• 18/09/67
    วันนี้ดอลลาร์สหรัฐร่วง ตลาดหุ้นทรงตัว
    นักลงทุนเตรียมรับมือธนาคารกลางสหรัฐ
    หรือ เฟด ผ่อนปรนอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง

    ดอลลาร์อ่อนค่าลงในวันพุธนี้ ในขณะที่
    อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐขยับสูงขึ้น
    และหุ้นทั่วโลก รวมทั้งตลาดหุ้นไทย ทรงตัว
    เนื่องจากผู้ซื้อขายพิจารณา
    ความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)
    จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในจำนวนมาก
    ในช่วงบ่ายของวัน (ตามเวลาสหรัฐ)

    ที่มา : Reuters

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #ธนาคารกลางสหรัฐ
    #FED #thaitimes
    🔥🔥18/09/67 วันนี้ดอลลาร์สหรัฐร่วง ตลาดหุ้นทรงตัว นักลงทุนเตรียมรับมือธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด ผ่อนปรนอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 🚩ดอลลาร์อ่อนค่าลงในวันพุธนี้ ในขณะที่ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐขยับสูงขึ้น และหุ้นทั่วโลก รวมทั้งตลาดหุ้นไทย ทรงตัว เนื่องจากผู้ซื้อขายพิจารณา ความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในจำนวนมาก ในช่วงบ่ายของวัน (ตามเวลาสหรัฐ) ที่มา : Reuters #หุ้นติดดอย #การลงทุน #ธนาคารกลางสหรัฐ #FED #thaitimes
    0 Comments 0 Shares 266 Views 0 Reviews
  • สหรัฐฯได้จัดสรรเงินกว่า ๑๗๕,๐๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ให้แก่ยูเครนในการทำสงคราม, โดยคิดเป็นเงินกว่า ๔๗๙.๕ ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อวัน

    เงินทุนนี้, ซึ่งส่วนใหญ่ใช้สำหรับความช่วยเหลือด้านการทหาร, อาจนำไปลงทุนในประเด็นภายในประเทศ เช่น โครงสร้างพื้นฐาน, การศึกษา, หรือการดูแลสุขภาพ

    ถึงเวลาแล้วที่ต้องให้ความสำคัญกับความต้องการของสหรัฐฯ มากกว่าความขัดแย้งในต่างประเทศ

    Douglas Macgregor
    .
    The US has committed over $175 billion to Ukraine's war effort, a staggering $479.5 million daily.

    This funding, largely for military aid, could have been invested in domestic issues like infrastructure, education, or healthcare.

    It's time to prioritize America's needs over foreign conflicts.
    .
    5:04 AM · Sep 18, 2024 · 42.4K Views
    https://x.com/DougAMacgregor/status/1836164252140474658
    สหรัฐฯได้จัดสรรเงินกว่า ๑๗๕,๐๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ให้แก่ยูเครนในการทำสงคราม, โดยคิดเป็นเงินกว่า ๔๗๙.๕ ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อวัน เงินทุนนี้, ซึ่งส่วนใหญ่ใช้สำหรับความช่วยเหลือด้านการทหาร, อาจนำไปลงทุนในประเด็นภายในประเทศ เช่น โครงสร้างพื้นฐาน, การศึกษา, หรือการดูแลสุขภาพ 🤣ถึงเวลาแล้วที่ต้องให้ความสำคัญกับความต้องการของสหรัฐฯ มากกว่าความขัดแย้งในต่างประเทศ🤣 Douglas Macgregor . The US has committed over $175 billion to Ukraine's war effort, a staggering $479.5 million daily. This funding, largely for military aid, could have been invested in domestic issues like infrastructure, education, or healthcare. It's time to prioritize America's needs over foreign conflicts. . 5:04 AM · Sep 18, 2024 · 42.4K Views https://x.com/DougAMacgregor/status/1836164252140474658
    Like
    Haha
    2
    0 Comments 0 Shares 68 Views 0 Reviews
  • ประเด็นร้อน
    "กรมทางหลวง" สั่งเจ้าหน้าที่รื้อตรวจสอบ
    สัญญาจัดซื้อ-จัดจ้าง ทั้งหมด ย้อนหลัง 5 ปี
    ช่วงปี 2559-2563 เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง
    และ ตรวจสอบผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด

    ปม ถูกกล่าวหาว่า เจ้าหน้าที่ทางการไทย
    เช่น กองทัพอากาศ, กรมทางหลาง และ หน่วยงานอื่นๆ
    ถูกติดสินบนโดย บริษัทเวิร์ทเก้น ไทยแลนด์
    เพื่อให้ได้งาน โดยการติดสนบนโดยการจ่ายเงินสด
    พาไปเที่ยวต่างประเทศ, พาไปเลี้ยงอาหาร,
    พาไปเที่ยวอาบ อบ นวด เป็นต้น

    โดยบริษัทเวิร์ทเก้น ไทยแลนด์ เป็น บริษัทลูกของ
    เดียร์ คอมพานี บริษัท ผู้ผลิตเครื่องจักรกลทางการเกษตร
    รายใหญ่ ของสหรัฐอเมริกา ที่เพิ่งถูก ก.ล.ต.สหรัฐ หรือ SEC
    ปรับเงินจำนวนกว่า 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ
    332 ล้านบาท โทษฐานปล่อยให้ บริษัทลูกคือ
    เวิร์ทเก้น ไทยแลนด์ ติดสินบนเจ้าหน้าที่ไทย เพื่อให้ได้งาน

    ที่มา : ฐานเศรษฐกิจ

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #thaitimes
    🔥🔥 ประเด็นร้อน "กรมทางหลวง" สั่งเจ้าหน้าที่รื้อตรวจสอบ สัญญาจัดซื้อ-จัดจ้าง ทั้งหมด ย้อนหลัง 5 ปี ช่วงปี 2559-2563 เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง และ ตรวจสอบผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด ⚡ปม ถูกกล่าวหาว่า เจ้าหน้าที่ทางการไทย เช่น กองทัพอากาศ, กรมทางหลาง และ หน่วยงานอื่นๆ ถูกติดสินบนโดย บริษัทเวิร์ทเก้น ไทยแลนด์ เพื่อให้ได้งาน โดยการติดสนบนโดยการจ่ายเงินสด พาไปเที่ยวต่างประเทศ, พาไปเลี้ยงอาหาร, พาไปเที่ยวอาบ อบ นวด เป็นต้น ⚡โดยบริษัทเวิร์ทเก้น ไทยแลนด์ เป็น บริษัทลูกของ เดียร์ คอมพานี บริษัท ผู้ผลิตเครื่องจักรกลทางการเกษตร รายใหญ่ ของสหรัฐอเมริกา ที่เพิ่งถูก ก.ล.ต.สหรัฐ หรือ SEC ปรับเงินจำนวนกว่า 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 332 ล้านบาท โทษฐานปล่อยให้ บริษัทลูกคือ เวิร์ทเก้น ไทยแลนด์ ติดสินบนเจ้าหน้าที่ไทย เพื่อให้ได้งาน ที่มา : ฐานเศรษฐกิจ #หุ้นติดดอย #การลงทุน #thaitimes
    Like
    Love
    4
    0 Comments 0 Shares 458 Views 0 Reviews
  • การออกจากเปโตดอลลาร์ของซาอุดีอาระเบียจะเพิ่มอำนาจต่อรองทางการทูต-เศรษฐกิจ

    ขอบคุณภาพจาก bhattandjoshiassociates.com/

    ระบบ Petrodollar ถือเป็นรากฐานสำคัญของการค้าโลกมาตั้งแต่ทศวรรษ 1970 โดยเชื่อมโยงการขายน้ำมันกับดอลลาร์สหรัฐฯ และเสริมสร้างอำนาจเหนือของดอลลาร์ในตลาดต่างประเทศ เมื่อไม่นานนี้ ซาอุดีอาระเบียตัดสินใจออกจากข้อตกลงที่มีมายาวนานนี้ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวอาจเพิ่มอำนาจต่อรองทางการทูตและเศรษฐกิจในเวทีโลกได้อย่างมีนัยสำคัญ บทความนี้จะสำรวจปัจจัยที่นำไปสู่การออกจากระบบ Petrodollar ของซาอุดีอาระเบีย ประโยชน์ของระบบนี้ และผลกระทบที่กว้างขึ้นต่อการทูตและการค้าระดับโลก

    ระบบ Petrodollar ถือกำเนิดขึ้นในทศวรรษ 1970 เมื่อสหรัฐอเมริกาและซาอุดีอาระเบียตกลงที่จะกำหนดราคาน้ำมันเป็นดอลลาร์สหรัฐฯ เท่านั้น ระบบนี้ช่วยเสริมสถานะของดอลลาร์ให้เป็นสกุลเงินสำรองหลักของโลก ทำให้มีความต้องการดอลลาร์อย่างต่อเนื่อง และบูรณาการตลาดน้ำมันโลกเข้ากับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เป็นเวลาหลายทศวรรษที่ข้อตกลงนี้มีอิทธิพลต่อพลวัตของการค้าโลกและเสริมสร้างบทบาทสำคัญของดอลลาร์ในระบบการเงินระหว่างประเทศ

    สำหรับปัจจัยที่นำไปสู่การถอนตัวของซาอุดีอาระเบียจากค่าเงินเปโตรดอลลาร์ คือ

    1. การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจโลก
    สงครามรัสเซีย-ยูเครนส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อตลาดพลังงานโลก ความขัดแย้งส่งผลให้เกิดการหยุดชะงักและความผันผวนอย่างมาก ส่งผลให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นเป็นประมาณ 130 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในเดือนมีนาคม 2022 การพุ่งสูงขึ้นของราคานี้สร้างโอกาสให้ประเทศผู้ส่งออกน้ำมันสามารถใช้ประโยชน์จากรายได้ที่เพิ่มขึ้นได้ ซาอุดีอาระเบียซึ่งเห็นพลวัตเหล่านี้มองเห็นข้อได้เปรียบเชิงกลยุทธ์ในการกระจายการใช้สกุลเงินสำหรับการขายน้ำมันเพื่อบรรเทาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตและเพิ่มเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ

    2. พันธมิตรเชิงกลยุทธ์และการกระจายความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ
    ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่เติบโตขึ้นของซาอุดีอาระเบียกับจีนและประเทศ BRICS อื่นๆ มีบทบาทสำคัญในการตัดสินใจครั้งนี้ การที่ซาอุดีอาระเบียเป็นสมาชิกของ BRICS ร่วมกับประเทศต่างๆ เช่น รัสเซีย จีน อินเดีย และแอฟริกาใต้ สอดคล้องกับกลยุทธ์ที่กว้างขึ้นในการลดการพึ่งพาระบบการเงินของตะวันตก โครงการต่างๆ เช่น Project mBridge ซึ่งสำรวจแพลตฟอร์มดิจิทัลหลายสกุลเงิน ยังเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของซาอุดีอาระเบียในการกระจายพันธมิตรทางเศรษฐกิจและการดำเนินการทางการเงิน

    ส่วนประโยชน์ของการออกจากระบบ Petrodollar ของซาอุดีอาระเบีย คือ

    1. ความยืดหยุ่นและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
    ด้วยการซื้อขายสกุลเงินหลายสกุล ซาอุดีอาระเบียจึงลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งจะช่วยบรรเทาความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับความผันผวนของเงินดอลลาร์ ความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจนี้ช่วยให้มีกระแสรายได้ที่มั่นคงมากขึ้น และทำให้ซาอุดีอาระเบียสามารถรับมือกับความไม่แน่นอนทางการเงินระดับโลกได้ดีขึ้น

    2. การเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางการค้า
    การเจรจาเงื่อนไขการค้าเฉพาะประเทศและเฉพาะสกุลเงินช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ทวิภาคีกับพันธมิตรทางการค้ารายใหญ่ ตัวอย่างเช่น การซื้อขายน้ำมันด้วยเงินหยวนของจีนหรือเงินรูปีอินเดียไม่เพียงแต่อำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรมเท่านั้น แต่ยังช่วยเสริมสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับตลาดสำคัญเหล่านี้อีกด้วย ส่งเสริมให้ความร่วมมือทางการค้ามีความแข็งแกร่งและยืดหยุ่นมากขึ้น

    3. อำนาจการต่อรองที่เพิ่มขึ้น
    การยอมรับสกุลเงินหลายสกุลช่วยปรับปรุงตำแหน่งทางการตลาดของซาอุดีอาระเบียด้วยการทำให้ราคาน้ำมันน่าดึงดูดใจสำหรับผู้ซื้อในวงกว้างมากขึ้น ความยืดหยุ่นดังกล่าวสามารถนำไปสู่เงื่อนไขการค้าที่เอื้ออำนวยมากขึ้น เช่น ราคาที่ดีขึ้น เสถียรภาพด้านอุปทาน และการลงทุนจากต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นในโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีของซาอุดีอาระเบีย

    4. อิทธิพลทางการทูต เอกราชทางการเมือง
    การลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้ซาอุดีอาระเบียมีอิสระมากขึ้นในนโยบายต่างประเทศ เอกราชนี้ทำให้ซาอุดีอาระเบียสามารถดำเนินตามผลประโยชน์ทางยุทธศาสตร์ได้โดยไม่ถูกอิทธิพลทางเศรษฐกิจและการเมืองของสหรัฐฯ มากเกินไป จึงช่วยเพิ่มอิทธิพลทางการทูตบนเวทีโลก

    5. ความเป็นกลางทางยุทธศาสตร์
    ในบริบทของความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ระดับโลก โดยเฉพาะระหว่างสหรัฐฯ จีน และรัสเซีย ความสามารถของซาอุดีอาระเบียในการค้าสกุลเงินหลายสกุลทำให้ซาอุดีอาระเบียสามารถรักษาตำแหน่งที่เป็นกลางและมียุทธศาสตร์มากขึ้นได้ ความเป็นกลางนี้สามารถใช้ประโยชน์เพื่อสร้างสมดุลให้กับความสัมพันธ์กับมหาอำนาจระดับโลกที่แข่งขันกัน ซึ่งจะทำให้ซาอุดีอาระเบียมีอิทธิพลทางภูมิรัฐศาสตร์สูงสุด

    ขณะเดียวกันก็มีผลกระทบในอนาคต ดังนี้

    1. ผลกระทบต่อระบบการเงินโลก
    เนื่องจากมีประเทศต่างๆ มากขึ้นที่เดินตามรอยซาอุดีอาระเบียในการเลิกใช้เงินดอลลาร์ อิทธิพลของเงินดอลลาร์สหรัฐในการค้าโลกอาจลดน้อยลง การเพิ่มขึ้นของสกุลเงินทางเลือกและแพลตฟอร์มการชำระเงินดิจิทัลอาจเปลี่ยนแปลงระบบการเงินระหว่างประเทศ ส่งเสริมให้เกิดระเบียบเศรษฐกิจแบบหลายขั้วมากขึ้น และ

    2. บทบาทของซาอุดีอาระเบียในการค้าโลก
    การที่ซาอุดีอาระเบียออกจากระบบเปโตรดอลลาร์ทำให้ซาอุดีอาระเบียมีบทบาทสำคัญในการกำหนดอนาคตของการค้าโลก ความสามารถในการมีอิทธิพลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและแนวทางการค้าผ่านการใช้สกุลเงินที่หลากหลายและพันธมิตรเชิงกลยุทธ์จะมีความสำคัญอย่างยิ่งในภูมิทัศน์ระหว่างประเทศที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป

    การตัดสินใจของซาอุดีอาระเบียที่จะออกจากระบบเปโตรดอลลาร์ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในพลวัตทางเศรษฐกิจโลก การนำสกุลเงินหลายสกุลมาใช้และเสริมสร้างพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ทำให้ซาอุดีอาระเบียมีอำนาจต่อรองทางการทูตและเศรษฐกิจมากขึ้น การเคลื่อนไหวครั้งนี้ไม่เพียงแต่ส่งเสริมเสถียรภาพและความยืดหยุ่นที่มากขึ้นสำหรับซาอุดีอาระเบียเท่านั้น แต่ยังสร้างเวทีสำหรับยุคใหม่ในการค้าและการทูตโลก ซึ่งระบบการเงินที่หลากหลายและความเป็นกลางทางยุทธศาสตร์มีบทบาทสำคัญเพิ่มมากขึ้น

    IMCT News

    ที่มา https://bhattandjoshiassociates.com/saudi-arabias-petrodollar-exit-enhancing-diplomatic-and-economic-leverage/
    การออกจากเปโตดอลลาร์ของซาอุดีอาระเบียจะเพิ่มอำนาจต่อรองทางการทูต-เศรษฐกิจ ขอบคุณภาพจาก bhattandjoshiassociates.com/ ระบบ Petrodollar ถือเป็นรากฐานสำคัญของการค้าโลกมาตั้งแต่ทศวรรษ 1970 โดยเชื่อมโยงการขายน้ำมันกับดอลลาร์สหรัฐฯ และเสริมสร้างอำนาจเหนือของดอลลาร์ในตลาดต่างประเทศ เมื่อไม่นานนี้ ซาอุดีอาระเบียตัดสินใจออกจากข้อตกลงที่มีมายาวนานนี้ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวอาจเพิ่มอำนาจต่อรองทางการทูตและเศรษฐกิจในเวทีโลกได้อย่างมีนัยสำคัญ บทความนี้จะสำรวจปัจจัยที่นำไปสู่การออกจากระบบ Petrodollar ของซาอุดีอาระเบีย ประโยชน์ของระบบนี้ และผลกระทบที่กว้างขึ้นต่อการทูตและการค้าระดับโลก ระบบ Petrodollar ถือกำเนิดขึ้นในทศวรรษ 1970 เมื่อสหรัฐอเมริกาและซาอุดีอาระเบียตกลงที่จะกำหนดราคาน้ำมันเป็นดอลลาร์สหรัฐฯ เท่านั้น ระบบนี้ช่วยเสริมสถานะของดอลลาร์ให้เป็นสกุลเงินสำรองหลักของโลก ทำให้มีความต้องการดอลลาร์อย่างต่อเนื่อง และบูรณาการตลาดน้ำมันโลกเข้ากับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เป็นเวลาหลายทศวรรษที่ข้อตกลงนี้มีอิทธิพลต่อพลวัตของการค้าโลกและเสริมสร้างบทบาทสำคัญของดอลลาร์ในระบบการเงินระหว่างประเทศ สำหรับปัจจัยที่นำไปสู่การถอนตัวของซาอุดีอาระเบียจากค่าเงินเปโตรดอลลาร์ คือ 1. การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจโลก สงครามรัสเซีย-ยูเครนส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อตลาดพลังงานโลก ความขัดแย้งส่งผลให้เกิดการหยุดชะงักและความผันผวนอย่างมาก ส่งผลให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นเป็นประมาณ 130 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในเดือนมีนาคม 2022 การพุ่งสูงขึ้นของราคานี้สร้างโอกาสให้ประเทศผู้ส่งออกน้ำมันสามารถใช้ประโยชน์จากรายได้ที่เพิ่มขึ้นได้ ซาอุดีอาระเบียซึ่งเห็นพลวัตเหล่านี้มองเห็นข้อได้เปรียบเชิงกลยุทธ์ในการกระจายการใช้สกุลเงินสำหรับการขายน้ำมันเพื่อบรรเทาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตและเพิ่มเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ 2. พันธมิตรเชิงกลยุทธ์และการกระจายความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่เติบโตขึ้นของซาอุดีอาระเบียกับจีนและประเทศ BRICS อื่นๆ มีบทบาทสำคัญในการตัดสินใจครั้งนี้ การที่ซาอุดีอาระเบียเป็นสมาชิกของ BRICS ร่วมกับประเทศต่างๆ เช่น รัสเซีย จีน อินเดีย และแอฟริกาใต้ สอดคล้องกับกลยุทธ์ที่กว้างขึ้นในการลดการพึ่งพาระบบการเงินของตะวันตก โครงการต่างๆ เช่น Project mBridge ซึ่งสำรวจแพลตฟอร์มดิจิทัลหลายสกุลเงิน ยังเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของซาอุดีอาระเบียในการกระจายพันธมิตรทางเศรษฐกิจและการดำเนินการทางการเงิน ส่วนประโยชน์ของการออกจากระบบ Petrodollar ของซาอุดีอาระเบีย คือ 1. ความยืดหยุ่นและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ด้วยการซื้อขายสกุลเงินหลายสกุล ซาอุดีอาระเบียจึงลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งจะช่วยบรรเทาความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับความผันผวนของเงินดอลลาร์ ความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจนี้ช่วยให้มีกระแสรายได้ที่มั่นคงมากขึ้น และทำให้ซาอุดีอาระเบียสามารถรับมือกับความไม่แน่นอนทางการเงินระดับโลกได้ดีขึ้น 2. การเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางการค้า การเจรจาเงื่อนไขการค้าเฉพาะประเทศและเฉพาะสกุลเงินช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ทวิภาคีกับพันธมิตรทางการค้ารายใหญ่ ตัวอย่างเช่น การซื้อขายน้ำมันด้วยเงินหยวนของจีนหรือเงินรูปีอินเดียไม่เพียงแต่อำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรมเท่านั้น แต่ยังช่วยเสริมสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับตลาดสำคัญเหล่านี้อีกด้วย ส่งเสริมให้ความร่วมมือทางการค้ามีความแข็งแกร่งและยืดหยุ่นมากขึ้น 3. อำนาจการต่อรองที่เพิ่มขึ้น การยอมรับสกุลเงินหลายสกุลช่วยปรับปรุงตำแหน่งทางการตลาดของซาอุดีอาระเบียด้วยการทำให้ราคาน้ำมันน่าดึงดูดใจสำหรับผู้ซื้อในวงกว้างมากขึ้น ความยืดหยุ่นดังกล่าวสามารถนำไปสู่เงื่อนไขการค้าที่เอื้ออำนวยมากขึ้น เช่น ราคาที่ดีขึ้น เสถียรภาพด้านอุปทาน และการลงทุนจากต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นในโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีของซาอุดีอาระเบีย 4. อิทธิพลทางการทูต เอกราชทางการเมือง การลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้ซาอุดีอาระเบียมีอิสระมากขึ้นในนโยบายต่างประเทศ เอกราชนี้ทำให้ซาอุดีอาระเบียสามารถดำเนินตามผลประโยชน์ทางยุทธศาสตร์ได้โดยไม่ถูกอิทธิพลทางเศรษฐกิจและการเมืองของสหรัฐฯ มากเกินไป จึงช่วยเพิ่มอิทธิพลทางการทูตบนเวทีโลก 5. ความเป็นกลางทางยุทธศาสตร์ ในบริบทของความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ระดับโลก โดยเฉพาะระหว่างสหรัฐฯ จีน และรัสเซีย ความสามารถของซาอุดีอาระเบียในการค้าสกุลเงินหลายสกุลทำให้ซาอุดีอาระเบียสามารถรักษาตำแหน่งที่เป็นกลางและมียุทธศาสตร์มากขึ้นได้ ความเป็นกลางนี้สามารถใช้ประโยชน์เพื่อสร้างสมดุลให้กับความสัมพันธ์กับมหาอำนาจระดับโลกที่แข่งขันกัน ซึ่งจะทำให้ซาอุดีอาระเบียมีอิทธิพลทางภูมิรัฐศาสตร์สูงสุด ขณะเดียวกันก็มีผลกระทบในอนาคต ดังนี้ 1. ผลกระทบต่อระบบการเงินโลก เนื่องจากมีประเทศต่างๆ มากขึ้นที่เดินตามรอยซาอุดีอาระเบียในการเลิกใช้เงินดอลลาร์ อิทธิพลของเงินดอลลาร์สหรัฐในการค้าโลกอาจลดน้อยลง การเพิ่มขึ้นของสกุลเงินทางเลือกและแพลตฟอร์มการชำระเงินดิจิทัลอาจเปลี่ยนแปลงระบบการเงินระหว่างประเทศ ส่งเสริมให้เกิดระเบียบเศรษฐกิจแบบหลายขั้วมากขึ้น และ 2. บทบาทของซาอุดีอาระเบียในการค้าโลก การที่ซาอุดีอาระเบียออกจากระบบเปโตรดอลลาร์ทำให้ซาอุดีอาระเบียมีบทบาทสำคัญในการกำหนดอนาคตของการค้าโลก ความสามารถในการมีอิทธิพลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและแนวทางการค้าผ่านการใช้สกุลเงินที่หลากหลายและพันธมิตรเชิงกลยุทธ์จะมีความสำคัญอย่างยิ่งในภูมิทัศน์ระหว่างประเทศที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป การตัดสินใจของซาอุดีอาระเบียที่จะออกจากระบบเปโตรดอลลาร์ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในพลวัตทางเศรษฐกิจโลก การนำสกุลเงินหลายสกุลมาใช้และเสริมสร้างพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ทำให้ซาอุดีอาระเบียมีอำนาจต่อรองทางการทูตและเศรษฐกิจมากขึ้น การเคลื่อนไหวครั้งนี้ไม่เพียงแต่ส่งเสริมเสถียรภาพและความยืดหยุ่นที่มากขึ้นสำหรับซาอุดีอาระเบียเท่านั้น แต่ยังสร้างเวทีสำหรับยุคใหม่ในการค้าและการทูตโลก ซึ่งระบบการเงินที่หลากหลายและความเป็นกลางทางยุทธศาสตร์มีบทบาทสำคัญเพิ่มมากขึ้น IMCT News ที่มา https://bhattandjoshiassociates.com/saudi-arabias-petrodollar-exit-enhancing-diplomatic-and-economic-leverage/
    BHATTANDJOSHIASSOCIATES.COM
    Saudi Arabia’s Petrodollar Exit: Enhancing Diplomatic and Economic Leverage - Bhatt & Joshi Associates
    Explore the impact of Saudi Arabia’s petrodollar exit on global diplomacy, trade dynamics, and economic stability.
    Like
    7
    0 Comments 0 Shares 310 Views 0 Reviews
  • ในความคิดเห็นส่วนตัวของแอดมิน
    ในอดีต การเคลื่อนไหวของราคาบิทคอยน์ ที่เคยเป็นอิสระ
    ไม่มีสิ่งไหนควบคุมได้ แนวคิดนี้อาจต้องเปลี่ยนไป
    เมื่อปัจจุบัน พบว่า การเคลื่อนไหวของราคาบิทคอยน์
    จะมีแนวโน้ม และทิศทางแปรผันตรง ไปกับค่าเงิน
    ดอลลาร์สหรัฐ คือ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐมีแนวโน้ม
    แข็งค่าขึ้น ราคาบิทคอยน์ก็จะมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น
    เช่นเดียวกัน เมื่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐมีแนวโน้มอ่อนค่าลง
    ราคาบิทคอยน์ก็มีแนวโน้มปรับตัวลงด้วยเช่นเดียวกัน

    สาเหตุหลักๆน่าจะมาจาก ระบบนิเวศน์ที่ใหญ่ที่สุด
    ของบิทคอยน์อยู่ที่สหรัฐอเมริกา ทั้งบริษัทเหมืองขุด
    นายหน้าซื้อขายแลกเปลี่ยน Exchange, Spot Bitcoin ETF,
    คนซื้อคนขาย เป็นต้น

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #บิทคอยน์ #ดอลลาร์สหรัฐ
    #thaitimes
    🔥🔥ในความคิดเห็นส่วนตัวของแอดมิน ในอดีต การเคลื่อนไหวของราคาบิทคอยน์ ที่เคยเป็นอิสระ ไม่มีสิ่งไหนควบคุมได้ แนวคิดนี้อาจต้องเปลี่ยนไป เมื่อปัจจุบัน พบว่า การเคลื่อนไหวของราคาบิทคอยน์ จะมีแนวโน้ม และทิศทางแปรผันตรง ไปกับค่าเงิน ดอลลาร์สหรัฐ คือ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐมีแนวโน้ม แข็งค่าขึ้น ราคาบิทคอยน์ก็จะมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น เช่นเดียวกัน เมื่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐมีแนวโน้มอ่อนค่าลง ราคาบิทคอยน์ก็มีแนวโน้มปรับตัวลงด้วยเช่นเดียวกัน 🚩สาเหตุหลักๆน่าจะมาจาก ระบบนิเวศน์ที่ใหญ่ที่สุด ของบิทคอยน์อยู่ที่สหรัฐอเมริกา ทั้งบริษัทเหมืองขุด นายหน้าซื้อขายแลกเปลี่ยน Exchange, Spot Bitcoin ETF, คนซื้อคนขาย เป็นต้น #หุ้นติดดอย #การลงทุน #บิทคอยน์ #ดอลลาร์สหรัฐ #thaitimes
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 565 Views 0 Reviews
  • ตัวเลขขาดดุลงบประมาณ ของสหรัฐ ในปี 2567
    ล่าสุดอยู่ที่ 1.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ
    ประมาณ 63.3 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 24%
    เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566

    และหนี้สาธารณะ ณ ปัจจุบัน มีมูลค่ารวม
    35.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ
    1,175 ล้านล้านบาท และมีภาระดอกเบี้ย
    ปีละประมาณ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
    หรือประมาณ 33.3 ล้านล้านบาท/ปี

    ที่มา : cnbc

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #ขาดดุลงบประมาณ
    #thaitimes
    🔥🔥ตัวเลขขาดดุลงบประมาณ ของสหรัฐ ในปี 2567 ล่าสุดอยู่ที่ 1.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 63.3 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 24% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 🔥🔥และหนี้สาธารณะ ณ ปัจจุบัน มีมูลค่ารวม 35.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1,175 ล้านล้านบาท และมีภาระดอกเบี้ย ปีละประมาณ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 33.3 ล้านล้านบาท/ปี ที่มา : cnbc #หุ้นติดดอย #การลงทุน #ขาดดุลงบประมาณ #thaitimes
    Like
    Haha
    2
    0 Comments 0 Shares 546 Views 0 Reviews
  • โดยมุมมอง และความคิดเห็นส่วนตัวของแอดมิน
    แอดมินมองว่า ทองคำ คือ สินทรัพย์ที่มีความเสถียร
    และมั่นคงที่สุดในยุคปัจจุบัน ล่าสุด ทองคำ(สัญญาซื้อขายทองคำ)
    ได้ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เมื่อวาน 12/09/2567
    ที่ ราคา 2580.70 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์

    จุดเปลี่ยนสำคัญ ที่ทำให้ทองคำมีความมั่นคง
    และ เสถียรมากที่สุดในโลก ในปัจจุบัน ให้สังเกตจาก
    ค่าเงินดอลลารNสหรัฐ จะแข็งค่า หรือ อ่อนค่าลง
    แทบจะไม่มีผลต่อแนวโน้มของราคาทองคำ
    ที่ปรับตัวสูงขึ้น แม้ราคาทองคำ หรือ สัญญาซื้อขายทองคำ จะผูกติด
    กับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐก็ตาม ในการซื้อขาย
    เช่น ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ก็ตาม
    แต่ราคาทองคำ ยังขยับขึ้นต่อเนื่อง เนื่องจากความต้องการ
    หรือ Demand ยังคงมีอยู่มาก

    สาเหตุที่ demand หรือความต้องการทองคำในตลาดมีมากขึ้น
    อันเนื่องมาจาก การกำเนิดขึ้นของกลุ่ม BRICS สมาชิกเช่น
    รัสเซีย,จีน,อินเดีย,บราซิล,แอฟริกาใต้ เป็นต้น
    โดยเฉพาะ รัสเซีย,จีน และ อินเดีย คือ 3 ประเทศหลัก
    ที่มีการซื้อทองคำ เข้ามาตุนใน ธนาคารกลางของประเทศ
    มากกว่า 50% ในปัจจุบัน

    ซึ่งกลุ่ม BRICS มีแนวทางที่จะลดการใช้เงินดอลลาร์ลง
    และสามารถใช้เงินสกุลอื่นๆ เพื่อแลกเปลี่ยนระหว่างกัน
    มากขึ้น โดยแนวคิดนี้เกิดขึ้น ภายหลังรัสเซียโดนยึด
    ทรัพย์สินต่างๆที่ฝากไว้ในต่างประเทศ เช่นที่สหรัฐ
    และยุโรป เป็นต้น จากการทำสงครามกับยูเครน

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #ทองคำ #สัญญาซื้อขายทองคำ
    #thaitimes
    💥💥โดยมุมมอง และความคิดเห็นส่วนตัวของแอดมิน แอดมินมองว่า ทองคำ คือ สินทรัพย์ที่มีความเสถียร และมั่นคงที่สุดในยุคปัจจุบัน ล่าสุด ทองคำ(สัญญาซื้อขายทองคำ) ได้ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เมื่อวาน 12/09/2567 ที่ ราคา 2580.70 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ 🚩จุดเปลี่ยนสำคัญ ที่ทำให้ทองคำมีความมั่นคง และ เสถียรมากที่สุดในโลก ในปัจจุบัน ให้สังเกตจาก ค่าเงินดอลลารNสหรัฐ จะแข็งค่า หรือ อ่อนค่าลง แทบจะไม่มีผลต่อแนวโน้มของราคาทองคำ ที่ปรับตัวสูงขึ้น แม้ราคาทองคำ หรือ สัญญาซื้อขายทองคำ จะผูกติด กับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐก็ตาม ในการซื้อขาย เช่น ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ก็ตาม แต่ราคาทองคำ ยังขยับขึ้นต่อเนื่อง เนื่องจากความต้องการ หรือ Demand ยังคงมีอยู่มาก 🚩สาเหตุที่ demand หรือความต้องการทองคำในตลาดมีมากขึ้น อันเนื่องมาจาก การกำเนิดขึ้นของกลุ่ม BRICS สมาชิกเช่น รัสเซีย,จีน,อินเดีย,บราซิล,แอฟริกาใต้ เป็นต้น โดยเฉพาะ รัสเซีย,จีน และ อินเดีย คือ 3 ประเทศหลัก ที่มีการซื้อทองคำ เข้ามาตุนใน ธนาคารกลางของประเทศ มากกว่า 50% ในปัจจุบัน 🚩ซึ่งกลุ่ม BRICS มีแนวทางที่จะลดการใช้เงินดอลลาร์ลง และสามารถใช้เงินสกุลอื่นๆ เพื่อแลกเปลี่ยนระหว่างกัน มากขึ้น โดยแนวคิดนี้เกิดขึ้น ภายหลังรัสเซียโดนยึด ทรัพย์สินต่างๆที่ฝากไว้ในต่างประเทศ เช่นที่สหรัฐ และยุโรป เป็นต้น จากการทำสงครามกับยูเครน #หุ้นติดดอย #การลงทุน #ทองคำ #สัญญาซื้อขายทองคำ #thaitimes
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 854 Views 0 Reviews
  • หลังจาก SEC หรือ ก.ล.ต.สหรัฐ ได้ปรับเงิน
    บริษัท Deere บริษัทผู้ผลิตเครื่องจักรกลรายใหญ่
    ของสหรัฐอเมริกา จำนวนกว่า 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
    หรือประมาณ 336 ล้านบาท

    ฐานความผิด ปล่อยให้บริษัทลูกคือ
    เวิร์ทเก้น (ประเทศไทย) ติดสินบนเจ้าที่หน่วยงาน
    ภาครัฐ ของไทย เพื่อให้ได้งาน ช่วงปี 2560-2563
    ซึ่งระบุมีกองทัพอากาศ และ กรมทางหลวง

    ฐานเศรษฐกิจระบุ เวิร์ทเก้น (ประเทศไทย)
    ได้รับงานจากภาครัฐทั้งหมด 16 งาน
    มูลค่ารวม 313.8 ล้านบาท
    จากกองทัพอากาศ 2 โครงการ มูลค่า 16.3 ล้านบาท
    และ กรมทางหลวง 7 โครงการ มูลค่า 171 ล้านบาท

    ที่มา : ฐานเศรษฐกิจ

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #thaitimes
    🔥🔥หลังจาก SEC หรือ ก.ล.ต.สหรัฐ ได้ปรับเงิน บริษัท Deere บริษัทผู้ผลิตเครื่องจักรกลรายใหญ่ ของสหรัฐอเมริกา จำนวนกว่า 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 336 ล้านบาท ฐานความผิด ปล่อยให้บริษัทลูกคือ เวิร์ทเก้น (ประเทศไทย) ติดสินบนเจ้าที่หน่วยงาน ภาครัฐ ของไทย เพื่อให้ได้งาน ช่วงปี 2560-2563 ซึ่งระบุมีกองทัพอากาศ และ กรมทางหลวง 🚩ฐานเศรษฐกิจระบุ เวิร์ทเก้น (ประเทศไทย) ได้รับงานจากภาครัฐทั้งหมด 16 งาน มูลค่ารวม 313.8 ล้านบาท จากกองทัพอากาศ 2 โครงการ มูลค่า 16.3 ล้านบาท และ กรมทางหลวง 7 โครงการ มูลค่า 171 ล้านบาท ที่มา : ฐานเศรษฐกิจ #หุ้นติดดอย #การลงทุน #thaitimes
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 873 Views 0 Reviews
  • บริษัท เบิร์กเชียร์แฮทาเวย์ ของปู่วอร์เรน บัฟเฟต
    ได้ทำการขายหุ้น Bank of America Company (BAC) อีกครั้ง
    ใน 3 วันทำการ คือ วันศุกร์, จันทร์ และ อังคาร
    จำนวนรวม 5.8 ล้านหุ้น มูลค่ารวม 228.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
    หรือประมาณ 7,730 ล้านบาท โดยมีมูลค่าราคาเฉลี่ย
    ที่ 39.45 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น

    โดยตั้งแต่กลางเดือน กรกฎาคม เป็นต้นมา เบิร์กเชียร์แฮทาเวย์
    ได้ขายหุ้น BAC ไปแล้วมูลค่ารวมกว่า 7,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
    หรือประมาณ 2.37 แสนล้านบาท และมีหุ้น BAC ที่ถือครอง
    ณ ปัจจุบัน เหลืออยู่ 11%

    หมายเหตุ: เบิร์กเชียร์แฮทาเวย์ ของปู่วอร์เรน บัฟเฟต
    เข้าเข้าซื้อหุ้นบุริมสิทธิ์และใบสำคัญแสดงสิทธิของ BAC
    มูลค่า 5 พันล้านดอลลาร์ ในปี 2011 หลังจากวิกฤตการณ์
    ทางการเงิน และแปลงใบสำคัญแสดงสิทธิเหล่านั้นในปี 2017

    ทำให้เบิร์กเชียร์แฮทาเวย์ กลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุด
    ของ BAC จากนั้นก็เพิ่มหุ้นอีก 300 ล้านหุ้น ในช่วงปี
    2018 และ 2019

    โดยเริ่มทะยอยขายหุ้นในช่วงกลางเดือน กรกฎาคม ปีนี้
    หลังจากราคาหุ้น BAC ได้ปรับตัวสูงขึ้น ประมาณ 20-23%

    และแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐส่งสัญญาณถดถอย
    ปู่วอร์เรน บัฟเฟตต์ จึงมีนโยบาย ให้ถือครองเงินสดไว้
    ในบริษัทให้มากที่สุด เพื่อรอจังหวะการลงทุนใหม่ๆ นั่นเอง

    ซึ่งคาดการณ์กันว่า ปู่วอร์เรน น่าจะซื้อหุน BAC ในช่วงปี
    2011 ที่ราคา ประมาณ 5.5 ดอลลาร์สหรัฐ/หุ้น
    และขายทำกำไรในช่วงราคา 30-39 ดอลลาร์สหรัฐ/หุ้น
    (กำไรมากกว่า 80-85%)

    ที่มา : cnbc
    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #วอร์เรนบัฟเฟตต์ #thaitimes
    #เบิร์กเชียร์แฮทาเวย์
    🔥🔥บริษัท เบิร์กเชียร์แฮทาเวย์ ของปู่วอร์เรน บัฟเฟต ได้ทำการขายหุ้น Bank of America Company (BAC) อีกครั้ง ใน 3 วันทำการ คือ วันศุกร์, จันทร์ และ อังคาร จำนวนรวม 5.8 ล้านหุ้น มูลค่ารวม 228.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 7,730 ล้านบาท โดยมีมูลค่าราคาเฉลี่ย ที่ 39.45 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น 🚩โดยตั้งแต่กลางเดือน กรกฎาคม เป็นต้นมา เบิร์กเชียร์แฮทาเวย์ ได้ขายหุ้น BAC ไปแล้วมูลค่ารวมกว่า 7,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 2.37 แสนล้านบาท และมีหุ้น BAC ที่ถือครอง ณ ปัจจุบัน เหลืออยู่ 11% 🚩หมายเหตุ: เบิร์กเชียร์แฮทาเวย์ ของปู่วอร์เรน บัฟเฟต เข้าเข้าซื้อหุ้นบุริมสิทธิ์และใบสำคัญแสดงสิทธิของ BAC มูลค่า 5 พันล้านดอลลาร์ ในปี 2011 หลังจากวิกฤตการณ์ ทางการเงิน และแปลงใบสำคัญแสดงสิทธิเหล่านั้นในปี 2017 🚩ทำให้เบิร์กเชียร์แฮทาเวย์ กลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุด ของ BAC จากนั้นก็เพิ่มหุ้นอีก 300 ล้านหุ้น ในช่วงปี 2018 และ 2019 🚩โดยเริ่มทะยอยขายหุ้นในช่วงกลางเดือน กรกฎาคม ปีนี้ หลังจากราคาหุ้น BAC ได้ปรับตัวสูงขึ้น ประมาณ 20-23% 🚩และแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐส่งสัญญาณถดถอย ปู่วอร์เรน บัฟเฟตต์ จึงมีนโยบาย ให้ถือครองเงินสดไว้ ในบริษัทให้มากที่สุด เพื่อรอจังหวะการลงทุนใหม่ๆ นั่นเอง 🚩ซึ่งคาดการณ์กันว่า ปู่วอร์เรน น่าจะซื้อหุน BAC ในช่วงปี 2011 ที่ราคา ประมาณ 5.5 ดอลลาร์สหรัฐ/หุ้น และขายทำกำไรในช่วงราคา 30-39 ดอลลาร์สหรัฐ/หุ้น (กำไรมากกว่า 80-85%) ที่มา : cnbc #หุ้นติดดอย #การลงทุน #วอร์เรนบัฟเฟตต์ #thaitimes #เบิร์กเชียร์แฮทาเวย์
    0 Comments 0 Shares 829 Views 0 Reviews
  • 11/09/2567
    ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐผันผวน เนื่องจากข้อมูลเงินเฟ้อ
    หนุนให้เฟดลดอัตราดอกเบี้ยลง

    โดย อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานของสหรัฐเพิ่มขึ้น 0.3%
    ในเดือนสิงหาคม

    และดอลลาร์สหรัฐแตะระดับสูงสุดในรอบ 3 สัปดาห์
    เมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส

    รวมทั้ง ราคาฟิวเจอร์สของกองทุนเฟด มีแนวโน้มลดลง
    ในเดือนนี้

    ซึ่งคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) น่าจะ
    ดำเนินการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงเล็กน้อย
    เหลือ 25 จุดพื้นฐานในช่วงปลายเดือนนี้
    จาก 5.25-5.50 เป็น 5.00-5.25

    ที่มา : Reuters

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #อัตราเงินเฟ้อสหรัฐ #thaitimes
    🔥🔥11/09/2567 ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐผันผวน เนื่องจากข้อมูลเงินเฟ้อ หนุนให้เฟดลดอัตราดอกเบี้ยลง 🚩โดย อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานของสหรัฐเพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนสิงหาคม 🚩และดอลลาร์สหรัฐแตะระดับสูงสุดในรอบ 3 สัปดาห์ เมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส 🚩รวมทั้ง ราคาฟิวเจอร์สของกองทุนเฟด มีแนวโน้มลดลง ในเดือนนี้ 🚩ซึ่งคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) น่าจะ ดำเนินการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงเล็กน้อย เหลือ 25 จุดพื้นฐานในช่วงปลายเดือนนี้ จาก 5.25-5.50 เป็น 5.00-5.25 ที่มา : Reuters #หุ้นติดดอย #การลงทุน #อัตราเงินเฟ้อสหรัฐ #thaitimes
    0 Comments 0 Shares 713 Views 0 Reviews
  • สื่อรอยเตอร์ Reuters สหรัฐตีข่าว การทุจริตในเมืองไทย
    หลังจากบริษัท Deere บริษัทสัญชาติอเมริกัน
    ผู้ผลิตเครื่องจักรกลทางการเกษตร รายใหญ่
    ได้ยอมเสียค่าปรับให้กับ ก.ล.ต.สหรัฐ หรือ SEC
    เป็นจำนวนเงินกว่า 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
    หรือ ประมาณ 334 ล้านบาท

    ในกรณีที่ ผู้บริหารระดับสูง และพนักงานบริษัท
    Wirtgen Thailand ซึ่งเป็นบริษัทลูกที่เมืองไทย
    ได้ติดสินบนให้แก่เจ้าหน้าที่ของรัฐที่เมืองไทย
    เพื่อให้ได้งาน ซึ่งในคำให้การมีหลายหน่วยงาน
    เช่น กองทัพอากาศ และ กรมทางหลวง เป็นต้น

    โดย Deere & company บริษัทแม่ของ
    Wirtgen Thailand ได้ให้คำให้การต่อ ก.ล.ต. สหรัฐ
    ถึงขึ้นตอนการจะได้งานที่เมืองไทยจากภาครัฐ
    ต้องทำดังนี้

    1. ติดสินบน จ่ายเป็นเงินสด ตั้งแต่ปี 2560-2563
    2. จ่ายในรูปแบบค่าที่ปรึกษา ค่าอาหาร
    3. จ่ายในรูปแบบการท่องเที่ยว แต่ระบุ "เยี่ยมชมโรงงาน"
    ในสวิตเซอร์แลนด์ และ ประเทศต่างๆในยุโรป
    4. จ่ายในรูปแบบความบันเทิง โดยการพาเจ้าหน้าที่รัฐ
    ไปนวดในสถานบริการ อาบ อบ นวด

    ซึ่งการกระทำดังกล่าว ก.ล.ต.สหรัฐ หรือ SEC กล่าวว่า
    การกระทำของ Deere ละเมิดกฎหมายบัญชีและบันทึก
    รวมถึงบทบัญญัติการควบคุมบัญชีภายใน
    ของกฎหมายต่อต้านการติดสินบนของรัฐบาลกลาง
    หรือพระราชบัญญัติการปฏิบัติทุจริตในต่างประเทศ
    และเกิดการปรับเงินเป็นจำนวนกว่า 10 ล้านดอลลาร์
    สหรัฐ หรือ ประมาณ 334 ล้านบาท


    โดย Deere & Company ดำเนินธุรกิจในชื่อ John Deere
    เป็นบริษัทอเมริกันที่ผลิตเครื่องจักรกลการเกษตร
    เครื่องจักรกลหนัก เครื่องจักรป่าไม้ เครื่องยนต์ดีเซล
    ระบบขับเคลื่อนที่ใช้ในเครื่องจักรกลหนัก และอุปกรณ์
    ดูแลสนามหญ้า

    ที่มา : Reuters
    https://www.reuters.com/legal/deere-pay-993-mln-settle-us-sec-bribery-probe-2024-09-10/

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #thaitimes
    🔥🔥สื่อรอยเตอร์ Reuters สหรัฐตีข่าว การทุจริตในเมืองไทย หลังจากบริษัท Deere บริษัทสัญชาติอเมริกัน ผู้ผลิตเครื่องจักรกลทางการเกษตร รายใหญ่ ได้ยอมเสียค่าปรับให้กับ ก.ล.ต.สหรัฐ หรือ SEC เป็นจำนวนเงินกว่า 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 334 ล้านบาท 🚩ในกรณีที่ ผู้บริหารระดับสูง และพนักงานบริษัท Wirtgen Thailand ซึ่งเป็นบริษัทลูกที่เมืองไทย ได้ติดสินบนให้แก่เจ้าหน้าที่ของรัฐที่เมืองไทย เพื่อให้ได้งาน ซึ่งในคำให้การมีหลายหน่วยงาน เช่น กองทัพอากาศ และ กรมทางหลวง เป็นต้น 🚩โดย Deere & company บริษัทแม่ของ Wirtgen Thailand ได้ให้คำให้การต่อ ก.ล.ต. สหรัฐ ถึงขึ้นตอนการจะได้งานที่เมืองไทยจากภาครัฐ ต้องทำดังนี้ 🚩1. ติดสินบน จ่ายเป็นเงินสด ตั้งแต่ปี 2560-2563 🚩2. จ่ายในรูปแบบค่าที่ปรึกษา ค่าอาหาร 🚩3. จ่ายในรูปแบบการท่องเที่ยว แต่ระบุ "เยี่ยมชมโรงงาน" ในสวิตเซอร์แลนด์ และ ประเทศต่างๆในยุโรป 🚩4. จ่ายในรูปแบบความบันเทิง โดยการพาเจ้าหน้าที่รัฐ ไปนวดในสถานบริการ อาบ อบ นวด 🚩ซึ่งการกระทำดังกล่าว ก.ล.ต.สหรัฐ หรือ SEC กล่าวว่า การกระทำของ Deere ละเมิดกฎหมายบัญชีและบันทึก รวมถึงบทบัญญัติการควบคุมบัญชีภายใน ของกฎหมายต่อต้านการติดสินบนของรัฐบาลกลาง หรือพระราชบัญญัติการปฏิบัติทุจริตในต่างประเทศ และเกิดการปรับเงินเป็นจำนวนกว่า 10 ล้านดอลลาร์ สหรัฐ หรือ ประมาณ 334 ล้านบาท 🚩โดย Deere & Company ดำเนินธุรกิจในชื่อ John Deere เป็นบริษัทอเมริกันที่ผลิตเครื่องจักรกลการเกษตร เครื่องจักรกลหนัก เครื่องจักรป่าไม้ เครื่องยนต์ดีเซล ระบบขับเคลื่อนที่ใช้ในเครื่องจักรกลหนัก และอุปกรณ์ ดูแลสนามหญ้า ที่มา : Reuters https://www.reuters.com/legal/deere-pay-993-mln-settle-us-sec-bribery-probe-2024-09-10/ #หุ้นติดดอย #การลงทุน #thaitimes
    0 Comments 0 Shares 721 Views 0 Reviews
  • โกลด์แมน แซคส์ (Goldman Sachs) คาดบริษัท
    มีผลประกอบการขาดทุนในไตรมาส 3/2567 นี้
    กว่า 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 13,560 ล้านบาท

    โกลด์แมน แซคส์ บริษัทวาณิชธนกิจชั้นนำของโลก
    หรือ ธนาคารเพื่อการลงทุน (Investment Bank)
    จะรายงานผลประกอบการไตรมาส 3/2567
    ก่อนหักภาษี ลดลงประมาณ 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
    หรือประมาณ 13,560 ล้านบาท เนื่องจากธนาคาร
    ยังคงดำเนินการยุติธุรกิจผู้บริโภค ที่ประสบความล้มเหลวต่อไป

    เดวิด โซโลมอน ซีอีโอ กล่าวในงานประชุมเมื่อวันจันทร์ว่า
    ธนาคารจะสูญเสียรายได้ในเดือนหน้า หากขายธุรกิจ GM Card
    ของโกลด์แมน รวมถึงพอร์ตสินเชื่อแยกต่างหาก

    โซโลมอนยังกล่าวอีกว่า รายได้จากการซื้อขายในไตรมาสนี้
    มีแนวโน้มจะลดลง 10% เนื่องจากการเปรียบเทียบแบบปีต่อปี
    ที่ยากลำบาก และสภาวะการซื้อขายที่ยากลำบาก
    ในเดือนสิงหาคมสำหรับตลาดตราสารหนี้

    ที่มา : CNBC

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #Goldmamsachs #โกลด์แมนแซคส์
    #thaitimes
    🔥🔥โกลด์แมน แซคส์ (Goldman Sachs) คาดบริษัท มีผลประกอบการขาดทุนในไตรมาส 3/2567 นี้ กว่า 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 13,560 ล้านบาท 🚩โกลด์แมน แซคส์ บริษัทวาณิชธนกิจชั้นนำของโลก หรือ ธนาคารเพื่อการลงทุน (Investment Bank) จะรายงานผลประกอบการไตรมาส 3/2567 ก่อนหักภาษี ลดลงประมาณ 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 13,560 ล้านบาท เนื่องจากธนาคาร ยังคงดำเนินการยุติธุรกิจผู้บริโภค ที่ประสบความล้มเหลวต่อไป 🚩เดวิด โซโลมอน ซีอีโอ กล่าวในงานประชุมเมื่อวันจันทร์ว่า ธนาคารจะสูญเสียรายได้ในเดือนหน้า หากขายธุรกิจ GM Card ของโกลด์แมน รวมถึงพอร์ตสินเชื่อแยกต่างหาก 🚩โซโลมอนยังกล่าวอีกว่า รายได้จากการซื้อขายในไตรมาสนี้ มีแนวโน้มจะลดลง 10% เนื่องจากการเปรียบเทียบแบบปีต่อปี ที่ยากลำบาก และสภาวะการซื้อขายที่ยากลำบาก ในเดือนสิงหาคมสำหรับตลาดตราสารหนี้ ที่มา : CNBC #หุ้นติดดอย #การลงทุน #Goldmamsachs #โกลด์แมนแซคส์ #thaitimes
    0 Comments 0 Shares 487 Views 0 Reviews
  • ก.ล.ต.สหรัฐ หรือ SEC ได้ปรับเงินบริษัทมหาชน
    ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐ ทั้งหมด 7 บริษัท
    เป็นเงินทั้งสิ้น 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ
    ประมาณ 102 ล้านบาท

    อันเนื่องมาจาก บริษัทต่างๆ เหล่านี้ถูกตั้งข้อกล่าวหา
    เกี่ยวกับการจ้างงาน การแยกทาง หรือข้อตกลงอื่นๆ
    ที่ละเมิดกฎที่ห้ามมิให้กระทำการใดๆ อันเป็นการ
    ขัดขวาง ไม่ให้บุคคลสื่อสารกับหน่วยงานกำกับดูแล
    โดยตรง เกี่ยวกับการละเมิดกฎหมายหลักทรัพย์
    ที่อาจเกิดขึ้นได้
    ที่มา : Reuters

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #SEC #thaitimes
    🔥🔥ก.ล.ต.สหรัฐ หรือ SEC ได้ปรับเงินบริษัทมหาชน ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐ ทั้งหมด 7 บริษัท เป็นเงินทั้งสิ้น 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 102 ล้านบาท อันเนื่องมาจาก บริษัทต่างๆ เหล่านี้ถูกตั้งข้อกล่าวหา เกี่ยวกับการจ้างงาน การแยกทาง หรือข้อตกลงอื่นๆ ที่ละเมิดกฎที่ห้ามมิให้กระทำการใดๆ อันเป็นการ ขัดขวาง ไม่ให้บุคคลสื่อสารกับหน่วยงานกำกับดูแล โดยตรง เกี่ยวกับการละเมิดกฎหมายหลักทรัพย์ ที่อาจเกิดขึ้นได้ ที่มา : Reuters #หุ้นติดดอย #การลงทุน #SEC #thaitimes
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 501 Views 0 Reviews
  • ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง
    หลังจากอ่อนตัวลง 4 วันทำการ
    เนื่องจากผู้ซื้อขายลดการเดิมพันการลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดลง

    โดยค่าเงินดอลลาร์สหรัฐได้แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินเยน
    และสกุลเงินหลักอื่นๆ ในวันจันทร์ เนื่องจากนักลงทุนมองไปข้างหน้า
    ่อข้อมูลเงินเฟ้อของสหรัฐฯ หลังจากรายงานการจ้างงาน ที่มีแนวโน้ม
    ลดลงเมื่อวันศุกร์ ทำให้เกิดความไม่แน่นอนเกี่ยวกับขนาดของการ
    ปรับลด อัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในสัปดาห์หน้า
    ที่มา : Reuters
    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ #thaitimes
    🔥🔥ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง หลังจากอ่อนตัวลง 4 วันทำการ เนื่องจากผู้ซื้อขายลดการเดิมพันการลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดลง 🚩โดยค่าเงินดอลลาร์สหรัฐได้แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินเยน และสกุลเงินหลักอื่นๆ ในวันจันทร์ เนื่องจากนักลงทุนมองไปข้างหน้า ่อข้อมูลเงินเฟ้อของสหรัฐฯ หลังจากรายงานการจ้างงาน ที่มีแนวโน้ม ลดลงเมื่อวันศุกร์ ทำให้เกิดความไม่แน่นอนเกี่ยวกับขนาดของการ ปรับลด อัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในสัปดาห์หน้า ที่มา : Reuters #หุ้นติดดอย #การลงทุน #ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ #thaitimes
    0 Comments 0 Shares 520 Views 0 Reviews
  • แนวโน้ม และเทรนด์การลงทุน
    ในธุรกิจสตาร์ทอัพ โปรตีนทางเลือก
    และ ธุรกิจทดแทนเนื้อสัตว์ในห้องแล็ป
    ได้ลดลงอย่างมาก ในปัจจุบัน
    อันเนื่องมาจากต้นทุนราคาที่สูง รวมทั้ง
    ปัญหาในเรื่องของรสชาติ

    โดยการลงทุนทั่วโลกในธุรกิจสตาร์ทอัพ
    ด้านเทคโนโลยีอาหาร และเทคโนโลยีการเกษตร
    รวมถึงธุรกิจส่งเสริมการปลูกถ่ายเนื้อสัตว์ในห้องแล็ป
    โรงงานผลิตพืช และ เทคโนโลยีชีวภาพ
    มีมูลค่าการลงทุนอยู่ที่ 4,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
    หรือประมาณ 1.42 แสนล้านบาท ในปี 2566
    ลดลง 57% เมื่อเทียบกับปี 2564
    ที่มา : Nikkeiasia

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #เทคโนโลยีอาหาร
    #เทคโนโลยีชีวภาพ #โปรตีนทางเลือก #thaitimes
    🔥🔥 แนวโน้ม และเทรนด์การลงทุน ในธุรกิจสตาร์ทอัพ โปรตีนทางเลือก และ ธุรกิจทดแทนเนื้อสัตว์ในห้องแล็ป ได้ลดลงอย่างมาก ในปัจจุบัน อันเนื่องมาจากต้นทุนราคาที่สูง รวมทั้ง ปัญหาในเรื่องของรสชาติ 🚩โดยการลงทุนทั่วโลกในธุรกิจสตาร์ทอัพ ด้านเทคโนโลยีอาหาร และเทคโนโลยีการเกษตร รวมถึงธุรกิจส่งเสริมการปลูกถ่ายเนื้อสัตว์ในห้องแล็ป โรงงานผลิตพืช และ เทคโนโลยีชีวภาพ มีมูลค่าการลงทุนอยู่ที่ 4,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1.42 แสนล้านบาท ในปี 2566 ลดลง 57% เมื่อเทียบกับปี 2564 ที่มา : Nikkeiasia #หุ้นติดดอย #การลงทุน #เทคโนโลยีอาหาร #เทคโนโลยีชีวภาพ #โปรตีนทางเลือก #thaitimes
    0 Comments 0 Shares 559 Views 0 Reviews
  • สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทย หรือ SET
    ดัชนีปรับตัวขึ้นมากกว่า 75 จุด จาก 1355
    เป็น 1427.64 จุด หรือ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 5%
    ในรอบ 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา จากปัจจัย

    1. การตั้งรัฐบาล และ ครม. ของนายก อุ๊งอิ๊ง แพรทองธาร ชินวัตร 1
    ผ่านไปด้วยความเรียบร้อย

    2. โครงการดิจิทัลวอลเลต งบประมาณ 1.2 แสนล้านบาท
    น่าจะเริ่มทะยอยเข้าบัญชี และเริ่มใช้ในปลายเดือนกันยายน นี้
    (สำหรับกลุ่มเปราะบาง 14 ล้านคน บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ/ผู้สูงอายุ
    ผู้พิการ)

    3. สภาผ่านร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2568 วงเงิน 3.7 ล้านล้านบาท

    4. กระทรวงกการคลังจ่อเปิดกองทุน วายุภักษ์ 1 วงเงิน 1.5 แสนล้าน
    เริ่มจอง 16-20 กันยายน และเข้าเทรด 10 ตุลาคม 2567 นี้

    5. ค่าเงินบาท ปรับตัวแข็งค่าขึ้นในรอบ 9 เดือน
    ล่าสุดอยู่ที่ 33.72 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ

    6. แนวโน้มค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนตัวลง จากการคาดการณ์ว่า
    ธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง
    จากเดิม 5.25- 5.5% เป็น 5.00% เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ
    สหรัฐที่มีแนวโน้มอ่อนแอลง จากภาคการผลิต และ การจ้างงาน
    ที่มีแนวโน้มลดลง

    7. เกิดการเคลื่อนย้ายเงินทุน (Fundflow) จากตลาดทุนสหรัฐ
    เช่น จากหุ้น, พันธบัตรรัฐบาล ไปยังตลาดทุนอื่นๆ เช่น
    เข้ามาที่ตลาดหุ้นไทย เป็นต้น

    8. ในสัปดาห์ที่ผ่านมา นักลงทุน ที่ซื้อ-ขาย หุ้นไทย ได้แก่
    8.1 นักลงทุนต่างประเทศ ซื้อ 15,000 ล้านบาท
    8.2 นักลงทุนสถาบัน(กองทุน) ซื้อ 5,641 ล้านบาท
    8.3 นักลงทุนในประเทศ (รายย่อย) ขาย -20,000 ล้านบาท
    8.4 บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) ขาย -977 ล้านบาท

    *สิ่งที่น่าจับตามองในสัปดาห์หน้า และระยะยาวคือ
    การเข้าซื้อครั้งนี้ จะมีความยั่งยืน มากน้อยแค่ไหน
    และผู้ลงทุน จะลงทุนในตลาดหุ้นไทย ในระยะยาวหรือไม่
    เพราะที่ผ่านมา เราจะพบว่า เข้าซื้อซักพักนึง แล้วก็เทขาย
    ทำกำไรออกไป

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #ตลาดหุ้นไทย #SET
    #thaitimes
    🔥🔥สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทย หรือ SET ดัชนีปรับตัวขึ้นมากกว่า 75 จุด จาก 1355 เป็น 1427.64 จุด หรือ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 5% ในรอบ 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา จากปัจจัย 🚩1. การตั้งรัฐบาล และ ครม. ของนายก อุ๊งอิ๊ง แพรทองธาร ชินวัตร 1 ผ่านไปด้วยความเรียบร้อย 🚩2. โครงการดิจิทัลวอลเลต งบประมาณ 1.2 แสนล้านบาท น่าจะเริ่มทะยอยเข้าบัญชี และเริ่มใช้ในปลายเดือนกันยายน นี้ (สำหรับกลุ่มเปราะบาง 14 ล้านคน บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ/ผู้สูงอายุ ผู้พิการ) 🚩3. สภาผ่านร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2568 วงเงิน 3.7 ล้านล้านบาท 🚩4. กระทรวงกการคลังจ่อเปิดกองทุน วายุภักษ์ 1 วงเงิน 1.5 แสนล้าน เริ่มจอง 16-20 กันยายน และเข้าเทรด 10 ตุลาคม 2567 นี้ 🚩5. ค่าเงินบาท ปรับตัวแข็งค่าขึ้นในรอบ 9 เดือน ล่าสุดอยู่ที่ 33.72 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ 🚩6. แนวโน้มค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนตัวลง จากการคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง จากเดิม 5.25- 5.5% เป็น 5.00% เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ สหรัฐที่มีแนวโน้มอ่อนแอลง จากภาคการผลิต และ การจ้างงาน ที่มีแนวโน้มลดลง 🚩7. เกิดการเคลื่อนย้ายเงินทุน (Fundflow) จากตลาดทุนสหรัฐ เช่น จากหุ้น, พันธบัตรรัฐบาล ไปยังตลาดทุนอื่นๆ เช่น เข้ามาที่ตลาดหุ้นไทย เป็นต้น 🚩8. ในสัปดาห์ที่ผ่านมา นักลงทุน ที่ซื้อ-ขาย หุ้นไทย ได้แก่ 8.1 นักลงทุนต่างประเทศ ซื้อ 15,000 ล้านบาท 8.2 นักลงทุนสถาบัน(กองทุน) ซื้อ 5,641 ล้านบาท 8.3 นักลงทุนในประเทศ (รายย่อย) ขาย -20,000 ล้านบาท 8.4 บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) ขาย -977 ล้านบาท 🔥🔥 *สิ่งที่น่าจับตามองในสัปดาห์หน้า และระยะยาวคือ การเข้าซื้อครั้งนี้ จะมีความยั่งยืน มากน้อยแค่ไหน และผู้ลงทุน จะลงทุนในตลาดหุ้นไทย ในระยะยาวหรือไม่ เพราะที่ผ่านมา เราจะพบว่า เข้าซื้อซักพักนึง แล้วก็เทขาย ทำกำไรออกไป #หุ้นติดดอย #การลงทุน #ตลาดหุ้นไทย #SET #thaitimes
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 816 Views 339 0 Reviews
  • สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทย หรือ SET
    ดัชนีปรับตัวขึ้นมากกว่า 75 จุด จาก 1355
    เป็น 1427.64 จุด หรือ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 5%
    ในรอบ 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา จากปัจจัย

    1. การตั้งรัฐบาล และ ครม. ของนายก อุ๊งอิ๊ง แพรทองธาร ชินวัตร 1
    ผ่านไปด้วยความเรียบร้อย

    2. โครงการดิจิทัลวอลเลต งบประมาณ 1.2 แสนล้านบาท
    น่าจะเริ่มทะยอยเข้าบัญชี และเริ่มใช้ในปลายเดือนกันยายน นี้
    (สำหรับกลุ่มเปราะบาง 14 ล้านคน บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ/ผู้สูงอายุ
    ผู้พิการ)

    3. สภาผ่านร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2568 วงเงิน 3.7 ล้านล้านบาท

    4. กระทรวงกการคลังจ่อเปิดกองทุน วายุภักษ์ 1 วงเงิน 1.5 แสนล้าน
    เริ่มจอง 16-20 กันยายน และเข้าเทรด 10 ตุลาคม 2567 นี้

    5. ค่าเงินบาท ปรับตัวแข็งค่าขึ้นในรอบ 9 เดือน
    ล่าสุดอยู่ที่ 33.72 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ

    6. แนวโน้มค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนตัวลง จากการคาดการณ์ว่า
    ธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง
    จากเดิม 5.25- 5.5% เป็น 5.00% เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ
    สหรัฐที่มีแนวโน้มอ่อนแอลง จากภาคการผลิต และ การจ้างงาน
    ที่มีแนวโน้มลดลง

    7. เกิดการเคลื่อนย้ายเงินทุน (Fundflow) จากตลาดทุนสหรัฐ
    เช่น จากหุ้น, พันธบัตรรัฐบาล ไปยังตลาดทุนอื่นๆ เช่น
    เข้ามาที่ตลาดหุ้นไทย เป็นต้น

    8. ในสัปดาห์ที่ผ่านมา นักลงทุน ที่ซื้อ-ขาย หุ้นไทย ได้แก่
    8.1 นักลงทุนต่างประเทศ ซื้อ 15,000 ล้านบาท
    8.2 นักลงทุนสถาบัน(กองทุน) ซื้อ 5,641 ล้านบาท
    8.3 นักลงทุนในประเทศ (รายย่อย) ขาย -20,000 ล้านบาท
    8.4 บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) ขาย -977 ล้านบาท

    *สิ่งที่น่าจับตามองในสัปดาห์หน้า และระยะยาวคือ
    การเข้าซื้อครั้งนี้ จะมีความยั่งยืน มากน้อยแค่ไหน
    และผู้ลงทุน จะลงทุนในตลาดหุ้นไทย ในระยะยาวหรือไม่
    เพราะที่ผ่านมา เราจะพบว่า เข้าซื้อซักพักนึง แล้วก็เทขาย
    ทำกำไรออกไป

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #ตลาดหุ้นไทย #SET
    #thaitimes
    🔥🔥สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทย หรือ SET ดัชนีปรับตัวขึ้นมากกว่า 75 จุด จาก 1355 เป็น 1427.64 จุด หรือ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 5% ในรอบ 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา จากปัจจัย 🚩1. การตั้งรัฐบาล และ ครม. ของนายก อุ๊งอิ๊ง แพรทองธาร ชินวัตร 1 ผ่านไปด้วยความเรียบร้อย 🚩2. โครงการดิจิทัลวอลเลต งบประมาณ 1.2 แสนล้านบาท น่าจะเริ่มทะยอยเข้าบัญชี และเริ่มใช้ในปลายเดือนกันยายน นี้ (สำหรับกลุ่มเปราะบาง 14 ล้านคน บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ/ผู้สูงอายุ ผู้พิการ) 🚩3. สภาผ่านร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2568 วงเงิน 3.7 ล้านล้านบาท 🚩4. กระทรวงกการคลังจ่อเปิดกองทุน วายุภักษ์ 1 วงเงิน 1.5 แสนล้าน เริ่มจอง 16-20 กันยายน และเข้าเทรด 10 ตุลาคม 2567 นี้ 🚩5. ค่าเงินบาท ปรับตัวแข็งค่าขึ้นในรอบ 9 เดือน ล่าสุดอยู่ที่ 33.72 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ 🚩6. แนวโน้มค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนตัวลง จากการคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง จากเดิม 5.25- 5.5% เป็น 5.00% เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ สหรัฐที่มีแนวโน้มอ่อนแอลง จากภาคการผลิต และ การจ้างงาน ที่มีแนวโน้มลดลง 🚩7. เกิดการเคลื่อนย้ายเงินทุน (Fundflow) จากตลาดทุนสหรัฐ เช่น จากหุ้น, พันธบัตรรัฐบาล ไปยังตลาดทุนอื่นๆ เช่น เข้ามาที่ตลาดหุ้นไทย เป็นต้น 🚩8. ในสัปดาห์ที่ผ่านมา นักลงทุน ที่ซื้อ-ขาย หุ้นไทย ได้แก่ 8.1 นักลงทุนต่างประเทศ ซื้อ 15,000 ล้านบาท 8.2 นักลงทุนสถาบัน(กองทุน) ซื้อ 5,641 ล้านบาท 8.3 นักลงทุนในประเทศ (รายย่อย) ขาย -20,000 ล้านบาท 8.4 บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) ขาย -977 ล้านบาท 🔥🔥 *สิ่งที่น่าจับตามองในสัปดาห์หน้า และระยะยาวคือ การเข้าซื้อครั้งนี้ จะมีความยั่งยืน มากน้อยแค่ไหน และผู้ลงทุน จะลงทุนในตลาดหุ้นไทย ในระยะยาวหรือไม่ เพราะที่ผ่านมา เราจะพบว่า เข้าซื้อซักพักนึง แล้วก็เทขาย ทำกำไรออกไป #หุ้นติดดอย #การลงทุน #ตลาดหุ้นไทย #SET #thaitimes
    0 Comments 1 Shares 786 Views 0 Reviews
  • พบปัญหาการขาดทุนอื้อ
    เมื่อผู้ฝากเงินบัญชี FCD (Foreign Currency Deposit)
    เมื่อคิดจะถอนเงินในบัญชีตอนนี้ จะขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนทันที
    จากการที่เงินบาทแข็งค่าขึ้น

    โดยบัญชี FCD (Foreign Currency Deposit) คือ บัญชีเงินฝาก
    สำหรับบุคคลธรรมดา หรือ นิติบุคคล ที่ต้องการฝากเงิน
    เป็นสกุลเงินตราต่างประเทศ เช่น ดอลลาร์สหรัฐ, ยูโร, หยวน เป็นต้น

    เมื่อค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น เช่น ณ ปัจจุบัน จะส่งผลให้ ผู้ฝากเงิน
    ที่จะถอนเงินดังกล่าว ในช่วงเวลานี้ ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน

    ดังนั้น บัญชีเงินฝากแบบ FCD เป็นผลิตภัณฑ์ทางการเงิน
    ที่ผู้ใช้บริการต้องศึกษาให้ดี เพราะข้อดีคือช่วยปิดความเสี่ยง
    จากอัตราแลกเปลี่ยนได้ แล้วมีกำไร แต่ข้อเสียคือ ก็สามารถ
    ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน ที่เปลี่ยนแปลงไปได้เช่นเดียวกัน

    ที่มา : ฐานเศรษฐกิจ

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #FCD #อัตราแลกเปลี่ยน
    #thaitimes
    🔥🔥พบปัญหาการขาดทุนอื้อ เมื่อผู้ฝากเงินบัญชี FCD (Foreign Currency Deposit) เมื่อคิดจะถอนเงินในบัญชีตอนนี้ จะขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนทันที จากการที่เงินบาทแข็งค่าขึ้น 🚩โดยบัญชี FCD (Foreign Currency Deposit) คือ บัญชีเงินฝาก สำหรับบุคคลธรรมดา หรือ นิติบุคคล ที่ต้องการฝากเงิน เป็นสกุลเงินตราต่างประเทศ เช่น ดอลลาร์สหรัฐ, ยูโร, หยวน เป็นต้น 🚩เมื่อค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น เช่น ณ ปัจจุบัน จะส่งผลให้ ผู้ฝากเงิน ที่จะถอนเงินดังกล่าว ในช่วงเวลานี้ ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 🚩ดังนั้น บัญชีเงินฝากแบบ FCD เป็นผลิตภัณฑ์ทางการเงิน ที่ผู้ใช้บริการต้องศึกษาให้ดี เพราะข้อดีคือช่วยปิดความเสี่ยง จากอัตราแลกเปลี่ยนได้ แล้วมีกำไร แต่ข้อเสียคือ ก็สามารถ ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน ที่เปลี่ยนแปลงไปได้เช่นเดียวกัน ที่มา : ฐานเศรษฐกิจ #หุ้นติดดอย #การลงทุน #FCD #อัตราแลกเปลี่ยน #thaitimes
    0 Comments 0 Shares 687 Views 0 Reviews
  • บริษัท Seven & i Holding ญี่ปุ่น
    บริษัทแม่ของ เซเว่น อีเลฟเว่น
    ปฏิเสธข้อเสนอซื้อกิจการมูลค่า 38,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
    หรือประมาณ 1.30 ล้านล้านบาท จากบริษัท Couche-Tard
    ของแคนาดา เพราะมองว่า ประเมินมูลค่าของบริษัทต่ำไป
    ที่มา : Reuters
    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #เซเว่นอีเลฟเว่น #seven
    #thaitimes
    🔥🔥 บริษัท Seven & i Holding ญี่ปุ่น บริษัทแม่ของ เซเว่น อีเลฟเว่น ปฏิเสธข้อเสนอซื้อกิจการมูลค่า 38,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1.30 ล้านล้านบาท จากบริษัท Couche-Tard ของแคนาดา เพราะมองว่า ประเมินมูลค่าของบริษัทต่ำไป ที่มา : Reuters #หุ้นติดดอย #การลงทุน #เซเว่นอีเลฟเว่น #seven #thaitimes
    0 Comments 0 Shares 757 Views 0 Reviews
  • 06/09/2567
    วันนี้ค่าเงินบาท ปรับตัวแข็งค่ามากที่สุดในรอบ 1 ปี
    ที่ราคา 33.50 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
    ล่าสุดอยู่ที่ 33.53 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ (แข็งค่าขึ้น 0.29%)

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #ค่าเงินบาท #thaitimes
    🔥🔥 06/09/2567 วันนี้ค่าเงินบาท ปรับตัวแข็งค่ามากที่สุดในรอบ 1 ปี ที่ราคา 33.50 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ล่าสุดอยู่ที่ 33.53 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ (แข็งค่าขึ้น 0.29%) #หุ้นติดดอย #การลงทุน #ค่าเงินบาท #thaitimes
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 714 Views 0 Reviews
  • เมื่อวันอังคารที่ 03 กันยายน 2567ที่ผ่านมา
    มูลค่าหุ้นตามราคาตลาดของหุ้น NVDA
    ของบริษัท อินวิเดีย NVIDIA Corporation
    (ผู้ผลิตชิปประมวลผล ทางคอมพิวเตอร์กราฟฟิค)
    ที่อยู่ในตลาดหุ้น NASDAQ สหรัฐอเมริกา
    มูลค่าหุ้นตามราคาตลาด ได้หายไป
    มากกว่า 2.80 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ
    9.54 ล้านล้านบาทใน 1 วัน หลังจากที่ราคาร่วงลง -10%

    นับเป็นการสูญเสีย มูลค่าตามราคาตลาดในหุ้น 1 ตัว
    เพียงวันเดียว ที่มากที่สุด ในประวัติศาสตร์
    ของตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกานับตั้งแต่ก่อตั้งมา
    ส่งผลให้หุ้นที่เกี่ยวข้องกับชิป
    และเซมิคอนดัคเตอร์ทั่วโลก ร่วงลงเช่นกัน

    ที่มา : cnbc

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #NVDA #NVIDIA #thaitimes
    🔥🔥เมื่อวันอังคารที่ 03 กันยายน 2567ที่ผ่านมา มูลค่าหุ้นตามราคาตลาดของหุ้น NVDA ของบริษัท อินวิเดีย NVIDIA Corporation (ผู้ผลิตชิปประมวลผล ทางคอมพิวเตอร์กราฟฟิค) ที่อยู่ในตลาดหุ้น NASDAQ สหรัฐอเมริกา มูลค่าหุ้นตามราคาตลาด ได้หายไป มากกว่า 2.80 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 9.54 ล้านล้านบาทใน 1 วัน หลังจากที่ราคาร่วงลง -10% 🚩นับเป็นการสูญเสีย มูลค่าตามราคาตลาดในหุ้น 1 ตัว เพียงวันเดียว ที่มากที่สุด ในประวัติศาสตร์ ของตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกานับตั้งแต่ก่อตั้งมา ส่งผลให้หุ้นที่เกี่ยวข้องกับชิป และเซมิคอนดัคเตอร์ทั่วโลก ร่วงลงเช่นกัน ที่มา : cnbc #หุ้นติดดอย #การลงทุน #NVDA #NVIDIA #thaitimes
    0 Comments 0 Shares 742 Views 0 Reviews
  • แนวโน้ม และความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐ
    ได้กดดันให้ราคาบิทคอยน์ และคริปโตเคอเรนซี รวมทั้ง
    ราคาหุ้นตกต่ำในวันนี้

    การที่ราคาลดลงในวันนี้ สะท้อนการลดลงในตลาดเสี่ยงทั่วโลก
    เนื่องมาจากความกลัวเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐที่มีแนวโน้ม
    ถดถอย

    ณ วันที่ 4 กันยายน บิทคอยน์ ร่วงลง 3.30% เหลือประมาณ
    55,600 ดอลลาร์สหรัฐ/BTC ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบหนึ่งเดือน
    ในทำนองเดียวกัน สัญญาฟิวเจอร์ส S&P 500 ก็ร่วงลง 0.4%
    หลังจากทำผลงานได้แย่ที่สุดนับตั้งแต่ตลาดตกต่ำ
    เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม ที่ผ่านมา

    ผู้ค้าคริปโต กำลังเตรียมตัวรับมือกับความผันผวน
    ของตลาดเพิ่มขึ้น เนื่องจากพวกเขารอข้อมูลเศรษฐกิจ
    ที่สำคัญเพื่อดูว่าสหรัฐฯ กำลังใกล้เข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจ
    ถดถอยหรือไม่ และธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจปรับ
    นโยบายอย่างไร

    รายงานการจ้างงานในวันที่ 4 กันยายน น่าจะแสดงให้เห็นถึง
    การชะลอตัวของตลาดแรงงาน หลังจากข้อมูลล่าสุดเผยให้เห็นว่า
    กิจกรรมการผลิตลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 5 โดยความกังวล
    เปลี่ยนจากภาวะเงินเฟ้อ เป็นการเติบโตทางเศรษฐกิจ
    ข้อมูลมหภาคที่อ่อนแอนี้ กดดันหุ้นและสินทรัพย์เสี่ยง เช่น
    สกุลเงินดิจิทัล

    ตัวอย่างเช่น การคาดการณ์ว่าตลาดงานจะเย็นลงนั้น
    เกิดขึ้นพร้อมกับกระแสเงินไหลออกจากกองทุนซื้อขาย
    แลกเปลี่ยน Bitcoin (ETF) มูลค่า 287.80 ล้านดอลลาร์ต่อวัน
    หรือประมาณ 9,800 ล้านบาทต่อวัน
    ซึ่งถือเป็นกระแสเงินไหลออกที่ยาวนานที่สุดนับตั้งแต่
    เดือนมิถุนายน
    ที่มา : cointelegraph
    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #บิทคอยน์ #เศรษฐกิจสหรัฐ
    #thaitimes
    🔥🔥แนวโน้ม และความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐ ได้กดดันให้ราคาบิทคอยน์ และคริปโตเคอเรนซี รวมทั้ง ราคาหุ้นตกต่ำในวันนี้ 🚩การที่ราคาลดลงในวันนี้ สะท้อนการลดลงในตลาดเสี่ยงทั่วโลก เนื่องมาจากความกลัวเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐที่มีแนวโน้ม ถดถอย 🚩ณ วันที่ 4 กันยายน บิทคอยน์ ร่วงลง 3.30% เหลือประมาณ 55,600 ดอลลาร์สหรัฐ/BTC ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบหนึ่งเดือน ในทำนองเดียวกัน สัญญาฟิวเจอร์ส S&P 500 ก็ร่วงลง 0.4% หลังจากทำผลงานได้แย่ที่สุดนับตั้งแต่ตลาดตกต่ำ เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม ที่ผ่านมา 🚩ผู้ค้าคริปโต กำลังเตรียมตัวรับมือกับความผันผวน ของตลาดเพิ่มขึ้น เนื่องจากพวกเขารอข้อมูลเศรษฐกิจ ที่สำคัญเพื่อดูว่าสหรัฐฯ กำลังใกล้เข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจ ถดถอยหรือไม่ และธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจปรับ นโยบายอย่างไร 🚩รายงานการจ้างงานในวันที่ 4 กันยายน น่าจะแสดงให้เห็นถึง การชะลอตัวของตลาดแรงงาน หลังจากข้อมูลล่าสุดเผยให้เห็นว่า กิจกรรมการผลิตลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 5 โดยความกังวล เปลี่ยนจากภาวะเงินเฟ้อ เป็นการเติบโตทางเศรษฐกิจ ข้อมูลมหภาคที่อ่อนแอนี้ กดดันหุ้นและสินทรัพย์เสี่ยง เช่น สกุลเงินดิจิทัล 🚩ตัวอย่างเช่น การคาดการณ์ว่าตลาดงานจะเย็นลงนั้น เกิดขึ้นพร้อมกับกระแสเงินไหลออกจากกองทุนซื้อขาย แลกเปลี่ยน Bitcoin (ETF) มูลค่า 287.80 ล้านดอลลาร์ต่อวัน หรือประมาณ 9,800 ล้านบาทต่อวัน ซึ่งถือเป็นกระแสเงินไหลออกที่ยาวนานที่สุดนับตั้งแต่ เดือนมิถุนายน ที่มา : cointelegraph #หุ้นติดดอย #การลงทุน #บิทคอยน์ #เศรษฐกิจสหรัฐ #thaitimes
    0 Comments 0 Shares 765 Views 0 Reviews
  • โบอิ้งคาดฝูงบินพาณิชย์ของ 'จีน'
    เพิ่มขึ้นอีก 2 เท่าภายในปี 2586
    .
    รายงานแนวโน้มตลาดการบินเชิงพาณิชย์ของจีน ปี 2567 จากโบอิ้ง (Boeing) ซึ่งคาดการณ์ความต้องการเครื่องบินพาณิชย์และการบริการที่เกี่ยวข้องในระยะยาว ระบุว่าจำนวนเครื่องบินเชิงพาณิชย์ของจีนจะเพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่าภายในปี 2586 ตามการขยายตัวและการสร้างความทันสมัยของอุตสาหกรรมการบินจีนเพื่อตอบสนองความต้องการเดินทางของผู้โดยสารและการขนส่งสินค้าอากาศที่เพิ่มขึ้น
    .
    ดาร์เรน ฮัลสท์ รองประธานฝ่ายการตลาดเชิงพาณิชย์ของโบอิ้ง กล่าวว่าตลาดการบินเชิงพาณิชย์สำหรับขนส่งผู้โดยสารและสินค้าของจีนยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่องด้วยแรงขับเคลื่อนจากการเติบโตทางเศรษฐกิจและสายการบินต่างๆ ที่สร้างเครือข่ายการบินภายในประเทศ โดยความต้องการใช้บริการสายการบินของจีนจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก ทำให้พวกเขาต้องการเครื่องบินรุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพด้านเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น
    .
    รายงานระบุว่าจำนวนเครื่องบินเชิงพาณิชย์ของจีนจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.1 ต่อปี จาก 4,345 เป็น 9,740 ลำ ภายในปี 2043 ขณะปริมาณผู้โดยสารหมุนเวียนต่อปีของจีนจะอยู่ที่ร้อยละ 5.9 ซึ่งสูงเกินค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่อยู่ที่ร้อยละ 4.7
    .
    การสัญจรทางอากาศของจีนจะมีปริมาณมากที่สุดในโลก ทำให้จำนวนเครื่องบินลำตัวแคบเติบโตจนคิดเป็นมากกว่าสามในสี่ของการส่งมอบ และจีนจะมีเครื่องบินลำตัวกว้างมากที่สุดในโลก โดยมีความต้องการเครื่องบินลำตัวกว้างเพิ่ม 1,575 ลำ
    .
    สำหรับจำนวนเครื่องบินขนส่งสินค้าของจีน ซึ่งครอบคลุมเครื่องบินที่ผลิตขึ้นมาโดยเฉพาะและที่ดัดแปลงมาจากเครื่องบินโดยสาร จะเพิ่มขึ้นเกือบสามเท่าตามความต้องการจากภาคธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่เติบโต
    .
    ด้านกลุ่มสายการบินของจีนจะต้องการการบริการทางการบิน มูลค่า 7.8 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 27 ล้านล้านบาท) เพื่อสนับสนุนการแก้ไขปัญหาทางดิจิทัล การซ่อมบำรุง และการดัดแปลง ขณะเดียวกันอุตสาหกรรมสายการบินจะต้องการจ้างงานและฝึกอบรมบุคลากรใหม่เกือบ 4.3 แสนคน เพื่อสนับสนุนตำแหน่งนักบิน ช่างเทคนิคฝ่ายซ่อมบำรุง และลูกเรือ
    .
    อนึ่ง เครื่องบินของโบอิ้งถือเป็นหลักสำคัญของระบบขนส่งผู้โดยสารและสินค้าทางการบินพลเรือนของจีนมานานมากกว่า 50 ปีแล้ว และโบอิ้งเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่สุดของอุตสาหกรรมการผลิตทางการบินของจีน โดยเครื่องบินของโบอิ้งใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตโดยจีนมากกว่า 10,000 ลำ
    .
    บรรยายภาพ - C919 เครื่องบินโดยสารขนาดใหญ่ที่จีนพัฒนาขึ้นเอง ทำลายสถิติจำนวนผู้โดยสารที่ขนส่งได้เกิน 500,000 คนเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา นับตั้งแต่เริ่มให้บริการเชิงพาณิชย์เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2566 ทั้งนี้ถึงปัจจุบัน เครื่องบิน C919 ได้บันทึกชั่วโมงบินมากกว่า 10,000 ชั่วโมง และทำการบินเชิงพาณิชย์สำเร็จมากกว่า 3,700 เที่ยวบิน
    โบอิ้งคาดฝูงบินพาณิชย์ของ 'จีน' เพิ่มขึ้นอีก 2 เท่าภายในปี 2586 . รายงานแนวโน้มตลาดการบินเชิงพาณิชย์ของจีน ปี 2567 จากโบอิ้ง (Boeing) ซึ่งคาดการณ์ความต้องการเครื่องบินพาณิชย์และการบริการที่เกี่ยวข้องในระยะยาว ระบุว่าจำนวนเครื่องบินเชิงพาณิชย์ของจีนจะเพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่าภายในปี 2586 ตามการขยายตัวและการสร้างความทันสมัยของอุตสาหกรรมการบินจีนเพื่อตอบสนองความต้องการเดินทางของผู้โดยสารและการขนส่งสินค้าอากาศที่เพิ่มขึ้น . ดาร์เรน ฮัลสท์ รองประธานฝ่ายการตลาดเชิงพาณิชย์ของโบอิ้ง กล่าวว่าตลาดการบินเชิงพาณิชย์สำหรับขนส่งผู้โดยสารและสินค้าของจีนยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่องด้วยแรงขับเคลื่อนจากการเติบโตทางเศรษฐกิจและสายการบินต่างๆ ที่สร้างเครือข่ายการบินภายในประเทศ โดยความต้องการใช้บริการสายการบินของจีนจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก ทำให้พวกเขาต้องการเครื่องบินรุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพด้านเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น . รายงานระบุว่าจำนวนเครื่องบินเชิงพาณิชย์ของจีนจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.1 ต่อปี จาก 4,345 เป็น 9,740 ลำ ภายในปี 2043 ขณะปริมาณผู้โดยสารหมุนเวียนต่อปีของจีนจะอยู่ที่ร้อยละ 5.9 ซึ่งสูงเกินค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่อยู่ที่ร้อยละ 4.7 . การสัญจรทางอากาศของจีนจะมีปริมาณมากที่สุดในโลก ทำให้จำนวนเครื่องบินลำตัวแคบเติบโตจนคิดเป็นมากกว่าสามในสี่ของการส่งมอบ และจีนจะมีเครื่องบินลำตัวกว้างมากที่สุดในโลก โดยมีความต้องการเครื่องบินลำตัวกว้างเพิ่ม 1,575 ลำ . สำหรับจำนวนเครื่องบินขนส่งสินค้าของจีน ซึ่งครอบคลุมเครื่องบินที่ผลิตขึ้นมาโดยเฉพาะและที่ดัดแปลงมาจากเครื่องบินโดยสาร จะเพิ่มขึ้นเกือบสามเท่าตามความต้องการจากภาคธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่เติบโต . ด้านกลุ่มสายการบินของจีนจะต้องการการบริการทางการบิน มูลค่า 7.8 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 27 ล้านล้านบาท) เพื่อสนับสนุนการแก้ไขปัญหาทางดิจิทัล การซ่อมบำรุง และการดัดแปลง ขณะเดียวกันอุตสาหกรรมสายการบินจะต้องการจ้างงานและฝึกอบรมบุคลากรใหม่เกือบ 4.3 แสนคน เพื่อสนับสนุนตำแหน่งนักบิน ช่างเทคนิคฝ่ายซ่อมบำรุง และลูกเรือ . อนึ่ง เครื่องบินของโบอิ้งถือเป็นหลักสำคัญของระบบขนส่งผู้โดยสารและสินค้าทางการบินพลเรือนของจีนมานานมากกว่า 50 ปีแล้ว และโบอิ้งเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่สุดของอุตสาหกรรมการผลิตทางการบินของจีน โดยเครื่องบินของโบอิ้งใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตโดยจีนมากกว่า 10,000 ลำ . บรรยายภาพ - C919 เครื่องบินโดยสารขนาดใหญ่ที่จีนพัฒนาขึ้นเอง ทำลายสถิติจำนวนผู้โดยสารที่ขนส่งได้เกิน 500,000 คนเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา นับตั้งแต่เริ่มให้บริการเชิงพาณิชย์เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2566 ทั้งนี้ถึงปัจจุบัน เครื่องบิน C919 ได้บันทึกชั่วโมงบินมากกว่า 10,000 ชั่วโมง และทำการบินเชิงพาณิชย์สำเร็จมากกว่า 3,700 เที่ยวบิน
    Like
    Wow
    8
    0 Comments 1 Shares 406 Views 0 Reviews
  • ข้อมูลน่ากังวลจาก Cointelegrap ระบุ
    ภายใน 8 เดือน ของปี 2567 นี้
    แฮกเกอร์ สามารถเจาะระบบ และขโมยเงินออกไปจาก
    กระเป๋าเงิน ในระบบของคริปโต คิดเป็นมูลค่ารวมกันกว่า
    1,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 40,000 ล้านบาท
    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #คริปโต #thaitimes
    🔥🔥 ข้อมูลน่ากังวลจาก Cointelegrap ระบุ ภายใน 8 เดือน ของปี 2567 นี้ แฮกเกอร์ สามารถเจาะระบบ และขโมยเงินออกไปจาก กระเป๋าเงิน ในระบบของคริปโต คิดเป็นมูลค่ารวมกันกว่า 1,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 40,000 ล้านบาท #หุ้นติดดอย #การลงทุน #คริปโต #thaitimes
    Sad
    2
    0 Comments 0 Shares 528 Views 0 Reviews
  • "วินัย, ความสม่ำเสมอ และ การเข้าใจธุรกิจอย่างลึกซึ้ง"
    คือ 3 กลยุทธ์การลงทุนสำคัญ ที่ทำให้ คุณปู่ วอร์เรน บัฟเฟตต์
    ในวัย 94 ปี นำพาองค์กร บริษัท เบิร์กไชร์ แฮธาเวย์
    ก้าวขึ้นเป็นบริษัทที่มีมูลค่าทางการตลาด
    มากกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ
    34 ล้านล้านบาท ในวันนี้

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #วอร์เรนบัฟเฟตต์ #thaitimes
    💥💥 "วินัย, ความสม่ำเสมอ และ การเข้าใจธุรกิจอย่างลึกซึ้ง" คือ 3 กลยุทธ์การลงทุนสำคัญ ที่ทำให้ คุณปู่ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ในวัย 94 ปี นำพาองค์กร บริษัท เบิร์กไชร์ แฮธาเวย์ ก้าวขึ้นเป็นบริษัทที่มีมูลค่าทางการตลาด มากกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 34 ล้านล้านบาท ในวันนี้ #หุ้นติดดอย #การลงทุน #วอร์เรนบัฟเฟตต์ #thaitimes
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 616 Views 153 0 Reviews
  • "วินัย, ความสม่ำเสมอ และ การเข้าใจธุรกิจอย่างลึกซึ้ง"
    คือ 3 กลยุทธ์การลงทุนสำคัญ ที่ทำให้ คุณปู่ วอร์เรน บัฟเฟตต์
    ในวัย 94 ปี นำพาองค์กร บริษัท เบิร์กไชร์ แฮธาเวย์
    ก้าวขึ้นเป็นบริษัทที่มีมูลค่าทางการตลาด
    มากกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ
    34 ล้านล้านบาท ในวันนี้

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #วอร์เรนบัฟเฟตต์ #thaitimes
    💥💥 "วินัย, ความสม่ำเสมอ และ การเข้าใจธุรกิจอย่างลึกซึ้ง" คือ 3 กลยุทธ์การลงทุนสำคัญ ที่ทำให้ คุณปู่ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ในวัย 94 ปี นำพาองค์กร บริษัท เบิร์กไชร์ แฮธาเวย์ ก้าวขึ้นเป็นบริษัทที่มีมูลค่าทางการตลาด มากกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 34 ล้านล้านบาท ในวันนี้ #หุ้นติดดอย #การลงทุน #วอร์เรนบัฟเฟตต์ #thaitimes
    0 Comments 0 Shares 560 Views 0 Reviews
  • มีบางท่าน อยากให้แอดมิน ช่วยโพสต์กราฟจุดขาย
    ที่ปู่ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ขายหุ้น Bank Of America Corporation
    หรือ BAC แอดมินเลยขอนำทั้งจุดเข้าซื้อและจุดขาย
    มานำเสนอ เผื่อจะเป็นประโยชน์ให้กับหลายๆท่าน
    เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ดังนี้

    จุดเข้าซื้อ และมูลเหตุที่ปู่เข้าซื้อหุ้น BCA
    ปู่บัฟเฟตต์เริ่มลงทุนในธนาคาร BCA ในปี 2011
    เมื่อ Berkshire ซื้อหุ้นบุริมสิทธิ์มูลค่า 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
    หรือประมาณ 1.7 แสนล้านบาท ในราคาราวๆ 5-10 ดอลลาร์สหรัฐ/หุ้น
    โดยการซื้อครั้งนั้นแสดงถึงความมั่นใจของเขาในความสามารถของ
    Brian Moynihan ซีอีโอในการฟื้นฟูธนาคารให้กลับมาแข็งแรง
    หลังจากวิกฤตการณ์ทางการเงินในปี 2008

    จุดขาย และมูลเหตุที่ทำให้ขาย
    หลังจากถือครองหุ้นดังกล่าวมาประมาณ 13 ปี
    หุ้น Bank of America Corporation หรือ BCA ก็ได้ปรับตัว
    สูงขึ้นมาเรื่อยๆ และปรับตัวเพิ่มขึ้น 21% ในปี 2024 นี้
    เมื่อเทียบกับการเพิ่มขึ้น 22.6% ของดัชนี S&P 500 Banks
    (.SPXBK) คาดว่า ปู่น่าจะเริ่มทะยอยขายหุ้นที่มีมูลค่า
    มากกว่า 6,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ
    2 แสนล้านบาท ในช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม 2024
    ซึ่งราคาหุ้นอยู่ราวๆ 40-44 ดอลลาร์สหรัฐ/หุ้น

    ทำให้คาดการณ์ว่าปู่น่าจะได้กำไรจากการขายหุ้นในครั้งนี้
    มากกว่า 75%

    สาเหตุแห่งการทะยอยขายหุ้นในพอร์ตออก
    ซึ่งปู่คิดว่า น่าจะเป็นระยะเวลาที่เหมาะสม ที่จะทะยอย
    ขายหุ้นทำกำไร และเก็บเป็นเงินสดไว้ เพื่อรอจังหวะ
    และโอกาส ในการถือครองหุ้นตัวอื่นๆ หลังจากใช้
    แนวทางนี้กับหุ้นอีกหลายตัว เช่น APPLE เป็นต้น

    จากการที่ปู่มองว่า เฟดจะเริ่มทะยอย ลดอัตราดอกเบี้ย
    เชิงนโยบาย ในเร็วๆนี้ และจะทำให้เม็ดเงินลงทุน ย้ายออก
    ไปจากตลาดหุ้นสหรัฐ และไปยังสินทรัพย์ หรือ
    ตลาดทุน หรือ ตลาดหุ้นอื่นๆ จึงเลือกที่จะลดการถือครองหุ้น
    และถือเป็นเงินสดไว้นั่นเอง

    นี่ก็เป็นแนวทางหรือ วิธีการลงทุน ของปู่ วอร์เรน บัฟเฟตต์
    ผู้บริหาร และเจ้าของ บริษัท เบิร์กไชน์ แฮธาเวย์
    ปรมาจารย์ด้านการลงทุนท่านหนึ่ง ในวัย 94 ปู่ ที่ยังมีชีวิตอยู่
    ที่นักลงทุนทั่วโลกต่างให้การยอมรับ ในปัจจุบัน

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #วอร์เรนบัฟเฟตต์ #BAC #thaitimes
    💥💥มีบางท่าน อยากให้แอดมิน ช่วยโพสต์กราฟจุดขาย ที่ปู่ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ขายหุ้น Bank Of America Corporation หรือ BAC แอดมินเลยขอนำทั้งจุดเข้าซื้อและจุดขาย มานำเสนอ เผื่อจะเป็นประโยชน์ให้กับหลายๆท่าน เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ดังนี้ 💥จุดเข้าซื้อ และมูลเหตุที่ปู่เข้าซื้อหุ้น BCA ปู่บัฟเฟตต์เริ่มลงทุนในธนาคาร BCA ในปี 2011 เมื่อ Berkshire ซื้อหุ้นบุริมสิทธิ์มูลค่า 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1.7 แสนล้านบาท ในราคาราวๆ 5-10 ดอลลาร์สหรัฐ/หุ้น โดยการซื้อครั้งนั้นแสดงถึงความมั่นใจของเขาในความสามารถของ Brian Moynihan ซีอีโอในการฟื้นฟูธนาคารให้กลับมาแข็งแรง หลังจากวิกฤตการณ์ทางการเงินในปี 2008 💥จุดขาย และมูลเหตุที่ทำให้ขาย หลังจากถือครองหุ้นดังกล่าวมาประมาณ 13 ปี หุ้น Bank of America Corporation หรือ BCA ก็ได้ปรับตัว สูงขึ้นมาเรื่อยๆ และปรับตัวเพิ่มขึ้น 21% ในปี 2024 นี้ เมื่อเทียบกับการเพิ่มขึ้น 22.6% ของดัชนี S&P 500 Banks (.SPXBK) คาดว่า ปู่น่าจะเริ่มทะยอยขายหุ้นที่มีมูลค่า มากกว่า 6,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 2 แสนล้านบาท ในช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม 2024 ซึ่งราคาหุ้นอยู่ราวๆ 40-44 ดอลลาร์สหรัฐ/หุ้น 🚩ทำให้คาดการณ์ว่าปู่น่าจะได้กำไรจากการขายหุ้นในครั้งนี้ มากกว่า 75% 🚩สาเหตุแห่งการทะยอยขายหุ้นในพอร์ตออก ซึ่งปู่คิดว่า น่าจะเป็นระยะเวลาที่เหมาะสม ที่จะทะยอย ขายหุ้นทำกำไร และเก็บเป็นเงินสดไว้ เพื่อรอจังหวะ และโอกาส ในการถือครองหุ้นตัวอื่นๆ หลังจากใช้ แนวทางนี้กับหุ้นอีกหลายตัว เช่น APPLE เป็นต้น 🚩จากการที่ปู่มองว่า เฟดจะเริ่มทะยอย ลดอัตราดอกเบี้ย เชิงนโยบาย ในเร็วๆนี้ และจะทำให้เม็ดเงินลงทุน ย้ายออก ไปจากตลาดหุ้นสหรัฐ และไปยังสินทรัพย์ หรือ ตลาดทุน หรือ ตลาดหุ้นอื่นๆ จึงเลือกที่จะลดการถือครองหุ้น และถือเป็นเงินสดไว้นั่นเอง 🚩นี่ก็เป็นแนวทางหรือ วิธีการลงทุน ของปู่ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ผู้บริหาร และเจ้าของ บริษัท เบิร์กไชน์ แฮธาเวย์ ปรมาจารย์ด้านการลงทุนท่านหนึ่ง ในวัย 94 ปู่ ที่ยังมีชีวิตอยู่ ที่นักลงทุนทั่วโลกต่างให้การยอมรับ ในปัจจุบัน #หุ้นติดดอย #การลงทุน #วอร์เรนบัฟเฟตต์ #BAC #thaitimes
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 691 Views 0 Reviews
  • เวียดนามคาดส่งออก ‘ทุเรียน' ปี 2567 สูงแตะ 3,500 ล้านดอลล์
    .
    คณะผู้เชี่ยวชาญทางการเกษตรคาดการณ์ว่าการส่งออกทุเรียนของเวียดนามจะสูงถึง 3.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.23 แสนล้านบาท) ในปี 2024 เนื่องด้วยสภาพเงื่อนไขต่างๆ เอื้ออำนวย
    .
    ดัง ฟุก เหงียน เลขานุการสมาคมผักและผลไม้แห่งเวียดนาม ระบุว่าเกษตรกรในกลุ่มจังหวัดสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง เช่น เตี่ยนยางและวินห์ลอง ได้เพิ่มการผลิตทุเรียนนอกฤดู ทำให้มีผลผลิตเพิ่มขึ้นในช่วงเดือนมกราคม-กรกฎาคมของปีนี้ โดยปัจจุบันพื้นที่เพาะปลูกทุเรียนในภูมิภาคนี้ราวร้อยละ 50-60 กำลังมุ่งเน้นการผลิตนอกฤดู
    .
    รายงานเสริมว่าเวียดนามมีแนวโน้มส่งออกทุเรียนปริมาณมากจากภูมิภาคเซ็นทรัล ไฮแลนด์ส หรือที่ราบสูงตอนกลางของประเทศ ในช่วงเดือนที่เหลือของปีนี้
    .
    สำนักการผลิตพืชผลของกระทรวงฯ ระบุว่าปัจจุบันเวียดนามมีพื้นที่เพาะปลูกทุเรียนราว 1.5 แสนเฮกตาร์ (ราว 9.37 แสนไร่) ซึ่งอยู่ในภูมิภาคเซ็นทรัล ไฮแลนด์ส มากกว่า 75,000 เฮกตาร์ (ราว 4.69 แสนไร่)
    .
    กระทรวงฯ เผยว่ารายได้จากการส่งออกทุเรียนของเวียดนามในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้อยู่ที่ราว 1.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 6 หมื่นล้านบาท)
    เวียดนามคาดส่งออก ‘ทุเรียน' ปี 2567 สูงแตะ 3,500 ล้านดอลล์ . คณะผู้เชี่ยวชาญทางการเกษตรคาดการณ์ว่าการส่งออกทุเรียนของเวียดนามจะสูงถึง 3.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.23 แสนล้านบาท) ในปี 2024 เนื่องด้วยสภาพเงื่อนไขต่างๆ เอื้ออำนวย . ดัง ฟุก เหงียน เลขานุการสมาคมผักและผลไม้แห่งเวียดนาม ระบุว่าเกษตรกรในกลุ่มจังหวัดสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง เช่น เตี่ยนยางและวินห์ลอง ได้เพิ่มการผลิตทุเรียนนอกฤดู ทำให้มีผลผลิตเพิ่มขึ้นในช่วงเดือนมกราคม-กรกฎาคมของปีนี้ โดยปัจจุบันพื้นที่เพาะปลูกทุเรียนในภูมิภาคนี้ราวร้อยละ 50-60 กำลังมุ่งเน้นการผลิตนอกฤดู . รายงานเสริมว่าเวียดนามมีแนวโน้มส่งออกทุเรียนปริมาณมากจากภูมิภาคเซ็นทรัล ไฮแลนด์ส หรือที่ราบสูงตอนกลางของประเทศ ในช่วงเดือนที่เหลือของปีนี้ . สำนักการผลิตพืชผลของกระทรวงฯ ระบุว่าปัจจุบันเวียดนามมีพื้นที่เพาะปลูกทุเรียนราว 1.5 แสนเฮกตาร์ (ราว 9.37 แสนไร่) ซึ่งอยู่ในภูมิภาคเซ็นทรัล ไฮแลนด์ส มากกว่า 75,000 เฮกตาร์ (ราว 4.69 แสนไร่) . กระทรวงฯ เผยว่ารายได้จากการส่งออกทุเรียนของเวียดนามในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้อยู่ที่ราว 1.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 6 หมื่นล้านบาท)
    Like
    Sad
    3
    0 Comments 0 Shares 325 Views 0 Reviews
  • Colin Huang Zheng เจ้าของแพลตฟอร์ม TEMUวัย44ปีได้รับการจัดอันดับจากBloomberg Billionaires Index เป็นมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศจีน ด้วยทรัพย์สินมูลค่า 48,600 ล้านเหรียญสหรัฐ เขาแซงหน้าจง ซานซาน ราชาแห่งน้ำดื่มบรรจุขวดของประเทศ ซึ่งครองอันดับหนึ่งมาตั้งแต่เดือนเมษายน 2021

    Colin Huang Zheng เกิดในปี 1980 ที่เมืองหางโจวซึ่งเป็นฐานที่มั่นสำคัญของอาลีบาบา Colin Huang Zheng เติบโตมาในยุคที่จีนกำลังเปิดประเทศและปฏิรูปเศรษฐกิจ ด้วยความสามารถทางวิชาการที่โดดเด่น เขาได้รับทุนการศึกษาให้ไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกา หลังจบการศึกษาระดับปริญญาโทด้านวิศวกรรมคอมพิวเตอร์จากมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-แมดิสัน เคยฝึกงานที่ Microsoft ในปักกิ่งและซีแอตเทิล ก่อนที่จะเริ่มต้นอาชีพการงานที่ Google ในสหรัฐอเมริกาเมื่อปี 2003

    ในปี 2006 Colin Huang Zheng ตัดสินใจกลับมาจีนเพื่อเริ่มต้นธุรกิจของตัวเอง หลังจากทดลองทำธุรกิจหลายรูปแบบ ตั้งบริษัทเกมออนไลน์ Xinyoudi และแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ Ouku.com ขึ้นมา โคลิน หวงเคยล้มป่วยในช่วงหนึ่ง ผู้ประกอบการหนุ่มคนนี้อยู่บ้านเป็นเวลาหนึ่งปีเพื่อคิดเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวครั้งต่อไป ในที่สุดเขาก็พบโอกาสครั้งสำคัญในปี 2015 ด้วยการก่อตั้ง Pinduoduo แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่นำเสนอแนวคิด "ซื้อร่วมกัน" ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถรวมกลุ่มกันเพื่อซื้อสินค้าในราคาที่ถูกลง แนวคิดนี้ไม่เพียงแต่ตอบโจทย์ผู้บริโภคชาวจีนที่ชื่นชอบการต่อรองราคา แต่ยังสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่สนุกสนานและมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของเขาสูงถึง 71,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงต้นปี 2021 แต่ก็เจอวิกฤตช่วงโควิด-19ระบาดเศรษฐกิจโลกหยุดชะงัก ทรัพย์สินของเขาพังทลายลงอย่างรวดเร็วพอๆ กับที่สร้างได้ โดยร่วงลง 87 เปอร์เซ็นต์ภายในเวลาประมาณหนึ่งปี แต่น่าประหลาดใจ PDD Holdings ของ Huang กลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง แม้ว่าจะไม่ใหญ่เท่าเมื่อก่อน แต่ก็มั่นคง โดยการขยายกิจการออกนอกประเทศจีนภายใต้ชื่อแบรนด์ Temu ช่วยรับมือกับเศรษฐกิจภายในประเทศที่อ่อนแออย่างต่อเนื่อง

    ความสำเร็จของ Pinduoduo เป็นไปอย่างรวดเร็วและน่าทึ่ง ภายในเวลาเพียง 3 ปี บริษัทสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในการเติบโตที่เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัทอินเตอร์เน็ตจีน ปัจจัยสำคัญที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จนี้คือการใช้เทคโนโลยี AI และ Big data อย่างชาญฉลาด ทำให้แพลตฟอร์มสามารถนำเสนอสินค้าและโปรโมชั่นที่ตรงใจผู้ใช้ได้อย่างแม่นยำ การเติบโตอย่างโดดเด่นของหวงได้รับแรงหนุนจากพฤติกรรมการจับจ่ายที่เปลี่ยนไปของจีน หลังจากวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ของประเทศกลายเป็นภาวะชะลอตัวที่ยาวนาน นอกจากนี้ เขายังเป็นเจ้าพ่อเทคโนโลยีคนแรกที่ครองอันดับความมั่งคั่งสูงสุดในรอบกว่า 3 ปี หลังจากที่รัฐบาลกดดันธุรกิจเอกชนจนทำให้คู่แข่งอย่างกลุ่มอาลีบาบาของแจ็ค หม่า ลดอิทธิพลทางเศรษฐกิจการตลาดลง

    #Thaitimes
    Colin Huang Zheng เจ้าของแพลตฟอร์ม TEMUวัย44ปีได้รับการจัดอันดับจากBloomberg Billionaires Index เป็นมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศจีน ด้วยทรัพย์สินมูลค่า 48,600 ล้านเหรียญสหรัฐ เขาแซงหน้าจง ซานซาน ราชาแห่งน้ำดื่มบรรจุขวดของประเทศ ซึ่งครองอันดับหนึ่งมาตั้งแต่เดือนเมษายน 2021 Colin Huang Zheng เกิดในปี 1980 ที่เมืองหางโจวซึ่งเป็นฐานที่มั่นสำคัญของอาลีบาบา Colin Huang Zheng เติบโตมาในยุคที่จีนกำลังเปิดประเทศและปฏิรูปเศรษฐกิจ ด้วยความสามารถทางวิชาการที่โดดเด่น เขาได้รับทุนการศึกษาให้ไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกา หลังจบการศึกษาระดับปริญญาโทด้านวิศวกรรมคอมพิวเตอร์จากมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-แมดิสัน เคยฝึกงานที่ Microsoft ในปักกิ่งและซีแอตเทิล ก่อนที่จะเริ่มต้นอาชีพการงานที่ Google ในสหรัฐอเมริกาเมื่อปี 2003 ในปี 2006 Colin Huang Zheng ตัดสินใจกลับมาจีนเพื่อเริ่มต้นธุรกิจของตัวเอง หลังจากทดลองทำธุรกิจหลายรูปแบบ ตั้งบริษัทเกมออนไลน์ Xinyoudi และแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ Ouku.com ขึ้นมา โคลิน หวงเคยล้มป่วยในช่วงหนึ่ง ผู้ประกอบการหนุ่มคนนี้อยู่บ้านเป็นเวลาหนึ่งปีเพื่อคิดเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวครั้งต่อไป ในที่สุดเขาก็พบโอกาสครั้งสำคัญในปี 2015 ด้วยการก่อตั้ง Pinduoduo แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่นำเสนอแนวคิด "ซื้อร่วมกัน" ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถรวมกลุ่มกันเพื่อซื้อสินค้าในราคาที่ถูกลง แนวคิดนี้ไม่เพียงแต่ตอบโจทย์ผู้บริโภคชาวจีนที่ชื่นชอบการต่อรองราคา แต่ยังสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่สนุกสนานและมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของเขาสูงถึง 71,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงต้นปี 2021 แต่ก็เจอวิกฤตช่วงโควิด-19ระบาดเศรษฐกิจโลกหยุดชะงัก ทรัพย์สินของเขาพังทลายลงอย่างรวดเร็วพอๆ กับที่สร้างได้ โดยร่วงลง 87 เปอร์เซ็นต์ภายในเวลาประมาณหนึ่งปี แต่น่าประหลาดใจ PDD Holdings ของ Huang กลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง แม้ว่าจะไม่ใหญ่เท่าเมื่อก่อน แต่ก็มั่นคง โดยการขยายกิจการออกนอกประเทศจีนภายใต้ชื่อแบรนด์ Temu ช่วยรับมือกับเศรษฐกิจภายในประเทศที่อ่อนแออย่างต่อเนื่อง ความสำเร็จของ Pinduoduo เป็นไปอย่างรวดเร็วและน่าทึ่ง ภายในเวลาเพียง 3 ปี บริษัทสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในการเติบโตที่เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัทอินเตอร์เน็ตจีน ปัจจัยสำคัญที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จนี้คือการใช้เทคโนโลยี AI และ Big data อย่างชาญฉลาด ทำให้แพลตฟอร์มสามารถนำเสนอสินค้าและโปรโมชั่นที่ตรงใจผู้ใช้ได้อย่างแม่นยำ การเติบโตอย่างโดดเด่นของหวงได้รับแรงหนุนจากพฤติกรรมการจับจ่ายที่เปลี่ยนไปของจีน หลังจากวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ของประเทศกลายเป็นภาวะชะลอตัวที่ยาวนาน นอกจากนี้ เขายังเป็นเจ้าพ่อเทคโนโลยีคนแรกที่ครองอันดับความมั่งคั่งสูงสุดในรอบกว่า 3 ปี หลังจากที่รัฐบาลกดดันธุรกิจเอกชนจนทำให้คู่แข่งอย่างกลุ่มอาลีบาบาของแจ็ค หม่า ลดอิทธิพลทางเศรษฐกิจการตลาดลง #Thaitimes
    0 Comments 0 Shares 443 Views 0 Reviews
  • สำนักงานประกันภัยฮ่องกงสั่งปรับหนัก AIAถึง 23 ล้านเหรียญฮ่องกง มากเป็นประวัติการณ์ฐานละเลยกฎหมายปราบปรามการฟอกเงิน

    2 สิงหาคม 2567-รายงานสื่อบลูมเบิร์กระบุว่าAIA Group Ltd.ถูกสำนักงานประกันภัยฮ่องกงปรับเป็นเงินสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 23 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง (2.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) จากการกำกับดูแลการฟอกเงิน ขณะที่หน่วยงานกำกับดูแลของเมืองเพิ่มมาตรการตรวจสอบอุตสาหกรรมนี้ให้เข้มงวดยิ่งขึ้น

    สำนักงานประกันสังคมระบุในแถลงการณ์ทางอีเมลเมื่อวันศุกร์ว่าการตรวจสอบในสถานที่โดยหน่วยงานกำกับดูแลพบ "ปัญหาทางเทคนิค" กับระบบป้องกันการฟอกเงินและอัลกอริทึมที่เกี่ยวข้องของ AIA การตรวจสอบดังกล่าวเกี่ยวข้องกับธุรกิจในช่วงระหว่างเดือนมีนาคม 2016 ถึงเดือนตุลาคม 2022

    ที่มา : https://www.bloomberg.com/news/articles/2024-08-02/hk-hits-aia-with-record-fine-for-anti-money-laundering-lapses

    #Thaitimes
    สำนักงานประกันภัยฮ่องกงสั่งปรับหนัก AIAถึง 23 ล้านเหรียญฮ่องกง มากเป็นประวัติการณ์ฐานละเลยกฎหมายปราบปรามการฟอกเงิน 2 สิงหาคม 2567-รายงานสื่อบลูมเบิร์กระบุว่าAIA Group Ltd.ถูกสำนักงานประกันภัยฮ่องกงปรับเป็นเงินสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 23 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง (2.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) จากการกำกับดูแลการฟอกเงิน ขณะที่หน่วยงานกำกับดูแลของเมืองเพิ่มมาตรการตรวจสอบอุตสาหกรรมนี้ให้เข้มงวดยิ่งขึ้น สำนักงานประกันสังคมระบุในแถลงการณ์ทางอีเมลเมื่อวันศุกร์ว่าการตรวจสอบในสถานที่โดยหน่วยงานกำกับดูแลพบ "ปัญหาทางเทคนิค" กับระบบป้องกันการฟอกเงินและอัลกอริทึมที่เกี่ยวข้องของ AIA การตรวจสอบดังกล่าวเกี่ยวข้องกับธุรกิจในช่วงระหว่างเดือนมีนาคม 2016 ถึงเดือนตุลาคม 2022 ที่มา : https://www.bloomberg.com/news/articles/2024-08-02/hk-hits-aia-with-record-fine-for-anti-money-laundering-lapses #Thaitimes
    WWW.BLOOMBERG.COM
    Hong Kong Hits AIA With Record Fine for Anti-Laundering Lapses
    AIA Group Ltd. was subject to a record fine of HK$23 million ($2.9 million) by the Insurance Authority for anti-money laundering oversight, as the city’s regulators steps up scrutiny of the industry.
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 387 Views 0 Reviews
  • สหรัฐฯ หนี้สาธารณะท่วม! ยอดทะลุ $35 ล้านล้าน
    .
    วันนี้ (29 ก.ค.) กระทรวงการคลังสหรัฐฯ เปิดเผยว่าเมื่อวันศุกร์ที่ 26 ก.ค. ที่ผ่านมา หนี้สาธารณะของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ สูงทะลุหลัก 35 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.25 พันล้านล้านบาท) เป็นครั้งแรก
    .
    ก่อนหน้านี้ในช่วงปลายเดือนธันวาคม 2566 หรือราว 7 เดือนที่แล้ว หนี้สาธารณะของสหรัฐฯ เพิ่งทะลุระดับ 34 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 1.22 พันล้านล้านบาท)
    .
    ด้านนางมายา แมคกินีส์ ประธานคณะกรรมาธิการด้านงบประมาณของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ระบุว่ารัฐบาลยังคงเดินหน้ากู้ยืมต่อไปแม้จะมีความเสี่ยงและสัญญาณเตือนมากมาย โดยที่ไม่มีใครสนใจสัญญาณเตือนเหล่านี้
    .
    แมคกินีส์กล่าวด้วยว่าปัญหาหนี้สินจำเป็นต้องถูกจัดการอย่างจริงจังและเร่งด่วน ปีที่มีการเลือกตั้งไม่ควรเป็นข้อยกเว้นที่ทำให้สหรัฐฯ ละความพยายามป้องกันอันตรายที่คาดการณ์ได้ และปัญหาหนี้สินเป็นหนึ่งในอันตรายที่สหรัฐฯ กำลังเผชิญอยู่
    .
    ส่วนมูลนิธิปีเตอร์ จี. ปีเตอร์สัน องค์กรอิสระด้านนโยบายการเงินในสหรัฐฯ เผยว่าหนี้สาธารณะจำนวน 35.001 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 1,250 ล้านล้านบาท) หรือ เทียบเท่าตัวเลขหนี้ 103,945 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 3.73 ล้านบาท) ต่อคนในสหรัฐฯ
    .
    มูลนิธิฯ ระบุว่าการขาดดุลด้านงบประมาณมีสาเหตุหลักมาจากปัจจัยเชิงโครงสร้างต่าง ๆ ได้แก่ ประชากรรุ่นเบบี้บูมเมอร์ที่มีอายุมากขึ้น ค่าใช้จ่ายการรักษาพยาบาลที่สูงขึ้น และระบบภาษีที่ไม่สามารถนำเงินเข้ามาได้มากพอต่อการใช้จ่ายในสิ่งที่รัฐบาลสัญญาไว้กับ
    .
    คลิกอ่านข่าวต้นฉบับ >> https://sondhitalk.com/detail/9670000064476
    สหรัฐฯ หนี้สาธารณะท่วม! ยอดทะลุ $35 ล้านล้าน . วันนี้ (29 ก.ค.) กระทรวงการคลังสหรัฐฯ เปิดเผยว่าเมื่อวันศุกร์ที่ 26 ก.ค. ที่ผ่านมา หนี้สาธารณะของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ สูงทะลุหลัก 35 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.25 พันล้านล้านบาท) เป็นครั้งแรก . ก่อนหน้านี้ในช่วงปลายเดือนธันวาคม 2566 หรือราว 7 เดือนที่แล้ว หนี้สาธารณะของสหรัฐฯ เพิ่งทะลุระดับ 34 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 1.22 พันล้านล้านบาท) . ด้านนางมายา แมคกินีส์ ประธานคณะกรรมาธิการด้านงบประมาณของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ระบุว่ารัฐบาลยังคงเดินหน้ากู้ยืมต่อไปแม้จะมีความเสี่ยงและสัญญาณเตือนมากมาย โดยที่ไม่มีใครสนใจสัญญาณเตือนเหล่านี้ . แมคกินีส์กล่าวด้วยว่าปัญหาหนี้สินจำเป็นต้องถูกจัดการอย่างจริงจังและเร่งด่วน ปีที่มีการเลือกตั้งไม่ควรเป็นข้อยกเว้นที่ทำให้สหรัฐฯ ละความพยายามป้องกันอันตรายที่คาดการณ์ได้ และปัญหาหนี้สินเป็นหนึ่งในอันตรายที่สหรัฐฯ กำลังเผชิญอยู่ . ส่วนมูลนิธิปีเตอร์ จี. ปีเตอร์สัน องค์กรอิสระด้านนโยบายการเงินในสหรัฐฯ เผยว่าหนี้สาธารณะจำนวน 35.001 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 1,250 ล้านล้านบาท) หรือ เทียบเท่าตัวเลขหนี้ 103,945 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 3.73 ล้านบาท) ต่อคนในสหรัฐฯ . มูลนิธิฯ ระบุว่าการขาดดุลด้านงบประมาณมีสาเหตุหลักมาจากปัจจัยเชิงโครงสร้างต่าง ๆ ได้แก่ ประชากรรุ่นเบบี้บูมเมอร์ที่มีอายุมากขึ้น ค่าใช้จ่ายการรักษาพยาบาลที่สูงขึ้น และระบบภาษีที่ไม่สามารถนำเงินเข้ามาได้มากพอต่อการใช้จ่ายในสิ่งที่รัฐบาลสัญญาไว้กับ . คลิกอ่านข่าวต้นฉบับ >> https://sondhitalk.com/detail/9670000064476
    Like
    Sad
    8
    0 Comments 2 Shares 517 Views 0 Reviews
  • “แอร์เอเชียต้องการคำตอบและค่าชดเชย”

    เหตุการณ์ Microsoft outage ที่บริษัทเอกชนและภาคธุรกิจสำคัญ อาทิ สายการบิน ธนาคาร สื่อมวลชน และโรงพยาบาลในหลายประเทศ ได้รับผลกระทบจากปัญหาไอทีขัดข้องทั่วโลก จากระบบปฎิบัติการ Windows ซึ่งเชื่อมโยงกับระบบของ CrowdStrike บริษัทเทคโนโลยีความปลอดภัยทางไซเบอร์ของสหรัฐอเมริกา เมื่อวันศุกร์ (19 ก.ค.) ที่ผ่านมา

    แม้ปัญหาดังกล่าวจะได้รับการคลี่คลาย แต่ภาคธุรกิจและสังคมยังคงตั้งคำถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงความรับผิดชอบจาก Microsoft และ CrowdStrike สองบริษัทด้านไอทีของสหรัฐอเมริกา

    หนึ่งในนั้นคือ โทนี่ เฟอร์นานเดส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของแคปิตอล เอ ผู้ก่อตั้งสายการบินแอร์เอเชีย ที่มีต้นกำเนิดจากประเทศมาเลเซีย โพสต์ข้อความผ่าน Linkedin ระบุว่า เป็นเรื่องดีที่ CrowdStrike ขอโทษ แต่จะรอฟังจาก Microsoft ว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ทำให้สายการบินสูญเสียรายได้หลายล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

    แต่ที่สำคัญกว่านั้น ความล้มเหลวของระบบได้ก่อให้เกิดความวุ่นวายมากมายในชีวิตของผู้คนอย่างไร

    "บริษัทเทคโนโลยีไม่ค่อยมีความเห็นอกเห็นใจ สิ่งที่เราเจอในช่วงโควิด-19 พวกเขาไม่มีความเห็นอกเห็นใจ ตอนนี้พวกเขามีปัญหาที่พวกเขาคาดหวังให้เราทุกคนเข้าใจ ฉันจะไม่ทำแบบนั้น สายการบินต้องการคำตอบและค่าชดเชย แต่สิ่งสำคัญคือ เราจะเรียนรู้และเติบโตจากสิ่งนี้" โทนี่ ระบุ

    แอร์เอเชียเป็นหนึ่งในสายการบินทั่วโลกที่ประสบปัญหาเหตุขัดข้องด้านไอที ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานทุกสนามบิน หนึ่งในนั้นคืออาคารผู้โดยสาร 2 (KLIA2) ท่าอากาศยานกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย สายการบินต้องใช้ระบบแมนวล (Manual) ในการบริหารจัดการทั้งหมด ตั้งแต่การเช็กอิน การพิมพ์บัตรโดยสาร และโหลดสัมภาระใต้ท้องเครื่อง

    โทนี่ กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้นึกถึงเมื่อ 23 ปีที่แล้ว ทุกอย่างทำด้วยระบบแมนวล แต่ก็ภูมิใจที่ทำให้การยกเลิกเที่ยวบินลดเหลือน้อยที่สุด เนื่องจากความคล่องตัวในการเปลี่ยนไปใช้ระบบแมนวล แม้ว่าการให้บริการจะมีความล่าช้าไปบ้าง แต่ยังคงมุ่งมั่นที่จะนำพาผู้โดยสารทุกคนไปยังจุดหมายปลายทางอย่างปลอดภัยที่สุด

    อนึ่ง สายการบินแอร์เอเชียกลับมาใช้ระบบออนไลน์ในการปฎิบัติงาน รวมทั้งการเช็กอินออนไลน์แก่ผู้โดยสาร ตั้งแต่บ่ายวันเสาร์ (20 ก.ค.) ที่ผ่านมา

    #Newskit #AirAsia #TonyFernandes
    “แอร์เอเชียต้องการคำตอบและค่าชดเชย” เหตุการณ์ Microsoft outage ที่บริษัทเอกชนและภาคธุรกิจสำคัญ อาทิ สายการบิน ธนาคาร สื่อมวลชน และโรงพยาบาลในหลายประเทศ ได้รับผลกระทบจากปัญหาไอทีขัดข้องทั่วโลก จากระบบปฎิบัติการ Windows ซึ่งเชื่อมโยงกับระบบของ CrowdStrike บริษัทเทคโนโลยีความปลอดภัยทางไซเบอร์ของสหรัฐอเมริกา เมื่อวันศุกร์ (19 ก.ค.) ที่ผ่านมา แม้ปัญหาดังกล่าวจะได้รับการคลี่คลาย แต่ภาคธุรกิจและสังคมยังคงตั้งคำถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงความรับผิดชอบจาก Microsoft และ CrowdStrike สองบริษัทด้านไอทีของสหรัฐอเมริกา หนึ่งในนั้นคือ โทนี่ เฟอร์นานเดส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของแคปิตอล เอ ผู้ก่อตั้งสายการบินแอร์เอเชีย ที่มีต้นกำเนิดจากประเทศมาเลเซีย โพสต์ข้อความผ่าน Linkedin ระบุว่า เป็นเรื่องดีที่ CrowdStrike ขอโทษ แต่จะรอฟังจาก Microsoft ว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ทำให้สายการบินสูญเสียรายได้หลายล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ที่สำคัญกว่านั้น ความล้มเหลวของระบบได้ก่อให้เกิดความวุ่นวายมากมายในชีวิตของผู้คนอย่างไร "บริษัทเทคโนโลยีไม่ค่อยมีความเห็นอกเห็นใจ สิ่งที่เราเจอในช่วงโควิด-19 พวกเขาไม่มีความเห็นอกเห็นใจ ตอนนี้พวกเขามีปัญหาที่พวกเขาคาดหวังให้เราทุกคนเข้าใจ ฉันจะไม่ทำแบบนั้น สายการบินต้องการคำตอบและค่าชดเชย แต่สิ่งสำคัญคือ เราจะเรียนรู้และเติบโตจากสิ่งนี้" โทนี่ ระบุ แอร์เอเชียเป็นหนึ่งในสายการบินทั่วโลกที่ประสบปัญหาเหตุขัดข้องด้านไอที ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานทุกสนามบิน หนึ่งในนั้นคืออาคารผู้โดยสาร 2 (KLIA2) ท่าอากาศยานกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย สายการบินต้องใช้ระบบแมนวล (Manual) ในการบริหารจัดการทั้งหมด ตั้งแต่การเช็กอิน การพิมพ์บัตรโดยสาร และโหลดสัมภาระใต้ท้องเครื่อง โทนี่ กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้นึกถึงเมื่อ 23 ปีที่แล้ว ทุกอย่างทำด้วยระบบแมนวล แต่ก็ภูมิใจที่ทำให้การยกเลิกเที่ยวบินลดเหลือน้อยที่สุด เนื่องจากความคล่องตัวในการเปลี่ยนไปใช้ระบบแมนวล แม้ว่าการให้บริการจะมีความล่าช้าไปบ้าง แต่ยังคงมุ่งมั่นที่จะนำพาผู้โดยสารทุกคนไปยังจุดหมายปลายทางอย่างปลอดภัยที่สุด อนึ่ง สายการบินแอร์เอเชียกลับมาใช้ระบบออนไลน์ในการปฎิบัติงาน รวมทั้งการเช็กอินออนไลน์แก่ผู้โดยสาร ตั้งแต่บ่ายวันเสาร์ (20 ก.ค.) ที่ผ่านมา #Newskit #AirAsia #TonyFernandes
    Like
    2
    1 Comments 1 Shares 528 Views 0 Reviews
  • แนวโน้มทองคําขึ้น-ลง มาจากปัจจัยอะไร? เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น

    เท่าที่เราทราบกันดีอยู่แล้วว่า ปัจจัยที่เป็นตัวกำหนดราคาทองคำให้ขึ้นหรือลงนั้น มาจากหลากหลายปัจจัย แต่ที่เป็นปัจจัยหลักๆ ที่พบบ่อยๆ นั้นมีไม่มาก และเรามาดูว่าปัจจัยเหล่านี้ ส่งผลกระทบต่อทองคำให้ปรับตัวขึ้น หรือ ลดลงได้อย่างไร และทำไมต้องเป็นเช่นนั้น มาดูกันเลย

    1.ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ มีความสัมพันธ์ในทิศทางตรงกันข้ามกับทองคำ
    -ดอลลาร์อ่อน ทองคำจะขึ้น
    เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะ ทองคำซื้อขายในรูปแบบสกุลเงินดอลลาร์ เมื่อค่าเงินดอลลาร์อ่อนลง ทองคำจะมีราคาถูกลงเมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่น จึงสร้างความน่าดึงดูดและแรงซื้อทองคำจากนักลงทุนที่ถือครองสกุลเงินอื่น

    -ดอลลารแข็งค่า ทองคำจะลง
    เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะ ทองคำซื้อขายในรูปแบบสกุลเงินดอลลาร์ เมื่อค่าเงินดอลลาร์แข็งค่า ทองคำก็จะมีราคาแพง และก็จะถูกลดความน่าสนใจในการเข้าซื้อ ตรงกันข้ามนักลงทุนก็จะเทขายทองคำที่มีอยู่เพื่อทำกำไร

    2. เงินเฟ้อ มักจะมีทิศทางเดียวกันกับทองคำ เงินเฟ้อเพิ่มมากขึ้นทองคำจะปรับตัวขึ้น
    ทองคำถือเป็นสินทรัพย์ที่มีค่าในตัวเอง เป็นสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงจากภาวะเงินเฟ้อ เมื่อเงินเฟ้อดีดตัวสูงขึ้น ทองคำจะมีความต้องการเพิ่มมากขึ้น
    เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะ เงินเฟ้อส่งผลต่อ Fiat Money(เงินกระดาษ)ที่มีค่าจากการรับรองของรัฐบาลแต่ละประเทศ และจำเป็นต้องมีสิ่งหนุนหลัง ซึ่งหากเงินเฟ้อปรับตัวเพิ่มขึ้นจะทำให้มูลค่าของเงินกระดาษเสื่อมลงนั่นเอง

    3. ภาวะสงครามหรือความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ จะส่งผลให้ทองคำปรับตัวขึ้น
    เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะ ภาวะสงครามหรือความขัดแย้งในโลกล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดความต้องการซื้อทองคำที่เพิ่มมากขึ้น อันเนื่องมาจากทองคำจัดเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย เมื่อไปอยู่ที่ไหนก็สามารถแลกเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้ทันที แตกต่างจากเงินธนบัตรหรือหุ้น ที่เมื่อเกิดความไม่มั่นใจหรือประเทศนั้น ๆ ตัดสินใจทำอะไรที่รุนแรงบานปลายก็จะทำให้มูลค่าของสิ่งเหล่านั้นลดลงไป

    แนวโน้มทองคําขึ้น-ลง มาจากปัจจัยอะไร? เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น เท่าที่เราทราบกันดีอยู่แล้วว่า ปัจจัยที่เป็นตัวกำหนดราคาทองคำให้ขึ้นหรือลงนั้น มาจากหลากหลายปัจจัย แต่ที่เป็นปัจจัยหลักๆ ที่พบบ่อยๆ นั้นมีไม่มาก และเรามาดูว่าปัจจัยเหล่านี้ ส่งผลกระทบต่อทองคำให้ปรับตัวขึ้น หรือ ลดลงได้อย่างไร และทำไมต้องเป็นเช่นนั้น มาดูกันเลย 1.ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ มีความสัมพันธ์ในทิศทางตรงกันข้ามกับทองคำ -ดอลลาร์อ่อน ทองคำจะขึ้น เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะ ทองคำซื้อขายในรูปแบบสกุลเงินดอลลาร์ เมื่อค่าเงินดอลลาร์อ่อนลง ทองคำจะมีราคาถูกลงเมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่น จึงสร้างความน่าดึงดูดและแรงซื้อทองคำจากนักลงทุนที่ถือครองสกุลเงินอื่น -ดอลลารแข็งค่า ทองคำจะลง เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะ ทองคำซื้อขายในรูปแบบสกุลเงินดอลลาร์ เมื่อค่าเงินดอลลาร์แข็งค่า ทองคำก็จะมีราคาแพง และก็จะถูกลดความน่าสนใจในการเข้าซื้อ ตรงกันข้ามนักลงทุนก็จะเทขายทองคำที่มีอยู่เพื่อทำกำไร 2. เงินเฟ้อ มักจะมีทิศทางเดียวกันกับทองคำ เงินเฟ้อเพิ่มมากขึ้นทองคำจะปรับตัวขึ้น ทองคำถือเป็นสินทรัพย์ที่มีค่าในตัวเอง เป็นสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงจากภาวะเงินเฟ้อ เมื่อเงินเฟ้อดีดตัวสูงขึ้น ทองคำจะมีความต้องการเพิ่มมากขึ้น เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะ เงินเฟ้อส่งผลต่อ Fiat Money(เงินกระดาษ)ที่มีค่าจากการรับรองของรัฐบาลแต่ละประเทศ และจำเป็นต้องมีสิ่งหนุนหลัง ซึ่งหากเงินเฟ้อปรับตัวเพิ่มขึ้นจะทำให้มูลค่าของเงินกระดาษเสื่อมลงนั่นเอง 3. ภาวะสงครามหรือความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ จะส่งผลให้ทองคำปรับตัวขึ้น เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะ ภาวะสงครามหรือความขัดแย้งในโลกล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดความต้องการซื้อทองคำที่เพิ่มมากขึ้น อันเนื่องมาจากทองคำจัดเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย เมื่อไปอยู่ที่ไหนก็สามารถแลกเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้ทันที แตกต่างจากเงินธนบัตรหรือหุ้น ที่เมื่อเกิดความไม่มั่นใจหรือประเทศนั้น ๆ ตัดสินใจทำอะไรที่รุนแรงบานปลายก็จะทำให้มูลค่าของสิ่งเหล่านั้นลดลงไป
    Like
    1
    1 Comments 0 Shares 418 Views 0 Reviews