• IBM Power11 – ซีพียูที่ไม่แค่แรง แต่ฉลาดและปลอดภัยในยุคหลังควอนตัม

    IBM ไม่ได้วิ่งตามเทรนด์เล็ก ๆ อย่างการลดขนาดชิปไปที่ 5nm แต่เลือกใช้เทคโนโลยี 7nm ที่ “ปรับแต่งแล้ว” จาก Samsung เพื่อให้ได้ความเร็วที่เหนือกว่า พร้อมกับการใช้เทคนิค 2.5D stacking ผ่าน iCube interposer ที่ช่วยให้การส่งพลังงานและข้อมูลภายในชิปมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    Power11 ยังคงใช้โครงสร้างพื้นฐานจาก Power10 ด้วยจำนวน 16 คอร์ต่อชิป และแคช 160MB แต่สามารถขยายเป็นระบบ dual socket ที่มีได้ถึง 60 คอร์ และความเร็วเพิ่มจาก 4.0 GHz เป็น 4.3 GHz ซึ่งเหมาะกับงานเซิร์ฟเวอร์ที่ต้องการประสิทธิภาพสูง

    ที่น่าตื่นเต้นคือการฝังหน่วย Multiply-Matrix-Accumulator (MMA) ไว้ในแต่ละคอร์ เพื่อรองรับงาน AI โดยไม่ต้องพึ่ง GPU เสมอไป และยังสามารถเชื่อมต่อกับ Spyre Accelerator เพื่อเพิ่มพลังการประมวลผล AI ได้อีก

    ด้านหน่วยความจำก็มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โดย Power11 รองรับ DDR5 ได้ถึง 32 พอร์ตต่อซ็อกเก็ต ซึ่งมากกว่า Power10 ถึง 4 เท่า ทั้งในด้านแบนด์วิดท์และความจุ และยังรองรับ DDR4 และเตรียมพร้อมสำหรับ DDR6 ในอนาคต

    สุดท้าย IBM ยังได้ฝังระบบ Quantum Safe Security เพื่อเตรียมรับมือกับภัยคุกคามจากการประมวลผลควอนตัมในอนาคต ซึ่งเป็นการป้องกันข้อมูลในระดับที่ลึกกว่าเดิม และเริ่มนำไปใช้ในระบบ Z mainframe แล้ว

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    IBM เปิดตัว Power11 CPU ในงาน Hot Chips 2025 พร้อมเทคโนโลยี 2.5D stacking จาก Samsung
    ใช้ enhanced 7nm node แทนการเปลี่ยนไปใช้ 5nm เพื่อเน้นความเร็วมากกว่าความหนาแน่น
    มี 16 คอร์ต่อชิป และแคช 160MB พร้อมรองรับ dual socket สูงสุด 60 คอร์
    ความเร็วเพิ่มจาก 4.0 GHz เป็น 4.3 GHz สำหรับงานเซิร์ฟเวอร์ที่ต้องการ throughput สูง
    ฝังหน่วย Multiply-Matrix-Accumulator (MMA) เพื่อรองรับงาน AI โดยตรง
    รองรับ Spyre Accelerator สำหรับการประมวลผล AI เพิ่มเติมผ่าน GPU หรือ ASIC
    ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น 50% ในระบบขนาดเล็ก, 30% ในระดับกลาง และ 14% ในระดับสูง
    รองรับ DDR5 ได้ถึง 32 พอร์ตต่อซ็อกเก็ต เพิ่มแบนด์วิดท์และความจุ 4 เท่าจาก Power10
    รองรับทั้ง DDR4 และ DDR5 พร้อมเตรียมรองรับ DDR6 ในอนาคต
    ฝังระบบ Quantum Safe Security เพื่อป้องกันภัยจากการประมวลผลควอนตัม
    IBM เตรียมเปิดตัว CPU รุ่นถัดไปที่ใช้ triplet architecture และนวัตกรรมด้านความร้อน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    IBM เลือกใช้ iCube interposer จาก Samsung เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการส่งพลังงานภายในชิป
    OMI Memory Architecture ของ Power11 รองรับแบนด์วิดท์สูงถึง 1200 GB/s และความจุ 8TB ต่อซ็อกเก็ต
    IBM ไม่เน้นใช้ HBM เพราะแม้จะเร็วแต่มีข้อจำกัดด้านความจุ
    Power11 รองรับการเชื่อมต่อ PCIe กับ accelerator ภายนอกอย่าง Spyre ได้อย่างยืดหยุ่น
    ระบบความปลอดภัย Quantum Safe เริ่มนำไปใช้ใน IBM Z mainframe แล้ว

    https://wccftech.com/ibm-power11-cpu-2-5d-stacking-enhanced-7nm-node-samsung-higher-clocks-memory/
    🧠 IBM Power11 – ซีพียูที่ไม่แค่แรง แต่ฉลาดและปลอดภัยในยุคหลังควอนตัม IBM ไม่ได้วิ่งตามเทรนด์เล็ก ๆ อย่างการลดขนาดชิปไปที่ 5nm แต่เลือกใช้เทคโนโลยี 7nm ที่ “ปรับแต่งแล้ว” จาก Samsung เพื่อให้ได้ความเร็วที่เหนือกว่า พร้อมกับการใช้เทคนิค 2.5D stacking ผ่าน iCube interposer ที่ช่วยให้การส่งพลังงานและข้อมูลภายในชิปมีประสิทธิภาพมากขึ้น Power11 ยังคงใช้โครงสร้างพื้นฐานจาก Power10 ด้วยจำนวน 16 คอร์ต่อชิป และแคช 160MB แต่สามารถขยายเป็นระบบ dual socket ที่มีได้ถึง 60 คอร์ และความเร็วเพิ่มจาก 4.0 GHz เป็น 4.3 GHz ซึ่งเหมาะกับงานเซิร์ฟเวอร์ที่ต้องการประสิทธิภาพสูง ที่น่าตื่นเต้นคือการฝังหน่วย Multiply-Matrix-Accumulator (MMA) ไว้ในแต่ละคอร์ เพื่อรองรับงาน AI โดยไม่ต้องพึ่ง GPU เสมอไป และยังสามารถเชื่อมต่อกับ Spyre Accelerator เพื่อเพิ่มพลังการประมวลผล AI ได้อีก ด้านหน่วยความจำก็มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โดย Power11 รองรับ DDR5 ได้ถึง 32 พอร์ตต่อซ็อกเก็ต ซึ่งมากกว่า Power10 ถึง 4 เท่า ทั้งในด้านแบนด์วิดท์และความจุ และยังรองรับ DDR4 และเตรียมพร้อมสำหรับ DDR6 ในอนาคต สุดท้าย IBM ยังได้ฝังระบบ Quantum Safe Security เพื่อเตรียมรับมือกับภัยคุกคามจากการประมวลผลควอนตัมในอนาคต ซึ่งเป็นการป้องกันข้อมูลในระดับที่ลึกกว่าเดิม และเริ่มนำไปใช้ในระบบ Z mainframe แล้ว 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ IBM เปิดตัว Power11 CPU ในงาน Hot Chips 2025 พร้อมเทคโนโลยี 2.5D stacking จาก Samsung ➡️ ใช้ enhanced 7nm node แทนการเปลี่ยนไปใช้ 5nm เพื่อเน้นความเร็วมากกว่าความหนาแน่น ➡️ มี 16 คอร์ต่อชิป และแคช 160MB พร้อมรองรับ dual socket สูงสุด 60 คอร์ ➡️ ความเร็วเพิ่มจาก 4.0 GHz เป็น 4.3 GHz สำหรับงานเซิร์ฟเวอร์ที่ต้องการ throughput สูง ➡️ ฝังหน่วย Multiply-Matrix-Accumulator (MMA) เพื่อรองรับงาน AI โดยตรง ➡️ รองรับ Spyre Accelerator สำหรับการประมวลผล AI เพิ่มเติมผ่าน GPU หรือ ASIC ➡️ ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น 50% ในระบบขนาดเล็ก, 30% ในระดับกลาง และ 14% ในระดับสูง ➡️ รองรับ DDR5 ได้ถึง 32 พอร์ตต่อซ็อกเก็ต เพิ่มแบนด์วิดท์และความจุ 4 เท่าจาก Power10 ➡️ รองรับทั้ง DDR4 และ DDR5 พร้อมเตรียมรองรับ DDR6 ในอนาคต ➡️ ฝังระบบ Quantum Safe Security เพื่อป้องกันภัยจากการประมวลผลควอนตัม ➡️ IBM เตรียมเปิดตัว CPU รุ่นถัดไปที่ใช้ triplet architecture และนวัตกรรมด้านความร้อน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ IBM เลือกใช้ iCube interposer จาก Samsung เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการส่งพลังงานภายในชิป ➡️ OMI Memory Architecture ของ Power11 รองรับแบนด์วิดท์สูงถึง 1200 GB/s และความจุ 8TB ต่อซ็อกเก็ต ➡️ IBM ไม่เน้นใช้ HBM เพราะแม้จะเร็วแต่มีข้อจำกัดด้านความจุ ➡️ Power11 รองรับการเชื่อมต่อ PCIe กับ accelerator ภายนอกอย่าง Spyre ได้อย่างยืดหยุ่น ➡️ ระบบความปลอดภัย Quantum Safe เริ่มนำไปใช้ใน IBM Z mainframe แล้ว https://wccftech.com/ibm-power11-cpu-2-5d-stacking-enhanced-7nm-node-samsung-higher-clocks-memory/
    WCCFTECH.COM
    IBM Power11 CPU Brings 2.5D Stacking On Enhanced 7nm Node From Samsung, Higher Clocks, Memory Uplifts
    IBM detailed its Power11 CPU at Hot Chips 2025, bringing 2.5D Stacking, higher clock speeds, and memory with AI acceleration.
    0 Comments 0 Shares 50 Views 0 Reviews
  • เปิดเหตุผล ทำไมโดรนและอุปกรณ์เป็นฝีมือคนไทย (26/8/68)

    #TruthFromThailand
    #โดรนไทย
    #นวัตกรรมไทย
    #ThaiTimes
    #news1
    #shorts
    #ThailandTech
    #ข่าวด่วน
    #เทคโนโลยีไทย
    #พลังคนไทย
    #MadeInThailand
    เปิดเหตุผล ทำไมโดรนและอุปกรณ์เป็นฝีมือคนไทย (26/8/68) #TruthFromThailand #โดรนไทย #นวัตกรรมไทย #ThaiTimes #news1 #shorts #ThailandTech #ข่าวด่วน #เทคโนโลยีไทย #พลังคนไทย #MadeInThailand
    0 Comments 0 Shares 78 Views 0 0 Reviews
  • Elon Musk กับภารกิจสร้างจักรวาล AI ด้วย GPU หลายพันล้านตัว

    ในยุคที่ AI กลายเป็นหัวใจของนวัตกรรมระดับโลก Elon Musk ก็ไม่ยอมตกขบวน เขาออกมาประกาศเป้าหมายที่ฟังดูเกินจริงแต่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน: xAI บริษัทของเขาจะใช้ GPU ที่มีพลังเทียบเท่า H100 จำนวน 50 ล้านตัวภายใน 5 ปี และในอนาคตอาจขยายไปถึง “พันล้านตัว”

    GPU เหล่านี้จะถูกใช้ในศูนย์ข้อมูลขนาดมหึมา เช่น Colossus ที่ตั้งอยู่ในเมมฟิส ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 200,000 ตัว และกำลังสร้าง Colossus II เพื่อรองรับการขยายตัว

    ในขณะเดียวกัน Musk ก็เปิดโมเดล Grok 2.5 ให้เป็นโอเพ่นซอร์สผ่านแพลตฟอร์ม Hugging Face เพื่อให้ชุมชนนักพัฒนาเข้าถึงโค้ดและ weights ได้อย่างอิสระ โดยมีแผนจะเปิด Grok 3 ภายใน 6 เดือนข้างหน้า

    เป้าหมายของ Musk คือการสร้างระบบ AI ที่ “แสวงหาความจริงสูงสุด” และสามารถแข่งขันกับบริษัทใหญ่อย่าง OpenAI, Meta และ Google ซึ่งต่างก็เร่งสะสม GPU และพัฒนาโมเดลของตัวเองเช่นกัน

    แต่เบื้องหลังความทะเยอทะยานนี้ ก็มีคำถามตามมา: การใช้พลังงานมหาศาลในศูนย์ข้อมูลจะส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมอย่างไร? และการเปิดโมเดลให้สาธารณะจะนำไปสู่การใช้งานในทางที่ไม่พึงประสงค์หรือไม่?

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Elon Musk ตั้งเป้าให้ xAI ใช้ GPU เทียบเท่า H100 จำนวน 50 ล้านตัวภายใน 5 ปี
    ปัจจุบัน xAI มี GPU ประมาณ 200,000 ตัวในศูนย์ข้อมูล Colossus ที่เมมฟิส
    กำลังสร้าง Colossus II เพื่อขยายขีดความสามารถด้าน AI
    Musk กล่าวว่าต้องการขยายไปถึง “พันล้าน GPU” ในอนาคต
    Grok 2.5 ถูกเปิดให้เป็นโอเพ่นซอร์สผ่าน Hugging Face
    Grok 3 จะเปิดโอเพ่นซอร์สภายใน 6 เดือน
    Grok 4 ยังไม่เปิดให้สาธารณะใช้งาน และมีข้อถกเถียงเกี่ยวกับเนื้อหาภายใน
    xAI ต้องการสร้าง AI ที่ “แสวงหาความจริงสูงสุด”
    คู่แข่งอย่าง Meta และ OpenAI ก็มีแผนสะสม GPU หลายล้านตัวเช่นกัน
    Meta กำลังสร้างศูนย์ข้อมูล Hyperion ที่ใช้พลังงานถึง 5GW เทียบเท่าฐานโหลดของ NYC

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Nvidia H100 เป็น GPU ที่ออกแบบมาเพื่องาน AI โดยเฉพาะ มีความสามารถในการประมวลผลสูงมาก
    ราคาต่อหน่วยของ H100 อยู่ที่ประมาณ $30,000 ทำให้การสะสม GPU จำนวนมากเป็นการลงทุนมหาศาล
    Hugging Face เป็นแพลตฟอร์มโอเพ่นซอร์สที่นิยมใช้ในวงการ AI สำหรับการแชร์โมเดลและ weights
    การเปิดโมเดลให้สาธารณะสามารถช่วยให้เกิดการพัฒนาอย่างรวดเร็ว แต่ก็มีความเสี่ยงด้านความปลอดภัย
    การแข่งขันด้าน AI ระหว่างบริษัทใหญ่กำลังผลักดันให้เกิดการพัฒนา hardware เฉพาะทาง เช่น ASIC และ custom chips

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/elon-musk-doubles-down-on-goal-of-50-million-h100-equivalent-gpus-in-the-next-5-years-envisions-billions-of-gpus-in-the-future-as-grok-2-5-goes-open-source
    🎙️ Elon Musk กับภารกิจสร้างจักรวาล AI ด้วย GPU หลายพันล้านตัว ในยุคที่ AI กลายเป็นหัวใจของนวัตกรรมระดับโลก Elon Musk ก็ไม่ยอมตกขบวน เขาออกมาประกาศเป้าหมายที่ฟังดูเกินจริงแต่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน: xAI บริษัทของเขาจะใช้ GPU ที่มีพลังเทียบเท่า H100 จำนวน 50 ล้านตัวภายใน 5 ปี และในอนาคตอาจขยายไปถึง “พันล้านตัว” GPU เหล่านี้จะถูกใช้ในศูนย์ข้อมูลขนาดมหึมา เช่น Colossus ที่ตั้งอยู่ในเมมฟิส ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 200,000 ตัว และกำลังสร้าง Colossus II เพื่อรองรับการขยายตัว ในขณะเดียวกัน Musk ก็เปิดโมเดล Grok 2.5 ให้เป็นโอเพ่นซอร์สผ่านแพลตฟอร์ม Hugging Face เพื่อให้ชุมชนนักพัฒนาเข้าถึงโค้ดและ weights ได้อย่างอิสระ โดยมีแผนจะเปิด Grok 3 ภายใน 6 เดือนข้างหน้า เป้าหมายของ Musk คือการสร้างระบบ AI ที่ “แสวงหาความจริงสูงสุด” และสามารถแข่งขันกับบริษัทใหญ่อย่าง OpenAI, Meta และ Google ซึ่งต่างก็เร่งสะสม GPU และพัฒนาโมเดลของตัวเองเช่นกัน แต่เบื้องหลังความทะเยอทะยานนี้ ก็มีคำถามตามมา: การใช้พลังงานมหาศาลในศูนย์ข้อมูลจะส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมอย่างไร? และการเปิดโมเดลให้สาธารณะจะนำไปสู่การใช้งานในทางที่ไม่พึงประสงค์หรือไม่? 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Elon Musk ตั้งเป้าให้ xAI ใช้ GPU เทียบเท่า H100 จำนวน 50 ล้านตัวภายใน 5 ปี ➡️ ปัจจุบัน xAI มี GPU ประมาณ 200,000 ตัวในศูนย์ข้อมูล Colossus ที่เมมฟิส ➡️ กำลังสร้าง Colossus II เพื่อขยายขีดความสามารถด้าน AI ➡️ Musk กล่าวว่าต้องการขยายไปถึง “พันล้าน GPU” ในอนาคต ➡️ Grok 2.5 ถูกเปิดให้เป็นโอเพ่นซอร์สผ่าน Hugging Face ➡️ Grok 3 จะเปิดโอเพ่นซอร์สภายใน 6 เดือน ➡️ Grok 4 ยังไม่เปิดให้สาธารณะใช้งาน และมีข้อถกเถียงเกี่ยวกับเนื้อหาภายใน ➡️ xAI ต้องการสร้าง AI ที่ “แสวงหาความจริงสูงสุด” ➡️ คู่แข่งอย่าง Meta และ OpenAI ก็มีแผนสะสม GPU หลายล้านตัวเช่นกัน ➡️ Meta กำลังสร้างศูนย์ข้อมูล Hyperion ที่ใช้พลังงานถึง 5GW เทียบเท่าฐานโหลดของ NYC ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Nvidia H100 เป็น GPU ที่ออกแบบมาเพื่องาน AI โดยเฉพาะ มีความสามารถในการประมวลผลสูงมาก ➡️ ราคาต่อหน่วยของ H100 อยู่ที่ประมาณ $30,000 ทำให้การสะสม GPU จำนวนมากเป็นการลงทุนมหาศาล ➡️ Hugging Face เป็นแพลตฟอร์มโอเพ่นซอร์สที่นิยมใช้ในวงการ AI สำหรับการแชร์โมเดลและ weights ➡️ การเปิดโมเดลให้สาธารณะสามารถช่วยให้เกิดการพัฒนาอย่างรวดเร็ว แต่ก็มีความเสี่ยงด้านความปลอดภัย ➡️ การแข่งขันด้าน AI ระหว่างบริษัทใหญ่กำลังผลักดันให้เกิดการพัฒนา hardware เฉพาะทาง เช่น ASIC และ custom chips https://www.tomshardware.com/tech-industry/elon-musk-doubles-down-on-goal-of-50-million-h100-equivalent-gpus-in-the-next-5-years-envisions-billions-of-gpus-in-the-future-as-grok-2-5-goes-open-source
    0 Comments 0 Shares 72 Views 0 Reviews
  • กยท. บุกยุโรป! ผลักดันยางพาราไทย หารือทูตไทยประจำบรัสเซลส์ พร้อมดันนวัตกรรม "น้ำยางอินทรีย์" เจาะตลาดรักษ์โลก หน่วยงานราชการไทยใน EU พร้อมหนุนเต็มที่ ทั้งนโยบายและเครือข่าย มั่นใจไทยผู้นำยางพารายั่งยืนระดับโลก

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000080807

    #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    กยท. บุกยุโรป! ผลักดันยางพาราไทย หารือทูตไทยประจำบรัสเซลส์ พร้อมดันนวัตกรรม "น้ำยางอินทรีย์" เจาะตลาดรักษ์โลก หน่วยงานราชการไทยใน EU พร้อมหนุนเต็มที่ ทั้งนโยบายและเครือข่าย มั่นใจไทยผู้นำยางพารายั่งยืนระดับโลก อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000080807 #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    0 Comments 0 Shares 269 Views 0 Reviews
  • Microsoft ปฏิวัติการโหลดเกมด้วย “Advanced Shader Delivery” – เล่นเร็วขึ้น 10 เท่า ไม่ต้องรอคอมไพล์

    ลองนึกภาพว่าคุณเปิดเกมใหม่บนเครื่อง ROG Xbox Ally หรือ Ally X แล้วเข้าเกมได้แทบจะทันที ไม่ต้องรอโหลดนาน ไม่ต้องเจออาการกระตุกตอนเริ่มเกม นั่นคือสิ่งที่ Microsoft กำลังทำให้เป็นจริงด้วยฟีเจอร์ใหม่ “Advanced Shader Delivery” ที่เปิดตัวผ่าน Xbox PC App

    ปัญหาเดิมของเกม PC คือการคอมไพล์ shader ซึ่งเป็นโค้ดกราฟิกที่ต้องปรับให้เข้ากับ GPU และไดรเวอร์ของแต่ละเครื่อง ทำให้เกิดการโหลดนานและกระตุกระหว่างเล่น โดยเฉพาะในเกมใหม่หรือเมื่ออัปเดตไดรเวอร์

    Microsoft แก้ปัญหานี้ด้วยการสร้างระบบใหม่ที่เรียกว่า State Object Database (SODB) ซึ่งเก็บข้อมูล shader จากเกม แล้วนำไปคอมไพล์บนคลาวด์เป็น Precompiled Shader Database (PSDB) ที่พร้อมใช้งาน เมื่อผู้เล่นดาวน์โหลดเกมผ่าน Xbox PC App ระบบจะตรวจสอบสเปกเครื่องและดาวน์โหลด PSDB ที่ตรงกับอุปกรณ์นั้นทันที

    ผลลัพธ์คือเวลาโหลดเกมลดลงสูงสุดถึง 85% (เช่นในเกม Avowed) และยังช่วยประหยัดแบตเตอรี่ เพราะไม่ต้องใช้พลังงานในการคอมไพล์ shader บนเครื่องเอง

    ฟีเจอร์นี้จะเริ่มใช้กับ ROG Xbox Ally และ Ally X ก่อนในวันที่ 16 ตุลาคม 2025 และจะขยายไปยังอุปกรณ์อื่นในอนาคต โดยไม่ต้องให้ผู้พัฒนาเกมทำอะไรเพิ่มเติมในช่วงแรก แต่ Microsoft มีแผนจะรวมระบบนี้เข้ากับเอนจินเกมโดยตรงในอนาคต

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Microsoft เปิดตัวฟีเจอร์ “Advanced Shader Delivery” เพื่อลดเวลาโหลดเกม
    ฟีเจอร์นี้ใช้ระบบคลาวด์ในการคอมไพล์ shader แทนการทำบนอุปกรณ์ผู้เล่น
    ใช้ฐานข้อมูลใหม่ชื่อ State Object Database (SODB) และ Precompiled Shader Database (PSDB)
    Xbox PC App จะตรวจสอบสเปกเครื่องและดาวน์โหลด PSDB ที่เหมาะสม
    ลดเวลาโหลดเกมได้สูงสุดถึง 85% เช่นในเกม Avowed
    ช่วยลดการใช้แบตเตอรี่และพลังงานของ CPU/GPU
    เริ่มใช้งานกับ ROG Xbox Ally และ Ally X วันที่ 16 ตุลาคม 2025
    ไม่ต้องให้ผู้พัฒนาเกมปรับแต่งเพิ่มเติมในช่วงแรก
    Microsoft มีแผนรวมระบบนี้เข้ากับเอนจินเกมในอนาคต
    ฟีเจอร์นี้จะขยายไปยังอุปกรณ์อื่นและ storefronts ผ่าน AgilitySDK

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ปัญหาคอมไพล์ shader เป็นสาเหตุหลักของการโหลดนานและกระตุกในเกม PC
    Steam Deck มีระบบคล้ายกันใน SteamOS แต่ยังไม่แพร่หลายเท่า
    Microsoft เริ่มใช้ระบบ “Handheld Optimized” เพื่อจัดเรตเกมสำหรับเครื่องพกพา
    การแยก shader compiler ออกจาก driver เป็นนวัตกรรมที่ช่วยลดความซับซ้อน
    ฟีเจอร์นี้อาจเป็นการตอบโต้การแข่งขันจาก Steam Deck ที่ควบคุมฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ได้ดีกว่า

    https://www.tomshardware.com/video-games/pc-gaming/directx-speeds-up-game-loads-up-to-10x-with-new-advanced-shader-compiling-feature-debuts-with-xbox-pc-app-on-rog-xbox-ally-and-ally-x-more-devices-later
    🎙️ Microsoft ปฏิวัติการโหลดเกมด้วย “Advanced Shader Delivery” – เล่นเร็วขึ้น 10 เท่า ไม่ต้องรอคอมไพล์ ลองนึกภาพว่าคุณเปิดเกมใหม่บนเครื่อง ROG Xbox Ally หรือ Ally X แล้วเข้าเกมได้แทบจะทันที ไม่ต้องรอโหลดนาน ไม่ต้องเจออาการกระตุกตอนเริ่มเกม นั่นคือสิ่งที่ Microsoft กำลังทำให้เป็นจริงด้วยฟีเจอร์ใหม่ “Advanced Shader Delivery” ที่เปิดตัวผ่าน Xbox PC App ปัญหาเดิมของเกม PC คือการคอมไพล์ shader ซึ่งเป็นโค้ดกราฟิกที่ต้องปรับให้เข้ากับ GPU และไดรเวอร์ของแต่ละเครื่อง ทำให้เกิดการโหลดนานและกระตุกระหว่างเล่น โดยเฉพาะในเกมใหม่หรือเมื่ออัปเดตไดรเวอร์ Microsoft แก้ปัญหานี้ด้วยการสร้างระบบใหม่ที่เรียกว่า State Object Database (SODB) ซึ่งเก็บข้อมูล shader จากเกม แล้วนำไปคอมไพล์บนคลาวด์เป็น Precompiled Shader Database (PSDB) ที่พร้อมใช้งาน เมื่อผู้เล่นดาวน์โหลดเกมผ่าน Xbox PC App ระบบจะตรวจสอบสเปกเครื่องและดาวน์โหลด PSDB ที่ตรงกับอุปกรณ์นั้นทันที ผลลัพธ์คือเวลาโหลดเกมลดลงสูงสุดถึง 85% (เช่นในเกม Avowed) และยังช่วยประหยัดแบตเตอรี่ เพราะไม่ต้องใช้พลังงานในการคอมไพล์ shader บนเครื่องเอง ฟีเจอร์นี้จะเริ่มใช้กับ ROG Xbox Ally และ Ally X ก่อนในวันที่ 16 ตุลาคม 2025 และจะขยายไปยังอุปกรณ์อื่นในอนาคต โดยไม่ต้องให้ผู้พัฒนาเกมทำอะไรเพิ่มเติมในช่วงแรก แต่ Microsoft มีแผนจะรวมระบบนี้เข้ากับเอนจินเกมโดยตรงในอนาคต 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Microsoft เปิดตัวฟีเจอร์ “Advanced Shader Delivery” เพื่อลดเวลาโหลดเกม ➡️ ฟีเจอร์นี้ใช้ระบบคลาวด์ในการคอมไพล์ shader แทนการทำบนอุปกรณ์ผู้เล่น ➡️ ใช้ฐานข้อมูลใหม่ชื่อ State Object Database (SODB) และ Precompiled Shader Database (PSDB) ➡️ Xbox PC App จะตรวจสอบสเปกเครื่องและดาวน์โหลด PSDB ที่เหมาะสม ➡️ ลดเวลาโหลดเกมได้สูงสุดถึง 85% เช่นในเกม Avowed ➡️ ช่วยลดการใช้แบตเตอรี่และพลังงานของ CPU/GPU ➡️ เริ่มใช้งานกับ ROG Xbox Ally และ Ally X วันที่ 16 ตุลาคม 2025 ➡️ ไม่ต้องให้ผู้พัฒนาเกมปรับแต่งเพิ่มเติมในช่วงแรก ➡️ Microsoft มีแผนรวมระบบนี้เข้ากับเอนจินเกมในอนาคต ➡️ ฟีเจอร์นี้จะขยายไปยังอุปกรณ์อื่นและ storefronts ผ่าน AgilitySDK ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ปัญหาคอมไพล์ shader เป็นสาเหตุหลักของการโหลดนานและกระตุกในเกม PC ➡️ Steam Deck มีระบบคล้ายกันใน SteamOS แต่ยังไม่แพร่หลายเท่า ➡️ Microsoft เริ่มใช้ระบบ “Handheld Optimized” เพื่อจัดเรตเกมสำหรับเครื่องพกพา ➡️ การแยก shader compiler ออกจาก driver เป็นนวัตกรรมที่ช่วยลดความซับซ้อน ➡️ ฟีเจอร์นี้อาจเป็นการตอบโต้การแข่งขันจาก Steam Deck ที่ควบคุมฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ได้ดีกว่า https://www.tomshardware.com/video-games/pc-gaming/directx-speeds-up-game-loads-up-to-10x-with-new-advanced-shader-compiling-feature-debuts-with-xbox-pc-app-on-rog-xbox-ally-and-ally-x-more-devices-later
    0 Comments 0 Shares 135 Views 0 Reviews
  • เมื่อแชตบอตกลายเป็นช่องทางเจาะระบบ – และคำถามธรรมดาอาจเปิดประตูให้แฮกเกอร์

    Lenovo เปิดตัวแชตบอต Lena เพื่อช่วยลูกค้าในระบบสนับสนุน โดยใช้ GPT-4 เป็นแกนหลักในการตอบคำถาม แต่สิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นนวัตกรรมกลับกลายเป็นช่องโหว่ร้ายแรง เมื่อทีมวิจัยจาก Cybernews พบว่า Lena สามารถถูกหลอกให้สร้างโค้ด HTML อันตรายผ่าน prompt เพียง 400 ตัวอักษร

    แฮกเกอร์ใช้เทคนิค prompt injection โดยเริ่มต้นด้วยคำถามเกี่ยวกับสินค้า แล้วแทรกคำสั่งให้ Lena ตอบกลับในรูปแบบ HTML พร้อมฝังโค้ด JavaScript ที่ขโมย session cookie เมื่อภาพไม่สามารถโหลดได้

    เมื่อเจ้าหน้าที่สนับสนุนเปิดดูการสนทนา โค้ดนั้นจะทำงานทันทีใน browser ของพวกเขา ทำให้แฮกเกอร์สามารถเข้าถึงระบบสนับสนุนของบริษัทได้โดยไม่ต้องเจาะระบบโดยตรง

    Melissa Ruzzi จาก AppOmni เตือนว่า AI ที่มีสิทธิ์แก้ไขข้อมูลโดยไม่มีการควบคุม อาจกลายเป็นช่องทางโจมตีที่ร้ายแรง และ Arjun Chauhan จาก Everest Group เสริมว่าองค์กรส่วนใหญ่ยังมอง AI เป็น “โครงการทดลอง” มากกว่าระบบที่ต้องมีมาตรการความปลอดภัยจริงจัง

    ช่องโหว่นี้ไม่ใช่แค่การขโมย cookie แต่สามารถนำไปสู่การติดตั้ง keylogger, redirect ไปยังเว็บ phishing หรือแม้แต่การฝัง backdoor เพื่อเคลื่อนย้ายภายในเครือข่ายองค์กร

    Lenovo ยอมรับช่องโหว่และแก้ไขทันทีหลังได้รับการแจ้งเตือนจากนักวิจัย แต่เหตุการณ์นี้สะท้อนถึง blind spot ด้านความปลอดภัยของ AI ที่องค์กรทั่วโลกกำลังเผชิญ

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Lenovo chatbot Lena ถูกพบว่ามีช่องโหว่ XSS จากการตอบสนองต่อ prompt ที่ถูกออกแบบมาอย่างเจาะจง
    ช่องโหว่เกิดจากการ sanitization ของ input และ output ที่ไม่เพียงพอ
    แฮกเกอร์สามารถฝังโค้ด JavaScript ผ่าน HTML ที่ Lena สร้างขึ้น
    โค้ดจะทำงานเมื่อเจ้าหน้าที่สนับสนุนเปิดดูการสนทนา ทำให้ session cookie ถูกขโมย
    ช่องโหว่นี้สามารถนำไปสู่การติดตั้ง keylogger, redirect ไปยังเว็บ phishing และฝัง backdoor
    Lena ใช้ GPT-4 เป็นแกนหลักในการตอบคำถามลูกค้า
    Lenovo ได้รับแจ้งจากนักวิจัยและดำเนินการแก้ไขทันที
    ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า AI ควรได้รับการดูแลด้านความปลอดภัยเทียบเท่ากับแอปพลิเคชันทั่วไป
    ช่องโหว่นี้สะท้อนถึง blind spot ในการออกแบบระบบ AI ที่เน้นความเร็วมากกว่าความปลอดภัย
    การโจมตีใช้ prompt เพียง 400 ตัวอักษรในการเจาะระบบ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Cybernews และ CybersecurityNews รายงานว่า Lena สามารถรันสคริปต์บนเครื่องขององค์กรได้
    ช่องโหว่สามารถขยายผลไปยังระบบอื่นในเครือข่ายผ่าน lateral movement
    OWASP จัด prompt injection เป็นช่องโหว่อันดับหนึ่งใน AI systems
    ปริมาณ bot traffic แซงหน้าการใช้งานของมนุษย์ในปี 2024 คิดเป็น 51% ของทั้งหมด
    การป้องกันต้องใช้ CSP headers, whitelisting, และ context-aware validation

    https://www.csoonline.com/article/4043005/lenovo-chatbot-breach-highlights-ai-security-blind-spots-in-customer-facing-systems.html
    🎙️ เมื่อแชตบอตกลายเป็นช่องทางเจาะระบบ – และคำถามธรรมดาอาจเปิดประตูให้แฮกเกอร์ Lenovo เปิดตัวแชตบอต Lena เพื่อช่วยลูกค้าในระบบสนับสนุน โดยใช้ GPT-4 เป็นแกนหลักในการตอบคำถาม แต่สิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นนวัตกรรมกลับกลายเป็นช่องโหว่ร้ายแรง เมื่อทีมวิจัยจาก Cybernews พบว่า Lena สามารถถูกหลอกให้สร้างโค้ด HTML อันตรายผ่าน prompt เพียง 400 ตัวอักษร แฮกเกอร์ใช้เทคนิค prompt injection โดยเริ่มต้นด้วยคำถามเกี่ยวกับสินค้า แล้วแทรกคำสั่งให้ Lena ตอบกลับในรูปแบบ HTML พร้อมฝังโค้ด JavaScript ที่ขโมย session cookie เมื่อภาพไม่สามารถโหลดได้ เมื่อเจ้าหน้าที่สนับสนุนเปิดดูการสนทนา โค้ดนั้นจะทำงานทันทีใน browser ของพวกเขา ทำให้แฮกเกอร์สามารถเข้าถึงระบบสนับสนุนของบริษัทได้โดยไม่ต้องเจาะระบบโดยตรง Melissa Ruzzi จาก AppOmni เตือนว่า AI ที่มีสิทธิ์แก้ไขข้อมูลโดยไม่มีการควบคุม อาจกลายเป็นช่องทางโจมตีที่ร้ายแรง และ Arjun Chauhan จาก Everest Group เสริมว่าองค์กรส่วนใหญ่ยังมอง AI เป็น “โครงการทดลอง” มากกว่าระบบที่ต้องมีมาตรการความปลอดภัยจริงจัง ช่องโหว่นี้ไม่ใช่แค่การขโมย cookie แต่สามารถนำไปสู่การติดตั้ง keylogger, redirect ไปยังเว็บ phishing หรือแม้แต่การฝัง backdoor เพื่อเคลื่อนย้ายภายในเครือข่ายองค์กร Lenovo ยอมรับช่องโหว่และแก้ไขทันทีหลังได้รับการแจ้งเตือนจากนักวิจัย แต่เหตุการณ์นี้สะท้อนถึง blind spot ด้านความปลอดภัยของ AI ที่องค์กรทั่วโลกกำลังเผชิญ 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Lenovo chatbot Lena ถูกพบว่ามีช่องโหว่ XSS จากการตอบสนองต่อ prompt ที่ถูกออกแบบมาอย่างเจาะจง ➡️ ช่องโหว่เกิดจากการ sanitization ของ input และ output ที่ไม่เพียงพอ ➡️ แฮกเกอร์สามารถฝังโค้ด JavaScript ผ่าน HTML ที่ Lena สร้างขึ้น ➡️ โค้ดจะทำงานเมื่อเจ้าหน้าที่สนับสนุนเปิดดูการสนทนา ทำให้ session cookie ถูกขโมย ➡️ ช่องโหว่นี้สามารถนำไปสู่การติดตั้ง keylogger, redirect ไปยังเว็บ phishing และฝัง backdoor ➡️ Lena ใช้ GPT-4 เป็นแกนหลักในการตอบคำถามลูกค้า ➡️ Lenovo ได้รับแจ้งจากนักวิจัยและดำเนินการแก้ไขทันที ➡️ ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า AI ควรได้รับการดูแลด้านความปลอดภัยเทียบเท่ากับแอปพลิเคชันทั่วไป ➡️ ช่องโหว่นี้สะท้อนถึง blind spot ในการออกแบบระบบ AI ที่เน้นความเร็วมากกว่าความปลอดภัย ➡️ การโจมตีใช้ prompt เพียง 400 ตัวอักษรในการเจาะระบบ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Cybernews และ CybersecurityNews รายงานว่า Lena สามารถรันสคริปต์บนเครื่องขององค์กรได้ ➡️ ช่องโหว่สามารถขยายผลไปยังระบบอื่นในเครือข่ายผ่าน lateral movement ➡️ OWASP จัด prompt injection เป็นช่องโหว่อันดับหนึ่งใน AI systems ➡️ ปริมาณ bot traffic แซงหน้าการใช้งานของมนุษย์ในปี 2024 คิดเป็น 51% ของทั้งหมด ➡️ การป้องกันต้องใช้ CSP headers, whitelisting, และ context-aware validation https://www.csoonline.com/article/4043005/lenovo-chatbot-breach-highlights-ai-security-blind-spots-in-customer-facing-systems.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Lenovo chatbot breach highlights AI security blind spots in customer-facing systems
    Experts say the vulnerability in Lenovo’s GPT-4-powered chatbot reflects a broader enterprise trend: deploying AI tools without applying the same security rigor as traditional applications.
    0 Comments 0 Shares 137 Views 0 Reviews
  • เมื่อ Zuckerberg เบรกการจ้างงาน AI – สัญญาณฟองสบู่ที่ Silicon Valley เริ่มสั่นคลอน

    ในช่วงปีที่ผ่านมา Meta ทุ่มเงินมหาศาลเพื่อดึงตัวนักวิจัย AI ระดับหัวกะทิจากบริษัทคู่แข่งอย่าง OpenAI และ Google โดยเสนอค่าตอบแทนสูงถึง $1 พันล้านดอลลาร์ต่อคน เพื่อเร่งพัฒนา “Superintelligence Labs” ที่มีเป้าหมายสร้างผู้ช่วยอัจฉริยะถาวรในรูปแบบแว่นตาอัจฉริยะ

    แต่เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา Mark Zuckerberg กลับสั่ง “เบรก” การจ้างงานทั้งหมดในแผนก AI ของ Meta ท่ามกลางความกังวลว่าอุตสาหกรรม AI กำลังเข้าสู่ภาวะฟองสบู่ หลังจากรายงานของ MIT ระบุว่า 95% ของบริษัทที่ลงทุนใน AI ไม่ได้รับผลตอบแทนใด ๆ

    การหยุดจ้างงานนี้เกิดขึ้นก่อนที่ตลาดหุ้นจะร่วงหนัก โดยหุ้นของบริษัทเทคโนโลยีอย่าง Nvidia, Arm และ Palantir ตกลงอย่างต่อเนื่อง นักลงทุนเริ่มตั้งคำถามว่าเงินที่ทุ่มไปกับ AI นั้นคุ้มค่าจริงหรือไม่

    แม้ Meta จะออกมาบอกว่าเป็น “การวางแผนองค์กรตามปกติ” แต่เบื้องหลังคือการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ โดยแบ่ง Superintelligence Labs ออกเป็น 4 หน่วยงานใหม่ และยุบทีม AGI Foundations ที่เคยพัฒนาโมเดล Llama และ Behemoth ซึ่งถูกวิจารณ์ว่าบิดเบือน benchmark เพื่อให้ดูดีเกินจริง

    นักวิเคราะห์เตือนว่า การจ่ายค่าตอบแทนสูงเกินไปโดยไม่มีนวัตกรรมที่ชัดเจนอาจทำให้มูลค่าหุ้นลดลง และความคาดหวังต่อ GPT-5 ที่ไม่เป็นไปตาม hype ยิ่งตอกย้ำว่าฟองสบู่ AI อาจแตกในไม่ช้า

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Meta สั่งหยุดการจ้างงานในแผนก AI ทั้งหมด ยกเว้นกรณีพิเศษที่ต้องได้รับอนุมัติจาก Alexandr Wang
    การหยุดจ้างงานเกิดขึ้นก่อนตลาดหุ้นร่วงจากความกังวลเรื่องฟองสบู่ AI
    Zuckerberg เคยเสนอค่าตอบแทนสูงถึง $1 พันล้านเพื่อดึงนักวิจัยจาก OpenAI และ Google
    Superintelligence Labs ถูกแบ่งออกเป็น 4 หน่วยงานใหม่ และทีม AGI Foundations ถูกยุบ
    โมเดล Behemoth ถูกวิจารณ์ว่าบิดเบือน benchmark และมีการลาออกของทีมงาน
    Meta อ้างว่าเป็น “การวางแผนองค์กรตามปกติ” เช่น การจัดงบประมาณประจำปี
    หุ้นของบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่ง เช่น Nvidia และ Palantir ร่วงจากความกังวลเรื่องผลตอบแทน AI
    Zuckerberg ยืนยันว่าเป้าหมายคือสร้าง “ผู้ช่วยอัจฉริยะถาวร” ที่อยู่ในแว่นตาอัจฉริยะ
    เขาเน้นทีมขนาดเล็กที่มีความสามารถสูง แทนการจ้างงานจำนวนมาก
    ค่าใช้จ่ายในการจ้างงาน AI จะเพิ่มขึ้นอย่างมากในอนาคต

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Meta ดึงตัวนักวิจัย AI มากกว่า 50 คนจากบริษัทคู่แข่งภายในไม่กี่เดือน
    นักวิเคราะห์จาก Morgan Stanley เตือนว่าการจ่ายค่าตอบแทนสูงอาจลดมูลค่าหุ้น
    GPT-5 ได้รับการตอบรับแบบ “กลาง ๆ” ไม่เป็นไปตามความคาดหวัง
    Sam Altman เปรียบ hype ของ AI กับฟองสบู่ dotcom ในปี 2000
    บริษัทเทคโนโลยียังคงลงทุนหลายหมื่นล้านดอลลาร์ในโครงสร้างพื้นฐาน AI แม้รายได้ยังไม่ชัดเจน

    https://www.telegraph.co.uk/business/2025/08/21/zuckerberg-freezes-ai-hiring-amid-bubble-fears/
    🎙️ เมื่อ Zuckerberg เบรกการจ้างงาน AI – สัญญาณฟองสบู่ที่ Silicon Valley เริ่มสั่นคลอน ในช่วงปีที่ผ่านมา Meta ทุ่มเงินมหาศาลเพื่อดึงตัวนักวิจัย AI ระดับหัวกะทิจากบริษัทคู่แข่งอย่าง OpenAI และ Google โดยเสนอค่าตอบแทนสูงถึง $1 พันล้านดอลลาร์ต่อคน เพื่อเร่งพัฒนา “Superintelligence Labs” ที่มีเป้าหมายสร้างผู้ช่วยอัจฉริยะถาวรในรูปแบบแว่นตาอัจฉริยะ แต่เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา Mark Zuckerberg กลับสั่ง “เบรก” การจ้างงานทั้งหมดในแผนก AI ของ Meta ท่ามกลางความกังวลว่าอุตสาหกรรม AI กำลังเข้าสู่ภาวะฟองสบู่ หลังจากรายงานของ MIT ระบุว่า 95% ของบริษัทที่ลงทุนใน AI ไม่ได้รับผลตอบแทนใด ๆ การหยุดจ้างงานนี้เกิดขึ้นก่อนที่ตลาดหุ้นจะร่วงหนัก โดยหุ้นของบริษัทเทคโนโลยีอย่าง Nvidia, Arm และ Palantir ตกลงอย่างต่อเนื่อง นักลงทุนเริ่มตั้งคำถามว่าเงินที่ทุ่มไปกับ AI นั้นคุ้มค่าจริงหรือไม่ แม้ Meta จะออกมาบอกว่าเป็น “การวางแผนองค์กรตามปกติ” แต่เบื้องหลังคือการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ โดยแบ่ง Superintelligence Labs ออกเป็น 4 หน่วยงานใหม่ และยุบทีม AGI Foundations ที่เคยพัฒนาโมเดล Llama และ Behemoth ซึ่งถูกวิจารณ์ว่าบิดเบือน benchmark เพื่อให้ดูดีเกินจริง นักวิเคราะห์เตือนว่า การจ่ายค่าตอบแทนสูงเกินไปโดยไม่มีนวัตกรรมที่ชัดเจนอาจทำให้มูลค่าหุ้นลดลง และความคาดหวังต่อ GPT-5 ที่ไม่เป็นไปตาม hype ยิ่งตอกย้ำว่าฟองสบู่ AI อาจแตกในไม่ช้า 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Meta สั่งหยุดการจ้างงานในแผนก AI ทั้งหมด ยกเว้นกรณีพิเศษที่ต้องได้รับอนุมัติจาก Alexandr Wang ➡️ การหยุดจ้างงานเกิดขึ้นก่อนตลาดหุ้นร่วงจากความกังวลเรื่องฟองสบู่ AI ➡️ Zuckerberg เคยเสนอค่าตอบแทนสูงถึง $1 พันล้านเพื่อดึงนักวิจัยจาก OpenAI และ Google ➡️ Superintelligence Labs ถูกแบ่งออกเป็น 4 หน่วยงานใหม่ และทีม AGI Foundations ถูกยุบ ➡️ โมเดล Behemoth ถูกวิจารณ์ว่าบิดเบือน benchmark และมีการลาออกของทีมงาน ➡️ Meta อ้างว่าเป็น “การวางแผนองค์กรตามปกติ” เช่น การจัดงบประมาณประจำปี ➡️ หุ้นของบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่ง เช่น Nvidia และ Palantir ร่วงจากความกังวลเรื่องผลตอบแทน AI ➡️ Zuckerberg ยืนยันว่าเป้าหมายคือสร้าง “ผู้ช่วยอัจฉริยะถาวร” ที่อยู่ในแว่นตาอัจฉริยะ ➡️ เขาเน้นทีมขนาดเล็กที่มีความสามารถสูง แทนการจ้างงานจำนวนมาก ➡️ ค่าใช้จ่ายในการจ้างงาน AI จะเพิ่มขึ้นอย่างมากในอนาคต ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Meta ดึงตัวนักวิจัย AI มากกว่า 50 คนจากบริษัทคู่แข่งภายในไม่กี่เดือน ➡️ นักวิเคราะห์จาก Morgan Stanley เตือนว่าการจ่ายค่าตอบแทนสูงอาจลดมูลค่าหุ้น ➡️ GPT-5 ได้รับการตอบรับแบบ “กลาง ๆ” ไม่เป็นไปตามความคาดหวัง ➡️ Sam Altman เปรียบ hype ของ AI กับฟองสบู่ dotcom ในปี 2000 ➡️ บริษัทเทคโนโลยียังคงลงทุนหลายหมื่นล้านดอลลาร์ในโครงสร้างพื้นฐาน AI แม้รายได้ยังไม่ชัดเจน https://www.telegraph.co.uk/business/2025/08/21/zuckerberg-freezes-ai-hiring-amid-bubble-fears/
    0 Comments 0 Shares 148 Views 0 Reviews
  • นี้ต้องอย่างนี้,เรา..ภาคประชาชนต้องร่วมกันแบบนี้,แต่จะดีมาหากร่วมกันยกเลิก พรบ.ห้ามชุมนุมในที่สาธารณะด้วย เพราะออกในยุคลุงเป็นรัฐบาลด้วย ยึดอำนาจมาด้วย 11จุดก็เสียให้เขมรด้วย มารู้ความจริงก็ตอนแม่ทัพภาคที่2บุกยึดคืนได้แล้ว,กฎหมายมากมาย พรบ.มากมายต้องฉีกทิ้งกันเป็นอันมาก,มันขัดขวางประชาชนพัฒนาตนเองสู่เจตนำนงเสรีทางดีเป็นอันมาก.

    ..เบื้องต้นนี้ คณะรวมพลังแผ่นดินไทย ทำตามกำลังตนถูกทางแล้ว ไม่มีภาพนักการเมืองแอบแฝงยิ่งดี เหมือนใครบ้างคนเข้ามาในคณะรวมพลังฯหมายเชิดชูลุงกลับมานั้นเอง,ยุคลุงยุคทหารแท้ๆเสือกไม่ยกเลิกmou43,44มันบอกนัยยะเปิดเผยชัดเจนแล้ว,ส่วนรัฐบาลในปัจจุบันก็แค่รับไม้ต่อสลับมุกเปลี่ยนมือนี้ล่ะ,เพื่อไทย คนของตนแบบลุงตู่ก็ขึ้นมาเหมือนเดิม,คณะรวมพลังแผ่นดินฯน่าจะเห็นชัดบริบทนี้,ต้องรวมพลังฯจริงๆเอาให้สุดซอยด้วย อย่าพลาดแบบกปปส.พลาดแบบอาสนธิ ต้องทำการเปลี่ยนแปลงโดยภาคประชาชนจริงให้ได้,คนในคณะรวมพลังแผ่นดินฯแน่นอนต่างมีอดีตที่ผิดพลาดกันหมด,แต่สงครามครั้งนี้อดีตได้ทิ้งไปแล้ว ยิ่งมุ่งทำเพื่อชาติคือประชาชนเราจริงๆร่วม สามารถเป็นคณะบริหารประเทศฉุกเฉินชั่วคราวของภาคประชาชนระดับประเทศแห่งชาติ ร่วมกับกองทัพไทยเรา รีเซ็ตประเทศไทยใหม่ กวาดล้างภัยภายในประเทศไทยเราจริงๆและภัยภายนอกแบบเขมร แบบมาเลย์ภาคใต้เรา แบบciaของอเมริกาชั่วมุ่งแต่ผลประโยชน์มันสูงสุด กำจัดเผาทิ้งพรบ.และกฎหมายทุกๆฉบับที่ขายชาติอย่างจริงจังด้วย กดขี่ความคิดอิสระสร้างสรรค์ของประชาชนพัฒนานวัตกรรมใหม่พัฒนาชาติให้ล้ำสมัยไม่แพ้ชาติใดในโลก,ตลอดคนไทยต้องพ้นสถานะยากจนจริงๆกันเสียที,ปล่อยให้ต่างชาติมาปล้นทรัพยากรมีค่ามากมายเราง่ายดายสะดวกสบายเกินไปจนคนไทยยากจนเป็นอันมากเมื่อศักยภาพเราสุดยอดขนาดนั้น ตีมูลค่าทรัพยากรมีค่าเราอาจกว่า100,000ล้านล้านบาท มิใช่ 4-5หมื่นล้านล้านบาทหรอก,แค่ขุดคลองคอดกระ ทำรั้วลวดหนามกั้นไทยกับมาเลย์ชัดเจน ciaอเมริกาก็ปั่นป่วนภาคใต้เรากับมาเลย์ลูกน้องอเมริกาซาอุฯก็ไม่ง่ายแล้ว, คลองคอดกระ ทางแลนด์บริดจ์ พื้นที่ภาคใต้เกือบทั้งหมด สามารถเป็นฮับสำนักใหญ่ของแต่ละชาติมาค้าขายทำตลาดระดับโลกฮับของโลกสบายมาก ไม่ใช้ทรัพยากรไทยก็ตีมูลค่ารายได้กว่า1,000ล้านล้านบาทต่อปี ได้สบาย,อนาคตคนไทยระดับจิตใจดีจะแยกแยะดีชั่วและกระบวนการโปร่งใส สามารถปกป้องคุ้มครองทั้งคนไทยเราและคู่ค้าให้ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินเขา นักท่องเที่ยวนักธุรกิจย่อมชื่นชอบประเทศไทยเพิ่มคน ,คือเม็ดเงินมหาศาลหลากหลายช่องทางเข้าประเทศไทยเราแน่นอน,เราจะจัดสรรเม็ดเงินนี้ให้คนไทยเราร่ำรวยจริงแค่ไหนแค่นั้นล่ะ,แต่หากยังมีวิถีปกครองกากๆแบบนี้ต่อไปตลอดไป ก็ฝันเลยว่าประชาชนคนไทยจะพ้นสถานะความยากจน มีแต่เอารัดเอาเปรียบรีดไถประชาชนคนไทยตนผ่านกฎหมายเลวชั่วสาระพัด ดูแหล่งปิโตรเลียมชัดเจน ถ้าประเทศไทยนำโดยภาคประชาชนคนไทยทำเอง มิใช่ผีบ้าพวกรัฐบาลห่าเหวในอดีตนั้นทำ ไปยกบ่อน้ำมันให้ต่างชาติ รัฐบาลกบฎทรยศประชาชนตนเสียเอง สภาพคนไทยปัจจุบันก็ไม่เป็นแบบนี้ และล่าสุดดูเขมรนี้ล่ะ ฝีมือนักการเมืองและทหารทรยศไส้ศึกชัดเจนบนแผ่นดินไทยเรา,เช่นนั้นจะไม่เป็นแบบนี้เลย,อนาคตรีดภาษีจากประชาชนอีก ทั้งที่ระบบยังกากอยู่แฮกข้อมูลเป็นว่าเล่น ดูดตังคนไทยสนุกมือบัญชี จะไว้วางใจว่าจะแก้ไขความยากจนของคนไทยได้อย่างไร,ทั้งที่จริงๆเงินเถื่อนเงินนอกระบบเงินฟอกเงินเทาตรึมในวงจรอุบาทก์นี้ทั่วไทย ยังจัดการไม่ได้ ยาบ้ายังไร้ปัญญาจัดการจริงเลย,ภาษีที่รีดไถประชาชนจริงๆและปีละกว่าแสนล้านบาทคือภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีน้ำมันต่างหาก,ประเทศไทยแค่ยึดบ่อน้ำมันคืนก็ร่ำรวยแล้ว พลังงานสะอาดอื่นๆอีกต่อยอดได้สบาย,ภาษีบุคคลและนิติบุคคลกิจการบริษัทต่างๆแค่4-5พันล้านบาท มากสุดมนุษย์เงินเดือนแค่7-8พันล้านถั่วเฉลี่ย5-10ปีที่ผ่านๆมาอาจไม่ถึงด้วยซ้ำ,มุกภาษีNITนี้คือมุกนักการเมืองชั่วๆเลวๆจะควบคุมคนไทยนี้ล่ะ เชื่อมสุขภาพอีก ใครยังไม่ฉีดวัคซีน มันจะได้รู้และบังคับควบคุมได้โดยสร้างเงื่อนไขว่า หากไม่ฉีดจะตัดสวัสดิการทั้งหมดของรัฐที่ให้ไป,คือมันจะหามุกมาเรื่อยๆล่ะ คณะรวมพลังแผ่นดินไทยเราจึงต้องสามัคคีกันทำให้สุดซอยเพื่อเรา..ประชาชนคนไทยเราสู่ยุคใหม่จริงๆ.


    https://youtube.com/live/qyP5nsDRofk?si=IZhFf7d3BcxF7KUq
    นี้ต้องอย่างนี้,เรา..ภาคประชาชนต้องร่วมกันแบบนี้,แต่จะดีมาหากร่วมกันยกเลิก พรบ.ห้ามชุมนุมในที่สาธารณะด้วย เพราะออกในยุคลุงเป็นรัฐบาลด้วย ยึดอำนาจมาด้วย 11จุดก็เสียให้เขมรด้วย มารู้ความจริงก็ตอนแม่ทัพภาคที่2บุกยึดคืนได้แล้ว,กฎหมายมากมาย พรบ.มากมายต้องฉีกทิ้งกันเป็นอันมาก,มันขัดขวางประชาชนพัฒนาตนเองสู่เจตนำนงเสรีทางดีเป็นอันมาก. ..เบื้องต้นนี้ คณะรวมพลังแผ่นดินไทย ทำตามกำลังตนถูกทางแล้ว ไม่มีภาพนักการเมืองแอบแฝงยิ่งดี เหมือนใครบ้างคนเข้ามาในคณะรวมพลังฯหมายเชิดชูลุงกลับมานั้นเอง,ยุคลุงยุคทหารแท้ๆเสือกไม่ยกเลิกmou43,44มันบอกนัยยะเปิดเผยชัดเจนแล้ว,ส่วนรัฐบาลในปัจจุบันก็แค่รับไม้ต่อสลับมุกเปลี่ยนมือนี้ล่ะ,เพื่อไทย คนของตนแบบลุงตู่ก็ขึ้นมาเหมือนเดิม,คณะรวมพลังแผ่นดินฯน่าจะเห็นชัดบริบทนี้,ต้องรวมพลังฯจริงๆเอาให้สุดซอยด้วย อย่าพลาดแบบกปปส.พลาดแบบอาสนธิ ต้องทำการเปลี่ยนแปลงโดยภาคประชาชนจริงให้ได้,คนในคณะรวมพลังแผ่นดินฯแน่นอนต่างมีอดีตที่ผิดพลาดกันหมด,แต่สงครามครั้งนี้อดีตได้ทิ้งไปแล้ว ยิ่งมุ่งทำเพื่อชาติคือประชาชนเราจริงๆร่วม สามารถเป็นคณะบริหารประเทศฉุกเฉินชั่วคราวของภาคประชาชนระดับประเทศแห่งชาติ ร่วมกับกองทัพไทยเรา รีเซ็ตประเทศไทยใหม่ กวาดล้างภัยภายในประเทศไทยเราจริงๆและภัยภายนอกแบบเขมร แบบมาเลย์ภาคใต้เรา แบบciaของอเมริกาชั่วมุ่งแต่ผลประโยชน์มันสูงสุด กำจัดเผาทิ้งพรบ.และกฎหมายทุกๆฉบับที่ขายชาติอย่างจริงจังด้วย กดขี่ความคิดอิสระสร้างสรรค์ของประชาชนพัฒนานวัตกรรมใหม่พัฒนาชาติให้ล้ำสมัยไม่แพ้ชาติใดในโลก,ตลอดคนไทยต้องพ้นสถานะยากจนจริงๆกันเสียที,ปล่อยให้ต่างชาติมาปล้นทรัพยากรมีค่ามากมายเราง่ายดายสะดวกสบายเกินไปจนคนไทยยากจนเป็นอันมากเมื่อศักยภาพเราสุดยอดขนาดนั้น ตีมูลค่าทรัพยากรมีค่าเราอาจกว่า100,000ล้านล้านบาท มิใช่ 4-5หมื่นล้านล้านบาทหรอก,แค่ขุดคลองคอดกระ ทำรั้วลวดหนามกั้นไทยกับมาเลย์ชัดเจน ciaอเมริกาก็ปั่นป่วนภาคใต้เรากับมาเลย์ลูกน้องอเมริกาซาอุฯก็ไม่ง่ายแล้ว, คลองคอดกระ ทางแลนด์บริดจ์ พื้นที่ภาคใต้เกือบทั้งหมด สามารถเป็นฮับสำนักใหญ่ของแต่ละชาติมาค้าขายทำตลาดระดับโลกฮับของโลกสบายมาก ไม่ใช้ทรัพยากรไทยก็ตีมูลค่ารายได้กว่า1,000ล้านล้านบาทต่อปี ได้สบาย,อนาคตคนไทยระดับจิตใจดีจะแยกแยะดีชั่วและกระบวนการโปร่งใส สามารถปกป้องคุ้มครองทั้งคนไทยเราและคู่ค้าให้ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินเขา นักท่องเที่ยวนักธุรกิจย่อมชื่นชอบประเทศไทยเพิ่มคน ,คือเม็ดเงินมหาศาลหลากหลายช่องทางเข้าประเทศไทยเราแน่นอน,เราจะจัดสรรเม็ดเงินนี้ให้คนไทยเราร่ำรวยจริงแค่ไหนแค่นั้นล่ะ,แต่หากยังมีวิถีปกครองกากๆแบบนี้ต่อไปตลอดไป ก็ฝันเลยว่าประชาชนคนไทยจะพ้นสถานะความยากจน มีแต่เอารัดเอาเปรียบรีดไถประชาชนคนไทยตนผ่านกฎหมายเลวชั่วสาระพัด ดูแหล่งปิโตรเลียมชัดเจน ถ้าประเทศไทยนำโดยภาคประชาชนคนไทยทำเอง มิใช่ผีบ้าพวกรัฐบาลห่าเหวในอดีตนั้นทำ ไปยกบ่อน้ำมันให้ต่างชาติ รัฐบาลกบฎทรยศประชาชนตนเสียเอง สภาพคนไทยปัจจุบันก็ไม่เป็นแบบนี้ และล่าสุดดูเขมรนี้ล่ะ ฝีมือนักการเมืองและทหารทรยศไส้ศึกชัดเจนบนแผ่นดินไทยเรา,เช่นนั้นจะไม่เป็นแบบนี้เลย,อนาคตรีดภาษีจากประชาชนอีก ทั้งที่ระบบยังกากอยู่แฮกข้อมูลเป็นว่าเล่น ดูดตังคนไทยสนุกมือบัญชี จะไว้วางใจว่าจะแก้ไขความยากจนของคนไทยได้อย่างไร,ทั้งที่จริงๆเงินเถื่อนเงินนอกระบบเงินฟอกเงินเทาตรึมในวงจรอุบาทก์นี้ทั่วไทย ยังจัดการไม่ได้ ยาบ้ายังไร้ปัญญาจัดการจริงเลย,ภาษีที่รีดไถประชาชนจริงๆและปีละกว่าแสนล้านบาทคือภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีน้ำมันต่างหาก,ประเทศไทยแค่ยึดบ่อน้ำมันคืนก็ร่ำรวยแล้ว พลังงานสะอาดอื่นๆอีกต่อยอดได้สบาย,ภาษีบุคคลและนิติบุคคลกิจการบริษัทต่างๆแค่4-5พันล้านบาท มากสุดมนุษย์เงินเดือนแค่7-8พันล้านถั่วเฉลี่ย5-10ปีที่ผ่านๆมาอาจไม่ถึงด้วยซ้ำ,มุกภาษีNITนี้คือมุกนักการเมืองชั่วๆเลวๆจะควบคุมคนไทยนี้ล่ะ เชื่อมสุขภาพอีก ใครยังไม่ฉีดวัคซีน มันจะได้รู้และบังคับควบคุมได้โดยสร้างเงื่อนไขว่า หากไม่ฉีดจะตัดสวัสดิการทั้งหมดของรัฐที่ให้ไป,คือมันจะหามุกมาเรื่อยๆล่ะ คณะรวมพลังแผ่นดินไทยเราจึงต้องสามัคคีกันทำให้สุดซอยเพื่อเรา..ประชาชนคนไทยเราสู่ยุคใหม่จริงๆ. https://youtube.com/live/qyP5nsDRofk?si=IZhFf7d3BcxF7KUq
    - YouTube
    เพลิดเพลินไปกับวิดีโอและเพลงที่คุณชอบ อัปโหลดเนื้อหาต้นฉบับ และแชร์เนื้อหาทั้งหมดกับเพื่อน ครอบครัว และผู้คนทั่วโลกบน YouTube
    0 Comments 0 Shares 191 Views 0 Reviews
  • Arm ดึงตัวผู้สร้างชิป AI ของ Amazon กลับบ้าน – จุดเริ่มต้นของการสร้างชิปเองเพื่อแข่งกับ Nvidia และ Apple

    Arm Holdings บริษัทออกแบบชิปจากอังกฤษที่อยู่เบื้องหลังสถาปัตยกรรมของสมาร์ตโฟนแทบทุกเครื่องในโลก กำลังเปลี่ยนทิศทางครั้งใหญ่ จากเดิมที่เน้นขายสิทธิ์การออกแบบชิป ให้กลายเป็นผู้ผลิตชิปด้วยตัวเอง

    ล่าสุด Arm ได้ดึงตัว Rami Sinno อดีตผู้อำนวยการฝ่ายวิศวกรรมของ Amazon Web Services กลับมาร่วมทีมอีกครั้ง หลังจากเขาเคยทำงานกับ Arm ระหว่างปี 2014–2019 และเป็นหัวหน้าทีมพัฒนาชิป AI ของ Amazon ได้แก่ Trainium และ Inferentia ซึ่งใช้ในงานฝึกและรันโมเดล AI ขนาดใหญ่

    การกลับมาของ Sinno เป็นส่วนหนึ่งของแผนการสร้างชิป AI ของ Arm ที่เริ่มมีข่าวตั้งแต่ต้นปี 2024 และมีรายงานว่า Arm ได้รับคำสั่งซื้อชิปที่ยังไม่เปิดตัวแล้วด้วยซ้ำ

    นอกจาก Sinno แล้ว Arm ยังดึงตัวผู้เชี่ยวชาญจาก Intel, Qualcomm และ HP Enterprise มาร่วมทีม เพื่อสร้าง “chiplets” และระบบชิปแบบครบวงจร (SoC) ที่สามารถแข่งขันกับ Nvidia, AMD และ Apple ได้ในตลาดศูนย์ข้อมูลและอุปกรณ์ผู้บริโภค

    CEO Rene Haas ประกาศเป้าหมายอย่างมั่นใจว่า Arm จะครองส่วนแบ่งตลาด CPU สำหรับศูนย์ข้อมูลให้ได้ถึง 50% ภายในสิ้นปี 2025 ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของบริษัทที่เคยเน้นแค่การออกแบบ ไม่ใช่การผลิต

    ข้อมูลในข่าว
    Arm จ้าง Rami Sinno ผู้พัฒนาชิป AI Trainium และ Inferentia ของ Amazon กลับมาร่วมทีม
    Sinno เคยทำงานกับ Arm ระหว่างปี 2014–2019 ในตำแหน่ง VP ด้านวิศวกรรม
    การจ้างงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนสร้างชิป AI ของ Arm ที่เริ่มตั้งแต่ต้นปี 2024
    Arm ได้รับคำสั่งซื้อชิปที่ยังไม่เปิดตัวแล้วในเดือนกุมภาพันธ์ 2025
    Arm ดึงผู้เชี่ยวชาญจาก Intel, Qualcomm และ HP Enterprise มาร่วมพัฒนา chiplets และ SoC
    CEO Rene Haas ตั้งเป้าครองตลาด CPU สำหรับศูนย์ข้อมูล 50% ภายในปี 2025
    Arm เคยถูก Nvidia พยายามซื้อกิจการในปี 2020 ด้วยมูลค่า $40 พันล้าน
    ปัจจุบัน Arm ได้รายได้จากการขายสิทธิ์ออกแบบชิปให้บริษัทอื่น เช่น Apple และ Qualcomm

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Trainium และ Inferentia เป็นชิปที่ Amazon ใช้แทน GPU ของ Nvidia ในงาน AI
    Chiplets คือการรวมชิ้นส่วนชิปหลายตัวเข้าด้วยกันในแพ็กเกจเดียว เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่น
    ตลาดชิป AI เติบโตอย่างรวดเร็วจากความต้องการของศูนย์ข้อมูลและอุปกรณ์ผู้บริโภค
    การผลิตชิปเองช่วยให้ Arm ควบคุมคุณภาพและนวัตกรรมได้มากขึ้น
    การเปลี่ยนจากโมเดล “ขายสิทธิ์” ไปสู่ “ผลิตเอง” อาจเพิ่มรายได้ระยะยาว
    การแข่งขันกับ Nvidia และ AMD ต้องใช้ทรัพยากรและความเชี่ยวชาญระดับสูง

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/arm-hires-amazons-ai-chip-developer-to-help-create-its-own-processors-rami-sinno-returns-to-the-company-boasts-trainium-and-inferentia-on-resume
    🧠 Arm ดึงตัวผู้สร้างชิป AI ของ Amazon กลับบ้าน – จุดเริ่มต้นของการสร้างชิปเองเพื่อแข่งกับ Nvidia และ Apple Arm Holdings บริษัทออกแบบชิปจากอังกฤษที่อยู่เบื้องหลังสถาปัตยกรรมของสมาร์ตโฟนแทบทุกเครื่องในโลก กำลังเปลี่ยนทิศทางครั้งใหญ่ จากเดิมที่เน้นขายสิทธิ์การออกแบบชิป ให้กลายเป็นผู้ผลิตชิปด้วยตัวเอง ล่าสุด Arm ได้ดึงตัว Rami Sinno อดีตผู้อำนวยการฝ่ายวิศวกรรมของ Amazon Web Services กลับมาร่วมทีมอีกครั้ง หลังจากเขาเคยทำงานกับ Arm ระหว่างปี 2014–2019 และเป็นหัวหน้าทีมพัฒนาชิป AI ของ Amazon ได้แก่ Trainium และ Inferentia ซึ่งใช้ในงานฝึกและรันโมเดล AI ขนาดใหญ่ การกลับมาของ Sinno เป็นส่วนหนึ่งของแผนการสร้างชิป AI ของ Arm ที่เริ่มมีข่าวตั้งแต่ต้นปี 2024 และมีรายงานว่า Arm ได้รับคำสั่งซื้อชิปที่ยังไม่เปิดตัวแล้วด้วยซ้ำ นอกจาก Sinno แล้ว Arm ยังดึงตัวผู้เชี่ยวชาญจาก Intel, Qualcomm และ HP Enterprise มาร่วมทีม เพื่อสร้าง “chiplets” และระบบชิปแบบครบวงจร (SoC) ที่สามารถแข่งขันกับ Nvidia, AMD และ Apple ได้ในตลาดศูนย์ข้อมูลและอุปกรณ์ผู้บริโภค CEO Rene Haas ประกาศเป้าหมายอย่างมั่นใจว่า Arm จะครองส่วนแบ่งตลาด CPU สำหรับศูนย์ข้อมูลให้ได้ถึง 50% ภายในสิ้นปี 2025 ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของบริษัทที่เคยเน้นแค่การออกแบบ ไม่ใช่การผลิต ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ Arm จ้าง Rami Sinno ผู้พัฒนาชิป AI Trainium และ Inferentia ของ Amazon กลับมาร่วมทีม ➡️ Sinno เคยทำงานกับ Arm ระหว่างปี 2014–2019 ในตำแหน่ง VP ด้านวิศวกรรม ➡️ การจ้างงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนสร้างชิป AI ของ Arm ที่เริ่มตั้งแต่ต้นปี 2024 ➡️ Arm ได้รับคำสั่งซื้อชิปที่ยังไม่เปิดตัวแล้วในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 ➡️ Arm ดึงผู้เชี่ยวชาญจาก Intel, Qualcomm และ HP Enterprise มาร่วมพัฒนา chiplets และ SoC ➡️ CEO Rene Haas ตั้งเป้าครองตลาด CPU สำหรับศูนย์ข้อมูล 50% ภายในปี 2025 ➡️ Arm เคยถูก Nvidia พยายามซื้อกิจการในปี 2020 ด้วยมูลค่า $40 พันล้าน ➡️ ปัจจุบัน Arm ได้รายได้จากการขายสิทธิ์ออกแบบชิปให้บริษัทอื่น เช่น Apple และ Qualcomm ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Trainium และ Inferentia เป็นชิปที่ Amazon ใช้แทน GPU ของ Nvidia ในงาน AI ➡️ Chiplets คือการรวมชิ้นส่วนชิปหลายตัวเข้าด้วยกันในแพ็กเกจเดียว เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่น ➡️ ตลาดชิป AI เติบโตอย่างรวดเร็วจากความต้องการของศูนย์ข้อมูลและอุปกรณ์ผู้บริโภค ➡️ การผลิตชิปเองช่วยให้ Arm ควบคุมคุณภาพและนวัตกรรมได้มากขึ้น ➡️ การเปลี่ยนจากโมเดล “ขายสิทธิ์” ไปสู่ “ผลิตเอง” อาจเพิ่มรายได้ระยะยาว ➡️ การแข่งขันกับ Nvidia และ AMD ต้องใช้ทรัพยากรและความเชี่ยวชาญระดับสูง https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/arm-hires-amazons-ai-chip-developer-to-help-create-its-own-processors-rami-sinno-returns-to-the-company-boasts-trainium-and-inferentia-on-resume
    0 Comments 0 Shares 187 Views 0 Reviews
  • NVIDIA: จากการ์ด VGA ไปสู่ GPU และก้าวสู่ NPU หัวใจของ AI

    ในยุคที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังเปลี่ยนแปลงโลก NVIDIA ได้กลายเป็นบริษัทชั้นนำที่ขับเคลื่อนการปฏิวัติครั้งนี้ บริษัทก่อตั้งขึ้นในปี 1993 โดย Jensen Huang, Chris Malachowsky และ Curtis Priem ด้วยวิสัยทัศน์ในการพัฒนาเทคโนโลยีกราฟิกสำหรับวิดีโอเกม แต่เส้นทางของ NVIDIA ไม่ได้หยุดอยู่แค่การแสดงผลภาพ มันวิวัฒนาการจาการ์ดแสดงผล VGA ธรรมดา ไปสู่หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) ที่ทรงพลัง และสุดท้ายกลายเป็นหัวใจสำคัญของ AI ผ่านเทคโนโลยีที่คล้ายหน่วยประมวลผลเส้นประสาท (NPU) ซึ่งช่วยเร่งการคำนวณสำหรับการเรียนรู้ของเครื่องและ neural networks.

    จุดเริ่มต้นของ NVIDIA เกิดขึ้นในช่วงที่อุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ กำลังมุ่งเน้นไปที่การแสดงผลกราฟิก ผลิตภัณฑ์แรกอย่าง NV1 ซึ่งเป็น graphics accelerator สำหรับ VGA ไม่ประสบความสำเร็จมากนัก เนื่องจากใช้รูปแบบ quadrilateral primitives ที่ไม่เข้ากันกับมาตรฐาน DirectX ของ Microsoft ทำให้บริษัทเกือบล้มละลาย แต่ NVIDIA ฟื้นตัวได้ด้วย RIVA 128 ในปี 1997 ซึ่งเป็นชิปกราฟิกที่รองรับ triangle primitives และขายได้กว่า 1 ล้านหน่วยภายใน 4 เดือน สิ่งนี้ช่วยให้บริษัทมั่นคงและเข้าสู่ตลาดการ์ดจอ VGA อย่างเต็มตัว. ในขณะนั้น VGA (Video Graphics Array) เป็นมาตรฐานพื้นฐานสำหรับการแสดงผล แต่ NVIDIA มองเห็นศักยภาพในการพัฒนาให้ก้าวไกลกว่านั้น โดยเน้นที่การเร่งความเร็วกราฟิก 3 มิติสำหรับเกมและแอปพลิเคชัน

    การก้าวกระโดดครั้งใหญ่เกิดขึ้นในปี 1999 เมื่อ NVIDIA เปิดตัว GeForce 256 ซึ่งถูกขนานนามว่าเป็น "GPU แรกของโลก" GPU (Graphics Processing Unit) แตกต่างจาก VGA ตรงที่มันไม่ใช่แค่การ์ดแสดงผล แต่เป็นหน่วยประมวลผลแบบขนานที่สามารถจัดการ transformation and lighting (T&L) บนฮาร์ดแวร์ได้เอง ทำให้ประสิทธิภาพกราฟิกเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลและปฏิวัติอุตสาหกรรมเกม. จากนั้น NVIDIA ลงทุนกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ ในการพัฒนา CUDA ในช่วงต้นปี 2000 ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มซอฟต์แวร์ที่ช่วยให้ GPU สามารถรันโปรแกรมแบบขนานสำหรับงานคำนวณที่หนักหน่วง เช่น การวิเคราะห์ข้อมูล และการคำนวณทางวิทยาศาสตร์ สิ่งนี้ขยายขอบเขตของ GPU จากแค่กราฟิกไปสู่การประมวลผลทั่วไป โดยในปี 2016 NVIDIA ได้บริจาค DGX-1 ซึ่งเป็น supercomputer ที่ใช้ GPU 8 ตัว ให้กับ OpenAI เพื่อสนับสนุนการพัฒนา AI

    เมื่อ AI เฟื่องฟู NVIDIA ได้ปรับ GPU ให้เหมาะสมกับงาน deep learning มากขึ้น ด้วยการแนะนำ Tensor Cores ในสถาปัตยกรรม Volta (2017) และ Turing (2018) ซึ่งเป็นหน่วยประมวลผลพิเศษสำหรับการคำนวณ tensor/matrix ที่ใช้ใน neural networks ทำให้ GPU เร่งความเร็วการฝึกและ inference ของโมเดล AI ได้หลายเท่า. Tensor Cores รองรับความแม่นยำแบบ FP16, INT8 และ INT4 ซึ่งเหมาะสำหรับงาน AI ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงแต่ใช้พลังงานต่ำ คล้ายกับฟังก์ชันของ NPU (Neural Processing Unit) ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับการประมวลผล neural networks และ AI inference ในอุปกรณ์ edge. แม้ NVIDIA จะไม่เรียกผลิตภัณฑ์ของตนว่า NPU โดยตรง แต่เทคโนโลยีอย่าง Tensor Cores และ BlueField Data Processing Units (DPUs) ทำหน้าที่คล้ายกัน โดย DPU ช่วยจัดการงาน data center AI เช่น การเร่งข้อมูลและ security สำหรับ AI workloads. นอกจากนี้ ซีรีส์ Jetson สำหรับ embedded systems ยังรวม deep learning accelerators ที่คล้าย NPU สำหรับ robotics และ autonomous vehicles .

    ในปัจจุบัน NVIDIA ครองตลาด GPU สำหรับ AI มากกว่า 80% และชิปอย่าง H100 และ Blackwell ถูกใช้ใน supercomputers กว่า 75% ของ TOP500 ทำให้บริษัทมีมูลค่าตลาดเกิน 4 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2025. การพัฒนาเหล่านี้ไม่เพียงแต่ทำให้ NVIDIA เป็นผู้นำใน AI แต่ยังขับเคลื่อนอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น การแพทย์ การขับขี่อัตโนมัติ และ robotics ด้วยโมเดลอย่าง NVLM 1.0 และ Isaac GR00T.

    สรุปแล้ว NVIDIA ได้วิวัฒนาการจากผู้ผลิตการ์ด VGA สู่ผู้ประดิษฐ์ GPU และกลายเป็นหัวใจของ AI ผ่านเทคโนโลยีที่คล้าย NPU ซึ่งช่วยให้โลกก้าวสู่ยุคปัญญาประดิษฐ์ที่แท้จริง การเดินทางนี้แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ในการปรับตัวและนวัตกรรมที่ไม่หยุดยั้ง.

    #ลุงเขียนหลานอ่าน
    NVIDIA: จากการ์ด VGA ➡️ ไปสู่ GPU 🚀 และก้าวสู่ NPU หัวใจของ AI ❤️ ในยุคที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) 🤖 กำลังเปลี่ยนแปลงโลก NVIDIA ได้กลายเป็นบริษัทชั้นนำที่ขับเคลื่อนการปฏิวัติครั้งนี้ บริษัทก่อตั้งขึ้นในปี 1993 โดย Jensen Huang, Chris Malachowsky และ Curtis Priem ด้วยวิสัยทัศน์ในการพัฒนาเทคโนโลยีกราฟิกสำหรับวิดีโอเกม 🎮 แต่เส้นทางของ NVIDIA ไม่ได้หยุดอยู่แค่การแสดงผลภาพ มันวิวัฒนาการจาการ์ดแสดงผล VGA ธรรมดา ไปสู่หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) ที่ทรงพลัง และสุดท้ายกลายเป็นหัวใจสำคัญของ AI ผ่านเทคโนโลยีที่คล้ายหน่วยประมวลผลเส้นประสาท (NPU) ซึ่งช่วยเร่งการคำนวณสำหรับการเรียนรู้ของเครื่องและ neural networks. 🧠 จุดเริ่มต้นของ NVIDIA เกิดขึ้นในช่วงที่อุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ 💻 กำลังมุ่งเน้นไปที่การแสดงผลกราฟิก ผลิตภัณฑ์แรกอย่าง NV1 ซึ่งเป็น graphics accelerator สำหรับ VGA ไม่ประสบความสำเร็จมากนัก 📉 เนื่องจากใช้รูปแบบ quadrilateral primitives ที่ไม่เข้ากันกับมาตรฐาน DirectX ของ Microsoft ทำให้บริษัทเกือบล้มละลาย 😥 แต่ NVIDIA ฟื้นตัวได้ด้วย RIVA 128 ในปี 1997 ซึ่งเป็นชิปกราฟิกที่รองรับ triangle primitives และขายได้กว่า 1 ล้านหน่วยภายใน 4 เดือน 📈 สิ่งนี้ช่วยให้บริษัทมั่นคงและเข้าสู่ตลาดการ์ดจอ VGA อย่างเต็มตัว. ในขณะนั้น VGA (Video Graphics Array) เป็นมาตรฐานพื้นฐานสำหรับการแสดงผล แต่ NVIDIA มองเห็นศักยภาพในการพัฒนาให้ก้าวไกลกว่านั้น โดยเน้นที่การเร่งความเร็วกราฟิก 3 มิติสำหรับเกมและแอปพลิเคชัน การก้าวกระโดดครั้งใหญ่เกิดขึ้นในปี 1999 เมื่อ NVIDIA เปิดตัว GeForce 256 ซึ่งถูกขนานนามว่าเป็น "GPU แรกของโลก" 🌍 GPU (Graphics Processing Unit) แตกต่างจาก VGA ตรงที่มันไม่ใช่แค่การ์ดแสดงผล แต่เป็นหน่วยประมวลผลแบบขนานที่สามารถจัดการ transformation and lighting (T&L) บนฮาร์ดแวร์ได้เอง ทำให้ประสิทธิภาพกราฟิกเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลและปฏิวัติอุตสาหกรรมเกม. จากนั้น NVIDIA ลงทุนกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ 💰 ในการพัฒนา CUDA ในช่วงต้นปี 2000 ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มซอฟต์แวร์ที่ช่วยให้ GPU สามารถรันโปรแกรมแบบขนานสำหรับงานคำนวณที่หนักหน่วง เช่น การวิเคราะห์ข้อมูล 📊 และการคำนวณทางวิทยาศาสตร์ 🧪 สิ่งนี้ขยายขอบเขตของ GPU จากแค่กราฟิกไปสู่การประมวลผลทั่วไป โดยในปี 2016 NVIDIA ได้บริจาค DGX-1 ซึ่งเป็น supercomputer ที่ใช้ GPU 8 ตัว ให้กับ OpenAI เพื่อสนับสนุนการพัฒนา AI เมื่อ AI เฟื่องฟู NVIDIA ได้ปรับ GPU ให้เหมาะสมกับงาน deep learning มากขึ้น ด้วยการแนะนำ Tensor Cores ในสถาปัตยกรรม Volta (2017) และ Turing (2018) ซึ่งเป็นหน่วยประมวลผลพิเศษสำหรับการคำนวณ tensor/matrix ที่ใช้ใน neural networks ทำให้ GPU เร่งความเร็วการฝึกและ inference ของโมเดล AI ได้หลายเท่า. Tensor Cores รองรับความแม่นยำแบบ FP16, INT8 และ INT4 ซึ่งเหมาะสำหรับงาน AI ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงแต่ใช้พลังงานต่ำ คล้ายกับฟังก์ชันของ NPU (Neural Processing Unit) ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับการประมวลผล neural networks และ AI inference ในอุปกรณ์ edge. แม้ NVIDIA จะไม่เรียกผลิตภัณฑ์ของตนว่า NPU โดยตรง แต่เทคโนโลยีอย่าง Tensor Cores และ BlueField Data Processing Units (DPUs) ทำหน้าที่คล้ายกัน โดย DPU ช่วยจัดการงาน data center AI เช่น การเร่งข้อมูลและ security สำหรับ AI workloads. นอกจากนี้ ซีรีส์ Jetson สำหรับ embedded systems ยังรวม deep learning accelerators ที่คล้าย NPU สำหรับ robotics 🤖 และ autonomous vehicles 🚗. ในปัจจุบัน NVIDIA ครองตลาด GPU สำหรับ AI มากกว่า 80% และชิปอย่าง H100 และ Blackwell ถูกใช้ใน supercomputers กว่า 75% ของ TOP500 ทำให้บริษัทมีมูลค่าตลาดเกิน 4 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2025. 💰 การพัฒนาเหล่านี้ไม่เพียงแต่ทำให้ NVIDIA เป็นผู้นำใน AI แต่ยังขับเคลื่อนอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น การแพทย์ 🩺 การขับขี่อัตโนมัติ และ robotics ด้วยโมเดลอย่าง NVLM 1.0 และ Isaac GR00T. สรุปแล้ว NVIDIA ได้วิวัฒนาการจากผู้ผลิตการ์ด VGA สู่ผู้ประดิษฐ์ GPU และกลายเป็นหัวใจของ AI ผ่านเทคโนโลยีที่คล้าย NPU ซึ่งช่วยให้โลกก้าวสู่ยุคปัญญาประดิษฐ์ที่แท้จริง 👍 การเดินทางนี้แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ในการปรับตัวและนวัตกรรมที่ไม่หยุดยั้ง. 💡 #ลุงเขียนหลานอ่าน
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 207 Views 0 Reviews
  • แผ่นซีดี: จากนวัตกรรมแห่งยุค สู่ความทรงจำที่ยังไม่จางหาย

    เมื่อ 43 ปีก่อน—วันที่ 17 สิงหาคม 1982—โรงงาน Polygram ในเยอรมนีได้ผลิตแผ่นซีดีเชิงพาณิชย์แผ่นแรกของโลก โดยบรรจุอัลบั้ม “The Visitors” ของ ABBA ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนผ่านจากยุคแอนะล็อกสู่ยุคดิจิทัล

    เบื้องหลังความสำเร็จนี้คือความร่วมมือระหว่าง Sony และ Philips ที่เริ่มต้นในปี 1979 โดยตั้งเป้าสร้างแผ่นดิจิทัลที่สามารถบรรจุเพลงได้อย่างน้อย 74 นาที—ซึ่งเท่ากับความยาวของ Beethoven’s 9th Symphony ที่เป็นที่โปรดปรานของผู้บริหาร Sony

    มาตรฐาน Red Book ถูกกำหนดในปี 1980 และกลายเป็นรากฐานของการผลิตแผ่นซีดีทั่วโลก ทั้งในด้านเสียงและข้อมูล โดยต่อมาได้ขยายไปสู่ CD-ROM, CD-R และ CD-RW สำหรับการใช้งานในคอมพิวเตอร์

    ในปี 2000 ยอดขายซีดีในสหรัฐฯ พุ่งถึงจุดสูงสุดที่กว่า 943 ล้านแผ่นต่อปี ก่อนจะลดลงอย่างรวดเร็วในยุค MP3 และการสตรีม แต่ก็ยังมีแฟนเพลงบางกลุ่มที่นิยมฟังจากแผ่นจริง เช่น Taylor Swift ที่ออกอัลบั้มล่าสุดในรูปแบบซีดีถึง 20 เวอร์ชัน

    แม้จะดู “โบราณ” ในปี 2025 แต่แผ่นซีดียังมีบทบาทในด้านการเก็บข้อมูล การฟังเพลงแบบมีคุณภาพ และการเก็บสะสม โดยมีเครื่องอ่านซีดีแบบ USB ที่ยังวางขายอยู่ในราคาประหยัด

    จุดเริ่มต้นของแผ่นซีดี
    แผ่นซีดีเชิงพาณิชย์แผ่นแรกคือ “The Visitors” ของ ABBA ผลิตเมื่อ 17 ส.ค. 1982
    Sony และ Philips ร่วมมือกันตั้งแต่ปี 1979 เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีนี้
    ขนาดแผ่น 12 ซม. ความจุ 74 นาที เพื่อรองรับ Beethoven’s 9th Symphony
    มาตรฐาน Red Book ถูกกำหนดในปี 1980 สำหรับซีดีเสียง
    แผ่นซีดีแรกในสหรัฐฯ คือ “Born in the U.S.A.” ของ Bruce Springsteen ปี 1984

    การพัฒนาและการใช้งาน
    ปี 1985 มีมาตรฐาน Yellow Book สำหรับซีดีข้อมูล (CD-ROM)
    ปี 1988 มีมาตรฐาน ISO 9660 สำหรับโครงสร้างไฟล์ในแผ่น
    ปี 1992 เริ่มมีเครื่องเขียนซีดี (CD burner) สำหรับผู้ใช้ทั่วไป
    ซีดีใช้เลเซอร์ 780 nm ในการอ่านและเขียนข้อมูล
    ความจุทั่วไป 650–700 MB หรือ 74–80 นาทีเสียง
    มีการพัฒนา Mini CD สำหรับซิงเกิลและไดรเวอร์

    https://www.tomshardware.com/pc-components/storage/the-first-commercial-compact-disc-was-created-43-years-ago-today-nearly-one-billion-cds-were-shipped-per-year-in-early-2000s
    📼 แผ่นซีดี: จากนวัตกรรมแห่งยุค สู่ความทรงจำที่ยังไม่จางหาย เมื่อ 43 ปีก่อน—วันที่ 17 สิงหาคม 1982—โรงงาน Polygram ในเยอรมนีได้ผลิตแผ่นซีดีเชิงพาณิชย์แผ่นแรกของโลก โดยบรรจุอัลบั้ม “The Visitors” ของ ABBA ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนผ่านจากยุคแอนะล็อกสู่ยุคดิจิทัล เบื้องหลังความสำเร็จนี้คือความร่วมมือระหว่าง Sony และ Philips ที่เริ่มต้นในปี 1979 โดยตั้งเป้าสร้างแผ่นดิจิทัลที่สามารถบรรจุเพลงได้อย่างน้อย 74 นาที—ซึ่งเท่ากับความยาวของ Beethoven’s 9th Symphony ที่เป็นที่โปรดปรานของผู้บริหาร Sony มาตรฐาน Red Book ถูกกำหนดในปี 1980 และกลายเป็นรากฐานของการผลิตแผ่นซีดีทั่วโลก ทั้งในด้านเสียงและข้อมูล โดยต่อมาได้ขยายไปสู่ CD-ROM, CD-R และ CD-RW สำหรับการใช้งานในคอมพิวเตอร์ ในปี 2000 ยอดขายซีดีในสหรัฐฯ พุ่งถึงจุดสูงสุดที่กว่า 943 ล้านแผ่นต่อปี ก่อนจะลดลงอย่างรวดเร็วในยุค MP3 และการสตรีม แต่ก็ยังมีแฟนเพลงบางกลุ่มที่นิยมฟังจากแผ่นจริง เช่น Taylor Swift ที่ออกอัลบั้มล่าสุดในรูปแบบซีดีถึง 20 เวอร์ชัน แม้จะดู “โบราณ” ในปี 2025 แต่แผ่นซีดียังมีบทบาทในด้านการเก็บข้อมูล การฟังเพลงแบบมีคุณภาพ และการเก็บสะสม โดยมีเครื่องอ่านซีดีแบบ USB ที่ยังวางขายอยู่ในราคาประหยัด ✅ จุดเริ่มต้นของแผ่นซีดี ➡️ แผ่นซีดีเชิงพาณิชย์แผ่นแรกคือ “The Visitors” ของ ABBA ผลิตเมื่อ 17 ส.ค. 1982 ➡️ Sony และ Philips ร่วมมือกันตั้งแต่ปี 1979 เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีนี้ ➡️ ขนาดแผ่น 12 ซม. ความจุ 74 นาที เพื่อรองรับ Beethoven’s 9th Symphony ➡️ มาตรฐาน Red Book ถูกกำหนดในปี 1980 สำหรับซีดีเสียง ➡️ แผ่นซีดีแรกในสหรัฐฯ คือ “Born in the U.S.A.” ของ Bruce Springsteen ปี 1984 ✅ การพัฒนาและการใช้งาน ➡️ ปี 1985 มีมาตรฐาน Yellow Book สำหรับซีดีข้อมูล (CD-ROM) ➡️ ปี 1988 มีมาตรฐาน ISO 9660 สำหรับโครงสร้างไฟล์ในแผ่น ➡️ ปี 1992 เริ่มมีเครื่องเขียนซีดี (CD burner) สำหรับผู้ใช้ทั่วไป ➡️ ซีดีใช้เลเซอร์ 780 nm ในการอ่านและเขียนข้อมูล ➡️ ความจุทั่วไป 650–700 MB หรือ 74–80 นาทีเสียง ➡️ มีการพัฒนา Mini CD สำหรับซิงเกิลและไดรเวอร์ https://www.tomshardware.com/pc-components/storage/the-first-commercial-compact-disc-was-created-43-years-ago-today-nearly-one-billion-cds-were-shipped-per-year-in-early-2000s
    0 Comments 0 Shares 163 Views 0 Reviews
  • จากเส้นผมสู่ยาสีฟัน: นวัตกรรมซ่อมฟันด้วยเคราติน

    ลองจินตนาการว่าเส้นผมของคุณ—สิ่งที่มักถูกตัดทิ้ง—สามารถกลายเป็นยาสีฟันที่ช่วยซ่อมแซมฟันที่สึกกร่อนได้ นั่นคือสิ่งที่นักวิจัยจาก King’s College London ค้นพบ

    พวกเขาใช้ “เคราติน” ซึ่งเป็นโปรตีนที่พบในผม หนัง และขนสัตว์ มาสกัดและพัฒนาเป็นฟิล์มบาง ๆ ที่เมื่อสัมผัสกับแร่ธาตุในน้ำลาย จะสร้างโครงสร้างผลึกคล้ายเคลือบฟันตามธรรมชาติ

    เคลือบฟันจริงไม่สามารถงอกใหม่ได้ เมื่อเสียไปก็หายไปตลอด แต่เคราตินสามารถสร้างชั้นป้องกันที่แน่นหนา ปิดช่องประสาทที่ทำให้ฟันเสียว และช่วยฟื้นฟูโครงสร้างฟันโดยไม่ต้องอุดหรือครอบฟัน

    นวัตกรรมนี้สามารถใช้ได้ทั้งในรูปแบบยาสีฟันสำหรับใช้ทุกวัน หรือเจลเฉพาะจุดที่ทันตแพทย์จะใช้ในคลินิก และคาดว่าจะวางจำหน่ายภายใน 2–3 ปีข้างหน้า

    นอกจากจะปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ เคราตินยังเป็นวัสดุชีวภาพที่ยั่งยืน ไม่ต้องพึ่งพลาสติกหรือเรซินที่อาจเป็นพิษ และยังให้สีที่ใกล้เคียงกับฟันจริงมากกว่า

    การค้นพบใหม่จาก King’s College London
    เคราตินจากผมสามารถสร้างโครงสร้างผลึกคล้ายเคลือบฟัน
    เมื่อสัมผัสกับแร่ธาตุในน้ำลาย จะเกิดการรวมตัวของแคลเซียมและฟอสเฟต
    ช่วยปิดช่องประสาท ลดอาการเสียวฟัน และป้องกันการสึกกร่อน
    ใช้ได้ทั้งแบบยาสีฟันประจำวัน และเจลเฉพาะจุดในคลินิก
    คาดว่าจะวางจำหน่ายภายใน 2–3 ปี
    เคราตินให้สีใกล้เคียงฟันจริงมากกว่าพลาสติกเรซิน
    เป็นวัสดุชีวภาพที่ยั่งยืน สกัดจากของเสียชีวภาพ เช่น ผมและขนสัตว์

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    การซ่อมฟันด้วยเคราตินใช้หลัก “biomineralization” ซึ่งเลียนแบบกระบวนการธรรมชาติ
    เคราตินถูกใช้ในวงการแพทย์มาก่อน เช่น แผลผ่าตัดและวัสดุปลูกถ่าย
    ฟันที่เสียหายจาก “white spot lesions” สามารถฟื้นฟูได้โดยไม่ต้องเจาะ
    การใช้เคราตินช่วยลดการพึ่งพาเรซินที่อาจปล่อยสารพิษ
    การผลิตในระดับอุตสาหกรรมต้องมีระบบจัดการของเสียที่มีประสิทธิภาพ
    การยอมรับจากผู้บริโภคอาจขึ้นอยู่กับการให้ข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับแหล่งที่มา

    https://www.kcl.ac.uk/news/toothpaste-made-from-hair-provides-natural-root-to-repair-teeth
    🧪 จากเส้นผมสู่ยาสีฟัน: นวัตกรรมซ่อมฟันด้วยเคราติน ลองจินตนาการว่าเส้นผมของคุณ—สิ่งที่มักถูกตัดทิ้ง—สามารถกลายเป็นยาสีฟันที่ช่วยซ่อมแซมฟันที่สึกกร่อนได้ นั่นคือสิ่งที่นักวิจัยจาก King’s College London ค้นพบ พวกเขาใช้ “เคราติน” ซึ่งเป็นโปรตีนที่พบในผม หนัง และขนสัตว์ มาสกัดและพัฒนาเป็นฟิล์มบาง ๆ ที่เมื่อสัมผัสกับแร่ธาตุในน้ำลาย จะสร้างโครงสร้างผลึกคล้ายเคลือบฟันตามธรรมชาติ เคลือบฟันจริงไม่สามารถงอกใหม่ได้ เมื่อเสียไปก็หายไปตลอด แต่เคราตินสามารถสร้างชั้นป้องกันที่แน่นหนา ปิดช่องประสาทที่ทำให้ฟันเสียว และช่วยฟื้นฟูโครงสร้างฟันโดยไม่ต้องอุดหรือครอบฟัน นวัตกรรมนี้สามารถใช้ได้ทั้งในรูปแบบยาสีฟันสำหรับใช้ทุกวัน หรือเจลเฉพาะจุดที่ทันตแพทย์จะใช้ในคลินิก และคาดว่าจะวางจำหน่ายภายใน 2–3 ปีข้างหน้า นอกจากจะปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ เคราตินยังเป็นวัสดุชีวภาพที่ยั่งยืน ไม่ต้องพึ่งพลาสติกหรือเรซินที่อาจเป็นพิษ และยังให้สีที่ใกล้เคียงกับฟันจริงมากกว่า ✅ การค้นพบใหม่จาก King’s College London ➡️ เคราตินจากผมสามารถสร้างโครงสร้างผลึกคล้ายเคลือบฟัน ➡️ เมื่อสัมผัสกับแร่ธาตุในน้ำลาย จะเกิดการรวมตัวของแคลเซียมและฟอสเฟต ➡️ ช่วยปิดช่องประสาท ลดอาการเสียวฟัน และป้องกันการสึกกร่อน ➡️ ใช้ได้ทั้งแบบยาสีฟันประจำวัน และเจลเฉพาะจุดในคลินิก ➡️ คาดว่าจะวางจำหน่ายภายใน 2–3 ปี ➡️ เคราตินให้สีใกล้เคียงฟันจริงมากกว่าพลาสติกเรซิน ➡️ เป็นวัสดุชีวภาพที่ยั่งยืน สกัดจากของเสียชีวภาพ เช่น ผมและขนสัตว์ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ การซ่อมฟันด้วยเคราตินใช้หลัก “biomineralization” ซึ่งเลียนแบบกระบวนการธรรมชาติ ➡️ เคราตินถูกใช้ในวงการแพทย์มาก่อน เช่น แผลผ่าตัดและวัสดุปลูกถ่าย ➡️ ฟันที่เสียหายจาก “white spot lesions” สามารถฟื้นฟูได้โดยไม่ต้องเจาะ ➡️ การใช้เคราตินช่วยลดการพึ่งพาเรซินที่อาจปล่อยสารพิษ ➡️ การผลิตในระดับอุตสาหกรรมต้องมีระบบจัดการของเสียที่มีประสิทธิภาพ ➡️ การยอมรับจากผู้บริโภคอาจขึ้นอยู่กับการให้ข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับแหล่งที่มา https://www.kcl.ac.uk/news/toothpaste-made-from-hair-provides-natural-root-to-repair-teeth
    WWW.KCL.AC.UK
    Toothpaste made from hair provides natural root to repair teeth
    Toothpaste made from your own hair may offer a sustainable and clinically effective way to protect and repair damaged teeth.
    0 Comments 0 Shares 158 Views 0 Reviews
  • เมื่อการควบคุมชิปกลายเป็นดาบสองคม: Nvidia โต้กลับว่านโยบายสหรัฐฯ ทำร้ายตัวเองมากกว่าจีน

    Nvidia ออกมาแสดงจุดยืนชัดเจนผ่านโพสต์บน X ว่าการควบคุมการส่งออกชิป H20 ไปยังจีน ไม่ได้หยุดยั้งความก้าวหน้า AI ของจีนเลยแม้แต่น้อย แต่กลับทำให้สหรัฐฯ สูญเสียความเป็นผู้นำด้านเศรษฐกิจและเทคโนโลยี

    Aaron Ginn ผู้ร่วมก่อตั้ง Hydra Host เขียนบทความใน Wall Street Journal ว่าการห้ามส่งออกชิปนั้น “ล้มเหลวในโลกจริง” เพราะจีนยังคงพัฒนา AI ต่อเนื่อง และมีการลักลอบนำเข้าชิป Nvidia มูลค่ากว่า 1 พันล้านดอลลาร์ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา

    แม้ชิป H20 จะถูกออกแบบให้สอดคล้องกับข้อจำกัดของสหรัฐฯ แต่จีนกลับมองว่าไม่ปลอดภัย และเริ่มหันไปใช้ชิปจากผู้ผลิตในประเทศ เช่น Huawei และ Hygon ซึ่งทำให้ Nvidia สูญเสียส่วนแบ่งตลาดในจีนอย่างต่อเนื่อง

    Nvidia ยืนยันว่าแพลตฟอร์ม CUDA ซึ่งเป็นชุดเครื่องมือพัฒนา AI ยังเป็นจุดแข็งที่จีนไม่สามารถลอกเลียนแบบได้ง่าย และเรียกร้องให้สหรัฐฯ ยกระดับยุทธศาสตร์ใหม่ แทนที่จะใช้การควบคุมแบบเดิม

    ข้อมูลเสริมจากวงการ AI
    แพลตฟอร์ม CUDA เป็นหัวใจของการพัฒนาโมเดล AI ระดับสูง
    ชิป AI เป็นทรัพยากรยุทธศาสตร์ที่มีผลต่อความมั่นคงของชาติ
    การควบคุมการส่งออกอาจกระทบต่อการเติบโตของนวัตกรรมในสหรัฐฯ

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidia-says-h20-export-controls-didnt-stop-chinas-ai-progress-claims-they-only-stifled-u-s-economic-and-technology-leadership
    🧠 เมื่อการควบคุมชิปกลายเป็นดาบสองคม: Nvidia โต้กลับว่านโยบายสหรัฐฯ ทำร้ายตัวเองมากกว่าจีน Nvidia ออกมาแสดงจุดยืนชัดเจนผ่านโพสต์บน X ว่าการควบคุมการส่งออกชิป H20 ไปยังจีน ไม่ได้หยุดยั้งความก้าวหน้า AI ของจีนเลยแม้แต่น้อย แต่กลับทำให้สหรัฐฯ สูญเสียความเป็นผู้นำด้านเศรษฐกิจและเทคโนโลยี Aaron Ginn ผู้ร่วมก่อตั้ง Hydra Host เขียนบทความใน Wall Street Journal ว่าการห้ามส่งออกชิปนั้น “ล้มเหลวในโลกจริง” เพราะจีนยังคงพัฒนา AI ต่อเนื่อง และมีการลักลอบนำเข้าชิป Nvidia มูลค่ากว่า 1 พันล้านดอลลาร์ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา แม้ชิป H20 จะถูกออกแบบให้สอดคล้องกับข้อจำกัดของสหรัฐฯ แต่จีนกลับมองว่าไม่ปลอดภัย และเริ่มหันไปใช้ชิปจากผู้ผลิตในประเทศ เช่น Huawei และ Hygon ซึ่งทำให้ Nvidia สูญเสียส่วนแบ่งตลาดในจีนอย่างต่อเนื่อง Nvidia ยืนยันว่าแพลตฟอร์ม CUDA ซึ่งเป็นชุดเครื่องมือพัฒนา AI ยังเป็นจุดแข็งที่จีนไม่สามารถลอกเลียนแบบได้ง่าย และเรียกร้องให้สหรัฐฯ ยกระดับยุทธศาสตร์ใหม่ แทนที่จะใช้การควบคุมแบบเดิม ✅ ข้อมูลเสริมจากวงการ AI ➡️ แพลตฟอร์ม CUDA เป็นหัวใจของการพัฒนาโมเดล AI ระดับสูง ➡️ ชิป AI เป็นทรัพยากรยุทธศาสตร์ที่มีผลต่อความมั่นคงของชาติ ➡️ การควบคุมการส่งออกอาจกระทบต่อการเติบโตของนวัตกรรมในสหรัฐฯ https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidia-says-h20-export-controls-didnt-stop-chinas-ai-progress-claims-they-only-stifled-u-s-economic-and-technology-leadership
    0 Comments 0 Shares 210 Views 0 Reviews
  • ก่อนจะพัฒนาไปนวัตกรรมพลังงานใดเปลี่ยนสมัย หากสิ่งนั้นยังไม่เสถียรสมบูรณ์แบบ บ่อน้ำมันก็ยังเป็นสิ่งจำเป็นพื้นฐานบนโลกของโลกที่คนในโลกนี้ยังพึงพาอาศัยมันต่อไปอีกเหมือนเดิม,ฝรั่งตะวันตกหรือต่างขาติใดๆที่โลภในสิ่งนี้ของไทยจึงสุมหัวทุกๆวิถีทางปล้นชิงแย่งชิงเอามาให้ได้ร่วมกับคนมีอำนาจปกครองในประเทศไทยนี้.
    ..จริงๆความจริงอะไรเราไม่รู้หรอกแต่สิ่งที่เห็นจริง ปรากฎจริงตามข่าวสารบ้านเราเอง เรามีบ่อน้ำมันขนาดใหญ่จริงๆ รัฐบาลไทย อนาคตที่กำจัดคนขายชาติหมดสิ้นแล้วต้องทำเองจริงจังได้แล้วลดภาระค่าใช้จ่ายประชาชนจริงๆ สร้างความอยู่ดีมีสุขจริง มิใช่ร่ำรวยด้วยหนี้สินยากจนทั้งประเทศแบบปัจจุบันจากยกความร่ำรวยนี้ให้ต่างประเทศและเอกชนไทยเหมือนที่ทำสำเร็จจริงมาแล้วที่ผ่านๆมาในอดีตนั้นและจนถึงปัจจุบันด้วย,เมื่อปกป้องรักษาได้มาจริงแล้วก็อย่าเสือกเปิดสัมปทานผูกขาดยกให้แบบชาติชาอุฯในอ่าวไทยเราอีกเหมือนล่าสุดของรัฐบาลที่แล้วล่ะ.
    ..ชาติเราไม่พึงพาใครๆก็ร่ำรวยได้ ประชาชนอยู่ดีมีสุขจริงได้,แต่เพราะการปกครองล้มเหลวจึงมีสถานะแบบปัจจุบันนี้ เพราะคนปกครองใจหมา มิใจคนไทยจริงโดยพื้นฐาน มันต่างพากันกอดmou43และ44มาโดยตลอดถึงปัจจุบันหลังคิดแดกมาตั้งนาน,หมายตาตั้งแต่สร้างmouห่านี้แล้ว,ประเทศไทยต้องปฏิวัติใหม่ทันทีทั้งหมด.

    #ประเทศไทยต้องปฏิวัติใหม่ทั้งหมด



    https://youtube.com/shorts/ke-pL2Ujt9c?si=3Iqp-pfLtvNryzEW
    ก่อนจะพัฒนาไปนวัตกรรมพลังงานใดเปลี่ยนสมัย หากสิ่งนั้นยังไม่เสถียรสมบูรณ์แบบ บ่อน้ำมันก็ยังเป็นสิ่งจำเป็นพื้นฐานบนโลกของโลกที่คนในโลกนี้ยังพึงพาอาศัยมันต่อไปอีกเหมือนเดิม,ฝรั่งตะวันตกหรือต่างขาติใดๆที่โลภในสิ่งนี้ของไทยจึงสุมหัวทุกๆวิถีทางปล้นชิงแย่งชิงเอามาให้ได้ร่วมกับคนมีอำนาจปกครองในประเทศไทยนี้. ..จริงๆความจริงอะไรเราไม่รู้หรอกแต่สิ่งที่เห็นจริง ปรากฎจริงตามข่าวสารบ้านเราเอง เรามีบ่อน้ำมันขนาดใหญ่จริงๆ รัฐบาลไทย อนาคตที่กำจัดคนขายชาติหมดสิ้นแล้วต้องทำเองจริงจังได้แล้วลดภาระค่าใช้จ่ายประชาชนจริงๆ สร้างความอยู่ดีมีสุขจริง มิใช่ร่ำรวยด้วยหนี้สินยากจนทั้งประเทศแบบปัจจุบันจากยกความร่ำรวยนี้ให้ต่างประเทศและเอกชนไทยเหมือนที่ทำสำเร็จจริงมาแล้วที่ผ่านๆมาในอดีตนั้นและจนถึงปัจจุบันด้วย,เมื่อปกป้องรักษาได้มาจริงแล้วก็อย่าเสือกเปิดสัมปทานผูกขาดยกให้แบบชาติชาอุฯในอ่าวไทยเราอีกเหมือนล่าสุดของรัฐบาลที่แล้วล่ะ. ..ชาติเราไม่พึงพาใครๆก็ร่ำรวยได้ ประชาชนอยู่ดีมีสุขจริงได้,แต่เพราะการปกครองล้มเหลวจึงมีสถานะแบบปัจจุบันนี้ เพราะคนปกครองใจหมา มิใจคนไทยจริงโดยพื้นฐาน มันต่างพากันกอดmou43และ44มาโดยตลอดถึงปัจจุบันหลังคิดแดกมาตั้งนาน,หมายตาตั้งแต่สร้างmouห่านี้แล้ว,ประเทศไทยต้องปฏิวัติใหม่ทันทีทั้งหมด. #ประเทศไทยต้องปฏิวัติใหม่ทั้งหมด https://youtube.com/shorts/ke-pL2Ujt9c?si=3Iqp-pfLtvNryzEW
    0 Comments 0 Shares 144 Views 0 Reviews
  • Mini SSD ขนาดเท่า SIM ที่เร็วระดับ NVMe: นวัตกรรมใหม่จาก Biwin

    ลองนึกภาพ SSD ที่มีขนาดเล็กพอ ๆ กับซิมการ์ดมือถือ แต่สามารถอ่านเขียนข้อมูลได้เร็วระดับ NVMe แบบที่ใช้ในคอมพิวเตอร์เกมแรง ๆ นั่นคือสิ่งที่ Biwin จากจีนเพิ่งเปิดตัว—“Mini SSD” ที่อาจเปลี่ยนโลกของอุปกรณ์พกพาไปตลอดกาล

    Mini SSD นี้มีขนาดเพียง 15 × 17 × 1.4 มม. เล็กกว่าหัวแม่มือ แต่สามารถอ่านข้อมูลได้ถึง 3,700 MB/s และเขียนได้ 3,400 MB/s ผ่าน PCIe 4.0 x2 ซึ่งถือว่าเร็วกว่า microSD Express ถึง 3 เท่า และใกล้เคียงกับ SSD M.2 ขนาดใหญ่

    สิ่งที่ทำให้มันน่าสนใจคือการติดตั้งแบบ “ถาดซิม”—แค่ใช้เข็มจิ้มก็ถอดเปลี่ยนได้ทันที ไม่ต้องไขน็อตหรือเปิดฝาเครื่อง เหมาะมากกับอุปกรณ์พกพาอย่าง GPD Win 5 และ OneXPlayer Super X ที่เริ่มรองรับแล้ว

    นอกจากความเร็วและความสะดวก Mini SSD ยังทนทานระดับ IP68 กันน้ำกันฝุ่น และตกจากที่สูง 3 เมตรได้โดยไม่พัง เหมาะกับการใช้งานในสนามหรืออุปกรณ์ที่ต้องพกพาไปทุกที่

    แต่ก็ยังมีข้อกังวล เช่น ความร้อนที่อาจสะสมในพื้นที่เล็ก ๆ และความไม่แน่นอนว่า Biwin จะเปิดให้ผู้ผลิตรายอื่นใช้ฟอร์แมตนี้หรือไม่ ถ้าไม่เปิด อาจกลายเป็นแค่เทคโนโลยีเฉพาะกลุ่มเหมือน Sony Memory Stick ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว

    คุณสมบัติเด่นของ Biwin Mini SSD
    ขนาดเล็กเพียง 15 × 17 × 1.4 มม. ใกล้เคียง microSD
    ความเร็วสูงระดับ NVMe: อ่าน 3,700 MB/s เขียน 3,400 MB/s
    ใช้ PCIe 4.0 x2 และ NVMe 1.4
    มีความจุให้เลือก 512GB, 1TB และ 2TB
    ติดตั้งแบบถาดซิม ใช้เข็มจิ้มเปลี่ยนได้ทันที
    กันน้ำกันฝุ่นระดับ IP68 และทนการตกจาก 3 เมตร

    การใช้งานในอุปกรณ์พกพา
    รองรับใน GPD Win 5 และ OneXPlayer Super X
    เหมาะกับเกมพกพาและอุปกรณ์ที่ต้องการพื้นที่ภายในมากขึ้น
    ช่วยลดขนาด SSD และเพิ่มพื้นที่ให้แบตเตอรี่หรือระบบระบายความร้อน

    เทคโนโลยีเบื้องหลัง
    ใช้ LGA packaging รวม controller และ NAND flash ในพื้นที่เล็ก
    ออกแบบให้ทนทานต่อการใช้งานภาคสนาม
    อาจเป็นทางเลือกใหม่แทน microSD Express ที่ยังจำกัดความเร็ว

    https://www.techpowerup.com/339967/biwin-launches-mini-ssd-nvme-speeds-in-a-sim-tray-style-card
    💾 Mini SSD ขนาดเท่า SIM ที่เร็วระดับ NVMe: นวัตกรรมใหม่จาก Biwin ลองนึกภาพ SSD ที่มีขนาดเล็กพอ ๆ กับซิมการ์ดมือถือ แต่สามารถอ่านเขียนข้อมูลได้เร็วระดับ NVMe แบบที่ใช้ในคอมพิวเตอร์เกมแรง ๆ นั่นคือสิ่งที่ Biwin จากจีนเพิ่งเปิดตัว—“Mini SSD” ที่อาจเปลี่ยนโลกของอุปกรณ์พกพาไปตลอดกาล Mini SSD นี้มีขนาดเพียง 15 × 17 × 1.4 มม. เล็กกว่าหัวแม่มือ แต่สามารถอ่านข้อมูลได้ถึง 3,700 MB/s และเขียนได้ 3,400 MB/s ผ่าน PCIe 4.0 x2 ซึ่งถือว่าเร็วกว่า microSD Express ถึง 3 เท่า และใกล้เคียงกับ SSD M.2 ขนาดใหญ่ สิ่งที่ทำให้มันน่าสนใจคือการติดตั้งแบบ “ถาดซิม”—แค่ใช้เข็มจิ้มก็ถอดเปลี่ยนได้ทันที ไม่ต้องไขน็อตหรือเปิดฝาเครื่อง เหมาะมากกับอุปกรณ์พกพาอย่าง GPD Win 5 และ OneXPlayer Super X ที่เริ่มรองรับแล้ว นอกจากความเร็วและความสะดวก Mini SSD ยังทนทานระดับ IP68 กันน้ำกันฝุ่น และตกจากที่สูง 3 เมตรได้โดยไม่พัง เหมาะกับการใช้งานในสนามหรืออุปกรณ์ที่ต้องพกพาไปทุกที่ แต่ก็ยังมีข้อกังวล เช่น ความร้อนที่อาจสะสมในพื้นที่เล็ก ๆ และความไม่แน่นอนว่า Biwin จะเปิดให้ผู้ผลิตรายอื่นใช้ฟอร์แมตนี้หรือไม่ ถ้าไม่เปิด อาจกลายเป็นแค่เทคโนโลยีเฉพาะกลุ่มเหมือน Sony Memory Stick ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว ✅ คุณสมบัติเด่นของ Biwin Mini SSD ➡️ ขนาดเล็กเพียง 15 × 17 × 1.4 มม. ใกล้เคียง microSD ➡️ ความเร็วสูงระดับ NVMe: อ่าน 3,700 MB/s เขียน 3,400 MB/s ➡️ ใช้ PCIe 4.0 x2 และ NVMe 1.4 ➡️ มีความจุให้เลือก 512GB, 1TB และ 2TB ➡️ ติดตั้งแบบถาดซิม ใช้เข็มจิ้มเปลี่ยนได้ทันที ➡️ กันน้ำกันฝุ่นระดับ IP68 และทนการตกจาก 3 เมตร ✅ การใช้งานในอุปกรณ์พกพา ➡️ รองรับใน GPD Win 5 และ OneXPlayer Super X ➡️ เหมาะกับเกมพกพาและอุปกรณ์ที่ต้องการพื้นที่ภายในมากขึ้น ➡️ ช่วยลดขนาด SSD และเพิ่มพื้นที่ให้แบตเตอรี่หรือระบบระบายความร้อน ✅ เทคโนโลยีเบื้องหลัง ➡️ ใช้ LGA packaging รวม controller และ NAND flash ในพื้นที่เล็ก ➡️ ออกแบบให้ทนทานต่อการใช้งานภาคสนาม ➡️ อาจเป็นทางเลือกใหม่แทน microSD Express ที่ยังจำกัดความเร็ว https://www.techpowerup.com/339967/biwin-launches-mini-ssd-nvme-speeds-in-a-sim-tray-style-card
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Biwin Launches Mini SSD: NVMe Speeds in a SIM-Tray Style Card
    Biwin's new Mini SSD squeezes NVMe-class performance into a SIM-tray style card barely larger than a MicroSD, offering quoted sequential read speeds of up to 3,700 MB/s and write speeds of up to 3,400 MB/s over PCIe 4.0 x2 in 512 GB, 1 TB, and 2 TB options. The 15 × 17 × 1.4 mm module ejects with a ...
    0 Comments 0 Shares 151 Views 0 Reviews
  • Prinano กับเครื่องพิมพ์วงจรระดับนาโน: ทางเลือกใหม่แทน EUV
    ในโลกของการผลิตชิปที่ต้องการความละเอียดระดับนาโนเมตร ประเทศจีนได้เปิดตัวเครื่องมือใหม่ที่อาจเปลี่ยนเกมได้ นั่นคือเครื่องพิมพ์วงจรแบบ “Nanoimprint Lithography” หรือ NIL จากบริษัท Prinano ซึ่งใช้แม่พิมพ์ควอตซ์ที่มีลวดลายวงจรระดับนาโน กดลงบนแผ่น wafer ที่เคลือบสาร resist แทนการใช้แสงแบบเดิม

    เครื่องรุ่น PL-SR ของ Prinano เป็นเครื่อง NIL แบบ “step-and-repeat” ที่สามารถพิมพ์ลวดลายละเอียดต่ำกว่า 10nm ได้บนแผ่น wafer ขนาด 300mm โดยใช้ระบบฉีดหมึกความแม่นยำสูง และกลไกควบคุมการแนบแม่พิมพ์กับ wafer เพื่อให้ได้ลวดลายที่คมชัดและไม่บิดเบี้ยว

    แม้จะไม่เร็วเท่าเครื่อง EUV จาก ASML แต่ NIL มีข้อดีคือราคาถูกกว่า ใช้พลังงานน้อยกว่า และเหมาะกับการผลิตชิปประเภท memory, photonics และ packaging ที่มีโครงสร้างซ้ำ ๆ ไม่ซับซ้อน

    การเปิดตัวเครื่อง NIL จาก Prinano
    เป็นเครื่อง NIL รุ่นแรกที่ผลิตในจีนสำหรับการใช้งานจริง
    ใช้แม่พิมพ์ควอตซ์กดลงบนสาร resist แทนการใช้แสง
    รองรับการพิมพ์บน wafer ขนาด 300mm ด้วยความละเอียดต่ำกว่า 10nm

    เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ใช้
    ใช้ระบบฉีดหมึกปรับปริมาณตามความหนาแน่นของลวดลาย
    ควบคุมความหนาของชั้นสารเหลือ (residual layer) ให้น้อยกว่า 10nm
    มีระบบชดเชยความโค้งระหว่างแม่พิมพ์กับ wafer เพื่อป้องกันการบิดเบี้ยว

    การเปรียบเทียบกับ EUV
    EUV ต้องใช้หลายขั้นตอนในการพิมพ์ลวดลายต่ำกว่า 10nm
    NIL สามารถพิมพ์ลวดลายละเอียดในขั้นตอนเดียว หากแม่พิมพ์มีความแม่นยำ
    NIL ไม่มี residual layer แบบเดียวกับ EUV แต่มีความแม่นยำใกล้เคียงกัน

    การใช้งานที่เหมาะสม
    เหมาะกับการผลิต NAND Flash, photonic chips และ microdisplays
    ไม่เหมาะกับการผลิต CPU หรือ GPU ที่มีโครงสร้างซับซ้อน
    ใช้ในงานที่ต้องการความแม่นยำสูงแต่ไม่เน้นปริมาณการผลิตมาก

    ความเร็วในการผลิตต่ำกว่าระบบ EUV หรือ DUV projection
    ต้องสัมผัส wafer ทีละ field ทำให้ throughput ต่ำ
    ไม่เหมาะกับการผลิตชิป logic ที่มีโครงสร้างซับซ้อนและต้องการ defect rate ต่ำมาก
    การสัมผัสโดยตรงอาจทำให้แม่พิมพ์เสียหายจากฝุ่นหรือสิ่งปนเปื้อน
    หากแม่พิมพ์มีข้อผิดพลาด จะส่งผลต่อ yield อย่างรุนแรง
    ยังไม่มีข้อมูลชัดเจนเรื่อง overlay accuracy ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการผลิตระดับสูง

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/china-based-firm-delivers-its-first-chipmaking-tool-that-stamps-nanoscale-chip-designs-onto-wafers-prinanos-nanoimprint-lithography-tool-uses-quartz-molds-engraved-with-circuits
    🇨🇳 Prinano กับเครื่องพิมพ์วงจรระดับนาโน: ทางเลือกใหม่แทน EUV ในโลกของการผลิตชิปที่ต้องการความละเอียดระดับนาโนเมตร ประเทศจีนได้เปิดตัวเครื่องมือใหม่ที่อาจเปลี่ยนเกมได้ นั่นคือเครื่องพิมพ์วงจรแบบ “Nanoimprint Lithography” หรือ NIL จากบริษัท Prinano ซึ่งใช้แม่พิมพ์ควอตซ์ที่มีลวดลายวงจรระดับนาโน กดลงบนแผ่น wafer ที่เคลือบสาร resist แทนการใช้แสงแบบเดิม เครื่องรุ่น PL-SR ของ Prinano เป็นเครื่อง NIL แบบ “step-and-repeat” ที่สามารถพิมพ์ลวดลายละเอียดต่ำกว่า 10nm ได้บนแผ่น wafer ขนาด 300mm โดยใช้ระบบฉีดหมึกความแม่นยำสูง และกลไกควบคุมการแนบแม่พิมพ์กับ wafer เพื่อให้ได้ลวดลายที่คมชัดและไม่บิดเบี้ยว แม้จะไม่เร็วเท่าเครื่อง EUV จาก ASML แต่ NIL มีข้อดีคือราคาถูกกว่า ใช้พลังงานน้อยกว่า และเหมาะกับการผลิตชิปประเภท memory, photonics และ packaging ที่มีโครงสร้างซ้ำ ๆ ไม่ซับซ้อน ✅ การเปิดตัวเครื่อง NIL จาก Prinano ➡️ เป็นเครื่อง NIL รุ่นแรกที่ผลิตในจีนสำหรับการใช้งานจริง ➡️ ใช้แม่พิมพ์ควอตซ์กดลงบนสาร resist แทนการใช้แสง ➡️ รองรับการพิมพ์บน wafer ขนาด 300mm ด้วยความละเอียดต่ำกว่า 10nm ✅ เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ใช้ ➡️ ใช้ระบบฉีดหมึกปรับปริมาณตามความหนาแน่นของลวดลาย ➡️ ควบคุมความหนาของชั้นสารเหลือ (residual layer) ให้น้อยกว่า 10nm ➡️ มีระบบชดเชยความโค้งระหว่างแม่พิมพ์กับ wafer เพื่อป้องกันการบิดเบี้ยว ✅ การเปรียบเทียบกับ EUV ➡️ EUV ต้องใช้หลายขั้นตอนในการพิมพ์ลวดลายต่ำกว่า 10nm ➡️ NIL สามารถพิมพ์ลวดลายละเอียดในขั้นตอนเดียว หากแม่พิมพ์มีความแม่นยำ ➡️ NIL ไม่มี residual layer แบบเดียวกับ EUV แต่มีความแม่นยำใกล้เคียงกัน ✅ การใช้งานที่เหมาะสม ➡️ เหมาะกับการผลิต NAND Flash, photonic chips และ microdisplays ➡️ ไม่เหมาะกับการผลิต CPU หรือ GPU ที่มีโครงสร้างซับซ้อน ➡️ ใช้ในงานที่ต้องการความแม่นยำสูงแต่ไม่เน้นปริมาณการผลิตมาก ⛔ ความเร็วในการผลิตต่ำกว่าระบบ EUV หรือ DUV projection ⛔ ต้องสัมผัส wafer ทีละ field ทำให้ throughput ต่ำ ⛔ ไม่เหมาะกับการผลิตชิป logic ที่มีโครงสร้างซับซ้อนและต้องการ defect rate ต่ำมาก ⛔ การสัมผัสโดยตรงอาจทำให้แม่พิมพ์เสียหายจากฝุ่นหรือสิ่งปนเปื้อน ⛔ หากแม่พิมพ์มีข้อผิดพลาด จะส่งผลต่อ yield อย่างรุนแรง ⛔ ยังไม่มีข้อมูลชัดเจนเรื่อง overlay accuracy ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการผลิตระดับสูง https://www.tomshardware.com/tech-industry/china-based-firm-delivers-its-first-chipmaking-tool-that-stamps-nanoscale-chip-designs-onto-wafers-prinanos-nanoimprint-lithography-tool-uses-quartz-molds-engraved-with-circuits
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    China-based firm delivers its first chipmaking tool that stamps nanoscale processor designs onto wafers — Prinano's nanoimprint lithography tool uses quartz molds engraved with circuits
    China's Prinano Technology has shipped its first domestically developed semiconductor-grade step-and-repeat nanoimprint lithography system that offers sub-10 nm single-step patterning for applications like memory, photonics, and advanced packaging.
    0 Comments 0 Shares 190 Views 0 Reviews
  • "พาณิชย์" จัดงาน IP Fair 2025! โชว์นวัตกรรม-สินค้า GI...ตั้งเป้าสร้างมูลค่ากว่า 150 ล้าน...พร้อมเชิญชมนิทรรศการ "เจ้าฟ้าสิริวัณณวรีฯ"
    https://www.thai-tai.tv/news/20951/
    .
    #IPFair2025 #ทรัพย์สินทางปัญญา #เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี #ข่าวในพระราชสำนัก #กระทรวงพาณิชย์ #ไทยไท
    "พาณิชย์" จัดงาน IP Fair 2025! โชว์นวัตกรรม-สินค้า GI...ตั้งเป้าสร้างมูลค่ากว่า 150 ล้าน...พร้อมเชิญชมนิทรรศการ "เจ้าฟ้าสิริวัณณวรีฯ" https://www.thai-tai.tv/news/20951/ . #IPFair2025 #ทรัพย์สินทางปัญญา #เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี #ข่าวในพระราชสำนัก #กระทรวงพาณิชย์ #ไทยไท
    0 Comments 0 Shares 125 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากสนาม AI: ลงทุนเป็นพันล้าน แต่ผลลัพธ์ยังไม่มา

    ลองนึกภาพบริษัททั่วโลกกำลังเทเงินมหาศาลลงในเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ด้วยความหวังว่าจะได้ผลลัพธ์ที่เปลี่ยนเกม ทั้งลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ และสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงกลับคล้ายกับ “Productivity Paradox” ที่เคยเกิดขึ้นในยุคคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเมื่อ 40 ปีก่อน—ลงทุนเยอะ แต่ผลผลิตไม่เพิ่มตามที่คาดไว้

    บริษัทต่าง ๆ ใช้ AI เพื่อช่วยงานหลังบ้าน เช่น การเงิน ทรัพยากรบุคคล และบริการลูกค้า แต่หลายโครงการกลับล้มเหลวเพราะปัญหาทางเทคนิคและ “ปัจจัยมนุษย์” เช่น พนักงานต่อต้าน ขาดทักษะ หรือไม่เข้าใจการใช้งาน

    แม้จะมีความคาดหวังสูงจากเทคโนโลยีอย่าง ChatGPT หรือระบบอัตโนมัติ แต่ผลตอบแทนที่แท้จริงยังไม่ปรากฏชัดในตัวเลขกำไรของบริษัทนอกวงการเทคโนโลยี บางบริษัทถึงกับยกเลิกโครงการนำร่องไปเกือบครึ่ง

    อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า AI อาจเป็น “เทคโนโลยีทั่วไป” (General Purpose Technology) เหมือนกับไฟฟ้าและอินเทอร์เน็ต ที่ต้องใช้เวลาหลายปีในการปรับตัวก่อนจะเห็นผลลัพธ์ที่แท้จริง

    การลงทุนใน AI ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
    บริษัททั่วโลกเทเงินกว่า 61.9 พันล้านดอลลาร์ในปี 2025 เพื่อพัฒนา AI
    อุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ ธนาคาร และค้าปลีกเป็นกลุ่มที่ลงทุนมากที่สุด
    บริษัทเทคโนโลยีอย่าง Microsoft, Google, Amazon และ Nvidia เป็นผู้ได้ประโยชน์หลักในตอนนี้

    ปรากฏการณ์ Productivity Paradox กลับมาอีกครั้ง
    แม้จะมีการใช้ AI อย่างแพร่หลาย แต่ผลผลิตทางเศรษฐกิจยังไม่เพิ่มขึ้น
    ปัญหาหลักคือการนำ AI ไปใช้งานจริงยังไม่แพร่หลาย และต้องการการปรับตัวในองค์กร

    ตัวอย่างบริษัทที่เริ่มใช้ AI อย่างจริงจัง
    USAA ใช้ AI ช่วยพนักงานบริการลูกค้า 16,000 คนในการตอบคำถาม
    แม้ยังไม่มีตัวเลขผลตอบแทนที่ชัดเจน แต่พนักงานตอบรับในทางบวก

    ความล้มเหลวของโครงการ AI นำร่อง
    42% ของบริษัทที่เริ่มโครงการ AI ต้องยกเลิกภายในปี 2024
    ปัญหาหลักมาจาก “ปัจจัยมนุษย์” เช่น ขาดทักษะหรือความเข้าใจ

    ความคาดหวังที่อาจเกินจริง
    Gartner คาดว่า AI กำลังเข้าสู่ “ช่วงแห่งความผิดหวัง” ก่อนจะฟื้นตัว
    CEO ของ Ford คาดว่า AI จะมาแทนที่พนักงานออฟฟิศครึ่งหนึ่งในสหรัฐฯ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/14/companies-are-pouring-billions-into-ai-it-has-yet-to-pay-off
    🎙️เรื่องเล่าจากสนาม AI: ลงทุนเป็นพันล้าน แต่ผลลัพธ์ยังไม่มา ลองนึกภาพบริษัททั่วโลกกำลังเทเงินมหาศาลลงในเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ด้วยความหวังว่าจะได้ผลลัพธ์ที่เปลี่ยนเกม ทั้งลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ และสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงกลับคล้ายกับ “Productivity Paradox” ที่เคยเกิดขึ้นในยุคคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเมื่อ 40 ปีก่อน—ลงทุนเยอะ แต่ผลผลิตไม่เพิ่มตามที่คาดไว้ บริษัทต่าง ๆ ใช้ AI เพื่อช่วยงานหลังบ้าน เช่น การเงิน ทรัพยากรบุคคล และบริการลูกค้า แต่หลายโครงการกลับล้มเหลวเพราะปัญหาทางเทคนิคและ “ปัจจัยมนุษย์” เช่น พนักงานต่อต้าน ขาดทักษะ หรือไม่เข้าใจการใช้งาน แม้จะมีความคาดหวังสูงจากเทคโนโลยีอย่าง ChatGPT หรือระบบอัตโนมัติ แต่ผลตอบแทนที่แท้จริงยังไม่ปรากฏชัดในตัวเลขกำไรของบริษัทนอกวงการเทคโนโลยี บางบริษัทถึงกับยกเลิกโครงการนำร่องไปเกือบครึ่ง อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า AI อาจเป็น “เทคโนโลยีทั่วไป” (General Purpose Technology) เหมือนกับไฟฟ้าและอินเทอร์เน็ต ที่ต้องใช้เวลาหลายปีในการปรับตัวก่อนจะเห็นผลลัพธ์ที่แท้จริง ✅ การลงทุนใน AI ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ➡️ บริษัททั่วโลกเทเงินกว่า 61.9 พันล้านดอลลาร์ในปี 2025 เพื่อพัฒนา AI ➡️ อุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ ธนาคาร และค้าปลีกเป็นกลุ่มที่ลงทุนมากที่สุด ➡️ บริษัทเทคโนโลยีอย่าง Microsoft, Google, Amazon และ Nvidia เป็นผู้ได้ประโยชน์หลักในตอนนี้ ✅ ปรากฏการณ์ Productivity Paradox กลับมาอีกครั้ง ➡️ แม้จะมีการใช้ AI อย่างแพร่หลาย แต่ผลผลิตทางเศรษฐกิจยังไม่เพิ่มขึ้น ➡️ ปัญหาหลักคือการนำ AI ไปใช้งานจริงยังไม่แพร่หลาย และต้องการการปรับตัวในองค์กร ✅ ตัวอย่างบริษัทที่เริ่มใช้ AI อย่างจริงจัง ➡️ USAA ใช้ AI ช่วยพนักงานบริการลูกค้า 16,000 คนในการตอบคำถาม ➡️ แม้ยังไม่มีตัวเลขผลตอบแทนที่ชัดเจน แต่พนักงานตอบรับในทางบวก ‼️ ความล้มเหลวของโครงการ AI นำร่อง ⛔ 42% ของบริษัทที่เริ่มโครงการ AI ต้องยกเลิกภายในปี 2024 ⛔ ปัญหาหลักมาจาก “ปัจจัยมนุษย์” เช่น ขาดทักษะหรือความเข้าใจ ‼️ ความคาดหวังที่อาจเกินจริง ⛔ Gartner คาดว่า AI กำลังเข้าสู่ “ช่วงแห่งความผิดหวัง” ก่อนจะฟื้นตัว ⛔ CEO ของ Ford คาดว่า AI จะมาแทนที่พนักงานออฟฟิศครึ่งหนึ่งในสหรัฐฯ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/14/companies-are-pouring-billions-into-ai-it-has-yet-to-pay-off
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Companies are pouring billions into AI. It has yet to pay off.
    Corporate spending on artificial intelligence is surging as executives bank on major efficiency gains. So far, they report little effect to the bottom line.
    0 Comments 0 Shares 287 Views 0 Reviews
  • “สุชาติ” ขอบคุณ WIPO หนุนความร่วมมือด้านทรัพย์สินทางปัญญา ยกระดับนวัตกรรมไทยสู่เวทีโลก
    https://www.thai-tai.tv/news/20918/
    .
    #สุชาติชมกลิ่น #WIPO #ทรัพย์สินทางปัญญา #ซอฟท์พาวเวอร์ #ผ้าไทย #ไทยไท

    “สุชาติ” ขอบคุณ WIPO หนุนความร่วมมือด้านทรัพย์สินทางปัญญา ยกระดับนวัตกรรมไทยสู่เวทีโลก https://www.thai-tai.tv/news/20918/ . #สุชาติชมกลิ่น #WIPO #ทรัพย์สินทางปัญญา #ซอฟท์พาวเวอร์ #ผ้าไทย #ไทยไท
    0 Comments 0 Shares 103 Views 0 Reviews
  • แม่ทัพภาคที่1 กำลังงานเข้าของจริงหากเป็นปฏิปักษ์เองต่อดินแดนอธิปไตยชาติไทยตน,แม่ทัพภาคที่2 แสดงฝีมือ แบบมือถึงเต็มที่แล้ว อย่างสุดกำลังภาค2,หากแม่ทัพภาค1 สถานะตรงข้าม อันตรายมาก ส่อเจตนาให้ประเทศชาติตนสูญเสียดินแดนไทยตาม1:50,000เลย,ท่านต้องแสดงความชัดเจนออกมาจริงๆ,ภาค1ด้านตะวันออก สำคัญมากหากสมยอมหรือสงวนท่าทีต่อศัตรูภัยคุกคามอธิปไตยตน ท่านงานงอกแน่นอน,วงการทหารมันบัดสบจริงๆนะ,ต้องปฏิรูปครั้งใหญ่เช่นกันด้วย,เรา..จะไม่สามารถไปถึงกองทัพระดับกองทัพอวกาศสากลได้เลยถ้าเป็นแบบนี้,เรา..ต้องตั้งเป้าหมายว่าเรา..ประเทศไทยจะไม่แพ้ชาติใดในโลกในการเป็นผู้นำด้านกองทัพยานบินอวกาศระดับโลกในอนาคต,นี้ลงคลองชัดๆ ภาค2เชิดชูเกียรติทหารไทยทั้งประเทศ ภาค1ยึดคืนพื้นที่จากเขมร ไม่สำเร็จจริงอย่างคุณวีระว่ามานี้ ย่อมอนาถบัดสบมาก,หนองจานและอื่นๆยังไม่สามารถยึดคืนได้จะมีแม่ทัพภาค1ไปทำไม.,เสมือนเขมรสามารถบุกรุกรานเข้ามาโจมตีฝั่งไทยอย่างง่ายสบายได้นะสิ,เขมรขนกำลังมากมายไปเต็มแนวรบภูมิเขือ แสดงว่าแนวรบภาค1ย่อมบุกยึดคืนได้ง่ายดายกว่าอีสานใต้อีก หากทำไม่ได้แสดงว่าสมยอมเขมรหวาดกลัวเขมร กลัวกระทบธุรกิจเถื่อนๆในฝั่งตรงข้ามหากปะทะขึ้นมา,จึงพยายามให้เงียบสงบที่สุดไร้เสียงปืนเพื่อไม่ไปรบกวนนักลงทุนฝั่งเขมร รบกวนการนอนการเล่นคาสิโนทำธุรกิจแก๊งคอลเซ็นเตอร์ฝั่งเขมรหากยิงกันเดี๋ยวถูกกดดันจากประชาชนฝั่งไทยให้ทิ้งระเบิดใส่บ่อนคาสิโนเขมร,แหล่งหม้อข้าวหม้อเงินฮุนเซน ห้ามมีการยิงเด็ดขาด ยิงๆก็ยิงพอเป็นพิธีบนเกาะแทน ,นัยยะนี้อันตรายมาก,นายพลทรยศมีมากเกินไปจริงๆ,รัฐบาลใหม่ต้องบริหารงานและจัดสรรงบประมาณใหม่ดูแลภาคสายทหารทั่วไทยอย่างจริงใจจริงจัง จริงๆชั่วเลวกำจัดออก ดีงามเชิดชูเกียรติปกป้องค้ำไว้,นวัตกรรมและพัฒนาการบุคลากรทหารต้องยืนหนึ่งด้วย,ทหารที่เสียชีวิต พิการบาดเจ็บ ครอบครัวลูกเมียทหารพ่อแม่ทหารที่เสียชีวิตคือภาวะของรัฐบาลตลอดไป ไม่ว่าจะเปลี่ยนรัฐบาลมากี่สมัย อัตราค่าครองชีพจริงต้องผันแปรตรงด้วย,มิใช่ได้100บาทในอดีต30-40ปี ยังจ่าย100บาทอยู่เลี้ยงชีพทหารพิการแบบนั่น,และกำจัดทหารนอกแถวนายพลเลวผู้บังคับบัญชาชั่วแบบปล่อยเขมรรุกรานลุกล้ำดินแดนไทยยึดครองทำกิจกรรมประจำชีพบนแผ่นดินไทยกว่าสิบปีแบบนี้ใช้ไม่ได้,จนความจริงเปิดเผยชัดจากการยึดพื้นที่คืนของแม่ทัพภาค2และทหารทุกๆนายที่ร่วมสมรภูมิพื้นที่สงครามนั้น.




    https://youtube.com/live/Q4x2C8hrkEA?si=C7UJUlRnfYlneq1q
    แม่ทัพภาคที่1 กำลังงานเข้าของจริงหากเป็นปฏิปักษ์เองต่อดินแดนอธิปไตยชาติไทยตน,แม่ทัพภาคที่2 แสดงฝีมือ แบบมือถึงเต็มที่แล้ว อย่างสุดกำลังภาค2,หากแม่ทัพภาค1 สถานะตรงข้าม อันตรายมาก ส่อเจตนาให้ประเทศชาติตนสูญเสียดินแดนไทยตาม1:50,000เลย,ท่านต้องแสดงความชัดเจนออกมาจริงๆ,ภาค1ด้านตะวันออก สำคัญมากหากสมยอมหรือสงวนท่าทีต่อศัตรูภัยคุกคามอธิปไตยตน ท่านงานงอกแน่นอน,วงการทหารมันบัดสบจริงๆนะ,ต้องปฏิรูปครั้งใหญ่เช่นกันด้วย,เรา..จะไม่สามารถไปถึงกองทัพระดับกองทัพอวกาศสากลได้เลยถ้าเป็นแบบนี้,เรา..ต้องตั้งเป้าหมายว่าเรา..ประเทศไทยจะไม่แพ้ชาติใดในโลกในการเป็นผู้นำด้านกองทัพยานบินอวกาศระดับโลกในอนาคต,นี้ลงคลองชัดๆ ภาค2เชิดชูเกียรติทหารไทยทั้งประเทศ ภาค1ยึดคืนพื้นที่จากเขมร ไม่สำเร็จจริงอย่างคุณวีระว่ามานี้ ย่อมอนาถบัดสบมาก,หนองจานและอื่นๆยังไม่สามารถยึดคืนได้จะมีแม่ทัพภาค1ไปทำไม.,เสมือนเขมรสามารถบุกรุกรานเข้ามาโจมตีฝั่งไทยอย่างง่ายสบายได้นะสิ,เขมรขนกำลังมากมายไปเต็มแนวรบภูมิเขือ แสดงว่าแนวรบภาค1ย่อมบุกยึดคืนได้ง่ายดายกว่าอีสานใต้อีก หากทำไม่ได้แสดงว่าสมยอมเขมรหวาดกลัวเขมร กลัวกระทบธุรกิจเถื่อนๆในฝั่งตรงข้ามหากปะทะขึ้นมา,จึงพยายามให้เงียบสงบที่สุดไร้เสียงปืนเพื่อไม่ไปรบกวนนักลงทุนฝั่งเขมร รบกวนการนอนการเล่นคาสิโนทำธุรกิจแก๊งคอลเซ็นเตอร์ฝั่งเขมรหากยิงกันเดี๋ยวถูกกดดันจากประชาชนฝั่งไทยให้ทิ้งระเบิดใส่บ่อนคาสิโนเขมร,แหล่งหม้อข้าวหม้อเงินฮุนเซน ห้ามมีการยิงเด็ดขาด ยิงๆก็ยิงพอเป็นพิธีบนเกาะแทน ,นัยยะนี้อันตรายมาก,นายพลทรยศมีมากเกินไปจริงๆ,รัฐบาลใหม่ต้องบริหารงานและจัดสรรงบประมาณใหม่ดูแลภาคสายทหารทั่วไทยอย่างจริงใจจริงจัง จริงๆชั่วเลวกำจัดออก ดีงามเชิดชูเกียรติปกป้องค้ำไว้,นวัตกรรมและพัฒนาการบุคลากรทหารต้องยืนหนึ่งด้วย,ทหารที่เสียชีวิต พิการบาดเจ็บ ครอบครัวลูกเมียทหารพ่อแม่ทหารที่เสียชีวิตคือภาวะของรัฐบาลตลอดไป ไม่ว่าจะเปลี่ยนรัฐบาลมากี่สมัย อัตราค่าครองชีพจริงต้องผันแปรตรงด้วย,มิใช่ได้100บาทในอดีต30-40ปี ยังจ่าย100บาทอยู่เลี้ยงชีพทหารพิการแบบนั่น,และกำจัดทหารนอกแถวนายพลเลวผู้บังคับบัญชาชั่วแบบปล่อยเขมรรุกรานลุกล้ำดินแดนไทยยึดครองทำกิจกรรมประจำชีพบนแผ่นดินไทยกว่าสิบปีแบบนี้ใช้ไม่ได้,จนความจริงเปิดเผยชัดจากการยึดพื้นที่คืนของแม่ทัพภาค2และทหารทุกๆนายที่ร่วมสมรภูมิพื้นที่สงครามนั้น. https://youtube.com/live/Q4x2C8hrkEA?si=C7UJUlRnfYlneq1q
    - YouTube
    เพลิดเพลินไปกับวิดีโอและเพลงที่คุณชอบ อัปโหลดเนื้อหาต้นฉบับ และแชร์เนื้อหาทั้งหมดกับเพื่อน ครอบครัว และผู้คนทั่วโลกบน YouTube
    0 Comments 0 Shares 306 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากโรงงาน Intel: เมื่อยักษ์ใหญ่ต้องสู้เพื่อความอยู่รอด

    Intel เคยเป็นผู้นำในโลกของชิปคอมพิวเตอร์ แต่วันนี้กลับต้องเผชิญกับแรงกดดันรอบด้าน ทั้งจากคู่แข่งอย่าง TSMC และ AMD, ปัญหาด้านเทคโนโลยีการผลิต, ความล้มเหลวในการออกแบบชิปใหม่, และแรงกดดันทางการเมืองและการเงิน

    หนึ่งในความหวังของ Intel คือเทคโนโลยีการผลิตใหม่ที่เรียกว่า “18A” ซึ่งเป็นกระบวนการระดับ 1.8 นาโนเมตร ที่มาพร้อมนวัตกรรม RibbonFET และ PowerVia เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดการใช้พลังงาน แต่การผลิตจริงกลับเต็มไปด้วยปัญหา “yield” หรืออัตราชิปที่ใช้งานได้ต่ำมาก บางช่วงอยู่ที่เพียง 5–10% เท่านั้น ซึ่งห่างไกลจากเป้าหมาย 70–80% ที่จำเป็นต่อการทำกำไร

    Intel จึงต้องชะลอการเปิดตัวชิป Panther Lake ที่ใช้ 18A ไปเป็นปี 2026 และอาจต้องหันไปพัฒนาเทคโนโลยีใหม่อย่าง “14A” แทน หากไม่สามารถดึงลูกค้าภายนอกมาใช้บริการ foundry ได้

    ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายใต้ยุทธศาสตร์ IDM 2.0 ที่เปิดตัวในปี 2021 โดยอดีต CEO Pat Gelsinger ซึ่งตั้งเป้าให้ Intel กลับมาเป็นผู้นำด้านการผลิตชิปอีกครั้ง ทั้งในสหรัฐฯ และยุโรป แต่การเปลี่ยนแปลงนี้กลับนำไปสู่การปลดพนักงานกว่า 25,000 คน และการยกเลิกโครงการโรงงานหลายแห่งในเยอรมนีและโปแลนด์

    CEO คนใหม่ Lip-Bu Tan จึงต้องนำพา Intel ผ่านช่วงเวลาแห่งความเปลี่ยนแปลง ด้วยปรัชญา “ไม่มีเช็คเปล่า” และการเน้นผลลัพธ์มากกว่าการตลาด

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/all-the-pains-of-intel-from-cpu-design-and-process-technologies-to-internal-clashes-and-political-pressure
    🧠⚙️ เรื่องเล่าจากโรงงาน Intel: เมื่อยักษ์ใหญ่ต้องสู้เพื่อความอยู่รอด Intel เคยเป็นผู้นำในโลกของชิปคอมพิวเตอร์ แต่วันนี้กลับต้องเผชิญกับแรงกดดันรอบด้าน ทั้งจากคู่แข่งอย่าง TSMC และ AMD, ปัญหาด้านเทคโนโลยีการผลิต, ความล้มเหลวในการออกแบบชิปใหม่, และแรงกดดันทางการเมืองและการเงิน หนึ่งในความหวังของ Intel คือเทคโนโลยีการผลิตใหม่ที่เรียกว่า “18A” ซึ่งเป็นกระบวนการระดับ 1.8 นาโนเมตร ที่มาพร้อมนวัตกรรม RibbonFET และ PowerVia เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดการใช้พลังงาน แต่การผลิตจริงกลับเต็มไปด้วยปัญหา “yield” หรืออัตราชิปที่ใช้งานได้ต่ำมาก บางช่วงอยู่ที่เพียง 5–10% เท่านั้น ซึ่งห่างไกลจากเป้าหมาย 70–80% ที่จำเป็นต่อการทำกำไร Intel จึงต้องชะลอการเปิดตัวชิป Panther Lake ที่ใช้ 18A ไปเป็นปี 2026 และอาจต้องหันไปพัฒนาเทคโนโลยีใหม่อย่าง “14A” แทน หากไม่สามารถดึงลูกค้าภายนอกมาใช้บริการ foundry ได้ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายใต้ยุทธศาสตร์ IDM 2.0 ที่เปิดตัวในปี 2021 โดยอดีต CEO Pat Gelsinger ซึ่งตั้งเป้าให้ Intel กลับมาเป็นผู้นำด้านการผลิตชิปอีกครั้ง ทั้งในสหรัฐฯ และยุโรป แต่การเปลี่ยนแปลงนี้กลับนำไปสู่การปลดพนักงานกว่า 25,000 คน และการยกเลิกโครงการโรงงานหลายแห่งในเยอรมนีและโปแลนด์ CEO คนใหม่ Lip-Bu Tan จึงต้องนำพา Intel ผ่านช่วงเวลาแห่งความเปลี่ยนแปลง ด้วยปรัชญา “ไม่มีเช็คเปล่า” และการเน้นผลลัพธ์มากกว่าการตลาด https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/all-the-pains-of-intel-from-cpu-design-and-process-technologies-to-internal-clashes-and-political-pressure
    0 Comments 0 Shares 250 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากโลกนักพัฒนา: GitHub เปลี่ยนโฉมเข้าสู่ยุค AI เต็มตัว หลัง CEO ลาออก

    GitHub ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสำหรับนักพัฒนาซอฟต์แวร์ทั่วโลก กำลังเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เมื่อ Thomas Dohmke ประกาศลาออกจากตำแหน่ง CEO หลังดำรงตำแหน่งมาเกือบ 4 ปี โดยเขาเผยว่าอยากกลับไปเป็นผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพอีกครั้ง

    การลาออกครั้งนี้ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนตัวผู้นำ แต่เป็นการเปลี่ยนโครงสร้างองค์กร GitHub ทั้งหมด โดย Microsoft จะไม่แต่งตั้ง CEO คนใหม่ แต่จะรวม GitHub เข้าเป็นส่วนหนึ่งของทีม CoreAI ซึ่งเป็นหน่วยงานใหม่ที่มุ่งเน้นการพัฒนาแพลตฟอร์ม AI สำหรับนักพัฒนาและลูกค้าทั่วโลก นำโดย Jay Parikh อดีตผู้บริหารจาก Meta

    ภายใต้การนำของ Dohmke GitHub เติบโตอย่างมหาศาล มีผู้ใช้กว่า 150 ล้านคน และมี repository มากกว่า 1 พันล้านแห่ง โดยเฉพาะ GitHub Copilot ซึ่งเป็นผู้ช่วยเขียนโค้ดด้วย AI ที่มีผู้ใช้กว่า 20 ล้านคน และเพิ่งเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ “Spark” ที่สามารถสร้างแอปพลิเคชันทั้งระบบจากข้อความเดียว

    แม้การรวม GitHub เข้ากับ CoreAI จะดูเป็นการผลักดันนวัตกรรม แต่ก็มีคำถามตามมาว่า GitHub จะยังคงรักษาความเป็นกลางและเปิดกว้างสำหรับนักพัฒนาทั่วโลกได้หรือไม่ เมื่อไม่มีผู้นำเฉพาะของตัวเองอีกต่อไป

    Thomas Dohmke ลาออกจากตำแหน่ง CEO ของ GitHub
    เพื่อกลับไปเป็นผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพอีกครั้ง

    GitHub จะถูกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของทีม CoreAI ของ Microsoft
    โดยไม่มีการแต่งตั้ง CEO คนใหม่

    ทีม CoreAI นำโดย Jay Parikh อดีตผู้บริหารจาก Meta
    มุ่งเน้นการสร้างแพลตฟอร์ม AI สำหรับนักพัฒนาและลูกค้า

    GitHub Copilot มีผู้ใช้กว่า 20 ล้านคน และเป็นหัวใจของยุทธศาสตร์ AI
    มีฟีเจอร์ใหม่ เช่น Copilot Chat, Voice และ Spark

    GitHub เติบโตอย่างมากในยุคของ Dohmke
    มีผู้ใช้กว่า 150 ล้านคน และ repository มากกว่า 1 พันล้านแห่ง

    Dohmke จะอยู่ช่วยดูแลการเปลี่ยนผ่านจนถึงสิ้นปี 2025
    เพื่อให้การรวมองค์กรเป็นไปอย่างราบรื่น

    GitHub เคยดำเนินงานอย่างอิสระหลังถูก Microsoft ซื้อในปี 2018
    ด้วยมูลค่า 7.5 พันล้านดอลลาร์

    GitHub Copilot เป็นหนึ่งในเครื่องมือ AI ที่เติบโตเร็วที่สุดในอุตสาหกรรม
    มีการใช้โมเดลจาก OpenAI, Google และ Anthropic

    ฟีเจอร์ Spark สามารถสร้างแอปทั้งระบบจากข้อความเดียว
    ตั้งแต่ UI, ฐานข้อมูล ไปจนถึงการ deploy บน Azure

    GitHub Actions รองรับการทำงาน CI/CD กว่า 3 พันล้านนาทีต่อเดือน
    เป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของนักพัฒนาในยุคใหม่

    https://www.theverge.com/news/757461/microsoft-github-thomas-dohmke-resignation-coreai-team-transition
    🧠💼 เรื่องเล่าจากโลกนักพัฒนา: GitHub เปลี่ยนโฉมเข้าสู่ยุค AI เต็มตัว หลัง CEO ลาออก GitHub ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสำหรับนักพัฒนาซอฟต์แวร์ทั่วโลก กำลังเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เมื่อ Thomas Dohmke ประกาศลาออกจากตำแหน่ง CEO หลังดำรงตำแหน่งมาเกือบ 4 ปี โดยเขาเผยว่าอยากกลับไปเป็นผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพอีกครั้ง การลาออกครั้งนี้ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนตัวผู้นำ แต่เป็นการเปลี่ยนโครงสร้างองค์กร GitHub ทั้งหมด โดย Microsoft จะไม่แต่งตั้ง CEO คนใหม่ แต่จะรวม GitHub เข้าเป็นส่วนหนึ่งของทีม CoreAI ซึ่งเป็นหน่วยงานใหม่ที่มุ่งเน้นการพัฒนาแพลตฟอร์ม AI สำหรับนักพัฒนาและลูกค้าทั่วโลก นำโดย Jay Parikh อดีตผู้บริหารจาก Meta ภายใต้การนำของ Dohmke GitHub เติบโตอย่างมหาศาล มีผู้ใช้กว่า 150 ล้านคน และมี repository มากกว่า 1 พันล้านแห่ง โดยเฉพาะ GitHub Copilot ซึ่งเป็นผู้ช่วยเขียนโค้ดด้วย AI ที่มีผู้ใช้กว่า 20 ล้านคน และเพิ่งเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ “Spark” ที่สามารถสร้างแอปพลิเคชันทั้งระบบจากข้อความเดียว แม้การรวม GitHub เข้ากับ CoreAI จะดูเป็นการผลักดันนวัตกรรม แต่ก็มีคำถามตามมาว่า GitHub จะยังคงรักษาความเป็นกลางและเปิดกว้างสำหรับนักพัฒนาทั่วโลกได้หรือไม่ เมื่อไม่มีผู้นำเฉพาะของตัวเองอีกต่อไป ✅ Thomas Dohmke ลาออกจากตำแหน่ง CEO ของ GitHub ➡️ เพื่อกลับไปเป็นผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพอีกครั้ง ✅ GitHub จะถูกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของทีม CoreAI ของ Microsoft ➡️ โดยไม่มีการแต่งตั้ง CEO คนใหม่ ✅ ทีม CoreAI นำโดย Jay Parikh อดีตผู้บริหารจาก Meta ➡️ มุ่งเน้นการสร้างแพลตฟอร์ม AI สำหรับนักพัฒนาและลูกค้า ✅ GitHub Copilot มีผู้ใช้กว่า 20 ล้านคน และเป็นหัวใจของยุทธศาสตร์ AI ➡️ มีฟีเจอร์ใหม่ เช่น Copilot Chat, Voice และ Spark ✅ GitHub เติบโตอย่างมากในยุคของ Dohmke ➡️ มีผู้ใช้กว่า 150 ล้านคน และ repository มากกว่า 1 พันล้านแห่ง ✅ Dohmke จะอยู่ช่วยดูแลการเปลี่ยนผ่านจนถึงสิ้นปี 2025 ➡️ เพื่อให้การรวมองค์กรเป็นไปอย่างราบรื่น ✅ GitHub เคยดำเนินงานอย่างอิสระหลังถูก Microsoft ซื้อในปี 2018 ➡️ ด้วยมูลค่า 7.5 พันล้านดอลลาร์ ✅ GitHub Copilot เป็นหนึ่งในเครื่องมือ AI ที่เติบโตเร็วที่สุดในอุตสาหกรรม ➡️ มีการใช้โมเดลจาก OpenAI, Google และ Anthropic ✅ ฟีเจอร์ Spark สามารถสร้างแอปทั้งระบบจากข้อความเดียว ➡️ ตั้งแต่ UI, ฐานข้อมูล ไปจนถึงการ deploy บน Azure ✅ GitHub Actions รองรับการทำงาน CI/CD กว่า 3 พันล้านนาทีต่อเดือน ➡️ เป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของนักพัฒนาในยุคใหม่ https://www.theverge.com/news/757461/microsoft-github-thomas-dohmke-resignation-coreai-team-transition
    WWW.THEVERGE.COM
    GitHub just got less independent at Microsoft after CEO resignation
    GitHub will be part of Microsoft’s AI engineering team
    0 Comments 0 Shares 217 Views 0 Reviews

  • อนาคตไทยเราต้องพัฒนาอาวุธยุคใหม่ให้สำเร็จโเยรวดเร็วลิกตามดากฝรั่งได้แล้ว ตลอดเครื่องบินรบก็ต้องผลิตเองได้แล้ว เรามีทรัพยากรและวัสดุเพียงพอ,พัฒนาคนไทยตั้งแต่เยาวชนเลย,ผู้ปกครองผู้นำเรากากกระจอกเกินไป,สุดท้ายประเทศอื่นแบบอเมริกาหรือมหาอำนาจฝรั่งมันก็มาคุกคามปล้นชิงแย่งชิงทรัพยากรมีค่ามากมายในประเทศเราแบบสาระพัดมุกกดดันข่มขู่เราแบบภาษีทรัมป์นั้นล่ะ เพราะผู้นำกาก รัฐบาลกระจอกขลาดเขลา ผู้นำโง่ใจปลาซิว ทีมงานใจหมาสมองควายวัวอีกเอาแต่ได้หมายแต่แดกแต่คตโกงขี้โกงทั้งชุดคณะปกครองนั้นเองโดยวลีเด็ดมุกที่มันชอบใช้กันคือ "ทำเพื่อประชาชน" แดกเพื่อประชาชน แดกแทนมากๆเพื่อประชาชน,เราจึงถอยหลังด้านศีลด้านธรรมของคุณธรรมประจำใจ ถอยหลังการพัฒนาบุคคลในนวัตกรรมล้ำแก่คนไทย เมื่อคนไทยร่ำรวยจะสามารถซื้อหาคิดอ่านสร้างสรรค์ผลงานได้สะดวกมีทุนเตรียมวัตถุดิบได้ในสัมมาอาชีพต่างๆหรือพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆตลอดไม่ซื้อเสียงขายเสียงด้วย แต่ผู้นำผู้ปกครองบริหารประเทศให้คนไทยยากจน บ่อน้ำมันบ่อทองคำมากมายก็ยกให้ฝรั่ง บริหารเป็นจะกระจายความมั่งคั่งร่ำรวยแก่คนไทยได้ หรือล่าสุดแลนด์บริดจ์หรือขุดคลองคอดกระ เราทำเองเป็นฮับเดินเรือค้าขายระดับโลกเม็ดเงินกว่า1,000ล้านล้านบาทต่อปีก็สามารถทำได้ ตั้งเป็นนิคมฮับการค้าโลกก็ได้,คนไทยตั้งบริษัทกองทุนปกครองบริหารจัดการงานแทนทั้งหมดได้ ออกหุ้นฟรีๆและซื้อให้คนไทยจับต้องเป็นรูปธรรมแสดงถึงความเป็นเจ้าของจริงร่วมกัน ต่างชาติจะแบ่งแยกสร้างความแตกต่างก็ยากเพราะห้ามคนต่างชาติมาถือหุ้นในนี้ทุกๆกรณี,ถ้าปล่อยรัฐบาลจัดการก็เหมือนบ่อน้ำมันไปสุมหัวยกให้ต่างชาติแบบบริษัทอเมริกาเชฟรอนและฝรั่งอื่นๆทำบ่อน้ำมันทั่วประเทศไทยทำแดกเองจนร่ำจนรวยถึงปัจจุบันนี้ล่ะ คนไทยก็ยากจนเหมือนเดิม เหมือนกำลังให้อเมริกายึดพังงายึดฮับตังเราอยู่นี้เห็นก้อนเงินมหาศาลอเมริกาสถุนก็อยากได้ตาร้อนโลภกระสั่นรีบแล่นเข้ามาจะยึดจุดยุทธศาสตร์เราทันทีอ้างปิดปากเดินเรือจีนช่องแคบมะลาก็ว่า,จริงมันมองแดกทะลุหมดล่ะ อเมริกาจึงถือว่าเป็นชาติพาลชาติชั่วเลวของจริง ปล้นชิงแย่งชิงไปทั่วโลก,ยิ่งผู้ปกครองกาก ผู้นำขี้ขลาดโง่ ไร้ฝีมือ มือไม่ถึง ยิ่งถูกอเมริกาเหยียบ แค่อ้างภาษีทรัมป์ก็แสดงอาการใจหมาขาสั่นกากแล้ว,ตัดการค้าขายกับอเมริกาไปชาติไทยไม่ล้มสลายหรอก,ตลาดโลกฝั่งเอเชียเรามูลค้ากว่า100ล้านล้านบาทต่อปี ผู้ปกครองกากผู้นำกระจอกเอง สาระพัดมุกวิธีเจริญไมตรีค้าขายดีงามกับชาติเอเชียเราด้วยกัน เอเชียร่วมใจถีบชาติฝรั่งออกจากระบบตลาดค้าขายเราก็สามารถทำได้เลยหรือทั่วโลกยกเว้นอเมริกาและชาติยุโรป เราก็ค้าขายได้สบาย ไทยขุดคลองคอดกระช่วยการขนส่งเอเชียเราแต่บริหารจัดการเองจากตังคนไทยเองที่ขุดเองทั้งหมดตัดตอนการแทรกแซงจัดการเป็นเอกเทศเลย ทวีปแอฟริกาค้าขายกับเอเชีย สินค้าเอเชียค้าทั่วทวีปเราและแอฟริกา ขนส่งมหาศาลทางเรือปริมาณมากครั้งเดียวต่อเรือใหญ่ยักษ์100,000เที่ยว1,000,000เที่ยวต่อปี รวมเรือสาระพัดประเภทชนิด เรือสำราญใหญ่ๆบ่อนลอยน้ำข้ามทวีปอีก เม็ดเงินกว่า1,000ล้านล้านบาทเข้าไทยจึงกระจอกมาก,ไม่รวมฮับในพื้นที่บริหารจัดการรอบๆแลนด์บริดจ์และคลองคอดกระอีก,
    ..เราจึงพัฒนาตนเองทุกๆด้านได้แล้วโดยเฉพาะขีปนาวุธลูกกระสุนต้องผลิตเองดีที่สุด ขีปนาวุธEMPระยะใกล้ กลางและวิถีไกลข้ามทวีปก็สมควรมีปกป้องตนเองด้วย ระเบิดกลางอวกาศกำจัดดาวเทียมชั่วเลวคุกคามไทยเราก็สามารถทำได้,ระเบิดเขมรสิ้นแผ่นดินแบ่งให้ลาว เวียดนามปกครองเนื้อที่ก็ทำได้ทันทีด้วย กำจัดอาชญากรรมทั่วโลกได้ด้วย อย่าปล่อยรกโลกคุกคามระรานชั่วไปทั่ว.



    https://www.youtube.com/watch?v=5W4gRXvSqNA
    อนาคตไทยเราต้องพัฒนาอาวุธยุคใหม่ให้สำเร็จโเยรวดเร็วลิกตามดากฝรั่งได้แล้ว ตลอดเครื่องบินรบก็ต้องผลิตเองได้แล้ว เรามีทรัพยากรและวัสดุเพียงพอ,พัฒนาคนไทยตั้งแต่เยาวชนเลย,ผู้ปกครองผู้นำเรากากกระจอกเกินไป,สุดท้ายประเทศอื่นแบบอเมริกาหรือมหาอำนาจฝรั่งมันก็มาคุกคามปล้นชิงแย่งชิงทรัพยากรมีค่ามากมายในประเทศเราแบบสาระพัดมุกกดดันข่มขู่เราแบบภาษีทรัมป์นั้นล่ะ เพราะผู้นำกาก รัฐบาลกระจอกขลาดเขลา ผู้นำโง่ใจปลาซิว ทีมงานใจหมาสมองควายวัวอีกเอาแต่ได้หมายแต่แดกแต่คตโกงขี้โกงทั้งชุดคณะปกครองนั้นเองโดยวลีเด็ดมุกที่มันชอบใช้กันคือ "ทำเพื่อประชาชน" แดกเพื่อประชาชน แดกแทนมากๆเพื่อประชาชน,เราจึงถอยหลังด้านศีลด้านธรรมของคุณธรรมประจำใจ ถอยหลังการพัฒนาบุคคลในนวัตกรรมล้ำแก่คนไทย เมื่อคนไทยร่ำรวยจะสามารถซื้อหาคิดอ่านสร้างสรรค์ผลงานได้สะดวกมีทุนเตรียมวัตถุดิบได้ในสัมมาอาชีพต่างๆหรือพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆตลอดไม่ซื้อเสียงขายเสียงด้วย แต่ผู้นำผู้ปกครองบริหารประเทศให้คนไทยยากจน บ่อน้ำมันบ่อทองคำมากมายก็ยกให้ฝรั่ง บริหารเป็นจะกระจายความมั่งคั่งร่ำรวยแก่คนไทยได้ หรือล่าสุดแลนด์บริดจ์หรือขุดคลองคอดกระ เราทำเองเป็นฮับเดินเรือค้าขายระดับโลกเม็ดเงินกว่า1,000ล้านล้านบาทต่อปีก็สามารถทำได้ ตั้งเป็นนิคมฮับการค้าโลกก็ได้,คนไทยตั้งบริษัทกองทุนปกครองบริหารจัดการงานแทนทั้งหมดได้ ออกหุ้นฟรีๆและซื้อให้คนไทยจับต้องเป็นรูปธรรมแสดงถึงความเป็นเจ้าของจริงร่วมกัน ต่างชาติจะแบ่งแยกสร้างความแตกต่างก็ยากเพราะห้ามคนต่างชาติมาถือหุ้นในนี้ทุกๆกรณี,ถ้าปล่อยรัฐบาลจัดการก็เหมือนบ่อน้ำมันไปสุมหัวยกให้ต่างชาติแบบบริษัทอเมริกาเชฟรอนและฝรั่งอื่นๆทำบ่อน้ำมันทั่วประเทศไทยทำแดกเองจนร่ำจนรวยถึงปัจจุบันนี้ล่ะ คนไทยก็ยากจนเหมือนเดิม เหมือนกำลังให้อเมริกายึดพังงายึดฮับตังเราอยู่นี้เห็นก้อนเงินมหาศาลอเมริกาสถุนก็อยากได้ตาร้อนโลภกระสั่นรีบแล่นเข้ามาจะยึดจุดยุทธศาสตร์เราทันทีอ้างปิดปากเดินเรือจีนช่องแคบมะลาก็ว่า,จริงมันมองแดกทะลุหมดล่ะ อเมริกาจึงถือว่าเป็นชาติพาลชาติชั่วเลวของจริง ปล้นชิงแย่งชิงไปทั่วโลก,ยิ่งผู้ปกครองกาก ผู้นำขี้ขลาดโง่ ไร้ฝีมือ มือไม่ถึง ยิ่งถูกอเมริกาเหยียบ แค่อ้างภาษีทรัมป์ก็แสดงอาการใจหมาขาสั่นกากแล้ว,ตัดการค้าขายกับอเมริกาไปชาติไทยไม่ล้มสลายหรอก,ตลาดโลกฝั่งเอเชียเรามูลค้ากว่า100ล้านล้านบาทต่อปี ผู้ปกครองกากผู้นำกระจอกเอง สาระพัดมุกวิธีเจริญไมตรีค้าขายดีงามกับชาติเอเชียเราด้วยกัน เอเชียร่วมใจถีบชาติฝรั่งออกจากระบบตลาดค้าขายเราก็สามารถทำได้เลยหรือทั่วโลกยกเว้นอเมริกาและชาติยุโรป เราก็ค้าขายได้สบาย ไทยขุดคลองคอดกระช่วยการขนส่งเอเชียเราแต่บริหารจัดการเองจากตังคนไทยเองที่ขุดเองทั้งหมดตัดตอนการแทรกแซงจัดการเป็นเอกเทศเลย ทวีปแอฟริกาค้าขายกับเอเชีย สินค้าเอเชียค้าทั่วทวีปเราและแอฟริกา ขนส่งมหาศาลทางเรือปริมาณมากครั้งเดียวต่อเรือใหญ่ยักษ์100,000เที่ยว1,000,000เที่ยวต่อปี รวมเรือสาระพัดประเภทชนิด เรือสำราญใหญ่ๆบ่อนลอยน้ำข้ามทวีปอีก เม็ดเงินกว่า1,000ล้านล้านบาทเข้าไทยจึงกระจอกมาก,ไม่รวมฮับในพื้นที่บริหารจัดการรอบๆแลนด์บริดจ์และคลองคอดกระอีก, ..เราจึงพัฒนาตนเองทุกๆด้านได้แล้วโดยเฉพาะขีปนาวุธลูกกระสุนต้องผลิตเองดีที่สุด ขีปนาวุธEMPระยะใกล้ กลางและวิถีไกลข้ามทวีปก็สมควรมีปกป้องตนเองด้วย ระเบิดกลางอวกาศกำจัดดาวเทียมชั่วเลวคุกคามไทยเราก็สามารถทำได้,ระเบิดเขมรสิ้นแผ่นดินแบ่งให้ลาว เวียดนามปกครองเนื้อที่ก็ทำได้ทันทีด้วย กำจัดอาชญากรรมทั่วโลกได้ด้วย อย่าปล่อยรกโลกคุกคามระรานชั่วไปทั่ว. https://www.youtube.com/watch?v=5W4gRXvSqNA
    0 Comments 0 Shares 349 Views 0 Reviews
  • มีไว้ใช้งานหลายๆรุ่นย่อมดีแน่,เราจึงต้องรีบเร่งพัฒนาเยาวชนเราสู่นวัตกรรมนี้ด้วย,สร้างได้ถึงยานบินอวกาศufoแบบนั้นเลย.ปืนลำแสงติดยาน ระยะยิง200-300กม.ก็หรูแล้วเพื่อปกป้องอธิปไตยเรา,สำคัญก็ด้วยคือผลิตลูกกระแสและขีปนาวุธเองได้จริง ผลิตได้ไม่อั้นเอง,ทั้งแบบระยะใกล้1-2พันกม.,ระยะกลาง6-10พัน กม.,ระยะไกลข้ามทวีป12-15หมื่น กม.,เรามีแร่สามารถทำขีปนาวุธระยะไกลได้เหลือล้น.

    https://www.youtube.com/watch?v=RS15EzYdZ3E
    มีไว้ใช้งานหลายๆรุ่นย่อมดีแน่,เราจึงต้องรีบเร่งพัฒนาเยาวชนเราสู่นวัตกรรมนี้ด้วย,สร้างได้ถึงยานบินอวกาศufoแบบนั้นเลย.ปืนลำแสงติดยาน ระยะยิง200-300กม.ก็หรูแล้วเพื่อปกป้องอธิปไตยเรา,สำคัญก็ด้วยคือผลิตลูกกระแสและขีปนาวุธเองได้จริง ผลิตได้ไม่อั้นเอง,ทั้งแบบระยะใกล้1-2พันกม.,ระยะกลาง6-10พัน กม.,ระยะไกลข้ามทวีป12-15หมื่น กม.,เรามีแร่สามารถทำขีปนาวุธระยะไกลได้เหลือล้น. https://www.youtube.com/watch?v=RS15EzYdZ3E
    0 Comments 0 Shares 143 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากอนาคตวันนี้: ร้านขายหุ่นยนต์แห่งแรกของจีนเปิดตัวแล้วในปักกิ่ง

    ในวันที่ 8 สิงหาคม 2025 ก่อนงาน World Robot Conference จะเปิดฉาก จีนได้เปิดตัว “Robot Mall” ร้านขายหุ่นยนต์แบบครบวงจรแห่งแรกของประเทศ ณ เขตเศรษฐกิจเทคโนโลยีปักกิ่ง (Beijing E-Town) โดยมีเป้าหมายเพื่อผลักดันการพัฒนาหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์จากงานวิจัยสู่การใช้งานจริง

    ร้านนี้ถูกออกแบบให้เป็น “4S store” สำหรับหุ่นยนต์ ซึ่งหมายถึง Sales (ขาย), Service (บริการ), Spare parts (อะไหล่), และ Survey (เก็บข้อมูลผู้ใช้) โดยมีหุ่นยนต์กว่า 50 แบบจาก 40 บริษัททั่วประเทศ ตั้งแต่หุ่นยนต์เสิร์ฟอาหาร หุ่นยนต์เล่นหมากรุก ไปจนถึงหุ่นยนต์ที่จำลองบุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์ เช่น ไอน์สไตน์ นิวตัน และหลี่ไป๋

    แม้จะมีการโชว์ความสามารถที่น่าทึ่ง เช่น หุ่นยนต์ชงกาแฟหรือเต้นรำ แต่ก็ยังมีข้อจำกัด เช่น หุ่นยนต์แยกขยะที่ยังต้องให้พนักงานช่วยรีเซ็ตเมื่อทำงานผิดพลาด

    การเปิดร้านนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างระบบนิเวศอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ของจีน โดยมีแผนจะอัปเกรดเป็นเวอร์ชัน 2.0 ในเดือนพฤศจิกายน พร้อมเพิ่มหุ่นยนต์ประเภทใหม่และสถานการณ์ใช้งานจริงที่หลากหลายยิ่งขึ้น

    จีนเปิดตัว Robot Mall ร้านขายหุ่นยนต์แบบ 4S แห่งแรกในปักกิ่ง
    ครอบคลุมการขาย บริการ อะไหล่ และเก็บข้อมูลผู้ใช้

    ตั้งอยู่ในเขต Beijing E-Town ซึ่งเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ของจีน
    ห่างจากใจกลางเมืองประมาณ 40 นาที

    มีหุ่นยนต์กว่า 50 แบบจาก 40 บริษัททั่วประเทศ
    รวมถึงหุ่นยนต์ทางการแพทย์ อุตสาหกรรม และหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์

    หุ่นยนต์สามารถทำงานหลากหลาย เช่น เสิร์ฟอาหาร เล่นหมากรุก เต้นรำ และชงกาแฟ
    มีการจำลองบุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์เพื่อการศึกษาและความบันเทิง

    Robot Mall เปิดตัวก่อนงาน World Robot Conference 2025
    งานจัดขึ้นระหว่างวันที่ 8–12 สิงหาคม ณ ปักกิ่ง

    มีแผนเปิดเวอร์ชัน 2.0 ในเดือนพฤศจิกายน 2025
    จะเพิ่มสถานการณ์ใช้งานจริงและหุ่นยนต์ประเภทใหม่

    ตลาดหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ทั่วโลกคาดว่าจะทะลุ 1 ล้านล้านหยวนภายใน 3 ปี
    ขยายจากภาคอุตสาหกรรมไปสู่บริการและการใช้งานในบ้าน

    เขต Yizhuang มีบริษัทด้านหุ่นยนต์กว่า 300 แห่ง
    คิดเป็น 50% ของอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ในปักกิ่ง

    จีนมีแผน 5 ปีเพื่อเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมหุ่นยนต์ระดับโลกภายในปี 2025
    มุ่งเพิ่มความหนาแน่นของหุ่นยนต์ในภาคการผลิต

    งาน World Robot Conference เป็นเวทีระดับโลกด้าน AI และหุ่นยนต์
    มีผู้เข้าร่วมกว่า 1.3 ล้านคน และจัดประกวดหุ่นยนต์ระดับนานาชาติ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/08/shopping-for-a-robot-china039s-new-robot-store-in-photos
    🤖🏬 เรื่องเล่าจากอนาคตวันนี้: ร้านขายหุ่นยนต์แห่งแรกของจีนเปิดตัวแล้วในปักกิ่ง ในวันที่ 8 สิงหาคม 2025 ก่อนงาน World Robot Conference จะเปิดฉาก จีนได้เปิดตัว “Robot Mall” ร้านขายหุ่นยนต์แบบครบวงจรแห่งแรกของประเทศ ณ เขตเศรษฐกิจเทคโนโลยีปักกิ่ง (Beijing E-Town) โดยมีเป้าหมายเพื่อผลักดันการพัฒนาหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์จากงานวิจัยสู่การใช้งานจริง ร้านนี้ถูกออกแบบให้เป็น “4S store” สำหรับหุ่นยนต์ ซึ่งหมายถึง Sales (ขาย), Service (บริการ), Spare parts (อะไหล่), และ Survey (เก็บข้อมูลผู้ใช้) โดยมีหุ่นยนต์กว่า 50 แบบจาก 40 บริษัททั่วประเทศ ตั้งแต่หุ่นยนต์เสิร์ฟอาหาร หุ่นยนต์เล่นหมากรุก ไปจนถึงหุ่นยนต์ที่จำลองบุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์ เช่น ไอน์สไตน์ นิวตัน และหลี่ไป๋ แม้จะมีการโชว์ความสามารถที่น่าทึ่ง เช่น หุ่นยนต์ชงกาแฟหรือเต้นรำ แต่ก็ยังมีข้อจำกัด เช่น หุ่นยนต์แยกขยะที่ยังต้องให้พนักงานช่วยรีเซ็ตเมื่อทำงานผิดพลาด การเปิดร้านนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างระบบนิเวศอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ของจีน โดยมีแผนจะอัปเกรดเป็นเวอร์ชัน 2.0 ในเดือนพฤศจิกายน พร้อมเพิ่มหุ่นยนต์ประเภทใหม่และสถานการณ์ใช้งานจริงที่หลากหลายยิ่งขึ้น ✅ จีนเปิดตัว Robot Mall ร้านขายหุ่นยนต์แบบ 4S แห่งแรกในปักกิ่ง ➡️ ครอบคลุมการขาย บริการ อะไหล่ และเก็บข้อมูลผู้ใช้ ✅ ตั้งอยู่ในเขต Beijing E-Town ซึ่งเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ของจีน ➡️ ห่างจากใจกลางเมืองประมาณ 40 นาที ✅ มีหุ่นยนต์กว่า 50 แบบจาก 40 บริษัททั่วประเทศ ➡️ รวมถึงหุ่นยนต์ทางการแพทย์ อุตสาหกรรม และหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ ✅ หุ่นยนต์สามารถทำงานหลากหลาย เช่น เสิร์ฟอาหาร เล่นหมากรุก เต้นรำ และชงกาแฟ ➡️ มีการจำลองบุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์เพื่อการศึกษาและความบันเทิง ✅ Robot Mall เปิดตัวก่อนงาน World Robot Conference 2025 ➡️ งานจัดขึ้นระหว่างวันที่ 8–12 สิงหาคม ณ ปักกิ่ง ✅ มีแผนเปิดเวอร์ชัน 2.0 ในเดือนพฤศจิกายน 2025 ➡️ จะเพิ่มสถานการณ์ใช้งานจริงและหุ่นยนต์ประเภทใหม่ ✅ ตลาดหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ทั่วโลกคาดว่าจะทะลุ 1 ล้านล้านหยวนภายใน 3 ปี ➡️ ขยายจากภาคอุตสาหกรรมไปสู่บริการและการใช้งานในบ้าน ✅ เขต Yizhuang มีบริษัทด้านหุ่นยนต์กว่า 300 แห่ง ➡️ คิดเป็น 50% ของอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ในปักกิ่ง ✅ จีนมีแผน 5 ปีเพื่อเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมหุ่นยนต์ระดับโลกภายในปี 2025 ➡️ มุ่งเพิ่มความหนาแน่นของหุ่นยนต์ในภาคการผลิต ✅ งาน World Robot Conference เป็นเวทีระดับโลกด้าน AI และหุ่นยนต์ ➡️ มีผู้เข้าร่วมกว่า 1.3 ล้านคน และจัดประกวดหุ่นยนต์ระดับนานาชาติ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/08/shopping-for-a-robot-china039s-new-robot-store-in-photos
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Shopping for a robot? China's new robot store in photos
    A high-tech district in the Chinese capital is opening an all-service robot store on Friday to push a national drive to develop humanoid robots.
    0 Comments 0 Shares 304 Views 0 Reviews
More Results