• อริยสาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​ความ​ประสงค์​สูง​สุด​ มีได้เพราะการปฏิบัติ​ที่ถูกทาง
    สัทธรรมลำดับที่ : 1028
    ชื่อบทธรรม : -ความประสงค์สูงสุด มีได้เพราะสัมมัตตะ(การปฏิบัติ​ที่ถูกทาง)​
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1028
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --ความประสงค์สูงสุด มีได้เพราะสัมมัตตะ
    --ภิกษุ ท. ! เพราะอาศัยสัมมัตตะ (การปฏิบัติ​ที่ถูกทาง)​
    http://etipitaka.com/read/pali/24/226/?keywords=สมฺมตฺตะ
    อาราธนา (ความสำเร็จสูงสุดชนิดเป็นที่พอใจของพระอริยเจ้า) ย่อมมี
    มิใช่มีวิราธนา (ความไม่ประสพความสำเร็จฯ).
    ข้อนั้น เป็นอย่าไรเล่า ?
    --ภิกษุ ท. !
    +--สำหรับผู้มีสัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะย่อมมีเพียงพอ ;
    +--สำหรับผู้มีสัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจาย่อมมีเพียงพอ ;
    +--สำหรับผู้มีสัมมาวาจา สัมมากัมมันตะย่อมมีเพียงพอ ;
    +--สำหรับผู้มีสัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะย่อมมีเพียงพอ ;
    +--สำหรับผู้มีสัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะย่อมมีเพียงพอ ;
    +--สำหรับผู้มีสัมมาวายามะ สัมมาสติย่อมมีเพียงพอ ;
    +--สำหรับผู้มีสัมมาสติ สัมมาสมาธิย่อมมีเพียงพอ ;
    +--สำหรับผู้มีสัมมาสมาธิ สัมมาญาณะย่อมมีเพียงพอ ;
    +--สำหรับผู้มีสัมมาญาณะ สัมมาวิมุตติย่อมมีเพียงพอ ;
    --ภิกษุ ท. ! อย่างนี้แล
    : เรียกว่า #เพราะอาศัยสัมมัตตะจึงมีอาราธนา(ความประสงค์)​ มิใช่ มีวิราธนา.-
    http://etipitaka.com/read/pali/24/226/?keywords=อาราธนา

    (ความไม่ประสงค์ (วิราธนา) มีได้เพราะอาศัย มิจฉัตตะ
    http://etipitaka.com/read/pali/24/226/?keywords=มิจฺฉตฺต
    ตรัสไว้โดยนัยตรงกันข้าม ผู้ศึกษาพึงเทียบเคียงได้เอง.
    คำขยายความที่กว้างขวางออกไป
    มีอยู่ในสัทธรรมสูตรลำดับมลำดับถัดไป จากสัทธรรมบทนี้
    http://etipitaka.com/read/pali/24/227/?keywords=สมฺมตฺตะ+มิจฺฉตฺต
    ).
    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์

    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ทสก. อํ. 24/226/104, 103.
    http://etipitaka.com/read/thai/24/182/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%90%E0%B9%94
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ทสก. อํ. ๒๔/182/๑๐๔, ๑๐๓.
    http://etipitaka.com/read/pali/24/226/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%90%E0%B9%94
    ศึกษา​เพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1028
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=89&id=1028
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=89
    ลำดับสาธยายธรรม : 89 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_89.mp3
    อริยสาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​ความ​ประสงค์​สูง​สุด​ มีได้เพราะการปฏิบัติ​ที่ถูกทาง สัทธรรมลำดับที่ : 1028 ชื่อบทธรรม : -ความประสงค์สูงสุด มีได้เพราะสัมมัตตะ(การปฏิบัติ​ที่ถูกทาง)​ https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1028 เนื้อความทั้งหมด :- --ความประสงค์สูงสุด มีได้เพราะสัมมัตตะ --ภิกษุ ท. ! เพราะอาศัยสัมมัตตะ (การปฏิบัติ​ที่ถูกทาง)​ http://etipitaka.com/read/pali/24/226/?keywords=สมฺมตฺตะ อาราธนา (ความสำเร็จสูงสุดชนิดเป็นที่พอใจของพระอริยเจ้า) ย่อมมี มิใช่มีวิราธนา (ความไม่ประสพความสำเร็จฯ). ข้อนั้น เป็นอย่าไรเล่า ? --ภิกษุ ท. ! +--สำหรับผู้มีสัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะย่อมมีเพียงพอ ; +--สำหรับผู้มีสัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจาย่อมมีเพียงพอ ; +--สำหรับผู้มีสัมมาวาจา สัมมากัมมันตะย่อมมีเพียงพอ ; +--สำหรับผู้มีสัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะย่อมมีเพียงพอ ; +--สำหรับผู้มีสัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะย่อมมีเพียงพอ ; +--สำหรับผู้มีสัมมาวายามะ สัมมาสติย่อมมีเพียงพอ ; +--สำหรับผู้มีสัมมาสติ สัมมาสมาธิย่อมมีเพียงพอ ; +--สำหรับผู้มีสัมมาสมาธิ สัมมาญาณะย่อมมีเพียงพอ ; +--สำหรับผู้มีสัมมาญาณะ สัมมาวิมุตติย่อมมีเพียงพอ ; --ภิกษุ ท. ! อย่างนี้แล : เรียกว่า #เพราะอาศัยสัมมัตตะจึงมีอาราธนา(ความประสงค์)​ มิใช่ มีวิราธนา.- http://etipitaka.com/read/pali/24/226/?keywords=อาราธนา (ความไม่ประสงค์ (วิราธนา) มีได้เพราะอาศัย มิจฉัตตะ http://etipitaka.com/read/pali/24/226/?keywords=มิจฺฉตฺต ตรัสไว้โดยนัยตรงกันข้าม ผู้ศึกษาพึงเทียบเคียงได้เอง. คำขยายความที่กว้างขวางออกไป มีอยู่ในสัทธรรมสูตรลำดับมลำดับถัดไป จากสัทธรรมบทนี้ http://etipitaka.com/read/pali/24/227/?keywords=สมฺมตฺตะ+มิจฺฉตฺต ). #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ทสก. อํ. 24/226/104, 103. http://etipitaka.com/read/thai/24/182/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%90%E0%B9%94 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ทสก. อํ. ๒๔/182/๑๐๔, ๑๐๓. http://etipitaka.com/read/pali/24/226/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%90%E0%B9%94 ศึกษา​เพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1028 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=89&id=1028 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=89 ลำดับสาธยายธรรม : 89 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_89.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - ความประสงค์สูงสุด มีได้เพราะสัมมัตตะ
    -ความประสงค์สูงสุด มีได้เพราะสัมมัตตะ ภิกษุ ท. ! เพราะอาศัยสัมมัตตะ อาราธนา (ความสำเร็จสูงสุดชนิดเป็นที่พอใจของพระอริยเจ้า) ย่อมมี มิใช่มีวิราธนา (ความไม่ประสพความสำเร็จฯ). ข้อนั้น เป็นอย่าไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! สำหรับผู้มีสัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะย่อมมีเพียงพอ ; สำหรับผู้มีสัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจาย่อมมีเพียงพอ ; สำหรับผู้มีสัมมาวาจา สัมมากัมมันตะย่อมมีเพียงพอ ; สำหรับผู้มีสัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะย่อมมีเพียงพอ ; สำหรับผู้มีสัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะย่อมมีเพียงพอ ; สำหรับผู้มีสัมมาวายามะ สัมมาสติย่อมมีเพียงพอ ; สำหรับผู้มีสัมมาสติ สัมมาสมาธิย่อมมีเพียงพอ ; สำหรับผู้มีสัมมาสมาธิ สัมมาญาณะย่อมมีเพียงพอ ; สำหรับผู้มีสัมมาญาณะ สัมมาวิมุตติย่อมมีเพียงพอ ; ภิกษุ ท. ! อย่างนี้แล เรียกว่า เพราะอาศัยสัมมัตตะ จึงมีอาราธนา มิใช่มีวิราธนา.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 30 มุมมอง 0 รีวิว
  • อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาว่าอาการที่ตัณหาไม่นำไปสู่ภพใหม่
    สัทธรรมลำดับที่ : 660
    ชื่อบทธรรม : -อาการที่ตัณหาไม่นำไปสู่ภพใหม่(ให้เกิดผลพิเศษอีกนานาประการ)
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=660
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --อาการที่ตัณหาไม่นำไปสู่ภพใหม่(ให้เกิดผลพิเศษอีกนานาประการ)
    --ภิกษุ ท. !
    +--ส่วนบุคคล
    เมื่อรู้เมื่อเห็น ซึ่ง ๑.จักษุ ตามที่เป็นจริง.
    เมื่อรู้เมื่อเห็นซึ่ง รูปทั้งหลาย ตามที่เป็นจริง,
    เมื่อรู้เมื่อเห็นซึ่ง จักขุวิญญาณ ตามที่เป็นจริง,
    เมื่อรู้เมื่อเห็น ซึ่ง จักขุสัมผัส ตามที่เป็นจริง,
    เมื่อรู้เมื่อเห็นซึ่งเวทนาอันเกิดขึ้นเพราะจักขุสัมผัสเป็นปัจจัย
    อันเป็นสุขก็ตาม เป็นทุกข์ก็ตาม ไม่ใช่ทุกข์ไม่ใช่สุขก็ตาม ตามที่เป็นจริงแล้ว ;
    เขาย่อมไม่กำหนัดในจักษุ, ไม่กำหนัดในรูปทั้งหลาย,
    ไม่กำหนัดในจักขุวิญญาณ, ไม่กำหนัดในจักขุสัมผัส, และ
    ไม่กำหนัดในเวทนาอันเกิดขึ้นเพราะจักขุสัมผัสเป็นปัจจัย
    อันเป็นสุขก็ตาม เป็นทุกข์ก็ตาม ไม่ใช่ทุกข์ไม่ใช่สุขก็ตาม.
    เมื่อบุคคลนั้นไม่กำหนัดแล้ว ไม่ติดพันแล้ว ไม่ลุ่มหลงแล้ว
    ตามเห็นอาทีนวะ (โทษของสิ่งเหล่านั้น) อยู่เนือง ๆ ,
    ปัญจุปาทานขันธ์ทั้งหลาย ย่อมถึงซึ่งความไม่ก่อเกิดต่อไป ;
    และตัณหา อันเป็นเครื่องนำไปสู่ภพใหม่
    อันประกอบอยู่ด้วยความกำหนัดด้วยอำนาจความเพลิน
    เป็นเครื่องทำให้เพลินอย่างยิ่งในอารมณ์นั้น ๆ นั้นอันเขาย่อมละเสียได้ ;
    +--ความกระวนกระวาย (ทรถ) แม้ ทางกาย อันเขาย่อมละเสียได้,
    ความกระวนกระวายแม้ทางจิต อันเขาย่อมละเสียได้ ;
    +--ความแผดเผา (สนฺตาป) แม้ทางกาย อันเขาย่อมละเสียได้,
    ความแผดเผา แม้ทางจิต อันเขาย่อมละเสียได้ ;
    +-ความเร่าร้อน (ปริฬาห) แม้ทางกาย อันเขาย่อมละเสียได้,
    ความเร่าร้อน แม้ทางจิต อันเขาย่อมละเสียได้.

    +--บุคคลนั้นย่อม เสวยซึ่งความสุข อันเป็นไป ทางกายด้วย.
    ซึ่งความสุขอันเป็นไป ทางจิต ด้วย.
    +--เมื่อบุคคลเป็นเช่นนั้นแล้ว
    ทิฏฐิ ของเขา ย่อมเป็นสัมมาทิฏฐิ ;
    ความดำริของเขา ย่อมเป็นสัมมาสังกัปปะ;
    ความพยายาม ของเขา ย่อมเป็นสัมมาวายามะ;
    สติ ของเขา ย่อมเป็นสัมมาสติ ;
    สมาธิ ของเขา ย่อมเป็นสัมมาสมาธิ ;
    ส่วน กายกรรม วจีกรรม และ อาชีวะ
    ของเขา เป็นธรรมบริสุทธิ์อยู่ก่อนแล้วนั่นเทียว.
    ด้วยอาการอย่างนี้ เป็นอันว่า อริยอัฏฐังคิกมรรค นี้
    ของเขานั้น ย่อมถึงซึ่งความเต็มรอบแห่งความเจริญ.
    +--เมื่อเขาทำอริยอัฏฐังคิกมรรค ให้เจริญอยู่ด้วยอาการอย่างนี้,
    สติปัฏฐาน แม้ทั้ง ๔ ย่อมถึงซึ่งความเต็มรอบแห่งความเจริญ;
    สัมมัปปธาน แม้ทั้ง ๔ ย่อมถึงซึ่งความเต็มรอบแห่งความเจริญ ;
    อิทธิบาท แม้ทั้ง ๔ ย่อมถึงซึ่งความเต็มรอบแห่งความเจริญ ;
    อินทรีย์ แม้ทั้ง ๕ ย่อมถึงซึ่งความเต็มรอบแห่งความเจริญ ;
    พละ แม้ทั้ง ๕ ย่อมถึงซึ่งความเต็มรอบแห่งความเจริญ ;
    โพชฌงค์ แม้ทั้ง ๗ ย่อมถึงซึ่งความเต็มรอบแห่งความเจริญ.

    +--ธรรมทั้งสองคือ #สมถะและวิปัสสนา ของเขานั้น ย่อมเป็นธรรมเคียงคู่กันไป.
    http://etipitaka.com/read/pali/14/524/?keywords=สมโถ+วิปสฺสนา
    +--บุคคลนั้น ย่อม
    กำหนดรู้ ด้วยปัญญาอันยิ่ง ซึ่งธรรมทั้งหลายอันบุคคลพึงกำหนดรู้ด้วยปัญญาอันยิ่ง ;
    ย่อมละ ด้วยปัญญาอันยิ่ง ซึ่งธรรมทั้งหลายอันบุคคลพึงละด้วยปัญญาอันยิ่ง ;
    ย่อมทำให้เจริญ ด้วยปัญญาอันยิ่ง ซึ่งธรรมทั้งหลายอันบุคคลพึงทำให้เจริญด้วยปัญญาอันยิ่ง;
    ย่อม ทำให้แจ้ง ด้วยปัญญาอันยิ่ง ซึ่งธรรมทั้งหลายอันบุคคลพึงทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่ง.
    --ภิกษุ ท. ! ก็ ธรรมเหล่าไหนเล่า เป็นธรรมอันบุคคลพึงกำหนดรู ้ด้วยปัญญาอันยิ่ง ?
    คำตอบ พึงมีว่า ปัญจุปาทานขันธ์ ทั้งหลาย กล่าวคือ
    อุปาทานขันธ์คือรูป
    อุปาทานขันธ์คือเวทนา
    อุปาทานขันธ์คือสัญญา
    อุปาทานขันธ์คือสังขาร
    อุปาทานขันธ์คือวิญญาณ :
    ธรรมทั้งหลายเหล่านี้แล #ชื่อว่าเป็นธรรมอันบุคคลพึงกำหนดรู้ ด้วยปัญญาอันยิ่ง.

    --ภิกษุ ท. ! ก็ ธรรมเหล่าไหนเล่า เป็นธรรมอันบุคคลพึงละด้วย ปัญญาอันยิ่ง ?
    คำตอบ พึงมีว่า อวิชชา ด้วย ภวตัณหา ด้วย :
    ธรรมทั้งหลายเหล่านี้แล #ชื่อว่าเป็นธรรมอันบุคคลพึงละ ด้วยปัญญาอันยิ่ง.

    --ภิกษุ ท. ! ก็ ธรรมเหล่าไหนเล่า เป็นธรรมอันบุคคลพึงทำให้เจริญ ด้วยปัญญาอันยิ่ง ?
    คำตอบ พึงมีว่า สมถะ ด้วย วิปัสสนา ด้วย :
    ธรรมทั้งหลายเหล่านี้แล #ชื่อว่าเป็นธรรมอันบุคคลพึงทำให้เจริญ ด้วยปัญญาอันยิ่ง.

    --ภิกษุ ท. ! ก็ ธรรมเหล่าไหนเล่า เป็นธรรมอันบุคคลพึงทำให้แจ้ง ด้วยปัญญาอันยิ่ง ?
    คำตอบ พึงมีว่า วิชชา ด้วย วิมุตติ ด้วย :
    ธรรมทั้งหลายเหล่านี้แล #ชื่อว่าเป็นธรรมอันบุคคลพึงทำให้แจ้ง ด้วยปัญญาอันยิ่ง.

    (ในกรณีที่เกี่ยวกับ
    ๒.โสต ๓.ฆาน ๔.ชิวหา ๕.กาย ๖.มโน และ สหคตธรรมแห่งอายตนะมีโสต เป็นต้น
    ก็มีเนื้อความเหมือนกับที่กล่าวแล้วในกรณีแห่ง ๑.จักษุและสหคตธรรมของจักษุ
    ดังที่กล่าวข้างต้นนี้ทุกประการ พึงขยายความเอาเองให้เต็มตามนั้น
    ).-

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์

    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - อุปริ. ม. 14/395-398/828-831.
    http://etipitaka.com/read/thai/14/395/?keywords=%E0%B9%98%E0%B9%92%E0%B9%98
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - อุปริ. ม. ๑๔/๕๒๓-๕๒๖/๘๒๘-๘๓๑.
    http://etipitaka.com/read/pali/14/523/?keywords=%E0%B9%98%E0%B9%92%E0%B9%98
    ถึง
    http://etipitaka.com/read/pali/14/526/?keywords=%E0%B9%98%E0%B9%93%E0%B9%91
    ศึกษาเพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=660
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=46&id=660
    หรือ
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=46
    ลำดับสาธยายธรรม : 46 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_46.mp3
    อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาว่าอาการที่ตัณหาไม่นำไปสู่ภพใหม่ สัทธรรมลำดับที่ : 660 ชื่อบทธรรม : -อาการที่ตัณหาไม่นำไปสู่ภพใหม่(ให้เกิดผลพิเศษอีกนานาประการ) https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=660 เนื้อความทั้งหมด :- --อาการที่ตัณหาไม่นำไปสู่ภพใหม่(ให้เกิดผลพิเศษอีกนานาประการ) --ภิกษุ ท. ! +--ส่วนบุคคล เมื่อรู้เมื่อเห็น ซึ่ง ๑.จักษุ ตามที่เป็นจริง. เมื่อรู้เมื่อเห็นซึ่ง รูปทั้งหลาย ตามที่เป็นจริง, เมื่อรู้เมื่อเห็นซึ่ง จักขุวิญญาณ ตามที่เป็นจริง, เมื่อรู้เมื่อเห็น ซึ่ง จักขุสัมผัส ตามที่เป็นจริง, เมื่อรู้เมื่อเห็นซึ่งเวทนาอันเกิดขึ้นเพราะจักขุสัมผัสเป็นปัจจัย อันเป็นสุขก็ตาม เป็นทุกข์ก็ตาม ไม่ใช่ทุกข์ไม่ใช่สุขก็ตาม ตามที่เป็นจริงแล้ว ; เขาย่อมไม่กำหนัดในจักษุ, ไม่กำหนัดในรูปทั้งหลาย, ไม่กำหนัดในจักขุวิญญาณ, ไม่กำหนัดในจักขุสัมผัส, และ ไม่กำหนัดในเวทนาอันเกิดขึ้นเพราะจักขุสัมผัสเป็นปัจจัย อันเป็นสุขก็ตาม เป็นทุกข์ก็ตาม ไม่ใช่ทุกข์ไม่ใช่สุขก็ตาม. เมื่อบุคคลนั้นไม่กำหนัดแล้ว ไม่ติดพันแล้ว ไม่ลุ่มหลงแล้ว ตามเห็นอาทีนวะ (โทษของสิ่งเหล่านั้น) อยู่เนือง ๆ , ปัญจุปาทานขันธ์ทั้งหลาย ย่อมถึงซึ่งความไม่ก่อเกิดต่อไป ; และตัณหา อันเป็นเครื่องนำไปสู่ภพใหม่ อันประกอบอยู่ด้วยความกำหนัดด้วยอำนาจความเพลิน เป็นเครื่องทำให้เพลินอย่างยิ่งในอารมณ์นั้น ๆ นั้นอันเขาย่อมละเสียได้ ; +--ความกระวนกระวาย (ทรถ) แม้ ทางกาย อันเขาย่อมละเสียได้, ความกระวนกระวายแม้ทางจิต อันเขาย่อมละเสียได้ ; +--ความแผดเผา (สนฺตาป) แม้ทางกาย อันเขาย่อมละเสียได้, ความแผดเผา แม้ทางจิต อันเขาย่อมละเสียได้ ; +-ความเร่าร้อน (ปริฬาห) แม้ทางกาย อันเขาย่อมละเสียได้, ความเร่าร้อน แม้ทางจิต อันเขาย่อมละเสียได้. +--บุคคลนั้นย่อม เสวยซึ่งความสุข อันเป็นไป ทางกายด้วย. ซึ่งความสุขอันเป็นไป ทางจิต ด้วย. +--เมื่อบุคคลเป็นเช่นนั้นแล้ว ทิฏฐิ ของเขา ย่อมเป็นสัมมาทิฏฐิ ; ความดำริของเขา ย่อมเป็นสัมมาสังกัปปะ; ความพยายาม ของเขา ย่อมเป็นสัมมาวายามะ; สติ ของเขา ย่อมเป็นสัมมาสติ ; สมาธิ ของเขา ย่อมเป็นสัมมาสมาธิ ; ส่วน กายกรรม วจีกรรม และ อาชีวะ ของเขา เป็นธรรมบริสุทธิ์อยู่ก่อนแล้วนั่นเทียว. ด้วยอาการอย่างนี้ เป็นอันว่า อริยอัฏฐังคิกมรรค นี้ ของเขานั้น ย่อมถึงซึ่งความเต็มรอบแห่งความเจริญ. +--เมื่อเขาทำอริยอัฏฐังคิกมรรค ให้เจริญอยู่ด้วยอาการอย่างนี้, สติปัฏฐาน แม้ทั้ง ๔ ย่อมถึงซึ่งความเต็มรอบแห่งความเจริญ; สัมมัปปธาน แม้ทั้ง ๔ ย่อมถึงซึ่งความเต็มรอบแห่งความเจริญ ; อิทธิบาท แม้ทั้ง ๔ ย่อมถึงซึ่งความเต็มรอบแห่งความเจริญ ; อินทรีย์ แม้ทั้ง ๕ ย่อมถึงซึ่งความเต็มรอบแห่งความเจริญ ; พละ แม้ทั้ง ๕ ย่อมถึงซึ่งความเต็มรอบแห่งความเจริญ ; โพชฌงค์ แม้ทั้ง ๗ ย่อมถึงซึ่งความเต็มรอบแห่งความเจริญ. +--ธรรมทั้งสองคือ #สมถะและวิปัสสนา ของเขานั้น ย่อมเป็นธรรมเคียงคู่กันไป. http://etipitaka.com/read/pali/14/524/?keywords=สมโถ+วิปสฺสนา +--บุคคลนั้น ย่อม กำหนดรู้ ด้วยปัญญาอันยิ่ง ซึ่งธรรมทั้งหลายอันบุคคลพึงกำหนดรู้ด้วยปัญญาอันยิ่ง ; ย่อมละ ด้วยปัญญาอันยิ่ง ซึ่งธรรมทั้งหลายอันบุคคลพึงละด้วยปัญญาอันยิ่ง ; ย่อมทำให้เจริญ ด้วยปัญญาอันยิ่ง ซึ่งธรรมทั้งหลายอันบุคคลพึงทำให้เจริญด้วยปัญญาอันยิ่ง; ย่อม ทำให้แจ้ง ด้วยปัญญาอันยิ่ง ซึ่งธรรมทั้งหลายอันบุคคลพึงทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่ง. --ภิกษุ ท. ! ก็ ธรรมเหล่าไหนเล่า เป็นธรรมอันบุคคลพึงกำหนดรู ้ด้วยปัญญาอันยิ่ง ? คำตอบ พึงมีว่า ปัญจุปาทานขันธ์ ทั้งหลาย กล่าวคือ อุปาทานขันธ์คือรูป อุปาทานขันธ์คือเวทนา อุปาทานขันธ์คือสัญญา อุปาทานขันธ์คือสังขาร อุปาทานขันธ์คือวิญญาณ : ธรรมทั้งหลายเหล่านี้แล #ชื่อว่าเป็นธรรมอันบุคคลพึงกำหนดรู้ ด้วยปัญญาอันยิ่ง. --ภิกษุ ท. ! ก็ ธรรมเหล่าไหนเล่า เป็นธรรมอันบุคคลพึงละด้วย ปัญญาอันยิ่ง ? คำตอบ พึงมีว่า อวิชชา ด้วย ภวตัณหา ด้วย : ธรรมทั้งหลายเหล่านี้แล #ชื่อว่าเป็นธรรมอันบุคคลพึงละ ด้วยปัญญาอันยิ่ง. --ภิกษุ ท. ! ก็ ธรรมเหล่าไหนเล่า เป็นธรรมอันบุคคลพึงทำให้เจริญ ด้วยปัญญาอันยิ่ง ? คำตอบ พึงมีว่า สมถะ ด้วย วิปัสสนา ด้วย : ธรรมทั้งหลายเหล่านี้แล #ชื่อว่าเป็นธรรมอันบุคคลพึงทำให้เจริญ ด้วยปัญญาอันยิ่ง. --ภิกษุ ท. ! ก็ ธรรมเหล่าไหนเล่า เป็นธรรมอันบุคคลพึงทำให้แจ้ง ด้วยปัญญาอันยิ่ง ? คำตอบ พึงมีว่า วิชชา ด้วย วิมุตติ ด้วย : ธรรมทั้งหลายเหล่านี้แล #ชื่อว่าเป็นธรรมอันบุคคลพึงทำให้แจ้ง ด้วยปัญญาอันยิ่ง. (ในกรณีที่เกี่ยวกับ ๒.โสต ๓.ฆาน ๔.ชิวหา ๕.กาย ๖.มโน และ สหคตธรรมแห่งอายตนะมีโสต เป็นต้น ก็มีเนื้อความเหมือนกับที่กล่าวแล้วในกรณีแห่ง ๑.จักษุและสหคตธรรมของจักษุ ดังที่กล่าวข้างต้นนี้ทุกประการ พึงขยายความเอาเองให้เต็มตามนั้น ).- #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - อุปริ. ม. 14/395-398/828-831. http://etipitaka.com/read/thai/14/395/?keywords=%E0%B9%98%E0%B9%92%E0%B9%98 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - อุปริ. ม. ๑๔/๕๒๓-๕๒๖/๘๒๘-๘๓๑. http://etipitaka.com/read/pali/14/523/?keywords=%E0%B9%98%E0%B9%92%E0%B9%98 ถึง http://etipitaka.com/read/pali/14/526/?keywords=%E0%B9%98%E0%B9%93%E0%B9%91 ศึกษาเพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=660 http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=46&id=660 หรือ http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=46 ลำดับสาธยายธรรม : 46 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_46.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - อาการที่ตัณหาไม่นำไปสู่ภพใหม่--ให้เกิดผลพิเศษอีกนานาประการ
    -(ในสูตรถัดไป (๑๘/๒๖๔/๓๘๕) ทรงแสดง ที่เกิดของเวทนาทั้งสาม ว่าได้แก่ “ผัสสะ” แทนที่จะทรงแสดงว่าได้แก่ “กาย” เหมือนที่ทรงแสดงไว้ในสูตรข้างบนนี้, ส่วนเนื้อความนอกนั้น ก็เหมือนกับข้อความแห่งสูตรข้างบนนี้ ทุกประการ). อาการที่ตัณหาไม่นำไปสู่ภพใหม่ ให้เกิดผลพิเศษอีกนานาประการ ภิกษุ ท. ! ....ส่วนบุคคล เมื่อรู้เมื่อเห็น ซึ่ง จักษุ ตามที่เป็นจริง. เมื่อรู้เมื่อเห็น ซึ่ง รูปทั้งหลาย ตามที่เป็นจริง, เมื่อรู้เมื่อเห็นซึ่ง จักขุวิญญาณ ตามที่เป็นจริง, เมื่อรู้เมื่อเห็น ซึ่ง จักขุสัมผัส ตามที่เป็นจริง, เมื่อรู้เมื่อเห็นซึ่งเวทนาอันเกิดขึ้นเพราะจักขุสัมผัสเป็นปัจจัย อันเป็นสุขก็ตาม เป็นทุกข์ก็ตาม ไม่ใช่ทุกข์ไม่ใช่สุขก็ตาม ตามที่เป็นจริงแล้ว ; เขาย่อมไม่กำหนัดในจักษุ, ไม่กำหนัดในรูปทั้งหลาย, ไม่กำหนัดในจักขุวิญญาณ, ไม่กำหนัดในจักขุสัมผัส, และไม่กำหนัดในเวทนาอันเกิดขึ้นเพราะจักขุสัมผัสเป็นปัจจัย อันเป็นสุขก็ตาม เป็นทุกข์ก็ตาม ไม่ใช่ทุกข์ไม่ใช่สุขก็ตาม. เมื่อบุคคลนั้นไม่กำหนัดแล้ว ไม่ติดพันแล้ว ไม่ลุ่มหลงแล้ว ตามเห็นอาทีนวะ (โทษของสิ่งเหล่านั้น) อยู่เนือง ๆ , ปัญจุปาทานขันธ์ทั้งหลาย ย่อมถึงซึ่งความไม่ก่อเกิดต่อไป ; และตัณหา อัน เป็นเครื่องนำไปสู่ภพใหม่ อันประกอบอยู่ด้วยความกำหนัดด้วยอำนาจความเพลิน เป็นเครื่องทำให้เพลินอย่างยิ่งในอารมณ์นั้น ๆ นั้นอันเขาย่อมละเสียได้ ; ความกระวนกระวาย (ทรถ) แม้ ทางกาย อันเขาย่อมละเสียได้, ความกระวนกระวายแม้ทางจิต อันเขาย่อมละเสียได้ ; ความแผดเผา (สนฺตาป) แม้ทางกาย อันเขาย่อมละเสียได้, ความแผดเผา แม้ทางจิต อันเขาย่อมละเสียได้ ; ความเร่าร้อน (ปริฬาห) แม้ทางกาย อันเขาย่อมละเสียได้, ความเร่าร้อน แม้ทางจิต อันเขาย่อมละเสียได้. บุคคลนั้นย่อม เสวยซึ่งความสุข อันเป็นไป ทางกายด้วย. ซึ่งความสุขอันเป็นไป ทางจิต ด้วย. เมื่อบุคคลเป็นเช่นนั้นแล้ว ทิฏฐิ ของเขา ย่อมเป็นสัมมาทิฏฐิ ; ความดำริของเขา ย่อมเป็นสัมมาสังกัปปะ; ความพยายาม ของเขา ย่อมเป็นสัมมาวายามะ; สติ ของเขา ย่อมเป็นสัมมาสติ ; สมาธิ ของเขา ย่อมเป็นสัมมาสมาธิ ; ส่วน กายกรรม วจีกรรม และ อาชีวะ ของเขา เป็นธรรมบริสุทธิ์อยู่ก่อนแล้วนั่นเทียว. ด้วยอาการอย่างนี้ เป็นอันว่า อริยอัฏฐังคิกมรรค นี้ ของเขานั้น ย่อมถึงซึ่งความเต็มรอบแห่งความเจริญ. เมื่อเขาทำอริยอัฏฐังคิกมรรค ให้เจริญอยู่ด้วยอาการอย่างนี้, สติปัฏฐาน แม้ทั้ง ๔ ย่อมถึงซึ่งความเต็มรอบแห่งความเจริญ; สัมมัปปธาน แม้ทั้ง ๔ ย่อมถึงซึ่งความเต็มรอบแห่งความเจริญ ; อิทธิบาท แม้ทั้ง ๔ ย่อมถึงซึ่งความเต็มรอบแห่งความเจริญ ; อินทรีย์ แม้ทั้ง ๕ ย่อมถึงซึ่งความเต็มรอบแห่งความเจริญ ; พละ แม้ทั้ง ๕ ย่อมถึงซึ่งความเต็มรอบแห่งความเจริญ ; โพชฌงค์ แม้ทั้ง ๗ ย่อมถึงซึ่งความเต็มรอบแห่งความเจริญ. ธรรมทั้งสองคือ สมถะ และวิปัสสนา ของเขานั้น ย่อมเป็นธรรมเคียงคู่กันไป. บุคคลนั้น ย่อม กำหนดรู้ด้วยปัญญาอันยิ่ง ซึ่งธรรมทั้งหลายอันบุคคลพึงกำหนดรู้ด้วยปัญญาอันยิ่ง ; ย่อม ละ ด้วยปัญญาอันยิ่ง ซึ่งธรรมทั้งหลายอันบุคคลพึงละด้วยปัญญาอันยิ่ง ; ย่อมทำให้เจริญ ด้วยปัญญาอันยิ่ง ซึ่งธรรมทั้งหลายอันบุคคลพึงทำให้เจริญด้วยปัญญาอันยิ่ง; ย่อม ทำให้แจ้ง ด้วยปัญญาอันยิ่ง ซึ่งธรรมทั้งหลายอันบุคคลพึงทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่ง. ภิกษุ ท. ! ก็ ธรรมเหล่าไหนเล่า เป็นธรรมอันบุคคลพึงกำหนดรู ้ด้วยปัญญาอันยิ่ง ? คำตอบ พึงมีว่า ปัญจุปาทานขันธ์ ทั้งหลาย กล่าวคืออุปาทานขันธ์คือรูป อุปาทานขันธ์คือเวทนา อุปาทานขันธ์คือสัญญา อุปาทานขันธ์คือสังขาร อุปาทานขันธ์คือวิญญาณ : ธรรมทั้งหลายเหล่านี้แล ชื่อว่าเป็นธรรม อันบุคคลพึงกำหนดรู้ด้วยปัญญาอันยิ่ง. ภิกษุ ท. ! ก็ ธรรมเหล่าไหนเล่า เป็นธรรมอันบุคคลพึงละด้วย ปัญญาอันยิ่ง ? คำตอบ พึงมีว่า อวิชชา ด้วย ภวตัณหา ด้วย : ธรรมทั้งหลายเหล่านี้แล ชื่อว่าเป็นธรรมอันบุคคลพึงละด้วยปัญญาอันยิ่ง. ภิกษุ ท. ! ก็ ธรรมเหล่าไหนเล่า เป็นธรรมอันบุคคลพึงทำให้เจริญ ด้วยปัญญาอันยิ่ง ? คำตอบ พึงมีว่า สมถะ ด้วย วิปัสสนา ด้วย : ธรรมทั้งหลายเหล่านี้แล ชื่อว่าเป็นธรรมอันบุคคลพึงทำให้เจริญด้วยปัญญาอันยิ่ง. ภิกษุ ท. ! ก็ ธรรมเหล่าไหนเล่า เป็นธรรมอันบุคคลพึงทำให้แจ้ง ด้วยปัญญาอันยิ่ง ? คำตอบ พึงมีว่า วิชชา ด้วย วิมุตติ ด้วย : ธรรมทั้งหลายเหล่านี้แล ชื่อว่าเป็นธรรมอันบุคคลพึงทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่ง. (ในกรณีที่เกี่ยวกับ โสต ฆาน ชิวหา กาย มโน และ สหคตธรรมแห่งอายตนะมีโสตเป็นต้น ก็มีเนื้อความเหมือนกับที่กล่าวแล้วในกรณีแห่ง จักษุและสหคตธรรมของจักษุ ดังที่กล่าวข้างบนนี้ทุกประการ พึงขยายความเอาเองให้เต็มตามนั้น).
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 37 มุมมอง 0 รีวิว
  • อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาว่าอาการเกิดแห่งความทุกข์ (อีกปริยายหนึ่ง)
    สัทธรรมลำดับที่ : 293
    ชื่อบทธรรม :- อาการเกิดแห่งความทุกข์ (อีกปริยายหนึ่ง)ทรงแสดงด้วยฉันทราคะ
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=293
    เนื้อความทั้งหมด : -
    --อาการเกิดแห่งความทุกข์ (อีกปริยายหนึ่ง)(ทรงแสดงด้วยฉันทราคะ)
    --“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ข้าพระองค์ขอโอกาส ขอพระผู้มีพระภาค
    จงทรงแสดงซึ่งความเกิดและความดับไปแห่งทุกข์ แก่ข้าพระองค์เถิด.”
    --คามณิ ! ถ้าเราจะแสดงความเกิดและความดับแห่งทุกข์แก่ท่าน
    ปรารภอดีตกาลนานไกลว่า มันได้มีแล้วอย่างนี้ในอดีตกาล ดังนี้ไซร้,
    ความสงสัยเคลือบแคลงในข้อนั้น ก็จะพึงมีแก่ท่าน.
    ถ้าเราจะแสดงความเกิดและความดับแห่งทุกข์ ปรารภอนาคตกาลนานไกล
    ว่ามันได้มีแล้วอย่างนี้ในอนาคตกาล ดังนี้ไซร้,
    ความสงสัยเคลือบแคลงแม้ในข้อนั้น ก็จะพึงมีแก่ท่าน. เอาละ
    --คามณิ ! เรานั่งอยู่ที่นี่
    6จะแสดงความเกิดและความดับแห่งทุกข์แก่ท่าน
    ผู้นั่งอยู่ที่นี่ด้วยกัน,
    ท่านจงฟัง จงทำในใจให้ดี, เราจะกล่าว.
    --คามณิ ! ท่านจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร
    : มีไหม มนุษย์ในหมู่บ้านอุรุเวลกัปปะนี้ ที่ถูกฆ่า ถูกจองจำ ถูกทำให้เสื่อมเสีย
    ถูกติเตียนแล้ว โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาส จะเกิดขึ้นแก่ท่าน ?
    “มี พระเจ้าข้า !”
    --คามณิ !
    :มีไหม มนุษย์ในหมู่บ้านอุรุเวลกัปปะนี้ ที่ถูกฆ่า ถูกจองจำ ถูกทำให้เสื่อมเสีย
    ถูกติเตียนแล้ว โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาส จะไม่เกิดขึ้นแก่ท่าน ?
    “มี พระเจ้าข้า!”
    --คามณิ ! อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นปัจจัย ที่ความโศก (เป็นต้น) เกิดขึ้น
    แก่ท่านเพราะมนุษย์พวกหนึ่ง และไม่เกิดขึ้นแก่ท่านเพราะมนุษย์พวกหนึ่ง ?
    --“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! เพราะว่า
    +--ฉันทราคะของข้าพระองค์มีอยู่ ในหมู่มนุษย์ที่ทำให้ความโศก (เป็นต้น)
    เกิดขึ้นแก่ข้าพระองค์ และ
    +--ฉันทราคะของข้าพระองค์ไม่มีอยู่ ในหมู่มนุษย์ที่ไม่ทำให้ความโศก (เป็นต้น)
    เกิดขึ้นแก่ข้าพระองค์.
    --คามณิ ! ด้วยธรรมนี้ อันท่านเห็นแล้ว รู้แจ้งแล้ว บรรลุแล้ว หยั่งลงทั่วถึงแล้ว
    อันไม่ขึ้นอยู่กับเวลา ท่านจงนำไปซึ่งนัยนี้สู่ธรรมในอดีตและอนาคต ว่า
    “ทุกข์ใด ๆ ที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต
    ทุกข์ทั้งหมดนั้นมีฉันทะเป็นมูล มีฉันทะเป็นเหตุ
    เพราะว่า ฉันทะเป็นมูลเหตุแห่งทุกข์ ;
    และทุกข์ใด ๆ อันจะเกิดขึ้นใน อนาคต
    ทุกข์ทั้งหมดนั้นก็มีฉันทะเป็นมูล มีฉันทะเป็นเหตุ
    เพราะว่า #ฉันทะเป็นมูลเหตุแห่งทุกข์,”
    http://etipitaka.com/read/pali/18/405/?keywords=ฉนฺท
    ดังนี้.-

    #ทุกขสมุทัย#อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์

    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - สฬา.สํ. 18/333/627.
    http://etipitaka.com/read/thai/18/333/?keywords=%E0%B9%96%E0%B9%92%E0%B9%97
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก :- สฬา.สํ. ๑๘/๔๐๓/๖๒๗.
    http://etipitaka.com/read/pali/18/403/?keywords=๖๒๗
    ศึกษาเพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=293
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=19&id=293
    หรือ
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=19
    ลำดับสาธยายธรรม : 19 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_19.mp3
    อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาว่าอาการเกิดแห่งความทุกข์ (อีกปริยายหนึ่ง) สัทธรรมลำดับที่ : 293 ชื่อบทธรรม :- อาการเกิดแห่งความทุกข์ (อีกปริยายหนึ่ง)ทรงแสดงด้วยฉันทราคะ https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=293 เนื้อความทั้งหมด : - --อาการเกิดแห่งความทุกข์ (อีกปริยายหนึ่ง)(ทรงแสดงด้วยฉันทราคะ) --“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ข้าพระองค์ขอโอกาส ขอพระผู้มีพระภาค จงทรงแสดงซึ่งความเกิดและความดับไปแห่งทุกข์ แก่ข้าพระองค์เถิด.” --คามณิ ! ถ้าเราจะแสดงความเกิดและความดับแห่งทุกข์แก่ท่าน ปรารภอดีตกาลนานไกลว่า มันได้มีแล้วอย่างนี้ในอดีตกาล ดังนี้ไซร้, ความสงสัยเคลือบแคลงในข้อนั้น ก็จะพึงมีแก่ท่าน. ถ้าเราจะแสดงความเกิดและความดับแห่งทุกข์ ปรารภอนาคตกาลนานไกล ว่ามันได้มีแล้วอย่างนี้ในอนาคตกาล ดังนี้ไซร้, ความสงสัยเคลือบแคลงแม้ในข้อนั้น ก็จะพึงมีแก่ท่าน. เอาละ --คามณิ ! เรานั่งอยู่ที่นี่ 6จะแสดงความเกิดและความดับแห่งทุกข์แก่ท่าน ผู้นั่งอยู่ที่นี่ด้วยกัน, ท่านจงฟัง จงทำในใจให้ดี, เราจะกล่าว. --คามณิ ! ท่านจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร : มีไหม มนุษย์ในหมู่บ้านอุรุเวลกัปปะนี้ ที่ถูกฆ่า ถูกจองจำ ถูกทำให้เสื่อมเสีย ถูกติเตียนแล้ว โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาส จะเกิดขึ้นแก่ท่าน ? “มี พระเจ้าข้า !” --คามณิ ! :มีไหม มนุษย์ในหมู่บ้านอุรุเวลกัปปะนี้ ที่ถูกฆ่า ถูกจองจำ ถูกทำให้เสื่อมเสีย ถูกติเตียนแล้ว โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาส จะไม่เกิดขึ้นแก่ท่าน ? “มี พระเจ้าข้า!” --คามณิ ! อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นปัจจัย ที่ความโศก (เป็นต้น) เกิดขึ้น แก่ท่านเพราะมนุษย์พวกหนึ่ง และไม่เกิดขึ้นแก่ท่านเพราะมนุษย์พวกหนึ่ง ? --“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! เพราะว่า +--ฉันทราคะของข้าพระองค์มีอยู่ ในหมู่มนุษย์ที่ทำให้ความโศก (เป็นต้น) เกิดขึ้นแก่ข้าพระองค์ และ +--ฉันทราคะของข้าพระองค์ไม่มีอยู่ ในหมู่มนุษย์ที่ไม่ทำให้ความโศก (เป็นต้น) เกิดขึ้นแก่ข้าพระองค์. --คามณิ ! ด้วยธรรมนี้ อันท่านเห็นแล้ว รู้แจ้งแล้ว บรรลุแล้ว หยั่งลงทั่วถึงแล้ว อันไม่ขึ้นอยู่กับเวลา ท่านจงนำไปซึ่งนัยนี้สู่ธรรมในอดีตและอนาคต ว่า “ทุกข์ใด ๆ ที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต ทุกข์ทั้งหมดนั้นมีฉันทะเป็นมูล มีฉันทะเป็นเหตุ เพราะว่า ฉันทะเป็นมูลเหตุแห่งทุกข์ ; และทุกข์ใด ๆ อันจะเกิดขึ้นใน อนาคต ทุกข์ทั้งหมดนั้นก็มีฉันทะเป็นมูล มีฉันทะเป็นเหตุ เพราะว่า #ฉันทะเป็นมูลเหตุแห่งทุกข์,” http://etipitaka.com/read/pali/18/405/?keywords=ฉนฺท ดังนี้.- #ทุกขสมุทัย​ #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - สฬา.สํ. 18/333/627. http://etipitaka.com/read/thai/18/333/?keywords=%E0%B9%96%E0%B9%92%E0%B9%97 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก :- สฬา.สํ. ๑๘/๔๐๓/๖๒๗. http://etipitaka.com/read/pali/18/403/?keywords=๖๒๗ ศึกษาเพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=293 http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=19&id=293 หรือ http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=19 ลำดับสาธยายธรรม : 19 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_19.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - อาการเกิดแห่งความทุกข์ (อีกปริยายหนึ่ง)ทรงแสดงด้วยฉันทราคะ
    -อาการเกิดแห่งความทุกข์ (อีกปริยายหนึ่ง) (ทรงแสดงด้วยฉันทราคะ) “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ข้าพระองค์ขอโอกาส ขอพระผู้มีพระภาค จงทรงแสดงซึ่งความเกิดและความดับไปแห่งทุกข์ แก่ข้าพระองค์เถิด.” คามณิ ! ถ้าเราจะแสดงความเกิดและความดับแห่งทุกข์แก่ท่าน ปรารภอดีตกาลนานไกลว่า มันได้มีแล้วอย่างนี้ในอดีตกาล ดังนี้ไซร้, ความสงสัยเคลือบแคลงในข้อนั้น ก็จะพึงมีแก่ท่าน. ถ้าเราจะแสดงความเกิดและความดับแห่งทุกข์ ปรารภอนาคตกาลนานไกล ว่ามันได้มีแล้วอย่างนี้ในอนาคตกาล ดังนี้ไซร้, ความสงสัยเคลือบแคลงแม้ในข้อนั้น ก็จะพึงมีแก่ท่าน. เอาละ คามณิ ! เรานั่งอยู่ที่นี่ จะแสดงความเกิดและความดับแห่งทุกข์แก่ท่าน ผู้นั่งอยู่ที่นี่ด้วยกัน, ท่านจงฟัง จงทำในใจให้ดี, เราจะกล่าว. คามณิ ! ท่านจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร : มีไหม มนุษย์ในหมู่บ้านอุรุเวลกัปปะนี้ ที่ถูกฆ่า ถูกจองจำ ถูกทำให้เสื่อมเสีย ถูกติเตียนแล้ว โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาส จะเกิดขึ้นแก่ท่าน ? “มี พระเจ้าข้า !” คามณิ ! มีไหม มนุษย์ในหมู่บ้านอุรุเวลกัปปะนี้ ที่ถูกฆ่า ถูกจองจำ ถูกทำให้เสื่อมเสีย ถูกติเตียนแล้ว โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาส จะไม่เกิดขึ้นแก่ท่าน ? “มี พระเจ้าข้า!” คามณิ ! อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นปัจจัย ที่ความโศก (เป็นต้น) เกิดขึ้น แก่ท่านเพราะมนุษย์พวกหนึ่ง และไม่เกิดขึ้นแก่ท่านเพราะมนุษย์พวกหนึ่ง ? “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! เพราะว่า ฉันทราคะของข้าพระองค์มีอยู่ ในหมู่มนุษย์ที่ทำให้ความโศก (เป็นต้น) เกิดขึ้นแก่ข้าพระองค์ และ ฉันทราคะของข้าพระองค์ไม่มีอยู่ ในหมู่มนุษย์ที่ไม่ทำให้ความโศก (เป็นต้น) เกิดขึ้นแก่ข้าพระองค์. คามณิ ! ด้วยธรรมนี้ อันท่านเห็นแล้ว รู้แจ้งแล้ว บรรลุแล้ว หยั่งลงทั่วถึงแล้ว อันไม่ขึ้นอยู่กับเวลา ท่านจงนำไปซึ่งนัยนี้สู่ธรรมในอดีตและอนาคต ว่า “ทุกข์ใด ๆ ที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต ทุกข์ทั้งหมดนั้นมีฉันทะเป็นมูล มีฉันทะ เป็นเหตุ เพราะว่า ฉันทะเป็นมูลเหตุแห่งทุกข์ ; และทุกข์ใด ๆ อันจะเกิดขึ้นใน อนาคต ทุกข์ทั้งหมดนั้นก็มีฉันทะเป็นมูล มีฉันทะเป็นเหตุ เพราะว่าฉันทะเป็นมูลเหตุแห่งทุกข์,” ดังนี้.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 38 มุมมอง 0 รีวิว
  • อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​การปฏิบัติเพื่อความสมดุลย์แห่งสมถะและวิปัสสนา
    สัทธรรมลำดับที่ : 1027
    ชื่อบทธรรม :- การปฏิบัติเพื่อความสมดุลย์แห่งสมถะและวิปัสสนา
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1027
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --การปฏิบัติเพื่อความสมดุลย์แห่งสมถะและวิปัสสนา
    --ภิกษุ ท. ! ในบรรดาสี่จำพวกนั้น
    http://etipitaka.com/read/pali/21/122/?keywords=เจโตสมถ
    ๑. บุคคลผู้ได้เจโตสมถะในภายใน แต่ไม่ได้อธิปัญญาธัมมวิปัสสนา นั้น
    บุคคลนั้น
    พึงเข้าไปหาบุคคล ผู้ได้อธิปัญญาธัมมวิปัสสนา
    แล้วถามว่า
    “ท่านผู้มีอายุ ! เราควรเห็นสังขารกันอย่างไร ?
    ควรพิจารณากันอย่างไร ?
    ควรเห็นแจ้งสังขารกันอย่างไร ?”
    ดังนี้.
    ผู้ถูกถามนั้น จะพยากรณ์ตามที่ตนเห็นแล้ว แจ่มแจ้งแล้วอย่างไร แก่บุคคลนั้นว่า
    “ท่านผู้มีอายุ ! สังขารควรเห็นกันอย่างนี้ๆ,
    สังขารควรพิจารณา กันอย่างนี้ๆ,
    สังขารควรเห็นแจ้งกันอย่างนี้ๆ”
    ดังนี้.
    สมัยต่อมา บุคคลนั้น ก็จะเป็นผู้ได้ทั้งเจโตสมถะในภายใน และอธิปัญญาธัมมวิปัสสนา.
    http://etipitaka.com/read/pali/21/123/?keywords=เจโตสมถ
    ๒. ภิกษุ ท. ! บุคคลผู้ได้อธิปัญญาธัมมวิปัสสนา แต่ไม่ได้เจโตสมถะในภายใน นั้น
    บุคคลนั้น
    พึงเข้าไปหาบุคคลผู้ได้เจโตสมถะในภายใน
    แล้วท่านถามว่า
    “ท่านผู้มีอายุ !
    จิต เป็นสิ่งที่ควรดำรงไว้ (สณฺฐเปตพฺพ) อย่างไร ?
    ควรถูกชักนำไป (สนฺนิยาเทตพฺพ) อย่างไร?
    ควรทำให้เป็นจิตมีอารมณ์เดียว (เอโกทิกตฺตพฺพ) อย่างไร ?
    ควรทำให้ตั้งมั่น (สมาทหาตพฺพ) อย่างไร ? ”
    ดังนี้.
    ผู้ถูกถามนั้นจะพยากรณ์ ตามที่ตนเห็นแล้ว แจ่มแจ้งแล้วอย่างไร แก่บุคคลนั้นว่า
    “ท่านผู้มีอายุ !
    จิต เป็นสิ่งที่ควรดำรงไว้ ด้วยอาการอย่างนี้ๆ,
    ควรถูกชักนำไป ด้วยอาการอย่างนี้ ๆ,
    ควรทำให้เป็นจิตมีอารมณ์เดียว ด้วยอาการอย่างนี้ๆ,
    ควรทำให้ตั้งมั่น ด้วยอาการอย่างนี้ๆ”
    ดังนี้.
    สมัยต่อมา บุคคลนั้น ก็จะเป็นผู้ได้ทั้งอธิปัญญาธัมมวิปัสสนาและเจโตสมถะในภายใน.
    http://etipitaka.com/read/pali/21/124/?keywords=เจโตสมถ
    ๓. ภิกษุ ท. ! บุคคลผู้ไม่ได้ทั้งเจโตสมถะในภายใน และอธิปัญญาธัมมวิปัสสนา นั้น
    บุคคลนั้น
    พึงเข้าไปหาผู้ได้ทั้งเจโตสมถะในภายในและอธิปัญญาธัมมวิปัสสนา
    แล้วถามว่า
    “ท่านผู้มีอายุ !
    จิตเป็นสิ่งที่ควรดำรงไว้อย่างไร ?
    ควรถูกชักนำไปอย่างไร ?
    ควรทำให้เป็นจิตมีอารมณ์เดียวอย่างไร ?
    ควรทำให้ตั้งมั่นอย่างไร?
    สังขารเป็นสิ่งที่ควรเห็นอย่างไร ?
    ควรพิจารณาอย่างไร ?
    ควรเห็นแจ้งอย่างไร ? ”
    ดังนี้.
    ผู้ถูกถามนั้นจะพยากรณ์ ตามที่ตน เห็นแล้วแจ่มแจ้งแล้วอย่างไร ? แก่บุคคลนั้น ว่า
    “ท่านผู้มีอายุ !
    จิตเป็นสิ่งที่ควรดำรงไว้ด้วยอาการอย่างนี้ๆ,
    ควรถูกชักนำไป ด้วยอาการอย่างนี้ๆ,
    ควรทำให้เป็นจิตมีอารมณ์เดียว ด้วยอาการอย่างนี้ๆ,
    ควรทำให้ตั้งมั่น ด้วยอาการ อย่างนี้ๆ;
    สังขารเป็นสิ่งที่ควรเห็นกันอย่างนี้ๆ,
    ควรพิจารณากันอย่างนี้ ๆ,
    ควรเห็นแจ้งกันอย่างนี้ ๆ”
    ดังนี้.
    สมัยต่อมา บุคคลนั้น ก็จะเป็นผู้ได้ ทั้งเจโตสมถะในภายในและอธิปัญญาธัมมวิปัสสนา.

    ๔. ภิกษุ ท. ! บุคคลผู้ได้ทั้งเจโตสมถะในภายใน และอธิปัญญาธัมมวิปัสสนา นั้น
    บุคคลนั้น พึงดำรงตนไว้ในธรรมทั้งสองนั้น
    #แล้วประกอบความเพียรเพื่อความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ให้ยิ่งขึ้นไป.
    http://etipitaka.com/read/pali/21/124/?keywords=อาสวานํ
    --ภิกษุ ท. ! บุคคล ๔ จำพวกเหล่านี้มีอยู่ หาได้อยู่ ในโลก.-

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์

    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - จตุกฺก. อํ. 21/94 - 98/94.
    http://etipitaka.com/read/thai/21/94/?keywords=%E0%B9%99%E0%B9%94
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - จตุกฺก. อํ. ๒๑/๑๒๒ - ๑๒๔/๙๔.
    http://etipitaka.com/read/pali/21/122/?keywords=%E0%B9%99%E0%B9%94
    ศึกษา​เพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1027
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=89&id=1027
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=89
    ลำดับสาธยายธรรม : 89 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_89.mp3
    อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​การปฏิบัติเพื่อความสมดุลย์แห่งสมถะและวิปัสสนา สัทธรรมลำดับที่ : 1027 ชื่อบทธรรม :- การปฏิบัติเพื่อความสมดุลย์แห่งสมถะและวิปัสสนา https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1027 เนื้อความทั้งหมด :- --การปฏิบัติเพื่อความสมดุลย์แห่งสมถะและวิปัสสนา --ภิกษุ ท. ! ในบรรดาสี่จำพวกนั้น http://etipitaka.com/read/pali/21/122/?keywords=เจโตสมถ ๑. บุคคลผู้ได้เจโตสมถะในภายใน แต่ไม่ได้อธิปัญญาธัมมวิปัสสนา นั้น บุคคลนั้น พึงเข้าไปหาบุคคล ผู้ได้อธิปัญญาธัมมวิปัสสนา แล้วถามว่า “ท่านผู้มีอายุ ! เราควรเห็นสังขารกันอย่างไร ? ควรพิจารณากันอย่างไร ? ควรเห็นแจ้งสังขารกันอย่างไร ?” ดังนี้. ผู้ถูกถามนั้น จะพยากรณ์ตามที่ตนเห็นแล้ว แจ่มแจ้งแล้วอย่างไร แก่บุคคลนั้นว่า “ท่านผู้มีอายุ ! สังขารควรเห็นกันอย่างนี้ๆ, สังขารควรพิจารณา กันอย่างนี้ๆ, สังขารควรเห็นแจ้งกันอย่างนี้ๆ” ดังนี้. สมัยต่อมา บุคคลนั้น ก็จะเป็นผู้ได้ทั้งเจโตสมถะในภายใน และอธิปัญญาธัมมวิปัสสนา. http://etipitaka.com/read/pali/21/123/?keywords=เจโตสมถ ๒. ภิกษุ ท. ! บุคคลผู้ได้อธิปัญญาธัมมวิปัสสนา แต่ไม่ได้เจโตสมถะในภายใน นั้น บุคคลนั้น พึงเข้าไปหาบุคคลผู้ได้เจโตสมถะในภายใน แล้วท่านถามว่า “ท่านผู้มีอายุ ! จิต เป็นสิ่งที่ควรดำรงไว้ (สณฺฐเปตพฺพ) อย่างไร ? ควรถูกชักนำไป (สนฺนิยาเทตพฺพ) อย่างไร? ควรทำให้เป็นจิตมีอารมณ์เดียว (เอโกทิกตฺตพฺพ) อย่างไร ? ควรทำให้ตั้งมั่น (สมาทหาตพฺพ) อย่างไร ? ” ดังนี้. ผู้ถูกถามนั้นจะพยากรณ์ ตามที่ตนเห็นแล้ว แจ่มแจ้งแล้วอย่างไร แก่บุคคลนั้นว่า “ท่านผู้มีอายุ ! จิต เป็นสิ่งที่ควรดำรงไว้ ด้วยอาการอย่างนี้ๆ, ควรถูกชักนำไป ด้วยอาการอย่างนี้ ๆ, ควรทำให้เป็นจิตมีอารมณ์เดียว ด้วยอาการอย่างนี้ๆ, ควรทำให้ตั้งมั่น ด้วยอาการอย่างนี้ๆ” ดังนี้. สมัยต่อมา บุคคลนั้น ก็จะเป็นผู้ได้ทั้งอธิปัญญาธัมมวิปัสสนาและเจโตสมถะในภายใน. http://etipitaka.com/read/pali/21/124/?keywords=เจโตสมถ ๓. ภิกษุ ท. ! บุคคลผู้ไม่ได้ทั้งเจโตสมถะในภายใน และอธิปัญญาธัมมวิปัสสนา นั้น บุคคลนั้น พึงเข้าไปหาผู้ได้ทั้งเจโตสมถะในภายในและอธิปัญญาธัมมวิปัสสนา แล้วถามว่า “ท่านผู้มีอายุ ! จิตเป็นสิ่งที่ควรดำรงไว้อย่างไร ? ควรถูกชักนำไปอย่างไร ? ควรทำให้เป็นจิตมีอารมณ์เดียวอย่างไร ? ควรทำให้ตั้งมั่นอย่างไร? สังขารเป็นสิ่งที่ควรเห็นอย่างไร ? ควรพิจารณาอย่างไร ? ควรเห็นแจ้งอย่างไร ? ” ดังนี้. ผู้ถูกถามนั้นจะพยากรณ์ ตามที่ตน เห็นแล้วแจ่มแจ้งแล้วอย่างไร ? แก่บุคคลนั้น ว่า “ท่านผู้มีอายุ ! จิตเป็นสิ่งที่ควรดำรงไว้ด้วยอาการอย่างนี้ๆ, ควรถูกชักนำไป ด้วยอาการอย่างนี้ๆ, ควรทำให้เป็นจิตมีอารมณ์เดียว ด้วยอาการอย่างนี้ๆ, ควรทำให้ตั้งมั่น ด้วยอาการ อย่างนี้ๆ; สังขารเป็นสิ่งที่ควรเห็นกันอย่างนี้ๆ, ควรพิจารณากันอย่างนี้ ๆ, ควรเห็นแจ้งกันอย่างนี้ ๆ” ดังนี้. สมัยต่อมา บุคคลนั้น ก็จะเป็นผู้ได้ ทั้งเจโตสมถะในภายในและอธิปัญญาธัมมวิปัสสนา. ๔. ภิกษุ ท. ! บุคคลผู้ได้ทั้งเจโตสมถะในภายใน และอธิปัญญาธัมมวิปัสสนา นั้น บุคคลนั้น พึงดำรงตนไว้ในธรรมทั้งสองนั้น #แล้วประกอบความเพียรเพื่อความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ให้ยิ่งขึ้นไป. http://etipitaka.com/read/pali/21/124/?keywords=อาสวานํ --ภิกษุ ท. ! บุคคล ๔ จำพวกเหล่านี้มีอยู่ หาได้อยู่ ในโลก.- #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - จตุกฺก. อํ. 21/94 - 98/94. http://etipitaka.com/read/thai/21/94/?keywords=%E0%B9%99%E0%B9%94 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - จตุกฺก. อํ. ๒๑/๑๒๒ - ๑๒๔/๙๔. http://etipitaka.com/read/pali/21/122/?keywords=%E0%B9%99%E0%B9%94 ศึกษา​เพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1027 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=89&id=1027 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=89 ลำดับสาธยายธรรม : 89 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_89.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - การปฏิบัติเพื่อความสมดุลย์แห่งสมถะและวิปัสสนา
    -(ในพระบาลีบางแห่ง (๑๔/๕๒๔/๘๒๙) ตรัสระบุมรรคหรืออริยสัจที่สี่ว่าได้แก่ สมถะและวิปัสสนา. ข้อความข้างบนนี้เกี่ยวข้องกับสมถะและวิปัสสนา จึงนำมาใส่ไว้ในหมวดนี้). การปฏิบัติเพื่อความสมดุลย์แห่งสมถะและวิปัสสนา ภิกษุ ท. ! ในบรรดาสี่จำพวกนั้น ๑. บุคคลผู้ได้เจโตสมถะในภายใน แต่ไม่ได้อธิปัญญาธัมมวิปัสสนา นั้น บุคคลนั้น พึงเข้าไปหาบุคคล ผู้ได้อธิปัญญาธัมมวิปัสสนา แล้วถามว่า “ท่านผู้มีอายุ ! เราควรเห็นสังขารกันอย่างไร ? ควรพิจารณากันอย่างไร ? ควรเห็นแจ้งสังขารกันอย่างไร ?” ดังนี้. ผู้ถูกถามนั้น จะพยากรณ์ตามที่ตนเห็นแล้ว แจ่มแจ้งแล้วอย่างไร แก่บุคคลนั้นว่า “ท่านผู้มีอายุ ! สังขารควรเห็นกันอย่างนี้ๆ, สังขารควรพิจารณา กันอย่างนี้ๆ, สังขารควรเห็นแจ้งกันอย่างนี้ๆ” ดังนี้. สมัยต่อมา บุคคลนั้น ก็จะเป็นผู้ได้ทั้งเจโตสมถะในภายใน และอธิปัญญาธัมมวิปัสสนา. ๒. ภิกษุ ท. ! บุคคลผู้ได้อธิปัญญาธัมมวิปัสสนา แต่ไม่ได้เจโตสมถะในภายใน นั้น บุคคลนั้น พึงเข้าไปหาบุคคลผู้ได้เจโตสมถะในภายใน แล้วท่านถามว่า “ท่านผู้มีอายุ ! จิต เป็นสิ่งที่ควรดำรงไว้ (สณฺฐเปตพพฺ) อย่างไร ? ควรถูกชักนำไป (สนฺนิยาเทตพฺพ) อย่างไร? ควรทำให้เป็นจิตมีอารมณ์เดียว (เอโกทิกตฺตพฺพ) อย่างไร ? ควรทำให้ตั้งมั่น (สมาทหาตพฺพ) อย่างไร ? ” ดังนี้. ผู้ถูกถามนั้นจะพยากรณ์ ตามที่ตนเห็นแล้ว แจ่มแจ้งแล้วอย่างไร แก่บุคคลนั้นว่า “ท่านผู้มีอายุ ! จิต เป็นสิ่งที่ควรดำรงไว้ ด้วยอาการอย่างนี้ๆ, ควรถูกชักนำไป ด้วยอาการอย่างนี้ ๆ, ควรทำให้เป็นจิตมีอารมณ์เดียว ด้วยอาการอย่างนี้ๆ, ควรทำให้ตั้งมั่น ด้วยอาการอย่างนี้ๆ” ดังนี้. สมัยต่อมา บุคคลนั้น ก็จะเป็นผู้ได้ทั้งอธิปัญญาธัมมวิปัสสนาและเจโตสมถะในภายใน. ๓. ภิกษุ ท. ! บุคคลผู้ไม่ได้ทั้งเจโตสมถะในภายใน และอธิปัญญาธัมมวิปัสสนานั้น บุคคลนั้น พึงเข้าไปหาผู้ได้ทั้งเจโตสมถะในภายในและ อธิปัญญาธัมมวิปัสสนา แล้วถามว่า “ท่านผู้มีอายุ ! จิตเป็นสิ่งที่ควรดำรงไว้อย่างไร ? ควรถูกชักนำไปอย่างไร ? ควรทำให้เป็นจิตมีอารมณ์เดียวอย่างไร ? ควรทำให้ตั้งมั่นอย่างไร? สังขารเป็นสิ่งที่ควรเห็นอย่างไร ? ควรพิจารณาอย่างไร ? ควรเห็นแจ้งอย่างไร ? ” ดังนี้. ผู้ถูกถามนั้นจะพยากรณ์ ตามที่ตน เห็นแล้วแจ่มแจ้งแล้วอย่างไร ? แก่บุคคลนั้น ว่า “ท่านผู้มีอายุ ! จิตเป็นสิ่งที่ควรดำรงไว้ด้วยอาการอย่างนี้ๆ, ควรถูกชักนำไป ด้วยอาการอย่างนี้ๆ, ควรทำให้เป็นจิตมีอารมณ์เดียว ด้วยอาการอย่างนี้ๆ, ควรทำให้ตั้งมั่น ด้วยอาการ อย่างนี้ๆ; สังขารเป็นสิ่งที่ควรเห็นกันอย่างนี้ๆ, ควรพิจารณากันอย่างนี้ ๆ, ควรเห็นแจ้งกันอย่างนี้ ๆ” ดังนี้. สมัยต่อมา บุคคลนั้น ก็จะเป็นผู้ได้ ทั้งเจโตสมถะในภายในและอธิปัญญาธัมมวิปัสสนา. ๔. ภิกษุ ท. ! บุคคลผู้ได้ทั้งเจโตสมถะในภายใน และอธิปัญญาธัมมวิปัสสนา นั้น บุคคลนั้น พึงดำรงตนไว้ในธรรมทั้งสองนั้น แล้วประกอบความเพียรเพื่อความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ให้ยิ่งขึ้นไป. ภิกษุ ท. ! บุคคล ๔ จำพวกเหล่านี้มีอยู่ หาได้อยู่ ในโลก.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 59 มุมมอง 0 รีวิว
  • อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาว่าการไม่เกิดอนุสัยสามเมื่อเสวยเวทนาสาม แล้วดับเย็น
    สัทธรรมลำดับที่ : 659
    ชื่อบทธรรม :- การไม่เกิดอนุสัยสามเมื่อเสวยเวทนาสาม แล้วดับเย็น
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=659
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --การไม่เกิดอนุสัยสามเมื่อเสวยเวทนาสาม แล้วดับเย็น
    (พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้าไปในโรงเป็นที่รักษาภิกษุเจ็บไข้
    ได้ประทานโอวาทแก่ภิกษุทั้งหลายในที่นั้นว่า : -)
    --ภิกษุ ท. ! ภิกษุ #พึงเป็นผู้มีสติมีสัมปชัญญะ เมื่อรอคอยการทำกาละ
    http://etipitaka.com/read/pali/18/260/?keywords=สมฺปชาโน+สติมา
    : นี้เป็นอนุสาสนีของเรา สำหรับพวกเธอทั้งหลาย.
    --ภิกษุ ท. ! ภิกษุ เป็นผู้มีสติ เป็นอย่างไรเล่า ?
    --ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้ เป็นผู้ตามเห็นกายในกายอยู่เป็นประจำ
    มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้ ;
    เป็นผู้ตามเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายอยู่เป็นประจำ....;
    เป็นผู้ตามเห็นจิตในจิตอยู่เป็นประจำ....;
    เป็นผู้ตามเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่เป็นประจำ
    มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้. อย่างนี้แล
    --ภิกษุ ท. ! เรียกว่า #ภิกษุเป็นผู้มีสติ.
    http://etipitaka.com/read/pali/18/260/?keywords=สโต
    --ภิกษุ ท. ! ภิกษุ เป็นผู้มีสัมปชัญญะ เป็นอย่างไรเล่า ?
    --ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้ เป็นผู้รู้ตัวรอบคอบในการก้าวไปข้างหน้า
    การถอยกลับไปข้างหลัง,
    การแลดู การเหลียวดู, การคู้ การเหยียด,
    การทรงสังฆาฏิ บาตร จีวร,
    การฉัน การดื่ม การเคี้ยว การลิ้ม,
    การถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ,
    การไป การหยุด, การนั่ง การนอน, การหลับ การตื่น, การพูด การนิ่ง,
    อย่างนี้แล
    --ภิกษุ ท. ! เรียกว่า #ภิกษุเป็นผู้มีสัมปชัญญะ.
    http://etipitaka.com/read/pali/18/261/?keywords=สมฺปชาโน
    --ภิกษุ ท. ! ภิกษุ พึงเป็นผู้มีสติ มีสัมปชัญญะ เมื่อรอคอยการทำกาละ
    : นี้แล เป็นอนุสาสนีของเราสำหรับพวกเธอทั้งหลาย.

    --ภิกษุ ท. ! ถ้าเมื่อภิกษุ มีสติ มีสัมปชัญญะ ไม่ประมาท มีความเพียรเผากิเลส มีตนส่งไปแล้วในธรรม อยู่ อย่างนี้, สุขเวทนา เกิดขึ้น ไซร้ ;
    +--เธอย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า
    “สุขเวทนานี้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา, แต่สุขเวทนานี้ อาศัยเหตุปัจจัยจึงเกิดขึ้นได้ ไม่อาศัยเหตุปัจจัยแล้วหาเกิดขึ้นได้ไม่.
    +--อาศัยเหตุปัจจัยอะไรเล่า ? อาศัยเหตุปัจจัยคือกายนี้ นั่นเอง
    ก็กายนี้ ไม่เที่ยง มีปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้น
    สุขเวทนาที่เกิดขึ้นเพราะอาศัยกายซึ่ง ไม่เที่ยง มีปัจจัยปรุงแต่ง
    อาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้น ดังนี้แล้ว จักเป็นสุขเวทนาที่เที่ยงมาแต่ไหน”
    ดังนี้.
    +--ภิกษุนั้น #เป็นผู้ตามเห็นความไม่เที่ยงอยู่
    ตามเห็นความเสื่อม ความจางคลายอยู่ ตามเห็นความดับไป ความสลัดคืนอยู่
    ในกายและในสุขเวทนา.
    +--เมื่อเธอเป็นผู้ตามเห็นความไม่เที่ยง (เป็นต้น) อยู่ในกายและในสุขเวทนาอยู่ดังนี้,
    เธอย่อมละเสียได้ ซึ่ง ราคานุสัย ในกายและในสุขเวทนานั้น.
    (ในกรณีถัดไปซึ่งเป็นการเสวย ทุกขเวทนา อันจะเป็นเหตุให้เกิด ปฏิฆานุสัย นั้น
    ก็ตรัสไว้ด้วยข้อความทำนองเดียวกัน ที่ภิกษุพิจารณาเห็นกายและทุกขเวทนานั้น
    ไม่เที่ยง เป็นของปรุงแต่ง อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น
    ก็ละปฏิฆานุสัยในกายและในทุกขเวทนานั้นเสียได้.
    ในกรณีถัดไปอีก แห่งการเสวย อทุกขมสุขเวทนา อันจะเป็นทางให้เกิด อวิชชานุสัย
    ก็ได้ตรัสวิธีปฏิบัติในการพิจารณาเห็นกายและอทุกขมสุขเวทนานั้น โดยทำนองเดียวกัน จนละอวิชชานุสัยเสียได้).
    +--ภิกษุนั้น ถ้าเสวย สุขเวทนา ก็รู้ชัดว่า
    “ สุขเวทนานั้น เป็นของไม่เที่ยง, และเป็นเวทนาที่เรามิได้มัวเมาเพลิดเพลินอยู่”
    ดังนี้.
    +--ถ้าเสวย ทุกขเวทนา ก็รู้ชัดว่า “ทุกขเวทนานั้น เป็นของไม่เที่ยง,
    และเป็นเวทนาที่เรามิได้มัวเมาเพลิดเพลินอยู่” ดังนี้.
    +-ถ้าเสวย อทุกขมสุขเวทนา ก็รู้ชัดว่า “อทุกขมสุขเวทนานั้น เป็นของไม่เที่ยง,
    และเป็นเวทนาที่เรามิได้มัวเมาเพลิดเพลินอยู่” ดังนี้.
    +--ภิกษุนั้น ถ้าเสวย สุขเวทนา ก็เป็นผู้ปราศจากกิเลสอันเกิดจากเวทนานั้นเป็นเครื่องร้อยรัดแล้ว เสวยเวทนานั้น;
    +--ถ้าเสวย ทุกขเวทนา ก็เป็นผู้ปราศจากกิเลสอันเกิดจากเวทนานั้นเป็นเครื่องร้อยรัดแล้ว เสวยเวทนานั้น;
    +--ถ้าเสวย อทุกขมสุขเวทนา ก็เป็นผู้ปราศจากกิเลสอันเกิดจากเวทนานั้นเป็นเครื่องร้อยรัดแล้ว เสวยเวทนานั้น.
    +--ภิกษุนั้น เมื่อเสวย เวทนาอันมีกายเป็นที่สุดรอบ
    ย่อมรู้ชัดว่าเราเสวยเวทนาอันมีกายเป็นที่สุดรอบ ;
    +--เมื่อเสวย เวทนาอันมีชีวิตเป็นที่สุดรอบ
    ย่อมรู้ชัดว่าเราเสวยเวทนาอันมีชีวิตเป็นที่สุดรอบ.
    เธอย่อม รู้ชัดว่า เวทนาทั้งปวง อันเราไม่เพลิดเพลินแล้ว
    จักเป็นของเย็นในอัตตภาพนี้นั่นเทียว จนกระทั่งถึงที่สุดรอบแห่งชีวิต
    เพราะการแตกทำลายแห่งกาย ดังนี้.

    --ภิกษุ ท. ! เปรียบเหมือนประทีปน้ำมัน ได้อาศัยน้ำมันและไส้แล้ว ก็ลุกโพลงอยู่ได้,
    เมื่อขาดปัจจัยเครื่องหล่อเลี้ยง เพราะขาดน้ำมันและไส้นั้นแล้ว ย่อมดับลง, นี้ฉันใด ;
    http://etipitaka.com/read/pali/18/264/?keywords=สมฺปชาโน+สติมา
    --ภิกษุ ท. ! ข้อนี้ก็ฉันนั้น คือภิกษุ
    เมื่อเสวยเวทนาอันมีกายเป็นที่สุดรอบ,
    #ก็รู้ชัดว่าเราเสวยเวทนาอันมีกายเป็นที่สุดรอบ ดังนี้.
    เมื่อเสวยเวทนาอันมีชีวิตเป็นที่สุดรอบ
    #ก็รู้ชัดว่าเราเสวยเวทนาอันมีชีวิตเป็นที่สุดรอบ ดังนี้.
    (เป็นอันว่า) ภิกษุนั้นย่อมรู้ชัดว่า
    เวทนาทั้งปวงอันเรา
    ไม่เพลิดเพลินแล้ว
    จักเป็นของเย็นในอัตตภาพนี้นั่นเทียว
    จนกระทั่งถึงที่สุดรอบแห่งชีวิต
    เพราะการแตกทำลายแห่งกาย
    http://etipitaka.com/read/pali/18/264/?keywords=กายสฺส
    ดังนี้.-

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์

    อ้างอิงไทสสุตันตปิฎก : - สฬา. สํ. 18/224/374-381.
    http://etipitaka.com/read/thai/18/224/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%97%E0%B9%94
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - สฬา. สํ. ๑๘/๒๖๐/๓๗๔-๓๘๑.
    http://etipitaka.com/read/pali/18/260/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%97%E0%B9%94
    ศึกษาเพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=659
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=45&id=659
    หรือ
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=45
    ลำดับสาธยายธรรม : 45 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_45.mp3
    อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาว่าการไม่เกิดอนุสัยสามเมื่อเสวยเวทนาสาม แล้วดับเย็น สัทธรรมลำดับที่ : 659 ชื่อบทธรรม :- การไม่เกิดอนุสัยสามเมื่อเสวยเวทนาสาม แล้วดับเย็น https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=659 เนื้อความทั้งหมด :- --การไม่เกิดอนุสัยสามเมื่อเสวยเวทนาสาม แล้วดับเย็น (พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้าไปในโรงเป็นที่รักษาภิกษุเจ็บไข้ ได้ประทานโอวาทแก่ภิกษุทั้งหลายในที่นั้นว่า : -) --ภิกษุ ท. ! ภิกษุ #พึงเป็นผู้มีสติมีสัมปชัญญะ เมื่อรอคอยการทำกาละ http://etipitaka.com/read/pali/18/260/?keywords=สมฺปชาโน+สติมา : นี้เป็นอนุสาสนีของเรา สำหรับพวกเธอทั้งหลาย. --ภิกษุ ท. ! ภิกษุ เป็นผู้มีสติ เป็นอย่างไรเล่า ? --ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้ เป็นผู้ตามเห็นกายในกายอยู่เป็นประจำ มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้ ; เป็นผู้ตามเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายอยู่เป็นประจำ....; เป็นผู้ตามเห็นจิตในจิตอยู่เป็นประจำ....; เป็นผู้ตามเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่เป็นประจำ มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้. อย่างนี้แล --ภิกษุ ท. ! เรียกว่า #ภิกษุเป็นผู้มีสติ. http://etipitaka.com/read/pali/18/260/?keywords=สโต --ภิกษุ ท. ! ภิกษุ เป็นผู้มีสัมปชัญญะ เป็นอย่างไรเล่า ? --ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้ เป็นผู้รู้ตัวรอบคอบในการก้าวไปข้างหน้า การถอยกลับไปข้างหลัง, การแลดู การเหลียวดู, การคู้ การเหยียด, การทรงสังฆาฏิ บาตร จีวร, การฉัน การดื่ม การเคี้ยว การลิ้ม, การถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ, การไป การหยุด, การนั่ง การนอน, การหลับ การตื่น, การพูด การนิ่ง, อย่างนี้แล --ภิกษุ ท. ! เรียกว่า #ภิกษุเป็นผู้มีสัมปชัญญะ. http://etipitaka.com/read/pali/18/261/?keywords=สมฺปชาโน --ภิกษุ ท. ! ภิกษุ พึงเป็นผู้มีสติ มีสัมปชัญญะ เมื่อรอคอยการทำกาละ : นี้แล เป็นอนุสาสนีของเราสำหรับพวกเธอทั้งหลาย. --ภิกษุ ท. ! ถ้าเมื่อภิกษุ มีสติ มีสัมปชัญญะ ไม่ประมาท มีความเพียรเผากิเลส มีตนส่งไปแล้วในธรรม อยู่ อย่างนี้, สุขเวทนา เกิดขึ้น ไซร้ ; +--เธอย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า “สุขเวทนานี้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา, แต่สุขเวทนานี้ อาศัยเหตุปัจจัยจึงเกิดขึ้นได้ ไม่อาศัยเหตุปัจจัยแล้วหาเกิดขึ้นได้ไม่. +--อาศัยเหตุปัจจัยอะไรเล่า ? อาศัยเหตุปัจจัยคือกายนี้ นั่นเอง ก็กายนี้ ไม่เที่ยง มีปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้น สุขเวทนาที่เกิดขึ้นเพราะอาศัยกายซึ่ง ไม่เที่ยง มีปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้น ดังนี้แล้ว จักเป็นสุขเวทนาที่เที่ยงมาแต่ไหน” ดังนี้. +--ภิกษุนั้น #เป็นผู้ตามเห็นความไม่เที่ยงอยู่ ตามเห็นความเสื่อม ความจางคลายอยู่ ตามเห็นความดับไป ความสลัดคืนอยู่ ในกายและในสุขเวทนา. +--เมื่อเธอเป็นผู้ตามเห็นความไม่เที่ยง (เป็นต้น) อยู่ในกายและในสุขเวทนาอยู่ดังนี้, เธอย่อมละเสียได้ ซึ่ง ราคานุสัย ในกายและในสุขเวทนานั้น. (ในกรณีถัดไปซึ่งเป็นการเสวย ทุกขเวทนา อันจะเป็นเหตุให้เกิด ปฏิฆานุสัย นั้น ก็ตรัสไว้ด้วยข้อความทำนองเดียวกัน ที่ภิกษุพิจารณาเห็นกายและทุกขเวทนานั้น ไม่เที่ยง เป็นของปรุงแต่ง อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น ก็ละปฏิฆานุสัยในกายและในทุกขเวทนานั้นเสียได้. ในกรณีถัดไปอีก แห่งการเสวย อทุกขมสุขเวทนา อันจะเป็นทางให้เกิด อวิชชานุสัย ก็ได้ตรัสวิธีปฏิบัติในการพิจารณาเห็นกายและอทุกขมสุขเวทนานั้น โดยทำนองเดียวกัน จนละอวิชชานุสัยเสียได้). +--ภิกษุนั้น ถ้าเสวย สุขเวทนา ก็รู้ชัดว่า “ สุขเวทนานั้น เป็นของไม่เที่ยง, และเป็นเวทนาที่เรามิได้มัวเมาเพลิดเพลินอยู่” ดังนี้. +--ถ้าเสวย ทุกขเวทนา ก็รู้ชัดว่า “ทุกขเวทนานั้น เป็นของไม่เที่ยง, และเป็นเวทนาที่เรามิได้มัวเมาเพลิดเพลินอยู่” ดังนี้. +-ถ้าเสวย อทุกขมสุขเวทนา ก็รู้ชัดว่า “อทุกขมสุขเวทนานั้น เป็นของไม่เที่ยง, และเป็นเวทนาที่เรามิได้มัวเมาเพลิดเพลินอยู่” ดังนี้. +--ภิกษุนั้น ถ้าเสวย สุขเวทนา ก็เป็นผู้ปราศจากกิเลสอันเกิดจากเวทนานั้นเป็นเครื่องร้อยรัดแล้ว เสวยเวทนานั้น; +--ถ้าเสวย ทุกขเวทนา ก็เป็นผู้ปราศจากกิเลสอันเกิดจากเวทนานั้นเป็นเครื่องร้อยรัดแล้ว เสวยเวทนานั้น; +--ถ้าเสวย อทุกขมสุขเวทนา ก็เป็นผู้ปราศจากกิเลสอันเกิดจากเวทนานั้นเป็นเครื่องร้อยรัดแล้ว เสวยเวทนานั้น. +--ภิกษุนั้น เมื่อเสวย เวทนาอันมีกายเป็นที่สุดรอบ ย่อมรู้ชัดว่าเราเสวยเวทนาอันมีกายเป็นที่สุดรอบ ; +--เมื่อเสวย เวทนาอันมีชีวิตเป็นที่สุดรอบ ย่อมรู้ชัดว่าเราเสวยเวทนาอันมีชีวิตเป็นที่สุดรอบ. เธอย่อม รู้ชัดว่า เวทนาทั้งปวง อันเราไม่เพลิดเพลินแล้ว จักเป็นของเย็นในอัตตภาพนี้นั่นเทียว จนกระทั่งถึงที่สุดรอบแห่งชีวิต เพราะการแตกทำลายแห่งกาย ดังนี้. --ภิกษุ ท. ! เปรียบเหมือนประทีปน้ำมัน ได้อาศัยน้ำมันและไส้แล้ว ก็ลุกโพลงอยู่ได้, เมื่อขาดปัจจัยเครื่องหล่อเลี้ยง เพราะขาดน้ำมันและไส้นั้นแล้ว ย่อมดับลง, นี้ฉันใด ; http://etipitaka.com/read/pali/18/264/?keywords=สมฺปชาโน+สติมา --ภิกษุ ท. ! ข้อนี้ก็ฉันนั้น คือภิกษุ เมื่อเสวยเวทนาอันมีกายเป็นที่สุดรอบ, #ก็รู้ชัดว่าเราเสวยเวทนาอันมีกายเป็นที่สุดรอบ ดังนี้. เมื่อเสวยเวทนาอันมีชีวิตเป็นที่สุดรอบ #ก็รู้ชัดว่าเราเสวยเวทนาอันมีชีวิตเป็นที่สุดรอบ ดังนี้. (เป็นอันว่า) ภิกษุนั้นย่อมรู้ชัดว่า เวทนาทั้งปวงอันเรา ไม่เพลิดเพลินแล้ว จักเป็นของเย็นในอัตตภาพนี้นั่นเทียว จนกระทั่งถึงที่สุดรอบแห่งชีวิต เพราะการแตกทำลายแห่งกาย http://etipitaka.com/read/pali/18/264/?keywords=กายสฺส ดังนี้.- #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทสสุตันตปิฎก : - สฬา. สํ. 18/224/374-381. http://etipitaka.com/read/thai/18/224/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%97%E0%B9%94 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - สฬา. สํ. ๑๘/๒๖๐/๓๗๔-๓๘๑. http://etipitaka.com/read/pali/18/260/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%97%E0%B9%94 ศึกษาเพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=659 http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=45&id=659 หรือ http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=45 ลำดับสาธยายธรรม : 45 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_45.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - การไม่เกิดอนุสัยสามเมื่อเสวยเวทนาสาม แล้วดับเย็น
    -การไม่เกิดอนุสัยสามเมื่อเสวยเวทนาสาม แล้วดับเย็น (พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้าไปในโรงเป็นที่รักษาภิกษุเจ็บไข้ ได้ประทานโอวาทแก่ภิกษุทั้งหลายในที่นั้นว่า : -) ภิกษุ ท. ! ภิกษุ พึงเป็นผู้มีสติ มีสัมปชัญญะ เมื่อรอคอยการทำกาละ : นี้เป็นอนุสาสนีของเรา สำหรับพวกเธอทั้งหลาย. ภิกษุ ท. ! ภิกษุ เป็นผู้มีสติ เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้ เป็นผู้ตามเห็นกายในกายอยู่เป็นประจำ มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้ ; เป็นผู้ตามเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายอยู่เป็นประจำ....; เป็นผู้ตามเห็นจิตในจิตอยู่เป็นประจำ....; เป็นผู้ตามเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่เป็นประจำ มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้. อย่างนี้แล ภิกษุ ท. ! เรียกว่า ภิกษุเป็นผู้มีสติ. ภิกษุ ท. ! ภิกษุ เป็นผู้มีสัมปชัญญะ เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้ เป็นผู้รู้ตัวรอบคอบในการก้าวไปข้างหน้า การถอยกลับไปข้างหลัง, การแลดู การเหลียวดู, การคู้ การเหยียด, การทรงสังฆาฏิ บาตร จีวร, การฉัน การดื่ม การเคี้ยว การลิ้ม, การถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ, การไป การหยุด, การนั่ง การนอน, การหลับ การตื่น, การพูด การนิ่ง, อย่างนี้แล ภิกษุ ท. ! เรียกว่า ภิกษุเป็นผู้มีสัมปชัญญะ. ภิกษุ ท. ! ภิกษุ พึงเป็นผู้มีสติ มีสัมปชัญญะ เมื่อรอคอยการทำกาละ : นี้แล เป็นอนุสาสนีของเราสำหรับพวกเธอทั้งหลาย. ภิกษุ ท. ! ถ้าเมื่อภิกษุ มีสติ มีสัมปชัญญะ ไม่ประมาท มีความเพียรเผากิเลส มีตนส่งไปแล้วในธรรม อยู่ อย่างนี้, สุขเวทนา เกิดขึ้น ไซร้ ; เธอย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า “สุขเวทนานี้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา, แต่สุขเวทนานี้ อาศัยเหตุปัจจัยจึงเกิดขึ้นได้ ไม่อาศัยเหตุปัจจัยแล้วหาเกิดขึ้นได้ไม่. อาศัยเหตุปัจจัยอะไรเล่า ? อาศัยเหตุปัจจัยคือกายนี้ นั่นเอง ก็กายนี้ ไม่เที่ยง มีปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้น สุขเวทนาที่เกิดขึ้นเพราะอาศัยกายซึ่งไม่เที่ยง มีปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้น ดังนี้แล้ว จักเป็นสุขเวทนาที่เที่ยงมาแต่ไหน” ดังนี้. ภิกษุนั้น เป็นผู้ตามเห็นความไม่เที่ยงอยู่ ตามเห็นความเสื่อม ความจางคลายอยู่ ตามเห็นความดับไป ความสลัดคืนอยู่ ในกายและในสุขเวทนา. เมื่อเธอเป็นผู้ตามเห็นความไม่เที่ยง (เป็นต้น) อยู่ในกายและในสุขเวทนาอยู่ดังนี้, เธอย่อมละเสียได้ ซึ่ง ราคานุสัย ในกายและในสุขเวทนานั้น. (ในกรณีถัดไปซึ่งเป็นการเสวย ทุกขเวทนา อันจะเป็นเหตุให้เกิด ปฏิฆานุสัย นั้น ก็ตรัสไว้ด้วยข้อความทำนองเดียวกัน ที่ภิกษุพิจารณาเห็นกายและทุกขเวทนานั้นไม่เที่ยง เป็นของปรุงแต่ง อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น ก็ละปฏิฆานุสัยในกายและในทุกขเวทนานั้นเสียได้. ในกรณีถัดไปอีก แห่งการเสวย อทุกขมสุขเวทนา อันจะเป็นทางให้เกิด อวิชชานุสัย ก็ได้ตรัสวิธีปฏิบัติในการพิจารณาเห็นกายและอทุกขมสุขเวทนานั้น โดยทำนองเดียวกัน จนละอวิชชานุสัยเสียได้). ภิกษุนั้น ถ้าเสวย สุขเวทนา ก็รู้ชัดว่า “ สุขเวทนานั้น เป็นของไม่เที่ยง, และเป็นเวทนาที่เรามิได้มัวเมาเพลิดเพลินอยู่” ดังนี้. ถ้าเสวย ทุกขเวทนา ก็รู้ชัดว่า “ทุกขเวทนานั้น เป็นของไม่เที่ยง, และเป็นเวทนาที่เรามิได้มัวเมาเพลิดเพลินอยู่” ดังนี้. ถ้าเสวย อทุกขมสุขเวทนา ก็รู้ชัดว่า “อทุกขมสุขเวทนานั้น เป็นของไม่เที่ยง, และเป็นเวทนาที่เรามิได้มัวเมาเพลิดเพลินอยู่” ดังนี้. ภิกษุนั้น ถ้าเสวย สุขเวทนา ก็เป็นผู้ปราศจากกิเลสอันเกิดจากเวทนานั้นเป็นเครื่องร้อยรัดแล้ว เสวยเวทนานั้น; ถ้าเสวย ทุกขเวทนา ก็เป็นผู้ปราศจากกิเลสอันเกิดจากเวทนานั้นเป็นเครื่องร้อยรัดแล้ว เสวยเวทนานั้น; ถ้าเสวย อทุกขมสุขเวทนา ก็เป็นผู้ปราศจากกิเลสอันเกิดจากเวทนานั้นเป็นเครื่องร้อยรัดแล้ว เสวยเวทนานั้น. ภิกษุนั้น เมื่อเสวย เวทนาอันมีกายเป็นที่สุดรอบ ย่อมรู้ชัดว่าเราเสวยเวทนาอันมีกายเป็นที่สุดรอบ ; เมื่อเสวย เวทนาอันมีชีวิตเป็นที่สุดรอบ ย่อมรู้ชัดว่าเราเสวยเวทนาอันมีชีวิตเป็นที่สุดรอบ. เธอย่อม รู้ชัดว่า เวทนาทั้งปวง อันเราไม่เพลิดเพลินแล้ว จักเป็นของเย็นในอัตตภาพนี้นั่นเทียว จนกระทั่งถึงที่สุดรอบแห่งชีวิต เพราะการแตกทำลายแห่งกาย ดังนี้. ภิกษุ ท. ! เปรียบเหมือนประทีปน้ำมัน ได้อาศัยน้ำมันและไส้แล้ว ก็ลุกโพลงอยู่ได้, เมื่อขาดปัจจัยเครื่องหล่อเลี้ยง เพราะขาดน้ำมันและไส้นั้นแล้ว ย่อมดับลง, นี้ฉันใด ; ภิกษุ ท. ! ข้อนี้ก็ฉันนั้น คือภิกษุ เมื่อเสวย เวทนาอันมีกายเป็นที่สุดรอบ, ก็รู้ชัดว่าเราเสวยเวทนาอันมีกายเป็นที่สุดรอบ ดังนี้. เมื่อเสวยเวทนาอันมีชีวิตเป็นที่สุดรอบ ก็รู้ชัดว่าเราเสวยเวทนาอันมีชีวิตเป็นที่สุดรอบ ดังนี้. (เป็นอันว่า) ภิกษุนั้นย่อมรู้ชัดว่า เวทนาทั้งปวงอันเราไม่เพลิดเพลินแล้ว จักเป็นของเย็นในอัตตภาพนี้นั่นเทียว จนกระทั่งถึงที่สุดรอบแห่งชีวิต เพราะการแตกทำลายแห่งกาย ดังนี้.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 50 มุมมอง 0 รีวิว
  • อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาอาการเกิดแห่งความทุกข์ (อีกปริยายหนึ่ง)
    สัทธรรมลำดับที่ : 292
    ชื่อบทธรรม :- อาการเกิดแห่งความทุกข์ (อีกปริยายหนึ่ง)
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=292
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --อาการเกิดแห่งความทุกข์ (อีกปริยายหนึ่ง)
    (ทรงแสดงด้วยนันทิ)
    --ภิกษุ ท. ! ภิกษุนั้นย่อมเพลิดเพลิน ย่อมพร่ำสรรเสริญ ย่อมเมาหมกอยู่ ซึ่งรูป.
    เมื่อภิกษุนั้นเพลิดเพลิน พร่ำสรรเสริญ เมาหมกอยู่ ซึ่งรูป,
    นันทิ (ความเพลิน) ย่อมเกิดขึ้น.
    http://etipitaka.com/read/pali/17/18/?keywords=นนฺทิ+รูป
    ความเพลินใด ในรูป,
    ความเพลินนั้นคืออุปาทาน. เพราะอุปาทานของภิกษุนั้นเป็นปัจจัย จึงมีภพ ;
    เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ ;
    เพราะมีชาติเป็นปัจจัย, ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นพร้อม : ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้.
    (ในกรณีแห่ง
    เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ
    ก็มีข้อความที่ตรัสอย่างเดียวกับในกรณีแห่งรูป
    ).
    บุคคลย่อมเพลิดเพลิน ซึ่งเวทนา... ฯลฯ
    ย่อมเพลิดเพลิน ซึ่งสัญญา... ฯลฯ
    ย่อมเพลิดเพลิน ซึ่งสังขาร....ฯลฯ
    ย่อมเพลิดเพลิน ย่อมพร่ำถึง ย่อมดื่มด่ำอยู่ ซึ่งวิญญาณ
    เมื่อเพลิดเพลิน พร่ำถึง ดื่มด่ำอยู่ ซึ่งวิญญาณ
    http://etipitaka.com/read/pali/17/20/?keywords=นนฺทิ+วิญฺญาณ
    ความยินดีย่อมเกิดขึ้น
    ความยินดีในวิญญาณ นั่นเป็นอุปาทาน
    เพราะอุปาทานของบุคคลนั้นเป็นปัจจัย จึงมีภพ
    เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ
    เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์โทมนัสและอุปายาส.
    ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้.
    --ภิกษุ​ ท.(ทั้งหลาย)​
    นี่เป็น ความเกิดแห่งรูป
    นี่เป็น ความเกิดแห่งเวทนา
    นี่เป็น ความเกิดแห่งสัญญา
    นี่เป็น ความเกิดแห่งสังขาร
    นี่เป็น ความเกิดแห่งวิญญาณ.
    #ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้.

    #ทุกขสมุทัย #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทสสุตันตปิฎก : - ขนฺธ. สํ. 17/13/28.
    http://etipitaka.com/read/thai/17/13/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%98
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๑๘/๒๘.
    http://etipitaka.com/read/pali/17/18/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%98
    ศึกษาเพิ่มเติม...
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=19&id=292
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=19
    ลำดับสาธยายธรรม : 19 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_19.mp3
    อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาอาการเกิดแห่งความทุกข์ (อีกปริยายหนึ่ง) สัทธรรมลำดับที่ : 292 ชื่อบทธรรม :- อาการเกิดแห่งความทุกข์ (อีกปริยายหนึ่ง) https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=292 เนื้อความทั้งหมด :- --อาการเกิดแห่งความทุกข์ (อีกปริยายหนึ่ง) (ทรงแสดงด้วยนันทิ) --ภิกษุ ท. ! ภิกษุนั้นย่อมเพลิดเพลิน ย่อมพร่ำสรรเสริญ ย่อมเมาหมกอยู่ ซึ่งรูป. เมื่อภิกษุนั้นเพลิดเพลิน พร่ำสรรเสริญ เมาหมกอยู่ ซึ่งรูป, นันทิ (ความเพลิน) ย่อมเกิดขึ้น. http://etipitaka.com/read/pali/17/18/?keywords=นนฺทิ+รูป ความเพลินใด ในรูป, ความเพลินนั้นคืออุปาทาน. เพราะอุปาทานของภิกษุนั้นเป็นปัจจัย จึงมีภพ ; เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ ; เพราะมีชาติเป็นปัจจัย, ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นพร้อม : ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้. (ในกรณีแห่ง เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ก็มีข้อความที่ตรัสอย่างเดียวกับในกรณีแห่งรูป ). บุคคลย่อมเพลิดเพลิน ซึ่งเวทนา... ฯลฯ ย่อมเพลิดเพลิน ซึ่งสัญญา... ฯลฯ ย่อมเพลิดเพลิน ซึ่งสังขาร....ฯลฯ ย่อมเพลิดเพลิน ย่อมพร่ำถึง ย่อมดื่มด่ำอยู่ ซึ่งวิญญาณ เมื่อเพลิดเพลิน พร่ำถึง ดื่มด่ำอยู่ ซึ่งวิญญาณ http://etipitaka.com/read/pali/17/20/?keywords=นนฺทิ+วิญฺญาณ ความยินดีย่อมเกิดขึ้น ความยินดีในวิญญาณ นั่นเป็นอุปาทาน เพราะอุปาทานของบุคคลนั้นเป็นปัจจัย จึงมีภพ เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์โทมนัสและอุปายาส. ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้. --ภิกษุ​ ท.(ทั้งหลาย)​ นี่เป็น ความเกิดแห่งรูป นี่เป็น ความเกิดแห่งเวทนา นี่เป็น ความเกิดแห่งสัญญา นี่เป็น ความเกิดแห่งสังขาร นี่เป็น ความเกิดแห่งวิญญาณ. #ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้. #ทุกขสมุทัย #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทสสุตันตปิฎก : - ขนฺธ. สํ. 17/13/28. http://etipitaka.com/read/thai/17/13/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%98 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๑๘/๒๘. http://etipitaka.com/read/pali/17/18/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%98 ศึกษาเพิ่มเติม... http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=19&id=292 http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=19 ลำดับสาธยายธรรม : 19 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_19.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - อาการเกิดแห่งความทุกข์ (อีกปริยายหนึ่ง)
    -อาการเกิดแห่งความทุกข์ (อีกปริยายหนึ่ง) (ทรงแสดงด้วยนันทิ) ภิกษุ ท. ! ภิกษุนั้นย่อมเพลิดเพลิน ย่อมพร่ำสรรเสริญ ย่อมเมาหมกอยู่ ซึ่งรูป. เมื่อภิกษุนั้นเพลิดเพลิน พร่ำสรรเสริญ เมาหมกอยู่ ซึ่งรูป, นันทิ (ความเพลิน) ย่อมเกิดขึ้น. ความเพลินใด ในรูป, ความเพลินนั้นคืออุปาทาน. เพราะอุปาทานของภิกษุนั้นเป็นปัจจัย จึงมีภพ ; เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ ; เพราะมีชาติเป็นปัจจัย, ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นพร้อม : ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้. (ในกรณีแห่งเวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ก็มีข้อความที่ตรัสอย่างเดียวกับในกรณีแห่งรูป).
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 56 มุมมอง 0 รีวิว
  • อริยสาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​พึงทำความสมดุลย์ของสมถะและวิปัสสนา
    สัทธรรมลำดับที่ : 1026
    ชื่อบทธรรม :- พึงทำความสมดุลย์ของสมถะและวิปัสสนา
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1026
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --พึงทำความสมดุลย์ของสมถะและวิปัสสนา
    --ภิกษุ ท. ! บุคคล ๔ จำพวกเหล่านี้ มีอยู่ หาได้อยู่ ในโลก.
    สี่จำพวกอย่างไรเล่า ? สี่คือ
    http://etipitaka.com/read/pali/21/121/?keywords=อธิปญฺญาธมฺมวิปสฺสนาย+เจโตสมถสฺส
    ๑.บุคคลบางคน ได้เจโตสมถะในภายใน แต่ไม่ได้ธัมมวิปัสสนาด้วยอธิปัญญา;
    ๒.บุคคลบางคน ได้ธัมมวิปัสสนาด้วยอธิปัญญา แต่ไม่ได้เจโตสมถะในภายใน;
    ๓.บุคคลบางคน ไม่ได้ทั้งเจโตสมถะในภายในและไม่ได้ธัมมวิปัสสนาด้วยอธิปัญญาด้วย;
    ๔.บุคคลบางคน ได้ทั้งเจโตในภายในด้วยและได้ธัมมวิปัสสนาด้วยอธิปัญญาด้วย.

    --ภิกษุ ท. ! ในบรรดาบุคคล ๔ จำพวกนั้น
    +--๑. บุคคลผู้ได้เจโตสมถะ ในภายใน แต่ไม่ได้ธัมมวิปัสสนาด้วยอธิปัญญานั้น
    บุคคลนั้น ควรดำรงตน อยู่ในเจโตสมถะในภายใน
    แล้วประกอบความเพียรในธัมมวิปัสสนาด้วยอธิปัญญาเถิด.
    สมัยต่อมาเขาก็จะเป็นผู้ได้ทั้งเจโตสมถะในภายใน และได้อธิปัญญาธัมมวิปัสสนาด้วย.
    +--๒. ภิกษุ ท. ! บุคคลผู้ได้อธิปัญญาธัมมวิปัสสนา แต่ไม่ได้เจโตสมถะในภายในนั้น
    บุคคลนั้น ควรดำรงตนอยู่ในอธิปัญญาธัมมวิปัสสนา
    แล้วประกอบความเพียรในเจโตสมถะในภายใน.
    สมัยต่อมา เขาจะเป็นผู้ได้ทั้งอธิปัญญาธัมมวิปัสสนาด้วย และได้เจโตสมถะในภายในด้วย.
    +--๓. ภิกษุ ท. ! บุคคลผู้ไม่ได้ทั้งเจโตสมถะในภายใน และไม่ได้ อธิปัญญาธัมมวิปัสสนานั้น บุคคลนั้น
    เพื่อให้ได้ซึ่งกุศลธรรมทั้งสองอย่างนั้น พึง
    -กระทำโดยประมาณอันยิ่งซึ่ง ฉันทะ (ความพอใจ)
    -วายามะ (ความพยายาม)
    -อุสสาหะ อุสโสฬ๎หี (ความขะมักเขม้น)
    -อัปปฏิวาณี (ความไม่ถอยหลัง)
    -สติ และสัมปชัญญะ
    ให้เหมือนกับคนมีไฟลุกโพลงที่เสื้อผ้าหรือที่ศีรษะ พึงกระทำซึ่ง
    ฉันทะ วายามะ อุสสาหะ อุสโสฬ๎หี อัปปฏิวาณี สติ สัมปะชัญญะ โดยประมาณอันยิ่ง
    เพื่อจะดับไฟอันลุกโพลงที่เสื้อผ้าหรือที่ศีรษะนั้นเสีย, ฉันใดก็ฉันนั้น.
    สมัยต่อมา เขาจะเป็นผู้ได้ทั้งเจโตสมถะในภายใน และได้อธิปัญญาธัมมวิปัสสนาด้วย.
    +--๔. ภิกษุ ท. ! ส่วน
    บุคคลผู้ใด ได้ทั้งเจโตสมถะในภายในด้วย และได้อธิปัญญาธัมมวิปัสสนาด้วยนั้น
    บุคคลนั้น ควรดำรงอยู่ในกุศลธรรมทั้งสองนั้นแล้วประกอบความเพียร
    เพื่อความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ให้ยิ่งขึ้นไป.
    --ภิกษุ ท. ! บุคคล ๔ จำพวกเหล่านี้แล มีอยู่ หาอยู่ ในโลก.-
    http://etipitaka.com/read/pali/21/121/?keywords=อธิปญฺญาธมฺมวิปสฺสนาย+เจโตสมถสฺส

    (ในพระบาลีบางแห่ง
    (มชฺฌิม. อุ. ๑๔/๕๒๔/๘๒๙​ )​ http://etipitaka.com/read/pali/14/524/?keywords=%E0%B9%98%E0%B9%92%E0%B9%99
    ตรัสระบุอริยมรรคหรืออริยสัจที่สี่ว่าได้แก่ สมถะและวิปัสสนา.
    http://etipitaka.com/read/pali/14/524/?keywords=สมโถ+วิปสฺสนา
    ข้อความที่กล่าวมาแล้วข้างต้นนี้เกี่ยวข้องกับสมถะและวิปัสสนา จึงนำมาใส่ไว้ในหมวดนี้
    ).
    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์

    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - จตุกฺก. อํ. 21/93/93.
    http://etipitaka.com/read/thai/21/93/?keywords=%E0%B9%99%E0%B9%93
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - จตุกฺก. อํ. ๒๑/๑๒๑/๙๓.
    http://etipitaka.com/read/pali/21/121/?keywords=%E0%B9%99%E0%B9%93
    ศึกษา​เพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1026
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=89&id=1026
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=89
    ลำดับสาธยายธรรม : 89 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_89.mp3
    อริยสาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​พึงทำความสมดุลย์ของสมถะและวิปัสสนา สัทธรรมลำดับที่ : 1026 ชื่อบทธรรม :- พึงทำความสมดุลย์ของสมถะและวิปัสสนา https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1026 เนื้อความทั้งหมด :- --พึงทำความสมดุลย์ของสมถะและวิปัสสนา --ภิกษุ ท. ! บุคคล ๔ จำพวกเหล่านี้ มีอยู่ หาได้อยู่ ในโลก. สี่จำพวกอย่างไรเล่า ? สี่คือ http://etipitaka.com/read/pali/21/121/?keywords=อธิปญฺญาธมฺมวิปสฺสนาย+เจโตสมถสฺส ๑.บุคคลบางคน ได้เจโตสมถะในภายใน แต่ไม่ได้ธัมมวิปัสสนาด้วยอธิปัญญา; ๒.บุคคลบางคน ได้ธัมมวิปัสสนาด้วยอธิปัญญา แต่ไม่ได้เจโตสมถะในภายใน; ๓.บุคคลบางคน ไม่ได้ทั้งเจโตสมถะในภายในและไม่ได้ธัมมวิปัสสนาด้วยอธิปัญญาด้วย; ๔.บุคคลบางคน ได้ทั้งเจโตในภายในด้วยและได้ธัมมวิปัสสนาด้วยอธิปัญญาด้วย. --ภิกษุ ท. ! ในบรรดาบุคคล ๔ จำพวกนั้น +--๑. บุคคลผู้ได้เจโตสมถะ ในภายใน แต่ไม่ได้ธัมมวิปัสสนาด้วยอธิปัญญานั้น บุคคลนั้น ควรดำรงตน อยู่ในเจโตสมถะในภายใน แล้วประกอบความเพียรในธัมมวิปัสสนาด้วยอธิปัญญาเถิด. สมัยต่อมาเขาก็จะเป็นผู้ได้ทั้งเจโตสมถะในภายใน และได้อธิปัญญาธัมมวิปัสสนาด้วย. +--๒. ภิกษุ ท. ! บุคคลผู้ได้อธิปัญญาธัมมวิปัสสนา แต่ไม่ได้เจโตสมถะในภายในนั้น บุคคลนั้น ควรดำรงตนอยู่ในอธิปัญญาธัมมวิปัสสนา แล้วประกอบความเพียรในเจโตสมถะในภายใน. สมัยต่อมา เขาจะเป็นผู้ได้ทั้งอธิปัญญาธัมมวิปัสสนาด้วย และได้เจโตสมถะในภายในด้วย. +--๓. ภิกษุ ท. ! บุคคลผู้ไม่ได้ทั้งเจโตสมถะในภายใน และไม่ได้ อธิปัญญาธัมมวิปัสสนานั้น บุคคลนั้น เพื่อให้ได้ซึ่งกุศลธรรมทั้งสองอย่างนั้น พึง -กระทำโดยประมาณอันยิ่งซึ่ง ฉันทะ (ความพอใจ) -วายามะ (ความพยายาม) -อุสสาหะ อุสโสฬ๎หี (ความขะมักเขม้น) -อัปปฏิวาณี (ความไม่ถอยหลัง) -สติ และสัมปชัญญะ ให้เหมือนกับคนมีไฟลุกโพลงที่เสื้อผ้าหรือที่ศีรษะ พึงกระทำซึ่ง ฉันทะ วายามะ อุสสาหะ อุสโสฬ๎หี อัปปฏิวาณี สติ สัมปะชัญญะ โดยประมาณอันยิ่ง เพื่อจะดับไฟอันลุกโพลงที่เสื้อผ้าหรือที่ศีรษะนั้นเสีย, ฉันใดก็ฉันนั้น. สมัยต่อมา เขาจะเป็นผู้ได้ทั้งเจโตสมถะในภายใน และได้อธิปัญญาธัมมวิปัสสนาด้วย. +--๔. ภิกษุ ท. ! ส่วน บุคคลผู้ใด ได้ทั้งเจโตสมถะในภายในด้วย และได้อธิปัญญาธัมมวิปัสสนาด้วยนั้น บุคคลนั้น ควรดำรงอยู่ในกุศลธรรมทั้งสองนั้นแล้วประกอบความเพียร เพื่อความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ให้ยิ่งขึ้นไป. --ภิกษุ ท. ! บุคคล ๔ จำพวกเหล่านี้แล มีอยู่ หาอยู่ ในโลก.- http://etipitaka.com/read/pali/21/121/?keywords=อธิปญฺญาธมฺมวิปสฺสนาย+เจโตสมถสฺส (ในพระบาลีบางแห่ง (มชฺฌิม. อุ. ๑๔/๕๒๔/๘๒๙​ )​ http://etipitaka.com/read/pali/14/524/?keywords=%E0%B9%98%E0%B9%92%E0%B9%99 ตรัสระบุอริยมรรคหรืออริยสัจที่สี่ว่าได้แก่ สมถะและวิปัสสนา. http://etipitaka.com/read/pali/14/524/?keywords=สมโถ+วิปสฺสนา ข้อความที่กล่าวมาแล้วข้างต้นนี้เกี่ยวข้องกับสมถะและวิปัสสนา จึงนำมาใส่ไว้ในหมวดนี้ ). #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - จตุกฺก. อํ. 21/93/93. http://etipitaka.com/read/thai/21/93/?keywords=%E0%B9%99%E0%B9%93 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - จตุกฺก. อํ. ๒๑/๑๒๑/๙๓. http://etipitaka.com/read/pali/21/121/?keywords=%E0%B9%99%E0%B9%93 ศึกษา​เพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1026 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=89&id=1026 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=89 ลำดับสาธยายธรรม : 89 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_89.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - พึงทำความสมดุลย์ของสมถะและวิปัสสนา
    -(ขอให้สังเกตเห็นใจความสำคัญที่ว่า แม้จะเป็น เตรียมพระโสดาบัน (คือธัมมานุสารี และสัทธานุสารีก็ตาม) หรือเป็นพระโสดาบันแล้วก็ตาม ยังมีกิจคือความไม่ประมาทที่จะต้องกระทำสืบต่อยิ่งขึ้นไป ความข้อความในพระสูตรนี้ ให้ได้ชื่อว่าเป็นผู้อยู่ด้วยความไม่ประมาทอยู่เสมอ. ข้อปฏิบัติเหล่านั้นมีใจความสำคัญอยู่ที่ว่า กลางวันมีวิเวก คือสงัดจากความรบกวนภายนอก กลางคืนมีปฏิสัลลาณะ คือจิตไม่ฟุ้งซ่านไปในอารมณ์ต่าง แต่มากำหนดอยู่ที่ธรรมอันควรกำหนดอยู่ตลอดเวลา จนเกิดผลตามลำดับ นับตั้งแต่ความปราโมทย์ ไปจนถึงความปรากฏแห่งธรรมที่ยังไม่เคยปรากฏ. อริยสาวกชั้นที่สูงขึ้นไปก็มีหลักปฏิบัติทำนองนี้ คือกลางวันมีวิเวิก กลางคืนมีปฏิสัลลาณะ เพื่อบรรลุธรรมชั้นที่สูงขึ้นไปกว่าที่บรรลุอยู่ จนกระทั่งถึงชั้นพระอรหันต์. แม้ชั้นพระอรหันต์ซึ่งเป็นชั้นที่ถึงที่สุดแห่งความไม่ประมาทแล้ว ก็ยังมีวิเวกในกลางวัน มีปฏิสัลลาณะในกลางคืน เพื่อความอยู่เป็นผาสุกของบุคคลผู้ถึงที่สุดแห่งพรหมจรรย์. ขอให้ทุกคนเห็นความสำคัญของการอยู่อย่างมีวิเวกและมีปฏิสัลลาณะ ว่าเป็นฐานรากในการสืบต่อความไม่ประมาทให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไปในตัวเอง โดยไม่ต้องลำบากมากมายนัก). พึงทำความสมดุลย์ของสมถะและวิปัสสนา ภิกษุ ท. ! บุคคล ๔ จำพวกเหล่านี้ มีอยู่ หาได้อยู่ ในโลก. สี่จำพวกอย่างไรเล่า ? สี่คือ บุคคลบางคน ได้เจโตสมถะในภายใน แต่ไม่ได้ธัมมวิปัสสนาด้วยอธิปัญญา; บุคคลบางคน ได้ธัมมวิปัสสนาด้วยอธิปัญญา แต่ไม่ได้เจโตสมถะในภายใน; บุคคลบางคน ไม่ได้ทั้งเจโตสมถะในภายในและไม่ได้ธัมมวิปัสสนาด้วยอธิปัญญาด้วย; บุคคลบางคน ได้ทั้งเจโตในภายในด้วยและได้ธัมมวิปัสสนาด้วยอธิปัญญาด้วย. ภิกษุ ท. ! ในบรรดาบุคคล ๔ จำพวกนั้น ๑. บุคคลผู้ได้เจโตสมถะ ในภายใน แต่ไม่ได้ธัมมวิปัสสนาด้วยอธิปัญญานั้น บุคคลนั้น ควรดำรงตน อยู่ในเจโสมถะในภายใน แล้วประกอบความเพียรในธัมมวิปัสสนาด้วยอธิปัญญา เถิด. สมัยต่อมาเขาก็จะเป็นผู้ได้ทั้งเจโตสมถะในภายใน และได้อธิปัญญาธัมมวิปัสสนาด้วย. ๒. ภิกษุ ท. ! บุคคลผู้ได้อธิปัญญาธัมมวิปัสสนา แต่ไม่ได้เจโตสมถะในภายในนั้น บุคคลนั้น ควรดำรงตนอยู่ในอธิปัญญาธัมมวิปัสสนา แล้วประกอบความเพียรในเจโตสมถะในภายใน. สมัยต่อมา เขาจะเป็นผู้ได้ทั้งอธิปัญญาธัมมวิปัสสนาด้วย และได้เจโตสมถะในภายในด้วย. ๓. ภิกษุ ท. ! บุคคลผู้ไม่ได้ทั้งเจโตสมถะในภายใน และไม่ได้ อธิปัญญาธัมมวิปัสสนานั้น บุคคลนั้น เพื่อให้ได้ซึ่งกุศลธรรมทั้งสองอย่างนั้น พึง กระทำโดยประมาณอันยิ่งซึ่งฉันทะ (ความพอใจ) วายามะ (ความพยายาม) อุสสาหะ อุสโสฬ๎หี (ความขะมักเขม้น) อัปปฏิวาณี (ความไม่ถอยหลัง) สติ และสัมปชัญญะ ให้เหมือนกับคนมีไฟลุกโพลงที่เสื้อผ้าหรือที่ศีรษะ พึงกระทำซึ่งฉันทะ วายามะ อุสสาหะ อุสโสฬ๎หี อัปปฏิวาณี สติ สัมปะชัญญะ โดยประมาณอันยิ่ง เพื่อจะดับไฟอันลุกโพลงที่เสื้อผ้าหรือที่ศีรษะนั้นเสีย, ฉันใดก็ฉันนั้น. สมัยต่อมา เขาจะเป็นผู้ได้ทั้งเจโตสมถะในภายใน และได้อธิปัญญาธัมมวิปัสสนาด้วย. ๔. ภิกษุ ท. ! ส่วน บุคคลผู้ได้ได้ทั้งเจโตสมถะในภายในด้วย และได้อธิปัญญาธัมมวิปัสสนาด้วยนั้น บุคคลนั้น ควรดำรงอยู่ในกุศลธรรมทั้งสองนั้นแล้วประกอบความเพียร เพื่อความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ให้ยิ่งขึ้นไป. ภิกษุ ท. ! บุคคล ๔ จำพวกเหล่านี้แล มีอยู่ หาอยู่ ในโลก.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 59 มุมมอง 0 รีวิว
  • อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาว่าอนุสัยทั้งสามไม่เกิดแก่อริยสาวก แม้เมื่อเสวยทุกขเวทนา
    สัทธรรมลำดับที่ : 658
    ชื่อบทธรรม :- อนุสัยทั้งสามไม่เกิดแก่อริยสาวก แม้เมื่อเสวยทุกขเวทนา
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=658
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --อนุสัยทั้งสามไม่เกิดแก่อริยสาวก แม้ เมื่อเสวยทุกขเวทนา
    --ภิกษุ ท. ! ส่วนอริยสาวกผู้มีการสดับแล้ว อันทุกขเวทนาถูกต้องอยู่
    ย่อมไม่เศร้าโศก ย่อมไม่กระวนกระวาย
    ย่อมไม่ร่ำไรรำพัน ไม่เป็นผู้ทุบอกร่ำไห้ ไม่ถึงความมีสติฟั่นเฟือน ;
    ย่อมเสวยเวทนาเพียงอย่างเดียว คือ เวทนาทางกาย, หามีเวทนาทางจิตไม่.
    --ภิกษุ ท. ! เปรียบเหมือนบุรุษพึงยิงบุรุษด้วยลูกศรแล้ว ไม่พึงยิงซ้ำ บุรุษนั้นด้วยลูกศรที่สอง เมื่อเป็นอย่างนี้ บุรุษนั้นย่อมเสวยเวทนาจากลูกศร เพียงลูกเดียว, แม้ฉันใด ;

    --ภิกษุ ท. ! อริยสาวกผู้มีการสดับแล้ว ก็ฉันนั้น คือ เมื่อทุกขเวทนาถูกต้องอยู่,
    ก็ไม่เศร้าโศก ไม่กระวนกระวาย
    ไม่ร่ำไรรำพัน ไม่เป็นผู้ทุบอกร่ำไห้ ไม่ถึงซึ่งความมีสติฟั่นเฟือน ;
    +--อริยสาวกนั้น ชื่อว่าย่อมเสวยเวทนาเพียงอย่างเดียว
    คือ เวทนาทางกาย หามีเวทนาทางจิตไม่.
    +--อริยสาวกนั้น หาเป็นผู้มีปฏิฆะเพราะทุกขเวทนานั้นไม่.
    ปฏิฆานุสัย อันใด อันเกิดจากทุกขเวทนา,
    http://etipitaka.com/read/pali/18/258/?keywords=ปฏิฆานุสโย
    ปฏิฆานุสัยอันนั้น ย่อมไม่นอนตาม ซึ่งอริยสาวกคนนั้นผู้ไม่มีปฏิฆะเพราะทุกขเวทนา.
    +--อริยสาวกนั้น อันทุกขเวทนาถูกต้องอยู่ ก็ไม่ (น้อมนึก) พอใจซึ่งกามสุข.
    ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า ?

    --ภิกษุ ท. ! ข้อนั้นเพราะเหตุว่า อริยสาวกผู้มีการสดับแล้ว ย่อม
    รู้ชัดอุบายเครื่องปลดเปลื้องซึ่งทุกขเวทนา ซึ่งเป็นอุบายอื่นนอกจากกามสุข.
    เมื่ออริยสาวกนั้นมิได้พอใจซึ่งกามสุขอยู่,
    ราคานุสัย อันใด อันเกิดจากสุขเวทนา,
    http://etipitaka.com/read/pali/18/258/?keywords=ราคานุสโย
    ราคานุสัยอันนั้น ก็ ไม่นอนตาม ซึ่งอริยสาวกนั้น.
    +--อริยสาวกนั้น ย่อมรู้ชัดซึ่งเหตุให้เกิดขึ้นแห่งเวทนา
    ซึ่งความตั้งอยู่ไม่ได้
    ซึ่งรสอร่อย
    ซึ่งโทษอันต่ำทราม และ
    ซึ่งอุบายเครื่องออกไปพ้น แห่งเวทนาทั้งหลายเหล่านั้น ตามที่เป็นจริง.
    +--เมื่ออริยสาวกนั้น รู้ชัดอยู่ซึ่งเหตุให้เกิดขึ้น
    ซึ่งความตั้งอยู่ไม่ได้
    ซึ่งรสอร่อย
    ซึ่งโทษอันต่ำทราม และ
    ซึ่งอุบายเครื่องออกไปพ้น แห่งเวทนาทั้งหลายเหล่านั้น ตามที่เป็นจริงอยู่,
    อวิชชานุสัย อันใด อันเกิดจากอทุกขมสุขเวทนา,
    http://etipitaka.com/read/pali/18/258/?keywords=อวิชฺชานุสโย
    อวิชชานุสัยอันนั้น ก็ย่อม ไม่นอนตามซึ่งอริยสาวกนั้น.
    +--อริยสาวกนั้น ถ้าเสวยสุขเวทนา ย่อมไม่เป็นผู้ติดพัน (ในเวทนา) เสวยเวทนานั้น ;
    ถ้าเสวยทุกขเวทนา ก็ไม่เป็นผู้ติดพันเสวยเวทนานั้น ;
    ถ้าเสวยอทุกขมสุขเวทนา ก็ไม่เป็นผู้ติดพันเสวยเวทนานั้น.

    --ภิกษุ ท. ! อริยสาวกผู้มีการสดับนี้ เรากล่าวว่า
    เป็นผู้ไม่ติดพันแล้วด้วยชาติชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย ;
    เรากล่าวว่า #เป็นผู้ไม่ติดพันแล้วด้วยทุกข์ ดังนี้.-

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - สฬา.สํ. 18/223/370.
    http://etipitaka.com/read/thai/18/223/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%97%E0%B9%91
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - สฬา.สํ. ๑๘/๒๕๗/๓๗๐.
    http://etipitaka.com/read/pali/18/258/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%97%E0%B9%91
    ศึกษาเพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=658
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=45&id=658
    หรือ
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=45
    ลำดับสาธยายธรรม : 45 ฟังเสียง...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_45.mp3
    อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาว่าอนุสัยทั้งสามไม่เกิดแก่อริยสาวก แม้เมื่อเสวยทุกขเวทนา สัทธรรมลำดับที่ : 658 ชื่อบทธรรม :- อนุสัยทั้งสามไม่เกิดแก่อริยสาวก แม้เมื่อเสวยทุกขเวทนา https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=658 เนื้อความทั้งหมด :- --อนุสัยทั้งสามไม่เกิดแก่อริยสาวก แม้ เมื่อเสวยทุกขเวทนา --ภิกษุ ท. ! ส่วนอริยสาวกผู้มีการสดับแล้ว อันทุกขเวทนาถูกต้องอยู่ ย่อมไม่เศร้าโศก ย่อมไม่กระวนกระวาย ย่อมไม่ร่ำไรรำพัน ไม่เป็นผู้ทุบอกร่ำไห้ ไม่ถึงความมีสติฟั่นเฟือน ; ย่อมเสวยเวทนาเพียงอย่างเดียว คือ เวทนาทางกาย, หามีเวทนาทางจิตไม่. --ภิกษุ ท. ! เปรียบเหมือนบุรุษพึงยิงบุรุษด้วยลูกศรแล้ว ไม่พึงยิงซ้ำ บุรุษนั้นด้วยลูกศรที่สอง เมื่อเป็นอย่างนี้ บุรุษนั้นย่อมเสวยเวทนาจากลูกศร เพียงลูกเดียว, แม้ฉันใด ; --ภิกษุ ท. ! อริยสาวกผู้มีการสดับแล้ว ก็ฉันนั้น คือ เมื่อทุกขเวทนาถูกต้องอยู่, ก็ไม่เศร้าโศก ไม่กระวนกระวาย ไม่ร่ำไรรำพัน ไม่เป็นผู้ทุบอกร่ำไห้ ไม่ถึงซึ่งความมีสติฟั่นเฟือน ; +--อริยสาวกนั้น ชื่อว่าย่อมเสวยเวทนาเพียงอย่างเดียว คือ เวทนาทางกาย หามีเวทนาทางจิตไม่. +--อริยสาวกนั้น หาเป็นผู้มีปฏิฆะเพราะทุกขเวทนานั้นไม่. ปฏิฆานุสัย อันใด อันเกิดจากทุกขเวทนา, http://etipitaka.com/read/pali/18/258/?keywords=ปฏิฆานุสโย ปฏิฆานุสัยอันนั้น ย่อมไม่นอนตาม ซึ่งอริยสาวกคนนั้นผู้ไม่มีปฏิฆะเพราะทุกขเวทนา. +--อริยสาวกนั้น อันทุกขเวทนาถูกต้องอยู่ ก็ไม่ (น้อมนึก) พอใจซึ่งกามสุข. ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า ? --ภิกษุ ท. ! ข้อนั้นเพราะเหตุว่า อริยสาวกผู้มีการสดับแล้ว ย่อม รู้ชัดอุบายเครื่องปลดเปลื้องซึ่งทุกขเวทนา ซึ่งเป็นอุบายอื่นนอกจากกามสุข. เมื่ออริยสาวกนั้นมิได้พอใจซึ่งกามสุขอยู่, ราคานุสัย อันใด อันเกิดจากสุขเวทนา, http://etipitaka.com/read/pali/18/258/?keywords=ราคานุสโย ราคานุสัยอันนั้น ก็ ไม่นอนตาม ซึ่งอริยสาวกนั้น. +--อริยสาวกนั้น ย่อมรู้ชัดซึ่งเหตุให้เกิดขึ้นแห่งเวทนา ซึ่งความตั้งอยู่ไม่ได้ ซึ่งรสอร่อย ซึ่งโทษอันต่ำทราม และ ซึ่งอุบายเครื่องออกไปพ้น แห่งเวทนาทั้งหลายเหล่านั้น ตามที่เป็นจริง. +--เมื่ออริยสาวกนั้น รู้ชัดอยู่ซึ่งเหตุให้เกิดขึ้น ซึ่งความตั้งอยู่ไม่ได้ ซึ่งรสอร่อย ซึ่งโทษอันต่ำทราม และ ซึ่งอุบายเครื่องออกไปพ้น แห่งเวทนาทั้งหลายเหล่านั้น ตามที่เป็นจริงอยู่, อวิชชานุสัย อันใด อันเกิดจากอทุกขมสุขเวทนา, http://etipitaka.com/read/pali/18/258/?keywords=อวิชฺชานุสโย อวิชชานุสัยอันนั้น ก็ย่อม ไม่นอนตามซึ่งอริยสาวกนั้น. +--อริยสาวกนั้น ถ้าเสวยสุขเวทนา ย่อมไม่เป็นผู้ติดพัน (ในเวทนา) เสวยเวทนานั้น ; ถ้าเสวยทุกขเวทนา ก็ไม่เป็นผู้ติดพันเสวยเวทนานั้น ; ถ้าเสวยอทุกขมสุขเวทนา ก็ไม่เป็นผู้ติดพันเสวยเวทนานั้น. --ภิกษุ ท. ! อริยสาวกผู้มีการสดับนี้ เรากล่าวว่า เป็นผู้ไม่ติดพันแล้วด้วยชาติชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย ; เรากล่าวว่า #เป็นผู้ไม่ติดพันแล้วด้วยทุกข์ ดังนี้.- #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - สฬา.สํ. 18/223/370. http://etipitaka.com/read/thai/18/223/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%97%E0%B9%91 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - สฬา.สํ. ๑๘/๒๕๗/๓๗๐. http://etipitaka.com/read/pali/18/258/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%97%E0%B9%91 ศึกษาเพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=658 http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=45&id=658 หรือ http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=45 ลำดับสาธยายธรรม : 45 ฟังเสียง... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_45.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - อนุสัยทั้งสามไม่เกิดแก่อริยสาวก แม้เมื่อเสวยทุกขเวทนา
    -อนุสัยทั้งสามไม่เกิดแก่อริยสาวก แม้เมื่อเสวยทุกขเวทนา ภิกษุ ท. ! ส่วนอริยสาวกผู้มีการสดับแล้ว อันทุกขเวทนาถูกต้องอยู่ ย่อมไม่เศร้าโศก ย่อมไม่กระวนกระวาย ย่อมไม่ร่ำไรรำพัน ไม่เป็นผู้ทุบอกร่ำไห้ ไม่ถึงความมีสติฟั่นเฟือน ; ย่อมเสวยเวทนาเพียงอย่างเดียว คือเวทนาทางกาย, หามีเวทนาทางจิตไม่. ภิกษุ ท. ! เปรียบเหมือนบุรุษพึงยิงบุรุษด้วยลูกศรแล้ว ไม่พึงยิงซ้ำ บุรุษนั้นด้วยลูกศรที่สอง เมื่อเป็นอย่างนี้ บุรุษนั้นย่อมเสวยเวทนาจากลูกศร เพียงลูกเดียว, แม้ฉันใด ; ภิกษุ ท. ! อริยสาวกผู้มีการสดับแล้ว ก็ฉันนั้น คือ เมื่อทุกขเวทนาถูกต้องอยู่, ก็ไม่เศร้าโศก ไม่กระวนกระวาย ไม่ร่ำไรรำพัน ไม่เป็นผู้ทุบอกร่ำไห้ ไม่ถึงซึ่งความมีสติฟั่นเฟือน ; อริยสาวกนั้น ชื่อว่าย่อมเสวยเวทนาเพียงอย่างเดียว คือเวทนาทางกาย หามีเวทนาทางจิตไม่. อริยสาวกนั้น หาเป็นผู้มีปฏิฆะเพราะทุกขเวทนานั้นไม่. ปฏิฆานุสัย อันใด อันเกิดจากทุกขเวทนา, ปฏิฆานุสัยอันนั้น ย่อมไม่นอนตาม ซึ่งอริยสาวกคนนั้นผู้ไม่มีปฏิฆะเพราะทุกขเวทนา. อริยสาวกนั้น อันทุกขเวทนาถูกต้องอยู่ ก็ไม่ (น้อมนึก) พอใจซึ่งกามสุข. ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! ข้อนั้นเพราะเหตุว่า อริยสาวกผู้มีการสดับแล้ว ย่อม รู้ชัดอุบายเครื่องปลดเปลื้องซึ่งทุกขเวทนา ซึ่งเป็นอุบายอื่นนอกจากกามสุข. เมื่ออริยสาวกนั้นมิได้พอใจซึ่งกามสุขอยู่, ราคานุสัยอันใด อันเกิดจากสุขเวทนา, ราคานุสัยอันนั้น ก็ ไม่นอนตาม ซึ่งอริยสาวกนั้น. อริยสาวกนั้น ย่อมรู้ชัดซึ่งเหตุให้เกิดขึ้นแห่งเวทนา ซึ่งความตั้งอยู่ไม่ได้ ซึ่งรสอร่อย ซึ่งโทษอันต่ำทราม และซึ่งอุบายเครื่องออกไปพ้น แห่งเวทนาทั้งหลายเหล่านั้น ตามที่เป็นจริง. เมื่ออริยสาวกนั้น รู้ชัดอยู่ซึ่งเหตุให้เกิดขึ้น ซึ่งความตั้งอยู่ไม่ได้ ซึ่งรสอร่อย ซึ่งโทษอันต่ำทราม และซึ่งอุบายเครื่องออกไปพ้น แห่งเวทนาทั้งหลายเหล่านั้น ตามที่เป็นจริงอยู่, อวิชชานุสัยอันใด อันเกิดจากอทุกขมสุขเวทนา, อวิชชานุสัยอันนั้น ก็ย่อม ไม่นอนตามซึ่งอริยสาวกนั้น. อริยสาวกนั้น ถ้าเสวยสุขเวทนา ย่อมไม่เป็นผู้ติดพัน (ในเวทนา) เสวยเวทนานั้น ; ถ้าเสวยทุกขเวทนา ก็ไม่เป็นผู้ติดพันเสวยเวทนานั้น ; ถ้าเสวยอทุกขมสุขเวทนา ก็ไม่เป็นผู้ติดพันเสวยเวทนานั้น. ภิกษุ ท. ! อริยสาวกผู้มีการสดับนี้ เรากล่าวว่า เป็นผู้ไม่ติดพันแล้วด้วยชาติชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย ; เรากล่าวว่า เป็นผู้ไม่ติดพันแล้วด้วยทุกข์ ดังนี้.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 56 มุมมอง 0 รีวิว
  • อริยสาวกพึง​ฝึกหัดศึกษาว่าอาการทุกข์อาศัยผ้สสะเหตุเกิดขึ้น
    สัทธรรมลำดับที่ : 291
    ชื่อบทธรรม :- อาการเกิดขึ้นแห่งความทุกข์ (อีกปริยายหนึ่ง)ทรงแสดงด้วยผัสสะ
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=291
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --อาการเกิดขึ้นแห่งความทุกข์ (อีกปริยายหนึ่ง)
    (ทรงแสดงด้วยผัสสะ)
    --ถูกแล้ว ถูกแล้ว อานนท์ ! ตามที่สารีบุตรเมื่อตอบปัญหาในลักษณะนั้นเช่นนั้น,
    ชื่อว่าได้ตอบโดยชอบ :
    --อานนท์ !
    ความทุกข์นั้น เรากล่าวว่า เป็นสิ่งที่อาศัยปัจจัยอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วเกิดขึ้น
    (เรียกว่าปฏิจจสมุปปันนธรรม).
    ความทุกข์นั้นอาศัยปัจจัยอะไรเล่า ?
    #ความทุกข์นั้นอาศัยปัจจัยคือผัสสะ,
    http://etipitaka.com/read/pali/16/41/?keywords=ผสฺสํ
    ผู้กล่าวอย่างนี้แล ชื่อว่า กล่าวตรงตามที่เรากล่าว ไม่เป็นการกล่าวตู่เราด้วยคำไม่จริง ;
    แต่เป็นการกล่าวโดยถูกต้อง และสหธรรมิกบางคนที่กล่าวตาม
    ก็จะไม่พลอยกลายเป็นผู้ควรถูกติไปด้วย.
    --อานนท์ !
    ในบรรดาสมณพราหมณ์ ที่กล่าวสอนเรื่องกรรมทั้งสี่พวกนั้น :-​
    ๑. สมณพราหมณ์ ที่กล่าวสอนเรื่องกรรมพวกใด ย่อมบัญญัติความทุกข์ ว่า
    เป็นสิ่งที่ตนทำเอาด้วยตนเอง, แม้ความทุกข์ที่พวกเขาบัญญัตินั้น
    ก็ยังต้องอาศัยผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดมีได้ ;
    ๒. สมณพราหมณ์ที่กล่าวสอนเรื่องกรรมพวกใด ย่อมบัญญัติความทุกข์ ว่า
    เป็นสิ่งที่ผู้อื่นทำให้, แม้ความทุกข์ที่พวกเขาบัญญัตินั้น
    ก็ยังต้องอาศัยผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดมีได้ ;
    ๓. สมณพราหมณ์ที่กล่าวสอนเรื่องกรรมพวกใด ย่อมบัญญัติความทุกข์ ว่า
    เป็นสิ่งที่ตนทำเอาด้วยตนเองด้วย ผู้อื่นทำให้ด้วย, แม้ความทุกข์ที่พวกเขาบัญญัตินั้น
    ก็ยังต้องอาศัยผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดมีได้ ;
    ๔. ถึงแม้สมณพราหมณ์ ที่กล่าวสอนเรื่องกรรมพวกใด ย่อมบัญญัติความทุกข์ ว่า
    เป็นสิ่งที่ไม่ใช่ทำเองหรือใครทำให้ก็เกิดขึ้นได้ ก็ตาม. แม้ความทุกข์ที่พวกเขาบัญญัตินั้น
    ก็ยังต้องอาศัยผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดมีได้อยู่นั่นเอง.-

    #ทุกขสมุทัย #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์

    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - นิทาน. สํ. 16/31/75.
    http://etipitaka.com/read/thai/16/31/?keywords=%E0%B9%97%E0%B9%95
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - นิทาน. สํ. ๑๖/๔๐/๗๕.
    http://etipitaka.com/read/pali/16/40/?keywords=%E0%B9%97%E0%B9%95
    ศึกษาเพิ่มเติม....
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=291
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=19&id=291
    หรือ
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=19
    ลำดับสาธยายธรรม : 19 ฟังเสียง...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_19.mp3
    อริยสาวกพึง​ฝึกหัดศึกษาว่าอาการทุกข์อาศัยผ้สสะเหตุเกิดขึ้น สัทธรรมลำดับที่ : 291 ชื่อบทธรรม :- อาการเกิดขึ้นแห่งความทุกข์ (อีกปริยายหนึ่ง)ทรงแสดงด้วยผัสสะ https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=291 เนื้อความทั้งหมด :- --อาการเกิดขึ้นแห่งความทุกข์ (อีกปริยายหนึ่ง) (ทรงแสดงด้วยผัสสะ) --ถูกแล้ว ถูกแล้ว อานนท์ ! ตามที่สารีบุตรเมื่อตอบปัญหาในลักษณะนั้นเช่นนั้น, ชื่อว่าได้ตอบโดยชอบ : --อานนท์ ! ความทุกข์นั้น เรากล่าวว่า เป็นสิ่งที่อาศัยปัจจัยอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วเกิดขึ้น (เรียกว่าปฏิจจสมุปปันนธรรม). ความทุกข์นั้นอาศัยปัจจัยอะไรเล่า ? #ความทุกข์นั้นอาศัยปัจจัยคือผัสสะ, http://etipitaka.com/read/pali/16/41/?keywords=ผสฺสํ ผู้กล่าวอย่างนี้แล ชื่อว่า กล่าวตรงตามที่เรากล่าว ไม่เป็นการกล่าวตู่เราด้วยคำไม่จริง ; แต่เป็นการกล่าวโดยถูกต้อง และสหธรรมิกบางคนที่กล่าวตาม ก็จะไม่พลอยกลายเป็นผู้ควรถูกติไปด้วย. --อานนท์ ! ในบรรดาสมณพราหมณ์ ที่กล่าวสอนเรื่องกรรมทั้งสี่พวกนั้น :-​ ๑. สมณพราหมณ์ ที่กล่าวสอนเรื่องกรรมพวกใด ย่อมบัญญัติความทุกข์ ว่า เป็นสิ่งที่ตนทำเอาด้วยตนเอง, แม้ความทุกข์ที่พวกเขาบัญญัตินั้น ก็ยังต้องอาศัยผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดมีได้ ; ๒. สมณพราหมณ์ที่กล่าวสอนเรื่องกรรมพวกใด ย่อมบัญญัติความทุกข์ ว่า เป็นสิ่งที่ผู้อื่นทำให้, แม้ความทุกข์ที่พวกเขาบัญญัตินั้น ก็ยังต้องอาศัยผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดมีได้ ; ๓. สมณพราหมณ์ที่กล่าวสอนเรื่องกรรมพวกใด ย่อมบัญญัติความทุกข์ ว่า เป็นสิ่งที่ตนทำเอาด้วยตนเองด้วย ผู้อื่นทำให้ด้วย, แม้ความทุกข์ที่พวกเขาบัญญัตินั้น ก็ยังต้องอาศัยผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดมีได้ ; ๔. ถึงแม้สมณพราหมณ์ ที่กล่าวสอนเรื่องกรรมพวกใด ย่อมบัญญัติความทุกข์ ว่า เป็นสิ่งที่ไม่ใช่ทำเองหรือใครทำให้ก็เกิดขึ้นได้ ก็ตาม. แม้ความทุกข์ที่พวกเขาบัญญัตินั้น ก็ยังต้องอาศัยผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดมีได้อยู่นั่นเอง.- #ทุกขสมุทัย #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - นิทาน. สํ. 16/31/75. http://etipitaka.com/read/thai/16/31/?keywords=%E0%B9%97%E0%B9%95 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - นิทาน. สํ. ๑๖/๔๐/๗๕. http://etipitaka.com/read/pali/16/40/?keywords=%E0%B9%97%E0%B9%95 ศึกษาเพิ่มเติม.... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=291 http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=19&id=291 หรือ http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=19 ลำดับสาธยายธรรม : 19 ฟังเสียง... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_19.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - อาการเกิดขึ้นแห่งความทุกข์ (อีกปริยายหนึ่ง)ทรงแสดงด้วยผัสสะ
    -อาการเกิดขึ้นแห่งความทุกข์ (อีกปริยายหนึ่ง) (ทรงแสดงด้วยผัสสะ) ถูกแล้ว ถูกแล้ว อานนท์ ! ตามที่สารีบุตรเมื่อตอบปัญหาในลักษณะนั้นเช่นนั้น, ชื่อว่าได้ตอบโดยชอบ : อานนท์ ! ความทุกข์นั้น เรากล่าวว่า เป็นสิ่งที่อาศัยปัจจัยอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วเกิดขึ้น (เรียกว่าปฏิจจสมุปปันนธรรม). ความทุกข์นั้นอาศัยปัจจัยอะไรเล่า ? ความทุกข์นั้น อาศัยปัจจัยคือ ผัสสะ, ผู้กล่าวอย่างนี้แล ชื่อว่า กล่าวตรงตามที่เรากล่าว ไม่เป็นการกล่าวตู่เราด้วยคำไม่จริง ; แต่เป็นการกล่าวโดยถูกต้อง และสหธรรมิกบางคนที่กล่าวตาม ก็จะไม่พลอยกลายเป็นผู้ควรถูกติไปด้วย. อานนท์ ! ในบรรดาสมณพราหมณ์ ที่กล่าวสอนเรื่องกรรมทั้งสี่พวกนั้น : สมณพราหมณ์ ที่กล่าวสอนเรื่องกรรมพวกใด ย่อมบัญญัติความทุกข์ ว่าเป็นสิ่งที่ตนทำเอาด้วยตนเอง, แม้ความทุกข์ที่พวกเขาบัญญัตินั้นก็ยังต้องอาศัยผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดมีได้ ; สมณพราหมณ์ที่กล่าวสอนเรื่องกรรมพวกใด ย่อมบัญญัติความทุกข์ ว่าเป็นสิ่งที่ผู้อื่นทำให้, แม้ความทุกข์ที่พวกเขาบัญญัตินั้น ก็ยังต้องอาศัยผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดมีได้ ; สมณพราหมณ์ที่กล่าวสอนเรื่องกรรมพวกใด ย่อมบัญญัติความทุกข์ ว่าเป็นสิ่งที่ตนทำเอาด้วยตนเองด้วย ผู้อื่นทำให้ด้วย แม้ความทุกข์ที่พวกเขาบัญญัตินั้น ก็ยังต้องอาศัยผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดมีได้ ; ถึงแม้สมณพราหมณ์ ที่กล่าวสอนเรื่องกรรมพวกใด ย่อมบัญญัติความทุกข์ ว่า เป็นสิ่งที่ไม่ใช่ทำเองหรือใครทำให้ก็เกิดขึ้นได้ ก็ตาม. แม้ความทุกข์ที่พวกเขาบัญญัตินั้น ก็ยังต้องอาศัยผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดมีได้อยู่นั่นเอง.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 59 มุมมอง 0 รีวิว
  • อริยสาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​วิธีการสืบต่อความไม่ประมาทของอริยสาวก
    สัทธรรมลำดับที่ : 1025
    ชื่อบทธรรม : -วิธีการสืบต่อความไม่ประมาทของอริยสาวก
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1025
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --วิธีการสืบต่อความไม่ประมาทของอริยสาวก
    --นันทิยะ ! อริยสาวก เป็นผู้มีปรกติอยู่ด้วยความไม่ประมาท เป็นอย่างไรเล่า ?
    --นันทิยะ ! ในกรณีนี้คือ อริยสาวก เป็นผู้ประกอบด้วย
    ๑.ความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้าอย่างไม่หวั่นไหว (พุทเธอเวจจัปปสาเทนะ)
    ดังนี้ว่า
    http://etipitaka.com/read/pali/19/501/?keywords=พุทฺเธ+อเวจฺจปฺปสาเทน
    “แม้เพราะเหตุอย่างนี้ๆ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น
    เป็นผู้ไกลจากกิเลส
    ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง
    เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ
    เป็นผู้ไปแล้วด้วยดี
    เป็นผู้รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง
    เป็นผู้สามารถฝึกบุรุษที่สมควรฝึกได้อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า
    เป็นครูผู้สอนของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
    เป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานด้วยธรรม
    เป็นผู้มีความจำเริญจำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์”
    ดังนี้.
    อริยสาวกนั้น ไม่มีความพอใจหยุดอยู่
    เพียงแค่ความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้าอย่างไม่หวั่นไหว
    แต่พยายามให้ยิ่งขึ้นไป คือ
    เพื่อความวิเวกในกลางวัน เพื่อความหลีกเร้นในกลางคืน.
    http://etipitaka.com/read/pali/19/501/?keywords=ปวิเวกาย+ปฏิสลฺลานาย
    +--เมื่ออริยสาวกนั้น เป็นผู้ไม่ประมาทอยู่อย่างนี้,
    ปราโมทย์ (ความบันเทิงใจ) ย่อมเกิดขึ้น;
    เมื่อปราโมทย์แล้ว ปีติ (ความอิ่มใจ) ย่อมเกิดขึ้น;
    เมื่อมีใจปีติ กายก็สงบระงับ;
    ผู้มีกายสงบระงับ ย่อมรู้สึกเป็นสุข;
    จิตของ ผู้มีสุข ย่อมตั้งมั่น (เป็นสมาธิ)
    เมื่อจิตตั้งมั่น ธรรม (ที่ยังไม่เคยปรากฏ) ย่อมปรากฏ;
    เพราะความปรากฏแห่งธรรม อริยสาวกนั้น ย่อมถึงซึ่งการนับ
    ได้ว่า
    เป็นผู้มีปกติอยู่ด้วยความไม่ประมาท โดยแท้.

    (ในกรณีแห่งโสตาปัตติยังคะ
    ที่สอง คือ
    ๒.ความเลื่อมใสในพระธรรมอย่างไม่หวั่นไหว ก็ดี
    ที่สาม คือ
    ๓.ความเลื่อมใสในพระสงฆ์อย่างไม่หวั่นไหว ก็ดี
    ที่สี่ คือ
    ๔.ความมีศีลอ้นเป็นอริย-ประเสริฐ (อริยกันตศีล--อริยกนฺเตหิ สีเลหิ)​
    http://etipitaka.com/read/pali/19/501/?keywords=อริยกนฺเตหิ+สีเลหิ
    ก็ดี ก็ได้ทรงตรัสไว้มีข้อความอย่างเดียวกันกับข้อความข้างบน
    ที่กล่าวถึงความ
    ๑.เลื่อมใสไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า
    )
    --นันทิยะ ! อย่างนี้แล อริยสาวกชื่อว่า #เป็นผู้มีปกติอยู่ด้วยความไม่ประมาท.-

    (ขอให้สังเกตเห็นใจความสำคัญที่ว่า
    แม้จะเป็นเตรียม พระโสดาบัน (คือธัมมานุสารี และสัทธานุสารีก็ตาม)
    หรือ เป็นพระโสดาบันแล้วก็ตาม
    ยังมีกิจคือความไม่ประมาทที่จะต้องกระทำสืบต่อยิ่งขึ้นไป
    ความข้อความในพระสูตรนี้ ให้ได้ชื่อว่าเป็นผู้อยู่ด้วยความไม่ประมาทอยู่เสมอ.
    ข้อปฏิบัติเหล่านั้นมีใจความสำคัญอยู่ที่ว่า
    กลางวันมีวิเวก คือสงัดจากความรบกวนภายนอก
    กลางคืนมีปฏิสัลลาณะ คือจิตไม่ฟุ้งซ่านไปในอารมณ์ต่างๆ
    แต่มากำหนดอยู่ที่ธรรมอันควรกำหนดอยู่ตลอดเวลา
    จนเกิดผลตามลำดับ นับตั้งแต่ความปราโมทย์
    ไปจนถึงความปรากฏแห่งธรรมที่ยังไม่เคยปรากฏ.
    อริยสาวกชั้นที่สูงขึ้นไปก็มีหลักปฏิบัติทำนองนี้ คือ
    กลางวันมีวิเวิก กลางคืนมีปฏิสัลลาณะ
    เพื่อบรรลุธรรมชั้นที่สูงขึ้นไปกว่าที่บรรลุอยู่ จนกระทั่งถึงชั้นพระอรหันต์.
    แม้ชั้นพระอรหันต์ซึ่งเป็นชั้นที่ถึงที่สุดแห่งความไม่ประมาทแล้ว
    ก็ยังมีวิเวกในกลางวัน มีปฏิสัลลาณะในกลางคืน
    เพื่อความอยู่เป็นผาสุกของบุคคลผู้ถึงที่สุดแห่งพรหมจรรย์.
    ขอให้ทุกคนเห็นความสำคัญของการอยู่อย่างมีวิเวกและมีปฏิสัลลาณะ
    ว่าเป็นฐานรากในการสืบต่อความไม่ประมาทให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไปในตัวเอง
    โดยไม่ต้องลำบากมากมายนัก
    ).

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์

    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - มหาวาร. สํ. 19/359/1602
    http://etipitaka.com/read/thai/19/395/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%96%E0%B9%90%E0%B9%92
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๐๑/๑๖๐๒
    http://etipitaka.com/read/pali/19/501/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%96%E0%B9%90%E0%B9%92
    ศึกษา​เพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1025
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=89&id=1025
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=89
    ลำดับสาธยายธรรม : 89 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_89.mp3
    อริยสาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​วิธีการสืบต่อความไม่ประมาทของอริยสาวก สัทธรรมลำดับที่ : 1025 ชื่อบทธรรม : -วิธีการสืบต่อความไม่ประมาทของอริยสาวก https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1025 เนื้อความทั้งหมด :- --วิธีการสืบต่อความไม่ประมาทของอริยสาวก --นันทิยะ ! อริยสาวก เป็นผู้มีปรกติอยู่ด้วยความไม่ประมาท เป็นอย่างไรเล่า ? --นันทิยะ ! ในกรณีนี้คือ อริยสาวก เป็นผู้ประกอบด้วย ๑.ความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้าอย่างไม่หวั่นไหว (พุทเธอเวจจัปปสาเทนะ) ดังนี้ว่า http://etipitaka.com/read/pali/19/501/?keywords=พุทฺเธ+อเวจฺจปฺปสาเทน “แม้เพราะเหตุอย่างนี้ๆ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เป็นผู้ไปแล้วด้วยดี เป็นผู้รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง เป็นผู้สามารถฝึกบุรุษที่สมควรฝึกได้อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า เป็นครูผู้สอนของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานด้วยธรรม เป็นผู้มีความจำเริญจำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์” ดังนี้. อริยสาวกนั้น ไม่มีความพอใจหยุดอยู่ เพียงแค่ความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้าอย่างไม่หวั่นไหว แต่พยายามให้ยิ่งขึ้นไป คือ เพื่อความวิเวกในกลางวัน เพื่อความหลีกเร้นในกลางคืน. http://etipitaka.com/read/pali/19/501/?keywords=ปวิเวกาย+ปฏิสลฺลานาย +--เมื่ออริยสาวกนั้น เป็นผู้ไม่ประมาทอยู่อย่างนี้, ปราโมทย์ (ความบันเทิงใจ) ย่อมเกิดขึ้น; เมื่อปราโมทย์แล้ว ปีติ (ความอิ่มใจ) ย่อมเกิดขึ้น; เมื่อมีใจปีติ กายก็สงบระงับ; ผู้มีกายสงบระงับ ย่อมรู้สึกเป็นสุข; จิตของ ผู้มีสุข ย่อมตั้งมั่น (เป็นสมาธิ) เมื่อจิตตั้งมั่น ธรรม (ที่ยังไม่เคยปรากฏ) ย่อมปรากฏ; เพราะความปรากฏแห่งธรรม อริยสาวกนั้น ย่อมถึงซึ่งการนับ ได้ว่า เป็นผู้มีปกติอยู่ด้วยความไม่ประมาท โดยแท้. (ในกรณีแห่งโสตาปัตติยังคะ ที่สอง คือ ๒.ความเลื่อมใสในพระธรรมอย่างไม่หวั่นไหว ก็ดี ที่สาม คือ ๓.ความเลื่อมใสในพระสงฆ์อย่างไม่หวั่นไหว ก็ดี ที่สี่ คือ ๔.ความมีศีลอ้นเป็นอริย-ประเสริฐ (อริยกันตศีล--อริยกนฺเตหิ สีเลหิ)​ http://etipitaka.com/read/pali/19/501/?keywords=อริยกนฺเตหิ+สีเลหิ ก็ดี ก็ได้ทรงตรัสไว้มีข้อความอย่างเดียวกันกับข้อความข้างบน ที่กล่าวถึงความ ๑.เลื่อมใสไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า ) --นันทิยะ ! อย่างนี้แล อริยสาวกชื่อว่า #เป็นผู้มีปกติอยู่ด้วยความไม่ประมาท.- (ขอให้สังเกตเห็นใจความสำคัญที่ว่า แม้จะเป็นเตรียม พระโสดาบัน (คือธัมมานุสารี และสัทธานุสารีก็ตาม) หรือ เป็นพระโสดาบันแล้วก็ตาม ยังมีกิจคือความไม่ประมาทที่จะต้องกระทำสืบต่อยิ่งขึ้นไป ความข้อความในพระสูตรนี้ ให้ได้ชื่อว่าเป็นผู้อยู่ด้วยความไม่ประมาทอยู่เสมอ. ข้อปฏิบัติเหล่านั้นมีใจความสำคัญอยู่ที่ว่า กลางวันมีวิเวก คือสงัดจากความรบกวนภายนอก กลางคืนมีปฏิสัลลาณะ คือจิตไม่ฟุ้งซ่านไปในอารมณ์ต่างๆ แต่มากำหนดอยู่ที่ธรรมอันควรกำหนดอยู่ตลอดเวลา จนเกิดผลตามลำดับ นับตั้งแต่ความปราโมทย์ ไปจนถึงความปรากฏแห่งธรรมที่ยังไม่เคยปรากฏ. อริยสาวกชั้นที่สูงขึ้นไปก็มีหลักปฏิบัติทำนองนี้ คือ กลางวันมีวิเวิก กลางคืนมีปฏิสัลลาณะ เพื่อบรรลุธรรมชั้นที่สูงขึ้นไปกว่าที่บรรลุอยู่ จนกระทั่งถึงชั้นพระอรหันต์. แม้ชั้นพระอรหันต์ซึ่งเป็นชั้นที่ถึงที่สุดแห่งความไม่ประมาทแล้ว ก็ยังมีวิเวกในกลางวัน มีปฏิสัลลาณะในกลางคืน เพื่อความอยู่เป็นผาสุกของบุคคลผู้ถึงที่สุดแห่งพรหมจรรย์. ขอให้ทุกคนเห็นความสำคัญของการอยู่อย่างมีวิเวกและมีปฏิสัลลาณะ ว่าเป็นฐานรากในการสืบต่อความไม่ประมาทให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไปในตัวเอง โดยไม่ต้องลำบากมากมายนัก ). #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - มหาวาร. สํ. 19/359/1602 http://etipitaka.com/read/thai/19/395/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%96%E0%B9%90%E0%B9%92 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๐๑/๑๖๐๒ http://etipitaka.com/read/pali/19/501/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%96%E0%B9%90%E0%B9%92 ศึกษา​เพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1025 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=89&id=1025 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=89 ลำดับสาธยายธรรม : 89 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_89.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - วิธีการสืบต่อความไม่ประมาทของอริยสาวก
    -(ผู้ยึดการปฏิบัติอริยอัฏฐังคิกมรรคเป็นหลัก พึงมองให้เห็นความสำคัญที่สุดแห่งพระบาลีนี้ ที่แสดงให้เห็นว่า ถ้าปฏิบัติในชั้นลึกคือการรู้เห็นอย่างถูกต้องเกี่ยวกับอายตนะอันเป็นที่ตั้งแห่งตัณหาอุปทานแล้ว ย่อมเป็นเคล็ดลับในการปฏิบัติอริยอัฏฐังคิกมรรคอย่างครบถ้วน ขึ้นมาโดยอัตโนมัติ ไม่เสียเวลามากเหมือนผู้ปฏิบัติชนิดแจกแจงเป็นองค์ๆ และองค์ละหลายๆ อย่าง ซึ่งโดยมากปฏิบัติจนตายหรือเกือบตายก็ไม่เคยประสบความสำเร็จ จึงขอเน้นความสำคัญอย่างยิ่งแห่งพระบาลีนี้ แก่ผู้ปฏิบัติทุกคน. ข้อความที่ยกมานี้ ยกมาแต่ข้อความที่แสดงด้วยเรื่องของจักษุ ผู้ศึกษาพึงเทียบเคียงเอาเองออกไปถึงเรื่องของ โสตะ ฆานะ ชิวหา กายะ และมโน แต่ละอย่างๆ ออกเป็นห้าประเด็น เหมือนอย่างที่แสดงไว้ในกรณีแห่งจักษุข้างต้นนั้น, ก็จะได้อายตนะนิกธรรม ๖ หมวดๆ ละ ๕ อย่าง; รวมเป็น ๓๐ อย่าง โดยบริบูรณ์). วิธีการสืบต่อความไม่ประมาทของอริยสาวก นันทิยะ ! อริยสาวก เป็นผู้มีปรกติอยู่ด้วยความไม่ประมาท เป็นอย่างไรเล่า ? นันทิยะ ! ในกรณีนี้คือ อริยสาวก เป็นผู้ประกอบด้วย ความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้าอย่างไม่หวั่นไหว (พุทธอเวจจัปปสาทะ) ดังนี้ว่า “แม้เพราะ เหตุอย่างนี้ๆ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เป็นผู้ไปแล้วด้วยดี เป็นผู้รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง เป็นผู้สามารถฝึกบุรุษที่สมควรฝึกได้อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า เป็นครูผู้สอนของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานด้วยธรรม เป็นผู้มีความจำเริญจำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์” ดังนี้. อริยสาวกนั้น ไม่มีความพอใจหยุดอยู่ เพียงแค่ความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้าอย่างไม่หวั่นไหว แต่พยายามให้ยิ่งขึ้นไป คือเพื่อความวิเวกในกลางวัน เพื่อความหลีกเร้นในกลางคืน. เมื่ออริยสาวกนั้น เป็นผู้ไม่ประมาทอยู่อย่างนี้, ปราโมทย์ (ความบันเทิงใจ) ย่อมเกิดขึ้น; เมื่อปราโมทย์แล้ว ปีติ (ความอิ่มใจ) ย่อมเกิดขึ้น; เมื่อมีใจปีติ กายก็สงบระงับ; ผู้มีกายสงบระงับ ย่อมรู้สึกเป็นสุข; จิตของ ผู้มีสุข ย่อมตั้งมั่น (เป็นสมาธิ) เมื่อจิตตั้งมั่น ธรรม (ที่ยังไม่เคยปรากฏ) ย่อมปรากฏ; เพราะความปรากฏแห่งธรรม อริยสาวกนั้น ย่อมถึงซึ่งการนับ ได้ว่า เป็นผู้มีปกติอยู่ด้วยความไม่ประมาท โดยแท้. (ในกรณีแห่งโสตาปัตติยังคะที่สอง คือ ความเลื่อมใสในพระธรรมอย่างไม่หวั่นไหว ก็ดี ที่สามคือ ความเลื่อมใสในพระสงฆ์อย่างไม่หวั่นไหว ก็ดี ที่สี่คือ ความมีศีลที่พระอริยเจ้าพอใจ (อริยกันตศีล) ก็ดี ก็ได้ทรงตรัสไว้มีข้อความอย่างเดียวกันกับข้อความข้างบนที่กล่าวถึงความ เลื่อมใสไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า ) นันทิยะ ! อย่างนี้แล อริยสาวกชื่อว่า เป็นผู้มีปกติอยู่ด้วยความไม่ประมาท.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 78 มุมมอง 0 รีวิว
  • อริยสาวกพึงฝึกหัด​ศึกษา​ว่าสัญญาในอุปาทาน(ความยึดมั่นถือมั่นในตน)​ระงับไป
    สัทธรรมลำดับที่ : 657
    ชื่อบทธรรม :- สัญญาในอุปาทานระงับไป
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=657
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --สัญญาในอุปาทานระงับไป--เมื่ออารมณ์แห่งสัญญานั้นเป็นวิภูตะ
    (ขอให้ผู้ศึกษาอดทนอ่านข้อความอันเป็นอุปมาในตอนต้น
    ซึ่งค่อนข้างจะยืดยาวให้เห็นชัดเสียก่อน ว่า
    ม้ากระจอกกับม้าอาชาไนยต่างกันอย่างไร
    จึงจะเข้าใจความต่างระหว่างผู้ที่เพ่งด้วยความยึดถือและเพ่งด้วยความไม่ยึดถือ
    จึงจะเข้าใจความหมายของคำว่า
    วิภูตะ--ความเห็นแจ้งของผู้ที่เพ่งด้วยความไม่ยึดถือ).

    --สันธะ ! เธอจงเพ่งอย่างการเพ่งของสัตว์อาชาไนย ;
    อย่าเพ่งอย่างการเพ่งของสัตว์กระจอก.
    --สันธะ ! อย่างไรเล่า เป็นการเพ่งอย่างของสัตว์กระจอก ?
    +--สันธะ ! ม้ากระจอก ถูกผูกไว้ที่รางเลี้ยงอาหาร
    ใจของมันก็จะเพ่งอยู่แต่ว่า “ข้าวเปลือก ๆ” เพราะเหตุไรเล่า ?
    +--สันธะ ! เพราะเหตุว่ามันไม่มีแก่ใจที่จะคิดว่า
    “วันนี้ สารถีของเราต้องการให้เราทำอะไรหนอ เราจะตอบสนองเขาอย่างไรหนอ” ;
    มันมัวเพ่งอยู่ในใจว่า “ ข้าวเปลือก ๆ” ดังนี้.
    +--สันธะ ! ฉันใดก็ฉันนั้น ที่ภิกษุกระจอกบางรูปในกรณีนี้
    ไปแล้วสู่ป่าก็ตาม สู่โคนไม้ก็ตาม สู่เรือนว่างก็ตาม
    มีจิตถูก -​ กามราคะนิวรณ์ กลุ้มรุมห่อหุ้มอยู่.
    เขาไม่รู้ตามเป็นจริงซึ่งอุบายเป็นเครื่องออกจาก กามราคะ ที่เกิดขึ้นแล้ว ;
    เขากระทำกามราคะนั้น ๆ ให้เนื่องกันไม่ขาดสาย
    เพ่งอยู่ เพ่งทั่วอยู่ เพ่งโดยไม่เหลืออยู่ เพ่งลงอยู่.

    (ในกรณีแห่ง
    -​ พยาบาท - ถีนมิทธะ - อุทธัจจกุกกุจจะ - และวิจิกิจฉา --นิวรณ์
    ก็ได้เป็นไปในลักษณะอย่างเดียวกันกับกรณีแห่ง กามราคะนิวรณ์).

    ภิกษุนั้นย่อมเพ่ง
    อาศัยความสำคัญว่า ดินบ้าง
    อาศัยความสำคัญว่า น้ำบ้าง
    อาศัยความสำคัญว่า ไฟบ้าง
    อาศัยความสำคัญว่า ลมบ้าง
    ว่าอากาสานัญจายตนะบ้าง
    ว่าวิญญาณัญจายตนะบ้าง
    ว่าอากิญจัญญายตนะบ้าง
    ว่าเนวสัญญานาสัญญายตนะบ้าง
    ว่าโลกนี้บ้าง ว่าโลกอื่นบ้าง
    อาศัยความสำคัญว่า
    “สิ่งที่เราเห็นแล้ว”.
    “สิ่งที่เราฟังแล้ว”,
    “สิ่งที่เรารู้สึกแล้ว”,
    “สิ่งที่เรารู้แจ้งแล้ว”,
    “สิ่งที่เราบรรลุแล้ว”,
    “สิ่งที่เราแสวงหาแล้ว”,
    “สิ่งที่ใจของเราติดตามแล้ว”
    แต่ละอย่างๆเป็นต้น ดังนี้บ้าง, เพ่งอยู่.
    +--สันธะ ! อย่างนี้แล #เป็นการเพ่งอย่างของสัตว์กระจอก.

    --สันธะ ! อย่างไรเล่า เป็นการเพ่งอย่างของสัตว์อาชาไนย ?
    +--สันธะ ! ม้าอาชาไนยตัวเจริญ ถูกผูกไว้ที่รางเลี้ยงอาหาร
    ใจของมันจะไม่เพ่งอยู่แต่ว่า “ข้าวเปลือก ๆ” เพราะเหตุไรเล่า ?
    +--สันธะ ! เพราะเหตุว่า แม้ถูกผูกอยู่ที่รางเลี้ยงอาหาร แต่ใจของมันมัวไปคิดอยู่ว่า
    “วันนี้ สารถีของเราต้องการให้เราทำอะไรหนอ เราจะตอบสนองเขาอย่างไรหนอ”
    ดังนี้ ;
    มันไม่มัวแต่เพ่งอยู่ในใจว่า “ข้าวเปลือก ๆ”
    ดังนี้.
    +-สันธะ ! ก็ม้าอาชาไนยนั้น รู้สึกอยู่ว่า
    การถูกลงปะฏักนั้นเป็นเหมือน การใช้หนี้
    การถูกจองจำ ความเสื่อมเสีย เป็นเหมือนเสนียดจัญไร.

    (ขอให้สังเกตว่า แม้อยู่ในที่เดียวกัน ต่อหน้าสถานการณ์อย่างเดียวกัน
    ม้าสองตัวนี้ก็มีความรู้สึกอยู่ในใจคนละอย่างตามความต่างของมัน
    คือตัวหนึ่งเพ่งแต่จะกิน ตัวหนึ่งเพ่งแต่ในหน้าที่ ที่จะไม่ทำให้บกพร่องจนถูกลงโทษ ;
    ดังนี้เรียกว่า มีความเพ่งต่างกันเป็นคนละอย่าง).

    +--สันธะ ! ภิกษุอาชาไนยผู้เจริญ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
    : ไปแล้วสู่ป่าก็ตาม ไปแล้วสู่โคนไม้ก็ตาม ไปแล้วสู่เรือนว่างก็ตาม,
    มีจิตถูก --กามราคะนิวรณ์ กลุ้มรุม ห่อหุ้ม อยู่,
    เขาเห็นตามเป็นจริงซึ่งอุบายเป็นเครื่องออกกามราคะที่เกิดขึ้นแล้ว.

    (ในกรณีแห่ง
    -​ พยาบาท - ถีนมิทธะ - อุทธัจจกุกกุจจะ - และวิจิกิจฉา --นิวรณ์
    ก็ได้เป็นไปในลักษณะอย่างเดียวกันกับกรณีแห่งกามราคะนิวรณ์).

    ภิกษุนั้น ย่อมเพ่ง
    ไม่อาศัยความสำคัญว่าดิน
    ไม่อาศัยความสำคัญว่าน้ำ
    ไม่อาศัยความสำคัญว่าไฟ
    ไม่อาศัยความสำคัญว่าลม
    ไม่อาศัยความสำคัญว่าอากาสานัญจายตนะ
    ไม่อาศัยความสำคัญว่าวิญญาณัญจายตนะ
    ไม่อาศัยความสำคัญว่าอากิญจัญญายตนะ
    ไม่อาศัยความสำคัญว่าเนวสัญญานาสัญญายตนะ
    ไม่อาศัยความสำคัญว่าโลกนี้ ไม่อาศัยความสำคัญว่าโลกอื่น
    ย่อมเพ่งไม่อาศัยความสำคัญว่า
    “สิ่งที่เราเห็นแล้ว”,
    “สิ่งที่เราฟังแล้ว”,
    “สิ่งที่เรารู้สึกแล้ว”,
    “สิ่งที่เรารู้แจ้งแล้ว”,
    “สิ่งที่เราบรรลุแล้ว”,
    “สิ่งที่เราแสวงหาแล้ว”,
    “สิ่งที่ใจของเราติดตามแล้ว”
    แต่ละอย่างๆ เป็นต้น ดังนี้บ้าง, เพ่งอยู่ ๆ.
    +--สันธะ ! เทวดาทั้งหลาย พร้อมทั้งอินทร์ พรหม และปชาบดี
    ย่อมนมัสการบุรุษอาชาไนยผู้เจริญผู้เพ่งอยู่อย่างนี้ มาแต่ที่ไกลทีเดียว
    กล่าวว่า :-
    “ข้าแต่ท่านบุรุษอาชาไนย ! ข้าแต่ท่านบุรุษสูงสุด !
    ข้าพเจ้าขอนมัสการท่าน
    เพราะข้าพเจ้าไม่อาจจะทราบสิ่งซึ่งท่านอาศัยแล้วเพ่ง ของท่าน"

    (เมื่อตรัสดังนี้แล้ว สันธะภิกษุได้ทูลถามว่า : -)

    --“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! บุรุษอาชาไนยผู้เจริญ เพ่งอย่างไรกัน
    ชนิดที่ไม่อาศัยดินหรือน้ำ เป็นต้น แล้วเพ่ง
    ... ฯลฯ...
    จนกระทั่งพวกเทวดาพากันสรรเสริญว่าดังนั้น พระเจ้าข้า ?”

    (ต่อไปนี้ เป็นคำตรัสที่แสดงให้เห็นว่า
    สัญญาต่างๆ จะถูกเพิกถอนไป
    เมื่ออารมณ์แห่งสัญญานั้นเป็นที่แจ่มแจ้งแก่ผู้เพ่ง
    ว่าสิ่งนั้นๆ มิได้เป็นตามที่คนธรรมดาสามัญที่สำคัญว่าเป็นอย่างไร ;
    ขอให้ผู้ศึกษาตั้งใจทำความเข้าใจให้ดีที่สุด ดังต่อไปนี้ : -)

    --สัทธะ ! ในกรณีนี้
    ปฐวีสัญญา (ความสำคัญในดินว่าดิน)
    ย่อมเป็นแจ้ง (วิภูติเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง)
    แก่บุรุษอาชาไนยผู้เจริญ

    (ว่าดินที่สำคัญกันว่าเป็นดินนั้น หาใช่ดินไม่
    หากแต่เป็นเพียงสังขตธรรมตามธรรมชาติ
    เป็นไปตามกฎอิทัปปัจจยตา คือ เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
    ---ตามนัยแห่งอรรถกถา : มโนรถปูรณี ภ. ๓ น. ๔๓๒)

    ความสำคัญในน้ำว่าน้ำ,
    ความสำคัญในไฟว่าไฟ,
    ความสำคัญในลมว่าลม,
    ความสำคัญในอากาสานัญจายตนะ ว่าอากาสานัญจายตนะ,
    ความสำคัญในวิญญาณัญจายตนะ ว่าวิญญาณัญจายตนะ,
    ความสำคัญในอากิญจัญญายตนะ ว่าอากิญจัญญายตนะ,
    ความสำคัญในเนวสัญญานาสัญญายตนะ ว่าเนวสัญญานาสัญญายตนะ,
    ความสำคัญในโลกนี้ว่าโลกนี้,
    ความสำคัญในโลกอื่นว่าโลกอื่น,
    ความสำคัญในสิ่งที่เห็นแล้ว ฟังแล้ว
    ... ฯลฯ...
    ว่า “สิ่งที่เราเห็นแล้ว” “สิ่งที่เราฟังแล้ว”
    ... ฯลฯ...
    ก็ล้วนแต่เป็นแจ้งแก่บุรุษอาชาไนยผู้เจริญ

    (ว่าสิ่งเหล่านั้น หาได้เป็นที่สำคัญมั่นหมาย ว่าเป็นอะไร ๆ กันนั้นไม่
    หากแต่เป็นสังขตธรรมตามธรรมชาติ
    เป็นไปตามกฎอิทัปปัจจยตา คือ เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
    --- ตามนัยแห่งอรรถกถา : นโนรถปูรณี ภ. ๓ น. ๔๓๒).

    --สันธะ ! #บุรุษอาชาไนยผู้เจริญเพ่งอยู่อย่างนี้ จึงได้ชื่อว่า
    ไม่อาศัยความสำคัญว่าดินแล้วเพ่ง
    ไม่อาศัยความสำคัญว่าน้ำแล้วเพ่ง
    ไม่อาศัยความสำคัญว่าไฟแล้วเพ่ง เป็นต้น
    จนกระทั่งพวกเทวดาพากันสรรเสริญว่าดังนั้น.-

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่#สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์

    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - เอกาทสก. อํ. 24/298/216.
    http://etipitaka.com/read/thai/24/298/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%91%E0%B9%96
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - เอกาทสก. อํ. ๒๔/๓๔๘/๒๑๖.
    http://etipitaka.com/read/pali/24/348/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%91%E0%B9%96
    ศึกษาเพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=657
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=45&id=657
    หรือ
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=45
    ลำดับสาธยายธรรม : 45 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_45.mp3
    อริยสาวกพึงฝึกหัด​ศึกษา​ว่าสัญญาในอุปาทาน(ความยึดมั่นถือมั่นในตน)​ระงับไป สัทธรรมลำดับที่ : 657 ชื่อบทธรรม :- สัญญาในอุปาทานระงับไป https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=657 เนื้อความทั้งหมด :- --สัญญาในอุปาทานระงับไป--เมื่ออารมณ์แห่งสัญญานั้นเป็นวิภูตะ (ขอให้ผู้ศึกษาอดทนอ่านข้อความอันเป็นอุปมาในตอนต้น ซึ่งค่อนข้างจะยืดยาวให้เห็นชัดเสียก่อน ว่า ม้ากระจอกกับม้าอาชาไนยต่างกันอย่างไร จึงจะเข้าใจความต่างระหว่างผู้ที่เพ่งด้วยความยึดถือและเพ่งด้วยความไม่ยึดถือ จึงจะเข้าใจความหมายของคำว่า วิภูตะ--ความเห็นแจ้งของผู้ที่เพ่งด้วยความไม่ยึดถือ). --สันธะ ! เธอจงเพ่งอย่างการเพ่งของสัตว์อาชาไนย ; อย่าเพ่งอย่างการเพ่งของสัตว์กระจอก. --สันธะ ! อย่างไรเล่า เป็นการเพ่งอย่างของสัตว์กระจอก ? +--สันธะ ! ม้ากระจอก ถูกผูกไว้ที่รางเลี้ยงอาหาร ใจของมันก็จะเพ่งอยู่แต่ว่า “ข้าวเปลือก ๆ” เพราะเหตุไรเล่า ? +--สันธะ ! เพราะเหตุว่ามันไม่มีแก่ใจที่จะคิดว่า “วันนี้ สารถีของเราต้องการให้เราทำอะไรหนอ เราจะตอบสนองเขาอย่างไรหนอ” ; มันมัวเพ่งอยู่ในใจว่า “ ข้าวเปลือก ๆ” ดังนี้. +--สันธะ ! ฉันใดก็ฉันนั้น ที่ภิกษุกระจอกบางรูปในกรณีนี้ ไปแล้วสู่ป่าก็ตาม สู่โคนไม้ก็ตาม สู่เรือนว่างก็ตาม มีจิตถูก -​ กามราคะนิวรณ์ กลุ้มรุมห่อหุ้มอยู่. เขาไม่รู้ตามเป็นจริงซึ่งอุบายเป็นเครื่องออกจาก กามราคะ ที่เกิดขึ้นแล้ว ; เขากระทำกามราคะนั้น ๆ ให้เนื่องกันไม่ขาดสาย เพ่งอยู่ เพ่งทั่วอยู่ เพ่งโดยไม่เหลืออยู่ เพ่งลงอยู่. (ในกรณีแห่ง -​ พยาบาท - ถีนมิทธะ - อุทธัจจกุกกุจจะ - และวิจิกิจฉา --นิวรณ์ ก็ได้เป็นไปในลักษณะอย่างเดียวกันกับกรณีแห่ง กามราคะนิวรณ์). ภิกษุนั้นย่อมเพ่ง อาศัยความสำคัญว่า ดินบ้าง อาศัยความสำคัญว่า น้ำบ้าง อาศัยความสำคัญว่า ไฟบ้าง อาศัยความสำคัญว่า ลมบ้าง ว่าอากาสานัญจายตนะบ้าง ว่าวิญญาณัญจายตนะบ้าง ว่าอากิญจัญญายตนะบ้าง ว่าเนวสัญญานาสัญญายตนะบ้าง ว่าโลกนี้บ้าง ว่าโลกอื่นบ้าง อาศัยความสำคัญว่า “สิ่งที่เราเห็นแล้ว”. “สิ่งที่เราฟังแล้ว”, “สิ่งที่เรารู้สึกแล้ว”, “สิ่งที่เรารู้แจ้งแล้ว”, “สิ่งที่เราบรรลุแล้ว”, “สิ่งที่เราแสวงหาแล้ว”, “สิ่งที่ใจของเราติดตามแล้ว” แต่ละอย่างๆเป็นต้น ดังนี้บ้าง, เพ่งอยู่. +--สันธะ ! อย่างนี้แล #เป็นการเพ่งอย่างของสัตว์กระจอก. --สันธะ ! อย่างไรเล่า เป็นการเพ่งอย่างของสัตว์อาชาไนย ? +--สันธะ ! ม้าอาชาไนยตัวเจริญ ถูกผูกไว้ที่รางเลี้ยงอาหาร ใจของมันจะไม่เพ่งอยู่แต่ว่า “ข้าวเปลือก ๆ” เพราะเหตุไรเล่า ? +--สันธะ ! เพราะเหตุว่า แม้ถูกผูกอยู่ที่รางเลี้ยงอาหาร แต่ใจของมันมัวไปคิดอยู่ว่า “วันนี้ สารถีของเราต้องการให้เราทำอะไรหนอ เราจะตอบสนองเขาอย่างไรหนอ” ดังนี้ ; มันไม่มัวแต่เพ่งอยู่ในใจว่า “ข้าวเปลือก ๆ” ดังนี้. +-สันธะ ! ก็ม้าอาชาไนยนั้น รู้สึกอยู่ว่า การถูกลงปะฏักนั้นเป็นเหมือน การใช้หนี้ การถูกจองจำ ความเสื่อมเสีย เป็นเหมือนเสนียดจัญไร. (ขอให้สังเกตว่า แม้อยู่ในที่เดียวกัน ต่อหน้าสถานการณ์อย่างเดียวกัน ม้าสองตัวนี้ก็มีความรู้สึกอยู่ในใจคนละอย่างตามความต่างของมัน คือตัวหนึ่งเพ่งแต่จะกิน ตัวหนึ่งเพ่งแต่ในหน้าที่ ที่จะไม่ทำให้บกพร่องจนถูกลงโทษ ; ดังนี้เรียกว่า มีความเพ่งต่างกันเป็นคนละอย่าง). +--สันธะ ! ภิกษุอาชาไนยผู้เจริญ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน : ไปแล้วสู่ป่าก็ตาม ไปแล้วสู่โคนไม้ก็ตาม ไปแล้วสู่เรือนว่างก็ตาม, มีจิตถูก --กามราคะนิวรณ์ กลุ้มรุม ห่อหุ้ม อยู่, เขาเห็นตามเป็นจริงซึ่งอุบายเป็นเครื่องออกกามราคะที่เกิดขึ้นแล้ว. (ในกรณีแห่ง -​ พยาบาท - ถีนมิทธะ - อุทธัจจกุกกุจจะ - และวิจิกิจฉา --นิวรณ์ ก็ได้เป็นไปในลักษณะอย่างเดียวกันกับกรณีแห่งกามราคะนิวรณ์). ภิกษุนั้น ย่อมเพ่ง ไม่อาศัยความสำคัญว่าดิน ไม่อาศัยความสำคัญว่าน้ำ ไม่อาศัยความสำคัญว่าไฟ ไม่อาศัยความสำคัญว่าลม ไม่อาศัยความสำคัญว่าอากาสานัญจายตนะ ไม่อาศัยความสำคัญว่าวิญญาณัญจายตนะ ไม่อาศัยความสำคัญว่าอากิญจัญญายตนะ ไม่อาศัยความสำคัญว่าเนวสัญญานาสัญญายตนะ ไม่อาศัยความสำคัญว่าโลกนี้ ไม่อาศัยความสำคัญว่าโลกอื่น ย่อมเพ่งไม่อาศัยความสำคัญว่า “สิ่งที่เราเห็นแล้ว”, “สิ่งที่เราฟังแล้ว”, “สิ่งที่เรารู้สึกแล้ว”, “สิ่งที่เรารู้แจ้งแล้ว”, “สิ่งที่เราบรรลุแล้ว”, “สิ่งที่เราแสวงหาแล้ว”, “สิ่งที่ใจของเราติดตามแล้ว” แต่ละอย่างๆ เป็นต้น ดังนี้บ้าง, เพ่งอยู่ ๆ. +--สันธะ ! เทวดาทั้งหลาย พร้อมทั้งอินทร์ พรหม และปชาบดี ย่อมนมัสการบุรุษอาชาไนยผู้เจริญผู้เพ่งอยู่อย่างนี้ มาแต่ที่ไกลทีเดียว กล่าวว่า :- “ข้าแต่ท่านบุรุษอาชาไนย ! ข้าแต่ท่านบุรุษสูงสุด ! ข้าพเจ้าขอนมัสการท่าน เพราะข้าพเจ้าไม่อาจจะทราบสิ่งซึ่งท่านอาศัยแล้วเพ่ง ของท่าน" (เมื่อตรัสดังนี้แล้ว สันธะภิกษุได้ทูลถามว่า : -) --“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! บุรุษอาชาไนยผู้เจริญ เพ่งอย่างไรกัน ชนิดที่ไม่อาศัยดินหรือน้ำ เป็นต้น แล้วเพ่ง ... ฯลฯ... จนกระทั่งพวกเทวดาพากันสรรเสริญว่าดังนั้น พระเจ้าข้า ?” (ต่อไปนี้ เป็นคำตรัสที่แสดงให้เห็นว่า สัญญาต่างๆ จะถูกเพิกถอนไป เมื่ออารมณ์แห่งสัญญานั้นเป็นที่แจ่มแจ้งแก่ผู้เพ่ง ว่าสิ่งนั้นๆ มิได้เป็นตามที่คนธรรมดาสามัญที่สำคัญว่าเป็นอย่างไร ; ขอให้ผู้ศึกษาตั้งใจทำความเข้าใจให้ดีที่สุด ดังต่อไปนี้ : -) --สัทธะ ! ในกรณีนี้ ปฐวีสัญญา (ความสำคัญในดินว่าดิน) ย่อมเป็นแจ้ง (วิภูติเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง) แก่บุรุษอาชาไนยผู้เจริญ (ว่าดินที่สำคัญกันว่าเป็นดินนั้น หาใช่ดินไม่ หากแต่เป็นเพียงสังขตธรรมตามธรรมชาติ เป็นไปตามกฎอิทัปปัจจยตา คือ เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ---ตามนัยแห่งอรรถกถา : มโนรถปูรณี ภ. ๓ น. ๔๓๒) ความสำคัญในน้ำว่าน้ำ, ความสำคัญในไฟว่าไฟ, ความสำคัญในลมว่าลม, ความสำคัญในอากาสานัญจายตนะ ว่าอากาสานัญจายตนะ, ความสำคัญในวิญญาณัญจายตนะ ว่าวิญญาณัญจายตนะ, ความสำคัญในอากิญจัญญายตนะ ว่าอากิญจัญญายตนะ, ความสำคัญในเนวสัญญานาสัญญายตนะ ว่าเนวสัญญานาสัญญายตนะ, ความสำคัญในโลกนี้ว่าโลกนี้, ความสำคัญในโลกอื่นว่าโลกอื่น, ความสำคัญในสิ่งที่เห็นแล้ว ฟังแล้ว ... ฯลฯ... ว่า “สิ่งที่เราเห็นแล้ว” “สิ่งที่เราฟังแล้ว” ... ฯลฯ... ก็ล้วนแต่เป็นแจ้งแก่บุรุษอาชาไนยผู้เจริญ (ว่าสิ่งเหล่านั้น หาได้เป็นที่สำคัญมั่นหมาย ว่าเป็นอะไร ๆ กันนั้นไม่ หากแต่เป็นสังขตธรรมตามธรรมชาติ เป็นไปตามกฎอิทัปปัจจยตา คือ เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา --- ตามนัยแห่งอรรถกถา : นโนรถปูรณี ภ. ๓ น. ๔๓๒). --สันธะ ! #บุรุษอาชาไนยผู้เจริญเพ่งอยู่อย่างนี้ จึงได้ชื่อว่า ไม่อาศัยความสำคัญว่าดินแล้วเพ่ง ไม่อาศัยความสำคัญว่าน้ำแล้วเพ่ง ไม่อาศัยความสำคัญว่าไฟแล้วเพ่ง เป็นต้น จนกระทั่งพวกเทวดาพากันสรรเสริญว่าดังนั้น.- #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่​ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - เอกาทสก. อํ. 24/298/216. http://etipitaka.com/read/thai/24/298/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%91%E0%B9%96 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - เอกาทสก. อํ. ๒๔/๓๔๘/๒๑๖. http://etipitaka.com/read/pali/24/348/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%91%E0%B9%96 ศึกษาเพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=657 http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=45&id=657 หรือ http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=45 ลำดับสาธยายธรรม : 45 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_45.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - สัญญาในอุปาทานระงับไป
    -สัญญาในอุปาทานระงับไป เมื่ออารมณ์แห่งสัญญานั้นเป็นวิภูตะ (ขอให้ผู้ศึกษาอดทนอ่านข้อความอันเป็นอุปมาในตอนต้น ซึ่งค่อนข้างจะยืดยาวให้เห็นชัดเสียก่อน ว่า ม้ากระจอกกับม้าอาชาไนยต่างกันอย่างไร จึงจะเข้าใจความต่างระหว่างผู้ที่เพ่งด้วยความยึดถือและเพ่งด้วยความไม่ยึดถือ จึงจะเข้าใจความหมายของคำว่า วิภูตะ-ความเห็นแจ้งของผู้ที่เพ่งด้วยความไม่ยึดถือ). สันธะ ! เธอจงเพ่งอย่างการเพ่งของสัตว์อาชาไนย ; อย่าเพ่งอย่างการเพ่งของสัตว์กระจอก. สันธะ ! อย่างไรเล่า เป็นการเพ่งอย่างของสัตว์กระจอก ? สันธะ ! ม้ากระจอก ถูกผูกไว้ที่รางเลี้ยงอาหาร ใจของมันก็จะเพ่งอยู่แต่ว่า “ข้าวเปลือก ๆ” เพราะเหตุไรเล่า ? สันธะ ! เพราะเหตุว่ามันไม่มีแก่ใจที่จะคิดว่า “วันนี้ สารถีของเราต้องการให้เราทำอะไรหนอ เราจะตอบสนองเขาอย่างไรหนอ” ; มันมัวเพ่งอยู่ในใจว่า “ ข้าวเปลือก ๆ” ดังนี้. สันธะ ! ฉันใดก็ฉันนั้น ที่ภิกษุกระจอกบางรูปในกรณีนี้ ไปแล้วสู่ป่าก็ตาม สู่โคนไม้ก็ตาม สู่เรือนว่างก็ตาม มีจิตถูกกามราคนิวรณ์กลุ้มรุมห่อหุ้มอยู่. เขาไม่รู้ตามเป็นจริงซึ่งอุบายเป็นเครื่องออกจากกามราคะที่เกิดขึ้นแล้ว ; เขากระทำกามราคะนั้น ๆ ให้เนื่องกันไม่ขาดสาย เพ่งอยู่ เพ่งทั่วอยู่ เพ่งโดยไม่เหลืออยู่ เพ่งลงอยู่. (ในกรณีแห่ง พยาบาท - ถีนมิทธะ - อุทธัจจกุกกุจจะ - และวิจิกิจฉานิวรณ์ก็ได้เป็นไปในลักษณะอย่างเดียวกันกับกรณีแห่งกามราคะนิวรณ์). ภิกษุนั้นย่อมเพ่งอาศัยความสำคัญว่าดินบ้าง ย่อมเพ่งอาศัยความสำคัญว่าน้ำบ้าง อาศัยความสำคัญว่าไฟบ้าง อาศัยความสำคัญว่าลมบ้าง ว่าอากาสานัญจายตนะบ้าง ว่าวิญญาณัญจายตนะบ้าง ว่าอากิญจัญญายตนะบ้าง ว่าเนวสัญญานาสัญญายตนะบ้าง ว่าโลกนี้บ้าง ว่าโลกอื่นบ้าง อาศัยความสำคัญว่า “สิ่งที่เราเห็นแล้ว”. “สิ่งที่เราฟังแล้ว”, “สิ่งที่เรารู้สึกแล้ว”, “สิ่งที่เรารู้แจ้งแล้ว”, “สิ่งที่เราบรรลุแล้ว”, “สิ่งที่เราแสวงหาแล้ว”, “สิ่งที่ใจของเราติดตามแล้ว” แต่ละอย่างๆเป็นต้น ดังนี้บ้าง, เพ่งอยู่. สันธะ ! อย่างนี้แล เป็นการเพ่งอย่างของสัตว์กระจอก. สันธะ ! อย่างไรเล่า เป็นการเพ่งอย่างของสัตว์อาชาไนย ? สันธะ ! ม้าอาชาไนยตัวเจริญ ถูกผูกไว้ที่รางเลี้ยงอาหาร ใจของมันจะไม่เพ่งอยู่แต่ว่า “ข้าวเปลือก ๆ” เพราะเหตุไรเล่า ? สันธะ ! เพราะเหตุว่า แม้ถูกผูกอยู่ที่รางเลี้ยงอาหาร แต่ใจของมันมัวไปคิดอยู่ว่า “วันนี้ สารถีของเราต้องการให้เราทำอะไรหนอ เราจะตอบสนองเขาอย่างไรหนอ” ดังนี้ ; มันไม่มัวแต่เพ่งอยู่ในใจว่า “ข้าวเปลือก ๆ” ดังนี้. สันธะ ! ก็ม้าอาชาไนยนั้น รู้สึกอยู่ว่า การถูกลงปะฏักนั้นเป็นเหมือนการใช้หนี้ การถูกจองจำ ความเสื่อมเสีย เป็นเหมือนเสนียดจัญไร. (ขอให้สังเกตว่า แม้อยู่ในที่เดียวกัน ต่อหน้าสถานการณ์อย่างเดียวกัน ม้าสองตัวนี้ก็มีความรู้สึกอยู่ในใจคนละอย่างตามความต่างของมัน คือตัวหนึ่งเพ่งแต่จะกิน ตัวหนึ่งเพ่งแต่ในหน้าที่ ที่จะไม่ทำให้บกพร่องจนถูกลงโทษ ; ดังนี้เรียกว่า มีความเพ่งต่างกันเป็นคนละอย่าง). สันธะ ! ภิกษุอาชาไนยผู้เจริญ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน : ไปแล้วสู่ป่าก็ตาม ไปแล้วสู่โคนไม้ก็ตาม ไปแล้วสู่เรือนว่างก็ตาม, มีจิตไม่ถูกกามราคนิวรณ์กลุ้มรุม ห่อหุ้ม อยู่, เขาเห็นตามเป็นจริงซึ่งอุบายเป็นเครื่องออกกามราคะที่เกิดขึ้นแล้ว. (ในกรณีแห่ง พยาบาท - ถีนมิทธะ - อุทธัจจกุกกุจจะ - และวิจิกิจฉา - นิวรณ์ ก็ได้เป็นไปในลักษณะอย่างเดียวกันกับกรณีแห่งกามราคะนิวรณ์). ภิกษุนั้น ย่อมเพ่งไม่อาศัยความสำคัญว่าดิน ย่อมเพ่งไม่อาศัยความสำคัญว่าน้ำ ไม่อาศัยความสำคัญว่าไฟ ไม่อาศัยความสำคัญว่าลม ไม่อาศัยความสำคัญว่าอากาสานัญจายตนะ ไม่อาศัยความสำคัญว่าวิญญาณัญจายตนะ ไม่อาศัยความสำคัญว่าอากิญจัญญายตนะ ไม่อาศัยความสำคัญว่าเนวสัญญานาสัญญายตนะ ไม่อาศัยความสำคัญว่าโลกนี้ ไม่อาศัยความสำคัญว่าโลกอื่น ย่อมเพ่งไม่อาศัยความสำคัญว่า “สิ่งที่เราเห็นแล้ว”. “สิ่งที่เราฟังแล้ว”, “สิ่งที่เรารู้สึกแล้ว”, “สิ่งที่เรารู้แจ้งแล้ว”, “สิ่งที่เราบรรลุแล้ว”, “สิ่งที่เราแสวงหาแล้ว”, “สิ่งที่ใจของเราติดตามแล้ว” แต่ละอย่างๆ เป็นต้น ดังนี้บ้าง, เพ่งอยู่ ๆ. สันธะ ! เทวดาทั้งหลาย พร้อมทั้งอินทร์ พรหม และปชาบดี ย่อมนมัสการบุรุษอาชาไนยผู้เจริญผู้เพ่งอยู่อย่างนี้ มาแต่ที่ไกลทีเดียว กล่าวว่า : “ข้าแต่ท่านบุรุษอาชาไนย ! ข้าแต่ท่านบุรุษสูงสุด ! ข้าพเจ้าขอนมัสการท่าน เพราะข้าพเจ้าไม่อาจจะทราบสิ่งซึ่งท่านอาศัยแล้วเพ่ง ของท่าน” (เมื่อตรัสดังนี้แล้ว สันธภิกษุได้ทูลถามว่า :-) “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! บุรุษอาชาไนยผู้เจริญ เพ่งอย่างไรกัน ชนิดที่ไม่อาศัยดินหรือน้ำเป็นต้นแล้วเพ่ง จนกระทั่งพวกเทวดาพากันสรรเสริญว่าดังนั้น พระเจ้าข้า ?” (ต่อไปนี้ เป็นคำตรัสที่แสดงให้เห็นว่า สัญญาต่างๆ จะถูกเพิกถอนไป เมื่ออารมณ์แห่งสัญญานั้นเป็นที่แจ่มแจ้งแก่ผู้เพ่ง ว่าสิ่งนั้นๆ มิได้เป็นตามที่คนธรรมดาสามัญที่สำคัญว่าเป็นอย่างไร ; ขอให้ผู้ศึกษาตั้งใจทำความเข้าใจให้ดีที่สุด ดังต่อไปนี้ :-) สัทธะ ! ในกรณีนี้ ปฐวีสัญญา (ความสำคัญในดินว่าดิน) ย่อมเป็นแจ้ง (วิภูติเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง) แก่บุรุษอาชาไนยผู้เจริญ (ว่าดินที่สำคัญกันว่าเป็นดินนั้น หาใช่ดินไม่ หากแต่เป็นเพียงสังขตธรรมตามธรรมชาติ เป็นไปตามกฎอิทัปปัจจยตา คือ เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา - ตามนัยแห่งอรรถกถา : มโนรถปูรณี ภ. ๓ น. ๔๓๒) ความสำคัญในน้ำว่าน้ำ, ความสำคัญในไฟว่าไฟ, ความสำคัญในลมว่าลม, ความสำคัญในอากาสานัญจายตนะ ว่าอากาสานัญจายตนะ, ความสำคัญในวิญญาณัญจายตนะว่าวิญญาณัญจายตนะ, ความสำคัญในอากิญจัญญายตนะว่าอากิญจัญญายตนะ, ความสำคัญในเนวสัญญานาสัญญายตนะว่าเนวสัญญานาสัญญายตนะ, ความสำคัญในโลกนี้ว่าโลกนี้, ความสำคัญในโลกอื่นว่าโลกอื่น, ความสำคัญในสิ่งที่เห็นแล้ว ฟังแล้ว ฯลฯ ว่า “สิ่งที่เราเห็นแล้ว” “สิ่งที่เราฟังแล้ว” ฯลฯ ก็ล้วนแต่เป็นแจ้งแก่บุรุษอาชาไนยผู้เจริญ (ว่าสิ่งเหล่านั้น หาได้เป็นที่สำคัญมั่นหมาย ว่าเป็นอะไร ๆ กันนั้นไม่ หากแต่เป็นสังขตธรรมตามธรรมชาติ เป็นไปตามกฎอิทัปปัจจยตา คือ เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา - ตามนัยแห่งอรรถกถา : นโนรถปูรณี ภ. ๓ น. ๔๓๒). สันธะ ! บุรุษอาชาไนยผู้เจริญ เพ่งอยู่อย่างนี้ จึงได้ชื่อว่า ไม่อาศัยความสำคัญว่าดินแล้วเพ่ง ไม่อาศัยความสำคัญว่าน้ำแล้วเพ่ง ไม่อาศัยความสำคัญว่าไฟแล้วเพ่ง เป็นต้น จนกระทั่งพวกเทวดาพากันสรรเสริญว่าดังนั้น.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 78 มุมมอง 0 รีวิว
  • อริยสาวกพึง​ฝึกหัด​ศึกษาอาการที่ทุกข์เกิดขึ้นเพราะยึดถือเบญจขันธ์
    สัทธรรมลำดับที่ : 290
    ชื่อบทธรรม :- อาการที่ทุกข์เกิดขึ้นเพราะยึดถือเบญจขันธ์
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=290
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --อาการที่ทุกข์เกิดขึ้นเพราะยึดถือเบญจขันธ์
    --ภิกษุ ท. ! บุถุชนผู้ไม่มีการสดับ ในโลกนี้
    ย่อมตามเห็นซึ่ง รูป ว่า
    “นั่นของเรา, นั่นเป็นเรา, นั่นเป็นตัวตนของเรา”
    ดังนี้.
    รูป นั้น
    ย่อมแปรปรวนเป็นอย่างอื่นแก่เขา ;
    โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาส ย่อมปรากฏแก่เขา
    #เพราะความแปรปรวนเป็นอย่างอื่นแห่งรูป.
    -- ภิกษุ ท. ! ความสะดุ้งเพราะถือมั่น(อุปฺปชฺชนฺติ)​ ย่อมมีอย่างนี้แล.
    http://etipitaka.com/read/pali/17/24/?keywords=อุปฺปชฺชนฺติ+อุปาทาน

    (ในกรณีแห่ง
    เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ
    ก็ได้ตรัสอย่างเดียวกัน
    ).-

    #ทุกขสมุทัย #อริยสัจสี่#สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ขนฺธ. สํ. 17/17/34.
    http://etipitaka.com/read/thai/17/17/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%94
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๒๔/๓๔.
    http://etipitaka.com/read/pali/17/24/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%94
    ศึกษาเพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=290
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=19&id=290
    หรือ
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=19
    ลำดับสาธยายธรรม : 19 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_19.mp3
    อริยสาวกพึง​ฝึกหัด​ศึกษาอาการที่ทุกข์เกิดขึ้นเพราะยึดถือเบญจขันธ์ สัทธรรมลำดับที่ : 290 ชื่อบทธรรม :- อาการที่ทุกข์เกิดขึ้นเพราะยึดถือเบญจขันธ์ https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=290 เนื้อความทั้งหมด :- --อาการที่ทุกข์เกิดขึ้นเพราะยึดถือเบญจขันธ์ --ภิกษุ ท. ! บุถุชนผู้ไม่มีการสดับ ในโลกนี้ ย่อมตามเห็นซึ่ง รูป ว่า “นั่นของเรา, นั่นเป็นเรา, นั่นเป็นตัวตนของเรา” ดังนี้. รูป นั้น ย่อมแปรปรวนเป็นอย่างอื่นแก่เขา ; โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาส ย่อมปรากฏแก่เขา #เพราะความแปรปรวนเป็นอย่างอื่นแห่งรูป. -- ภิกษุ ท. ! ความสะดุ้งเพราะถือมั่น(อุปฺปชฺชนฺติ)​ ย่อมมีอย่างนี้แล. http://etipitaka.com/read/pali/17/24/?keywords=อุปฺปชฺชนฺติ+อุปาทาน (ในกรณีแห่ง เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ก็ได้ตรัสอย่างเดียวกัน ).- #ทุกขสมุทัย #อริยสัจสี่​ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ขนฺธ. สํ. 17/17/34. http://etipitaka.com/read/thai/17/17/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%94 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๒๔/๓๔. http://etipitaka.com/read/pali/17/24/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%94 ศึกษาเพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=290 http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=19&id=290 หรือ http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=19 ลำดับสาธยายธรรม : 19 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_19.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - อาการที่ทุกข์เกิดขึ้นเพราะยึดถือเบญจขันธ์
    -อาการที่ทุกข์เกิดขึ้นเพราะยึดถือเบญจขันธ์ ภิกษุ ท. ! บุถุชนผู้ไม่มีการสดับ ในโลกนี้ ย่อมตามเห็นซึ่ง รูป ว่า “นั่นของเรา, นั่นเป็นเรา, นั่นเป็นตัวตนของเรา” ดังนี้. รูปนั้น ย่อมแปรปรวนเป็นอย่างอื่นแก่เขา ; โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาส ย่อมปรากฏแก่เขา เพราะความแปรปรวนเป็นอย่างอื่นแห่งรูป. (ในกรณีแห่งเวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ก็ได้ตรัสอย่างเดียวกัน).
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 70 มุมมอง 0 รีวิว
  • อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​อาการที่เรียกว่า อัฏฐังคิกมรรคบริบูรณ์ได้โดยวิธีลัด
    สัทธรรมลำดับที่ : 1024
    ชื่อบทธรรม :- อาการที่เรียกว่า อัฏฐังคิกมรรคบริบูรณ์ได้โดยวิธีลัด
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1024
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --อาการที่เรียกว่า อัฏฐังคิกมรรคบริบูรณ์ได้โดยวิธีลัด
    --ภิกษุ ท. ! เมื่อรู้เมื่อเห็นอยู่ ซึ่งจักษุตามที่เป็นจริง ;
    +--เมื่อรู้เมื่อเห็นอยู่ ซึ่ง รูป ทั้งหลาย(ท.)​ ตามที่เป็นจริง ;
    +--เมื่อรู้เมื่อเห็นอยู่ ซึ่ง จักขุวิญญาณ ตามที่เป็นจริง ;
    +--เมื่อรู้เมื่อเห็นอยู่ ซึ่ง จักขุสัมผัส ตามที่เป็นจริง ;
    +--เมื่อรู้เมื่อเห็นอยู่ ซึ่ง เวทนา อันเกิดขึ้นเพราะจักขุสัมผัส ;
    เป็นปัจจัย
    สุขก็ตาม ทุกข์ก็ตาม อทุกขมสุขก็ตาม, ตามที่เป็นจริง;
    บุคคล
    ย่อมไม่กำหนัดยินดี ในจักษุ ย่อมไม่กำหนัดยินดี ในรูป ทั้งหลาย
    ย่อมไม่กำหนัดยินดี ในจักขุวิญญาณ ย่อมไม่กำหนัดยินดี ในจักขุสัมผัส
    ย่อมไม่กำหนัดยินดี ในเวทนา อันเกิดขั้นเพราะ จักขุสัมผัส
    เป็นปัจจัย
    สุขก็ตาม ทุกข์ก็ตาม อทุกขมสุขก็ตาม.
    +--เมื่อบุคคลนั้นไม่กำหนัดยินดีแล้ว
    ไม่ประกอบพร้อมแล้ว ไม่หลงใหลแล้ว มีปกติเห็นโทษ อยู่;
    ปัญจุปาทานขันธ์ ย่อมถึงซึ่งความไม่ก่อขึ้นอีกต่อไป
    +--และ ตัณหา
    อันเครื่องนำมาซึ่งภพใหม่
    ประกอบอยู่ด้วยความกำหนัด(่ราคะ)​ด้วยอำนาจแห่งความเพลิน(นันทิ)​
    ทำให้เพลินอย่างยิ่งในอารมณ์นั้นๆ ของบุคคลนั้น ย่อมละไป.
    ความกระวนกระวาย ทางกายและทางจิต ก็ละไป;
    ความแผดเผา ทางกายและทางจิต ก็ละไป;
    ความเร่าร้อน ทางกายและทางจิต ก็ละไป;
    บุคคลนั้นย่อมเสวยความสุขทั้งทางกายและทางจิต.
    ๑--ทิฏฐิ ของผู้รู้ผู้เห็นอยู่เช่นนั้น เป็น สัมมาทิฏฐิ,
    ๒--ความดำริ ของผู้รู้ผู้เห็นอยู่เช่นนั้น เป็น สัมมาสังกัปปะ,
    ๓--ความเพียร ของผู้รู้ผู้เห็นอยู่เช่นนั้น เป็นสัมมาวายามะ
    ๔--สติ ของผู้รู้ผู้เห็นอยู่เช่นนั้น เป็น สัมมาสติ,
    ๕--สมาธิ ของผู้รู้ ผู้เห็นอยู่เช่นนั้น เป็น สัมมาสมาธิ.
    ส่วน
    ๖--กายกรรม ๗--วจีกรรม และ ๘--อาชีวะ
    ของเขา บริสุทธิ์มาแล้วแต่เดิม;
    (ดังนั้นเป็นอันว่า สัมมากัมมันตะ สัมมาวาจา สัมมาอาชีวะ
    มีอยู่แล้วอย่างเต็มที่ ในบุคคลผู้รู้อยู่ผู้เห็นอยู่เช่นนั้น
    ).
    ด้วยอาการอย่างนี้ เป็นอันว่า #อริยอัฏฐังคิกมรรค
    แห่งบุคคลผู้รู้อยู่เห็นอยู่อย่างนั้น
    ย่อมถึงซึ่ง #ความบริบูรณ์แห่งภาวนา
    ด้วยอาการอย่างนี้.-
    http://etipitaka.com/read/pali/14/523/?keywords=อริโย+อฏฺฐงฺคิโก+มคฺโค+ภาวนา
    (
    ผู้ยึดการปฏิบัติอริยอัฏฐังคิกมรรคเป็นหลัก
    พึงมองให้เห็นความสำคัญที่สุดแห่งพระบาลีนี้ ที่แสดงให้เห็นว่า
    ถ้าปฏิบัติในชั้นลึกคือการรู้เห็นอย่างถูกต้องเกี่ยวกับอายตนะ
    อันเป็นที่ตั้งแห่งตัณหาอุปทานแล้ว
    ย่อมเป็นเคล็ดลับในการปฏิบัติ #อริยอัฏฐังคิกมรรค อย่างครบถ้วน
    http://etipitaka.com/read/pali/14/526/?keywords=อริโย+อฏฺฐงฺคิโก+มคฺโค+ภาวนา
    ขึ้นมาโดยอัตโนมัติ ไม่เสียเวลามากเหมือนผู้ปฏิบัติชนิดแจกแจงเป็นองค์ๆ
    และองค์ละหลายๆ อย่าง ซึ่งโดยมากปฏิบัติจนตายหรือเกือบตาย
    ก็ไม่เคยประสบความสำเร็จ
    จึงขอเน้นความสำคัญอย่างยิ่งแห่งพระบาลีนี้
    แก่ผู้ปฏิบัติทุกคน. ข้อความที่ยกมานี้
    ยกมาแต่ข้อความที่แสดงด้วยเรื่องของ ๑.จักษุ

    ผู้ศึกษาพึงเทียบเคียงเอาเองออกไปถึงเรื่องของ
    ๒.โสตะ ๓.ฆานะ ๔.ชิวหา ๕.กายะ และ๖.มโน
    แต่ละอย่างๆ ออกเป็นห้าประเด็น
    เหมือนอย่างที่แสดงไว้ในกรณีแห่งจักษุข้างต้นนั้น,

    ก็จะได้อายตนะนิกธรรม ๖ หมวดๆ ละ ๕ อย่าง;
    รวมเป็น ๓๐ อย่าง โดยบริบูรณ์
    ).

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - อปริ. ม. 14/395 - 397/828 - 830.
    http://etipitaka.com/read/thai/14/395/?keywords=%E0%B9%98%E0%B9%92%E0%B9%98
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - อปริ. ม. ๑๔/๕๒๓ - ๕๒๕/๘๒๘ - ๘๓๐.
    http://etipitaka.com/read/pali/14/523/?keywords=%E0%B9%98%E0%B9%92%E0%B9%98
    ศึกษา​เพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=89&id=1024
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=89
    ลำดับสาธยายธรรม : 89 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_89.mp3
    อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​อาการที่เรียกว่า อัฏฐังคิกมรรคบริบูรณ์ได้โดยวิธีลัด สัทธรรมลำดับที่ : 1024 ชื่อบทธรรม :- อาการที่เรียกว่า อัฏฐังคิกมรรคบริบูรณ์ได้โดยวิธีลัด https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1024 เนื้อความทั้งหมด :- --อาการที่เรียกว่า อัฏฐังคิกมรรคบริบูรณ์ได้โดยวิธีลัด --ภิกษุ ท. ! เมื่อรู้เมื่อเห็นอยู่ ซึ่งจักษุตามที่เป็นจริง ; +--เมื่อรู้เมื่อเห็นอยู่ ซึ่ง รูป ทั้งหลาย(ท.)​ ตามที่เป็นจริง ; +--เมื่อรู้เมื่อเห็นอยู่ ซึ่ง จักขุวิญญาณ ตามที่เป็นจริง ; +--เมื่อรู้เมื่อเห็นอยู่ ซึ่ง จักขุสัมผัส ตามที่เป็นจริง ; +--เมื่อรู้เมื่อเห็นอยู่ ซึ่ง เวทนา อันเกิดขึ้นเพราะจักขุสัมผัส ; เป็นปัจจัย สุขก็ตาม ทุกข์ก็ตาม อทุกขมสุขก็ตาม, ตามที่เป็นจริง; บุคคล ย่อมไม่กำหนัดยินดี ในจักษุ ย่อมไม่กำหนัดยินดี ในรูป ทั้งหลาย ย่อมไม่กำหนัดยินดี ในจักขุวิญญาณ ย่อมไม่กำหนัดยินดี ในจักขุสัมผัส ย่อมไม่กำหนัดยินดี ในเวทนา อันเกิดขั้นเพราะ จักขุสัมผัส เป็นปัจจัย สุขก็ตาม ทุกข์ก็ตาม อทุกขมสุขก็ตาม. +--เมื่อบุคคลนั้นไม่กำหนัดยินดีแล้ว ไม่ประกอบพร้อมแล้ว ไม่หลงใหลแล้ว มีปกติเห็นโทษ อยู่; ปัญจุปาทานขันธ์ ย่อมถึงซึ่งความไม่ก่อขึ้นอีกต่อไป +--และ ตัณหา อันเครื่องนำมาซึ่งภพใหม่ ประกอบอยู่ด้วยความกำหนัด(่ราคะ)​ด้วยอำนาจแห่งความเพลิน(นันทิ)​ ทำให้เพลินอย่างยิ่งในอารมณ์นั้นๆ ของบุคคลนั้น ย่อมละไป. ความกระวนกระวาย ทางกายและทางจิต ก็ละไป; ความแผดเผา ทางกายและทางจิต ก็ละไป; ความเร่าร้อน ทางกายและทางจิต ก็ละไป; บุคคลนั้นย่อมเสวยความสุขทั้งทางกายและทางจิต. ๑--ทิฏฐิ ของผู้รู้ผู้เห็นอยู่เช่นนั้น เป็น สัมมาทิฏฐิ, ๒--ความดำริ ของผู้รู้ผู้เห็นอยู่เช่นนั้น เป็น สัมมาสังกัปปะ, ๓--ความเพียร ของผู้รู้ผู้เห็นอยู่เช่นนั้น เป็นสัมมาวายามะ ๔--สติ ของผู้รู้ผู้เห็นอยู่เช่นนั้น เป็น สัมมาสติ, ๕--สมาธิ ของผู้รู้ ผู้เห็นอยู่เช่นนั้น เป็น สัมมาสมาธิ. ส่วน ๖--กายกรรม ๗--วจีกรรม และ ๘--อาชีวะ ของเขา บริสุทธิ์มาแล้วแต่เดิม; (ดังนั้นเป็นอันว่า สัมมากัมมันตะ สัมมาวาจา สัมมาอาชีวะ มีอยู่แล้วอย่างเต็มที่ ในบุคคลผู้รู้อยู่ผู้เห็นอยู่เช่นนั้น ). ด้วยอาการอย่างนี้ เป็นอันว่า #อริยอัฏฐังคิกมรรค แห่งบุคคลผู้รู้อยู่เห็นอยู่อย่างนั้น ย่อมถึงซึ่ง #ความบริบูรณ์แห่งภาวนา ด้วยอาการอย่างนี้.- http://etipitaka.com/read/pali/14/523/?keywords=อริโย+อฏฺฐงฺคิโก+มคฺโค+ภาวนา ( ผู้ยึดการปฏิบัติอริยอัฏฐังคิกมรรคเป็นหลัก พึงมองให้เห็นความสำคัญที่สุดแห่งพระบาลีนี้ ที่แสดงให้เห็นว่า ถ้าปฏิบัติในชั้นลึกคือการรู้เห็นอย่างถูกต้องเกี่ยวกับอายตนะ อันเป็นที่ตั้งแห่งตัณหาอุปทานแล้ว ย่อมเป็นเคล็ดลับในการปฏิบัติ #อริยอัฏฐังคิกมรรค อย่างครบถ้วน http://etipitaka.com/read/pali/14/526/?keywords=อริโย+อฏฺฐงฺคิโก+มคฺโค+ภาวนา ขึ้นมาโดยอัตโนมัติ ไม่เสียเวลามากเหมือนผู้ปฏิบัติชนิดแจกแจงเป็นองค์ๆ และองค์ละหลายๆ อย่าง ซึ่งโดยมากปฏิบัติจนตายหรือเกือบตาย ก็ไม่เคยประสบความสำเร็จ จึงขอเน้นความสำคัญอย่างยิ่งแห่งพระบาลีนี้ แก่ผู้ปฏิบัติทุกคน. ข้อความที่ยกมานี้ ยกมาแต่ข้อความที่แสดงด้วยเรื่องของ ๑.จักษุ ผู้ศึกษาพึงเทียบเคียงเอาเองออกไปถึงเรื่องของ ๒.โสตะ ๓.ฆานะ ๔.ชิวหา ๕.กายะ และ๖.มโน แต่ละอย่างๆ ออกเป็นห้าประเด็น เหมือนอย่างที่แสดงไว้ในกรณีแห่งจักษุข้างต้นนั้น, ก็จะได้อายตนะนิกธรรม ๖ หมวดๆ ละ ๕ อย่าง; รวมเป็น ๓๐ อย่าง โดยบริบูรณ์ ). #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - อปริ. ม. 14/395 - 397/828 - 830. http://etipitaka.com/read/thai/14/395/?keywords=%E0%B9%98%E0%B9%92%E0%B9%98 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - อปริ. ม. ๑๔/๕๒๓ - ๕๒๕/๘๒๘ - ๘๓๐. http://etipitaka.com/read/pali/14/523/?keywords=%E0%B9%98%E0%B9%92%E0%B9%98 ศึกษา​เพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=89&id=1024 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=89 ลำดับสาธยายธรรม : 89 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_89.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - อาการที่เรียกว่า อัฏฐังคิกมรรคบริบูรณ์ได้โดยวิธีลัด
    -(ในสูตรอื่น ถือเอา การเกิดแห่งกุศลและการไม่เกิดแห่งอกุศล เป็นหลักเกณฑ์สำหรับ การเลือก ว่าควรเสพหรือไม่ควรเสพ : ถ้าได้ผลเป็นบุญกุศลถือว่าควรเสพ, ถ้าได้ผลเป็นอกุศล ถือว่าไม่ควรเสพ. และถือเอาหลักเกณฑ์นี้สำหรับการเลือกสิ่งเหล่านี้คือ กายสมาจาร วจีสมาจาร มโนสมาจาร จิตตุปบาท สัญญาปฏิลาภ ทิฏฐิปฏิลาภ อัตตภาวปฏิลาภ อารมณ์แต่ละอารมณ์ทางอายตนะทั้งหก จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ คาม นิคม นคร ชนบท และ บุคคล. ผู้ปรารถนา รายละเอียดพึงดูจากที่มานั้น ๆ : อุปริ. ม. ๑๔/๑๔๔ – ๑๖๔/๑๙๙ – ๒๓๒; หรือดูที่หัวข้อว่า “การเสพที่เป็นอุปกรณ์และไม่เป็นอุปกรณ์ แก่ความเพียรละอกุศลและเจริญ กุศล” ที่หน้า ๑๑๔๓ แห่งหนังสือเล่มนี้). อาการที่เรียกว่า อัฏฐังคิกมรรคบริบูรณ์ได้โดยวิธีลัด ภิกษุ ท. ! เมื่อรู้เมื่อเห็นอยู่ ซึ่งจักษุตามที่เป็นจริง ; เมื่อรู้เมื่อเห็นอยู่ ซึ่ง รูป ท. ตามที่เป็นจริง ; เมื่อรู้เมื่อเห็นอยู่ ซึ่ง จักขุวิญญาณ ตามที่เป็นจริง ; เมื่อรู้เมื่อเห็นอยู่ ซึ่ง จักขุสัมผัส ตามที่เป็นจริง ; เมื่อรู้เมื่อเห็นอยู่ ซึ่ง เวทนา อันเกิดขึ้นเพราะจักขุสัมผัส เป็นปัจจัย สุขก็ตาม ทุกข์ก็ตาม อทุกขมสุขก็ตาม, ตามที่เป็นจริง; บุคคล ย่อมไม่กำหนัดยินดีในจักษุ ย่อมไม่กำหนัดยินดี ในรูป ท. ย่อมไม่กำหนัดยินดี ในจักขุวิญญาณ ย่อมไม่กำหนัดยินดี ในจักขุสัมผัส ย่อมไม่กำหนัดยินดี ในเวทนา อันเกิดขั้นเพราะจักขุสัมผัสเป็นปัจจัย สุขก็ตาม ทุกข์ก็ตาม อทุกขมสุขก็ตาม. เมื่อบุคคลนั้นไม่กำหนัดยินดีแล้ว ไม่ประกอบพร้อมแล้ว ไม่หลงใหลแล้ว มีปกติเห็นโทษ อยู่; ปัญจุปาทานขันธ์ ย่อมถึงซึ่งความไม่ก่อขึ้นอีกต่อไป และ ตัณหา อันเครื่องนำมาซึ่งภพใหม่ ประกอบอยู่ด้วยความกำหนัดด้วยอำนาจแห่งความเพลิน ทำให้เพลินอย่างยิ่งในอารมณ์นั้นๆ ของบุคคลนั้น ย่อมละไป. ความกระวนกระวาย ทางกายและทางจิต ก็ละไป; ความแผดเผา ทางกายและทางจิต ก็ละไป; ความเร่าร้อน ทางกายและทางจิต ก็ละไป; บุคคลนั้นย่อมเสวยความสุขทั้งทางกายและทางจิต. ทิฏฐิของผู้รู้ผู้เห็นอยู่เช่นนั้น เป็น สัมมาทิฏฐิ, ความดำริของผู้รู้ผู้เห็นอยู่เช่นนั้น เป็น สัมมาสังกัปปะ, ความเพียรของผู้รู้ผู้เห็นอยู่เช่นนั้น เป็น สัมมาวายามะ สติของผู้รู้ผู้เห็นอยู่เช่นนั้น เป็น สัมมาสติ, สมาธิของผู้รู้ ผู้เห็นอยู่เช่นนั้น เป็น สัมมาสมาธิ. ส่วน กายกรรม วจีกรรม และอาชีวะ ของเขา บริสุทธิ์มาแล้วแต่เดิม; (ดังนั้นเป็นอันว่า สัมมากัมมันตะ สัมมาวาจา สัมมาอาชีวะ มีอยู่แล้วอย่างเต็มที่ ในบุคคลผู้รู้อยู่ผู้เห็นอยู่เช่นนั้น). ด้วยอาการอย่างนี้ เป็นอันว่า อริยอัฏฐังคิกมรรคแห่งบุคคลผู้รู้อยู่เห็นอยู่อย่างนั้น ย่อมถึงซึ่ง ความบริบูรณ์แห่งภาวนา ด้วยอาการอย่างนี้.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 98 มุมมอง 0 รีวิว
  • อริยสาวกพึงฝึกหัดว่าการดำเนินตามลำดับมโนสเจตนาของการเข้าสู่วิมุตติเมื่อมีศีลสมบูรณ์แล้วดำเนินไปตามธรรมได้เอง
    สัทธรรมลำดับที่ : 656
    ชื่อบทธรรม : -ลำดับมโนสเจตนาของการเข้าสู่วิมุตติเมื่อมีศีลสมบูรณ์แล้ว.
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=656
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --ลำดับมโนสเจตนาของการเข้าสู่วิมุตติเมื่อมีศีลสมบูรณ์แล้ว(สีลสมฺปนฺนสฺส)​
    http://etipitaka.com/read/pali/24/336/?keywords=สีลสมฺปนฺนสฺส
    --ภิกษุ ท. ! เมื่อมีศีลสมบูรณ์แล้ว ก็ไม่ต้องทำเจตนาว่า “อวิปปฏิสารจงบังเกิดแก่เรา”.
    +-ภิกษุ ท. ! ข้อนี้เป็นธรรมดา ว่า
    เมื่อมีศีลสมบูรณ์แล้ว อวิปปฏิสารย่อมเกิด (เอง).
    --ภิกษุ ท. ! เมื่อไม่มีวิปปฏิสาร ก็ไม่ต้องทำเจตนาว่า “ปราโมทย์จงบังเกิดแก่เรา”.
    +-ภิกษุ ท. ! ข้อนี้เป็นธรรมดา ว่า
    เมื่อไม่มีวิปปฏิสารปราโมทย์ย่อมเกิด (เอง).
    --ภิกษุ ท. ! เมื่อปราโมทย์แล้ว
    ก็ไม่ต้องทำเจตนาว่า “ปีติจงบังเกิดแก่เรา”.
    +-ภิกษุ ท. ! ข้อนี้เป็นธรรมดาว่า
    เมื่อปราโมทย์แล้ว ปีติย่อมเกิด (เอง).
    --ภิกษุ ท. ! เมื่อมีใจปีติแล้ว
    ก็ไม่ต้องทำเจตนาว่า “กายของเราจงรำงับ”.
    +-ภิกษุ ท. ! ข้อนี้เป็นธรรมดา ว่า
    เมื่อมีใจปีติแล้ว กายย่อมรำงับ (เอง).
    --ภิกษุ ท. ! เมื่อกายรำงับแล้ว
    ก็ไม่ต้องทำเจตนาว่า “เราจงเสวยสุขเถิด”.
    +-ภิกษุ ท. ! ข้อนี้เป็นธรรมดา ว่า
    เมื่อกายรำงับแล้ว ย่อมได้เสวยสุข (เอง).
    --ภิกษุ ท. ! เมื่อมีสุขก็ไม่ต้องทำเจตนาว่า “จิตของเราจงตั้งมั่นเป็นสมาธิ”.
    +-ภิกษุ ท. ! ข้อนี้เป็นธรรมดา ว่า
    เมื่อมีสุข จิตย่อมตั้งมั่น เป็นสมาธิ (เอง).
    --ภิกษุ ท. ! เมื่อจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิแล้ว
    ก็ไม่ต้องทำเจตนาว่า “เราจงรู้จงเห็นตามที่เป็นจริง”.
    +-ภิกษุ ท. ! ข้อนี้เป็นธรรมดา ว่า
    เมื่อจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิแล้ว ย่อมรู้ย่อมเห็นตามที่เป็นจริง (เอง).
    --ภิกษุ ท. ! เมื่อรู้อยู่เห็นอยู่ตามที่เป็นจริง
    ก็ไม่ต้องทำเจตนาว่า “เราจงเบื่อหน่าย”.
    +-ภิกษุ ท. ! ข้อนี้เป็นธรรมดา ว่า
    เมื่อรู้อยู่เห็นอยู่ตามที่เป็นจริง ย่อมเบื่อหน่าย (เอง).
    --ภิกษุ ท. ! เมื่อเบื่อหน่ายแล้ว
    ก็ไม่ต้องทำเจตนาว่า “เราจงคลายกำหนัด”.
    +-ภิกษุ ท. ! ข้อนี้เป็นธรรมดา ว่า
    เมื่อเบื่อหน่ายแล้ว ย่อมคลายกำหนัด (เอง).
    --ภิกษุ ท. ! เมื่อจิตคลายกำหนัดแล้ว
    ก็ไม่ต้องทำเจตนาว่า “เราจงทำให้แจ้งซึ่งวิมุตติญาณทัสสนะ”.
    +-ภิกษุ ท. ! ข้อนี้เป็นธรรมดา ว่า
    เมื่อคลายกำหนัดแล้ว #ย่อมทำให้แจ้งซึ่งวิมุตติญาณทัสสนะ (เอง).-
    http://etipitaka.com/read/pali/24/337/?keywords=วิมุตฺติญาณทสฺสน

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - เอกาทสก. อํ. 24/289/209.
    http://etipitaka.com/read/thai/24/289/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%90%E0%B9%99
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - เอกาทสก. อํ. ๒๔/๓๓๖/๒๐๙.
    http://etipitaka.com/read/pali/24/336/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%90%E0%B9%99
    ศึกษาเพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=656
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=45&id=656
    หรือ
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=45
    ลำดับสาธยายธรรม : 45 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_45.mp3
    อริยสาวกพึงฝึกหัดว่าการดำเนินตามลำดับมโนสเจตนาของการเข้าสู่วิมุตติเมื่อมีศีลสมบูรณ์แล้วดำเนินไปตามธรรมได้เอง สัทธรรมลำดับที่ : 656 ชื่อบทธรรม : -ลำดับมโนสเจตนาของการเข้าสู่วิมุตติเมื่อมีศีลสมบูรณ์แล้ว. https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=656 เนื้อความทั้งหมด :- --ลำดับมโนสเจตนาของการเข้าสู่วิมุตติเมื่อมีศีลสมบูรณ์แล้ว(สีลสมฺปนฺนสฺส)​ http://etipitaka.com/read/pali/24/336/?keywords=สีลสมฺปนฺนสฺส --ภิกษุ ท. ! เมื่อมีศีลสมบูรณ์แล้ว ก็ไม่ต้องทำเจตนาว่า “อวิปปฏิสารจงบังเกิดแก่เรา”. +-ภิกษุ ท. ! ข้อนี้เป็นธรรมดา ว่า เมื่อมีศีลสมบูรณ์แล้ว อวิปปฏิสารย่อมเกิด (เอง). --ภิกษุ ท. ! เมื่อไม่มีวิปปฏิสาร ก็ไม่ต้องทำเจตนาว่า “ปราโมทย์จงบังเกิดแก่เรา”. +-ภิกษุ ท. ! ข้อนี้เป็นธรรมดา ว่า เมื่อไม่มีวิปปฏิสารปราโมทย์ย่อมเกิด (เอง). --ภิกษุ ท. ! เมื่อปราโมทย์แล้ว ก็ไม่ต้องทำเจตนาว่า “ปีติจงบังเกิดแก่เรา”. +-ภิกษุ ท. ! ข้อนี้เป็นธรรมดาว่า เมื่อปราโมทย์แล้ว ปีติย่อมเกิด (เอง). --ภิกษุ ท. ! เมื่อมีใจปีติแล้ว ก็ไม่ต้องทำเจตนาว่า “กายของเราจงรำงับ”. +-ภิกษุ ท. ! ข้อนี้เป็นธรรมดา ว่า เมื่อมีใจปีติแล้ว กายย่อมรำงับ (เอง). --ภิกษุ ท. ! เมื่อกายรำงับแล้ว ก็ไม่ต้องทำเจตนาว่า “เราจงเสวยสุขเถิด”. +-ภิกษุ ท. ! ข้อนี้เป็นธรรมดา ว่า เมื่อกายรำงับแล้ว ย่อมได้เสวยสุข (เอง). --ภิกษุ ท. ! เมื่อมีสุขก็ไม่ต้องทำเจตนาว่า “จิตของเราจงตั้งมั่นเป็นสมาธิ”. +-ภิกษุ ท. ! ข้อนี้เป็นธรรมดา ว่า เมื่อมีสุข จิตย่อมตั้งมั่น เป็นสมาธิ (เอง). --ภิกษุ ท. ! เมื่อจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิแล้ว ก็ไม่ต้องทำเจตนาว่า “เราจงรู้จงเห็นตามที่เป็นจริง”. +-ภิกษุ ท. ! ข้อนี้เป็นธรรมดา ว่า เมื่อจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิแล้ว ย่อมรู้ย่อมเห็นตามที่เป็นจริง (เอง). --ภิกษุ ท. ! เมื่อรู้อยู่เห็นอยู่ตามที่เป็นจริง ก็ไม่ต้องทำเจตนาว่า “เราจงเบื่อหน่าย”. +-ภิกษุ ท. ! ข้อนี้เป็นธรรมดา ว่า เมื่อรู้อยู่เห็นอยู่ตามที่เป็นจริง ย่อมเบื่อหน่าย (เอง). --ภิกษุ ท. ! เมื่อเบื่อหน่ายแล้ว ก็ไม่ต้องทำเจตนาว่า “เราจงคลายกำหนัด”. +-ภิกษุ ท. ! ข้อนี้เป็นธรรมดา ว่า เมื่อเบื่อหน่ายแล้ว ย่อมคลายกำหนัด (เอง). --ภิกษุ ท. ! เมื่อจิตคลายกำหนัดแล้ว ก็ไม่ต้องทำเจตนาว่า “เราจงทำให้แจ้งซึ่งวิมุตติญาณทัสสนะ”. +-ภิกษุ ท. ! ข้อนี้เป็นธรรมดา ว่า เมื่อคลายกำหนัดแล้ว #ย่อมทำให้แจ้งซึ่งวิมุตติญาณทัสสนะ (เอง).- http://etipitaka.com/read/pali/24/337/?keywords=วิมุตฺติญาณทสฺสน #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - เอกาทสก. อํ. 24/289/209. http://etipitaka.com/read/thai/24/289/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%90%E0%B9%99 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - เอกาทสก. อํ. ๒๔/๓๓๖/๒๐๙. http://etipitaka.com/read/pali/24/336/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%90%E0%B9%99 ศึกษาเพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=656 http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=45&id=656 หรือ http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=45 ลำดับสาธยายธรรม : 45 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_45.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - ภิกษุ ท. ! เมื่อมีศีลสมบูรณ์แล้ว ก็ไม่ต้องทำเจตนาว่า “อวิปปฏิสารจงบังเกิดแก่เรา”. ภิกษุ ท. ! ข้อนี้เป็นธรรมดา ว่า เมื่อมีศีลสมบูรณ์แล้ว อวิปปฏิสารย่อมเกิด (เอง).
    -ภิกษุ ท. ! เมื่อมีศีลสมบูรณ์แล้ว ก็ไม่ต้องทำเจตนาว่า “อวิปปฏิสารจงบังเกิดแก่เรา”. ภิกษุ ท. ! ข้อนี้เป็นธรรมดา ว่า เมื่อมีศีลสมบูรณ์แล้ว อวิปปฏิสารย่อมเกิด (เอง). ภิกษุ ท. ! เมื่อไม่มีวิปปฏิสาร ก็ไม่ต้องทำเจตนาว่า “ปราโมทย์จงบังเกิดแก่เรา”. ภิกษุ ท. ! ข้อนี้เป็นธรรมดา ว่า เมื่อไม่มีวิปปฏิสารปราโมทย์ย่อมเกิด (เอง). ภิกษุ ท. ! เมื่อปราโมทย์แล้ว ก็ไม่ต้องทำเจตนาว่า “ปีติจงบังเกิดแก่เรา”. ภิกษุ ท. ! ข้อนี้เป็นธรรมดาว่า เมื่อปราโมทย์แล้ว ปีติย่อมเกิด (เอง). ภิกษุ ท. ! เมื่อมีใจปีติแล้ว ก็ไม่ต้องทำเจตนาว่า “กายของเราจงรำงับ”. ภิกษุ ท. ! ข้อนี้เป็นธรรมดา ว่า เมื่อมีใจปีติแล้ว กายย่อมรำงับ (เอง). ภิกษุ ท. ! เมื่อกายรำงับแล้ว ก็ไม่ต้องทำเจตนาว่า “เราจงเสวยสุขเถิด”. ภิกษุ ท. ! ข้อนี้เป็นธรรมดา ว่า เมื่อกายรำงับแล้ว ย่อมได้เสวยสุข (เอง). ภิกษุ ท. ! เมื่อมีสุขก็ไม่ต้องทำเจตนาว่า “จิตของเราจงตั้งมั่นเป็นสมาธิ”. ภิกษุ ท. ! ข้อนี้เป็นธรรมดา ว่า เมื่อมีสุข จิตย่อมตั้งมั่น เป็นสมาธิ (เอง). ภิกษุ ท. ! เมื่อจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิแล้ว ก็ไม่ต้องทำเจตนาว่า “เราจงรู้จงเห็นตามที่เป็นจริง”. ภิกษุ ท. ! ข้อนี้เป็นธรรมดา ว่า เมื่อจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิแล้ว ย่อมรู้ย่อมเห็นตามที่เป็นจริง (เอง). ภิกษุ ท. ! เมื่อรู้อยู่เห็นอยู่ตามที่เป็นจริง ก็ไม่ต้องทำเจตนาว่า “เราจงเบื่อหน่าย”. ภิกษุ ท. ! ข้อนี้เป็นธรรมดา ว่า เมื่อรู้อยู่เห็นอยู่ตามที่เป็นจริง ย่อมเบื่อหน่าย (เอง). ภิกษุ ท. ! เมื่อเบื่อหน่ายแล้ว ก็ไม่ต้องทำเจตนาว่า “เราจงคลายกำหนัด”. ภิกษุ ท. ! ข้อนี้เป็นธรรมดา ว่า เมื่อเบื่อหน่ายแล้ว ย่อมคลายกำหนัด (เอง). ภิกษุ ท. ! เมื่อจิตคลายกำหนัดแล้ว ก็ไม่ต้องทำเจตนาว่า “เราจงทำให้แจ้งซึ่งวิมุตติญาณทัสสนะ”. ภิกษุ ท. ! ข้อนี้เป็นธรรมดา ว่า เมื่อคลายกำหนัดแล้ว ย่อมทำให้แจ้งซึ่งวิมุตติญาณทัสสนะ (เอง).
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 69 มุมมอง 0 รีวิว
  • อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาอาการทุกข์เกิดขึ้นจากเบญจขันธ์
    สัทธรรมลำดับที่ : 289
    ชื่อบทธรรม :- อาการทุกข์เกิดขึ้นจากเบญจขันธ์
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=289
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --อาการทุกข์เกิดขึ้นจากเบญจขันธ์
    --ภิกษุ ท. ! ความเป็นสมุทัยแห่งรูป เป็นอย่างไรเล่า ?
    ความเป็นสมุทัยแห่งเวทนา เป็นอย่างไรเล่า ?
    ความเป็นสมุทัยแห่งสัญญา เป็นอย่างไรเล่า ?
    ความเป็นสมุทัยแห่งสังขารทั้งหลาย เป็นอย่างไรเล่า ?
    และความเป็นสมุทัยแห่งวิญญาณ เป็นอย่างไรเล่า ?
    --ภิกษุ ท. ! บุคคลในโลกนี้ ย่อมเพลิดเพลิน ย่อมพร่ำสรรเสริญ ย่อมเมาหมกอยู่.
    เขาเพลิดเพลิน พร่ำสรรเสริญ เมาหมกอยู่ ซึ่งอะไรเล่า ?
    --ภิกษุ ท. ! เขา ย่อมเพลิดเพลิน ย่อมพร่ำสรรเสริญ ย่อมเมาหมกอยู่ ซึ่งรูป.
    เมื่อเขาเพลิดเพลิน พร่ำสรรเสริญ เมาหมกอยู่ ซึ่งรูป,
    นันทิ (ความเพลิน) ย่อมบังเกิดขึ้น.
    http://etipitaka.com/read/pali/17/18/?keywords=นนฺทิ
    ความเพลินใดในรูป ความเพลินนั้น เป็นอุปาทาน.
    เพราะอุปาทานของเขานั้นเป็นปัจจัย จึงเกิดมีภพ ;
    เพราะภพเป็นปัจจัย จึงเกิดมีชาติ ;
    เพราะชาติเป็นปัจจัย, ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส และอุปายาส จึงเกิดมีพร้อม.
    ความก่อขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนั้น ย่อมมีได้ ด้วยอาการอย่างนี้.

    --ภิกษุ ท. ! เขา ย่อมเพลิดเพลิน ย่อมพร่ำสรรเสริญ ย่อมเมาหมกอยู่ ซึ่งเวทนา.
    เมื่อเขาเพลิดเพลิน พร่ำสรรเสริญ เมาหมกอยู่ ซึ่งเวทนา,
    นันทิ (ความเพลิน) ย่อมบังเกิดขึ้น.
    http://etipitaka.com/read/pali/17/18/?keywords=นนฺทิ
    ความเพลินใดในเวทนา ความเพลินนั้น เป็นอุปาทาน.
    เพราะอุปาทานของเขานั้นเป็นปัจจัย จึงเกิดมีภพ ;
    เพราะภพเป็นปัจจัย จึงเกิดมีชาติ ;
    เพราะชาติเป็นปัจจัย, ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส และอุปายาส จึงเกิดมีพร้อม.
    ความก่อขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนั้น ย่อมมีได้ ด้วยอาการอย่างนี้.

    --ภิกษุ ท. ! เขา ย่อมเพลิดเพลิน ย่อมพร่ำสรรเสริญ ย่อมเมาหมกอยู่ ซึ่งสัญญา.
    เมื่อเขาเพลิดเพลิน พร่ำสรรเสริญ เมาหมกอยู่ ซึ่งสัญญา,
    นันทิ (ความเพลิน) ย่อมบังเกิดขึ้น.
    http://etipitaka.com/read/pali/17/19/?keywords=นนฺทิ
    ความเพลินใดในสัญญา ความเพลินนั้น เป็นอุปาทาน.
    เพราะอุปาทานของเขานั้นเป็นปัจจัย จึงเกิดมีภพ ;
    เพราะภพเป็นปัจจัย จึงเกิดมีชาติ ;
    เพราะชาติเป็นปัจจัย, ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส และอุปายาส จึงเกิดมีพร้อม.
    ความก่อขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนั้น ย่อมมีได้ ด้วยอาการอย่างนี้.
    --ภิกษุ ท. ! เขา ย่อมเพลิดเพลิน ย่อมพร่ำสรรเสริญ ย่อมเมาหมกอยู่ ซึ่งสังขารทั้งหลาย.
    เมื่อเขาเพลิดเพลิน พร่ำสรรเสริญ เมาหมกอยู่ ซึ่งสังขารทั้งหลาย,
    นันทิ (ความเพลิน) ย่อมบังเกิดขึ้น,
    http://etipitaka.com/read/pali/17/19/?keywords=นนฺทิ
    ความเพลินใดในสังขารทั้งหลาย ความเพลินนั้น เป็นอุปาทาน.
    เพราะอุปาทานของเขานั้นเป็นปัจจัย จึงเกิดมีภพ ;
    เพราะภพเป็นปัจจัย จึงเกิดมีชาติ ;
    เพราะชาติเป็นปัจจัย, ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส และอุปายาส จึงเกิดมีพร้อม.
    ความก่อขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนั้น ย่อมมีได้ ด้วยอาการอย่างนี้.

    --ภิกษุ ท. ! เขาย่อมเพลิดเพลิน ย่อมพร่ำสรรเสริญ ย่อมเมาหมกอยู่ ซึ่งวิญญาณ.
    เมื่อเขาเพลิดเพลิน พร่ำสรรเสริญ เมาหมกอยู่ ซึ่งวิญญาณ,
    นันทิ (ความเพลิน) ย่อมบังเกิดขึ้น.
    http://etipitaka.com/read/pali/17/20/?keywords=นนฺทิ
    ความเพลินใดในวิญญาณ ความเพลินนั้น เป็นอุปาทาน.
    เพราะอุปาทานของเขานั้นเป็นปัจจัย จึงเกิดมีภพ ;
    เพราะภพเป็นปัจจัย จึงเกิดมีชาติ ;
    เพราะชาติเป็นปัจจัย, ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส และอุปายาส จึงเกิดมีพร้อม.
    ความก่อขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนั้น ย่อมมีได้ ด้วยอาการอย่างนี้ .

    --ภิกษุ ท. !
    นี่เป็นความเกิดแห่งรูป นี่เป็นความเกิดแห่งเวทนา
    นี่เป็นความเกิดแห่งสัญญา นี่เป็นความเกิดแห่งสังขาร
    นี่เป็นความเกิดแห่งวิญญาณ.
    แล.-

    #ทุกขสมุทัย #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์

    อ้างอิงสุตันตปิฎก : - ขนฺธ. สํ. 17/18/28.
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๑๘/๒๘.
    http://etipitaka.com/read/pali/17/18/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%98
    ศึกษาเพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=289
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=19&id=289
    หรือ
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=19
    ลำดับสาธยายธรรม : 19 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_19.mp3
    อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาอาการทุกข์เกิดขึ้นจากเบญจขันธ์ สัทธรรมลำดับที่ : 289 ชื่อบทธรรม :- อาการทุกข์เกิดขึ้นจากเบญจขันธ์ https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=289 เนื้อความทั้งหมด :- --อาการทุกข์เกิดขึ้นจากเบญจขันธ์ --ภิกษุ ท. ! ความเป็นสมุทัยแห่งรูป เป็นอย่างไรเล่า ? ความเป็นสมุทัยแห่งเวทนา เป็นอย่างไรเล่า ? ความเป็นสมุทัยแห่งสัญญา เป็นอย่างไรเล่า ? ความเป็นสมุทัยแห่งสังขารทั้งหลาย เป็นอย่างไรเล่า ? และความเป็นสมุทัยแห่งวิญญาณ เป็นอย่างไรเล่า ? --ภิกษุ ท. ! บุคคลในโลกนี้ ย่อมเพลิดเพลิน ย่อมพร่ำสรรเสริญ ย่อมเมาหมกอยู่. เขาเพลิดเพลิน พร่ำสรรเสริญ เมาหมกอยู่ ซึ่งอะไรเล่า ? --ภิกษุ ท. ! เขา ย่อมเพลิดเพลิน ย่อมพร่ำสรรเสริญ ย่อมเมาหมกอยู่ ซึ่งรูป. เมื่อเขาเพลิดเพลิน พร่ำสรรเสริญ เมาหมกอยู่ ซึ่งรูป, นันทิ (ความเพลิน) ย่อมบังเกิดขึ้น. http://etipitaka.com/read/pali/17/18/?keywords=นนฺทิ ความเพลินใดในรูป ความเพลินนั้น เป็นอุปาทาน. เพราะอุปาทานของเขานั้นเป็นปัจจัย จึงเกิดมีภพ ; เพราะภพเป็นปัจจัย จึงเกิดมีชาติ ; เพราะชาติเป็นปัจจัย, ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส และอุปายาส จึงเกิดมีพร้อม. ความก่อขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนั้น ย่อมมีได้ ด้วยอาการอย่างนี้. --ภิกษุ ท. ! เขา ย่อมเพลิดเพลิน ย่อมพร่ำสรรเสริญ ย่อมเมาหมกอยู่ ซึ่งเวทนา. เมื่อเขาเพลิดเพลิน พร่ำสรรเสริญ เมาหมกอยู่ ซึ่งเวทนา, นันทิ (ความเพลิน) ย่อมบังเกิดขึ้น. http://etipitaka.com/read/pali/17/18/?keywords=นนฺทิ ความเพลินใดในเวทนา ความเพลินนั้น เป็นอุปาทาน. เพราะอุปาทานของเขานั้นเป็นปัจจัย จึงเกิดมีภพ ; เพราะภพเป็นปัจจัย จึงเกิดมีชาติ ; เพราะชาติเป็นปัจจัย, ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส และอุปายาส จึงเกิดมีพร้อม. ความก่อขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนั้น ย่อมมีได้ ด้วยอาการอย่างนี้. --ภิกษุ ท. ! เขา ย่อมเพลิดเพลิน ย่อมพร่ำสรรเสริญ ย่อมเมาหมกอยู่ ซึ่งสัญญา. เมื่อเขาเพลิดเพลิน พร่ำสรรเสริญ เมาหมกอยู่ ซึ่งสัญญา, นันทิ (ความเพลิน) ย่อมบังเกิดขึ้น. http://etipitaka.com/read/pali/17/19/?keywords=นนฺทิ ความเพลินใดในสัญญา ความเพลินนั้น เป็นอุปาทาน. เพราะอุปาทานของเขานั้นเป็นปัจจัย จึงเกิดมีภพ ; เพราะภพเป็นปัจจัย จึงเกิดมีชาติ ; เพราะชาติเป็นปัจจัย, ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส และอุปายาส จึงเกิดมีพร้อม. ความก่อขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนั้น ย่อมมีได้ ด้วยอาการอย่างนี้. --ภิกษุ ท. ! เขา ย่อมเพลิดเพลิน ย่อมพร่ำสรรเสริญ ย่อมเมาหมกอยู่ ซึ่งสังขารทั้งหลาย. เมื่อเขาเพลิดเพลิน พร่ำสรรเสริญ เมาหมกอยู่ ซึ่งสังขารทั้งหลาย, นันทิ (ความเพลิน) ย่อมบังเกิดขึ้น, http://etipitaka.com/read/pali/17/19/?keywords=นนฺทิ ความเพลินใดในสังขารทั้งหลาย ความเพลินนั้น เป็นอุปาทาน. เพราะอุปาทานของเขานั้นเป็นปัจจัย จึงเกิดมีภพ ; เพราะภพเป็นปัจจัย จึงเกิดมีชาติ ; เพราะชาติเป็นปัจจัย, ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส และอุปายาส จึงเกิดมีพร้อม. ความก่อขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนั้น ย่อมมีได้ ด้วยอาการอย่างนี้. --ภิกษุ ท. ! เขาย่อมเพลิดเพลิน ย่อมพร่ำสรรเสริญ ย่อมเมาหมกอยู่ ซึ่งวิญญาณ. เมื่อเขาเพลิดเพลิน พร่ำสรรเสริญ เมาหมกอยู่ ซึ่งวิญญาณ, นันทิ (ความเพลิน) ย่อมบังเกิดขึ้น. http://etipitaka.com/read/pali/17/20/?keywords=นนฺทิ ความเพลินใดในวิญญาณ ความเพลินนั้น เป็นอุปาทาน. เพราะอุปาทานของเขานั้นเป็นปัจจัย จึงเกิดมีภพ ; เพราะภพเป็นปัจจัย จึงเกิดมีชาติ ; เพราะชาติเป็นปัจจัย, ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส และอุปายาส จึงเกิดมีพร้อม. ความก่อขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนั้น ย่อมมีได้ ด้วยอาการอย่างนี้ . --ภิกษุ ท. ! นี่เป็นความเกิดแห่งรูป นี่เป็นความเกิดแห่งเวทนา นี่เป็นความเกิดแห่งสัญญา นี่เป็นความเกิดแห่งสังขาร นี่เป็นความเกิดแห่งวิญญาณ. แล.- #ทุกขสมุทัย #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงสุตันตปิฎก : - ขนฺธ. สํ. 17/18/28. อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๑๘/๒๘. http://etipitaka.com/read/pali/17/18/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%98 ศึกษาเพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=289 http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=19&id=289 หรือ http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=19 ลำดับสาธยายธรรม : 19 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_19.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - อาการทุกข์เกิดขึ้นจากเบญจขันธ์
    -อาการทุกข์เกิดขึ้นจากเบญจขันธ์ ภิกษุ ท. ! ความเป็นสมุทัยแห่งรูป เป็นอย่างไรเล่า ? ความเป็นสมุทัยแห่งเวทนา เป็นอย่างไรเล่า ? ความเป็นสมุทัยแห่งสัญญา เป็นอย่างไรเล่า ? ความเป็นสมุทัยแห่งสังขารทั้งหลาย เป็นอย่างไรเล่า ? และความเป็นสมุทัยแห่งวิญญาณ เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! บุคคลในโลกนี้ ย่อมเพลิดเพลิน ย่อมพร่ำสรรเสริญ ย่อมเมาหมกอยู่. เขาเพลิดเพลิน พร่ำสรรเสริญ เมาหมกอยู่ ซึ่งอะไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! เขา ย่อมเพลิดเพลิน ย่อมพร่ำสรรเสริญ ย่อมเมาหมกอยู่ ซึ่งรูป. เมื่อเขาเพลิดเพลิน พร่ำสรรเสริญ เมาหมกอยู่ ซึ่งรูป, นันทิ (ความเพลิน) ย่อมบังเกิดขึ้น. ความเพลินใดในรูป ความเพลินนั้น เป็นอุปาทาน. เพราะอุปาทานของเขานั้นเป็นปัจจัย จึงเกิดมีภพ ; เพราะภพเป็นปัจจัย จึงเกิดมีชาติ ; เพราะชาติเป็นปัจจัย, ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส และอุปายาส จึงเกิดมีพร้อม. ความก่อขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนั้น ย่อมมีได้ ด้วยอาการอย่างนี้. ภิกษุ ท. ! เขา ย่อมเพลิดเพลิน ย่อมพร่ำสรรเสริญ ย่อมเมาหมกอยู่ ซึ่งเวทนา. เมื่อเขาเพลิดเพลิน พร่ำสรรเสริญ เมาหมกอยู่ ซึ่งเวทนา, นันทิ (ความเพลิน) ย่อมบังเกิดขึ้น. ความเพลินใดในเวทนา ความเพลินนั้น เป็นอุปาทาน. เพราะอุปาทานของเขานั้นเป็นปัจจัย จึงเกิดมีภพ ; เพราะภพเป็นปัจจัย จึงเกิดมีชาติ ; เพราะชาติเป็นปัจจัย, ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส และอุปายาส จึงเกิดมีพร้อม. ความก่อขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนั้น ย่อมมีได้ ด้วยอาการอย่างนี้. ภิกษุ ท. ! เขา ย่อมเพลิดเพลิน ย่อมพร่ำสรรเสริญ ย่อมเมาหมกอยู่ ซึ่งสัญญา. เมื่อเขาเพลิดเพลิน พร่ำสรรเสริญ เมาหมกอยู่ ซึ่งสัญญา, นันทิ (ความเพลิน) ย่อมบังเกิดขึ้น. ความเพลินใดในสัญญา ความเพลินนั้น เป็นอุปาทาน. เพราะอุปาทานของเขานั้นเป็นปัจจัย จึงเกิดมีภพ ; เพราะภพเป็นปัจจัย จึงเกิดมีชาติ ; เพราะชาติเป็นปัจจัย, ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส และอุปายาส จึงเกิดมีพร้อม. ความก่อขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนั้น ย่อมมีได้ ด้วยอาการอย่างนี้. ภิกษุ ท. ! เขา ย่อมเพลิดเพลิน ย่อมพร่ำสรรเสริญ ย่อมเมาหมกอยู่ ซึ่งสังขารทั้งหลาย. เมื่อเขาเพลิดเพลิน พร่ำสรรเสริญ เมาหมกอยู่ ซึ่งสังขารทั้งหลาย, นันทิ (ความเพลิน) ย่อมบังเกิดขึ้น, ความเพลินใดในสังขารทั้งหลาย ความเพลินนั้น เป็นอุปาทาน. เพราะอุปาทานของเขานั้นเป็นปัจจัย จึงเกิดมีภพ ; เพราะภพเป็นปัจจัย จึงเกิดมีชาติ ; เพราะชาติเป็นปัจจัย, ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส และอุปายาส จึงเกิดมีพร้อม. ความก่อขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนั้น ย่อมมีได้ ด้วยอาการอย่างนี้. ภิกษุ ท. ! เขาย่อมเพลิดเพลิน ย่อมพร่ำสรรเสริญ ย่อมเมาหมกอยู่ ซึ่งวิญญาณ. เมื่อเขาเพลิดเพลิน พร่ำสรรเสริญ เมาหมกอยู่ ซึ่งวิญญาณ, นันทิ (ความเพลิน) ย่อมบังเกิดขึ้น. ความเพลินใดในวิญญาณ ความเพลินนั้น เป็นอุปาทาน. เพราะอุปาทานของเขานั้นเป็นปัจจัย จึงเกิดมีภพ ; เพราะภพเป็นปัจจัย จึงเกิดมีชาติ ; เพราะชาติเป็นปัจจัย, ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส และอุปายาส จึงเกิดมีพร้อม. ความก่อขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนั้น ย่อมมีได้ ด้วยอาการอย่างนี้ แล.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 93 มุมมอง 0 รีวิว
  • อริยสาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​หลักเกณฑ์การเลือกสถานที่และบุคคลที่ควรเสพไม่ควรเสพ
    สัทธรรมลำดับที่ : 1023
    ชื่อบทธรรม :- หลักเกณฑ์การเลือกสถานที่และบุคคลที่ควรเสพไม่ควรเสพ
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1023
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --หลักเกณฑ์การเลือกสถานที่และบุคคลที่ควรเสพไม่ควรเสพ(อันเป็นอุปกรณ์แห่งมรรค)
    --การเลือกที่อยู่ในป่า (วนปัตถ์)
    --ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้
    เข้าไปอาศัย วนปัตถ์ (ป่าทึบ) แห่งใดแห่งหนึ่งอยู่,
    สติที่ยังตั้งขึ้นไม่ได้ ก็ไม่ตั้งขึ้นได้,
    จิตที่ยังไม่ตั้งมั่น ก็ไม่ตั้งมั่น,
    อาสวะที่ยังไม่สิ้น ก็ไม่ถึงความสิ้น, และ
    อนุตตรโยคักเขมธรรมที่ยังไม่บรรลุ ก็ไม่บรรลุ,
    ทั้งจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ คิลานปัจจยเภสัชชบริขาร
    อันบรรพชิตพึงแสวงหามาเพื่อเป็นบริขารของชีวิต ก็หามาได้โดยยาก.
    +--ภิกษุ ท. ! ภิกษุนั้น พิจารณาเห็นโดยประจักษ์ดังนี้แล้ว
    ไม่ว่าจะเป็นเวลากลางวันหรือกลางคืน พึงหลีกไปเสียจากวนปัตถ์นั้น,
    อย่าอยู่เลย.

    --ภิกษุ ท. ! อนึ่ง ภิกษุในกรณีนี้
    เข้าไปอาศัย วนปัตถ์ แห่งใดแห่งหนึ่งอยู่,
    สติที่ยังตั้งขึ้นไม่ได้ ก็ไม่ตั้งขึ้นได้,
    จิตที่ยังไม่ตั้งมั่นก็ไม่ตั้งมั่น,
    อาสวะที่ยังไม่สิ้นก็ไม่ถึงความสิ้น, และ
    อนุตตรโยคักเขมธรรมที่ยังไม่บรรลุก็ไม่บรรลุ;
    แต่ว่า จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ คิลานปัจจยเภสัชชบริขาร
    อันบรรพชิตพึงแสวงหามาเพื่อเป็นบริขารของชีวิต ก็หามาได้โดยไม่ยาก.
    +--ภิกษุ ท. ! ภิกษุนั้น พิจารณาเห็นโดยประจักษ์ดังนี้แล้ว คิดว่า
    “เราเป็นผู้ออกจากเรือนบวชเพราะเหตุแห่งจีวรก็หามิได้
    เพราะเหตุแห่ง บิณฑบาตก็หามิได้
    เพราะเหตุแห่ง เสนาสนะก็หามิได้
    เพราะเหตุแห่ง คิลานปัจจยเภสัชชบริขารก็หามิได้”;
    ครั้นพิจารณาเห็นดังนี้แล้ว ภิกษุนั้น พึงหลีกไปจากวนปัตถ์นั้น,
    อย่าอยู่เลย.
    http://etipitaka.com/read/pali/12/212/?keywords=วนปตฺถา+ปกฺกมิตพฺพํ

    --ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้
    เข้าไปอาศัย วนปัตถ์ แห่งใดแห่งหนึ่งอยู่,
    สติที่ยังตั้งขึ้นไม่ได้ ก็ตั้งขึ้นได้,
    จิตที่ยัง ไม่ตั้งมั่น ก็ตั้งมั่น,
    อาสวะที่ยัง ไม่สิ้น ก็ถึงความสิ้น, และ
    อนุตตรโยคักเขมธรรมที่ยัง ไม่บรรลุ ก็บรรลุ;
    แต่ว่าจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ คิลานปัจจยเภสัชชบริขาร
    อันบรรพชิตพึงแสวงหามาเพื่อเป็นบริขารของชีวิตนั้น ก็หามาได้โดยยาก.
    +--ภิกษุ ท. ! ภิกษุนั้น พิจารณาเห็นโดยประจักษ์ดังนี้แล้ว คิดว่า
    “เรามิได้ ออกจากเรือนบวช
    เพราะเหตุแห่ง จีวร
    เพราะเหตุแห่ง บิณฑบาต
    เพราะเหตุแห่ง เสนาสนะ
    เพราะเหตุแห่ง คิลานปัจจยเภสัชชบริขาร”;
    ครั้นพิจารณาเห็นดังนี้แล้ว ภิกษุนั้น พึงอยู่ในวนปัตถ์นั้น
    อย่าหลีกไปเสียเลย.
    http://etipitaka.com/read/pali/12/213/?keywords=วนปตฺถา+ปกฺกมิตพฺพํ

    --ภิกษุ ท. ! อนึ่ง ภิกษุในกรณีนี้
    เข้าไปอาศัย วนปัตถ์ แห่งใดแห่งหนึ่งอยู่,
    สติที่ยังตั้งขึ้นไม่ได้ ก็ตั้งขึ้นได้,
    จิตที่ยังไม่ตั้งมั่น ก็ตั้งมั่น,
    อาสวะที่ยังไม่สิ้น ก็ถึงความสิ้น, และ
    อนุตตรโยคักเขมธรรมที่ยังไม่บรรลุ ก็บรรลุ;
    ทั้งจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ คิลานปัจจยเภสัชชบริขาร
    อันบรรพชิตจะแสวงหามาเพื่อเป็นบริขารของชีวิตนั้น ก็หามาได้โดยไม่ยาก.
    +--ภิกษุ ท. ! ภิกษุนั้น พิจารณาเห็นโดยประจักษ์ดังนี้,
    พึงอยู่ในวนปัตถ์นั้น จนตลอดชีวิต, อย่าหลีกไปเสียเลย.
    http://etipitaka.com/read/pali/12/214/?keywords=วนปตฺถา+ปกฺกมิตพฺพํ
    (ในกรณีแห่ง
    การเลือกหมู่บ้าน นิคม นคร ชนบท และบุคคล
    ที่ควรเสพหรือไม่ควรเสพ ก็ได้ตรัสไว้โดยหลักเกณฑ์อย่างเดียวกัน
    )

    (ในสูตรอื่น
    ถือเอา การเกิดแห่งกุศลและการไม่เกิดแห่งอกุศล
    เป็นหลักเกณฑ์สำหรับ การเลือก ว่าควรเสพหรือไม่ควรเสพ
    : ถ้าได้ผลเป็นบุญกุศลถือว่า ควรเสพ,
    ถ้าได้ผลเป็นอกุศล ถือว่าไม่ควรเสพ.
    และถือเอาหลักเกณฑ์นี้สำหรับการเลือกสิ่งเหล่านี้คือ
    กายสมาจาร วจีสมาจาร มโนสมาจาร
    จิตตุปบาท สัญญาปฏิลาภ ทิฏฐิปฏิลาภ อัตตภาวปฏิลาภ
    อารมณ์แต่ละอารมณ์ทางอายตนะทั้งหก
    จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ คาม นิคม นคร ชนบท และ บุคคล.
    ผู้ปรารถนา รายละเอียดพึงดูจากที่มานั้น ๆ
    : -​ อุปริ. ม. ๑๔/๑๔๔ – ๑๖๔/๑๙๙ – ๒๓๒;
    http://etipitaka.com/read/pali/14/144/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%99%E0%B9%99
    หรือดูที่หัวข้อว่า
    “การเสพที่เป็นอุปกรณ์และไม่เป็นอุปกรณ์
    แก่ความเพียรละอกุศลและเจริญกุศล”
    ).

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - มู. ม. 12/147 - 253/235 - 242.
    http://etipitaka.com/read/thai/12/147/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%93%E0%B9%95
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - มู. ม. ๑๒/๒๑๒ - ๒๑๘/๒๓๕ - ๒๔๒.
    http://etipitaka.com/read/pali/12/212/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%93%E0%B9%95
    ศึกษา​เพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1023
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=88&id=1023
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=88
    ลำดับสาธยายธรรม : 88 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_88.mp3
    อริยสาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​หลักเกณฑ์การเลือกสถานที่และบุคคลที่ควรเสพไม่ควรเสพ สัทธรรมลำดับที่ : 1023 ชื่อบทธรรม :- หลักเกณฑ์การเลือกสถานที่และบุคคลที่ควรเสพไม่ควรเสพ https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1023 เนื้อความทั้งหมด :- --หลักเกณฑ์การเลือกสถานที่และบุคคลที่ควรเสพไม่ควรเสพ(อันเป็นอุปกรณ์แห่งมรรค) --การเลือกที่อยู่ในป่า (วนปัตถ์) --ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้ เข้าไปอาศัย วนปัตถ์ (ป่าทึบ) แห่งใดแห่งหนึ่งอยู่, สติที่ยังตั้งขึ้นไม่ได้ ก็ไม่ตั้งขึ้นได้, จิตที่ยังไม่ตั้งมั่น ก็ไม่ตั้งมั่น, อาสวะที่ยังไม่สิ้น ก็ไม่ถึงความสิ้น, และ อนุตตรโยคักเขมธรรมที่ยังไม่บรรลุ ก็ไม่บรรลุ, ทั้งจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ คิลานปัจจยเภสัชชบริขาร อันบรรพชิตพึงแสวงหามาเพื่อเป็นบริขารของชีวิต ก็หามาได้โดยยาก. +--ภิกษุ ท. ! ภิกษุนั้น พิจารณาเห็นโดยประจักษ์ดังนี้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเวลากลางวันหรือกลางคืน พึงหลีกไปเสียจากวนปัตถ์นั้น, อย่าอยู่เลย. --ภิกษุ ท. ! อนึ่ง ภิกษุในกรณีนี้ เข้าไปอาศัย วนปัตถ์ แห่งใดแห่งหนึ่งอยู่, สติที่ยังตั้งขึ้นไม่ได้ ก็ไม่ตั้งขึ้นได้, จิตที่ยังไม่ตั้งมั่นก็ไม่ตั้งมั่น, อาสวะที่ยังไม่สิ้นก็ไม่ถึงความสิ้น, และ อนุตตรโยคักเขมธรรมที่ยังไม่บรรลุก็ไม่บรรลุ; แต่ว่า จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ คิลานปัจจยเภสัชชบริขาร อันบรรพชิตพึงแสวงหามาเพื่อเป็นบริขารของชีวิต ก็หามาได้โดยไม่ยาก. +--ภิกษุ ท. ! ภิกษุนั้น พิจารณาเห็นโดยประจักษ์ดังนี้แล้ว คิดว่า “เราเป็นผู้ออกจากเรือนบวชเพราะเหตุแห่งจีวรก็หามิได้ เพราะเหตุแห่ง บิณฑบาตก็หามิได้ เพราะเหตุแห่ง เสนาสนะก็หามิได้ เพราะเหตุแห่ง คิลานปัจจยเภสัชชบริขารก็หามิได้”; ครั้นพิจารณาเห็นดังนี้แล้ว ภิกษุนั้น พึงหลีกไปจากวนปัตถ์นั้น, อย่าอยู่เลย. http://etipitaka.com/read/pali/12/212/?keywords=วนปตฺถา+ปกฺกมิตพฺพํ --ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้ เข้าไปอาศัย วนปัตถ์ แห่งใดแห่งหนึ่งอยู่, สติที่ยังตั้งขึ้นไม่ได้ ก็ตั้งขึ้นได้, จิตที่ยัง ไม่ตั้งมั่น ก็ตั้งมั่น, อาสวะที่ยัง ไม่สิ้น ก็ถึงความสิ้น, และ อนุตตรโยคักเขมธรรมที่ยัง ไม่บรรลุ ก็บรรลุ; แต่ว่าจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ คิลานปัจจยเภสัชชบริขาร อันบรรพชิตพึงแสวงหามาเพื่อเป็นบริขารของชีวิตนั้น ก็หามาได้โดยยาก. +--ภิกษุ ท. ! ภิกษุนั้น พิจารณาเห็นโดยประจักษ์ดังนี้แล้ว คิดว่า “เรามิได้ ออกจากเรือนบวช เพราะเหตุแห่ง จีวร เพราะเหตุแห่ง บิณฑบาต เพราะเหตุแห่ง เสนาสนะ เพราะเหตุแห่ง คิลานปัจจยเภสัชชบริขาร”; ครั้นพิจารณาเห็นดังนี้แล้ว ภิกษุนั้น พึงอยู่ในวนปัตถ์นั้น อย่าหลีกไปเสียเลย. http://etipitaka.com/read/pali/12/213/?keywords=วนปตฺถา+ปกฺกมิตพฺพํ --ภิกษุ ท. ! อนึ่ง ภิกษุในกรณีนี้ เข้าไปอาศัย วนปัตถ์ แห่งใดแห่งหนึ่งอยู่, สติที่ยังตั้งขึ้นไม่ได้ ก็ตั้งขึ้นได้, จิตที่ยังไม่ตั้งมั่น ก็ตั้งมั่น, อาสวะที่ยังไม่สิ้น ก็ถึงความสิ้น, และ อนุตตรโยคักเขมธรรมที่ยังไม่บรรลุ ก็บรรลุ; ทั้งจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ คิลานปัจจยเภสัชชบริขาร อันบรรพชิตจะแสวงหามาเพื่อเป็นบริขารของชีวิตนั้น ก็หามาได้โดยไม่ยาก. +--ภิกษุ ท. ! ภิกษุนั้น พิจารณาเห็นโดยประจักษ์ดังนี้, พึงอยู่ในวนปัตถ์นั้น จนตลอดชีวิต, อย่าหลีกไปเสียเลย. http://etipitaka.com/read/pali/12/214/?keywords=วนปตฺถา+ปกฺกมิตพฺพํ (ในกรณีแห่ง การเลือกหมู่บ้าน นิคม นคร ชนบท และบุคคล ที่ควรเสพหรือไม่ควรเสพ ก็ได้ตรัสไว้โดยหลักเกณฑ์อย่างเดียวกัน ) (ในสูตรอื่น ถือเอา การเกิดแห่งกุศลและการไม่เกิดแห่งอกุศล เป็นหลักเกณฑ์สำหรับ การเลือก ว่าควรเสพหรือไม่ควรเสพ : ถ้าได้ผลเป็นบุญกุศลถือว่า ควรเสพ, ถ้าได้ผลเป็นอกุศล ถือว่าไม่ควรเสพ. และถือเอาหลักเกณฑ์นี้สำหรับการเลือกสิ่งเหล่านี้คือ กายสมาจาร วจีสมาจาร มโนสมาจาร จิตตุปบาท สัญญาปฏิลาภ ทิฏฐิปฏิลาภ อัตตภาวปฏิลาภ อารมณ์แต่ละอารมณ์ทางอายตนะทั้งหก จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ คาม นิคม นคร ชนบท และ บุคคล. ผู้ปรารถนา รายละเอียดพึงดูจากที่มานั้น ๆ : -​ อุปริ. ม. ๑๔/๑๔๔ – ๑๖๔/๑๙๙ – ๒๓๒; http://etipitaka.com/read/pali/14/144/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%99%E0%B9%99 หรือดูที่หัวข้อว่า “การเสพที่เป็นอุปกรณ์และไม่เป็นอุปกรณ์ แก่ความเพียรละอกุศลและเจริญกุศล” ). #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - มู. ม. 12/147 - 253/235 - 242. http://etipitaka.com/read/thai/12/147/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%93%E0%B9%95 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - มู. ม. ๑๒/๒๑๒ - ๒๑๘/๒๓๕ - ๒๔๒. http://etipitaka.com/read/pali/12/212/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%93%E0%B9%95 ศึกษา​เพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1023 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=88&id=1023 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=88 ลำดับสาธยายธรรม : 88 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_88.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - หลักเกณฑ์การเลือกสถานที่และบุคคลที่ควรเสพไม่ควรเสพ--(อันเป็นอุปกรณ์แห่งมรรค)--การเลือกที่อยู่ในป่า (วนปัตถ์)
    -[ศีลอันเป็นที่ตั้งพื้นฐานในที่นี้ มิได้หมายถึงศีลที่มีรวมอยู่ในอัฏฐังคิกมรรค, หาก แต่เป็นศีลพื้นฐาน เช่นศีลห้า อุโบสถศีล อันยังมิได้ปรารภวิเวก – วิราค – นิโรธ – โวสสัคคะ. ลักษณะแห่งการเจริญอริยมรรคนั้น กล่าวไว้หลายวิธี : ในที่อื่น กล่าวว่า เจริญองค์แห่งมรรคแต่ละองค์ๆ อย่างที่ มีการนำออกซึ่งราคะเป็นที่สุดรอบ (ราควินยปริโยสาน) มีการนำออกซึ่งโทสะเป็นที่สุดรอบ (โทสวินยปริโยสาน) มีการนำออกซึ่งโมหะเป็นที่สุดรอบ (โมหวินย-ปริโยสาน) (๑๙/๖๘ – ๖๙/๒๖๖ - ๒๖๗) ; ในที่อื่นว่า เจริญองค์แห่งอริยมรรค อย่างที่ มีอมตะเป็นที่หยั่งลง (อมโตคธ) มีอมตะเป็นที่ไปในเบื้องหน้า (อมตปรายน) มีอมตะเป็นที่ สุดรอบ (อมตปริโยสาน) (๑๙/๖๙ /๒๖๘ - ๒๖๙) ; ในที่อื่นแสดงลักษณะแห่งองค์อริยมรรคว่า เอียงไปสู่นิพพาน (นิพฺพานนินฺน) น้อมไปสู่นิพพาน (นิพฺพานโปณ) ลาดลุ่มไปสู่นิพพาน (นิพฺพานปพฺภาร) (๑๙/๖๙ – ๗๐/๒๗๐ - ๒๗๑) ; ต่างกันอยู่เป็นสี่รูปแบบดังนี้ ล้านแต่เป็นที่ น่าสนใจนำไปพิจารณา. กิริยาที่ผู้ปฏิบัติต้องอาศัยศีลเป็นที่ตั้ง มีอุปมาเหมือนการทำงานต้องอาศัยเหยียบแผ่นดินเป็นที่ตั้ง นั้น ยังอุปมาแปลกออกไป เหมือนการที่พฤกษาชาติทั้งหลายต้องอาศัยแผ่นดิน เป็นที่งอกงาม ก็มี (๑๙/ ๗๐/๒๗๒ - ๒๗๓) และ เหมือนพวกนาคอาศัยซอกเขาหิมพานต์เป็นที่เกิดเป็นที่เจริญ ก็มี (๑๙/๗๑/๒๗๔ - ๒๗๕) ; ล้วนแต่มีความหมายอย่างเดียวกันว่า ว่าต้องมีที่ตั้ง ที่อาศัย]. หลักเกณฑ์การเลือกสถานที่และบุคคลที่ควรเสพไม่ควรเสพ (อันเป็นอุปกรณ์แห่งมรรค) การเลือกที่อยู่ในป่า (วนปัตถ์) ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้ เข้าไปอาศัย วนปัตถ์ (ป่าทึบ) แห่งใดแห่งหนึ่งอยู่, สติที่ยังตั้งขึ้นไม่ได้ ก็ไม่ตั้งขึ้นได้, จิตที่ยังไม่ตั้งมั่นก็ไม่ตั้งมั่น, อาสวะที่ยังไม่สิ้นก็ไม่ถึงความสิ้น, และอนุตตรโยคักเขมธรรมที่ยังไม่บรรลุก็ไม่บรรลุ, ทั้งจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ คิลานปัจจยเภสัชชบริขาร อันบรรพชิตพึงแสวงหามาเพื่อเป็นบริขารของชีวิต ก็หามาได้โดยยาก. ภิกษุ ท. ! ภิกษุนั้น พิจารณาเห็นโดยประจักษ์ดังนี้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเวลากลางวันหรือกลางคืน พึงหลีกไปเสียจากวนปัตถ์นั้น, อย่าอยู่เลย. ภิกษุ ท. ! อนึ่ง ภิกษุในกรณีนี้ เข้าไปอาศัย วนปัตถ์ แห่งใดแห่งหนึ่งอยู่, สติที่ยังตั้งขึ้นไม่ได้ ก็ไม่ตั้งขึ้นได้, จิตที่ยังไม่ตั้งมั่นก็ไม่ตั้งมั่น, อาสวะที่ยังไม่สิ้นก็ไม่ถึงความสิ้น, และอนุตตรโยคักเขมธรรมที่ยังไม่บรรลุก็ไม่บรรลุ; แต่ว่า จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ คิลานปัจจยเภสัชชบริขาร อันบรรพชิตพึงแสวงหามาเพื่อเป็นบริขารของชีวิต ก็หามาได้โดยไม่ยาก. ภิกษุ ท. ! ภิกษุนั้น พิจารณาเห็นโดยประจักษ์ดังนี้แล้ว คิดว่า “เราเป็นผู้ออกจากเรือนบวชเพราะเหตุแห่งจีวรก็หามิได้ เพราะเหตุแห่งบิณฑบาตก็หามิได้ เพราะเหตุแห่งเสนาสนะก็หามิได้ เพราะเหตุแห่ง คิลานปัจจยเภสัชชบริขารก็หามิได้”; ครั้นพิจารณาเห็นดังนี้แล้ว ภิกษุนั้น พึงหลีกไปจากวนปัตถ์นั้น, อย่าอยู่เลย. ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้ เข้าไปอาศัย วนปัตถ์ แห่งใดแห่งหนึ่งอยู่, สติที่ยังตั้งขึ้นไม่ได้ ก็ตั้งขึ้นได้, จิตที่ยังไม่ตั้งมั่นก็ตั้งมั่น, อาสวะที่ยังไม่สิ้น ก็ถึงความสิ้น, และอนุตตรโยคักเขมธรรมที่ยังไม่บรรลุก็บรรลุ; แต่ว่าจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ คิลานปัจจยเภสัชชบริขาร อันบรรพชิตพึงแสวงหามาเพื่อเป็นบริขารของชีวิตนั้น ก็หามาได้โดยยาก. ภิกษุ ท. ! ภิกษุนั้น พิจารณาเห็นโดยประจักษ์ดังนี้แล้ว คิดว่า “เรามิได้ ออกจากเรือนบวช เพราะเหตุแห่งจีวร เพราะเหตุแห่งบิณฑบาต เพราะเหตุแห่งเสนาสนะ เพราะเหตุแห่งคิลานปัจจยเภสัชชบริขาร”; ครั้นพิจารณาเห็นดังนี้แล้ว ภิกษุนั้น พึงอยู่ในวนปตถ์นั้นอย่าหลีกไปเสียเลย. ภิกษุ ท. ! อนึ่ง ภิกษุในกรณีนี้ เข้าไปอาศัย วนปัตถ์ แห่งใดแห่งหนึ่งอยู่, สติที่ยังตั้งขึ้นไม่ได้ ก็ตั้งขึ้นได้, จิตที่ยังไม่ตั้งมั่นก็ตั้งมั่น, อาสวะที่ยังไม่สิ้นก็ถึงความสิ้น, และอนุตตรโยคักเขมธรรมที่ยังไม่บรรลุก็บรรลุ; ทั้งจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ คิลานปัจจยเภสัชชบริขาร อันบรรพชิตจะแสวงหามาเพื่อเป็นบริขารของชีวิตนั้น ก็หามาได้โดยไม่ยาก. ภิกษุ ท. ! ภิกษุนั้น พิจารณาเห็นโดยประจักษ์ดังนี้ พึงอยู่ในวนปัตถ์นั้น จนตลอดชีวิต, อย่าหลีกไปเสียเลย. (ในกรณีแห่ง การเลือกหมู่บ้าน นิคม นคร ชนบท และบุคคล ที่ควรเสพหรือไม่ควรเสพ ก็ได้ตรัสไว้โดยหลักเกณฑ์อย่างเดียวกัน)-
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 112 มุมมอง 0 รีวิว
  • อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาตามลำดับการเกิดแห่งธรรมโดยไม่ต้องเจตนา
    สัทธรรมลำดับที่ : 655
    ชื่อบทธรรม :- อานิสงส์ตามลำดับการเกิดแห่งธรรมโดยไม่ต้องเจตนา
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=655
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --อานิสงส์ตามลำดับการเกิดแห่งธรรมโดยไม่ต้องเจตนา (จากสีลถึงวิมุตติ)
    --อานนท์ ! ด้วยอาการอย่างนี้แล
    : ศีลอันเป็นกุศล มีอวิปปฏิสาร(ความไม่เดือดร้อน)​เป็นอานิสงส์ที่มุ่งหมาย ;
    http://etipitaka.com/read/pali/24/336/?keywords=อวิปฺปฏิสาร
    อวิปปฏิสาร มี​ ความปราโมทย์ เป็นอานิสงส์ที่มุ่งหมาย ;
    ความปราโมทย์ มี ปีติ เป็นอานิสงส์ที่มุ่งหมาย ;
    ปีติ มี ปัสสัทธิ เป็นอานิสงส์ที่มุ่งหมาย ;
    ปัสสัทธิ มี สุข เป็นอานิสงส์ที่มุ่งหมาย ;
    สุข มี สมาธิ เป็นอานิสงส์ที่มุ่งหมาย ;
    สมาธิ มี ยถาภูตญาณทัสสนะ เป็นอานิสงส์ที่มุ่งหมาย ;
    ยถาภูตญาณทัสสนะ มี นิพพิทา เป็นอานิสงส์ที่มุ่งหมาย ;
    นิพพิทา มี วิราคะ เป็นอานิสงส์ที่มุ่งหมาย;
    วิราคะ มี วิมุตติญาณทัสสนะ เป็นอานิสงส์ที่มุ่งหมาย.
    --อานนท์ ! ศีลอันเป็นกุศล
    http://etipitaka.com/read/pali/24/336/?keywords=กุสลานิ+สีลานิ
    #ย่อมยังอรหัตตผลให้บริบูรณ์ โดยลำดับด้วยอาการอย่างนี้แล.-

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่#สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - เอกาทสก. อํ. 24/289/208.
    http://etipitaka.com/read/thai/24/289/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%90%E0%B9%98
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - เอกาทสก. อํ. ๒๔/๓๓๕/๒๐๘.
    http://etipitaka.com/read/pali/24/335/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%90%E0%B9%98
    ศึกษาเพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=655
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=45&id=655
    หรือ
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=45
    ลำดับสาธยายธรรม : 45 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_45.mp3
    อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาตามลำดับการเกิดแห่งธรรมโดยไม่ต้องเจตนา สัทธรรมลำดับที่ : 655 ชื่อบทธรรม :- อานิสงส์ตามลำดับการเกิดแห่งธรรมโดยไม่ต้องเจตนา https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=655 เนื้อความทั้งหมด :- --อานิสงส์ตามลำดับการเกิดแห่งธรรมโดยไม่ต้องเจตนา (จากสีลถึงวิมุตติ) --อานนท์ ! ด้วยอาการอย่างนี้แล : ศีลอันเป็นกุศล มีอวิปปฏิสาร(ความไม่เดือดร้อน)​เป็นอานิสงส์ที่มุ่งหมาย ; http://etipitaka.com/read/pali/24/336/?keywords=อวิปฺปฏิสาร อวิปปฏิสาร มี​ ความปราโมทย์ เป็นอานิสงส์ที่มุ่งหมาย ; ความปราโมทย์ มี ปีติ เป็นอานิสงส์ที่มุ่งหมาย ; ปีติ มี ปัสสัทธิ เป็นอานิสงส์ที่มุ่งหมาย ; ปัสสัทธิ มี สุข เป็นอานิสงส์ที่มุ่งหมาย ; สุข มี สมาธิ เป็นอานิสงส์ที่มุ่งหมาย ; สมาธิ มี ยถาภูตญาณทัสสนะ เป็นอานิสงส์ที่มุ่งหมาย ; ยถาภูตญาณทัสสนะ มี นิพพิทา เป็นอานิสงส์ที่มุ่งหมาย ; นิพพิทา มี วิราคะ เป็นอานิสงส์ที่มุ่งหมาย; วิราคะ มี วิมุตติญาณทัสสนะ เป็นอานิสงส์ที่มุ่งหมาย. --อานนท์ ! ศีลอันเป็นกุศล http://etipitaka.com/read/pali/24/336/?keywords=กุสลานิ+สีลานิ #ย่อมยังอรหัตตผลให้บริบูรณ์ โดยลำดับด้วยอาการอย่างนี้แล.- #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่​ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - เอกาทสก. อํ. 24/289/208. http://etipitaka.com/read/thai/24/289/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%90%E0%B9%98 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - เอกาทสก. อํ. ๒๔/๓๓๕/๒๐๘. http://etipitaka.com/read/pali/24/335/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%90%E0%B9%98 ศึกษาเพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=655 http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=45&id=655 หรือ http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=45 ลำดับสาธยายธรรม : 45 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_45.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - อานิสงส์ตามลำดับการเกิดแห่งธรรมโดยไม่ต้องเจตนา
    -อานิสงส์ตามลำดับการเกิดแห่งธรรมโดยไม่ต้องเจตนา (จากสีลถึงวิมุตติ) อานนท์ ! ด้วยอาการอย่างนี้แล : ศีลอันเป็นกุศล มีอวิปปฏิสารเป็นอานิสงส์ที่มุ่งหมาย ; อวิปปฏิสาร มีความปราโมทย์เป็นอานิสงส์ที่มุ่งหมาย ; ความปราโมทย์ มีปีติเป็นอานิสงส์ที่มุ่งหมาย ; ปีติ มีปัสสัทธิเป็นอานิสงส์ที่มุ่งหมาย ; ปัสสัทธิ มีสุขเป็นอานิสงส์ที่มุ่งหมาย ; สุข มีสมาธิเป็นอานิสงส์ที่มุ่งหมาย ; สมาธิ มียถาภูตญาณทัสสนะเป็นอานิสงส์ที่มุ่งหมาย ; ยถาภูตญาณทัสสนะ มีนิพพิทาเป็นอานิสงส์ที่มุ่งหมาย ; นิพพิทา มีวิราคะเป็นอานิสงส์ที่มุ่งหมาย; วิราคะ มี วิมุตติญาณทัสสนะ เป็นอานิสงส์ที่มุ่งหมาย. อานนท์ ! ศีลอันเป็นกุศล ย่อมยังอรหัตตผลให้บริบูรณ์โดยลำดับด้วยอาการอย่างนี้แล.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 97 มุมมอง 0 รีวิว
  • อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาว่าอาการความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์เนื่องจากเหตุคือผัสสะ
    สัทธรรมลำดับที่ : 288
    ชื่อบทธรรม : อาการเกิดแห่งความทุกข์
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=288
    เนื้อความทั้งหมด :
    --อาการเกิดแห่งความทุกข์
    --เพราะอาศัยซึ่ง จักษุ ด้วย ซึ่งรูปทั้งหลายด้วย, จึงเกิดจักขุวิญญาณ ;
    http://etipitaka.com/read/pali/18/111/?keywords=จกฺขุญฺจ+ปฏิจฺจ+รูเป+จกฺขุวิญฺญาณํ
    การประจวบพร้อมแห่งธรรม ๓ ประการ (จักษุ+รูป+จักขุวิญญาณ) นั่นคือ #ผัสสะ ;
    http://etipitaka.com/read/pali/18/111/?keywords=ผสฺโส
    เพราะมี ผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา ;
    เพราะมี เวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา ;
    เพราะมี ตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน ;
    เพราะมี อุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ ;
    เพราะมี ภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ ;
    เพราะมี ชาติเป็นปัจจัย,
    ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถ้วน
    : ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้.
    http://etipitaka.com/read/pali/18/112/?keywords=ทุกฺขกฺขนฺธสฺส+สมุทโย

    (ในกรณีแห่ง โสตะ ฆานะ ชิวหา กายะ และ มนะ
    ก็ได้ตรัสไว้โดยนัยอย่างเดียวกันกับกรณีแห่งจักษุ).-

    #ทุกขสมุทัย #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - สฬา. สํ. 18/93/163.
    http://etipitaka.com/read/thai/18/93/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%96%E0%B9%93
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - สฬา. สํ. ๑๘/๑๑๑/๑๖๓.
    http://etipitaka.com/read/pali/18/111/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%96%E0%B9%93
    ศึกษาเพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=288
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=19&id=288
    หรือ
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=19
    ลำดับสาธยายธรรม : 19 ฟังสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_19.mp3
    อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาว่าอาการความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์เนื่องจากเหตุคือผัสสะ สัทธรรมลำดับที่ : 288 ชื่อบทธรรม : อาการเกิดแห่งความทุกข์ https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=288 เนื้อความทั้งหมด : --อาการเกิดแห่งความทุกข์ --เพราะอาศัยซึ่ง จักษุ ด้วย ซึ่งรูปทั้งหลายด้วย, จึงเกิดจักขุวิญญาณ ; http://etipitaka.com/read/pali/18/111/?keywords=จกฺขุญฺจ+ปฏิจฺจ+รูเป+จกฺขุวิญฺญาณํ การประจวบพร้อมแห่งธรรม ๓ ประการ (จักษุ+รูป+จักขุวิญญาณ) นั่นคือ #ผัสสะ ; http://etipitaka.com/read/pali/18/111/?keywords=ผสฺโส เพราะมี ผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา ; เพราะมี เวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา ; เพราะมี ตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน ; เพราะมี อุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ ; เพราะมี ภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ ; เพราะมี ชาติเป็นปัจจัย, ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถ้วน : ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้. http://etipitaka.com/read/pali/18/112/?keywords=ทุกฺขกฺขนฺธสฺส+สมุทโย (ในกรณีแห่ง โสตะ ฆานะ ชิวหา กายะ และ มนะ ก็ได้ตรัสไว้โดยนัยอย่างเดียวกันกับกรณีแห่งจักษุ).- #ทุกขสมุทัย #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - สฬา. สํ. 18/93/163. http://etipitaka.com/read/thai/18/93/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%96%E0%B9%93 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - สฬา. สํ. ๑๘/๑๑๑/๑๖๓. http://etipitaka.com/read/pali/18/111/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%96%E0%B9%93 ศึกษาเพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=288 http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=19&id=288 หรือ http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=19 ลำดับสาธยายธรรม : 19 ฟังสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_19.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - [ตามปกติเราได้ยินได้ฟังสั่งสอนกันมาว่า อวิชชาไม่มีปัจจัย ในที่นี้ได้ตรัสว่า มีสิ่งนี้สิ่งนี้เป็นปัจจัย ควรที่นักศึกษาจะได้พิจารณาดูให้เป็นอย่างดี ว่ามีนิวรณ์เป็นปัจจัยหรืออาหาร เพราะมีประโยคว่า “อิทปฺป จฺจยา อวิชฺชา” (ทสก. อํ. ๒๔/๑๒๐/๖๑ บรรทัดที่สาม นับขึ้น)]
    -[ตามปกติเราได้ยินได้ฟังสั่งสอนกันมาว่า อวิชชาไม่มีปัจจัย ในที่นี้ได้ตรัสว่า มีสิ่งนี้สิ่งนี้เป็นปัจจัย ควรที่นักศึกษาจะได้พิจารณาดูให้เป็นอย่างดี ว่ามีนิวรณ์เป็นปัจจัยหรืออาหาร เพราะมีประโยคว่า “อิทปฺป จฺจยา อวิชฺชา” (ทสก. อํ. ๒๔/๑๒๐/๖๑ บรรทัดที่สาม นับขึ้น)] อาการเกิดแห่งความทุกข์ เพราะอาศัยซึ่ง จักษุ ด้วย ซึ่งรูปทั้งหลายด้วย, จึงเกิดจักขุวิญญาณ ; การประจวบพร้อมแห่งธรรม ๓ ประการ (จักษุ+รูป+จักขุวิญญาณ) นั่นคือ ผัสสะ ; เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา ; เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา ; เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน ; เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ ; เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ ; เพราะมีชาติเป็นปัจจัย, ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถ้วน : ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้. (ในกรณีแห่ง โสตะ ฆานะ ชิวหา กายะ และ มนะ ก็ได้ตรัสไว้โดยนัยอย่างเดียวกันกับกรณีแห่งจักษุ).
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 108 มุมมอง 0 รีวิว
  • อริยสาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​อัฏฐังคิกมัคคปฏิบัติ ต้องอาศัยที่ตั้งคือศีล
    สัทธรรมลำดับที่ : 1022
    ชื่อบทธรรม :- อัฏฐังคิกมัคคปฏิบัติ ต้องอาศัยที่ตั้งคือศีล
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1022
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --อัฏฐังคิกมัคคปฏิบัติ ต้องอาศัยที่ตั้งคือศีล
    --ภิกษุ ท. ! การงานใดๆ ที่ต้องกระทำด้วยกำลัง,
    การงานเหล่านั้นทั้งหมดต้องกระทำด้วยกำลัง
    กระทำได้เมื่ออาศัยซึ่งแผ่นดิน ยืนอยู่บนแผ่นดิน,
    ข้อนี้ฉันใด;
    +--ภิกษุ ท. ! ภิกษุอาศัยศีล ตั้งอยู่ในศีล
    ย่อมเจริญ กระทำให้มากได้ ซึ่งอริยอัฏฐังคิกมรรค,
    http://etipitaka.com/read/pali/19/68/?keywords=สีล+อริย+อฏฺฐงฺคิกํ+มคฺคํ
    ฉันนั้นเหมือนกัน.
    --ภิกษุ ท. ! อย่างไรเล่า เรียกว่า ภิกษุอาศัยศีล ตั้งอยู่ในศีล
    ย่อมเจริญ กระทำให้มากได้ ซึ่งอริยอัฏฐังคิกมรรค ?
    --ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้ ย่อม
    เจริญสัมมาทิฏฐิ อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปเพื่อการสลัดคืน (ซึ่งอุปทานขันธ์);
    เจริญสัมมาสังกัปปะ ....
    เจริญสัมมาวาจา ....
    เจริญสัมมากัมมันตะ ....
    เจริญสัมมาอาชีวะ ....
    เจริญสัมมาวายามะ ....
    เจริญสัมมาสติ ....
    เจริญสัมมาสมาธิ อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปเพื่อการสลัดคืน (ซึ่งอุปาทานขันธ์) .
    +--ภิกษุ ท. ! อย่างนี้แล เรียกว่า ภิกษุอาศัยศีล ตั้งอยู่ในศีล
    ย่อมเจริญ กระทำให้มากได้ #ซึ่งอริยอัฏฐังคิกมรรค.-
    http://etipitaka.com/read/pali/19/71/?keywords=สีล+อริย+อฏฺฐงฺคิกํ+มคฺคํ

    --[
    ศีลอันเป็นที่ตั้งพื้นฐานในที่นี้
    มิได้หมายถึงศีลที่มีรวมอยู่ในอัฏฐังคิกมรรค,
    หาก แต่เป็นศีลพื้นฐาน (เช่น ศีลห้า อุโบสถศีล)​
    อันยัง มิได้ปรารภ วิเวก–วิราค–นิโรธ–โวสสัคคะ.
    +--ลักษณะแห่งการเจริญอริยมรรคนั้น กล่าวไว้หลายวิธี
    : ในที่อื่น กล่าวว่า เจริญองค์แห่งมรรคแต่ละองค์ๆ อย่างที่
    มีการนำออกซึ่งราคะเป็นที่สุดรอบ (ราควินยปริโยสาน)
    มีการนำออกซึ่งโทสะเป็นที่สุดรอบ (โทสวินยปริโยสาน)
    มีการนำออกซึ่งโมหะเป็นที่สุดรอบ (โมหวินยปริโยสาน)
    ((มหาวาร. สํ. ๑๙/๖๘ – ๖๙/๒๖๖ - ๒๖๗) ;
    http://etipitaka.com/read/pali/19/68/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%96%E0%B9%96
    +--ในที่อื่นว่า เจริญองค์แห่งอริยมรรค อย่างที่
    มีอมตะเป็นที่หยั่งลง (อมโตคธ)
    มีอมตะเป็นที่ไปในเบื้องหน้า (อมตปรายน)
    มีอมตะเป็นที่ สุดรอบ (อมตปริโยสาน)
    (มหาวาร. สํ. ๑๙/๖๙ /๒๖๘ - ๒๖๙) ;
    http://etipitaka.com/read/pali/19/69/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%96%E0%B9%98
    +--ในที่อื่นแสดงลักษณะแห่งองค์อริยมรรคว่า
    เอียงไปสู่นิพพาน (นิพฺพานนินฺน)
    น้อมไปสู่นิพพาน (นิพฺพานโปณ)
    ลาดลุ่มไปสู่นิพพาน (นิพฺพานปพฺภาร)
    (มหาวาร. สํ. ๑๙/๖๙ – ๗๐/๒๗๐ - ๒๗๑) ;
    http://etipitaka.com/read/pali/19/69/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%97%E0%B9%90
    ต่างกันอยู่เป็นสี่รูปแบบดังนี้ ล้วนแต่เป็นที่ น่าสนใจนำไปพิจารณา.
    +--กิริยาที่ผู้ปฏิบัติต้องอาศัยศีลเป็นที่ตั้ง
    มีอุปมาเหมือนการทำงานต้องอาศัยเหยียบแผ่นดินเป็นที่ตั้ง นั้น ยังอุปมาแปลกออกไป
    เหมือนการที่พฤกษาชาติทั้งหลายต้องอาศัยแผ่นดิน เป็นที่งอกงาม ก็มี
    (มหาวาร. สํ. ๑๙/ ๗๐/๒๗๒ - ๒๗๓)
    http://etipitaka.com/read/pali/19/70/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%97%E0%B9%92
    และ เหมือนพวกนาคอาศัยซอกเขาหิมพานต์(หิมวันต์)​เป็นที่เกิดเป็นที่เจริญ ก็มี
    (มหาวาร. สํ. ๑๙/๗๑/๒๗๔ - ๒๗๕) ;
    http://etipitaka.com/read/pali/19/71/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%97%E0%B9%94
    ล้วนแต่มีความหมายอย่างเดียวกันว่า ว่าต้องมีที่ตั้ง ที่อาศัย
    ]--.

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - มหาวาร. สํ. 19/69/264 - 265.
    http://etipitaka.com/read/thai/19/69/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%96%E0%B9%94
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - มหาวาร. สํ. ๑๙/๖๘/๒๖๔ - ๒๖๕.
    http://etipitaka.com/read/pali/19/68/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%96%E0%B9%94
    ศึกษา​เพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1022
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=88&id=1022
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=88
    ลำดับสาธยายธรรม : 88 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_88.mp3
    อริยสาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​อัฏฐังคิกมัคคปฏิบัติ ต้องอาศัยที่ตั้งคือศีล สัทธรรมลำดับที่ : 1022 ชื่อบทธรรม :- อัฏฐังคิกมัคคปฏิบัติ ต้องอาศัยที่ตั้งคือศีล https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1022 เนื้อความทั้งหมด :- --อัฏฐังคิกมัคคปฏิบัติ ต้องอาศัยที่ตั้งคือศีล --ภิกษุ ท. ! การงานใดๆ ที่ต้องกระทำด้วยกำลัง, การงานเหล่านั้นทั้งหมดต้องกระทำด้วยกำลัง กระทำได้เมื่ออาศัยซึ่งแผ่นดิน ยืนอยู่บนแผ่นดิน, ข้อนี้ฉันใด; +--ภิกษุ ท. ! ภิกษุอาศัยศีล ตั้งอยู่ในศีล ย่อมเจริญ กระทำให้มากได้ ซึ่งอริยอัฏฐังคิกมรรค, http://etipitaka.com/read/pali/19/68/?keywords=สีล+อริย+อฏฺฐงฺคิกํ+มคฺคํ ฉันนั้นเหมือนกัน. --ภิกษุ ท. ! อย่างไรเล่า เรียกว่า ภิกษุอาศัยศีล ตั้งอยู่ในศีล ย่อมเจริญ กระทำให้มากได้ ซึ่งอริยอัฏฐังคิกมรรค ? --ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้ ย่อม เจริญสัมมาทิฏฐิ อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปเพื่อการสลัดคืน (ซึ่งอุปทานขันธ์); เจริญสัมมาสังกัปปะ .... เจริญสัมมาวาจา .... เจริญสัมมากัมมันตะ .... เจริญสัมมาอาชีวะ .... เจริญสัมมาวายามะ .... เจริญสัมมาสติ .... เจริญสัมมาสมาธิ อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปเพื่อการสลัดคืน (ซึ่งอุปาทานขันธ์) . +--ภิกษุ ท. ! อย่างนี้แล เรียกว่า ภิกษุอาศัยศีล ตั้งอยู่ในศีล ย่อมเจริญ กระทำให้มากได้ #ซึ่งอริยอัฏฐังคิกมรรค.- http://etipitaka.com/read/pali/19/71/?keywords=สีล+อริย+อฏฺฐงฺคิกํ+มคฺคํ --[ ศีลอันเป็นที่ตั้งพื้นฐานในที่นี้ มิได้หมายถึงศีลที่มีรวมอยู่ในอัฏฐังคิกมรรค, หาก แต่เป็นศีลพื้นฐาน (เช่น ศีลห้า อุโบสถศีล)​ อันยัง มิได้ปรารภ วิเวก–วิราค–นิโรธ–โวสสัคคะ. +--ลักษณะแห่งการเจริญอริยมรรคนั้น กล่าวไว้หลายวิธี : ในที่อื่น กล่าวว่า เจริญองค์แห่งมรรคแต่ละองค์ๆ อย่างที่ มีการนำออกซึ่งราคะเป็นที่สุดรอบ (ราควินยปริโยสาน) มีการนำออกซึ่งโทสะเป็นที่สุดรอบ (โทสวินยปริโยสาน) มีการนำออกซึ่งโมหะเป็นที่สุดรอบ (โมหวินยปริโยสาน) ((มหาวาร. สํ. ๑๙/๖๘ – ๖๙/๒๖๖ - ๒๖๗) ; http://etipitaka.com/read/pali/19/68/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%96%E0%B9%96 +--ในที่อื่นว่า เจริญองค์แห่งอริยมรรค อย่างที่ มีอมตะเป็นที่หยั่งลง (อมโตคธ) มีอมตะเป็นที่ไปในเบื้องหน้า (อมตปรายน) มีอมตะเป็นที่ สุดรอบ (อมตปริโยสาน) (มหาวาร. สํ. ๑๙/๖๙ /๒๖๘ - ๒๖๙) ; http://etipitaka.com/read/pali/19/69/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%96%E0%B9%98 +--ในที่อื่นแสดงลักษณะแห่งองค์อริยมรรคว่า เอียงไปสู่นิพพาน (นิพฺพานนินฺน) น้อมไปสู่นิพพาน (นิพฺพานโปณ) ลาดลุ่มไปสู่นิพพาน (นิพฺพานปพฺภาร) (มหาวาร. สํ. ๑๙/๖๙ – ๗๐/๒๗๐ - ๒๗๑) ; http://etipitaka.com/read/pali/19/69/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%97%E0%B9%90 ต่างกันอยู่เป็นสี่รูปแบบดังนี้ ล้วนแต่เป็นที่ น่าสนใจนำไปพิจารณา. +--กิริยาที่ผู้ปฏิบัติต้องอาศัยศีลเป็นที่ตั้ง มีอุปมาเหมือนการทำงานต้องอาศัยเหยียบแผ่นดินเป็นที่ตั้ง นั้น ยังอุปมาแปลกออกไป เหมือนการที่พฤกษาชาติทั้งหลายต้องอาศัยแผ่นดิน เป็นที่งอกงาม ก็มี (มหาวาร. สํ. ๑๙/ ๗๐/๒๗๒ - ๒๗๓) http://etipitaka.com/read/pali/19/70/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%97%E0%B9%92 และ เหมือนพวกนาคอาศัยซอกเขาหิมพานต์(หิมวันต์)​เป็นที่เกิดเป็นที่เจริญ ก็มี (มหาวาร. สํ. ๑๙/๗๑/๒๗๔ - ๒๗๕) ; http://etipitaka.com/read/pali/19/71/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%97%E0%B9%94 ล้วนแต่มีความหมายอย่างเดียวกันว่า ว่าต้องมีที่ตั้ง ที่อาศัย ]--. #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - มหาวาร. สํ. 19/69/264 - 265. http://etipitaka.com/read/thai/19/69/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%96%E0%B9%94 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - มหาวาร. สํ. ๑๙/๖๘/๒๖๔ - ๒๖๕. http://etipitaka.com/read/pali/19/68/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%96%E0%B9%94 ศึกษา​เพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1022 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=88&id=1022 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=88 ลำดับสาธยายธรรม : 88 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_88.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - อัฏฐังคิกมัคคปฏิบัติ ต้องอาศัยที่ตั้งคือศีล
    -อัฏฐังคิกมัคคปฏิบัติ ต้องอาศัยที่ตั้งคือศีล ภิกษุ ท. ! การงานใดๆ ที่ต้องกระทำด้วยกำลัง, การงานเหล่านั้นทั้งหมดต้องกระทำด้วยกำลัง กระทำได้เมื่ออาศัยซึ่งแผ่นดิน ยืนอยู่บนแผ่นดิน, ข้อนี้ฉันใด; ภิกษุ ท. ! ภิกษุอาศัยศีล ตั้งอยู่ในศีล ย่อมเจริญ กระทำให้มากได้ ซึ่งอริยอัฏฐังคิกมรรค, ฉันนั้นเหมือนกัน. ภิกษุ ท. ! อย่างไรเล่า เรียกว่า ภิกษุอาศัยศีล ตั้งอยู่ในศีล ย่อมเจริญ กระทำให้มากได้ ซึ่งอริยอัฏฐังคิกมรรค ? ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้ ย่อมเจริญสัมมาทิฏฐิ อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปเพื่อการสลัดคืน (ซึ่งอุปทานขันธ์); เจริญสัมมาสังกัปปะ .... เจริญสัมมาวาจา .... เจริญสัมมากัมมันตะ .... เจริญสัมมา - อาชีวะ .... เจริญสัมมาวายามะ .... เจริญสัมมาสติ .... เจริญสัมมาสมาธิ อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปเพื่อการสลัดคืน (ซึ่งอุปาทานขันธ์) . ภิกษุ ท. ! อย่างนี้แล เรียกว่า ภิกษุอาศัยศีล ตั้งอยู่ในศีล ย่อมเจริญ กระทำให้มากได้ ซึ่งอริยอัฏฐังคิกมรรค.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 114 มุมมอง 0 รีวิว
  • อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษาผลสูงต่ำแห่งการปฏิบัติ ตามที่อาจทำให้เกิดขึ้น
    สัทธรรมลำดับที่ : 654
    ชื่อบทธรรม :- ผลสูงต่ำแห่งการปฏิบัติ ตามที่อาจทำให้เกิดขึ้น
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=654
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --ผลสูงต่ำแห่งการปฏิบัติ ตามที่อาจทำให้เกิดขึ้น
    --ภิกษุ ท. !
    +--ปีติ ที่ประกอบด้วยอามิส (สามิส) ก็มี
    ปีติที่ไม่ประกอบด้วยอามิส (นิรามิส) ก็มี
    ปีติไม่ประกอบด้วยอามิสที่ยิ่งกว่าไม่ประกอบด้วยอามิส (นิรามิสตร) ก็มี.
    +--ความสุข ที่ประกอบด้วยอามิส ก็มี
    ความสุขที่ไม่ประกอบด้วยอามิสก็มี
    ความสุขไม่ประกอบด้วยอามิสที่ยิ่งกว่าไม่ประกอบด้วยอามิส ก็มี.
    +--อุเบกขา ที่ประกอบด้วยอามิส ก็มี
    อุเบกขาที่ไม่ประกอบด้วยอามิส ก็มี
    อุเบกขาไม่ประกอบด้วยอามิสที่ยิ่งกว่าไม่ประกอบด้วยอามิส ก็มี.
    +--วิโมกข์ ที่ประกอบด้วยอามิส ก็มี
    วิโมกข์ที่ไม่ประกอบด้วยอามิส ก็มี
    วิโมกข์ไม่ประกอบด้วยอามิสที่ยิ่งกว่าไม่ประกอบด้วยอามิส ก็มี.

    +--ภิกษุ ท. ! ปีติที่ประกอบด้วยอามิส เป็นอย่างไรเล่า?
    +--ภิกษุ ท. ! กามคุณ ๕ อย่างเหล่านี้ มีอยู่, ห้าอย่างคือ
    รูปที่จะพึงรู้แจ้งด้วยจักษุ ....
    เสียงที่จะพึงรู้แจ้งด้วยโสตะ ....
    กลิ่นที่จะพึงรู้แจ้งด้วยฆานะ ....
    รสที่จะพึงรู้แจ้งด้วยชิวหา ....
    โผฏฐัพพะที่จะพึงรู้แจ้งด้วยผิวกาย
    อันเป็นสิ่งน่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ มีลักษณะน่ารัก
    เป็นที่เข้าไปอาศัยอยู่แห่งความใคร่ เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด
    : เหล่านี้แล คือกามคุณ ๕ อย่าง.
    +--ภิกษุ ท. ! ปีติใดอาศัยกามคุณ ๕ อย่างเหล่านี้เกิดขึ้น,
    ปีตินี้เรียกว่า #ปีติประกอบด้วยอามิส.
    http://etipitaka.com/read/pali/18/292/?keywords=ปีติ+สามิส

    --ภิกษุ ท. ! ปีติไม่ได้ประกอบด้วยอามิส เป็นอย่างไรเล่า ?
    +--ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้
    สงัดจากกามทั้งหลาย สงัดจากธรรมที่เป็นอกุศลทั้งหลาย เข้าถึง
    &ปฐมฌาน ประกอบด้วยวิตกวิจาร มีปีติและสุข อันเกิดจากวิเวก แล้วแลอยู่;
    เพราะความที่วิตกวิจารทั้งสองระงับลง เข้าถึง
    &ทุติยฌาน เป็นเครื่องผ่องใสแห่งใจ ในภายใน ให้สมาธิเป็นธรรมอันเอกผุดมีขึ้น
    ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีแต่ปีติและสุข อันเกิดจาก สมาธิ แล้วแลอยู่.
    +--ภิกษุ ท. ! ปีตินี้เรียกว่า #ปีติไม่ประกอบด้วยอามิส.
    http://etipitaka.com/read/pali/18/292/?keywords=ปีติ+นิรามิส

    --ภิกษุ ท. ! ปีติไม่ประกอบด้วยอามิส ที่ยิ่งกว่าไม่ประกอบด้วยอามิส เป็นอย่างไรเล่า ?
    +--ภิกษุ ท. ! เมื่อ ภิกษุขีณาสพ พิจารณาจิต
    ที่หลุดพ้นจากราคะ
    จิตที่หลุดพ้นจากโทสะ
    จิตที่หลุดพ้นจากโมหะอยู่ ;
    ปีติใดเกิดขึ้น,
    +--ภิกษุ ท. ! ปีตินั้นเรียกว่า #ปีติไม่ประกอบด้วยอามิสที่ยิ่งกว่าไม่ประกอบด้วยอามิส.
    http://etipitaka.com/read/pali/18/293/?keywords=ปีติ+นิรามิสตร

    --ภิกษุ ท. ! สุขที่ประกอบด้วยอามิส เป็นอย่างไรเล่า ?
    +--ภิกษุ ท. ! กามคุณ ๕ อย่างเหล่านี้ มีอยู่. ห้าอย่าง คือ
    รูปที่จะพึงรู้แจ้งด้วยจักษุ ....
    เสียงที่จะพึงรู้แจ้งด้วยโสตะ ....
    กลิ่นที่จะพึงรู้แจ้งด้วยฆานะ .....
    รสที่จะพึงรู้แจ้งด้วยชิวหา ....
    โผฏฐัพพะที่จะพึงรู้แจ้งด้วยผิวกาย อันเป็นสิ่งน่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ
    มีลักษณะน่ารัก เป็นที่เข้าไปอาศัยอยู่แห่งความใคร่ เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด
    : เหล่านี้แล คือกามคุณ ๕ อย่าง.
    +--ภิกษุ ท. ! สุขโสมนัสใด อาศัยกามคุณ ๕ อย่างเหล่านี้เกิดขึ้น,
    สุขนี้เรียกว่า #สุขประกอบด้วยอามิส.
    http://etipitaka.com/read/pali/18/293/?keywords=สุข+อามิส

    --ภิกษุ ท. ! สุขที่ไม่ประกอบด้วยอามิส เป็นอย่างไรเล่า ?
    +--ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้
    สงัดแล้วจากกามทั้งหลาย สงัดแล้วจากธรรมที่เป็นอกุศลทั้งหลายเข้าถึง
    &ปฐมฌาน ประกอบด้วยวิตกวิจาร มีปีติและสุข อันเกิดจากวิเวก แล้วแลอยู่;
    เพราะความที่วิตกวิจารทั้งสองระงับลง เข้าถึง
    &ทุติยฌาน เป็นเครื่องผ่องใสแห่งใจในภายใน ให้สมาธิเป็นธรรมอันเอกผุดมีขึ้น
    ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีแต่ปีติและสุข อันเกิดจากสมาธิ แล้วแลอยู่ ;
    อนึ่ง เพราะความจางคลายไปแห่งปีติ ย่อมเป็นผู้ อยู่อุเบกขา
    มีสติและสัมปชัญญะ และย่อมเสวยความสุขด้วยนามกาย
    ชนิดที่พระอริยเจ้าทั้งหลาย ย่อมกล่าวสรรเสริญผู้นั้นว่า
    “เป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติ อยู่เป็นปกติสุข” ดังนี้, เข้าถึง
    &ตติยฌาน แล้วแลอยู่.
    +--ภิกษุ ท. ! สุขนี้เรียกว่า #สุขไม่ประกอบด้วยอามิส.
    http://etipitaka.com/read/pali/18/293/?keywords=สุข+นิรามิส

    --ภิกษุ ท.! สุขไม่ประกอบด้วยอามิส ที่ยิ่งกว่าไม่ประกอบด้วยอามิสเป็นอย่างไรเล่า ?
    +--ภิกษุ ท. ! เมื่อ ภิกษุขีณาสพ พิจารณา
    จิต ที่พ้นแล้วจากราคะ
    จิตที่พ้นแล้วจากโทสะ
    จิตที่พ้นแล้วจากโมหะ อยู่ ;
    สุขโสมนัสใดเกิดขึ้น,
    สุขโสมนัสนั้นเรียกว่า #สุขไม่กอบด้วยอามิสที่ยิ่งกว่าไม่ประกอบด้วยอามิส
    http://etipitaka.com/read/pali/18/293/?keywords=สุข+นิรามิสตร

    --ภิกษุ ท. ! อุเบกขาที่ประกอบด้วยอามิส เป็นอย่างไรเล่า ?
    +--ภิกษุ ท. ! กามคุณ ๕ อย่างเหล่านี้ มีอยู่. ห้าอย่าง คือ
    รูปที่จะพึงรู้แจ้งด้วยจักษุ ....
    เสียงที่จะพึงรู้แจ้งด้วยโสตะ ....
    กลิ่นที่จะพึงรู้แจ้งด้วยฆานะ ....
    รสที่จะพึงรู้แจ้งด้วยชิวหา ....
    โผฏฐัพพะที่จะพึงรู้แจ้งด้วยผิวกาย
    อันเป็นสิ่งน่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ มีลักษณะน่ารัก
    เป็นที่เข้าไปอาศัยอยู่แห่งความใคร่ เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด
    : เหล่านี้แล คือกามคุณ ๕ อย่าง.
    +--ภิกษุ ท. ! อุเบกขาใด อาศัยกามคุณ ๕ อย่างเหล่านี้เกิดขึ้น,
    อุเบกขานี้เรียกว่า #อุเบกขาประกอบด้วยอามิส.
    http://etipitaka.com/read/pali/18/294/?keywords=อุเบกฺขา+อามิส

    --ภิกษุ ท. ! อุเบกขาที่ไม่ประกอบด้วยอามิส เป็นอย่างไรเล่า ?
    +--ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้
    เพราะละสุขเสียได้ และเพราะละทุกข์เสียได้
    เพราะความดับไปแห่งโสมนัสและโทมนัสทั้งสอง ในกาลก่อน, เข้าถึง
    &จตุตถฌานไม่มีทุกข์ไม่มีสุข มีแต่ความที่สติเป็นธรรมชาติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขา
    แล้วแลอยู่.
    +--ภิกษุ ท. ! อุเบกขานี้เรียกว่า #อุเบกขาไม่ประกอบด้วยอามิส.
    http://etipitaka.com/read/pali/18/294/?keywords=อุเบกฺขา+นิรามิส

    --ภิกษุ ท. ! อุเบกขาไม่ประกอบด้วยอามิส ที่ยิ่งกว่าไม่ประกอบด้วยอามิส เป็นอย่างไรเล่า ?
    +--ภิกษุ ท. ! เมื่อ ภิกษุขีณาสพ พิจารณา
    จิตที่พ้นแล้วจากราคะ
    จิตที่พ้นแล้วจากโทสะ
    จิตที่พ้นแล้วจากโมหะ อยู่ ;
    อุเบกขาใดเกิดขึ้น,
    อุเบกขานั้นเรียกว่า #อุเบกขาไม่ประกอบด้วยอามิสที่ยิ่งกว่าไม่ประกอบด้วยอามิส.
    http://etipitaka.com/read/pali/18/294/?keywords=อุเบกฺขา+นิรามิสตร

    --ภิกษุ ท. ! วิโมกข์ที่ประกอบด้วยอามิส เป็นอย่างไรเล่า ?
    วิโมกข์ที่ประกอบเนื่องอยู่ในรูป เรียกว่า #วิโมกข์ประกอบด้วยอามิส.
    http://etipitaka.com/read/pali/18/294/?keywords=วิโมก+อามิส
    +--ภิกษุ ท. ! วิโมกข์ที่ไม่ประกอบด้วยอามิส เป็นอย่างไรเล่า ?
    วิโมกข์ที่ประกอบเนื่องอยู่ในอรูป เรียกว่า #วิโมกข์ไม่ประกอบด้วยอามิส.
    http://etipitaka.com/read/pali/18/294/?keywords=วิโมก+นิรามิส
    --ภิกษุ ท. ! วิโมกข์ไม่ประกอบด้วยอามิส ทิ่ยิ่งกว่าไม่ประกอบด้วยอามิส เป็นอย่างไรเล่า ?
    +--ภิกษุ ท. ! เมื่อภิกษุขีณาสพ พิจารณา
    จิตที่พ้นแล้วจากราคะ
    จิตที่พ้นแล้วจากโทสะ
    จิตที่พ้นแล้วจากโมหะ อยู่ ;
    วิโมกข์ใดเกิดขึ้น,
    วิโมกข์นั้น เรียกว่า #วิโมกข์ไม่ประกอบด้วยอามิสที่ยิ่งกว่าไม่ประกอบด้วยอามิส
    http://etipitaka.com/read/pali/18/294/?keywords=วิโมก+นิรามิสตร
    แล.-

    #ทุกขมรรค#อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - สฬา.สํ. 18/248-251/446-457.
    http://etipitaka.com/read/thai/18/248/?keywords=%E0%B9%94%E0%B9%94%E0%B9%96
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - สฬา.สํ. ๑๘/๒๙๒-๒๙๕/๔๔๖-๔๕๗.
    http://etipitaka.com/read/pali/18/292/?keywords=%E0%B9%94%E0%B9%94%E0%B9%96
    ถึง
    http://etipitaka.com/read/pali/18/292/?keywords=%E0%B9%94%E0%B9%95%E0%B9%97
    ศึกษา​เพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=654
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=45&id=654
    หรือ
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=45
    ลำดับสาธยายธรรม : 45 ฟังเสียง...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_45.mp3
    อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษาผลสูงต่ำแห่งการปฏิบัติ ตามที่อาจทำให้เกิดขึ้น สัทธรรมลำดับที่ : 654 ชื่อบทธรรม :- ผลสูงต่ำแห่งการปฏิบัติ ตามที่อาจทำให้เกิดขึ้น https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=654 เนื้อความทั้งหมด :- --ผลสูงต่ำแห่งการปฏิบัติ ตามที่อาจทำให้เกิดขึ้น --ภิกษุ ท. ! +--ปีติ ที่ประกอบด้วยอามิส (สามิส) ก็มี ปีติที่ไม่ประกอบด้วยอามิส (นิรามิส) ก็มี ปีติไม่ประกอบด้วยอามิสที่ยิ่งกว่าไม่ประกอบด้วยอามิส (นิรามิสตร) ก็มี. +--ความสุข ที่ประกอบด้วยอามิส ก็มี ความสุขที่ไม่ประกอบด้วยอามิสก็มี ความสุขไม่ประกอบด้วยอามิสที่ยิ่งกว่าไม่ประกอบด้วยอามิส ก็มี. +--อุเบกขา ที่ประกอบด้วยอามิส ก็มี อุเบกขาที่ไม่ประกอบด้วยอามิส ก็มี อุเบกขาไม่ประกอบด้วยอามิสที่ยิ่งกว่าไม่ประกอบด้วยอามิส ก็มี. +--วิโมกข์ ที่ประกอบด้วยอามิส ก็มี วิโมกข์ที่ไม่ประกอบด้วยอามิส ก็มี วิโมกข์ไม่ประกอบด้วยอามิสที่ยิ่งกว่าไม่ประกอบด้วยอามิส ก็มี. +--ภิกษุ ท. ! ปีติที่ประกอบด้วยอามิส เป็นอย่างไรเล่า? +--ภิกษุ ท. ! กามคุณ ๕ อย่างเหล่านี้ มีอยู่, ห้าอย่างคือ รูปที่จะพึงรู้แจ้งด้วยจักษุ .... เสียงที่จะพึงรู้แจ้งด้วยโสตะ .... กลิ่นที่จะพึงรู้แจ้งด้วยฆานะ .... รสที่จะพึงรู้แจ้งด้วยชิวหา .... โผฏฐัพพะที่จะพึงรู้แจ้งด้วยผิวกาย อันเป็นสิ่งน่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ มีลักษณะน่ารัก เป็นที่เข้าไปอาศัยอยู่แห่งความใคร่ เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด : เหล่านี้แล คือกามคุณ ๕ อย่าง. +--ภิกษุ ท. ! ปีติใดอาศัยกามคุณ ๕ อย่างเหล่านี้เกิดขึ้น, ปีตินี้เรียกว่า #ปีติประกอบด้วยอามิส. http://etipitaka.com/read/pali/18/292/?keywords=ปีติ+สามิส --ภิกษุ ท. ! ปีติไม่ได้ประกอบด้วยอามิส เป็นอย่างไรเล่า ? +--ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้ สงัดจากกามทั้งหลาย สงัดจากธรรมที่เป็นอกุศลทั้งหลาย เข้าถึง &ปฐมฌาน ประกอบด้วยวิตกวิจาร มีปีติและสุข อันเกิดจากวิเวก แล้วแลอยู่; เพราะความที่วิตกวิจารทั้งสองระงับลง เข้าถึง &ทุติยฌาน เป็นเครื่องผ่องใสแห่งใจ ในภายใน ให้สมาธิเป็นธรรมอันเอกผุดมีขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีแต่ปีติและสุข อันเกิดจาก สมาธิ แล้วแลอยู่. +--ภิกษุ ท. ! ปีตินี้เรียกว่า #ปีติไม่ประกอบด้วยอามิส. http://etipitaka.com/read/pali/18/292/?keywords=ปีติ+นิรามิส --ภิกษุ ท. ! ปีติไม่ประกอบด้วยอามิส ที่ยิ่งกว่าไม่ประกอบด้วยอามิส เป็นอย่างไรเล่า ? +--ภิกษุ ท. ! เมื่อ ภิกษุขีณาสพ พิจารณาจิต ที่หลุดพ้นจากราคะ จิตที่หลุดพ้นจากโทสะ จิตที่หลุดพ้นจากโมหะอยู่ ; ปีติใดเกิดขึ้น, +--ภิกษุ ท. ! ปีตินั้นเรียกว่า #ปีติไม่ประกอบด้วยอามิสที่ยิ่งกว่าไม่ประกอบด้วยอามิส. http://etipitaka.com/read/pali/18/293/?keywords=ปีติ+นิรามิสตร --ภิกษุ ท. ! สุขที่ประกอบด้วยอามิส เป็นอย่างไรเล่า ? +--ภิกษุ ท. ! กามคุณ ๕ อย่างเหล่านี้ มีอยู่. ห้าอย่าง คือ รูปที่จะพึงรู้แจ้งด้วยจักษุ .... เสียงที่จะพึงรู้แจ้งด้วยโสตะ .... กลิ่นที่จะพึงรู้แจ้งด้วยฆานะ ..... รสที่จะพึงรู้แจ้งด้วยชิวหา .... โผฏฐัพพะที่จะพึงรู้แจ้งด้วยผิวกาย อันเป็นสิ่งน่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ มีลักษณะน่ารัก เป็นที่เข้าไปอาศัยอยู่แห่งความใคร่ เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด : เหล่านี้แล คือกามคุณ ๕ อย่าง. +--ภิกษุ ท. ! สุขโสมนัสใด อาศัยกามคุณ ๕ อย่างเหล่านี้เกิดขึ้น, สุขนี้เรียกว่า #สุขประกอบด้วยอามิส. http://etipitaka.com/read/pali/18/293/?keywords=สุข+อามิส --ภิกษุ ท. ! สุขที่ไม่ประกอบด้วยอามิส เป็นอย่างไรเล่า ? +--ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้ สงัดแล้วจากกามทั้งหลาย สงัดแล้วจากธรรมที่เป็นอกุศลทั้งหลายเข้าถึง &ปฐมฌาน ประกอบด้วยวิตกวิจาร มีปีติและสุข อันเกิดจากวิเวก แล้วแลอยู่; เพราะความที่วิตกวิจารทั้งสองระงับลง เข้าถึง &ทุติยฌาน เป็นเครื่องผ่องใสแห่งใจในภายใน ให้สมาธิเป็นธรรมอันเอกผุดมีขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีแต่ปีติและสุข อันเกิดจากสมาธิ แล้วแลอยู่ ; อนึ่ง เพราะความจางคลายไปแห่งปีติ ย่อมเป็นผู้ อยู่อุเบกขา มีสติและสัมปชัญญะ และย่อมเสวยความสุขด้วยนามกาย ชนิดที่พระอริยเจ้าทั้งหลาย ย่อมกล่าวสรรเสริญผู้นั้นว่า “เป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติ อยู่เป็นปกติสุข” ดังนี้, เข้าถึง &ตติยฌาน แล้วแลอยู่. +--ภิกษุ ท. ! สุขนี้เรียกว่า #สุขไม่ประกอบด้วยอามิส. http://etipitaka.com/read/pali/18/293/?keywords=สุข+นิรามิส --ภิกษุ ท.! สุขไม่ประกอบด้วยอามิส ที่ยิ่งกว่าไม่ประกอบด้วยอามิสเป็นอย่างไรเล่า ? +--ภิกษุ ท. ! เมื่อ ภิกษุขีณาสพ พิจารณา จิต ที่พ้นแล้วจากราคะ จิตที่พ้นแล้วจากโทสะ จิตที่พ้นแล้วจากโมหะ อยู่ ; สุขโสมนัสใดเกิดขึ้น, สุขโสมนัสนั้นเรียกว่า #สุขไม่กอบด้วยอามิสที่ยิ่งกว่าไม่ประกอบด้วยอามิส http://etipitaka.com/read/pali/18/293/?keywords=สุข+นิรามิสตร --ภิกษุ ท. ! อุเบกขาที่ประกอบด้วยอามิส เป็นอย่างไรเล่า ? +--ภิกษุ ท. ! กามคุณ ๕ อย่างเหล่านี้ มีอยู่. ห้าอย่าง คือ รูปที่จะพึงรู้แจ้งด้วยจักษุ .... เสียงที่จะพึงรู้แจ้งด้วยโสตะ .... กลิ่นที่จะพึงรู้แจ้งด้วยฆานะ .... รสที่จะพึงรู้แจ้งด้วยชิวหา .... โผฏฐัพพะที่จะพึงรู้แจ้งด้วยผิวกาย อันเป็นสิ่งน่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ มีลักษณะน่ารัก เป็นที่เข้าไปอาศัยอยู่แห่งความใคร่ เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด : เหล่านี้แล คือกามคุณ ๕ อย่าง. +--ภิกษุ ท. ! อุเบกขาใด อาศัยกามคุณ ๕ อย่างเหล่านี้เกิดขึ้น, อุเบกขานี้เรียกว่า #อุเบกขาประกอบด้วยอามิส. http://etipitaka.com/read/pali/18/294/?keywords=อุเบกฺขา+อามิส --ภิกษุ ท. ! อุเบกขาที่ไม่ประกอบด้วยอามิส เป็นอย่างไรเล่า ? +--ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้ เพราะละสุขเสียได้ และเพราะละทุกข์เสียได้ เพราะความดับไปแห่งโสมนัสและโทมนัสทั้งสอง ในกาลก่อน, เข้าถึง &จตุตถฌานไม่มีทุกข์ไม่มีสุข มีแต่ความที่สติเป็นธรรมชาติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขา แล้วแลอยู่. +--ภิกษุ ท. ! อุเบกขานี้เรียกว่า #อุเบกขาไม่ประกอบด้วยอามิส. http://etipitaka.com/read/pali/18/294/?keywords=อุเบกฺขา+นิรามิส --ภิกษุ ท. ! อุเบกขาไม่ประกอบด้วยอามิส ที่ยิ่งกว่าไม่ประกอบด้วยอามิส เป็นอย่างไรเล่า ? +--ภิกษุ ท. ! เมื่อ ภิกษุขีณาสพ พิจารณา จิตที่พ้นแล้วจากราคะ จิตที่พ้นแล้วจากโทสะ จิตที่พ้นแล้วจากโมหะ อยู่ ; อุเบกขาใดเกิดขึ้น, อุเบกขานั้นเรียกว่า #อุเบกขาไม่ประกอบด้วยอามิสที่ยิ่งกว่าไม่ประกอบด้วยอามิส. http://etipitaka.com/read/pali/18/294/?keywords=อุเบกฺขา+นิรามิสตร --ภิกษุ ท. ! วิโมกข์ที่ประกอบด้วยอามิส เป็นอย่างไรเล่า ? วิโมกข์ที่ประกอบเนื่องอยู่ในรูป เรียกว่า #วิโมกข์ประกอบด้วยอามิส. http://etipitaka.com/read/pali/18/294/?keywords=วิโมก+อามิส +--ภิกษุ ท. ! วิโมกข์ที่ไม่ประกอบด้วยอามิส เป็นอย่างไรเล่า ? วิโมกข์ที่ประกอบเนื่องอยู่ในอรูป เรียกว่า #วิโมกข์ไม่ประกอบด้วยอามิส. http://etipitaka.com/read/pali/18/294/?keywords=วิโมก+นิรามิส --ภิกษุ ท. ! วิโมกข์ไม่ประกอบด้วยอามิส ทิ่ยิ่งกว่าไม่ประกอบด้วยอามิส เป็นอย่างไรเล่า ? +--ภิกษุ ท. ! เมื่อภิกษุขีณาสพ พิจารณา จิตที่พ้นแล้วจากราคะ จิตที่พ้นแล้วจากโทสะ จิตที่พ้นแล้วจากโมหะ อยู่ ; วิโมกข์ใดเกิดขึ้น, วิโมกข์นั้น เรียกว่า #วิโมกข์ไม่ประกอบด้วยอามิสที่ยิ่งกว่าไม่ประกอบด้วยอามิส http://etipitaka.com/read/pali/18/294/?keywords=วิโมก+นิรามิสตร แล.- #ทุกขมรรค​ #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - สฬา.สํ. 18/248-251/446-457. http://etipitaka.com/read/thai/18/248/?keywords=%E0%B9%94%E0%B9%94%E0%B9%96 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - สฬา.สํ. ๑๘/๒๙๒-๒๙๕/๔๔๖-๔๕๗. http://etipitaka.com/read/pali/18/292/?keywords=%E0%B9%94%E0%B9%94%E0%B9%96 ถึง http://etipitaka.com/read/pali/18/292/?keywords=%E0%B9%94%E0%B9%95%E0%B9%97 ศึกษา​เพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=654 http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=45&id=654 หรือ http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=45 ลำดับสาธยายธรรม : 45 ฟังเสียง... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_45.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - ผลสูงต่ำแห่งการปฏิบัติ ตามที่อาจทำให้เกิดขึ้น
    -ผลสูงต่ำแห่งการปฏิบัติ ตามที่อาจทำให้เกิดขึ้น ภิกษุ ท. ! ปีติ ที่ประกอบด้วยอามิส (สามิส) ก็มี ปีติที่ไม่ประกอบด้วยอามิส (นิรามิส) ก็มี ปีติไม่ประกอบด้วยอามิสที่ยิ่งกว่าไม่ประกอบด้วยอามิส (นิรามิสตร) ก็มี. ความสุข ที่ประกอบด้วยอามิส ก็มี ความสุขที่ไม่ประกอบด้วยอามิสก็มี ความสุขไม่ประกอบด้วยอามิสที่ยิ่งกว่าไม่ประกอบด้วยอามิส ก็มี. อุเบกขา ที่ประกอบด้วยอามิส ก็มี อุเบกขาที่ไม่ประกอบด้วยอามิส ก็มี อุเบกขาไม่ประกอบด้วยอามิสที่ยิ่งกว่าไม่ประกอบด้วยอามิส ก็มี. วิโมกข์ ที่ประกอบด้วยอามิส ก็มี วิโมกข์ที่ไม่ประกอบด้วยอามิส ก็มี วิโมกข์ไม่ประกอบด้วยอามิสที่ยิ่งกว่าไม่ประกอบด้วยอามิส ก็มี. ภิกษุ ท. ! ปีติที่ประกอบด้วยอามิส เป็นอย่างไรเล่า? ภิกษุ ท. ! กามคุณ ๕ อย่างเหล่านี้ มีอยู่, ห้าอย่างคือ รูปที่จะพึงรู้แจ้งด้วยจักษุ .... เสียงที่จะพึงรู้แจ้งด้วยโสตะ .... กลิ่นที่จะพึงรู้แจ้งด้วยฆานะ .... รสที่จะพึงรู้แจ้งด้วยชิวหา .... โผฏฐัพพะที่จะพึงรู้แจ้งด้วยผิวกาย อันเป็นสิ่งน่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ มีลักษณะน่ารัก เป็นที่เข้าไปอาศัยอยู่แห่งความใคร่ เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด : เหล่านี้แล คือกามคุณ ๕ อย่าง. ภิกษุ ท. ! ปีติใดอาศัยกามคุณ ๕ อย่างเหล่านี้เกิดขึ้น, ปีตินี้เรียกว่า ปีติประกอบด้วยอามิส. ภิกษุ ท. ! ปีติไม่ได้ประกอบด้วยอามิส เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้สงัดจากกามทั้งหลาย สงัดจากธรรมที่เป็นอกุศลทั้งหลาย เข้าถึงปฐมฌาน ประกอบด้วยวิตกวิจาร มีปีติและสุข อันเกิดจากวิเวก แล้วแลอยู่; เพราะความที่วิตกวิจารทั้งสองระงับลง เข้าถึง ทุติยฌาน เป็นเครื่องผ่องใสแห่งใจ ในภายใน ให้สมาธิเป็นธรรมอันเอกผุดมีขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีแต่ปีติและสุข อันเกิดจากสมาธิ แล้วแลอยู่. ภิกษุ ท. ! ปีตินี้เรียกว่า ปีติไม่ประกอบด้วยอามิส. ภิกษุ ท. ! ปีติไม่ประกอบด้วยอามิส ที่ยิ่งกว่าไม่ประกอบด้วยอามิส เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! เมื่อ ภิกษุขีณาสพ พิจารณาจิต ที่หลุดพ้นจากราคะ จิตที่หลุดพ้นจากโทสะ จิตที่หลุดพ้นจากโมหะอยู่ ; ปีติใดเกิดขึ้น, ปีตินั้นเรียกว่า ปีติไม่ประกอบด้วยอามิส ที่ยิ่งกว่าไม่ประกอบด้วยอามิส. ภิกษุ ท. ! สุขที่ประกอบด้วยอามิส เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! ยกามคุณ ๕ อย่างเหล่านี้ มีอยู่. ห้าอย่าง คือ รูปที่จะพึงรู้แจ้งด้วยจักษุ .... เสียงที่จะพึงรู้แจ้งด้วยโสตะ .... กลิ่นที่จะพึงรู้แจ้งด้วยฆานะ ..... รสที่จะพึงรู้แจ้งด้วยชิวหา .... โผฏฐัพพะที่จะพึงรู้แจ้งด้วยผิวกาย อันเป็นสิ่งน่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ มีลักษณะน่ารัก เป็นที่เข้าไปอาศัยอยู่แห่งความใคร่ เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด : เหล่านี้แล คือกามคุณ ๕ อย่าง. ภิกษุ ท. ! สุขโสมนัสใด อาศัยกามคุณ ๕ อย่างเหล่านี้เกิดขึ้น, สุขนี้เรียกว่า สุขประกอบด้วยอามิส. ภิกษุ ท. ! สุขที่ไม่ประกอบด้วยอามิส เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้ สงัดแล้วจากกามทั้งหลาย สงัดแล้วจากธรรมที่เป็นอกุศลทั้งหลาย เข้าถึง ปฐมฌาน ประกอบด้วยวิตกวิจาร มีปีติและสุข อันเกิดจากวิเวก แล้วแลอยู่; เพราะความที่วิตกวิจารทั้งสองระงับลง เข้าถึง ทุติยฌาน เป็นเครื่องผ่องใสแห่งใจในภายใน ให้สมาธิเป็นธรรมอันเอกผุดมีขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีแต่ปีติและสุข อันเกิดจากสมาธิ แล้วแลอยู่ ; อนึ่ง เพราะความจางคลายไปแห่งปีติ ย่อมเป็นผู้ อยู่อุเบกขา มีสติและสัมปชัญญะ และย่อมเสวยความสุขด้วยนามกาย ชนิดที่พระอริยเจ้าทั้งหลาย ย่อมกล่าวสรรเสริญผู้นั้นว่า “เป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติ อยู่เป็นปกติสุข” ดังนี้, เข้าถึง ตติยฌาน แล้วแลอยู่. ภิกษุ ท. ! สุขนี้เรียกว่า สุขไม่ประกอบด้วยอามิส. ภิกษุ ท.! สุขไม่ประกอบด้วยอามิส ที่ยิ่งกว่าไม่ประกอบด้วยอามิสเป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! เมื่อ ภิกษุขีณาสพ พิจารณาจิต ที่พ้นแล้วจากราคะ จิตที่พ้นแล้วจากโทสะ จิตที่พ้นแล้วจากโมหะ อยู่ ; สุขโสมนัสใดเกิดขึ้น, สุขโสมนัสนั้นเรียกว่า สุขไม่กอบด้วยอามิส ที่ยิ่งกว่าไม่ประกอบด้วยอามิส. ภิกษุ ท. ! อุเบกขาที่ประกอบด้วยอามิส เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! กามคุณ ๕ อย่างเหล่านี้ มีอยู่. ห้าอย่าง คือ รูปที่จะพึงรู้แจ้งด้วยจักษุ .... เสียงที่จะพึงรู้แจ้งด้วยโสตะ .... กลิ่นที่จะพึงรู้แจ้งด้วยฆานะ .... รสที่จะพึงรู้แจ้งด้วยชิวหา .... โผฏฐัพพะที่จะพึงรู้แจ้งด้วยผิวกาย อันเป็นสิ่งน่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ มีลักษณะน่ารัก เป็นที่เข้าไปอาศัยอยู่แห่งความใคร่ เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด : เหล่านี้แล คือกามคุณ ๕ อย่าง. ภิกษุ ท. ! อุเบกขาใด อาศัยกามคุณ ๕ อย่างเหล่านี้เกิดขึ้น, อุเบกขานี้เรียกว่า อุเบกขาประกอบด้วยอามิส. ภิกษุ ท. ! อุเบกขาที่ไม่ประกอบด้วยอามิส เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้ เพราะละสุขเสียได้ และเพราะละทุกข์เสียได้ เพราะความดับไปแห่งโสมนัสและโทมนัสทั้งสอง ในกาลก่อน, เข้าถึง จตุตถฌานไม่มีทุกข์ไม่มีสุข มีแต่ความที่สติเป็นธรรมชาติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขา แล้วแลอยู่. ภิกษุ ท. ! อุเบกขานี้เรียกว่า อุเบกขาไม่ประกอบด้วยอามิส. ภิกษุ ท. ! อุเบกขาไม่ประกอบด้วยอามิส ที่ยิ่งกว่าไม่ประกอบด้วยอามิส เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! เมื่อ ภิกษุขีณาสพ พิจารณาจิตที่พ้นแล้วจากราคะ จิตที่พ้นแล้วจากโทสะ จิตที่พ้นแล้วจากโมหะ อยู่ ; อุเบกขาใดเกิดขึ้น, อุเบกขานั้นเรียกว่า อุเบกขาไม่ประกอบด้วยอามิส ที่ยิ่งกว่าไม่ประกอบด้วยอามิส. ภิกษุ ท. ! วิโมกข์ที่ประกอบด้วยอามิส เป็นอย่างไรเล่า ? วิโมกข์ที่ประกอบเนื่องอยู่ในรูป เรียกว่า วิโมกข์ประกอบด้วยอามิส. ภิกษุ ท. ! วิโมกข์ที่ไม่ประกอบด้วยอามิส เป็นอย่างไรเล่า ? วิโมกข์ที่ประกอบเนื่องอยู่ในอรูป เรียกว่า วิโมกข์ไม่ประกอบด้วยอามิส. ภิกษุ ท. ! วิโมกข์ไม่ประกอบด้วยอามิส ทิ่ยิ่งกว่าไม่ประกอบด้วยอามิส เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! เมื่อภิกษุขีณาสพ พิจารณาจิตที่พ้นแล้วจากราคะ จิตที่พ้นแล้วจากโทสะ จิตที่พ้นแล้วจากโมหะ อยู่ ; วิโมกข์ใดเกิดขึ้น, วิโมกข์นั้น เรียกว่า วิโมกข์ไม่ประกอบด้วยอามิส ที่ยิ่งกว่าไม่ประกอบด้วยอามิส แล.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 181 มุมมอง 0 รีวิว
  • อริยสาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​องค์คุณที่ทำให้เจริญงอกงามไพบูลย์ในพรหมจรรย์
    สัทธรรมลำดับที่ : 1021
    ชื่อบทธรรม :- องค์คุณที่ทำให้เจริญงอกงามไพบูลย์ในพรหมจรรย์
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1021
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --องค์คุณที่ทำให้เจริญงอกงามไพบูลย์ในพรหมจรรย์-(อุปกรณ์แห่งการปฏิบัติมรรค)
    --ภิกษุ ท. ! คนเลี้ยงโค ที่ประกอบด้วยองคคุณ ๑๑ อย่างแล้ว
    ย่อมเหมาะสมที่จะเลี้ยงโค ทำให้เพิ่มกำไรได้. องคคุณ ๑๑ อย่าง อะไรบ้างเล่า ?
    --สิบเอ็ดอย่างคือ คนเลี้ยงโคในกรณีนี้
    เป็นผู้รู้จักเรื่องร่างกายของโค,
    เป็นผู้ฉลาดในลักษณะของโค, เป็นผู้เขี่ยไข่ขาง, เป็นผู้ปิดแผล,
    เป็นผู้สุมควัน, เป็นผู้รู้จักท่าที่ควรนำโคไป, เป็นผู้รู้จักน้ำที่โคควรดื่ม,
    เป็นผู้รู้จักทางที่โค ควรเดิน,
    เป็นผู้ฉลาดในที่ที่โค ควรไป,
    เป็นผู้รู้จักรีดนมโค ให้มีเหลือไว้บ้าง,
    เป็นผู้ให้เกียรติแก่โคอุสภ อันเป็นโคพ่อฝูง
    เป็นโคนำฝูง ด้วยการเอาใจใส่เป็นพิเศษ.
    --ภิกษุ ท. ! คนเลี้ยงโคที่ประกอบด้วยองคคุณ ๑๑ อย่างนี้แล้ว
    ย่อมเหมาะสมที่จะเลี้ยงโค ทำให้เพิ่มกำไรได้. ข้อนี้ฉันใด ;
    --ภิกษุ ท. ! ภิกษุ ที่ประกอบด้วยองคคุณ ๑๑ ประการแล้ว
    ย่อมเหมาะสมที่จะถึงความเจริญ งอกงาม ไพบูลย์ ในธรรมวินัย (พรหมจรรย์) นี้ได้ ฉันนั้น.
    องคคุณ ๑๑ ประการ อย่างไรบ้างเล่า?
    +--สิบเอ็ดประการคือ ภิกษุ ในกรณีนี้
    ๑.เป็นผู้รู้จักรูป,
    ๒.เป็นผู้ฉลาดในลักษณะ,
    ๓.เป็นผู้คอยเขี่ยไข่ขาง,
    ๔.เป็นผู้ปิดแผล,
    ๕.เป็นผู้สุมควัน,
    ๖.เป็นผู้รู้จักท่าที่ควรไป,
    ๗.เป็นผู้รู้จักน้ำที่ควรดื่ม,
    ๘.เป็นผู้รู้จักทางที่ควรเดิน,
    ๙.เป็นผู้ฉลาดในที่ที่ควรไป,
    ๑๐.พเป็นผู้รู้จักรีด “นมโค” ให้มีส่วนเหลือไว้บ้าง,
    ๑๑.เป็นผู้บูชาอย่างยิ่งในภิกษุทั้งหลาย ผู้เถระ มีพรรษายุกาล บวชนาน เป็นบิดาสงฆ์ เป็นผู้นำสงฆ์ ด้วยการบูชาเป็นพิเศษ.

    ๑--พวกรู้จักรูป
    --ภิกษุ ท. ! ภิกษุเป็นผู้ รู้จักรูป เป็นอย่างไรเล่า ?
    --ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้
    ย่อมรู้ชัดตามที่เป็นจริงว่า
    “รูปชนิดใดก็ตาม ทั้งหมดนั้น
    ชื่อว่า รูป คือ มหาภูตรูปมี ๔
    และอุปาทายรูปคือรูปที่อาศัยมหาภูตรูปทั้งสี่”
    ดังนี้.
    --ภิกษุ ท. ! ภิกษุ #เป็นผู้รู้จักรูป เป็นอย่างนี้แล.

    ๒--พวกฉลาดในลักษณะ
    --ภิกษุ ท. ! ภิกษุเป็นผู้ ฉลาดในลักษณะ เป็นอย่างไรเล่า ?
    --ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้
    ย่อมรู้ชัดตามที่เป็นจริงว่า
    “คนพาล มีกรรม (มโน​ วจี​ กาย) เป็นเครื่องหมาย,
    บัณฑิต ก็มีกรรม (มโน​ วจี​ กาย) เป็นเครื่องหมาย”
    ดังนี้เป็นต้น.
    --ภิกษุ ท. ! ภิกษุ #เป็นผู้ฉลาดในลักษณะ เป็นอย่างนี้แล.

    ๓--พวกคอยเขี่ยไข่ขาง
    --ภิกษุ ท. ! ภิกษุเป็นผู้ คอยเขี่ยไข่ขาง เป็นอย่างไรเล่า ?
    --ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้
    อดกลั้นได้ ละ บรรเทา ทำให้สิ้นสุด ทำให้หมดสิ้น
    ซึ่งความตรึกเกี่ยวด้วยกาม,
    ความตรึกเกี่ยวด้วยความมุ่งร้าย,
    ความตรึกเกี่ยวด้วยการทำความลำบากให้แก่ตนเองและผู้อื่นแม้โดยไม่เจตนา
    ที่เกิดขึ้นแล้ว;
    และอดกลั้นได้ ละ บรรเทา ทำให้สิ้นสุด ทำให้หมดสิ้น
    ซึ่งสิ่งอันเป็น &อกุศลลามกทั้งหลาย ที่เกิดขึ้นแล้ว.
    ภิกษุ ท. ! ภิกษุ​#เป็นผู้คอยเขี่ยไข่ขาง เป็นอย่างนี้ แล.

    ๔--พวกปิดแผล
    --ภิกษุ ท. ! ภิกษุเป็นผู้ ปิดแผล เป็นอย่างไรเล่า ?
    --ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้
    เห็นรูปด้วยตา,
    ฟังเสียงด้วยหู,
    ดมกลิ่นด้วยจมูก,
    ลิ้มรสด้วยลิ้น,
    สัมผัสโผฏฐัพพะด้วยกาย,
    รู้ธรรมมารมณ์ด้วยใจ,
    แล้วไม่มีจิตยึดถือเอาทั้งโดยลักษณะที่เป็นการรวบถือทั้งหมด
    และการถือเอาโดยการแยกเป็นส่วน ๆ,
    สิ่งที่ อกุศลลามกคือ อภิชฌาและโทมนัส
    จะพึงไหลไปตามผู้ที่ ไม่สำรวม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
    เพราะ &การไม่สำรวมอินทรีย์ใดเป็นเหตุ,
    เธอก็ปฏิบัติ เพื่อปิดกั้นอินทรีย์นั้นไว้,
    เธอรักษาและถึงการสำรวม ตา หู จมูกลิ้น กาย ใจ.
    --ภิกษุ ท. ! ภิกษุ #เป็นผู้ปิดแผล เป็นอย่างนี้แล.

    ๕--พวกสุมควัน
    --ภิกษุ ท. ! ภิกษุเป็นผู้ สุมควัน เป็นอย่างไรเล่า ?
    --ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้
    เป็นผู้แสดงธรรม ตามที่ได้ฟัง ได้เล่าเรียนมาแล้ว
    แก่ผู้อื่นโดยพิสดาร.
    --ภิกษุ ท. ! ภิกษุ #เป็นผู้สุมควัน เป็นอย่างนี้แล.

    ๖--พวกรู้จักท่าที่ควรไป
    --ภิกษุ ท. ! ภิกษุเป็นผู้ รู้จักท่าที่ควรไป เป็นอย่างไรเล่า ?
    --ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้
    เมื่อเข้าไปหาภิกษุผู้เป็นพหุสูต คล่องแคล่วในหลักพระพุทธวจนะ
    ทรงธรรม ทรงวินัย ทรงมาติกา (แม่บท),
    ก็ไต่ถาม ไล่เลียงโดยทำนองนี้ว่า
    “ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ! พระพุทธวจนะนี้ เป็นอย่างไร ?
    ความหมายแห่งพระพุทธวจนะนี้มีอย่างไร ?”
    ดังนี้เป็นต้น ตามเวลาอันสมควร ;
    ท่านพหุสูตเหล่านั้น จึงทำข้อความที่ยังลี้ลับให้เปิดเผย
    ทำข้อความอันลึกซึ้ง ให้ตื้น และบรรเทา ถ่ายถอน
    ความสงสัยในธรรมทั้งหลายอันเป็นที่ตั้งแห่งความสงสัยนานาประการให้แก่ภิกษุนั้นได้.
    --ภิกษุ ท. ! ภิกษุ #เป็นผู้รู้จักท่าที่ควรไป เป็นอย่างนี้แล.

    ๗--พวกที่รู้จักน้ำที่ควรดื่ม
    --ภิกษุ ท. ! ภิกษุเป็นผู้ รู้จักน้ำที่ควรดื่ม เป็นอย่างไรเล่า ?
    --ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้
    เมื่อธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศไว้แล้ว
    อันผู้ใดผู้หนึ่งแสดงอยู่ เธอได้ความรู้อรรถ ได้ความรู้ธรรม
    และได้ความปราโมทย์อันอาศัยธรรม.
    --ภิกษุ ท. ! ภิกษุ #เป็นผู้รู้จักน้ำที่ควรดื่ม เป็นอย่างนี้แล.

    ๘--พวกรู้จักทางที่ควรเดิน
    --ภิกษุ ท. ! ภิกษุเป็นผู้ รู้จักทางที่ควรเดิน เป็นอย่างไรเล่า ?
    --ภิกษุ ท. ! ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมรู้ชัดแจ้งตามที่เป็นจริง ซึ่ง &อริยมรรคมีองค์ ๘.
    --ภิกษุ ท. ! ภิกษุ #เป็นผู้รู้จักทางที่ควรเดิน เป็นอย่างนี้แล.

    ๙--พวกฉลาดในที่ที่ควรไป
    --ภิกษุ ท. ! ภิกษุเป็นผู้ ฉลาดในที่ที่ควรไป เป็นอย่างไรเล่า ?
    --ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้ ย่อมรู้ชัดแจ้งตามที่เป็นจริง ซึ่ง &สติปัฏฐาน ๔.
    --ภิกษุ ท. ! ภิกษุ #เป็นผู้ฉลาดในที่ที่ควรไป เป็นอย่างนี้แล.

    ๑๐--พวกรีด “นมโค” ให้มีส่วนเหลือ
    --ภิกษุ ท. ! ภิกษุเป็นผู้ รู้จักรีด “นมโค” ให้มีส่วนเหลือไว้บ้าง เป็นอย่างไรเล่า ?
    --ภิกษุ ท. ! พวกคฤหัสถ์ผู้มีศรัทธา ย่อมปวารณาไม่มีขีดขั้น แก่ภิกษุในกรณีนี้
    +--ด้วยจีวร
    +--บิณฑบาต
    +--เสนาสนะ และ
    +--คิลานปัจจัยเภสัช บริกขาร.
    ในการที่เขาปวารณาเช่นนั้น,
    ภิกษุ เป็นผู้รู้จักประมาณในการรับปัจจัย ๔ มีจีวรเป็นต้นเหล่านั้น.
    --ภิกษุ ท. ! ภิกษุ #เป็นผู้รู้จักรีดนมโคให้มีส่วนเหลือไว้บ้าง เป็นอย่างนี้แล.

    ๑๑--พวกบูชาผู้เฒ่า
    --ภิกษุ ท. ! ภิกษุเป็นผู้ บูชาอย่างยิ่งในภิกษุทั้งหลายผู้เถระ มีพรรษายุกาล
    เป็นผู้นำสงฆ์เป็นบิดาสงฆ์... ฯลฯ...
    ด้วยการบูชาเป็นพิเศษ เป็นอย่างไรเล่า ?
    --ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้ เข้าไปตั้งไว้ซึ่ง
    การกระทำทางกาย การกระทำทางวาจา และการกระทำทางใจ
    อันประกอบด้วยเมตตา
    ในภิกษุทั้งหลายผู้เถระ มีพรรษายุกาล บวชนาน
    เป็นบิดาสงฆ์ เป็นผู้นำสงฆ์ ทั้งในที่แจ้งและทั้งในที่ลับ.
    --ภิกษุ ท. ! ภิกษุ
    #เป็นผู้บูชาอย่างยิ่งในภิกษุทั้งหลายผู้เถระ... ฯลฯ...
    ด้วยการบูชาเป็นพิเศษ เป็นอย่างนี้แล.

    --ภิกษุ ท. ! ภิกษุ ที่ประกอบด้วยองคคุณ ๑๑ ประการเหล่านี้แล้ว
    #ย่อมเหมาะสมที่จะถึงความเจริญ งอกงาม ไพบูลย์ ในธรรมวินัย (พรหมจรรย์-ธมฺมวินเย)​
    http://etipitaka.com/read/pali/12/417/?keywords=ธมฺมวินเย
    นี้ได้แท้.-

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - มู. ม. 12/292 -293/386 - 387.
    http://etipitaka.com/read/thai/12/292/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%98%E0%B9%96
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - มู. ม. ๑๒/๔๑๓ - ๔๑๔/๓๘๖ - ๓๘๗.
    http://etipitaka.com/read/pali/12/413/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%98%E0%B9%96
    ศึกษา​เพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=88&id=1021
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=88
    ลำดับสาธยายธรรม : 88 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_88.mp3
    อริยสาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​องค์คุณที่ทำให้เจริญงอกงามไพบูลย์ในพรหมจรรย์ สัทธรรมลำดับที่ : 1021 ชื่อบทธรรม :- องค์คุณที่ทำให้เจริญงอกงามไพบูลย์ในพรหมจรรย์ https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1021 เนื้อความทั้งหมด :- --องค์คุณที่ทำให้เจริญงอกงามไพบูลย์ในพรหมจรรย์-(อุปกรณ์แห่งการปฏิบัติมรรค) --ภิกษุ ท. ! คนเลี้ยงโค ที่ประกอบด้วยองคคุณ ๑๑ อย่างแล้ว ย่อมเหมาะสมที่จะเลี้ยงโค ทำให้เพิ่มกำไรได้. องคคุณ ๑๑ อย่าง อะไรบ้างเล่า ? --สิบเอ็ดอย่างคือ คนเลี้ยงโคในกรณีนี้ เป็นผู้รู้จักเรื่องร่างกายของโค, เป็นผู้ฉลาดในลักษณะของโค, เป็นผู้เขี่ยไข่ขาง, เป็นผู้ปิดแผล, เป็นผู้สุมควัน, เป็นผู้รู้จักท่าที่ควรนำโคไป, เป็นผู้รู้จักน้ำที่โคควรดื่ม, เป็นผู้รู้จักทางที่โค ควรเดิน, เป็นผู้ฉลาดในที่ที่โค ควรไป, เป็นผู้รู้จักรีดนมโค ให้มีเหลือไว้บ้าง, เป็นผู้ให้เกียรติแก่โคอุสภ อันเป็นโคพ่อฝูง เป็นโคนำฝูง ด้วยการเอาใจใส่เป็นพิเศษ. --ภิกษุ ท. ! คนเลี้ยงโคที่ประกอบด้วยองคคุณ ๑๑ อย่างนี้แล้ว ย่อมเหมาะสมที่จะเลี้ยงโค ทำให้เพิ่มกำไรได้. ข้อนี้ฉันใด ; --ภิกษุ ท. ! ภิกษุ ที่ประกอบด้วยองคคุณ ๑๑ ประการแล้ว ย่อมเหมาะสมที่จะถึงความเจริญ งอกงาม ไพบูลย์ ในธรรมวินัย (พรหมจรรย์) นี้ได้ ฉันนั้น. องคคุณ ๑๑ ประการ อย่างไรบ้างเล่า? +--สิบเอ็ดประการคือ ภิกษุ ในกรณีนี้ ๑.เป็นผู้รู้จักรูป, ๒.เป็นผู้ฉลาดในลักษณะ, ๓.เป็นผู้คอยเขี่ยไข่ขาง, ๔.เป็นผู้ปิดแผล, ๕.เป็นผู้สุมควัน, ๖.เป็นผู้รู้จักท่าที่ควรไป, ๗.เป็นผู้รู้จักน้ำที่ควรดื่ม, ๘.เป็นผู้รู้จักทางที่ควรเดิน, ๙.เป็นผู้ฉลาดในที่ที่ควรไป, ๑๐.พเป็นผู้รู้จักรีด “นมโค” ให้มีส่วนเหลือไว้บ้าง, ๑๑.เป็นผู้บูชาอย่างยิ่งในภิกษุทั้งหลาย ผู้เถระ มีพรรษายุกาล บวชนาน เป็นบิดาสงฆ์ เป็นผู้นำสงฆ์ ด้วยการบูชาเป็นพิเศษ. ๑--พวกรู้จักรูป --ภิกษุ ท. ! ภิกษุเป็นผู้ รู้จักรูป เป็นอย่างไรเล่า ? --ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้ ย่อมรู้ชัดตามที่เป็นจริงว่า “รูปชนิดใดก็ตาม ทั้งหมดนั้น ชื่อว่า รูป คือ มหาภูตรูปมี ๔ และอุปาทายรูปคือรูปที่อาศัยมหาภูตรูปทั้งสี่” ดังนี้. --ภิกษุ ท. ! ภิกษุ #เป็นผู้รู้จักรูป เป็นอย่างนี้แล. ๒--พวกฉลาดในลักษณะ --ภิกษุ ท. ! ภิกษุเป็นผู้ ฉลาดในลักษณะ เป็นอย่างไรเล่า ? --ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้ ย่อมรู้ชัดตามที่เป็นจริงว่า “คนพาล มีกรรม (มโน​ วจี​ กาย) เป็นเครื่องหมาย, บัณฑิต ก็มีกรรม (มโน​ วจี​ กาย) เป็นเครื่องหมาย” ดังนี้เป็นต้น. --ภิกษุ ท. ! ภิกษุ #เป็นผู้ฉลาดในลักษณะ เป็นอย่างนี้แล. ๓--พวกคอยเขี่ยไข่ขาง --ภิกษุ ท. ! ภิกษุเป็นผู้ คอยเขี่ยไข่ขาง เป็นอย่างไรเล่า ? --ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้ อดกลั้นได้ ละ บรรเทา ทำให้สิ้นสุด ทำให้หมดสิ้น ซึ่งความตรึกเกี่ยวด้วยกาม, ความตรึกเกี่ยวด้วยความมุ่งร้าย, ความตรึกเกี่ยวด้วยการทำความลำบากให้แก่ตนเองและผู้อื่นแม้โดยไม่เจตนา ที่เกิดขึ้นแล้ว; และอดกลั้นได้ ละ บรรเทา ทำให้สิ้นสุด ทำให้หมดสิ้น ซึ่งสิ่งอันเป็น &อกุศลลามกทั้งหลาย ที่เกิดขึ้นแล้ว. ภิกษุ ท. ! ภิกษุ​#เป็นผู้คอยเขี่ยไข่ขาง เป็นอย่างนี้ แล. ๔--พวกปิดแผล --ภิกษุ ท. ! ภิกษุเป็นผู้ ปิดแผล เป็นอย่างไรเล่า ? --ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้ เห็นรูปด้วยตา, ฟังเสียงด้วยหู, ดมกลิ่นด้วยจมูก, ลิ้มรสด้วยลิ้น, สัมผัสโผฏฐัพพะด้วยกาย, รู้ธรรมมารมณ์ด้วยใจ, แล้วไม่มีจิตยึดถือเอาทั้งโดยลักษณะที่เป็นการรวบถือทั้งหมด และการถือเอาโดยการแยกเป็นส่วน ๆ, สิ่งที่ อกุศลลามกคือ อภิชฌาและโทมนัส จะพึงไหลไปตามผู้ที่ ไม่สำรวม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เพราะ &การไม่สำรวมอินทรีย์ใดเป็นเหตุ, เธอก็ปฏิบัติ เพื่อปิดกั้นอินทรีย์นั้นไว้, เธอรักษาและถึงการสำรวม ตา หู จมูกลิ้น กาย ใจ. --ภิกษุ ท. ! ภิกษุ #เป็นผู้ปิดแผล เป็นอย่างนี้แล. ๕--พวกสุมควัน --ภิกษุ ท. ! ภิกษุเป็นผู้ สุมควัน เป็นอย่างไรเล่า ? --ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้ เป็นผู้แสดงธรรม ตามที่ได้ฟัง ได้เล่าเรียนมาแล้ว แก่ผู้อื่นโดยพิสดาร. --ภิกษุ ท. ! ภิกษุ #เป็นผู้สุมควัน เป็นอย่างนี้แล. ๖--พวกรู้จักท่าที่ควรไป --ภิกษุ ท. ! ภิกษุเป็นผู้ รู้จักท่าที่ควรไป เป็นอย่างไรเล่า ? --ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้ เมื่อเข้าไปหาภิกษุผู้เป็นพหุสูต คล่องแคล่วในหลักพระพุทธวจนะ ทรงธรรม ทรงวินัย ทรงมาติกา (แม่บท), ก็ไต่ถาม ไล่เลียงโดยทำนองนี้ว่า “ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ! พระพุทธวจนะนี้ เป็นอย่างไร ? ความหมายแห่งพระพุทธวจนะนี้มีอย่างไร ?” ดังนี้เป็นต้น ตามเวลาอันสมควร ; ท่านพหุสูตเหล่านั้น จึงทำข้อความที่ยังลี้ลับให้เปิดเผย ทำข้อความอันลึกซึ้ง ให้ตื้น และบรรเทา ถ่ายถอน ความสงสัยในธรรมทั้งหลายอันเป็นที่ตั้งแห่งความสงสัยนานาประการให้แก่ภิกษุนั้นได้. --ภิกษุ ท. ! ภิกษุ #เป็นผู้รู้จักท่าที่ควรไป เป็นอย่างนี้แล. ๗--พวกที่รู้จักน้ำที่ควรดื่ม --ภิกษุ ท. ! ภิกษุเป็นผู้ รู้จักน้ำที่ควรดื่ม เป็นอย่างไรเล่า ? --ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้ เมื่อธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศไว้แล้ว อันผู้ใดผู้หนึ่งแสดงอยู่ เธอได้ความรู้อรรถ ได้ความรู้ธรรม และได้ความปราโมทย์อันอาศัยธรรม. --ภิกษุ ท. ! ภิกษุ #เป็นผู้รู้จักน้ำที่ควรดื่ม เป็นอย่างนี้แล. ๘--พวกรู้จักทางที่ควรเดิน --ภิกษุ ท. ! ภิกษุเป็นผู้ รู้จักทางที่ควรเดิน เป็นอย่างไรเล่า ? --ภิกษุ ท. ! ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมรู้ชัดแจ้งตามที่เป็นจริง ซึ่ง &อริยมรรคมีองค์ ๘. --ภิกษุ ท. ! ภิกษุ #เป็นผู้รู้จักทางที่ควรเดิน เป็นอย่างนี้แล. ๙--พวกฉลาดในที่ที่ควรไป --ภิกษุ ท. ! ภิกษุเป็นผู้ ฉลาดในที่ที่ควรไป เป็นอย่างไรเล่า ? --ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้ ย่อมรู้ชัดแจ้งตามที่เป็นจริง ซึ่ง &สติปัฏฐาน ๔. --ภิกษุ ท. ! ภิกษุ #เป็นผู้ฉลาดในที่ที่ควรไป เป็นอย่างนี้แล. ๑๐--พวกรีด “นมโค” ให้มีส่วนเหลือ --ภิกษุ ท. ! ภิกษุเป็นผู้ รู้จักรีด “นมโค” ให้มีส่วนเหลือไว้บ้าง เป็นอย่างไรเล่า ? --ภิกษุ ท. ! พวกคฤหัสถ์ผู้มีศรัทธา ย่อมปวารณาไม่มีขีดขั้น แก่ภิกษุในกรณีนี้ +--ด้วยจีวร +--บิณฑบาต +--เสนาสนะ และ +--คิลานปัจจัยเภสัช บริกขาร. ในการที่เขาปวารณาเช่นนั้น, ภิกษุ เป็นผู้รู้จักประมาณในการรับปัจจัย ๔ มีจีวรเป็นต้นเหล่านั้น. --ภิกษุ ท. ! ภิกษุ #เป็นผู้รู้จักรีดนมโคให้มีส่วนเหลือไว้บ้าง เป็นอย่างนี้แล. ๑๑--พวกบูชาผู้เฒ่า --ภิกษุ ท. ! ภิกษุเป็นผู้ บูชาอย่างยิ่งในภิกษุทั้งหลายผู้เถระ มีพรรษายุกาล เป็นผู้นำสงฆ์เป็นบิดาสงฆ์... ฯลฯ... ด้วยการบูชาเป็นพิเศษ เป็นอย่างไรเล่า ? --ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้ เข้าไปตั้งไว้ซึ่ง การกระทำทางกาย การกระทำทางวาจา และการกระทำทางใจ อันประกอบด้วยเมตตา ในภิกษุทั้งหลายผู้เถระ มีพรรษายุกาล บวชนาน เป็นบิดาสงฆ์ เป็นผู้นำสงฆ์ ทั้งในที่แจ้งและทั้งในที่ลับ. --ภิกษุ ท. ! ภิกษุ #เป็นผู้บูชาอย่างยิ่งในภิกษุทั้งหลายผู้เถระ... ฯลฯ... ด้วยการบูชาเป็นพิเศษ เป็นอย่างนี้แล. --ภิกษุ ท. ! ภิกษุ ที่ประกอบด้วยองคคุณ ๑๑ ประการเหล่านี้แล้ว #ย่อมเหมาะสมที่จะถึงความเจริญ งอกงาม ไพบูลย์ ในธรรมวินัย (พรหมจรรย์-ธมฺมวินเย)​ http://etipitaka.com/read/pali/12/417/?keywords=ธมฺมวินเย นี้ได้แท้.- #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - มู. ม. 12/292 -293/386 - 387. http://etipitaka.com/read/thai/12/292/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%98%E0%B9%96 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - มู. ม. ๑๒/๔๑๓ - ๔๑๔/๓๘๖ - ๓๘๗. http://etipitaka.com/read/pali/12/413/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%98%E0%B9%96 ศึกษา​เพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=88&id=1021 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=88 ลำดับสาธยายธรรม : 88 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_88.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - องค์คุณที่ทำให้เจริญงอกงามไพบูลย์ในพรหมจรรย์--(อุปกรณ์แห่งการปฏิบัติมรรค)
    -(รายชื่อแห่งธรรมเป็นเครื่องขูดเกลา ๔๔ คู่นี้ ไม่ได้ใช้เพื่ออธิบายเกี่ยวกับการขูดเกลาอย่างเดียว แต่ใช้เพื่ออธิบายในการประพฤติกระทำอย่างอื่นด้วย ดังที่ได้แยกไว้เป็น ข้อ ก. ข. ค. ง. ในตอนท้าย; ผู้ที่ตั้งใจจะศึกษาจริงๆ พึงกำหนดให้ชัดเจนว่ามีลำดับอย่างไร เป็นฝ่ายผิดหรือฝ่ายถูกอย่างไร ก็จะสามารถเข้าใจข้อความที่ละไว้ โดยไม่นำมาใส่ไว้ให้เต็ม เช่น อ้างถึงแต่ข้อต้น และ ข้อสุดท้าย เป็นต้น, ก็จะสำเร็จประโยชน์ได้ตามปรารถนา). องค์คุณที่ทำให้เจริญงอกงามไพบูลย์ในพรหมจรรย์ (อุปกรณ์แห่งการปฏิบัติมรรค) ภิกษุ ท. ! คนเลี้ยงโค ที่ประกอบด้วยองคคุณ ๑๑ อย่างแล้ว ย่อมเหมาะสมที่จะเลี้ยงโค ทำให้เพิ่มกำไรได้. องคคุณ ๑๑ อย่าง อะไรบ้างเล่า ? สิบเอ็ดอย่างคือ คนเลี้ยงโคในกรณีนี้ เป็นผู้รู้จักเรื่องร่างกายของโค, เป็นผู้ ฉลาดในลักษณะของโค, เป็นผู้เขี่ยไข่ขาง, เป็นผู้ปิดแผล, เป็นผู้สุมควัน, เป็นผู้รู้จักท่าที่ควรนำโคไป, เป็นผู้รู้จักน้ำที่โคควรดื่ม, เป็นผู้รู้จักทางที่โค ควรเดิน, เป็นผู้ฉลาดในที่ที่โคควรไป, เป็นผู้รู้จักรีดนมโคให้มีเหลือไว้บ้าง, เป็นผู้ให้เกียรติแก่โคอุสภ อันเป็นโคพ่อฝูง เป็นโคนำฝูง ด้วยการเอาใจใส่เป็นพิเศษ. ภิกษุ ท. ! คนเลี้ยงโคที่ประกอบด้วยองคคุณ ๑๑ อย่างนี้แล้ว ย่อมเหมาะสมที่จะเลี้ยงโค ทำให้เพิ่มกำไรได้. ข้อนี้ฉันใด ; ภิกษุ ท. ! ภิกษุ ที่ประกอบด้วยองคคุณ ๑๑ ประการแล้ว ย่อมเหมาะสมที่จะถึงความเจริญ งอกงาม ไพบูลย์ ในธรรมวินัย (พรหมจรรย์) นี้ได้ ฉันนั้น. องคคุณ ๑๑ ประการ อย่างไรบ้างเล่า? สิบเอ็ดประการคือ ภิกษุ ในกรณีนี้ เป็นผู้รู้จักรูป, เป็นผู้ฉลาดในลักษณะ, เป็นผู้คอยเขี่ยไข่ขาง, เป็นผู้ปิดแผล, เป็นผู้สุมควัน, เป็นผู้รู้จักท่าที่ควรไป, เป็นผู้รู้จักน้ำที่ควรดื่ม, เป็นผู้รู้จักทางที่ควรเดิน, เป็นผู้ฉลาดในที่ที่ควรไป, เป็นผู้รู้จักรีด “นมโค” ให้มีส่วนเหลือไว้บ้าง, เป็นผู้บูชาอย่างยิ่งในภิกษุทั้งหลาย ผู้เถระ มีพรรษายุกาล บวชนาน เป็นบิดาสงฆ์ เป็นผู้นำสงฆ์ ด้วยการบูชาเป็นพิเศษ. พวกรู้จักรูป ภิกษุ ท. ! ภิกษุเป็นผู้ รู้จักรูป เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้ ย่อมรู้ชัดตามที่เป็นจริงว่า “รูปชนิดใดก็ตาม ทั้งหมดนั้น ชื่อว่า รูป คือ มหาภูตรูปมี ๔ และอุปาทายรูปคือรูปที่อาศัยมหาภูตรูปทั้งสี่” ดังนี้. ภิกษุ ท. ! ภิกษุเป็นผู้รู้จักรูป เป็นอย่างนี้แล. พวกฉลาดในลักษณะ ภิกษุ ท. ! ภิกษุเป็นผู้ ฉลาดในลักษณะ เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้ ย่อมรู้ชัดตามที่เป็นจริงว่า “คนพาล มีกรรม (การกระทำ) เป็นเครื่องหมาย, บัณฑิต ก็มีกรรม (การกระทำ) เป็นเครื่องหมาย” ดังนี้เป็นต้น. ภิกษุ ท. ! ภิกษุเป็นผู้ฉลาดในลักษณะ เป็นอย่างนี้แล. พวกคอยเขี่ยไข่ขาง ภิกษุ ท. ! ภิกษุเป็นผู้ คอยเขี่ยไข่ขาง เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้ อดกลั้นได้ ละ บรรเทา ทำให้สิ้นสุด ทำให้หมดสิ้น ซึ่งความ ตรึกเกี่ยวด้วยกาม, ความตรึกเกี่ยวด้วยความมุ่งร้าย, ความตรึกเกี่ยวด้วยการทำความลำบากให้แก่ตนเองและผู้อื่นแม้โดยไม่เจตนา ที่เกิดขึ้นแล้ว; และอดกลั้นได้ ละ บรรเทา ทำให้สิ้นสุด ทำให้หมดสิ้น ซึ่งสิ่งอันเป็นอกุศลลามกทั้งหลาย ที่เกิดขึ้นแล้ว. ภิกษุ ท. ! ภิกษุเป็นผู้คอยเขี่ยไข่ขาง เป็นอย่างนี้ แล. พวกปิดแผล ภิกษุ ท. ! ภิกษุเป็นผู้ ปิดแผล เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้ เห็นรูปด้วยตา, ฟังเสียงด้วยหู, ดมกลิ่นด้วยจมูก, ลิ้มรสด้วยลิ้น, สัมผัสโผฏฐัพพะด้วยกาย, รู้ธรรมมารมณ์ด้วยใจ, แล้วไม่มีจิตยึดถือเอาทั้งโดยลักษณะที่เป็นการรวบถือทั้งหมด และการถือเอาโดยการแยกเป็นส่วน ๆ, สิ่งที่อกุศลลามกคืออภิชฌาและโทมนัส จะพึงไหลไปตามผู้ที่ ไม่สำรวม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เพราะการไม่สำรวมอินทรีย์ใดเป็นเหตุ, เธอ ก็ปฏิบัติ เพื่อปิดกั้นอินทรีย์นั้นไว้, เธอรักษาและถึงการสำรวม ตา หู จมูกลิ้น กาย ใจ. ภิกษุ ท. ! ภิกษุเป็นผู้ปิดแผล เป็นอย่างนี้แล. พวกสุมควัน ภิกษุ ท. ! ภิกษุเป็นผู้ สุมควัน เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้ เป็นผู้แสดงธรรม ตามที่ได้ฟัง ได้เล่าเรียนมาแล้ว แก่ผู้อื่นโดยพิสดาร. ภิกษุ ท. ! ภิกษุเป็นผู้สุมควัน เป็นอย่างนี้แล. พวกรู้จักท่าที่ควรไป ภิกษุ ท. ! ภิกษุเป็นผู้ รู้จักท่าที่ควรไป เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้ เมื่อเข้าไปหาภิกษุผู้เป็นพหุสูต คล่องแคล่วในหลักพระพุทธวจนะ ทรงธรรม ทรงวินัย ทรงมาติกา (แม่บท), ก็ไต่ถาม ไล่เลียงโดยทำนองนี้ว่า “ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ! พระพุทธวจนะนี้ เป็นอย่างไร ? ความหมายแห่งพระพุทธวจนะนี้มีอย่างไร ?” ดังนี้เป็นต้น ตามเวลาอันสมควร ; ท่านพหุสูตเหล่านั้น จึงทำข้อความที่ยังลี้ลับให้เปิดเผย ทำข้อความอันลึกซึ้ง ให้ตื้น และบรรเทา ถ่ายถอน ความสงสัยในธรรมทั้งหลายอันเป็นที่ตั้งแห่งความสงสัยนานาประการให้แก่ภิกษุนั้นได้. ภิกษุ ท. ! ภิกษุเป็นผู้รู้จักท่าที่ควรไปเป็นอย่างนี้แล. พวกที่รู้จักน้ำที่ควรดื่ม ภิกษุ ท. ! ภิกษุเป็นผู้ รู้จักน้ำที่ควรดื่ม เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้ เมื่อธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศไว้แล้ว อันผู้ใดผู้หนึ่งแสดง อยู่ เธอได้ความรู้อรรถ ได้ความรู้ธรรม และได้ความปราโมทย์อันอาศัยธรรม. ภิกษุ ท. ! ภิกษุเป็นผู้รู้จักน้ำที่ควรดื่ม เป็นอย่างนี้แล. พวกรู้จักทางที่ควรเดิน ภิกษุ ท. ! ภิกษุเป็นผู้ รู้จักทางที่ควรเดิน เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมรู้ชัดแจ้งตามที่เป็นจริง ซึ่งอริยมรรคมีองค์ ๘. ภิกษุ ท. ! ภิกษุเป็นผู้รู้จักทางที่ควรเดิน เป็นอย่างนี้แล. พวกฉลาดในที่ที่ควรไป ภิกษุ ท. ! ภิกษุเป็นผู้ ฉลาดในที่ที่ควรไป เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้ ย่อมรู้ชัดแจ้งตามที่เป็นจริง ซึ่งสติปัฏฐาน ๔. ภิกษุ ท. ! ภิกษุเป็นผู้ฉลาดในที่ที่ควรไป เป็นอย่างนี้แล. พวกรีด “นมโค” ให้มีส่วนเหลือ ภิกษุ ท. ! ภิกษุเป็นผู้ รู้จักรีด “นมโค” ให้มีส่วนเหลือไว้บ้าง เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! พวกคฤหัสถ์ผู้มีศรัทธา ย่อมปวารณาไม่มีขีดขั้น แก่ภิกษุในกรณีนี้ ด้วยจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัช บริกขาร. ในการที่เขาปวารณาเช่นนั้น, ภิกษุ เป็นผู้รู้จักประมาณในการรับปัจจัย ๔ มีจีวรเป็นต้นเหล่านั้น. ภิกษุ ท. ! ภิกษุเป็นผู้รู้จักรีด “นมโค” ให้มีส่วนเหลือไว้บ้าง เป็นอย่างนี้แล. พวกบูชาผู้เฒ่า ภิกษุ ท. ! ภิกษุเป็นผู้ บูชาอย่างยิ่งในภิกษุทั้งหลายผู้เถระ มีพรรษายุกาล เป็นผู้นำสงฆ์เป็นบิดาสงฆ์ ฯลฯ ด้วยการบูชาเป็นพิเศษ เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้ เข้าไปตั้งไว้ซึ่งการกระทำทางกาย การกระทำทางวาจา และการกระทำทางใจ อันประกอบด้วยเมตตา ในภิกษุทั้งหลายผู้เถระ มีพรรษายุกาล บวชนาน เป็นบิดาสงฆ์ เป็นผู้นำสงฆ์ ทั้งในที่แจ้งและทั้งในที่ลับ. ภิกษุ ท. ! ภิกษุเป็นผู้บูชาอย่างยิ่งในภิกษุทั้งหลายผู้เถระ ฯลฯ ด้วยการบูชาเป็นพิเศษ เป็นอย่างนี้แล. ภิกษุ ท. ! ภิกษุ ที่ประกอบด้วยองคคุณ ๑๑ ประการเหล่านี้แล้ว ย่อมเหมาะสมที่จะถึงความเจริญ งอกงาม ไพบูลย์ ในธรรมวินัย (พรหมจรรย์) นี้ได้แท้.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 183 มุมมอง 0 รีวิว
  • อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาฟองไข่ออกเป็นตัว มิใช่โดยเจตนาของแม่ไก่ง
    สัทธรรมลำดับที่ : 653
    ชื่อบทธรรม :- ฟองไข่ออกเป็นตัว มิใช่โดยเจตนาของแม่ไก่
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=653
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --ฟองไข่ออกเป็นตัว มิใช่โดยเจตนาของแม่ไก่-(เหมือนอาสวะสิ้นเอง เมื่อปฏิบัติชอบ)
    --ภิกษุ ท. ! เมื่อภิกษุตามประกอบการเจริญภาวนาอยู่,
    โดยแน่นอน เธอไม่ต้องปรารถนา ว่า
    “ โอหนอ ! จิตของเราถึงหลุดพ้นจากอาสวะเพราะไม่มีอุปาทานเถิด”
    ดังนี้.
    จิตของเธอนั้นก็ย่อมหลุดพ้นจากอาสวะเพราะไม่มีอุปาทานได้เป็นแน่.
    ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า ? ข้อนั้นเพราะเหตุว่า
    เธอมีการเจริญ
    +--สติปัฏฐานสี่
    +--สัมมัปปธานสี่
    +--อิทธิบาทสี่
    +--อินทรีย์ห้า
    +--พละห้า
    +--โพชฌงค์เจ็ด
    ด้วย​ #อริยมรรคมีองค์แปด(อริยสฺส อฏฺฐงฺคิกสฺส มคฺคสฺส)​.
    http://etipitaka.com/read/pali/23/127/?keywords=อริยสฺส+อฏฺฐงฺคิกสฺส+มคฺคสฺส

    --ภิกษุ ท. ! เปรียบเหมือน ฟองไข่ ๘ ฟอง ๑๐ ฟอง หรือ ๑๒ ฟอง
    http://etipitaka.com/read/pali/23/127/?keywords=กุกฺกุฏิยา+อณฺฑานิ
    อันแม่ไก่กกดีแล้ว พลิกให้ทั่วดีแล้ว คือฟักดีแล้ว,
    โดยแน่นอน แม่ไก่ ไม่ต้องปรารถนา ว่า
    “โอหนอ ! ลูกไก่ของเรา จงทำลายกระเปาะฟอง
    ด้วยปลายเล็บเท้า หรือจะงอยปาก ออกมาโดยสวัสดีเถิด”
    ดังนี้,
    ลูกไก่เหล่านั้นก็สามารถทำลายกระเปาะด้วยปลายเล็บเท้า
    หรือจะงอยปาก ออกมาโดยสวัสดีได้ โดยแท้,
    ฉันใดก็ฉันนั้น.-

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์

    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - สตตก.อํ. 23/98/68.
    http://etipitaka.com/read/thai/23/98/?keywords=%E0%B9%96%E0%B9%98
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - สตตก.อํ. ๒๓/๑๒๗/๖๘.
    http://etipitaka.com/read/pali/23/127/?keywords=%E0%B9%96%E0%B9%98
    ศึกษาเพิ่มเติม..
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=653
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=45&id=653
    หรือ
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=45
    ลำดับสาธยายธรรม : 45 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_45.mp3
    อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาฟองไข่ออกเป็นตัว มิใช่โดยเจตนาของแม่ไก่ง สัทธรรมลำดับที่ : 653 ชื่อบทธรรม :- ฟองไข่ออกเป็นตัว มิใช่โดยเจตนาของแม่ไก่ https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=653 เนื้อความทั้งหมด :- --ฟองไข่ออกเป็นตัว มิใช่โดยเจตนาของแม่ไก่-(เหมือนอาสวะสิ้นเอง เมื่อปฏิบัติชอบ) --ภิกษุ ท. ! เมื่อภิกษุตามประกอบการเจริญภาวนาอยู่, โดยแน่นอน เธอไม่ต้องปรารถนา ว่า “ โอหนอ ! จิตของเราถึงหลุดพ้นจากอาสวะเพราะไม่มีอุปาทานเถิด” ดังนี้. จิตของเธอนั้นก็ย่อมหลุดพ้นจากอาสวะเพราะไม่มีอุปาทานได้เป็นแน่. ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า ? ข้อนั้นเพราะเหตุว่า เธอมีการเจริญ +--สติปัฏฐานสี่ +--สัมมัปปธานสี่ +--อิทธิบาทสี่ +--อินทรีย์ห้า +--พละห้า +--โพชฌงค์เจ็ด ด้วย​ #อริยมรรคมีองค์แปด(อริยสฺส อฏฺฐงฺคิกสฺส มคฺคสฺส)​. http://etipitaka.com/read/pali/23/127/?keywords=อริยสฺส+อฏฺฐงฺคิกสฺส+มคฺคสฺส --ภิกษุ ท. ! เปรียบเหมือน ฟองไข่ ๘ ฟอง ๑๐ ฟอง หรือ ๑๒ ฟอง http://etipitaka.com/read/pali/23/127/?keywords=กุกฺกุฏิยา+อณฺฑานิ อันแม่ไก่กกดีแล้ว พลิกให้ทั่วดีแล้ว คือฟักดีแล้ว, โดยแน่นอน แม่ไก่ ไม่ต้องปรารถนา ว่า “โอหนอ ! ลูกไก่ของเรา จงทำลายกระเปาะฟอง ด้วยปลายเล็บเท้า หรือจะงอยปาก ออกมาโดยสวัสดีเถิด” ดังนี้, ลูกไก่เหล่านั้นก็สามารถทำลายกระเปาะด้วยปลายเล็บเท้า หรือจะงอยปาก ออกมาโดยสวัสดีได้ โดยแท้, ฉันใดก็ฉันนั้น.- #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - สตตก.อํ. 23/98/68. http://etipitaka.com/read/thai/23/98/?keywords=%E0%B9%96%E0%B9%98 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - สตตก.อํ. ๒๓/๑๒๗/๖๘. http://etipitaka.com/read/pali/23/127/?keywords=%E0%B9%96%E0%B9%98 ศึกษาเพิ่มเติม.. https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=653 http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=45&id=653 หรือ http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=45 ลำดับสาธยายธรรม : 45 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_45.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - (เป็นที่น่าสังเกตว่า พระพุทธองค์ทรงมีถิ่นฐานอยู่ทางภาคเหนือของอินเดีย ซึ่งดูตามแผนที่แล้ว จะไม่มีโอกาสเกี่ยวข้องกับทะเล แต่ก็ยังทรงทราบเรื่องเรือเดินทะเล, เป็นบุคคลในระดับกษัตริย์ ก็ยังทรงรู้เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ของชาวบ้าน เช่นหวายที่ผูกเรือแพเดินทะเลสิ้นอายุผุพังไปตามฤดูกาลได้ ; แสดงว่าทรงมีพื้นเพแห่งสติปัญญาสมกับที่จะเป็นพระพุทธเจ้าเสียจริงๆ).
    -(เป็นที่น่าสังเกตว่า พระพุทธองค์ทรงมีถิ่นฐานอยู่ทางภาคเหนือของอินเดีย ซึ่งดูตามแผนที่แล้ว จะไม่มีโอกาสเกี่ยวข้องกับทะเล แต่ก็ยังทรงทราบเรื่องเรือเดินทะเล, เป็นบุคคลในระดับกษัตริย์ ก็ยังทรงรู้เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ของชาวบ้าน เช่นหวายที่ผูกเรือแพเดินทะเลสิ้นอายุผุพังไปตามฤดูกาลได้ ; แสดงว่าทรงมีพื้นเพแห่งสติปัญญาสมกับที่จะเป็นพระพุทธเจ้าเสียจริงๆ). ฟองไข่ออกเป็นตัว มิใช่โดยเจตนาของแม่ไก่ (เหมือนอาสวะสิ้นเอง เมื่อปฏิบัติชอบ) ภิกษุ ท. ! เมื่อภิกษุตามประกอบการเจริญภาวนาอยู่, โดยแน่นอน เธอไม่ต้องปรารถนา ว่า “ โอหนอ ! จิตของเราถึงหลุดพ้นจากอาสวะเพราะไม่มีอุปาทานเถิด” ดังนี้. จิตของเธอนั้นก็ย่อมหลุดพ้นจากอาสวะเพราะไม่มีอุปาทานได้เป็นแน่. ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า ? ข้อนั้นเพราะเหตุว่า เธอมีการเจริญสติปัฏฐานสี่ สัมมัปปธานสี่ อิทธิบาทสี่ อินทรีย์ห้า พละห้า โพชฌงค์เจ็ด อริยมรรคมีองค์แปด. ภิกษุ ท. ! เปรียบเหมือน ฟองไข่ ๘ ฟอง ๑๐ ฟอง หรือ ๑๒ ฟอง อันแม่ไก่กกดีแล้ว พลิกให้ทั่วดีแล้ว คือฟักดีแล้ว, โดยแน่นอน แม่ไก่ ไม่ต้องปรารถนา ว่า “โอหนอ ! ลูกไก่ของเรา จงทำลายกระเปาะฟอง ด้วยปลายเล็บเท้า หรือจะงอยปาก ออกมาโดยสวัสดีเถิด” ดังนี้, ลูกไก่เหล่านั้นก็สามารถทำลายกระเปาะด้วยปลายเล็บเท้า หรือจะงอยปาก ออกมาโดยสวัสดีได้ โดยแท้, ฉันใดก็ฉันนั้น.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 85 มุมมอง 0 รีวิว
  • อริยบุคคลพึงศึกษาว่าวิภาค(รายละเอียด)​แห่งปฏิจจสมุปบาท
    สัทธรรมลำดับที่ : 286
    ชื่อบทธรรม :- วิภาคแห่งปฏิจจสมุปบาท
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=286
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --วิภาคแห่งปฏิจจสมุปบาท
    --ภิกษุ ท. ! ปฏิจจสมุปบาท เป็นอย่างไรเล่า ?
    --ภิกษุ ท. ! เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงเกิดมีสังขาร ;
    เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงเกิดมีวิญญาณ ;
    เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงเกิดมีนามรูป ;--
    เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงเกิดมีอายตนะหก ;
    เพราะอายตนะหกเป็นปัจจัย จึงเกิดมีผัสสะ ;
    เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดมีเวทนา ;
    เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงเกิดมีตัณหา ;
    เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงเกิดมีอุปาทาน ;
    เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงเกิดมีภพ ;
    เพราะภพเป็นปัจจัย จึงเกิดมีชาติ ;
    เพราะชาติเป็นปัจจัย, ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส จึงเกิดมีพร้อม.
    ความก่อขึ้นแห่งกองทุกข์(ทุกฺขกฺขนฺธสฺส+สมุทโย)​ทั้งสิ้นนั้น ย่อมมีได้ ด้วยอาการอย่างนี้.
    http://etipitaka.com/read/pali/16/3/?keywords=ทุกฺขกฺขนฺธสฺส+สมุทโย
    --ภิกษุ ท. ! ชรา มรณะ เป็นอย่างไรเล่า ?
    ชรา คือ ความแก่ ความคร่ำคร่า ความมีฟันหลุด ความมีผมหงอก ความมีหนังเหี่ยว
    ความเสื่อมไปแห่งอายุ ความแก่รอบแห่งอินทรีย์ทั้งหลาย ในสัตวนิกายนั้น ๆ
    ของสัตว์เหล่านั้น ๆ ;
    +-นี้เรียกว่า #ชรา.
    http://etipitaka.com/read/pali/16/3/?keywords=ชรา
    --ภิกษุ ท. ! มรณะ เป็นอย่างไรเล่า ?
    มรณะคือ การจุติ ความเคลื่อน การแตกสลาย การหายไป การวายชีพ การตาย
    การทำกาละ การแตกแห่งขันธ์ทั้งหลาย การทอดทิ้งร่าง การขาดแห่งอินทรีย์คือชีวิต
    จากสัตวนิกายนั้น ๆ ของสัตว์เหล่านั้น ๆ ;
    นี้ เรียกว่า #มรณะ ;
    ด้วยเหตุนี้แหละ ชราอันนี้ด้วย มรณะอันนี้ด้วย.
    +-ภิกษุ ท. ! นี้ เรียกว่า #ชรามรณะ.
    http://etipitaka.com/read/pali/16/3/?keywords=ชรามรณ
    --ภิกษุ ท. ! ชาติ เป็นอย่างไรเล่า ?
    ชาติ คือ การเกิด การกำเนิด การก้าวลง (สู่ครรภ์) การบังเกิด การบังเกิดโดยยิ่ง
    ความปรากฏของขันธ์ทั้งหลาย การที่สัตว์ได้ซึ่งอายตนะทั้งหลาย
    ในสัตวนิกายนั้น ๆ ของสัตว์เหล่านั้น ๆ.
    +-ภิกษุ ท. ! นี้ เรียกว่า #ชาติ.
    http://etipitaka.com/read/pali/16/3/?keywords=ชาติ
    --ภิกษุ ท. ! ภพ เป็นอย่างไรเล่า ?
    --ภิกษุ ท. ! ภพมีสามเหล่านี้ คือ กามภพ รูปภพ และอรูปภพ.
    +-ภิกษุ ท. ! นี้ เรียกว่า #ภพ.
    http://etipitaka.com/read/pali/16/3/?keywords=ภโว
    --ภิกษุ ท. ! อุปาทาน เป็นอย่างไรเล่า ?
    ภิกษุ ท. ! อุปาทานมีสี่อย่าง เหล่านี้ คือ กามุปาทาน ทิฏฐุปาทาน สีลัพพตุปาทาน
    และอัตตวาทุปาทาน.
    +-ภิกษุ ท. ! นี้ เรียกว่า #อุปาทาน.
    http://etipitaka.com/read/pali/16/3/?keywords=อุปาทา
    --ภิกษุ ท. ! ตัณหา เป็นอย่างไรเล่า ?
    --ภิกษุ ท. ! หมู่แห่งตัณหา มีหกอย่าง เหล่านี้ คือตัณหาในรูป ตัณหาในเสียง ตัณหาในกลิ่น ตัณหาในรส ตัณหาในโผฏฐัพพะ และตัณหาในธรรมารมณ์.
    +-ภิกษุ ท. ! นี้ เรียกว่า #ตัณหา.
    http://etipitaka.com/read/pali/16/3/?keywords=ตณฺหา
    --ภิกษุ ท. ! เวทนา เป็นอย่างไรเล่า ?
    --ภิกษุ ท. ! หมู่แห่งเวทนา มีหกอย่าง เหล่านี้ คือ เวทนาเกิดแต่สัมผัสทางตา เวทนาเกิดแต่สัมผัสทางหู เวทนาเกิดแต่สัมผัสทางจมูก เวทนาเกิดแต่สัมผัสทางลิ้น เวทนาเกิดแต่สัมผัสทางกาย และเวทนาเกิดแต่สัมผัสทางใจ.
    +-ภิกษุ ท. ! นี้ เรียกว่า #เวทนา.
    http://etipitaka.com/read/pali/16/4/?keywords=เวทนา
    --ภิกษุ ท. ! ผัสสะ เป็นอย่างไรเล่า ?
    --ภิกษุ ท. ! หมู่แห่งผัสสะ มีหกอย่าง เหล่านี้ คือ สัมผัสทางตา สัมผัสทางหู สัมผัสทางจมูก สัมผัสทางลิ้น สัมผัสทางกาย และสัมผัสทางใจ.
    +-ภิกษุ ท. ! นี้ เรียกว่า #ผัสสะ.
    http://etipitaka.com/read/pali/16/4/?keywords=ผสฺส
    --ภิกษุ ท. ! อายตนะหก เป็นอย่างไรเล่า ?
    --ภิกษุ ท. ! หมู่แห่งอายตนะ มีหกอย่าง เหล่านี้คือ อายตนะคือตา อายตนะคือหู อายตนะคือจมูก อายตนะคือลิ้น อายตนะคือกาย และอายตนะคือใจ.
    +-ภิกษุ ท. ! นี้ เรียกว่า #อายตนะหก(สฬายตนํ)​.
    http://etipitaka.com/read/pali/16/4/?keywords=สฬายตนํ
    --ภิกษุ ท. ! นามรูป เป็นอย่างไรเล่า ?
    นาม คือ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ และมนสิการ.
    นี้ เรียกว่า #นาม.
    รูป คือ มหาภูตทั้งสี่ด้วยและรูปที่อาศัยมหาภูตทั้งสี่ด้วย.
    นี้ เรียกว่า #รูป.
    ด้วยเหตุนี้แหละ นามอันนี้ด้วย รูปอันนี้ด้วย.
    +-ภิกษุ ท. ! นี้ เรียกว่า #นามรูป.
    http://etipitaka.com/read/pali/16/4/?keywords=นามรูป
    --ภิกษุ ท. ! วิญญาณ เป็นอย่างไรเล่า ?
    --ภิกษุ ท. ! หมู่แห่งวิญญาณ มีหกอย่างเหล่านี้ คือ
    วิญญาณทางตา วิญญาณทางหู วิญญาณทางจมูก วิญญาณทางลิ้น วิญญาณทางกาย
    และวิญญาณทางใจ.
    +-ภิกษุ ท. ! นี้ เรียกว่า #วิญญาณ.
    http://etipitaka.com/read/pali/16/4/?keywords=วิญฺญาณ
    --ภิกษุ ท. ! สังขาร ทั้งหลาย เป็นอย่างไรเล่า ?
    --ภิกษุ ท. ! สังขาร ทั้งหลายเหล่านี้ คือ กายสังขาร วจีสังขาร และจิตตสังขาร.
    +-ภิกษุ ท. ! เหล่านี้ เรียกว่า #สังขารทั้งหลาย.
    http://etipitaka.com/read/pali/16/4/?keywords=สงฺขาร
    --ภิกษุ ท. ! อวิชชา เป็นอย่างไรเล่า ?
    +--ภิกษุ ท. ! ความไม่รู้อันใด
    เป็นความไม่รู้ในทุกข์,
    เป็นความไม่รู้ในเหตุให้เกิดทุกข์,
    เป็นความไม่รู้ในความดับไม่เหลือของทุกข์, และ
    เป็นไม่รู้ในทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์.
    +-ภิกษุ ท. ! นี้ เรียกว่า #อวิชชา.
    http://etipitaka.com/read/pali/16/5/?keywords=อวิชฺชา
    --ภิกษุ ท. ! ด้วยเหตุนี้แหละ,
    เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงเกิดมีสังขาร ;
    เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงเกิดมีวิญญาณ ;
    เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงเกิดมีนามรูป ;
    เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงเกิดมีอายตนะหก ;
    เพราะอายตนะหกเป็นปัจจัย จึงเกิดมีผัสสะ ;
    เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดมีเวทนา ;
    เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงเกิดมีตัณหา ;
    เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงเกิดมีอุปาทาน ;
    เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงเกิดมีภพ ;
    เพราะภพเป็นปัจจัย จึงเกิดมีชาติ ;
    เพราะชาติเป็นปัจจัย, ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส จึงเกิดมีพร้อม.
    ความก่อขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนั้น ย่อมมีได้
    http://etipitaka.com/read/pali/16/5/?keywords=ทุกฺขกฺขนฺธสฺส+สมุทโย
    ด้วยอาการอย่างนี้ แล.-

    #ทุกขสมุทัย #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์

    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - นิทาน. สํ. 16/2-5/5-18.
    http://etipitaka.com/read/thai/16/2/?keywords=%E0%B9%95
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - นิทาน. สํ. ๑๖/๒-๕/๕-๑๘.
    http://etipitaka.com/read/pali/16/2/?keywords=%E0%B9%95
    ศึกษาเพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=286
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=19&id=286
    หรือ
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=19
    ลำดับสาธยายธรรม : 19 ฟังเสียง...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_19.mp3
    อริยบุคคลพึงศึกษาว่าวิภาค(รายละเอียด)​แห่งปฏิจจสมุปบาท สัทธรรมลำดับที่ : 286 ชื่อบทธรรม :- วิภาคแห่งปฏิจจสมุปบาท https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=286 เนื้อความทั้งหมด :- --วิภาคแห่งปฏิจจสมุปบาท --ภิกษุ ท. ! ปฏิจจสมุปบาท เป็นอย่างไรเล่า ? --ภิกษุ ท. ! เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงเกิดมีสังขาร ; เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงเกิดมีวิญญาณ ; เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงเกิดมีนามรูป ;-- เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงเกิดมีอายตนะหก ; เพราะอายตนะหกเป็นปัจจัย จึงเกิดมีผัสสะ ; เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดมีเวทนา ; เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงเกิดมีตัณหา ; เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงเกิดมีอุปาทาน ; เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงเกิดมีภพ ; เพราะภพเป็นปัจจัย จึงเกิดมีชาติ ; เพราะชาติเป็นปัจจัย, ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส จึงเกิดมีพร้อม. ความก่อขึ้นแห่งกองทุกข์(ทุกฺขกฺขนฺธสฺส+สมุทโย)​ทั้งสิ้นนั้น ย่อมมีได้ ด้วยอาการอย่างนี้. http://etipitaka.com/read/pali/16/3/?keywords=ทุกฺขกฺขนฺธสฺส+สมุทโย --ภิกษุ ท. ! ชรา มรณะ เป็นอย่างไรเล่า ? ชรา คือ ความแก่ ความคร่ำคร่า ความมีฟันหลุด ความมีผมหงอก ความมีหนังเหี่ยว ความเสื่อมไปแห่งอายุ ความแก่รอบแห่งอินทรีย์ทั้งหลาย ในสัตวนิกายนั้น ๆ ของสัตว์เหล่านั้น ๆ ; +-นี้เรียกว่า #ชรา. http://etipitaka.com/read/pali/16/3/?keywords=ชรา --ภิกษุ ท. ! มรณะ เป็นอย่างไรเล่า ? มรณะคือ การจุติ ความเคลื่อน การแตกสลาย การหายไป การวายชีพ การตาย การทำกาละ การแตกแห่งขันธ์ทั้งหลาย การทอดทิ้งร่าง การขาดแห่งอินทรีย์คือชีวิต จากสัตวนิกายนั้น ๆ ของสัตว์เหล่านั้น ๆ ; นี้ เรียกว่า #มรณะ ; ด้วยเหตุนี้แหละ ชราอันนี้ด้วย มรณะอันนี้ด้วย. +-ภิกษุ ท. ! นี้ เรียกว่า #ชรามรณะ. http://etipitaka.com/read/pali/16/3/?keywords=ชรามรณ --ภิกษุ ท. ! ชาติ เป็นอย่างไรเล่า ? ชาติ คือ การเกิด การกำเนิด การก้าวลง (สู่ครรภ์) การบังเกิด การบังเกิดโดยยิ่ง ความปรากฏของขันธ์ทั้งหลาย การที่สัตว์ได้ซึ่งอายตนะทั้งหลาย ในสัตวนิกายนั้น ๆ ของสัตว์เหล่านั้น ๆ. +-ภิกษุ ท. ! นี้ เรียกว่า #ชาติ. http://etipitaka.com/read/pali/16/3/?keywords=ชาติ --ภิกษุ ท. ! ภพ เป็นอย่างไรเล่า ? --ภิกษุ ท. ! ภพมีสามเหล่านี้ คือ กามภพ รูปภพ และอรูปภพ. +-ภิกษุ ท. ! นี้ เรียกว่า #ภพ. http://etipitaka.com/read/pali/16/3/?keywords=ภโว --ภิกษุ ท. ! อุปาทาน เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! อุปาทานมีสี่อย่าง เหล่านี้ คือ กามุปาทาน ทิฏฐุปาทาน สีลัพพตุปาทาน และอัตตวาทุปาทาน. +-ภิกษุ ท. ! นี้ เรียกว่า #อุปาทาน. http://etipitaka.com/read/pali/16/3/?keywords=อุปาทา --ภิกษุ ท. ! ตัณหา เป็นอย่างไรเล่า ? --ภิกษุ ท. ! หมู่แห่งตัณหา มีหกอย่าง เหล่านี้ คือตัณหาในรูป ตัณหาในเสียง ตัณหาในกลิ่น ตัณหาในรส ตัณหาในโผฏฐัพพะ และตัณหาในธรรมารมณ์. +-ภิกษุ ท. ! นี้ เรียกว่า #ตัณหา. http://etipitaka.com/read/pali/16/3/?keywords=ตณฺหา --ภิกษุ ท. ! เวทนา เป็นอย่างไรเล่า ? --ภิกษุ ท. ! หมู่แห่งเวทนา มีหกอย่าง เหล่านี้ คือ เวทนาเกิดแต่สัมผัสทางตา เวทนาเกิดแต่สัมผัสทางหู เวทนาเกิดแต่สัมผัสทางจมูก เวทนาเกิดแต่สัมผัสทางลิ้น เวทนาเกิดแต่สัมผัสทางกาย และเวทนาเกิดแต่สัมผัสทางใจ. +-ภิกษุ ท. ! นี้ เรียกว่า #เวทนา. http://etipitaka.com/read/pali/16/4/?keywords=เวทนา --ภิกษุ ท. ! ผัสสะ เป็นอย่างไรเล่า ? --ภิกษุ ท. ! หมู่แห่งผัสสะ มีหกอย่าง เหล่านี้ คือ สัมผัสทางตา สัมผัสทางหู สัมผัสทางจมูก สัมผัสทางลิ้น สัมผัสทางกาย และสัมผัสทางใจ. +-ภิกษุ ท. ! นี้ เรียกว่า #ผัสสะ. http://etipitaka.com/read/pali/16/4/?keywords=ผสฺส --ภิกษุ ท. ! อายตนะหก เป็นอย่างไรเล่า ? --ภิกษุ ท. ! หมู่แห่งอายตนะ มีหกอย่าง เหล่านี้คือ อายตนะคือตา อายตนะคือหู อายตนะคือจมูก อายตนะคือลิ้น อายตนะคือกาย และอายตนะคือใจ. +-ภิกษุ ท. ! นี้ เรียกว่า #อายตนะหก(สฬายตนํ)​. http://etipitaka.com/read/pali/16/4/?keywords=สฬายตนํ --ภิกษุ ท. ! นามรูป เป็นอย่างไรเล่า ? นาม คือ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ และมนสิการ. นี้ เรียกว่า #นาม. รูป คือ มหาภูตทั้งสี่ด้วยและรูปที่อาศัยมหาภูตทั้งสี่ด้วย. นี้ เรียกว่า #รูป. ด้วยเหตุนี้แหละ นามอันนี้ด้วย รูปอันนี้ด้วย. +-ภิกษุ ท. ! นี้ เรียกว่า #นามรูป. http://etipitaka.com/read/pali/16/4/?keywords=นามรูป --ภิกษุ ท. ! วิญญาณ เป็นอย่างไรเล่า ? --ภิกษุ ท. ! หมู่แห่งวิญญาณ มีหกอย่างเหล่านี้ คือ วิญญาณทางตา วิญญาณทางหู วิญญาณทางจมูก วิญญาณทางลิ้น วิญญาณทางกาย และวิญญาณทางใจ. +-ภิกษุ ท. ! นี้ เรียกว่า #วิญญาณ. http://etipitaka.com/read/pali/16/4/?keywords=วิญฺญาณ --ภิกษุ ท. ! สังขาร ทั้งหลาย เป็นอย่างไรเล่า ? --ภิกษุ ท. ! สังขาร ทั้งหลายเหล่านี้ คือ กายสังขาร วจีสังขาร และจิตตสังขาร. +-ภิกษุ ท. ! เหล่านี้ เรียกว่า #สังขารทั้งหลาย. http://etipitaka.com/read/pali/16/4/?keywords=สงฺขาร --ภิกษุ ท. ! อวิชชา เป็นอย่างไรเล่า ? +--ภิกษุ ท. ! ความไม่รู้อันใด เป็นความไม่รู้ในทุกข์, เป็นความไม่รู้ในเหตุให้เกิดทุกข์, เป็นความไม่รู้ในความดับไม่เหลือของทุกข์, และ เป็นไม่รู้ในทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์. +-ภิกษุ ท. ! นี้ เรียกว่า #อวิชชา. http://etipitaka.com/read/pali/16/5/?keywords=อวิชฺชา --ภิกษุ ท. ! ด้วยเหตุนี้แหละ, เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงเกิดมีสังขาร ; เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงเกิดมีวิญญาณ ; เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงเกิดมีนามรูป ; เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงเกิดมีอายตนะหก ; เพราะอายตนะหกเป็นปัจจัย จึงเกิดมีผัสสะ ; เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดมีเวทนา ; เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงเกิดมีตัณหา ; เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงเกิดมีอุปาทาน ; เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงเกิดมีภพ ; เพราะภพเป็นปัจจัย จึงเกิดมีชาติ ; เพราะชาติเป็นปัจจัย, ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส จึงเกิดมีพร้อม. ความก่อขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนั้น ย่อมมีได้ http://etipitaka.com/read/pali/16/5/?keywords=ทุกฺขกฺขนฺธสฺส+สมุทโย ด้วยอาการอย่างนี้ แล.- #ทุกขสมุทัย #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - นิทาน. สํ. 16/2-5/5-18. http://etipitaka.com/read/thai/16/2/?keywords=%E0%B9%95 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - นิทาน. สํ. ๑๖/๒-๕/๕-๑๘. http://etipitaka.com/read/pali/16/2/?keywords=%E0%B9%95 ศึกษาเพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=286 http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=19&id=286 หรือ http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=19 ลำดับสาธยายธรรม : 19 ฟังเสียง... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_19.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - วิภาคแห่งปฏิจจสมุปบาท
    -วิภาคแห่งปฏิจจสมุปบาท ภิกษุ ท. ! ปฏิจจสมุปบาท เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงเกิดมีสังขาร ; เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงเกิดมีวิญญาณ ; เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงเกิดมีนามรูป ; เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงเกิดมีอายตนะหก ; เพราะอายตนะหกเป็นปัจจัย จึงเกิดมีผัสสะ ; เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดมีเวทนา ; เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงเกิดมีตัณหา ; เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงเกิดมีอุปาทาน ; เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงเกิดมีภพ ; เพราะภพเป็นปัจจัย จึงเกิดมีชาติ ; เพราะชาติเป็นปัจจัย, ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส จึงเกิดมีพร้อม. ความก่อขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนั้น ย่อมมีได้ ด้วยอาการอย่างนี้. ภิกษุ ท. ! ชรา มรณะ เป็นอย่างไรเล่า ? ชรา คือ ความแก่ ความคร่ำคร่า ความมีฟันหลุด ความมีผมหงอก ความมีหนังเหี่ยว ความเสื่อมไปแห่งอายุ ความแก่รอบแห่งอินทรีย์ทั้งหลาย ในสัตวนิกายนั้น ๆ ของสัตว์เหล่านั้น ๆ ; นี้เรียกว่า ชรา. ภิกษุ ท. ! มรณะ เป็นอย่างไรเล่า ? มรณะคือ การจุติ ความเคลื่อน การแตกสลาย การหายไป การวายชีพ การตาย การทำกาละ การแตกแห่งขันธ์ทั้งหลาย การทอดทิ้งร่าง การขาดแห่งอินทรีย์คือชีวิต จากสัตวนิกายนั้น ๆ ของสัตว์เหล่านั้น ๆ ; นี้ เรียกว่า มรณะ ; ด้วยเหตุนี้แหละ ชราอันนี้ด้วย มรณะอันนี้ด้วย. ภิกษุ ท. ! นี้ เรียกว่า ชรามรณะ. ภิกษุ ท. ! ชาติ เป็นอย่างไรเล่า ? ชาติ คือ การเกิด การกำเนิด การก้าวลง (สู่ครรภ์) การบังเกิด การบังเกิดโดยยิ่ง ความปรากฏของขันธ์ทั้งหลาย การที่สัตว์ได้ซึ่งอายตนะทั้งหลาย ในสัตวนิกายนั้น ๆ ของสัตว์เหล่านั้น ๆ. ภิกษุ ท. ! นี้ เรียกว่า ชาติ. ภิกษุ ท. ! ภพ เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! ภพมีสามเหล่านี้ คือ กามภพ รูปภพ และอรูปภพ. ภิกษุ ท. ! นี้ เรียกว่า ภพ. ภิกษุ ท. ! อุปาทาน เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! อุปาทานมีสี่อย่าง เหล่านี้ คือ กามุปาทาน ทิฏฐุปาทาน สีลัพพตุปาทาน และอัตตวาทุปาทาน. ภิกษุ ท. ! นี้ เรียกว่า อุปาทาน. ภิกษุ ท. ! ตัณหา เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! หมู่แห่งตัณหา มีหกอย่าง เหล่านี้ คือตัณหาในรูป ตัณหาในเสียง ตัณหาในกลิ่น ตัณหาในรส ตัณหาในโผฏฐัพพะ และตัณหาในธรรมารมณ์. ภิกษุ ท. ! นี้ เรียกว่า ตัณหา. ภิกษุ ท. ! เวทนา เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! หมู่แห่งเวทนา มีหกอย่าง เหล่านี้ คือ เวทนาเกิดแต่สัมผัสทางตา เวทนาเกิดแต่สัมผัสทางหู เวทนาเกิดแต่สัมผัสทางจมูก เวทนาเกิดแต่สัมผัสทางลิ้น เวทนาเกิดแต่สัมผัสทางกาย และเวทนาเกิดแต่สัมผัสทางใจ. ภิกษุ ท. ! นี้ เรียกว่า เวทนา. ภิกษุ ท. ! ผัสสะ เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! หมู่แห่งผัสสะ มีหกอย่าง เหล่านี้ คือ สัมผัสทางตา สัมผัสทางหู สัมผัสทางจมูก สัมผัสทางลิ้น สัมผัสทางกาย และสัมผัสทางใจ. ภิกษุ ท. ! นี้ เรียกว่า ผัสสะ. ภิกษุ ท. ! อายตนะหก เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! หมู่แห่งอายตนะ มีหกอย่าง เหล่านี้คือ อายตนะคือตา อายตนะคือหู อายตนะคือจมูก อายตนะคือลิ้น อายตนะคือกาย และอายตนะคือใจ. ภิกษุ ท. ! นี้ เรียกว่าอายตนะหก. ภิกษุ ท. ! นามรูป เป็นอย่างไรเล่า ? นาม คือ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ และมนสิการ. นี้ เรียกว่า นาม. รูป คือ มหาภูตทั้งสี่ด้วยและรูปที่อาศัยมหาภูตทั้งสี่ด้วย. นี้ เรียกว่า รูป. ด้วยเหตุนี้แหละ นามอันนี้ด้วย รูปอันนี้ด้วย. ภิกษุ ท. ! นี้ เรียกว่า นามรูป. ภิกษุ ท. ! วิญญาณ เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! หมู่แห่งวิญญาณ มีหกอย่างเหล่านี้ คือ วิญญาณทางตา วิญญาณทางหู วิญญาณทางจมูก วิญญาณทางลิ้น วิญญาณทางกาย และวิญญาณทางใจ. ภิกษุ ท. ! นี้ เรียกว่า วิญญาณ. ภิกษุ ท. ! สังขาร ทั้งหลาย เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! สังขาร ทั้งหลายเหล่านี้ คือ กายสังขาร วจีสังขาร และจิตตสังขาร. ภิกษุ ท. ! เหล่านี้ เรียกว่า สังขารทั้งหลาย. ภิกษุ ท. ! อวิชชา เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! ความไม่รู้อันใด เป็นความไม่รู้ในทุกข์, เป็นความไม่รู้ในเหตุให้เกิดทุกข์, เป็นความไม่รู้ในความดับไม่เหลือของทุกข์, ละเป็นไม่รู้ในทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์. ภิกษุ ท. ! นี้ เรียกว่า อวิชชา. ภิกษุ ท. ! ด้วยเหตุนี้แหละ, เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงเกิดมีสังขาร ; เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงเกิดมีวิญญาณ ; เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงเกิดมีนามรูป ; เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงเกิดมีอายตนะหก ; เพราะอายตนะหกเป็นปัจจัย จึงเกิดมีผัสสะ ; เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดมีเวทนา ; เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงเกิดมีตัณหา ; เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงเกิดมีอุปาทาน ; เพราะ อุปาทานเป็นปัจจัย จึงเกิดมีภพ ; เพราะภพเป็นปัจจัย จึงเกิดมีชาติ ; เพราะชาติเป็นปัจจัย, ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส จึงเกิดมีพร้อม. ความก่อขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนั้น ย่อมมีได้ ด้วยอาการอย่างนี้ แล.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 159 มุมมอง 0 รีวิว
  • อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​อุปกรณ์การปฏิบัติมรรค
    สัทธรรมลำดับที่ : 1020
    ชื่อบทธรรม :- อุปกรณ์การปฏิบัติมรรค-รายชื่อแห่งธรรมเป็นที่ตั้งแห่งการขูดเกลา
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1020
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --หมวด ช. ว่าด้วย อุปกรณ์การปฏิบัติมรรค
    --รายชื่อแห่งธรรมเป็นที่ตั้งแห่งการขูดเกลา
    --จุนทะ ! สัลเลขธรรม (ความขูดเกลา) เป็นสิ่งที่เธอทั้งหลายพึงกระทำ
    ในธรรมทั้งหลายเหล่านี้ กล่าวคือ : -
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น เป็นผู้ เบียดเบียน เราจักเป็นผู้ ไม่เบียดเบียน;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น กระทำปาณาติบาต เราจัก เว้นขาดจากปาณาติบาต;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น กระทำอทินนาทาน เราจัก เว้นขาดจากอทินนาทาน;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นไม่ประพฤติพรหมจรรย์ เราจักเป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น พูดเท็จ เราจัก เว้นขาดจากการพูดท็จ;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น พูดส่อเสียด เราจัก เว้นขาดจากการพูดส่อเสียด;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น พูดคำหยาบ เราจัก เว้นขาดจากการพูดคำหยาบ;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น พูดเพ้อเจ้อ เราจัก เว้นขาดจากการพูดเพ้อเจ้อ;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มากด้วยอภิชฌา เราจักเป็นผู้ ไม่มากด้วยอภิชฌา;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีจิตพยาบาท เราจักเป็นผู้ ไม่มีจิตพยาบาท;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉาทิฏิฐิ เราจักเป็นผู้ มีสัมมาทิฏิฐิ;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉาสังกัปปะ เราจักเป็นผู้ มีสัมมาสังกัปปะ;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉาวาจา เราจักเป็นผู้ มีสัมมาวาจา;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉากัมมันตะ เราจักเป็นผู้ มีสัมมากัมมันตะ;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉาอาชีวะ เราจักเป็นผู้ มีสัมมาอาชีวะ;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉาวายามะ เราจักเป็นผู้ มีสัมมาวายามะ;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉาสติ เราจักเป็นผู้ มีสัมมาสติ;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉาสมาธิ เราจักเป็นผู้ มีสัมมาสมาธิ;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉาญาณะ เราจักเป็นผู้ มีสัมมาญาณะ;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉาวิมุตติ เราจักเป็นผู้ มีสัมมาวิมุตติ;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีถีนมิทธะกลุ้มรุม เราจักเป็นผู้ ปราศจากถีนมิทธะ;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น เป็นผู้ฟุ้งซ่าน เราจักเป็นผู้ ไม่ฟุ้งซ่าน;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีวิจิกิจฉา เราจักเป็นผู้ ข้ามพ้นวิจิกิจฉา;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ มักโกรธ เราจักเป็นผู้ ไม่มักโกรธ;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ผูกโกรธ เราจักเป็นผู้ ไม่ผูกโกรธ;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ลบหลู่คุณ เราจักเป็นผู้ ไม่ลบหลู่คุณ;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ แข่งดี เราจักเป็นผู้ ไม่แข่งดี;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ริษยา เราจักเป็นผู้ ไม่ริษยา;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ตระหนี่ เราจักเป็นผู้ ไม่ตระหนี่;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ โอ้อวด เราจักเป็นผู้ ไม่โอ้อวด;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ มีมารยา เราจักเป็นผู้ ไม่มีมารยา;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ กระด้าง เราจักเป็นผู้ ไม่กระด้าง;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ดูหมิ่นท่าน เราจักเป็นผู้ ไม่ดูหมิ่นท่าน;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ว่ายาก เราจักเป็นผู้ ว่าง่าย;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ มีมิตรชั่ว เราจักเป็นผู้ มีมิตรดี;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ประมาท เราจักเป็นผู้ ไม่ประมาท;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ไม่มีสัทธา เราจักเป็นผู้ มีสัทธา;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ไม่มีหิริ เราจักเป็นผู้ มีหิริ;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ไม่มีโอตตัปปะ เราจักเป็นผู้ มีโอตตัปปะ;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ มีสุตะน้อย เราจักเป็นผู้ มีสุตะมาก;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ขี้เกียจ เราจักเป็นผู้ ปรารภความเพียร;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ มีสติหลงลืม เราจักเป็นผู้ มีสติตั้งมั่น;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ มีปัญญาทราม เราจักเป็นผู้ ถึงพร้อมด้วยปัญญา;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ลูบคลำด้วยทิฏฐิของตน (สนฺทิฏฺฐิปรามาสี)
    เป็น ผู้ยึดถืออย่างเหนียวแน่น (อาธานคาหี) และ
    เป็นผู้ยากที่จะสลัดคืนซึ่งอุปาทาน (ทุปฺปฏินิสฺสคฺคี)
    http://etipitaka.com/read/pali/12/78/?keywords=ทุปฺปฏินิสฺสคฺคี

    ++--เราจักเป็นผู้ ไม่ลูบคลำด้วยทิฏฐิของตน (อสนฺทิฏฺฐิปรามาสี)
    เป็นผู้ไม่ยึดถืออย่างเหนียวแน่น (อนาธานคาหี) และ
    เป็นผู้ง่ายที่จะสลัดคืนซึ่ง อุปทาน (สุปฺปฏินิสฺสคฺคี).
    http://etipitaka.com/read/pali/12/78/?keywords=สุปฏินิสฺสคฺคี

    (ผู้ศึกษาพึงสังเกตให้เห็นว่า ธรรมที่ทรงแสดงไว้ในบาลีเกี่ยวกับการขูดเกลานี้
    มีอยู่ ๔๔ คู่ เป็นคู่แห่งความตรงกันข้าม คือ
    ฝ่ายหนึ่งเป็นอกุศลไม่ควรกระทำ ฝ่ายหนึ่งเป็นกุศลที่ควรกระทำ
    ดังนั้นจึงเป็นการขูดเกลากันอยู่ในตัว เพราะความเป็นของตรงกันข้าม
    เรียกว่าธรรมเป็นเครื่องขูดเกลา ๔๔ อย่าง
    กับธรรมที่ควรขูดเกลา ๔๔ อย่างเป็นคู่กันไป.
    โดยอาศัยหลักที่มีอยู่ ๔๔ คู่นี้
    พระองค์ได้ตรัสถึงธรรมปริยายอื่นๆ ต่อไปอีกคือ : -)

    ก. จิตตุปปาทปริยาย
    +--การกระทำจิตให้เกิดขึ้นโดยนัยยะ ๔๔ คู่ เป็นต้นว่า
    “เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ เบียดเบียน เราจักเป็นผู้ ไม่เบียดเบียน” ...
    เรื่อยไปจนกระทั่งถึงคู่สุดท้าย ว่า
    “เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ลูบคลำด้วยทิฏฐิของตน (สนฺทิฏฺฐิปรามาสี)
    เป็นผู้ยึดถืออย่างเหนียวแน่น (อาธานคาหี) และ
    เป็นผู้ยากที่จะสลัดคืนซึ่งอุปาทาน (ทุปฺปฏินิสฺสคฺคี)
    เราจักเป็นผู้ ไม่ลูบคลำด้วยทิฏฐิของตน (อสนฺทิฏฺฐิปรามาสี)
    เป็นผู้ไม่ยึดถืออย่างเหนียวแน่น (อนาธานคาหี) และ
    เป็นผู้ง่ายที่จะสลัดคืนซึ่งอุปาทาน (สุปฺปฏินิสฺสคฺคี)”
    ดังนี้นั้น
    ยังได้ตรัสอีกว่า เพียงแต่ ตั้งจิตตุปบาทไว้ดังนี้ ก็เป็นการทำที่มีอุปการะมาก เสียแล้ว
    ไม่ต้องกล่าวถึง การที่ได้ทำสำเร็จลงไปตามนั้นด้วยกายและด้วยวาจา.
    การเอาธรรม ๔๔ คู่นั้นมาทำไว้ในความคิดใคร่ครวญ เรียกว่า #จิตตุปปาทธัมมปริยาย.

    ข. ปริกกมนปริยาย
    +--การทำจิตให้หลีกออกมาเสียจากธรรมฝ่ายอกุศล มาอยู่ในธรรมฝ่ายกุศล
    เช่นคนหลีกทางผิดมาเดินอยู่ในทางถูก ดังนี้เรียกว่า ปริกกมนา.
    ธรรม ๔๔ คู่ ดังกล่าวมาแล้วข้างต้นนั่นเอง
    ฝ่ายแรกเป็นฝ่ายผิด ฝ่ายหลังเป็นฝ่ายถูก จึงมีพระบาลีวางไว้เป็นคู่แรก ว่า
    “ความไม่เบียดเบียน เป็นการหลีกออกจากทางผิดของบุคคลผู้มีการเบียดเบียน”
    เรื่อยไปจนถึงคู่สุดท้ายที่ว่า ความเป็นผู้ไม่ลูบคลำด้วยทิฏฐิของตน
    ไม่ยึดถืออย่างเหนียวแน่น และง่ายที่จะสลัดคืนซึ่งอุปาทาน
    เป็นการหลีกออกจากทางผิดของบุคคลผู้ลูบคลำ
    ด้วยทิฏฐิของตน ยึดถืออย่างเหนียวแน่น และยากที่จะสลัดคืนซึ่งอุปทาน”
    การกระทำอย่างนี้ทั้ง ๔๔ คู่ เรียกว่า #ปริกกมนธัมปริยาย.

    ค. อุปริภาวังคมนปริยาย
    +--ในธรรม ๔๔ คู่ ดังกล่าวมาแล้วข้างต้น
    ฝ่ายแรกหรือฝ่ายผิด เป็น อโธภาวังคมนียธรรม (นำไปสู่ฝ่ายต่ำ)
    ฝ่ายหลังหรือฝ่ายถูก เป็น อุปริภาวังคมนียธรรม (นำไปสู่ฝ่ายสูง)
    จึงมีพระบาลีวางไว้เป็นคู่แรกว่า
    “ความไม่เบียดเบียน เป็นธรรมนำไปสู่ภาวะฝ่ายสูง ของบุคคลผู้มีการเบียดเบียน”
    ดังนี้เรื่อยไปจนถึงคู่สุดท้ายว่า
    “ความไม่เป็นผู้ไม่ลูบคลำด้วยทิฏฐิของตน ไม่ยึดถืออย่างเหนียวแน่น
    และง่ายที่จะสลัดคืนซึ่งอุปาทาน
    เป็นธรรมนำไปสู่ภาวะฝ่ายสูงของบุคคลผู้ลูบคลำด้วยทิฏฐิของตน
    ยึดถืออย่างเหนียวแน่น และยากที่จะสลัดคืนซึ่งอุปาทาน”.
    การกระทำอย่างนี้ทั้ง ๔๔ คู่ เรียกว่า #อุปริภาวังคมนธัมมปริยาย.

    ง. ปรินิพพานปริยาย
    +--ในธรรม ๔๔ คู่ ดังกล่าวมาแล้วข้างต้นนั้น
    ฝ่ายแรกหรือฝ่ายผิดเป็นฝ่ายไม่ดับเย็น
    ฝ่ายหลังหรือฝ่ายถูกเป็นฝ่ายดับเย็น (ปรินิพพาน)
    ดังนั้นจึงมีพระบาลีวางไว้เป็นคู่แรก ว่า
    “ความไม่เบียดเบียน เป็นไปเพื่อความดับเย็นของบุคคลผู้มีการเบียดเบียน”
    ดังนี้เรื่อยไปจนถึงคู่สุดท้าย ว่า
    “ความเป็นผู้ไม่ลูบคลำด้วยทิฏฐิของตน ไม่ยึดถืออย่างเหนียวแน่น
    และง่ายที่จะสลัดคืนซึ่งอุปาทาน
    เป็นไปเพื่อความดับเย็นของบุคคลผู้ลูบคลำด้วยทิฏฐิของตน
    ยึดถืออย่างเหนียวแน่น และยากที่จะสลัดคืนซึ่ง อุปาทาน”
    การกระทำอย่างนี้ทั้ง ๔๔ คู่ เรียกว่า #ปรินิพพานปริยาย.
    http://etipitaka.com/read/pali/12/82/?keywords=ปรินิพฺพาน
    ข้อความตอนนี้ มีตรัสไว้พิเศษ ว่า
    ผู้ไม่ดับเย็นจะช่วยให้ผู้อื่นดับเย็นนั้นเป็นไปไม่ได้
    เช่นเดียวกับผู้ติดหล่ม จะยกผู้อื่นขึ้นจากหล่มไม่ได้
    ฉันใดก็ฉันนั้น.-

    (รายชื่อแห่งธรรมเป็นเครื่องขูดเกลา ๔๔ คู่นี้
    ไม่ได้ใช้เพื่ออธิบายเกี่ยวกับการขูดเกลาอย่างเดียว
    แต่ใช้เพื่ออธิบายในการประพฤติกระทำอย่างอื่นด้วย
    ดังที่ได้แยกไว้เป็น ข้อ ก. ข. ค. ง. ในตอนท้าย;
    ผู้ที่ตั้งใจจะศึกษาจริงๆ พึงกำหนดให้ชัดเจนว่ามีลำดับอย่างไร
    เป็นฝ่ายผิดหรือฝ่ายถูกอย่างไร ก็จะสามารถเข้าใจข้อความที่ละไว้
    โดยไม่นำมาใส่ไว้ให้เต็ม เช่น อ้างถึงแต่ข้อต้น และ ข้อสุดท้าย เป็นต้น,
    ก็จะสำเร็จประโยชน์ได้ตามปรารถนา).

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - มู. ม. 12/54 - 62/104 - 108.
    http://etipitaka.com/read/thai/12/54/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%90%E0%B9%94
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - มู. ม. ๑๒/๗๕ - ๘๓/๑๐๔ - ๑๐๘.
    http://etipitaka.com/read/pali/12/75/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%90%E0%B9%94
    ศึกษา​เพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1020
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=88&id=1020
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=88
    ลำดับสาธยายธรรม : 88 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_88.mp3
    อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​อุปกรณ์การปฏิบัติมรรค สัทธรรมลำดับที่ : 1020 ชื่อบทธรรม :- อุปกรณ์การปฏิบัติมรรค-รายชื่อแห่งธรรมเป็นที่ตั้งแห่งการขูดเกลา https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1020 เนื้อความทั้งหมด :- --หมวด ช. ว่าด้วย อุปกรณ์การปฏิบัติมรรค --รายชื่อแห่งธรรมเป็นที่ตั้งแห่งการขูดเกลา --จุนทะ ! สัลเลขธรรม (ความขูดเกลา) เป็นสิ่งที่เธอทั้งหลายพึงกระทำ ในธรรมทั้งหลายเหล่านี้ กล่าวคือ : - +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น เป็นผู้ เบียดเบียน เราจักเป็นผู้ ไม่เบียดเบียน; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น กระทำปาณาติบาต เราจัก เว้นขาดจากปาณาติบาต; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น กระทำอทินนาทาน เราจัก เว้นขาดจากอทินนาทาน; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นไม่ประพฤติพรหมจรรย์ เราจักเป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น พูดเท็จ เราจัก เว้นขาดจากการพูดท็จ; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น พูดส่อเสียด เราจัก เว้นขาดจากการพูดส่อเสียด; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น พูดคำหยาบ เราจัก เว้นขาดจากการพูดคำหยาบ; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น พูดเพ้อเจ้อ เราจัก เว้นขาดจากการพูดเพ้อเจ้อ; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มากด้วยอภิชฌา เราจักเป็นผู้ ไม่มากด้วยอภิชฌา; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีจิตพยาบาท เราจักเป็นผู้ ไม่มีจิตพยาบาท; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉาทิฏิฐิ เราจักเป็นผู้ มีสัมมาทิฏิฐิ; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉาสังกัปปะ เราจักเป็นผู้ มีสัมมาสังกัปปะ; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉาวาจา เราจักเป็นผู้ มีสัมมาวาจา; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉากัมมันตะ เราจักเป็นผู้ มีสัมมากัมมันตะ; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉาอาชีวะ เราจักเป็นผู้ มีสัมมาอาชีวะ; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉาวายามะ เราจักเป็นผู้ มีสัมมาวายามะ; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉาสติ เราจักเป็นผู้ มีสัมมาสติ; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉาสมาธิ เราจักเป็นผู้ มีสัมมาสมาธิ; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉาญาณะ เราจักเป็นผู้ มีสัมมาญาณะ; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉาวิมุตติ เราจักเป็นผู้ มีสัมมาวิมุตติ; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีถีนมิทธะกลุ้มรุม เราจักเป็นผู้ ปราศจากถีนมิทธะ; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น เป็นผู้ฟุ้งซ่าน เราจักเป็นผู้ ไม่ฟุ้งซ่าน; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีวิจิกิจฉา เราจักเป็นผู้ ข้ามพ้นวิจิกิจฉา; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ มักโกรธ เราจักเป็นผู้ ไม่มักโกรธ; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ผูกโกรธ เราจักเป็นผู้ ไม่ผูกโกรธ; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ลบหลู่คุณ เราจักเป็นผู้ ไม่ลบหลู่คุณ; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ แข่งดี เราจักเป็นผู้ ไม่แข่งดี; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ริษยา เราจักเป็นผู้ ไม่ริษยา; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ตระหนี่ เราจักเป็นผู้ ไม่ตระหนี่; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ โอ้อวด เราจักเป็นผู้ ไม่โอ้อวด; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ มีมารยา เราจักเป็นผู้ ไม่มีมารยา; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ กระด้าง เราจักเป็นผู้ ไม่กระด้าง; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ดูหมิ่นท่าน เราจักเป็นผู้ ไม่ดูหมิ่นท่าน; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ว่ายาก เราจักเป็นผู้ ว่าง่าย; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ มีมิตรชั่ว เราจักเป็นผู้ มีมิตรดี; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ประมาท เราจักเป็นผู้ ไม่ประมาท; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ไม่มีสัทธา เราจักเป็นผู้ มีสัทธา; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ไม่มีหิริ เราจักเป็นผู้ มีหิริ; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ไม่มีโอตตัปปะ เราจักเป็นผู้ มีโอตตัปปะ; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ มีสุตะน้อย เราจักเป็นผู้ มีสุตะมาก; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ขี้เกียจ เราจักเป็นผู้ ปรารภความเพียร; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ มีสติหลงลืม เราจักเป็นผู้ มีสติตั้งมั่น; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ มีปัญญาทราม เราจักเป็นผู้ ถึงพร้อมด้วยปัญญา; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ลูบคลำด้วยทิฏฐิของตน (สนฺทิฏฺฐิปรามาสี) เป็น ผู้ยึดถืออย่างเหนียวแน่น (อาธานคาหี) และ เป็นผู้ยากที่จะสลัดคืนซึ่งอุปาทาน (ทุปฺปฏินิสฺสคฺคี) http://etipitaka.com/read/pali/12/78/?keywords=ทุปฺปฏินิสฺสคฺคี ++--เราจักเป็นผู้ ไม่ลูบคลำด้วยทิฏฐิของตน (อสนฺทิฏฺฐิปรามาสี) เป็นผู้ไม่ยึดถืออย่างเหนียวแน่น (อนาธานคาหี) และ เป็นผู้ง่ายที่จะสลัดคืนซึ่ง อุปทาน (สุปฺปฏินิสฺสคฺคี). http://etipitaka.com/read/pali/12/78/?keywords=สุปฏินิสฺสคฺคี (ผู้ศึกษาพึงสังเกตให้เห็นว่า ธรรมที่ทรงแสดงไว้ในบาลีเกี่ยวกับการขูดเกลานี้ มีอยู่ ๔๔ คู่ เป็นคู่แห่งความตรงกันข้าม คือ ฝ่ายหนึ่งเป็นอกุศลไม่ควรกระทำ ฝ่ายหนึ่งเป็นกุศลที่ควรกระทำ ดังนั้นจึงเป็นการขูดเกลากันอยู่ในตัว เพราะความเป็นของตรงกันข้าม เรียกว่าธรรมเป็นเครื่องขูดเกลา ๔๔ อย่าง กับธรรมที่ควรขูดเกลา ๔๔ อย่างเป็นคู่กันไป. โดยอาศัยหลักที่มีอยู่ ๔๔ คู่นี้ พระองค์ได้ตรัสถึงธรรมปริยายอื่นๆ ต่อไปอีกคือ : -) ก. จิตตุปปาทปริยาย +--การกระทำจิตให้เกิดขึ้นโดยนัยยะ ๔๔ คู่ เป็นต้นว่า “เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ เบียดเบียน เราจักเป็นผู้ ไม่เบียดเบียน” ... เรื่อยไปจนกระทั่งถึงคู่สุดท้าย ว่า “เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ลูบคลำด้วยทิฏฐิของตน (สนฺทิฏฺฐิปรามาสี) เป็นผู้ยึดถืออย่างเหนียวแน่น (อาธานคาหี) และ เป็นผู้ยากที่จะสลัดคืนซึ่งอุปาทาน (ทุปฺปฏินิสฺสคฺคี) เราจักเป็นผู้ ไม่ลูบคลำด้วยทิฏฐิของตน (อสนฺทิฏฺฐิปรามาสี) เป็นผู้ไม่ยึดถืออย่างเหนียวแน่น (อนาธานคาหี) และ เป็นผู้ง่ายที่จะสลัดคืนซึ่งอุปาทาน (สุปฺปฏินิสฺสคฺคี)” ดังนี้นั้น ยังได้ตรัสอีกว่า เพียงแต่ ตั้งจิตตุปบาทไว้ดังนี้ ก็เป็นการทำที่มีอุปการะมาก เสียแล้ว ไม่ต้องกล่าวถึง การที่ได้ทำสำเร็จลงไปตามนั้นด้วยกายและด้วยวาจา. การเอาธรรม ๔๔ คู่นั้นมาทำไว้ในความคิดใคร่ครวญ เรียกว่า #จิตตุปปาทธัมมปริยาย. ข. ปริกกมนปริยาย +--การทำจิตให้หลีกออกมาเสียจากธรรมฝ่ายอกุศล มาอยู่ในธรรมฝ่ายกุศล เช่นคนหลีกทางผิดมาเดินอยู่ในทางถูก ดังนี้เรียกว่า ปริกกมนา. ธรรม ๔๔ คู่ ดังกล่าวมาแล้วข้างต้นนั่นเอง ฝ่ายแรกเป็นฝ่ายผิด ฝ่ายหลังเป็นฝ่ายถูก จึงมีพระบาลีวางไว้เป็นคู่แรก ว่า “ความไม่เบียดเบียน เป็นการหลีกออกจากทางผิดของบุคคลผู้มีการเบียดเบียน” เรื่อยไปจนถึงคู่สุดท้ายที่ว่า ความเป็นผู้ไม่ลูบคลำด้วยทิฏฐิของตน ไม่ยึดถืออย่างเหนียวแน่น และง่ายที่จะสลัดคืนซึ่งอุปาทาน เป็นการหลีกออกจากทางผิดของบุคคลผู้ลูบคลำ ด้วยทิฏฐิของตน ยึดถืออย่างเหนียวแน่น และยากที่จะสลัดคืนซึ่งอุปทาน” การกระทำอย่างนี้ทั้ง ๔๔ คู่ เรียกว่า #ปริกกมนธัมปริยาย. ค. อุปริภาวังคมนปริยาย +--ในธรรม ๔๔ คู่ ดังกล่าวมาแล้วข้างต้น ฝ่ายแรกหรือฝ่ายผิด เป็น อโธภาวังคมนียธรรม (นำไปสู่ฝ่ายต่ำ) ฝ่ายหลังหรือฝ่ายถูก เป็น อุปริภาวังคมนียธรรม (นำไปสู่ฝ่ายสูง) จึงมีพระบาลีวางไว้เป็นคู่แรกว่า “ความไม่เบียดเบียน เป็นธรรมนำไปสู่ภาวะฝ่ายสูง ของบุคคลผู้มีการเบียดเบียน” ดังนี้เรื่อยไปจนถึงคู่สุดท้ายว่า “ความไม่เป็นผู้ไม่ลูบคลำด้วยทิฏฐิของตน ไม่ยึดถืออย่างเหนียวแน่น และง่ายที่จะสลัดคืนซึ่งอุปาทาน เป็นธรรมนำไปสู่ภาวะฝ่ายสูงของบุคคลผู้ลูบคลำด้วยทิฏฐิของตน ยึดถืออย่างเหนียวแน่น และยากที่จะสลัดคืนซึ่งอุปาทาน”. การกระทำอย่างนี้ทั้ง ๔๔ คู่ เรียกว่า #อุปริภาวังคมนธัมมปริยาย. ง. ปรินิพพานปริยาย +--ในธรรม ๔๔ คู่ ดังกล่าวมาแล้วข้างต้นนั้น ฝ่ายแรกหรือฝ่ายผิดเป็นฝ่ายไม่ดับเย็น ฝ่ายหลังหรือฝ่ายถูกเป็นฝ่ายดับเย็น (ปรินิพพาน) ดังนั้นจึงมีพระบาลีวางไว้เป็นคู่แรก ว่า “ความไม่เบียดเบียน เป็นไปเพื่อความดับเย็นของบุคคลผู้มีการเบียดเบียน” ดังนี้เรื่อยไปจนถึงคู่สุดท้าย ว่า “ความเป็นผู้ไม่ลูบคลำด้วยทิฏฐิของตน ไม่ยึดถืออย่างเหนียวแน่น และง่ายที่จะสลัดคืนซึ่งอุปาทาน เป็นไปเพื่อความดับเย็นของบุคคลผู้ลูบคลำด้วยทิฏฐิของตน ยึดถืออย่างเหนียวแน่น และยากที่จะสลัดคืนซึ่ง อุปาทาน” การกระทำอย่างนี้ทั้ง ๔๔ คู่ เรียกว่า #ปรินิพพานปริยาย. http://etipitaka.com/read/pali/12/82/?keywords=ปรินิพฺพาน ข้อความตอนนี้ มีตรัสไว้พิเศษ ว่า ผู้ไม่ดับเย็นจะช่วยให้ผู้อื่นดับเย็นนั้นเป็นไปไม่ได้ เช่นเดียวกับผู้ติดหล่ม จะยกผู้อื่นขึ้นจากหล่มไม่ได้ ฉันใดก็ฉันนั้น.- (รายชื่อแห่งธรรมเป็นเครื่องขูดเกลา ๔๔ คู่นี้ ไม่ได้ใช้เพื่ออธิบายเกี่ยวกับการขูดเกลาอย่างเดียว แต่ใช้เพื่ออธิบายในการประพฤติกระทำอย่างอื่นด้วย ดังที่ได้แยกไว้เป็น ข้อ ก. ข. ค. ง. ในตอนท้าย; ผู้ที่ตั้งใจจะศึกษาจริงๆ พึงกำหนดให้ชัดเจนว่ามีลำดับอย่างไร เป็นฝ่ายผิดหรือฝ่ายถูกอย่างไร ก็จะสามารถเข้าใจข้อความที่ละไว้ โดยไม่นำมาใส่ไว้ให้เต็ม เช่น อ้างถึงแต่ข้อต้น และ ข้อสุดท้าย เป็นต้น, ก็จะสำเร็จประโยชน์ได้ตามปรารถนา). #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - มู. ม. 12/54 - 62/104 - 108. http://etipitaka.com/read/thai/12/54/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%90%E0%B9%94 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - มู. ม. ๑๒/๗๕ - ๘๓/๑๐๔ - ๑๐๘. http://etipitaka.com/read/pali/12/75/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%90%E0%B9%94 ศึกษา​เพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1020 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=88&id=1020 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=88 ลำดับสาธยายธรรม : 88 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_88.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - หมวด ช. ว่าด้วย อุปกรณ์การปฏิบัติมรรค--รายชื่อแห่งธรรมเป็นที่ตั้งแห่งการขูดเกลา
    -[ในสูตรนี้ตรัสเรียกพิธีกรรมนี้ว่า “ปัจโจโรหณีในอริยวินัย”; ส่วนในสูตรอื่นๆ (๒๔/๒๕๓,๒๖๙/๑๒๐ ,๑๕๗) ตรัสเรียกว่า “ปัจโจโรหณีอันเป็นอริยะ” ก็มี. ในสูตรอื่นทรงยกเอากุศลกรรมบถสิบ มาเป็นธรรมเครื่องปลงบาปแทนสัมมัตตะสิบ ก็มี ( ๒๔/๒๖๗ - ๒๖๙/๑๕๖) ]. หมวด ช. ว่าด้วย อุปกรณ์การปฏิบัติมรรค รายชื่อแห่งธรรมเป็นที่ตั้งแห่งการขูดเกลา (เรื่องควรดูประกอบในหน้า ๙๑๑, ๙๒๖, ๑๓๐๐, ๑๓๔๑, ๑๓๖๔, ๑๔๑๒, ๑๔๑๔ และในขุม.โอ.หน้า ๓๒๒) จุนทะ ! สัลเลขธรรม (ความขูดเกลา) เป็นสิ่งที่เธอทั้งหลายพึงกระทำ ในธรรมทั้งหลายเหล่านี้ กล่าวคือ : ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ เบียดเบียน เราจักเป็นผู้ ไม่เบียดเบียน; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น กระทำปาณาติบาต เราจัก เว้นขาดจากปาณาติบาต; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น กระทำอทินนาทาน เราจัก เว้นขาดจากอทินนาทาน; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นไม่ประพฤติพรหมจรรย์ เราจักเป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น พูดเท็จ เราจัก เว้นขาดจากการพูดท็จ; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น พูดส่อเสียด เราจัก เว้นขาดจากการพูดส่อเสียด; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น พูดคำหยาบ เราจัก เว้นขาดจากการพูดคำหยาบ; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น พูดเพ้อเจ้อ เราจัก เว้นขาดจากการพูดเพ้อเจ้อ; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มากด้วยอภิชฌา เราจักเป็นผู้ ไม่มากด้วยอภิชฌา; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีจิตพยาบาท เราจักเป็นผู้ ไม่มีจิตพยาบาท; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉาทิฏิฐิ เราจักเป็นผู้ มีสัมมาทิฏิฐิ; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉาสังกัปปะ เราจักเป็นผู้ มีสัมมาสังกัปปะ; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉาวาจา เราจักเป็นผู้ มีสัมมาวาจา; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉากัมมันตะ เราจักเป็นผู้ มีสัมมากัมมันตะ; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉาอาชีวะ เราจักเป็นผู้ มีสัมมาอาชีวะ; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉาวายามะ เราจักเป็นผู้ มีสัมมาวายามะ; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉาสติ เราจักเป็นผู้ มีสัมมาสติ; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉาสมาธิ เราจักเป็นผู้ มีสัมมาสมาธิ; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉาญาณะ เราจักเป็นผู้ มีสัมมาญาณะ; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉาวิมุตติ เราจักเป็นผู้ มีสัมมาวิมุตติ; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีถีนมิทธะกลุ้มรุม เราจักเป็นผู้ ปราศจากถีนมิทธะ; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ฟุ้งซ่าน เราจักเป็นผู้ ไม่ฟุ้งซ่าน; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีวิจิกิจฉา เราจักเป็นผู้ ข้ามพ้นวิจิกิจฉา; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ มักโกรธ เราจักเป็นผู้ ไม่มักโกรธ; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ผูกโกรธ เราจักเป็นผู้ ไม่ผูกโกรธ; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ลบหลู่คุณ เราจักเป็นผู้ ไม่ลบหลู่คุณ; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ แข่งดี เราจักเป็นผู้ ไม่แข่งดี; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ริษยา เราจักเป็นผู้ ไม่ริษยา; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ตระหนี่ เราจักเป็นผู้ ไม่ตระหนี่; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ โอ้อวด เราจักเป็นผู้ ไม่โอ้อวด; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ มีมารยา เราจักเป็นผู้ ไม่มีมารยา; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ กระด้าง เราจักเป็นผู้ ไม่กระด้าง; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ดูหมิ่นท่าน เราจักเป็นผู้ ไม่ดูหมิ่นท่าน; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ว่ายาก เราจักเป็นผู้ ว่าง่าย; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ มีมิตรชั่ว เราจักเป็นผู้ มีมิตรดี; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ประมาท เราจักเป็นผู้ ไม่ประมาท; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ไม่มีสัทธา เราจักเป็นผู้ มีสัทธา; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ไม่มีหิริ เราจักเป็นผู้ มีหิริ; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ไม่มีโอตตัปปะ เราจักเป็นผู้ มีโอตตัปปะ; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ มีสุตะน้อย เราจักเป็นผู้ มีสุตะมาก; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ขี้เกียจ เราจักเป็นผู้ ปรารภความเพียร; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ มีสติหลงลืม เราจักเป็นผู้ มีสติตั้งมั่น; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ มีปัญญาทราม เราจักเป็นผู้ ถึงพร้อมด้วยปัญญา; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ลูบคลำด้วยทิฏฐิของตน (สนฺทิฏฺฐิปรามาสี) เป็น ผู้ยึดถืออย่างเหนียวแน่น (อาธานคาหี) และเป็นผู้ยากที่จะสลัดคืนซึ่งอุปาทาน (ทุปฺปฏินิสฺสคฺคี) เราจักเป็นผู้ ไม่ลูบคลำด้วยทิฏฐิของตน (อสนฺทิฏฺฐิปรามาสี) เป็นผู้ไม่ยึดถืออย่างเหนียวแน่น (อนาธานคาหี) และเป็นผู้ง่ายที่จะสลัดคืนซึ่ง อุปทาน (สุปฺปฏินิสฺสคฺคี). (ผู้ศึกษาพึงสังเกตให้เห็นว่า ธรรมที่ทรงแสดงไว้ในบาลีเกี่ยวกับการขูดเกลานี้ มีอยู่ ๔๔ คู่ เป็นคู่แห่งความตรงกันข้าม คือฝ่ายหนึ่งเป็นอกุศลไม่ควรกระทำ ฝ่ายหนึ่งเป็นกุศลที่ควรกระทำ ดังนั้นจึงเป็นการขูดเกลากันอยู่ในตัว เพราะความเป็นของตรงกันข้าม เรียกว่าธรรมเป็นเครื่องขูดเกลา ๔๔ อย่าง กับธรรมที่ควรขูดเกลา ๔๔ อย่างเป็นคู่กันไป. โดยอาศัยหลักที่มีอยู่ ๔๔ คู่นี้ พระองค์ได้ตรัสถึงธรรมปริยายอื่นๆ ต่อไปอีกคือ : -) ก. จิตตุปปาทปริยาย การกระทำจิตให้เกิดขึ้นโดยนัยยะ ๔๔ คู่ เป็นต้นว่า “เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ เบียดเบียน เราจักเป็นผู้ ไม่เบียดเบียน” เรื่อยไปจนกระทั่งถึงคู่สุดท้าย ว่า “เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ลูบคลำด้วยทิฏฐิของตน (สนฺทิฏฺฐิปรามาสี) เป็นผู้ยึดถืออย่างเหนียวแน่น (อาธานคาหี) และเป็นผู้ยากที่จะสลัดคืนซึ่งอุปาทาน (ทุปฺปฏินิสฺสคฺคี) เราจักเป็นผู้ ไม่ลูบคลำ ด้วยทิฏฐิของตน (อสนฺทิฏฺฐิปรามาสี) เป็นผู้ไม่ยึดถืออย่างเหนียวแน่น (อนาธานคาหี) และเป็นผู้ง่ายที่จะสลัดคืนซึ่งอุปาทาน (สุปฺปฏินิสฺสคฺคี)” ดังนี้นั้น ยังได้ตรัสอีกว่า เพียงแต่ ตั้งจิตตุปบาทไว้ดังนี้ ก็เป็นการทำที่มีอุปการะมาก เสียแล้ว ไม่ต้องกล่าวถึง การที่ได้ทำสำเร็จลงไปตามนั้นด้วยกายและด้วยวาจา. การเอาธรรม ๔๔ คู่นั้นมาทำไว้ในความคิด เรียกว่า จิตตุปปาทธัมมปริยาย. ข. ปริกกมนปริยาย การทำจิตให้หลีกออกมาเสียจากธรรมฝ่ายอกุศล มาอยู่ในธรรมฝ่ายกุศล เช่นคนหลีกทางผิดมาเดินอยู่ในทางถูก ดังนี้เรียกว่า ปริกกมนา. ธรรม ๔๔ คู่ ดังกล่าวมาแล้วข้างต้นนั่นเอง ฝ่ายแรกเป็นฝ่ายผิด ฝ่ายหลังเป็นฝ่ายถูก จึงมีพระบาลีวางไว้เป็นคู่แรก ว่า “ความไม่เบียดเบียน เป็นการหลีกออกจากทางผิดของบุคคลผู้มีการเบียดเบียน” เรื่อยไปจนถึงคู่สุดท้ายที่ว่า ความเป็นผู้ไม่ลูบคลำด้วยทิฏฐิของตน ไม่ยึดถืออย่างเหนียวแน่น และง่ายที่จะสลัดคืนซึ่งอุปาทาน เป็นการหลีกออกจากทางผิดของบุคคลผู้ลูบคลำ ด้วยทิฏฐิของตน ยึดถืออย่างเหนียวแน่น และยากที่จะสลัดคืนซึ่งอุปทาน” การกระทำอย่างนี้ทั้ง ๔๔ คู่ เรียกว่า ปริกกมนธัมปริยาย. ค. อุปริภาวังคมนปริยาย ในธรรม ๔๔ คู่ ดังกล่าวมาแล้วข้างต้น ฝ่ายแรกหรือฝ่ายผิด เป็น อโธภาวังคมนียธรรม (นำไปสู่ฝ่ายต่ำ) ฝ่ายหลังหรือฝ่ายถูก เป็น อุปริภาวังคมนียธรรม (นำไปสู่ฝ่ายสูง) จึงมีพระบาลีวางไว้เป็นคู่แรกว่า “ความไม่เบียดเบียน เป็นธรรมนำไปสู่ภาวะฝ่ายสูง ของบุคคลผู้มีการเบียดเบียน” ดังนี้เรื่อยไปจนถึงคู่สุดท้ายว่า “ความไม่เป็นผู้ไม่ลูบคลำด้วยทิฏฐิของตน ไม่ยึดถืออย่างเหนียวแน่น และง่ายที่จะสลัดคืนซึ่งอุปาทาน เป็นธรรมนำไปสู่ภาวะฝ่ายสูงของบุคคลผู้ลูบคลำด้วยทิฏฐิของตน ยึดถืออย่าง เหนียวแน่น และยากที่จะสลัดคืนซึ่งอุปาทาน”. การกระทำอย่างนี้ทั้ง ๔๔ คู่ เรียกว่า อุปริภาวังคมนธัมมปริยาย. ง. ปรินิพพานปริยาย ในธรรม ๔๔ คู่ ดังกล่าวมาแล้วข้างต้นนั้น ฝ่ายแรกหรือฝ่ายผิดเป็นฝ่ายไม่ดับเย็น ฝ่ายหลังหรือฝ่ายถูกเป็นฝ่ายดับเย็น (ปรินิพพาน) ดังนั้นจึงมีพระบาลีวางไว้เป็นคู่แรก ว่า “ความไม่เบียดเบียน เป็นไปเพื่อความดับเย็นของบุคคลผู้มีการเบียดเบียน” ดังนี้เรื่อยไปจนถึงคู่สุดท้าย ว่า “ความเป็นผู้ไม่ลูบคลำด้วยทิฏฐิของตน ไม่ยึดถืออย่างเหนียวแน่น และง่ายที่จะสลัดคืนซึ่งอุปาทาน เป็นไปเพื่อความดับเย็นของบุคคลผู้ลูบคลำด้วยทิฏฐิของตน ยึดถืออย่างเหนียวแน่น และยากที่จะสลัดคืนซึ่ง อุปาทาน” การกระทำอย่างนี้ทั้ง ๔๔ คู่ เรียกว่า ปรินิพพานปริยาย. ข้อความตอนนี้ มีตรัสไว้พิเศษ ว่า ผู้ไม่ดับเย็นจะช่วยให้ผู้อื่นดับเย็นนั้นเป็นไปไม่ได้ เช่นเดียวกับผู้ติดหล่ม จะยกผู้อื่นขึ้นจากหล่มไม่ได้ ฉันใดก็ฉันนั้น.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 150 มุมมอง 0 รีวิว
  • อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาว่าวิถีทางในการบรรถึงวิมุตตธรรมเมื่อสิ้นสังโยชน์เหมือนเครื่องหวายสิ้นอายุ
    สัทธรรมลำดับที่ : 652
    ชื่อบทธรรม :- เมื่อสิ้นสังโยชน์เหมือนเครื่องหวายสิ้นอายุ
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=652
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --เมื่อสิ้นสังโยชน์เหมือนเครื่องหวายสิ้นอายุ
    --ภิกษุ ท. ! เปรียบเหมือนเรือเดินสมุทรที่มีเครื่องผูกทำด้วยหวาย
    อยู่ในน้ำตลอดหกเดือนแล้ว เขายกขึ้นบกในฤดูหนาว
    เครื่องผูกเหล่านั้นผึ่งอยู่กับลมและแดด ชุ่มแฉะอยู่ด้วยหมอกอันชื้น
    ย่อมยุบตัว เปื่อยพังไปโดยไม่ยากเลย, นี้ ฉันใด ;
    --ภิกษุ ท. ! เมื่อภิกษุตามประกอบการเจริญภาวนาอยู่
    #สังโยชน์(สญฺโญ)​ทั้งหลาย (ซึ่งเสมือนเครื่องหวายที่อบอยู่กับแดดลมและความชื้น)
    ย่อมระงับลง ๆ กระทั่งสูญเสียไป ฉันนั้นเหมือนกัน.-
    http://etipitaka.com/read/pali/23/129/?keywords=สญฺโญชนานิ

    (*--ท่านพุทธทาสอธิบายความว่า
    เป็นที่น่าสังเกตว่า พระพุทธองค์ทรงมีถิ่นฐานอยู่ทางภาคเหนือของอินเดีย ซึ่งดูตามแผนที่แล้ว จะไม่มีโอกาสเกี่ยวข้องกับทะเล แต่ก็ยังทรงทราบเรื่องเรือเดินทะเล, เป็นบุคคลในระดับกษัตริย์ ก็ยังทรงรู้เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ของชาวบ้าน เช่นหวายที่ผูกเรือแพเดินทะเลสิ้นอายุผุพังไปตามฤดูกาลได้ ; แสดงว่าทรงมีพื้นเพแห่งสติปัญญาสมกับที่จะเป็นพระพุทธเจ้าเสียจริงๆ
    --*).

    #ทุกขมรรค#อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - สตฺตก. อํ. 23/126/68.
    http://etipitaka.com/read/thai/23/98/?keywords=%E0%B9%96%E0%B9%98
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - สตฺตก. อํ. ๒๓/๑๒๖/๖๘.
    http://etipitaka.com/read/pali/23/126/?keywords=%E0%B9%96%E0%B9%98
    ศึกษาเพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=652
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=45&id=652
    หรือ
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=45
    ลำดับสาธยายธรรม : 45 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_45.mp3
    อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาว่าวิถีทางในการบรรถึงวิมุตตธรรมเมื่อสิ้นสังโยชน์เหมือนเครื่องหวายสิ้นอายุ สัทธรรมลำดับที่ : 652 ชื่อบทธรรม :- เมื่อสิ้นสังโยชน์เหมือนเครื่องหวายสิ้นอายุ https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=652 เนื้อความทั้งหมด :- --เมื่อสิ้นสังโยชน์เหมือนเครื่องหวายสิ้นอายุ --ภิกษุ ท. ! เปรียบเหมือนเรือเดินสมุทรที่มีเครื่องผูกทำด้วยหวาย อยู่ในน้ำตลอดหกเดือนแล้ว เขายกขึ้นบกในฤดูหนาว เครื่องผูกเหล่านั้นผึ่งอยู่กับลมและแดด ชุ่มแฉะอยู่ด้วยหมอกอันชื้น ย่อมยุบตัว เปื่อยพังไปโดยไม่ยากเลย, นี้ ฉันใด ; --ภิกษุ ท. ! เมื่อภิกษุตามประกอบการเจริญภาวนาอยู่ #สังโยชน์(สญฺโญ)​ทั้งหลาย (ซึ่งเสมือนเครื่องหวายที่อบอยู่กับแดดลมและความชื้น) ย่อมระงับลง ๆ กระทั่งสูญเสียไป ฉันนั้นเหมือนกัน.- http://etipitaka.com/read/pali/23/129/?keywords=สญฺโญชนานิ (*--ท่านพุทธทาสอธิบายความว่า เป็นที่น่าสังเกตว่า พระพุทธองค์ทรงมีถิ่นฐานอยู่ทางภาคเหนือของอินเดีย ซึ่งดูตามแผนที่แล้ว จะไม่มีโอกาสเกี่ยวข้องกับทะเล แต่ก็ยังทรงทราบเรื่องเรือเดินทะเล, เป็นบุคคลในระดับกษัตริย์ ก็ยังทรงรู้เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ของชาวบ้าน เช่นหวายที่ผูกเรือแพเดินทะเลสิ้นอายุผุพังไปตามฤดูกาลได้ ; แสดงว่าทรงมีพื้นเพแห่งสติปัญญาสมกับที่จะเป็นพระพุทธเจ้าเสียจริงๆ --*). #ทุกขมรรค​ #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - สตฺตก. อํ. 23/126/68. http://etipitaka.com/read/thai/23/98/?keywords=%E0%B9%96%E0%B9%98 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - สตฺตก. อํ. ๒๓/๑๒๖/๖๘. http://etipitaka.com/read/pali/23/126/?keywords=%E0%B9%96%E0%B9%98 ศึกษาเพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=652 http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=45&id=652 หรือ http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=45 ลำดับสาธยายธรรม : 45 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_45.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - เมื่อสังโยชน์เหมือนเครื่องหวายสิ้นอายุ
    -เมื่อสังโยชน์เหมือนเครื่องหวายสิ้นอายุ ภิกษุ ท. ! เปรียบเหมือนเรือเดินสมุทรที่มีเครื่องผูกทำด้วยหวายอยู่ในน้ำตลอดหกเดือนแล้ว เขายกขึ้นบกในฤดูหนาว เครื่องผูกเหล่านั้นผึ่งอยู่กับลมและแดด ชุ่มแฉะอยู่ด้วยหมอกอันชื้น ย่อมยุบตัว เปื่อยพังไปโดยไม่ยากเลย, นี้ ฉันใด ; ภิกษุ ท. ! เมื่อภิกษุตามประกอบการเจริญภาวนาอยู่ สังโยชน์ ทั้งหลาย (ซึ่งเสมือนเครื่องหวายที่อบอยู่กับแดดลมและความชื้น) ย่อมระงับลง ๆ กระทั่งสูญเสียไป ฉันนั้นเหมือนกัน.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 168 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts