• มาเลย์เปิดเดินรถไฟ ETS3 เคแอลเซ็นทรัล-คลวง

    สมเด็จพระราชาธิบดีสุลต่านอิบราฮิมแห่งมาเลเซีย ทรงประกอบพิธีเปิดบริการรถไฟด่วนพิเศษ ETS รุ่นที่ 3 (ETS3) เมื่อวันที่ 23 ส.ค. และทรงขับรถไฟขบวนใหม่จากสถานีกัวลาลัมเปอร์ไปยังสถานีคลวง (Kluang) รัฐยะโฮร์ ระยะทาง 285 กิโลเมตร นับเป็นวันประวัติศาสตร์ของระบบรางในมาเลเซีย นอกจากเป็นการเดินขบวนรถไฟรุ่นใหม่ล่าสุดแล้ว ยังเป็นการเปิดเส้นทางเดินรถเพิ่มเติม ตามโครงการรถไฟทางคู่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าเกอมัส-ยะโฮร์บาห์รู (Gemas-Johor Bahru Electrified Double-Tracking Rail Project หรือ Gemas - JB EDTP) ระยะทาง 192 กิโลเมตร หลังขยายการเดินรถไฟ ETS ไปยังปลายทางสถานีเซกามัต (Segamat) รัฐยะโฮร์ เมื่อวันที่ 15 มี.ค.ที่ผ่านมา

    นอกจากนี้ สมเด็จพระราชาธิบดีฯ ยังเสด็จฯ เปิดสวนสาธารณะ ลามัน เรล มาห์โกตา (Laman Rel Mahkota) ความยาว 2.8 กิโลเมตร ตั้งอยู่ใกล้สถานีคลวง ก่อสร้างขึ้นบนทางรถไฟเดิม ขนานไปกับทางรถไฟยกระดับ โดยนำส่วนประกอบทางรถไฟเก่ามาปรับใช้และผสานเข้ากับสวนสาธารณะ เช่น ป้ายบอกทางดั้งเดิมของสถานี รางรถไฟและชานชาลาเก่า ที่พักรถไฟ ไปจนถึงสะพานคนเดินอันเป็นเอกลักษณ์ โดยจะเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในวันที่ 25 ส.ค. ตั้งแต่เวลา 06.00-21.00 น.

    การเปิดเส้นทางเดินรถไฟครั้งนี้ ไม่ได้ขยายบริการรถไฟจากสถานีปาดังเบซาร์ รัฐปะลิส และสถานีบัตเตอร์เวอร์ธ รัฐปีนัง ที่มีอยู่เดิม ซึ่งปัจจุบันให้บริการถึงสถานีปลายทางเซกามัต รัฐยะโฮร์ แต่เป็นการเดินรถขบวนใหม่ ระหว่างสถานีเคแอล เซ็นทรัล (KL Sentral) กรุงกัวลาลัมเปอร์ กับสถานีคลวง ด้วยความเร็ว 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมงครึ่ง เที่ยวไป ขบวนที่ EP9511 ออกจากสถานีเคแอล เซ็นทรัล 07.45 น. ถึงสถานีคลวง 11.18 น. เที่ยวกลับ ขบวนที่ EP9514 ออกจากสถานีคลวง 17.13 น. ถึงสถานีเคแอล เซ็นทรัล 20.40 น. ค่าโดยสารเริ่มต้นที่ 90-162 ริงกิต (696-1,252 บาท) เปิดสำรองที่นั่งแล้วผ่านแอปฯ KITS Style และเว็บไซต์ online.ktmb.com.my และให้บริการตั้งแต่วันที่ 30 ส.ค.เป็นต้นไป

    สำหรับโครงการ EDTP ช่วงที่เหลือจากสถานีคลวง ถึงสถานีเจบีเซ็นทรัล (JB Sentral) ระยะทาง 87 กิโลเมตร แม้จะยังไม่มีกำหนดเปิดให้บริการ แต่นายแอนโทนี โลค รมว.คมนาคมมาเลเซีย กล่าวว่า รถไฟ ETS3 จำนวน 2 ชุด อยู่ระหว่างทดสอบทางเทคนิค หากประสบความสำเร็จคาดว่าจะเริ่มให้บริการในเดือนนี้ ส่วนที่เหลืออีก 8 ชุดกำลังประกอบที่โรงงาน CRRC Rolling Stock Centre ในเมืองบาตูกาจาห์ รัฐเปรัก หากครบทั้ง 10 ขบวนจะเปิดให้บริการเต็มรูปแบบภายในต้นปี 2569

    #Newskit
    มาเลย์เปิดเดินรถไฟ ETS3 เคแอลเซ็นทรัล-คลวง สมเด็จพระราชาธิบดีสุลต่านอิบราฮิมแห่งมาเลเซีย ทรงประกอบพิธีเปิดบริการรถไฟด่วนพิเศษ ETS รุ่นที่ 3 (ETS3) เมื่อวันที่ 23 ส.ค. และทรงขับรถไฟขบวนใหม่จากสถานีกัวลาลัมเปอร์ไปยังสถานีคลวง (Kluang) รัฐยะโฮร์ ระยะทาง 285 กิโลเมตร นับเป็นวันประวัติศาสตร์ของระบบรางในมาเลเซีย นอกจากเป็นการเดินขบวนรถไฟรุ่นใหม่ล่าสุดแล้ว ยังเป็นการเปิดเส้นทางเดินรถเพิ่มเติม ตามโครงการรถไฟทางคู่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าเกอมัส-ยะโฮร์บาห์รู (Gemas-Johor Bahru Electrified Double-Tracking Rail Project หรือ Gemas - JB EDTP) ระยะทาง 192 กิโลเมตร หลังขยายการเดินรถไฟ ETS ไปยังปลายทางสถานีเซกามัต (Segamat) รัฐยะโฮร์ เมื่อวันที่ 15 มี.ค.ที่ผ่านมา นอกจากนี้ สมเด็จพระราชาธิบดีฯ ยังเสด็จฯ เปิดสวนสาธารณะ ลามัน เรล มาห์โกตา (Laman Rel Mahkota) ความยาว 2.8 กิโลเมตร ตั้งอยู่ใกล้สถานีคลวง ก่อสร้างขึ้นบนทางรถไฟเดิม ขนานไปกับทางรถไฟยกระดับ โดยนำส่วนประกอบทางรถไฟเก่ามาปรับใช้และผสานเข้ากับสวนสาธารณะ เช่น ป้ายบอกทางดั้งเดิมของสถานี รางรถไฟและชานชาลาเก่า ที่พักรถไฟ ไปจนถึงสะพานคนเดินอันเป็นเอกลักษณ์ โดยจะเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในวันที่ 25 ส.ค. ตั้งแต่เวลา 06.00-21.00 น. การเปิดเส้นทางเดินรถไฟครั้งนี้ ไม่ได้ขยายบริการรถไฟจากสถานีปาดังเบซาร์ รัฐปะลิส และสถานีบัตเตอร์เวอร์ธ รัฐปีนัง ที่มีอยู่เดิม ซึ่งปัจจุบันให้บริการถึงสถานีปลายทางเซกามัต รัฐยะโฮร์ แต่เป็นการเดินรถขบวนใหม่ ระหว่างสถานีเคแอล เซ็นทรัล (KL Sentral) กรุงกัวลาลัมเปอร์ กับสถานีคลวง ด้วยความเร็ว 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมงครึ่ง เที่ยวไป ขบวนที่ EP9511 ออกจากสถานีเคแอล เซ็นทรัล 07.45 น. ถึงสถานีคลวง 11.18 น. เที่ยวกลับ ขบวนที่ EP9514 ออกจากสถานีคลวง 17.13 น. ถึงสถานีเคแอล เซ็นทรัล 20.40 น. ค่าโดยสารเริ่มต้นที่ 90-162 ริงกิต (696-1,252 บาท) เปิดสำรองที่นั่งแล้วผ่านแอปฯ KITS Style และเว็บไซต์ online.ktmb.com.my และให้บริการตั้งแต่วันที่ 30 ส.ค.เป็นต้นไป สำหรับโครงการ EDTP ช่วงที่เหลือจากสถานีคลวง ถึงสถานีเจบีเซ็นทรัล (JB Sentral) ระยะทาง 87 กิโลเมตร แม้จะยังไม่มีกำหนดเปิดให้บริการ แต่นายแอนโทนี โลค รมว.คมนาคมมาเลเซีย กล่าวว่า รถไฟ ETS3 จำนวน 2 ชุด อยู่ระหว่างทดสอบทางเทคนิค หากประสบความสำเร็จคาดว่าจะเริ่มให้บริการในเดือนนี้ ส่วนที่เหลืออีก 8 ชุดกำลังประกอบที่โรงงาน CRRC Rolling Stock Centre ในเมืองบาตูกาจาห์ รัฐเปรัก หากครบทั้ง 10 ขบวนจะเปิดให้บริการเต็มรูปแบบภายในต้นปี 2569 #Newskit
    0 Comments 0 Shares 100 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากศาล: เมื่อ T-Mobile ขายข้อมูลตำแหน่งลูกค้าโดยไม่ขออนุญาต

    ลองจินตนาการว่าโทรศัพท์มือถือของคุณคือเครื่องติดตามตัวที่คุณพกติดตัวตลอดเวลา ทุกครั้งที่เชื่อมต่อกับเสาสัญญาณ มันจะส่งข้อมูลตำแหน่งของคุณไปยังผู้ให้บริการเครือข่าย และข้อมูลนี้สามารถกลายเป็นประวัติการเคลื่อนไหวที่ละเอียดมากของคุณได้

    ตั้งแต่ก่อนปี 2019 T-Mobile และ Sprint (ซึ่งถูกควบรวมในปี 2020) ได้ขายข้อมูลตำแหน่งลูกค้าแบบเรียลไทม์ให้กับบริษัทตัวกลาง เช่น LocationSmart และ Zumigo โดยไม่ได้ตรวจสอบว่าผู้ซื้อได้รับความยินยอมจากลูกค้าหรือไม่ ซึ่งนำไปสู่การละเมิดสิทธิส่วนบุคคลอย่างร้ายแรง

    แม้จะมีการเปิดเผยการละเมิดตั้งแต่ปี 2018 แต่กว่าที่ FCC จะลงโทษก็ใช้เวลาหลายปี จนในปี 2025 ศาลอุทธรณ์สหรัฐฯ ได้ตัดสินให้ T-Mobile ต้องจ่ายค่าปรับรวม $92 ล้าน โดยปฏิเสธข้อโต้แย้งของบริษัทที่อ้างว่าไม่ได้ละเมิดกฎหมาย และว่าการขายข้อมูลนั้นไม่เข้าข่ายข้อมูลที่ต้องได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย

    ข้อมูลในข่าว
    ศาลอุทธรณ์สหรัฐฯ ตัดสินให้ T-Mobile ต้องจ่ายค่าปรับ $92 ล้านจากการขายข้อมูลตำแหน่งลูกค้า
    ข้อมูลถูกขายให้กับ LocationSmart และ Zumigo โดยไม่มีการตรวจสอบความยินยอมจากลูกค้า
    การละเมิดถูกเปิดเผยตั้งแต่ปี 2018 แต่ FCC เพิ่งลงโทษในปี 2024 และศาลตัดสินในปี 2025
    T-Mobile และ Sprint ไม่ปฏิเสธข้อเท็จจริง แต่โต้แย้งว่าการกระทำไม่ผิดกฎหมาย
    ศาลชี้ว่า T-Mobile สละสิทธิ์ในการขอพิจารณาคดีโดยคณะลูกขุน เพราะเลือกจ่ายค่าปรับและยื่นอุทธรณ์โดยตรง
    FCC ยังปรับ AT&T $57.3 ล้าน และ Verizon $46.9 ล้านจากกรณีคล้ายกัน
    การขายข้อมูลตำแหน่งถูกมองว่าเป็นการละเมิด Communications Act มาตรา 222

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ข้อมูลตำแหน่ง (Location Data) ถือเป็นข้อมูลที่อ่อนไหวที่สุด เพราะสามารถเปิดเผยกิจวัตรและความสัมพันธ์ส่วนตัว
    การขายข้อมูลให้กับตัวกลางเปิดช่องให้บุคคลที่สาม เช่น เจ้าหน้าที่รัฐ ใช้ติดตามบุคคลโดยไม่ขออนุญาต
    การละเมิดสิทธิส่วนบุคคลในรูปแบบนี้เคยนำไปสู่การติดตามผู้พิพากษาและเจ้าหน้าที่ตำรวจในรัฐ Missouri
    การตัดสินครั้งนี้ถือเป็นชัยชนะของผู้สนับสนุนความเป็นส่วนตัว และเป็นแบบอย่างสำคัญในวงการโทรคมนาคม
    T-Mobile เคยเผชิญคดีละเมิดข้อมูลมาแล้วในปี 2021 และจ่ายค่าชดเชยกว่า $350 ล้าน

    https://arstechnica.com/tech-policy/2025/08/t-mobile-claimed-selling-location-data-without-consent-is-legal-judges-disagree/
    📱 เรื่องเล่าจากศาล: เมื่อ T-Mobile ขายข้อมูลตำแหน่งลูกค้าโดยไม่ขออนุญาต ลองจินตนาการว่าโทรศัพท์มือถือของคุณคือเครื่องติดตามตัวที่คุณพกติดตัวตลอดเวลา ทุกครั้งที่เชื่อมต่อกับเสาสัญญาณ มันจะส่งข้อมูลตำแหน่งของคุณไปยังผู้ให้บริการเครือข่าย และข้อมูลนี้สามารถกลายเป็นประวัติการเคลื่อนไหวที่ละเอียดมากของคุณได้ ตั้งแต่ก่อนปี 2019 T-Mobile และ Sprint (ซึ่งถูกควบรวมในปี 2020) ได้ขายข้อมูลตำแหน่งลูกค้าแบบเรียลไทม์ให้กับบริษัทตัวกลาง เช่น LocationSmart และ Zumigo โดยไม่ได้ตรวจสอบว่าผู้ซื้อได้รับความยินยอมจากลูกค้าหรือไม่ ซึ่งนำไปสู่การละเมิดสิทธิส่วนบุคคลอย่างร้ายแรง แม้จะมีการเปิดเผยการละเมิดตั้งแต่ปี 2018 แต่กว่าที่ FCC จะลงโทษก็ใช้เวลาหลายปี จนในปี 2025 ศาลอุทธรณ์สหรัฐฯ ได้ตัดสินให้ T-Mobile ต้องจ่ายค่าปรับรวม $92 ล้าน โดยปฏิเสธข้อโต้แย้งของบริษัทที่อ้างว่าไม่ได้ละเมิดกฎหมาย และว่าการขายข้อมูลนั้นไม่เข้าข่ายข้อมูลที่ต้องได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ ศาลอุทธรณ์สหรัฐฯ ตัดสินให้ T-Mobile ต้องจ่ายค่าปรับ $92 ล้านจากการขายข้อมูลตำแหน่งลูกค้า ➡️ ข้อมูลถูกขายให้กับ LocationSmart และ Zumigo โดยไม่มีการตรวจสอบความยินยอมจากลูกค้า ➡️ การละเมิดถูกเปิดเผยตั้งแต่ปี 2018 แต่ FCC เพิ่งลงโทษในปี 2024 และศาลตัดสินในปี 2025 ➡️ T-Mobile และ Sprint ไม่ปฏิเสธข้อเท็จจริง แต่โต้แย้งว่าการกระทำไม่ผิดกฎหมาย ➡️ ศาลชี้ว่า T-Mobile สละสิทธิ์ในการขอพิจารณาคดีโดยคณะลูกขุน เพราะเลือกจ่ายค่าปรับและยื่นอุทธรณ์โดยตรง ➡️ FCC ยังปรับ AT&T $57.3 ล้าน และ Verizon $46.9 ล้านจากกรณีคล้ายกัน ➡️ การขายข้อมูลตำแหน่งถูกมองว่าเป็นการละเมิด Communications Act มาตรา 222 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ข้อมูลตำแหน่ง (Location Data) ถือเป็นข้อมูลที่อ่อนไหวที่สุด เพราะสามารถเปิดเผยกิจวัตรและความสัมพันธ์ส่วนตัว ➡️ การขายข้อมูลให้กับตัวกลางเปิดช่องให้บุคคลที่สาม เช่น เจ้าหน้าที่รัฐ ใช้ติดตามบุคคลโดยไม่ขออนุญาต ➡️ การละเมิดสิทธิส่วนบุคคลในรูปแบบนี้เคยนำไปสู่การติดตามผู้พิพากษาและเจ้าหน้าที่ตำรวจในรัฐ Missouri ➡️ การตัดสินครั้งนี้ถือเป็นชัยชนะของผู้สนับสนุนความเป็นส่วนตัว และเป็นแบบอย่างสำคัญในวงการโทรคมนาคม ➡️ T-Mobile เคยเผชิญคดีละเมิดข้อมูลมาแล้วในปี 2021 และจ่ายค่าชดเชยกว่า $350 ล้าน https://arstechnica.com/tech-policy/2025/08/t-mobile-claimed-selling-location-data-without-consent-is-legal-judges-disagree/
    ARSTECHNICA.COM
    T-Mobile claimed selling location data without consent is legal—judges disagree
    T-Mobile can’t overturn $92 million fine; AT&T and Verizon verdicts still to come.
    0 Comments 0 Shares 133 Views 0 Reviews
  • รางรถไฟ ECRL มาเลเซีย กับรถไฟไทยไม่เท่ากัน

    ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรมาเลเซีย (Dewan Rakyat) เมื่อวันที่ 18 ส.ค. นายแอนโทนี โลค รมว.คมนาคมมาเลเซีย ตอบคำถามนายอะห์หมัด ฟาดลี ชะอารี สส.อำเภอปาเซร์มัส รัฐกลันตัน ที่ถามถึงความตั้งใจของรัฐบาลกลางมาเลเซียในการขยายเส้นทางโครงการทางรถไฟเชื่อมชายฝั่งตะวันออกมาเลเซีย (East Coast Rail Link) หรือ ECRL ไปยังเมืองรันเตาปันยัง (Rantau Panjang) พร้อมถามถึงการศึกษาทางเทคนิค และการประเมินความเสี่ยงต่อน้ำท่วมที่อาจเกิดขึ้นหรือไม่ นายโลคกล่าวว่า ยังไม่ได้ดำเนินการ เนื่องจากต้องศึกษาความเป็นไปได้ในการขยายเส้นทางไปยังเมืองรันเตาปันยังก่อน

    แม้โครงการ ECRL อยู่ระหว่างการก่อสร้าง แต่ข้อเสนอขยายเส้นทางจากสถานีโกตาบารู (Kota Bharu) ไปยังเมืองรันเตาปันยัง เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ ซึ่งต้องเจรจาเพิ่มเติมกับจีน รวมทั้งผู้รับเหมาหลักอย่างบริษัท ไชน่า คอมมูนิเคชัน คอนสตรัคชัน หรือ CCCC ซึ่งเรื่องนี้ยังไม่ได้นำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี แต่รับไว้จะนำเสนอต่อไป อย่างไรก็ตาม โครงการนี้มีต้นทุนก่อสร้างที่สูง เนื่องจากแนวเส้นทางรถไฟส่วนใหญ่สร้างขึ้นบนโครงสร้างยกระดับ เพื่อลดความเสี่ยงต่อปัญหาน้ำท่วมให้น้อยที่สุด แต่พื้นที่เมืองรันเตาปันยัง หากโครงการ ECRL จะเชื่อมต่อกับประเทศไทย กระทรวงคมนาคมมาเลเซียแจ้งว่า พบปัญหาทางเทคนิค

    เพราะรางรถไฟที่ใช้ในโครงการ ECRL (ขนาด 1.435 เมตร) ต่างจากการรถไฟแห่งประเทศไทย หรือ ร.ฟ.ท. (ขนาด 1 เมตร) จึงยังไม่เข้ากัน จำเป็นต้องมีพื้นที่ลานขนถ่ายสินค้า และเพื่อให้บูรณาการร่วมกัน รางรถไฟของ ร.ฟ.ท. ต้องติดกับรางรถไฟ ECRL เพื่อให้สามารถขนถ่ายสินค้าได้ ขณะนี้กำลังจัดทำบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) เกี่ยวกับการขนส่งข้ามพรมแดนระหว่างมาเลเซียและไทยอย่างจริงจัง โดยข้อเสนอที่จะได้รับผลประโยชน์ระยะยาวที่ดีที่สุดแก่มาเลเซีย และกระตุ้นเศรษฐกิจชายแดนนั้น โครงการ ECRL จะต้องเชื่อมโยงกับประเทศไทย แทนที่จะสิ้นสุดที่เมืองรันเตาปันจังเท่านั้น

    โครงการ ECRL เชื่อมระหว่างสถานีโกตาบารู รัฐกลันตัน ผ่านเมืองกวนตัน (Kuantan) รัฐปะหัง ซึ่งมีท่าเรือตั้งอยู่ กับท่าเรือแคลง (Port Klang) รัฐสลังงอร์ ระยะทาง 665 กิโลเมตร ประกอบด้วยทางยกระดับยาว 154 กิโลเมตร อุโมงค์ 41 แห่ง และทางข้ามสัตว์ป่า 28 แห่ง มีแผนเปิดให้บริการระยะที่ 1 ระหว่างสถานีโกตาบารู รัฐกลันตัน ถึงสถานีกอมบัค (Gombak) คาดว่าจะแล้วเสร็จเดือน ธ.ค.2569 เริ่มให้บริการในเดือน ม.ค.2570 ส่วนระยะที่ 2 ไปยังท่าเรือแคลง คาดว่าจะแล้วเสร็จเดือน ธ.ค.2570 และเริ่มให้บริการเต็มรูปแบบในเดือน ม.ค.2571

    #Newskit
    รางรถไฟ ECRL มาเลเซีย กับรถไฟไทยไม่เท่ากัน ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรมาเลเซีย (Dewan Rakyat) เมื่อวันที่ 18 ส.ค. นายแอนโทนี โลค รมว.คมนาคมมาเลเซีย ตอบคำถามนายอะห์หมัด ฟาดลี ชะอารี สส.อำเภอปาเซร์มัส รัฐกลันตัน ที่ถามถึงความตั้งใจของรัฐบาลกลางมาเลเซียในการขยายเส้นทางโครงการทางรถไฟเชื่อมชายฝั่งตะวันออกมาเลเซีย (East Coast Rail Link) หรือ ECRL ไปยังเมืองรันเตาปันยัง (Rantau Panjang) พร้อมถามถึงการศึกษาทางเทคนิค และการประเมินความเสี่ยงต่อน้ำท่วมที่อาจเกิดขึ้นหรือไม่ นายโลคกล่าวว่า ยังไม่ได้ดำเนินการ เนื่องจากต้องศึกษาความเป็นไปได้ในการขยายเส้นทางไปยังเมืองรันเตาปันยังก่อน แม้โครงการ ECRL อยู่ระหว่างการก่อสร้าง แต่ข้อเสนอขยายเส้นทางจากสถานีโกตาบารู (Kota Bharu) ไปยังเมืองรันเตาปันยัง เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ ซึ่งต้องเจรจาเพิ่มเติมกับจีน รวมทั้งผู้รับเหมาหลักอย่างบริษัท ไชน่า คอมมูนิเคชัน คอนสตรัคชัน หรือ CCCC ซึ่งเรื่องนี้ยังไม่ได้นำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี แต่รับไว้จะนำเสนอต่อไป อย่างไรก็ตาม โครงการนี้มีต้นทุนก่อสร้างที่สูง เนื่องจากแนวเส้นทางรถไฟส่วนใหญ่สร้างขึ้นบนโครงสร้างยกระดับ เพื่อลดความเสี่ยงต่อปัญหาน้ำท่วมให้น้อยที่สุด แต่พื้นที่เมืองรันเตาปันยัง หากโครงการ ECRL จะเชื่อมต่อกับประเทศไทย กระทรวงคมนาคมมาเลเซียแจ้งว่า พบปัญหาทางเทคนิค เพราะรางรถไฟที่ใช้ในโครงการ ECRL (ขนาด 1.435 เมตร) ต่างจากการรถไฟแห่งประเทศไทย หรือ ร.ฟ.ท. (ขนาด 1 เมตร) จึงยังไม่เข้ากัน จำเป็นต้องมีพื้นที่ลานขนถ่ายสินค้า และเพื่อให้บูรณาการร่วมกัน รางรถไฟของ ร.ฟ.ท. ต้องติดกับรางรถไฟ ECRL เพื่อให้สามารถขนถ่ายสินค้าได้ ขณะนี้กำลังจัดทำบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) เกี่ยวกับการขนส่งข้ามพรมแดนระหว่างมาเลเซียและไทยอย่างจริงจัง โดยข้อเสนอที่จะได้รับผลประโยชน์ระยะยาวที่ดีที่สุดแก่มาเลเซีย และกระตุ้นเศรษฐกิจชายแดนนั้น โครงการ ECRL จะต้องเชื่อมโยงกับประเทศไทย แทนที่จะสิ้นสุดที่เมืองรันเตาปันจังเท่านั้น โครงการ ECRL เชื่อมระหว่างสถานีโกตาบารู รัฐกลันตัน ผ่านเมืองกวนตัน (Kuantan) รัฐปะหัง ซึ่งมีท่าเรือตั้งอยู่ กับท่าเรือแคลง (Port Klang) รัฐสลังงอร์ ระยะทาง 665 กิโลเมตร ประกอบด้วยทางยกระดับยาว 154 กิโลเมตร อุโมงค์ 41 แห่ง และทางข้ามสัตว์ป่า 28 แห่ง มีแผนเปิดให้บริการระยะที่ 1 ระหว่างสถานีโกตาบารู รัฐกลันตัน ถึงสถานีกอมบัค (Gombak) คาดว่าจะแล้วเสร็จเดือน ธ.ค.2569 เริ่มให้บริการในเดือน ม.ค.2570 ส่วนระยะที่ 2 ไปยังท่าเรือแคลง คาดว่าจะแล้วเสร็จเดือน ธ.ค.2570 และเริ่มให้บริการเต็มรูปแบบในเดือน ม.ค.2571 #Newskit
    0 Comments 0 Shares 156 Views 0 Reviews
  • SoftBank ซื้อโรงงาน Foxconn ในโอไฮโอ: จุดเริ่มต้นของจักรวาล AI ชื่อ Stargate

    SoftBank ได้ซื้อโรงงานขนาดใหญ่ในเมือง Lordstown รัฐโอไฮโอ จาก Foxconn ด้วยมูลค่า $375 ล้าน โรงงานนี้มีพื้นที่กว่า 6.2 ล้านตารางฟุต เดิมใช้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า แต่จะถูกปรับเปลี่ยนเพื่อผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI และอุปกรณ์สำหรับศูนย์ข้อมูล Stargate ซึ่งเป็นโครงการยักษ์ที่มีเป้าหมายสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI มูลค่า $500 พันล้านในหลายปีข้างหน้า

    แม้ว่า SoftBank จะเป็นเจ้าของโรงงาน แต่ Foxconn จะยังคงเป็นผู้ดำเนินการผลิต โดยทั้งสองบริษัทจะร่วมมือกันในรูปแบบพันธมิตรระยะยาว จุดเด่นของโรงงานนี้คือมีพลังงานไฟฟ้าสำรองมหาศาล และพื้นที่ขยายตัวได้อีกมาก ซึ่งเหมาะกับการผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI ที่ต้องใช้พลังงานสูง

    SoftBank ยังอยู่ระหว่างการเลือกสถานที่ตั้งศูนย์ข้อมูล Stargate โดยพิจารณาจากแหล่งพลังงาน น้ำ และโครงสร้างโทรคมนาคม ซึ่งเมื่อสถานที่พร้อม โรงงานในโอไฮโอก็จะเป็นแหล่งผลิตเครื่องจักรหลักทันที

    นอกจากนี้ SoftBank ยังถือหุ้นในบริษัทผลิตชิปอย่าง Ampere และ Graphcore ซึ่งอาจนำชิปของตนมาใช้ในเซิร์ฟเวอร์ AI เพื่อลดการพึ่งพา Nvidia ที่ปัจจุบันครองตลาดอยู่

    ข้อมูลจากข่าวหลัก
    SoftBank ซื้อโรงงาน Foxconn ในโอไฮโอด้วยมูลค่า $375 ล้าน
    โรงงานมีขนาด 6.2 ล้านตารางฟุต ใหญ่กว่าศูนย์ผลิตในฮิวสตันถึง 6 เท่า
    Foxconn จะยังคงดำเนินการผลิต แม้โรงงานเป็นของ SoftBank
    โรงงานจะถูกปรับเปลี่ยนเพื่อผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI สำหรับโครงการ Stargate
    โครงการ Stargate มีเป้าหมายสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI มูลค่า $500 พันล้าน
    SoftBank กำลังเลือกสถานที่ตั้งศูนย์ข้อมูล โดยพิจารณาจากพลังงาน น้ำ และโครงสร้างโทรคมนาคม
    โรงงานโอไฮโอจะเป็นฐานผลิตหลักของ Stargate และรับคำสั่งซื้อจาก OpenAI, Oracle และ SoftBank
    Foxconn เป็นผู้ผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI รายใหญ่ที่สุดในโลก และกำลังขยายกำลังการผลิตในสหรัฐฯ
    SoftBank เคยประกาศลงทุน $100 พันล้านในโครงการนี้เมื่อเดือนมกราคม

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    SoftBank ถือหุ้นใน Ampere และ Graphcore ซึ่งผลิตชิปสำหรับ AI
    การใช้ชิปของตัวเองอาจช่วยลดต้นทุนและลดการพึ่งพา Nvidia
    Foxconn เคยใช้โรงงานนี้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ก่อนขายให้ SoftBank
    โครงการ Stargate ได้รับความสนใจจากธนาคารญี่ปุ่นและนักลงทุนสถาบันทั่วโลก
    SoftBank มีบริษัทลูกชื่อ SB Energy ที่พัฒนาโซลาร์ฟาร์มในสหรัฐฯ ซึ่งอาจใช้เป็นฐานพลังงานให้ Stargate

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/softbank-acquires-foxconns-ohio-facility-to-build-stargate-ai-servers-usd375-million-deal-says-foxconn-will-continue-to-operate-the-plant
    🏗️ SoftBank ซื้อโรงงาน Foxconn ในโอไฮโอ: จุดเริ่มต้นของจักรวาล AI ชื่อ Stargate SoftBank ได้ซื้อโรงงานขนาดใหญ่ในเมือง Lordstown รัฐโอไฮโอ จาก Foxconn ด้วยมูลค่า $375 ล้าน โรงงานนี้มีพื้นที่กว่า 6.2 ล้านตารางฟุต เดิมใช้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า แต่จะถูกปรับเปลี่ยนเพื่อผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI และอุปกรณ์สำหรับศูนย์ข้อมูล Stargate ซึ่งเป็นโครงการยักษ์ที่มีเป้าหมายสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI มูลค่า $500 พันล้านในหลายปีข้างหน้า แม้ว่า SoftBank จะเป็นเจ้าของโรงงาน แต่ Foxconn จะยังคงเป็นผู้ดำเนินการผลิต โดยทั้งสองบริษัทจะร่วมมือกันในรูปแบบพันธมิตรระยะยาว จุดเด่นของโรงงานนี้คือมีพลังงานไฟฟ้าสำรองมหาศาล และพื้นที่ขยายตัวได้อีกมาก ซึ่งเหมาะกับการผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI ที่ต้องใช้พลังงานสูง SoftBank ยังอยู่ระหว่างการเลือกสถานที่ตั้งศูนย์ข้อมูล Stargate โดยพิจารณาจากแหล่งพลังงาน น้ำ และโครงสร้างโทรคมนาคม ซึ่งเมื่อสถานที่พร้อม โรงงานในโอไฮโอก็จะเป็นแหล่งผลิตเครื่องจักรหลักทันที นอกจากนี้ SoftBank ยังถือหุ้นในบริษัทผลิตชิปอย่าง Ampere และ Graphcore ซึ่งอาจนำชิปของตนมาใช้ในเซิร์ฟเวอร์ AI เพื่อลดการพึ่งพา Nvidia ที่ปัจจุบันครองตลาดอยู่ ✅ ข้อมูลจากข่าวหลัก ➡️ SoftBank ซื้อโรงงาน Foxconn ในโอไฮโอด้วยมูลค่า $375 ล้าน ➡️ โรงงานมีขนาด 6.2 ล้านตารางฟุต ใหญ่กว่าศูนย์ผลิตในฮิวสตันถึง 6 เท่า ➡️ Foxconn จะยังคงดำเนินการผลิต แม้โรงงานเป็นของ SoftBank ➡️ โรงงานจะถูกปรับเปลี่ยนเพื่อผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI สำหรับโครงการ Stargate ➡️ โครงการ Stargate มีเป้าหมายสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI มูลค่า $500 พันล้าน ➡️ SoftBank กำลังเลือกสถานที่ตั้งศูนย์ข้อมูล โดยพิจารณาจากพลังงาน น้ำ และโครงสร้างโทรคมนาคม ➡️ โรงงานโอไฮโอจะเป็นฐานผลิตหลักของ Stargate และรับคำสั่งซื้อจาก OpenAI, Oracle และ SoftBank ➡️ Foxconn เป็นผู้ผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI รายใหญ่ที่สุดในโลก และกำลังขยายกำลังการผลิตในสหรัฐฯ ➡️ SoftBank เคยประกาศลงทุน $100 พันล้านในโครงการนี้เมื่อเดือนมกราคม ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ SoftBank ถือหุ้นใน Ampere และ Graphcore ซึ่งผลิตชิปสำหรับ AI ➡️ การใช้ชิปของตัวเองอาจช่วยลดต้นทุนและลดการพึ่งพา Nvidia ➡️ Foxconn เคยใช้โรงงานนี้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ก่อนขายให้ SoftBank ➡️ โครงการ Stargate ได้รับความสนใจจากธนาคารญี่ปุ่นและนักลงทุนสถาบันทั่วโลก ➡️ SoftBank มีบริษัทลูกชื่อ SB Energy ที่พัฒนาโซลาร์ฟาร์มในสหรัฐฯ ซึ่งอาจใช้เป็นฐานพลังงานให้ Stargate https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/softbank-acquires-foxconns-ohio-facility-to-build-stargate-ai-servers-usd375-million-deal-says-foxconn-will-continue-to-operate-the-plant
    0 Comments 0 Shares 133 Views 0 Reviews
  • ย้อนกลับไปในวัยเด็กของผม เมื่อปี พ.ศ. 2526 กรุงเทพมหานครกำลังเผชิญกับอุทกภัยครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ น้ำท่วมสูงจนชีวิตประจำวันหยุดชะงัก โรงเรียนต้องปิดเพราะถนนหลายสายอย่างรามคำแหงและสุขุมวิทกลายเป็นคลองชั่วคราว เรือพายวิ่งพล่านแทนรถยนต์ที่จมน้ำ บ้านของผมในย่านชานเมืองก็ไม่รอด น้ำทะลักเข้ามาจนบ่ายวันนั้นไฟฟ้าดับสนิท ทิ้งให้ผมเด็กน้อยนั่งเหงาไม่มีอะไรทำ ท่ามกลางเสียงฝนเทกระหน่ำและความเบื่อหน่ายที่แผ่ซ่าน ผมเลยแอบหยิบวิทยุทรานซิสเตอร์เก่าของพ่อมาลองเปิดฟัง เพื่อคลายความเซ็งในบ่ายวันนั้น แล้วเสียงเพลงบัลลาดเศร้าสร้อยก็ดังขึ้น

    "What have I got to do to make you love me? ...
    Sorry seems to be the hardest word"

    มันคือเพลง "Sorry Seems To Be The Hardest Word" ของ Elton John ที่ผมได้ยินครั้งแรก และมันฝังใจผมตั้งแต่นั้นมา เพลงนี้ไม่เพียงสะท้อนความสิ้นหวังจากน้ำท่วมที่ทำให้ทุกอย่าง "จบสิ้น" แต่ยังสอนให้ผมเข้าใจว่าคำว่า "ขอโทษ" นั้นพูดยากเพียงใด แม้ในสถานการณ์ที่ดูเรียบง่ายที่สุด

    อุทกภัยปีนั้นกินเวลายาวนานตั้งแต่ปลายเดือนสิงหาคมถึงพฤศจิกายน สาเหตุจากพายุดีเปรสชันสองลูก เฮอร์เบิร์ตและคิม ที่ทำให้ฝนตกหนัก น้ำทะเลหนุนสูง และน้ำเหนือไหลบ่า ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาสูงกว่าปกติถึง 2 เมตร ส่งผลให้กรุงเทพฯ และปริมณฑลจมน้ำ โรงเรียนและมหาวิทยาลัยอย่างรามคำแหงต้องเลื่อนสอบและเปิดเทอม การคมนาคมหยุดชะงัก ผู้คนต้องใช้เรือแทนรถ และรัฐบาลจัดรายการทีวีพิเศษขอรับบริจาคช่วยเหลือ สำหรับผม เพลงนี้กลายเป็น "เพื่อนคลายเหงา" ในบ่ายไฟดับ มันทำให้ผมสงสัยว่าทำไมคำง่ายๆ อย่าง "ขอโทษ" ถึงพูดยากนัก เหมือนกับน้ำท่วมที่ไม่อาจควบคุมได้

    เพลงนี้เกิดขึ้นในปี 1975 ที่ลอสแอนเจลิส ซึ่งเป็นกระบวนการสร้างสรรค์ที่แตกต่างจากปกติของ Elton John และ Bernie Taupin คู่หูนักแต่งเพลง โดยปกติ Taupin จะเขียนเนื้อก่อน แล้ว John จึงประพันธ์ทำนอง แต่ครั้งนี้ John นั่งเล่นเปียโนแล้วทำนองเศร้าสร้อยผุดขึ้นมาก่อน พร้อมวลี

    "What have I got to do to make you love me?"

    Taupin ได้ยินแล้วเติมคำว่า

    "Sorry seems to be the hardest word"

    เข้าไปอย่างสมบูรณ์แบบ และเขียนเนื้อที่เหลือเสร็จในไม่กี่นาที มันสะท้อนความเจ็บปวดของความสัมพันธ์ที่กำลังล่มสลาย ซึ่งอารมณ์ลึกซึ้งเกินกว่าถ่ายทอดเป็นคำพูดได้ทันที

    เมื่อปล่อยในปี 1976 เป็นซิงเกิลจากอัลบั้ม Blue Moves ซึ่งได้รับคำวิจารณ์หลากหลายเพราะเนื้อหาเศร้าและยาวเกินไป แต่ตัวเพลงกลับประสบความสำเร็จอย่างมาก ขึ้นอันดับ 6 ใน Billboard Hot 100 ของสหรัฐฯ อันดับ 1 ในชาร์ต Adult Contemporary ของสหรัฐฯ และแคนาดา อันดับ 3 ในแคนาดาและไอร์แลนด์ อันดับ 11 ในสหราชอาณาจักรและออสเตรเลีย และได้รับการรับรอง Gold ในสหรัฐฯ (ยอดขายกว่า 1 ล้านชุด) และแคนาดา (75,000 ชุด) นักวิจารณ์จาก Billboard ชมว่าเสียงร้องของ John "จริงใจและน่าเชื่อถือจนเกือบเจ็บปวด" ขณะที่ Cash Box เรียกมันว่า "เพลงรักอ่อนโยนเกี่ยวกับการเลิกรา"

    เพลงนี้ไม่เคยจางหายจากวัฒนธรรมสมัยนิยม มันถูกนำไปใช้ในภาพยนตร์หลายเรื่อง เช่น Slap Shot (1977) ในฉากเศร้าโศก Rush Hour 3 (2007) และ Gnomeo & Juliet (2011) เพื่อตอกย้ำธีมความขัดแย้งและการแยกจาก นอกจากนี้ ยังมีเวอร์ชันคัฟเวอร์มากกว่า 50 เวอร์ชัน จากศิลปินหลากแนวอย่าง Ray Charles (แจ๊ส), Mary J. Blige (โซล), และ Joe Cocker

    การกลับมาอย่างยิ่งใหญ่เกิดขึ้นในปี 2002 เมื่อวงบอยแบนด์ Blue คัฟเวอร์เพลงนี้และเชิญ John มาร่วมร้อง ทำให้ขึ้นอันดับ 1 ใน UK Singles Chart (เพลงอันดับ 1 ลำดับที่ 3 ของ Blue และที่ 5 ของ John) อันดับ 1 ในฮังการีและเนเธอร์แลนด์ และท็อป 10 ในอีก 16 ประเทศ ได้รับ Gold ในหลายแห่งอย่างสหราชอาณาจักร (400,000 ชุด) และฝรั่งเศส (250,000 ชุด)

    แก่นแท้ของเพลงอยู่ที่จิตวิทยาของการขอโทษ ซึ่ง Taupin อธิบายว่าเป็นความพยายามช่วยชีวิตความสัมพันธ์ที่ตายไปแล้ว คำถามอย่าง "What do I say when it's all over?" แสดงความสิ้นหวังที่เป็นสากล ทำให้เพลงนี้ทรงพลังข้ามกาลเวลา

    สำหรับผม เพลงนี้ไม่ใช่แค่เพลงฮิต แต่เป็นเครื่องเตือนใจจากบ่ายน้ำท่วมปี 2526 ว่าความเจ็บปวดและการยอมรับจุดจบนั้นยากเพียงใด แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมนุษย์ที่ทำให้เราเติบโต มรดกของมันยังคงอยู่ เพราะศิลปะที่ซื่อสัตย์ต่ออารมณ์จะเชื่อมโยงผู้คนเสมอ

    #ลุงเล่าหลานฟัง

    https://youtu.be/c3nScN89Klo?
    ย้อนกลับไปในวัยเด็กของผม เมื่อปี พ.ศ. 2526 🌧️ กรุงเทพมหานครกำลังเผชิญกับอุทกภัยครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ น้ำท่วมสูงจนชีวิตประจำวันหยุดชะงัก โรงเรียนต้องปิดเพราะถนนหลายสายอย่างรามคำแหงและสุขุมวิทกลายเป็นคลองชั่วคราว เรือพายวิ่งพล่านแทนรถยนต์ที่จมน้ำ บ้านของผมในย่านชานเมืองก็ไม่รอด น้ำทะลักเข้ามาจนบ่ายวันนั้นไฟฟ้าดับสนิท ทิ้งให้ผมเด็กน้อยนั่งเหงาไม่มีอะไรทำ ท่ามกลางเสียงฝนเทกระหน่ำและความเบื่อหน่ายที่แผ่ซ่าน ผมเลยแอบหยิบวิทยุทรานซิสเตอร์เก่าของพ่อมาลองเปิดฟัง เพื่อคลายความเซ็งในบ่ายวันนั้น แล้วเสียงเพลงบัลลาดเศร้าสร้อยก็ดังขึ้น 🎤 "What have I got to do to make you love me? ... Sorry seems to be the hardest word" 🎶 มันคือเพลง "Sorry Seems To Be The Hardest Word" ของ Elton John ที่ผมได้ยินครั้งแรก และมันฝังใจผมตั้งแต่นั้นมา เพลงนี้ไม่เพียงสะท้อนความสิ้นหวังจากน้ำท่วมที่ทำให้ทุกอย่าง "จบสิ้น" แต่ยังสอนให้ผมเข้าใจว่าคำว่า "ขอโทษ" นั้นพูดยากเพียงใด แม้ในสถานการณ์ที่ดูเรียบง่ายที่สุด อุทกภัยปีนั้นกินเวลายาวนานตั้งแต่ปลายเดือนสิงหาคมถึงพฤศจิกายน สาเหตุจากพายุดีเปรสชันสองลูก เฮอร์เบิร์ตและคิม ที่ทำให้ฝนตกหนัก น้ำทะเลหนุนสูง และน้ำเหนือไหลบ่า ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาสูงกว่าปกติถึง 2 เมตร ส่งผลให้กรุงเทพฯ และปริมณฑลจมน้ำ โรงเรียนและมหาวิทยาลัยอย่างรามคำแหงต้องเลื่อนสอบและเปิดเทอม การคมนาคมหยุดชะงัก ผู้คนต้องใช้เรือแทนรถ และรัฐบาลจัดรายการทีวีพิเศษขอรับบริจาคช่วยเหลือ สำหรับผม เพลงนี้กลายเป็น "เพื่อนคลายเหงา" ในบ่ายไฟดับ มันทำให้ผมสงสัยว่าทำไมคำง่ายๆ อย่าง "ขอโทษ" ถึงพูดยากนัก เหมือนกับน้ำท่วมที่ไม่อาจควบคุมได้ เพลงนี้เกิดขึ้นในปี 1975 ที่ลอสแอนเจลิส 🎹 ซึ่งเป็นกระบวนการสร้างสรรค์ที่แตกต่างจากปกติของ Elton John และ Bernie Taupin คู่หูนักแต่งเพลง โดยปกติ Taupin จะเขียนเนื้อก่อน แล้ว John จึงประพันธ์ทำนอง แต่ครั้งนี้ John นั่งเล่นเปียโนแล้วทำนองเศร้าสร้อยผุดขึ้นมาก่อน พร้อมวลี 🔖 "What have I got to do to make you love me?" Taupin ได้ยินแล้วเติมคำว่า 🔖 "Sorry seems to be the hardest word" เข้าไปอย่างสมบูรณ์แบบ และเขียนเนื้อที่เหลือเสร็จในไม่กี่นาที มันสะท้อนความเจ็บปวดของความสัมพันธ์ที่กำลังล่มสลาย ซึ่งอารมณ์ลึกซึ้งเกินกว่าถ่ายทอดเป็นคำพูดได้ทันที เมื่อปล่อยในปี 1976 เป็นซิงเกิลจากอัลบั้ม Blue Moves 📀 ซึ่งได้รับคำวิจารณ์หลากหลายเพราะเนื้อหาเศร้าและยาวเกินไป แต่ตัวเพลงกลับประสบความสำเร็จอย่างมาก ขึ้นอันดับ 6 ใน Billboard Hot 100 ของสหรัฐฯ อันดับ 1 ในชาร์ต Adult Contemporary ของสหรัฐฯ และแคนาดา อันดับ 3 ในแคนาดาและไอร์แลนด์ อันดับ 11 ในสหราชอาณาจักรและออสเตรเลีย และได้รับการรับรอง Gold ในสหรัฐฯ (ยอดขายกว่า 1 ล้านชุด) และแคนาดา (75,000 ชุด) 📈 นักวิจารณ์จาก Billboard ชมว่าเสียงร้องของ John "จริงใจและน่าเชื่อถือจนเกือบเจ็บปวด" ขณะที่ Cash Box เรียกมันว่า "เพลงรักอ่อนโยนเกี่ยวกับการเลิกรา" เพลงนี้ไม่เคยจางหายจากวัฒนธรรมสมัยนิยม มันถูกนำไปใช้ในภาพยนตร์หลายเรื่อง เช่น Slap Shot (1977) ในฉากเศร้าโศก Rush Hour 3 (2007) และ Gnomeo & Juliet (2011) เพื่อตอกย้ำธีมความขัดแย้งและการแยกจาก 🎥 นอกจากนี้ ยังมีเวอร์ชันคัฟเวอร์มากกว่า 50 เวอร์ชัน จากศิลปินหลากแนวอย่าง Ray Charles (แจ๊ส), Mary J. Blige (โซล), และ Joe Cocker การกลับมาอย่างยิ่งใหญ่เกิดขึ้นในปี 2002 เมื่อวงบอยแบนด์ Blue คัฟเวอร์เพลงนี้และเชิญ John มาร่วมร้อง ทำให้ขึ้นอันดับ 1 ใน UK Singles Chart (เพลงอันดับ 1 ลำดับที่ 3 ของ Blue และที่ 5 ของ John) อันดับ 1 ในฮังการีและเนเธอร์แลนด์ และท็อป 10 ในอีก 16 ประเทศ ได้รับ Gold ในหลายแห่งอย่างสหราชอาณาจักร (400,000 ชุด) และฝรั่งเศส (250,000 ชุด) 🌟 แก่นแท้ของเพลงอยู่ที่จิตวิทยาของการขอโทษ ซึ่ง Taupin อธิบายว่าเป็นความพยายามช่วยชีวิตความสัมพันธ์ที่ตายไปแล้ว คำถามอย่าง "What do I say when it's all over?" แสดงความสิ้นหวังที่เป็นสากล ทำให้เพลงนี้ทรงพลังข้ามกาลเวลา 💔 สำหรับผม เพลงนี้ไม่ใช่แค่เพลงฮิต แต่เป็นเครื่องเตือนใจจากบ่ายน้ำท่วมปี 2526 ว่าความเจ็บปวดและการยอมรับจุดจบนั้นยากเพียงใด แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมนุษย์ที่ทำให้เราเติบโต มรดกของมันยังคงอยู่ เพราะศิลปะที่ซื่อสัตย์ต่ออารมณ์จะเชื่อมโยงผู้คนเสมอ #ลุงเล่าหลานฟัง https://youtu.be/c3nScN89Klo?
    0 Comments 0 Shares 254 Views 0 Reviews
  • กรุงเทพฯ-บัตเตอร์เวอร์ธ ขบวนนี้คงไม่ขายฝัน?

    การประชุมร่วมระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทย (SRT) และการรถไฟมาลายา (KTMB) ประเทศมาเลเซีย ครั้งที่ 43 ซึ่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 4-7 ส.ค. ที่ จ.นนทบุรี ภายใต้แนวคิด Railnaissance หรือ การฟื้นคืนพลังของระบบราง สาระสำคัญอยู่ที่การยกระดับความร่วมมือระบบรางระหว่างสองประเทศ ได้แก่ การฟื้นฟูเดินรถข้ามแดน กรุงเทพอภิวัฒน์-บัตเตอร์เวอร์ธ (Butterworth) รัฐปีนัง การพัฒนาเส้นทางรถไฟทางคู่ การบูรณาการระบบตั๋วโดยสาร การตรวจสอบและรับรองรถโดยสารข้ามแดน การส่งเสริมการท่องเที่ยวทางรถไฟร่วมกัน และการจัดทำ Joint SOP ในภาวะฉุกเฉิน

    การฟื้นฟูเดินรถข้ามแดน กรุงเทพ-บัตเตอร์เวอร์ธ เคยเป็นที่พูดถึงในการประชุม SRT-KTMB ครั้งที่ 42 ที่รัฐซาบาห์ เมื่อปี 2567 แต่ไม่มีอะไรคืบหน้ามากนัก แม้นายแอนโทนี่ โลค รมว.คมนาคมมาเลเซีย เคยกล่าวว่าจะเดินรถในเดือน ก.ค.นี้ก็ตาม โดยก่อนหน้านี้เมื่อกลางเดือน ก.ค.การรถไฟฯ และ KTMB จัดการเดินรถขบวนพิเศษทดสอบ กรุงเทพฯ-บัตเตอร์เวอร์ธ ไปแล้ว โดยใช้รถโดยสารปรับอากาศของ KTMB จำนวน 2 คัน รถ Power Car ของ KTMB จำนวน 1 คัน รถปรับอากาศนั่งและนอนชั้นที่ 2 ของ รฟท. จำนวน 3 คัน รถนั่งชั้น 3 (บชส.) จำนวน 1 คัน และรถ SRT Prestige จำนวน 2 คัน

    อุปสรรคสำคัญในการให้บริการก็คือ การรถไฟฯ ไม่มีขบวนรถโดยสารที่ทันสมัยเพียงพอ และอาจไม่ได้ใช้รถโดยสาร ชุด 115 คัน (CNR) ที่ทันสมัยที่สุด แม้จะเก่ามา 9 ปีนับตั้งแต่เปิดให้บริการเมื่อวันที่ 2 ธ.ค. 2559 เพราะนำไปใช้เดินรถในเส้นทางเชียงใหม่ หนองคาย อุบลราชธานี และชุมทางหาดใหญ่หมดแล้ว เหลือสำรองเพียงไม่กี่คัน จึงเป็นไปได้ว่าอาจใช้รถปรับอากาศนั่งและนอนชั้นที่ 2 รุ่นเก่าของการรถไฟฯ ร่วมกับรถโดยสารปรับอากาศของ KTMB โดยช่วงที่เดินรถในประเทศไทยใช้หัวรถจักรของการรถไฟฯ และช่วงที่เดินรถในประเทศมาเลเซียใช้หัวรถจักรของ KTMB

    การรถไฟฯ เคยเดินรถด่วนพิเศษระหว่างประเทศ กรุงเทพฯ-บัตเตอร์เวอร์ธ มาตั้งแต่วันที่ 2 ม.ค. 2465 จากสถานีบางกอกน้อย ทุกวันจันทร์ วันพุธ และวันเสาร์ ก่อนย้ายมาที่สถานีรถไฟกรุงเทพ (หัวลำโพง) เมื่อวันที่ 1 ม.ค. 2470 แต่หยุดเดินรถชั่วคราวช่วงที่สะพานพระราม 6 ถูกทำลายในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง แล้วจึงกลับมาเดินรถอีกครั้ง โดยเดินรถแบบวันเว้นวัน ก่อนเปิดให้บริการทุกวัน วันละ 1 เที่ยว กระทั่งประเทศมาเลเซียได้ปรับปรุงทางรถไฟ และให้บริการรถไฟ ETS และ KTM Komuter ทำให้การรถไฟฯ ยกเลิกเดินรถถึงสถานีบัตเตอร์เวอร์ธ ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. 2559 เป็นต้นมา โดยหมดระยะที่สถานีปาดังเบซาร์

    #Newskit
    กรุงเทพฯ-บัตเตอร์เวอร์ธ ขบวนนี้คงไม่ขายฝัน? การประชุมร่วมระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทย (SRT) และการรถไฟมาลายา (KTMB) ประเทศมาเลเซีย ครั้งที่ 43 ซึ่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 4-7 ส.ค. ที่ จ.นนทบุรี ภายใต้แนวคิด Railnaissance หรือ การฟื้นคืนพลังของระบบราง สาระสำคัญอยู่ที่การยกระดับความร่วมมือระบบรางระหว่างสองประเทศ ได้แก่ การฟื้นฟูเดินรถข้ามแดน กรุงเทพอภิวัฒน์-บัตเตอร์เวอร์ธ (Butterworth) รัฐปีนัง การพัฒนาเส้นทางรถไฟทางคู่ การบูรณาการระบบตั๋วโดยสาร การตรวจสอบและรับรองรถโดยสารข้ามแดน การส่งเสริมการท่องเที่ยวทางรถไฟร่วมกัน และการจัดทำ Joint SOP ในภาวะฉุกเฉิน การฟื้นฟูเดินรถข้ามแดน กรุงเทพ-บัตเตอร์เวอร์ธ เคยเป็นที่พูดถึงในการประชุม SRT-KTMB ครั้งที่ 42 ที่รัฐซาบาห์ เมื่อปี 2567 แต่ไม่มีอะไรคืบหน้ามากนัก แม้นายแอนโทนี่ โลค รมว.คมนาคมมาเลเซีย เคยกล่าวว่าจะเดินรถในเดือน ก.ค.นี้ก็ตาม โดยก่อนหน้านี้เมื่อกลางเดือน ก.ค.การรถไฟฯ และ KTMB จัดการเดินรถขบวนพิเศษทดสอบ กรุงเทพฯ-บัตเตอร์เวอร์ธ ไปแล้ว โดยใช้รถโดยสารปรับอากาศของ KTMB จำนวน 2 คัน รถ Power Car ของ KTMB จำนวน 1 คัน รถปรับอากาศนั่งและนอนชั้นที่ 2 ของ รฟท. จำนวน 3 คัน รถนั่งชั้น 3 (บชส.) จำนวน 1 คัน และรถ SRT Prestige จำนวน 2 คัน อุปสรรคสำคัญในการให้บริการก็คือ การรถไฟฯ ไม่มีขบวนรถโดยสารที่ทันสมัยเพียงพอ และอาจไม่ได้ใช้รถโดยสาร ชุด 115 คัน (CNR) ที่ทันสมัยที่สุด แม้จะเก่ามา 9 ปีนับตั้งแต่เปิดให้บริการเมื่อวันที่ 2 ธ.ค. 2559 เพราะนำไปใช้เดินรถในเส้นทางเชียงใหม่ หนองคาย อุบลราชธานี และชุมทางหาดใหญ่หมดแล้ว เหลือสำรองเพียงไม่กี่คัน จึงเป็นไปได้ว่าอาจใช้รถปรับอากาศนั่งและนอนชั้นที่ 2 รุ่นเก่าของการรถไฟฯ ร่วมกับรถโดยสารปรับอากาศของ KTMB โดยช่วงที่เดินรถในประเทศไทยใช้หัวรถจักรของการรถไฟฯ และช่วงที่เดินรถในประเทศมาเลเซียใช้หัวรถจักรของ KTMB การรถไฟฯ เคยเดินรถด่วนพิเศษระหว่างประเทศ กรุงเทพฯ-บัตเตอร์เวอร์ธ มาตั้งแต่วันที่ 2 ม.ค. 2465 จากสถานีบางกอกน้อย ทุกวันจันทร์ วันพุธ และวันเสาร์ ก่อนย้ายมาที่สถานีรถไฟกรุงเทพ (หัวลำโพง) เมื่อวันที่ 1 ม.ค. 2470 แต่หยุดเดินรถชั่วคราวช่วงที่สะพานพระราม 6 ถูกทำลายในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง แล้วจึงกลับมาเดินรถอีกครั้ง โดยเดินรถแบบวันเว้นวัน ก่อนเปิดให้บริการทุกวัน วันละ 1 เที่ยว กระทั่งประเทศมาเลเซียได้ปรับปรุงทางรถไฟ และให้บริการรถไฟ ETS และ KTM Komuter ทำให้การรถไฟฯ ยกเลิกเดินรถถึงสถานีบัตเตอร์เวอร์ธ ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. 2559 เป็นต้นมา โดยหมดระยะที่สถานีปาดังเบซาร์ #Newskit
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 280 Views 0 Reviews
  • DDR4 ยังไม่ตาย! เรื่องเล่าจากโลกหน่วยความจำที่ยังไม่ยอมลาจาก

    แม้ว่า DDR5 จะกลายเป็นมาตรฐานใหม่ในโลกของหน่วยความจำ แต่ DDR4 ก็ยังไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ เพราะผู้ผลิตรายใหญ่ทั้ง Samsung, SK hynix และ Micron ต่างประกาศว่าจะยังคงผลิต DDR4 ต่อไปจนถึงปี 2026 เพื่อรองรับลูกค้าในอุตสาหกรรมที่ยังต้องพึ่งพาหน่วยความจำรุ่นเก่า

    สาเหตุหลักคือความต้องการที่ยังคงสูง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้ทั่วไปและองค์กรที่ยังใช้แพลตฟอร์มที่รองรับ DDR4 เช่น Intel Gen 13/14 และ AMD รุ่นก่อนหน้า อีกทั้งราคาของ DDR4 ก็พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้ผลิตยังสามารถทำกำไรจากสายการผลิตที่ถูกหักค่าเสื่อมราคาไปแล้ว

    Micron ได้แจ้งลูกค้าล่วงหน้าว่าจะสิ้นสุดการส่ง DDR4 ภายในไตรมาสแรกของปี 2026 ขณะที่ Samsung และ SK hynix จะทยอยหยุดการผลิตในช่วงปลายปี 2025 ถึงกลางปี 2026 อย่างไรก็ตาม ผู้ผลิตรายเล็กและกลุ่มอุตสาหกรรมเฉพาะทางจะยังคงได้รับการสนับสนุนต่อไปอีกหลายปี

    Samsung จะผลิต DDR4 ต่อถึงปลายปี 2025
    ใช้เทคโนโลยี 1z node ที่ต้นทุนต่ำและยังทำกำไรได้

    SK hynix จะหยุดผลิต DDR4 ในช่วง Q2 ปี 2026
    อาจเป็นผู้ผลิตรายใหญ่รายสุดท้ายที่ยังผลิต DDR4

    Micron จะส่งมอบ DDR4 ชุดสุดท้ายในต้นปี 2026
    แจ้ง EOL (End-of-Life) ให้ลูกค้าในกลุ่ม PC, data center และมือถือ

    DDR4 ยังมีความต้องการสูงในตลาด PC และเซิร์ฟเวอร์
    ราคาสัญญา DDR4 พุ่งขึ้น 38–45% ใน Q3 ปี 2025

    DDR4 จะยังคงใช้ในอุตสาหกรรมยานยนต์, โทรคมนาคม และการทหาร
    Micron จะยังผลิต DDR4 บน 1α node สำหรับลูกค้าระยะยาว

    https://www.tomshardware.com/pc-components/ddr4/ddr4-production-expected-to-continue-until-2026-samsung-sk-hynix-and-micron-will-continue-serving-industry-clients-for-longer
    🧠💾 DDR4 ยังไม่ตาย! เรื่องเล่าจากโลกหน่วยความจำที่ยังไม่ยอมลาจาก แม้ว่า DDR5 จะกลายเป็นมาตรฐานใหม่ในโลกของหน่วยความจำ แต่ DDR4 ก็ยังไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ เพราะผู้ผลิตรายใหญ่ทั้ง Samsung, SK hynix และ Micron ต่างประกาศว่าจะยังคงผลิต DDR4 ต่อไปจนถึงปี 2026 เพื่อรองรับลูกค้าในอุตสาหกรรมที่ยังต้องพึ่งพาหน่วยความจำรุ่นเก่า สาเหตุหลักคือความต้องการที่ยังคงสูง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้ทั่วไปและองค์กรที่ยังใช้แพลตฟอร์มที่รองรับ DDR4 เช่น Intel Gen 13/14 และ AMD รุ่นก่อนหน้า อีกทั้งราคาของ DDR4 ก็พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้ผลิตยังสามารถทำกำไรจากสายการผลิตที่ถูกหักค่าเสื่อมราคาไปแล้ว Micron ได้แจ้งลูกค้าล่วงหน้าว่าจะสิ้นสุดการส่ง DDR4 ภายในไตรมาสแรกของปี 2026 ขณะที่ Samsung และ SK hynix จะทยอยหยุดการผลิตในช่วงปลายปี 2025 ถึงกลางปี 2026 อย่างไรก็ตาม ผู้ผลิตรายเล็กและกลุ่มอุตสาหกรรมเฉพาะทางจะยังคงได้รับการสนับสนุนต่อไปอีกหลายปี ✅ Samsung จะผลิต DDR4 ต่อถึงปลายปี 2025 ➡️ ใช้เทคโนโลยี 1z node ที่ต้นทุนต่ำและยังทำกำไรได้ ✅ SK hynix จะหยุดผลิต DDR4 ในช่วง Q2 ปี 2026 ➡️ อาจเป็นผู้ผลิตรายใหญ่รายสุดท้ายที่ยังผลิต DDR4 ✅ Micron จะส่งมอบ DDR4 ชุดสุดท้ายในต้นปี 2026 ➡️ แจ้ง EOL (End-of-Life) ให้ลูกค้าในกลุ่ม PC, data center และมือถือ ✅ DDR4 ยังมีความต้องการสูงในตลาด PC และเซิร์ฟเวอร์ ➡️ ราคาสัญญา DDR4 พุ่งขึ้น 38–45% ใน Q3 ปี 2025 ✅ DDR4 จะยังคงใช้ในอุตสาหกรรมยานยนต์, โทรคมนาคม และการทหาร ➡️ Micron จะยังผลิต DDR4 บน 1α node สำหรับลูกค้าระยะยาว https://www.tomshardware.com/pc-components/ddr4/ddr4-production-expected-to-continue-until-2026-samsung-sk-hynix-and-micron-will-continue-serving-industry-clients-for-longer
    0 Comments 0 Shares 205 Views 0 Reviews
  • ร้องเพลงรอรถไฟ ETS ไปยะโฮร์ ระบบไฟฟ้า-อาณัติสัญญาณยังไม่เสร็จ

    ความหวังที่อยากจะนั่งรถไฟ ETS แบบสบายๆ จากกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ไปเมืองยะโฮร์บาห์รู เพื่อต่อไปยังประเทศสิงคโปร์ อาจจะเป็นไปได้ยากในปีนี้ เมื่อหนังสือพิมพ์เดอะสตาร์ (The Star) ไปสำรวจโครงการรถไฟทางคู่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าเกอมัส-ยะโฮร์บาห์รู (Gemas-Johor Bahru Electrified Double-Tracking Rail Project หรือ Gemas - JB EDTP) ระยะทาง 192 กิโลเมตร พบว่าการก่อสร้างระบบไฟฟ้าและระบบอาณัติสัญญาณยังไม่แล้วเสร็จ โดยเฉพาะช่วงระหว่างสถานีกลวง (Kluang) ถึงสถานีเจบี เซ็นทรัล (JB Sentral) ระยะทางราว 100 กิโลเมตร

    ก่อนหน้านี้ นายแอนโทนี่ โลค รมว.คมนาคมมาเลเซีย เคยกล่าวไว้เมื่อต้นปี 2568 ว่าบริการรถไฟ ETS จากสถานีเกมัส (Gemas) รัฐเนกรีเซมบิลัน ไปยังเมืองยะโฮร์บาห์รู จะพร้อมให้บริการในเดือน ส.ค.2568 แต่หลังจากเปิดให้บริการช่วงสั้นๆ ไปยังสถานีเซกามัต (Segamat) รัฐยะโฮร์ ตั้งแต่วันที่ 15 มี.ค. ที่ผ่านมา ก็ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ รวมทั้งระบบจำหน่ายตั๋วโดยสารล่วงหน้าของการรถไฟมาลายา (KTM Berhad) พบว่ายังไม่มีการจำหน่ายตั๋วรถไฟ ETS ขาล่องไปยังเมืองทางตอนใต้ใดๆ อีกทั้ง KTMB ยังประกาศระงับการจำหน่ายตั๋วรถไฟหลังเดือน ธ.ค. 2568 จากปกติสามารถจองตั๋วรถไฟล่วงหน้าได้ถึง 6 เดือน

    นายยูสลิซาร์ ดาวูด (Yuslizar Daud) ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบรถไฟของมาเลเซีย กล่าวว่า กระบวนการในการติดตั้งและทดสอบระบบจ่ายไฟฟ้าเหนือหัวอย่างสมบูรณ์อาจใช้เวลานาน ทั้งการร้อยสายอุปกรณ์สายส่งไฟฟ้าเหนือหัว (OHLE) การดึงสาย การปรับราง การจ่ายไฟ การทดสอบก่อนการใช้งาน และการทดสอบเสมือนจริง (Test & Commissioning) จะใช้เวลานานพอสมควร จากนั้นตรวจสอบขั้นสุดท้ายโดยสํานักงานคณะกรรมการขนส่งทางบกแห่งชาติมาเลเซีย (APAD) ก่อนที่จะได้รับอนุญาต แต่จากภาพที่ผู้สื่อข่าว The Star นำมาแสดงไม่เห็นว่าจะมีความพร้อมเปิดให้บริการในเดือน ก.ย.2568

    เข้าใจว่า KTM Berhad กำลังพยายามเร่งเปิดให้บริการจากสถานีเซกามัต ไปยังสถานีกลวง ระยะทาง 90 กิโลเมตรภายในไตรมาสนี้ แม้ดูเหมือนว่า KTM Berhad จะยังไม่ยื่นคำขออนุญาตไปยัง APAD ก็ตาม ขณะเดียวกันยังต้องทดสอบขบวนรถไฟ ETS ชุดใหม่ (ETS 3) ที่นำเข้าจากประเทศจีน ต้องผ่านการทดสอบเดินรถโดยปราศจากข้อบกพร่อง (FFR) อย่างน้อย 8,000 กิโลเมตร ก่อนนำไปให้บริการเชิงพาณิชย์ คาดว่าหาก APAD อนุมัติให้เปิดการเดินรถถึงสถานีกลวง อาจต้องใช้รถไฟ ETS ชุดเก่าไปพลางก่อน ถึงกระนั้นยังต้องรอคำตอบอย่างเป็นทางการจาก KTM Berhad และกระทรวงคมนาคมมาเลเซียอีกครั้ง

    #Newskit
    ร้องเพลงรอรถไฟ ETS ไปยะโฮร์ ระบบไฟฟ้า-อาณัติสัญญาณยังไม่เสร็จ ความหวังที่อยากจะนั่งรถไฟ ETS แบบสบายๆ จากกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ไปเมืองยะโฮร์บาห์รู เพื่อต่อไปยังประเทศสิงคโปร์ อาจจะเป็นไปได้ยากในปีนี้ เมื่อหนังสือพิมพ์เดอะสตาร์ (The Star) ไปสำรวจโครงการรถไฟทางคู่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าเกอมัส-ยะโฮร์บาห์รู (Gemas-Johor Bahru Electrified Double-Tracking Rail Project หรือ Gemas - JB EDTP) ระยะทาง 192 กิโลเมตร พบว่าการก่อสร้างระบบไฟฟ้าและระบบอาณัติสัญญาณยังไม่แล้วเสร็จ โดยเฉพาะช่วงระหว่างสถานีกลวง (Kluang) ถึงสถานีเจบี เซ็นทรัล (JB Sentral) ระยะทางราว 100 กิโลเมตร ก่อนหน้านี้ นายแอนโทนี่ โลค รมว.คมนาคมมาเลเซีย เคยกล่าวไว้เมื่อต้นปี 2568 ว่าบริการรถไฟ ETS จากสถานีเกมัส (Gemas) รัฐเนกรีเซมบิลัน ไปยังเมืองยะโฮร์บาห์รู จะพร้อมให้บริการในเดือน ส.ค.2568 แต่หลังจากเปิดให้บริการช่วงสั้นๆ ไปยังสถานีเซกามัต (Segamat) รัฐยะโฮร์ ตั้งแต่วันที่ 15 มี.ค. ที่ผ่านมา ก็ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ รวมทั้งระบบจำหน่ายตั๋วโดยสารล่วงหน้าของการรถไฟมาลายา (KTM Berhad) พบว่ายังไม่มีการจำหน่ายตั๋วรถไฟ ETS ขาล่องไปยังเมืองทางตอนใต้ใดๆ อีกทั้ง KTMB ยังประกาศระงับการจำหน่ายตั๋วรถไฟหลังเดือน ธ.ค. 2568 จากปกติสามารถจองตั๋วรถไฟล่วงหน้าได้ถึง 6 เดือน นายยูสลิซาร์ ดาวูด (Yuslizar Daud) ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบรถไฟของมาเลเซีย กล่าวว่า กระบวนการในการติดตั้งและทดสอบระบบจ่ายไฟฟ้าเหนือหัวอย่างสมบูรณ์อาจใช้เวลานาน ทั้งการร้อยสายอุปกรณ์สายส่งไฟฟ้าเหนือหัว (OHLE) การดึงสาย การปรับราง การจ่ายไฟ การทดสอบก่อนการใช้งาน และการทดสอบเสมือนจริง (Test & Commissioning) จะใช้เวลานานพอสมควร จากนั้นตรวจสอบขั้นสุดท้ายโดยสํานักงานคณะกรรมการขนส่งทางบกแห่งชาติมาเลเซีย (APAD) ก่อนที่จะได้รับอนุญาต แต่จากภาพที่ผู้สื่อข่าว The Star นำมาแสดงไม่เห็นว่าจะมีความพร้อมเปิดให้บริการในเดือน ก.ย.2568 เข้าใจว่า KTM Berhad กำลังพยายามเร่งเปิดให้บริการจากสถานีเซกามัต ไปยังสถานีกลวง ระยะทาง 90 กิโลเมตรภายในไตรมาสนี้ แม้ดูเหมือนว่า KTM Berhad จะยังไม่ยื่นคำขออนุญาตไปยัง APAD ก็ตาม ขณะเดียวกันยังต้องทดสอบขบวนรถไฟ ETS ชุดใหม่ (ETS 3) ที่นำเข้าจากประเทศจีน ต้องผ่านการทดสอบเดินรถโดยปราศจากข้อบกพร่อง (FFR) อย่างน้อย 8,000 กิโลเมตร ก่อนนำไปให้บริการเชิงพาณิชย์ คาดว่าหาก APAD อนุมัติให้เปิดการเดินรถถึงสถานีกลวง อาจต้องใช้รถไฟ ETS ชุดเก่าไปพลางก่อน ถึงกระนั้นยังต้องรอคำตอบอย่างเป็นทางการจาก KTM Berhad และกระทรวงคมนาคมมาเลเซียอีกครั้ง #Newskit
    0 Comments 0 Shares 277 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากข่าว: GPU กำลังจะกลายเป็นสินทรัพย์การเงินที่ซื้อขายได้

    Startup ชื่อ OneChronos จับมือกับ Auctionomics บริษัทออกแบบตลาดที่ก่อตั้งโดย Paul Milgrom นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล เพื่อสร้าง “ตลาดซื้อขายล่วงหน้า GPU” แห่งแรกของโลก โดยเป้าหมายคือให้ผู้ใช้งานสามารถ “ล็อกราคา” และ “จัดการความเสี่ยง” ของการเข้าถึง GPU ได้เหมือนกับการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น น้ำมันหรือไฟฟ้า

    ในยุคที่ AI เติบโตอย่างรวดเร็ว GPU กลายเป็นทรัพยากรที่มีค่ามากที่สุด แต่กลับไม่มีเครื่องมือทางการเงินใดที่ช่วยให้บริษัทสามารถวางแผนหรือป้องกันความเสี่ยงจากราคาที่ผันผวนได้เลย

    ตลาดใหม่นี้จะใช้ระบบ “การประมูลแบบอัจฉริยะ” เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถเสนอราคาสำหรับเวลาใช้งาน GPU หรือความจุที่ต้องการ โดย Auctionomics จะช่วยออกแบบกลไกตลาดให้มีประสิทธิภาพ โปร่งใส และสามารถจัดสรรทรัพยากรได้อย่างเหมาะสม

    OneChronos และ Auctionomics ร่วมกันสร้างตลาดซื้อขายล่วงหน้า GPU แห่งแรกของโลก
    ใช้ระบบประมูลอัจฉริยะเพื่อจัดสรรทรัพยากร GPU อย่างมีประสิทธิภาพ
    เปรียบเสมือน “ตลาดซื้อขายน้ำมัน” สำหรับโลก AI

    Paul Milgrom นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล เป็นผู้ออกแบบกลไกตลาด
    เคยออกแบบการประมูลคลื่นความถี่ที่เปลี่ยนโฉมวงการโทรคมนาคม
    ใช้ทฤษฎีเกมและคณิตศาสตร์เพื่อสร้างแรงจูงใจที่เหมาะสม

    GPU ถูกมองว่าเป็น “สินทรัพย์องค์กรที่ยังไม่มีการป้องกันความเสี่ยง” ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
    ไม่มีเครื่องมือทางการเงินใดที่ช่วยล็อกราคาหรือจัดการความเสี่ยง
    ต่างจากน้ำมันหรือไฟฟ้าที่มีตลาดซื้อขายล่วงหน้า

    ระบบจะเปิดให้ผู้ใช้งานเสนอราคาสำหรับเวลาใช้งาน GPU หรือความจุที่ต้องการ
    ช่วยให้บริษัทสามารถวางแผนล่วงหน้าและควบคุมต้นทุนได้
    ลดปัญหาการขาดแคลนและราคาผันผวนในช่วงที่มีความต้องการสูง

    ตลาดนี้จะเปิดให้ผู้เข้าร่วมหลากหลาย เช่น ผู้ผลิตชิป, ผู้ให้บริการคลาวด์, นักลงทุนในศูนย์ข้อมูล
    ยิ่งมีผู้เข้าร่วมหลากหลาย ตลาดจะยิ่งมีความโปร่งใสและมีสภาพคล่องสูง
    ช่วยให้เกิดการค้นหาราคาที่แท้จริงของทรัพยากร GPU

    https://www.techspot.com/news/108879-startup-nobel-laureate-collaborate-create-gpu-financial-exchange.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: GPU กำลังจะกลายเป็นสินทรัพย์การเงินที่ซื้อขายได้ Startup ชื่อ OneChronos จับมือกับ Auctionomics บริษัทออกแบบตลาดที่ก่อตั้งโดย Paul Milgrom นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล เพื่อสร้าง “ตลาดซื้อขายล่วงหน้า GPU” แห่งแรกของโลก โดยเป้าหมายคือให้ผู้ใช้งานสามารถ “ล็อกราคา” และ “จัดการความเสี่ยง” ของการเข้าถึง GPU ได้เหมือนกับการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น น้ำมันหรือไฟฟ้า ในยุคที่ AI เติบโตอย่างรวดเร็ว GPU กลายเป็นทรัพยากรที่มีค่ามากที่สุด แต่กลับไม่มีเครื่องมือทางการเงินใดที่ช่วยให้บริษัทสามารถวางแผนหรือป้องกันความเสี่ยงจากราคาที่ผันผวนได้เลย ตลาดใหม่นี้จะใช้ระบบ “การประมูลแบบอัจฉริยะ” เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถเสนอราคาสำหรับเวลาใช้งาน GPU หรือความจุที่ต้องการ โดย Auctionomics จะช่วยออกแบบกลไกตลาดให้มีประสิทธิภาพ โปร่งใส และสามารถจัดสรรทรัพยากรได้อย่างเหมาะสม ✅ OneChronos และ Auctionomics ร่วมกันสร้างตลาดซื้อขายล่วงหน้า GPU แห่งแรกของโลก ➡️ ใช้ระบบประมูลอัจฉริยะเพื่อจัดสรรทรัพยากร GPU อย่างมีประสิทธิภาพ ➡️ เปรียบเสมือน “ตลาดซื้อขายน้ำมัน” สำหรับโลก AI ✅ Paul Milgrom นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล เป็นผู้ออกแบบกลไกตลาด ➡️ เคยออกแบบการประมูลคลื่นความถี่ที่เปลี่ยนโฉมวงการโทรคมนาคม ➡️ ใช้ทฤษฎีเกมและคณิตศาสตร์เพื่อสร้างแรงจูงใจที่เหมาะสม ✅ GPU ถูกมองว่าเป็น “สินทรัพย์องค์กรที่ยังไม่มีการป้องกันความเสี่ยง” ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ➡️ ไม่มีเครื่องมือทางการเงินใดที่ช่วยล็อกราคาหรือจัดการความเสี่ยง ➡️ ต่างจากน้ำมันหรือไฟฟ้าที่มีตลาดซื้อขายล่วงหน้า ✅ ระบบจะเปิดให้ผู้ใช้งานเสนอราคาสำหรับเวลาใช้งาน GPU หรือความจุที่ต้องการ ➡️ ช่วยให้บริษัทสามารถวางแผนล่วงหน้าและควบคุมต้นทุนได้ ➡️ ลดปัญหาการขาดแคลนและราคาผันผวนในช่วงที่มีความต้องการสูง ✅ ตลาดนี้จะเปิดให้ผู้เข้าร่วมหลากหลาย เช่น ผู้ผลิตชิป, ผู้ให้บริการคลาวด์, นักลงทุนในศูนย์ข้อมูล ➡️ ยิ่งมีผู้เข้าร่วมหลากหลาย ตลาดจะยิ่งมีความโปร่งใสและมีสภาพคล่องสูง ➡️ ช่วยให้เกิดการค้นหาราคาที่แท้จริงของทรัพยากร GPU https://www.techspot.com/news/108879-startup-nobel-laureate-collaborate-create-gpu-financial-exchange.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Startup and Nobel laureate collaborate to create GPU financial exchange
    The world of artificial intelligence is built on computing power, and at the heart of that engine are graphics processing units. These chips are in such high...
    0 Comments 0 Shares 197 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากข่าว: “EU ไม่เก็บค่าธรรมเนียมจาก Big Tech” แล้วจะเอาเงินจากไหนมาลงทุนโครงข่าย?

    หลายปีที่ผ่านมา ผู้ให้บริการโทรคมนาคมรายใหญ่ในยุโรป เช่น Deutsche Telekom, Orange, Telefonica และ Telecom Italia เรียกร้องให้ EU บังคับให้บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ (Google, Meta, Netflix, Microsoft, Amazon ฯลฯ) จ่าย “ค่าธรรมเนียมเครือข่าย” เพราะพวกเขาใช้แบนด์วิดธ์มหาศาลจากโครงข่ายที่ผู้ให้บริการต้องลงทุนเอง

    แนวคิดนี้ถูกเรียกว่า “fair share funding” แต่ Big Tech โต้กลับว่าเป็น “ภาษีอินเทอร์เน็ต” และชี้ว่าพวกเขาก็ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของตัวเองเช่นกัน

    ล่าสุด EU ออกมายืนยันว่า “ไม่เห็นด้วย” กับแนวคิดนี้ โดยอ้างอิงจาก White Paper ที่ตีพิมพ์เมื่อกุมภาพันธ์ 2024 ซึ่งสรุปว่า “การเก็บค่าธรรมเนียมเครือข่ายไม่ใช่ทางออกที่ยั่งยืน”

    แทนที่จะเก็บเงินจาก Big Tech EU เตรียมออกกฎหมายใหม่ชื่อ Digital Networks Act ในเดือนพฤศจิกายน 2025 เพื่อปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลให้ทันสมัย รองรับ 5G, 6G, cloud และ edge computing โดยเน้นการลดความซับซ้อนของกฎระเบียบ และส่งเสริมการลงทุนข้ามพรมแดน

    EU ปฏิเสธแนวคิดเก็บค่าธรรมเนียมเครือข่ายจาก Big Tech เพื่อสนับสนุนการลงทุนใน 5G และ broadband
    อ้างอิงจาก White Paper ปี 2024 ที่สรุปว่าแนวคิดนี้ไม่ยั่งยืน
    Big Tech มองว่าเป็น “ภาษีอินเทอร์เน็ต” และไม่เป็นธรรม

    ผู้ให้บริการโทรคมนาคมในยุโรปเรียกร้องให้ Big Tech จ่าย “fair share” เพราะใช้แบนด์วิดธ์จำนวนมาก
    เช่น Deutsche Telekom, Orange, Telefonica, Telecom Italia
    ชี้ว่า Big Tech สร้างภาระให้กับโครงข่ายโดยไม่ช่วยลงทุน

    EU เตรียมออกกฎหมายใหม่ชื่อ Digital Networks Act ในไตรมาส 4 ปี 2025
    มุ่งเน้นการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลให้ทันสมัย
    ลดความซับซ้อนของกฎระเบียบ และส่งเสริมการลงทุนข้ามพรมแดน

    Digital Networks Act จะเป็น “regulation” ที่มีผลบังคับใช้โดยตรงในทุกประเทศสมาชิก EU
    คล้ายกับ GDPR, Digital Services Act และ AI Act
    ไม่ใช่ “directive” ที่ต้องรอการนำไปใช้ในแต่ละประเทศ

    เป้าหมายของ Digital Networks Act คือการสร้างตลาดเดียวด้านการเชื่อมต่อ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมยุโรป
    ปรับปรุงการจัดสรรคลื่นความถี่, ลดความซับซ้อนของการอนุญาต
    ส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านสู่เครือข่ายแบบ cloud และ edge computing

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/31/network-fee-on-big-tech-not-a-viable-solution-to-boost-eu-digital-rollout-eu-says
    🧠 เรื่องเล่าจากข่าว: “EU ไม่เก็บค่าธรรมเนียมจาก Big Tech” แล้วจะเอาเงินจากไหนมาลงทุนโครงข่าย? หลายปีที่ผ่านมา ผู้ให้บริการโทรคมนาคมรายใหญ่ในยุโรป เช่น Deutsche Telekom, Orange, Telefonica และ Telecom Italia เรียกร้องให้ EU บังคับให้บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ (Google, Meta, Netflix, Microsoft, Amazon ฯลฯ) จ่าย “ค่าธรรมเนียมเครือข่าย” เพราะพวกเขาใช้แบนด์วิดธ์มหาศาลจากโครงข่ายที่ผู้ให้บริการต้องลงทุนเอง แนวคิดนี้ถูกเรียกว่า “fair share funding” แต่ Big Tech โต้กลับว่าเป็น “ภาษีอินเทอร์เน็ต” และชี้ว่าพวกเขาก็ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของตัวเองเช่นกัน ล่าสุด EU ออกมายืนยันว่า “ไม่เห็นด้วย” กับแนวคิดนี้ โดยอ้างอิงจาก White Paper ที่ตีพิมพ์เมื่อกุมภาพันธ์ 2024 ซึ่งสรุปว่า “การเก็บค่าธรรมเนียมเครือข่ายไม่ใช่ทางออกที่ยั่งยืน” แทนที่จะเก็บเงินจาก Big Tech EU เตรียมออกกฎหมายใหม่ชื่อ Digital Networks Act ในเดือนพฤศจิกายน 2025 เพื่อปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลให้ทันสมัย รองรับ 5G, 6G, cloud และ edge computing โดยเน้นการลดความซับซ้อนของกฎระเบียบ และส่งเสริมการลงทุนข้ามพรมแดน ✅ EU ปฏิเสธแนวคิดเก็บค่าธรรมเนียมเครือข่ายจาก Big Tech เพื่อสนับสนุนการลงทุนใน 5G และ broadband ➡️ อ้างอิงจาก White Paper ปี 2024 ที่สรุปว่าแนวคิดนี้ไม่ยั่งยืน ➡️ Big Tech มองว่าเป็น “ภาษีอินเทอร์เน็ต” และไม่เป็นธรรม ✅ ผู้ให้บริการโทรคมนาคมในยุโรปเรียกร้องให้ Big Tech จ่าย “fair share” เพราะใช้แบนด์วิดธ์จำนวนมาก ➡️ เช่น Deutsche Telekom, Orange, Telefonica, Telecom Italia ➡️ ชี้ว่า Big Tech สร้างภาระให้กับโครงข่ายโดยไม่ช่วยลงทุน ✅ EU เตรียมออกกฎหมายใหม่ชื่อ Digital Networks Act ในไตรมาส 4 ปี 2025 ➡️ มุ่งเน้นการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลให้ทันสมัย ➡️ ลดความซับซ้อนของกฎระเบียบ และส่งเสริมการลงทุนข้ามพรมแดน ✅ Digital Networks Act จะเป็น “regulation” ที่มีผลบังคับใช้โดยตรงในทุกประเทศสมาชิก EU ➡️ คล้ายกับ GDPR, Digital Services Act และ AI Act ➡️ ไม่ใช่ “directive” ที่ต้องรอการนำไปใช้ในแต่ละประเทศ ✅ เป้าหมายของ Digital Networks Act คือการสร้างตลาดเดียวด้านการเชื่อมต่อ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมยุโรป ➡️ ปรับปรุงการจัดสรรคลื่นความถี่, ลดความซับซ้อนของการอนุญาต ➡️ ส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านสู่เครือข่ายแบบ cloud และ edge computing https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/31/network-fee-on-big-tech-not-a-viable-solution-to-boost-eu-digital-rollout-eu-says
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Network fee on Big Tech not a viable solution to boost EU digital rollout, EU says
    BRUSSELS (Reuters) -The European Commission does not think that imposing a network fee on Big Tech companies is a viable solution to the debate over who should fund the rollout of 5G and broadband, a spokesman for the EU executive said on Thursday.
    0 Comments 0 Shares 257 Views 0 Reviews
  • ตอน 1 :

    กำเนิดจิ๊กโก๋

    เรารู้จักบ้านเมืองเราแค่ไหน เคย ถามตัวเองกันบ้างไหมครับ

    แล้วเคยมีเวลานึกสงสัยกันบ้างไหมว่า ทำไมบ้านเมืองเราถึงเละขนาดนี้ ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง การศึกษาและสังคม

    เรารู้จักบ้านเมืองของเรา แบบมักง่าย รู้จักผ่านมุมมอง และความคิดของสื่อ ทั้งสื่อไทย และสื่อเทศ และสื่อส่วนใหญ่ ก็ให้ข้อมูลข่าวสาร แบบฟอกย้อม จะโดยตั้งใจเพราะมีใบสั่ง หรือเพราะสมรรถนะของสื่อส่วนใหญ่ ต่ำถึงต่ำมาก แทบทั้งนั้น

    ข้อมูลอีกหลายส่วน ก็มาจากนักวิชาการ ที่ไม่ต่างกับสื่อ ถ้าไม่ขายตัว ก็อธิบายแบบท่องจำ จอแคบ จอแบนไม่มีมิติ มองมุมเดียว เพราะมันง่ายดี

    แล้วเราจะได้ความรู้ ความเข้าใจแบบไหนกัน นี่ยังไม่นับข้อมูลที่เกิดจาก การตอแหลของนักการเมือง และบรรดาข้าราชการ ที่ทำหน้าที่ขี้ข้านักการเมือง

    ซึ่งขอใช้คำว่า บัดซบ จึงจะตรงกับพฤติกรรม

    ตัวเราเองก็เลยติดนิสัย ที่จะมองอะไรแบบมักง่าย

    เมื่อเราไม่รู้ปัญหาที่แท้จริง ก็ไม่มีความเข้าใจจริง แล้วจะหาทางออก จะแก้ปัญหาได้อย่างไร ยิ่งแก้ก็เลยยิ่งพันยุ่งเละเทะ เหมือนลิงแก้แห

    ทำไมเราไม่มาทำความเข้าใจ ทำความรู้จักบ้านเมืองของเราอย่างจริงจังก่อน ด้วยการศึกษาขวนขวายด้วยตัวเอง ไม่ใช่ใช้แค่ตาดูหูฟังเอาจากสื่อจอแบน คำโกหกนักการเมืองหรือนักวิชาการ ประเภทมีความรู้เกินๆ ขาดๆ

    จะเข้าใจปัจจุบัน ก็ต้องรู้จักอดีตหรือประวัติศาสตร์ก่อน ไม่งั้นจะรู้ได้ยังไงว่า ต้นไม้ต้นไหนออกลูกเป็นพิษ

    แล้วก็อย่าทำตัวเป็นม้าแข่ง มองเห็นแต่ลู่วิ่งข้างหน้า หัดมองรอบตัว รู้จักเพื่อนบ้าน รู้จักโลกบ้าง ไม่ใช่จะมีแต่เธอ ฉัน ลูกเรา น้องหมา และน้ำเน่าในทีวี กับจิ้มข้อความไร้สาระ ส่งกันไปมาตามหน้าจอ ประเภท ส่ง 10 คน จะมีโชค

    ก่อนอื่นควรรู้จักโลกกว้างเสียก่อน ประเทศไทยไม่ใช่ตั้งอยู่โดด ๆ ประเทศเดียวเรามีเพื่อนบ้านร่วมทวีป ร่วมโลกอีกแยะ เรารู้จักเพื่อนร่วมโลก หรือ เพื่อนบ้านเราแค่ไหนกัน

    จะอยู่บ้านให้สบายใจ มันก็ควรจะรู้จักเสียหน่อยว่า ใครเป็นใครในซอย มีจิ๊กโก๋๋ยืนกร่าง เบ่งกล้ามอยู่ปากซอยหรือเปล่า ถ้ามีต้องรู้ว่ามันเป็นใคร ฝีไม้ลายมือขนาดไหน ของจริง หรือ ราคาคุย

    งั้นเรามาเริ่มต้น ด้วยการรู้จักจิ๊กโก๋๋ปากซอยกันซะหน่อยดีไหม รู้จักแล้ว จะได้รู้ว่าเราจะอยู่ในซอยนี้แบบไหน อยู่แบบตัวห่อหน้าเหี่ยว หรือ อยู่อย่างสบายใจ นี่บ้านกูนะ จะคบกับชาวซอยด้วยกันอย่าง ไร และแสดงท่าที หรือจัดการอย่างไรดีกับเจ้าจิ๊กโก๋๋ปากซอย

    และจะอ่านนิทานนี้ให้สนุก จะรู้จักโลกกว้าง ต้องรู้จักคาถาการครองโลก

    “อำนาจ คือ ทุน” และ “ทุน คือ อำนาจ”

    จำให้แม่น มันจะทำให้เราเข้าใจความเป็นไปของโลกนี้

    ประเทศนี้ และทั้งหลาย ทั้งปวง ที่อยู่รอบตัวเราง่ายขึ้น

    สงครามโลกครั้งที่ 1 และ ครั้งที่ 2 เกิดขึ้นเพราะอะไร ประวัติศาสตร์ที่เขาเขียนให้เราเรียน สมัยเป็นนักเรียน เขาก็เขียนให้เราเข้าใจไปว่า มันเป็นเรื่องของการต้องการแผ่อำนาจของประเทศผู้รุกราน และประเทศผู้ถูกรุกรานก็จ๋อยสิ จำเป็นต้องสู้ หรือเข้าสู่สงครามกับเขาไปด้วย เพื่อเอาตัวรอด เพื่อรักษาความมั่นคงของประเทศตน

    แต่จริงๆ แล้ว มันเป็นอย่างนั้นแน่หรือ กลับไปอ่านคาถาครองโลกข้างต้นสัก 10 เที่ยว แล้วอ่านนิทานนี้ต่อ อาจจะรู้จักประวัติศาสตร์ ในมุมมองใหม่

    สงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ.2482 (ค.ศ.1934) จบเอาปี พ.ศ.2488 (ค.ศ.1945) รวมเวลา 6ปี ตลอดเวลาการสู้รบ เขาใช้ทวีปยุโรปและเอเซียเป็นสนามประลองกำลัง พอเสร็จสงคราม ฝ่ายผู้แพ้สงครามเช่น เยอรมันและญี่ปุ่น ก็ถูกน็อกคาสนามบอบช้ำฉิบหาย ตามประสาผู้แพ้ ส่วนฝ่ายสัมพันธ มิตรผู้ชนะสงครามเช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส ยุโรป รัสเซีย และแม้แต่จีน ก็ใช่ว่าจะไม่ยับไม่เยิน แต่ละรายดูไม่จืดเชียว ยืนพิงเชือกเกือบนับ 10 เกือบทั้งนั้น ….มีแต่อเมริกาเท่านั้นแหละ ที่โดนแค่สอยคาง เรือรบล่มไม่กี่ลำ ที่เพิร์ล ฮาเบอร์ (Pearl Harbor) ฮาวาย ส่วนบ้านตัวที่ทวีปอเมริกาปลอดภัยดี ไม่มีบุบไม่มีย่น… แค่นี้ทำเป็นยั๊วะ ถือโอกาสประกาศสงครามกับญี่ปุ่น เข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตร (โอกาสทองมา แล้ว) เมื่อชนะสงครามอเมริกาจึงสถาปนาตนเองเป็นจิ๊กโก๋๋คุมซอย เป็นพี่เบิ้มดูแลโลกทั้งใบ นั่นไงมาแล้ว … จิ๊กโก๋๋ปากซอย!

    หลังจากการทำสงครามโลก เศรษฐกิจของแต่ละประเทศก็ตกต่ำล่มจม ความแตกต่างทางสังคมเห็นชัดขึ้น เกิดช่องว่างระหว่างคนรวยคนจนชัดเจน ไม่ต้องเอาแว่นมาขยาย ระบอบคอมมิวนิสต์ จึงเริ่มก่อตัวขึ้น ในบริเวณแถวรัสเซียและยุโรปตะวันออก เมื่อปี พ.ศ.2490 (ค.ศ.1947)

    อเมริกาในฐานะพี่เบิ้ม จึงกำหนดยุทธศาสตร์ปิดล้อม (Containment) ขึ้นมาและประกาศเป็นนโยบาย

    เรียกว่า Truman Doctrine โดยประธานาธิบดีแฮรี่ เอส ทรูแมน (Harry S Truman) (ดื้อ เหี้ยม!)

    เป้าหมายของยุทธศาสตร์นี้ หลักใหญ่มีแค่ 2 เรื่อง คือสร้างความมั่นคงและมั่งคั่งให้กับอเมริกาและพวก กับกีดกันไม่ให้สหภาพโซเวียตมีโอกาสยื่นหน้า เข้ามาสู่ศูนย์กลางเศรษฐกิจโลก นี่ล่ะธาตุแท้อเมริกา ร่วมรบด้วยกันมาดีๆ พอถึงเวลาไม่เป็นประชาธิปไตยตามแบบที่ตัวเองต้องการ ก็ออกอาการเหม็นหน้า อย่าเข้ามาใกล้นะ เดี๋ยวจะทำให้คนอื่นเขาติดโรคหมด

    Truman Doctrine นี้ อเมริกาจะใช้คนเดียวก็กลัวเหงา เลยจับประเทศแถวยุโรปมาเข้าร่วมโดย จัดตั้งเป็นองค์กรนาโต (NATO) ขึ้นมา ปัจจุบันมีทั้งหมด 28 ประเทศ กลุ่มประเทศที่ก่อตั้งและ/หรือเป็นประเทศหลักมี อเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส เบลเยี่ยม แคนาดา เดนมาร์ก ไอซแลนด์ อิตาลี เนเธอร์แลนด์ นอร์เวย์ กรีซ ตุรกี และเยอรมัน อเมริกาใช้นาโตเป็นขนมล่อยุโรปให้ผูกติดอยู่กับอเมริกามาจนถึงทุกวันนี้

    เริ่มเห็นฝีมือการแบ่งขนม แบ่งค่ายของอเมริกาหรือยัง

    สูตรยอดนิยมของอเมริกา ที่ใช้มาตลอดคือ ล่อให้เหยื่อมารวมตัวกัน (อยู่ในคอก) ก่อนจะได้ดูแลง่าย จำไว้ให้ดี

    ด้านหนึ่ง อเมริกาจะออกหน้า สนับสนุนให้มีการรวมตัวของประชาชาติในเรื่องต่างๆ แต่อีกด้านอเมริกาก็จะสร้างเรื่อง โดยทางตรงหรือทางอ้อม ให้การรวมตัวนั้นมีปัญหา และแตกแยกกันเอง แข่งขันกันเอง ทะเลาะกันเอง เพื่อเป็นการเพิ่มบทบาทของพี่เบิ้ม ให้เป็นที่พึ่งพาขึ้นไปเรื่อยๆ (ต้นตำรับ value added! หรือจะเรียกให้ชัดคือ สร้างภาพ) ลองสังเกตดู

    พร้อมกับการเขยิบฐานะตัวเป็นพี่เบิ้ม อเมริกา ก็เริ่มทำตัวเป็นนักล่าอาณานิคมยุคใหม่ แทนนักล่ารุ่นเก่าที่กำลังนอนเลียแผล

    ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 นักล่าอาณานิคมตัวใหญ่แชมป์เก่าคือ อังกฤษ กร่างถึงขนาดประกาศว่า ดวงอาทิตย์ไม่มีวันตกที่จักรภพอังกฤษ ตามมาติดๆคือ ฝรั่งเศส คู่แค้นของไทย กะจะเขมือบไทยมาตลอด วางแผนมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์ แต่ที่อุกอาจสามานย์ ทำให้ไทยเจ็บช้ำจนกรมหลวงชุมพรฯ ต้องสักไว้ก็คือเหตุการณ์ ร.ศ.112 ในสมัยล้นเกล้าฯรัชกาลที่ 5 หวังว่ายังคงจำกันได้ หรือรู้จักแต่ ม112

    นักล่า ที่มาเงียบๆ คอยเสียบ คอยเสี้ยม แล้วหยิบชิ้นปลามันคือ ฮอลันดา แต่นักล่า รุ่นเก๋าจริงๆ ต้องยกให้ สเปนและโปรตุเกศ แผนลึก อดทน และใจเย็น

    นักล่ายุคใหม่ ไม่ต้องการครอบครองดินแดน แบบนักล่ารุ่นเก่า แต่ต้องการกอบโกยทรัพยากรธรรมชาติที่สมบูรณ์เช่นน้ำมัน และแร่ธาตุสารพัด ของประเทศที่อุดมทรัพยากร แต่ด้อยปัญญา ของประเทศที่ยังไม่พัฒนา โดยเฉพาะในแถบอาเซีย และตะวันออกกลางที่ยังอุดมสมบูรณ์อยู่ ในขณะที่แถวยุโรปเริ่มร่อยหรอ ส่วนอเมริกานั้นยังมีอยู่แยะ แต่งุบงิบแอบเก็บไว้ไม่ให้ใครรู้

    อย่าเข้าใจผิดว่าการล่าอาณานิคมยุคใหม่ จะใช้วิธียกทัพจับศึก ยึดดินแดนกันอย่างเมื่อก่อน รุ่นใหม่ ยุคใหม่นี่เขาทำกันเนียน

    ส่วนเครื่องมือในการล่าอาณานิคมยุคใหม่ เขาใช้ตามคาถายอดนิยม

    อำนาจ คือ ทุน และทุน คือ อำนาจ …

    ยังไม่เข้าใจใช่ไหม งั้นต้องอ่านต่อไป

    รบชนะมาหมาดๆ อำนาจล้นฟ้า บีบให้โลกยกย่องเป็นพี่เบิ้ม จะปล่อยให้โอกาสทองหลุดมือไปได้ยังไง พี่เบิ้มก็ต้องรีบเหยียด (มือยาวๆ อ้อมไปทั้งโลก โดยใช้วิธีการทั้งหลอก ทั้งล่อ เอาทุนนิยมมาล่อ เอาทุนเสรีมาจูง ให้ทุนมันเคลื่อนไหวอย่างเสรี ไม่มีอะไรมากักไง ไร้พรมแดนไงไม่ดีหรือ นายทุนก็ถลารับ แบบนี้มันก็ล้อมโลกได้โดยไม่รู้ตัวกัน คำว่าโลกาภิวัฒน์จึงเกิดขึ้น ชอบใช้กันนัก รู้ให้ทันแล้วกันว่าโลกาภิวัตน์ คืออะไร และเพื่อใคร

    ทุนนิยมเสรี มันเดินไปเองได้ที่ไหน ก็ต้องหาเครื่องมือให้ทุนมันเดินไปทั่วโลกได้ง่ายๆ เนียนๆ ดังนั้นหน่วย งานระหว่างประเทศ เช่น สหประชาชาติ (UN) ธนาคารโลก (World Bank) IMF WTO ฯลฯ และเหล่าบรรษัทข้ามชาติ ด้านการเงิน การค้า การอุตสาหกรรมต่างๆ จึงเกิดขึ้น หน่วยงานต่างๆ ดังกล่าว มีพี่เบิ้มและพวก เป็นเจ้าของหรือเป็นผู้กำกับทั้งนั้น รู้กันไหม

    สหประชาชาติ (UN) ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ.2488 (ค.ศ.1945) จากแนวคิดของผู้ชนะสงครามคือ พี่เบิ้มและอังกฤษคู่หู คือ มีคณะมนตรีถาวร 5 ประเทศ ไม่บอกก็น่าจะเดาออกนะ ว่าใครบ้าง ก็ผู้ชนะสงคราม นั่นแหละคือ อเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย และจีน (เห็นรายชื่ออย่างนี้ อย่าเพิ่งแปลกใจ ตอนนั้น พี่เบิ้มเขายังวุ่นอยู่กับสร้างบทให้ตัวเองเป็นใหญ่ เลยยังไม่มีเวลา ไปไล่บี้ว่าที่คู่แข่งของตัว)

    ผู้ควักกระเป๋าจ่ายเงินสนับสนุนการดำเนินงานของ UN ก็คือสมาชิก คงพอเดากันได้ว่าใครจ่ายเงินสนับสนุนUN สูงสุด ไม่น่าตอบผิดนะ ก็พี่เบิ้มอเมริกานั่นไง ไม่งั้นจะได้ตำแหน่งเป็นจิ๊กโก๋๋คุมซอยเหรอ

    ธนาคารโลก (World Bank) ก่อตั้งขึ้นพร้อมกับ IMF (International Monetary Fund) ในปี พ.ศ.2487 (ค.ศ.1944) แน่นอน ก็จากแนวคิดของพี่เบิ้ม อเมริกาและอังกฤษอีกนั่นแหละ สำนักงานใหญ่ขอทั้ง 2 องค์กร ตั้งอยู่ที่วอชิงตัน ดี ซี ของพี่เบิ้ม เงินสนับสนุนส่วนใหญ่มาจากประเทศสมาชิก แต่ผู้ที่ควักกระเป๋าหนักที่สุดก็ เหมือนเดิมคือ พี่เบิ้ม อเมริกา คิดกันต่อแล้วกันอย่างนี้ แปลว่า พี่เบิ้มใจดีชะมัดหรือพี่เบิ้มกำลังท่องคาถา อำนาจ คือ ทุน ทุน คือ อำนาจ…. ลงทุนจิ๊บจ๊อย เดี๋ยวก็ได้คืนทั้งโลก 555

    ไปเปิดอากู (Google) ดู แล้วกัน ประธานธนาคารโลกตั้งกะก่อตั้ง (ค.ศ.1946) มาจนถึงปัจจุบัน (ค.ศ.2016) เป็นคนสัญชาติอเมริกันทั้งหมด …อาจมีคนโวย ไม่ใช่นะ คนสุดท้าย เจ้าจิม ยอง คิม (Jim Yong Kim) เป็นเกาหลีต่างหาก …เป็นเกาหลีแต่ถือสัญชาติอเมริกันครับผม …อืม เริ่มเห็นภาพลางๆ บ้างหรือยัง ครับ

    อันที่จริงระบบทุนนิยมมีมานานแล้วนะ แต่การขยายตัวทำได้ช้า เพราะต้องพึ่งการคมนาคมและการสื่อสาร ดังนั้นทุนนิยมยุคโบราณจึงเดินทางโดยเรือ รถไฟ ม้า อูฐ และนกพิราบ (ฮา!) ก็ตอนนั้นยังไม่มีเครื่องบิน โทรเลข โทรศัพท์ มือถือ ดาวเทียม Swift 3จี 4จี Wi-Fi ฯลฯ อะไรนี่นะ

    ทุนนิยมโลกไม่ได้ขึ้นอยู่กับเขตดินแดน แต่ขึ้นกับศูนย์อำนาจในแต่ละช่วงเวลานั้น เช่น ฮอลันดาเป็นศูนย์ กลางของทุนนิยม สมัยศตวรรษที่ 17 ก็เล่นล่าตั้งกะอินโดนีเซียยันไปถึงอาฟริกา ต่อมาศูนย์อำนาจก็ย้ายไปอยู่ที่อังกฤษ เจ้าของคำกร่างว่า พระอาทิตย์ไม่ตกดินที่อังกฤษ จนมาถึงช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 พี่เบิ้มอเมริกา ถึงได้ขึ้นแท่นเป็น นัมเบอร์วัน ของศูนย์อำนาจ ไชโย! ตาไอแล้ว

    อเมริกา คิดเรื่องระบบทุนนิยมและกลไก ที่จะทำให้ตนเป็นศูนย์อำนาจ มาตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2

    แต่โอกาสยังไม่อำนวย หวยมาตกก็ตอนศูนย์อำนาจเก่าๆ พากันฉิบหาย หงายท้องหมด หลังสงคราม โลกครั้งที่ 2 นี่แหละ อเมริกาถึงเสนอแผนจัดโครงสร้างระเบียบโลกเสียใหม่ (New World Order) โดยเน้นที่พลังทุนนิยม ก็เป็นเศรษฐีนี่ มีปัญหาไหม ไม่นิยมทุนแล้วจะให้นิยมอะไร

    …อย่าลืมคาถา ทุน คือ อำนาจ อำนาจ คือ ทุน ง่ายๆ ตรงไปตรงมา

    ไม่ว่าจะเรียก New World Order หรือ Pax Americana หรือคำอะไรให้มันดูหรูหราเข้าใจยากจริงๆ แล้วมันก็คือแผนการล่าอาณานิคมยุคใหม่นั่นเอง โดยใช้ระบบทุนนิยม นำหน้าในการล่า เดี๋ยวก็มาถึงทุนนิยมสามานย์น่าใจเย็นไว้โยม

    ทุนจะมีก็ต้องค้าขาย เงินไม่ได้ตกลงมาจากฟ้าเหมือนฝนนะ จะค้าขายก็ต้องมีสินค้า สินค้ามาจากไหน มาจากการผลิต การผลิตต้องมีอะไรเป็นปัจจัย ต้องมีวัตถุดิบซีจ้ะ วัตถุดิบมาจากไหน ก็มาจากทรัพยากร ทรัพยากรมาจากไหน ก็ปล้นหรือต้มเขาเอาซีวุ้ย แหม กว่าจะโยงมาถึงคนเล่านิทานเกือบเป็นลม

    ดังนั้นนักสำรวจทรัพย์ของผู้อื่น ในคราบผู้เชี่ยวชาญ จึงเดินกันว่อน วิ่งกันพล่าน อุ๊ย ประเทศนี้ไอจองนะ ไอจะไปดูเอง เขาน่าสงสารนะ เห็นมีแต่ช้างเดินเต็มป่า วัวควายเต็มทุ่งนา

    ปี ค.ศ.1946 สงครามโลกครั้งที่ 2 เลิกหมาดๆ อเมริกาส่งผู้เชี่ยวชาญ มาทำการสำรวจสถานะของประเทศไทยและสรุปว่า ไทยแลนด์ เป็นประเทศที่ยังมีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ และยังมีความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจดียิ่ง อย่างเหลือเชื่อ (อย่างเหลือเชื่อนี่ ผมเติมเองครับ เพราะอ่านแล้วเหลือเชื่อ นี่ขนาดบริหารกันไปแดกกันไป ยังแกร่งอย่างนี้เลยนะ ถ้าตั้งอกตั้งใจบริหาร แม่อีหนูเอ๊ย ลูกหลานเราคงเรียนฟรี ถนนคงปูด้วยทองคำ อย่างที่ ท่านอจ.ศึกฤทธิ์ว่าไว้จริงๆ นะ)

    รายงานฉบับดังกล่าว ทำให้อเมริกาน้ำลายเยิ้มเมื่อมองประเทศไทย ไม่ต่างกับที่โอบามา มองคุณนายเอ๋อเมื่อตอนมาสำรวจประเทศไทย เมื่อปลายปี พ.ศ.2555 นั่นแหละ

    แล้วทำอย่างไร อเมริกาถึงจะได้กินอาหารจานอร่อยชื่อ ไทยแลนด์ แดนสวรรค์ สยามเมืองยิ้ม

    ไม่ยาก อเมริกาใหญ่ผงาดมาขนาดนี้ ไม่ใช่ทำเป็นแค่ขี้ม้าไล่ยิงอินเดียนแดงออกจากถิ่นเก่าของเขานะวุ้ย

    คนเล่านิทาน
    ตอน 1 : กำเนิดจิ๊กโก๋ เรารู้จักบ้านเมืองเราแค่ไหน เคย ถามตัวเองกันบ้างไหมครับ แล้วเคยมีเวลานึกสงสัยกันบ้างไหมว่า ทำไมบ้านเมืองเราถึงเละขนาดนี้ ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง การศึกษาและสังคม เรารู้จักบ้านเมืองของเรา แบบมักง่าย รู้จักผ่านมุมมอง และความคิดของสื่อ ทั้งสื่อไทย และสื่อเทศ และสื่อส่วนใหญ่ ก็ให้ข้อมูลข่าวสาร แบบฟอกย้อม จะโดยตั้งใจเพราะมีใบสั่ง หรือเพราะสมรรถนะของสื่อส่วนใหญ่ ต่ำถึงต่ำมาก แทบทั้งนั้น ข้อมูลอีกหลายส่วน ก็มาจากนักวิชาการ ที่ไม่ต่างกับสื่อ ถ้าไม่ขายตัว ก็อธิบายแบบท่องจำ จอแคบ จอแบนไม่มีมิติ มองมุมเดียว เพราะมันง่ายดี แล้วเราจะได้ความรู้ ความเข้าใจแบบไหนกัน นี่ยังไม่นับข้อมูลที่เกิดจาก การตอแหลของนักการเมือง และบรรดาข้าราชการ ที่ทำหน้าที่ขี้ข้านักการเมือง ซึ่งขอใช้คำว่า บัดซบ จึงจะตรงกับพฤติกรรม ตัวเราเองก็เลยติดนิสัย ที่จะมองอะไรแบบมักง่าย เมื่อเราไม่รู้ปัญหาที่แท้จริง ก็ไม่มีความเข้าใจจริง แล้วจะหาทางออก จะแก้ปัญหาได้อย่างไร ยิ่งแก้ก็เลยยิ่งพันยุ่งเละเทะ เหมือนลิงแก้แห ทำไมเราไม่มาทำความเข้าใจ ทำความรู้จักบ้านเมืองของเราอย่างจริงจังก่อน ด้วยการศึกษาขวนขวายด้วยตัวเอง ไม่ใช่ใช้แค่ตาดูหูฟังเอาจากสื่อจอแบน คำโกหกนักการเมืองหรือนักวิชาการ ประเภทมีความรู้เกินๆ ขาดๆ จะเข้าใจปัจจุบัน ก็ต้องรู้จักอดีตหรือประวัติศาสตร์ก่อน ไม่งั้นจะรู้ได้ยังไงว่า ต้นไม้ต้นไหนออกลูกเป็นพิษ แล้วก็อย่าทำตัวเป็นม้าแข่ง มองเห็นแต่ลู่วิ่งข้างหน้า หัดมองรอบตัว รู้จักเพื่อนบ้าน รู้จักโลกบ้าง ไม่ใช่จะมีแต่เธอ ฉัน ลูกเรา น้องหมา และน้ำเน่าในทีวี กับจิ้มข้อความไร้สาระ ส่งกันไปมาตามหน้าจอ ประเภท ส่ง 10 คน จะมีโชค ก่อนอื่นควรรู้จักโลกกว้างเสียก่อน ประเทศไทยไม่ใช่ตั้งอยู่โดด ๆ ประเทศเดียวเรามีเพื่อนบ้านร่วมทวีป ร่วมโลกอีกแยะ เรารู้จักเพื่อนร่วมโลก หรือ เพื่อนบ้านเราแค่ไหนกัน จะอยู่บ้านให้สบายใจ มันก็ควรจะรู้จักเสียหน่อยว่า ใครเป็นใครในซอย มีจิ๊กโก๋๋ยืนกร่าง เบ่งกล้ามอยู่ปากซอยหรือเปล่า ถ้ามีต้องรู้ว่ามันเป็นใคร ฝีไม้ลายมือขนาดไหน ของจริง หรือ ราคาคุย งั้นเรามาเริ่มต้น ด้วยการรู้จักจิ๊กโก๋๋ปากซอยกันซะหน่อยดีไหม รู้จักแล้ว จะได้รู้ว่าเราจะอยู่ในซอยนี้แบบไหน อยู่แบบตัวห่อหน้าเหี่ยว หรือ อยู่อย่างสบายใจ นี่บ้านกูนะ จะคบกับชาวซอยด้วยกันอย่าง ไร และแสดงท่าที หรือจัดการอย่างไรดีกับเจ้าจิ๊กโก๋๋ปากซอย และจะอ่านนิทานนี้ให้สนุก จะรู้จักโลกกว้าง ต้องรู้จักคาถาการครองโลก “อำนาจ คือ ทุน” และ “ทุน คือ อำนาจ” จำให้แม่น มันจะทำให้เราเข้าใจความเป็นไปของโลกนี้ ประเทศนี้ และทั้งหลาย ทั้งปวง ที่อยู่รอบตัวเราง่ายขึ้น สงครามโลกครั้งที่ 1 และ ครั้งที่ 2 เกิดขึ้นเพราะอะไร ประวัติศาสตร์ที่เขาเขียนให้เราเรียน สมัยเป็นนักเรียน เขาก็เขียนให้เราเข้าใจไปว่า มันเป็นเรื่องของการต้องการแผ่อำนาจของประเทศผู้รุกราน และประเทศผู้ถูกรุกรานก็จ๋อยสิ จำเป็นต้องสู้ หรือเข้าสู่สงครามกับเขาไปด้วย เพื่อเอาตัวรอด เพื่อรักษาความมั่นคงของประเทศตน แต่จริงๆ แล้ว มันเป็นอย่างนั้นแน่หรือ กลับไปอ่านคาถาครองโลกข้างต้นสัก 10 เที่ยว แล้วอ่านนิทานนี้ต่อ อาจจะรู้จักประวัติศาสตร์ ในมุมมองใหม่ สงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ.2482 (ค.ศ.1934) จบเอาปี พ.ศ.2488 (ค.ศ.1945) รวมเวลา 6ปี ตลอดเวลาการสู้รบ เขาใช้ทวีปยุโรปและเอเซียเป็นสนามประลองกำลัง พอเสร็จสงคราม ฝ่ายผู้แพ้สงครามเช่น เยอรมันและญี่ปุ่น ก็ถูกน็อกคาสนามบอบช้ำฉิบหาย ตามประสาผู้แพ้ ส่วนฝ่ายสัมพันธ มิตรผู้ชนะสงครามเช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส ยุโรป รัสเซีย และแม้แต่จีน ก็ใช่ว่าจะไม่ยับไม่เยิน แต่ละรายดูไม่จืดเชียว ยืนพิงเชือกเกือบนับ 10 เกือบทั้งนั้น ….มีแต่อเมริกาเท่านั้นแหละ ที่โดนแค่สอยคาง เรือรบล่มไม่กี่ลำ ที่เพิร์ล ฮาเบอร์ (Pearl Harbor) ฮาวาย ส่วนบ้านตัวที่ทวีปอเมริกาปลอดภัยดี ไม่มีบุบไม่มีย่น… แค่นี้ทำเป็นยั๊วะ ถือโอกาสประกาศสงครามกับญี่ปุ่น เข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตร (โอกาสทองมา แล้ว) เมื่อชนะสงครามอเมริกาจึงสถาปนาตนเองเป็นจิ๊กโก๋๋คุมซอย เป็นพี่เบิ้มดูแลโลกทั้งใบ นั่นไงมาแล้ว … จิ๊กโก๋๋ปากซอย! หลังจากการทำสงครามโลก เศรษฐกิจของแต่ละประเทศก็ตกต่ำล่มจม ความแตกต่างทางสังคมเห็นชัดขึ้น เกิดช่องว่างระหว่างคนรวยคนจนชัดเจน ไม่ต้องเอาแว่นมาขยาย ระบอบคอมมิวนิสต์ จึงเริ่มก่อตัวขึ้น ในบริเวณแถวรัสเซียและยุโรปตะวันออก เมื่อปี พ.ศ.2490 (ค.ศ.1947) อเมริกาในฐานะพี่เบิ้ม จึงกำหนดยุทธศาสตร์ปิดล้อม (Containment) ขึ้นมาและประกาศเป็นนโยบาย เรียกว่า Truman Doctrine โดยประธานาธิบดีแฮรี่ เอส ทรูแมน (Harry S Truman) (ดื้อ เหี้ยม!) เป้าหมายของยุทธศาสตร์นี้ หลักใหญ่มีแค่ 2 เรื่อง คือสร้างความมั่นคงและมั่งคั่งให้กับอเมริกาและพวก กับกีดกันไม่ให้สหภาพโซเวียตมีโอกาสยื่นหน้า เข้ามาสู่ศูนย์กลางเศรษฐกิจโลก นี่ล่ะธาตุแท้อเมริกา ร่วมรบด้วยกันมาดีๆ พอถึงเวลาไม่เป็นประชาธิปไตยตามแบบที่ตัวเองต้องการ ก็ออกอาการเหม็นหน้า อย่าเข้ามาใกล้นะ เดี๋ยวจะทำให้คนอื่นเขาติดโรคหมด Truman Doctrine นี้ อเมริกาจะใช้คนเดียวก็กลัวเหงา เลยจับประเทศแถวยุโรปมาเข้าร่วมโดย จัดตั้งเป็นองค์กรนาโต (NATO) ขึ้นมา ปัจจุบันมีทั้งหมด 28 ประเทศ กลุ่มประเทศที่ก่อตั้งและ/หรือเป็นประเทศหลักมี อเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส เบลเยี่ยม แคนาดา เดนมาร์ก ไอซแลนด์ อิตาลี เนเธอร์แลนด์ นอร์เวย์ กรีซ ตุรกี และเยอรมัน อเมริกาใช้นาโตเป็นขนมล่อยุโรปให้ผูกติดอยู่กับอเมริกามาจนถึงทุกวันนี้ เริ่มเห็นฝีมือการแบ่งขนม แบ่งค่ายของอเมริกาหรือยัง สูตรยอดนิยมของอเมริกา ที่ใช้มาตลอดคือ ล่อให้เหยื่อมารวมตัวกัน (อยู่ในคอก) ก่อนจะได้ดูแลง่าย จำไว้ให้ดี ด้านหนึ่ง อเมริกาจะออกหน้า สนับสนุนให้มีการรวมตัวของประชาชาติในเรื่องต่างๆ แต่อีกด้านอเมริกาก็จะสร้างเรื่อง โดยทางตรงหรือทางอ้อม ให้การรวมตัวนั้นมีปัญหา และแตกแยกกันเอง แข่งขันกันเอง ทะเลาะกันเอง เพื่อเป็นการเพิ่มบทบาทของพี่เบิ้ม ให้เป็นที่พึ่งพาขึ้นไปเรื่อยๆ (ต้นตำรับ value added! หรือจะเรียกให้ชัดคือ สร้างภาพ) ลองสังเกตดู พร้อมกับการเขยิบฐานะตัวเป็นพี่เบิ้ม อเมริกา ก็เริ่มทำตัวเป็นนักล่าอาณานิคมยุคใหม่ แทนนักล่ารุ่นเก่าที่กำลังนอนเลียแผล ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 นักล่าอาณานิคมตัวใหญ่แชมป์เก่าคือ อังกฤษ กร่างถึงขนาดประกาศว่า ดวงอาทิตย์ไม่มีวันตกที่จักรภพอังกฤษ ตามมาติดๆคือ ฝรั่งเศส คู่แค้นของไทย กะจะเขมือบไทยมาตลอด วางแผนมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์ แต่ที่อุกอาจสามานย์ ทำให้ไทยเจ็บช้ำจนกรมหลวงชุมพรฯ ต้องสักไว้ก็คือเหตุการณ์ ร.ศ.112 ในสมัยล้นเกล้าฯรัชกาลที่ 5 หวังว่ายังคงจำกันได้ หรือรู้จักแต่ ม112 นักล่า ที่มาเงียบๆ คอยเสียบ คอยเสี้ยม แล้วหยิบชิ้นปลามันคือ ฮอลันดา แต่นักล่า รุ่นเก๋าจริงๆ ต้องยกให้ สเปนและโปรตุเกศ แผนลึก อดทน และใจเย็น นักล่ายุคใหม่ ไม่ต้องการครอบครองดินแดน แบบนักล่ารุ่นเก่า แต่ต้องการกอบโกยทรัพยากรธรรมชาติที่สมบูรณ์เช่นน้ำมัน และแร่ธาตุสารพัด ของประเทศที่อุดมทรัพยากร แต่ด้อยปัญญา ของประเทศที่ยังไม่พัฒนา โดยเฉพาะในแถบอาเซีย และตะวันออกกลางที่ยังอุดมสมบูรณ์อยู่ ในขณะที่แถวยุโรปเริ่มร่อยหรอ ส่วนอเมริกานั้นยังมีอยู่แยะ แต่งุบงิบแอบเก็บไว้ไม่ให้ใครรู้ อย่าเข้าใจผิดว่าการล่าอาณานิคมยุคใหม่ จะใช้วิธียกทัพจับศึก ยึดดินแดนกันอย่างเมื่อก่อน รุ่นใหม่ ยุคใหม่นี่เขาทำกันเนียน ส่วนเครื่องมือในการล่าอาณานิคมยุคใหม่ เขาใช้ตามคาถายอดนิยม อำนาจ คือ ทุน และทุน คือ อำนาจ … ยังไม่เข้าใจใช่ไหม งั้นต้องอ่านต่อไป รบชนะมาหมาดๆ อำนาจล้นฟ้า บีบให้โลกยกย่องเป็นพี่เบิ้ม จะปล่อยให้โอกาสทองหลุดมือไปได้ยังไง พี่เบิ้มก็ต้องรีบเหยียด (มือยาวๆ อ้อมไปทั้งโลก โดยใช้วิธีการทั้งหลอก ทั้งล่อ เอาทุนนิยมมาล่อ เอาทุนเสรีมาจูง ให้ทุนมันเคลื่อนไหวอย่างเสรี ไม่มีอะไรมากักไง ไร้พรมแดนไงไม่ดีหรือ นายทุนก็ถลารับ แบบนี้มันก็ล้อมโลกได้โดยไม่รู้ตัวกัน คำว่าโลกาภิวัฒน์จึงเกิดขึ้น ชอบใช้กันนัก รู้ให้ทันแล้วกันว่าโลกาภิวัตน์ คืออะไร และเพื่อใคร ทุนนิยมเสรี มันเดินไปเองได้ที่ไหน ก็ต้องหาเครื่องมือให้ทุนมันเดินไปทั่วโลกได้ง่ายๆ เนียนๆ ดังนั้นหน่วย งานระหว่างประเทศ เช่น สหประชาชาติ (UN) ธนาคารโลก (World Bank) IMF WTO ฯลฯ และเหล่าบรรษัทข้ามชาติ ด้านการเงิน การค้า การอุตสาหกรรมต่างๆ จึงเกิดขึ้น หน่วยงานต่างๆ ดังกล่าว มีพี่เบิ้มและพวก เป็นเจ้าของหรือเป็นผู้กำกับทั้งนั้น รู้กันไหม สหประชาชาติ (UN) ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ.2488 (ค.ศ.1945) จากแนวคิดของผู้ชนะสงครามคือ พี่เบิ้มและอังกฤษคู่หู คือ มีคณะมนตรีถาวร 5 ประเทศ ไม่บอกก็น่าจะเดาออกนะ ว่าใครบ้าง ก็ผู้ชนะสงคราม นั่นแหละคือ อเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย และจีน (เห็นรายชื่ออย่างนี้ อย่าเพิ่งแปลกใจ ตอนนั้น พี่เบิ้มเขายังวุ่นอยู่กับสร้างบทให้ตัวเองเป็นใหญ่ เลยยังไม่มีเวลา ไปไล่บี้ว่าที่คู่แข่งของตัว) ผู้ควักกระเป๋าจ่ายเงินสนับสนุนการดำเนินงานของ UN ก็คือสมาชิก คงพอเดากันได้ว่าใครจ่ายเงินสนับสนุนUN สูงสุด ไม่น่าตอบผิดนะ ก็พี่เบิ้มอเมริกานั่นไง ไม่งั้นจะได้ตำแหน่งเป็นจิ๊กโก๋๋คุมซอยเหรอ ธนาคารโลก (World Bank) ก่อตั้งขึ้นพร้อมกับ IMF (International Monetary Fund) ในปี พ.ศ.2487 (ค.ศ.1944) แน่นอน ก็จากแนวคิดของพี่เบิ้ม อเมริกาและอังกฤษอีกนั่นแหละ สำนักงานใหญ่ขอทั้ง 2 องค์กร ตั้งอยู่ที่วอชิงตัน ดี ซี ของพี่เบิ้ม เงินสนับสนุนส่วนใหญ่มาจากประเทศสมาชิก แต่ผู้ที่ควักกระเป๋าหนักที่สุดก็ เหมือนเดิมคือ พี่เบิ้ม อเมริกา คิดกันต่อแล้วกันอย่างนี้ แปลว่า พี่เบิ้มใจดีชะมัดหรือพี่เบิ้มกำลังท่องคาถา อำนาจ คือ ทุน ทุน คือ อำนาจ…. ลงทุนจิ๊บจ๊อย เดี๋ยวก็ได้คืนทั้งโลก 555 ไปเปิดอากู (Google) ดู แล้วกัน ประธานธนาคารโลกตั้งกะก่อตั้ง (ค.ศ.1946) มาจนถึงปัจจุบัน (ค.ศ.2016) เป็นคนสัญชาติอเมริกันทั้งหมด …อาจมีคนโวย ไม่ใช่นะ คนสุดท้าย เจ้าจิม ยอง คิม (Jim Yong Kim) เป็นเกาหลีต่างหาก …เป็นเกาหลีแต่ถือสัญชาติอเมริกันครับผม …อืม เริ่มเห็นภาพลางๆ บ้างหรือยัง ครับ อันที่จริงระบบทุนนิยมมีมานานแล้วนะ แต่การขยายตัวทำได้ช้า เพราะต้องพึ่งการคมนาคมและการสื่อสาร ดังนั้นทุนนิยมยุคโบราณจึงเดินทางโดยเรือ รถไฟ ม้า อูฐ และนกพิราบ (ฮา!) ก็ตอนนั้นยังไม่มีเครื่องบิน โทรเลข โทรศัพท์ มือถือ ดาวเทียม Swift 3จี 4จี Wi-Fi ฯลฯ อะไรนี่นะ ทุนนิยมโลกไม่ได้ขึ้นอยู่กับเขตดินแดน แต่ขึ้นกับศูนย์อำนาจในแต่ละช่วงเวลานั้น เช่น ฮอลันดาเป็นศูนย์ กลางของทุนนิยม สมัยศตวรรษที่ 17 ก็เล่นล่าตั้งกะอินโดนีเซียยันไปถึงอาฟริกา ต่อมาศูนย์อำนาจก็ย้ายไปอยู่ที่อังกฤษ เจ้าของคำกร่างว่า พระอาทิตย์ไม่ตกดินที่อังกฤษ จนมาถึงช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 พี่เบิ้มอเมริกา ถึงได้ขึ้นแท่นเป็น นัมเบอร์วัน ของศูนย์อำนาจ ไชโย! ตาไอแล้ว อเมริกา คิดเรื่องระบบทุนนิยมและกลไก ที่จะทำให้ตนเป็นศูนย์อำนาจ มาตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่โอกาสยังไม่อำนวย หวยมาตกก็ตอนศูนย์อำนาจเก่าๆ พากันฉิบหาย หงายท้องหมด หลังสงคราม โลกครั้งที่ 2 นี่แหละ อเมริกาถึงเสนอแผนจัดโครงสร้างระเบียบโลกเสียใหม่ (New World Order) โดยเน้นที่พลังทุนนิยม ก็เป็นเศรษฐีนี่ มีปัญหาไหม ไม่นิยมทุนแล้วจะให้นิยมอะไร …อย่าลืมคาถา ทุน คือ อำนาจ อำนาจ คือ ทุน ง่ายๆ ตรงไปตรงมา ไม่ว่าจะเรียก New World Order หรือ Pax Americana หรือคำอะไรให้มันดูหรูหราเข้าใจยากจริงๆ แล้วมันก็คือแผนการล่าอาณานิคมยุคใหม่นั่นเอง โดยใช้ระบบทุนนิยม นำหน้าในการล่า เดี๋ยวก็มาถึงทุนนิยมสามานย์น่าใจเย็นไว้โยม ทุนจะมีก็ต้องค้าขาย เงินไม่ได้ตกลงมาจากฟ้าเหมือนฝนนะ จะค้าขายก็ต้องมีสินค้า สินค้ามาจากไหน มาจากการผลิต การผลิตต้องมีอะไรเป็นปัจจัย ต้องมีวัตถุดิบซีจ้ะ วัตถุดิบมาจากไหน ก็มาจากทรัพยากร ทรัพยากรมาจากไหน ก็ปล้นหรือต้มเขาเอาซีวุ้ย แหม กว่าจะโยงมาถึงคนเล่านิทานเกือบเป็นลม ดังนั้นนักสำรวจทรัพย์ของผู้อื่น ในคราบผู้เชี่ยวชาญ จึงเดินกันว่อน วิ่งกันพล่าน อุ๊ย ประเทศนี้ไอจองนะ ไอจะไปดูเอง เขาน่าสงสารนะ เห็นมีแต่ช้างเดินเต็มป่า วัวควายเต็มทุ่งนา ปี ค.ศ.1946 สงครามโลกครั้งที่ 2 เลิกหมาดๆ อเมริกาส่งผู้เชี่ยวชาญ มาทำการสำรวจสถานะของประเทศไทยและสรุปว่า ไทยแลนด์ เป็นประเทศที่ยังมีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ และยังมีความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจดียิ่ง อย่างเหลือเชื่อ (อย่างเหลือเชื่อนี่ ผมเติมเองครับ เพราะอ่านแล้วเหลือเชื่อ นี่ขนาดบริหารกันไปแดกกันไป ยังแกร่งอย่างนี้เลยนะ ถ้าตั้งอกตั้งใจบริหาร แม่อีหนูเอ๊ย ลูกหลานเราคงเรียนฟรี ถนนคงปูด้วยทองคำ อย่างที่ ท่านอจ.ศึกฤทธิ์ว่าไว้จริงๆ นะ) รายงานฉบับดังกล่าว ทำให้อเมริกาน้ำลายเยิ้มเมื่อมองประเทศไทย ไม่ต่างกับที่โอบามา มองคุณนายเอ๋อเมื่อตอนมาสำรวจประเทศไทย เมื่อปลายปี พ.ศ.2555 นั่นแหละ แล้วทำอย่างไร อเมริกาถึงจะได้กินอาหารจานอร่อยชื่อ ไทยแลนด์ แดนสวรรค์ สยามเมืองยิ้ม ไม่ยาก อเมริกาใหญ่ผงาดมาขนาดนี้ ไม่ใช่ทำเป็นแค่ขี้ม้าไล่ยิงอินเดียนแดงออกจากถิ่นเก่าของเขานะวุ้ย คนเล่านิทาน
    1 Comments 0 Shares 461 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากกฎเกณฑ์ด้านเน็ต: เมื่อ “ความเร็วสูง” กลายเป็นเรื่องการเมืองและการพัฒนาเทคโนโลยี

    ในปี 2024 รัฐบาลสหรัฐฯ โดยฝ่ายบริหาร Biden เสนอให้มีการตั้งเป้าหมายระยะยาวเรื่อง “gigabit internet” สำหรับประชาชนทุกกลุ่ม — โดยใช้เป็นกรอบในการออกนโยบายด้าน universal access และสนับสนุนผู้ให้บริการ

    แต่ในเอกสาร Fact Sheet ของ FCC เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2025 ที่เกี่ยวกับการทบทวนการเข้าถึงบริการโทรคมนาคมขั้นสูง (ตาม Section 706) Brendan Carr ได้แสดงความกังวลว่า:

    เป้าหมาย gigabit อาจเป็นการ “เลือกปฏิบัติต่อเทคโนโลยี” เช่นดาวเทียมหรือ wireless ที่ยังไม่สามารถวิ่งที่ 1,000/500 Mbps ได้

    อาจผิดหลัก “เทคโนโลยีเป็นกลาง” ที่กฎหมายกำหนดไว้

    ควรปรับเป้าหมายตาม “ความคืบหน้าเชิงเทคโนโลยี” ไม่ใช่กำหนดล่วงหน้าว่าทุกคนต้องใช้ความเร็วเดียวกัน

    นอกจากนี้ Carr ยังไม่เห็นด้วยกับการใช้เกณฑ์หลายด้านในการประเมิน เช่น:
    - ความสามารถในการเข้าถึง
    - ความสามารถในการใช้งาน
    - ความเท่าเทียมกัน
    - ราคาและการยอมรับใช้งาน

    โดยมองว่าอาจเบี่ยงเบนจากเจตนารมณ์ดั้งเดิมของ Section 706 ที่เน้นความคืบหน้าในการเข้าถึงอย่างแท้จริง

    FCC เตรียมลงคะแนนข้อเสนอของ Brendan Carr ในวันที่ 7 สิงหาคม 2025
    เพื่อตัดสินใจว่าจะปรับเป้าหมาย gigabit internet หรือไม่

    Carr เสนอให้ยกเลิกการกำหนดเป้าหมายระยะยาว 1,000/500 Mbps
    โดยมองว่าไม่ควรเลือกปฏิบัติต่อเทคโนโลยีบางประเภทที่ยังไม่ถึงระดับนั้น

    FCC ระบุว่าการกำหนดเป้าหมายเร็วไปอาจขัดหลัก “เทคโนโลยีเป็นกลาง”
    เช่น satellite และ fixed wireless อาจได้รับผลกระทบทางนโยบาย

    เป้าหมาย gigabit มาจากแผนของรัฐบาล Biden ปี 2024 ที่เน้น universal access
    โดยใช้เป็นกรอบสำหรับการสนับสนุนเงินทุนจากภาครัฐ

    Carr เสนอให้การประเมินของ FCC เน้น “ความคืบหน้าในการ deploy” มากกว่า “การเข้าถึงครบ”
    เพื่อสะท้อนความจริงของการพัฒนาระบบแทนการตั้งมาตรฐานล่วงหน้า

    FCC ต้องทำการสอบสวนทุกปีตามกฎหมาย Telecommunications Act of 1996, Section 706
    การเปลี่ยนเป้าหมายในปีนี้อาจมีผลต่อการสนับสนุน ISP และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/fcc-proposal-aims-to-nix-long-term-gigabit-internet-speed-goals-pricing-analysis
    🎙️ เรื่องเล่าจากกฎเกณฑ์ด้านเน็ต: เมื่อ “ความเร็วสูง” กลายเป็นเรื่องการเมืองและการพัฒนาเทคโนโลยี ในปี 2024 รัฐบาลสหรัฐฯ โดยฝ่ายบริหาร Biden เสนอให้มีการตั้งเป้าหมายระยะยาวเรื่อง “gigabit internet” สำหรับประชาชนทุกกลุ่ม — โดยใช้เป็นกรอบในการออกนโยบายด้าน universal access และสนับสนุนผู้ให้บริการ แต่ในเอกสาร Fact Sheet ของ FCC เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2025 ที่เกี่ยวกับการทบทวนการเข้าถึงบริการโทรคมนาคมขั้นสูง (ตาม Section 706) Brendan Carr ได้แสดงความกังวลว่า: เป้าหมาย gigabit อาจเป็นการ “เลือกปฏิบัติต่อเทคโนโลยี” เช่นดาวเทียมหรือ wireless ที่ยังไม่สามารถวิ่งที่ 1,000/500 Mbps ได้ อาจผิดหลัก “เทคโนโลยีเป็นกลาง” ที่กฎหมายกำหนดไว้ ควรปรับเป้าหมายตาม “ความคืบหน้าเชิงเทคโนโลยี” ไม่ใช่กำหนดล่วงหน้าว่าทุกคนต้องใช้ความเร็วเดียวกัน นอกจากนี้ Carr ยังไม่เห็นด้วยกับการใช้เกณฑ์หลายด้านในการประเมิน เช่น: - ความสามารถในการเข้าถึง - ความสามารถในการใช้งาน - ความเท่าเทียมกัน - ราคาและการยอมรับใช้งาน โดยมองว่าอาจเบี่ยงเบนจากเจตนารมณ์ดั้งเดิมของ Section 706 ที่เน้นความคืบหน้าในการเข้าถึงอย่างแท้จริง ✅ FCC เตรียมลงคะแนนข้อเสนอของ Brendan Carr ในวันที่ 7 สิงหาคม 2025 ➡️ เพื่อตัดสินใจว่าจะปรับเป้าหมาย gigabit internet หรือไม่ ✅ Carr เสนอให้ยกเลิกการกำหนดเป้าหมายระยะยาว 1,000/500 Mbps ➡️ โดยมองว่าไม่ควรเลือกปฏิบัติต่อเทคโนโลยีบางประเภทที่ยังไม่ถึงระดับนั้น ✅ FCC ระบุว่าการกำหนดเป้าหมายเร็วไปอาจขัดหลัก “เทคโนโลยีเป็นกลาง” ➡️ เช่น satellite และ fixed wireless อาจได้รับผลกระทบทางนโยบาย ✅ เป้าหมาย gigabit มาจากแผนของรัฐบาล Biden ปี 2024 ที่เน้น universal access ➡️ โดยใช้เป็นกรอบสำหรับการสนับสนุนเงินทุนจากภาครัฐ ✅ Carr เสนอให้การประเมินของ FCC เน้น “ความคืบหน้าในการ deploy” มากกว่า “การเข้าถึงครบ” ➡️ เพื่อสะท้อนความจริงของการพัฒนาระบบแทนการตั้งมาตรฐานล่วงหน้า ✅ FCC ต้องทำการสอบสวนทุกปีตามกฎหมาย Telecommunications Act of 1996, Section 706 ➡️ การเปลี่ยนเป้าหมายในปีนี้อาจมีผลต่อการสนับสนุน ISP และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน https://www.tomshardware.com/tech-industry/fcc-proposal-aims-to-nix-long-term-gigabit-internet-speed-goals-pricing-analysis
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    FCC proposal aims to nix long-term gigabit internet speed goals, pricing analysis
    An FCC proposal seeks to undo the Biden administration's efforts to encourage increased availability of gigabit download speeds.
    0 Comments 0 Shares 240 Views 0 Reviews
  • จะเอาให้ได้ สว.สีน้ำเงิน เสนอชื่อ สราวุธ ทรงศิวิไล เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญคนใหม่ ทั้งที่ตลอดชีวิตข้าราชการก็อยู่แต่กระทรวงคมนาคม แถมผงาดขึ้นเป็นอธิบดีกรมทางหลวงในยุคศักดิ์สยาม ชิดชอบ
    #คิงส์โพธิ์แดง
    จะเอาให้ได้ สว.สีน้ำเงิน เสนอชื่อ สราวุธ ทรงศิวิไล เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญคนใหม่ ทั้งที่ตลอดชีวิตข้าราชการก็อยู่แต่กระทรวงคมนาคม แถมผงาดขึ้นเป็นอธิบดีกรมทางหลวงในยุคศักดิ์สยาม ชิดชอบ #คิงส์โพธิ์แดง
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 258 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: เมื่ออดีตทหารแฮก AT&T ขู่รัฐบาลด้วยข้อมูลโทรศัพท์

    Cameron John Wagenius ใช้นามแฝง “kiberphant0m” และ “cyb3rph4nt0m” ในการเจาะระบบคลาวด์ของ AT&T และ Verizon ระหว่างเดือนเมษายน 2023 ถึงธันวาคม 2024 โดยบางส่วนของการโจมตียังเกิดขึ้นขณะเขายังรับราชการในกองทัพสหรัฐฯ

    เขาเข้าถึงข้อมูลการโทรและข้อความของผู้ใช้นับล้านคน รวมถึงข้อมูลของเจ้าหน้าที่ระดับสูง เช่น ประธานาธิบดี Donald Trump ซึ่งเขาเคยโอ้อวดบนโลกออนไลน์จนถูกจับใกล้ฐานทัพในรัฐเท็กซัสเมื่อปลายปี 2024

    Wagenius ยอมรับสารภาพในข้อหาหลายกระทง ได้แก่:
    - การฉ้อโกงผ่านระบบสื่อสาร (wire fraud)
    - การขู่กรรโชก (extortion)
    - การขโมยข้อมูลส่วนบุคคล (identity theft)
    - การโอนข้อมูลโทรศัพท์อย่างผิดกฎหมาย

    เขาอาจต้องรับโทษจำคุกสูงสุดถึง 27 ปี โดยจะเริ่มพิจารณาโทษในวันที่ 6 ตุลาคม 2025

    ข้อมูลที่ถูกขโมยมาจากระบบคลาวด์ของ Snowflake ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ AT&T ใช้จัดเก็บข้อมูล โดยบริษัทออกมายืนยันว่าข้อมูลของลูกค้าเกือบทั้งหมดได้รับผลกระทบ

    Cameron John Wagenius แฮกระบบคลาวด์ของ AT&T และ Verizon
    ใช้นามแฝง “kiberphant0m” และ “cyb3rph4nt0m” ระหว่างปี 2023–2024

    ขโมยข้อมูลการโทรและข้อความของผู้ใช้นับล้าน
    รวมถึงข้อมูลของเจ้าหน้าที่ระดับสูง เช่น ประธานาธิบดี Trump

    ถูกจับใกล้ฐานทัพในรัฐเท็กซัสหลังโอ้อวดบนโลกออนไลน์
    นำไปสู่การสอบสวนและจับกุมโดยหน่วยงานกลาง

    ยอมรับสารภาพในข้อหาฉ้อโกง ขู่กรรโชก และขโมยข้อมูล
    อาจต้องรับโทษจำคุกสูงสุด 27 ปี เริ่มพิจารณาโทษ 6 ตุลาคม 2025

    ข้อมูลถูกขโมยจากระบบคลาวด์ Snowflake ที่ AT&T ใช้งาน
    บริษัทยืนยันว่าข้อมูลลูกค้าเกือบทั้งหมดได้รับผลกระทบ

    เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยยกให้เป็น “ชัยชนะครั้งใหญ่” ในการต่อสู้กับอาชญากรรมไซเบอร์
    เป็นหนึ่งในการจับกุมที่เร็วที่สุดในระดับรัฐบาลกลาง

    การใช้ระบบคลาวด์โดยไม่มีการป้องกันที่เพียงพอเสี่ยงต่อการถูกเจาะ
    โดยเฉพาะเมื่อจัดเก็บข้อมูลสำคัญของผู้ใช้งานจำนวนมาก

    การโอ้อวดหรือเปิดเผยข้อมูลที่แฮกได้บนโลกออนไลน์อาจนำไปสู่การจับกุม
    แต่ก็แสดงถึงความประมาทของผู้ก่อเหตุที่อาจทำให้การสืบสวนง่ายขึ้น

    การขู่กรรโชกเจ้าหน้าที่ระดับสูงเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ
    อาจนำไปสู่การเพิ่มมาตรการควบคุมข้อมูลในระดับรัฐบาล

    ผู้ใช้บริการโทรคมนาคมอาจสูญเสียความเชื่อมั่นในผู้ให้บริการ
    โดยเฉพาะเมื่อข้อมูลส่วนตัวถูกละเมิดในระดับใหญ่

    https://wccftech.com/ex-army-soldier-pleads-guilty-to-att-cloud-hack-massive-call-data-breach-and-500k-extortion-threat-targeting-high-level-government-officials/
    🎙️ เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: เมื่ออดีตทหารแฮก AT&T ขู่รัฐบาลด้วยข้อมูลโทรศัพท์ Cameron John Wagenius ใช้นามแฝง “kiberphant0m” และ “cyb3rph4nt0m” ในการเจาะระบบคลาวด์ของ AT&T และ Verizon ระหว่างเดือนเมษายน 2023 ถึงธันวาคม 2024 โดยบางส่วนของการโจมตียังเกิดขึ้นขณะเขายังรับราชการในกองทัพสหรัฐฯ เขาเข้าถึงข้อมูลการโทรและข้อความของผู้ใช้นับล้านคน รวมถึงข้อมูลของเจ้าหน้าที่ระดับสูง เช่น ประธานาธิบดี Donald Trump ซึ่งเขาเคยโอ้อวดบนโลกออนไลน์จนถูกจับใกล้ฐานทัพในรัฐเท็กซัสเมื่อปลายปี 2024 Wagenius ยอมรับสารภาพในข้อหาหลายกระทง ได้แก่: - การฉ้อโกงผ่านระบบสื่อสาร (wire fraud) - การขู่กรรโชก (extortion) - การขโมยข้อมูลส่วนบุคคล (identity theft) - การโอนข้อมูลโทรศัพท์อย่างผิดกฎหมาย เขาอาจต้องรับโทษจำคุกสูงสุดถึง 27 ปี โดยจะเริ่มพิจารณาโทษในวันที่ 6 ตุลาคม 2025 ข้อมูลที่ถูกขโมยมาจากระบบคลาวด์ของ Snowflake ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ AT&T ใช้จัดเก็บข้อมูล โดยบริษัทออกมายืนยันว่าข้อมูลของลูกค้าเกือบทั้งหมดได้รับผลกระทบ ✅ Cameron John Wagenius แฮกระบบคลาวด์ของ AT&T และ Verizon ➡️ ใช้นามแฝง “kiberphant0m” และ “cyb3rph4nt0m” ระหว่างปี 2023–2024 ✅ ขโมยข้อมูลการโทรและข้อความของผู้ใช้นับล้าน ➡️ รวมถึงข้อมูลของเจ้าหน้าที่ระดับสูง เช่น ประธานาธิบดี Trump ✅ ถูกจับใกล้ฐานทัพในรัฐเท็กซัสหลังโอ้อวดบนโลกออนไลน์ ➡️ นำไปสู่การสอบสวนและจับกุมโดยหน่วยงานกลาง ✅ ยอมรับสารภาพในข้อหาฉ้อโกง ขู่กรรโชก และขโมยข้อมูล ➡️ อาจต้องรับโทษจำคุกสูงสุด 27 ปี เริ่มพิจารณาโทษ 6 ตุลาคม 2025 ✅ ข้อมูลถูกขโมยจากระบบคลาวด์ Snowflake ที่ AT&T ใช้งาน ➡️ บริษัทยืนยันว่าข้อมูลลูกค้าเกือบทั้งหมดได้รับผลกระทบ ✅ เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยยกให้เป็น “ชัยชนะครั้งใหญ่” ในการต่อสู้กับอาชญากรรมไซเบอร์ ➡️ เป็นหนึ่งในการจับกุมที่เร็วที่สุดในระดับรัฐบาลกลาง ‼️ การใช้ระบบคลาวด์โดยไม่มีการป้องกันที่เพียงพอเสี่ยงต่อการถูกเจาะ ⛔ โดยเฉพาะเมื่อจัดเก็บข้อมูลสำคัญของผู้ใช้งานจำนวนมาก ‼️ การโอ้อวดหรือเปิดเผยข้อมูลที่แฮกได้บนโลกออนไลน์อาจนำไปสู่การจับกุม ⛔ แต่ก็แสดงถึงความประมาทของผู้ก่อเหตุที่อาจทำให้การสืบสวนง่ายขึ้น ‼️ การขู่กรรโชกเจ้าหน้าที่ระดับสูงเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ ⛔ อาจนำไปสู่การเพิ่มมาตรการควบคุมข้อมูลในระดับรัฐบาล ‼️ ผู้ใช้บริการโทรคมนาคมอาจสูญเสียความเชื่อมั่นในผู้ให้บริการ ⛔ โดยเฉพาะเมื่อข้อมูลส่วนตัวถูกละเมิดในระดับใหญ่ https://wccftech.com/ex-army-soldier-pleads-guilty-to-att-cloud-hack-massive-call-data-breach-and-500k-extortion-threat-targeting-high-level-government-officials/
    WCCFTECH.COM
    Ex-Army Soldier Pleads Guilty To AT&T Cloud Hack, Massive Call Data Breach, And $500K Extortion Threat Targeting High-Level Government Officials
    AT&T and Verizon had their internal systems exploited by an ex-army soldier who has now pleaded guilty to the charges against him
    0 Comments 0 Shares 443 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากโลกใต้น้ำ: สหรัฐฯ เตรียมห้ามเทคโนโลยีจีนในสายเคเบิลสื่อสารระหว่างประเทศ

    สายเคเบิลใต้น้ำเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่รับส่งข้อมูลอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศถึง 99% แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีรายงานว่าจีนมีบทบาทในเหตุการณ์ที่สายเคเบิลถูกตัดหรือถูกแทรกแซง เช่น:

    - ปี 2023: ไต้หวันกล่าวหาจีนว่าตัดสายเคเบิลอินเทอร์เน็ตของเกาะ Matsu
    - ปี 2024: สายเคเบิลระหว่างฟินแลนด์และเอสโตเนียถูกตัดโดยเรือบรรทุกน้ำมันที่เชื่อว่าเป็น “เรือเงา” ของจีน
    - ปี 2025: มีรายงานว่าจีนพัฒนาอุปกรณ์ตัดสายเคเบิลใต้น้ำที่ลึกถึง 4,000 เมตร

    เพื่อรับมือกับภัยคุกคามเหล่านี้ FCC เตรียมออกกฎใหม่ที่ห้ามบริษัทใด ๆ เชื่อมต่อสายเคเบิลใต้น้ำกับสหรัฐฯ หากใช้เทคโนโลยีจากบริษัทจีน เช่น Huawei และ ZTE ซึ่งอยู่ใน “entity list” ของ FCC

    กฎใหม่ยังรวมถึงการจำกัดการออกใบอนุญาตให้บริษัทจีนสร้างหรือดำเนินการสายเคเบิล, การจำกัดข้อตกลงเช่าความจุ, และการส่งเสริมการใช้เรือซ่อมสายเคเบิลของสหรัฐฯ รวมถึงเทคโนโลยีที่ “เชื่อถือได้” จากพันธมิตรต่างประเทศ

    FCC เตรียมออกกฎห้ามใช้เทคโนโลยีจีนในสายเคเบิลใต้น้ำที่เชื่อมต่อกับสหรัฐฯ
    เพื่อป้องกันภัยคุกคามด้านความมั่นคงจากต่างชาติ โดยเฉพาะจีน

    กฎใหม่จะใช้กับบริษัทใน “entity list” เช่น Huawei และ ZTE
    ซึ่งเคยถูกสั่งให้ถอนจากโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมในสหรัฐฯ

    จะมีการจำกัดการออกใบอนุญาตให้บริษัทจีนสร้างหรือดำเนินการสายเคเบิล
    รวมถึงจำกัดข้อตกลงเช่าความจุและการเข้าถึงระบบ

    FCC ต้องการส่งเสริมการใช้เรือซ่อมสายเคเบิลของสหรัฐฯ
    และเทคโนโลยีที่เชื่อถือได้จากพันธมิตรต่างประเทศ

    สายเคเบิลใต้น้ำรับส่งข้อมูลอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศถึง 99%
    เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญต่อเศรษฐกิจและความมั่นคง

    การห้ามเทคโนโลยีจีนอาจกระทบต่อความร่วมมือระหว่างประเทศ
    โดยเฉพาะในโครงการสายเคเบิลที่มีหลายประเทศร่วมลงทุน

    การจำกัดใบอนุญาตอาจทำให้การขยายโครงสร้างพื้นฐานล่าช้า
    ส่งผลต่อการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศในบางภูมิภาค

    การกล่าวหาจีนว่าเป็นภัยคุกคามอาจเพิ่มความตึงเครียดทางการเมือง
    โดยเฉพาะเมื่อยังไม่มีหลักฐานทางเทคนิคที่เปิดเผยต่อสาธารณะ

    การพัฒนาอุปกรณ์ตัดสายเคเบิลใต้น้ำอาจนำไปสู่การแข่งขันด้านอาวุธไซเบอร์
    เพิ่มความเสี่ยงต่อโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลทั่วโลก

    https://www.techspot.com/news/108705-fcc-moves-ban-chinese-tech-undersea-cables.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากโลกใต้น้ำ: สหรัฐฯ เตรียมห้ามเทคโนโลยีจีนในสายเคเบิลสื่อสารระหว่างประเทศ สายเคเบิลใต้น้ำเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่รับส่งข้อมูลอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศถึง 99% แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีรายงานว่าจีนมีบทบาทในเหตุการณ์ที่สายเคเบิลถูกตัดหรือถูกแทรกแซง เช่น: - ปี 2023: ไต้หวันกล่าวหาจีนว่าตัดสายเคเบิลอินเทอร์เน็ตของเกาะ Matsu - ปี 2024: สายเคเบิลระหว่างฟินแลนด์และเอสโตเนียถูกตัดโดยเรือบรรทุกน้ำมันที่เชื่อว่าเป็น “เรือเงา” ของจีน - ปี 2025: มีรายงานว่าจีนพัฒนาอุปกรณ์ตัดสายเคเบิลใต้น้ำที่ลึกถึง 4,000 เมตร เพื่อรับมือกับภัยคุกคามเหล่านี้ FCC เตรียมออกกฎใหม่ที่ห้ามบริษัทใด ๆ เชื่อมต่อสายเคเบิลใต้น้ำกับสหรัฐฯ หากใช้เทคโนโลยีจากบริษัทจีน เช่น Huawei และ ZTE ซึ่งอยู่ใน “entity list” ของ FCC กฎใหม่ยังรวมถึงการจำกัดการออกใบอนุญาตให้บริษัทจีนสร้างหรือดำเนินการสายเคเบิล, การจำกัดข้อตกลงเช่าความจุ, และการส่งเสริมการใช้เรือซ่อมสายเคเบิลของสหรัฐฯ รวมถึงเทคโนโลยีที่ “เชื่อถือได้” จากพันธมิตรต่างประเทศ ✅ FCC เตรียมออกกฎห้ามใช้เทคโนโลยีจีนในสายเคเบิลใต้น้ำที่เชื่อมต่อกับสหรัฐฯ ➡️ เพื่อป้องกันภัยคุกคามด้านความมั่นคงจากต่างชาติ โดยเฉพาะจีน ✅ กฎใหม่จะใช้กับบริษัทใน “entity list” เช่น Huawei และ ZTE ➡️ ซึ่งเคยถูกสั่งให้ถอนจากโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมในสหรัฐฯ ✅ จะมีการจำกัดการออกใบอนุญาตให้บริษัทจีนสร้างหรือดำเนินการสายเคเบิล ➡️ รวมถึงจำกัดข้อตกลงเช่าความจุและการเข้าถึงระบบ ✅ FCC ต้องการส่งเสริมการใช้เรือซ่อมสายเคเบิลของสหรัฐฯ ➡️ และเทคโนโลยีที่เชื่อถือได้จากพันธมิตรต่างประเทศ ✅ สายเคเบิลใต้น้ำรับส่งข้อมูลอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศถึง 99% ➡️ เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญต่อเศรษฐกิจและความมั่นคง ‼️ การห้ามเทคโนโลยีจีนอาจกระทบต่อความร่วมมือระหว่างประเทศ ⛔ โดยเฉพาะในโครงการสายเคเบิลที่มีหลายประเทศร่วมลงทุน ‼️ การจำกัดใบอนุญาตอาจทำให้การขยายโครงสร้างพื้นฐานล่าช้า ⛔ ส่งผลต่อการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศในบางภูมิภาค ‼️ การกล่าวหาจีนว่าเป็นภัยคุกคามอาจเพิ่มความตึงเครียดทางการเมือง ⛔ โดยเฉพาะเมื่อยังไม่มีหลักฐานทางเทคนิคที่เปิดเผยต่อสาธารณะ ‼️ การพัฒนาอุปกรณ์ตัดสายเคเบิลใต้น้ำอาจนำไปสู่การแข่งขันด้านอาวุธไซเบอร์ ⛔ เพิ่มความเสี่ยงต่อโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลทั่วโลก https://www.techspot.com/news/108705-fcc-moves-ban-chinese-tech-undersea-cables.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    FCC moves to ban Chinese tech from undersea cables
    According to a statement from FCC Chairman Brendan Carr, the FCC will vote on rules to "unleash submarine cable investment to accelerate the buildout of AI infrastructure,...
    0 Comments 0 Shares 331 Views 0 Reviews
  • เริ่มนับหนึ่ง MRT3 Circle Line รถไฟฟ้าวงแหวนรอบนอก KL

    หลังจากประเทศมาเลเซียพัฒนารถไฟฟ้าไปทั่วกรุงกัวลาลัมเปอร์และหุบเขาแคลงมาแล้ว 12 เส้นทาง ล่าสุดโครงการรถไฟฟ้า MRT3 Circle Line ของบริษัท มาเลเซีย แรพิด ทรานซิท คอร์ปอเรชัน (MRT Corp) นายแอนโทนี่ โลค รมว.คมนาคมมาเลเซีย ได้อนุมัติลงนามโครงการในขั้นตอนสุดท้ายเรียบร้อยแล้ว หลังเปิดรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน 45,000 ราย พบว่ามีผู้สนับสนุนโครงการ 93.3% นับจากนี้จะเริ่มกระบวนการจัดซื้อที่ดินตามแนวเส้นทาง 690 แปลงภายในปี 2569 ก่อนประกวดราคาและก่อสร้างต่อไป

    สำหรับโครงการรถไฟฟ้า MRT3 Circle Line มีระยะทาง 51 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางวนรอบ 73 นาที แบ่งเป็นทางรถไฟยกระดับ 39 กิโลเมตร และทางรถไฟใต้ดิน 12 กิโลเมตร เริ่มต้นจากสถานีบูกิต เคียรา เซลาตัน (Bukit Kiara Selatan) เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้า MRT Kajang Line วนตามเข็มนาฬิกาจากทิศตะวันตกไปทางทิศตะวันออก มีสถานีทั้งหมด 32 สถานี แบ่งเป็นสถานียกระดับ 22 สถานี สถานีใต้ดิน 7 สถานี รองรับผู้โดยสาร 25,000 คนต่อชั่วโมงต่อทิศทาง ให้บริการผู้โดยสารรอบนอกกรุงกัวลาลัมเปอร์ และเชื่อมต่อเส้นทางรถไฟฟ้าสายอื่นแบบบูรณาการ สามารถเดินทางระหว่างกันได้อย่างราบรื่น

    เชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายต่างๆ ได้แก่ สถานีคอมเพล็กซ์ ดูตา (Kompleks Duta) เชื่อมต่อรถไฟ KTM Tanjung Malim-Port Klang Line, สถานีตีตี้วังซา (Titiwangsa) เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้า 4 สาย ได้แก่ LRT Ampang Line, LRT Sri Petaling Line, KL Monorail Line and MRT Putrajaya Line, สถานีเซเตียวังซา (Setiawangsa) เชื่อมต่อรถไฟ LRT Kelana Jaya Line, สถานีพันดัน อินดาห์ (Pandan Indah) เชื่อมต่อรถไฟฟ้า LRT Ampang Line,

    สถานีตามันมิดาห์ (Taman Midah) เชื่อมต่อรถไฟ MRT Kajang Line, สถานีซาลัคเซลาตัน (Salak Selatan) เชื่อมต่อรถไฟฟ้า LRT Sri Petaling Line, สถานีกูชาย (Kuchai) เชื่อมต่อรถไฟฟ้า MRT Putrajaya Line, สถานีพันทายดาลัม (Pantai Dalam) เชื่อมต่อรถไฟ KTM Tanjung Malim-Port Klang Line, สถานียูนิเวอร์ซิตี้ (Universiti) เชื่อมต่อรถไฟฟ้า LRT Kelana Jaya Line

    ผ่านสถานที่สำคัญ ได้แก่ ศูนย์นิทรรศการและการค้าระหว่างประเทศมาเลเซีย (MITEC) สถานีดูตามาส (Dutamas), โรงพยาบาลเฉพาะทาง Pusat Perubatan Universiti Kebangsaan Malaysia (PPUKM) and UKM Child Specialist Hospital สถานีจาลันยาโคบลาทิฟ (Jalan Yaacob Latif), ศูนย์การค้าเคแอลเกตเวย์มอลล์ สถานียูนิเวอร์ซิตี้ และศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยมาลายา (University of Malaya Medical Centre) สถานียูเอ็ม (UM) เป็นต้น

    #Newskit
    เริ่มนับหนึ่ง MRT3 Circle Line รถไฟฟ้าวงแหวนรอบนอก KL หลังจากประเทศมาเลเซียพัฒนารถไฟฟ้าไปทั่วกรุงกัวลาลัมเปอร์และหุบเขาแคลงมาแล้ว 12 เส้นทาง ล่าสุดโครงการรถไฟฟ้า MRT3 Circle Line ของบริษัท มาเลเซีย แรพิด ทรานซิท คอร์ปอเรชัน (MRT Corp) นายแอนโทนี่ โลค รมว.คมนาคมมาเลเซีย ได้อนุมัติลงนามโครงการในขั้นตอนสุดท้ายเรียบร้อยแล้ว หลังเปิดรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน 45,000 ราย พบว่ามีผู้สนับสนุนโครงการ 93.3% นับจากนี้จะเริ่มกระบวนการจัดซื้อที่ดินตามแนวเส้นทาง 690 แปลงภายในปี 2569 ก่อนประกวดราคาและก่อสร้างต่อไป สำหรับโครงการรถไฟฟ้า MRT3 Circle Line มีระยะทาง 51 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางวนรอบ 73 นาที แบ่งเป็นทางรถไฟยกระดับ 39 กิโลเมตร และทางรถไฟใต้ดิน 12 กิโลเมตร เริ่มต้นจากสถานีบูกิต เคียรา เซลาตัน (Bukit Kiara Selatan) เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้า MRT Kajang Line วนตามเข็มนาฬิกาจากทิศตะวันตกไปทางทิศตะวันออก มีสถานีทั้งหมด 32 สถานี แบ่งเป็นสถานียกระดับ 22 สถานี สถานีใต้ดิน 7 สถานี รองรับผู้โดยสาร 25,000 คนต่อชั่วโมงต่อทิศทาง ให้บริการผู้โดยสารรอบนอกกรุงกัวลาลัมเปอร์ และเชื่อมต่อเส้นทางรถไฟฟ้าสายอื่นแบบบูรณาการ สามารถเดินทางระหว่างกันได้อย่างราบรื่น เชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายต่างๆ ได้แก่ สถานีคอมเพล็กซ์ ดูตา (Kompleks Duta) เชื่อมต่อรถไฟ KTM Tanjung Malim-Port Klang Line, สถานีตีตี้วังซา (Titiwangsa) เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้า 4 สาย ได้แก่ LRT Ampang Line, LRT Sri Petaling Line, KL Monorail Line and MRT Putrajaya Line, สถานีเซเตียวังซา (Setiawangsa) เชื่อมต่อรถไฟ LRT Kelana Jaya Line, สถานีพันดัน อินดาห์ (Pandan Indah) เชื่อมต่อรถไฟฟ้า LRT Ampang Line, สถานีตามันมิดาห์ (Taman Midah) เชื่อมต่อรถไฟ MRT Kajang Line, สถานีซาลัคเซลาตัน (Salak Selatan) เชื่อมต่อรถไฟฟ้า LRT Sri Petaling Line, สถานีกูชาย (Kuchai) เชื่อมต่อรถไฟฟ้า MRT Putrajaya Line, สถานีพันทายดาลัม (Pantai Dalam) เชื่อมต่อรถไฟ KTM Tanjung Malim-Port Klang Line, สถานียูนิเวอร์ซิตี้ (Universiti) เชื่อมต่อรถไฟฟ้า LRT Kelana Jaya Line ผ่านสถานที่สำคัญ ได้แก่ ศูนย์นิทรรศการและการค้าระหว่างประเทศมาเลเซีย (MITEC) สถานีดูตามาส (Dutamas), โรงพยาบาลเฉพาะทาง Pusat Perubatan Universiti Kebangsaan Malaysia (PPUKM) and UKM Child Specialist Hospital สถานีจาลันยาโคบลาทิฟ (Jalan Yaacob Latif), ศูนย์การค้าเคแอลเกตเวย์มอลล์ สถานียูนิเวอร์ซิตี้ และศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยมาลายา (University of Malaya Medical Centre) สถานียูเอ็ม (UM) เป็นต้น #Newskit
    0 Comments 0 Shares 519 Views 0 Reviews
  • อาการหนัก! 'ทักษิณ' กล่าวหาคนไทยไม่รักกัน ไปเข้าข้างผู้นำเขมรไร้จริยธรรม
    ///////////////


    "ทักษิณ" ซัดผู้นำกัมพูชาไร้จริยธรรม แต่คนไทยกลับเชื่อ งงทำไมคนไทยไม่รักกัน ตอก พรรคที่เพิ่งหลุดร่วมรัฐบาลไป เป็นเขมรหรือไทย หลังติงอิ๊งค์ขายชาติ บอก ปัจจุบันการเมืองไม่มีเสถียรภาพเหมือนสมัยรัฐบาล ‘คึกฤทธิ์’ บอกสุดท้ายบ้านเมืองไม่ไปไหน

    วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม นายจตุพร บุรุษพัฒน์ รมว.พาณิชย์
    นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง นางมนพร เจริญศรี รมช.คมนาคม น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย น.ส.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รมช.ศึกษาธิการ และนพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกฯ น.ส.พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ นายปิฎก สุขสวัสดิ์ และนายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ร่วมงาน
    จากนั้น เวลา 19.30 น.นายทักษิณ ขึ้นเวทีปาฐกถาว่า หลายเรื่องพูดมาตั้งแต่เป็นนายกฯ เมื่อ 20 ปีแล้ว แต่มันไม่ไป วันนี้ก็ไม่ไปไหน หลายเรื่องก็ถอยเสียไปด้วยซ้ำ ตนจากไปต่างประเทศหลายปี กลับมาหลายเรื่องแย่กว่าเดิม แต่หลายเรื่องก็ก้าวหน้ามาก โดยเฉพาะเรื่องภาคเอกชนหรือส่วนราชการที่มีคนเก่งๆ วันนี้ประเทศไทยเราต้องการความเชื่อมั่นในหมู่คนไทยด้วยกันก่อน วันนี้คนไทยด้วยกันบางทีก็ไม่เชื่อมั่นตัวเอง และไม่คิดจะ
    พยายามที่จะรวมพลังกัน มีความเป็นหนึ่งที่จะแก้ปัญหาด้วยกัน
    “เรื่องที่เกิดขึ้นกับกัมพูชา ผมก็แปลกใจผู้นำเขมรมันไร้จริยธรรมจะตาย แต่เรากลับไปเข้าข้างมัน ผมก็งงว่าวันนี้ทำไมคนไทยไม่รักกัน ทั้งที่สิ่งนี้ไม่น่าเกิด ไม่มีผู้นำคนไหนในโลกเขาทำกัน แต่เรากลับทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพรรคที่เพิ่งหลุดจากพรรคร่วมรัฐบาล ก็กลับมามองว่า
    เป็นการขายชาติ เลยไม่รู้ว่าตกลงว่าเขาเป็นเขมรหรือเป็นไทย” นายทักษิณ กล่าว
    นายทักษิณ กล่าวต่อว่า วันนี้สิ่งที่ทำให้สะดุดปัญหาของประเทศที่ทำให้ประเทศนั้นชะงักอยู่ อันแรกคือปัญหาการเมือง ซึ่งรัฐธรรมนูญปี 2540 เป็นรัฐธรรมนูญที่ดีที่สุด เป็นรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ที่ตอนนั้นพรรคไทยรักไทยเข้ามาจากการเลือกตั้งครั้งแรก โดย
    เป็นการขายนโยบาย และชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย แต่ตอนหลังความเข้มแข็งของพรรคไทยรักไทย หลังมีการปฏิวัติกลับถอยกลับ วันนี้การตั้งรัฐบาลผสมหลายๆ พรรค ต้องนึกถึงเมื่อ 51 ปีที่แล้วที่ไปช่วยราชการนายปรีดา พัฒนถาบุตร อดีตรมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในสมัยรัฐบาล
    ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช อดีตนายกฯ เหมือนกันเลยที่การเมืองไม่มีเสถียรภาพล้มกันไปล้มกันมา ผลสุดท้ายบ้านเมืองไม่ไปไหน ตนก็อยากจะขอร้องทุกคนว่าการเมืองเปลี่ยนแปลงได้ แต่บ้านเมืองต้องพัฒนาอย่างต่อเนื่องต่อไป ไม่ว่าการเมืองจะเป็นอย่างไร ข้าราชการ นักธุรกิจก็ทำงานต่อไป ใครเป็นรัฐบาลก็มีหน้าที่มาเสริมทำให้ภาคเอกชนแข็งแรง
    อาการหนัก! 'ทักษิณ' กล่าวหาคนไทยไม่รักกัน ไปเข้าข้างผู้นำเขมรไร้จริยธรรม /////////////// "ทักษิณ" ซัดผู้นำกัมพูชาไร้จริยธรรม แต่คนไทยกลับเชื่อ งงทำไมคนไทยไม่รักกัน ตอก พรรคที่เพิ่งหลุดร่วมรัฐบาลไป เป็นเขมรหรือไทย หลังติงอิ๊งค์ขายชาติ บอก ปัจจุบันการเมืองไม่มีเสถียรภาพเหมือนสมัยรัฐบาล ‘คึกฤทธิ์’ บอกสุดท้ายบ้านเมืองไม่ไปไหน วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม นายจตุพร บุรุษพัฒน์ รมว.พาณิชย์ นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง นางมนพร เจริญศรี รมช.คมนาคม น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย น.ส.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รมช.ศึกษาธิการ และนพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกฯ น.ส.พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ นายปิฎก สุขสวัสดิ์ และนายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ร่วมงาน จากนั้น เวลา 19.30 น.นายทักษิณ ขึ้นเวทีปาฐกถาว่า หลายเรื่องพูดมาตั้งแต่เป็นนายกฯ เมื่อ 20 ปีแล้ว แต่มันไม่ไป วันนี้ก็ไม่ไปไหน หลายเรื่องก็ถอยเสียไปด้วยซ้ำ ตนจากไปต่างประเทศหลายปี กลับมาหลายเรื่องแย่กว่าเดิม แต่หลายเรื่องก็ก้าวหน้ามาก โดยเฉพาะเรื่องภาคเอกชนหรือส่วนราชการที่มีคนเก่งๆ วันนี้ประเทศไทยเราต้องการความเชื่อมั่นในหมู่คนไทยด้วยกันก่อน วันนี้คนไทยด้วยกันบางทีก็ไม่เชื่อมั่นตัวเอง และไม่คิดจะ พยายามที่จะรวมพลังกัน มีความเป็นหนึ่งที่จะแก้ปัญหาด้วยกัน “เรื่องที่เกิดขึ้นกับกัมพูชา ผมก็แปลกใจผู้นำเขมรมันไร้จริยธรรมจะตาย แต่เรากลับไปเข้าข้างมัน ผมก็งงว่าวันนี้ทำไมคนไทยไม่รักกัน ทั้งที่สิ่งนี้ไม่น่าเกิด ไม่มีผู้นำคนไหนในโลกเขาทำกัน แต่เรากลับทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพรรคที่เพิ่งหลุดจากพรรคร่วมรัฐบาล ก็กลับมามองว่า เป็นการขายชาติ เลยไม่รู้ว่าตกลงว่าเขาเป็นเขมรหรือเป็นไทย” นายทักษิณ กล่าว นายทักษิณ กล่าวต่อว่า วันนี้สิ่งที่ทำให้สะดุดปัญหาของประเทศที่ทำให้ประเทศนั้นชะงักอยู่ อันแรกคือปัญหาการเมือง ซึ่งรัฐธรรมนูญปี 2540 เป็นรัฐธรรมนูญที่ดีที่สุด เป็นรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ที่ตอนนั้นพรรคไทยรักไทยเข้ามาจากการเลือกตั้งครั้งแรก โดย เป็นการขายนโยบาย และชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย แต่ตอนหลังความเข้มแข็งของพรรคไทยรักไทย หลังมีการปฏิวัติกลับถอยกลับ วันนี้การตั้งรัฐบาลผสมหลายๆ พรรค ต้องนึกถึงเมื่อ 51 ปีที่แล้วที่ไปช่วยราชการนายปรีดา พัฒนถาบุตร อดีตรมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในสมัยรัฐบาล ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช อดีตนายกฯ เหมือนกันเลยที่การเมืองไม่มีเสถียรภาพล้มกันไปล้มกันมา ผลสุดท้ายบ้านเมืองไม่ไปไหน ตนก็อยากจะขอร้องทุกคนว่าการเมืองเปลี่ยนแปลงได้ แต่บ้านเมืองต้องพัฒนาอย่างต่อเนื่องต่อไป ไม่ว่าการเมืองจะเป็นอย่างไร ข้าราชการ นักธุรกิจก็ทำงานต่อไป ใครเป็นรัฐบาลก็มีหน้าที่มาเสริมทำให้ภาคเอกชนแข็งแรง
    0 Comments 0 Shares 422 Views 0 Reviews
  • 'ชัชชาติ' ขานรับค่ารถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ห่วง 2 ปมใหญ่! จี้รัฐเคลียร์ปมชดเชยรายได้-ค่าจ้างเดินรถ หวั่น กทม. ถูกฟ้อง
    https://www.thai-tai.tv/news/20333/
    .
    #รถไฟฟ้า20บาท #ชัชชาติสิทธิพันธุ์ #กทม #กระทรวงคมนาคม #ค่าโดยสารรถไฟฟ้า #นโยบายรัฐบาล #ค่าชดเชย #สัมปทานเอกชน #ค่าจ้างเดินรถ
    'ชัชชาติ' ขานรับค่ารถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ห่วง 2 ปมใหญ่! จี้รัฐเคลียร์ปมชดเชยรายได้-ค่าจ้างเดินรถ หวั่น กทม. ถูกฟ้อง https://www.thai-tai.tv/news/20333/ . #รถไฟฟ้า20บาท #ชัชชาติสิทธิพันธุ์ #กทม #กระทรวงคมนาคม #ค่าโดยสารรถไฟฟ้า #นโยบายรัฐบาล #ค่าชดเชย #สัมปทานเอกชน #ค่าจ้างเดินรถ
    0 Comments 0 Shares 241 Views 0 Reviews
  • ปชป.เริ่มออกอาการ บ่นแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้าน งบกระจุกคมนาคม ไม่กระจายทั่วถึง รมต.พรรคสีฟ้าบ่นกลาง ครม. ภูมิธรรมต้องไกล่เกลี่ย ชี้ยังปรับได้ หวั่นซ้ำรอยร้าวรัฐบาล
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000066739

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    ปชป.เริ่มออกอาการ บ่นแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้าน งบกระจุกคมนาคม ไม่กระจายทั่วถึง รมต.พรรคสีฟ้าบ่นกลาง ครม. ภูมิธรรมต้องไกล่เกลี่ย ชี้ยังปรับได้ หวั่นซ้ำรอยร้าวรัฐบาล . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000066739 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    Like
    Love
    Haha
    Wow
    Sad
    9
    0 Comments 0 Shares 997 Views 0 Reviews
  • "สุริยะ" ยันรถไฟฟ้า 20 บาท มุ่งประชาชน ไม่ใช่นายทุน! เล็งเก็บภาษีรถติดหนุนยั่งยืน
    https://www.thai-tai.tv/news/20282/
    .
    #รถไฟฟ้า20บาท #สุริยะ #คมนาคม #ขนส่งสาธารณะ #ลดค่าเดินทาง #ภาษีรถติด #การเมืองไทย #นโยบายรัฐบาล
    "สุริยะ" ยันรถไฟฟ้า 20 บาท มุ่งประชาชน ไม่ใช่นายทุน! เล็งเก็บภาษีรถติดหนุนยั่งยืน https://www.thai-tai.tv/news/20282/ . #รถไฟฟ้า20บาท #สุริยะ #คมนาคม #ขนส่งสาธารณะ #ลดค่าเดินทาง #ภาษีรถติด #การเมืองไทย #นโยบายรัฐบาล
    0 Comments 0 Shares 221 Views 0 Reviews
  • บูรพาไม่แพ้ Ep.129 : Scambodia เชื้อชั่วไม่ยอมตาย?
    .
    ถ้าลองสังเกตดูจะพบว่า หลายเดือนก่อนหน้านี้ ดูเหมือนว่า บรรดาแก๊งคอลเซนเตอร์จะสงบไปพักหนึ่ง หลังจากถูกปราบปรามอย่างหนัก...แต่ว่า ตอนนี้ ขบวนการอาชญากรรมออนไลน์ ได้ฟื้นคืนชีพกลับมาแล้วครับ เจ้าหน้าที่ตำรวจยอมรับว่า สถิติการแจ้งความคดีหลอกลวงทางโทรคมนาคม มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น บูรพาไม่แพ้ ในตอนนี้ เราจะมาหาคำตอบกันครับว่า ทำไมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ถึงฆ่าไม่ตาย ปราบไม่สิ้น ขบวนการอาชญากรรมหลอกลวงยังวนเวียนอยู่ในเมียนมา ไทย และกัมพูชา ...
    .
    คลิกฟัง >> https://www.youtube.com/watch?v=NuFhZse7NNw
    .
    #บูรพาไม่แพ้ #แก๊งคอลเซ็นเตอร์ #สแกมเมอร์ #Scambodia
    บูรพาไม่แพ้ Ep.129 : Scambodia เชื้อชั่วไม่ยอมตาย? . ถ้าลองสังเกตดูจะพบว่า หลายเดือนก่อนหน้านี้ ดูเหมือนว่า บรรดาแก๊งคอลเซนเตอร์จะสงบไปพักหนึ่ง หลังจากถูกปราบปรามอย่างหนัก...แต่ว่า ตอนนี้ ขบวนการอาชญากรรมออนไลน์ ได้ฟื้นคืนชีพกลับมาแล้วครับ เจ้าหน้าที่ตำรวจยอมรับว่า สถิติการแจ้งความคดีหลอกลวงทางโทรคมนาคม มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น บูรพาไม่แพ้ ในตอนนี้ เราจะมาหาคำตอบกันครับว่า ทำไมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ถึงฆ่าไม่ตาย ปราบไม่สิ้น ขบวนการอาชญากรรมหลอกลวงยังวนเวียนอยู่ในเมียนมา ไทย และกัมพูชา ... . คลิกฟัง >> https://www.youtube.com/watch?v=NuFhZse7NNw . #บูรพาไม่แพ้ #แก๊งคอลเซ็นเตอร์ #สแกมเมอร์ #Scambodia
    Like
    Love
    3
    0 Comments 0 Shares 385 Views 0 Reviews
  • Scattered Spider เป็นกลุ่มแฮกเกอร์ที่เริ่มปรากฏตัวตั้งแต่ปี 2022 โดยใช้วิธี SIM-swapping และ ransomware โจมตีบริษัทโทรคมนาคมและบันเทิง เช่น MGM Resorts และ Caesars Entertainment แต่ในปี 2025 พวกเขาขยายเป้าหมายไปยังอุตสาหกรรมค้าปลีก (Marks & Spencer, Harrods) และสายการบิน (Hawaiian, Qantas) สร้างความเสียหายหลายล้านดอลลาร์

    เทคนิคที่ใช้ล่าสุดคือการหลอกพนักงาน help desk ด้วยข้อมูลส่วนตัวของผู้บริหาร เช่น วันเกิดและเลขประกันสังคม เพื่อรีเซ็ตอุปกรณ์และเข้าถึงบัญชีระดับสูง จากนั้นใช้สิทธิ์นั้นเจาะระบบ Entra ID (Azure AD), SharePoint, Horizon VDI และ VPN เพื่อควบคุมระบบทั้งหมด

    เมื่อถูกตรวจจับ กลุ่มนี้ไม่หนี แต่กลับโจมตีระบบอย่างเปิดเผย เช่น ลบกฎไฟร์วอลล์ของ Azure และปิด domain controller เพื่อขัดขวางการกู้คืนระบบ

    นักวิจัยจาก Rapid7 และ ReliaQuest พบว่า Scattered Spider:
    - ใช้เครื่องมือเช่น ngrok และ Teleport เพื่อสร้างช่องทางลับ
    - ใช้ IAM role enumeration และ EC2 Serial Console เพื่อเจาะระบบ AWS
    - ใช้บัญชีผู้ดูแลระบบที่ถูกแฮกเพื่อดึงข้อมูลจาก CyberArk password vault กว่า 1,400 รายการ

    แม้ Microsoft จะเข้ามาช่วยกู้คืนระบบได้ในที่สุด แต่เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นถึงความสามารถของกลุ่มแฮกเกอร์ที่ผสมผสาน “การหลอกมนุษย์” กับ “การเจาะระบบเทคนิค” ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ข้อมูลจากข่าว
    - Scattered Spider เริ่มโจมตีตั้งแต่ปี 2022 โดยใช้ SIM-swapping และ ransomware
    - ขยายเป้าหมายไปยังอุตสาหกรรมค้าปลีกและสายการบินในปี 2025
    - ใช้ข้อมูลส่วนตัวของผู้บริหารเพื่อหลอก help desk และเข้าถึงบัญชีระดับสูง
    - เจาะระบบ Entra ID, SharePoint, Horizon VDI, VPN และ CyberArk
    - ใช้เครื่องมือเช่น ngrok, Teleport, EC2 Serial Console และ IAM role enumeration
    - ลบกฎไฟร์วอลล์ Azure และปิด domain controller เพื่อขัดขวางการกู้คืน
    - Microsoft ต้องเข้ามาช่วยกู้คืนระบบ
    - Rapid7 และ ReliaQuest แนะนำให้ใช้ MFA แบบต้าน phishing และจำกัดสิทธิ์ผู้ใช้งาน

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    - การหลอก help desk ด้วยข้อมูลส่วนตัวยังคงเป็นช่องโหว่ใหญ่ขององค์กร
    - บัญชีผู้บริหารมักมีสิทธิ์มากเกินไป ทำให้แฮกเกอร์เข้าถึงระบบได้ง่าย
    - การใช้เครื่องมือ legitimate เช่น Teleport อาจหลบการตรวจจับได้
    - หากไม่มีการตรวจสอบสิทธิ์และพฤติกรรมผู้ใช้อย่างสม่ำเสมอ องค์กรอาจไม่รู้ตัวว่าถูกแฮก
    - การพึ่งพา endpoint detection เพียงอย่างเดียวไม่สามารถป้องกันการเจาะระบบแบบนี้ได้
    - องค์กรควรฝึกอบรมพนักงานเรื่อง social engineering และมีระบบตรวจสอบการรีเซ็ตบัญชีที่เข้มงวด

    https://www.csoonline.com/article/4020567/anatomy-of-a-scattered-spider-attack-a-growing-ransomware-threat-evolves.html
    Scattered Spider เป็นกลุ่มแฮกเกอร์ที่เริ่มปรากฏตัวตั้งแต่ปี 2022 โดยใช้วิธี SIM-swapping และ ransomware โจมตีบริษัทโทรคมนาคมและบันเทิง เช่น MGM Resorts และ Caesars Entertainment แต่ในปี 2025 พวกเขาขยายเป้าหมายไปยังอุตสาหกรรมค้าปลีก (Marks & Spencer, Harrods) และสายการบิน (Hawaiian, Qantas) สร้างความเสียหายหลายล้านดอลลาร์ เทคนิคที่ใช้ล่าสุดคือการหลอกพนักงาน help desk ด้วยข้อมูลส่วนตัวของผู้บริหาร เช่น วันเกิดและเลขประกันสังคม เพื่อรีเซ็ตอุปกรณ์และเข้าถึงบัญชีระดับสูง จากนั้นใช้สิทธิ์นั้นเจาะระบบ Entra ID (Azure AD), SharePoint, Horizon VDI และ VPN เพื่อควบคุมระบบทั้งหมด เมื่อถูกตรวจจับ กลุ่มนี้ไม่หนี แต่กลับโจมตีระบบอย่างเปิดเผย เช่น ลบกฎไฟร์วอลล์ของ Azure และปิด domain controller เพื่อขัดขวางการกู้คืนระบบ นักวิจัยจาก Rapid7 และ ReliaQuest พบว่า Scattered Spider: - ใช้เครื่องมือเช่น ngrok และ Teleport เพื่อสร้างช่องทางลับ - ใช้ IAM role enumeration และ EC2 Serial Console เพื่อเจาะระบบ AWS - ใช้บัญชีผู้ดูแลระบบที่ถูกแฮกเพื่อดึงข้อมูลจาก CyberArk password vault กว่า 1,400 รายการ แม้ Microsoft จะเข้ามาช่วยกู้คืนระบบได้ในที่สุด แต่เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นถึงความสามารถของกลุ่มแฮกเกอร์ที่ผสมผสาน “การหลอกมนุษย์” กับ “การเจาะระบบเทคนิค” ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ✅ ข้อมูลจากข่าว - Scattered Spider เริ่มโจมตีตั้งแต่ปี 2022 โดยใช้ SIM-swapping และ ransomware - ขยายเป้าหมายไปยังอุตสาหกรรมค้าปลีกและสายการบินในปี 2025 - ใช้ข้อมูลส่วนตัวของผู้บริหารเพื่อหลอก help desk และเข้าถึงบัญชีระดับสูง - เจาะระบบ Entra ID, SharePoint, Horizon VDI, VPN และ CyberArk - ใช้เครื่องมือเช่น ngrok, Teleport, EC2 Serial Console และ IAM role enumeration - ลบกฎไฟร์วอลล์ Azure และปิด domain controller เพื่อขัดขวางการกู้คืน - Microsoft ต้องเข้ามาช่วยกู้คืนระบบ - Rapid7 และ ReliaQuest แนะนำให้ใช้ MFA แบบต้าน phishing และจำกัดสิทธิ์ผู้ใช้งาน ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง - การหลอก help desk ด้วยข้อมูลส่วนตัวยังคงเป็นช่องโหว่ใหญ่ขององค์กร - บัญชีผู้บริหารมักมีสิทธิ์มากเกินไป ทำให้แฮกเกอร์เข้าถึงระบบได้ง่าย - การใช้เครื่องมือ legitimate เช่น Teleport อาจหลบการตรวจจับได้ - หากไม่มีการตรวจสอบสิทธิ์และพฤติกรรมผู้ใช้อย่างสม่ำเสมอ องค์กรอาจไม่รู้ตัวว่าถูกแฮก - การพึ่งพา endpoint detection เพียงอย่างเดียวไม่สามารถป้องกันการเจาะระบบแบบนี้ได้ - องค์กรควรฝึกอบรมพนักงานเรื่อง social engineering และมีระบบตรวจสอบการรีเซ็ตบัญชีที่เข้มงวด https://www.csoonline.com/article/4020567/anatomy-of-a-scattered-spider-attack-a-growing-ransomware-threat-evolves.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Anatomy of a Scattered Spider attack: A growing ransomware threat evolves
    The cybercriminal group has broadened its attack scope across several new industries, bringing valid credentials to bear on help desks before leveraging its new learnings of cloud intrusion tradecraft to set the stage for ransomware.
    0 Comments 0 Shares 407 Views 0 Reviews
  • ดร.สามารถ เตือน! รถไฟฟ้า 20 บาท “ยาแก้ปวดก่อนเลือกตั้ง” หวั่นงบไม่พอ-สัมปทานไม่เคลียร์ เสี่ยงหยุดปีหน้า
    https://www.thai-tai.tv/news/20206/
    .
    #รถไฟฟ้า20บาท #นโยบายรัฐบาล #ค่าครองชีพ #คมนาคม #ดรสามารถราชพลสิทธิ์ #รถไฟฟ้า #งบประมาณ #สัมปทานเอกชน #ขนส่งสาธารณะ #แก้ปวดก่อนเลือกตั้ง
    ดร.สามารถ เตือน! รถไฟฟ้า 20 บาท “ยาแก้ปวดก่อนเลือกตั้ง” หวั่นงบไม่พอ-สัมปทานไม่เคลียร์ เสี่ยงหยุดปีหน้า https://www.thai-tai.tv/news/20206/ . #รถไฟฟ้า20บาท #นโยบายรัฐบาล #ค่าครองชีพ #คมนาคม #ดรสามารถราชพลสิทธิ์ #รถไฟฟ้า #งบประมาณ #สัมปทานเอกชน #ขนส่งสาธารณะ #แก้ปวดก่อนเลือกตั้ง
    0 Comments 0 Shares 275 Views 0 Reviews
  • 'สุรพงษ์' เร่งเครื่อง "บ้านเพื่อคนไทย" เฟสแรก 5,000 ยูนิต จ่อชง ครม. ต.ค. นี้ พร้อมจับสลากทันที คาดเข้าอยู่ได้ปลายปี 69
    https://www.thai-tai.tv/news/20203/
    .
    #บ้านเพื่อคนไทย #สุรพงษ์ปิยะโชติ #กระทรวงคมนาคม #การรถไฟแห่งประเทศไทย #ที่อยู่อาศัย #โครงการรัฐ #จับสลาก #สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล #อสังหาริมทรัพย์ #คอนโด
    'สุรพงษ์' เร่งเครื่อง "บ้านเพื่อคนไทย" เฟสแรก 5,000 ยูนิต จ่อชง ครม. ต.ค. นี้ พร้อมจับสลากทันที คาดเข้าอยู่ได้ปลายปี 69 https://www.thai-tai.tv/news/20203/ . #บ้านเพื่อคนไทย #สุรพงษ์ปิยะโชติ #กระทรวงคมนาคม #การรถไฟแห่งประเทศไทย #ที่อยู่อาศัย #โครงการรัฐ #จับสลาก #สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล #อสังหาริมทรัพย์ #คอนโด
    0 Comments 0 Shares 252 Views 0 Reviews
  • ยูเครนเตรียมใช้ Starlink ส่งข้อความผ่านดาวเทียม – สื่อสารได้แม้ไม่มีสัญญาณมือถือ

    ในช่วงสงครามที่ยังดำเนินอยู่ ยูเครนต้องเผชิญกับการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมอย่างต่อเนื่อง ทำให้การสื่อสารขัดข้องบ่อยครั้ง ล่าสุด Kyivstar จึงจับมือกับ SpaceX เพื่อเปิดบริการ “Direct-to-Cell” โดยใช้เครือข่ายดาวเทียม Starlink ส่งข้อความโดยตรงถึงมือถือของผู้ใช้ แม้ไม่มีสัญญาณจากเสาสัญญาณปกติ

    บริการนี้จะเริ่มให้ใช้งานในรูปแบบการส่งข้อความผ่านแอป เช่น WhatsApp และ Signal ภายในสิ้นปี 2025 และจะขยายเป็นบริการอินเทอร์เน็ตดาวเทียมสำหรับมือถือในช่วงกลางปี 2026

    นอกจากการส่งข้อความแล้ว Kyivstar ยังมีแผนให้บริการเสียงและข้อมูลผ่านดาวเทียมในอนาคต โดยใช้เทคโนโลยีเดียวกับที่ T-Mobile ในสหรัฐฯ เตรียมเปิดตัวในเดือนตุลาคมนี้

    Kyivstar เคยให้บริการฟรีหลายอย่างแก่ประชาชนในช่วงสงคราม เช่น อินเทอร์เน็ต 80 Mbps ฟรีในบางพื้นที่, ขยายเวลาชำระเงิน และติดตั้ง Wi-Fi ในบังเกอร์หลบภัยหลายร้อยแห่ง

    การร่วมมือกับ Starlink ครั้งนี้จะช่วยให้เครือข่ายของ Kyivstar มีความทนทานมากขึ้น โดยสามารถให้บริการได้แม้ในช่วงไฟดับระดับประเทศนานถึง 10 ชั่วโมง

    ข้อมูลจากข่าว
    - ยูเครนจะเป็นประเทศแรกในยุโรปที่ใช้บริการ Starlink Direct-to-Cell
    - Kyivstar ร่วมมือกับ SpaceX เพื่อให้บริการส่งข้อความผ่านดาวเทียมภายในสิ้นปี 2025
    - บริการอินเทอร์เน็ตดาวเทียมสำหรับมือถือจะเริ่มในไตรมาส 2 ปี 2026
    - ใช้ Starlink เป็นเสาสัญญาณเสมือน ส่งข้อความผ่านแอปแม้ไม่มีสัญญาณมือถือ
    - Kyivstar เคยให้บริการฟรีในช่วงสงคราม เช่น อินเทอร์เน็ตในบังเกอร์และขยายเวลาชำระเงิน
    - เครือข่ายสามารถทำงานได้ถึง 10 ชั่วโมงในช่วงไฟดับระดับประเทศ
    - T-Mobile ในสหรัฐฯ ก็เตรียมเปิดบริการคล้ายกันในเดือนตุลาคม 2025

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    - บริการ Direct-to-Cell ยังจำกัดเฉพาะการส่งข้อความ ไม่รองรับการโทรหรือใช้งานอินเทอร์เน็ตเต็มรูปแบบในช่วงแรก
    - ต้องอยู่ในพื้นที่ที่สามารถมองเห็นดาวเทียม Starlink จึงจะใช้งานได้
    - ความเร็วและความเสถียรของบริการอาจยังไม่เทียบเท่าการเชื่อมต่อมือถือทั่วไป
    - การพึ่งพาเทคโนโลยีจากบริษัทต่างชาติในช่วงสงครามอาจมีข้อจำกัดด้านความมั่นคง
    - ผู้ใช้ควรติดตามเงื่อนไขการใช้งานและความปลอดภัยของข้อมูลจากผู้ให้บริการ

    https://www.tomshardware.com/networking/ukraine-to-become-first-european-country-with-starlink-direct-to-cell-service-messaging-by-year-end-with-mobile-satellite-broadband-expected-mid-2026
    ยูเครนเตรียมใช้ Starlink ส่งข้อความผ่านดาวเทียม – สื่อสารได้แม้ไม่มีสัญญาณมือถือ ในช่วงสงครามที่ยังดำเนินอยู่ ยูเครนต้องเผชิญกับการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมอย่างต่อเนื่อง ทำให้การสื่อสารขัดข้องบ่อยครั้ง ล่าสุด Kyivstar จึงจับมือกับ SpaceX เพื่อเปิดบริการ “Direct-to-Cell” โดยใช้เครือข่ายดาวเทียม Starlink ส่งข้อความโดยตรงถึงมือถือของผู้ใช้ แม้ไม่มีสัญญาณจากเสาสัญญาณปกติ บริการนี้จะเริ่มให้ใช้งานในรูปแบบการส่งข้อความผ่านแอป เช่น WhatsApp และ Signal ภายในสิ้นปี 2025 และจะขยายเป็นบริการอินเทอร์เน็ตดาวเทียมสำหรับมือถือในช่วงกลางปี 2026 นอกจากการส่งข้อความแล้ว Kyivstar ยังมีแผนให้บริการเสียงและข้อมูลผ่านดาวเทียมในอนาคต โดยใช้เทคโนโลยีเดียวกับที่ T-Mobile ในสหรัฐฯ เตรียมเปิดตัวในเดือนตุลาคมนี้ Kyivstar เคยให้บริการฟรีหลายอย่างแก่ประชาชนในช่วงสงคราม เช่น อินเทอร์เน็ต 80 Mbps ฟรีในบางพื้นที่, ขยายเวลาชำระเงิน และติดตั้ง Wi-Fi ในบังเกอร์หลบภัยหลายร้อยแห่ง การร่วมมือกับ Starlink ครั้งนี้จะช่วยให้เครือข่ายของ Kyivstar มีความทนทานมากขึ้น โดยสามารถให้บริการได้แม้ในช่วงไฟดับระดับประเทศนานถึง 10 ชั่วโมง ✅ ข้อมูลจากข่าว - ยูเครนจะเป็นประเทศแรกในยุโรปที่ใช้บริการ Starlink Direct-to-Cell - Kyivstar ร่วมมือกับ SpaceX เพื่อให้บริการส่งข้อความผ่านดาวเทียมภายในสิ้นปี 2025 - บริการอินเทอร์เน็ตดาวเทียมสำหรับมือถือจะเริ่มในไตรมาส 2 ปี 2026 - ใช้ Starlink เป็นเสาสัญญาณเสมือน ส่งข้อความผ่านแอปแม้ไม่มีสัญญาณมือถือ - Kyivstar เคยให้บริการฟรีในช่วงสงคราม เช่น อินเทอร์เน็ตในบังเกอร์และขยายเวลาชำระเงิน - เครือข่ายสามารถทำงานได้ถึง 10 ชั่วโมงในช่วงไฟดับระดับประเทศ - T-Mobile ในสหรัฐฯ ก็เตรียมเปิดบริการคล้ายกันในเดือนตุลาคม 2025 ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง - บริการ Direct-to-Cell ยังจำกัดเฉพาะการส่งข้อความ ไม่รองรับการโทรหรือใช้งานอินเทอร์เน็ตเต็มรูปแบบในช่วงแรก - ต้องอยู่ในพื้นที่ที่สามารถมองเห็นดาวเทียม Starlink จึงจะใช้งานได้ - ความเร็วและความเสถียรของบริการอาจยังไม่เทียบเท่าการเชื่อมต่อมือถือทั่วไป - การพึ่งพาเทคโนโลยีจากบริษัทต่างชาติในช่วงสงครามอาจมีข้อจำกัดด้านความมั่นคง - ผู้ใช้ควรติดตามเงื่อนไขการใช้งานและความปลอดภัยของข้อมูลจากผู้ให้บริการ https://www.tomshardware.com/networking/ukraine-to-become-first-european-country-with-starlink-direct-to-cell-service-messaging-by-year-end-with-mobile-satellite-broadband-expected-mid-2026
    0 Comments 0 Shares 269 Views 0 Reviews
More Results