• พายุลูกใหญ่..ผู้ว่า ธปท.เตือนรับมือภาษีทรัมป์กระทบไทย : คนเคาะข่าว 02-06-68
    : เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
    ผู้ว่าการพบสื่อมวลชน (Meet the Press) ครั้งที่ 1/68 วันที่ 9 พ.ค.2568
    #คนเคาะข่าว #ภาษีทรัมป์ #ผลกระทบเศรษฐกิจไทย #ธปท #เศรษฐพุฒิสุทธิวาทนฤพุฒิ #ธนาคารแห่งประเทศไทย #นโยบายการเงิน #MeetThePress #เศรษฐกิจโลก #ข่าวเศรษฐกิจ #สงครามการค้า #วิเคราะห์เศรษฐกิจ #thaitimes #การเงินไทย #พายุเศรษฐกิจ
    พายุลูกใหญ่..ผู้ว่า ธปท.เตือนรับมือภาษีทรัมป์กระทบไทย : คนเคาะข่าว 02-06-68 : เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ผู้ว่าการพบสื่อมวลชน (Meet the Press) ครั้งที่ 1/68 วันที่ 9 พ.ค.2568 #คนเคาะข่าว #ภาษีทรัมป์ #ผลกระทบเศรษฐกิจไทย #ธปท #เศรษฐพุฒิสุทธิวาทนฤพุฒิ #ธนาคารแห่งประเทศไทย #นโยบายการเงิน #MeetThePress #เศรษฐกิจโลก #ข่าวเศรษฐกิจ #สงครามการค้า #วิเคราะห์เศรษฐกิจ #thaitimes #การเงินไทย #พายุเศรษฐกิจ
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 632 มุมมอง 1 0 รีวิว
  • สหรัฐถูกหั่นเรตติ้งทำเกิดปรากฎการณ์ “sell us” : คนเคาะข่าว 22-06-68
    อุษณีย์ เอกอุษณีย์ / อ.สุดาทิพย์ จารุจินดา อินทร
    #คนเคาะข่าว #สหรัฐถูกลดเรตติ้ง #SellUS #เศรษฐกิจสหรัฐ #วิกฤตการเงิน #ข่าวเศรษฐกิจโลก #วิเคราะห์เศรษฐกิจ #สุดาทิพย์จารุจินดา #อุษณีย์เอกอุษณีย์ #Geopolitics #thaitimes #เครดิตเรทติ้ง #ตลาดทุนสหรัฐ #การเงินโลก #นโยบายการเงินสหรัฐ
    สหรัฐถูกหั่นเรตติ้งทำเกิดปรากฎการณ์ “sell us” : คนเคาะข่าว 22-06-68 อุษณีย์ เอกอุษณีย์ / อ.สุดาทิพย์ จารุจินดา อินทร #คนเคาะข่าว #สหรัฐถูกลดเรตติ้ง #SellUS #เศรษฐกิจสหรัฐ #วิกฤตการเงิน #ข่าวเศรษฐกิจโลก #วิเคราะห์เศรษฐกิจ #สุดาทิพย์จารุจินดา #อุษณีย์เอกอุษณีย์ #Geopolitics #thaitimes #เครดิตเรทติ้ง #ตลาดทุนสหรัฐ #การเงินโลก #นโยบายการเงินสหรัฐ
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 508 มุมมอง 5 0 รีวิว
  • มูดี้ส์ลดเครดิตสหรัฐคือพายุที่หนักกว่าภาษีทรัมป์ : คนเคาะข่าว 19-05-68
    : ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
    ดำเนินรายการโดย นงวดี ถนิมมาลย์
    #คนเคาะข่าว #มูดี้ส์ลดเครดิตสหรัฐ #วิกฤตการเงินสหรัฐ #ภาษีทรัมป์ #เศรษฐกิจโลก #เครดิตเรทติ้ง #ธีระชัยภูวนาถนรานุบาล #ข่าวเศรษฐกิจ #นงวดีถนิมมาลย์ #วิเคราะห์เศรษฐกิจโลก #thaitimes #การคลัง #สหรัฐอเมริกา #วิกฤตหนี้ #ความเสี่ยงการลงทุน
    มูดี้ส์ลดเครดิตสหรัฐคือพายุที่หนักกว่าภาษีทรัมป์ : คนเคาะข่าว 19-05-68 : ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ดำเนินรายการโดย นงวดี ถนิมมาลย์ #คนเคาะข่าว #มูดี้ส์ลดเครดิตสหรัฐ #วิกฤตการเงินสหรัฐ #ภาษีทรัมป์ #เศรษฐกิจโลก #เครดิตเรทติ้ง #ธีระชัยภูวนาถนรานุบาล #ข่าวเศรษฐกิจ #นงวดีถนิมมาลย์ #วิเคราะห์เศรษฐกิจโลก #thaitimes #การคลัง #สหรัฐอเมริกา #วิกฤตหนี้ #ความเสี่ยงการลงทุน
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 587 มุมมอง 1 0 รีวิว
  • หุ้นยังลงได้อีก โยก LTF เป็น Thai ESGX คุ้มมั้ย? : คนเคาะข่าว 05-05-68
    : ประกิต สิริวัฒนเกตุ กรรมการผู้จัดการ บลจ.เมอร์ชั่น พาร์ทเนอ
    ดำเนินรายการโดย นงวดี ถนิมมาลย์

    #คนเคาะข่าว #หุ้นไทย #LTF #ThaiESGX #กองทุนรวม #ลงทุนยั่งยืน #วิเคราะห์หุ้น #ภาษีและการลงทุน #ตลาดทุนไทย #ESGลงทุน #ประกิตสิริวัฒนเกตุ #นงวดีถนิมมาลย์ #ข่าวเศรษฐกิจ #กองทุนไทย #thaitimes #ลงทุนระยะยาว
    หุ้นยังลงได้อีก โยก LTF เป็น Thai ESGX คุ้มมั้ย? : คนเคาะข่าว 05-05-68 : ประกิต สิริวัฒนเกตุ กรรมการผู้จัดการ บลจ.เมอร์ชั่น พาร์ทเนอ ดำเนินรายการโดย นงวดี ถนิมมาลย์ #คนเคาะข่าว #หุ้นไทย #LTF #ThaiESGX #กองทุนรวม #ลงทุนยั่งยืน #วิเคราะห์หุ้น #ภาษีและการลงทุน #ตลาดทุนไทย #ESGลงทุน #ประกิตสิริวัฒนเกตุ #นงวดีถนิมมาลย์ #ข่าวเศรษฐกิจ #กองทุนไทย #thaitimes #ลงทุนระยะยาว
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 504 มุมมอง 4 0 รีวิว
  • James Rickards ชี้ราคาทองพุ่งแตะ $27,000 ได้อย่างไร? : คนเคาะข่าว 29-04-68
    : ทนง ขันทอง ผู้เชี่ยวชาญข่าวต่างประเทศ
    ดำเนินรายการ นงวดี ถนิมมาลย์

    #คนเคาะข่าว #JamesRickards #ราคาทองคำ #ทองพุ่ง #เศรษฐกิจโลก #วิเคราะห์ทองคำ #ตลาดทองคำ #ทนงขันทอง #นงวดีถนิมมาลย์ #ข่าวเศรษฐกิจ #วิเคราะห์การเงิน #ทองคำโลก #Geopolitics #thaitimes #การลงทุนทองคำ
    James Rickards ชี้ราคาทองพุ่งแตะ $27,000 ได้อย่างไร? : คนเคาะข่าว 29-04-68 : ทนง ขันทอง ผู้เชี่ยวชาญข่าวต่างประเทศ ดำเนินรายการ นงวดี ถนิมมาลย์ #คนเคาะข่าว #JamesRickards #ราคาทองคำ #ทองพุ่ง #เศรษฐกิจโลก #วิเคราะห์ทองคำ #ตลาดทองคำ #ทนงขันทอง #นงวดีถนิมมาลย์ #ข่าวเศรษฐกิจ #วิเคราะห์การเงิน #ทองคำโลก #Geopolitics #thaitimes #การลงทุนทองคำ
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 676 มุมมอง 7 0 รีวิว
  • เปลี่ยนวิกฤตภาษีทรัมป์เป็นโอกาสกู้ 5 แสนล้าน ดันมรดกหนี้ทะลุ 70% : คนเคาะข่าว 28-04-68
    : ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
    ดำเนินรายการโดย นงวดี ถนิมมาลย์

    #คนเคาะข่าว #วิกฤตภาษีทรัมป์ #หนี้สาธารณะ #กู้เงิน5แสนล้าน #เศรษฐกิจไทย #ธีระชัยภูวนาถนรานุบาล #ข่าวเศรษฐกิจ #นโยบายการเงิน #นงวดีถนิมมาลย์ #วิเคราะห์เศรษฐกิจไทย #หนี้เกินตัว #การเงินการคลัง #thaitimes #นโยบายเศรษฐกิจ #เศรษฐกิจโลก
    เปลี่ยนวิกฤตภาษีทรัมป์เป็นโอกาสกู้ 5 แสนล้าน ดันมรดกหนี้ทะลุ 70% : คนเคาะข่าว 28-04-68 : ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ดำเนินรายการโดย นงวดี ถนิมมาลย์ #คนเคาะข่าว #วิกฤตภาษีทรัมป์ #หนี้สาธารณะ #กู้เงิน5แสนล้าน #เศรษฐกิจไทย #ธีระชัยภูวนาถนรานุบาล #ข่าวเศรษฐกิจ #นโยบายการเงิน #นงวดีถนิมมาลย์ #วิเคราะห์เศรษฐกิจไทย #หนี้เกินตัว #การเงินการคลัง #thaitimes #นโยบายเศรษฐกิจ #เศรษฐกิจโลก
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 629 มุมมอง 12 0 รีวิว
  • วัดชีพจร SME ผ่านภารกิจ บสย.ช่วยแก้หนี้ : คนเคาะข่าว 21-04-68
    : สิทธิกร ดิเรกสุนทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.)
    ดำเนินรายการโดย นงวดี ถนิมมาลย์
    #คนเคาะข่าว #SMEไทย #บสย #แก้หนี้SME #เศรษฐกิจฐานราก #ธุรกิจขนาดย่อม #สินเชื่อธุรกิจ #สิทธิกรดิเรกสุนทร #นงวดีถนิมมาลย์ #ข่าวเศรษฐกิจ #thaitimes #ฟื้นฟูธุรกิจ #การเงินเพื่อSME #มาตรการช่วยเหลือ #วิเคราะห์เศรษฐกิจไทย
    วัดชีพจร SME ผ่านภารกิจ บสย.ช่วยแก้หนี้ : คนเคาะข่าว 21-04-68 : สิทธิกร ดิเรกสุนทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ดำเนินรายการโดย นงวดี ถนิมมาลย์ #คนเคาะข่าว #SMEไทย #บสย #แก้หนี้SME #เศรษฐกิจฐานราก #ธุรกิจขนาดย่อม #สินเชื่อธุรกิจ #สิทธิกรดิเรกสุนทร #นงวดีถนิมมาลย์ #ข่าวเศรษฐกิจ #thaitimes #ฟื้นฟูธุรกิจ #การเงินเพื่อSME #มาตรการช่วยเหลือ #วิเคราะห์เศรษฐกิจไทย
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 544 มุมมอง 1 0 รีวิว
  • จับสัญญาณเศรษฐกิจ ผ่านการใช้จ่ายบัตรเครดิต : คนเคาะข่าว 14-04-68
    : ประณยา นิถานานนท์ ผู้บริหารสูงสุด สายงานการตลาดบัตรเครดิต “เคทีซี”
    ดำเนินรายการโดย นงวดี ถนิมมาลย์

    #คนเคาะข่าว #เศรษฐกิจไทย #การใช้จ่ายบัตรเครดิต #สัญญาณเศรษฐกิจ #KTC #ประณยานิถานานนท์ #การเงินส่วนบุคคล #ข่าวเศรษฐกิจ #วิเคราะห์เศรษฐกิจ #นงวดีถนิมมาลย์ #พฤติกรรมผู้บริโภค #thaitimes #แนวโน้มการใช้จ่าย #ธุรกิจการเงิน
    จับสัญญาณเศรษฐกิจ ผ่านการใช้จ่ายบัตรเครดิต : คนเคาะข่าว 14-04-68 : ประณยา นิถานานนท์ ผู้บริหารสูงสุด สายงานการตลาดบัตรเครดิต “เคทีซี” ดำเนินรายการโดย นงวดี ถนิมมาลย์ #คนเคาะข่าว #เศรษฐกิจไทย #การใช้จ่ายบัตรเครดิต #สัญญาณเศรษฐกิจ #KTC #ประณยานิถานานนท์ #การเงินส่วนบุคคล #ข่าวเศรษฐกิจ #วิเคราะห์เศรษฐกิจ #นงวดีถนิมมาลย์ #พฤติกรรมผู้บริโภค #thaitimes #แนวโน้มการใช้จ่าย #ธุรกิจการเงิน
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 636 มุมมอง 4 0 รีวิว
  • จับสัญญาณอาฟเตอร์ช็อก อสังหา-ท่องเที่ยว : คนเคาะข่าว 31-03-68
    : พรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย
    : สรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
    ดำเนินรายการโดย นงวดี ถนิมมาลย์

    #คนเคาะข่าว #อสังหาริมทรัพย์ #อาฟเตอร์ช็อกเศรษฐกิจ #ตลาดอสังหา #ธุรกิจท่องเที่ยว #ท่องเที่ยวไทย #พรนริศชวนไชยสิทธิ์ #สรวงศ์เทียนทอง #ข่าวเศรษฐกิจ #ข่าวการท่องเที่ยว #thaiTimes #วิเคราะห์เศรษฐกิจ #อสังหาไทย #ฟื้นฟูท่องเที่ยว #ผลกระทบเศรษฐกิจ #แผ่นดินไหว
    จับสัญญาณอาฟเตอร์ช็อก อสังหา-ท่องเที่ยว : คนเคาะข่าว 31-03-68 : พรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย : สรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ดำเนินรายการโดย นงวดี ถนิมมาลย์ #คนเคาะข่าว #อสังหาริมทรัพย์ #อาฟเตอร์ช็อกเศรษฐกิจ #ตลาดอสังหา #ธุรกิจท่องเที่ยว #ท่องเที่ยวไทย #พรนริศชวนไชยสิทธิ์ #สรวงศ์เทียนทอง #ข่าวเศรษฐกิจ #ข่าวการท่องเที่ยว #thaiTimes #วิเคราะห์เศรษฐกิจ #อสังหาไทย #ฟื้นฟูท่องเที่ยว #ผลกระทบเศรษฐกิจ #แผ่นดินไหว
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 897 มุมมอง 3 0 รีวิว
  • การลงทุนในทองคำช่วงนี้มีปัจจัยที่ต้องพิจารณาหลายด้าน ทั้งในแง่บวกและลบ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกและแนวโน้มราคาทองคำ มาดูรายละเอียดกัน:

    ### **ปัจจัยสนับสนุนการลงทุนทองคำช่วงนี้**
    1. **ภาวะเศรษฐกิจไม่แน่นอน**
    - ความกังวลเรื่องเศรษฐกิจชะลอตัว วิกฤตการเงิน หรือความขัดแย้งทางการเมือง อาจส่งผลให้นักลงทุน转向ไปสู่ทองคำซึ่งเป็น Safe Haven Asset
    - หากตลาดหุ้นผันผวนหรือเกิดวิกฤต ทองคำมักได้รับความนิยมมากขึ้น

    2. **อัตราดอกเบี้ยและนโยบายของ Fed**
    - หาก Fed หยุดขึ้นดอกเบี้ยหรือเริ่มลดดอกเบี้ยในปี 2024-2025 เงินดอลลาร์อาจอ่อนค่าลง ส่งผลให้ราคาทองคำ (ซึ่งซื้อขายด้วย USD) มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น
    - ตลาดคาดการณ์ว่า Fed อาจปรับลดดอกเบี้ยในปีนี้ ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อทองคำ

    3. **ความต้องการทองคำจากประเทศกำลังพัฒนา**
    - ธนาคารกลางหลายประเทศ (เช่น จีน, รัสเซีย, อินเดีย) ยังคงสะสมทองคำเป็นทุนสำรอง สนับสนุนราคาทองในระยะยาว

    4. **เงินเฟ้อและค่าครองชีพ**
    - ทองคำมักทำหน้าที่เป็นเครื่องป้องกัน (Hedge) ต่อเงินเฟ้อ หากภาวะเงินเฟ้อยังสูง ทองคำอาจเป็นทางเลือกที่ดี

    ---

    ### **ปัจจัยที่ต้องระวัง**
    1. **เงินดอลลาร์แข็งค่า**
    - หาก USD แข็งตัวจากเศรษฐกิจสหรัฐที่แข็งแกร่งหรือ Fed ยังขึ้นดอกเบี้ยต่อ ราคาทองคำอาจถูกกดดัน

    2. **ตลาดหุ้นและความเสี่ยงอื่นๆ**
    - หากตลาดหุ้นดีดตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง นักลงทุนอาจลดการถือทองคำลง

    3. **ความผันผวนในระยะสั้น**
    - ราคาทองคำอาจปรับตัวลงชั่วคราวจากปัจจัยทางเทคนิคหรือข่าวเศรษฐกิจ

    ---

    ### **สรุป: ควรลงทุนทองคำตอนนี้ไหม?**
    - **ระยะยาว (Hold)** → **เหมาะ** เพราะทองคำเป็นสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยง และแนวโน้มเศรษฐกิจโลกยังไม่แน่นอน
    - **ระยะสั้น (เทรด)** → ต้องติดตามปัจจัยหลัก เช่น นโยบาย Fed, ดอลลาร์, และความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์

    **คำแนะนำเพิ่มเติม:**
    - **Diversify** ไม่ควรลงทุนทองคำ 100% ของพอร์ต แต่แบ่งสัดส่วน (เช่น 5-15%)
    - **รูปแบบการลงทุน**
    - **ทองคำรูปพรรณ** เหมาะสำหรับถือยาว แต่ต้องคำนึงถึงส่วนต่างราคา (Premium)
    - **ทองคำ ETF (เช่น GLD)** หรือ **สัญญาซื้อขายล่วงหน้า** สำหรับนักลงทุนที่ต้องการสภาพคล่องสูง
    - **เหมืองทองคำ (หุ้น)** ให้ความได้เปรียบจาก Leverage Effect แต่มีความเสี่ยงเพิ่ม

    หากคุณต้องการลงทุน ควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมและพิจารณาตามความเสี่ยงที่ยอมรับได้ครับ!
    การลงทุนในทองคำช่วงนี้มีปัจจัยที่ต้องพิจารณาหลายด้าน ทั้งในแง่บวกและลบ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกและแนวโน้มราคาทองคำ มาดูรายละเอียดกัน: ### **ปัจจัยสนับสนุนการลงทุนทองคำช่วงนี้** 1. **ภาวะเศรษฐกิจไม่แน่นอน** - ความกังวลเรื่องเศรษฐกิจชะลอตัว วิกฤตการเงิน หรือความขัดแย้งทางการเมือง อาจส่งผลให้นักลงทุน转向ไปสู่ทองคำซึ่งเป็น Safe Haven Asset - หากตลาดหุ้นผันผวนหรือเกิดวิกฤต ทองคำมักได้รับความนิยมมากขึ้น 2. **อัตราดอกเบี้ยและนโยบายของ Fed** - หาก Fed หยุดขึ้นดอกเบี้ยหรือเริ่มลดดอกเบี้ยในปี 2024-2025 เงินดอลลาร์อาจอ่อนค่าลง ส่งผลให้ราคาทองคำ (ซึ่งซื้อขายด้วย USD) มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น - ตลาดคาดการณ์ว่า Fed อาจปรับลดดอกเบี้ยในปีนี้ ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อทองคำ 3. **ความต้องการทองคำจากประเทศกำลังพัฒนา** - ธนาคารกลางหลายประเทศ (เช่น จีน, รัสเซีย, อินเดีย) ยังคงสะสมทองคำเป็นทุนสำรอง สนับสนุนราคาทองในระยะยาว 4. **เงินเฟ้อและค่าครองชีพ** - ทองคำมักทำหน้าที่เป็นเครื่องป้องกัน (Hedge) ต่อเงินเฟ้อ หากภาวะเงินเฟ้อยังสูง ทองคำอาจเป็นทางเลือกที่ดี --- ### **ปัจจัยที่ต้องระวัง** 1. **เงินดอลลาร์แข็งค่า** - หาก USD แข็งตัวจากเศรษฐกิจสหรัฐที่แข็งแกร่งหรือ Fed ยังขึ้นดอกเบี้ยต่อ ราคาทองคำอาจถูกกดดัน 2. **ตลาดหุ้นและความเสี่ยงอื่นๆ** - หากตลาดหุ้นดีดตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง นักลงทุนอาจลดการถือทองคำลง 3. **ความผันผวนในระยะสั้น** - ราคาทองคำอาจปรับตัวลงชั่วคราวจากปัจจัยทางเทคนิคหรือข่าวเศรษฐกิจ --- ### **สรุป: ควรลงทุนทองคำตอนนี้ไหม?** - **ระยะยาว (Hold)** → **เหมาะ** เพราะทองคำเป็นสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยง และแนวโน้มเศรษฐกิจโลกยังไม่แน่นอน - **ระยะสั้น (เทรด)** → ต้องติดตามปัจจัยหลัก เช่น นโยบาย Fed, ดอลลาร์, และความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ **คำแนะนำเพิ่มเติม:** - **Diversify** ไม่ควรลงทุนทองคำ 100% ของพอร์ต แต่แบ่งสัดส่วน (เช่น 5-15%) - **รูปแบบการลงทุน** - **ทองคำรูปพรรณ** เหมาะสำหรับถือยาว แต่ต้องคำนึงถึงส่วนต่างราคา (Premium) - **ทองคำ ETF (เช่น GLD)** หรือ **สัญญาซื้อขายล่วงหน้า** สำหรับนักลงทุนที่ต้องการสภาพคล่องสูง - **เหมืองทองคำ (หุ้น)** ให้ความได้เปรียบจาก Leverage Effect แต่มีความเสี่ยงเพิ่ม หากคุณต้องการลงทุน ควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมและพิจารณาตามความเสี่ยงที่ยอมรับได้ครับ! 📊🚀
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 825 มุมมอง 0 รีวิว
  • 61 ปี หนังสือพิมพ์ “เดลินิวส์” จากบางกอกเดลิเมล์ สู่เดลินิวส์ออนไลน์ บันทึกความทรงจำของสื่อไทย ที่เติบโตเคียงข้างประชาชน

    61 ปี แห่งการเปลี่ยนผ่านของสื่อที่ไม่หยุดนิ่ง ในยุคที่โลกหมุนเร็วด้วยข่าวสารและเทคโนโลยี มีไม่กี่สื่อ ที่สามารถยืนหยัดอยู่ได้อย่างมั่นคง ตลอดระยะเวลากว่าครึ่งศตวรรษ แต่ “เดลินิวส์” คือหนึ่งในนั้น

    จากวันแรกของการก่อตั้ง เมื่อวันเสาร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2507 สู่การเป็นผู้นำข่าวระดับประเทศ ทั้งในรูปแบบสิ่งพิมพ์และออนไลน์ เส้นทางของหนังสือพิมพ์เดลินิวส์นั้น ไม่เพียงแต่สะท้อนวิวัฒนาการ ของวงการสื่อไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นกระจกเงาสำคัญของประวัติศาสตร์ สังคม และการเมืองไทยตลอด 61 ปี ที่ผ่านมา

    ย้อนเวลาสำรวจเส้นทางของหนังสือพิมพ์ ที่เริ่มต้นจาก “บางกอกเดลิเมล์” สู่การเป็น “แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์” และ “เดลินิวส์ออนไลน์” ในวันนี้ พร้อมทั้งเผยเบื้องหลังความเปลี่ยนแปลง วิสัยทัศน์ และจุดยืนของสื่อ ที่ไม่เคยละทิ้งภารกิจเพื่อประชาชนไทย

    🕰 จุดเริ่มต้นจากบางกอกเดลิเมล์ ความกล้าในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง ย้อนกลับไปเมื่อปี พ.ศ. 2493 ประเทศไทยอยู่ในยุคหลังสงครามโลก ครั้งที่สอง สื่อยังถูกควบคุมโดยรัฐอย่างเข้มงวด การเปิดตัวหนังสือพิมพ์ใหม่ ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ “นายห้างแสง เหตระกูล” ผู้มีประสบการณ์ในธุรกิจ "โรงพิมพ์ประชาช่าง" กลับกล้าเสี่ยง

    นายห้างแสงตัดสินใจซื้อกิจการ "หนังสือพิมพ์บางกอกเดลิเมล์" (Bangkok Daily Mail) ของนายหลุย คีรีวัตน์ ซึ่งได้หยุดดำเนินการไปตั้งแต่วันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2476 และรื้อฟื้นมันขึ้นใหม่ ในรูปแบบหนังสือพิมพ์รายปักษ์ชื่อว่า “เดลิเมล์วันจันทร์” ออกฉบับแรกเมื่อ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2493

    ฉบับแรกมีพาดหัวว่า “นักศึกษา มธก.รากเลือดค้าน ก.พ.” เป็นการสะท้อนจุดยืนของสื่อ ที่กล้าแตะประเด็นทางสังคม การเมืองอย่างตรงไปตรงมา

    เปลี่ยนผ่านอย่างมีทิศทาง จากเดลิเมล์ สู่แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์ ในช่วง พ.ศ. 2500 “บางกอกเดลิเมล์รายวัน” ขยับสู่การเป็นหนังสือพิมพ์รายวัน อย่างเต็มรูปแบบ ขยายขนาดหน้ากระดาษจาก 7 เป็น 8 คอลัมน์นิ้ว 🖨 ถือเป็นนวัตกรรมใหม่ในวงการสื่อขณะนั้น

    แต่แล้วจุดเปลี่ยนสำคัญก็เกิดขึ้น เมื่อรัฐบาล "จอมพลแปลก พิบูลสงคราม" ถูกโค่นล้มโดย "จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์" ซึ่งส่งผลให้สื่อหลายฉบับถูกตรวจสอบ และปิดตัวลง

    ในวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 “เดลิเมล์รายวัน” ถูกสั่งปิดโดยคำสั่งคณะปฏิวัติ มีการ ล่ามแท่นพิมพ์ด้วยโซ่ และลงครั่งประทับ ปิดฉากความกล้าหาญของสื่อเสรีในยุคนั้น อย่างสิ้นเชิง

    เดลินิวส์ฉบับแรก กำเนิดเกิดใหม่ในนาม “แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์” แม้จะถูกสั่งปิด แต่ “นายห้างแสง” ไม่ยอมแพ้ เดินหน้าสู่บทใหม่ ซื้อหัวหนังสือพิมพ์ “แนวหน้า” และรวมเข้ากับชื่อเดิม กลายเป็น “แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์” 🗞

    วันเสาร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2507 หนังสือพิมพ์ฉบับนี้ออกวางแผงเป็นครั้งแรก โดยมี "นายประพันธ์ เหตระกูล" บุตรชายเป็นบรรณาธิการบริหาร

    พาดหัวฉบับแรกสร้างเสียงฮือฮาทันที “เมียน้อยจอมพลสฤษดิ์ท้องในอเมริกา พบรักแท้กับนักเรียนไทยวัยรุ่น” นำเสนอข่าวแบบเจาะลึกถึงตัวบุคคล และโครงสร้างอำนาจการเมือง

    ข่าวเด่นยุคแรก กล้าท้าชนอำนาจรัฐ เดลินิวส์มีจุดขายที่ชัดเจน คือการเสนอข่าวที่ตรงไปตรงมา โดยเฉพาะเรื่องของ "จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์" ที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับอนุภรรยากว่า 103 คน และทรัพย์สินมูลค่ากว่า 2,874 ล้านบาท

    นอกจากนี้ยังเปิดโปงคดีอาชญากรรม การทุจริต และประเด็นอ่อนไหวที่สื่ออื่นหลีกเลี่ยง จึงได้รับความนิยมจากผู้อ่านในวงกว้าง และถือเป็น “กระบอกเสียงของประชาชน” ที่แท้จริง

    ก้าวข้ามวิกฤตเศรษฐกิจ ปรับคุณภาพเพื่อความอยู่รอด ช่วง พ.ศ. 2516 - 2517 ทั่วโลกประสบปัญหาน้ำมันขาดแคลน ทำให้ต้นทุนการผลิตหนังสือพิมพ์สูงขึ้น หนังสือพิมพ์หลายฉบับต้องขึ้นราคาขาย เดลินิวส์ก็เช่นกัน โดยปรับขึ้น 50 สตางค์

    แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ เดลินิวส์ ไม่ลดคุณภาพข่าว ตรงกันข้ามกลับเพิ่มคอลัมน์ วิเคราะห์การเมือง และข่าวสังคม มากขึ้น ส่งผลให้ได้รับความเชื่อถือจากผู้อ่าน อย่างต่อเนื่อง

    เปลี่ยนชื่อเป็น “เดลินิวส์” อย่างเป็นทางการ ในวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2522 บริษัทสี่พระยาการพิมพ์ จำกัด ได้ยื่นเรื่องเปลี่ยนชื่อหนังสือพิมพ์เป็น “เดลินิวส์” และได้รับอนุญาตในวันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2522

    ต่อมา เดลินิวส์ได้ขยายสำนักงานจากถนนสี่พระยา มาที่ถนนวิภาวดีรังสิต ซึ่งเป็นที่ตั้งปัจจุบัน พร้อมขยายจำนวนหน้าจาก 16 เป็น 48 หน้า และเพิ่มราคาจำหน่ายจาก 1 บาท เป็น 10 บาทในปัจจุบัน

    🖨 นวัตกรรมการพิมพ์ ก้าวสู่งานข่าวสีเต็มรูปแบบ ในปี พ.ศ. 2529 เดลินิวส์เริ่มพิมพ์ภาพข่าวสี่สีครั้งแรก คือ ภาพโศกนาฏกรรมกระสวยอวกาศ “แชลเลนเจอร์” และต่อมาในปี พ.ศ. 2531 ตีพิมพ์ภาพ “ภรณ์ทิพย์ นาคหิรัญกนก” คว้ามงกุฎนางงามจักรวาลที่ไต้หวัน

    พร้อมลงทุนในระบบพิมพ์ แซตเติลไลต์ ยูนิต และโฟร์ไฮ ที่สามารถพิมพ์ได้เร็วถึง 120,000 ฉบับ ต่อชั่วโมง สร้างมาตรฐานใหม่ให้วงการสื่อสิ่งพิมพ์ไทย

    เดลินิวส์ออนไลน์ ปฏิวัติวงการข่าวดิจิทัล ในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2541 เดลินิวส์เข้าสู่โลกอินเทอร์เน็ตอย่างเต็มตัว เปิดเว็บไซต์ www.dailynews.co.th พร้อมคอนเซปต์ว่า...

    “ให้ข่าวสารพาไปไกลกว่าแค่ ‘รู้’ แต่คือ รู้ลึก รู้จริง และรู้เท่าทันทุกสถานการณ์”

    ในวันนี้ เดลินิวส์ออนไลน์ครอบคลุมทุกหมวดหมู่ข่าว ไม่ว่าจะเป็นข่าวการเมือง เศรษฐกิจ สังคม บันเทิง กีฬา ไลฟ์สไตล์ รวมถึง วิดีโอ, อินโฟกราฟิก และ คอนเทนต์แบบเรียลไทม์ 24 ชั่วโมง ⏱

    ปณิธานของ “เดลินิวส์” ข่าวเพื่อประชาชน สิ่งที่ทำให้ “เดลินิวส์” อยู่ได้มากว่า 61 ปี ไม่ใช่เพียงเพราะยอดขายหรือชื่อเสียง แต่เป็นเพราะความตั้งใจจริงของคณะผู้บริหาร ในการทำสื่อเพื่อประชาชน

    เดลินิวส์นำเสนอข่าวสารที่ครอบคลุม ทั้งข่าวสังคมที่ใกล้ตัว และข่าวเศรษฐกิจระดับชาติ โดยยึดมั่นในหลักจริยธรรมข่าว สร้างความเข้าใจ ที่มากกว่าแค่การรับรู้ข้อมูล

    เดลินิวส์…มากกว่าข่าว คือความเข้าใจ จาก “บางกอกเดลิเมล์” ที่เคยถูกล่ามแท่นพิมพ์ด้วยโซ่ จนถึง “เดลินิวส์ออนไลน์” ที่ไหลลื่นในโลกดิจิทัล

    เส้นทางกว่า 61 ปี ของหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ สะท้อนให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทย และบทบาทของสื่อ ที่ไม่เคยละทิ้งประชาชน

    และไม่ว่ากาลเวลาจะเปลี่ยนไปอย่างไร เดลินิวส์ยังคงทำหน้าที่ ด้วยหัวใจของนักข่าวเพื่อประชาชน

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 280955 มี.ค. 2568

    #เดลินิวส์ #ประวัติเดลินิวส์ #หนังสือพิมพ์ไทย #สื่อไทย #ข่าวออนไลน์ #เดลินิวส์ออนไลน์ #ข่าวเพื่อประชาชน #61ปีเดลินิวส์ #DailyNewsTH #ข่าวไทย
    📰 61 ปี หนังสือพิมพ์ “เดลินิวส์” จากบางกอกเดลิเมล์ สู่เดลินิวส์ออนไลน์ บันทึกความทรงจำของสื่อไทย ที่เติบโตเคียงข้างประชาชน ✨ 61 ปี แห่งการเปลี่ยนผ่านของสื่อที่ไม่หยุดนิ่ง ในยุคที่โลกหมุนเร็วด้วยข่าวสารและเทคโนโลยี 🌐 มีไม่กี่สื่อ ที่สามารถยืนหยัดอยู่ได้อย่างมั่นคง ตลอดระยะเวลากว่าครึ่งศตวรรษ แต่ “เดลินิวส์” คือหนึ่งในนั้น 🙌 จากวันแรกของการก่อตั้ง เมื่อวันเสาร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2507 สู่การเป็นผู้นำข่าวระดับประเทศ ทั้งในรูปแบบสิ่งพิมพ์และออนไลน์ 🖥️ เส้นทางของหนังสือพิมพ์เดลินิวส์นั้น ไม่เพียงแต่สะท้อนวิวัฒนาการ ของวงการสื่อไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นกระจกเงาสำคัญของประวัติศาสตร์ สังคม และการเมืองไทยตลอด 61 ปี ที่ผ่านมา 📆 ย้อนเวลาสำรวจเส้นทางของหนังสือพิมพ์ ที่เริ่มต้นจาก “บางกอกเดลิเมล์” สู่การเป็น “แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์” และ “เดลินิวส์ออนไลน์” ในวันนี้ พร้อมทั้งเผยเบื้องหลังความเปลี่ยนแปลง วิสัยทัศน์ และจุดยืนของสื่อ ที่ไม่เคยละทิ้งภารกิจเพื่อประชาชนไทย 🇹🇭 🕰 จุดเริ่มต้นจากบางกอกเดลิเมล์ ความกล้าในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง ย้อนกลับไปเมื่อปี พ.ศ. 2493 ประเทศไทยอยู่ในยุคหลังสงครามโลก ครั้งที่สอง 📜 สื่อยังถูกควบคุมโดยรัฐอย่างเข้มงวด การเปิดตัวหนังสือพิมพ์ใหม่ ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ “นายห้างแสง เหตระกูล” ผู้มีประสบการณ์ในธุรกิจ "โรงพิมพ์ประชาช่าง" กลับกล้าเสี่ยง 🔍 นายห้างแสงตัดสินใจซื้อกิจการ "หนังสือพิมพ์บางกอกเดลิเมล์" (Bangkok Daily Mail) ของนายหลุย คีรีวัตน์ ซึ่งได้หยุดดำเนินการไปตั้งแต่วันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2476 และรื้อฟื้นมันขึ้นใหม่ ในรูปแบบหนังสือพิมพ์รายปักษ์ชื่อว่า “เดลิเมล์วันจันทร์” ออกฉบับแรกเมื่อ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2493 📅 ฉบับแรกมีพาดหัวว่า “นักศึกษา มธก.รากเลือดค้าน ก.พ.” เป็นการสะท้อนจุดยืนของสื่อ ที่กล้าแตะประเด็นทางสังคม การเมืองอย่างตรงไปตรงมา 📰 เปลี่ยนผ่านอย่างมีทิศทาง จากเดลิเมล์ สู่แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์ ในช่วง พ.ศ. 2500 “บางกอกเดลิเมล์รายวัน” ขยับสู่การเป็นหนังสือพิมพ์รายวัน อย่างเต็มรูปแบบ ขยายขนาดหน้ากระดาษจาก 7 เป็น 8 คอลัมน์นิ้ว 🖨 ถือเป็นนวัตกรรมใหม่ในวงการสื่อขณะนั้น 📈 แต่แล้วจุดเปลี่ยนสำคัญก็เกิดขึ้น เมื่อรัฐบาล "จอมพลแปลก พิบูลสงคราม" ถูกโค่นล้มโดย "จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์" ซึ่งส่งผลให้สื่อหลายฉบับถูกตรวจสอบ และปิดตัวลง ❌ ในวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 “เดลิเมล์รายวัน” ถูกสั่งปิดโดยคำสั่งคณะปฏิวัติ มีการ ล่ามแท่นพิมพ์ด้วยโซ่ และลงครั่งประทับ ปิดฉากความกล้าหาญของสื่อเสรีในยุคนั้น อย่างสิ้นเชิง 📢 เดลินิวส์ฉบับแรก กำเนิดเกิดใหม่ในนาม “แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์” แม้จะถูกสั่งปิด แต่ “นายห้างแสง” ไม่ยอมแพ้ ✊ เดินหน้าสู่บทใหม่ ซื้อหัวหนังสือพิมพ์ “แนวหน้า” และรวมเข้ากับชื่อเดิม กลายเป็น “แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์” 🗞 วันเสาร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2507 หนังสือพิมพ์ฉบับนี้ออกวางแผงเป็นครั้งแรก โดยมี "นายประพันธ์ เหตระกูล" บุตรชายเป็นบรรณาธิการบริหาร พาดหัวฉบับแรกสร้างเสียงฮือฮาทันที “เมียน้อยจอมพลสฤษดิ์ท้องในอเมริกา พบรักแท้กับนักเรียนไทยวัยรุ่น” 😲 นำเสนอข่าวแบบเจาะลึกถึงตัวบุคคล และโครงสร้างอำนาจการเมือง 🔍 ข่าวเด่นยุคแรก กล้าท้าชนอำนาจรัฐ เดลินิวส์มีจุดขายที่ชัดเจน คือการเสนอข่าวที่ตรงไปตรงมา 💥 โดยเฉพาะเรื่องของ "จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์" ที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับอนุภรรยากว่า 103 คน และทรัพย์สินมูลค่ากว่า 2,874 ล้านบาท 😮 นอกจากนี้ยังเปิดโปงคดีอาชญากรรม การทุจริต และประเด็นอ่อนไหวที่สื่ออื่นหลีกเลี่ยง จึงได้รับความนิยมจากผู้อ่านในวงกว้าง และถือเป็น “กระบอกเสียงของประชาชน” ที่แท้จริง 📈 ก้าวข้ามวิกฤตเศรษฐกิจ ปรับคุณภาพเพื่อความอยู่รอด ช่วง พ.ศ. 2516 - 2517 ทั่วโลกประสบปัญหาน้ำมันขาดแคลน ทำให้ต้นทุนการผลิตหนังสือพิมพ์สูงขึ้น 📉 หนังสือพิมพ์หลายฉบับต้องขึ้นราคาขาย เดลินิวส์ก็เช่นกัน โดยปรับขึ้น 50 สตางค์ 💸 แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ เดลินิวส์ ไม่ลดคุณภาพข่าว ตรงกันข้ามกลับเพิ่มคอลัมน์ วิเคราะห์การเมือง และข่าวสังคม มากขึ้น ส่งผลให้ได้รับความเชื่อถือจากผู้อ่าน อย่างต่อเนื่อง ✨ 📚 เปลี่ยนชื่อเป็น “เดลินิวส์” อย่างเป็นทางการ ในวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2522 บริษัทสี่พระยาการพิมพ์ จำกัด ได้ยื่นเรื่องเปลี่ยนชื่อหนังสือพิมพ์เป็น “เดลินิวส์” และได้รับอนุญาตในวันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2522 🎉 ต่อมา เดลินิวส์ได้ขยายสำนักงานจากถนนสี่พระยา มาที่ถนนวิภาวดีรังสิต ซึ่งเป็นที่ตั้งปัจจุบัน 🏢 พร้อมขยายจำนวนหน้าจาก 16 เป็น 48 หน้า และเพิ่มราคาจำหน่ายจาก 1 บาท เป็น 10 บาทในปัจจุบัน 🖨 นวัตกรรมการพิมพ์ ก้าวสู่งานข่าวสีเต็มรูปแบบ ในปี พ.ศ. 2529 เดลินิวส์เริ่มพิมพ์ภาพข่าวสี่สีครั้งแรก คือ ภาพโศกนาฏกรรมกระสวยอวกาศ “แชลเลนเจอร์” 🚀 และต่อมาในปี พ.ศ. 2531 ตีพิมพ์ภาพ “ภรณ์ทิพย์ นาคหิรัญกนก” คว้ามงกุฎนางงามจักรวาลที่ไต้หวัน 👑 พร้อมลงทุนในระบบพิมพ์ แซตเติลไลต์ ยูนิต และโฟร์ไฮ ที่สามารถพิมพ์ได้เร็วถึง 120,000 ฉบับ ต่อชั่วโมง 🚀 สร้างมาตรฐานใหม่ให้วงการสื่อสิ่งพิมพ์ไทย 🌐 เดลินิวส์ออนไลน์ ปฏิวัติวงการข่าวดิจิทัล ในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2541 เดลินิวส์เข้าสู่โลกอินเทอร์เน็ตอย่างเต็มตัว เปิดเว็บไซต์ www.dailynews.co.th 💻 พร้อมคอนเซปต์ว่า... “ให้ข่าวสารพาไปไกลกว่าแค่ ‘รู้’ แต่คือ รู้ลึก รู้จริง และรู้เท่าทันทุกสถานการณ์” ในวันนี้ เดลินิวส์ออนไลน์ครอบคลุมทุกหมวดหมู่ข่าว 🗂️ ไม่ว่าจะเป็นข่าวการเมือง เศรษฐกิจ สังคม บันเทิง กีฬา ไลฟ์สไตล์ รวมถึง วิดีโอ, อินโฟกราฟิก และ คอนเทนต์แบบเรียลไทม์ 24 ชั่วโมง ⏱ 💡 ปณิธานของ “เดลินิวส์” ข่าวเพื่อประชาชน สิ่งที่ทำให้ “เดลินิวส์” อยู่ได้มากว่า 61 ปี ไม่ใช่เพียงเพราะยอดขายหรือชื่อเสียง 🏆 แต่เป็นเพราะความตั้งใจจริงของคณะผู้บริหาร ในการทำสื่อเพื่อประชาชน เดลินิวส์นำเสนอข่าวสารที่ครอบคลุม ทั้งข่าวสังคมที่ใกล้ตัว และข่าวเศรษฐกิจระดับชาติ โดยยึดมั่นในหลักจริยธรรมข่าว สร้างความเข้าใจ ที่มากกว่าแค่การรับรู้ข้อมูล 📘 📌 เดลินิวส์…มากกว่าข่าว คือความเข้าใจ จาก “บางกอกเดลิเมล์” ที่เคยถูกล่ามแท่นพิมพ์ด้วยโซ่ จนถึง “เดลินิวส์ออนไลน์” ที่ไหลลื่นในโลกดิจิทัล 🌐 เส้นทางกว่า 61 ปี ของหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ สะท้อนให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทย และบทบาทของสื่อ ที่ไม่เคยละทิ้งประชาชน 💞 และไม่ว่ากาลเวลาจะเปลี่ยนไปอย่างไร เดลินิวส์ยังคงทำหน้าที่ ด้วยหัวใจของนักข่าวเพื่อประชาชน ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 280955 มี.ค. 2568 📢 #เดลินิวส์ #ประวัติเดลินิวส์ #หนังสือพิมพ์ไทย #สื่อไทย #ข่าวออนไลน์ #เดลินิวส์ออนไลน์ #ข่าวเพื่อประชาชน #61ปีเดลินิวส์ #DailyNewsTH #ข่าวไทย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1557 มุมมอง 0 รีวิว
  • รายงานวิเคราะห์จากเพจลงทุนแมน เกี่ยวกับสรุปวิกฤติค่าเงิน อินโดนีเซีย อ่อนสุดตั้งแต่ต้มยำกุ้ง ในโพสต์เดียว /โดย ลงทุนแมน
    ถ้าบอกว่า อินโดนีเซียยังเป็นประเทศดาวรุ่งพุ่งแรง ที่ทุกอย่างกำลังดูดี โพสต์นี้อาจทำให้หลายคนมองภาพประเทศนี้เปลี่ยนไป

    เพราะตอนนี้ อินโดนีเซียกำลังเจอวิกฤติเงินรูเปียอ่อนค่าอย่างหนัก ซึ่งเป็นการอ่อนค่ามากที่สุด นับตั้งแต่วิกฤติต้มยำกุ้งในปี 2540 เลยทีเดียว

    จนธนาคารกลางอินโดนีเซีย ต้องนำเงินทุนสำรองมาพยุงค่าเงินรูเปียไม่ให้อ่อนค่าไปมากกว่านี้

    วิกฤติค่าเงินของอินโดนีเซียรุนแรงแค่ไหน ?
    แล้วเกิดขึ้นเพราะอะไร ?
    ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง

    ค่าเงินรูเปียของอินโดนีเซีย ร่วงไปแตะระดับ 16,600 รูเปียต่อดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่ามากที่สุด ระดับเดียวกับช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง เมื่อปี 2540

    สถานการณ์ของอินโดนีเซียในครั้งนี้ อาจไม่ได้ซ้ำรอยกับวิกฤติต้มยำกุ้ง ที่เริ่มต้นจากการถล่มค่าเงินในภูมิภาค แต่เกิดขึ้นจากรากฐานเศรษฐกิจของอินโดนีเซียที่อ่อนแอลง และถูกซ้ำเติมด้วยนโยบายภาครัฐ

    ก่อนหน้านี้ อินโดนีเซีย คือหนึ่งในประเทศที่ได้รับเงินสนับสนุนและการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติมาอย่างต่อเนื่อง

    โดยในปี 2566 มีเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติมากถึง 1.88 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% จากปีก่อนหน้า และมี GDP เติบโตเฉลี่ย 5% ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา

    เมื่อมีเม็ดเงินลงทุนเข้ามาอย่างต่อเนื่อง บวกกับเศรษฐกิจที่เติบโตดี มีฐานประชากรกว่า 281 ล้านคน คอยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

    อีกทั้งรัฐบาลอินโดนีเซีย ดำเนินนโยบายแบบขาดดุลตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งอินโดนีเซียมีกรอบนโยบายขาดดุลงบประมาณราว -3% ต่อ GDP อย่างยาวนาน

    จนมาถึงยุคของ ประธานาธิบดีปราโบโว ซูเบียนโต
    ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งในช่วงปลายปี 2567 ก็ยังคงเดินตามแบบแผนเดิม ๆ คือ การตั้งงบประมาณแบบขาดดุล

    พร้อมกับนโยบายประชานิยมหลากหลายอย่าง ที่เขาได้ประกาศใช้ ไม่ว่าจะเป็น

    - ปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 6.5% สูงกว่าข้อเสนอของกระทรวงแรงงานที่เสนอไว้ 6%

    - อาหารกลางวันฟรี ให้กับประชาชนกว่า 83 ล้านคน โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือ เด็ก และสตรีมีครรภ์ ซึ่งคาดว่าจะใช้งบประมาณกว่า 950,000 ล้านบาทต่อปี

    - สั่งเบรกอัตราภาษี VAT ที่จะต้องปรับขึ้นเป็น 12% ในสินค้าทุกรายการ เป็นบังคับใช้เพียงสินค้าฟุ่มเฟือยเท่านั้น

    แน่นอนว่า การทำนโยบายประชานิยม ก็ยิ่งกดดันให้อินโดนีเซียต้องขาดดุลมากขึ้น และมีความเสี่ยงที่จะเลยกรอบ 3% ต่อ GDP ที่วางไว้

    ซึ่งในปี 2568 รัฐบาลอินโดนีเซีย ตั้งเป้างบประมาณขาดดุลไว้ที่ 2.53% เพิ่มขึ้นจาก 2.29% ในปี 2567

    แล้วภาพเศรษฐกิจของอินโดนีเซีย เป็นอย่างไร ?

    สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP อินโดนีเซีย ในปี 2567 อยู่ที่ 39% ซึ่งถือว่าค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับชาติอื่น ๆ ในภูมิภาค เช่น ไทย ฟิลิปปินส์ หรือ มาเลเซีย

    แต่หากดูในภาพรวม จะพบว่า GDP ของอินโดนีเซีย กำลังเติบโตลดลงทีละน้อย จาก 5.31% ในปี 2565 เหลือ 5.03% ในปี 2567

    ในขณะที่รายได้ของรัฐ เริ่มส่งสัญญาณโตไม่ทันรายจ่าย ทำให้ภาครัฐขาดดุลมากขึ้น

    ปี 2565 ขาดดุล 943,236 ล้านบาท
    ปี 2566 ขาดดุล 994,387 ล้านบาท
    ปี 2567 ขาดดุล 1,070,091 ล้านบาท

    เมื่อมีแนวโน้มขาดดุลงบประมาณมากขึ้น แต่การเติบโตของเศรษฐกิจกลับเริ่มอ่อนแรง การกู้เงินมาใช้จ่ายจึงเพิ่มขึ้น

    ซึ่งแม้แต่ประธานาธิบดีปราโบโวเอง ก็เคยบอกไว้ว่ามีแผนจะปรับระดับเพดานหนี้สาธารณะต่อ GDP อินโดนีเซีย ไปอยู่ในระดับ 50% ภายในเวลา 5 ปี

    นอกจากเรื่องการขาดดุลอย่างต่อเนื่องแล้ว ประธานาธิบดีคนนี้ ยังต้องการตั้งกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติที่ชื่อว่า Danantara ที่คาดว่าจะมีมูลค่าทรัพย์สินภายใต้การจัดการกว่า 30 ล้านล้านบาท

    Danantara มีโมเดลคล้าย Temasek กองทุน
    ความมั่งคั่งแห่งชาติสิงคโปร์ ที่เน้นนำเงินของประเทศ
    ไปลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ ทั่วโลก

    รวมถึง รัฐวิสาหกิจของอินโดนีเซีย กว่า 40 แห่ง ที่จะถูกรวมเข้ามาเป็นสินทรัพย์ภายใต้กองทุน เช่น
    - Pertamina บริษัทน้ำมันและก๊าซ
    - PLN บริษัทไฟฟ้า
    - Telkom Indonesia บริษัทโทรคมนาคม

    แต่ปัญหาคือ กองทุนนี้ต้องใช้เงินมหาศาลในการจัดตั้งกองทุน ซึ่งสิ่งที่รัฐบาลอินโดนีเซียทำ เป็นความเสี่ยงที่หลายคนกังวล

    เพราะรัฐบาลหาเงินมาทำกองทุนนี้ ด้วยการตัดงบประมาณบริการสาธารณะที่จำเป็น รวมถึงการลดเงินทุนสำหรับการศึกษาระดับประถมลง 24% และลดงบประมาณการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยลง 39% ลดค่าใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพลง 19% และที่สำคัญคือ การลดโครงการสาธารณูปโภค และโครงสร้างพื้นฐานลง 73%

    เรียกได้ว่า กองทุนนี้มีเงินตั้งต้นจากการลดค่าใช้จ่าย
    ในเศรษฐกิจ ที่เป็นอนาคตสำคัญของประเทศ

    จากปัญหาหลักทั้ง 2 เรื่องนี้ นั่นก็คือ การขาดดุลงบประมาณ และการลดค่าใช้จ่ายที่สำคัญทางเศรษฐกิจ ก็ทำให้นักลงทุนต่างชาติเริ่มกังวลกับความอ่อนแอของเศรษฐกิจ และศักยภาพการเติบโตที่ยั่งยืนในระยะยาวของอินโดนีเซีย

    ส่งผลให้นักลงทุนเริ่มเทขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์อินโดนีเซีย จนดัชนีตลาดหลักทรัพย์อินโดนีเซีย (IDX Composite) ปรับตัวลงไปแล้ว -10% นับจากต้นปี (ยังดีกว่าดัชนี SET ของไทยที่ -14%)

    ซึ่งวันที่ 18 มีนาคมที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์อินโดนีเซียได้มีการประกาศหยุดซื้อขายหุ้นชั่วคราว หลังจากดัชนีหลักทรัพย์ร่วงไป -5%

    โดยแรงขายหุ้นจากนักลงทุนต่างชาติ ยังเป็นแรงกดดันให้ค่าเงินรูเปียของอินโดนีเซียอ่อนค่าลงอีกทาง

    ในที่สุด ค่าเงินรูเปียของอินโดนีเซียก็อ่อนค่าลงต่อเนื่อง จนตอนนี้อยู่ในระดับที่ต่ำสุด นับตั้งแต่วิกฤติต้มยำกุ้งในช่วงปี 2540 ไปแล้ว (ในขณะที่ค่าเงินบาทไทยยังห่างไกลจากช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง ที่อ่อนค่าลงไปแตะ 55 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ)

    อย่างไรก็ตาม ก็ต้องบอกว่า เรื่องนี้ก็อาจเกิดขึ้นในระยะสั้นเท่านั้น หากความเชื่อมั่นของนักลงทุนกลับมา และความท้าทายทางเศรษฐกิจเริ่มคลี่คลาย

    แต่ถ้ารัฐบาลอินโดนีเซียภายใต้ผู้นำที่ชื่อว่า ปราโบโว
    ซูเบียนโต ยังทำแบบเดิม ๆ และความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ ยังไม่ฟื้นคืน

    สุดท้าย ก็อาจทำให้ค่าเงินรูเปียของอินโดนีเซีย ร่วงหนักไปมากกว่านี้ก็ได้..

    ปิดท้ายด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ

    รู้ไหมว่า กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ Danantara
    ของอินโดนีเซีย มีคุณทักษิณ ชินวัตร เป็นที่ปรึกษาอีกด้วย
    ╔═══════════╗
    ติดตามข่าวเศรษฐกิจแบบเน้น ๆ จากหลายเพจได้ใน Blockdit - คอนเทนต์แพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้งานเป็นประจำ 2 ล้านคน ลองใช้ฟรี blockdit.com/download
    ╚═══════════╝
    ติดตามลงทุนแมนได้ที่
    Website - longtunman.com
    Blockdit - blockdit.com/longtunman
    Facebook - facebook.com/longtunman
    Twitter - twitter.com/longtunman
    Instagram - instagram.com/longtunman
    YouTube - youtube.com/longtunman
    TikTok - tiktok.com/@longtunman
    Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
    Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงทุนแมน/id1543162829
    Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
    References
    -https://www.reuters.com/markets/currencies/indonesia-cbank-says-rupiah-weakness-reflects-global-domestic-factors-2025-03-25/?utm_source=chatgpt.com
    -https://www.bloomberg.com/news/articles/2025-03-26/indonesia-stock-market-why-are-investors-fleeing-what-role-has-prabowo-played
    -https://tradingeconomics.com/indonesia/indicators
    -https://www.bps.go.id/en/statistics-table/2/MTA4NSMy/actual-government-expenditures--finance-.html
    -https://asiatimes.com/2025/03/danantara-indonesias-ticking-financial-time-bomb
    รายงานวิเคราะห์จากเพจลงทุนแมน เกี่ยวกับสรุปวิกฤติค่าเงิน อินโดนีเซีย อ่อนสุดตั้งแต่ต้มยำกุ้ง ในโพสต์เดียว /โดย ลงทุนแมน ถ้าบอกว่า อินโดนีเซียยังเป็นประเทศดาวรุ่งพุ่งแรง ที่ทุกอย่างกำลังดูดี โพสต์นี้อาจทำให้หลายคนมองภาพประเทศนี้เปลี่ยนไป เพราะตอนนี้ อินโดนีเซียกำลังเจอวิกฤติเงินรูเปียอ่อนค่าอย่างหนัก ซึ่งเป็นการอ่อนค่ามากที่สุด นับตั้งแต่วิกฤติต้มยำกุ้งในปี 2540 เลยทีเดียว จนธนาคารกลางอินโดนีเซีย ต้องนำเงินทุนสำรองมาพยุงค่าเงินรูเปียไม่ให้อ่อนค่าไปมากกว่านี้ วิกฤติค่าเงินของอินโดนีเซียรุนแรงแค่ไหน ? แล้วเกิดขึ้นเพราะอะไร ? ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง ค่าเงินรูเปียของอินโดนีเซีย ร่วงไปแตะระดับ 16,600 รูเปียต่อดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่ามากที่สุด ระดับเดียวกับช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง เมื่อปี 2540 สถานการณ์ของอินโดนีเซียในครั้งนี้ อาจไม่ได้ซ้ำรอยกับวิกฤติต้มยำกุ้ง ที่เริ่มต้นจากการถล่มค่าเงินในภูมิภาค แต่เกิดขึ้นจากรากฐานเศรษฐกิจของอินโดนีเซียที่อ่อนแอลง และถูกซ้ำเติมด้วยนโยบายภาครัฐ ก่อนหน้านี้ อินโดนีเซีย คือหนึ่งในประเทศที่ได้รับเงินสนับสนุนและการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติมาอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2566 มีเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติมากถึง 1.88 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% จากปีก่อนหน้า และมี GDP เติบโตเฉลี่ย 5% ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา เมื่อมีเม็ดเงินลงทุนเข้ามาอย่างต่อเนื่อง บวกกับเศรษฐกิจที่เติบโตดี มีฐานประชากรกว่า 281 ล้านคน คอยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ อีกทั้งรัฐบาลอินโดนีเซีย ดำเนินนโยบายแบบขาดดุลตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งอินโดนีเซียมีกรอบนโยบายขาดดุลงบประมาณราว -3% ต่อ GDP อย่างยาวนาน จนมาถึงยุคของ ประธานาธิบดีปราโบโว ซูเบียนโต ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งในช่วงปลายปี 2567 ก็ยังคงเดินตามแบบแผนเดิม ๆ คือ การตั้งงบประมาณแบบขาดดุล พร้อมกับนโยบายประชานิยมหลากหลายอย่าง ที่เขาได้ประกาศใช้ ไม่ว่าจะเป็น - ปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 6.5% สูงกว่าข้อเสนอของกระทรวงแรงงานที่เสนอไว้ 6% - อาหารกลางวันฟรี ให้กับประชาชนกว่า 83 ล้านคน โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือ เด็ก และสตรีมีครรภ์ ซึ่งคาดว่าจะใช้งบประมาณกว่า 950,000 ล้านบาทต่อปี - สั่งเบรกอัตราภาษี VAT ที่จะต้องปรับขึ้นเป็น 12% ในสินค้าทุกรายการ เป็นบังคับใช้เพียงสินค้าฟุ่มเฟือยเท่านั้น แน่นอนว่า การทำนโยบายประชานิยม ก็ยิ่งกดดันให้อินโดนีเซียต้องขาดดุลมากขึ้น และมีความเสี่ยงที่จะเลยกรอบ 3% ต่อ GDP ที่วางไว้ ซึ่งในปี 2568 รัฐบาลอินโดนีเซีย ตั้งเป้างบประมาณขาดดุลไว้ที่ 2.53% เพิ่มขึ้นจาก 2.29% ในปี 2567 แล้วภาพเศรษฐกิจของอินโดนีเซีย เป็นอย่างไร ? สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP อินโดนีเซีย ในปี 2567 อยู่ที่ 39% ซึ่งถือว่าค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับชาติอื่น ๆ ในภูมิภาค เช่น ไทย ฟิลิปปินส์ หรือ มาเลเซีย แต่หากดูในภาพรวม จะพบว่า GDP ของอินโดนีเซีย กำลังเติบโตลดลงทีละน้อย จาก 5.31% ในปี 2565 เหลือ 5.03% ในปี 2567 ในขณะที่รายได้ของรัฐ เริ่มส่งสัญญาณโตไม่ทันรายจ่าย ทำให้ภาครัฐขาดดุลมากขึ้น ปี 2565 ขาดดุล 943,236 ล้านบาท ปี 2566 ขาดดุล 994,387 ล้านบาท ปี 2567 ขาดดุล 1,070,091 ล้านบาท เมื่อมีแนวโน้มขาดดุลงบประมาณมากขึ้น แต่การเติบโตของเศรษฐกิจกลับเริ่มอ่อนแรง การกู้เงินมาใช้จ่ายจึงเพิ่มขึ้น ซึ่งแม้แต่ประธานาธิบดีปราโบโวเอง ก็เคยบอกไว้ว่ามีแผนจะปรับระดับเพดานหนี้สาธารณะต่อ GDP อินโดนีเซีย ไปอยู่ในระดับ 50% ภายในเวลา 5 ปี นอกจากเรื่องการขาดดุลอย่างต่อเนื่องแล้ว ประธานาธิบดีคนนี้ ยังต้องการตั้งกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติที่ชื่อว่า Danantara ที่คาดว่าจะมีมูลค่าทรัพย์สินภายใต้การจัดการกว่า 30 ล้านล้านบาท Danantara มีโมเดลคล้าย Temasek กองทุน ความมั่งคั่งแห่งชาติสิงคโปร์ ที่เน้นนำเงินของประเทศ ไปลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ ทั่วโลก รวมถึง รัฐวิสาหกิจของอินโดนีเซีย กว่า 40 แห่ง ที่จะถูกรวมเข้ามาเป็นสินทรัพย์ภายใต้กองทุน เช่น - Pertamina บริษัทน้ำมันและก๊าซ - PLN บริษัทไฟฟ้า - Telkom Indonesia บริษัทโทรคมนาคม แต่ปัญหาคือ กองทุนนี้ต้องใช้เงินมหาศาลในการจัดตั้งกองทุน ซึ่งสิ่งที่รัฐบาลอินโดนีเซียทำ เป็นความเสี่ยงที่หลายคนกังวล เพราะรัฐบาลหาเงินมาทำกองทุนนี้ ด้วยการตัดงบประมาณบริการสาธารณะที่จำเป็น รวมถึงการลดเงินทุนสำหรับการศึกษาระดับประถมลง 24% และลดงบประมาณการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยลง 39% ลดค่าใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพลง 19% และที่สำคัญคือ การลดโครงการสาธารณูปโภค และโครงสร้างพื้นฐานลง 73% เรียกได้ว่า กองทุนนี้มีเงินตั้งต้นจากการลดค่าใช้จ่าย ในเศรษฐกิจ ที่เป็นอนาคตสำคัญของประเทศ จากปัญหาหลักทั้ง 2 เรื่องนี้ นั่นก็คือ การขาดดุลงบประมาณ และการลดค่าใช้จ่ายที่สำคัญทางเศรษฐกิจ ก็ทำให้นักลงทุนต่างชาติเริ่มกังวลกับความอ่อนแอของเศรษฐกิจ และศักยภาพการเติบโตที่ยั่งยืนในระยะยาวของอินโดนีเซีย ส่งผลให้นักลงทุนเริ่มเทขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์อินโดนีเซีย จนดัชนีตลาดหลักทรัพย์อินโดนีเซีย (IDX Composite) ปรับตัวลงไปแล้ว -10% นับจากต้นปี (ยังดีกว่าดัชนี SET ของไทยที่ -14%) ซึ่งวันที่ 18 มีนาคมที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์อินโดนีเซียได้มีการประกาศหยุดซื้อขายหุ้นชั่วคราว หลังจากดัชนีหลักทรัพย์ร่วงไป -5% โดยแรงขายหุ้นจากนักลงทุนต่างชาติ ยังเป็นแรงกดดันให้ค่าเงินรูเปียของอินโดนีเซียอ่อนค่าลงอีกทาง ในที่สุด ค่าเงินรูเปียของอินโดนีเซียก็อ่อนค่าลงต่อเนื่อง จนตอนนี้อยู่ในระดับที่ต่ำสุด นับตั้งแต่วิกฤติต้มยำกุ้งในช่วงปี 2540 ไปแล้ว (ในขณะที่ค่าเงินบาทไทยยังห่างไกลจากช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง ที่อ่อนค่าลงไปแตะ 55 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ) อย่างไรก็ตาม ก็ต้องบอกว่า เรื่องนี้ก็อาจเกิดขึ้นในระยะสั้นเท่านั้น หากความเชื่อมั่นของนักลงทุนกลับมา และความท้าทายทางเศรษฐกิจเริ่มคลี่คลาย แต่ถ้ารัฐบาลอินโดนีเซียภายใต้ผู้นำที่ชื่อว่า ปราโบโว ซูเบียนโต ยังทำแบบเดิม ๆ และความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ ยังไม่ฟื้นคืน สุดท้าย ก็อาจทำให้ค่าเงินรูเปียของอินโดนีเซีย ร่วงหนักไปมากกว่านี้ก็ได้.. ปิดท้ายด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ รู้ไหมว่า กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ Danantara ของอินโดนีเซีย มีคุณทักษิณ ชินวัตร เป็นที่ปรึกษาอีกด้วย ╔═══════════╗ ติดตามข่าวเศรษฐกิจแบบเน้น ๆ จากหลายเพจได้ใน Blockdit - คอนเทนต์แพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้งานเป็นประจำ 2 ล้านคน ลองใช้ฟรี blockdit.com/download ╚═══════════╝ ติดตามลงทุนแมนได้ที่ Website - longtunman.com Blockdit - blockdit.com/longtunman Facebook - facebook.com/longtunman Twitter - twitter.com/longtunman Instagram - instagram.com/longtunman YouTube - youtube.com/longtunman TikTok - tiktok.com/@longtunman Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงทุนแมน/id1543162829 Soundcloud - soundcloud.com/longtunman References -https://www.reuters.com/markets/currencies/indonesia-cbank-says-rupiah-weakness-reflects-global-domestic-factors-2025-03-25/?utm_source=chatgpt.com -https://www.bloomberg.com/news/articles/2025-03-26/indonesia-stock-market-why-are-investors-fleeing-what-role-has-prabowo-played -https://tradingeconomics.com/indonesia/indicators -https://www.bps.go.id/en/statistics-table/2/MTA4NSMy/actual-government-expenditures--finance-.html -https://asiatimes.com/2025/03/danantara-indonesias-ticking-financial-time-bomb
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1370 มุมมอง 0 รีวิว
  • พ.ร.บ.ศูนย์กลางทางการเงิน ยึดอำนาจแบงก์ชาติ ? : คนเคาะข่าว 17-03-68
    : ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรมว.คลัง และประธานคณะกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ
    ดำเนินรายการโดย นงวดี ถนิมมาลย์

    #คนเคาะข่าว #ยึดอำนาจแบงก์ชาติ #เศรษฐกิจไทย #การเงิน #แบงก์ชาติ #ธีระชัยภูวนาถนรานุบาล #พลังประชารัฐ #ข่าวเศรษฐกิจ #thaiTimes #การคลัง #ตลาดการเงิน #กฎหมายการเงิน #นโยบายการเงิน #วิเคราะห์เศรษฐกิจ
    พ.ร.บ.ศูนย์กลางทางการเงิน ยึดอำนาจแบงก์ชาติ ? : คนเคาะข่าว 17-03-68 : ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรมว.คลัง และประธานคณะกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ ดำเนินรายการโดย นงวดี ถนิมมาลย์ #คนเคาะข่าว #ยึดอำนาจแบงก์ชาติ #เศรษฐกิจไทย #การเงิน #แบงก์ชาติ #ธีระชัยภูวนาถนรานุบาล #พลังประชารัฐ #ข่าวเศรษฐกิจ #thaiTimes #การคลัง #ตลาดการเงิน #กฎหมายการเงิน #นโยบายการเงิน #วิเคราะห์เศรษฐกิจ
    Like
    Love
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1188 มุมมอง 7 0 รีวิว
  • ข่าวเศรษฐกิจ ดูหน้าเขาไว้ แล้วมองกระจกดูตัวเอง ว่าอยู่กลุ่มไหน

    https://www.facebook.com/share/14qtrDRoQ8/
    ข่าวเศรษฐกิจ ดูหน้าเขาไว้ แล้วมองกระจกดูตัวเอง ว่าอยู่กลุ่มไหน https://www.facebook.com/share/14qtrDRoQ8/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 198 มุมมอง 0 รีวิว
  • 2025 ปีแห่งวิกฤตสภาพคล่องทางการเงิน (ep.2) : คนเคาะข่าว 03-03-68
    : อ.ทวีสุข ธรรมศักดิ์ ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจและการลงทุนระหว่างประเทศ
    ดำเนินรายการโดย นงวดี ถนิมมาลย์

    #วิกฤตสภาพคล่อง #เศรษฐกิจโลก #การเงิน2025 #คนเคาะข่าว #ตลาดการเงิน #วิกฤตเศรษฐกิจ #เงินเฟ้อ #ดอกเบี้ย #ลงทุน #วิเคราะห์เศรษฐกิจ #ทวีสุขธรรมศักดิ์ #ThaiTimes #ข่าวเศรษฐกิจ #ตลาดหุ้น #เงินทุน #ภาวะถดถอย
    2025 ปีแห่งวิกฤตสภาพคล่องทางการเงิน (ep.2) : คนเคาะข่าว 03-03-68 : อ.ทวีสุข ธรรมศักดิ์ ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจและการลงทุนระหว่างประเทศ ดำเนินรายการโดย นงวดี ถนิมมาลย์ #วิกฤตสภาพคล่อง #เศรษฐกิจโลก #การเงิน2025 #คนเคาะข่าว #ตลาดการเงิน #วิกฤตเศรษฐกิจ #เงินเฟ้อ #ดอกเบี้ย #ลงทุน #วิเคราะห์เศรษฐกิจ #ทวีสุขธรรมศักดิ์ #ThaiTimes #ข่าวเศรษฐกิจ #ตลาดหุ้น #เงินทุน #ภาวะถดถอย
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 924 มุมมอง 8 0 รีวิว
  • #ข่าวเศรษฐกิจ #รถมือสอง
    #ข่าวเศรษฐกิจ #รถมือสอง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 289 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🙏🏻กราบลาพี่โสด้วยความเคารพรัก ขอบคุณที่ทำหน้าที่สื่อมวลชนผู้ให้ปัญญามาตลอด ขอให้พี่โสสู่สุคติในสัมปรายภพค่ะ “คิดถึงพี่โสภณ ตั้งใจทำงานมากๆ”

    สำหรับประวัติพี่โสภณ องค์การณ์ เกิด 7 ตุลาคม พ.ศ. 2492 ที่ตำบลแม่ข้าวต้ม อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย จบชั้นมัธยมต้นที่โรงเรียนสามัคคี วิทยาคม รุ่นปี 2508 จากนั้นศึกษาต่อที่โรงเรียนบพิตรพิมุข แผนกภาษาต่างประเทศ จบปีการศึกษา 2511 เริ่มทำงานเป็นล่ามในปี 2512 ให้นักศึกษาชาวอเมริกันทำวิจัยที่จังหวัดลำปางและเชียงรายเป็นเวลา 1 ปี เพื่อทำวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกที่เอ็มไอที

    ประวัติทำงานสื่อสารมวลชน เป็นอดีตบรรณาธิการข่าวเศรษฐกิจของหนังสือพิมพ์เดอะ เนชั่น ภาษาอังกฤษและสื่อเครือเนชั่น เป็นเวลากว่า30ปี หลังจากยุคทักษิณปี2548 ที่คุกคามปิดปากสื่อผู้จัดการที่วิพากษ์วิจารณ์และขับไล่รัฐบาลโดยสนธิ ลิ้มทองกุล พี่โสได้เข้ามาร่วมอุดมการณ์ทำหน้าทีสื่อมวลชนที่ให้ปัญญาคนไทยในสื่อเครือผู้จัดการ เอเอสทีวีและNews1 เป็นบรรณาธิการอาวุโสและAnchorที่มีแฟนคลับติดตามจำนวนมาก จากเสน่ห์คมความคิดและฝีปากแหลมคมในรายการวิเคราะห์ข่าวสาระเชิงบันเทิงที่โหด มัน ฮา รายการชวนคิดชวนคุย ,เคาะไข่ใส่ข่าว, NewsHour และNewsHour Weekend ที่สถานีช่อง ASTV หรือช่อง News 1 นอกจากนี้ช่วงเช้าตรู่ ยังจัดรายการวิทยุ "พูดนอกสภา" ที่ FM 90.5 เวลา 6.00-7.00 น. ทุกวัน

    ส่วนผลงานเขียน เคยมีคอลัมน์ประจำในนิตยสารเนชั่น สุดสัปดาห์ ,คมชัดลึก พี่โสภณ องค์การณ์ทำงานกับเครือเนชั่นนานกว่า30ปี โดยเริ่มต้นงานกับ นสพ.เดอะเนชั่น ภาษาอังกฤษในตำแหน่งพนักงานพิสูจน์อักษร proof reader และด้วยความสามารถ ได้รับเลื่อนตำแหน่งเป็นนักข่าว นักเขียน และเป็นบรรณาธิการที่มีศักยภาพและทักษะ ความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษ ต่อมาจึงได้เป็นผู้ดำเนินรายการ Face The Nation เป็นรายการสัมภาษณ์แหล่งข่าวบุคคลสำคัญเป็นภาษาอังกฤษ ออกอากาศทางช่อง 9 และรับผิดชอบเป็นผู้บริหารข่าวแผนกโทรทัศน์ของเครือเนชั่น ก่อนจะได้รับทุน Nieman Fellowship ไปศึกษาที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด บอสตัน สหรัฐอเมริกา หลังจากนั้นจึงลาออกมาทำงานกับสนธิ ลิ้มทองกุล ที่สถานีทีวีช่อง ASTV หรือช่อง News 1 ในปัจจุบัน เป็นผู้ดำเนินรายการวิเคราะห์ข่าวการเมืองและต่างประเทศในรายการสภาท่าพระอาทิตย์ คุยมันส์ทันข่าว ,ชวนคิดชวนคุย, WorldTalk, NewsHourweekend และเป็นตัวหลักในรายการ NewsHour หลังจากสิ้นเติมศักดิ์ จารุปราณ และยังมีบทความวิเคราะห์ที่น่าติดตามในนิตยสารผู้จัดการรายสัปดาห์ ชื่อคอลัมน์ "ป้อมพระอาทิตย์"

    นอกจากนี้เคยเป็นพิธีกรรายการ "คุยข่าวบ่ายสองโมง" ทางช่องไททีวี ทีวีดิจิตอล ช่อง 17 จนกระทั่งปิดสถานี

    พี่โสภณ องค์การณ์ เสียชีวิตเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2567 ที่สถาบันประสาทวิทยา หลังจากพี่โสภณ ได้รับการผ่าตัดสมองที่ รพ.วิภารามด้วยอาการเส้นโลหิตในสมองแตก สิริอายุ 75 ปี

    #Thaitimes
    😭🙏🏻กราบลาพี่โสด้วยความเคารพรัก ขอบคุณที่ทำหน้าที่สื่อมวลชนผู้ให้ปัญญามาตลอด ขอให้พี่โสสู่สุคติในสัมปรายภพค่ะ “คิดถึงพี่โสภณ ตั้งใจทำงานมากๆ” สำหรับประวัติพี่โสภณ องค์การณ์ เกิด 7 ตุลาคม พ.ศ. 2492 ที่ตำบลแม่ข้าวต้ม อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย จบชั้นมัธยมต้นที่โรงเรียนสามัคคี วิทยาคม รุ่นปี 2508 จากนั้นศึกษาต่อที่โรงเรียนบพิตรพิมุข แผนกภาษาต่างประเทศ จบปีการศึกษา 2511 เริ่มทำงานเป็นล่ามในปี 2512 ให้นักศึกษาชาวอเมริกันทำวิจัยที่จังหวัดลำปางและเชียงรายเป็นเวลา 1 ปี เพื่อทำวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกที่เอ็มไอที ประวัติทำงานสื่อสารมวลชน เป็นอดีตบรรณาธิการข่าวเศรษฐกิจของหนังสือพิมพ์เดอะ เนชั่น ภาษาอังกฤษและสื่อเครือเนชั่น เป็นเวลากว่า30ปี หลังจากยุคทักษิณปี2548 ที่คุกคามปิดปากสื่อผู้จัดการที่วิพากษ์วิจารณ์และขับไล่รัฐบาลโดยสนธิ ลิ้มทองกุล พี่โสได้เข้ามาร่วมอุดมการณ์ทำหน้าทีสื่อมวลชนที่ให้ปัญญาคนไทยในสื่อเครือผู้จัดการ เอเอสทีวีและNews1 เป็นบรรณาธิการอาวุโสและAnchorที่มีแฟนคลับติดตามจำนวนมาก จากเสน่ห์คมความคิดและฝีปากแหลมคมในรายการวิเคราะห์ข่าวสาระเชิงบันเทิงที่โหด มัน ฮา รายการชวนคิดชวนคุย ,เคาะไข่ใส่ข่าว, NewsHour และNewsHour Weekend ที่สถานีช่อง ASTV หรือช่อง News 1 นอกจากนี้ช่วงเช้าตรู่ ยังจัดรายการวิทยุ "พูดนอกสภา" ที่ FM 90.5 เวลา 6.00-7.00 น. ทุกวัน ส่วนผลงานเขียน เคยมีคอลัมน์ประจำในนิตยสารเนชั่น สุดสัปดาห์ ,คมชัดลึก พี่โสภณ องค์การณ์ทำงานกับเครือเนชั่นนานกว่า30ปี โดยเริ่มต้นงานกับ นสพ.เดอะเนชั่น ภาษาอังกฤษในตำแหน่งพนักงานพิสูจน์อักษร proof reader และด้วยความสามารถ ได้รับเลื่อนตำแหน่งเป็นนักข่าว นักเขียน และเป็นบรรณาธิการที่มีศักยภาพและทักษะ ความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษ ต่อมาจึงได้เป็นผู้ดำเนินรายการ Face The Nation เป็นรายการสัมภาษณ์แหล่งข่าวบุคคลสำคัญเป็นภาษาอังกฤษ ออกอากาศทางช่อง 9 และรับผิดชอบเป็นผู้บริหารข่าวแผนกโทรทัศน์ของเครือเนชั่น ก่อนจะได้รับทุน Nieman Fellowship ไปศึกษาที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด บอสตัน สหรัฐอเมริกา หลังจากนั้นจึงลาออกมาทำงานกับสนธิ ลิ้มทองกุล ที่สถานีทีวีช่อง ASTV หรือช่อง News 1 ในปัจจุบัน เป็นผู้ดำเนินรายการวิเคราะห์ข่าวการเมืองและต่างประเทศในรายการสภาท่าพระอาทิตย์ คุยมันส์ทันข่าว ,ชวนคิดชวนคุย, WorldTalk, NewsHourweekend และเป็นตัวหลักในรายการ NewsHour หลังจากสิ้นเติมศักดิ์ จารุปราณ และยังมีบทความวิเคราะห์ที่น่าติดตามในนิตยสารผู้จัดการรายสัปดาห์ ชื่อคอลัมน์ "ป้อมพระอาทิตย์" นอกจากนี้เคยเป็นพิธีกรรายการ "คุยข่าวบ่ายสองโมง" ทางช่องไททีวี ทีวีดิจิตอล ช่อง 17 จนกระทั่งปิดสถานี พี่โสภณ องค์การณ์ เสียชีวิตเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2567 ที่สถาบันประสาทวิทยา หลังจากพี่โสภณ ได้รับการผ่าตัดสมองที่ รพ.วิภารามด้วยอาการเส้นโลหิตในสมองแตก สิริอายุ 75 ปี #Thaitimes
    Sad
    Love
    18
    7 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 2480 มุมมอง 0 รีวิว