• ไทยจะโดนใบแดงกำแพงภาษีทรัมป์มากน้อยเพียงใด? : คนเคาะข่าว 01-04-68
    : ทนง ขันทอง ผู้เชี่ยวชาญข่าวต่างประเทศ
    ดำเนินรายการโดย นงวดี ถนิมมาลย์

    #คนเคาะข่าว #ภาษีทรัมป์ #ไทยส่งออก #เศรษฐกิจโลก #กำแพงภาษี #การค้าระหว่างประเทศ #News1 #Thaitimes
    ไทยจะโดนใบแดงกำแพงภาษีทรัมป์มากน้อยเพียงใด? : คนเคาะข่าว 01-04-68 : ทนง ขันทอง ผู้เชี่ยวชาญข่าวต่างประเทศ ดำเนินรายการโดย นงวดี ถนิมมาลย์ #คนเคาะข่าว #ภาษีทรัมป์ #ไทยส่งออก #เศรษฐกิจโลก #กำแพงภาษี #การค้าระหว่างประเทศ #News1 #Thaitimes
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 136 Views 17 0 Reviews
  • สหรัฐฯ พร้อมเข้าสู่สงครามกับจีนถ้าจำเป็น จากคำประกาศกร้าวของกระทรวงกลาโหมอเมริกา (เพนตากอน) ความเห็นซึ่งมีขึ้นตามหลังปักกิ่งบอกว่าพร้อมต่อสู้ในทุกรูปแบบของสงคราม ท่ามกลางความเคลื่อนไหวรีดภาษีตอบโต้กันไปมา ที่กำลังลุกลามกลายเป็นสงครามการค้าระหว่าง 2 ชาติเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก
    .
    พีท เฮกเซธ รัฐมนตรีกลาโหมของสหรัฐฯ แสดงจุดยืนของอเมริกาอย่างชัดเจน ระหว่างให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ฟ็อกซ์นิวส์ ในวันพุธ (5 มี.ค.) ตอบโต้สถานทูตจีนประจำอเมริกา ที่บอกว่าปักกิ่งพร้อมต่อสู้ "ในทุกรูปแบบของสงคราม"
    .
    "เราก็พร้อม" เฮกเซธบอก พร้อมระบุ "ใครที่มีสันติภาพมาช้านาน ต้องเตรียมพร้อมสำหรับสงคราม" ทั้งนี้เขาเน้นย้ำว่านี่คือเหตุผลว่าทำไมสหรัฐฯ ถึงเดินหน้าเสริมความเข้มแข็งด้านการทหาร
    .
    เขากล่าวว่า "เราอยู่ในโลกที่อันตราย เต็มไปด้วยบรรดาประเทศที่มีพลังอำนาจและอิทธิพล ที่มีอุดมการณ์แตกต่างกันอย่างมาก" เฮกเซธระบุ "พวกเขาเพิ่มการใช้จ่ายด้านกลาโหมอย่างรวดเร็ว ปรับปรุงเทคโนโลยีให้มีความทันสมัย พวกเขาต้องการแทนที่สหรัฐฯ"
    .
    อย่างไรก็ตาม เฮกเซธ เน้นว่าการคงไว้ซึ่งความเข้มแข็งทางทหาร คือกุญแจหลักสำหรับหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง "ถ้าเราต้องการปรามสงครามกับจีนหรือชาติอื่นๆ เราจำเป็นต้องเข้มแข็ง"
    .
    รัฐมนตรีกลาโหมรายนี้ระบุด้วยว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีความสำคัญที่ยอดเยี่้ยมกับ สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน และกำลังเสาะแสวงหาความร่วมมือกับความเป็นหุ้นส่วนในสิ่งที่เป็นไปได้ อย่างไรก็ตาม เฮกเซธ เน้นว่าบทบาทของเขาในฐานะรัฐมนตรีกลาโหม จำเป็นต้องรับประกันความพร้อมสำหรับความเป็นไปได้ของการเผชิญหน้าใดๆ
    .
    ความเห็นของเขามีขึ้นหลังจากเมื่อช่วงเย็นวันอังคาร (4 มี.ค.) จีนบอกว่าพวกเขาจะตอบโต้ หากว่าสหรัฐฯ เดินหน้าสงครามการค้าหรือสงครามรีดภาษี ตามหลัง ทรัมป์ ตัดสินใจขึ้นภาษีเท่าตัวสินค้านำเข้าจากจีน จาก 10% เป็น 20% มาตรการนี้มีขึ้นหลังจากรัฐบาลชุดก่อนของทรัมป์ เคยรีดภาษีสินค้านำเข้าจากจีน ย้อนกลับไปในปี 2018 และ 2019 คิดเป็นมูลค่ากว่า 370,000 ล้านดอลลาร์
    .
    "ถ้าสงครามคือสิ่งที่สหรัฐฯ ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นสงครามรีดภาษี สงครามการค้า หรือสงครามรูปแบบอื่นๆ รูปแบบใดก็ตาม เราพร้อมสู้จนถึงจุดจบ" หลิน เจียน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนระบุในถ้อยแถลง
    .
    ในการตอบโต้อย่างทันควันต่อมาตรการของทรัมป์ ทางปักกิ่งได้แถลงขึ้นภาษีอีก 10% ถึง 15% ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรและอาหารต่างๆ ที่นำเข้าจากสหรัฐฯ นอกจากนี้ พวกเขายังกำหนดข้อจำกัดด้านการส่งออกและการลงทุนกับบริษัทต่างๆ ของอเมริกา 25 แห่ง อ้างถึงความกังวลด้านความมั่นคง
    .
    ปักกิ่งยังได้ยื่นฟ้องต่อองค์การการค้าโลก (WTO) กล่าวอ้างว่ามาตรการรรีดภาษีของสหรัฐฯ ละเมิดกฎระเบียบการค้าระหว่างประเทศ และเรียกร้องให้วอชิงตันคลี่คลายข้อพิพาทนี้ผ่านการเจรจา
    .
    ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนเคยปะทุขึ้นในปี 2018 ครั้งที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก โดยเขากำหนดมาตรการรีดภาษีสินค้านำเข้าจากจีน อ้างถึงการปฏิบัติทางการค้าที่ไม่ยุติธรรมและการขโมยทรัพย์สินทางปัญญา ความเคลื่อนไหวกระตุ้นการตอบโต้กันไปมา จนลุกลามบานปลายกระทบต่อตลาดโลกและห่วงโซ่อุปทานโลก
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000021626
    ..............
    Sondhi X
    สหรัฐฯ พร้อมเข้าสู่สงครามกับจีนถ้าจำเป็น จากคำประกาศกร้าวของกระทรวงกลาโหมอเมริกา (เพนตากอน) ความเห็นซึ่งมีขึ้นตามหลังปักกิ่งบอกว่าพร้อมต่อสู้ในทุกรูปแบบของสงคราม ท่ามกลางความเคลื่อนไหวรีดภาษีตอบโต้กันไปมา ที่กำลังลุกลามกลายเป็นสงครามการค้าระหว่าง 2 ชาติเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก . พีท เฮกเซธ รัฐมนตรีกลาโหมของสหรัฐฯ แสดงจุดยืนของอเมริกาอย่างชัดเจน ระหว่างให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ฟ็อกซ์นิวส์ ในวันพุธ (5 มี.ค.) ตอบโต้สถานทูตจีนประจำอเมริกา ที่บอกว่าปักกิ่งพร้อมต่อสู้ "ในทุกรูปแบบของสงคราม" . "เราก็พร้อม" เฮกเซธบอก พร้อมระบุ "ใครที่มีสันติภาพมาช้านาน ต้องเตรียมพร้อมสำหรับสงคราม" ทั้งนี้เขาเน้นย้ำว่านี่คือเหตุผลว่าทำไมสหรัฐฯ ถึงเดินหน้าเสริมความเข้มแข็งด้านการทหาร . เขากล่าวว่า "เราอยู่ในโลกที่อันตราย เต็มไปด้วยบรรดาประเทศที่มีพลังอำนาจและอิทธิพล ที่มีอุดมการณ์แตกต่างกันอย่างมาก" เฮกเซธระบุ "พวกเขาเพิ่มการใช้จ่ายด้านกลาโหมอย่างรวดเร็ว ปรับปรุงเทคโนโลยีให้มีความทันสมัย พวกเขาต้องการแทนที่สหรัฐฯ" . อย่างไรก็ตาม เฮกเซธ เน้นว่าการคงไว้ซึ่งความเข้มแข็งทางทหาร คือกุญแจหลักสำหรับหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง "ถ้าเราต้องการปรามสงครามกับจีนหรือชาติอื่นๆ เราจำเป็นต้องเข้มแข็ง" . รัฐมนตรีกลาโหมรายนี้ระบุด้วยว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีความสำคัญที่ยอดเยี่้ยมกับ สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน และกำลังเสาะแสวงหาความร่วมมือกับความเป็นหุ้นส่วนในสิ่งที่เป็นไปได้ อย่างไรก็ตาม เฮกเซธ เน้นว่าบทบาทของเขาในฐานะรัฐมนตรีกลาโหม จำเป็นต้องรับประกันความพร้อมสำหรับความเป็นไปได้ของการเผชิญหน้าใดๆ . ความเห็นของเขามีขึ้นหลังจากเมื่อช่วงเย็นวันอังคาร (4 มี.ค.) จีนบอกว่าพวกเขาจะตอบโต้ หากว่าสหรัฐฯ เดินหน้าสงครามการค้าหรือสงครามรีดภาษี ตามหลัง ทรัมป์ ตัดสินใจขึ้นภาษีเท่าตัวสินค้านำเข้าจากจีน จาก 10% เป็น 20% มาตรการนี้มีขึ้นหลังจากรัฐบาลชุดก่อนของทรัมป์ เคยรีดภาษีสินค้านำเข้าจากจีน ย้อนกลับไปในปี 2018 และ 2019 คิดเป็นมูลค่ากว่า 370,000 ล้านดอลลาร์ . "ถ้าสงครามคือสิ่งที่สหรัฐฯ ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นสงครามรีดภาษี สงครามการค้า หรือสงครามรูปแบบอื่นๆ รูปแบบใดก็ตาม เราพร้อมสู้จนถึงจุดจบ" หลิน เจียน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนระบุในถ้อยแถลง . ในการตอบโต้อย่างทันควันต่อมาตรการของทรัมป์ ทางปักกิ่งได้แถลงขึ้นภาษีอีก 10% ถึง 15% ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรและอาหารต่างๆ ที่นำเข้าจากสหรัฐฯ นอกจากนี้ พวกเขายังกำหนดข้อจำกัดด้านการส่งออกและการลงทุนกับบริษัทต่างๆ ของอเมริกา 25 แห่ง อ้างถึงความกังวลด้านความมั่นคง . ปักกิ่งยังได้ยื่นฟ้องต่อองค์การการค้าโลก (WTO) กล่าวอ้างว่ามาตรการรรีดภาษีของสหรัฐฯ ละเมิดกฎระเบียบการค้าระหว่างประเทศ และเรียกร้องให้วอชิงตันคลี่คลายข้อพิพาทนี้ผ่านการเจรจา . ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนเคยปะทุขึ้นในปี 2018 ครั้งที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก โดยเขากำหนดมาตรการรีดภาษีสินค้านำเข้าจากจีน อ้างถึงการปฏิบัติทางการค้าที่ไม่ยุติธรรมและการขโมยทรัพย์สินทางปัญญา ความเคลื่อนไหวกระตุ้นการตอบโต้กันไปมา จนลุกลามบานปลายกระทบต่อตลาดโลกและห่วงโซ่อุปทานโลก . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000021626 .............. Sondhi X
    Like
    Love
    Haha
    Wow
    26
    0 Comments 1 Shares 2397 Views 1 Reviews
  • ปมร้อน ข่าวลึก : ปลุก “พลังเงียบ” เลือก ก.อ.หักโพย “ขาใหญ่อัยการ” คุมกำเนิด “ทายาทอสูร”
    .
    งวดเข้ามาทุกขณะ อีเวนท์ใหญ่ปีนี้ของ สำนักงานอัยการสูงสุด ที่จะมีการเลือกตั้ง ประธาน และคณะกรรมการอัยการ หรือ “ก.อ.” ชุดใหม่ โดยเริ่มจากการเลือกตั้ง “ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒิ” ที่กำลังจะหมดวาระดำรงตำแหน่ง 2 ปีตามกฎหมายกำหนด
    .
    โดยในส่วนของการเลือกตั้ง “ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒิ” นั้นได้เริ่มดำเนินการเปิดรับสมัคร และทาบทามมาแล้วตั้งแต่เดือนมกราคม 2568 กระทั่งได้ผู้สมัครรวม 26 ราย ที่จะช่วงชิง 8 เก้าอี้ ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒิ ร่วมกับประธาน ก.อ. 1 คน ที่กำหนดว่า ปัจจุบันไม่ใช่ข้าราชการอัยการและมีคุณสมบัติตามกฎหมายมาจากการเลือกตั้งของพนักงานอัยการทั่วประเทศ และอัยการสูงสุดเป็นรองประธาน ก.อ.โดยตำแหน่ง ทั้งให้รวมรองอัยการสูงสุดตั้งแต่อาวุโสอันดับ 1-5 เป็น ก.อ.โดยตำแหน่งเช่นเดียวกัน รวมเป็น 15 คน ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการฉบับปัจจุบัน
    .
    สำหรับการลงคะแนนเลือกตั้ง 8 ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒินั้น จะเป็นการเลือกของอัยการทั่วประเทศ แบ่งเป็นกลุ่มอัยการชั้น 5 ขึ้นไป จำนวน 4 คนที่ได้คะแนนสูงสุด ซึ่งครั้งนี้มีผู้สมัคร 13 คน, กลุ่มอัยการที่เกษียณอายุราชการ จำนวน 2 คน ที่ได้คะแนนสูงสุดจากผู้สมัคร 9 คน และกลุ่มผู้ที่ไม่เป็นหรือเคยเป็นอัยการมาก่อน และเป็นผู้ทรงคุณวุฒิด้านการงบประมาณ การพัฒนาองค์กร หรือการบริหารจัดการ จำนวน 2 คนที่ได้คะแนนสูงสุดจากผู้สมัคร 4 คน
    .
    โดยขณะนี้มีการทยอยลงคะแนน ก่อนจะมีการปิดผนึกลงคะแนนกันเพื่อส่งเข้าส่วนกลางในวันจันทร์ที่ 10 มีนาคม 2568 และกำหนดนับคะแนนในวันรุ่งขึ้น อังคารที่ 12 มีนาคม 2568
    .
    สำหรับ 8 ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒิที่เปิดให้อัยการทั่วประเทศมีส่วนร่วมในการลงคะแนนถือเป็นจุดชี้ขาดความเป็นไปขององค์การอัยการ ด้วยที่ผ่านมาหลังใช้ระบบนี้ ก็มักถูก “ขาใหญ่อัยการ” ทั้งอดีต-ปัจจุบัน วางเส้นสายไลน์อำนาจผ่านการเลือกตั้ง ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อสืบทอดอำนาจ สร้างอิทธิพลของตัวเองและพวกพ้อง ส่งคนของตัวเองเข้ามาเสนอตัวเป็นแคนดิเดต
    .
    ตลอดจนมีปฏิบัติการล็อบบี้ในทางลับให้อัยการผู้น้อยทั่วประเทศลงคะแนนให้ลงคะแนนเลือกผู้สมัครตาม “โพย” โดยไม่ได้คำนึงถึงความรู้ความสามารถ หรือคุณงามความดีใดๆ เพียงแค่ต้องตรงสเปก “กดปุ่ม” สั่งการได้เท่านั้น
    .
    โดยทำกันในรูปแบบขบวนการที่หวังเข้าฮุบอำนาจของที่ประชุม ก.อ. ซึ่งมี “พระเดช-พระคุณ” กับข้าราชการอัยการทุกระดับ ทั้งการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ, การพิจารณาดำเนินการทางวินัย และการสั่งลงโทษทางวินัยข้าราชการอัยการที่กระทำผิดระเบียบ รวมทั้งการพิจารณาออกระเบียบบริหารงานบุคคลอัตรากำลังข้าราชการฝ่ายอัยการ
    .
    โดยเฉพาะอำนาจในการพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายตำแหน่งข้าราชการอัยการ ที่รวมไปถึงตำแหน่ง “อัยการสูงสุด” ที่ต้องผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุม ก.อ. ก่อนส่งให้ วุฒิสภา ให้ความเห็นชอบอีกครั้ง และนำความขึ้นกราบบังคมทูล เพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งในลำดับถัดไปด้วย
    .
    ครั้งนี้ก็เช่นกันในจำนวนอัยการชั้น 5 ขึ้นไปที่สมัครเข้ามา 13 รายนั้น คนในวงการก็มองออกว่า ใครเป็นใคร ใครเด็กใคร และใครเป็นตัวเต็งที่ “ขาใหญ่” ส่งเข้าประกวด
    .
    ตรงนี้เองที่ต้องถามใจอัยการทั่วประเทศที่เป็น “โหวตเตอร์” ว่ายังจะยอมตกเป็นเครื่องมือปั้น “ทายาทอสูร” เหมือนที่ผ่านๆมาอีกหรือไม่ เพราะต้องไม่ลืมว่า การปล่อยให้มีการสืบทอดอำนาจผ่านที่ประชุม ก.อ.เช่นนี้ นับวันจะทำให้ ”อัยการ“ ถลำเข้าสู่ “วงจรอุบาทว์” จนมีส่วนสำคัญในการฉุดภาพลักษณ์องค์กรทนายแผ่นดินให้ตกต่ำอย่างเช่นในปัจจุบัน
    .
    การเลือก ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒิ ครั้งนี้จึงเป็นโอกาสดีที่อัยการผู้รักในองค์กรจะร่วมกันปลุก “พลังเงียบ” ยกระดับมาตรฐานการเลือกบุคคล ขึ้นมางัดง้างกับ “ขาใหญ่” ตัดตอนคุมกำเนิด “ทายาทอสูร” ผ่านการลงคะแนนเลือก ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒิ โดยคำนึงถึงความรู้ความสามารถ วิสัยทัศน์ ผลงาน หรือคุณธรรมความดี ของแคนดิเดตเป็นสำคัญ
    .
    โดยขณะนี้ในหมู่พลังเงียบก็มีการกล่าวขวัญถึงแคนดิเดต ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒิ ที่ดูจะมีความเหมาะสม และเป็นความหวังในการเข้าไปต่อกรโค่นล้มวงจร “ขั้วอำนาจเก่า”
    .
    โดยในกลุ่มที่เป็นข้าราชการอัยการตั้งแต่ชั้น 5 ขึ้นไป 4 คน คือ ชัยนันท์ งามขจรกุลกิจ อธิบดีอัยการสำนักงานคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ, ณรงค์ ศรีระสันต์ รองอธิบดีอัยการภาค 9, ต่อศักดิ์ บูรณะเรืองโรจน์ รองอธิบดีอัยการสำนักงานคณะกรรมการอัยการ และ น้ำแท้ มีบุญสล้าง เลขานุการรองอัยการสูงสุด
    .
    รวมกับ 2 แคนดิเดตจากกลุ่มอัยการที่เกษียณอายุราชการ ได้แก่ ชนิญญา ชัยสุวรรณ อดีตอธิบดีอัยการคดียาเสพติด และ อภิชาต อาสภวิริยะ อดีตอธิบดีอัยการคดีศาลสูง
    .
    และอีก 2 แคนดิเดตจากกลุ่มผู้ที่ไม่เป็นหรือเคยเป็นอัยการมาก่อน และเป็นผู้ทรงคุณวุฒิด้านการงบประมาณ การพัฒนาองค์กร หรือการบริหารจัดการ คือ พ.ต.อ.วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร เลขาธิการสถาบันเพื่อการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม และ รศ.ดร.เจษฏ์ โทณะวณิก ประธานคณะนิติศาสตร์วิทยาลัยบัณฑิตเอเชีย
    .
    ซึ่งหาก “พลังเงียบ” สามัคคียึดโยงผลประโยชน์องค์กรกันอย่างเข้มแข็ง ก็น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของการกอบกู้ศรัทธาองค์กรอัยการให้กลับมาเป็นที่ยอมรับน่าเชื่อถือได้อีกครั้ง.
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://news1live.com/detail/9680000021277
    .
    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes

    ปมร้อน ข่าวลึก : ปลุก “พลังเงียบ” เลือก ก.อ.หักโพย “ขาใหญ่อัยการ” คุมกำเนิด “ทายาทอสูร” . งวดเข้ามาทุกขณะ อีเวนท์ใหญ่ปีนี้ของ สำนักงานอัยการสูงสุด ที่จะมีการเลือกตั้ง ประธาน และคณะกรรมการอัยการ หรือ “ก.อ.” ชุดใหม่ โดยเริ่มจากการเลือกตั้ง “ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒิ” ที่กำลังจะหมดวาระดำรงตำแหน่ง 2 ปีตามกฎหมายกำหนด . โดยในส่วนของการเลือกตั้ง “ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒิ” นั้นได้เริ่มดำเนินการเปิดรับสมัคร และทาบทามมาแล้วตั้งแต่เดือนมกราคม 2568 กระทั่งได้ผู้สมัครรวม 26 ราย ที่จะช่วงชิง 8 เก้าอี้ ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒิ ร่วมกับประธาน ก.อ. 1 คน ที่กำหนดว่า ปัจจุบันไม่ใช่ข้าราชการอัยการและมีคุณสมบัติตามกฎหมายมาจากการเลือกตั้งของพนักงานอัยการทั่วประเทศ และอัยการสูงสุดเป็นรองประธาน ก.อ.โดยตำแหน่ง ทั้งให้รวมรองอัยการสูงสุดตั้งแต่อาวุโสอันดับ 1-5 เป็น ก.อ.โดยตำแหน่งเช่นเดียวกัน รวมเป็น 15 คน ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการฉบับปัจจุบัน . สำหรับการลงคะแนนเลือกตั้ง 8 ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒินั้น จะเป็นการเลือกของอัยการทั่วประเทศ แบ่งเป็นกลุ่มอัยการชั้น 5 ขึ้นไป จำนวน 4 คนที่ได้คะแนนสูงสุด ซึ่งครั้งนี้มีผู้สมัคร 13 คน, กลุ่มอัยการที่เกษียณอายุราชการ จำนวน 2 คน ที่ได้คะแนนสูงสุดจากผู้สมัคร 9 คน และกลุ่มผู้ที่ไม่เป็นหรือเคยเป็นอัยการมาก่อน และเป็นผู้ทรงคุณวุฒิด้านการงบประมาณ การพัฒนาองค์กร หรือการบริหารจัดการ จำนวน 2 คนที่ได้คะแนนสูงสุดจากผู้สมัคร 4 คน . โดยขณะนี้มีการทยอยลงคะแนน ก่อนจะมีการปิดผนึกลงคะแนนกันเพื่อส่งเข้าส่วนกลางในวันจันทร์ที่ 10 มีนาคม 2568 และกำหนดนับคะแนนในวันรุ่งขึ้น อังคารที่ 12 มีนาคม 2568 . สำหรับ 8 ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒิที่เปิดให้อัยการทั่วประเทศมีส่วนร่วมในการลงคะแนนถือเป็นจุดชี้ขาดความเป็นไปขององค์การอัยการ ด้วยที่ผ่านมาหลังใช้ระบบนี้ ก็มักถูก “ขาใหญ่อัยการ” ทั้งอดีต-ปัจจุบัน วางเส้นสายไลน์อำนาจผ่านการเลือกตั้ง ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อสืบทอดอำนาจ สร้างอิทธิพลของตัวเองและพวกพ้อง ส่งคนของตัวเองเข้ามาเสนอตัวเป็นแคนดิเดต . ตลอดจนมีปฏิบัติการล็อบบี้ในทางลับให้อัยการผู้น้อยทั่วประเทศลงคะแนนให้ลงคะแนนเลือกผู้สมัครตาม “โพย” โดยไม่ได้คำนึงถึงความรู้ความสามารถ หรือคุณงามความดีใดๆ เพียงแค่ต้องตรงสเปก “กดปุ่ม” สั่งการได้เท่านั้น . โดยทำกันในรูปแบบขบวนการที่หวังเข้าฮุบอำนาจของที่ประชุม ก.อ. ซึ่งมี “พระเดช-พระคุณ” กับข้าราชการอัยการทุกระดับ ทั้งการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ, การพิจารณาดำเนินการทางวินัย และการสั่งลงโทษทางวินัยข้าราชการอัยการที่กระทำผิดระเบียบ รวมทั้งการพิจารณาออกระเบียบบริหารงานบุคคลอัตรากำลังข้าราชการฝ่ายอัยการ . โดยเฉพาะอำนาจในการพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายตำแหน่งข้าราชการอัยการ ที่รวมไปถึงตำแหน่ง “อัยการสูงสุด” ที่ต้องผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุม ก.อ. ก่อนส่งให้ วุฒิสภา ให้ความเห็นชอบอีกครั้ง และนำความขึ้นกราบบังคมทูล เพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งในลำดับถัดไปด้วย . ครั้งนี้ก็เช่นกันในจำนวนอัยการชั้น 5 ขึ้นไปที่สมัครเข้ามา 13 รายนั้น คนในวงการก็มองออกว่า ใครเป็นใคร ใครเด็กใคร และใครเป็นตัวเต็งที่ “ขาใหญ่” ส่งเข้าประกวด . ตรงนี้เองที่ต้องถามใจอัยการทั่วประเทศที่เป็น “โหวตเตอร์” ว่ายังจะยอมตกเป็นเครื่องมือปั้น “ทายาทอสูร” เหมือนที่ผ่านๆมาอีกหรือไม่ เพราะต้องไม่ลืมว่า การปล่อยให้มีการสืบทอดอำนาจผ่านที่ประชุม ก.อ.เช่นนี้ นับวันจะทำให้ ”อัยการ“ ถลำเข้าสู่ “วงจรอุบาทว์” จนมีส่วนสำคัญในการฉุดภาพลักษณ์องค์กรทนายแผ่นดินให้ตกต่ำอย่างเช่นในปัจจุบัน . การเลือก ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒิ ครั้งนี้จึงเป็นโอกาสดีที่อัยการผู้รักในองค์กรจะร่วมกันปลุก “พลังเงียบ” ยกระดับมาตรฐานการเลือกบุคคล ขึ้นมางัดง้างกับ “ขาใหญ่” ตัดตอนคุมกำเนิด “ทายาทอสูร” ผ่านการลงคะแนนเลือก ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒิ โดยคำนึงถึงความรู้ความสามารถ วิสัยทัศน์ ผลงาน หรือคุณธรรมความดี ของแคนดิเดตเป็นสำคัญ . โดยขณะนี้ในหมู่พลังเงียบก็มีการกล่าวขวัญถึงแคนดิเดต ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒิ ที่ดูจะมีความเหมาะสม และเป็นความหวังในการเข้าไปต่อกรโค่นล้มวงจร “ขั้วอำนาจเก่า” . โดยในกลุ่มที่เป็นข้าราชการอัยการตั้งแต่ชั้น 5 ขึ้นไป 4 คน คือ ชัยนันท์ งามขจรกุลกิจ อธิบดีอัยการสำนักงานคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ, ณรงค์ ศรีระสันต์ รองอธิบดีอัยการภาค 9, ต่อศักดิ์ บูรณะเรืองโรจน์ รองอธิบดีอัยการสำนักงานคณะกรรมการอัยการ และ น้ำแท้ มีบุญสล้าง เลขานุการรองอัยการสูงสุด . รวมกับ 2 แคนดิเดตจากกลุ่มอัยการที่เกษียณอายุราชการ ได้แก่ ชนิญญา ชัยสุวรรณ อดีตอธิบดีอัยการคดียาเสพติด และ อภิชาต อาสภวิริยะ อดีตอธิบดีอัยการคดีศาลสูง . และอีก 2 แคนดิเดตจากกลุ่มผู้ที่ไม่เป็นหรือเคยเป็นอัยการมาก่อน และเป็นผู้ทรงคุณวุฒิด้านการงบประมาณ การพัฒนาองค์กร หรือการบริหารจัดการ คือ พ.ต.อ.วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร เลขาธิการสถาบันเพื่อการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม และ รศ.ดร.เจษฏ์ โทณะวณิก ประธานคณะนิติศาสตร์วิทยาลัยบัณฑิตเอเชีย . ซึ่งหาก “พลังเงียบ” สามัคคียึดโยงผลประโยชน์องค์กรกันอย่างเข้มแข็ง ก็น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของการกอบกู้ศรัทธาองค์กรอัยการให้กลับมาเป็นที่ยอมรับน่าเชื่อถือได้อีกครั้ง. . อ่านเพิ่มเติม..https://news1live.com/detail/9680000021277 . #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    3
    0 Comments 0 Shares 994 Views 0 Reviews
  • ”สุทิน" ชง “รัฐบาล” ทวงหนี้ ”แทนซาเนีย“ ค้างค่าข้าว 2.7 ล้านล้านบาท
    .
    กลับมาสวมบทเสาหลักฝ่ายนิติบัญญัติตามถนัด สุทิน คลังแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ที่วันนี้ประสบการณ์อยู่เบอร์ต้นๆของสภาผู้แทนราษฎร
    .
    วันก่อนลุกขึ้นพูดช่วงหารือ 2 นาทีก่อนเข้าสู่ระเบียบวาระการประชุม หยิบเรื่องไม่ธรรมดา ฝากรัฐบาลติดตามทวงถามหนี้ก้อนโตจากรัฐบาลสหสาธารณรัฐแทนซาเนีย ประเทศในทวีปแอฟริกา
    .
    อันมีข้อมูลว่า รัฐบาลเซนซิบาร์ แห่งสหสาธารณรัฐแทนซาเนีย ค้างชำระหนี้ค่าข้าวให้กับ บริษัท แหลมทองค้าข้าว จำกัด เอกชนรายใหญ่ของไทยถึง 2.7 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นยอดหนี้สะสมมาหลายสิบปี แต่ที่ผ่านมา บริษัท แหลมทองค้าข้าว จำกัด ต้องต่อสู้ติดตามทวงถามอย่างโดดเดี่ยว ไม่ได้รับการเหลียวแลจากรัฐเท่าที่ควร
    .
    โดยมีข้อมูลว่า ยอดหนี้ดังกล่าวมีการติดค้างกันจริง และ บริษัท แหลมทองค้าข้าว จำกัด เองก็พึ่งกระบวนการยุติธรรมในประเทศแทนซาเนีย จนชนะมาทุกศาล ตามระบบการปกครองของประเทศคู่ค้าที่มีถึง 4 ศาลด้วยกัน
    .
    ไม่เพียงเท่านั้น รัฐบาลเซนซิบาร์ แห่งสหสาธารณรัฐแทนซาเนีย ที่แม้ติดขัดในเรื่องการชำระหนี้ ก็ได้พยายามติดต่อมาขอเจรจาไกล่เกลี้ยกับทาง บริษัท แหลมทองค้าข้าว จำกัด หลายต่อหลายครั้ง โดยมี กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ทำหน้าที่เป็นตัวกลาง
    .
    อย่างไรก็ตามเรื่องกลับไม่มีความคืบหน้า นายสุทิน ที่เป็น สส.ในฝ่ายรัฐบาลจึงหยิบยกขึ้นมาให้หารือในสภาผู้แทนราษฎร ด้วยเหตุว่าหากติดตามหนี้มูลค่า 2.7 ล้านล้านบาท มาได้ ไม่เพียงเอกชนที่จะได้รับประโยชน์เท่านั้น รัฐบาลไทยก็จะได้ผลพลอยได้ไปด้วย กับภาษีก้อนมหาศาลจากยอดหนี้ที่เอกชนทวงถามได้ไปด้วย
    .
    ถือเป็นการสร้างรายได้ให้กับประเทศอย่างน้อยๆเป็นหลักหลายแสนล้านบาท โดยแทบไม่มีพิษมีภัย ไม่สร้างปัญหาในภายหลัง ดีกว่าไปจะคิดสร้างรายได้จาก “บ่อนการพนัน“ ที่รัฐบาลพยายามผลักดัน ที่จะมีผลกระทบในแง่ลบตามมาแบบคาดคะเนไม่ได้
    .
    ตามขั้นตอนหลังการหารือในสภาฯ ข้อมูลของ สส.ผู้หารือจะถูกส่งต่อไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งในเรื่องของ บริษัท แหลมทองค้าข้าว จำกัด นี้ก็จะเป็นในส่วนของกรมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และในส่วนของกระทรวงการต่างประเทศ นอกจากนี้ก็น่าจะมีรายงานไปถึง นายกฯ แพทองธาร ชินวัตร ด้วย
    .
    ก็ต้องดูว่า รัฐบาลเพื่อไทย จะนำพาข้อหารือที่เป็นประโยชน์ของ นายสุทิน ที่ถือเป็นแกนนำพรรคระดับสูงไปปฏิบัติหรือไม่อย่างไร.
    ..............
    Sondhi X
    ”สุทิน" ชง “รัฐบาล” ทวงหนี้ ”แทนซาเนีย“ ค้างค่าข้าว 2.7 ล้านล้านบาท . กลับมาสวมบทเสาหลักฝ่ายนิติบัญญัติตามถนัด สุทิน คลังแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ที่วันนี้ประสบการณ์อยู่เบอร์ต้นๆของสภาผู้แทนราษฎร . วันก่อนลุกขึ้นพูดช่วงหารือ 2 นาทีก่อนเข้าสู่ระเบียบวาระการประชุม หยิบเรื่องไม่ธรรมดา ฝากรัฐบาลติดตามทวงถามหนี้ก้อนโตจากรัฐบาลสหสาธารณรัฐแทนซาเนีย ประเทศในทวีปแอฟริกา . อันมีข้อมูลว่า รัฐบาลเซนซิบาร์ แห่งสหสาธารณรัฐแทนซาเนีย ค้างชำระหนี้ค่าข้าวให้กับ บริษัท แหลมทองค้าข้าว จำกัด เอกชนรายใหญ่ของไทยถึง 2.7 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นยอดหนี้สะสมมาหลายสิบปี แต่ที่ผ่านมา บริษัท แหลมทองค้าข้าว จำกัด ต้องต่อสู้ติดตามทวงถามอย่างโดดเดี่ยว ไม่ได้รับการเหลียวแลจากรัฐเท่าที่ควร . โดยมีข้อมูลว่า ยอดหนี้ดังกล่าวมีการติดค้างกันจริง และ บริษัท แหลมทองค้าข้าว จำกัด เองก็พึ่งกระบวนการยุติธรรมในประเทศแทนซาเนีย จนชนะมาทุกศาล ตามระบบการปกครองของประเทศคู่ค้าที่มีถึง 4 ศาลด้วยกัน . ไม่เพียงเท่านั้น รัฐบาลเซนซิบาร์ แห่งสหสาธารณรัฐแทนซาเนีย ที่แม้ติดขัดในเรื่องการชำระหนี้ ก็ได้พยายามติดต่อมาขอเจรจาไกล่เกลี้ยกับทาง บริษัท แหลมทองค้าข้าว จำกัด หลายต่อหลายครั้ง โดยมี กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ทำหน้าที่เป็นตัวกลาง . อย่างไรก็ตามเรื่องกลับไม่มีความคืบหน้า นายสุทิน ที่เป็น สส.ในฝ่ายรัฐบาลจึงหยิบยกขึ้นมาให้หารือในสภาผู้แทนราษฎร ด้วยเหตุว่าหากติดตามหนี้มูลค่า 2.7 ล้านล้านบาท มาได้ ไม่เพียงเอกชนที่จะได้รับประโยชน์เท่านั้น รัฐบาลไทยก็จะได้ผลพลอยได้ไปด้วย กับภาษีก้อนมหาศาลจากยอดหนี้ที่เอกชนทวงถามได้ไปด้วย . ถือเป็นการสร้างรายได้ให้กับประเทศอย่างน้อยๆเป็นหลักหลายแสนล้านบาท โดยแทบไม่มีพิษมีภัย ไม่สร้างปัญหาในภายหลัง ดีกว่าไปจะคิดสร้างรายได้จาก “บ่อนการพนัน“ ที่รัฐบาลพยายามผลักดัน ที่จะมีผลกระทบในแง่ลบตามมาแบบคาดคะเนไม่ได้ . ตามขั้นตอนหลังการหารือในสภาฯ ข้อมูลของ สส.ผู้หารือจะถูกส่งต่อไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งในเรื่องของ บริษัท แหลมทองค้าข้าว จำกัด นี้ก็จะเป็นในส่วนของกรมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และในส่วนของกระทรวงการต่างประเทศ นอกจากนี้ก็น่าจะมีรายงานไปถึง นายกฯ แพทองธาร ชินวัตร ด้วย . ก็ต้องดูว่า รัฐบาลเพื่อไทย จะนำพาข้อหารือที่เป็นประโยชน์ของ นายสุทิน ที่ถือเป็นแกนนำพรรคระดับสูงไปปฏิบัติหรือไม่อย่างไร. .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    Love
    18
    1 Comments 0 Shares 2503 Views 0 Reviews
  • การวิเคราะห์การเงินโลกเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและครอบคลุมหลายปัจจัย ซึ่งรวมถึงสถานะเศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ นโยบายการเงิน การค้าระหว่างประเทศ ตลาดการเงิน และปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ ต่อไปนี้เป็นประเด็นสำคัญที่ควรพิจารณาในการวิเคราะห์การเงินโลก:

    ### 1. **เศรษฐกิจโลกและแนวโน้มการเติบโต**
    - **GDP โลก**: การเติบโตของ GDP โลกเป็นตัวชี้วัดสำคัญของสุขภาพเศรษฐกิจโลก การชะลอตัวหรือการเติบโตที่ลดลงอาจส่งสัญญาณถึงปัญหาเศรษฐกิจ เช่น การว่างงานที่เพิ่มขึ้นหรือการบริโภคที่ลดลง
    - **เศรษฐกิจหลัก**: เศรษฐกิจของประเทศใหญ่ ๆ เช่น สหรัฐอเมริกา จีน สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น มีผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจโลก การเปลี่ยนแปลงในเศรษฐกิจเหล่านี้สามารถส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินทั่วโลก

    ### 2. **นโยบายการเงินและการคลัง**
    - **อัตราดอกเบี้ย**: ธนาคารกลางของประเทศต่าง ๆ เช่น Federal Reserve (สหรัฐอเมริกา), European Central Bank (สหภาพยุโรป), และ Bank of Japan (ญี่ปุ่น) มีบทบาทสำคัญในการกำหนดอัตราดอกเบี้ย การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยสามารถส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินและเศรษฐกิจโลก
    - **นโยบายการคลัง**: การใช้จ่ายของรัฐบาลและการเก็บภาษีมีผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและการลงทุน

    ### 3. **ตลาดการเงิน**
    - **ตลาดหุ้น**: ดัชนีตลาดหุ้นหลัก ๆ เช่น S&P 500, Dow Jones, และ Nikkei 225 เป็นตัวชี้วัดสำคัญของสุขภาพเศรษฐกิจและการลงทุน
    - **ตลาดพันธบัตร**: อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลเป็นตัวชี้วัดสำคัญของความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจและความเสี่ยง
    - **ตลาดสกุลเงิน**: อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศมีผลกระทบต่อการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ

    ### 4. **การค้าระหว่างประเทศ**
    - **ดุลการค้า**: การเกินดุลหรือขาดดุลการค้าของประเทศต่าง ๆ มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก
    - **ข้อตกลงการค้า**: ข้อตกลงการค้าระหว่างประเทศ เช่น NAFTA, CPTPP, และ RCEP มีผลกระทบต่อการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ

    ### 5. **ปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์**
    - **ความขัดแย้งระหว่างประเทศ**: ความขัดแย้งทางการเมืองและการทหารสามารถส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและตลาดการเงิน
    - **ความมั่นคงทางพลังงาน**: ราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะประเทศที่พึ่งพาการส่งออกพลังงาน

    ### 6. **เทคโนโลยีและนวัตกรรม**
    - **เทคโนโลยีการเงิน (FinTech)**: การพัฒนาของเทคโนโลยีการเงิน เช่น บล็อกเชนและคริปโตเคอร์เรนซี มีผลกระทบต่อระบบการเงินโลก
    - **นวัตกรรมทางอุตสาหกรรม**: การพัฒนาของเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น AI, IoT, และรถยนต์ไฟฟ้า มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการลงทุน

    ### 7. **ความเสี่ยงและความไม่แน่นอน**
    - **การระบาดของโรค**: การระบาดของโรค เช่น COVID-19 มีผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจโลก
    - **การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ**: การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยธรรมชาติมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการลงทุน

    ### สรุป
    การวิเคราะห์การเงินโลกต้องพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ ที่ซับซ้อนและเชื่อมโยงกัน การเข้าใจแนวโน้มและความเสี่ยงเหล่านี้สามารถช่วยในการตัดสินใจทางการเงินและการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    การวิเคราะห์การเงินโลกเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและครอบคลุมหลายปัจจัย ซึ่งรวมถึงสถานะเศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ นโยบายการเงิน การค้าระหว่างประเทศ ตลาดการเงิน และปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ ต่อไปนี้เป็นประเด็นสำคัญที่ควรพิจารณาในการวิเคราะห์การเงินโลก: ### 1. **เศรษฐกิจโลกและแนวโน้มการเติบโต** - **GDP โลก**: การเติบโตของ GDP โลกเป็นตัวชี้วัดสำคัญของสุขภาพเศรษฐกิจโลก การชะลอตัวหรือการเติบโตที่ลดลงอาจส่งสัญญาณถึงปัญหาเศรษฐกิจ เช่น การว่างงานที่เพิ่มขึ้นหรือการบริโภคที่ลดลง - **เศรษฐกิจหลัก**: เศรษฐกิจของประเทศใหญ่ ๆ เช่น สหรัฐอเมริกา จีน สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น มีผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจโลก การเปลี่ยนแปลงในเศรษฐกิจเหล่านี้สามารถส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินทั่วโลก ### 2. **นโยบายการเงินและการคลัง** - **อัตราดอกเบี้ย**: ธนาคารกลางของประเทศต่าง ๆ เช่น Federal Reserve (สหรัฐอเมริกา), European Central Bank (สหภาพยุโรป), และ Bank of Japan (ญี่ปุ่น) มีบทบาทสำคัญในการกำหนดอัตราดอกเบี้ย การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยสามารถส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินและเศรษฐกิจโลก - **นโยบายการคลัง**: การใช้จ่ายของรัฐบาลและการเก็บภาษีมีผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและการลงทุน ### 3. **ตลาดการเงิน** - **ตลาดหุ้น**: ดัชนีตลาดหุ้นหลัก ๆ เช่น S&P 500, Dow Jones, และ Nikkei 225 เป็นตัวชี้วัดสำคัญของสุขภาพเศรษฐกิจและการลงทุน - **ตลาดพันธบัตร**: อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลเป็นตัวชี้วัดสำคัญของความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจและความเสี่ยง - **ตลาดสกุลเงิน**: อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศมีผลกระทบต่อการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ ### 4. **การค้าระหว่างประเทศ** - **ดุลการค้า**: การเกินดุลหรือขาดดุลการค้าของประเทศต่าง ๆ มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก - **ข้อตกลงการค้า**: ข้อตกลงการค้าระหว่างประเทศ เช่น NAFTA, CPTPP, และ RCEP มีผลกระทบต่อการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ ### 5. **ปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์** - **ความขัดแย้งระหว่างประเทศ**: ความขัดแย้งทางการเมืองและการทหารสามารถส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและตลาดการเงิน - **ความมั่นคงทางพลังงาน**: ราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะประเทศที่พึ่งพาการส่งออกพลังงาน ### 6. **เทคโนโลยีและนวัตกรรม** - **เทคโนโลยีการเงิน (FinTech)**: การพัฒนาของเทคโนโลยีการเงิน เช่น บล็อกเชนและคริปโตเคอร์เรนซี มีผลกระทบต่อระบบการเงินโลก - **นวัตกรรมทางอุตสาหกรรม**: การพัฒนาของเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น AI, IoT, และรถยนต์ไฟฟ้า มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการลงทุน ### 7. **ความเสี่ยงและความไม่แน่นอน** - **การระบาดของโรค**: การระบาดของโรค เช่น COVID-19 มีผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจโลก - **การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ**: การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยธรรมชาติมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการลงทุน ### สรุป การวิเคราะห์การเงินโลกต้องพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ ที่ซับซ้อนและเชื่อมโยงกัน การเข้าใจแนวโน้มและความเสี่ยงเหล่านี้สามารถช่วยในการตัดสินใจทางการเงินและการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    0 Comments 0 Shares 709 Views 0 Reviews
  • 4. **การค้าระหว่างประเทศ**
    - **ดุลการค้า**: ดุลการค้าระหว่างประเทศสามารถบ่งชี้ถึงความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของประเทศ
    - **ข้อตกลงการค้า**: ข้อตกลงการค้าเสรีหรือมาตรการกีดกันทางการค้ามีผลต่อการไหลเวียนของสินค้าและบริการ
    4. **การค้าระหว่างประเทศ** - **ดุลการค้า**: ดุลการค้าระหว่างประเทศสามารถบ่งชี้ถึงความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของประเทศ - **ข้อตกลงการค้า**: ข้อตกลงการค้าเสรีหรือมาตรการกีดกันทางการค้ามีผลต่อการไหลเวียนของสินค้าและบริการ
    0 Comments 0 Shares 52 Views 0 Reviews
  • การวิเคราะห์การเงินโลกเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและครอบคลุมหลายปัจจัย ซึ่งรวมถึงสถานะเศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ นโยบายการเงิน การค้าระหว่างประเทศ ตลาดการเงิน และปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ ต่อไปนี้เป็นประเด็นสำคัญที่ควรพิจารณาในการวิเคราะห์การเงินโลก:

    ### 1. **เศรษฐกิจโลกและแนวโน้มการเติบโต**
    - **GDP โลก**: การเติบโตของ GDP โลกเป็นตัวชี้วัดสำคัญของสุขภาพเศรษฐกิจโลก การชะลอตัวหรือการเติบโตที่ลดลงอาจส่งสัญญาณถึงปัญหาเศรษฐกิจ เช่น การว่างงานที่เพิ่มขึ้นหรือการบริโภคที่ลดลง
    - **เศรษฐกิจหลัก**: เศรษฐกิจของประเทศใหญ่ ๆ เช่น สหรัฐอเมริกา จีน สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น มีผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจโลก การเปลี่ยนแปลงในเศรษฐกิจเหล่านี้สามารถส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินทั่วโลก

    ### 2. **นโยบายการเงินและการคลัง**
    - **อัตราดอกเบี้ย**: ธนาคารกลางของประเทศต่าง ๆ เช่น Federal Reserve (สหรัฐอเมริกา), European Central Bank (สหภาพยุโรป), และ Bank of Japan (ญี่ปุ่น) มีบทบาทสำคัญในการกำหนดอัตราดอกเบี้ย การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยสามารถส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินและเศรษฐกิจโลก
    - **นโยบายการคลัง**: การใช้จ่ายของรัฐบาลและการเก็บภาษีมีผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและการลงทุน

    ### 3. **ตลาดการเงิน**
    - **ตลาดหุ้น**: ดัชนีตลาดหุ้นหลัก ๆ เช่น S&P 500, Dow Jones, และ Nikkei 225 เป็นตัวชี้วัดสำคัญของสุขภาพเศรษฐกิจและการลงทุน
    - **ตลาดพันธบัตร**: อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลเป็นตัวชี้วัดสำคัญของความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจและความเสี่ยง
    - **ตลาดสกุลเงิน**: อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศมีผลกระทบต่อการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ

    ### 4. **การค้าระหว่างประเทศ**
    - **ดุลการค้า**: การเกินดุลหรือขาดดุลการค้าของประเทศต่าง ๆ มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก
    - **ข้อตกลงการค้า**: ข้อตกลงการค้าระหว่างประเทศ เช่น NAFTA, CPTPP, และ RCEP มีผลกระทบต่อการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ

    ### 5. **ปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์**
    - **ความขัดแย้งระหว่างประเทศ**: ความขัดแย้งทางการเมืองและการทหารสามารถส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและตลาดการเงิน
    - **ความมั่นคงทางพลังงาน**: ราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะประเทศที่พึ่งพาการส่งออกพลังงาน

    ### 6. **เทคโนโลยีและนวัตกรรม**
    - **เทคโนโลยีการเงิน (FinTech)**: การพัฒนาของเทคโนโลยีการเงิน เช่น บล็อกเชนและคริปโตเคอร์เรนซี มีผลกระทบต่อระบบการเงินโลก
    - **นวัตกรรมทางอุตสาหกรรม**: การพัฒนาของเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น AI, IoT, และรถยนต์ไฟฟ้า มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการลงทุน

    ### 7. **ความเสี่ยงและความไม่แน่นอน**
    - **การระบาดของโรค**: การระบาดของโรค เช่น COVID-19 มีผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจโลก
    - **การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ**: การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยธรรมชาติมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการลงทุน

    ### สรุป
    การวิเคราะห์การเงินโลกต้องพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ ที่ซับซ้อนและเชื่อมโยงกัน การเข้าใจแนวโน้มและความเสี่ยงเหล่านี้สามารถช่วยในการตัดสินใจทางการเงินและการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    การวิเคราะห์การเงินโลกเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและครอบคลุมหลายปัจจัย ซึ่งรวมถึงสถานะเศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ นโยบายการเงิน การค้าระหว่างประเทศ ตลาดการเงิน และปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ ต่อไปนี้เป็นประเด็นสำคัญที่ควรพิจารณาในการวิเคราะห์การเงินโลก: ### 1. **เศรษฐกิจโลกและแนวโน้มการเติบโต** - **GDP โลก**: การเติบโตของ GDP โลกเป็นตัวชี้วัดสำคัญของสุขภาพเศรษฐกิจโลก การชะลอตัวหรือการเติบโตที่ลดลงอาจส่งสัญญาณถึงปัญหาเศรษฐกิจ เช่น การว่างงานที่เพิ่มขึ้นหรือการบริโภคที่ลดลง - **เศรษฐกิจหลัก**: เศรษฐกิจของประเทศใหญ่ ๆ เช่น สหรัฐอเมริกา จีน สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น มีผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจโลก การเปลี่ยนแปลงในเศรษฐกิจเหล่านี้สามารถส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินทั่วโลก ### 2. **นโยบายการเงินและการคลัง** - **อัตราดอกเบี้ย**: ธนาคารกลางของประเทศต่าง ๆ เช่น Federal Reserve (สหรัฐอเมริกา), European Central Bank (สหภาพยุโรป), และ Bank of Japan (ญี่ปุ่น) มีบทบาทสำคัญในการกำหนดอัตราดอกเบี้ย การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยสามารถส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินและเศรษฐกิจโลก - **นโยบายการคลัง**: การใช้จ่ายของรัฐบาลและการเก็บภาษีมีผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและการลงทุน ### 3. **ตลาดการเงิน** - **ตลาดหุ้น**: ดัชนีตลาดหุ้นหลัก ๆ เช่น S&P 500, Dow Jones, และ Nikkei 225 เป็นตัวชี้วัดสำคัญของสุขภาพเศรษฐกิจและการลงทุน - **ตลาดพันธบัตร**: อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลเป็นตัวชี้วัดสำคัญของความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจและความเสี่ยง - **ตลาดสกุลเงิน**: อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศมีผลกระทบต่อการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ ### 4. **การค้าระหว่างประเทศ** - **ดุลการค้า**: การเกินดุลหรือขาดดุลการค้าของประเทศต่าง ๆ มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก - **ข้อตกลงการค้า**: ข้อตกลงการค้าระหว่างประเทศ เช่น NAFTA, CPTPP, และ RCEP มีผลกระทบต่อการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ ### 5. **ปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์** - **ความขัดแย้งระหว่างประเทศ**: ความขัดแย้งทางการเมืองและการทหารสามารถส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและตลาดการเงิน - **ความมั่นคงทางพลังงาน**: ราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะประเทศที่พึ่งพาการส่งออกพลังงาน ### 6. **เทคโนโลยีและนวัตกรรม** - **เทคโนโลยีการเงิน (FinTech)**: การพัฒนาของเทคโนโลยีการเงิน เช่น บล็อกเชนและคริปโตเคอร์เรนซี มีผลกระทบต่อระบบการเงินโลก - **นวัตกรรมทางอุตสาหกรรม**: การพัฒนาของเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น AI, IoT, และรถยนต์ไฟฟ้า มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการลงทุน ### 7. **ความเสี่ยงและความไม่แน่นอน** - **การระบาดของโรค**: การระบาดของโรค เช่น COVID-19 มีผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจโลก - **การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ**: การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยธรรมชาติมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการลงทุน ### สรุป การวิเคราะห์การเงินโลกต้องพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ ที่ซับซ้อนและเชื่อมโยงกัน การเข้าใจแนวโน้มและความเสี่ยงเหล่านี้สามารถช่วยในการตัดสินใจทางการเงินและการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    0 Comments 0 Shares 667 Views 0 Reviews
  • จีนได้เริ่มการสอบสวนใหม่เกี่ยวกับ Google และ Nvidia ในเรื่องการละเมิดกฎหมายการผูกขาด และยังมีแผนที่จะสอบสวน Intel ด้วย กิจกรรมนี้อาจส่งผลให้บริษัททั้งสามถูกปรับหรือถูกจำกัดการเข้าถึงตลาดจีน การสอบสวนนี้มีแนวโน้มที่เกี่ยวข้องกับความตึงเครียดทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกา และอาจเป็นวิธีหนึ่งที่จีนใช้เพื่อเพิ่มอำนาจการเจรจาในการพบปะระหว่างผู้นำของทั้งสองประเทศ

    สำหรับ Google การสอบสวนเน้นที่ระบบปฏิบัติการ Android และว่ามันได้สร้างความเสียหายต่อผู้ผลิตสมาร์ทโฟนจีนเช่น Oppo และ Xiaomi ที่ต้องพึ่งพาซอฟต์แวร์ของ Google หรือไม่ ขณะที่ Nvidia ถูกสอบสวนเกี่ยวกับการทำตามเงื่อนไขการเข้าซื้อบริษัท Mellanox Technologies ในปี 2019

    ส่วน Intel ยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการสอบสวน แต่ถ้าเริ่มต้นขึ้น การสอบสวนอาจเน้นที่วิธีการดำเนินธุรกิจของ Intel ในจีน ที่ถือว่าเป็นตลาดใหญ่ที่สุดของบริษัท

    เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในขณะที่ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนกำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ตั้งอัตราภาษีใหม่สำหรับสินค้าจีน และจีนอาจตอบโต้ด้วยการใช้กฎหมายการผูกขาดเป็นเครื่องมือ นอกจากนี้ สหรัฐอเมริกาเพิ่มความพยายามในการจำกัดการพัฒนาของจีนในด้านปัญญาประดิษฐ์และการคำนวณประสิทธิภาพสูง

    แม้จะเป็นเครื่องมือในการเจรจา แต่วิธีนี้อาจเสี่ยงต่อการสร้างความขัดแย้งมากขึ้น เพราะไม่เพียงแต่บริษัทอเมริกันที่ต้องพึ่งพาตลาดจีน บริษัทจีนเองก็พึ่งพาเทคโนโลยีอเมริกันเช่นกัน

    การสอบสวนนี้อาจส่งผลกระทบต่อทั้งสองฝ่ายและเปลี่ยนแปลงสถานการณ์การค้าระหว่างประเทศอย่างมากมาย

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/china-reopens-antitrust-probe-into-google-nvidia-and-intel-may-be-next
    จีนได้เริ่มการสอบสวนใหม่เกี่ยวกับ Google และ Nvidia ในเรื่องการละเมิดกฎหมายการผูกขาด และยังมีแผนที่จะสอบสวน Intel ด้วย กิจกรรมนี้อาจส่งผลให้บริษัททั้งสามถูกปรับหรือถูกจำกัดการเข้าถึงตลาดจีน การสอบสวนนี้มีแนวโน้มที่เกี่ยวข้องกับความตึงเครียดทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกา และอาจเป็นวิธีหนึ่งที่จีนใช้เพื่อเพิ่มอำนาจการเจรจาในการพบปะระหว่างผู้นำของทั้งสองประเทศ สำหรับ Google การสอบสวนเน้นที่ระบบปฏิบัติการ Android และว่ามันได้สร้างความเสียหายต่อผู้ผลิตสมาร์ทโฟนจีนเช่น Oppo และ Xiaomi ที่ต้องพึ่งพาซอฟต์แวร์ของ Google หรือไม่ ขณะที่ Nvidia ถูกสอบสวนเกี่ยวกับการทำตามเงื่อนไขการเข้าซื้อบริษัท Mellanox Technologies ในปี 2019 ส่วน Intel ยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการสอบสวน แต่ถ้าเริ่มต้นขึ้น การสอบสวนอาจเน้นที่วิธีการดำเนินธุรกิจของ Intel ในจีน ที่ถือว่าเป็นตลาดใหญ่ที่สุดของบริษัท เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในขณะที่ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนกำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ตั้งอัตราภาษีใหม่สำหรับสินค้าจีน และจีนอาจตอบโต้ด้วยการใช้กฎหมายการผูกขาดเป็นเครื่องมือ นอกจากนี้ สหรัฐอเมริกาเพิ่มความพยายามในการจำกัดการพัฒนาของจีนในด้านปัญญาประดิษฐ์และการคำนวณประสิทธิภาพสูง แม้จะเป็นเครื่องมือในการเจรจา แต่วิธีนี้อาจเสี่ยงต่อการสร้างความขัดแย้งมากขึ้น เพราะไม่เพียงแต่บริษัทอเมริกันที่ต้องพึ่งพาตลาดจีน บริษัทจีนเองก็พึ่งพาเทคโนโลยีอเมริกันเช่นกัน การสอบสวนนี้อาจส่งผลกระทบต่อทั้งสองฝ่ายและเปลี่ยนแปลงสถานการณ์การค้าระหว่างประเทศอย่างมากมาย https://www.tomshardware.com/tech-industry/china-reopens-antitrust-probe-into-google-nvidia-and-intel-may-be-next
    0 Comments 0 Shares 231 Views 0 Reviews
  • "กูไม่กลัวมึง!"
    เม็กซิโกและแคนาดาประกาศตอบโต้มาตรกาภาษีนำเข้า 25% ของทรัมป์ ส่วนจีนขอใช้วิธีฟ้องไปที่ WTO แทน

    นายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโด ประกาศตอบโต้มาตรการจัดเก็บภาษีของทรัมป์ โดยแคนาดาจะจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ 25% กับสินค้านำเข้าเกือบทุกประเภท ซึ่งรวมถึงสินค้าในกลุ่มพลังงานด้วย

    รัฐบาลแคนานาจะดำเนินการเพิ่มภาษี 25% สำหรับนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ที่มีมูลค่าราว 1.55 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (5.23 ล้านล้านบาท) โดยราว 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (1 ล้านล้านบาท) จะเกิดขึ้นหลังจากมาตรการนี้มีผลบังคับใช้ในวันอังคารนี้ และอีก 1.25 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (4.22 ล้านล้านบาท) จะมีผลในอีก 21 วัน

    ขณะเดียวกัน ประธานาธิบดี Sheinbaum แห่งเม็กซิโก สั่งการให้รัฐมนตรีที่ดูแลงานด้านเศรษฐกิจให้ตอบโต้ด้วยมาตรการทั้งในรูปแบบภาษีและไม่ใช่ภาษี ซึ่งคาดว่าในจำนวนนั้นจะมีมาตรการตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ 25%

    สำหรับทางการ "จีน" ที่โดนมาตรการภาษีจากทรัมป์ 10% ออกแถลงการณ์ล่าสุด ประกาศจะตอบโต้กลับสหรัฐ แต่ยังไม่ถึงขั้นตอบโต้ด้านภาษีศุลกากรโดยตรง โดยกระทรวงพาณิชย์ของจีนประกาศยื่นฟ้องสหรัฐต่อองค์การการค้าโลก (WTO) พร้อมประณามการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนว่าเป็น “การละเมิดกฎการค้าระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง” และปักกิ่งจะ “ใช้มาตรการตอบโต้เพื่อปกป้องสิทธิและผลประโยชน์ของตนเองอย่างมั่นคง” ทว่ายังไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติม
    "กูไม่กลัวมึง!" เม็กซิโกและแคนาดาประกาศตอบโต้มาตรกาภาษีนำเข้า 25% ของทรัมป์ ส่วนจีนขอใช้วิธีฟ้องไปที่ WTO แทน นายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโด ประกาศตอบโต้มาตรการจัดเก็บภาษีของทรัมป์ โดยแคนาดาจะจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ 25% กับสินค้านำเข้าเกือบทุกประเภท ซึ่งรวมถึงสินค้าในกลุ่มพลังงานด้วย รัฐบาลแคนานาจะดำเนินการเพิ่มภาษี 25% สำหรับนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ที่มีมูลค่าราว 1.55 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (5.23 ล้านล้านบาท) โดยราว 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (1 ล้านล้านบาท) จะเกิดขึ้นหลังจากมาตรการนี้มีผลบังคับใช้ในวันอังคารนี้ และอีก 1.25 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (4.22 ล้านล้านบาท) จะมีผลในอีก 21 วัน ขณะเดียวกัน ประธานาธิบดี Sheinbaum แห่งเม็กซิโก สั่งการให้รัฐมนตรีที่ดูแลงานด้านเศรษฐกิจให้ตอบโต้ด้วยมาตรการทั้งในรูปแบบภาษีและไม่ใช่ภาษี ซึ่งคาดว่าในจำนวนนั้นจะมีมาตรการตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ 25% สำหรับทางการ "จีน" ที่โดนมาตรการภาษีจากทรัมป์ 10% ออกแถลงการณ์ล่าสุด ประกาศจะตอบโต้กลับสหรัฐ แต่ยังไม่ถึงขั้นตอบโต้ด้านภาษีศุลกากรโดยตรง โดยกระทรวงพาณิชย์ของจีนประกาศยื่นฟ้องสหรัฐต่อองค์การการค้าโลก (WTO) พร้อมประณามการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนว่าเป็น “การละเมิดกฎการค้าระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง” และปักกิ่งจะ “ใช้มาตรการตอบโต้เพื่อปกป้องสิทธิและผลประโยชน์ของตนเองอย่างมั่นคง” ทว่ายังไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติม
    Like
    4
    0 Comments 0 Shares 356 Views 0 Reviews
  • และแล้ว #เปลือยธารินทร์ ก็มาถึงตอนสุดท้ายแล้ว ขอขอบพระคุณ ๆ #สนธิลิ้มทองกุล กองบรรณาธิการผู้จัดการ ผู้เขียน มาอีกครั้งขอบคุณทุกท่านที่ติดตามฟังค่ะ

    ประชุม APEC สัตยาบันของการยอมเป็นทาส
    เงิน IMF ที่ช่วยมาทาง Asia นั้น อเมริกาไม่ได้ลงสักแดงเดียว เป็นเงินญี่ปุ่นเสียส่วนใหญ่
    อเมริกาทำตัวรีดไถและทำตัวเป็นคนคุ้มครองเรียกค่าคุ้มครองด้วยการใช้จิตวิทยาของความขัดแย้งในคาบสมุทรเกาหลี ที่อเมริกาอยากให้มีอยู่นาน ๆ เพื่อใช้เป็นข้อต่อรองในการคุ้มครองความมั่งคั่งของญี่ปุ่น โดยดำรงกำลังทหนารอยู่ในคาบสมุทรเกาหลี เพื่อให้ญี่ปุ่นอดทนต่อการถูกอเมริกาดุด่าสั่งสอน และรีดไถในการเมืองและเศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศ
    https://youtu.be/mWdQxcgMzm0
    และแล้ว #เปลือยธารินทร์ ก็มาถึงตอนสุดท้ายแล้ว ขอขอบพระคุณ ๆ #สนธิลิ้มทองกุล กองบรรณาธิการผู้จัดการ ผู้เขียน มาอีกครั้งขอบคุณทุกท่านที่ติดตามฟังค่ะ ประชุม APEC สัตยาบันของการยอมเป็นทาส เงิน IMF ที่ช่วยมาทาง Asia นั้น อเมริกาไม่ได้ลงสักแดงเดียว เป็นเงินญี่ปุ่นเสียส่วนใหญ่ อเมริกาทำตัวรีดไถและทำตัวเป็นคนคุ้มครองเรียกค่าคุ้มครองด้วยการใช้จิตวิทยาของความขัดแย้งในคาบสมุทรเกาหลี ที่อเมริกาอยากให้มีอยู่นาน ๆ เพื่อใช้เป็นข้อต่อรองในการคุ้มครองความมั่งคั่งของญี่ปุ่น โดยดำรงกำลังทหนารอยู่ในคาบสมุทรเกาหลี เพื่อให้ญี่ปุ่นอดทนต่อการถูกอเมริกาดุด่าสั่งสอน และรีดไถในการเมืองและเศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศ https://youtu.be/mWdQxcgMzm0
    0 Comments 0 Shares 403 Views 0 Reviews
  • คณะบริหารไบเดนเสนอกรอบโครงใหม่จำกัดการส่งออกชิปเอไอ หวังสกัดจีน คู่แข่งตัวกลั่นในสงครามไฮเทค แต่กลับกลายเป็นการสร้างความกังวลในหมู่ผู้บริหารในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีในประเทศ ตลอดจนถึงอียู
    .
    ขณะที่เหลือเวลาอีกเพียงสัปดาห์เดียวก่อนที่โดนัลด์ ทรัมป์ จะเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ พวกเจ้าหน้าที่คณะบริหารของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ระบุชัดเจนว่า กฎใหม่หล่านี้จะมีผลบังคับใช้ภายใน 120 วัน ดังนั้นจึงทำให้คณะบริหารของทรัมป์ต้องเป็นผู้ตัดสินใจว่า จะสานต่อหรือยกเลิกกรอบโครงเหล่านี้ที่จะส่งผลกระทบต่อ 120 ประเทศ ขณะที่เจ้าหน้าที่อาวุโสคนหนึ่งเตือนว่า การระงับการใช้กฎนี้อาจเท่ากับเปิดโอกาสให้จีนมีเวลาสะสมมากขึ้นในการสะสมฮาร์ดแวร์ที่มาจากอเมริกา
    .
    เจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของทำเนียบขาว กล่าวอ้างเมื่อวันจันทร์ (13 ม.ค.) ว่า เดิมพันจะสูงมาก หากจีนกลายเป็นผู้กำหนดอนาคตของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ)
    .
    จีนา ไรมอนโด รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ ขานรับว่า สิ่งสำคัญคือการรักษาความเป็นผู้นำของอเมริกาในด้านเอไอและการพัฒนาชิปเกี่ยวกับเอไอ และเสริมว่า กรอบโครงนี้ออกแบบมาเพื่อปกป้องเทคโนโลยีเอไอขั้นสูงสุด และให้ความมั่นใจว่า เทคโนโลยีนี้จะไม่ตกอยู่ในมือศัตรูต่างชาติ แต่ขณะเดียวกันจะสามารถเผยแพร่และแบ่งปันประโยชน์กับประเทศที่เป็นหุ้นส่วนของอเมริกา
    .
    แม้คณะบริหารชุดนี้ออกมาตรการจำกัดการส่งออกกับศัตรู เช่น จีนและรัสเซียไปแล้ว แต่พวกเขาอ้างว่าบางมาตรการยังมีช่องโหว่ และกฎล่าสุดมุ่งจะตั้งข้อจำกัดกับประเทศต่างๆ ในขอบเขตที่กว้างขวางขึ้น
    .
    ด้าน เอ็ด มิลส์ นักวิเคราะห์ของ เรย์มอนด์ เจมส์ ชี้ว่า เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ แสดงความกังวลโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับศูนย์ข้อมูลในตะวันออกกลางและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เนื่องจากบริษัทจีนใช้ศูนย์เหล่านั้นในการสร้างโมเดลเอไอด้วยเทคโนโลยีที่ตนเองไม่สามารถนำเข้าสู่จีนได้โดยตรง
    .
    อย่างไรก็ตาม สัปดาห์ที่แล้ว สภาอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศของอเมริกาเตือนไรมอนโดว่า การเร่งรีบใช้กฎใหม่ของคณะบริหารเดโมแครต อาจกลายเป็นการบ่อนทำลายห่วงโซ่อุปทานโลก และทำให้บริษัทอเมริกันเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
    .
    ต่อมาในวันจันทร์ สมาคมอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของอเมริกา (เอสไอเอ) แสดงความเห็นว่า ผิดหวังที่มีการเร่งรัดผลักดันนโยบายก่อนที่จะมีการเปลี่ยนผ่านคณะบริหาร
    .
    จอห์น นิวเฟอร์ ประธานและซีอีโอเอสไอเอ เตือนว่า กฎใหม่เสี่ยงทำให้เกิดความเสียหายยาวนานโดยไม่ตั้งใจกับเศรษฐกิจและขีดความสามารถแข่งขันระดับโลกของธุรกิจเซมิคอนดักเตอร์และเอไอของอเมริกา เนื่องจากการทำเช่นนี้มีความเสี่ยงที่จะกลายเป็นการยกตลาดสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ให้แก่พวกคู่แข่ง
    .
    เอ็นวิเดีย บริษัทชิปยักษ์ใหญ่ โพสต์บนบล็อก สำทับว่า แม้มีจุดประสงค์เพื่อต่อต้านจีน แต่มาตรการนี้ไม่ได้ช่วยส่งเสริมความมั่นคงของอเมริกาแต่อย่างใด
    .
    กฎใหม่นี้เนื้อหาสำคัญคือยกระดับการควบคุมการส่งออกชิป ด้วยการกำหนดให้ต้องมีการขออนุญาตสำหรับการส่งออก รวมทั้งการส่งออกต่อ และการถ่ายโอนภายในประเทศ ขณะที่ศูนย์ข้อมูลเอไอต้องปฏิบัติตามมาตรการรักษาความปลอดภัยที่รัดกุมมากขึ้นหากต้องการนำเข้าชิป รวมทั้งมีการเพิ่มความเข้มงวดในการแชร์โมเดลเอไอล้ำสมัย
    .
    กฎใหม่เหล่านี้มีข้อยกเว้นหลายอย่างสำหรับพันธมิตรและหุ้นส่วนสำคัญราว 20 ชาติ เช่น ออสเตรเลีย แคนาดา ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน และอังกฤษ
    .
    อย่างไรก็ดี การตั้งข้อจำกัดกับบางประเทศในสหภาพยุโรป ทำให้เจ้าหน้าที่บรัสเซลส์ออกมาคัดค้านโดยระบุว่า การขายชิปเอไอขั้นสูงให้สมาชิกอียูถือเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจสำหรับอเมริกา ไม่ใช่ความเสี่ยงด้านความมั่นคง
    .
    ทางด้านกระทรวงพาณิชย์จีนโจมตีนโยบายใหม่ของไบเดนว่า ละเมิดกฎการค้าระหว่างประเทศ พร้อมประกาศปกป้องผลประโยชน์ของชาติเต็มที่
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000004280
    ..............
    Sondhi X
    คณะบริหารไบเดนเสนอกรอบโครงใหม่จำกัดการส่งออกชิปเอไอ หวังสกัดจีน คู่แข่งตัวกลั่นในสงครามไฮเทค แต่กลับกลายเป็นการสร้างความกังวลในหมู่ผู้บริหารในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีในประเทศ ตลอดจนถึงอียู . ขณะที่เหลือเวลาอีกเพียงสัปดาห์เดียวก่อนที่โดนัลด์ ทรัมป์ จะเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ พวกเจ้าหน้าที่คณะบริหารของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ระบุชัดเจนว่า กฎใหม่หล่านี้จะมีผลบังคับใช้ภายใน 120 วัน ดังนั้นจึงทำให้คณะบริหารของทรัมป์ต้องเป็นผู้ตัดสินใจว่า จะสานต่อหรือยกเลิกกรอบโครงเหล่านี้ที่จะส่งผลกระทบต่อ 120 ประเทศ ขณะที่เจ้าหน้าที่อาวุโสคนหนึ่งเตือนว่า การระงับการใช้กฎนี้อาจเท่ากับเปิดโอกาสให้จีนมีเวลาสะสมมากขึ้นในการสะสมฮาร์ดแวร์ที่มาจากอเมริกา . เจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของทำเนียบขาว กล่าวอ้างเมื่อวันจันทร์ (13 ม.ค.) ว่า เดิมพันจะสูงมาก หากจีนกลายเป็นผู้กำหนดอนาคตของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) . จีนา ไรมอนโด รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ ขานรับว่า สิ่งสำคัญคือการรักษาความเป็นผู้นำของอเมริกาในด้านเอไอและการพัฒนาชิปเกี่ยวกับเอไอ และเสริมว่า กรอบโครงนี้ออกแบบมาเพื่อปกป้องเทคโนโลยีเอไอขั้นสูงสุด และให้ความมั่นใจว่า เทคโนโลยีนี้จะไม่ตกอยู่ในมือศัตรูต่างชาติ แต่ขณะเดียวกันจะสามารถเผยแพร่และแบ่งปันประโยชน์กับประเทศที่เป็นหุ้นส่วนของอเมริกา . แม้คณะบริหารชุดนี้ออกมาตรการจำกัดการส่งออกกับศัตรู เช่น จีนและรัสเซียไปแล้ว แต่พวกเขาอ้างว่าบางมาตรการยังมีช่องโหว่ และกฎล่าสุดมุ่งจะตั้งข้อจำกัดกับประเทศต่างๆ ในขอบเขตที่กว้างขวางขึ้น . ด้าน เอ็ด มิลส์ นักวิเคราะห์ของ เรย์มอนด์ เจมส์ ชี้ว่า เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ แสดงความกังวลโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับศูนย์ข้อมูลในตะวันออกกลางและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เนื่องจากบริษัทจีนใช้ศูนย์เหล่านั้นในการสร้างโมเดลเอไอด้วยเทคโนโลยีที่ตนเองไม่สามารถนำเข้าสู่จีนได้โดยตรง . อย่างไรก็ตาม สัปดาห์ที่แล้ว สภาอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศของอเมริกาเตือนไรมอนโดว่า การเร่งรีบใช้กฎใหม่ของคณะบริหารเดโมแครต อาจกลายเป็นการบ่อนทำลายห่วงโซ่อุปทานโลก และทำให้บริษัทอเมริกันเป็นฝ่ายเสียเปรียบ . ต่อมาในวันจันทร์ สมาคมอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของอเมริกา (เอสไอเอ) แสดงความเห็นว่า ผิดหวังที่มีการเร่งรัดผลักดันนโยบายก่อนที่จะมีการเปลี่ยนผ่านคณะบริหาร . จอห์น นิวเฟอร์ ประธานและซีอีโอเอสไอเอ เตือนว่า กฎใหม่เสี่ยงทำให้เกิดความเสียหายยาวนานโดยไม่ตั้งใจกับเศรษฐกิจและขีดความสามารถแข่งขันระดับโลกของธุรกิจเซมิคอนดักเตอร์และเอไอของอเมริกา เนื่องจากการทำเช่นนี้มีความเสี่ยงที่จะกลายเป็นการยกตลาดสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ให้แก่พวกคู่แข่ง . เอ็นวิเดีย บริษัทชิปยักษ์ใหญ่ โพสต์บนบล็อก สำทับว่า แม้มีจุดประสงค์เพื่อต่อต้านจีน แต่มาตรการนี้ไม่ได้ช่วยส่งเสริมความมั่นคงของอเมริกาแต่อย่างใด . กฎใหม่นี้เนื้อหาสำคัญคือยกระดับการควบคุมการส่งออกชิป ด้วยการกำหนดให้ต้องมีการขออนุญาตสำหรับการส่งออก รวมทั้งการส่งออกต่อ และการถ่ายโอนภายในประเทศ ขณะที่ศูนย์ข้อมูลเอไอต้องปฏิบัติตามมาตรการรักษาความปลอดภัยที่รัดกุมมากขึ้นหากต้องการนำเข้าชิป รวมทั้งมีการเพิ่มความเข้มงวดในการแชร์โมเดลเอไอล้ำสมัย . กฎใหม่เหล่านี้มีข้อยกเว้นหลายอย่างสำหรับพันธมิตรและหุ้นส่วนสำคัญราว 20 ชาติ เช่น ออสเตรเลีย แคนาดา ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน และอังกฤษ . อย่างไรก็ดี การตั้งข้อจำกัดกับบางประเทศในสหภาพยุโรป ทำให้เจ้าหน้าที่บรัสเซลส์ออกมาคัดค้านโดยระบุว่า การขายชิปเอไอขั้นสูงให้สมาชิกอียูถือเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจสำหรับอเมริกา ไม่ใช่ความเสี่ยงด้านความมั่นคง . ทางด้านกระทรวงพาณิชย์จีนโจมตีนโยบายใหม่ของไบเดนว่า ละเมิดกฎการค้าระหว่างประเทศ พร้อมประกาศปกป้องผลประโยชน์ของชาติเต็มที่ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000004280 .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    5
    0 Comments 0 Shares 1711 Views 0 Reviews
  • 🇮🇳🇺🇸 อินเดีย กล่าวว่า 🤣ไม่ได้ดำเนินนโยบายลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์สหรัฐฯ🤣 และยังไม่มีการตัดสินใจใดๆเกี่ยวกับสกุลเงินของกลุ่ม BRICS จนถึงขณะนี้

    ข่าวนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ประธานาธิบดีทรัมป์ของสหรัฐฯ ขู่ว่าจะเรียกเก็บภาษี ๑๐๐% จากกลุ่ม BRICS หากพวกเขาพยายามแทนที่ดอลลาร์ในการค้าระหว่างประเทศ
    .
    JUST IN: 🇮🇳🇺🇸 India says it's not pursuing de-dollarization policies and no decisions have been made so far on a BRICS currency.

    This comes after US President-elect Trump threatened 100% tariffs on BRICS nations if they attempt to replace the dollar in international trade.
    .
    9:23 PM · Dec 7, 2024 · 253.6K Views
    https://x.com/BRICSinfo/status/1865401684442108307
    🇮🇳🇺🇸 อินเดีย กล่าวว่า 🤣ไม่ได้ดำเนินนโยบายลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์สหรัฐฯ🤣 และยังไม่มีการตัดสินใจใดๆเกี่ยวกับสกุลเงินของกลุ่ม BRICS จนถึงขณะนี้ ข่าวนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ประธานาธิบดีทรัมป์ของสหรัฐฯ ขู่ว่าจะเรียกเก็บภาษี ๑๐๐% จากกลุ่ม BRICS หากพวกเขาพยายามแทนที่ดอลลาร์ในการค้าระหว่างประเทศ . JUST IN: 🇮🇳🇺🇸 India says it's not pursuing de-dollarization policies and no decisions have been made so far on a BRICS currency. This comes after US President-elect Trump threatened 100% tariffs on BRICS nations if they attempt to replace the dollar in international trade. . 9:23 PM · Dec 7, 2024 · 253.6K Views https://x.com/BRICSinfo/status/1865401684442108307
    Haha
    1
    0 Comments 0 Shares 127 Views 0 Reviews
  • วังเครมลินระบุ ความพยายามใดๆ ของสหรัฐฯ ในการบีบบังคับประเทศอื่นให้ใช้สกุลเงินดอลาร์จะเจอกับไฟย้อนศร หลัง โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีอเมริกา ขู่รีดภาษีบรรดาสมาชิกกลุ่ม BRICS หากว่าพวกเขาจัดตั้งสกุลเงินของตนเองขึ้นมา
    .
    เมื่อวันเสาร์ (30 พ.ย.) ทรัมป์ เรียกร้องให้บรรดาประเทศสมาชิกกลุ่ม BRICS รับปากว่าจะไม่จัดตั้งสกุลเงินใหม่หรือสนับสนุนสกุลเงินอื่นๆ ที่จะมาทดแทนดอลลาร์สหรัฐ โดยขู่ว่ามิเช่นนั้นแล้วจะต้องเจอการขึ้นภาษี 100%
    .
    กลุ่ม BRICS ในเบื้องต้น มีสมาชิกประกอบไปด้วย บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้ ทว่านับตั้งแต่นั้นก็ขยายวงอ้าแขนรับประเทศอื่นๆ ด้วย ปัจจุบันทางกลุ่มยังไม่มีสกุลเงินร่วม แต่ได้มีการพูดคุยกันมานานในประเด็นนี้ และการหารือในหัวข้อดังกล่าวทวีความเข้มข้นขึ้น หลังจากตะวันตกกำหนดมาตรการคว่ำบาตรเล่นงานรัสเซีย ลงโทษต่อกรณีทำสงครามในยูเครน
    .
    เมื่อสอบถามเกี่ยวกับคำขู่ของทรัมป์ ทาง ดมิทรี เปสคอฟ โฆษกวังเครมลินบอกว่า ดอลลาร์กำลังสูญเสียความเย้ายวนในฐานะเงินตราที่ใช้เป็นทุนสำรองระหว่างประเทศสำหรับหลายชาติ แนวโน้มที่เขาบอกว่ากำลังทวีความรวดเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ
    .
    "มีประเทศต่างๆ เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ หันมาใช้สกุลเงินท้องถิ่นในการค้าขายและในกิจกรรมทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ" เปสคอฟบอกกับผู้สื่อข่าว พร้อมคาดการณ์ว่า ถ้าสหรัฐฯ เลือกใช้หนทาง "บีบบังคับทางเศรษฐกิจ" เพื่อกดดันให้ประเทศต่างๆ ใช้ดอลลาร์ เมื่อนั้นพวกเขาจะต้องเจอกับไฟย้อนศร
    .
    "ถ้าสหรัฐฯ ใช้กำลังแบบที่พวกเขาเรียกว่าการใช้กำลังทางเศรษฐกิจ บีบบังคับประเทศต่างๆ ให้ใช้ดอลลาร์ พวกเขาจะเจอกับแนวโน้มของการเปลี่ยนไปใช้สกุลเงินท้องถิ่นในการค้าระหว่างประเทศเข้มข้นขึ้น" เปสคอฟกล่าว "ดอลลาร์กำลังสูญเสียความน่าดึงดูดใจในฐานะทุนสำรองระหว่างประเทศ สำหรับประเทศต่างๆ มากมายหลายชาติ"
    .
    อย่างไรก็ตาม สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ในข้อเท็จจริงคือ การครองโลกของดอลลาร์ หรือบทบาทสำคัญยิ่งของดอลลาร์สหรัฐในเศรษฐกิจโลก ดูเหมือนจะแข็งแกร่งขึ้นในช่วงหลัง สืบเนื่องจากความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจของอเมริกา นโยบายกระชับทางการเงินและความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่พุ่งสูง แม้การแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจได้ผลักให้บรรดาประเทศในกลุ่ม BRICS ตีตัวออกห่างจากดอลลาร์ หันหน้าเข้าสู่สกุลเงินอื่นๆ เพิ่มมากขึ้นก็ตาม
    .
    รอยเตอร์รายงานอ้างผลการศึกษาหนึ่งของศูนย์ภูมิเศรษฐศาสตร์ของสภาแอตแลนติก ในปีนี้ ที่พบว่าดอลลาร์สหรัฐยังคงเป็นสกุลเงินสำรองหลักของโลก โดยที่ทั้งยูโรและบรรดาประเทศต่างๆ ในกลุ่ม BRICS ไม่อาจลดพึ่งพิงดอลลาร์ได้
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000116109
    ..............
    Sondhi X
    วังเครมลินระบุ ความพยายามใดๆ ของสหรัฐฯ ในการบีบบังคับประเทศอื่นให้ใช้สกุลเงินดอลาร์จะเจอกับไฟย้อนศร หลัง โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีอเมริกา ขู่รีดภาษีบรรดาสมาชิกกลุ่ม BRICS หากว่าพวกเขาจัดตั้งสกุลเงินของตนเองขึ้นมา . เมื่อวันเสาร์ (30 พ.ย.) ทรัมป์ เรียกร้องให้บรรดาประเทศสมาชิกกลุ่ม BRICS รับปากว่าจะไม่จัดตั้งสกุลเงินใหม่หรือสนับสนุนสกุลเงินอื่นๆ ที่จะมาทดแทนดอลลาร์สหรัฐ โดยขู่ว่ามิเช่นนั้นแล้วจะต้องเจอการขึ้นภาษี 100% . กลุ่ม BRICS ในเบื้องต้น มีสมาชิกประกอบไปด้วย บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้ ทว่านับตั้งแต่นั้นก็ขยายวงอ้าแขนรับประเทศอื่นๆ ด้วย ปัจจุบันทางกลุ่มยังไม่มีสกุลเงินร่วม แต่ได้มีการพูดคุยกันมานานในประเด็นนี้ และการหารือในหัวข้อดังกล่าวทวีความเข้มข้นขึ้น หลังจากตะวันตกกำหนดมาตรการคว่ำบาตรเล่นงานรัสเซีย ลงโทษต่อกรณีทำสงครามในยูเครน . เมื่อสอบถามเกี่ยวกับคำขู่ของทรัมป์ ทาง ดมิทรี เปสคอฟ โฆษกวังเครมลินบอกว่า ดอลลาร์กำลังสูญเสียความเย้ายวนในฐานะเงินตราที่ใช้เป็นทุนสำรองระหว่างประเทศสำหรับหลายชาติ แนวโน้มที่เขาบอกว่ากำลังทวีความรวดเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ . "มีประเทศต่างๆ เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ หันมาใช้สกุลเงินท้องถิ่นในการค้าขายและในกิจกรรมทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ" เปสคอฟบอกกับผู้สื่อข่าว พร้อมคาดการณ์ว่า ถ้าสหรัฐฯ เลือกใช้หนทาง "บีบบังคับทางเศรษฐกิจ" เพื่อกดดันให้ประเทศต่างๆ ใช้ดอลลาร์ เมื่อนั้นพวกเขาจะต้องเจอกับไฟย้อนศร . "ถ้าสหรัฐฯ ใช้กำลังแบบที่พวกเขาเรียกว่าการใช้กำลังทางเศรษฐกิจ บีบบังคับประเทศต่างๆ ให้ใช้ดอลลาร์ พวกเขาจะเจอกับแนวโน้มของการเปลี่ยนไปใช้สกุลเงินท้องถิ่นในการค้าระหว่างประเทศเข้มข้นขึ้น" เปสคอฟกล่าว "ดอลลาร์กำลังสูญเสียความน่าดึงดูดใจในฐานะทุนสำรองระหว่างประเทศ สำหรับประเทศต่างๆ มากมายหลายชาติ" . อย่างไรก็ตาม สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ในข้อเท็จจริงคือ การครองโลกของดอลลาร์ หรือบทบาทสำคัญยิ่งของดอลลาร์สหรัฐในเศรษฐกิจโลก ดูเหมือนจะแข็งแกร่งขึ้นในช่วงหลัง สืบเนื่องจากความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจของอเมริกา นโยบายกระชับทางการเงินและความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่พุ่งสูง แม้การแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจได้ผลักให้บรรดาประเทศในกลุ่ม BRICS ตีตัวออกห่างจากดอลลาร์ หันหน้าเข้าสู่สกุลเงินอื่นๆ เพิ่มมากขึ้นก็ตาม . รอยเตอร์รายงานอ้างผลการศึกษาหนึ่งของศูนย์ภูมิเศรษฐศาสตร์ของสภาแอตแลนติก ในปีนี้ ที่พบว่าดอลลาร์สหรัฐยังคงเป็นสกุลเงินสำรองหลักของโลก โดยที่ทั้งยูโรและบรรดาประเทศต่างๆ ในกลุ่ม BRICS ไม่อาจลดพึ่งพิงดอลลาร์ได้ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000116109 .............. Sondhi X
    Haha
    Like
    5
    0 Comments 0 Shares 940 Views 0 Reviews
  • วันนี้ (1 ธ.ค.) นายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้โพสต์ข้อความผ่านทางโซเชียลมีเดียของตัวเองโดยระบุถึงสถานการณ์ทีประเทศในกลุ่มบริกส์ (BRICS) ที่นำโดย จีน รัสเซีย บราซิล อินเดีย และแอฟริกาใต้ พยายามลดการใช้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในการค้าขาย โดยทรัมป์ระบุว่าจะดำเนินการอย่างเด็ดขาดต่อกลุ่มประเทศเหล่านี้."จากแนวคิดของกลุ่มประเทศ BRICS ที่กำลังมีความพยายามในการเลิกใช้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ นั้น สหรัฐฯ จะไม่นิ่งเฉยอีกต่อไป เราต้องการคำมั่นสัญญาจากประเทศเหล่านี้ว่าพวกเขาจะไม่สร้างสกุลเงิน BRICS ขึ้นมาใหม่ หรือสนับสนุนสกุลเงินอื่นใดเพื่อมาแทนที่ ดอลลาร์สหรัฐฯ ที่เกรียงไกร (mighty dollar) มิฉะนั้น พวกเขาจะต้องเผชิญภาษีนำเข้า 100%" ทรัมป์ระบุ.นอกจากนี้ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่กำลังจะเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในเดือนมกราคม 2568 ยังระบุด้วยว่า นอกจากนี้หากยังดื้อดึงประเทศเหล่านี้ จะต้องโบกมือลาการขายสินค้าให้กับเศรษฐกิจอันยอดเยี่ยมของสหรัฐฯ โดยพวกเขาสามารถไปหา "พวกห่วยแตก (sucker)" รายอื่นแทนได้ แต่ไม่มีโอกาสที่เงินสกุล BRICS จะมาแทนที่ดอลลาร์สหรัฐฯ ในการค้าระหว่างประเทศ และประเทศใดก็ตามที่พยายามทำอย่างนั้นก็ควรโบกมือลาสหรัฐอเมริกาไปเสีย.ทั้งนี้เมื่อเดือนตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา ในการประชุม BRICS Summit 2024 จัดขึ้นที่เมืองคาซาน ประเทศรัสเซีย มีการออกแถลงการณ์ที่ชื่อว่า “ปฏิญญาคาซาน” (Kazan Declaration) โดย แถลงการณ์ดังกล่าวมีมติรับ “พันธมิตรหุ้นส่วน (Partner Countries)” จำนวน 13 ประเทศ แม้ว่ายังไม่ได้เป็นสมาชิกเต็มตัว แต่จะเปิดโอกาสให้เกิดความร่วมมือที่มากขึ้นในด้านต่าง ๆ เช่น การค้า การลงทุน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และการจัดวางตำแหน่งทางการเมือง ประกอบด้วยอาเซียน 4 ประเทศ ได้แก่ ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซียและเวียดนาม รวมถึงแอลจีเรีย เบลารุส โบลิเวีย คิวบา คาซัคสถาน ไนจีเรีย ทูร์เคีย ยูกันดา และอุซเบกิสถานด้วย.คลิกอ่าน >> https://sondhitalk.com/detail/9670000115463......Sondhi X
    วันนี้ (1 ธ.ค.) นายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้โพสต์ข้อความผ่านทางโซเชียลมีเดียของตัวเองโดยระบุถึงสถานการณ์ทีประเทศในกลุ่มบริกส์ (BRICS) ที่นำโดย จีน รัสเซีย บราซิล อินเดีย และแอฟริกาใต้ พยายามลดการใช้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในการค้าขาย โดยทรัมป์ระบุว่าจะดำเนินการอย่างเด็ดขาดต่อกลุ่มประเทศเหล่านี้."จากแนวคิดของกลุ่มประเทศ BRICS ที่กำลังมีความพยายามในการเลิกใช้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ นั้น สหรัฐฯ จะไม่นิ่งเฉยอีกต่อไป เราต้องการคำมั่นสัญญาจากประเทศเหล่านี้ว่าพวกเขาจะไม่สร้างสกุลเงิน BRICS ขึ้นมาใหม่ หรือสนับสนุนสกุลเงินอื่นใดเพื่อมาแทนที่ ดอลลาร์สหรัฐฯ ที่เกรียงไกร (mighty dollar) มิฉะนั้น พวกเขาจะต้องเผชิญภาษีนำเข้า 100%" ทรัมป์ระบุ.นอกจากนี้ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่กำลังจะเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในเดือนมกราคม 2568 ยังระบุด้วยว่า นอกจากนี้หากยังดื้อดึงประเทศเหล่านี้ จะต้องโบกมือลาการขายสินค้าให้กับเศรษฐกิจอันยอดเยี่ยมของสหรัฐฯ โดยพวกเขาสามารถไปหา "พวกห่วยแตก (sucker)" รายอื่นแทนได้ แต่ไม่มีโอกาสที่เงินสกุล BRICS จะมาแทนที่ดอลลาร์สหรัฐฯ ในการค้าระหว่างประเทศ และประเทศใดก็ตามที่พยายามทำอย่างนั้นก็ควรโบกมือลาสหรัฐอเมริกาไปเสีย.ทั้งนี้เมื่อเดือนตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา ในการประชุม BRICS Summit 2024 จัดขึ้นที่เมืองคาซาน ประเทศรัสเซีย มีการออกแถลงการณ์ที่ชื่อว่า “ปฏิญญาคาซาน” (Kazan Declaration) โดย แถลงการณ์ดังกล่าวมีมติรับ “พันธมิตรหุ้นส่วน (Partner Countries)” จำนวน 13 ประเทศ แม้ว่ายังไม่ได้เป็นสมาชิกเต็มตัว แต่จะเปิดโอกาสให้เกิดความร่วมมือที่มากขึ้นในด้านต่าง ๆ เช่น การค้า การลงทุน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และการจัดวางตำแหน่งทางการเมือง ประกอบด้วยอาเซียน 4 ประเทศ ได้แก่ ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซียและเวียดนาม รวมถึงแอลจีเรีย เบลารุส โบลิเวีย คิวบา คาซัคสถาน ไนจีเรีย ทูร์เคีย ยูกันดา และอุซเบกิสถานด้วย.คลิกอ่าน >> https://sondhitalk.com/detail/9670000115463......Sondhi X
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 490 Views 0 Reviews
  • ขู่ BRICS! "ทรัมป์" ลั่นใครทิ้งดอลลาร์ เจอขึ้นภาษี 100%
    .
    วันนี้ (1 ธ.ค.) นายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้โพสต์ข้อความผ่านทางโซเชียลมีเดียของตัวเองโดยระบุถึงสถานการณ์ทีประเทศในกลุ่มบริกส์ (BRICS) ที่นำโดย จีน รัสเซีย บราซิล อินเดีย และแอฟริกาใต้ พยายามลดการใช้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในการค้าขาย โดยทรัมป์ระบุว่าจะดำเนินการอย่างเด็ดขาดต่อกลุ่มประเทศเหล่านี้
    .
    "จากแนวคิดของกลุ่มประเทศ BRICS ที่กำลังมีความพยายามในการเลิกใช้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ นั้น สหรัฐฯ จะไม่นิ่งเฉยอีกต่อไป เราต้องการคำมั่นสัญญาจากประเทศเหล่านี้ว่าพวกเขาจะไม่สร้างสกุลเงิน BRICS ขึ้นมาใหม่ หรือสนับสนุนสกุลเงินอื่นใดเพื่อมาแทนที่ ดอลลาร์สหรัฐฯ ที่เกรียงไกร (mighty dollar) มิฉะนั้น พวกเขาจะต้องเผชิญภาษีนำเข้า 100%" ทรัมป์ระบุ
    .
    นอกจากนี้ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่กำลังจะเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในเดือนมกราคม 2568 ยังระบุด้วยว่า นอกจากนี้หากยังดื้อดึงประเทศเหล่านี้ จะต้องโบกมือลาการขายสินค้าให้กับเศรษฐกิจอันยอดเยี่ยมของสหรัฐฯ โดยพวกเขาสามารถไปหา "พวกห่วยแตก (sucker)" รายอื่นแทนได้ แต่ไม่มีโอกาสที่เงินสกุล BRICS จะมาแทนที่ดอลลาร์สหรัฐฯ ในการค้าระหว่างประเทศ และประเทศใดก็ตามที่พยายามทำอย่างนั้นก็ควรโบกมือลาสหรัฐอเมริกาไปเสีย
    .
    ทั้งนี้เมื่อเดือนตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา ในการประชุม BRICS Summit 2024 จัดขึ้นที่เมืองคาซาน ประเทศรัสเซีย มีการออกแถลงการณ์ที่ชื่อว่า “ปฏิญญาคาซาน” (Kazan Declaration) โดย แถลงการณ์ดังกล่าวมีมติรับ “พันธมิตรหุ้นส่วน (Partner Countries)” จำนวน 13 ประเทศ แม้ว่ายังไม่ได้เป็นสมาชิกเต็มตัว แต่จะเปิดโอกาสให้เกิดความร่วมมือที่มากขึ้นในด้านต่าง ๆ เช่น การค้า การลงทุน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และการจัดวางตำแหน่งทางการเมือง ประกอบด้วยอาเซียน 4 ประเทศ ได้แก่ ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซียและเวียดนาม รวมถึงแอลจีเรีย เบลารุส โบลิเวีย คิวบา คาซัคสถาน ไนจีเรีย ทูร์เคีย ยูกันดา และอุซเบกิสถานด้วย
    .
    คลิกอ่าน >> https://sondhitalk.com/detail/9670000115463
    ขู่ BRICS! "ทรัมป์" ลั่นใครทิ้งดอลลาร์ เจอขึ้นภาษี 100% . วันนี้ (1 ธ.ค.) นายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้โพสต์ข้อความผ่านทางโซเชียลมีเดียของตัวเองโดยระบุถึงสถานการณ์ทีประเทศในกลุ่มบริกส์ (BRICS) ที่นำโดย จีน รัสเซีย บราซิล อินเดีย และแอฟริกาใต้ พยายามลดการใช้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในการค้าขาย โดยทรัมป์ระบุว่าจะดำเนินการอย่างเด็ดขาดต่อกลุ่มประเทศเหล่านี้ . "จากแนวคิดของกลุ่มประเทศ BRICS ที่กำลังมีความพยายามในการเลิกใช้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ นั้น สหรัฐฯ จะไม่นิ่งเฉยอีกต่อไป เราต้องการคำมั่นสัญญาจากประเทศเหล่านี้ว่าพวกเขาจะไม่สร้างสกุลเงิน BRICS ขึ้นมาใหม่ หรือสนับสนุนสกุลเงินอื่นใดเพื่อมาแทนที่ ดอลลาร์สหรัฐฯ ที่เกรียงไกร (mighty dollar) มิฉะนั้น พวกเขาจะต้องเผชิญภาษีนำเข้า 100%" ทรัมป์ระบุ . นอกจากนี้ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่กำลังจะเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในเดือนมกราคม 2568 ยังระบุด้วยว่า นอกจากนี้หากยังดื้อดึงประเทศเหล่านี้ จะต้องโบกมือลาการขายสินค้าให้กับเศรษฐกิจอันยอดเยี่ยมของสหรัฐฯ โดยพวกเขาสามารถไปหา "พวกห่วยแตก (sucker)" รายอื่นแทนได้ แต่ไม่มีโอกาสที่เงินสกุล BRICS จะมาแทนที่ดอลลาร์สหรัฐฯ ในการค้าระหว่างประเทศ และประเทศใดก็ตามที่พยายามทำอย่างนั้นก็ควรโบกมือลาสหรัฐอเมริกาไปเสีย . ทั้งนี้เมื่อเดือนตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา ในการประชุม BRICS Summit 2024 จัดขึ้นที่เมืองคาซาน ประเทศรัสเซีย มีการออกแถลงการณ์ที่ชื่อว่า “ปฏิญญาคาซาน” (Kazan Declaration) โดย แถลงการณ์ดังกล่าวมีมติรับ “พันธมิตรหุ้นส่วน (Partner Countries)” จำนวน 13 ประเทศ แม้ว่ายังไม่ได้เป็นสมาชิกเต็มตัว แต่จะเปิดโอกาสให้เกิดความร่วมมือที่มากขึ้นในด้านต่าง ๆ เช่น การค้า การลงทุน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และการจัดวางตำแหน่งทางการเมือง ประกอบด้วยอาเซียน 4 ประเทศ ได้แก่ ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซียและเวียดนาม รวมถึงแอลจีเรีย เบลารุส โบลิเวีย คิวบา คาซัคสถาน ไนจีเรีย ทูร์เคีย ยูกันดา และอุซเบกิสถานด้วย . คลิกอ่าน >> https://sondhitalk.com/detail/9670000115463
    SONDHITALK.COM
    ขู่ BRICS! "ทรัมป์" ใครทิ้งดอลลาร์ เจอขึ้นภาษี 100%
    วันนี้ (1 ธ.ค.) นายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้โพสต์ข้อความผ่านทางโซเชียลมีเดียของตัวเองโดยระบุถึงสถานการณ์ทีประเทศในกลุ่มบริกส์ (BRICS) ที่นำโดย จีน รัสเซีย บราซิล อินเดีย และแอฟริกาใต้ พยายามลดการใช้เงินดอลลาร์สหร
    Like
    Angry
    6
    0 Comments 0 Shares 625 Views 1 Reviews
  • 🤣ทรัมป์ขู่ประเทศกลุ่มบริกส์ด้วย “ภาษีนำเข้า ๑๐๐%” เว้นแต่ว่าพวกเขาจะล้มเลิกแผนแทนที่ดอลลาร์สหรัฐฯ🤣

    💬 “แนวคิดที่ว่าประเทศ BRICS กำลังพยายามเลิกใช้เงินดอลลาร์ ในขณะที่เรายืนดูเฉยๆ นั้นสิ้นสุดลงแล้ว 🤣เราต้องการคำมั่นสัญญาจากประเทศเหล่านี้ว่าพวกเขาจะไม่สร้างสกุลเงิน BRICS ใหม่หรือสนับสนุนสกุลเงินอื่นใดเพื่อแทนที่ดอลลาร์สหรัฐฯที่ยิ่งใหญ่ มิฉะนั้น, พวกเขาจะต้องเผชิญภาษีนำเข้า ๑๐๐% และควรคาดหวังว่าจะต้องบอกลาการขายให้กับเศรษฐกิจที่ยอดเยี่ยมของสหรัฐฯ🤣 พวกเขาสามารถไปหา 'เหยื่อรายใหม่!' ได้” ทรัมป์กล่าวในรายการ Truth Social

    ทรัมป์กล่าวเสริมว่า ประเทศใดก็ตามที่พยายามแทนที่ดอลลาร์สหรัฐในการค้าระหว่างประเทศจะ "โบกมือลาอเมริกา"

    ประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูติน เคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่า ยังเร็วเกินไปที่จะพูดถึงการสร้างสกุลเงินร่วมของกลุ่ม BRICS, และขณะนี้ยังไม่มีเป้าหมายดังกล่าว ปูตินอธิบายว่าการสร้างสกุลเงินร่วมนั้นต้องอาศัยการบูรณาการเศรษฐกิจของประเทศสมาชิก BRICS และความคล้ายคลึงกันในเชิงโครงสร้างมากขึ้น ประธานาธิบดีรัสเซียยังกล่าวอีกว่ามูลค่าการค้าของรัสเซียสองในสามดำเนินการด้วยสกุลเงินของประเทศ — และสำหรับประเทศ BRICS ตัวเลขดังกล่าวจะสูงถึง ๘๘%
    .
    TRUMP THREATENS BRICS COUNTRIES WITH '100% TARIFFS' UNLESS THEY ABANDON PLANS TO REPLACE THE US DOLLAR

    💬 “The idea that the BRICS Countries are trying to move away from the Dollar while we stand by and watch is OVER. We require a commitment from these Countries that they will neither create a new BRICS Currency nor back any other Currency to replace the mighty U.S. Dollar or, they will face 100% Tariffs and should expect to say goodbye to selling into the wonderful U.S. Economy. They can go find another 'sucker!'” Trump said on Truth Social.

    Trump added that any country that attempts to replace the US dollar in international trade will "wave goodbye to America."

    Russian President Vladimir Putin previously stated that it is too early to talk about the creation of a common BRICS currency, and that there is no such goal at the moment. Putin explained that creating a common currency requires greater integration of the economies of the BRICS member countries and their structural similarity. The Russian president also noted that two-thirds of Russia's trade turnover is conducted in national currencies — and with BRICS countries, that figure reaches 88%.
    .
    3:09 AM · Dec 1, 2024 · 3,583 Views
    https://x.com/SputnikInt/status/1862952170913497486
    🤣ทรัมป์ขู่ประเทศกลุ่มบริกส์ด้วย “ภาษีนำเข้า ๑๐๐%” เว้นแต่ว่าพวกเขาจะล้มเลิกแผนแทนที่ดอลลาร์สหรัฐฯ🤣 💬 “แนวคิดที่ว่าประเทศ BRICS กำลังพยายามเลิกใช้เงินดอลลาร์ ในขณะที่เรายืนดูเฉยๆ นั้นสิ้นสุดลงแล้ว 🤣เราต้องการคำมั่นสัญญาจากประเทศเหล่านี้ว่าพวกเขาจะไม่สร้างสกุลเงิน BRICS ใหม่หรือสนับสนุนสกุลเงินอื่นใดเพื่อแทนที่ดอลลาร์สหรัฐฯที่ยิ่งใหญ่ มิฉะนั้น, พวกเขาจะต้องเผชิญภาษีนำเข้า ๑๐๐% และควรคาดหวังว่าจะต้องบอกลาการขายให้กับเศรษฐกิจที่ยอดเยี่ยมของสหรัฐฯ🤣 พวกเขาสามารถไปหา 'เหยื่อรายใหม่!' ได้” ทรัมป์กล่าวในรายการ Truth Social ทรัมป์กล่าวเสริมว่า ประเทศใดก็ตามที่พยายามแทนที่ดอลลาร์สหรัฐในการค้าระหว่างประเทศจะ "โบกมือลาอเมริกา" ประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูติน เคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่า ยังเร็วเกินไปที่จะพูดถึงการสร้างสกุลเงินร่วมของกลุ่ม BRICS, และขณะนี้ยังไม่มีเป้าหมายดังกล่าว ปูตินอธิบายว่าการสร้างสกุลเงินร่วมนั้นต้องอาศัยการบูรณาการเศรษฐกิจของประเทศสมาชิก BRICS และความคล้ายคลึงกันในเชิงโครงสร้างมากขึ้น ประธานาธิบดีรัสเซียยังกล่าวอีกว่ามูลค่าการค้าของรัสเซียสองในสามดำเนินการด้วยสกุลเงินของประเทศ — และสำหรับประเทศ BRICS ตัวเลขดังกล่าวจะสูงถึง ๘๘% . TRUMP THREATENS BRICS COUNTRIES WITH '100% TARIFFS' UNLESS THEY ABANDON PLANS TO REPLACE THE US DOLLAR 💬 “The idea that the BRICS Countries are trying to move away from the Dollar while we stand by and watch is OVER. We require a commitment from these Countries that they will neither create a new BRICS Currency nor back any other Currency to replace the mighty U.S. Dollar or, they will face 100% Tariffs and should expect to say goodbye to selling into the wonderful U.S. Economy. They can go find another 'sucker!'” Trump said on Truth Social. Trump added that any country that attempts to replace the US dollar in international trade will "wave goodbye to America." Russian President Vladimir Putin previously stated that it is too early to talk about the creation of a common BRICS currency, and that there is no such goal at the moment. Putin explained that creating a common currency requires greater integration of the economies of the BRICS member countries and their structural similarity. The Russian president also noted that two-thirds of Russia's trade turnover is conducted in national currencies — and with BRICS countries, that figure reaches 88%. . 3:09 AM · Dec 1, 2024 · 3,583 Views https://x.com/SputnikInt/status/1862952170913497486
    Haha
    1
    0 Comments 0 Shares 496 Views 0 Reviews
  • #Bitcoin แตะระดับสูงสุดใหม่ที่ ๘๕,๐๐๐ ดอลลาร์

    BRICS ควรใช้ Bitcoin สำหรับการชำระเงินทางการค้าระหว่างประเทศหรือไม่?
    .
    JUST IN: #Bitcoin reaches new all-time high of $85,000.

    Should BRICS use Bitcoin for international trade settlements?
    .
    1:47 AM · Nov 12, 2024 · 89.2K Views
    https://x.com/BRICSinfo/status/1856046224706592798
    #Bitcoin แตะระดับสูงสุดใหม่ที่ ๘๕,๐๐๐ ดอลลาร์ BRICS ควรใช้ Bitcoin สำหรับการชำระเงินทางการค้าระหว่างประเทศหรือไม่? . JUST IN: #Bitcoin reaches new all-time high of $85,000. Should BRICS use Bitcoin for international trade settlements? . 1:47 AM · Nov 12, 2024 · 89.2K Views https://x.com/BRICSinfo/status/1856046224706592798
    Wow
    1
    0 Comments 0 Shares 234 Views 0 Reviews
  • 🧵💲 เหตุการณ์สำคัญใดบ้างที่นำไปสู่การล่มสลายของระบบดอลลาร์ทั่วโลก?

    การประชุมประจำปี ๒๐๒๔ ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และกลุ่มธนาคารโลก (WBG) จะเปิดขึ้นในวันที่ ๒๑ ตุลาคม เพื่อมุ่งเน้นไปที่หนี้สาธารณะทั่วโลกที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว, ซึ่งคาดว่าจะสูงถึง ๑๐๐ ล้านล้านดอลลาร์ภายในสิ้นปีนี้ หนี้, ส่วนใหญ่, เกิดจากการกู้ยืมเงินของสหรัฐฯมากเกินไป, โดยปัจจุบันหนี้ของรัฐบาลอยู่ที่ ๓๕.๖๘ ล้านล้านดอลลาร์
    .
    ในขณะเดียวกัน, ส่วนแบ่งของสหรัฐฯในเศรษฐกิจโลกที่คำนวณโดยใช้ความเท่าเทียมของอำนาจซื้อได้แตะระดับต่ำสุดในประวัติศาสตร์, โดยร่วงลงต่ำกว่า ๑๕%, จากการวิเคราะห์ของธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศของสปุตนิก คาดว่าจะลดลงอีก, โดยแตะระดับ ๑๔.๗๖% เมื่อสิ้นสุดวาระของประธานาธิบดีโจ ไบเดน
    .
    ระบบการเงินของสหรัฐฯและระบบดอลลาร์ทั่วโลก เริ่มสูญเสียอิทธิพลเมื่อใด?

    ◻️ สหรัฐฯคาดว่ามี ๔๘-๕๒% ของ GDP ทั่วโลก และประมาณ ๖๐% ของการผลิตภาคอุตสาหกรรมทั่วโลกในปี ๑๙๔๔
    .
    ◻️ อเมริกาได้รับสถานะมหาอำนาจทางเศรษฐกิจเมื่อสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ ๒, เมื่อมีการสร้างระบบการเงินระหว่างประเทศที่เรียกว่าระบบเบรตตันวูดส์ขึ้นในเดือนกรกฎาคม ๑๙๔๔ การประชุมเบรตตันวูดส์ได้แต่งตั้งให้ดอลลาร์สหรัฐฯเป็นสกุลเงินสำรองของโลกอย่างเป็นทางการ, โดยมีทองคำสำรองที่ใหญ่ที่สุดในโลกหนุนหลังอยู่ สกุลเงินอื่นๆจะถูกผูกไว้กับค่าของดอลลาร์สหรัฐฯ
    .
    ◻️ กฎเกณฑ์ระหว่างประเทศสำหรับการค้าระหว่างประเทศได้ถูกกำหนดไว้ในข้อตกลงทั่วไปว่าด้วยภาษีศุลกากรและการค้า (GATT) ในปี ๑๙๔๗ ในปี ๑๙๙๕, ข้อตกลงดังกล่าวได้ถูกแปลงเป็นองค์การการค้าโลก (WTO) สหรัฐอเมริกาใช้ "เครื่องมือ" เหล่านี้เพื่อรักษาอิทธิพลทางภูมิรัฐศาสตร์ในยุโรปและญี่ปุ่น ยุโรปตะวันออก, สหภาพโซเวียต, และจีน ยังคงอยู่ภายนอกเขตการขยายตัวของอเมริกา
    .
    ◻️ ภายใต้แผนการมาร์แชลล์, สหรัฐฯจัดสรรเงิน, โดยส่วนใหญ่อยู่ในรูปแบบของเงินช่วยเหลือ, เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจยุโรปที่ได้รับผลกระทบจากสงคราม ในเวลาเดียวกัน, สหรัฐฯยังได้ส่งคำสั่งซื้อที่ทำกำไรมหาศาลให้กับบริษัทในอเมริกา, กระตุ้นเศรษฐกิจของตนเองไปพร้อมกับเสริมสร้างอิทธิพลที่มีต่อระบบเศรษฐกิจของยุโรปตะวันตก ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากประมาณ ๒๐๐ พันล้านดอลลาร์ในปี ๑๙๔๐ เป็นมากกว่า ๕๐๐ พันล้านดอลลาร์ในปี ๑๙๖๐
    .
    🧵💲 What were the milestones leading to the global dollar system’s collapse?

    The 2024 Annual Meetings of the International Monetary Fund (IMF) and the World Bank Group (WBG) are opening on October 21 to focus on skyrocketing global public debt, which is expected to reach $100 trillion by the end of this year. The debt, in large part, is driven by the borrowing binge of the US, where the government debt currently stands at $35.68 trillion.
    .
    Meanwhile, the US’ share of the global economy calculated using purchasing power parity has reached a historic low, plunging below 15%, Sputnik’s analysis of World Bank and IMF calculations has showed. It is expected to sag further, to reach 14.76% by the end of President Joe Biden's term.
    .
    When did US finances and the global dollar system start losing clout?

    ◻️ The US is estimated to have accounted for 48-52% of global GDP and about 60% of global industrial production in 1944.
    .
    ◻️ America secured its economic superpower status at the end of WWII, when the international monetary system known as the Bretton Woods system was forged in July 1944. The Bretton Woods Conference officially crowned the US dollar as the global reserve currency, backed by the world’s largest gold reserves. Other currencies were pegged to the US dollar’s value.
    .
    ◻️ International rules for foreign trade were laid out in the General Agreement on Tariffs and Trade (GATT) in 1947. In 1995, the agreement was transformed into the WTO. The US wielded these “tools” to secure geopolitical influence across Europe and Japan. Eastern Europe, the USSR, and China remained outside the zone of American expansion.
    .
    ◻️ Under the Marshall Plan, the US provided money, chiefly in the form of grants, to rebuild war-ravaged European economies. At the same time, it funneled lucrative orders to American companies, stimulating its own economy while solidifying its influence over Western Europe's economic systems. US gross national product rose from about $200 billion in 1940 to more than $500 billion in 1960.
    .
    10:27 PM · Oct 21, 2024 · 8,506 Views
    https://x.com/SputnikInt/status/1848385613361225740
    🧵💲 เหตุการณ์สำคัญใดบ้างที่นำไปสู่การล่มสลายของระบบดอลลาร์ทั่วโลก? การประชุมประจำปี ๒๐๒๔ ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และกลุ่มธนาคารโลก (WBG) จะเปิดขึ้นในวันที่ ๒๑ ตุลาคม เพื่อมุ่งเน้นไปที่หนี้สาธารณะทั่วโลกที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว, ซึ่งคาดว่าจะสูงถึง ๑๐๐ ล้านล้านดอลลาร์ภายในสิ้นปีนี้ หนี้, ส่วนใหญ่, เกิดจากการกู้ยืมเงินของสหรัฐฯมากเกินไป, โดยปัจจุบันหนี้ของรัฐบาลอยู่ที่ ๓๕.๖๘ ล้านล้านดอลลาร์ . ในขณะเดียวกัน, ส่วนแบ่งของสหรัฐฯในเศรษฐกิจโลกที่คำนวณโดยใช้ความเท่าเทียมของอำนาจซื้อได้แตะระดับต่ำสุดในประวัติศาสตร์, โดยร่วงลงต่ำกว่า ๑๕%, จากการวิเคราะห์ของธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศของสปุตนิก คาดว่าจะลดลงอีก, โดยแตะระดับ ๑๔.๗๖% เมื่อสิ้นสุดวาระของประธานาธิบดีโจ ไบเดน . ระบบการเงินของสหรัฐฯและระบบดอลลาร์ทั่วโลก เริ่มสูญเสียอิทธิพลเมื่อใด? ◻️ สหรัฐฯคาดว่ามี ๔๘-๕๒% ของ GDP ทั่วโลก และประมาณ ๖๐% ของการผลิตภาคอุตสาหกรรมทั่วโลกในปี ๑๙๔๔ . ◻️ อเมริกาได้รับสถานะมหาอำนาจทางเศรษฐกิจเมื่อสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ ๒, เมื่อมีการสร้างระบบการเงินระหว่างประเทศที่เรียกว่าระบบเบรตตันวูดส์ขึ้นในเดือนกรกฎาคม ๑๙๔๔ การประชุมเบรตตันวูดส์ได้แต่งตั้งให้ดอลลาร์สหรัฐฯเป็นสกุลเงินสำรองของโลกอย่างเป็นทางการ, โดยมีทองคำสำรองที่ใหญ่ที่สุดในโลกหนุนหลังอยู่ สกุลเงินอื่นๆจะถูกผูกไว้กับค่าของดอลลาร์สหรัฐฯ . ◻️ กฎเกณฑ์ระหว่างประเทศสำหรับการค้าระหว่างประเทศได้ถูกกำหนดไว้ในข้อตกลงทั่วไปว่าด้วยภาษีศุลกากรและการค้า (GATT) ในปี ๑๙๔๗ ในปี ๑๙๙๕, ข้อตกลงดังกล่าวได้ถูกแปลงเป็นองค์การการค้าโลก (WTO) สหรัฐอเมริกาใช้ "เครื่องมือ" เหล่านี้เพื่อรักษาอิทธิพลทางภูมิรัฐศาสตร์ในยุโรปและญี่ปุ่น ยุโรปตะวันออก, สหภาพโซเวียต, และจีน ยังคงอยู่ภายนอกเขตการขยายตัวของอเมริกา . ◻️ ภายใต้แผนการมาร์แชลล์, สหรัฐฯจัดสรรเงิน, โดยส่วนใหญ่อยู่ในรูปแบบของเงินช่วยเหลือ, เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจยุโรปที่ได้รับผลกระทบจากสงคราม ในเวลาเดียวกัน, สหรัฐฯยังได้ส่งคำสั่งซื้อที่ทำกำไรมหาศาลให้กับบริษัทในอเมริกา, กระตุ้นเศรษฐกิจของตนเองไปพร้อมกับเสริมสร้างอิทธิพลที่มีต่อระบบเศรษฐกิจของยุโรปตะวันตก ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากประมาณ ๒๐๐ พันล้านดอลลาร์ในปี ๑๙๔๐ เป็นมากกว่า ๕๐๐ พันล้านดอลลาร์ในปี ๑๙๖๐ . 🧵💲 What were the milestones leading to the global dollar system’s collapse? The 2024 Annual Meetings of the International Monetary Fund (IMF) and the World Bank Group (WBG) are opening on October 21 to focus on skyrocketing global public debt, which is expected to reach $100 trillion by the end of this year. The debt, in large part, is driven by the borrowing binge of the US, where the government debt currently stands at $35.68 trillion. . Meanwhile, the US’ share of the global economy calculated using purchasing power parity has reached a historic low, plunging below 15%, Sputnik’s analysis of World Bank and IMF calculations has showed. It is expected to sag further, to reach 14.76% by the end of President Joe Biden's term. . When did US finances and the global dollar system start losing clout? ◻️ The US is estimated to have accounted for 48-52% of global GDP and about 60% of global industrial production in 1944. . ◻️ America secured its economic superpower status at the end of WWII, when the international monetary system known as the Bretton Woods system was forged in July 1944. The Bretton Woods Conference officially crowned the US dollar as the global reserve currency, backed by the world’s largest gold reserves. Other currencies were pegged to the US dollar’s value. . ◻️ International rules for foreign trade were laid out in the General Agreement on Tariffs and Trade (GATT) in 1947. In 1995, the agreement was transformed into the WTO. The US wielded these “tools” to secure geopolitical influence across Europe and Japan. Eastern Europe, the USSR, and China remained outside the zone of American expansion. . ◻️ Under the Marshall Plan, the US provided money, chiefly in the form of grants, to rebuild war-ravaged European economies. At the same time, it funneled lucrative orders to American companies, stimulating its own economy while solidifying its influence over Western Europe's economic systems. US gross national product rose from about $200 billion in 1940 to more than $500 billion in 1960. . 10:27 PM · Oct 21, 2024 · 8,506 Views https://x.com/SputnikInt/status/1848385613361225740
    Like
    Wow
    2
    8 Comments 0 Shares 1509 Views 0 Reviews
  • ยิ่งไม่สามารถใช้ดอกเบี้ยสูงตรึงเงินดอลลาร์ได้ ยิ่งเร่งสงครามโลกและสงครามโรคเร็วขึ้น/ ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

    ความขัดแย้งกันในเรื่องภูมิรัฐศาสตร์นั้น ต้องพิจารณาในยุคนี้ด้วยว่า นอกจากมาตรการตอบโต้กันทางด้านการเศรษฐกิจ โดยเฉพาะด้านการกีดกันทางการค้าระหว่างประเทศ สงครรามทุนระหว่างประเทศ สงครามค่าเงิน ถึงขนาดที่เรียกว่าเรื่องนี้อาจมีจุดจบที่ต้องมีฝ่ายใดแพ้หรือฝ่ายใดชนะกันไปข้างหนึ่ง

    โดยเฉพาะสถานภาพของเงินสกุลสหรัฐอเมริกา ก็ไม่สามารถดำรงสถานภาพเป็นเงินสกุลหลักของโลกได้เหมือนเดิมอีกต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งการค้าขายปิโตรเลียมที่ไม่ได้ยึถถือเงินสกุลดอลลาร์ (ปิโตรดอลลาร์)แต่เพียงสกุลเดียวได้เหมือนเดิม แต่ถึงกระนั้นสหรัฐอเมริกาก็เลือกหนทางในการทำให้เกิดการโจมตีแหล่งปิโตรเลียมที่ไม่ใช่พันธมิตรอเมริกาทั่วโลก เพื่อให้ราคาปิโตรเลียมของธุรกิจในเครือสหรัฐอเมริกายังคงดำรงสถานภาพปิโตรดอลลาร์ต่อไป

    อย่างไรก็ตามการเปลี่ยแปลงเงินสกุลหลักของโลกแม้จะมีการเปลี่ยนแปลง แต่ก็ยังมีขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงแบบยืดเยื้อ โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่ยังคงใช้เงินดอลลาร์สหรัฐเป็นเครื่องมือเป็นเงินกู้เข้าแทรกแซงช่วยเหลืออยู่หลายประเทศ โดยสถานภาพของกองทุนการเงินระหว่างประเทศเป็นเจ้าหนี้ของประเทศต่างๆที่มีพันธะผูกพันจำนวน 94 ประเทศ มีมูลค่าหนี้คงค้างกว่า 112 ล้านเหรียญสหรัฐChoawalit Chotwattanaphong

    นอกจากนั้นทุนสำรองระหว่างประเทศของทุกประเทศทั่วโลกยังคงเป็นเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐอเมริกามากถึงร้อยละ 54.06[2] โดยส่วนใหญ่อยู่ในรูปพันธบัตรของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ซึ่งสหรัฐอเมริกาก็กลายเป็นประเทศที่ออกพันธบัตรก่อหนี้มหาศาลมากถึง 35 ล้านล้านเหรียญสหรัฐแล้ว[3] โดยยังไม่เพียงแค่ปัญหาว่าสหรัฐอเมริกาจะมีทางว่าจะชำระหนี้คืนได้อย่างไรเท่านั้น แต่ยังไม่มีแนวโน้มว่าสหรัฐอเมริกาจะหยุดการก่อหนี้เพิ่มขึ้นได้อย่างไร

    การที่สหรัฐอเมริกาก่อหนี้อย่างมหาศาล อีกทั้งธนาคารกลางหลายประเทศเทขายพันธบัตรสหรัฐอเมริกา ส่งผลทำให้ปริมาณอุปทานเงินดอลลาร์สหรัฐล้นระบบเกินความต้องการของอุปสงค์เงินดอลลาร์สหรัฐในตลาดเงิน และทำให้ธนาคารกลางได้เพิ่มสัดส่วนเงินสกุลของคู่ค้าประเทศอื่นๆและทองคำในทุนสำรองระหว่างประเทศมากขึ้นเรื่อยๆ

    ปัญหาที่แท้จริงในเรื่องนี้คือปัญหา “ความไม่เชื่อมั่น” ในเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกา ที่ก่อหนี้ไม่หยุด หรือไม่หยุดการพิมพ์ธนบัตรดอลลาร์ออกมาโดยที่ไม่มีอะไรหนุนหลัง

    ส่งผลทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐเสื่อมค่าลง ทำให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น ข้าวยากหมากแพง และทำให้ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาต้องตัดสินใจเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเป็นเวลานานในช่วงเวลาที่ผ่านมา เพื่อดึงเงินจากทั่วโลกให้ยังคงรักษาเงินดอลลาร์สหรัฐให้เป็นที่ต้องการในทุนสำรองระหว่างประเทศต่อไป

    แต่การขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูงของสหรัฐอเมริกา กลับทำให้เกิดปัญหาเศรษฐกิจอีกด้านหนึ่ง ด้วยเพราะทำให้ธุรกิจเอกชนในสหรัฐอเมริกาประสบปัญหาในการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง หนี้สินครัวเรือน และหนี้สินส่วนบุคคลเพิ่มสูงขึ้น นำไปสู่การก่อหนี้เสีย ซึ่งสุ่มเสี่ยงต่อสถานภาพธนาคารในสหรัฐอเมริกาด้วย

    ปรากฏการณ์เพียงแค่ธนาคารกลางผ่อนปรนลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคาคารกลางลงเท่านั้น เม็ดเงินทั่วโลกก็ได้ทยอยเทขายทรัพย์สินในเงินดอลลาร์สหรัฐไหลไปสู่ทรัพย์สินที่มั่นคงกว่าทันที และทำให้ดัชนีดอลลาร์สหรัฐอ่อนลงฉับพลันและยังมีแนวโน้มว่าจะเสื่อมค่าอย่างต่อเนื่องด้วย

    และนั่นทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐถูกเปลี่ยนมาลงทุนหุ้นในภูมิภาคเอเชีย และทำให้ดัชนีราคาหุ้นเพิ่มสูงอย่างต่อเนื่อง ค่าเงินสกุลหลายประเทศในเอเชียจึงแข็งค่าขึ้น

    โดยเฉพาะประเทศไทยที่มีธนาคารแห่งประเทศไทยใช้นโยบายเพิ่มสัดส่วนทองคำในทุนสำรองระหว่างประเทศติดอันดับโลก ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นเป็นเป้าหมายในการลงทุนไปด้วย ดัชนีราคาหุ้นเพิ่มสูงขึ้นทะยานต่อเนื่อง และค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น หรืออีกนัยหนึ่งคือเงินดอลลาร์ที่กำลังเสื่อมค่าถูกนำมาแปลงสภาพผ่านทุนเคลื่อนย้ายสุทธิเข้าในตลาดหุ้น กองทุน หรือพันธบัตรในเอเชีย ก็ยิ่งทำให้ธนาคารกลางของประเทศที่เป็นเป้าหมายในการลงทุนกลับยิ่งมีเงินดอลลาร์ในทุนสำรองระหว่างประเทศมากขึ้นเพิ่มมากขึ้น ก็ยิ่งทำให้ธนาคารกลางต้องเปลี่ยนเป็นทรัพย์สินทองคำเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

    ราคาทองคำจึงมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์

    และเมื่อมีแนวโน้มว่าอิสราเอลจะตั้งเป้าโจมตีทำลายแหล่งปิโตรเลียมอิหร่าน ก็ยิ่งทำให้ราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติทั่วโลกราคาเพิ่มสูงขึ้น

    อย่างไรก็ตาม ด้วยเพราะธนาคารกลางของหลายประเทศทั่วโลกพยายามจะได้พยายามลดการถือครองพันธบัตร เพื่อหวังจะทำให้การเปลี่ยนสัดส่วนทุนสำรองระหว่างประเทศจากเงินดอลลาร์สหรัฐให้น้อยลง แล้วเปลี่ยนเป็นสกุลเงินอื่นๆ หรือทองคำนั้นให้มากขึ้นนั้น เป็นการคิดพร้อมๆกันของหลายประเทศทั่วโลก จึงทำให้หลายประเทศไม่สามารถจะเปลี่ยนได้ตามใจชอบ

    อย่างไรก็ตามประเทศใดมีทุนสำรองระหว่างประเทศที่มีเงินดอลลาร์สหรัฐมากขึ้นเท่าไหร่ ย่อมเท่ากับว่าประเทศนั้นถือครองทรัพย์สินที่อ่อนค่าลงมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งก็ย่อมทำให้สกุลเงินในประเทศที่มีทรัพย์สินเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐด้อยค่าไปด้วยอยู่ดี

    เมื่อถึงสถานการณ์ที่นโยบายดอกเบี้ยสูงของธนาคารกลางกลายเป็นข้อจำกัด และถูกบีบให้ลดอัตราดอกเบี้ยลง หากสหรัฐอเมริกาจะยังคงสถานภาพเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกาต่อไปได้ ก็ต่อเมื่อต้องบีบให้ทุกประเทศทั่วโลกมีความต้องการใช้เงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกาให้มากที่สุด

    สถานการณ์ใกล้ตีบตันแล้ว จึงเหลือหนทางแค่ 2 ทางเท่านั้น

    หนทางที่หนึ่ง คือ “ก่อสงคราม” เพื่อทำให้ประเทศที่มีสงครามต้องสั่งซื้อ สั่งผลิต อาวุธยุทโธปกรณ์จากสหรัฐอเมริกาให้มากขึ้น และเมื่ออาวุธ ยุทโธปกรณ์เหล่านี้ขายในรูปของดอลลาร์สหรัฐ จึงเป็นผลทำให้ประเทศคู่ขัดแย้งมีความต้องการเงินดอลลาร์ศหรัฐมากขึ้น

    การสร้างสถานการณ์เพื่อทำให้เกิดสงครามยังจะเป็นผลทำให้ราคาปิโตรเลียมทั่วโลกราคาสูงขึ้น และทำให้ดึงความมั่งคั่งของโลกมาซื้อทรัพยากรปิโตรเลียมของสหรัฐอเมริกามากขึ้น

    ตัวอย่างสมรภูมิที่เกิดขึ้นระหว่างยูเครน กับรัสเซีย ชี้ชัดว่าสหรัฐอเมริการสามารถทำกำไรอย่างมหาศาลทั้งจากธุรกิจอาวุธ ยุทโธปกรณ์ และธุรกิจน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ รวมถึงการสมรู้ร่วมคิดสนับสนุนอิสราเอลเพื่อก่อสงครามในตะวันออกลาง ก็เพื่อเร่งการซื้ออาวุธ ยุทโธปกรณ์ ให้มากขึ้น

    อย่างไรก็ตามแสนยานุภาพของมหาอำนาจหลายขั้วอยู่ในระดับที่ไม่แพ้กัน ทำให้การก่อสงครามด้วยสหรัฐอเมริกาเป็นลักษณะของการจำกัดพื้นที่ ”ในประเทศอื่นๆ“ และให้มีความยืดเยื้อ และมีเป้าหมายในการทำลายแหล่งปิโตรเลียมที่ไม่ใช้เงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ

    หนทางที่สอง “ก่อโรคระบาดใหม่” เพื่อทำให้ทุกประเทศต้องก่อหนี้สินมหาศาลในการช่วยเหลือประชาชน หากล้มละลาย และยังเป็นการดูดความมั่งคั่งเหล่านี้ไปซื้อวัคซีน และยารักษาโรคจากสหรัฐอเมริกาและยุโรป

    หากประเทศเหล่านั้นยากจนเงินไม่เพียงพอ ก็ต้องให้มีการกู้ยืมเงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ซึ่งก็เป็นหนทางในการบีบให้ต้องการเงินดอลลาร์สหรัฐในประเทศนั้นๆอยู่ดี

    และเป็นที่แน่ชัดว่า เมื่อธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินดอลลาร์สหรัฐ ย่อมเท่ากับยอมรับว่าไม่สามารถใช้อัตราดอกเบี้ยสูงในการรักษาการยอมรับเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกา “แบบสันติวิธี” ได้นานกว่านี้ได้แล้ว

    โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากข้อมูลของดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐได้พิสูจน์ว่าสถานการณ์ความขัดแย้งในระดับที่ก่อสงคราม หรือการเกิดโรคระบาดโควิด-19 ที่ส่งผลทำให้เกิดการก่อหนี้อันมหาศาลของหลายประเทศนั้น ได้ส่งผลดำให้ดัชนีเงินดอลลาร์สูงขึ้นอย่างชัดเจน และยังคงเป็นยุทธวิธีที่ดำรงสถานภาพของเงินดอลลาร์สหรัฐได้[4]

    โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ดัชนีดอลลาร์สหรัฐกำลังลดลงอย่างต่อเนื่อง[4] สถานการณ์นี้เป็นตัวนบีบเงื่อนไขในรักษาเงินดอลลาร์ “มีเวลาน้อยลง” เรื่อยๆ

    ดังนั้นโลกกำลังเข้าสู่ความเสี่ยงในการเร่งทำสงครามจำกัดพื้นที่แต่ยืดเยื้ออย่างชัดเจนขึ้น โดยมีเป้าหมายในการทำลาายแหล่งปิโตรเลียมของประเทศที่ออกจากการใช้เงินดอลลาร์สหรัฐ

    แต่หากความเสียหายเกิดขึ้นเกินกว่าที่ประเทศที่ถูกอิสราเอลหรือนาโต้จะรับได้ ทั้งต่อประเทศในตะวันออกกลางคู่ขัดแย้งกับอิสราเอล หรือ การทำสงครามรัสเซียกับยูเครนก็ตาม “ความยืดเยื้อ” ในระหว่างประเทศอาจถูกทำให้ยุติ ได้ด้วยการตอบโต้ที่รุนแรงและเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ซึ่งรวมถึงความเสี่ยงในการทำสงครามด้วยอาวุธนิวเคลียร์ด้วย

    ซึ่งเชื่อว่าประเทศมหาอำนาจทั่วโลกพยายามยับยั้งชั่งใจไม่ให้สถานการณ์บานปลายไปสู่สงครามที่ใช้อาวุธนิวเคลียร์​

    เพราะหากถึงจุดนั้น ก็เท่ากับสงครามต้อง “หมดยก” และต้องยุติลงด้วยชัยชนะหรือพ่ายแพ้กันไปข้างหนึ่ง และทำให้สงครามเศรษฐกิจที่เพิ่มความต้องการใช้เงินดอลลาร์สหรัฐต้องยุติลงฉับพลันเช่นกัน

    เมื่อสถานการณ์การเร่งสถานการณ์สงครามมีความเสี่ยงที่ทุกฝ่ายต้องยับยั้งชั่งใจในมิติการก่อสงคราม จึงเหลืออีกหนทางหนึ่งคือ “การก่อโรคระบาด” ที่อาจจะเป็นหนทางสุดท้ายที่ทำให้ทั่วโลกต้องมาหาเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกามาซื้อวัคซีนหรือยารักษาโรคที่มีราคาแพงจากสหรัฐอเมริกา

    ในสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์-เศรษฐกิจเป็นเช่นนี้ ประเทศไทยควรจะมีผู้นำที่มาชี้นำทางความคิดในการเตรียมตัวในการรับมือกับสถานการณสงครามโลก สงครามโรค ในสงครามความโลภทั้งหลาย

    โดยเฉพาะการเตรียมความพร้อมทางด้าน ”ความมั่นคงทางพลังงาน, ความมั่นคงทางอาหาร และความมั่นคงทางยาสมุนไพรเพื่อการพี่งพาตนเอง“

    เอาจริงๆแล้วยังไม่เห็นรัฐบาลเตรียมความพร้อมในเรื่องเหล่านี้เลย

    ด้วยความปรารถนาดี
    ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
    คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต
    4 ตุลาคม 2567

    อ้างอิง
    Choawalit Chotwattanaphong INTERNATIONAL MONETARY FUND, Total IMF Credit Outstanding �Movement From September 01, 2024 to October 01
    https://www.imf.org/external/np/fin/tad/balmov2.aspx?type=TOTAL

    [2] INTERNATIONAL MONETARY FUND, Currency Composition of Official Foreign Exchange Reserve (COFER), World allocated Reserves by Currency for 2023 Q2
    https://data.imf.org/?sk=e6a5f467-c14b-4aa8-9f6d-5a09ec4e62a4

    [3] Peterson G. Foundation, What is the National Debt Today?,
    https://www.pgpf.org/national-debt-clock?gad_source=1&gbraid=0AAAAABdefgYCJ8Ko6Ivna9fcfHx0Y_lqt&gclid=EAIaIQobChMIhbGExczxiAMVyqpLBR2NuhvEEAAYASAAEgJXjvD_BwE

    [4] marketwatch, US Dollar Index(DXY)
    https://www.marketwatch.com/investing/index/dxy
    ยิ่งไม่สามารถใช้ดอกเบี้ยสูงตรึงเงินดอลลาร์ได้ ยิ่งเร่งสงครามโลกและสงครามโรคเร็วขึ้น/ ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ความขัดแย้งกันในเรื่องภูมิรัฐศาสตร์นั้น ต้องพิจารณาในยุคนี้ด้วยว่า นอกจากมาตรการตอบโต้กันทางด้านการเศรษฐกิจ โดยเฉพาะด้านการกีดกันทางการค้าระหว่างประเทศ สงครรามทุนระหว่างประเทศ สงครามค่าเงิน ถึงขนาดที่เรียกว่าเรื่องนี้อาจมีจุดจบที่ต้องมีฝ่ายใดแพ้หรือฝ่ายใดชนะกันไปข้างหนึ่ง โดยเฉพาะสถานภาพของเงินสกุลสหรัฐอเมริกา ก็ไม่สามารถดำรงสถานภาพเป็นเงินสกุลหลักของโลกได้เหมือนเดิมอีกต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งการค้าขายปิโตรเลียมที่ไม่ได้ยึถถือเงินสกุลดอลลาร์ (ปิโตรดอลลาร์)แต่เพียงสกุลเดียวได้เหมือนเดิม แต่ถึงกระนั้นสหรัฐอเมริกาก็เลือกหนทางในการทำให้เกิดการโจมตีแหล่งปิโตรเลียมที่ไม่ใช่พันธมิตรอเมริกาทั่วโลก เพื่อให้ราคาปิโตรเลียมของธุรกิจในเครือสหรัฐอเมริกายังคงดำรงสถานภาพปิโตรดอลลาร์ต่อไป อย่างไรก็ตามการเปลี่ยแปลงเงินสกุลหลักของโลกแม้จะมีการเปลี่ยนแปลง แต่ก็ยังมีขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงแบบยืดเยื้อ โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่ยังคงใช้เงินดอลลาร์สหรัฐเป็นเครื่องมือเป็นเงินกู้เข้าแทรกแซงช่วยเหลืออยู่หลายประเทศ โดยสถานภาพของกองทุนการเงินระหว่างประเทศเป็นเจ้าหนี้ของประเทศต่างๆที่มีพันธะผูกพันจำนวน 94 ประเทศ มีมูลค่าหนี้คงค้างกว่า 112 ล้านเหรียญสหรัฐ[1] นอกจากนั้นทุนสำรองระหว่างประเทศของทุกประเทศทั่วโลกยังคงเป็นเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐอเมริกามากถึงร้อยละ 54.06[2] โดยส่วนใหญ่อยู่ในรูปพันธบัตรของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ซึ่งสหรัฐอเมริกาก็กลายเป็นประเทศที่ออกพันธบัตรก่อหนี้มหาศาลมากถึง 35 ล้านล้านเหรียญสหรัฐแล้ว[3] โดยยังไม่เพียงแค่ปัญหาว่าสหรัฐอเมริกาจะมีทางว่าจะชำระหนี้คืนได้อย่างไรเท่านั้น แต่ยังไม่มีแนวโน้มว่าสหรัฐอเมริกาจะหยุดการก่อหนี้เพิ่มขึ้นได้อย่างไร การที่สหรัฐอเมริกาก่อหนี้อย่างมหาศาล อีกทั้งธนาคารกลางหลายประเทศเทขายพันธบัตรสหรัฐอเมริกา ส่งผลทำให้ปริมาณอุปทานเงินดอลลาร์สหรัฐล้นระบบเกินความต้องการของอุปสงค์เงินดอลลาร์สหรัฐในตลาดเงิน และทำให้ธนาคารกลางได้เพิ่มสัดส่วนเงินสกุลของคู่ค้าประเทศอื่นๆและทองคำในทุนสำรองระหว่างประเทศมากขึ้นเรื่อยๆ ปัญหาที่แท้จริงในเรื่องนี้คือปัญหา “ความไม่เชื่อมั่น” ในเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกา ที่ก่อหนี้ไม่หยุด หรือไม่หยุดการพิมพ์ธนบัตรดอลลาร์ออกมาโดยที่ไม่มีอะไรหนุนหลัง ส่งผลทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐเสื่อมค่าลง ทำให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น ข้าวยากหมากแพง และทำให้ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาต้องตัดสินใจเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเป็นเวลานานในช่วงเวลาที่ผ่านมา เพื่อดึงเงินจากทั่วโลกให้ยังคงรักษาเงินดอลลาร์สหรัฐให้เป็นที่ต้องการในทุนสำรองระหว่างประเทศต่อไป แต่การขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูงของสหรัฐอเมริกา กลับทำให้เกิดปัญหาเศรษฐกิจอีกด้านหนึ่ง ด้วยเพราะทำให้ธุรกิจเอกชนในสหรัฐอเมริกาประสบปัญหาในการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง หนี้สินครัวเรือน และหนี้สินส่วนบุคคลเพิ่มสูงขึ้น นำไปสู่การก่อหนี้เสีย ซึ่งสุ่มเสี่ยงต่อสถานภาพธนาคารในสหรัฐอเมริกาด้วย ปรากฏการณ์เพียงแค่ธนาคารกลางผ่อนปรนลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคาคารกลางลงเท่านั้น เม็ดเงินทั่วโลกก็ได้ทยอยเทขายทรัพย์สินในเงินดอลลาร์สหรัฐไหลไปสู่ทรัพย์สินที่มั่นคงกว่าทันที และทำให้ดัชนีดอลลาร์สหรัฐอ่อนลงฉับพลันและยังมีแนวโน้มว่าจะเสื่อมค่าอย่างต่อเนื่องด้วย และนั่นทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐถูกเปลี่ยนมาลงทุนหุ้นในภูมิภาคเอเชีย และทำให้ดัชนีราคาหุ้นเพิ่มสูงอย่างต่อเนื่อง ค่าเงินสกุลหลายประเทศในเอเชียจึงแข็งค่าขึ้น โดยเฉพาะประเทศไทยที่มีธนาคารแห่งประเทศไทยใช้นโยบายเพิ่มสัดส่วนทองคำในทุนสำรองระหว่างประเทศติดอันดับโลก ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นเป็นเป้าหมายในการลงทุนไปด้วย ดัชนีราคาหุ้นเพิ่มสูงขึ้นทะยานต่อเนื่อง และค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น หรืออีกนัยหนึ่งคือเงินดอลลาร์ที่กำลังเสื่อมค่าถูกนำมาแปลงสภาพผ่านทุนเคลื่อนย้ายสุทธิเข้าในตลาดหุ้น กองทุน หรือพันธบัตรในเอเชีย ก็ยิ่งทำให้ธนาคารกลางของประเทศที่เป็นเป้าหมายในการลงทุนกลับยิ่งมีเงินดอลลาร์ในทุนสำรองระหว่างประเทศมากขึ้นเพิ่มมากขึ้น ก็ยิ่งทำให้ธนาคารกลางต้องเปลี่ยนเป็นทรัพย์สินทองคำเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ราคาทองคำจึงมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ และเมื่อมีแนวโน้มว่าอิสราเอลจะตั้งเป้าโจมตีทำลายแหล่งปิโตรเลียมอิหร่าน ก็ยิ่งทำให้ราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติทั่วโลกราคาเพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ด้วยเพราะธนาคารกลางของหลายประเทศทั่วโลกพยายามจะได้พยายามลดการถือครองพันธบัตร เพื่อหวังจะทำให้การเปลี่ยนสัดส่วนทุนสำรองระหว่างประเทศจากเงินดอลลาร์สหรัฐให้น้อยลง แล้วเปลี่ยนเป็นสกุลเงินอื่นๆ หรือทองคำนั้นให้มากขึ้นนั้น เป็นการคิดพร้อมๆกันของหลายประเทศทั่วโลก จึงทำให้หลายประเทศไม่สามารถจะเปลี่ยนได้ตามใจชอบ อย่างไรก็ตามประเทศใดมีทุนสำรองระหว่างประเทศที่มีเงินดอลลาร์สหรัฐมากขึ้นเท่าไหร่ ย่อมเท่ากับว่าประเทศนั้นถือครองทรัพย์สินที่อ่อนค่าลงมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งก็ย่อมทำให้สกุลเงินในประเทศที่มีทรัพย์สินเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐด้อยค่าไปด้วยอยู่ดี เมื่อถึงสถานการณ์ที่นโยบายดอกเบี้ยสูงของธนาคารกลางกลายเป็นข้อจำกัด และถูกบีบให้ลดอัตราดอกเบี้ยลง หากสหรัฐอเมริกาจะยังคงสถานภาพเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกาต่อไปได้ ก็ต่อเมื่อต้องบีบให้ทุกประเทศทั่วโลกมีความต้องการใช้เงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกาให้มากที่สุด สถานการณ์ใกล้ตีบตันแล้ว จึงเหลือหนทางแค่ 2 ทางเท่านั้น หนทางที่หนึ่ง คือ “ก่อสงคราม” เพื่อทำให้ประเทศที่มีสงครามต้องสั่งซื้อ สั่งผลิต อาวุธยุทโธปกรณ์จากสหรัฐอเมริกาให้มากขึ้น และเมื่ออาวุธ ยุทโธปกรณ์เหล่านี้ขายในรูปของดอลลาร์สหรัฐ จึงเป็นผลทำให้ประเทศคู่ขัดแย้งมีความต้องการเงินดอลลาร์ศหรัฐมากขึ้น การสร้างสถานการณ์เพื่อทำให้เกิดสงครามยังจะเป็นผลทำให้ราคาปิโตรเลียมทั่วโลกราคาสูงขึ้น และทำให้ดึงความมั่งคั่งของโลกมาซื้อทรัพยากรปิโตรเลียมของสหรัฐอเมริกามากขึ้น ตัวอย่างสมรภูมิที่เกิดขึ้นระหว่างยูเครน กับรัสเซีย ชี้ชัดว่าสหรัฐอเมริการสามารถทำกำไรอย่างมหาศาลทั้งจากธุรกิจอาวุธ ยุทโธปกรณ์ และธุรกิจน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ รวมถึงการสมรู้ร่วมคิดสนับสนุนอิสราเอลเพื่อก่อสงครามในตะวันออกลาง ก็เพื่อเร่งการซื้ออาวุธ ยุทโธปกรณ์ ให้มากขึ้น อย่างไรก็ตามแสนยานุภาพของมหาอำนาจหลายขั้วอยู่ในระดับที่ไม่แพ้กัน ทำให้การก่อสงครามด้วยสหรัฐอเมริกาเป็นลักษณะของการจำกัดพื้นที่ ”ในประเทศอื่นๆ“ และให้มีความยืดเยื้อ และมีเป้าหมายในการทำลายแหล่งปิโตรเลียมที่ไม่ใช้เงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ หนทางที่สอง “ก่อโรคระบาดใหม่” เพื่อทำให้ทุกประเทศต้องก่อหนี้สินมหาศาลในการช่วยเหลือประชาชน หากล้มละลาย และยังเป็นการดูดความมั่งคั่งเหล่านี้ไปซื้อวัคซีน และยารักษาโรคจากสหรัฐอเมริกาและยุโรป หากประเทศเหล่านั้นยากจนเงินไม่เพียงพอ ก็ต้องให้มีการกู้ยืมเงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ซึ่งก็เป็นหนทางในการบีบให้ต้องการเงินดอลลาร์สหรัฐในประเทศนั้นๆอยู่ดี และเป็นที่แน่ชัดว่า เมื่อธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินดอลลาร์สหรัฐ ย่อมเท่ากับยอมรับว่าไม่สามารถใช้อัตราดอกเบี้ยสูงในการรักษาการยอมรับเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกา “แบบสันติวิธี” ได้นานกว่านี้ได้แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากข้อมูลของดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐได้พิสูจน์ว่าสถานการณ์ความขัดแย้งในระดับที่ก่อสงคราม หรือการเกิดโรคระบาดโควิด-19 ที่ส่งผลทำให้เกิดการก่อหนี้อันมหาศาลของหลายประเทศนั้น ได้ส่งผลดำให้ดัชนีเงินดอลลาร์สูงขึ้นอย่างชัดเจน และยังคงเป็นยุทธวิธีที่ดำรงสถานภาพของเงินดอลลาร์สหรัฐได้[4] โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ดัชนีดอลลาร์สหรัฐกำลังลดลงอย่างต่อเนื่อง[4] สถานการณ์นี้เป็นตัวนบีบเงื่อนไขในรักษาเงินดอลลาร์ “มีเวลาน้อยลง” เรื่อยๆ ดังนั้นโลกกำลังเข้าสู่ความเสี่ยงในการเร่งทำสงครามจำกัดพื้นที่แต่ยืดเยื้ออย่างชัดเจนขึ้น โดยมีเป้าหมายในการทำลาายแหล่งปิโตรเลียมของประเทศที่ออกจากการใช้เงินดอลลาร์สหรัฐ แต่หากความเสียหายเกิดขึ้นเกินกว่าที่ประเทศที่ถูกอิสราเอลหรือนาโต้จะรับได้ ทั้งต่อประเทศในตะวันออกกลางคู่ขัดแย้งกับอิสราเอล หรือ การทำสงครามรัสเซียกับยูเครนก็ตาม “ความยืดเยื้อ” ในระหว่างประเทศอาจถูกทำให้ยุติ ได้ด้วยการตอบโต้ที่รุนแรงและเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ซึ่งรวมถึงความเสี่ยงในการทำสงครามด้วยอาวุธนิวเคลียร์ด้วย ซึ่งเชื่อว่าประเทศมหาอำนาจทั่วโลกพยายามยับยั้งชั่งใจไม่ให้สถานการณ์บานปลายไปสู่สงครามที่ใช้อาวุธนิวเคลียร์​ เพราะหากถึงจุดนั้น ก็เท่ากับสงครามต้อง “หมดยก” และต้องยุติลงด้วยชัยชนะหรือพ่ายแพ้กันไปข้างหนึ่ง และทำให้สงครามเศรษฐกิจที่เพิ่มความต้องการใช้เงินดอลลาร์สหรัฐต้องยุติลงฉับพลันเช่นกัน เมื่อสถานการณ์การเร่งสถานการณ์สงครามมีความเสี่ยงที่ทุกฝ่ายต้องยับยั้งชั่งใจในมิติการก่อสงคราม จึงเหลืออีกหนทางหนึ่งคือ “การก่อโรคระบาด” ที่อาจจะเป็นหนทางสุดท้ายที่ทำให้ทั่วโลกต้องมาหาเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกามาซื้อวัคซีนหรือยารักษาโรคที่มีราคาแพงจากสหรัฐอเมริกา ในสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์-เศรษฐกิจเป็นเช่นนี้ ประเทศไทยควรจะมีผู้นำที่มาชี้นำทางความคิดในการเตรียมตัวในการรับมือกับสถานการณสงครามโลก สงครามโรค ในสงครามความโลภทั้งหลาย โดยเฉพาะการเตรียมความพร้อมทางด้าน ”ความมั่นคงทางพลังงาน, ความมั่นคงทางอาหาร และความมั่นคงทางยาสมุนไพรเพื่อการพี่งพาตนเอง“ เอาจริงๆแล้วยังไม่เห็นรัฐบาลเตรียมความพร้อมในเรื่องเหล่านี้เลย ด้วยความปรารถนาดี ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต 4 ตุลาคม 2567 อ้างอิง [1] INTERNATIONAL MONETARY FUND, Total IMF Credit Outstanding �Movement From September 01, 2024 to October 01 https://www.imf.org/external/np/fin/tad/balmov2.aspx?type=TOTAL [2] INTERNATIONAL MONETARY FUND, Currency Composition of Official Foreign Exchange Reserve (COFER), World allocated Reserves by Currency for 2023 Q2 https://data.imf.org/?sk=e6a5f467-c14b-4aa8-9f6d-5a09ec4e62a4 [3] Peterson G. Foundation, What is the National Debt Today?, https://www.pgpf.org/national-debt-clock?gad_source=1&gbraid=0AAAAABdefgYCJ8Ko6Ivna9fcfHx0Y_lqt&gclid=EAIaIQobChMIhbGExczxiAMVyqpLBR2NuhvEEAAYASAAEgJXjvD_BwE [4] marketwatch, US Dollar Index(DXY) https://www.marketwatch.com/investing/index/dxy
    Like
    Love
    Yay
    86
    7 Comments 5 Shares 4020 Views 1 Reviews
  • กระทรวงการคลังจีน จะระงับการยกเว้นภาษีสินค้าเกษตร 34 รายการที่นำเข้าจากไต้หวัน รวมถึงผลไม้สด ผัก และผลิตภัณฑ์จากสัตว์น้ำ โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 25 กันยายนเป็นต้นไป

    18 กันยายน 2567-รายงานข่าวรอยเตอร์ระบุว่า กระทรวงการคลังของจีนแถลงเมื่อวันพุธนี้ว่า จีนจะระงับการยกเว้นภาษีสินค้าเกษตร 34 รายการที่นำเข้าจากไต้หวัน รวมถึงผลไม้สด ผัก และผลิตภัณฑ์จากสัตว์น้ำ โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 25 กันยายนเป็นต้นไป

    กระทรวงการคลังจีนกล่าวว่าภาษีสินค้าเหล่านี้จะถูกนำไปปฏิบัติตามกฎข้อบังคับที่มีอยู่

    “การที่ไต้หวันใช้มาตรการเลือกปฏิบัติ เช่น การห้ามและจำกัดการส่งออกผลิตภัณฑ์จากแผ่นดินใหญ่โดยฝ่ายเดียว ได้ขัดขวางความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างช่องแคบไต้หวันอย่างร้ายแรง” แถลงการณ์ระบุ

    ก่อนหน้านี้ไต้หวันก็ได้ใช้มาตรการจำกัดทางการค้าฝ่ายเดียวกับสินค้าส่งออกของจีนมากกว่า 2,500 รายการ ซึ่งถือว่าผิดเจตนารมณ์ของ ECFA ที่มุ่งลดหรือยกเลิกการเก็บภาษีระหว่างกัน

    ขณะที่จีนพยายามกดดันรัฐบาล ไล่ ชิงเต๋อ ด้วยการยกเลิกสิทธิพิเศษบางส่วนภายใต้เงื่อนไข ECFA โดยใช้มาตรการระงับยกเว้นภาษีสินค้าไต้หวันแต่วันที่ 15 มิ.ย. ที่ผ่านมาโดยครอบคลุมสินค้า 134 ชนิดที่นำเข้าจากเกาะไต้หวัน รวมถึงน้ำมันพื้นฐาน (base oils) ที่ใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตสินค้าอื่นๆ เช่น น้ำมันหล่อลื่น (lubricants) เป็นต้น

    ทั้งนี้ ECFA เป็นกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างจีน-ไต้หวัน (Economic Cooperation Framework Agreement) เป็นข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างรัฐบาลของสาธารณรัฐประชาชนจีน (จีนแผ่นดินใหญ่) และสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) สนธิสัญญาดังกล่าวได้มีการลงนามเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2553 ณ เมืองฉงชิ่ง เพื่อเปิดการค้าระหว่างประเทศ

    ตามข้อมูลจากศูนย์บริการ ECFA ของไต้หวัน ณ สิ้นปี 2023 ไต้หวันได้รับการลดภาษีจากแผ่นดินใหญ่ภายใต้ ECFA มูลค่า 10,100 ล้านดอลลาร์ในช่วง 13 ปี ในขณะที่จีนแผ่นดินใหญ่ได้รับการลดภาษีจากเกาะไต้หวันเพียง 1,080 ล้านดอลลาร์ในช่วงเวลาเดียวกัน

    #Thaitimes
    กระทรวงการคลังจีน จะระงับการยกเว้นภาษีสินค้าเกษตร 34 รายการที่นำเข้าจากไต้หวัน รวมถึงผลไม้สด ผัก และผลิตภัณฑ์จากสัตว์น้ำ โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 25 กันยายนเป็นต้นไป 18 กันยายน 2567-รายงานข่าวรอยเตอร์ระบุว่า กระทรวงการคลังของจีนแถลงเมื่อวันพุธนี้ว่า จีนจะระงับการยกเว้นภาษีสินค้าเกษตร 34 รายการที่นำเข้าจากไต้หวัน รวมถึงผลไม้สด ผัก และผลิตภัณฑ์จากสัตว์น้ำ โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 25 กันยายนเป็นต้นไป กระทรวงการคลังจีนกล่าวว่าภาษีสินค้าเหล่านี้จะถูกนำไปปฏิบัติตามกฎข้อบังคับที่มีอยู่ “การที่ไต้หวันใช้มาตรการเลือกปฏิบัติ เช่น การห้ามและจำกัดการส่งออกผลิตภัณฑ์จากแผ่นดินใหญ่โดยฝ่ายเดียว ได้ขัดขวางความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างช่องแคบไต้หวันอย่างร้ายแรง” แถลงการณ์ระบุ ก่อนหน้านี้ไต้หวันก็ได้ใช้มาตรการจำกัดทางการค้าฝ่ายเดียวกับสินค้าส่งออกของจีนมากกว่า 2,500 รายการ ซึ่งถือว่าผิดเจตนารมณ์ของ ECFA ที่มุ่งลดหรือยกเลิกการเก็บภาษีระหว่างกัน ขณะที่จีนพยายามกดดันรัฐบาล ไล่ ชิงเต๋อ ด้วยการยกเลิกสิทธิพิเศษบางส่วนภายใต้เงื่อนไข ECFA โดยใช้มาตรการระงับยกเว้นภาษีสินค้าไต้หวันแต่วันที่ 15 มิ.ย. ที่ผ่านมาโดยครอบคลุมสินค้า 134 ชนิดที่นำเข้าจากเกาะไต้หวัน รวมถึงน้ำมันพื้นฐาน (base oils) ที่ใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตสินค้าอื่นๆ เช่น น้ำมันหล่อลื่น (lubricants) เป็นต้น ทั้งนี้ ECFA เป็นกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างจีน-ไต้หวัน (Economic Cooperation Framework Agreement) เป็นข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างรัฐบาลของสาธารณรัฐประชาชนจีน (จีนแผ่นดินใหญ่) และสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) สนธิสัญญาดังกล่าวได้มีการลงนามเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2553 ณ เมืองฉงชิ่ง เพื่อเปิดการค้าระหว่างประเทศ ตามข้อมูลจากศูนย์บริการ ECFA ของไต้หวัน ณ สิ้นปี 2023 ไต้หวันได้รับการลดภาษีจากแผ่นดินใหญ่ภายใต้ ECFA มูลค่า 10,100 ล้านดอลลาร์ในช่วง 13 ปี ในขณะที่จีนแผ่นดินใหญ่ได้รับการลดภาษีจากเกาะไต้หวันเพียง 1,080 ล้านดอลลาร์ในช่วงเวลาเดียวกัน #Thaitimes
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 2968 Views 0 Reviews