloud computing facilities across Pennsylvania. The tech giant, founded by Jeff Bezos, says the move...
    0 Comments 0 Shares 62 Views 0 Reviews
  • 🚀 Fidji Simo: จากครอบครัวชาวประมงสู่ผู้บริหารระดับสูงใน Silicon Valley
    Fidji Simo กำลังจะกลายเป็น ผู้บริหารระดับสูงของ OpenAI โดยจะทำหน้าที่ ดูแลการดำเนินงานของบริษัท เพื่อให้ CEO Sam Altman สามารถ มุ่งเน้นไปที่การวิจัยและโครงสร้างพื้นฐาน

    Simo เติบโตใน ครอบครัวชาวประมงในเมือง Sete ประเทศฝรั่งเศส ก่อนจะเข้าเรียนที่ HEC Paris และเริ่มต้นอาชีพที่ eBay ก่อนจะก้าวเข้าสู่ Meta และ Instacart

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Fidji Simo จะเป็นผู้บริหารระดับสูงของ OpenAI ดูแลการดำเนินงานของบริษัท
    - เติบโตในครอบครัวชาวประมงในเมือง Sete ประเทศฝรั่งเศส
    - เรียนที่ HEC Paris และเริ่มต้นอาชีพที่ eBay ก่อนย้ายไป Meta ในปี 2011
    - เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงของ Meta สู่แพลตฟอร์มวิดีโอในปี 2014
    - เข้ารับตำแหน่ง CEO ของ Instacart ในปี 2021 และทำให้บริษัทมีกำไรในปี 2022

    🔥 ความท้าทายที่รออยู่ใน OpenAI
    แม้ว่า OpenAI จะเป็น หนึ่งในสตาร์ทอัพที่ได้รับเงินทุนสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่บริษัท กำลังเผชิญกับปัญหาการใช้เงินทุนจำนวนมากและความไม่แน่นอนด้านการบริหาร

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - OpenAI กำลังเผชิญกับปัญหาการใช้เงินทุนจำนวนมาก แม้จะประสบความสำเร็จกับ ChatGPT
    - บริษัทมีการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารหลายครั้ง รวมถึงการปลดและคืนตำแหน่งของ Sam Altman ในปี 2023
    - ต้องติดตามว่า Simo จะสามารถช่วยให้ OpenAI มีเสถียรภาพด้านการบริหารได้หรือไม่
    - การแข่งขันในตลาด AI กำลังรุนแรงขึ้น โดยมีคู่แข่งอย่าง Google DeepMind และ Anthropic

    การเข้ามาของ Simo อาจช่วยให้ OpenAI มีความมั่นคงมากขึ้น และ สามารถขยายธุรกิจไปสู่การใช้งาน AI ในระดับองค์กร อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อกลยุทธ์ของบริษัทอย่างไร

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/12/from-fishing-family-to-big-tech-french-ceo-takes-on-silicon-valley
    🚀 Fidji Simo: จากครอบครัวชาวประมงสู่ผู้บริหารระดับสูงใน Silicon Valley Fidji Simo กำลังจะกลายเป็น ผู้บริหารระดับสูงของ OpenAI โดยจะทำหน้าที่ ดูแลการดำเนินงานของบริษัท เพื่อให้ CEO Sam Altman สามารถ มุ่งเน้นไปที่การวิจัยและโครงสร้างพื้นฐาน Simo เติบโตใน ครอบครัวชาวประมงในเมือง Sete ประเทศฝรั่งเศส ก่อนจะเข้าเรียนที่ HEC Paris และเริ่มต้นอาชีพที่ eBay ก่อนจะก้าวเข้าสู่ Meta และ Instacart ✅ ข้อมูลจากข่าว - Fidji Simo จะเป็นผู้บริหารระดับสูงของ OpenAI ดูแลการดำเนินงานของบริษัท - เติบโตในครอบครัวชาวประมงในเมือง Sete ประเทศฝรั่งเศส - เรียนที่ HEC Paris และเริ่มต้นอาชีพที่ eBay ก่อนย้ายไป Meta ในปี 2011 - เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงของ Meta สู่แพลตฟอร์มวิดีโอในปี 2014 - เข้ารับตำแหน่ง CEO ของ Instacart ในปี 2021 และทำให้บริษัทมีกำไรในปี 2022 🔥 ความท้าทายที่รออยู่ใน OpenAI แม้ว่า OpenAI จะเป็น หนึ่งในสตาร์ทอัพที่ได้รับเงินทุนสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่บริษัท กำลังเผชิญกับปัญหาการใช้เงินทุนจำนวนมากและความไม่แน่นอนด้านการบริหาร ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - OpenAI กำลังเผชิญกับปัญหาการใช้เงินทุนจำนวนมาก แม้จะประสบความสำเร็จกับ ChatGPT - บริษัทมีการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารหลายครั้ง รวมถึงการปลดและคืนตำแหน่งของ Sam Altman ในปี 2023 - ต้องติดตามว่า Simo จะสามารถช่วยให้ OpenAI มีเสถียรภาพด้านการบริหารได้หรือไม่ - การแข่งขันในตลาด AI กำลังรุนแรงขึ้น โดยมีคู่แข่งอย่าง Google DeepMind และ Anthropic การเข้ามาของ Simo อาจช่วยให้ OpenAI มีความมั่นคงมากขึ้น และ สามารถขยายธุรกิจไปสู่การใช้งาน AI ในระดับองค์กร อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อกลยุทธ์ของบริษัทอย่างไร https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/12/from-fishing-family-to-big-tech-french-ceo-takes-on-silicon-valley
    WWW.THESTAR.COM.MY
    From fishing family to Big Tech: French CEO takes on Silicon Valley
    At just 39 years old, Fidji Simo is poised to become OpenAI's second-in-command after leaving her mark at two other major tech firms, including Meta.
    0 Comments 0 Shares 50 Views 0 Reviews
  • เตือนทักษิณ-อุ๊งอิ๊งค์ ระวังประวัติศาสตร์ซ้ำรอย

    เมื่อวันที่ 10 มิ.ย. นายสนธิ ลิ้มทองกุล นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน พร้อมคณะยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อให้ทำหน้าที่ปกป้องรักษาอธิปไตย และความมั่นคงของชาติ โดยมีข้อเรียกร้อง 6 ข้อ ได้แก่ 1. รัฐบาลไทยต้องประกาศย้ำไม่ยอมรับอำนาจศาลโลก และจะใช้กลไกการเจรจาเรื่องเขตแดนผ่านคณะกรรมาธิการร่วมเขตแดนไทย-กัมพูชา (JBC) เท่านั้น

    2. รัฐบาลไทยต้องประท้วงอย่างเป็นทางการทั้งต่อกัมพูชาและสากลว่า ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด ปราสาทตาควาย และสามเหลี่ยมมรกต ศาลาตรีมุข เป็นดินแดนไทย และไม่ใช่ No man’s land 3. ยกเลิก MOU 2543 เพื่อยกเลิกแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ที่จัดทำขึ้นโดยฝรั่งเศสแต่เพียงฝ่ายเดียว และให้ใช้กลไก JBC กำหนดจัดทำหลักเขตที่สูญหาย ตามสันปันน้ำและขอบหน้าผาตามธรรมชาติ โดยใช้เทคโนโลยีที่เป็นวิทยาศาสตร์

    4. ยกเลิก MOU 2544 เพื่อยกเลิกเส้นไหล่ทวีปที่รุกล้ำอธิปไตยน่านน้ำไทย ให้ใช้กลไกของคณะกรรมาธิการทางเทคนิคในทะเลไทย-กัมพูชา (JTC) กำหนดใช้เส้นมัธยะตามกฎหมายทะเลสากล 5. สั่งการและมีมติเพิ่มอำนาจต่อรองก่อนการประชุม JBC ยังคงหรือลดเวลาเปิดด่านไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะพื้นที่บ่อนคาสิโน เพื่อต่อรองให้หยุดการก่ออาชญากรรมทางเทคโนโลยี และ 6. หากสถานการณ์ไทย-กัมพูชาเลวร้ายลง ให้กองทัพไทยสามารถประกาศกฎอัยการศึก เพื่อป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อน

    นายสนธิ กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ เพราะนายวีระ สมความคิด เป็นเหยื่อของคนที่ต้องการยกพื้นที่ประเทศไทยให้กัมพูชา ข้อเท็จจริงซึ่งพิสูจน์และปฎิเสธไม่ได้เลย คือ นายวีระตอนถูกจับยังไม่ถึงหมู่บ้านหนองจาน อีกทั้งตนไม่ได้สนใจเลยว่านายทักษิณ ชินวัตร และกรณีชั้น 14 จะตายโหงตายห่ายังไง เพราะรู้ว่าเมื่อเข้าสู่กระบวนการแล้วก็ต้องเป็นไปตามกระบวนการ แต่ตนสนใจคนที่ทรยศต่อชาติบ้านเมืองที่อยู่ในประเทศไทย ที่แอบส่งเสริมให้กัมพูชามายึดพื้นที่ของเรา

    "ผมยังยืนยันว่าเวลาที่จะต้องออกมาแสดงพลังกันทั่วประเทศนั้น มันคุกรุ่นมากและใกล้จะมาถึงแล้ว เพราะฉะนั้นแล้วถ้าคุณจะถามผมว่าจะมีการลงถนนไหม ก็ถ้าจำเป็นเพื่อที่จะปกป้องอธิปไตยไทย แล้วขับไล่รัฐบาลชั่วช้าแบบนี้ไป ถ้าจะลงถนนผมไม่ขัดข้อง ถึงอายุ 78 ปีแล้ว จะเป็นการลงถนนครั้งสุดท้ายก่อนตายผมก็ยินดี และผมก็เชื่อว่าพี่น้องเยอะแยะ อย่างน้อยทุกคนที่บนโต๊ะนี้ ผมเชื่อว่าเอากับผมแน่นอน เอากับพวกเรากันแน่นอน เพราะฉะนั้นแล้วผมจะฝากถึงแพทองธาร ชินวัตร ภูมิธรรม เวชยชัย และทักษิณ ชินวัตร ว่าประวัติศาสตร์กำลังจะซ้ำรอยพวกคุณ"

    #Newskit
    เตือนทักษิณ-อุ๊งอิ๊งค์ ระวังประวัติศาสตร์ซ้ำรอย เมื่อวันที่ 10 มิ.ย. นายสนธิ ลิ้มทองกุล นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน พร้อมคณะยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อให้ทำหน้าที่ปกป้องรักษาอธิปไตย และความมั่นคงของชาติ โดยมีข้อเรียกร้อง 6 ข้อ ได้แก่ 1. รัฐบาลไทยต้องประกาศย้ำไม่ยอมรับอำนาจศาลโลก และจะใช้กลไกการเจรจาเรื่องเขตแดนผ่านคณะกรรมาธิการร่วมเขตแดนไทย-กัมพูชา (JBC) เท่านั้น 2. รัฐบาลไทยต้องประท้วงอย่างเป็นทางการทั้งต่อกัมพูชาและสากลว่า ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด ปราสาทตาควาย และสามเหลี่ยมมรกต ศาลาตรีมุข เป็นดินแดนไทย และไม่ใช่ No man’s land 3. ยกเลิก MOU 2543 เพื่อยกเลิกแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ที่จัดทำขึ้นโดยฝรั่งเศสแต่เพียงฝ่ายเดียว และให้ใช้กลไก JBC กำหนดจัดทำหลักเขตที่สูญหาย ตามสันปันน้ำและขอบหน้าผาตามธรรมชาติ โดยใช้เทคโนโลยีที่เป็นวิทยาศาสตร์ 4. ยกเลิก MOU 2544 เพื่อยกเลิกเส้นไหล่ทวีปที่รุกล้ำอธิปไตยน่านน้ำไทย ให้ใช้กลไกของคณะกรรมาธิการทางเทคนิคในทะเลไทย-กัมพูชา (JTC) กำหนดใช้เส้นมัธยะตามกฎหมายทะเลสากล 5. สั่งการและมีมติเพิ่มอำนาจต่อรองก่อนการประชุม JBC ยังคงหรือลดเวลาเปิดด่านไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะพื้นที่บ่อนคาสิโน เพื่อต่อรองให้หยุดการก่ออาชญากรรมทางเทคโนโลยี และ 6. หากสถานการณ์ไทย-กัมพูชาเลวร้ายลง ให้กองทัพไทยสามารถประกาศกฎอัยการศึก เพื่อป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อน นายสนธิ กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ เพราะนายวีระ สมความคิด เป็นเหยื่อของคนที่ต้องการยกพื้นที่ประเทศไทยให้กัมพูชา ข้อเท็จจริงซึ่งพิสูจน์และปฎิเสธไม่ได้เลย คือ นายวีระตอนถูกจับยังไม่ถึงหมู่บ้านหนองจาน อีกทั้งตนไม่ได้สนใจเลยว่านายทักษิณ ชินวัตร และกรณีชั้น 14 จะตายโหงตายห่ายังไง เพราะรู้ว่าเมื่อเข้าสู่กระบวนการแล้วก็ต้องเป็นไปตามกระบวนการ แต่ตนสนใจคนที่ทรยศต่อชาติบ้านเมืองที่อยู่ในประเทศไทย ที่แอบส่งเสริมให้กัมพูชามายึดพื้นที่ของเรา "ผมยังยืนยันว่าเวลาที่จะต้องออกมาแสดงพลังกันทั่วประเทศนั้น มันคุกรุ่นมากและใกล้จะมาถึงแล้ว เพราะฉะนั้นแล้วถ้าคุณจะถามผมว่าจะมีการลงถนนไหม ก็ถ้าจำเป็นเพื่อที่จะปกป้องอธิปไตยไทย แล้วขับไล่รัฐบาลชั่วช้าแบบนี้ไป ถ้าจะลงถนนผมไม่ขัดข้อง ถึงอายุ 78 ปีแล้ว จะเป็นการลงถนนครั้งสุดท้ายก่อนตายผมก็ยินดี และผมก็เชื่อว่าพี่น้องเยอะแยะ อย่างน้อยทุกคนที่บนโต๊ะนี้ ผมเชื่อว่าเอากับผมแน่นอน เอากับพวกเรากันแน่นอน เพราะฉะนั้นแล้วผมจะฝากถึงแพทองธาร ชินวัตร ภูมิธรรม เวชยชัย และทักษิณ ชินวัตร ว่าประวัติศาสตร์กำลังจะซ้ำรอยพวกคุณ" #Newskit
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 210 Views 0 Reviews
  • EP.6 ถอดรหัสไทยเสียดินแดนครั้งที่ 16 ปราสาทเขาพระวิหาร

    ค่ำวันที่ 4 กรกฎาคม 2505 หลังจากศาลโลกตัดสินให้ปราสาทพระวิหาร ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของกัมพูชา ได้ประมาณ 20 วัน จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรีของไทย ในขณะนั้น ได้กล่าวปราศรัยผ่านสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย แสดงความรู้สึกต่อการสูญเสียปราสาทพระวิหาร และยืนยันสิทธิ์ที่จะทวงคืนปราสาทพระวิหารในอนาคต ดังนี้

    พี่น้องร่วมชาติ และมิตรร่วมชีวิตที่รักของข้าพเจ้าทั้งหลาย ตามที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือที่เรียกว่า ศาลโลก ได้วินิจฉัยชี้ขาดเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ.2505 ให้ปราสาทเขาพระวิหารตกเป็นของกัมพูชา และทางรัฐบาลได้ออกแถลงให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบเป็นลำดับนั้น

    รัฐบาลของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยเฉพาะตัวของข้าพเจ้า ถือว่าเรื่องนี้มีความสำคัญยิ่ง เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับผลได้ผลเสียของชาติ อันเป็นเรื่องของแผ่นดินไทย ซึ่งเป็นมรดกที่บรรพบุรุษของเราสู้มา อุตส่าห์ฝ่าคมอาวุธรักษาไว้ และตกทอดมาถึงรุ่นเรา

    เนื่องจากในคำปราศรัยนี้เป็นเรื่องที่สะเทือนใจพี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าทราบดีว่า ในส่วนลึกและหัวใจแล้ว คนไทยผู้รักชาติทุกคน มีความเศร้าสลดและมีความข่มขืนใจเพียงใด แสดงออกถึงของประชาชนในการเดินขบวนทั่วประเทศ เพื่อคัดค้านคำพิพากษาของศาลโลกเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เป็นสิ่งที่เห็นกันอยู่อย่างชัดเจนแล้ว

    ทั้งนี้ มิใช่ว่าพวกเราจะนั่งนิ่งเฉยหรือท้อแท้ใจ ชาติไทยยอมท้อแท้ทอดอาลัยไม่ได้ เราเคยสูญเสียดินแดนแก่ประเทศมหาอำนาจที่ล่าอาณานิคมมาแล้วหลายครั้ง หากบรรพบุรุษของเรายอมท้อแท้ เราจะเอาแผ่นดินที่ไหนมาอยู่กันได้จนถึงทุกวันนี้ เราจะต้องหาวิธีการสู้ต่อไป

    สำหรับกรณีเขาพระวิหาร ซึ่งศาลโลกได้วินิจฉัยชี้ขาดไปแล้วนั้น ข้าพเจ้าขอทบทวนเข้าใจกับเพื่อนร่วมชาติทั้งหลาย ว่า รัฐบาลและประชาชนชาวไทย ไม่ได้เห็นด้วยกับคำตัดสินของศาลโลก ทั้งในข้อเท็จจริงกฎหมายระหว่างประเทศ และหลักความยุติธรรม

    เมื่อเป็นดังนี้ แม้นรัฐบาลและปวงชนชาวไทย จะได้มีความรู้สึกสลดใจและขมขื่นเพียงใด ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นสมาชิกของสหประชาชาติ ก็ต้องปฏิบัติตามพันธกรณีในกฎบัตรสหประชาชาติ กล่าวคือ ต้องยอมให้กัมพูชามีอธิปไตยเหนือเขาพระวิหาร ตามพันธกรณีแห่งกฎบัตรสหประชาชาติ แต่รัฐบาลขอตั้งประท้วงและขอสงวนสิทธิ์อันชอบธรรมของประเทศไทยในเรื่องนี้ไว้ เพื่อสงวนสิทธิ์ที่จะดำเนินทางกฎหมายที่จำเป็น ซึ่งอาจจะมีขึ้นในภายภาคหน้า ให้กรรมสิทธิ์นี้กลับคืนมาในโอกาสอันสมควร

    พี่น้องทั้งหลายคงทราบดีว่า ชาติของเราต้องเสียศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิไป เนื่องจากเขาพระวิหาร อีกสิบปีอีกกี่ร้อยปี เราก็สามารถสร้างเกียรติภูมิคราวนี้กลับคืนมาได้ ข้าพเจ้าทราบว่า การสูญเสียปราสาทเขาพระวิหารครั้งนี้ เป็นการสูญเสียที่สะเทือนใจของคนไทยทั้งชาติ

    ฉะนั้น แม้นว่า กัมพูชาจะได้ปราสาทเขาพระวิหารนี้ไป ก็คงไปได้แค่ซากปรักหักพัง และแผ่นดินเฉพาะรองรับเขาพระวิหารเท่านั้น วิญญาณของปราสาทเขาพระวิหารยังคงอยู่กับคนไทยตลอดไป ประชาชนชาวไทยจะระลึกอยู่เสมอว่า ปราสาทเขาพระวิหารของไทยถูกปล้นเอาไป ด้วยอุปเล่ห์เพทุบาย คนที่ไม่มีเกียรติและไม่รับผิดชอบ ไม่รักความเป็นธรรม เมื่อประเทศไทยเราประพฤติปฏิบัติดีในสังคมโลก อันเป็นที่มีศีลธรรม มีสัตย์ ในวันหนึ่งข้างหน้าไม่ช้าก็เร็ว ปราสาทเขาพระวิหารจะต้องกลับมาสู่ดินแดนไทยอีกครั้งหนึ่ง

    เหตุการณ์เกี่ยวกับเขาพระวิหารครั้งนี้ สลักแน่นอยู่ในความทรงจำของคนไทยสืบไปชั่วลูกชั่วหลาน และเป็นรอยจารึกอยู่ในประวัติศาสตร์ของชาติไปตลอด เสมือนแผลที่อยู่ในใจของคนไทยทั้งชาติ แต่ข้าพเจ้าหวังอยู่เสมอว่า ในที่สุด ธรรมะย่อมชนะอธรรม การหัวเราะที่หลังย่อมดังกว่า และนานกว่า

    พี่น้องร่วมชาติทุกท่าน ได้โปรดวางใจรัฐบาลซึ่งข้าพเจ้าเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่นี้ จะสามารถนำชาติและพี่น้องชาวไทยที่รักก้าวสู่อนาคตอันสุกใสให้ได้ และข้าพเจ้ารับรองแก่ท่านทั้งหลายว่า เมื่อถึงคราวที่ชาติคับขันแล้ว ข้าพเจ้าจะกอดคอร่วมเป็นร่วมตายกับพี่น้องประชาชนชาวไทย เอาเลือดทาแผ่นดิน ไม่เสียดายชีวิตแม้แต่นิดเดียว แต่เราจะทำอย่างไรได้ ข้าพเจ้าเองมีความเจ็บช้ำน้ำใจไม่น้อยไปกว่าเพื่อร่วมชาติทั้งหลาย

    การที่ข้าพเจ้าต้องมากล่าวถึงเรื่องนี้ ข้าพเจ้าอยากจะกล่าวว่า การมาพูดกับท่านด้วยน้ำตา น้ำตาของข้าพเจ้า เป็นน้ำตาของลูกผู้ชาย ของเลือด ของความคับแค้น และการผูกใจเจ็บชั่วชีวิตชาตินี้และชาติหน้า ต่อดวงวิญญาณของบรรพบุรุษผู้กล้าหาญของชาวไทย

    ข้าพเจ้าขอกล่าวคำปฏิญาณด้วยสัตย์วาจาดังนี้ พี่น้องที่รักชาติทั้งหลาย น้ำตาไม่อาจทำให้เราฉลาดขึ้น แต่เราจะต้องได้อะไรคืนมา ในขั้นสุดท้ายชาติไทยจะต้องประสบกับชัยชนะเสมอ เราต้องกล้าสู้ เราต้องกล้ายิ้มรับภัยที่มาถึงตัวเรา ชาติไทยเป็นชาติที่เชื่อมั่นในบริวารพุทธศาสนา ตั้งตนอยู่ในความเป็นธรรมตลอดมา

    ข้าพเจ้าเชื่อมั่นเสมอว่า ชาติของเราจะไม่อับจนเป็นอันขาด เรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องหนึ่งในบรรดาเรื่องใหญ่ทั้งหลาย มีความสำคัญมากกว่านี้ ชาติที่รักของเรากำลังพัฒนาไปในสู่วิถีทางที่ดีขึ้น เหตุนี้ไม่ใช่เหตุผลความอับจนของเรา จงหวังและทำในเรื่องชาติที่สำคัญกว่านี้ ข้าพเจ้าเชื่อมั่นเหลือเกินว่า ชาติไทยของเรามีอนาคตแจ่มใสและรุ่งโรจน์อย่างแน่นอนและมั่นคงในอนาคตอันใกล้ นี้ เราจงมาช่วยกันสร้างชาติที่รักยิ่งของเราต่อไป

    พี่น้องชาวไทยที่รักทั้งหลาย วันนี้เป็นวันหนึ่งและเป็นในวันข้างหน้า เราจะต้องเอาปราสาทเขาพระวิหารกลับคืนมา ให้เป็นของชาติไทยให้จงได้ สวัสดี”

    https://youtube.com/shorts/Xdz0paAXVz4?si=k7SNESYjZJlELM04
    EP.6 ถอดรหัสไทยเสียดินแดนครั้งที่ 16 ปราสาทเขาพระวิหาร ค่ำวันที่ 4 กรกฎาคม 2505 หลังจากศาลโลกตัดสินให้ปราสาทพระวิหาร ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของกัมพูชา ได้ประมาณ 20 วัน จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรีของไทย ในขณะนั้น ได้กล่าวปราศรัยผ่านสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย แสดงความรู้สึกต่อการสูญเสียปราสาทพระวิหาร และยืนยันสิทธิ์ที่จะทวงคืนปราสาทพระวิหารในอนาคต ดังนี้ พี่น้องร่วมชาติ และมิตรร่วมชีวิตที่รักของข้าพเจ้าทั้งหลาย ตามที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือที่เรียกว่า ศาลโลก ได้วินิจฉัยชี้ขาดเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ.2505 ให้ปราสาทเขาพระวิหารตกเป็นของกัมพูชา และทางรัฐบาลได้ออกแถลงให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบเป็นลำดับนั้น รัฐบาลของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยเฉพาะตัวของข้าพเจ้า ถือว่าเรื่องนี้มีความสำคัญยิ่ง เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับผลได้ผลเสียของชาติ อันเป็นเรื่องของแผ่นดินไทย ซึ่งเป็นมรดกที่บรรพบุรุษของเราสู้มา อุตส่าห์ฝ่าคมอาวุธรักษาไว้ และตกทอดมาถึงรุ่นเรา เนื่องจากในคำปราศรัยนี้เป็นเรื่องที่สะเทือนใจพี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าทราบดีว่า ในส่วนลึกและหัวใจแล้ว คนไทยผู้รักชาติทุกคน มีความเศร้าสลดและมีความข่มขืนใจเพียงใด แสดงออกถึงของประชาชนในการเดินขบวนทั่วประเทศ เพื่อคัดค้านคำพิพากษาของศาลโลกเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เป็นสิ่งที่เห็นกันอยู่อย่างชัดเจนแล้ว ทั้งนี้ มิใช่ว่าพวกเราจะนั่งนิ่งเฉยหรือท้อแท้ใจ ชาติไทยยอมท้อแท้ทอดอาลัยไม่ได้ เราเคยสูญเสียดินแดนแก่ประเทศมหาอำนาจที่ล่าอาณานิคมมาแล้วหลายครั้ง หากบรรพบุรุษของเรายอมท้อแท้ เราจะเอาแผ่นดินที่ไหนมาอยู่กันได้จนถึงทุกวันนี้ เราจะต้องหาวิธีการสู้ต่อไป สำหรับกรณีเขาพระวิหาร ซึ่งศาลโลกได้วินิจฉัยชี้ขาดไปแล้วนั้น ข้าพเจ้าขอทบทวนเข้าใจกับเพื่อนร่วมชาติทั้งหลาย ว่า รัฐบาลและประชาชนชาวไทย ไม่ได้เห็นด้วยกับคำตัดสินของศาลโลก ทั้งในข้อเท็จจริงกฎหมายระหว่างประเทศ และหลักความยุติธรรม เมื่อเป็นดังนี้ แม้นรัฐบาลและปวงชนชาวไทย จะได้มีความรู้สึกสลดใจและขมขื่นเพียงใด ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นสมาชิกของสหประชาชาติ ก็ต้องปฏิบัติตามพันธกรณีในกฎบัตรสหประชาชาติ กล่าวคือ ต้องยอมให้กัมพูชามีอธิปไตยเหนือเขาพระวิหาร ตามพันธกรณีแห่งกฎบัตรสหประชาชาติ แต่รัฐบาลขอตั้งประท้วงและขอสงวนสิทธิ์อันชอบธรรมของประเทศไทยในเรื่องนี้ไว้ เพื่อสงวนสิทธิ์ที่จะดำเนินทางกฎหมายที่จำเป็น ซึ่งอาจจะมีขึ้นในภายภาคหน้า ให้กรรมสิทธิ์นี้กลับคืนมาในโอกาสอันสมควร พี่น้องทั้งหลายคงทราบดีว่า ชาติของเราต้องเสียศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิไป เนื่องจากเขาพระวิหาร อีกสิบปีอีกกี่ร้อยปี เราก็สามารถสร้างเกียรติภูมิคราวนี้กลับคืนมาได้ ข้าพเจ้าทราบว่า การสูญเสียปราสาทเขาพระวิหารครั้งนี้ เป็นการสูญเสียที่สะเทือนใจของคนไทยทั้งชาติ ฉะนั้น แม้นว่า กัมพูชาจะได้ปราสาทเขาพระวิหารนี้ไป ก็คงไปได้แค่ซากปรักหักพัง และแผ่นดินเฉพาะรองรับเขาพระวิหารเท่านั้น วิญญาณของปราสาทเขาพระวิหารยังคงอยู่กับคนไทยตลอดไป ประชาชนชาวไทยจะระลึกอยู่เสมอว่า ปราสาทเขาพระวิหารของไทยถูกปล้นเอาไป ด้วยอุปเล่ห์เพทุบาย คนที่ไม่มีเกียรติและไม่รับผิดชอบ ไม่รักความเป็นธรรม เมื่อประเทศไทยเราประพฤติปฏิบัติดีในสังคมโลก อันเป็นที่มีศีลธรรม มีสัตย์ ในวันหนึ่งข้างหน้าไม่ช้าก็เร็ว ปราสาทเขาพระวิหารจะต้องกลับมาสู่ดินแดนไทยอีกครั้งหนึ่ง เหตุการณ์เกี่ยวกับเขาพระวิหารครั้งนี้ สลักแน่นอยู่ในความทรงจำของคนไทยสืบไปชั่วลูกชั่วหลาน และเป็นรอยจารึกอยู่ในประวัติศาสตร์ของชาติไปตลอด เสมือนแผลที่อยู่ในใจของคนไทยทั้งชาติ แต่ข้าพเจ้าหวังอยู่เสมอว่า ในที่สุด ธรรมะย่อมชนะอธรรม การหัวเราะที่หลังย่อมดังกว่า และนานกว่า พี่น้องร่วมชาติทุกท่าน ได้โปรดวางใจรัฐบาลซึ่งข้าพเจ้าเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่นี้ จะสามารถนำชาติและพี่น้องชาวไทยที่รักก้าวสู่อนาคตอันสุกใสให้ได้ และข้าพเจ้ารับรองแก่ท่านทั้งหลายว่า เมื่อถึงคราวที่ชาติคับขันแล้ว ข้าพเจ้าจะกอดคอร่วมเป็นร่วมตายกับพี่น้องประชาชนชาวไทย เอาเลือดทาแผ่นดิน ไม่เสียดายชีวิตแม้แต่นิดเดียว แต่เราจะทำอย่างไรได้ ข้าพเจ้าเองมีความเจ็บช้ำน้ำใจไม่น้อยไปกว่าเพื่อร่วมชาติทั้งหลาย การที่ข้าพเจ้าต้องมากล่าวถึงเรื่องนี้ ข้าพเจ้าอยากจะกล่าวว่า การมาพูดกับท่านด้วยน้ำตา น้ำตาของข้าพเจ้า เป็นน้ำตาของลูกผู้ชาย ของเลือด ของความคับแค้น และการผูกใจเจ็บชั่วชีวิตชาตินี้และชาติหน้า ต่อดวงวิญญาณของบรรพบุรุษผู้กล้าหาญของชาวไทย ข้าพเจ้าขอกล่าวคำปฏิญาณด้วยสัตย์วาจาดังนี้ พี่น้องที่รักชาติทั้งหลาย น้ำตาไม่อาจทำให้เราฉลาดขึ้น แต่เราจะต้องได้อะไรคืนมา ในขั้นสุดท้ายชาติไทยจะต้องประสบกับชัยชนะเสมอ เราต้องกล้าสู้ เราต้องกล้ายิ้มรับภัยที่มาถึงตัวเรา ชาติไทยเป็นชาติที่เชื่อมั่นในบริวารพุทธศาสนา ตั้งตนอยู่ในความเป็นธรรมตลอดมา ข้าพเจ้าเชื่อมั่นเสมอว่า ชาติของเราจะไม่อับจนเป็นอันขาด เรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องหนึ่งในบรรดาเรื่องใหญ่ทั้งหลาย มีความสำคัญมากกว่านี้ ชาติที่รักของเรากำลังพัฒนาไปในสู่วิถีทางที่ดีขึ้น เหตุนี้ไม่ใช่เหตุผลความอับจนของเรา จงหวังและทำในเรื่องชาติที่สำคัญกว่านี้ ข้าพเจ้าเชื่อมั่นเหลือเกินว่า ชาติไทยของเรามีอนาคตแจ่มใสและรุ่งโรจน์อย่างแน่นอนและมั่นคงในอนาคตอันใกล้ นี้ เราจงมาช่วยกันสร้างชาติที่รักยิ่งของเราต่อไป พี่น้องชาวไทยที่รักทั้งหลาย วันนี้เป็นวันหนึ่งและเป็นในวันข้างหน้า เราจะต้องเอาปราสาทเขาพระวิหารกลับคืนมา ให้เป็นของชาติไทยให้จงได้ สวัสดี” https://youtube.com/shorts/Xdz0paAXVz4?si=k7SNESYjZJlELM04
    0 Comments 0 Shares 152 Views 0 Reviews
  • EP.5 ถอดรหัสไทยเสียดินแดนครั้งที่ 16 ปราสาทเขาพระวิหาร

    ศาลโลกมีคำตัดสิน แบบขัดกับหลักฐานเอกสารทางประวัติศาสตร์ แผนที่ก็ไม่เป็นไปตามสนธิสัญญาที่ระบุไว้ การเสียอธิปไตยเหนือปราสาทพระวิหาร นี้คือการเสียดินแดนครั้งที่ 15 ของเราชาวไทย

    https://youtube.com/shorts/dRo3IWL-FFM?si=u5hx_q0QryzfdMeQ
    EP.5 ถอดรหัสไทยเสียดินแดนครั้งที่ 16 ปราสาทเขาพระวิหาร ศาลโลกมีคำตัดสิน แบบขัดกับหลักฐานเอกสารทางประวัติศาสตร์ แผนที่ก็ไม่เป็นไปตามสนธิสัญญาที่ระบุไว้ การเสียอธิปไตยเหนือปราสาทพระวิหาร นี้คือการเสียดินแดนครั้งที่ 15 ของเราชาวไทย https://youtube.com/shorts/dRo3IWL-FFM?si=u5hx_q0QryzfdMeQ
    0 Comments 0 Shares 67 Views 0 Reviews
  • EP.3 ถอดรหัสไทยเสียดินแดนครั้งที่ 16 ปราสาทเขาพระวิหาร

    เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ช่วงปักปันเขตแดน

    https://youtube.com/shorts/dgj56UQ2H7k?si=KJSQxs9eS_YUHdDN
    EP.3 ถอดรหัสไทยเสียดินแดนครั้งที่ 16 ปราสาทเขาพระวิหาร เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ช่วงปักปันเขตแดน https://youtube.com/shorts/dgj56UQ2H7k?si=KJSQxs9eS_YUHdDN
    0 Comments 0 Shares 53 Views 0 Reviews
  • EP.2 ถอดรหัสไทยเสียดินแดนครั้งที่ 16 ปราสาทเขาพระวิหาร

    ประวัติศาสตร์ในสถานศึกษาจะสอนเราว่าไทยเสียดินแดน 14 ครั้ง ทำไมแอดถึงบอกว่าเราเสียดินแดนถึง 16 ครั้ง

    เสียดินแดน 1 - 14 ทุกคนคงหาได้ในอินเตอร์เน็ตอยู่แล้ว แอดจะไม่กล่าวถึง

    แต่ครั้งที่ 15 คือวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2505 ศาลโลกตัดสินให้กัมพูชามีอธิปไตยเหนือปราสาทพระวิหาร นั่นหมายถึง ตัวปราสาทพระวิหาร และดินแดนที่อยู่ใต้ตัวปราสาท

    ในวันที่ “เขาพระวิหาร” ตกเป็นของเขมร ทหารไทยเชิญ “เสาธงชาติไทย” จากเขาพระวิหาร โดย “ไม่มีการลดธง” แม้แต่นิดเดียว ]
    .
    พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชุมพลสมโภช กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ (องค์ต้นราชสกุล “ชุมพล”) ทรงค้นพบปราสาทแห่งนี้เมื่อปี ๒๔๔๒ แล้วทรงจารึกพระนาม และปีที่ค้นพบไว้ที่บริเวณชะง่อนผาเป้ยตาดีว่า “๑๑๘ สรรพสิทธิ” และ “ปราสาทพระวิหาร” เป็นปราสาทที่ได้ชื่อประทานจากพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ข้าหลวงต่างพระองค์สำเร็จราชการมณฑลลาวกาว พระองค์มีรับสั่งว่าปราสาทองค์นี้เหมือนปราสาทที่เทพสร้าง จึงเรียกว่า “ปราสาทเทพพระวิหาร” ซึ่งต่อมาเรียกกันทั่วไปว่า “ปราสาทพระวิหาร” คนกัมพูชาออกเสียงเป็น “เปรี๊ยะวิเฮียร์” เรียกตามคนไทยมาตลอด
    .
    เนื่องจากปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ตรงรอยต่อของไทยกับกัมพูชา ซึ่งผลัดกันยึดครองดินแดนแถบนี้จนหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ไทยได้ส่งทหารเข้ายึดครองพื้นที่บริเวณปราสาทพระวิหาร กษัตริย์สีหนุ จึงยื่นฟ้องต่อศาลโลกเมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๐๒
    .
    การไต่สวนพิจารณาคดีเป็นไปอย่างต่อเนื่องยาวนานถึง ๓ ปี มีการนัดพิจารณาสืบพยานทั้งหมด ๗๓ ครั้ง จนในที่สุด ศาลโลกก็ตัดสินให้กัมพูชาเป็นฝ่ายชนะคดีด้วยคะแนน ๙ ต่อ ๓ เสียง ยังผลให้ประเทศไทยต้องยินยอมทำตามข้อเรียกร้องทั้ง ๒ ข้อของกัมพูชา นับเป็นการเสียดินแดนครั้งล่าสุดของประเทศไทยในยุครัตนโกสินทร์ เสียพื้นที่ไปทั้งหมดประมาณ ๑๕๐ ไร่
    .
    ค่ำคืนวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๐๕ หลังศาลโลกตัดสินให้ ปราสาทพระวิหาร ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของกัมพูชา ได้ประมาณ ๒๐ วัน จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้กล่าวปราศรัยผ่านสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย แสดงความรู้สึกต่อการสูญเสียปราสาทพระวิหาร
    .
    รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย คือ พลโทประภาส จารุเสถียร (ยศในขณะนั้น) บอกว่า “...ถ้าเราไปชักธงชาติลง และพับธงเดินกลับมา จะเป็นการเสียเกียรติยศประเทศไทยซึ่งเคยปกครองเขาพระวิหารมาเป็นเวลานาน...”
    .
    จึงได้ให้ทหารและตำรวจตระเวนชายแดน เชิญเสาธงชาติไทยจากเขาพระวิหาร บนยอดผาเป้ยตาดี ยกเสาธงทั้งต้นลงมา โดยไม่มีการลดธงแม้แต่นิดเดียว ซึ่งทำให้กัมพูชาไม่พอใจอย่างมาก เหมือนกับว่าไทยประชดคำตัดสินของศาลโลก ซึ่งทางเราก็ตอบโต้ว่า “...เป็นสิทธิของเรา...”

    ครั้งที่ 16 คือ 11 พ.ย. 2556 ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือศาลโลก ได้พิพากษาให้กัมพูชาเป็นผู้มีอำนาจอธิปไตยเหนือพื้นที่รอบๆ ตัวปราสาทพระวิหาร อันตั้งอยู่ตรงชายแดนติดต่อกับประเทศไทย ในคำตัดสินครั้งสำคัญซึ่งมุ่งหมายยุติข้อพิพาทอันยืดเยื้อหลายสิบปี ทั้งนี้ ศาลสูงสุดของสหประชาชาติแห่งนี้ ยังได้สั่งให้รัฐบาลไทยถอนกำลังรักษาความมั่นคงของตนออกมาจากพื้นที่ดังกล่าวอีกด้วย

    คำตัดสินคราวนี้ไม่ได้ระบุอย่างชัดเจนเกี่ยวกับเส้นพรมแดนของทั้งสองประเทศในบริเวณรอบๆ ปราสาทพระวิหารที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแล้วแห่งนี้ จึงเป็นการปฏิเสธข้ออ้างของฝ่ายกัมพูชาที่ว่า ตนเองเป็นมีอำนาจอธิปไตยเหนือภูเขาพนมตรวบ หรือภูมะเขือที่อยู่ใกล้ๆ กับปราสาท

    แต่เพราะ นายนพดล ปัทมะ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศได้เคยลงนามคำแถลงการณ์ร่วมกับฝ่ายกัมพูชา โดยได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรีนายสมัคร ยินยอมให้เขมรนำปราสาทพระวิหารขึ้นเป็นมรดกพร้อมแนบแผนที่บริเวรบริหารจัดการให้เขมรไปด้วยเกือบพันไร่ นั่นคือที่เราสูญเสียในครั้งที่ 16

    บทความบางตอนจากเพจโบราณนานมา และ มเหนทรบรรพต
    EP.2 ถอดรหัสไทยเสียดินแดนครั้งที่ 16 ปราสาทเขาพระวิหาร ประวัติศาสตร์ในสถานศึกษาจะสอนเราว่าไทยเสียดินแดน 14 ครั้ง ทำไมแอดถึงบอกว่าเราเสียดินแดนถึง 16 ครั้ง เสียดินแดน 1 - 14 ทุกคนคงหาได้ในอินเตอร์เน็ตอยู่แล้ว แอดจะไม่กล่าวถึง แต่ครั้งที่ 15 คือวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2505 ศาลโลกตัดสินให้กัมพูชามีอธิปไตยเหนือปราสาทพระวิหาร นั่นหมายถึง ตัวปราสาทพระวิหาร และดินแดนที่อยู่ใต้ตัวปราสาท ในวันที่ “เขาพระวิหาร” ตกเป็นของเขมร ทหารไทยเชิญ “เสาธงชาติไทย” จากเขาพระวิหาร โดย “ไม่มีการลดธง” แม้แต่นิดเดียว ] . พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชุมพลสมโภช กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ (องค์ต้นราชสกุล “ชุมพล”) ทรงค้นพบปราสาทแห่งนี้เมื่อปี ๒๔๔๒ แล้วทรงจารึกพระนาม และปีที่ค้นพบไว้ที่บริเวณชะง่อนผาเป้ยตาดีว่า “๑๑๘ สรรพสิทธิ” และ “ปราสาทพระวิหาร” เป็นปราสาทที่ได้ชื่อประทานจากพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ข้าหลวงต่างพระองค์สำเร็จราชการมณฑลลาวกาว พระองค์มีรับสั่งว่าปราสาทองค์นี้เหมือนปราสาทที่เทพสร้าง จึงเรียกว่า “ปราสาทเทพพระวิหาร” ซึ่งต่อมาเรียกกันทั่วไปว่า “ปราสาทพระวิหาร” คนกัมพูชาออกเสียงเป็น “เปรี๊ยะวิเฮียร์” เรียกตามคนไทยมาตลอด . เนื่องจากปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ตรงรอยต่อของไทยกับกัมพูชา ซึ่งผลัดกันยึดครองดินแดนแถบนี้จนหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ไทยได้ส่งทหารเข้ายึดครองพื้นที่บริเวณปราสาทพระวิหาร กษัตริย์สีหนุ จึงยื่นฟ้องต่อศาลโลกเมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๐๒ . การไต่สวนพิจารณาคดีเป็นไปอย่างต่อเนื่องยาวนานถึง ๓ ปี มีการนัดพิจารณาสืบพยานทั้งหมด ๗๓ ครั้ง จนในที่สุด ศาลโลกก็ตัดสินให้กัมพูชาเป็นฝ่ายชนะคดีด้วยคะแนน ๙ ต่อ ๓ เสียง ยังผลให้ประเทศไทยต้องยินยอมทำตามข้อเรียกร้องทั้ง ๒ ข้อของกัมพูชา นับเป็นการเสียดินแดนครั้งล่าสุดของประเทศไทยในยุครัตนโกสินทร์ เสียพื้นที่ไปทั้งหมดประมาณ ๑๕๐ ไร่ . ค่ำคืนวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๐๕ หลังศาลโลกตัดสินให้ ปราสาทพระวิหาร ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของกัมพูชา ได้ประมาณ ๒๐ วัน จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้กล่าวปราศรัยผ่านสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย แสดงความรู้สึกต่อการสูญเสียปราสาทพระวิหาร . รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย คือ พลโทประภาส จารุเสถียร (ยศในขณะนั้น) บอกว่า “...ถ้าเราไปชักธงชาติลง และพับธงเดินกลับมา จะเป็นการเสียเกียรติยศประเทศไทยซึ่งเคยปกครองเขาพระวิหารมาเป็นเวลานาน...” . จึงได้ให้ทหารและตำรวจตระเวนชายแดน เชิญเสาธงชาติไทยจากเขาพระวิหาร บนยอดผาเป้ยตาดี ยกเสาธงทั้งต้นลงมา โดยไม่มีการลดธงแม้แต่นิดเดียว ซึ่งทำให้กัมพูชาไม่พอใจอย่างมาก เหมือนกับว่าไทยประชดคำตัดสินของศาลโลก ซึ่งทางเราก็ตอบโต้ว่า “...เป็นสิทธิของเรา...” ครั้งที่ 16 คือ 11 พ.ย. 2556 ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือศาลโลก ได้พิพากษาให้กัมพูชาเป็นผู้มีอำนาจอธิปไตยเหนือพื้นที่รอบๆ ตัวปราสาทพระวิหาร อันตั้งอยู่ตรงชายแดนติดต่อกับประเทศไทย ในคำตัดสินครั้งสำคัญซึ่งมุ่งหมายยุติข้อพิพาทอันยืดเยื้อหลายสิบปี ทั้งนี้ ศาลสูงสุดของสหประชาชาติแห่งนี้ ยังได้สั่งให้รัฐบาลไทยถอนกำลังรักษาความมั่นคงของตนออกมาจากพื้นที่ดังกล่าวอีกด้วย คำตัดสินคราวนี้ไม่ได้ระบุอย่างชัดเจนเกี่ยวกับเส้นพรมแดนของทั้งสองประเทศในบริเวณรอบๆ ปราสาทพระวิหารที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแล้วแห่งนี้ จึงเป็นการปฏิเสธข้ออ้างของฝ่ายกัมพูชาที่ว่า ตนเองเป็นมีอำนาจอธิปไตยเหนือภูเขาพนมตรวบ หรือภูมะเขือที่อยู่ใกล้ๆ กับปราสาท แต่เพราะ นายนพดล ปัทมะ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศได้เคยลงนามคำแถลงการณ์ร่วมกับฝ่ายกัมพูชา โดยได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรีนายสมัคร ยินยอมให้เขมรนำปราสาทพระวิหารขึ้นเป็นมรดกพร้อมแนบแผนที่บริเวรบริหารจัดการให้เขมรไปด้วยเกือบพันไร่ นั่นคือที่เราสูญเสียในครั้งที่ 16 บทความบางตอนจากเพจโบราณนานมา และ มเหนทรบรรพต
    0 Comments 0 Shares 183 Views 27 0 Reviews
  • EP.1 ถอดรหัสไทยเสียดินแดนครั้งที่ 16 ปราสาทเขาพระวิหาร

    ในตอนแรกเราต้องมาที่ความเข้าใจที่ถูกต้อง
    ว่าปราสาทเขาพระวิหารเป็นของคนไทยมาแต่แรก

    เนื่องจากประวัติศาสตร์ไทยปัจจุบัน
    ถูกนักการเมืองขายชาติ ที่แฝงตัวอยู่ในไทย
    รวมหัวกับนักวิชาการชังชาติ คลั่งตะวันตก
    รวมไปถึงกลุ่ม NGO ที่มีเงินทุนมหาศาล
    แฝงตัวคอยปล่อยชุดความเชื่อผิดๆอยู่ทั่วประเทศไทย

    เป็นเหตุว่าปัจจุบันเราจะมีคอนเทนมากมายในอินเตอร์เน็ต
    ที่พยายามหาหลักฐานและข้อสรุปว่าปราสาทพระวิหารไม่ใช่ของไทยแต่เป็นของเขมร

    และถูกเชื่อ โดยคนรุ่นใหม่ที่ไม่ได้ลงลึกในประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวเนื่องกับนักการเมืองของไทย

    ต่อมาด้วยชุดข้อมูลเหล่านั้นที่มีอยู่เต็มอินเตอร์เน็ต
    ก็ถูกส่งต่อด้วยอินฟูที่นำมาทำคอนเท้นให้ความรู้
    และถูกเชื่อด้วยคนไทย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มที่ไม่ได้ศึกษาประวัติศาสตร์อย่างลึกซึ่ง

    ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติ เพราะวิชาประวัติศาสตร์ถูกด้อยค่ามาเป็นระยะเวลายาวนาน จนถึงวันที่ถูกตัดออกจากวิชาภาคบังคับ ด้วยน้ำมือนักการเมือง

    สุดท้าย ก็กลายเป็นคนไทยเราเองที่เป็นผู้เชื่อในข้อมูลผิดๆ และส่งต่อข้อมูลบิดเบือนเหล่านั้น

    หากไม่มีคนนำเสนอข้อมูลที่เป็นความจริง
    สุดท้ายจะไม่เหลือความจริงให้ลูกหลานได้ยึดถือ

    นานไป กลุ่มปราสาทที่เขมรกำลังเครมอยู่ตอนนี้
    คนไทยรุ่นหลังก็จะเชื่อว่าเป็นของเขมร
    สุดท้ายลูกหลานเราอาจจะเป็นคนที่ยกแผ่นดินและสมบัติชาติ
    ยกของของตนเองให้เขมรไปเพราะเชื่อในประวัติศาสตร์ปลอมๆ

    ชุดซีรีย์ ถอดรหัสไทยเสียดินแดนครั้งที่ 16 (ปราสาทเขาพระวิหาร)

    ตั้งใจรวบรวมเหตุการณ์ตั้งแต่ไทยเราค้นพบตัวปราสาท ไปจนถึงการเสียทั้งตัวปราสาทและดินแดนให้กับโจรเขมร

    กระบวนการและวิธีการที่เขมรนำปราสาทประวิหารไปสู่ศาลโลกได้อย่างไร การรุกล้ำอธิปไตยไทย จนนำมาสู่ความชอบธรรมของรัฐบาลไทยที่จะทำ MOU หรือการทำข้อตกลงต่างๆ ล้วนเป็นการวางแผนมาอย่างรอบครอบไม่เร่งรีบ

    ทุกครั้งที่เขมรถอย ไทยมักคิดว่าตนชนะ
    แต่หารู้ทันเขมร การถอยของเขมรแต่ละครั้ง
    ไม่ใช่เพราะเขากลัว หรือเขาแพ้ แต่เขาได้ในสิ่งที่เขาต้องการแล้วต่างหาก

    เขาไม่ได้ต้องการรบกับไทยเพราะรู้สู้ไม่ได้
    แต่เขาแค่ต้องการหลักฐานทางประวัติศาสตร์ในแต่ละช่วงเวลา เช่น ต้องการเอกสารราชการว่ารัฐบาลเขาได้ออกประนามไทยให้โลกว่าไทยรุกล้ำแผ่นดินเขา และไทยก็คิดว่าเขมรบ้าและตลกจะเป็นของเขมรได้อย่างไร โดยไม่มีเอกสารที่เป็นของรัฐบาลแย้ง

    และหลายครั้งที่เขมรทำใให้เกิดเรื่องวุ่นวายบริเวณชายแดน
    ก็เพื่อจะนำไปสู่การเจรจาและทำข้อตกลงเป็น mou

    ยกตัวอย่าง ตอนจะนำตัวพระวิหารขึ้นมรดกโลก
    ไว้จะค่อย ๆ เล่าเป็นตอนๆ เพื่อที่เราจะไม่เสียรู้ เสียดินแดน ให้พวกเนรคุณแผ่นดินไทยอีก
    EP.1 ถอดรหัสไทยเสียดินแดนครั้งที่ 16 ปราสาทเขาพระวิหาร ในตอนแรกเราต้องมาที่ความเข้าใจที่ถูกต้อง ว่าปราสาทเขาพระวิหารเป็นของคนไทยมาแต่แรก เนื่องจากประวัติศาสตร์ไทยปัจจุบัน ถูกนักการเมืองขายชาติ ที่แฝงตัวอยู่ในไทย รวมหัวกับนักวิชาการชังชาติ คลั่งตะวันตก รวมไปถึงกลุ่ม NGO ที่มีเงินทุนมหาศาล แฝงตัวคอยปล่อยชุดความเชื่อผิดๆอยู่ทั่วประเทศไทย เป็นเหตุว่าปัจจุบันเราจะมีคอนเทนมากมายในอินเตอร์เน็ต ที่พยายามหาหลักฐานและข้อสรุปว่าปราสาทพระวิหารไม่ใช่ของไทยแต่เป็นของเขมร และถูกเชื่อ โดยคนรุ่นใหม่ที่ไม่ได้ลงลึกในประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวเนื่องกับนักการเมืองของไทย ต่อมาด้วยชุดข้อมูลเหล่านั้นที่มีอยู่เต็มอินเตอร์เน็ต ก็ถูกส่งต่อด้วยอินฟูที่นำมาทำคอนเท้นให้ความรู้ และถูกเชื่อด้วยคนไทย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มที่ไม่ได้ศึกษาประวัติศาสตร์อย่างลึกซึ่ง ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติ เพราะวิชาประวัติศาสตร์ถูกด้อยค่ามาเป็นระยะเวลายาวนาน จนถึงวันที่ถูกตัดออกจากวิชาภาคบังคับ ด้วยน้ำมือนักการเมือง สุดท้าย ก็กลายเป็นคนไทยเราเองที่เป็นผู้เชื่อในข้อมูลผิดๆ และส่งต่อข้อมูลบิดเบือนเหล่านั้น หากไม่มีคนนำเสนอข้อมูลที่เป็นความจริง สุดท้ายจะไม่เหลือความจริงให้ลูกหลานได้ยึดถือ นานไป กลุ่มปราสาทที่เขมรกำลังเครมอยู่ตอนนี้ คนไทยรุ่นหลังก็จะเชื่อว่าเป็นของเขมร สุดท้ายลูกหลานเราอาจจะเป็นคนที่ยกแผ่นดินและสมบัติชาติ ยกของของตนเองให้เขมรไปเพราะเชื่อในประวัติศาสตร์ปลอมๆ ชุดซีรีย์ ถอดรหัสไทยเสียดินแดนครั้งที่ 16 (ปราสาทเขาพระวิหาร) ตั้งใจรวบรวมเหตุการณ์ตั้งแต่ไทยเราค้นพบตัวปราสาท ไปจนถึงการเสียทั้งตัวปราสาทและดินแดนให้กับโจรเขมร กระบวนการและวิธีการที่เขมรนำปราสาทประวิหารไปสู่ศาลโลกได้อย่างไร การรุกล้ำอธิปไตยไทย จนนำมาสู่ความชอบธรรมของรัฐบาลไทยที่จะทำ MOU หรือการทำข้อตกลงต่างๆ ล้วนเป็นการวางแผนมาอย่างรอบครอบไม่เร่งรีบ ทุกครั้งที่เขมรถอย ไทยมักคิดว่าตนชนะ แต่หารู้ทันเขมร การถอยของเขมรแต่ละครั้ง ไม่ใช่เพราะเขากลัว หรือเขาแพ้ แต่เขาได้ในสิ่งที่เขาต้องการแล้วต่างหาก เขาไม่ได้ต้องการรบกับไทยเพราะรู้สู้ไม่ได้ แต่เขาแค่ต้องการหลักฐานทางประวัติศาสตร์ในแต่ละช่วงเวลา เช่น ต้องการเอกสารราชการว่ารัฐบาลเขาได้ออกประนามไทยให้โลกว่าไทยรุกล้ำแผ่นดินเขา และไทยก็คิดว่าเขมรบ้าและตลกจะเป็นของเขมรได้อย่างไร โดยไม่มีเอกสารที่เป็นของรัฐบาลแย้ง และหลายครั้งที่เขมรทำใให้เกิดเรื่องวุ่นวายบริเวณชายแดน ก็เพื่อจะนำไปสู่การเจรจาและทำข้อตกลงเป็น mou ยกตัวอย่าง ตอนจะนำตัวพระวิหารขึ้นมรดกโลก ไว้จะค่อย ๆ เล่าเป็นตอนๆ เพื่อที่เราจะไม่เสียรู้ เสียดินแดน ให้พวกเนรคุณแผ่นดินไทยอีก
    0 Comments 0 Shares 164 Views 33 0 Reviews
  • นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งสื่อเครือผู้จัดการ เตือนนายกรัฐมนตรี นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม นายทักษิณ ชินวัตร ประวัติศาสตร์กำลังจะซ้ำรอย หากไม่ปกป้องอธิปไตยของชาติอย่างเป็นรูปธรรม จะให้ทหารประกาศกฎอัยการศึกเพื่อจัดการกับกัมพูชา อย่าประมาทประชาชน เราไม่รับอำนาจศาลโลก ไม่ได้คลั่งชาติจะไปรบกับใคร แต่คนไทยและทหารไทยไม่กลัวทหารกัมพูชา ถึงเวลาต้องปกป้องอธิปไตยไทย จะลงถนนก็ไม่ขัดข้อง

    -หนุนกองทัพกำราบเครือญาติ
    -ใช้ความจริงใจคุยกัมพูชา
    -"หมอแอร์"ซื้อยา 80 ล้านบาท
    -เห็นทางรอดคดีชั้น 14
    นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งสื่อเครือผู้จัดการ เตือนนายกรัฐมนตรี นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม นายทักษิณ ชินวัตร ประวัติศาสตร์กำลังจะซ้ำรอย หากไม่ปกป้องอธิปไตยของชาติอย่างเป็นรูปธรรม จะให้ทหารประกาศกฎอัยการศึกเพื่อจัดการกับกัมพูชา อย่าประมาทประชาชน เราไม่รับอำนาจศาลโลก ไม่ได้คลั่งชาติจะไปรบกับใคร แต่คนไทยและทหารไทยไม่กลัวทหารกัมพูชา ถึงเวลาต้องปกป้องอธิปไตยไทย จะลงถนนก็ไม่ขัดข้อง -หนุนกองทัพกำราบเครือญาติ -ใช้ความจริงใจคุยกัมพูชา -"หมอแอร์"ซื้อยา 80 ล้านบาท -เห็นทางรอดคดีชั้น 14
    Like
    Love
    Wow
    10
    0 Comments 1 Shares 356 Views 26 1 Reviews
  • มีเพื่อนเพจเคยขอให้เขียนถึงองครักษ์เสื้อแพรนอกเหนือจากที่มีในซีรีส์ ข้อมูลหาไม่ง่าย วันนี้เริ่มด้วยเรื่องเงินๆ ทองๆ ยาวหน่อยนะคะ แต่เชื่อว่าเพื่อนเพจหลายคนต้องเคยสงสัยเกี่ยวกับเรื่องค่าเงิน

    ความมีอยู่ว่า
    ...เกาชิ่งมาเรียกหาจินเซี่ยแล้วถาม: “ใต้เท้าลู่มีคำถาม วันนี้เช่าเรือทั้งหมดสองเหลี่ยง รวมค่าชาและขนมบนเรืออีก คิดเป็นประมาณสามเฉียนแล้วกัน ท่านใต้เท้าออกเงินไปให้ก่อน แต่ถามว่าเมื่อใดพวกเจ้าจึงจะใช้คืน?”....
    - จากเรื่อง <เบื้องล่างของเสื้อแพร> ผู้แต่ง หลานเส้อซือ
    (หมายเหตุ ละครเรื่องยอดองค์รักษ์เสื้อแพรดัดแปลงมาจากนิยายเรื่องนี้)

    ก่อนอื่นเทียบมูลค่าเงิน: 1 ตำลึงเงิน (เหลี่ยง) = 1,000 เฉียน (คือ เหวิน หรือ อีแปะ) = 1 ก้วน (พวงเหรียญเฉียน)

    ก่อนจะพูดถึงรายรับ เราดูค่าครองชีพกันหน่อย ราชวงศ์หมิงยาวนานเกือบ 300 ปี แต่ลู่ปิ่งและลู่อี้มีตัวตนจริงอยู่ในรัชสมัยขององค์หมิงสื้อจง (ค.ศ. 1521-1567) (Storyฯ เคยเขียนถึงมาหลายเดือนก่อน) ในยุคสมัยนั้น เนื้อหมูหนึ่งชั่งราคา 7-8 เฉียน เนื้อไก่หนึ่งชั่งราคา 3-4 เฉียน (เทียบเท่าน้ำหนักปัจจุบัน 595 กรัม) ดังนั้นราคาขนมและชาที่ยกข้อความมาจากในนิยายข้างต้นก็พอจะฟังดูสมเหตุสมผล

    คำถามต่อมาคือ องครักษ์เสื้อแพรมีรายรับเท่าไหร่เมื่อเทียบกับค่าครองชีพตามข้างต้น?

    มีตารางข้อมูลจาก “หมิงสื่อ /明史” หรือบันทึกประวัติศาสตร์ราชวงศ์หมิงมาให้ดู (ดูรูปประกอบ) เป็นอัตราเงินเดือนของขุนนางที่กำหนดไว้โดยปฐมกษัตริย์จูหยวนจาง จ่ายเป็นเดือน แต่กำหนดอัตราไว้เป็นรายปี วงให้ดูว่าเงินเดือนของใต้เท้าลู่อี้และพ่อของเขาคือ:
    ลู่ถิง (ในนิยายชื่อลู่ปิ่ง) เป็นผู้บัญชาการสูงสุดขององครักษ์เสื้อแพร ยศขุนนางขั้นที่สามเต็ม ได้เงินเดือนเป็นข้าวสาร 420 ตาน/ปี (เขียนหน่วยเป็นสือ ต่อมาเรียกเป็นตาน) ส่วนใต้เท้าลู่อี้ของเราในนิยายกล่าวไว้ว่าตอนที่แรกพบกับนางเอก เขาเป็นเพียงขุนนางขั้นที่เจ็ดล่าง ได้เงินเดือนเป็นข้าวสาร 84 ตาน/ปี หรือ 7 ตาน/เดือน

    ท่านอ่านไม่ผิดค่ะ เงินเดือนของข้าราชการสมัยนั้นปกติจ่ายเป็นข้าวสาร

    ข้าวสารหนึ่งตานสมัยนั้นหน้าตาเป็นกระบุงหาบ เทียบเท่าน้ำหนักปัจจุบันประมาณ 60 กก. เชื่อว่าขุนนางระดับสูงเวลารับเงินเดือนต้องใช้รถเข็นเลยทีเดียว

    แล้วถ้าคิดเป็นเงินล่ะ? อันนี้ผันแปรตามเงินเฟ้อ ข้าวสารหนึ่งตานในสมัยของใต้เท้าลู่นั้นราคา 0.584 ตำลึงเงิน ดังนั้นใต้เท้าลู่มีเงินเดือนเพียงประมาณ 4 ตำลึงเงิน/เดือน หรือ 4,000 เฉียนเท่านั้น! (ภาพการควักเงินหยวนเป่าออกมาวางให้เสี่ยวเอ้อตาโต หายแวบไปจากมโนของ Storyฯ ทันที)

    แล้วถ้าเปรียบเทียบวิชาชีพอื่น? สรุปโดยประมาณได้ดังนี้: ค่าจ้าง 600-1,700 เฉียน/เดือนขึ้นอยู่กับระดับงาน แผงขายอาหารในเมืองใหญ่ 1,300-1,600 เฉียน/เดือน ที่ดูจะรายได้ดีมากคือคนขับรถม้าที่ 3,000 เฉียน/เดือนเลยทีเดียว (หาไม่พบว่าเป็นเพราะอะไร) ส่วนเกษตรกรรายได้เฉลี่ย 750-1,200 เฉียน/เดือน

    แต่ขุนนางมี ‘สวัสดิการ’ อย่างอื่นด้วยคือผ้า เงินค่าน้ำชา ฟืน ชุดประจำตำแหน่ง จวนประจำตำแหน่ง เป็นต้น และยังไม่ต้องเสียภาษีเหมือนชาวนาหรือพ่อค้า แน่นอนว่าการต้องเลี้ยงบ่าวไพร่ทั้งเรือนก็มีค่าใช้จ่ายสูงอยู่ แต่เทียบกับวิชาชีพอื่นแล้ว หากได้เป็นขุนนางติดยศชีวิตความเป็นอยู่จะดีมาก

    สมัยนั้นตำแหน่งจอหงวนคือลำดับหกเต็ม Storyฯ จึงไม่แปลกใจว่าทำไมคนถึงขวนขวายเข้าเมืองหลวงสอบจอหงวนกัน ยศสูงกว่าใต้เท้าลู่อี้เสียอีก! (วันนี้คุยเรื่องเงินทอง ไม่คุยเรื่องอุดมการณ์ค่ะ)

    เขียนเพิ่มเติมหลังจากอัพเพจครั้งแรก:
    ในช่วงเวลาที่ไม่ปกติ เช่นแล้ง หรือเกิดสงคราม ข้าวในคลังมีน้อย หรือในฤดูที่ไม่มีการเก็บเกี่ยว มีการแก้ไขการจ่ายเงินเดือนข้าราชการ โดยกำหนดมูลค่าของข้าวเทียบเท่าของอย่างอื่น เช่น ผ้าผืน พริกไทย ใบชา เป็นต้น (อะไรก็ได้ที่มีมากในคลังหลวง) ต่อมาจึงมีแบ่งจ่ายเป็นตั๋วเงินด้วย ต่อมาในช่วงปลายราชวงศ์หมิงจึงเปลี่ยนมากำหนดให้จ่ายเป็นข้าว ตั๋วเงินและเงิน แต่ยังคงเทียบอัตราเงินเดือนเป็นข้าวสารอยู่

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจากและข้อมูลเรียบเรียงจาก:
    https://www.sohu.com/a/360665261_162238
    https://www.bilibili.com/read/cv9844919
    https://www.zmkm8.com/artdata-94382.html
    https://www.sohu.com/a/273067566_559864
    http://www.gushizhuan.com/gdws/284082.html

    #ใต้เท้าลู่ #องครักษ์เสื้อแพร #ยอดองครักษ์เสื้อแพร #ราชวงศ์หมิง #วัฒนธรรมจีนโบราณ #เงินจีนโบราณ #เงินเดือนข้าราชการจีน
    มีเพื่อนเพจเคยขอให้เขียนถึงองครักษ์เสื้อแพรนอกเหนือจากที่มีในซีรีส์ ข้อมูลหาไม่ง่าย วันนี้เริ่มด้วยเรื่องเงินๆ ทองๆ ยาวหน่อยนะคะ แต่เชื่อว่าเพื่อนเพจหลายคนต้องเคยสงสัยเกี่ยวกับเรื่องค่าเงิน ความมีอยู่ว่า ...เกาชิ่งมาเรียกหาจินเซี่ยแล้วถาม: “ใต้เท้าลู่มีคำถาม วันนี้เช่าเรือทั้งหมดสองเหลี่ยง รวมค่าชาและขนมบนเรืออีก คิดเป็นประมาณสามเฉียนแล้วกัน ท่านใต้เท้าออกเงินไปให้ก่อน แต่ถามว่าเมื่อใดพวกเจ้าจึงจะใช้คืน?”.... - จากเรื่อง <เบื้องล่างของเสื้อแพร> ผู้แต่ง หลานเส้อซือ (หมายเหตุ ละครเรื่องยอดองค์รักษ์เสื้อแพรดัดแปลงมาจากนิยายเรื่องนี้) ก่อนอื่นเทียบมูลค่าเงิน: 1 ตำลึงเงิน (เหลี่ยง) = 1,000 เฉียน (คือ เหวิน หรือ อีแปะ) = 1 ก้วน (พวงเหรียญเฉียน) ก่อนจะพูดถึงรายรับ เราดูค่าครองชีพกันหน่อย ราชวงศ์หมิงยาวนานเกือบ 300 ปี แต่ลู่ปิ่งและลู่อี้มีตัวตนจริงอยู่ในรัชสมัยขององค์หมิงสื้อจง (ค.ศ. 1521-1567) (Storyฯ เคยเขียนถึงมาหลายเดือนก่อน) ในยุคสมัยนั้น เนื้อหมูหนึ่งชั่งราคา 7-8 เฉียน เนื้อไก่หนึ่งชั่งราคา 3-4 เฉียน (เทียบเท่าน้ำหนักปัจจุบัน 595 กรัม) ดังนั้นราคาขนมและชาที่ยกข้อความมาจากในนิยายข้างต้นก็พอจะฟังดูสมเหตุสมผล คำถามต่อมาคือ องครักษ์เสื้อแพรมีรายรับเท่าไหร่เมื่อเทียบกับค่าครองชีพตามข้างต้น? มีตารางข้อมูลจาก “หมิงสื่อ /明史” หรือบันทึกประวัติศาสตร์ราชวงศ์หมิงมาให้ดู (ดูรูปประกอบ) เป็นอัตราเงินเดือนของขุนนางที่กำหนดไว้โดยปฐมกษัตริย์จูหยวนจาง จ่ายเป็นเดือน แต่กำหนดอัตราไว้เป็นรายปี วงให้ดูว่าเงินเดือนของใต้เท้าลู่อี้และพ่อของเขาคือ: ลู่ถิง (ในนิยายชื่อลู่ปิ่ง) เป็นผู้บัญชาการสูงสุดขององครักษ์เสื้อแพร ยศขุนนางขั้นที่สามเต็ม ได้เงินเดือนเป็นข้าวสาร 420 ตาน/ปี (เขียนหน่วยเป็นสือ ต่อมาเรียกเป็นตาน) ส่วนใต้เท้าลู่อี้ของเราในนิยายกล่าวไว้ว่าตอนที่แรกพบกับนางเอก เขาเป็นเพียงขุนนางขั้นที่เจ็ดล่าง ได้เงินเดือนเป็นข้าวสาร 84 ตาน/ปี หรือ 7 ตาน/เดือน ท่านอ่านไม่ผิดค่ะ เงินเดือนของข้าราชการสมัยนั้นปกติจ่ายเป็นข้าวสาร ข้าวสารหนึ่งตานสมัยนั้นหน้าตาเป็นกระบุงหาบ เทียบเท่าน้ำหนักปัจจุบันประมาณ 60 กก. เชื่อว่าขุนนางระดับสูงเวลารับเงินเดือนต้องใช้รถเข็นเลยทีเดียว แล้วถ้าคิดเป็นเงินล่ะ? อันนี้ผันแปรตามเงินเฟ้อ ข้าวสารหนึ่งตานในสมัยของใต้เท้าลู่นั้นราคา 0.584 ตำลึงเงิน ดังนั้นใต้เท้าลู่มีเงินเดือนเพียงประมาณ 4 ตำลึงเงิน/เดือน หรือ 4,000 เฉียนเท่านั้น! (ภาพการควักเงินหยวนเป่าออกมาวางให้เสี่ยวเอ้อตาโต หายแวบไปจากมโนของ Storyฯ ทันที) แล้วถ้าเปรียบเทียบวิชาชีพอื่น? สรุปโดยประมาณได้ดังนี้: ค่าจ้าง 600-1,700 เฉียน/เดือนขึ้นอยู่กับระดับงาน แผงขายอาหารในเมืองใหญ่ 1,300-1,600 เฉียน/เดือน ที่ดูจะรายได้ดีมากคือคนขับรถม้าที่ 3,000 เฉียน/เดือนเลยทีเดียว (หาไม่พบว่าเป็นเพราะอะไร) ส่วนเกษตรกรรายได้เฉลี่ย 750-1,200 เฉียน/เดือน แต่ขุนนางมี ‘สวัสดิการ’ อย่างอื่นด้วยคือผ้า เงินค่าน้ำชา ฟืน ชุดประจำตำแหน่ง จวนประจำตำแหน่ง เป็นต้น และยังไม่ต้องเสียภาษีเหมือนชาวนาหรือพ่อค้า แน่นอนว่าการต้องเลี้ยงบ่าวไพร่ทั้งเรือนก็มีค่าใช้จ่ายสูงอยู่ แต่เทียบกับวิชาชีพอื่นแล้ว หากได้เป็นขุนนางติดยศชีวิตความเป็นอยู่จะดีมาก สมัยนั้นตำแหน่งจอหงวนคือลำดับหกเต็ม Storyฯ จึงไม่แปลกใจว่าทำไมคนถึงขวนขวายเข้าเมืองหลวงสอบจอหงวนกัน ยศสูงกว่าใต้เท้าลู่อี้เสียอีก! (วันนี้คุยเรื่องเงินทอง ไม่คุยเรื่องอุดมการณ์ค่ะ) เขียนเพิ่มเติมหลังจากอัพเพจครั้งแรก: ในช่วงเวลาที่ไม่ปกติ เช่นแล้ง หรือเกิดสงคราม ข้าวในคลังมีน้อย หรือในฤดูที่ไม่มีการเก็บเกี่ยว มีการแก้ไขการจ่ายเงินเดือนข้าราชการ โดยกำหนดมูลค่าของข้าวเทียบเท่าของอย่างอื่น เช่น ผ้าผืน พริกไทย ใบชา เป็นต้น (อะไรก็ได้ที่มีมากในคลังหลวง) ต่อมาจึงมีแบ่งจ่ายเป็นตั๋วเงินด้วย ต่อมาในช่วงปลายราชวงศ์หมิงจึงเปลี่ยนมากำหนดให้จ่ายเป็นข้าว ตั๋วเงินและเงิน แต่ยังคงเทียบอัตราเงินเดือนเป็นข้าวสารอยู่ (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจากและข้อมูลเรียบเรียงจาก: https://www.sohu.com/a/360665261_162238 https://www.bilibili.com/read/cv9844919 https://www.zmkm8.com/artdata-94382.html https://www.sohu.com/a/273067566_559864 http://www.gushizhuan.com/gdws/284082.html #ใต้เท้าลู่ #องครักษ์เสื้อแพร #ยอดองครักษ์เสื้อแพร #ราชวงศ์หมิง #วัฒนธรรมจีนโบราณ #เงินจีนโบราณ #เงินเดือนข้าราชการจีน
    《锦衣之下》即将上线 任嘉伦谭松韵“猫鼠游戏“甜酥来袭_悬疑
    此次曝光的海报中,锦衣卫经历陆绎(任嘉伦饰)一身大红炽金飞鱼服,手握绣春刀伫立,眼神凌厉气势十足;六扇门小捕快袁今夏(谭松韵饰)侧抱花猫,明眸善睐、笑容明媚极具少女感;严世蕃(韩栋饰)执扇侧立,神思沉稳…
    1 Comments 0 Shares 173 Views 0 Reviews
  • ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย ทหารใช้กฎอัยการศึก : [THE MESSAGE]
    มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน นำโดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล และ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน พร้อมด้วยนักวิชาการและประชาชนผู้รักชาติรักแผ่นดิน
    ยื่นหนังสือผ่านศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ ถึง น.ส.แพทองธาร นายกรัฐมนตรี เพื่อให้รัฐบาลปกป้องอธิปไตยของชาติอย่างเป็นรูปธรรม ถึงเวลาต้องปกป้องอธิปไตยไทย จะลงถนนก็ไม่ขัดข้อง ฝากถึง นายกรัฐมนตรีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม นายทักษิณ ชินวัตร ประวัติศาสตร์กำลังจะซ้ำรอย ประธาน JBC ซึ่งรัฐบาลแต่งตั้ง เป็นอดีตทูตไทยประจำกัมพูชา แสดงว่าไม่จริงใจเจรจา กัมพูชายังไม่ถอยจริง เรายื่นข้อเสนอว่าถ้ายังแก้ไขไม่ได้จะให้ทหารประกาศกฎอัยการศึกเพื่อจัดการกับกัมพูชา อย่าประมาทประชาชน เราไม่รับอำนาจศาลโลก เราไม่ได้คลั่งชาติจะไปรบกับใคร แต่คนไทยและทหารไทยไม่กลัวทหารกัมพูชา เราร่วมมือกันเพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติ
    ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย ทหารใช้กฎอัยการศึก : [THE MESSAGE] มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน นำโดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล และ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน พร้อมด้วยนักวิชาการและประชาชนผู้รักชาติรักแผ่นดิน ยื่นหนังสือผ่านศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ ถึง น.ส.แพทองธาร นายกรัฐมนตรี เพื่อให้รัฐบาลปกป้องอธิปไตยของชาติอย่างเป็นรูปธรรม ถึงเวลาต้องปกป้องอธิปไตยไทย จะลงถนนก็ไม่ขัดข้อง ฝากถึง นายกรัฐมนตรีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม นายทักษิณ ชินวัตร ประวัติศาสตร์กำลังจะซ้ำรอย ประธาน JBC ซึ่งรัฐบาลแต่งตั้ง เป็นอดีตทูตไทยประจำกัมพูชา แสดงว่าไม่จริงใจเจรจา กัมพูชายังไม่ถอยจริง เรายื่นข้อเสนอว่าถ้ายังแก้ไขไม่ได้จะให้ทหารประกาศกฎอัยการศึกเพื่อจัดการกับกัมพูชา อย่าประมาทประชาชน เราไม่รับอำนาจศาลโลก เราไม่ได้คลั่งชาติจะไปรบกับใคร แต่คนไทยและทหารไทยไม่กลัวทหารกัมพูชา เราร่วมมือกันเพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติ
    Like
    Love
    7
    1 Comments 0 Shares 333 Views 34 0 Reviews
  • วันนี้คุยต่อเรื่องเกี่ยวกับองครักษ์เสื้อแพรตามคำขอจากเพื่อนเพจ
    ความมีอยู่ว่า
    ...แขนของถงอวี่ถูกจินเซี่ยขวางไว้ สีหน้าจึงเครียดขึ้น “ข้าบอกกล่าวต่อเจ้า มันผู้นี้เป็นคนที่องครักษ์เสื้อแพรต้องการ ผู้ใดตั้งใจขัดขวางเหนี่ยวรั้ง นับเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด เจ้ามีอำนาจขัดขวาง?”...
    - จากเรื่อง <เบื้องล่างของเสื้อแพร> ผู้แต่ง หลานเส้อซือ
    (หมายเหตุ ละครเรื่องยอดองค์รักษ์เสื้อแพรดัดแปลงมาจากนิยายเรื่องนี้)

    เวลาดูละครเรามักจะเห็นภาพขององครักษ์เสื้อแพรที่มีอำนาจสูง อยากทำอะไรก็ได้ เป็นอย่างนั้นจริงหรือ? วันนี้เราคุยเรื่องหน้าที่ขององครักษ์เสื้อแพร

    ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักองค์รักษ์เสื้อแพรโดยคร่าว มันเป็นหน่วยงานที่ก่อตั้งขึ้นโดยปฐมกษัตริย์จูหยวนจางแห่งราชวงศ์หมิงเมื่อประมาณปีค.ศ. 1368 เป็นการรวมสองหน่วยงานเข้าด้วยกันคือ ‘ชิงจวินตูเว่ยฝู่’ (亲军都尉府) คือหน่วยราชองครักษ์และ ‘อี๋หลวนซือ’ (仪鸾司) ที่รับผิดชอบงานขบวนราชพิธี ก่อนที่จะมาเป็นที่รู้จักในนาม ‘จิ่นอีเว่ย’ หรือองครักษ์เสื้อแพรที่เรารู้จักกันดี

    สองชื่อนี้บ่งบอกถึงสองหน้าที่หลักเมื่อตอนก่อตั้งหน่วยงาน ซึ่งก็คือเป็นราชองรักษ์ และยามที่ฮ่องเต้เสด็จไปยังที่ต่างๆ (ดูจากรูป ในชุดมัจฉาบินสีแดง) พวกเขาเป็นทั้งผู้ดูแลพิธีการและความถูกต้องของขบวนเสด็จและเป็นผู้ตามเสด็จ

    เพราะได้รับความไว้วางพระทัยและเพราะฮ่องเต้ในเกือบทุกรัชสมัยมีความระแวงสูง ต่อมาจึงมีการขยายขอบเขตหน้าที่ขององครักษ์เสื้อแพรให้รวมถึงสอดแนมและสืบสวนขุนนาง ขึ้นตรงต่อองค์ฮ่องเต้ไม่ผ่านกรมกระทรวงใด มีคุกหลวงใต้อาณัติ จึงเป็นที่มาของหน้าที่สืบสวนสอบสวนที่เราเห็นในนิยายหลายเรื่อง

    แต่จริงๆ แล้วองครักษ์เสื้อแพรไม่สามารถทำอะไรตามอำเภอใจได้อย่างที่เห็นจากภาพลักษณ์ในละคร

    จากข้อมูลในบันทึกเกร็ดประวัติศาสตร์รัชสมัยองค์ว่านลี่ (万历野获编) การจับกุมคนต้องมีหมายจับที่ออกตามพระราชโองการของฮ่องเต้เท่านั้น การเสนอให้ออกหมายจับต้องผ่านการลงนามเห็นชอบโดยผู้บังคับบัญชาระดับสูงของกองสืบสวนสอบสวนซึ่งเป็นอีกหน่วยงานหนึ่ง และหมายจับต้องระบุชื่อคนที่จะจับอย่างชัดเจน หนึ่งหมายจับต่อหนึ่งคน และหากต้องนำจับนอกพื้นที่ยังต้องมีการประทับตราจากหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเช่นกันเพื่อป้องกันการปลอมแปลงเอกสาร นอกจากนี้การลงทัณฑ์นักโทษก็ต้องได้รับพระบรมราชานุญาตก่อน เพียงแต่มีอิสระในวิธีและรูปแบบการสอบสวน (เป็นที่ล่ำลือว่าคุกหลวงในอาณัติขององครักษ์เสื้อแพรมีวิธีการที่โหดร้ายที่สุด)

    หน่วยงานนี้มีฐานประจำการอยู่ในเมืองหลวงเท่านั้น หากมีคดีที่ต้องติดตามนอกเมืองหลวงต้องมีคำสั่งปฏิบัติงานนอกพื้นที่ มีการขออนุมัติและเบิกค่าใช้จ่ายล่วงหน้าชัดเจน แต่โดยปกติจะว่าจ้างคนหาข่าวในพื้นที่ต่างๆ ไม่ต้องทำเองทั้งหมด

    ดังนั้น สำหรับหน่วยงานที่มีคนหลายหมื่น (ในบางยุคสมัยมีเจ้าหน้าที่รวมเกือบหกหมื่นคน) โดยปกติจึงมีคนมากกว่างานหลักที่กล่าวมาข้างต้น เลยต้องมีงานอย่างอื่นทำนอกเหนือจากสามหน้าที่หลักที่กล่าวมาแล้ว ทั้งหน้าที่ประจำและงานสัพเพเหระตามแต่ฮ่องเต้จะมีพระบัญชา เท่าที่อ่านเจอมีดังนี้
     หาข่าวสารในช่วงสงคราม: อันนี้เป็นการเฉพาะกิจ เคยถูกใช้เป็นหน่วยสอดแนมให้กองทัพ
     เฝ้าประตูวัง: รับผิดชอบดูแลเฉพาะประตูหลักของวังหลวงหรือที่เรียกว่า ‘อู่เหมิน’ (คือประตูที่ใช้โดยฮ่องเต้เท่านั้น หรือเฉพาะคนที่ได้รับพระบรมราชานุญาตในโอกาสพิเศษ) ถือว่าเป็นหน่วยราชองครักษ์ที่มี ‘หน้าตา’ กว่าราชองครักษ์กองอื่น
     ดูแลความสะอาด: อันนี้แปลก แต่เนื่องจากมีระดับชั้นผู้น้อยที่ไม่ได้เป็นขุนนางติดยศเป็นจำนวนมากและไม่มีหน้าที่ลาดตระเวน จึงถูกใช้ดูแลความสะอาดของเมืองหลวง เช่นกวาดถนนและคูน้ำต่างๆ ฯลฯ
     เลี้ยงช้าง: อันนี้ยิ่งแปลก แต่ในสมัยโบราณมีการใช้ช้างในขบวนราชพิธี ตัวอย่างจาก “หมิงสื่อ /明史” หรือบันทึกประวัติศาสตร์ราชวงศ์หมิง มีพูดถึงขบวนเสด็จราชพิธีบวงสรวงว่าที่มีเสือและช้างเดินนำ การดูแลทำความสะอาดและเลี้ยงช้างเป็นอีกหนึ่งหน้าที่ขององครักษ์เสื้อแพร

    ขออภัยหากข้อมูลข้างต้นลดทอนภาพลักษณ์อันหน้าเกรงขามของเหล่าองครักษ์เสื้อแพร

    และด้วยหน้าที่ที่หลากหลายขององครักษ์เสื้อแพร Storyฯ เลยอยากจะเตือนความทรงจำของเพื่อนเพจถึงบทความที่ Storyฯ เคยเขียนไปก่อนหน้านี้ว่า ไม่ใช่องครักษ์เสื้อแพรทุกคนที่ใส่ชุดมัจฉาบินและติดดาบซิ่วชุนได้ เนื่องจากทั้งสองสิ่งเป็นของพระราชทานสำหรับขุนนางติดยศเท่านั้น

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://k.sina.cn/article_1229799315_494d3f9300100l3br.html

    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://www.52shijing.com/zgls/123948.html
    http://www.360doc.com/content/17/1108/21/18848094_702172237.shtml
    https://ppfocus.com/sg/0/hi2ce1da4.html
    http://www.manyanu.com/new/c67503edffe34e4eb5fa46ac96bc834e

    #ใต้เท้าลู่ #องครักษ์เสื้อแพร #จิ่นอีเว่ย #ราชวงศ์หมิง #ประวัติศาสตร์จีน
    วันนี้คุยต่อเรื่องเกี่ยวกับองครักษ์เสื้อแพรตามคำขอจากเพื่อนเพจ ความมีอยู่ว่า ...แขนของถงอวี่ถูกจินเซี่ยขวางไว้ สีหน้าจึงเครียดขึ้น “ข้าบอกกล่าวต่อเจ้า มันผู้นี้เป็นคนที่องครักษ์เสื้อแพรต้องการ ผู้ใดตั้งใจขัดขวางเหนี่ยวรั้ง นับเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด เจ้ามีอำนาจขัดขวาง?”... - จากเรื่อง <เบื้องล่างของเสื้อแพร> ผู้แต่ง หลานเส้อซือ (หมายเหตุ ละครเรื่องยอดองค์รักษ์เสื้อแพรดัดแปลงมาจากนิยายเรื่องนี้) เวลาดูละครเรามักจะเห็นภาพขององครักษ์เสื้อแพรที่มีอำนาจสูง อยากทำอะไรก็ได้ เป็นอย่างนั้นจริงหรือ? วันนี้เราคุยเรื่องหน้าที่ขององครักษ์เสื้อแพร ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักองค์รักษ์เสื้อแพรโดยคร่าว มันเป็นหน่วยงานที่ก่อตั้งขึ้นโดยปฐมกษัตริย์จูหยวนจางแห่งราชวงศ์หมิงเมื่อประมาณปีค.ศ. 1368 เป็นการรวมสองหน่วยงานเข้าด้วยกันคือ ‘ชิงจวินตูเว่ยฝู่’ (亲军都尉府) คือหน่วยราชองครักษ์และ ‘อี๋หลวนซือ’ (仪鸾司) ที่รับผิดชอบงานขบวนราชพิธี ก่อนที่จะมาเป็นที่รู้จักในนาม ‘จิ่นอีเว่ย’ หรือองครักษ์เสื้อแพรที่เรารู้จักกันดี สองชื่อนี้บ่งบอกถึงสองหน้าที่หลักเมื่อตอนก่อตั้งหน่วยงาน ซึ่งก็คือเป็นราชองรักษ์ และยามที่ฮ่องเต้เสด็จไปยังที่ต่างๆ (ดูจากรูป ในชุดมัจฉาบินสีแดง) พวกเขาเป็นทั้งผู้ดูแลพิธีการและความถูกต้องของขบวนเสด็จและเป็นผู้ตามเสด็จ เพราะได้รับความไว้วางพระทัยและเพราะฮ่องเต้ในเกือบทุกรัชสมัยมีความระแวงสูง ต่อมาจึงมีการขยายขอบเขตหน้าที่ขององครักษ์เสื้อแพรให้รวมถึงสอดแนมและสืบสวนขุนนาง ขึ้นตรงต่อองค์ฮ่องเต้ไม่ผ่านกรมกระทรวงใด มีคุกหลวงใต้อาณัติ จึงเป็นที่มาของหน้าที่สืบสวนสอบสวนที่เราเห็นในนิยายหลายเรื่อง แต่จริงๆ แล้วองครักษ์เสื้อแพรไม่สามารถทำอะไรตามอำเภอใจได้อย่างที่เห็นจากภาพลักษณ์ในละคร จากข้อมูลในบันทึกเกร็ดประวัติศาสตร์รัชสมัยองค์ว่านลี่ (万历野获编) การจับกุมคนต้องมีหมายจับที่ออกตามพระราชโองการของฮ่องเต้เท่านั้น การเสนอให้ออกหมายจับต้องผ่านการลงนามเห็นชอบโดยผู้บังคับบัญชาระดับสูงของกองสืบสวนสอบสวนซึ่งเป็นอีกหน่วยงานหนึ่ง และหมายจับต้องระบุชื่อคนที่จะจับอย่างชัดเจน หนึ่งหมายจับต่อหนึ่งคน และหากต้องนำจับนอกพื้นที่ยังต้องมีการประทับตราจากหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเช่นกันเพื่อป้องกันการปลอมแปลงเอกสาร นอกจากนี้การลงทัณฑ์นักโทษก็ต้องได้รับพระบรมราชานุญาตก่อน เพียงแต่มีอิสระในวิธีและรูปแบบการสอบสวน (เป็นที่ล่ำลือว่าคุกหลวงในอาณัติขององครักษ์เสื้อแพรมีวิธีการที่โหดร้ายที่สุด) หน่วยงานนี้มีฐานประจำการอยู่ในเมืองหลวงเท่านั้น หากมีคดีที่ต้องติดตามนอกเมืองหลวงต้องมีคำสั่งปฏิบัติงานนอกพื้นที่ มีการขออนุมัติและเบิกค่าใช้จ่ายล่วงหน้าชัดเจน แต่โดยปกติจะว่าจ้างคนหาข่าวในพื้นที่ต่างๆ ไม่ต้องทำเองทั้งหมด ดังนั้น สำหรับหน่วยงานที่มีคนหลายหมื่น (ในบางยุคสมัยมีเจ้าหน้าที่รวมเกือบหกหมื่นคน) โดยปกติจึงมีคนมากกว่างานหลักที่กล่าวมาข้างต้น เลยต้องมีงานอย่างอื่นทำนอกเหนือจากสามหน้าที่หลักที่กล่าวมาแล้ว ทั้งหน้าที่ประจำและงานสัพเพเหระตามแต่ฮ่องเต้จะมีพระบัญชา เท่าที่อ่านเจอมีดังนี้  หาข่าวสารในช่วงสงคราม: อันนี้เป็นการเฉพาะกิจ เคยถูกใช้เป็นหน่วยสอดแนมให้กองทัพ  เฝ้าประตูวัง: รับผิดชอบดูแลเฉพาะประตูหลักของวังหลวงหรือที่เรียกว่า ‘อู่เหมิน’ (คือประตูที่ใช้โดยฮ่องเต้เท่านั้น หรือเฉพาะคนที่ได้รับพระบรมราชานุญาตในโอกาสพิเศษ) ถือว่าเป็นหน่วยราชองครักษ์ที่มี ‘หน้าตา’ กว่าราชองครักษ์กองอื่น  ดูแลความสะอาด: อันนี้แปลก แต่เนื่องจากมีระดับชั้นผู้น้อยที่ไม่ได้เป็นขุนนางติดยศเป็นจำนวนมากและไม่มีหน้าที่ลาดตระเวน จึงถูกใช้ดูแลความสะอาดของเมืองหลวง เช่นกวาดถนนและคูน้ำต่างๆ ฯลฯ  เลี้ยงช้าง: อันนี้ยิ่งแปลก แต่ในสมัยโบราณมีการใช้ช้างในขบวนราชพิธี ตัวอย่างจาก “หมิงสื่อ /明史” หรือบันทึกประวัติศาสตร์ราชวงศ์หมิง มีพูดถึงขบวนเสด็จราชพิธีบวงสรวงว่าที่มีเสือและช้างเดินนำ การดูแลทำความสะอาดและเลี้ยงช้างเป็นอีกหนึ่งหน้าที่ขององครักษ์เสื้อแพร ขออภัยหากข้อมูลข้างต้นลดทอนภาพลักษณ์อันหน้าเกรงขามของเหล่าองครักษ์เสื้อแพร และด้วยหน้าที่ที่หลากหลายขององครักษ์เสื้อแพร Storyฯ เลยอยากจะเตือนความทรงจำของเพื่อนเพจถึงบทความที่ Storyฯ เคยเขียนไปก่อนหน้านี้ว่า ไม่ใช่องครักษ์เสื้อแพรทุกคนที่ใส่ชุดมัจฉาบินและติดดาบซิ่วชุนได้ เนื่องจากทั้งสองสิ่งเป็นของพระราชทานสำหรับขุนนางติดยศเท่านั้น (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://k.sina.cn/article_1229799315_494d3f9300100l3br.html Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://www.52shijing.com/zgls/123948.html http://www.360doc.com/content/17/1108/21/18848094_702172237.shtml https://ppfocus.com/sg/0/hi2ce1da4.html http://www.manyanu.com/new/c67503edffe34e4eb5fa46ac96bc834e #ใต้เท้าลู่ #องครักษ์เสื้อแพร #จิ่นอีเว่ย #ราชวงศ์หมิง #ประวัติศาสตร์จีน
    同样是锦衣卫造型,朱亚文“厂里厂气”,任嘉伦却赞苏断腿
    近期的古装剧一部接着一部,不知大家注意了没有,有两部戏都是以明朝为背景的。这两部戏就是汤唯、朱亚文主演的《大明风华》以及谭松韵、任嘉伦主演的《锦衣之下》。而且剧
    1 Comments 0 Shares 204 Views 0 Reviews
  • พบว่ามีคนไทยระดับผู้บริหารประเทศ
    และประชาชนไทยจำนวนไม่น้อย
    ยังไม่รู้จักดินแดนตนเอง

    อาจเพราะมองว่าประวัติศาสตร์เป็นเรื่องน่าเบื่อ
    เกิดเหตุทีค่อยมาศึกษาที ผ่านอินเตอร์เน็ต
    ท่ามกลางข้อมูลมากมาย ทั้งบิดเบือน พูดไม่ครบ
    แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า อะไรจะเป็นตัวชี้วัด
    ข้อมูลจากบุคคลที่น่าเชื่อถือ สามารถเชื่อถือได้ 100% หรอ

    แล้วเราจะปกป้องอธิปไตยของเราได้อย่างไร
    หากเราไม่เคยเข้าใจและไม่เคยรับรู้ประวัติศาสตร์ของประเทศตนเอง

    แอดจึงอยากเชิญชวนให้เรา คนไทยทุกคน
    เริ่มศึกษาประวัติศาสตร์ความเป็นเรา ความเป็นไทย
    พบว่ามีคนไทยระดับผู้บริหารประเทศ และประชาชนไทยจำนวนไม่น้อย ยังไม่รู้จักดินแดนตนเอง อาจเพราะมองว่าประวัติศาสตร์เป็นเรื่องน่าเบื่อ เกิดเหตุทีค่อยมาศึกษาที ผ่านอินเตอร์เน็ต ท่ามกลางข้อมูลมากมาย ทั้งบิดเบือน พูดไม่ครบ แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า อะไรจะเป็นตัวชี้วัด ข้อมูลจากบุคคลที่น่าเชื่อถือ สามารถเชื่อถือได้ 100% หรอ แล้วเราจะปกป้องอธิปไตยของเราได้อย่างไร หากเราไม่เคยเข้าใจและไม่เคยรับรู้ประวัติศาสตร์ของประเทศตนเอง แอดจึงอยากเชิญชวนให้เรา คนไทยทุกคน เริ่มศึกษาประวัติศาสตร์ความเป็นเรา ความเป็นไทย
    0 Comments 0 Shares 50 Views 0 Reviews
  • db ซัวเถา สันทนากับ หม่อมกร เรื่องประวัติศาสตร์พื้นที่ ที่ฝรั่งเศส ยกให้เขมร
    https://youtu.be/KwPSmC3Geao?si=nVZbMLhjqbqnzpNU
    db ซัวเถา สันทนากับ หม่อมกร เรื่องประวัติศาสตร์พื้นที่ ที่ฝรั่งเศส ยกให้เขมร https://youtu.be/KwPSmC3Geao?si=nVZbMLhjqbqnzpNU
    0 Comments 0 Shares 77 Views 0 Reviews
  • สะกดทุกสายตา ยิ่งใหญ่สมการรอคอย Mini Light & Sound แสงแห่ง “ประตูชัยบนราชมรรคา แห่งชัยวรมันที่ 7” ย้อนรอยอดีตรากเหง้าชาวพิมายตามเส้นทางอารยธรรมขอม

    วันที่ 6 มิถุนายน 2568 ที่บริเวณประตูชัย อ.พิมาย #นางยลดา หวังศุภกิจโกศล นายก อบจ.นครราชสีมา ประธานในพิธี พร้อมด้วย นายนิกร โสมกลาง สส.นครราชสีมา เขต 8 นายศิวะเสก สินโทรัมย์ นายอำเภอพิมาย และ นายชนม์บันลือ วรรธนพันธุ์ ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัด ร่วมกันเปิดการแสดง แสง สี เสียง (Mini Light and Sound) “ประตูชัยบนราชมรรคา แห่งชัยวรมันที่ 7” ย้อนรอยอดีตตามเส้นทางท่องเที่ยวอารยธรรมขอม ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 6 – 7 มิถุนายน 2568 โดยสำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัด และสำนักศิลปากรที่ 10 นครราชสีมา ที่ต้องการส่งเสริมพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวอารยธรรมขอมและโบราณสถานในพื้นที่ จ.นครราชสีมา ให้เกิดการใช้ต้นทุนในท้องถิ่นให้เกิดประโยชน์ ด้วยเส้นทางเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวอารยธรรมขอมโบราณของจังหวัดและพื้นที่ใกล้เคียง สู่การเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม โดยเฉพาะที่พิมาย มีอุทยานประวัติศาสตร์พิมาย ไทรงาม รวมถึงเทศกาลเที่ยวพิมายและงานประเพณีแข่งเรือพิมาย ที่ถูกบรรจุไว้ในปฏิทินการท่องเที่ยว ที่สามารถสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในชุมชน กระตุ้นเศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยว และการเติบโตของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของจังหวัดนครราชสีมาในอนาคต

    Mini Light And Sound “ประตูชัยบนราชมรรคา แห่งชัยวรมันที่ 7” จัดขึ้นระหว่างวันที่ 6 – 7 มิถุนายน 2568 วันแรกชมพิธีเปิดและชมการแสดง แสง สี เสียง ประตูชัยบนราชมรรคา แห่งชัยวรมันที่ 7 ต่อด้วยการแสดงจากวงดนตรีลูกทุ่ง ส่วนวันที่ 7 จะมีการประกวดเทพธิดาอัปสรา ประจำปี 2568, การแสดงศิลปวัฒนธรรม 2 ชุดการแสดง จากนั้นชมการแสดง แสง สี เสียง “ประตูชัยบนราชมรรคา แห่งชัยวรมันที่ 7” ปิดท้ายด้วย การแสดงของวงดนตรีลูกทุ่ง ชมฟรี!! ตลอด 2 วัน 2 คืน พร้อมเลือกช้อปสินค้าและของดี อ.พิมาย ณ บริเวณประตูชัย อ.พิมาย จ.นครราชสีมา

    #นายกหน่อย #พิมาย
    # MiniLightAndSound
    #อบจโคราช
    #สร้างคนสร้างเศรษฐกิจสร้างเมืองโคราช
    #prkoratpao
    สะกดทุกสายตา ยิ่งใหญ่สมการรอคอย Mini Light & Sound แสงแห่ง “ประตูชัยบนราชมรรคา แห่งชัยวรมันที่ 7” ย้อนรอยอดีตรากเหง้าชาวพิมายตามเส้นทางอารยธรรมขอม วันที่ 6 มิถุนายน 2568 ที่บริเวณประตูชัย อ.พิมาย #นางยลดา หวังศุภกิจโกศล นายก อบจ.นครราชสีมา ประธานในพิธี พร้อมด้วย นายนิกร โสมกลาง สส.นครราชสีมา เขต 8 นายศิวะเสก สินโทรัมย์ นายอำเภอพิมาย และ นายชนม์บันลือ วรรธนพันธุ์ ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัด ร่วมกันเปิดการแสดง แสง สี เสียง (Mini Light and Sound) “ประตูชัยบนราชมรรคา แห่งชัยวรมันที่ 7” ย้อนรอยอดีตตามเส้นทางท่องเที่ยวอารยธรรมขอม ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 6 – 7 มิถุนายน 2568 โดยสำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัด และสำนักศิลปากรที่ 10 นครราชสีมา ที่ต้องการส่งเสริมพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวอารยธรรมขอมและโบราณสถานในพื้นที่ จ.นครราชสีมา ให้เกิดการใช้ต้นทุนในท้องถิ่นให้เกิดประโยชน์ ด้วยเส้นทางเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวอารยธรรมขอมโบราณของจังหวัดและพื้นที่ใกล้เคียง สู่การเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม โดยเฉพาะที่พิมาย มีอุทยานประวัติศาสตร์พิมาย ไทรงาม รวมถึงเทศกาลเที่ยวพิมายและงานประเพณีแข่งเรือพิมาย ที่ถูกบรรจุไว้ในปฏิทินการท่องเที่ยว ที่สามารถสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในชุมชน กระตุ้นเศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยว และการเติบโตของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของจังหวัดนครราชสีมาในอนาคต Mini Light And Sound “ประตูชัยบนราชมรรคา แห่งชัยวรมันที่ 7” จัดขึ้นระหว่างวันที่ 6 – 7 มิถุนายน 2568 วันแรกชมพิธีเปิดและชมการแสดง แสง สี เสียง ประตูชัยบนราชมรรคา แห่งชัยวรมันที่ 7 ต่อด้วยการแสดงจากวงดนตรีลูกทุ่ง ส่วนวันที่ 7 จะมีการประกวดเทพธิดาอัปสรา ประจำปี 2568, การแสดงศิลปวัฒนธรรม 2 ชุดการแสดง จากนั้นชมการแสดง แสง สี เสียง “ประตูชัยบนราชมรรคา แห่งชัยวรมันที่ 7” ปิดท้ายด้วย การแสดงของวงดนตรีลูกทุ่ง ชมฟรี!! ตลอด 2 วัน 2 คืน พร้อมเลือกช้อปสินค้าและของดี อ.พิมาย ณ บริเวณประตูชัย อ.พิมาย จ.นครราชสีมา #นายกหน่อย #พิมาย # MiniLightAndSound #อบจโคราช #สร้างคนสร้างเศรษฐกิจสร้างเมืองโคราช #prkoratpao
    0 Comments 0 Shares 122 Views 0 Reviews
  • สะกดทุกสายตา ยิ่งใหญ่สมการรอคอย Mini Light & Sound แสงแห่ง “ประตูชัยบนราชมรรคา แห่งชัยวรมันที่ 7” ย้อนรอยอดีตรากเหง้าชาวพิมายตามเส้นทางอารยธรรมขอม

    วันที่ 6 มิถุนายน 2568 ที่บริเวณประตูชัย อ.พิมาย #นางยลดา หวังศุภกิจโกศล นายก อบจ.นครราชสีมา ประธานในพิธี พร้อมด้วย นายนิกร โสมกลางสส.นครราชสีมา เขต 8 นายศิวะเสก สินโทรัมย์ นายอำเภอพิมาย และ นายชนม์บันลือ วรรธนพันธุ์ ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัด ร่วมกันเปิดการแสดง แสง สี เสียง (Mini Light and Sound) “ประตูชัยบนราชมรรคา แห่งชัยวรมันที่ 7” ย้อนรอยอดีตตามเส้นทางท่องเที่ยวอารยธรรมขอม ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 6 – 7 มิถุนายน 2568 โดยสำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัด และสำนักศิลปากรที่ 10 นครราชสีมา ที่ต้องการส่งเสริมพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวอารยธรรมขอมและโบราณสถานในพื้นที่ จ.นครราชสีมา ให้เกิดการใช้ต้นทุนในท้องถิ่นให้เกิดประโยชน์ ด้วยเส้นทางเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวอารยธรรมขอมโบราณของจังหวัดและพื้นที่ใกล้เคียง สู่การเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม โดยเฉพาะที่พิมาย มีอุทยานประวัติศาสตร์พิมาย ไทรงาม รวมถึงเทศกาลเที่ยวพิมายและงานประเพณีแข่งเรือพิมาย ที่ถูกบรรจุไว้ในปฏิทินการท่องเที่ยว ที่สามารถสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในชุมชน กระตุ้นเศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยว และการเติบโตของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของจังหวัดนครราชสีมาในอนาคต

    Mini Light And Sound “ประตูชัยบนราชมรรคา แห่งชัยวรมันที่ 7” จัดขึ้นระหว่างวันที่ 6 – 7 มิถุนายน 2568 วันแรกชมพิธีเปิดและชมการแสดง แสง สี เสียง ประตูชัยบนราชมรรคา แห่งชัยวรมันที่ 7 ต่อด้วยการแสดงจากวงดนตรีลูกทุ่ง ส่วนวันที่ 7 จะมีการประกวดเทพธิดาอัปสรา ประจำปี 2568, การแสดงศิลปวัฒนธรรม 2 ชุดการแสดง จากนั้นชมการแสดง แสง สี เสียง “ประตูชัยบนราชมรรคา แห่งชัยวรมันที่ 7” ปิดท้ายด้วย การแสดงของวงดนตรีลูกทุ่ง ชมฟรี!! ตลอด 2 วัน 2 คืน พร้อมเลือกช้อปสินค้าและของดี อ.พิมาย ณ บริเวณประตูชัย อ.พิมาย จ.นครราชสีมา

    #นายกหน่อย #พิมาย
    # MiniLightAndSound
    #อบจโคราช
    #สร้างคนสร้างเศรษฐกิจสร้างเมืองโคราช
    #prkoratpao
    สะกดทุกสายตา ยิ่งใหญ่สมการรอคอย Mini Light & Sound แสงแห่ง “ประตูชัยบนราชมรรคา แห่งชัยวรมันที่ 7” ย้อนรอยอดีตรากเหง้าชาวพิมายตามเส้นทางอารยธรรมขอม วันที่ 6 มิถุนายน 2568 ที่บริเวณประตูชัย อ.พิมาย #นางยลดา หวังศุภกิจโกศล นายก อบจ.นครราชสีมา ประธานในพิธี พร้อมด้วย นายนิกร โสมกลางสส.นครราชสีมา เขต 8 นายศิวะเสก สินโทรัมย์ นายอำเภอพิมาย และ นายชนม์บันลือ วรรธนพันธุ์ ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัด ร่วมกันเปิดการแสดง แสง สี เสียง (Mini Light and Sound) “ประตูชัยบนราชมรรคา แห่งชัยวรมันที่ 7” ย้อนรอยอดีตตามเส้นทางท่องเที่ยวอารยธรรมขอม ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 6 – 7 มิถุนายน 2568 โดยสำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัด และสำนักศิลปากรที่ 10 นครราชสีมา ที่ต้องการส่งเสริมพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวอารยธรรมขอมและโบราณสถานในพื้นที่ จ.นครราชสีมา ให้เกิดการใช้ต้นทุนในท้องถิ่นให้เกิดประโยชน์ ด้วยเส้นทางเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวอารยธรรมขอมโบราณของจังหวัดและพื้นที่ใกล้เคียง สู่การเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม โดยเฉพาะที่พิมาย มีอุทยานประวัติศาสตร์พิมาย ไทรงาม รวมถึงเทศกาลเที่ยวพิมายและงานประเพณีแข่งเรือพิมาย ที่ถูกบรรจุไว้ในปฏิทินการท่องเที่ยว ที่สามารถสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในชุมชน กระตุ้นเศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยว และการเติบโตของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของจังหวัดนครราชสีมาในอนาคต Mini Light And Sound “ประตูชัยบนราชมรรคา แห่งชัยวรมันที่ 7” จัดขึ้นระหว่างวันที่ 6 – 7 มิถุนายน 2568 วันแรกชมพิธีเปิดและชมการแสดง แสง สี เสียง ประตูชัยบนราชมรรคา แห่งชัยวรมันที่ 7 ต่อด้วยการแสดงจากวงดนตรีลูกทุ่ง ส่วนวันที่ 7 จะมีการประกวดเทพธิดาอัปสรา ประจำปี 2568, การแสดงศิลปวัฒนธรรม 2 ชุดการแสดง จากนั้นชมการแสดง แสง สี เสียง “ประตูชัยบนราชมรรคา แห่งชัยวรมันที่ 7” ปิดท้ายด้วย การแสดงของวงดนตรีลูกทุ่ง ชมฟรี!! ตลอด 2 วัน 2 คืน พร้อมเลือกช้อปสินค้าและของดี อ.พิมาย ณ บริเวณประตูชัย อ.พิมาย จ.นครราชสีมา #นายกหน่อย #พิมาย # MiniLightAndSound #อบจโคราช #สร้างคนสร้างเศรษฐกิจสร้างเมืองโคราช #prkoratpao
    0 Comments 0 Shares 115 Views 0 Reviews
  • วันนี้เรามาคุยกันเกี่ยวกับหนึ่งในสรรพนามเรียกขานฮ่องเต้จีน
    ความมีอยู่ว่า
    ...หวางซู่เอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย “หม่อมฉันเกรงว่าปี้เซี่ยจะทรงใกล้ชิดกับพวกนาง จึงต้องกราบทูลรายงาน แต่กวนเจียมิทรงตรัสอันใด กลับทรงมีพระบัญชาให้หม่อมฉันนำพระราชดำรัสมาประกาศ ให้พระสนมทั้งสองออกจากวังโดยพลัน พระองค์ตรัสเสร็จพระอัสสุชลก็รินไหล”...
    - จากเรื่อง <จองจำเดียวดายในนคร> ผู้แต่ง หมี่หลานเลดี้ (แต่ Storyฯ แปลเองจ้า)
    (หมายเหตุ ละครเรื่อง <วังเดียวดาย> ดัดแปลงมาจากนิยายเรื่องนี้)

    เพื่อความง่ายในการเข้าใจ Storyฯ ขอไม่เน้นราชาศัพท์ในบทความข้างล่างนะคะ

    เพื่อนเพจที่ดูละครจีนโบราณเสียงภาษาจีนต้องเคยได้ยินสรรพนามเรียกขานฮ่องเต้ที่แตกต่างกันไป เช่น ปี้เซี่ย หวงตี้ จินซ่าง เทียนจื่อ ฯลฯ ซึ่งคำเหล่านี้มักมีความหมายเกี่ยวโยงราชบัลลังก์ ความศักดิ์สิทธิ์ หรือสวรรค์ ที่ฟังดูสูงเกินเอื้อมของปุถุชนคนธรรมดา

    แต่หากใครได้ดูละครเรื่อง <วังเดียวดาย> จะได้ยินการเรียกขานฮ่องเต้ว่า ‘กวนเจีย’ ซึ่งเป็นคำเรียกที่แปลกในความรู้สึกของ Storyฯ เพราะแปลความหมายได้ประมาณว่า ‘สำนักราชการ’ (กวน = ขุนนาง เจีย = บ้านหรือกลุ่มองค์กร) Storyฯ จึงต้องไปหาข้อมูลทำความเข้าใจ

    คำว่า ‘กวนเจีย’ มีมาแต่สมัยราชวงศ์ฮั่น (202 ปีก่อนคริสตกาล – ค.ศ. 220) เพียงแต่ในสมัยนั้น ไม่ได้เป็นการเรียกเจ้าผู้ปกครองประเทศ หากแต่เป็นการเรียกรวมหมายถึงเหล่าขุนนางและหน่วยงานข้าราชการ หรือเป็นการเรียกขานผู้ที่เป็นขุนนางอย่างยกย่อง

    ว่ากันว่ามีการใช้สรรพนามนี้ขานเรียกฮ่องเต้ตั้งแต่ยุคสมัยราชวงศ์เหนือใต้ (ค.ศ. 420-589) แต่ไม่เป็นที่นิยมเนื่องจากฟังดูไม่สูงศักดิ์และอาจทำให้สับสนเพราะยังหมายถึงเหล่าข้าราชการได้อีกด้วย จวบจนเริ่มยุคสมัยราชวงศ์ซ่งจึงใช้คำว่า ‘กวนเจีย’ เรียกฮ่องเต้อย่างเป็นทางการ

    เพราะอะไร?

    ท่านที่พอจะทราบประวัติศาสตร์จีนจะทราบว่า เมื่อสิ้นสุดราชวงศ์ถังก็เข้าสู่ยุคที่แตกเป็นห้าราชวงศ์สิบแคว้น จากนั้นจึงเกิดเป็นราชวงศ์ซ่ง ซึ่งเหตุการณ์การก่อตั้งราชวงศ์ซ่งเกิดขึ้นในปีค.ศ. 960 เมื่อเจ้าผู้ปกครองราชวงศ์โฮ่วโจว (โจวยุคหลัง หนึ่งในห้าราชวงศ์) สวรรคตลง ทำให้เกิดความระส่ำระสายในสายทหารเพราะผู้สืบทอดราชบัลลังก์เป็นเด็ก อยู่มาวันหนึ่งผู้นำเหล่าทัพทั้งหลายพร้อมใจกันเอาชุดเหลืองลายมังกรแบบเฉพาะของฮ่องเต้มาคลุมกายให้แก่จอมทัพเจ้าควงอิ้น เพื่อขอให้เขาขึ้นเป็นผู้ปกครองอาณาจักรโฮ่วโจวแทน (ดูรูปขวาบนและล่าง และอ่านเรื่องราวเหตุการณ์นี้ได้เพิ่มเติมที่เพจศิลปวัฒนธรรมตามลิ้งค์ข้างล่าง)

    เจ้าควงอิ้นเมื่อขึ้นครองราชย์ก็สถานปนาราชวงศ์ใหม่คือราชวงศ์ซ่ง และตั้งใจคัดเฟ้นสรรพนามเรียกขานตนที่เหมาะสมขึ้นใหม่ เพราะเขาตระหนักว่าตนเองเป็นเชื้อสายตระกูลทหาร ไม่ได้เป็นเชื้อพระวงศ์ จึงเกรงว่าหากใช้คำที่เกี่ยวข้องกับการสืบราชสันตติวงศ์ จะทำให้ประชาชนมีความรู้สึกว่าเขาขึ้นครองราชย์อย่างไม่ชอบธรรม

    จึงมาลงเอยที่คำว่า ‘กวนเจีย’ นี้ ซึ่งมีพื้นฐานมาจากปรัชญาคำสอนการปกครองจากยุคสมัยชุนชิว และถูกยกมาจากวรรคที่ว่า ‘สามราชาดูแลทั่วหล้า ห้าจักรพรรดิมีใต้นภาเป็นครอบครัว’ (ซานหวงกวนเทียเซี่ย อู่ตี้เจียเทียนเซี่ย / 三皇官天下,五帝家天下) ซึ่งเป็นการเท้าความถึง ‘สามราชาห้าจักรพรรดิ’ ในตำนานปรำปราที่ปกครองดูแลประชาชนอย่าง ‘เข้าถึง’ และมีคุณธรรม โดยในบริบทนี้คำว่า ‘กวนเจีย’ ถูกเลือกมาใช้เพื่อให้สะท้อนความนัยว่า เป็นการปกครองโดยคนที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับประชาชน ทำโดยหน้าที่ที่รับผิดชอบดูแลและเป็นที่พึ่งให้แก่ประชาชน

    ดังนั้นในสมัยราชวงศ์ซ่ง ประชาชนจะเรียกข้าราชการว่า ‘กวนเจีย’ ไม่ได้อีกต่อไป และมีการกำหนดให้คำนี้มีเพียงความหมายเดียวคือแปลว่าฮ่องเต้ (แต่จะใช้คำอื่นเช่น ปี้เซี่ย เรียกฮ่องเต้ก็ยังได้อยู่) ไม่ได้หมายรวมถึงเหล่าข้าราชการอีกต่อไป

    นอกจากคำที่พูดถึงมาข้างต้นแล้ว เพื่อนเพจยังเคยผ่านหูคำเรียกขานฮ่องเต้ว่าอย่างอื่นอีกไหมคะ? Storyฯ นึกได้อีกหลายคำเลย

    หมายเหตุ 1: ‘สามราชา’ บ้างว่าหมายถึงเทพเจ้าผู้สร้างและดูแลมนุษย์ในตำนานคือฟู่ซี หนี่ว์วา และเหยียนตี้ และบ้างว่าหมายถึงราชาแห่งแผ่นฟ้า ผืนดินและมนุษย์ชาติ ส่วน ‘ห้าจักรพรรดิ’ นั้นหมายถึงองค์หวงตี้ (จักรพรรดิเหลือง) และฮ่องเต้ผู้สืบทอดบัลลังก์ต่อมาอีกสี่พระองค์
    หมายเหตุ 2: ในเรื่อง <วังเดียวดาย> เป็นยุคสมัยของฮ่องเต้เหรินจง เป็นฮ่องเต้องค์ที่สี่แห่งราชวงศ์ซ่ง

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://kknews.cc/zh-my/history/2vgm4n9.html
    https://dramakaffe.wordpress.com/2020/05/16/serenade-of-peaceful-joy/
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://zhuanlan.zhihu.com/p/133862973
    https://www.thehour.cn/news/363118.html
    https://www.gugong.net/zhongguo/songchao/18033.html
    https://kknews.cc/history/g48mr58.html

    #ราชวงศ์ซ่ง #ฮ่องเต้จีน #เจ้าควงอิ้น #ชิงผิงเยวี่ย #กวนเจีย #ประวัติศาสตร์จีน
    วันนี้เรามาคุยกันเกี่ยวกับหนึ่งในสรรพนามเรียกขานฮ่องเต้จีน ความมีอยู่ว่า ...หวางซู่เอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย “หม่อมฉันเกรงว่าปี้เซี่ยจะทรงใกล้ชิดกับพวกนาง จึงต้องกราบทูลรายงาน แต่กวนเจียมิทรงตรัสอันใด กลับทรงมีพระบัญชาให้หม่อมฉันนำพระราชดำรัสมาประกาศ ให้พระสนมทั้งสองออกจากวังโดยพลัน พระองค์ตรัสเสร็จพระอัสสุชลก็รินไหล”... - จากเรื่อง <จองจำเดียวดายในนคร> ผู้แต่ง หมี่หลานเลดี้ (แต่ Storyฯ แปลเองจ้า) (หมายเหตุ ละครเรื่อง <วังเดียวดาย> ดัดแปลงมาจากนิยายเรื่องนี้) เพื่อความง่ายในการเข้าใจ Storyฯ ขอไม่เน้นราชาศัพท์ในบทความข้างล่างนะคะ เพื่อนเพจที่ดูละครจีนโบราณเสียงภาษาจีนต้องเคยได้ยินสรรพนามเรียกขานฮ่องเต้ที่แตกต่างกันไป เช่น ปี้เซี่ย หวงตี้ จินซ่าง เทียนจื่อ ฯลฯ ซึ่งคำเหล่านี้มักมีความหมายเกี่ยวโยงราชบัลลังก์ ความศักดิ์สิทธิ์ หรือสวรรค์ ที่ฟังดูสูงเกินเอื้อมของปุถุชนคนธรรมดา แต่หากใครได้ดูละครเรื่อง <วังเดียวดาย> จะได้ยินการเรียกขานฮ่องเต้ว่า ‘กวนเจีย’ ซึ่งเป็นคำเรียกที่แปลกในความรู้สึกของ Storyฯ เพราะแปลความหมายได้ประมาณว่า ‘สำนักราชการ’ (กวน = ขุนนาง เจีย = บ้านหรือกลุ่มองค์กร) Storyฯ จึงต้องไปหาข้อมูลทำความเข้าใจ คำว่า ‘กวนเจีย’ มีมาแต่สมัยราชวงศ์ฮั่น (202 ปีก่อนคริสตกาล – ค.ศ. 220) เพียงแต่ในสมัยนั้น ไม่ได้เป็นการเรียกเจ้าผู้ปกครองประเทศ หากแต่เป็นการเรียกรวมหมายถึงเหล่าขุนนางและหน่วยงานข้าราชการ หรือเป็นการเรียกขานผู้ที่เป็นขุนนางอย่างยกย่อง ว่ากันว่ามีการใช้สรรพนามนี้ขานเรียกฮ่องเต้ตั้งแต่ยุคสมัยราชวงศ์เหนือใต้ (ค.ศ. 420-589) แต่ไม่เป็นที่นิยมเนื่องจากฟังดูไม่สูงศักดิ์และอาจทำให้สับสนเพราะยังหมายถึงเหล่าข้าราชการได้อีกด้วย จวบจนเริ่มยุคสมัยราชวงศ์ซ่งจึงใช้คำว่า ‘กวนเจีย’ เรียกฮ่องเต้อย่างเป็นทางการ เพราะอะไร? ท่านที่พอจะทราบประวัติศาสตร์จีนจะทราบว่า เมื่อสิ้นสุดราชวงศ์ถังก็เข้าสู่ยุคที่แตกเป็นห้าราชวงศ์สิบแคว้น จากนั้นจึงเกิดเป็นราชวงศ์ซ่ง ซึ่งเหตุการณ์การก่อตั้งราชวงศ์ซ่งเกิดขึ้นในปีค.ศ. 960 เมื่อเจ้าผู้ปกครองราชวงศ์โฮ่วโจว (โจวยุคหลัง หนึ่งในห้าราชวงศ์) สวรรคตลง ทำให้เกิดความระส่ำระสายในสายทหารเพราะผู้สืบทอดราชบัลลังก์เป็นเด็ก อยู่มาวันหนึ่งผู้นำเหล่าทัพทั้งหลายพร้อมใจกันเอาชุดเหลืองลายมังกรแบบเฉพาะของฮ่องเต้มาคลุมกายให้แก่จอมทัพเจ้าควงอิ้น เพื่อขอให้เขาขึ้นเป็นผู้ปกครองอาณาจักรโฮ่วโจวแทน (ดูรูปขวาบนและล่าง และอ่านเรื่องราวเหตุการณ์นี้ได้เพิ่มเติมที่เพจศิลปวัฒนธรรมตามลิ้งค์ข้างล่าง) เจ้าควงอิ้นเมื่อขึ้นครองราชย์ก็สถานปนาราชวงศ์ใหม่คือราชวงศ์ซ่ง และตั้งใจคัดเฟ้นสรรพนามเรียกขานตนที่เหมาะสมขึ้นใหม่ เพราะเขาตระหนักว่าตนเองเป็นเชื้อสายตระกูลทหาร ไม่ได้เป็นเชื้อพระวงศ์ จึงเกรงว่าหากใช้คำที่เกี่ยวข้องกับการสืบราชสันตติวงศ์ จะทำให้ประชาชนมีความรู้สึกว่าเขาขึ้นครองราชย์อย่างไม่ชอบธรรม จึงมาลงเอยที่คำว่า ‘กวนเจีย’ นี้ ซึ่งมีพื้นฐานมาจากปรัชญาคำสอนการปกครองจากยุคสมัยชุนชิว และถูกยกมาจากวรรคที่ว่า ‘สามราชาดูแลทั่วหล้า ห้าจักรพรรดิมีใต้นภาเป็นครอบครัว’ (ซานหวงกวนเทียเซี่ย อู่ตี้เจียเทียนเซี่ย / 三皇官天下,五帝家天下) ซึ่งเป็นการเท้าความถึง ‘สามราชาห้าจักรพรรดิ’ ในตำนานปรำปราที่ปกครองดูแลประชาชนอย่าง ‘เข้าถึง’ และมีคุณธรรม โดยในบริบทนี้คำว่า ‘กวนเจีย’ ถูกเลือกมาใช้เพื่อให้สะท้อนความนัยว่า เป็นการปกครองโดยคนที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับประชาชน ทำโดยหน้าที่ที่รับผิดชอบดูแลและเป็นที่พึ่งให้แก่ประชาชน ดังนั้นในสมัยราชวงศ์ซ่ง ประชาชนจะเรียกข้าราชการว่า ‘กวนเจีย’ ไม่ได้อีกต่อไป และมีการกำหนดให้คำนี้มีเพียงความหมายเดียวคือแปลว่าฮ่องเต้ (แต่จะใช้คำอื่นเช่น ปี้เซี่ย เรียกฮ่องเต้ก็ยังได้อยู่) ไม่ได้หมายรวมถึงเหล่าข้าราชการอีกต่อไป นอกจากคำที่พูดถึงมาข้างต้นแล้ว เพื่อนเพจยังเคยผ่านหูคำเรียกขานฮ่องเต้ว่าอย่างอื่นอีกไหมคะ? Storyฯ นึกได้อีกหลายคำเลย หมายเหตุ 1: ‘สามราชา’ บ้างว่าหมายถึงเทพเจ้าผู้สร้างและดูแลมนุษย์ในตำนานคือฟู่ซี หนี่ว์วา และเหยียนตี้ และบ้างว่าหมายถึงราชาแห่งแผ่นฟ้า ผืนดินและมนุษย์ชาติ ส่วน ‘ห้าจักรพรรดิ’ นั้นหมายถึงองค์หวงตี้ (จักรพรรดิเหลือง) และฮ่องเต้ผู้สืบทอดบัลลังก์ต่อมาอีกสี่พระองค์ หมายเหตุ 2: ในเรื่อง <วังเดียวดาย> เป็นยุคสมัยของฮ่องเต้เหรินจง เป็นฮ่องเต้องค์ที่สี่แห่งราชวงศ์ซ่ง (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://kknews.cc/zh-my/history/2vgm4n9.html https://dramakaffe.wordpress.com/2020/05/16/serenade-of-peaceful-joy/ Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://zhuanlan.zhihu.com/p/133862973 https://www.thehour.cn/news/363118.html https://www.gugong.net/zhongguo/songchao/18033.html https://kknews.cc/history/g48mr58.html #ราชวงศ์ซ่ง #ฮ่องเต้จีน #เจ้าควงอิ้น #ชิงผิงเยวี่ย #กวนเจีย #ประวัติศาสตร์จีน
    1 Comments 0 Shares 268 Views 0 Reviews
  • ..ประเทศไทยเราน่าเศร้าใจจริงๆ มีคนทรยศมากเกินไป,ที่ไม่กล้ารบกับเขมรนั้นดีต่อชีวิตทหารเราและประชาชนฝั่งไทยเราแน่นอน ,แต่ความจริงอีกด้านอีกมุม คือคนทรยศไปทำมาหากินบนแผ่นดินเขมรไม่น้อยและเยอะพอสมควร เจ้าสัวก็ด้วยมิใช่แค่คนข้าราชการไทยเราที่50:50หรือ60:40คนชั่วไทยได้60,คนชั่วเขมรได้40 คนชั่วไทยยืมมือเขมรบุกรุกไทยในนามเขมรหมายทำประโยชน์ของคนชั่วเลวอย่างตนนั้นเอง,มีกูรูไทยเรามากมายออกมาแฉค่าจริงของกลุ่มอิทธิพลเลวสายทหารที่ทรยศและหากินในเขตพื้นที่สีเทานี้ตลอดหากินในเขตประเทศเขมรรวมทั้งหนีออกจากไทยหลบคดีต่างๆไปเขมรก็เป็นอันมากในสมุนคนรับใช้ของตนที่ก่อการในไทยใช้เสร็จก็หนีเข้าเขมรตลอดอดีตผู้นำเลวชั่วไทยและข้าราชการเลวชั่วไทยเป็นอันมากก็หนีไปพักตัวที่เขมรก่อนจึงหนีออกนอกอาเชียนออกไปอีกที,จริงๆจัดการเขมรไม่ยากอะไรเลยแค่ปิดพรมแดนตลอดเส้นเขตแดนทั้งหมดจะด่านถาวรหรือด่านชั่วคราวและสามารถใช้งบประมาณแผ่นดินปีละไม่กี่หมื่นล้านสร้างกำแพงปิดกันบริเวณที่สร้างได้ชั่วคราวมิให้เดินทาง/เข้าออกไทยง่ายๆทางธรรมชาติได้สะดวกซึ่งกับคนทรยศเนรคุณแบบเขมรเหมาะสมและสมควรตัดไฟแต่ต้นไว้ก่อน,พร้อมสั่งสอนจริงไปในตัวในเวลานีั,การค้าการขายเจ้าสัวคนใหญ่โตทั้งนั้นในบ้านในเมืองไปค้าขายกับมัน มันกลัวเสียผลประโยชน์นั้นล่ะ,เอกชนพวกนี้ไม่สนใจอะไรหรอก ชาติคือเสียงหัวเราะมัน,ไม่รวมนักการเมืองเลวข้าราชการชั่วไปลงทุนนั้นนี้โน้นด้วย,หากเอาชาติจริงๆจะจัดการเขมรเด็ดขาดได้,ไร้มาตรการใดๆในเวลานีั มันชัดเจนว่าปาหี่ สมคบคิดกันในระดับบน,จึงต้องยึดอำนาจแล้วจัดการนักเลือกตั้งนี้ทั้งหมดที่ทุนมากมายมาจากอีลิทเอกชนเจ้าสัวร่วมลงทุนในระบบการเลือกตั้งกาสส.เลือกนายกฯด้วย,นายทุนครอบงำอำนาจการตัดสินใจสั่งการต่างๆนั้นก็มีด้วยเช่นกัน,จึงเป็นอะไรที่ผิดปกติให้เห็นทั้งหมดในการตัดสินใจแก้ไขปัญหาทั้งหมด,ไม่รวมมุกเบี่ยงเบนความสนใจด้านอื่นหักเหความสนใจอื่นเช่นเร่งให้ผ่านพรบ.บ่อนคาสิโน กฎหมายที่ซ่อนใต้พรมทั้งหมดด้วย คดีตัดสินโทนีก็ด้วย13มิ.ย.68นี้,ต้องเข้าใจว่าเข้าสนิทกันทางผลประโยชน์ชัดเจน ระหว่างครอบครัวโทนี่และครอบครัวฮุนเชน ตั้งแต่รุ่นพ่อจนรักษาหมายผลประโยชน์รุ่นลูก,พ่อไม่อยู่ครอบครัวโทนี่ก่อนเป็นนายกฯก็เดินทางพบปะกันเสมอ,จึงทางภาพลักษณ์มันชัดเจนว่าขาดคุณสมบัติต้องห้ามขึ้นมาเป็นผู้นำจริงๆ,ชาติไทยจึงไม่สงบสุขถึงปัจจุบัน วุ่นวายโกลาหลภายในประเทศไทยตลอดเวลา ไม่รวมเขมรเคยตกเป็นของชาติตะวันตกอีก ,เครื่องมือชาติตะวันตกของแท้ผ่านโทนี่จับมือผูกเอาไว้ด้วย,จีนนี้ไม่ใช่เลยแม้มาสร้างนั้นนี้จริงในเขมรตลอดให้ตังกู้ยืมยึดดินแดนเขมรสร้างท่าเรือจีน เขมรมันเกลียดจีนเข้าใส่จึงจับมือบอกนัยยะพึ่งฝรั่งไส้ศึกฝรั่งปกติผ่านจับมือกับโทนี่นั้นล่ะ(,หากตัดจีนdeep stateอีกไปเหลือจีนฝ่ายแสงนะ)โทนี่ เขมร ฝรั่งแบบกะให้ฝรั่งใช้ศาลโลกมาแทรกแซงยึดบ่อน้ำมันไทยก็ว่า,และประวัติศาสตร์ไทยถูกกระทรวงศึกษาดึงออกจากหลักสูตรชัดเจนมากนี้ก็แหล่งชั่วอีกตัว,มุสลิมเลวตรึมในระบบศึกษาเราหลบซ่อนหลังฉากทำลายทางลับก็ด้วยและเป็นเครื่องมือฝรั่งชั่วใช้ในนามมุสลิมมาทำลายไทยนี้ก็ใช่อีก,เรามีคนทรยศเยอะจริงๆ,ผู้นำผู้ปกครองคนใหม่จึงสำคัญมาก.
    ..
    ..https://youtu.be/KVJkZvlSjzg?si=BmXwepnLWEUcEXcS
    ..ประเทศไทยเราน่าเศร้าใจจริงๆ มีคนทรยศมากเกินไป,ที่ไม่กล้ารบกับเขมรนั้นดีต่อชีวิตทหารเราและประชาชนฝั่งไทยเราแน่นอน ,แต่ความจริงอีกด้านอีกมุม คือคนทรยศไปทำมาหากินบนแผ่นดินเขมรไม่น้อยและเยอะพอสมควร เจ้าสัวก็ด้วยมิใช่แค่คนข้าราชการไทยเราที่50:50หรือ60:40คนชั่วไทยได้60,คนชั่วเขมรได้40 คนชั่วไทยยืมมือเขมรบุกรุกไทยในนามเขมรหมายทำประโยชน์ของคนชั่วเลวอย่างตนนั้นเอง,มีกูรูไทยเรามากมายออกมาแฉค่าจริงของกลุ่มอิทธิพลเลวสายทหารที่ทรยศและหากินในเขตพื้นที่สีเทานี้ตลอดหากินในเขตประเทศเขมรรวมทั้งหนีออกจากไทยหลบคดีต่างๆไปเขมรก็เป็นอันมากในสมุนคนรับใช้ของตนที่ก่อการในไทยใช้เสร็จก็หนีเข้าเขมรตลอดอดีตผู้นำเลวชั่วไทยและข้าราชการเลวชั่วไทยเป็นอันมากก็หนีไปพักตัวที่เขมรก่อนจึงหนีออกนอกอาเชียนออกไปอีกที,จริงๆจัดการเขมรไม่ยากอะไรเลยแค่ปิดพรมแดนตลอดเส้นเขตแดนทั้งหมดจะด่านถาวรหรือด่านชั่วคราวและสามารถใช้งบประมาณแผ่นดินปีละไม่กี่หมื่นล้านสร้างกำแพงปิดกันบริเวณที่สร้างได้ชั่วคราวมิให้เดินทาง/เข้าออกไทยง่ายๆทางธรรมชาติได้สะดวกซึ่งกับคนทรยศเนรคุณแบบเขมรเหมาะสมและสมควรตัดไฟแต่ต้นไว้ก่อน,พร้อมสั่งสอนจริงไปในตัวในเวลานีั,การค้าการขายเจ้าสัวคนใหญ่โตทั้งนั้นในบ้านในเมืองไปค้าขายกับมัน มันกลัวเสียผลประโยชน์นั้นล่ะ,เอกชนพวกนี้ไม่สนใจอะไรหรอก ชาติคือเสียงหัวเราะมัน,ไม่รวมนักการเมืองเลวข้าราชการชั่วไปลงทุนนั้นนี้โน้นด้วย,หากเอาชาติจริงๆจะจัดการเขมรเด็ดขาดได้,ไร้มาตรการใดๆในเวลานีั มันชัดเจนว่าปาหี่ สมคบคิดกันในระดับบน,จึงต้องยึดอำนาจแล้วจัดการนักเลือกตั้งนี้ทั้งหมดที่ทุนมากมายมาจากอีลิทเอกชนเจ้าสัวร่วมลงทุนในระบบการเลือกตั้งกาสส.เลือกนายกฯด้วย,นายทุนครอบงำอำนาจการตัดสินใจสั่งการต่างๆนั้นก็มีด้วยเช่นกัน,จึงเป็นอะไรที่ผิดปกติให้เห็นทั้งหมดในการตัดสินใจแก้ไขปัญหาทั้งหมด,ไม่รวมมุกเบี่ยงเบนความสนใจด้านอื่นหักเหความสนใจอื่นเช่นเร่งให้ผ่านพรบ.บ่อนคาสิโน กฎหมายที่ซ่อนใต้พรมทั้งหมดด้วย คดีตัดสินโทนีก็ด้วย13มิ.ย.68นี้,ต้องเข้าใจว่าเข้าสนิทกันทางผลประโยชน์ชัดเจน ระหว่างครอบครัวโทนี่และครอบครัวฮุนเชน ตั้งแต่รุ่นพ่อจนรักษาหมายผลประโยชน์รุ่นลูก,พ่อไม่อยู่ครอบครัวโทนี่ก่อนเป็นนายกฯก็เดินทางพบปะกันเสมอ,จึงทางภาพลักษณ์มันชัดเจนว่าขาดคุณสมบัติต้องห้ามขึ้นมาเป็นผู้นำจริงๆ,ชาติไทยจึงไม่สงบสุขถึงปัจจุบัน วุ่นวายโกลาหลภายในประเทศไทยตลอดเวลา ไม่รวมเขมรเคยตกเป็นของชาติตะวันตกอีก ,เครื่องมือชาติตะวันตกของแท้ผ่านโทนี่จับมือผูกเอาไว้ด้วย,จีนนี้ไม่ใช่เลยแม้มาสร้างนั้นนี้จริงในเขมรตลอดให้ตังกู้ยืมยึดดินแดนเขมรสร้างท่าเรือจีน เขมรมันเกลียดจีนเข้าใส่จึงจับมือบอกนัยยะพึ่งฝรั่งไส้ศึกฝรั่งปกติผ่านจับมือกับโทนี่นั้นล่ะ(,หากตัดจีนdeep stateอีกไปเหลือจีนฝ่ายแสงนะ)โทนี่ เขมร ฝรั่งแบบกะให้ฝรั่งใช้ศาลโลกมาแทรกแซงยึดบ่อน้ำมันไทยก็ว่า,และประวัติศาสตร์ไทยถูกกระทรวงศึกษาดึงออกจากหลักสูตรชัดเจนมากนี้ก็แหล่งชั่วอีกตัว,มุสลิมเลวตรึมในระบบศึกษาเราหลบซ่อนหลังฉากทำลายทางลับก็ด้วยและเป็นเครื่องมือฝรั่งชั่วใช้ในนามมุสลิมมาทำลายไทยนี้ก็ใช่อีก,เรามีคนทรยศเยอะจริงๆ,ผู้นำผู้ปกครองคนใหม่จึงสำคัญมาก. .. ..https://youtu.be/KVJkZvlSjzg?si=BmXwepnLWEUcEXcS
    0 Comments 0 Shares 183 Views 0 Reviews
  • เพื่อนเพจที่ดูละครจีนโบราณต้องเคยเห็นตราอาญาสิทธิ์ของทหารที่เป็นตัวเสือผ่าครึ่ง และดูเหมือนว่าฮ่องเต้จะไม่สามารถควบคุมกองทัพได้เลยถ้าไม่มีมัน มันก็คือ ‘ตราพยัคฆ์’ หรือ ‘หู่ฝู’ นั่นเอง

    ความมีอยู่ว่า
    ...ครานั้นตราอาญาสิทธิ์หู่ฝูสามทัพอยู่ในมือของจอมทัพปัน ต่อมาจอมทัพปันได้รับบาดเจ็บสาหัสที่ชายแดน เมื่อกลับมาถึงเมืองหลวงก็วางเกราะลง ทำตัวเป็นกั๋วกงอยู่อย่างเรียบง่ายไร้กังวล ต่อมาเมื่อองค์หวินชิ่งขึ้นครองราชย์ ชายแดนสงบไร้ศึก ตราอาญาสิทธิ์หู่ฝูสามทัพก็ไม่เคยปรากฏให้เห็นอีกเลย...
    - จากเรื่อง <ข้าก็เป็นสตรีเช่นนี้> ผู้แต่ง เยวี่ยเซี่ยเตี๋ยอิ่ง (แต่ Storyฯ แปลเองจ้า)
    (หมายเหตุ ละครเรื่อง <ข้าก็เป็นสตรีเช่นนี้> ดัดแปลงมาจากนิยายเรื่องนี้)

    ตราหู่ฝูนี้ฟังดูยิ่งใหญ่ และแฟนละคร/นิยายจีนโบราณต้องเคยผ่านตาเรื่องราวที่ว่าทหารเชื่อฟังหู่ฝูมากกว่าราชโองการจากฮ่องเต้ Storyฯ มีข้อข้องใจเกี่ยวกับหู่ฝูจึงไปทำการบ้านและมาเล่าสู่กันฟังในสามประเด็น: 1) ตราหู่ฝูมีอำนาจเคลื่อนย้ายกองทัพได้ทั้งหมดหรือไม่? 2) ทำไมฮ่องเต้ทำหู่ฝูซีกเดียวขึ้นใหม่ไม่ได้? 3) ตราอาญาสิทธิ์ทางทหารมีหู่ฝูอย่างเดียวหรือ?

    ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจตราหู่ฝู ตราอาญาสิทธิ์ทางการทหารลักษณะนี้ปรากฏครั้งแรกในยุคสมัยชุนชิว (ปี 771-476 ก่อนคริสตกาล) แรกเริ่มทำจากไม้ไผ่ ต่อมาจึงทำจากสำริด ทองคำ และหยก

    หู่ฝูจะแบ่งเป็นสองซีก ซีกขวาเก็บไว้ที่ฮ่องเต้ ซีกซ้ายมอบไว้ให้แม่ทัพใหญ่ผู้กุมกำลังกองทัพ ยามจะออกคำสั่งเคลื่อนพล ฮ่องเต้จะมอบตราอาญาสิทธิ์ส่วนของพระองค์ให้กับผู้แทนพระองค์ที่เดินทางนำคำสั่งไปส่งให้แก่แม่ทัพใหญ่ เมื่อนำทั้งสองซีกมาประกบกันได้ถูกต้องสมบูรณ์จึงจะถือว่าคำสั่งนั้นมีผล ในบางยุคสมัยนอกจากตราอาญาสิทธิ์แล้วยังต้องมีพระราชโองการประกอบด้วยจึงจะถือว่าสมบูรณ์

    ที่ต้องทำอย่างนี้เพราะในสมัยโบราณการสื่อสารยากลำบาก อีกทั้งไม่มีวิธีพิสูจน์ว่าเอกสารหรือราชโองการนั้นจริงหรือเท็จ ตราอาญาสิทธิ์นี้เป็นหลักฐานสูงสุด จึงเป็นที่มาว่าหากฮ่องเต้ไม่มีตราหู่ฝูก็สั่งเคลื่อนกำลังพลไม่ได้

    ทำไมมันจึงเป็นหลักฐานสูงสุด? ก็เพราะว่ามันปลอมแปลงไม่ได้ (หรือยากมาก) เนื่องจากมันมีรูปร่างและใช้วัสดุที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ และตัวหู่ฝูจะมีการสลัก/เขียนรายละเอียดไว้เต็มตัว (ดูภาพประกอบ) อย่างเช่นตราตู้หู่ฝูมีถึง 40 อักษรด้วยกัน มีทั้งกรณีที่ต้องเอาสองซีกมาประกบกันจึงจะอ่านได้ครบ (อย่างเช่นในสมัยราชวงศ์ฮั่น) หรืออีกกรณีคือข้อความสองซีกเหมือนกันแต่ตรงกลางจะมีลายตราที่ถูกผ่าครึ่ง ต้องนำสองซีกมาประกบกันจึงจะเห็นรูปครบ (อย่างเช่นในสมัยฉิน) เพราะฉนั้นผู้ที่มีเพียงซีกเดียวจึงไม่สามารถทำอีกซีกขึ้นใหม่ได้ เพราะไม่รู้ว่าอีกซีกเขียนหรือวาดอะไรไว้บ้าง (ในบางสมัยแกนในยังมีรูให้ทำเหมือนตัวยื่นเข้าไปประกบด้วย...เพิ่มความยากอีกหนึ่งขั้น) ทั้งนี้ ข้อความที่สมบูรณ์จะระบุขอบเขตอำนาจชัดเจนว่าไว้ใช้สำหรับกองทัพใดและพื้นที่ใด

    ดังนั้น ไขข้อข้องใจไปสองเปลาะว่า ตราอาญาสิทธิ์ทำขึ้นใหม่เองเฉพาะซีกเดียวไม่ได้ และตราแต่ละตัวมีอำนาจควบคุมกองทัพจากพื้นที่เดียวตามที่กำหนดไว้เท่านั้น โยกย้ายกองกำลังอื่นไม่ได้

    ปัจจุบันมีการค้นพบของจริงจากยุคสมัยราชวงศ์ฉินได้ 3 ตัว คือซินกัวหู่ฝู หยางหลิงหู่ฝู และตู้หู่ฝู (รูปประกอบยกมาสองตัว) จะเห็นว่ารูปร่างลวดลายแตกต่างกัน และขนาดของจริงก็แตกต่างกันไปเล็กน้อย จากภาษาที่ใช้ นักโบราณคดีพบว่าทั้งสามตัวนี้ไม่ได้จัดทำขึ้นพร้อมกันแม้จะมาจากยุคสมัยของจิ๋นซีฮ่องเต้เหมือนกัน

    ตราหู่ฝูคือตราพยัคฆ์ แต่จริงๆ แล้วตราอาญาสิทธิ์ทางทหารเรียกว่า ‘จวินฝู’ และอาจทำเป็นรูปแบบใดก็ได้ ในสมัยราชวงศ์ถัง ตราอาญาสิทธิ์มีทั้งรูปปลา กระต่าย และเต่า และเมื่อถึงยุคสมัยราชวงศ์หยวนก็มีการปรับเปลี่ยนเป็นใช้ป้ายอาญาสิทธิ์แทน

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://www.sohu.com/a/403266963_427962
    https://www.xuehua.us/a/5eb7de1b86ec4d0bd8de2c68
    https://baike.baidu.com/item/%E8%99%8E%E7%AC%A6/5191
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://baike.baidu.com/item/%E8%99%8E%E7%AC%A6/5191
    https://www.xuehua.us/a/5eb7de1b86ec4d0bd8de2c68
    https://m.52lishi.com/article/45237.html

    #ตราอาญาสิทธิ์ทหาร #หู่ฝู #ข้าก็เป็นสตรีเช่นนี้ #ประวัติศาสตร์จีน #ราชวงศ์ฉิน
    เพื่อนเพจที่ดูละครจีนโบราณต้องเคยเห็นตราอาญาสิทธิ์ของทหารที่เป็นตัวเสือผ่าครึ่ง และดูเหมือนว่าฮ่องเต้จะไม่สามารถควบคุมกองทัพได้เลยถ้าไม่มีมัน มันก็คือ ‘ตราพยัคฆ์’ หรือ ‘หู่ฝู’ นั่นเอง ความมีอยู่ว่า ...ครานั้นตราอาญาสิทธิ์หู่ฝูสามทัพอยู่ในมือของจอมทัพปัน ต่อมาจอมทัพปันได้รับบาดเจ็บสาหัสที่ชายแดน เมื่อกลับมาถึงเมืองหลวงก็วางเกราะลง ทำตัวเป็นกั๋วกงอยู่อย่างเรียบง่ายไร้กังวล ต่อมาเมื่อองค์หวินชิ่งขึ้นครองราชย์ ชายแดนสงบไร้ศึก ตราอาญาสิทธิ์หู่ฝูสามทัพก็ไม่เคยปรากฏให้เห็นอีกเลย... - จากเรื่อง <ข้าก็เป็นสตรีเช่นนี้> ผู้แต่ง เยวี่ยเซี่ยเตี๋ยอิ่ง (แต่ Storyฯ แปลเองจ้า) (หมายเหตุ ละครเรื่อง <ข้าก็เป็นสตรีเช่นนี้> ดัดแปลงมาจากนิยายเรื่องนี้) ตราหู่ฝูนี้ฟังดูยิ่งใหญ่ และแฟนละคร/นิยายจีนโบราณต้องเคยผ่านตาเรื่องราวที่ว่าทหารเชื่อฟังหู่ฝูมากกว่าราชโองการจากฮ่องเต้ Storyฯ มีข้อข้องใจเกี่ยวกับหู่ฝูจึงไปทำการบ้านและมาเล่าสู่กันฟังในสามประเด็น: 1) ตราหู่ฝูมีอำนาจเคลื่อนย้ายกองทัพได้ทั้งหมดหรือไม่? 2) ทำไมฮ่องเต้ทำหู่ฝูซีกเดียวขึ้นใหม่ไม่ได้? 3) ตราอาญาสิทธิ์ทางทหารมีหู่ฝูอย่างเดียวหรือ? ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจตราหู่ฝู ตราอาญาสิทธิ์ทางการทหารลักษณะนี้ปรากฏครั้งแรกในยุคสมัยชุนชิว (ปี 771-476 ก่อนคริสตกาล) แรกเริ่มทำจากไม้ไผ่ ต่อมาจึงทำจากสำริด ทองคำ และหยก หู่ฝูจะแบ่งเป็นสองซีก ซีกขวาเก็บไว้ที่ฮ่องเต้ ซีกซ้ายมอบไว้ให้แม่ทัพใหญ่ผู้กุมกำลังกองทัพ ยามจะออกคำสั่งเคลื่อนพล ฮ่องเต้จะมอบตราอาญาสิทธิ์ส่วนของพระองค์ให้กับผู้แทนพระองค์ที่เดินทางนำคำสั่งไปส่งให้แก่แม่ทัพใหญ่ เมื่อนำทั้งสองซีกมาประกบกันได้ถูกต้องสมบูรณ์จึงจะถือว่าคำสั่งนั้นมีผล ในบางยุคสมัยนอกจากตราอาญาสิทธิ์แล้วยังต้องมีพระราชโองการประกอบด้วยจึงจะถือว่าสมบูรณ์ ที่ต้องทำอย่างนี้เพราะในสมัยโบราณการสื่อสารยากลำบาก อีกทั้งไม่มีวิธีพิสูจน์ว่าเอกสารหรือราชโองการนั้นจริงหรือเท็จ ตราอาญาสิทธิ์นี้เป็นหลักฐานสูงสุด จึงเป็นที่มาว่าหากฮ่องเต้ไม่มีตราหู่ฝูก็สั่งเคลื่อนกำลังพลไม่ได้ ทำไมมันจึงเป็นหลักฐานสูงสุด? ก็เพราะว่ามันปลอมแปลงไม่ได้ (หรือยากมาก) เนื่องจากมันมีรูปร่างและใช้วัสดุที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ และตัวหู่ฝูจะมีการสลัก/เขียนรายละเอียดไว้เต็มตัว (ดูภาพประกอบ) อย่างเช่นตราตู้หู่ฝูมีถึง 40 อักษรด้วยกัน มีทั้งกรณีที่ต้องเอาสองซีกมาประกบกันจึงจะอ่านได้ครบ (อย่างเช่นในสมัยราชวงศ์ฮั่น) หรืออีกกรณีคือข้อความสองซีกเหมือนกันแต่ตรงกลางจะมีลายตราที่ถูกผ่าครึ่ง ต้องนำสองซีกมาประกบกันจึงจะเห็นรูปครบ (อย่างเช่นในสมัยฉิน) เพราะฉนั้นผู้ที่มีเพียงซีกเดียวจึงไม่สามารถทำอีกซีกขึ้นใหม่ได้ เพราะไม่รู้ว่าอีกซีกเขียนหรือวาดอะไรไว้บ้าง (ในบางสมัยแกนในยังมีรูให้ทำเหมือนตัวยื่นเข้าไปประกบด้วย...เพิ่มความยากอีกหนึ่งขั้น) ทั้งนี้ ข้อความที่สมบูรณ์จะระบุขอบเขตอำนาจชัดเจนว่าไว้ใช้สำหรับกองทัพใดและพื้นที่ใด ดังนั้น ไขข้อข้องใจไปสองเปลาะว่า ตราอาญาสิทธิ์ทำขึ้นใหม่เองเฉพาะซีกเดียวไม่ได้ และตราแต่ละตัวมีอำนาจควบคุมกองทัพจากพื้นที่เดียวตามที่กำหนดไว้เท่านั้น โยกย้ายกองกำลังอื่นไม่ได้ ปัจจุบันมีการค้นพบของจริงจากยุคสมัยราชวงศ์ฉินได้ 3 ตัว คือซินกัวหู่ฝู หยางหลิงหู่ฝู และตู้หู่ฝู (รูปประกอบยกมาสองตัว) จะเห็นว่ารูปร่างลวดลายแตกต่างกัน และขนาดของจริงก็แตกต่างกันไปเล็กน้อย จากภาษาที่ใช้ นักโบราณคดีพบว่าทั้งสามตัวนี้ไม่ได้จัดทำขึ้นพร้อมกันแม้จะมาจากยุคสมัยของจิ๋นซีฮ่องเต้เหมือนกัน ตราหู่ฝูคือตราพยัคฆ์ แต่จริงๆ แล้วตราอาญาสิทธิ์ทางทหารเรียกว่า ‘จวินฝู’ และอาจทำเป็นรูปแบบใดก็ได้ ในสมัยราชวงศ์ถัง ตราอาญาสิทธิ์มีทั้งรูปปลา กระต่าย และเต่า และเมื่อถึงยุคสมัยราชวงศ์หยวนก็มีการปรับเปลี่ยนเป็นใช้ป้ายอาญาสิทธิ์แทน (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://www.sohu.com/a/403266963_427962 https://www.xuehua.us/a/5eb7de1b86ec4d0bd8de2c68 https://baike.baidu.com/item/%E8%99%8E%E7%AC%A6/5191 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://baike.baidu.com/item/%E8%99%8E%E7%AC%A6/5191 https://www.xuehua.us/a/5eb7de1b86ec4d0bd8de2c68 https://m.52lishi.com/article/45237.html #ตราอาญาสิทธิ์ทหาร #หู่ฝู #ข้าก็เป็นสตรีเช่นนี้ #ประวัติศาสตร์จีน #ราชวงศ์ฉิน
    WWW.SOHU.COM
    关晓彤新剧未播先被群嘲,《我就是这般女子》为何“差评预定”?_演技
    《凤囚凰》是其主演的第一部爱情题材偶像剧,但在这部剧中,她在大众的好演技形象直接滑铁卢,后来的《极光之恋》、《甜蜜暴击》更是一步步加深了观众对其演技的负面印象,她所主演的三部言情剧均是嘲讽居多,接二…
    1 Comments 0 Shares 260 Views 0 Reviews
More Results