• ผู้ว่าฯ สงขลาจัดคิว! นายอำเภอ 16 แห่งผลัดเปลี่ยนกันต้อนรับ-ส่ง “มท.3”...พร้อมสั่งจัดอาหาร-เครื่องดื่มอำนวยความสะดวก
    https://www.thai-tai.tv/news/20986/
    .
    #เดชอิศม์ขาวทอง #สงขลา #มหาดไทย3 #ข่าวการเมือง #คำสั่งผู้ว่าฯ #ไทยไท
    ผู้ว่าฯ สงขลาจัดคิว! นายอำเภอ 16 แห่งผลัดเปลี่ยนกันต้อนรับ-ส่ง “มท.3”...พร้อมสั่งจัดอาหาร-เครื่องดื่มอำนวยความสะดวก https://www.thai-tai.tv/news/20986/ . #เดชอิศม์ขาวทอง #สงขลา #มหาดไทย3 #ข่าวการเมือง #คำสั่งผู้ว่าฯ #ไทยไท
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฮั่นแน่!!! “ฮุนเซน” ออกตัวปรามแรง! อย่าแบน'โค้ก' ปมถอด'แวนด้า'พ้นพรีเซนเตอร์...โยนบาปไทยผลักเขมรให้เป็นศัตรูกับอเมริกา
    https://www.thai-tai.tv/news/20985/
    .
    #ฮุนเซน #โคคา-โคลา #วัณณ์ฎา #บอยคอตต์ #เศรษฐกิจกัมพูชา #ไทยไท

    ฮั่นแน่!!! “ฮุนเซน” ออกตัวปรามแรง! อย่าแบน'โค้ก' ปมถอด'แวนด้า'พ้นพรีเซนเตอร์...โยนบาปไทยผลักเขมรให้เป็นศัตรูกับอเมริกา https://www.thai-tai.tv/news/20985/ . #ฮุนเซน #โคคา-โคลา #วัณณ์ฎา #บอยคอตต์ #เศรษฐกิจกัมพูชา #ไทยไท
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 6 มุมมอง 0 รีวิว
  • เปิดโผโยกย้ายนายพลตำรวจ เพื่อน ผบ.ตร. สยายปีก! ใครขึ้น ใครลง ใครอยู่ที่เดิม? ก.ตร.เคาะแล้ว พล.ต.ต.ณัฐศักดิ์ นั่ง ผบช.ก. พล.ต.ท.สุรพล โยก ผบช.สอท. หลายตำแหน่งสำคัญเปลี่ยนมือ!

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000078371

    #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    เปิดโผโยกย้ายนายพลตำรวจ เพื่อน ผบ.ตร. สยายปีก! ใครขึ้น ใครลง ใครอยู่ที่เดิม? ก.ตร.เคาะแล้ว พล.ต.ต.ณัฐศักดิ์ นั่ง ผบช.ก. พล.ต.ท.สุรพล โยก ผบช.สอท. หลายตำแหน่งสำคัญเปลี่ยนมือ! อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000078371 #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 26 มุมมอง 0 รีวิว
  • เจ้าหญิงกำมะลอ เจอกระแสจีนตีกลับ แทบมุดดินหนี!!! [18/8/68]
    Fake Princess Hit by Chinese Backlash, Wants to Vanish.

    #TruthFromThailand
    #scambodia
    #FakePrincess
    #ChinaBacklash
    #ExposeScam
    #ThaiTimes
    #news1
    #shorts
    เจ้าหญิงกำมะลอ เจอกระแสจีนตีกลับ แทบมุดดินหนี!!! [18/8/68] Fake Princess Hit by Chinese Backlash, Wants to Vanish. #TruthFromThailand #scambodia #FakePrincess #ChinaBacklash #ExposeScam #ThaiTimes #news1 #shorts
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 10 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • ⭐️ Princess Cruises แจ้งปรับเปลี่ยนราคา Plus & Premium Package
    มีผลบังคับใช้ทันที สำหรับทุกเส้นทางเดินทางตั้งแต่ปี 2026 เป็นต้นไป

    ราคาเริ่มต้นที่ 65 USD/วัน จากปกติราคา 70 USD/วัน
    ราคาพิเศษสำหรับการจองและชำระเงินล่วงหน้าเท่านั้น

    ดูแพ็คเกจเรือทั้งหมด
    https://cruisedomain.com/
    LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029
    Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121
    Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620
    : 0 2116 9696 (Auto)

    #PrincessCruises #PlusPremiumPackage #Mediterranean #Asia #PrincessPlus #PrincessPremium #แพ็คเกจล่องเรือสำราญ #แพ็คเกจเครื่องดื่ม #ข่าวเรือสำราญ #News #CruiseDomain #thaitimes #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #เที่ยวญี่ปุ่น #เขมจิราต้องรอด
    ⭐️ Princess Cruises แจ้งปรับเปลี่ยนราคา Plus & Premium Package 🍷 มีผลบังคับใช้ทันที สำหรับทุกเส้นทางเดินทางตั้งแต่ปี 2026 เป็นต้นไป ราคาเริ่มต้นที่ 65 USD/วัน จากปกติราคา 70 USD/วัน ราคาพิเศษสำหรับการจองและชำระเงินล่วงหน้าเท่านั้น 🥂 ✅ ดูแพ็คเกจเรือทั้งหมด https://cruisedomain.com/ LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029 Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121 Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620 ☎️: 0 2116 9696 (Auto) #PrincessCruises #PlusPremiumPackage #Mediterranean #Asia #PrincessPlus #PrincessPremium #แพ็คเกจล่องเรือสำราญ #แพ็คเกจเครื่องดื่ม #ข่าวเรือสำราญ #News #CruiseDomain #thaitimes #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #เที่ยวญี่ปุ่น #เขมจิราต้องรอด
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 9 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรเวลความพอเพียงของแต่ละคน.

    ไม่มีมาตรฐานชี้วัดสถานะจุดพอเพียงจริงหรอก,มีตังสัก1ล้านล้านบาทบางเจ้าสัวก็ยังไม่พอ,มีกว่า2ล้านล้านบาทบางเจ้าสัวก็ยังไม่พอ,โลภแล้วโลภอีกคือของจริง,เหมือนนักการเมืองโลภ ไม่พอ อยากแดกแล้วแดกอีกในทรัพยาการมีค่ามากมายเต็มแผ่นดินไทยตนที่รู้ข้อมูล เข้าถึงข้อมูลทั้งหมดนั้นแล้ว,ต่างชาติยิ่งไม่ต้องพูดถึง ผลประโยชน์เพียวๆล้วนๆ.

    https://youtube.com/shorts/c-rs3l6eVLo?si=sPPfdPofEuQuPaUq
    เรเวลความพอเพียงของแต่ละคน. ไม่มีมาตรฐานชี้วัดสถานะจุดพอเพียงจริงหรอก,มีตังสัก1ล้านล้านบาทบางเจ้าสัวก็ยังไม่พอ,มีกว่า2ล้านล้านบาทบางเจ้าสัวก็ยังไม่พอ,โลภแล้วโลภอีกคือของจริง,เหมือนนักการเมืองโลภ ไม่พอ อยากแดกแล้วแดกอีกในทรัพยาการมีค่ามากมายเต็มแผ่นดินไทยตนที่รู้ข้อมูล เข้าถึงข้อมูลทั้งหมดนั้นแล้ว,ต่างชาติยิ่งไม่ต้องพูดถึง ผลประโยชน์เพียวๆล้วนๆ. https://youtube.com/shorts/c-rs3l6eVLo?si=sPPfdPofEuQuPaUq
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 8 มุมมอง 0 รีวิว
  • 'เดชอิศม์' ฉาว! สั่งนายอำเภอสงขลาสลับคิวต้อนรับสนามบินทุกสัปดาห์ เกิดเสียงวิจารณ์หนักเรื่องความเหมาะสม-เพิ่มภาระงานท้องถิ่น ผู้ว่าฯออกหนังสือสั่งการเอง ด้านข้าราชการตั้งคำถามกระทบงานมั่นคง-พัฒนาชุมชนหรือไม่
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000078366

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    'เดชอิศม์' ฉาว! สั่งนายอำเภอสงขลาสลับคิวต้อนรับสนามบินทุกสัปดาห์ เกิดเสียงวิจารณ์หนักเรื่องความเหมาะสม-เพิ่มภาระงานท้องถิ่น ผู้ว่าฯออกหนังสือสั่งการเอง ด้านข้าราชการตั้งคำถามกระทบงานมั่นคง-พัฒนาชุมชนหรือไม่ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000078366 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 34 มุมมอง 0 รีวิว
  • 'บิ๊กต่าย' จัดโผโยกย้ายตำรวจปี 68 นรต.47 คุม บช.ก. หลายตำแหน่งสำคัญเปลี่ยนมือ ผบช.ศ. เป็น ผบช.ตชด. ผบช.สยศ.ตร. ย้ายคุม ภ.8 ผบช.ภ.1 เป็น ผบช.สอท. ปรับทัพตำรวจทั่วประเทศ
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000078370

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    'บิ๊กต่าย' จัดโผโยกย้ายตำรวจปี 68 นรต.47 คุม บช.ก. หลายตำแหน่งสำคัญเปลี่ยนมือ ผบช.ศ. เป็น ผบช.ตชด. ผบช.สยศ.ตร. ย้ายคุม ภ.8 ผบช.ภ.1 เป็น ผบช.สอท. ปรับทัพตำรวจทั่วประเทศ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000078370 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 37 มุมมอง 0 รีวิว
  • "หลวงพ่ออลงกต" โผล่วิดีโอคอล! ยันไม่ได้หนี แต่ยังไม่พร้อมชี้แจง วัดพระบาทน้ำพุติดป้ายห้ามสื่อเข้าพื้นที่ ผลสอบเบื้องต้นไม่พบผิดปกติเรื่องเงินบริจาคและที่ดิน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000078367

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    "หลวงพ่ออลงกต" โผล่วิดีโอคอล! ยันไม่ได้หนี แต่ยังไม่พร้อมชี้แจง วัดพระบาทน้ำพุติดป้ายห้ามสื่อเข้าพื้นที่ ผลสอบเบื้องต้นไม่พบผิดปกติเรื่องเงินบริจาคและที่ดิน . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000078367 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 39 มุมมอง 0 รีวิว
  • เขมรตุนทุ่นระเบิด 3.7 พันลูกอ้างใช้ฝึก : [NEWS UPDATE]
    พลตรี วิทัย ลายถมยา โฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย ชี้แจงข้อเท็จจริงข่าวบิดเบือนในสื่อของฝ่ายกัมพูชาเกี่ยวกับทุ่นระเบิดในพื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชา ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ (TMAC) ยืนยัน ทุ่นระเบิดที่กำลังพลไทยเหยียบ เป็นทุ่นระเบิดสังหารบุคคล PMN-2 ใหม่ทั้งหมด ถูกวางแบบพร้อมใช้งาน ถอดอุปกรณ์ Safety กลบพรางอย่างแนบเนียน สภาพทุ่นใหม่ ตัวอักษรคมชัด สปริง เข็มแทงชนวน ชิ้นส่วนภายในใหม่สมบูรณ์ ไม่ใช่ทุ่นเก่าตามที่กัมพูชาอ้าง โดยเอกสารรายงานอนุสัญญาออตตาวา ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2024 ระบุชัดเจนกัมพูชาครอบครองทุ่นระเบิด PMN-2 และชนิดอื่น รวมกว่า 3,700 ลูก ไม่ทำลายอ้างใช้ฝึกต่อ แต่ลักลอบนำทุ่น PMN-2 มาวางในเขตอธิปไตยไทย เป็นการละเมิดอนุสัญญาอย่างร้ายแรง สามารถเอาผิดตามกฎหมายระหว่างประเทศได้



    ไปให้เห็นกับตา

    รอผลประชุม GBC

    ญี่ปุ่นพร้อมร่วมมือ

    รำลึกพะยูน"มาเรียม"
    เขมรตุนทุ่นระเบิด 3.7 พันลูกอ้างใช้ฝึก : [NEWS UPDATE] พลตรี วิทัย ลายถมยา โฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย ชี้แจงข้อเท็จจริงข่าวบิดเบือนในสื่อของฝ่ายกัมพูชาเกี่ยวกับทุ่นระเบิดในพื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชา ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ (TMAC) ยืนยัน ทุ่นระเบิดที่กำลังพลไทยเหยียบ เป็นทุ่นระเบิดสังหารบุคคล PMN-2 ใหม่ทั้งหมด ถูกวางแบบพร้อมใช้งาน ถอดอุปกรณ์ Safety กลบพรางอย่างแนบเนียน สภาพทุ่นใหม่ ตัวอักษรคมชัด สปริง เข็มแทงชนวน ชิ้นส่วนภายในใหม่สมบูรณ์ ไม่ใช่ทุ่นเก่าตามที่กัมพูชาอ้าง โดยเอกสารรายงานอนุสัญญาออตตาวา ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2024 ระบุชัดเจนกัมพูชาครอบครองทุ่นระเบิด PMN-2 และชนิดอื่น รวมกว่า 3,700 ลูก ไม่ทำลายอ้างใช้ฝึกต่อ แต่ลักลอบนำทุ่น PMN-2 มาวางในเขตอธิปไตยไทย เป็นการละเมิดอนุสัญญาอย่างร้ายแรง สามารถเอาผิดตามกฎหมายระหว่างประเทศได้ ไปให้เห็นกับตา รอผลประชุม GBC ญี่ปุ่นพร้อมร่วมมือ รำลึกพะยูน"มาเรียม"
    Like
    Haha
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 44 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • คนฝรั่งเศสสุดทน เปิดโปงเขมรให้โลกรู้!!! [18/8/68]
    French fed up, expose Cambodia to the world

    #TruthFromThailand
    #scambodia
    #CambodiaExposed
    #FrenchMedia
    #ExposeCambodia
    #ThaiTimes
    #news1
    #shorts
    คนฝรั่งเศสสุดทน เปิดโปงเขมรให้โลกรู้!!! [18/8/68] French fed up, expose Cambodia to the world #TruthFromThailand #scambodia #CambodiaExposed #FrenchMedia #ExposeCambodia #ThaiTimes #news1 #shorts
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 21 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • #ทหารการเมือง #ทหารพาณิชย์ นี่ มันเลวร้าย ชั่วสุดๆ ผิดคำสัตย์ ให้มันตกนรก ทุกข์ทรมานสุดขีด ตาม #เวรกรรม ที่ #เนรคุณ #ประเทศไทย #บูรพาพยัคฆ์ #เลวทราม #ต่ำช้า #สามรนย์ มาก
    https://www.youtube.com/live/OuGhcEyX39k
    #ทหารการเมือง #ทหารพาณิชย์ นี่ มันเลวร้าย ชั่วสุดๆ ผิดคำสัตย์ ให้มันตกนรก ทุกข์ทรมานสุดขีด ตาม #เวรกรรม ที่ #เนรคุณ #ประเทศไทย #บูรพาพยัคฆ์ #เลวทราม #ต่ำช้า #สามรนย์ มาก https://www.youtube.com/live/OuGhcEyX39k
    - YouTube
    เพลิดเพลินไปกับวิดีโอและเพลงที่คุณชอบ อัปโหลดเนื้อหาต้นฉบับ และแชร์เนื้อหาทั้งหมดกับเพื่อน ครอบครัว และผู้คนทั่วโลกบน YouTube
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 15 มุมมอง 0 รีวิว
  • อัปเดต Windows 11 KB5063878 ทำ SSD พังเมื่อเขียนไฟล์จำนวนมาก

    อัปเดต KB5063878 ที่ปล่อยเมื่อ 12 สิงหาคม 2025 มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับ Windows 11 เวอร์ชัน 24H2 แต่กลับมีรายงานจากผู้ใช้หลายคนว่า SSD ของพวกเขา “หายไปจากระบบ” หลังจากมีการเขียนข้อมูลขนาดใหญ่ต่อเนื่อง เช่น การอัปเดตเกม Cyberpunk 2077 หรือการโอนข้อมูลมากกว่า 50 GB

    ผู้ใช้ชื่อ @Necoru_cat บน X พบว่า SSD ที่ใช้คอนโทรลเลอร์ Phison เช่น Corsair MP600, Kioxia Exceria Plus G4 และ SanDisk Extreme Pro มีแนวโน้มเกิดปัญหามากที่สุด โดยอาการคือ:
    - ไดรฟ์หายจากระบบ OS
    - SMART data อ่านไม่ได้
    - รีสตาร์ทแล้วบางครั้งกลับมา แต่บางครั้งหายถาวร
    - ไฟล์บางส่วนเสียหายหรือไม่สามารถเข้าถึงได้

    แม้จะยังไม่มีการยืนยันจาก Microsoft หรือผู้ผลิต SSD แต่รายงานจากหลายแหล่งชี้ว่าอาจเกิดจาก regression ในระดับ kernel หรือ driver ที่จัดการการเขียนข้อมูลต่อเนื่องผิดพลาด จนทำให้คอนโทรลเลอร์ “ล็อก” และไม่ตอบสนอง

    ปัญหานี้ยังไม่แพร่หลายมากนัก แต่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้หลีกเลี่ยงการเขียนไฟล์ขนาดใหญ่ต่อเนื่อง โดยเฉพาะถ้าใช้ SSD ที่มีคอนโทรลเลอร์ Phison หรือรุ่นที่อยู่ในรายชื่อที่ได้รับผลกระทบ

    ข้อมูลจากข่าวหลัก
    อัปเดต KB5063878 ของ Windows 11 ทำให้ SSD บางรุ่นพังเมื่อเขียนข้อมูลมากกว่า 50 GB
    อาการคือไดรฟ์หายจากระบบ, SMART อ่านไม่ได้, รีสตาร์ทแล้วไม่กลับมา
    SSD ที่ได้รับผลกระทบส่วนใหญ่ใช้คอนโทรลเลอร์ Phison เช่น PS5012-E12, E16, E21T
    รุ่นที่พบปัญหา ได้แก่ Corsair MP600, Kioxia Exceria Plus G4, SanDisk Extreme Pro
    ปัญหาเกิดจากการเขียนข้อมูลต่อเนื่อง (sequential write) ที่ทำให้คอนโทรลเลอร์ล็อก
    ยังไม่มีการยืนยันจาก Microsoft หรือผู้ผลิต SSD

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ปัญหาอาจเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงใน Host Memory Buffer (HMB) และ storage stack
    มีรายงานว่า HDD บางรุ่นก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน
    SSD บางรุ่นสามารถกลับมาใช้งานได้หลังรีสตาร์ท แต่บางรุ่นหายถาวร
    ผู้ใช้ควรหลีกเลี่ยงการโอนข้อมูลขนาดใหญ่ในช่วงนี้
    การใช้ซอฟต์แวร์ตรวจสอบ SMART อาจช่วยเตือนก่อนเกิดปัญหา
    ผู้ดูแลระบบควรสำรองข้อมูลก่อนติดตั้งอัปเดต KB5063878

    https://wccftech.com/windows-11-latest-update-is-reportedly-causing-widespread-ssd-failures/
    🧨 อัปเดต Windows 11 KB5063878 ทำ SSD พังเมื่อเขียนไฟล์จำนวนมาก อัปเดต KB5063878 ที่ปล่อยเมื่อ 12 สิงหาคม 2025 มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับ Windows 11 เวอร์ชัน 24H2 แต่กลับมีรายงานจากผู้ใช้หลายคนว่า SSD ของพวกเขา “หายไปจากระบบ” หลังจากมีการเขียนข้อมูลขนาดใหญ่ต่อเนื่อง เช่น การอัปเดตเกม Cyberpunk 2077 หรือการโอนข้อมูลมากกว่า 50 GB ผู้ใช้ชื่อ @Necoru_cat บน X พบว่า SSD ที่ใช้คอนโทรลเลอร์ Phison เช่น Corsair MP600, Kioxia Exceria Plus G4 และ SanDisk Extreme Pro มีแนวโน้มเกิดปัญหามากที่สุด โดยอาการคือ: - ไดรฟ์หายจากระบบ OS - SMART data อ่านไม่ได้ - รีสตาร์ทแล้วบางครั้งกลับมา แต่บางครั้งหายถาวร - ไฟล์บางส่วนเสียหายหรือไม่สามารถเข้าถึงได้ แม้จะยังไม่มีการยืนยันจาก Microsoft หรือผู้ผลิต SSD แต่รายงานจากหลายแหล่งชี้ว่าอาจเกิดจาก regression ในระดับ kernel หรือ driver ที่จัดการการเขียนข้อมูลต่อเนื่องผิดพลาด จนทำให้คอนโทรลเลอร์ “ล็อก” และไม่ตอบสนอง ปัญหานี้ยังไม่แพร่หลายมากนัก แต่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้หลีกเลี่ยงการเขียนไฟล์ขนาดใหญ่ต่อเนื่อง โดยเฉพาะถ้าใช้ SSD ที่มีคอนโทรลเลอร์ Phison หรือรุ่นที่อยู่ในรายชื่อที่ได้รับผลกระทบ ✅ ข้อมูลจากข่าวหลัก ➡️ อัปเดต KB5063878 ของ Windows 11 ทำให้ SSD บางรุ่นพังเมื่อเขียนข้อมูลมากกว่า 50 GB ➡️ อาการคือไดรฟ์หายจากระบบ, SMART อ่านไม่ได้, รีสตาร์ทแล้วไม่กลับมา ➡️ SSD ที่ได้รับผลกระทบส่วนใหญ่ใช้คอนโทรลเลอร์ Phison เช่น PS5012-E12, E16, E21T ➡️ รุ่นที่พบปัญหา ได้แก่ Corsair MP600, Kioxia Exceria Plus G4, SanDisk Extreme Pro ➡️ ปัญหาเกิดจากการเขียนข้อมูลต่อเนื่อง (sequential write) ที่ทำให้คอนโทรลเลอร์ล็อก ➡️ ยังไม่มีการยืนยันจาก Microsoft หรือผู้ผลิต SSD ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ปัญหาอาจเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงใน Host Memory Buffer (HMB) และ storage stack ➡️ มีรายงานว่า HDD บางรุ่นก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน ➡️ SSD บางรุ่นสามารถกลับมาใช้งานได้หลังรีสตาร์ท แต่บางรุ่นหายถาวร ➡️ ผู้ใช้ควรหลีกเลี่ยงการโอนข้อมูลขนาดใหญ่ในช่วงนี้ ➡️ การใช้ซอฟต์แวร์ตรวจสอบ SMART อาจช่วยเตือนก่อนเกิดปัญหา ➡️ ผู้ดูแลระบบควรสำรองข้อมูลก่อนติดตั้งอัปเดต KB5063878 https://wccftech.com/windows-11-latest-update-is-reportedly-causing-widespread-ssd-failures/
    WCCFTECH.COM
    Windows 11’s Latest Security Update Is Reportedly Causing Several SSD Failures When Writing a Large Number of Files at Once
    It is now reported that the latest Windows 11 update is causing SSDs to become non-functional after a large data write.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 22 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อ AI โตเร็วกว่าไฟฟ้า: สหรัฐฯ เผชิญวิกฤตพลังงานจากศูนย์ข้อมูล

    ในปี 2025 ความต้องการพลังงานจากศูนย์ข้อมูล AI ในสหรัฐฯ พุ่งสูงจนโครงข่ายไฟฟ้าไม่สามารถรองรับได้ทัน โดยเฉพาะศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ของบริษัทอย่าง Amazon, Google, Meta และ Microsoft ที่ต้องใช้ไฟฟ้าระดับ “กิกะวัตต์” ต่อแห่ง—เทียบเท่าบ้านเรือนหลายล้านหลัง

    รายงานจาก Goldman Sachs และ Gartner ระบุว่า ภายในปี 2027 ความต้องการไฟฟ้าจากศูนย์ข้อมูลอาจแตะ 500 เทราวัตต์-ชั่วโมง ซึ่งมากกว่าความสามารถของโครงข่ายไฟฟ้าสหรัฐฯ ที่สร้างไว้ตั้งแต่ยุค 1970

    ผลกระทบเริ่มเห็นชัดในหลายรัฐ เช่น เท็กซัสและเวอร์จิเนีย ที่ค่าไฟฟ้าในพื้นที่ใกล้ศูนย์ข้อมูลเพิ่มขึ้น $14–$37 ต่อเดือน และอาจสูงขึ้นอีกเมื่อรวมกับเงินเฟ้อ

    บริษัทเทคโนโลยีจึงเริ่มสร้างโรงไฟฟ้าเอง เช่น Meta ที่ใช้โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติสำหรับคลัสเตอร์ AI ขนาดใหญ่ และ Microsoft ที่ฟื้นโครงการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ Three Mile Island เพื่อรองรับซูเปอร์คอมพิวเตอร์

    หากไม่มีการแก้ไขอย่างเป็นระบบ สหรัฐฯ อาจสูญเสียความเป็นผู้นำด้าน AI เพราะบริษัทอาจย้ายศูนย์ข้อมูลไปต่างประเทศที่มีไฟฟ้าพร้อมใช้มากกว่า

    ข้อมูลจากข่าวหลัก
    ความต้องการไฟฟ้าจากศูนย์ข้อมูล AI พุ่งสูงจนโครงข่ายไฟฟ้าสหรัฐฯ ติดคอขวด
    บริษัทเทคโนโลยีต้องสร้างโรงไฟฟ้าเอง เช่น Meta และ Microsoft
    ความต้องการไฟฟ้าอาจแตะ 500 TWh ภายในปี 2027
    ค่าไฟฟ้าในพื้นที่ใกล้ศูนย์ข้อมูลเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
    การขอเชื่อมต่อไฟฟ้าแต่ละครั้งสูงถึง 5 GW ต่อศูนย์ข้อมูล
    ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เสนอ “AI action plan” เพื่อแก้ปัญหาโครงข่ายไฟฟ้า

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    รายงานจาก RAND ระบุว่า AI อาจต้องใช้ไฟฟ้าสูงถึง 68 GW ภายในปี 2027
    หากไม่แก้ปัญหา บริษัทอาจย้ายศูนย์ข้อมูลไปต่างประเทศ เสี่ยงต่อความมั่นคง
    ศูนย์ข้อมูลใหม่เริ่มใช้พลังงาน onsite เช่น เซลล์เชื้อเพลิงและพลังงานหมุนเวียน
    Bloom Energy คาดว่า 30% ของศูนย์ข้อมูลในปี 2030 จะใช้พลังงาน onsite เป็นหลัก
    การอนุมัติโครงการไฟฟ้าใหม่ยังติดขั้นตอนราชการและ supply chain
    การสร้างโรงไฟฟ้าใช้เวลาหลายปี แต่การขยายศูนย์ข้อมูลเกิดขึ้นทุกเดือน

    https://wccftech.com/the-us-ai-datacenter-boom-is-so-massive-that-the-nation-power-grid-is-in-a-critical-bottleneck-right-now/
    ⚠️ เมื่อ AI โตเร็วกว่าไฟฟ้า: สหรัฐฯ เผชิญวิกฤตพลังงานจากศูนย์ข้อมูล ในปี 2025 ความต้องการพลังงานจากศูนย์ข้อมูล AI ในสหรัฐฯ พุ่งสูงจนโครงข่ายไฟฟ้าไม่สามารถรองรับได้ทัน โดยเฉพาะศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ของบริษัทอย่าง Amazon, Google, Meta และ Microsoft ที่ต้องใช้ไฟฟ้าระดับ “กิกะวัตต์” ต่อแห่ง—เทียบเท่าบ้านเรือนหลายล้านหลัง รายงานจาก Goldman Sachs และ Gartner ระบุว่า ภายในปี 2027 ความต้องการไฟฟ้าจากศูนย์ข้อมูลอาจแตะ 500 เทราวัตต์-ชั่วโมง ซึ่งมากกว่าความสามารถของโครงข่ายไฟฟ้าสหรัฐฯ ที่สร้างไว้ตั้งแต่ยุค 1970 ผลกระทบเริ่มเห็นชัดในหลายรัฐ เช่น เท็กซัสและเวอร์จิเนีย ที่ค่าไฟฟ้าในพื้นที่ใกล้ศูนย์ข้อมูลเพิ่มขึ้น $14–$37 ต่อเดือน และอาจสูงขึ้นอีกเมื่อรวมกับเงินเฟ้อ บริษัทเทคโนโลยีจึงเริ่มสร้างโรงไฟฟ้าเอง เช่น Meta ที่ใช้โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติสำหรับคลัสเตอร์ AI ขนาดใหญ่ และ Microsoft ที่ฟื้นโครงการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ Three Mile Island เพื่อรองรับซูเปอร์คอมพิวเตอร์ หากไม่มีการแก้ไขอย่างเป็นระบบ สหรัฐฯ อาจสูญเสียความเป็นผู้นำด้าน AI เพราะบริษัทอาจย้ายศูนย์ข้อมูลไปต่างประเทศที่มีไฟฟ้าพร้อมใช้มากกว่า ✅ ข้อมูลจากข่าวหลัก ➡️ ความต้องการไฟฟ้าจากศูนย์ข้อมูล AI พุ่งสูงจนโครงข่ายไฟฟ้าสหรัฐฯ ติดคอขวด ➡️ บริษัทเทคโนโลยีต้องสร้างโรงไฟฟ้าเอง เช่น Meta และ Microsoft ➡️ ความต้องการไฟฟ้าอาจแตะ 500 TWh ภายในปี 2027 ➡️ ค่าไฟฟ้าในพื้นที่ใกล้ศูนย์ข้อมูลเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ➡️ การขอเชื่อมต่อไฟฟ้าแต่ละครั้งสูงถึง 5 GW ต่อศูนย์ข้อมูล ➡️ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เสนอ “AI action plan” เพื่อแก้ปัญหาโครงข่ายไฟฟ้า ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ รายงานจาก RAND ระบุว่า AI อาจต้องใช้ไฟฟ้าสูงถึง 68 GW ภายในปี 2027 ➡️ หากไม่แก้ปัญหา บริษัทอาจย้ายศูนย์ข้อมูลไปต่างประเทศ เสี่ยงต่อความมั่นคง ➡️ ศูนย์ข้อมูลใหม่เริ่มใช้พลังงาน onsite เช่น เซลล์เชื้อเพลิงและพลังงานหมุนเวียน ➡️ Bloom Energy คาดว่า 30% ของศูนย์ข้อมูลในปี 2030 จะใช้พลังงาน onsite เป็นหลัก ➡️ การอนุมัติโครงการไฟฟ้าใหม่ยังติดขั้นตอนราชการและ supply chain ➡️ การสร้างโรงไฟฟ้าใช้เวลาหลายปี แต่การขยายศูนย์ข้อมูลเกิดขึ้นทุกเดือน https://wccftech.com/the-us-ai-datacenter-boom-is-so-massive-that-the-nation-power-grid-is-in-a-critical-bottleneck-right-now/
    WCCFTECH.COM
    The U.S. AI Datacenter Boom Is So Massive That the Nation’s Power Grid Is In a "Critical Bottleneck" Right Now; Big Tech is Forced to Build Its Power Plants
    While the AI hype is advancing with full force, the industry seems set to face a massive issue due to America's old power grids.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 23 มุมมอง 0 รีวิว
  • จากนำเข้า สู่ผลิตเอง: สหรัฐฯ เริ่มผลิตเวเฟอร์ซิลิกอนในประเทศ

    ในอดีต สหรัฐฯ ต้องพึ่งพาการนำเข้าแผ่นเวเฟอร์ซิลิกอนจากบริษัทในญี่ปุ่นและไต้หวัน เช่น Shin-Etsu และ Sumco เพื่อใช้เป็นฐานในการผลิตชิป แต่ในปี 2025 GlobalWafers ได้เปิดโรงงานแห่งใหม่ในเมือง Sherman รัฐเท็กซัส ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่มีการผลิตเวเฟอร์ซิลิกอนขนาด 300 มม. ภายในประเทศ

    โรงงานนี้มีมูลค่าการลงทุนกว่า $3.5 พันล้าน และได้รับการสนับสนุนจาก CHIPS Act รวมถึงเงินลงทุนจาก Apple และ TSMC โดยมีเป้าหมายผลิตเวเฟอร์เดือนละ 300,000 แผ่นในเฟสแรก

    การผลิตในประเทศจะช่วยลดเวลาการขนส่ง เพิ่มความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน และลดต้นทุนการผลิตให้กับบริษัทผู้ผลิตชิปในสหรัฐฯ เช่น Texas Instruments, NVIDIA และ Samsung ที่มีโรงงานในเท็กซัส

    นอกจากนี้ GlobalWafers ยังมีแผนผลิตเวเฟอร์ชนิดพิเศษ เช่น SOI (Silicon-on-Insulator) สำหรับงานด้านอวกาศและกลาโหม และ SiC (Silicon Carbide) สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าและโครงสร้างพื้นฐานพลังงานสะอาด

    การเปิดโรงงานนี้ยังสร้างงานกว่า 2,500 ตำแหน่ง และเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงเชิงยุทธศาสตร์จากการพึ่งพาเอเชีย สู่การสร้างอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่แข็งแกร่งในฝั่งตะวันตก

    ความสำเร็จของ GlobalWafers ในสหรัฐฯ
    เป็นบริษัทแรกที่ผลิตเวเฟอร์ซิลิกอนขนาด 300 มม. ภายในสหรัฐฯ
    โรงงานตั้งอยู่ในเมือง Sherman รัฐเท็กซัส มูลค่าการลงทุน $3.5 พันล้าน
    ได้รับการสนับสนุนจาก CHIPS Act และเงินลงทุนจาก Apple และ TSMC
    ผลิตเวเฟอร์เดือนละ 300,000 แผ่นในเฟสแรก
    ลดการพึ่งพาการนำเข้าจากญี่ปุ่นและไต้หวัน
    ช่วยเสริมความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทานในอุตสาหกรรมชิป
    สร้างงานกว่า 2,500 ตำแหน่งในเท็กซัสและมิสซูรี

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    GlobalWafers เป็นหนึ่งใน 5 ผู้นำตลาดเวเฟอร์โลก ร่วมกับ Shin-Etsu และ Sumco
    มีโรงงานในยุโรป เอเชีย และสหรัฐฯ ทำให้ลดต้นทุนขนส่งได้ถึง 5%
    เวเฟอร์ SOI ใช้ในงานอวกาศ กลาโหม และ HPC ด้วยคุณสมบัติกันรังสี
    เวเฟอร์ SiC ใช้ในรถยนต์ไฟฟ้าและระบบพลังงานสะอาด
    ตลาดเวเฟอร์คาดว่าจะเติบโต 5.5% ต่อปีในด้านพื้นที่ และ 2% ในด้านราคา
    GlobalWafers มีข้อตกลงระยะยาวกับลูกค้าเพื่อรักษาเสถียรภาพรายได้

    https://wccftech.com/u-s-chip-industry-reaches-another-milestone-as-globalwafers-becomes-the-first-firm-to-produce-silicon-wafers-domestically/
    🏭 จากนำเข้า สู่ผลิตเอง: สหรัฐฯ เริ่มผลิตเวเฟอร์ซิลิกอนในประเทศ ในอดีต สหรัฐฯ ต้องพึ่งพาการนำเข้าแผ่นเวเฟอร์ซิลิกอนจากบริษัทในญี่ปุ่นและไต้หวัน เช่น Shin-Etsu และ Sumco เพื่อใช้เป็นฐานในการผลิตชิป แต่ในปี 2025 GlobalWafers ได้เปิดโรงงานแห่งใหม่ในเมือง Sherman รัฐเท็กซัส ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่มีการผลิตเวเฟอร์ซิลิกอนขนาด 300 มม. ภายในประเทศ โรงงานนี้มีมูลค่าการลงทุนกว่า $3.5 พันล้าน และได้รับการสนับสนุนจาก CHIPS Act รวมถึงเงินลงทุนจาก Apple และ TSMC โดยมีเป้าหมายผลิตเวเฟอร์เดือนละ 300,000 แผ่นในเฟสแรก การผลิตในประเทศจะช่วยลดเวลาการขนส่ง เพิ่มความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน และลดต้นทุนการผลิตให้กับบริษัทผู้ผลิตชิปในสหรัฐฯ เช่น Texas Instruments, NVIDIA และ Samsung ที่มีโรงงานในเท็กซัส นอกจากนี้ GlobalWafers ยังมีแผนผลิตเวเฟอร์ชนิดพิเศษ เช่น SOI (Silicon-on-Insulator) สำหรับงานด้านอวกาศและกลาโหม และ SiC (Silicon Carbide) สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าและโครงสร้างพื้นฐานพลังงานสะอาด การเปิดโรงงานนี้ยังสร้างงานกว่า 2,500 ตำแหน่ง และเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงเชิงยุทธศาสตร์จากการพึ่งพาเอเชีย สู่การสร้างอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่แข็งแกร่งในฝั่งตะวันตก ✅ ความสำเร็จของ GlobalWafers ในสหรัฐฯ ➡️ เป็นบริษัทแรกที่ผลิตเวเฟอร์ซิลิกอนขนาด 300 มม. ภายในสหรัฐฯ ➡️ โรงงานตั้งอยู่ในเมือง Sherman รัฐเท็กซัส มูลค่าการลงทุน $3.5 พันล้าน ➡️ ได้รับการสนับสนุนจาก CHIPS Act และเงินลงทุนจาก Apple และ TSMC ➡️ ผลิตเวเฟอร์เดือนละ 300,000 แผ่นในเฟสแรก ➡️ ลดการพึ่งพาการนำเข้าจากญี่ปุ่นและไต้หวัน ➡️ ช่วยเสริมความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทานในอุตสาหกรรมชิป ➡️ สร้างงานกว่า 2,500 ตำแหน่งในเท็กซัสและมิสซูรี ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ GlobalWafers เป็นหนึ่งใน 5 ผู้นำตลาดเวเฟอร์โลก ร่วมกับ Shin-Etsu และ Sumco ➡️ มีโรงงานในยุโรป เอเชีย และสหรัฐฯ ทำให้ลดต้นทุนขนส่งได้ถึง 5% ➡️ เวเฟอร์ SOI ใช้ในงานอวกาศ กลาโหม และ HPC ด้วยคุณสมบัติกันรังสี ➡️ เวเฟอร์ SiC ใช้ในรถยนต์ไฟฟ้าและระบบพลังงานสะอาด ➡️ ตลาดเวเฟอร์คาดว่าจะเติบโต 5.5% ต่อปีในด้านพื้นที่ และ 2% ในด้านราคา ➡️ GlobalWafers มีข้อตกลงระยะยาวกับลูกค้าเพื่อรักษาเสถียรภาพรายได้ https://wccftech.com/u-s-chip-industry-reaches-another-milestone-as-globalwafers-becomes-the-first-firm-to-produce-silicon-wafers-domestically/
    WCCFTECH.COM
    U.S. Chip Industry Reaches Another Massive Milestone as GlobalWafers Becomes the First Firm to Produce Silicon Wafers Domestically, Backed By Investments from Apple & TSMC
    America's chip industry is heading towards complete self-reliance, as GlobalWafers has announced plans to develop silicon wafers in Texas.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 22 มุมมอง 0 รีวิว
  • SK Hynix พลิกเกม DRAM โลก โค่น Samsung หลังครองตลาด 33 ปี

    ในปี 2025 SK Hynix ได้สร้างประวัติศาสตร์ใหม่ในวงการเซมิคอนดักเตอร์ ด้วยการแซงหน้า Samsung ขึ้นเป็นผู้ผลิต DRAM อันดับหนึ่งของโลกเป็นครั้งแรกในรอบ 33 ปี โดยมีส่วนแบ่งตลาด 36.3% ขณะที่ Samsung ลดลงเหลือ 32.7% ซึ่งถือเป็นการลดลงครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เริ่มบันทึกสถิติในปี 1999

    ปัจจัยสำคัญคือ SK Hynix ได้รับสัญญาจัดหา HBM (High Bandwidth Memory) จาก NVIDIA ซึ่งเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่สุดในตลาด AI และ GPU ขณะที่ Samsungพลาดดีลสำคัญนี้ไป ทำให้สูญเสียรายได้มหาศาล

    นอกจาก HBM3 และ HBM3E แล้ว SK Hynix ยังเป็นบริษัทแรกที่ผลิต HBM4 แบบเต็มรูปแบบได้สำเร็จ ซึ่งทำให้บริษัทกลายเป็นผู้นำในตลาดหน่วยความจำสำหรับงาน AI และ LLM (Large Language Models)

    แม้ Samsung จะพยายามกลับมาโดยลดราคาผลิตภัณฑ์ HBM3E และเร่งพัฒนา HBM4 แต่ก็ยังไม่สามารถทวงคืนตำแหน่งได้ในระยะสั้น โดยรายงานระบุว่า Samsung มีรายได้จาก DRAM ลดลงถึง 19% ในไตรมาสเดียว

    SK Hynix ขึ้นแท่นผู้นำ DRAM โลก
    ส่วนแบ่งตลาด DRAM ของ SK Hynix อยู่ที่ 36.3% แซงหน้า Samsung ที่เหลือ 32.7%
    เป็นครั้งแรกในรอบ 33 ปีที่ Samsung ถูกโค่นจากตำแหน่งผู้นำ
    SK Hynix ได้รับสัญญาจัดหา HBM จาก NVIDIA ซึ่งเป็นลูกค้าหลักในตลาด AI
    บริษัทมีรายได้จากหน่วยความจำ $9.72 พันล้านใน Q2 2025
    SK Hynix เป็นรายแรกที่ผลิต HBM4 แบบเต็มรูปแบบได้สำเร็จ
    มีส่วนแบ่งในตลาด HBM สูงถึง 62% และกำลังเพิ่มขึ้น

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    HBM เป็นหน่วยความจำที่ใช้ในงาน AI เช่น LLM และ GPU ประสิทธิภาพสูง
    Samsung เคยใช้ GDDR7 กับ RTX50 แต่ถูกลดบทบาทในสายผลิตภัณฑ์ใหม่
    Micron อยู่ในอันดับสามของตลาด DRAM ด้วยรายได้ $6.58 พันล้าน
    ตลาด DRAM โดยรวมลดลง 5.5% ใน Q1 2025 จากราคาสัญญาที่ตกต่ำ
    SK Hynix มีแผนเพิ่มสัดส่วน HBM3E แบบ 12-layer ให้เกิน 80% ในครึ่งหลังของปี
    การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงการเปลี่ยนยุคจาก DRAM แบบดั้งเดิมสู่ HBM สำหรับ AI

    https://wccftech.com/sk-hynix-has-managed-to-end-samsung-three-decade-long-dominance-in-the-dram-industry/
    🏆 SK Hynix พลิกเกม DRAM โลก โค่น Samsung หลังครองตลาด 33 ปี ในปี 2025 SK Hynix ได้สร้างประวัติศาสตร์ใหม่ในวงการเซมิคอนดักเตอร์ ด้วยการแซงหน้า Samsung ขึ้นเป็นผู้ผลิต DRAM อันดับหนึ่งของโลกเป็นครั้งแรกในรอบ 33 ปี โดยมีส่วนแบ่งตลาด 36.3% ขณะที่ Samsung ลดลงเหลือ 32.7% ซึ่งถือเป็นการลดลงครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เริ่มบันทึกสถิติในปี 1999 ปัจจัยสำคัญคือ SK Hynix ได้รับสัญญาจัดหา HBM (High Bandwidth Memory) จาก NVIDIA ซึ่งเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่สุดในตลาด AI และ GPU ขณะที่ Samsungพลาดดีลสำคัญนี้ไป ทำให้สูญเสียรายได้มหาศาล นอกจาก HBM3 และ HBM3E แล้ว SK Hynix ยังเป็นบริษัทแรกที่ผลิต HBM4 แบบเต็มรูปแบบได้สำเร็จ ซึ่งทำให้บริษัทกลายเป็นผู้นำในตลาดหน่วยความจำสำหรับงาน AI และ LLM (Large Language Models) แม้ Samsung จะพยายามกลับมาโดยลดราคาผลิตภัณฑ์ HBM3E และเร่งพัฒนา HBM4 แต่ก็ยังไม่สามารถทวงคืนตำแหน่งได้ในระยะสั้น โดยรายงานระบุว่า Samsung มีรายได้จาก DRAM ลดลงถึง 19% ในไตรมาสเดียว ✅ SK Hynix ขึ้นแท่นผู้นำ DRAM โลก ➡️ ส่วนแบ่งตลาด DRAM ของ SK Hynix อยู่ที่ 36.3% แซงหน้า Samsung ที่เหลือ 32.7% ➡️ เป็นครั้งแรกในรอบ 33 ปีที่ Samsung ถูกโค่นจากตำแหน่งผู้นำ ➡️ SK Hynix ได้รับสัญญาจัดหา HBM จาก NVIDIA ซึ่งเป็นลูกค้าหลักในตลาด AI ➡️ บริษัทมีรายได้จากหน่วยความจำ $9.72 พันล้านใน Q2 2025 ➡️ SK Hynix เป็นรายแรกที่ผลิต HBM4 แบบเต็มรูปแบบได้สำเร็จ ➡️ มีส่วนแบ่งในตลาด HBM สูงถึง 62% และกำลังเพิ่มขึ้น ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ HBM เป็นหน่วยความจำที่ใช้ในงาน AI เช่น LLM และ GPU ประสิทธิภาพสูง ➡️ Samsung เคยใช้ GDDR7 กับ RTX50 แต่ถูกลดบทบาทในสายผลิตภัณฑ์ใหม่ ➡️ Micron อยู่ในอันดับสามของตลาด DRAM ด้วยรายได้ $6.58 พันล้าน ➡️ ตลาด DRAM โดยรวมลดลง 5.5% ใน Q1 2025 จากราคาสัญญาที่ตกต่ำ ➡️ SK Hynix มีแผนเพิ่มสัดส่วน HBM3E แบบ 12-layer ให้เกิน 80% ในครึ่งหลังของปี ➡️ การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงการเปลี่ยนยุคจาก DRAM แบบดั้งเดิมสู่ HBM สำหรับ AI https://wccftech.com/sk-hynix-has-managed-to-end-samsung-three-decade-long-dominance-in-the-dram-industry/
    WCCFTECH.COM
    SK Hynix Has Managed to End Samsung's Three-Decade-Long Dominance in the DRAM Industry, as the Latter Witnesses Its Biggest-Ever Drop in Market Share This Year
    Well, Samsung has lost its dominance in the DRAM segment, as according to newer statistics, SK hynix is now holding the lion's share.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 25 มุมมอง 0 รีวิว
  • Wi-Fi ไม่ได้ผิด แต่พฤติกรรมดิจิทัลของเราต่างหากที่ทำร้ายโลก

    โปสเตอร์จากมหาวิทยาลัย East London ที่ปรากฏในสถานีรถไฟใต้ดินของลอนดอนสร้างความฮือฮา ด้วยข้อความที่ดูเหมือนจะกล่าวโทษ Wi-Fi ว่าเป็นตัวการทำลายสิ่งแวดล้อม แต่เมื่อมองลึกลงไป มันคือการชวนให้เราคิดใหม่ผ่านแคมเปญ “Think Again” ที่ตั้งคำถามกับพฤติกรรมการใช้เทคโนโลยีของเรา

    เป้าหมายของแคมเปญนี้คือการชี้ให้เห็นว่า “การใช้เวลาอยู่หน้าจอมากเกินไป” ไม่ว่าจะเป็นมือถือ แท็บเล็ต ทีวี หรือคอมพิวเตอร์ ล้วนมีผลต่อสิ่งแวดล้อม เพราะมันผลักดันให้ศูนย์ข้อมูล (data centers) ต้องทำงานหนักขึ้น ซึ่งปล่อยคาร์บอนมากกว่าการบินทั่วโลกเสียอีก

    แม้ Wi-Fi เองจะไม่ได้ปล่อยคาร์บอนโดยตรง แต่การใช้งานอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับ Wi-Fi เช่น เราเตอร์ สมาร์ททีวี และเซิร์ฟเวอร์ ล้วนมีการใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง และสร้าง e-waste จำนวนมหาศาลในแต่ละปี

    งานวิจัยจากหลายแหล่งชี้ว่า Wi-Fi และเทคโนโลยีดิจิทัลมีส่วนทำให้เกิดก๊าซเรือนกระจกถึง 4% ของทั้งหมด และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 9% ต่อปี หากไม่มีการจัดการอย่างยั่งยืน

    ข้อมูลจากข่าวและแคมเปญ Think Again
    โปสเตอร์จากมหาวิทยาลัย East London ชวนให้คิดใหม่เรื่องผลกระทบจากการใช้เทคโนโลยี
    ข้อความ “WiFi doesn’t grow on trees” เป็นการกระตุ้นให้คนสนใจ ไม่ใช่กล่าวโทษ Wi-Fi โดยตรง
    แคมเปญชี้ให้เห็นว่การใช้เวลาอยู่หน้าจอมากเกินไปส่งผลต่อสิ่งแวดล้อม
    ศูนย์ข้อมูลทั่วโลกปล่อยคาร์บอนมากกว่าการบินทั่วโลก
    มหาวิทยาลัยกำลังวิจัยเพื่อทำให้ data centers มีความยั่งยืนมากขึ้น

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Wi-Fi และอุปกรณ์เครือข่ายมีส่วนทำให้เกิด e-waste มากกว่า 82 ล้านตันต่อปีภายในปี 2030
    การใช้ Wi-Fi ส่งผลต่อการใช้พลังงานไฟฟ้า ทั้งจากอุปกรณ์และโครงสร้างพื้นฐาน
    การเลือกเราเตอร์ที่มี Energy Star หรือ eco-label ช่วยลดการใช้พลังงาน
    การรีไซเคิลอุปกรณ์เครือข่ายเก่าเป็นวิธีลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
    Wi-Fi ช่วยให้ระบบ IoT ทำงานได้ เช่น การจัดการพลังงานในอาคารอัจฉริยะ
    การบำรุงรักษาเครือข่ายอย่างสม่ำเสมอช่วยลดการใช้พลังงานโดยไม่จำเป็น

    https://www.tomshardware.com/networking/is-wi-fi-bad-for-the-environment-eye-catching-london-ad-suggests-our-digital-habits-are-damaging-the-climate
    📡 Wi-Fi ไม่ได้ผิด แต่พฤติกรรมดิจิทัลของเราต่างหากที่ทำร้ายโลก โปสเตอร์จากมหาวิทยาลัย East London ที่ปรากฏในสถานีรถไฟใต้ดินของลอนดอนสร้างความฮือฮา ด้วยข้อความที่ดูเหมือนจะกล่าวโทษ Wi-Fi ว่าเป็นตัวการทำลายสิ่งแวดล้อม แต่เมื่อมองลึกลงไป มันคือการชวนให้เราคิดใหม่ผ่านแคมเปญ “Think Again” ที่ตั้งคำถามกับพฤติกรรมการใช้เทคโนโลยีของเรา เป้าหมายของแคมเปญนี้คือการชี้ให้เห็นว่า “การใช้เวลาอยู่หน้าจอมากเกินไป” ไม่ว่าจะเป็นมือถือ แท็บเล็ต ทีวี หรือคอมพิวเตอร์ ล้วนมีผลต่อสิ่งแวดล้อม เพราะมันผลักดันให้ศูนย์ข้อมูล (data centers) ต้องทำงานหนักขึ้น ซึ่งปล่อยคาร์บอนมากกว่าการบินทั่วโลกเสียอีก แม้ Wi-Fi เองจะไม่ได้ปล่อยคาร์บอนโดยตรง แต่การใช้งานอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับ Wi-Fi เช่น เราเตอร์ สมาร์ททีวี และเซิร์ฟเวอร์ ล้วนมีการใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง และสร้าง e-waste จำนวนมหาศาลในแต่ละปี งานวิจัยจากหลายแหล่งชี้ว่า Wi-Fi และเทคโนโลยีดิจิทัลมีส่วนทำให้เกิดก๊าซเรือนกระจกถึง 4% ของทั้งหมด และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 9% ต่อปี หากไม่มีการจัดการอย่างยั่งยืน ✅ ข้อมูลจากข่าวและแคมเปญ Think Again ➡️ โปสเตอร์จากมหาวิทยาลัย East London ชวนให้คิดใหม่เรื่องผลกระทบจากการใช้เทคโนโลยี ➡️ ข้อความ “WiFi doesn’t grow on trees” เป็นการกระตุ้นให้คนสนใจ ไม่ใช่กล่าวโทษ Wi-Fi โดยตรง ➡️ แคมเปญชี้ให้เห็นว่การใช้เวลาอยู่หน้าจอมากเกินไปส่งผลต่อสิ่งแวดล้อม ➡️ ศูนย์ข้อมูลทั่วโลกปล่อยคาร์บอนมากกว่าการบินทั่วโลก ➡️ มหาวิทยาลัยกำลังวิจัยเพื่อทำให้ data centers มีความยั่งยืนมากขึ้น ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Wi-Fi และอุปกรณ์เครือข่ายมีส่วนทำให้เกิด e-waste มากกว่า 82 ล้านตันต่อปีภายในปี 2030 ➡️ การใช้ Wi-Fi ส่งผลต่อการใช้พลังงานไฟฟ้า ทั้งจากอุปกรณ์และโครงสร้างพื้นฐาน ➡️ การเลือกเราเตอร์ที่มี Energy Star หรือ eco-label ช่วยลดการใช้พลังงาน ➡️ การรีไซเคิลอุปกรณ์เครือข่ายเก่าเป็นวิธีลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ➡️ Wi-Fi ช่วยให้ระบบ IoT ทำงานได้ เช่น การจัดการพลังงานในอาคารอัจฉริยะ ➡️ การบำรุงรักษาเครือข่ายอย่างสม่ำเสมอช่วยลดการใช้พลังงานโดยไม่จำเป็น https://www.tomshardware.com/networking/is-wi-fi-bad-for-the-environment-eye-catching-london-ad-suggests-our-digital-habits-are-damaging-the-climate
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Is Wi-Fi bad for the environment? Eye-catching London ad suggests Wi-Fi is ‘damaging the climate’
    The ad seemingly says that Wi-Fi is bad for the environment, but its makers just want you to look closer.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 26 มุมมอง 0 รีวิว
  • Excalibur: โดรนดำน้ำอัจฉริยะที่ควบคุมจากอีกซีกโลก
    ในเดือนพฤษภาคม 2025 กองทัพเรืออังกฤษได้เปิดตัว “Excalibur” โดรนดำน้ำไร้คนขับขนาด 12 เมตร ซึ่งจัดอยู่ในประเภท Extra-Large Uncrewed Underwater Vehicle (XLUUV) และเป็นผลลัพธ์จากโครงการวิจัย Project CETUS ที่ใช้เวลาพัฒนานานถึง 3 ปี

    Excalibur ถูกสร้างโดยบริษัท MSubs ในเมือง Plymouth และมีน้ำหนัก 19 ตัน กว้าง 2 เมตร โครงสร้างออกแบบให้สามารถทำงานใต้น้ำได้เป็นเวลานานโดยไม่ต้องมีมนุษย์ควบคุม

    ในการทดสอบล่าสุด โดรนนี้ถูกควบคุมจากศูนย์ปฏิบัติการในออสเตรเลีย ขณะทำงานอยู่ในน่านน้ำอังกฤษ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการควบคุมระยะไกลกว่า 10,000 ไมล์ผ่านระบบสื่อสารขั้นสูง

    Excalibur จะถูกนำไปใช้ในภารกิจทดลองร่วมกับหน่วย Fleet Experimentation Squadron เพื่อทดสอบเทคโนโลยีใหม่ เช่น การลาดตระเวน การเก็บข้อมูลใต้ทะเล การติดตั้งเซ็นเซอร์ในพื้นที่ที่ไม่ปลอดภัย และการปฏิบัติการร่วมกับเรือที่มีลูกเรือ

    แม้จะยังไม่ถูกนำไปใช้ในภารกิจจริง แต่ Excalibur ถือเป็นก้าวสำคัญของกองทัพเรืออังกฤษในการเตรียมพร้อมรับมือสงครามใต้น้ำยุคใหม่ โดยเฉพาะในบริบทของความร่วมมือ AUKUS ระหว่างอังกฤษ สหรัฐฯ และออสเตรเลีย

    ข้อมูลหลักของ Excalibur
    เป็นโดรนดำน้ำไร้คนขับขนาด 12 เมตร กว้าง 2 เมตร หนัก 19 ตัน
    พัฒนาโดยบริษัท MSubs ภายใต้โครงการ Project CETUS
    เป็น XLUUV ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่กองทัพเรืออังกฤษเคยทดสอบ
    สามารถควบคุมจากระยะไกลกว่า 10,000 ไมล์ เช่นจากออสเตรเลีย
    ใช้ในภารกิจทดลอง เช่น การลาดตระเวน การเก็บข้อมูล และการติดตั้ง payload
    เข้าร่วมกับ Fleet Experimentation Squadron ภายใต้ Disruptive Capabilities Office
    มีดีไซน์ modular สำหรับติดตั้งเซ็นเซอร์หรืออุปกรณ์เฉพาะภารกิจ
    ใช้เป็น testbed สำหรับเทคโนโลยีใต้น้ำและการทำงานร่วมกับเรือที่มีลูกเรือ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Excalibur ใช้ระบบสื่อสารความเร็วสูงเพื่อควบคุมจากต่างประเทศ
    มีความสามารถในการทำงานในพื้นที่ที่ถูกปฏิเสธการเข้าถึง (denied environments)
    โดรนนี้ไม่ใช่รุ่นปฏิบัติการจริง แต่เป็นต้นแบบสำหรับการเรียนรู้และพัฒนา
    การตั้งชื่อ “Excalibur” เป็นการรำลึกถึงเรือดำน้ำรุ่นเก่าของอังกฤษในปี 1947
    การทดลองนี้เป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือ AUKUS Pillar II
    มีการสังเกตการณ์จากประเทศอื่น เช่น ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/uks-royal-navy-tests-40-foot-submarine-drone-which-can-be-operated-from-the-other-side-of-the-world
    ⚓ Excalibur: โดรนดำน้ำอัจฉริยะที่ควบคุมจากอีกซีกโลก ในเดือนพฤษภาคม 2025 กองทัพเรืออังกฤษได้เปิดตัว “Excalibur” โดรนดำน้ำไร้คนขับขนาด 12 เมตร ซึ่งจัดอยู่ในประเภท Extra-Large Uncrewed Underwater Vehicle (XLUUV) และเป็นผลลัพธ์จากโครงการวิจัย Project CETUS ที่ใช้เวลาพัฒนานานถึง 3 ปี Excalibur ถูกสร้างโดยบริษัท MSubs ในเมือง Plymouth และมีน้ำหนัก 19 ตัน กว้าง 2 เมตร โครงสร้างออกแบบให้สามารถทำงานใต้น้ำได้เป็นเวลานานโดยไม่ต้องมีมนุษย์ควบคุม ในการทดสอบล่าสุด โดรนนี้ถูกควบคุมจากศูนย์ปฏิบัติการในออสเตรเลีย ขณะทำงานอยู่ในน่านน้ำอังกฤษ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการควบคุมระยะไกลกว่า 10,000 ไมล์ผ่านระบบสื่อสารขั้นสูง Excalibur จะถูกนำไปใช้ในภารกิจทดลองร่วมกับหน่วย Fleet Experimentation Squadron เพื่อทดสอบเทคโนโลยีใหม่ เช่น การลาดตระเวน การเก็บข้อมูลใต้ทะเล การติดตั้งเซ็นเซอร์ในพื้นที่ที่ไม่ปลอดภัย และการปฏิบัติการร่วมกับเรือที่มีลูกเรือ แม้จะยังไม่ถูกนำไปใช้ในภารกิจจริง แต่ Excalibur ถือเป็นก้าวสำคัญของกองทัพเรืออังกฤษในการเตรียมพร้อมรับมือสงครามใต้น้ำยุคใหม่ โดยเฉพาะในบริบทของความร่วมมือ AUKUS ระหว่างอังกฤษ สหรัฐฯ และออสเตรเลีย ✅ ข้อมูลหลักของ Excalibur ➡️ เป็นโดรนดำน้ำไร้คนขับขนาด 12 เมตร กว้าง 2 เมตร หนัก 19 ตัน ➡️ พัฒนาโดยบริษัท MSubs ภายใต้โครงการ Project CETUS ➡️ เป็น XLUUV ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่กองทัพเรืออังกฤษเคยทดสอบ ➡️ สามารถควบคุมจากระยะไกลกว่า 10,000 ไมล์ เช่นจากออสเตรเลีย ➡️ ใช้ในภารกิจทดลอง เช่น การลาดตระเวน การเก็บข้อมูล และการติดตั้ง payload ➡️ เข้าร่วมกับ Fleet Experimentation Squadron ภายใต้ Disruptive Capabilities Office ➡️ มีดีไซน์ modular สำหรับติดตั้งเซ็นเซอร์หรืออุปกรณ์เฉพาะภารกิจ ➡️ ใช้เป็น testbed สำหรับเทคโนโลยีใต้น้ำและการทำงานร่วมกับเรือที่มีลูกเรือ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Excalibur ใช้ระบบสื่อสารความเร็วสูงเพื่อควบคุมจากต่างประเทศ ➡️ มีความสามารถในการทำงานในพื้นที่ที่ถูกปฏิเสธการเข้าถึง (denied environments) ➡️ โดรนนี้ไม่ใช่รุ่นปฏิบัติการจริง แต่เป็นต้นแบบสำหรับการเรียนรู้และพัฒนา ➡️ การตั้งชื่อ “Excalibur” เป็นการรำลึกถึงเรือดำน้ำรุ่นเก่าของอังกฤษในปี 1947 ➡️ การทดลองนี้เป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือ AUKUS Pillar II ➡️ มีการสังเกตการณ์จากประเทศอื่น เช่น ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ https://www.tomshardware.com/tech-industry/uks-royal-navy-tests-40-foot-submarine-drone-which-can-be-operated-from-the-other-side-of-the-world
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    UK’s Royal Navy tests 40-foot submarine drone which can be operated from ‘the other side of the world’
    Excalibur is classed as an XLUUV and will likely be used for long-endurance surveillance, seabed warfare, and more.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 29 มุมมอง 0 รีวิว
  • CobraJet: โดรนสังหารอัจฉริยะที่บินเร็วถึง 300 ไมล์ต่อชั่วโมง

    ในยุคที่ฝูงโดรนราคาถูกกลายเป็นภัยคุกคามหลักในสนามรบ เช่นในสงครามยูเครน-รัสเซีย บริษัท SkyDefense LLC จากสหรัฐฯ ได้เปิดตัว “CobraJet” โดรนขับเคลื่อนด้วย AI ที่ออกแบบมาเพื่อรับมือกับภัยเหล่านี้โดยเฉพาะ

    CobraJet เป็นโดรนแบบ eVTOL (บินขึ้นลงแนวดิ่ง) ที่ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ solid-state และมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ duct fan ทำให้สามารถบินด้วยความเร็วสูงถึง 300 ไมล์ต่อชั่วโมง พร้อมความคล่องตัวระดับเครื่องบินขับไล่

    ตัวเครื่องทำจากวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์พิมพ์ 3D และมีดีไซน์คล้าย F-22 และ F-35 พร้อมระบบ thrust vectoring เพื่อการหลบหลีกและโจมตีที่แม่นยำ

    ระบบ AI ของ CobraJet ใช้ชิป NVIDIA และกล้อง Teledyne FLIR ที่ไม่มีชิ้นส่วนจากประเทศต้องห้าม ทำให้สามารถตรวจจับ วิเคราะห์ และตัดสินใจได้แบบเรียลไทม์ ทั้งกลางวันและกลางคืน

    นอกจากนี้ยังมีระบบ VRAM (Visual Realtime Area Monitoring) ที่ช่วยให้ผู้ควบคุมสามารถสั่งการหรือปล่อยให้โดรนทำงานอัตโนมัติได้ และสามารถสื่อสารกับ CobraJet ตัวอื่นเพื่อทำงานเป็นฝูงแบบ “AI-powered unmanned Air Force”

    CobraJet สามารถติดอาวุธได้หลากหลาย ตั้งแต่โดรนกามิกาเซ่ ไปจนถึงระเบิดนำวิถี และสามารถปรับภารกิจได้ทั้งโจมตีทางอากาศ พื้นดิน หรือทางทะเล

    คุณสมบัติหลักของ CobraJet
    เป็นโดรน eVTOL ที่บินได้เร็วถึง 300 ไมล์ต่อชั่วโมง
    ใช้แบตเตอรี่ solid-state และมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ duct fan
    โครงสร้างทำจากคาร์บอนไฟเบอร์พิมพ์ 3D ดีไซน์คล้าย F-22 และ F-35
    มีระบบ thrust vectoring เพื่อความคล่องตัวสูง
    ใช้ชิป NVIDIA และกล้อง Teledyne FLIR สำหรับการวิเคราะห์ภาพแบบเรียลไทม์
    มีระบบ VRAM ที่ให้ผู้ควบคุมมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ
    สามารถทำงานร่วมกันเป็นฝูงแบบ AI-powered unmanned Air Force
    รองรับอาวุธหลากหลาย เช่น โดรนกามิกาเซ่ ระเบิดนำวิถี และมิสไซล์ขนาดเล็ก
    สามารถปล่อยจากรถบรรทุก เรือ หรือเครื่องบิน เพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้งาน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ใช้ระบบ SmartVision และ anti-jam เพื่อทำงานในพื้นที่ที่มีการรบกวนสัญญาณ
    มีเวอร์ชัน V4, V6 และ V8 สำหรับภารกิจต่างระดับ
    ใช้ในภารกิจป้องกันชายแดน ฐานทัพ และสถานที่สาธารณะ
    มีความสามารถในการโจมตีเป้าหมายภาคพื้นและทางทะเล
    ระบบ modular ทำให้สามารถอัปเกรดได้ตามเทคโนโลยีใหม่
    เหมาะสำหรับหน่วยงานความมั่นคง เช่น กองทัพ ตำรวจ และ Homeland Security

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cobrajet-nvidia-ai-powered-drone-killer-takes-out-overwhelming-enemy-drone-incursions-at-up-to-300mph
    🛡️ CobraJet: โดรนสังหารอัจฉริยะที่บินเร็วถึง 300 ไมล์ต่อชั่วโมง ในยุคที่ฝูงโดรนราคาถูกกลายเป็นภัยคุกคามหลักในสนามรบ เช่นในสงครามยูเครน-รัสเซีย บริษัท SkyDefense LLC จากสหรัฐฯ ได้เปิดตัว “CobraJet” โดรนขับเคลื่อนด้วย AI ที่ออกแบบมาเพื่อรับมือกับภัยเหล่านี้โดยเฉพาะ CobraJet เป็นโดรนแบบ eVTOL (บินขึ้นลงแนวดิ่ง) ที่ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ solid-state และมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ duct fan ทำให้สามารถบินด้วยความเร็วสูงถึง 300 ไมล์ต่อชั่วโมง พร้อมความคล่องตัวระดับเครื่องบินขับไล่ ตัวเครื่องทำจากวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์พิมพ์ 3D และมีดีไซน์คล้าย F-22 และ F-35 พร้อมระบบ thrust vectoring เพื่อการหลบหลีกและโจมตีที่แม่นยำ ระบบ AI ของ CobraJet ใช้ชิป NVIDIA และกล้อง Teledyne FLIR ที่ไม่มีชิ้นส่วนจากประเทศต้องห้าม ทำให้สามารถตรวจจับ วิเคราะห์ และตัดสินใจได้แบบเรียลไทม์ ทั้งกลางวันและกลางคืน นอกจากนี้ยังมีระบบ VRAM (Visual Realtime Area Monitoring) ที่ช่วยให้ผู้ควบคุมสามารถสั่งการหรือปล่อยให้โดรนทำงานอัตโนมัติได้ และสามารถสื่อสารกับ CobraJet ตัวอื่นเพื่อทำงานเป็นฝูงแบบ “AI-powered unmanned Air Force” CobraJet สามารถติดอาวุธได้หลากหลาย ตั้งแต่โดรนกามิกาเซ่ ไปจนถึงระเบิดนำวิถี และสามารถปรับภารกิจได้ทั้งโจมตีทางอากาศ พื้นดิน หรือทางทะเล ✅ คุณสมบัติหลักของ CobraJet ➡️ เป็นโดรน eVTOL ที่บินได้เร็วถึง 300 ไมล์ต่อชั่วโมง ➡️ ใช้แบตเตอรี่ solid-state และมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ duct fan ➡️ โครงสร้างทำจากคาร์บอนไฟเบอร์พิมพ์ 3D ดีไซน์คล้าย F-22 และ F-35 ➡️ มีระบบ thrust vectoring เพื่อความคล่องตัวสูง ➡️ ใช้ชิป NVIDIA และกล้อง Teledyne FLIR สำหรับการวิเคราะห์ภาพแบบเรียลไทม์ ➡️ มีระบบ VRAM ที่ให้ผู้ควบคุมมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ ➡️ สามารถทำงานร่วมกันเป็นฝูงแบบ AI-powered unmanned Air Force ➡️ รองรับอาวุธหลากหลาย เช่น โดรนกามิกาเซ่ ระเบิดนำวิถี และมิสไซล์ขนาดเล็ก ➡️ สามารถปล่อยจากรถบรรทุก เรือ หรือเครื่องบิน เพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้งาน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ใช้ระบบ SmartVision และ anti-jam เพื่อทำงานในพื้นที่ที่มีการรบกวนสัญญาณ ➡️ มีเวอร์ชัน V4, V6 และ V8 สำหรับภารกิจต่างระดับ ➡️ ใช้ในภารกิจป้องกันชายแดน ฐานทัพ และสถานที่สาธารณะ ➡️ มีความสามารถในการโจมตีเป้าหมายภาคพื้นและทางทะเล ➡️ ระบบ modular ทำให้สามารถอัปเกรดได้ตามเทคโนโลยีใหม่ ➡️ เหมาะสำหรับหน่วยงานความมั่นคง เช่น กองทัพ ตำรวจ และ Homeland Security https://www.tomshardware.com/tech-industry/cobrajet-nvidia-ai-powered-drone-killer-takes-out-overwhelming-enemy-drone-incursions-at-up-to-300mph
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 27 มุมมอง 0 รีวิว
  • แผ่นซีดี: จากนวัตกรรมแห่งยุค สู่ความทรงจำที่ยังไม่จางหาย

    เมื่อ 43 ปีก่อน—วันที่ 17 สิงหาคม 1982—โรงงาน Polygram ในเยอรมนีได้ผลิตแผ่นซีดีเชิงพาณิชย์แผ่นแรกของโลก โดยบรรจุอัลบั้ม “The Visitors” ของ ABBA ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนผ่านจากยุคแอนะล็อกสู่ยุคดิจิทัล

    เบื้องหลังความสำเร็จนี้คือความร่วมมือระหว่าง Sony และ Philips ที่เริ่มต้นในปี 1979 โดยตั้งเป้าสร้างแผ่นดิจิทัลที่สามารถบรรจุเพลงได้อย่างน้อย 74 นาที—ซึ่งเท่ากับความยาวของ Beethoven’s 9th Symphony ที่เป็นที่โปรดปรานของผู้บริหาร Sony

    มาตรฐาน Red Book ถูกกำหนดในปี 1980 และกลายเป็นรากฐานของการผลิตแผ่นซีดีทั่วโลก ทั้งในด้านเสียงและข้อมูล โดยต่อมาได้ขยายไปสู่ CD-ROM, CD-R และ CD-RW สำหรับการใช้งานในคอมพิวเตอร์

    ในปี 2000 ยอดขายซีดีในสหรัฐฯ พุ่งถึงจุดสูงสุดที่กว่า 943 ล้านแผ่นต่อปี ก่อนจะลดลงอย่างรวดเร็วในยุค MP3 และการสตรีม แต่ก็ยังมีแฟนเพลงบางกลุ่มที่นิยมฟังจากแผ่นจริง เช่น Taylor Swift ที่ออกอัลบั้มล่าสุดในรูปแบบซีดีถึง 20 เวอร์ชัน

    แม้จะดู “โบราณ” ในปี 2025 แต่แผ่นซีดียังมีบทบาทในด้านการเก็บข้อมูล การฟังเพลงแบบมีคุณภาพ และการเก็บสะสม โดยมีเครื่องอ่านซีดีแบบ USB ที่ยังวางขายอยู่ในราคาประหยัด

    จุดเริ่มต้นของแผ่นซีดี
    แผ่นซีดีเชิงพาณิชย์แผ่นแรกคือ “The Visitors” ของ ABBA ผลิตเมื่อ 17 ส.ค. 1982
    Sony และ Philips ร่วมมือกันตั้งแต่ปี 1979 เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีนี้
    ขนาดแผ่น 12 ซม. ความจุ 74 นาที เพื่อรองรับ Beethoven’s 9th Symphony
    มาตรฐาน Red Book ถูกกำหนดในปี 1980 สำหรับซีดีเสียง
    แผ่นซีดีแรกในสหรัฐฯ คือ “Born in the U.S.A.” ของ Bruce Springsteen ปี 1984

    การพัฒนาและการใช้งาน
    ปี 1985 มีมาตรฐาน Yellow Book สำหรับซีดีข้อมูล (CD-ROM)
    ปี 1988 มีมาตรฐาน ISO 9660 สำหรับโครงสร้างไฟล์ในแผ่น
    ปี 1992 เริ่มมีเครื่องเขียนซีดี (CD burner) สำหรับผู้ใช้ทั่วไป
    ซีดีใช้เลเซอร์ 780 nm ในการอ่านและเขียนข้อมูล
    ความจุทั่วไป 650–700 MB หรือ 74–80 นาทีเสียง
    มีการพัฒนา Mini CD สำหรับซิงเกิลและไดรเวอร์

    https://www.tomshardware.com/pc-components/storage/the-first-commercial-compact-disc-was-created-43-years-ago-today-nearly-one-billion-cds-were-shipped-per-year-in-early-2000s
    📼 แผ่นซีดี: จากนวัตกรรมแห่งยุค สู่ความทรงจำที่ยังไม่จางหาย เมื่อ 43 ปีก่อน—วันที่ 17 สิงหาคม 1982—โรงงาน Polygram ในเยอรมนีได้ผลิตแผ่นซีดีเชิงพาณิชย์แผ่นแรกของโลก โดยบรรจุอัลบั้ม “The Visitors” ของ ABBA ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนผ่านจากยุคแอนะล็อกสู่ยุคดิจิทัล เบื้องหลังความสำเร็จนี้คือความร่วมมือระหว่าง Sony และ Philips ที่เริ่มต้นในปี 1979 โดยตั้งเป้าสร้างแผ่นดิจิทัลที่สามารถบรรจุเพลงได้อย่างน้อย 74 นาที—ซึ่งเท่ากับความยาวของ Beethoven’s 9th Symphony ที่เป็นที่โปรดปรานของผู้บริหาร Sony มาตรฐาน Red Book ถูกกำหนดในปี 1980 และกลายเป็นรากฐานของการผลิตแผ่นซีดีทั่วโลก ทั้งในด้านเสียงและข้อมูล โดยต่อมาได้ขยายไปสู่ CD-ROM, CD-R และ CD-RW สำหรับการใช้งานในคอมพิวเตอร์ ในปี 2000 ยอดขายซีดีในสหรัฐฯ พุ่งถึงจุดสูงสุดที่กว่า 943 ล้านแผ่นต่อปี ก่อนจะลดลงอย่างรวดเร็วในยุค MP3 และการสตรีม แต่ก็ยังมีแฟนเพลงบางกลุ่มที่นิยมฟังจากแผ่นจริง เช่น Taylor Swift ที่ออกอัลบั้มล่าสุดในรูปแบบซีดีถึง 20 เวอร์ชัน แม้จะดู “โบราณ” ในปี 2025 แต่แผ่นซีดียังมีบทบาทในด้านการเก็บข้อมูล การฟังเพลงแบบมีคุณภาพ และการเก็บสะสม โดยมีเครื่องอ่านซีดีแบบ USB ที่ยังวางขายอยู่ในราคาประหยัด ✅ จุดเริ่มต้นของแผ่นซีดี ➡️ แผ่นซีดีเชิงพาณิชย์แผ่นแรกคือ “The Visitors” ของ ABBA ผลิตเมื่อ 17 ส.ค. 1982 ➡️ Sony และ Philips ร่วมมือกันตั้งแต่ปี 1979 เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีนี้ ➡️ ขนาดแผ่น 12 ซม. ความจุ 74 นาที เพื่อรองรับ Beethoven’s 9th Symphony ➡️ มาตรฐาน Red Book ถูกกำหนดในปี 1980 สำหรับซีดีเสียง ➡️ แผ่นซีดีแรกในสหรัฐฯ คือ “Born in the U.S.A.” ของ Bruce Springsteen ปี 1984 ✅ การพัฒนาและการใช้งาน ➡️ ปี 1985 มีมาตรฐาน Yellow Book สำหรับซีดีข้อมูล (CD-ROM) ➡️ ปี 1988 มีมาตรฐาน ISO 9660 สำหรับโครงสร้างไฟล์ในแผ่น ➡️ ปี 1992 เริ่มมีเครื่องเขียนซีดี (CD burner) สำหรับผู้ใช้ทั่วไป ➡️ ซีดีใช้เลเซอร์ 780 nm ในการอ่านและเขียนข้อมูล ➡️ ความจุทั่วไป 650–700 MB หรือ 74–80 นาทีเสียง ➡️ มีการพัฒนา Mini CD สำหรับซิงเกิลและไดรเวอร์ https://www.tomshardware.com/pc-components/storage/the-first-commercial-compact-disc-was-created-43-years-ago-today-nearly-one-billion-cds-were-shipped-per-year-in-early-2000s
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 29 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศึกกราฟิกการ์ดระดับกลาง: จาก RTX 2070 สู่ RTX 5070

    ในโลกของเกมพีซี กราฟิกการ์ดระดับกลางของ NVIDIA ถือเป็นจุดสมดุลระหว่างราคาและประสิทธิภาพ และในปี 2025 นี้ RTX 5070 ได้เปิดตัวพร้อมความแรงที่เหนือกว่าเดิม แต่คำถามคือ “คุ้มไหมถ้าอัปเกรด?”

    จากการทดสอบของ ComputerBase และ NanoReview พบว่า RTX 5070 มีประสิทธิภาพสูงสุดในกลุ่ม โดยเฉพาะในเกมที่ใช้ ray tracing และความละเอียด 4K เช่น Cyberpunk 2077, Horizon Forbidden West และ Ghost of Tsushima

    ที่ความละเอียด 1080p การเปลี่ยนแปลงไม่ชัดเจนมากนัก เพราะเกมมักถูกจำกัดด้วย CPU แต่ที่ 4K ความต่างเริ่มชัดเจน—RTX 5070 ทำเฟรมเรตได้สูงกว่า RTX 4070 ถึง 20–30% ในหลายเกม

    อย่างไรก็ตาม RTX 4070 กลับโดดเด่นในด้าน “ประสิทธิภาพต่อวัตต์” และ “ความเย็น” ทำให้เหมาะกับผู้เล่นที่ต้องการความสมดุลระหว่างแรงกับความเงียบ

    RTX 3070 และ 2070 ยังถือว่า “เล่นได้ดี” ในหลายเกม แต่เริ่มตามไม่ทันในงานที่ใช้ ray tracing หนัก ๆ หรือความละเอียดสูง

    ประสิทธิภาพของแต่ละรุ่น
    RTX 5070 ทำเฟรมเรตสูงสุดในทุกความละเอียด โดยเฉพาะ 4K
    Cyberpunk 2077 ที่ 4K: 2070 = 19 FPS, 3070 = 31 FPS, 4070 = 48 FPS, 5070 = 63 FPS
    Ratchet & Clank: 2070 = 19 FPS, 4070 = 92 FPS, 5070 = 119 FPS
    Overwatch 2 ที่ 4K: 2070 = 99 FPS, 5070 = 275 FPS
    RTX 4070 มีประสิทธิภาพต่อวัตต์สูงกว่า 5070 ถึง 25%
    RTX 5070 ใช้พลังงานมากขึ้น (231W) แต่ให้เฟรมเรตสูงกว่า

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    RTX 5070 ใช้สถาปัตยกรรมใหม่ 4nm และหน่วยความจำ GDDR7
    รองรับ DLSS 4 ที่ใช้โมเดล Transformer ทำให้ภาพลื่นขึ้น
    RTX 4070 เหมาะกับผู้เล่นที่เน้นความเย็นและเสียงเงียบ
    RTX 3070 ยังเล่นเกม AAA ได้ดีที่ 1080p และ 1440p
    RTX 2070 เริ่มล้าหลังในเกมที่ใช้ ray tracing หนัก ๆ
    การอัปเกรดจาก 4070 ไป 5070 อาจไม่คุ้มในแง่ประสิทธิภาพต่อราคา

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidias-midrange-gpus-through-the-years-revisited-pitting-the-rtx-5070-versus-the-4070-3070-and-2070-in-an-all-encompassing-gaming-showdown
    🎯 ศึกกราฟิกการ์ดระดับกลาง: จาก RTX 2070 สู่ RTX 5070 ในโลกของเกมพีซี กราฟิกการ์ดระดับกลางของ NVIDIA ถือเป็นจุดสมดุลระหว่างราคาและประสิทธิภาพ และในปี 2025 นี้ RTX 5070 ได้เปิดตัวพร้อมความแรงที่เหนือกว่าเดิม แต่คำถามคือ “คุ้มไหมถ้าอัปเกรด?” จากการทดสอบของ ComputerBase และ NanoReview พบว่า RTX 5070 มีประสิทธิภาพสูงสุดในกลุ่ม โดยเฉพาะในเกมที่ใช้ ray tracing และความละเอียด 4K เช่น Cyberpunk 2077, Horizon Forbidden West และ Ghost of Tsushima ที่ความละเอียด 1080p การเปลี่ยนแปลงไม่ชัดเจนมากนัก เพราะเกมมักถูกจำกัดด้วย CPU แต่ที่ 4K ความต่างเริ่มชัดเจน—RTX 5070 ทำเฟรมเรตได้สูงกว่า RTX 4070 ถึง 20–30% ในหลายเกม อย่างไรก็ตาม RTX 4070 กลับโดดเด่นในด้าน “ประสิทธิภาพต่อวัตต์” และ “ความเย็น” ทำให้เหมาะกับผู้เล่นที่ต้องการความสมดุลระหว่างแรงกับความเงียบ RTX 3070 และ 2070 ยังถือว่า “เล่นได้ดี” ในหลายเกม แต่เริ่มตามไม่ทันในงานที่ใช้ ray tracing หนัก ๆ หรือความละเอียดสูง ✅ ประสิทธิภาพของแต่ละรุ่น ➡️ RTX 5070 ทำเฟรมเรตสูงสุดในทุกความละเอียด โดยเฉพาะ 4K ➡️ Cyberpunk 2077 ที่ 4K: 2070 = 19 FPS, 3070 = 31 FPS, 4070 = 48 FPS, 5070 = 63 FPS ➡️ Ratchet & Clank: 2070 = 19 FPS, 4070 = 92 FPS, 5070 = 119 FPS ➡️ Overwatch 2 ที่ 4K: 2070 = 99 FPS, 5070 = 275 FPS ➡️ RTX 4070 มีประสิทธิภาพต่อวัตต์สูงกว่า 5070 ถึง 25% ➡️ RTX 5070 ใช้พลังงานมากขึ้น (231W) แต่ให้เฟรมเรตสูงกว่า ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ RTX 5070 ใช้สถาปัตยกรรมใหม่ 4nm และหน่วยความจำ GDDR7 ➡️ รองรับ DLSS 4 ที่ใช้โมเดล Transformer ทำให้ภาพลื่นขึ้น ➡️ RTX 4070 เหมาะกับผู้เล่นที่เน้นความเย็นและเสียงเงียบ ➡️ RTX 3070 ยังเล่นเกม AAA ได้ดีที่ 1080p และ 1440p ➡️ RTX 2070 เริ่มล้าหลังในเกมที่ใช้ ray tracing หนัก ๆ ➡️ การอัปเกรดจาก 4070 ไป 5070 อาจไม่คุ้มในแง่ประสิทธิภาพต่อราคา https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidias-midrange-gpus-through-the-years-revisited-pitting-the-rtx-5070-versus-the-4070-3070-and-2070-in-an-all-encompassing-gaming-showdown
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 23 มุมมอง 0 รีวิว
  • พรรคประชาชนชี้แจง! โต้กระแสร้อน...ยันมีเจตนาตรวจสอบงบฯ "พศ." เพื่อความโปร่งใส-ป้องกันทุจริต
    https://www.thai-tai.tv/news/20983/
    .
    #พรรคประชาชน #งบประมาณ69 #สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ #ข่าวการเมือง #เงินนิตยภัต #ไทยไท
    พรรคประชาชนชี้แจง! โต้กระแสร้อน...ยันมีเจตนาตรวจสอบงบฯ "พศ." เพื่อความโปร่งใส-ป้องกันทุจริต https://www.thai-tai.tv/news/20983/ . #พรรคประชาชน #งบประมาณ69 #สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ #ข่าวการเมือง #เงินนิตยภัต #ไทยไท
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 19 มุมมอง 0 รีวิว
  • ดาวเทียม Metop-SG: ยุคใหม่ของการพยากรณ์อากาศเพื่อชีวิต

    ในช่วง 15 ปีข้างหน้า ยุโรปจะส่งดาวเทียม Metop Second Generation ขึ้นสู่วงโคจรต่ำของโลกจำนวน 6 ดวง เพื่อยกระดับการพยากรณ์อากาศให้แม่นยำขึ้น และเตือนภัยล่วงหน้าได้เร็วขึ้น โดยเฉพาะเหตุการณ์สุดขั้ว เช่น พายุรุนแรง คลื่นความร้อน และไฟป่า

    ดาวเทียมดวงแรก Metop-SG A1 ถูกปล่อยจากเฟรนช์เกียนาเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2025 และจะเริ่มเก็บข้อมูลในปีหน้า โดยมีภารกิจร่วมกับ Copernicus Sentinel-5 เพื่อวัดคุณภาพอากาศและติดตามการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

    ดาวเทียมจะโคจรรอบโลกทุก 100 นาทีที่ระดับความสูงประมาณ 800 กม. ครอบคลุมภาพทั่วโลกวันละหลายรอบ พร้อมเครื่องมือวัดอุณหภูมิ ปริมาณฝน เมฆ ลม และมลพิษ ซึ่งจะส่งข้อมูลกลับไปยังสถานีภาคพื้น เช่น จานรับสัญญาณใหม่ที่ Met Office ในอังกฤษ

    ข้อมูลจากดาวเทียมเหล่านี้จะช่วยให้พยากรณ์อากาศล่วงหน้าได้ถึง 10 วัน และตรวจจับสัญญาณเริ่มต้นของพายุหรือภัยพิบัติได้เร็วขึ้น ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในยุคที่สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและรุนแรง

    รายละเอียดโครงการ Metop Second Generation
    ดาวเทียม Metop-SG จำนวน 6 ดวงจะถูกส่งขึ้นใน 15 ปีข้างหน้า
    ดาวเทียมดวงแรก Metop-SG A1 ถูกปล่อยเมื่อ 13 ส.ค. 2025 จากเฟรนช์เกียนา
    โคจรที่ระดับ 800 กม. รอบโลกทุก 100 นาที ครอบคลุมภาพทั่วโลก
    ใช้เครื่องมือวัดอุณหภูมิ ฝน เมฆ ลม มลพิษ และคุณภาพอากาศ
    ข้อมูลจะส่งกลับไปยังสถานีภาคพื้น เช่น Met Office ในอังกฤษ
    ช่วยพยากรณ์อากาศล่วงหน้าได้ถึง 10 วัน และตรวจจับภัยพิบัติได้เร็วขึ้น
    เป็นความร่วมมือระหว่าง EUMetSat, ESA, EU, NOAA และองค์กรอวกาศยุโรป

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Sentinel-5 บนดาวเทียมจะวัดก๊าซเรือนกระจกและมลพิษในอากาศ
    ดาวเทียมแบบคู่ (A-type และ B-type) ใช้เครื่องมือที่เสริมกันเพื่อเพิ่มความแม่นยำ
    ข้อมูลจากดาวเทียมช่วยเกษตรกรวางแผนการเพาะปลูก และช่วยนักบินนำทาง
    ระบบนี้เป็นส่วนหนึ่งของ Joint Polar System ร่วมกับ NOAA สหรัฐฯ
    การพยากรณ์ที่แม่นยำช่วยลดความเสียหายทางเศรษฐกิจและชีวิต
    คาดว่าโครงการนี้จะให้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจมากกว่า 20 เท่า

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/17/satellite-project-could-save-lives-give-extreme-weather-warnings
    🌪️ ดาวเทียม Metop-SG: ยุคใหม่ของการพยากรณ์อากาศเพื่อชีวิต ในช่วง 15 ปีข้างหน้า ยุโรปจะส่งดาวเทียม Metop Second Generation ขึ้นสู่วงโคจรต่ำของโลกจำนวน 6 ดวง เพื่อยกระดับการพยากรณ์อากาศให้แม่นยำขึ้น และเตือนภัยล่วงหน้าได้เร็วขึ้น โดยเฉพาะเหตุการณ์สุดขั้ว เช่น พายุรุนแรง คลื่นความร้อน และไฟป่า ดาวเทียมดวงแรก Metop-SG A1 ถูกปล่อยจากเฟรนช์เกียนาเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2025 และจะเริ่มเก็บข้อมูลในปีหน้า โดยมีภารกิจร่วมกับ Copernicus Sentinel-5 เพื่อวัดคุณภาพอากาศและติดตามการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ดาวเทียมจะโคจรรอบโลกทุก 100 นาทีที่ระดับความสูงประมาณ 800 กม. ครอบคลุมภาพทั่วโลกวันละหลายรอบ พร้อมเครื่องมือวัดอุณหภูมิ ปริมาณฝน เมฆ ลม และมลพิษ ซึ่งจะส่งข้อมูลกลับไปยังสถานีภาคพื้น เช่น จานรับสัญญาณใหม่ที่ Met Office ในอังกฤษ ข้อมูลจากดาวเทียมเหล่านี้จะช่วยให้พยากรณ์อากาศล่วงหน้าได้ถึง 10 วัน และตรวจจับสัญญาณเริ่มต้นของพายุหรือภัยพิบัติได้เร็วขึ้น ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในยุคที่สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและรุนแรง ✅ รายละเอียดโครงการ Metop Second Generation ➡️ ดาวเทียม Metop-SG จำนวน 6 ดวงจะถูกส่งขึ้นใน 15 ปีข้างหน้า ➡️ ดาวเทียมดวงแรก Metop-SG A1 ถูกปล่อยเมื่อ 13 ส.ค. 2025 จากเฟรนช์เกียนา ➡️ โคจรที่ระดับ 800 กม. รอบโลกทุก 100 นาที ครอบคลุมภาพทั่วโลก ➡️ ใช้เครื่องมือวัดอุณหภูมิ ฝน เมฆ ลม มลพิษ และคุณภาพอากาศ ➡️ ข้อมูลจะส่งกลับไปยังสถานีภาคพื้น เช่น Met Office ในอังกฤษ ➡️ ช่วยพยากรณ์อากาศล่วงหน้าได้ถึง 10 วัน และตรวจจับภัยพิบัติได้เร็วขึ้น ➡️ เป็นความร่วมมือระหว่าง EUMetSat, ESA, EU, NOAA และองค์กรอวกาศยุโรป ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Sentinel-5 บนดาวเทียมจะวัดก๊าซเรือนกระจกและมลพิษในอากาศ ➡️ ดาวเทียมแบบคู่ (A-type และ B-type) ใช้เครื่องมือที่เสริมกันเพื่อเพิ่มความแม่นยำ ➡️ ข้อมูลจากดาวเทียมช่วยเกษตรกรวางแผนการเพาะปลูก และช่วยนักบินนำทาง ➡️ ระบบนี้เป็นส่วนหนึ่งของ Joint Polar System ร่วมกับ NOAA สหรัฐฯ ➡️ การพยากรณ์ที่แม่นยำช่วยลดความเสียหายทางเศรษฐกิจและชีวิต ➡️ คาดว่าโครงการนี้จะให้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจมากกว่า 20 เท่า https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/17/satellite-project-could-save-lives-give-extreme-weather-warnings
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Satellite project could save lives, give extreme weather warnings
    A series of satellites are set to be launched into space over the next 15 years to help "save lives" and give early warning of increasingly extreme weather, British experts have said.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 27 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อ AI กลายเป็นดาบสองคมในวงการแพทย์

    ในยุคที่ AI ถูกนำมาใช้ช่วยแพทย์ตรวจหามะเร็งลำไส้ใหญ่ผ่านการส่องกล้อง (colonoscopy) หลายคนเชื่อว่าเทคโนโลยีนี้จะช่วยเพิ่มความแม่นยำและลดความผิดพลาด แต่ผลการศึกษาจากโรงพยาบาลในโปแลนด์กลับพบสิ่งตรงกันข้าม

    นักวิจัยวิเคราะห์การส่องกล้องกว่า 1,400 ครั้ง พบว่าแพทย์ที่เคยใช้ AI ช่วยตรวจ มีความสามารถลดลงถึง 20% เมื่อกลับไปตรวจโดยไม่ใช้ AI โดยเฉพาะการตรวจหาก้อนเนื้อก่อนเป็นมะเร็ง (adenoma)

    เหตุผลคือ เมื่อแพทย์พึ่งพา AI เป็นประจำ พวกเขาเริ่มลดการใช้ทักษะของตัวเอง เช่น การสังเกต การตัดสินใจ และความรับผิดชอบในการวินิจฉัย ส่งผลให้ประสิทธิภาพลดลงแม้จะเป็นแพทย์ที่มีประสบการณ์สูง

    งานวิจัยนี้ตีพิมพ์ในวารสาร The Lancet Gastroenterology & Hepatology และถือเป็นครั้งแรกที่มีหลักฐานชัดเจนว่า AI อาจทำให้เกิด “การสูญเสียทักษะ” (deskilling) ในวงการแพทย์

    แม้ AI จะช่วยเพิ่มอัตราการตรวจพบในบางกรณี แต่การใช้แบบไม่ระวังอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพผู้ป่วยในระยะยาว นักวิจัยจึงเรียกร้องให้มีการศึกษาเชิงพฤติกรรมเพิ่มเติม เพื่อเข้าใจกลไกที่ AI ส่งผลต่อความสามารถของแพทย์

    ข้อมูลจากงานวิจัย
    ศึกษาจากโรงพยาบาล 4 แห่งในโปแลนด์ รวมกว่า 1,400 colonoscopies
    พบอัตราการตรวจพบ adenoma ลดลงจาก 28% เหลือ 22% หลังใช้ AI
    แพทย์ที่เคยใช้ AI มีประสิทธิภาพลดลงเมื่อกลับไปตรวจแบบเดิม
    งานวิจัยตีพิมพ์ใน The Lancet Gastroenterology & Hepatology
    เป็นหลักฐานแรกที่ชี้ว่า AI อาจทำให้แพทย์สูญเสียทักษะ
    นักวิจัยเรียกร้องให้มีการศึกษาเชิงพฤติกรรมเพิ่มเติม

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ADR (Adenoma Detection Rate) เป็นตัวชี้วัดคุณภาพของการส่องกล้อง
    การใช้ AI ในการตรวจมะเร็งลำไส้ใหญ่เริ่มแพร่หลายตั้งแต่ปี 2021
    แพทย์ที่เข้าร่วมการศึกษามีประสบการณ์มากกว่า 2,000 ครั้งต่อคน
    การพึ่งพา AI อาจทำให้ลดการคิดเชิงวิเคราะห์และความรับผิดชอบ
    งานวิจัยจาก MIT และ Microsoft พบว่า AI ทำให้ผู้ใช้คิดน้อยลงในหลายวงการ
    สมาคมแพทย์อเมริกันระบุว่า 2 ใน 3 ของแพทย์เริ่มใช้ AI ในการทำงาน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/17/ai-dependent-doctors-risk-failing-to-detect-colon-cancer---study
    🧬 เมื่อ AI กลายเป็นดาบสองคมในวงการแพทย์ ในยุคที่ AI ถูกนำมาใช้ช่วยแพทย์ตรวจหามะเร็งลำไส้ใหญ่ผ่านการส่องกล้อง (colonoscopy) หลายคนเชื่อว่าเทคโนโลยีนี้จะช่วยเพิ่มความแม่นยำและลดความผิดพลาด แต่ผลการศึกษาจากโรงพยาบาลในโปแลนด์กลับพบสิ่งตรงกันข้าม นักวิจัยวิเคราะห์การส่องกล้องกว่า 1,400 ครั้ง พบว่าแพทย์ที่เคยใช้ AI ช่วยตรวจ มีความสามารถลดลงถึง 20% เมื่อกลับไปตรวจโดยไม่ใช้ AI โดยเฉพาะการตรวจหาก้อนเนื้อก่อนเป็นมะเร็ง (adenoma) เหตุผลคือ เมื่อแพทย์พึ่งพา AI เป็นประจำ พวกเขาเริ่มลดการใช้ทักษะของตัวเอง เช่น การสังเกต การตัดสินใจ และความรับผิดชอบในการวินิจฉัย ส่งผลให้ประสิทธิภาพลดลงแม้จะเป็นแพทย์ที่มีประสบการณ์สูง งานวิจัยนี้ตีพิมพ์ในวารสาร The Lancet Gastroenterology & Hepatology และถือเป็นครั้งแรกที่มีหลักฐานชัดเจนว่า AI อาจทำให้เกิด “การสูญเสียทักษะ” (deskilling) ในวงการแพทย์ แม้ AI จะช่วยเพิ่มอัตราการตรวจพบในบางกรณี แต่การใช้แบบไม่ระวังอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพผู้ป่วยในระยะยาว นักวิจัยจึงเรียกร้องให้มีการศึกษาเชิงพฤติกรรมเพิ่มเติม เพื่อเข้าใจกลไกที่ AI ส่งผลต่อความสามารถของแพทย์ ✅ ข้อมูลจากงานวิจัย ➡️ ศึกษาจากโรงพยาบาล 4 แห่งในโปแลนด์ รวมกว่า 1,400 colonoscopies ➡️ พบอัตราการตรวจพบ adenoma ลดลงจาก 28% เหลือ 22% หลังใช้ AI ➡️ แพทย์ที่เคยใช้ AI มีประสิทธิภาพลดลงเมื่อกลับไปตรวจแบบเดิม ➡️ งานวิจัยตีพิมพ์ใน The Lancet Gastroenterology & Hepatology ➡️ เป็นหลักฐานแรกที่ชี้ว่า AI อาจทำให้แพทย์สูญเสียทักษะ ➡️ นักวิจัยเรียกร้องให้มีการศึกษาเชิงพฤติกรรมเพิ่มเติม ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ADR (Adenoma Detection Rate) เป็นตัวชี้วัดคุณภาพของการส่องกล้อง ➡️ การใช้ AI ในการตรวจมะเร็งลำไส้ใหญ่เริ่มแพร่หลายตั้งแต่ปี 2021 ➡️ แพทย์ที่เข้าร่วมการศึกษามีประสบการณ์มากกว่า 2,000 ครั้งต่อคน ➡️ การพึ่งพา AI อาจทำให้ลดการคิดเชิงวิเคราะห์และความรับผิดชอบ ➡️ งานวิจัยจาก MIT และ Microsoft พบว่า AI ทำให้ผู้ใช้คิดน้อยลงในหลายวงการ ➡️ สมาคมแพทย์อเมริกันระบุว่า 2 ใน 3 ของแพทย์เริ่มใช้ AI ในการทำงาน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/17/ai-dependent-doctors-risk-failing-to-detect-colon-cancer---study
    WWW.THESTAR.COM.MY
    AI-dependent doctors risk failing to detect colon cancer – study
    Doctors and other medical professionals who lean on "routine assistance" from artificial intelligence (AI) to carry out colonoscopies are at risk of losing the life-saving skills they have developed over years of on-the-job training.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 27 มุมมอง 0 รีวิว
  • มัลแวร์ที่สร้างโดย AI: ภัยเงียบที่ปรับตัวได้และไม่มีวันหยุด
    ในปี 2025 โลกไซเบอร์กำลังเผชิญกับศัตรูรูปแบบใหม่—มัลแวร์ที่สร้างโดย Generative AI (GenAI) ซึ่งสามารถเรียนรู้ ปรับเปลี่ยน และหลบหลีกระบบป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    CrowdStrike รายงานว่าแฮกเกอร์จากเกาหลีเหนือ รัสเซีย และอิหร่านใช้ AI สร้างมัลแวร์ที่สามารถเจาะระบบองค์กร สร้างเรซูเม่ปลอม และแม้แต่สัมภาษณ์งานด้วย deepfake เพื่อแฝงตัวเข้าไปในบริษัท

    มัลแวร์เหล่านี้ไม่เพียงแต่หลบหลีกการตรวจจับแบบเดิมได้ แต่ยังสามารถปรับเปลี่ยนตัวเองแบบ “polymorphic” คือเปลี่ยนโค้ดตลอดเวลาเพื่อไม่ให้ถูกจับได้

    AI ยังช่วยสร้างอีเมล phishing ที่เหมือนจริงมากจนผู้ใช้ทั่วไปแยกไม่ออก และสามารถวิเคราะห์ระบบเป้าหมายเพื่อหาช่องโหว่แบบเรียลไทม์

    สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ “ไม่มีแพตช์” แบบเดิมที่จะแก้ไขได้ เพราะมัลแวร์เหล่านี้ไม่หยุดนิ่ง และสามารถปรับตัวตามการป้องกันที่องค์กรใช้

    ลักษณะของมัลแวร์ที่สร้างโดย AI
    ใช้ GenAI สร้างมัลแวร์ที่เรียนรู้และปรับเปลี่ยนตัวเองได้
    สามารถสร้าง deepfake เพื่อแฝงตัวในองค์กร
    ใช้ AI สร้าง phishing email ที่เหมือนจริงมาก
    ปรับโค้ดแบบ polymorphic เพื่อหลบหลีกการตรวจจับ
    วิเคราะห์ระบบเป้าหมายและปรับกลยุทธ์โจมตีแบบเรียลไทม์
    ไม่มีแพตช์แบบเดิมที่สามารถแก้ไขได้

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    มัลแวร์ AI สามารถหลบเลี่ยงระบบ EDR โดยแฝงตัวใน process ของระบบ
    ใช้ adversarial ML เพื่อหลอกระบบตรวจจับพฤติกรรม
    แฮกเกอร์ระดับล่างสามารถใช้ AI สร้างมัลแวร์ได้โดยไม่ต้องมีความรู้ลึก
    การป้องกันต้องใช้ AI ฝั่งดีที่สามารถวิเคราะห์และตอบโต้แบบอัตโนมัติ
    Zero Trust Architecture และ Multi-Factor Authentication เป็นแนวทางป้องกันที่จำเป็น
    ระบบ NGAV และ AI-powered EDR เป็นเครื่องมือใหม่ที่องค์กรควรใช้

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/17/no-patch-available-ai-made-malware-could-overwhelm-cyber-defences
    🕷️ มัลแวร์ที่สร้างโดย AI: ภัยเงียบที่ปรับตัวได้และไม่มีวันหยุด ในปี 2025 โลกไซเบอร์กำลังเผชิญกับศัตรูรูปแบบใหม่—มัลแวร์ที่สร้างโดย Generative AI (GenAI) ซึ่งสามารถเรียนรู้ ปรับเปลี่ยน และหลบหลีกระบบป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ CrowdStrike รายงานว่าแฮกเกอร์จากเกาหลีเหนือ รัสเซีย และอิหร่านใช้ AI สร้างมัลแวร์ที่สามารถเจาะระบบองค์กร สร้างเรซูเม่ปลอม และแม้แต่สัมภาษณ์งานด้วย deepfake เพื่อแฝงตัวเข้าไปในบริษัท มัลแวร์เหล่านี้ไม่เพียงแต่หลบหลีกการตรวจจับแบบเดิมได้ แต่ยังสามารถปรับเปลี่ยนตัวเองแบบ “polymorphic” คือเปลี่ยนโค้ดตลอดเวลาเพื่อไม่ให้ถูกจับได้ AI ยังช่วยสร้างอีเมล phishing ที่เหมือนจริงมากจนผู้ใช้ทั่วไปแยกไม่ออก และสามารถวิเคราะห์ระบบเป้าหมายเพื่อหาช่องโหว่แบบเรียลไทม์ สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ “ไม่มีแพตช์” แบบเดิมที่จะแก้ไขได้ เพราะมัลแวร์เหล่านี้ไม่หยุดนิ่ง และสามารถปรับตัวตามการป้องกันที่องค์กรใช้ ✅ ลักษณะของมัลแวร์ที่สร้างโดย AI ➡️ ใช้ GenAI สร้างมัลแวร์ที่เรียนรู้และปรับเปลี่ยนตัวเองได้ ➡️ สามารถสร้าง deepfake เพื่อแฝงตัวในองค์กร ➡️ ใช้ AI สร้าง phishing email ที่เหมือนจริงมาก ➡️ ปรับโค้ดแบบ polymorphic เพื่อหลบหลีกการตรวจจับ ➡️ วิเคราะห์ระบบเป้าหมายและปรับกลยุทธ์โจมตีแบบเรียลไทม์ ➡️ ไม่มีแพตช์แบบเดิมที่สามารถแก้ไขได้ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ มัลแวร์ AI สามารถหลบเลี่ยงระบบ EDR โดยแฝงตัวใน process ของระบบ ➡️ ใช้ adversarial ML เพื่อหลอกระบบตรวจจับพฤติกรรม ➡️ แฮกเกอร์ระดับล่างสามารถใช้ AI สร้างมัลแวร์ได้โดยไม่ต้องมีความรู้ลึก ➡️ การป้องกันต้องใช้ AI ฝั่งดีที่สามารถวิเคราะห์และตอบโต้แบบอัตโนมัติ ➡️ Zero Trust Architecture และ Multi-Factor Authentication เป็นแนวทางป้องกันที่จำเป็น ➡️ ระบบ NGAV และ AI-powered EDR เป็นเครื่องมือใหม่ที่องค์กรควรใช้ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/17/no-patch-available-ai-made-malware-could-overwhelm-cyber-defences
    WWW.THESTAR.COM.MY
    No patch available: AI-made malware could overwhelm cyber-defences
    The "growing weaponisation" of generative artificial intelligence (GenAI) could make older forms of cybersecurity and virus scanning obsolete.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 26 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts