• ธรรมนัสลั่น! 'กล้าธรรม' พร้อมเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล มั่นใจกวาด สส. กว่า 70 ชีวิตทั่วประเทศ
    https://www.thai-tai.tv/news/20217/
    .
    #พรรคกล้าธรรม #ธรรมนัส #กล้าทำเพื่อประชาชน #เลือกตั้งครั้งหน้า #การเมืองไทย #DARETODO #แกนนำรัฐบาล #เกษตรกร #ฐานราก
    ธรรมนัสลั่น! 'กล้าธรรม' พร้อมเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล มั่นใจกวาด สส. กว่า 70 ชีวิตทั่วประเทศ https://www.thai-tai.tv/news/20217/ . #พรรคกล้าธรรม #ธรรมนัส #กล้าทำเพื่อประชาชน #เลือกตั้งครั้งหน้า #การเมืองไทย #DARETODO #แกนนำรัฐบาล #เกษตรกร #ฐานราก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 41 มุมมอง 0 รีวิว
  • "บิ๊กเต่า" เผย สีกากอล์ฟเลือกเหยื่อ "คนรวย-เข้าถึงง่าย" จ่อโดนคดีกรรโชกทรัพย์ ย้ำพระรูปไหนรู้ตัวเสพเมถุนให้สึกเอง!
    https://www.thai-tai.tv/news/20160/
    .
    #รับสร้างบ้าน #รับเหมาก่อสร้าง #รับเหมาสร้างบ้าน #ออกแบบบ้าน #สร้างบ้านหรู #แต่งบ้าน #บ้านสวย #บ้านคุณภาพ #งานฐานราก #งานโครงสร้างอาคาร #งานสถาปัตยกรรม #งานระบบ #งานถนนและสุขาภิบาล #งานสวนและส่วนกลาง #งานสวน #ระบบระบายน้ำ #ประกอบอาคาร #2499constructionanddevelopment
    "บิ๊กเต่า" เผย สีกากอล์ฟเลือกเหยื่อ "คนรวย-เข้าถึงง่าย" จ่อโดนคดีกรรโชกทรัพย์ ย้ำพระรูปไหนรู้ตัวเสพเมถุนให้สึกเอง! https://www.thai-tai.tv/news/20160/ . #รับสร้างบ้าน #รับเหมาก่อสร้าง #รับเหมาสร้างบ้าน #ออกแบบบ้าน #สร้างบ้านหรู #แต่งบ้าน #บ้านสวย #บ้านคุณภาพ #งานฐานราก #งานโครงสร้างอาคาร #งานสถาปัตยกรรม #งานระบบ #งานถนนและสุขาภิบาล #งานสวนและส่วนกลาง #งานสวน #ระบบระบายน้ำ #ประกอบอาคาร #2499constructionanddevelopment
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 117 มุมมอง 0 รีวิว
  • อริยสาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​วิธีการสืบต่อความไม่ประมาทของอริยสาวก
    สัทธรรมลำดับที่ : 1025
    ชื่อบทธรรม : -วิธีการสืบต่อความไม่ประมาทของอริยสาวก
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1025
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --วิธีการสืบต่อความไม่ประมาทของอริยสาวก
    --นันทิยะ ! อริยสาวก เป็นผู้มีปรกติอยู่ด้วยความไม่ประมาท เป็นอย่างไรเล่า ?
    --นันทิยะ ! ในกรณีนี้คือ อริยสาวก เป็นผู้ประกอบด้วย
    ๑.ความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้าอย่างไม่หวั่นไหว (พุทเธอเวจจัปปสาเทนะ)
    ดังนี้ว่า
    http://etipitaka.com/read/pali/19/501/?keywords=พุทฺเธ+อเวจฺจปฺปสาเทน
    “แม้เพราะเหตุอย่างนี้ๆ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น
    เป็นผู้ไกลจากกิเลส
    ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง
    เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ
    เป็นผู้ไปแล้วด้วยดี
    เป็นผู้รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง
    เป็นผู้สามารถฝึกบุรุษที่สมควรฝึกได้อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า
    เป็นครูผู้สอนของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
    เป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานด้วยธรรม
    เป็นผู้มีความจำเริญจำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์”
    ดังนี้.
    อริยสาวกนั้น ไม่มีความพอใจหยุดอยู่
    เพียงแค่ความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้าอย่างไม่หวั่นไหว
    แต่พยายามให้ยิ่งขึ้นไป คือ
    เพื่อความวิเวกในกลางวัน เพื่อความหลีกเร้นในกลางคืน.
    http://etipitaka.com/read/pali/19/501/?keywords=ปวิเวกาย+ปฏิสลฺลานาย
    +--เมื่ออริยสาวกนั้น เป็นผู้ไม่ประมาทอยู่อย่างนี้,
    ปราโมทย์ (ความบันเทิงใจ) ย่อมเกิดขึ้น;
    เมื่อปราโมทย์แล้ว ปีติ (ความอิ่มใจ) ย่อมเกิดขึ้น;
    เมื่อมีใจปีติ กายก็สงบระงับ;
    ผู้มีกายสงบระงับ ย่อมรู้สึกเป็นสุข;
    จิตของ ผู้มีสุข ย่อมตั้งมั่น (เป็นสมาธิ)
    เมื่อจิตตั้งมั่น ธรรม (ที่ยังไม่เคยปรากฏ) ย่อมปรากฏ;
    เพราะความปรากฏแห่งธรรม อริยสาวกนั้น ย่อมถึงซึ่งการนับ
    ได้ว่า
    เป็นผู้มีปกติอยู่ด้วยความไม่ประมาท โดยแท้.

    (ในกรณีแห่งโสตาปัตติยังคะ
    ที่สอง คือ
    ๒.ความเลื่อมใสในพระธรรมอย่างไม่หวั่นไหว ก็ดี
    ที่สาม คือ
    ๓.ความเลื่อมใสในพระสงฆ์อย่างไม่หวั่นไหว ก็ดี
    ที่สี่ คือ
    ๔.ความมีศีลอ้นเป็นอริย-ประเสริฐ (อริยกันตศีล--อริยกนฺเตหิ สีเลหิ)​
    http://etipitaka.com/read/pali/19/501/?keywords=อริยกนฺเตหิ+สีเลหิ
    ก็ดี ก็ได้ทรงตรัสไว้มีข้อความอย่างเดียวกันกับข้อความข้างบน
    ที่กล่าวถึงความ
    ๑.เลื่อมใสไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า
    )
    --นันทิยะ ! อย่างนี้แล อริยสาวกชื่อว่า #เป็นผู้มีปกติอยู่ด้วยความไม่ประมาท.-

    (ขอให้สังเกตเห็นใจความสำคัญที่ว่า
    แม้จะเป็นเตรียม พระโสดาบัน (คือธัมมานุสารี และสัทธานุสารีก็ตาม)
    หรือ เป็นพระโสดาบันแล้วก็ตาม
    ยังมีกิจคือความไม่ประมาทที่จะต้องกระทำสืบต่อยิ่งขึ้นไป
    ความข้อความในพระสูตรนี้ ให้ได้ชื่อว่าเป็นผู้อยู่ด้วยความไม่ประมาทอยู่เสมอ.
    ข้อปฏิบัติเหล่านั้นมีใจความสำคัญอยู่ที่ว่า
    กลางวันมีวิเวก คือสงัดจากความรบกวนภายนอก
    กลางคืนมีปฏิสัลลาณะ คือจิตไม่ฟุ้งซ่านไปในอารมณ์ต่างๆ
    แต่มากำหนดอยู่ที่ธรรมอันควรกำหนดอยู่ตลอดเวลา
    จนเกิดผลตามลำดับ นับตั้งแต่ความปราโมทย์
    ไปจนถึงความปรากฏแห่งธรรมที่ยังไม่เคยปรากฏ.
    อริยสาวกชั้นที่สูงขึ้นไปก็มีหลักปฏิบัติทำนองนี้ คือ
    กลางวันมีวิเวิก กลางคืนมีปฏิสัลลาณะ
    เพื่อบรรลุธรรมชั้นที่สูงขึ้นไปกว่าที่บรรลุอยู่ จนกระทั่งถึงชั้นพระอรหันต์.
    แม้ชั้นพระอรหันต์ซึ่งเป็นชั้นที่ถึงที่สุดแห่งความไม่ประมาทแล้ว
    ก็ยังมีวิเวกในกลางวัน มีปฏิสัลลาณะในกลางคืน
    เพื่อความอยู่เป็นผาสุกของบุคคลผู้ถึงที่สุดแห่งพรหมจรรย์.
    ขอให้ทุกคนเห็นความสำคัญของการอยู่อย่างมีวิเวกและมีปฏิสัลลาณะ
    ว่าเป็นฐานรากในการสืบต่อความไม่ประมาทให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไปในตัวเอง
    โดยไม่ต้องลำบากมากมายนัก
    ).

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์

    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - มหาวาร. สํ. 19/359/1602
    http://etipitaka.com/read/thai/19/395/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%96%E0%B9%90%E0%B9%92
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๐๑/๑๖๐๒
    http://etipitaka.com/read/pali/19/501/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%96%E0%B9%90%E0%B9%92
    ศึกษา​เพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1025
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=89&id=1025
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=89
    ลำดับสาธยายธรรม : 89 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_89.mp3
    อริยสาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​วิธีการสืบต่อความไม่ประมาทของอริยสาวก สัทธรรมลำดับที่ : 1025 ชื่อบทธรรม : -วิธีการสืบต่อความไม่ประมาทของอริยสาวก https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1025 เนื้อความทั้งหมด :- --วิธีการสืบต่อความไม่ประมาทของอริยสาวก --นันทิยะ ! อริยสาวก เป็นผู้มีปรกติอยู่ด้วยความไม่ประมาท เป็นอย่างไรเล่า ? --นันทิยะ ! ในกรณีนี้คือ อริยสาวก เป็นผู้ประกอบด้วย ๑.ความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้าอย่างไม่หวั่นไหว (พุทเธอเวจจัปปสาเทนะ) ดังนี้ว่า http://etipitaka.com/read/pali/19/501/?keywords=พุทฺเธ+อเวจฺจปฺปสาเทน “แม้เพราะเหตุอย่างนี้ๆ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เป็นผู้ไปแล้วด้วยดี เป็นผู้รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง เป็นผู้สามารถฝึกบุรุษที่สมควรฝึกได้อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า เป็นครูผู้สอนของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานด้วยธรรม เป็นผู้มีความจำเริญจำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์” ดังนี้. อริยสาวกนั้น ไม่มีความพอใจหยุดอยู่ เพียงแค่ความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้าอย่างไม่หวั่นไหว แต่พยายามให้ยิ่งขึ้นไป คือ เพื่อความวิเวกในกลางวัน เพื่อความหลีกเร้นในกลางคืน. http://etipitaka.com/read/pali/19/501/?keywords=ปวิเวกาย+ปฏิสลฺลานาย +--เมื่ออริยสาวกนั้น เป็นผู้ไม่ประมาทอยู่อย่างนี้, ปราโมทย์ (ความบันเทิงใจ) ย่อมเกิดขึ้น; เมื่อปราโมทย์แล้ว ปีติ (ความอิ่มใจ) ย่อมเกิดขึ้น; เมื่อมีใจปีติ กายก็สงบระงับ; ผู้มีกายสงบระงับ ย่อมรู้สึกเป็นสุข; จิตของ ผู้มีสุข ย่อมตั้งมั่น (เป็นสมาธิ) เมื่อจิตตั้งมั่น ธรรม (ที่ยังไม่เคยปรากฏ) ย่อมปรากฏ; เพราะความปรากฏแห่งธรรม อริยสาวกนั้น ย่อมถึงซึ่งการนับ ได้ว่า เป็นผู้มีปกติอยู่ด้วยความไม่ประมาท โดยแท้. (ในกรณีแห่งโสตาปัตติยังคะ ที่สอง คือ ๒.ความเลื่อมใสในพระธรรมอย่างไม่หวั่นไหว ก็ดี ที่สาม คือ ๓.ความเลื่อมใสในพระสงฆ์อย่างไม่หวั่นไหว ก็ดี ที่สี่ คือ ๔.ความมีศีลอ้นเป็นอริย-ประเสริฐ (อริยกันตศีล--อริยกนฺเตหิ สีเลหิ)​ http://etipitaka.com/read/pali/19/501/?keywords=อริยกนฺเตหิ+สีเลหิ ก็ดี ก็ได้ทรงตรัสไว้มีข้อความอย่างเดียวกันกับข้อความข้างบน ที่กล่าวถึงความ ๑.เลื่อมใสไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า ) --นันทิยะ ! อย่างนี้แล อริยสาวกชื่อว่า #เป็นผู้มีปกติอยู่ด้วยความไม่ประมาท.- (ขอให้สังเกตเห็นใจความสำคัญที่ว่า แม้จะเป็นเตรียม พระโสดาบัน (คือธัมมานุสารี และสัทธานุสารีก็ตาม) หรือ เป็นพระโสดาบันแล้วก็ตาม ยังมีกิจคือความไม่ประมาทที่จะต้องกระทำสืบต่อยิ่งขึ้นไป ความข้อความในพระสูตรนี้ ให้ได้ชื่อว่าเป็นผู้อยู่ด้วยความไม่ประมาทอยู่เสมอ. ข้อปฏิบัติเหล่านั้นมีใจความสำคัญอยู่ที่ว่า กลางวันมีวิเวก คือสงัดจากความรบกวนภายนอก กลางคืนมีปฏิสัลลาณะ คือจิตไม่ฟุ้งซ่านไปในอารมณ์ต่างๆ แต่มากำหนดอยู่ที่ธรรมอันควรกำหนดอยู่ตลอดเวลา จนเกิดผลตามลำดับ นับตั้งแต่ความปราโมทย์ ไปจนถึงความปรากฏแห่งธรรมที่ยังไม่เคยปรากฏ. อริยสาวกชั้นที่สูงขึ้นไปก็มีหลักปฏิบัติทำนองนี้ คือ กลางวันมีวิเวิก กลางคืนมีปฏิสัลลาณะ เพื่อบรรลุธรรมชั้นที่สูงขึ้นไปกว่าที่บรรลุอยู่ จนกระทั่งถึงชั้นพระอรหันต์. แม้ชั้นพระอรหันต์ซึ่งเป็นชั้นที่ถึงที่สุดแห่งความไม่ประมาทแล้ว ก็ยังมีวิเวกในกลางวัน มีปฏิสัลลาณะในกลางคืน เพื่อความอยู่เป็นผาสุกของบุคคลผู้ถึงที่สุดแห่งพรหมจรรย์. ขอให้ทุกคนเห็นความสำคัญของการอยู่อย่างมีวิเวกและมีปฏิสัลลาณะ ว่าเป็นฐานรากในการสืบต่อความไม่ประมาทให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไปในตัวเอง โดยไม่ต้องลำบากมากมายนัก ). #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - มหาวาร. สํ. 19/359/1602 http://etipitaka.com/read/thai/19/395/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%96%E0%B9%90%E0%B9%92 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๐๑/๑๖๐๒ http://etipitaka.com/read/pali/19/501/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%96%E0%B9%90%E0%B9%92 ศึกษา​เพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1025 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=89&id=1025 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=89 ลำดับสาธยายธรรม : 89 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_89.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - วิธีการสืบต่อความไม่ประมาทของอริยสาวก
    -(ผู้ยึดการปฏิบัติอริยอัฏฐังคิกมรรคเป็นหลัก พึงมองให้เห็นความสำคัญที่สุดแห่งพระบาลีนี้ ที่แสดงให้เห็นว่า ถ้าปฏิบัติในชั้นลึกคือการรู้เห็นอย่างถูกต้องเกี่ยวกับอายตนะอันเป็นที่ตั้งแห่งตัณหาอุปทานแล้ว ย่อมเป็นเคล็ดลับในการปฏิบัติอริยอัฏฐังคิกมรรคอย่างครบถ้วน ขึ้นมาโดยอัตโนมัติ ไม่เสียเวลามากเหมือนผู้ปฏิบัติชนิดแจกแจงเป็นองค์ๆ และองค์ละหลายๆ อย่าง ซึ่งโดยมากปฏิบัติจนตายหรือเกือบตายก็ไม่เคยประสบความสำเร็จ จึงขอเน้นความสำคัญอย่างยิ่งแห่งพระบาลีนี้ แก่ผู้ปฏิบัติทุกคน. ข้อความที่ยกมานี้ ยกมาแต่ข้อความที่แสดงด้วยเรื่องของจักษุ ผู้ศึกษาพึงเทียบเคียงเอาเองออกไปถึงเรื่องของ โสตะ ฆานะ ชิวหา กายะ และมโน แต่ละอย่างๆ ออกเป็นห้าประเด็น เหมือนอย่างที่แสดงไว้ในกรณีแห่งจักษุข้างต้นนั้น, ก็จะได้อายตนะนิกธรรม ๖ หมวดๆ ละ ๕ อย่าง; รวมเป็น ๓๐ อย่าง โดยบริบูรณ์). วิธีการสืบต่อความไม่ประมาทของอริยสาวก นันทิยะ ! อริยสาวก เป็นผู้มีปรกติอยู่ด้วยความไม่ประมาท เป็นอย่างไรเล่า ? นันทิยะ ! ในกรณีนี้คือ อริยสาวก เป็นผู้ประกอบด้วย ความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้าอย่างไม่หวั่นไหว (พุทธอเวจจัปปสาทะ) ดังนี้ว่า “แม้เพราะ เหตุอย่างนี้ๆ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เป็นผู้ไปแล้วด้วยดี เป็นผู้รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง เป็นผู้สามารถฝึกบุรุษที่สมควรฝึกได้อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า เป็นครูผู้สอนของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานด้วยธรรม เป็นผู้มีความจำเริญจำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์” ดังนี้. อริยสาวกนั้น ไม่มีความพอใจหยุดอยู่ เพียงแค่ความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้าอย่างไม่หวั่นไหว แต่พยายามให้ยิ่งขึ้นไป คือเพื่อความวิเวกในกลางวัน เพื่อความหลีกเร้นในกลางคืน. เมื่ออริยสาวกนั้น เป็นผู้ไม่ประมาทอยู่อย่างนี้, ปราโมทย์ (ความบันเทิงใจ) ย่อมเกิดขึ้น; เมื่อปราโมทย์แล้ว ปีติ (ความอิ่มใจ) ย่อมเกิดขึ้น; เมื่อมีใจปีติ กายก็สงบระงับ; ผู้มีกายสงบระงับ ย่อมรู้สึกเป็นสุข; จิตของ ผู้มีสุข ย่อมตั้งมั่น (เป็นสมาธิ) เมื่อจิตตั้งมั่น ธรรม (ที่ยังไม่เคยปรากฏ) ย่อมปรากฏ; เพราะความปรากฏแห่งธรรม อริยสาวกนั้น ย่อมถึงซึ่งการนับ ได้ว่า เป็นผู้มีปกติอยู่ด้วยความไม่ประมาท โดยแท้. (ในกรณีแห่งโสตาปัตติยังคะที่สอง คือ ความเลื่อมใสในพระธรรมอย่างไม่หวั่นไหว ก็ดี ที่สามคือ ความเลื่อมใสในพระสงฆ์อย่างไม่หวั่นไหว ก็ดี ที่สี่คือ ความมีศีลที่พระอริยเจ้าพอใจ (อริยกันตศีล) ก็ดี ก็ได้ทรงตรัสไว้มีข้อความอย่างเดียวกันกับข้อความข้างบนที่กล่าวถึงความ เลื่อมใสไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า ) นันทิยะ ! อย่างนี้แล อริยสาวกชื่อว่า เป็นผู้มีปกติอยู่ด้วยความไม่ประมาท.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 251 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..นี้คือวิสัยทัศน์ของคนได้มาเป็นผู้ปกครอง&ผู้นำ&ผู้มีอำนาจในประเทศเราล้วนๆ,และนั้นคือการรีเซ็ตระบบใหม่หมด ของการเล่าเรียนๆในประเทศเราทุกๆมิติ,เมื่อเราวางพื้นฐาน&รากฐานองค์ความรู้อย่างยอดเยี่ยม เราจะไม่หวาดกลัวการเปลี่ยนแปลงใดๆเลย ,ส่วนการแตกไลน์แตกแขนงเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยแค่น้ำจิ้มๆแล้ว แทบไม่มีผลกระทบต่อฐานรากเราเลย,เพียงแก้ไขแก้ปมตามจุดตามข้อของยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไปแค่นั้น เพราะมันไม่พลิกแบบก้าวกระโดดอะไรมากมายหรอก,สุดท้ายเป็นไปเพื่อตังนั้นล่ะ,หางานดีๆตำแหน่งดีๆก็มุ่งหมายตังสืบต่อแก่การใช้จ่าย&กินอยู่ในชีวิตประจำวันแค่นั้น,AIนำมาใช้ก็เพื่อมุ่งผลิตงานต่างๆตอบสนองคนๆเราให้ไปซื้อไปใช้ตัง&จ่ายให้คนทำคนผลิตจากAIได้กำไรทางตังทั้งนั้นล่ะ.เพราะแก่นหลักคือเอาAIมาทำตังมากๆไม่มีอะไรเลย,คนไม่ซื้อไม่ใช้บริการต่างๆจากAIผลิต แบนบริษัทกิจการที่ใช้งานAIมากกว่าคน ไม่ส่งเสริมคนคุณค่ามนุษย์บนประเทศไทย ประชาชนพากันแบนพากันเปิดโปงบริษัทกิจการทั่วโซเชียล ไม่ซื้อ ไม่ใช้สินค้า ไม่ไปใช้บริการในกิจการแม่กิจการสาขากิจการลูกเครือข่ายบริษัทแม่นั้นๆ กิจการนั้นพังแน่นอนในประเทศไทย บวกนโยบายรัฐเราเองคิดภาษีแบบทรัมป์ต่อกิจการโรงงานบริษัทที่ใช้AIนั้นเกินอัตราที่รัฐกำหนดมิให้เลิกจ้างสถานะมนุษย์เกิน95% เกินจะคิดภาษีทุกๆบริษัทกิจการในไทยทั้งหมดที่3,000%-5,000%แบบทรัมป์คิดภาษีบริษัทกิจการในไทยเช่นโรงงานจีนในไทยผลิตแผงแดดขาย ส่งไปอเมริกาทรัมป์คิดภาษีแผงแดดที่จะส่งมาขายในอเมริกาที่3,000%ถึง4,000%โน้น พะสาโรงงานกิจการ&บริษัทใดๆในไทย หากใช้AIจักรกลเกินอัตราที่กำหนดไม่เกิน5%ก็ฟันภาษีที่3,000%-4,000%ได้,เพื่อเฉลี่ยชดเชยในการเลี้ยงดูเยียวยาทรัพยากรมนุษย์ในประเทศไทยเราเอง,นี้ก็คือผู้นำไทยเราต้องกล้าหาญต่อโลกจะมากระทำกระทบตนขนาดปรับปรังพัฒนาการตนหรือวิวัฒนาการนำพาชาติไทยเข้าสู่ยุคใหม่,กำแพงสงครามปกป้อง&ป้องกันประเภทภายในตนเองก็ว่า,ยังไม่เกี่ยวกับกระบวนการศึกษาและการจ้างงานจัดการบริหารเนื้อตำแหน่งงานองค์รวมของประเทศไทยเรานะ.

    https://m.youtube.com/watch?v=UkLQT11Li9Q
    ..นี้คือวิสัยทัศน์ของคนได้มาเป็นผู้ปกครอง&ผู้นำ&ผู้มีอำนาจในประเทศเราล้วนๆ,และนั้นคือการรีเซ็ตระบบใหม่หมด ของการเล่าเรียนๆในประเทศเราทุกๆมิติ,เมื่อเราวางพื้นฐาน&รากฐานองค์ความรู้อย่างยอดเยี่ยม เราจะไม่หวาดกลัวการเปลี่ยนแปลงใดๆเลย ,ส่วนการแตกไลน์แตกแขนงเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยแค่น้ำจิ้มๆแล้ว แทบไม่มีผลกระทบต่อฐานรากเราเลย,เพียงแก้ไขแก้ปมตามจุดตามข้อของยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไปแค่นั้น เพราะมันไม่พลิกแบบก้าวกระโดดอะไรมากมายหรอก,สุดท้ายเป็นไปเพื่อตังนั้นล่ะ,หางานดีๆตำแหน่งดีๆก็มุ่งหมายตังสืบต่อแก่การใช้จ่าย&กินอยู่ในชีวิตประจำวันแค่นั้น,AIนำมาใช้ก็เพื่อมุ่งผลิตงานต่างๆตอบสนองคนๆเราให้ไปซื้อไปใช้ตัง&จ่ายให้คนทำคนผลิตจากAIได้กำไรทางตังทั้งนั้นล่ะ.เพราะแก่นหลักคือเอาAIมาทำตังมากๆไม่มีอะไรเลย,คนไม่ซื้อไม่ใช้บริการต่างๆจากAIผลิต แบนบริษัทกิจการที่ใช้งานAIมากกว่าคน ไม่ส่งเสริมคนคุณค่ามนุษย์บนประเทศไทย ประชาชนพากันแบนพากันเปิดโปงบริษัทกิจการทั่วโซเชียล ไม่ซื้อ ไม่ใช้สินค้า ไม่ไปใช้บริการในกิจการแม่กิจการสาขากิจการลูกเครือข่ายบริษัทแม่นั้นๆ กิจการนั้นพังแน่นอนในประเทศไทย บวกนโยบายรัฐเราเองคิดภาษีแบบทรัมป์ต่อกิจการโรงงานบริษัทที่ใช้AIนั้นเกินอัตราที่รัฐกำหนดมิให้เลิกจ้างสถานะมนุษย์เกิน95% เกินจะคิดภาษีทุกๆบริษัทกิจการในไทยทั้งหมดที่3,000%-5,000%แบบทรัมป์คิดภาษีบริษัทกิจการในไทยเช่นโรงงานจีนในไทยผลิตแผงแดดขาย ส่งไปอเมริกาทรัมป์คิดภาษีแผงแดดที่จะส่งมาขายในอเมริกาที่3,000%ถึง4,000%โน้น พะสาโรงงานกิจการ&บริษัทใดๆในไทย หากใช้AIจักรกลเกินอัตราที่กำหนดไม่เกิน5%ก็ฟันภาษีที่3,000%-4,000%ได้,เพื่อเฉลี่ยชดเชยในการเลี้ยงดูเยียวยาทรัพยากรมนุษย์ในประเทศไทยเราเอง,นี้ก็คือผู้นำไทยเราต้องกล้าหาญต่อโลกจะมากระทำกระทบตนขนาดปรับปรังพัฒนาการตนหรือวิวัฒนาการนำพาชาติไทยเข้าสู่ยุคใหม่,กำแพงสงครามปกป้อง&ป้องกันประเภทภายในตนเองก็ว่า,ยังไม่เกี่ยวกับกระบวนการศึกษาและการจ้างงานจัดการบริหารเนื้อตำแหน่งงานองค์รวมของประเทศไทยเรานะ. https://m.youtube.com/watch?v=UkLQT11Li9Q
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 251 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..มโนเล่นๆ อาจร่ายยาวเพลินๆก็ขออภัยไว้นะที่นี้ด้วยแก่ผู้ที่ล็อกอินผ่านมาเจอ.

    ....เอาจริงๆนะ ชุมชนthaitimeตั้งเป็นชุมชนเตรียมอุดมจัดตั้งคณะบริหารชาติภาคมหาประชาชนเลย,หรือฮับศูนย์กลางแหล่งลงทะเบียนรับสมาชิกภาคประชาชนคนไทยเราเพื่อนำไปสู่การตั้งพรรคการเมืองภาคประชาชนก็ว่า,ใช้แอปแพลตฟอร์มthaitimeนี้เป็นรุ่นทดลองทดสอบโมเดลสำรวจความต้องการก่อนก็ได้ หรือว่าที่พรรคการเมืองตัวแทนภาคประชาชนคนไทยจริงจังในอนาคตนั้นเอง,ลงทะเบียนสำรวจความสนใจเบื้องต้นก็ได้ แบบกดลงมติเห็นด้วยไม่เห็นด้วยได้เลย,เช่นใครก็ตามเข้ามาใช้thaitimeสามารถมีอีกช่องทางเลือกหนึ่งว่า ปุ่มรับลงทะเบียนเพื่อเข้าร่วมเป็นว่าที่สมาชิกพรรคการเมืองภาคประชาชนคนไทยระดับทั้งคนประเภทไทบ้านออฟไลน์และออนไลน์ได้เพียงให้ลูกหลานลงทะเบียนในช่องสำรวจร่วมจัดตั้งพรรคนี้อย่างยินยอมเต็มใจได้ ก็สามารถให้คนที่เข้ามาใช้ช่วยกดลงมติเห็นด้วยได้และเข้าไปลงทะเบียนรุ่นโมเดลทดลองเป็นว่าที่สมาชิกพรรคการเมืองภาคประชาชนได้,เช่นคนมาเล่นthaitimeตลอดปีและลงทะเบียนเป็นสมาชิกพรรคการเมืองภาคประชาชนอย่างเต็มใจถึง 30-40ล้านคน แพลตฟอร์มนี้สมาชิกประเมินและประมวลผลติดตามได้ทันที ส่งสิทธิการยืนยันตัวตนจริงจังอีกครั้งว่าจากสถานะว่าที่สมาชิกจะเป็นสมาชิกพรรคการเมืองภาคประชาชนอย่างสมบูรณ์แล้วนะเมื่อกดปุ่มยืนยันตามนี้ ระบบจะรันรายชื่อสมาชิกที่ลงทะเบียนไว้แล้วว่าที่สมาชิกนั้นเป็นสมาชิกจริง100%ทันทีเพื่อความเป็นพรรคการเมืองภาคประชาชนจะได้สมบูรณ์จริงต่อไป,
    ..เลือกตั้งสมัยหน้า (อาจแค่สมาชิกและครอบครัวคนที่เป็นหนี้กยศ.อาจเป็นสมาชิกพรรคทั้งหมดด้วยกว่า6ถึง10ล้านคนเครือญาติพี่น้องเขาที่มีสิทธิ์กาเลือกตั้งได้)ไทบ้าน&ประชาชนทั่วประเทศสามารถสื่อสารการบริหารจัดการปกครองประเทศร่วมกันผ่านแอปนี้ได้ทันที,อาจใช้ระบบควอนตัมบริหารจัดการข้อมูลดาต้าสมาชิกและปัญหาคำถามใดเพื่อขจัดปัญหาที่ไม่ดีในอนาคตได้อย่างราบรื่น,เช่นลงมติว่า พรรคthatimeถึงเวลายึดคืนบ่อปิโตรเลียมไทยที่ถูกปล้นนานมาแล้วคืนสู่สามัญเดิมในอธิปไตยชาติไทยเถอะก็ว่า โมฆะสัมปทานทั้งหมดก็ว่า เป็นต้น,หรือล้างหนีักยศ.เลย กว่าแบบอเมริกาสมัยไบเดนทำคือล้างหนี้ช่วยนักเรียนนักศึกษาอเมริกาขั้นต่ำของเขาจริงต่อคนที่10,000$หรือ350,000บาทต่อหนี้กยศ.คนอเมริกาต่อคน และแบบสูงสุดมีเงื่อนไขบ้างที่20,000$หรือ700,000บาทต่อคนของประเทศเขาอเมริกา,แต่ชาติไทยเราอาจล้างหนี้และยกเลิกหนี้แก่เยาวชนไทยเราทั้งหมดได้สบายมาก,สู่ยุคการศึกษาที่ประเทศเรา ใครคนไทยอยากเรียนไม่ต้องมีหนี้นั้นเองได้แล้ว,ยุบกยศ.ทิ้งเลยด้วย กูรูบ้างท่านบอกว่า สัญลักษณ์กยศ.หากดูดีๆมันคือโลโก้สไตล์สัญลักษณ์ปิระมิทของพวกซาตานฝ่ายมืด จะเป็นไปเพื่อกดขี่ บังคับข่มเหงในองค์กรหน่วยงานนั้นๆที่ทำโลโก้สัญลักษณ์บอกแสดงออกมา,กยศ.ไทยเราปกติไม่เคยทำตราโลโก้องค์กรแบบที่ว่านั้น แต่พึ่งมาเปรียบใหม่ๆช่วงฝ่ายแสงกับฝ่ายมืดรบกันจริงจังแบบเปิดเผยเปิดหน้าชัดเจนไม่แอบซ่อนเหมือนดั่งในอดีตแล้ว,มันจึงเสมือนชัดเจนเจาะจงว่ากยศ.ไทยที่โทนี่คิดค้นสร้างทำในยุคตนขึ้นปกครองมีการวางแผนเพื่อกดขี่เยาวชนนักศึกษาไทยด้วยทาสหนี้ทาสตังมานานแล้วคือมุกวางหมากวางเกมส์นี้สร้างขึ้นเพื่องานนีัหวังผลชัดเจนนั้นเองและผลลัพธ์ชัดแจ้งคือยุคปัจจุบันนี้ล่ะ,สิ่งใดที่ฝ่ายมืดทำขึ้นมันมุ่งใช้งานไปทางไม่ดีแน่นอน,เมื่อเยาวชนคนรุ่นต่อไปจมในกับดักหนี้แต่แรกเริ่มเรียนเริ่มทำงาน ชาติจะอ่อนแอย่อมง่ายมากแบบเห็นชัดในปัจจุบันผ่านเยาวชนที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่ในสังคมชุมชนตนอยู่ในคอกหนี้กรอบหนี้ทัังบีบในหนี้ที่อยู่ในระบบ บีบจนต้องมาพึ่งหนีัฝ่ายมืดฝ่ายนอกระบบที่ก็เป็นของพวกมันสร้างวางแผนรอดักทางเตรียมไว้แล้ว,สุดท้ายเยาวชนไทยติดหนี้ทัังในระบบ ถูกเล่นงานทั้งพวกหนี้นอกระบบ และถูกเอารัดเอาเปรียบในระบบธุรการงานราชการจากการทำเรื่องในหน่วยงานอื่นๆอีก พวกทวงหนี้จนถึงยึดทรัพย์บังคับขาย ต่างได้ตังได้เงินทองจากทาสหนี้ทาสตังในระบบและนอกระบบสิ้น,ซวยและเหยื่อที่ดีคือเยาวชนเด็กนักเรียนนักศึกษาเราแม้เติบโตเข้าสังคมระบบกลไกสัมมาอาชีพชอบระดับประเทศ ก็จะตายเพราะสัมมาอาชีพชั่วเลวของคนฝ่ายมารมืดซาตานที่อยู่เป็นองค์กรเลวระดับใหญ่มีอำนาจในระดับชาติ ปะปนในหน่วยงานระบยราชการที่ล้มเหลวอีก ซวยคือประชาชน ลูกหลานและผู้ปกครองเขา,จึงทำลายกยศ.ที่ฝ่ายมืดจัดตั้งดีที่สุด ตัดตอนจบเรื่องทันที เพราะเมื่อเหตุเลว ผลยอมเลวตามมาชัดเจน,ฝ่ายมืดก่อตั้ง มันจะดีได้อย่างไร กฎหมายใดๆกติกาเงื่อนไขใดๆมันย่อมสนองที่ต้นเหตุเป้าหมายการจัดตั้งก่อตั้งขึ้นมา,แก้แบบใดๆก็ไม่ใช่ทาง,ทุบก่อตัังใหม่จากฝ่ายแสงฝ่ายดีทำเอง เหตุเพื้อก่อมาดี ผลย่อมได้ดีตามมาจากเหตุ,อาทิ กยศ.ยุบทุบทิ้ง เกิดใหม่ว่า กองทุนการศึกษาแห่งชาติไทย กศช. เป้าหมาย คนไทยทุกๆคนสามารถเรียนฟรีตลอดชีพ ขั้นต่ำสูงสุดตามใจต้องการเช่นป.เอกในหมู่วัยเล่าเรียน,ในหมู่ประชาชนทั่วไป มีสถาบันฝึกทักษะสัมมาอาชีพเกือบทุกๆประเภทเพื่อให้ประชาชนคนไทยพึ่งพาสัมมาอาชีพตนเองยืนด้วยขาตนเองได้จริง มีทุนสัมมาอาชีพเริ่มต้นให้ทุกๆคน ตั้งแต่เยาวชนนักเรียนนักศึกษาเราที่จบใหม่ๆหรือประชาชนทั่วไปที่ผ่านการฝึกอบรบทักษะอาชีพใดๆที่สนใจ ไร้ทุนตังตั้งสัมมาอาชีพ สามารถยืมฟรีๆได้ ไม่มีดอกเบี้ย,มีรายได้ในสัมมาอาชีพนั้นๆที่เหลือใช้สามารถฝากตังไร้ดอกเบี้ยเงินฝากที่กองทุนสัมมาอาชีพ ฝากถอนสร้างสภาพคล่องได้เองตลอดเวลา,เช่นแต่ละหมู่บ้าน80,000ชุมชนทั่วประเทศ,แบงค์ชาติโอนตังเข้ากองทุนสัมมาอาชีพแต่ละชุมชนๆละ10ล้านบาทเบื้องต้นให้คนในชุมชนนั้นๆมายืมไปสร้างสัมมาอาชีพได้ในแต่ละปี เป็นตัง800,000ล้านบาทต่อปีเอง เทียบกับรายได้จากบ่อน้ำมัน เหมืองแร่ทองคำ แร่ทรัพยากรมีค่ามากมายบนแผ่นดินไทย มันมีตังมากมายมหาศาลกว่า100ล้านล้านบาทต่อปีแน่นอนถ้าบริหารจัดการแบบไม่ทุจริตโกงกินแผ่นดินไทยในปัจจุบัน,1ชุมชนไทบ้าน คนสนใจไปสร้างสัมมาอาชีพต่างๆในชุมชนตนเองอาจคนละ100,000บาทยืมสูงสุดก็ช่วยได้100คนหรือ100ครัวเรือนต่อปีเลย,ชุมชนนัันๆปลูกเลี้ยงนั้นนีัส่งออก ยืนด้วยขาตนเองได้มาคืนตังในปีที่สามทันที10ล้านบาทก็สามารถปล่อยยืมหมุนเวียนในชุมชนได้ตลอดเวลาอีก,บวกคน100คนนั้นๆมีรายได้รวมต่อปีเกิน1ล้านบาทอีกเหลือใช้อาจมาแบ่งฝากหมุนเวียนตลอดปีคนละ500,000บาทก็50ล้านบาทประจำชุมชนท้องถิ่นนั้นๆเลย,ความสามัคคีในชุมชนจะแน่นหนาเป็นเครือข่ายกว่า80,000หมู่บ้านชุมชนทั่วประเทศอีก,มีตลาดออนไลน์แบบแพลตฟอร์มthatimeส่งเสริมสนับสนุนการค้าเสรีบนโลกออนไลน์ทั่วโลกอีกจะเกิดอะไรขึ้น ตังหมุนเวียนซื้อขายในแอปอาจกว่า1ล้านล้านบาทต่อวันทั่วโลกก็ได้,ไม่รวมตลาดออฟไลน์แบบตลาดร้านค้าชุมชนหมู่บ้านอีก แบบกองทุนร้านค้าชุมชนในหลายๆหมู่บ้านยังมีเปิดค้าขายของใช้สอยในชุมชนอยู่,สามารถใช้ตังกองทุนฯไปสร้างตลาดชุมชนประจำอำเภอ จังหวัดเป็บฮับพบเจอกันต่อคนซื้อคนขายราคาไม่แพงตรงจากผู้ผลิตอีก แผงผักแผงปลาแผงผลไม้สาระพัดอาหารอุปโภคบริโภค ประชาชนสัมมาอาชีพมีตัง นำตังมากมายมาฝากไว้ในกองทุนอีก กองทุนตังล้นระบบสถาบันแน่นอน ปกติตังสะพัดทั้งประเทศกว่า40-50ล้านล้านบาทต่อปี อนาคตทั้งตลาดออนไลน์และออฟไลน์ในประเทศ อาจกว่า1,000ล้านล้านบาทต่อปีในประเทศไทยบวกทั่วโลกเข้าไทยจะขนาดไหน,เราไม่ต้องขุดสมบัติชาติทรัพยากรแผ่นดินไทยขึ้นมาอีกก็ได้ ต่อยอดอะไรๆต่อไปได้สาระพัดเลย,ฮับโรงพยาบาลโลกที่มีทั้งแบบสมุนไพรไทยผสมผสานล้ำๆเทคโนโลยีโลกAIหุ่นยนต์ชีวภาพ&มนุษย์กึ่งหุ่นยนต์AIซึ่งคนเราอาจพิการตาแขนขาอาจใช้แขนขาจักรกลผสมผสานรักษาทางการแพทย์ได้ลงตัวในไทยเราเติมเต็มตอบโจทย์ผู้คนทั่วโลกให้มารักษาในไทยอย่างสบายใจสะดวกสบายปลอดภัยในสุขภาพร่างกายได้เป็นต้น,สงกรานต์ไทยกินขาดแล้วด้านมิติท่องเที่ยวในช่วงหนึ่งๆ ต่อยอดขายอะไรต่อมิอะไรมากมายในไทยอีก ร่ำรวยโคตรๆก็ว่า,เราจะชัดเจนว่า การปกครองเราเองล้มเหลว ปกครองที่ผิดพลาดและไม่ยอมแก้ไขปรับปรุง มั่นคงให้คนไทยตนเองยากจนทุกข์ยาก,ทาสตังทาสหนี้ ทาสค่าครองชีพแพงในแบบไทยๆภายในไทยเราเองจึงต้องทำลายสถานะทาสนี้ทั้งหมดทันที,พักงานนักการเมืองทั้งหมด สส.สว.ทั้งหมด,ยุบองค์กรกยศ.หรือทุบทิ้งกยศ.ไทยด้วยก็ว่า, อเมริกาล้างหนี้เรียนสมัยไบเดนกว่า350,000บาทต่อคนได้ ทัังที่สภาพหนี้เขากว่า30ล้านล้าน$ยังสามารถทำได้,มองมาไทย สว.ยินยอมลงมติล้างหนี้เยาวชนไทยจากกยศ.ที่ก่อตั้งมาอย่างผิดพลาด หากสว.ตัดสินใจจริง &จริงใจในการห่วงใยเยาวชนไทยจริง จะตัดสินใจกล้าหาญโดยไม่ยาก,และสามารถคิดอ่านตัังหน่วยงานใหม่ให้เยาวชนไทยได้เล่าเรียนฟรีๆสูงๆโดยไม่ต้องมีหนี้สินติดตัวเป็นกำลังของชาติได้สบาย,
    ..thaitimeหากปลุกติดจริงแบบจุดเทียนช่วงสมัยพันธมิตรขับไล่โทนี่ออกจากประเทศได้สำเร็จและหากทำสุดซอย ยึดอำนาจในภาคมหาประชาชนด้วยได้สำเร็จ อาจไม่เสียของแบบทหารยึดอำนาจทั้งในอดีตและสมัยยึดอำนาจล่าสุดนั้นด้วยเสียของมากๆ ขายที่ดินให้ต่างชาติไร่ละ40ล้านบาทก็สามารถทำได้ ให้ต่างชาติเช่าที่ดินไทยแบบฮ่องกง99ปีก็สำเร็จจากทีมคณะยึดอำนาจไม้ต่อดำรงอำนาจการปกครองไทย ตลอดปล่อยสัมปทานสองแปลงอ่าวไทยให้คนอื่นจยชาติซาอุฯออกหน้าอย่างน่าเกียจด้วยปลื้มใจสำเร็จจะยึดสัมปทานน้ำมันไทยได้จนกะสร้างคลังแสงน้ำมันขนาดใหญ่ในไทยโน้น เหมืองทองคำก็ปล่อยให้ขุดต่อทั้งที่มีคดีกว่า15คดี,ผูกขาดพรบ.เม็ดพันธุ์ให้เอกชนยึดครองถ้าเกษตรกรฉีกซองเก็บเอาทำพันธุ์พืชต่อมีสิทธิ์ติดคุกทันทีแบบซาตานเอกชนฝรั่งทำสำเร็จแล้วโน้นก็ด้วยจะผ่านพรบ.500นี้ให้ได้จนประชาชนไม่ยอม ออกมาประท้วงจึงถอนพรบ.เหี้ยโจร500นี้ออกไปอีกตัว,นี้ยุคทหารอุบาทก์ยึดอำนาจฉีกรัฐธรรมนูญเก่งมากกล้ามากทุกๆยุคการยึดอำนาจรัฐประหารแต่ไม่กล้าขี้ขลาด&เขลากากกระจอกไม่กล้าแม้แต่จะฉีกกฎหมายลูกๆหลานๆที่เอาเปรียบแผ่นดินไทยตนเอง ปล้นชิงสมบัติทรัพยากรชาติไทยตนผ่านกฎหมายลูกกระทรวงทบวงกรมขี้ข้าทาสสัมปทานนั้นเลย เก่งกล้าแต่จะฉีกกฎหมายแม่รัฐธรรมนูญ มันเหี้ยมั้ยการปกครองไทยเรา,
    ..
    ..จริงๆthaitimeจึงสมควรที่เป็นเทียนชัยรุ่นบุกเบิกวางรากฐานที่ดีของภาคประชาชนคนไทยเราได้,ยิ่งมีนโยบายชัดไม่แสวงหากำไรมุ่งทำรายได้ผลประโยชน์ต่อสาธารณะมาเป็นของตัวของตนยิ่งจะเป็นแพลตฟอร์มที่ทรงคุณค่าแน่นอน,
    ..อาทิ ใครอยากจะร่วมจัดตั้งพรรคthaitimeภาคมหาชนคนไทยจริงก็มาลงทะเบียนเป็นสมาชิกพรรคที่นี้,มี40ล้านคนคือ40ล้านเสียงกาเลือกนายกภาคมหาประชาชนไทยจึงสะดวกต่อการสื่อสารแน่นอน,
    ..thaitimeเป็นแอปตลาดออนไลน์ของกองทุนตังสัมมาอาชีพคนไทยอีกยิ่งจะขนาดไหน,เลิกใช้แพลตฟอร์มอื่นๆของฝ่ายเอกชนต่างชาติอื่นๆจะแอปใดๆอีก มาพูดคุยแลกเปลี่ยนค้าขายออนไลน์ติดตระกร้าอิสระเสรีจะขนาดไหน,โฆษณาต่างๆตามมาตรึม มาช่วยคนพัฒนาแอปมีรายได้กำลังบริหารจัดการแอปมหาชนเราเสรีอีก,อาจอนาคตกว่าเดือนละ10ล้านบาทเข้าคนทำงานแอป แอปเรายิ่งต่อยอดแตกอำนวยความสะดวกเชิงบวกการทำตลาดค้าขายออนไลน์เสรีแก่ชุมชนสังคมแอปไทยนี้แน่นอนทั้งเปิดกว้างเสรีการค้าขายแลกเปลี่ยนทั่วโลกอีก คนทั้งโลกมาร่วมกันใช้แอปนี้ของไทยสัก5,000ล้านคนก็สุดยอดมากแล้ว พากันค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าการตลาดสาระพัดในแอปนี้อีก,คนไทยเรายิงสินค้าไทย&บริการไทยติดตาทั่วโลกได้สบายพันธมิตรการค้าเสรีกับชาวไทยคตธรรมดาเราอีก ขายตรงจากต้นน้ำถึงปลายน้ำเลย อาทิต่างชาติมาเห็นชุมชนหมู่บ้านเราปลูกพืชอินทรีย์ปลอดภัย สั่งซื้อยกชุมชนยกอำเภอ ตังกว่า10,000ล้าน$&หยวนหรือบาทไทยจะขนาดไหน,ตะวันตกขาดสินค้า ยุโรปขาดอาหาร สินค้าไทยมิตรทั่วโลกสั่งตรึม77จังหวัดๆละ100,000ล้านเหรียญหรือหยวนหรือบาทไทย,ในแต่ละเดือนๆ รวยร่ำๆเลยนะ,กองทุนสัมมาอาชีพที่แบงค์ชาติอัดให้ชุมชนละๆ10ล้านบาทหมุนเวียนต่อเนื่องคืนทุนต่อเนื่องในชุมชนแทบตลอดไปไม่เรียกคืนให้งอกเงยสบายมากๆ,
    ..พื้นฐานจริงๆคือฐานเยาวชนการศึกษาเรานี้ล่ะ เรียนไม่ต้องมีหนี้ติดตัวบวกอัดเงินส่งเสริมสร้างสัมมาอาชีพอิสระเสรีประยุกต์ทำได้หมด,บางคนอาจจบมารวมกลุ่มสมาคมขนาดใหญ่พัฒนาสร้างยานอวกาศบินออกนอกโลกโดยฝีมือเยาวชนไทยรุ่นท่องเที่ยวขนาดเล็กไม่เกิน10ที่นั่งก็อาจสบายมากเป็นต้น,ผีบ้าผู้ปกครองไทยกาก&กระจอกเสือกไม่ตั้งกยศ.ให้คนที่อยากเรียนไปเป็นทาสตังทาสหนี้สู่ทาสแรงงานรับใช้กดขี่อิสระภาพสัมมาอาชีพและความคิดล้ำๆคนไทย,ทัังที่แค่ยึดบ่อน้ำมันคืนบ่อทองคำคืนมาทำมาขายเองก็ร่ำรวยมหาศาลขนาดไหนแล้ว พะสาเศษตังไม่ถึงล้านล้านบาทนี้,เรือบรรทุกน้ำมันขนาดใหญ่มาดูดน้ำมันลงเรือมันไม่กี่ลำแบบเถื่อนๆลับที่พวกได้สัมปทานไปทำตรึมแน่นอนจนกูรูมากมายออกมาแฉตรึม ตีเป็นตังต่อปีอาจมากกว่า100ล้านล้านบาทที่หายไปจากแผ่นดินไทยจนถึงปัจจุบันโน้น.,ยุบกยศทิ้งเถอะ,ไบเดนว่ากากๆยังล้างหนี้ช่วยเยาวชนคนอเมริกาถึงคนละ10,000-20,000$ต่อคนโน้นหรือตังไทย35฿:1$คือ350,000-700,000บาทต่อคนโน้น,แบบไม่ต้องทวงตามหนี้ค่ายืมเล่าเรียนอะไรเลย,เขาลงทุนในเยาวชนลูกหลานเขาเอง เลี้ยงลูกหลานเขาเองจะเป็นอะไร,ย่อมาดูไทยเราอุบาทก์บัดสบ&เหี้ยกากกระจอกตั้งแต่ยกบ่อน้ำมันเต็มประเทศให้เอกชนชาติอื่นหรือหัวดำเอกชนปลอมเป็นต่างชาติก็เถอะหรือบ่อทองคำตรึมก็ด้วยลากยาวทับถมมหาศาลทั่อ่าวไทยเราอีก มันโคตรร่ำรวยมหาศาลเสือกปกครองบ้านเมืองไทยตนเองให้เก็กๆลูกหลานเยาวชนไทยตนนักเรียนนักศุกษาตนมรึงๆอยากเรียนอะไรใส่ความรู้องค์รู้ใส่หัวใส่มันสมองฝึกเหี้ยอะไรทักษะมรึงๆอยากเรียนสูงๆบนแผ่นดินไทยตนมรึงนี้ต้องเป็นหนี้ต้องมีหนี้ต้องติดหนี้โว้ย,ชนชั้นไพร่ประชาชนธรรมดาสามัญลูกตาสีตาสายามาทวดวัวควายสะพายวัวควายเคยเลิกทาสขี้ข้ารับใช้มา,ไม่ได้เป็นไม่ใช่แบบชนชั้นอำมาตย์ขุนนางเจ้าพระมีโรงเรียนทุนโรงเรียนชนชั้นคนปกครองอำมาตย์ขุนนางเจ้าพระยาแบบกูมีตังมากมายกองเป็นภูเขาตำแหน่งราชการใหญ่โตคับเมือง คหบดีพ่อค้าร่ำรวยผูกขาดวงการาชหลวงฝ่ายครองเมืองแบบพวกกู&โควต้าเพียบ&อุปถัมภพตรึม&เส้นสายอัพเกรดเรเวลแบบใดๆกูมีหมดแบบพวกกูชนชั้นปกครอง ไม่ใช่แบบพวกมรึงชนชั้นทาสไพร่พวกเลิกทาสสืบเชื้อสายรับใช้ขี้ข้ามาถึงปัจจุบัน มีอิสระไทหน่อยนิดต้องมีเป็นหนี้มีหนี้ อยากเรียนเพราะจนต้องมีหนี้ติดตัวโว้ย&ว่ะ!!!,นี้คือประเทศกูมี.,อยากเรียนต้องเป็นหนีันะประชาชนคนจนๆธรรมดา&ดิ้นรนหาแดกหางานเอาเองนะ กรมแรงงานหน่วยกูมีไม่ประสานงานเหี้ยหาอะไรหรอกระหว่างจะจบเรียน,&ไม่ควบคุมแรงงานกิจการบริษัทใดๆด้วย,คนไทยจริงๆต้องได้งานก่อนทำงานก่อน,อยากจ้างต่างชาติต่างด้าวก็ไปตั้งกิจการบริษัทโรงงานที่ประเทศต่างด้าวต่างชาตินั้น,กรมแรงงานสมควรยุบไปด้วย.,โรงงานใดๆจะเปิดโรงงานเปิดกิจการเปิดบริษัทต้องมาขอคนงานตรงผ่านกระทรวงแรงงานจัดสรรคนไทยลงไปทำงานหรือติดต่อคนงานไทยนั้นๆไปพบกรมจัดสรรคนงานก่อนตนจึงค่อยอนุมัตรับคนที่ตนต้องการได้มาทำที่ตนและตรงเงื่อนไขว่าต้องจ้างคนไทยก่อนทุกๆกรณี ไม่พอจึงจ้างต่างด้าวโดยต้องขออนุญาต อนุมัติจากกระทรวงทบวงกรมและสังเกตุประพฤติคนงานต่างด้าวก่อนทุกๆกรณี&สแกนคุณสมบัติทั้งหมดทั้งเข้าเมืองถูกต้อง ไม่มีคดีก่ออาชญากรรมต่างๆทั้งในประเทศต้นทางและในไทย และอื่นๆตรึม&ซึ่งคนไทยต้องมีงานทำก่อนทุกๆกรณีก่อนคนต่างชาติต่างด้าว&ติดตามสุขภาพการทำงานของคนงานไทยตนด้วย,กรมแรงงานเราเลอะเทอะ โรงงานต่างชาติเอาแรงงานชาติมันมาทำเต็มโรงงานบนแผ่นดินไทย แย่งที่ดินที่อาศัยคนไทยแย่งอากาศหายใจคนไทย แย่งชิงน้ำเพื่อสนองภาคอุตสาหกรรมโรงงานต่างๆไปจากคนไทยและมากมายที่ดินที่ประเทศเสียอธิปไตยจากเขตเศรษฐกิจพิเศษผีบ้ามากมายที่มุกมันอ้างทำอ้างสร้างขึ้น,คนไทยธรรมดาเข้าพื้นที่มันไปดูสิ่งผิดปกติได้ที่ไหน.เป็นดินแดนปกครองตนเอง&ที่อยู่มันไปเลยเป็นเขตอธิปไตยกว่าสถานฑูตอีกล่ะ.นี้คือการปกครอง&วิถีปกครองที่ผิดพลาด&ล้มเหลว&กากบวกเหี้ยไปยกอธิปไตยไทยมากมายแก่คนอื่นชาติอื่นนั้นเอง,จึงต้องโมฆะทั้งหมดเพื่อคืนสู่สามัญแก่ประเทศไทยเรา.,หรือทั้งประเทศไทยทั้งหมดคนไทยย้ายไปประเทศจีนประเทศอินโดอินเดีย ไปอยู่ในบ้านในเมืองคนอื่นมั้ยล่ะ,เขาคงถีบออกมาทั้งหมดล่ะ,แผ่นดินไทยเสือกไม่รักษาหวงแหนปกป้องร่วมกันไว้แล้วเราจะถอยจะย้ายจะไปอยู่ไหนล่ะ,ที่ตั้งเดิมเรามีปัจจุบันแล้ว เขาเข้ามารุกมาบุกจะมามุกใดๆเราก็โมฆะขับไล่ได้หมดล่ะจะเกรงใจทำพ่อทำโคตรพ่อโคตรแมร่งมันอะไร เราถอยหนีไปไหนไม่ได้อีกแล้วนะ,เยาวชนไทยเขาจะทำลายผ่านตังผ่านระบบการศึกษาผ่านมุกหนี้ตังคนอยากเรียน,แก้มุกมันเลยคือยุบทิ้งล้างไพ่มันทันทีคือยุบกยศ. ปลดปล่อยเด็กๆเยาวชนคนที่เติบโตเป็นประชาชนคนไทยเราเองเป็นอิสระภาพจะกั้กเอาดูหรูทำเท่ห่าสวรรค์วิมานห่าอะไร เสียบ่อน้ำมันเสียบ่อทองคำมากมายตีเป็นเงินโคตรมหาศาลเสือกเสียดายตังกะทวงหนี้ทำไมแก่ลูกๆหลานคนไทยตนเอง,พวกโกงปล้นชาติแบบนักการเมืองเลวข้าราชการชั่วตีค่าเป็นเงินเป็นตังอาจกว่า100ล้านล้านบาทแล้วถึงปัจจุบันที่เราสูญเสียไปทางลับๆใต้บัญชีใต้ดินต่างๆไม่รวมกรณีฟอกตังในอดีตแบบเกาะเคแมนหรือเกาะเถื่อนๆต่างๆทั่วโลกที่ชนชั้นผู้ดีชนชั้นปกครองเจ้าสัวเจ้าพระลูกหลานคนสถุนต่อแผ่นดินไทยไปเปิดกิจการบริษัทไว้อีกนะ,
    ..มโนเล่นๆ สมมุติพรรคthaitimeได้เป็นนายกฯปกครองประเทศ นอกจากนโยบายหลักข้อแรกที่อยากให้ตั้งชัดเจนคือนยึดคืนวัตถุดิบทรัพยากรพัฒนาชาติไทยทั้งหมดยึดกลับคืนมา.ข้อที่สองคือยุบกยศ.ทิ้ง&ล้างหนี้นักเรียนนักศึกษาคนไทยทั้งหมดทุกๆกรณี แล้วตั้งกองทุนการศึกษาแห่งชาติไทย(กศช.)ขึ้นมาแทน,ที่สามคือล้างหนี้ประชาชนธรรมดาทั้งหมดคืนอิสระภาพแห่งชีวิตให้ทุกๆเป็นอิสระแห่งหนี้สินจริงๆจังๆ. ยุคอนาคตเชื่อว่าเราประเทศเราประชาชนคนไทยไม่แพ้ใครๆในโลกแน่นอน เพราะคนอัจฉริยะมากมายจะมาเกิดบนแผ่นดินไทยเป็นอันมาก,ด้วยสนามแม่เหล็กโลกพลิกเปลี่ยนก็ด้วยทำให้มันสมองตานัยเราคนไทยเปิดอัตโนมัติแบบไม่รู้ตัวก็ด้วย,ทั้งพื้นฐานรากเหง้าเรามีภูมิจิตภูมิธรรมเป็นเอกอยู่แล้วด้วย.

    https://youtube.com/live/e8H6CbIqBhw?si=_3UqmfFzhuI8-pW8


    ..มโนเล่นๆ อาจร่ายยาวเพลินๆก็ขออภัยไว้นะที่นี้ด้วยแก่ผู้ที่ล็อกอินผ่านมาเจอ. ....เอาจริงๆนะ ชุมชนthaitimeตั้งเป็นชุมชนเตรียมอุดมจัดตั้งคณะบริหารชาติภาคมหาประชาชนเลย,หรือฮับศูนย์กลางแหล่งลงทะเบียนรับสมาชิกภาคประชาชนคนไทยเราเพื่อนำไปสู่การตั้งพรรคการเมืองภาคประชาชนก็ว่า,ใช้แอปแพลตฟอร์มthaitimeนี้เป็นรุ่นทดลองทดสอบโมเดลสำรวจความต้องการก่อนก็ได้ หรือว่าที่พรรคการเมืองตัวแทนภาคประชาชนคนไทยจริงจังในอนาคตนั้นเอง,ลงทะเบียนสำรวจความสนใจเบื้องต้นก็ได้ แบบกดลงมติเห็นด้วยไม่เห็นด้วยได้เลย,เช่นใครก็ตามเข้ามาใช้thaitimeสามารถมีอีกช่องทางเลือกหนึ่งว่า ปุ่มรับลงทะเบียนเพื่อเข้าร่วมเป็นว่าที่สมาชิกพรรคการเมืองภาคประชาชนคนไทยระดับทั้งคนประเภทไทบ้านออฟไลน์และออนไลน์ได้เพียงให้ลูกหลานลงทะเบียนในช่องสำรวจร่วมจัดตั้งพรรคนี้อย่างยินยอมเต็มใจได้ ก็สามารถให้คนที่เข้ามาใช้ช่วยกดลงมติเห็นด้วยได้และเข้าไปลงทะเบียนรุ่นโมเดลทดลองเป็นว่าที่สมาชิกพรรคการเมืองภาคประชาชนได้,เช่นคนมาเล่นthaitimeตลอดปีและลงทะเบียนเป็นสมาชิกพรรคการเมืองภาคประชาชนอย่างเต็มใจถึง 30-40ล้านคน แพลตฟอร์มนี้สมาชิกประเมินและประมวลผลติดตามได้ทันที ส่งสิทธิการยืนยันตัวตนจริงจังอีกครั้งว่าจากสถานะว่าที่สมาชิกจะเป็นสมาชิกพรรคการเมืองภาคประชาชนอย่างสมบูรณ์แล้วนะเมื่อกดปุ่มยืนยันตามนี้ ระบบจะรันรายชื่อสมาชิกที่ลงทะเบียนไว้แล้วว่าที่สมาชิกนั้นเป็นสมาชิกจริง100%ทันทีเพื่อความเป็นพรรคการเมืองภาคประชาชนจะได้สมบูรณ์จริงต่อไป, ..เลือกตั้งสมัยหน้า (อาจแค่สมาชิกและครอบครัวคนที่เป็นหนี้กยศ.อาจเป็นสมาชิกพรรคทั้งหมดด้วยกว่า6ถึง10ล้านคนเครือญาติพี่น้องเขาที่มีสิทธิ์กาเลือกตั้งได้)ไทบ้าน&ประชาชนทั่วประเทศสามารถสื่อสารการบริหารจัดการปกครองประเทศร่วมกันผ่านแอปนี้ได้ทันที,อาจใช้ระบบควอนตัมบริหารจัดการข้อมูลดาต้าสมาชิกและปัญหาคำถามใดเพื่อขจัดปัญหาที่ไม่ดีในอนาคตได้อย่างราบรื่น,เช่นลงมติว่า พรรคthatimeถึงเวลายึดคืนบ่อปิโตรเลียมไทยที่ถูกปล้นนานมาแล้วคืนสู่สามัญเดิมในอธิปไตยชาติไทยเถอะก็ว่า โมฆะสัมปทานทั้งหมดก็ว่า เป็นต้น,หรือล้างหนีักยศ.เลย กว่าแบบอเมริกาสมัยไบเดนทำคือล้างหนี้ช่วยนักเรียนนักศึกษาอเมริกาขั้นต่ำของเขาจริงต่อคนที่10,000$หรือ350,000บาทต่อหนี้กยศ.คนอเมริกาต่อคน และแบบสูงสุดมีเงื่อนไขบ้างที่20,000$หรือ700,000บาทต่อคนของประเทศเขาอเมริกา,แต่ชาติไทยเราอาจล้างหนี้และยกเลิกหนี้แก่เยาวชนไทยเราทั้งหมดได้สบายมาก,สู่ยุคการศึกษาที่ประเทศเรา ใครคนไทยอยากเรียนไม่ต้องมีหนี้นั้นเองได้แล้ว,ยุบกยศ.ทิ้งเลยด้วย กูรูบ้างท่านบอกว่า สัญลักษณ์กยศ.หากดูดีๆมันคือโลโก้สไตล์สัญลักษณ์ปิระมิทของพวกซาตานฝ่ายมืด จะเป็นไปเพื่อกดขี่ บังคับข่มเหงในองค์กรหน่วยงานนั้นๆที่ทำโลโก้สัญลักษณ์บอกแสดงออกมา,กยศ.ไทยเราปกติไม่เคยทำตราโลโก้องค์กรแบบที่ว่านั้น แต่พึ่งมาเปรียบใหม่ๆช่วงฝ่ายแสงกับฝ่ายมืดรบกันจริงจังแบบเปิดเผยเปิดหน้าชัดเจนไม่แอบซ่อนเหมือนดั่งในอดีตแล้ว,มันจึงเสมือนชัดเจนเจาะจงว่ากยศ.ไทยที่โทนี่คิดค้นสร้างทำในยุคตนขึ้นปกครองมีการวางแผนเพื่อกดขี่เยาวชนนักศึกษาไทยด้วยทาสหนี้ทาสตังมานานแล้วคือมุกวางหมากวางเกมส์นี้สร้างขึ้นเพื่องานนีัหวังผลชัดเจนนั้นเองและผลลัพธ์ชัดแจ้งคือยุคปัจจุบันนี้ล่ะ,สิ่งใดที่ฝ่ายมืดทำขึ้นมันมุ่งใช้งานไปทางไม่ดีแน่นอน,เมื่อเยาวชนคนรุ่นต่อไปจมในกับดักหนี้แต่แรกเริ่มเรียนเริ่มทำงาน ชาติจะอ่อนแอย่อมง่ายมากแบบเห็นชัดในปัจจุบันผ่านเยาวชนที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่ในสังคมชุมชนตนอยู่ในคอกหนี้กรอบหนี้ทัังบีบในหนี้ที่อยู่ในระบบ บีบจนต้องมาพึ่งหนีัฝ่ายมืดฝ่ายนอกระบบที่ก็เป็นของพวกมันสร้างวางแผนรอดักทางเตรียมไว้แล้ว,สุดท้ายเยาวชนไทยติดหนี้ทัังในระบบ ถูกเล่นงานทั้งพวกหนี้นอกระบบ และถูกเอารัดเอาเปรียบในระบบธุรการงานราชการจากการทำเรื่องในหน่วยงานอื่นๆอีก พวกทวงหนี้จนถึงยึดทรัพย์บังคับขาย ต่างได้ตังได้เงินทองจากทาสหนี้ทาสตังในระบบและนอกระบบสิ้น,ซวยและเหยื่อที่ดีคือเยาวชนเด็กนักเรียนนักศึกษาเราแม้เติบโตเข้าสังคมระบบกลไกสัมมาอาชีพชอบระดับประเทศ ก็จะตายเพราะสัมมาอาชีพชั่วเลวของคนฝ่ายมารมืดซาตานที่อยู่เป็นองค์กรเลวระดับใหญ่มีอำนาจในระดับชาติ ปะปนในหน่วยงานระบยราชการที่ล้มเหลวอีก ซวยคือประชาชน ลูกหลานและผู้ปกครองเขา,จึงทำลายกยศ.ที่ฝ่ายมืดจัดตั้งดีที่สุด ตัดตอนจบเรื่องทันที เพราะเมื่อเหตุเลว ผลยอมเลวตามมาชัดเจน,ฝ่ายมืดก่อตั้ง มันจะดีได้อย่างไร กฎหมายใดๆกติกาเงื่อนไขใดๆมันย่อมสนองที่ต้นเหตุเป้าหมายการจัดตั้งก่อตั้งขึ้นมา,แก้แบบใดๆก็ไม่ใช่ทาง,ทุบก่อตัังใหม่จากฝ่ายแสงฝ่ายดีทำเอง เหตุเพื้อก่อมาดี ผลย่อมได้ดีตามมาจากเหตุ,อาทิ กยศ.ยุบทุบทิ้ง เกิดใหม่ว่า กองทุนการศึกษาแห่งชาติไทย กศช. เป้าหมาย คนไทยทุกๆคนสามารถเรียนฟรีตลอดชีพ ขั้นต่ำสูงสุดตามใจต้องการเช่นป.เอกในหมู่วัยเล่าเรียน,ในหมู่ประชาชนทั่วไป มีสถาบันฝึกทักษะสัมมาอาชีพเกือบทุกๆประเภทเพื่อให้ประชาชนคนไทยพึ่งพาสัมมาอาชีพตนเองยืนด้วยขาตนเองได้จริง มีทุนสัมมาอาชีพเริ่มต้นให้ทุกๆคน ตั้งแต่เยาวชนนักเรียนนักศึกษาเราที่จบใหม่ๆหรือประชาชนทั่วไปที่ผ่านการฝึกอบรบทักษะอาชีพใดๆที่สนใจ ไร้ทุนตังตั้งสัมมาอาชีพ สามารถยืมฟรีๆได้ ไม่มีดอกเบี้ย,มีรายได้ในสัมมาอาชีพนั้นๆที่เหลือใช้สามารถฝากตังไร้ดอกเบี้ยเงินฝากที่กองทุนสัมมาอาชีพ ฝากถอนสร้างสภาพคล่องได้เองตลอดเวลา,เช่นแต่ละหมู่บ้าน80,000ชุมชนทั่วประเทศ,แบงค์ชาติโอนตังเข้ากองทุนสัมมาอาชีพแต่ละชุมชนๆละ10ล้านบาทเบื้องต้นให้คนในชุมชนนั้นๆมายืมไปสร้างสัมมาอาชีพได้ในแต่ละปี เป็นตัง800,000ล้านบาทต่อปีเอง เทียบกับรายได้จากบ่อน้ำมัน เหมืองแร่ทองคำ แร่ทรัพยากรมีค่ามากมายบนแผ่นดินไทย มันมีตังมากมายมหาศาลกว่า100ล้านล้านบาทต่อปีแน่นอนถ้าบริหารจัดการแบบไม่ทุจริตโกงกินแผ่นดินไทยในปัจจุบัน,1ชุมชนไทบ้าน คนสนใจไปสร้างสัมมาอาชีพต่างๆในชุมชนตนเองอาจคนละ100,000บาทยืมสูงสุดก็ช่วยได้100คนหรือ100ครัวเรือนต่อปีเลย,ชุมชนนัันๆปลูกเลี้ยงนั้นนีัส่งออก ยืนด้วยขาตนเองได้มาคืนตังในปีที่สามทันที10ล้านบาทก็สามารถปล่อยยืมหมุนเวียนในชุมชนได้ตลอดเวลาอีก,บวกคน100คนนั้นๆมีรายได้รวมต่อปีเกิน1ล้านบาทอีกเหลือใช้อาจมาแบ่งฝากหมุนเวียนตลอดปีคนละ500,000บาทก็50ล้านบาทประจำชุมชนท้องถิ่นนั้นๆเลย,ความสามัคคีในชุมชนจะแน่นหนาเป็นเครือข่ายกว่า80,000หมู่บ้านชุมชนทั่วประเทศอีก,มีตลาดออนไลน์แบบแพลตฟอร์มthatimeส่งเสริมสนับสนุนการค้าเสรีบนโลกออนไลน์ทั่วโลกอีกจะเกิดอะไรขึ้น ตังหมุนเวียนซื้อขายในแอปอาจกว่า1ล้านล้านบาทต่อวันทั่วโลกก็ได้,ไม่รวมตลาดออฟไลน์แบบตลาดร้านค้าชุมชนหมู่บ้านอีก แบบกองทุนร้านค้าชุมชนในหลายๆหมู่บ้านยังมีเปิดค้าขายของใช้สอยในชุมชนอยู่,สามารถใช้ตังกองทุนฯไปสร้างตลาดชุมชนประจำอำเภอ จังหวัดเป็บฮับพบเจอกันต่อคนซื้อคนขายราคาไม่แพงตรงจากผู้ผลิตอีก แผงผักแผงปลาแผงผลไม้สาระพัดอาหารอุปโภคบริโภค ประชาชนสัมมาอาชีพมีตัง นำตังมากมายมาฝากไว้ในกองทุนอีก กองทุนตังล้นระบบสถาบันแน่นอน ปกติตังสะพัดทั้งประเทศกว่า40-50ล้านล้านบาทต่อปี อนาคตทั้งตลาดออนไลน์และออฟไลน์ในประเทศ อาจกว่า1,000ล้านล้านบาทต่อปีในประเทศไทยบวกทั่วโลกเข้าไทยจะขนาดไหน,เราไม่ต้องขุดสมบัติชาติทรัพยากรแผ่นดินไทยขึ้นมาอีกก็ได้ ต่อยอดอะไรๆต่อไปได้สาระพัดเลย,ฮับโรงพยาบาลโลกที่มีทั้งแบบสมุนไพรไทยผสมผสานล้ำๆเทคโนโลยีโลกAIหุ่นยนต์ชีวภาพ&มนุษย์กึ่งหุ่นยนต์AIซึ่งคนเราอาจพิการตาแขนขาอาจใช้แขนขาจักรกลผสมผสานรักษาทางการแพทย์ได้ลงตัวในไทยเราเติมเต็มตอบโจทย์ผู้คนทั่วโลกให้มารักษาในไทยอย่างสบายใจสะดวกสบายปลอดภัยในสุขภาพร่างกายได้เป็นต้น,สงกรานต์ไทยกินขาดแล้วด้านมิติท่องเที่ยวในช่วงหนึ่งๆ ต่อยอดขายอะไรต่อมิอะไรมากมายในไทยอีก ร่ำรวยโคตรๆก็ว่า,เราจะชัดเจนว่า การปกครองเราเองล้มเหลว ปกครองที่ผิดพลาดและไม่ยอมแก้ไขปรับปรุง มั่นคงให้คนไทยตนเองยากจนทุกข์ยาก,ทาสตังทาสหนี้ ทาสค่าครองชีพแพงในแบบไทยๆภายในไทยเราเองจึงต้องทำลายสถานะทาสนี้ทั้งหมดทันที,พักงานนักการเมืองทั้งหมด สส.สว.ทั้งหมด,ยุบองค์กรกยศ.หรือทุบทิ้งกยศ.ไทยด้วยก็ว่า, อเมริกาล้างหนี้เรียนสมัยไบเดนกว่า350,000บาทต่อคนได้ ทัังที่สภาพหนี้เขากว่า30ล้านล้าน$ยังสามารถทำได้,มองมาไทย สว.ยินยอมลงมติล้างหนี้เยาวชนไทยจากกยศ.ที่ก่อตั้งมาอย่างผิดพลาด หากสว.ตัดสินใจจริง &จริงใจในการห่วงใยเยาวชนไทยจริง จะตัดสินใจกล้าหาญโดยไม่ยาก,และสามารถคิดอ่านตัังหน่วยงานใหม่ให้เยาวชนไทยได้เล่าเรียนฟรีๆสูงๆโดยไม่ต้องมีหนี้สินติดตัวเป็นกำลังของชาติได้สบาย, ..thaitimeหากปลุกติดจริงแบบจุดเทียนช่วงสมัยพันธมิตรขับไล่โทนี่ออกจากประเทศได้สำเร็จและหากทำสุดซอย ยึดอำนาจในภาคมหาประชาชนด้วยได้สำเร็จ อาจไม่เสียของแบบทหารยึดอำนาจทั้งในอดีตและสมัยยึดอำนาจล่าสุดนั้นด้วยเสียของมากๆ ขายที่ดินให้ต่างชาติไร่ละ40ล้านบาทก็สามารถทำได้ ให้ต่างชาติเช่าที่ดินไทยแบบฮ่องกง99ปีก็สำเร็จจากทีมคณะยึดอำนาจไม้ต่อดำรงอำนาจการปกครองไทย ตลอดปล่อยสัมปทานสองแปลงอ่าวไทยให้คนอื่นจยชาติซาอุฯออกหน้าอย่างน่าเกียจด้วยปลื้มใจสำเร็จจะยึดสัมปทานน้ำมันไทยได้จนกะสร้างคลังแสงน้ำมันขนาดใหญ่ในไทยโน้น เหมืองทองคำก็ปล่อยให้ขุดต่อทั้งที่มีคดีกว่า15คดี,ผูกขาดพรบ.เม็ดพันธุ์ให้เอกชนยึดครองถ้าเกษตรกรฉีกซองเก็บเอาทำพันธุ์พืชต่อมีสิทธิ์ติดคุกทันทีแบบซาตานเอกชนฝรั่งทำสำเร็จแล้วโน้นก็ด้วยจะผ่านพรบ.500นี้ให้ได้จนประชาชนไม่ยอม ออกมาประท้วงจึงถอนพรบ.เหี้ยโจร500นี้ออกไปอีกตัว,นี้ยุคทหารอุบาทก์ยึดอำนาจฉีกรัฐธรรมนูญเก่งมากกล้ามากทุกๆยุคการยึดอำนาจรัฐประหารแต่ไม่กล้าขี้ขลาด&เขลากากกระจอกไม่กล้าแม้แต่จะฉีกกฎหมายลูกๆหลานๆที่เอาเปรียบแผ่นดินไทยตนเอง ปล้นชิงสมบัติทรัพยากรชาติไทยตนผ่านกฎหมายลูกกระทรวงทบวงกรมขี้ข้าทาสสัมปทานนั้นเลย เก่งกล้าแต่จะฉีกกฎหมายแม่รัฐธรรมนูญ มันเหี้ยมั้ยการปกครองไทยเรา, .. ..จริงๆthaitimeจึงสมควรที่เป็นเทียนชัยรุ่นบุกเบิกวางรากฐานที่ดีของภาคประชาชนคนไทยเราได้,ยิ่งมีนโยบายชัดไม่แสวงหากำไรมุ่งทำรายได้ผลประโยชน์ต่อสาธารณะมาเป็นของตัวของตนยิ่งจะเป็นแพลตฟอร์มที่ทรงคุณค่าแน่นอน, ..อาทิ ใครอยากจะร่วมจัดตั้งพรรคthaitimeภาคมหาชนคนไทยจริงก็มาลงทะเบียนเป็นสมาชิกพรรคที่นี้,มี40ล้านคนคือ40ล้านเสียงกาเลือกนายกภาคมหาประชาชนไทยจึงสะดวกต่อการสื่อสารแน่นอน, ..thaitimeเป็นแอปตลาดออนไลน์ของกองทุนตังสัมมาอาชีพคนไทยอีกยิ่งจะขนาดไหน,เลิกใช้แพลตฟอร์มอื่นๆของฝ่ายเอกชนต่างชาติอื่นๆจะแอปใดๆอีก มาพูดคุยแลกเปลี่ยนค้าขายออนไลน์ติดตระกร้าอิสระเสรีจะขนาดไหน,โฆษณาต่างๆตามมาตรึม มาช่วยคนพัฒนาแอปมีรายได้กำลังบริหารจัดการแอปมหาชนเราเสรีอีก,อาจอนาคตกว่าเดือนละ10ล้านบาทเข้าคนทำงานแอป แอปเรายิ่งต่อยอดแตกอำนวยความสะดวกเชิงบวกการทำตลาดค้าขายออนไลน์เสรีแก่ชุมชนสังคมแอปไทยนี้แน่นอนทั้งเปิดกว้างเสรีการค้าขายแลกเปลี่ยนทั่วโลกอีก คนทั้งโลกมาร่วมกันใช้แอปนี้ของไทยสัก5,000ล้านคนก็สุดยอดมากแล้ว พากันค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าการตลาดสาระพัดในแอปนี้อีก,คนไทยเรายิงสินค้าไทย&บริการไทยติดตาทั่วโลกได้สบายพันธมิตรการค้าเสรีกับชาวไทยคตธรรมดาเราอีก ขายตรงจากต้นน้ำถึงปลายน้ำเลย อาทิต่างชาติมาเห็นชุมชนหมู่บ้านเราปลูกพืชอินทรีย์ปลอดภัย สั่งซื้อยกชุมชนยกอำเภอ ตังกว่า10,000ล้าน$&หยวนหรือบาทไทยจะขนาดไหน,ตะวันตกขาดสินค้า ยุโรปขาดอาหาร สินค้าไทยมิตรทั่วโลกสั่งตรึม77จังหวัดๆละ100,000ล้านเหรียญหรือหยวนหรือบาทไทย,ในแต่ละเดือนๆ รวยร่ำๆเลยนะ,กองทุนสัมมาอาชีพที่แบงค์ชาติอัดให้ชุมชนละๆ10ล้านบาทหมุนเวียนต่อเนื่องคืนทุนต่อเนื่องในชุมชนแทบตลอดไปไม่เรียกคืนให้งอกเงยสบายมากๆ, ..พื้นฐานจริงๆคือฐานเยาวชนการศึกษาเรานี้ล่ะ เรียนไม่ต้องมีหนี้ติดตัวบวกอัดเงินส่งเสริมสร้างสัมมาอาชีพอิสระเสรีประยุกต์ทำได้หมด,บางคนอาจจบมารวมกลุ่มสมาคมขนาดใหญ่พัฒนาสร้างยานอวกาศบินออกนอกโลกโดยฝีมือเยาวชนไทยรุ่นท่องเที่ยวขนาดเล็กไม่เกิน10ที่นั่งก็อาจสบายมากเป็นต้น,ผีบ้าผู้ปกครองไทยกาก&กระจอกเสือกไม่ตั้งกยศ.ให้คนที่อยากเรียนไปเป็นทาสตังทาสหนี้สู่ทาสแรงงานรับใช้กดขี่อิสระภาพสัมมาอาชีพและความคิดล้ำๆคนไทย,ทัังที่แค่ยึดบ่อน้ำมันคืนบ่อทองคำคืนมาทำมาขายเองก็ร่ำรวยมหาศาลขนาดไหนแล้ว พะสาเศษตังไม่ถึงล้านล้านบาทนี้,เรือบรรทุกน้ำมันขนาดใหญ่มาดูดน้ำมันลงเรือมันไม่กี่ลำแบบเถื่อนๆลับที่พวกได้สัมปทานไปทำตรึมแน่นอนจนกูรูมากมายออกมาแฉตรึม ตีเป็นตังต่อปีอาจมากกว่า100ล้านล้านบาทที่หายไปจากแผ่นดินไทยจนถึงปัจจุบันโน้น.,ยุบกยศทิ้งเถอะ,ไบเดนว่ากากๆยังล้างหนี้ช่วยเยาวชนคนอเมริกาถึงคนละ10,000-20,000$ต่อคนโน้นหรือตังไทย35฿:1$คือ350,000-700,000บาทต่อคนโน้น,แบบไม่ต้องทวงตามหนี้ค่ายืมเล่าเรียนอะไรเลย,เขาลงทุนในเยาวชนลูกหลานเขาเอง เลี้ยงลูกหลานเขาเองจะเป็นอะไร,ย่อมาดูไทยเราอุบาทก์บัดสบ&เหี้ยกากกระจอกตั้งแต่ยกบ่อน้ำมันเต็มประเทศให้เอกชนชาติอื่นหรือหัวดำเอกชนปลอมเป็นต่างชาติก็เถอะหรือบ่อทองคำตรึมก็ด้วยลากยาวทับถมมหาศาลทั่อ่าวไทยเราอีก มันโคตรร่ำรวยมหาศาลเสือกปกครองบ้านเมืองไทยตนเองให้เก็กๆลูกหลานเยาวชนไทยตนนักเรียนนักศุกษาตนมรึงๆอยากเรียนอะไรใส่ความรู้องค์รู้ใส่หัวใส่มันสมองฝึกเหี้ยอะไรทักษะมรึงๆอยากเรียนสูงๆบนแผ่นดินไทยตนมรึงนี้ต้องเป็นหนี้ต้องมีหนี้ต้องติดหนี้โว้ย,ชนชั้นไพร่ประชาชนธรรมดาสามัญลูกตาสีตาสายามาทวดวัวควายสะพายวัวควายเคยเลิกทาสขี้ข้ารับใช้มา,ไม่ได้เป็นไม่ใช่แบบชนชั้นอำมาตย์ขุนนางเจ้าพระมีโรงเรียนทุนโรงเรียนชนชั้นคนปกครองอำมาตย์ขุนนางเจ้าพระยาแบบกูมีตังมากมายกองเป็นภูเขาตำแหน่งราชการใหญ่โตคับเมือง คหบดีพ่อค้าร่ำรวยผูกขาดวงการาชหลวงฝ่ายครองเมืองแบบพวกกู&โควต้าเพียบ&อุปถัมภพตรึม&เส้นสายอัพเกรดเรเวลแบบใดๆกูมีหมดแบบพวกกูชนชั้นปกครอง ไม่ใช่แบบพวกมรึงชนชั้นทาสไพร่พวกเลิกทาสสืบเชื้อสายรับใช้ขี้ข้ามาถึงปัจจุบัน มีอิสระไทหน่อยนิดต้องมีเป็นหนี้มีหนี้ อยากเรียนเพราะจนต้องมีหนี้ติดตัวโว้ย&ว่ะ!!!,นี้คือประเทศกูมี.,อยากเรียนต้องเป็นหนีันะประชาชนคนจนๆธรรมดา&ดิ้นรนหาแดกหางานเอาเองนะ กรมแรงงานหน่วยกูมีไม่ประสานงานเหี้ยหาอะไรหรอกระหว่างจะจบเรียน,&ไม่ควบคุมแรงงานกิจการบริษัทใดๆด้วย,คนไทยจริงๆต้องได้งานก่อนทำงานก่อน,อยากจ้างต่างชาติต่างด้าวก็ไปตั้งกิจการบริษัทโรงงานที่ประเทศต่างด้าวต่างชาตินั้น,กรมแรงงานสมควรยุบไปด้วย.,โรงงานใดๆจะเปิดโรงงานเปิดกิจการเปิดบริษัทต้องมาขอคนงานตรงผ่านกระทรวงแรงงานจัดสรรคนไทยลงไปทำงานหรือติดต่อคนงานไทยนั้นๆไปพบกรมจัดสรรคนงานก่อนตนจึงค่อยอนุมัตรับคนที่ตนต้องการได้มาทำที่ตนและตรงเงื่อนไขว่าต้องจ้างคนไทยก่อนทุกๆกรณี ไม่พอจึงจ้างต่างด้าวโดยต้องขออนุญาต อนุมัติจากกระทรวงทบวงกรมและสังเกตุประพฤติคนงานต่างด้าวก่อนทุกๆกรณี&สแกนคุณสมบัติทั้งหมดทั้งเข้าเมืองถูกต้อง ไม่มีคดีก่ออาชญากรรมต่างๆทั้งในประเทศต้นทางและในไทย และอื่นๆตรึม&ซึ่งคนไทยต้องมีงานทำก่อนทุกๆกรณีก่อนคนต่างชาติต่างด้าว&ติดตามสุขภาพการทำงานของคนงานไทยตนด้วย,กรมแรงงานเราเลอะเทอะ โรงงานต่างชาติเอาแรงงานชาติมันมาทำเต็มโรงงานบนแผ่นดินไทย แย่งที่ดินที่อาศัยคนไทยแย่งอากาศหายใจคนไทย แย่งชิงน้ำเพื่อสนองภาคอุตสาหกรรมโรงงานต่างๆไปจากคนไทยและมากมายที่ดินที่ประเทศเสียอธิปไตยจากเขตเศรษฐกิจพิเศษผีบ้ามากมายที่มุกมันอ้างทำอ้างสร้างขึ้น,คนไทยธรรมดาเข้าพื้นที่มันไปดูสิ่งผิดปกติได้ที่ไหน.เป็นดินแดนปกครองตนเอง&ที่อยู่มันไปเลยเป็นเขตอธิปไตยกว่าสถานฑูตอีกล่ะ.นี้คือการปกครอง&วิถีปกครองที่ผิดพลาด&ล้มเหลว&กากบวกเหี้ยไปยกอธิปไตยไทยมากมายแก่คนอื่นชาติอื่นนั้นเอง,จึงต้องโมฆะทั้งหมดเพื่อคืนสู่สามัญแก่ประเทศไทยเรา.,หรือทั้งประเทศไทยทั้งหมดคนไทยย้ายไปประเทศจีนประเทศอินโดอินเดีย ไปอยู่ในบ้านในเมืองคนอื่นมั้ยล่ะ,เขาคงถีบออกมาทั้งหมดล่ะ,แผ่นดินไทยเสือกไม่รักษาหวงแหนปกป้องร่วมกันไว้แล้วเราจะถอยจะย้ายจะไปอยู่ไหนล่ะ,ที่ตั้งเดิมเรามีปัจจุบันแล้ว เขาเข้ามารุกมาบุกจะมามุกใดๆเราก็โมฆะขับไล่ได้หมดล่ะจะเกรงใจทำพ่อทำโคตรพ่อโคตรแมร่งมันอะไร เราถอยหนีไปไหนไม่ได้อีกแล้วนะ,เยาวชนไทยเขาจะทำลายผ่านตังผ่านระบบการศึกษาผ่านมุกหนี้ตังคนอยากเรียน,แก้มุกมันเลยคือยุบทิ้งล้างไพ่มันทันทีคือยุบกยศ. ปลดปล่อยเด็กๆเยาวชนคนที่เติบโตเป็นประชาชนคนไทยเราเองเป็นอิสระภาพจะกั้กเอาดูหรูทำเท่ห่าสวรรค์วิมานห่าอะไร เสียบ่อน้ำมันเสียบ่อทองคำมากมายตีเป็นเงินโคตรมหาศาลเสือกเสียดายตังกะทวงหนี้ทำไมแก่ลูกๆหลานคนไทยตนเอง,พวกโกงปล้นชาติแบบนักการเมืองเลวข้าราชการชั่วตีค่าเป็นเงินเป็นตังอาจกว่า100ล้านล้านบาทแล้วถึงปัจจุบันที่เราสูญเสียไปทางลับๆใต้บัญชีใต้ดินต่างๆไม่รวมกรณีฟอกตังในอดีตแบบเกาะเคแมนหรือเกาะเถื่อนๆต่างๆทั่วโลกที่ชนชั้นผู้ดีชนชั้นปกครองเจ้าสัวเจ้าพระลูกหลานคนสถุนต่อแผ่นดินไทยไปเปิดกิจการบริษัทไว้อีกนะ, ..มโนเล่นๆ สมมุติพรรคthaitimeได้เป็นนายกฯปกครองประเทศ นอกจากนโยบายหลักข้อแรกที่อยากให้ตั้งชัดเจนคือนยึดคืนวัตถุดิบทรัพยากรพัฒนาชาติไทยทั้งหมดยึดกลับคืนมา.ข้อที่สองคือยุบกยศ.ทิ้ง&ล้างหนี้นักเรียนนักศึกษาคนไทยทั้งหมดทุกๆกรณี แล้วตั้งกองทุนการศึกษาแห่งชาติไทย(กศช.)ขึ้นมาแทน,ที่สามคือล้างหนี้ประชาชนธรรมดาทั้งหมดคืนอิสระภาพแห่งชีวิตให้ทุกๆเป็นอิสระแห่งหนี้สินจริงๆจังๆ. ยุคอนาคตเชื่อว่าเราประเทศเราประชาชนคนไทยไม่แพ้ใครๆในโลกแน่นอน เพราะคนอัจฉริยะมากมายจะมาเกิดบนแผ่นดินไทยเป็นอันมาก,ด้วยสนามแม่เหล็กโลกพลิกเปลี่ยนก็ด้วยทำให้มันสมองตานัยเราคนไทยเปิดอัตโนมัติแบบไม่รู้ตัวก็ด้วย,ทั้งพื้นฐานรากเหง้าเรามีภูมิจิตภูมิธรรมเป็นเอกอยู่แล้วด้วย. https://youtube.com/live/e8H6CbIqBhw?si=_3UqmfFzhuI8-pW8
    - YouTube
    เพลิดเพลินไปกับวิดีโอและเพลงที่คุณชอบ อัปโหลดเนื้อหาต้นฉบับ และแชร์เนื้อหาทั้งหมดกับเพื่อน ครอบครัว และผู้คนทั่วโลกบน YouTube
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1048 มุมมอง 0 รีวิว
  • วัดชีพจร SME ผ่านภารกิจ บสย.ช่วยแก้หนี้ : คนเคาะข่าว 21-04-68
    : สิทธิกร ดิเรกสุนทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.)
    ดำเนินรายการโดย นงวดี ถนิมมาลย์
    #คนเคาะข่าว #SMEไทย #บสย #แก้หนี้SME #เศรษฐกิจฐานราก #ธุรกิจขนาดย่อม #สินเชื่อธุรกิจ #สิทธิกรดิเรกสุนทร #นงวดีถนิมมาลย์ #ข่าวเศรษฐกิจ #thaitimes #ฟื้นฟูธุรกิจ #การเงินเพื่อSME #มาตรการช่วยเหลือ #วิเคราะห์เศรษฐกิจไทย
    วัดชีพจร SME ผ่านภารกิจ บสย.ช่วยแก้หนี้ : คนเคาะข่าว 21-04-68 : สิทธิกร ดิเรกสุนทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ดำเนินรายการโดย นงวดี ถนิมมาลย์ #คนเคาะข่าว #SMEไทย #บสย #แก้หนี้SME #เศรษฐกิจฐานราก #ธุรกิจขนาดย่อม #สินเชื่อธุรกิจ #สิทธิกรดิเรกสุนทร #นงวดีถนิมมาลย์ #ข่าวเศรษฐกิจ #thaitimes #ฟื้นฟูธุรกิจ #การเงินเพื่อSME #มาตรการช่วยเหลือ #วิเคราะห์เศรษฐกิจไทย
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 550 มุมมอง 1 0 รีวิว
  • รีโพสต์บทความของ ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ “คานงัดประเทศไทยหลายประเทศมีการผลักดัน “การปฏิรูปเชิงโครงสร้าง” อย่างจริงจังและต่อเนื่อง จนสามารถพลิกฟื้นตัวเองจากรัฐที่ตามหลัง (Following State) สู่รัฐที่ล้ำหน้า (Forefront State) อย่างจีน สิงค์โปร์ หรือ เกาหลีใต้ ผิดกับประเทศไทย ที่ปัจจุบันยังเป็นเพียงรัฐที่ตามหลัง และกำลังมีแนวโน้มถดถอยไปสู่รัฐที่กำลังล้มเหลว (Falling State)ที่ผ่านมา ประเทศไทยนั้นมีการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง (Great Reform) เพียงครั้งเดียว คือในสมัยล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 แต่เงื่อนไขในการเปลี่ยนแปลงในสมัยนั้นกับในยุคปัจจุบันมีความแตกต่างกัน ทั้งเงื่อนไขที่มาจากปัจจัยภายในและภายนอก ในสมัยล้นเกล้าฯ รัชการที่ 5 น้ำหนักจะอยู่ที่การพัฒนาเพื่อไปสู่ความทันสมัย เพื่อที่จะแสดงให้ประชาคมโลกตระหนักว่าประเทศของเรานั้นไม่ได้ล้าหลัง เนื่องจากต้องเผชิญกับการล่าอาณานิคม ประเด็นท้าทายในยุคปัจจุบัน คือจะมุ่งการพัฒนาเพื่อไปสู่ความยั่งยืน ความเท่าเทียมในสังคม และความเท่าทันเทคโนโลยี ได้อย่างไร~แรงเฉื่อยต่อการเปลี่ยนแปลงหลังกระแสการล่าอาณานิคมผ่านพ้นไป ประเทศไทยไม่เคยต้องเผชิญกับแรงกดดันอย่างรุนแรง เราเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบจากสงครามโลกครั้งที่ 1 แล 2 น้อยมาก ดังนั้น ระบบและโครงสร้างเก่า แนวคิดและจารีตนิยมจึงไม่ได้ถูกทำลาย ทำให้อิทธิพลของระบบอุปถัมภ์ อำนาจนิยม และอภิสิทธิชนยังคงอยู่ ระบบคุณค่าดังกล่าวเป็นอุปสรรคต่อการพลิกโฉมประเทศไปสู่สังคมสมัยใหม่ ที่เน้นความเป็นระเบียบวินัย มีความรับผิดชอบ ตระหนักในหน้าที่พลเมือง มีจิตอาสา กล้าที่จะเสนอความเห็น มีความโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ และความเสมอภาคระบบอุปถัมภ์ อำนาจนิยม และอภิสิทธิชน ยังได้หล่อหลอมคนไทยให้เป็น “ปัจเจกบุคคลที่ไร้บรรทัดฐานและคุณค่าร่วมในสังคม” (Anomic Individualism) สะท้อนผ่านพฤติกรรมตัวใครตัวมัน ไม่ชอบถูกบังคับ ไร้ระเบียบวินัย และขาดความรับผิดชอบ ผลข้างเคียงที่ตามมา คือคนไทยโดยส่วนใหญ่จะเรียกร้องสิทธิมากกว่าหน้าที่ เน้นถูกใจมากกว่าถูกต้อง เน้นมองเพื่อตัวเองมากกว่ามองเพื่อส่วนรวม เน้นชิงสุกก่อนห่ามมากกว่าอดเปรี้ยวไว้กินหวาน เน้นรูปแบบมากกว่าสาระ เน้นปริมาณมากกว่าคุณภาพ เน้นมูลค่ามากกว่าคุณค่า และเน้นคอนเนคชั่นมากกว่าเนื้องานความไร้บรรทัดฐานและคุณค่าร่วมในสังคม ทำให้คนไทยโดยส่วนใหญ่มักตัดสินใจเลือกเส้นทางหรือวิธีการที่ “มักง่าย” ทำให้เรื่องที่ “ผิดปกติ” กลายเป็นเรื่อง “ไม่ผิดปกติ” และกระทำลงไปโดยปราศจาก “ความรู้สึกผิด” อาทิ นักการเมืองโกงกินไม่เป็นไร ขอเพียงให้มีผลงานบ้าง การทำปฏิวัติรัฐประหาร การใช้กำลังยุติความขัดแย้ง เชื่อในอำนาจเหนือธรรมชาติ ไสยศาสตร์ และความมหัศจรรย์ ไม่รักษาเวลา ขาดความรับผิดชอบในหน้าที่ ทิ้งงานโดยไม่มีเหตุผล เป็นต้น ~ค้นหาจุดคานงัด ทลายวงจรอุบาทว์หากพวกเราไม่คิดแก้ไขปรับเปลี่ยนค่านิยมและพฤติกรรมเหล่านี้ ก็ยากที่ประเทศไทยจะยืนเคียงบ่าเคียงไหล่ประเทศอื่น ๆ ในประชาคมโลกในศตวรรษที่ 21 นี้ได้ในการทลายวงจรอุบาทว์เชิงซ้อน จุดคานงัดของการเปลี่ยนแปลง (Leveraging Point) อาจจะอยู่ทึ่ “การปฏิรูประบบคุณค่า” (Value System Reform) ครั้งใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในค่านิยม 2 ชุดหลักด้วยกัน คือชุดที่ 1: อุปถัมภ์นิยม อำนาจนิยม และอภิสิทธินิยมชุดที่ 2: บริโภคนิยม วัตถุนิยม และสุขนิยมบริโภคนิยม วัตถุนิยม และสุขนิยม เป็นด้านลบของระบอบทุนนิยม แต่ในด้านบวกของระบอบทุนนิยม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการแข่งขันอย่างเสรี การยึดธรรมาภิบาล กฎกติกา กลับไม่ได้ถูกสังคมไทยนำมาใช้อย่างเต็มที่ เพราะถูกอิทธิพลของระบบอุปถัมภ์ อำนาจนิยม และอภิสิทธินิยมเข้าบดบังระบบคุณค่าทั้ง 2 ชุด ยังคงแทรกซึมลึกอยู่ในเกือบทุกอณูของสังคมไทย เป็น Counter-Productive Value ที่นอกจากจะไม่สอดรับกับรูปแบบการพัฒนาและโครงสร้างเศรษฐกิจสังคมในโลกปัจจุบัน ยังเป็นอุปสรรคตัวสำคัญที่สุดของการขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า ระบบคุณค่าทั้งสองชุดได้ทำให้ธรรมาภิบาล โครงสร้าง ตลอดจนพฤติกรรมของผู้คนในสังคม เกิดการบิดเบี้ยวเชิงระบบ ไม่ว่าจะเป็น• การบิดเบี้ยวเชิงการเมือง ที่ก่อให้เกิดการเมืองที่มีผู้มีอิทธิพลครอบงำ และก่อให้เกิดระบอบธนาธิปไตย และระบอบอมาตยาธิปไตย แทนที่จะเป็นระบอบประชาธิปไตย • การบิดเบี้ยวเชิงบริหารราชการแผ่นดิน ที่การบริหารจัดการภาครัฐถูกแทรกแซง บิดเบือน ไม่เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาลและระบบคุณธรรม • การบิดเบี้ยวเชิงสังคม ที่ก่อให้เกิด Contra-Individuals มากกว่า Collective Individuals รวมถึงเกิดความกระชับแน่นของคนในกลุ่มเดียวกัน (Bonding) เพิ่มขึ้น ในขณะที่ความสัมพันธ์ของคนต่างกลุ่ม (Bridging) ลดลง เกิดเป็น “สังคมของพวกกู” มากกว่า “สังคมของพวกเรา”• ความบิดเบี้ยวเชิงเศรษฐกิจ ที่ก่อให้เกิดระบบทุนนิยมแบบพวกพ้อง (Crony Capitalism) นำมาสู่ระบบเศรษฐกิจปรสิต (Parasite Economy) และสังคมพึ่งพิงประชานิยม (Dependent Society) • ความบิดเบี้ยวของผู้นำ ที่ก่อให้เกิดการขาดแคลนผู้นำที่เป็นต้นแบบที่ดี มีแต่ผู้นำที่คิดอย่าง พูดอย่าง ทำอย่างอยู่มากมาย เกิดผู้นำที่ใส่ใจในวาระซ่อนเร้นของตน มากกว่า วาระของชาติ• ความบิดเบี้ยวเชิงสถาบัน ที่สถาบันต่าง ๆ ไม่ได้ทำหน้าที่ตามภารกิจอย่างเป็นอิสระ อย่างที่สังคมคาดหวังที่สำคัญ ระบบอุปถัมภ์ อำนาจนิยม และอภิสิทธิชน ยังก่อให้เกิดความย้อนแย้งระหว่างอำนาจที่แท้จริงและอำนาจทางการ หรือที่เรียกว่า “Power Paradox” กล่าวคือ การที่เรายังมองประชาชนเป็นผู้ถูกปกครอง โดยมีผู้ปกครองคือรัฐ ทั้งที่จริง ๆ แล้วรัฐต้องเป็นผู้รับใช้ประชาชน เป็นความย้อนแย้งระหว่างพฤตินัยและนิตินัยดังนั้น หากปราศจากการปรับเปลี่ยนระบบคุณค่า เพื่อทำให้เกิดความสอดคล้องกับธรรมาภิบาลและโครงสร้างส่วนอื่นๆของสังคม วาระการปฎิรูปต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการปฏิรูปการเมือง ปฏิรูประบบราชการ ปฏิรูประบบเศรษฐกิจ จะไม่มีทางตอบโจทย์ประเด็นปัญหาฐานรากที่เกิดขึ้นในสังคมไทย~ประชาธิปไตยเทียม ทุนนิยมพวกพ้อง ระบบเศรษฐกิจปรสิต และสังคมพึ่งพิงรัฐระบบคุณค่าทั้ง 2 ชุด: อุปถัมภ์นิยม อำนาจนิยม และอภิสิทธินิยม; บริโภคนิยม วัตถุนิยม และสุขนิยม เป็นปฐมบทของการเกิดโครงสร้างเศรษฐกิจการเมืองแบบ Extractive Political Economy ที่มีผู้คนเพียงบางกลุ่ม ได้ประโยชน์จากอำนาจการปกครองและอำนาจทางเศรษฐกิจ โดยความพยายามที่จะกีดกั้น เอารัดเอาเปรียบ และทำให้เกิดการกระจุกตัวของอำนาจและความมั่งคั่ง และนำพาสู่การอุบัติขึ้นของ ประชาธิปไตยเทียม ทุนนิยมพวกพ้อง ระบบเศรษฐกิจปรสิต และสังคมพึ่งพิงรัฐ ในที่สุดโครงสร้าง Extractive Political Economy ได้นำพาประเทศไทยสู่ “ทศวรรษแห่งความสูญเปล่า” เกิดสังคมที่ไม่ Clean & Clear ไม่ Free & Fair และไม่ Care & Share สังคมดังกล่าวนำมาซึ่งความเสื่อมถอยของทุนทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นทุนมนุษย์ที่อ่อนแอ ทุนเศรษฐกิจที่อ่อนด้อย ทุนสังคมที่เปราะบาง ทุนคุณธรรมจริยธรรมที่เสื่อมทราม และทุนทรัพยากรธรรมชาติที่เสื่อมโทรมถึงเวลาปฎิรูประบบคุณค่า เพื่อใช้เป็นจุดคานงัดในการก้าวพ้นกับดัก และปรับเปลี่ยนไทยสู่ประเทศที่พัฒนาแล้วในโลกที่หนึ่ง”
    รีโพสต์บทความของ ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ “คานงัดประเทศไทยหลายประเทศมีการผลักดัน “การปฏิรูปเชิงโครงสร้าง” อย่างจริงจังและต่อเนื่อง จนสามารถพลิกฟื้นตัวเองจากรัฐที่ตามหลัง (Following State) สู่รัฐที่ล้ำหน้า (Forefront State) อย่างจีน สิงค์โปร์ หรือ เกาหลีใต้ ผิดกับประเทศไทย ที่ปัจจุบันยังเป็นเพียงรัฐที่ตามหลัง และกำลังมีแนวโน้มถดถอยไปสู่รัฐที่กำลังล้มเหลว (Falling State)ที่ผ่านมา ประเทศไทยนั้นมีการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง (Great Reform) เพียงครั้งเดียว คือในสมัยล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 แต่เงื่อนไขในการเปลี่ยนแปลงในสมัยนั้นกับในยุคปัจจุบันมีความแตกต่างกัน ทั้งเงื่อนไขที่มาจากปัจจัยภายในและภายนอก ในสมัยล้นเกล้าฯ รัชการที่ 5 น้ำหนักจะอยู่ที่การพัฒนาเพื่อไปสู่ความทันสมัย เพื่อที่จะแสดงให้ประชาคมโลกตระหนักว่าประเทศของเรานั้นไม่ได้ล้าหลัง เนื่องจากต้องเผชิญกับการล่าอาณานิคม ประเด็นท้าทายในยุคปัจจุบัน คือจะมุ่งการพัฒนาเพื่อไปสู่ความยั่งยืน ความเท่าเทียมในสังคม และความเท่าทันเทคโนโลยี ได้อย่างไร~แรงเฉื่อยต่อการเปลี่ยนแปลงหลังกระแสการล่าอาณานิคมผ่านพ้นไป ประเทศไทยไม่เคยต้องเผชิญกับแรงกดดันอย่างรุนแรง เราเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบจากสงครามโลกครั้งที่ 1 แล 2 น้อยมาก ดังนั้น ระบบและโครงสร้างเก่า แนวคิดและจารีตนิยมจึงไม่ได้ถูกทำลาย ทำให้อิทธิพลของระบบอุปถัมภ์ อำนาจนิยม และอภิสิทธิชนยังคงอยู่ ระบบคุณค่าดังกล่าวเป็นอุปสรรคต่อการพลิกโฉมประเทศไปสู่สังคมสมัยใหม่ ที่เน้นความเป็นระเบียบวินัย มีความรับผิดชอบ ตระหนักในหน้าที่พลเมือง มีจิตอาสา กล้าที่จะเสนอความเห็น มีความโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ และความเสมอภาคระบบอุปถัมภ์ อำนาจนิยม และอภิสิทธิชน ยังได้หล่อหลอมคนไทยให้เป็น “ปัจเจกบุคคลที่ไร้บรรทัดฐานและคุณค่าร่วมในสังคม” (Anomic Individualism) สะท้อนผ่านพฤติกรรมตัวใครตัวมัน ไม่ชอบถูกบังคับ ไร้ระเบียบวินัย และขาดความรับผิดชอบ ผลข้างเคียงที่ตามมา คือคนไทยโดยส่วนใหญ่จะเรียกร้องสิทธิมากกว่าหน้าที่ เน้นถูกใจมากกว่าถูกต้อง เน้นมองเพื่อตัวเองมากกว่ามองเพื่อส่วนรวม เน้นชิงสุกก่อนห่ามมากกว่าอดเปรี้ยวไว้กินหวาน เน้นรูปแบบมากกว่าสาระ เน้นปริมาณมากกว่าคุณภาพ เน้นมูลค่ามากกว่าคุณค่า และเน้นคอนเนคชั่นมากกว่าเนื้องานความไร้บรรทัดฐานและคุณค่าร่วมในสังคม ทำให้คนไทยโดยส่วนใหญ่มักตัดสินใจเลือกเส้นทางหรือวิธีการที่ “มักง่าย” ทำให้เรื่องที่ “ผิดปกติ” กลายเป็นเรื่อง “ไม่ผิดปกติ” และกระทำลงไปโดยปราศจาก “ความรู้สึกผิด” อาทิ นักการเมืองโกงกินไม่เป็นไร ขอเพียงให้มีผลงานบ้าง การทำปฏิวัติรัฐประหาร การใช้กำลังยุติความขัดแย้ง เชื่อในอำนาจเหนือธรรมชาติ ไสยศาสตร์ และความมหัศจรรย์ ไม่รักษาเวลา ขาดความรับผิดชอบในหน้าที่ ทิ้งงานโดยไม่มีเหตุผล เป็นต้น ~ค้นหาจุดคานงัด ทลายวงจรอุบาทว์หากพวกเราไม่คิดแก้ไขปรับเปลี่ยนค่านิยมและพฤติกรรมเหล่านี้ ก็ยากที่ประเทศไทยจะยืนเคียงบ่าเคียงไหล่ประเทศอื่น ๆ ในประชาคมโลกในศตวรรษที่ 21 นี้ได้ในการทลายวงจรอุบาทว์เชิงซ้อน จุดคานงัดของการเปลี่ยนแปลง (Leveraging Point) อาจจะอยู่ทึ่ “การปฏิรูประบบคุณค่า” (Value System Reform) ครั้งใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในค่านิยม 2 ชุดหลักด้วยกัน คือชุดที่ 1: อุปถัมภ์นิยม อำนาจนิยม และอภิสิทธินิยมชุดที่ 2: บริโภคนิยม วัตถุนิยม และสุขนิยมบริโภคนิยม วัตถุนิยม และสุขนิยม เป็นด้านลบของระบอบทุนนิยม แต่ในด้านบวกของระบอบทุนนิยม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการแข่งขันอย่างเสรี การยึดธรรมาภิบาล กฎกติกา กลับไม่ได้ถูกสังคมไทยนำมาใช้อย่างเต็มที่ เพราะถูกอิทธิพลของระบบอุปถัมภ์ อำนาจนิยม และอภิสิทธินิยมเข้าบดบังระบบคุณค่าทั้ง 2 ชุด ยังคงแทรกซึมลึกอยู่ในเกือบทุกอณูของสังคมไทย เป็น Counter-Productive Value ที่นอกจากจะไม่สอดรับกับรูปแบบการพัฒนาและโครงสร้างเศรษฐกิจสังคมในโลกปัจจุบัน ยังเป็นอุปสรรคตัวสำคัญที่สุดของการขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า ระบบคุณค่าทั้งสองชุดได้ทำให้ธรรมาภิบาล โครงสร้าง ตลอดจนพฤติกรรมของผู้คนในสังคม เกิดการบิดเบี้ยวเชิงระบบ ไม่ว่าจะเป็น• การบิดเบี้ยวเชิงการเมือง ที่ก่อให้เกิดการเมืองที่มีผู้มีอิทธิพลครอบงำ และก่อให้เกิดระบอบธนาธิปไตย และระบอบอมาตยาธิปไตย แทนที่จะเป็นระบอบประชาธิปไตย • การบิดเบี้ยวเชิงบริหารราชการแผ่นดิน ที่การบริหารจัดการภาครัฐถูกแทรกแซง บิดเบือน ไม่เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาลและระบบคุณธรรม • การบิดเบี้ยวเชิงสังคม ที่ก่อให้เกิด Contra-Individuals มากกว่า Collective Individuals รวมถึงเกิดความกระชับแน่นของคนในกลุ่มเดียวกัน (Bonding) เพิ่มขึ้น ในขณะที่ความสัมพันธ์ของคนต่างกลุ่ม (Bridging) ลดลง เกิดเป็น “สังคมของพวกกู” มากกว่า “สังคมของพวกเรา”• ความบิดเบี้ยวเชิงเศรษฐกิจ ที่ก่อให้เกิดระบบทุนนิยมแบบพวกพ้อง (Crony Capitalism) นำมาสู่ระบบเศรษฐกิจปรสิต (Parasite Economy) และสังคมพึ่งพิงประชานิยม (Dependent Society) • ความบิดเบี้ยวของผู้นำ ที่ก่อให้เกิดการขาดแคลนผู้นำที่เป็นต้นแบบที่ดี มีแต่ผู้นำที่คิดอย่าง พูดอย่าง ทำอย่างอยู่มากมาย เกิดผู้นำที่ใส่ใจในวาระซ่อนเร้นของตน มากกว่า วาระของชาติ• ความบิดเบี้ยวเชิงสถาบัน ที่สถาบันต่าง ๆ ไม่ได้ทำหน้าที่ตามภารกิจอย่างเป็นอิสระ อย่างที่สังคมคาดหวังที่สำคัญ ระบบอุปถัมภ์ อำนาจนิยม และอภิสิทธิชน ยังก่อให้เกิดความย้อนแย้งระหว่างอำนาจที่แท้จริงและอำนาจทางการ หรือที่เรียกว่า “Power Paradox” กล่าวคือ การที่เรายังมองประชาชนเป็นผู้ถูกปกครอง โดยมีผู้ปกครองคือรัฐ ทั้งที่จริง ๆ แล้วรัฐต้องเป็นผู้รับใช้ประชาชน เป็นความย้อนแย้งระหว่างพฤตินัยและนิตินัยดังนั้น หากปราศจากการปรับเปลี่ยนระบบคุณค่า เพื่อทำให้เกิดความสอดคล้องกับธรรมาภิบาลและโครงสร้างส่วนอื่นๆของสังคม วาระการปฎิรูปต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการปฏิรูปการเมือง ปฏิรูประบบราชการ ปฏิรูประบบเศรษฐกิจ จะไม่มีทางตอบโจทย์ประเด็นปัญหาฐานรากที่เกิดขึ้นในสังคมไทย~ประชาธิปไตยเทียม ทุนนิยมพวกพ้อง ระบบเศรษฐกิจปรสิต และสังคมพึ่งพิงรัฐระบบคุณค่าทั้ง 2 ชุด: อุปถัมภ์นิยม อำนาจนิยม และอภิสิทธินิยม; บริโภคนิยม วัตถุนิยม และสุขนิยม เป็นปฐมบทของการเกิดโครงสร้างเศรษฐกิจการเมืองแบบ Extractive Political Economy ที่มีผู้คนเพียงบางกลุ่ม ได้ประโยชน์จากอำนาจการปกครองและอำนาจทางเศรษฐกิจ โดยความพยายามที่จะกีดกั้น เอารัดเอาเปรียบ และทำให้เกิดการกระจุกตัวของอำนาจและความมั่งคั่ง และนำพาสู่การอุบัติขึ้นของ ประชาธิปไตยเทียม ทุนนิยมพวกพ้อง ระบบเศรษฐกิจปรสิต และสังคมพึ่งพิงรัฐ ในที่สุดโครงสร้าง Extractive Political Economy ได้นำพาประเทศไทยสู่ “ทศวรรษแห่งความสูญเปล่า” เกิดสังคมที่ไม่ Clean & Clear ไม่ Free & Fair และไม่ Care & Share สังคมดังกล่าวนำมาซึ่งความเสื่อมถอยของทุนทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นทุนมนุษย์ที่อ่อนแอ ทุนเศรษฐกิจที่อ่อนด้อย ทุนสังคมที่เปราะบาง ทุนคุณธรรมจริยธรรมที่เสื่อมทราม และทุนทรัพยากรธรรมชาติที่เสื่อมโทรมถึงเวลาปฎิรูประบบคุณค่า เพื่อใช้เป็นจุดคานงัดในการก้าวพ้นกับดัก และปรับเปลี่ยนไทยสู่ประเทศที่พัฒนาแล้วในโลกที่หนึ่ง”
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1014 มุมมอง 0 รีวิว
  • เหรียญข้าวหลามตัดอุบาสิกาแก้ว รุ่นแรกของโลก วัดพระธรรมกาย ปี2541
    เหรียญข้าวหลามตัดอุบาสิกาแก้ว รุ่นแรกของโลก เนื้ออัลปาก้า วัดพระธรรมกาย ปี2541 //พระดีพิธีใหญ่ อุบาสิกาแก้ว คือ ผู้สมบูรณ์ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา ตั้งมั้นในพระรัตนตรัย ร่วมใจสร้างมหาธรรมกายเจดีย์ //พระสถาพสวยมาก พระดูง่าย พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >>

    ** พุทธคุณในด้านเมตตามหานิยม คุ้มครอง โชคลาภ ค้าขาย ร่ำรวย เชื่อกันว่าเหรียญนี้ใช้ป้องกันการเจ็บป่วย และช่วยรักษาโรคที่เราเป็นอยู่ให้ทุเลาเบาบางลง มั่งคั่งทรัพย์สินเงินทอง อุดมด้วย ลาภ ยศ ความเจริญรุ่งเรืองดีนักแล เมตตามหานิยม แคล้วคลาด ป้องกันภัย รวมทั้งไล่ภูตผี และใช้กันเสนียดจัญไรได้ >>

    ** เหรียญข้าวหลามตัดอุบาสิกาแก้ว รุ่นแรกของโลก วัดพระธรรมกาย ปี 41 เหรียญนี้สร้างโดยนำเอาชิ้นส่วนของแผ่นโลหะสเตนเลสหุ้มเสาเข็ม ที่ตอกฐานรากมหาธรรมกายเจดีย์ เจดีย์แห่งพระรัตนตรัย มาสร้างเหรียญพิเศษนี้ขึ้นมาได้จำนวนหนึ่ง และเหรียญนี้ได้ผ่านการทำพิธีเหมือนกับที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำภาษีเจริญได้สร้างพระของขวัญรุ่นที่๑,๒และ๓ ดังนั้นเมื่อท่านทั้งหลายได้รับไปแล้ว จงรักษาเก็บไว้ให้ดี เมื่อตั้งใจปรารถนาสิ่งใดหรือมีอุปสรรคอันใดเกิดขึ้น ก็จงตั้งจิตอธิฐานเอาเถิด >>


    ** พระสถาพสวยมาก พระดูง่าย พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ

    ช่องทางติดต่อ
    LINE 0881915131
    โทรศัพท์ 0881915131
    เหรียญข้าวหลามตัดอุบาสิกาแก้ว รุ่นแรกของโลก วัดพระธรรมกาย ปี2541 เหรียญข้าวหลามตัดอุบาสิกาแก้ว รุ่นแรกของโลก เนื้ออัลปาก้า วัดพระธรรมกาย ปี2541 //พระดีพิธีใหญ่ อุบาสิกาแก้ว คือ ผู้สมบูรณ์ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา ตั้งมั้นในพระรัตนตรัย ร่วมใจสร้างมหาธรรมกายเจดีย์ //พระสถาพสวยมาก พระดูง่าย พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >> ** พุทธคุณในด้านเมตตามหานิยม คุ้มครอง โชคลาภ ค้าขาย ร่ำรวย เชื่อกันว่าเหรียญนี้ใช้ป้องกันการเจ็บป่วย และช่วยรักษาโรคที่เราเป็นอยู่ให้ทุเลาเบาบางลง มั่งคั่งทรัพย์สินเงินทอง อุดมด้วย ลาภ ยศ ความเจริญรุ่งเรืองดีนักแล เมตตามหานิยม แคล้วคลาด ป้องกันภัย รวมทั้งไล่ภูตผี และใช้กันเสนียดจัญไรได้ >> ** เหรียญข้าวหลามตัดอุบาสิกาแก้ว รุ่นแรกของโลก วัดพระธรรมกาย ปี 41 เหรียญนี้สร้างโดยนำเอาชิ้นส่วนของแผ่นโลหะสเตนเลสหุ้มเสาเข็ม ที่ตอกฐานรากมหาธรรมกายเจดีย์ เจดีย์แห่งพระรัตนตรัย มาสร้างเหรียญพิเศษนี้ขึ้นมาได้จำนวนหนึ่ง และเหรียญนี้ได้ผ่านการทำพิธีเหมือนกับที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำภาษีเจริญได้สร้างพระของขวัญรุ่นที่๑,๒และ๓ ดังนั้นเมื่อท่านทั้งหลายได้รับไปแล้ว จงรักษาเก็บไว้ให้ดี เมื่อตั้งใจปรารถนาสิ่งใดหรือมีอุปสรรคอันใดเกิดขึ้น ก็จงตั้งจิตอธิฐานเอาเถิด >> ** พระสถาพสวยมาก พระดูง่าย พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ ช่องทางติดต่อ LINE 0881915131 โทรศัพท์ 0881915131
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 335 มุมมอง 0 รีวิว
  • พะเยา – ทั้ง กอ.รมน.-ตำรวจ ตามตรวจตึกใหม่ สตง.พะเยา ร้างตั้งแต่สร้างไม่เสร็จ..ด้านรักษาราชการแทน ผอ.ยันไม่มีการทิ้งร้าง-ผู้รับเหมาไม่เกี่ยวบริษัทจีน แต่สร้างช้าจนต้องขยายเวลาเรียกค่าปรับ 0 บาทตามมาตรการรัฐบาลยุคโควิดระบาดเกือบปี ก่อนเลิกจ้าง-เร่งหาผู้รับเหมาใหม่

    วันนี้(4 เม.ย.) พ.อ.อุทัย เพียรการ หัวหน้าชุดรวบรวมและตรวจสอบข่าวสาร ที่ 309 กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดพะเยา (กอ.รมน.)นำคณะ ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจกองกำกับการสืบสวน สภ.เมืองพะเยา ลงพื้นที่ตรวจสอบหาข้อเท็จจริง อาคารสำนักงาน สตง.พะเยา บริเวณบ้านสันต้นผึ้ง ต.แม่ปืม อ.เมืองพะเยา ที่ถูกทิ้งร้างระหว่างก่อสร้าง

    พบโครงสร้างฐานรากตึกสูง 3 ชั้น จำนวน 2 ตึก แยกเป็นตึกสำนึกงาน, ตึกที่พักบุคลากร ซึ่งมีการเดินระบบประปาและท่อไฟฟ้า เรียบร้อยแล้วปล่อยร้าง ซึ่งทาง สตง.แจงว่าได้เลิกจ้างบริษัทรับเหมาดังกล่าว เนื่องจากทำงานล่าช้า และดำเนินการคำนวณค่าปรับคำนวณค่าเสียหายเพื่อคิดจากผู้รับจ้างและจะคำนวณราคากลางที่จะดำเนินการก่อสร้างต่อไป

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/local/detail/9680000032296

    #MGROnline #พะเยา #สตง.
    พะเยา – ทั้ง กอ.รมน.-ตำรวจ ตามตรวจตึกใหม่ สตง.พะเยา ร้างตั้งแต่สร้างไม่เสร็จ..ด้านรักษาราชการแทน ผอ.ยันไม่มีการทิ้งร้าง-ผู้รับเหมาไม่เกี่ยวบริษัทจีน แต่สร้างช้าจนต้องขยายเวลาเรียกค่าปรับ 0 บาทตามมาตรการรัฐบาลยุคโควิดระบาดเกือบปี ก่อนเลิกจ้าง-เร่งหาผู้รับเหมาใหม่ • วันนี้(4 เม.ย.) พ.อ.อุทัย เพียรการ หัวหน้าชุดรวบรวมและตรวจสอบข่าวสาร ที่ 309 กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดพะเยา (กอ.รมน.)นำคณะ ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจกองกำกับการสืบสวน สภ.เมืองพะเยา ลงพื้นที่ตรวจสอบหาข้อเท็จจริง อาคารสำนักงาน สตง.พะเยา บริเวณบ้านสันต้นผึ้ง ต.แม่ปืม อ.เมืองพะเยา ที่ถูกทิ้งร้างระหว่างก่อสร้าง • พบโครงสร้างฐานรากตึกสูง 3 ชั้น จำนวน 2 ตึก แยกเป็นตึกสำนึกงาน, ตึกที่พักบุคลากร ซึ่งมีการเดินระบบประปาและท่อไฟฟ้า เรียบร้อยแล้วปล่อยร้าง ซึ่งทาง สตง.แจงว่าได้เลิกจ้างบริษัทรับเหมาดังกล่าว เนื่องจากทำงานล่าช้า และดำเนินการคำนวณค่าปรับคำนวณค่าเสียหายเพื่อคิดจากผู้รับจ้างและจะคำนวณราคากลางที่จะดำเนินการก่อสร้างต่อไป • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/local/detail/9680000032296 • #MGROnline #พะเยา #สตง.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 424 มุมมอง 0 รีวิว
  • Sondhitalk EP287 : คอร์รัปชัน กัดกิน (Full)

    - สรุปอาคาร สตง. ถล่ม
    - น่ากังวล ฐานรากอาคาร ในกรุงเทพ
    - เหล็กจีน โลกไม่ใช้ แต่ไทยใช้
    - ย้อนปม China Railway No.10
    - จุดจบสงครามยูเครน
    - โบอิ้งสะเทือน
    Sondhitalk EP287 : คอร์รัปชัน กัดกิน (Full) - สรุปอาคาร สตง. ถล่ม - น่ากังวล ฐานรากอาคาร ในกรุงเทพ - เหล็กจีน โลกไม่ใช้ แต่ไทยใช้ - ย้อนปม China Railway No.10 - จุดจบสงครามยูเครน - โบอิ้งสะเทือน
    Like
    Love
    Wow
    67
    1 ความคิดเห็น 4 การแบ่งปัน 3500 มุมมอง 403 3 รีวิว
  • สนง.ศาลยุติธรรมแจง เสาเข็มก่อสร้างอาคารศาลแพ่งมีนบุรี ศาลอาญามีนบุรี ล้มเอียง เป็นภาพเก่า เมื่อปี 2566 จากการขุดดินมากองไว้ด้านข้างเสาเข็ม แล้วฝนตกทำให้เสาล้มเอียง ไม่เกี่ยวเหตุการณ์แผ่นดินไหว

    วันนี้ (3 มี.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจเฟซบุ๊กสื่อศาล ของสำนักงานศาลยุติธรรม ได้ชี้แจงว่า ตามที่มีภาพและข่าวในสื่อออนไลน์ว่า เสาเข็มอาคารที่ทำการศาลแพ่งมีนบุรีและศาลอาญามีนบุรีที่อยู่ระหว่างก่อสร้างเอียงล้มเสียหายนั้น สำนักงานศาลขอชี้แจงว่า เป็นภาพเสาเข็มของอาคารดังกล่าวในช่วงเดือน ต.ค. 2566 สาเหตุเสาเข็มล้มเอียงเกิดจากขั้นตอนการขุดดินฐานรากลิฟต์ และนำดินมากองไว้รวมกันด้านข้างหลุมเข็มฐานรากทับถมสูงประมาณ 3 เมตร เมื่อฝนตกลงมาบริเวณพื้นที่ก่อสร้าง ส่งผลให้เสาเข็มไม่สามารถรับน้ำหนักแรงดันของดินด้านข้างได้ จึงทำให้เสาเข็มเกิดการล้มเอียงเสียหายตามภาพข่าว

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/crime/detail/9680000031998

    #MGROnline #สำนักงานศาลยุติธรรม #อาคารศาลแพ่งมีนบุรี #ศาลอาญามีนบุรี
    สนง.ศาลยุติธรรมแจง เสาเข็มก่อสร้างอาคารศาลแพ่งมีนบุรี ศาลอาญามีนบุรี ล้มเอียง เป็นภาพเก่า เมื่อปี 2566 จากการขุดดินมากองไว้ด้านข้างเสาเข็ม แล้วฝนตกทำให้เสาล้มเอียง ไม่เกี่ยวเหตุการณ์แผ่นดินไหว • วันนี้ (3 มี.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจเฟซบุ๊กสื่อศาล ของสำนักงานศาลยุติธรรม ได้ชี้แจงว่า ตามที่มีภาพและข่าวในสื่อออนไลน์ว่า เสาเข็มอาคารที่ทำการศาลแพ่งมีนบุรีและศาลอาญามีนบุรีที่อยู่ระหว่างก่อสร้างเอียงล้มเสียหายนั้น สำนักงานศาลขอชี้แจงว่า เป็นภาพเสาเข็มของอาคารดังกล่าวในช่วงเดือน ต.ค. 2566 สาเหตุเสาเข็มล้มเอียงเกิดจากขั้นตอนการขุดดินฐานรากลิฟต์ และนำดินมากองไว้รวมกันด้านข้างหลุมเข็มฐานรากทับถมสูงประมาณ 3 เมตร เมื่อฝนตกลงมาบริเวณพื้นที่ก่อสร้าง ส่งผลให้เสาเข็มไม่สามารถรับน้ำหนักแรงดันของดินด้านข้างได้ จึงทำให้เสาเข็มเกิดการล้มเอียงเสียหายตามภาพข่าว • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/crime/detail/9680000031998 • #MGROnline #สำนักงานศาลยุติธรรม #อาคารศาลแพ่งมีนบุรี #ศาลอาญามีนบุรี
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 317 มุมมอง 0 รีวิว
  • รายงานข่าวแจ้งว่า ก่อนหน้านี้มีการตั้งข้อสังเกต ถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุ ในขณะที่กำลังเทคอนกรีตเพื่อหล่อคานทางด่วนในหลายประเด็น ทั้งเรื่องการเทคอนกรีตในปริมาณที่มากเกินไป หรือ ตัวรับพื้นคานขวางคือตัวโครงเหล็กที่เป็นแม่แบบ หรือ Temporary Structure มีปัญหาเกิดการขยับตัว ที่เกิดจากสภาพการเปลี่ยนแปลงของดิน ทำให้การรับน้ำหนักปูนกว่า 10 ตันเกิดการเอียง จนตัวแม่แบบหลุดออกจากตำแหน่งและถล่ม รวมไปถึงประเด็นเรื่องดินอ่อน

    แหล่งข่าวจาก กทพ.กล่าวว่า ต้องรอให้มีการตรวจสอบอย่างละเอียดในทุกปัจจัย และรอข้อสรุปอย่างเป็นทางการ แต่ข้อเท็จจริงที่บอกได้เลยคือ จุดก่อสร้างทางด่วน สายพระราม 3-ดาวคะนอง-วงแหวนรอบนอกฯ​บริเวณหน้าด่านดาวคะนอง อยู่บนพื้นที่โครงการทางด่วนเฉลิมมหานคร ที่ตลอดแนว ได้ออกแบบป้องกันเรื่องการทรุดตัวไว้แล้วโดยมีเสาเข็ม เป็น Bearing unit ทุก 2 เมตร ลึก 16 เมตร และมีคอนกรีตหนา 60 ซม. รองอยู่อีกชั้นเพื่อกระจายการรับน้ำหนัก ในเชิงเทคนิคทางด่วนเฉลิมมหานครออกแบบพื้นซัพพอร์ตโครงสร้าง ป้องกันการทรุดตัว และอยู่มา 30 กว่าปีไม่มีปัญหา

    ส่วนการก่อสร้างทางด่วนพระราม 3-ดาวคะนอง ได้ออกแบบตั้งเสาค้ำยันตรงกลางสำหรับเทคอนกรีตหล่อคานขวาง บนฐานราก หรือ Footing ของ Bearing unit ของพื้นที่ทางด่วนเดิม จึงมั่นใจไม่มีปัญหาเรื่องทรุดตัว

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/business/detail/9680000027836

    #MGROnline #ทางด่วนพระราม3 #ดาวคะนอง
    รายงานข่าวแจ้งว่า ก่อนหน้านี้มีการตั้งข้อสังเกต ถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุ ในขณะที่กำลังเทคอนกรีตเพื่อหล่อคานทางด่วนในหลายประเด็น ทั้งเรื่องการเทคอนกรีตในปริมาณที่มากเกินไป หรือ ตัวรับพื้นคานขวางคือตัวโครงเหล็กที่เป็นแม่แบบ หรือ Temporary Structure มีปัญหาเกิดการขยับตัว ที่เกิดจากสภาพการเปลี่ยนแปลงของดิน ทำให้การรับน้ำหนักปูนกว่า 10 ตันเกิดการเอียง จนตัวแม่แบบหลุดออกจากตำแหน่งและถล่ม รวมไปถึงประเด็นเรื่องดินอ่อน • แหล่งข่าวจาก กทพ.กล่าวว่า ต้องรอให้มีการตรวจสอบอย่างละเอียดในทุกปัจจัย และรอข้อสรุปอย่างเป็นทางการ แต่ข้อเท็จจริงที่บอกได้เลยคือ จุดก่อสร้างทางด่วน สายพระราม 3-ดาวคะนอง-วงแหวนรอบนอกฯ​บริเวณหน้าด่านดาวคะนอง อยู่บนพื้นที่โครงการทางด่วนเฉลิมมหานคร ที่ตลอดแนว ได้ออกแบบป้องกันเรื่องการทรุดตัวไว้แล้วโดยมีเสาเข็ม เป็น Bearing unit ทุก 2 เมตร ลึก 16 เมตร และมีคอนกรีตหนา 60 ซม. รองอยู่อีกชั้นเพื่อกระจายการรับน้ำหนัก ในเชิงเทคนิคทางด่วนเฉลิมมหานครออกแบบพื้นซัพพอร์ตโครงสร้าง ป้องกันการทรุดตัว และอยู่มา 30 กว่าปีไม่มีปัญหา • ส่วนการก่อสร้างทางด่วนพระราม 3-ดาวคะนอง ได้ออกแบบตั้งเสาค้ำยันตรงกลางสำหรับเทคอนกรีตหล่อคานขวาง บนฐานราก หรือ Footing ของ Bearing unit ของพื้นที่ทางด่วนเดิม จึงมั่นใจไม่มีปัญหาเรื่องทรุดตัว • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/business/detail/9680000027836 • #MGROnline #ทางด่วนพระราม3 #ดาวคะนอง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 675 มุมมอง 0 รีวิว
  • กระทรวงการคลัง ชู โครงการ‘สินเชื่อสร้างเครดิต สร้างโอกาส’ของออมสิน เป็นต้นแบบให้แบงก์พาณิชย์อื่น ดำเนินงานตาม เพื่อช่วยคนฐานรากหลายล้านคน เข้าถึงสินเชื่อในระบบ ช่วยแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ ลั่นแบงก์พาณิชย์ ผลประกอบการดี ดูแลลูกค้ารายกลาง-ใหญ่ได้ แต่ลูกค้าเหล่านี้ จะไม่สามารถเติบโตได้ยั่งยืน หากลูกค้ารายย่อยไม่ฟื้น
    กระทรวงการคลัง ชู โครงการ‘สินเชื่อสร้างเครดิต สร้างโอกาส’ของออมสิน เป็นต้นแบบให้แบงก์พาณิชย์อื่น ดำเนินงานตาม เพื่อช่วยคนฐานรากหลายล้านคน เข้าถึงสินเชื่อในระบบ ช่วยแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ ลั่นแบงก์พาณิชย์ ผลประกอบการดี ดูแลลูกค้ารายกลาง-ใหญ่ได้ แต่ลูกค้าเหล่านี้ จะไม่สามารถเติบโตได้ยั่งยืน หากลูกค้ารายย่อยไม่ฟื้น
    Like
    Wow
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 836 มุมมอง 37 0 รีวิว
  • ศาลารอรถเมล์ 2-3 แสน แพงสมฐานะยุคชัชชาติ

    กลายเป็นที่วิจารณ์สนั่นโซเชียลฯ เมื่อกรุงเทพมหานคร (กทม.) ยุคผู้ว่าฯ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ เผยโฉมศาลาที่พักผู้โดยสารฯ โฉมใหม่ มี 2 รูปแบบ ได้แก่ Type C2 ขนาด 2x3 เมตร 3 ที่นั่ง และ Type C3 ขนาด 2x6 เมตร 6 ที่นั่ง โดยในปีงบประมาณ 2566 ก่อสร้างแล้วเสร็จ 30 หลัง ปีงบประมาณ 2567 ก่อสร้างแล้วเสร็จ 60 หลัง อยู่ระหว่างก่อสร้าง 29 หลัง และปีงบประมาณ 2568 ได้รับงบประมาณในการก่อสร้าง 300 หลัง ทั่วกรุงเทพฯ

    ปรากฎว่ากลายเป็นที่วิจารณ์ถึงความเหมาะสม เพราะตามรายงานข่าวระบุว่า ศาลารอรถเมล์ Type C2 แบบ 3 ที่นั่ง ใช้งบประมาณ 230,000 บาทต่อหลัง และ Type C3 แบบ 6 ที่นั่ง ใช้งบประมาณ 320,000 บาทต่อหลัง ซึ่งพิจารณาจากวัสดุแล้วแพงกว่าบ้านน็อกดาวน์

    ไม่นับรวมเสียงสะท้อนจากผู้ใช้รถเมล์ว่า แม้จะดูดีทันสมัย แต่แทบใช้ประโยชน์หลบแดดหลบฝนไม่ได้เลย เพราะที่นั่งริมสุดและด้านหลังพอดีกับขอบหลังคา อีกทั้งทำหลังคาเชิดขึ้น แดดส่องถึง ฝนตกลงมาถึง แถมจำนวนที่นั่งน้อยเกินไป ส่วนที่นั่งที่ทำจากพลาสติก เกรงว่าจะไม่คงทนถาวรเมื่อเทียบกับที่นั่งสแตนเลสหรือปูน อีกทั้งบางจุดยังติดตั้งทับทางเดินสำหรับผู้พิการ บางจุดเช่น BTS กรุงธนบุรี เป็นมุมอับสายตามีต้นไม้บัง รถเมล์ไม่จอด

    ร้อนไปถึงนายสิทธิพร สมคิดสรรพ์ ผู้อำนวยการสำนักการจราจรและขนส่ง ชี้แจงว่า งบประมาณก่อสร้างครอบคลุมงานรื้อย้ายระบบสาธารณูปโภค งานฐานรากคอนกรีตเสริมเหล็ก งานเชื่อมประกอบโครงสร้างเหล็ก งานหลังคาเมทัลชีท งานรางน้ำ งานม้านั่ง งานระบบไฟฟ้าแสงสว่างภายใน และงานบรรจบไฟฟ้าสาธารณะกับการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) เป็นต้น

    ยืนยันว่าราคาเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ หรือแนวทางปฏิบัติของหน่วยงานของรัฐ ซึ่งเมื่อประกวดราคาอิเล็คทรอนิกส์ (e-bidding) ราคาจึงต่ำลงอีก นอกจากนี้ ยังคำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนทุกกลุ่ม มีความมั่นคงแข็งแรง สามารถบังแดดบังฝนด้วยหลังคาขนาดใหญ่และแผ่นอะคริลิกใสด้านหลัง มีพื้นที่นั่งคอยเหมาะสม สวยงามกลมกลืน ไม่บดบังทัศนียภาพ ไม่สร้างจุดอับสายตา และประหยัดพื้นที่ทางเท้า ไม่กีดขวางทางเดินอีกด้วย

    อย่างไรก็ตาม เมื่อจำแนกรายละเอียดค่าก่อสร้างจากเอกสารประกวดราคา พบว่าราคากลางบวกค่าแฟคเตอร์ (Factor) หนักไปทางงานโครงสร้างประมาณ 88,000-131,000 บาท โดยเฉพาะงานเสา งานโครงรับเก้าอี้ งานโครงรับแผ่นอลูมิเนียมและอครีลิคที่เชื่อมประกอบจากโรงงาน ประกอบกับงานไฟฟ้าแสงสว่างประมาณ 46,000-47,000 บาท ส่วนงานตกแต่ง สัญลักษณ์และป้ายข้อมูลประมาณ 39,000-48,000 บาทเศษ จึงเป็นที่กังขาว่าจะคุ้มค่ากับเงินภาษีประชาชนหรือไม่

    #Newskit
    ศาลารอรถเมล์ 2-3 แสน แพงสมฐานะยุคชัชชาติ กลายเป็นที่วิจารณ์สนั่นโซเชียลฯ เมื่อกรุงเทพมหานคร (กทม.) ยุคผู้ว่าฯ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ เผยโฉมศาลาที่พักผู้โดยสารฯ โฉมใหม่ มี 2 รูปแบบ ได้แก่ Type C2 ขนาด 2x3 เมตร 3 ที่นั่ง และ Type C3 ขนาด 2x6 เมตร 6 ที่นั่ง โดยในปีงบประมาณ 2566 ก่อสร้างแล้วเสร็จ 30 หลัง ปีงบประมาณ 2567 ก่อสร้างแล้วเสร็จ 60 หลัง อยู่ระหว่างก่อสร้าง 29 หลัง และปีงบประมาณ 2568 ได้รับงบประมาณในการก่อสร้าง 300 หลัง ทั่วกรุงเทพฯ ปรากฎว่ากลายเป็นที่วิจารณ์ถึงความเหมาะสม เพราะตามรายงานข่าวระบุว่า ศาลารอรถเมล์ Type C2 แบบ 3 ที่นั่ง ใช้งบประมาณ 230,000 บาทต่อหลัง และ Type C3 แบบ 6 ที่นั่ง ใช้งบประมาณ 320,000 บาทต่อหลัง ซึ่งพิจารณาจากวัสดุแล้วแพงกว่าบ้านน็อกดาวน์ ไม่นับรวมเสียงสะท้อนจากผู้ใช้รถเมล์ว่า แม้จะดูดีทันสมัย แต่แทบใช้ประโยชน์หลบแดดหลบฝนไม่ได้เลย เพราะที่นั่งริมสุดและด้านหลังพอดีกับขอบหลังคา อีกทั้งทำหลังคาเชิดขึ้น แดดส่องถึง ฝนตกลงมาถึง แถมจำนวนที่นั่งน้อยเกินไป ส่วนที่นั่งที่ทำจากพลาสติก เกรงว่าจะไม่คงทนถาวรเมื่อเทียบกับที่นั่งสแตนเลสหรือปูน อีกทั้งบางจุดยังติดตั้งทับทางเดินสำหรับผู้พิการ บางจุดเช่น BTS กรุงธนบุรี เป็นมุมอับสายตามีต้นไม้บัง รถเมล์ไม่จอด ร้อนไปถึงนายสิทธิพร สมคิดสรรพ์ ผู้อำนวยการสำนักการจราจรและขนส่ง ชี้แจงว่า งบประมาณก่อสร้างครอบคลุมงานรื้อย้ายระบบสาธารณูปโภค งานฐานรากคอนกรีตเสริมเหล็ก งานเชื่อมประกอบโครงสร้างเหล็ก งานหลังคาเมทัลชีท งานรางน้ำ งานม้านั่ง งานระบบไฟฟ้าแสงสว่างภายใน และงานบรรจบไฟฟ้าสาธารณะกับการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) เป็นต้น ยืนยันว่าราคาเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ หรือแนวทางปฏิบัติของหน่วยงานของรัฐ ซึ่งเมื่อประกวดราคาอิเล็คทรอนิกส์ (e-bidding) ราคาจึงต่ำลงอีก นอกจากนี้ ยังคำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนทุกกลุ่ม มีความมั่นคงแข็งแรง สามารถบังแดดบังฝนด้วยหลังคาขนาดใหญ่และแผ่นอะคริลิกใสด้านหลัง มีพื้นที่นั่งคอยเหมาะสม สวยงามกลมกลืน ไม่บดบังทัศนียภาพ ไม่สร้างจุดอับสายตา และประหยัดพื้นที่ทางเท้า ไม่กีดขวางทางเดินอีกด้วย อย่างไรก็ตาม เมื่อจำแนกรายละเอียดค่าก่อสร้างจากเอกสารประกวดราคา พบว่าราคากลางบวกค่าแฟคเตอร์ (Factor) หนักไปทางงานโครงสร้างประมาณ 88,000-131,000 บาท โดยเฉพาะงานเสา งานโครงรับเก้าอี้ งานโครงรับแผ่นอลูมิเนียมและอครีลิคที่เชื่อมประกอบจากโรงงาน ประกอบกับงานไฟฟ้าแสงสว่างประมาณ 46,000-47,000 บาท ส่วนงานตกแต่ง สัญลักษณ์และป้ายข้อมูลประมาณ 39,000-48,000 บาทเศษ จึงเป็นที่กังขาว่าจะคุ้มค่ากับเงินภาษีประชาชนหรือไม่ #Newskit
    Like
    Haha
    Angry
    4
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 986 มุมมอง 0 รีวิว

  • การเมืองสไตล์ 'กล้าธรรม'เสริมฐานรากวางเป้าหมายพรรครัฐบาลตลอดกาล : ข่าวลึกปมลับ 04/02/68
    การเมืองสไตล์ 'กล้าธรรม'เสริมฐานรากวางเป้าหมายพรรครัฐบาลตลอดกาล : ข่าวลึกปมลับ 04/02/68
    Like
    Haha
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 478 มุมมอง 14 0 รีวิว
  • หมดบารมี ประชาธิปปัตย์ นับถอยหลังปิดตำนาน
    นับถอยหลัง เหลืออีกไม่กี่เดือน จะถึงวันหยอดบัตรเลือกตั้งท้องถิ่นทั่วประเทศในวันเสาร์ที่1 กุมภาพันธ์จํานวน 47 จังหวัด ซึ่งการเลือกตั้งครั้งนี้จะรวมทั้งการเลือกนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดและสมาชิกสภาจังหวัดด้วย
    ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าการเลือกตั้งท้องถิ่นของประเทศไทยนั้นมีบรรยากาศความเข้มข้นแตกต่างจากการเลือกตั้งระดับประเทศอย่างสิ้นเชิง การเลือกตั้งส.ส.ระดับประเทศแม้จะเป็นการช่วงชิงอํานาจในการบริหารประเทศ แต่มุมหนึ่งก็ไม่ได้มีการวางเดิมพันที่สูงเหมือนกับการเลือกตั้งระดับท้องถิ่น
    โดยการเลือกตั้งท้องถิ่นมีความเข้มข้น เพราะนั่นหมายถึงการควบคุมทรัพยากรของรัฐที่เป็นเอกเทศจากฝ่ายบริหารส่วนกลาง จึงไม่แปลกที่จะมีเหตุการณ์ไข้โป้งและเหตุการณ์ความรุนแรงให้เห็นเป็นระยะหนึ่งในสนามที่มีการแข่งขันที่ดุเดือดอย่างคาดไม่ถึงคือจังหวัดตรัง ซึ่งเวลานี้ ภูมิรัฐศาสตร์ทางการเมืองของจังหวัดตรัง มีโฉมหน้าแตกต่างจากอดีตอย่างสิ้นเชิง โดยในอดีตเป็นฐานที่มั่นสําคัญของพรรคประชาธิปัตย์ เนื่องจากหลายทศวรรษพรรคประชาธิปัตย์สามารถครองเก้าอี้ส.ส.ของจังหวัดนี้ได้มาตลอด แต่ปัจจุบันทุกอย่างเปลี่ยนแปลงจนถึงฐานราก
    วันนี้จังหวัดตรังไม่ได้ถูกปกคลุมด้วยอิทธิพลของพรรคประชาธิปัตย์แบบเด็ดขาดเหมือนในอดีต ภายหลังพรรคพลังประชารัฐและพรรครวมไทยสร้างชาติสามารถเข้ามาคล้องเก้าอี้ส.ส.ระบบแบ่งเขตเลือกตั้งจังหวัดตรังไปได้บางส่วน
    หรือแม้แต่คะแนนส สบัญชีรายชื่อเฉพาะตรังก็พบว่าประชาธิปัตย์อยู่อันดับที่3ตามหลังพรรคอันดับหนึ่งอย่างพรรคก้าวไกล
    ที่ปัจจุบันเป็นพรรคประชาชนเกือบ100 000 คะแนนประกอบกับสถานการณ์ภายในพรรคประชาธิปัตย์ก็เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือภายหลังเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย
    ซึ่งเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ว่าชวนหลีกภัยไม่ได้มีความหมายต่อพรรคประชาธิปัตย์แบบอดีตอีกแล้วเมื่อพรรคประชาธิปัตย์เปลี่ยนแปลง จึงทําให้สมรภูมิเลือกตั้งท้องถิ่นตรังเปลี่ยนไปด้วยระดับประเทศครั้งต่อไป
    ติดตามข่าวซีฟๆแบบนี้ได้ที่ #คิงส์โพธิ์ดำ
    หมดบารมี ประชาธิปปัตย์ นับถอยหลังปิดตำนาน นับถอยหลัง เหลืออีกไม่กี่เดือน จะถึงวันหยอดบัตรเลือกตั้งท้องถิ่นทั่วประเทศในวันเสาร์ที่1 กุมภาพันธ์จํานวน 47 จังหวัด ซึ่งการเลือกตั้งครั้งนี้จะรวมทั้งการเลือกนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดและสมาชิกสภาจังหวัดด้วย ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าการเลือกตั้งท้องถิ่นของประเทศไทยนั้นมีบรรยากาศความเข้มข้นแตกต่างจากการเลือกตั้งระดับประเทศอย่างสิ้นเชิง การเลือกตั้งส.ส.ระดับประเทศแม้จะเป็นการช่วงชิงอํานาจในการบริหารประเทศ แต่มุมหนึ่งก็ไม่ได้มีการวางเดิมพันที่สูงเหมือนกับการเลือกตั้งระดับท้องถิ่น โดยการเลือกตั้งท้องถิ่นมีความเข้มข้น เพราะนั่นหมายถึงการควบคุมทรัพยากรของรัฐที่เป็นเอกเทศจากฝ่ายบริหารส่วนกลาง จึงไม่แปลกที่จะมีเหตุการณ์ไข้โป้งและเหตุการณ์ความรุนแรงให้เห็นเป็นระยะหนึ่งในสนามที่มีการแข่งขันที่ดุเดือดอย่างคาดไม่ถึงคือจังหวัดตรัง ซึ่งเวลานี้ ภูมิรัฐศาสตร์ทางการเมืองของจังหวัดตรัง มีโฉมหน้าแตกต่างจากอดีตอย่างสิ้นเชิง โดยในอดีตเป็นฐานที่มั่นสําคัญของพรรคประชาธิปัตย์ เนื่องจากหลายทศวรรษพรรคประชาธิปัตย์สามารถครองเก้าอี้ส.ส.ของจังหวัดนี้ได้มาตลอด แต่ปัจจุบันทุกอย่างเปลี่ยนแปลงจนถึงฐานราก วันนี้จังหวัดตรังไม่ได้ถูกปกคลุมด้วยอิทธิพลของพรรคประชาธิปัตย์แบบเด็ดขาดเหมือนในอดีต ภายหลังพรรคพลังประชารัฐและพรรครวมไทยสร้างชาติสามารถเข้ามาคล้องเก้าอี้ส.ส.ระบบแบ่งเขตเลือกตั้งจังหวัดตรังไปได้บางส่วน หรือแม้แต่คะแนนส สบัญชีรายชื่อเฉพาะตรังก็พบว่าประชาธิปัตย์อยู่อันดับที่3ตามหลังพรรคอันดับหนึ่งอย่างพรรคก้าวไกล ที่ปัจจุบันเป็นพรรคประชาชนเกือบ100 000 คะแนนประกอบกับสถานการณ์ภายในพรรคประชาธิปัตย์ก็เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือภายหลังเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ว่าชวนหลีกภัยไม่ได้มีความหมายต่อพรรคประชาธิปัตย์แบบอดีตอีกแล้วเมื่อพรรคประชาธิปัตย์เปลี่ยนแปลง จึงทําให้สมรภูมิเลือกตั้งท้องถิ่นตรังเปลี่ยนไปด้วยระดับประเทศครั้งต่อไป ติดตามข่าวซีฟๆแบบนี้ได้ที่ #คิงส์โพธิ์ดำ
    Haha
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1220 มุมมอง 0 รีวิว
  • ที่มา : เว็บไซต์ isaninsight.kku.ac.th
    มาสคอตประจำจังหวัด 6 จังหวัด ในอีสาน
    .
    กาฬสินธุ์ แพรงามและภูพาน ได้รับแรงบันดาลใจจากไดโนเสาร์สายพันธุ์ภูเวียงโกซอรัส สิรินธรเน่ สีของลำตัวสีเหลืงจากสีของหนอนไหม/รังไหม , มีเครื่องแต่งกายจากชาวภูไท ข้างเอวมีกระติบข้าวเหนียวและถือพิณภูพานอีกด้วย
    .
    ขอนแก่น น้องไดโน่ DINO ไดโนเสาร์ใจดี เพื่อเป็นสัญลักษณ์ในการขับเคลื่อนวาระจังหวัด ตามแนวทางของรัฐบาลที่ต้องการให้ส่วนราชการ ภาคเอกชน ร่วมกันขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจตั้งแต่ในระดับฐานราก ไปจนถึงธุรกิจระหว่างประเทศ
    .
    มุกดาหาร " LEOPARD CAT’S IDENTITY OF MUKDAHAN " แมวดาวอัตลักษณ์แห่งมุกดาหาร เป็นสัตว์สัญลักษณ์ประจำจังหวัดมุกดาหาร
    .
    ร้อยเอ็ด “GOMU (โกมุ)” ซึ่งเป็นการเล่นคำกับคำว่า “Gold” (โกลด์) หรือทองคำ สามารถสร้างจุดขายให้ร้านได้ แถมยังมีความหมายเป็นมงคล เพราะทองคำเป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่ง ร่ำรวย
    .
    หนองบัวลำภู น้องลุ่มภู ปลาฉลามน้ำจืดสีชมพู ตามซากฟอสซิลที่พบ ถือดาบผูกผ้าคาดเอวและมีดอกบัว ดอกไม้ประจำจังหวัดอีกด้วย
    .
    อุดรธานี นำฟอสซิล “คุณทองโบราณ” มาแปลงเป็นมาสคอต ประจำจังหวัด เพื่อการท่องเที่ยวและภาพลักษณ์ของจังหวัด กระตุ้นเศรษฐกิจ เพิ่มรายได้หมุนเวียน
    .
    อ้างอิงจาก:
    กรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์
    ที่มา : เว็บไซต์ isaninsight.kku.ac.th มาสคอตประจำจังหวัด 6 จังหวัด ในอีสาน . กาฬสินธุ์ แพรงามและภูพาน ได้รับแรงบันดาลใจจากไดโนเสาร์สายพันธุ์ภูเวียงโกซอรัส สิรินธรเน่ สีของลำตัวสีเหลืงจากสีของหนอนไหม/รังไหม , มีเครื่องแต่งกายจากชาวภูไท ข้างเอวมีกระติบข้าวเหนียวและถือพิณภูพานอีกด้วย . ขอนแก่น น้องไดโน่ DINO ไดโนเสาร์ใจดี เพื่อเป็นสัญลักษณ์ในการขับเคลื่อนวาระจังหวัด ตามแนวทางของรัฐบาลที่ต้องการให้ส่วนราชการ ภาคเอกชน ร่วมกันขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจตั้งแต่ในระดับฐานราก ไปจนถึงธุรกิจระหว่างประเทศ . มุกดาหาร " LEOPARD CAT’S IDENTITY OF MUKDAHAN " แมวดาวอัตลักษณ์แห่งมุกดาหาร เป็นสัตว์สัญลักษณ์ประจำจังหวัดมุกดาหาร . ร้อยเอ็ด “GOMU (โกมุ)” ซึ่งเป็นการเล่นคำกับคำว่า “Gold” (โกลด์) หรือทองคำ สามารถสร้างจุดขายให้ร้านได้ แถมยังมีความหมายเป็นมงคล เพราะทองคำเป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่ง ร่ำรวย . หนองบัวลำภู น้องลุ่มภู ปลาฉลามน้ำจืดสีชมพู ตามซากฟอสซิลที่พบ ถือดาบผูกผ้าคาดเอวและมีดอกบัว ดอกไม้ประจำจังหวัดอีกด้วย . อุดรธานี นำฟอสซิล “คุณทองโบราณ” มาแปลงเป็นมาสคอต ประจำจังหวัด เพื่อการท่องเที่ยวและภาพลักษณ์ของจังหวัด กระตุ้นเศรษฐกิจ เพิ่มรายได้หมุนเวียน . อ้างอิงจาก: กรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 767 มุมมอง 0 รีวิว
  • "จิตคือแก่นแท้ของชีวิต: พลังของสมาธิและโทษของความฟุ้งซ่าน"---จิตที่ไหลลงต่ำ: กับดักที่สร้างเองจิตใจของมนุษย์มีธรรมชาติคล้ายน้ำ ที่พร้อมจะไหลลงสู่ที่ต่ำ หากปล่อยจิตตามใจชอบโดยไม่คิดทวนกระแสให้จิตขึ้นสูง ก็เปรียบเสมือนปล่อยชีวิตให้ไหลลงสู่ความตกต่ำโดยไม่รู้ตัวจุดเริ่มต้นของการตกต่ำไม่จำเป็นต้องมีอุปสรรคภายนอกเกิดขึ้นได้ง่ายๆ เมื่อปล่อยใจให้ฟุ้งซ่านและคิดวนเวียนไปเรื่อยผลลัพธ์: เสพติดการฟุ้งซ่าน ลดความสามารถในการคิดอย่างมีเหตุผล และเพิ่มความทุกข์ให้กับชีวิต---โทษของความฟุ้งซ่าน1. ความเครียดและแน่นในหัวใจเมื่อพยายามคิดขณะจิตฟุ้งซ่าน ความคิดจะวกวน ไม่เป็นระเบียบ ส่งผลให้เครียดและอึดอัด2. การรับสิ่งกระทบโดยไม่คัดกรองจิตที่ฟุ้งซ่านรับทุกอย่างทั้งดีและร้าย ทำให้ความคิดขาดความชัดเจน สร้างผลลัพธ์ที่ไม่ดี3. ลดประสิทธิภาพของการตัดสินใจยิ่งพยายามคิดมากเท่าไร กลับยิ่งสร้างผลเสียมากขึ้นเท่านั้น---พลังของสมาธิ: กุญแจสู่จิตปลอดโปร่งจิตที่เป็นสมาธิเปรียบเสมือนน้ำใสที่สะท้อนทุกสิ่งอย่างชัดเจนคุณลักษณะของจิตที่เป็นสมาธิ1. ความปลอดโปร่งและความโล่งใจคิดน้อย แต่ได้ผลลัพธ์มากจิตสามารถจับจุดสำคัญและแยกแยะสิ่งที่มีประโยชน์จากสิ่งที่เป็นโทษได้ง่าย2. ความสงบและการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพสมาธิช่วยให้เห็นสิ่งที่ควรทำและตัดสินใจได้อย่างชัดเจน---ฐานรากของสมาธิ: การใส่ใจภายในตนสมาธิที่แท้ ไม่ใช่การเพ่งสิ่งภายนอกชั่วครู่ แต่คือการใส่ใจสิ่งที่อยู่ในขอบเขตกายและจิตใจตนเองวิธีเริ่มต้นฝึกสมาธิ1. ถามตัวเองบ่อยๆ:กำลังหายใจเข้าหรือหายใจออก?วิธีนี้ช่วยให้เกิดความผูกพันกับลมหายใจ2. ฝึกความเคยชิน:การใส่ใจลมหายใจในแต่ละวันช่วยสร้างความพร้อมของจิตใจให้เข้าสู่สมาธิ3. จิตที่พร้อมจะเป็นสมาธิในทุกสถานการณ์:เมื่อฝึกจนชิน สมาธิจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ช่วยให้จิตนิ่ง สงบ และมีประสิทธิภาพ---บทสรุปชีวิตทั้งหมดสำเร็จด้วยจิต หากปล่อยจิตใจให้ฟุ้งซ่าน เท่ากับปล่อยชีวิตให้ตกต่ำ แต่หากฝึกจิตให้เป็นสมาธิ ก็เปรียบเสมือนการพาชีวิตไต่ระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ"เริ่มต้นจากการใส่ใจลมหายใจในทุกวัน แล้วสมาธิจะกลายเป็นเพื่อนแท้ ที่ช่วยให้คุณผ่านพ้นความวุ่นวายและความทุกข์ของชีวิตได้อย่างสง่างาม"
    "จิตคือแก่นแท้ของชีวิต: พลังของสมาธิและโทษของความฟุ้งซ่าน"---จิตที่ไหลลงต่ำ: กับดักที่สร้างเองจิตใจของมนุษย์มีธรรมชาติคล้ายน้ำ ที่พร้อมจะไหลลงสู่ที่ต่ำ หากปล่อยจิตตามใจชอบโดยไม่คิดทวนกระแสให้จิตขึ้นสูง ก็เปรียบเสมือนปล่อยชีวิตให้ไหลลงสู่ความตกต่ำโดยไม่รู้ตัวจุดเริ่มต้นของการตกต่ำไม่จำเป็นต้องมีอุปสรรคภายนอกเกิดขึ้นได้ง่ายๆ เมื่อปล่อยใจให้ฟุ้งซ่านและคิดวนเวียนไปเรื่อยผลลัพธ์: เสพติดการฟุ้งซ่าน ลดความสามารถในการคิดอย่างมีเหตุผล และเพิ่มความทุกข์ให้กับชีวิต---โทษของความฟุ้งซ่าน1. ความเครียดและแน่นในหัวใจเมื่อพยายามคิดขณะจิตฟุ้งซ่าน ความคิดจะวกวน ไม่เป็นระเบียบ ส่งผลให้เครียดและอึดอัด2. การรับสิ่งกระทบโดยไม่คัดกรองจิตที่ฟุ้งซ่านรับทุกอย่างทั้งดีและร้าย ทำให้ความคิดขาดความชัดเจน สร้างผลลัพธ์ที่ไม่ดี3. ลดประสิทธิภาพของการตัดสินใจยิ่งพยายามคิดมากเท่าไร กลับยิ่งสร้างผลเสียมากขึ้นเท่านั้น---พลังของสมาธิ: กุญแจสู่จิตปลอดโปร่งจิตที่เป็นสมาธิเปรียบเสมือนน้ำใสที่สะท้อนทุกสิ่งอย่างชัดเจนคุณลักษณะของจิตที่เป็นสมาธิ1. ความปลอดโปร่งและความโล่งใจคิดน้อย แต่ได้ผลลัพธ์มากจิตสามารถจับจุดสำคัญและแยกแยะสิ่งที่มีประโยชน์จากสิ่งที่เป็นโทษได้ง่าย2. ความสงบและการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพสมาธิช่วยให้เห็นสิ่งที่ควรทำและตัดสินใจได้อย่างชัดเจน---ฐานรากของสมาธิ: การใส่ใจภายในตนสมาธิที่แท้ ไม่ใช่การเพ่งสิ่งภายนอกชั่วครู่ แต่คือการใส่ใจสิ่งที่อยู่ในขอบเขตกายและจิตใจตนเองวิธีเริ่มต้นฝึกสมาธิ1. ถามตัวเองบ่อยๆ:กำลังหายใจเข้าหรือหายใจออก?วิธีนี้ช่วยให้เกิดความผูกพันกับลมหายใจ2. ฝึกความเคยชิน:การใส่ใจลมหายใจในแต่ละวันช่วยสร้างความพร้อมของจิตใจให้เข้าสู่สมาธิ3. จิตที่พร้อมจะเป็นสมาธิในทุกสถานการณ์:เมื่อฝึกจนชิน สมาธิจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ช่วยให้จิตนิ่ง สงบ และมีประสิทธิภาพ---บทสรุปชีวิตทั้งหมดสำเร็จด้วยจิต หากปล่อยจิตใจให้ฟุ้งซ่าน เท่ากับปล่อยชีวิตให้ตกต่ำ แต่หากฝึกจิตให้เป็นสมาธิ ก็เปรียบเสมือนการพาชีวิตไต่ระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ"เริ่มต้นจากการใส่ใจลมหายใจในทุกวัน แล้วสมาธิจะกลายเป็นเพื่อนแท้ ที่ช่วยให้คุณผ่านพ้นความวุ่นวายและความทุกข์ของชีวิตได้อย่างสง่างาม"
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 397 มุมมอง 0 รีวิว
  • 15/1/67

    ไข่ผำ Super Food สุดยอดของแหล่งโปรตีนทดแทน

    ไข่ผำ (Wolffia)  เป็น Super Food สุดยอดของแหล่งโปรตีนทดแทน และเป็น 1 ในพืชน้ำ อาหารแห่งอนาคต เป็นอีกหนึ่ง Mega Trend ที่มาแรงและถูกกล่าวถึงเป็นวงกว้าง ภาคอุตสาหกรรมอาหารต่างให้ความสนใจ


    ไข่ผำเป็นพืชน้ำพื้นบ้านที่พบได้ตามห้วย หนอง คลอง บึง ลักษณะเป็นเม็ดสีเขียวขนาดเล็ก มีชื่อว่า “กรีนคาเวียร์” และเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการด้านโปรตีนสูง    เป็นพืชลอยน้ำตระกูลแหน  รูปร่างเป็นเม็ดสีเขียววงกลมหรือเกือบกลมขนาดเล็ก  ไม่มีราก  เป็นพืชดอกขนาดเล็กที่สุดในโลกและขยายพันธุ์ด้วยการแตกหน่อ  ไข่ผำเป็นพืชที่มีโปรตีนและคุณค่าทางโภชนาการสูง  มีสารพฤษเคมี(Phytochemical)  ที่มีประโยชน์  ไข่ผำมีกรดอะมิโนจำเป็นที่พบมากสุด 3 อันดับแรก คือ ไลซีน ฟีนิลอะลานีน ลิวซีน (ช่วยเรื่องภูมิคุ้มกันของร่างกายและระบบประสาท)

    และเมื่อมีการวิเคราะห์กรดไขมันของไข่ผำแห้งพบว่า มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูงกว่ากรดไขมันอิ่มตัวประมาณ 2 เท่า และยังพบกรดไขมันจำเป็นที่ร่างกายต้องการอีก 2 ชนิด คือ กรดไขมันโอเมกา 3 และ 6 ในปริมาณที่สูง ไข่ผำ เป็นอาหารแห่งอนาคต เพราะมีต้นทุนการผลิตต่ำ  มีโปรตีนสูง 20-40% มีสารต้านอนุมูลอิสระ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ใช้ระยะเวลาเพาะเลี้ยงสั้น เก็บเกี่ยวผลผลิตได้เร็ว และศัตรูพืชน้อย  จึงทำให้ไข่ผำมีแนวโน้มเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ

    คนพระแท่นสร้างการมีส่วนร่วมจากไข่ผำ
    พี่แอ๋ว หรือ สิริวรรณ  โอภากุลวงษ์   เลขากลุ่มวิสาหกิจชุมชนวิถีพระแท่น ได้เล่าให้ฟังว่า  ตำบลพระแท่น  อำเภอท่ามะกา  จังหวัดกาญจนบุรี  มีกลุ่มชาติพรรณไทยทรงดำ  ซึ่งได้บริโภคไข่ผำเป็นอาหารพื้นถิ่นมายาวนาน 

    แต่ในกลุ่มประชาชนทั่วไปยังไม่เป็นที่รู้จักนัก  กลุ่มวิสาหกิจชุมชนวิถีพระแท่นได้หาข้อมูลคุณประโยชน์ของไข่ผำและดำเนินการขับเคลื่อนการเพาะเลี้ยงไข่ผำในชุมชน  โดยใช้งบประมาณโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีรายได้น้อย  จากสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน  สนับสนุนการเลี้ยงไข่ผำในครัวเรือนผู้มีรายได้น้อย จำนวน 30 ครัวเรือน  โดยเลี้ยงในลองคอนกรีต  และทดลองเลี้ยงไข่ผำในโรงเรือนระบบปิด  โดยทั้งสองรูปแบบใช้ปุ๋ยอินทรีย์ในการเพาะเลี้ยง  ผลผลิตจากการเพาะเลี้ยงในรูปแบบดังกล่าว  เพียงพอต่อการบริโภคในครัวเรือน  แต่ไม่เพียงพอต่อการเพาะเลี้ยงเชิงพานิชย์  เนื่องจากปัจจุบันไข่ผำเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น


    “ตำบลพระแท่นมีจุดเด่นทั้งในเรื่องของการสร้างตลาดสีเขียวคีย์โฮลฟาร์มเมอร์มาร์เก็ตเพื่อเป็นแหล่งอาหารปลอดภัยและสร้างรายได้ให้ครัวเรือนต่างๆ การพัฒนาและต่อยอดผลิตภัณฑ์จาก “ไข่ผำ” ที่นับว่าเป็น Superfood มีคุณค่าทางโภชนาการสูงมาก และอาศัยความร่วมมือจากคนรุ่นใหม่ที่มีความรู้และทักษะเข้าร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์เชื่อมโยงคนทุกกลุ่มในชุมชนให้มีรายได้ รวมถึงระบบการจัดการขยะของคนในตำบลพระแท่นที่ให้คนทุกวัยได้เข้ามาร่วมดำเนินการจนเกิดเป็นรูปธรรมให้พื้นที่อื่นได้เข้ามาศึกษาเรียนรู้”

    นวัตกรรมการจัดการระบบการเลี้ยงไข่ผำอินทรีย์แบบครบวงจร
    พี่แอ๋ว เล่าต่อไปอีกว่า การนำไข่ผำจากแหล่งน้ำธรรมชาติมาใช้ประโยชน์ยังประสบปัญหาหลายประการโดยเฉพาะการที่ไม่สามารถควบคุมผลผลิตและคุณภาพของไข่ผำโดยเฉพาะคุณค่าทางโภชนาการได้ ดังนั้นการเลี้ยงไข่ผำในโรงเรือนทำให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพตามที่ต้องการ


    นวัตกรรมการจัดการระบบการเลี้ยงไข่ผำอินทรีย์แบบครบวงจร เป็นการเพาะเลี้ยงไข่ผำอินทรีย์ในโรงเรือนระบบปิดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะเลี้ยงไข่ผำทั้งปริมาณและคุณภาพ จึงเป็นนวัตกรรมที่ส่งเสริมให้มีความสามารถในการบริโภคในครัวเรือนรวมถึงการแข่งขันเชิงพานิชย์และพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนในพื้นที่ตำบลพระแท่น โดยมีเป้าหมายหลักในการพัฒนานวัตกรรมจากกระบวนการเพาะเลี้ยงไข่ผำ เพื่อเป็นต้นแบบการเลี้ยงในครัวเรือนและเชิงพานิชย์  และการแปรรูปเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม 

    เพื่อเป็นการพัฒนาอาชีพเกษตรกรให้มีความยั่งยืน  โดยเน้นการใช้ทรัพยากรในท้องถิ่นโดยตลอดกระบวนการพัฒนาการผลิตจะเน้นการใช้วัตถุดิบ อย่างมีประสิทธิภาพ ลดของเสียตั้งแต่ต้นทาง ลดต้นทุนการผลิต และไม่เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาวะของคนในชุมชน และการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก เพื่อ ยกระดับทรัพยากรท้องถิ่น และช่วยพัฒนาชุมชนให้เข้มแข็ง สามารถเป็นต้นแบบให้กับชุมชนแห่งอื่นได้

    พอช.หนุนให้ชุมชนจัดทำแผนธุรกิจชุมชน
    สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน(องค์การมหาชน)หรือ พอช. ได้เข้ามาสนับสนุนการอบรมเชิงปฏิบัติการเรื่องแผนธุรกิจชุมชน โดยสภาองค์กรชุมชนตำบลพระแท่นได้ต่อยอดนำความรู้เรื่องแผนธุกิจปรับประยุกต์ใช้กับโครงการอาหารปลอดภัย สร้างโอกาสในกิจกรรมคีโฮลการ์เด้นท์ การผลิตผักปลอดภัย คนในชุมชนได้แบ่งปันและทดลองจำหน่าย เกิดผลการเปลี่ยนแปลงต่อยอดเป็นธนาคารเมล็ดพันธุ์ จนในที่สุดมีศูนย์บ่มเพาะเมล็ดพันธุ์ ปัจจุบันธนาคารมีเมล็ดพันธุ์พื้นบ้าน ปี 2562 เกิดเป็นตลาดสีเขียว สถานที่ซื้อขายต้นแบบการใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พัฒนาเป็นเรื่องการจัดการขยะชุมชน เรื่องอาหารปลอดภัยเป็นส่วนหนึ่งของสวัสดิการสังคมในชุมชน มีการเลี้ยงไข่ผำ อาหารที่สำคัญในชุมชน ผู้ด้อยโอกาส 30 ครัวเรือน ได้เลี้ยงและบริโภคในครัวเรือน

    ประโยชน์ของ “ไข่ผำ” พืชจิ๋วมหัศจรรย์
    พี่แอ๋ว เล่าต่ออีกว่า องค์ประกอบทางโภชนาการของไข่น้ำพบว่า มีโปรตีน เบต้า – คาโรทีน และคลอโรฟิลล์จากการสังเคราะห์แสง ไข่น้ำมีปริมาณโปรตีนในระดับเดี่ยวกับเมล็ดถั่วชนิดต่าง ๆ เมล็ดธัญพืช มีเส้นใยสูง มีปริมาณกรดอะมิโนที่จำเป็นไม่ต่างกับไข่ไก่ สาหร่ายเกลียวทอง และคลอเรลล่า นอกจากนี้คลอโรฟิลล์ในไข่น้ำสารต้านอนุมูล อิสระ (antioxidant) มากกว่าในสาหร่ายเกลียวทอง ซึ่งใช้รักษาอาการท้องผูก รักษาสภาวะซีดในคนที่เป็น โรคโลหิตจางได้ ประโยชน์ของไข่น้ำสามารนำมาใช้ปรุงอาหารพื้นบ้านทางภาคเหนือและภาคอีสาน เช่น แกงอ่อม แกงคั่ว ไข่ตุ๋น ไข่เจียว เป็นต้น รับประทานได้

    วิธีการเพาะเลี้ยงไข่ผำ
    ประพิมพ์ ศรีนวล หรือ พี่โป้ สมาชิกกลุ่มผู้เพาะเลี้ยงไข่ผำ เล่าให้ฟังถึงวิธีการเพาะเลี้ยงไข่ผำว่า  การเพาะเลี้ยงในบ่อซีเมนต์ หรือ บ่อพลาสติก ให้นำมาล้างทำความสะอาดก่อนปล่อยไข่ผำลงไปเพาะเลี้ยง เมื่อล้างบ่อจนสะอาดแล้ว เติมน้ำใส่บ่อในอัตรา 3/4 ของบ่อ หากใช้น้ำประปาหรือน้ำบาดาล แนะนำให้พักน้ำไว้สัก 2-3 วัน ก่อนที่จะปล่อยพันธุ์ผำลงไป  ผำเป็นพืชที่ชอบแสงแดดรำไร หากจำเป็นต้องเพาะเลี้ยงกลางแจ้งแนะนำให้ใช้ซาแรนพรางแสงประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ หรือจะเลี้ยงในโรงเรือนระบบปิดก็สามารถทำได้เช่นกัน


    ส่วนการบำรุงธาตุอาหาร อัตราการเติมธาตุอาหารต่อบ่อ ของที่ไร่จะใช้น้ำหมักปลาในอัตราส่วน 2 ช้อนโต๊ะต่อ 1 บ่อ เสร็จแล้วจึงค่อยใส่พันธุ์ผำลงไปปริมาณ 1/2 กิโลกรัมต่อบ่อ หรือในกรณีที่ไม่มีในส่วนของน้ำหมักปลา ก็สามารถเลือกใช้น้ำหมักชนิดอื่นๆ ได้ เช่น น้ำหมักมูลไส้เดือน น้ำหมักมูลหมู น้ำหมักมูลวัว หรือจุลินทรีย์สังเคราะห์แสงสามารถนำมาใช้ได้หมด แล้วแต่ความสะดวกของแต่พื้นที่  


    การดูแลหลังจากที่ปล่อยพันธุ์ผำลงไปเพาะเลี้ยงได้ครบ 1 สัปดาห์ ให้ช้อนไข่ผำที่อยู่ในบ่อขึ้นมา เพื่อปล่อยน้ำทิ้งล้างทำความสะอาดบ่อ เสร็จแล้วให้เติมน้ำใส่บ่อเข้าไปใหม่ เติมธาตุอาหารลงไป ทำเหมือนเดิมกับครั้งแรกทุกอย่าง แล้วปล่อยพันธุ์ผำลงไปเลี้ยงอีก 1 สัปดาห์ ช้อนผำที่เลี้ยงทั้งหมดมาล้างน้ำทำความสะอาด 4 ครั้ง สำหรับนำไปจำหน่ายแบบสด  เท่ากับว่าการเพาะเลี้ยงไข่ผำใช้เวลาเพียง 2 สัปดาห์ แต่ถ้าในกรณีนำไปเพาะพันธุ์ต่อ ใช้เวลาเลี้ยง 1 สัปดาห์ ก็สามารถเอาไปเพาะพันธุ์ต่อได้แล้ว  ซึ่งการเพาะเลี้ยงไม่ยุ่งยาก แต่ปัจจัยสำคัญหรืออุปสรรคที่ทำให้ผู้เพาะเลี้ยงผำไม่ประสบความสำเร็จ คือปัจจัยอุปสรรคในด้านสภาพอากาศและสารเคมี ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่สามารถควบคุมได้

    ปัญหาและอุปสรรคของการเพาะเลี้ยง “ไข่ผำ”
    พี่โป้ เล่าให้ฟังอีกว่า อุปสรรคทางด้านสภาพอากาศ โดยเฉพาะในช่วงหน้าร้อนจะส่งผลกระทบทำให้ผลผลิตลดน้อยลง “ผำ” จะชอบอุณหภูมิอยู่ที่ประมาณ 20-26 องศา ซึ่งถ้าอากาศร้อนไปกว่านี้จะส่งผลให้ปริมาณและอัตราการขยายตัวลดน้อยลง

    สารเคมี ไม่ว่าจะเป็นยาฆ่าหญ้า หรือสารเคมีชนิดอื่นๆ ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผำไม่เจริญเติบโต ผำถือเป็นพืชที่เซนซิทีฟต่อสารเคมี หรืออีกนัยหนึ่งคือ ผำถือเป็นดัชนีชี้วัดได้ว่าพื้นที่ตรงนั้นไม่มีการใช้สารเคมีจริงๆ ที่ถึงแม้ว่าต่อให้ในพื้นที่สวนของเราไม่ใช้ แต่สวนรอบข้างเราใช้ หรือมีคนอื่นมาฉีดพ่นสารเคมีในบริเวณใกล้เคียง ก็ส่งผลทำให้ผำไม่เจริญเติบโตและตายได้เช่นกัน  

    วิธีการเก็บเกี่ยวผลผลิตไข่ผำ เมื่อเพาะเลี้ยงผำจนครบ 2 สัปดาห์ แล้ววิธีการเก็บไปขาย ให้เตรียมซึ้งนึ่งอาหารมาแล้วใช้ผ้าขาวบางรอง จากนั้นนำตาข่ายสีฟ้ามาวางทับผ้าขาวบางอีกชั้น แล้วช้อนผำขึ้นมาใส่ไว้ในตาข่ายสีฟ้า ใช้น้ำประปาล้างแล้วผำจะหล่นลงไปที่ผ้าขาวบางที่รองไว้ข้างล่าง พอได้ผำมาทั้งหมดให้นำไปล้างน้ำทำความสะอาดอีก 4 ครั้ง คือล้างแล้วบิด จนครบ 4 ครั้ง ถึงจะนำไปจำหน่ายได้

    ความน่าสนใจของการเพาะเลี้ยงไข่ผำคือ ไข่ผำเป็นพืชที่ไม่ต้องใช้การดูแลมาก สามารถทำเป็นอาชีพเสริมได้สบายๆ เพาะใช้เวลาในการเพาะเลี้ยงเพียง 2 สัปดาห์ สามารถเก็บผลผลิตขายได้ และยังเป็นพืชที่มีอนาคตสดใส ด้วยคุณประโยชน์ที่ครบถ้วน

    สามารถนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์สร้างมูลค่าเพิ่มได้หลากหลาย  สำหรับไข่ผำที่ได้ทั้งสะอาดปลอดภัยจากสารเคมี พร้อมนำไปแปรรูปเป็นอาหารต่างๆ และจำหน่ายไข่ผำอินทรีย์แบบสดๆ กิโลกรัมละ 100 บาท หากแห้ง กิโลกรัมละ 2,500-3,000 บาท สามารถสร้างรายได้ทั้งขายสด และแปรรูป ให้กับชุมชนบ้านพระแท่นได้อย่างงาม เป็นหนึ่งในอาชีพที่จะสร้างการมีส่วนร่วมและความมั่นคงให้กับชุมชนได้อย่างยั่งยืน
    cr:web.codi.co.th
    15/1/67 ไข่ผำ Super Food สุดยอดของแหล่งโปรตีนทดแทน ไข่ผำ (Wolffia)  เป็น Super Food สุดยอดของแหล่งโปรตีนทดแทน และเป็น 1 ในพืชน้ำ อาหารแห่งอนาคต เป็นอีกหนึ่ง Mega Trend ที่มาแรงและถูกกล่าวถึงเป็นวงกว้าง ภาคอุตสาหกรรมอาหารต่างให้ความสนใจ ไข่ผำเป็นพืชน้ำพื้นบ้านที่พบได้ตามห้วย หนอง คลอง บึง ลักษณะเป็นเม็ดสีเขียวขนาดเล็ก มีชื่อว่า “กรีนคาเวียร์” และเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการด้านโปรตีนสูง    เป็นพืชลอยน้ำตระกูลแหน  รูปร่างเป็นเม็ดสีเขียววงกลมหรือเกือบกลมขนาดเล็ก  ไม่มีราก  เป็นพืชดอกขนาดเล็กที่สุดในโลกและขยายพันธุ์ด้วยการแตกหน่อ  ไข่ผำเป็นพืชที่มีโปรตีนและคุณค่าทางโภชนาการสูง  มีสารพฤษเคมี(Phytochemical)  ที่มีประโยชน์  ไข่ผำมีกรดอะมิโนจำเป็นที่พบมากสุด 3 อันดับแรก คือ ไลซีน ฟีนิลอะลานีน ลิวซีน (ช่วยเรื่องภูมิคุ้มกันของร่างกายและระบบประสาท) และเมื่อมีการวิเคราะห์กรดไขมันของไข่ผำแห้งพบว่า มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูงกว่ากรดไขมันอิ่มตัวประมาณ 2 เท่า และยังพบกรดไขมันจำเป็นที่ร่างกายต้องการอีก 2 ชนิด คือ กรดไขมันโอเมกา 3 และ 6 ในปริมาณที่สูง ไข่ผำ เป็นอาหารแห่งอนาคต เพราะมีต้นทุนการผลิตต่ำ  มีโปรตีนสูง 20-40% มีสารต้านอนุมูลอิสระ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ใช้ระยะเวลาเพาะเลี้ยงสั้น เก็บเกี่ยวผลผลิตได้เร็ว และศัตรูพืชน้อย  จึงทำให้ไข่ผำมีแนวโน้มเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ คนพระแท่นสร้างการมีส่วนร่วมจากไข่ผำ พี่แอ๋ว หรือ สิริวรรณ  โอภากุลวงษ์   เลขากลุ่มวิสาหกิจชุมชนวิถีพระแท่น ได้เล่าให้ฟังว่า  ตำบลพระแท่น  อำเภอท่ามะกา  จังหวัดกาญจนบุรี  มีกลุ่มชาติพรรณไทยทรงดำ  ซึ่งได้บริโภคไข่ผำเป็นอาหารพื้นถิ่นมายาวนาน  แต่ในกลุ่มประชาชนทั่วไปยังไม่เป็นที่รู้จักนัก  กลุ่มวิสาหกิจชุมชนวิถีพระแท่นได้หาข้อมูลคุณประโยชน์ของไข่ผำและดำเนินการขับเคลื่อนการเพาะเลี้ยงไข่ผำในชุมชน  โดยใช้งบประมาณโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีรายได้น้อย  จากสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน  สนับสนุนการเลี้ยงไข่ผำในครัวเรือนผู้มีรายได้น้อย จำนวน 30 ครัวเรือน  โดยเลี้ยงในลองคอนกรีต  และทดลองเลี้ยงไข่ผำในโรงเรือนระบบปิด  โดยทั้งสองรูปแบบใช้ปุ๋ยอินทรีย์ในการเพาะเลี้ยง  ผลผลิตจากการเพาะเลี้ยงในรูปแบบดังกล่าว  เพียงพอต่อการบริโภคในครัวเรือน  แต่ไม่เพียงพอต่อการเพาะเลี้ยงเชิงพานิชย์  เนื่องจากปัจจุบันไข่ผำเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น “ตำบลพระแท่นมีจุดเด่นทั้งในเรื่องของการสร้างตลาดสีเขียวคีย์โฮลฟาร์มเมอร์มาร์เก็ตเพื่อเป็นแหล่งอาหารปลอดภัยและสร้างรายได้ให้ครัวเรือนต่างๆ การพัฒนาและต่อยอดผลิตภัณฑ์จาก “ไข่ผำ” ที่นับว่าเป็น Superfood มีคุณค่าทางโภชนาการสูงมาก และอาศัยความร่วมมือจากคนรุ่นใหม่ที่มีความรู้และทักษะเข้าร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์เชื่อมโยงคนทุกกลุ่มในชุมชนให้มีรายได้ รวมถึงระบบการจัดการขยะของคนในตำบลพระแท่นที่ให้คนทุกวัยได้เข้ามาร่วมดำเนินการจนเกิดเป็นรูปธรรมให้พื้นที่อื่นได้เข้ามาศึกษาเรียนรู้” นวัตกรรมการจัดการระบบการเลี้ยงไข่ผำอินทรีย์แบบครบวงจร พี่แอ๋ว เล่าต่อไปอีกว่า การนำไข่ผำจากแหล่งน้ำธรรมชาติมาใช้ประโยชน์ยังประสบปัญหาหลายประการโดยเฉพาะการที่ไม่สามารถควบคุมผลผลิตและคุณภาพของไข่ผำโดยเฉพาะคุณค่าทางโภชนาการได้ ดังนั้นการเลี้ยงไข่ผำในโรงเรือนทำให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพตามที่ต้องการ นวัตกรรมการจัดการระบบการเลี้ยงไข่ผำอินทรีย์แบบครบวงจร เป็นการเพาะเลี้ยงไข่ผำอินทรีย์ในโรงเรือนระบบปิดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะเลี้ยงไข่ผำทั้งปริมาณและคุณภาพ จึงเป็นนวัตกรรมที่ส่งเสริมให้มีความสามารถในการบริโภคในครัวเรือนรวมถึงการแข่งขันเชิงพานิชย์และพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนในพื้นที่ตำบลพระแท่น โดยมีเป้าหมายหลักในการพัฒนานวัตกรรมจากกระบวนการเพาะเลี้ยงไข่ผำ เพื่อเป็นต้นแบบการเลี้ยงในครัวเรือนและเชิงพานิชย์  และการแปรรูปเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม  เพื่อเป็นการพัฒนาอาชีพเกษตรกรให้มีความยั่งยืน  โดยเน้นการใช้ทรัพยากรในท้องถิ่นโดยตลอดกระบวนการพัฒนาการผลิตจะเน้นการใช้วัตถุดิบ อย่างมีประสิทธิภาพ ลดของเสียตั้งแต่ต้นทาง ลดต้นทุนการผลิต และไม่เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาวะของคนในชุมชน และการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก เพื่อ ยกระดับทรัพยากรท้องถิ่น และช่วยพัฒนาชุมชนให้เข้มแข็ง สามารถเป็นต้นแบบให้กับชุมชนแห่งอื่นได้ พอช.หนุนให้ชุมชนจัดทำแผนธุรกิจชุมชน สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน(องค์การมหาชน)หรือ พอช. ได้เข้ามาสนับสนุนการอบรมเชิงปฏิบัติการเรื่องแผนธุรกิจชุมชน โดยสภาองค์กรชุมชนตำบลพระแท่นได้ต่อยอดนำความรู้เรื่องแผนธุกิจปรับประยุกต์ใช้กับโครงการอาหารปลอดภัย สร้างโอกาสในกิจกรรมคีโฮลการ์เด้นท์ การผลิตผักปลอดภัย คนในชุมชนได้แบ่งปันและทดลองจำหน่าย เกิดผลการเปลี่ยนแปลงต่อยอดเป็นธนาคารเมล็ดพันธุ์ จนในที่สุดมีศูนย์บ่มเพาะเมล็ดพันธุ์ ปัจจุบันธนาคารมีเมล็ดพันธุ์พื้นบ้าน ปี 2562 เกิดเป็นตลาดสีเขียว สถานที่ซื้อขายต้นแบบการใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พัฒนาเป็นเรื่องการจัดการขยะชุมชน เรื่องอาหารปลอดภัยเป็นส่วนหนึ่งของสวัสดิการสังคมในชุมชน มีการเลี้ยงไข่ผำ อาหารที่สำคัญในชุมชน ผู้ด้อยโอกาส 30 ครัวเรือน ได้เลี้ยงและบริโภคในครัวเรือน ประโยชน์ของ “ไข่ผำ” พืชจิ๋วมหัศจรรย์ พี่แอ๋ว เล่าต่ออีกว่า องค์ประกอบทางโภชนาการของไข่น้ำพบว่า มีโปรตีน เบต้า – คาโรทีน และคลอโรฟิลล์จากการสังเคราะห์แสง ไข่น้ำมีปริมาณโปรตีนในระดับเดี่ยวกับเมล็ดถั่วชนิดต่าง ๆ เมล็ดธัญพืช มีเส้นใยสูง มีปริมาณกรดอะมิโนที่จำเป็นไม่ต่างกับไข่ไก่ สาหร่ายเกลียวทอง และคลอเรลล่า นอกจากนี้คลอโรฟิลล์ในไข่น้ำสารต้านอนุมูล อิสระ (antioxidant) มากกว่าในสาหร่ายเกลียวทอง ซึ่งใช้รักษาอาการท้องผูก รักษาสภาวะซีดในคนที่เป็น โรคโลหิตจางได้ ประโยชน์ของไข่น้ำสามารนำมาใช้ปรุงอาหารพื้นบ้านทางภาคเหนือและภาคอีสาน เช่น แกงอ่อม แกงคั่ว ไข่ตุ๋น ไข่เจียว เป็นต้น รับประทานได้ วิธีการเพาะเลี้ยงไข่ผำ ประพิมพ์ ศรีนวล หรือ พี่โป้ สมาชิกกลุ่มผู้เพาะเลี้ยงไข่ผำ เล่าให้ฟังถึงวิธีการเพาะเลี้ยงไข่ผำว่า  การเพาะเลี้ยงในบ่อซีเมนต์ หรือ บ่อพลาสติก ให้นำมาล้างทำความสะอาดก่อนปล่อยไข่ผำลงไปเพาะเลี้ยง เมื่อล้างบ่อจนสะอาดแล้ว เติมน้ำใส่บ่อในอัตรา 3/4 ของบ่อ หากใช้น้ำประปาหรือน้ำบาดาล แนะนำให้พักน้ำไว้สัก 2-3 วัน ก่อนที่จะปล่อยพันธุ์ผำลงไป  ผำเป็นพืชที่ชอบแสงแดดรำไร หากจำเป็นต้องเพาะเลี้ยงกลางแจ้งแนะนำให้ใช้ซาแรนพรางแสงประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ หรือจะเลี้ยงในโรงเรือนระบบปิดก็สามารถทำได้เช่นกัน ส่วนการบำรุงธาตุอาหาร อัตราการเติมธาตุอาหารต่อบ่อ ของที่ไร่จะใช้น้ำหมักปลาในอัตราส่วน 2 ช้อนโต๊ะต่อ 1 บ่อ เสร็จแล้วจึงค่อยใส่พันธุ์ผำลงไปปริมาณ 1/2 กิโลกรัมต่อบ่อ หรือในกรณีที่ไม่มีในส่วนของน้ำหมักปลา ก็สามารถเลือกใช้น้ำหมักชนิดอื่นๆ ได้ เช่น น้ำหมักมูลไส้เดือน น้ำหมักมูลหมู น้ำหมักมูลวัว หรือจุลินทรีย์สังเคราะห์แสงสามารถนำมาใช้ได้หมด แล้วแต่ความสะดวกของแต่พื้นที่   การดูแลหลังจากที่ปล่อยพันธุ์ผำลงไปเพาะเลี้ยงได้ครบ 1 สัปดาห์ ให้ช้อนไข่ผำที่อยู่ในบ่อขึ้นมา เพื่อปล่อยน้ำทิ้งล้างทำความสะอาดบ่อ เสร็จแล้วให้เติมน้ำใส่บ่อเข้าไปใหม่ เติมธาตุอาหารลงไป ทำเหมือนเดิมกับครั้งแรกทุกอย่าง แล้วปล่อยพันธุ์ผำลงไปเลี้ยงอีก 1 สัปดาห์ ช้อนผำที่เลี้ยงทั้งหมดมาล้างน้ำทำความสะอาด 4 ครั้ง สำหรับนำไปจำหน่ายแบบสด  เท่ากับว่าการเพาะเลี้ยงไข่ผำใช้เวลาเพียง 2 สัปดาห์ แต่ถ้าในกรณีนำไปเพาะพันธุ์ต่อ ใช้เวลาเลี้ยง 1 สัปดาห์ ก็สามารถเอาไปเพาะพันธุ์ต่อได้แล้ว  ซึ่งการเพาะเลี้ยงไม่ยุ่งยาก แต่ปัจจัยสำคัญหรืออุปสรรคที่ทำให้ผู้เพาะเลี้ยงผำไม่ประสบความสำเร็จ คือปัจจัยอุปสรรคในด้านสภาพอากาศและสารเคมี ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่สามารถควบคุมได้ ปัญหาและอุปสรรคของการเพาะเลี้ยง “ไข่ผำ” พี่โป้ เล่าให้ฟังอีกว่า อุปสรรคทางด้านสภาพอากาศ โดยเฉพาะในช่วงหน้าร้อนจะส่งผลกระทบทำให้ผลผลิตลดน้อยลง “ผำ” จะชอบอุณหภูมิอยู่ที่ประมาณ 20-26 องศา ซึ่งถ้าอากาศร้อนไปกว่านี้จะส่งผลให้ปริมาณและอัตราการขยายตัวลดน้อยลง สารเคมี ไม่ว่าจะเป็นยาฆ่าหญ้า หรือสารเคมีชนิดอื่นๆ ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผำไม่เจริญเติบโต ผำถือเป็นพืชที่เซนซิทีฟต่อสารเคมี หรืออีกนัยหนึ่งคือ ผำถือเป็นดัชนีชี้วัดได้ว่าพื้นที่ตรงนั้นไม่มีการใช้สารเคมีจริงๆ ที่ถึงแม้ว่าต่อให้ในพื้นที่สวนของเราไม่ใช้ แต่สวนรอบข้างเราใช้ หรือมีคนอื่นมาฉีดพ่นสารเคมีในบริเวณใกล้เคียง ก็ส่งผลทำให้ผำไม่เจริญเติบโตและตายได้เช่นกัน   วิธีการเก็บเกี่ยวผลผลิตไข่ผำ เมื่อเพาะเลี้ยงผำจนครบ 2 สัปดาห์ แล้ววิธีการเก็บไปขาย ให้เตรียมซึ้งนึ่งอาหารมาแล้วใช้ผ้าขาวบางรอง จากนั้นนำตาข่ายสีฟ้ามาวางทับผ้าขาวบางอีกชั้น แล้วช้อนผำขึ้นมาใส่ไว้ในตาข่ายสีฟ้า ใช้น้ำประปาล้างแล้วผำจะหล่นลงไปที่ผ้าขาวบางที่รองไว้ข้างล่าง พอได้ผำมาทั้งหมดให้นำไปล้างน้ำทำความสะอาดอีก 4 ครั้ง คือล้างแล้วบิด จนครบ 4 ครั้ง ถึงจะนำไปจำหน่ายได้ ความน่าสนใจของการเพาะเลี้ยงไข่ผำคือ ไข่ผำเป็นพืชที่ไม่ต้องใช้การดูแลมาก สามารถทำเป็นอาชีพเสริมได้สบายๆ เพาะใช้เวลาในการเพาะเลี้ยงเพียง 2 สัปดาห์ สามารถเก็บผลผลิตขายได้ และยังเป็นพืชที่มีอนาคตสดใส ด้วยคุณประโยชน์ที่ครบถ้วน สามารถนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์สร้างมูลค่าเพิ่มได้หลากหลาย  สำหรับไข่ผำที่ได้ทั้งสะอาดปลอดภัยจากสารเคมี พร้อมนำไปแปรรูปเป็นอาหารต่างๆ และจำหน่ายไข่ผำอินทรีย์แบบสดๆ กิโลกรัมละ 100 บาท หากแห้ง กิโลกรัมละ 2,500-3,000 บาท สามารถสร้างรายได้ทั้งขายสด และแปรรูป ให้กับชุมชนบ้านพระแท่นได้อย่างงาม เป็นหนึ่งในอาชีพที่จะสร้างการมีส่วนร่วมและความมั่นคงให้กับชุมชนได้อย่างยั่งยืน cr:web.codi.co.th
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1314 มุมมอง 0 รีวิว
  • ติ่งขา……พี่ปูช่างมีพลังเหลือเฟือ ทั้งเล่ห์เหลี่ยม ทุบสั่งสอนและปากร้าย……แหมมมม…แค่ปีกว่าๆเองนะเนี่ยยยย!!!

    ตอนสิบหก………เรื่องรักเพื่อน…ไม่เคยถอย……เรื่องลองดี…ก็ไม่รอให้ท้า…!!!

    ภายในช่วงฤดูร้อนของปี 2005 ระบบการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจของรัสเซียได้แน่นกระชับขึ้น หลังจากที่เรียกคืนสัมปทานจากกลุ่มนายทุน (ด้วยวิธีตรวจสอบเรียกเก็บภาษีย้อนหลังแล้ว)
    ส่วนใหญ่ยอมสละเรือ พากันทิ้งแล้วหอบเงินที่มีออกไปนอกประเทศ……
    ส่วน MK (หรือ Mikhail Khodorkovsky) ที่ยังดื้อดึง เพราะมีเส้นสายอยู่รอบโลก ยังคงท้าทายอำนาจ ซึ่งเขาได้รับโทษจำคุกเก้าปี

    เมื่อสัมปทานทั้งหมดได้กลับเข้าสู่รัฐ ปูตินได้เปิดให้บริษัทยักษ์ใหญ่ของโลกอื่นๆเข้ามามีส่วนร่วมในการซื้อหุ้นพลังงาน เพื่อการจูงใจในการลงทุนในภาคอื่นๆ เพราะเขามีโปรเจ็คที่จะสร้างท่อส่งก๊าสไปสู่ยุโรป โดยผ่านทั้งทางบกและลอดใต้ทะเล
    กลุ่มที่หลั่งไหลเข้ามา ก็คือ Citigroup, IBM,Intel, Alcoa, ConocoPhilip, Kraft และเจ้าพ่อยักษ์ใหญ่แห่งวงการสื่อโลก Rupert Murdoch
    ในการประชุมกับบุคคลต่างๆของบริษัทที่กล่าวมา Sanford Weill จาก Citigroup (USA) ได้ถามปูตินตรงๆว่า
    “เส้นทางที่พวกเราจะมาลงทุนนี้ มันต้องผ่านขั้นตอนหรือมีอุปสรรคอะไรบ้าง?”
    ปูตินตอบอย่างชัดเจนว่า…
    “ทางเราไม่มีอะไรมาก เพราะมีกฎหมายระบุชัดเจน ส่วนอุปสรรคที่คุณว่า มันไม่ใช่มาจากรัสเซีย แต่มันเกิดจากทางบ้านคุณ (หมายถึงอเมริกา) ที่บีบคั้นเราในทางการค้าทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการส่งออก, การควบคุมทางอวกาศ, คอมพิวเตอร์ และ ทางการทหาร ซึ่งเป็นการบีบมาตั้งแต่เมื่อครั้วเราเป็นโซเวียต เพื่อเป็นการลงโทษที่โซเวียตมีกฏหมายห้ามไม่ให้ยิว
    ลี้ภัยออกไปอิสราเอล (1974) เมื่อเราได้มาเป็นรัสเซีย กฏหมายข้อนี้ได้ล้มเลิกไป ใครจะไปไหนก็ตามสบาย
    แต่อเมริกายังไม่ยกเลิกการแซงชั่นจนถึงบัดนี้ ไม่ว่าจะเปลี่ยนมากี่ประธานาธิบดี เรื่อง”อุปสรรค” ที่พวกคุณถาม คุณถามผิดคนแล้ว คุณต้องไปถามทางผู้นำขอบคุณจะได้รับคำตอบที่ดีกว่า……”
    คำตอบนี้…เล่นเอาทุกคนสะอึก….!!!

    หลังประชุม มีการถ่ายรูปหมู่ Robert Kraft เจ้าของบริษัท Kraft Group และเป็นเจ้าของทีมฟุตบอล ที่เพิ่งชนะใน Super Bowl เมื่อต้นปี ที่เขาภูมิใจมาก ถึงขนาดสั่งทำแหวนเพชรขึ้นมาเป็นพิเศษ ด้วยเพชรกว่าสองร้อยเม็ดล้อมรอบ สลักชื่อตัวเอง สลัดชื่อทีม……Sanford Weill จึงกระเซ้าว่า ให้เอาแหวนมาอวดปูตินหน่อยซิ
    Kraft จึงค่อยบรรจงควักออกมาจากกระเป๋าเสื้อ และเปิดกล่องให้ปูตินได้ชม…
    ปูติน…หยิบเอาไปสวมในนิ้วมือ และอุทานว่า
    “นี่มันขนาดเอาไปใช้เป็นอาวุธได้เลยนะ..”
    ช่างภาพกดแฟลชกันระรัว…ยิงไม่นับ
    จากนั้น Kraft จึงยื่นมือไปเพื่อขอคืน แต่ปูตินส่งต่อให้ผู้ติดตามให้เอาไปเก็บ………และกล่าวอำลาไปอย่างหน้าตาเฉย

    Robert Kraft ถึงกับไปไม่เป็น ตามด้วยสติแตก เขารีบติดต่อหา Weill และต่อสายทางไกลไปยังทำเนียบขาว เพื่อที่จะช่วยขอแหวนคืน……
    แต่ข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ที่ออกมา มันเป็นการลักษณะของการมอบของขวัญ ที่ใครจะไปกล้าขอคืน……เสียหน้าแย่
    แต่ Kraft ก็ยังเอะอะมะเทิ่งว่า……ก็ผมให้ดูเฉยๆ ตามคำแนะนำของวีลล์ และผมรักมันมาก ตั้งใจทำมาเพื่อเป็นเกียรติยศกับวงศ์ตระกูล…

    ทำเนียบขาวตอบมาสั้นๆว่า….”เอาน่า….ไปสั่งทำใหม่ละกัน..”
    ก็สรุปตามนั้น คราฟท์ได้สั่งทำใหม่มาอีกวงหนึ่ง
    ส่วนวงออริจินัลนั้น ปัจจุบันอยู่ที่ ห้องพิพิธภัณฑ์ของที่ระลึก
    ในหอสมุดที่เครมลิน…

    ~~-นี่คือความเข้าใจผิดระดับผู้นำ……เพราะมันตรงตามโปรโตคอลที่จะเป็นภาพของการถ่ายภาพร่วมกันออกสื่อ มีการมอบของขวัญเพื่อสานสัมพันธไมตรี และเป็นการขอบคุณเจ้าภาพ….ซึ่งทางรัสเซียคงเข้าใจตามนั้น
    ถ้าจะอวดกัน…ควรจะอวดเป็นส่วนตัวในยามคุยถึงเรื่องที่เกี่ยวข้อง
    จากภาพที่เห็น……ใครๆก็ต้องคล้อยตามว่า นั่นคือการมอบของที่ระลึก…
    (ป่านนี้ปูตินคงขำกลิ้งไปแล้ว……)

    งานวางฐานเศรษฐกิจชาติ ได้สำเร็จไปตามแผน นั่นคือ
    Rosneft บริษัทพลังงานที่ใหญ่อันดับสอง ดูแลโดย Igor Sechin
    United Aircraft Corporation ดูแลโดย Sergei Ivanov
    Russian Railways ดูแลโดย Vladimir Yakunin
    Rosoboronexport ดูแลโดย Seigei Chemezov
    Gazprom ดูแลโดย Dmitry Medvedev
    ทั้งหมดนี้ ที่ทำให้เศรษฐกิจของรัสเซียก้าวพุ่ง ภายในปีเดียว
    จนก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งใน G8 แบบกระพริบตาไม่ทัน

    มกราคม 2006 นักข่าวได้ถามปูตินว่า
    “ถ้าไม่เป็นประธานาธิบดี ท่านคิดว่าท่านจะมาทำงานในส่วนคุมพลังงานนี้หรือไม่..?”
    คำตอบคือ
    “ขอบคุณที่ชี้ทางหางานให้……แต่ไม่มีทาง ผมไม่มีทักษะในเรื่องธุรกิจเลย หรือ เป็นเพราะว่าเมื่อชาติก่อนไม่เคยทำมาค้าขายก็เป็นได้…”

    เพื่อนเก่าอีกคนหนึ่งที่ต้องพูดถึง คือ สองพี่น้อง Arkady และ Boris Rotenerg ที่เรียนยูโดมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก
    สองพี่น้องนี้ได้เปิดสถานฝึกสอนยูโด และ ยิมที่เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก ในปี 1998 ชื่อว่า Yawara-Neva ปูตินรับเป็นประธานกิตติมศักดิ์……ที่สถานฝึกสอนได้ตั้งกลุ่มผู้ที่ฝึกยูโดอย่างจริงจัง
    เรียกว่า “judocracy “
    เมื่อปี 2000 ที่ปูตินได้เป็นประธานาธิบดี เขาจัดการควบคุมโรงกลั่นเหล้าว้อดก้าให้เป็นสัมปทาน และมอบหมายให้ Arkady เป็นคนดูแล ซึ่งไม่นานต่อมา องค์กรโรงกลั่นนี้ได้ขยายไปคุมกิจการเหล้าอื่นๆเกือบทั้งประเทศ จนถึงขั้นตั้งธนาคารของตัวเองได้ ชื่อว่า SMP Bank และมีส่วนร่วมในการลงทุนในท่อก๊าสสู่ยุโรป
    ความสำเร็จเหล่านี้เป็นการยืนยันว่า เขาไม่ได้เอาเพื่อนจากถิ่นเก่ามาช่วยงานเพราะเห็นแก่หน้า……แต่เขาคัดมาเฉพาะคนที่เชื่อใจและมองเห็นในความสามารถ……

    ปูตินเชื่ออะไรหลายๆอย่างที่เป็นเรื่องแปลก เขาคือชนรุ่นโซเวียตแท้ๆตั้งแต่เกิด แต่เขามีความอ่อนไหวกับเรื่องราชาธิปไตยภายใต้ประชาธิปไตย (sovereign democracy)
    ในการบรรยายหรือให้สัมภาษณ์เขามักกล่าวถึง นักปรัชญาทางการเมืองและศาสนา Ivan Ilyin (1883-1954) ที่ต่อต้านบอลเชวิคจนต้องหนีออกไปนอกประเทศ และไปเสียชีวิตที่ สวิตเซอร์แลนด์
    ในบทความของอิวานมักจะเอนเอียงไปทางประชาธิปไตยที่ต้องออกแบบให้เหมาะสมกับฐานรากของประชาชน
    ปูตินได้ใช้บทความของอิวานครั้งหนึ่งในตอนที่เขาขึ้นรับตำแหน่งใหม่ๆว่า
    “เราต้องไม่ลืมว่า รัสเซียเป็นประชาธิปไตยเพราะนั่นคือความต้องการของประชาชน เพื่อที่จะอยู่ร่วมกันสันติสุข เราต้องใช้ชีวิตให้สอดคล้องกับภูมิภาค จดจำประวัติการความเป็นมา และการให้ความเคารพนับถือซึ่งกันและกัน
    เรามีเอกราชเป็นของตัวเอง เส้นทางข้างหน้าคือการก้าวไปอย่างเสรีด้วยกัน……ด้วยความระมัดระวัง…”

    และอีกคนหนึ่ง คือนักรบพระเจ้าซาร์ General Anton Denikin
    (1872-1947) ที่ต้องพ่ายแพ้ในการรักษาพระราชบัลลังก์ในสงครามกลางเมือง ทั้งๆที่นายพลผู้นี้ถือเป็นยอดอัศวิน (และเป็นนักเขียน) ที่ผ่านสงครามมานับไม่ถ้วน จนต้องลี้ภัยไปอยู่หลายประเทศ ในที่สุดก็ไปเสียชีวิตที่สหรัฐอเมริกา

    เวลาผ่านไปนานแสนนานก็จริง แต่ปูตินได้จัดการนำร่างของคนทั้งสองกลับมาทำพิธีและทำสุสานให้สมเกียรติที่ Donskoy Monastery, Moscow (ด้วยทุนของตัวเอง)

    กลับมาเรื่องการสร้างอำนาจด้วยพลังงาน……ปูตินได้จับมือกับนายรัฐมนตรีเยอรมันนี Gerhard Schröder ที่เป็นเกลอกัน
    ในเรื่องการสร้างท่อก๊าสจากเอเซียสู่ยุโรป ในนาม Nord Stream ที่จะเชื่อมผ่านกลุ่มท่อเก่าของโซเวียตที่ทำไว้ ที่ยูเครน, เบลารุส โปแลนด์ และ สอดผ่านใต้ทะเลบอลติก
    ที่ได้รับการสนับสนุนจากเยอรมันในโครงการนี้ถึงพันล้านยูโร
    (ในสมัยที่เยอรมันนีมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่)
    แต่ด้วยความเป็นคนที่ไม่ทิ้งเพื่อน เพียงหนึ่งอาทิตย์ที่ Gerhard ได้ลงจากตำแหน่ง รัสเซียได้จ้างให้ Gerhard มานั่งเป็นที่ปรึกษาในบริษัท Nord Stream ……รับเละ…!!
    เพราะประธานบริษัท คือ Matthias Warnig เพื่อนเก่าสมัยที่อยู่เดรสเดน

    ทุกการเคลื่อนไหวของปูตินได้สร้างเม็ดเงินสู่ประเทศแบบทำนบแตก
    ปรกติ Gazprom ได้ส่งก๊าสให้ยูเครนในราคาเป็นกันเอง คือ 50$ ต่อ 1000 คิวบิก ที่ยูเครนจะไปขายเท่าไหร่ก็แล้วแต่
    แต่เมื่อการเมืองของยูเครนที่เกิดฝักใฝ่ทางตะวันตก…
    ตัวประธานาธิบดีคนใหม่ก็แสนจะดี๊ด๊ากับกลิ่นไอของประชาธิยไตยสีส้ม
    ปูตินก็เลยเห็นว่า……มันถึงเวลาที่จะขึ้นราคา…เท่ากับว่ากำไรที่เคยได้จะหดหายไป เพราะยูเครนไม่สามารถไปขึ้นราคากับยุโรปได้ เนื่องจากมีสัญญาระยะยาว…
    และหนี้สินที่ให้ค้างคามานาน.……รัสเซียให้เวลาสามเดือน
    ให้เอามาจ่าย

    เมื่อถึงเวลา….เงินไม่มา…ในวันที่ 31 ธันวาคม 2005 เป็นวันสำคัญของการเฉลิมฉลองของฤดูหนาว……รัสเซียตัดก๊าสสั่งสอน
    เดือดร้อนกันไปทั่วทั้งทวีป……กระจองอแงกันไปหมด
    นั่นคือการที่ต้องมาคุยกันใหม่……ทีนี้จะได้รู้บ้างว่า”ใครใหญ่”
    และจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงทางราคา….

    แต่ก็ไม่นาน……ที่ปูตินเล่นไม้แข็งก็โอนอ่อน เพราะคนที่เดือดร้อนด้วยคือมหามิตร อย่าง ออสเตรีย, ฮังการี
    เขายอมปล่อยก๊าสคืนให้ แต่….จะมีการวางท่อใหม่และราคาที่ขึ้นอยู่กับว่า……รักมาก…รักน้อย….!!

    ทีนี้ก็ถึงการลากมาสับ…รายแรกคือ Victor Yushchenko หรือ VAY ที่ทางรัสเซียได้ออกข่าวว่า ที่เรื่องก๊าสยุ่งเหยิง หนี้สินเพียบแบบนี้ เพราะการบริหารของประธานาธิบดียูเครนคนใหม่ ที่มีส่วนในการรับเงินใต้โต๊ะจากบริษัท RosUkrEnergo
    ปูตินทิ้งท้ายไว้ว่า “ถ้าอยากรู้ มากกว่านี้……ก็ไปถามกันเอง..”

    ~~บริษัทพลังงาน RosUkrEnergo เป็นของรัฐบาลยูเครนที่ Gazprom มีหุ้นครึ่งหนึ่ง ตัวเลขการเงินทางฝั่งยูเครน ไหลไปไหนก็รู้กันหมดว่า VAY เอาไปใช้ในการปฏิบัติการสีส้มจำนวนมหาศาล และในรัฐบาลยูเครน ก็ยังมีเส้นสายคนของปูตินเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ คือ Victor Yanukovych (VFY)

    เครดิตของประธานาธิบดียูเครนที่เพิ่งได้มาหมาดๆ เริ่มสั่นคลอน
    ความมั่นใจว่ามีตะวันตกหนุนหลัง……ชักลังเล………แต่เขาเริ่มเชื่อแล้วว่า……คงจะต้องมีรายการตามมาอีกเป็นหางว่าว………!!!

    Wiwanda W. Vichit
    ติ่งขา……พี่ปูช่างมีพลังเหลือเฟือ ทั้งเล่ห์เหลี่ยม ทุบสั่งสอนและปากร้าย……แหมมมม…แค่ปีกว่าๆเองนะเนี่ยยยย!!! ตอนสิบหก………เรื่องรักเพื่อน…ไม่เคยถอย……เรื่องลองดี…ก็ไม่รอให้ท้า…!!! ภายในช่วงฤดูร้อนของปี 2005 ระบบการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจของรัสเซียได้แน่นกระชับขึ้น หลังจากที่เรียกคืนสัมปทานจากกลุ่มนายทุน (ด้วยวิธีตรวจสอบเรียกเก็บภาษีย้อนหลังแล้ว) ส่วนใหญ่ยอมสละเรือ พากันทิ้งแล้วหอบเงินที่มีออกไปนอกประเทศ…… ส่วน MK (หรือ Mikhail Khodorkovsky) ที่ยังดื้อดึง เพราะมีเส้นสายอยู่รอบโลก ยังคงท้าทายอำนาจ ซึ่งเขาได้รับโทษจำคุกเก้าปี เมื่อสัมปทานทั้งหมดได้กลับเข้าสู่รัฐ ปูตินได้เปิดให้บริษัทยักษ์ใหญ่ของโลกอื่นๆเข้ามามีส่วนร่วมในการซื้อหุ้นพลังงาน เพื่อการจูงใจในการลงทุนในภาคอื่นๆ เพราะเขามีโปรเจ็คที่จะสร้างท่อส่งก๊าสไปสู่ยุโรป โดยผ่านทั้งทางบกและลอดใต้ทะเล กลุ่มที่หลั่งไหลเข้ามา ก็คือ Citigroup, IBM,Intel, Alcoa, ConocoPhilip, Kraft และเจ้าพ่อยักษ์ใหญ่แห่งวงการสื่อโลก Rupert Murdoch ในการประชุมกับบุคคลต่างๆของบริษัทที่กล่าวมา Sanford Weill จาก Citigroup (USA) ได้ถามปูตินตรงๆว่า “เส้นทางที่พวกเราจะมาลงทุนนี้ มันต้องผ่านขั้นตอนหรือมีอุปสรรคอะไรบ้าง?” ปูตินตอบอย่างชัดเจนว่า… “ทางเราไม่มีอะไรมาก เพราะมีกฎหมายระบุชัดเจน ส่วนอุปสรรคที่คุณว่า มันไม่ใช่มาจากรัสเซีย แต่มันเกิดจากทางบ้านคุณ (หมายถึงอเมริกา) ที่บีบคั้นเราในทางการค้าทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการส่งออก, การควบคุมทางอวกาศ, คอมพิวเตอร์ และ ทางการทหาร ซึ่งเป็นการบีบมาตั้งแต่เมื่อครั้วเราเป็นโซเวียต เพื่อเป็นการลงโทษที่โซเวียตมีกฏหมายห้ามไม่ให้ยิว ลี้ภัยออกไปอิสราเอล (1974) เมื่อเราได้มาเป็นรัสเซีย กฏหมายข้อนี้ได้ล้มเลิกไป ใครจะไปไหนก็ตามสบาย แต่อเมริกายังไม่ยกเลิกการแซงชั่นจนถึงบัดนี้ ไม่ว่าจะเปลี่ยนมากี่ประธานาธิบดี เรื่อง”อุปสรรค” ที่พวกคุณถาม คุณถามผิดคนแล้ว คุณต้องไปถามทางผู้นำขอบคุณจะได้รับคำตอบที่ดีกว่า……” คำตอบนี้…เล่นเอาทุกคนสะอึก….!!! หลังประชุม มีการถ่ายรูปหมู่ Robert Kraft เจ้าของบริษัท Kraft Group และเป็นเจ้าของทีมฟุตบอล ที่เพิ่งชนะใน Super Bowl เมื่อต้นปี ที่เขาภูมิใจมาก ถึงขนาดสั่งทำแหวนเพชรขึ้นมาเป็นพิเศษ ด้วยเพชรกว่าสองร้อยเม็ดล้อมรอบ สลักชื่อตัวเอง สลัดชื่อทีม……Sanford Weill จึงกระเซ้าว่า ให้เอาแหวนมาอวดปูตินหน่อยซิ Kraft จึงค่อยบรรจงควักออกมาจากกระเป๋าเสื้อ และเปิดกล่องให้ปูตินได้ชม… ปูติน…หยิบเอาไปสวมในนิ้วมือ และอุทานว่า “นี่มันขนาดเอาไปใช้เป็นอาวุธได้เลยนะ..” ช่างภาพกดแฟลชกันระรัว…ยิงไม่นับ จากนั้น Kraft จึงยื่นมือไปเพื่อขอคืน แต่ปูตินส่งต่อให้ผู้ติดตามให้เอาไปเก็บ………และกล่าวอำลาไปอย่างหน้าตาเฉย Robert Kraft ถึงกับไปไม่เป็น ตามด้วยสติแตก เขารีบติดต่อหา Weill และต่อสายทางไกลไปยังทำเนียบขาว เพื่อที่จะช่วยขอแหวนคืน…… แต่ข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ที่ออกมา มันเป็นการลักษณะของการมอบของขวัญ ที่ใครจะไปกล้าขอคืน……เสียหน้าแย่ แต่ Kraft ก็ยังเอะอะมะเทิ่งว่า……ก็ผมให้ดูเฉยๆ ตามคำแนะนำของวีลล์ และผมรักมันมาก ตั้งใจทำมาเพื่อเป็นเกียรติยศกับวงศ์ตระกูล… ทำเนียบขาวตอบมาสั้นๆว่า….”เอาน่า….ไปสั่งทำใหม่ละกัน..” ก็สรุปตามนั้น คราฟท์ได้สั่งทำใหม่มาอีกวงหนึ่ง ส่วนวงออริจินัลนั้น ปัจจุบันอยู่ที่ ห้องพิพิธภัณฑ์ของที่ระลึก ในหอสมุดที่เครมลิน… ~~-นี่คือความเข้าใจผิดระดับผู้นำ……เพราะมันตรงตามโปรโตคอลที่จะเป็นภาพของการถ่ายภาพร่วมกันออกสื่อ มีการมอบของขวัญเพื่อสานสัมพันธไมตรี และเป็นการขอบคุณเจ้าภาพ….ซึ่งทางรัสเซียคงเข้าใจตามนั้น ถ้าจะอวดกัน…ควรจะอวดเป็นส่วนตัวในยามคุยถึงเรื่องที่เกี่ยวข้อง จากภาพที่เห็น……ใครๆก็ต้องคล้อยตามว่า นั่นคือการมอบของที่ระลึก… (ป่านนี้ปูตินคงขำกลิ้งไปแล้ว……) งานวางฐานเศรษฐกิจชาติ ได้สำเร็จไปตามแผน นั่นคือ Rosneft บริษัทพลังงานที่ใหญ่อันดับสอง ดูแลโดย Igor Sechin United Aircraft Corporation ดูแลโดย Sergei Ivanov Russian Railways ดูแลโดย Vladimir Yakunin Rosoboronexport ดูแลโดย Seigei Chemezov Gazprom ดูแลโดย Dmitry Medvedev ทั้งหมดนี้ ที่ทำให้เศรษฐกิจของรัสเซียก้าวพุ่ง ภายในปีเดียว จนก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งใน G8 แบบกระพริบตาไม่ทัน มกราคม 2006 นักข่าวได้ถามปูตินว่า “ถ้าไม่เป็นประธานาธิบดี ท่านคิดว่าท่านจะมาทำงานในส่วนคุมพลังงานนี้หรือไม่..?” คำตอบคือ “ขอบคุณที่ชี้ทางหางานให้……แต่ไม่มีทาง ผมไม่มีทักษะในเรื่องธุรกิจเลย หรือ เป็นเพราะว่าเมื่อชาติก่อนไม่เคยทำมาค้าขายก็เป็นได้…” เพื่อนเก่าอีกคนหนึ่งที่ต้องพูดถึง คือ สองพี่น้อง Arkady และ Boris Rotenerg ที่เรียนยูโดมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก สองพี่น้องนี้ได้เปิดสถานฝึกสอนยูโด และ ยิมที่เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก ในปี 1998 ชื่อว่า Yawara-Neva ปูตินรับเป็นประธานกิตติมศักดิ์……ที่สถานฝึกสอนได้ตั้งกลุ่มผู้ที่ฝึกยูโดอย่างจริงจัง เรียกว่า “judocracy “ เมื่อปี 2000 ที่ปูตินได้เป็นประธานาธิบดี เขาจัดการควบคุมโรงกลั่นเหล้าว้อดก้าให้เป็นสัมปทาน และมอบหมายให้ Arkady เป็นคนดูแล ซึ่งไม่นานต่อมา องค์กรโรงกลั่นนี้ได้ขยายไปคุมกิจการเหล้าอื่นๆเกือบทั้งประเทศ จนถึงขั้นตั้งธนาคารของตัวเองได้ ชื่อว่า SMP Bank และมีส่วนร่วมในการลงทุนในท่อก๊าสสู่ยุโรป ความสำเร็จเหล่านี้เป็นการยืนยันว่า เขาไม่ได้เอาเพื่อนจากถิ่นเก่ามาช่วยงานเพราะเห็นแก่หน้า……แต่เขาคัดมาเฉพาะคนที่เชื่อใจและมองเห็นในความสามารถ…… ปูตินเชื่ออะไรหลายๆอย่างที่เป็นเรื่องแปลก เขาคือชนรุ่นโซเวียตแท้ๆตั้งแต่เกิด แต่เขามีความอ่อนไหวกับเรื่องราชาธิปไตยภายใต้ประชาธิปไตย (sovereign democracy) ในการบรรยายหรือให้สัมภาษณ์เขามักกล่าวถึง นักปรัชญาทางการเมืองและศาสนา Ivan Ilyin (1883-1954) ที่ต่อต้านบอลเชวิคจนต้องหนีออกไปนอกประเทศ และไปเสียชีวิตที่ สวิตเซอร์แลนด์ ในบทความของอิวานมักจะเอนเอียงไปทางประชาธิปไตยที่ต้องออกแบบให้เหมาะสมกับฐานรากของประชาชน ปูตินได้ใช้บทความของอิวานครั้งหนึ่งในตอนที่เขาขึ้นรับตำแหน่งใหม่ๆว่า “เราต้องไม่ลืมว่า รัสเซียเป็นประชาธิปไตยเพราะนั่นคือความต้องการของประชาชน เพื่อที่จะอยู่ร่วมกันสันติสุข เราต้องใช้ชีวิตให้สอดคล้องกับภูมิภาค จดจำประวัติการความเป็นมา และการให้ความเคารพนับถือซึ่งกันและกัน เรามีเอกราชเป็นของตัวเอง เส้นทางข้างหน้าคือการก้าวไปอย่างเสรีด้วยกัน……ด้วยความระมัดระวัง…” และอีกคนหนึ่ง คือนักรบพระเจ้าซาร์ General Anton Denikin (1872-1947) ที่ต้องพ่ายแพ้ในการรักษาพระราชบัลลังก์ในสงครามกลางเมือง ทั้งๆที่นายพลผู้นี้ถือเป็นยอดอัศวิน (และเป็นนักเขียน) ที่ผ่านสงครามมานับไม่ถ้วน จนต้องลี้ภัยไปอยู่หลายประเทศ ในที่สุดก็ไปเสียชีวิตที่สหรัฐอเมริกา เวลาผ่านไปนานแสนนานก็จริง แต่ปูตินได้จัดการนำร่างของคนทั้งสองกลับมาทำพิธีและทำสุสานให้สมเกียรติที่ Donskoy Monastery, Moscow (ด้วยทุนของตัวเอง) กลับมาเรื่องการสร้างอำนาจด้วยพลังงาน……ปูตินได้จับมือกับนายรัฐมนตรีเยอรมันนี Gerhard Schröder ที่เป็นเกลอกัน ในเรื่องการสร้างท่อก๊าสจากเอเซียสู่ยุโรป ในนาม Nord Stream ที่จะเชื่อมผ่านกลุ่มท่อเก่าของโซเวียตที่ทำไว้ ที่ยูเครน, เบลารุส โปแลนด์ และ สอดผ่านใต้ทะเลบอลติก ที่ได้รับการสนับสนุนจากเยอรมันในโครงการนี้ถึงพันล้านยูโร (ในสมัยที่เยอรมันนีมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่) แต่ด้วยความเป็นคนที่ไม่ทิ้งเพื่อน เพียงหนึ่งอาทิตย์ที่ Gerhard ได้ลงจากตำแหน่ง รัสเซียได้จ้างให้ Gerhard มานั่งเป็นที่ปรึกษาในบริษัท Nord Stream ……รับเละ…!! เพราะประธานบริษัท คือ Matthias Warnig เพื่อนเก่าสมัยที่อยู่เดรสเดน ทุกการเคลื่อนไหวของปูตินได้สร้างเม็ดเงินสู่ประเทศแบบทำนบแตก ปรกติ Gazprom ได้ส่งก๊าสให้ยูเครนในราคาเป็นกันเอง คือ 50$ ต่อ 1000 คิวบิก ที่ยูเครนจะไปขายเท่าไหร่ก็แล้วแต่ แต่เมื่อการเมืองของยูเครนที่เกิดฝักใฝ่ทางตะวันตก… ตัวประธานาธิบดีคนใหม่ก็แสนจะดี๊ด๊ากับกลิ่นไอของประชาธิยไตยสีส้ม ปูตินก็เลยเห็นว่า……มันถึงเวลาที่จะขึ้นราคา…เท่ากับว่ากำไรที่เคยได้จะหดหายไป เพราะยูเครนไม่สามารถไปขึ้นราคากับยุโรปได้ เนื่องจากมีสัญญาระยะยาว… และหนี้สินที่ให้ค้างคามานาน.……รัสเซียให้เวลาสามเดือน ให้เอามาจ่าย เมื่อถึงเวลา….เงินไม่มา…ในวันที่ 31 ธันวาคม 2005 เป็นวันสำคัญของการเฉลิมฉลองของฤดูหนาว……รัสเซียตัดก๊าสสั่งสอน เดือดร้อนกันไปทั่วทั้งทวีป……กระจองอแงกันไปหมด นั่นคือการที่ต้องมาคุยกันใหม่……ทีนี้จะได้รู้บ้างว่า”ใครใหญ่” และจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงทางราคา…. แต่ก็ไม่นาน……ที่ปูตินเล่นไม้แข็งก็โอนอ่อน เพราะคนที่เดือดร้อนด้วยคือมหามิตร อย่าง ออสเตรีย, ฮังการี เขายอมปล่อยก๊าสคืนให้ แต่….จะมีการวางท่อใหม่และราคาที่ขึ้นอยู่กับว่า……รักมาก…รักน้อย….!! ทีนี้ก็ถึงการลากมาสับ…รายแรกคือ Victor Yushchenko หรือ VAY ที่ทางรัสเซียได้ออกข่าวว่า ที่เรื่องก๊าสยุ่งเหยิง หนี้สินเพียบแบบนี้ เพราะการบริหารของประธานาธิบดียูเครนคนใหม่ ที่มีส่วนในการรับเงินใต้โต๊ะจากบริษัท RosUkrEnergo ปูตินทิ้งท้ายไว้ว่า “ถ้าอยากรู้ มากกว่านี้……ก็ไปถามกันเอง..” ~~บริษัทพลังงาน RosUkrEnergo เป็นของรัฐบาลยูเครนที่ Gazprom มีหุ้นครึ่งหนึ่ง ตัวเลขการเงินทางฝั่งยูเครน ไหลไปไหนก็รู้กันหมดว่า VAY เอาไปใช้ในการปฏิบัติการสีส้มจำนวนมหาศาล และในรัฐบาลยูเครน ก็ยังมีเส้นสายคนของปูตินเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ คือ Victor Yanukovych (VFY) เครดิตของประธานาธิบดียูเครนที่เพิ่งได้มาหมาดๆ เริ่มสั่นคลอน ความมั่นใจว่ามีตะวันตกหนุนหลัง……ชักลังเล………แต่เขาเริ่มเชื่อแล้วว่า……คงจะต้องมีรายการตามมาอีกเป็นหางว่าว………!!! Wiwanda W. Vichit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 988 มุมมอง 0 รีวิว
  • หลุมยุบกัวลาลัมเปอร์ นักท่องเที่ยวอินเดียร่วง

    โศกนาฎกรรมที่สร้างความตกใจให้แก่ผู้พบเห็น เมื่อเกิดอุบัติเหตุหลุมยุบบริเวณถนนมัสยิดอินเดีย (Jalan Masjid India) เป็นเหตุทำให้นางวิชัยลักษณี (Vijayalakshmi) นักท่องเที่ยวหญิงชาวอินเดียวัย 48 ปี ตกลงไปในหลุมดังกล่าว ซึ่งมีความลึกประมาณ 8 เมตร เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อเวลา 08.44 น. ตามเวลาบนกล้องวงจรปิด ของวันที่ 23 ส.ค. ที่ผ่านมา

    ทีมปฎิบัติการค้นหาและกู้ภัย (SAR) เข้าค้นหานักท่องเที่ยวชาวอินเดีย โดยเปิดท่อระบายน้ำรอบพื้นที่รวม 6 แห่ง เข้าไปค้นหาครั้งละ 2-3 คน ใช้เวลาประมาณ 20 นาที รวมทั้งโรงบำบัดน้ำเสียบริษัทอินดะห์ วอเตอร์ คอนซอร์เตียม (Indah Water Konsortium หรือ IWK) ย่านปันตาย ดาลัม ซึ่งเป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะต้องรับมือกับกระแสน้ำเชี่ยวในท่อระบายน้ำ และมีแก๊สที่อาจเป็นอันตรายต่อเจ้าหน้าที่ อย่างไรก็ตาม เวลาผ่านไปกว่า 3 วัน กลับไม่พบเบาะแสใดๆ

    สำนักข่าวเบอร์นามา รายงานว่า นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ยืนยันว่าปฎิบัติการค้นหาและช่วยเหลือผู้สูญหายจะยังคงดำเนินต่อไป พร้อมแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยสั่งการไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือ ศาลาว่าการกรุงกัวลาลัมเปอร์ (DKBL) ให้ไปพบกับครอบครัวของผู้สูญหายแล้ว

    ด้านนายฟาดิลลาห์ ยูซอฟ รองนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย กล่าวถึงสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุว่า เกิดจากปัจจัยทางภูมิศาสตร์และโครงสร้างของดิน โดยเมื่อชั้นหินปูนขัดขวางการไหลของน้ำใต้ดิน ส่งผลให้ดินไม่มั่นคงและเกิดหลุมยุบ บางครั้งไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าหลุมยุบจะเกิดขึ้นเมื่อใดและที่ใด

    เหตุการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในมาเลเซียเท่านั้น แต่ยังเกิดขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีหินปูนและสภาพธรณีวิทยาเฉพาะ อย่างไรก็ตาม ด้วยความรู้และเทคโนโลยีที่ถูกต้องจะทำให้เหตุการณ์เช่นนี้ลดน้อยลงและดำเนินมาตรการป้องกันเพื่อปกป้องชุมชนและบรรเทาผลกระทบจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ได้

    ขณะที่นายเจฟฟรีย์ เชียง ชุง ลุยน์ ประธานสถาบันวิศวกรแห่งมาเลเซีย (IEM) เรียกร้องให้มีการสืบสวนเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างละเอียด เพราะจากการสังเกตผ่าน Google Maps พบว่าตำแหน่งหลุมยุบอยู่ห่างจากแม่น้ำแคลงประมาณ 24 เมตร และจากภาพที่สื่อมวลชนนำเสนอ พบว่าหลุมยุบอาจเกี่ยวข้องกับระบบสาธารณูปโภคใต้ดิน แม้ว่าจะยังไม่ระบุสาเหตุที่แน่ชัดก็ตาม

    จากรายงานหัวข้อ "Karstic Features of Kuala Lumpur Limestone" Choawalit Chotwattanaphong ที่กล่าวถึงลักษณะของหินปูนของกรุงกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งเขียนโดย นายตัน ไซมอน เสี่ยว เมง จากสถาบันวิศวกรแห่งมาเลเซีย ระบุว่า ชั้นหินปูนในกรุงกัวลาลัมเปอร์มีลักษณะไม่แน่นอน พบในบริเวณเหมืองแร่ดีบุก แต่หลังเหมืองปิดตัวลง พื้นที่เหมืองแร่ถูกปกคลุมไปด้วยเศษซากตั้งแต่โคลนถึงทราย

    โดยคาดว่าหินปูนมีความหนาประมาณ 1,850 เมตร ทับอยู่บนหินชนวนกราไฟต์ที่เรียกว่า ฮอร์ธอร์นเดน ชีสต์ (Hawthornden Schist) ส่วนบนสุดของลำดับชั้นคือชั้นหินเคนนี่ ฮิลล์ (Kenny Hill) ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ใจกลางกรุงกัวลาลัมเปอร์ รวมถึงพื้นที่ย่าน KLCC (Kuala Lumpur City Centre) และบูกิตบินตัง (Bukit Bintang)

    ในตอนหนึ่งของรายงานระบุว่า หินปูนเกิดจากกระบวนการละลายทางเคมี ซึ่งเป็นกระบวนการที่ยาวนาน ประกอบด้วยหลุม แอ่งชัน และช่องทางสารละลาย ส่งผลให้ชั้นหินปูนมีรูปร่างไม่แน่นอน เป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างมากในการก่อสร้างฐานราก ซึ่งการเกิดหลุมยุบมาจากการเคลื่อนตัวของชั้นหินปูน เนื่องจากการซึมของน้ำใต้ดิน ระดับน้ำใต้ดินที่ลดลง การรับน้ำหนักเพิ่ม การสั่นสะเทือน การเจาะรูหรือเสาเข็มบนช่องว่างของหินปูนโดยตรง ซึ่งหินปูนที่ปกคลุมด้วยดินบางจะเสี่ยงต่อการเกิดหลุมยุบมากกว่า

    อีกด้านหนึ่ง การก่อสร้างรถไฟใต้ดินสายสุไหงบูเลาะห์-กาจัง (Sungai Buloh-Kajang) [2] บางช่วงเป็นเส้นทางใต้ดิน ยาว 9.5 กิโลเมตร มี 7 สถานีใต้ดิน หนึ่งในนั้นคือสถานีตุน ราซัค เอ็กซ์เชนจ์ (TRX) ซึ่งมีความลึกเทียบเท่าตึก 13 ชั้น พบว่ามีหินปูนในชั้นหินปูนกัวลาลัมเปอร์ บริเวณอยู่ทางทิศตะวันออกของย่านบูกิตบินตังมีลักษณะไม่แน่นอน หากไม่ค้นพบก่อนอาจเกิดอันตราย

    จึงต้องพัฒนาเครื่องเจาะอุโมงค์ (TBM) แบบพิเศษที่เรียกว่า แวริเอเบิล เดนซิตี้ (Variable Density) ที่พัฒนาระหว่างบริษัทเฮอร์เร็นคเน็ช เอจี (Herrenknecht AG) ผู้ผลิตเครื่องเจาะอุโมงค์จากเยอรมนี และบริษัทร่วมทุน เอ็มเอ็มซี กามูดา (MMC Gamuda) สามารถปรับความหนาแน่นและความหนืดของสารละลายได้ ป้องกันไม่ให้ไหลเข้าไปในโพรงหรือรอยแยกไปสู่พื้นผิว

    เหตุการณ์หลุมยุบกะทันหันใจกลางกรุงกัวลาลัมเปอร์ครั้งนี้ อาจเป็นจุดเริ่มต้นในการป้องกันภัยพิบัติ ที่อาจจะเกิดขึ้นกับเมืองใหญ่ชั้นนำของอาเซียน ที่มีประชากรกว่า 8.8 ล้านคน อุดมไปด้วยความเจริญทางเศรษฐกิจ อาคารสูง และโครงสร้างพื้นฐานทั้งทางด่วนและรถไฟฟ้าที่เพียบพร้อม นอกจากปัญหาน้ำท่วมที่เกิดขึ้นเมื่อฝนตกหนักมากกว่า 2 ชั่วโมงขึ้นไป

    ที่มา : Choawalit Chotwattanaphong https://nrmt.wordpress.com/wp-content/uploads/2011/04/kl-limestone-paper.pdf

    [2] https://thehub.mmc.com.my/2017Q3/page54.html

    #Newskit #KualaLumpur #JalanMasjidIndia
    หลุมยุบกัวลาลัมเปอร์ นักท่องเที่ยวอินเดียร่วง โศกนาฎกรรมที่สร้างความตกใจให้แก่ผู้พบเห็น เมื่อเกิดอุบัติเหตุหลุมยุบบริเวณถนนมัสยิดอินเดีย (Jalan Masjid India) เป็นเหตุทำให้นางวิชัยลักษณี (Vijayalakshmi) นักท่องเที่ยวหญิงชาวอินเดียวัย 48 ปี ตกลงไปในหลุมดังกล่าว ซึ่งมีความลึกประมาณ 8 เมตร เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อเวลา 08.44 น. ตามเวลาบนกล้องวงจรปิด ของวันที่ 23 ส.ค. ที่ผ่านมา ทีมปฎิบัติการค้นหาและกู้ภัย (SAR) เข้าค้นหานักท่องเที่ยวชาวอินเดีย โดยเปิดท่อระบายน้ำรอบพื้นที่รวม 6 แห่ง เข้าไปค้นหาครั้งละ 2-3 คน ใช้เวลาประมาณ 20 นาที รวมทั้งโรงบำบัดน้ำเสียบริษัทอินดะห์ วอเตอร์ คอนซอร์เตียม (Indah Water Konsortium หรือ IWK) ย่านปันตาย ดาลัม ซึ่งเป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะต้องรับมือกับกระแสน้ำเชี่ยวในท่อระบายน้ำ และมีแก๊สที่อาจเป็นอันตรายต่อเจ้าหน้าที่ อย่างไรก็ตาม เวลาผ่านไปกว่า 3 วัน กลับไม่พบเบาะแสใดๆ สำนักข่าวเบอร์นามา รายงานว่า นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ยืนยันว่าปฎิบัติการค้นหาและช่วยเหลือผู้สูญหายจะยังคงดำเนินต่อไป พร้อมแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยสั่งการไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือ ศาลาว่าการกรุงกัวลาลัมเปอร์ (DKBL) ให้ไปพบกับครอบครัวของผู้สูญหายแล้ว ด้านนายฟาดิลลาห์ ยูซอฟ รองนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย กล่าวถึงสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุว่า เกิดจากปัจจัยทางภูมิศาสตร์และโครงสร้างของดิน โดยเมื่อชั้นหินปูนขัดขวางการไหลของน้ำใต้ดิน ส่งผลให้ดินไม่มั่นคงและเกิดหลุมยุบ บางครั้งไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าหลุมยุบจะเกิดขึ้นเมื่อใดและที่ใด เหตุการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในมาเลเซียเท่านั้น แต่ยังเกิดขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีหินปูนและสภาพธรณีวิทยาเฉพาะ อย่างไรก็ตาม ด้วยความรู้และเทคโนโลยีที่ถูกต้องจะทำให้เหตุการณ์เช่นนี้ลดน้อยลงและดำเนินมาตรการป้องกันเพื่อปกป้องชุมชนและบรรเทาผลกระทบจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ได้ ขณะที่นายเจฟฟรีย์ เชียง ชุง ลุยน์ ประธานสถาบันวิศวกรแห่งมาเลเซีย (IEM) เรียกร้องให้มีการสืบสวนเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างละเอียด เพราะจากการสังเกตผ่าน Google Maps พบว่าตำแหน่งหลุมยุบอยู่ห่างจากแม่น้ำแคลงประมาณ 24 เมตร และจากภาพที่สื่อมวลชนนำเสนอ พบว่าหลุมยุบอาจเกี่ยวข้องกับระบบสาธารณูปโภคใต้ดิน แม้ว่าจะยังไม่ระบุสาเหตุที่แน่ชัดก็ตาม จากรายงานหัวข้อ "Karstic Features of Kuala Lumpur Limestone" [1] ที่กล่าวถึงลักษณะของหินปูนของกรุงกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งเขียนโดย นายตัน ไซมอน เสี่ยว เมง จากสถาบันวิศวกรแห่งมาเลเซีย ระบุว่า ชั้นหินปูนในกรุงกัวลาลัมเปอร์มีลักษณะไม่แน่นอน พบในบริเวณเหมืองแร่ดีบุก แต่หลังเหมืองปิดตัวลง พื้นที่เหมืองแร่ถูกปกคลุมไปด้วยเศษซากตั้งแต่โคลนถึงทราย โดยคาดว่าหินปูนมีความหนาประมาณ 1,850 เมตร ทับอยู่บนหินชนวนกราไฟต์ที่เรียกว่า ฮอร์ธอร์นเดน ชีสต์ (Hawthornden Schist) ส่วนบนสุดของลำดับชั้นคือชั้นหินเคนนี่ ฮิลล์ (Kenny Hill) ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ใจกลางกรุงกัวลาลัมเปอร์ รวมถึงพื้นที่ย่าน KLCC (Kuala Lumpur City Centre) และบูกิตบินตัง (Bukit Bintang) ในตอนหนึ่งของรายงานระบุว่า หินปูนเกิดจากกระบวนการละลายทางเคมี ซึ่งเป็นกระบวนการที่ยาวนาน ประกอบด้วยหลุม แอ่งชัน และช่องทางสารละลาย ส่งผลให้ชั้นหินปูนมีรูปร่างไม่แน่นอน เป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างมากในการก่อสร้างฐานราก ซึ่งการเกิดหลุมยุบมาจากการเคลื่อนตัวของชั้นหินปูน เนื่องจากการซึมของน้ำใต้ดิน ระดับน้ำใต้ดินที่ลดลง การรับน้ำหนักเพิ่ม การสั่นสะเทือน การเจาะรูหรือเสาเข็มบนช่องว่างของหินปูนโดยตรง ซึ่งหินปูนที่ปกคลุมด้วยดินบางจะเสี่ยงต่อการเกิดหลุมยุบมากกว่า อีกด้านหนึ่ง การก่อสร้างรถไฟใต้ดินสายสุไหงบูเลาะห์-กาจัง (Sungai Buloh-Kajang) [2] บางช่วงเป็นเส้นทางใต้ดิน ยาว 9.5 กิโลเมตร มี 7 สถานีใต้ดิน หนึ่งในนั้นคือสถานีตุน ราซัค เอ็กซ์เชนจ์ (TRX) ซึ่งมีความลึกเทียบเท่าตึก 13 ชั้น พบว่ามีหินปูนในชั้นหินปูนกัวลาลัมเปอร์ บริเวณอยู่ทางทิศตะวันออกของย่านบูกิตบินตังมีลักษณะไม่แน่นอน หากไม่ค้นพบก่อนอาจเกิดอันตราย จึงต้องพัฒนาเครื่องเจาะอุโมงค์ (TBM) แบบพิเศษที่เรียกว่า แวริเอเบิล เดนซิตี้ (Variable Density) ที่พัฒนาระหว่างบริษัทเฮอร์เร็นคเน็ช เอจี (Herrenknecht AG) ผู้ผลิตเครื่องเจาะอุโมงค์จากเยอรมนี และบริษัทร่วมทุน เอ็มเอ็มซี กามูดา (MMC Gamuda) สามารถปรับความหนาแน่นและความหนืดของสารละลายได้ ป้องกันไม่ให้ไหลเข้าไปในโพรงหรือรอยแยกไปสู่พื้นผิว เหตุการณ์หลุมยุบกะทันหันใจกลางกรุงกัวลาลัมเปอร์ครั้งนี้ อาจเป็นจุดเริ่มต้นในการป้องกันภัยพิบัติ ที่อาจจะเกิดขึ้นกับเมืองใหญ่ชั้นนำของอาเซียน ที่มีประชากรกว่า 8.8 ล้านคน อุดมไปด้วยความเจริญทางเศรษฐกิจ อาคารสูง และโครงสร้างพื้นฐานทั้งทางด่วนและรถไฟฟ้าที่เพียบพร้อม นอกจากปัญหาน้ำท่วมที่เกิดขึ้นเมื่อฝนตกหนักมากกว่า 2 ชั่วโมงขึ้นไป ที่มา : [1] https://nrmt.wordpress.com/wp-content/uploads/2011/04/kl-limestone-paper.pdf [2] https://thehub.mmc.com.my/2017Q3/page54.html #Newskit #KualaLumpur #JalanMasjidIndia
    Like
    Sad
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1364 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปลายปีแจก 1 หมื่น เปิดที่มาเงินดิจิทัล จาก 3 แหล่ง ไม่กู้เงิน

    ในที่สุดมีความชัดเจนเสียที ภายหลังต้องเลื่อนแล้วเลื่อนอีกมาหลายครั้งสำหรับโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet โดยนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แถลงผลการประชุมคณะกรรมการอย่างเป็นทางการ

    นายเศรษฐา ระบุว่า นโยบายการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet เป็นนโยบายเรือธงของรัฐบาล นโยบายยกระดับเศรษฐกิจของประเทศ และประชาชน ได้เกิดขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว รัฐบาลได้ใช้ความพยายามสูงสุดฝ่าฟันข้อจำกัด รัฐบาลได้ทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน ส่งมอบนโยบายพลิกชีวิตประชาชนได้ และที่สำคัญเป็นไปตามตัวบทกฎหมายทุกประการ อยู่ในกรอบวินัยการเงินการคลังอย่างเคร่งครัด โดยประชาชนร้านค้าจะได้ลงทะเบียนได้ในไตรมาส 3/2567 และเงินส่งตรงถึงประชาชนในไตรมาส 4/2567

    นายเศรษฐา กล่าวว่า นโยบายนี้มีวัตถุประสงค์กระตุ้นเศรษฐกิจ มีเม็ดเงินหมุนเวียนในพื้นที่ ลดภาระค่าครองชีพ ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน เช่น กลุ่มเปราะบาง กลุ่มเกษตรกร เป็นต้น เพื่อให้ประชาชนเข้มแข็งด้านเศรษฐกิจ พึ่งพาตนเองได้ สร้างโอกาสประกอบอาชีพของประชาชน ก่อให้เกิดนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีดิจิทัล อันเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสังคมโดยรวม ทั้งนี้ความคุ้มค่าจะให้สิทธิแก่ประชาชนจำนวน 50 ล้านคนผ่านดิจิทัลวอลเล็ต วงเงิน 5 แสนล้านบาท กำหนดใช้จ่ายในร้านค้าที่กำหนด เป็นการเติมเงินลงสู่ฐานราก ส่งผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทย 1.2-1.6%
    ปลายปีแจก 1 หมื่น เปิดที่มาเงินดิจิทัล จาก 3 แหล่ง ไม่กู้เงิน ในที่สุดมีความชัดเจนเสียที ภายหลังต้องเลื่อนแล้วเลื่อนอีกมาหลายครั้งสำหรับโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet โดยนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แถลงผลการประชุมคณะกรรมการอย่างเป็นทางการ นายเศรษฐา ระบุว่า นโยบายการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet เป็นนโยบายเรือธงของรัฐบาล นโยบายยกระดับเศรษฐกิจของประเทศ และประชาชน ได้เกิดขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว รัฐบาลได้ใช้ความพยายามสูงสุดฝ่าฟันข้อจำกัด รัฐบาลได้ทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน ส่งมอบนโยบายพลิกชีวิตประชาชนได้ และที่สำคัญเป็นไปตามตัวบทกฎหมายทุกประการ อยู่ในกรอบวินัยการเงินการคลังอย่างเคร่งครัด โดยประชาชนร้านค้าจะได้ลงทะเบียนได้ในไตรมาส 3/2567 และเงินส่งตรงถึงประชาชนในไตรมาส 4/2567 นายเศรษฐา กล่าวว่า นโยบายนี้มีวัตถุประสงค์กระตุ้นเศรษฐกิจ มีเม็ดเงินหมุนเวียนในพื้นที่ ลดภาระค่าครองชีพ ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน เช่น กลุ่มเปราะบาง กลุ่มเกษตรกร เป็นต้น เพื่อให้ประชาชนเข้มแข็งด้านเศรษฐกิจ พึ่งพาตนเองได้ สร้างโอกาสประกอบอาชีพของประชาชน ก่อให้เกิดนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีดิจิทัล อันเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสังคมโดยรวม ทั้งนี้ความคุ้มค่าจะให้สิทธิแก่ประชาชนจำนวน 50 ล้านคนผ่านดิจิทัลวอลเล็ต วงเงิน 5 แสนล้านบาท กำหนดใช้จ่ายในร้านค้าที่กำหนด เป็นการเติมเงินลงสู่ฐานราก ส่งผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทย 1.2-1.6%
    Like
    Love
    Haha
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2054 มุมมอง 0 รีวิว