• รัฐบาลอิสราเอลแถลง ออกคำสั่งปิดตายห้ามรถบรรเทาทุกข์ทั้งหมดส่งเข้าเขตฉนวนกาซา อ้างได้ไฟเขียวจากรัฐบาลสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ เล็งบีบฮามาสยอมตกลงดีลใหม่เพื่อขยายระยะเวลาหยุดยิงออกไป
    .
    เอบีซีนิวส์รายงานวันอาทิตย์ (2 มี.ค.) ว่า สำนักงานนายกรัฐมนตรีอิสราเอล เบนจามิน ออกแถลงการณ์วันอาทิตย์ (2) ว่า อิสราเอลได้สั่งการห้ามการส่งบรรเทาทุกข์ทั้งหมดเข้าไปในเขตฉนวนกาซาเกิดขึ้นหลังข้อตกลงหยุดยิงเฟส 1 ที่เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลสหรัฐญ ของอดีตประธานาธิบดี โจ ไบเดน ได้สิ้นสุดลงในวันเสาร์ (1)
    .
    “นายกรัฐมนตรีอิสราเอล เบนจามิน เนทันยาฮู ตัดสินใจเช้านี้ว่า สิ่งของทั้งหมดและปัจจัยส่งเข้าเขตฉนวนกาซาจะต้องหยุดลง” รายงานจากแถลงการณ์
    .
    พร้อมกันนี้ยังกล่าวหาว่ากลุ่มฮามาสปฏิเสธไม่ยอมรับร่างสำหรับการเจรจาที่จะเกิดขึ้นที่ออกมาจาก สตีฟ วิตค็อฟฟ์ (Steve Witkoff) ทูตตะวันออกกลางของประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์
    .
    และในแถลงการณ์ของสำนักงานเนทันยาฮูยังยืนยันว่า ฝ่ายเทลอาวีฟจะไม่ให้มีการหยุดยิงเกิดขึ้นโดยที่ไม่มีการปล่อยตัวประกัน พร้อมข่มขู่ต่อว่า หากฮามาสยังคงปฏิเสธไม่ร่วมเจรจาจะมีผลกระทบอื่นตามมา
    .
    อ้างอิงจากแอกซิออส (axios) ของสหรัฐฯ พบว่า ยังมีตัวประกันอยู่ในมือฮามาสอีก 59 คนในกาซา ซึ่งทั้งสหรัฐฯ และอิสราเอลเชื่อว่า 22 คนจากทั้งหมดยังคงมีชีวิตอยู่รวมถึงพลเมืองสหรัฐฯ 1 คน ส่วนอีก 37 คนนั้นเชื่อว่าเสียชีวิตแล้ว
    .
    แหล่งข่าวเทลอาวีฟเปิดเผยกับเอบีซีนิวส์ว่า “การตัดสินใจของอิสราเอลในการปิดกั้นสิ่งของบรรเทาทุกข์เข้ากาซาทั้งหมดนั้นมีการประสานกับรัฐบาลประธานาธิบดีทรัมป์”
    .
    ขณะที่ฮามาสได้ออกแถลงการณ์วันอาทิตย์ (2) ออกมาตอบโต้การปิดกั้นสิ่งของบรรเทาทุกข์ทั้งหมดเพื่อประชาชนปาเลสไตน์ที่อยู่ด้านในนั้นเป็น “แบล็กเมล์สกปรก” และเป็น “สงครามอาชญากรรม” และเป็นการละเมิดในสิ่งได้ตกลงไว้ก่อนหน้า
    .
    “หนทางเดียวในการที่จะปลดปล่อยตัวประกันคือการบังคับใช้ข้อตกลงและเริ่มต้นการเจรจาสำหรับข้อตกลงเฟส 2”อ้างอิงจากแถลงการณ์ของฮามาส เอบีซีนิวส์รายงาน
    .
    เอพีรายงานว่า เทลอาวีฟใช้วิธีปิดกั้นการช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ทั้งหมดเพื่อต้องการให้ฝ่ายฮามาสยอมรับข้อเสนอใหม่เพื่อขยายเวลาการหยุดยิงออกไป ขณะที่ตัวกลางเช่น อียิปต์ กล่าวหาเทลอาวีฟว่า ใช้การขาดอาหารเป็นอาวุธ”
    .
    นับตั้งแต่ข้อตกลงหยุดยิงเริ่มมาตั้งแต่วันที่ 19 ม.ค.และสิ้นสุดลงในวันเสาร์ (1 ) มีรถบรรเทาทุกข์หลายร้อยคันผ่านเข้าเขตฉนวนกาซาเพื่อทำให้ภาวะการขาดอาหารที่บรรดาผู้เชี่ยวชาญวิตกบรรเทาลง
    .
    แต่ทว่าประชาชนกาซาต่างกล่าวว่า ราคาสินค้าเพิ่มเป็น 2 เท่าในทันทีที่ข่าวปิดด่านห้ามรถบรรเทาทุกข์เข้านั้นลามไปทั่ว
    .
    หนึ่งในประชาชนปาเลสไตน์คือ ซาอิด อัล-ดาอิรี (Sayed al-Dairi) อาศัยในกาซา ซิตี แสดงความเห็นว่า "ทุกคนพากันวิตก" และเสริมต่อว่า "นี่ไม่ใช่ชีวิตแม้แต่น้อย"
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000020419
    ..............
    Sondhi X
    รัฐบาลอิสราเอลแถลง ออกคำสั่งปิดตายห้ามรถบรรเทาทุกข์ทั้งหมดส่งเข้าเขตฉนวนกาซา อ้างได้ไฟเขียวจากรัฐบาลสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ เล็งบีบฮามาสยอมตกลงดีลใหม่เพื่อขยายระยะเวลาหยุดยิงออกไป . เอบีซีนิวส์รายงานวันอาทิตย์ (2 มี.ค.) ว่า สำนักงานนายกรัฐมนตรีอิสราเอล เบนจามิน ออกแถลงการณ์วันอาทิตย์ (2) ว่า อิสราเอลได้สั่งการห้ามการส่งบรรเทาทุกข์ทั้งหมดเข้าไปในเขตฉนวนกาซาเกิดขึ้นหลังข้อตกลงหยุดยิงเฟส 1 ที่เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลสหรัฐญ ของอดีตประธานาธิบดี โจ ไบเดน ได้สิ้นสุดลงในวันเสาร์ (1) . “นายกรัฐมนตรีอิสราเอล เบนจามิน เนทันยาฮู ตัดสินใจเช้านี้ว่า สิ่งของทั้งหมดและปัจจัยส่งเข้าเขตฉนวนกาซาจะต้องหยุดลง” รายงานจากแถลงการณ์ . พร้อมกันนี้ยังกล่าวหาว่ากลุ่มฮามาสปฏิเสธไม่ยอมรับร่างสำหรับการเจรจาที่จะเกิดขึ้นที่ออกมาจาก สตีฟ วิตค็อฟฟ์ (Steve Witkoff) ทูตตะวันออกกลางของประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ . และในแถลงการณ์ของสำนักงานเนทันยาฮูยังยืนยันว่า ฝ่ายเทลอาวีฟจะไม่ให้มีการหยุดยิงเกิดขึ้นโดยที่ไม่มีการปล่อยตัวประกัน พร้อมข่มขู่ต่อว่า หากฮามาสยังคงปฏิเสธไม่ร่วมเจรจาจะมีผลกระทบอื่นตามมา . อ้างอิงจากแอกซิออส (axios) ของสหรัฐฯ พบว่า ยังมีตัวประกันอยู่ในมือฮามาสอีก 59 คนในกาซา ซึ่งทั้งสหรัฐฯ และอิสราเอลเชื่อว่า 22 คนจากทั้งหมดยังคงมีชีวิตอยู่รวมถึงพลเมืองสหรัฐฯ 1 คน ส่วนอีก 37 คนนั้นเชื่อว่าเสียชีวิตแล้ว . แหล่งข่าวเทลอาวีฟเปิดเผยกับเอบีซีนิวส์ว่า “การตัดสินใจของอิสราเอลในการปิดกั้นสิ่งของบรรเทาทุกข์เข้ากาซาทั้งหมดนั้นมีการประสานกับรัฐบาลประธานาธิบดีทรัมป์” . ขณะที่ฮามาสได้ออกแถลงการณ์วันอาทิตย์ (2) ออกมาตอบโต้การปิดกั้นสิ่งของบรรเทาทุกข์ทั้งหมดเพื่อประชาชนปาเลสไตน์ที่อยู่ด้านในนั้นเป็น “แบล็กเมล์สกปรก” และเป็น “สงครามอาชญากรรม” และเป็นการละเมิดในสิ่งได้ตกลงไว้ก่อนหน้า . “หนทางเดียวในการที่จะปลดปล่อยตัวประกันคือการบังคับใช้ข้อตกลงและเริ่มต้นการเจรจาสำหรับข้อตกลงเฟส 2”อ้างอิงจากแถลงการณ์ของฮามาส เอบีซีนิวส์รายงาน . เอพีรายงานว่า เทลอาวีฟใช้วิธีปิดกั้นการช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ทั้งหมดเพื่อต้องการให้ฝ่ายฮามาสยอมรับข้อเสนอใหม่เพื่อขยายเวลาการหยุดยิงออกไป ขณะที่ตัวกลางเช่น อียิปต์ กล่าวหาเทลอาวีฟว่า ใช้การขาดอาหารเป็นอาวุธ” . นับตั้งแต่ข้อตกลงหยุดยิงเริ่มมาตั้งแต่วันที่ 19 ม.ค.และสิ้นสุดลงในวันเสาร์ (1 ) มีรถบรรเทาทุกข์หลายร้อยคันผ่านเข้าเขตฉนวนกาซาเพื่อทำให้ภาวะการขาดอาหารที่บรรดาผู้เชี่ยวชาญวิตกบรรเทาลง . แต่ทว่าประชาชนกาซาต่างกล่าวว่า ราคาสินค้าเพิ่มเป็น 2 เท่าในทันทีที่ข่าวปิดด่านห้ามรถบรรเทาทุกข์เข้านั้นลามไปทั่ว . หนึ่งในประชาชนปาเลสไตน์คือ ซาอิด อัล-ดาอิรี (Sayed al-Dairi) อาศัยในกาซา ซิตี แสดงความเห็นว่า "ทุกคนพากันวิตก" และเสริมต่อว่า "นี่ไม่ใช่ชีวิตแม้แต่น้อย" . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000020419 .............. Sondhi X
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 731 มุมมอง 0 รีวิว
  • รีโพสต์บทความของเพจเฟซบุ๊กKornkit Disthan ของกรกิจ ดิษฐาน ที่น่าสนใจวันนี้เขียนเยอะที่สุดแล้วในหนึ่งวัน เพราะมีแต่เรื่องทั้งวัน เพราะไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมามี "คำเตือน" จากสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาฯ ในกรุงเทพ ว่า "...รัฐบาลไทยได้ส่งตัวชาวอุยกูร์จำนวน 45 คนกลับประเทศจีน การเนรเทศในลักษณะเดียวกันนี้เคยก่อให้เกิดการโจมตีตอบโต้อย่างรุนแรงมาแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากการเนรเทศชาวอุยกูร์ออกจากประเทศไทยในปี 2015 ได้เกิดเหตุอุปกรณ์ระเบิดแสวงเครื่องระเบิดที่ศาลพระพรหมเอราวัณในกรุงเทพฯ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 20 รายและบาดเจ็บอีก 125 ราย เนื่องจากศาลแห่งนี้มีนักท่องเที่ยวจากจีนเดินทางมาเยี่ยมชมเป็นจำนวนมาก (จึงตกเป็นเป้าหมายของพวกอุยกูร์)" ดังนั้น ทางสถานทูตจึงแนะนำพลเมืองสหรัฐฯ ในไทยว่า "เพิ่มความระมัดระวังและเฝ้าระวัง โดยเฉพาะในสถานที่ที่มีผู้คนพลุกพล่านซึ่งนักท่องเที่ยวมักไป เนื่องจากมีความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้"คำเตือนนี้ จะว่าไปก็เหมาะสมในแง่ "กันไว้ก่อน" แต่มันอดคิดไม่ได้ว่าเรื่องนี้ "ไม่น่าจะเป็นเรื่องบังเอิญ" เจ้าหน้าที่ระดับสูงของไทยบอกว่าชาวอุยกูร์เหล่านี้ได้อ่านเงื่อนไขของทางจีนแล้วว่าจะให้ดำรงชีวิตตามปกติ จึงยอมสมัครใจกลับจีนเอง ซึ่งจะจริงไม่จริงนั้นก็แล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละคน แต่ถ้าอิงตามนี้ว่าสมัครใจกลับเอง แล้ว "ใครกันแน่ที่จะเดือนร้อนแทนคนเหล่านี้จนต้องก่อการร้ายในไทย?"การทำเช่นนั้นอาจจะยิ่งทำให้ไทยเข้าใกล้จีนเข้าไปอีก หรืออาจบีบต้องมีปฏิบัติการใหม่ระว่างไทย-จีนที่กวาดล้างผู้ก่อการร้ายเพิ่มเติมจากตอนนี้ที่กำลังร่วมมือกวาดล้างสแกมเมอร์และถ้าชาวอุยกูร์เหล่านี้เป็นปัจจัยให้เกิดการก่อการร้ายในไทยขึ้นมาจริงๆ การส่งไปให้จีนก็ยิ่งชอบธรรม เพราะเท่ากับว่าถ้าส่งตัวคนเหล่านี้ออกไปตะวันตกหรือตุรกีหรือตะวันออกกลาง ไม่กลายเป็นการ "ปล่อยเสือเข้าป่า" หรอกหรือ? เพราะชาวอุยกูร์ที่ไปทางตะวันตก ไม่ใช่ทุกคนที่เป็นแอกทิวิสต์เชิงสันติ แต่ที่ออกไปรบในตะวันออกกลางมีเป็นพันคน และตอนนี้ฮึกเหิมอยากจะก่อญิฮาดกับจีนใจจะขาดอีกประเทศหนึ่งที่เตือน คือกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น ออกคำเตือนเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ เรียกว่าไวกว่าสหรัฐฯ เสียอีก โดยเตือนไว้ว่า "ในกรุงเทพมหานคร หลังจากชาวอุยกูร์ถูกเนรเทศกลับประเทศจีน ในปี 2015 ได้เกิดระเบิดขึ้นที่สี่แยกราชประสงค์ ใกล้ศาลพระพรหมเอราวัณ เขตปทุมวัน เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม ปีเดียวกัน ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 20 ราย และบาดเจ็บ 125 ราย รวมทั้งชาวญี่ปุ่นด้วย ชาวญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยและนักท่องเที่ยวควรพยายามหาข้อมูลล่าสุดและดำเนินการดังต่อไปนี้เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด โดยเฉพาะบริเวณรอบสถานที่ท่องเที่ยว สถานที่จัดงาน ร้านอาหาร โรงแรม ห้างสรรพสินค้า ระบบขนส่งสาธารณะ สถานที่ทางศาสนา ฯลฯ ที่มีผู้คนจำนวนมากรวมตัวกัน มักตกเป็นเป้าหมายของการก่อการร้ายและต้องใช้ความระมัดระวังอย่างต่อเนื่อง"เนื่องจากมีชาวญี่ปุ่นเป็นเหยื่อการระเบิดศาลพระพรหมครั้งนั้นด้วย จึงสมเหตุผลที่ทางการญี่ปุ่นต้องเตือน และน่าสังเกตว่าเหตุผลของการเตือนของญี่ปุ่นกับสหรัฐฯ นั้นเหมือนกันอย่างมากแต่ก็มีบริบทแวดล้อมที่ควรทราบคือ ทางการญี่ปุ่นขู่ตอบโต้และขู่จะเล่นงานจีนมาหลายปีแล้วเรื่องที่ (พันธมิตรตะวันตก) อ้างว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชนชาวอุยกูร์ และคอยช่วยเหลือชาวอุยกูร์ จัดการประชุมชาวอุยกูร์จากทั่วโลกในญี่ปุ่น ประเด็นนี้จึงเป็น "เรื่องการเมือง" ที่ญี่ปุ่นคอยใช้กระซวกจีนมาตลอดด้วย มีเหตุผลที่ต้องพิจารณาเอาไว้ในใจว่า สหรัฐ ญี่ปุ่น และชาติ G7 ทั้งหมด ใช้ประเด็นอุยกูร์โจมตีและคว่ำบาตรจีน ดังนั้นประเทศที่ร่วมมือกับจีนเรื่องอุยกูร์ ก็ควรจะตระหนักถึงผลลัพธ์ที่จะเจอจากกลุ่มนี้เอาไว้ด้วยอีกด้านหนึ่งที่ควรทราบไว้แม้ว่าจะเกี่ยวข้องแบบห่างๆ ก็คือญี่ปุ่นก็ให้การคุ้มครองชาวอุยกูร์ที่ลี้ภัยมายังญี่ปุ่น และคนเหล่านี้ได้ก่อตั้งสมาคมอุยกูร์ญี่ปุ่น (日本ウイグル協会) ขึ้นมาเพื่อเคลื่อนไหวต่อต้านจีนผู้ให้การสนับสนุน/เป็นพันธมิตรของสมาคมอุยกูร์ญี่ปุ่น คือ สมาคมกัมบาเระนิปปง (頑張れ日本!) ซึ่งเป็นกลุ่มชาตินิยมญี่ปุ่น/ฝ่ายขวาจัด และเกี่ยวข้องกับนักการเมืองและพรรคการเมืองที่เอียงไปทางขวาเหมือนกัน แน่นอนว่ากลุ่มนี้ก็ต่อต้านจีนเช่นกันหนึ่งในกลุ่มที่สนับสนุนอุยกูร์ คือ สมาชิกพรรครัฐบาล LDP เช่นที่ปรึกษาของอดีตนายกรัฐมนตรี ชินโซ อาเบะ
    รีโพสต์บทความของเพจเฟซบุ๊กKornkit Disthan ของกรกิจ ดิษฐาน ที่น่าสนใจวันนี้เขียนเยอะที่สุดแล้วในหนึ่งวัน เพราะมีแต่เรื่องทั้งวัน เพราะไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมามี "คำเตือน" จากสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาฯ ในกรุงเทพ ว่า "...รัฐบาลไทยได้ส่งตัวชาวอุยกูร์จำนวน 45 คนกลับประเทศจีน การเนรเทศในลักษณะเดียวกันนี้เคยก่อให้เกิดการโจมตีตอบโต้อย่างรุนแรงมาแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากการเนรเทศชาวอุยกูร์ออกจากประเทศไทยในปี 2015 ได้เกิดเหตุอุปกรณ์ระเบิดแสวงเครื่องระเบิดที่ศาลพระพรหมเอราวัณในกรุงเทพฯ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 20 รายและบาดเจ็บอีก 125 ราย เนื่องจากศาลแห่งนี้มีนักท่องเที่ยวจากจีนเดินทางมาเยี่ยมชมเป็นจำนวนมาก (จึงตกเป็นเป้าหมายของพวกอุยกูร์)" ดังนั้น ทางสถานทูตจึงแนะนำพลเมืองสหรัฐฯ ในไทยว่า "เพิ่มความระมัดระวังและเฝ้าระวัง โดยเฉพาะในสถานที่ที่มีผู้คนพลุกพล่านซึ่งนักท่องเที่ยวมักไป เนื่องจากมีความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้"คำเตือนนี้ จะว่าไปก็เหมาะสมในแง่ "กันไว้ก่อน" แต่มันอดคิดไม่ได้ว่าเรื่องนี้ "ไม่น่าจะเป็นเรื่องบังเอิญ" เจ้าหน้าที่ระดับสูงของไทยบอกว่าชาวอุยกูร์เหล่านี้ได้อ่านเงื่อนไขของทางจีนแล้วว่าจะให้ดำรงชีวิตตามปกติ จึงยอมสมัครใจกลับจีนเอง ซึ่งจะจริงไม่จริงนั้นก็แล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละคน แต่ถ้าอิงตามนี้ว่าสมัครใจกลับเอง แล้ว "ใครกันแน่ที่จะเดือนร้อนแทนคนเหล่านี้จนต้องก่อการร้ายในไทย?"การทำเช่นนั้นอาจจะยิ่งทำให้ไทยเข้าใกล้จีนเข้าไปอีก หรืออาจบีบต้องมีปฏิบัติการใหม่ระว่างไทย-จีนที่กวาดล้างผู้ก่อการร้ายเพิ่มเติมจากตอนนี้ที่กำลังร่วมมือกวาดล้างสแกมเมอร์และถ้าชาวอุยกูร์เหล่านี้เป็นปัจจัยให้เกิดการก่อการร้ายในไทยขึ้นมาจริงๆ การส่งไปให้จีนก็ยิ่งชอบธรรม เพราะเท่ากับว่าถ้าส่งตัวคนเหล่านี้ออกไปตะวันตกหรือตุรกีหรือตะวันออกกลาง ไม่กลายเป็นการ "ปล่อยเสือเข้าป่า" หรอกหรือ? เพราะชาวอุยกูร์ที่ไปทางตะวันตก ไม่ใช่ทุกคนที่เป็นแอกทิวิสต์เชิงสันติ แต่ที่ออกไปรบในตะวันออกกลางมีเป็นพันคน และตอนนี้ฮึกเหิมอยากจะก่อญิฮาดกับจีนใจจะขาดอีกประเทศหนึ่งที่เตือน คือกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น ออกคำเตือนเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ เรียกว่าไวกว่าสหรัฐฯ เสียอีก โดยเตือนไว้ว่า "ในกรุงเทพมหานคร หลังจากชาวอุยกูร์ถูกเนรเทศกลับประเทศจีน ในปี 2015 ได้เกิดระเบิดขึ้นที่สี่แยกราชประสงค์ ใกล้ศาลพระพรหมเอราวัณ เขตปทุมวัน เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม ปีเดียวกัน ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 20 ราย และบาดเจ็บ 125 ราย รวมทั้งชาวญี่ปุ่นด้วย ชาวญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยและนักท่องเที่ยวควรพยายามหาข้อมูลล่าสุดและดำเนินการดังต่อไปนี้เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด โดยเฉพาะบริเวณรอบสถานที่ท่องเที่ยว สถานที่จัดงาน ร้านอาหาร โรงแรม ห้างสรรพสินค้า ระบบขนส่งสาธารณะ สถานที่ทางศาสนา ฯลฯ ที่มีผู้คนจำนวนมากรวมตัวกัน มักตกเป็นเป้าหมายของการก่อการร้ายและต้องใช้ความระมัดระวังอย่างต่อเนื่อง"เนื่องจากมีชาวญี่ปุ่นเป็นเหยื่อการระเบิดศาลพระพรหมครั้งนั้นด้วย จึงสมเหตุผลที่ทางการญี่ปุ่นต้องเตือน และน่าสังเกตว่าเหตุผลของการเตือนของญี่ปุ่นกับสหรัฐฯ นั้นเหมือนกันอย่างมากแต่ก็มีบริบทแวดล้อมที่ควรทราบคือ ทางการญี่ปุ่นขู่ตอบโต้และขู่จะเล่นงานจีนมาหลายปีแล้วเรื่องที่ (พันธมิตรตะวันตก) อ้างว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชนชาวอุยกูร์ และคอยช่วยเหลือชาวอุยกูร์ จัดการประชุมชาวอุยกูร์จากทั่วโลกในญี่ปุ่น ประเด็นนี้จึงเป็น "เรื่องการเมือง" ที่ญี่ปุ่นคอยใช้กระซวกจีนมาตลอดด้วย มีเหตุผลที่ต้องพิจารณาเอาไว้ในใจว่า สหรัฐ ญี่ปุ่น และชาติ G7 ทั้งหมด ใช้ประเด็นอุยกูร์โจมตีและคว่ำบาตรจีน ดังนั้นประเทศที่ร่วมมือกับจีนเรื่องอุยกูร์ ก็ควรจะตระหนักถึงผลลัพธ์ที่จะเจอจากกลุ่มนี้เอาไว้ด้วยอีกด้านหนึ่งที่ควรทราบไว้แม้ว่าจะเกี่ยวข้องแบบห่างๆ ก็คือญี่ปุ่นก็ให้การคุ้มครองชาวอุยกูร์ที่ลี้ภัยมายังญี่ปุ่น และคนเหล่านี้ได้ก่อตั้งสมาคมอุยกูร์ญี่ปุ่น (日本ウイグル協会) ขึ้นมาเพื่อเคลื่อนไหวต่อต้านจีนผู้ให้การสนับสนุน/เป็นพันธมิตรของสมาคมอุยกูร์ญี่ปุ่น คือ สมาคมกัมบาเระนิปปง (頑張れ日本!) ซึ่งเป็นกลุ่มชาตินิยมญี่ปุ่น/ฝ่ายขวาจัด และเกี่ยวข้องกับนักการเมืองและพรรคการเมืองที่เอียงไปทางขวาเหมือนกัน แน่นอนว่ากลุ่มนี้ก็ต่อต้านจีนเช่นกันหนึ่งในกลุ่มที่สนับสนุนอุยกูร์ คือ สมาชิกพรรครัฐบาล LDP เช่นที่ปรึกษาของอดีตนายกรัฐมนตรี ชินโซ อาเบะ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 203 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตอนที่.1 #USAID สัตว์ร้ายที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้หน้ากากของ ‘มนุษยธรรม’
    Written by Drago Bosnic

    ยุทธศาสตร์ครอบงำโลกของสหรัฐอเมริกาเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ที่ซับซ้อนที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ เมื่อพยายามนึกภาพอำนาจของสหรัฐอเมริกาเรามักจะนึกถึงเรือบรรทุกเครื่องบิน เครื่องบินขับไล่ รถถัง นาวิกโยธิน ฯลฯ

    ในความเป็นจริงระบบราชการขนาดใหญ่ของอเมริกาแทบจะทำลายล้างประเทศเป้าหมายเสมอก่อนที่จะมีการตัดสินใจอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการดำเนินการทางทหารโดยตรง
    เพื่อจุดประสงค์สิ่งนั้นหน่วยข่าวกรองจำนวนมากของไอ้กุ้ยโลกจึงมีความจำเป็น
    https://t.me/rtnews/81104

    อย่างไรก็ตามเพื่อรักษาการปฏิเสธที่สมเหตุสมผล หน่วยงานข่าวกรองเหล่านี้มักจะใช้ตัวแทนต่างๆ โดยเฉพาะองค์กรพัฒนาเอกชน หรือแม้แต่สถาบันของกระทรวงการต่างประเทศเมื่อมีความจำเป็นเกิดขึ้น หนึ่งในนั้นก็คือหน่วยงานเพื่อการพัฒนาการระหว่างประเทศของสหรัฐฯ หรือเรียกสั้นๆ ว่า USAID ที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่

    งบประมาณของหน่วยงานที่น่าอับอายนี้อยู่ที่ประมาณ 5 หมื่นล้านดอลลาร์อย่างเป็นทางการ แม้ว่าตัวเลขจริงอาจสูงกว่านี้มากโดยอาจสูงถึง (หรืออาจเกิน) 1 แสนล้านดอลลาร์
    https://www.usaspending.gov/agency/agency-for-international-development?fy=2024
    สิ่งนี้ทําให้ USAID สามารถดําเนินการได้กว่า 100 ประเทศทั่วโลก โดยอ้างว่าเป็นการช่วยเหลือพวกเขา
    https://t.me/rtnews/81071

    คิดเป็นมากกว่า 50% ของโครงการ “ความช่วยเหลือต่างประเทศของอเมริกาทั้งหมดและมีการดำเนินการโดยเฉพาะในแอฟริกา เอเชีย ละตินอเมริกา ตะวันออกกลาง และยุโรปตะวันออก (ภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบจากลัทธิอาณานิคม (แบบใหม่) มากที่สุด)

    เพื่อให้เข้าใจถึงขอบเขตการทำงานของ USAID ได้ดีขึ้น บางทีเราควรเปรียบเทียบกับ NED (National Endowment for Democracy) ซึ่งเป็น “สถาบันประชาธิปไตยอิสระ” อีกแห่งหนึ่งที่ทำหน้าที่จัดหาเงินทุนและสนับสนุนสิ่งที่เรียกว่า “การปฏิวัติสี” NED มีกิจกรรม “ประชาธิปไตย” เพิ่มขึ้นอย่างมากหลังจากที่ Victoria Nuland ผู้มีชื่อเสียงฉาวโฉ่เข้าร่วมเป็นคณะกรรมการบริหารนอกเหนือจากการให้ทุนแก่สื่ออิสระแล้ว
    https://t.me/Slavyangrad/114746
    USAID ยังมีความกระตือรือร้นเป็นพิเศษในยูเครน
    https://news.antiwar.com/2025/01/28/ukrainian-media-outlets-start-donations-after-us-funding-is-paused/
    โดยเร่งกระบวนการแปรรูปของประเทศที่โชคร้ายที่ถูกนาโต้ยึดครอง
    https://t.me/IntelRepublic/43800
    รายงานเกี่ยวกับกิจกรรมที่แท้จริงของหน่วยงานที่น่าอับอายนั้นค่อนข้างหายากจนกระทั่งเมื่อไม่นานนี้ เนื่องจากเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อกระแสหลักและรัฐบาลสหรัฐฯ พยายามนำเสนอกิจกรรมพวกเขาโดยอ้างว่า "ช่วยเหลือประเทศอื่น" หรือปกปิดพวกเขาจากสายตาสาธารณะ

    อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้เปลี่ยนไปหลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐอเมริกาเข้ามามีอำนาจ ผลก็คือในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา สำนักงานของเขาและ DOGE (แผนกประสิทธิภาพของรัฐบาล) ซึ่งดำเนินการโดย Elon Musk ได้เปิดเผยรายละเอียดที่น่ากังวลใจอย่างมากเกี่ยวกับกิจกรรมจริงของ USAID
    https://www.americanthinker.com/blog/2025/02/trump_s_attack_on_the_deep_state_is_spectacular_and_almost_certainly_legal.html
    ซึ่งมักผิดกฎหมายของสหรัฐอเมริกาและกฎหมายของประเทศเจ้าภาพจำนวนมากอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน

    เมื่อปลายเดือนมกราคม หน่วยงานดังกล่าวถูกบังคับให้หยุดกิจกรรมส่วนใหญ่ในยูเครนที่ถูกนาโต้ยึดครอง
    https://www.reuters.com/world/europe/ukraine-aid-groups-cut-services-scramble-cash-after-us-funding-shock-2025-01-30/
    รวมถึงการให้ทุนสนับสนุนสื่อเกือบทั้งหมดที่ถูกควบคุมโดยกลุ่มนีโอนาซี
    https://t.me/Slavyangrad/118280?single

    ไม่นานหลังจากนั้น สื่ออื่นๆ ทั่วทั้งยุโรปตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้ก็เข้ามามีบทบาทในการส่งเสริมสิ่งที่เรียกว่า "ค่านิยมแบบตะวันตก" (ซึ่งเป็นการผสมผสานทางอุดมการณ์ระหว่างลัทธิเสรีนิยมสุดโต่งและความเสื่อมทรามทางศีลธรรม) ซึ่งคนส่วนใหญ่บนโลกพบว่าน่ารังเกียจอย่างยิ่ง)

    เว็บไซต์ USAID จะปิดตัวลงในเร็วๆ นี้ ขณะที่รัฐบาลทรัมป์ชุดใหม่ประกาศว่าหน่วยงานนี้จะถูกปิดตัวลงในเร็วๆ นี้
    https://www.zerohedge.com/political/usaid-website-goes-dark-trump-reportedly-plans-shift-agency-under-state-department
    ณ เวลาที่เขียนนี้ เว็บไซต์ไม่สามารถใช้งานได้จริง และแสดงข้อความเพียงว่าบุคลากรของเว็บไซต์จะถูกพักงานทั่วโลกในวันที่ 7 กุมภาพันธ์
    https://www.usaid.gov/
    แม้ว่า "พนักงานที่สำคัญ" จะได้รับแจ้งถึงชะตากรรมของตนในวันก่อนหน้านั้น คือวันที่ 6 กุมภาพันธ์ก็ตาม

    อ่านต่อตอนที่.2
    https://www.facebook.com/share/p/1DN6TtSX6u/
    ตอนที่.1 #USAID สัตว์ร้ายที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้หน้ากากของ ‘มนุษยธรรม’ Written by Drago Bosnic ยุทธศาสตร์ครอบงำโลกของสหรัฐอเมริกาเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ที่ซับซ้อนที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ เมื่อพยายามนึกภาพอำนาจของสหรัฐอเมริกาเรามักจะนึกถึงเรือบรรทุกเครื่องบิน เครื่องบินขับไล่ รถถัง นาวิกโยธิน ฯลฯ ในความเป็นจริงระบบราชการขนาดใหญ่ของอเมริกาแทบจะทำลายล้างประเทศเป้าหมายเสมอก่อนที่จะมีการตัดสินใจอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการดำเนินการทางทหารโดยตรง เพื่อจุดประสงค์สิ่งนั้นหน่วยข่าวกรองจำนวนมากของไอ้กุ้ยโลกจึงมีความจำเป็น https://t.me/rtnews/81104 อย่างไรก็ตามเพื่อรักษาการปฏิเสธที่สมเหตุสมผล หน่วยงานข่าวกรองเหล่านี้มักจะใช้ตัวแทนต่างๆ โดยเฉพาะองค์กรพัฒนาเอกชน หรือแม้แต่สถาบันของกระทรวงการต่างประเทศเมื่อมีความจำเป็นเกิดขึ้น หนึ่งในนั้นก็คือหน่วยงานเพื่อการพัฒนาการระหว่างประเทศของสหรัฐฯ หรือเรียกสั้นๆ ว่า USAID ที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ งบประมาณของหน่วยงานที่น่าอับอายนี้อยู่ที่ประมาณ 5 หมื่นล้านดอลลาร์อย่างเป็นทางการ แม้ว่าตัวเลขจริงอาจสูงกว่านี้มากโดยอาจสูงถึง (หรืออาจเกิน) 1 แสนล้านดอลลาร์ https://www.usaspending.gov/agency/agency-for-international-development?fy=2024 สิ่งนี้ทําให้ USAID สามารถดําเนินการได้กว่า 100 ประเทศทั่วโลก โดยอ้างว่าเป็นการช่วยเหลือพวกเขา https://t.me/rtnews/81071 คิดเป็นมากกว่า 50% ของโครงการ “ความช่วยเหลือต่างประเทศของอเมริกาทั้งหมดและมีการดำเนินการโดยเฉพาะในแอฟริกา เอเชีย ละตินอเมริกา ตะวันออกกลาง และยุโรปตะวันออก (ภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบจากลัทธิอาณานิคม (แบบใหม่) มากที่สุด) เพื่อให้เข้าใจถึงขอบเขตการทำงานของ USAID ได้ดีขึ้น บางทีเราควรเปรียบเทียบกับ NED (National Endowment for Democracy) ซึ่งเป็น “สถาบันประชาธิปไตยอิสระ” อีกแห่งหนึ่งที่ทำหน้าที่จัดหาเงินทุนและสนับสนุนสิ่งที่เรียกว่า “การปฏิวัติสี” NED มีกิจกรรม “ประชาธิปไตย” เพิ่มขึ้นอย่างมากหลังจากที่ Victoria Nuland ผู้มีชื่อเสียงฉาวโฉ่เข้าร่วมเป็นคณะกรรมการบริหารนอกเหนือจากการให้ทุนแก่สื่ออิสระแล้ว https://t.me/Slavyangrad/114746 USAID ยังมีความกระตือรือร้นเป็นพิเศษในยูเครน https://news.antiwar.com/2025/01/28/ukrainian-media-outlets-start-donations-after-us-funding-is-paused/ โดยเร่งกระบวนการแปรรูปของประเทศที่โชคร้ายที่ถูกนาโต้ยึดครอง https://t.me/IntelRepublic/43800 รายงานเกี่ยวกับกิจกรรมที่แท้จริงของหน่วยงานที่น่าอับอายนั้นค่อนข้างหายากจนกระทั่งเมื่อไม่นานนี้ เนื่องจากเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อกระแสหลักและรัฐบาลสหรัฐฯ พยายามนำเสนอกิจกรรมพวกเขาโดยอ้างว่า "ช่วยเหลือประเทศอื่น" หรือปกปิดพวกเขาจากสายตาสาธารณะ อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้เปลี่ยนไปหลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐอเมริกาเข้ามามีอำนาจ ผลก็คือในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา สำนักงานของเขาและ DOGE (แผนกประสิทธิภาพของรัฐบาล) ซึ่งดำเนินการโดย Elon Musk ได้เปิดเผยรายละเอียดที่น่ากังวลใจอย่างมากเกี่ยวกับกิจกรรมจริงของ USAID https://www.americanthinker.com/blog/2025/02/trump_s_attack_on_the_deep_state_is_spectacular_and_almost_certainly_legal.html ซึ่งมักผิดกฎหมายของสหรัฐอเมริกาและกฎหมายของประเทศเจ้าภาพจำนวนมากอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน เมื่อปลายเดือนมกราคม หน่วยงานดังกล่าวถูกบังคับให้หยุดกิจกรรมส่วนใหญ่ในยูเครนที่ถูกนาโต้ยึดครอง https://www.reuters.com/world/europe/ukraine-aid-groups-cut-services-scramble-cash-after-us-funding-shock-2025-01-30/ รวมถึงการให้ทุนสนับสนุนสื่อเกือบทั้งหมดที่ถูกควบคุมโดยกลุ่มนีโอนาซี https://t.me/Slavyangrad/118280?single ไม่นานหลังจากนั้น สื่ออื่นๆ ทั่วทั้งยุโรปตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้ก็เข้ามามีบทบาทในการส่งเสริมสิ่งที่เรียกว่า "ค่านิยมแบบตะวันตก" (ซึ่งเป็นการผสมผสานทางอุดมการณ์ระหว่างลัทธิเสรีนิยมสุดโต่งและความเสื่อมทรามทางศีลธรรม) ซึ่งคนส่วนใหญ่บนโลกพบว่าน่ารังเกียจอย่างยิ่ง) เว็บไซต์ USAID จะปิดตัวลงในเร็วๆ นี้ ขณะที่รัฐบาลทรัมป์ชุดใหม่ประกาศว่าหน่วยงานนี้จะถูกปิดตัวลงในเร็วๆ นี้ https://www.zerohedge.com/political/usaid-website-goes-dark-trump-reportedly-plans-shift-agency-under-state-department ณ เวลาที่เขียนนี้ เว็บไซต์ไม่สามารถใช้งานได้จริง และแสดงข้อความเพียงว่าบุคลากรของเว็บไซต์จะถูกพักงานทั่วโลกในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ https://www.usaid.gov/ แม้ว่า "พนักงานที่สำคัญ" จะได้รับแจ้งถึงชะตากรรมของตนในวันก่อนหน้านั้น คือวันที่ 6 กุมภาพันธ์ก็ตาม อ่านต่อตอนที่.2 https://www.facebook.com/share/p/1DN6TtSX6u/
    T.ME
    RT News
    USAID operates as plausible deniability agency to the 'rogue activities of CIA, State Dept, Pentagon - Benz The agency pushes legacy foreign policy that 'hated Trump with a passion', spending billions annually controlling media narrative that 'populism is attack on democracy'. #US #USAID
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 273 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตอนที่.1 #USAID #ทุ่มเงินหลายล้านเพื่อซื้อนักข่าวและกลุ่มสื่ออย่างไร

    จากการเปิดเผยที่น่าตกตะลึง USAID ถูกพบว่าได้ให้เงินทุนสนับสนุนองค์กรสื่อหลายร้อยแห่งและนักข่าวหลายพันคนทั่วโลกเพื่อขยายเรื่องราวที่อวยสนับสนุนไอ้กุ้ยโลก

    เมื่อต้นเดือนนี้ WikiLeaks ได้เปิดเผยข้อมูลที่น่าตกตะลึงว่า สำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา (USAID) ได้สนับสนุนเงินทุนให้กับองค์กรสื่อหลายร้อยแห่งทั่วโลกในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับสื่อที่เสรีและเป็นอิสระ

    WikiLeaks แฉว่า USAID ได้ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่ผู้สื่อข่าวมากกว่า 6,200 รายในสื่อ 707 สำนัก รวมทั้งองค์กรพัฒนาเอกชนด้าน "สื่อ" จำนวน 279 แห่ง

    การเปิดเผยข้อมูลอันสะเทือนโลกครั้งนี้ได้จุดชนวนให้เกิดการถกเถียงกันทันทีว่าความเกี่ยวข้องทางการเงินดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อความซื่อสัตย์สุจริตของการสื่อสารมวลชนและความน่าเชื่อถือของสำนักข่าวที่ได้รับเงินทุนหรือไม่ (จริงๆไม่สื่อพวกนี้ไม่น่าเชื่อถือเลย ทั้งสื่อตะวันตก สื่อตะวันออกกลางบางสื่อ ยิ่งสื่อในประเทศสารขัณฑ์นี่แทบทุกสื่อ)

    การเปิดเผยดังกล่าวเกิดขึ้นไม่กี่วันภายหลังที่ฝ่ายบริหารของสหรัฐฯ ประกาศเมื่อปลายเดือนมกราคมเกี่ยวกับการระงับการช่วยเหลือต่างประเทศผ่านคำสั่งฝ่ายบริหารที่มีชื่อว่า "การประเมินใหม่และการจัดแนวความช่วยเหลือต่างประเทศของสหรัฐฯ ใหม่"

    คำสั่งดังกล่าวแช่แข็งการให้ความช่วยเหลือด้านการพัฒนาต่างประเทศของสหรัฐฯ ทั้งหมดเป็นเวลา 90 วัน ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้รัฐบาลของโดนัลด์ ทรัมป์สามารถประเมินประสิทธิผลและแนวทางของแผนงานเหล่านี้ให้สอดคล้องกับวาระ "อเมริกาต้องมาก่อน" อีกครั้ง ซึ่งเป็นประเด็นที่พูดถึงกันอย่างกว้างขวาง

    ในระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์ที่ลาสเวกัสเมื่อวันที่ 25 มกราคม 2025 ทรัมป์ได้อธิบายว่าเป็นขั้นตอนที่จำเป็นเพื่อเปลี่ยนเส้นทางทรัพยากรไปที่ประเด็นสำคัญในประเทศ
    คำสั่งฝ่ายบริหารซึ่งอ้างว่าโครงการช่วยเหลือต่างประเทศบางส่วนไม่สอดคล้องกับผลประโยชน์ของอเมริกาและในบางกรณีขัดต่อค่านิยมของอเมริกาได้รับการมองในมุมมองใหม่หลังจากการเปิดเผยของ WikiLeaks เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์

    นักวิเคราะห์สื่อระบุว่าเงินทุนของ USAID อาจใช้เป็นเครื่องมือในการบิดเบือนสื่อในองค์กรข่าวที่ได้รับเงินทุนจากสหรัฐฯ มานานหลายปีหรือหลายทศวรรษได้อย่างง่ายดาย
    ตามรายงานของ WikiLeaks องค์กร USAID ได้ให้การสนับสนุนสื่อมวลชนในมากกว่า 30 ประเทศ

    เอกสารข้อเท็จจริงจากหน่วยงานที่ถูกลบไปแล้วเผยให้เห็นว่าตั้งแต่ปี 2003 เป็นต้นมา USAID ได้จัดสรรเงินทุนสำหรับการฝึกอบรมและทรัพยากรให้กับนักข่าวประมาณ 6,200 คน สนับสนุนองค์กรข่าวที่ไม่ใช่ของรัฐ 707 แห่ง และสนับสนุนกลุ่มประชาสังคม 279 กลุ่ม ซึ่งเผยให้เห็นถึงอิทธิพลโดยตรงอันกว้างขวางของสหรัฐฯ ในระบบสื่อทั่วโลกในช่วง2 ทศวรรษที่ผ่านมา

    ขนาดของการมีส่วนร่วมนี้สะท้อนให้เห็นเพิ่มเติมในงบประมาณความช่วยเหลือต่างประเทศปี 2025 ซึ่งรวมถึงการจัดสรร 268.4 ล้านดอลลาร์จากรัฐสภาสหรัฐฯ โดยเฉพาะสำหรับแผนริเริ่มที่มุ่งส่งเสริมสิ่งที่เรียกว่า "สื่ออิสระและการไหลเวียนของข้อมูลอย่างเสรี"

    การเปิดเผยข้อมูลที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งจากรายงานของแพลตฟอร์ม Exposé เกี่ยวข้องกับองค์กรไม่แสวงหากำไร Internews Network (IN) ที่ได้รับเงินทุนจากสหรัฐฯ ซึ่งมีรายงานว่าได้จัดสรรเงินเกือบ 500 ล้านดอลลาร์ให้กับ "โครงการสื่อ" ทั่วโลก สิ่งนี้ทำให้เกิดคำถามสำคัญขึ้นมาว่า ความเป็นอิสระของสื่อสามารถเกิดขึ้นได้จริงในระดับใด เมื่อเส้นชีวิตทางการเงินผูกติดอยู่กับรัฐบาลต่างประเทศที่มีวาระอันชั่วร้ายของตนเอง?

    เอกสารที่รั่วไหลยังระบุเพิ่มเติมว่า Internews ร่วมมือกับสื่อ 4,291 แห่ง ผลิตรายการ 4,799 ชั่วโมงในหนึ่งปีและเข้าถึงผู้ชมประมาณ 778 ล้านคน
    ในขณะที่ Internews อ้างว่าภารกิจของตนคือการสนับสนุน "การสื่อสารมวลชนอิสระและขยายการเข้าถึงข้อมูล

    USAID ได้จัดสรรเงิน 472.6 ล้านเหรียญสหรัฐให้กับ Internews ตลอดหลายปีที่ผ่านมา แม้ว่าองค์กรจะได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากผู้บริจาคเอกชน เช่น มูลนิธิ AOL-Time Warner มูลนิธิ Bill & Melinda Gates และอื่นๆ
    เงินช่วยเหลือเฉพาะเจาะจงเน้นย้ำถึงขอบเขตของความคิดริเริ่มเหล่านี้ ตัวอย่างเช่น USAID มอบเงิน 10.7 ล้านเหรียญสหรัฐให้กับ Internews เพื่อสนับสนุน “การสื่อสารมวลชนที่มีคุณภาพสูงและมีความรับผิดชอบ” ในไลบีเรีย และอีก 11 ล้านเหรียญสหรัฐสำหรับโครงการที่เรียกว่า “สื่อที่ส่งเสริมประชาธิปไตย” ในมอลโดวา

    กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ยังได้สนับสนุนเงิน 1.48 ล้านดอลลาร์เพื่อจัดตั้ง “บริการข้อมูลที่ปลอดภัย เข้าถึงได้ และช่วยชีวิต” ในซูดานใต้ ตามเอกสารที่เปิดเผย ในประเทศจอร์แดน USAID ได้มอบเงินช่วยเหลือจำนวน 19.5 ล้านดอลลาร์ให้แก่ Internews เพื่อช่วยวางตำแหน่งสังคมจอร์แดนให้สามารถสนับสนุนผลประโยชน์ที่ขับเคลื่อนโดยพลเมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    Internews ก่อตั้งขึ้นในปี 1982 โดยมีสำนักงานใหญ่อยู่ในแคลิฟอร์เนียและดำเนินการในกว่า 30 ประเทศ มีสำนักงานใหญ่ในสหรัฐอเมริกา ลอนดอน และปารีส รวมถึงมีศูนย์กลางระดับภูมิภาคในเคียฟ กรุงเทพมหานคร และไนโรบี ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา Internews ได้ขยายขอบข่ายการเข้าถึงไปทั่วโลกอย่างมีนัยสำคัญ โดยวางตำแหน่งตัวเองเป็นผู้เล่นหลักในการพัฒนาสื่อระดับโลก อย่างไรก็ตามองค์กรนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงเกี่ยวกับบทบาทของตนในการเซ็นเซอร์โซเชียลมีเดีย

    Internews นำโดย Jeanne Bourgault ซึ่งรายงานระบุว่าเธอได้รับเงินเดือนประจำปี 451,000 ดอลลาร์ ก่อนหน้านี้เธอเคยทำงานที่สถานทูตสหรัฐฯ ในมอสโกในช่วงต้นทศวรรษ 1990 ซึ่งเธอบริหารจัดการงบประมาณ 250 ล้านดอลลาร์ ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับการออกแบบมาเพื่อเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง

    อ่านต่อตอนที่.2
    https://www.facebook.com/share/p/15xvCUsuuQ/

    ตอนที่.3
    https://www.facebook.com/share/p/1B7tKhDFKa/
    ตอนที่.1 #USAID #ทุ่มเงินหลายล้านเพื่อซื้อนักข่าวและกลุ่มสื่ออย่างไร จากการเปิดเผยที่น่าตกตะลึง USAID ถูกพบว่าได้ให้เงินทุนสนับสนุนองค์กรสื่อหลายร้อยแห่งและนักข่าวหลายพันคนทั่วโลกเพื่อขยายเรื่องราวที่อวยสนับสนุนไอ้กุ้ยโลก เมื่อต้นเดือนนี้ WikiLeaks ได้เปิดเผยข้อมูลที่น่าตกตะลึงว่า สำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา (USAID) ได้สนับสนุนเงินทุนให้กับองค์กรสื่อหลายร้อยแห่งทั่วโลกในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับสื่อที่เสรีและเป็นอิสระ WikiLeaks แฉว่า USAID ได้ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่ผู้สื่อข่าวมากกว่า 6,200 รายในสื่อ 707 สำนัก รวมทั้งองค์กรพัฒนาเอกชนด้าน "สื่อ" จำนวน 279 แห่ง การเปิดเผยข้อมูลอันสะเทือนโลกครั้งนี้ได้จุดชนวนให้เกิดการถกเถียงกันทันทีว่าความเกี่ยวข้องทางการเงินดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อความซื่อสัตย์สุจริตของการสื่อสารมวลชนและความน่าเชื่อถือของสำนักข่าวที่ได้รับเงินทุนหรือไม่ (จริงๆไม่สื่อพวกนี้ไม่น่าเชื่อถือเลย ทั้งสื่อตะวันตก สื่อตะวันออกกลางบางสื่อ ยิ่งสื่อในประเทศสารขัณฑ์นี่แทบทุกสื่อ) การเปิดเผยดังกล่าวเกิดขึ้นไม่กี่วันภายหลังที่ฝ่ายบริหารของสหรัฐฯ ประกาศเมื่อปลายเดือนมกราคมเกี่ยวกับการระงับการช่วยเหลือต่างประเทศผ่านคำสั่งฝ่ายบริหารที่มีชื่อว่า "การประเมินใหม่และการจัดแนวความช่วยเหลือต่างประเทศของสหรัฐฯ ใหม่" คำสั่งดังกล่าวแช่แข็งการให้ความช่วยเหลือด้านการพัฒนาต่างประเทศของสหรัฐฯ ทั้งหมดเป็นเวลา 90 วัน ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้รัฐบาลของโดนัลด์ ทรัมป์สามารถประเมินประสิทธิผลและแนวทางของแผนงานเหล่านี้ให้สอดคล้องกับวาระ "อเมริกาต้องมาก่อน" อีกครั้ง ซึ่งเป็นประเด็นที่พูดถึงกันอย่างกว้างขวาง ในระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์ที่ลาสเวกัสเมื่อวันที่ 25 มกราคม 2025 ทรัมป์ได้อธิบายว่าเป็นขั้นตอนที่จำเป็นเพื่อเปลี่ยนเส้นทางทรัพยากรไปที่ประเด็นสำคัญในประเทศ คำสั่งฝ่ายบริหารซึ่งอ้างว่าโครงการช่วยเหลือต่างประเทศบางส่วนไม่สอดคล้องกับผลประโยชน์ของอเมริกาและในบางกรณีขัดต่อค่านิยมของอเมริกาได้รับการมองในมุมมองใหม่หลังจากการเปิดเผยของ WikiLeaks เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ นักวิเคราะห์สื่อระบุว่าเงินทุนของ USAID อาจใช้เป็นเครื่องมือในการบิดเบือนสื่อในองค์กรข่าวที่ได้รับเงินทุนจากสหรัฐฯ มานานหลายปีหรือหลายทศวรรษได้อย่างง่ายดาย ตามรายงานของ WikiLeaks องค์กร USAID ได้ให้การสนับสนุนสื่อมวลชนในมากกว่า 30 ประเทศ เอกสารข้อเท็จจริงจากหน่วยงานที่ถูกลบไปแล้วเผยให้เห็นว่าตั้งแต่ปี 2003 เป็นต้นมา USAID ได้จัดสรรเงินทุนสำหรับการฝึกอบรมและทรัพยากรให้กับนักข่าวประมาณ 6,200 คน สนับสนุนองค์กรข่าวที่ไม่ใช่ของรัฐ 707 แห่ง และสนับสนุนกลุ่มประชาสังคม 279 กลุ่ม ซึ่งเผยให้เห็นถึงอิทธิพลโดยตรงอันกว้างขวางของสหรัฐฯ ในระบบสื่อทั่วโลกในช่วง2 ทศวรรษที่ผ่านมา ขนาดของการมีส่วนร่วมนี้สะท้อนให้เห็นเพิ่มเติมในงบประมาณความช่วยเหลือต่างประเทศปี 2025 ซึ่งรวมถึงการจัดสรร 268.4 ล้านดอลลาร์จากรัฐสภาสหรัฐฯ โดยเฉพาะสำหรับแผนริเริ่มที่มุ่งส่งเสริมสิ่งที่เรียกว่า "สื่ออิสระและการไหลเวียนของข้อมูลอย่างเสรี" การเปิดเผยข้อมูลที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งจากรายงานของแพลตฟอร์ม Exposé เกี่ยวข้องกับองค์กรไม่แสวงหากำไร Internews Network (IN) ที่ได้รับเงินทุนจากสหรัฐฯ ซึ่งมีรายงานว่าได้จัดสรรเงินเกือบ 500 ล้านดอลลาร์ให้กับ "โครงการสื่อ" ทั่วโลก สิ่งนี้ทำให้เกิดคำถามสำคัญขึ้นมาว่า ความเป็นอิสระของสื่อสามารถเกิดขึ้นได้จริงในระดับใด เมื่อเส้นชีวิตทางการเงินผูกติดอยู่กับรัฐบาลต่างประเทศที่มีวาระอันชั่วร้ายของตนเอง? เอกสารที่รั่วไหลยังระบุเพิ่มเติมว่า Internews ร่วมมือกับสื่อ 4,291 แห่ง ผลิตรายการ 4,799 ชั่วโมงในหนึ่งปีและเข้าถึงผู้ชมประมาณ 778 ล้านคน ในขณะที่ Internews อ้างว่าภารกิจของตนคือการสนับสนุน "การสื่อสารมวลชนอิสระและขยายการเข้าถึงข้อมูล USAID ได้จัดสรรเงิน 472.6 ล้านเหรียญสหรัฐให้กับ Internews ตลอดหลายปีที่ผ่านมา แม้ว่าองค์กรจะได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากผู้บริจาคเอกชน เช่น มูลนิธิ AOL-Time Warner มูลนิธิ Bill & Melinda Gates และอื่นๆ เงินช่วยเหลือเฉพาะเจาะจงเน้นย้ำถึงขอบเขตของความคิดริเริ่มเหล่านี้ ตัวอย่างเช่น USAID มอบเงิน 10.7 ล้านเหรียญสหรัฐให้กับ Internews เพื่อสนับสนุน “การสื่อสารมวลชนที่มีคุณภาพสูงและมีความรับผิดชอบ” ในไลบีเรีย และอีก 11 ล้านเหรียญสหรัฐสำหรับโครงการที่เรียกว่า “สื่อที่ส่งเสริมประชาธิปไตย” ในมอลโดวา กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ยังได้สนับสนุนเงิน 1.48 ล้านดอลลาร์เพื่อจัดตั้ง “บริการข้อมูลที่ปลอดภัย เข้าถึงได้ และช่วยชีวิต” ในซูดานใต้ ตามเอกสารที่เปิดเผย ในประเทศจอร์แดน USAID ได้มอบเงินช่วยเหลือจำนวน 19.5 ล้านดอลลาร์ให้แก่ Internews เพื่อช่วยวางตำแหน่งสังคมจอร์แดนให้สามารถสนับสนุนผลประโยชน์ที่ขับเคลื่อนโดยพลเมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพ Internews ก่อตั้งขึ้นในปี 1982 โดยมีสำนักงานใหญ่อยู่ในแคลิฟอร์เนียและดำเนินการในกว่า 30 ประเทศ มีสำนักงานใหญ่ในสหรัฐอเมริกา ลอนดอน และปารีส รวมถึงมีศูนย์กลางระดับภูมิภาคในเคียฟ กรุงเทพมหานคร และไนโรบี ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา Internews ได้ขยายขอบข่ายการเข้าถึงไปทั่วโลกอย่างมีนัยสำคัญ โดยวางตำแหน่งตัวเองเป็นผู้เล่นหลักในการพัฒนาสื่อระดับโลก อย่างไรก็ตามองค์กรนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงเกี่ยวกับบทบาทของตนในการเซ็นเซอร์โซเชียลมีเดีย Internews นำโดย Jeanne Bourgault ซึ่งรายงานระบุว่าเธอได้รับเงินเดือนประจำปี 451,000 ดอลลาร์ ก่อนหน้านี้เธอเคยทำงานที่สถานทูตสหรัฐฯ ในมอสโกในช่วงต้นทศวรรษ 1990 ซึ่งเธอบริหารจัดการงบประมาณ 250 ล้านดอลลาร์ ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับการออกแบบมาเพื่อเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง อ่านต่อตอนที่.2 https://www.facebook.com/share/p/15xvCUsuuQ/ ตอนที่.3 https://www.facebook.com/share/p/1B7tKhDFKa/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 224 มุมมอง 0 รีวิว
  • อิสราเอลฉวยโอกาสขณะสหรัฐกลับมามีอิทธิพลครั้งใหม่ ประกาศแนวเขตแดนใหม่ของตนเอง

    เนทันยาฮูประกาศแนวเขตแดนในภูมิภาค “ตะวันออกกลางใหม่” โดยกล่าวว่าเขาจะไม่ถอนกำลังออกจาก 5 ตำแหน่งในเลบานอน รวมทั้งเขตกันชนและภูเขาเฮอร์มอนในดินแดนซีเรีย

    เขาประกาศไปถึงกองกำลังซีเรียใหม่ ซึ่งอดีตคือกลุ่มก่อการร้าย Hay'at Tahrir al-Sham ไม่อนุญาตให้เข้าสู่พื้นที่ทางใต้ของดามัสกัสบนที่ราบสูงโกลัน ที่ขณะนี้อิสราเข้ายึดครองอยู่

    ขณะเดียวกันทางด้าน อิสราเอล แคทซ์ รัฐมนตรีกลาโหมของอิสราเอล ประกาศไม่อนุญาตให้ผู้พลัดถิ่นในเขตเวสต์แบงก์ที่ถูกผลักดันออกไปกลับเข้ายังดินแดนนี้อีก

    "เราไม่อนุญาตให้กองกำลังศัตรูเข้ามาตั้งถิ่นฐานและปรากฏตัวในเขตปลอดภัยในซีเรียตอนใต้ตั้งแต่ที่นี่ไปจนถึงดามัสกัส และเราจะดำเนินการต่อต้านภัยคุกคามใดๆ" แคทซ์กล่าว
    อิสราเอลฉวยโอกาสขณะสหรัฐกลับมามีอิทธิพลครั้งใหม่ ประกาศแนวเขตแดนใหม่ของตนเอง เนทันยาฮูประกาศแนวเขตแดนในภูมิภาค “ตะวันออกกลางใหม่” โดยกล่าวว่าเขาจะไม่ถอนกำลังออกจาก 5 ตำแหน่งในเลบานอน รวมทั้งเขตกันชนและภูเขาเฮอร์มอนในดินแดนซีเรีย เขาประกาศไปถึงกองกำลังซีเรียใหม่ ซึ่งอดีตคือกลุ่มก่อการร้าย Hay'at Tahrir al-Sham ไม่อนุญาตให้เข้าสู่พื้นที่ทางใต้ของดามัสกัสบนที่ราบสูงโกลัน ที่ขณะนี้อิสราเข้ายึดครองอยู่ ขณะเดียวกันทางด้าน อิสราเอล แคทซ์ รัฐมนตรีกลาโหมของอิสราเอล ประกาศไม่อนุญาตให้ผู้พลัดถิ่นในเขตเวสต์แบงก์ที่ถูกผลักดันออกไปกลับเข้ายังดินแดนนี้อีก "เราไม่อนุญาตให้กองกำลังศัตรูเข้ามาตั้งถิ่นฐานและปรากฏตัวในเขตปลอดภัยในซีเรียตอนใต้ตั้งแต่ที่นี่ไปจนถึงดามัสกัส และเราจะดำเนินการต่อต้านภัยคุกคามใดๆ" แคทซ์กล่าว
    Sad
    1
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 162 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทองคำมีบทบาทสำคัญในระบบการเงินโลกมาอย่างยาวนาน และยังคงมีความสำคัญในปัจจุบัน ต่อไปนี้เป็นประเด็นสำคัญเกี่ยวกับทองคำกับการเงินโลก:

    ### 1. **ประวัติศาสตร์ของทองคำ**
    - **มาตรฐานทองคำ (Gold Standard)**: ในอดีต หลายประเทศใช้มาตรฐานทองคำ ซึ่งหมายความว่าค่าเงินของประเทศนั้นๆ ผูกติดกับปริมาณทองคำที่ประเทศนั้นถือครอง ระบบนี้ช่วยรักษาเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยนและควบคุมอัตราเงินเฟ้อ
    - **การยกเลิกมาตรฐานทองคำ**: ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 หลายประเทศเริ่มยกเลิกมาตรฐานทองคำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 สหรัฐอเมริกายกเลิกมาตรฐานทองคำอย่างสมบูรณ์ในปี 1971 ภายใต้การนำของประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน

    ### 2. **บทบาทของทองคำในระบบการเงินสมัยใหม่**
    - **ทุนสำรองระหว่างประเทศ**: ทองคำยังคงเป็นส่วนหนึ่งของทุนสำรองระหว่างประเทศของหลายประเทศ ทองคำช่วยเพิ่มความมั่นใจในเสถียรภาพทางการเงินของประเทศและสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการป้องกันความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ
    - **การลงทุน**: ทองคำถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe-Haven Asset) ที่นักลงทุนมักจะหันไปลงทุนในช่วงเวลาที่ตลาดการเงินมีความไม่แน่นอน เช่น ภาวะเศรษฐกิจถดถอย หรือความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์
    - **เครื่องมือป้องกันเงินเฟ้อ**: ทองคำมักถูกมองว่าเป็นเครื่องมือป้องกันเงินเฟ้อ เนื่องจากมูลค่าของทองคำมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเมื่อค่าของเงินกระดาษลดลง

    ### 3. **ตลาดทองคำ**
    - **ตลาดฟิสิคัล**: ตลาดทองคำฟิสิคัลมีการซื้อขายทองคำในรูปแบบของแท่งทองคำ เหรียญทองคำ และเครื่องประดับ ตลาดสำคัญได้แก่ อินเดีย จีน และตะวันออกกลาง
    - **ตลาดอนุพันธ์**: ตลาดอนุพันธ์เช่น สัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Futures) และตัวเลือก (Options) ช่วยให้นักลงทุนสามารถเก็งกำไรหรือป้องกันความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของราคาทองคำ

    ### 4. **ปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาทองคำ**
    - **ภาวะเศรษฐกิจโลก**: ภาวะเศรษฐกิจถดถอยหรือความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจมักจะส่งผลให้ราคาทองคำเพิ่มขึ้น
    - **อัตราดอกเบี้ย**: อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำมักจะส่งผลให้ราคาทองคำเพิ่มขึ้น เนื่องจากต้นทุนการถือครองทองคำลดลง
    - **ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ**: ราคาทองคำมักจะเคลื่อนไหวในทิศทางตรงข้ามกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากทองคำถูกซื้อขายในสกุลเงินดอลลาร์
    - **ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์**: ความขัดแย้งหรือความตึงเครียดทางการเมืองมักจะส่งผลให้ราคาทองคำเพิ่มขึ้น เนื่องจากนักลงทุนมองหาสินทรัพย์ปลอดภัย

    ### 5. **อนาคตของทองคำในระบบการเงินโลก**
    - **การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี**: การเกิดขึ้นของสกุลเงินดิจิทัลและเทคโนโลยีบล็อกเชนอาจส่งผลต่อบทบาทของทองคำในระบบการเงินโลก
    - **ความยั่งยืน**: การทำเหมืองทองคำและการผลิตทองคำมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งอาจส่งผลต่อความต้องการทองคำในอนาคต

    ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ที่มีความสำคัญในระบบการเงินโลก ทั้งในแง่ของการลงทุน การป้องกันความเสี่ยง และการเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ การเข้าใจบทบาทและปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาทองคำจะช่วยให้นักลงทุนและผู้กำหนดนโยบายสามารถตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    ทองคำมีบทบาทสำคัญในระบบการเงินโลกมาอย่างยาวนาน และยังคงมีความสำคัญในปัจจุบัน ต่อไปนี้เป็นประเด็นสำคัญเกี่ยวกับทองคำกับการเงินโลก: ### 1. **ประวัติศาสตร์ของทองคำ** - **มาตรฐานทองคำ (Gold Standard)**: ในอดีต หลายประเทศใช้มาตรฐานทองคำ ซึ่งหมายความว่าค่าเงินของประเทศนั้นๆ ผูกติดกับปริมาณทองคำที่ประเทศนั้นถือครอง ระบบนี้ช่วยรักษาเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยนและควบคุมอัตราเงินเฟ้อ - **การยกเลิกมาตรฐานทองคำ**: ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 หลายประเทศเริ่มยกเลิกมาตรฐานทองคำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 สหรัฐอเมริกายกเลิกมาตรฐานทองคำอย่างสมบูรณ์ในปี 1971 ภายใต้การนำของประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน ### 2. **บทบาทของทองคำในระบบการเงินสมัยใหม่** - **ทุนสำรองระหว่างประเทศ**: ทองคำยังคงเป็นส่วนหนึ่งของทุนสำรองระหว่างประเทศของหลายประเทศ ทองคำช่วยเพิ่มความมั่นใจในเสถียรภาพทางการเงินของประเทศและสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการป้องกันความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ - **การลงทุน**: ทองคำถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe-Haven Asset) ที่นักลงทุนมักจะหันไปลงทุนในช่วงเวลาที่ตลาดการเงินมีความไม่แน่นอน เช่น ภาวะเศรษฐกิจถดถอย หรือความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ - **เครื่องมือป้องกันเงินเฟ้อ**: ทองคำมักถูกมองว่าเป็นเครื่องมือป้องกันเงินเฟ้อ เนื่องจากมูลค่าของทองคำมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเมื่อค่าของเงินกระดาษลดลง ### 3. **ตลาดทองคำ** - **ตลาดฟิสิคัล**: ตลาดทองคำฟิสิคัลมีการซื้อขายทองคำในรูปแบบของแท่งทองคำ เหรียญทองคำ และเครื่องประดับ ตลาดสำคัญได้แก่ อินเดีย จีน และตะวันออกกลาง - **ตลาดอนุพันธ์**: ตลาดอนุพันธ์เช่น สัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Futures) และตัวเลือก (Options) ช่วยให้นักลงทุนสามารถเก็งกำไรหรือป้องกันความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของราคาทองคำ ### 4. **ปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาทองคำ** - **ภาวะเศรษฐกิจโลก**: ภาวะเศรษฐกิจถดถอยหรือความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจมักจะส่งผลให้ราคาทองคำเพิ่มขึ้น - **อัตราดอกเบี้ย**: อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำมักจะส่งผลให้ราคาทองคำเพิ่มขึ้น เนื่องจากต้นทุนการถือครองทองคำลดลง - **ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ**: ราคาทองคำมักจะเคลื่อนไหวในทิศทางตรงข้ามกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากทองคำถูกซื้อขายในสกุลเงินดอลลาร์ - **ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์**: ความขัดแย้งหรือความตึงเครียดทางการเมืองมักจะส่งผลให้ราคาทองคำเพิ่มขึ้น เนื่องจากนักลงทุนมองหาสินทรัพย์ปลอดภัย ### 5. **อนาคตของทองคำในระบบการเงินโลก** - **การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี**: การเกิดขึ้นของสกุลเงินดิจิทัลและเทคโนโลยีบล็อกเชนอาจส่งผลต่อบทบาทของทองคำในระบบการเงินโลก - **ความยั่งยืน**: การทำเหมืองทองคำและการผลิตทองคำมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งอาจส่งผลต่อความต้องการทองคำในอนาคต ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ที่มีความสำคัญในระบบการเงินโลก ทั้งในแง่ของการลงทุน การป้องกันความเสี่ยง และการเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ การเข้าใจบทบาทและปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาทองคำจะช่วยให้นักลงทุนและผู้กำหนดนโยบายสามารถตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 463 มุมมอง 0 รีวิว
  • สหรัฐฯ กับรัสเซียเห็นพ้องกันที่จะเริ่มต้นทำงานเพื่อยุติสงครามในยูเครน และปรับปรุงสายสัมพันธ์ทางการทูตและทางเศรษฐกิจระหว่างกัน รัฐมนตรีต่างประเทศ มาร์โค รูบิโอ ของสหรัฐฯ ระบุภายหลังการเจรจากันของคณะผู้แทนสหรัฐฯ ที่นำโดยตัวเขา กับคณะของรัสเซียซึ่งมีรัฐมนตรีต่างประเทศ เซียร์เก ลาฟรอฟ เป็นผู้นำ ที่กรุงริยาด ซาอุดีอาระเบีย โดยที่ไม่มีตัวแทนจากยูเครนหรือทางยุโรปเข้าร่วมด้วย
    .
    ในการให้สัมภาษณ์สำนักข่าวเอพีภายหลังการเจรจากับฝ่ายรัสเซีย รูบิโอกล่าวว่าทั้งสองฝ่ายมีการตกลงกันอย่างกว้างๆ ที่จะมุ่งหน้าไปสู่เป้าหมาย 3 ด้าน ได้แก่ การหวนคืนในเรื่องการให้เจ้าหน้าที่ของแต่ละฝ่ายได้กลับเข้าประจำทำงานในสถานเอกอัครราชทูตของกันและกันในกรุงวอชิงตันและกรุงมอสโก การก่อตั้งทีมงานระดับสูงเพื่อสนับสนุนการเจรจาสันติภาพยูเครน และการสำรวจลู่ทางเพื่อให้มีความสัมพันธ์และความร่วมมือกันในทางเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้น
    .
    อย่างไรก็ดี เขาย้ำว่า การพูดจาคราวนี้ถือเป็นหลักหมายของการเริ่มต้นสนทนากัน และยังจำเป็นจะต้องทำงานกันต่อไปอีกมาก
    .
    ทั้งนี้ สายสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับรัสเซียได้ตกลงมาสู่ระดับต่ำที่สุดในรอบหลายสิบปีระหว่างที่เกิดสงครามในยูเครน โดยที่สถานเอกอัครราชทูตของแต่ละฝ่ายซึ่งตั้งอยู่ในเมืองหลวงของอีกฝ่ายหนึ่ง ต่างได้รับความกระทบกระเทือนหนักจากการที่ต่างฝ่ายต่างสั่งขับไล่นักการทูตของกันและกันเป็นจำนวนมากหลายๆ ระลอกในช่วงหลายๆ ปีที่ผ่านมา และจากการที่สหรัฐฯ จับมือกับยุโรปในการประกาศใช้มาตรการแซงก์ชันด้านต่างๆ กับรัสเซีย
    .
    รูบิโอ ยังกล่าวแสดงความหวังให้การสู้รบขัดแย้งในยูเครนเดินเข้าสู่จุดจบที่สามารถยอมรับกันได้ และสหรัฐฯ กับรัสเซียจะมีโอกาสอันน่าเชื่อถือที่จะจับมือกันในทางภูมิรัฐศาสตร์ในประเด็นต่างๆ ที่เป็นผลประโยชน์ร่วมกัน ตลอดจนในทางเศรษฐกิจด้วยประเด็นซึ่งจะเป็นผลดีต่อโลกและก็จะปรับปรุงความสัมพันธ์ของสองประเทศในระยะยาว
    .
    การหารือในวันอังคารคราวนี้ ยังมุ่งหมายที่จะแผ้วถางทางให้แก่การประชุมซัมมิตระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย ทว่าภายหลังการเจรจาสิ้นสุดลง ยูริ อูชาคอฟ ที่ปรึกษาฝ่ายกิจการต่างประเทศของปูติน ซึ่งอยู่ในคณะของฝ่ายรัสเซีย บอกกับสถานีโทรทัศน์แชนเนลวัน ของรัสเซียว่า ยังไม่มีการกำหนดวันแน่นอนสำหรับซัมมิตดังที่ว่านี้ และ “ไม่น่าเป็นไปได้” ที่จะเกิดขึ้นมาในสัปดาห์หน้า
    .
    ในส่วนของ ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย เขากล่าวกับพวกผู้สื่อข่าวหลังการหารือว่า “การสนทนากันคราวนี้เป็นประโยชน์มาก” โดยที่เขาอ้างอิงถึงเป้าหมาย 3 ประการเช่นเดียวกับที่รูบิโอพูด และบอกว่าวอชิงตันกับมอสโกตกลงกันที่จะแต่งตั้งคณะตัวแทนที่จะดำเนินการ “การปรึกษาหารืออย่างเป็นประจำ” ในเรื่องยูเครนขึ้นมา
    .
    “เราไม่เพียงแค่รับฟัง แต่ยังได้ยินกันและกันอีกด้วย” ลาฟรอฟบอก “และผมมีเหตุผลที่จะเชื่อว่าฝ่ายอเมริกันได้เริ่มต้นที่จะเข้าอกเข้าใจจุดยืนของเราดีขึ้นแล้ว ซึ่งครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่เราได้พูดสรุปโดยมีการลงรายละเอียด ใช้ตัวอย่างเฉพาะเจาะจงต่างๆ โดยยึดโยงอยู่กับคำปราศรัยครั้งแล้วครั้งเล่าของประธานาธิบดีปูติน”
    .
    ก่อนหน้าการเจรจาคราวนี้ ทั้งสองฝ่ายดูจะมีความพยายามเน้นย้ำไมให้เกิดการตั้งความหวังมากจนเกินความเป็นจริง
    .
    ดมิตริ เปสคอฟ โฆษกทำเนียบเครมลิน แถลงเมื่อวันจันทร์ (17 ก.พ.) ว่า การหารือคราวนี้มุ่งเน้นการฟื้นฟูความสัมพันธ์วอชิงตัน-มอสโกเป็นหลัก ตลอดจนถึงการเตรียมพร้อมสำหรับการเจรจาที่อาจเกิดขึ้นเกี่ยวกับยูเครน และการจัดเตรียมการประชุมสุดยอดระหว่างประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน และประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
    .
    ส่วน แทมมี บรูซ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ แถลงว่า การประชุมที่ซาอุดีอาระเบียมีเป้าหมายในการพิจารณาว่า รัสเซียจริงจังกับข้อตกลงสันติภาพแค่ไหน และจะเริ่มต้นการเจรจาอย่างละเอียดได้หรือไม่
    .
    บรูซเสริมว่า แม้ยูเครนไม่ได้รับเชิญให้ร่วมการหารือในวันอังคาร แต่การเจรจาสันติภาพที่แท้จริงจะต้องมีเคียฟร่วมวงด้วย
    .
    การเจรจาคราวนี้จัดขึ้นที่ที่พระราชวังดิริยาห์ในกรุงริยาด โดยคณะของฝ่ายของสหรัฐฯ นอกจากรัฐมนตรีต่างประเทาศรูบิโอ แล้ว ยังมี ไมค์ วอลซ์ ที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงแห่งชาติของทำเนียบขาว และสตีฟ วิตคอฟฟ์ ผู้แทนพิเศษด้านตะวันออกกลาง ขณะที่ฝ่ายรัสเซีย ได้แก่ เซียร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศ และยูริ อูชาคอฟ ผู้ช่วยอาวุโสของปูติน
    .
    รายงานข่าวระบุว่า การหารือเริ่มต้นขึ้นโดยไม่มีการจับมือหรือการแถลงใดๆ แต่มีเจ้าชายไฟซาล บิน ฟาร์ฮัน และมูซาอัด บิน โมฮัมหมัด อัล-ไอบาน รัฐมนตรีต่างประเทศและที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของซาอุดีอาระเบียตามลำดับร่วมอยู่ด้วย
    .
    การหารือครั้งนี้ถือเป็นการหารือระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสองชาติครั้งแรกนับจากที่รัสเซียบุกยูเครน และยังถือเป็นการเปลี่ยนแปลงนโยบายต่างประเทศครั้งใหญ่ของอเมริกา
    .
    เปสคอฟแถลงเมื่อวันอังคารระหว่างที่การหารือในริยาดดำเนินอยู่ว่า การแก้ไขวิกฤตยูเครนอย่างยั่งยืนไม่มีทางเป็นไปได้หากไม่พิจารณาสถานการณ์ความมั่นคงของยุโรป และสำทับว่า ยูเครนมีสิทธิอธิปไตยในการเข้าเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป แต่รัสเซียคัดค้านการเข้าร่วมองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) ของเคียฟ
    .
    โฆษกเครมลินเสริมว่า ปูตินพร้อมคุยกับเซเลนสกีถ้าจำเป็น
    .
    รัสเซียยังระบุก่อนการหารือว่า ปูตินและทรัมป์ต้องการออกจาก “ความสัมพันธ์ที่ผิดปกติ” และไม่เห็นความจำเป็นที่ยุโรปจะต้องร่วมเจรจาใดๆ
    .
    คิริลล์ ดมิทริฟ ผู้เจรจาด้านเศรษฐกิจและประธานกองทุนการลงทุนโดยตรงของรัสเซีย ให้สัมภาษณ์สถานีทีวีของทางการรัสเซียเมื่อวันอังคารว่า เขาคาดหวังว่า จะมีความคืบหน้าภายในเวลา 2-3 เดือน
    .
    ในส่วนความคืบหน้าที่อาจนำไปสู่ข้อตกลงหยุดยิงในยูเครนนั้นยังไม่มีความชัดเจน โดยทั้งอเมริกาและรัสเซียต่างออกตัวว่า การหารือในวันอังคารเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของกระบวนการที่ยาวนานเท่านั้น
    .
    บรูซ โฆษกกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวว่า การหารือที่ริยาดไม่ควรถูกคาดหวังว่า จะมีรายละเอียดหรือมีความคืบหน้าเกี่ยวกับการเจรจาหยุดยิง
    .
    ขณะที่อูชาคอฟให้สัมภาษณ์สื่อของทางการรัสเซียว่า การพูดคุยในวันอังคารเป็นเพียงการหารือถึงวิธีเริ่มต้นการเจรจาเกี่ยวกับยูเครน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000016365
    ..............
    Sondhi X
    สหรัฐฯ กับรัสเซียเห็นพ้องกันที่จะเริ่มต้นทำงานเพื่อยุติสงครามในยูเครน และปรับปรุงสายสัมพันธ์ทางการทูตและทางเศรษฐกิจระหว่างกัน รัฐมนตรีต่างประเทศ มาร์โค รูบิโอ ของสหรัฐฯ ระบุภายหลังการเจรจากันของคณะผู้แทนสหรัฐฯ ที่นำโดยตัวเขา กับคณะของรัสเซียซึ่งมีรัฐมนตรีต่างประเทศ เซียร์เก ลาฟรอฟ เป็นผู้นำ ที่กรุงริยาด ซาอุดีอาระเบีย โดยที่ไม่มีตัวแทนจากยูเครนหรือทางยุโรปเข้าร่วมด้วย . ในการให้สัมภาษณ์สำนักข่าวเอพีภายหลังการเจรจากับฝ่ายรัสเซีย รูบิโอกล่าวว่าทั้งสองฝ่ายมีการตกลงกันอย่างกว้างๆ ที่จะมุ่งหน้าไปสู่เป้าหมาย 3 ด้าน ได้แก่ การหวนคืนในเรื่องการให้เจ้าหน้าที่ของแต่ละฝ่ายได้กลับเข้าประจำทำงานในสถานเอกอัครราชทูตของกันและกันในกรุงวอชิงตันและกรุงมอสโก การก่อตั้งทีมงานระดับสูงเพื่อสนับสนุนการเจรจาสันติภาพยูเครน และการสำรวจลู่ทางเพื่อให้มีความสัมพันธ์และความร่วมมือกันในทางเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้น . อย่างไรก็ดี เขาย้ำว่า การพูดจาคราวนี้ถือเป็นหลักหมายของการเริ่มต้นสนทนากัน และยังจำเป็นจะต้องทำงานกันต่อไปอีกมาก . ทั้งนี้ สายสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับรัสเซียได้ตกลงมาสู่ระดับต่ำที่สุดในรอบหลายสิบปีระหว่างที่เกิดสงครามในยูเครน โดยที่สถานเอกอัครราชทูตของแต่ละฝ่ายซึ่งตั้งอยู่ในเมืองหลวงของอีกฝ่ายหนึ่ง ต่างได้รับความกระทบกระเทือนหนักจากการที่ต่างฝ่ายต่างสั่งขับไล่นักการทูตของกันและกันเป็นจำนวนมากหลายๆ ระลอกในช่วงหลายๆ ปีที่ผ่านมา และจากการที่สหรัฐฯ จับมือกับยุโรปในการประกาศใช้มาตรการแซงก์ชันด้านต่างๆ กับรัสเซีย . รูบิโอ ยังกล่าวแสดงความหวังให้การสู้รบขัดแย้งในยูเครนเดินเข้าสู่จุดจบที่สามารถยอมรับกันได้ และสหรัฐฯ กับรัสเซียจะมีโอกาสอันน่าเชื่อถือที่จะจับมือกันในทางภูมิรัฐศาสตร์ในประเด็นต่างๆ ที่เป็นผลประโยชน์ร่วมกัน ตลอดจนในทางเศรษฐกิจด้วยประเด็นซึ่งจะเป็นผลดีต่อโลกและก็จะปรับปรุงความสัมพันธ์ของสองประเทศในระยะยาว . การหารือในวันอังคารคราวนี้ ยังมุ่งหมายที่จะแผ้วถางทางให้แก่การประชุมซัมมิตระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย ทว่าภายหลังการเจรจาสิ้นสุดลง ยูริ อูชาคอฟ ที่ปรึกษาฝ่ายกิจการต่างประเทศของปูติน ซึ่งอยู่ในคณะของฝ่ายรัสเซีย บอกกับสถานีโทรทัศน์แชนเนลวัน ของรัสเซียว่า ยังไม่มีการกำหนดวันแน่นอนสำหรับซัมมิตดังที่ว่านี้ และ “ไม่น่าเป็นไปได้” ที่จะเกิดขึ้นมาในสัปดาห์หน้า . ในส่วนของ ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย เขากล่าวกับพวกผู้สื่อข่าวหลังการหารือว่า “การสนทนากันคราวนี้เป็นประโยชน์มาก” โดยที่เขาอ้างอิงถึงเป้าหมาย 3 ประการเช่นเดียวกับที่รูบิโอพูด และบอกว่าวอชิงตันกับมอสโกตกลงกันที่จะแต่งตั้งคณะตัวแทนที่จะดำเนินการ “การปรึกษาหารืออย่างเป็นประจำ” ในเรื่องยูเครนขึ้นมา . “เราไม่เพียงแค่รับฟัง แต่ยังได้ยินกันและกันอีกด้วย” ลาฟรอฟบอก “และผมมีเหตุผลที่จะเชื่อว่าฝ่ายอเมริกันได้เริ่มต้นที่จะเข้าอกเข้าใจจุดยืนของเราดีขึ้นแล้ว ซึ่งครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่เราได้พูดสรุปโดยมีการลงรายละเอียด ใช้ตัวอย่างเฉพาะเจาะจงต่างๆ โดยยึดโยงอยู่กับคำปราศรัยครั้งแล้วครั้งเล่าของประธานาธิบดีปูติน” . ก่อนหน้าการเจรจาคราวนี้ ทั้งสองฝ่ายดูจะมีความพยายามเน้นย้ำไมให้เกิดการตั้งความหวังมากจนเกินความเป็นจริง . ดมิตริ เปสคอฟ โฆษกทำเนียบเครมลิน แถลงเมื่อวันจันทร์ (17 ก.พ.) ว่า การหารือคราวนี้มุ่งเน้นการฟื้นฟูความสัมพันธ์วอชิงตัน-มอสโกเป็นหลัก ตลอดจนถึงการเตรียมพร้อมสำหรับการเจรจาที่อาจเกิดขึ้นเกี่ยวกับยูเครน และการจัดเตรียมการประชุมสุดยอดระหว่างประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน และประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ . ส่วน แทมมี บรูซ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ แถลงว่า การประชุมที่ซาอุดีอาระเบียมีเป้าหมายในการพิจารณาว่า รัสเซียจริงจังกับข้อตกลงสันติภาพแค่ไหน และจะเริ่มต้นการเจรจาอย่างละเอียดได้หรือไม่ . บรูซเสริมว่า แม้ยูเครนไม่ได้รับเชิญให้ร่วมการหารือในวันอังคาร แต่การเจรจาสันติภาพที่แท้จริงจะต้องมีเคียฟร่วมวงด้วย . การเจรจาคราวนี้จัดขึ้นที่ที่พระราชวังดิริยาห์ในกรุงริยาด โดยคณะของฝ่ายของสหรัฐฯ นอกจากรัฐมนตรีต่างประเทาศรูบิโอ แล้ว ยังมี ไมค์ วอลซ์ ที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงแห่งชาติของทำเนียบขาว และสตีฟ วิตคอฟฟ์ ผู้แทนพิเศษด้านตะวันออกกลาง ขณะที่ฝ่ายรัสเซีย ได้แก่ เซียร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศ และยูริ อูชาคอฟ ผู้ช่วยอาวุโสของปูติน . รายงานข่าวระบุว่า การหารือเริ่มต้นขึ้นโดยไม่มีการจับมือหรือการแถลงใดๆ แต่มีเจ้าชายไฟซาล บิน ฟาร์ฮัน และมูซาอัด บิน โมฮัมหมัด อัล-ไอบาน รัฐมนตรีต่างประเทศและที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของซาอุดีอาระเบียตามลำดับร่วมอยู่ด้วย . การหารือครั้งนี้ถือเป็นการหารือระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสองชาติครั้งแรกนับจากที่รัสเซียบุกยูเครน และยังถือเป็นการเปลี่ยนแปลงนโยบายต่างประเทศครั้งใหญ่ของอเมริกา . เปสคอฟแถลงเมื่อวันอังคารระหว่างที่การหารือในริยาดดำเนินอยู่ว่า การแก้ไขวิกฤตยูเครนอย่างยั่งยืนไม่มีทางเป็นไปได้หากไม่พิจารณาสถานการณ์ความมั่นคงของยุโรป และสำทับว่า ยูเครนมีสิทธิอธิปไตยในการเข้าเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป แต่รัสเซียคัดค้านการเข้าร่วมองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) ของเคียฟ . โฆษกเครมลินเสริมว่า ปูตินพร้อมคุยกับเซเลนสกีถ้าจำเป็น . รัสเซียยังระบุก่อนการหารือว่า ปูตินและทรัมป์ต้องการออกจาก “ความสัมพันธ์ที่ผิดปกติ” และไม่เห็นความจำเป็นที่ยุโรปจะต้องร่วมเจรจาใดๆ . คิริลล์ ดมิทริฟ ผู้เจรจาด้านเศรษฐกิจและประธานกองทุนการลงทุนโดยตรงของรัสเซีย ให้สัมภาษณ์สถานีทีวีของทางการรัสเซียเมื่อวันอังคารว่า เขาคาดหวังว่า จะมีความคืบหน้าภายในเวลา 2-3 เดือน . ในส่วนความคืบหน้าที่อาจนำไปสู่ข้อตกลงหยุดยิงในยูเครนนั้นยังไม่มีความชัดเจน โดยทั้งอเมริกาและรัสเซียต่างออกตัวว่า การหารือในวันอังคารเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของกระบวนการที่ยาวนานเท่านั้น . บรูซ โฆษกกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวว่า การหารือที่ริยาดไม่ควรถูกคาดหวังว่า จะมีรายละเอียดหรือมีความคืบหน้าเกี่ยวกับการเจรจาหยุดยิง . ขณะที่อูชาคอฟให้สัมภาษณ์สื่อของทางการรัสเซียว่า การพูดคุยในวันอังคารเป็นเพียงการหารือถึงวิธีเริ่มต้นการเจรจาเกี่ยวกับยูเครน . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000016365 .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    9
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2262 มุมมอง 0 รีวิว
  • มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐ
    ไมค์ วอลซ์ ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐ
    สตีฟ วิตคอฟฟ์ ผู้แทนพิเศษประจำตะวันออกกลางของทำเนียบขาว
    ร่วมกันเปิดเผยรายละเอียดบางส่วนเกี่ยวกับการเจรจาครั้งสำคัญระหว่างสหรัฐและรัสเซีย:

    - การเจรจากับรัสเซียในซาอุดีอาระเบียถือเป็น "ก้าวสำคัญที่พัฒนาไปข้างหน้า"

    - ทั้งสองประเทศตกลงที่จะวางรากฐานสำหรับความร่วมมือในอนาคตในประเด็นภูมิรัฐศาสตร์ เศรษฐกิจ และโอกาสการลงทุนเมื่อความขัดแย้งในยูเครนสิ้นสุดลง

    - สหรัฐและรัสเซีย ให้คำมั่นที่จะมีส่วนร่วมเพื่อให้แน่ใจว่ากระบวนการดำเนินไปอย่างทันท่วงทีและสร้างสรรค์

    - การทำงานเพื่อยุติความขัดแย้งในยูเครนจะต้องใช้ "การทูตที่ซับซ้อนและเข้มข้น" และต้องใช้ระยะเวลา "ซึ่งต้องอาศัยการประนีประนอมจากทุกฝ่าย" (พุ่งเป้าไปที่รัสเซีย) และเงื่อนไขจะต้อง "ยอมรับได้"

    - ยังไม่ได้มีการกำหนดวัน ของการพบปะกันระหว่างผู้นำทั้งสอง แต่เชื่อว่าประธานาธิบดีทั้งสองได้สนทนากันถึงการพบกันแล้ว ซึ่งคาดว่าจะได้พบกันในที่สุด - ไมค์ วอลซ์ ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐกล่าว

    - อนาคตของการเจรจาขึ้นอยู่กับความเต็มใจของทั้งสองฝ่ายที่จะ "ทำตามสัญญา" ซึ่งเป็นการทดสอบในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า

    - ทรัมป์ตั้งเป้าหมายที่จะหาทางแก้ไขอย่างยุติธรรม เพื่อหลีกเลี่ยงการกลับมาสร้างความขัดแย้งในอีก 2-3 ปี ข้างหน้า

    - การฟื้นฟูทางการทูตระหว่างกันอาจทำได้ในเร็วๆนี้ หลังจากไม่ได้ติดต่อสื่อสารกันอย่างมีนัยสำคัญมาเกือบสามปีแล้ว

    - มาตรการคว่ำบาตรรัสเซียเป็นผลจากความขัดแย้ง และอาจยกเลิกได้เมื่อความขัดแย้งสิ้นสุดลง
    มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐ ไมค์ วอลซ์ ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐ สตีฟ วิตคอฟฟ์ ผู้แทนพิเศษประจำตะวันออกกลางของทำเนียบขาว ร่วมกันเปิดเผยรายละเอียดบางส่วนเกี่ยวกับการเจรจาครั้งสำคัญระหว่างสหรัฐและรัสเซีย: - การเจรจากับรัสเซียในซาอุดีอาระเบียถือเป็น "ก้าวสำคัญที่พัฒนาไปข้างหน้า" - ทั้งสองประเทศตกลงที่จะวางรากฐานสำหรับความร่วมมือในอนาคตในประเด็นภูมิรัฐศาสตร์ เศรษฐกิจ และโอกาสการลงทุนเมื่อความขัดแย้งในยูเครนสิ้นสุดลง - สหรัฐและรัสเซีย ให้คำมั่นที่จะมีส่วนร่วมเพื่อให้แน่ใจว่ากระบวนการดำเนินไปอย่างทันท่วงทีและสร้างสรรค์ - การทำงานเพื่อยุติความขัดแย้งในยูเครนจะต้องใช้ "การทูตที่ซับซ้อนและเข้มข้น" และต้องใช้ระยะเวลา "ซึ่งต้องอาศัยการประนีประนอมจากทุกฝ่าย" (พุ่งเป้าไปที่รัสเซีย) และเงื่อนไขจะต้อง "ยอมรับได้" - ยังไม่ได้มีการกำหนดวัน ของการพบปะกันระหว่างผู้นำทั้งสอง แต่เชื่อว่าประธานาธิบดีทั้งสองได้สนทนากันถึงการพบกันแล้ว ซึ่งคาดว่าจะได้พบกันในที่สุด - ไมค์ วอลซ์ ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐกล่าว - อนาคตของการเจรจาขึ้นอยู่กับความเต็มใจของทั้งสองฝ่ายที่จะ "ทำตามสัญญา" ซึ่งเป็นการทดสอบในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า - ทรัมป์ตั้งเป้าหมายที่จะหาทางแก้ไขอย่างยุติธรรม เพื่อหลีกเลี่ยงการกลับมาสร้างความขัดแย้งในอีก 2-3 ปี ข้างหน้า - การฟื้นฟูทางการทูตระหว่างกันอาจทำได้ในเร็วๆนี้ หลังจากไม่ได้ติดต่อสื่อสารกันอย่างมีนัยสำคัญมาเกือบสามปีแล้ว - มาตรการคว่ำบาตรรัสเซียเป็นผลจากความขัดแย้ง และอาจยกเลิกได้เมื่อความขัดแย้งสิ้นสุดลง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 311 มุมมอง 0 รีวิว
  • อิหร่านระบุคำขู่ของสหรัฐฯ และอิสราเอลที่มีกับเตหะราน ถือเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างโจ่งแจ้ง พร้อมเตือนทั้ง 2 ชาติ อย่าได้ทำสิ่งที่น่ารังเกียจกับอิหร่าน
    .
    ถ้อยแถลงนี้มีขึ้นหลังจาก เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล พบปะกับ มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ในเยรูซาเลม เมื่อวันอาทิตย์ (16 ก.พ.) และบอกว่าทั้ง 2 ประเทศ มีความมั่งมุ่นทำลายความทะเยอทะยานทางนิวเคลียร์ของอิหร่าน และอิทธิพลของเตหะรานในตะวันออกกลาง
    .
    เนทันยาฮู อวดอ้างว่าอิสราเอลก่อความเสียหายอย่างหนักแก่อิหร่าน นับตั้งแต่สงครามในกาซาเริ่มต้นขึ้น และบอกว่าภายใต้แรงสนับสนุนของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ "ผมไม่สงสัยเลยว่าเราสามารถและจะปิดฉากงานนี้"
    .
    ระหว่างแถลงข่าวกับสื่อมวลชนรายสัปดาห์เมื่อวันจันทร์ (17 ก.พ.) เอสมาอิล เบกาอี โฆษกกระทรวงการต่างประเทศอิหร่าน ตอบโต้ว่า "เมื่อเป็นเรื่องของประเทศหนึ่งๆ อย่างอิหร่าน พวกเขาไม่อาจทำในสิ่งที่น่ารังเกียจ คุณไม่อาจข่มขู่อิหร่านด้วยมือข้างหนึ่ง แล้วอีกข้างหนึ่งอวดอ้างสนับสนุนการเจรจา"
    .
    ทรัมป์ แสดงออกเปิดกว้างสำหรับเจรจาตกลงกับเตหะราน แต่ขณะเดียวก็คืนสถานะยุทธการ "กดดันขั้นสูงสุด" ต่ออิหร่าน นโยบายที่เขาเคยใช้ครั้งดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยแรก เพื่อหยุดเตหะรานจากการมีอาวุธนิวเคลียร์ในครอบครอง
    .
    เมื่อช่วงต้นที่ผ่านมา อยาตอลเลาะห์ อาลี คอเมเนอี ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน บอกว่าไม่ควรมีการเจรจากับสหรัฐฯ ไม่กี่วันหลังจาก ทรัมป์ เรียกร้องให้มีข้อตกลงนิวเคลียร์ฉบับใหม่ ขณะที่ผู้นำสูงสุดของอิหร่านรายนี้เคยวิพากษ์รัฐบาลทรัมป์ชุดก่อน ว่าไม่ยึดถือคำมั่นสัญญา
    .
    "คุณไม่ควรเจรจากับรัฐบาลแบบนั้น มันไม่ฉลาด ไม่ชาญฉลาด ไม่เป็นเกียรติที่จะเจรจา" คาเมเนอีกล่าวระหว่างการประชุมกับผู้บัญชาการกองทัพ "สหรัฐฯ เคยทำลาย ละเมิด และฉีกข้อตกลงนิวเคลียร์มาก่อน และบุคคลเดียวกันที่อยู่ในอำนาจในตอนนี้ คือคนที่ฉีกสัญญา”
    .
    ในปี 2018 ทรัมป์ถอนสหรัฐฯ ออกจากข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน ที่ทางเตหะรานทำไว้กับบรรดามหาอำนาจโลกในปี 2015 และกลับมากำหนดมาตรการคว่ำบาตรอีกรอบ เพื่อฉีกเศรษฐกิจอิหร่านเป็นชิ้นๆ
    .
    หนึ่งปีหลังจากนั้น อิหร่านตอบโต้การละเมิดข้อตกลงควบคุมนิวเคลียร์ ด้วยการเร่งเสริมสมรรถนะยูเรเนียมให้มีความบริสุทธิ์ 60% เข้าใกล้ระดับราว 90% ที่จำเป็นสำหรับเกรดผลิตอาวุธนิวเคลียร์ อย่างไรก็ตาม เตหะรานยืนกรานว่าโครงการนิวเคลียร์ของพวกเขามีจุดประสงค์ทางสันติแต่เพียงอย่างเดียว
    .
    แม้ถ้อยแถลงของโฆษกกระทรวงการต่างประเทศอิหร่าน ใช้ถ้อยคำที่แข็งกร้าว แต่ดูเหมือนอิทธิพลของเตหะรานทั่วภูมิภาคตะวันออกกลางจะอ่อนแอลงอย่างมาก ในขณะที่พันธมิตรต่างๆ ของพวกเขาในภูมิภาค ที่รู้จักกันในฐานะ "อักษะแห่งการต่อต้าน" ทั้งถูกถอนรากถอนโคนหรือไม่ก็ได้รับความเสียหายร้ายแรง นับตั้งแต่ความขัดแย้งระหว่างฮามาส-อิสราเอลเริ่มต้นขึ้นในกาซา และการล่มสลายของอดีตประธานาธิบดีบาชาร์ อัล อัสซาด ในซีเรีย เมื่อเดือนธันวาคม
    .
    อักษะแห่งการต่อต้านนี้ ไม่ได้มีเฉพาะแค่ฮามาส แต่ยังรวมไปถึงพวกฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอน กบฏฮูตีในเยเมน และกลุ่มติดอาวุธชีอะห์ต่างๆ ในอิรักและซีเรีย
    .
    ตลอด 16 เดือนนับตั้งแต่สงครามกาซาปะทุขึ้น อิสราเอลได้ลอบสังหารพวกผู้นำของฮามาสและฮิซบอลเลาะห์ไปแล้วหลายคน ในขณะที่อิหร่านและอิหร่านปฏิบัติการโจมตีอย่างจำกัด ตอบโต้กันไปมาแล้วหลายรอบ
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000015978
    ..............
    Sondhi X
    อิหร่านระบุคำขู่ของสหรัฐฯ และอิสราเอลที่มีกับเตหะราน ถือเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างโจ่งแจ้ง พร้อมเตือนทั้ง 2 ชาติ อย่าได้ทำสิ่งที่น่ารังเกียจกับอิหร่าน . ถ้อยแถลงนี้มีขึ้นหลังจาก เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล พบปะกับ มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ในเยรูซาเลม เมื่อวันอาทิตย์ (16 ก.พ.) และบอกว่าทั้ง 2 ประเทศ มีความมั่งมุ่นทำลายความทะเยอทะยานทางนิวเคลียร์ของอิหร่าน และอิทธิพลของเตหะรานในตะวันออกกลาง . เนทันยาฮู อวดอ้างว่าอิสราเอลก่อความเสียหายอย่างหนักแก่อิหร่าน นับตั้งแต่สงครามในกาซาเริ่มต้นขึ้น และบอกว่าภายใต้แรงสนับสนุนของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ "ผมไม่สงสัยเลยว่าเราสามารถและจะปิดฉากงานนี้" . ระหว่างแถลงข่าวกับสื่อมวลชนรายสัปดาห์เมื่อวันจันทร์ (17 ก.พ.) เอสมาอิล เบกาอี โฆษกกระทรวงการต่างประเทศอิหร่าน ตอบโต้ว่า "เมื่อเป็นเรื่องของประเทศหนึ่งๆ อย่างอิหร่าน พวกเขาไม่อาจทำในสิ่งที่น่ารังเกียจ คุณไม่อาจข่มขู่อิหร่านด้วยมือข้างหนึ่ง แล้วอีกข้างหนึ่งอวดอ้างสนับสนุนการเจรจา" . ทรัมป์ แสดงออกเปิดกว้างสำหรับเจรจาตกลงกับเตหะราน แต่ขณะเดียวก็คืนสถานะยุทธการ "กดดันขั้นสูงสุด" ต่ออิหร่าน นโยบายที่เขาเคยใช้ครั้งดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยแรก เพื่อหยุดเตหะรานจากการมีอาวุธนิวเคลียร์ในครอบครอง . เมื่อช่วงต้นที่ผ่านมา อยาตอลเลาะห์ อาลี คอเมเนอี ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน บอกว่าไม่ควรมีการเจรจากับสหรัฐฯ ไม่กี่วันหลังจาก ทรัมป์ เรียกร้องให้มีข้อตกลงนิวเคลียร์ฉบับใหม่ ขณะที่ผู้นำสูงสุดของอิหร่านรายนี้เคยวิพากษ์รัฐบาลทรัมป์ชุดก่อน ว่าไม่ยึดถือคำมั่นสัญญา . "คุณไม่ควรเจรจากับรัฐบาลแบบนั้น มันไม่ฉลาด ไม่ชาญฉลาด ไม่เป็นเกียรติที่จะเจรจา" คาเมเนอีกล่าวระหว่างการประชุมกับผู้บัญชาการกองทัพ "สหรัฐฯ เคยทำลาย ละเมิด และฉีกข้อตกลงนิวเคลียร์มาก่อน และบุคคลเดียวกันที่อยู่ในอำนาจในตอนนี้ คือคนที่ฉีกสัญญา” . ในปี 2018 ทรัมป์ถอนสหรัฐฯ ออกจากข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน ที่ทางเตหะรานทำไว้กับบรรดามหาอำนาจโลกในปี 2015 และกลับมากำหนดมาตรการคว่ำบาตรอีกรอบ เพื่อฉีกเศรษฐกิจอิหร่านเป็นชิ้นๆ . หนึ่งปีหลังจากนั้น อิหร่านตอบโต้การละเมิดข้อตกลงควบคุมนิวเคลียร์ ด้วยการเร่งเสริมสมรรถนะยูเรเนียมให้มีความบริสุทธิ์ 60% เข้าใกล้ระดับราว 90% ที่จำเป็นสำหรับเกรดผลิตอาวุธนิวเคลียร์ อย่างไรก็ตาม เตหะรานยืนกรานว่าโครงการนิวเคลียร์ของพวกเขามีจุดประสงค์ทางสันติแต่เพียงอย่างเดียว . แม้ถ้อยแถลงของโฆษกกระทรวงการต่างประเทศอิหร่าน ใช้ถ้อยคำที่แข็งกร้าว แต่ดูเหมือนอิทธิพลของเตหะรานทั่วภูมิภาคตะวันออกกลางจะอ่อนแอลงอย่างมาก ในขณะที่พันธมิตรต่างๆ ของพวกเขาในภูมิภาค ที่รู้จักกันในฐานะ "อักษะแห่งการต่อต้าน" ทั้งถูกถอนรากถอนโคนหรือไม่ก็ได้รับความเสียหายร้ายแรง นับตั้งแต่ความขัดแย้งระหว่างฮามาส-อิสราเอลเริ่มต้นขึ้นในกาซา และการล่มสลายของอดีตประธานาธิบดีบาชาร์ อัล อัสซาด ในซีเรีย เมื่อเดือนธันวาคม . อักษะแห่งการต่อต้านนี้ ไม่ได้มีเฉพาะแค่ฮามาส แต่ยังรวมไปถึงพวกฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอน กบฏฮูตีในเยเมน และกลุ่มติดอาวุธชีอะห์ต่างๆ ในอิรักและซีเรีย . ตลอด 16 เดือนนับตั้งแต่สงครามกาซาปะทุขึ้น อิสราเอลได้ลอบสังหารพวกผู้นำของฮามาสและฮิซบอลเลาะห์ไปแล้วหลายคน ในขณะที่อิหร่านและอิหร่านปฏิบัติการโจมตีอย่างจำกัด ตอบโต้กันไปมาแล้วหลายรอบ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000015978 .............. Sondhi X
    Like
    Angry
    Haha
    13
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1977 มุมมอง 0 รีวิว
  • เครมลินแถลงเอง เซียร์เก ราฟลอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศ และยูริ อูชาคอฟ ที่ปรึกษาด้านนโยบายต่างประเทศของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน จะนำคณะเจรจาหารือกับทีมเจ้าหน้าที่ระดับสูงของอเมริกาที่นำโดยมาร์โค รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ซึ่งจะเริ่มต้นวันอังคาร (18 ก.พ.) ที่กรุงริยาด ของซาอุดีอาระเบีย ขณะที่รูบิโอพยายามคลายความกังวลโดยยืนยันว่า ยูเครนและยุโรปจะยังมีส่วนร่วมในการเจรจาข้อตกลงสันติภาพ หากการหารือระหว่างวอชิงตัน-มอสโกคืบหน้า
    .
    การหารือที่เมืองหลวงซาอุดีอาระเบียคราวนี้ เกิดขึ้นหลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ พูดคุยทางโทรศัพท์กับปูตินเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากนั้นเขาแถลงว่าน่าจะได้พบปะแบบพบหน้ากับผู้นำเครมลินในเร็วๆ นี้ โดยอาจจะเป็นที่ซาอุดีอาระเบีย นอกจากนั้นทางสหรัฐฯยังเคลื่อนไหวแต่งตั้งคณะเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่จะไปหารือกับฝ่ายรัสเซีย โดยเห็นกันว่าเพื่อปูทางสำหรับการประชุมซัมมิตทรัมป์-ปูติน เวลาเดียวกันก็เป็นการเริ่มต้นเจรจาเพื่อยุติความขัดแย้งในยูเครนตามที่ทรัมป์เคยหาเสียงไว้ ทั้งนี้ความเคลื่อนไหวคราวนี้ของทรัมป์ ยังถือเป็นการสิ้นสุดการโดดเดี่ยวมอสโกจากกรณีบุกยูเครนเมื่อวันที่ 22 ก.พ.2022
    .
    คณะของสหรัฐฯ นั้น นอกจากรูบิโอที่เดินทางถึงกรุงริยาดตั้งแต่ค่ำวันอาทิตย์ (16) แล้ว ยังประกอบด้วย ไมค์ วอลซ์ ที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงแห่งชาติ และสตีฟ วิตคอฟฟ์ ผู้แทนพิเศษด้านตะวันออกกลางของทำเนียบขาว
    .
    รูบิโอกล่าวกับทีวีสหรัฐฯเมื่อวันอาทิตย์ (16 ก.พ.) ว่า ช่วงไม่กี่วันหรือไม่กี่สัปดาห์นับจากนี้ จะตัดสินว่า ปูตินจริงจังกับการสร้างสันติภาพหรือไม่
    .
    ด้านวิตคอฟฟ์ให้สัมภาษณ์รายการ “ซันเดย์ มอร์นิง ฟิวเจอร์” ของฟ็อกซ์ นิวส์ว่า ตนและวอลซ์จะดำเนินการประชุมตามแนวทางที่ทรัมป์กำหนด และหวังว่าจะมีความคืบหน้าบางอย่างเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครน
    .
    ในอีกด้านหนึ่ง ดมิตริ เปสคอฟ โฆษกทำเนียบเครมลิน แถลงในวันจันทร์ว่า ราฟลอฟและอูชาคอฟจะร่วมหารือกับเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ เกี่ยวกับการจัดเตรียมการหารือระหว่างปูตินกับทรัมป์ และเรื่องเกี่ยวกับข้อตกลงสันติภาพในยูเครนที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงฟื้นความสัมพันธ์วอชิงตัน-มอสโก
    .
    อย่างไรก็ดี เปสคอฟปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นว่า ปูตินกับทรัมป์จะพบกันปลายเดือนนี้ที่ซาอุดีอาระเบียหรือไม่ ขณะที่เมื่อวันอาทิตย์ ทรัมป์ให้สัมภาษณ์ว่า ยังไม่ได้กำหนดวันเวลาที่จะพบกับผู้นำรัสเซีย แต่น่าจะเป็นเร็วๆ นี้
    .
    ในส่วนประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกีของยูเครนนั้น รายงานระบุว่าได้ เดินทางถึงสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ตั้งแต่วันอาทิตย์ รวมทั้งเล็งเยือนซาอุดีอาระเบียและตุรกีต่อ แต่ยืนยันว่า ไม่มีแผนพบกับเจ้าหน้าที่รัสเซียหรือสหรัฐฯ ขณะที่เชื่อกันว่า ยูเครนไม่ได้รับเชิญให้ร่วมหารือที่ซาอุดีอาระเบียเป็นเจ้าภาพ
    .
    แอนดริว เยอร์แมค ที่ปรึกษาระดับสูงของเซเลนสกี เปิดเผยเมื่อวันอาทิตย์ว่า ไม่มีความเป็นไปได้ที่เจ้าหน้าที่ยูเครนกับรัสเซียจะประชุมกันโดยตรงในอนาคตอันใกล้ อย่างน้อยจนกว่ายูเครนจะร่างแผนการเพื่อยุติสงครามและสร้างสันติภาพเสร็จสิ้น
    .
    การหารือระหว่างคณะเจ้าหน้าที่อเมริกาและรัสเซียยังเกิดขึ้นท่ามกลางความกังวลว่า ยูเครนและยุโรปกำลังถูกกีดกันไม่ให้มีส่วนร่วม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจาก คีธ เคลล็อก ผู้แทนพิเศษด้านยูเครนและรัสเซียของทรัมป์ ประกาศชัดเจนเมื่อวันเสาร์ (15 ก.พ.) ว่า ยุโรปจะไม่มีส่วนร่วมในการเจรจาสันติภาพ
    .
    กระนั้น เมื่อวันอาทิตย์ รูบิโอได้พยายามคลายความกังวลเรื่องนี้โดยบอกว่า ทั้งเคียฟและยุโรปจะมีส่วนร่วมใน “การเจรจาจริง” ที่จะเกิดขึ้นมา หากการหารือระหว่างอเมริกากับรัสเซียมีความคืบหน้า และสำทับว่า การหารือในขณะนี้เป็นแค่โอกาสในการหยั่งเชิงว่า รัสเซียจะจริงจังแค่ไหน
    .
    นอกจากนั้น วิตคอฟฟ์ยังตั้งข้อสังเกตว่า เจ้าหน้าที่ยูเครนได้พบกับเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ หลายคนระหว่างการประชุมความมั่นคงที่มิวนิกเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่ทรัมป์ก็ได้พูดคุยกับเซเลนสกีเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000015972
    ..............
    Sondhi X
    เครมลินแถลงเอง เซียร์เก ราฟลอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศ และยูริ อูชาคอฟ ที่ปรึกษาด้านนโยบายต่างประเทศของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน จะนำคณะเจรจาหารือกับทีมเจ้าหน้าที่ระดับสูงของอเมริกาที่นำโดยมาร์โค รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ซึ่งจะเริ่มต้นวันอังคาร (18 ก.พ.) ที่กรุงริยาด ของซาอุดีอาระเบีย ขณะที่รูบิโอพยายามคลายความกังวลโดยยืนยันว่า ยูเครนและยุโรปจะยังมีส่วนร่วมในการเจรจาข้อตกลงสันติภาพ หากการหารือระหว่างวอชิงตัน-มอสโกคืบหน้า . การหารือที่เมืองหลวงซาอุดีอาระเบียคราวนี้ เกิดขึ้นหลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ พูดคุยทางโทรศัพท์กับปูตินเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากนั้นเขาแถลงว่าน่าจะได้พบปะแบบพบหน้ากับผู้นำเครมลินในเร็วๆ นี้ โดยอาจจะเป็นที่ซาอุดีอาระเบีย นอกจากนั้นทางสหรัฐฯยังเคลื่อนไหวแต่งตั้งคณะเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่จะไปหารือกับฝ่ายรัสเซีย โดยเห็นกันว่าเพื่อปูทางสำหรับการประชุมซัมมิตทรัมป์-ปูติน เวลาเดียวกันก็เป็นการเริ่มต้นเจรจาเพื่อยุติความขัดแย้งในยูเครนตามที่ทรัมป์เคยหาเสียงไว้ ทั้งนี้ความเคลื่อนไหวคราวนี้ของทรัมป์ ยังถือเป็นการสิ้นสุดการโดดเดี่ยวมอสโกจากกรณีบุกยูเครนเมื่อวันที่ 22 ก.พ.2022 . คณะของสหรัฐฯ นั้น นอกจากรูบิโอที่เดินทางถึงกรุงริยาดตั้งแต่ค่ำวันอาทิตย์ (16) แล้ว ยังประกอบด้วย ไมค์ วอลซ์ ที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงแห่งชาติ และสตีฟ วิตคอฟฟ์ ผู้แทนพิเศษด้านตะวันออกกลางของทำเนียบขาว . รูบิโอกล่าวกับทีวีสหรัฐฯเมื่อวันอาทิตย์ (16 ก.พ.) ว่า ช่วงไม่กี่วันหรือไม่กี่สัปดาห์นับจากนี้ จะตัดสินว่า ปูตินจริงจังกับการสร้างสันติภาพหรือไม่ . ด้านวิตคอฟฟ์ให้สัมภาษณ์รายการ “ซันเดย์ มอร์นิง ฟิวเจอร์” ของฟ็อกซ์ นิวส์ว่า ตนและวอลซ์จะดำเนินการประชุมตามแนวทางที่ทรัมป์กำหนด และหวังว่าจะมีความคืบหน้าบางอย่างเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครน . ในอีกด้านหนึ่ง ดมิตริ เปสคอฟ โฆษกทำเนียบเครมลิน แถลงในวันจันทร์ว่า ราฟลอฟและอูชาคอฟจะร่วมหารือกับเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ เกี่ยวกับการจัดเตรียมการหารือระหว่างปูตินกับทรัมป์ และเรื่องเกี่ยวกับข้อตกลงสันติภาพในยูเครนที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงฟื้นความสัมพันธ์วอชิงตัน-มอสโก . อย่างไรก็ดี เปสคอฟปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นว่า ปูตินกับทรัมป์จะพบกันปลายเดือนนี้ที่ซาอุดีอาระเบียหรือไม่ ขณะที่เมื่อวันอาทิตย์ ทรัมป์ให้สัมภาษณ์ว่า ยังไม่ได้กำหนดวันเวลาที่จะพบกับผู้นำรัสเซีย แต่น่าจะเป็นเร็วๆ นี้ . ในส่วนประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกีของยูเครนนั้น รายงานระบุว่าได้ เดินทางถึงสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ตั้งแต่วันอาทิตย์ รวมทั้งเล็งเยือนซาอุดีอาระเบียและตุรกีต่อ แต่ยืนยันว่า ไม่มีแผนพบกับเจ้าหน้าที่รัสเซียหรือสหรัฐฯ ขณะที่เชื่อกันว่า ยูเครนไม่ได้รับเชิญให้ร่วมหารือที่ซาอุดีอาระเบียเป็นเจ้าภาพ . แอนดริว เยอร์แมค ที่ปรึกษาระดับสูงของเซเลนสกี เปิดเผยเมื่อวันอาทิตย์ว่า ไม่มีความเป็นไปได้ที่เจ้าหน้าที่ยูเครนกับรัสเซียจะประชุมกันโดยตรงในอนาคตอันใกล้ อย่างน้อยจนกว่ายูเครนจะร่างแผนการเพื่อยุติสงครามและสร้างสันติภาพเสร็จสิ้น . การหารือระหว่างคณะเจ้าหน้าที่อเมริกาและรัสเซียยังเกิดขึ้นท่ามกลางความกังวลว่า ยูเครนและยุโรปกำลังถูกกีดกันไม่ให้มีส่วนร่วม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจาก คีธ เคลล็อก ผู้แทนพิเศษด้านยูเครนและรัสเซียของทรัมป์ ประกาศชัดเจนเมื่อวันเสาร์ (15 ก.พ.) ว่า ยุโรปจะไม่มีส่วนร่วมในการเจรจาสันติภาพ . กระนั้น เมื่อวันอาทิตย์ รูบิโอได้พยายามคลายความกังวลเรื่องนี้โดยบอกว่า ทั้งเคียฟและยุโรปจะมีส่วนร่วมใน “การเจรจาจริง” ที่จะเกิดขึ้นมา หากการหารือระหว่างอเมริกากับรัสเซียมีความคืบหน้า และสำทับว่า การหารือในขณะนี้เป็นแค่โอกาสในการหยั่งเชิงว่า รัสเซียจะจริงจังแค่ไหน . นอกจากนั้น วิตคอฟฟ์ยังตั้งข้อสังเกตว่า เจ้าหน้าที่ยูเครนได้พบกับเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ หลายคนระหว่างการประชุมความมั่นคงที่มิวนิกเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่ทรัมป์ก็ได้พูดคุยกับเซเลนสกีเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000015972 .............. Sondhi X
    Like
    Love
    11
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1561 มุมมอง 0 รีวิว
  • ยูเครนโจมตีโรงกลั่นน้ำมันของรัสเซียด้วยโดรนพลีชีพ ก่อนการเจรจาสันติภาพระหว่างสหรัฐและรัสเซียจะมีขึ้นในซาอุดิอาระเบีย

    รายงานระบุว่ายูเครนโจมตีโรงกลั่นน้ำมันของรัสเซียในดินแดนครัสโนดาร์ (Krasnodar) ด้วยโดรน ซึ่งถือเป็นการจงใจยั่วยุก่อนการเจรจาสันติภาะจะมีขึ้นในวันอังคารนี้ที่ซาอุดิอาระเบีย

    ยังไม่มีแถลงการณ์อย่างเป็นทางการจากรัสเซีย

    สำหรับการเจรจาที่จะมีขึ้นในริยาดในวันอังคารนี้ คาดว่าฝ่ายสหรัฐ จะประกอบด้วยรัฐมนตรีต่างประเทศ Mark Rubio, ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ Mike Walz และผู้แทนพิเศษของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประจำตะวันออกกลาง Steve Witkoff สำหรับทางรัสเซีย คาดว่าจะนำโดย Sergey Lavrov รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย
    ยูเครนโจมตีโรงกลั่นน้ำมันของรัสเซียด้วยโดรนพลีชีพ ก่อนการเจรจาสันติภาพระหว่างสหรัฐและรัสเซียจะมีขึ้นในซาอุดิอาระเบีย รายงานระบุว่ายูเครนโจมตีโรงกลั่นน้ำมันของรัสเซียในดินแดนครัสโนดาร์ (Krasnodar) ด้วยโดรน ซึ่งถือเป็นการจงใจยั่วยุก่อนการเจรจาสันติภาะจะมีขึ้นในวันอังคารนี้ที่ซาอุดิอาระเบีย ยังไม่มีแถลงการณ์อย่างเป็นทางการจากรัสเซีย สำหรับการเจรจาที่จะมีขึ้นในริยาดในวันอังคารนี้ คาดว่าฝ่ายสหรัฐ จะประกอบด้วยรัฐมนตรีต่างประเทศ Mark Rubio, ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ Mike Walz และผู้แทนพิเศษของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประจำตะวันออกกลาง Steve Witkoff สำหรับทางรัสเซีย คาดว่าจะนำโดย Sergey Lavrov รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 275 มุมมอง 6 0 รีวิว
  • เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ระบุว่าอิสราเอลจะสามารถ "จบงาน" กับอิหร่าน ภายใต้แรงสนับสนุนของสหรัฐฯ ระหว่างแถลงข่าวในเยรูซาเลม ร่วมกับ มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศอเมริกาผู้มาเยือน
    .
    "ช่วง 16 เดือนที่ผ่านมา อิสราเอลก่อความเสียหายใหญ่หลวงแก่อักษะก่อการร้ายของอิหร่าน ภายใต้ผู้นำที่เข้มแข็งของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และภายใต้การสนับสนุนอย่างไม่ย่อท้อของคุณ ผมไม่สงสัยเลยว่าเราสามารถและจะจบงานนี้" เนทันยาฮูระบุ
    .
    ตามหลังเหตุการณ์พวกนักรบฮามาสบุกจู่โจมเล่นงานอิสราเอลอย่างไม่คาดคิดเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2023 อิสราเอลสู้รบทำสงครามกับนักรบปาเลสไตน์ฮามาส ที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่าน ในกาซา และพวกฮิซบอลเลาะห์ ที่ได้รับการสนับสนุนจากเตหะราน ในเลบานอน
    .
    นอกจากนี้ อิสราเอลยังเผชิญการโจมตีจากบรรดากลุ่มติดอาวุธทั้งหลายในเยเมนและอิรัก ที่อิหร่านสนับสนุน สำหรับแสดงความเป็นหนึ่งเดียวกันกับชาวปาเลสไตน์ "อิสราเอลและอเมริกา ยืนหยัดเคียงบ่าเคียงไหล่กันในการตอบโต้ภัยคุกคามจากอิหร่าน" นายกรัฐมนตรีอิสราเอลระบุ
    .
    เนทันยาฮู แสดงความยินดีต่อชัยชนะในศึกเลือกตั้งของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ซึ่งหวนคืนสถานะนโยบาย "กดดันขั้นสูงสุด" กับอิหร่านทันทีทันใด แบบเดียวกับที่เคยใช้ครั้งดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก จากคำกล่าวหาประเทศแห่งนี้กำลังแสวงหาศักยภาพด้านอาวุธนิวเคลียร์
    .
    มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุในวันอาทิตย์ (16 ก.พ.) ว่าอิหร่านจะไม่มีวันได้กลายมาเป็นมหาอำนาจนิวเคลียร์ และเรียกสาธารณรัฐอิสลามแห่งนี้ว่าเป็นต้นตอสำคัญที่บั่นทอนเสถียรภาพในตะวันออกกลาง
    .
    "จะไม่มีทางมีนิวเคลียร์อิหร่าน หากมีนิวเคลียร์อิหร่าน เมื่อนั้นพวกเขาจะได้รับภูมิคุ้มกันจากแรงกดดันและการกระทำต่างๆ ซึ่งไม่มีทางปล่อยให้เกิดขึ้นได้" รูบิโอแถลงกับผู้สื่อข่าวร่วมกับเนทันยาฮู "ไม่ว่าเราจะพูดถึงฮามาสหรือพูดถึงฮิซบอลเลาะห์ พูดถึงความรุนแรงในเวสต์แบงก์ พูดถึงภาวะไร้เสถียรภาพในซีเรีย หรือพูดเกี่ยวกับประเด็นเหล่านี้ พวกติดอาวุธในอิรัก ผู้อยู่เบื้องหลังทั้งหมดทั้งมวลคือ อิหร่าน"
    .
    อิหร่านและอิสราเอลโจมตีกันโดยตรงกันไปมาเมื่อปีที่แล้ว ถือเป็นการโจมตีกันโดยตรงเป็นครั้งแรก ซึ่งเกิดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ความตึงเครียดในภูมิภาค ที่โหมกระพือขึ้นจากสงครามกาซา
    .
    เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม อิสราเอลทิ้งบอมบ์ใส่ที่ตั้งทางทหารในอิหร่าน สังหารกำลังพลไป 4 ราย ตอบโต้กรณีที่เตหะรานรัวยิงห่าขีปนาวุธกว่า 200 ลูก เข้าใส่
    .
    ก่อนหน้านั้นในวันที่ 13 เมษายน อิหร่านปล่อยโดรนและยิงขีปนาวุธเข้าใส่อิสราเอล แก้แค้นปฏิบัติการโจมตีทางอากาศนองเลือดถล่มสถานทูตอิหร่านประจำกรุงดามัสกัส เมืองหลวงของซีเรีย เมื่อวันที่ 1 เมษายน ซึ่งทางเตหะรานกล่าวโทษว่าเป็นฝีมือของอิสราเอล
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000015546
    ..............
    Sondhi X
    เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ระบุว่าอิสราเอลจะสามารถ "จบงาน" กับอิหร่าน ภายใต้แรงสนับสนุนของสหรัฐฯ ระหว่างแถลงข่าวในเยรูซาเลม ร่วมกับ มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศอเมริกาผู้มาเยือน . "ช่วง 16 เดือนที่ผ่านมา อิสราเอลก่อความเสียหายใหญ่หลวงแก่อักษะก่อการร้ายของอิหร่าน ภายใต้ผู้นำที่เข้มแข็งของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และภายใต้การสนับสนุนอย่างไม่ย่อท้อของคุณ ผมไม่สงสัยเลยว่าเราสามารถและจะจบงานนี้" เนทันยาฮูระบุ . ตามหลังเหตุการณ์พวกนักรบฮามาสบุกจู่โจมเล่นงานอิสราเอลอย่างไม่คาดคิดเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2023 อิสราเอลสู้รบทำสงครามกับนักรบปาเลสไตน์ฮามาส ที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่าน ในกาซา และพวกฮิซบอลเลาะห์ ที่ได้รับการสนับสนุนจากเตหะราน ในเลบานอน . นอกจากนี้ อิสราเอลยังเผชิญการโจมตีจากบรรดากลุ่มติดอาวุธทั้งหลายในเยเมนและอิรัก ที่อิหร่านสนับสนุน สำหรับแสดงความเป็นหนึ่งเดียวกันกับชาวปาเลสไตน์ "อิสราเอลและอเมริกา ยืนหยัดเคียงบ่าเคียงไหล่กันในการตอบโต้ภัยคุกคามจากอิหร่าน" นายกรัฐมนตรีอิสราเอลระบุ . เนทันยาฮู แสดงความยินดีต่อชัยชนะในศึกเลือกตั้งของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ซึ่งหวนคืนสถานะนโยบาย "กดดันขั้นสูงสุด" กับอิหร่านทันทีทันใด แบบเดียวกับที่เคยใช้ครั้งดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก จากคำกล่าวหาประเทศแห่งนี้กำลังแสวงหาศักยภาพด้านอาวุธนิวเคลียร์ . มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุในวันอาทิตย์ (16 ก.พ.) ว่าอิหร่านจะไม่มีวันได้กลายมาเป็นมหาอำนาจนิวเคลียร์ และเรียกสาธารณรัฐอิสลามแห่งนี้ว่าเป็นต้นตอสำคัญที่บั่นทอนเสถียรภาพในตะวันออกกลาง . "จะไม่มีทางมีนิวเคลียร์อิหร่าน หากมีนิวเคลียร์อิหร่าน เมื่อนั้นพวกเขาจะได้รับภูมิคุ้มกันจากแรงกดดันและการกระทำต่างๆ ซึ่งไม่มีทางปล่อยให้เกิดขึ้นได้" รูบิโอแถลงกับผู้สื่อข่าวร่วมกับเนทันยาฮู "ไม่ว่าเราจะพูดถึงฮามาสหรือพูดถึงฮิซบอลเลาะห์ พูดถึงความรุนแรงในเวสต์แบงก์ พูดถึงภาวะไร้เสถียรภาพในซีเรีย หรือพูดเกี่ยวกับประเด็นเหล่านี้ พวกติดอาวุธในอิรัก ผู้อยู่เบื้องหลังทั้งหมดทั้งมวลคือ อิหร่าน" . อิหร่านและอิสราเอลโจมตีกันโดยตรงกันไปมาเมื่อปีที่แล้ว ถือเป็นการโจมตีกันโดยตรงเป็นครั้งแรก ซึ่งเกิดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ความตึงเครียดในภูมิภาค ที่โหมกระพือขึ้นจากสงครามกาซา . เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม อิสราเอลทิ้งบอมบ์ใส่ที่ตั้งทางทหารในอิหร่าน สังหารกำลังพลไป 4 ราย ตอบโต้กรณีที่เตหะรานรัวยิงห่าขีปนาวุธกว่า 200 ลูก เข้าใส่ . ก่อนหน้านั้นในวันที่ 13 เมษายน อิหร่านปล่อยโดรนและยิงขีปนาวุธเข้าใส่อิสราเอล แก้แค้นปฏิบัติการโจมตีทางอากาศนองเลือดถล่มสถานทูตอิหร่านประจำกรุงดามัสกัส เมืองหลวงของซีเรีย เมื่อวันที่ 1 เมษายน ซึ่งทางเตหะรานกล่าวโทษว่าเป็นฝีมือของอิสราเอล . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000015546 .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    8
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1379 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผู้นำยุโรปว้าวุ่นหนัก หวั่นถูกกีดกันไม่ให้มีส่วนร่วมในการเจรจายุติสงครามยูเครน ขณะที่อเมริกาประกาศชัดยุโรปจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับการหารือดังกล่าว แถมยังประกาศรายชื่อทีมเจ้าหน้าที่อาวุโสไปประชุมกับคณะเจรจาของมอสโกและเคียฟในซาอุดีอาระเบีย ในอีกด้านหนึ่ง รัฐมนตรีต่างประเทศอเมริกา-รัสเซีย ก็โทรศัพท์หารือกัน โดยระบุว่าคุยกันทั้งเรื่องสถานการณ์ในยูเครน และการหาทางปรับปรุงความสัมพันธ์ของ 2 ประเทศ
    .
    ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ทำให้ยุโรปปั่นป่วนหนัก เมื่อประกาศในสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า ได้พูดคุยทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย แถมยังระบุว่าเขาน่าจะได้พบปะแบบเจอตัวกับปูตินเร็วๆ นี้ เพื่อเริ่มการหารือยุติการสู้รบขัดแย้งในยูเครน โดยที่การพูดจากับผู้นำรัสเซียนี้ ทรัมป์ไม่เคยบอกกล่าวกับพวกผู้นำของยุโรปมาก่อนเลย จึงทำให้เหล่าพันธมิตรของสหรัฐฯ ในยุโรปกลุ้มหนักว่า ผลประโยชน์ของพวกตนอาจถูกละเลยเพิกเฉย เมื่อวอชิงตันกับมอสโกจะคุยกันโดยตรง ไม่เอายุโรปเข้าร่วมด้วยเช่นนี้
    .
    ต่อมาในวันเสาร์ (15 ก.พ.) เจ้าหน้าที่สหรัฐฯหลายรายเผยว่า มาร์โค รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศ ไมค์ วอลซ์ ที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงแห่งชาติ และสตีฟ วิตคอฟฟ์ ผู้แทนพิเศษด้านตะวันออกกลางของทรัมป์ จะเดินทางไปซาอุดีอาระเบียเพื่อหารือเกี่ยวกับการทำความตกลงหยุดยิงในยูเครนกับคณะเจรจาของมอสโกและเคียฟ
    .
    ยังไม่มีการระบุชัดเจนว่า การประชุมเช่นนี้จะเกิดขึ้นเมื่อใ ดหรือกำหนดเวลาที่ทีมเจ้าหน้าที่ดังกล่าวจะออกเดินทาง แต่เฉพาะตัวรัฐมนตรีต่างประเทศรูบิโอนั้น ได้ออกเดินทางไปยังตะวันออกกลางแล้ว โดยไปถึงอิสราเอลในวันเสาร์ (15) อีกทั้งมีกำหนดการที่จะไปเยือนซาอุดีอาระเบียด้วย
    .
    ในวันเสาร์เช่นกัน รูบิโอได้หารือทางโทรศัพท์กับเซียร์เก ราฟลอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย ซึ่งต่อมากระทรวงการต่างประเทศรัสเซียแถลงว่า มีการตกลงคงการติดต่อเพื่อแก้ไขปัญหาด้านความสัมพันธ์ การขจัดอุปสรรคฝ่ายเดียวที่ตกทอดมาจากคณะบริหารชุดก่อนของสหรัฐฯ สำหรับความร่วมมือด้านการค้า เศรษฐกิจ และการลงทุนที่เป็นประโยชน์กับทั้งสองฝ่าย ทั้งสองชาติยังแสดงความกระตือรือร้นในการดำเนินการเกี่ยวกับปัญหาระหว่างประเทศ เช่น สถานการณ์ในตะวันออกกลาง
    .
    ทางด้านกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ แถลงว่า รูบิโอยืนยันความมุ่งมั่นของทรัมป์ในการหาทางยุติการสู้รบขัดแย้งในยูเครน และหารือเกี่ยวกับโอกาสในการร่วมมือกันในประเด็นปัญหาทวิภาคีอื่นๆ
    .
    ส่วนที่มิวนิก มาร์ก รึตเตอ เลขาธิการองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) กล่าวในที่ประชุมผู้วางนโยบายระดับสูงเมื่อวันเสาร์ว่า ยุโรปต้องมี “ข้อเสนอที่ดี” เพื่อรับประกันสันติภาพในยูเครน หากต้องการเข้าร่วมการเจรจาที่อเมริกาเป็นแกนนำ
    .
    รึตเตอเสริมว่า จะเดินทางไปปารีสในวันจันทร์ (17 ก.พ.) เพื่อร่วมการประชุมผู้นำยุโรปที่จัดโดยประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครง ของฝรั่งเศส ซึ่งจะมีการหารือเกี่ยวกับ “การประชุมอย่างไม่เป็นทางการที่อาจเกิดขึ้น”
    .
    นายกรัฐมนตรีเคียร์ สตาร์เมอร์ของอังกฤษ ขานรับว่า ยุโรปต้องรับบทบาทมากขึ้นในนาโต และร่วมมือกับอเมริกาเพื่อปกป้องอนาคตของยูเครน
    .
    ทางด้านประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ของยูเครนกล่าว เรียกร้องในงานประชุมความมั่นคงมิวนิกให้สร้างกองทัพยุโรป เนื่องจากยุโรปอาจไม่สามารถพึ่งพิงอเมริกาได้อีกต่อไป
    .
    ทั้งนี้ แนวคิดเช่นนี้เคยมีการถกเถียงมาแล้วเมื่อหลายปีก่อนโดยปราศจากความคืบหน้าใดๆ และดูเหมือนการเรียกร้องของเซเลนสกีไม่มีน้ำหนักพอที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
    .
    การเรียกร้องดังกล่าวมีขึ้นหลังจากเมื่อวันศุกร์ (14) เซเลนสกีได้พบกับรองประธานาธิบดีเจดี แวนซ์ของอเมริกา และพยายามขอความมั่นใจว่า เคียฟจะไม่ถูกทิ้งระหว่างที่ทรัมป์เจรจากับปูติน
    .
    เซเลนสกียังยืนกรานว่า จะไม่ยอมรับข้อตกลงใดๆ ที่เกิดขึ้นโดยที่ยูเครนไม่มีส่วนร่วมด้วย รวมทั้งจะต้องไม่มีการตัดสินใจใดๆ เกี่ยวกับยุโรปที่ยุโรปไม่มีส่วนร่วม
    .
    ทว่า คีธ เคลล็อกก์ ผู้แทนพิเศษรับผิดชอบเรื่องยูเครน-รัสเซีย ของทรัมป์ กล่าวชัดเจนในเวทีเดียวกันว่า ยุโรปจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับการเจรจาหยุดยิงในยูเครน
    .
    นอกจากนั้น เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ยังพยายามยืนยันว่า ยูเครนจะไม่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง โดยแวนซ์กล่าวกับเซเลนสกีว่า อเมริกาต้องการให้เกิดสันติภาพที่ยั่งยืนที่จะไม่นำไปสู่การนองเลือดซ้ำสองในอนาคต
    .
    กระนั้น พีท เฮกเซธ รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ประกาศว่า ยูเครนจะไม่ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกนาโต หรือได้ดินแดนคืนจากรัสเซียแต่อย่างใด
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000015540
    ..............
    Sondhi X
    ผู้นำยุโรปว้าวุ่นหนัก หวั่นถูกกีดกันไม่ให้มีส่วนร่วมในการเจรจายุติสงครามยูเครน ขณะที่อเมริกาประกาศชัดยุโรปจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับการหารือดังกล่าว แถมยังประกาศรายชื่อทีมเจ้าหน้าที่อาวุโสไปประชุมกับคณะเจรจาของมอสโกและเคียฟในซาอุดีอาระเบีย ในอีกด้านหนึ่ง รัฐมนตรีต่างประเทศอเมริกา-รัสเซีย ก็โทรศัพท์หารือกัน โดยระบุว่าคุยกันทั้งเรื่องสถานการณ์ในยูเครน และการหาทางปรับปรุงความสัมพันธ์ของ 2 ประเทศ . ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ทำให้ยุโรปปั่นป่วนหนัก เมื่อประกาศในสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า ได้พูดคุยทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย แถมยังระบุว่าเขาน่าจะได้พบปะแบบเจอตัวกับปูตินเร็วๆ นี้ เพื่อเริ่มการหารือยุติการสู้รบขัดแย้งในยูเครน โดยที่การพูดจากับผู้นำรัสเซียนี้ ทรัมป์ไม่เคยบอกกล่าวกับพวกผู้นำของยุโรปมาก่อนเลย จึงทำให้เหล่าพันธมิตรของสหรัฐฯ ในยุโรปกลุ้มหนักว่า ผลประโยชน์ของพวกตนอาจถูกละเลยเพิกเฉย เมื่อวอชิงตันกับมอสโกจะคุยกันโดยตรง ไม่เอายุโรปเข้าร่วมด้วยเช่นนี้ . ต่อมาในวันเสาร์ (15 ก.พ.) เจ้าหน้าที่สหรัฐฯหลายรายเผยว่า มาร์โค รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศ ไมค์ วอลซ์ ที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงแห่งชาติ และสตีฟ วิตคอฟฟ์ ผู้แทนพิเศษด้านตะวันออกกลางของทรัมป์ จะเดินทางไปซาอุดีอาระเบียเพื่อหารือเกี่ยวกับการทำความตกลงหยุดยิงในยูเครนกับคณะเจรจาของมอสโกและเคียฟ . ยังไม่มีการระบุชัดเจนว่า การประชุมเช่นนี้จะเกิดขึ้นเมื่อใ ดหรือกำหนดเวลาที่ทีมเจ้าหน้าที่ดังกล่าวจะออกเดินทาง แต่เฉพาะตัวรัฐมนตรีต่างประเทศรูบิโอนั้น ได้ออกเดินทางไปยังตะวันออกกลางแล้ว โดยไปถึงอิสราเอลในวันเสาร์ (15) อีกทั้งมีกำหนดการที่จะไปเยือนซาอุดีอาระเบียด้วย . ในวันเสาร์เช่นกัน รูบิโอได้หารือทางโทรศัพท์กับเซียร์เก ราฟลอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย ซึ่งต่อมากระทรวงการต่างประเทศรัสเซียแถลงว่า มีการตกลงคงการติดต่อเพื่อแก้ไขปัญหาด้านความสัมพันธ์ การขจัดอุปสรรคฝ่ายเดียวที่ตกทอดมาจากคณะบริหารชุดก่อนของสหรัฐฯ สำหรับความร่วมมือด้านการค้า เศรษฐกิจ และการลงทุนที่เป็นประโยชน์กับทั้งสองฝ่าย ทั้งสองชาติยังแสดงความกระตือรือร้นในการดำเนินการเกี่ยวกับปัญหาระหว่างประเทศ เช่น สถานการณ์ในตะวันออกกลาง . ทางด้านกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ แถลงว่า รูบิโอยืนยันความมุ่งมั่นของทรัมป์ในการหาทางยุติการสู้รบขัดแย้งในยูเครน และหารือเกี่ยวกับโอกาสในการร่วมมือกันในประเด็นปัญหาทวิภาคีอื่นๆ . ส่วนที่มิวนิก มาร์ก รึตเตอ เลขาธิการองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) กล่าวในที่ประชุมผู้วางนโยบายระดับสูงเมื่อวันเสาร์ว่า ยุโรปต้องมี “ข้อเสนอที่ดี” เพื่อรับประกันสันติภาพในยูเครน หากต้องการเข้าร่วมการเจรจาที่อเมริกาเป็นแกนนำ . รึตเตอเสริมว่า จะเดินทางไปปารีสในวันจันทร์ (17 ก.พ.) เพื่อร่วมการประชุมผู้นำยุโรปที่จัดโดยประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครง ของฝรั่งเศส ซึ่งจะมีการหารือเกี่ยวกับ “การประชุมอย่างไม่เป็นทางการที่อาจเกิดขึ้น” . นายกรัฐมนตรีเคียร์ สตาร์เมอร์ของอังกฤษ ขานรับว่า ยุโรปต้องรับบทบาทมากขึ้นในนาโต และร่วมมือกับอเมริกาเพื่อปกป้องอนาคตของยูเครน . ทางด้านประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ของยูเครนกล่าว เรียกร้องในงานประชุมความมั่นคงมิวนิกให้สร้างกองทัพยุโรป เนื่องจากยุโรปอาจไม่สามารถพึ่งพิงอเมริกาได้อีกต่อไป . ทั้งนี้ แนวคิดเช่นนี้เคยมีการถกเถียงมาแล้วเมื่อหลายปีก่อนโดยปราศจากความคืบหน้าใดๆ และดูเหมือนการเรียกร้องของเซเลนสกีไม่มีน้ำหนักพอที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง . การเรียกร้องดังกล่าวมีขึ้นหลังจากเมื่อวันศุกร์ (14) เซเลนสกีได้พบกับรองประธานาธิบดีเจดี แวนซ์ของอเมริกา และพยายามขอความมั่นใจว่า เคียฟจะไม่ถูกทิ้งระหว่างที่ทรัมป์เจรจากับปูติน . เซเลนสกียังยืนกรานว่า จะไม่ยอมรับข้อตกลงใดๆ ที่เกิดขึ้นโดยที่ยูเครนไม่มีส่วนร่วมด้วย รวมทั้งจะต้องไม่มีการตัดสินใจใดๆ เกี่ยวกับยุโรปที่ยุโรปไม่มีส่วนร่วม . ทว่า คีธ เคลล็อกก์ ผู้แทนพิเศษรับผิดชอบเรื่องยูเครน-รัสเซีย ของทรัมป์ กล่าวชัดเจนในเวทีเดียวกันว่า ยุโรปจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับการเจรจาหยุดยิงในยูเครน . นอกจากนั้น เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ยังพยายามยืนยันว่า ยูเครนจะไม่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง โดยแวนซ์กล่าวกับเซเลนสกีว่า อเมริกาต้องการให้เกิดสันติภาพที่ยั่งยืนที่จะไม่นำไปสู่การนองเลือดซ้ำสองในอนาคต . กระนั้น พีท เฮกเซธ รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ประกาศว่า ยูเครนจะไม่ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกนาโต หรือได้ดินแดนคืนจากรัสเซียแต่อย่างใด . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000015540 .............. Sondhi X
    Like
    Love
    Haha
    7
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1391 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อไม่นานมานี้ มีการโจมตีทางไซเบอร์แบบฟิชชิงโค้ดของอุปกรณ์ที่กำลังเกิดขึ้น โดยกลุ่มผู้โจมตีที่อาจมีความเชื่อมโยงกับรัสเซียกำลังมุ่งเป้าโจมตีบัญชี Microsoft 365 ของบุคคลในองค์กรสำคัญ ๆ ทั้งในยุโรป อเมริกาเหนือ แอฟริกา และตะวันออกกลาง นักวิจัยจาก Microsoft Threat Intelligence Center ระบุว่ากลุ่มผู้โจมตีนี้มีชื่อว่า 'Storm-237' และคาดว่ามีกิจกรรมที่เชื่อมโยงกับปฏิบัติการของรัฐชาติที่สนับสนุนรัสเซีย

    การโจมตีแบบฟิชชิงโค้ดของอุปกรณ์นี้มีลักษณะเฉพาะคือใช้อุปกรณ์ที่มีข้อจำกัดในการป้อนข้อมูล เช่น สมาร์ททีวีหรืออุปกรณ์ IoT กลุ่มผู้โจมตีจะเริ่มต้นการโจมตีโดยแสร้งเป็นบุคคลสำคัญที่เกี่ยวข้องกับเป้าหมายผ่านแพลตฟอร์มส่งข้อความ และใช้โค้ดที่สร้างขึ้นเองเพื่อหลอกให้เหยื่อใส่โค้ดในหน้าลงชื่อเข้าใช้ที่ถูกต้อง

    เมื่อเหยื่อตกหลุมพราง กลุ่มผู้โจมตีจะใช้ประโยชน์จากโทเคนที่ถูกขโมยเพื่อเข้าถึงบริการของ Microsoft เช่น อีเมลและคลาวด์สตอเรจ โดยไม่ต้องใช้รหัสผ่าน ซึ่งเป็นการทำให้การโจมตีมีประสิทธิภาพและยากต่อการตรวจจับ

    เพื่อป้องกันการโจมตีแบบฟิชชิงโค้ดของอุปกรณ์ Microsoft แนะนำให้บล็อกการใช้โค้ดของอุปกรณ์ และใช้ Conditional Access policies ใน Microsoft Entra ID เพื่อจำกัดการใช้งานให้กับอุปกรณ์หรือเครือข่ายที่เชื่อถือได้

    https://www.bleepingcomputer.com/news/security/microsoft-hackers-steal-emails-in-device-code-phishing-attacks/
    เมื่อไม่นานมานี้ มีการโจมตีทางไซเบอร์แบบฟิชชิงโค้ดของอุปกรณ์ที่กำลังเกิดขึ้น โดยกลุ่มผู้โจมตีที่อาจมีความเชื่อมโยงกับรัสเซียกำลังมุ่งเป้าโจมตีบัญชี Microsoft 365 ของบุคคลในองค์กรสำคัญ ๆ ทั้งในยุโรป อเมริกาเหนือ แอฟริกา และตะวันออกกลาง นักวิจัยจาก Microsoft Threat Intelligence Center ระบุว่ากลุ่มผู้โจมตีนี้มีชื่อว่า 'Storm-237' และคาดว่ามีกิจกรรมที่เชื่อมโยงกับปฏิบัติการของรัฐชาติที่สนับสนุนรัสเซีย การโจมตีแบบฟิชชิงโค้ดของอุปกรณ์นี้มีลักษณะเฉพาะคือใช้อุปกรณ์ที่มีข้อจำกัดในการป้อนข้อมูล เช่น สมาร์ททีวีหรืออุปกรณ์ IoT กลุ่มผู้โจมตีจะเริ่มต้นการโจมตีโดยแสร้งเป็นบุคคลสำคัญที่เกี่ยวข้องกับเป้าหมายผ่านแพลตฟอร์มส่งข้อความ และใช้โค้ดที่สร้างขึ้นเองเพื่อหลอกให้เหยื่อใส่โค้ดในหน้าลงชื่อเข้าใช้ที่ถูกต้อง เมื่อเหยื่อตกหลุมพราง กลุ่มผู้โจมตีจะใช้ประโยชน์จากโทเคนที่ถูกขโมยเพื่อเข้าถึงบริการของ Microsoft เช่น อีเมลและคลาวด์สตอเรจ โดยไม่ต้องใช้รหัสผ่าน ซึ่งเป็นการทำให้การโจมตีมีประสิทธิภาพและยากต่อการตรวจจับ เพื่อป้องกันการโจมตีแบบฟิชชิงโค้ดของอุปกรณ์ Microsoft แนะนำให้บล็อกการใช้โค้ดของอุปกรณ์ และใช้ Conditional Access policies ใน Microsoft Entra ID เพื่อจำกัดการใช้งานให้กับอุปกรณ์หรือเครือข่ายที่เชื่อถือได้ https://www.bleepingcomputer.com/news/security/microsoft-hackers-steal-emails-in-device-code-phishing-attacks/
    WWW.BLEEPINGCOMPUTER.COM
    Microsoft: Hackers steal emails in device code phishing attacks
    An active campaign from a threat actor potentially linked to Russia is targeting Microsoft 365 accounts of individuals at organizations of interest using device code phishing.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 182 มุมมอง 0 รีวิว
  • อิสราเอลขู่เปิดการถล่มโจมตีขึ้นใหม่ในกาซา หากไม่มีการปล่อยตัวประกันภายในวันเสาร์ (15 ก.พ.) ขณะที่ฮามาสยันยังยึดมั่นข้อตกลงหยุดยิง และโทษรัฐยิวเป็นฝ่ายบ่อนทำลายข้อตกลง ขณะในอีกด้านหนึ่ง ทรัมป์ยังคงยืนกรานอ้างลอยๆ ว่า อเมริกามีอำนาจและจะเข้ายึดครองฉนวนกาซา รวมทั้งย้ายชาวปาเลสไตน์ออกไปเป็นการถาวร แม้ล่าสุดถูกคัดค้านจากกษัตริย์จอร์แดนซึ่งเดินทางไปเยือนทำเนียบขาว ส่วนอียิปต์เตรียมเสนอแผนระดมพันธมิตรในตะวันออกกลางฟื้นฟูกาซาร่วมกับวอชิงตัน โดยที่ไม่มีการโยกย้ายชาวปาเลสไตน์หนีไปไหน
    .
    ภายใต้ข้อตกลงหยุดยิงล่าสุดที่ดำเนินมาหลายอาทิตย์แล้ว ตัวประกันอิสราเอลจะได้รับการปล่อยตัวทุกสัปดาห์ แลกกับนักโทษปาเลสไตน์ โดยนับจากวันที่ 19 ม.ค. มีการปล่อยตัวประกันแล้ว 16 คน จาก 33 คนตามข้อตกลงหยุดยิงเฟสแรกที่กินเวลา 42 วัน และอิสราเอลปล่อยนักโทษปาเลสไตน์หลายร้อยคนเป็นการแลกเปลี่ยน ทว่า ข้อตกลงนี้กำลังสั่นคลอนอย่างหนักในช่วงหลายวันที่ผ่านมา
    .
    เมื่อวันอังคาร (11) นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอล ยื่นคำขาดว่า ถ้าฮามาสไม่ปล่อยตัวประกันภายในเที่ยงวันเสาร์ จะถือว่าข้อตกลงหยุดยิงสิ้นสุดลง และกองทัพอิสราเอลจะกลับไปโจมตีกาซาอย่างหนักหน่วงจนกว่าฮามาสแพ้ราบคาบ
    .
    เนทันยาฮูเสริมว่า สั่งการให้กองทัพระดมทหารเตรียมพร้อมทั้งภายในและรอบๆ กาซาแล้ว และหลังจากนั้นไม่นานกองทัพอิสราเอลแถลงว่า ได้ส่งกำลังไปเพิ่มทางใต้ของประเทศ ซึ่งรวมถึงการเรียกทหารกองหนุนเข้าประจำการ ขณะที่ครอบครัวตัวประกันพากันชุมนุมหน้าสำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลยึดมั่นข้อตกลงหยุดยิง
    .
    ก่อนหน้านี้ เมื่อวันจันทร์ (10) กองกำลัง เอซเซดีน อัล-กัสซัม ซึ่งเป็นส่วนกองกำลังติดอาวุธของกลุ่มฮามาส ประกาศจะเลื่อนการปล่อยตัวประกันชุดต่อไปที่เดิมกำหนดไว้ในวันเสาร์นี้ โดยกล่าวหาอิสราเอลละเมิดข้อตกลงทั้งในส่วนความช่วยเหลือ และการเสียชีวิตของชาวกาซา 3 คนในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่สำทับว่า พร้อมปล่อยตัวประกันตามกำหนด หากอิสราเอลปฏิบัติตามเงื่อนไขข้อตกลงหยุดยิง
    .
    ทว่า อิสราเอลยืนยันว่า ไม่ได้ขัดขวางการให้ความช่วยเหลือ และที่ต้องยิงชาวกาซาทั้งสามคน เนื่องจากคนเหล่านั้นละเมิดคำเตือนไม่ให้เข้าใกล้กองทหารอิสราเอล
    .
    ด้าน อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ เรียกร้องให้ฮามาสปล่อยตัวประกันตามแผน และหลีกเลี่ยงการฟื้นการสู้รบในกาซา
    .
    ทว่า กบฏฮูตีที่เป็นพันธมิตรของฮามาส และโจมตีอิสราเอลหลายครั้งเพื่อแสดงการสนับสนุนชาวปาเลสไตน์นั้น ประกาศว่า พร้อมเข้าแทรกแซงทางทหารทุกเมื่อหากกาซาถูกโจมตีอีก
    .
    ขณะเดียวกัน แม้เนทันยาฮูไม่ได้ระบุชัดเจนว่า ฮามาสต้องปล่อยตัวประกันทั้งหมด 76 คนที่ยังถูกคุมขังอยู่ในกาซา หรือแค่ 3 คนภายใต้ข้อตกลงเดิม แต่เบซาเลล สโมทริช รัฐมนตรีคลังสายเหยี่ยว เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี “เปิดขุมนรก” ถ้าตัวประกันอิสราเอลทั้งหมดไม่ได้รับอิสรภาพภายในวันเสาร์ รวมทั้งให้อิสราเอลเข้ายึดครองฉนวนกาซาเบ็ดเสร็จ และยุติการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมทั้งหมด
    .
    ภายหลังการยื่นคำขาดของเนทันยาฮู ทางฮามาสได้ออกคำแถลงยืนยันว่า ยังคงยึดมั่นในข้อตกลงหยุดยิง และกล่าวหาอิสราเอลเป็นฝ่ายบ่อนทำลายข้อตกลง
    .
    การขู่ยุติการหยุดยิงของเนทันยาฮู เป็นการตอกย้ำคำแถลงก่อนหน้านี้ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ที่ให้ฮามาสปล่อยตัวประกันอิสราเอลทั้งหมดภายในเที่ยงวันเสาร์ ไม่เช่นนั้นจะประกาศให้ยุติข้อตกลงหยุดยิง และฮามาสจะต้องเผชิญ “นรก” ที่เลวร้ายกว่าที่เคยเป็นมา
    .
    ผู้นำสหรัฐฯ ย้ำคำขู่นี้อีก ระหว่างให้การต้อนรับกษัตริย์อับดุลเลาะห์ที่ 2 แห่งจอร์แดนเมื่อวันอังคาร รวมทั้งอ้างอีกครั้งหนึ่งว่า อเมริกามีอำนาจและจะเข้าครอบครองและฟื้นฟูฉนวนกาซา และอพยพชาวปาเลสไตน์กว่า 2 ล้านคนออกจากดินแดนดังกล่าวเป็นการถาวร พร้อมแสดงความเชื่อมั่นว่า จะมีดินแดนบางส่วนในจอร์แดน อียิปต์ และประเทศอื่นๆ ที่พร้อมให้ชาวปาเลสไตน์เหล่านั้นย้ายไปตั้งถิ่นฐาน
    .
    ทว่า กษัตริย์อับดุลเลาะห์ย้ำจุดยืนของจอร์แดนและชาติอาหรับทั้งหมดในการคัดค้านการบังคับย้ายถิ่นฐานชาวปาเลสไตน์ และเสริมว่า อียิปต์กำลังร่างแผนการที่ประเทศต่างๆ ในตะวันออกกลางจะร่วมฟื้นฟูกาซากับอเมริกา ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศอียิปต์แถลงในเวลาต่อมาว่า ไคโรจะเสนอวิสัยทัศน์ที่ครอบคลุมสำหรับการฟื้นฟูกาซาโดยที่รับประกันว่า ชาวปาเลสไตน์จะได้อยู่ในบ้านเกิดเมืองนอนต่อไป
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000014305
    ..............
    Sondhi X
    อิสราเอลขู่เปิดการถล่มโจมตีขึ้นใหม่ในกาซา หากไม่มีการปล่อยตัวประกันภายในวันเสาร์ (15 ก.พ.) ขณะที่ฮามาสยันยังยึดมั่นข้อตกลงหยุดยิง และโทษรัฐยิวเป็นฝ่ายบ่อนทำลายข้อตกลง ขณะในอีกด้านหนึ่ง ทรัมป์ยังคงยืนกรานอ้างลอยๆ ว่า อเมริกามีอำนาจและจะเข้ายึดครองฉนวนกาซา รวมทั้งย้ายชาวปาเลสไตน์ออกไปเป็นการถาวร แม้ล่าสุดถูกคัดค้านจากกษัตริย์จอร์แดนซึ่งเดินทางไปเยือนทำเนียบขาว ส่วนอียิปต์เตรียมเสนอแผนระดมพันธมิตรในตะวันออกกลางฟื้นฟูกาซาร่วมกับวอชิงตัน โดยที่ไม่มีการโยกย้ายชาวปาเลสไตน์หนีไปไหน . ภายใต้ข้อตกลงหยุดยิงล่าสุดที่ดำเนินมาหลายอาทิตย์แล้ว ตัวประกันอิสราเอลจะได้รับการปล่อยตัวทุกสัปดาห์ แลกกับนักโทษปาเลสไตน์ โดยนับจากวันที่ 19 ม.ค. มีการปล่อยตัวประกันแล้ว 16 คน จาก 33 คนตามข้อตกลงหยุดยิงเฟสแรกที่กินเวลา 42 วัน และอิสราเอลปล่อยนักโทษปาเลสไตน์หลายร้อยคนเป็นการแลกเปลี่ยน ทว่า ข้อตกลงนี้กำลังสั่นคลอนอย่างหนักในช่วงหลายวันที่ผ่านมา . เมื่อวันอังคาร (11) นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอล ยื่นคำขาดว่า ถ้าฮามาสไม่ปล่อยตัวประกันภายในเที่ยงวันเสาร์ จะถือว่าข้อตกลงหยุดยิงสิ้นสุดลง และกองทัพอิสราเอลจะกลับไปโจมตีกาซาอย่างหนักหน่วงจนกว่าฮามาสแพ้ราบคาบ . เนทันยาฮูเสริมว่า สั่งการให้กองทัพระดมทหารเตรียมพร้อมทั้งภายในและรอบๆ กาซาแล้ว และหลังจากนั้นไม่นานกองทัพอิสราเอลแถลงว่า ได้ส่งกำลังไปเพิ่มทางใต้ของประเทศ ซึ่งรวมถึงการเรียกทหารกองหนุนเข้าประจำการ ขณะที่ครอบครัวตัวประกันพากันชุมนุมหน้าสำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลยึดมั่นข้อตกลงหยุดยิง . ก่อนหน้านี้ เมื่อวันจันทร์ (10) กองกำลัง เอซเซดีน อัล-กัสซัม ซึ่งเป็นส่วนกองกำลังติดอาวุธของกลุ่มฮามาส ประกาศจะเลื่อนการปล่อยตัวประกันชุดต่อไปที่เดิมกำหนดไว้ในวันเสาร์นี้ โดยกล่าวหาอิสราเอลละเมิดข้อตกลงทั้งในส่วนความช่วยเหลือ และการเสียชีวิตของชาวกาซา 3 คนในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่สำทับว่า พร้อมปล่อยตัวประกันตามกำหนด หากอิสราเอลปฏิบัติตามเงื่อนไขข้อตกลงหยุดยิง . ทว่า อิสราเอลยืนยันว่า ไม่ได้ขัดขวางการให้ความช่วยเหลือ และที่ต้องยิงชาวกาซาทั้งสามคน เนื่องจากคนเหล่านั้นละเมิดคำเตือนไม่ให้เข้าใกล้กองทหารอิสราเอล . ด้าน อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ เรียกร้องให้ฮามาสปล่อยตัวประกันตามแผน และหลีกเลี่ยงการฟื้นการสู้รบในกาซา . ทว่า กบฏฮูตีที่เป็นพันธมิตรของฮามาส และโจมตีอิสราเอลหลายครั้งเพื่อแสดงการสนับสนุนชาวปาเลสไตน์นั้น ประกาศว่า พร้อมเข้าแทรกแซงทางทหารทุกเมื่อหากกาซาถูกโจมตีอีก . ขณะเดียวกัน แม้เนทันยาฮูไม่ได้ระบุชัดเจนว่า ฮามาสต้องปล่อยตัวประกันทั้งหมด 76 คนที่ยังถูกคุมขังอยู่ในกาซา หรือแค่ 3 คนภายใต้ข้อตกลงเดิม แต่เบซาเลล สโมทริช รัฐมนตรีคลังสายเหยี่ยว เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี “เปิดขุมนรก” ถ้าตัวประกันอิสราเอลทั้งหมดไม่ได้รับอิสรภาพภายในวันเสาร์ รวมทั้งให้อิสราเอลเข้ายึดครองฉนวนกาซาเบ็ดเสร็จ และยุติการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมทั้งหมด . ภายหลังการยื่นคำขาดของเนทันยาฮู ทางฮามาสได้ออกคำแถลงยืนยันว่า ยังคงยึดมั่นในข้อตกลงหยุดยิง และกล่าวหาอิสราเอลเป็นฝ่ายบ่อนทำลายข้อตกลง . การขู่ยุติการหยุดยิงของเนทันยาฮู เป็นการตอกย้ำคำแถลงก่อนหน้านี้ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ที่ให้ฮามาสปล่อยตัวประกันอิสราเอลทั้งหมดภายในเที่ยงวันเสาร์ ไม่เช่นนั้นจะประกาศให้ยุติข้อตกลงหยุดยิง และฮามาสจะต้องเผชิญ “นรก” ที่เลวร้ายกว่าที่เคยเป็นมา . ผู้นำสหรัฐฯ ย้ำคำขู่นี้อีก ระหว่างให้การต้อนรับกษัตริย์อับดุลเลาะห์ที่ 2 แห่งจอร์แดนเมื่อวันอังคาร รวมทั้งอ้างอีกครั้งหนึ่งว่า อเมริกามีอำนาจและจะเข้าครอบครองและฟื้นฟูฉนวนกาซา และอพยพชาวปาเลสไตน์กว่า 2 ล้านคนออกจากดินแดนดังกล่าวเป็นการถาวร พร้อมแสดงความเชื่อมั่นว่า จะมีดินแดนบางส่วนในจอร์แดน อียิปต์ และประเทศอื่นๆ ที่พร้อมให้ชาวปาเลสไตน์เหล่านั้นย้ายไปตั้งถิ่นฐาน . ทว่า กษัตริย์อับดุลเลาะห์ย้ำจุดยืนของจอร์แดนและชาติอาหรับทั้งหมดในการคัดค้านการบังคับย้ายถิ่นฐานชาวปาเลสไตน์ และเสริมว่า อียิปต์กำลังร่างแผนการที่ประเทศต่างๆ ในตะวันออกกลางจะร่วมฟื้นฟูกาซากับอเมริกา ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศอียิปต์แถลงในเวลาต่อมาว่า ไคโรจะเสนอวิสัยทัศน์ที่ครอบคลุมสำหรับการฟื้นฟูกาซาโดยที่รับประกันว่า ชาวปาเลสไตน์จะได้อยู่ในบ้านเกิดเมืองนอนต่อไป . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000014305 .............. Sondhi X
    Like
    Angry
    Love
    Haha
    Yay
    Sad
    11
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2150 มุมมอง 0 รีวิว
  • "จะไม่มีสันติภาพในตะวันออกกลางตราบใดที่กลุ่มฮามาสยังควบคุมดินแดนทางกายภาพและเป็นมหาอำนาจที่มีอำนาจสูงสุดในฉนวนกาซาหรือที่ใดก็ตามในตะวันออกกลาง "

    กระทรวงต่างประเทศสหรัฐโพสต์ข้อความบน "X" โจมตีกลุ่มฮามาส ซึ่งอาจบ่งบอกถึงบางอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้นบนดินแดนกาซา

    ข้อความถูกโพสต์ขึ้น หลังจากที่ฮามาสออกมาประกาศยุติการแลกเปลี่ยนตัวประกันในวันเสาร์นี้ โดยกล่าวหาอิสราเอลละเมิดข้อตกลงหยุดยิงก่อน

    ต่อมาโดนัล ทรัมป์ออกมาประกาศกร้าว หากฮามาสไม่ยอมส่งตัวประกันตามกำหนดในเที่ยงวันเสาร์ "ประตูนรกจะเปิดออก" โดยไม่สนใจข้อกล่าวหาของฮามาสแต่อย่างใด และไม่คิดจะสอบถามไปยังอิสราเอล

    ขณะเดียวกัน เนทันยาฮู ประกาศส่งกองกำลังเข้ากาซาตอนเหนืออีกอีกครั้ง และจะยุติข้อตกลงหยุดยิงทันทีในเที่ยงวันเสาร์ หากฮามาสไม่ส่งตัวประกัน


    "จะไม่มีสันติภาพในตะวันออกกลางตราบใดที่กลุ่มฮามาสยังควบคุมดินแดนทางกายภาพและเป็นมหาอำนาจที่มีอำนาจสูงสุดในฉนวนกาซาหรือที่ใดก็ตามในตะวันออกกลาง " กระทรวงต่างประเทศสหรัฐโพสต์ข้อความบน "X" โจมตีกลุ่มฮามาส ซึ่งอาจบ่งบอกถึงบางอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้นบนดินแดนกาซา ข้อความถูกโพสต์ขึ้น หลังจากที่ฮามาสออกมาประกาศยุติการแลกเปลี่ยนตัวประกันในวันเสาร์นี้ โดยกล่าวหาอิสราเอลละเมิดข้อตกลงหยุดยิงก่อน ต่อมาโดนัล ทรัมป์ออกมาประกาศกร้าว หากฮามาสไม่ยอมส่งตัวประกันตามกำหนดในเที่ยงวันเสาร์ "ประตูนรกจะเปิดออก" โดยไม่สนใจข้อกล่าวหาของฮามาสแต่อย่างใด และไม่คิดจะสอบถามไปยังอิสราเอล ขณะเดียวกัน เนทันยาฮู ประกาศส่งกองกำลังเข้ากาซาตอนเหนืออีกอีกครั้ง และจะยุติข้อตกลงหยุดยิงทันทีในเที่ยงวันเสาร์ หากฮามาสไม่ส่งตัวประกัน
    Like
    Angry
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 230 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ระบุชาวปาเลสไตน์จะไม่ได้รับสิทธิ์กลับสู่ฉนวนกาซา ภายใต้ข้อเสนอของเขาเกี่ยวกับแผนพัฒนาฉนวนแห่งนี้ขึ้นมาใหม่ สวนทางกลับพวกเจ้าหน้าที่ของเขาเอง ที่เคยออกมากลบกระแสความกังวล ด้วยการบอกว่าชาวกาซาจะถูกโยกย้ายถิ่นฐานเป็นการชั่วคราวเท่านั้น
    .
    ในบทตอนหนึ่งระหว่างให้สัมภาษณ์กับสำนักข่วฟ็อกซ์นิวส์ ที่เผยแพร่เมื่อวันจันทร์(10ก.พ.) ทรัมป์ระบุด้วยว่า เขาเชื่อว่าจะสามารถทำข้อตกลงกับจอร์แดนและอียิปต์ ในการอ้าแขนรับชาวปาเลสไตน์ผู้พลัดถิ่น โดยสหรัฐฯจะมอบเงินแก่ทั้ง 2 ประเทศ หลายหมื่นหลายพันล้านดอลลาร์ต่อปี
    .
    เมื่อถามว่าชาวปาเลสไตน์จะได้รับสิทธิ์ในการกลับสู่กาซาหรือไม่ ทรัมป์บอกกับฟ็อกซ์นิวส์ว่า "ไม่ พวกเขาไม่ได้รับ เพราะพวกเขาจะมีบ้านที่ดีกว่านั้นมาก" เขากล่าว "ผมกำลังพูดถึงการสร้างสถานที่ถาวรแก่พวกเขา" และมันอาจต้องใช้เวลานานหลายปีกว่าที่กาซาจะกลับมาเป็นถิ่นฐานที่สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้อีกครั้ง
    .
    ในถ้อยแถลงสุดช็อคเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ตามหลังพบปะกับ เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ในวอชิงตัน ประธานธิบดีทรัมป์เสนอโยกย้ายถิ่นฐานชาวปาเลสไตน์ 2.2 ล้านคนของกาซา และบอกว่าสหรัฐฯจะเข้าควบคุมฉนวนริมทะเลแห่งนี้ แล้วฟื้นฟูพัฒนามันให้เป็น "ริเวียราแห่งตะวันออกกลาง"
    .
    พวกชาวบ้านกาซาปฏิเสธอย่างกว้างขวางต่อคำชี้แนะใดๆให้ออกจากฉนวนแห่งนี้ เช่นเดียวกับองค์การปาเลสไตน์และกลุ่มนักรบฮามาสที่ควบคุมกาซา
    .
    ซามี อาบู ซูฮรี เจ้าหน้าที่ระดับสูงของฮามาส บอกว่าถ้อยแถลงของทรัมป์ ที่บอกว่าชาวปาเลสไตน์จะไม่อาจกลับสู่ฉนวนกาซานั้น เป็นสิ่งที่ไร้ความรับผิดชอบ "เราเน้นย้ำว่าแผนลักษณะดังกล่าวอาจโหมกระพือเปลวไฟในภูมิภาค" เขาบอกกับรอยเตอร์ในวันจันทร์(10ก.พ.)
    .
    ในส่วนของ เนทันยาฮู ซึ่งชื่นชมข้อเสนอของทรัมป์ แสดงท่าทีต่างออกไปจากประธานาธิบดีสหรัฐฯ บ่งชี้ว่าชาวปาเลสไตน์จะได้รับอนุญาตให้กลับสู่กาซา "พวกเขาสามารถเดินทางออกไป แล้วจากนั้นก็กลับเข้ามา พวกเขาสามารถโยกย้ายและกลับเข้ามา แต่คุณจำเป็นต้องฟื้นฟูสร้างกาซาขึ้นมาใหม่" เขากล่าว
    .
    มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ผู้ซึ่งจะออกเดินทางในสัปดาห์นี้ สำหรับการเยือนตะวันออกกลางเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง ระบุในวันพฤหัสบดี(6ก.พ.) ว่าชาวปาเลสไตน์จะจำเป็นต้องพักอาศัยอยู่ที่ไหนสักแห่งเป็นการชั่วคราว ระหว่างการสร้างเมืองขึ้นมาใหม่ แต่เขาไม่ตัดความเป็นไปได้โดยสิ้นเชิงต่อการโยกย้านถิ่นฐานอย่างถาวร
    .
    ความเห็นของทรัมป์ มีขึ้นในขณะที่ข้อตกลงหยุดยิงอันเปราะบางที่ทางอิสราเอลกับฮามาสเห็นพ้องกันเมื่อเดือนที่แล้ว กำลังเสี่ยงพังครืนลง หลังจากฮามาสแถลงในวันจันทร์(10ก.พ.) ว่าพวกเขาจะหยุดปล่อยตัวประกันอิสราเอล โดยกล่าวหาฝ่ายอิสราเอลละเมิดข้อตกลง
    .
    บรรดาประเทศเพื่อนบ้านอาหรับของอิสราเอล ในนั้นรวมถึงอียิปต์และจอร์แดน ระบุว่าแผนการใดๆในการโยกย้ายชาวปาเลสไตน์ออกจากแผ่นดินของตนเองจะบ่อนทำลายเสถียรภาพ ในขณะที่พวกวิพากษ์วิจารณ์หลายคนเรียกคำชี้แนะของทรัมป์ เทียบเท่ากับเป็นการกวาดล้างเผ่าพันธุ์
    .
    รูบิโอ ได้พบปะกับ บาดร์ อับเดลัตตี รัฐมนตรีต่างประเทศอียิปต์ในกรุงวอชิงตัน ในวันจันทร์(10ก.พ.) ซึ่งทางกระทรวงต่างประเทศอียิปต์ เผยว่าทาง อับเดลัตตี ได้บอกกับ รูบิโอ ไปว่า บรรดาชาติอาหรับสนับสนุนชาวปาเลสไตน์ กรณีที่ปฏิเสธแผนของทรัมป์ ในขณะที่ไคโรยังแสดงความกังวลด้วยว่าชาวปาเลสไตน์อาจถูกบีบให้ข้ามชายแดนอียิปต์ที่ติดกับฉนวนกาซา
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000013546
    ..............
    Sondhi X
    ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ระบุชาวปาเลสไตน์จะไม่ได้รับสิทธิ์กลับสู่ฉนวนกาซา ภายใต้ข้อเสนอของเขาเกี่ยวกับแผนพัฒนาฉนวนแห่งนี้ขึ้นมาใหม่ สวนทางกลับพวกเจ้าหน้าที่ของเขาเอง ที่เคยออกมากลบกระแสความกังวล ด้วยการบอกว่าชาวกาซาจะถูกโยกย้ายถิ่นฐานเป็นการชั่วคราวเท่านั้น . ในบทตอนหนึ่งระหว่างให้สัมภาษณ์กับสำนักข่วฟ็อกซ์นิวส์ ที่เผยแพร่เมื่อวันจันทร์(10ก.พ.) ทรัมป์ระบุด้วยว่า เขาเชื่อว่าจะสามารถทำข้อตกลงกับจอร์แดนและอียิปต์ ในการอ้าแขนรับชาวปาเลสไตน์ผู้พลัดถิ่น โดยสหรัฐฯจะมอบเงินแก่ทั้ง 2 ประเทศ หลายหมื่นหลายพันล้านดอลลาร์ต่อปี . เมื่อถามว่าชาวปาเลสไตน์จะได้รับสิทธิ์ในการกลับสู่กาซาหรือไม่ ทรัมป์บอกกับฟ็อกซ์นิวส์ว่า "ไม่ พวกเขาไม่ได้รับ เพราะพวกเขาจะมีบ้านที่ดีกว่านั้นมาก" เขากล่าว "ผมกำลังพูดถึงการสร้างสถานที่ถาวรแก่พวกเขา" และมันอาจต้องใช้เวลานานหลายปีกว่าที่กาซาจะกลับมาเป็นถิ่นฐานที่สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้อีกครั้ง . ในถ้อยแถลงสุดช็อคเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ตามหลังพบปะกับ เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ในวอชิงตัน ประธานธิบดีทรัมป์เสนอโยกย้ายถิ่นฐานชาวปาเลสไตน์ 2.2 ล้านคนของกาซา และบอกว่าสหรัฐฯจะเข้าควบคุมฉนวนริมทะเลแห่งนี้ แล้วฟื้นฟูพัฒนามันให้เป็น "ริเวียราแห่งตะวันออกกลาง" . พวกชาวบ้านกาซาปฏิเสธอย่างกว้างขวางต่อคำชี้แนะใดๆให้ออกจากฉนวนแห่งนี้ เช่นเดียวกับองค์การปาเลสไตน์และกลุ่มนักรบฮามาสที่ควบคุมกาซา . ซามี อาบู ซูฮรี เจ้าหน้าที่ระดับสูงของฮามาส บอกว่าถ้อยแถลงของทรัมป์ ที่บอกว่าชาวปาเลสไตน์จะไม่อาจกลับสู่ฉนวนกาซานั้น เป็นสิ่งที่ไร้ความรับผิดชอบ "เราเน้นย้ำว่าแผนลักษณะดังกล่าวอาจโหมกระพือเปลวไฟในภูมิภาค" เขาบอกกับรอยเตอร์ในวันจันทร์(10ก.พ.) . ในส่วนของ เนทันยาฮู ซึ่งชื่นชมข้อเสนอของทรัมป์ แสดงท่าทีต่างออกไปจากประธานาธิบดีสหรัฐฯ บ่งชี้ว่าชาวปาเลสไตน์จะได้รับอนุญาตให้กลับสู่กาซา "พวกเขาสามารถเดินทางออกไป แล้วจากนั้นก็กลับเข้ามา พวกเขาสามารถโยกย้ายและกลับเข้ามา แต่คุณจำเป็นต้องฟื้นฟูสร้างกาซาขึ้นมาใหม่" เขากล่าว . มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ผู้ซึ่งจะออกเดินทางในสัปดาห์นี้ สำหรับการเยือนตะวันออกกลางเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง ระบุในวันพฤหัสบดี(6ก.พ.) ว่าชาวปาเลสไตน์จะจำเป็นต้องพักอาศัยอยู่ที่ไหนสักแห่งเป็นการชั่วคราว ระหว่างการสร้างเมืองขึ้นมาใหม่ แต่เขาไม่ตัดความเป็นไปได้โดยสิ้นเชิงต่อการโยกย้านถิ่นฐานอย่างถาวร . ความเห็นของทรัมป์ มีขึ้นในขณะที่ข้อตกลงหยุดยิงอันเปราะบางที่ทางอิสราเอลกับฮามาสเห็นพ้องกันเมื่อเดือนที่แล้ว กำลังเสี่ยงพังครืนลง หลังจากฮามาสแถลงในวันจันทร์(10ก.พ.) ว่าพวกเขาจะหยุดปล่อยตัวประกันอิสราเอล โดยกล่าวหาฝ่ายอิสราเอลละเมิดข้อตกลง . บรรดาประเทศเพื่อนบ้านอาหรับของอิสราเอล ในนั้นรวมถึงอียิปต์และจอร์แดน ระบุว่าแผนการใดๆในการโยกย้ายชาวปาเลสไตน์ออกจากแผ่นดินของตนเองจะบ่อนทำลายเสถียรภาพ ในขณะที่พวกวิพากษ์วิจารณ์หลายคนเรียกคำชี้แนะของทรัมป์ เทียบเท่ากับเป็นการกวาดล้างเผ่าพันธุ์ . รูบิโอ ได้พบปะกับ บาดร์ อับเดลัตตี รัฐมนตรีต่างประเทศอียิปต์ในกรุงวอชิงตัน ในวันจันทร์(10ก.พ.) ซึ่งทางกระทรวงต่างประเทศอียิปต์ เผยว่าทาง อับเดลัตตี ได้บอกกับ รูบิโอ ไปว่า บรรดาชาติอาหรับสนับสนุนชาวปาเลสไตน์ กรณีที่ปฏิเสธแผนของทรัมป์ ในขณะที่ไคโรยังแสดงความกังวลด้วยว่าชาวปาเลสไตน์อาจถูกบีบให้ข้ามชายแดนอียิปต์ที่ติดกับฉนวนกาซา . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000013546 .............. Sondhi X
    Like
    Love
    Haha
    Sad
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1740 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทรัมป์ประกาศยังมุ่งมั่นที่จะซื้อดินแดนกาซามาครอบครอง ถึงแม้เจอเสียงประณามคัดค้านตั้งแต่ชาวปาเลสไตน์ ไปถึงชาติอาหรับ โลกมุสลิม และกระทั่งพวกประเทศตะวันตก เพียงแต่อาจปรับเปลี่ยนแผนไปบ้าง โดยอาจแบ่งสรรพื้นที่บางส่วนให้ประเทศในตะวันออกกลางเข้าไปเป็นผู้ฟื้นฟูบูรณะ รวมถึงอาจรับชาวปาเลสไตน์ลี้ภัยในอเมริกาแต่ต้องพิจารณาเป็นกรณีไป ขณะที่ทางด้านเนทันยาฮู ก็ถูกจวกแหลก หลังปล่อยมุกเสนอไอเดียให้จัดตั้งรัฐปาเลสไตน์ขึ้นในซาอุดีอาระเบีย
    .
    ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวระหว่างให้สัมภาษณ์เมื่อวันอาทิตย์ (9 ก.พ.) ขณะอยู่บนเครื่องบินประจำตำแหน่ง “แอร์ ฟอร์ซ วัน” มุ่งหน้าไปชมการแข่งขันชิงแชมป์ซูเปอร์โบลในเทิอวนิวออร์ลีนส์ โดยย้ำว่าตัวเขายังคงมีความมุ่งมั่นเข้าซื้อและครอบครองฉนวนกาซา เพื่อให้มั่นใจว่าพวกนักรบฮามาสจะไม่ย้อนกลับไปอีก แต่อาจจะเปิดโอกาสให้ประเทศอื่นๆ ในตะวันออกกลางเข้าร่วมการบูรณะฟื้นฟูดินแดนแห่งนี้ที่ถูกทำลายยับเยินในสงคราม
    .
    ก่อนหน้านี้ ระหว่างแถลงไอเดียเรื่องนี้ครั้งแรกสุดในสัปดาห์ที่แล้ว ทรัมป์บรรยายแผนการอพยพชาวปาเลสไตน์ออกจากกาซาเป็นการถาวร โดยให้ไปตั้งรกรากในประเทศอาหรับอื่นๆ อย่างอียิปต์และจอร์แดน เพื่อที่อเมริกาจะเข้าไปครอบครองดินแดนชายทะเลเมดิเตอร์เรเนียนแห่งนี้ เพื่อสร้างให้เป็น “ริเวียราแห่งตะวันออกกลาง” ทว่าในวันอาทิตย์ เขาบอกว่า อาจอนุญาตให้ผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์บางส่วนเดินทางไปตั้งรกรากในอเมริกา แต่สำทับว่า จะต้องพิจารณาเป็นกรณีไป
    .
    การเสนอไอเดียทั้งหมดของทรัมป์ ยังไม่ได้ให้รายละเอียดชัดเจนเกี่ยวกับอนาคตของชาวปาเลสไตน์ที่ต้องเผชิญการถล่มโจมตีทิ้งระเบิดจากอิสราเอลมานานกว่า 15 เดือน นับจากวันที่ 7 ต.ค. 2023 ที่นักรบฮามาสแอบข้ามแดนเข้าไปโจมตีอิสราเอลและเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามกาซาที่ทำให้ชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตอย่างน้อย 48,181 คน
    .
    นอกจากนั้นยังไม่มีความชัดเจนว่า อเมริกาจะอ้างสิทธิ์อะไรในการเข้าไปยึดกาซา
    .
    เอซซาต เอล ราชก์ สมาชิกสายการเมืองของกลุ่มฮามาส ประณามแผนการของทรัมป์โดยระบุว่า กาซาไม่ใช่โครงการอสังหาริมทรัพย์ที่มีไว้ซื้อขาย แต่เป็นส่วนหนึ่งของดินแดนปาเลสไตน์ที่ถูกยึดครอง และปาเลสไตน์จะทำลายแผนการบังคับย้ายถิ่นฐานของผู้นำสหรัฐฯ
    .
    ขณะที่ซาอุดีอาระเบีย ซึ่งถือเป็นบิ๊กรายหนึ่งในโลกอาหรับและตะวันออกกลาง รวมทั้งบรรดาผู้นำทั่วโลกก็คัดค้านแผนการของทรัมป์ กษัตริย์อับดุลเลาะห์ที่สองแห่งจอร์แดน เตรียมเตือนทรัมป์ระหว่างเยือนวอชิงตันในวันอังคาร (11) ว่า แผนการเช่นนี้จะปลุกเร้าให้ลัทธิหัวรุนแรงแพร่ขยายไปทั่วตะวันออกกลาง และสั่นคลอนสันติภาพระหว่างจอร์แดนกับอิสราเอล
    .
    ประธานาธิบดีเรเจป ไตยิป แอร์โดอันของตุรกี และนายกรัฐมนตรีโอลาฟ ชอลซ์แห่งเยอรมนี เป็นผู้นำโลกสองคนล่าสุดที่ประณามแผนการของทรัมป์เมื่อวันอาทิตย์ (9) ที่ผ่านมา โดยแอร์โดอันบอกว่า ไม่มีใครมีอำนาจย้ายประชาชนในกาซาออกจากบ้านเกิดเมืองนอน และเสริมว่า กาซา เวสต์แบงก์ และเยรูซาเลมตะวันออกเป็นของชาวปาเลสไตน์
    .
    ด้านชอลซ์โจมตีแผนการของทรัมป์ว่าเป็น “กรณีสุดอื้อฉาว” และสำทับว่า การบังคับประชาชนย้ายถิ่นฐานเป็นสิ่งที่รับไม่ได้และละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ
    .
    ขณะที่ตะวันออกกลางเดือดเป็นฟื้นเป็นไฟกับข้อเสนอของทรัมป์ นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ดูจะเป็นผู้นำระดับชาติเพียงคนเดียวที่เชิดชูแผนการของประมุขทำเนียบขาวในการซื้อกาซาและย้ายชาวปาเลสไตน์ออกจากดินแดนดังกล่าวว่า เป็นแนวทางที่สร้างสรรค์ และเป็นการแสดงวิสัยทัศน์ที่แตกต่างออกไปจากกรอบเดิมอย่างชัดเจนและเป็นสิ่งที่ดีขึ้นสำหรับอิสราเอล
    .
    นอกจากนั้นเมื่อช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่เขายังอยู่ในกรุงวอชิงตัน เนทันยาฮูได้ให้สัมภาษณ์สื่อทีวีโปรอิสราเอลในสหรัฐฯ โดยที่ผู้สื่อข่าวได้พูดผิด เรียกเป็น "รัฐซาอุดีอาระเบีย" แทนที่จะเป็น "รัฐปาเลสไตน์" เนทันยาฮูก็แก้ไขให้โดยบอกว่า "รัฐปาเลสไตน์" จากนั้นเขาก็กล่าวต่อเป็นเชิงปล่อยมุกตลกด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า "เว้นแต่เสียว่าคุณต้องการให้รัฐปาเลสไตน์อยู่ในซาอุดีอาระเบีย พวกเขามีดินแดนมากมาย"
    .
    ปรากฏว่าเรื่องนี้ บรรดาชาติอาหรับและโลกมุสลิมไม่ได้ขำด้วย โดยที่อียิปต์และจอร์แดนออกมาประณามคำพูดเช่นนี้ของเนทันยาฮู ไคโรนั้นถึงขั้นมองความคิดนี้ว่าเป็นการ "ละเมิดอธิปไตยของซาอุดีอาระเบียโดยตรง" ทีเดียว
    .
    ด้านซาอุดีอาระเบียเอง บอกว่าพวกเขารู้สึกนับถือเป็นอย่างยิ่งต่อรัฐพี่น้องทั้ง 2 ที่รุดออกมาปฏิเสธความคิดเห็นของเนทันยาฮู และกล่าวต่อไปว่า "แนวคิดหัวรุนแรงซึ่งมุ่งที่การยึดครองนี้ ไม่ได้ตระหนักและเข้าถึงว่าดินแดนปาเลสไตน์มีความหมายกับประชาชนพี่น้องปาเลสไตน์มากแค่ไหน เช่นเดียวกับความเกี่ยวข้องกันทั้งในแง่มโนธรรม ประวัติศาสตร์และทางกฎหมาย กับดินแดนแห่งนี้" ถ้อยแถลงระบุ
    .
    ขณะที่อาเหม็ด อาบูล เกอิต ผู้นำกลุ่มสันนิบาตอาหรับ วิจารณ์ว่า ไอเดียของผู้นำยิวเป็นแค่ความเพ้อฝันหรือภาพลวงตาเท่านั้น
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000013540
    ..............
    Sondhi X
    ทรัมป์ประกาศยังมุ่งมั่นที่จะซื้อดินแดนกาซามาครอบครอง ถึงแม้เจอเสียงประณามคัดค้านตั้งแต่ชาวปาเลสไตน์ ไปถึงชาติอาหรับ โลกมุสลิม และกระทั่งพวกประเทศตะวันตก เพียงแต่อาจปรับเปลี่ยนแผนไปบ้าง โดยอาจแบ่งสรรพื้นที่บางส่วนให้ประเทศในตะวันออกกลางเข้าไปเป็นผู้ฟื้นฟูบูรณะ รวมถึงอาจรับชาวปาเลสไตน์ลี้ภัยในอเมริกาแต่ต้องพิจารณาเป็นกรณีไป ขณะที่ทางด้านเนทันยาฮู ก็ถูกจวกแหลก หลังปล่อยมุกเสนอไอเดียให้จัดตั้งรัฐปาเลสไตน์ขึ้นในซาอุดีอาระเบีย . ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวระหว่างให้สัมภาษณ์เมื่อวันอาทิตย์ (9 ก.พ.) ขณะอยู่บนเครื่องบินประจำตำแหน่ง “แอร์ ฟอร์ซ วัน” มุ่งหน้าไปชมการแข่งขันชิงแชมป์ซูเปอร์โบลในเทิอวนิวออร์ลีนส์ โดยย้ำว่าตัวเขายังคงมีความมุ่งมั่นเข้าซื้อและครอบครองฉนวนกาซา เพื่อให้มั่นใจว่าพวกนักรบฮามาสจะไม่ย้อนกลับไปอีก แต่อาจจะเปิดโอกาสให้ประเทศอื่นๆ ในตะวันออกกลางเข้าร่วมการบูรณะฟื้นฟูดินแดนแห่งนี้ที่ถูกทำลายยับเยินในสงคราม . ก่อนหน้านี้ ระหว่างแถลงไอเดียเรื่องนี้ครั้งแรกสุดในสัปดาห์ที่แล้ว ทรัมป์บรรยายแผนการอพยพชาวปาเลสไตน์ออกจากกาซาเป็นการถาวร โดยให้ไปตั้งรกรากในประเทศอาหรับอื่นๆ อย่างอียิปต์และจอร์แดน เพื่อที่อเมริกาจะเข้าไปครอบครองดินแดนชายทะเลเมดิเตอร์เรเนียนแห่งนี้ เพื่อสร้างให้เป็น “ริเวียราแห่งตะวันออกกลาง” ทว่าในวันอาทิตย์ เขาบอกว่า อาจอนุญาตให้ผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์บางส่วนเดินทางไปตั้งรกรากในอเมริกา แต่สำทับว่า จะต้องพิจารณาเป็นกรณีไป . การเสนอไอเดียทั้งหมดของทรัมป์ ยังไม่ได้ให้รายละเอียดชัดเจนเกี่ยวกับอนาคตของชาวปาเลสไตน์ที่ต้องเผชิญการถล่มโจมตีทิ้งระเบิดจากอิสราเอลมานานกว่า 15 เดือน นับจากวันที่ 7 ต.ค. 2023 ที่นักรบฮามาสแอบข้ามแดนเข้าไปโจมตีอิสราเอลและเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามกาซาที่ทำให้ชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตอย่างน้อย 48,181 คน . นอกจากนั้นยังไม่มีความชัดเจนว่า อเมริกาจะอ้างสิทธิ์อะไรในการเข้าไปยึดกาซา . เอซซาต เอล ราชก์ สมาชิกสายการเมืองของกลุ่มฮามาส ประณามแผนการของทรัมป์โดยระบุว่า กาซาไม่ใช่โครงการอสังหาริมทรัพย์ที่มีไว้ซื้อขาย แต่เป็นส่วนหนึ่งของดินแดนปาเลสไตน์ที่ถูกยึดครอง และปาเลสไตน์จะทำลายแผนการบังคับย้ายถิ่นฐานของผู้นำสหรัฐฯ . ขณะที่ซาอุดีอาระเบีย ซึ่งถือเป็นบิ๊กรายหนึ่งในโลกอาหรับและตะวันออกกลาง รวมทั้งบรรดาผู้นำทั่วโลกก็คัดค้านแผนการของทรัมป์ กษัตริย์อับดุลเลาะห์ที่สองแห่งจอร์แดน เตรียมเตือนทรัมป์ระหว่างเยือนวอชิงตันในวันอังคาร (11) ว่า แผนการเช่นนี้จะปลุกเร้าให้ลัทธิหัวรุนแรงแพร่ขยายไปทั่วตะวันออกกลาง และสั่นคลอนสันติภาพระหว่างจอร์แดนกับอิสราเอล . ประธานาธิบดีเรเจป ไตยิป แอร์โดอันของตุรกี และนายกรัฐมนตรีโอลาฟ ชอลซ์แห่งเยอรมนี เป็นผู้นำโลกสองคนล่าสุดที่ประณามแผนการของทรัมป์เมื่อวันอาทิตย์ (9) ที่ผ่านมา โดยแอร์โดอันบอกว่า ไม่มีใครมีอำนาจย้ายประชาชนในกาซาออกจากบ้านเกิดเมืองนอน และเสริมว่า กาซา เวสต์แบงก์ และเยรูซาเลมตะวันออกเป็นของชาวปาเลสไตน์ . ด้านชอลซ์โจมตีแผนการของทรัมป์ว่าเป็น “กรณีสุดอื้อฉาว” และสำทับว่า การบังคับประชาชนย้ายถิ่นฐานเป็นสิ่งที่รับไม่ได้และละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ . ขณะที่ตะวันออกกลางเดือดเป็นฟื้นเป็นไฟกับข้อเสนอของทรัมป์ นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ดูจะเป็นผู้นำระดับชาติเพียงคนเดียวที่เชิดชูแผนการของประมุขทำเนียบขาวในการซื้อกาซาและย้ายชาวปาเลสไตน์ออกจากดินแดนดังกล่าวว่า เป็นแนวทางที่สร้างสรรค์ และเป็นการแสดงวิสัยทัศน์ที่แตกต่างออกไปจากกรอบเดิมอย่างชัดเจนและเป็นสิ่งที่ดีขึ้นสำหรับอิสราเอล . นอกจากนั้นเมื่อช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่เขายังอยู่ในกรุงวอชิงตัน เนทันยาฮูได้ให้สัมภาษณ์สื่อทีวีโปรอิสราเอลในสหรัฐฯ โดยที่ผู้สื่อข่าวได้พูดผิด เรียกเป็น "รัฐซาอุดีอาระเบีย" แทนที่จะเป็น "รัฐปาเลสไตน์" เนทันยาฮูก็แก้ไขให้โดยบอกว่า "รัฐปาเลสไตน์" จากนั้นเขาก็กล่าวต่อเป็นเชิงปล่อยมุกตลกด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า "เว้นแต่เสียว่าคุณต้องการให้รัฐปาเลสไตน์อยู่ในซาอุดีอาระเบีย พวกเขามีดินแดนมากมาย" . ปรากฏว่าเรื่องนี้ บรรดาชาติอาหรับและโลกมุสลิมไม่ได้ขำด้วย โดยที่อียิปต์และจอร์แดนออกมาประณามคำพูดเช่นนี้ของเนทันยาฮู ไคโรนั้นถึงขั้นมองความคิดนี้ว่าเป็นการ "ละเมิดอธิปไตยของซาอุดีอาระเบียโดยตรง" ทีเดียว . ด้านซาอุดีอาระเบียเอง บอกว่าพวกเขารู้สึกนับถือเป็นอย่างยิ่งต่อรัฐพี่น้องทั้ง 2 ที่รุดออกมาปฏิเสธความคิดเห็นของเนทันยาฮู และกล่าวต่อไปว่า "แนวคิดหัวรุนแรงซึ่งมุ่งที่การยึดครองนี้ ไม่ได้ตระหนักและเข้าถึงว่าดินแดนปาเลสไตน์มีความหมายกับประชาชนพี่น้องปาเลสไตน์มากแค่ไหน เช่นเดียวกับความเกี่ยวข้องกันทั้งในแง่มโนธรรม ประวัติศาสตร์และทางกฎหมาย กับดินแดนแห่งนี้" ถ้อยแถลงระบุ . ขณะที่อาเหม็ด อาบูล เกอิต ผู้นำกลุ่มสันนิบาตอาหรับ วิจารณ์ว่า ไอเดียของผู้นำยิวเป็นแค่ความเพ้อฝันหรือภาพลวงตาเท่านั้น . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000013540 .............. Sondhi X
    Like
    Angry
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1774 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ผมมุ่งมั่นที่จะซื้อและเป็นเจ้าของกาซา"

    ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐอเมริกากล่าวบนเครื่องบินแอร์ ฟอร์ซ วัน:

    "ผมมุ่งมั่นที่จะซื้อและเป็นเจ้าของกาซา แต่การสร้างกาซาขึ้นใหม่ เราจะมอบให้แก่รัฐอื่นๆในตะวันออกกลางเป็นผู้ดูแล เราจะทำให้กาซาเป็นสถานที่ที่ดีสำหรับการพัฒนาในอนาคต"
    "ผมมุ่งมั่นที่จะซื้อและเป็นเจ้าของกาซา" ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐอเมริกากล่าวบนเครื่องบินแอร์ ฟอร์ซ วัน: "ผมมุ่งมั่นที่จะซื้อและเป็นเจ้าของกาซา แต่การสร้างกาซาขึ้นใหม่ เราจะมอบให้แก่รัฐอื่นๆในตะวันออกกลางเป็นผู้ดูแล เราจะทำให้กาซาเป็นสถานที่ที่ดีสำหรับการพัฒนาในอนาคต"
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 224 มุมมอง 12 0 รีวิว
  • ซาอุดีอาระเบีย ยืนยันปฏิเสธโดยสิ้นเชิงต่อความคิดเห็นของ เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล เกี่ยวกับการโยกย้ายถิ่นฐานชาวปาเลสไตน์ออกจากฉนวนกาซา แล้วให้สถาปนาความเป็นรัฐในดินแดนของซาอุดีอาระเบีย กระทรวงการต่างประเทศริยาด ตอบโต้ในถ้อยแถลงที่เผยแพร่
    .
    พวกเจ้าหน้าที่อิสราเอลพากันออกมาบ่งชี้เกี่ยวกับการจัดตั้งรัฐปาเลสไตน์ในดินแดนของซาอุดีอาระเบีย ในขณะที่ เนทันยาฮู ดูเหมือนพูดติดตลกในลักษณะเดียวกัน ระหว่างตอบคำถามของผู้สื่อข่าวของสถานีโทรทัศน์ช่อง 14 ซึ่งเป็นสำนักข่าวโปรเนทันยาอู ที่เรียกผิดเป็น "รัฐซาอุดีฯ" แทน "รัฐปาเลสไตน์" ก่อนพูดแก้ไขด้วยตนเองในทันที
    .
    "รัฐปาเลสไตน์" เนทันยาฮู แก้ไขคำพูดของผู้สัมภาษณ์ แต่บอกต่อว่า "เว้นแต่เสียว่าคุณต้องการให้รัฐปาเลสไตน์อยู่ในซาอุดีอาระเบีย พวกเขามีดินแดนมากมาย" นายกรัฐมนตรีอิสราเอลกล่าวไปยิ้มไป ระหว่างการให้สัมภาษณ์ในวอชิงตัน
    .
    ในส่วนถ้อยแถลงตอบโต้ของซาอุดีอาระเบีย ได้พาดพิงชื่อเนทันยาฮู แต่ไม่ได้กล่าวอ้างตรงๆถึงความคิดเห็นเกี่ยวกับการสถาปนาความเป็นรับปาเลสไตน์ในดินแดนซาอุดีอาระเบีย
    .
    ความเคลื่อนไหวของซาอุดีอาระเบีย มีขึ้นหลังจากก่อนหน้านี้ไม่กี่ชั่วโมง อียิปต์และจอร์แดนก็ออกมาประณามคำชี้แนะของอิสราเอลเช่นกัน โดยที่ไคโรถึงขั้นมองความคิดนี้ว่าเป็นการ "ละเมิดอธิปไตยของซาอุดีอาระเบียโดยตรง"
    .
    ซาอุดีอาระเบีย บอกว่าพวกเขารู้สึกนับถือเป็นอย่างยิ่งต่อรัฐพี่น้องทั้ง 2 ที่รุดออกมาปฏิเสธความคิดเห็นของเนทันยาฮู "แนวคิดหัวรุนแรงแห่งการยึดครองนี้ ไม่ได้ตระหนักและเข้าถึงว่าดินแดนปาเลสไตน์มีความหมายกับประชาชนพี่น้องปาเลสไตน์มากแค่ไหน เช่นดียวกับความเกี่ยวข้องกันทั้งในแง่มโนธรรม ประวัติศาสตร์และทางกฎหมาย กับดินแดนแห่งนี้" ถ้อยแถลงระบุ
    .
    ประเด็นโต้เถียงเกี่ยวกับชะตากรรมของชาวปาเลสไตน์ในกาซา ถูกโหมกระพือขึ้นจากข้อเสนอสุดช็อคของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เมื่อวันอังคาร(4ก.พ.) ที่บอกว่าอเมริกา "จะควบคุมฉนวนกาซา" ผ่านการส่งมอบโดยอิสราเอล และจะสร้างดินแดนแห่งนี้ให้เห็น "ริเวียราแห่งตะวันออกกลาง" หลังจากโยกย้ายชาวปาเลสไตน์ไปที่ไหนสักแห่ง
    .
    ข้อเสนอดังกล่าวของทรัมป์ เรียกเสียงประณามในวงกว้างจากบรรดชาติอาหรับ ในขณะที่ความคิดของประธานาธิบดีสหรัฐฯ เกิดจึ้นระหว่างข้อตกลงหยุดยิงอันเปราะบางในสงครามกาซา ดินแดนที่อิสราเอลสู้รบกับพวกนักรบปาเลสไตน์ฮามาส ที่ควบคุมฉนวนแคบๆแห่งนี้
    .
    ทรัมป์ อ้างว่าซาอุดีอาระเบียไม่ได้เรียกร้องให้สถาปนารัฐปาเลสไตน์ เป็นเงื่อนไขในการคืนสัมพันธ์อันเป็นปกติกับอิสราเอล แต่ริยาดรุดออกมาตอบโต้คำกล่าวอ้างของเขา พร้อมยืนยันว่าพวกเขาจะไม่สถาปนาความสัมพันธ์กับอิสราเอล หากปราศจากการจัดตั้งรัฐปาเลสไตน์
    .
    พวกเจ้าหน้าที่กาซาระบุว่าสงครามได้สังหารชีวิตผู้คนไปแล้วมากกว่า 47,000 นาย จากประชากรทั้งหมดเกือบ 2 ล้านคนในกาซา โดยอิสราเอลเปิดฉากรุกรานดินแดนแห่งนี้ หลังจากกลุ่มมือปืนที่นำโดยฮามาส บุกจู่โจมเล่นงานอิสราเอลแบบสายฟ้าแลบ เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2023 สังหารผู้คนไปราวๆ 1,200 ราย และจับตัวประกันไปมากกว่า 250 คน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000013147
    ..............
    Sondhi X
    ซาอุดีอาระเบีย ยืนยันปฏิเสธโดยสิ้นเชิงต่อความคิดเห็นของ เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล เกี่ยวกับการโยกย้ายถิ่นฐานชาวปาเลสไตน์ออกจากฉนวนกาซา แล้วให้สถาปนาความเป็นรัฐในดินแดนของซาอุดีอาระเบีย กระทรวงการต่างประเทศริยาด ตอบโต้ในถ้อยแถลงที่เผยแพร่ . พวกเจ้าหน้าที่อิสราเอลพากันออกมาบ่งชี้เกี่ยวกับการจัดตั้งรัฐปาเลสไตน์ในดินแดนของซาอุดีอาระเบีย ในขณะที่ เนทันยาฮู ดูเหมือนพูดติดตลกในลักษณะเดียวกัน ระหว่างตอบคำถามของผู้สื่อข่าวของสถานีโทรทัศน์ช่อง 14 ซึ่งเป็นสำนักข่าวโปรเนทันยาอู ที่เรียกผิดเป็น "รัฐซาอุดีฯ" แทน "รัฐปาเลสไตน์" ก่อนพูดแก้ไขด้วยตนเองในทันที . "รัฐปาเลสไตน์" เนทันยาฮู แก้ไขคำพูดของผู้สัมภาษณ์ แต่บอกต่อว่า "เว้นแต่เสียว่าคุณต้องการให้รัฐปาเลสไตน์อยู่ในซาอุดีอาระเบีย พวกเขามีดินแดนมากมาย" นายกรัฐมนตรีอิสราเอลกล่าวไปยิ้มไป ระหว่างการให้สัมภาษณ์ในวอชิงตัน . ในส่วนถ้อยแถลงตอบโต้ของซาอุดีอาระเบีย ได้พาดพิงชื่อเนทันยาฮู แต่ไม่ได้กล่าวอ้างตรงๆถึงความคิดเห็นเกี่ยวกับการสถาปนาความเป็นรับปาเลสไตน์ในดินแดนซาอุดีอาระเบีย . ความเคลื่อนไหวของซาอุดีอาระเบีย มีขึ้นหลังจากก่อนหน้านี้ไม่กี่ชั่วโมง อียิปต์และจอร์แดนก็ออกมาประณามคำชี้แนะของอิสราเอลเช่นกัน โดยที่ไคโรถึงขั้นมองความคิดนี้ว่าเป็นการ "ละเมิดอธิปไตยของซาอุดีอาระเบียโดยตรง" . ซาอุดีอาระเบีย บอกว่าพวกเขารู้สึกนับถือเป็นอย่างยิ่งต่อรัฐพี่น้องทั้ง 2 ที่รุดออกมาปฏิเสธความคิดเห็นของเนทันยาฮู "แนวคิดหัวรุนแรงแห่งการยึดครองนี้ ไม่ได้ตระหนักและเข้าถึงว่าดินแดนปาเลสไตน์มีความหมายกับประชาชนพี่น้องปาเลสไตน์มากแค่ไหน เช่นดียวกับความเกี่ยวข้องกันทั้งในแง่มโนธรรม ประวัติศาสตร์และทางกฎหมาย กับดินแดนแห่งนี้" ถ้อยแถลงระบุ . ประเด็นโต้เถียงเกี่ยวกับชะตากรรมของชาวปาเลสไตน์ในกาซา ถูกโหมกระพือขึ้นจากข้อเสนอสุดช็อคของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เมื่อวันอังคาร(4ก.พ.) ที่บอกว่าอเมริกา "จะควบคุมฉนวนกาซา" ผ่านการส่งมอบโดยอิสราเอล และจะสร้างดินแดนแห่งนี้ให้เห็น "ริเวียราแห่งตะวันออกกลาง" หลังจากโยกย้ายชาวปาเลสไตน์ไปที่ไหนสักแห่ง . ข้อเสนอดังกล่าวของทรัมป์ เรียกเสียงประณามในวงกว้างจากบรรดชาติอาหรับ ในขณะที่ความคิดของประธานาธิบดีสหรัฐฯ เกิดจึ้นระหว่างข้อตกลงหยุดยิงอันเปราะบางในสงครามกาซา ดินแดนที่อิสราเอลสู้รบกับพวกนักรบปาเลสไตน์ฮามาส ที่ควบคุมฉนวนแคบๆแห่งนี้ . ทรัมป์ อ้างว่าซาอุดีอาระเบียไม่ได้เรียกร้องให้สถาปนารัฐปาเลสไตน์ เป็นเงื่อนไขในการคืนสัมพันธ์อันเป็นปกติกับอิสราเอล แต่ริยาดรุดออกมาตอบโต้คำกล่าวอ้างของเขา พร้อมยืนยันว่าพวกเขาจะไม่สถาปนาความสัมพันธ์กับอิสราเอล หากปราศจากการจัดตั้งรัฐปาเลสไตน์ . พวกเจ้าหน้าที่กาซาระบุว่าสงครามได้สังหารชีวิตผู้คนไปแล้วมากกว่า 47,000 นาย จากประชากรทั้งหมดเกือบ 2 ล้านคนในกาซา โดยอิสราเอลเปิดฉากรุกรานดินแดนแห่งนี้ หลังจากกลุ่มมือปืนที่นำโดยฮามาส บุกจู่โจมเล่นงานอิสราเอลแบบสายฟ้าแลบ เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2023 สังหารผู้คนไปราวๆ 1,200 ราย และจับตัวประกันไปมากกว่า 250 คน . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000013147 .............. Sondhi X
    Like
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1465 มุมมอง 0 รีวิว
  • อียิปต์ประณามถ้อยแถลงของเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ที่ชี้แนะให้สถาปนารัฐปาเลสไตน์ ในดินแดนของซาอุดีอาระเบีย ระบุเป็นความเห็น "ที่ไร้ความรับผิดชอบ" แม้ดูเหมือนว่าผู้นำยิวรายนี้จะพูดติดตลกก็ตาม
    .
    กระทรวงการต่างประเทศอียิปต์ระบุในถ้อยแถลงว่า แนวคิดดังกล่าวถือเป็นการละเมิดอธิปไตยของซาอุดีอาระเบียโดยตรง และความมั่นคงของซาอุดีอาระเบีย ถือเป็น "เส้นตายสำหรับอียิปต์"
    .
    เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ดูเหมือนพูดติดตลกเมื่อช่วงกลางสัปดาห์ ครั้งที่เขาตอบกลับผู้สื่อข่าวของสถานีโทรทัศน์ชาแนล 14 ที่พูดผิดเรียกเป็น "รัฐซาอุดีอาระเบีย" แทนที่จะเป็น "รัฐปาเลสไตน์"
    .
    "รัฐปาเลสไตน์" เนทันยาฮู แก้ไขคำพูดของผู้สัมภาษณ์ แต่บอกต่อว่า "เว้นแต่เสียว่าคุณต้องการให้รัฐปาเลสไตน์อยู่ในซาอุดีอาระเบีย พวกเขามีดินแดนมากมาย" นายกรัฐมนตรีอิสราเอลกล่าวไปยิ้มไป ระหว่างการให้สัมภาษณ์ในวอชิงตัน
    .
    ถ้อยแถลงของอียิปต์ ไม่ได้พาดพิงชื่อของเนทันยาฮูโดยตรง แต่ระบุว่าคำพูดดังกล่าว เป็นความเห็น "ที่ก้าวร้าวน่าตำหนิและละเมิดบรรทัดฐานทางการทูต"
    .
    ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ บ่งชี้ในช่วงกลางสัปดาห์ ว่าสหรัฐฯอาจเข้าควบคุมฉนวนกาซา ผ่านการส่งต่อมาจากอิสราเอล และสถาปนา "ริเวียราแห่งตะวันออกกลาง" หลังจากโยกย้ายประชากรชาวปาเลสไตน์ไปไว้ที่ไหนสักแห่ง ในนั้นรวมถึงอียิปต์และจอร์แด สวนทางกับความคิดเห็นบรรดาชาติอาหรับ ที่ต้องการเห็นทางออกแบบ 2 รัฐคู่ขนาน ที่มีผืนแผ่นดินสำหรับชาวปาเลสไตน์อยู่เคียงข้างกับอิสราเอล
    .
    ต่อมา ทรัมป์ อ้างด้วยว่าว่าริยาด ไม่ได้เรียกร้องให้สถาปนารัฐปาเลสไตน์ เป็นเงื่อนไขสำหรับการสานสัมพันธ์อันเป็นปกติกับอิสราเอล แต่ซาอุดีอาระเบียปฏิเสธถ้อยแถลงของเขา พร้อมประกาศกร้าวว่าจะไม่สถาปนาความสัมพันธ์กับอิสราเอล หากปราศจากการก่อตั้งรัฐปาเลสไตน์
    .
    ข้อเสนอใดๆที่ชี้แนะให้ชาวปาเลสไตน์ออกจากกาซา ดินแดนที่พวกเขาต้องการให้เป็นรัฐเอกราชไม่ว่ารูปแบบหนึ่งรูปแบบใด โหมกระพือเสียงสาปแช่งอย่างดุเดือดจากพวกผู้นำปาเลสไตน์มาหลายยุคหลายสมัย และบรรดาชาติเพื่อนบ้านอาหรับก็ต่างปฏิเสธแนวความคิดนี้มาตั้งแต่สงครามกาซาเริ่มต้นขึ้น
    .
    แผนของทรัมป์ยังถูกประณามจากทั่วโลกเช่นกัน โดยพวกผู้นำโลกบอกว่าความเคลื่อนไหวดังกล่าวจะคุกคามเสถียรภาพในระดับภูมิภาค กระตุ้นให้ประธานาธิบดีสหรัฐฯในวันศุกร์(7ก.พ.) ดูเหมือนจะกลับลำเล็กน้อย บอกว่ายังไม่รีบดำเนินการตามแผนของเขา ในการเข้ายึดและพัฒนาฉนวนกาซา
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000012936
    ..............
    Sondhi X
    อียิปต์ประณามถ้อยแถลงของเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ที่ชี้แนะให้สถาปนารัฐปาเลสไตน์ ในดินแดนของซาอุดีอาระเบีย ระบุเป็นความเห็น "ที่ไร้ความรับผิดชอบ" แม้ดูเหมือนว่าผู้นำยิวรายนี้จะพูดติดตลกก็ตาม . กระทรวงการต่างประเทศอียิปต์ระบุในถ้อยแถลงว่า แนวคิดดังกล่าวถือเป็นการละเมิดอธิปไตยของซาอุดีอาระเบียโดยตรง และความมั่นคงของซาอุดีอาระเบีย ถือเป็น "เส้นตายสำหรับอียิปต์" . เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ดูเหมือนพูดติดตลกเมื่อช่วงกลางสัปดาห์ ครั้งที่เขาตอบกลับผู้สื่อข่าวของสถานีโทรทัศน์ชาแนล 14 ที่พูดผิดเรียกเป็น "รัฐซาอุดีอาระเบีย" แทนที่จะเป็น "รัฐปาเลสไตน์" . "รัฐปาเลสไตน์" เนทันยาฮู แก้ไขคำพูดของผู้สัมภาษณ์ แต่บอกต่อว่า "เว้นแต่เสียว่าคุณต้องการให้รัฐปาเลสไตน์อยู่ในซาอุดีอาระเบีย พวกเขามีดินแดนมากมาย" นายกรัฐมนตรีอิสราเอลกล่าวไปยิ้มไป ระหว่างการให้สัมภาษณ์ในวอชิงตัน . ถ้อยแถลงของอียิปต์ ไม่ได้พาดพิงชื่อของเนทันยาฮูโดยตรง แต่ระบุว่าคำพูดดังกล่าว เป็นความเห็น "ที่ก้าวร้าวน่าตำหนิและละเมิดบรรทัดฐานทางการทูต" . ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ บ่งชี้ในช่วงกลางสัปดาห์ ว่าสหรัฐฯอาจเข้าควบคุมฉนวนกาซา ผ่านการส่งต่อมาจากอิสราเอล และสถาปนา "ริเวียราแห่งตะวันออกกลาง" หลังจากโยกย้ายประชากรชาวปาเลสไตน์ไปไว้ที่ไหนสักแห่ง ในนั้นรวมถึงอียิปต์และจอร์แด สวนทางกับความคิดเห็นบรรดาชาติอาหรับ ที่ต้องการเห็นทางออกแบบ 2 รัฐคู่ขนาน ที่มีผืนแผ่นดินสำหรับชาวปาเลสไตน์อยู่เคียงข้างกับอิสราเอล . ต่อมา ทรัมป์ อ้างด้วยว่าว่าริยาด ไม่ได้เรียกร้องให้สถาปนารัฐปาเลสไตน์ เป็นเงื่อนไขสำหรับการสานสัมพันธ์อันเป็นปกติกับอิสราเอล แต่ซาอุดีอาระเบียปฏิเสธถ้อยแถลงของเขา พร้อมประกาศกร้าวว่าจะไม่สถาปนาความสัมพันธ์กับอิสราเอล หากปราศจากการก่อตั้งรัฐปาเลสไตน์ . ข้อเสนอใดๆที่ชี้แนะให้ชาวปาเลสไตน์ออกจากกาซา ดินแดนที่พวกเขาต้องการให้เป็นรัฐเอกราชไม่ว่ารูปแบบหนึ่งรูปแบบใด โหมกระพือเสียงสาปแช่งอย่างดุเดือดจากพวกผู้นำปาเลสไตน์มาหลายยุคหลายสมัย และบรรดาชาติเพื่อนบ้านอาหรับก็ต่างปฏิเสธแนวความคิดนี้มาตั้งแต่สงครามกาซาเริ่มต้นขึ้น . แผนของทรัมป์ยังถูกประณามจากทั่วโลกเช่นกัน โดยพวกผู้นำโลกบอกว่าความเคลื่อนไหวดังกล่าวจะคุกคามเสถียรภาพในระดับภูมิภาค กระตุ้นให้ประธานาธิบดีสหรัฐฯในวันศุกร์(7ก.พ.) ดูเหมือนจะกลับลำเล็กน้อย บอกว่ายังไม่รีบดำเนินการตามแผนของเขา ในการเข้ายึดและพัฒนาฉนวนกาซา . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000012936 .............. Sondhi X
    Like
    Love
    5
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1311 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวนี้เกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นกับการ์ดจอ NVIDIA GeForce RTX 5090 และ RTX 5090D ซึ่งมีผู้ใช้งานหลายคนรายงานว่าการ์ดจอของพวกเขาเกิดอาการ "brick" หรือไม่สามารถใช้งานได้หลังจากทำการอัปเดตไดรเวอร์ NVIDIA ได้รับรายงานเหล่านี้และกำลังดำเนินการสอบสวนปัญหาดังกล่าว

    เรื่องราวเริ่มขึ้นเมื่อมีรายงานจากผู้ใช้งานที่พบว่าการ์ดจอ RTX 5090 และ RTX 5090D ของพวกเขาไม่สามารถเปิดหน้าจอได้ และแสดงเพียงหน้าจอดำหลังจากทำการอัปเดตไดรเวอร์ แม้จะพยายามแก้ไขด้วยวิธีต่าง ๆ แต่ปัญหายังคงอยู่ บางคนพบว่าการ์ดจอไม่ถูกตรวจพบใน Device Manager หรือ BIOS แม้แต่หลังจากทำการรีเซ็ต BIOS แล้ว

    สาเหตุของปัญหานี้ยังไม่เป็นที่ชัดเจน แต่มีการสันนิษฐานว่าอาจเกี่ยวข้องกับปัญหาด้านสถาปัตยกรรมหรือความเข้ากันได้ของไดรเวอร์มากกว่าปัญหาด้านฮาร์ดแวร์เอง NVIDIA ได้ตอบกลับว่าพวกเขากำลังสอบสวนเรื่องนี้ แต่ยังไม่มีข้อมูลเพิ่มเติมหรือวิธีการแก้ไขปัญหาที่ชัดเจนในขณะนี้

    นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่า ASUS ได้เปิดตัวการ์ดจอรุ่นใหม่ที่ชื่อว่า ROG Astral GeForce RTX 5090 'Dhahab' OC Edition ซึ่งเป็นรุ่นพิเศษสำหรับตลาดในตะวันออกกลาง ด้วยราคาที่สูงถึง $3409 ซึ่งเป็นราคาที่สูงขึ้นอย่างมากจากการ์ดจอ RTX 5090 รุ่นอื่น ๆ

    ในส่วนของการตอบรับตลาด ผู้ใช้งานหลายคนยังคงรอคอยการแก้ไขปัญหาจาก NVIDIA และคาดหวังว่าจะมีข้อมูลเพิ่มเติมหรือการแก้ไขปัญหาที่ชัดเจนออกมาในเร็ว ๆ นี้

    https://wccftech.com/nvidia-responds-to-bricked-rtx-5090-5090d-gpus-says-it-is-investigating-issues/
    ข่าวนี้เกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นกับการ์ดจอ NVIDIA GeForce RTX 5090 และ RTX 5090D ซึ่งมีผู้ใช้งานหลายคนรายงานว่าการ์ดจอของพวกเขาเกิดอาการ "brick" หรือไม่สามารถใช้งานได้หลังจากทำการอัปเดตไดรเวอร์ NVIDIA ได้รับรายงานเหล่านี้และกำลังดำเนินการสอบสวนปัญหาดังกล่าว เรื่องราวเริ่มขึ้นเมื่อมีรายงานจากผู้ใช้งานที่พบว่าการ์ดจอ RTX 5090 และ RTX 5090D ของพวกเขาไม่สามารถเปิดหน้าจอได้ และแสดงเพียงหน้าจอดำหลังจากทำการอัปเดตไดรเวอร์ แม้จะพยายามแก้ไขด้วยวิธีต่าง ๆ แต่ปัญหายังคงอยู่ บางคนพบว่าการ์ดจอไม่ถูกตรวจพบใน Device Manager หรือ BIOS แม้แต่หลังจากทำการรีเซ็ต BIOS แล้ว สาเหตุของปัญหานี้ยังไม่เป็นที่ชัดเจน แต่มีการสันนิษฐานว่าอาจเกี่ยวข้องกับปัญหาด้านสถาปัตยกรรมหรือความเข้ากันได้ของไดรเวอร์มากกว่าปัญหาด้านฮาร์ดแวร์เอง NVIDIA ได้ตอบกลับว่าพวกเขากำลังสอบสวนเรื่องนี้ แต่ยังไม่มีข้อมูลเพิ่มเติมหรือวิธีการแก้ไขปัญหาที่ชัดเจนในขณะนี้ นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่า ASUS ได้เปิดตัวการ์ดจอรุ่นใหม่ที่ชื่อว่า ROG Astral GeForce RTX 5090 'Dhahab' OC Edition ซึ่งเป็นรุ่นพิเศษสำหรับตลาดในตะวันออกกลาง ด้วยราคาที่สูงถึง $3409 ซึ่งเป็นราคาที่สูงขึ้นอย่างมากจากการ์ดจอ RTX 5090 รุ่นอื่น ๆ ในส่วนของการตอบรับตลาด ผู้ใช้งานหลายคนยังคงรอคอยการแก้ไขปัญหาจาก NVIDIA และคาดหวังว่าจะมีข้อมูลเพิ่มเติมหรือการแก้ไขปัญหาที่ชัดเจนออกมาในเร็ว ๆ นี้ https://wccftech.com/nvidia-responds-to-bricked-rtx-5090-5090d-gpus-says-it-is-investigating-issues/
    WCCFTECH.COM
    NVIDIA Responds To Bricked RTX 5090/5090D GPUs, Says It Is "Investigating" The Reported Issues
    After several reports of supposedly bricked GeForce RTX 5090 GPUs emerged, NVIDIA started investigating the matter.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 141 มุมมอง 0 รีวิว
  • โลกค้าน 'ทรัมป์'จะเปลี่ยนกาซาเป็น'ริเวียราตะวันออกกลาง' : คนเคาะข่าว 6-02-68
    : อ.สุดาทิพย์ จารุจินดา อินทร ผู้เชี่ยวชาญข่าวต่างประเทศ
    ดำเนินรายการโดย อุษณีย์ เอกอุษณีย์
    #คนเคาะข่าว
    โลกค้าน 'ทรัมป์'จะเปลี่ยนกาซาเป็น'ริเวียราตะวันออกกลาง' : คนเคาะข่าว 6-02-68 : อ.สุดาทิพย์ จารุจินดา อินทร ผู้เชี่ยวชาญข่าวต่างประเทศ ดำเนินรายการโดย อุษณีย์ เอกอุษณีย์ #คนเคาะข่าว
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 264 มุมมอง 19 0 รีวิว
  • จาเร็ด​ คุชเนอร์ (Jared Kushner) สามีของอิวังก้า ทรัมป์ ลูกสาวคนโตของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ถูกสื่อมวลชนเปิดโปงว่าคือผู้อยู่เบื้องหลังแนวคิดให้สหรัฐเข้ายึดครองกาซา และขับไล่ชาวปาเลสไตน์เกือบสองล้านคนออกไปจากถิ่นกำเนิดพวกเขา เพื่อสร้างกาซาขึ้นใหม่

    เนื่องจากแผนการของทรัมป์ คือสิ่งที่ จาเร็ด คุชเนอร์ ลูกเขยของเขา เคยกล่าวไว้เมื่อเดือนมีนาคม 2024 ว่าอิสราเอลควรขับไล่ชาวปาเลสไตน์ออกจากฉนวนกาซาและพัฒนาพื้นที่ริมทะเลแห่งนี้ขึ้นใหม่ โดยเรียกพื้นที่ตรงนั้นว่า “มีค่ามหาศาล” (very valuable)

    นายจาเร็ด คุชเนอร์ ชาวยิวที่มีบรรพบุรุษมาจากเบลารุส ปู่และย่าของเขารอดชีวิตจากค่ายกักกันที่นาซีเยอรมนีดำเนินการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ระหว่างยึดครองเบลารุสอยู่ และอพยพมาอยู่ที่สหรัฐอเมริกาเมื่อปี 2492 ต่อมา "ชาร์ล คุชเนอร์" พ่อของจาเร็ดก่อตั้งบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่รัฐนิวเจอร์ซีย์ จนประสบความสำเร็จมั่งคั่งร่ำรวยอย่างมาก

    ทรัมป์สมัยแรก แต่งตั้งให้ จาเร็ด คุชเนอร์ ลูกเขยคนโปรดเข้ารับตำแหน่งที่ปรึกษาระดับอาวุโสในทำเนียบขาว โดยให้คำปรึกษาด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศต่อทรัมป์โดยตรง โดยเฉพาะปัญหาเรื่องตะวันออกกลาง ซึ่งถือเป็น "มือขวา" ของทรัมป์ในสมัยนั้น

    เขาเป็นทั้งเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ นักลงทุน และเจ้าของธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ New York Observer

    ต่อมาในทรัมป์สมัยที่สอง ได้สร้างความฮือฮาด้วยการแต่งตั้ง ชาร์ลส์ คุชเนอร์ วัย 70 ปี พ่อของจาเร็ด เป็นเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำฝรั่งเศส ทั้งที่เคยถูกศาลตัดสินลงโทษจำคุก 2 ปีเมื่อปี 2548 หลังจากรับสารภาพในความผิด 18 กระทงในคดีบริจาคเงินหาเสียงอย่างผิดกฎหมาย เลี่ยงภาษี และยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน จึงถูกเพิกถอนใบอนุญาตการเป็นทนายความในรัฐนิวเจอร์ซีย์ นิวยอร์ก และเพนซิลเวเนีย แต่ได้รับการอภัยโทษทั้งหมดจากทรัมป์ในปี 2563 เมื่อครั้งที่ทรัมป์เป็นประธานาธิบดีสมัยแรก





    จาเร็ด​ คุชเนอร์ (Jared Kushner) สามีของอิวังก้า ทรัมป์ ลูกสาวคนโตของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ถูกสื่อมวลชนเปิดโปงว่าคือผู้อยู่เบื้องหลังแนวคิดให้สหรัฐเข้ายึดครองกาซา และขับไล่ชาวปาเลสไตน์เกือบสองล้านคนออกไปจากถิ่นกำเนิดพวกเขา เพื่อสร้างกาซาขึ้นใหม่ เนื่องจากแผนการของทรัมป์ คือสิ่งที่ จาเร็ด คุชเนอร์ ลูกเขยของเขา เคยกล่าวไว้เมื่อเดือนมีนาคม 2024 ว่าอิสราเอลควรขับไล่ชาวปาเลสไตน์ออกจากฉนวนกาซาและพัฒนาพื้นที่ริมทะเลแห่งนี้ขึ้นใหม่ โดยเรียกพื้นที่ตรงนั้นว่า “มีค่ามหาศาล” (very valuable) นายจาเร็ด คุชเนอร์ ชาวยิวที่มีบรรพบุรุษมาจากเบลารุส ปู่และย่าของเขารอดชีวิตจากค่ายกักกันที่นาซีเยอรมนีดำเนินการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ระหว่างยึดครองเบลารุสอยู่ และอพยพมาอยู่ที่สหรัฐอเมริกาเมื่อปี 2492 ต่อมา "ชาร์ล คุชเนอร์" พ่อของจาเร็ดก่อตั้งบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่รัฐนิวเจอร์ซีย์ จนประสบความสำเร็จมั่งคั่งร่ำรวยอย่างมาก ทรัมป์สมัยแรก แต่งตั้งให้ จาเร็ด คุชเนอร์ ลูกเขยคนโปรดเข้ารับตำแหน่งที่ปรึกษาระดับอาวุโสในทำเนียบขาว โดยให้คำปรึกษาด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศต่อทรัมป์โดยตรง โดยเฉพาะปัญหาเรื่องตะวันออกกลาง ซึ่งถือเป็น "มือขวา" ของทรัมป์ในสมัยนั้น เขาเป็นทั้งเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ นักลงทุน และเจ้าของธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ New York Observer ต่อมาในทรัมป์สมัยที่สอง ได้สร้างความฮือฮาด้วยการแต่งตั้ง ชาร์ลส์ คุชเนอร์ วัย 70 ปี พ่อของจาเร็ด เป็นเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำฝรั่งเศส ทั้งที่เคยถูกศาลตัดสินลงโทษจำคุก 2 ปีเมื่อปี 2548 หลังจากรับสารภาพในความผิด 18 กระทงในคดีบริจาคเงินหาเสียงอย่างผิดกฎหมาย เลี่ยงภาษี และยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน จึงถูกเพิกถอนใบอนุญาตการเป็นทนายความในรัฐนิวเจอร์ซีย์ นิวยอร์ก และเพนซิลเวเนีย แต่ได้รับการอภัยโทษทั้งหมดจากทรัมป์ในปี 2563 เมื่อครั้งที่ทรัมป์เป็นประธานาธิบดีสมัยแรก
    Sad
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 412 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ สร้างความตกตะลึงอีกครั้งด้วยการประกาศว่าต้องการ “เทกโอเวอร์” ดินแดนกาซาเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ หลังจากส่งชาวปาเลสไตน์ “ออกไปอยู่อื่น” ในความเคลื่อนไหวซึ่งจะถือเป็นการทำลายจุดยืนที่สหรัฐฯ มีต่อปัญหายิว-ปาเลสไตน์มานานหลายสิบปี
    .
    ทรัมป์ แถลงแผนการสุดเซอร์ไพรส์นี้ระหว่างเปิดแถลงข่าวที่ทำเนียบขาวร่วมกับนายกรัฐมนตรี เบนจามิน เนทันยาฮู แห่งอิสราเอล โดยยังไม่ได้ให้รายละเอียดว่าจะดำเนินการอย่างไร
    .
    ก่อนหน้านั้นไม่นาน ทรัมป์ ได้เสนอให้ย้ายชาวปาเลสไตน์ออกจากกาซาไปตั้งถิ่นฐานใหม่แบบถาวรในประเทศข้างเคียง โดยระบุว่าดินแดนกาซาในปัจจุบันมีสภาพไม่ต่างจากพื้นที่ทุบทำลาย (demolition site)
    .
    “สหรัฐฯ จะเทกโอเวอร์ฉนวนกาซา และเราจะทำอะไรบางอย่างกับมันด้วย” ทรัมป์ บอกกับผู้สื่อข่าว “เราจะเป็นเจ้าของมัน และจะรับผิดชอบเรื่องการทำลายระเบิดที่ยังไม่ทำงาน และอาวุธต่างๆ ที่อยู่ในนั้น”
    .
    “หากมีความจำเป็น เราก็จะทำ เราจะเทกโอเวอร์ดินแดนตรงนั้น เราจะเข้าไปพัฒนามัน สร้างงานหลายพันหลายหมื่นตำแหน่ง และมันจะเป็นสิ่งที่ตะวันออกกลางทั้งภูมิภาคและทั่วโลกต้องภูมิใจ” ทรัมป์ กล่าว
    .
    เมื่อถามว่าแล้วใครจะเข้าไปอาศัยอยู่ในดินแดนตรงนั้น ทรัมป์ ตอบแบบกว้างๆ ว่ามันจะเป็น “บ้านสำหรับชาวโลก”
    .
    ด้าน เนทันยาฮู ก็กล่าวรับลูกทันควันว่า ทรัมป์ เป็นคนที่ “กล้าคิดนอกกรอบด้วยไอเดียใหม่ๆ” และ “แสดงความตั้งใจจริงที่จะแทงทะลุกรอบความคิดเดิมๆ”
    .
    อย่างไรก็ดี ทรัมป์ ไม่ได้ชี้แจงข้อซักถามของสื่อมวลชนที่ว่า สหรัฐฯ จะเอาอำนาจอะไรไปเทกโอเวอร์ดินแดนกาซา และยึดครองมันในระยะยาว
    .
    ทรัมป์ ยังย้ำข้อเรียกร้องให้จอร์แดน อียิปต์ และรัฐอาหรับอื่นๆ รับชาวกาซาไปอยู่อาศัย โดยชี้ว่าชาวปาเลสไตน์ "ไม่มีทางเลือกอื่น" นอกจากละทิ้งดินแดนผืนแคบๆ ที่อยู่ติดชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนแห่งนี้ไปเสีย เนื่องจากกาซาจำเป็นต้องได้รับการบูรณะฟื้นฟูขนานใหญ่หลังเสียหายย่อยยับจากสงครามระหว่างอิสราเอลกับฮามาสในช่วง 16 เดือนที่ผ่านมา
    .
    อย่างไรก็ดี ครั้งนี้ ทรัมป์ ประกาศชัดว่าเขาสนับสนุนการย้ายชาวกาซาแบบ "ถาวร" ซึ่งเป็นเรื่องหนักหน่วงเสียยิ่งกว่าข้อเสนอเดิมซึ่งบรรดารัฐอาหรับก็ไม่เอาด้วยอยู่แล้ว
    .
    เพียง 2 สัปดาห์หลังเข้ารับตำแหน่งเทอมสอง ทรัมป์ ได้เปิดทำเนียบขาวต้อนรับผู้นำยิวเพื่อหารือข้อตกลงหยุดยิงที่เปราะบางในกาซา ยุทธศาสตร์ต่อต้านอิหร่าน รวมไปถึงความหวังที่จะรื้อฟื้นแผนผลักดันการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระดับปกติระหว่างอิสราเอลกับซาอุดีอาระเบีย
    .
    "มันเป็นพื้นที่ทุบทำลายชัดๆ" ทรัมป์ เอ่ยถึงกาซาก่อนที่จะพบ เนทันยาฮู ไม่นานนัก
    .
    "ถ้าเราสามารถหาที่ดินสักผืนที่ใช่ หรืออาจจะหลายๆ ผืน และสร้างสถานที่ที่ดีและมีเม็ดเงินมหาศาลให้พวกเขา แน่นอน... ผมคิดว่ามันจะดีกว่าการกลับเข้าไปอยู่ในกาซา" ทรัมป์ กล่าว
    .
    "ผมไม่รู้จริงๆ ว่าทำไม (ชาวปาเลสไตน์) ถึงยังอยากอยู่ที่นั่น" ทรัมป์ให้คำตอบ หลังถูกถามถึงปฏิกิริยาของบรรดาผู้นำชาติอาหรับเกี่ยวกับข้อเสนอของเขา
    .
    ระหว่างพบ เนทันยาฮู ที่ห้องทำงานรูปไข่ ทรัมป์ ได้ย้ำข้อเสนอเดิม โดยคราวนี้บอกว่าชาวปาเลสไตน์ควรย้ายออกจากกาซาไปเลยแบบถาวร "ไปอยู่ในบ้านใหม่ที่ดี ที่ซึ่งพวกเขาจะสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ไม่ต้องถูกยิง ไม่ต้องถูกสังหาร"
    .
    "พวกเขาจะไม่อยากกลับไปอยู่กาซาอีก"
    .
    ทรัมป์ ไม่ได้ให้รายละเอียดว่ากระบวนการโยกย้ายชาวปาเลสไตน์จะกระทำอย่างไร แต่ข้อเสนอนี้เรียกได้ว่าเติมเต็มความปรารถนาของกลุ่มขวาจัดในอิสราเอล และขัดแย้งสิ้นเชิงกับจุดยืนของอดีตประธานาธิบดี โจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ ที่ให้คำมั่นว่าจะไม่มีการบังคับเคลื่อนย้ายชาวปาเลสไตน์จากกาซา
    .
    นักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชนบางคนออกมาวิจารณ์ข้อเสนอ ทรัมป์ ว่าไม่ต่างอะไรกับการล้างชาติพันธุ์ (ethnic cleansing) ซึ่งเข้าข่ายละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มที่จะเผชิญกระแสต่อต้านรุนแรงไม่เพียงแต่ในตะวันออกกลาง แต่รวมถึงจากบรรดาพันธมิตรตะวันตกของสหรัฐฯ เองด้วย
    .
    ซามี อบู ซูห์รี เจ้าหน้าที่ระดับสูงของฮามาส ออกมาประณามแผนของ ทรัมป์ ว่าเป็นการ "ขับไล่ชาวกาซาออกจากดินแดนของพวกเขาเอง"
    .
    "เรามองว่านี่คือสูตรสำเร็จที่จะสร้างความวุ่นวายและความตึงเครียดขึ้นในภูมิภาค เพราะชาวกาซาจะไม่มีวันยอมให้แผนการเช่นนี้เกิดขึ้น" เขากล่าว
    .
    การที่ ทรัมป์ เลือกให้ เนทันยาฮู เป็นผู้นำต่างชาติรายแรกที่ได้มาพบเขาที่ทำเนียบขาวหลังสาบานตนเป็นผู้นำสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 20 ม.ค. ถูกมองว่าเป็นความพยายามโชว์ความสัมพันธ์ที่แนบแน่นระหว่างตนกับผู้นำยิว ตามหลังช่วงเวลาอันระหองระแหงระหว่าง เนทันยาฮู กับ ไบเดน สืบเนื่องจากสงครามในกาซา
    .
    อย่างไรก็ตาม เนทันยาฮู ก็อาจจะเป็นฝ่ายถูก ทรัมป์ กดดันเข้าบ้างในอนาคต เนื่องจากเป้าหมายเชิงนโยบายตะวันออกกลางในภาพรวมของผู้นำอเมริกันที่คาดเดาได้ยากรายนี้บางครั้งก็ไม่ได้ตรงกับผลประโยชน์ภายในประเทศและผลประโยชน์ด้านภูมิรัฐศาสตร์สำหรับ เนทันยาฮู เสมอไป
    .
    ในช่วงที่ดำรงตำแหน่งสมัยแรก ทรัมป์ เคยหยิบยื่นชัยชนะให้แก่ เนทันยาฮู หลายครั้ง ตั้งแต่การย้ายสถานทูตอเมริกันจากกรุงเทลอาวีฟไปยังนครเยรูซาเลม เรื่อยไปจนถึงการทำข้อตกลงอบราฮัมที่ช่วยให้รัฐอาหรับหลายชาติยอมสถาปนาความสัมพันธ์การทูตกับอิสราเอล
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000011557
    ..............
    Sondhi X
    ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ สร้างความตกตะลึงอีกครั้งด้วยการประกาศว่าต้องการ “เทกโอเวอร์” ดินแดนกาซาเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ หลังจากส่งชาวปาเลสไตน์ “ออกไปอยู่อื่น” ในความเคลื่อนไหวซึ่งจะถือเป็นการทำลายจุดยืนที่สหรัฐฯ มีต่อปัญหายิว-ปาเลสไตน์มานานหลายสิบปี . ทรัมป์ แถลงแผนการสุดเซอร์ไพรส์นี้ระหว่างเปิดแถลงข่าวที่ทำเนียบขาวร่วมกับนายกรัฐมนตรี เบนจามิน เนทันยาฮู แห่งอิสราเอล โดยยังไม่ได้ให้รายละเอียดว่าจะดำเนินการอย่างไร . ก่อนหน้านั้นไม่นาน ทรัมป์ ได้เสนอให้ย้ายชาวปาเลสไตน์ออกจากกาซาไปตั้งถิ่นฐานใหม่แบบถาวรในประเทศข้างเคียง โดยระบุว่าดินแดนกาซาในปัจจุบันมีสภาพไม่ต่างจากพื้นที่ทุบทำลาย (demolition site) . “สหรัฐฯ จะเทกโอเวอร์ฉนวนกาซา และเราจะทำอะไรบางอย่างกับมันด้วย” ทรัมป์ บอกกับผู้สื่อข่าว “เราจะเป็นเจ้าของมัน และจะรับผิดชอบเรื่องการทำลายระเบิดที่ยังไม่ทำงาน และอาวุธต่างๆ ที่อยู่ในนั้น” . “หากมีความจำเป็น เราก็จะทำ เราจะเทกโอเวอร์ดินแดนตรงนั้น เราจะเข้าไปพัฒนามัน สร้างงานหลายพันหลายหมื่นตำแหน่ง และมันจะเป็นสิ่งที่ตะวันออกกลางทั้งภูมิภาคและทั่วโลกต้องภูมิใจ” ทรัมป์ กล่าว . เมื่อถามว่าแล้วใครจะเข้าไปอาศัยอยู่ในดินแดนตรงนั้น ทรัมป์ ตอบแบบกว้างๆ ว่ามันจะเป็น “บ้านสำหรับชาวโลก” . ด้าน เนทันยาฮู ก็กล่าวรับลูกทันควันว่า ทรัมป์ เป็นคนที่ “กล้าคิดนอกกรอบด้วยไอเดียใหม่ๆ” และ “แสดงความตั้งใจจริงที่จะแทงทะลุกรอบความคิดเดิมๆ” . อย่างไรก็ดี ทรัมป์ ไม่ได้ชี้แจงข้อซักถามของสื่อมวลชนที่ว่า สหรัฐฯ จะเอาอำนาจอะไรไปเทกโอเวอร์ดินแดนกาซา และยึดครองมันในระยะยาว . ทรัมป์ ยังย้ำข้อเรียกร้องให้จอร์แดน อียิปต์ และรัฐอาหรับอื่นๆ รับชาวกาซาไปอยู่อาศัย โดยชี้ว่าชาวปาเลสไตน์ "ไม่มีทางเลือกอื่น" นอกจากละทิ้งดินแดนผืนแคบๆ ที่อยู่ติดชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนแห่งนี้ไปเสีย เนื่องจากกาซาจำเป็นต้องได้รับการบูรณะฟื้นฟูขนานใหญ่หลังเสียหายย่อยยับจากสงครามระหว่างอิสราเอลกับฮามาสในช่วง 16 เดือนที่ผ่านมา . อย่างไรก็ดี ครั้งนี้ ทรัมป์ ประกาศชัดว่าเขาสนับสนุนการย้ายชาวกาซาแบบ "ถาวร" ซึ่งเป็นเรื่องหนักหน่วงเสียยิ่งกว่าข้อเสนอเดิมซึ่งบรรดารัฐอาหรับก็ไม่เอาด้วยอยู่แล้ว . เพียง 2 สัปดาห์หลังเข้ารับตำแหน่งเทอมสอง ทรัมป์ ได้เปิดทำเนียบขาวต้อนรับผู้นำยิวเพื่อหารือข้อตกลงหยุดยิงที่เปราะบางในกาซา ยุทธศาสตร์ต่อต้านอิหร่าน รวมไปถึงความหวังที่จะรื้อฟื้นแผนผลักดันการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระดับปกติระหว่างอิสราเอลกับซาอุดีอาระเบีย . "มันเป็นพื้นที่ทุบทำลายชัดๆ" ทรัมป์ เอ่ยถึงกาซาก่อนที่จะพบ เนทันยาฮู ไม่นานนัก . "ถ้าเราสามารถหาที่ดินสักผืนที่ใช่ หรืออาจจะหลายๆ ผืน และสร้างสถานที่ที่ดีและมีเม็ดเงินมหาศาลให้พวกเขา แน่นอน... ผมคิดว่ามันจะดีกว่าการกลับเข้าไปอยู่ในกาซา" ทรัมป์ กล่าว . "ผมไม่รู้จริงๆ ว่าทำไม (ชาวปาเลสไตน์) ถึงยังอยากอยู่ที่นั่น" ทรัมป์ให้คำตอบ หลังถูกถามถึงปฏิกิริยาของบรรดาผู้นำชาติอาหรับเกี่ยวกับข้อเสนอของเขา . ระหว่างพบ เนทันยาฮู ที่ห้องทำงานรูปไข่ ทรัมป์ ได้ย้ำข้อเสนอเดิม โดยคราวนี้บอกว่าชาวปาเลสไตน์ควรย้ายออกจากกาซาไปเลยแบบถาวร "ไปอยู่ในบ้านใหม่ที่ดี ที่ซึ่งพวกเขาจะสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ไม่ต้องถูกยิง ไม่ต้องถูกสังหาร" . "พวกเขาจะไม่อยากกลับไปอยู่กาซาอีก" . ทรัมป์ ไม่ได้ให้รายละเอียดว่ากระบวนการโยกย้ายชาวปาเลสไตน์จะกระทำอย่างไร แต่ข้อเสนอนี้เรียกได้ว่าเติมเต็มความปรารถนาของกลุ่มขวาจัดในอิสราเอล และขัดแย้งสิ้นเชิงกับจุดยืนของอดีตประธานาธิบดี โจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ ที่ให้คำมั่นว่าจะไม่มีการบังคับเคลื่อนย้ายชาวปาเลสไตน์จากกาซา . นักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชนบางคนออกมาวิจารณ์ข้อเสนอ ทรัมป์ ว่าไม่ต่างอะไรกับการล้างชาติพันธุ์ (ethnic cleansing) ซึ่งเข้าข่ายละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มที่จะเผชิญกระแสต่อต้านรุนแรงไม่เพียงแต่ในตะวันออกกลาง แต่รวมถึงจากบรรดาพันธมิตรตะวันตกของสหรัฐฯ เองด้วย . ซามี อบู ซูห์รี เจ้าหน้าที่ระดับสูงของฮามาส ออกมาประณามแผนของ ทรัมป์ ว่าเป็นการ "ขับไล่ชาวกาซาออกจากดินแดนของพวกเขาเอง" . "เรามองว่านี่คือสูตรสำเร็จที่จะสร้างความวุ่นวายและความตึงเครียดขึ้นในภูมิภาค เพราะชาวกาซาจะไม่มีวันยอมให้แผนการเช่นนี้เกิดขึ้น" เขากล่าว . การที่ ทรัมป์ เลือกให้ เนทันยาฮู เป็นผู้นำต่างชาติรายแรกที่ได้มาพบเขาที่ทำเนียบขาวหลังสาบานตนเป็นผู้นำสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 20 ม.ค. ถูกมองว่าเป็นความพยายามโชว์ความสัมพันธ์ที่แนบแน่นระหว่างตนกับผู้นำยิว ตามหลังช่วงเวลาอันระหองระแหงระหว่าง เนทันยาฮู กับ ไบเดน สืบเนื่องจากสงครามในกาซา . อย่างไรก็ตาม เนทันยาฮู ก็อาจจะเป็นฝ่ายถูก ทรัมป์ กดดันเข้าบ้างในอนาคต เนื่องจากเป้าหมายเชิงนโยบายตะวันออกกลางในภาพรวมของผู้นำอเมริกันที่คาดเดาได้ยากรายนี้บางครั้งก็ไม่ได้ตรงกับผลประโยชน์ภายในประเทศและผลประโยชน์ด้านภูมิรัฐศาสตร์สำหรับ เนทันยาฮู เสมอไป . ในช่วงที่ดำรงตำแหน่งสมัยแรก ทรัมป์ เคยหยิบยื่นชัยชนะให้แก่ เนทันยาฮู หลายครั้ง ตั้งแต่การย้ายสถานทูตอเมริกันจากกรุงเทลอาวีฟไปยังนครเยรูซาเลม เรื่อยไปจนถึงการทำข้อตกลงอบราฮัมที่ช่วยให้รัฐอาหรับหลายชาติยอมสถาปนาความสัมพันธ์การทูตกับอิสราเอล . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000011557 .............. Sondhi X
    Like
    Angry
    Sad
    12
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2130 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts