• อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​วิธีพิจารณาในภายใน เพื่อความสิ้นทุกข์
    สัทธรรมลำดับที่ : 751
    ชื่อบทธรรม :- วิธีพิจารณาในภายใน เพื่อความสิ้นทุกข์
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=751
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --วิธีพิจารณาในภายใน เพื่อความสิ้นทุกข์
    --ภิกษุ ท. ! เธอทั้งหลายพิจารณากันบ้างหรือไม่ ชนิดที่เป็นการพิจารณาในภายใน ?
    --ภิกษุรูปหนึ่งกราบทูลว่า
    “ข้าพระองค์ย่อมพิจารณา ชนิดที่เป็นการพิจารณาในภายในอยู่ พระเจ้าข้า !”
    --ภิกษุ ! เธอ ย่อมพิจารณา ชนิดที่เป็นการพิจารณาในภายในอยู่ อย่างไรเล่า ?

    (ภิกษุนั้นกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ก็ไม่ทรงพอพระทัย
    พระอานนท์จึงทูลขอร้องให้พระองค์ทรงแสดง ภิกษุได้ฟังแล้วจักทรงจำไว้,
    ตรัสให้ภิกษุทั้งหลายตั้งใจฟัง แล้วตรัสว่า :- )

    --ภิกษุ ท. ! ในกรณีนี้
    +--ภิกษุเมื่อพิจารณา ย่อม พิจารณาชนิดที่เป็น การพิจารณาในภายใน ว่า
    “ทุกข์มีอย่างมิใช่น้อย นานาประการ ย่อมเกิดขึ้นในโลก กล่าวคือชรามรณะ ใดแล ;
    ทุกข์นี้หนอ มีอะไรเป็นเหตุให้เกิด มีอะไรเป็นเครื่องก่อให้เกิด มีอะไรเป็นเครื่องกำเนิด
    มีอะไรเป็นแดนเกิด ?
    เพราะอะไรมี ชรามรณะจึงมี?”
    ดังนี้.
    +--ภิกษุนั้น พิจารณาอยู่ ย่อมรู้ อย่างนี้ว่า
    “ทุกข์มีอย่างมิใช่น้อยนานาประการ ย่อมเกิดขึ้นในโลก
    กล่าวคือ ชรามรณะใดแล;
    ทุกข์นี้หนอ มีอุปธิเป็นเหตุให้เกิด
    มีอุปธิเป็นเครื่องก่อให้เกิด
    มีอุปธิเป็นเครื่องกำเนิด
    มีอุปธิเป็นแดนเกิด;
    เพราะอุปธิมี ชรามรณะจึงมี เพราะอุปธิไม่มี ชรามรณะจึงไม่มี;”
    ดังนี้.
    +--ภิกษุนั้น ย่อมรู้ชัด
    ซึ่งชรามรณะด้วย
    ซึ่งเหตุให้เกิดขึ้นแห่งชรามรณะด้วย
    ซึ่งความดับไม่เหลือชรามรณะด้วย
    ซึ่งข้อปฏิบัติเครื่องทำสัตว์ให้ลุถึงซึ่งธรรมอันสมควรแก่ความดับไม่เหลือแห่งชรามรณะด้วย
    และเป็นผู้ปฏิบัติแล้วอย่างสมควรแก่ธรรมด้วย.
    +--ภิกษุ ท. ! ภิกษุนี้เราเรียกว่า
    เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ
    กล่าวคือเพื่อความดับไม่เหลือแห่งชรามรณะ
    โดยประการทั้งปวง.
    --ภิกษุ ท. ! ข้ออื่นยังมีอีก :
    +--ภิกษุเมื่อพิจารณา ย่อม พิจารณาชนิด เป็นการพิจารณาในภายใน ว่า
    “ก็อุปธินี้
    มีอะไรเป็นเหตุให้เกิด
    มีอะไรเป็นเครื่องก่อให้เกิด
    มีอะไรเป็นเครื่องกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด ?
    เพราะอะไรมีอุปธิจึงมี เพราะอะไรไม่มี อุปธิจึงไม่มี ?”
    ดังนี้.
    +--ภิกษุนั้น พิจารณาอยู่ ย่อมรู้อย่างนี้ว่า
    “อุปธินี้
    มีตัณหาเป็นเหตุให้เกิด
    มีตัณหาเป็นเครื่องก่อให้เกิด
    มีตัณหาเป็นเครื่องกำเนิด
    มีตัณหาเป็นแดนเกิด;
    เมื่อตัณหามีอุปธิจึงมี เมื่อตัณหาไม่มี อุปธิจึงไม่มี;”
    ดังนี้.
    +--ภิกษุนั้น ย่อมรู้ชัด
    ซึ่งอุปธิด้วย
    ซึ่งเหตุให้เกิดขึ้นแห่งอุปธิด้วย
    ซึ่งความดับไม่เหลือแห่งอุปธิด้วย
    ซึ่งข้อปฏิบัติเครื่องทำสัตว์ให้ลุถึงซึ่งธรรมอันสมควรแก่ความดับไม่เหลือแห่งอุปธิด้วย
    และเป็นผู้ปฏิบัติแล้วอย่างสมควรแก่ธรรมด้วย.
    +--ภิกษุ ท. ! ภิกษุนี้ เราเรียกว่า #เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ
    กล่าวคือเพื่อความดับไม่เหลือแห่งอุปธิ โดยประการทั้งปวง.

    --ภิกษุ ท. ! ข้ออื่นยังมีอีก :
    +--ภิกษุเมื่อพิจารณา ย่อม พิจารณาชนิดที่เป็นการพิจารณาในภายใน ว่า
    “ก็ตัณหานี้ เมื่อจะเกิดย่อมเกิดขึ้น ณ ที่ไหน ?
    เมื่อจะเข้าไปตั้งอยู่ ย่อมเข้าไปตั้งอยู่ ณ ที่ไหน ?”
    ดังนี้
    +--ภิกษุนั้น พิจารณาอยู่ย่อมรู้อย่างนี้ว่า
    สิ่งใดมีภาวะเป็นที่รักเป็นที่ยินดี (ปิยรูปสาตรูป) ในโลก;
    http://etipitaka.com/read/pali/16/132/?keywords=ปิยรูปํ+สาตรูปํ
    ตัณหานี้ เมื่อจะเกิดย่อมเกิดขึ้น ในสิ่งนั้น,
    เมื่อจะเข้าไปตั้งอยู่ ย่อมเข้าไปตั้งอยู่ในสิ่งนั้น.
    ก็สิ่งใดเล่า มีภาวะเป็นที่รักเป็นที่ยินดีในโลก?
    จักษุ มีภาวะเป็นที่รักเป็นที่ยินดีในโลก.
    โสตะ มีภาวะเป็นที่รักเป็นที่ยินดีในโลก.
    ฆานะ มีภาวะเป็นที่รักเป็นที่ยินดีในโลก.
    ชิวหา มีภาวะเป็นที่รักเป็นที่ยินดีในโลก.
    กายะ มีภาวะเป็นที่รักเป็นที่ยินดีในโลก.
    มนะ มีภาวะเป็นที่รักเป็นที่ยินดีในโลก.
    ตัณหานี้ เมื่อจะเกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นในธรรมมีภาวะน่ารักยินดีเหล่านี้,
    เมื่อจะเข้าไปตั้งอยู่ ย่อมเข้าไปตั้งอยู่ในธรรม มีภาวะน่ารักน่ายินดีเหล่านี้​ แล.-

    (ต่อจากนี้ ได้ตรัสถึงบุคคลบางพวกในอดีต อนาคต และปัจจุบัน
    เห็นปิยรูป สาตรูปโดยความเป็นของเที่ยง ของสุขเป็นต้น
    แล้วทำตัณหาให้เจริญ ทำอุปธิให้เจริญ เท่ากับทำทุกข์ให้เจริญ ไม่พ้นจากทุกข์ไปได้ ; และได้ตรัสฝ่ายตรงข้ามโดยปฏิปักขนัยไว้เป็นคู่กัน.
    สำหรับปิยรูปสาตรูปนั้น ในที่อื่นกล่าวไว้เป็นสิบหมวด
    ตามนัยแห่งมหาสติปัฏฐานสูตร รวมกันเป็น ๖๐ อย่าง ;
    ในที่นี้กล่าวไว้เพียง ๖ อย่าง ตามจำนวนแห่งอายตนะภายใน,
    แม้กระนั้นก็อาจจะขยายออกไปได้เป็น ๖๐ อย่าง เช่นเดียวกัน ;
    สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ จาก #มหาสติปัฏฐานสูตร​ เ​ป็นต้น
    ).-

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์

    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - นิทาน.สํ. 16/104 - 106/254 - 262.
    http://etipitaka.com/read/thai/16/104/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%95%E0%B9%94
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - นิทาน.สํ. ๑๖/๑๓๐- ๑๓๕/๒๕๔ - ๒๖๒.
    http://etipitaka.com/read/pali/16/130/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%95%E0%B9%94​
    ศึกษาเพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=751
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=57&id=751
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=57
    ลำดับสาธยายธรรม : 57​ ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_57.mp3
    อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​วิธีพิจารณาในภายใน เพื่อความสิ้นทุกข์ สัทธรรมลำดับที่ : 751 ชื่อบทธรรม :- วิธีพิจารณาในภายใน เพื่อความสิ้นทุกข์ https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=751 เนื้อความทั้งหมด :- --วิธีพิจารณาในภายใน เพื่อความสิ้นทุกข์ --ภิกษุ ท. ! เธอทั้งหลายพิจารณากันบ้างหรือไม่ ชนิดที่เป็นการพิจารณาในภายใน ? --ภิกษุรูปหนึ่งกราบทูลว่า “ข้าพระองค์ย่อมพิจารณา ชนิดที่เป็นการพิจารณาในภายในอยู่ พระเจ้าข้า !” --ภิกษุ ! เธอ ย่อมพิจารณา ชนิดที่เป็นการพิจารณาในภายในอยู่ อย่างไรเล่า ? (ภิกษุนั้นกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ก็ไม่ทรงพอพระทัย พระอานนท์จึงทูลขอร้องให้พระองค์ทรงแสดง ภิกษุได้ฟังแล้วจักทรงจำไว้, ตรัสให้ภิกษุทั้งหลายตั้งใจฟัง แล้วตรัสว่า :- ) --ภิกษุ ท. ! ในกรณีนี้ +--ภิกษุเมื่อพิจารณา ย่อม พิจารณาชนิดที่เป็น การพิจารณาในภายใน ว่า “ทุกข์มีอย่างมิใช่น้อย นานาประการ ย่อมเกิดขึ้นในโลก กล่าวคือชรามรณะ ใดแล ; ทุกข์นี้หนอ มีอะไรเป็นเหตุให้เกิด มีอะไรเป็นเครื่องก่อให้เกิด มีอะไรเป็นเครื่องกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด ? เพราะอะไรมี ชรามรณะจึงมี?” ดังนี้. +--ภิกษุนั้น พิจารณาอยู่ ย่อมรู้ อย่างนี้ว่า “ทุกข์มีอย่างมิใช่น้อยนานาประการ ย่อมเกิดขึ้นในโลก กล่าวคือ ชรามรณะใดแล; ทุกข์นี้หนอ มีอุปธิเป็นเหตุให้เกิด มีอุปธิเป็นเครื่องก่อให้เกิด มีอุปธิเป็นเครื่องกำเนิด มีอุปธิเป็นแดนเกิด; เพราะอุปธิมี ชรามรณะจึงมี เพราะอุปธิไม่มี ชรามรณะจึงไม่มี;” ดังนี้. +--ภิกษุนั้น ย่อมรู้ชัด ซึ่งชรามรณะด้วย ซึ่งเหตุให้เกิดขึ้นแห่งชรามรณะด้วย ซึ่งความดับไม่เหลือชรามรณะด้วย ซึ่งข้อปฏิบัติเครื่องทำสัตว์ให้ลุถึงซึ่งธรรมอันสมควรแก่ความดับไม่เหลือแห่งชรามรณะด้วย และเป็นผู้ปฏิบัติแล้วอย่างสมควรแก่ธรรมด้วย. +--ภิกษุ ท. ! ภิกษุนี้เราเรียกว่า เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ กล่าวคือเพื่อความดับไม่เหลือแห่งชรามรณะ โดยประการทั้งปวง. --ภิกษุ ท. ! ข้ออื่นยังมีอีก : +--ภิกษุเมื่อพิจารณา ย่อม พิจารณาชนิด เป็นการพิจารณาในภายใน ว่า “ก็อุปธินี้ มีอะไรเป็นเหตุให้เกิด มีอะไรเป็นเครื่องก่อให้เกิด มีอะไรเป็นเครื่องกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด ? เพราะอะไรมีอุปธิจึงมี เพราะอะไรไม่มี อุปธิจึงไม่มี ?” ดังนี้. +--ภิกษุนั้น พิจารณาอยู่ ย่อมรู้อย่างนี้ว่า “อุปธินี้ มีตัณหาเป็นเหตุให้เกิด มีตัณหาเป็นเครื่องก่อให้เกิด มีตัณหาเป็นเครื่องกำเนิด มีตัณหาเป็นแดนเกิด; เมื่อตัณหามีอุปธิจึงมี เมื่อตัณหาไม่มี อุปธิจึงไม่มี;” ดังนี้. +--ภิกษุนั้น ย่อมรู้ชัด ซึ่งอุปธิด้วย ซึ่งเหตุให้เกิดขึ้นแห่งอุปธิด้วย ซึ่งความดับไม่เหลือแห่งอุปธิด้วย ซึ่งข้อปฏิบัติเครื่องทำสัตว์ให้ลุถึงซึ่งธรรมอันสมควรแก่ความดับไม่เหลือแห่งอุปธิด้วย และเป็นผู้ปฏิบัติแล้วอย่างสมควรแก่ธรรมด้วย. +--ภิกษุ ท. ! ภิกษุนี้ เราเรียกว่า #เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ กล่าวคือเพื่อความดับไม่เหลือแห่งอุปธิ โดยประการทั้งปวง. --ภิกษุ ท. ! ข้ออื่นยังมีอีก : +--ภิกษุเมื่อพิจารณา ย่อม พิจารณาชนิดที่เป็นการพิจารณาในภายใน ว่า “ก็ตัณหานี้ เมื่อจะเกิดย่อมเกิดขึ้น ณ ที่ไหน ? เมื่อจะเข้าไปตั้งอยู่ ย่อมเข้าไปตั้งอยู่ ณ ที่ไหน ?” ดังนี้ +--ภิกษุนั้น พิจารณาอยู่ย่อมรู้อย่างนี้ว่า สิ่งใดมีภาวะเป็นที่รักเป็นที่ยินดี (ปิยรูปสาตรูป) ในโลก; http://etipitaka.com/read/pali/16/132/?keywords=ปิยรูปํ+สาตรูปํ ตัณหานี้ เมื่อจะเกิดย่อมเกิดขึ้น ในสิ่งนั้น, เมื่อจะเข้าไปตั้งอยู่ ย่อมเข้าไปตั้งอยู่ในสิ่งนั้น. ก็สิ่งใดเล่า มีภาวะเป็นที่รักเป็นที่ยินดีในโลก? จักษุ มีภาวะเป็นที่รักเป็นที่ยินดีในโลก. โสตะ มีภาวะเป็นที่รักเป็นที่ยินดีในโลก. ฆานะ มีภาวะเป็นที่รักเป็นที่ยินดีในโลก. ชิวหา มีภาวะเป็นที่รักเป็นที่ยินดีในโลก. กายะ มีภาวะเป็นที่รักเป็นที่ยินดีในโลก. มนะ มีภาวะเป็นที่รักเป็นที่ยินดีในโลก. ตัณหานี้ เมื่อจะเกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นในธรรมมีภาวะน่ารักยินดีเหล่านี้, เมื่อจะเข้าไปตั้งอยู่ ย่อมเข้าไปตั้งอยู่ในธรรม มีภาวะน่ารักน่ายินดีเหล่านี้​ แล.- (ต่อจากนี้ ได้ตรัสถึงบุคคลบางพวกในอดีต อนาคต และปัจจุบัน เห็นปิยรูป สาตรูปโดยความเป็นของเที่ยง ของสุขเป็นต้น แล้วทำตัณหาให้เจริญ ทำอุปธิให้เจริญ เท่ากับทำทุกข์ให้เจริญ ไม่พ้นจากทุกข์ไปได้ ; และได้ตรัสฝ่ายตรงข้ามโดยปฏิปักขนัยไว้เป็นคู่กัน. สำหรับปิยรูปสาตรูปนั้น ในที่อื่นกล่าวไว้เป็นสิบหมวด ตามนัยแห่งมหาสติปัฏฐานสูตร รวมกันเป็น ๖๐ อย่าง ; ในที่นี้กล่าวไว้เพียง ๖ อย่าง ตามจำนวนแห่งอายตนะภายใน, แม้กระนั้นก็อาจจะขยายออกไปได้เป็น ๖๐ อย่าง เช่นเดียวกัน ; สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ จาก #มหาสติปัฏฐานสูตร​ เ​ป็นต้น ).- #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - นิทาน.สํ. 16/104 - 106/254 - 262. http://etipitaka.com/read/thai/16/104/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%95%E0%B9%94 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - นิทาน.สํ. ๑๖/๑๓๐- ๑๓๕/๒๕๔ - ๒๖๒. http://etipitaka.com/read/pali/16/130/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%95%E0%B9%94​ ศึกษาเพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=751 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=57&id=751 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=57 ลำดับสาธยายธรรม : 57​ ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_57.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - ¸§à¸´à¸˜à¸µà¸žà¸´à¸ˆà¸²à¸£à¸“าในภายใน เพื่อความสิ้นทุกข์
    -(คำข้าว เรียกว่าอาหาร เพราะหล่อเลี้ยงร่างกาย; ผัสสะเรียกว่าอาหาร เพราะ ทำให้เกิดเวทนา ; มโนสัญเจตนา เรียกว่าอาหาร เพราะทำให้เกิดกรรม; วิญญาณเรียกว่าอาหาร เพราะทำให้เกิดนามรูป. ถ้าบุคคลพิจารณาเห็นโทษแห่งอาหารแต่ละอย่างๆ ดังที่ตรัสไว้โดยอุปมาในข้อ ความหมายนั้นๆได้, จะดับทุกข์ได้ถึงขั้นเป็นพระอรหันต์). -ภิกษุ ท. ! เธอทั้งหลายพิจารณากันบ้างหรือไม่ ชนิดที่เป็นการพิจารณาในภายใน ? ภิกษุรูปหนึ่งกราบทูลว่า “ข้าพระองค์ย่อมพิจารณา ชนิดที่เป็นการพิจารณาในภายในอยู่ พระเจ้าข้า !” ภิกษุ ! เธอ ย่อมพิจารณา ชนิดที่เป็นการพิจารณาในภายในอยู่ อย่างไรเล่า ? (ภิกษุนั้นกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ก็ไม่ทรงพอพระทัย พระอานนท์จึงทูลขอร้องให้พระองค์ทรงแสดง ภิกษุได้ฟังแล้วจักทรงจำไว้, ตรัสให้ภิกษุทั้งหลายตั้งใจฟัง แล้วตรัสว่า :- ) ภิกษุ ท. ! ในกรณีนี้ ภิกษุเมื่อพิจารณา ย่อม พิจารณาชนิดที่เป็น การพิจารณาในภายใน ว่า “ทุกข์มีอย่างมิใช่น้อย นานาประการ ย่อมเกิดขึ้นในโลก กล่าวคือชรามรณะ ใดแล ; ทุกข์นี้หนอ มีอะไรเป็นเหตุให้เกิด มีอะไรเป็นเครื่องก่อให้เกิด มีอะไรเป็นเครื่องกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด ? เพราะอะไรมี ชรามรณะจึงมี?” ดังนี้. ภิกษุนั้น พิจารณาอยู่ ย่อมรู้ อย่างนี้ว่า “ทุกข์มีอย่างมิใช่น้อยนานาประการ ย่อมเกิดขึ้นในโลก กล่าวคือชรามรณะใดแล; ทุกข์นี้หนอ มีอุปธิเป็นเหตุให้เกิด มีอุปธิเป็นเครื่องก่อให้เกิด มี อุปธิเป็นเครื่องกำเนิด มีอุปธิเป็นแดนเกิด; เพราะอุปธิมี ชรามรณะจึงมี เพราะอุปธิไม่มี ชรามรณะจึงไม่มี;” ดังนี้. ภิกษุนั้น ย่อมรู้ชัด ซึ่งชรามรณะด้วย ซึ่งเหตุให้เกิดขึ้นแห่งชรามรณะด้วย ซึ่งความดับไม่เหลือชรามรณะด้วย ซึ่งข้อปฏิบัติเครื่องทำสัตว์ให้ลุถึงซึ่งธรรมอันสมควรแก่ความดับไม่เหลือแห่งชรามรณะด้วย และเป็นผู้ปฏิบัติแล้วอย่างสมควรแก่ธรรมด้วย. ภิกษุ ท. ! ภิกษุนี้เราเรียกว่า เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ กล่าวคือเพื่อความดับไม่เหลือแห่งชรามรณะ โดยประการทั้งปวง. ภิกษุ ท. ! ข้ออื่นยังมีอีก : ภิกษุเมื่อพิจารณา ย่อม พิจารณาชนิด เป็นการพิจารณาในภายใน ว่า “ก็อุปธินี้ มีอะไรเป็นเหตุให้เกิด มีอะไรเป็นเครื่องก่อให้เกิด มีอะไรเป็นเครื่องกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด ? เพราะอะไรมีอุปธิจึงมี เพราะอะไรไม่มี อุปธิจึงไม่มี ?” ดังนี้. ภิกษุนั้น พิจารณาอยู่ ย่อมรู้อย่างนี้ว่า “อุปธินี้ มีตัณหาเป็นเหตุให้เกิด มีตัณหาเป็นเครื่องก่อให้เกิด มีตัณหาเป็นเครื่องกำเนิด มีตัณหาเป็นแดนเกิด; เมื่อตัณหามีอุปธิจึงมี เมื่อตัณหาไม่มี อุปธิจึงไม่มี;” ดังนี้. ภิกษุนั้น ย่อมรู้ชัด ซึ่งอุปธิด้วย ซึ่งเหตุให้เกิดขึ้นแห่งอุปธิด้วย ซึ่งความดับไม่เหลือแห่งอุปธิด้วย ซึ่งข้อปฏิบัติเครื่องทำสัตว์ให้ลุถึงซึ่งธรรมอันสมควรแก่ความดับไม่เหลือแห่งอุปธิด้วย และเป็นผู้ปฏิบัติแล้วอย่างสมควรแก่ธรรมด้วย. ภิกษุ ท. ! ภิกษุนี้ เราเรียกว่า เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ กล่าวคือเพื่อความดับไม่เหลือแห่งอุปธิ โดยประการทั้งปวง. ภิกษุ ท. ! ข้ออื่นยังมีอีก : ภิกษุเมื่อพิจารณา ย่อม พิจารณาชนิดที่เป็นการพิจารณาในภายใน ว่า “ก็ตัณหานี้ เมื่อจะเกิดย่อมเกิดขึ้น ณ ที่ไหน ? เมื่อจะเข้าไปตั้งอยู่ ย่อมเข้าไปตั้งอยู่ ณ ที่ไหน ?” ดังนี้ ภิกษุนั้น พิจารณาอยู่ย่อมรู้อย่างนี้ว่า สิ่งใดมีภาวะเป็นที่รักเป็นที่ยินดี (ปิยรูปสาตรูป) ในโลก; ตัณหานี้ เมื่อจะเกิดย่อมเกิดขึ้น ในสิ่งนั้น, เมื่อจะเข้าไปตั้งอยู่ ย่อมเข้าไปตั้งอยู่ในสิ่งนั้น. ก็สิ่งใดเล่า มีภาวะเป็นที่รักเป็นที่ยินดีในโลก? จักษุ มีภาวะเป็นที่รักเป็นที่ยินดีในโลก. โสตะ .... ฆานะ .... ชิวหา .... กายะ .... มนะ มีภาวะเป็นที่รักเป็นที่ยินดีในโลก. ตัณหานี้ เมื่อจะเกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นในธรรมมีภาวะน่ารักยินดีเหล่านี้, เมื่อจะเข้าไปตั้งอยู่ ย่อมเข้าไปตั้งอยู่ในธรรม มีภาวะน่ารักน่ายินดี เหล่านี้. (ต่อจากนี้ ได้ตรัสถึงบุคคลบางพวกในอดีต อนาคต และปัจจุบัน เห็นปิยรูป สาตรูปโดยความเป็นของเที่ยง ของสุขเป็นต้น แล้วทำตัณหาให้เจริญ ทำอุปธิให้เจริญ เท่ากับทำทุกข์ให้เจริญ ไม่พ้นจากทุกข์ไปได้ ; และได้ตรัสฝ่ายตรงข้ามโดยปฏิปักขนัยไว้เป็นคู่กัน. สำหรับปิยรูปสาตรูปนั้น ในที่อื่นกล่าวไว้เป็นสิบหมวด ตามนัยแห่งมหาสติปัฏฐานสูตร รวมกันเป็น ๖๐ อย่าง ; ในที่นี้กล่าวไว้เพียง ๖ อย่าง ตามจำนวนแห่งอายตนะภายใน, แม้กระนั้นก็อาจจะขยายออกไปได้เป็น ๖๐ อย่าง เช่นเดียวกัน ; ผู้สนใจพึงหาอ่านดูได้ จากมหาสติปัฏฐานสูตรเป็นต้น เองเถิด).
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 25 มุมมอง 0 รีวิว