• ทรัมป์ขู่ Apple ให้ผลิต iPhone ในสหรัฐฯ มิฉะนั้นต้องจ่ายภาษี 25%

    อดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ได้โพสต์บน Truth Social ขู่ว่า Apple ต้องผลิต iPhone ที่ขายในสหรัฐฯ ภายในประเทศ มิฉะนั้นจะต้องจ่าย ภาษีนำเข้า 25% ซึ่งส่งผลให้ หุ้นของ Apple ร่วงลง 3%

    🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับคำขู่ของทรัมป์ต่อ Apple
    ✅ ทรัมป์ต้องการให้ Apple ผลิต iPhone ในสหรัฐฯ แทนที่จะเป็นอินเดียหรือจีน
    - Apple กำลังวางแผนสร้างโรงงานผลิต iPhone มูลค่า 1.5 พันล้านดอลลาร์ในอินเดีย

    ✅ Apple อ้างว่าภาษีนำเข้ามีผลกระทบจำกัด เนื่องจากบริษัทปรับปรุงซัพพลายเชนแล้ว
    - Tim Cook พยายามลดความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับผลกระทบของภาษี

    ✅ Apple อาจขึ้นราคาของ iPhone 17 เพื่อชดเชยต้นทุนที่เพิ่มขึ้น
    - มีข่าวลือว่า ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจะถูกผลักไปยังการออกแบบกล้องใหม่

    ✅ ทรัมป์ขู่ยุโรปด้วยภาษีนำเข้า 50% ในโพสต์แยกต่างหาก
    - อาจส่งผลให้ Apple ต้องปรับกลยุทธ์การผลิตและการตลาดในยุโรป

    ✅ Apple ต้องประเมินกลยุทธ์ใหม่เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากภาษีนำเข้า
    - อาจต้อง ขยายการผลิตไปยังประเทศอื่น เช่น บราซิล

    https://www.neowin.net/news/president-trump-threatens-tim-cook-to-sell-made-in-america-iphones-or-face-25-tariff/
    ทรัมป์ขู่ Apple ให้ผลิต iPhone ในสหรัฐฯ มิฉะนั้นต้องจ่ายภาษี 25% อดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ได้โพสต์บน Truth Social ขู่ว่า Apple ต้องผลิต iPhone ที่ขายในสหรัฐฯ ภายในประเทศ มิฉะนั้นจะต้องจ่าย ภาษีนำเข้า 25% ซึ่งส่งผลให้ หุ้นของ Apple ร่วงลง 3% 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับคำขู่ของทรัมป์ต่อ Apple ✅ ทรัมป์ต้องการให้ Apple ผลิต iPhone ในสหรัฐฯ แทนที่จะเป็นอินเดียหรือจีน - Apple กำลังวางแผนสร้างโรงงานผลิต iPhone มูลค่า 1.5 พันล้านดอลลาร์ในอินเดีย ✅ Apple อ้างว่าภาษีนำเข้ามีผลกระทบจำกัด เนื่องจากบริษัทปรับปรุงซัพพลายเชนแล้ว - Tim Cook พยายามลดความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับผลกระทบของภาษี ✅ Apple อาจขึ้นราคาของ iPhone 17 เพื่อชดเชยต้นทุนที่เพิ่มขึ้น - มีข่าวลือว่า ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจะถูกผลักไปยังการออกแบบกล้องใหม่ ✅ ทรัมป์ขู่ยุโรปด้วยภาษีนำเข้า 50% ในโพสต์แยกต่างหาก - อาจส่งผลให้ Apple ต้องปรับกลยุทธ์การผลิตและการตลาดในยุโรป ✅ Apple ต้องประเมินกลยุทธ์ใหม่เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากภาษีนำเข้า - อาจต้อง ขยายการผลิตไปยังประเทศอื่น เช่น บราซิล https://www.neowin.net/news/president-trump-threatens-tim-cook-to-sell-made-in-america-iphones-or-face-25-tariff/
    WWW.NEOWIN.NET
    President Trump threatens Tim Cook to sell 'Made in America' iPhones or face 25% tariff
    Taking on his social media platform, Truth Social, President Trump has threatened Apple CEO Tim Cook with tariffs.
    0 Comments 0 Shares 31 Views 0 Reviews
  • TSMC เรียกร้องให้สหรัฐฯ ยกเลิกภาษีนำเข้าชิปที่ผลิตนอกประเทศ

    TSMC ร่วมกับ Dell และ HP ส่งจดหมายถึงกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เพื่อคัดค้านแผนการเรียกเก็บภาษีนำเข้าชิป โดยเตือนว่า มาตรการนี้อาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีและการลงทุนในโรงงานผลิตชิปในรัฐแอริโซนา

    🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับข้อเรียกร้องของ TSMC
    ✅ TSMC เตือนว่าภาษีนำเข้าชิปจะลดความต้องการผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ของลูกค้าในสหรัฐฯ
    - อาจส่งผลให้ รายได้ลดลงและกระทบต่อแผนการลงทุนมูลค่า $165 พันล้านในรัฐแอริโซนา

    ✅ TSMC ระบุว่าความต้องการชิปที่ลดลงอาจทำให้โครงการโรงงานในแอริโซนาเกิดความไม่แน่นอน
    - อาจส่งผลต่อ ความสามารถทางการเงินในการดำเนินโครงการตามแผน

    ✅ Dell และ HP สนับสนุนข้อเรียกร้องของ TSMC โดยระบุว่าสหรัฐฯ ยังไม่มีโครงสร้างพื้นฐานที่เพียงพอในการผลิตชิป
    - HP ระบุว่า ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากนำเข้าชิปเพื่อใช้ในโรงงานผลิตในประเทศ

    ✅ Intel มีมุมมองที่แตกต่าง โดยเรียกร้องให้ปกป้องชิปที่ผลิตในสหรัฐฯ และให้สิทธิพิเศษแก่ผลิตภัณฑ์ที่ใช้เทคโนโลยีอเมริกัน
    - ต้องการให้ อุปกรณ์ผลิตชิปจากต่างประเทศ เช่น ASML ได้รับการยกเว้นภาษี

    ✅ TSMC ยืนยันว่าภาษีนำเข้าจะเพิ่มต้นทุนของผลิตภัณฑ์และลดความต้องการของตลาด
    - ขอให้ รัฐบาลสหรัฐฯ หลีกเลี่ยงมาตรการที่อาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/tsmc-calls-on-washington-to-drop-tariffs-on-semiconductors-made-outside-the-u-s
    TSMC เรียกร้องให้สหรัฐฯ ยกเลิกภาษีนำเข้าชิปที่ผลิตนอกประเทศ TSMC ร่วมกับ Dell และ HP ส่งจดหมายถึงกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เพื่อคัดค้านแผนการเรียกเก็บภาษีนำเข้าชิป โดยเตือนว่า มาตรการนี้อาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีและการลงทุนในโรงงานผลิตชิปในรัฐแอริโซนา 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับข้อเรียกร้องของ TSMC ✅ TSMC เตือนว่าภาษีนำเข้าชิปจะลดความต้องการผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ของลูกค้าในสหรัฐฯ - อาจส่งผลให้ รายได้ลดลงและกระทบต่อแผนการลงทุนมูลค่า $165 พันล้านในรัฐแอริโซนา ✅ TSMC ระบุว่าความต้องการชิปที่ลดลงอาจทำให้โครงการโรงงานในแอริโซนาเกิดความไม่แน่นอน - อาจส่งผลต่อ ความสามารถทางการเงินในการดำเนินโครงการตามแผน ✅ Dell และ HP สนับสนุนข้อเรียกร้องของ TSMC โดยระบุว่าสหรัฐฯ ยังไม่มีโครงสร้างพื้นฐานที่เพียงพอในการผลิตชิป - HP ระบุว่า ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากนำเข้าชิปเพื่อใช้ในโรงงานผลิตในประเทศ ✅ Intel มีมุมมองที่แตกต่าง โดยเรียกร้องให้ปกป้องชิปที่ผลิตในสหรัฐฯ และให้สิทธิพิเศษแก่ผลิตภัณฑ์ที่ใช้เทคโนโลยีอเมริกัน - ต้องการให้ อุปกรณ์ผลิตชิปจากต่างประเทศ เช่น ASML ได้รับการยกเว้นภาษี ✅ TSMC ยืนยันว่าภาษีนำเข้าจะเพิ่มต้นทุนของผลิตภัณฑ์และลดความต้องการของตลาด - ขอให้ รัฐบาลสหรัฐฯ หลีกเลี่ยงมาตรการที่อาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ https://www.tomshardware.com/tech-industry/tsmc-calls-on-washington-to-drop-tariffs-on-semiconductors-made-outside-the-u-s
    0 Comments 0 Shares 53 Views 0 Reviews
  • Samsung SDI ลดราคาหุ้นใหม่ลง 17% ท่ามกลางแรงกดดันจากภาษีสหรัฐฯ

    Samsung SDI ประกาศลดราคาหุ้นใหม่ลง 17% หลังจากที่ราคาหุ้นของบริษัทลดลงอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับ ภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ โดยบริษัทได้ปรับราคาหุ้นใหม่สองครั้งตั้งแต่เดือนมีนาคม และล่าสุดกำหนดราคาขายที่ 140,000 วอน ($100.37) ต่อหุ้น ลดลงจากราคาเดิมที่ 169,200 วอน

    🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับการลดราคาหุ้นของ Samsung SDI
    ✅ Samsung SDI ลดราคาหุ้นใหม่ลง 17% จากราคาเดิมที่ประกาศในเดือนมีนาคม
    - ราคาล่าสุดอยู่ที่ 140,000 วอน ($100.37) ต่อหุ้น

    ✅ บริษัทปรับราคาหุ้นใหม่สองครั้งตั้งแต่เดือนมีนาคม
    - ครั้งแรก ลดลงเหลือ 146,200 วอน ก่อนลดลงอีกครั้งเป็น 140,000 วอน

    ✅ แรงกดดันจากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ส่งผลต่อราคาหุ้นของ Samsung SDI
    - นักลงทุนกังวลว่า มาตรการภาษีอาจกระทบต่อยอดขายแบตเตอรี่ของบริษัท

    ✅ Samsung SDI เป็นหนึ่งในผู้ผลิตแบตเตอรี่รายใหญ่ของโลก
    - มีโรงงานใน ฮังการี, เกาหลีใต้ และจีน

    ✅ ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ
    - นักลงทุนจับตาดู นโยบายการค้าของสหรัฐฯ และยุโรป

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/19/samsung-sdi-cuts-pricing-of-new-shares-by-17-amid-tariff-driven-sell-off
    Samsung SDI ลดราคาหุ้นใหม่ลง 17% ท่ามกลางแรงกดดันจากภาษีสหรัฐฯ Samsung SDI ประกาศลดราคาหุ้นใหม่ลง 17% หลังจากที่ราคาหุ้นของบริษัทลดลงอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับ ภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ โดยบริษัทได้ปรับราคาหุ้นใหม่สองครั้งตั้งแต่เดือนมีนาคม และล่าสุดกำหนดราคาขายที่ 140,000 วอน ($100.37) ต่อหุ้น ลดลงจากราคาเดิมที่ 169,200 วอน 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับการลดราคาหุ้นของ Samsung SDI ✅ Samsung SDI ลดราคาหุ้นใหม่ลง 17% จากราคาเดิมที่ประกาศในเดือนมีนาคม - ราคาล่าสุดอยู่ที่ 140,000 วอน ($100.37) ต่อหุ้น ✅ บริษัทปรับราคาหุ้นใหม่สองครั้งตั้งแต่เดือนมีนาคม - ครั้งแรก ลดลงเหลือ 146,200 วอน ก่อนลดลงอีกครั้งเป็น 140,000 วอน ✅ แรงกดดันจากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ส่งผลต่อราคาหุ้นของ Samsung SDI - นักลงทุนกังวลว่า มาตรการภาษีอาจกระทบต่อยอดขายแบตเตอรี่ของบริษัท ✅ Samsung SDI เป็นหนึ่งในผู้ผลิตแบตเตอรี่รายใหญ่ของโลก - มีโรงงานใน ฮังการี, เกาหลีใต้ และจีน ✅ ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ - นักลงทุนจับตาดู นโยบายการค้าของสหรัฐฯ และยุโรป https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/19/samsung-sdi-cuts-pricing-of-new-shares-by-17-amid-tariff-driven-sell-off
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Samsung SDI cuts pricing of new shares by 17% amid tariff-driven sell-off
    SEOUL (Reuters) -Samsung SDI on Monday slashed the pricing of its new share issue by 17% after its stock declined in a broad market sell-off sparked by concerns over potential U.S. tariffs.
    0 Comments 0 Shares 123 Views 0 Reviews
  • Citrix เสนอ VDI เป็นทางเลือกแทนการซื้อ PC ใหม่ แต่มีข้อควรระวัง

    Citrix กำลังโปรโมต Virtual Desktop Infrastructure (VDI) เป็นทางเลือกสำหรับองค์กรที่ต้องการหลีกเลี่ยง ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากภาษีนำเข้าคอมพิวเตอร์ในสหรัฐฯ และการอัปเกรดจาก Windows 10 ไปเป็น Windows 11 อย่างไรก็ตาม มีข้อควรระวังหลายประการที่ Citrix ไม่ได้กล่าวถึง

    ✅ Citrix แนะนำให้ใช้ eLux ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการ Linux แทน Windows บน PC รุ่นเก่า
    - eLux เป็นระบบที่ Citrix ได้มาจากการเข้าซื้อ Unicon ในเดือนมกราคม 2025

    ✅ VDI ช่วยให้สามารถใช้ PC รุ่นเก่าได้โดยไม่ต้องซื้อฮาร์ดแวร์ใหม่
    - ลดต้นทุน โดยใช้เซิร์ฟเวอร์กลางในการรัน Windows แทนการติดตั้งบนเครื่องแต่ละเครื่อง

    ✅ Citrix ใช้ NetScaler เพื่อช่วยลดปัญหาด้านประสิทธิภาพของ VDI
    - เช่น boot storms ที่ทำให้ระบบช้าลงเมื่อมีผู้ใช้จำนวนมากล็อกอินพร้อมกัน

    ✅ Citrix อ้างว่า VDI เป็นทางเลือกที่คุ้มค่ากว่าการซื้อ PC ใหม่
    - โดยเฉพาะในช่วงที่ ราคาฮาร์ดแวร์เพิ่มขึ้นจากภาษีนำเข้าในสหรัฐฯ

    ✅ Windows 10 จะหมดอายุในเดือนตุลาคม 2025 ทำให้บริษัทต้องตัดสินใจว่าจะอัปเกรดหรือเปลี่ยนไปใช้ VDI
    - Citrix มองว่า VDI เป็นทางเลือกที่ช่วยลดต้นทุนและความยุ่งยากในการอัปเกรด

    https://www.techradar.com/pro/businesses-do-you-want-to-avoid-rising-pc-prices-and-windows-10-eol-upgrade-headaches-citrix-wants-you-to-try-vdi
    Citrix เสนอ VDI เป็นทางเลือกแทนการซื้อ PC ใหม่ แต่มีข้อควรระวัง Citrix กำลังโปรโมต Virtual Desktop Infrastructure (VDI) เป็นทางเลือกสำหรับองค์กรที่ต้องการหลีกเลี่ยง ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากภาษีนำเข้าคอมพิวเตอร์ในสหรัฐฯ และการอัปเกรดจาก Windows 10 ไปเป็น Windows 11 อย่างไรก็ตาม มีข้อควรระวังหลายประการที่ Citrix ไม่ได้กล่าวถึง ✅ Citrix แนะนำให้ใช้ eLux ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการ Linux แทน Windows บน PC รุ่นเก่า - eLux เป็นระบบที่ Citrix ได้มาจากการเข้าซื้อ Unicon ในเดือนมกราคม 2025 ✅ VDI ช่วยให้สามารถใช้ PC รุ่นเก่าได้โดยไม่ต้องซื้อฮาร์ดแวร์ใหม่ - ลดต้นทุน โดยใช้เซิร์ฟเวอร์กลางในการรัน Windows แทนการติดตั้งบนเครื่องแต่ละเครื่อง ✅ Citrix ใช้ NetScaler เพื่อช่วยลดปัญหาด้านประสิทธิภาพของ VDI - เช่น boot storms ที่ทำให้ระบบช้าลงเมื่อมีผู้ใช้จำนวนมากล็อกอินพร้อมกัน ✅ Citrix อ้างว่า VDI เป็นทางเลือกที่คุ้มค่ากว่าการซื้อ PC ใหม่ - โดยเฉพาะในช่วงที่ ราคาฮาร์ดแวร์เพิ่มขึ้นจากภาษีนำเข้าในสหรัฐฯ ✅ Windows 10 จะหมดอายุในเดือนตุลาคม 2025 ทำให้บริษัทต้องตัดสินใจว่าจะอัปเกรดหรือเปลี่ยนไปใช้ VDI - Citrix มองว่า VDI เป็นทางเลือกที่ช่วยลดต้นทุนและความยุ่งยากในการอัปเกรด https://www.techradar.com/pro/businesses-do-you-want-to-avoid-rising-pc-prices-and-windows-10-eol-upgrade-headaches-citrix-wants-you-to-try-vdi
    0 Comments 0 Shares 94 Views 0 Reviews
  • ทรัมป์ไม่พอใจที่ Apple ผลิต iPhone ในอินเดียแทนที่จะเป็นสหรัฐฯ

    อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ แสดงความไม่พอใจต่อ Apple ที่ย้ายฐานการผลิต iPhone จากจีนไปยังอินเดีย โดยเขาคาดหวังว่า Apple ควรผลิต iPhone ในสหรัฐฯ แทนที่จะเป็นอินเดียหรือบราซิล

    ✅ Apple ย้ายฐานการผลิต iPhone จากจีนไปอินเดียเพื่อลดภาษีนำเข้า
    - เป็นผลจาก สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน

    ✅ ทรัมป์กล่าวว่าเขาไม่ต้องการให้ Apple สร้างโรงงานในอินเดีย
    - เขาต้องการให้ Apple ลงทุนในสหรัฐฯ แทน

    ✅ Apple ลงทุน 500 พันล้านดอลลาร์ในสหรัฐฯ เพื่อพัฒนา R&D และผลิตชิป
    - แต่ยังไม่มีแผน ผลิต iPhone ในสหรัฐฯ

    ✅ อินเดียเสนอให้ Apple ไม่ต้องเสียภาษีนำเข้า
    - ทำให้ Apple มีแรงจูงใจในการขยายการผลิตที่นั่น

    ✅ กว่า 90% ของ iPhone รุ่นไฮเอนด์ยังผลิตในจีน
    - แม้จะมีการย้ายฐานบางส่วน แต่จีนยังคงเป็นศูนย์กลางหลัก

    https://www.neowin.net/news/trump-says-hes-unhappy-with-producing-iphones-in-india-instead-of-the-us/
    ทรัมป์ไม่พอใจที่ Apple ผลิต iPhone ในอินเดียแทนที่จะเป็นสหรัฐฯ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ แสดงความไม่พอใจต่อ Apple ที่ย้ายฐานการผลิต iPhone จากจีนไปยังอินเดีย โดยเขาคาดหวังว่า Apple ควรผลิต iPhone ในสหรัฐฯ แทนที่จะเป็นอินเดียหรือบราซิล ✅ Apple ย้ายฐานการผลิต iPhone จากจีนไปอินเดียเพื่อลดภาษีนำเข้า - เป็นผลจาก สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ✅ ทรัมป์กล่าวว่าเขาไม่ต้องการให้ Apple สร้างโรงงานในอินเดีย - เขาต้องการให้ Apple ลงทุนในสหรัฐฯ แทน ✅ Apple ลงทุน 500 พันล้านดอลลาร์ในสหรัฐฯ เพื่อพัฒนา R&D และผลิตชิป - แต่ยังไม่มีแผน ผลิต iPhone ในสหรัฐฯ ✅ อินเดียเสนอให้ Apple ไม่ต้องเสียภาษีนำเข้า - ทำให้ Apple มีแรงจูงใจในการขยายการผลิตที่นั่น ✅ กว่า 90% ของ iPhone รุ่นไฮเอนด์ยังผลิตในจีน - แม้จะมีการย้ายฐานบางส่วน แต่จีนยังคงเป็นศูนย์กลางหลัก https://www.neowin.net/news/trump-says-hes-unhappy-with-producing-iphones-in-india-instead-of-the-us/
    WWW.NEOWIN.NET
    Trump says he's unhappy with producing iPhones in India instead of the US
    Apparently, Donald Trump expected tariffs to encourage Apple to bring iPhone production to the US, but Apple chose India instead. And that's not something Trump likes.
    0 Comments 0 Shares 131 Views 0 Reviews
  • Nvidia และ MediaTek อาจเลื่อนการเปิดตัว AI CPU สู่ตลาดมวลชนไปจนถึงปลายปี 2026

    Nvidia และ MediaTek กำลังพัฒนา ชิป AI PC รุ่นใหม่ภายใต้ชื่อ 'N1' ซึ่งคาดว่าจะเปิดตัวที่ Computex 2025 อย่างไรก็ตาม รายงานจาก Digitimes ระบุว่าการผลิตในปริมาณมากอาจไม่เกิดขึ้นจนถึงครึ่งหลังของปี 2026 เนื่องจากปัญหาด้านการรวมระบบและข้อจำกัดทางเทคนิค

    ✅ Nvidia และ MediaTek ร่วมมือกันพัฒนา AI CPU สำหรับ Windows PCs
    - ชิปจะเปิดตัวภายใต้ แบรนด์ Nvidia และมีทั้งรุ่น N1X และ N1

    ✅ Asus, Dell และ Lenovo กำลังพัฒนาเดสก์ท็อปและโน้ตบุ๊กที่ใช้ชิป N1X
    - คาดว่าจะมี ประสิทธิภาพ AI สูงถึง 180-200 AI TOPS

    ✅ Nvidia และ MediaTek กำลังเร่งการผลิต แต่คาดว่าปริมาณการจัดส่งจำนวนมากจะเริ่มในครึ่งหลังของปี 2026
    - เนื่องจาก ปัญหาด้านการรวมระบบกับอุปกรณ์ปลายทาง

    ✅ N1X มีประสิทธิภาพต่ำกว่าชิป Arm-based PC บางรุ่นในการทดสอบเบื้องต้น
    - ทำให้เกิดความกังวลในอุตสาหกรรมเกี่ยวกับ ความสามารถในการแข่งขันของชิปนี้

    ✅ Nvidia และ MediaTek มีแผนเปิดตัวโน้ตบุ๊ก AI รุ่น N1C สำหรับตลาดผู้บริโภค
    - แต่ถูกเลื่อนออกไปเป็นปี 2026 เนื่องจาก ภาษีนำเข้าและอัตราเงินเฟ้อ

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/nvidia-and-mediateks-ai-cpu-may-not-see-mass-rollout-until-late-2026-asus-dell-and-lenovo-reportedly-developing-n1x-desktops-and-laptops
    Nvidia และ MediaTek อาจเลื่อนการเปิดตัว AI CPU สู่ตลาดมวลชนไปจนถึงปลายปี 2026 Nvidia และ MediaTek กำลังพัฒนา ชิป AI PC รุ่นใหม่ภายใต้ชื่อ 'N1' ซึ่งคาดว่าจะเปิดตัวที่ Computex 2025 อย่างไรก็ตาม รายงานจาก Digitimes ระบุว่าการผลิตในปริมาณมากอาจไม่เกิดขึ้นจนถึงครึ่งหลังของปี 2026 เนื่องจากปัญหาด้านการรวมระบบและข้อจำกัดทางเทคนิค ✅ Nvidia และ MediaTek ร่วมมือกันพัฒนา AI CPU สำหรับ Windows PCs - ชิปจะเปิดตัวภายใต้ แบรนด์ Nvidia และมีทั้งรุ่น N1X และ N1 ✅ Asus, Dell และ Lenovo กำลังพัฒนาเดสก์ท็อปและโน้ตบุ๊กที่ใช้ชิป N1X - คาดว่าจะมี ประสิทธิภาพ AI สูงถึง 180-200 AI TOPS ✅ Nvidia และ MediaTek กำลังเร่งการผลิต แต่คาดว่าปริมาณการจัดส่งจำนวนมากจะเริ่มในครึ่งหลังของปี 2026 - เนื่องจาก ปัญหาด้านการรวมระบบกับอุปกรณ์ปลายทาง ✅ N1X มีประสิทธิภาพต่ำกว่าชิป Arm-based PC บางรุ่นในการทดสอบเบื้องต้น - ทำให้เกิดความกังวลในอุตสาหกรรมเกี่ยวกับ ความสามารถในการแข่งขันของชิปนี้ ✅ Nvidia และ MediaTek มีแผนเปิดตัวโน้ตบุ๊ก AI รุ่น N1C สำหรับตลาดผู้บริโภค - แต่ถูกเลื่อนออกไปเป็นปี 2026 เนื่องจาก ภาษีนำเข้าและอัตราเงินเฟ้อ https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/nvidia-and-mediateks-ai-cpu-may-not-see-mass-rollout-until-late-2026-asus-dell-and-lenovo-reportedly-developing-n1x-desktops-and-laptops
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 135 Views 0 Reviews
  • ภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ อาจทำให้ราคาคอนโซลเกมพุ่งสูงขึ้น

    การขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ส่งผลให้ Sony และ Microsoft ประกาศปรับราคาคอนโซลเกม เช่น PlayStation 5 และ Xbox Series X โดยนักวิเคราะห์คาดว่า แนวโน้มนี้จะดำเนินต่อไปในระยะยาว แม้ว่าโดยทั่วไปแล้ว ราคาสินค้าเทคโนโลยีมักลดลงเมื่อเวลาผ่านไป

    ✅ PlayStation 5 และ Xbox Series X มีการปรับราคาขึ้นหลายสิบดอลลาร์ทั่วโลก
    - เป็นผลจาก ภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่กระทบต่อสินค้าจากจีน

    ✅ 75% ของคอนโซลที่ส่งไปยังสหรัฐฯ ในปีที่แล้วผลิตในจีน
    - ทำให้ บริษัทต้องปรับราคาขึ้นเพื่อชดเชยต้นทุนที่เพิ่มขึ้น

    ✅ Nintendo Switch 2 อาจรอดพ้นจากการขึ้นราคาในช่วงแรก
    - เนื่องจาก Nintendo ได้ย้ายฐานการผลิตบางส่วนไปเวียดนามตั้งแต่ปี 2019

    ✅ เกมใหม่จาก Nintendo และ Microsoft มีแนวโน้มปรับราคาขึ้นเป็นมาตรฐานอุตสาหกรรม
    - เช่น Mario Kart World และเกมจาก Microsoft Studios อาจมีราคาเริ่มต้นที่ 80 ดอลลาร์สหรัฐฯ

    ✅ นักวิเคราะห์คาดว่าแนวโน้มราคานี้จะดำเนินต่อไปในอีกสองปีข้างหน้า
    - เนื่องจาก ต้นทุนการพัฒนาเกมเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงห้าปีที่ผ่านมา

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/13/tariffs-set-to-level-up-game-console-prices
    ภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ อาจทำให้ราคาคอนโซลเกมพุ่งสูงขึ้น การขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ส่งผลให้ Sony และ Microsoft ประกาศปรับราคาคอนโซลเกม เช่น PlayStation 5 และ Xbox Series X โดยนักวิเคราะห์คาดว่า แนวโน้มนี้จะดำเนินต่อไปในระยะยาว แม้ว่าโดยทั่วไปแล้ว ราคาสินค้าเทคโนโลยีมักลดลงเมื่อเวลาผ่านไป ✅ PlayStation 5 และ Xbox Series X มีการปรับราคาขึ้นหลายสิบดอลลาร์ทั่วโลก - เป็นผลจาก ภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่กระทบต่อสินค้าจากจีน ✅ 75% ของคอนโซลที่ส่งไปยังสหรัฐฯ ในปีที่แล้วผลิตในจีน - ทำให้ บริษัทต้องปรับราคาขึ้นเพื่อชดเชยต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ✅ Nintendo Switch 2 อาจรอดพ้นจากการขึ้นราคาในช่วงแรก - เนื่องจาก Nintendo ได้ย้ายฐานการผลิตบางส่วนไปเวียดนามตั้งแต่ปี 2019 ✅ เกมใหม่จาก Nintendo และ Microsoft มีแนวโน้มปรับราคาขึ้นเป็นมาตรฐานอุตสาหกรรม - เช่น Mario Kart World และเกมจาก Microsoft Studios อาจมีราคาเริ่มต้นที่ 80 ดอลลาร์สหรัฐฯ ✅ นักวิเคราะห์คาดว่าแนวโน้มราคานี้จะดำเนินต่อไปในอีกสองปีข้างหน้า - เนื่องจาก ต้นทุนการพัฒนาเกมเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงห้าปีที่ผ่านมา https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/13/tariffs-set-to-level-up-game-console-prices
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Tariffs set to level up game console prices
    The US tariffs barrage and the bounding cost of producing games have prompted manufacturers like Sony and Microsoft to announce price hikes on consoles, in an industry shift experts say is set to last.
    0 Comments 0 Shares 108 Views 0 Reviews
  • เจรจาเจนีวาสำเร็จ! “สหรัฐ” ประกาศลดภาษีนำเข้าจีนเหลือ 30% จีนตอบรับ หั่นภาษีตอบโต้เหลือ 10% มีผล 14 พ.ค.
    https://www.thai-tai.tv/news/18631/
    เจรจาเจนีวาสำเร็จ! “สหรัฐ” ประกาศลดภาษีนำเข้าจีนเหลือ 30% จีนตอบรับ หั่นภาษีตอบโต้เหลือ 10% มีผล 14 พ.ค. https://www.thai-tai.tv/news/18631/
    0 Comments 0 Shares 60 Views 0 Reviews
  • Pebble OS กำลังจะกลับมาอีกครั้งกับ Core 2 Duo Smartwatch ซึ่งเป็นสมาร์ทวอทช์รุ่นใหม่ที่ใช้ ระบบปฏิบัติการ Pebble OS โดย Eric Migicovsky ผู้ก่อตั้ง Pebble ได้สาธิตต้นแบบของอุปกรณ์นี้ในพอดแคสต์ล่าสุด

    แม้ว่าตัวต้นแบบยังอยู่ในช่วงพัฒนาและ มีบางฟีเจอร์ที่ยังไม่เปิดใช้งาน แต่ Pebble OS ดูเหมือนจะทำงานได้ดี โดยใช้ ระบบปุ่ม 4 ปุ่มในการนำทาง และรองรับ หน้าปัดนาฬิกาที่สร้างโดยชุมชน

    ✅ Core 2 Duo Smartwatch ใช้ระบบปฏิบัติการ Pebble OS
    - เป็นการกลับมาของ Pebble OS หลังจากหายไปจากตลาดสมาร์ทวอทช์
    - ใช้ ระบบปุ่ม 4 ปุ่มในการนำทาง

    ✅ หน้าจอ e-paper ที่ใช้พลังงานต่ำช่วยให้แบตเตอรี่ใช้งานได้นานถึง 30 วัน
    - เปรียบเทียบกับ Apple Watch ที่มีแบตเตอรี่ใช้งานได้เพียง 36 ชั่วโมง

    ✅ รองรับหน้าปัดนาฬิกาที่สร้างโดยชุมชน
    - สามารถ เลือกหน้าปัดที่มีเอกลักษณ์ เช่น หน้าปัดรูปปลาหมึกถือไอศกรีม

    ✅ Core Devices วางแผนส่งมอบสินค้าในเดือนกรกฎาคม
    - อย่างไรก็ตาม ลูกค้าในสหรัฐฯ อาจต้องจ่ายเพิ่มเนื่องจากภาษีนำเข้า

    ✅ Pebble OS รองรับฟีเจอร์ Smart Alarm และการแจ้งเตือน
    - แม้ว่าฟีเจอร์บางอย่างยังไม่เปิดใช้งาน แต่ระบบทำงานได้ดีในต้นแบบ

    https://www.techradar.com/health-fitness/smartwatches/pebble-os-watch-core-2-duo-demoed-ahead-of-release-and-its-currently-being-held-together-with-tape
    Pebble OS กำลังจะกลับมาอีกครั้งกับ Core 2 Duo Smartwatch ซึ่งเป็นสมาร์ทวอทช์รุ่นใหม่ที่ใช้ ระบบปฏิบัติการ Pebble OS โดย Eric Migicovsky ผู้ก่อตั้ง Pebble ได้สาธิตต้นแบบของอุปกรณ์นี้ในพอดแคสต์ล่าสุด แม้ว่าตัวต้นแบบยังอยู่ในช่วงพัฒนาและ มีบางฟีเจอร์ที่ยังไม่เปิดใช้งาน แต่ Pebble OS ดูเหมือนจะทำงานได้ดี โดยใช้ ระบบปุ่ม 4 ปุ่มในการนำทาง และรองรับ หน้าปัดนาฬิกาที่สร้างโดยชุมชน ✅ Core 2 Duo Smartwatch ใช้ระบบปฏิบัติการ Pebble OS - เป็นการกลับมาของ Pebble OS หลังจากหายไปจากตลาดสมาร์ทวอทช์ - ใช้ ระบบปุ่ม 4 ปุ่มในการนำทาง ✅ หน้าจอ e-paper ที่ใช้พลังงานต่ำช่วยให้แบตเตอรี่ใช้งานได้นานถึง 30 วัน - เปรียบเทียบกับ Apple Watch ที่มีแบตเตอรี่ใช้งานได้เพียง 36 ชั่วโมง ✅ รองรับหน้าปัดนาฬิกาที่สร้างโดยชุมชน - สามารถ เลือกหน้าปัดที่มีเอกลักษณ์ เช่น หน้าปัดรูปปลาหมึกถือไอศกรีม ✅ Core Devices วางแผนส่งมอบสินค้าในเดือนกรกฎาคม - อย่างไรก็ตาม ลูกค้าในสหรัฐฯ อาจต้องจ่ายเพิ่มเนื่องจากภาษีนำเข้า ✅ Pebble OS รองรับฟีเจอร์ Smart Alarm และการแจ้งเตือน - แม้ว่าฟีเจอร์บางอย่างยังไม่เปิดใช้งาน แต่ระบบทำงานได้ดีในต้นแบบ https://www.techradar.com/health-fitness/smartwatches/pebble-os-watch-core-2-duo-demoed-ahead-of-release-and-its-currently-being-held-together-with-tape
    0 Comments 0 Shares 187 Views 0 Reviews
  • กนง. มีมติลดดอกเบี้ยมาอยู่ที่ 1.75% จากผลกระทบจาก tariff ต่อเศรษฐกิจที่อยู่ในระดับสูงKey Highlights:กนง. มีมติ 5 ต่อ 2 ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% มาอยู่ที่ 1.75% ต่อปี โดยเป็นการลดลงต่อเนื่องจากการประชุมครั้งก่อน จากเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มได้รับผลกระทบสูงจากสถานการณ์นโยบายการค้าสหรัฐฯ กนง. ประเมินผลกระทบเป็น 2 scenario โดย Reference Scenario (Lower Tariffs) คาดว่าเศรษฐกิจไทยปี 2025 จะขยายตัวที่ 2.0% ขณะที่ Alternative Scenario (Higher Tariffs) เศรษฐกิจไทยอาจขยายตัวเพียง 1.3% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไป กนง. มองว่ามีแนวโน้มต่ำกว่าขอบล่างของกรอบเป้าหมาย จากราคาพลังงานที่คาดว่าจะต่ำลงตามแนวโน้มเศรษฐกิจโลกKrungthai COMPASS ประเมินว่ามีความเป็นไปได้ที่ กนง. จะพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติม สู่ระดับ 1.50% ภายในปี 2025 โดยช่วงเวลาของการตัดสินใจจะขึ้นอยู่กับผลของการเจรจากับสหรัฐฯ ในการปรับลดภาษีนำเข้า หลังพ้นกรอบระยะเวลายกเว้นการเก็บภาษี 90 วัน และพัฒนาการโดยรวมของเศรษฐกิจไทย
    กนง. มีมติลดดอกเบี้ยมาอยู่ที่ 1.75% จากผลกระทบจาก tariff ต่อเศรษฐกิจที่อยู่ในระดับสูงKey Highlights:กนง. มีมติ 5 ต่อ 2 ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% มาอยู่ที่ 1.75% ต่อปี โดยเป็นการลดลงต่อเนื่องจากการประชุมครั้งก่อน จากเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มได้รับผลกระทบสูงจากสถานการณ์นโยบายการค้าสหรัฐฯ กนง. ประเมินผลกระทบเป็น 2 scenario โดย Reference Scenario (Lower Tariffs) คาดว่าเศรษฐกิจไทยปี 2025 จะขยายตัวที่ 2.0% ขณะที่ Alternative Scenario (Higher Tariffs) เศรษฐกิจไทยอาจขยายตัวเพียง 1.3% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไป กนง. มองว่ามีแนวโน้มต่ำกว่าขอบล่างของกรอบเป้าหมาย จากราคาพลังงานที่คาดว่าจะต่ำลงตามแนวโน้มเศรษฐกิจโลกKrungthai COMPASS ประเมินว่ามีความเป็นไปได้ที่ กนง. จะพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติม สู่ระดับ 1.50% ภายในปี 2025 โดยช่วงเวลาของการตัดสินใจจะขึ้นอยู่กับผลของการเจรจากับสหรัฐฯ ในการปรับลดภาษีนำเข้า หลังพ้นกรอบระยะเวลายกเว้นการเก็บภาษี 90 วัน และพัฒนาการโดยรวมของเศรษฐกิจไทย
    0 Comments 0 Shares 203 Views 0 Reviews
  • ธนาคารกรุงเทพเชื่อมระบบโอนเงินหยวน

    ผมเขียนเรื่อง “จีนเปิดตัวหยวนดิจิทัลข่ม SWIFT” ไปเมื่อวันเสาร์ โดยจีนได้เปิดตัว “ระบบชำระเงินข้ามพรมแดนระหว่างธนาคาร” (China’s Cross–Border Interbank Payment System) รุ่นใหม่หรือ CIPS รุ่น 2.0 ซึ่งโอนเงินได้รวดเร็วกว่าเดิม โดยเชื่อมต่อกับธนาคารใน 16 ประเทศพร้อมกัน ทั้งใน จีน อาเซียน และตะวันออกกลาง เมื่อเช้าตรู่วันที่ 21 เม.ย. CIPS เป็นระบบโอนเงินข้ามชาติแบบเดียวกับ SWIFT ของสหรัฐฯ แต่ CIPS จะโอนเป็นเงินหยวนของจีน ขณะที่ SWIFT จะโอนเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐฯ CIPS ถือเป็นระบบโอนเงินข้ามชาติที่เป็นคู่แข่งสำคัญของสหรัฐฯ CIPS ใช้เวลาโอนเงินข้ามประเทศเร็วมากเพียงไม่กี่วินาที มีต้นทุนการโอนเงินที่ตํ่ามาก เทียบกับ ระบบ SWIFT ของสหรัฐฯที่ต้องใช้เวลาในการโอนเงิน 2–3 วัน มีค่าโอนเงินที่แพงกว่ากันถึง 4 หมื่นกว่าเท่า

    การเปิดตัวของ ระบบโอนเงินข้ามพรมแดน CIPS 2.0 ของจีนครั้งนี้ จึงเป็นการทลายการผูกขาดโอนเงินข้ามชาติของระบบ SWIFT สหรัฐฯ ที่มีมายาวนาน

    วันอังคาร 29 เม.ย. คุณพิพัฒน์ อัสสมงคล ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ ได้เปิดเผยว่า ธนาคารกรุงเทพได้เพิ่มศักยภาพการทำธุรกรรมโอนเงินระหว่างประเทศด้วยสกุลเงินหยวน (Chinese Yuan–CNY) ผ่าน ระบบการชำระเงินระหว่างธนาคารข้ามพรมแดน หรือ CIPS (Cross–Border Interbank Payment System) เป็นธนาคารไทยแห่งแรกที่ใช้รับอนุมัติจากธนาคารกลางจีนให้เป็น Direct Participant สมาชิกตรง

    ดังนั้น ธนาคารกรุงเทพจึงสามารถทำธุรกรรมโอนเงินระหว่างประเทศด้วยสกุลเงินหยวนได้โดยตรงกับระบบ CIPS ซึ่งช่วยลดระยะเวลาทำธุรกรรมให้สั้นลง คู่ค้าได้รับเงินเร็วขึ้น ช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้แก่ธุรกิจ เป็นการยกระดับประสิทธิภาพธุรกิจให้มีความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้น ส่งเสริมให้เกิดการค้าระหว่างประเทศไทยกับจีนในอนาคตเพิ่มมากขึ้นด้วย

    คุณพิพัฒน์ กล่าวว่า บริการโอนเงิน CIPS เหมาะสำหรับผู้ประกอบการ นำเข้าและส่งออกซึ่งมีธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศกับคู่ค้าในจีน โดยเฉพาะผู้ประกอบการในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าการค้าสูง เช่น เครื่องจักร เครื่องใช้ไฟฟ้า และผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร เป็นต้น ปี 2567 จีนเป็นคู่ค้าสำคัญของไทยอันดับ 1 มีมูลค่าการค้าระหว่างกันรวมเกือบ 4.1 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นการส่งออกจากไทยไปจีนมูลค่าประมาณ 1.2 ล้าน ล้านบาท และการนำเข้าจากจีนมีมูลค่าประมาณ 2.9 ล้านล้านบาท จึงถือเป็นตลาดที่ใหญ่มาก

    การเข้าร่วมเป็น Direct Participant ในระบบ CIPS สะท้อนถึงความตั้งใจในการพัฒนาบริการอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อสนับสนุนการดำเนินธุรกิจของลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น และทำให้ธุรกิจของลูกค้าได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงของโลกธุรกิจยุคใหม่ ตอกย้ำความเป็น “เพื่อนคู่คิดมิตรคู่บ้าน” เคียงข้างและช่วยให้ธุรกิจของลูกค้าเติบโตได้อย่างเต็มศักยภาพ การพัฒนาบริการดังกล่าวจะเสริมสร้างความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจระหว่างไทยและจีนให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

    วันนี้การค้าโลกแยกออกเป็น 2 ค่ายชัดเจน จีน กับ สหรัฐฯ เมื่อ ประธานาธิบดีทรัมป์ ขึ้นภาษีนำเข้าจากทุกประเทศทั่วโลกเพื่อเอาเปรียบ ตั้งแต่ 2 เม.ย.ทรัมป์ได้ขึ้นภาษีนำเข้าจากทุกประเทศไปแล้ว 10% และ จะขึ้นภาษีตอบโต้อีก 20–245% กับประเทศที่ได้เปรียบดุลการค้าสหรัฐฯ จะยึดคลองปานามา จะยึดคลองสุเอซที่เก็บค่าผ่านเรือสหรัฐฯ กลายเป็นอันธพาลระดับโลก ทำให้ทุกชาติ เริ่มถอยห่างจากสหรัฐฯมาใกล้ชิดกับจีนมากขึ้น

    มาซาโตะ คานดะ ประธานธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) ได้เสนอ ให้ประเทศในเอเชียหันมาค้าขายกันเองให้แข็งแกร่งขึ้น เพื่อปกป้องเศรษฐกิจในภูมิภาคจากแรงกระแทกภายนอก

    ผมเชื่อว่า ระบบโอนเงินระหว่างธนาคารข้ามพรมแดน CIPS ของจีน จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับการค้าในภูมิภาคเอเชียและทั่วโลก “ยกเว้นสหรัฐฯ” ทำให้ ระบบโอนเงิน SWIFT ลดบทบาทลง สหรัฐฯจะได้ “โดดเดี่ยวตัวเอง” สมใจทรัมป์แน่นอน.


    “ลม เปลี่ยนทิศ”

    https://www.thairath.co.th/news/local/2855708
    ธนาคารกรุงเทพเชื่อมระบบโอนเงินหยวน ผมเขียนเรื่อง “จีนเปิดตัวหยวนดิจิทัลข่ม SWIFT” ไปเมื่อวันเสาร์ โดยจีนได้เปิดตัว “ระบบชำระเงินข้ามพรมแดนระหว่างธนาคาร” (China’s Cross–Border Interbank Payment System) รุ่นใหม่หรือ CIPS รุ่น 2.0 ซึ่งโอนเงินได้รวดเร็วกว่าเดิม โดยเชื่อมต่อกับธนาคารใน 16 ประเทศพร้อมกัน ทั้งใน จีน อาเซียน และตะวันออกกลาง เมื่อเช้าตรู่วันที่ 21 เม.ย. CIPS เป็นระบบโอนเงินข้ามชาติแบบเดียวกับ SWIFT ของสหรัฐฯ แต่ CIPS จะโอนเป็นเงินหยวนของจีน ขณะที่ SWIFT จะโอนเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐฯ CIPS ถือเป็นระบบโอนเงินข้ามชาติที่เป็นคู่แข่งสำคัญของสหรัฐฯ CIPS ใช้เวลาโอนเงินข้ามประเทศเร็วมากเพียงไม่กี่วินาที มีต้นทุนการโอนเงินที่ตํ่ามาก เทียบกับ ระบบ SWIFT ของสหรัฐฯที่ต้องใช้เวลาในการโอนเงิน 2–3 วัน มีค่าโอนเงินที่แพงกว่ากันถึง 4 หมื่นกว่าเท่า การเปิดตัวของ ระบบโอนเงินข้ามพรมแดน CIPS 2.0 ของจีนครั้งนี้ จึงเป็นการทลายการผูกขาดโอนเงินข้ามชาติของระบบ SWIFT สหรัฐฯ ที่มีมายาวนาน วันอังคาร 29 เม.ย. คุณพิพัฒน์ อัสสมงคล ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ ได้เปิดเผยว่า ธนาคารกรุงเทพได้เพิ่มศักยภาพการทำธุรกรรมโอนเงินระหว่างประเทศด้วยสกุลเงินหยวน (Chinese Yuan–CNY) ผ่าน ระบบการชำระเงินระหว่างธนาคารข้ามพรมแดน หรือ CIPS (Cross–Border Interbank Payment System) เป็นธนาคารไทยแห่งแรกที่ใช้รับอนุมัติจากธนาคารกลางจีนให้เป็น Direct Participant สมาชิกตรง ดังนั้น ธนาคารกรุงเทพจึงสามารถทำธุรกรรมโอนเงินระหว่างประเทศด้วยสกุลเงินหยวนได้โดยตรงกับระบบ CIPS ซึ่งช่วยลดระยะเวลาทำธุรกรรมให้สั้นลง คู่ค้าได้รับเงินเร็วขึ้น ช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้แก่ธุรกิจ เป็นการยกระดับประสิทธิภาพธุรกิจให้มีความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้น ส่งเสริมให้เกิดการค้าระหว่างประเทศไทยกับจีนในอนาคตเพิ่มมากขึ้นด้วย คุณพิพัฒน์ กล่าวว่า บริการโอนเงิน CIPS เหมาะสำหรับผู้ประกอบการ นำเข้าและส่งออกซึ่งมีธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศกับคู่ค้าในจีน โดยเฉพาะผู้ประกอบการในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าการค้าสูง เช่น เครื่องจักร เครื่องใช้ไฟฟ้า และผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร เป็นต้น ปี 2567 จีนเป็นคู่ค้าสำคัญของไทยอันดับ 1 มีมูลค่าการค้าระหว่างกันรวมเกือบ 4.1 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นการส่งออกจากไทยไปจีนมูลค่าประมาณ 1.2 ล้าน ล้านบาท และการนำเข้าจากจีนมีมูลค่าประมาณ 2.9 ล้านล้านบาท จึงถือเป็นตลาดที่ใหญ่มาก การเข้าร่วมเป็น Direct Participant ในระบบ CIPS สะท้อนถึงความตั้งใจในการพัฒนาบริการอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อสนับสนุนการดำเนินธุรกิจของลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น และทำให้ธุรกิจของลูกค้าได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงของโลกธุรกิจยุคใหม่ ตอกย้ำความเป็น “เพื่อนคู่คิดมิตรคู่บ้าน” เคียงข้างและช่วยให้ธุรกิจของลูกค้าเติบโตได้อย่างเต็มศักยภาพ การพัฒนาบริการดังกล่าวจะเสริมสร้างความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจระหว่างไทยและจีนให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น วันนี้การค้าโลกแยกออกเป็น 2 ค่ายชัดเจน จีน กับ สหรัฐฯ เมื่อ ประธานาธิบดีทรัมป์ ขึ้นภาษีนำเข้าจากทุกประเทศทั่วโลกเพื่อเอาเปรียบ ตั้งแต่ 2 เม.ย.ทรัมป์ได้ขึ้นภาษีนำเข้าจากทุกประเทศไปแล้ว 10% และ จะขึ้นภาษีตอบโต้อีก 20–245% กับประเทศที่ได้เปรียบดุลการค้าสหรัฐฯ จะยึดคลองปานามา จะยึดคลองสุเอซที่เก็บค่าผ่านเรือสหรัฐฯ กลายเป็นอันธพาลระดับโลก ทำให้ทุกชาติ เริ่มถอยห่างจากสหรัฐฯมาใกล้ชิดกับจีนมากขึ้น มาซาโตะ คานดะ ประธานธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) ได้เสนอ ให้ประเทศในเอเชียหันมาค้าขายกันเองให้แข็งแกร่งขึ้น เพื่อปกป้องเศรษฐกิจในภูมิภาคจากแรงกระแทกภายนอก ผมเชื่อว่า ระบบโอนเงินระหว่างธนาคารข้ามพรมแดน CIPS ของจีน จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับการค้าในภูมิภาคเอเชียและทั่วโลก “ยกเว้นสหรัฐฯ” ทำให้ ระบบโอนเงิน SWIFT ลดบทบาทลง สหรัฐฯจะได้ “โดดเดี่ยวตัวเอง” สมใจทรัมป์แน่นอน. “ลม เปลี่ยนทิศ” https://www.thairath.co.th/news/local/2855708
    WWW.THAIRATH.CO.TH
    ธนาคารกรุงเทพเชื่อมระบบโอนเงินหยวน
    ผมเพิ่งเขียนเรื่อง “จีนเปิดตัวหยวนดิจิทัลข่ม SWIFT” ไปเมื่อวันเสาร์ โดยจีนได้เปิดตัว “ระบบชำระเงินข้ามพรมแดนระหว่างธนาคาร” (China’s Cross–Border Interbank Payment System) รุ่นใหม่หรือ CIPS รุ่น 2.0
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 410 Views 0 Reviews
  • Apple รายงานผลประกอบการไตรมาสที่สองของปี 2025 โดยมีรายได้รวม 95.4 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 5% จากปีที่แล้ว และกำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 29.58 พันล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ Apple ยังประกาศโครงการ ซื้อหุ้นคืนมูลค่า 100 พันล้านดอลลาร์ และเพิ่มเงินปันผลเป็น 0.26 ดอลลาร์ต่อหุ้น

    Apple เปิดเผยว่าจำนวนอุปกรณ์ที่ใช้งานอยู่ทั่วโลกแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในทุกหมวดหมู่ อย่างไรก็ตาม รายได้จาก iPhone เพิ่มขึ้นเพียง 2% ขณะที่ Mac เติบโต 7% และ iPad เพิ่มขึ้น 15% ส่วนรายได้จาก Wearables, Home และ Accessories ลดลง 5%

    ธุรกิจ Apple Services ทำสถิติรายได้สูงสุดที่ 26.64 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 12% จากปีที่แล้ว แต่อนาคตของธุรกิจนี้อาจเผชิญความไม่แน่นอน เนื่องจากคำสั่งศาลล่าสุดที่กำหนดให้ Apple ต้องอนุญาตให้นักพัฒนาใช้ระบบชำระเงินภายนอก ซึ่งอาจส่งผลให้ Apple สูญเสียค่าคอมมิชชั่น 30%

    Tim Cook ซีอีโอของ Apple กล่าวถึงผลประกอบการว่า "เรารู้สึกภูมิใจที่สามารถลดการปล่อยคาร์บอนลง 60% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา" และเตือนว่าภาษีนำเข้าที่กำหนดโดยรัฐบาลสหรัฐฯ อาจเพิ่มต้นทุนของ Apple ถึง 900 ล้านดอลลาร์ ในไตรมาสหน้า

    ✅ รายได้และกำไรของ Apple
    - รายได้รวม 95.4 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 5% จากปีที่แล้ว
    - กำไรจากการดำเนินงาน 29.58 พันล้านดอลลาร์

    ✅ การเติบโตของผลิตภัณฑ์ต่างๆ
    - iPhone เพิ่มขึ้น 2%
    - Mac เติบโต 7%
    - iPad เพิ่มขึ้น 15%
    - Wearables, Home และ Accessories ลดลง 5%

    ✅ ธุรกิจ Apple Services
    - รายได้ 26.64 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 12%
    - อาจได้รับผลกระทบจากคำสั่งศาลเกี่ยวกับระบบชำระเงินภายนอก

    ✅ โครงการซื้อหุ้นคืนและเงินปันผล
    - Apple ประกาศซื้อหุ้นคืนมูลค่า 100 พันล้านดอลลาร์
    - เพิ่มเงินปันผลเป็น 0.26 ดอลลาร์ต่อหุ้น

    https://www.neowin.net/news/apple-services-revenue-reach-historic-high-future-in-jeopardy-after-court-order/
    Apple รายงานผลประกอบการไตรมาสที่สองของปี 2025 โดยมีรายได้รวม 95.4 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 5% จากปีที่แล้ว และกำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 29.58 พันล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ Apple ยังประกาศโครงการ ซื้อหุ้นคืนมูลค่า 100 พันล้านดอลลาร์ และเพิ่มเงินปันผลเป็น 0.26 ดอลลาร์ต่อหุ้น Apple เปิดเผยว่าจำนวนอุปกรณ์ที่ใช้งานอยู่ทั่วโลกแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในทุกหมวดหมู่ อย่างไรก็ตาม รายได้จาก iPhone เพิ่มขึ้นเพียง 2% ขณะที่ Mac เติบโต 7% และ iPad เพิ่มขึ้น 15% ส่วนรายได้จาก Wearables, Home และ Accessories ลดลง 5% ธุรกิจ Apple Services ทำสถิติรายได้สูงสุดที่ 26.64 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 12% จากปีที่แล้ว แต่อนาคตของธุรกิจนี้อาจเผชิญความไม่แน่นอน เนื่องจากคำสั่งศาลล่าสุดที่กำหนดให้ Apple ต้องอนุญาตให้นักพัฒนาใช้ระบบชำระเงินภายนอก ซึ่งอาจส่งผลให้ Apple สูญเสียค่าคอมมิชชั่น 30% Tim Cook ซีอีโอของ Apple กล่าวถึงผลประกอบการว่า "เรารู้สึกภูมิใจที่สามารถลดการปล่อยคาร์บอนลง 60% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา" และเตือนว่าภาษีนำเข้าที่กำหนดโดยรัฐบาลสหรัฐฯ อาจเพิ่มต้นทุนของ Apple ถึง 900 ล้านดอลลาร์ ในไตรมาสหน้า ✅ รายได้และกำไรของ Apple - รายได้รวม 95.4 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 5% จากปีที่แล้ว - กำไรจากการดำเนินงาน 29.58 พันล้านดอลลาร์ ✅ การเติบโตของผลิตภัณฑ์ต่างๆ - iPhone เพิ่มขึ้น 2% - Mac เติบโต 7% - iPad เพิ่มขึ้น 15% - Wearables, Home และ Accessories ลดลง 5% ✅ ธุรกิจ Apple Services - รายได้ 26.64 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 12% - อาจได้รับผลกระทบจากคำสั่งศาลเกี่ยวกับระบบชำระเงินภายนอก ✅ โครงการซื้อหุ้นคืนและเงินปันผล - Apple ประกาศซื้อหุ้นคืนมูลค่า 100 พันล้านดอลลาร์ - เพิ่มเงินปันผลเป็น 0.26 ดอลลาร์ต่อหุ้น https://www.neowin.net/news/apple-services-revenue-reach-historic-high-future-in-jeopardy-after-court-order/
    WWW.NEOWIN.NET
    Apple Services revenue reach historic high, future in jeopardy after court order
    While the installed base hit a record high, potential challenges loom from a recent court ruling and estimated $900 million in costs due to tariffs.
    0 Comments 0 Shares 164 Views 0 Reviews
  • สิงคโปร์ ยุบสภาก่อนได้เปรียบ?

    การประกาศยุบสภาของรัฐบาลสิงคโปร์ เมื่อวันที่ 15 เม.ย. และจัดการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 3 พ.ค.ที่จะถึงนี้ นายลอว์เรนซ์ หว่อง นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ให้เหตุผลว่า เพื่อต้องการให้ชาวสิงคโปร์ได้ตัดสินใจเลือกรัฐบาลซึ่งจะนำพาประเทศในช่วงเวลาวิกฤต หลังจากโลกกำลังเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงที่ไม่แน่นอนและอาจถึงขั้นไร้เสถียรภาพมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เดินหน้าขึ้นภาษีนำเข้า ซึ่งสิงคโปร์ถูกขึ้นภาษี 10% นายหว่องเคยกล่าวต่อรัฐสภาว่า ยุคของโลกาภิวัตน์ตามกฎเกณฑ์และการค้าเสรีได้สิ้นสุดลงแล้ว สิงคโปร์เสี่ยงที่จะถูกบีบให้หลุดจากการแข่งขัน ตกขอบ และถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

    การยุบสภาไม่ใช่เรื่องใหม่ของสิงคโปร์ ก่อนหน้านี้สมัยนายลี เซียน ลุง นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์คนที่ 3 ก็เคยยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 10 ก.ค.2563 เพื่อต้องการให้รัฐบาลชุดใหม่มีเวลาทำงานเต็ม 5 ปีในการรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และความท้าทายทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น สามารถตัดสินใจในเรื่องสำคัญได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้จะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับความเสี่ยงด้านสุขภาพจากการจัดเลือกตั้งในช่วงโควิด-19 ก็ตาม และนายลี เซียน ลุง ก็ลงจากตำแหน่งในวันที่ 15 พ.ค. 2567 เพื่อส่งต่อให้กับนายลอว์เรนซ์ หว่อง นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์คนที่ 4

    การเลือกตั้งทั่วไปของสิงคโปร์ในครั้งนี้ เป็นการเลือกสมาชิกรัฐสภา 97 คน จาก 33 เขตเลือกตั้ง มีผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนเสียง 2.7 ล้านคน นับเป็นการเลือกตั้งครั้งที่ 19 นับตั้งแค่การเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกในปี ค.ศ.1948 และเป็นครั้งที่ 14 นับตั้งแต่ได้รับเอกราชในปี ค.ศ.1965 รวมทั้งเป็นครั้งแรกที่นายลอว์เรนซ์ หว่อง รับบทบาทเป็นหัวหน้าพรรคกิจประชาชน (PAP) ซึ่งเป็นพรรคการเมืองเสียงข้างมากในรัฐสภาสิงคโปร์ ที่ครองอำนาจมายาวนาน สมัยที่แล้วได้มา 79 ที่นั่ง จะต้องแข่งกับพรรคแรงงาน (WP) ซึ่งสมัยที่แล้วได้มา 8 ที่นั่ง พรรคก้าวหน้าสิงคโปร์ (PSP) ได้มา 2 ที่นั่ง และพรรคอื่นๆ

    บทความจาก รศ.วิทยา ด่านธำรงกูล สถาบันวิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (TU-RAC) วิเคราะห์ตอนหนึ่งว่า การยุบสภาของนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ นอกจากจะเป็นการพยายามหาฉันทมติจากประชาชนว่าจะเห็นด้วยกับแนวทางการแก้ปัญหาของเขา และคณะรัฐมนตรีของเขามากน้อยเพียงใดแล้ว ยังเป็นการฉกฉวยโอกาสจากวิกฤติสงครามการค้า เพื่อให้ประชาชนได้เห็นว่ารัฐบาลของเขาเข้าใจวิกฤติครั้งนี้ และพร้อมจะเข้ามามีบทบาทเต็มที่ในการหาทางออกให้ประเทศ ย่อมเป็นการฉกฉวยคะแนนบนความกังวลใจของชาวสิงคโปร์

    #Newskit
    สิงคโปร์ ยุบสภาก่อนได้เปรียบ? การประกาศยุบสภาของรัฐบาลสิงคโปร์ เมื่อวันที่ 15 เม.ย. และจัดการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 3 พ.ค.ที่จะถึงนี้ นายลอว์เรนซ์ หว่อง นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ให้เหตุผลว่า เพื่อต้องการให้ชาวสิงคโปร์ได้ตัดสินใจเลือกรัฐบาลซึ่งจะนำพาประเทศในช่วงเวลาวิกฤต หลังจากโลกกำลังเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงที่ไม่แน่นอนและอาจถึงขั้นไร้เสถียรภาพมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เดินหน้าขึ้นภาษีนำเข้า ซึ่งสิงคโปร์ถูกขึ้นภาษี 10% นายหว่องเคยกล่าวต่อรัฐสภาว่า ยุคของโลกาภิวัตน์ตามกฎเกณฑ์และการค้าเสรีได้สิ้นสุดลงแล้ว สิงคโปร์เสี่ยงที่จะถูกบีบให้หลุดจากการแข่งขัน ตกขอบ และถูกทิ้งไว้ข้างหลัง การยุบสภาไม่ใช่เรื่องใหม่ของสิงคโปร์ ก่อนหน้านี้สมัยนายลี เซียน ลุง นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์คนที่ 3 ก็เคยยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 10 ก.ค.2563 เพื่อต้องการให้รัฐบาลชุดใหม่มีเวลาทำงานเต็ม 5 ปีในการรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และความท้าทายทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น สามารถตัดสินใจในเรื่องสำคัญได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้จะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับความเสี่ยงด้านสุขภาพจากการจัดเลือกตั้งในช่วงโควิด-19 ก็ตาม และนายลี เซียน ลุง ก็ลงจากตำแหน่งในวันที่ 15 พ.ค. 2567 เพื่อส่งต่อให้กับนายลอว์เรนซ์ หว่อง นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์คนที่ 4 การเลือกตั้งทั่วไปของสิงคโปร์ในครั้งนี้ เป็นการเลือกสมาชิกรัฐสภา 97 คน จาก 33 เขตเลือกตั้ง มีผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนเสียง 2.7 ล้านคน นับเป็นการเลือกตั้งครั้งที่ 19 นับตั้งแค่การเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกในปี ค.ศ.1948 และเป็นครั้งที่ 14 นับตั้งแต่ได้รับเอกราชในปี ค.ศ.1965 รวมทั้งเป็นครั้งแรกที่นายลอว์เรนซ์ หว่อง รับบทบาทเป็นหัวหน้าพรรคกิจประชาชน (PAP) ซึ่งเป็นพรรคการเมืองเสียงข้างมากในรัฐสภาสิงคโปร์ ที่ครองอำนาจมายาวนาน สมัยที่แล้วได้มา 79 ที่นั่ง จะต้องแข่งกับพรรคแรงงาน (WP) ซึ่งสมัยที่แล้วได้มา 8 ที่นั่ง พรรคก้าวหน้าสิงคโปร์ (PSP) ได้มา 2 ที่นั่ง และพรรคอื่นๆ บทความจาก รศ.วิทยา ด่านธำรงกูล สถาบันวิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (TU-RAC) วิเคราะห์ตอนหนึ่งว่า การยุบสภาของนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ นอกจากจะเป็นการพยายามหาฉันทมติจากประชาชนว่าจะเห็นด้วยกับแนวทางการแก้ปัญหาของเขา และคณะรัฐมนตรีของเขามากน้อยเพียงใดแล้ว ยังเป็นการฉกฉวยโอกาสจากวิกฤติสงครามการค้า เพื่อให้ประชาชนได้เห็นว่ารัฐบาลของเขาเข้าใจวิกฤติครั้งนี้ และพร้อมจะเข้ามามีบทบาทเต็มที่ในการหาทางออกให้ประเทศ ย่อมเป็นการฉกฉวยคะแนนบนความกังวลใจของชาวสิงคโปร์ #Newskit
    Like
    1
    1 Comments 0 Shares 452 Views 0 Reviews
  • บทความนี้กล่าวถึงผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่มีต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลก โดยการวิเคราะห์จาก TechInsights ระบุว่าหากอัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ยังคงอยู่ที่ระดับสูงถึง 40% ตลาดเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลกอาจหดตัวลงถึง 34% ในปี 2026 เมื่อเทียบกับการคาดการณ์เดิม

    ในปัจจุบัน สหรัฐฯ และจีนต่างกำหนดอัตราภาษีที่สูงกว่า 100% ต่อสินค้านำเข้าจากกันและกัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อการเติบโตของตลาดเซมิคอนดักเตอร์ โดยเฉพาะในด้านการผลิตและการส่งออก นอกจากนี้ จีนยังได้ห้ามการส่งออกแร่หายากไปยังสหรัฐฯ ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์

    TechInsights คาดการณ์ว่าหากอัตราภาษีทั่วโลกอยู่ที่ 10% ตลาดเซมิคอนดักเตอร์จะมีมูลค่า 844 พันล้านดอลลาร์ ในปี 2026 แต่หากอัตราภาษีทั่วโลกเพิ่มขึ้นเป็น 40% ตลาดจะหดตัวลงเหลือเพียง 557 พันล้านดอลลาร์

    ✅ อัตราภาษีและผลกระทบต่อการเติบโต
    - อัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ สูงถึง 40% อาจทำให้ตลาดเซมิคอนดักเตอร์หดตัวลงถึง 34% ในปี 2026
    - หากอัตราภาษีทั่วโลกอยู่ที่ 10% ตลาดจะมีมูลค่า 844 พันล้านดอลลาร์

    ✅ การตอบโต้ของจีน
    - จีนกำหนดอัตราภาษี 125% ต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ
    - ห้ามการส่งออกแร่หายากไปยังสหรัฐฯ

    ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์
    - การผลิตและการส่งออกได้รับผลกระทบจากอัตราภาษีที่สูง
    - ตลาดเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลกอาจหดตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ

    ✅ การคาดการณ์ของ TechInsights
    - ตลาดเซมิคอนดักเตอร์จะมีมูลค่า 557 พันล้านดอลลาร์ในปี 2026 หากอัตราภาษีทั่วโลกอยู่ที่ 40%

    https://wccftech.com/techinsights-if-the-average-us-import-tariff-rate-remains-sticky-at-40-percent-the-global-semiconductor-market-will-shrink-by-a-third-in-2026/
    บทความนี้กล่าวถึงผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่มีต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลก โดยการวิเคราะห์จาก TechInsights ระบุว่าหากอัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ยังคงอยู่ที่ระดับสูงถึง 40% ตลาดเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลกอาจหดตัวลงถึง 34% ในปี 2026 เมื่อเทียบกับการคาดการณ์เดิม ในปัจจุบัน สหรัฐฯ และจีนต่างกำหนดอัตราภาษีที่สูงกว่า 100% ต่อสินค้านำเข้าจากกันและกัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อการเติบโตของตลาดเซมิคอนดักเตอร์ โดยเฉพาะในด้านการผลิตและการส่งออก นอกจากนี้ จีนยังได้ห้ามการส่งออกแร่หายากไปยังสหรัฐฯ ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ TechInsights คาดการณ์ว่าหากอัตราภาษีทั่วโลกอยู่ที่ 10% ตลาดเซมิคอนดักเตอร์จะมีมูลค่า 844 พันล้านดอลลาร์ ในปี 2026 แต่หากอัตราภาษีทั่วโลกเพิ่มขึ้นเป็น 40% ตลาดจะหดตัวลงเหลือเพียง 557 พันล้านดอลลาร์ ✅ อัตราภาษีและผลกระทบต่อการเติบโต - อัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ สูงถึง 40% อาจทำให้ตลาดเซมิคอนดักเตอร์หดตัวลงถึง 34% ในปี 2026 - หากอัตราภาษีทั่วโลกอยู่ที่ 10% ตลาดจะมีมูลค่า 844 พันล้านดอลลาร์ ✅ การตอบโต้ของจีน - จีนกำหนดอัตราภาษี 125% ต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ - ห้ามการส่งออกแร่หายากไปยังสหรัฐฯ ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ - การผลิตและการส่งออกได้รับผลกระทบจากอัตราภาษีที่สูง - ตลาดเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลกอาจหดตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ ✅ การคาดการณ์ของ TechInsights - ตลาดเซมิคอนดักเตอร์จะมีมูลค่า 557 พันล้านดอลลาร์ในปี 2026 หากอัตราภาษีทั่วโลกอยู่ที่ 40% https://wccftech.com/techinsights-if-the-average-us-import-tariff-rate-remains-sticky-at-40-percent-the-global-semiconductor-market-will-shrink-by-a-third-in-2026/
    WCCFTECH.COM
    TechInsights: If The Average US Import Tariff Rate Remains Sticky At 40 Percent, The Global Semiconductor Market Will Shrink By A Third In 2026
    TechInsights has now published its take on the tariff-related one-upmanship between the US and China, and its impact on semiconductors.
    0 Comments 0 Shares 229 Views 0 Reviews
  • Keyboardio ผู้ผลิตคีย์บอร์ดแบบกำหนดเองที่มีชื่อเสียงในด้านการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์และเหมาะกับการใช้งาน ได้ประกาศหยุดรับคำสั่งซื้อจากลูกค้าในสหรัฐฯ ตั้งแต่วันที่ 23 เมษายน 2025 เนื่องจากผลกระทบจากภาษีนำเข้าที่เพิ่มขึ้นและการยกเลิกกฎ "de minimis" ซึ่งเคยยกเว้นภาษีสำหรับสินค้าที่มีมูลค่าต่ำกว่า 800 ดอลลาร์

    ✅ การหยุดรับคำสั่งซื้อในสหรัฐฯ
    - Keyboardio หยุดรับคำสั่งซื้อจากลูกค้าในสหรัฐฯ ตั้งแต่วันที่ 23 เมษายน 2025
    - การตัดสินใจนี้เป็นผลมาจากภาษีนำเข้าที่เพิ่มขึ้นและการยกเลิกกฎ "de minimis"

    ✅ ผลกระทบจากภาษีนำเข้า
    - สินค้าที่ส่งถึงสหรัฐฯ หลังวันที่ 1 พฤษภาคม 2025 จะถูกเก็บภาษีนำเข้า 20%
    - HK Post จะเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมสูงสุดถึง 90% ต่อพัสดุ

    ✅ การผลิตและการจัดส่งของ Keyboardio
    - สินค้าของ Keyboardio ออกแบบในสหรัฐฯ แต่ผลิตในจีนและจัดส่งผ่านฮ่องกง
    - การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลให้การจัดส่งไปยังสหรัฐฯ มีความซับซ้อนมากขึ้น

    ✅ การให้บริการลูกค้านอกสหรัฐฯ
    - Keyboardio ยังคงให้บริการลูกค้าในประเทศอื่นๆ ทั่วโลก

    https://www.tomshardware.com/peripherals/keyboards/custom-keyboard-maker-stopping-us-orders-entirely-amidst-tariff-impacts-keyboardio-cites-tariffs-axed-de-minimis-rule
    Keyboardio ผู้ผลิตคีย์บอร์ดแบบกำหนดเองที่มีชื่อเสียงในด้านการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์และเหมาะกับการใช้งาน ได้ประกาศหยุดรับคำสั่งซื้อจากลูกค้าในสหรัฐฯ ตั้งแต่วันที่ 23 เมษายน 2025 เนื่องจากผลกระทบจากภาษีนำเข้าที่เพิ่มขึ้นและการยกเลิกกฎ "de minimis" ซึ่งเคยยกเว้นภาษีสำหรับสินค้าที่มีมูลค่าต่ำกว่า 800 ดอลลาร์ ✅ การหยุดรับคำสั่งซื้อในสหรัฐฯ - Keyboardio หยุดรับคำสั่งซื้อจากลูกค้าในสหรัฐฯ ตั้งแต่วันที่ 23 เมษายน 2025 - การตัดสินใจนี้เป็นผลมาจากภาษีนำเข้าที่เพิ่มขึ้นและการยกเลิกกฎ "de minimis" ✅ ผลกระทบจากภาษีนำเข้า - สินค้าที่ส่งถึงสหรัฐฯ หลังวันที่ 1 พฤษภาคม 2025 จะถูกเก็บภาษีนำเข้า 20% - HK Post จะเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมสูงสุดถึง 90% ต่อพัสดุ ✅ การผลิตและการจัดส่งของ Keyboardio - สินค้าของ Keyboardio ออกแบบในสหรัฐฯ แต่ผลิตในจีนและจัดส่งผ่านฮ่องกง - การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลให้การจัดส่งไปยังสหรัฐฯ มีความซับซ้อนมากขึ้น ✅ การให้บริการลูกค้านอกสหรัฐฯ - Keyboardio ยังคงให้บริการลูกค้าในประเทศอื่นๆ ทั่วโลก https://www.tomshardware.com/peripherals/keyboards/custom-keyboard-maker-stopping-us-orders-entirely-amidst-tariff-impacts-keyboardio-cites-tariffs-axed-de-minimis-rule
    0 Comments 0 Shares 190 Views 0 Reviews
  • สส.ปชน. ชี้ ครม.เห็นชอบยกเว้นภาษีนำเข้ารถโบราณ ส่อเปิดช่องกลุ่มทุนสีเทาฟอกเงิน
    https://www.thai-tai.tv/news/18312/
    สส.ปชน. ชี้ ครม.เห็นชอบยกเว้นภาษีนำเข้ารถโบราณ ส่อเปิดช่องกลุ่มทุนสีเทาฟอกเงิน https://www.thai-tai.tv/news/18312/
    0 Comments 0 Shares 82 Views 0 Reviews
  • กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ประกาศแผนเรียกเก็บภาษีนำเข้าแผงโซลาร์เซลล์จากโรงงานจีน ที่แอบตั้งอยู่ในประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประกอบด้วย กัมพูชา ไทย มาเลเซีย เวียดนาม สูงสุด 3,521%

    แผงโซลาร์เซลล์เหล่านี้ถูกกล่าวหาว่าขายในราคาที่ต่ำกว่าผู้ขายรายอื่นในสหรัฐอย่างไม่เป็นธรรม เนื่องจากมีการอุดหนุนของรัฐบาลของประเทศเหล่านั้น ทำให้ผู้ผลิตสามารถลดราคาขายในสหรัฐได้


    บริษัทในกัมพูชา ถูกเรียกเก็บในอัตราภาษีถูกสูงที่สุดคือ 3,521%
    ในเวียดนาม บางบริษัทที่ไม่ได้เปิดเผยชื่อต้องเสียภาษีศุลกากรในอัตราสูงถึง 395.9%
    สำหรับไทย ถูกกำหนดอัตราภาษีที่ 375.2%
    ส่วนมาเลเซีย กำหนดไว้ที่ 34.4%

    หมายเหตุ:
    นี่เป็นเพียงตัวเลขอัตราภาษีทั่วไป กระทรวงพาณิชย์สหรัฐ ยังมีการประกาศเฉพาะเจาะจงของแต่ละบริษัทที่ตั้งอยู่ในหลายประเทศ ซึ่งถูกเรียกเก็บในอัตราภาษีที่แตกต่างกันออกไป
    กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ประกาศแผนเรียกเก็บภาษีนำเข้าแผงโซลาร์เซลล์จากโรงงานจีน ที่แอบตั้งอยู่ในประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประกอบด้วย กัมพูชา ไทย มาเลเซีย เวียดนาม สูงสุด 3,521% แผงโซลาร์เซลล์เหล่านี้ถูกกล่าวหาว่าขายในราคาที่ต่ำกว่าผู้ขายรายอื่นในสหรัฐอย่างไม่เป็นธรรม เนื่องจากมีการอุดหนุนของรัฐบาลของประเทศเหล่านั้น ทำให้ผู้ผลิตสามารถลดราคาขายในสหรัฐได้ บริษัทในกัมพูชา ถูกเรียกเก็บในอัตราภาษีถูกสูงที่สุดคือ 3,521% ในเวียดนาม บางบริษัทที่ไม่ได้เปิดเผยชื่อต้องเสียภาษีศุลกากรในอัตราสูงถึง 395.9% สำหรับไทย ถูกกำหนดอัตราภาษีที่ 375.2% ส่วนมาเลเซีย กำหนดไว้ที่ 34.4% หมายเหตุ: นี่เป็นเพียงตัวเลขอัตราภาษีทั่วไป กระทรวงพาณิชย์สหรัฐ ยังมีการประกาศเฉพาะเจาะจงของแต่ละบริษัทที่ตั้งอยู่ในหลายประเทศ ซึ่งถูกเรียกเก็บในอัตราภาษีที่แตกต่างกันออกไป
    0 Comments 0 Shares 259 Views 0 Reviews
  • "สำคัญยังงั้นเลย!?!"

    คิต แชมเบอร์ส คอมลัมนิสต์รับเชิญ พี่ชายดร.พอล เผยแพร่บทความลงใน เว็บไซต์ oklahoman ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์รายวันที่ใหญ่ที่สุดในโอคลาโฮมาของสหรัฐ และเป็นรายใหญ่อันดับที่ 59 ของประเทศ ระบุว่า จากกรณีรัฐบาลสหรัฐ มีแผนหารือเรื่องภาษีนำเข้ากับทีมเจรจาประเทศไทย เมื่อวันที่ 21 เมษายนที่ผ่านมา มีประเด็นหนึ่งที่สำคัญไม่ควรมองข้าม ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับภาษีนำเข้า แต่คือความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐ

    พอล แชมเบอร์ส น้องชายของฉัน ถูกคุมขังในประเทศไทยอย่างไม่ชอบธรรม ในฐานะพลเมืองอเมริกัน และชาวโอคลาโฮมา (Oklahoma) หากพูดถึงเรื่องภาษี เราจะไม่สามารถเริ่มพูดคุยได้เลย จนกว่าปัญหาที่เกิดขึ้นยังไม่ได้รับการแก้ไข และเป็นเรื่องที่พูดคุยได้อย่างง่าย คือการให้น้องชายของฉัน พอล แชมเบอร์ กลับบ้านที่โอคลาโฮมา หรือจะดั้นด้นเผชิญหน้ากับภาษีนำเข้าที่สูงลิ่ว

    https://www.facebook.com/share/p/1AF8jH51Y7/
    "สำคัญยังงั้นเลย!?!" คิต แชมเบอร์ส คอมลัมนิสต์รับเชิญ พี่ชายดร.พอล เผยแพร่บทความลงใน เว็บไซต์ oklahoman ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์รายวันที่ใหญ่ที่สุดในโอคลาโฮมาของสหรัฐ และเป็นรายใหญ่อันดับที่ 59 ของประเทศ ระบุว่า จากกรณีรัฐบาลสหรัฐ มีแผนหารือเรื่องภาษีนำเข้ากับทีมเจรจาประเทศไทย เมื่อวันที่ 21 เมษายนที่ผ่านมา มีประเด็นหนึ่งที่สำคัญไม่ควรมองข้าม ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับภาษีนำเข้า แต่คือความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐ พอล แชมเบอร์ส น้องชายของฉัน ถูกคุมขังในประเทศไทยอย่างไม่ชอบธรรม ในฐานะพลเมืองอเมริกัน และชาวโอคลาโฮมา (Oklahoma) หากพูดถึงเรื่องภาษี เราจะไม่สามารถเริ่มพูดคุยได้เลย จนกว่าปัญหาที่เกิดขึ้นยังไม่ได้รับการแก้ไข และเป็นเรื่องที่พูดคุยได้อย่างง่าย คือการให้น้องชายของฉัน พอล แชมเบอร์ กลับบ้านที่โอคลาโฮมา หรือจะดั้นด้นเผชิญหน้ากับภาษีนำเข้าที่สูงลิ่ว https://www.facebook.com/share/p/1AF8jH51Y7/
    0 Comments 0 Shares 210 Views 0 Reviews
  • บทวิเคราะห์ของ สมหมาย ภาษี อดีตรัฐมนตรีคลัง “นโยบายปรับภาษี (Tariff) ของ Trump จะทำให้โลกใบนี้ไม่เหมือนเดิมอีกแล้วพัฒนาการของการค้าโลกในช่วงประมาณ 50 ปีที่ผ่านมา มีการตั้งองค์การด้านการค้าโลกขึ้น เริ่มด้วยการตั้ง GATTS แล้วต่อมาปรับเป็น WTO (World Trade Organization) เพื่อสร้างกฎเกณฑ์การค้าขายระหว่างประเทศและกำกับให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยตามแนวทางการค้าเสรี ช่วงนี้จะมีประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา รัสเซีย ประเทศใหญ่ๆในยุโรป และประเทศญี่ปุ่นได้ปรับตัวให้ตนเองมั่งคั่งและสะสมความร่ำรวย เข้าไปควบคุมตลาดเงินและสกุลเงินตราสำคัญ รวมทั้งควบคุมตลาดการค้าหลักๆให้เป็นระเบียบและเอื้อต่อการขยายตัวของการค้าขายของแต่ละประเทศเพื่อประโยชน์ต่อตนเองมากขึ้นเรื่อยๆ .แต่แล้วในช่วงดังกล่าวนี้ประเทศจีนเสือหลับแห่งเอเชีย ที่ได้ผู้นำประเทศที่ขึ้นมาพลิกผันประเทศได้อย่างเป็นรูปธรรมได้รวดเร็วและต่อเนื่อง ชื่อ เติ้ง เสี่ยวผิง เติ้งได้ทำการปฏิวัติและปฏิรูปประเทศในทุกด้านโดยเฉพาะด้านอุตสาหกรรมตั้งแต่แบบเก่าจนแบบที่ต้องใช้เทคนิคล้ำหน้า จนขณะนี้จีนภายใต้ผู้นำชื่อ สี จิ้น ผิง ที่เข้มแข็ง มือสะอาด มีฝีมือ มีคุณธรรม มีความตั้งใจจริง เข้ามาบริหารประเทศที่มีพลเมืองมากที่สุดให้ใหญ่โตจนทัดเทียมกับประเทศสหรัฐอเมริกาในทุกด้าน จนผู้นำของสหรัฐอย่าง Trump รู้สึกเสียหน้ามาก. ที่มาของการใช้มาตรการทำสงครามการค้าของ Trump ความแข็งแกร่งของจีนในขณะนี้ Trump ได้เฝ้าดูแลมาร่วม 8 ปี เมื่อเขาสามารถเข้ามาเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอีกครั้งก็ไม่รีรอที่จะลงมือนำนโยบายปรับภาษีสินค้านำเข้าและส่งออก (Tariff) ชนิดสุดโต่งและจำเพาะเจาะจงมาใช้กับประเทศจีนโดยทันที ขณะเดียวกันก็ได้ประกาศใช้กับประเทศคู่ค้าอื่นๆ ทั่วโลกด้วย แต่มาตรการจะเบากว่าที่ใช้กับจีน. สิ่งที่เห็นตามที่เป็นข่าวอยู่ทุกวันนี้ก็คือ การเกิดแรงกระแทกอย่างมากต่อวิถีการค้าระหว่างประเทศที่เป็นอยู่ทั่วโลก ไม่ต้องถามว่าทำไม Trump ต้องทำแบบนี้ เพราะเขาเองเห็นชัดว่า ประเทศสหรัฐอเมริกาของเขากำลังตกต่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขาดดุลการค้าอย่างมากที่เกิดต่อเนื่องมานานและมีหนี้สาธารณะสูงมาก .Trump ยังได้เห็นชัดว่า ฝ่ายของจีนมีพวกพ้องมากขึ้น โดยเฉพาะการจัดตั้งกลุ่ม BRICS ประกอบด้วย Brazil, Russia, India, China และ South Africa รวมหัวกันทำการค้าต่อกันอย่างใกล้ชิด คิดใช้สกุลเงินตราของตนเอง โดยหันหน้าหนีการใช้เงินดอลลาร์สหรัฐ.เท่านั้นยังไม่พอ กลุ่ม BRICS ยังค่อยๆลดการลงทุนในพันธบัตรของสหรัฐที่แต่ละประเทศถือไว้มากมายลงไปโดยการขายออก และหันไปซื้อทองคำหรือกระจายการลงทุนเป็นอย่างอื่น ขณะเดียวกันนักลงทุนรายใหญ่อื่นๆ ในตลาดเงินก็ทำการทิ้งพันธบัตรสหรัฐตามกันไปด้วย มีผลทำให้พันธบัตรซึ่งเป็นสินทรัพย์ในอนาคตจำนวนมากของสหรัฐด้อยค่าลงมากอย่างที่ไม่เคยเกิดมาก่อน.สรุปได้ว่า Trump ได้มองเห็นอย่างชัดเจนว่าสหรัฐอเมริกาตอนนี้ได้ต่ำต้อยลงอย่างรวดเร็วมาก ตัวเองจึงจำเป็นต้องทำตัวเป็นอัศวินขี่ม้าขาวเข้ามากู้ประเทศให้พลิกผันให้สหรัฐอเมริกาเป็นหนึ่งอย่างเต็มตัวต่อไป ที่ Trump ตั้งใจจะทำก่อนและให้แรงมากคือเล่นงานด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าของสินค้าจีนอย่างบ้าระห่ำ ซึ่งจีนก็ได้ตอบโต้ด้วยมาตรการทำนองเดียวกัน แบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน นี่เป็นแค่ยกแรกแค่นั้น.ประเทศน้อยใหญ่ และสถาบันการเงินระหว่างประเทศทั้งหลายต่างก็มองการกระทำของ Trump ในแง่ลบ แม้แต่ประธาน Federal Reserve ของสหรัฐเองอย่าง Jerome Powell เองก็มีอาการกึ่งช็อคกึ่งหัวหมุนกับนโยบายประเภทบ้าบิ่นที่ประธานาธิบดีของเขาจัดมาเป็นชุดๆ Powell ถึงกับกล่าวว่านโยบายของ Trump ที่นำออกมาใช้นี้จะเป็นสิ่งกระตุ้นให้เงินเฟ้อสูงขึ้น ภาวะเศรษฐกิจจะตกต่ำและการว่างงานจะมีมากขึ้น ตลาดหลักทรัพย์หรือตลาดหุ้นก็จะปั่นป่วนมาก ความตั้งใจที่ Fed จะลดดอกเบี้ยลงจึงทำได้ยากขึ้นซึ่งความเห็นของประธาน Fed ดังกล่าว Trump ไม่พอใจมากเพราะเขาอยากให้มีการลดดอกเบี้ยถึงกับเอ่ยออกมาว่าคงต้องคิดเรื่องการเด้งประธาน Fed ซะแล้ว ฟังคล้ายกำลังจะเอาอย่างประเทศไทย.แนวทางของไทยที่จะรับมือเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประเทศทุกประเทศที่โดนผลกระทบในเรื่องการขึ้น Tariff ของ Trump ต่างก็กำลังระดมความคิดและเตรียมตัวที่จะส่งผู้แทนไปเจรจา ยกเว้นจีนประเทศเดียวที่ขึ้นป้ายจะสู้กับสหรัฐอย่างแน่วแน่.สำหรับประเทศไทย ยังฟังไม่ได้ศัพท์จากฝ่ายรัฐบาลว่าจะมีกลยุทธ์ในการรับมือกับเรื่องนี้อย่างไร ชี้ให้เห็นชัดว่าศักยภาพของรัฐบาลไทยในการแก้ปัญหาใหญ่ต่ำมาก ฟังความได้อย่างเดียวจากท่านนายกรัฐมนตรีว่าจะใช้นโยบายและแนวทางเหมือนกับประเทศอาเซียนอื่นๆเท่านั้นตอนนี้ก็เห็นภาพชัดขึ้นอีกจากคณะผู้แทนที่เตรียมการจะไปเจรจา โดยจะไปบอกทางสหรัฐว่าไทยเราจะซื้อสินค้าจากเขามากขึ้น เช่น LNG ข้าวโพด ถั่วเหลือง เป็นต้น ถ้าจะเดาก็จะขอให้ทางสหรัฐบันยะบันยังกับการเพิ่มภาษีสินค้าที่นำเข้าจากไทยที่มีมูลค่าถึง 18 % ของมูลค่าการส่งออกของไทยทั้งหมด.ส่วนผลกระทบต่อไทย เท่าที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พยายามจะบอกพอสังเขป สรุปได้ว่าการส่งออกของไทยจะโดนกระทบมากโดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน เครื่องใช้ไฟฟ้า และอาหารแปรรูป และจะทำให้การเติบโตของ GDP ในปีนี้ลดต่ำกว่าเป้าเหลือโตไม่ถึง 2.5 % และอัตราเงินเฟ้อของไทยก็จะชะลอลงด้วย นี่ยังไม่พูดถึงผลกระทบในปีหน้าและต่อๆไป ว่าจะรุนแรงสักแค่ไหน เชื่อได้เถอะครับมันแรงเกินคาด.ความเห็นผมนั้น เห็นว่าไทยเราจะโดนหนักกว่าที่รัฐบาลและหน่วยราชการไทยประเมินไว้มาก เกินศักยภาพของรัฐบาลไทยชุดนี้จะรับมือได้ วิกฤตที่จะเกิดขึ้นจากเรื่อง Tariff หนนี้ ไม่ใช่ Covid 19 นะครับ มันเป็นเรื่องประเทศใครประเทศมัน ใครมีผู้นำเก่งก็ทำให้เบาได้ สามารถเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาสได้.แนวทางในการคิดแก้วิกฤตของประเทศขนาดเล็กผมอยากนำท่านผู้อ่านไปดูว่าผู้นำของสิงคโปร์อย่างอดีตนายกลี เซียนลุง ได้พูดเมื่อไม่กี่วันมานี้ซึ่งดีมาก เขาเริ่มบอกประชาชนรวมทั้งคณะรัฐมนตรีที่บริหารประเทศและนักธุรกิจ นักลงทุนของเขาว่าแม้จะมีความไม่แน่นอนในช่วง 90 วันที่ Trump จะให้ประเทศอื่นๆ นอกจากจีนไปคิดกันให้ดี แต่ก็ต้องมองให้ออกว่าทุกอย่างจะไม่กลับไปเหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว ดังนั้น เราต้องกังวลและคิดให้ตกว่ามันจะส่งผลกับเรามากแค่ไหน ต้องตระหนักให้ได้ว่าวิกฤตที่จะเกิดทั่วโลกนี้ บางสิ่งบางอย่างที่สำคัญมันแตกต่างไปจากเดิมมาก .ลี เซียนลุง ชี้ให้เห็นชัดว่า การขึ้นภาษีหรือ Tariff ไปทั่วโลกครั้งนี้มันจะก่อกวนต่อการผลิตมากกว่าที่คิด เพราะ Supply Chain หรือ ห่วงโซ่การผลิตทุกอย่างจะหยุดชะงัก แผนการผลิตเดิมทุกอย่างจะหายไป และจะนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ (Recession) อย่างรวดเร็ว และขอให้คาดหวังไว้ได้เลยว่า ปัญหานี้จะอยู่กับเราไปอีกนาน.หลังจากลี เซียนลุง พูดเรื่องนี้ได้ไม่กี่วัน นายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์ที่มีเสียงสนับสนุนหนาแน่นอยู่ได้ประเทศยุบสภาไปเมื่อวันที่ 18 เมษายน นี้เอง เหตุผลเพื่อให้ประชาชนมีโอกาสเลือกผู้นำใหม่ขึ้นมา นี่คือสิงคโปร์ นี่คือสิ่งที่เขาเป็นชาติที่เจริญได้อย่างรวดเร็วและมั่นคงจนเราไม่สามารถแหงนหน้าขึ้นไปมองเขาได้แล้ว.ทางรอดของไทยจะเป็นอย่างไร ท้ายที่สุดนี้ เรามาดูว่าประเทศไทยเราจะมีทางรอดแค่ไหนก่อนเราต้องส่องกระจกดูตัวเอง และต้องฟังดูว่ามีใครมองเราอย่างไรบ้างให้ชัดก่อน เมื่อไม่กี่เดือนมานี้เองได้มีการชี้แนะจากสถาบันการเงินระหว่างประเทศแห่งหนึ่งว่า “ประเทศไทยนั้นมีเรื่องคอร์รัปชั่นเป็นตัวหลักที่ทำให้การบริหารประเทศในทุกด้านเดินหน้าไม่ได้” และเมื่อมีนาคม 2568 นี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้ชี้ว่าเศรษฐกิจไทยน่าห่วงเทียบได้เป็น “คนป่วยแห่งเอเชีย”เป็นคนป่วยยังไงหรือ ทางด้านเศรษฐกิจก็เห็นกันชัดอยู่แล้วว่าไทยเรา กำลังเผชิญกับหนี้สาธารณะสูงมาก ภาษีเก็บได้น้อย ช่องทางในการหาเงินมาบริหารประเทศยังชักหน้าไม่ถึงหลัง อนาคตด้านการคลังริบหรี่ ปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจเรื่องหนี้ครัวเรือนก็ไม่มีทางจะแก้ให้เบาบางลงได้ แม้ไม่มีเรื่องการปรับ Tariff ของ Trump ประเทศไทยเราก็มีความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจมากเกินอยู่แล้ว นี่คืออาการของคนป่วยเรื้อรังแห่งเอเชีย.ไม่ต้องสาธยายกันมาก อีกเรื่องทุกคนก็รู้ดีอยู่ว่า การเมืองของไทยยักแย่ยักยันอยู่ในปลักโคลนตมเดิมจนโงหัวไม่ขึ้นมานานแล้ว การเล่นการเมืองของนักการเมืองไทยเด็กๆก็รู้ว่าเพื่ออำนาจและผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้องเท่านั้น ใครจะเห็นต่างกี่คนก็บอกมา.เมื่อองคาพยพของการเมืองไทยซึ่งมีการแต่งตั้งคณะรัฐบาลมาบริหารประเทศจากรากเหง้าเก่าๆที่รู้กันอยู่ เมื่อเจอกับปัญหาใหญ่ระดับโลกชนิดที่ว่าหันไปทางไหนก็มากระทบเราทั้งนั้น ท่านผู้ที่ได้ใช้สิทธิใช้เสียงเลือกพวกเขาเข้ามาบริหารประเทศ เชื่อและมั่นใจหรือไม่ว่าเขาจะแก้ปัญหาใหญ่ที่จะมากระทบประเทศเราได้ .หันไปดูนโยบายของพรรคการเมืองผู้กุมอำนาจบริหารประเทศอยู่ในขณะนี้ก็จะเห็นชัดเจนว่า ตอนนี้นโยบายของพวกเขาเหล่านั้น มันเน่าบูดกันแทบหมดแล้วครับ ถ้าจะแก้ปัญหาใหญ่ที่จะมีแรงกระแทกก่อให้เกิดวิกฤตที่ใหญ่เกินคาด ด้วยการปรับ ครม. แต่ยังดันทุรังคงสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ไว้ น่าจะไม่เป็นการกระทำของผู้นำที่รักชาติจริง”
    บทวิเคราะห์ของ สมหมาย ภาษี อดีตรัฐมนตรีคลัง “นโยบายปรับภาษี (Tariff) ของ Trump จะทำให้โลกใบนี้ไม่เหมือนเดิมอีกแล้วพัฒนาการของการค้าโลกในช่วงประมาณ 50 ปีที่ผ่านมา มีการตั้งองค์การด้านการค้าโลกขึ้น เริ่มด้วยการตั้ง GATTS แล้วต่อมาปรับเป็น WTO (World Trade Organization) เพื่อสร้างกฎเกณฑ์การค้าขายระหว่างประเทศและกำกับให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยตามแนวทางการค้าเสรี ช่วงนี้จะมีประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา รัสเซีย ประเทศใหญ่ๆในยุโรป และประเทศญี่ปุ่นได้ปรับตัวให้ตนเองมั่งคั่งและสะสมความร่ำรวย เข้าไปควบคุมตลาดเงินและสกุลเงินตราสำคัญ รวมทั้งควบคุมตลาดการค้าหลักๆให้เป็นระเบียบและเอื้อต่อการขยายตัวของการค้าขายของแต่ละประเทศเพื่อประโยชน์ต่อตนเองมากขึ้นเรื่อยๆ .แต่แล้วในช่วงดังกล่าวนี้ประเทศจีนเสือหลับแห่งเอเชีย ที่ได้ผู้นำประเทศที่ขึ้นมาพลิกผันประเทศได้อย่างเป็นรูปธรรมได้รวดเร็วและต่อเนื่อง ชื่อ เติ้ง เสี่ยวผิง เติ้งได้ทำการปฏิวัติและปฏิรูปประเทศในทุกด้านโดยเฉพาะด้านอุตสาหกรรมตั้งแต่แบบเก่าจนแบบที่ต้องใช้เทคนิคล้ำหน้า จนขณะนี้จีนภายใต้ผู้นำชื่อ สี จิ้น ผิง ที่เข้มแข็ง มือสะอาด มีฝีมือ มีคุณธรรม มีความตั้งใจจริง เข้ามาบริหารประเทศที่มีพลเมืองมากที่สุดให้ใหญ่โตจนทัดเทียมกับประเทศสหรัฐอเมริกาในทุกด้าน จนผู้นำของสหรัฐอย่าง Trump รู้สึกเสียหน้ามาก. ที่มาของการใช้มาตรการทำสงครามการค้าของ Trump ความแข็งแกร่งของจีนในขณะนี้ Trump ได้เฝ้าดูแลมาร่วม 8 ปี เมื่อเขาสามารถเข้ามาเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอีกครั้งก็ไม่รีรอที่จะลงมือนำนโยบายปรับภาษีสินค้านำเข้าและส่งออก (Tariff) ชนิดสุดโต่งและจำเพาะเจาะจงมาใช้กับประเทศจีนโดยทันที ขณะเดียวกันก็ได้ประกาศใช้กับประเทศคู่ค้าอื่นๆ ทั่วโลกด้วย แต่มาตรการจะเบากว่าที่ใช้กับจีน. สิ่งที่เห็นตามที่เป็นข่าวอยู่ทุกวันนี้ก็คือ การเกิดแรงกระแทกอย่างมากต่อวิถีการค้าระหว่างประเทศที่เป็นอยู่ทั่วโลก ไม่ต้องถามว่าทำไม Trump ต้องทำแบบนี้ เพราะเขาเองเห็นชัดว่า ประเทศสหรัฐอเมริกาของเขากำลังตกต่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขาดดุลการค้าอย่างมากที่เกิดต่อเนื่องมานานและมีหนี้สาธารณะสูงมาก .Trump ยังได้เห็นชัดว่า ฝ่ายของจีนมีพวกพ้องมากขึ้น โดยเฉพาะการจัดตั้งกลุ่ม BRICS ประกอบด้วย Brazil, Russia, India, China และ South Africa รวมหัวกันทำการค้าต่อกันอย่างใกล้ชิด คิดใช้สกุลเงินตราของตนเอง โดยหันหน้าหนีการใช้เงินดอลลาร์สหรัฐ.เท่านั้นยังไม่พอ กลุ่ม BRICS ยังค่อยๆลดการลงทุนในพันธบัตรของสหรัฐที่แต่ละประเทศถือไว้มากมายลงไปโดยการขายออก และหันไปซื้อทองคำหรือกระจายการลงทุนเป็นอย่างอื่น ขณะเดียวกันนักลงทุนรายใหญ่อื่นๆ ในตลาดเงินก็ทำการทิ้งพันธบัตรสหรัฐตามกันไปด้วย มีผลทำให้พันธบัตรซึ่งเป็นสินทรัพย์ในอนาคตจำนวนมากของสหรัฐด้อยค่าลงมากอย่างที่ไม่เคยเกิดมาก่อน.สรุปได้ว่า Trump ได้มองเห็นอย่างชัดเจนว่าสหรัฐอเมริกาตอนนี้ได้ต่ำต้อยลงอย่างรวดเร็วมาก ตัวเองจึงจำเป็นต้องทำตัวเป็นอัศวินขี่ม้าขาวเข้ามากู้ประเทศให้พลิกผันให้สหรัฐอเมริกาเป็นหนึ่งอย่างเต็มตัวต่อไป ที่ Trump ตั้งใจจะทำก่อนและให้แรงมากคือเล่นงานด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าของสินค้าจีนอย่างบ้าระห่ำ ซึ่งจีนก็ได้ตอบโต้ด้วยมาตรการทำนองเดียวกัน แบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน นี่เป็นแค่ยกแรกแค่นั้น.ประเทศน้อยใหญ่ และสถาบันการเงินระหว่างประเทศทั้งหลายต่างก็มองการกระทำของ Trump ในแง่ลบ แม้แต่ประธาน Federal Reserve ของสหรัฐเองอย่าง Jerome Powell เองก็มีอาการกึ่งช็อคกึ่งหัวหมุนกับนโยบายประเภทบ้าบิ่นที่ประธานาธิบดีของเขาจัดมาเป็นชุดๆ Powell ถึงกับกล่าวว่านโยบายของ Trump ที่นำออกมาใช้นี้จะเป็นสิ่งกระตุ้นให้เงินเฟ้อสูงขึ้น ภาวะเศรษฐกิจจะตกต่ำและการว่างงานจะมีมากขึ้น ตลาดหลักทรัพย์หรือตลาดหุ้นก็จะปั่นป่วนมาก ความตั้งใจที่ Fed จะลดดอกเบี้ยลงจึงทำได้ยากขึ้นซึ่งความเห็นของประธาน Fed ดังกล่าว Trump ไม่พอใจมากเพราะเขาอยากให้มีการลดดอกเบี้ยถึงกับเอ่ยออกมาว่าคงต้องคิดเรื่องการเด้งประธาน Fed ซะแล้ว ฟังคล้ายกำลังจะเอาอย่างประเทศไทย.แนวทางของไทยที่จะรับมือเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประเทศทุกประเทศที่โดนผลกระทบในเรื่องการขึ้น Tariff ของ Trump ต่างก็กำลังระดมความคิดและเตรียมตัวที่จะส่งผู้แทนไปเจรจา ยกเว้นจีนประเทศเดียวที่ขึ้นป้ายจะสู้กับสหรัฐอย่างแน่วแน่.สำหรับประเทศไทย ยังฟังไม่ได้ศัพท์จากฝ่ายรัฐบาลว่าจะมีกลยุทธ์ในการรับมือกับเรื่องนี้อย่างไร ชี้ให้เห็นชัดว่าศักยภาพของรัฐบาลไทยในการแก้ปัญหาใหญ่ต่ำมาก ฟังความได้อย่างเดียวจากท่านนายกรัฐมนตรีว่าจะใช้นโยบายและแนวทางเหมือนกับประเทศอาเซียนอื่นๆเท่านั้นตอนนี้ก็เห็นภาพชัดขึ้นอีกจากคณะผู้แทนที่เตรียมการจะไปเจรจา โดยจะไปบอกทางสหรัฐว่าไทยเราจะซื้อสินค้าจากเขามากขึ้น เช่น LNG ข้าวโพด ถั่วเหลือง เป็นต้น ถ้าจะเดาก็จะขอให้ทางสหรัฐบันยะบันยังกับการเพิ่มภาษีสินค้าที่นำเข้าจากไทยที่มีมูลค่าถึง 18 % ของมูลค่าการส่งออกของไทยทั้งหมด.ส่วนผลกระทบต่อไทย เท่าที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พยายามจะบอกพอสังเขป สรุปได้ว่าการส่งออกของไทยจะโดนกระทบมากโดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน เครื่องใช้ไฟฟ้า และอาหารแปรรูป และจะทำให้การเติบโตของ GDP ในปีนี้ลดต่ำกว่าเป้าเหลือโตไม่ถึง 2.5 % และอัตราเงินเฟ้อของไทยก็จะชะลอลงด้วย นี่ยังไม่พูดถึงผลกระทบในปีหน้าและต่อๆไป ว่าจะรุนแรงสักแค่ไหน เชื่อได้เถอะครับมันแรงเกินคาด.ความเห็นผมนั้น เห็นว่าไทยเราจะโดนหนักกว่าที่รัฐบาลและหน่วยราชการไทยประเมินไว้มาก เกินศักยภาพของรัฐบาลไทยชุดนี้จะรับมือได้ วิกฤตที่จะเกิดขึ้นจากเรื่อง Tariff หนนี้ ไม่ใช่ Covid 19 นะครับ มันเป็นเรื่องประเทศใครประเทศมัน ใครมีผู้นำเก่งก็ทำให้เบาได้ สามารถเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาสได้.แนวทางในการคิดแก้วิกฤตของประเทศขนาดเล็กผมอยากนำท่านผู้อ่านไปดูว่าผู้นำของสิงคโปร์อย่างอดีตนายกลี เซียนลุง ได้พูดเมื่อไม่กี่วันมานี้ซึ่งดีมาก เขาเริ่มบอกประชาชนรวมทั้งคณะรัฐมนตรีที่บริหารประเทศและนักธุรกิจ นักลงทุนของเขาว่าแม้จะมีความไม่แน่นอนในช่วง 90 วันที่ Trump จะให้ประเทศอื่นๆ นอกจากจีนไปคิดกันให้ดี แต่ก็ต้องมองให้ออกว่าทุกอย่างจะไม่กลับไปเหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว ดังนั้น เราต้องกังวลและคิดให้ตกว่ามันจะส่งผลกับเรามากแค่ไหน ต้องตระหนักให้ได้ว่าวิกฤตที่จะเกิดทั่วโลกนี้ บางสิ่งบางอย่างที่สำคัญมันแตกต่างไปจากเดิมมาก .ลี เซียนลุง ชี้ให้เห็นชัดว่า การขึ้นภาษีหรือ Tariff ไปทั่วโลกครั้งนี้มันจะก่อกวนต่อการผลิตมากกว่าที่คิด เพราะ Supply Chain หรือ ห่วงโซ่การผลิตทุกอย่างจะหยุดชะงัก แผนการผลิตเดิมทุกอย่างจะหายไป และจะนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ (Recession) อย่างรวดเร็ว และขอให้คาดหวังไว้ได้เลยว่า ปัญหานี้จะอยู่กับเราไปอีกนาน.หลังจากลี เซียนลุง พูดเรื่องนี้ได้ไม่กี่วัน นายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์ที่มีเสียงสนับสนุนหนาแน่นอยู่ได้ประเทศยุบสภาไปเมื่อวันที่ 18 เมษายน นี้เอง เหตุผลเพื่อให้ประชาชนมีโอกาสเลือกผู้นำใหม่ขึ้นมา นี่คือสิงคโปร์ นี่คือสิ่งที่เขาเป็นชาติที่เจริญได้อย่างรวดเร็วและมั่นคงจนเราไม่สามารถแหงนหน้าขึ้นไปมองเขาได้แล้ว.ทางรอดของไทยจะเป็นอย่างไร ท้ายที่สุดนี้ เรามาดูว่าประเทศไทยเราจะมีทางรอดแค่ไหนก่อนเราต้องส่องกระจกดูตัวเอง และต้องฟังดูว่ามีใครมองเราอย่างไรบ้างให้ชัดก่อน เมื่อไม่กี่เดือนมานี้เองได้มีการชี้แนะจากสถาบันการเงินระหว่างประเทศแห่งหนึ่งว่า “ประเทศไทยนั้นมีเรื่องคอร์รัปชั่นเป็นตัวหลักที่ทำให้การบริหารประเทศในทุกด้านเดินหน้าไม่ได้” และเมื่อมีนาคม 2568 นี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้ชี้ว่าเศรษฐกิจไทยน่าห่วงเทียบได้เป็น “คนป่วยแห่งเอเชีย”เป็นคนป่วยยังไงหรือ ทางด้านเศรษฐกิจก็เห็นกันชัดอยู่แล้วว่าไทยเรา กำลังเผชิญกับหนี้สาธารณะสูงมาก ภาษีเก็บได้น้อย ช่องทางในการหาเงินมาบริหารประเทศยังชักหน้าไม่ถึงหลัง อนาคตด้านการคลังริบหรี่ ปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจเรื่องหนี้ครัวเรือนก็ไม่มีทางจะแก้ให้เบาบางลงได้ แม้ไม่มีเรื่องการปรับ Tariff ของ Trump ประเทศไทยเราก็มีความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจมากเกินอยู่แล้ว นี่คืออาการของคนป่วยเรื้อรังแห่งเอเชีย.ไม่ต้องสาธยายกันมาก อีกเรื่องทุกคนก็รู้ดีอยู่ว่า การเมืองของไทยยักแย่ยักยันอยู่ในปลักโคลนตมเดิมจนโงหัวไม่ขึ้นมานานแล้ว การเล่นการเมืองของนักการเมืองไทยเด็กๆก็รู้ว่าเพื่ออำนาจและผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้องเท่านั้น ใครจะเห็นต่างกี่คนก็บอกมา.เมื่อองคาพยพของการเมืองไทยซึ่งมีการแต่งตั้งคณะรัฐบาลมาบริหารประเทศจากรากเหง้าเก่าๆที่รู้กันอยู่ เมื่อเจอกับปัญหาใหญ่ระดับโลกชนิดที่ว่าหันไปทางไหนก็มากระทบเราทั้งนั้น ท่านผู้ที่ได้ใช้สิทธิใช้เสียงเลือกพวกเขาเข้ามาบริหารประเทศ เชื่อและมั่นใจหรือไม่ว่าเขาจะแก้ปัญหาใหญ่ที่จะมากระทบประเทศเราได้ .หันไปดูนโยบายของพรรคการเมืองผู้กุมอำนาจบริหารประเทศอยู่ในขณะนี้ก็จะเห็นชัดเจนว่า ตอนนี้นโยบายของพวกเขาเหล่านั้น มันเน่าบูดกันแทบหมดแล้วครับ ถ้าจะแก้ปัญหาใหญ่ที่จะมีแรงกระแทกก่อให้เกิดวิกฤตที่ใหญ่เกินคาด ด้วยการปรับ ครม. แต่ยังดันทุรังคงสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ไว้ น่าจะไม่เป็นการกระทำของผู้นำที่รักชาติจริง”
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 747 Views 0 Reviews
  • สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยเผยส่งออกข้าว 3 เดือน ปี 68 ทำได้แค่ 2.1 ล้านตัน ลดลง 30% ได้รับผลกระทบอินเดียกลับมาส่งออกข้าวขาว อินโดนีเซียหยุดนำเข้า ส่วนทรัมป์ 2.0 ทำให้สหรัฐฯ มีการเร่งซื้อข้าวไทยไปเก็บสต๊อก แต่ระยะยาว หากภาษีขึ้น ส่งออกกระทบแน่ ยังยืนเป้าปีนี้ 7.5 ล้านตัน รอดูครึ่งปีจะทบทวนหรือไม่

    นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เปิดเผยว่า การส่งออกข้าวไทยในช่วง 3 เดือน ปี 2568 (ม.ค.-มี.ค.) มีปริมาณ 2.1 ล้านตัน ลดลง 30% เนื่องจากอินเดียกลับมาส่งออกข้าวขาวอีกครั้ง หลังระงับส่งออกในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา และยังได้รับผลกระทบจากอินโดนีเซีย ซึ่งผู้นำเข้ารายสำคัญในปีที่ผ่านมา ที่นำเข้าสูงถึง 4 ล้านตัน แต่ช่วงนี้หยุดการนำเข้าข้าวจากไทย เพราะมีผลผลิตในประเทศเพิ่มขึ้น โดยปีนี้ทั้งปีอินโดนีเซียอาจนำเข้าข้าวไม่ถึง 1 ล้านตัน และคาดว่าจะกลับมานำเข้าในช่วงครึ่งปีหลัง ทำให้ปริมาณส่งออกข้าวขาวลดลงถึง 53% แต่ยังดีที่มียอดส่งออกข้าวหอมมะลิไทย และข้าวนึ่งเพิ่มขึ้น

    สำหรับนโยบายทรัมป์ 2.0 ยังเป็นประเด็นที่ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะขณะนี้มีการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากไทยแล้ว 10% จากเดิมภาษีอยู่ที่ 0% โดยการชะลอการเก็บภาษีนำเข้าจากไทยในอัตรา 36% ออกไป 90 วัน ทำให้มีคำสั่งซื้อข้าวไทยเพิ่มมากขึ้น เพื่อเก็บในสต็อก โดยในช่วงไตรมาสแรก มีการส่งออกข้าวหอมมะลิไทยไปแล้วกว่า 2 แสนตัน ส่วนปีที่ผ่านมา ส่งออกข้าวไปตลาดสหรัฐฯ ปริมาณ 830,000 ตัน เป็นข้าวหอมมะลิไทย 630,000 ตัน และข้าวหอมไทย 120,000 ตัน โดยแต่ละปี มีการส่งออกข้าวหอมมะลิไทย รวม 1.3-1.4 ล้านตัน

    ทั้งนี้ ในระยะต่อไป หากไทยถูกสหรัฐฯ เก็บภาษีเพิ่มขึ้นเป็น 25% ราคาส่งออกข้าวหอมมะลิไทยปัจจุบันอยู่ที่ 1,000 เหรียญสหรัฐต่อตัน ราคาจะเพิ่มเป็น 1,250 เหรียญสหรัฐต่อตัน ซึ่งไม่แน่ใจว่าผู้บริโภคสหรัฐฯ จะรับราคาที่เพิ่มได้หรือไม่ ซึ่งต้องรอดูผลตอบรับต่อไป

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/business/detail/9680000037319

    #MGROnline #สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย #ข้าวไทย #ส่งออกข้าวขาว
    สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยเผยส่งออกข้าว 3 เดือน ปี 68 ทำได้แค่ 2.1 ล้านตัน ลดลง 30% ได้รับผลกระทบอินเดียกลับมาส่งออกข้าวขาว อินโดนีเซียหยุดนำเข้า ส่วนทรัมป์ 2.0 ทำให้สหรัฐฯ มีการเร่งซื้อข้าวไทยไปเก็บสต๊อก แต่ระยะยาว หากภาษีขึ้น ส่งออกกระทบแน่ ยังยืนเป้าปีนี้ 7.5 ล้านตัน รอดูครึ่งปีจะทบทวนหรือไม่ • นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เปิดเผยว่า การส่งออกข้าวไทยในช่วง 3 เดือน ปี 2568 (ม.ค.-มี.ค.) มีปริมาณ 2.1 ล้านตัน ลดลง 30% เนื่องจากอินเดียกลับมาส่งออกข้าวขาวอีกครั้ง หลังระงับส่งออกในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา และยังได้รับผลกระทบจากอินโดนีเซีย ซึ่งผู้นำเข้ารายสำคัญในปีที่ผ่านมา ที่นำเข้าสูงถึง 4 ล้านตัน แต่ช่วงนี้หยุดการนำเข้าข้าวจากไทย เพราะมีผลผลิตในประเทศเพิ่มขึ้น โดยปีนี้ทั้งปีอินโดนีเซียอาจนำเข้าข้าวไม่ถึง 1 ล้านตัน และคาดว่าจะกลับมานำเข้าในช่วงครึ่งปีหลัง ทำให้ปริมาณส่งออกข้าวขาวลดลงถึง 53% แต่ยังดีที่มียอดส่งออกข้าวหอมมะลิไทย และข้าวนึ่งเพิ่มขึ้น • สำหรับนโยบายทรัมป์ 2.0 ยังเป็นประเด็นที่ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะขณะนี้มีการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากไทยแล้ว 10% จากเดิมภาษีอยู่ที่ 0% โดยการชะลอการเก็บภาษีนำเข้าจากไทยในอัตรา 36% ออกไป 90 วัน ทำให้มีคำสั่งซื้อข้าวไทยเพิ่มมากขึ้น เพื่อเก็บในสต็อก โดยในช่วงไตรมาสแรก มีการส่งออกข้าวหอมมะลิไทยไปแล้วกว่า 2 แสนตัน ส่วนปีที่ผ่านมา ส่งออกข้าวไปตลาดสหรัฐฯ ปริมาณ 830,000 ตัน เป็นข้าวหอมมะลิไทย 630,000 ตัน และข้าวหอมไทย 120,000 ตัน โดยแต่ละปี มีการส่งออกข้าวหอมมะลิไทย รวม 1.3-1.4 ล้านตัน • ทั้งนี้ ในระยะต่อไป หากไทยถูกสหรัฐฯ เก็บภาษีเพิ่มขึ้นเป็น 25% ราคาส่งออกข้าวหอมมะลิไทยปัจจุบันอยู่ที่ 1,000 เหรียญสหรัฐต่อตัน ราคาจะเพิ่มเป็น 1,250 เหรียญสหรัฐต่อตัน ซึ่งไม่แน่ใจว่าผู้บริโภคสหรัฐฯ จะรับราคาที่เพิ่มได้หรือไม่ ซึ่งต้องรอดูผลตอบรับต่อไป • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/business/detail/9680000037319 • #MGROnline #สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย #ข้าวไทย #ส่งออกข้าวขาว
    0 Comments 0 Shares 397 Views 0 Reviews
  • บทความนี้กล่าวถึงผลกระทบของนโยบายภาษีของสหรัฐฯ ที่มีต่อห่วงโซ่อุปทานด้านเทคโนโลยี โดยการเปลี่ยนแปลงภาษีนำเข้าของประธานาธิบดี Donald Trump ทำให้เกิดความไม่แน่นอนในอุตสาหกรรม ส่งผลให้บริษัทเทคโนโลยีต้องเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นและอาจต้องปรับราคาสินค้า เช่น Sony ที่ประกาศขึ้นราคาคอนโซล PlayStation 5 ในยุโรป ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์

    ✅ Sony ประกาศขึ้นราคาคอนโซล PlayStation 5
    - การขึ้นราคามีผลในยุโรป ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์
    - สาเหตุหลักมาจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากภาษีนำเข้า

    ✅ สหรัฐฯ ประกาศยกเว้นภาษีสำหรับสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ชั่วคราว
    - การยกเว้นนี้ช่วยลดผลกระทบต่อบริษัท เช่น Apple, Google และ Dell
    - อย่างไรก็ตาม อาจเป็นเพียงมาตรการชั่วคราว

    ✅ บริษัทเทคโนโลยีต้องเผชิญกับต้นทุนการขนส่งที่สูงขึ้น
    - การเปลี่ยนแปลงภาษีทำให้บริษัทต้องใช้การขนส่งทางอากาศมากขึ้น
    - ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้นและอาจกระทบต่อราคาสินค้า

    ✅ นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่อาจได้รับการยกเว้นภาษีบางส่วน
    - บริษัทในกลุ่ม "Magnificent Seven" เช่น Apple และ Nvidia อาจได้รับการยกเว้นบางส่วน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/20/severe-strain-on-tech-supply-chains-will-cause-more-price-rises
    บทความนี้กล่าวถึงผลกระทบของนโยบายภาษีของสหรัฐฯ ที่มีต่อห่วงโซ่อุปทานด้านเทคโนโลยี โดยการเปลี่ยนแปลงภาษีนำเข้าของประธานาธิบดี Donald Trump ทำให้เกิดความไม่แน่นอนในอุตสาหกรรม ส่งผลให้บริษัทเทคโนโลยีต้องเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นและอาจต้องปรับราคาสินค้า เช่น Sony ที่ประกาศขึ้นราคาคอนโซล PlayStation 5 ในยุโรป ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ✅ Sony ประกาศขึ้นราคาคอนโซล PlayStation 5 - การขึ้นราคามีผลในยุโรป ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ - สาเหตุหลักมาจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากภาษีนำเข้า ✅ สหรัฐฯ ประกาศยกเว้นภาษีสำหรับสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ชั่วคราว - การยกเว้นนี้ช่วยลดผลกระทบต่อบริษัท เช่น Apple, Google และ Dell - อย่างไรก็ตาม อาจเป็นเพียงมาตรการชั่วคราว ✅ บริษัทเทคโนโลยีต้องเผชิญกับต้นทุนการขนส่งที่สูงขึ้น - การเปลี่ยนแปลงภาษีทำให้บริษัทต้องใช้การขนส่งทางอากาศมากขึ้น - ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้นและอาจกระทบต่อราคาสินค้า ✅ นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่อาจได้รับการยกเว้นภาษีบางส่วน - บริษัทในกลุ่ม "Magnificent Seven" เช่น Apple และ Nvidia อาจได้รับการยกเว้นบางส่วน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/20/severe-strain-on-tech-supply-chains-will-cause-more-price-rises
    WWW.THESTAR.COM.MY
    'Severe strain' on tech supply chains will cause more price rises
    The "uncertainty" created by US President Donald Trump's changing tariffs policy is putting tech manufacturing supply chains under "severe strain", and sparking price rises, experts have said.
    0 Comments 0 Shares 361 Views 0 Reviews
  • “รัฐแคลิฟอร์เนีย” ฟ้อง “ทรัมป์”
    ข้อหาใช้อำนาจเกินขอบเขต
    อาศัยกฎหมายฉุกเฉินขึ้นภาษีนำเข้าทั่วโลก ทำเศรษฐกิจเสียหาย
    “รัฐแคลิฟอร์เนีย” ฟ้อง “ทรัมป์” ข้อหาใช้อำนาจเกินขอบเขต อาศัยกฎหมายฉุกเฉินขึ้นภาษีนำเข้าทั่วโลก ทำเศรษฐกิจเสียหาย
    0 Comments 0 Shares 192 Views 0 Reviews
  • 170 ปี สนธิสัญญาเบาว์ริง เปิดประเทศสู่เศรษฐกิจโลก ประโยชน์ไม่สมดุล ทุนต่างชาติครอบงำ ไม่ยุติธรรม! ไทยทำไม่ได้ที่อังกฤษ เปิดประเทศสู่โลก แต่ปิดความเท่าเทียม? 🇹🇭⚖️

    📚 สนธิสัญญาเบาว์ริงไม่ใช่แค่เรื่องในอดีต แต่คือจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่นำไทยเข้าสู่เวทีเศรษฐกิจโลก ภายใต้เงื่อนไขที่ไม่เท่าเทียม เปิดประตูสู่ความทันสมัย แต่ปิดโอกาสของความเสมอภาค ในการเจรจากับชาติตะวันตก ⚖️

    🧭 สนธิสัญญาที่เปิดประเทศ แต่ปิดความเสมอภาค ในวันจันทร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2398 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงลงนามในสนธิสัญญาทางพระราชไมตรีกับอังกฤษ หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ “สนธิสัญญาเบาว์ริง” ถือเป็นจุดเริ่มต้นของ การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ของไทย สู่โลกทุนนิยม 🌍

    แต่ภายใต้การเปิดเสรีนั้น กลับมีเงื่อนไขที่ไทยเสียเปรียบ ทั้งในแง่เศรษฐกิจ การปกครอง และกฎหมายระหว่างประเทศ ทำให้สนธิสัญญานี้ถูกวิพากษ์ว่าเป็น "สนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรม"

    📜 “Treaty of Friendship and Commerce between the British Empire and the Kingdom of Siam” หรือ Bowring Treaty คือข้อตกลงระหว่างไทย หรือราชอาณาจักรสยามในสมัยนั้น กับอังกฤษ ที่ลงนามเมื่อวันจันทร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2398

    จุดเด่นของสนธิสัญญานี้ คือการเปิดให้พ่อค้าชาวอังกฤษ สามารถค้าขายอย่างเสรีในสยาม และได้รับ “สิทธิสภาพนอกอาณาเขต” (Extraterritorial Rights) 🛂

    กล่าวคือ คนในบังคับอังกฤษที่อยู่ในไทย จะไม่อยู่ภายใต้กฎหมายไทย แต่ขึ้นกับศาลของอังกฤษเอง

    นอกจากนี้ สนธิสัญญายังเปิดทางให้พ่อค้าต่างชาติ ตั้งรกราก ซื้อขายทรัพย์สิน และถือครองที่ดินในบางพื้นที่ได้ด้วย

    💼 เหตุผลเบื้องหลัง อังกฤษต้องการอะไรกันแน่? หลายคนอาจเข้าใจว่า อังกฤษต้องการแค่เปิดตลาดการค้า แต่เบื้องหลังของข้อตกลงนี้ กลับลึกซึ้งกว่านั้นมาก…

    ผลประโยชน์จากการค้าฝิ่น อังกฤษต้องการสร้างเส้นทางการค้าฝิ่น ที่มั่นคงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ต้องการให้สยามเป็นทางผ่านการค้ากับจีน ฮ่องกง และอินเดีย 🚢 อำนาจและอิทธิพลทางการทูต

    หลังสงครามฝิ่นครั้งแรก จีนพ่ายแพ้ อังกฤษต้องการป้องกันไม่ให้เกิด “สยามเป็นจีนลำดับต่อไป” เบาว์ริงใช้วิธี “ทูตนุ่ม” มากกว่าการใช้กำลังทหาร

    ประโยชน์จากภาษีต่ำ ตามสนธิสัญญา ไทยเก็บภาษีนำเข้าได้แค่ 3% เท่านั้น ‼️ ฝิ่นไม่ต้องเสียภาษีเลย แต่ต้องขายให้กับเจ้าภาษีเท่านั้น

    👑 ทำไมสยามถึงยอมเซ็น? พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงเล็งเห็นว่า ประเทศไทยอยู่ในภาวะล้าหลัง เมื่อเทียบกับชาติตะวันตก หากไม่ยอมเปิดประเทศ อาจตกเป็นอาณานิคมเหมือนจีน พม่า หรืออินเดียได้

    การเปิดการค้าเสรี จะช่วยให้ราษฎรมีรายได้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจาก “การส่งออกข้าว” ชาวนาก็จะมีเงินมากขึ้น ข้าวจะกลายเป็นสินค้าส่งออกของไทย สร้างรายได้ให้แก่รัฐบาล... 🧺🌾

    🔍 ผลกระทบที่ตามมา เปิดเสรี หรือเปิดโอกาสให้ต่างชาติครอบงำ? ภายหลังการลงนามสนธิสัญญาเบาว์ริง มีเรือต่างประเทศ เข้ามาค้าขายกว่า 100 ลำในปีเดียว ระบบเงินเหรียญ แทนพดด้วง เริ่มใช้อย่างเป็นระบบ เกิดการลงทุนของต่างชาติ เช่น โรงสี โรงเลื่อยไม้ โรงน้ำตาล

    ชาวนามีรายได้สูงขึ้น ราคาข้าวพุ่ง จาก 3–5 บาท ต่อเกวียน เป็น 16–20 บาท ต่อเกวียน ราษฎรสามารถ “จำนอง” หรือ “ขายฝาก” ที่ดินของตนได้ ชาวต่างชาติสามารถเช่า หรือซื้อที่ดินได้ในพื้นที่ที่รัฐบาลกำหนด 🏘️

    📈 ข้อดีของสนธิสัญญาเบาว์ริง ที่น้อยคนนึกถึง...
    ✅ เปิดประตูการค้าเสรี
    ✅ ช่วยให้ไทยพัฒนาวิทยาการตะวันตก
    ✅ ราษฎรมีรายได้จากการค้าข้าว
    ✅ กระตุ้นการพัฒนาเมือง ถนนเจริญกรุง สีลม เริ่มก่อสร้าง
    ✅ ทำให้มีการแข่งขันทางการค้า → ราคาสินค้าลดลง

    📌 สินค้าไทยเป็นที่ต้องการของตลาดโลก เช่น ข้าว ไม้สัก งาช้าง

    😞 ข้อเสียเปรียบของไทย ในสนธิสัญญาเบาว์ริง ที่ถูกซ่อนไว้

    ❌ เสียสิทธิเสรีภาพทางเศรษฐกิจ ไม่สามารถเก็บภาษีนำเข้าตามต้องการได้ ต้องเปิดตลาดสินค้าให้ต่างชาติ โดยไม่มีข้อจำกัด

    ❌ เสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขต คนอังกฤษไม่ต้องขึ้นศาลไทย ทำให้ศาลไทยไม่มีอำนาจเต็มที่

    ❌ ทุนต่างชาติเข้ามาครอบงำเศรษฐกิจ ตั้งโรงงาน โรงสี โรงเลื่อยไม้ ฯลฯ โดยคนไทยแข่งขันไม่ได้

    ❌ คนไทยไม่สามารถทำการค้าในอังกฤษได้ ไม่ได้รับสิทธิเท่าเทียม เหมือนที่อังกฤษได้จากไทย

    ⚖️ ทำไมถึงเรียกว่า “สนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรม”?
    📍 ถูกเซ็นภายใต้แรงกดดัน จากอำนาจจักรวรรดิ
    📍 ไม่มีความเสมอภาคระหว่างสองประเทศ
    📍 ไทยไม่สามารถต่อรองเงื่อนไขได้มากนัก
    📍 คล้ายกับ “สนธิสัญญานานกิง” ที่จีนถูกบังคับให้เซ็นหลังสงครามฝิ่น

    📚 บทเรียนที่ไทยได้จากอดีต

    🇹🇭 สนธิสัญญาเบาว์ริง เป็นแรงผลักดันให้ไทยเร่งพัฒนา ปฏิรูประบบราชการ ระบบศาล และกฎหมาย เปิดการเจรจาแก้ไขสนธิสัญญาในภายหลัง โดยเฉพาะในสมัยรัชกาลที่ 5 ส่งผลถึงการรักษาเอกราชของไทย ในขณะที่เพื่อนบ้านหลายประเทศ กลายเป็นอาณานิคม

    ✨ ไทยเสียเปรียบวันนี้ เพื่อไม่เสียประเทศในวันหน้า?

    “ไม่เสมอภาค แต่จำเป็น” คือคำจำกัดความที่ดีที่สุด ของสนธิสัญญาเบาว์ริง

    ถึงแม้สัญญาฉบับนี้ จะเต็มไปด้วยข้อเสียเปรียบ แต่ก็นำมาซึ่งการรอดพ้นจากอาณานิคม การเปิดประตูสู่โลกสมัยใหม่ การเตรียมประเทศ เข้าสู่ยุคการปฏิรูปในรัชกาลที่ 5

    สนธิสัญญาเบาว์ริงจึงเป็นเหมือน "ดาบสองคม" ที่ทั้งให้คุณและโทษ ในเวลาเดียวกัน ⚔️

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 181147 เม.ย. 2568

    📌 #สนธิสัญญาเบาว์ริง #เปิดประเทศแต่ไม่เปิดโอกาส #ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจไทย
    #ThailandHistory #BowringTreaty #เปิดเสรีไม่เท่าเทียม
    #ThailandTradeHistory #อธิปไตยไทย #อังกฤษในไทย
    #โลกาภิวัตน์กับไทย
    170 ปี สนธิสัญญาเบาว์ริง เปิดประเทศสู่เศรษฐกิจโลก ประโยชน์ไม่สมดุล ทุนต่างชาติครอบงำ ไม่ยุติธรรม! ไทยทำไม่ได้ที่อังกฤษ เปิดประเทศสู่โลก แต่ปิดความเท่าเทียม? 🇹🇭⚖️ 📚 สนธิสัญญาเบาว์ริงไม่ใช่แค่เรื่องในอดีต แต่คือจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่นำไทยเข้าสู่เวทีเศรษฐกิจโลก ภายใต้เงื่อนไขที่ไม่เท่าเทียม เปิดประตูสู่ความทันสมัย แต่ปิดโอกาสของความเสมอภาค ในการเจรจากับชาติตะวันตก ⚖️ 🧭 สนธิสัญญาที่เปิดประเทศ แต่ปิดความเสมอภาค ในวันจันทร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2398 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงลงนามในสนธิสัญญาทางพระราชไมตรีกับอังกฤษ หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ “สนธิสัญญาเบาว์ริง” ถือเป็นจุดเริ่มต้นของ การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ของไทย สู่โลกทุนนิยม 🌍 แต่ภายใต้การเปิดเสรีนั้น กลับมีเงื่อนไขที่ไทยเสียเปรียบ ทั้งในแง่เศรษฐกิจ การปกครอง และกฎหมายระหว่างประเทศ ทำให้สนธิสัญญานี้ถูกวิพากษ์ว่าเป็น "สนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรม" 📜 “Treaty of Friendship and Commerce between the British Empire and the Kingdom of Siam” หรือ Bowring Treaty คือข้อตกลงระหว่างไทย หรือราชอาณาจักรสยามในสมัยนั้น กับอังกฤษ ที่ลงนามเมื่อวันจันทร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2398 จุดเด่นของสนธิสัญญานี้ คือการเปิดให้พ่อค้าชาวอังกฤษ สามารถค้าขายอย่างเสรีในสยาม และได้รับ “สิทธิสภาพนอกอาณาเขต” (Extraterritorial Rights) 🛂 กล่าวคือ คนในบังคับอังกฤษที่อยู่ในไทย จะไม่อยู่ภายใต้กฎหมายไทย แต่ขึ้นกับศาลของอังกฤษเอง นอกจากนี้ สนธิสัญญายังเปิดทางให้พ่อค้าต่างชาติ ตั้งรกราก ซื้อขายทรัพย์สิน และถือครองที่ดินในบางพื้นที่ได้ด้วย 💼 เหตุผลเบื้องหลัง อังกฤษต้องการอะไรกันแน่? หลายคนอาจเข้าใจว่า อังกฤษต้องการแค่เปิดตลาดการค้า แต่เบื้องหลังของข้อตกลงนี้ กลับลึกซึ้งกว่านั้นมาก… ผลประโยชน์จากการค้าฝิ่น อังกฤษต้องการสร้างเส้นทางการค้าฝิ่น ที่มั่นคงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ต้องการให้สยามเป็นทางผ่านการค้ากับจีน ฮ่องกง และอินเดีย 🚢 อำนาจและอิทธิพลทางการทูต หลังสงครามฝิ่นครั้งแรก จีนพ่ายแพ้ อังกฤษต้องการป้องกันไม่ให้เกิด “สยามเป็นจีนลำดับต่อไป” เบาว์ริงใช้วิธี “ทูตนุ่ม” มากกว่าการใช้กำลังทหาร ประโยชน์จากภาษีต่ำ ตามสนธิสัญญา ไทยเก็บภาษีนำเข้าได้แค่ 3% เท่านั้น ‼️ ฝิ่นไม่ต้องเสียภาษีเลย แต่ต้องขายให้กับเจ้าภาษีเท่านั้น 👑 ทำไมสยามถึงยอมเซ็น? พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงเล็งเห็นว่า ประเทศไทยอยู่ในภาวะล้าหลัง เมื่อเทียบกับชาติตะวันตก หากไม่ยอมเปิดประเทศ อาจตกเป็นอาณานิคมเหมือนจีน พม่า หรืออินเดียได้ การเปิดการค้าเสรี จะช่วยให้ราษฎรมีรายได้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจาก “การส่งออกข้าว” ชาวนาก็จะมีเงินมากขึ้น ข้าวจะกลายเป็นสินค้าส่งออกของไทย สร้างรายได้ให้แก่รัฐบาล... 🧺🌾 🔍 ผลกระทบที่ตามมา เปิดเสรี หรือเปิดโอกาสให้ต่างชาติครอบงำ? ภายหลังการลงนามสนธิสัญญาเบาว์ริง มีเรือต่างประเทศ เข้ามาค้าขายกว่า 100 ลำในปีเดียว ระบบเงินเหรียญ แทนพดด้วง เริ่มใช้อย่างเป็นระบบ เกิดการลงทุนของต่างชาติ เช่น โรงสี โรงเลื่อยไม้ โรงน้ำตาล ชาวนามีรายได้สูงขึ้น ราคาข้าวพุ่ง จาก 3–5 บาท ต่อเกวียน เป็น 16–20 บาท ต่อเกวียน ราษฎรสามารถ “จำนอง” หรือ “ขายฝาก” ที่ดินของตนได้ ชาวต่างชาติสามารถเช่า หรือซื้อที่ดินได้ในพื้นที่ที่รัฐบาลกำหนด 🏘️ 📈 ข้อดีของสนธิสัญญาเบาว์ริง ที่น้อยคนนึกถึง... ✅ เปิดประตูการค้าเสรี ✅ ช่วยให้ไทยพัฒนาวิทยาการตะวันตก ✅ ราษฎรมีรายได้จากการค้าข้าว ✅ กระตุ้นการพัฒนาเมือง ถนนเจริญกรุง สีลม เริ่มก่อสร้าง ✅ ทำให้มีการแข่งขันทางการค้า → ราคาสินค้าลดลง 📌 สินค้าไทยเป็นที่ต้องการของตลาดโลก เช่น ข้าว ไม้สัก งาช้าง 😞 ข้อเสียเปรียบของไทย ในสนธิสัญญาเบาว์ริง ที่ถูกซ่อนไว้ ❌ เสียสิทธิเสรีภาพทางเศรษฐกิจ ไม่สามารถเก็บภาษีนำเข้าตามต้องการได้ ต้องเปิดตลาดสินค้าให้ต่างชาติ โดยไม่มีข้อจำกัด ❌ เสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขต คนอังกฤษไม่ต้องขึ้นศาลไทย ทำให้ศาลไทยไม่มีอำนาจเต็มที่ ❌ ทุนต่างชาติเข้ามาครอบงำเศรษฐกิจ ตั้งโรงงาน โรงสี โรงเลื่อยไม้ ฯลฯ โดยคนไทยแข่งขันไม่ได้ ❌ คนไทยไม่สามารถทำการค้าในอังกฤษได้ ไม่ได้รับสิทธิเท่าเทียม เหมือนที่อังกฤษได้จากไทย ⚖️ ทำไมถึงเรียกว่า “สนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรม”? 📍 ถูกเซ็นภายใต้แรงกดดัน จากอำนาจจักรวรรดิ 📍 ไม่มีความเสมอภาคระหว่างสองประเทศ 📍 ไทยไม่สามารถต่อรองเงื่อนไขได้มากนัก 📍 คล้ายกับ “สนธิสัญญานานกิง” ที่จีนถูกบังคับให้เซ็นหลังสงครามฝิ่น 📚 บทเรียนที่ไทยได้จากอดีต 🇹🇭 สนธิสัญญาเบาว์ริง เป็นแรงผลักดันให้ไทยเร่งพัฒนา ปฏิรูประบบราชการ ระบบศาล และกฎหมาย เปิดการเจรจาแก้ไขสนธิสัญญาในภายหลัง โดยเฉพาะในสมัยรัชกาลที่ 5 ส่งผลถึงการรักษาเอกราชของไทย ในขณะที่เพื่อนบ้านหลายประเทศ กลายเป็นอาณานิคม ✨ ไทยเสียเปรียบวันนี้ เพื่อไม่เสียประเทศในวันหน้า? “ไม่เสมอภาค แต่จำเป็น” คือคำจำกัดความที่ดีที่สุด ของสนธิสัญญาเบาว์ริง ถึงแม้สัญญาฉบับนี้ จะเต็มไปด้วยข้อเสียเปรียบ แต่ก็นำมาซึ่งการรอดพ้นจากอาณานิคม การเปิดประตูสู่โลกสมัยใหม่ การเตรียมประเทศ เข้าสู่ยุคการปฏิรูปในรัชกาลที่ 5 สนธิสัญญาเบาว์ริงจึงเป็นเหมือน "ดาบสองคม" ที่ทั้งให้คุณและโทษ ในเวลาเดียวกัน ⚔️ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 181147 เม.ย. 2568 📌 #สนธิสัญญาเบาว์ริง #เปิดประเทศแต่ไม่เปิดโอกาส #ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจไทย #ThailandHistory #BowringTreaty #เปิดเสรีไม่เท่าเทียม #ThailandTradeHistory #อธิปไตยไทย #อังกฤษในไทย #โลกาภิวัตน์กับไทย
    0 Comments 0 Shares 821 Views 0 Reviews
  • Atomic Keyboard ได้เปิดตัว MDR Dasher ซึ่งเป็นคีย์บอร์ดที่ได้รับแรงบันดาลใจจากซีรีส์ Severance บน Apple TV+ โดยออกแบบให้มีรูปลักษณ์แบบเรโทร-ฟิวเจอร์ริสติก พร้อม trackball ในตัว และการจัดวางปุ่มที่แตกต่างจากคีย์บอร์ดทั่วไป

    ✅ MDR Dasher ได้รับแรงบันดาลใจจากคีย์บอร์ดในซีรีส์ Severance
    - คีย์บอร์ดนี้ออกแบบให้คล้ายกับ Data General Dasher terminals ที่ได้รับความนิยมในช่วงปลายยุค 70 และต้นยุค 80
    - มี ดีไซน์แบบเรโทร-ฟิวเจอร์ริสติก พร้อมกรอบสีขาวหม่นและปุ่มสีน้ำเงิน

    ✅ การจัดวางปุ่มแตกต่างจากคีย์บอร์ดทั่วไป
    - ไม่มีปุ่ม Escape, Control และ Option เพื่อสะท้อนธีมของซีรีส์ที่เน้นความเป็นระบบปิด
    - มี 73 ปุ่ม และใช้ เลย์เอาต์แบบ 70%

    ✅ MDR Dasher มาพร้อม trackball ในตัว
    - แทนที่จะใช้เมาส์แบบทั่วไป คีย์บอร์ดนี้มี trackball ทางด้านขวา
    - ช่วยให้ผู้ใช้สามารถควบคุมเคอร์เซอร์ได้โดยไม่ต้องใช้เมาส์แยก

    ✅ รองรับการเชื่อมต่อผ่าน USB-C และใช้งานได้กับระบบปฏิบัติการหลัก
    - สามารถใช้กับ Windows, macOS และ Linux
    - ตัวเคสทำจาก อะลูมิเนียม เพื่อเพิ่มความทนทาน

    ✅ ราคายังไม่ถูกยืนยัน แต่คาดว่าอยู่ที่ประมาณ $399
    - Atomic Keyboard ยังไม่ได้ประกาศราคาสุดท้าย เนื่องจากมี ปัญหาด้านภาษีนำเข้า
    - เปิดให้ลงทะเบียนสำหรับ การสั่งจองล่วงหน้าแบบจำนวนจำกัด

    https://www.techspot.com/news/107593-real-life-severance-keyboard-here-complete-built-trackball.html
    Atomic Keyboard ได้เปิดตัว MDR Dasher ซึ่งเป็นคีย์บอร์ดที่ได้รับแรงบันดาลใจจากซีรีส์ Severance บน Apple TV+ โดยออกแบบให้มีรูปลักษณ์แบบเรโทร-ฟิวเจอร์ริสติก พร้อม trackball ในตัว และการจัดวางปุ่มที่แตกต่างจากคีย์บอร์ดทั่วไป ✅ MDR Dasher ได้รับแรงบันดาลใจจากคีย์บอร์ดในซีรีส์ Severance - คีย์บอร์ดนี้ออกแบบให้คล้ายกับ Data General Dasher terminals ที่ได้รับความนิยมในช่วงปลายยุค 70 และต้นยุค 80 - มี ดีไซน์แบบเรโทร-ฟิวเจอร์ริสติก พร้อมกรอบสีขาวหม่นและปุ่มสีน้ำเงิน ✅ การจัดวางปุ่มแตกต่างจากคีย์บอร์ดทั่วไป - ไม่มีปุ่ม Escape, Control และ Option เพื่อสะท้อนธีมของซีรีส์ที่เน้นความเป็นระบบปิด - มี 73 ปุ่ม และใช้ เลย์เอาต์แบบ 70% ✅ MDR Dasher มาพร้อม trackball ในตัว - แทนที่จะใช้เมาส์แบบทั่วไป คีย์บอร์ดนี้มี trackball ทางด้านขวา - ช่วยให้ผู้ใช้สามารถควบคุมเคอร์เซอร์ได้โดยไม่ต้องใช้เมาส์แยก ✅ รองรับการเชื่อมต่อผ่าน USB-C และใช้งานได้กับระบบปฏิบัติการหลัก - สามารถใช้กับ Windows, macOS และ Linux - ตัวเคสทำจาก อะลูมิเนียม เพื่อเพิ่มความทนทาน ✅ ราคายังไม่ถูกยืนยัน แต่คาดว่าอยู่ที่ประมาณ $399 - Atomic Keyboard ยังไม่ได้ประกาศราคาสุดท้าย เนื่องจากมี ปัญหาด้านภาษีนำเข้า - เปิดให้ลงทะเบียนสำหรับ การสั่งจองล่วงหน้าแบบจำนวนจำกัด https://www.techspot.com/news/107593-real-life-severance-keyboard-here-complete-built-trackball.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    A real-life Severance keyboard is here, complete with built-in trackball
    In Severance, the keyboards used by Macrodata Refinement – the department where the protagonists work – appear to draw inspiration from Data General's vintage Dasher terminals, popular...
    0 Comments 0 Shares 260 Views 0 Reviews
  • ส่องไพ่ในมือจีน สู้ศึกภาษีทรัมป์ : คนเคาะข่าว 17-04-68

    #คนเคาะข่าว #ศึกภาษีทรัมป์ #จีนvsสหรัฐ #สงครามการค้า #ไพ่ในมือจีน #ภาษีนำเข้า #เศรษฐกิจโลก #Geopolitics #การเมืองโลก #วิเคราะห์เศรษฐกิจ #ทรัมป์ #จีน #thaitimes #ข่าวต่างประเทศ #ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ
    ส่องไพ่ในมือจีน สู้ศึกภาษีทรัมป์ : คนเคาะข่าว 17-04-68 #คนเคาะข่าว #ศึกภาษีทรัมป์ #จีนvsสหรัฐ #สงครามการค้า #ไพ่ในมือจีน #ภาษีนำเข้า #เศรษฐกิจโลก #Geopolitics #การเมืองโลก #วิเคราะห์เศรษฐกิจ #ทรัมป์ #จีน #thaitimes #ข่าวต่างประเทศ #ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 636 Views 3 0 Reviews
More Results