• มีบริษัทยักษ์ใหญ่สามแห่ง ได้แก่ BlackRock, State Street และ Vanguard

    ตอนนี้พวกเขาตัดสินใจซื้อบ้านทุกหลังในอเมริกา... พวกเขาพยายามซื้อทุกอย่างจริงๆ

    แลร์รี ฟิงค์ ซีอีโอของ BlackRock เป็นหนึ่งในคณะกรรมการของ World Economic Forum และพวกเขากล่าวว่าเราต้องการ Great Reset ครั้งนี้ ซึ่งก็คือคุณจะไม่ได้เป็นเจ้าของอะไรเลยและคุณจะมีความสุข

    และเนื่องจากพวกเขามีบัญชีธนาคารมหาศาล... ลูกๆ ของคุณจึงไม่มีโอกาสซื้อบ้านหลังนั้น เพราะพวกเขาไม่สามารถแข่งขันกับ BlackRock ได้
    มีบริษัทยักษ์ใหญ่สามแห่ง ได้แก่ BlackRock, State Street และ Vanguard ตอนนี้พวกเขาตัดสินใจซื้อบ้านทุกหลังในอเมริกา... พวกเขาพยายามซื้อทุกอย่างจริงๆ แลร์รี ฟิงค์ ซีอีโอของ BlackRock เป็นหนึ่งในคณะกรรมการของ World Economic Forum และพวกเขากล่าวว่าเราต้องการ Great Reset ครั้งนี้ ซึ่งก็คือคุณจะไม่ได้เป็นเจ้าของอะไรเลยและคุณจะมีความสุข และเนื่องจากพวกเขามีบัญชีธนาคารมหาศาล... ลูกๆ ของคุณจึงไม่มีโอกาสซื้อบ้านหลังนั้น เพราะพวกเขาไม่สามารถแข่งขันกับ BlackRock ได้
    0 Comments 0 Shares 59 Views 0 Reviews
  • Intel เปิดตัว LLM Scaler v1.0: ยกระดับ AI บน Arc Pro ด้วย Project Battlematrix

    ในงาน Computex 2025 Intel ได้เปิดตัว Project Battlematrix ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มแบบครบวงจรสำหรับงาน inference ด้วย GPU Arc Pro หลายตัว โดยล่าสุดได้ปล่อยซอฟต์แวร์เวอร์ชันแรก LLM Scaler v1.0 ที่มาพร้อมการปรับแต่งประสิทธิภาพอย่างหนัก

    LLM Scaler v1.0 ถูกออกแบบมาเพื่อรันบน Linux โดยรองรับการทำงานแบบ multi-GPU และการส่งข้อมูลผ่าน PCIe แบบ P2P ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพได้สูงสุดถึง 80% เมื่อเทียบกับเวอร์ชันก่อนหน้า

    ฟีเจอร์เด่น ได้แก่:
    - การปรับแต่ง vLLM สำหรับ input ยาวถึง 40K tokens
    - การลดการใช้หน่วยความจำ GPU ด้วย quantization แบบชั้นต่อชั้น
    - รองรับ speculative decoding และ torch.compile แบบ experimental
    - รองรับ embedding, rerank model และ multi-modal model
    - ระบบจัดการ GPU ผ่าน XPU Manager ที่สามารถอัปเดต firmware และตรวจสอบ bandwidth ได้

    Intel ยังวางแผนออก container รุ่น hardened ภายในไตรมาสนี้ และปล่อยเวอร์ชันเต็มใน Q4 ซึ่งจะรองรับการใช้งานระดับองค์กรอย่างเต็มรูปแบบ

    Intel เปิดตัว LLM Scaler v1.0 สำหรับ Project Battlematrix
    เป็น container สำหรับ inference บน Arc Pro GPU หลายตัว

    รองรับ multi-GPU scaling และ PCIe P2P data transfer
    เพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดถึง 80%

    ปรับแต่ง vLLM สำหรับ input ยาวถึง 40K tokens
    ได้ผลลัพธ์เร็วขึ้นถึง 4.2 เท่าสำหรับโมเดล 70B

    มีฟีเจอร์ใหม่ เช่น quantization, speculative decoding, torch.compile
    ลดการใช้หน่วยความจำและเพิ่มความเร็วในการประมวลผล

    รองรับ embedding, rerank model และ multi-modal model
    ขยายขอบเขตการใช้งาน AI ได้หลากหลาย

    มีระบบ XPU Manager สำหรับจัดการ GPU
    ตรวจสอบพลังงาน, bandwidth และอัปเดต firmware ได้

    เตรียมปล่อย container รุ่น hardened และ full feature set ภายในปีนี้
    รองรับการใช้งานระดับองค์กรและงาน inference ขนาดใหญ่

    Arc Pro B-Series รองรับการใช้งานร่วมกันสูงสุด 8 GPU
    ให้ VRAM รวมถึง 192GB สำหรับโมเดลขนาด 70B+

    ใช้เทคโนโลยี oneAPI และ Level Zero ใน software stack
    ช่วยให้พัฒนาและปรับแต่งได้ง่ายขึ้น

    มีการใช้ ECC, SRIOV และ telemetry สำหรับความเสถียรระดับองค์กร
    ลดความเสี่ยงจากการทำงานผิดพลาด

    Intel ตั้งเป้าสร้างแพลตฟอร์ม inference ที่แข่งขันกับ Nvidia ได้
    โดยเน้นความเปิดกว้างและประสิทธิภาพที่คุ้มค่า

    ฟีเจอร์บางอย่างยังอยู่ในสถานะ experimental
    เช่น torch.compile และ speculative decoding อาจยังไม่เสถียร

    การใช้ multi-GPU ต้องการระบบที่รองรับ PCIe P2P อย่างเหมาะสม
    หากระบบไม่รองรับ อาจไม่ได้ประสิทธิภาพตามที่ระบุ

    Container รุ่นแรกอาจยังไม่เหมาะกับงาน production ขนาดใหญ่
    ต้องรอรุ่น hardened และ full feature set ใน Q4

    การเปลี่ยนมาใช้ Arc Pro อาจต้องปรับระบบจาก Nvidia เดิม
    เสี่ยงต่อความไม่เข้ากันกับเครื่องมือหรือเฟรมเวิร์กที่ใช้อยู่

    https://wccftech.com/intel-project-battlematrix-arc-pro-gpus-first-major-software-update-llm-scaler-v1-0-massive-performance-uplift-enhanced-support/
    🧠⚙️ Intel เปิดตัว LLM Scaler v1.0: ยกระดับ AI บน Arc Pro ด้วย Project Battlematrix ในงาน Computex 2025 Intel ได้เปิดตัว Project Battlematrix ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มแบบครบวงจรสำหรับงาน inference ด้วย GPU Arc Pro หลายตัว โดยล่าสุดได้ปล่อยซอฟต์แวร์เวอร์ชันแรก LLM Scaler v1.0 ที่มาพร้อมการปรับแต่งประสิทธิภาพอย่างหนัก LLM Scaler v1.0 ถูกออกแบบมาเพื่อรันบน Linux โดยรองรับการทำงานแบบ multi-GPU และการส่งข้อมูลผ่าน PCIe แบบ P2P ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพได้สูงสุดถึง 80% เมื่อเทียบกับเวอร์ชันก่อนหน้า ฟีเจอร์เด่น ได้แก่: - การปรับแต่ง vLLM สำหรับ input ยาวถึง 40K tokens - การลดการใช้หน่วยความจำ GPU ด้วย quantization แบบชั้นต่อชั้น - รองรับ speculative decoding และ torch.compile แบบ experimental - รองรับ embedding, rerank model และ multi-modal model - ระบบจัดการ GPU ผ่าน XPU Manager ที่สามารถอัปเดต firmware และตรวจสอบ bandwidth ได้ Intel ยังวางแผนออก container รุ่น hardened ภายในไตรมาสนี้ และปล่อยเวอร์ชันเต็มใน Q4 ซึ่งจะรองรับการใช้งานระดับองค์กรอย่างเต็มรูปแบบ ✅ Intel เปิดตัว LLM Scaler v1.0 สำหรับ Project Battlematrix ➡️ เป็น container สำหรับ inference บน Arc Pro GPU หลายตัว ✅ รองรับ multi-GPU scaling และ PCIe P2P data transfer ➡️ เพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดถึง 80% ✅ ปรับแต่ง vLLM สำหรับ input ยาวถึง 40K tokens ➡️ ได้ผลลัพธ์เร็วขึ้นถึง 4.2 เท่าสำหรับโมเดล 70B ✅ มีฟีเจอร์ใหม่ เช่น quantization, speculative decoding, torch.compile ➡️ ลดการใช้หน่วยความจำและเพิ่มความเร็วในการประมวลผล ✅ รองรับ embedding, rerank model และ multi-modal model ➡️ ขยายขอบเขตการใช้งาน AI ได้หลากหลาย ✅ มีระบบ XPU Manager สำหรับจัดการ GPU ➡️ ตรวจสอบพลังงาน, bandwidth และอัปเดต firmware ได้ ✅ เตรียมปล่อย container รุ่น hardened และ full feature set ภายในปีนี้ ➡️ รองรับการใช้งานระดับองค์กรและงาน inference ขนาดใหญ่ ✅ Arc Pro B-Series รองรับการใช้งานร่วมกันสูงสุด 8 GPU ➡️ ให้ VRAM รวมถึง 192GB สำหรับโมเดลขนาด 70B+ ✅ ใช้เทคโนโลยี oneAPI และ Level Zero ใน software stack ➡️ ช่วยให้พัฒนาและปรับแต่งได้ง่ายขึ้น ✅ มีการใช้ ECC, SRIOV และ telemetry สำหรับความเสถียรระดับองค์กร ➡️ ลดความเสี่ยงจากการทำงานผิดพลาด ✅ Intel ตั้งเป้าสร้างแพลตฟอร์ม inference ที่แข่งขันกับ Nvidia ได้ ➡️ โดยเน้นความเปิดกว้างและประสิทธิภาพที่คุ้มค่า ‼️ ฟีเจอร์บางอย่างยังอยู่ในสถานะ experimental ⛔ เช่น torch.compile และ speculative decoding อาจยังไม่เสถียร ‼️ การใช้ multi-GPU ต้องการระบบที่รองรับ PCIe P2P อย่างเหมาะสม ⛔ หากระบบไม่รองรับ อาจไม่ได้ประสิทธิภาพตามที่ระบุ ‼️ Container รุ่นแรกอาจยังไม่เหมาะกับงาน production ขนาดใหญ่ ⛔ ต้องรอรุ่น hardened และ full feature set ใน Q4 ‼️ การเปลี่ยนมาใช้ Arc Pro อาจต้องปรับระบบจาก Nvidia เดิม ⛔ เสี่ยงต่อความไม่เข้ากันกับเครื่องมือหรือเฟรมเวิร์กที่ใช้อยู่ https://wccftech.com/intel-project-battlematrix-arc-pro-gpus-first-major-software-update-llm-scaler-v1-0-massive-performance-uplift-enhanced-support/
    WCCFTECH.COM
    Intel's Project Battlematrix For Arc Pro GPUs Gets First Major Software Update: LLM Scaler v1.0 With Up To 80% Performance Uplift, Enhanced Support & More
    Intel has released the first major software for its Arc Pro "Project Battlematrix" solution, the LLM Scaler v1.0, with massive improvements.
    0 Comments 0 Shares 84 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก Apple: Tim Cook กับ 4 คำที่พลิกเกม AI และประกาศยุทธศาสตร์ใหม่อย่างมั่นใจ

    ในช่วงที่โลกเทคโนโลยีหมุนเร็วด้วยกระแส AI บริษัทใหญ่ต่างเร่งเปิดตัวโมเดลใหม่และฟีเจอร์ล้ำหน้า แต่ Apple กลับดูเงียบผิดปกติ จนหลายคนตั้งคำถามว่า “ตกขบวนหรือเปล่า?” จนกระทั่ง Tim Cook CEO ของ Apple ออกมาพูดในประชุมพนักงานทั่วบริษัทว่า:

    “We’ve rarely been first.”

    แค่ 4 คำนี้ก็เปลี่ยนมุมมองของคนทั้งวงการ เพราะมันสะท้อนแนวคิดของ Apple ที่ไม่เน้น “เร็วที่สุด” แต่เน้น “ถูกต้องที่สุด” เหมือนที่เคยทำกับ Mac, iPhone, iPad และ iPod ที่ไม่ใช่เจ้าแรกในตลาด แต่เป็นเจ้าแรกที่ “ทำให้คนทั่วไปใช้งานได้จริง”

    Cook ยอมรับว่า Apple ล่าช้าในเรื่อง AI โดยเฉพาะ Siri ที่ยังไม่สามารถแข่งขันกับผู้ช่วย AI จากค่ายอื่นได้ เขาเผยว่า Apple เคยพยายามใช้โมเดล hybrid ที่ผสมระบบเดิมกับ LLM แต่ผลลัพธ์ไม่ถึง “Apple quality” จึงตัดสินใจรื้อใหม่หมด และเริ่มสร้าง Siri เวอร์ชันใหม่จากศูนย์ โดยตั้งเป้าเปิดตัวในปี 2026

    นอกจากนี้ Apple ยังลงทุนสร้างชิป AI ใหม่ชื่อ “Baltra” และศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ในฮิวสตัน พร้อมเปิดตัวระบบ Private Cloud Compute เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้

    Cook ยังประกาศว่า Apple จะ “ลงทุนอย่างจริงจัง” และ “เปิดรับการเข้าซื้อกิจการ” เพื่อเร่งพัฒนา AI โดยมีข่าวลือว่าอาจเล็งซื้อบริษัทอย่าง Perplexity หรือแม้แต่เจรจากับ OpenAI และ Anthropic

    Tim Cook กล่าว “We’ve rarely been first” เพื่อรีเซ็ตภาพลักษณ์ของ Apple ในยุค AI
    เน้นความถูกต้องมากกว่าความเร็วในการเข้าสู่ตลาด

    Apple ยอมรับว่า Siri ยังไม่ถึงมาตรฐานที่ต้องการ
    จึงรื้อระบบ hybrid เดิมและเริ่มสร้างใหม่ทั้งหมด

    Siri เวอร์ชันใหม่จะเปิดตัวในปี 2026
    มุ่งเน้นความฉลาดและเข้าใจบริบทมากขึ้น

    Apple พัฒนา AI chip ใหม่ชื่อ “Baltra” และศูนย์ข้อมูลในฮิวสตัน
    รองรับระบบ Private Cloud Compute เพื่อความปลอดภัยของข้อมูล

    Apple ประกาศลงทุนเพิ่มใน AI และเปิดรับการเข้าซื้อกิจการ
    มีข่าวว่าอาจเล็งซื้อ Perplexity หรือเจรจากับ OpenAI และ Anthropic

    Craig Federighi ยอมรับว่าแนวทางเดิมไม่ตอบโจทย์คุณภาพของ Apple
    จึงเปลี่ยนทิศทางการพัฒนา Siri อย่างสิ้นเชิง

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/12/with-just-four-words-tim-cook-reset-apples-ai-narrative-and-reminded-everyone-not-to-count-them-out
    🍎🤖 เรื่องเล่าจาก Apple: Tim Cook กับ 4 คำที่พลิกเกม AI และประกาศยุทธศาสตร์ใหม่อย่างมั่นใจ ในช่วงที่โลกเทคโนโลยีหมุนเร็วด้วยกระแส AI บริษัทใหญ่ต่างเร่งเปิดตัวโมเดลใหม่และฟีเจอร์ล้ำหน้า แต่ Apple กลับดูเงียบผิดปกติ จนหลายคนตั้งคำถามว่า “ตกขบวนหรือเปล่า?” จนกระทั่ง Tim Cook CEO ของ Apple ออกมาพูดในประชุมพนักงานทั่วบริษัทว่า: 🔖 “We’ve rarely been first.” แค่ 4 คำนี้ก็เปลี่ยนมุมมองของคนทั้งวงการ เพราะมันสะท้อนแนวคิดของ Apple ที่ไม่เน้น “เร็วที่สุด” แต่เน้น “ถูกต้องที่สุด” เหมือนที่เคยทำกับ Mac, iPhone, iPad และ iPod ที่ไม่ใช่เจ้าแรกในตลาด แต่เป็นเจ้าแรกที่ “ทำให้คนทั่วไปใช้งานได้จริง” Cook ยอมรับว่า Apple ล่าช้าในเรื่อง AI โดยเฉพาะ Siri ที่ยังไม่สามารถแข่งขันกับผู้ช่วย AI จากค่ายอื่นได้ เขาเผยว่า Apple เคยพยายามใช้โมเดล hybrid ที่ผสมระบบเดิมกับ LLM แต่ผลลัพธ์ไม่ถึง “Apple quality” จึงตัดสินใจรื้อใหม่หมด และเริ่มสร้าง Siri เวอร์ชันใหม่จากศูนย์ โดยตั้งเป้าเปิดตัวในปี 2026 นอกจากนี้ Apple ยังลงทุนสร้างชิป AI ใหม่ชื่อ “Baltra” และศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ในฮิวสตัน พร้อมเปิดตัวระบบ Private Cloud Compute เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ Cook ยังประกาศว่า Apple จะ “ลงทุนอย่างจริงจัง” และ “เปิดรับการเข้าซื้อกิจการ” เพื่อเร่งพัฒนา AI โดยมีข่าวลือว่าอาจเล็งซื้อบริษัทอย่าง Perplexity หรือแม้แต่เจรจากับ OpenAI และ Anthropic ✅ Tim Cook กล่าว “We’ve rarely been first” เพื่อรีเซ็ตภาพลักษณ์ของ Apple ในยุค AI ➡️ เน้นความถูกต้องมากกว่าความเร็วในการเข้าสู่ตลาด ✅ Apple ยอมรับว่า Siri ยังไม่ถึงมาตรฐานที่ต้องการ ➡️ จึงรื้อระบบ hybrid เดิมและเริ่มสร้างใหม่ทั้งหมด ✅ Siri เวอร์ชันใหม่จะเปิดตัวในปี 2026 ➡️ มุ่งเน้นความฉลาดและเข้าใจบริบทมากขึ้น ✅ Apple พัฒนา AI chip ใหม่ชื่อ “Baltra” และศูนย์ข้อมูลในฮิวสตัน ➡️ รองรับระบบ Private Cloud Compute เพื่อความปลอดภัยของข้อมูล ✅ Apple ประกาศลงทุนเพิ่มใน AI และเปิดรับการเข้าซื้อกิจการ ➡️ มีข่าวว่าอาจเล็งซื้อ Perplexity หรือเจรจากับ OpenAI และ Anthropic ✅ Craig Federighi ยอมรับว่าแนวทางเดิมไม่ตอบโจทย์คุณภาพของ Apple ➡️ จึงเปลี่ยนทิศทางการพัฒนา Siri อย่างสิ้นเชิง https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/12/with-just-four-words-tim-cook-reset-apples-ai-narrative-and-reminded-everyone-not-to-count-them-out
    WWW.THESTAR.COM.MY
    With just four words, Tim Cook reset Apple’s AI narrative and reminded everyone not to count them out
    Cook isn't pretending Apple will be the first to market with bleeding-edge AI tools. What he is saying is: we know how to play this game.
    0 Comments 0 Shares 92 Views 0 Reviews
  • ข้อมูลที่คุณต้องรู้ ก่อนฉีดวัคซีนใดๆ
    ความเสียหายทางระบบประสาทจากวัคซีนได้รับการบันทึกมานานกว่า 200 ปี
    https://expose-news.com/2025/07/02/neurological-damage-from-vaccines/
    วัคซีนไข้หวัดใหญ่จำเป็นจริงหรือ?
    https://www.facebook.com/share/p/1BVHA1t4me/
    วัคซีนงูสวัด จำเป็นแค่ไหน?
    https://www.facebook.com/share/p/1CcF8xosgf/
    วัคซีนฝีดาษลิง จำเป็นแค่ไหน?
    https://www.facebook.com/share/p/1CSQHJ763n/
    ข้อมูลอันตรายของวัคซีนมะเร็งปากมดลูก HPV
    https://www.facebook.com/share/p/1FvDtVqa3N/
    วัคซีนป้องกันบาดทะยักอาจอันตรายถึงชีวิต
    https://expose-news.com/2025/06/02/tetanus-vaccines-can-cause-harm-even-death/
    วัคซีนป้องกันไวรัส RSV (ติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบนและส่วนล่าง) ปลอดภัยจริงหรือ
    https://www.facebook.com/share/p/1HQToxr4DM/
    วัคซีนไอกรน ตรรกะวิบัติสร้างความกลัว
    https://www.tiktok.com/@adithepchawla01/video/7437361882270272775?is_from_webapp=1&sender_device=pc&web_id=7359944913523705351
    https://t.me/goodthaidoctorclip/1587
    วัคซีนป้องกันมะเร็งตัวใหม่ชนิด มรณา mRNA ก็จะยังคงกระจายตัวไปตามอวัยวะต่างๆ และก่อให้เกิดความเสียหายรุนแรงต่อหัวใจ
    เทเลแกรม : Mel Gibson https://t.me/RYhGQIPoxmOTk0/402
    https://www.facebook.com/61569418676886/videos/1477875523214599
    วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบีปลอดภัยและจำเป็นจริงหรือ?
    https://www.facebook.com/share/p/1BBG9G8ZaS/
    เส้นเลือด ตีบ แตก หลังฉีดวัคซีนโควิด
    https://www.facebook.com/share/p/1FMv6fvTTx/
    กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบหลัง​จากมีการฉีดวัคซีน​โควิด
    https://www.facebook.com/share/p/1BC2kyWTx7/
    มะเร็งเกิดขึ้นหรือถูกกระตุ้นให้กลับมาหลังฉีดวัคซีนโควิด
    https://www.facebook.com/share/p/19coWy5tEV/
    ออทิสติคส์ ความจริงที่ถูกปิดกั้น
    https://www.facebook.com/share/p/1Cwnup2WRN/
    วัคซีนเล่มสีชมพู – ดร. เชอร์รี เทนเพนนี
    https://www.rookon.com/?p=1112
    หมอคานาดา ออกมาพูดเรื่อง การเสียชีวิตของทารกน้อยในครรภ์หลังจากที่แม่ได้รับวัkซีu https://www.bitchute.com/video/wSPhikTOBEZr/
    วัคซีนทำให้แท้ง ไปสะสมที่รังไข่และสมองของแม่ และส่งผลต่อทารกในครรภ์
    https://www.facebook.com/61569418676886/posts/122114049056647289/?
    เด็กและคนท้องไม่ต้องฉีดโควิด โรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี จูเนียร์ รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์ของสหรัฐฯ ประกาศ 27พ.ค.2568
    https://www.facebook.com/photo/?fbid=1121646353337011&set=a.407239901444330
    งานวิจัยหลากหลายชิ้น คอนเฟิร์มว่าเด็กที่ฉีดวัคซีน จะป่วยและเป็นโรคได้มากกว่าเด็กที่ไม่ได้ฉีดเลยหลายเท่า
    https://www.facebook.com/share/p/16LRcRdzGv/
    เมื่อลูกสาวเจ้าพ่อวัคซีนไม่เคยรับวัคซีนทุกชนิด
    https://www.facebook.com/61569418676886/posts/122113737374647289/?
    เด็กที่ไม่ฉีดวัคซีนต่างๆสุขภาพดีกว่า
    https://www.facebook.com/61569418676886/posts/pfbid02JmQX1hm7PR6MN6YUTTHrJ5PcZoEH3KoVVqBwtdmY9m17HAxqH4yunYDFHTevfn9Ml/?
    https://www.facebook.com/61569418676886/posts/122113613522647289/?
    อย่าให้เด็กรับวัคซีนหากคุณไม่ได้ดูข้อมูลนี้
    https://www.facebook.com/share/p/1FHoBGKg3S/
    รวบรวมโดย
    ทีมแพทย์และจิตอาสาคนไทยพิทักษ์สิทธิ์
    ✍️ข้อมูลที่คุณต้องรู้ ก่อนฉีดวัคซีนใดๆ ✅ ความเสียหายทางระบบประสาทจากวัคซีนได้รับการบันทึกมานานกว่า 200 ปี https://expose-news.com/2025/07/02/neurological-damage-from-vaccines/ ✅ วัคซีนไข้หวัดใหญ่จำเป็นจริงหรือ? https://www.facebook.com/share/p/1BVHA1t4me/ ✅ วัคซีนงูสวัด จำเป็นแค่ไหน? https://www.facebook.com/share/p/1CcF8xosgf/ ✅ วัคซีนฝีดาษลิง จำเป็นแค่ไหน? https://www.facebook.com/share/p/1CSQHJ763n/ ✅ ข้อมูลอันตรายของวัคซีนมะเร็งปากมดลูก HPV https://www.facebook.com/share/p/1FvDtVqa3N/ ✅ วัคซีนป้องกันบาดทะยักอาจอันตรายถึงชีวิต https://expose-news.com/2025/06/02/tetanus-vaccines-can-cause-harm-even-death/ ✅ วัคซีนป้องกันไวรัส RSV (ติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบนและส่วนล่าง) ปลอดภัยจริงหรือ https://www.facebook.com/share/p/1HQToxr4DM/ ✅ วัคซีนไอกรน ตรรกะวิบัติสร้างความกลัว https://www.tiktok.com/@adithepchawla01/video/7437361882270272775?is_from_webapp=1&sender_device=pc&web_id=7359944913523705351 https://t.me/goodthaidoctorclip/1587 ✅วัคซีนป้องกันมะเร็งตัวใหม่ชนิด มรณา mRNA ก็จะยังคงกระจายตัวไปตามอวัยวะต่างๆ และก่อให้เกิดความเสียหายรุนแรงต่อหัวใจ เทเลแกรม : Mel Gibson https://t.me/RYhGQIPoxmOTk0/402 https://www.facebook.com/61569418676886/videos/1477875523214599 ✅วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบีปลอดภัยและจำเป็นจริงหรือ? https://www.facebook.com/share/p/1BBG9G8ZaS/ ✅ เส้นเลือด ตีบ แตก หลังฉีดวัคซีนโควิด https://www.facebook.com/share/p/1FMv6fvTTx/ ✅ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบหลัง​จากมีการฉีดวัคซีน​โควิด https://www.facebook.com/share/p/1BC2kyWTx7/ ✅ มะเร็งเกิดขึ้นหรือถูกกระตุ้นให้กลับมาหลังฉีดวัคซีนโควิด https://www.facebook.com/share/p/19coWy5tEV/ ✅ ออทิสติคส์ ความจริงที่ถูกปิดกั้น https://www.facebook.com/share/p/1Cwnup2WRN/ ✅ วัคซีนเล่มสีชมพู – ดร. เชอร์รี เทนเพนนี https://www.rookon.com/?p=1112 ✅ หมอคานาดา ออกมาพูดเรื่อง การเสียชีวิตของทารกน้อยในครรภ์หลังจากที่แม่ได้รับวัkซีu https://www.bitchute.com/video/wSPhikTOBEZr/ ✅ วัคซีนทำให้แท้ง ไปสะสมที่รังไข่และสมองของแม่ และส่งผลต่อทารกในครรภ์ https://www.facebook.com/61569418676886/posts/122114049056647289/? ✅ เด็กและคนท้องไม่ต้องฉีดโควิด โรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี จูเนียร์ รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์ของสหรัฐฯ ประกาศ 27พ.ค.2568 https://www.facebook.com/photo/?fbid=1121646353337011&set=a.407239901444330 ✅ งานวิจัยหลากหลายชิ้น คอนเฟิร์มว่าเด็กที่ฉีดวัคซีน จะป่วยและเป็นโรคได้มากกว่าเด็กที่ไม่ได้ฉีดเลยหลายเท่า https://www.facebook.com/share/p/16LRcRdzGv/ ✅ เมื่อลูกสาวเจ้าพ่อวัคซีนไม่เคยรับวัคซีนทุกชนิด https://www.facebook.com/61569418676886/posts/122113737374647289/? ✅ เด็กที่ไม่ฉีดวัคซีนต่างๆสุขภาพดีกว่า https://www.facebook.com/61569418676886/posts/pfbid02JmQX1hm7PR6MN6YUTTHrJ5PcZoEH3KoVVqBwtdmY9m17HAxqH4yunYDFHTevfn9Ml/? https://www.facebook.com/61569418676886/posts/122113613522647289/? ✅ อย่าให้เด็กรับวัคซีนหากคุณไม่ได้ดูข้อมูลนี้ https://www.facebook.com/share/p/1FHoBGKg3S/ รวบรวมโดย ทีมแพทย์และจิตอาสาคนไทยพิทักษ์สิทธิ์
    0 Comments 0 Shares 178 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากโลกโอเพ่นซอร์ส: เมื่อ Linus Torvalds ปะทะโค้ด RISC-V จาก Google

    ในโลกของ Linux kernel การส่งโค้ดเข้า merge window เปรียบเสมือนการส่งงานให้ครูใหญ่—และครูใหญ่คนนั้นคือ Linus Torvalds ผู้สร้างและดูแล Linux มายาวนาน ล่าสุดเขาได้ออกโรงวิจารณ์โค้ดจากวิศวกร Google ที่ส่งเข้ามาเพื่อรวมใน Linux 6.17 ว่าเป็น “ขยะ” และ “ทำให้โลกแย่ลง”

    เหตุผลหลักคือโค้ดนั้นไม่เพียงคุณภาพต่ำ แต่ยังส่งมาช้าเกินกำหนด ซึ่งเป็นสองข้อห้ามสำคัญในการส่ง pull request เขาเน้นว่า “ถ้าจะส่งช้า ก็ต้องดีมาก ๆ” แต่โค้ดนี้กลับเพิ่มสิ่งที่ไม่เกี่ยวกับ RISC-V ลงในไฟล์ header ทั่วไป ซึ่งเขามองว่าเป็นการละเมิดหลักการออกแบบ kernel

    Torvalds ยังเตือนนักพัฒนาคนนั้นว่า “คุณอยู่ในบัญชีเฝ้าระวังแล้ว” และแนะนำให้ส่งโค้ดสำหรับ Linux 6.18 ให้เร็วขึ้น พร้อมตัด “ขยะ” ออกให้หมด

    แม้คำพูดของเขาจะตรงไปตรงมา แต่ก็มีเหตุผลรองรับ เช่น การรักษาความสะอาดของโค้ดใน kernel และการป้องกันการเพิ่ม technical debt ที่จะส่งผลระยะยาวต่อระบบ

    จากมุมมองภายนอก ชุมชน RISC-V ยังเผชิญกับปัญหาคุณภาพโค้ดอยู่บ่อยครั้ง เนื่องจากเป็นสถาปัตยกรรมใหม่ที่ยังมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และนักพัฒนาหลายคนยังไม่คุ้นเคยกับ instruction set หรือแนวทางการ optimize ที่เหมาะสม

    Linus Torvalds ปฏิเสธ pull request จากวิศวกร Google สำหรับ Linux 6.17
    เหตุผลคือโค้ดคุณภาพต่ำและส่งมาช้าเกินกำหนด

    โค้ดนั้นเพิ่มเนื้อหาที่ไม่เกี่ยวกับ RISC-V ลงในไฟล์ header ทั่วไป
    Torvalds เรียกว่า “ขยะ” และไม่ควรส่งมาแม้แต่ในเวลาปกติ

    Torvalds เตือนนักพัฒนาว่าอยู่ใน “บัญชีเฝ้าระวัง”
    ห้ามส่งโค้ดช้าและห้ามเพิ่มเนื้อหานอก RISC-V tree

    เขาแนะนำให้ส่งโค้ดสำหรับ Linux 6.18 ให้เร็วขึ้น
    พร้อมตัดเนื้อหาที่ไม่จำเป็นออกให้หมด

    RISC-V ยังเป็นสถาปัตยกรรมใหม่ที่นักพัฒนาหลายคนยังไม่คุ้นเคย
    ทำให้เกิดปัญหาเรื่องคุณภาพโค้ดและการ optimize อยู่บ่อยครั้ง

    การเขียนโค้ดสำหรับ RISC-V ต้องระวังเรื่อง code density และ performance
    เช่น การใช้ compiler flags ที่เหมาะสมเพื่อลดขนาดและเพิ่มประสิทธิภาพ

    การใช้ static analysis ช่วยตรวจสอบคุณภาพโค้ดก่อนส่ง build
    ลดโอกาสเกิด defect และเพิ่มความน่าเชื่อถือในการ reuse

    โค้ดที่ดีควรมีโครงสร้างชัดเจนและไม่เพิ่ม technical debt
    ทำให้สามารถขยายหรือปรับปรุงได้ง่ายในอนาคต

    https://www.tomshardware.com/software/linux/linus-torvalds-calls-risc-v-code-from-google-engineer-garbage-and-that-it-makes-the-world-actively-a-worse-place-to-live-linux-honcho-puts-dev-on-notice-for-late-submissions-too
    🧑‍💻🔥 เรื่องเล่าจากโลกโอเพ่นซอร์ส: เมื่อ Linus Torvalds ปะทะโค้ด RISC-V จาก Google ในโลกของ Linux kernel การส่งโค้ดเข้า merge window เปรียบเสมือนการส่งงานให้ครูใหญ่—และครูใหญ่คนนั้นคือ Linus Torvalds ผู้สร้างและดูแล Linux มายาวนาน ล่าสุดเขาได้ออกโรงวิจารณ์โค้ดจากวิศวกร Google ที่ส่งเข้ามาเพื่อรวมใน Linux 6.17 ว่าเป็น “ขยะ” และ “ทำให้โลกแย่ลง” เหตุผลหลักคือโค้ดนั้นไม่เพียงคุณภาพต่ำ แต่ยังส่งมาช้าเกินกำหนด ซึ่งเป็นสองข้อห้ามสำคัญในการส่ง pull request เขาเน้นว่า “ถ้าจะส่งช้า ก็ต้องดีมาก ๆ” แต่โค้ดนี้กลับเพิ่มสิ่งที่ไม่เกี่ยวกับ RISC-V ลงในไฟล์ header ทั่วไป ซึ่งเขามองว่าเป็นการละเมิดหลักการออกแบบ kernel Torvalds ยังเตือนนักพัฒนาคนนั้นว่า “คุณอยู่ในบัญชีเฝ้าระวังแล้ว” และแนะนำให้ส่งโค้ดสำหรับ Linux 6.18 ให้เร็วขึ้น พร้อมตัด “ขยะ” ออกให้หมด แม้คำพูดของเขาจะตรงไปตรงมา แต่ก็มีเหตุผลรองรับ เช่น การรักษาความสะอาดของโค้ดใน kernel และการป้องกันการเพิ่ม technical debt ที่จะส่งผลระยะยาวต่อระบบ จากมุมมองภายนอก ชุมชน RISC-V ยังเผชิญกับปัญหาคุณภาพโค้ดอยู่บ่อยครั้ง เนื่องจากเป็นสถาปัตยกรรมใหม่ที่ยังมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และนักพัฒนาหลายคนยังไม่คุ้นเคยกับ instruction set หรือแนวทางการ optimize ที่เหมาะสม ✅ Linus Torvalds ปฏิเสธ pull request จากวิศวกร Google สำหรับ Linux 6.17 ➡️ เหตุผลคือโค้ดคุณภาพต่ำและส่งมาช้าเกินกำหนด ✅ โค้ดนั้นเพิ่มเนื้อหาที่ไม่เกี่ยวกับ RISC-V ลงในไฟล์ header ทั่วไป ➡️ Torvalds เรียกว่า “ขยะ” และไม่ควรส่งมาแม้แต่ในเวลาปกติ ✅ Torvalds เตือนนักพัฒนาว่าอยู่ใน “บัญชีเฝ้าระวัง” ➡️ ห้ามส่งโค้ดช้าและห้ามเพิ่มเนื้อหานอก RISC-V tree ✅ เขาแนะนำให้ส่งโค้ดสำหรับ Linux 6.18 ให้เร็วขึ้น ➡️ พร้อมตัดเนื้อหาที่ไม่จำเป็นออกให้หมด ✅ RISC-V ยังเป็นสถาปัตยกรรมใหม่ที่นักพัฒนาหลายคนยังไม่คุ้นเคย ➡️ ทำให้เกิดปัญหาเรื่องคุณภาพโค้ดและการ optimize อยู่บ่อยครั้ง ✅ การเขียนโค้ดสำหรับ RISC-V ต้องระวังเรื่อง code density และ performance ➡️ เช่น การใช้ compiler flags ที่เหมาะสมเพื่อลดขนาดและเพิ่มประสิทธิภาพ ✅ การใช้ static analysis ช่วยตรวจสอบคุณภาพโค้ดก่อนส่ง build ➡️ ลดโอกาสเกิด defect และเพิ่มความน่าเชื่อถือในการ reuse ✅ โค้ดที่ดีควรมีโครงสร้างชัดเจนและไม่เพิ่ม technical debt ➡️ ทำให้สามารถขยายหรือปรับปรุงได้ง่ายในอนาคต https://www.tomshardware.com/software/linux/linus-torvalds-calls-risc-v-code-from-google-engineer-garbage-and-that-it-makes-the-world-actively-a-worse-place-to-live-linux-honcho-puts-dev-on-notice-for-late-submissions-too
    0 Comments 0 Shares 116 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากชิปเชื่อมต่อ: XConn เปิดตัว Apollo 2 สวิตช์ PCIe Gen 6.2 + CXL 3.1 ที่อาจเปลี่ยนโฉมศูนย์ข้อมูล AI

    ในงาน Future of Memory and Storage Summit (FMS25) ปี 2025 บริษัท XConn Technologies ได้เปิดตัว Apollo 2 ซึ่งเป็นสวิตช์ไฮบริดตัวแรกของโลกที่รวมเทคโนโลยี PCIe Gen 6.2 และ CXL 3.1 ไว้ในชิปเดียว จุดประสงค์คือเพื่อรองรับความต้องการด้าน bandwidth และ latency ที่สูงขึ้นในงานประมวลผล AI และศูนย์ข้อมูลยุคใหม่

    Apollo 2 ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาคอขวดของหน่วยความจำ และเพิ่มความยืดหยุ่นในการออกแบบระบบ โดยสามารถเชื่อมต่อระหว่าง CPU, GPU, และ accelerator ได้อย่างมีประสิทธิภาพผ่าน shared memory pool ด้วย CXL 3.1 ขณะเดียวกัน PCIe Gen 6.2 ก็ช่วยให้การส่งข้อมูลระหว่างอุปกรณ์เร็วขึ้นถึงระดับ 128GB/s แบบ bidirectional

    XConn ยังร่วมมือกับ Intel เพื่อทดสอบความเข้ากันได้แบบ full-stack ระหว่างฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ เพื่อสร้างระบบที่สามารถใช้งานได้จริงในระดับ production โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมสำหรับ AI/ML training, cloud computing และ composable infrastructure

    แม้จะมีความหวังสูง แต่ก็ยังไม่มีข้อมูล benchmark ที่ชัดเจนว่าประสิทธิภาพจะเหนือกว่า PCIe Gen 5 มากแค่ไหน และการใช้งานจริงยังต้องรอการพิสูจน์ในภาคสนาม

    XConn เปิดตัว Apollo 2 สวิตช์ไฮบริดที่รวม PCIe Gen 6.2 และ CXL 3.1
    เป็นชิปตัวแรกที่รวมสองเทคโนโลยีไว้ในตัวเดียว

    เปิดตัวในงาน FMS25 เพื่อโชว์การทำงานแบบ end-to-end
    รองรับ AI/ML training, cloud computing และ composable infrastructure

    ร่วมมือกับ Intel เพื่อทดสอบความเข้ากันได้แบบ full-stack
    เพื่อสร้างระบบที่ใช้งานได้จริงในระดับ production

    Apollo 2 รองรับการเชื่อมต่อตั้งแต่ 64 ถึง 260 lanes
    เพิ่มความสามารถในการปรับขนาดและความหนาแน่นของระบบ

    มีการร่วมมือกับ ScaleFlux เพื่อปรับปรุงการทำงานร่วมกับ CXL 3.1
    เพื่อรองรับงาน AI และ cloud infrastructure ได้ดียิ่งขึ้น

    https://www.techradar.com/pro/the-next-stage-in-ai-power-xconn-set-to-reveal-end-to-end-pcie-gen-6-offering-higher-bandwidth-than-ever
    🚀🔗 เรื่องเล่าจากชิปเชื่อมต่อ: XConn เปิดตัว Apollo 2 สวิตช์ PCIe Gen 6.2 + CXL 3.1 ที่อาจเปลี่ยนโฉมศูนย์ข้อมูล AI ในงาน Future of Memory and Storage Summit (FMS25) ปี 2025 บริษัท XConn Technologies ได้เปิดตัว Apollo 2 ซึ่งเป็นสวิตช์ไฮบริดตัวแรกของโลกที่รวมเทคโนโลยี PCIe Gen 6.2 และ CXL 3.1 ไว้ในชิปเดียว จุดประสงค์คือเพื่อรองรับความต้องการด้าน bandwidth และ latency ที่สูงขึ้นในงานประมวลผล AI และศูนย์ข้อมูลยุคใหม่ Apollo 2 ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาคอขวดของหน่วยความจำ และเพิ่มความยืดหยุ่นในการออกแบบระบบ โดยสามารถเชื่อมต่อระหว่าง CPU, GPU, และ accelerator ได้อย่างมีประสิทธิภาพผ่าน shared memory pool ด้วย CXL 3.1 ขณะเดียวกัน PCIe Gen 6.2 ก็ช่วยให้การส่งข้อมูลระหว่างอุปกรณ์เร็วขึ้นถึงระดับ 128GB/s แบบ bidirectional XConn ยังร่วมมือกับ Intel เพื่อทดสอบความเข้ากันได้แบบ full-stack ระหว่างฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ เพื่อสร้างระบบที่สามารถใช้งานได้จริงในระดับ production โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมสำหรับ AI/ML training, cloud computing และ composable infrastructure แม้จะมีความหวังสูง แต่ก็ยังไม่มีข้อมูล benchmark ที่ชัดเจนว่าประสิทธิภาพจะเหนือกว่า PCIe Gen 5 มากแค่ไหน และการใช้งานจริงยังต้องรอการพิสูจน์ในภาคสนาม ✅ XConn เปิดตัว Apollo 2 สวิตช์ไฮบริดที่รวม PCIe Gen 6.2 และ CXL 3.1 ➡️ เป็นชิปตัวแรกที่รวมสองเทคโนโลยีไว้ในตัวเดียว ✅ เปิดตัวในงาน FMS25 เพื่อโชว์การทำงานแบบ end-to-end ➡️ รองรับ AI/ML training, cloud computing และ composable infrastructure ✅ ร่วมมือกับ Intel เพื่อทดสอบความเข้ากันได้แบบ full-stack ➡️ เพื่อสร้างระบบที่ใช้งานได้จริงในระดับ production ✅ Apollo 2 รองรับการเชื่อมต่อตั้งแต่ 64 ถึง 260 lanes ➡️ เพิ่มความสามารถในการปรับขนาดและความหนาแน่นของระบบ ✅ มีการร่วมมือกับ ScaleFlux เพื่อปรับปรุงการทำงานร่วมกับ CXL 3.1 ➡️ เพื่อรองรับงาน AI และ cloud infrastructure ได้ดียิ่งขึ้น https://www.techradar.com/pro/the-next-stage-in-ai-power-xconn-set-to-reveal-end-to-end-pcie-gen-6-offering-higher-bandwidth-than-ever
    0 Comments 0 Shares 143 Views 0 Reviews
  • อ.ปานเทพ ให้จับตาเกาะกูด 20ครอบครัวเขมร (8/8/68)
    Professor Panthep warns to closely monitor Koh Kut, Thai territory, where 20 Cambodian families have settled—an unwelcome situation threatening sovereignty.

    #TruthFromThailand
    #scambodia
    #Hunsenfiredfirst
    #เกาะกูด
    #อาจารย์ปานเทพ
    #อธิปไตยไทย
    #ข่าววันนี้
    #ข่าวด่วน
    #news1
    #thaitimes
    #shorts
    อ.ปานเทพ ให้จับตาเกาะกูด 20ครอบครัวเขมร (8/8/68) Professor Panthep warns to closely monitor Koh Kut, Thai territory, where 20 Cambodian families have settled—an unwelcome situation threatening sovereignty. #TruthFromThailand #scambodia #Hunsenfiredfirst #เกาะกูด #อาจารย์ปานเทพ #อธิปไตยไทย #ข่าววันนี้ #ข่าวด่วน #news1 #thaitimes #shorts
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 216 Views 0 0 Reviews
  • SET แกร่ง แต่อย่าหวังสูง! 07/08/68 #กะเทาะหุ้น #SET #ตลาดหุ้น #หุ้นไทย #เศรษฐกิจ
    SET แกร่ง แต่อย่าหวังสูง! 07/08/68 #กะเทาะหุ้น #SET #ตลาดหุ้น #หุ้นไทย #เศรษฐกิจ
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 367 Views 0 0 Reviews
  • ลุ้น กนง.ลดดอกเบี้ย หนุน SET 1300 (07/08/68)#news1 #คุยคุ้ยหุ้น #กนง. #หุ้น #ตลาดหุ้น
    ลุ้น กนง.ลดดอกเบี้ย หนุน SET 1300 (07/08/68)#news1 #คุยคุ้ยหุ้น #กนง. #หุ้น #ตลาดหุ้น
    0 Comments 0 Shares 315 Views 0 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากเวทีการค้าระดับโลก: เมื่อสหรัฐฯ เสนอเงื่อนไขสุดโหดให้ TSMC เพื่อช่วย Intel และลดภาษีให้ไต้หวัน

    ในช่วงที่สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับหลายประเทศยังคุกรุ่น รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดี Donald Trump ได้ใช้ภาษีศุลกากรเป็นเครื่องมือหลักในการลดการขาดดุลการค้า โดยเฉพาะกับไต้หวัน ซึ่งปัจจุบันถูกเก็บภาษีสูงถึง 20% ขณะที่ประเทศอื่นอย่างญี่ปุ่นจ่ายเพียง 15%

    เพื่อแลกกับการลดภาษีเหล่านี้ สหรัฐฯ ได้เสนอเงื่อนไขที่หนักหน่วงให้กับไต้หวันผ่านบริษัท TSMC ได้แก่:

    1️⃣ให้ TSMC ซื้อหุ้น 49% ของ Intel

    2️⃣ ให้ TSMC ลงทุนเพิ่มอีก $400 พันล้านในสหรัฐฯ

    แม้ TSMC จะลงทุนในสหรัฐฯ ไปแล้วกว่า $165 พันล้าน ทั้งในโรงงานผลิตชิปที่ Arizona และศูนย์วิจัย แต่เงื่อนไขใหม่นี้ถือว่าเกินขีดความสามารถทางการเงินและยุทธศาสตร์ของบริษัท

    เบื้องหลังของข้อเสนอนี้คือความพยายามของสหรัฐฯ ที่จะช่วย Intel ซึ่งกำลังตกต่ำอย่างหนัก รายได้ลดลงจาก $79 พันล้านในปี 2021 เหลือเพียง $53 พันล้านในปี 2024 และโรงงานใหม่ในรัฐโอไฮโอก็ถูกเลื่อนเปิดจากปี 2025 ไปเป็น 2030

    สหรัฐฯ เสนอให้ TSMC ซื้อหุ้น 49% ของ Intel
    เป็นเงื่อนไขในการลดภาษีศุลกากรสำหรับไต้หวัน

    TSMC ต้องลงทุนเพิ่มอีก $400 พันล้านในสหรัฐฯ
    นอกเหนือจากการลงทุนเดิม $165 พันล้าน

    Intel กำลังประสบปัญหาทางการเงินอย่างหนัก
    รายได้ลดลง 33% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา

    โรงงานใหม่ของ Intel ในโอไฮโอถูกเลื่อนเปิดเป็นปี 2030
    สะท้อนปัญหาการจัดการเงินทุนและการสนับสนุนจากภาครัฐ

    TSMC มีโรงงานและศูนย์วิจัยในสหรัฐฯ อยู่แล้ว
    รวมถึงโรงงานที่เริ่มผลิตในปี 2024 และอีกสองแห่งที่กำลังก่อสร้าง

    การถือหุ้น 49% ไม่ได้ให้สิทธิ์ควบคุมกิจการ
    TSMC จะไม่มีอำนาจในการบริหาร Intel โดยตรง

    Intel มีการขายหุ้นโรงงานให้กับบริษัทเอกชนแล้ว
    เช่น Brookfield Asset Management ถือหุ้นบางส่วน

    TSMC เป็นบริษัท foundry แบบ pure-play
    ไม่ได้มีธุรกิจ consumer product แบบ Intel

    การควบรวมอาจไม่เกิด synergy ที่แท้จริง
    เพราะโมเดลธุรกิจของทั้งสองบริษัทต่างกัน

    https://www.notebookcheck.net/Desperate-measures-to-save-Intel-US-reportedly-forcing-TSMC-to-buy-49-stake-in-Intel-to-secure-tariff-relief-for-Taiwan.1079424.0.html
    🇺🇸💻 เรื่องเล่าจากเวทีการค้าระดับโลก: เมื่อสหรัฐฯ เสนอเงื่อนไขสุดโหดให้ TSMC เพื่อช่วย Intel และลดภาษีให้ไต้หวัน ในช่วงที่สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับหลายประเทศยังคุกรุ่น รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดี Donald Trump ได้ใช้ภาษีศุลกากรเป็นเครื่องมือหลักในการลดการขาดดุลการค้า โดยเฉพาะกับไต้หวัน ซึ่งปัจจุบันถูกเก็บภาษีสูงถึง 20% ขณะที่ประเทศอื่นอย่างญี่ปุ่นจ่ายเพียง 15% เพื่อแลกกับการลดภาษีเหล่านี้ สหรัฐฯ ได้เสนอเงื่อนไขที่หนักหน่วงให้กับไต้หวันผ่านบริษัท TSMC ได้แก่: 1️⃣ให้ TSMC ซื้อหุ้น 49% ของ Intel 2️⃣ ให้ TSMC ลงทุนเพิ่มอีก $400 พันล้านในสหรัฐฯ แม้ TSMC จะลงทุนในสหรัฐฯ ไปแล้วกว่า $165 พันล้าน ทั้งในโรงงานผลิตชิปที่ Arizona และศูนย์วิจัย แต่เงื่อนไขใหม่นี้ถือว่าเกินขีดความสามารถทางการเงินและยุทธศาสตร์ของบริษัท เบื้องหลังของข้อเสนอนี้คือความพยายามของสหรัฐฯ ที่จะช่วย Intel ซึ่งกำลังตกต่ำอย่างหนัก รายได้ลดลงจาก $79 พันล้านในปี 2021 เหลือเพียง $53 พันล้านในปี 2024 และโรงงานใหม่ในรัฐโอไฮโอก็ถูกเลื่อนเปิดจากปี 2025 ไปเป็น 2030 ✅ สหรัฐฯ เสนอให้ TSMC ซื้อหุ้น 49% ของ Intel ➡️ เป็นเงื่อนไขในการลดภาษีศุลกากรสำหรับไต้หวัน ✅ TSMC ต้องลงทุนเพิ่มอีก $400 พันล้านในสหรัฐฯ ➡️ นอกเหนือจากการลงทุนเดิม $165 พันล้าน ✅ Intel กำลังประสบปัญหาทางการเงินอย่างหนัก ➡️ รายได้ลดลง 33% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ✅ โรงงานใหม่ของ Intel ในโอไฮโอถูกเลื่อนเปิดเป็นปี 2030 ➡️ สะท้อนปัญหาการจัดการเงินทุนและการสนับสนุนจากภาครัฐ ✅ TSMC มีโรงงานและศูนย์วิจัยในสหรัฐฯ อยู่แล้ว ➡️ รวมถึงโรงงานที่เริ่มผลิตในปี 2024 และอีกสองแห่งที่กำลังก่อสร้าง ✅ การถือหุ้น 49% ไม่ได้ให้สิทธิ์ควบคุมกิจการ ➡️ TSMC จะไม่มีอำนาจในการบริหาร Intel โดยตรง ✅ Intel มีการขายหุ้นโรงงานให้กับบริษัทเอกชนแล้ว ➡️ เช่น Brookfield Asset Management ถือหุ้นบางส่วน ✅ TSMC เป็นบริษัท foundry แบบ pure-play ➡️ ไม่ได้มีธุรกิจ consumer product แบบ Intel ✅ การควบรวมอาจไม่เกิด synergy ที่แท้จริง ➡️ เพราะโมเดลธุรกิจของทั้งสองบริษัทต่างกัน https://www.notebookcheck.net/Desperate-measures-to-save-Intel-US-reportedly-forcing-TSMC-to-buy-49-stake-in-Intel-to-secure-tariff-relief-for-Taiwan.1079424.0.html
    WWW.NOTEBOOKCHECK.NET
    Desperate measures to save Intel: US reportedly forcing TSMC to buy 49% stake in Intel to secure tariff relief for Taiwan
    A new report out of Taiwan has revealed that the current US administration is tying the reduction on trade of trade tariffs on Taiwan to significant TSMC investment in the US. This investment includes a 49% stake in Intel.
    0 Comments 0 Shares 171 Views 0 Reviews
  • กลยุทธ์ลงทุน ช่วง SET รุ่ง (05/08/68) #news1 #กะเทาะหุ้น #ตลาดหุ้น #หุ้น
    กลยุทธ์ลงทุน ช่วง SET รุ่ง (05/08/68) #news1 #กะเทาะหุ้น #ตลาดหุ้น #หุ้น
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 259 Views 0 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: US CLOUD Act กับแรงสั่นสะเทือนอธิปไตยข้อมูลไทย

    ในยุคที่ข้อมูลคือทรัพย์สินล้ำค่า และ AI คือเครื่องมือแห่งอำนาจ ประเทศมหาอำนาจต่างเร่งสะสม “ข้อมูล” ผ่านเทคโนโลยีคลาวด์และโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล โดยเฉพาะบริษัทสัญชาติสหรัฐที่ครองตลาด hyperscaler ทั่วโลก แต่สิ่งที่หลายคนอาจไม่รู้คือ กฎหมาย CLOUD Act ของสหรัฐฯ ที่ออกในปี 2018 ได้เปลี่ยนเกมนี้ไปอย่างสิ้นเชิง

    กฎหมายนี้ให้อำนาจเจ้าหน้าที่สหรัฐเรียกดูข้อมูลจากบริษัทอเมริกันได้ แม้ข้อมูลนั้นจะอยู่ในเซิร์ฟเวอร์ต่างประเทศ เช่น ไทย หรือยุโรป โดยไม่ต้องผ่านรัฐบาลประเทศนั้นเลย และหากบริษัทไม่ยอมส่งข้อมูล ก็ต้องไปโต้แย้งในศาลสหรัฐเอง ไม่ใช่หน้าที่ของรัฐบาลไทยหรือ EU

    ผลกระทบจึงไม่ใช่แค่เรื่อง “ความเป็นส่วนตัว” แต่ลามไปถึง “อธิปไตยไซเบอร์” ของประเทศ เช่น ข้อมูลความมั่นคงแห่งชาติ ข้อมูลทางการค้า หรือข้อมูลบุคคลจาก EU ที่อาจละเมิด GDPR ได้ทันทีหากถูกเรียกดูโดยสหรัฐ

    หลายประเทศจึงเริ่มตอบโต้ เช่น ฝรั่งเศสออกมาตรฐาน SecNumCloud ที่ห้ามผู้ให้บริการตกอยู่ภายใต้ CLOUD Act เยอรมนีผลักดัน GAIA-X คลาวด์แบบกระจายศูนย์ และออสเตรเลียแม้จะลงนามข้อตกลงกับสหรัฐ แต่ก็ออกกฎหมายบังคับให้เก็บข้อมูลสำคัญในประเทศและเข้ารหัสสองชั้น

    สำหรับไทย บทความแนะนำให้เริ่มจากการประเมินประเภทข้อมูล กำหนดตำแหน่งจัดเก็บ ต่อรองสัญญาให้โปร่งใส และวางระบบเข้ารหัสที่เราถือกุญแจเอง เพื่อรักษาสมดุลระหว่างความคล่องตัวทางธุรกิจและอธิปไตยไซเบอร์

    CLOUD Act ละเมิดหลักการอธิปไตยข้อมูลของประเทศต่างๆ
    โดยเฉพาะเมื่อข้อมูลถูกจัดเก็บโดยบริษัทสหรัฐ แม้ในเซิร์ฟเวอร์ต่างประเทศ

    องค์กรไทยอาจตกอยู่ในความเสี่ยงทางกฎหมายทั้งจากสหรัฐและ EU
    หากไม่วางแผนการจัดเก็บและเข้ารหัสข้อมูลอย่างรอบคอบ

    การใช้คลาวด์ไม่ใช่แค่การส่งออกข้อมูล แต่คือการส่งออก “เขตอำนาจศาล”
    เส้นแบ่งแดนในโลกกายภาพไม่รับประกันความเป็นเจ้าของข้อมูล

    https://www.thansettakij.com/blogs/columnist/635062
    🌐🔐 เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: US CLOUD Act กับแรงสั่นสะเทือนอธิปไตยข้อมูลไทย ในยุคที่ข้อมูลคือทรัพย์สินล้ำค่า และ AI คือเครื่องมือแห่งอำนาจ ประเทศมหาอำนาจต่างเร่งสะสม “ข้อมูล” ผ่านเทคโนโลยีคลาวด์และโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล โดยเฉพาะบริษัทสัญชาติสหรัฐที่ครองตลาด hyperscaler ทั่วโลก แต่สิ่งที่หลายคนอาจไม่รู้คือ กฎหมาย CLOUD Act ของสหรัฐฯ ที่ออกในปี 2018 ได้เปลี่ยนเกมนี้ไปอย่างสิ้นเชิง กฎหมายนี้ให้อำนาจเจ้าหน้าที่สหรัฐเรียกดูข้อมูลจากบริษัทอเมริกันได้ แม้ข้อมูลนั้นจะอยู่ในเซิร์ฟเวอร์ต่างประเทศ เช่น ไทย หรือยุโรป โดยไม่ต้องผ่านรัฐบาลประเทศนั้นเลย และหากบริษัทไม่ยอมส่งข้อมูล ก็ต้องไปโต้แย้งในศาลสหรัฐเอง ไม่ใช่หน้าที่ของรัฐบาลไทยหรือ EU ผลกระทบจึงไม่ใช่แค่เรื่อง “ความเป็นส่วนตัว” แต่ลามไปถึง “อธิปไตยไซเบอร์” ของประเทศ เช่น ข้อมูลความมั่นคงแห่งชาติ ข้อมูลทางการค้า หรือข้อมูลบุคคลจาก EU ที่อาจละเมิด GDPR ได้ทันทีหากถูกเรียกดูโดยสหรัฐ หลายประเทศจึงเริ่มตอบโต้ เช่น ฝรั่งเศสออกมาตรฐาน SecNumCloud ที่ห้ามผู้ให้บริการตกอยู่ภายใต้ CLOUD Act เยอรมนีผลักดัน GAIA-X คลาวด์แบบกระจายศูนย์ และออสเตรเลียแม้จะลงนามข้อตกลงกับสหรัฐ แต่ก็ออกกฎหมายบังคับให้เก็บข้อมูลสำคัญในประเทศและเข้ารหัสสองชั้น สำหรับไทย บทความแนะนำให้เริ่มจากการประเมินประเภทข้อมูล กำหนดตำแหน่งจัดเก็บ ต่อรองสัญญาให้โปร่งใส และวางระบบเข้ารหัสที่เราถือกุญแจเอง เพื่อรักษาสมดุลระหว่างความคล่องตัวทางธุรกิจและอธิปไตยไซเบอร์ ‼️ CLOUD Act ละเมิดหลักการอธิปไตยข้อมูลของประเทศต่างๆ ⛔ โดยเฉพาะเมื่อข้อมูลถูกจัดเก็บโดยบริษัทสหรัฐ แม้ในเซิร์ฟเวอร์ต่างประเทศ ‼️ องค์กรไทยอาจตกอยู่ในความเสี่ยงทางกฎหมายทั้งจากสหรัฐและ EU ⛔ หากไม่วางแผนการจัดเก็บและเข้ารหัสข้อมูลอย่างรอบคอบ ‼️ การใช้คลาวด์ไม่ใช่แค่การส่งออกข้อมูล แต่คือการส่งออก “เขตอำนาจศาล” ⛔ เส้นแบ่งแดนในโลกกายภาพไม่รับประกันความเป็นเจ้าของข้อมูล https://www.thansettakij.com/blogs/columnist/635062
    WWW.THANSETTAKIJ.COM
    “ข้อมูลอยู่ไหน ใครเข้าถึงได้บ้าง” ทำไม US CLOUD Act อาจเป็นแรงสั่นสะเทือนอธิปไตยไซเบอร์ไทย และเราควรรับมืออย่างไร
    โดย นรินทร์ฤทธิ์ เปรมอภิวัฒโนกุล (AFONcyber) อุปนายกสมาคมความมั่นคงปลอดภัยระบบสารสนเทศ (TISA) และกรรมการผู้จัดการ บริษัท ซอเวอเร้นท์ จำกัด
    0 Comments 0 Shares 168 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากข่าว: ชิป AI จาก MIT ที่ประมวลผลเร็วระดับแสง—เปิดทางสู่ยุค 6G ที่แท้จริง

    ในยุคที่ข้อมูลพุ่งทะยานตามกฎของ Edholm และความต้องการแบนด์วิดธ์เพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง ขณะที่ Moore’s Law เริ่มชะลอตัว MIT จึงพัฒนา MAFT-ONN (Multiplicative Analog Frequency Transform Optical Neural Network) ซึ่งเป็นชิป AI ที่ทำงานด้วยแสงและประมวลผลสัญญาณ RF แบบแอนะล็อกโดยตรง

    MAFT-ONN ไม่ต้องแปลงสัญญาณเป็นดิจิทัลก่อนประมวลผล แต่ใช้การแปลงความถี่และคำนวณทั้ง linear และ nonlinear บน optical processor เดียว ทำให้สามารถใส่ neuron ได้ถึง 10,000 ตัวในอุปกรณ์เดียว และประมวลผลได้ใน “ช็อตเดียว” ด้วยความเร็วระดับนาโนวินาที

    ผลลัพธ์คือความแม่นยำสูงถึง 95% ในการจำแนก modulation และสามารถพุ่งถึง 99% หากวัดเพิ่มอีกเล็กน้อย โดยใช้พลังงานต่ำกว่าเดิมมาก และขนาดเล็กลงอย่างเห็นได้ชัด เหมาะกับ edge device เช่น cognitive radio, รถยนต์ไร้คนขับ หรือแม้แต่เครื่องกระตุ้นหัวใจอัจฉริยะ

    MIT พัฒนาชิป MAFT-ONN ที่ใช้แสงในการประมวลผลสัญญาณ RF แบบแอนะล็อกโดยตรง
    ไม่ต้องแปลงเป็นดิจิทัลก่อน ทำให้เร็วและประหยัดพลังงาน
    ใช้ optical processor เดียวในการคำนวณทั้ง linear และ nonlinear

    สามารถใส่ neuron ได้ถึง 10,000 ตัวในอุปกรณ์เดียว และประมวลผลใน “ช็อตเดียว”
    ทำให้การ inference เร็วระดับนาโนวินาที
    ความแม่นยำสูงถึง 95% และพุ่งถึง 99% ด้วยการวัดเพิ่ม

    ชิปนี้เร็วกว่า digital AI chip ถึง 100 เท่า และใช้พลังงานน้อยกว่ามาก
    ขนาดเล็ก, น้ำหนักเบา, ราคาถูก
    เหมาะกับ edge device ที่ต้องการประมวลผลแบบ real-time

    สามารถประมวลผลข้อมูลจาก MNIST dataset ได้เกือบ 4 ล้านครั้งแบบ fully analog
    แสดงถึงความสามารถในการเรียนรู้และจำแนกภาพ
    เป็นก้าวสำคัญของ optical neural network ที่ใช้งานได้จริง

    เหมาะกับการใช้งานในยุค 6G เช่น cognitive radio ที่ปรับ modulation แบบ real-time
    ช่วยเพิ่ม data rate และลดการรบกวนสัญญาณ
    เปิดทางสู่การสื่อสารไร้สายที่เร็วและแม่นยำกว่าเดิม

    สามารถนำไปใช้ในอุปกรณ์อื่น เช่น รถยนต์ไร้คนขับ หรือเครื่องกระตุ้นหัวใจอัจฉริยะ
    ช่วยให้รถตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมได้ทันที
    ตรวจจับสัญญาณชีพแบบ real-time เพื่อดูแลสุขภาพ

    https://www.neowin.net/news/mit-sees-astonishing-light-speed-6g-processing-with-its-new-100-times-faster-chip/
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: ชิป AI จาก MIT ที่ประมวลผลเร็วระดับแสง—เปิดทางสู่ยุค 6G ที่แท้จริง ในยุคที่ข้อมูลพุ่งทะยานตามกฎของ Edholm และความต้องการแบนด์วิดธ์เพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง ขณะที่ Moore’s Law เริ่มชะลอตัว MIT จึงพัฒนา MAFT-ONN (Multiplicative Analog Frequency Transform Optical Neural Network) ซึ่งเป็นชิป AI ที่ทำงานด้วยแสงและประมวลผลสัญญาณ RF แบบแอนะล็อกโดยตรง MAFT-ONN ไม่ต้องแปลงสัญญาณเป็นดิจิทัลก่อนประมวลผล แต่ใช้การแปลงความถี่และคำนวณทั้ง linear และ nonlinear บน optical processor เดียว ทำให้สามารถใส่ neuron ได้ถึง 10,000 ตัวในอุปกรณ์เดียว และประมวลผลได้ใน “ช็อตเดียว” ด้วยความเร็วระดับนาโนวินาที ผลลัพธ์คือความแม่นยำสูงถึง 95% ในการจำแนก modulation และสามารถพุ่งถึง 99% หากวัดเพิ่มอีกเล็กน้อย โดยใช้พลังงานต่ำกว่าเดิมมาก และขนาดเล็กลงอย่างเห็นได้ชัด เหมาะกับ edge device เช่น cognitive radio, รถยนต์ไร้คนขับ หรือแม้แต่เครื่องกระตุ้นหัวใจอัจฉริยะ ✅ MIT พัฒนาชิป MAFT-ONN ที่ใช้แสงในการประมวลผลสัญญาณ RF แบบแอนะล็อกโดยตรง ➡️ ไม่ต้องแปลงเป็นดิจิทัลก่อน ทำให้เร็วและประหยัดพลังงาน ➡️ ใช้ optical processor เดียวในการคำนวณทั้ง linear และ nonlinear ✅ สามารถใส่ neuron ได้ถึง 10,000 ตัวในอุปกรณ์เดียว และประมวลผลใน “ช็อตเดียว” ➡️ ทำให้การ inference เร็วระดับนาโนวินาที ➡️ ความแม่นยำสูงถึง 95% และพุ่งถึง 99% ด้วยการวัดเพิ่ม ✅ ชิปนี้เร็วกว่า digital AI chip ถึง 100 เท่า และใช้พลังงานน้อยกว่ามาก ➡️ ขนาดเล็ก, น้ำหนักเบา, ราคาถูก ➡️ เหมาะกับ edge device ที่ต้องการประมวลผลแบบ real-time ✅ สามารถประมวลผลข้อมูลจาก MNIST dataset ได้เกือบ 4 ล้านครั้งแบบ fully analog ➡️ แสดงถึงความสามารถในการเรียนรู้และจำแนกภาพ ➡️ เป็นก้าวสำคัญของ optical neural network ที่ใช้งานได้จริง ✅ เหมาะกับการใช้งานในยุค 6G เช่น cognitive radio ที่ปรับ modulation แบบ real-time ➡️ ช่วยเพิ่ม data rate และลดการรบกวนสัญญาณ ➡️ เปิดทางสู่การสื่อสารไร้สายที่เร็วและแม่นยำกว่าเดิม ✅ สามารถนำไปใช้ในอุปกรณ์อื่น เช่น รถยนต์ไร้คนขับ หรือเครื่องกระตุ้นหัวใจอัจฉริยะ ➡️ ช่วยให้รถตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมได้ทันที ➡️ ตรวจจับสัญญาณชีพแบบ real-time เพื่อดูแลสุขภาพ https://www.neowin.net/news/mit-sees-astonishing-light-speed-6g-processing-with-its-new-100-times-faster-chip/
    WWW.NEOWIN.NET
    MIT sees astonishing light-speed 6G processing with its new "100 times faster" chip
    MIT's pioneering optical AI chip uses photonics and the power of light-speed, promising way better 6G speeds.
    0 Comments 0 Shares 143 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากข่าว: เมืองเล็ก ๆ กับภัยไซเบอร์ที่ใหญ่เกินตัว

    ในยุคที่ทุกอย่างเชื่อมต่อกันผ่านอินเทอร์เน็ต ระบบของเทศบาลและเมืองต่าง ๆ ไม่ได้มีแค่ข้อมูลประชาชน แต่ยังรวมถึงบริการสำคัญ เช่น น้ำ ไฟ การแพทย์ และการรักษาความปลอดภัย ซึ่งหากถูกโจมตี อาจทำให้ทั้งเมืองหยุดชะงักได้ทันที

    ปัญหาคือระบบเหล่านี้มักถูกสร้างขึ้นโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยตั้งแต่ต้น และยังใช้เทคโนโลยีเก่าที่เสี่ยงต่อการถูกเจาะระบบ แถมงบประมาณด้าน cybersecurity ก็ถูกจัดสรรน้อย เพราะต้องแข่งขันกับความต้องการอื่นที่เร่งด่วนกว่า เช่น การซ่อมถนนหรือการจัดการขยะ

    นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่เทศบาลจำนวนมากยังไม่ได้รับการฝึกอบรมด้านความปลอดภัยไซเบอร์อย่างเพียงพอ ทำให้ตกเป็นเหยื่อของ phishing หรือมัลแวร์ได้ง่าย และเมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้น ผลกระทบอาจลุกลามไปถึงความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อรัฐบาลท้องถิ่น

    ระบบเทศบาลมีข้อมูลสำคัญและให้บริการพื้นฐาน เช่น น้ำ ไฟ ตำรวจ และดับเพลิง
    หากถูกโจมตี อาจทำให้บริการหยุดชะงักและเกิดความไม่ปลอดภัยในชุมชน
    ข้อมูลประชาชน เช่น หมายเลขประกันสังคมและประวัติสุขภาพ อาจถูกขโมย

    ระบบเหล่านี้มักสร้างขึ้นโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยตั้งแต่ต้น
    ใช้เทคโนโลยีเก่าที่เสี่ยงต่อการถูกเจาะระบบ
    ขาดการอัปเดตและการตรวจสอบความปลอดภัยอย่างสม่ำเสมอ

    งบประมาณด้าน cybersecurity มักถูกจัดสรรน้อย เพราะมีความต้องการอื่นที่เร่งด่วนกว่า
    การอัปเกรดระบบหรือใช้เครื่องมือรักษาความปลอดภัยขั้นสูงจึงทำได้ยาก
    ส่งผลให้เมืองเล็ก ๆ กลายเป็นเป้าหมายที่ง่ายสำหรับแฮกเกอร์

    เจ้าหน้าที่เทศบาลมักไม่ได้รับการฝึกอบรมด้าน cybersecurity อย่างเพียงพอ
    เสี่ยงต่อการตกเป็นเหยื่อของ phishing หรือ social engineering
    ความผิดพลาดของมนุษย์เป็นจุดอ่อนหลักของระบบความปลอดภัย

    การฝึกอบรมและการร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญภายนอกสามารถช่วยเสริมความปลอดภัยได้
    การจัดอบรมอย่างสม่ำเสมอช่วยให้เจ้าหน้าที่รับมือกับภัยคุกคามใหม่ ๆ
    การร่วมมือกับบริษัท cybersecurity หรือหน่วยงานรัฐช่วยเพิ่มทรัพยากรและความรู้

    นโยบายและกฎระเบียบสามารถสร้างมาตรฐานขั้นต่ำด้านความปลอดภัยให้กับเทศบาล
    เช่น การตรวจสอบระบบเป็นระยะ และการฝึกอบรมพนักงานเป็นข้อบังคับ
    ช่วยให้เกิดความสม่ำเสมอและความร่วมมือระหว่างเมืองต่าง ๆ

    การละเลยด้าน cybersecurity อาจทำให้บริการพื้นฐานของเมืองหยุดชะงักทันทีเมื่อถูกโจมตี
    ส่งผลต่อความปลอดภัยของประชาชน เช่น การตอบสนองฉุกเฉินล่าช้า
    อาจเกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจและสังคมในวงกว้าง

    การใช้เทคโนโลยีเก่าโดยไม่มีการอัปเดตเป็นช่องโหว่ที่แฮกเกอร์ใช้เจาะระบบได้ง่าย
    ระบบที่ไม่รองรับการป้องกันภัยใหม่ ๆ จะถูกโจมตีได้โดยไม่ต้องใช้เทคนิคซับซ้อน
    อาจถูกใช้เป็นฐานโจมตีระบบอื่นในเครือข่าย

    การขาดการฝึกอบรมทำให้เจ้าหน้าที่กลายเป็นจุดอ่อนของระบบความปลอดภัย
    การคลิกลิงก์ปลอมหรือเปิดไฟล์แนบอันตรายอาจทำให้ระบบถูกแฮก
    ความผิดพลาดเล็ก ๆ อาจนำไปสู่การละเมิดข้อมูลครั้งใหญ่

    การไม่มีนโยบายหรือมาตรฐานกลางทำให้แต่ละเมืองมีระดับความปลอดภัยไม่เท่ากัน
    เมืองที่ไม่มีทรัพยากรอาจไม่มีการป้องกันเลย
    ส่งผลต่อความมั่นคงของภูมิภาคโดยรวม

    การใช้กรอบการทำงานของ NIST ช่วยให้เทศบาลวางแผนด้าน cybersecurity ได้อย่างเป็นระบบ
    ครอบคลุม 5 ด้าน: Identify, Protect, Detect, Respond, Recover
    มีเครื่องมือและคู่มือให้ใช้ฟรีจากเว็บไซต์ของ NIST

    การทำประกันภัยไซเบอร์ช่วยลดความเสี่ยงทางการเงินเมื่อเกิดเหตุการณ์โจมตี
    คุ้มครองความเสียหายจากการละเมิดข้อมูลและการหยุดชะงักของระบบ
    แต่ต้องศึกษาข้อกำหนดและค่าใช้จ่ายให้รอบคอบ

    การประเมินระบบอย่างสม่ำเสมอช่วยให้รู้จุดอ่อนและปรับปรุงได้ทันเวลา
    ใช้เครื่องมือฟรีจาก CISA เช่น Cyber Resilience Review และ CSET
    ไม่จำเป็นต้องจ้างบริษัทภายนอกที่มีค่าใช้จ่ายสูงเสมอไป

    https://hackread.com/local-government-cybersecurity-municipal-systems-protection/
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: เมืองเล็ก ๆ กับภัยไซเบอร์ที่ใหญ่เกินตัว ในยุคที่ทุกอย่างเชื่อมต่อกันผ่านอินเทอร์เน็ต ระบบของเทศบาลและเมืองต่าง ๆ ไม่ได้มีแค่ข้อมูลประชาชน แต่ยังรวมถึงบริการสำคัญ เช่น น้ำ ไฟ การแพทย์ และการรักษาความปลอดภัย ซึ่งหากถูกโจมตี อาจทำให้ทั้งเมืองหยุดชะงักได้ทันที ปัญหาคือระบบเหล่านี้มักถูกสร้างขึ้นโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยตั้งแต่ต้น และยังใช้เทคโนโลยีเก่าที่เสี่ยงต่อการถูกเจาะระบบ แถมงบประมาณด้าน cybersecurity ก็ถูกจัดสรรน้อย เพราะต้องแข่งขันกับความต้องการอื่นที่เร่งด่วนกว่า เช่น การซ่อมถนนหรือการจัดการขยะ นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่เทศบาลจำนวนมากยังไม่ได้รับการฝึกอบรมด้านความปลอดภัยไซเบอร์อย่างเพียงพอ ทำให้ตกเป็นเหยื่อของ phishing หรือมัลแวร์ได้ง่าย และเมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้น ผลกระทบอาจลุกลามไปถึงความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อรัฐบาลท้องถิ่น ✅ ระบบเทศบาลมีข้อมูลสำคัญและให้บริการพื้นฐาน เช่น น้ำ ไฟ ตำรวจ และดับเพลิง ➡️ หากถูกโจมตี อาจทำให้บริการหยุดชะงักและเกิดความไม่ปลอดภัยในชุมชน ➡️ ข้อมูลประชาชน เช่น หมายเลขประกันสังคมและประวัติสุขภาพ อาจถูกขโมย ✅ ระบบเหล่านี้มักสร้างขึ้นโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยตั้งแต่ต้น ➡️ ใช้เทคโนโลยีเก่าที่เสี่ยงต่อการถูกเจาะระบบ ➡️ ขาดการอัปเดตและการตรวจสอบความปลอดภัยอย่างสม่ำเสมอ ✅ งบประมาณด้าน cybersecurity มักถูกจัดสรรน้อย เพราะมีความต้องการอื่นที่เร่งด่วนกว่า ➡️ การอัปเกรดระบบหรือใช้เครื่องมือรักษาความปลอดภัยขั้นสูงจึงทำได้ยาก ➡️ ส่งผลให้เมืองเล็ก ๆ กลายเป็นเป้าหมายที่ง่ายสำหรับแฮกเกอร์ ✅ เจ้าหน้าที่เทศบาลมักไม่ได้รับการฝึกอบรมด้าน cybersecurity อย่างเพียงพอ ➡️ เสี่ยงต่อการตกเป็นเหยื่อของ phishing หรือ social engineering ➡️ ความผิดพลาดของมนุษย์เป็นจุดอ่อนหลักของระบบความปลอดภัย ✅ การฝึกอบรมและการร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญภายนอกสามารถช่วยเสริมความปลอดภัยได้ ➡️ การจัดอบรมอย่างสม่ำเสมอช่วยให้เจ้าหน้าที่รับมือกับภัยคุกคามใหม่ ๆ ➡️ การร่วมมือกับบริษัท cybersecurity หรือหน่วยงานรัฐช่วยเพิ่มทรัพยากรและความรู้ ✅ นโยบายและกฎระเบียบสามารถสร้างมาตรฐานขั้นต่ำด้านความปลอดภัยให้กับเทศบาล ➡️ เช่น การตรวจสอบระบบเป็นระยะ และการฝึกอบรมพนักงานเป็นข้อบังคับ ➡️ ช่วยให้เกิดความสม่ำเสมอและความร่วมมือระหว่างเมืองต่าง ๆ ‼️ การละเลยด้าน cybersecurity อาจทำให้บริการพื้นฐานของเมืองหยุดชะงักทันทีเมื่อถูกโจมตี ⛔ ส่งผลต่อความปลอดภัยของประชาชน เช่น การตอบสนองฉุกเฉินล่าช้า ⛔ อาจเกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจและสังคมในวงกว้าง ‼️ การใช้เทคโนโลยีเก่าโดยไม่มีการอัปเดตเป็นช่องโหว่ที่แฮกเกอร์ใช้เจาะระบบได้ง่าย ⛔ ระบบที่ไม่รองรับการป้องกันภัยใหม่ ๆ จะถูกโจมตีได้โดยไม่ต้องใช้เทคนิคซับซ้อน ⛔ อาจถูกใช้เป็นฐานโจมตีระบบอื่นในเครือข่าย ‼️ การขาดการฝึกอบรมทำให้เจ้าหน้าที่กลายเป็นจุดอ่อนของระบบความปลอดภัย ⛔ การคลิกลิงก์ปลอมหรือเปิดไฟล์แนบอันตรายอาจทำให้ระบบถูกแฮก ⛔ ความผิดพลาดเล็ก ๆ อาจนำไปสู่การละเมิดข้อมูลครั้งใหญ่ ‼️ การไม่มีนโยบายหรือมาตรฐานกลางทำให้แต่ละเมืองมีระดับความปลอดภัยไม่เท่ากัน ⛔ เมืองที่ไม่มีทรัพยากรอาจไม่มีการป้องกันเลย ⛔ ส่งผลต่อความมั่นคงของภูมิภาคโดยรวม ✅ การใช้กรอบการทำงานของ NIST ช่วยให้เทศบาลวางแผนด้าน cybersecurity ได้อย่างเป็นระบบ ➡️ ครอบคลุม 5 ด้าน: Identify, Protect, Detect, Respond, Recover ➡️ มีเครื่องมือและคู่มือให้ใช้ฟรีจากเว็บไซต์ของ NIST ✅ การทำประกันภัยไซเบอร์ช่วยลดความเสี่ยงทางการเงินเมื่อเกิดเหตุการณ์โจมตี ➡️ คุ้มครองความเสียหายจากการละเมิดข้อมูลและการหยุดชะงักของระบบ ➡️ แต่ต้องศึกษาข้อกำหนดและค่าใช้จ่ายให้รอบคอบ ✅ การประเมินระบบอย่างสม่ำเสมอช่วยให้รู้จุดอ่อนและปรับปรุงได้ทันเวลา ➡️ ใช้เครื่องมือฟรีจาก CISA เช่น Cyber Resilience Review และ CSET ➡️ ไม่จำเป็นต้องจ้างบริษัทภายนอกที่มีค่าใช้จ่ายสูงเสมอไป https://hackread.com/local-government-cybersecurity-municipal-systems-protection/
    HACKREAD.COM
    Local Government Cybersecurity: Why Municipal Systems Need Extra Protection
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 234 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากข่าว: กล้องวงจรปิด Dahua เสี่ยงถูกแฮก—Bitdefender เตือนให้อัปเดตด่วน!

    Bitdefender บริษัทด้านความปลอดภัยไซเบอร์ชื่อดัง ได้เปิดเผยช่องโหว่ร้ายแรง 2 รายการในกล้อง Dahua รุ่น Hero C1 และอีกหลายรุ่นที่ใช้โปรโตคอล ONVIF และระบบจัดการไฟล์แบบ RPC ช่องโหว่เหล่านี้เปิดทางให้ผู้ไม่ประสงค์ดีสามารถควบคุมกล้องได้จากระยะไกล โดยไม่ต้องมีสิทธิ์เข้าระบบ

    ช่องโหว่แรก (CVE-2025-31700) เป็นการล้นบัฟเฟอร์บน stack จากการจัดการ HTTP header ที่ผิดพลาดใน ONVIF protocol ส่วนช่องโหว่ที่สอง (CVE-2025-31701) เป็นการล้นหน่วยความจำ .bss จากการจัดการข้อมูลไฟล์อัปโหลดที่ไม่ปลอดภัย

    Bitdefender รายงานช่องโหว่ต่อ Dahua ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2025 และ Dahua ได้ออกแพตช์แก้ไขเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2025 พร้อมเผยแพร่คำแนะนำสาธารณะในวันที่ 23 กรกฎาคม 2025

    พบช่องโหว่ร้ายแรง 2 รายการในกล้อง Dahua รุ่น Hero C1 และรุ่นอื่น ๆ
    CVE-2025-31700: Stack-based buffer overflow ใน ONVIF protocol
    CVE-2025-31701: .bss segment overflow ใน file upload handler

    ช่องโหว่เปิดทางให้แฮกเกอร์ควบคุมกล้องจากระยะไกลโดยไม่ต้องล็อกอิน
    สามารถรันคำสั่ง, ติดตั้งมัลแวร์, และเข้าถึง root-level ได้
    เสี่ยงต่อการถูกใช้เป็นฐานโจมตีหรือสอดแนม

    กล้องที่ได้รับผลกระทบรวมถึง IPC-1XXX, IPC-2XXX, IPC-WX, SD-series และอื่น ๆ
    เฟิร์มแวร์ที่เก่ากว่า 16 เมษายน 2025 ถือว่าเสี่ยง
    ผู้ใช้สามารถตรวจสอบเวอร์ชันได้จากหน้า Settings → System Information

    Bitdefender และ Dahua ร่วมมือกันในการเปิดเผยช่องโหว่แบบมีความรับผิดชอบ
    รายงานครั้งแรกเมื่อ 28 มีนาคม 2025
    Dahua ออกแพตช์เมื่อ 7 กรกฎาคม และเผยแพร่คำแนะนำเมื่อ 23 กรกฎาคม

    ช่องโหว่สามารถถูกโจมตีผ่านเครือข่ายภายในหรืออินเทอร์เน็ต หากเปิดพอร์ตหรือใช้ UPnP
    การเปิด web interface สู่ภายนอกเพิ่มความเสี่ยง
    UPnP และ port forwarding ควรถูกปิดทันที

    https://hackread.com/bitdefender-update-dahua-cameras-critical-flaws/
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: กล้องวงจรปิด Dahua เสี่ยงถูกแฮก—Bitdefender เตือนให้อัปเดตด่วน! Bitdefender บริษัทด้านความปลอดภัยไซเบอร์ชื่อดัง ได้เปิดเผยช่องโหว่ร้ายแรง 2 รายการในกล้อง Dahua รุ่น Hero C1 และอีกหลายรุ่นที่ใช้โปรโตคอล ONVIF และระบบจัดการไฟล์แบบ RPC ช่องโหว่เหล่านี้เปิดทางให้ผู้ไม่ประสงค์ดีสามารถควบคุมกล้องได้จากระยะไกล โดยไม่ต้องมีสิทธิ์เข้าระบบ ช่องโหว่แรก (CVE-2025-31700) เป็นการล้นบัฟเฟอร์บน stack จากการจัดการ HTTP header ที่ผิดพลาดใน ONVIF protocol ส่วนช่องโหว่ที่สอง (CVE-2025-31701) เป็นการล้นหน่วยความจำ .bss จากการจัดการข้อมูลไฟล์อัปโหลดที่ไม่ปลอดภัย Bitdefender รายงานช่องโหว่ต่อ Dahua ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2025 และ Dahua ได้ออกแพตช์แก้ไขเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2025 พร้อมเผยแพร่คำแนะนำสาธารณะในวันที่ 23 กรกฎาคม 2025 ✅ พบช่องโหว่ร้ายแรง 2 รายการในกล้อง Dahua รุ่น Hero C1 และรุ่นอื่น ๆ ➡️ CVE-2025-31700: Stack-based buffer overflow ใน ONVIF protocol ➡️ CVE-2025-31701: .bss segment overflow ใน file upload handler ✅ ช่องโหว่เปิดทางให้แฮกเกอร์ควบคุมกล้องจากระยะไกลโดยไม่ต้องล็อกอิน ➡️ สามารถรันคำสั่ง, ติดตั้งมัลแวร์, และเข้าถึง root-level ได้ ➡️ เสี่ยงต่อการถูกใช้เป็นฐานโจมตีหรือสอดแนม ✅ กล้องที่ได้รับผลกระทบรวมถึง IPC-1XXX, IPC-2XXX, IPC-WX, SD-series และอื่น ๆ ➡️ เฟิร์มแวร์ที่เก่ากว่า 16 เมษายน 2025 ถือว่าเสี่ยง ➡️ ผู้ใช้สามารถตรวจสอบเวอร์ชันได้จากหน้า Settings → System Information ✅ Bitdefender และ Dahua ร่วมมือกันในการเปิดเผยช่องโหว่แบบมีความรับผิดชอบ ➡️ รายงานครั้งแรกเมื่อ 28 มีนาคม 2025 ➡️ Dahua ออกแพตช์เมื่อ 7 กรกฎาคม และเผยแพร่คำแนะนำเมื่อ 23 กรกฎาคม ✅ ช่องโหว่สามารถถูกโจมตีผ่านเครือข่ายภายในหรืออินเทอร์เน็ต หากเปิดพอร์ตหรือใช้ UPnP ➡️ การเปิด web interface สู่ภายนอกเพิ่มความเสี่ยง ➡️ UPnP และ port forwarding ควรถูกปิดทันที https://hackread.com/bitdefender-update-dahua-cameras-critical-flaws/
    HACKREAD.COM
    Bitdefender Warns Users to Update Dahua Cameras Over Critical Flaws
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 177 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากข่าว: เมื่อวัสดุควอนตัมเปลี่ยนโลก—จากซิลิคอนสู่ยุคแห่งแสงและความเร็วระดับเทระเฮิรตซ์

    นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Northeastern ได้ค้นพบวิธีควบคุมพฤติกรรมของวัสดุควอนตัมชื่อว่า 1T-TaS₂ ซึ่งเป็นคริสตัลประเภท transition metal dichalcogenide โดยใช้เทคนิค “thermal quenching” หรือการควบคุมอุณหภูมิอย่างแม่นยำผ่านการให้ความร้อนและทำให้เย็นลงอย่างรวดเร็ว

    เดิมทีวัสดุนี้จะแสดงสถานะโลหะพิเศษเฉพาะเมื่ออยู่ในอุณหภูมิที่เย็นจัดเท่านั้น แต่ทีมวิจัยสามารถทำให้สถานะนี้คงอยู่ได้ที่อุณหภูมิใกล้เคียงกับอุณหภูมิห้อง และยังคงเสถียรได้นานหลายเดือน ซึ่งถือเป็นก้าวกระโดดครั้งใหญ่ เพราะก่อนหน้านี้สถานะนี้จะอยู่ได้เพียงเสี้ยววินาที

    สิ่งที่น่าตื่นเต้นคือ พวกเขาใช้ “แสง” เพื่อควบคุมการเปลี่ยนแปลงของวัสดุ—ซึ่งเป็นความเร็วสูงสุดที่ฟิสิกส์อนุญาตให้เกิดขึ้นได้ การควบคุมนี้คล้ายกับการทำงานของทรานซิสเตอร์ แต่ไม่ต้องใช้วัสดุหลายชนิดหรืออินเทอร์เฟซซับซ้อนอีกต่อไป

    ผลลัพธ์คืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถทำงานได้เร็วขึ้นถึงระดับ “เทระเฮิรตซ์” แทนที่จะเป็น “กิกะเฮิรตซ์” แบบที่เราใช้กันในปัจจุบัน และยังใช้พื้นที่น้อยลงอย่างมหาศาล ซึ่งเหมาะกับยุคที่ชิปต้องถูกซ้อนกันในแนวตั้งเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ

    วัสดุควอนตัม 1T-TaS₂ สามารถเปลี่ยนสถานะจากฉนวนเป็นตัวนำไฟฟ้าได้ตามอุณหภูมิ
    ใช้เทคนิค thermal quenching เพื่อควบคุมสถานะ
    สถานะโลหะที่เคยเกิดเฉพาะในอุณหภูมิต่ำมาก ตอนนี้เกิดได้ใกล้ระดับห้อง

    สถานะโลหะที่ซ่อนอยู่ (hidden metallic state) สามารถคงอยู่ได้นานหลายเดือน
    ก่อนหน้านี้อยู่ได้เพียงเสี้ยววินาที
    ทำให้มีโอกาสนำไปใช้ในอุปกรณ์จริงได้

    การควบคุมวัสดุด้วยแสงเป็นวิธีที่เร็วที่สุดตามหลักฟิสิกส์
    ไม่ต้องใช้หลายวัสดุหรืออินเทอร์เฟซซับซ้อน
    ลดขนาดและความซับซ้อนของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์

    สามารถเพิ่มความเร็วของโปรเซสเซอร์จากระดับกิกะเฮิรตซ์เป็นเทระเฮิรตซ์
    เร็วขึ้นถึง 1000 เท่า
    เหมาะกับการประมวลผลข้อมูลจำนวนมหาศาล

    การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภายในของวัสดุทำให้เกิดการขยายเซลล์ผลึกในบางทิศทาง
    ใช้เทคนิค X-ray mapping และ scanning tunneling spectroscopy
    พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงสมมาตรของ mirror symmetry ภายในวัสดุ

    วัสดุนี้สามารถใช้แทนซิลิคอนในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ได้
    เหมาะกับการออกแบบชิปแบบ 3D ที่มีพื้นที่จำกัด
    เป็นทางเลือกใหม่ในยุคที่ซิลิคอนเริ่มถึงขีดจำกัด

    เทคนิค thermal quenching ต้องควบคุมอุณหภูมิอย่างแม่นยำและรวดเร็ว
    หากเร็วเกินไป อาจทำให้สถานะควอนตัมล่มสลาย
    ต้องใช้เครื่องมือเฉพาะทางและสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม

    สถานะโลหะที่ซ่อนอยู่ยังไม่สามารถนำไปใช้ในอุปกรณ์ทั่วไปได้ทันที
    ต้องผ่านการทดลองเพิ่มเติมเพื่อความเสถียรในสภาพใช้งานจริง
    ยังต้องพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตในระดับอุตสาหกรรม

    การเปลี่ยนจากซิลิคอนไปสู่วัสดุควอนตัมต้องเปลี่ยนแนวคิดการออกแบบชิปทั้งหมด
    วิศวกรต้องเรียนรู้การควบคุมวัสดุใหม่
    ต้องมีการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาอย่างมาก

    วัสดุ 1T-TaS₂ มีโครงสร้างแบบ van der Waals ที่เหมาะกับการสร้างชิปแบบบางเฉียบ
    สามารถซ้อนกันได้โดยไม่เสียคุณสมบัติ
    เหมาะกับการออกแบบอุปกรณ์พกพาและ IoT

    สถานะ CDW (charge density wave) มีหลายรูปแบบและสามารถควบคุมได้ด้วยแสงและอุณหภูมิ
    มีทั้งแบบ commensurate และ hidden metallic
    การควบคุม CDW เป็นกุญแจสำคัญในการเปลี่ยนสถานะของวัสดุ

    การใช้วัสดุควอนตัมเป็นอีกทางเลือกนอกเหนือจากการพัฒนา quantum computing
    ไม่ต้องใช้ qubit แต่ยังได้ความเร็วระดับควอนตัม
    เหมาะกับการใช้งานทั่วไปที่ต้องการความเร็วสูง

    https://www.neowin.net/news/the-fastest-thing-known-to-man-is-all-set-to-make-your-pcs--phones-1000-times-faster/
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: เมื่อวัสดุควอนตัมเปลี่ยนโลก—จากซิลิคอนสู่ยุคแห่งแสงและความเร็วระดับเทระเฮิรตซ์ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Northeastern ได้ค้นพบวิธีควบคุมพฤติกรรมของวัสดุควอนตัมชื่อว่า 1T-TaS₂ ซึ่งเป็นคริสตัลประเภท transition metal dichalcogenide โดยใช้เทคนิค “thermal quenching” หรือการควบคุมอุณหภูมิอย่างแม่นยำผ่านการให้ความร้อนและทำให้เย็นลงอย่างรวดเร็ว เดิมทีวัสดุนี้จะแสดงสถานะโลหะพิเศษเฉพาะเมื่ออยู่ในอุณหภูมิที่เย็นจัดเท่านั้น แต่ทีมวิจัยสามารถทำให้สถานะนี้คงอยู่ได้ที่อุณหภูมิใกล้เคียงกับอุณหภูมิห้อง และยังคงเสถียรได้นานหลายเดือน ซึ่งถือเป็นก้าวกระโดดครั้งใหญ่ เพราะก่อนหน้านี้สถานะนี้จะอยู่ได้เพียงเสี้ยววินาที สิ่งที่น่าตื่นเต้นคือ พวกเขาใช้ “แสง” เพื่อควบคุมการเปลี่ยนแปลงของวัสดุ—ซึ่งเป็นความเร็วสูงสุดที่ฟิสิกส์อนุญาตให้เกิดขึ้นได้ การควบคุมนี้คล้ายกับการทำงานของทรานซิสเตอร์ แต่ไม่ต้องใช้วัสดุหลายชนิดหรืออินเทอร์เฟซซับซ้อนอีกต่อไป ผลลัพธ์คืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถทำงานได้เร็วขึ้นถึงระดับ “เทระเฮิรตซ์” แทนที่จะเป็น “กิกะเฮิรตซ์” แบบที่เราใช้กันในปัจจุบัน และยังใช้พื้นที่น้อยลงอย่างมหาศาล ซึ่งเหมาะกับยุคที่ชิปต้องถูกซ้อนกันในแนวตั้งเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ✅ วัสดุควอนตัม 1T-TaS₂ สามารถเปลี่ยนสถานะจากฉนวนเป็นตัวนำไฟฟ้าได้ตามอุณหภูมิ ➡️ ใช้เทคนิค thermal quenching เพื่อควบคุมสถานะ ➡️ สถานะโลหะที่เคยเกิดเฉพาะในอุณหภูมิต่ำมาก ตอนนี้เกิดได้ใกล้ระดับห้อง ✅ สถานะโลหะที่ซ่อนอยู่ (hidden metallic state) สามารถคงอยู่ได้นานหลายเดือน ➡️ ก่อนหน้านี้อยู่ได้เพียงเสี้ยววินาที ➡️ ทำให้มีโอกาสนำไปใช้ในอุปกรณ์จริงได้ ✅ การควบคุมวัสดุด้วยแสงเป็นวิธีที่เร็วที่สุดตามหลักฟิสิกส์ ➡️ ไม่ต้องใช้หลายวัสดุหรืออินเทอร์เฟซซับซ้อน ➡️ ลดขนาดและความซับซ้อนของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ✅ สามารถเพิ่มความเร็วของโปรเซสเซอร์จากระดับกิกะเฮิรตซ์เป็นเทระเฮิรตซ์ ➡️ เร็วขึ้นถึง 1000 เท่า ➡️ เหมาะกับการประมวลผลข้อมูลจำนวนมหาศาล ✅ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภายในของวัสดุทำให้เกิดการขยายเซลล์ผลึกในบางทิศทาง ➡️ ใช้เทคนิค X-ray mapping และ scanning tunneling spectroscopy ➡️ พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงสมมาตรของ mirror symmetry ภายในวัสดุ ✅ วัสดุนี้สามารถใช้แทนซิลิคอนในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ได้ ➡️ เหมาะกับการออกแบบชิปแบบ 3D ที่มีพื้นที่จำกัด ➡️ เป็นทางเลือกใหม่ในยุคที่ซิลิคอนเริ่มถึงขีดจำกัด ‼️ เทคนิค thermal quenching ต้องควบคุมอุณหภูมิอย่างแม่นยำและรวดเร็ว ⛔ หากเร็วเกินไป อาจทำให้สถานะควอนตัมล่มสลาย ⛔ ต้องใช้เครื่องมือเฉพาะทางและสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ‼️ สถานะโลหะที่ซ่อนอยู่ยังไม่สามารถนำไปใช้ในอุปกรณ์ทั่วไปได้ทันที ⛔ ต้องผ่านการทดลองเพิ่มเติมเพื่อความเสถียรในสภาพใช้งานจริง ⛔ ยังต้องพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตในระดับอุตสาหกรรม ‼️ การเปลี่ยนจากซิลิคอนไปสู่วัสดุควอนตัมต้องเปลี่ยนแนวคิดการออกแบบชิปทั้งหมด ⛔ วิศวกรต้องเรียนรู้การควบคุมวัสดุใหม่ ⛔ ต้องมีการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาอย่างมาก ✅ วัสดุ 1T-TaS₂ มีโครงสร้างแบบ van der Waals ที่เหมาะกับการสร้างชิปแบบบางเฉียบ ➡️ สามารถซ้อนกันได้โดยไม่เสียคุณสมบัติ ➡️ เหมาะกับการออกแบบอุปกรณ์พกพาและ IoT ✅ สถานะ CDW (charge density wave) มีหลายรูปแบบและสามารถควบคุมได้ด้วยแสงและอุณหภูมิ ➡️ มีทั้งแบบ commensurate และ hidden metallic ➡️ การควบคุม CDW เป็นกุญแจสำคัญในการเปลี่ยนสถานะของวัสดุ ✅ การใช้วัสดุควอนตัมเป็นอีกทางเลือกนอกเหนือจากการพัฒนา quantum computing ➡️ ไม่ต้องใช้ qubit แต่ยังได้ความเร็วระดับควอนตัม ➡️ เหมาะกับการใช้งานทั่วไปที่ต้องการความเร็วสูง https://www.neowin.net/news/the-fastest-thing-known-to-man-is-all-set-to-make-your-pcs--phones-1000-times-faster/
    WWW.NEOWIN.NET
    The fastest thing known to man is all set to make your PCs & phones "1000 times faster"
    Researchers unveil a quantum switch activated by the fastest thing known to man, potentially revolutionizing computing as it promises to be "1000 times faster."
    0 Comments 0 Shares 209 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากข่าว: นักพัฒนาใช้ AI มากขึ้น แต่เชื่อใจน้อยลง—เมื่อ “เกือบถูก” กลายเป็นต้นทุนที่ซ่อนอยู่

    จากผลสำรวจนักพัฒนากว่า 49,000 คนโดย Stack Overflow พบว่า 80% ใช้ AI ในงานเขียนโค้ดในปี 2025 ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่ในขณะเดียวกัน ความเชื่อมั่นในความแม่นยำของ AI กลับลดลงเหลือเพียง 29% จาก 40% ในปีก่อน

    ปัญหาหลักคือ “คำตอบที่เกือบถูก” จาก AI เช่น GitHub Copilot หรือ Cursor ที่ดูเหมือนจะใช้งานได้ แต่แฝงข้อผิดพลาดเชิงตรรกะหรือบั๊กที่ยากจะตรวจพบ โดยเฉพาะนักพัฒนารุ่นใหม่ที่มักเชื่อคำแนะนำของ AI มากเกินไป

    ผลคือ นักพัฒนาต้องเสียเวลานานในการดีบัก และกว่า 1 ใน 3 ต้องกลับไปหาคำตอบจาก Stack Overflow เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดจากโค้ดที่ AI สร้างขึ้น

    แม้จะมีโมเดลใหม่ที่เน้นการให้เหตุผลมากขึ้น แต่ปัญหา “เกือบถูก” ยังคงอยู่ เพราะเป็นธรรมชาติของการสร้างข้อความแบบคาดการณ์ ซึ่งไม่สามารถเข้าใจบริบทลึกได้เหมือนมนุษย์

    80% ของนักพัฒนาใช้ AI ในงานเขียนโค้ดในปี 2025
    เพิ่มขึ้นจาก 76% ในปี 2024
    เป็นการยอมรับอย่างกว้างขวางในวงการ

    ความเชื่อมั่นในความแม่นยำของ AI ลดลงเหลือ 29%
    จาก 40% ในปี 2024 และ 43% ในปี 2023
    สะท้อนความกังวลเรื่องคุณภาพของผลลัพธ์

    45% ของนักพัฒนาระบุว่าการดีบักโค้ดจาก AI ใช้เวลามากกว่าที่คาด
    โดยเฉพาะเมื่อโค้ดดูเหมือนถูกแต่มีข้อผิดพลาดซ่อนอยู่
    ส่งผลให้ workflow สะดุดและเสียเวลา

    มากกว่า 1 ใน 3 ของนักพัฒนาเข้า Stack Overflow เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดจาก AI
    แสดงว่า AI ไม่สามารถแทนที่ความรู้จากชุมชนได้
    Stack Overflow ยังมีบทบาทสำคัญในการแก้ปัญหา

    72% ของนักพัฒนาไม่ใช้ “vibe coding” หรือการวางโค้ดจาก AI โดยไม่ตรวจสอบ
    เพราะเสี่ยงต่อการเกิดบั๊กที่ยากตรวจจับ
    ไม่เหมาะกับการใช้งานในระบบจริง

    AI ยังมีข้อดีด้านการเรียนรู้ โดยช่วยลดความยากในการเริ่มต้นภาษาใหม่หรือ framework ใหม่
    ให้คำตอบเฉพาะจุดที่ตรงกับบริบท
    เสริมการค้นหาจากเอกสารแบบเดิม

    โค้ดที่ “เกือบถูก” จาก AI อาจสร้างบั๊กที่ยากตรวจจับและใช้เวลานานในการแก้ไข
    โดยเฉพาะกับนักพัฒนาที่ไม่มีประสบการณ์
    อาจทำให้ระบบมีข้อผิดพลาดที่ไม่รู้ตัว

    การเชื่อคำแนะนำของ AI โดยไม่ตรวจสอบอาจทำให้เกิดความเสียหายในระบบจริง
    AI ไม่เข้าใจบริบทเชิงธุรกิจหรือข้อจำกัดเฉพาะ
    ต้องมีการตรวจสอบจากมนุษย์เสมอ

    การใช้ AI โดยไม่มีการฝึกอบรมหรือแนวทางที่ชัดเจนอาจสร้างภาระมากกว่าประโยชน์
    ผู้ใช้ต้องเข้าใจขีดจำกัดของเครื่องมือ
    ต้องมี mindset ที่ไม่พึ่งพา AI อย่างเดียว

    การใช้ autocomplete จาก AI โดยไม่พิจารณาอาจฝังข้อผิดพลาดลงในระบบ
    ต้องใช้ AI เป็น “คู่คิด” ไม่ใช่ “ผู้แทน”
    ควรใช้เพื่อเสนอไอเดีย ไม่ใช่แทนการเขียนทั้งหมด

    https://www.techspot.com/news/108907-developers-increasingly-embrace-ai-tools-even-their-trust.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: นักพัฒนาใช้ AI มากขึ้น แต่เชื่อใจน้อยลง—เมื่อ “เกือบถูก” กลายเป็นต้นทุนที่ซ่อนอยู่ จากผลสำรวจนักพัฒนากว่า 49,000 คนโดย Stack Overflow พบว่า 80% ใช้ AI ในงานเขียนโค้ดในปี 2025 ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่ในขณะเดียวกัน ความเชื่อมั่นในความแม่นยำของ AI กลับลดลงเหลือเพียง 29% จาก 40% ในปีก่อน ปัญหาหลักคือ “คำตอบที่เกือบถูก” จาก AI เช่น GitHub Copilot หรือ Cursor ที่ดูเหมือนจะใช้งานได้ แต่แฝงข้อผิดพลาดเชิงตรรกะหรือบั๊กที่ยากจะตรวจพบ โดยเฉพาะนักพัฒนารุ่นใหม่ที่มักเชื่อคำแนะนำของ AI มากเกินไป ผลคือ นักพัฒนาต้องเสียเวลานานในการดีบัก และกว่า 1 ใน 3 ต้องกลับไปหาคำตอบจาก Stack Overflow เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดจากโค้ดที่ AI สร้างขึ้น แม้จะมีโมเดลใหม่ที่เน้นการให้เหตุผลมากขึ้น แต่ปัญหา “เกือบถูก” ยังคงอยู่ เพราะเป็นธรรมชาติของการสร้างข้อความแบบคาดการณ์ ซึ่งไม่สามารถเข้าใจบริบทลึกได้เหมือนมนุษย์ ✅ 80% ของนักพัฒนาใช้ AI ในงานเขียนโค้ดในปี 2025 ➡️ เพิ่มขึ้นจาก 76% ในปี 2024 ➡️ เป็นการยอมรับอย่างกว้างขวางในวงการ ✅ ความเชื่อมั่นในความแม่นยำของ AI ลดลงเหลือ 29% ➡️ จาก 40% ในปี 2024 และ 43% ในปี 2023 ➡️ สะท้อนความกังวลเรื่องคุณภาพของผลลัพธ์ ✅ 45% ของนักพัฒนาระบุว่าการดีบักโค้ดจาก AI ใช้เวลามากกว่าที่คาด ➡️ โดยเฉพาะเมื่อโค้ดดูเหมือนถูกแต่มีข้อผิดพลาดซ่อนอยู่ ➡️ ส่งผลให้ workflow สะดุดและเสียเวลา ✅ มากกว่า 1 ใน 3 ของนักพัฒนาเข้า Stack Overflow เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดจาก AI ➡️ แสดงว่า AI ไม่สามารถแทนที่ความรู้จากชุมชนได้ ➡️ Stack Overflow ยังมีบทบาทสำคัญในการแก้ปัญหา ✅ 72% ของนักพัฒนาไม่ใช้ “vibe coding” หรือการวางโค้ดจาก AI โดยไม่ตรวจสอบ ➡️ เพราะเสี่ยงต่อการเกิดบั๊กที่ยากตรวจจับ ➡️ ไม่เหมาะกับการใช้งานในระบบจริง ✅ AI ยังมีข้อดีด้านการเรียนรู้ โดยช่วยลดความยากในการเริ่มต้นภาษาใหม่หรือ framework ใหม่ ➡️ ให้คำตอบเฉพาะจุดที่ตรงกับบริบท ➡️ เสริมการค้นหาจากเอกสารแบบเดิม ‼️ โค้ดที่ “เกือบถูก” จาก AI อาจสร้างบั๊กที่ยากตรวจจับและใช้เวลานานในการแก้ไข ⛔ โดยเฉพาะกับนักพัฒนาที่ไม่มีประสบการณ์ ⛔ อาจทำให้ระบบมีข้อผิดพลาดที่ไม่รู้ตัว ‼️ การเชื่อคำแนะนำของ AI โดยไม่ตรวจสอบอาจทำให้เกิดความเสียหายในระบบจริง ⛔ AI ไม่เข้าใจบริบทเชิงธุรกิจหรือข้อจำกัดเฉพาะ ⛔ ต้องมีการตรวจสอบจากมนุษย์เสมอ ‼️ การใช้ AI โดยไม่มีการฝึกอบรมหรือแนวทางที่ชัดเจนอาจสร้างภาระมากกว่าประโยชน์ ⛔ ผู้ใช้ต้องเข้าใจขีดจำกัดของเครื่องมือ ⛔ ต้องมี mindset ที่ไม่พึ่งพา AI อย่างเดียว ‼️ การใช้ autocomplete จาก AI โดยไม่พิจารณาอาจฝังข้อผิดพลาดลงในระบบ ⛔ ต้องใช้ AI เป็น “คู่คิด” ไม่ใช่ “ผู้แทน” ⛔ ควรใช้เพื่อเสนอไอเดีย ไม่ใช่แทนการเขียนทั้งหมด https://www.techspot.com/news/108907-developers-increasingly-embrace-ai-tools-even-their-trust.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Software developers use AI more than ever, but trust it less
    In its annual poll of 49,000 professional developers, Stack Overflow found that 80 percent use AI tools in their work in 2025, a share that has surged...
    0 Comments 0 Shares 195 Views 0 Reviews
  • SET แตะ 1250 จุด รับดีลภาษี 19% 01/08/68 #SET #ตลาดหุ้น #หุ้นไทย #ภาษีนำเข้า #เศรษฐกิจ
    SET แตะ 1250 จุด รับดีลภาษี 19% 01/08/68 #SET #ตลาดหุ้น #หุ้นไทย #ภาษีนำเข้า #เศรษฐกิจ
    0 Comments 0 Shares 320 Views 0 0 Reviews
  • Demigender, Maverique, And Other Gender Terms You May Not Know

    The language of queer identity is constantly evolving and expanding, and there will always be new terminology to learn. Pride Month is the perfect opportunity to increase understanding and awareness of the kind of emerging and newly prominent terms that we’re constantly adding to our Gender and Sexuality Dictionary.

    Language is an important part of how queer people, and particularly nonbinary and trans people, express and define their experience and who they are, whether it’s through the use of new terms or new applications of existing terms.

    Finding or coining the term that precisely reflects personal experience and identity can help a person to feel seen, accepted, or understood. It can be liberating and empowering both individually and in a way that creates community. And learning these terms helps to promote inclusion and respect.
    The explanations of the terms provided here are meant to capture the ways that most people use them. But it’s important to note that many of these terms can be and are applied in different—and equally valid—ways, with nuances and interpretations varying from person to person. It’s also important to emphasize that this list is not meant to be exhaustive—it simply covers some of the terms that have become increasingly visible in the discussion of the diverse expanse of gender.

    demigender
    Demigender is an umbrella term for people who identify partly, but not fully, with a certain gender. The prefix demi- means “half.” People who identify as demigender may use identifying terms like demigirl or demiboy.

    Demigender is distinct from bigender, which indicates two genders or a combination of two. The term demigender is sometimes considered to overlap with genderflux, which is used by people who experience a range of intensity within a gender identity.

    This means that a genderflux individual may experience the feeling of multiple genders on any given day (or moment). The term gender-fluid is sometimes used synonymously with genderflux.

    femme
    The word femme, occasionally spelled fem, comes from the French word for “woman.” It was first adopted into English to mean simply “woman” or “wife.” However, by the 1960s, it came to refer to “a lesbian who embraces identity markers that are associated with traditional expressions of femininity.” This sense of femme is often contrasted with butch, “a lesbian who embraces identity markers that are associated with traditional expressions of masculinity.”

    Separate from this long-standing sense, the term femme has taken on a broader meaning in recent years. Femme is now also used to mean “any person who adopts a feminine appearance, manner, or persona.” This meaning of femme is inclusive of all genders with a feminine aspect—it may be used by someone who identifies as a trans woman or a demigirl, for example.

    xenogender
    When it comes to expressions of gender, there are many terms that go “beyond the binary” of masculine and feminine identities. One example is xenogender, an umbrella term for nonbinary genders that do not relate to the categories of “female” or “male.” Such gender identities are often expressed by attaching -gender to a word (often a noun) that’s representative of it, like an animal, concept, or symbol, such as staticgender or sciencegender.

    The combining form xeno- means “alien” or “strange,” from the Greek xénos, meaning “stranger, guest.” Xenogender is meant to indicate a person’s sense of their gender as being completely unrelated to typical gender identities. Early uses of the term xenogender are thought to have emerged around 2017, with an increase in use beginning around 2020. Still, awareness of the term is relatively low.

    neutrois
    Like xenogender, neutrois refers to a gender identity that does not relate to male or female identities. Neutrois people are non-gendered and may transition away from having physical signifiers traditionally associated with gender expression. This is distinct from an androgynous identity, in which a person has “both masucline and feminine gender characteristics.” According to Neutrois Outpost, a website dedicated to neutrois people, the word neutrois was coined by H.A. Burnham in the 1990s. The origin of neutrois is unclear, but it is likely related to the French neutre, meaning “neuter, neither masculine nor feminine,” and trois, “three,” a reference to it representing a third gender.

    aporagender
    Another nonbinary gender identity is aporagender. Aporagender is distinct from male, female, or any gender along the binary spectrum, but still involves experiencing a strong gender identity. Like xenogender identities, aporagender identities are connected to an identity beyond a binary. This makes aporagender people different from neutrois people in that they have a gender identity.

    The word aporagender is thought to have been coined in 2014 by a user of the website Tumblr. The apora- part of the word comes from the Greek apó, meaning “away off, apart,” or “separate.” In other words, aporagender is a “separate gender,” neither male nor female nor anything in between.

    maverique
    Like aporagender, maverique was coined in 2014 by a Tumblr user, Vesper H., who defines the term on their FAQ page as an “inner conviction regarding a sense of self that is entirely independent of male/masculinity, female/femininity or anything which derives from the two while still being neither without gender, nor of a neutral gender.” In this way, a maverique gender is said to be unique and separate from the gender binary.

    The term comes from a combination of the English maverick, referring to someone who is “unorthodox” or “nonconformist,” and the French suffix -ique, meaning “having some characteristics of” or “-like,” similar to the English -ic. Maverique can be pronounced either [ mav-reek ] or [ mav-uh–reek ].

    gendervoid
    Another set of gender identities that falls under the nonbinary umbrella is gendervoid, referring to the sense that there is “an empty space,” a void, where a gender identity would be. Those who identify as gendervoid may feel unable to experience gender. When describing gender identity, void- can also be used as a prefix, as in voidboy or voidgirl, which are used for a person who identifies with some aspect of masculinity or femininity while also experiencing a gender “void.” The term is sometimes used synonymously with agender, but some make the distinction that agender represents gender neutrality while gendervoid represents a complete lack of gender.

    māhū
    Within Native Hawaiian and Tahitian cultures, the gender identity said to be between male and female is known as māhū [ ma-hoo ]. Traditionally, māhū people were highly respected in their communities for their knowledge of rituals and healing practices. While historically māhū people have faced marginalization and discrimination, there is growing recognition of them and their contributions to the life and culture of their communities.

    hijra
    While there is a variety of third genders in many cultures throughout the Indian subcontinent, one of the more common ones is hijra [ hij–ruh ], referring to “a person whose gender identity is neither male nor female, typically a person who was assigned male at birth but whose gender expression is female.” It can also more generally refer to a transgender person.

    Members of the hijra community often live apart from other communities. Believed by many Hindus to have particular religious power due to their gender, the hijra are often hired to perform dances and blessings at momentous occasions, such as weddings and births.

    fa’afafine and fa’afatama
    In Samoan culture, both in Samoa and in Samoan communities around the world, the terms fa’afafine [ fa-af-ah-feen-eh ] and fa’afatama [ fa-af-ah–tah-mah ] are used to refer to those who express both masculine and feminine gender characteristics. Fa’afafine refers to a person assigned male at birth with female characteristics, while fa’afatama refers to a person assigned female at birth with male characteristics. The prefix fa’a- means “in the manner of,” while fafine means “woman” and fatama means “man.”

    Fa’afafine and fa’afatama people are particularly noted for their role as a ceremonial host—or taupou—during rituals.

    It is important to note that māhū, hijra, fa’afafine, and fa’afatama are connected to specific cultural conceptions of gender and, as such, are not directly analogous to each other or other terms used by transgender people.

    These are only a few of the many terms you may encounter in the discussion and expression of gender identity. You can find many more in Gender and Sexuality Dictionary, which it regularly update with new terms and meanings to reflect evolving terminology.

    © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    Demigender, Maverique, And Other Gender Terms You May Not Know The language of queer identity is constantly evolving and expanding, and there will always be new terminology to learn. Pride Month is the perfect opportunity to increase understanding and awareness of the kind of emerging and newly prominent terms that we’re constantly adding to our Gender and Sexuality Dictionary. Language is an important part of how queer people, and particularly nonbinary and trans people, express and define their experience and who they are, whether it’s through the use of new terms or new applications of existing terms. Finding or coining the term that precisely reflects personal experience and identity can help a person to feel seen, accepted, or understood. It can be liberating and empowering both individually and in a way that creates community. And learning these terms helps to promote inclusion and respect. The explanations of the terms provided here are meant to capture the ways that most people use them. But it’s important to note that many of these terms can be and are applied in different—and equally valid—ways, with nuances and interpretations varying from person to person. It’s also important to emphasize that this list is not meant to be exhaustive—it simply covers some of the terms that have become increasingly visible in the discussion of the diverse expanse of gender. demigender Demigender is an umbrella term for people who identify partly, but not fully, with a certain gender. The prefix demi- means “half.” People who identify as demigender may use identifying terms like demigirl or demiboy. Demigender is distinct from bigender, which indicates two genders or a combination of two. The term demigender is sometimes considered to overlap with genderflux, which is used by people who experience a range of intensity within a gender identity. This means that a genderflux individual may experience the feeling of multiple genders on any given day (or moment). The term gender-fluid is sometimes used synonymously with genderflux. femme The word femme, occasionally spelled fem, comes from the French word for “woman.” It was first adopted into English to mean simply “woman” or “wife.” However, by the 1960s, it came to refer to “a lesbian who embraces identity markers that are associated with traditional expressions of femininity.” This sense of femme is often contrasted with butch, “a lesbian who embraces identity markers that are associated with traditional expressions of masculinity.” Separate from this long-standing sense, the term femme has taken on a broader meaning in recent years. Femme is now also used to mean “any person who adopts a feminine appearance, manner, or persona.” This meaning of femme is inclusive of all genders with a feminine aspect—it may be used by someone who identifies as a trans woman or a demigirl, for example. xenogender When it comes to expressions of gender, there are many terms that go “beyond the binary” of masculine and feminine identities. One example is xenogender, an umbrella term for nonbinary genders that do not relate to the categories of “female” or “male.” Such gender identities are often expressed by attaching -gender to a word (often a noun) that’s representative of it, like an animal, concept, or symbol, such as staticgender or sciencegender. The combining form xeno- means “alien” or “strange,” from the Greek xénos, meaning “stranger, guest.” Xenogender is meant to indicate a person’s sense of their gender as being completely unrelated to typical gender identities. Early uses of the term xenogender are thought to have emerged around 2017, with an increase in use beginning around 2020. Still, awareness of the term is relatively low. neutrois Like xenogender, neutrois refers to a gender identity that does not relate to male or female identities. Neutrois people are non-gendered and may transition away from having physical signifiers traditionally associated with gender expression. This is distinct from an androgynous identity, in which a person has “both masucline and feminine gender characteristics.” According to Neutrois Outpost, a website dedicated to neutrois people, the word neutrois was coined by H.A. Burnham in the 1990s. The origin of neutrois is unclear, but it is likely related to the French neutre, meaning “neuter, neither masculine nor feminine,” and trois, “three,” a reference to it representing a third gender. aporagender Another nonbinary gender identity is aporagender. Aporagender is distinct from male, female, or any gender along the binary spectrum, but still involves experiencing a strong gender identity. Like xenogender identities, aporagender identities are connected to an identity beyond a binary. This makes aporagender people different from neutrois people in that they have a gender identity. The word aporagender is thought to have been coined in 2014 by a user of the website Tumblr. The apora- part of the word comes from the Greek apó, meaning “away off, apart,” or “separate.” In other words, aporagender is a “separate gender,” neither male nor female nor anything in between. maverique Like aporagender, maverique was coined in 2014 by a Tumblr user, Vesper H., who defines the term on their FAQ page as an “inner conviction regarding a sense of self that is entirely independent of male/masculinity, female/femininity or anything which derives from the two while still being neither without gender, nor of a neutral gender.” In this way, a maverique gender is said to be unique and separate from the gender binary. The term comes from a combination of the English maverick, referring to someone who is “unorthodox” or “nonconformist,” and the French suffix -ique, meaning “having some characteristics of” or “-like,” similar to the English -ic. Maverique can be pronounced either [ mav-reek ] or [ mav-uh–reek ]. gendervoid Another set of gender identities that falls under the nonbinary umbrella is gendervoid, referring to the sense that there is “an empty space,” a void, where a gender identity would be. Those who identify as gendervoid may feel unable to experience gender. When describing gender identity, void- can also be used as a prefix, as in voidboy or voidgirl, which are used for a person who identifies with some aspect of masculinity or femininity while also experiencing a gender “void.” The term is sometimes used synonymously with agender, but some make the distinction that agender represents gender neutrality while gendervoid represents a complete lack of gender. māhū Within Native Hawaiian and Tahitian cultures, the gender identity said to be between male and female is known as māhū [ ma-hoo ]. Traditionally, māhū people were highly respected in their communities for their knowledge of rituals and healing practices. While historically māhū people have faced marginalization and discrimination, there is growing recognition of them and their contributions to the life and culture of their communities. hijra While there is a variety of third genders in many cultures throughout the Indian subcontinent, one of the more common ones is hijra [ hij–ruh ], referring to “a person whose gender identity is neither male nor female, typically a person who was assigned male at birth but whose gender expression is female.” It can also more generally refer to a transgender person. Members of the hijra community often live apart from other communities. Believed by many Hindus to have particular religious power due to their gender, the hijra are often hired to perform dances and blessings at momentous occasions, such as weddings and births. fa’afafine and fa’afatama In Samoan culture, both in Samoa and in Samoan communities around the world, the terms fa’afafine [ fa-af-ah-feen-eh ] and fa’afatama [ fa-af-ah–tah-mah ] are used to refer to those who express both masculine and feminine gender characteristics. Fa’afafine refers to a person assigned male at birth with female characteristics, while fa’afatama refers to a person assigned female at birth with male characteristics. The prefix fa’a- means “in the manner of,” while fafine means “woman” and fatama means “man.” Fa’afafine and fa’afatama people are particularly noted for their role as a ceremonial host—or taupou—during rituals. It is important to note that māhū, hijra, fa’afafine, and fa’afatama are connected to specific cultural conceptions of gender and, as such, are not directly analogous to each other or other terms used by transgender people. These are only a few of the many terms you may encounter in the discussion and expression of gender identity. You can find many more in Gender and Sexuality Dictionary, which it regularly update with new terms and meanings to reflect evolving terminology. © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    0 Comments 0 Shares 273 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากหลังบ้าน Windows: Flyoobe กับภารกิจปลดล็อก Windows 11 บนเครื่องเก่า

    ในยุคที่ Windows 10 กำลังเข้าสู่จุดสิ้นสุดของการสนับสนุน และ Windows 11 กลับมีข้อกำหนดที่เข้มงวดอย่าง TPM 2.0, Secure Boot และ CPU รุ่นใหม่ ทำให้หลายเครื่องที่ยังใช้งานได้ดีถูกตัดสิทธิ์จากการอัปเกรด

    แต่ Flyoobe กลับมาพร้อมภารกิจใหม่—ไม่ใช่แค่ “ข้ามข้อกำหนด” แต่ยัง “คืนอำนาจให้ผู้ใช้” ตั้งแต่ขั้นตอนแรกของการติดตั้ง Windows 11

    Flyoobe เวอร์ชันล่าสุด 0.35 ได้เพิ่มฟีเจอร์ใหม่มากมาย เช่น:
    - ปรับแต่งธีมแยกสำหรับ Windows และแอป
    - ลบแอปที่ไม่จำเป็น (debloat)
    - เข้าร่วม domain ได้ตั้งแต่หน้าเริ่มต้น
    - ปรับปรุงหน้าการอัปเดต Windows ให้ชัดเจนและตอบสนองเร็วขึ้น
    - ปรับ UI ให้ใช้งานง่ายขึ้น

    แม้จะถูก Microsoft Defender แจ้งเตือนว่าเป็นไฟล์อันตราย แต่ผู้พัฒนาได้ยืนยันว่าเป็น false positive และ Microsoft จะลบการแจ้งเตือนนี้ในเร็ว ๆ นี้

    Flyby11 เปลี่ยนชื่อเป็น Flyoobe พร้อมฟีเจอร์ใหม่ในเวอร์ชัน 0.35
    “OOBE” หมายถึง “Out-of-Box Experience” หรือขั้นตอนติดตั้งเริ่มต้นของ Windows
    เป้าหมายคือให้ผู้ใช้ควบคุมการตั้งค่าได้ตั้งแต่เริ่มต้น

    สามารถติดตั้ง Windows 11 บนเครื่องที่ไม่รองรับ TPM 2.0, Secure Boot หรือ CPU รุ่นใหม่ได้
    ใช้เทคนิคจาก Windows Server setup ที่ไม่ตรวจสอบข้อกำหนดฮาร์ดแวร์
    ติดตั้ง Windows 11 รุ่นปกติได้แม้ผ่านตัวติดตั้งแบบ server

    ฟีเจอร์ใหม่ใน Flyoobe 0.35
    ปรับธีมแยกสำหรับ Windows และแอป
    ลบแอปที่ไม่จำเป็น (debloat)
    เข้าร่วม domain ได้จากหน้าเริ่มต้น
    ปรับปรุงหน้าการอัปเดตให้แสดงข้อมูลชัดเจน
    ปรับตำแหน่งปุ่มนำทางให้ใช้งานง่ายขึ้น

    Flyoobe ทำงานทันทีเมื่อเปิด ไม่ต้องติดตั้ง
    ใช้งานง่ายสำหรับผู้ใช้ทั่วไป
    รองรับการดาวน์โหลด ISO อัตโนมัติผ่าน Fido script

    ยังสามารถใช้เวอร์ชันเก่า Flyby11 ได้จาก GitHub
    สำหรับผู้ที่ชอบรูปแบบเดิม
    มีไฟล์ให้ดาวน์โหลดแยกต่างหาก

    https://www.neowin.net/news/popular-tool-for-bypassing-windows-11-requirements-check-gets-rebrand-and-new-oobe-features/
    🧠 เรื่องเล่าจากหลังบ้าน Windows: Flyoobe กับภารกิจปลดล็อก Windows 11 บนเครื่องเก่า ในยุคที่ Windows 10 กำลังเข้าสู่จุดสิ้นสุดของการสนับสนุน และ Windows 11 กลับมีข้อกำหนดที่เข้มงวดอย่าง TPM 2.0, Secure Boot และ CPU รุ่นใหม่ ทำให้หลายเครื่องที่ยังใช้งานได้ดีถูกตัดสิทธิ์จากการอัปเกรด แต่ Flyoobe กลับมาพร้อมภารกิจใหม่—ไม่ใช่แค่ “ข้ามข้อกำหนด” แต่ยัง “คืนอำนาจให้ผู้ใช้” ตั้งแต่ขั้นตอนแรกของการติดตั้ง Windows 11 Flyoobe เวอร์ชันล่าสุด 0.35 ได้เพิ่มฟีเจอร์ใหม่มากมาย เช่น: - ปรับแต่งธีมแยกสำหรับ Windows และแอป - ลบแอปที่ไม่จำเป็น (debloat) - เข้าร่วม domain ได้ตั้งแต่หน้าเริ่มต้น - ปรับปรุงหน้าการอัปเดต Windows ให้ชัดเจนและตอบสนองเร็วขึ้น - ปรับ UI ให้ใช้งานง่ายขึ้น แม้จะถูก Microsoft Defender แจ้งเตือนว่าเป็นไฟล์อันตราย แต่ผู้พัฒนาได้ยืนยันว่าเป็น false positive และ Microsoft จะลบการแจ้งเตือนนี้ในเร็ว ๆ นี้ ✅ Flyby11 เปลี่ยนชื่อเป็น Flyoobe พร้อมฟีเจอร์ใหม่ในเวอร์ชัน 0.35 ➡️ “OOBE” หมายถึง “Out-of-Box Experience” หรือขั้นตอนติดตั้งเริ่มต้นของ Windows ➡️ เป้าหมายคือให้ผู้ใช้ควบคุมการตั้งค่าได้ตั้งแต่เริ่มต้น ✅ สามารถติดตั้ง Windows 11 บนเครื่องที่ไม่รองรับ TPM 2.0, Secure Boot หรือ CPU รุ่นใหม่ได้ ➡️ ใช้เทคนิคจาก Windows Server setup ที่ไม่ตรวจสอบข้อกำหนดฮาร์ดแวร์ ➡️ ติดตั้ง Windows 11 รุ่นปกติได้แม้ผ่านตัวติดตั้งแบบ server ✅ ฟีเจอร์ใหม่ใน Flyoobe 0.35 ➡️ ปรับธีมแยกสำหรับ Windows และแอป ➡️ ลบแอปที่ไม่จำเป็น (debloat) ➡️ เข้าร่วม domain ได้จากหน้าเริ่มต้น ➡️ ปรับปรุงหน้าการอัปเดตให้แสดงข้อมูลชัดเจน ➡️ ปรับตำแหน่งปุ่มนำทางให้ใช้งานง่ายขึ้น ✅ Flyoobe ทำงานทันทีเมื่อเปิด ไม่ต้องติดตั้ง ➡️ ใช้งานง่ายสำหรับผู้ใช้ทั่วไป ➡️ รองรับการดาวน์โหลด ISO อัตโนมัติผ่าน Fido script ✅ ยังสามารถใช้เวอร์ชันเก่า Flyby11 ได้จาก GitHub ➡️ สำหรับผู้ที่ชอบรูปแบบเดิม ➡️ มีไฟล์ให้ดาวน์โหลดแยกต่างหาก https://www.neowin.net/news/popular-tool-for-bypassing-windows-11-requirements-check-gets-rebrand-and-new-oobe-features/
    WWW.NEOWIN.NET
    Popular tool for bypassing Windows 11 requirements check gets rebrand and new OOBE features
    A popular utility for skipping Windows 11's requirement checks, Flyby11, has been renamed to Flyoobe with an expanded set of capabilities.
    0 Comments 0 Shares 142 Views 0 Reviews
  • บาทแข็ง SET ไปต่อ 30/07/68 #กะเทาะหุ้น #ตลาดหุ้น #หุ้นไทย #SET #เศรษฐกิจ
    บาทแข็ง SET ไปต่อ 30/07/68 #กะเทาะหุ้น #ตลาดหุ้น #หุ้นไทย #SET #เศรษฐกิจ
    Like
    Haha
    2
    0 Comments 0 Shares 233 Views 0 0 Reviews
  • Fund Flow หนุนSET 1250 (30/07/68) #news1 #คุยคุ้ยหุ้น #ตลาดหุ้น #หุ้นไทย
    Fund Flow หนุนSET 1250 (30/07/68) #news1 #คุยคุ้ยหุ้น #ตลาดหุ้น #หุ้นไทย
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 190 Views 0 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากเซี่ยงไฮ้: เมื่อจีนรวมพลังสร้างระบบ AI แบบครบวงจรในประเทศ

    ในงาน World Artificial Intelligence Conference (WAIC) ที่เซี่ยงไฮ้ จีนได้เปิดตัวสองพันธมิตรอุตสาหกรรมใหม่ ได้แก่:

    1️⃣ Model-Chip Ecosystem Innovation Alliance นำโดย StepFun ร่วมกับผู้ผลิตชิปชั้นนำของจีน เช่น Huawei, Biren, Enflame และ Moore Threads เพื่อสร้างระบบนิเวศที่เชื่อมโยงตั้งแต่ฮาร์ดแวร์ โมเดล AI ไปจนถึงโครงสร้างพื้นฐาน โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีแบบ end-to-end ภายในประเทศ

    2️⃣ Shanghai General Chamber of Commerce AI Committee มุ่งเน้นการผลักดันการนำ AI ไปใช้ในภาคอุตสาหกรรม โดยมีสมาชิกเช่น SenseTime, MiniMax, MetaX และ Iluvatar CoreX ซึ่งหลายรายเคยถูกสหรัฐฯ คว่ำบาตรจากการใช้เทคโนโลยีเพื่อการเฝ้าระวัง

    ทั้งสองพันธมิตรมีเป้าหมายร่วมกันคือการสร้างมาตรฐานเทคโนโลยีภายในประเทศ ลดการพึ่งพา GPU จาก NVIDIA และซอฟต์แวร์จากสหรัฐฯ โดยเน้นการพัฒนา API, รูปแบบโมเดล และสแต็กซอฟต์แวร์กลางที่สามารถใช้งานร่วมกันได้ในระบบจีนทั้งหมด

    จีนเปิดตัวสองพันธมิตร AI เพื่อสร้างระบบนิเวศภายในประเทศ
    Model-Chip Ecosystem Innovation Alliance เชื่อมโยงผู้ผลิตชิปและนักพัฒนาโมเดล
    Shanghai AI Committee ผลักดันการใช้ AI ในภาคอุตสาหกรรม

    พันธมิตรแรกประกอบด้วย Huawei, Biren, Enflame, Moore Threads และ StepFun
    มุ่งสร้างระบบเทคโนโลยีครบวงจรตั้งแต่ฮาร์ดแวร์ถึงซอฟต์แวร์
    ลดการพึ่งพา GPU จาก NVIDIA ที่ถูกจำกัดการส่งออก

    พันธมิตรที่สองรวมบริษัทที่เคยถูกคว่ำบาตร เช่น SenseTime และ MiniMax
    เปลี่ยนจากเทคโนโลยีเฝ้าระวังมาเป็น LLM และ AI เชิงอุตสาหกรรม
    เชื่อมโยงนักพัฒนา AI กับผู้ใช้งานในภาคธุรกิจ

    เป้าหมายคือการสร้างมาตรฐานกลาง เช่น API และรูปแบบโมเดลที่ใช้ร่วมกันได้
    ลดความซับซ้อนจากสถาปัตยกรรมที่หลากหลาย เช่น Arm, PowerVR
    ส่งเสริมการพัฒนาโมเดลที่สามารถรันบน accelerator ของจีนทุกค่าย

    Huawei เปิดตัว CloudMatrix 384 ที่ใช้ชิป 910C จำนวน 384 ตัว
    ใช้เทคนิค clustering เพื่อชดเชยประสิทธิภาพชิปเดี่ยว
    มีประสิทธิภาพบางด้านเหนือกว่า NVIDIA GB200 NVL72

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/china-forms-ai-alliances-to-cut-u-s-tech-reliance-huawei-among-companies-seeking-to-create-unified-tech-stack-with-domestic-powered-standardization
    🧠 เรื่องเล่าจากเซี่ยงไฮ้: เมื่อจีนรวมพลังสร้างระบบ AI แบบครบวงจรในประเทศ ในงาน World Artificial Intelligence Conference (WAIC) ที่เซี่ยงไฮ้ จีนได้เปิดตัวสองพันธมิตรอุตสาหกรรมใหม่ ได้แก่: 1️⃣ Model-Chip Ecosystem Innovation Alliance นำโดย StepFun ร่วมกับผู้ผลิตชิปชั้นนำของจีน เช่น Huawei, Biren, Enflame และ Moore Threads เพื่อสร้างระบบนิเวศที่เชื่อมโยงตั้งแต่ฮาร์ดแวร์ โมเดล AI ไปจนถึงโครงสร้างพื้นฐาน โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีแบบ end-to-end ภายในประเทศ 2️⃣ Shanghai General Chamber of Commerce AI Committee มุ่งเน้นการผลักดันการนำ AI ไปใช้ในภาคอุตสาหกรรม โดยมีสมาชิกเช่น SenseTime, MiniMax, MetaX และ Iluvatar CoreX ซึ่งหลายรายเคยถูกสหรัฐฯ คว่ำบาตรจากการใช้เทคโนโลยีเพื่อการเฝ้าระวัง ทั้งสองพันธมิตรมีเป้าหมายร่วมกันคือการสร้างมาตรฐานเทคโนโลยีภายในประเทศ ลดการพึ่งพา GPU จาก NVIDIA และซอฟต์แวร์จากสหรัฐฯ โดยเน้นการพัฒนา API, รูปแบบโมเดล และสแต็กซอฟต์แวร์กลางที่สามารถใช้งานร่วมกันได้ในระบบจีนทั้งหมด ✅ จีนเปิดตัวสองพันธมิตร AI เพื่อสร้างระบบนิเวศภายในประเทศ ➡️ Model-Chip Ecosystem Innovation Alliance เชื่อมโยงผู้ผลิตชิปและนักพัฒนาโมเดล ➡️ Shanghai AI Committee ผลักดันการใช้ AI ในภาคอุตสาหกรรม ✅ พันธมิตรแรกประกอบด้วย Huawei, Biren, Enflame, Moore Threads และ StepFun ➡️ มุ่งสร้างระบบเทคโนโลยีครบวงจรตั้งแต่ฮาร์ดแวร์ถึงซอฟต์แวร์ ➡️ ลดการพึ่งพา GPU จาก NVIDIA ที่ถูกจำกัดการส่งออก ✅ พันธมิตรที่สองรวมบริษัทที่เคยถูกคว่ำบาตร เช่น SenseTime และ MiniMax ➡️ เปลี่ยนจากเทคโนโลยีเฝ้าระวังมาเป็น LLM และ AI เชิงอุตสาหกรรม ➡️ เชื่อมโยงนักพัฒนา AI กับผู้ใช้งานในภาคธุรกิจ ✅ เป้าหมายคือการสร้างมาตรฐานกลาง เช่น API และรูปแบบโมเดลที่ใช้ร่วมกันได้ ➡️ ลดความซับซ้อนจากสถาปัตยกรรมที่หลากหลาย เช่น Arm, PowerVR ➡️ ส่งเสริมการพัฒนาโมเดลที่สามารถรันบน accelerator ของจีนทุกค่าย ✅ Huawei เปิดตัว CloudMatrix 384 ที่ใช้ชิป 910C จำนวน 384 ตัว ➡️ ใช้เทคนิค clustering เพื่อชดเชยประสิทธิภาพชิปเดี่ยว ➡️ มีประสิทธิภาพบางด้านเหนือกว่า NVIDIA GB200 NVL72 https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/china-forms-ai-alliances-to-cut-u-s-tech-reliance-huawei-among-companies-seeking-to-create-unified-tech-stack-with-domestic-powered-standardization
    0 Comments 0 Shares 222 Views 0 Reviews
  • SET พีคชั่วคราว? (29/07/68) #news1 #กะเทาะหุ้น #ตลาดหุ้น #หุ้น
    SET พีคชั่วคราว? (29/07/68) #news1 #กะเทาะหุ้น #ตลาดหุ้น #หุ้น
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 322 Views 0 0 Reviews
  • ปัจจัยชี้นำ SET เจรจาภาษีสหรัฐ-ไทย 29/07/68 #SET #ตลาดหุ้น #หุ้นไทย #เศรษฐกิจไทย #ภาษีสหรัฐ
    ปัจจัยชี้นำ SET เจรจาภาษีสหรัฐ-ไทย 29/07/68 #SET #ตลาดหุ้น #หุ้นไทย #เศรษฐกิจไทย #ภาษีสหรัฐ
    Like
    3
    0 Comments 0 Shares 262 Views 0 0 Reviews
More Results