• “เมื่อ AI ป้องกันตัวเองไม่ได้ – ช่องโหว่ Guardrails ของ OpenAI ถูกเจาะด้วยคำสั่งหลอก”

    ลองจินตนาการว่าเราสร้างระบบรักษาความปลอดภัยให้บ้าน แล้วใช้คนออกแบบบ้านเป็นคนตรวจสอบความปลอดภัยเอง… นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับระบบ Guardrails ของ OpenAI ที่เพิ่งเปิดตัวไปไม่นาน

    Guardrails เป็นระบบที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันไม่ให้ AI ทำสิ่งที่เป็นอันตราย เช่น การเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว หรือการตอบสนองต่อคำสั่งที่พยายาม “หลอก” ให้ AI ละเมิดกฎของตัวเอง ซึ่งเรียกว่า “Prompt Injection” หรือ “Jailbreak”

    แต่สิ่งที่นักวิจัยจากบริษัท HiddenLayer พบคือ ระบบนี้สามารถถูกหลอกได้ง่ายอย่างน่าตกใจ โดยใช้เทคนิคที่เรียกว่า “Same Model, Different Hat” คือใช้โมเดลเดียวกันทั้งในการตอบคำถามและในการตรวจสอบความปลอดภัย ซึ่งทำให้สามารถหลอกได้ทั้งสองส่วนพร้อมกัน

    พวกเขาสามารถทำให้ระบบตอบสนองต่อคำสั่งที่ควรถูกบล็อก และยังสามารถหลอกให้ระบบเชื่อว่าคำสั่งนั้นปลอดภัย ทั้งที่จริงแล้วเป็นการเจาะระบบอย่างแนบเนียน

    ระบบ Guardrails ของ OpenAI
    เป็นเครื่องมือใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันการละเมิดกฎโดย AI
    ใช้โมเดล AI เป็น “ผู้พิพากษา” เพื่อตรวจสอบคำสั่งที่เข้ามา
    มีเป้าหมายเพื่อป้องกันการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวและการตอบสนองต่อคำสั่งอันตราย

    ช่องโหว่ที่ถูกค้นพบ
    นักวิจัยสามารถหลอกระบบให้ตอบสนองต่อคำสั่งที่ควรถูกบล็อก
    เทคนิค “Same Model, Different Hat” ทำให้ระบบตรวจสอบและตอบคำสั่งถูกหลอกพร้อมกัน
    มีการเจาะผ่าน “Indirect Prompt Injection” ที่ซ่อนอยู่ในคำสั่งหรือการเรียกใช้เครื่องมือ

    ผลกระทบต่อความปลอดภัย
    ระบบให้ความมั่นใจผิด ๆ ว่าปลอดภัย
    องค์กรที่ใช้ AI อาจเสี่ยงต่อการรั่วไหลของข้อมูลหรือการถูกโจมตี

    คำเตือนสำหรับผู้พัฒนาและผู้ใช้งาน AI
    ไม่ควรใช้โมเดลเดียวกันในการตรวจสอบและตอบสนองคำสั่ง
    ต้องมีระบบตรวจสอบภายนอกที่เป็นอิสระจากตัวโมเดลหลัก
    ควรทดสอบระบบอย่างต่อเนื่องโดยผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัย

    ความเสี่ยงในอนาคต
    หากไม่แก้ไข ช่องโหว่เหล่านี้อาจถูกใช้ในการโจมตีจริง
    การพึ่งพา AI โดยไม่มีระบบป้องกันที่แข็งแรง อาจนำไปสู่ความเสียหายระดับองค์กร

    https://hackread.com/openai-guardrails-bypass-prompt-injection-attack/
    📰 “เมื่อ AI ป้องกันตัวเองไม่ได้ – ช่องโหว่ Guardrails ของ OpenAI ถูกเจาะด้วยคำสั่งหลอก” ลองจินตนาการว่าเราสร้างระบบรักษาความปลอดภัยให้บ้าน แล้วใช้คนออกแบบบ้านเป็นคนตรวจสอบความปลอดภัยเอง… นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับระบบ Guardrails ของ OpenAI ที่เพิ่งเปิดตัวไปไม่นาน Guardrails เป็นระบบที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันไม่ให้ AI ทำสิ่งที่เป็นอันตราย เช่น การเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว หรือการตอบสนองต่อคำสั่งที่พยายาม “หลอก” ให้ AI ละเมิดกฎของตัวเอง ซึ่งเรียกว่า “Prompt Injection” หรือ “Jailbreak” แต่สิ่งที่นักวิจัยจากบริษัท HiddenLayer พบคือ ระบบนี้สามารถถูกหลอกได้ง่ายอย่างน่าตกใจ โดยใช้เทคนิคที่เรียกว่า “Same Model, Different Hat” คือใช้โมเดลเดียวกันทั้งในการตอบคำถามและในการตรวจสอบความปลอดภัย ซึ่งทำให้สามารถหลอกได้ทั้งสองส่วนพร้อมกัน พวกเขาสามารถทำให้ระบบตอบสนองต่อคำสั่งที่ควรถูกบล็อก และยังสามารถหลอกให้ระบบเชื่อว่าคำสั่งนั้นปลอดภัย ทั้งที่จริงแล้วเป็นการเจาะระบบอย่างแนบเนียน ✅ ระบบ Guardrails ของ OpenAI ➡️ เป็นเครื่องมือใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันการละเมิดกฎโดย AI ➡️ ใช้โมเดล AI เป็น “ผู้พิพากษา” เพื่อตรวจสอบคำสั่งที่เข้ามา ➡️ มีเป้าหมายเพื่อป้องกันการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวและการตอบสนองต่อคำสั่งอันตราย ✅ ช่องโหว่ที่ถูกค้นพบ ➡️ นักวิจัยสามารถหลอกระบบให้ตอบสนองต่อคำสั่งที่ควรถูกบล็อก ➡️ เทคนิค “Same Model, Different Hat” ทำให้ระบบตรวจสอบและตอบคำสั่งถูกหลอกพร้อมกัน ➡️ มีการเจาะผ่าน “Indirect Prompt Injection” ที่ซ่อนอยู่ในคำสั่งหรือการเรียกใช้เครื่องมือ ✅ ผลกระทบต่อความปลอดภัย ➡️ ระบบให้ความมั่นใจผิด ๆ ว่าปลอดภัย ➡️ องค์กรที่ใช้ AI อาจเสี่ยงต่อการรั่วไหลของข้อมูลหรือการถูกโจมตี ‼️ คำเตือนสำหรับผู้พัฒนาและผู้ใช้งาน AI ⛔ ไม่ควรใช้โมเดลเดียวกันในการตรวจสอบและตอบสนองคำสั่ง ⛔ ต้องมีระบบตรวจสอบภายนอกที่เป็นอิสระจากตัวโมเดลหลัก ⛔ ควรทดสอบระบบอย่างต่อเนื่องโดยผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัย ‼️ ความเสี่ยงในอนาคต ⛔ หากไม่แก้ไข ช่องโหว่เหล่านี้อาจถูกใช้ในการโจมตีจริง ⛔ การพึ่งพา AI โดยไม่มีระบบป้องกันที่แข็งแรง อาจนำไปสู่ความเสียหายระดับองค์กร https://hackread.com/openai-guardrails-bypass-prompt-injection-attack/
    HACKREAD.COM
    OpenAI’s Guardrails Can Be Bypassed by Simple Prompt Injection Attack
    Follow us on Blue Sky, Mastodon Twitter, Facebook and LinkedIn @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 135 มุมมอง 0 รีวิว
  • บ้านน็อคดาวน์ยุคใหม่ คุ้มค่า ประหยัดไฟ พร้อมชีวิตที่ยั่งยืนด้วย "โซล่าเซลล์"
    https://www.thai-tai.tv/shop/21865/
    .
    #น็อคดาวน์โมเดิร์น #บ้านน็อคดาวน์โมเดิร์นราคาถูก #ออกแบบบ้านน็อคดาวน์ #บ้านสไตล์นอร์ดิก #บ้านสไตล์นอร์ดิกกรุงเทพ
    💡 บ้านน็อคดาวน์ยุคใหม่ คุ้มค่า ประหยัดไฟ พร้อมชีวิตที่ยั่งยืนด้วย "โซล่าเซลล์" https://www.thai-tai.tv/shop/21865/ . #น็อคดาวน์โมเดิร์น #บ้านน็อคดาวน์โมเดิร์นราคาถูก #ออกแบบบ้านน็อคดาวน์ #บ้านสไตล์นอร์ดิก #บ้านสไตล์นอร์ดิกกรุงเทพ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 116 มุมมอง 0 รีวิว
  • "บิ๊กเต่า" เผย สีกากอล์ฟเลือกเหยื่อ "คนรวย-เข้าถึงง่าย" จ่อโดนคดีกรรโชกทรัพย์ ย้ำพระรูปไหนรู้ตัวเสพเมถุนให้สึกเอง!
    https://www.thai-tai.tv/news/20160/
    .
    #รับสร้างบ้าน #รับเหมาก่อสร้าง #รับเหมาสร้างบ้าน #ออกแบบบ้าน #สร้างบ้านหรู #แต่งบ้าน #บ้านสวย #บ้านคุณภาพ #งานฐานราก #งานโครงสร้างอาคาร #งานสถาปัตยกรรม #งานระบบ #งานถนนและสุขาภิบาล #งานสวนและส่วนกลาง #งานสวน #ระบบระบายน้ำ #ประกอบอาคาร #2499constructionanddevelopment
    "บิ๊กเต่า" เผย สีกากอล์ฟเลือกเหยื่อ "คนรวย-เข้าถึงง่าย" จ่อโดนคดีกรรโชกทรัพย์ ย้ำพระรูปไหนรู้ตัวเสพเมถุนให้สึกเอง! https://www.thai-tai.tv/news/20160/ . #รับสร้างบ้าน #รับเหมาก่อสร้าง #รับเหมาสร้างบ้าน #ออกแบบบ้าน #สร้างบ้านหรู #แต่งบ้าน #บ้านสวย #บ้านคุณภาพ #งานฐานราก #งานโครงสร้างอาคาร #งานสถาปัตยกรรม #งานระบบ #งานถนนและสุขาภิบาล #งานสวนและส่วนกลาง #งานสวน #ระบบระบายน้ำ #ประกอบอาคาร #2499constructionanddevelopment
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 542 มุมมอง 0 รีวิว
  • ออกแบบบ้านสร้างบ้านตกแต่งภายในบ้าน
    บริษัท พีเจ ภูสิทธิ์ คอนสตรัคชั่น จำกัด
    #ออกแบบบ้าน อาคาร โรงงาน
    #เขียนแบบ
    #ยื่นหนังสือขออนุญาตสร้าง
    #ออกแบบภายในบ้าน
    #ติดตั้งเจอร์นิเจอร์
    ครบวงจร งานเล็กงานใหญ่ยินดีให้บริการค่ะ
    คุณธนะชัย มีเพ็ชร์ (เจ๋ง)
    Tel:098-260-9421, 084-155-9915
    ออกแบบบ้านสร้างบ้านตกแต่งภายในบ้าน บริษัท พีเจ ภูสิทธิ์ คอนสตรัคชั่น จำกัด #ออกแบบบ้าน อาคาร โรงงาน #เขียนแบบ #ยื่นหนังสือขออนุญาตสร้าง #ออกแบบภายในบ้าน #ติดตั้งเจอร์นิเจอร์ ครบวงจร งานเล็กงานใหญ่ยินดีให้บริการค่ะ คุณธนะชัย มีเพ็ชร์ (เจ๋ง) Tel:098-260-9421, 084-155-9915
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 280 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความร่ำรวยอย่างพรวดพราด ซึ่งน่าจะได้มาจากการฉ้อโกงเจ็ดสิบเอ็ดล้านส่งผลให้ชาวเน็ตเปลี่ยนชื่อ จากทนายตั้มเป็นทนายต้มกันอย่างครื้นเครง ถือว่าคดีฉ้อโกงเจ็ดสิบเอ็ดล้านเป็นการเปิดแผลแรกของทนายตั้ม ชนิดที่เจ้าตัวไม่เคยมีบาดแผลเหวอะหวะบาดเจ็บหนักเท่านี้มาก่อน
    ล่าสุดพี่อ้อยจตุพร อุบลเลิศ เข้าให้การกองปราบปรามยาวนานถึงสิบเอ็ดชั่วโมงพนักงานสอบสวนกองปราบปรามตรวจสอบพฤติกรรมของทนายต้มแล้วพบว่า พี่อ้อยไม่ได้ถูกต้มแค่หลอกลงทุนแพลตฟอร์มหวยเจ็ดสิบเอ็ดล้านคดีเดียว แต่ยังถูกต้มเรื่องเงินคริปโตของเพื่อนอีก 39 ล้าน เรื่องเงินค่าออกแบบโรงแรม 9 ล้าน ค่าออกแบบบ้านของสามีพี่อ้อย3 ล้านและเงินซื้อรถเบนซ์ 13 ล้าน ซึ่งพี่อ้อยโดนฟันส่วนต่างราคาไปร่วม5 ล้าน การที่เหยื่อคนเดียวถูกฉ้อโกงซ้ําๆ แบบนี้ เป็นความผิดมูลฐานตามมาตรา3 วงเล็บ 18 แห่ง พ รบการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินพ ศ2542 เรียกว่าฉ้อโกงอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ คําว่าปกติธุระหมายความว่ากระทําการซ้ําซ้ํากันมากกว่าหนึ่งครั้งกระทําความผิดเป็นสันดาน มีลักษณะที่จะเป็นการกระทําเช่นนั้นต่อต่อไป เนื่องจากพฤติกรรมของทนายต้ม หลอกเหยื่อคนเดิมหลายครั้งเข้าองค์ประกอบชัดเจนคดีที่พี่อ้อยแจ้งจากทนายตั้มจึงไม่ใช่แค่คดีฉ้อโกง แต่จะกลายเป็นคดีฉ้อโกงอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ ซึ่งจะส่งผลให้พนักงานสอบสวนออกหมายจับผู้ต้องหาได้ทันทีไม่ต้องมีหมายเรียก
    ปฏิบัติการนี้จึงเป็นการถอนรากถอนโคนทนายแบรนด์เนมและองค์กรซ่อนเงื่อนของเขาแบบม้วนเดียวจบ จบตํานานทนายความที่ทําตัวเป็นภัยกับลูกความ เอาเข้าจริง ที่มาของความร่ํารวยของทนายต้มน่าจะไม่ใช่แค่การฉ้อโกง
    คนที่ปูดเรื่องนี้ออกมาคือจอมแฉผู้รู้ลึกรู้จริงในแวดวงคนสีเทานายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ย้อนไปเมื่อวันที่สองเมษายน2566 นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ โพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊กว่าข่าวด่วนสัมภเวสีอาละวาดทนายคนดีชอบแถลงข่าวช่วยประชาชน รวยแค่ข้ามคืนจนคนสงสัยไปทั่ว ทําไมรวยเร็วจังที่แท้เบื้องหลังทําพนันออนไลน์หุ้นกับเจ้าหน้าที่ dsi ตัวเตี้ยๆ อายุประมาณ 50 ปีชื่อเว็บเฮงเกมส์มีญาติชื่อแจ๊คดูแลเว็บให้ คนที่รู้ดีคือตํารวจใหญ่ฉายาเทพจอจาน ที่ต้องหลับตาลงข้างเดียวเพราะใช้งานกันอยู่ ก่อนทนายจะดังหากินกับการรับคดียาเพราะได้เงินมากง่ายและเร็วไม่รับทําคดีอื่นให้เสียเวลาอย่างคดีดาราสาวดังลูกครึ่งใช้เอกสารตํารวจปลอม บินปร๋อหนีไปต่างประเทศทันที
    สํานักงานทนายกําไรต่อปีเท่ารายได้มนุษย์เงินเดือนแต่ใช้ชีวิตหรูหราฟู่ฟ่าบ้าแบรนด์เนม บ้านหลังละเกือบร้อยล้าน มีแผนส่งลูกเรียนเมืองนอกด้วย ทุกครั้งไปเที่ยวต่างประเทศต้องมีลูกน้องตํารวจใหญ่เทพจอจาน มารอรับถึงสนามบิน เข็นรถให้ช้อปปิ้งหลักล้านปรนเปอร์เมียภาษีไม่เคยจ่ายเพราะเงินที่ได้แบบเทาๆ เอาไปแอบซุกไว้ในบัญชีพี่เมีย วันใด ปปงเข้ามาตรวจสอบเส้นทางการเงินของทนายตั้ม อาจเจาะไปถึงธุรกิจสีเทาที่มีข่าวทนายตั้มพัวพันตามที่ชูวิทย์แฉไว้เป็นปีแล้วแน่นอน ติดตามข่าวซีฟๆแบบนี้ได้ที่
    #คิงส์โพธิ์ดำ
    ความร่ำรวยอย่างพรวดพราด ซึ่งน่าจะได้มาจากการฉ้อโกงเจ็ดสิบเอ็ดล้านส่งผลให้ชาวเน็ตเปลี่ยนชื่อ จากทนายตั้มเป็นทนายต้มกันอย่างครื้นเครง ถือว่าคดีฉ้อโกงเจ็ดสิบเอ็ดล้านเป็นการเปิดแผลแรกของทนายตั้ม ชนิดที่เจ้าตัวไม่เคยมีบาดแผลเหวอะหวะบาดเจ็บหนักเท่านี้มาก่อน ล่าสุดพี่อ้อยจตุพร อุบลเลิศ เข้าให้การกองปราบปรามยาวนานถึงสิบเอ็ดชั่วโมงพนักงานสอบสวนกองปราบปรามตรวจสอบพฤติกรรมของทนายต้มแล้วพบว่า พี่อ้อยไม่ได้ถูกต้มแค่หลอกลงทุนแพลตฟอร์มหวยเจ็ดสิบเอ็ดล้านคดีเดียว แต่ยังถูกต้มเรื่องเงินคริปโตของเพื่อนอีก 39 ล้าน เรื่องเงินค่าออกแบบโรงแรม 9 ล้าน ค่าออกแบบบ้านของสามีพี่อ้อย3 ล้านและเงินซื้อรถเบนซ์ 13 ล้าน ซึ่งพี่อ้อยโดนฟันส่วนต่างราคาไปร่วม5 ล้าน การที่เหยื่อคนเดียวถูกฉ้อโกงซ้ําๆ แบบนี้ เป็นความผิดมูลฐานตามมาตรา3 วงเล็บ 18 แห่ง พ รบการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินพ ศ2542 เรียกว่าฉ้อโกงอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ คําว่าปกติธุระหมายความว่ากระทําการซ้ําซ้ํากันมากกว่าหนึ่งครั้งกระทําความผิดเป็นสันดาน มีลักษณะที่จะเป็นการกระทําเช่นนั้นต่อต่อไป เนื่องจากพฤติกรรมของทนายต้ม หลอกเหยื่อคนเดิมหลายครั้งเข้าองค์ประกอบชัดเจนคดีที่พี่อ้อยแจ้งจากทนายตั้มจึงไม่ใช่แค่คดีฉ้อโกง แต่จะกลายเป็นคดีฉ้อโกงอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ ซึ่งจะส่งผลให้พนักงานสอบสวนออกหมายจับผู้ต้องหาได้ทันทีไม่ต้องมีหมายเรียก ปฏิบัติการนี้จึงเป็นการถอนรากถอนโคนทนายแบรนด์เนมและองค์กรซ่อนเงื่อนของเขาแบบม้วนเดียวจบ จบตํานานทนายความที่ทําตัวเป็นภัยกับลูกความ เอาเข้าจริง ที่มาของความร่ํารวยของทนายต้มน่าจะไม่ใช่แค่การฉ้อโกง คนที่ปูดเรื่องนี้ออกมาคือจอมแฉผู้รู้ลึกรู้จริงในแวดวงคนสีเทานายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ย้อนไปเมื่อวันที่สองเมษายน2566 นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ โพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊กว่าข่าวด่วนสัมภเวสีอาละวาดทนายคนดีชอบแถลงข่าวช่วยประชาชน รวยแค่ข้ามคืนจนคนสงสัยไปทั่ว ทําไมรวยเร็วจังที่แท้เบื้องหลังทําพนันออนไลน์หุ้นกับเจ้าหน้าที่ dsi ตัวเตี้ยๆ อายุประมาณ 50 ปีชื่อเว็บเฮงเกมส์มีญาติชื่อแจ๊คดูแลเว็บให้ คนที่รู้ดีคือตํารวจใหญ่ฉายาเทพจอจาน ที่ต้องหลับตาลงข้างเดียวเพราะใช้งานกันอยู่ ก่อนทนายจะดังหากินกับการรับคดียาเพราะได้เงินมากง่ายและเร็วไม่รับทําคดีอื่นให้เสียเวลาอย่างคดีดาราสาวดังลูกครึ่งใช้เอกสารตํารวจปลอม บินปร๋อหนีไปต่างประเทศทันที สํานักงานทนายกําไรต่อปีเท่ารายได้มนุษย์เงินเดือนแต่ใช้ชีวิตหรูหราฟู่ฟ่าบ้าแบรนด์เนม บ้านหลังละเกือบร้อยล้าน มีแผนส่งลูกเรียนเมืองนอกด้วย ทุกครั้งไปเที่ยวต่างประเทศต้องมีลูกน้องตํารวจใหญ่เทพจอจาน มารอรับถึงสนามบิน เข็นรถให้ช้อปปิ้งหลักล้านปรนเปอร์เมียภาษีไม่เคยจ่ายเพราะเงินที่ได้แบบเทาๆ เอาไปแอบซุกไว้ในบัญชีพี่เมีย วันใด ปปงเข้ามาตรวจสอบเส้นทางการเงินของทนายตั้ม อาจเจาะไปถึงธุรกิจสีเทาที่มีข่าวทนายตั้มพัวพันตามที่ชูวิทย์แฉไว้เป็นปีแล้วแน่นอน ติดตามข่าวซีฟๆแบบนี้ได้ที่ #คิงส์โพธิ์ดำ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1662 มุมมอง 0 รีวิว
  • อ่านเอาเรื่อง Ep.75: มอร์มอน

    เมื่อเช้านี้ระหว่างที่ผมรถติดอยู่แถวๆบ้าน สายตาก็เหลือบไปเห็นฝรั่งวัยหนุ่ม 2 คน ท่าทางดี แต่งตัวเรียบร้อยนั่งอยู่บนรถสองแถวครับ

    จากประสบการณ์นั้น มองปร๊าดเดียวก็รู้ว่าพ่อหนุ่มสองคนนี้เป็นพวกเผยแพร่ศาสนาคริสต์ และผมคิดว่าเป็นนิกายมอร์มอน (Mormon) เพราะการแต่งตัวสไตล์เสื้อเชิ้ตแขนสั้น ผูกไท สะพายกระเป๋าดำและมีป้ายชื่อสีดำอันใหญ่ๆนี่ ดูยังไงก็มอร์มอน

    และน่าจะเป็นชาวอเมริกัน เพราะพวกมอร์มอนนั้นส่วนใหญ่จะเป็นอเมริกัน เพราะนิกายมอร์มอนนั้นกำเนิดในอเมริกาครับ

    ตอนสมัยที่ผมได้ไปเรียนอยู่ที่อเมริกาเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ผมเคยเจอวัยรุ่นมอร์มอนมาเคาะประตูบ้านและชวนไปเข้าลัทธิกับเขา ได้ฟังเขาเล่าเรื่องของมอร์มอนแล้วก็สนุกดี

    วันนี้ก็ผมจึงไปค้นคว้าหาเรื่องของพวกมอร์มอนมาเล่าสู่กันฟังสนุกๆครับ
    .
    .
    .
    นิกายมอร์มอนนั้นเกิดขึ้นในช่วงที่อเมริกาเพิ่งจะประกาศอิสรภาพแยกตัวจากอังกฤษใหม่ๆครับ นั่นก็คือ ช่วงประมาณ ค.ศ.1800 โน่น

    ความน่าสนใจของนิกายนี้ ก็คือ ผู้ที่เป็นศาสดาหรือผู้นำสารของพระเจ้านั้นเป็นเด็กหนุ่มวัยรุ่นชาวนิวยอร์คชื่อ “โจเซฟ สมิธ” ซึ่งโจเซฟผู้นี้เขาไม่ได้มีการศึกษาอะไร แต่เป็นเด็กที่รักการค้นหาขุดหาสมบัติในสวนหลังบ้าน

    อันนี้เราก็ต้องเข้าใจบริบทในยุคนั้นด้วยนิดนึงครับ เพราะอเมริกานั้นเป็นดินแดนโลกใหม่ ดังนั้นความเชื่อเรื่องการขุดหาสมบัติลึกลับของโจรสลัดหรือขุมทรัพย์โบราณก็ยังแพร่หลายครับ

    วันหนึ่งระหว่างที่เด็กชายโจเซฟวัย 15 ขวบนี้กำลังหาโน่นนี่อยู่ในป่าหลังบ้าน ก็ให้บังเอิญได้ไปพบกับร่างมนุษย์ศักดิ์สิทธิ์สองร่างกำลังลอยอยู่ และบอกกับโจเซฟว่า ร่างหนึ่งคือพระเจ้าและอีกร่างคือพระเยซูบุตรของพระเจ้า

    พระเจ้าบอกกับโจเซฟว่า บรรดานิกายศาสนาคริสต์และศาสนาทั้งหลายที่มีอยู่บนโลกนี้นั้นล้วนแต่เสื่อมโทรมทั้งสิ้น และพระเจ้าได้บอกให้โจเซฟเตรียมตัวที่จะสร้างดินแดนที่วันหนึ่งพระเยซูจะกลับมาพิพากษาคนบาป

    โจเซฟเจอดังนี้แล้ว ก็กลับบ้านมาแต่ก็ไม่ได้คิดจะบอกอะไรใคร ได้แต่เก็บไว้เป็นความลับส่วนตัว

    เวลาผ่านไปอีกสามปี เมื่อโจเซฟอายุได้ 18 ปี ก็ได้มีเทวดาองค์หนึ่งมาปรากฏตัวขึ้นในห้องของโจเซฟ เทวดาบอกกับโจเซฟว่าให้เดินไปที่เนินเขาใกล้ๆบ้านแล้วจะได้พบกับแผ่นทองคำจารึกข้อความสำคัญที่อยากจะให้โจเซฟเอามาเผยแพร่ต่อมนุษย์โลก

    แน่นอนว่าโจเซฟก็ทำตามนั้น และเขาก็ได้พบกับแผ่นทองคำปึกใหญ่ๆจริงๆ บนแผ่นทองคำนั้นจารึกด้วยภาษาฮีบรูโบราณซึ่งโจเซฟอ่านไม่ออก แต่เขาก็เอากลับมาเก็บไว้ที่บ้าน แล้วก็เล่าเรื่องให้พ่อแม่พี่น้องและภรรยาฟัง

    ซึ่งทุกคนก็เชื่อเขาสนิทใจโดยไม่มีข้อโต้แย้งแต่อย่างใด

    แต่ทั้งนี้โจเซฟก็ไม่ได้ให้ใครได้เห็นแผ่นจารึกทองคำนี้เลยนะครับ และเมื่อโจเซฟคิดจะแปลข้อความจากแผ่นทองคำนี้เป็นภาษาอังกฤษ โจเซฟก็จะใช้วิธีขึงผ้าม่านหนาๆใหญ่ๆกั้นระหว่างตัวเขากับคนจดบันทึก (ซึ่งบางทีก็เป็นภรรยาเขาหรือไม่ก็น้องชาย)

    แล้วโจเซฟก็จะใช้เครื่องมือวิเศษที่สามารถมองข้อความบนแผ่นทองคำให้ออกมาเป็นภาษาอังกฤษ โจเซฟก็จะอ่านให้คนจดบันทึกไปเรื่อยๆ ทำอย่างนี้อยู่ราวๆสามเดือน ก็ได้หนังสือขนาดความยาว 800 กว่าหน้า

    เรียกว่า “เดอะบุ๊คออฟมอร์มอน - The Book of Mormon"

    เมื่อโจเซฟตรวจทานหนังสือเล่มนี้เสร็จแล้ว เขาก็จัดการส่งคืนแผ่นทองคำต้นฉบับนี้ให้เทวดาองค์เดิมไป เป็นอันว่าไม่เคยมีใครได้เห็นแผ่นทองคำนี้นอกจากโจเซฟเอง
    .
    .
    .
    ความน่าสนใจก็คือ โจเซฟนั้นเป็นคนที่ไม่ได้รับการศึกษาอะไร แต่สามารถแต่งหนังสือขึ้นความยาว 800 กว่าหน้านี้ได้ก็ถือว่าเก่ง แม้ว่าภายหลังจะมีผู้พบว่า เนื้อหาในหลายๆส่วนนั้นลอกจากพระคัมภีร์ไบเบิ้ลมาแบบ copy and paste ก็ตามที

    ถ้าเราสังเกตดีๆ โจเซฟเขาไม่ได้ตั้งชื่อหนังสือเขาว่า ”มอร์มอนไบเบิ้ล“ แต่เรียกว่า ”เดอะบุ๊คออฟมอร์มอน“ นะครับ เพราะเขาคิดว่าลัทธิของเขาคือลัทธิใหม่ ไม่ได้เกี่ยวกับไบเบิ้ล

    และในเดอะบุ๊คออฟมอร์มอนนี้ โจเซฟเขาเขียนเล่าไว้ว่า เมื่อราวๆ 600 ปีก่อนสมัยพระเยซูนั้น มีชาวยิวกลุ่มหนึ่งได้หลบหนีออกจากกรุงเยรูซาเล็ม เดินข้ามทะเลทรายและขึ้นเรือรอนแรมมาจนกระทั่งถึงอเมริกา

    ชาวยิวกลุ่มนี้ได้เดินทางเข้ามาพำนักอาศัยอยู่ในแผ่นดินอเมริกาและเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่เป็นบรรพบุรุษชาวชนพื้นเมืองอเมริกัน (Native American)

    แน่นอนว่าเมื่อเทคโนโลยีทันสมัยขึ้น การตรวจดีเอ็นเอของชนพื้นเมืองอเมริกันก็พบว่าไม่ได้มีเชื้อสายยิวเลยแม้แต่น้อย

    นอกนั้นในบุ๊คออฟมอร์มอนยังบอกอีกว่า หลังจากที่พระเยซูถูกตรึงกางเขนตายไปนั้น พระองค์ยังได้มาปรากฏตัวอยู่ที่อเมริกาด้วย

    แต่เอาเถิดครับ....ไม่ว่าเรื่องราวจะพิสดารเพียงใด เมื่อโจเซฟประกาศลัทธิใหม่ออกไป ประกอบกับว่าเขาเป็นคนมีวาทศิลป์ดี โน้มน้าวคนได้เก่ง ก็ปรากฏว่ามีผู้เชื่อถือลัทธิมอร์มอนของโจเซฟอยู่หลายพันคน

    และอีกครั้งที่ผมอยากจะขอให้ท่านผู้อ่านนึกภาพว่า นี่คือเหตุการณ์เมื่อ 200 ปีก่อน ที่คนอเมริกันคือชาวยุโรปที่อพยพมาค้นหาโลกใหม่ การที่พวกเขาจะเริ่มต้นกับลัทธิความเชื่อใหม่บนแผ่นดินใหม่ที่ต่างไปจากความเชื่อเดิมที่พวกเขาละทิ้งมา ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
    .
    .
    .
    พ่อหนุ่มโจเซฟในวัย 26 ปีได้ประกาศกับสาวกของตัวเองว่า พระเจ้าได้ขอให้โจเซฟและชาวมอร์มอนสร้างแผ่นดินใหม่ที่เรียกว่า “ไซออน - Zion" เพื่อรอรับการกลับมาของพระเยซู

    ซึ่งการจะทำดั่งนี้ได้ ชาวมอร์มอนทั้งหลายจะต้องเดินทางอพยพไปสร้างเมืองใหม่ขึ้นมา

    ว่าแล้วโจเซฟกับชาวมอร์มอนหลายพันคนก็ออกเดินทางจากนิวยอร์คไปยังรัฐโอไฮโอแล้วก็เริ่มสร้างเมือง แต่สร้างได้สักพักก็โดนชาวเมืองที่เขาอาศัยอยู่เดิมเขาขับไล่ด้วยความที่เป็นพวกลัทธิประหลาด

    โจเซฟและพวกก็อพยพอีกรอบ คราวนี้เดินทางกันต่อมาที่เมืองแจ็คสันวิลล์ รัฐมิสซูรี ทีนี้โจเซฟได้ประกาศว่า ”ที่นี่แหละที่เราจะสร้างเมืองไซออนของเราขึ้นมา เพราะที่นี่อยู่ใกล้กับสวนสวรรค์อีเดนของพระเจ้า“

    จำนวนชาวมอร์มอนเริ่มขยายตัวมากขึ้นเรื่อยๆ แถมยังขยันก่อสร้างกันเสียอีก เพราะโจเซฟเขาได้ออกแบบผังเมืองเป็นรูปกริด (Grid) บล็อคๆสี่เหลี่ยมเป็นระเบียบเรียบร้อยสวยงาม

    ชาวมิสซูรีเดิมเห็นท่าไม่ดี เกรงว่าบ้านเรือนของตัวเองจะโดนพวกมอร์มอนยึดเรียบ ก็เลยขับไล่พวกมอร์มอน แล้วก็เกิดการรบพุ่งกันจริงจังขึ้นจนกระทั่งผู้ว่าการรัฐมิสซูรีต้องประกาศสงครามกันดุเดือด

    พวกมอร์มอนก็จึงต้องย้ายอีก..... คราวนี้ไปอยู่ที่รัฐอิลลินอยส์ ใกล้ๆกับเมืองชิคาโก ทีนี่แหละครับที่โจเซฟชะตาขาด เพราะเมื่อตัวเองเริ่มมีอิทธิพลมากขึ้นก็กำเริบถึงขนาดลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี และเริ่มใช้กำลังทหารของตัวเองไปทำลายโรงพิมพ์ที่ตีพิมพ์บทความต่อต้านพวกมอร์มอน

    ผู้ว่าการรัฐอิลลินอยส์จึงจับตัวโจเซฟและน้องชายมาขังตัวไว้ ปรากฏว่าโดนฝูงชนบุกเข้าไปถึงห้องขัง ยิงโจเซฟตายขณะที่พยายามกระโดดหนีออกจากชั้นสอง

    โจเซฟ สมิธตายในวัยเพียง 34 ปี มีสาวกเป็นชาวมอร์มอนอยู่นับหมื่นคน
    .
    .
    .
    บรรดาชาวมอร์มอนทั้งหลายก็อพยพอีกรอบ คราวนี้ระหกระเหินมุ่งหน้าไปฝั่งตะวันตกเรื่อยๆจนกระทั่งไปถึงดินแดนหุบเขาอันกว้างใหญ่ที่ครอบคลุมรัฐยูท่าห์ รัฐอริโซน่า รัฐโคโลราโด และรัฐแคลิฟอร์เนีย

    เพียงแต่สมัยนั้นยังไม่มีชื่อรัฐเช่นนี้ เพราะดินแดนที่ผมเขียนไปข้างต้นนั้นยังคงเป็นของเม็กซิโกเขา และมีชนพื้นเมืองอเมริกันอาศัยกันอยู่

    พวกมอร์มอนมาถึงปุ๊บ ก็เร่งรีบสร้างเมืองกันทันทีเพราะเขาเชื่อกันว่าใกล้จะถึงวันที่พระเยซูจะมาถึงเต็มแก่

    ทั้งนี้เราก็ต้องยกย่องในความสามารถในทางวิศวกรรมและสถาปัตยกรรมของพวกมอร์มอน ที่เขาสามารถสร้างเมือง โบสถ์ โรงเรียน โรงเหล็ก เหมืองและระบบระบายน้ำขึ้นมาได้จากดินแดนอันว่างเปล่า

    เมืองของพวกมอร์มอนขยายตัวกันอย่างรวดเร็ว และรูปแบบของเมืองก็ยังคงเป็นแบบกริด (Grid) หรือบล็อคสี่เหลี่ยมๆเป็นระเบียบตามแบบที่โจเซฟ สมิธออกแบบไว้

    พวกมอร์มอนเรียกเมืองของเขาว่า “เดเซเร็ท - Deseret" อันเป็นภาษาโบราณแปลว่า ”รังผึ้ง“ ครับ อันสื่อความหมายถึงความร่วมมือร่วมใจกันชุมชนที่ทำงานร่วมกัน

    ที่เมืองเดเซเร็ทนี้ พวกมอร์มอนเขาเริ่มออกสกุลเงิน ธนบัตร เริ่มออกกฎหมายของตัวเอง มีภาษาเขียนของตัวเอง

    ทีนี้รัฐบาลกลางสหรัฐเริ่มชักจะเหล่สายตามาที่พวกมอร์มอนอีกรอบ เพราะชักจะเริ่มทำทีท่าคล้ายๆจะแยกเป็นประเทศต่างหาก ไม่ขึ้นกับสหรัฐอเมริกาอีกแล้ว

    รัฐบาลก็เลยเรียกผู้นำของมอร์มอนในเวลานั้น คือ นายบริกแฮม ยัง (Brigham Young) ไปคุยด้วยว่าจะเอายังไงกันแน่ นายยังเขาบอกว่า เขาจะยังอยู่กับอเมริกานี่แหละ แต่เขาขอดินแดนทั้งหมดตั้งขึ้นเป็นรัฐใหม่เรียกว่า ”รัฐเดเซเร็ท“

    รัฐบาลอเมริกาไปนั่งดูแล้ว ก็คิดว่าให้ไม่ได้ เพราะดินแดนที่นายยังขอมานั้นกว้างใหญ่ขนาดครอบคลุมถึง 6 รัฐในปัจจุบัน ก็เลยบอกนายยังไปว่าให้ได้แค่พื้นที่เท่ากับรัฐยูท่าในปัจจุบันเท่านั้นแหละ

    จะเอาไม่เอาก็บอกมา

    ซึ่งนายยังก็ยอมตามนั้น รัฐบาลก็เลยตั้งให้นายยังเป็นผู้ว่าการรัฐคนแรกไป

    ทุกวันนี้ถ้าเพื่อนๆคนไหนได้ไปเที่ยวที่เมืองซอลท์เลกซิตี้ รัฐยูท่า ก็จะเห็นระบบการออกแบบบ้านเมืองตามสไตล์ของพวกมอร์มอนครับ เป็นกริดและมีระเบียบเรียบร้อย

    แต่ช้าก่อน....เวรกรรมของพวกมอร์มอนยังไม่หยุดแค่นั้น เพราะยังมีพฤติกรรมหลายๆอย่างของมอร์มอนที่ชนอเมริกันส่วนใหญ่รับไม่ได้ หนึ่งในนั้นคือ “การแต่งงานมีหลายเมีย - Polygamy” เพราะชนอเมริกันนั้นมองว่าการมีเมียหลายๆคนนั้น เป็นหนึ่งในรูปแบบของการใช้แรงงานทาสแบบกลายๆ

    ทีนี้ตามกฎของมอร์มอนในเวลานั้น การแต่งงานมีเมียหลายคนนั้นคือส่วนหนึ่งของการเตรียมตัวไปสู่สรวงสวรรค์ อย่างนายโจเซฟ สมิธนั้นก็มีเมียมากถึง 40 คน ส่วนนายบริกแฮม ยังนั้นมีเมียเยอะถึง 50 กว่าคน

    แน่นอนว่าสุดท้ายแล้วกฎหมายของพวกมอร์มอนก็ถูกลบทิ้งไปหมดสิ้น ทิ้งไว้แต่ความเชื่อในลัทธิมอร์มอนที่ยังคงเข้มแข็งอยู่

    ที่รัฐยูท่านั้นยังเป็นหนึ่งในรัฐที่ความเป็นมอร์มอนเข้มแข็ง วิทยาลัยสอนศาสนามอร์มอนก็ยังคงมีอยู่ โบสถ์มอร์มอนก็ยังมี

    ทุกวันนี้ที่รัฐนิวยอร์ค ก็ยังคงมีการจัดพิธีเฉลิมฉลองและการแสดงตรงเนินเขา “คูโมรา - Cumorah" ที่โจเซฟ สมิธได้ไปพบกับแผ่นจารึกทองคำอันเป็นกำเนิดของหนังสือเดอะบุ๊คออฟมอร์มอนกันอยู่เลย
    .
    .
    .
    ผมเองก็เคยได้หนังสือมอร์มอนนี้มาเหมือนกัน แต่เสียดายว่าทิ้งไว้ที่อเมริกา ไม่ได้เอากลับมาเมืองไทยด้วย

    อ้อ.... เกร็ดเล็กๆที่อยากแถมไว้ก็คือ ที่อนุสาวรีย์ “วอชิงตัน มอนิวเม้นท์” ที่เป็นรูปแท่งหินสูงใหญ่ ตั้งอยู่ที่กรุงวอชิงตันดีซีน่ะครับ

    ตรงฐานของอนุสาวรีย์นี้สร้างขึ้นจากก้อนอิฐใหญ่ๆที่นำมาจากทุกรัฐทั่วสหรัฐอเมริกา อิฐแต่ละก้อนก็จะมีสลักสัญลักษณ์และชื่อรัฐของเขาเอาไว้

    มีอยู่รัฐหนึ่งที่ไม่ยอมใช้ชื่อรัฐตัวเอง แน่นอนว่าคือ ”รัฐยูท่า“ เพราะเขาใช้ชื่อว่า “เดเซเร็ท - Deseret" แบบดั้งเดิมและสลักเป็นรูปรังผึ้งขนาดใหญ่ และมีดวงตาของพระเจ้ามองลงมายังรังผึ้งของเขาด้วย

    อันเป็นการแสดงออกว่า ”เราคือมอร์มอนนะจ๊ะ“

    .....เอามาเล่าสู่กันฟังครับ เขียนยาวเหยียดไปหน่อยต้องขออภัย.....

    ใครสนใจเรื่องนี้ลองเข้าไปชมตามยูทูบวิดีโอข้างล่างนี้ได้เลยครับ

    https://youtu.be/hUW7j9GmXjI?si=3Mbhr_4mIJ15AoIA
    https://youtu.be/aTMsfOcHiJg?si=700kX_fdK2uUdJPS
    https://youtu.be/vJzRAiqg4zg?si=QhybEsnWh3GXeAgX

    นัทแนะ
    อ่านเอาเรื่อง Ep.75: มอร์มอน เมื่อเช้านี้ระหว่างที่ผมรถติดอยู่แถวๆบ้าน สายตาก็เหลือบไปเห็นฝรั่งวัยหนุ่ม 2 คน ท่าทางดี แต่งตัวเรียบร้อยนั่งอยู่บนรถสองแถวครับ จากประสบการณ์นั้น มองปร๊าดเดียวก็รู้ว่าพ่อหนุ่มสองคนนี้เป็นพวกเผยแพร่ศาสนาคริสต์ และผมคิดว่าเป็นนิกายมอร์มอน (Mormon) เพราะการแต่งตัวสไตล์เสื้อเชิ้ตแขนสั้น ผูกไท สะพายกระเป๋าดำและมีป้ายชื่อสีดำอันใหญ่ๆนี่ ดูยังไงก็มอร์มอน และน่าจะเป็นชาวอเมริกัน เพราะพวกมอร์มอนนั้นส่วนใหญ่จะเป็นอเมริกัน เพราะนิกายมอร์มอนนั้นกำเนิดในอเมริกาครับ ตอนสมัยที่ผมได้ไปเรียนอยู่ที่อเมริกาเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ผมเคยเจอวัยรุ่นมอร์มอนมาเคาะประตูบ้านและชวนไปเข้าลัทธิกับเขา ได้ฟังเขาเล่าเรื่องของมอร์มอนแล้วก็สนุกดี วันนี้ก็ผมจึงไปค้นคว้าหาเรื่องของพวกมอร์มอนมาเล่าสู่กันฟังสนุกๆครับ . . . นิกายมอร์มอนนั้นเกิดขึ้นในช่วงที่อเมริกาเพิ่งจะประกาศอิสรภาพแยกตัวจากอังกฤษใหม่ๆครับ นั่นก็คือ ช่วงประมาณ ค.ศ.1800 โน่น ความน่าสนใจของนิกายนี้ ก็คือ ผู้ที่เป็นศาสดาหรือผู้นำสารของพระเจ้านั้นเป็นเด็กหนุ่มวัยรุ่นชาวนิวยอร์คชื่อ “โจเซฟ สมิธ” ซึ่งโจเซฟผู้นี้เขาไม่ได้มีการศึกษาอะไร แต่เป็นเด็กที่รักการค้นหาขุดหาสมบัติในสวนหลังบ้าน อันนี้เราก็ต้องเข้าใจบริบทในยุคนั้นด้วยนิดนึงครับ เพราะอเมริกานั้นเป็นดินแดนโลกใหม่ ดังนั้นความเชื่อเรื่องการขุดหาสมบัติลึกลับของโจรสลัดหรือขุมทรัพย์โบราณก็ยังแพร่หลายครับ วันหนึ่งระหว่างที่เด็กชายโจเซฟวัย 15 ขวบนี้กำลังหาโน่นนี่อยู่ในป่าหลังบ้าน ก็ให้บังเอิญได้ไปพบกับร่างมนุษย์ศักดิ์สิทธิ์สองร่างกำลังลอยอยู่ และบอกกับโจเซฟว่า ร่างหนึ่งคือพระเจ้าและอีกร่างคือพระเยซูบุตรของพระเจ้า พระเจ้าบอกกับโจเซฟว่า บรรดานิกายศาสนาคริสต์และศาสนาทั้งหลายที่มีอยู่บนโลกนี้นั้นล้วนแต่เสื่อมโทรมทั้งสิ้น และพระเจ้าได้บอกให้โจเซฟเตรียมตัวที่จะสร้างดินแดนที่วันหนึ่งพระเยซูจะกลับมาพิพากษาคนบาป โจเซฟเจอดังนี้แล้ว ก็กลับบ้านมาแต่ก็ไม่ได้คิดจะบอกอะไรใคร ได้แต่เก็บไว้เป็นความลับส่วนตัว เวลาผ่านไปอีกสามปี เมื่อโจเซฟอายุได้ 18 ปี ก็ได้มีเทวดาองค์หนึ่งมาปรากฏตัวขึ้นในห้องของโจเซฟ เทวดาบอกกับโจเซฟว่าให้เดินไปที่เนินเขาใกล้ๆบ้านแล้วจะได้พบกับแผ่นทองคำจารึกข้อความสำคัญที่อยากจะให้โจเซฟเอามาเผยแพร่ต่อมนุษย์โลก แน่นอนว่าโจเซฟก็ทำตามนั้น และเขาก็ได้พบกับแผ่นทองคำปึกใหญ่ๆจริงๆ บนแผ่นทองคำนั้นจารึกด้วยภาษาฮีบรูโบราณซึ่งโจเซฟอ่านไม่ออก แต่เขาก็เอากลับมาเก็บไว้ที่บ้าน แล้วก็เล่าเรื่องให้พ่อแม่พี่น้องและภรรยาฟัง ซึ่งทุกคนก็เชื่อเขาสนิทใจโดยไม่มีข้อโต้แย้งแต่อย่างใด แต่ทั้งนี้โจเซฟก็ไม่ได้ให้ใครได้เห็นแผ่นจารึกทองคำนี้เลยนะครับ และเมื่อโจเซฟคิดจะแปลข้อความจากแผ่นทองคำนี้เป็นภาษาอังกฤษ โจเซฟก็จะใช้วิธีขึงผ้าม่านหนาๆใหญ่ๆกั้นระหว่างตัวเขากับคนจดบันทึก (ซึ่งบางทีก็เป็นภรรยาเขาหรือไม่ก็น้องชาย) แล้วโจเซฟก็จะใช้เครื่องมือวิเศษที่สามารถมองข้อความบนแผ่นทองคำให้ออกมาเป็นภาษาอังกฤษ โจเซฟก็จะอ่านให้คนจดบันทึกไปเรื่อยๆ ทำอย่างนี้อยู่ราวๆสามเดือน ก็ได้หนังสือขนาดความยาว 800 กว่าหน้า เรียกว่า “เดอะบุ๊คออฟมอร์มอน - The Book of Mormon" เมื่อโจเซฟตรวจทานหนังสือเล่มนี้เสร็จแล้ว เขาก็จัดการส่งคืนแผ่นทองคำต้นฉบับนี้ให้เทวดาองค์เดิมไป เป็นอันว่าไม่เคยมีใครได้เห็นแผ่นทองคำนี้นอกจากโจเซฟเอง . . . ความน่าสนใจก็คือ โจเซฟนั้นเป็นคนที่ไม่ได้รับการศึกษาอะไร แต่สามารถแต่งหนังสือขึ้นความยาว 800 กว่าหน้านี้ได้ก็ถือว่าเก่ง แม้ว่าภายหลังจะมีผู้พบว่า เนื้อหาในหลายๆส่วนนั้นลอกจากพระคัมภีร์ไบเบิ้ลมาแบบ copy and paste ก็ตามที ถ้าเราสังเกตดีๆ โจเซฟเขาไม่ได้ตั้งชื่อหนังสือเขาว่า ”มอร์มอนไบเบิ้ล“ แต่เรียกว่า ”เดอะบุ๊คออฟมอร์มอน“ นะครับ เพราะเขาคิดว่าลัทธิของเขาคือลัทธิใหม่ ไม่ได้เกี่ยวกับไบเบิ้ล และในเดอะบุ๊คออฟมอร์มอนนี้ โจเซฟเขาเขียนเล่าไว้ว่า เมื่อราวๆ 600 ปีก่อนสมัยพระเยซูนั้น มีชาวยิวกลุ่มหนึ่งได้หลบหนีออกจากกรุงเยรูซาเล็ม เดินข้ามทะเลทรายและขึ้นเรือรอนแรมมาจนกระทั่งถึงอเมริกา ชาวยิวกลุ่มนี้ได้เดินทางเข้ามาพำนักอาศัยอยู่ในแผ่นดินอเมริกาและเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่เป็นบรรพบุรุษชาวชนพื้นเมืองอเมริกัน (Native American) แน่นอนว่าเมื่อเทคโนโลยีทันสมัยขึ้น การตรวจดีเอ็นเอของชนพื้นเมืองอเมริกันก็พบว่าไม่ได้มีเชื้อสายยิวเลยแม้แต่น้อย นอกนั้นในบุ๊คออฟมอร์มอนยังบอกอีกว่า หลังจากที่พระเยซูถูกตรึงกางเขนตายไปนั้น พระองค์ยังได้มาปรากฏตัวอยู่ที่อเมริกาด้วย แต่เอาเถิดครับ....ไม่ว่าเรื่องราวจะพิสดารเพียงใด เมื่อโจเซฟประกาศลัทธิใหม่ออกไป ประกอบกับว่าเขาเป็นคนมีวาทศิลป์ดี โน้มน้าวคนได้เก่ง ก็ปรากฏว่ามีผู้เชื่อถือลัทธิมอร์มอนของโจเซฟอยู่หลายพันคน และอีกครั้งที่ผมอยากจะขอให้ท่านผู้อ่านนึกภาพว่า นี่คือเหตุการณ์เมื่อ 200 ปีก่อน ที่คนอเมริกันคือชาวยุโรปที่อพยพมาค้นหาโลกใหม่ การที่พวกเขาจะเริ่มต้นกับลัทธิความเชื่อใหม่บนแผ่นดินใหม่ที่ต่างไปจากความเชื่อเดิมที่พวกเขาละทิ้งมา ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร . . . พ่อหนุ่มโจเซฟในวัย 26 ปีได้ประกาศกับสาวกของตัวเองว่า พระเจ้าได้ขอให้โจเซฟและชาวมอร์มอนสร้างแผ่นดินใหม่ที่เรียกว่า “ไซออน - Zion" เพื่อรอรับการกลับมาของพระเยซู ซึ่งการจะทำดั่งนี้ได้ ชาวมอร์มอนทั้งหลายจะต้องเดินทางอพยพไปสร้างเมืองใหม่ขึ้นมา ว่าแล้วโจเซฟกับชาวมอร์มอนหลายพันคนก็ออกเดินทางจากนิวยอร์คไปยังรัฐโอไฮโอแล้วก็เริ่มสร้างเมือง แต่สร้างได้สักพักก็โดนชาวเมืองที่เขาอาศัยอยู่เดิมเขาขับไล่ด้วยความที่เป็นพวกลัทธิประหลาด โจเซฟและพวกก็อพยพอีกรอบ คราวนี้เดินทางกันต่อมาที่เมืองแจ็คสันวิลล์ รัฐมิสซูรี ทีนี้โจเซฟได้ประกาศว่า ”ที่นี่แหละที่เราจะสร้างเมืองไซออนของเราขึ้นมา เพราะที่นี่อยู่ใกล้กับสวนสวรรค์อีเดนของพระเจ้า“ จำนวนชาวมอร์มอนเริ่มขยายตัวมากขึ้นเรื่อยๆ แถมยังขยันก่อสร้างกันเสียอีก เพราะโจเซฟเขาได้ออกแบบผังเมืองเป็นรูปกริด (Grid) บล็อคๆสี่เหลี่ยมเป็นระเบียบเรียบร้อยสวยงาม ชาวมิสซูรีเดิมเห็นท่าไม่ดี เกรงว่าบ้านเรือนของตัวเองจะโดนพวกมอร์มอนยึดเรียบ ก็เลยขับไล่พวกมอร์มอน แล้วก็เกิดการรบพุ่งกันจริงจังขึ้นจนกระทั่งผู้ว่าการรัฐมิสซูรีต้องประกาศสงครามกันดุเดือด พวกมอร์มอนก็จึงต้องย้ายอีก..... คราวนี้ไปอยู่ที่รัฐอิลลินอยส์ ใกล้ๆกับเมืองชิคาโก ทีนี่แหละครับที่โจเซฟชะตาขาด เพราะเมื่อตัวเองเริ่มมีอิทธิพลมากขึ้นก็กำเริบถึงขนาดลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี และเริ่มใช้กำลังทหารของตัวเองไปทำลายโรงพิมพ์ที่ตีพิมพ์บทความต่อต้านพวกมอร์มอน ผู้ว่าการรัฐอิลลินอยส์จึงจับตัวโจเซฟและน้องชายมาขังตัวไว้ ปรากฏว่าโดนฝูงชนบุกเข้าไปถึงห้องขัง ยิงโจเซฟตายขณะที่พยายามกระโดดหนีออกจากชั้นสอง โจเซฟ สมิธตายในวัยเพียง 34 ปี มีสาวกเป็นชาวมอร์มอนอยู่นับหมื่นคน . . . บรรดาชาวมอร์มอนทั้งหลายก็อพยพอีกรอบ คราวนี้ระหกระเหินมุ่งหน้าไปฝั่งตะวันตกเรื่อยๆจนกระทั่งไปถึงดินแดนหุบเขาอันกว้างใหญ่ที่ครอบคลุมรัฐยูท่าห์ รัฐอริโซน่า รัฐโคโลราโด และรัฐแคลิฟอร์เนีย เพียงแต่สมัยนั้นยังไม่มีชื่อรัฐเช่นนี้ เพราะดินแดนที่ผมเขียนไปข้างต้นนั้นยังคงเป็นของเม็กซิโกเขา และมีชนพื้นเมืองอเมริกันอาศัยกันอยู่ พวกมอร์มอนมาถึงปุ๊บ ก็เร่งรีบสร้างเมืองกันทันทีเพราะเขาเชื่อกันว่าใกล้จะถึงวันที่พระเยซูจะมาถึงเต็มแก่ ทั้งนี้เราก็ต้องยกย่องในความสามารถในทางวิศวกรรมและสถาปัตยกรรมของพวกมอร์มอน ที่เขาสามารถสร้างเมือง โบสถ์ โรงเรียน โรงเหล็ก เหมืองและระบบระบายน้ำขึ้นมาได้จากดินแดนอันว่างเปล่า เมืองของพวกมอร์มอนขยายตัวกันอย่างรวดเร็ว และรูปแบบของเมืองก็ยังคงเป็นแบบกริด (Grid) หรือบล็อคสี่เหลี่ยมๆเป็นระเบียบตามแบบที่โจเซฟ สมิธออกแบบไว้ พวกมอร์มอนเรียกเมืองของเขาว่า “เดเซเร็ท - Deseret" อันเป็นภาษาโบราณแปลว่า ”รังผึ้ง“ ครับ อันสื่อความหมายถึงความร่วมมือร่วมใจกันชุมชนที่ทำงานร่วมกัน ที่เมืองเดเซเร็ทนี้ พวกมอร์มอนเขาเริ่มออกสกุลเงิน ธนบัตร เริ่มออกกฎหมายของตัวเอง มีภาษาเขียนของตัวเอง ทีนี้รัฐบาลกลางสหรัฐเริ่มชักจะเหล่สายตามาที่พวกมอร์มอนอีกรอบ เพราะชักจะเริ่มทำทีท่าคล้ายๆจะแยกเป็นประเทศต่างหาก ไม่ขึ้นกับสหรัฐอเมริกาอีกแล้ว รัฐบาลก็เลยเรียกผู้นำของมอร์มอนในเวลานั้น คือ นายบริกแฮม ยัง (Brigham Young) ไปคุยด้วยว่าจะเอายังไงกันแน่ นายยังเขาบอกว่า เขาจะยังอยู่กับอเมริกานี่แหละ แต่เขาขอดินแดนทั้งหมดตั้งขึ้นเป็นรัฐใหม่เรียกว่า ”รัฐเดเซเร็ท“ รัฐบาลอเมริกาไปนั่งดูแล้ว ก็คิดว่าให้ไม่ได้ เพราะดินแดนที่นายยังขอมานั้นกว้างใหญ่ขนาดครอบคลุมถึง 6 รัฐในปัจจุบัน ก็เลยบอกนายยังไปว่าให้ได้แค่พื้นที่เท่ากับรัฐยูท่าในปัจจุบันเท่านั้นแหละ จะเอาไม่เอาก็บอกมา ซึ่งนายยังก็ยอมตามนั้น รัฐบาลก็เลยตั้งให้นายยังเป็นผู้ว่าการรัฐคนแรกไป ทุกวันนี้ถ้าเพื่อนๆคนไหนได้ไปเที่ยวที่เมืองซอลท์เลกซิตี้ รัฐยูท่า ก็จะเห็นระบบการออกแบบบ้านเมืองตามสไตล์ของพวกมอร์มอนครับ เป็นกริดและมีระเบียบเรียบร้อย แต่ช้าก่อน....เวรกรรมของพวกมอร์มอนยังไม่หยุดแค่นั้น เพราะยังมีพฤติกรรมหลายๆอย่างของมอร์มอนที่ชนอเมริกันส่วนใหญ่รับไม่ได้ หนึ่งในนั้นคือ “การแต่งงานมีหลายเมีย - Polygamy” เพราะชนอเมริกันนั้นมองว่าการมีเมียหลายๆคนนั้น เป็นหนึ่งในรูปแบบของการใช้แรงงานทาสแบบกลายๆ ทีนี้ตามกฎของมอร์มอนในเวลานั้น การแต่งงานมีเมียหลายคนนั้นคือส่วนหนึ่งของการเตรียมตัวไปสู่สรวงสวรรค์ อย่างนายโจเซฟ สมิธนั้นก็มีเมียมากถึง 40 คน ส่วนนายบริกแฮม ยังนั้นมีเมียเยอะถึง 50 กว่าคน แน่นอนว่าสุดท้ายแล้วกฎหมายของพวกมอร์มอนก็ถูกลบทิ้งไปหมดสิ้น ทิ้งไว้แต่ความเชื่อในลัทธิมอร์มอนที่ยังคงเข้มแข็งอยู่ ที่รัฐยูท่านั้นยังเป็นหนึ่งในรัฐที่ความเป็นมอร์มอนเข้มแข็ง วิทยาลัยสอนศาสนามอร์มอนก็ยังคงมีอยู่ โบสถ์มอร์มอนก็ยังมี ทุกวันนี้ที่รัฐนิวยอร์ค ก็ยังคงมีการจัดพิธีเฉลิมฉลองและการแสดงตรงเนินเขา “คูโมรา - Cumorah" ที่โจเซฟ สมิธได้ไปพบกับแผ่นจารึกทองคำอันเป็นกำเนิดของหนังสือเดอะบุ๊คออฟมอร์มอนกันอยู่เลย . . . ผมเองก็เคยได้หนังสือมอร์มอนนี้มาเหมือนกัน แต่เสียดายว่าทิ้งไว้ที่อเมริกา ไม่ได้เอากลับมาเมืองไทยด้วย อ้อ.... เกร็ดเล็กๆที่อยากแถมไว้ก็คือ ที่อนุสาวรีย์ “วอชิงตัน มอนิวเม้นท์” ที่เป็นรูปแท่งหินสูงใหญ่ ตั้งอยู่ที่กรุงวอชิงตันดีซีน่ะครับ ตรงฐานของอนุสาวรีย์นี้สร้างขึ้นจากก้อนอิฐใหญ่ๆที่นำมาจากทุกรัฐทั่วสหรัฐอเมริกา อิฐแต่ละก้อนก็จะมีสลักสัญลักษณ์และชื่อรัฐของเขาเอาไว้ มีอยู่รัฐหนึ่งที่ไม่ยอมใช้ชื่อรัฐตัวเอง แน่นอนว่าคือ ”รัฐยูท่า“ เพราะเขาใช้ชื่อว่า “เดเซเร็ท - Deseret" แบบดั้งเดิมและสลักเป็นรูปรังผึ้งขนาดใหญ่ และมีดวงตาของพระเจ้ามองลงมายังรังผึ้งของเขาด้วย อันเป็นการแสดงออกว่า ”เราคือมอร์มอนนะจ๊ะ“ .....เอามาเล่าสู่กันฟังครับ เขียนยาวเหยียดไปหน่อยต้องขออภัย..... ใครสนใจเรื่องนี้ลองเข้าไปชมตามยูทูบวิดีโอข้างล่างนี้ได้เลยครับ https://youtu.be/hUW7j9GmXjI?si=3Mbhr_4mIJ15AoIA https://youtu.be/aTMsfOcHiJg?si=700kX_fdK2uUdJPS https://youtu.be/vJzRAiqg4zg?si=QhybEsnWh3GXeAgX นัทแนะ
    Like
    2
    6 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 4785 มุมมอง 0 รีวิว