• เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: เมื่อ “การรู้เร็ว” คืออาวุธลับขององค์กร

    ลองจินตนาการว่าองค์กรของคุณมีระบบความปลอดภัยครบครัน แต่กลับรู้ว่าข้อมูลบัญชีผู้ใช้งานถูกแฮก...จากอีเมลเรียกค่าไถ่ หรือจากฝ่ายซัพพอร์ตที่แจ้งว่ามีคนล็อกอินผิดปกติ!

    นั่นคือปัญหาที่ xonPlus ต้องการแก้—แพลตฟอร์มใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวจากทีมเบื้องหลัง XposedOrNot ซึ่งเป็นเครื่องมือโอเพ่นซอร์สสำหรับตรวจสอบการรั่วไหลของข้อมูลที่มีผู้ใช้หลายล้านคนทั่วโลก

    xonPlus ทำให้ทีมรักษาความปลอดภัยสามารถรู้ได้ทันทีเมื่ออีเมลหรือโดเมนขององค์กรปรากฏในฐานข้อมูลรั่วไหลหรือฟอรั่มในดาร์กเว็บ พร้อมแจ้งเตือนภายในไม่กี่นาทีหลังจากพบข้อมูลรั่วจริง

    ระบบนี้ไม่เพียงแค่ตรวจจับ แต่ยังเชื่อมต่อกับเครื่องมือที่องค์กรใช้อยู่แล้ว เช่น SIEM, Slack, Microsoft Teams และอีเมล เพื่อให้การตอบสนองเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

    จุดเด่นของ xonPlus ที่ปรากฏในข่าว
    แจ้งเตือนการรั่วไหลของข้อมูลแบบเรียลไทม์
    ตรวจพบข้อมูลบัญชีที่รั่วใน breach dumps หรือ dark web
    แจ้งเตือนภายในไม่กี่นาที พร้อมแหล่งที่มาและคำแนะนำ

    สร้างบนฐานข้อมูลของ XposedOrNot
    ใช้ข้อมูลจากการติดตาม breach กว่า 10 พันล้านรายการใน 8 ปี
    รองรับการค้นหาหลายล้านครั้งทั่วโลก

    โครงสร้างที่ปลอดภัยระดับองค์กร
    ใช้ Cloudflare และ Google Cloud เป็นโครงสร้างพื้นฐาน
    รองรับการใช้งานระดับ enterprise ด้วยความเร็วและความเสถียรสูง

    เชื่อมต่อกับระบบที่องค์กรใช้อยู่แล้ว
    รองรับการเชื่อมต่อกับ SIEM, Slack, Microsoft Teams และอีเมล
    มี API สำหรับนักพัฒนา พร้อมระบบ log และ token

    รองรับการตรวจสอบหลายโดเมนและอีเมลจำนวนมาก
    ตั้งค่า threshold การแจ้งเตือนได้ตามต้องการ
    ใช้งานได้ทั้งองค์กรใหญ่และทีมเล็กที่ไม่มี SOC

    มีโมเดลการใช้งานที่ยืดหยุ่นและราคาคุ้มค่า
    ค่าบริการแบบรายเดือนที่โปร่งใส
    ประหยัดกว่าระบบ threat intel แบบเดิมถึง 5–10 เท่า

    องค์กรที่ไม่มีระบบแจ้งเตือนแบบเรียลไทม์เสี่ยงสูง
    อาจรู้ตัวช้าเมื่อข้อมูลบัญชีถูกแฮก
    การตอบสนองล่าช้าอาจนำไปสู่การเข้าถึงระบบภายในโดยผู้ไม่หวังดี

    การพึ่งพาเครื่องมือแบบเดิมอาจไม่ทันต่อภัยคุกคามยุคใหม่
    ระบบที่ต้องตั้งค่าซับซ้อนและสัญญาระยะยาวอาจไม่เหมาะกับทีมเล็ก
    การไม่มี API หรือการเชื่อมต่อกับระบบที่ใช้อยู่แล้วทำให้การตอบสนองช้า

    การไม่ตรวจสอบข้อมูลใน dark web เป็นช่องโหว่สำคัญ
    ข้อมูลที่รั่วอาจถูกใช้โจมตีแบบ account takeover หรือ ransomware
    การไม่รู้ว่าข้อมูลขององค์กรอยู่ในมือใครคือความเสี่ยงที่ควบคุมไม่ได้

    https://hackread.com/xonplus-launches-real-time-breach-alerting-platform-for-enterprise-credential-exposure/
    🧠 เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: เมื่อ “การรู้เร็ว” คืออาวุธลับขององค์กร ลองจินตนาการว่าองค์กรของคุณมีระบบความปลอดภัยครบครัน แต่กลับรู้ว่าข้อมูลบัญชีผู้ใช้งานถูกแฮก...จากอีเมลเรียกค่าไถ่ หรือจากฝ่ายซัพพอร์ตที่แจ้งว่ามีคนล็อกอินผิดปกติ! นั่นคือปัญหาที่ xonPlus ต้องการแก้—แพลตฟอร์มใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวจากทีมเบื้องหลัง XposedOrNot ซึ่งเป็นเครื่องมือโอเพ่นซอร์สสำหรับตรวจสอบการรั่วไหลของข้อมูลที่มีผู้ใช้หลายล้านคนทั่วโลก xonPlus ทำให้ทีมรักษาความปลอดภัยสามารถรู้ได้ทันทีเมื่ออีเมลหรือโดเมนขององค์กรปรากฏในฐานข้อมูลรั่วไหลหรือฟอรั่มในดาร์กเว็บ พร้อมแจ้งเตือนภายในไม่กี่นาทีหลังจากพบข้อมูลรั่วจริง ระบบนี้ไม่เพียงแค่ตรวจจับ แต่ยังเชื่อมต่อกับเครื่องมือที่องค์กรใช้อยู่แล้ว เช่น SIEM, Slack, Microsoft Teams และอีเมล เพื่อให้การตอบสนองเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ⭕ จุดเด่นของ xonPlus ที่ปรากฏในข่าว ✅ แจ้งเตือนการรั่วไหลของข้อมูลแบบเรียลไทม์ ➡️ ตรวจพบข้อมูลบัญชีที่รั่วใน breach dumps หรือ dark web ➡️ แจ้งเตือนภายในไม่กี่นาที พร้อมแหล่งที่มาและคำแนะนำ ✅ สร้างบนฐานข้อมูลของ XposedOrNot ➡️ ใช้ข้อมูลจากการติดตาม breach กว่า 10 พันล้านรายการใน 8 ปี ➡️ รองรับการค้นหาหลายล้านครั้งทั่วโลก ✅ โครงสร้างที่ปลอดภัยระดับองค์กร ➡️ ใช้ Cloudflare และ Google Cloud เป็นโครงสร้างพื้นฐาน ➡️ รองรับการใช้งานระดับ enterprise ด้วยความเร็วและความเสถียรสูง ✅ เชื่อมต่อกับระบบที่องค์กรใช้อยู่แล้ว ➡️ รองรับการเชื่อมต่อกับ SIEM, Slack, Microsoft Teams และอีเมล ➡️ มี API สำหรับนักพัฒนา พร้อมระบบ log และ token ✅ รองรับการตรวจสอบหลายโดเมนและอีเมลจำนวนมาก ➡️ ตั้งค่า threshold การแจ้งเตือนได้ตามต้องการ ➡️ ใช้งานได้ทั้งองค์กรใหญ่และทีมเล็กที่ไม่มี SOC ✅ มีโมเดลการใช้งานที่ยืดหยุ่นและราคาคุ้มค่า ➡️ ค่าบริการแบบรายเดือนที่โปร่งใส ➡️ ประหยัดกว่าระบบ threat intel แบบเดิมถึง 5–10 เท่า ‼️ องค์กรที่ไม่มีระบบแจ้งเตือนแบบเรียลไทม์เสี่ยงสูง ⛔ อาจรู้ตัวช้าเมื่อข้อมูลบัญชีถูกแฮก ⛔ การตอบสนองล่าช้าอาจนำไปสู่การเข้าถึงระบบภายในโดยผู้ไม่หวังดี ‼️ การพึ่งพาเครื่องมือแบบเดิมอาจไม่ทันต่อภัยคุกคามยุคใหม่ ⛔ ระบบที่ต้องตั้งค่าซับซ้อนและสัญญาระยะยาวอาจไม่เหมาะกับทีมเล็ก ⛔ การไม่มี API หรือการเชื่อมต่อกับระบบที่ใช้อยู่แล้วทำให้การตอบสนองช้า ‼️ การไม่ตรวจสอบข้อมูลใน dark web เป็นช่องโหว่สำคัญ ⛔ ข้อมูลที่รั่วอาจถูกใช้โจมตีแบบ account takeover หรือ ransomware ⛔ การไม่รู้ว่าข้อมูลขององค์กรอยู่ในมือใครคือความเสี่ยงที่ควบคุมไม่ได้ https://hackread.com/xonplus-launches-real-time-breach-alerting-platform-for-enterprise-credential-exposure/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 35 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข่าว: เมื่อ AI กลายเป็น “เจ้านายใหม่” ที่ทำให้คนตกงาน

    ปี 2025 กลายเป็นปีที่อุตสาหกรรมเทคโนโลยีต้องเผชิญกับคลื่นพายุแห่งการปลดพนักงานครั้งใหญ่ — มากกว่า 100,000 คนถูกเลิกจ้างภายในครึ่งปีแรก และตัวเลขยังคงพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง

    บริษัทใหญ่ ๆ อย่าง Intel, Microsoft, Meta, Google, Amazon และ Cisco ต่างทยอยปลดพนักงานหลายหมื่นคน โดยมีเหตุผลหลักคือการปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อมุ่งสู่ยุค AI อย่างเต็มตัว

    Intel ซึ่งเคยเป็นยักษ์ใหญ่ด้านชิป PC กำลังเผชิญกับยอดขายที่ตกต่ำ และหันไปเน้นการพัฒนาเทคโนโลยี AI แทน โดยคาดว่าจะปลดพนักงานถึง 75,000 คนภายในสิ้นปีนี้

    Microsoft ก็ไม่ต่างกัน — ปลดพนักงานไปแล้ว 15,000 คน แม้จะมีกำไรดี แต่กลับเลือกลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI และใช้ Copilot เขียนโค้ดแทนมนุษย์ถึง 30% แล้ว

    หลายบริษัทอ้างว่า AI ไม่ได้ “แทนที่” คน แต่เป็นการ “ปรับโครงสร้าง” เพื่อให้มีงบลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ แต่สำหรับพนักงานที่ถูกปลด คำอธิบายนี้อาจฟังดูเย็นชาเกินไป

    ยอดปลดพนักงานในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีปี 2025 ทะลุ 100,000 คนแล้ว
    เกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีแรก และยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
    เป็นการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ในหลายบริษัท

    Intel มีแผนปลดพนักงานมากที่สุด
    ประกาศปลด 24,000 คน และคาดว่าจะถึง 75,000 คนภายในสิ้นปี
    สาเหตุหลักคือยอดขาย CPU ลดลง และหันไปเน้นธุรกิจ AI

    Microsoft ปลดพนักงาน 15,000 คน
    ครอบคลุมหลายแผนก เช่น cloud, gaming, hardware
    ใช้ AI เขียนโค้ดถึง 30% และลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI มูลค่า $80 พันล้าน

    บริษัทอื่น ๆ ก็ปรับตัวเช่นกัน
    Meta, Google, Amazon, Cisco ปลดพนักงานหลายพันคน
    นำงบไปลงทุนในโมเดล AI และระบบอัตโนมัติ

    สาเหตุอื่นที่ทำให้เกิดการปลดพนักงาน
    การจ้างงานเกินในช่วงโควิดที่ไม่สามารถรักษาไว้ได้
    ความไม่แน่นอนจากภาษีและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์

    AI กลายเป็นปัจจัยหลักในการปรับโครงสร้าง
    งานที่เคยทำโดยมนุษย์ถูกแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติ
    บริษัทเน้น “การจ้างงานแบบแม่นยำ” มากกว่าการจ้างงานจำนวนมาก

    https://www.techspot.com/news/108818-layoffs-surge-tech-more-than-100000-jobs-cut.html
    🧠 เรื่องเล่าจากข่าว: เมื่อ AI กลายเป็น “เจ้านายใหม่” ที่ทำให้คนตกงาน ปี 2025 กลายเป็นปีที่อุตสาหกรรมเทคโนโลยีต้องเผชิญกับคลื่นพายุแห่งการปลดพนักงานครั้งใหญ่ — มากกว่า 100,000 คนถูกเลิกจ้างภายในครึ่งปีแรก และตัวเลขยังคงพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง บริษัทใหญ่ ๆ อย่าง Intel, Microsoft, Meta, Google, Amazon และ Cisco ต่างทยอยปลดพนักงานหลายหมื่นคน โดยมีเหตุผลหลักคือการปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อมุ่งสู่ยุค AI อย่างเต็มตัว Intel ซึ่งเคยเป็นยักษ์ใหญ่ด้านชิป PC กำลังเผชิญกับยอดขายที่ตกต่ำ และหันไปเน้นการพัฒนาเทคโนโลยี AI แทน โดยคาดว่าจะปลดพนักงานถึง 75,000 คนภายในสิ้นปีนี้ Microsoft ก็ไม่ต่างกัน — ปลดพนักงานไปแล้ว 15,000 คน แม้จะมีกำไรดี แต่กลับเลือกลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI และใช้ Copilot เขียนโค้ดแทนมนุษย์ถึง 30% แล้ว หลายบริษัทอ้างว่า AI ไม่ได้ “แทนที่” คน แต่เป็นการ “ปรับโครงสร้าง” เพื่อให้มีงบลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ แต่สำหรับพนักงานที่ถูกปลด คำอธิบายนี้อาจฟังดูเย็นชาเกินไป ✅ ยอดปลดพนักงานในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีปี 2025 ทะลุ 100,000 คนแล้ว ➡️ เกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีแรก และยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ➡️ เป็นการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ในหลายบริษัท ✅ Intel มีแผนปลดพนักงานมากที่สุด ➡️ ประกาศปลด 24,000 คน และคาดว่าจะถึง 75,000 คนภายในสิ้นปี ➡️ สาเหตุหลักคือยอดขาย CPU ลดลง และหันไปเน้นธุรกิจ AI ✅ Microsoft ปลดพนักงาน 15,000 คน ➡️ ครอบคลุมหลายแผนก เช่น cloud, gaming, hardware ➡️ ใช้ AI เขียนโค้ดถึง 30% และลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI มูลค่า $80 พันล้าน ✅ บริษัทอื่น ๆ ก็ปรับตัวเช่นกัน ➡️ Meta, Google, Amazon, Cisco ปลดพนักงานหลายพันคน ➡️ นำงบไปลงทุนในโมเดล AI และระบบอัตโนมัติ ✅ สาเหตุอื่นที่ทำให้เกิดการปลดพนักงาน ➡️ การจ้างงานเกินในช่วงโควิดที่ไม่สามารถรักษาไว้ได้ ➡️ ความไม่แน่นอนจากภาษีและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ✅ AI กลายเป็นปัจจัยหลักในการปรับโครงสร้าง ➡️ งานที่เคยทำโดยมนุษย์ถูกแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติ ➡️ บริษัทเน้น “การจ้างงานแบบแม่นยำ” มากกว่าการจ้างงานจำนวนมาก https://www.techspot.com/news/108818-layoffs-surge-tech-more-than-100000-jobs-cut.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Layoffs surge in tech: More than 100,000 jobs cut in 2025 so far
    We've now entered the second half of the year, and tech-related layoffs have already skyrocketed past the 100,000 mark. The Bridge Chronicle has compiled a list of...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 26 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากคำถามที่เปลี่ยนโลก: เมื่อ ChatGPT ตอบ 2.5 พันล้านคำสั่งต่อวัน และดื่มน้ำมากกว่าที่เราคิด

    OpenAI เปิดเผยกับ Axios ว่า ChatGPT รับคำสั่งมากกว่า 2.5 พันล้านครั้งต่อวัน โดยประมาณ 13% มาจากผู้ใช้ในสหรัฐฯ และส่วนใหญ่ใช้เวอร์ชันฟรี

    แม้จะไม่มีตัวเลขที่แน่นอน แต่ Bloomberg รายงานว่ามีผู้ใช้แบบเสียเงินราว 3 ล้านคน เพิ่มขึ้น 50% จากต้นปี

    แต่สิ่งที่น่ากังวลคือ:
    - Sam Altman ซีอีโอของ OpenAI ระบุว่าแต่ละ prompt ใช้พลังงานประมาณ 0.34 วัตต์-ชั่วโมง และน้ำประมาณ 0.32 มิลลิลิตร
    - นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Rhode Island และ Tunis พบว่า GPT-4o ซึ่งเป็นโมเดลฟรี อาจใช้ถึง 1–2 มล. ต่อ prompt
    - GPT-4.5 ซึ่งเป็นรุ่นขั้นสูง อาจใช้ถึง 30 มล. ต่อ prompt

    เมื่อคำนวณรวมกัน:
    - ChatGPT อาจใช้มากกว่า 77 ล้านแกลลอนต่อปี
    - น้ำที่ใช้ในการระบายความร้อนและโครงสร้างพื้นฐานอาจทำให้สูญเสียน้ำจืดจากระบบนิเวศถึง 352 ล้านแกลลอนภายในสิ้นปี 2025 — เทียบเท่ากับน้ำดื่มสำหรับคน 1.2 ล้านคน

    ด้านพลังงาน:
    - ChatGPT อาจใช้พลังงานหลายล้านถึงพันล้านวัตต์-ชั่วโมงต่อปี
    - เทียบเท่ากับการใช้ไฟของบ้านหลายพันหลัง

    ในขณะที่ AI ถูกใช้งานมากขึ้นในมหาวิทยาลัย, ศาล, และบริษัทต่าง ๆ — นักเศรษฐศาสตร์เตือนว่าอาจเป็นฟองสบู่คล้าย dot-com ปี 2000 และ Nvidia อาจกลายเป็น “จุดล้มเดียว” ของอุตสาหกรรมที่ยังไม่พิสูจน์ว่าทำกำไรได้จริง

    https://www.techspot.com/news/108770-chatgpt-now-handles-25-billion-prompts-daily-openai.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากคำถามที่เปลี่ยนโลก: เมื่อ ChatGPT ตอบ 2.5 พันล้านคำสั่งต่อวัน และดื่มน้ำมากกว่าที่เราคิด OpenAI เปิดเผยกับ Axios ว่า ChatGPT รับคำสั่งมากกว่า 2.5 พันล้านครั้งต่อวัน โดยประมาณ 13% มาจากผู้ใช้ในสหรัฐฯ และส่วนใหญ่ใช้เวอร์ชันฟรี แม้จะไม่มีตัวเลขที่แน่นอน แต่ Bloomberg รายงานว่ามีผู้ใช้แบบเสียเงินราว 3 ล้านคน เพิ่มขึ้น 50% จากต้นปี แต่สิ่งที่น่ากังวลคือ: - Sam Altman ซีอีโอของ OpenAI ระบุว่าแต่ละ prompt ใช้พลังงานประมาณ 0.34 วัตต์-ชั่วโมง และน้ำประมาณ 0.32 มิลลิลิตร - นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Rhode Island และ Tunis พบว่า GPT-4o ซึ่งเป็นโมเดลฟรี อาจใช้ถึง 1–2 มล. ต่อ prompt - GPT-4.5 ซึ่งเป็นรุ่นขั้นสูง อาจใช้ถึง 30 มล. ต่อ prompt เมื่อคำนวณรวมกัน: - ChatGPT อาจใช้มากกว่า 77 ล้านแกลลอนต่อปี - น้ำที่ใช้ในการระบายความร้อนและโครงสร้างพื้นฐานอาจทำให้สูญเสียน้ำจืดจากระบบนิเวศถึง 352 ล้านแกลลอนภายในสิ้นปี 2025 — เทียบเท่ากับน้ำดื่มสำหรับคน 1.2 ล้านคน ด้านพลังงาน: - ChatGPT อาจใช้พลังงานหลายล้านถึงพันล้านวัตต์-ชั่วโมงต่อปี - เทียบเท่ากับการใช้ไฟของบ้านหลายพันหลัง ในขณะที่ AI ถูกใช้งานมากขึ้นในมหาวิทยาลัย, ศาล, และบริษัทต่าง ๆ — นักเศรษฐศาสตร์เตือนว่าอาจเป็นฟองสบู่คล้าย dot-com ปี 2000 และ Nvidia อาจกลายเป็น “จุดล้มเดียว” ของอุตสาหกรรมที่ยังไม่พิสูจน์ว่าทำกำไรได้จริง https://www.techspot.com/news/108770-chatgpt-now-handles-25-billion-prompts-daily-openai.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    ChatGPT now handles 2.5 billion prompts daily, OpenAI confirms
    OpenAI recently told Axios that its popular generative AI chatbot, ChatGPT, receives over 2.5 billion prompts per day globally. Of those, over 330 million, or around 13...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 105 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากมัลแวร์ที่ปลอมตัวเป็น Chrome: เมื่อ Interlock แรนซัมแวร์ใช้ CAPTCHA หลอกให้รันคำสั่งเอง

    Interlock ถูกตรวจพบครั้งแรกในเดือนกันยายน 2024 และมีการโจมตีเพิ่มขึ้นในช่วงกลางปี 2025 โดย FBI พบว่า:
    - กลุ่มนี้พัฒนาแรนซัมแวร์สำหรับทั้ง Windows และ Linux
    - เน้นโจมตีระบบ virtual machine (VM) และใช้เทคนิคใหม่ในการเข้าถึงระบบ

    เทคนิคที่ใช้มีความแปลกใหม่ เช่น:
    - “Drive-by download” จากเว็บไซต์ที่ถูกแฮก โดยปลอมเป็นอัปเดตของ Chrome, Edge, FortiClient หรือ Cisco Secure Client
    - “ClickFix” — หลอกให้ผู้ใช้คลิก CAPTCHA ปลอม แล้วคัดลอกคำสั่งไปวางในหน้าต่าง Run ของระบบ

    เมื่อเข้าระบบได้แล้ว Interlock จะ:
    - ใช้ web shell และ Cobalt Strike เพื่อควบคุมระบบ
    - ขโมยข้อมูล เช่น username, password และใช้ keylogger บันทึกการพิมพ์
    - เข้ารหัสไฟล์และเปลี่ยนนามสกุลเป็น .interlock หรือ .1nt3rlock
    - ส่งโน้ตร้องขอค่าไถ่ผ่านเว็บไซต์ .onion โดยไม่ระบุจำนวนเงิน
    - ข่มขู่ว่าจะเปิดเผยข้อมูลหากไม่จ่ายค่าไถ่เป็น Bitcoin — และเคยทำจริงหลายครั้ง

    FBI, CISA, HHS และ MS-ISAC แนะนำให้ทุกองค์กรเร่งดำเนินมาตรการป้องกัน เช่น:
    - ใช้ DNS filtering และ firewall เพื่อป้องกันการเข้าถึงเว็บอันตราย
    - อัปเดตระบบและซอฟต์แวร์ทั้งหมด
    - ใช้ MFA และจัดการสิทธิ์การเข้าถึงอย่างเข้มงวด
    - แบ่งเครือข่ายเพื่อลดการแพร่กระจาย
    - สำรองข้อมูลแบบ offline และไม่สามารถแก้ไขได้ (immutable backup)

    FBI และ CISA เตือนภัย Interlock ransomware ที่โจมตีองค์กรและโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ
    ใช้เทคนิค double extortion คือทั้งเข้ารหัสและข่มขู่เปิดเผยข้อมูล

    Interlock พัฒนาแรนซัมแวร์สำหรับ Windows และ Linux โดยเน้นโจมตี VM
    ใช้เทคนิคใหม่ เช่น drive-by download และ ClickFix

    ClickFix คือการหลอกให้ผู้ใช้คลิก CAPTCHA ปลอม แล้วรันคำสั่งอันตรายเอง
    เป็นการใช้ social engineering ที่แยบยลและยากต่อการตรวจจับ

    หลังเข้าระบบ Interlock ใช้ Cobalt Strike และ web shell เพื่อควบคุมและขโมยข้อมูล
    รวมถึงการใช้ keylogger เพื่อดักจับการพิมพ์

    ไฟล์ที่ถูกเข้ารหัสจะมีนามสกุล .interlock หรือ .1nt3rlock
    โน้ตร้องขอค่าไถ่ไม่ระบุจำนวนเงิน แต่ให้ติดต่อผ่าน Tor

    หน่วยงานแนะนำให้ใช้ DNS filtering, MFA, network segmentation และ backup แบบ immutable
    พร้อมทรัพยากรฟรีจากโครงการ #StopRansomware

    https://hackread.com/fbi-cisa-interlock-ransomware-target-critical-infrastructure/
    🎙️ เรื่องเล่าจากมัลแวร์ที่ปลอมตัวเป็น Chrome: เมื่อ Interlock แรนซัมแวร์ใช้ CAPTCHA หลอกให้รันคำสั่งเอง Interlock ถูกตรวจพบครั้งแรกในเดือนกันยายน 2024 และมีการโจมตีเพิ่มขึ้นในช่วงกลางปี 2025 โดย FBI พบว่า: - กลุ่มนี้พัฒนาแรนซัมแวร์สำหรับทั้ง Windows และ Linux - เน้นโจมตีระบบ virtual machine (VM) และใช้เทคนิคใหม่ในการเข้าถึงระบบ เทคนิคที่ใช้มีความแปลกใหม่ เช่น: - “Drive-by download” จากเว็บไซต์ที่ถูกแฮก โดยปลอมเป็นอัปเดตของ Chrome, Edge, FortiClient หรือ Cisco Secure Client - “ClickFix” — หลอกให้ผู้ใช้คลิก CAPTCHA ปลอม แล้วคัดลอกคำสั่งไปวางในหน้าต่าง Run ของระบบ เมื่อเข้าระบบได้แล้ว Interlock จะ: - ใช้ web shell และ Cobalt Strike เพื่อควบคุมระบบ - ขโมยข้อมูล เช่น username, password และใช้ keylogger บันทึกการพิมพ์ - เข้ารหัสไฟล์และเปลี่ยนนามสกุลเป็น .interlock หรือ .1nt3rlock - ส่งโน้ตร้องขอค่าไถ่ผ่านเว็บไซต์ .onion โดยไม่ระบุจำนวนเงิน - ข่มขู่ว่าจะเปิดเผยข้อมูลหากไม่จ่ายค่าไถ่เป็น Bitcoin — และเคยทำจริงหลายครั้ง FBI, CISA, HHS และ MS-ISAC แนะนำให้ทุกองค์กรเร่งดำเนินมาตรการป้องกัน เช่น: - ใช้ DNS filtering และ firewall เพื่อป้องกันการเข้าถึงเว็บอันตราย - อัปเดตระบบและซอฟต์แวร์ทั้งหมด - ใช้ MFA และจัดการสิทธิ์การเข้าถึงอย่างเข้มงวด - แบ่งเครือข่ายเพื่อลดการแพร่กระจาย - สำรองข้อมูลแบบ offline และไม่สามารถแก้ไขได้ (immutable backup) ✅ FBI และ CISA เตือนภัย Interlock ransomware ที่โจมตีองค์กรและโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ ➡️ ใช้เทคนิค double extortion คือทั้งเข้ารหัสและข่มขู่เปิดเผยข้อมูล ✅ Interlock พัฒนาแรนซัมแวร์สำหรับ Windows และ Linux โดยเน้นโจมตี VM ➡️ ใช้เทคนิคใหม่ เช่น drive-by download และ ClickFix ✅ ClickFix คือการหลอกให้ผู้ใช้คลิก CAPTCHA ปลอม แล้วรันคำสั่งอันตรายเอง ➡️ เป็นการใช้ social engineering ที่แยบยลและยากต่อการตรวจจับ ✅ หลังเข้าระบบ Interlock ใช้ Cobalt Strike และ web shell เพื่อควบคุมและขโมยข้อมูล ➡️ รวมถึงการใช้ keylogger เพื่อดักจับการพิมพ์ ✅ ไฟล์ที่ถูกเข้ารหัสจะมีนามสกุล .interlock หรือ .1nt3rlock ➡️ โน้ตร้องขอค่าไถ่ไม่ระบุจำนวนเงิน แต่ให้ติดต่อผ่าน Tor ✅ หน่วยงานแนะนำให้ใช้ DNS filtering, MFA, network segmentation และ backup แบบ immutable ➡️ พร้อมทรัพยากรฟรีจากโครงการ #StopRansomware https://hackread.com/fbi-cisa-interlock-ransomware-target-critical-infrastructure/
    HACKREAD.COM
    FBI and CISA Warn of Interlock Ransomware Targeting Critical Infrastructure
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 140 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากกฎเกณฑ์ด้านเน็ต: เมื่อ “ความเร็วสูง” กลายเป็นเรื่องการเมืองและการพัฒนาเทคโนโลยี

    ในปี 2024 รัฐบาลสหรัฐฯ โดยฝ่ายบริหาร Biden เสนอให้มีการตั้งเป้าหมายระยะยาวเรื่อง “gigabit internet” สำหรับประชาชนทุกกลุ่ม — โดยใช้เป็นกรอบในการออกนโยบายด้าน universal access และสนับสนุนผู้ให้บริการ

    แต่ในเอกสาร Fact Sheet ของ FCC เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2025 ที่เกี่ยวกับการทบทวนการเข้าถึงบริการโทรคมนาคมขั้นสูง (ตาม Section 706) Brendan Carr ได้แสดงความกังวลว่า:

    เป้าหมาย gigabit อาจเป็นการ “เลือกปฏิบัติต่อเทคโนโลยี” เช่นดาวเทียมหรือ wireless ที่ยังไม่สามารถวิ่งที่ 1,000/500 Mbps ได้

    อาจผิดหลัก “เทคโนโลยีเป็นกลาง” ที่กฎหมายกำหนดไว้

    ควรปรับเป้าหมายตาม “ความคืบหน้าเชิงเทคโนโลยี” ไม่ใช่กำหนดล่วงหน้าว่าทุกคนต้องใช้ความเร็วเดียวกัน

    นอกจากนี้ Carr ยังไม่เห็นด้วยกับการใช้เกณฑ์หลายด้านในการประเมิน เช่น:
    - ความสามารถในการเข้าถึง
    - ความสามารถในการใช้งาน
    - ความเท่าเทียมกัน
    - ราคาและการยอมรับใช้งาน

    โดยมองว่าอาจเบี่ยงเบนจากเจตนารมณ์ดั้งเดิมของ Section 706 ที่เน้นความคืบหน้าในการเข้าถึงอย่างแท้จริง

    FCC เตรียมลงคะแนนข้อเสนอของ Brendan Carr ในวันที่ 7 สิงหาคม 2025
    เพื่อตัดสินใจว่าจะปรับเป้าหมาย gigabit internet หรือไม่

    Carr เสนอให้ยกเลิกการกำหนดเป้าหมายระยะยาว 1,000/500 Mbps
    โดยมองว่าไม่ควรเลือกปฏิบัติต่อเทคโนโลยีบางประเภทที่ยังไม่ถึงระดับนั้น

    FCC ระบุว่าการกำหนดเป้าหมายเร็วไปอาจขัดหลัก “เทคโนโลยีเป็นกลาง”
    เช่น satellite และ fixed wireless อาจได้รับผลกระทบทางนโยบาย

    เป้าหมาย gigabit มาจากแผนของรัฐบาล Biden ปี 2024 ที่เน้น universal access
    โดยใช้เป็นกรอบสำหรับการสนับสนุนเงินทุนจากภาครัฐ

    Carr เสนอให้การประเมินของ FCC เน้น “ความคืบหน้าในการ deploy” มากกว่า “การเข้าถึงครบ”
    เพื่อสะท้อนความจริงของการพัฒนาระบบแทนการตั้งมาตรฐานล่วงหน้า

    FCC ต้องทำการสอบสวนทุกปีตามกฎหมาย Telecommunications Act of 1996, Section 706
    การเปลี่ยนเป้าหมายในปีนี้อาจมีผลต่อการสนับสนุน ISP และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/fcc-proposal-aims-to-nix-long-term-gigabit-internet-speed-goals-pricing-analysis
    🎙️ เรื่องเล่าจากกฎเกณฑ์ด้านเน็ต: เมื่อ “ความเร็วสูง” กลายเป็นเรื่องการเมืองและการพัฒนาเทคโนโลยี ในปี 2024 รัฐบาลสหรัฐฯ โดยฝ่ายบริหาร Biden เสนอให้มีการตั้งเป้าหมายระยะยาวเรื่อง “gigabit internet” สำหรับประชาชนทุกกลุ่ม — โดยใช้เป็นกรอบในการออกนโยบายด้าน universal access และสนับสนุนผู้ให้บริการ แต่ในเอกสาร Fact Sheet ของ FCC เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2025 ที่เกี่ยวกับการทบทวนการเข้าถึงบริการโทรคมนาคมขั้นสูง (ตาม Section 706) Brendan Carr ได้แสดงความกังวลว่า: เป้าหมาย gigabit อาจเป็นการ “เลือกปฏิบัติต่อเทคโนโลยี” เช่นดาวเทียมหรือ wireless ที่ยังไม่สามารถวิ่งที่ 1,000/500 Mbps ได้ อาจผิดหลัก “เทคโนโลยีเป็นกลาง” ที่กฎหมายกำหนดไว้ ควรปรับเป้าหมายตาม “ความคืบหน้าเชิงเทคโนโลยี” ไม่ใช่กำหนดล่วงหน้าว่าทุกคนต้องใช้ความเร็วเดียวกัน นอกจากนี้ Carr ยังไม่เห็นด้วยกับการใช้เกณฑ์หลายด้านในการประเมิน เช่น: - ความสามารถในการเข้าถึง - ความสามารถในการใช้งาน - ความเท่าเทียมกัน - ราคาและการยอมรับใช้งาน โดยมองว่าอาจเบี่ยงเบนจากเจตนารมณ์ดั้งเดิมของ Section 706 ที่เน้นความคืบหน้าในการเข้าถึงอย่างแท้จริง ✅ FCC เตรียมลงคะแนนข้อเสนอของ Brendan Carr ในวันที่ 7 สิงหาคม 2025 ➡️ เพื่อตัดสินใจว่าจะปรับเป้าหมาย gigabit internet หรือไม่ ✅ Carr เสนอให้ยกเลิกการกำหนดเป้าหมายระยะยาว 1,000/500 Mbps ➡️ โดยมองว่าไม่ควรเลือกปฏิบัติต่อเทคโนโลยีบางประเภทที่ยังไม่ถึงระดับนั้น ✅ FCC ระบุว่าการกำหนดเป้าหมายเร็วไปอาจขัดหลัก “เทคโนโลยีเป็นกลาง” ➡️ เช่น satellite และ fixed wireless อาจได้รับผลกระทบทางนโยบาย ✅ เป้าหมาย gigabit มาจากแผนของรัฐบาล Biden ปี 2024 ที่เน้น universal access ➡️ โดยใช้เป็นกรอบสำหรับการสนับสนุนเงินทุนจากภาครัฐ ✅ Carr เสนอให้การประเมินของ FCC เน้น “ความคืบหน้าในการ deploy” มากกว่า “การเข้าถึงครบ” ➡️ เพื่อสะท้อนความจริงของการพัฒนาระบบแทนการตั้งมาตรฐานล่วงหน้า ✅ FCC ต้องทำการสอบสวนทุกปีตามกฎหมาย Telecommunications Act of 1996, Section 706 ➡️ การเปลี่ยนเป้าหมายในปีนี้อาจมีผลต่อการสนับสนุน ISP และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน https://www.tomshardware.com/tech-industry/fcc-proposal-aims-to-nix-long-term-gigabit-internet-speed-goals-pricing-analysis
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    FCC proposal aims to nix long-term gigabit internet speed goals, pricing analysis
    An FCC proposal seeks to undo the Biden administration's efforts to encourage increased availability of gigabit download speeds.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 156 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก GPU หลักล้าน: เมื่อการสร้าง AI ไม่ใช่แค่โมเดล แต่คือการสร้างโลกใหม่

    Altman โพสต์บน X ว่า OpenAI จะมี “มากกว่า 1 ล้าน GPU” ภายในสิ้นปีนี้ — เทียบกับ xAI ของ Elon Musk ที่ใช้เพียง 200,000 GPU ในโมเดล Grok 4 ถือว่า OpenAI มีพลังมากกว่า 5 เท่า

    แต่ Altman ไม่หยุดแค่นั้น เขาบอกว่า “ทีมต้องหาวิธีเพิ่มอีก 100 เท่า” ซึ่งหมายถึง 100 ล้าน GPU — คิดเป็นมูลค่าราว $3 ล้านล้านดอลลาร์ (หรือเท่ากับ GDP ของสหราชอาณาจักร)

    แม้จะดูเป็นเป้าหมายที่เกินจริง แต่ OpenAI ก็มีโครงการรองรับ เช่น:
    - ศูนย์ข้อมูลในเท็กซัสที่ใช้พลังงาน 300MW และจะเพิ่มเป็น 1GW ในปี 2026
    - ความร่วมมือกับ Oracle และ Microsoft Azure
    - การสำรวจการใช้ Google TPU และการพัฒนาชิป AI ของตัวเอง

    Altman มองว่า compute คือ “คอขวด” ของวงการ AI และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานคือการสร้างความได้เปรียบระยะยาว

    OpenAI จะมีมากกว่า 1 ล้าน GPU สำหรับงาน AI ภายในสิ้นปี 2025
    มากกว่าคู่แข่งอย่าง xAI ที่ใช้เพียง 200,000 GPU

    Altman ตั้งเป้าในอนาคตว่าจะมีถึง 100 ล้าน GPU
    คิดเป็นมูลค่าราว $3 ล้านล้านดอลลาร์ หรือเท่ากับ GDP ของ UK

    ศูนย์ข้อมูลในเท็กซัสของ OpenAI ใช้พลังงาน 300MW และจะเพิ่มเป็น 1GW
    เทียบเท่ากับการจ่ายไฟให้เมืองขนาดกลาง

    OpenAI ร่วมมือกับ Microsoft Azure และ Oracle ในการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน
    และอาจใช้ Google TPU เพื่อกระจายความเสี่ยงด้าน compute

    Altman เคยกล่าวว่า GPT‑4.5 ต้องชะลอการเปิดตัวเพราะ “GPU ไม่พอ”
    ทำให้การขยาย compute กลายเป็นเป้าหมายหลักขององค์กร

    บริษัทอื่นอย่าง Meta, Amazon ก็กำลังพัฒนาชิป AI ของตัวเอง
    เพื่อแข่งขันในตลาดที่ compute คือทรัพยากรสำคัญที่สุด

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/sam-altman-teases-100-million-gpu-scale-for-openai-that-could-cost-usd3-trillion-chatgpt-maker-to-cross-well-over-1-million-by-end-of-year
    🎙️ เรื่องเล่าจาก GPU หลักล้าน: เมื่อการสร้าง AI ไม่ใช่แค่โมเดล แต่คือการสร้างโลกใหม่ Altman โพสต์บน X ว่า OpenAI จะมี “มากกว่า 1 ล้าน GPU” ภายในสิ้นปีนี้ — เทียบกับ xAI ของ Elon Musk ที่ใช้เพียง 200,000 GPU ในโมเดล Grok 4 ถือว่า OpenAI มีพลังมากกว่า 5 เท่า แต่ Altman ไม่หยุดแค่นั้น เขาบอกว่า “ทีมต้องหาวิธีเพิ่มอีก 100 เท่า” ซึ่งหมายถึง 100 ล้าน GPU — คิดเป็นมูลค่าราว $3 ล้านล้านดอลลาร์ (หรือเท่ากับ GDP ของสหราชอาณาจักร) แม้จะดูเป็นเป้าหมายที่เกินจริง แต่ OpenAI ก็มีโครงการรองรับ เช่น: - ศูนย์ข้อมูลในเท็กซัสที่ใช้พลังงาน 300MW และจะเพิ่มเป็น 1GW ในปี 2026 - ความร่วมมือกับ Oracle และ Microsoft Azure - การสำรวจการใช้ Google TPU และการพัฒนาชิป AI ของตัวเอง Altman มองว่า compute คือ “คอขวด” ของวงการ AI และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานคือการสร้างความได้เปรียบระยะยาว ✅ OpenAI จะมีมากกว่า 1 ล้าน GPU สำหรับงาน AI ภายในสิ้นปี 2025 ➡️ มากกว่าคู่แข่งอย่าง xAI ที่ใช้เพียง 200,000 GPU ✅ Altman ตั้งเป้าในอนาคตว่าจะมีถึง 100 ล้าน GPU ➡️ คิดเป็นมูลค่าราว $3 ล้านล้านดอลลาร์ หรือเท่ากับ GDP ของ UK ✅ ศูนย์ข้อมูลในเท็กซัสของ OpenAI ใช้พลังงาน 300MW และจะเพิ่มเป็น 1GW ➡️ เทียบเท่ากับการจ่ายไฟให้เมืองขนาดกลาง ✅ OpenAI ร่วมมือกับ Microsoft Azure และ Oracle ในการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ➡️ และอาจใช้ Google TPU เพื่อกระจายความเสี่ยงด้าน compute ✅ Altman เคยกล่าวว่า GPT‑4.5 ต้องชะลอการเปิดตัวเพราะ “GPU ไม่พอ” ➡️ ทำให้การขยาย compute กลายเป็นเป้าหมายหลักขององค์กร ✅ บริษัทอื่นอย่าง Meta, Amazon ก็กำลังพัฒนาชิป AI ของตัวเอง ➡️ เพื่อแข่งขันในตลาดที่ compute คือทรัพยากรสำคัญที่สุด https://www.tomshardware.com/tech-industry/sam-altman-teases-100-million-gpu-scale-for-openai-that-could-cost-usd3-trillion-chatgpt-maker-to-cross-well-over-1-million-by-end-of-year
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 158 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากเบื้องหลังคลาวด์: เมื่อเซิร์ฟเวอร์เก่ากลับมาเพราะคลาวด์ไม่ตอบโจทย์

    จากผลสำรวจโดย Liquid Web:
    - 42% ของทีม IT ย้าย workload กลับจากคลาวด์มาใช้เซิร์ฟเวอร์ dedicated ภายใน 1 ปี
    - 86% ขององค์กรยังใช้เซิร์ฟเวอร์ dedicated อยู่ แม้จะอยู่ในยุคที่คลาวด์ครองตลาด
    - เหตุผลหลักคือ: ค่าคลาวด์ที่พุ่งสูง, ความไม่แน่นอนของราคา, และการขาดการควบคุม

    ภาคส่วนที่ใช้เซิร์ฟเวอร์ dedicated มากที่สุด:
    - ภาครัฐ: 93%
    - IT: 91%
    - การเงิน: 90%
    - แม้แต่ธุรกิจขนาดเล็กก็ใช้ถึง 68%

    หลายองค์กรเจอ “ค่าใช้จ่ายคลาวด์ที่ไม่คาดคิด” ระหว่าง $5,000–$25,000 และ 32% เชื่อว่า “งบประมาณคลาวด์ถูกใช้ไปกับฟีเจอร์ที่ไม่จำเป็น”

    Ryan MacDonald, CTO ของ Liquid Web กล่าวว่า “การย้ายกลับมาใช้เซิร์ฟเวอร์ dedicated เป็นกลยุทธ์เพื่อควบคุมต้นทุนและสร้างระบบที่มั่นคงในระยะยาว”

    42% ของทีม IT ย้าย workload กลับจากคลาวด์มาใช้เซิร์ฟเวอร์ dedicated ในปีที่ผ่านมา
    เหตุผลหลักคือความต้องการควบคุม, ความปลอดภัย, และต้นทุนที่คาดการณ์ได้

    86% ขององค์กรยังใช้เซิร์ฟเวอร์ dedicated อยู่ แม้จะอยู่ในยุคคลาวด์
    แสดงว่า dedicated ยังมีบทบาทสำคัญในโครงสร้างพื้นฐาน

    ภาครัฐ, IT, และการเงินเป็นกลุ่มที่ใช้เซิร์ฟเวอร์ dedicated มากที่สุด
    เพราะต้องการ uptime สูงและการปฏิบัติตามข้อกำกับด้านข้อมูล

    55% ของผู้ตอบแบบสอบถามเลือก dedicated เพราะต้องการการปรับแต่งและควบคุมเต็มรูปแบบ
    รวมถึงความปลอดภัยทางกายภาพและประสิทธิภาพของเครือข่าย

    32% เชื่อว่างบประมาณคลาวด์ถูกใช้ไปกับฟีเจอร์ที่ไม่จำเป็น
    เช่นการจ่ายค่าความจุหรือฟังก์ชันที่ไม่เคยถูกใช้งานจริง

    45% คาดว่าเซิร์ฟเวอร์ dedicated จะมีบทบาทเพิ่มขึ้นภายในปี 2030
    53% มองว่าเป็น “สิ่งจำเป็น” ในโครงสร้างพื้นฐานองค์กร

    https://www.techradar.com/pro/in-the-shadow-of-ai-has-cloud-peaked-a-survey-shows-that-more-businesses-are-moving-away-from-cloud-computing-to-dedicated-servers
    🎙️ เรื่องเล่าจากเบื้องหลังคลาวด์: เมื่อเซิร์ฟเวอร์เก่ากลับมาเพราะคลาวด์ไม่ตอบโจทย์ จากผลสำรวจโดย Liquid Web: - 42% ของทีม IT ย้าย workload กลับจากคลาวด์มาใช้เซิร์ฟเวอร์ dedicated ภายใน 1 ปี - 86% ขององค์กรยังใช้เซิร์ฟเวอร์ dedicated อยู่ แม้จะอยู่ในยุคที่คลาวด์ครองตลาด - เหตุผลหลักคือ: ค่าคลาวด์ที่พุ่งสูง, ความไม่แน่นอนของราคา, และการขาดการควบคุม ภาคส่วนที่ใช้เซิร์ฟเวอร์ dedicated มากที่สุด: - ภาครัฐ: 93% - IT: 91% - การเงิน: 90% - แม้แต่ธุรกิจขนาดเล็กก็ใช้ถึง 68% หลายองค์กรเจอ “ค่าใช้จ่ายคลาวด์ที่ไม่คาดคิด” ระหว่าง $5,000–$25,000 และ 32% เชื่อว่า “งบประมาณคลาวด์ถูกใช้ไปกับฟีเจอร์ที่ไม่จำเป็น” Ryan MacDonald, CTO ของ Liquid Web กล่าวว่า “การย้ายกลับมาใช้เซิร์ฟเวอร์ dedicated เป็นกลยุทธ์เพื่อควบคุมต้นทุนและสร้างระบบที่มั่นคงในระยะยาว” ✅ 42% ของทีม IT ย้าย workload กลับจากคลาวด์มาใช้เซิร์ฟเวอร์ dedicated ในปีที่ผ่านมา ➡️ เหตุผลหลักคือความต้องการควบคุม, ความปลอดภัย, และต้นทุนที่คาดการณ์ได้ ✅ 86% ขององค์กรยังใช้เซิร์ฟเวอร์ dedicated อยู่ แม้จะอยู่ในยุคคลาวด์ ➡️ แสดงว่า dedicated ยังมีบทบาทสำคัญในโครงสร้างพื้นฐาน ✅ ภาครัฐ, IT, และการเงินเป็นกลุ่มที่ใช้เซิร์ฟเวอร์ dedicated มากที่สุด ➡️ เพราะต้องการ uptime สูงและการปฏิบัติตามข้อกำกับด้านข้อมูล ✅ 55% ของผู้ตอบแบบสอบถามเลือก dedicated เพราะต้องการการปรับแต่งและควบคุมเต็มรูปแบบ ➡️ รวมถึงความปลอดภัยทางกายภาพและประสิทธิภาพของเครือข่าย ✅ 32% เชื่อว่างบประมาณคลาวด์ถูกใช้ไปกับฟีเจอร์ที่ไม่จำเป็น ➡️ เช่นการจ่ายค่าความจุหรือฟังก์ชันที่ไม่เคยถูกใช้งานจริง ✅ 45% คาดว่าเซิร์ฟเวอร์ dedicated จะมีบทบาทเพิ่มขึ้นภายในปี 2030 ➡️ 53% มองว่าเป็น “สิ่งจำเป็น” ในโครงสร้างพื้นฐานองค์กร https://www.techradar.com/pro/in-the-shadow-of-ai-has-cloud-peaked-a-survey-shows-that-more-businesses-are-moving-away-from-cloud-computing-to-dedicated-servers
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 119 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโครงการพันล้าน: เมื่อ Stargate กลายเป็นสนามขัดแย้งของยักษ์ใหญ่ AI

    Stargate ถูกประกาศโดยประธานาธิบดี Trump ในเดือนมกราคม 2025 โดยมีเป้าหมายลงทุน $500B เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI ระดับชาติ โดยมี OpenAI, SoftBank, Oracle และ MGX เป็นแกนหลัก

    แต่ 6 เดือนผ่านไป:
    - OpenAI และ SoftBank ซึ่งถือเป็นผู้สนับสนุนหลัก กลับมีความขัดแย้งหลายด้าน
    - SoftBank ถือครองเครื่องหมายการค้า Stargate แต่ OpenAI ใช้ชื่อนี้ในโครงการที่ไม่เกี่ยวกับ SoftBank เช่นศูนย์ข้อมูลใน Abilene และ Denton
    - OpenAI ไม่ต้องการสร้างศูนย์ข้อมูลบนพื้นที่ของ SB Energy ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ SoftBank

    แม้จะประกาศว่าจะลงทุน $100B “ทันที” แต่สุดท้ายกลับสร้างได้แค่ศูนย์ข้อมูลเล็ก ๆ ในรัฐโอไฮโอ

    ในทางกลับกัน OpenAI เดินหน้าลุยเอง:
    - เซ็นสัญญา 4.5GW กับ Oracle มูลค่า $30B ต่อปี
    - ลงทุนเพิ่ม $4B กับ CoreWeave จากดีลเดิม $11.9B
    - รวมแล้ว OpenAI ลงทุนด้านศูนย์ข้อมูลไปแล้วกว่า $100B ในปีนี้ — เท่ากับเป้าหมายของ Stargate แต่ไม่รวม SoftBank

    แม้ทั้งสองฝ่ายยังประกาศว่า “ยังร่วมมือกัน” แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่มีดีลใดที่เป็นของ Stargate โดยตรง

    Stargate เป็นโครงการ AI Infrastructure มูลค่า $500B ที่ประกาศโดย Trump
    มีเป้าหมายสร้างศูนย์ข้อมูล AI ขนาด 10GW ทั่วสหรัฐฯ ภายใน 4 ปี

    OpenAI และ SoftBank เป็นผู้สนับสนุนหลักของโครงการ
    เคยประกาศว่าจะลงทุน $100B “ทันที” ตั้งแต่ต้นปี 2025

    ขณะนี้ยังไม่มีดีลศูนย์ข้อมูลใดที่สำเร็จภายใต้ชื่อ Stargate
    มีเพียงศูนย์ข้อมูลเล็กในโอไฮโอที่กำลังสร้าง

    OpenAI ใช้ชื่อ Stargate ในโครงการที่ไม่เกี่ยวกับ SoftBank เช่นในเท็กซัส
    แม้ SoftBank ถือเครื่องหมายการค้า Stargate

    OpenAI เซ็นดีล 4.5GW กับ Oracle มูลค่า $30B ต่อปี
    เทียบเท่าการลงทุน $100B สำหรับศูนย์ข้อมูลขนาด 5GW

    ลงทุนเพิ่ม $4B กับ CoreWeave รวมเป็น $15.9B สำหรับ GPU infrastructure
    ใช้สำหรับโมเดล AI ขนาดใหญ่ เช่น GPT และ Sora

    ทั้งสองฝ่ายยังประกาศว่าจะร่วมกันสร้างศูนย์ข้อมูล 10GW ในสหรัฐฯ
    แต่ยังไม่มีแผนหรือดีลที่ชัดเจนออกมา

    https://wccftech.com/the-half-a-trillion-dollar-stargate-ai-venture-is-now-falling-victim-to-the-disagreements-between-openai-and-softbank/
    🎙️ เรื่องเล่าจากโครงการพันล้าน: เมื่อ Stargate กลายเป็นสนามขัดแย้งของยักษ์ใหญ่ AI Stargate ถูกประกาศโดยประธานาธิบดี Trump ในเดือนมกราคม 2025 โดยมีเป้าหมายลงทุน $500B เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI ระดับชาติ โดยมี OpenAI, SoftBank, Oracle และ MGX เป็นแกนหลัก แต่ 6 เดือนผ่านไป: - OpenAI และ SoftBank ซึ่งถือเป็นผู้สนับสนุนหลัก กลับมีความขัดแย้งหลายด้าน - SoftBank ถือครองเครื่องหมายการค้า Stargate แต่ OpenAI ใช้ชื่อนี้ในโครงการที่ไม่เกี่ยวกับ SoftBank เช่นศูนย์ข้อมูลใน Abilene และ Denton - OpenAI ไม่ต้องการสร้างศูนย์ข้อมูลบนพื้นที่ของ SB Energy ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ SoftBank แม้จะประกาศว่าจะลงทุน $100B “ทันที” แต่สุดท้ายกลับสร้างได้แค่ศูนย์ข้อมูลเล็ก ๆ ในรัฐโอไฮโอ ในทางกลับกัน OpenAI เดินหน้าลุยเอง: - เซ็นสัญญา 4.5GW กับ Oracle มูลค่า $30B ต่อปี - ลงทุนเพิ่ม $4B กับ CoreWeave จากดีลเดิม $11.9B - รวมแล้ว OpenAI ลงทุนด้านศูนย์ข้อมูลไปแล้วกว่า $100B ในปีนี้ — เท่ากับเป้าหมายของ Stargate แต่ไม่รวม SoftBank แม้ทั้งสองฝ่ายยังประกาศว่า “ยังร่วมมือกัน” แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่มีดีลใดที่เป็นของ Stargate โดยตรง ✅ Stargate เป็นโครงการ AI Infrastructure มูลค่า $500B ที่ประกาศโดย Trump ➡️ มีเป้าหมายสร้างศูนย์ข้อมูล AI ขนาด 10GW ทั่วสหรัฐฯ ภายใน 4 ปี ✅ OpenAI และ SoftBank เป็นผู้สนับสนุนหลักของโครงการ ➡️ เคยประกาศว่าจะลงทุน $100B “ทันที” ตั้งแต่ต้นปี 2025 ✅ ขณะนี้ยังไม่มีดีลศูนย์ข้อมูลใดที่สำเร็จภายใต้ชื่อ Stargate ➡️ มีเพียงศูนย์ข้อมูลเล็กในโอไฮโอที่กำลังสร้าง ✅ OpenAI ใช้ชื่อ Stargate ในโครงการที่ไม่เกี่ยวกับ SoftBank เช่นในเท็กซัส ➡️ แม้ SoftBank ถือเครื่องหมายการค้า Stargate ✅ OpenAI เซ็นดีล 4.5GW กับ Oracle มูลค่า $30B ต่อปี ➡️ เทียบเท่าการลงทุน $100B สำหรับศูนย์ข้อมูลขนาด 5GW ✅ ลงทุนเพิ่ม $4B กับ CoreWeave รวมเป็น $15.9B สำหรับ GPU infrastructure ➡️ ใช้สำหรับโมเดล AI ขนาดใหญ่ เช่น GPT และ Sora ✅ ทั้งสองฝ่ายยังประกาศว่าจะร่วมกันสร้างศูนย์ข้อมูล 10GW ในสหรัฐฯ ➡️ แต่ยังไม่มีแผนหรือดีลที่ชัดเจนออกมา https://wccftech.com/the-half-a-trillion-dollar-stargate-ai-venture-is-now-falling-victim-to-the-disagreements-between-openai-and-softbank/
    WCCFTECH.COM
    The Half A Trillion Dollar Stargate AI Venture Is Now Falling Victim To The Disagreements Between OpenAI And SoftBank
    Stargate's $500B AI venture struggles as OpenAI and SoftBank clash, stalling progress on US infrastructure. OpenAI pushes ahead solo.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 150 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากมัลแวร์ยุค AI: เมื่อ Fancy Bear ยืมสมอง LLM มาเจาะระบบ

    การโจมตีเริ่มจาก อีเมลฟิชชิ่งแบบเฉพาะเจาะจง (spear phishing) ส่งจากบัญชีที่ถูกยึด พร้อมแนบไฟล์ ZIP ที่มีมัลแวร์นามสกุล .pif, .exe หรือ .py โดยปลอมตัวเป็น “ตัวแทนจากกระทรวงยูเครน” เพื่อหลอกให้เปิดไฟล์

    เมื่อมัลแวร์ทำงาน มันจะ:

    1️⃣ รันในเครื่องด้วยสิทธิ์ผู้ใช้

    2️⃣ เรียก API ของ Hugging Face ไปยัง LLM ชื่อ Qwen 2.5-Coder-32B-Instruct

    3️⃣ สั่งโมเดลให้ "แกล้งทำเป็นแอดมิน Windows" แล้วเขียนคำสั่งเช่น:
    - สร้างโฟลเดอร์ใหม่
    - เก็บข้อมูลระบบ, network, Active Directory
    - คัดลอกไฟล์ .txt และ .pdf จาก Desktop, Downloads, Documents ไปยัง staging folder ที่กำหนด

    4️⃣ เขียนผลลัพธ์ลงไฟล์ .txt เพื่อส่งกลับไปยังเซิร์ฟเวอร์ควบคุม (C2)

    มัลแวร์นี้ถูกแพ็กจาก Python ด้วย PyInstaller และแจกจ่ายในหลายรูปแบบชื่อ เช่น:
    - Appendix.pif
    - AI_generator_uncensored_Canvas_PRO_v0.9.exe
    - AI_image_generator_v0.95.exe
    - image.py

    CERT-UA (ศูนย์ความปลอดภัยไซเบอร์ของยูเครน) ตั้งชื่อว่า LAMEHUG และระบุว่าเป็นผลงานของกลุ่ม UAC-0001 ซึ่งคือตัวเดียวกับ APT28 — หน่วยที่เคยโจมตี NATO, สหรัฐฯ และโครงสร้างพื้นฐานยูเครนมานานหลายปี

    APT28 (Fancy Bear) พัฒนามัลแวร์ LAMEHUG ที่ฝังการเรียกใช้ LLM ผ่าน API
    ใช้โมเดล Qwen ผ่าน Hugging Face เพื่อสร้างคำสั่ง PowerShell

    เป้าหมายคือระบบของรัฐบาลยูเครน ผ่านการโจมตีแบบ spear phishing
    ปลอมชื่อผู้ส่ง และแนบไฟล์มัลแวร์ที่ดูเหมือนโปรแกรม AI หรือรูปภาพ

    LAMEHUG ดึงข้อมูลระบบ, AD domain, และไฟล์เอกสารผู้ใช้
    ส่งออกไปยัง staging folder เพื่อเตรียมส่งกลับไปยังเซิร์ฟเวอร์ควบคุม

    ใช้เทคนิคใหม่ในการเปลี่ยนคำสั่งไปเรื่อย ๆ โดยใช้ AI เขียนแบบต่างกัน
    หวังหลบการตรวจจับด้วย signature-based scanning

    มัลแวร์แพร่หลายผ่านไฟล์ .exe และ .pif ที่ใช้ชื่อหลอกให้เชื่อว่าเป็นเครื่องมือภาพหรือเอกสาร
    มีหลากหลายเวอร์ชันพร้อมระบบขโมยข้อมูลแบบแตกต่างกัน

    เซิร์ฟเวอร์ C2 ถูกซ่อนไว้ในโครงสร้างพื้นฐานที่ดูถูกต้อง เช่นเว็บไซต์จริงที่ถูกแฮก
    ทำให้การติดตามและบล็อกยากขึ้นมาก

    นักวิจัยคาดว่าเทคนิคนี้อาจถูกใช้กับเป้าหมายในตะวันตกในอนาคต
    เพราะ APT28 เคยโจมตี NATO, สหรัฐ และ EU มาก่อน

    https://www.csoonline.com/article/4025139/novel-malware-from-russias-apt28-prompts-llms-to-create-malicious-windows-commands.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากมัลแวร์ยุค AI: เมื่อ Fancy Bear ยืมสมอง LLM มาเจาะระบบ การโจมตีเริ่มจาก อีเมลฟิชชิ่งแบบเฉพาะเจาะจง (spear phishing) ส่งจากบัญชีที่ถูกยึด พร้อมแนบไฟล์ ZIP ที่มีมัลแวร์นามสกุล .pif, .exe หรือ .py โดยปลอมตัวเป็น “ตัวแทนจากกระทรวงยูเครน” เพื่อหลอกให้เปิดไฟล์ เมื่อมัลแวร์ทำงาน มันจะ: 1️⃣ รันในเครื่องด้วยสิทธิ์ผู้ใช้ 2️⃣ เรียก API ของ Hugging Face ไปยัง LLM ชื่อ Qwen 2.5-Coder-32B-Instruct 3️⃣ สั่งโมเดลให้ "แกล้งทำเป็นแอดมิน Windows" แล้วเขียนคำสั่งเช่น: - สร้างโฟลเดอร์ใหม่ - เก็บข้อมูลระบบ, network, Active Directory - คัดลอกไฟล์ .txt และ .pdf จาก Desktop, Downloads, Documents ไปยัง staging folder ที่กำหนด 4️⃣ เขียนผลลัพธ์ลงไฟล์ .txt เพื่อส่งกลับไปยังเซิร์ฟเวอร์ควบคุม (C2) มัลแวร์นี้ถูกแพ็กจาก Python ด้วย PyInstaller และแจกจ่ายในหลายรูปแบบชื่อ เช่น: - Appendix.pif - AI_generator_uncensored_Canvas_PRO_v0.9.exe - AI_image_generator_v0.95.exe - image.py CERT-UA (ศูนย์ความปลอดภัยไซเบอร์ของยูเครน) ตั้งชื่อว่า LAMEHUG และระบุว่าเป็นผลงานของกลุ่ม UAC-0001 ซึ่งคือตัวเดียวกับ APT28 — หน่วยที่เคยโจมตี NATO, สหรัฐฯ และโครงสร้างพื้นฐานยูเครนมานานหลายปี ✅ APT28 (Fancy Bear) พัฒนามัลแวร์ LAMEHUG ที่ฝังการเรียกใช้ LLM ผ่าน API ➡️ ใช้โมเดล Qwen ผ่าน Hugging Face เพื่อสร้างคำสั่ง PowerShell ✅ เป้าหมายคือระบบของรัฐบาลยูเครน ผ่านการโจมตีแบบ spear phishing ➡️ ปลอมชื่อผู้ส่ง และแนบไฟล์มัลแวร์ที่ดูเหมือนโปรแกรม AI หรือรูปภาพ ✅ LAMEHUG ดึงข้อมูลระบบ, AD domain, และไฟล์เอกสารผู้ใช้ ➡️ ส่งออกไปยัง staging folder เพื่อเตรียมส่งกลับไปยังเซิร์ฟเวอร์ควบคุม ✅ ใช้เทคนิคใหม่ในการเปลี่ยนคำสั่งไปเรื่อย ๆ โดยใช้ AI เขียนแบบต่างกัน ➡️ หวังหลบการตรวจจับด้วย signature-based scanning ✅ มัลแวร์แพร่หลายผ่านไฟล์ .exe และ .pif ที่ใช้ชื่อหลอกให้เชื่อว่าเป็นเครื่องมือภาพหรือเอกสาร ➡️ มีหลากหลายเวอร์ชันพร้อมระบบขโมยข้อมูลแบบแตกต่างกัน ✅ เซิร์ฟเวอร์ C2 ถูกซ่อนไว้ในโครงสร้างพื้นฐานที่ดูถูกต้อง เช่นเว็บไซต์จริงที่ถูกแฮก ➡️ ทำให้การติดตามและบล็อกยากขึ้นมาก ✅ นักวิจัยคาดว่าเทคนิคนี้อาจถูกใช้กับเป้าหมายในตะวันตกในอนาคต ➡️ เพราะ APT28 เคยโจมตี NATO, สหรัฐ และ EU มาก่อน https://www.csoonline.com/article/4025139/novel-malware-from-russias-apt28-prompts-llms-to-create-malicious-windows-commands.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Novel malware from Russia’s APT28 prompts LLMs to create malicious Windows commands
    Recent attacks by the state-run cyberespionage group against Ukrainian government targets included malware capable of querying LLMs to generate Windows shell commands as part of its attack chain.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 188 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากสนามการเมือง: Altman จากนักวิจารณ์ Trump กลายเป็นพันธมิตรด้าน AI

    ก่อนหน้านี้ Altman เคยเป็นผู้สนับสนุนพรรคเดโมแครตอย่างชัดเจน และวิจารณ์ Trump อย่างเผ็ดร้อนว่าเป็น “ภัยต่อประเทศ” แต่ในปี 2024–2025 เขาเริ่ม “ห่างจากฝั่งซ้าย” ด้วยเหตุผลหลายด้าน เช่น:
    - ไม่เห็นด้วยกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจยุคโควิด
    - ไม่พอใจกฎหมาย CHIPS และการควบคุมการส่งออกเซมิคอนดักเตอร์
    - กังวลว่าสหรัฐอาจตามหลังจีนในด้าน AI

    เขาจึงประกาศเลิกเป็นเดโมแครตและเรียกตัวเองว่า “politically homeless” พร้อมเริ่มสร้างพันธมิตรกับฝ่ายขวาอย่างเงียบ ๆ โดยเฉพาะในเรื่องนโยบาย AI และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน — ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นพร้อมกับการแตกหักระหว่าง Musk และ Trump

    ในเดือนกรกฎาคม Altman ปรากฏตัวที่สนามกอล์ฟของ Trump พร้อมรับการแนะนำต่อกลุ่มผู้บริจาคของพรรครีพับลิกันว่าเป็น “ชายผู้ฉลาดมาก” และ “หวังว่าเขาจะพูดเรื่อง AI ถูกต้อง”

    เบื้องหลังคือ OpenAI กำลังผลักดันข้อเสนอใหญ่ ๆ เช่น:
    - การลงทุนรัฐบาลในโครงสร้างพื้นฐาน AI
    - การเปิดทางให้ใช้ไฟฟ้าจำนวนมหาศาลเพื่อรันโมเดล
    - การเร่งรัดการขออนุญาตสร้างศูนย์ข้อมูลระดับ gigawatt
    - การผลักดันโมเดลระดับ Sora, DALL-E, และ text-to-video ให้เป็น “ทรัพย์สินชาติ”

    ภายใน Oval Office Altman ประกาศ “Stargate Initiative” — ความร่วมมือมูลค่า $500B กับ Oracle และ SoftBank เพื่อสร้างโครงสร้างข้อมูล AI ทั่วโลก ซึ่งเป็นดีลที่ Musk เคยพยายามขัดขวางแต่ไม่สำเร็จ

    Sam Altman กลายเป็นที่ปรึกษา Trump ด้านนโยบาย AI หลังจาก Musk แยกตัว
    ปรากฏตัวที่สนามกอล์ฟของ Trump และประกาศความร่วมมือในระดับชาติ

    Altman ประกาศเลิกสนับสนุนพรรคเดโมแครต พร้อมบอกว่า “ไม่ฝักฝ่ายการเมือง”
    กล่าวว่าพรรคเดโมแครต “ขยับซ้ายจนเขาไม่มีที่ยืนทางการเมือง”

    OpenAI ผลักดันการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานข้อมูลขนาดใหญ่ผ่าน Stargate Initiative
    ความร่วมมือ $500B กับ SoftBank และ Oracle โดยมี Trump หนุนเต็มตัว

    Altman ขัดแย้งกับเดโมแครตเรื่อง CHIPS Act และข้อจำกัดการส่งออก
    มองว่านโยบายเหล่านั้นทำให้สหรัฐเสียเปรียบจีนในด้าน AI

    นโยบายของ Trump เริ่มสะท้อนคำพูดของ Altman เช่นเน้นการลดข้อจำกัดด้านไฟฟ้าและการสร้างศูนย์ข้อมูล
    เตรียมแปลงที่ดินของรัฐให้เหมาะกับการตั้งโครงสร้างพื้นฐาน AI

    Altman ยืนยันว่าเขายังเชื่อใน techno-capitalism แต่ควรมีระบบแบ่งปันผลประโยชน์
    แสดงว่าเป้าหมายไม่ใช่การสนับสนุนพรรคใด แต่เน้นผลลัพธ์และโอกาส

    https://www.techspot.com/news/108731-sam-altman-steps-political-power-vacuum-after-musk.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากสนามการเมือง: Altman จากนักวิจารณ์ Trump กลายเป็นพันธมิตรด้าน AI ก่อนหน้านี้ Altman เคยเป็นผู้สนับสนุนพรรคเดโมแครตอย่างชัดเจน และวิจารณ์ Trump อย่างเผ็ดร้อนว่าเป็น “ภัยต่อประเทศ” แต่ในปี 2024–2025 เขาเริ่ม “ห่างจากฝั่งซ้าย” ด้วยเหตุผลหลายด้าน เช่น: - ไม่เห็นด้วยกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจยุคโควิด - ไม่พอใจกฎหมาย CHIPS และการควบคุมการส่งออกเซมิคอนดักเตอร์ - กังวลว่าสหรัฐอาจตามหลังจีนในด้าน AI เขาจึงประกาศเลิกเป็นเดโมแครตและเรียกตัวเองว่า “politically homeless” พร้อมเริ่มสร้างพันธมิตรกับฝ่ายขวาอย่างเงียบ ๆ โดยเฉพาะในเรื่องนโยบาย AI และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน — ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นพร้อมกับการแตกหักระหว่าง Musk และ Trump ในเดือนกรกฎาคม Altman ปรากฏตัวที่สนามกอล์ฟของ Trump พร้อมรับการแนะนำต่อกลุ่มผู้บริจาคของพรรครีพับลิกันว่าเป็น “ชายผู้ฉลาดมาก” และ “หวังว่าเขาจะพูดเรื่อง AI ถูกต้อง” เบื้องหลังคือ OpenAI กำลังผลักดันข้อเสนอใหญ่ ๆ เช่น: - การลงทุนรัฐบาลในโครงสร้างพื้นฐาน AI - การเปิดทางให้ใช้ไฟฟ้าจำนวนมหาศาลเพื่อรันโมเดล - การเร่งรัดการขออนุญาตสร้างศูนย์ข้อมูลระดับ gigawatt - การผลักดันโมเดลระดับ Sora, DALL-E, และ text-to-video ให้เป็น “ทรัพย์สินชาติ” ภายใน Oval Office Altman ประกาศ “Stargate Initiative” — ความร่วมมือมูลค่า $500B กับ Oracle และ SoftBank เพื่อสร้างโครงสร้างข้อมูล AI ทั่วโลก ซึ่งเป็นดีลที่ Musk เคยพยายามขัดขวางแต่ไม่สำเร็จ ✅ Sam Altman กลายเป็นที่ปรึกษา Trump ด้านนโยบาย AI หลังจาก Musk แยกตัว ➡️ ปรากฏตัวที่สนามกอล์ฟของ Trump และประกาศความร่วมมือในระดับชาติ ✅ Altman ประกาศเลิกสนับสนุนพรรคเดโมแครต พร้อมบอกว่า “ไม่ฝักฝ่ายการเมือง” ➡️ กล่าวว่าพรรคเดโมแครต “ขยับซ้ายจนเขาไม่มีที่ยืนทางการเมือง” ✅ OpenAI ผลักดันการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานข้อมูลขนาดใหญ่ผ่าน Stargate Initiative ➡️ ความร่วมมือ $500B กับ SoftBank และ Oracle โดยมี Trump หนุนเต็มตัว ✅ Altman ขัดแย้งกับเดโมแครตเรื่อง CHIPS Act และข้อจำกัดการส่งออก ➡️ มองว่านโยบายเหล่านั้นทำให้สหรัฐเสียเปรียบจีนในด้าน AI ✅ นโยบายของ Trump เริ่มสะท้อนคำพูดของ Altman เช่นเน้นการลดข้อจำกัดด้านไฟฟ้าและการสร้างศูนย์ข้อมูล ➡️ เตรียมแปลงที่ดินของรัฐให้เหมาะกับการตั้งโครงสร้างพื้นฐาน AI ✅ Altman ยืนยันว่าเขายังเชื่อใน techno-capitalism แต่ควรมีระบบแบ่งปันผลประโยชน์ ➡️ แสดงว่าเป้าหมายไม่ใช่การสนับสนุนพรรคใด แต่เน้นผลลัพธ์และโอกาส https://www.techspot.com/news/108731-sam-altman-steps-political-power-vacuum-after-musk.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Sam Altman steps into political power vacuum after Musk breaks with Trump
    Less than a month after Musk – formerly a fixture in Trump's inner circle – dramatically split with the president, Altman appeared at Trump's New Jersey golf...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 169 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกเศรษฐกิจใหม่: AI กำลังกินเศรษฐกิจทั้งระบบ — แบบที่ไม่เคยเกิดมาก่อน

    การใช้จ่ายเพื่อสร้าง AI datacenter กำลังพุ่งสูงจนกระทบตัวเลขเศรษฐกิจอย่างเห็นได้ชัด เช่น:
    - สหรัฐฯ คาดว่า AI capex จะคิดเป็น ~2% ของ GDP ปี 2025
    - ส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจถึง ~0.7%
    - หากนับรวม multiplier ทางเศรษฐศาสตร์ — จะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจมากกว่าที่เห็น

    ขนาดของการลงทุนนี้ใหญ่ใกล้เคียงกับช่วงพีคของการสร้างรางรถไฟในยุค 1800s และสูงกว่าการลงทุนในยุค dot-com boom แล้วด้วยซ้ำ

    ในจีนก็เกิดปรากฏการณ์คล้ายกันจนประธานาธิบดีสีจิ้นผิงออกมาเตือนว่า “ไม่ใช่ทุกมณฑลต้องแข่งกันสร้าง datacenter และ AI project” เพราะมีมากกว่า 250 แห่งอยู่ระหว่างการก่อสร้าง

    แต่คำถามใหญ่คือ: เงินมาจากไหน และไปกระทบอะไรบ้าง?

    AI capex ในสหรัฐฯ อาจแตะ 2% ของ GDP ในปี 2025
    ส่งผลให้เศรษฐกิจโตเพิ่ม ~0.7% จากส่วนนี้โดยตรง

    Nvidia มีรายได้จาก datacenter ถึง ~$156B (annualized) ในปีนี้
    โดยประมาณ 99% มาจากขายชิป AI เช่น H100/GH200

    คาดว่า AI capex รวมทั้งหมดอาจมากกว่า ~$520B หากคิดจาก share ของ Nvidia
    คิดเป็นเกือบ 20% ของจุดสูงสุดการลงทุนในระบบรางรถไฟยุคก่อน

    แหล่งเงินทุนมาจาก: cashflow ภายใน, การออกหุ้น, VC, leasing, cloud commitment
    ส่งผลให้เงินทุนจากภาคอื่นถูกเบนเบนออกจาก venture, infra, cloud services

    ส่งผลให้บางกลุ่มถูกตัดงบ เช่น Cloud, biotech และภาคผลิตดั้งเดิม
    เริ่มเกิดการเลิกจ้างในบางบริษัท เช่น Amazon และ Microsoft

    หากไม่มีการลงทุนใน datacenter เศรษฐกิจ Q1/2025 อาจหดตัว -2.1%
    แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นเพียง contraction เล็ก ๆ หรือไม่ติดลบเลย

    การใช้จ่ายอาจกำลัง “กลืน” การลงทุนในภาคเศรษฐกิจอื่น
    เช่น ภาคพลังงาน, การผลิต หรือ venture non-AI ที่กำลังขาดเงินทุนหนัก

    โครงสร้างพื้นฐาน AI มีอายุการใช้งานสั้น — ต้องเปลี่ยนฮาร์ดแวร์บ่อย
    ไม่เหมือนการสร้างรางรถไฟที่อยู่ได้เป็นศตวรรษ อาจสูญเปล่าระยะยาว

    การย้ายการจ้างงานและทรัพยากรไปที่ AI กำลังทำให้เกิดการเลิกจ้าง
    มีผลกระทบทางแรงงานก่อน AI ถูกใช้งานในวงกว้างเสียอีก

    การลงทุนแบบทุ่มหมดหน้าตักในเทคโนโลยีที่ยังปรับตัวอยู่อาจเป็น “ฟองสบู่”
    หากความคาดหวังเกินผลลัพธ์จริง เศรษฐกิจอาจสะเทือนในอนาคต

    https://paulkedrosky.com/honey-ai-capex-ate-the-economy/
    🎙️ เรื่องเล่าจากโลกเศรษฐกิจใหม่: AI กำลังกินเศรษฐกิจทั้งระบบ — แบบที่ไม่เคยเกิดมาก่อน การใช้จ่ายเพื่อสร้าง AI datacenter กำลังพุ่งสูงจนกระทบตัวเลขเศรษฐกิจอย่างเห็นได้ชัด เช่น: - สหรัฐฯ คาดว่า AI capex จะคิดเป็น ~2% ของ GDP ปี 2025 - ส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจถึง ~0.7% - หากนับรวม multiplier ทางเศรษฐศาสตร์ — จะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจมากกว่าที่เห็น ขนาดของการลงทุนนี้ใหญ่ใกล้เคียงกับช่วงพีคของการสร้างรางรถไฟในยุค 1800s และสูงกว่าการลงทุนในยุค dot-com boom แล้วด้วยซ้ำ ในจีนก็เกิดปรากฏการณ์คล้ายกันจนประธานาธิบดีสีจิ้นผิงออกมาเตือนว่า “ไม่ใช่ทุกมณฑลต้องแข่งกันสร้าง datacenter และ AI project” เพราะมีมากกว่า 250 แห่งอยู่ระหว่างการก่อสร้าง แต่คำถามใหญ่คือ: เงินมาจากไหน และไปกระทบอะไรบ้าง? ✅ AI capex ในสหรัฐฯ อาจแตะ 2% ของ GDP ในปี 2025 ➡️ ส่งผลให้เศรษฐกิจโตเพิ่ม ~0.7% จากส่วนนี้โดยตรง ✅ Nvidia มีรายได้จาก datacenter ถึง ~$156B (annualized) ในปีนี้ ➡️ โดยประมาณ 99% มาจากขายชิป AI เช่น H100/GH200 ✅ คาดว่า AI capex รวมทั้งหมดอาจมากกว่า ~$520B หากคิดจาก share ของ Nvidia ➡️ คิดเป็นเกือบ 20% ของจุดสูงสุดการลงทุนในระบบรางรถไฟยุคก่อน ✅ แหล่งเงินทุนมาจาก: cashflow ภายใน, การออกหุ้น, VC, leasing, cloud commitment ➡️ ส่งผลให้เงินทุนจากภาคอื่นถูกเบนเบนออกจาก venture, infra, cloud services ✅ ส่งผลให้บางกลุ่มถูกตัดงบ เช่น Cloud, biotech และภาคผลิตดั้งเดิม ➡️ เริ่มเกิดการเลิกจ้างในบางบริษัท เช่น Amazon และ Microsoft ✅ หากไม่มีการลงทุนใน datacenter เศรษฐกิจ Q1/2025 อาจหดตัว -2.1% ➡️ แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นเพียง contraction เล็ก ๆ หรือไม่ติดลบเลย ‼️ การใช้จ่ายอาจกำลัง “กลืน” การลงทุนในภาคเศรษฐกิจอื่น ⛔ เช่น ภาคพลังงาน, การผลิต หรือ venture non-AI ที่กำลังขาดเงินทุนหนัก ‼️ โครงสร้างพื้นฐาน AI มีอายุการใช้งานสั้น — ต้องเปลี่ยนฮาร์ดแวร์บ่อย ⛔ ไม่เหมือนการสร้างรางรถไฟที่อยู่ได้เป็นศตวรรษ อาจสูญเปล่าระยะยาว ‼️ การย้ายการจ้างงานและทรัพยากรไปที่ AI กำลังทำให้เกิดการเลิกจ้าง ⛔ มีผลกระทบทางแรงงานก่อน AI ถูกใช้งานในวงกว้างเสียอีก ‼️ การลงทุนแบบทุ่มหมดหน้าตักในเทคโนโลยีที่ยังปรับตัวอยู่อาจเป็น “ฟองสบู่” ⛔ หากความคาดหวังเกินผลลัพธ์จริง เศรษฐกิจอาจสะเทือนในอนาคต https://paulkedrosky.com/honey-ai-capex-ate-the-economy/
    PAULKEDROSKY.COM
    Honey, AI Capex is Eating the Economy
    AI capex is so big that it's affecting economic statistics, boosting the economy, and beginning to approach the railroad boom
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 193 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อคืนที่ผ่านมา กองทัพรัสเซียใช้โดรนมากกว่า 300 ลำ รวมทั้งขีปนาวุธหลากหลายประเภทกว่า 30 ลูก ยิงโจมตีถล่มเมืองในเขตภูมิภาคโดเนตสค์, คิโรโวฮรัด, ดนิโปร, ซูมี, เคอร์ซอน, โวลิน, ซาปอริซเซีย, มีโคลาอิฟ, โอเดสซา และชิตโตเมียร์ และซูมี ส่งผลให้โครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของยูเครนได้รับความเสียหายมากมาย
    เมื่อคืนที่ผ่านมา กองทัพรัสเซียใช้โดรนมากกว่า 300 ลำ รวมทั้งขีปนาวุธหลากหลายประเภทกว่า 30 ลูก ยิงโจมตีถล่มเมืองในเขตภูมิภาคโดเนตสค์, คิโรโวฮรัด, ดนิโปร, ซูมี, เคอร์ซอน, โวลิน, ซาปอริซเซีย, มีโคลาอิฟ, โอเดสซา และชิตโตเมียร์ และซูมี ส่งผลให้โครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของยูเครนได้รับความเสียหายมากมาย
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 159 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: Salt Typhoon แฮกเข้า US National Guard แบบเนียน 9 เดือนเต็ม

    ตั้งแต่มีนาคมถึงธันวาคม 2024 กลุ่มแฮกเกอร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนชื่อว่า Salt Typhoon ได้เจาะเข้าเครือข่ายของกองกำลังพิทักษ์แห่งชาติสหรัฐ โดยไม่มีการตรวจจับได้นานถึง 9 เดือนเต็ม

    ข้อมูลที่ถูกขโมยประกอบด้วย:
    - สิทธิ์ผู้ดูแลระบบ (admin credentials)
    - ผังการจราจรบนเครือข่าย (network traffic diagrams)
    - แผนที่ทางภูมิศาสตร์
    - ข้อมูลส่วนตัวของทหาร (PII)

    ยิ่งไปกว่านั้น กลุ่ม Salt Typhoon ยังสามารถเข้าถึงข้อมูลการติดต่อระหว่างเครือข่ายของรัฐต่าง ๆ และอีก 4 ดินแดนของสหรัฐ แปลว่าพวกเขาอาจ “กระจายการโจมตี” ต่อไปยังระบบอื่น ๆ ได้โดยง่าย

    ถึงแม้รายงานจะไม่เปิดเผยวิธีการเจาะระบบครั้งนี้โดยตรง แต่ Department of Homeland Security เชื่อว่า Salt Typhoonอาจใช้ช่องโหว่ในอุปกรณ์เครือข่าย เช่น Cisco routers ที่ไม่ได้รับการอัปเดต (CVE exploitation)

    กลุ่ม Salt Typhoon ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม “Typhoon collective” ที่รวมถึง Brass Typhoon, Volt Typhoon ฯลฯ โดยมีเป้าหมายเพื่อแทรกซึมเข้าสู่โครงสร้างพื้นฐานของสหรัฐทั้งด้านทหาร การสื่อสาร และพลังงาน เพื่อใช้เป็นช่องทางโจมตีหากเกิดความตึงเครียดทางการทูต โดยเฉพาะประเด็น ไต้หวัน ระหว่างจีน-สหรัฐ

    Salt Typhoon แฮกเข้าเครือข่ายของ US National Guard นานถึง 9 เดือน
    ตั้งแต่มีนาคมถึงธันวาคม 2024 โดยไม่มีการตรวจพบ

    ขโมยข้อมูลสำคัญ เช่น admin credentials และ PII ของทหาร
    รวมถึงผังเครือข่าย แผนที่ และข้อมูลการสื่อสารระหว่างรัฐ

    สามารถเข้าถึงข้อมูลจากเครือข่ายระหว่างรัฐและดินแดนอื่นอีก 4 แห่ง
    อาจเป็นช่องทางในการกระจายการโจมตีเพิ่มเติมไปยังองค์กรอื่น

    DHS คาดว่ากลุ่มนี้ใช้ช่องโหว่ของอุปกรณ์ Cisco ในการเจาะระบบ
    โดยใช้มัลแวร์เช่น JumblePath และ GhostSpider ที่ใช้ในปฏิบัติการก่อนหน้า

    Salt Typhoon เป็นกลุ่มที่มีการโจมตีองค์กรอื่น ๆ มาแล้ว เช่น AT&T, Viasat
    แสดงถึงความต่อเนื่องและความสามารถในการบุกระบบเชิงลึก

    จุดประสงค์หลักคือเตรียมการสำหรับความขัดแย้งเรื่องไต้หวัน
    เพื่อให้พร้อมโจมตีหรือรบกวนระบบของสหรัฐในกรณีเกิดสงคราม

    การเจาะระบบระดับหน่วยงานทหารนานถึง 9 เดือนโดยไม่มีใครพบ
    แสดงถึงช่องโหว่ด้านการตรวจจับภัย (threat detection) ในระบบราชการ

    การละเมิดข้อมูลส่วนตัวของทหาร (PII) อาจนำไปสู่การถูกโจมตีเจาะจงในอนาคต
    เช่น phishing หรือการขู่กรรโชกแบบ targeted

    ช่องโหว่ของอุปกรณ์ที่ไม่ได้แพตช์ยังเป็นปัญหาใหญ่
    ต้องเร่งอัปเดตซอฟต์แวร์และควบคุมการใช้อุปกรณ์เครือข่ายให้ดีกว่านี้

    ปฏิบัติการลับของแฮกเกอร์ที่รอให้เกิดความขัดแย้งแล้วค่อยโจมตี
    เป็นภัยคุกคามระดับชาติที่ต้องการความร่วมมือจากหลายหน่วยงานเพื่อป้องกัน

    https://www.techradar.com/pro/security/chinese-hackers-were-able-to-breach-us-national-guard-and-stay-undetected-for-months
    🎙️ เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: Salt Typhoon แฮกเข้า US National Guard แบบเนียน 9 เดือนเต็ม ตั้งแต่มีนาคมถึงธันวาคม 2024 กลุ่มแฮกเกอร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนชื่อว่า Salt Typhoon ได้เจาะเข้าเครือข่ายของกองกำลังพิทักษ์แห่งชาติสหรัฐ โดยไม่มีการตรวจจับได้นานถึง 9 เดือนเต็ม 🧠 ข้อมูลที่ถูกขโมยประกอบด้วย: - สิทธิ์ผู้ดูแลระบบ (admin credentials) - ผังการจราจรบนเครือข่าย (network traffic diagrams) - แผนที่ทางภูมิศาสตร์ - ข้อมูลส่วนตัวของทหาร (PII) ยิ่งไปกว่านั้น กลุ่ม Salt Typhoon ยังสามารถเข้าถึงข้อมูลการติดต่อระหว่างเครือข่ายของรัฐต่าง ๆ และอีก 4 ดินแดนของสหรัฐ แปลว่าพวกเขาอาจ “กระจายการโจมตี” ต่อไปยังระบบอื่น ๆ ได้โดยง่าย ถึงแม้รายงานจะไม่เปิดเผยวิธีการเจาะระบบครั้งนี้โดยตรง แต่ Department of Homeland Security เชื่อว่า Salt Typhoonอาจใช้ช่องโหว่ในอุปกรณ์เครือข่าย เช่น Cisco routers ที่ไม่ได้รับการอัปเดต (CVE exploitation) กลุ่ม Salt Typhoon ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม “Typhoon collective” ที่รวมถึง Brass Typhoon, Volt Typhoon ฯลฯ โดยมีเป้าหมายเพื่อแทรกซึมเข้าสู่โครงสร้างพื้นฐานของสหรัฐทั้งด้านทหาร การสื่อสาร และพลังงาน เพื่อใช้เป็นช่องทางโจมตีหากเกิดความตึงเครียดทางการทูต โดยเฉพาะประเด็น ไต้หวัน ระหว่างจีน-สหรัฐ ✅ Salt Typhoon แฮกเข้าเครือข่ายของ US National Guard นานถึง 9 เดือน ➡️ ตั้งแต่มีนาคมถึงธันวาคม 2024 โดยไม่มีการตรวจพบ ✅ ขโมยข้อมูลสำคัญ เช่น admin credentials และ PII ของทหาร ➡️ รวมถึงผังเครือข่าย แผนที่ และข้อมูลการสื่อสารระหว่างรัฐ ✅ สามารถเข้าถึงข้อมูลจากเครือข่ายระหว่างรัฐและดินแดนอื่นอีก 4 แห่ง ➡️ อาจเป็นช่องทางในการกระจายการโจมตีเพิ่มเติมไปยังองค์กรอื่น ✅ DHS คาดว่ากลุ่มนี้ใช้ช่องโหว่ของอุปกรณ์ Cisco ในการเจาะระบบ ➡️ โดยใช้มัลแวร์เช่น JumblePath และ GhostSpider ที่ใช้ในปฏิบัติการก่อนหน้า ✅ Salt Typhoon เป็นกลุ่มที่มีการโจมตีองค์กรอื่น ๆ มาแล้ว เช่น AT&T, Viasat ➡️ แสดงถึงความต่อเนื่องและความสามารถในการบุกระบบเชิงลึก ✅ จุดประสงค์หลักคือเตรียมการสำหรับความขัดแย้งเรื่องไต้หวัน ➡️ เพื่อให้พร้อมโจมตีหรือรบกวนระบบของสหรัฐในกรณีเกิดสงคราม ‼️ การเจาะระบบระดับหน่วยงานทหารนานถึง 9 เดือนโดยไม่มีใครพบ ⛔ แสดงถึงช่องโหว่ด้านการตรวจจับภัย (threat detection) ในระบบราชการ ‼️ การละเมิดข้อมูลส่วนตัวของทหาร (PII) อาจนำไปสู่การถูกโจมตีเจาะจงในอนาคต ⛔ เช่น phishing หรือการขู่กรรโชกแบบ targeted ‼️ ช่องโหว่ของอุปกรณ์ที่ไม่ได้แพตช์ยังเป็นปัญหาใหญ่ ⛔ ต้องเร่งอัปเดตซอฟต์แวร์และควบคุมการใช้อุปกรณ์เครือข่ายให้ดีกว่านี้ ‼️ ปฏิบัติการลับของแฮกเกอร์ที่รอให้เกิดความขัดแย้งแล้วค่อยโจมตี ⛔ เป็นภัยคุกคามระดับชาติที่ต้องการความร่วมมือจากหลายหน่วยงานเพื่อป้องกัน https://www.techradar.com/pro/security/chinese-hackers-were-able-to-breach-us-national-guard-and-stay-undetected-for-months
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 295 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลก Net Zero: AI จะปล่อยคาร์บอนมากกว่าการบิน...จริงเหรอ?

    ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา รัฐบาลและบริษัททั่วโลกทุ่มงบมหาศาลเพื่อบรรลุเป้าหมาย “Net Zero” หรือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050 เช่น การตั้งข้อบังคับด้านพลังงาน สีเขียว และการลดใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล

    แต่ในขณะเดียวกัน การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI เช่น data center และ GPU cluster กลับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งในภาครัฐและเอกชน ซึ่งนำไปสู่การใช้พลังงานไฟฟ้า น้ำ และทรัพยากรมหาศาล

    นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ระบุว่า:

    “ภายในสิ้นทศวรรษหน้า อุตสาหกรรมเทคโนโลยีจะเป็นต้นกำเนิด 8% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก” ซึ่งเกินกว่าการเดินทางทางอากาศเสียอีก

    ตัวอย่างความรุนแรงในปัจจุบัน:
    - data center ในสหรัฐฯ ยุโรป และจีนใช้ไฟฟ้าคิดเป็น 2–4% ของการผลิตทั้งหมด
    - ระบบไฟฟ้าหลายประเทศเริ่มตึงตัว ไม่สามารถรองรับการขยาย AI ได้อย่างยั่งยืน
    - มีรายงานว่าบางเมืองต้องจำกัดพลังงานสำหรับที่อยู่อาศัย เพราะถูกแย่งไปใช้ในศูนย์ข้อมูล

    John Naughton จากศูนย์ Minderoo กล่าวว่า “ทุกเมกะวัตต์ที่ใช้ใน data center คือเมกะวัตต์ที่บ้านหรือโรงงานไม่มีใช้”

    นอกจากด้านสิ่งแวดล้อม ยังมีผลสำรวจจาก Gallup ที่เผยว่าเกือบครึ่งของผู้ตอบแบบสอบถามมองว่า:
    - AI เป็นภัยต่อมนุษย์และสังคม
    - จะลดความจำเป็นของมนุษย์ในงานสร้างสรรค์
    - เกือบสองในสามไม่อยากใช้ AI หากหลีกเลี่ยงได้

    เคมบริดจ์เผยว่า AI จะปล่อยคาร์บอน “มากกว่าการบิน” ภายใน 10 ปี
    คาดว่าอุตสาหกรรมเทคโนโลยีจะปล่อยถึง 8% ของคาร์บอนทั่วโลก

    Data center ใช้ไฟฟ้า 2–4% ของกำลังการผลิตในสหรัฐฯ ยุโรป และจีน
    ทำให้ระบบไฟฟ้าตึงตัว และจำกัดทรัพยากรสำหรับภาคอื่น

    การลงทุนใน AI มาเร็วและรุนแรงในภาครัฐและเอกชน
    ส่งผลต่อพลังงาน น้ำ และการปล่อยคาร์บอนอย่างมาก

    ผลสำรวจ Gallup พบประชาชนวิตกเกี่ยวกับ AI
    ครึ่งหนึ่งเห็นว่า AI คุกคามมนุษย์และสังคม

    60% เชื่อว่า AI จะมาแทนงานสำคัญและงานสร้างสรรค์ของมนุษย์
    มีเพียง 38% ที่คิดว่า AI จะช่วยให้มนุษย์ไปทำงานที่มีคุณค่ามากขึ้น

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/19/net-zero-zero-chance-ai-emissions-to-exceed-air-travel-report-says
    🎙️ เรื่องเล่าจากโลก Net Zero: AI จะปล่อยคาร์บอนมากกว่าการบิน...จริงเหรอ? ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา รัฐบาลและบริษัททั่วโลกทุ่มงบมหาศาลเพื่อบรรลุเป้าหมาย “Net Zero” หรือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050 เช่น การตั้งข้อบังคับด้านพลังงาน สีเขียว และการลดใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล แต่ในขณะเดียวกัน การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI เช่น data center และ GPU cluster กลับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งในภาครัฐและเอกชน ซึ่งนำไปสู่การใช้พลังงานไฟฟ้า น้ำ และทรัพยากรมหาศาล นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ระบุว่า: “ภายในสิ้นทศวรรษหน้า อุตสาหกรรมเทคโนโลยีจะเป็นต้นกำเนิด 8% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก” ซึ่งเกินกว่าการเดินทางทางอากาศเสียอีก ตัวอย่างความรุนแรงในปัจจุบัน: - data center ในสหรัฐฯ ยุโรป และจีนใช้ไฟฟ้าคิดเป็น 2–4% ของการผลิตทั้งหมด - ระบบไฟฟ้าหลายประเทศเริ่มตึงตัว ไม่สามารถรองรับการขยาย AI ได้อย่างยั่งยืน - มีรายงานว่าบางเมืองต้องจำกัดพลังงานสำหรับที่อยู่อาศัย เพราะถูกแย่งไปใช้ในศูนย์ข้อมูล John Naughton จากศูนย์ Minderoo กล่าวว่า “ทุกเมกะวัตต์ที่ใช้ใน data center คือเมกะวัตต์ที่บ้านหรือโรงงานไม่มีใช้” นอกจากด้านสิ่งแวดล้อม ยังมีผลสำรวจจาก Gallup ที่เผยว่าเกือบครึ่งของผู้ตอบแบบสอบถามมองว่า: - AI เป็นภัยต่อมนุษย์และสังคม - จะลดความจำเป็นของมนุษย์ในงานสร้างสรรค์ - เกือบสองในสามไม่อยากใช้ AI หากหลีกเลี่ยงได้ ✅ เคมบริดจ์เผยว่า AI จะปล่อยคาร์บอน “มากกว่าการบิน” ภายใน 10 ปี ➡️ คาดว่าอุตสาหกรรมเทคโนโลยีจะปล่อยถึง 8% ของคาร์บอนทั่วโลก ✅ Data center ใช้ไฟฟ้า 2–4% ของกำลังการผลิตในสหรัฐฯ ยุโรป และจีน ➡️ ทำให้ระบบไฟฟ้าตึงตัว และจำกัดทรัพยากรสำหรับภาคอื่น ✅ การลงทุนใน AI มาเร็วและรุนแรงในภาครัฐและเอกชน ➡️ ส่งผลต่อพลังงาน น้ำ และการปล่อยคาร์บอนอย่างมาก ✅ ผลสำรวจ Gallup พบประชาชนวิตกเกี่ยวกับ AI ➡️ ครึ่งหนึ่งเห็นว่า AI คุกคามมนุษย์และสังคม ✅ 60% เชื่อว่า AI จะมาแทนงานสำคัญและงานสร้างสรรค์ของมนุษย์ ➡️ มีเพียง 38% ที่คิดว่า AI จะช่วยให้มนุษย์ไปทำงานที่มีคุณค่ามากขึ้น https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/19/net-zero-zero-chance-ai-emissions-to-exceed-air-travel-report-says
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Net zero? Zero chance: AI emissions to exceed air travel, report says
    Researchers are questioning the efforts of companies and governments to achieve so-called net-zero emissions targets while also backing the rise of artificial intelligence (AI), whose emissions are now projected to "far exceed" those of air travel.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 255 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกใต้น้ำ: สหรัฐฯ เตรียมห้ามเทคโนโลยีจีนในสายเคเบิลสื่อสารระหว่างประเทศ

    สายเคเบิลใต้น้ำเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่รับส่งข้อมูลอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศถึง 99% แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีรายงานว่าจีนมีบทบาทในเหตุการณ์ที่สายเคเบิลถูกตัดหรือถูกแทรกแซง เช่น:

    - ปี 2023: ไต้หวันกล่าวหาจีนว่าตัดสายเคเบิลอินเทอร์เน็ตของเกาะ Matsu
    - ปี 2024: สายเคเบิลระหว่างฟินแลนด์และเอสโตเนียถูกตัดโดยเรือบรรทุกน้ำมันที่เชื่อว่าเป็น “เรือเงา” ของจีน
    - ปี 2025: มีรายงานว่าจีนพัฒนาอุปกรณ์ตัดสายเคเบิลใต้น้ำที่ลึกถึง 4,000 เมตร

    เพื่อรับมือกับภัยคุกคามเหล่านี้ FCC เตรียมออกกฎใหม่ที่ห้ามบริษัทใด ๆ เชื่อมต่อสายเคเบิลใต้น้ำกับสหรัฐฯ หากใช้เทคโนโลยีจากบริษัทจีน เช่น Huawei และ ZTE ซึ่งอยู่ใน “entity list” ของ FCC

    กฎใหม่ยังรวมถึงการจำกัดการออกใบอนุญาตให้บริษัทจีนสร้างหรือดำเนินการสายเคเบิล, การจำกัดข้อตกลงเช่าความจุ, และการส่งเสริมการใช้เรือซ่อมสายเคเบิลของสหรัฐฯ รวมถึงเทคโนโลยีที่ “เชื่อถือได้” จากพันธมิตรต่างประเทศ

    FCC เตรียมออกกฎห้ามใช้เทคโนโลยีจีนในสายเคเบิลใต้น้ำที่เชื่อมต่อกับสหรัฐฯ
    เพื่อป้องกันภัยคุกคามด้านความมั่นคงจากต่างชาติ โดยเฉพาะจีน

    กฎใหม่จะใช้กับบริษัทใน “entity list” เช่น Huawei และ ZTE
    ซึ่งเคยถูกสั่งให้ถอนจากโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมในสหรัฐฯ

    จะมีการจำกัดการออกใบอนุญาตให้บริษัทจีนสร้างหรือดำเนินการสายเคเบิล
    รวมถึงจำกัดข้อตกลงเช่าความจุและการเข้าถึงระบบ

    FCC ต้องการส่งเสริมการใช้เรือซ่อมสายเคเบิลของสหรัฐฯ
    และเทคโนโลยีที่เชื่อถือได้จากพันธมิตรต่างประเทศ

    สายเคเบิลใต้น้ำรับส่งข้อมูลอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศถึง 99%
    เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญต่อเศรษฐกิจและความมั่นคง

    การห้ามเทคโนโลยีจีนอาจกระทบต่อความร่วมมือระหว่างประเทศ
    โดยเฉพาะในโครงการสายเคเบิลที่มีหลายประเทศร่วมลงทุน

    การจำกัดใบอนุญาตอาจทำให้การขยายโครงสร้างพื้นฐานล่าช้า
    ส่งผลต่อการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศในบางภูมิภาค

    การกล่าวหาจีนว่าเป็นภัยคุกคามอาจเพิ่มความตึงเครียดทางการเมือง
    โดยเฉพาะเมื่อยังไม่มีหลักฐานทางเทคนิคที่เปิดเผยต่อสาธารณะ

    การพัฒนาอุปกรณ์ตัดสายเคเบิลใต้น้ำอาจนำไปสู่การแข่งขันด้านอาวุธไซเบอร์
    เพิ่มความเสี่ยงต่อโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลทั่วโลก

    https://www.techspot.com/news/108705-fcc-moves-ban-chinese-tech-undersea-cables.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากโลกใต้น้ำ: สหรัฐฯ เตรียมห้ามเทคโนโลยีจีนในสายเคเบิลสื่อสารระหว่างประเทศ สายเคเบิลใต้น้ำเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่รับส่งข้อมูลอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศถึง 99% แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีรายงานว่าจีนมีบทบาทในเหตุการณ์ที่สายเคเบิลถูกตัดหรือถูกแทรกแซง เช่น: - ปี 2023: ไต้หวันกล่าวหาจีนว่าตัดสายเคเบิลอินเทอร์เน็ตของเกาะ Matsu - ปี 2024: สายเคเบิลระหว่างฟินแลนด์และเอสโตเนียถูกตัดโดยเรือบรรทุกน้ำมันที่เชื่อว่าเป็น “เรือเงา” ของจีน - ปี 2025: มีรายงานว่าจีนพัฒนาอุปกรณ์ตัดสายเคเบิลใต้น้ำที่ลึกถึง 4,000 เมตร เพื่อรับมือกับภัยคุกคามเหล่านี้ FCC เตรียมออกกฎใหม่ที่ห้ามบริษัทใด ๆ เชื่อมต่อสายเคเบิลใต้น้ำกับสหรัฐฯ หากใช้เทคโนโลยีจากบริษัทจีน เช่น Huawei และ ZTE ซึ่งอยู่ใน “entity list” ของ FCC กฎใหม่ยังรวมถึงการจำกัดการออกใบอนุญาตให้บริษัทจีนสร้างหรือดำเนินการสายเคเบิล, การจำกัดข้อตกลงเช่าความจุ, และการส่งเสริมการใช้เรือซ่อมสายเคเบิลของสหรัฐฯ รวมถึงเทคโนโลยีที่ “เชื่อถือได้” จากพันธมิตรต่างประเทศ ✅ FCC เตรียมออกกฎห้ามใช้เทคโนโลยีจีนในสายเคเบิลใต้น้ำที่เชื่อมต่อกับสหรัฐฯ ➡️ เพื่อป้องกันภัยคุกคามด้านความมั่นคงจากต่างชาติ โดยเฉพาะจีน ✅ กฎใหม่จะใช้กับบริษัทใน “entity list” เช่น Huawei และ ZTE ➡️ ซึ่งเคยถูกสั่งให้ถอนจากโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมในสหรัฐฯ ✅ จะมีการจำกัดการออกใบอนุญาตให้บริษัทจีนสร้างหรือดำเนินการสายเคเบิล ➡️ รวมถึงจำกัดข้อตกลงเช่าความจุและการเข้าถึงระบบ ✅ FCC ต้องการส่งเสริมการใช้เรือซ่อมสายเคเบิลของสหรัฐฯ ➡️ และเทคโนโลยีที่เชื่อถือได้จากพันธมิตรต่างประเทศ ✅ สายเคเบิลใต้น้ำรับส่งข้อมูลอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศถึง 99% ➡️ เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญต่อเศรษฐกิจและความมั่นคง ‼️ การห้ามเทคโนโลยีจีนอาจกระทบต่อความร่วมมือระหว่างประเทศ ⛔ โดยเฉพาะในโครงการสายเคเบิลที่มีหลายประเทศร่วมลงทุน ‼️ การจำกัดใบอนุญาตอาจทำให้การขยายโครงสร้างพื้นฐานล่าช้า ⛔ ส่งผลต่อการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศในบางภูมิภาค ‼️ การกล่าวหาจีนว่าเป็นภัยคุกคามอาจเพิ่มความตึงเครียดทางการเมือง ⛔ โดยเฉพาะเมื่อยังไม่มีหลักฐานทางเทคนิคที่เปิดเผยต่อสาธารณะ ‼️ การพัฒนาอุปกรณ์ตัดสายเคเบิลใต้น้ำอาจนำไปสู่การแข่งขันด้านอาวุธไซเบอร์ ⛔ เพิ่มความเสี่ยงต่อโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลทั่วโลก https://www.techspot.com/news/108705-fcc-moves-ban-chinese-tech-undersea-cables.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    FCC moves to ban Chinese tech from undersea cables
    According to a statement from FCC Chairman Brendan Carr, the FCC will vote on rules to "unleash submarine cable investment to accelerate the buildout of AI infrastructure,...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 224 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: เมื่อ AI สรุปอีเมลกลายเป็นเครื่องมือหลอกลวง

    ฟีเจอร์ “Summarize this email” ใน Gmail ที่ใช้โมเดล Google Gemini ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจเนื้อหาอีเมลได้เร็วขึ้น แต่ล่าสุดนักวิจัยจาก Mozilla ได้เปิดเผยว่า ฟีเจอร์นี้สามารถถูกโจมตีด้วยเทคนิค “Prompt Injection” ที่ง่ายจนน่าตกใจ

    โดยแฮกเกอร์สามารถฝังคำสั่งลับในเนื้อหาอีเมลผ่าน HTML และ CSS เช่น ใช้ตัวอักษรสีขาวขนาด 0 เพื่อซ่อนข้อความที่ Gemini จะอ่านแต่ผู้ใช้มองไม่เห็น จากนั้น AI จะ “สรุป” อีเมลตามคำสั่งลับนั้น เช่น แจ้งเตือนปลอมว่าอีเมลถูกแฮก และให้โทรไปยังเบอร์ปลอมพร้อมรหัสอ้างอิง

    แม้การโจมตีนี้จะต้องอาศัยการคลิกหรือการตอบสนองจากผู้ใช้ แต่ความน่ากลัวคือมันสามารถขยายไปยังบริการอื่น ๆ ที่ใช้ Gemini เช่น Docs, Slides และ Drive ได้ด้วย โดยเฉพาะในระบบอัตโนมัติ เช่น อีเมลแจ้งเตือนหรือระบบตั๋วสนับสนุน ที่อาจกลายเป็น “ตัวแพร่” การโจมตีแบบวงกว้าง

    Google ยืนยันว่ากำลังเร่งพัฒนาระบบป้องกันหลายชั้นเพื่อรับมือกับช่องโหว่นี้ แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า Prompt Injection อาจกลายเป็น “มาโครยุคใหม่” ที่แฝงตัวในเนื้อหาและหลอก AI ได้อย่างแนบเนียน

    ฟีเจอร์ “Summarize this email” ใน Gmail ใช้โมเดล Google Gemini
    ถูกฝังในแอป Gmail บนมือถือโดยไม่ต้องเปิดใช้งานเอง

    Mozilla เปิดเผยช่องโหว่ Prompt Injection ที่ใช้โจมตีฟีเจอร์นี้
    ใช้ HTML/CSS ซ่อนคำสั่งในเนื้อหาอีเมล เช่น ตัวอักษรสีขาวขนาด 0

    Gemini จะสรุปอีเมลตามคำสั่งลับที่ผู้ใช้มองไม่เห็น
    เช่น แจ้งเตือนปลอมให้โทรหาเบอร์หลอกลวง

    ช่องโหว่นี้สามารถขยายไปยังบริการอื่นของ Google Workspace
    เช่น Docs, Slides, และ Drive search

    Google กำลังพัฒนาระบบป้องกันหลายชั้นเพื่อรับมือ
    ครอบคลุมโครงสร้างพื้นฐานของ Gemini ทั้งหมด

    Prompt Injection สามารถใช้สร้าง phishing campaign ได้อย่างแนบเนียน
    โดยอาศัยความน่าเชื่อถือของ AI-generated summaries

    ผู้ใช้ทั่วไปอาจไม่รู้ว่าคำสรุปจาก AI ถูกควบคุมโดยคำสั่งลับ
    ทำให้ตกเป็นเหยื่อได้ง่ายขึ้น

    ช่องโหว่นี้ยังไม่มีการแก้ไขอย่างสมบูรณ์ในระบบ Gmail
    ต้องรอการอัปเดตจาก Google และหลีกเลี่ยงการพึ่งพาสรุปอีเมลจาก AI

    ระบบอัตโนมัติ เช่น อีเมลแจ้งเตือนหรือระบบ ticket อาจกลายเป็นช่องทางแพร่การโจมตี
    โดยเฉพาะในองค์กรที่ใช้ Google Workspace อย่างแพร่หลาย

    https://www.techspot.com/news/108671-google-gemini-vulnerable-stupidly-easy-prompt-injection-attack.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: เมื่อ AI สรุปอีเมลกลายเป็นเครื่องมือหลอกลวง ฟีเจอร์ “Summarize this email” ใน Gmail ที่ใช้โมเดล Google Gemini ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจเนื้อหาอีเมลได้เร็วขึ้น แต่ล่าสุดนักวิจัยจาก Mozilla ได้เปิดเผยว่า ฟีเจอร์นี้สามารถถูกโจมตีด้วยเทคนิค “Prompt Injection” ที่ง่ายจนน่าตกใจ โดยแฮกเกอร์สามารถฝังคำสั่งลับในเนื้อหาอีเมลผ่าน HTML และ CSS เช่น ใช้ตัวอักษรสีขาวขนาด 0 เพื่อซ่อนข้อความที่ Gemini จะอ่านแต่ผู้ใช้มองไม่เห็น จากนั้น AI จะ “สรุป” อีเมลตามคำสั่งลับนั้น เช่น แจ้งเตือนปลอมว่าอีเมลถูกแฮก และให้โทรไปยังเบอร์ปลอมพร้อมรหัสอ้างอิง แม้การโจมตีนี้จะต้องอาศัยการคลิกหรือการตอบสนองจากผู้ใช้ แต่ความน่ากลัวคือมันสามารถขยายไปยังบริการอื่น ๆ ที่ใช้ Gemini เช่น Docs, Slides และ Drive ได้ด้วย โดยเฉพาะในระบบอัตโนมัติ เช่น อีเมลแจ้งเตือนหรือระบบตั๋วสนับสนุน ที่อาจกลายเป็น “ตัวแพร่” การโจมตีแบบวงกว้าง Google ยืนยันว่ากำลังเร่งพัฒนาระบบป้องกันหลายชั้นเพื่อรับมือกับช่องโหว่นี้ แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า Prompt Injection อาจกลายเป็น “มาโครยุคใหม่” ที่แฝงตัวในเนื้อหาและหลอก AI ได้อย่างแนบเนียน ✅ ฟีเจอร์ “Summarize this email” ใน Gmail ใช้โมเดล Google Gemini ➡️ ถูกฝังในแอป Gmail บนมือถือโดยไม่ต้องเปิดใช้งานเอง ✅ Mozilla เปิดเผยช่องโหว่ Prompt Injection ที่ใช้โจมตีฟีเจอร์นี้ ➡️ ใช้ HTML/CSS ซ่อนคำสั่งในเนื้อหาอีเมล เช่น ตัวอักษรสีขาวขนาด 0 ✅ Gemini จะสรุปอีเมลตามคำสั่งลับที่ผู้ใช้มองไม่เห็น ➡️ เช่น แจ้งเตือนปลอมให้โทรหาเบอร์หลอกลวง ✅ ช่องโหว่นี้สามารถขยายไปยังบริการอื่นของ Google Workspace ➡️ เช่น Docs, Slides, และ Drive search ✅ Google กำลังพัฒนาระบบป้องกันหลายชั้นเพื่อรับมือ ➡️ ครอบคลุมโครงสร้างพื้นฐานของ Gemini ทั้งหมด ‼️ Prompt Injection สามารถใช้สร้าง phishing campaign ได้อย่างแนบเนียน ⛔ โดยอาศัยความน่าเชื่อถือของ AI-generated summaries ‼️ ผู้ใช้ทั่วไปอาจไม่รู้ว่าคำสรุปจาก AI ถูกควบคุมโดยคำสั่งลับ ⛔ ทำให้ตกเป็นเหยื่อได้ง่ายขึ้น ‼️ ช่องโหว่นี้ยังไม่มีการแก้ไขอย่างสมบูรณ์ในระบบ Gmail ⛔ ต้องรอการอัปเดตจาก Google และหลีกเลี่ยงการพึ่งพาสรุปอีเมลจาก AI ‼️ ระบบอัตโนมัติ เช่น อีเมลแจ้งเตือนหรือระบบ ticket อาจกลายเป็นช่องทางแพร่การโจมตี ⛔ โดยเฉพาะในองค์กรที่ใช้ Google Workspace อย่างแพร่หลาย https://www.techspot.com/news/108671-google-gemini-vulnerable-stupidly-easy-prompt-injection-attack.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Google Gemini vulnerable to a stupidly easy prompt injection attack in Gmail AI summaries
    Mozilla recently unveiled a new prompt injection attack against Google Gemini for Workspace, which can be abused to turn AI summaries in Gmail messages into an effective...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 277 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากชานเมือง: เมื่อผู้ใช้เบื่อความช้า จึงลุกขึ้นสร้าง ISP เอง

    ในเมือง Saline รัฐมิชิแกน สองญาติสนิท—Samuel Herman และ Alexander Baciu—ตัดสินใจไม่ทนกับอินเทอร์เน็ตช้า ๆ จาก Comcast อีกต่อไป พวกเขาเคยประสบปัญหาอัปโหลดช้า หลุดบ่อย และต้องโทรแจ้งซ้ำ ๆ โดยไม่มีการแก้ไขถาวร

    หลังจากแต่งงานและสร้างบ้านใหม่ในปี 2021 Herman พบว่าไม่มีผู้ให้บริการไฟเบอร์รายใดสนใจพื้นที่ของเขา แม้จะมีประสบการณ์ในงานก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ISP ก็ตาม เขาและ Baciu จึงเปลี่ยนธุรกิจครอบครัวให้กลายเป็นผู้รับเหมาโครงข่ายไฟเบอร์ และก่อตั้ง Prime-One ISP ขึ้นมาเอง

    Prime-One เป็นเครือข่ายไฟเบอร์ใต้ดิน 100% ที่เน้นความเสถียรและความเร็ว โดยมีแพ็กเกจตั้งแต่ 500Mbps ถึง 5Gbps พร้อมบริการแบบไม่มีสัญญา ไม่จำกัดข้อมูล และไม่มีค่าติดตั้ง

    พวกเขาเริ่มให้บริการตั้งแต่เดือนมกราคม 2025 และขยายเครือข่ายไปแล้วกว่า 75 ไมล์ ครอบคลุม 1,500 หลังคาเรือน โดยตั้งเป้าจะเข้าถึง 4,000 หลังคาเรือนในอนาคต

    Prime-One เป็น ISP ไฟเบอร์ใต้ดินที่ก่อตั้งโดยสองชาวเมือง Saline
    Samuel Herman และ Alexander Baciu เปลี่ยนธุรกิจครอบครัวมาสร้างโครงข่ายเอง

    เหตุผลหลักคือความไม่พอใจต่อบริการของ Comcast
    อัปโหลดช้า หลุดบ่อย และไม่มีการแก้ไขถาวร

    Prime-One ให้บริการแบบไม่มีสัญญา ไม่จำกัดข้อมูล และไม่มีค่าติดตั้ง
    ราคาเริ่มต้น $75 สำหรับ 500Mbps และสูงสุด $110 สำหรับ 5Gbps

    ลูกค้าได้รับอุปกรณ์ครบชุดโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
    Optical Network Terminal, โมเด็ม และ Wi-Fi Router (ถ้าต้องการ)

    บริษัทมีพนักงาน 15 คน และให้บริการซ่อมภายใน 2–4 ชั่วโมง
    มีเครดิต $5 ต่อชั่วโมงหากเกิด downtime

    ได้รับคำแนะนำจาก Jared Mauch ผู้เคยสร้าง ISP ไฟเบอร์ในพื้นที่ชนบท
    ใช้อุปกรณ์ของ Nokia และวางแผนขยายต่อในอนาคต

    Prime-One ยังมีลูกค้าเพียง 100 รายจากเป้าหมาย 4,000 หลังคาเรือน
    ต้องการ penetration ประมาณ 30% เพื่อคุ้มทุน

    การแข่งขันกับ Comcast และ Frontier ยังดุเดือด
    Comcast เสนอส่วนลดและสัญญาระยะยาวเพื่อดึงลูกค้ากลับ

    ลูกค้าบางรายยังติดอยู่กับแผนเก่าที่มี data cap
    ต้องเปลี่ยนแผนใหม่เพื่อรับสิทธิ์ unlimited data

    การขยายเครือข่ายไฟเบอร์ต้องใช้เงินลงทุนสูงและใช้เวลานาน
    โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทที่มีประชากรเบาบาง

    https://www.techspot.com/news/108670-tired-slow-speeds-two-michigan-residents-building-their.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากชานเมือง: เมื่อผู้ใช้เบื่อความช้า จึงลุกขึ้นสร้าง ISP เอง ในเมือง Saline รัฐมิชิแกน สองญาติสนิท—Samuel Herman และ Alexander Baciu—ตัดสินใจไม่ทนกับอินเทอร์เน็ตช้า ๆ จาก Comcast อีกต่อไป พวกเขาเคยประสบปัญหาอัปโหลดช้า หลุดบ่อย และต้องโทรแจ้งซ้ำ ๆ โดยไม่มีการแก้ไขถาวร หลังจากแต่งงานและสร้างบ้านใหม่ในปี 2021 Herman พบว่าไม่มีผู้ให้บริการไฟเบอร์รายใดสนใจพื้นที่ของเขา แม้จะมีประสบการณ์ในงานก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ISP ก็ตาม เขาและ Baciu จึงเปลี่ยนธุรกิจครอบครัวให้กลายเป็นผู้รับเหมาโครงข่ายไฟเบอร์ และก่อตั้ง Prime-One ISP ขึ้นมาเอง Prime-One เป็นเครือข่ายไฟเบอร์ใต้ดิน 100% ที่เน้นความเสถียรและความเร็ว โดยมีแพ็กเกจตั้งแต่ 500Mbps ถึง 5Gbps พร้อมบริการแบบไม่มีสัญญา ไม่จำกัดข้อมูล และไม่มีค่าติดตั้ง พวกเขาเริ่มให้บริการตั้งแต่เดือนมกราคม 2025 และขยายเครือข่ายไปแล้วกว่า 75 ไมล์ ครอบคลุม 1,500 หลังคาเรือน โดยตั้งเป้าจะเข้าถึง 4,000 หลังคาเรือนในอนาคต ✅ Prime-One เป็น ISP ไฟเบอร์ใต้ดินที่ก่อตั้งโดยสองชาวเมือง Saline ➡️ Samuel Herman และ Alexander Baciu เปลี่ยนธุรกิจครอบครัวมาสร้างโครงข่ายเอง ✅ เหตุผลหลักคือความไม่พอใจต่อบริการของ Comcast ➡️ อัปโหลดช้า หลุดบ่อย และไม่มีการแก้ไขถาวร ✅ Prime-One ให้บริการแบบไม่มีสัญญา ไม่จำกัดข้อมูล และไม่มีค่าติดตั้ง ➡️ ราคาเริ่มต้น $75 สำหรับ 500Mbps และสูงสุด $110 สำหรับ 5Gbps ✅ ลูกค้าได้รับอุปกรณ์ครบชุดโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ➡️ Optical Network Terminal, โมเด็ม และ Wi-Fi Router (ถ้าต้องการ) ✅ บริษัทมีพนักงาน 15 คน และให้บริการซ่อมภายใน 2–4 ชั่วโมง ➡️ มีเครดิต $5 ต่อชั่วโมงหากเกิด downtime ✅ ได้รับคำแนะนำจาก Jared Mauch ผู้เคยสร้าง ISP ไฟเบอร์ในพื้นที่ชนบท ➡️ ใช้อุปกรณ์ของ Nokia และวางแผนขยายต่อในอนาคต ‼️ Prime-One ยังมีลูกค้าเพียง 100 รายจากเป้าหมาย 4,000 หลังคาเรือน ⛔ ต้องการ penetration ประมาณ 30% เพื่อคุ้มทุน ‼️ การแข่งขันกับ Comcast และ Frontier ยังดุเดือด ⛔ Comcast เสนอส่วนลดและสัญญาระยะยาวเพื่อดึงลูกค้ากลับ ‼️ ลูกค้าบางรายยังติดอยู่กับแผนเก่าที่มี data cap ⛔ ต้องเปลี่ยนแผนใหม่เพื่อรับสิทธิ์ unlimited data ‼️ การขยายเครือข่ายไฟเบอร์ต้องใช้เงินลงทุนสูงและใช้เวลานาน ⛔ โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทที่มีประชากรเบาบาง https://www.techspot.com/news/108670-tired-slow-speeds-two-michigan-residents-building-their.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Tired of slow speeds, two Michigan residents are building their own fiber ISP
    Herman recalls growing up in a household of ten, where slow upload speeds and frequent service interruptions from Comcast's Xfinity service were a constant source of stress....
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 246 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกชิปเซ็ต: Broadcom เปิดตัว “Tomahawk Ultra” ชิปเครือข่ายเพื่อเร่งพลัง AI

    ในยุคที่ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ต้องการพลังการประมวลผลมหาศาล การเชื่อมต่อระหว่างชิปหลายร้อยตัวให้ทำงานร่วมกันอย่างไร้รอยต่อกลายเป็นหัวใจสำคัญของระบบ AI ขนาดใหญ่ และนี่คือจุดที่ Broadcom เข้ามาเล่นบทพระเอก

    Broadcom เปิดตัว “Tomahawk Ultra” ชิปเครือข่ายรุ่นใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อเร่งการประมวลผลข้อมูล AI โดยเฉพาะ โดยชิปนี้จะช่วยให้การเชื่อมโยงระหว่างชิปหลายตัวในระบบ AI เป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    แม้ Nvidia จะครองตลาด GPU สำหรับ AI มานาน แต่ Broadcom ก็ไม่ใช่ผู้เล่นหน้าใหม่ เพราะพวกเขาเป็นเบื้องหลังของชิป AI ที่ Google ใช้ในระบบของตัวเอง ซึ่งถือเป็นหนึ่งในไม่กี่ทางเลือกที่นักพัฒนา AI มองว่า “พอจะสู้ Nvidia ได้”

    Broadcom เปิดตัวชิปเครือข่ายใหม่ชื่อ “Tomahawk Ultra”
    ออกแบบมาเพื่อเร่งการประมวลผลข้อมูลในระบบ AI ขนาดใหญ่

    ชิปนี้ช่วยเชื่อมโยงชิปหลายร้อยตัวให้ทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    เหมาะสำหรับระบบ AI ที่ต้องการการประมวลผลแบบกระจาย

    Broadcom เป็นผู้ช่วย Google ในการผลิตชิป AI ของตนเอง
    ถือเป็นหนึ่งในทางเลือกที่สามารถแข่งขันกับ Nvidia ได้

    การเปิดตัวครั้งนี้เป็นการขยายอิทธิพลของ Broadcom ในตลาด AI
    โดยเน้นที่โครงสร้างพื้นฐานด้านเครือข่ายมากกว่าตัวประมวลผลโดยตรง

    Tomahawk Ultra ยังไม่ใช่ชิปประมวลผล AI โดยตรง
    ต้องใช้ร่วมกับชิปอื่น เช่น GPU หรือ TPU เพื่อให้ระบบ AI ทำงานได้ครบวงจร

    การแข่งขันกับ Nvidia ยังต้องใช้เวลาและการยอมรับจากนักพัฒนา
    Nvidia มี ecosystem ที่แข็งแกร่งและครองตลาดมานาน

    การเปลี่ยนมาใช้โซลูชันของ Broadcom อาจต้องปรับโครงสร้างระบบเดิม
    โดยเฉพาะในองค์กรที่ใช้ GPU ของ Nvidia เป็นหลัก

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/15/broadcom-launches-new-tomahawk-ultra-networking-chip-in-ai-battle-against-nvidia
    🎙️ เรื่องเล่าจากโลกชิปเซ็ต: Broadcom เปิดตัว “Tomahawk Ultra” ชิปเครือข่ายเพื่อเร่งพลัง AI ในยุคที่ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ต้องการพลังการประมวลผลมหาศาล การเชื่อมต่อระหว่างชิปหลายร้อยตัวให้ทำงานร่วมกันอย่างไร้รอยต่อกลายเป็นหัวใจสำคัญของระบบ AI ขนาดใหญ่ และนี่คือจุดที่ Broadcom เข้ามาเล่นบทพระเอก Broadcom เปิดตัว “Tomahawk Ultra” ชิปเครือข่ายรุ่นใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อเร่งการประมวลผลข้อมูล AI โดยเฉพาะ โดยชิปนี้จะช่วยให้การเชื่อมโยงระหว่างชิปหลายตัวในระบบ AI เป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น แม้ Nvidia จะครองตลาด GPU สำหรับ AI มานาน แต่ Broadcom ก็ไม่ใช่ผู้เล่นหน้าใหม่ เพราะพวกเขาเป็นเบื้องหลังของชิป AI ที่ Google ใช้ในระบบของตัวเอง ซึ่งถือเป็นหนึ่งในไม่กี่ทางเลือกที่นักพัฒนา AI มองว่า “พอจะสู้ Nvidia ได้” ✅ Broadcom เปิดตัวชิปเครือข่ายใหม่ชื่อ “Tomahawk Ultra” 👉 ออกแบบมาเพื่อเร่งการประมวลผลข้อมูลในระบบ AI ขนาดใหญ่ ✅ ชิปนี้ช่วยเชื่อมโยงชิปหลายร้อยตัวให้ทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ 👉 เหมาะสำหรับระบบ AI ที่ต้องการการประมวลผลแบบกระจาย ✅ Broadcom เป็นผู้ช่วย Google ในการผลิตชิป AI ของตนเอง 👉 ถือเป็นหนึ่งในทางเลือกที่สามารถแข่งขันกับ Nvidia ได้ ✅ การเปิดตัวครั้งนี้เป็นการขยายอิทธิพลของ Broadcom ในตลาด AI 👉 โดยเน้นที่โครงสร้างพื้นฐานด้านเครือข่ายมากกว่าตัวประมวลผลโดยตรง ‼️ Tomahawk Ultra ยังไม่ใช่ชิปประมวลผล AI โดยตรง 👉 ต้องใช้ร่วมกับชิปอื่น เช่น GPU หรือ TPU เพื่อให้ระบบ AI ทำงานได้ครบวงจร ‼️ การแข่งขันกับ Nvidia ยังต้องใช้เวลาและการยอมรับจากนักพัฒนา 👉 Nvidia มี ecosystem ที่แข็งแกร่งและครองตลาดมานาน ‼️ การเปลี่ยนมาใช้โซลูชันของ Broadcom อาจต้องปรับโครงสร้างระบบเดิม 👉 โดยเฉพาะในองค์กรที่ใช้ GPU ของ Nvidia เป็นหลัก https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/15/broadcom-launches-new-tomahawk-ultra-networking-chip-in-ai-battle-against-nvidia
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Broadcom launches new Tomahawk Ultra networking chip in AI battle against Nvidia
    SAN FRANCISCO (Reuters) -Broadcom's chip unit unveiled on Tuesday a new networking processor that aims to speed artificial intelligence data crunching, which requires stringing together hundreds of chips that work together.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 226 มุมมอง 0 รีวิว
  • Meta สร้างศูนย์ข้อมูลขนาดเท่าแมนฮัตตัน – เพื่อเป็นผู้นำด้าน AI ในระดับโลก

    Mark Zuckerberg ซีอีโอของ Meta ประกาศแผนสร้างศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ระดับ “multi-GW clusters” เพื่อรองรับการฝึกและใช้งานโมเดล AI โดยใช้แนวทางใหม่ที่เน้นความเร็วและต้นทุนต่ำ เช่น การสร้างศูนย์ข้อมูลแบบ “เต็นท์” แทนโครงสร้างอาคารแบบเดิม

    ศูนย์ข้อมูลหลัก ได้แก่:
    - “Prometheus” ขนาด 1GW จะเปิดใช้งานในปี 2026
    - “Hyperion” จะใช้พลังงานสูงสุดถึง 5GW เมื่อสร้างเสร็จ
    - ศูนย์ข้อมูลอื่น ๆ ที่กำลังวางแผนจะมีขนาดเท่ากับพื้นที่บางส่วนของเกาะแมนฮัตตัน

    Meta ยังใช้เทคนิคใหม่ เช่น:
    - โมดูลพลังงานและระบบทำความเย็นแบบสำเร็จรูป
    - การจัดการโหลดงานด้วยระบบอัจฉริยะ
    - การใช้โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติขนาด 200MW ในโอไฮโอเพื่อจ่ายไฟโดยตรง

    แม้โมเดล Llama ของ Meta ยังไม่โดดเด่นเท่า GPT หรือ Claude แต่บริษัทตั้งเป้าจะเป็นผู้นำด้าน “compute per researcher” และอาจเปลี่ยนบทบาทจากผู้พัฒนา AI เป็นผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานคล้าย Amazon หรือ Groq

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/meta-plans-multi-gw-data-center-thats-nearly-the-size-of-manhattan-zuckerberg-promises-enormous-ai-splash-as-company-uses-tents-to-try-and-keep-up-with-rate-of-expansion
    Meta สร้างศูนย์ข้อมูลขนาดเท่าแมนฮัตตัน – เพื่อเป็นผู้นำด้าน AI ในระดับโลก Mark Zuckerberg ซีอีโอของ Meta ประกาศแผนสร้างศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ระดับ “multi-GW clusters” เพื่อรองรับการฝึกและใช้งานโมเดล AI โดยใช้แนวทางใหม่ที่เน้นความเร็วและต้นทุนต่ำ เช่น การสร้างศูนย์ข้อมูลแบบ “เต็นท์” แทนโครงสร้างอาคารแบบเดิม ศูนย์ข้อมูลหลัก ได้แก่: - “Prometheus” ขนาด 1GW จะเปิดใช้งานในปี 2026 - “Hyperion” จะใช้พลังงานสูงสุดถึง 5GW เมื่อสร้างเสร็จ - ศูนย์ข้อมูลอื่น ๆ ที่กำลังวางแผนจะมีขนาดเท่ากับพื้นที่บางส่วนของเกาะแมนฮัตตัน Meta ยังใช้เทคนิคใหม่ เช่น: - โมดูลพลังงานและระบบทำความเย็นแบบสำเร็จรูป - การจัดการโหลดงานด้วยระบบอัจฉริยะ - การใช้โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติขนาด 200MW ในโอไฮโอเพื่อจ่ายไฟโดยตรง แม้โมเดล Llama ของ Meta ยังไม่โดดเด่นเท่า GPT หรือ Claude แต่บริษัทตั้งเป้าจะเป็นผู้นำด้าน “compute per researcher” และอาจเปลี่ยนบทบาทจากผู้พัฒนา AI เป็นผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานคล้าย Amazon หรือ Groq https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/meta-plans-multi-gw-data-center-thats-nearly-the-size-of-manhattan-zuckerberg-promises-enormous-ai-splash-as-company-uses-tents-to-try-and-keep-up-with-rate-of-expansion
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 261 มุมมอง 0 รีวิว
  • ชาวเมืองเล็กๆ ในเวสต์เวอร์จิเนียลุกขึ้นสู้ – ไม่เอาโรงไฟฟ้าเพื่อ AI ที่ทำลายธรรมชาติ

    เมือง Davis ที่มีประชากรเพียง 600 คนและตั้งอยู่ในพื้นที่ธรรมชาติอันงดงามของเทือกเขาแอปพาเลเชียน กำลังเผชิญกับแผนการสร้างโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติเพื่อจ่ายไฟให้กับศูนย์ข้อมูล AI ขนาดใหญ่ของบริษัท Fundamental Data ซึ่งหลายคนเชื่อว่าเป็นบริษัทตัวแทนของบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีที่ไม่เปิดเผยชื่อ

    นายกเทศมนตรี Al Tomson และชาวเมืองจำนวนมากคัดค้านโครงการนี้อย่างหนัก โดยชี้ว่าโรงไฟฟ้าจะอยู่ห่างจากบ้านเรือนเพียง 1 ไมล์ และปล่อยมลพิษที่อาจกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม

    แม้จะมีการประชุมสาธารณะอย่างเข้มข้นและการแจกป้าย “No data centre complex” ให้ติดหน้าบ้าน แต่กฎหมายรัฐเวสต์เวอร์จิเนียฉบับใหม่กลับห้ามเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นคัดค้านโครงการศูนย์ข้อมูล เพื่อดึงดูดการลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์

    ในขณะที่บางคนเห็นว่าโครงการนี้เป็นโอกาสในการฟื้นฟูเศรษฐกิจของพื้นที่ที่เคยพึ่งพาเหมืองถ่านหิน แต่หลายคนกังวลเรื่องมลพิษและสุขภาพ โดยเฉพาะผู้สูงอายุและผู้ป่วยโรคมะเร็งที่อาศัยอยู่ในพื้นที่

    รายงานจากกระทรวงพลังงานสหรัฐฯ เตือนว่า หากไม่สามารถสร้างศูนย์ข้อมูลเพื่อรองรับ AI ได้ทันเวลา อาจส่งผลต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติ เพราะประเทศคู่แข่งอาจควบคุมโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลแทน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/15/west-virginia-villagers-take-on-ai-driven-power-plant-boom
    ชาวเมืองเล็กๆ ในเวสต์เวอร์จิเนียลุกขึ้นสู้ – ไม่เอาโรงไฟฟ้าเพื่อ AI ที่ทำลายธรรมชาติ เมือง Davis ที่มีประชากรเพียง 600 คนและตั้งอยู่ในพื้นที่ธรรมชาติอันงดงามของเทือกเขาแอปพาเลเชียน กำลังเผชิญกับแผนการสร้างโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติเพื่อจ่ายไฟให้กับศูนย์ข้อมูล AI ขนาดใหญ่ของบริษัท Fundamental Data ซึ่งหลายคนเชื่อว่าเป็นบริษัทตัวแทนของบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีที่ไม่เปิดเผยชื่อ นายกเทศมนตรี Al Tomson และชาวเมืองจำนวนมากคัดค้านโครงการนี้อย่างหนัก โดยชี้ว่าโรงไฟฟ้าจะอยู่ห่างจากบ้านเรือนเพียง 1 ไมล์ และปล่อยมลพิษที่อาจกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม แม้จะมีการประชุมสาธารณะอย่างเข้มข้นและการแจกป้าย “No data centre complex” ให้ติดหน้าบ้าน แต่กฎหมายรัฐเวสต์เวอร์จิเนียฉบับใหม่กลับห้ามเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นคัดค้านโครงการศูนย์ข้อมูล เพื่อดึงดูดการลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์ ในขณะที่บางคนเห็นว่าโครงการนี้เป็นโอกาสในการฟื้นฟูเศรษฐกิจของพื้นที่ที่เคยพึ่งพาเหมืองถ่านหิน แต่หลายคนกังวลเรื่องมลพิษและสุขภาพ โดยเฉพาะผู้สูงอายุและผู้ป่วยโรคมะเร็งที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ รายงานจากกระทรวงพลังงานสหรัฐฯ เตือนว่า หากไม่สามารถสร้างศูนย์ข้อมูลเพื่อรองรับ AI ได้ทันเวลา อาจส่งผลต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติ เพราะประเทศคู่แข่งอาจควบคุมโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลแทน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/15/west-virginia-villagers-take-on-ai-driven-power-plant-boom
    WWW.THESTAR.COM.MY
    West Virginia villagers take on AI-driven power plant boom
    Al Tomson, mayor of a tiny town tucked away in an idyllic corner of the eastern United States, points to a spot on a map of his region.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 278 มุมมอง 0 รีวิว
  • นี่คือ "บูร์กินาฟาโซ" ประเทศที่ปกครองโดย "ทหาร" หลังโค่นล้มอำนาจจากผู้นำประชาธิปไตยคนก่อนที่มีแต่การคอรัปชั่นและฝักใฝ่ตะวันตกโดยเฉพาะฝรั่งเศส

    ร้อยเอกอิบราฮิม ตราโอเร (Captain Ibrahim Traore) ผู้นำของประเทศ ใช้เวลาไม่ถึง 3 ปี หลังจากโค่นอำนาจจากรัฐบาลชุดก่อน และพลิกโฉมบูร์กินาฟาโซ โดยเลิกอิงแอบจักรวรรดินิยมแห่งฝรั่งเศส โดยนำความหวังใหม่ที่หมุ่งทำเพื่อพลเมืองชาวบูร์กินาฟาโซอย่างแท้จริง

    รัฐบาลทหารของตราโอเร ประกาศสร้างคลองยาว 78 กิโลเมตร ซึ่งยาวที่สุดในแอฟริกาตะวันตก เพื่อเสริมสร้างระบบชลประทานในประเทศให้มีศักยภาพในการผลิตอาหาร 50,000 ตัน

    เขายังได้สร้างสนามบินแห่งใหม่ เพื่อรองรับนักลงทุนเข้ามาพัฒนาประเทศ

    เริ่มโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นให้กับพลเมือง ทั้งด้านที่อยู่อาศัย และพลังงานไฟฟ้า




    นี่คือ "บูร์กินาฟาโซ" ประเทศที่ปกครองโดย "ทหาร" หลังโค่นล้มอำนาจจากผู้นำประชาธิปไตยคนก่อนที่มีแต่การคอรัปชั่นและฝักใฝ่ตะวันตกโดยเฉพาะฝรั่งเศส ร้อยเอกอิบราฮิม ตราโอเร (Captain Ibrahim Traore) ผู้นำของประเทศ ใช้เวลาไม่ถึง 3 ปี หลังจากโค่นอำนาจจากรัฐบาลชุดก่อน และพลิกโฉมบูร์กินาฟาโซ โดยเลิกอิงแอบจักรวรรดินิยมแห่งฝรั่งเศส โดยนำความหวังใหม่ที่หมุ่งทำเพื่อพลเมืองชาวบูร์กินาฟาโซอย่างแท้จริง รัฐบาลทหารของตราโอเร ประกาศสร้างคลองยาว 78 กิโลเมตร ซึ่งยาวที่สุดในแอฟริกาตะวันตก เพื่อเสริมสร้างระบบชลประทานในประเทศให้มีศักยภาพในการผลิตอาหาร 50,000 ตัน เขายังได้สร้างสนามบินแห่งใหม่ เพื่อรองรับนักลงทุนเข้ามาพัฒนาประเทศ เริ่มโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นให้กับพลเมือง ทั้งด้านที่อยู่อาศัย และพลังงานไฟฟ้า
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 301 มุมมอง 0 รีวิว
  • Silicon Motion เปิดตัวคอนโทรลเลอร์ SSD PCIe Gen6 – เร็วกว่าเดิมเท่าตัว รองรับ 512 TB

    Silicon Motion เปิดตัวคอนโทรลเลอร์ SSD รุ่นใหม่ SM8466 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของซีรีส์ MonTitan ที่ออกแบบมาเพื่อใช้งานในระดับองค์กรและศูนย์ข้อมูล โดยใช้เทคโนโลยี PCIe Gen6 ที่ให้ความเร็วสูงสุดถึง 28 GB/s และรองรับ IOPS สูงถึง 7 ล้านครั้งต่อวินาที—มากกว่ารุ่นก่อนถึงเท่าตัว

    ตัวคอนโทรลเลอร์ผลิตบนเทคโนโลยี 4nm ของ TSMC และรองรับมาตรฐานใหม่ NVMe 2.0+, OCP NVMe SSD Spec 2.5 พร้อมฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยครบครัน เช่น Secure Boot, AES-256, TCG Opal และ End-to-End Data Protection

    เมื่อเทียบกับรุ่นก่อน SM8366 (Gen5):
    - ความเร็ว: 28 GB/s vs 14.2 GB/s
    - ความจุ: 512 TB vs 128 TB
    - IOPS: 7 ล้าน vs 3.5 ล้าน
    - เทคโนโลยีการผลิต: 4nm vs 12nm

    อย่างไรก็ตาม คอนโทรลเลอร์นี้ยังอยู่ในขั้นตอนการเปิดตัวเทคโนโลยีเท่านั้น และผลิตภัณฑ์จริงจะเริ่มใช้งานในตลาดช่วงปี 2026–2027 โดยเฉพาะในศูนย์ข้อมูลยุคใหม่ ส่วนตลาดผู้บริโภคทั่วไปอาจต้องรอถึงปี 2030 กว่าจะได้ใช้ SSD ที่รองรับ PCIe Gen6

    ข้อมูลจากข่าว
    - Silicon Motion เปิดตัวคอนโทรลเลอร์ SSD รุ่น SM8466 รองรับ PCIe Gen6
    - ความเร็วสูงสุด 28 GB/s และรองรับความจุสูงสุด 512 TB
    - รองรับมาตรฐาน NVMe 2.0+, OCP Spec 2.5 และฟีเจอร์ความปลอดภัยหลายรายการ
    - ผลิตบนเทคโนโลยี 4nm ของ TSMC
    - IOPS สูงสุด 7 ล้านครั้งต่อวินาที
    - เปรียบเทียบกับรุ่นก่อน SM8366: เร็วขึ้น 2 เท่า, ความจุเพิ่ม 4 เท่า
    - คาดว่าจะเริ่มใช้งานจริงในปี 2026–2027 สำหรับตลาดองค์กร
    - ตลาดผู้บริโภคทั่วไปอาจได้ใช้ PCIe Gen6 SSD หลังปี 2030

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    - คอนโทรลเลอร์ SM8466 ยังไม่พร้อมใช้งานในตลาดทั่วไป ต้องรออีกหลายปี
    - PCIe Gen5 SSD ยังไม่เป็นที่แพร่หลายในตลาดผู้บริโภค ทำให้ Gen6 ยิ่งห่างไกล
    - การเปลี่ยนไปใช้ Gen6 ต้องอัปเกรดทั้งเมนบอร์ด, CPU และระบบจัดเก็บข้อมูล
    - ความเร็วสูงอาจมาพร้อมกับความร้อนและการใช้พลังงานที่มากขึ้น
    - องค์กรควรวางแผนล่วงหน้าในการเปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับ Gen6

    https://wccftech.com/silicon-motion-first-pcie-gen6-ssd-controller-enterprise-sm8466-up-to-28-gbps-speeds-512-tb-capacities/
    Silicon Motion เปิดตัวคอนโทรลเลอร์ SSD PCIe Gen6 – เร็วกว่าเดิมเท่าตัว รองรับ 512 TB Silicon Motion เปิดตัวคอนโทรลเลอร์ SSD รุ่นใหม่ SM8466 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของซีรีส์ MonTitan ที่ออกแบบมาเพื่อใช้งานในระดับองค์กรและศูนย์ข้อมูล โดยใช้เทคโนโลยี PCIe Gen6 ที่ให้ความเร็วสูงสุดถึง 28 GB/s และรองรับ IOPS สูงถึง 7 ล้านครั้งต่อวินาที—มากกว่ารุ่นก่อนถึงเท่าตัว ตัวคอนโทรลเลอร์ผลิตบนเทคโนโลยี 4nm ของ TSMC และรองรับมาตรฐานใหม่ NVMe 2.0+, OCP NVMe SSD Spec 2.5 พร้อมฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยครบครัน เช่น Secure Boot, AES-256, TCG Opal และ End-to-End Data Protection เมื่อเทียบกับรุ่นก่อน SM8366 (Gen5): - ความเร็ว: 28 GB/s vs 14.2 GB/s - ความจุ: 512 TB vs 128 TB - IOPS: 7 ล้าน vs 3.5 ล้าน - เทคโนโลยีการผลิต: 4nm vs 12nm อย่างไรก็ตาม คอนโทรลเลอร์นี้ยังอยู่ในขั้นตอนการเปิดตัวเทคโนโลยีเท่านั้น และผลิตภัณฑ์จริงจะเริ่มใช้งานในตลาดช่วงปี 2026–2027 โดยเฉพาะในศูนย์ข้อมูลยุคใหม่ ส่วนตลาดผู้บริโภคทั่วไปอาจต้องรอถึงปี 2030 กว่าจะได้ใช้ SSD ที่รองรับ PCIe Gen6 ✅ ข้อมูลจากข่าว - Silicon Motion เปิดตัวคอนโทรลเลอร์ SSD รุ่น SM8466 รองรับ PCIe Gen6 - ความเร็วสูงสุด 28 GB/s และรองรับความจุสูงสุด 512 TB - รองรับมาตรฐาน NVMe 2.0+, OCP Spec 2.5 และฟีเจอร์ความปลอดภัยหลายรายการ - ผลิตบนเทคโนโลยี 4nm ของ TSMC - IOPS สูงสุด 7 ล้านครั้งต่อวินาที - เปรียบเทียบกับรุ่นก่อน SM8366: เร็วขึ้น 2 เท่า, ความจุเพิ่ม 4 เท่า - คาดว่าจะเริ่มใช้งานจริงในปี 2026–2027 สำหรับตลาดองค์กร - ตลาดผู้บริโภคทั่วไปอาจได้ใช้ PCIe Gen6 SSD หลังปี 2030 ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง - คอนโทรลเลอร์ SM8466 ยังไม่พร้อมใช้งานในตลาดทั่วไป ต้องรออีกหลายปี - PCIe Gen5 SSD ยังไม่เป็นที่แพร่หลายในตลาดผู้บริโภค ทำให้ Gen6 ยิ่งห่างไกล - การเปลี่ยนไปใช้ Gen6 ต้องอัปเกรดทั้งเมนบอร์ด, CPU และระบบจัดเก็บข้อมูล - ความเร็วสูงอาจมาพร้อมกับความร้อนและการใช้พลังงานที่มากขึ้น - องค์กรควรวางแผนล่วงหน้าในการเปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับ Gen6 https://wccftech.com/silicon-motion-first-pcie-gen6-ssd-controller-enterprise-sm8466-up-to-28-gbps-speeds-512-tb-capacities/
    WCCFTECH.COM
    Silicon Motion Unveils Its First PCIe Gen6 SSD Controller For Enterprise: SM8466 With Up To 28 GB/s Speeds & 512 TB Capacities
    Silicon Motion has unveiled its next-gen PCIe Gen6 SSD controller which will be used to power the high-end enterprise level storage products.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 260 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลืม ransomware ไปก่อน—Quantum Computing คือภัยไซเบอร์ที่องค์กรทั่วโลกกลัวที่สุด

    รายงานล่าสุดจาก Capgemini Research Institute ซึ่งสำรวจองค์กรขนาดใหญ่กว่า 1,000 แห่งใน 13 ประเทศ พบว่า 70% ขององค์กรเหล่านี้มองว่า Quantum Computing คือภัยคุกคามด้านความปลอดภัยที่ร้ายแรงที่สุดในอนาคต มากกว่าการโจมตีแบบ ransomware ที่เคยเป็นอันดับหนึ่ง

    เหตุผลคือ Quantum Computer จะสามารถ “ถอดรหัส” ระบบเข้ารหัสที่ใช้อยู่ในปัจจุบันได้ทั้งหมด เช่น RSA, ECC และ AES ซึ่งเป็นหัวใจของการรักษาความปลอดภัยในระบบธนาคาร, การสื่อสาร, โครงสร้างพื้นฐาน และแม้แต่ระบบป้องกันประเทศ

    สิ่งที่น่ากังวลที่สุดคือแนวโน้ม “Harvest Now, Decrypt Later” หรือการที่หน่วยงานบางแห่ง (โดยเฉพาะรัฐ) กำลังเก็บข้อมูลที่เข้ารหัสไว้ล่วงหน้า เพื่อรอวันที่ Quantum Computer มีพลังมากพอจะถอดรหัสได้—ซึ่งหลายองค์กรเชื่อว่า “Q-Day” หรือวันที่เกิดเหตุการณ์นี้จะมาถึงภายใน 5–10 ปี

    Capgemini แนะนำให้องค์กรเริ่มเปลี่ยนไปใช้ระบบ “Post-Quantum Cryptography” ตั้งแต่วันนี้ เพื่อป้องกันความเสียหายในอนาคต และสร้างความเชื่อมั่นระยะยาว

    ข้อมูลจากข่าว
    - รายงานจาก Capgemini พบว่า 70% ขององค์กรขนาดใหญ่มองว่า Quantum Computing เป็นภัยไซเบอร์อันดับหนึ่ง
    - Quantum Computer สามารถถอดรหัสระบบเข้ารหัสแบบดั้งเดิมได้ เช่น RSA, ECC, AES
    - แนวโน้ม “Harvest Now, Decrypt Later” คือการเก็บข้อมูลไว้ล่วงหน้าเพื่อรอถอดรหัสในอนาคต
    - 65% ขององค์กรกังวลว่า Q-Day จะเกิดภายใน 5 ปี และ 60% เชื่อว่าจะเกิดภายใน 10 ปี
    - องค์กรเริ่มเปลี่ยนไปใช้ Post-Quantum Cryptography เพื่อป้องกันล่วงหน้า
    - Capgemini แนะนำให้เปลี่ยนเร็วเพื่อความต่อเนื่องทางธุรกิจและความเชื่อมั่นระยะยาว

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    - หากไม่เปลี่ยนระบบเข้ารหัสให้รองรับ Quantum ภายในเวลาอันใกล้ องค์กรอาจเสี่ยงต่อการสูญเสียข้อมูลมหาศาล
    - ข้อมูลที่ถูกเก็บไว้วันนี้ อาจถูกถอดรหัสในอนาคตโดยไม่มีทางป้องกัน
    - การเปลี่ยนระบบเข้ารหัสต้องใช้เวลาและทรัพยากรจำนวนมาก องค์กรควรวางแผนล่วงหน้า
    - การรอให้ Q-Day มาถึงก่อนค่อยเปลี่ยนอาจสายเกินไป และส่งผลต่อความมั่นคงของระบบทั้งหมด
    - องค์กรที่ไม่เตรียมตัวอาจเสียเปรียบด้านการแข่งขันและความไว้วางใจจากลูกค้า

    https://www.techradar.com/pro/security/forget-ransomware-most-firms-think-quantum-computing-is-the-biggest-security-risk-to-come
    ลืม ransomware ไปก่อน—Quantum Computing คือภัยไซเบอร์ที่องค์กรทั่วโลกกลัวที่สุด รายงานล่าสุดจาก Capgemini Research Institute ซึ่งสำรวจองค์กรขนาดใหญ่กว่า 1,000 แห่งใน 13 ประเทศ พบว่า 70% ขององค์กรเหล่านี้มองว่า Quantum Computing คือภัยคุกคามด้านความปลอดภัยที่ร้ายแรงที่สุดในอนาคต มากกว่าการโจมตีแบบ ransomware ที่เคยเป็นอันดับหนึ่ง เหตุผลคือ Quantum Computer จะสามารถ “ถอดรหัส” ระบบเข้ารหัสที่ใช้อยู่ในปัจจุบันได้ทั้งหมด เช่น RSA, ECC และ AES ซึ่งเป็นหัวใจของการรักษาความปลอดภัยในระบบธนาคาร, การสื่อสาร, โครงสร้างพื้นฐาน และแม้แต่ระบบป้องกันประเทศ สิ่งที่น่ากังวลที่สุดคือแนวโน้ม “Harvest Now, Decrypt Later” หรือการที่หน่วยงานบางแห่ง (โดยเฉพาะรัฐ) กำลังเก็บข้อมูลที่เข้ารหัสไว้ล่วงหน้า เพื่อรอวันที่ Quantum Computer มีพลังมากพอจะถอดรหัสได้—ซึ่งหลายองค์กรเชื่อว่า “Q-Day” หรือวันที่เกิดเหตุการณ์นี้จะมาถึงภายใน 5–10 ปี Capgemini แนะนำให้องค์กรเริ่มเปลี่ยนไปใช้ระบบ “Post-Quantum Cryptography” ตั้งแต่วันนี้ เพื่อป้องกันความเสียหายในอนาคต และสร้างความเชื่อมั่นระยะยาว ✅ ข้อมูลจากข่าว - รายงานจาก Capgemini พบว่า 70% ขององค์กรขนาดใหญ่มองว่า Quantum Computing เป็นภัยไซเบอร์อันดับหนึ่ง - Quantum Computer สามารถถอดรหัสระบบเข้ารหัสแบบดั้งเดิมได้ เช่น RSA, ECC, AES - แนวโน้ม “Harvest Now, Decrypt Later” คือการเก็บข้อมูลไว้ล่วงหน้าเพื่อรอถอดรหัสในอนาคต - 65% ขององค์กรกังวลว่า Q-Day จะเกิดภายใน 5 ปี และ 60% เชื่อว่าจะเกิดภายใน 10 ปี - องค์กรเริ่มเปลี่ยนไปใช้ Post-Quantum Cryptography เพื่อป้องกันล่วงหน้า - Capgemini แนะนำให้เปลี่ยนเร็วเพื่อความต่อเนื่องทางธุรกิจและความเชื่อมั่นระยะยาว ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง - หากไม่เปลี่ยนระบบเข้ารหัสให้รองรับ Quantum ภายในเวลาอันใกล้ องค์กรอาจเสี่ยงต่อการสูญเสียข้อมูลมหาศาล - ข้อมูลที่ถูกเก็บไว้วันนี้ อาจถูกถอดรหัสในอนาคตโดยไม่มีทางป้องกัน - การเปลี่ยนระบบเข้ารหัสต้องใช้เวลาและทรัพยากรจำนวนมาก องค์กรควรวางแผนล่วงหน้า - การรอให้ Q-Day มาถึงก่อนค่อยเปลี่ยนอาจสายเกินไป และส่งผลต่อความมั่นคงของระบบทั้งหมด - องค์กรที่ไม่เตรียมตัวอาจเสียเปรียบด้านการแข่งขันและความไว้วางใจจากลูกค้า https://www.techradar.com/pro/security/forget-ransomware-most-firms-think-quantum-computing-is-the-biggest-security-risk-to-come
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 282 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศูนย์ข้อมูลบูมในจอร์เจีย – เทคโนโลยีมา น้ำหาย คนอยู่ลำบาก

    ในชนบทของรัฐจอร์เจีย สหรัฐฯ พื้นที่ที่เคยเงียบสงบและเต็มไปด้วยต้นไม้ กำลังถูกแทนที่ด้วยอาคารขนาดใหญ่ไร้หน้าต่างที่เต็มไปด้วยเซิร์ฟเวอร์—ศูนย์ข้อมูลที่เป็นหัวใจของโลกดิจิทัลยุคใหม่ โดยเฉพาะในยุค AI และคลาวด์ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว

    แต่เบื้องหลังความก้าวหน้ากลับมีปัญหาใหญ่: การใช้น้ำมหาศาลเพื่อระบายความร้อนให้เซิร์ฟเวอร์ โดยเฉพาะในวันที่อากาศร้อน ศูนย์ข้อมูลแห่งหนึ่งอาจใช้น้ำถึง 5 ล้านแกลลอนต่อวัน ซึ่งเทียบเท่ากับการใช้น้ำของทั้งเมือง

    ในเมือง Mansfield ชาวบ้านบางคน เช่น Beverly Morris ซึ่งอาศัยอยู่ห่างจากศูนย์ข้อมูลของ Meta เพียง 400 หลา บ่นว่าบ้านของเธอไม่มีน้ำใช้ และไม่สามารถดื่มน้ำจากบ่อได้อีกต่อไป

    แม้บริษัทต่าง ๆ จะอ้างว่ามีการตรวจสอบสิ่งแวดล้อมอย่างเข้มงวด และบางแห่งลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ เช่น liquid cooling หรือการเก็บน้ำฝน แต่ชาวบ้านยังคงไม่ไว้วางใจ และรู้สึกว่าคุณภาพชีวิตของพวกเขาถูกลดทอนเพื่อผลประโยชน์ของบริษัทเทคโนโลยี

    ปัญหานี้ไม่ได้เกิดแค่ในจอร์เจีย แต่กำลังลุกลามไปทั่วสหรัฐฯ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีปัญหาภัยแล้ง และคาดว่าการใช้น้ำของศูนย์ข้อมูลทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

    ข้อมูลจากข่าว
    - ศูนย์ข้อมูลในจอร์เจียขยายตัวอย่างรวดเร็วเพื่อตอบรับการเติบโตของ AI และคลาวด์
    - ใช้น้ำมหาศาลเพื่อระบายความร้อน โดยเฉพาะในวันที่อากาศร้อน
    - ชาวบ้านใน Mansfield รายงานว่าบ่อบ้านแห้งและไม่สามารถใช้น้ำได้
    - บริษัทต่าง ๆ อ้างว่ามีการตรวจสอบสิ่งแวดล้อมและลงทุนในเทคโนโลยีลดการใช้น้ำ
    - มีการใช้เทคโนโลยีใหม่ เช่น liquid cooling และ rainwater harvesting
    - ปัญหานี้เกิดในหลายรัฐของสหรัฐฯ โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีภัยแล้ง
    - คาดว่าการใช้น้ำของศูนย์ข้อมูลทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในอนาคต

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    - การใช้น้ำของศูนย์ข้อมูลอาจกระทบต่อแหล่งน้ำของชุมชนโดยตรง
    - การตรวจสอบสิ่งแวดล้อมที่บริษัทจัดจ้างอาจไม่เป็นกลางหรือโปร่งใส
    - ชาวบ้านบางรายยังคงใช้ “น้ำที่ไม่มั่นใจ” ในการปรุงอาหารและแปรงฟัน
    - การเติบโตของโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลอาจไม่สมดุลกับคุณภาพชีวิตของประชาชน
    - หากไม่มีการกำกับดูแลที่เข้มงวด การขยายตัวของศูนย์ข้อมูลอาจทำลายระบบนิเวศท้องถิ่น

    https://www.techspot.com/news/108634-data-center-boom-georgia-sparks-water-worries-resident.html
    ศูนย์ข้อมูลบูมในจอร์เจีย – เทคโนโลยีมา น้ำหาย คนอยู่ลำบาก ในชนบทของรัฐจอร์เจีย สหรัฐฯ พื้นที่ที่เคยเงียบสงบและเต็มไปด้วยต้นไม้ กำลังถูกแทนที่ด้วยอาคารขนาดใหญ่ไร้หน้าต่างที่เต็มไปด้วยเซิร์ฟเวอร์—ศูนย์ข้อมูลที่เป็นหัวใจของโลกดิจิทัลยุคใหม่ โดยเฉพาะในยุค AI และคลาวด์ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว แต่เบื้องหลังความก้าวหน้ากลับมีปัญหาใหญ่: การใช้น้ำมหาศาลเพื่อระบายความร้อนให้เซิร์ฟเวอร์ โดยเฉพาะในวันที่อากาศร้อน ศูนย์ข้อมูลแห่งหนึ่งอาจใช้น้ำถึง 5 ล้านแกลลอนต่อวัน ซึ่งเทียบเท่ากับการใช้น้ำของทั้งเมือง ในเมือง Mansfield ชาวบ้านบางคน เช่น Beverly Morris ซึ่งอาศัยอยู่ห่างจากศูนย์ข้อมูลของ Meta เพียง 400 หลา บ่นว่าบ้านของเธอไม่มีน้ำใช้ และไม่สามารถดื่มน้ำจากบ่อได้อีกต่อไป แม้บริษัทต่าง ๆ จะอ้างว่ามีการตรวจสอบสิ่งแวดล้อมอย่างเข้มงวด และบางแห่งลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ เช่น liquid cooling หรือการเก็บน้ำฝน แต่ชาวบ้านยังคงไม่ไว้วางใจ และรู้สึกว่าคุณภาพชีวิตของพวกเขาถูกลดทอนเพื่อผลประโยชน์ของบริษัทเทคโนโลยี ปัญหานี้ไม่ได้เกิดแค่ในจอร์เจีย แต่กำลังลุกลามไปทั่วสหรัฐฯ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีปัญหาภัยแล้ง และคาดว่าการใช้น้ำของศูนย์ข้อมูลทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ✅ ข้อมูลจากข่าว - ศูนย์ข้อมูลในจอร์เจียขยายตัวอย่างรวดเร็วเพื่อตอบรับการเติบโตของ AI และคลาวด์ - ใช้น้ำมหาศาลเพื่อระบายความร้อน โดยเฉพาะในวันที่อากาศร้อน - ชาวบ้านใน Mansfield รายงานว่าบ่อบ้านแห้งและไม่สามารถใช้น้ำได้ - บริษัทต่าง ๆ อ้างว่ามีการตรวจสอบสิ่งแวดล้อมและลงทุนในเทคโนโลยีลดการใช้น้ำ - มีการใช้เทคโนโลยีใหม่ เช่น liquid cooling และ rainwater harvesting - ปัญหานี้เกิดในหลายรัฐของสหรัฐฯ โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีภัยแล้ง - คาดว่าการใช้น้ำของศูนย์ข้อมูลทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในอนาคต ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง - การใช้น้ำของศูนย์ข้อมูลอาจกระทบต่อแหล่งน้ำของชุมชนโดยตรง - การตรวจสอบสิ่งแวดล้อมที่บริษัทจัดจ้างอาจไม่เป็นกลางหรือโปร่งใส - ชาวบ้านบางรายยังคงใช้ “น้ำที่ไม่มั่นใจ” ในการปรุงอาหารและแปรงฟัน - การเติบโตของโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลอาจไม่สมดุลกับคุณภาพชีวิตของประชาชน - หากไม่มีการกำกับดูแลที่เข้มงวด การขยายตัวของศูนย์ข้อมูลอาจทำลายระบบนิเวศท้องถิ่น https://www.techspot.com/news/108634-data-center-boom-georgia-sparks-water-worries-resident.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Data center boom in Georgia sparks water worries and resident backlash
    The rise of data centers is closely tied to the rapid growth of artificial intelligence and cloud computing. But as the demand for digital services increases, so...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 249 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ชัชชาติ" ตรวจงานแอบซุ่ม! ย้ำ "รามคำแหง 21" ดีขึ้น แต่ยังขอออดทนเพื่ออนาคตน้ำไม่ท่วม
    https://www.thai-tai.tv/news/20207/
    .
    #ชัชชาติสิทธิพันธุ์ #ผู้ว่าฯกทม #ซอยรามคำแหง21 #เขตวังทองหลาง #น้ำท่วม #ปรับปรุงถนน #กรุงเทพมหานคร #โครงสร้างพื้นฐาน #อดทนเพื่ออนาคต #ซอยนวศรี
    "ชัชชาติ" ตรวจงานแอบซุ่ม! ย้ำ "รามคำแหง 21" ดีขึ้น แต่ยังขอออดทนเพื่ออนาคตน้ำไม่ท่วม https://www.thai-tai.tv/news/20207/ . #ชัชชาติสิทธิพันธุ์ #ผู้ว่าฯกทม #ซอยรามคำแหง21 #เขตวังทองหลาง #น้ำท่วม #ปรับปรุงถนน #กรุงเทพมหานคร #โครงสร้างพื้นฐาน #อดทนเพื่ออนาคต #ซอยนวศรี
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 159 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts