• อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​การเห็นชนิดที่ละมิจฉาทิฏฐิที่ปรารภอัตตาและโลก
    สัทธรรมลำดับที่ : 756
    ชื่อบทธรรม :- การเห็นชนิดที่ละมิจฉาทิฏฐิที่ปรารภอัตตาและโลก
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=756
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --การเห็นชนิดที่ละมิจฉาทิฏฐิที่ปรารภอัตตาและโลก
    --“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! บรรดาทิฏฐิที่ประกอบด้วยวาทะว่า ตน
    หรือประกอบด้วยวาทะว่า โลก เกิดขึ้นในโลกมีอยู่.
    --ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ภิกษุ จะตั้งต้นกระทำในใจอย่างไร
    จึงจะละทิฏฐิเหล่านั้นได้ จึงจะสลัดคืนทิฏฐิเหล่านั้นได้ พระเจ้าข้า ?”
    --จุนทะ ! บรรดาทิฏฐิที่ประกอบด้วยวาทะว่าตน
    หรือประกอบด้วยวาทะว่าโลก เกิดขึ้นในโลก มีอยู่
    มันเกิดขึ้นในอารมณ์ใด
    นอนตามอยู่ในอารมณ์ใด
    เรียกร้องอยู่ในอารมณ์ใด,
    +--เมื่อภิกษุเห็นอยู่ด้วยปัญญาโดยชอบตามที่เป็นจริง
    ซึ่งอารมณ์เหล่านั้นอย่างนี้ว่า
    “นั่นมิใช่ของเรา นั่นมิใช่เรา นั่นมิใช่อัตตาของเรา”
    http://etipitaka.com/read/pali/12/72/?keywords=เนตํ+มุํ+เนโสหมสฺมิ+เมโส+อตฺตาติ
    ดังนี้,
    การละซึ่งทิฏฐิเหล่านั้น
    การสลัดคืนซึ่งทิฏฐิเหล่านั้น
    ที่เกิดขึ้นแล้วอย่างนี้ ก็ย่อมมี.-

    #สัมมาทิฏฐิ
    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์

    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - มู. ม. 12/52/100-101.
    http://etipitaka.com/read/thai/12/52/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%90%E0%B9%90
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - มู. ม. ๑๒/๗๒/๑๐๐-๑๐๑.
    http://etipitaka.com/read/pali/12/72/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%90%E0%B9%90
    ศึกษาเพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=756
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=58&id=756
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=58
    ลำดับสาธยายธรรม : 58 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_58.mp3
    อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​การเห็นชนิดที่ละมิจฉาทิฏฐิที่ปรารภอัตตาและโลก สัทธรรมลำดับที่ : 756 ชื่อบทธรรม :- การเห็นชนิดที่ละมิจฉาทิฏฐิที่ปรารภอัตตาและโลก https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=756 เนื้อความทั้งหมด :- --การเห็นชนิดที่ละมิจฉาทิฏฐิที่ปรารภอัตตาและโลก --“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! บรรดาทิฏฐิที่ประกอบด้วยวาทะว่า ตน หรือประกอบด้วยวาทะว่า โลก เกิดขึ้นในโลกมีอยู่. --ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ภิกษุ จะตั้งต้นกระทำในใจอย่างไร จึงจะละทิฏฐิเหล่านั้นได้ จึงจะสลัดคืนทิฏฐิเหล่านั้นได้ พระเจ้าข้า ?” --จุนทะ ! บรรดาทิฏฐิที่ประกอบด้วยวาทะว่าตน หรือประกอบด้วยวาทะว่าโลก เกิดขึ้นในโลก มีอยู่ มันเกิดขึ้นในอารมณ์ใด นอนตามอยู่ในอารมณ์ใด เรียกร้องอยู่ในอารมณ์ใด, +--เมื่อภิกษุเห็นอยู่ด้วยปัญญาโดยชอบตามที่เป็นจริง ซึ่งอารมณ์เหล่านั้นอย่างนี้ว่า “นั่นมิใช่ของเรา นั่นมิใช่เรา นั่นมิใช่อัตตาของเรา” http://etipitaka.com/read/pali/12/72/?keywords=เนตํ+มุํ+เนโสหมสฺมิ+เมโส+อตฺตาติ ดังนี้, การละซึ่งทิฏฐิเหล่านั้น การสลัดคืนซึ่งทิฏฐิเหล่านั้น ที่เกิดขึ้นแล้วอย่างนี้ ก็ย่อมมี.- #สัมมาทิฏฐิ #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - มู. ม. 12/52/100-101. http://etipitaka.com/read/thai/12/52/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%90%E0%B9%90 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - มู. ม. ๑๒/๗๒/๑๐๐-๑๐๑. http://etipitaka.com/read/pali/12/72/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%90%E0%B9%90 ศึกษาเพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=756 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=58&id=756 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=58 ลำดับสาธยายธรรม : 58 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_58.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - การเห็นชนิดที่ละมิจฉาทิฏฐิที่ปรารภอัตตาและโลก
    -(การพิจารณาเห็นอายตนิกธรรม โดยลักษณะทั้งสาม คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ดังกล่าวมาใน ๓ หัวข้อข้างบนนี้ ก็จัดเป็นสัมมาทิฏฐิแบบหนึ่ง จึงนำมาใส่ไว้ในหมวดนี้). การเห็นชนิดที่ละมิจฉาทิฏฐิที่ปรารภอัตตาและโลก “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! บรรดาทิฏฐิที่ประกอบด้วยวาทะว่า ตน หรือประกอบด้วยวาทะว่า โลก เกิดขึ้นในโลกมีอยู่. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ภิกษุ จะตั้งต้นกระทำในใจอย่างไร จึงจะละทิฏฐิเหล่านั้นได้ จึงจะสลัดคืนทิฏฐิเหล่านั้นได้ พระเจ้าข้า ?” จุนทะ ! บรรดาทิฏฐิที่ประกอบด้วยวาทะว่าตน หรือประกอบด้วยวาทะว่าโลก เกิดขึ้นในโลก มีอยู่ มันเกิดขึ้นในอารมณ์ใด นอนตามอยู่ในอารมณ์ใด เรียกร้องอยู่ในอารมณ์ใด, เมื่อภิกษุเห็นอยู่ด้วยปัญญาโดยชอบตามที่เป็นจริง ซึ่งอารมณ์เหล่านั้นอย่างนี้ว่า “นั่นมิใช่ของเรา นั่นมิใช่เรา นั่นมิใช่อัตตาของเรา” ดังนี้, การละซึ่งทิฏฐิเหล่านั้น การสลัดคืนซึ่งทิฏฐิเหล่านั้น ที่เกิดขึ้นแล้วอย่างนี้ ก็ย่อมมี.
    0 Comments 0 Shares 152 Views 0 Reviews
  • อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​การเห็นชนิดละอัตตานุทิฏฐิได้
    สัทธรรมลำดับที่ : 755
    ชื่อบทธรรม :- การเห็นชนิดละอัตตานุทิฏฐิได้
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=755
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --การเห็นชนิดละอัตตานุทิฏฐิได้
    --“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! เมื่อบุคคลรู้อยู่อย่างไร เห็นอยู่อย่างไร
    อัตตานุทิฏฐิย่อม ละไป พระเจ้าข้า ?”
    --ภิกษุ ท. !
    เมื่อบุคคลรู้อยู่เห็นอยู่ ซึ่ง จักษุ
    ๑.โดยความเป็นอนัตตา อัตตานุทิฏฐิย่อมละไป.

    เมื่อบุคคลรู้อยู่เห็นอยู่ ซึ่ง รูป ทั้งหลาย
    ๒.โดยความเป็นอนัตตา อัตตานุทิฏฐิย่อมละไป.

    เมื่อบุคคลรู้อยู่เห็นอยู่ ซึ่ง จักขุวิญญาณ
    ๓.โดยความเป็นอนัตตา อัตตานุทิฏฐิย่อมละไป.

    เมื่อบุคคลรู้อยู่เห็นอยู่ ซึ่ง จักขุสัมผัส
    ๔.โดยความเป็นอนัตตา อัตตานุทิฏฐิย่อมละไป.

    เมื่อบุคคลรู้อยู่เห็นอยู่ ซึ่ง เวทนา
    อันเป็นสุขก็ตาม อันเป็นทุกข์ก็ตาม อันเป็นอทุกขมสุขก็ตาม
    ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัส เป็นปัจจัย
    ๕.โดยความเป็นอนัตตา อัตตานุทิฏฐิย่อมละไป.

    (ในกรณีแห่ง อายตนิกธรรมอีก ๕ หมวดถัดไป คือ หมวด
    โสตะ ฆานะ ชิวหา กายะ และมนะ
    http://etipitaka.com/read/pali/18/186/?keywords=มโนสมฺผสฺส
    ก็มีข้อความอย่างเดียวกันกับข้างบนนี้
    ต่างแต่ชื่อธรรมที่ต้องเปลี่ยนไปตามหมวดนั้นๆ เท่านั้น;
    รวมเป็นธรรมที่ถูกรู้เห็นโดยความเป็นอนัตตา ทั้งหมด ๓๐ อย่าง
    ).

    --ภิกษุ ท. ! เมื่อบุคคล รู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้แล #อัตตตานุทิฏฐิย่อมละไป.-
    http://etipitaka.com/read/pali/18/186/?keywords=อตฺตานุทิฏฺฐิ+ปหิยฺยตีติ

    (การพิจารณาเห็นอายตนิกธรรม โดยลักษณะทั้งสาม คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
    ดังกล่าวมาใน ๓ หัวข้อข้างบนนี้ ก็จัดเป็นสัมมาทิฏฐิแบบหนึ่ง จึงนำมาใส่ไว้ในหมวดนี้
    ).
    #สัมมาทิฏฐิ
    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์

    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - สฬา.สํ. 18/153/256.
    http://etipitaka.com/read/thai/18/153/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%95%E0%B9%96
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - สฬา.สํ. ๑๘/๑๘๕/๒๕๖.
    http://etipitaka.com/read/pali/18/185/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%95%E0%B9%96
    ศึกษาเพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=755
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=58&id=755
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=58
    ลำดับสาธยายธรรม : 58 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_58.mp3
    อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​การเห็นชนิดละอัตตานุทิฏฐิได้ สัทธรรมลำดับที่ : 755 ชื่อบทธรรม :- การเห็นชนิดละอัตตานุทิฏฐิได้ https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=755 เนื้อความทั้งหมด :- --การเห็นชนิดละอัตตานุทิฏฐิได้ --“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! เมื่อบุคคลรู้อยู่อย่างไร เห็นอยู่อย่างไร อัตตานุทิฏฐิย่อม ละไป พระเจ้าข้า ?” --ภิกษุ ท. ! เมื่อบุคคลรู้อยู่เห็นอยู่ ซึ่ง จักษุ ๑.โดยความเป็นอนัตตา อัตตานุทิฏฐิย่อมละไป. เมื่อบุคคลรู้อยู่เห็นอยู่ ซึ่ง รูป ทั้งหลาย ๒.โดยความเป็นอนัตตา อัตตานุทิฏฐิย่อมละไป. เมื่อบุคคลรู้อยู่เห็นอยู่ ซึ่ง จักขุวิญญาณ ๓.โดยความเป็นอนัตตา อัตตานุทิฏฐิย่อมละไป. เมื่อบุคคลรู้อยู่เห็นอยู่ ซึ่ง จักขุสัมผัส ๔.โดยความเป็นอนัตตา อัตตานุทิฏฐิย่อมละไป. เมื่อบุคคลรู้อยู่เห็นอยู่ ซึ่ง เวทนา อันเป็นสุขก็ตาม อันเป็นทุกข์ก็ตาม อันเป็นอทุกขมสุขก็ตาม ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัส เป็นปัจจัย ๕.โดยความเป็นอนัตตา อัตตานุทิฏฐิย่อมละไป. (ในกรณีแห่ง อายตนิกธรรมอีก ๕ หมวดถัดไป คือ หมวด โสตะ ฆานะ ชิวหา กายะ และมนะ http://etipitaka.com/read/pali/18/186/?keywords=มโนสมฺผสฺส ก็มีข้อความอย่างเดียวกันกับข้างบนนี้ ต่างแต่ชื่อธรรมที่ต้องเปลี่ยนไปตามหมวดนั้นๆ เท่านั้น; รวมเป็นธรรมที่ถูกรู้เห็นโดยความเป็นอนัตตา ทั้งหมด ๓๐ อย่าง ). --ภิกษุ ท. ! เมื่อบุคคล รู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้แล #อัตตตานุทิฏฐิย่อมละไป.- http://etipitaka.com/read/pali/18/186/?keywords=อตฺตานุทิฏฺฐิ+ปหิยฺยตีติ (การพิจารณาเห็นอายตนิกธรรม โดยลักษณะทั้งสาม คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ดังกล่าวมาใน ๓ หัวข้อข้างบนนี้ ก็จัดเป็นสัมมาทิฏฐิแบบหนึ่ง จึงนำมาใส่ไว้ในหมวดนี้ ). #สัมมาทิฏฐิ #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - สฬา.สํ. 18/153/256. http://etipitaka.com/read/thai/18/153/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%95%E0%B9%96 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - สฬา.สํ. ๑๘/๑๘๕/๒๕๖. http://etipitaka.com/read/pali/18/185/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%95%E0%B9%96 ศึกษาเพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=755 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=58&id=755 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=58 ลำดับสาธยายธรรม : 58 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_58.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - การเห็นชนิดละอัตตานุทิฏฐิได้
    -การเห็นชนิดละอัตตานุทิฏฐิได้ “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! เมื่อบุคคลรู้อยู่อย่างไร เห็นอยู่อย่างไร อัตตานุทิฏฐิย่อม ละไป พระเจ้าข้า ?” ภิกษุ ท. ! เมื่อบุคคลรู้อยู่เห็นอยู่ ซึ่ง จักษุ โดยความเป็นอนัตตา อัตตานุทิฏฐิย่อมละไป. เมื่อบุคคลรู้อยู่เห็นอยู่ ซึ่ง รูป ท. โดยความเป็นอนัตตา อัตตานุทิฏฐิย่อมละไป. เมื่อบุคคลรู้อยู่เห็นอยู่ ซึ่ง จักขุวิญญาณ โดยความเป็นอนัตตา อัตตานุทิฏฐิย่อมละไป. เมื่อบุคคลรู้อยู่เห็นอยู่ ซึ่ง จักขุสัมผัส โดยความเป็นอนัตตา อัตตานุทิฏฐิย่อมละไป. เมื่อบุคคลรู้อยู่เห็นอยู่ ซึ่ง เวทนา อันเป็นสุขก็ตาม อันเป็นทุกข์ก็ตาม อันเป็นอทุกขมสุขก็ตาม ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุ สัมผัสเป็นปัจจัย โดยความเป็นอนัตตา อัตตานุทิฏฐิย่อมละไป. (ในกรณีแห่ง อายตนิกธรรมอีก ๕ หมวดถัดไป คือ หมวดโสตะ ฆานะ ชิวหา กายะ และ มนะ ก็มีข้อความอย่างเดียวกันกับข้างบนนี้ ต่างแต่ชื่อธรรมที่ต้องเปลี่ยนไปตามหมวดนั้นๆ เท่านั้น; รวมเป็นธรรมที่ถูกรู้เห็นโดยความเป็นอนัตตา ทั้งหมด ๓๐ อย่าง). ภิกษุ ท. ! เมื่อบุคคล รู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้แล อัตตตานุทิฏฐิย่อมละไป.
    0 Comments 0 Shares 169 Views 0 Reviews
  • อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​การเห็นชนิดที่ละสักกายทิฏฐิได้
    สัทธรรมลำดับที่ : 754
    ชื่อบทธรรม :- การเห็นชนิดที่ละสักกายทิฏฐิได้
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=754
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --การเห็นชนิดที่ละสักกายทิฏฐิได้
    --“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ !
    เมื่อบุคคลรู้อยู่อย่างไร เห็นอยู่อย่างไร
    สักกายทิฏฐิ ย่อมละไป พระเจ้าข้า?”
    --ภิกษุ ท. !
    ๑.เมื่อบุคคลรู้อยู่เห็นอยู่ ซึ่ง จักษุ โดยความเป็นทุกข์
    สักกายทิฏฐิย่อมละไป
    ๒.เมื่อบุคคลรู้อยู่เห็นอยู่ ซึ่ง รูปทั้งหลายโดยความเป็นทุกข์
    สักกายทิฏฐิย่อมละไป
    ๓.เมื่อบุคคลรู้อยู่เห็นอยู่ ซึ่ง จักขุวิญญาณ โดยความเป็นทุกข์
    สักกายทิฏฐิย่อมละไป
    ๔.เมื่อบุคคลรู้อยู่เห็นอยู่ ซึ่ง จักขุสัมผัส โดยความเป็นทุกข์
    http://etipitaka.com/read/pali/18/185/?keywords=ทุกฺขโต+จกฺขุสมฺผสฺสํ
    สักกายทิฏฐิย่อมละไป
    ๕.เมื่อบุคคลรู้อยู่เห็นอยู่ ซึ่ง เวทนา อันเป็นสุขก็ตาม อันเป็นทุกข์ก็ตาม อันเป็นอทุกขมสุขก็ตาม
    ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็น ปัจจัย โดยความเป็นทุกข์
    สักกายทิฏฐิย่อมละไป.

    (ในกรณีแห่ง อายตนิกธรรมอีก ๕ หมวดถัดไป คือ หมวด
    โสตะ ฆานะ ชิวหา กายะ และมนะ
    ก็มีข้อความอย่างเดียวกันกับข้างบนนี้
    ต่างแต่ชื่อธรรมที่ต้องเปลี่ยนไปตามหมวดนั้นๆ เท่านั้น;
    รวมเป็นธรรมที่ถูกรู้เห็นโดยความเป็นทุกขัง ทั้งหมด ๓๐ อย่าง
    ).

    --ภิกษุ ท. ! เมื่อบุคคล
    รู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้แล #สักกายทิฏฐิย่อมละไป .-
    http://etipitaka.com/read/pali/18/185/?keywords=สกฺกายทิฏฺฐิ+ปหิยฺยตีติ

    #สัมมาทิฏฐิ
    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์

    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - สฬา. สํ. 18/152/255.
    http://etipitaka.com/read/thai/18/152/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%95%E0%B9%95
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - สฬา. สํ. ๑๘/๑๘๕/๒๕๕.
    http://etipitaka.com/read/pali/18/185/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%95%E0%B9%95
    ศึกษา​เพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=754
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=754
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=58&id=754
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=58
    ลำดับสาธยายธรรม : 58 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_58.mp3
    อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​การเห็นชนิดที่ละสักกายทิฏฐิได้ สัทธรรมลำดับที่ : 754 ชื่อบทธรรม :- การเห็นชนิดที่ละสักกายทิฏฐิได้ https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=754 เนื้อความทั้งหมด :- --การเห็นชนิดที่ละสักกายทิฏฐิได้ --“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! เมื่อบุคคลรู้อยู่อย่างไร เห็นอยู่อย่างไร สักกายทิฏฐิ ย่อมละไป พระเจ้าข้า?” --ภิกษุ ท. ! ๑.เมื่อบุคคลรู้อยู่เห็นอยู่ ซึ่ง จักษุ โดยความเป็นทุกข์ สักกายทิฏฐิย่อมละไป ๒.เมื่อบุคคลรู้อยู่เห็นอยู่ ซึ่ง รูปทั้งหลายโดยความเป็นทุกข์ สักกายทิฏฐิย่อมละไป ๓.เมื่อบุคคลรู้อยู่เห็นอยู่ ซึ่ง จักขุวิญญาณ โดยความเป็นทุกข์ สักกายทิฏฐิย่อมละไป ๔.เมื่อบุคคลรู้อยู่เห็นอยู่ ซึ่ง จักขุสัมผัส โดยความเป็นทุกข์ http://etipitaka.com/read/pali/18/185/?keywords=ทุกฺขโต+จกฺขุสมฺผสฺสํ สักกายทิฏฐิย่อมละไป ๕.เมื่อบุคคลรู้อยู่เห็นอยู่ ซึ่ง เวทนา อันเป็นสุขก็ตาม อันเป็นทุกข์ก็ตาม อันเป็นอทุกขมสุขก็ตาม ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็น ปัจจัย โดยความเป็นทุกข์ สักกายทิฏฐิย่อมละไป. (ในกรณีแห่ง อายตนิกธรรมอีก ๕ หมวดถัดไป คือ หมวด โสตะ ฆานะ ชิวหา กายะ และมนะ ก็มีข้อความอย่างเดียวกันกับข้างบนนี้ ต่างแต่ชื่อธรรมที่ต้องเปลี่ยนไปตามหมวดนั้นๆ เท่านั้น; รวมเป็นธรรมที่ถูกรู้เห็นโดยความเป็นทุกขัง ทั้งหมด ๓๐ อย่าง ). --ภิกษุ ท. ! เมื่อบุคคล รู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้แล #สักกายทิฏฐิย่อมละไป .- http://etipitaka.com/read/pali/18/185/?keywords=สกฺกายทิฏฺฐิ+ปหิยฺยตีติ #สัมมาทิฏฐิ​ #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - สฬา. สํ. 18/152/255. http://etipitaka.com/read/thai/18/152/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%95%E0%B9%95 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - สฬา. สํ. ๑๘/๑๘๕/๒๕๕. http://etipitaka.com/read/pali/18/185/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%95%E0%B9%95 ศึกษา​เพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=754 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=754 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=58&id=754 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=58 ลำดับสาธยายธรรม : 58 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_58.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - การเห็นชนิดที่ละสักกายทิฏฐิได้
    -การเห็นชนิดที่ละสักกายทิฏฐิได้ “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! เมื่อบุคคลรู้อยู่อย่างไร เห็นอยู่อย่างไร สักกายทิฏฐิ ย่อมละไป พระเจ้าข้า?” ภิกษุ ท. ! เมื่อบุคคลรู้อยู่เห็นอยู่ ซึ่ง จักษุ โดยความเป็นทุกข์ สัก กายทิฏฐิย่อมละไป เมื่อบุคคลรู้อยู่เห็นอยู่ ซึ่ง รูป ท. โดยความเป็นทุกข์ สักกายทิฏฐิย่อมละไป เมื่อบุคคลรู้อยู่เห็นอยู่ ซึ่ง จักขุวิญญาณ โดยความเป็นทุกข์ สักกายทิฏฐิย่อมละไป เมื่อบุคคลรู้อยู่เห็นอยู่ ซึ่ง จักขุสัมผัส โดยความเป็นทุกข์ สักกายทิฏฐิย่อมละไป เมื่อบุคคลรู้อยู่เห็นอยู่ ซึ่ง เวทนา อันเป็นสุขก็ตาม อันเป็นทุกข์ก็ตาม อันเป็นอทุกขมสุขก็ตาม ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็น ปัจจัย โดยความเป็นทุกข์ สักกายทิฏฐิย่อมละไป. (ในกรณีแห่ง อายตนิกธรรมอีก ๕ หมวดถัดไป คือ หมวดโสตะ ฆานะ ชิวหา กายะ และมนะ ก็มีข้อความอย่างเดียวกันกับข้างบนนี้ ต่างแต่ชื่อธรรมที่ต้องเปลี่ยนไปตามหมวดนั้นๆ เท่านั้น; รวมเป็นธรรมที่ถูกรู้เห็นโดยความเป็นทุกขัง ทั้งหมด ๓๐ อย่าง). ภิกษุ ท. ! เมื่อบุคคล รู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้แล สักกายทิฏฐิ ย่อมละไป.
    0 Comments 0 Shares 184 Views 0 Reviews
  • อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​การเห็นขันธ์​ห้าไม่เที่ยงชนิดที่ละมิจฉาทิฏฐิได้
    สัทธรรมลำดับที่ : 753
    ชื่อบทธรรม :- การเห็นชนิดที่ละมิจฉาทิฏฐิได้
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=753
    เนื้อความทั้งหมด :-
    หมวด จ. ว่าด้วยอานิสงส์ของสัมมาทิฏฐิ
    --การเห็นชนิดที่ละมิจฉาทิฏฐิได้
    --“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! เมื่อบุคคลรู้อยู่อย่างไร เห็นอยู่อย่างไร
    มิจฉาทิฏฐิ ย่อมละไป พระเจ้าข้า ?”
    --ภิกษุ ท. ! เมื่อบุคคลรู้อยู่เห็นอยู่ ซึ่ง
    ๑.จักษุ โดยความเป็นของ ไม่เที่ยง มิจฉาทิฏฐิย่อมละไป,
    เมื่อบุคคลรู้อยู่เห็นอยู่ ซึ่ง
    ๒.รูป ทั้งหลาย โดยความเป็นของ ไม่เที่ยง มิจฉาทิฏฐิย่อมละไป,
    เมื่อบุคคลรู้อยู่เห็นอยู่ ซึ่ง
    ๓.จักขุวิญญาณ โดยความเป็นของ ไม่เที่ยง มิจฉาทิฏฐิย่อมละไป,
    เมื่อบุคคลรู้อยู่เห็นอยู่ ซึ่ง
    ๔.จักขุสัมผัส โดยความเป็นของ ไม่เที่ยง มิจฉาทิฏฐิย่อมละไป,
    เมื่อบุคคลรู้อยู่เห็นอยู่ ซึ่ง
    ๕.เวทนา อันเป็นสุขก็ตาม อันเป็นทุกข์ก็ตาม อันเป็นอทุกขมสุขก็ตาม
    ที่เกิดขึ้นเพราะ จักขุสัมผัสเป็นปัจจัย โดยความเป็นของ ไม่เที่ยง
    มิจฉาทิฏฐิย่อมละไป.
    http://etipitaka.com/read/pali/18/185/?keywords=มิจฺฉาทิฏฺฐิ+ปหิยฺยติ

    (ในกรณีแห่ง อายตนิกธรรมอีก ๕ หมวดถัดไป คือหมวด
    โสตะ ฆานะ ชิวหา กายะ และ มนะ
    ก็มีข้อความที่ตรัสไว้ด้วยข้อความอย่างเดียวกันกับข้างบนนี้
    ต่างแต่ชื่อธรรมที่ต้องเปลี่ยนไปตามหมวดนั้นๆเท่านั้น ;
    รวมเป็นธรรมที่ถูกรู้เห็นโดยความเป็นอนิจจัง ทั้งหมด ๓๐ อย่าง).
    --ภิกษุ ท. ! เมื่อบุคคล รู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้แล มิจฉาทิฏฐิย่อมละไป.-

    #สัมมาทิฏฐิ
    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์

    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - สฬา.สํ. 18/152/254.
    http://etipitaka.com/read/thai/18/152/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%95%E0%B9%94
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - สฬา.สํ. ๑๘/๑๘๕/๒๕๔.
    http://etipitaka.com/read/pali/18/185/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%95%E0%B9%94
    ศึกษาเพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=753
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=58&id=753
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=58
    ลำดับสาธยายธรรม : 58 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_58.mp3
    อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​การเห็นขันธ์​ห้าไม่เที่ยงชนิดที่ละมิจฉาทิฏฐิได้ สัทธรรมลำดับที่ : 753 ชื่อบทธรรม :- การเห็นชนิดที่ละมิจฉาทิฏฐิได้ https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=753 เนื้อความทั้งหมด :- หมวด จ. ว่าด้วยอานิสงส์ของสัมมาทิฏฐิ --การเห็นชนิดที่ละมิจฉาทิฏฐิได้ --“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! เมื่อบุคคลรู้อยู่อย่างไร เห็นอยู่อย่างไร มิจฉาทิฏฐิ ย่อมละไป พระเจ้าข้า ?” --ภิกษุ ท. ! เมื่อบุคคลรู้อยู่เห็นอยู่ ซึ่ง ๑.จักษุ โดยความเป็นของ ไม่เที่ยง มิจฉาทิฏฐิย่อมละไป, เมื่อบุคคลรู้อยู่เห็นอยู่ ซึ่ง ๒.รูป ทั้งหลาย โดยความเป็นของ ไม่เที่ยง มิจฉาทิฏฐิย่อมละไป, เมื่อบุคคลรู้อยู่เห็นอยู่ ซึ่ง ๓.จักขุวิญญาณ โดยความเป็นของ ไม่เที่ยง มิจฉาทิฏฐิย่อมละไป, เมื่อบุคคลรู้อยู่เห็นอยู่ ซึ่ง ๔.จักขุสัมผัส โดยความเป็นของ ไม่เที่ยง มิจฉาทิฏฐิย่อมละไป, เมื่อบุคคลรู้อยู่เห็นอยู่ ซึ่ง ๕.เวทนา อันเป็นสุขก็ตาม อันเป็นทุกข์ก็ตาม อันเป็นอทุกขมสุขก็ตาม ที่เกิดขึ้นเพราะ จักขุสัมผัสเป็นปัจจัย โดยความเป็นของ ไม่เที่ยง มิจฉาทิฏฐิย่อมละไป. http://etipitaka.com/read/pali/18/185/?keywords=มิจฺฉาทิฏฺฐิ+ปหิยฺยติ (ในกรณีแห่ง อายตนิกธรรมอีก ๕ หมวดถัดไป คือหมวด โสตะ ฆานะ ชิวหา กายะ และ มนะ ก็มีข้อความที่ตรัสไว้ด้วยข้อความอย่างเดียวกันกับข้างบนนี้ ต่างแต่ชื่อธรรมที่ต้องเปลี่ยนไปตามหมวดนั้นๆเท่านั้น ; รวมเป็นธรรมที่ถูกรู้เห็นโดยความเป็นอนิจจัง ทั้งหมด ๓๐ อย่าง). --ภิกษุ ท. ! เมื่อบุคคล รู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้แล มิจฉาทิฏฐิย่อมละไป.- #สัมมาทิฏฐิ​ #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์​ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - สฬา.สํ. 18/152/254. http://etipitaka.com/read/thai/18/152/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%95%E0%B9%94 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - สฬา.สํ. ๑๘/๑๘๕/๒๕๔. http://etipitaka.com/read/pali/18/185/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%95%E0%B9%94 ศึกษาเพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=753 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=58&id=753 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=58 ลำดับสาธยายธรรม : 58 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_58.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - หมวด จ. ว่าด้วยอานิสงส์ของสัมมาทิฏฐิ-การเห็นชนิดที่ละมิจฉาทิฏฐิได้
    -หมวด จ. ว่าด้วยอานิสงส์ของสัมมาทิฏฐิ การเห็นชนิดที่ละมิจฉาทิฏฐิได้ “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! เมื่อบุคคลรู้อยู่อย่างไร เห็นอยู่อย่างไร มิจฉาทิฏฐิ ย่อมละไป พระเจ้าข้า ?” ภิกษุ ท. ! เมื่อบุคคลรู้อยู่เห็นอยู่ ซึ่ง จักษุ โดยความเป็นของไม่ เที่ยงมิจฉาทิฏฐิย่อมละไป. เมื่อบุคคลรู้อยู่เห็นอยู่ ซึ่ง รูป ท. โดยความเป็นของไม่เที่ยง มิจฉาทิฏฐิย่อมละไป เมื่อบุคคลรู้อยู่เห็นอยู่ ซึ่ง จักขุวิญญาณ โดยความเป็นของไม่เที่ยง มิจฉาทิฏฐิย่อมละไป. เมื่อบุคคลรู้อยู่เห็นอยู่ ซึ่งจักขุ สัมผัส โดยความเป็นของไม่เที่ยง มิจฉาทิฏฐิย่อมละไป เมื่อบุคคลรู้อยู่เห็นอยู่ซึ่ง เวทนา อันเป็นสุขก็ตาม อันเป็นทุกข์ก็ตาม อันเป็นอทุกขมสุขก็ตาม ที่เกิดขึ้นเพราะจักขุสัมผัสเป็นปัจจัย โดยความเป็นของไม่เที่ยง มิจฉาทิฏฐิย่อมละไป. (ในกรณีแห่ง อายตนิกธรรมอีก ๕ หมวดถัดไป คือหมวดโสตะ ฆานะ ชิวหา กายะ และ มนะ ก็มีข้อความที่ตรัสไว้ด้วยข้อความอย่างเดียวกันกับข้างบนนี้ ต่างแต่ชื่อธรรมที่ต้องเปลี่ยนไปตามหมวดนั้นๆเท่านั้น ; รวมเป็นธรรมที่ถูกรู้เห็นโดยความเป็นอนิจจัง ทั้งหมด ๓๐ อย่าง). ภิกษุ ท. ! เมื่อบุคคล รู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้แล มิจฉาทิฏฐิย่อมละไป.
    0 Comments 0 Shares 171 Views 0 Reviews
  • อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​การปฏิบัติอย่างมีสัมมาทิฏฐิ ต่อโอฆนิตถรณะ
    สัทธรรมลำดับที่ : 748
    ชื่อบทธรรม :- สัมมาทิฏฐิ ต่อโอฆนิตถรณะ
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=748
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --สัมมาทิฏฐิ ต่อโอฆนิตถรณะ
    --อานนท์ ! ภิกษุในกรณีนี้ เป็นผู้ปฏิบัติ
    (ในปฏิปทาอันเป็นที่สบาย
    (สัปปายปฏิปทา)
    แก่อาเนญชามาตามลำดับๆ
    )
    อย่างนี้แล้ว ย่อมได้เฉพาะซึ่งอุเบกขา(ความเข้าไปเพ่งอยู่) ว่า

    “ถ้า (ปัจจัย) ไม่เคยมี (ผล) ก็ต้องไม่มีอยู่แก่เรา;
    ถ้า (ปัจจัยเพื่ออนาคต) จักไม่มีอยู่ (ผลในอนาคต) ก็ต้องไม่มีแก่เรา.
    สิ่งใดมีอยู่ สิ่งใดเป็นแล้ว เราย่อมละได้ซึ่งสิ่งนั้น”
    ดังนี้.

    ภิกษุนั้น ย่อมไม่เพลิดเพลินไม่พร่ำสรรเสริญ ไม่สยบมัวเมา ซึ่งอุเบกขานั้น ดำรงอยู่.
    เมื่อภิกษุนั้น ไม่เพลิดเพลิน ไม่พร่ำสรรเสริญ ไม่สยบมัวเมา ซึ่งอุเบกขานั้น ดำรงอยู่,
    วิญญาณนั้นเป็นวิญญาณอันตัณหาไม่อาศัยแล้ว นั่นคือ #ภาวะไม่มีอุปาทาน.
    http://etipitaka.com/read/pali/14/79/?keywords=อนุปาทาโน

    --อานนท์ ! ภิกษุ #ผู้ไม่มีอุปาทานย่อมปรินิพพาน (ดับเย็น).
    http://etipitaka.com/read/pali/14/79/?keywords=ปรินิพฺพายตีติ
    +--“น่าอัศจรรย์ พระเจ้าข้า !
    ไม่เคยมีแล้ว พระเจ้าข้า !
    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ !
    ได้ทราบมาว่า พระผู้มีพระภาคทรงอาศัยแล้ว
    ทรงอาศัยแล้ว (ซึ่งปฏิปทาอันทรงแสดงมาแล้วตามลำดับ)
    ตรัสบอกซึ่งโอฆนิตถรณะ(การถอนตนขึ้นจากโอฆะ*--๑)
    แก่ข้าพระองค์ทั้งหลายแล้ว”.-

    *--๑​
    (คำว่า โอฆนิตถรณะ ในที่นี้ คือ การถอนตนขึ้นจากโอฆะ
    (ความตกจมอยู่ในกิเลสและความทุกข์ ด้วยกาม-ทิฏฐิ-ภพ-อวิชชา)
    เป็นสิ่งที่มีได้ในภพปัจจุบัน กล่าวคือไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งอันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่นทั้งหลาย อันมีเนวสัญญานาสัญญายตนะเป็นสิ่งสูงสุดสำหรับการยึดมั่นถือมั่น และไม่ยึดมั่นแม้แต่ในการบรรลุธรรมของตน; เมื่อไม่ยึดมั่นถือมั่นก็ดับเย็น เป็นปรินิพพาน
    นี้เรียกว่า โอฆนิตถรณะ หรือ อริยวิโมกข์ ก็เรียก
    (ศึกษาได้ในข้อสัทธรรมหรือเรื่องถัดไป)
    เป็นสิ่งที่มีได้ในภพปัจจุบัน
    )

    #ทุกขมรรค#อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์

    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - อุปริ. ม. 14/60/91.
    http://etipitaka.com/read/thai/14/60/?keywords=%E0%B9%99%E0%B9%91
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - อุปริ. ม. ๑๔/๗๙/๙๑.
    http://etipitaka.com/read/pali/14/79/?keywords=%E0%B9%99%E0%B9%91
    ศึกษา​เพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=57&id=748
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=57
    ลำดับสาธยายธรรม : 57 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_57.mp3
    อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​การปฏิบัติอย่างมีสัมมาทิฏฐิ ต่อโอฆนิตถรณะ สัทธรรมลำดับที่ : 748 ชื่อบทธรรม :- สัมมาทิฏฐิ ต่อโอฆนิตถรณะ https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=748 เนื้อความทั้งหมด :- --สัมมาทิฏฐิ ต่อโอฆนิตถรณะ --อานนท์ ! ภิกษุในกรณีนี้ เป็นผู้ปฏิบัติ (ในปฏิปทาอันเป็นที่สบาย (สัปปายปฏิปทา) แก่อาเนญชามาตามลำดับๆ ) อย่างนี้แล้ว ย่อมได้เฉพาะซึ่งอุเบกขา(ความเข้าไปเพ่งอยู่) ว่า “ถ้า (ปัจจัย) ไม่เคยมี (ผล) ก็ต้องไม่มีอยู่แก่เรา; ถ้า (ปัจจัยเพื่ออนาคต) จักไม่มีอยู่ (ผลในอนาคต) ก็ต้องไม่มีแก่เรา. สิ่งใดมีอยู่ สิ่งใดเป็นแล้ว เราย่อมละได้ซึ่งสิ่งนั้น” ดังนี้. ภิกษุนั้น ย่อมไม่เพลิดเพลินไม่พร่ำสรรเสริญ ไม่สยบมัวเมา ซึ่งอุเบกขานั้น ดำรงอยู่. เมื่อภิกษุนั้น ไม่เพลิดเพลิน ไม่พร่ำสรรเสริญ ไม่สยบมัวเมา ซึ่งอุเบกขานั้น ดำรงอยู่, วิญญาณนั้นเป็นวิญญาณอันตัณหาไม่อาศัยแล้ว นั่นคือ #ภาวะไม่มีอุปาทาน. http://etipitaka.com/read/pali/14/79/?keywords=อนุปาทาโน --อานนท์ ! ภิกษุ #ผู้ไม่มีอุปาทานย่อมปรินิพพาน (ดับเย็น). http://etipitaka.com/read/pali/14/79/?keywords=ปรินิพฺพายตีติ +--“น่าอัศจรรย์ พระเจ้าข้า ! ไม่เคยมีแล้ว พระเจ้าข้า ! ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ได้ทราบมาว่า พระผู้มีพระภาคทรงอาศัยแล้ว ทรงอาศัยแล้ว (ซึ่งปฏิปทาอันทรงแสดงมาแล้วตามลำดับ) ตรัสบอกซึ่งโอฆนิตถรณะ(การถอนตนขึ้นจากโอฆะ*--๑) แก่ข้าพระองค์ทั้งหลายแล้ว”.- *--๑​ (คำว่า โอฆนิตถรณะ ในที่นี้ คือ การถอนตนขึ้นจากโอฆะ (ความตกจมอยู่ในกิเลสและความทุกข์ ด้วยกาม-ทิฏฐิ-ภพ-อวิชชา) เป็นสิ่งที่มีได้ในภพปัจจุบัน กล่าวคือไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งอันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่นทั้งหลาย อันมีเนวสัญญานาสัญญายตนะเป็นสิ่งสูงสุดสำหรับการยึดมั่นถือมั่น และไม่ยึดมั่นแม้แต่ในการบรรลุธรรมของตน; เมื่อไม่ยึดมั่นถือมั่นก็ดับเย็น เป็นปรินิพพาน นี้เรียกว่า โอฆนิตถรณะ หรือ อริยวิโมกข์ ก็เรียก (ศึกษาได้ในข้อสัทธรรมหรือเรื่องถัดไป) เป็นสิ่งที่มีได้ในภพปัจจุบัน ) #ทุกขมรรค​ #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - อุปริ. ม. 14/60/91. http://etipitaka.com/read/thai/14/60/?keywords=%E0%B9%99%E0%B9%91 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - อุปริ. ม. ๑๔/๗๙/๙๑. http://etipitaka.com/read/pali/14/79/?keywords=%E0%B9%99%E0%B9%91 ศึกษา​เพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=57&id=748 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=57 ลำดับสาธยายธรรม : 57 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_57.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - สัมมาทิฏฐิ ต่อโอฆนิตถรณะ
    -สัมมาทิฏฐิ ต่อโอฆนิตถรณะ อานนท์ ! ภิกษุในกรณีนี้ เป็นผู้ปฏิบัติ (ในปฏิปทาอันเป็นที่สบาย (สัปปายปฏิปทา) แก่อาเนญชามาตามลำดับๆ) อย่างนี้แล้ว ย่อมได้เฉพาะซึ่งอุเบกขา(ความเข้าไปเพ่งอยู่) ว่า “ถ้า (ปัจจัย) ไม่เคยมี (ผล) ก็ต้องไม่มีอยู่แก่เรา; ถ้า (ปัจจัยเพื่ออนาคต) จักไม่มีอยู่ (ผลในอนาคต) ก็ต้องไม่มีแก่เรา. สิ่งใดมีอยู่ สิ่งใดเป็นแล้ว เราย่อมละได้ซึ่งสิ่งนั้น” ดังนี้. ภิกษุนั้น ย่อมไม่เพลิดเพลินไม่พร่ำสรรเสริญ ไม่สยบมัวเมา ซึ่งอุเบกขานั้น ดำรงอยู่. เมื่อภิกษุนั้น ไม่เพลิดเพลิน ไม่พร่ำสรรเสริญ ไม่สยบมัวเมา ซึ่งอุเบกขานั้น ดำรงอยู่, วิญญาณนั้นเป็นวิญญาณอันตัณหาไม่อาศัยแล้ว นั่นคือภาวะไม่มีอุปาทาน. อานนท์ ! ภิกษุผู้ไม่มีอุปาทานย่อมปรินิพพาน (ดับเย็น). “น่าอัศจรรย์ พระเจ้าข้า ! ไม่เคยมีแล้ว พระเจ้าข้า ! ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ได้ทราบมาว่า พระผู้มีพระภาคทรงอาศัยแล้ว ทรงอาศัยแล้ว (ซึ่งปฏิปทาอันทรงแสดงมาแล้วตามลำดับ) ตรัสบอกซึ่งโอฆนิตถรณะ(การถอนตนขึ้นจากโอฆะ) แก่ข้าพระองค์ทั้งหลายแล้ว”.
    0 Comments 0 Shares 250 Views 0 Reviews
  • อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษาว่าสัมมาทิฏฐิในเนวสัญญานาสัญญายตนสัปปายปฏิปทา
    สัทธรรมลำดับที่ : 747
    ชื่อบทธรรม :- สัมมาทิฏฐิในเนวสัญญานาสัญญายตนสัปปายปฏิปทา
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=747
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --สัมมาทิฏฐิในเนวสัญญานาสัญญายตนสัปปายปฏิปทา
    --ภิกษุ ท. ! ข้ออื่นยังมีอีก
    : อริยสาวกย่อมพิจารณาเห็นโดยประจักษ์ดังนี้ว่า
    “กามและกามสัญญา อันเป็นไปในทิฏฐธรรมและเป็นไปในสัมปรายะ ก็ดี
    รูปและรูปสัญญา อันเป็นไปในทิฏฐธรรมและเป็นไปในสัมปรายะ ก็ดี
    อาเนญชสัญญา ก็ดี
    อากิญจัญญายตนสัญญา ก็ดี
    สัญญาทั้งหมดนั้น ดับไม่มีส่วนเหลือ ในธรรมใด ธรรมนั้นประณีต
    กล่าวคือ #เนวสัญญานาสัญญายตนะ”.
    http://etipitaka.com/read/pali/14/78/?keywords=เนวสญฺญานาสญฺญายตน

    +--เมื่ออริยสาวกนั้น
    ปฏิบัติแล้วอย่างนี้ เป็นผู้มากด้วยการปฏิบัติอย่างนี้อยู่,
    จิตย่อมเลื่อมใสในอายตนะ.
    เมื่อมีจิตเลื่อมใสสมบูรณ์ เขาก็จะเข้าถึงเนวสัญญานาสัญญายตนะ (สมาบัติ) ในกาลนั้น
    หรือน้อมไปเพื่อ ปัญญา.
    ภายหลังแต่การตายเพราะการทำลายแห่งกาย
    ฐานะที่พึงมีได้ก็คือ วิญญาณที่เป็นไป
    ก็จะเป็นวิญญาณที่เข้าถึงเนวสัญญานาสัญญายตนะ.
    --ภิกษุ ท. ! นี้เรากล่าวว่า เป็น #เนวสัญญานาสัญญายตนสัปปายปฏิปทา.-

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์

    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - อุปริ. ม. 14/59/88.
    http://etipitaka.com/read/thai/14/59/?keywords=%E0%B9%98%E0%B9%98
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - อุปริ. ม. ๑๔/๗๗/๘๘.
    http://etipitaka.com/read/pali/14/77/?keywords=%E0%B9%98%E0%B9%98
    ศึกษา​เพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=57&id=747
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=57
    ลำดับสาธยายธรรม : 57 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_57.mp3
    อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษาว่าสัมมาทิฏฐิในเนวสัญญานาสัญญายตนสัปปายปฏิปทา สัทธรรมลำดับที่ : 747 ชื่อบทธรรม :- สัมมาทิฏฐิในเนวสัญญานาสัญญายตนสัปปายปฏิปทา https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=747 เนื้อความทั้งหมด :- --สัมมาทิฏฐิในเนวสัญญานาสัญญายตนสัปปายปฏิปทา --ภิกษุ ท. ! ข้ออื่นยังมีอีก : อริยสาวกย่อมพิจารณาเห็นโดยประจักษ์ดังนี้ว่า “กามและกามสัญญา อันเป็นไปในทิฏฐธรรมและเป็นไปในสัมปรายะ ก็ดี รูปและรูปสัญญา อันเป็นไปในทิฏฐธรรมและเป็นไปในสัมปรายะ ก็ดี อาเนญชสัญญา ก็ดี อากิญจัญญายตนสัญญา ก็ดี สัญญาทั้งหมดนั้น ดับไม่มีส่วนเหลือ ในธรรมใด ธรรมนั้นประณีต กล่าวคือ #เนวสัญญานาสัญญายตนะ”. http://etipitaka.com/read/pali/14/78/?keywords=เนวสญฺญานาสญฺญายตน +--เมื่ออริยสาวกนั้น ปฏิบัติแล้วอย่างนี้ เป็นผู้มากด้วยการปฏิบัติอย่างนี้อยู่, จิตย่อมเลื่อมใสในอายตนะ. เมื่อมีจิตเลื่อมใสสมบูรณ์ เขาก็จะเข้าถึงเนวสัญญานาสัญญายตนะ (สมาบัติ) ในกาลนั้น หรือน้อมไปเพื่อ ปัญญา. ภายหลังแต่การตายเพราะการทำลายแห่งกาย ฐานะที่พึงมีได้ก็คือ วิญญาณที่เป็นไป ก็จะเป็นวิญญาณที่เข้าถึงเนวสัญญานาสัญญายตนะ. --ภิกษุ ท. ! นี้เรากล่าวว่า เป็น #เนวสัญญานาสัญญายตนสัปปายปฏิปทา.- #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์​ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - อุปริ. ม. 14/59/88. http://etipitaka.com/read/thai/14/59/?keywords=%E0%B9%98%E0%B9%98 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - อุปริ. ม. ๑๔/๗๗/๘๘. http://etipitaka.com/read/pali/14/77/?keywords=%E0%B9%98%E0%B9%98 ศึกษา​เพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=57&id=747 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=57 ลำดับสาธยายธรรม : 57 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_57.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - ¸ªà¸±à¸¡à¸¡à¸²à¸—ิฏฐิในเนวสัญญานาสัญญายตนสัปปายปฏิปทา
    -[คำว่า อากิญจัญญายตนะ คำนี้ เป็นคำแปลกและกำกวม เคยใช้ให้มีความหมายเป็นนิพพาน มาแต่ก่อนพุทธศาสนา หรือนอกพุทธศาสนา เช่น ในสำนักของพาวรีพราหมณ์ (ที่เป็นต้นเหตุให้เกิดโสฬสปัญหา) นั้นเขาถือว่าเป็นนิพพาน จึงมาทูลขอให้พระองค์ทรงแสดงอากิญจัญญายตนะ ตามแบบของพระองค์ ในฐานะที่เป็นนิพพาน ดังนั้นในสูตรนี้ จึงมีบทพิจารณาทำนองเดียวกับนิพพาน เช่นคำว่า นั่นว่างจากอัตตาว่างจากอัตตนิยา หรือว่านั่นสงบนั่นประณีต ดังนี้เป็นต้น ผู้ศึกษาจะต้องมีความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง อย่าให้ปะปนกันเสีย จะมีความเข้าใจผิดอย่างใหญ่หลวง]. สัมมาทิฏฐิในเนวสัญญานาสัญญายตนสัปปายปฏิปทา ภิกษุ ท. ! ข้ออื่นยังมีอีก : อริยสาวกย่อมพิจารณาเห็นโดยประจักษ์ดังนี้ว่า “กามและกามสัญญา อันเป็นไปในทิฏฐธรรมและเป็นไปในสัมปรายะก็ดี รูปและรูปสัญญา อันเป็นไปในทิฏฐธรรมและเป็นไปในสัมปรายะ ก็ดี อาเนญชสัญญา ก็ดี อากิญจัญญายตนสัญญา ก็ดี สัญญาทั้งหมดนั้น ดับไม่มี ส่วนเหลือ ในธรรมใด ธรรมนั้นประณีต กล่าวคือ เนวสัญญานาสัญญายตนะ”. เมื่ออริยสาวกนั้น ปฏิบัติแล้วอย่างนี้ เป็นผู้มากด้วยการปฏิบัติอย่างนี้อยู่, จิตย่อมเลื่อมใสในอายตนะ. เมื่อมีจิตเลื่อมใสสมบูรณ์ เขาก็จะเข้าถึงเนวสัญญานาสัญญายตนะ (สมาบัติ) ในกาลนั้น หรือน้อมไปเพื่อปัญญา. ภายหลังแต่การตายเพราะการทำลายแห่งกาย ฐานะที่พึงมีได้ก็คือ วิญญาณที่เป็นไป ก็จะเป็นวิญญาณที่เข้าถึงเนวสัญญานาสัญญายตนะ. ภิกษุ ท. ! นี้เรากล่าวว่า เป็น เนวสัญญานาสัญญายตนสัปปายปฏิปทา.
    0 Comments 0 Shares 203 Views 0 Reviews
  • อริยสาวกพึงฝึกหัด​ศึกษาละสัญโญชน์ทั้งหลายได้แล้ว จักทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน
    สัทธรรมลำดับที่ : 378
    ชื่อบทธรรม :- ละสัญโญชน์ทั้งหลายได้แล้ว จักทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=378
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --ละสัญโญชน์ทั้งหลายได้แล้ว จักทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน
    --ภิกษุ ท. ! ภิกษุนั้นหนอ ไม่เป็นผู้มีความพอใจ ในความคลุกคลีกันเป็นหมู่ ๆ,
    ไม่มีความยินดีในการคลุกคลีกันเป็นหมู่ ๆ,
    ไม่ตามประกอบซึ่งความพอใจในการคลุกคลีกันเป็นหมู่ ๆ,
    ไม่มีความพอใจในคณะ ไม่ยินดีในคณะ ไม่ตามประกอบซึ่งความพอใจในคณะ ;
    ผู้เดี่ยวโดดนั้น จักอภิรมย์ในความสงบสงัดอยู่ได้
    ดังนี้,
    ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้เป็นได้ ;
    ๑.ผู้เดี่ยวโดด เมื่ออภิรมย์ในความสงบสงัดอยู่ จักถือเอาซึ่งนิมิตแห่งจิตได้
    ดังนี้,
    ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้เป็นได้ ;
    ๒.เมื่อถือเอาซึ่งนิมิตแห่งจิตได้อยู่ จักทำสัมมาทิฏฐิให้บริบูรณ์ได้
    ดังนี้,
    ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้เป็นได้ ;
    ๓.เมื่อทำสัมมาทิฏฐิให้บริบูรณ์ ได้แล้ว จักทำสัมมาสมาธิให้บริบูรณ์ได้
    ดังนี้,
    ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้เป็นได้ ;
    ๔.เมื่อทำสัมมาสมาธิให้บริบูรณ์ได้แล้ว จักละสัญโญชน์ทั้งหลายได้
    ดังนี้,
    ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้เป็นได้ ;
    ๕.เมื่อ #ละสัญโญชน์ทั้งหลายได้แล้ว จักทำให้แจ้งซึ่ง #พระนิพพาน ได้
    http://etipitaka.com/read/pali/22/473/?keywords=นิพฺพานํ
    ดังนี้,
    ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้เป็นได้ แล.-

    #ทุกขนิโรธ #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์

    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ฉกฺก. อํ. 22/375/339
    http://etipitaka.com/read/pali/22/375/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%93%E0%B9%99
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ฉกฺก. อํ. ๒๒/๔๗๒/๓๓๙.
    http://etipitaka.com/read/pali/22/472/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%93%E0%B9%99
    ศึกษาเพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=378
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=24&id=378
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=24
    ลำดับสาธยายธรรม : 24 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_24.mp3
    อริยสาวกพึงฝึกหัด​ศึกษาละสัญโญชน์ทั้งหลายได้แล้ว จักทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน สัทธรรมลำดับที่ : 378 ชื่อบทธรรม :- ละสัญโญชน์ทั้งหลายได้แล้ว จักทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=378 เนื้อความทั้งหมด :- --ละสัญโญชน์ทั้งหลายได้แล้ว จักทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน --ภิกษุ ท. ! ภิกษุนั้นหนอ ไม่เป็นผู้มีความพอใจ ในความคลุกคลีกันเป็นหมู่ ๆ, ไม่มีความยินดีในการคลุกคลีกันเป็นหมู่ ๆ, ไม่ตามประกอบซึ่งความพอใจในการคลุกคลีกันเป็นหมู่ ๆ, ไม่มีความพอใจในคณะ ไม่ยินดีในคณะ ไม่ตามประกอบซึ่งความพอใจในคณะ ; ผู้เดี่ยวโดดนั้น จักอภิรมย์ในความสงบสงัดอยู่ได้ ดังนี้, ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้เป็นได้ ; ๑.ผู้เดี่ยวโดด เมื่ออภิรมย์ในความสงบสงัดอยู่ จักถือเอาซึ่งนิมิตแห่งจิตได้ ดังนี้, ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้เป็นได้ ; ๒.เมื่อถือเอาซึ่งนิมิตแห่งจิตได้อยู่ จักทำสัมมาทิฏฐิให้บริบูรณ์ได้ ดังนี้, ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้เป็นได้ ; ๓.เมื่อทำสัมมาทิฏฐิให้บริบูรณ์ ได้แล้ว จักทำสัมมาสมาธิให้บริบูรณ์ได้ ดังนี้, ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้เป็นได้ ; ๔.เมื่อทำสัมมาสมาธิให้บริบูรณ์ได้แล้ว จักละสัญโญชน์ทั้งหลายได้ ดังนี้, ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้เป็นได้ ; ๕.เมื่อ #ละสัญโญชน์ทั้งหลายได้แล้ว จักทำให้แจ้งซึ่ง #พระนิพพาน ได้ http://etipitaka.com/read/pali/22/473/?keywords=นิพฺพานํ ดังนี้, ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้เป็นได้ แล.- #ทุกขนิโรธ #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ฉกฺก. อํ. 22/375/339 http://etipitaka.com/read/pali/22/375/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%93%E0%B9%99 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ฉกฺก. อํ. ๒๒/๔๗๒/๓๓๙. http://etipitaka.com/read/pali/22/472/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%93%E0%B9%99 ศึกษาเพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=378 http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=24&id=378 http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=24 ลำดับสาธยายธรรม : 24 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_24.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - (ปฏิปักขนัย)
    -(ปฏิปักขนัย) ภิกษุ ท. ! ภิกษุนั้นหนอ ไม่เป็นผู้มีความพอใจ ในความคลุกคลีกันเป็นหมู่ ๆ, ไม่มีความยินดีในการคลุกคลีกันเป็นหมู่ ๆ, ไม่ตามประกอบซึ่งความพอใจในการคลุกคลีกันเป็นหมู่ ๆ, ไม่มีความพอใจในคณะ ไม่ยินดีในคณะ ไม่ตามประกอบซึ่งความพอใจในคณะ ; ผู้เดี่ยวโดดนั้น จักอภิรมย์ในความสงบสงัดอยู่ได้ ดังนี้, ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้เป็นได้ ; ผู้เดี่ยวโดด เมื่ออภิรมย์ในความสงบสงัดอยู่ จักถือเอาซึ่งนิมิตแห่งจิตได้ ดังนี้, ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้เป็นได้ ; เมื่อถือเอาซึ่งนิมิตแห่งจิตได้อยู่ จักทำสัมมาทิฏฐิให้บริบูรณ์ได้ ดังนี้, ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้เป็นได้ ; เมื่อทำสัมมาทิฏฐิให้บริบูรณ์ ได้แล้ว จักทำสัมมาสมาธิให้บริบูรณ์ได้ ดังนี้, ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้เป็นได้ ; เมื่อทำสัมมาสมาธิให้บริบูรณ์ได้แล้ว จักละสัญโญชน์ทั้งหลายได้ ดังนี้, ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้เป็นได้ ; เมื่อละสัญโญชน์ทั้งหลายได้แล้ว จักทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพานได้ ดังนี้, ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้เป็นได้ แล.
    0 Comments 0 Shares 195 Views 0 Reviews
  • อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​สัมมาทิฏฐิในอากิญจัญญายตนสัปปายปฏิปทา
    สัทธรรมลำดับที่ : 746
    ชื่อบทธรรม :- สัมมาทิฏฐิในอากิญจัญญายตนสัปปายปฏิปทา
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=74
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --สัมมาทิฏฐิในอากิญจัญญายตนสัปปายปฏิปทา
    +ข้อที่หนึ่ง
    --ภิกษุ ท. ! ข้ออื่นยังมีอีก
    : อริยสาวก ย่อมพิจารณาเห็นโดยประจักษ์ดังนี้ว่า
    “กามและกามสัญญา อันเป็นไปในทิฏฐธรรมและเป็นไปในสัมปรายะ ก็ดี
    รูปและรูปสัญญา อันเป็นไปในทิฏฐธรรมและเป็นไปในสัมปรายะ ก็ดี
    อาเนญชสัญญา ก็ดี
    สัญญาทั้งหมดนั้น ดับไม่มีส่วนเหลือ ในธรรมใด
    ธรรมนั้นสงบ ธรรมนั้นประณีต กล่าวคือ อากิญจัญญายตนะ” ดังนี้.
    +--เมื่ออริยสาวกนั้น ปฏิบัติแล้วอย่างนี้ เป็นผู้มากด้วยการปฏิบัติอย่างนี้ อยู่,
    จิตย่อมเลื่อมใสในอายตนะ.
    +--เมื่อมีจิตเลื่อมใสสมบูรณ์ เขาก็จะเข้าถึงอากิญจัญญายตนะ (สมาบัติ)
    ในกาลนั้น หรือน้อมไปเพื่อ ปัญญา.
    +--ภายหลังแต่การตายเพราะการทำลายแห่งกาย
    ฐานะที่พึงมีได้ก็คือ วิญญาณที่เป็นไป ก็จะเป็นวิญญาณที่เข้าถึง อากิญจัญญายตนะ.
    --ภิกษุ ท. ! นี้เรากล่าวว่า เป็น อากิญจัญญายตนะสัปปายปฏิปทา ข้อที่หนึ่ง.
    http://etipitaka.com/read/pali/14/76/?keywords=อากิญฺจญฺญายตน

    +ข้อที่สอง
    --ภิกษุ ท. ! ข้ออื่นยังมีอีก
    : อริยสาวกไปแล้วสู่ป่าก็ตาม สู่โคนไม้ก็ตาม สู่เรือนว่างก็ตาม
    ย่อมพิจารณาเห็นโดยประจักษ์ ดังนี้ว่า
    “อายตนะนี้ว่าง จากอัตตา ว่างจากอัตตนิยา”
    ดังนี้.
    +--เมื่ออริยสาวกนั้น ปฏิบัติแล้วอย่างนี้ เป็นผู้มากด้วยการปฏิบัติอย่างนี้ อยู่,
    จิตย่อมเลื่อมใสในอายตนะ.
    +--เมื่อมีจิตเลื่อมใสสมบูรณ์ เขาก็จะเข้าถึงอากิญจัญญายตนะ (สมาบัติ)
    ในกาลนั้น หรือน้อมไปเพื่อ ปัญญา.
    +--ภายหลังแต่การตายเพราะการทำลายแห่งกาย
    ฐานะที่พึงมีได้ก็คือ วิญญาณที่เป็นไป ก็จะเป็นวิญญาณที่เข้าถึง อากิญจัญญายตนะ.
    --ภิกษุ ท. ! นี้เรากล่าวว่า เป็น อากิญจัญญายตนะสัปปายปฏิปทา ข้อที่สอง.
    http://etipitaka.com/read/pali/14/77/?keywords=อากิญฺจญฺญายตนสปฺปายา

    +ข้อที่สาม
    --ภิกษุ ท. ! ข้ออื่นยังมีอีก
    : อริยสาวกไปแล้วสู่ป่าก็ตาม สู่โคนไม้ก็ตาม สู่เรือนว่างก็ตาม
    ย่อมพิจารณาเห็นโดยประจักษ์ ว่า
    “ไม่มีอะไรที่เป็นตัวเรา, ความกังวลต่อสิ่งใด หรือในอะไรๆ ว่าเป็นตัวเราก็ไม่มี ;
    และไม่มีอะไรที่เป็นของเรา, ความกังวลในสิ่งใดๆ ว่าเป็นของเราก็ไม่มี”
    ดังนี้.
    +--เมื่ออริยสาวกนั้น ปฏิบัติแล้วอย่างนี้ เป็นผู้มากด้วยการปฏิบัติอย่างนี้ อยู่,
    จิตย่อมเลื่อมใสในอายตนะ.
    +--เมื่อมีจิตเลื่อมใสสมบูรณ์ เขาก็จะเข้าถึงอากิญจัญญายตนะ (สมาบัติ) ในกาลนั้น
    หรือน้อมไปเพื่อ ปัญญา.
    +--ภายหลังแต่การตายเพราะการทำลายแห่งกาย
    ฐานะที่พึงมีได้ก็คือ วิญญาณที่เป็นไป ก็จะเป็นวิญญาณที่เข้าถึง อากิญจัญญายตนะ.
    --ภิกษุ ท. ! นี้เรากล่าวว่า เป็น อากิญจัญญายตนะสัปปายปฏิปทา ข้อที่สาม.-
    http://etipitaka.com/read/pali/14/77/?keywords=อากิญฺจญฺญายตนสปฺปายา

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์

    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - อุปริ. ม. 14/58 - 59/85 - 87.
    http://etipitaka.com/read/thai/14/58/?keywords=%E0%B9%98%E0%B9%95
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - อุปริ. ม. ๑๔/๗๖ - ๗๗/๘๕ - ๘๗.
    http://etipitaka.com/read/pali/14/76/?keywords=%E0%B9%98%E0%B9%95
    ศึกษา​เพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=57&id=746
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=57
    ลำดับสาธยายธรรม : 57​ ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_57.mp3
    อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​สัมมาทิฏฐิในอากิญจัญญายตนสัปปายปฏิปทา สัทธรรมลำดับที่ : 746 ชื่อบทธรรม :- สัมมาทิฏฐิในอากิญจัญญายตนสัปปายปฏิปทา https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=74 เนื้อความทั้งหมด :- --สัมมาทิฏฐิในอากิญจัญญายตนสัปปายปฏิปทา +ข้อที่หนึ่ง --ภิกษุ ท. ! ข้ออื่นยังมีอีก : อริยสาวก ย่อมพิจารณาเห็นโดยประจักษ์ดังนี้ว่า “กามและกามสัญญา อันเป็นไปในทิฏฐธรรมและเป็นไปในสัมปรายะ ก็ดี รูปและรูปสัญญา อันเป็นไปในทิฏฐธรรมและเป็นไปในสัมปรายะ ก็ดี อาเนญชสัญญา ก็ดี สัญญาทั้งหมดนั้น ดับไม่มีส่วนเหลือ ในธรรมใด ธรรมนั้นสงบ ธรรมนั้นประณีต กล่าวคือ อากิญจัญญายตนะ” ดังนี้. +--เมื่ออริยสาวกนั้น ปฏิบัติแล้วอย่างนี้ เป็นผู้มากด้วยการปฏิบัติอย่างนี้ อยู่, จิตย่อมเลื่อมใสในอายตนะ. +--เมื่อมีจิตเลื่อมใสสมบูรณ์ เขาก็จะเข้าถึงอากิญจัญญายตนะ (สมาบัติ) ในกาลนั้น หรือน้อมไปเพื่อ ปัญญา. +--ภายหลังแต่การตายเพราะการทำลายแห่งกาย ฐานะที่พึงมีได้ก็คือ วิญญาณที่เป็นไป ก็จะเป็นวิญญาณที่เข้าถึง อากิญจัญญายตนะ. --ภิกษุ ท. ! นี้เรากล่าวว่า เป็น อากิญจัญญายตนะสัปปายปฏิปทา ข้อที่หนึ่ง. http://etipitaka.com/read/pali/14/76/?keywords=อากิญฺจญฺญายตน +ข้อที่สอง --ภิกษุ ท. ! ข้ออื่นยังมีอีก : อริยสาวกไปแล้วสู่ป่าก็ตาม สู่โคนไม้ก็ตาม สู่เรือนว่างก็ตาม ย่อมพิจารณาเห็นโดยประจักษ์ ดังนี้ว่า “อายตนะนี้ว่าง จากอัตตา ว่างจากอัตตนิยา” ดังนี้. +--เมื่ออริยสาวกนั้น ปฏิบัติแล้วอย่างนี้ เป็นผู้มากด้วยการปฏิบัติอย่างนี้ อยู่, จิตย่อมเลื่อมใสในอายตนะ. +--เมื่อมีจิตเลื่อมใสสมบูรณ์ เขาก็จะเข้าถึงอากิญจัญญายตนะ (สมาบัติ) ในกาลนั้น หรือน้อมไปเพื่อ ปัญญา. +--ภายหลังแต่การตายเพราะการทำลายแห่งกาย ฐานะที่พึงมีได้ก็คือ วิญญาณที่เป็นไป ก็จะเป็นวิญญาณที่เข้าถึง อากิญจัญญายตนะ. --ภิกษุ ท. ! นี้เรากล่าวว่า เป็น อากิญจัญญายตนะสัปปายปฏิปทา ข้อที่สอง. http://etipitaka.com/read/pali/14/77/?keywords=อากิญฺจญฺญายตนสปฺปายา +ข้อที่สาม --ภิกษุ ท. ! ข้ออื่นยังมีอีก : อริยสาวกไปแล้วสู่ป่าก็ตาม สู่โคนไม้ก็ตาม สู่เรือนว่างก็ตาม ย่อมพิจารณาเห็นโดยประจักษ์ ว่า “ไม่มีอะไรที่เป็นตัวเรา, ความกังวลต่อสิ่งใด หรือในอะไรๆ ว่าเป็นตัวเราก็ไม่มี ; และไม่มีอะไรที่เป็นของเรา, ความกังวลในสิ่งใดๆ ว่าเป็นของเราก็ไม่มี” ดังนี้. +--เมื่ออริยสาวกนั้น ปฏิบัติแล้วอย่างนี้ เป็นผู้มากด้วยการปฏิบัติอย่างนี้ อยู่, จิตย่อมเลื่อมใสในอายตนะ. +--เมื่อมีจิตเลื่อมใสสมบูรณ์ เขาก็จะเข้าถึงอากิญจัญญายตนะ (สมาบัติ) ในกาลนั้น หรือน้อมไปเพื่อ ปัญญา. +--ภายหลังแต่การตายเพราะการทำลายแห่งกาย ฐานะที่พึงมีได้ก็คือ วิญญาณที่เป็นไป ก็จะเป็นวิญญาณที่เข้าถึง อากิญจัญญายตนะ. --ภิกษุ ท. ! นี้เรากล่าวว่า เป็น อากิญจัญญายตนะสัปปายปฏิปทา ข้อที่สาม.- http://etipitaka.com/read/pali/14/77/?keywords=อากิญฺจญฺญายตนสปฺปายา #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - อุปริ. ม. 14/58 - 59/85 - 87. http://etipitaka.com/read/thai/14/58/?keywords=%E0%B9%98%E0%B9%95 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - อุปริ. ม. ๑๔/๗๖ - ๗๗/๘๕ - ๘๗. http://etipitaka.com/read/pali/14/76/?keywords=%E0%B9%98%E0%B9%95 ศึกษา​เพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=57&id=746 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=57 ลำดับสาธยายธรรม : 57​ ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_57.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - การรู้อริยสัจทำให้มีตาครบสองตา
    -การรู้อริยสัจทำให้มีตาครบสองตา ภิกษุ ท. ! บุคคล ๓ จำพวกนี้ มีอยู่ หาได้อยู่ ในโลก. สามจำพวกอย่างไรเล่า ? สามจำพวกคือ คนตาบอด (อนฺโธ) คนมีตาข้างเดียว (เอกจกฺขุ) คนมีตาสองข้าง (ทฺวิจกฺขุ). ภิกษุ ท. ! คนตาบอด เป็นอย่างไรเล่า ? คือคนบางคนในโลกนี้ไม่มีตาที่เป็นเหตุให้ได้โภคทรัพย์ที่ยังไม่ได้ หรือทำโภคทรัพย์ที่ได้แล้วให้ทวีมากขึ้น นี้อย่างหนึ่ง ; และไม่มีตาที่เป็นเหตุให้รู้ธรรมที่เป็นกุศลอกุศล - ธรรมมีโทษไม่มีโทษ - ธรรมเลวและธรรมประณีต - ธรรมฝ่ายดำและธรรมฝ่ายขาวนี้อีกอย่างหนึ่ง. ภิกษุ ท. ! นี้แล คนตาบอด (ทั้งสองข้าง). ภิกษุ ท. ! คนมีตาข้างเดียว เป็นอย่างไรเล่า ? คือคนบางคนในโลกนี้ มีตาที่เป็นเหตุให้ได้โภคทรัพย์ที่ยังไม่ได้ หรือทำโภคทรัพย์ที่ได้แล้วให้ทวีมากขึ้น ; แต่ไม่มีตาที่เป็นเหตุให้รู้ธรรมที่เป็นกุศลอกุศล - ธรรมมีโทษไม่มีโทษ - ธรรมเลวและธรรมประณีต - ธรรมฝ่ายดำและธรรมฝ่ายขาว. ภิกษุ ท. ! นี้แล คนมีตาข้างเดียว. ภิกษุ ท. ! คนมีตาสองข้าง เป็นอย่างไรเล่า ? คือคนบางคนในโลกนี้ มีตาที่เป็นเหตุให้ได้โภคทรัพย์ที่ยังไม่ได้ หรือ ทำโภคทรัพย์ที่ได้แล้วให้ทวีมากขึ้น นี้อย่างหนึ่ง ; และ มีตาที่เป็นเหตุให้รู้ธรรม ที่เป็นกุศลอกุศล- ธรรมมีโทษไม่มีโทษ - ธรรมเลวและธรรมประณีต - ธรรมฝ่ายดำและธรรมฝ่ายขาว นี้อีกอย่างหนึ่ง. ภิกษุ ท. ! นี้แล คนมีตาสองข้าง. ... ภิกษุ ท. ! ภิกษุมีตาสมบูรณ์ (จกฺขุมา) เป็นอย่างไรเล่า ? คือภิกษุในกรณีนี้ ย่อม รู้ชัดตามเป็นจริงว่า “นี้ ความทุกข์, นี้ เหตุให้เกิดทุกข์, นี้ ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์, นี้ ทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือ แห่งทุกข์” ดังนี้. ภิกษุ ท. ! นี้แล ภิกษุมีตาสมบูรณ์.
    0 Comments 0 Shares 207 Views 0 Reviews
  • อริยสาวกพึงฝึกหัด​ศึกษาว่าเครื่องกีดขวางการละสัญโญชน์
    สัทธรรมลำดับที่ : 377
    ชื่อบทธรรม :- เครื่องกีดขวางการละสัญโญชน์
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=377
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --เครื่องกีดขวางการละสัญโญชน์
    --ภิกษุ ท. ! ภิกษุใดหนอ
    ยังเป็นผู้มีความพอใจ ในความคลุกคลีกันเป็นหมู่ ๆ,
    ยังมีความยินดีในการคลุกคลีกันเป็นหมู่ ๆ,
    ยังตามประกอบซึ่งความพอใจในความคลุกคลีกันเป็นหมู่ ๆ,
    ยังมีความพอใจในคณะ ยังยินดีในคณะ ยังตามประกอบซึ่งความพอใจในคณะ ;

    ภิกษุนั้น จักมาเป็นผู้อยู่เดี่ยวโดด
    อภิรมย์ในความสงบสงัด ดังนี้,
    ข้อนี้เป็นฐานะที่มีไม่ได้เป็นไม่ได้.

    เมื่ออยู่เดี่ยวโดดไม่ได้และไม่อภิรมย์ในความสงัดอยู่​
    ยังจักสามารถถือเอาซึ่งนิมิตแห่งจิต ดังนี้,
    ข้อนี้เป็นฐานะที่มีไม่ได้เป็นไม่ได้.

    เมื่อไม่อาจถือเอาซึ่งนิมิตแห่งจิต แต่
    ยังจักทำสัมมาทิฏฐิให้บริบูรณ์ได้ ดังนี้,
    ข้อนี้เป็นฐานะที่มีไม่ได้เป็นไม่ได้.

    เมื่อไม่ทำสัมมาทิฏฐิให้บริบูรณ์แล้ว
    จักทำสัมมาสมาธิให้บริบูรณ์ ดังนี้,
    ข้อนี้ เป็นฐานะที่มีไม่ได้เป็นไม่ได้.

    เมื่อไม่ทำสัมมาสมาธิให้บริบูรณ์ได้แล้ว
    จักละสัญโญชน์ทั้งหลายได้ ดังนี้,
    ข้อนี้เป็นฐานะที่มีไม่ได้เป็นไม่ได้.

    เมื่อไม่ละสัญโญชน์ทั้งหลายแล้ว
    จักทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน ดังนี้,
    ข้อนี้เป็นฐานะที่มีไม่ได้เป็นไม่ได้,-

    #ทุกขนิโรธ#อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์

    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ฉกฺก. อํ. 22/375/339.
    http://etipitaka.com/read/thai/22/375/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%93%E0%B9%99
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ฉกฺก. อํ. ๒๒/๔๗๑/๓๓๙.
    http://etipitaka.com/read/pali/22/471/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%93%E0%B9%99
    ศึกษาเพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=377
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=24&id=377
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=24
    ลำดับสาธยายธรรม : 24 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_24.mp3
    อริยสาวกพึงฝึกหัด​ศึกษาว่าเครื่องกีดขวางการละสัญโญชน์ สัทธรรมลำดับที่ : 377 ชื่อบทธรรม :- เครื่องกีดขวางการละสัญโญชน์ https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=377 เนื้อความทั้งหมด :- --เครื่องกีดขวางการละสัญโญชน์ --ภิกษุ ท. ! ภิกษุใดหนอ ยังเป็นผู้มีความพอใจ ในความคลุกคลีกันเป็นหมู่ ๆ, ยังมีความยินดีในการคลุกคลีกันเป็นหมู่ ๆ, ยังตามประกอบซึ่งความพอใจในความคลุกคลีกันเป็นหมู่ ๆ, ยังมีความพอใจในคณะ ยังยินดีในคณะ ยังตามประกอบซึ่งความพอใจในคณะ ; ภิกษุนั้น จักมาเป็นผู้อยู่เดี่ยวโดด อภิรมย์ในความสงบสงัด ดังนี้, ข้อนี้เป็นฐานะที่มีไม่ได้เป็นไม่ได้. เมื่ออยู่เดี่ยวโดดไม่ได้และไม่อภิรมย์ในความสงัดอยู่​ ยังจักสามารถถือเอาซึ่งนิมิตแห่งจิต ดังนี้, ข้อนี้เป็นฐานะที่มีไม่ได้เป็นไม่ได้. เมื่อไม่อาจถือเอาซึ่งนิมิตแห่งจิต แต่ ยังจักทำสัมมาทิฏฐิให้บริบูรณ์ได้ ดังนี้, ข้อนี้เป็นฐานะที่มีไม่ได้เป็นไม่ได้. เมื่อไม่ทำสัมมาทิฏฐิให้บริบูรณ์แล้ว จักทำสัมมาสมาธิให้บริบูรณ์ ดังนี้, ข้อนี้ เป็นฐานะที่มีไม่ได้เป็นไม่ได้. เมื่อไม่ทำสัมมาสมาธิให้บริบูรณ์ได้แล้ว จักละสัญโญชน์ทั้งหลายได้ ดังนี้, ข้อนี้เป็นฐานะที่มีไม่ได้เป็นไม่ได้. เมื่อไม่ละสัญโญชน์ทั้งหลายแล้ว จักทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน ดังนี้, ข้อนี้เป็นฐานะที่มีไม่ได้เป็นไม่ได้,- #ทุกขนิโรธ​ #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์​ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ฉกฺก. อํ. 22/375/339. http://etipitaka.com/read/thai/22/375/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%93%E0%B9%99 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ฉกฺก. อํ. ๒๒/๔๗๑/๓๓๙. http://etipitaka.com/read/pali/22/471/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%93%E0%B9%99 ศึกษาเพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=377 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=24&id=377 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=24 ลำดับสาธยายธรรม : 24 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_24.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - เครื่องกีดขวางการละสัญโญชน์
    -เครื่องกีดขวางการละสัญโญชน์ ภิกษุ ท. ! ภิกษุใดหนอ ยังเป็นผู้มีความพอใจ ในความคลุกคลีกันเป็นหมู่ ๆ, ยังมีความยินดีในการคลุกคลีกันเป็นหมู่ ๆ, ยังตามประกอบซึ่งความพอใจในความคลุกคลีกันเป็นหมู่ ๆ, ยังมีความพอใจในคณะ ยังยินดีในคณะ ยังตามประกอบซึ่งความพอใจในคณะ ; ภิกษุนั้น จักมาเป็นผู้อยู่เดี่ยวโดด อภิรมย์ในความสงบสงัด ดังนี้, ข้อนี้เป็นฐานะที่มีไม่ได้เป็นไม่ได้. เมื่ออยู่เดี่ยวโดดไม่ได้และไม่อภิรมย์ในความสงัดอยู่ ยังจักสามารถถือเอาซึ่งนิมิตแห่งจิต ดังนี้, ข้อนี้เป็นฐานะที่มีไม่ได้เป็นไม่ได้. เมื่อไม่อาจถือเอาซึ่งนิมิตแห่งจิต แต่ยังจักทำสัมมาทิฏฐิให้บริบูรณ์ได้ ดังนี้, ข้อนี้เป็นฐานะที่มีไม่ได้เป็นไม่ได้. เมื่อไม่ทำสัมมาทิฏฐิให้บริบูรณ์แล้ว จักทำสัมมาสมาธิให้บริบูรณ์ ดังนี้, ข้อนี้ เป็นฐานะที่มีไม่ได้เป็นไม่ได้. เมื่อไม่ทำสัมมาสมาธิให้บริบูรณ์ได้แล้วจักละสัญโญชน์ทั้งหลายได้ ดังนี้, ข้อนี้เป็นฐานะที่มีไม่ได้เป็นไม่ได้. เมื่อไม่ละสัญโญชน์ทั้งหลายแล้ว จักทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน ดังนี้, ข้อนี้เป็นฐานะที่มีไม่ได้เป็นไม่ได้,-
    0 Comments 0 Shares 214 Views 0 Reviews
  • อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​ข้อปฎิบัติเกี่ยวกับธาตุห้าและสัมมาทิฏฐิ ในอาเนญชสัปปายปฏิปทา
    สัทธรรมลำดับที่ : 745
    ชื่อบทธรรม : - ข้อปฎิบัติเกี่ยวกับธาตุห้า
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=745
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --ข้อปฎิบัติเกี่ยวกับธาตุห้า
    --ราหุล ! รูป อย่างใดอย่างหนึ่ง อันเป็นภายใน เฉพาะตน เป็นของหยาบ
    มีลักษณะแข้นแข็ง อันอุปาทาน (ของคนหรือสัตว์) เข้าไปถือเอาแล้ว.
    ตัวอย่างเช่น ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ไต หัวใจ ตับ พังผืด ม้าม ปอด ลำไส้ ลำไส้สุด อาหารในกระเพาะ อุจจาระ;
    หรือจะยังมีรูปแม้อื่น อันเป็นภายใน เฉพาะตน เป็นของหยาบ
    มีลักษณะแข้นแข็ง อันอุปาทาน (ของคนหรือสัตว์) เข้าไปถือเอาแล้ว อย่างเดียวกันนี้.
    +--ราหุล ! นี้ เรียกว่า #ปฐวีธาตุ อันเป็นภายใน.
    ปฐวีธาตุอันใด อันเป็นภายในด้วย ปฐวีธาตุอันเป็นภายนอกด้วย
    นั้นก็เป็น สักว่าปฐวีธาตุ เสมอกัน.
    ใครๆ พึงเห็นปฐวีธาตุนั้นด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริง อย่างนี้ว่า
    นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่ใช่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา ;
    http://etipitaka.com/read/pali/13/135/?keywords=เนตํ+มม+เนโสหมสฺมิ+เมโส+อตฺตาติ
    ครั้นเห็นปฐวีธาตุนั้นด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริง อย่างนี้แล้ว จิตย่อมเบื่อหน่ายต่อปฐวีธาตุ ย่อมคลายกำหนัดจากปฐวีธาตุ.
    +--ราหุล ! เธอจงอบรมจิตให้เสมอด้วยแผ่นดิน (ปฐวี) เถิด.
    เมื่อเธออบรมจิตให้เสมอด้วยแผ่นดิน อยู่,
    ผัสสะทั้งหลายที่น่าพอใจและไม่น่าพอใจอันเกิดขึ้นแล้ว จักไม่กลุ้มรุมจิตตั้งอยู่.
    +--ราหุล ! เปรียบเหมือนเมื่อคนเขาทิ้งของสะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้าง
    ทิ้งคูถบ้าง ทิ้งมูตรบ้าง ทิ้งน้ำลายบ้าง หนองบ้าง โลหิตบ้าง ลงบนแผ่นดิน
    แผ่นดินก็ไม่รู้สึกอึดอัดระอารังเกียจ ด้วยสิ่งเหล่านั้น, นี้ฉันใด;
    +--ราหุล ! เธอจงอบรมจิตให้เสมอด้วยแผ่นดินเถิด.
    เมื่อเธออบรมจิตให้เสมอด้วยแผ่นดินอยู่,
    ผัสสะทั้งหลายที่น่าพอใจและไม่น่าพอใจอันเกิดขึ้นแล้ว จักไม่กลุ้มรุมจิตตั้งอยู่ ฉันนั้นเหมือนกัน.

    --ราหุล ! อาโปธาตุ เป็นอย่างไรเล่า ?
    อาโปธาตุมีทั้งที่เป็นภายในและเป็นภายนอก.
    +--ราหุล ! อาโปธาตุที่เป็นภายใน เป็นอย่างไรเล่า ?
    อาโปธาตุอันใด อันเป็นภายใน เฉพาะตน
    เป็นของเหลว อันอุปาทาน (ของคนหรือของสัตว์) เข้าไปถือเอาแล้ว,
    ตัวอย่างเช่น น้ำดี เสลด หนอง โลหิต เหงื่อ มัน น้ำตา น้ำเหลือง น้ำลาย น้ำเมือก น้ำหล่อลื่นข้อ น้ำมูตร นี้ก็ดี;
    หรือจะยังมี อาโปธาตุ อันเป็นภายใน เฉพาะตน
    เป็นของเหลว อันอุปาทานเข้าไปถือเอาแล้ว ไรๆ อื่นนอกไปจากนี้ อันใดก็ดี.
    +--ราหุล ! อาโปธาตุทั้งสองประเภทนี้ เรียกว่า #อาโปธาตุ อันเป็นภายใน.
    อาโปธาตุอันเป็นภายในด้วย อาโปธาตุอันเป็นภายนอกด้วย
    นั้นก็เป็น สักว่าอาโปธาตุ เท่านั้น.
    ใครๆ พึงเห็นอาโปธาตุนั้นด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริง อย่างนี้ว่า
    นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่ใช่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา ;
    http://etipitaka.com/read/pali/13/136/?keywords=เนตํ+มม+เนโสหมสฺมิ+เมโส+อตฺตาติ
    ครั้นเห็นอาโปธาตุนั้นด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริง อย่างนี้แล้ว
    จิตย่อมเบื่อหน่ายต่ออาโปธาตุ ย่อมคลายกำหนัดจากอาโปธาตุ.
    +--ราหุล ! เธอจงอบรมจิตให้เสมอด้วยน้ำ (อาโป) เถิด.
    เมื่อเธออบรมจิตให้เสมอด้วยน้ำอยู่,
    ผัสสะทั้งหลายที่น่าพอใจและไม่น่าพอใจอันเกิดขึ้นแล้ว จักไม่กลุ้มรุมจิตตั้งอยู่.
    [ข้อความต่อไปจากนี้ ตรัสถึงการที่น้ำไม่อึดอัดระอาต่อสิ่งปฎิกูลและไม่ปฎิกูลนานาชนิด
    (ดังที่กล่าวมาแล้วในตอนที่ว่าด้วยธาตุดิน) ที่เขาล้างลงไปในน้ำ,
    อันเป็นอุปมาของจิตที่อบรมแล้วเสมอด้วยน้ำ ฉันใดก็ฉันนั้น]​.

    --ราหุล ! เตโชธาตุ เป็นอย่างไรเล่า ?
    เตโชธาตุมีทั้งที่เป็นภายในและเป็นภายนอก.
    +--ราหุล ! เตโชธาตุที่เป็นภายใน เป็นอย่างไรเล่า ?
    เตโชธาตุอันใด อันเป็นภายใน เฉพาะตน เป็นของเผาผลาญ อันอุปาทานเข้าไปถือเอาแล้ว,
    ตัวอย่างเช่น ไฟที่ยังกายให้อบอุ่น ไฟที่ยังกายให้ทรุดโทรม ไฟที่ยังกายให้กระวนกระวาย และไฟที่เผาอาหารอันกินแล้ว ดื่มแล้ว เคี้ยวแล้ว ลิ้มแล้ว ให้แปรไปโดยชอบ นี้ก็ดี;
    หรือจะยังมีเตโชธาตุ อันเป็นภายใน เฉพาะตน เป็นของเผาผลาญ อันอุปาทาน เข้าไปถือเอาแล้ว ไรๆ อื่นนอกไปจากนี้ อันใดก็ดี.
    +--ราหุล ! เตโชธาตุทั้งสองประเภทนี้ เรียกว่า #เตโชธาตุ อันเป็นภายใน.
    เตโชธาตุอันเป็นภายนอกใน เตโชธาตุอันเป็นภายนอกด้วย
    นั้นก็เป็น สักว่าเตโชธาตุ เท่านั้น.
    ใครๆ พึงเห็นเตโชธาตุนั้นด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริง อย่างนี้ว่า
    นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่ใช่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา ;
    http://etipitaka.com/read/pali/13/136/?keywords=เนตํ+มม+เนโสหมสฺมิ+เมโส+อตฺตาติ
    ครั้นเห็นเตโชธาตุนั้นด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงอย่างนี้แล้ว
    จิตย่อมเบื่อหน่ายต่อเตโชธาตุ ย่อมคลายกำหนัดจากเตโชธาตุ.
    +--ราหุล ! เธอจงอบรมจิตให้เสมอด้วยไฟ (เตโช) เถิด.
    เมื่อเธออบรมจิตให้เสมอด้วยไฟอยู่,
    ผัสสะทั้งหลายที่น่าพอใจและไม่น่าพอใจ อันเกิดขึ้นแล้ว จักไม่กลุ้มรุมจิตตั้งอยู่.
    [ข้อความต่อไปจากนี้ ตรัสถึงการที่ไฟไม่อึดอัดระอาต่อสิ่งปฎิกูลและไม่ปฎิกูลนานาชนิด (ดังที่กล่าวมาแล้วในตอนที่ว่าด้วยธาตุดิน) ที่เขาทิ้งลงไปให้มันไหม้,
    อันเป็นอุปมาของจิตที่อบรมแล้วเสมอด้วยไฟ ฉันใดก็ฉันนั้น]​.

    --ราหุล ! วาโยธาตุ เป็นอย่างไรเล่า ?
    วาโยธาตุมีทั้งที่เป็นภายในและเป็นภายนอก.
    +--ราหุล ! วาโยธาตุที่เป็นภายใน เป็นอย่างไรเล่า ?
    วาโยธาตุอันใด อันเป็นภายใน เฉพาะตน เป็นของพัดไปมา อันอุปาทาน เข้าไปถือเอาแล้ว,
    ตัวอย่างเช่น ลมพัดขึ้นเบื้องบน ลมพัดลงเบื้องต่ำ ลมในท้อง ลมในไส้ ลมแล่นไปตามอวัยวะน้อยใหญ่ ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก นี้ก็ดี;
    หรือจะยังมีวาโยธาตุ อันเป็นภายใน เฉพาะตน เป็นของพัดไปมา
    อันอุปาทาน เข้าไปถือเอาแล้ว ไรๆ อื่นนอกไปจากนี้ อันใดก็ดี.
    +--ราหุล ! วาโยธาตุทั้งสองประเภทนี้ เรียกว่า #วาโยธาตุ อันเป็นภายใน.
    วาโยธาตุอันเป็นภายในด้วย วาโยธาตุอันเป็นภายนอกด้วย
    นั้นก็เป็น สักว่าวาโยธาตุ เท่านั้น.
    ใครๆ พึงเห็นวาโยธาตุนั้นด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริง อย่างนี้ว่า
    นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่ใช่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา ;
    http://etipitaka.com/read/pali/13/137/?keywords=เนตํ+มม+เนโสหมสฺมิ+เมโส+อตฺตาติ
    ครั้นเห็นวาโยธาตุนั้นด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริง อย่างนี้แล้ว
    จิตย่อมเบื่อหน่ายต่อวาโยธาตุ ย่อมคลายกำหนัดจากวาโยธาตุ.
    +--ราหุล ! เธอจงอบรมจิตให้เสมอด้วยลม (วาโย) เถิด
    เมื่อเธออบรมจิตให้เสมอด้วยลมอยู่,
    ผัสสะทั้งหลายที่น่าพอใจและไม่น่าพอใจ อันเกิดขึ้นแล้ว จักไม่กลุ้มรุมจิตตั้งอยู่.
    [ข้อความต่อไปจากนี้ ตรัสถึงการที่ลมไม่อึดอัดระอาต่อสิ่งปฎิกูลและไม่ปฎิกูลนานาชนิด (ดังที่กล่าวมาแล้วในตอนที่ว่าด้วยธาตุดิน) ที่ลมพัดผ่านเข้าไป,
    อันเป็นอุปมาของจิตที่อบรมแล้วเสมอด้วยลม ฉันใดก็ฉันนั้น]​.

    --ราหุล ! อากาสธาตุ เป็นอย่างไรเล่า ?
    อากาสธาตุมีทั้งที่เป็นภายในและเป็นภายนอก.
    +--ราหุล ! อากาสธาตุที่เป็นภายใน เป็นอย่างไรเล่า ?
    อากาสธาตุอันใด อันเป็นภายใน เฉพาะตน
    เป็นของแสดงลักษณะแห่งความว่าง อันอุปาทานเข้าไปถือเอาแล้ว,
    ตัวอย่างเช่น ช่องหู ช่องจมูก ช่องปาก ที่ว่าง
    ที่อาหารอันกินแล้ว ดื่มแล้ว เคี้ยวแล้ว ลิ้มแล้ว ผ่านไป
    ที่ว่างที่อาหารอันกินแล้ว ดื่มแล้ว เคี้ยวแล้ว ลิ้มแล้ว ตั้งอยู่
    ช่องที่อาหารอันกินแล้ว ดื่มแล้ว เคี้ยวแล้ว ลิ้มแล้ว ออกสู่เบื้องล่าง นี้ก็ดี ;
    หรือจะยังมีอากาสธาตุ อันเป็นภายในเฉพาะตน
    เป็นของแสดงลักษณะแห่งความว่าง ไรๆ อื่นนอกไปจากนี้
    ซึ่งไม่ตัน มีลักษณะไม่ตัน เป็นของเปิด
    มีลักษณะเปิด อันเนื้อและเลือดไม่เข้าไปบรรจุอยู่อันเป็นภายใน
    อันอุปาทาน เข้าไปถือเอาแล้ว อันใดก็ดี.
    +--ราหุล ! อากาสธาตุทั้งสองประเภทนี้ เรียกว่า #อากาสธาตุ อันเป็นภายใน.
    อากาสธาตุอันเป็นภายในด้วย อากาสธาตุอันเป็นภายนอกด้วย
    นั้นก็เป็น สักว่าอากาสธาตุ เท่านั้น.
    ใครๆ พึงเห็นอากาสธาตุนั้นด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริง อย่างนี้ว่า
    นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่ใช่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา ;
    http://etipitaka.com/read/pali/13/138/?keywords=เนตํ+มม+เนโสหมสฺมิ+เมโส+อตฺตาติ
    ครั้นเห็นอากาสธาตุนั้นด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริง อย่างนี้แล้ว
    จิตย่อมเบื่อหน่ายต่ออากาสธาตุ ย่อมคลายกำหนัดจากอากาสธาตุ.
    +--ราหุล ! เธอจงอบรมจิตให้เสมอด้วยอากาสเถิด.
    เมื่อเธออบรมจิตให้เสมอด้วยอากาสอยู่,
    ผัสสะทั้งหลายที่น่าพอใจและไม่น่าพอใจอันเกิดขึ้นแล้ว จักไม่กลุ้มรุมจิตตั้งอยู่.
    +--ราหุล ! เปรียบเหมือนอากาส เป็นสิ่งมิได้ตั้งอยู่เฉพาะในที่ไรๆ, นี้ฉันใด;
    +--ราหุล ! เธอจงอบรมจิตให้เสมอด้วยอากาสเถิด.
    เมื่อเธออบรมจิตให้เสมอด้วยอากาสอยู่,
    ผัสสะทั้งหลายที่น่าพอใจและไม่น่าพอใจอันเกิดขึ้นแล้ว จักไม่กลุ้มรุมจิตตั้งอยู่,
    ฉันนั้นเหมือนกัน.-

    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : -
    -- ม. ม.๑๓/๑๓๕-๑๔๐/๑๓๕+๑๔๐, ๑๓๖+๑๔๑, ๑๓๗+๑๔๒, ๑๓๘+๑๔๓, ๑๓๙+๑๔๔.
    http://etipitaka.com/read/pali/13/135/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%93%E0%B9%95 ถึง
    http://etipitaka.com/read/pali/13/140/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%94%E0%B9%90

    --สัมมาทิฏฐิ ในอาเนญชสัปปายปฏิปทา
    ๑. ข้อที่หนึ่ง
    --ภิกษุ ท. ! ในข้อที่กามเป็นอันตรายแก่อริยสาวกผู้ศึกษาอยู่ในธรรมวินัยนี้นั้น
    อริยสาวกย่อมพิจารณาเห็นโดยประจักษ์ ดังนี้ว่า
    “กามและกามสัญญาอันเป็นไปในทิฏฐธรรม (ภพนี้) และเป็นไปในสัมปรายะ (ภพอื่น)
    ทั้งสองอย่างนั้นเป็นบ่วงมาร เป็นวิสัยแห่งมาร เป็นเหยื่อแห่งมาร เป็นที่เที่ยวแห่งมาร.
    ในบ่วงแห่งมารนี้ บาปอกุศลทางใจเหล่านี้
    เป็นอภิชฌาบ้าง เป็นพยาบาทบ้าง เป็นสารัมภะ (ความแข่งดี) บ้าง ย่อมเป็นไป ;
    บาปอกุศลเหล่านั้น ย่อมมีเพื่อเป็นอันตรายแก่อริยสาวกผู้ตามศึกษาอยู่ในธรรมวินัยนี้.
    ถ้าอย่างไร เราพึงมีจิตเป็นมหัคคตะอันไพบูลย์ อธิษฐานจิตครอบงำโลก อยู่เถิด ;
    เมื่อเรามีจิตเป็นมหัคคตะอันไพบูลย์ อธิษฐานจิตครอบงำโลกอยู่,
    บาปอกุศลทางใจเป็นอภิชฌาบ้าง เป็นพยาบาทบ้าง เป็นสารัมภะบ้าง
    เหล่านั้น จักไม่มี; เพราะละบาปอกุศลเหล่านั้นเสียได้
    จิตของเราก็จักเป็นจิตมีคุณไม่เล็กน้อย เป็นจิตไม่มี ประมาณเป็นจิตอันอบรมดีแล้ว”
    ดังนี้.
    +--เมื่ออริยสาวกนั้น ปฏิบัติแล้วอย่างนี้
    เป็นผู้มากด้วยการปฏิบัติอย่างนี้ อยู่, จิตย่อมเลื่อมใสในอายตนะ*--๑
    เมื่อจิตเลื่อมใสสมบูรณ์ เขาก็จะเข้าถึงเพราะข้อปฏิบัติดังกล่าวแล้วข้างต้น
    ทำให้ง่ายและสะดวกแก่การลุถึงภพประเภทนี้ จึงได้ชื่อว่า #อาเนญชสัปปายปฏิปทา.
    http://etipitaka.com/read/pali/14/75/?keywords=อาเนญฺชสปฺปายา
    +--ข้อปฏิบัติเหล่านี้เป็นฝ่ายสมถะ ซึ่งเป็นปัจจัยแก่เจโตวิมุตติโดยตรง แต่ก็เป็นปัจจัยแก่วิปัสสนาได้ด้วย ดังนั้นท่านจึงกล่าวอานิสงส์ของคำนี้ว่า เพื่อเข้าถึงอาเนญชะหรือน้อมไปเพื่อปัญญาก็ได้.
    +--อาเนญช (สมาบัติ) ในกาลนั้นหรือน้อมไปเพื่อปัญญา. ภายหลังแต่การตายเพราะการทำลายแห่งกาย ฐานะที่พึงมีได้ก็คือ วิญญาณที่เป็นไป ก็จะเป็น วิญญาณที่เข้าถึงซึ่งภพในระดับอาเนญชะ.
    +--ภิกษุ ท. ! นี้เรากล่าวว่า เป็น #อาเนญชสัปปายปฏิปทา ข้อที่หนึ่ง.
    -----
    *--๑. คำว่า อายตนะ ในที่นี้ ไม่หมายถึงนิพพาน อันเป็นอายตนะสูงสุด ซึ่งเป็นที่รู้จักกันทั่วไป แต่หมายถึงอายตนะคือภาวะแห่งอรูปฌานทั้งสี่
    คือ อากาสานัญจายตนะ ฯลฯ เนวสัญญานาสัญญายตนะ ;
    โดยเฉพาะ เพราะไม่มีรูปหรือสัญญาในรูปอันเป็นที่ตั้งแห่งความหวั่นไหว,
    แต่บางมติหมายต่ำลงมาถึงจตุตถฌานอันเป็นอาเนญชะในขั้นริเริ่ม
    ซึ่งยังไม่สมบูรณ์เพราะยังอาศัยสิ่งซึ่งมีรูปหรือรูปสัญญาอยู่.

    ๒.ข้อที่สอง
    --ภิกษุ ท. ! ข้ออื่นยังมีอีก
    : อริยสาวก ย่อมพิจารณาเห็นโทษโดยประจักษ์ ดังนี้ว่า
    “กามและกามสัญญาอันเป็นไปในทิฏฐธรรมและเป็นไปในสัมปรายะ
    อันเป็นรูปอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งหมดนั้นเป็นเพียงสักว่ารูป
    คือเป็นเพียงมหาภูตรูปสี่ และรูปอาศัยมหาภูตรูปสี่นั้นอยู่ เท่านั้น”
    ดังนี้.
    +--เมื่ออริยสาวกนั้น ปฏิบัติแล้วอย่างนี้ เป็นผู้มากด้วยการปฏิบัติอย่างนี้ อยู่,
    จิตย่อมเลื่อมใสในอายตนะ. เมื่อมีจิตเลื่อมใสสมบูรณ์ เขาก็จะเข้าถึงอาเนญช (สมาบัติ)
    ในกาลนั้น หรือน้อมไปเพื่อปัญญา ภายหลังแต่การตายเพราะการทำลายแห่งกาย
    ฐานะที่พึงมีได้ก็คือ วิญญาณที่เป็นไป ก็จะเป็นวิญญาณที่เข้าถึง ซึ่งภพในระดับอาเนญชะ.
    +--ภิกษุ ท. ! นี้เรากล่าวว่า เป็น #อาเนญชสัปปายปฏิปทา ข้อที่สอง.
    http://etipitaka.com/read/pali/14/75/?keywords=อาเนญฺชสปฺปายา
    ๓.ข้อที่สาม
    --ภิกษุ ท. ! ข้ออื่นยังมีอีก
    : อริยสาวก ย่อมพิจารณาเห็นโดยประจักษ์ ดังนี้ว่า
    “กามและกามสัญญา อันเป็นไปในทิฏฐธรรมและเป็นไปในสัมปรายะก็ดี
    รูปและรูปสัญญา อันเป็นไปในทิฎฐธรรมและเป็นไปในสัมปรายะ ก็ดี
    ทั้งสองอย่างนั้น เป็นอนิจจัง สิ่งใดเป็นอนิจจัง
    สิ่งนั้นไม่ควรเพื่อจะเพลิดเพลิน พร่ำสรรเสริญ สยบมัวเมา”
    ดังนี้.
    +--เมื่ออริยสาวกนั้น ปฏิบัติแล้วอย่างนี้ เป็นผู้มากด้วยการปฏิบัติอย่างนี้อยู่,
    จิตย่อมเลื่อมใสในอายตนะ. เมื่อมีจิตเลื่อมใสสมบูรณ์ เขาก็จะเข้าถึงอาเนญช (สมาบัติ)
    ในกาลนั้น หรือน้อมไปเพื่อปัญญา.
    ภายหลังแต่การตายเพราะการทำลายแห่งกาย
    ฐานะที่พึงมีได้ก็คือ วิญญาณที่เป็นไป ก็จะเป็นวิญญาณที่เข้าถึงซึ่งภพในระดับอาเนญชะ.
    --ภิกษุ ท. ! นี้เรากล่าวว่าเป็น #อาเนญชสัปปายปฏิปทา ข้อที่สาม.-
    http://etipitaka.com/read/pali/14/76/?keywords=อาเนญฺชสปฺปายา

    #สัมมาทิฏฐิ
    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์

    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - อุปริ. ม. 14/57-58/82-84.
    http://etipitaka.com/read/thai/14/57/?keywords=%E0%B9%98%E0%B9%92 ถึง
    http://etipitaka.com/read/thai/14/58/?keywords=%E0%B9%98%E0%B9%94
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - อุปริ. ม. ๑๔/๗๔-๗๕/๘๒-๘๔.
    http://etipitaka.com/read/pali/14/74/?keywords=%E0%B9%98%E0%B9%92 ถึง
    http://etipitaka.com/read/pali/14/75/?keywords=%E0%B9%98%E0%B9%94
    ศึกษาเพิ่มเติม..
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=745
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=56&id=745
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=56
    ลำดับสาธยายธรรม : 56 ฟังเสียงอ่าน....
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_56.mp3
    อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​ข้อปฎิบัติเกี่ยวกับธาตุห้าและสัมมาทิฏฐิ ในอาเนญชสัปปายปฏิปทา สัทธรรมลำดับที่ : 745 ชื่อบทธรรม : - ข้อปฎิบัติเกี่ยวกับธาตุห้า https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=745 เนื้อความทั้งหมด :- --ข้อปฎิบัติเกี่ยวกับธาตุห้า --ราหุล ! รูป อย่างใดอย่างหนึ่ง อันเป็นภายใน เฉพาะตน เป็นของหยาบ มีลักษณะแข้นแข็ง อันอุปาทาน (ของคนหรือสัตว์) เข้าไปถือเอาแล้ว. ตัวอย่างเช่น ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ไต หัวใจ ตับ พังผืด ม้าม ปอด ลำไส้ ลำไส้สุด อาหารในกระเพาะ อุจจาระ; หรือจะยังมีรูปแม้อื่น อันเป็นภายใน เฉพาะตน เป็นของหยาบ มีลักษณะแข้นแข็ง อันอุปาทาน (ของคนหรือสัตว์) เข้าไปถือเอาแล้ว อย่างเดียวกันนี้. +--ราหุล ! นี้ เรียกว่า #ปฐวีธาตุ อันเป็นภายใน. ปฐวีธาตุอันใด อันเป็นภายในด้วย ปฐวีธาตุอันเป็นภายนอกด้วย นั้นก็เป็น สักว่าปฐวีธาตุ เสมอกัน. ใครๆ พึงเห็นปฐวีธาตุนั้นด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริง อย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่ใช่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา ; http://etipitaka.com/read/pali/13/135/?keywords=เนตํ+มม+เนโสหมสฺมิ+เมโส+อตฺตาติ ครั้นเห็นปฐวีธาตุนั้นด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริง อย่างนี้แล้ว จิตย่อมเบื่อหน่ายต่อปฐวีธาตุ ย่อมคลายกำหนัดจากปฐวีธาตุ. +--ราหุล ! เธอจงอบรมจิตให้เสมอด้วยแผ่นดิน (ปฐวี) เถิด. เมื่อเธออบรมจิตให้เสมอด้วยแผ่นดิน อยู่, ผัสสะทั้งหลายที่น่าพอใจและไม่น่าพอใจอันเกิดขึ้นแล้ว จักไม่กลุ้มรุมจิตตั้งอยู่. +--ราหุล ! เปรียบเหมือนเมื่อคนเขาทิ้งของสะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้าง ทิ้งคูถบ้าง ทิ้งมูตรบ้าง ทิ้งน้ำลายบ้าง หนองบ้าง โลหิตบ้าง ลงบนแผ่นดิน แผ่นดินก็ไม่รู้สึกอึดอัดระอารังเกียจ ด้วยสิ่งเหล่านั้น, นี้ฉันใด; +--ราหุล ! เธอจงอบรมจิตให้เสมอด้วยแผ่นดินเถิด. เมื่อเธออบรมจิตให้เสมอด้วยแผ่นดินอยู่, ผัสสะทั้งหลายที่น่าพอใจและไม่น่าพอใจอันเกิดขึ้นแล้ว จักไม่กลุ้มรุมจิตตั้งอยู่ ฉันนั้นเหมือนกัน. --ราหุล ! อาโปธาตุ เป็นอย่างไรเล่า ? อาโปธาตุมีทั้งที่เป็นภายในและเป็นภายนอก. +--ราหุล ! อาโปธาตุที่เป็นภายใน เป็นอย่างไรเล่า ? อาโปธาตุอันใด อันเป็นภายใน เฉพาะตน เป็นของเหลว อันอุปาทาน (ของคนหรือของสัตว์) เข้าไปถือเอาแล้ว, ตัวอย่างเช่น น้ำดี เสลด หนอง โลหิต เหงื่อ มัน น้ำตา น้ำเหลือง น้ำลาย น้ำเมือก น้ำหล่อลื่นข้อ น้ำมูตร นี้ก็ดี; หรือจะยังมี อาโปธาตุ อันเป็นภายใน เฉพาะตน เป็นของเหลว อันอุปาทานเข้าไปถือเอาแล้ว ไรๆ อื่นนอกไปจากนี้ อันใดก็ดี. +--ราหุล ! อาโปธาตุทั้งสองประเภทนี้ เรียกว่า #อาโปธาตุ อันเป็นภายใน. อาโปธาตุอันเป็นภายในด้วย อาโปธาตุอันเป็นภายนอกด้วย นั้นก็เป็น สักว่าอาโปธาตุ เท่านั้น. ใครๆ พึงเห็นอาโปธาตุนั้นด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริง อย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่ใช่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา ; http://etipitaka.com/read/pali/13/136/?keywords=เนตํ+มม+เนโสหมสฺมิ+เมโส+อตฺตาติ ครั้นเห็นอาโปธาตุนั้นด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริง อย่างนี้แล้ว จิตย่อมเบื่อหน่ายต่ออาโปธาตุ ย่อมคลายกำหนัดจากอาโปธาตุ. +--ราหุล ! เธอจงอบรมจิตให้เสมอด้วยน้ำ (อาโป) เถิด. เมื่อเธออบรมจิตให้เสมอด้วยน้ำอยู่, ผัสสะทั้งหลายที่น่าพอใจและไม่น่าพอใจอันเกิดขึ้นแล้ว จักไม่กลุ้มรุมจิตตั้งอยู่. [ข้อความต่อไปจากนี้ ตรัสถึงการที่น้ำไม่อึดอัดระอาต่อสิ่งปฎิกูลและไม่ปฎิกูลนานาชนิด (ดังที่กล่าวมาแล้วในตอนที่ว่าด้วยธาตุดิน) ที่เขาล้างลงไปในน้ำ, อันเป็นอุปมาของจิตที่อบรมแล้วเสมอด้วยน้ำ ฉันใดก็ฉันนั้น]​. --ราหุล ! เตโชธาตุ เป็นอย่างไรเล่า ? เตโชธาตุมีทั้งที่เป็นภายในและเป็นภายนอก. +--ราหุล ! เตโชธาตุที่เป็นภายใน เป็นอย่างไรเล่า ? เตโชธาตุอันใด อันเป็นภายใน เฉพาะตน เป็นของเผาผลาญ อันอุปาทานเข้าไปถือเอาแล้ว, ตัวอย่างเช่น ไฟที่ยังกายให้อบอุ่น ไฟที่ยังกายให้ทรุดโทรม ไฟที่ยังกายให้กระวนกระวาย และไฟที่เผาอาหารอันกินแล้ว ดื่มแล้ว เคี้ยวแล้ว ลิ้มแล้ว ให้แปรไปโดยชอบ นี้ก็ดี; หรือจะยังมีเตโชธาตุ อันเป็นภายใน เฉพาะตน เป็นของเผาผลาญ อันอุปาทาน เข้าไปถือเอาแล้ว ไรๆ อื่นนอกไปจากนี้ อันใดก็ดี. +--ราหุล ! เตโชธาตุทั้งสองประเภทนี้ เรียกว่า #เตโชธาตุ อันเป็นภายใน. เตโชธาตุอันเป็นภายนอกใน เตโชธาตุอันเป็นภายนอกด้วย นั้นก็เป็น สักว่าเตโชธาตุ เท่านั้น. ใครๆ พึงเห็นเตโชธาตุนั้นด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริง อย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่ใช่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา ; http://etipitaka.com/read/pali/13/136/?keywords=เนตํ+มม+เนโสหมสฺมิ+เมโส+อตฺตาติ ครั้นเห็นเตโชธาตุนั้นด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงอย่างนี้แล้ว จิตย่อมเบื่อหน่ายต่อเตโชธาตุ ย่อมคลายกำหนัดจากเตโชธาตุ. +--ราหุล ! เธอจงอบรมจิตให้เสมอด้วยไฟ (เตโช) เถิด. เมื่อเธออบรมจิตให้เสมอด้วยไฟอยู่, ผัสสะทั้งหลายที่น่าพอใจและไม่น่าพอใจ อันเกิดขึ้นแล้ว จักไม่กลุ้มรุมจิตตั้งอยู่. [ข้อความต่อไปจากนี้ ตรัสถึงการที่ไฟไม่อึดอัดระอาต่อสิ่งปฎิกูลและไม่ปฎิกูลนานาชนิด (ดังที่กล่าวมาแล้วในตอนที่ว่าด้วยธาตุดิน) ที่เขาทิ้งลงไปให้มันไหม้, อันเป็นอุปมาของจิตที่อบรมแล้วเสมอด้วยไฟ ฉันใดก็ฉันนั้น]​. --ราหุล ! วาโยธาตุ เป็นอย่างไรเล่า ? วาโยธาตุมีทั้งที่เป็นภายในและเป็นภายนอก. +--ราหุล ! วาโยธาตุที่เป็นภายใน เป็นอย่างไรเล่า ? วาโยธาตุอันใด อันเป็นภายใน เฉพาะตน เป็นของพัดไปมา อันอุปาทาน เข้าไปถือเอาแล้ว, ตัวอย่างเช่น ลมพัดขึ้นเบื้องบน ลมพัดลงเบื้องต่ำ ลมในท้อง ลมในไส้ ลมแล่นไปตามอวัยวะน้อยใหญ่ ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก นี้ก็ดี; หรือจะยังมีวาโยธาตุ อันเป็นภายใน เฉพาะตน เป็นของพัดไปมา อันอุปาทาน เข้าไปถือเอาแล้ว ไรๆ อื่นนอกไปจากนี้ อันใดก็ดี. +--ราหุล ! วาโยธาตุทั้งสองประเภทนี้ เรียกว่า #วาโยธาตุ อันเป็นภายใน. วาโยธาตุอันเป็นภายในด้วย วาโยธาตุอันเป็นภายนอกด้วย นั้นก็เป็น สักว่าวาโยธาตุ เท่านั้น. ใครๆ พึงเห็นวาโยธาตุนั้นด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริง อย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่ใช่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา ; http://etipitaka.com/read/pali/13/137/?keywords=เนตํ+มม+เนโสหมสฺมิ+เมโส+อตฺตาติ ครั้นเห็นวาโยธาตุนั้นด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริง อย่างนี้แล้ว จิตย่อมเบื่อหน่ายต่อวาโยธาตุ ย่อมคลายกำหนัดจากวาโยธาตุ. +--ราหุล ! เธอจงอบรมจิตให้เสมอด้วยลม (วาโย) เถิด เมื่อเธออบรมจิตให้เสมอด้วยลมอยู่, ผัสสะทั้งหลายที่น่าพอใจและไม่น่าพอใจ อันเกิดขึ้นแล้ว จักไม่กลุ้มรุมจิตตั้งอยู่. [ข้อความต่อไปจากนี้ ตรัสถึงการที่ลมไม่อึดอัดระอาต่อสิ่งปฎิกูลและไม่ปฎิกูลนานาชนิด (ดังที่กล่าวมาแล้วในตอนที่ว่าด้วยธาตุดิน) ที่ลมพัดผ่านเข้าไป, อันเป็นอุปมาของจิตที่อบรมแล้วเสมอด้วยลม ฉันใดก็ฉันนั้น]​. --ราหุล ! อากาสธาตุ เป็นอย่างไรเล่า ? อากาสธาตุมีทั้งที่เป็นภายในและเป็นภายนอก. +--ราหุล ! อากาสธาตุที่เป็นภายใน เป็นอย่างไรเล่า ? อากาสธาตุอันใด อันเป็นภายใน เฉพาะตน เป็นของแสดงลักษณะแห่งความว่าง อันอุปาทานเข้าไปถือเอาแล้ว, ตัวอย่างเช่น ช่องหู ช่องจมูก ช่องปาก ที่ว่าง ที่อาหารอันกินแล้ว ดื่มแล้ว เคี้ยวแล้ว ลิ้มแล้ว ผ่านไป ที่ว่างที่อาหารอันกินแล้ว ดื่มแล้ว เคี้ยวแล้ว ลิ้มแล้ว ตั้งอยู่ ช่องที่อาหารอันกินแล้ว ดื่มแล้ว เคี้ยวแล้ว ลิ้มแล้ว ออกสู่เบื้องล่าง นี้ก็ดี ; หรือจะยังมีอากาสธาตุ อันเป็นภายในเฉพาะตน เป็นของแสดงลักษณะแห่งความว่าง ไรๆ อื่นนอกไปจากนี้ ซึ่งไม่ตัน มีลักษณะไม่ตัน เป็นของเปิด มีลักษณะเปิด อันเนื้อและเลือดไม่เข้าไปบรรจุอยู่อันเป็นภายใน อันอุปาทาน เข้าไปถือเอาแล้ว อันใดก็ดี. +--ราหุล ! อากาสธาตุทั้งสองประเภทนี้ เรียกว่า #อากาสธาตุ อันเป็นภายใน. อากาสธาตุอันเป็นภายในด้วย อากาสธาตุอันเป็นภายนอกด้วย นั้นก็เป็น สักว่าอากาสธาตุ เท่านั้น. ใครๆ พึงเห็นอากาสธาตุนั้นด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริง อย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่ใช่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา ; http://etipitaka.com/read/pali/13/138/?keywords=เนตํ+มม+เนโสหมสฺมิ+เมโส+อตฺตาติ ครั้นเห็นอากาสธาตุนั้นด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริง อย่างนี้แล้ว จิตย่อมเบื่อหน่ายต่ออากาสธาตุ ย่อมคลายกำหนัดจากอากาสธาตุ. +--ราหุล ! เธอจงอบรมจิตให้เสมอด้วยอากาสเถิด. เมื่อเธออบรมจิตให้เสมอด้วยอากาสอยู่, ผัสสะทั้งหลายที่น่าพอใจและไม่น่าพอใจอันเกิดขึ้นแล้ว จักไม่กลุ้มรุมจิตตั้งอยู่. +--ราหุล ! เปรียบเหมือนอากาส เป็นสิ่งมิได้ตั้งอยู่เฉพาะในที่ไรๆ, นี้ฉันใด; +--ราหุล ! เธอจงอบรมจิตให้เสมอด้วยอากาสเถิด. เมื่อเธออบรมจิตให้เสมอด้วยอากาสอยู่, ผัสสะทั้งหลายที่น่าพอใจและไม่น่าพอใจอันเกิดขึ้นแล้ว จักไม่กลุ้มรุมจิตตั้งอยู่, ฉันนั้นเหมือนกัน.- อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - -- ม. ม.๑๓/๑๓๕-๑๔๐/๑๓๕+๑๔๐, ๑๓๖+๑๔๑, ๑๓๗+๑๔๒, ๑๓๘+๑๔๓, ๑๓๙+๑๔๔. http://etipitaka.com/read/pali/13/135/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%93%E0%B9%95 ถึง http://etipitaka.com/read/pali/13/140/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%94%E0%B9%90 --สัมมาทิฏฐิ ในอาเนญชสัปปายปฏิปทา ๑. ข้อที่หนึ่ง --ภิกษุ ท. ! ในข้อที่กามเป็นอันตรายแก่อริยสาวกผู้ศึกษาอยู่ในธรรมวินัยนี้นั้น อริยสาวกย่อมพิจารณาเห็นโดยประจักษ์ ดังนี้ว่า “กามและกามสัญญาอันเป็นไปในทิฏฐธรรม (ภพนี้) และเป็นไปในสัมปรายะ (ภพอื่น) ทั้งสองอย่างนั้นเป็นบ่วงมาร เป็นวิสัยแห่งมาร เป็นเหยื่อแห่งมาร เป็นที่เที่ยวแห่งมาร. ในบ่วงแห่งมารนี้ บาปอกุศลทางใจเหล่านี้ เป็นอภิชฌาบ้าง เป็นพยาบาทบ้าง เป็นสารัมภะ (ความแข่งดี) บ้าง ย่อมเป็นไป ; บาปอกุศลเหล่านั้น ย่อมมีเพื่อเป็นอันตรายแก่อริยสาวกผู้ตามศึกษาอยู่ในธรรมวินัยนี้. ถ้าอย่างไร เราพึงมีจิตเป็นมหัคคตะอันไพบูลย์ อธิษฐานจิตครอบงำโลก อยู่เถิด ; เมื่อเรามีจิตเป็นมหัคคตะอันไพบูลย์ อธิษฐานจิตครอบงำโลกอยู่, บาปอกุศลทางใจเป็นอภิชฌาบ้าง เป็นพยาบาทบ้าง เป็นสารัมภะบ้าง เหล่านั้น จักไม่มี; เพราะละบาปอกุศลเหล่านั้นเสียได้ จิตของเราก็จักเป็นจิตมีคุณไม่เล็กน้อย เป็นจิตไม่มี ประมาณเป็นจิตอันอบรมดีแล้ว” ดังนี้. +--เมื่ออริยสาวกนั้น ปฏิบัติแล้วอย่างนี้ เป็นผู้มากด้วยการปฏิบัติอย่างนี้ อยู่, จิตย่อมเลื่อมใสในอายตนะ*--๑ เมื่อจิตเลื่อมใสสมบูรณ์ เขาก็จะเข้าถึงเพราะข้อปฏิบัติดังกล่าวแล้วข้างต้น ทำให้ง่ายและสะดวกแก่การลุถึงภพประเภทนี้ จึงได้ชื่อว่า #อาเนญชสัปปายปฏิปทา. http://etipitaka.com/read/pali/14/75/?keywords=อาเนญฺชสปฺปายา +--ข้อปฏิบัติเหล่านี้เป็นฝ่ายสมถะ ซึ่งเป็นปัจจัยแก่เจโตวิมุตติโดยตรง แต่ก็เป็นปัจจัยแก่วิปัสสนาได้ด้วย ดังนั้นท่านจึงกล่าวอานิสงส์ของคำนี้ว่า เพื่อเข้าถึงอาเนญชะหรือน้อมไปเพื่อปัญญาก็ได้. +--อาเนญช (สมาบัติ) ในกาลนั้นหรือน้อมไปเพื่อปัญญา. ภายหลังแต่การตายเพราะการทำลายแห่งกาย ฐานะที่พึงมีได้ก็คือ วิญญาณที่เป็นไป ก็จะเป็น วิญญาณที่เข้าถึงซึ่งภพในระดับอาเนญชะ. +--ภิกษุ ท. ! นี้เรากล่าวว่า เป็น #อาเนญชสัปปายปฏิปทา ข้อที่หนึ่ง. ----- *--๑. คำว่า อายตนะ ในที่นี้ ไม่หมายถึงนิพพาน อันเป็นอายตนะสูงสุด ซึ่งเป็นที่รู้จักกันทั่วไป แต่หมายถึงอายตนะคือภาวะแห่งอรูปฌานทั้งสี่ คือ อากาสานัญจายตนะ ฯลฯ เนวสัญญานาสัญญายตนะ ; โดยเฉพาะ เพราะไม่มีรูปหรือสัญญาในรูปอันเป็นที่ตั้งแห่งความหวั่นไหว, แต่บางมติหมายต่ำลงมาถึงจตุตถฌานอันเป็นอาเนญชะในขั้นริเริ่ม ซึ่งยังไม่สมบูรณ์เพราะยังอาศัยสิ่งซึ่งมีรูปหรือรูปสัญญาอยู่. ๒.ข้อที่สอง --ภิกษุ ท. ! ข้ออื่นยังมีอีก : อริยสาวก ย่อมพิจารณาเห็นโทษโดยประจักษ์ ดังนี้ว่า “กามและกามสัญญาอันเป็นไปในทิฏฐธรรมและเป็นไปในสัมปรายะ อันเป็นรูปอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งหมดนั้นเป็นเพียงสักว่ารูป คือเป็นเพียงมหาภูตรูปสี่ และรูปอาศัยมหาภูตรูปสี่นั้นอยู่ เท่านั้น” ดังนี้. +--เมื่ออริยสาวกนั้น ปฏิบัติแล้วอย่างนี้ เป็นผู้มากด้วยการปฏิบัติอย่างนี้ อยู่, จิตย่อมเลื่อมใสในอายตนะ. เมื่อมีจิตเลื่อมใสสมบูรณ์ เขาก็จะเข้าถึงอาเนญช (สมาบัติ) ในกาลนั้น หรือน้อมไปเพื่อปัญญา ภายหลังแต่การตายเพราะการทำลายแห่งกาย ฐานะที่พึงมีได้ก็คือ วิญญาณที่เป็นไป ก็จะเป็นวิญญาณที่เข้าถึง ซึ่งภพในระดับอาเนญชะ. +--ภิกษุ ท. ! นี้เรากล่าวว่า เป็น #อาเนญชสัปปายปฏิปทา ข้อที่สอง. http://etipitaka.com/read/pali/14/75/?keywords=อาเนญฺชสปฺปายา ๓.ข้อที่สาม --ภิกษุ ท. ! ข้ออื่นยังมีอีก : อริยสาวก ย่อมพิจารณาเห็นโดยประจักษ์ ดังนี้ว่า “กามและกามสัญญา อันเป็นไปในทิฏฐธรรมและเป็นไปในสัมปรายะก็ดี รูปและรูปสัญญา อันเป็นไปในทิฎฐธรรมและเป็นไปในสัมปรายะ ก็ดี ทั้งสองอย่างนั้น เป็นอนิจจัง สิ่งใดเป็นอนิจจัง สิ่งนั้นไม่ควรเพื่อจะเพลิดเพลิน พร่ำสรรเสริญ สยบมัวเมา” ดังนี้. +--เมื่ออริยสาวกนั้น ปฏิบัติแล้วอย่างนี้ เป็นผู้มากด้วยการปฏิบัติอย่างนี้อยู่, จิตย่อมเลื่อมใสในอายตนะ. เมื่อมีจิตเลื่อมใสสมบูรณ์ เขาก็จะเข้าถึงอาเนญช (สมาบัติ) ในกาลนั้น หรือน้อมไปเพื่อปัญญา. ภายหลังแต่การตายเพราะการทำลายแห่งกาย ฐานะที่พึงมีได้ก็คือ วิญญาณที่เป็นไป ก็จะเป็นวิญญาณที่เข้าถึงซึ่งภพในระดับอาเนญชะ. --ภิกษุ ท. ! นี้เรากล่าวว่าเป็น #อาเนญชสัปปายปฏิปทา ข้อที่สาม.- http://etipitaka.com/read/pali/14/76/?keywords=อาเนญฺชสปฺปายา #สัมมาทิฏฐิ #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - อุปริ. ม. 14/57-58/82-84. http://etipitaka.com/read/thai/14/57/?keywords=%E0%B9%98%E0%B9%92 ถึง http://etipitaka.com/read/thai/14/58/?keywords=%E0%B9%98%E0%B9%94 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - อุปริ. ม. ๑๔/๗๔-๗๕/๘๒-๘๔. http://etipitaka.com/read/pali/14/74/?keywords=%E0%B9%98%E0%B9%92 ถึง http://etipitaka.com/read/pali/14/75/?keywords=%E0%B9%98%E0%B9%94 ศึกษาเพิ่มเติม.. https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=745 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=56&id=745 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=56 ลำดับสาธยายธรรม : 56 ฟังเสียงอ่าน.... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_56.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - ข้อปฎิบัติเกี่ยวกับธาตุห้า
    -ข้อปฎิบัติเกี่ยวกับธาตุห้า ราหุล ! รูป อย่างใดอย่างหนึ่ง อันเป็นภายใน เฉพาะตน เป็นของหยาบ มีลักษณะแข้นแข็ง อันอุปาทาน (ของคนหรือสัตว์) เข้าไปถือเอาแล้ว. ตัวอย่างเช่น ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ไต หัวใจ ตับ พังผืด ม้าม ปอด ลำไส้ ลำไส้สุด อาหารในกระเพาะ อุจจาระ; หรือจะยังมีรูปแม้อื่น อันเป็นภายใน เฉพาะตน เป็นของหยาบ มีลักษณะแข้นแข็ง อันอุปาทาน (ของคนหรือสัตว์) เข้าไปถือเอาแล้ว อย่างเดียวกันนี้. ราหุล ! นี้ เรียกว่า ปฐวีธาตุ อันเป็นภายใน. ปฐวีธาตุอันใด อันเป็นภายในด้วย ปฐวีธาตุอันเป็นภายนอกด้วย นั้นก็เป็น สักว่าปฐวีธาตุ เสมอกัน. ใครๆ พึงเห็นปฐวีธาตุนั้นด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริง อย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่ใช่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา ; ครั้นเห็นปฐวีธาตุนั้นด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริง อย่างนี้แล้ว จิตย่อมเบื่อหน่ายต่อปฐวีธาตุ ย่อมคลายกำหนัดจากปฐวีธาตุ. ราหุล ! เธอจงอบรมจิตให้เสมอด้วยแผ่นดิน (ปฐวี) เถิด. เมื่อเธออบรมจิตให้เสมอด้วยแผ่นดิน อยู่, ผัสสะทั้งหลายที่น่าพอใจและไม่น่าพอใจอันเกิดขึ้นแล้ว จักไม่กลุ้มรุมจิตตั้งอยู่. ราหุล ! เปรียบเหมือนเมื่อคนเขาทิ้งของสะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้าง ทิ้งคูถบ้าง ทิ้งมูตรบ้าง ทิ้งน้ำลายบ้าง หนองบ้าง โลหิตบ้าง ลงบนแผ่นดิน แผ่นดินก็ไม่รู้สึกอึดอัดระอารังเกียจ ด้วยสิ่งเหล่านั้น, นี้ฉันใด; ราหุล ! เธอจงอบรมจิตให้เสมอด้วยแผ่นดินเถิด. เมื่อเธออบรมจิตให้เสมอด้วยแผ่นดินอยู่, ผัสสะทั้งหลายที่น่าพอใจและไม่น่าพอใจอันเกิดขึ้นแล้ว จักไม่กลุ้มรุมจิตตั้งอยู่ ฉันนั้นเหมือนกัน. ราหุล ! อาโปธาตุ เป็นอย่างไรเล่า ? อาโปธาตุมีทั้งที่เป็นภายในและเป็นภายนอก. ราหุล ! อาโปธาตุที่เป็นภายใน เป็นอย่างไรเล่า ? อาโปธาตุอันใด อันเป็นภายใน เฉพาะตน เป็นของเหลว อันอุปาทาน (ของคนหรือของสัตว์) เข้าไปถือเอาแล้ว, ตัวอย่างเช่น น้ำดี เสลด หนอง โลหิต เหงื่อ มัน น้ำตา น้ำเหลือง น้ำลาย น้ำเมือก น้ำหล่อลื่นข้อ น้ำมูตร นี้ก็ดี; หรือจะยังมี อาโปธาตุ อันเป็นภายใน เฉพาะตน เป็นของเหลว อันอุปาทานเข้าไปถือเอาแล้ว ไรๆ อื่นนอกไปจากนี้ อันใดก็ดี. ราหุล ! อาโปธาตุทั้งสองประเภทนี้ เรียกว่า อาโปธาตุ อันเป็นภายใน. อาโปธาตุอันเป็นภายในด้วย อาโปธาตุอันเป็นภายนอกด้วย นั้นก็เป็น สักว่าอาโปธาตุ เท่านั้น. ใครๆ พึงเห็นอาโปธาตุนั้นด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริง อย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่ใช่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา ; ครั้นเห็นอาโปธาตุนั้นด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริง อย่างนี้แล้ว จิตย่อมเบื่อหน่ายต่ออาโปธาตุ ย่อมคลายกำหนัดจากอาโปธาตุ. ราหุล ! เธอจงอบรมจิตให้เสมอด้วยน้ำ (อาโป) เถิด. เมื่อเธออบรมจิตให้เสมอด้วยน้ำอยู่, ผัสสะทั้งหลายที่น่าพอใจและไม่น่าพอใจอันเกิดขึ้นแล้ว จักไม่กลุ้มรุมจิตตั้งอยู่. [ข้อความต่อไปจากนี้ ตรัสถึงการที่น้ำไม่อึดอัดระอาต่อสิ่งปฎิกูลและไม่ปฎิกูลนานาชนิด (ดังที่กล่าวมาแล้วในตอนที่ว่าด้วยธาตุดิน) ที่เขาล้างลงไปในน้ำ, อันเป็นอุปมาของจิตที่อบรมแล้วเสมอด้วยน้ำ ฉันใดก็ฉันนั้น]. ราหุล ! เตโชธาตุ เป็นอย่างไรเล่า ? เตโชธาตุมีทั้งที่เป็นภายในและเป็นภายนอก. ราหุล ! เตโชธาตุที่เป็นภายใน เป็นอย่างไรเล่า ? เตโชธาตุอันใด อันเป็นภายใน เฉพาะตน เป็นของเผาผลาญ อันอุปาทานเข้าไปถือเอาแล้ว, ตัวอย่างเช่น ไฟที่ยังกายให้อบอุ่น ไฟที่ยังกายให้ทรุดโทรม ไฟที่ยังกายให้กระวนกระวาย และไฟที่เผาอาหารอันกินแล้ว ดื่มแล้ว เคี้ยวแล้ว ลิ้มแล้ว ให้แปรไปโดยชอบ นี้ก็ดี; หรือจะยังมีเตโชธาตุ อันเป็นภายใน เฉพาะตน เป็นของเผาผลาญ อันอุปาทาน เข้าไปถือเอาแล้ว ไรๆ อื่นนอกไปจากนี้ อันใดก็ดี. ราหุล ! เตโชธาตุทั้งสองประเภทนี้ เรียกว่า เตโชธาตุอันเป็นภายใน. เตโชธาตุอันเป็นภายนอกใน เตโชธาตุอันเป็นภายนอกด้วย นั้นก็เป็น สักว่าเตโชธาตุ เท่านั้น. ใครๆ พึงเห็นเตโชธาตุนั้นด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริง อย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่ใช่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา ; ครั้นเห็นเตโชธาตุนั้นด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงอย่างนี้แล้ว จิตย่อมเบื่อหน่ายต่อเตโชธาตุ ย่อมคลายกำหนัดจากเตโชธาตุ. ราหุล ! เธอจงอบรมจิตให้เสมอด้วยไฟ (เตโช) เถิด. เมื่อเธออบรมจิตให้เสมอด้วยไฟอยู่, ผัสสะทั้งหลายที่น่าพอใจและไม่น่าพอใจ อันเกิดขึ้นแล้ว จักไม่กลุ้มรุมจิตตั้งอยู่. [ข้อความต่อไปจากนี้ ตรัสถึงการที่ไฟไม่อึดอัดระอาต่อสิ่ง ปฎิกูลและไม่ปฎิกูลนานาชนิด (ดังที่กล่าวมาแล้วในตอนที่ว่าด้วยธาตุดิน) ที่เขาทิ้งลงไปให้มันไหม้, อันเป็นอุปมาของจิตที่อบรมแล้วเสมอด้วยไฟ ฉันใดก็ฉันนั้น]. ราหุล ! วาโยธาตุ เป็นอย่างไรเล่า ? วาโยธาตุมีทั้งที่เป็นภายในและเป็นภายนอก. ราหุล ! วาโยธาตุที่เป็นภายใน เป็นอย่างไรเล่า ? วาโยธาตุอันใด อันเป็นภายใน เฉพาะตน เป็นของพัดไปมา อันอุปาทาน เข้าไปถือเอาแล้ว, ตัวอย่างเช่น ลมพัดขึ้นเบื้องบน ลมพัดลงเบื้องต่ำ ลมในท้อง ลมในไส้ ลมแล่นไปตามอวัยวะน้อยใหญ่ ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก นี้ก็ดี; หรือจะยังมีวาโยธาตุ อันเป็นภายใน เฉพาะตน เป็นของพัดไปมา อันอุปาทาน เข้าไปถือเอาแล้ว ไรๆ อื่นนอกไปจากนี้ อันใดก็ดี. ราหุล ! วาโยธาตุทั้งสองประเภทนี้ เรียกว่าวาโยธาตุอันเป็นภายใน. วาโยธาตุอันเป็นภายในด้วย วาโยธาตุอันเป็นภายนอกด้วย นั้นก็เป็น สักว่าวาโยธาตุ เท่านั้น. ใครๆ พึงเห็นวาโยธาตุนั้นด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริง อย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่ใช่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา ; ครั้นเห็นวาโยธาตุนั้นด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริง อย่างนี้แล้ว จิตย่อมเบื่อหน่ายต่อวาโยธาตุ ย่อมคลายกำหนัดจากวาโยธาตุ. ราหุล ! เธอจงอบรมจิตให้เสมอด้วยลม (วาโย) เถิด เมื่อเธออบรมจิตให้เสมอด้วยลมอยู่, ผัสสะทั้งหลายที่น่าพอใจและไม่น่าพอใจ อันเกิดขึ้นแล้ว จักไม่กลุ้มรุมจิตตั้งอยู่. [ข้อความต่อไปจากนี้ ตรัสถึงการที่ลมไม่อึดอัดระอาต่อสิ่งปฎิกูลและไม่ปฎิกูลนานาชนิด (ดังที่กล่าวมาแล้วในตอนที่ว่าด้วยธาตุดิน) ที่ลมพัดผ่านเข้าไป, อันเป็นอุปมาของจิตที่อบรมแล้วเสมอด้วยลม ฉันใดก็ฉันนั้น]. ราหุล ! อากาสธาตุ เป็นอย่างไรเล่า ? อากาสธาตุมีทั้งที่เป็นภายในและเป็นภายนอก. ราหุล ! อากาสธาตุที่เป็นภายใน เป็นอย่างไรเล่า ? อากาสธาตุอันใด อันเป็นภายใน เฉพาะตน เป็นของแสดงลักษณะแห่งความว่าง อันอุปาทานเข้าไปถือเอาแล้ว, ตัวอย่างเช่น ช่องหู ช่องจมูก ช่องปาก ที่ว่างที่อาหารอันกินแล้ว ดื่มแล้ว เคี้ยวแล้ว ลิ้มแล้ว ผ่านไป ที่ว่างที่อาหารอันกินแล้ว ดื่มแล้ว เคี้ยวแล้ว ลิ้มแล้ว ตั้งอยู่ ช่องที่อาหารอันกินแล้ว ดื่มแล้ว เคี้ยวแล้ว ลิ้มแล้ว ออกสู่เบื้องล่าง นี้ก็ดี ; หรือจะยังมีอากาสธาตุ อันเป็นภายในเฉพาะตน เป็นของแสดงลักษณะแห่งความว่าง ไรๆ อื่นนอกไปจากนี้ ซึ่งไม่ตัน มีลักษณะไม่ตัน เป็นของเปิด มีลักษณะเปิด อันเนื้อและเลือดไม่เข้าไปบรรจุอยู่อันเป็นภายใน อันอุปาทาน เข้าไปถือเอาแล้ว อันใดก็ดี. ราหุล ! อากาสธาตุทั้งสองประเภทนี้ เรียกว่าอากาสธาตุอันเป็นภายใน. อากาสธาตุอันเป็นภายในด้วย อากาสธาตุอันเป็นภายนอกด้วย นั้นก็เป็น สักว่าอากาสธาตุ เท่านั้น. ใครๆ พึงเห็นอากาสธาตุนั้นด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริง อย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่ใช่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา ; ครั้นเห็นอากาสธาตุนั้นด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริง อย่างนี้แล้ว จิตย่อมเบื่อหน่ายต่ออากาสธาตุ ย่อมคลายกำหนัดจากอากาสธาตุ. ราหุล ! เธอจงอบรมจิตให้เสมอด้วยอากาสเถิด. เมื่อเธออบรมจิตให้เสมอด้วยอากาสอยู่, ผัสสะทั้งหลายที่น่าพอใจและไม่น่าพอใจอันเกิดขึ้นแล้ว จักไม่กลุ้มรุมจิตตั้งอยู่. ราหุล ! เปรียบเหมือนอากาส เป็นสิ่งมิได้ตั้งอยู่เฉพาะในที่ไรๆ, นี้ฉันใด; ราหุล ! เธอจงอบรมจิตให้เสมอด้วยอากาสเถิด. เมื่อเธออบรมจิตให้เสมอด้วยอากาสอยู่, ผัสสะทั้งหลายที่น่าพอใจและไม่น่าพอใจอันเกิดขึ้นแล้ว จักไม่กลุ้มรุมจิตตั้งอยู่, ฉันนั้นเหมือนกัน. ม. ม.๑๓/๑๓๕-๑๔๐/๑๓๕+๑๔๐, ๑๓๖+๑๔๑, ๑๓๗+๑๔๒, ๑๓๘+๑๔๓, ๑๓๙+๑๔๔. สัมมาทิฏฐิ ในอาเนญชสัปปายปฏิปทา ข้อที่หนึ่ง ภิกษุ ท. ! ในข้อที่กามเป็นอันตรายแก่อริยสาวกผู้ศึกษาอยู่ในธรรมวินัยนี้นั้น อริยสาวกย่อมพิจารณาเห็นโดยประจักษ์ ดังนี้ว่า “กามและกามสัญญาอันเป็นไปในทิฏฐธรรม (ภพนี้) และเป็นไปในสัมปรายะ (ภพอื่น) ทั้งสองอย่างนั้นเป็นบ่วงมาร เป็นวิสัยแห่งมาร เป็นเหยื่อแห่งมาร เป็นที่เที่ยวแห่งมาร. ในบ่วงแห่งมารนี้ บาปอกุศลทางใจเหล่านี้ เป็นอภิชฌาบ้าง เป็นพยาบาทบ้าง เป็นสารัมภะ (ความแข่งดี) บ้าง ย่อมเป็นไป ; บาปอกุศลเหล่านั้น ย่อมมีเพื่อเป็นอันตรายแก่อริยสาวกผู้ตามศึกษาอยู่ในธรรมวินัยนี้. ถ้าอย่างไร เราพึงมีจิตเป็นมหัคคตะอันไพบูลย์ อธิษฐานจิตครอบงำโลก อยู่เถิด ; เมื่อเรามีจิตเป็นมหัคคตะอันไพบูลย์ อธิษฐานจิตครอบงำโลกอยู่, บาปอกุศลทางใจเป็นอภิชฌาบ้าง เป็นพยาบาทบ้าง เป็นสารัมภะบ้าง เหล่านั้น จักไม่มี; เพราะละบาปอกุศลเหล่านั้นเสียได้ จิตของเราก็จักเป็นจิตมีคุณไม่เล็กน้อย เป็นจิตไม่มี ประมาณเป็นจิตอันอบรมดีแล้ว” ดังนี้. เมื่ออริยสาวกนั้น ปฏิบัติแล้วอย่างนี้ เป็นผู้มากด้วยการปฏิบัติอย่างนี้ อยู่, จิตย่อมเลื่อมใสในอายตนะ๑ เมื่อจิตเลื่อมใสสมบูรณ์ เขาก็จะเข้าถึง ๑. คำว่า อายตนะ ในที่นี้ ไม่หมายถึงนิพพาน อันเป็นอายตนะสูงสุด ซึ่งเป็นที่รู้จักกันทั่วไป แต่หมายถึงอายตนะคือภาวะแห่งอรูปฌานทั้งสี่ คือ อากาสานัญจายตนะ ฯลฯ เนวสัญญานาสัญญายตนะ โดยเฉพาะ เพราะไม่มีรูปหรือสัญญาในรูปอันเป็นที่ตั้งแห่งความหวั่นไหว, แต่บางมติหมายต่ำลงมาถึงจตุตถฌานอันเป็นอาเนญชะในขั้นริเริ่ม ซึ่งยังไม่สมบูรณ์เพราะยังอาศัยสิ่งซึ่งมีรูปหรือรูปสัญญาอยู่. เพราะข้อปฏิบัติดังกล่าวแล้วข้างต้น ทำให้ง่ายและสะดวกแก่การลุถึงภพประเภทนี้ จึงได้ชื่อว่า อาเนญชสัปปายปฏิปทา. ข้อปฏิบัติเหล่านี้เป็นฝ่ายสมถะ ซึ่งเป็นปัจจัยแก่เจโตวิมุตติโดยตรง แต่ก็เป็นปัจจัยแก่วิปัสสนาได้ด้วย ดังนั้นท่านจึงกล่าวอานิสงส์ของคำนี้ว่า เพื่อเข้าถึงอาเนญชะหรือน้อมไปเพื่อปัญญาก็ได้. อาเนญช (สมาบัติ) ในกาลนั้นหรือน้อมไปเพื่อปัญญา. ภายหลังแต่การตายเพราะการทำลายแห่งกาย ฐานะที่พึงมีได้ก็คือ วิญญาณที่เป็นไป ก็จะเป็น วิญญาณที่เข้าถึงซึ่งภพในระดับอาเนญชะ. ภิกษุ ท. ! นี้เรากล่าวว่า เป็น อาเนญชสัปปายปฏิปทาข้อที่หนึ่ง. ข้อที่สอง ภิกษุ ท. ! ข้ออื่นยังมีอีก : อริยสาวก ย่อมพิจารณาเห็นโทษโดยประจักษ์ ดังนี้ว่า “กามและกามสัญญาอันเป็นไปในทิฏฐธรรมและเป็นไปในสัมปรายะ อันเป็นรูปอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งหมดนั้นเป็นเพียงสักว่ารูป คือเป็นเพียงมหาภูตรูปสี่ และรูปอาศัยมหาภูตรูปสี่นั้นอยู่ เท่านั้น” ดังนี้. เมื่ออริยสาวกนั้น ปฏิบัติแล้วอย่างนี้ เป็นผู้มากด้วยการปฏิบัติอย่างนี้ อยู่, จิตย่อมเลื่อมใสในอายตนะ. เมื่อมีจิตเลื่อมใสสมบูรณ์ เขาก็จะเข้าถึงอาเนญช (สมาบัติ) ในกาลนั้น หรือน้อมไปเพื่อปัญญา ภายหลังแต่การตายเพราะการทำลายแห่งกาย ฐานะที่พึงมีได้ก็คือ วิญญาณที่เป็นไป ก็จะเป็นวิญญาณที่เข้าถึง ซึ่งภพในระดับอาเนญชะ. ภิกษุ ท. ! นี้เรากล่าวว่า เป็น อาเนญชสัปปายปฏิปทาข้อที่สอง. ข้อที่สาม ภิกษุ ท. ! ข้ออื่นยังมีอีก : อริยสาวก ย่อมพิจารณาเห็นโดยประจักษ์ ดังนี้ว่า “กามและกามสัญญา อันเป็นไปในทิฏฐธรรมและเป็นไปในสัมปรายะก็ดี รูปและรูปสัญญา อันเป็นไปในทิฎฐธรรมและเป็นไปในสัมปรายะ ก็ดี ทั้ง สองอย่างนั้น เป็นอนิจจัง สิ่งใดเป็นอนิจจัง สิ่งนั้นไม่ควรเพื่อจะเพลิดเพลิน พร่ำสรรเสริญ สยบมัวเมา” ดังนี้. เมื่ออริยสาวกนั้น ปฏิบัติแล้วอย่างนี้ เป็นผู้มากด้วยการปฏิบัติอย่างนี้อยู่, จิตย่อมเลื่อมใสในอายตนะ. เมื่อมีจิตเลื่อมใสสมบูรณ์ เขาก็จะเข้าถึงอาเนญช (สมาบัติ) ในกาลนั้น หรือน้อมไปเพื่อปัญญา. ภายหลังแต่การตายเพราะการทำลายแห่งกาย ฐานะที่พึงมีได้ก็คือ วิญญาณที่เป็นไป ก็จะเป็นวิญญาณที่เข้าถึงซึ่งภพในระดับอาเนญชะ. ภิกษุ ท. ! นี้เรากล่าวว่าเป็น อาเนญชสัปปายปฏิปทาข้อที่สาม.
    0 Comments 0 Shares 329 Views 0 Reviews
  • อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​สัมมาทิฏฐิในการเจริญธรรม เพื่อละธรรมสาม
    สัทธรรมลำดับที่ : 744
    ชื่อบทธรรม :- สัมมาทิฏฐิในการเจริญธรรมสาม เพื่อละธรรมสาม
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=744
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --สัมมาทิฏฐิในการเจริญธรรมสาม เพื่อละธรรมสาม (อีกนัยหนึ่ง)
    --ภิกษุ ท. ! ธรรม ๓ อย่างเหล่านี้ มีอยู่.
    สามอย่าง อย่างไรเล่า ?
    สามอย่าง คือ
    กามธาตุ พ๎ยาปาทธาตุ วิหิงสาธาตุ.
    http://etipitaka.com/read/pali/22/497/?keywords=พฺยาปาทธาตุ
    --ภิกษุ ท. ! เหล่านี้แล ธรรม ๓ อย่างนั้น.
    --ภิกษุ ท. ! เพื่อละเสียซึ่งธรรมสามอย่างเหล่านี้ ควรเจริญซึ่งธรรม ๓ อย่าง.
    ธรรมสามอย่าง อย่างไรเล่า ? สามอย่างคือ :-
    +--เจริญ เนกขัมมธาตุ เพื่อละเสียซึ่ง กามธาตุ;
    +--เจริญ อัพ๎ยาปาทสัญญา เพื่อละเสียซึ่ง พ๎ยาปาทธาตุ;
    +--เจริญ อวิหิงสาธาตุ เพื่อละเสียซึ่ง วิหิงสาธาตุ.
    --ภิกษุ ท. ! ธรรม ๓ อย่าง เหล่านี้
    อันบุคคลควรเจริญเพื่อละเสีย ซึ่งธรรมสามอย่างเหล่าโน้นแล.-

    #สัมมาสังกัปปะ
    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์

    อ้างอิงสุตันตปิฎก : - ฉกฺก. อํ. 22/400/382.
    http://etipitaka.com/read/thai/22/400/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%98%E0%B9%92
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ฉกฺก. อํ. ๒๒/๔๙๗/๓๘๒.
    http://etipitaka.com/read/pali/22/497/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%98%E0%B9%92
    ศึกษา​เพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=744
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=56&id=744
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=56
    ลำดับสาธยายธรรม : 56 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_56.mp3
    อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​สัมมาทิฏฐิในการเจริญธรรม เพื่อละธรรมสาม สัทธรรมลำดับที่ : 744 ชื่อบทธรรม :- สัมมาทิฏฐิในการเจริญธรรมสาม เพื่อละธรรมสาม https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=744 เนื้อความทั้งหมด :- --สัมมาทิฏฐิในการเจริญธรรมสาม เพื่อละธรรมสาม (อีกนัยหนึ่ง) --ภิกษุ ท. ! ธรรม ๓ อย่างเหล่านี้ มีอยู่. สามอย่าง อย่างไรเล่า ? สามอย่าง คือ กามธาตุ พ๎ยาปาทธาตุ วิหิงสาธาตุ. http://etipitaka.com/read/pali/22/497/?keywords=พฺยาปาทธาตุ --ภิกษุ ท. ! เหล่านี้แล ธรรม ๓ อย่างนั้น. --ภิกษุ ท. ! เพื่อละเสียซึ่งธรรมสามอย่างเหล่านี้ ควรเจริญซึ่งธรรม ๓ อย่าง. ธรรมสามอย่าง อย่างไรเล่า ? สามอย่างคือ :- +--เจริญ เนกขัมมธาตุ เพื่อละเสียซึ่ง กามธาตุ; +--เจริญ อัพ๎ยาปาทสัญญา เพื่อละเสียซึ่ง พ๎ยาปาทธาตุ; +--เจริญ อวิหิงสาธาตุ เพื่อละเสียซึ่ง วิหิงสาธาตุ. --ภิกษุ ท. ! ธรรม ๓ อย่าง เหล่านี้ อันบุคคลควรเจริญเพื่อละเสีย ซึ่งธรรมสามอย่างเหล่าโน้นแล.- #สัมมาสังกัปปะ #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงสุตันตปิฎก : - ฉกฺก. อํ. 22/400/382. http://etipitaka.com/read/thai/22/400/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%98%E0%B9%92 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ฉกฺก. อํ. ๒๒/๔๙๗/๓๘๒. http://etipitaka.com/read/pali/22/497/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%98%E0%B9%92 ศึกษา​เพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=744 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=56&id=744 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=56 ลำดับสาธยายธรรม : 56 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_56.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - สัมมาทิฏฐิในการเจริญธรรมสาม เพื่อละธรรมสาม
    -สัมมาทิฏฐิในการเจริญธรรมสาม เพื่อละธรรมสาม (อีกนัยหนึ่ง) ภิกษุ ท. ! ธรรม ๓ อย่างเหล่านี้ มีอยู่. สามอย่าง อย่างไรเล่า ? สามอย่าง คือ กามธาตุ พ๎ยาปาทธาตุ วิหิงสาธาตุ. ภิกษุ ท. ! เหล่านี้แล ธรรม ๓ อย่างนั้น. ภิกษุ ท. ! เพื่อละเสียซึ่งธรรมสามอย่างเหล่านี้ ควรเจริญซึ่งธรรม ๓ อย่าง. ธรรมสามอย่าง อย่างไรเล่า ? สามอย่างคือ : เจริญ เนกขัมมธาตุ เพื่อละเสียซึ่ง กามธาตุ; เจริญ อัพ๎ยาปาทสัญญา เพื่อละเสียซึ่ง พ๎ยาปาทวิตก; เจริญ อวิหิงสาธาตุ เพื่อละเสียซึ่ง วิหิงสาธาตุ. ภิกษุ ท. ! ธรรม ๓ อย่าง เหล่านี้ อันบุคคลควรเจริญเพื่อละเสีย ซึ่งธรรมสามอย่างเหล่าโน้นแล.
    0 Comments 0 Shares 215 Views 0 Reviews
  • อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​สัมมาทิฏฐิในการเจริญธรรมสาม เพื่อละธรรมสาม
    สัทธรรมลำดับที่ : 743
    ชื่อบทธรรม :- สัมมาทิฏฐิในการเจริญธรรมสาม เพื่อละธรรมสาม
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=743
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --สัมมาทิฏฐิในการเจริญธรรมสาม เพื่อละธรรมสาม
    (อีกนัยหนึ่ง)
    --ภิกษุ ท. ! ธรรม ๓ อย่าง เหล่านี้ มีอยู่.
    สามอย่าง อย่างไรเล่า ?
    สามอย่าง คือ
    กามวิตก พ๎ยาปาทวิตก วิหิงสาวิตก.
    https://etipitaka.com/read/pali/22/496/?keywords=เนกฺขมฺมวิตกฺ
    --ภิกษุ ท. ! เหล่านี้แล ธรรม ๓ อย่างนั้น.
    --ภิกษุ ท. ! เพื่อละเสียซึ่งธรรมสามอย่างเหล่านี้ ควรเจริญธรรม ๓ อย่าง.
    ธรรมสามอย่าง อย่างไรเล่า ? สามอย่างคือ :-
    ๑.--เจริญ เนกขัมมวิตก เพื่อละเสียซึ่ง กามวิตก;
    ๒.--เจริญ อัพ๎ยาปาทสัญญา เพื่อละเสียซึ่ง พ๎ยาปาทวิตก;
    ๓.--เจริญ อวิหิงสาวิตก เพื่อละเสียซึ่ง วิหิงสาวิตก.
    --ภิกษุ ท. ! ธรรม ๓ อย่าง เหล่านี้
    อันบุคคลควรเจริญเพื่อละเสียซึ่งธรรมสามอย่างเหล่าโน้นแล.-

    #สัมมาสังกับปะ
    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์

    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ฉกฺก. อํ. 22/400/380.
    http://etipitaka.com/read/thai/22/400/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%98%E0%B9%90
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ฉกฺก. อํ. ๒๒/๔๙๖/๓๘๐.
    https://etipitaka.com/read/pali/22/496/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%98%E0%B9%90
    ศึกษาเพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=743
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=56&id=743
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=56
    ลำดับสาธยายธรรม : 56 ฟังเสียงอ่าน....
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_56.mp3
    อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​สัมมาทิฏฐิในการเจริญธรรมสาม เพื่อละธรรมสาม สัทธรรมลำดับที่ : 743 ชื่อบทธรรม :- สัมมาทิฏฐิในการเจริญธรรมสาม เพื่อละธรรมสาม https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=743 เนื้อความทั้งหมด :- --สัมมาทิฏฐิในการเจริญธรรมสาม เพื่อละธรรมสาม (อีกนัยหนึ่ง) --ภิกษุ ท. ! ธรรม ๓ อย่าง เหล่านี้ มีอยู่. สามอย่าง อย่างไรเล่า ? สามอย่าง คือ กามวิตก พ๎ยาปาทวิตก วิหิงสาวิตก. https://etipitaka.com/read/pali/22/496/?keywords=เนกฺขมฺมวิตกฺ --ภิกษุ ท. ! เหล่านี้แล ธรรม ๓ อย่างนั้น. --ภิกษุ ท. ! เพื่อละเสียซึ่งธรรมสามอย่างเหล่านี้ ควรเจริญธรรม ๓ อย่าง. ธรรมสามอย่าง อย่างไรเล่า ? สามอย่างคือ :- ๑.--เจริญ เนกขัมมวิตก เพื่อละเสียซึ่ง กามวิตก; ๒.--เจริญ อัพ๎ยาปาทสัญญา เพื่อละเสียซึ่ง พ๎ยาปาทวิตก; ๓.--เจริญ อวิหิงสาวิตก เพื่อละเสียซึ่ง วิหิงสาวิตก. --ภิกษุ ท. ! ธรรม ๓ อย่าง เหล่านี้ อันบุคคลควรเจริญเพื่อละเสียซึ่งธรรมสามอย่างเหล่าโน้นแล.- #สัมมาสังกับปะ #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์​ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ฉกฺก. อํ. 22/400/380. http://etipitaka.com/read/thai/22/400/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%98%E0%B9%90 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ฉกฺก. อํ. ๒๒/๔๙๖/๓๘๐. https://etipitaka.com/read/pali/22/496/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%98%E0%B9%90 ศึกษาเพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=743 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=56&id=743 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=56 ลำดับสาธยายธรรม : 56 ฟังเสียงอ่าน.... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_56.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - สัมมาทิฏฐิในการเจริญธรรมสาม เพื่อละธรรมสาม
    -สัมมาทิฏฐิในการเจริญธรรมสาม เพื่อละธรรมสาม (อีกนัยหนึ่ง) ภิกษุ ท. ! ธรรม ๓ อย่าง เหล่านี้ มีอยู่. สามอย่าง อย่างไรเล่า ? สามอย่าง คือ กามวิตก พ๎ยาปาทวิตก วิหิงสาวิตก. ภิกษุ ท. ! เหล่านี้แล ธรรม ๓ อย่างนั้น. ภิกษุ ท. ! เพื่อละเสียซึ่งธรรมสามอย่างเหล่านี้ ควรเจริญธรรม ๓ อย่าง. ธรรมสามอย่าง อย่างไรเล่า ? สามอย่างคือ : เจริญ เนกขัมมวิตก เพื่อละเสียซึ่ง กามวิตก; เจริญ อัพ๎ยาปาทสัญญา เพื่อละเสียซึ่ง พ๎ยาปาทวิตก; เจริญ อวิหิงสาวิตก เพื่อละเสียซึ่ง วิหิงสาวิตก. ภิกษุ ท. ! ธรรม ๓ อย่าง เหล่านี้ อันบุคคลควรเจริญเพื่อละเสียซึ่งธรรมสามอย่างเหล่าโน้นแล.
    0 Comments 0 Shares 151 Views 0 Reviews
  • อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​สัมมาทิฏฐิในการเจริญธรรมสาม เพื่อละธรรมสาม
    สัทธรรมลำดับที่ : 742
    ชื่อบทธรรม :- สัมมาทิฏฐิในการเจริญธรรมสาม เพื่อละธรรมสาม
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=742
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --สัมมาทิฏฐิในการเจริญธรรมสาม เพื่อละธรรมสาม
    (อีกนัยหนึ่ง)
    --ภิกษุ ท. ! ธรรม ๓ อย่าง เหล่านี้ มีอยู่.
    สามอย่าง อย่างไรเล่า ? สามอย่าง คือ
    กามสัญญา พ๎ยาปาทสัญญา วิหิงสาสัญญา.
    http://etipitaka.com/read/pali/22/497/?keywords=กามสญฺญา

    --ภิกษุ ท. ! เหล่านี้แล ธรรม ๓ อย่างนั้น.
    --ภิกษุ ท. ! เพื่อละเสียซึ่งธรรมสามอย่างเหล่านี้ ควรเจริญซึ่งธรรม ๓ อย่าง.
    ธรรมสามอย่าง อย่างไรเล่า? สามอย่างคือ :-
    ๑--เจริญ เนกขัมมสัญญา เพื่อละเสียซึ่ง กามสัญญา;
    ๒--เจริญ อัพ๎ยาปาทสัญญา เพื่อละเสียซึ่ง พ๎ยาปาทสัญญา;
    ๓--เจริญ อวิหิงสาสัญญา เพื่อละเสียซึ่ง วิหิงสาสัญญา.
    --ภิกษุ ท. ! ธรรม ๓ อย่าง เหล่านี้
    อันบุคคลควรเจริญเพื่อละเสียซึ่งธรรมสามอย่างเหล่าโน้นแล.-

    #สัมมาสังกับปะ
    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์

    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ฉกฺก. อํ. 22/400/381.
    http://etipitaka.com/read/thai/22/400/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%98%E0%B9%91
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ฉกฺก. อํ. ๒๒/๔๙๗/๓๘๑.
    http://etipitaka.com/read/pali/22/497/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%98%E0%B9%91
    ศึกษา​เพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=742
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=56&id=742
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=56
    ลำดับสาธยายธรรม : 56 ฟังเสียงอ่าน..
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_56.mp3
    อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​สัมมาทิฏฐิในการเจริญธรรมสาม เพื่อละธรรมสาม สัทธรรมลำดับที่ : 742 ชื่อบทธรรม :- สัมมาทิฏฐิในการเจริญธรรมสาม เพื่อละธรรมสาม https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=742 เนื้อความทั้งหมด :- --สัมมาทิฏฐิในการเจริญธรรมสาม เพื่อละธรรมสาม (อีกนัยหนึ่ง) --ภิกษุ ท. ! ธรรม ๓ อย่าง เหล่านี้ มีอยู่. สามอย่าง อย่างไรเล่า ? สามอย่าง คือ กามสัญญา พ๎ยาปาทสัญญา วิหิงสาสัญญา. http://etipitaka.com/read/pali/22/497/?keywords=กามสญฺญา --ภิกษุ ท. ! เหล่านี้แล ธรรม ๓ อย่างนั้น. --ภิกษุ ท. ! เพื่อละเสียซึ่งธรรมสามอย่างเหล่านี้ ควรเจริญซึ่งธรรม ๓ อย่าง. ธรรมสามอย่าง อย่างไรเล่า? สามอย่างคือ :- ๑--เจริญ เนกขัมมสัญญา เพื่อละเสียซึ่ง กามสัญญา; ๒--เจริญ อัพ๎ยาปาทสัญญา เพื่อละเสียซึ่ง พ๎ยาปาทสัญญา; ๓--เจริญ อวิหิงสาสัญญา เพื่อละเสียซึ่ง วิหิงสาสัญญา. --ภิกษุ ท. ! ธรรม ๓ อย่าง เหล่านี้ อันบุคคลควรเจริญเพื่อละเสียซึ่งธรรมสามอย่างเหล่าโน้นแล.- #สัมมาสังกับปะ #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ฉกฺก. อํ. 22/400/381. http://etipitaka.com/read/thai/22/400/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%98%E0%B9%91 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ฉกฺก. อํ. ๒๒/๔๙๗/๓๘๑. http://etipitaka.com/read/pali/22/497/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%98%E0%B9%91 ศึกษา​เพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=742 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=56&id=742 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=56 ลำดับสาธยายธรรม : 56 ฟังเสียงอ่าน.. http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_56.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - สัมมาทิฏฐิในการเจริญธรรมสาม เพื่อละธรรมสาม
    -สัมมาทิฏฐิในการเจริญธรรมสาม เพื่อละธรรมสาม (อีกนัยหนึ่ง) ภิกษุ ท. ! ธรรม ๓ อย่าง เหล่านี้ มีอยู่. สามอย่าง อย่างไรเล่า ? สามอย่าง คือ กามสัญญา พ๎ยาปาทสัญญา วิหิงสาสัญญา. ภิกษุ ท. ! เหล่านี้แล ธรรม ๓ อย่างนั้น. ภิกษุ ท. ! เพื่อละเสียซึ่งธรรมสามอย่างเหล่านี้ ควรเจริญซึ่งธรรม ๓ อย่าง. ธรรมสามอย่าง อย่างไรเล่า? สามอย่างคือ : เจริญ เนกขัมมสัญญา เพื่อละเสียซึ่ง กามสัญญา; เจริญ อัพ๎ยาปาทสัญญา เพื่อละเสียซึ่ง พ๎ยาปาทสัญญา; เจริญ อวิหิงสาสัญญา เพื่อละเสียซึ่ง วิหิงสาสัญญา. ภิกษุ ท. ! ธรรม ๓ อย่าง เหล่านี้ อันบุคคลควรเจริญเพื่อละเสียซึ่งธรรมสามอย่างเหล่าโน้นแล.
    0 Comments 0 Shares 170 Views 0 Reviews
  • อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​สัมมาทิฏฐิในการเจริญธรรมสาม เพื่อละธรรมสาม
    สัทธรรมลำดับที่ : 741
    ชื่อบทธรรม :- สัมมาทิฏฐิในการเจริญธรรมสาม เพื่อละธรรมสาม
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=741
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --สัมมาทิฏฐิในการเจริญธรรมสาม เพื่อละธรรมสาม
    --ภิกษุ ท. ! ธรรม ๓ อย่าง เหล่านี้ มีอยู่.
    สามอย่าง อย่างไรเล่า ?
    สามอย่าง คือ ราคะ โทสะ โมหะ.
    +--ภิกษุ ท. ! เหล่านี้แล ธรรม ๓ อย่างนั้น.
    http://etipitaka.com/read/pali/22/496/?keywords=ตโย+ธมฺมา

    --ภิกษุ ท. ! เพื่อละเสียซึ่งธรรมสามอย่างเหล่านี้ ควรเจริญซึ่งธรรม ๓ อย่าง.
    ธรรมสามอย่าง อย่างไรเล่า ? สามอย่างคือ :-
    ๑--เจริญ อสุภะ เพื่อละเสียซึ่ง ราคะ;
    ๒--เจริญ เมตตา เพื่อละเสียซึ่ง โทสะ;
    ๓--เจริญ ปัญญา เพื่อละเสียซึ่ง โมหะ.
    http://etipitaka.com/read/pali/22/496/?keywords=โมห
    --ภิกษุ ท. ! ธรรม ๓ อย่าง เหล่านี้
    อันบุคคลควรเจริญเพื่อละเสีย
    ซึ่งธรรมสามอย่างเหล่าโน้น
    แล.-

    #สัมมาสังกับปะ
    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์

    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ฉกฺก. อํ. 22/399/378.
    http://etipitaka.com/read/thai/22/399/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%97%E0%B9%98
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ฉกฺก. อํ. ๒๒/๔๙๖/๓๗๘.
    http://etipitaka.com/read/pali/22/496/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%97%E0%B9%98
    ศึกษา​เพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=741
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=56&id=741
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=56
    ลำดับสาธยายธรรม : 56 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_56.mp3
    อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​สัมมาทิฏฐิในการเจริญธรรมสาม เพื่อละธรรมสาม สัทธรรมลำดับที่ : 741 ชื่อบทธรรม :- สัมมาทิฏฐิในการเจริญธรรมสาม เพื่อละธรรมสาม https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=741 เนื้อความทั้งหมด :- --สัมมาทิฏฐิในการเจริญธรรมสาม เพื่อละธรรมสาม --ภิกษุ ท. ! ธรรม ๓ อย่าง เหล่านี้ มีอยู่. สามอย่าง อย่างไรเล่า ? สามอย่าง คือ ราคะ โทสะ โมหะ. +--ภิกษุ ท. ! เหล่านี้แล ธรรม ๓ อย่างนั้น. http://etipitaka.com/read/pali/22/496/?keywords=ตโย+ธมฺมา --ภิกษุ ท. ! เพื่อละเสียซึ่งธรรมสามอย่างเหล่านี้ ควรเจริญซึ่งธรรม ๓ อย่าง. ธรรมสามอย่าง อย่างไรเล่า ? สามอย่างคือ :- ๑--เจริญ อสุภะ เพื่อละเสียซึ่ง ราคะ; ๒--เจริญ เมตตา เพื่อละเสียซึ่ง โทสะ; ๓--เจริญ ปัญญา เพื่อละเสียซึ่ง โมหะ. http://etipitaka.com/read/pali/22/496/?keywords=โมห --ภิกษุ ท. ! ธรรม ๓ อย่าง เหล่านี้ อันบุคคลควรเจริญเพื่อละเสีย ซึ่งธรรมสามอย่างเหล่าโน้น แล.- #สัมมาสังกับปะ #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์​ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ฉกฺก. อํ. 22/399/378. http://etipitaka.com/read/thai/22/399/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%97%E0%B9%98 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ฉกฺก. อํ. ๒๒/๔๙๖/๓๗๘. http://etipitaka.com/read/pali/22/496/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%97%E0%B9%98 ศึกษา​เพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=741 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=56&id=741 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=56 ลำดับสาธยายธรรม : 56 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_56.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - สัมมาทิฏฐิในการเจริญธรรมสาม เพื่อละธรรมสาม
    -สัมมาทิฏฐิในการเจริญธรรมสาม เพื่อละธรรมสาม ภิกษุ ท. ! ธรรม ๓ อย่าง เหล่านี้ มีอยู่. สามอย่าง อย่างไรเล่า ? สามอย่าง คือ ราคะ โทสะ โมหะ. ภิกษุ ท. ! เหล่านี้แล ธรรม ๓ อย่างนั้น. ภิกษุ ท. ! เพื่อละเสียซึ่งธรรมสามอย่างเหล่านี้ ควรเจริญซึ่งธรรม ๓ อย่าง. ธรรมสามอย่าง อย่างไรเล่า ? สามอย่างคือ : เจริญ อสุภะ เพื่อละเสียซึ่ง ราคะ; เจริญ เมตตา เพื่อละเสียซึ่ง โทสะ; เจริญ ปัญญา เพื่อละเสียซึ่ง โมหะ. ภิกษุ ท. ! ธรรม ๓ อย่าง เหล่านี้ อันบุคคลควรเจริญเพื่อละเสีย ซึ่งธรรมสามอย่างเหล่าโน้นแล.
    0 Comments 0 Shares 177 Views 0 Reviews
  • อริยสาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​การทำให้เกิดสัมมาทิฏฐิเมื่อมีปัญหาระหว่างลัทธิ
    สัทธรรมลำดับที่ : 739
    ชื่อบทธรรม :- การทำให้เกิดสัมมาทิฏฐิเมื่อมีปัญหาระหว่างลัทธิ
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=739
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --การทำให้เกิดสัมมาทิฏฐิเมื่อมีปัญหาระหว่างลัทธิ
    (นัตถิก - อัตถิกวาท, อกิริย - กิริยวาท, อเหตุก - เหตุกวาท, อารุปปวาท, ภวนิโรธวาท)
    (พราหมณ์และคหบดีชาวบ้านชาวสาเลยยกะ ได้ยินเสียงเล่าลือว่า
    พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นพระอรหันต์ รู้แจ้งโลกทั้งปวง
    แสดงธรรมงดงามบริบูรณ์ ประกาศพรหมจรรย์บริสุทธิ์
    ก็พากันไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เสด็จมาถึงหมู่บ้านนี้แล้ว จนถึงที่ประทับ.
    บางพวกแสดงความเคารพ บางพวกไม่แสดงความเคารพ นั่งอยู่.
    พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสแก่ชาวบ้านสาเลยยกะเหล่านั้น ว่า :-
    )
    --คหบดี ท. ! มีอยู่ไหม ศาสดาไรๆ ซึ่งเป็นที่พอใจของท่าน
    จนถึงกับท่านปลงสัทธาไปแล้วอย่างมีเหตุผล ?
    “ยังไม่มี พระเจ้าข้า !”
    --คหบดี ท. ! สำหรับพวกท่านที่ยังไม่มีศาสดาอันเป็นที่พอใจ
    ธรรมะอันผิดไม่ได้ (อปัณณกธรรม) นี้ มีอยู่
    สำหรับพวกท่านสมาทานแล้วปฏิบัติ.
    --คหบดี ท. ! ธรรมะอันผิดไม่ได้นั้น เมื่อท่านสมาทานเต็มเปี่ยมแล้ว
    จักเป็นไปเพื่อหิตสุขแก่พวกท่านตลอดกาลนาน.
    --คหบดี ท. ! ธรรมะอันผิดไม่ได้นั้น เป็นอย่างไรเล่า ?
    --คหบดี ท. ! มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีวาทะมีทิฏฐิอย่างนี้ว่า
    “ทานที่ให้แล้ว ไม่มี (ผล), ยัญที่บูชาแล้ว ไม่มี (ผล), การบูชาที่บูชาแล้ว ไม่มี (ผล),
    ผลวิบากแห่งกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่ว ไม่มี, โลกนี้ ไม่มี, โลกอื่น ไม่มี,
    มารดา ไม่มี, บิดา ไม่มี, โอปปาติกะสัตว์ ไม่มี,
    สมณพราหมณ์ที่ไปแล้วปฏิบัติแล้วโดยชอบ ถึงกับกระทำให้แจ้งโลกนี้และโลกอื่น
    ด้วยปัญญาโดยชอบเอง แล้วประกาศให้ผู้อื่นรู้ ก็ไม่มี”
    ดังนี้.
    --คหบดี ท. ! ยังมีสมณพราหมณ์อีกพวกหนึ่ง ซึ่งมีวาทะเป็นข้าศึก
    โดยตรงต่อสมณพราหมณ์เหล่านั้น กล่าวอยู่อย่างนี้ว่า
    “ทานที่ให้แล้ว มี (ผล), ยัญที่บูชาแล้ว มี (ผล) , การบูชาที่บูชาแล้ว มี (ผล) ,
    ผลวิบากแห่งกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่ว มี, โลกนี้ มี, โลกอื่น มี,
    มารดา มี, บิดา มี, โอปปาติกะสัตว์ มี,
    สมณพราหมณ์ที่ไปแล้วปฏิบัติแล้วโดยชอบ ถึงกับกระทำให้แจ้งโลกนี้และโลกอื่น
    โดยปัญญาโดยชอบเอง แล้วประกาศให้ผู้อื่นรู้ ก็มี”
    ดังนี้.
    --คหบดี ท. ! ท่านจะสำคัญข้อความนี้อย่างไร
    : สมณพราหมณ์สองพวกนี้ เป็นผู้มีวาทะเป็นข้าศึกโดยตรงต่อกันและกัน มิใช่หรือ?
    “อย่างนั้น พระเจ้าข้า !”
    --คหบดี ท. ! ในบรรดาสมณพราหมณ์ทั้งสองพวกนั้น สมณพราหมณ์ พวกใดมีวาทะมีทิฏฐิว่า
    “ทานที่ให้แล้ว ไม่มี, ยัญที่บูชาแล้ว ไม่มี, ...ฯลฯ...
    ผู้ทำให้แจ้งโลกนี้และโลกอื่น ด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้ว ประกาศให้ผู้อื่นรู้ ก็ไม่มี”
    ดังนี้นั้น พวกเขาพึงหวังได้ในข้อนี้ คือ
    เลิก ละกุศลธรรม สามประการนี้ กล่าวคือ
    กายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต เสีย
    แล้วสมาทานประพฤติ อกุศลธรรม สามประการ
    กล่าวคือ กายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต เป็นแน่นอน.
    ข้อนั้นเพราะเหตุไร ?
    เพราะเหตุว่า สมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น
    ไม่มองเห็นโทษอันต่ำทรามเศร้าหมองของ อกุศลธรรม
    และไม่มองเห็นอานิสงส์ในเนกขัมมะอันเป็นธรรมขาวผ่องฝ่ายกุศลธรรมทั้งหลาย เสียเลย.
    ทิฏฐิของเขา ต่อโลกอื่นซึ่งมีอยู่แท้ ๆ กลับไปเห็นเสียว่าโลกอื่นไม่มี
    ทิฏฐินั้นของเขา จึงเป็น มิจฉาทิฏฐิ
    โลกอื่นซึ่งมีอยู่แท้ ๆ เขาดำริไปว่า โลกอื่นไม่มี ความดำรินั้นของเขาจึงเป็น มิจฉาสังกัปปะ.
    เขากล่าวซึ่งโลกอื่นอันมีอยู่แท้ ๆ ว่าโลกอื่นไม่มี วาจานั้นของเขา จึงเป็น มิจฉาวาจา.
    เขากล่าวซึ่งโลกอื่นอันมีอยู่แท้ ๆ ว่าโลกอื่นไม่มี
    เช่นนี้ชื่อว่าเขาทำตนเป็นข้าศึกต่อพระอรหันต์ทั้งหลายผู้รู้แจ้งโลกอื่น.
    โลกอื่นมีอยู่แท้ ๆ เขาทำให้ผู้อื่นสำคัญว่าโลกอื่นไม่มี
    การกระทำของเขานั้น จึงเป็น #อสัทธัมมสัญญัตติ์
    (ทำให้ผู้อื่นหมายมั่นใน อสัทธรรม)
    และด้วยอสัทธัมมสัญญัตติ์ของเขานั่นเอง เขายกตนข่มผู้อื่น.
    ด้วยการกระทำอย่างนี้ ชื่อว่า เขาละปกติภาวะอันดีงามในกาลก่อนของเขาเสีย
    มาตั้งอยู่ในปกติภาวะอันเลวทราม คือมิจฉาทิฏฐิ มิจฉาสังกัปปะ มิจฉาวาจา
    ความเป็นข้าศึกต่อพระอริยเจ้า อสัทธัมมสัญญัตติ์ การยกตน และการข่มผู้อื่น.
    ด้วยอาการอย่างนี้ อกุศลธรรมอันลามกเป็นอเนกเหล่านั้น ย่อมเกิดแก่เขา
    เพราะมีมิจฉาทิฏฐิเป็นปัจจัย.
    --คหบดี ท. ! ในบรรดาทิฏฐิทั้งสองอย่างนั้น บุรุษผู้วิญญูชน
    ย่อม ใคร่ครวญเห็นอย่างนี้ว่า ถ้าโลกอื่นไม่มี บุรุษผู้เจริญ (ผู้ถืออยู่ว่าโลกอื่นไม่มี)
    นี้หลังจากการตายเพราะการทำลายแห่งกาย จักทำความสวัสดีให้แก่ตนได้
    เพราะเหตุนั้น ก็จริงอยู่ ;
    +‐-แต่ถ้าโลกอื่นไม่มี บุรุษผู้เจริญนี้ หลังจากการตายเพราะการทำลายแห่งกาย
    จักเข้าถึง อบายทุคติวินิบาตนรก เพราะเหตุนั้น เป็นแน่แท้.
    +--เอาละ เป็นอันว่าโลกอื่นก็อย่ามี คำจริงของสมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น
    ก็ไม่ต้องเอามากล่าวอ้าง ;
    ถึงกระนั้น บุรุษผู้เจริญนั้น ก็ยังจะถูกวิญญูชนติเตียนในทิฏฐิธรรมนี้แหละ
    ว่าเป็นคน ทุศีล เป็นมิจฉาทิฏฐิ เป็น #นัตถิกวาท ดังนี้อยู่นั่นเอง.
    +--ถ้าว่าโลกอื่นเกิดมีขึ้นมาจริงๆแล้ว การได้รับกระลี*--๑ ทั้งสองฝ่าย
    ย่อมมีแก่บุรุษผู้เจริญนั้น กล่าวคือ ในทิฏฐิธรรมนี้ก็ถูกวิญญูชนติเตียน
    และหลังจากการตายเพราะการทำลายแห่งกาย ก็เข้าถึง #อบายทุคติวินิบาตนรก.
    นี่แหละ คือ อปัณณกธรรม (ธรรมอันผิดไม่ได้)
    นี้ ที่ทุกคนนี้ถือเอาผิดโดยสิ้นเชิงย่อมแผ่ไป โดยท่าเดียว
    ตั้งอยู่อย่างลิดรอนซึ่งรากฐานแห่งกุศล
    -----
    *--๑. คำว่า กระลี (ในบทว่า กลิคฺคาโห) เป็นคำที่แปลเป็นไทยได้ยาก
    หมายถึงความชั่วร้ายที่มาจากผีชนิดหนึ่ง ในที่นี้ จึงแปลทับศัพท์ว่า “กระลี“
    ซึ่งแม้จะแปลว่า ความชั่ว ความเลว ความพ่ายแพ้ ฯลฯ
    ก็ไม่มีความหมายเต็มตามความหมายเดิมของคำคำนี้.
    ---‐-
    --คหบดี ท. ! ในบรรดาสมณพราหมณ์ทั้งสองพวกนั้น สมณพราหมณ์พวกใด
    มีวาทะมีทิฏฐิอย่างนี้ว่า
    “ทานที่ให้แล้ว มี(ผล), ยัญที่บูชาแล้ว มี(ผล),
    ... ฯลฯ ...
    ผู้ทำให้แจ้งโลกนี้และโลกอื่น ด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้ว ประกาศให้ผู้อื่นรู้ ก็มี”
    ดังนี้นั้น
    พวกเขาพึงหวังได้ในข้อนี้ คือเลิกละอกุศลธรรมสามประการ
    กล่าวคือกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต เสีย
    แล้วสมาทานประพฤติ กุศลธรรม สามประการ
    กล่าวคือ กายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต เป็นแน่นอน.
    ข้อนั้นเพราะเหตุไร ?
    เพราะเหตุว่าสมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น มองเห็นโทษอันต่ำทรามเศร้าหมอง
    ของ อกุศลธรรม และมองเห็นอานิสงส์ใน เนกขัมมะ
    อันเป็นธรรมขาวผ่องฝ่ายกุศลธรรมทั้งหลาย.
    ทิฏฐิของเขา ต่อโลกอื่นซึ่งมีอยู่นั่นเทียว ก็เป็นทิฏฐิที่เห็นว่าโลกอื่นมีอยู่
    ทิฏฐินั้นของเขาจึงเป็น สัมมาทิฏฐิ
    โลกอื่นซึ่งมีอยู่นั่นเทียว เขาก็ดำริว่าโลกอื่นมีอยู่
    ความดำรินั้นของเขา จึงเป็น สัมมาสังกัปปะ.
    เขากล่าวซึ่งโลกอื่นอันมีอยู่นั่นเทียวว่าโลกอื่นมีอยู่
    วาจานั้นของเขา จึงเป็น สัมมาวาจา.
    เขากล่าวซึ่งโลกอื่นอันมีอยู่นั่นเทียว ว่าโลกอื่นมีอยู่ เช่นนี้
    ชื่อว่าเขาทำตนไม่เป็นข้าศึกต่อพระอรหันต์ทั้งหลายผู้รู้แจ้งโลกอื่น.
    โลกอื่นมีอยู่นั่นเทียว เขาทำให้ผู้อื่นสำคัญว่าโลกอื่นมีอยู่
    การกระทำของเขานั้น จึงเป็น สัทธัมมสัญญัตติ์ (ทำให้ผู้อื่นหมายมั่นในสัทธรรม)
    และด้วยสัทธัมมสัญญัตติ์ของเขานั่นเอง เขาย่อมไม่ยกตนข่มผู้อื่น.
    ด้วยการกระทำอย่างนี้ ชื่อว่า เขาละปกติภาวะอันเลวทรามในกาลก่อนของเขาเสีย
    มาตั้งอยู่ในภาวะอันดีงาม คือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา
    ความไม่เป็นข้าศึกต่อพระอริยเจ้า สัทธัมมสัญญัตติ์ การไม่ยกตัว และการไม่ข่มผู้อื่น.
    ด้วยอาการอย่างนี้ กุศลธรรมอเนกเหล่านั้น ย่อมเกิดแก่เขาเพราะมี สัมมาทิฏฐิ เป็นปัจจัย.
    --คหบดี ท. ! ในบรรดาทิฏฐิทั้งสองอย่างนั้น บุรุษผู้วิญญูชน ย่อม
    ใคร่ครวญเห็นอย่างนี้ว่า ถ้าโลกอื่นมีอยู่ บุรุษผู้เจริญนี้
    หลังจากการตายเพราะการทำลายแห่งกาย จักเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เพราะเหตุนั้น.
    +--เอาละ เป็นอันว่าโลกอื่นก็อย่ามีกันเลย คำจริงของสมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น
    ก็ไม่ต้องเอามากล่าวอ้าง; ถึงกระนั้น บุรุษผู้เจริญนั้น
    +--ก็ยังจะเป็นผู้อันวิญญูชนสรรเสริญในทิฏฐิธรรมนี้แหละ ว่าเป็นคนมีศีล เป็นสัมมาทิฏฐิ
    เป็น #อัตถิกวาท ดังนี้ อยู่นั่นเอง.
    ถ้าว่าโลกอื่นเกิดมีขึ้นมาจริงๆแล้ว การถือเอาซึ่งความสำเร็จทั้งสองฝ่าย
    ย่อมมีแก่บุรุษผู้เจริญนั้น กล่าวคือ ในทิฏฐิธรรมนี้ก็เป็นผู้อันวิญญูชนสรรเสริญ
    และหลังจากการตายเพราะการทำลายแห่งกายก็เข้าถึง #สุคติโลกสวรรค์.
    นี่แหละคืออปัณณกธรรม (ธรรมอันผิดไม่ได้) นี้ ที่บุคคลนี้ถือเอาถูกโดยสิ้นเชิง
    ย่อมแผ่ไป โดยส่วนทั้งสอง ตั้งอยู่อย่างลิดรอนซึ่งรากฐานแห่งอกุศล.-

    ------‐
    **ขยายความโดยสูตรอื่นอีก**
    (ทิฏฐิแห่งพระบาลีนี้ ยังเป็นประเภท โลกิยสัมมาทิฏฐิ คือยังมีอาสวะ
    มีความยึดมั่นว่าสัตว์ว่าบุคคล มีความดีความชั่ว มีนรกสวรรค์ เป็นต้น ซึ่งแบ่งได้เป็นสองฝ่าย.
    --เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น ในลักษณะที่เป็นทิฏฐิ คือเป็นเพียงความเห็น ไม่มีประจักษ์พยานที่เป็นวัตถุสิ่งของมาแสดงให้เห็นชัดได้ ก็มีความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องสร้างทิฏฐิขึ้นมาในลักษณะที่เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขโดยส่วนเดียว.
    ตัวอย่างปัญหาเกิดขึ้นมาว่า โลกอื่นมี หรือไม่มี เราจะต้องถือเอาข้างฝ่ายทิฏฐิที่ทำให้เกิดประโยชน์โดยส่วนเดียว ซึ่งในที่นี้ได้แก่ทิฏฐิที่ถือว่าโลกอื่นมี ซึ่งเป็นเหตุให้ขวนขวายบำเพ็ญประโยชน์อันเป็นไปเพื่อโลกอื่น และได้รับประโยชน์สุขในโลกอื่น;
    ถ้าเผอิญโลกอื่นไม่มี ตนก็ไม่เสียประโยชน์อะไร การกระทำเพื่อประโยชน์โลกอื่นก็ไม่เสียเปล่า คือเป็นความดีที่ได้รับการสรรเสริญจากวิญญูชนในโลกนี้ และได้รับประโยชน์สุขในโลกนี้อย่างเต็มที่.
    ดังนั้นจึงสรุปว่า การมีทิฏฐิว่าโลกอื่นมี ย่อมถือเอาได้ซึ่งประโยชน์โดยส่วนสอง คือแม้โลกอื่นจะไม่มีก็ยังได้รับประโยชน์ ยิ่งโลกอื่นมีก็ยิ่งได้รับประโยชน์จึง เรียกทิฏฐิชนิดนี้ว่าเป็นอปัณณกธรรม คือธรรมที่ผิดไม่ได้ทั้งสองฝ่าย เป็นสัมมาทิฏฐิที่ตัดปัญหาออกไปเสียได้โดยประการทั้งปวง ในเมื่อเกิดปัญหาที่แย้งกันอย่างตรงข้ามเป็นสองฝ่าย ดังที่กล่าวไว้ในพระบาลีนี้. เราจึงถือว่า สัมมาทิฏฐิ ชนิดนี้ระงับผลร้ายเสียได้ในเมื่อเกิดการขัดแย้งในระหว่างลัทธิ.
    --ในความขัดแย้งระหว่างทิฏฐิคู่อื่นๆ เช่นทิฏฐิว่า
    การกระทำไม่ชื่อว่าเป็นอันกระทำหรือการกระทำชื่อว่าเป็นอันกระทำ
    (ทำบุญทำบาปไม่ชื่อว่าเป็นอันกระทำ หรือทำบุญทำบาปชื่อว่าเป็นอันกระทำ)
    เกิดเป็นปัญหาขัดแย้งกันขึ้นมาแล้ว พึงเลือกถือเอาทิฏฐิข้างฝ่ายที่จะผิดไม่ได้อีกอย่างเดียวกัน คือทิฏฐิที่ว่า การกระทำชื่อว่าเป็นอันกระทำและเลือกกระทำแต่ฝ่ายข้างดี;
    แม้สมมุติว่าการกระทำนั้นจะไม่เป็นการกระทำ เขาก็ยังได้รับผลของการกระทำ
    คือเป็นที่สรรเสริญแห่งวิญญูชน และผู้นั้นก็ได้รับประโยชน์สุขอยู่นั่นเอง.
    นี้เป็น สัมมาทิฏฐิที่ควรมี หรือถือเป็นหลักในเมื่อเกิดการขัดแย้งขึ้นเกี่ยวกับลัทธิที่ต่างกันชนิดหนึ่ง.
    ---- ม. ม. ๑๓/๑๐๕-๑๑๐ /๑๑๐-๑๑๔.
    http://etipitaka.com/read/pali/13/105/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%91%E0%B9%90

    --สำหรับทิฏฐิที่ว่ามีเหตุหรือไม่มีเหตุแห่งความเศร้าหมองหรือความบริสุทธิ์ของสัตว์ นั้น
    ก็มีหลักเกณฑ์ทำนองเดียวกัน คือถ้า ถือว่า มีเหตุ ก็จะเป็นความปลอดภัยกว่าการถือว่าไม่มีเหตุ.
    ผู้ที่ถือว่ามีเหตุ ย่อมกระทำการกระทำที่เป็นการสร้างเหตุดีเว้นเหตุชั่ว;
    สมมุติว่าสิ่งทั้งหลายจะเป็นสิ่งที่ไม่มีเหตุขึ้นมา การกระทำของเขาก็ยังเป็นความดีทั้งสองสถาน คือวิญญูชนสรรเสริญ และเขาก็ได้รับผลดีแห่งการกระทำของเขา
    คือเป็นสุขทั้งโลกนี้และโลกอื่น. แม้นี้ก็คือ สัมมาทิฏฐิที่ควรสร้างขึ้น
    เมื่อมีการขัดแย้งระหว่างลัทธิ ด้วยเหมือนกัน.
    - ม. ม. ๑๓/๑๑๑-๑๑๕/๑๑๕-๑๑๙.
    http://etipitaka.com/read/pali/13/111/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%91%E0%B9%95

    --สำหรับทิฏฐิที่ว่า อารุปปธรรม (คุณสมบัติที่เป็นสภาวะไม่มีรูป) เป็นสิ่งที่ มีอยู่หรือไม่ได้มีอยู่ นั้น ิญญูชนจะเลือกถือเอาข้างที่ว่า มีอยู่ และปฏิบัติเพื่อให้ได้ซึ่งคุณธรรมประเภทที่--ไม่มีรูปนั้น เขาก็จะได้รับประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ; คือสมมุติว่าถ้าอารุปปธรรมเป็นสิ่งที่มิได้มีอยู่ เขาก็ยังได้รับประโยชน์ที่รองลงมา คือ รุปปธรรม (คุณสมบัติหรือคุณค่าที่มีรูป). ถ้าหากว่าอารุปปธรรมมีจริง เขาก็จะได้รับคุณค่าหรือประโยชน์ชั้นที่เป็นอารุปปธรรมนั้นตามความมุ่งหมาย. ดังนั้น การที่ถือว่า อารุปปธรรมเป็นสิ่งที่มีอยู่นั้น จัดเป็นสัมมาทิฏฐิที่ไม่อาจจะผิดได้ ในเมื่อเกิดการขัดแย้งกันขึ้นในระหว่างลัทธิ. อนึ่ง ถ้าอธิบายตามแบบเก่าๆ อย่างในอรรถกถา ก็คือให้ถือว่า อรูปพรหมมีอยู่ แล้วปฏิบัติเพื่ออรูปพรหมนั้น ถ้าสมมุติว่าอรูปพรหมไม่มี ก็ยังได้รับผลเป็นรูปพรหมที่รองลงมา แต่ถ้าอรูปพรหมมีก็จะได้รับผลเต็มตามความหมายของอรูปพรหม จึงถือว่าเป็นทิฏฐิที่ถูกต้อง. อีกอย่างหนึ่ง ถ้ากล่าวสำหรับผู้มีการศึกษาแห่งยุคปัจจุบัน ก็ต้องกล่าวว่า คุณค่าหรือคุณสมบัติชนิดที่ไม่ต้องมีสภาวะเป็นรูปธรรม (คือไม่เป็นวัตถุนิยม) นั้นก็มีอยู่และมีผลเป็นความสะดวกกว่า สบายกว่าเป็นสุขสงบกว่า ประเสริฐกว่า เพราะไม่ต้องมีการกระทบกระทั่งฝ่ายรูปธรรม เช่นการทะเลาะวิวาทหรือป่วยไข้ทางร่างกายเป็นต้น.
    - ม. ม. ๑๓/๑๑๕/๑๒๐.
    http://etipitaka.com/read/pali/13/115/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%92%E0%B9%90

    --สำหรับทิฏฐิว่า ความดับแห่งภพโดยประการทั้งปวง เป็นสิ่งที่มีอยู่หรือไม่มี นั้น วิญญูชนจะถือเอาข้างฝ่ายที่ถือว่า มีความดับแห่งภพ แล้วก็ปฏิบัติเพื่อความดับแห่งภพ เขาก็จะได้รับผลเป็นปรินิพพานในทิฏฐธรรมนี้; ส่วนพวกที่ถือว่า ความดับแห่งภพโดยประการทั้งปวงไม่มีนั้น เขาก็จะไปติดตันตายด้านอยู่เพียงแค่อรูปภพอันเป็นภพสูงสุด. ดังนั้น การถือว่า ความดับแห่งภพโดยประการทั้งปวงมีอยู่ นั้นเป็นสัมมาทิฏฐิที่ไม่มีทางจะผิดได้ ในเมื่อมีการมีการทุ่มเถียงขัดแย้ง กันระหว่างลัทธิ.
    - ม.ม ๑๓/๑๑๗/๑๒๑.
    http://etipitaka.com/read/pali/13/117/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%92%E0%B9%91

    --สรุปความว่า
    ปัญหาทางลัทธินั้น คือปัญหาเกี่ยวกับสิ่งที่ไม่อาจมองเห็นตัว หรือได้ยินเสียงโดยตรง จนถึงกับเรากล่าวว่ามันเป็นอย่างไรๆได้ ดังนั้น จึงต้องตั้งขึ้นเป็นลัทธิชนิดที่เป็นสัมมาทิฏฐิ คือทำให้ได้รับประโยชน์โดยส่วนเดียวเกี่ยวกับสิ่งที่เขามองไม่เห็นหรือฟังเสียงโดยตรงไม่ได้นั้นๆ เราจึงต้องจัดทำหรือต้องมีอย่างถูกต้องชนิดผิดไม่ได้ ดังที่กล่าวไว้ในหัวข้อธรรมะเหล่านี้
    ).
    **
    #สัมมาทิฏฐิ
    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ม.ม. 13/81 - 85/104 - 109.
    http://etipitaka.com/read/thai/13/81/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%90%E0%B9%94
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ม.ม. ๑๓/๑๐๑ - ๑๐๕/๑๐๔ - ๑๐๙.
    http://etipitaka.com/read/pali/13/101/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%90%E0%B9%94
    ศึกษาเพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=739
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=56&id=739
    ลำดับสาธยายธรรม : 56 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_56.mp3
    อริยสาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​การทำให้เกิดสัมมาทิฏฐิเมื่อมีปัญหาระหว่างลัทธิ สัทธรรมลำดับที่ : 739 ชื่อบทธรรม :- การทำให้เกิดสัมมาทิฏฐิเมื่อมีปัญหาระหว่างลัทธิ https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=739 เนื้อความทั้งหมด :- --การทำให้เกิดสัมมาทิฏฐิเมื่อมีปัญหาระหว่างลัทธิ (นัตถิก - อัตถิกวาท, อกิริย - กิริยวาท, อเหตุก - เหตุกวาท, อารุปปวาท, ภวนิโรธวาท) (พราหมณ์และคหบดีชาวบ้านชาวสาเลยยกะ ได้ยินเสียงเล่าลือว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นพระอรหันต์ รู้แจ้งโลกทั้งปวง แสดงธรรมงดงามบริบูรณ์ ประกาศพรหมจรรย์บริสุทธิ์ ก็พากันไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เสด็จมาถึงหมู่บ้านนี้แล้ว จนถึงที่ประทับ. บางพวกแสดงความเคารพ บางพวกไม่แสดงความเคารพ นั่งอยู่. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสแก่ชาวบ้านสาเลยยกะเหล่านั้น ว่า :- ) --คหบดี ท. ! มีอยู่ไหม ศาสดาไรๆ ซึ่งเป็นที่พอใจของท่าน จนถึงกับท่านปลงสัทธาไปแล้วอย่างมีเหตุผล ? “ยังไม่มี พระเจ้าข้า !” --คหบดี ท. ! สำหรับพวกท่านที่ยังไม่มีศาสดาอันเป็นที่พอใจ ธรรมะอันผิดไม่ได้ (อปัณณกธรรม) นี้ มีอยู่ สำหรับพวกท่านสมาทานแล้วปฏิบัติ. --คหบดี ท. ! ธรรมะอันผิดไม่ได้นั้น เมื่อท่านสมาทานเต็มเปี่ยมแล้ว จักเป็นไปเพื่อหิตสุขแก่พวกท่านตลอดกาลนาน. --คหบดี ท. ! ธรรมะอันผิดไม่ได้นั้น เป็นอย่างไรเล่า ? --คหบดี ท. ! มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีวาทะมีทิฏฐิอย่างนี้ว่า “ทานที่ให้แล้ว ไม่มี (ผล), ยัญที่บูชาแล้ว ไม่มี (ผล), การบูชาที่บูชาแล้ว ไม่มี (ผล), ผลวิบากแห่งกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่ว ไม่มี, โลกนี้ ไม่มี, โลกอื่น ไม่มี, มารดา ไม่มี, บิดา ไม่มี, โอปปาติกะสัตว์ ไม่มี, สมณพราหมณ์ที่ไปแล้วปฏิบัติแล้วโดยชอบ ถึงกับกระทำให้แจ้งโลกนี้และโลกอื่น ด้วยปัญญาโดยชอบเอง แล้วประกาศให้ผู้อื่นรู้ ก็ไม่มี” ดังนี้. --คหบดี ท. ! ยังมีสมณพราหมณ์อีกพวกหนึ่ง ซึ่งมีวาทะเป็นข้าศึก โดยตรงต่อสมณพราหมณ์เหล่านั้น กล่าวอยู่อย่างนี้ว่า “ทานที่ให้แล้ว มี (ผล), ยัญที่บูชาแล้ว มี (ผล) , การบูชาที่บูชาแล้ว มี (ผล) , ผลวิบากแห่งกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่ว มี, โลกนี้ มี, โลกอื่น มี, มารดา มี, บิดา มี, โอปปาติกะสัตว์ มี, สมณพราหมณ์ที่ไปแล้วปฏิบัติแล้วโดยชอบ ถึงกับกระทำให้แจ้งโลกนี้และโลกอื่น โดยปัญญาโดยชอบเอง แล้วประกาศให้ผู้อื่นรู้ ก็มี” ดังนี้. --คหบดี ท. ! ท่านจะสำคัญข้อความนี้อย่างไร : สมณพราหมณ์สองพวกนี้ เป็นผู้มีวาทะเป็นข้าศึกโดยตรงต่อกันและกัน มิใช่หรือ? “อย่างนั้น พระเจ้าข้า !” --คหบดี ท. ! ในบรรดาสมณพราหมณ์ทั้งสองพวกนั้น สมณพราหมณ์ พวกใดมีวาทะมีทิฏฐิว่า “ทานที่ให้แล้ว ไม่มี, ยัญที่บูชาแล้ว ไม่มี, ...ฯลฯ... ผู้ทำให้แจ้งโลกนี้และโลกอื่น ด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้ว ประกาศให้ผู้อื่นรู้ ก็ไม่มี” ดังนี้นั้น พวกเขาพึงหวังได้ในข้อนี้ คือ เลิก ละกุศลธรรม สามประการนี้ กล่าวคือ กายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต เสีย แล้วสมาทานประพฤติ อกุศลธรรม สามประการ กล่าวคือ กายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต เป็นแน่นอน. ข้อนั้นเพราะเหตุไร ? เพราะเหตุว่า สมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น ไม่มองเห็นโทษอันต่ำทรามเศร้าหมองของ อกุศลธรรม และไม่มองเห็นอานิสงส์ในเนกขัมมะอันเป็นธรรมขาวผ่องฝ่ายกุศลธรรมทั้งหลาย เสียเลย. ทิฏฐิของเขา ต่อโลกอื่นซึ่งมีอยู่แท้ ๆ กลับไปเห็นเสียว่าโลกอื่นไม่มี ทิฏฐินั้นของเขา จึงเป็น มิจฉาทิฏฐิ โลกอื่นซึ่งมีอยู่แท้ ๆ เขาดำริไปว่า โลกอื่นไม่มี ความดำรินั้นของเขาจึงเป็น มิจฉาสังกัปปะ. เขากล่าวซึ่งโลกอื่นอันมีอยู่แท้ ๆ ว่าโลกอื่นไม่มี วาจานั้นของเขา จึงเป็น มิจฉาวาจา. เขากล่าวซึ่งโลกอื่นอันมีอยู่แท้ ๆ ว่าโลกอื่นไม่มี เช่นนี้ชื่อว่าเขาทำตนเป็นข้าศึกต่อพระอรหันต์ทั้งหลายผู้รู้แจ้งโลกอื่น. โลกอื่นมีอยู่แท้ ๆ เขาทำให้ผู้อื่นสำคัญว่าโลกอื่นไม่มี การกระทำของเขานั้น จึงเป็น #อสัทธัมมสัญญัตติ์ (ทำให้ผู้อื่นหมายมั่นใน อสัทธรรม) และด้วยอสัทธัมมสัญญัตติ์ของเขานั่นเอง เขายกตนข่มผู้อื่น. ด้วยการกระทำอย่างนี้ ชื่อว่า เขาละปกติภาวะอันดีงามในกาลก่อนของเขาเสีย มาตั้งอยู่ในปกติภาวะอันเลวทราม คือมิจฉาทิฏฐิ มิจฉาสังกัปปะ มิจฉาวาจา ความเป็นข้าศึกต่อพระอริยเจ้า อสัทธัมมสัญญัตติ์ การยกตน และการข่มผู้อื่น. ด้วยอาการอย่างนี้ อกุศลธรรมอันลามกเป็นอเนกเหล่านั้น ย่อมเกิดแก่เขา เพราะมีมิจฉาทิฏฐิเป็นปัจจัย. --คหบดี ท. ! ในบรรดาทิฏฐิทั้งสองอย่างนั้น บุรุษผู้วิญญูชน ย่อม ใคร่ครวญเห็นอย่างนี้ว่า ถ้าโลกอื่นไม่มี บุรุษผู้เจริญ (ผู้ถืออยู่ว่าโลกอื่นไม่มี) นี้หลังจากการตายเพราะการทำลายแห่งกาย จักทำความสวัสดีให้แก่ตนได้ เพราะเหตุนั้น ก็จริงอยู่ ; +‐-แต่ถ้าโลกอื่นไม่มี บุรุษผู้เจริญนี้ หลังจากการตายเพราะการทำลายแห่งกาย จักเข้าถึง อบายทุคติวินิบาตนรก เพราะเหตุนั้น เป็นแน่แท้. +--เอาละ เป็นอันว่าโลกอื่นก็อย่ามี คำจริงของสมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น ก็ไม่ต้องเอามากล่าวอ้าง ; ถึงกระนั้น บุรุษผู้เจริญนั้น ก็ยังจะถูกวิญญูชนติเตียนในทิฏฐิธรรมนี้แหละ ว่าเป็นคน ทุศีล เป็นมิจฉาทิฏฐิ เป็น #นัตถิกวาท ดังนี้อยู่นั่นเอง. +--ถ้าว่าโลกอื่นเกิดมีขึ้นมาจริงๆแล้ว การได้รับกระลี*--๑ ทั้งสองฝ่าย ย่อมมีแก่บุรุษผู้เจริญนั้น กล่าวคือ ในทิฏฐิธรรมนี้ก็ถูกวิญญูชนติเตียน และหลังจากการตายเพราะการทำลายแห่งกาย ก็เข้าถึง #อบายทุคติวินิบาตนรก. นี่แหละ คือ อปัณณกธรรม (ธรรมอันผิดไม่ได้) นี้ ที่ทุกคนนี้ถือเอาผิดโดยสิ้นเชิงย่อมแผ่ไป โดยท่าเดียว ตั้งอยู่อย่างลิดรอนซึ่งรากฐานแห่งกุศล ----- *--๑. คำว่า กระลี (ในบทว่า กลิคฺคาโห) เป็นคำที่แปลเป็นไทยได้ยาก หมายถึงความชั่วร้ายที่มาจากผีชนิดหนึ่ง ในที่นี้ จึงแปลทับศัพท์ว่า “กระลี“ ซึ่งแม้จะแปลว่า ความชั่ว ความเลว ความพ่ายแพ้ ฯลฯ ก็ไม่มีความหมายเต็มตามความหมายเดิมของคำคำนี้. ---‐- --คหบดี ท. ! ในบรรดาสมณพราหมณ์ทั้งสองพวกนั้น สมณพราหมณ์พวกใด มีวาทะมีทิฏฐิอย่างนี้ว่า “ทานที่ให้แล้ว มี(ผล), ยัญที่บูชาแล้ว มี(ผล), ... ฯลฯ ... ผู้ทำให้แจ้งโลกนี้และโลกอื่น ด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้ว ประกาศให้ผู้อื่นรู้ ก็มี” ดังนี้นั้น พวกเขาพึงหวังได้ในข้อนี้ คือเลิกละอกุศลธรรมสามประการ กล่าวคือกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต เสีย แล้วสมาทานประพฤติ กุศลธรรม สามประการ กล่าวคือ กายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต เป็นแน่นอน. ข้อนั้นเพราะเหตุไร ? เพราะเหตุว่าสมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น มองเห็นโทษอันต่ำทรามเศร้าหมอง ของ อกุศลธรรม และมองเห็นอานิสงส์ใน เนกขัมมะ อันเป็นธรรมขาวผ่องฝ่ายกุศลธรรมทั้งหลาย. ทิฏฐิของเขา ต่อโลกอื่นซึ่งมีอยู่นั่นเทียว ก็เป็นทิฏฐิที่เห็นว่าโลกอื่นมีอยู่ ทิฏฐินั้นของเขาจึงเป็น สัมมาทิฏฐิ โลกอื่นซึ่งมีอยู่นั่นเทียว เขาก็ดำริว่าโลกอื่นมีอยู่ ความดำรินั้นของเขา จึงเป็น สัมมาสังกัปปะ. เขากล่าวซึ่งโลกอื่นอันมีอยู่นั่นเทียวว่าโลกอื่นมีอยู่ วาจานั้นของเขา จึงเป็น สัมมาวาจา. เขากล่าวซึ่งโลกอื่นอันมีอยู่นั่นเทียว ว่าโลกอื่นมีอยู่ เช่นนี้ ชื่อว่าเขาทำตนไม่เป็นข้าศึกต่อพระอรหันต์ทั้งหลายผู้รู้แจ้งโลกอื่น. โลกอื่นมีอยู่นั่นเทียว เขาทำให้ผู้อื่นสำคัญว่าโลกอื่นมีอยู่ การกระทำของเขานั้น จึงเป็น สัทธัมมสัญญัตติ์ (ทำให้ผู้อื่นหมายมั่นในสัทธรรม) และด้วยสัทธัมมสัญญัตติ์ของเขานั่นเอง เขาย่อมไม่ยกตนข่มผู้อื่น. ด้วยการกระทำอย่างนี้ ชื่อว่า เขาละปกติภาวะอันเลวทรามในกาลก่อนของเขาเสีย มาตั้งอยู่ในภาวะอันดีงาม คือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา ความไม่เป็นข้าศึกต่อพระอริยเจ้า สัทธัมมสัญญัตติ์ การไม่ยกตัว และการไม่ข่มผู้อื่น. ด้วยอาการอย่างนี้ กุศลธรรมอเนกเหล่านั้น ย่อมเกิดแก่เขาเพราะมี สัมมาทิฏฐิ เป็นปัจจัย. --คหบดี ท. ! ในบรรดาทิฏฐิทั้งสองอย่างนั้น บุรุษผู้วิญญูชน ย่อม ใคร่ครวญเห็นอย่างนี้ว่า ถ้าโลกอื่นมีอยู่ บุรุษผู้เจริญนี้ หลังจากการตายเพราะการทำลายแห่งกาย จักเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เพราะเหตุนั้น. +--เอาละ เป็นอันว่าโลกอื่นก็อย่ามีกันเลย คำจริงของสมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น ก็ไม่ต้องเอามากล่าวอ้าง; ถึงกระนั้น บุรุษผู้เจริญนั้น +--ก็ยังจะเป็นผู้อันวิญญูชนสรรเสริญในทิฏฐิธรรมนี้แหละ ว่าเป็นคนมีศีล เป็นสัมมาทิฏฐิ เป็น #อัตถิกวาท ดังนี้ อยู่นั่นเอง. ถ้าว่าโลกอื่นเกิดมีขึ้นมาจริงๆแล้ว การถือเอาซึ่งความสำเร็จทั้งสองฝ่าย ย่อมมีแก่บุรุษผู้เจริญนั้น กล่าวคือ ในทิฏฐิธรรมนี้ก็เป็นผู้อันวิญญูชนสรรเสริญ และหลังจากการตายเพราะการทำลายแห่งกายก็เข้าถึง #สุคติโลกสวรรค์. นี่แหละคืออปัณณกธรรม (ธรรมอันผิดไม่ได้) นี้ ที่บุคคลนี้ถือเอาถูกโดยสิ้นเชิง ย่อมแผ่ไป โดยส่วนทั้งสอง ตั้งอยู่อย่างลิดรอนซึ่งรากฐานแห่งอกุศล.- ------‐ **ขยายความโดยสูตรอื่นอีก** (ทิฏฐิแห่งพระบาลีนี้ ยังเป็นประเภท โลกิยสัมมาทิฏฐิ คือยังมีอาสวะ มีความยึดมั่นว่าสัตว์ว่าบุคคล มีความดีความชั่ว มีนรกสวรรค์ เป็นต้น ซึ่งแบ่งได้เป็นสองฝ่าย. --เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น ในลักษณะที่เป็นทิฏฐิ คือเป็นเพียงความเห็น ไม่มีประจักษ์พยานที่เป็นวัตถุสิ่งของมาแสดงให้เห็นชัดได้ ก็มีความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องสร้างทิฏฐิขึ้นมาในลักษณะที่เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขโดยส่วนเดียว. ตัวอย่างปัญหาเกิดขึ้นมาว่า โลกอื่นมี หรือไม่มี เราจะต้องถือเอาข้างฝ่ายทิฏฐิที่ทำให้เกิดประโยชน์โดยส่วนเดียว ซึ่งในที่นี้ได้แก่ทิฏฐิที่ถือว่าโลกอื่นมี ซึ่งเป็นเหตุให้ขวนขวายบำเพ็ญประโยชน์อันเป็นไปเพื่อโลกอื่น และได้รับประโยชน์สุขในโลกอื่น; ถ้าเผอิญโลกอื่นไม่มี ตนก็ไม่เสียประโยชน์อะไร การกระทำเพื่อประโยชน์โลกอื่นก็ไม่เสียเปล่า คือเป็นความดีที่ได้รับการสรรเสริญจากวิญญูชนในโลกนี้ และได้รับประโยชน์สุขในโลกนี้อย่างเต็มที่. ดังนั้นจึงสรุปว่า การมีทิฏฐิว่าโลกอื่นมี ย่อมถือเอาได้ซึ่งประโยชน์โดยส่วนสอง คือแม้โลกอื่นจะไม่มีก็ยังได้รับประโยชน์ ยิ่งโลกอื่นมีก็ยิ่งได้รับประโยชน์จึง เรียกทิฏฐิชนิดนี้ว่าเป็นอปัณณกธรรม คือธรรมที่ผิดไม่ได้ทั้งสองฝ่าย เป็นสัมมาทิฏฐิที่ตัดปัญหาออกไปเสียได้โดยประการทั้งปวง ในเมื่อเกิดปัญหาที่แย้งกันอย่างตรงข้ามเป็นสองฝ่าย ดังที่กล่าวไว้ในพระบาลีนี้. เราจึงถือว่า สัมมาทิฏฐิ ชนิดนี้ระงับผลร้ายเสียได้ในเมื่อเกิดการขัดแย้งในระหว่างลัทธิ. --ในความขัดแย้งระหว่างทิฏฐิคู่อื่นๆ เช่นทิฏฐิว่า การกระทำไม่ชื่อว่าเป็นอันกระทำหรือการกระทำชื่อว่าเป็นอันกระทำ (ทำบุญทำบาปไม่ชื่อว่าเป็นอันกระทำ หรือทำบุญทำบาปชื่อว่าเป็นอันกระทำ) เกิดเป็นปัญหาขัดแย้งกันขึ้นมาแล้ว พึงเลือกถือเอาทิฏฐิข้างฝ่ายที่จะผิดไม่ได้อีกอย่างเดียวกัน คือทิฏฐิที่ว่า การกระทำชื่อว่าเป็นอันกระทำและเลือกกระทำแต่ฝ่ายข้างดี; แม้สมมุติว่าการกระทำนั้นจะไม่เป็นการกระทำ เขาก็ยังได้รับผลของการกระทำ คือเป็นที่สรรเสริญแห่งวิญญูชน และผู้นั้นก็ได้รับประโยชน์สุขอยู่นั่นเอง. นี้เป็น สัมมาทิฏฐิที่ควรมี หรือถือเป็นหลักในเมื่อเกิดการขัดแย้งขึ้นเกี่ยวกับลัทธิที่ต่างกันชนิดหนึ่ง. ---- ม. ม. ๑๓/๑๐๕-๑๑๐ /๑๑๐-๑๑๔. http://etipitaka.com/read/pali/13/105/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%91%E0%B9%90 --สำหรับทิฏฐิที่ว่ามีเหตุหรือไม่มีเหตุแห่งความเศร้าหมองหรือความบริสุทธิ์ของสัตว์ นั้น ก็มีหลักเกณฑ์ทำนองเดียวกัน คือถ้า ถือว่า มีเหตุ ก็จะเป็นความปลอดภัยกว่าการถือว่าไม่มีเหตุ. ผู้ที่ถือว่ามีเหตุ ย่อมกระทำการกระทำที่เป็นการสร้างเหตุดีเว้นเหตุชั่ว; สมมุติว่าสิ่งทั้งหลายจะเป็นสิ่งที่ไม่มีเหตุขึ้นมา การกระทำของเขาก็ยังเป็นความดีทั้งสองสถาน คือวิญญูชนสรรเสริญ และเขาก็ได้รับผลดีแห่งการกระทำของเขา คือเป็นสุขทั้งโลกนี้และโลกอื่น. แม้นี้ก็คือ สัมมาทิฏฐิที่ควรสร้างขึ้น เมื่อมีการขัดแย้งระหว่างลัทธิ ด้วยเหมือนกัน. - ม. ม. ๑๓/๑๑๑-๑๑๕/๑๑๕-๑๑๙. http://etipitaka.com/read/pali/13/111/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%91%E0%B9%95 --สำหรับทิฏฐิที่ว่า อารุปปธรรม (คุณสมบัติที่เป็นสภาวะไม่มีรูป) เป็นสิ่งที่ มีอยู่หรือไม่ได้มีอยู่ นั้น ิญญูชนจะเลือกถือเอาข้างที่ว่า มีอยู่ และปฏิบัติเพื่อให้ได้ซึ่งคุณธรรมประเภทที่--ไม่มีรูปนั้น เขาก็จะได้รับประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ; คือสมมุติว่าถ้าอารุปปธรรมเป็นสิ่งที่มิได้มีอยู่ เขาก็ยังได้รับประโยชน์ที่รองลงมา คือ รุปปธรรม (คุณสมบัติหรือคุณค่าที่มีรูป). ถ้าหากว่าอารุปปธรรมมีจริง เขาก็จะได้รับคุณค่าหรือประโยชน์ชั้นที่เป็นอารุปปธรรมนั้นตามความมุ่งหมาย. ดังนั้น การที่ถือว่า อารุปปธรรมเป็นสิ่งที่มีอยู่นั้น จัดเป็นสัมมาทิฏฐิที่ไม่อาจจะผิดได้ ในเมื่อเกิดการขัดแย้งกันขึ้นในระหว่างลัทธิ. อนึ่ง ถ้าอธิบายตามแบบเก่าๆ อย่างในอรรถกถา ก็คือให้ถือว่า อรูปพรหมมีอยู่ แล้วปฏิบัติเพื่ออรูปพรหมนั้น ถ้าสมมุติว่าอรูปพรหมไม่มี ก็ยังได้รับผลเป็นรูปพรหมที่รองลงมา แต่ถ้าอรูปพรหมมีก็จะได้รับผลเต็มตามความหมายของอรูปพรหม จึงถือว่าเป็นทิฏฐิที่ถูกต้อง. อีกอย่างหนึ่ง ถ้ากล่าวสำหรับผู้มีการศึกษาแห่งยุคปัจจุบัน ก็ต้องกล่าวว่า คุณค่าหรือคุณสมบัติชนิดที่ไม่ต้องมีสภาวะเป็นรูปธรรม (คือไม่เป็นวัตถุนิยม) นั้นก็มีอยู่และมีผลเป็นความสะดวกกว่า สบายกว่าเป็นสุขสงบกว่า ประเสริฐกว่า เพราะไม่ต้องมีการกระทบกระทั่งฝ่ายรูปธรรม เช่นการทะเลาะวิวาทหรือป่วยไข้ทางร่างกายเป็นต้น. - ม. ม. ๑๓/๑๑๕/๑๒๐. http://etipitaka.com/read/pali/13/115/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%92%E0%B9%90 --สำหรับทิฏฐิว่า ความดับแห่งภพโดยประการทั้งปวง เป็นสิ่งที่มีอยู่หรือไม่มี นั้น วิญญูชนจะถือเอาข้างฝ่ายที่ถือว่า มีความดับแห่งภพ แล้วก็ปฏิบัติเพื่อความดับแห่งภพ เขาก็จะได้รับผลเป็นปรินิพพานในทิฏฐธรรมนี้; ส่วนพวกที่ถือว่า ความดับแห่งภพโดยประการทั้งปวงไม่มีนั้น เขาก็จะไปติดตันตายด้านอยู่เพียงแค่อรูปภพอันเป็นภพสูงสุด. ดังนั้น การถือว่า ความดับแห่งภพโดยประการทั้งปวงมีอยู่ นั้นเป็นสัมมาทิฏฐิที่ไม่มีทางจะผิดได้ ในเมื่อมีการมีการทุ่มเถียงขัดแย้ง กันระหว่างลัทธิ. - ม.ม ๑๓/๑๑๗/๑๒๑. http://etipitaka.com/read/pali/13/117/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%92%E0%B9%91 --สรุปความว่า ปัญหาทางลัทธินั้น คือปัญหาเกี่ยวกับสิ่งที่ไม่อาจมองเห็นตัว หรือได้ยินเสียงโดยตรง จนถึงกับเรากล่าวว่ามันเป็นอย่างไรๆได้ ดังนั้น จึงต้องตั้งขึ้นเป็นลัทธิชนิดที่เป็นสัมมาทิฏฐิ คือทำให้ได้รับประโยชน์โดยส่วนเดียวเกี่ยวกับสิ่งที่เขามองไม่เห็นหรือฟังเสียงโดยตรงไม่ได้นั้นๆ เราจึงต้องจัดทำหรือต้องมีอย่างถูกต้องชนิดผิดไม่ได้ ดังที่กล่าวไว้ในหัวข้อธรรมะเหล่านี้ ). ** #สัมมาทิฏฐิ #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ม.ม. 13/81 - 85/104 - 109. http://etipitaka.com/read/thai/13/81/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%90%E0%B9%94 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ม.ม. ๑๓/๑๐๑ - ๑๐๕/๑๐๔ - ๑๐๙. http://etipitaka.com/read/pali/13/101/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%90%E0%B9%94 ศึกษาเพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=739 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=56&id=739 ลำดับสาธยายธรรม : 56 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_56.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - การทำให้เกิดสัมมาทิฏฐิเมื่อมีปัญหาระหว่างลัทธิ
    -การทำให้เกิดสัมมาทิฏฐิเมื่อมีปัญหาระหว่างลัทธิ (นัตถิก - อัตถิกวาท, อกิริย - กิริยวาท, อเหตุก - เหตุกวาท, อารุปปวาท, ภวนิโรธวาท) (พราหมณ์และคหบดีชาวบ้านชาวสาเลยยกะ ได้ยินเสียงเล่าลือว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นพระอรหันต์ รู้แจ้งโลกทั้งปวง แสดงธรรมงดงามบริบูรณ์ ประกาศพรหมจรรย์บริสุทธิ์ ก็พากันไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เสด็จมาถึงหมู่บ้านนี้แล้ว จนถึงที่ประทับ. บางพวกแสดงความเคารพ บางพวกไม่แสดงความเคารพ นั่งอยู่. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสแก่ชาวบ้านสาเลยยกะเหล่านั้น ว่า :- ) คหบดี ท. ! มีอยู่ไหม ศาสดาไรๆ ซึ่งเป็นที่พอใจของท่าน จนถึงกับท่านปลงสัทธาไปแล้วอย่างมีเหตุผล ? “ยังไม่มี พระเจ้าข้า !” คหบดี ท. ! สำหรับพวกท่านที่ยังไม่มีศาสดาอันเป็นที่พอใจ ธรรมะอันผิดไม่ได้ (อปัณณกธรรม) นี้ มีอยู่ สำหรับพวกท่านสมาทานแล้วปฏิบัติ. คหบดี ท. ! ธรรมะอันผิดไม่ได้นั้น เมื่อท่านสมาทานเต็มเปี่ยมแล้ว จักเป็นไปเพื่อหิตสุขแก่พวกท่านตลอดกาลนาน. คหบดี ท.! ธรรมะอันผิดไม่ได้นั้น เป็นอย่างไรเล่า ? คหบดี ท. ! มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีวาทะมีทิฏฐิอย่างนี้ว่า “ทานที่ให้แล้ว ไม่มี (ผล), ยัญที่บูชาแล้ว ไม่มี (ผล), การบูชาที่บูชาแล้ว ไม่มี (ผล), ผลวิบากแห่งกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่ว ไม่มี, โลกนี้ ไม่มี, โลกอื่น ไม่มี, มารดา ไม่มี, บิดา ไม่มี, โอปปาติกะสัตว์ ไม่มี, สมณพราหมณ์ที่ไปแล้วปฏิบัติแล้วโดยชอบ ถึงกับกระทำให้แจ้งโลกนี้และโลกอื่น ด้วยปัญญาโดยชอบเอง แล้วประกาศให้ผู้อื่นรู้ ก็ไม่มี” ดังนี้. คหบดี ท. ! ยังมีสมณพราหมณ์อีกพวกหนึ่ง ซึ่งมีวาทะเป็นข้าศึก โดยตรงต่อสมณพราหมณ์เหล่านั้น กล่าวอยู่อย่างนี้ว่า “ทานที่ให้แล้ว มี (ผล), ยัญที่บูชาแล้ว มี (ผล) , การบูชาที่บูชาแล้ว มี (ผล) , ผลวิบากแห่งกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่ว มี, โลกนี้ มี, โลกอื่น มี, มารดา มี, บิดา มี, โอปปาติกะสัตว์ มี, สมณพราหมณ์ที่ไปแล้วปฏิบัติแล้วโดยชอบ ถึงกับกระทำให้แจ้งโลกนี้และโลกอื่น โดยปัญญาโดยชอบเอง แล้วประกาศให้ผู้อื่นรู้ ก็มี” ดังนี้. คหบดี ท. ! ท่านจะสำคัญข้อความนี้อย่างไร : สมณพราหมณ์สองพวกนี้ เป็นผู้มีวาทะเป็นข้าศึกโดยตรงต่อกันและกัน มิใช่หรือ? “อย่างนั้น พระเจ้าข้า !” คหบดี ท. ! ในบรรดาสมณพราหมณ์ทั้งสองพวกนั้น สมณพราหมณ์ พวกใดมีวาทะมีทิฏฐิว่า “ทานที่ให้แล้ว ไม่มี, ยัญที่บูชาแล้ว ไม่มี, ...ฯลฯ... ผู้ทำให้แจ้งโลกนี้และโลกอื่น ด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้ว ประกาศให้ผู้อื่นรู้ ก็ไม่มี” ดังนี้นั้น พวกเขาพึงหวังได้ในข้อนี้ คือเลิกละกุศลธรรมสามประการนี้ กล่าวคือ กายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต เสีย แล้วสมาทานประพฤติอกุศลธรรมสามประการ กล่าวคือ กายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต เป็นแน่นอน. ข้อนั้นเพราะเหตุไร ? เพราะเหตุว่า สมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น ไม่มองเห็นโทษอันต่ำทรามเศร้าหมองของอกุศลธรรม และไม่มองเห็นอานิสงส์ในเนกขัมมะอันเป็นธรรมขาวผ่องฝ่ายกุศลธรรมทั้งหลาย เสียเลย. ทิฏฐิของเขา ต่อโลกอื่นซึ่งมีอยู่แท้ ๆ กลับไปเห็นเสียว่าโลกอื่นไม่มี ทิฏฐินั้นของเขาจึงเป็นมิจฉาทิฏฐิ โลกอื่นซึ่งมีอยู่แท้ ๆ เขาดำริไปว่า โลกอื่นไม่มี ความดำรินั้นของเขาจึงเป็นมิจฉาสังกัปปะ. เขากล่าวซึ่งโลกอื่นอันมีอยู่แท้ ๆ ว่าโลกอื่นไม่มี วาจานั้นของเขา จึงเป็นมิจฉาวาจา. เขากล่าวซึ่งโลกอื่นอันมีอยู่แท้ ๆ ว่าโลก อื่นไม่มี เช่นนี้ชื่อว่าเขาทำตนเป็นข้าศึกต่อพระอรหันต์ทั้งหลายผู้รู้แจ้งโลกอื่น. โลกอื่นมีอยู่แท้ ๆ เขาทำให้ผู้อื่นสำคัญว่าโลกอื่นไม่มี การกระทำของเขานั้น จึงเป็นอสัทธัมมสัญญัตติ์ (ทำให้ผู้อื่นหมายมั่นในอสัทธรรม) และด้วยอสัทธัมมสัญญัตติ์ของเขานั่นเอง เขายกตนข่มผู้อื่น. ด้วยการกระทำอย่างนี้ ชื่อว่า เขาละปกติภาวะอันดีงามในกาลก่อนของเขาเสีย มาตั้งอยู่ในปกติภาวะอันเลวทราม คือมิจฉาทิฏฐิ มิจฉาสังกัปปะ มิจฉาวาจา ความเป็นข้าศึกต่อพระอริยเจ้า อสัทธัมมสัญญัตติ์ การยกตน และการข่มผู้อื่น. ด้วยอาการอย่างนี้ อกุศลธรรมอันลามกเป็นอเนกเหล่านั้น ย่อมเกิดแก่เขา เพราะมีมิจฉาทิฏฐิเป็นปัจจัย. คหบดี ท. ! ในบรรดาทิฏฐิทั้งสองอย่างนั้น บุรุษผู้วิญญูชน ย่อม ใคร่ครวญเห็นอย่างนี้ว่า ถ้าโลกอื่นไม่มี บุรุษผู้เจริญ (ผู้ถืออยู่ว่าโลกอื่นไม่มี) นี้หลังจากการตายเพราะการทำลายแห่งกาย จักทำความสวัสดีให้แก่ตนได้ เพราะเหตุนั้น ก็จริงอยู่ ; แต่ถ้าโลกอื่นไม่มี บุรุษผู้เจริญนี้ หลังจากการตายเพราะการทำลายแห่งกาย จักเข้าถึงอบายทุคติวินิบาตนรก เพราะเหตุนั้น เป็นแน่แท้. เอาละ เป็นอันว่าโลกอื่นก็อย่ามี คำจริงของสมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น ก็ไม่ต้องเอามากล่าวอ้าง ; ถึงกระนั้น บุรุษผู้เจริญนั้น ก็ยังจะถูกวิญญูชนติเตียนในทิฏฐิธรรมนี้แหละ ว่าเป็นคนทุศีล เป็นมิจฉาทิฏฐิ เป็น นัตถิกวาท ดังนี้อยู่นั่นเอง. ถ้าว่าโลกอื่นเกิดมีขึ้นมาจริงๆแล้ว การได้รับกระลี๑ ทั้งสองฝ่าย ย่อมมีแก่บุรุษผู้เจริญนั้น กล่าวคือ ในทิฏฐิธรรมนี้ก็ถูกวิญญูชนติเตียน และหลังจากการตายเพราะการทำลายแห่งกาย ก็เข้าถึงอบายทุคติวินิบาตนรก. ๑. คำว่า กระลี (ในบทว่า กลิคฺคาโห) เป็นคำที่แปลเป็นไทยได้ยาก หมายถึงความชั่วร้ายที่มาจากผีชนิดหนึ่ง ในที่นี้ จึงแปลทับศัพท์ว่า “กระลี“ ซึ่งแม้จะแปลว่า ความชั่ว ความเลว ความพ่ายแพ้ ฯลฯ ก็ไม่มีความหมายเต็มตามความหมายเดิมของคำคำนี้. นี่แหละ คืออปัณณกธรรม (ธรรมอันผิดไม่ได้) นี้ ที่ทุกคนนี้ถือเอาผิดโดยสิ้นเชิงย่อมแผ่ไป โดยท่าเดียว ตั้งอยู่อย่างลิดรอนซึ่งรากฐานแห่งกุศล. คหบดี ท. ! ในบรรดาสมณพราหมณ์ทั้งสองพวกนั้น สมณพราหมณ์พวกใด มีวาทะมีทิฏฐิอย่างนี้ว่า “ทานที่ให้แล้ว มี(ผล), ยัญที่บูชาแล้ว มี(ผล), ... ฯลฯ ... ผู้ทำให้แจ้งโลกนี้และโลกอื่น ด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้ว ประกาศให้ผู้อื่นรู้ ก็มี” ดังนี้นั้น พวกเขาพึงหวังได้ในข้อนี้ คือเลิกละอกุศลธรรมสามประการ กล่าวคือกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต เสีย แล้วสมาทานประพฤติกุศลธรรมสามประการ กล่าวคือ กายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต เป็นแน่นอน. ข้อนั้นเพราะเหตุไร ? เพราะเหตุว่าสมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น มองเห็นโทษอันต่ำทรามเศร้าหมอง ของอกุศลธรรม และมองเห็นอานิสงส์ในเนกขัมมะ อันเป็นธรรมขาวผ่องฝ่ายกุศลธรรมทั้งหลาย. ทิฏฐิของเขา ต่อโลกอื่นซึ่งมีอยู่นั่นเทียว ก็เป็นทิฏฐิที่เห็นว่าโลกอื่นมีอยู่ ทิฏฐินั้นของเขาจึงเป็นสัมมาทิฏฐิ โลกอื่นซึ่งมีอยู่นั่นเทียว เขาก็ดำริว่าโลกอื่นมีอยู่ ความดำรินั้นของเขา จึงเป็นสัมมาสังกัปปะ. เขากล่าวซึ่งโลกอื่นอันมีอยู่นั่นเทียวว่าโลกอื่นมีอยู่ วาจานั้นของเขา จึงเป็นสัมมาวาจา. เขากล่าวซึ่งโลกอื่นอันมีอยู่นั่นเทียว ว่าโลกอื่นมีอยู่ เช่นนี้ชื่อว่าเขาทำตนไม่เป็นข้าศึกต่อพระอรหันต์ทั้งหลายผู้รู้แจ้งโลกอื่น. โลกอื่นมีอยู่นั่นเทียว เขาทำให้ผู้อื่นสำคัญว่าโลกอื่นมีอยู่ การกระทำของเขานั้น จึงเป็น สัทธัมมสัญญัตติ์ (ทำให้ผู้อื่นหมายมั่นในสัทธรรม) และด้วยสัทธัมมสัญญัตติ์ของเขานั่นเอง เขาย่อมไม่ยกตนข่มผู้อื่น. ด้วยการกระทำอย่างนี้ ชื่อว่า เขาละปกติภาวะอันเลวทรามในกาลก่อนของเขาเสีย มาตั้งอยู่ในภาวะอันดีงาม คือสัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา ความไม่เป็นข้าศึกต่อพระอริยเจ้า สัทธัมมสัญญัตติ์ การไม่ยกตัว และการไม่ข่มผู้อื่น. ด้วย อาการอย่างนี้ กุศลธรรมอเนกเหล่านั้น ย่อมเกิดแก่เขาเพราะมีสัมมาทิฏฐิ เป็นปัจจัย. คหบดี ท. ! ในบรรดาทิฏฐิทั้งสองอย่างนั้น บุรุษผู้วิญญูชน ย่อม ใคร่ครวญเห็นอย่างนี้ว่า ถ้าโลกอื่นมีอยู่ บุรุษผู้เจริญนี้ หลังจากการตายเพราะการทำลายแห่งกาย จักเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เพราะเหตุนั้น. เอาละ เป็นอันว่าโลกอื่นก็อย่ามีกันเลย คำจริงของสมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น ก็ไม่ต้องเอามากล่าวอ้าง; ถึงกระนั้น บุรุษผู้เจริญนั้น ก็ยังจะเป็นผู้อันวิญญูชนสรรเสริญในทิฏฐิธรรมนี้แหละ ว่าเป็นคนมีศีล เป็นสัมมาทิฏฐิ เป็น อัตถิกวาท ดังนี้ อยู่นั่นเอง. ถ้าว่าโลกอื่นเกิดมีขึ้นมาจริงๆแล้ว การถือเอาซึ่งความสำเร็จทั้งสองฝ่าย ย่อมมีแก่บุรุษผู้เจริญนั้น กล่าวคือ ในทิฏฐิธรรมนี้ก็เป็นผู้อันวิญญูชนสรรเสริญ และหลังจากการตายเพราะการทำลายแห่งกายก็เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์. นี่แหละคืออปัณณกธรรม (ธรรมอันผิดไม่ได้) นี้ ที่บุคคลนี้ถือเอาถูกโดยสิ้นเชิง ย่อมแผ่ไป โดยส่วนทั้งสอง ตั้งอยู่อย่างลิดรอนซึ่งรากฐานแห่งอกุศล.
    0 Comments 0 Shares 418 Views 0 Reviews
  • อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​รสอร่อย-โทษอันต่ำทราม-อุบายเครื่องออก ด้วยสัมมาสมาธิ​
    สัทธรรมลำดับที่ : 738
    ชื่อบทธรรม : -รสอร่อย-โทษอันต่ำทราม-อุบายเครื่องออก ด้วยสัมมาสมาธิ​
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=738
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --อัสสาทะ-อาทีนวะ-นิสสรณะของเวทนา
    (ธรรมลักษณะ ๓ ประการของเวทนา : วัตถุแห่งสัมมาทิฏฐิ)
    --ภิกษุ ท. ! อะไร เป็นอัสสาทะ (รสอร่อย) ของเวทนาทั้งหลาย ?

    (ก) ภิกษุ ท. ! ในกรณีนี้
    : ภิกษุ เพราะสงัดจากกามและสงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลาย ย่อมบรรลุ ฌานที่หนึ่ง
    ซึ่งมีวิตกวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวกแล้วแลอยู่.
    +--ภิกษุ ท. ! ในสมัยใด ภิกษุ
    เพราะสงัดจากกามและสงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลาย ย่อมบรรลุ ฌานที่หนึ่ง
    มีวิตกวิจาร มีปีติและสุข เกิดแต่วิเวก นั้นแล้วแลอยู่.
    ในสมัยนั้น เธอ
    ย่อมไม่คิดแม้ในทางที่จะให้เกิดความเดือดร้อนแก่ตนเอง,
    ย่อมไม่คิดแม้ในทางที่จะให้เกิดความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น, และ
    ย่อมไม่คิดแม้ในทางที่จะให้เกิดความเดือดร้อนแก่ตนเองและผู้อื่นทั้งสองฝ่าย.
    ในสมัยนั้น (ในขณะนั้น) เธอย่อมเสวย เวทนา อันไม่ทำความเดือดร้อนแต่อย่างใดเลย.
    +--ภิกษุ ท. ! เรากล่าว อัสสาทะ (รสอร่อย) ของเวทนาทั้งหลาย ว่า
    มีการไม่ทำความเดือดร้อนแก่ผู้ใดเป็นอย่างยิ่ง.

    (ข) ภิกษุ ท. ! ข้ออื่นยังมีอีก
    : ภิกษุ เพราะสงบวิตกวิจารเสียได้ ย่อมบรรลุ ฌานที่สอง
    อันเป็นเครื่องผ่องใสในภายใน นำให้เกิดสมาธิมีอารมณ์อันเดียวแห่งใจ
    ไม่มีวิตกวิจาร มีแต่ปีติและสุขอันเกิดแต่สมาธิ แล้วแลอยู่.
    +--ภิกษุ ท. ! ในสมัยใด ภิกษุ
    เพราะสงบวิตกวิจารเสียได้ ย่อมบรรลุ ฌานที่สอง
    อันเป็นเครื่องผ่องใสในภายใน นำให้เกิดสมาธิมีอารมณ์อันเดียวแห่งใจ
    ไม่มีวิตกวิจาร มีแต่ปีติและสุขอันเกิดแต่สมาธิ
    นั้นแล้วแลอยู่. ในสมัยนั้น เธอ
    ย่อมไม่คิดแม้ในทางที่จะให้เกิดความเดือดร้อนแก่ตนเอง,
    ย่อมไม่คิดแม้ในทางที่จะให้เกิดความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น,
    และย่อมไม่คิดแม้ในทางที่จะให้เกิดความเดือดร้อนแก่ตนเองและผู้อื่นทั้งสองฝ่าย.
    ในสมัยนั้น เธอย่อม เสวยเวทนา อันไม่ทำความเดือดร้อนแต่อย่างใดเลย.
    +--ภิกษุ ท. ! เรากล่าว อัสสาทะ (รสอร่อย) ของเวทนาทั้งหลาย ว่า
    มีการไม่ทำความเดือดร้อนแก่ผู้ใดเป็นอย่างยิ่ง.

    (ค) ภิกษุ ท. ! ข้ออื่นยังมีอีก
    : ภิกษุ เพราะความจางคลายไปแห่งปีติ เป็นผู้อยู่อุเบกขา
    มีสติสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกาย ย่อมบรรลุ ฌานที่สาม
    อันเป็นฌานที่พระอริยเจ้าทั้งหลายกล่าวว่า
    “ผู้ได้บรรลุฌานนี้ เป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติ อยู่เป็นปกติสุข” ดังนี้ แล้วแลอยู่.
    +--ภิกษุ ท. ! ในสมัยใด ภิกษุ
    เพราะความจางคลายไปแห่งปีติ เป็นผู้อยู่อุเบกขา
    มีสติสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกาย ย่อมบรรลุฌานที่สาม
    อันเป็นฌานที่พระอริยเจ้าทั้งหลายกล่าวว่า
    “ผู้ได้บรรลุฌานนี้ เป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติ อยู่เป็นปกติสุข” ดังนี้
    นั้นแล้วแลอยู่. ในสมัยนั้น เธอ
    ย่อมไม่คิดแม้ในทางที่จะให้เกิดความเดือดร้อนแก่ตนเอง,
    ย่อมไม่คิดแม้ในทางที่จะให้เกิดความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น,
    และย่อมไม่คิดแม้ในทางที่จะให้เกิดความเดือดร้อนแก่ตนเองและผู้อื่นทั้งสองฝ่าย.
    ในสมัยนั้น เธอย่อมเสวย เวทนา อันไม่ทำความเดือดร้อนแต่อย่างใดเลย.
    +--ภิกษุ ท. ! เรากล่าวอัสสาทะ (รสอร่อย) ของเวทนาทั้งหลาย ว่า
    มีการไม่ทำความเดือดร้อนแก่ผู้ใดเป็นอย่างยิ่ง.

    (ง) ภิกษุ ท. ! ข้ออื่นยังมีอีก
    : ภิกษุ เพราะละสุขเสียได้ และเพราะละทุกข์เสียได้
    เพราะความดับหายไปแห่งโสมนัสและโทมนัสในกาลก่อน ย่อมบรรลุ ฌานที่สี่
    อันไม่ทุกข์ไม่สุข มีแต่สติเป็นธรรมชาติบริสุทธิ์ เพราะอุเบกขา แล้วแลอยู่.
    +--ภิกษุ ท. ! ในสมัยใด ภิกษุ
    เพราะละสุขเสียได้ และเพราะละทุกข์เสียได้ เพราะความดับหายไปแห่งโสมนัสและโทมนัสในกาลก่อน ย่อมบรรลุฌานที่สี่
    อันไม่ทุกข์ไม่สุข มีแต่สติเป็นธรรมชาติบริสุทธิ์ เพราะอุเบกขา
    นั้นแล้วแลอยู่. ในสมัยนั้น เธอ
    ย่อมไม่คิดแม้ในทางที่จะให้เกิดความเดือดร้อนแก่ตนเอง,
    ย่อมไม่คิดแม้ในทางที่จะให้เกิดความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น,
    และย่อมไม่คิดแม้ในทางที่จะให้เกิดความเดือดร้อนแก่ตนเองและผู้อื่นทั้งสองฝ่าย.
    ในสมัยนั้น เธอย่อมเสวย เวทนา อันไม่ทำความเดือดร้อนแต่อย่างใดเลย.
    +--ภิกษุ ท. ! เรากล่าว อัสสาทะ (รสอร่อย) ของเวทนาทั้งหลายว่า
    มีการไม่ทำความเดือดร้อนแก่ผู้ใดเป็นอย่างยิ่ง.

    --ภิกษุ ท. ! อะไร เป็นอาทีนวะ (โทษอันต่ำทราม) ของเวทนา ทั้งหลาย ?
    +--ภิกษุ ท. ! เวทนาไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็น ธรรมดาอันใด,
    อันนั้น เป็นอาทีนวะของเวทนาทั้งหลาย.

    --ภิกษุ ท. ! อะไร เป็นนิสสรณะ (อุบายเครื่องออก) จากเวทนาทั้งหลาย ?
    +--ภิกษุ ท. ! การนำออกเสียได้ซึ่งฉันทราคะ
    การละเสียได้ซึ่งฉันทราคะ ในเวทนาทั้งหลาย อันใด,
    อันนั้น เป็นนิสสรณะจากเวทนาทั้งหลาย.
    http://etipitaka.com/read/pali/12/177/?keywords=ฉนฺทราคปฺปหานํ
    --ภิกษุ ท. ! สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด ไม่รู้ชัดตามเป็นจริง
    ซึ่ง อัสสาทะแห่งเวทนาทั้งหลาย โดยความเป็นอัสสาทะด้วย
    ซึ่ง อาทีนวะ โดยความเป็นอาทีนวะด้วย
    ซึ่ง นิสสรณะ โดยความเป็นนิสสรณะด้วย โดยอาการอย่างนี้ อยู่;
    สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้นน่ะหรือ จักรอบรู้ซึ่งเวทนาทั้งหลายด้วยตนเอง
    หรือว่าจักชวนผู้อื่นให้รอบรู้ซึ่งเวทนาทั้งหลายเหมือนผู้ที่เคยปฏิบัติแล้ว
    ดังนี้นั้น : นั่นไม่เป็นฐานะที่มีได้.

    --ภิกษุ ท. ! ส่วน สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด รู้ชัดตามเป็นจริง
    ซึ่ง อัสสาทะแห่งเวทนาทั้งหลาย โดยความเป็นอัสสาทะด้วย
    ซึ่ง อาทีนวะ โดยความเป็นอาทีนวะด้วย
    ซึ่ง นิสสรณะ โดยความเป็นนิสสรณะด้วย โดยอาการอย่างนี้ อยู่;
    สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้นนั่นแหละ จักรอบรู้ซึ่งเวทนาทั้งหลายด้วยตนเอง
    หรือว่าจักชักชวนผู้อื่นให้รอบรู้ซึ่งเวทนาทั้งหลายเหมือนผู้ที่เคยปฏิบัติแล้ว
    ดังนี้นั้น : นั่นเป็นฐานะที่มีได้.-

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์

    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - มู. ม. 12/121-122/205-208.
    http://etipitaka.com/read/thai/12/121/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%90%E0%B9%95
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - มู. ม. ๑๒/๑๗๖-๑๗๗/๒๐๕-๒๐๘.
    http://etipitaka.com/read/pali/12/176/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%90%E0%B9%95
    ศึกษาเพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=738
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=55&id=738
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=55
    ลำดับสาธยายธรรม : 55 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_55.mp3
    อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​รสอร่อย-โทษอันต่ำทราม-อุบายเครื่องออก ด้วยสัมมาสมาธิ​ สัทธรรมลำดับที่ : 738 ชื่อบทธรรม : -รสอร่อย-โทษอันต่ำทราม-อุบายเครื่องออก ด้วยสัมมาสมาธิ​ https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=738 เนื้อความทั้งหมด :- --อัสสาทะ-อาทีนวะ-นิสสรณะของเวทนา (ธรรมลักษณะ ๓ ประการของเวทนา : วัตถุแห่งสัมมาทิฏฐิ) --ภิกษุ ท. ! อะไร เป็นอัสสาทะ (รสอร่อย) ของเวทนาทั้งหลาย ? (ก) ภิกษุ ท. ! ในกรณีนี้ : ภิกษุ เพราะสงัดจากกามและสงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลาย ย่อมบรรลุ ฌานที่หนึ่ง ซึ่งมีวิตกวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวกแล้วแลอยู่. +--ภิกษุ ท. ! ในสมัยใด ภิกษุ เพราะสงัดจากกามและสงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลาย ย่อมบรรลุ ฌานที่หนึ่ง มีวิตกวิจาร มีปีติและสุข เกิดแต่วิเวก นั้นแล้วแลอยู่. ในสมัยนั้น เธอ ย่อมไม่คิดแม้ในทางที่จะให้เกิดความเดือดร้อนแก่ตนเอง, ย่อมไม่คิดแม้ในทางที่จะให้เกิดความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น, และ ย่อมไม่คิดแม้ในทางที่จะให้เกิดความเดือดร้อนแก่ตนเองและผู้อื่นทั้งสองฝ่าย. ในสมัยนั้น (ในขณะนั้น) เธอย่อมเสวย เวทนา อันไม่ทำความเดือดร้อนแต่อย่างใดเลย. +--ภิกษุ ท. ! เรากล่าว อัสสาทะ (รสอร่อย) ของเวทนาทั้งหลาย ว่า มีการไม่ทำความเดือดร้อนแก่ผู้ใดเป็นอย่างยิ่ง. (ข) ภิกษุ ท. ! ข้ออื่นยังมีอีก : ภิกษุ เพราะสงบวิตกวิจารเสียได้ ย่อมบรรลุ ฌานที่สอง อันเป็นเครื่องผ่องใสในภายใน นำให้เกิดสมาธิมีอารมณ์อันเดียวแห่งใจ ไม่มีวิตกวิจาร มีแต่ปีติและสุขอันเกิดแต่สมาธิ แล้วแลอยู่. +--ภิกษุ ท. ! ในสมัยใด ภิกษุ เพราะสงบวิตกวิจารเสียได้ ย่อมบรรลุ ฌานที่สอง อันเป็นเครื่องผ่องใสในภายใน นำให้เกิดสมาธิมีอารมณ์อันเดียวแห่งใจ ไม่มีวิตกวิจาร มีแต่ปีติและสุขอันเกิดแต่สมาธิ นั้นแล้วแลอยู่. ในสมัยนั้น เธอ ย่อมไม่คิดแม้ในทางที่จะให้เกิดความเดือดร้อนแก่ตนเอง, ย่อมไม่คิดแม้ในทางที่จะให้เกิดความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น, และย่อมไม่คิดแม้ในทางที่จะให้เกิดความเดือดร้อนแก่ตนเองและผู้อื่นทั้งสองฝ่าย. ในสมัยนั้น เธอย่อม เสวยเวทนา อันไม่ทำความเดือดร้อนแต่อย่างใดเลย. +--ภิกษุ ท. ! เรากล่าว อัสสาทะ (รสอร่อย) ของเวทนาทั้งหลาย ว่า มีการไม่ทำความเดือดร้อนแก่ผู้ใดเป็นอย่างยิ่ง. (ค) ภิกษุ ท. ! ข้ออื่นยังมีอีก : ภิกษุ เพราะความจางคลายไปแห่งปีติ เป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกาย ย่อมบรรลุ ฌานที่สาม อันเป็นฌานที่พระอริยเจ้าทั้งหลายกล่าวว่า “ผู้ได้บรรลุฌานนี้ เป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติ อยู่เป็นปกติสุข” ดังนี้ แล้วแลอยู่. +--ภิกษุ ท. ! ในสมัยใด ภิกษุ เพราะความจางคลายไปแห่งปีติ เป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกาย ย่อมบรรลุฌานที่สาม อันเป็นฌานที่พระอริยเจ้าทั้งหลายกล่าวว่า “ผู้ได้บรรลุฌานนี้ เป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติ อยู่เป็นปกติสุข” ดังนี้ นั้นแล้วแลอยู่. ในสมัยนั้น เธอ ย่อมไม่คิดแม้ในทางที่จะให้เกิดความเดือดร้อนแก่ตนเอง, ย่อมไม่คิดแม้ในทางที่จะให้เกิดความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น, และย่อมไม่คิดแม้ในทางที่จะให้เกิดความเดือดร้อนแก่ตนเองและผู้อื่นทั้งสองฝ่าย. ในสมัยนั้น เธอย่อมเสวย เวทนา อันไม่ทำความเดือดร้อนแต่อย่างใดเลย. +--ภิกษุ ท. ! เรากล่าวอัสสาทะ (รสอร่อย) ของเวทนาทั้งหลาย ว่า มีการไม่ทำความเดือดร้อนแก่ผู้ใดเป็นอย่างยิ่ง. (ง) ภิกษุ ท. ! ข้ออื่นยังมีอีก : ภิกษุ เพราะละสุขเสียได้ และเพราะละทุกข์เสียได้ เพราะความดับหายไปแห่งโสมนัสและโทมนัสในกาลก่อน ย่อมบรรลุ ฌานที่สี่ อันไม่ทุกข์ไม่สุข มีแต่สติเป็นธรรมชาติบริสุทธิ์ เพราะอุเบกขา แล้วแลอยู่. +--ภิกษุ ท. ! ในสมัยใด ภิกษุ เพราะละสุขเสียได้ และเพราะละทุกข์เสียได้ เพราะความดับหายไปแห่งโสมนัสและโทมนัสในกาลก่อน ย่อมบรรลุฌานที่สี่ อันไม่ทุกข์ไม่สุข มีแต่สติเป็นธรรมชาติบริสุทธิ์ เพราะอุเบกขา นั้นแล้วแลอยู่. ในสมัยนั้น เธอ ย่อมไม่คิดแม้ในทางที่จะให้เกิดความเดือดร้อนแก่ตนเอง, ย่อมไม่คิดแม้ในทางที่จะให้เกิดความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น, และย่อมไม่คิดแม้ในทางที่จะให้เกิดความเดือดร้อนแก่ตนเองและผู้อื่นทั้งสองฝ่าย. ในสมัยนั้น เธอย่อมเสวย เวทนา อันไม่ทำความเดือดร้อนแต่อย่างใดเลย. +--ภิกษุ ท. ! เรากล่าว อัสสาทะ (รสอร่อย) ของเวทนาทั้งหลายว่า มีการไม่ทำความเดือดร้อนแก่ผู้ใดเป็นอย่างยิ่ง. --ภิกษุ ท. ! อะไร เป็นอาทีนวะ (โทษอันต่ำทราม) ของเวทนา ทั้งหลาย ? +--ภิกษุ ท. ! เวทนาไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็น ธรรมดาอันใด, อันนั้น เป็นอาทีนวะของเวทนาทั้งหลาย. --ภิกษุ ท. ! อะไร เป็นนิสสรณะ (อุบายเครื่องออก) จากเวทนาทั้งหลาย ? +--ภิกษุ ท. ! การนำออกเสียได้ซึ่งฉันทราคะ การละเสียได้ซึ่งฉันทราคะ ในเวทนาทั้งหลาย อันใด, อันนั้น เป็นนิสสรณะจากเวทนาทั้งหลาย. http://etipitaka.com/read/pali/12/177/?keywords=ฉนฺทราคปฺปหานํ --ภิกษุ ท. ! สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด ไม่รู้ชัดตามเป็นจริง ซึ่ง อัสสาทะแห่งเวทนาทั้งหลาย โดยความเป็นอัสสาทะด้วย ซึ่ง อาทีนวะ โดยความเป็นอาทีนวะด้วย ซึ่ง นิสสรณะ โดยความเป็นนิสสรณะด้วย โดยอาการอย่างนี้ อยู่; สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้นน่ะหรือ จักรอบรู้ซึ่งเวทนาทั้งหลายด้วยตนเอง หรือว่าจักชวนผู้อื่นให้รอบรู้ซึ่งเวทนาทั้งหลายเหมือนผู้ที่เคยปฏิบัติแล้ว ดังนี้นั้น : นั่นไม่เป็นฐานะที่มีได้. --ภิกษุ ท. ! ส่วน สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด รู้ชัดตามเป็นจริง ซึ่ง อัสสาทะแห่งเวทนาทั้งหลาย โดยความเป็นอัสสาทะด้วย ซึ่ง อาทีนวะ โดยความเป็นอาทีนวะด้วย ซึ่ง นิสสรณะ โดยความเป็นนิสสรณะด้วย โดยอาการอย่างนี้ อยู่; สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้นนั่นแหละ จักรอบรู้ซึ่งเวทนาทั้งหลายด้วยตนเอง หรือว่าจักชักชวนผู้อื่นให้รอบรู้ซึ่งเวทนาทั้งหลายเหมือนผู้ที่เคยปฏิบัติแล้ว ดังนี้นั้น : นั่นเป็นฐานะที่มีได้.- #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - มู. ม. 12/121-122/205-208. http://etipitaka.com/read/thai/12/121/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%90%E0%B9%95 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - มู. ม. ๑๒/๑๗๖-๑๗๗/๒๐๕-๒๐๘. http://etipitaka.com/read/pali/12/176/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%90%E0%B9%95 ศึกษาเพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=738 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=55&id=738 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=55 ลำดับสาธยายธรรม : 55 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_55.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - อัสสาทะ-อาทีนวะ-นิสสรณะของเวทนา--(ธรรมลักษณะ ๓ ประการของเวทนา : วัตถุแห่งสัมมาทิฏฐิ)
    -(ความรู้ดังกล่าวนี้สงเคราะห์ลงในสัมมาทิฏฐิ ดังนั้นจึงนำมารวมไว้ในที่นี้). อัสสาทะ-อาทีนวะ-นิสสรณะของเวทนา (ธรรมลักษณะ ๓ ประการของเวทนา : วัตถุแห่งสัมมาทิฏฐิ) ภิกษุ ท. ! อะไร เป็นอัสสาทะ (รสอร่อย) ของเวทนาทั้งหลาย ? (ก) ภิกษุ ท. ! ในกรณีนี้ ภิกษุ เพราะสงัดจากกามและสงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลาย ย่อมบรรลุ ฌานที่หนึ่ง ซึ่งมีวิตกวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวกแล้วแลอยู่. ภิกษุ ท. ! ในสมัยใด ภิกษุ เพราะสงัดจากกามและสงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลาย ย่อมบรรลุฌานที่หนึ่ง .... นั้นแล้วแลอยู่. ในสมัยนั้น เธอย่อมไม่คิดแม้ในทางที่จะให้เกิดความเดือดร้อนแก่ตนเอง, ย่อมไม่คิดแม้ในทางที่จะให้เกิดความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น, และย่อมไม่คิดแม้ในทางที่จะให้เกิดความเดือดร้อนแก่ตนเองและผู้อื่นทั้งสองฝ่าย. ในสมัยนั้น (ในขณะนั้น) เธอย่อมเสวย เวทนา อันไม่ทำความเดือดร้อนแต่อย่างใดเลย. ภิกษุ ท. ! เรากล่าว อัสสาทะ (รสอร่อย) ของเวทนาทั้งหลาย ว่า มีการไม่ทำความเดือดร้อนแก่ผู้ใดเป็นอย่างยิ่ง. (ข) ภิกษุ ท. ! ข้ออื่นยังมีอีก : ภิกษุ เพราะสงบวิตกวิจารเสียได้ ย่อมบรรลุ ฌานที่สอง อันเป็นเครื่องผ่องใสในภายใน นำให้เกิดสมาธิมีอารมณ์อันเดียวแห่งใจ ไม่มีวิตกวิจาร มีแต่ปีติและสุขอันเกิดแต่สมาธิ แล้วแลอยู่. ภิกษุ ท. ! ในสมัยใด ภิกษุ เพราะสงบวิตกวิจารเสียได้ ย่อมบรรลุ ฌานที่สอง .... นั้นแล้วแลอยู่. ในสมัยนั้น เธอย่อมไม่คิดแม้ในทางที่จะให้เกิดความเดือดร้อนแก่ตนเอง, ย่อมไม่คิดแม้ในทางที่จะให้เกิดความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น, และย่อมไม่คิดแม้ในทางที่จะให้เกิดความเดือดร้อนแก่ตนเองและผู้อื่นทั้งสองฝ่าย. ในสมัยนั้น เธอย่อม เสวยเวทนา อันไม่ทำความเดือดร้อนแต่อย่างใดเลย. ภิกษุ ท. ! เรากล่าว อัสสาทะ (รสอร่อย) ของเวทนาทั้งหลาย ว่า มีการไม่ทำความเดือดร้อนแก่ผู้ใดเป็นอย่างยิ่ง. (ค) ภิกษุ ท. ! ข้ออื่นยังมีอีก : ภิกษุ เพราะความจางคลายไปแห่งปีติ เป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกาย ย่อมบรรลุ ฌานที่สาม อันเป็นฌานที่พระอริยเจ้าทั้งหลายกล่าวว่า “ผู้ได้บรรลุฌานนี้ เป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติ อยู่เป็นปกติสุข” ดังนี้ แล้วแลอยู่. ภิกษุ ท. ! ในสมัยใด ภิกษุ เพราะความจางคลายไปแห่งปีติ เป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกาย ย่อมบรรลุฌานที่สาม .... นั้นแล้วแลอยู่. ในสมัยนั้น เธอย่อมไม่คิดแม้ในทางที่จะให้เกิดความเดือดร้อนแก่ตนเอง, ย่อมไม่คิดแม้ในทางที่จะให้เกิดความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น, และย่อมไม่คิดแม้ในทางที่จะให้เกิดความเดือดร้อนแก่ตนเองและผู้อื่นทั้งสองฝ่าย. ในสมัยนั้น เธอย่อมเสวย เวทนา อันไม่ทำความเดือดร้อนแต่อย่างใดเลย. ภิกษุ ท. ! เรากล่าวอัสสาทะ (รสอร่อย) ของเวทนาทั้งหลาย ว่า มีการไม่ทำความเดือดร้อนแก่ผู้ใดเป็นอย่างยิ่ง. (ง) ภิกษุ ท. ! ข้ออื่นยังมีอีก : ภิกษุ เพราะละสุขเสียได้ และเพราะละทุกข์เสียได้ เพราะความดับหายไปแห่งโสมนัสและโทมนัสในกาลก่อน ย่อมบรรลุ ฌานที่สี่ อันไม่ทุกข์ไม่สุข มีแต่สติเป็นธรรมชาติบริสุทธิ์ เพราะอุเบกขา แล้วแลอยู่. ภิกษุ ท. ! ในสมัยใด ภิกษุ เพราะละสุขเสียได้ และเพราะละทุกข์เสียได้ เพราะความดับหายไปแห่งโสมนัสและโทมนัสในกาลก่อน ย่อมบรรลุฌานที่สี่ …. นั้นแล้วแลอยู่. ในสมัยนั้น เธอย่อมไม่คิดแม้ในทางที่จะให้เกิดความเดือดร้อนแก่ตนเอง, ย่อมไม่คิดแม้ในทางที่จะให้เกิดความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น, และย่อมไม่คิดแม้ในทางที่จะให้เกิดความเดือดร้อนแก่ ตนเองและผู้อื่นทั้งสองฝ่าย. ในสมัยนั้น เธอย่อมเสวย เวทนา อันไม่ทำความเดือดร้อนแต่อย่างใดเลย. ภิกษุ ท. ! เรากล่าว อัสสาทะ (รสอร่อย) ของเวทนาทั้งหลายว่า มีการไม่ทำความเดือดร้อนแก่ผู้ใดเป็นอย่างยิ่ง. ภิกษุ ท. ! อะไร เป็นอาทีนวะ (โทษอันต่ำทราม) ของเวทนา ทั้งหลาย ? ภิกษุ ท. ! เวทนาไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็น ธรรมดาอันใด, อันนั้น เป็นอาทีนวะของเวทนาทั้งหลาย. ภิกษุ ท. ! อะไร เป็นนิสสรณะ (อุบายเครื่องออก) จากเวทนาทั้งหลาย ? ภิกษุ ท. ! การนำออกเสียได้ซึ่งฉันทราคะ การละเสียได้ซึ่งฉันทราคะ ในเวทนาทั้งหลาย อันใด, อันนั้น เป็นนิสสรณะจากเวทนาทั้งหลาย. ภิกษุ ท. ! สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด ไม่รู้ชัดตามเป็นจริง ซึ่ง อัสสาทะแห่งเวทนาทั้งหลายโดยความเป็นอัสสาทะด้วย ซึ่งอาทีนวะโดยความเป็นอาทีนวะด้วย ซึ่งนิสสรณะโดยความเป็นนิสสรณะด้วย โดยอาการอย่างนี้ อยู่; สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้นน่ะหรือ จักรอบรู้ซึ่งเวทนาทั้งหลายด้วยตนเอง หรือว่าจักชวนผู้อื่นให้รอบรู้ซึ่งเวทนาทั้งหลายเหมือนผู้ที่เคยปฏิบัติแล้ว ดังนี้นั้น : นั่นไม่เป็นฐานะที่มีได้. ภิกษุ ท. ! ส่วน สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด รู้ชัดตามเป็นจริง ซึ่งอัสสาทะแห่งเวทนาทั้งหลายโดยความเป็นอัสสาทะด้วย ซึ่งอาทีนวะโดยความเป็นอาทีนวะด้วย ซึ่งนิสสรณะโดยความเป็นนิสสรณะด้วย โดยอาการอย่างนี้ อยู่; สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้นนั่นแหละ จักรอบรู้ซึ่งเวทนาทั้งหลายด้วยตนเอง หรือว่าจักชักชวนผู้อื่นให้รอบรู้ซึ่งเวทนาทั้งหลายเหมือนผู้ที่เคยปฏิบัติแล้ว ดังนี้นั้น : นั่นเป็นฐานะที่มีได้.
    0 Comments 0 Shares 293 Views 0 Reviews
  • อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​อัสสาทะ-อาทีนวะ-นิสสรณะของรูปกาย
    สัทธรรมลำดับที่ : 737
    ชื่อบทธรรม :- อัสสาทะ-อาทีนวะ-นิสสรณะของรูปกาย(ธรรมลักษณะ ๓ ประการของรูป : วัตถุแห่งสัมมาทิฏฐิ)
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=737
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --อัสสาทะ-อาทีนวะ-นิสสรณะของรูปกาย
    (ธรรมลักษณะ ๓ ประการของรูป : วัตถุแห่งสัมมาทิฏฐิ)
    --ภิกษุ ท. ! อะไร เป็นอัสสาทะ (รสอร่อย) ของรูป ?
    +--ภิกษุ ท. ! เหมือนอย่างว่านางสาวน้อยแห่งกษัตริย์ก็ดี
    นางสาวน้อยแห่งพราหมณ์ก็ดี หรือนางสาวน้อยแห่งคหบดีก็ดี
    ที่แสดงลักษณะว่ามีอายุสิบห้าปีก็ดี หรือสิบหกปีก็ดี
    ซึ่งมีทรวดทรงไม่สูงนัก ไม่ต่ำนัก ไม่ผอมนัก ไม่อ้วนนัก ไม่ดำนัก ไม่ขาวนัก
    +--ภิกษุ ท. ! ในสมัยนั้น สีสรรวรรณะแห่งหญิงนั้น ย่อมงดงามอย่างยิ่ง มิใช่หรือ?
    “อย่างนั้น พระเจ้าข้า !”
    +-ภิกษุ ท. ! สุขโสมนัสที่อาศัยสีสรรวรรณะอัน งดงามแล้วบังเกิดขึ้น อันใด,
    อันนั้น #เป็นอัสสาทะของรูป.
    http://etipitaka.com/read/pali/12/173/?keywords=อสฺสาโท

    --ภิกษุ ท. ! อะไร เป็น อาทีนวะ (โทษอันต่ำทราม) ของรูป ?
    (ก) ภิกษุ ท. ! ในกรณีนี้
    บุคคคล จะได้เห็นน้องสาว (ของตนเอง) นั่นแหละ
    โดยกาลต่อมา มีอายุได้ ๘๐ ปีบ้าง ๙๐ ปีบ้าง ๑๐๐ ปีบ้าง
    ชราทรุดโทรมแล้ว มีหลังงอเหมือน โคปานสิแห่งหลังคา*--๑
    มีกายคดไปคดมา
    มีไม้เท้ายันไปในเบื้องหน้า เดินตัวสั่นเทิ้ม กระสับกระส่าย ผ่านวัยอันแข็งแกร่งไปแล้ว
    มีฟันหักแล้ว มีผมหงอกแล้ว มีผมตัดสั้นอย่างลวกๆ
    มีผิวหนังหย่อนยานและมีตัวเต็มไปด้วยจุด.
    +--ภิกษุ ท. ! พวกเธอเข้าใจความข้อนี้ว่าอย่างไร :
    สีสรรวรรณะอันงดงามที่มีมาแต่เดิม อันตรธานไปแล้ว, โทษปรากฏชัดแล้วมิใช่หรือ ?
    “อย่างนั้นพระเจ้าข้า !”
    +--ภิกษุ ท. ! นั่นคือ #อาทีนวะของรูป.
    ------
    *--๑. คำนี้เคยแปลกันว่า กลอนหรือจันทัน แต่ไม่สมเหตุสมผลคือไม่ได้โค้ง.
    รูปเรือนโบราณที่ปรากฏอยู่ในสิลาสลักของโบราณ เห็นโค้งอยู่แต่ส่วนที่เรียกว่าปั้นลม
    โค้งงอเป็นรูปดอกบัว พอที่จะเปรียบกับหลังโกงได้.
    หรือมิฉะนั้น ก็ต้องเป็นเรือนที่มีหลังคาเป็นรูปประทุนเรือจันทันหรือกลอนจึงจะโค้งงอได้, ทำให้ไม่แน่ใจว่าแปลคำนี้ว่าอะไรดี จึงไม่แปลและคงไว้ตามเดิมว่า โคปานสิ.

    (ข) ภิกษุ ท. ! โทษอย่างอื่นยังมีอีก
    : บุคคล จะได้เห็นน้องสาว (ของตนเอง) นั่นแหละ
    อาพาธลง ได้รับทุกข์ทรมาณ เป็นไข้หนัก
    นอนกลิ้งเกลือกอยู่ในมูตรและคูถของตนเอง
    อันบุคคลต้องช่วยพยุงให้ลุกและนอน.
    +--ภิกษุ ท. ! พวกเธอเข้าใจข้อความนี้ว่าอย่างไร
    : สีสรรวรรณะอันงดงามที่มีแต่เดิม อันตรธานไปแล้ว, โทษปรากฏชัดแล้ว มิใช่หรือ ?
    “อย่างนั้น พระเจ้าข้า !”
    +--ภิกษุ ท. ! แม้นั่น ก็คือ #อาทีนวะของรูป.

    (ค) ภิกษุ ท. ! โทษอย่างอื่นยังมีอีก
    : บุคคล จะได้เห็นน้องสาว (ของตนเอง)
    นั่นแหละ บัดนี้เป็นสรีระร่างอันเขาทิ้งแล้ว ในป่าช้าเป็นที่ทิ้งศพ
    ตายแล้ววันหนึ่ง บ้าง ตายแล้วสองวัน บ้าง ตายแล้วสามวัน บ้าง กำลังขึ้นพอง บ้าง
    มีสีเขียว บ้าง มีหนองไหล บ้าง.
    +--ภิกษุ ท. ! พวกเธอจะข้าใจความหมายนี้อย่างไร
    : สีสันวรรณะอันงดงามที่มีแต่เดิม อันตรธานไปแล้ว, โทษปรากฏชัดแล้ว มิใช่หรือ ?
    “อย่างนั้น พระเจ้าข้า !”
    +--ภิกษุ ท. ! แม้นั่น ก็คือ #อาทีนวะของรูป.

    (ง) ภิกษุ ท. ! โทษอย่างอื่นยังมีอีก
    : บุคคล จะได้เห็นน้องสาว (ของตนเอง)
    นั่นแหละ บัดนี้เป็นสรีระร่างอันเขาทิ้งแล้ว ในป่าช้าเป็นที่ทิ้งศพอัน
    ฝูงกาจิกกินอยู่ บ้าง อัน ฝูงแร้งจิกกินอยู่ บ้าง อัน ฝูงตะกรุมจิกกินอยู่ บ้าง
    อัน ฝูงสุนัขกัดกินอยู่ บ้าง อัน ฝูงสุนัขจิ้งจอกกัดกินอยู่ บ้าง
    และอัน หมู่หนอนต่างชนิดบ่อนกินอยู่ บ้าง.
    +--ภิกษุ ท. ! พวกเธอจะเข้าใจความข้อนี้ว่าอย่างไร
    : สีสรรวรรณะอันงดงามที่มีแต่เดิม อันตรธานไปแล้ว, โทษปรากฏชัดแล้ว มิใช่หรือ ?
    “อย่างนั้น พระเจ้าข้า !”
    +--ภิกษุ ท. ! แม้นั่น ก็คือ #อาทีนวะของรูป.

    (จ) ภิกษุ ท. ! โทษอย่างอื่นยังมีอีก
    : บุคคล จะได้เห็นน้องสาว (ของตนเอง) นั่นแหละ
    บัดนี้เป็นสรีระร่างอันเขาทิ้งแล้ว ในป่าช้าเป็นที่ทิ้งศพ
    เป็นร่างกระดูก ยังมีเนื้อและเลือด และยังมีเอ็นเป็นเครื่องรึงรัดอยู่ บ้าง
    เป็นร่างกระดูกที่ ปราศจากเนื้อ แต่ยังมีเลือดเปื้อนอยู่ และยังมีเอ็นเป็นเครื่องรึงรัดไว้ บ้าง
    เป็นร่างกระดูกที่ ปราศจากเนื้อและเลือด แต่ยังมีอ็นเป็นเครื่องรึงรัดไว้ บ้าง
    เป็นท่อนกระดูกที่ ปราศจากเอ็นเป็นเครื่องรึงรัด กระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง คือกระดูกมือไปทางหนึ่ง กระดูกเท้าไปทางหนึ่ง กระดูกแข้งไปทางหนึ่ง กระดูกขาไปทางหนึ่ง กระดูกสะเอวไปทางหนึ่ง กระดูกข้อสันหลังไปทางหนึ่ง กระดูกสีข้างไปทางหนึ่ง กระดูกหน้าอกไปทางหนึ่ง กระดูกแขนไปทางหนึ่ง กระดูกไหล่ไปทางหนึ่ง กระดูกคอไปทางหนึ่ง กระดูกคางไปทางหนึ่ง ฟันไปทางหนึ่ง กระโหลกศีรษะไปทางหนึ่ง บ้าง.
    +--ภิกษุ ท. ! พวกเธอจะเข้าใจความข้อนี้ว่าอย่างไร :
    สีสรรวรรณะอันงดงามที่มีแต่เดิม อันตรธานไปแล้ว, โทษปรากฏชัดแล้ว มิใช่หรือ ?
    “อย่างนั้น พระเจ้าข้า !”
    +--ภิกษุ ท. ! แม้นั่น ก็คือ #อาทีนวะของรูป.

    (ฉ) ภิกษุ ท. ! โทษอย่างอื่นยังมีอีก
    : บุคคล จะได้เห็นน้องสาว (ของตนเอง) นั่นแหละ
    บัดนี้เป็นสรีระร่างอันเขาทิ้งแล้ว ในป่าช้าเป็นที่ทิ้งศพ
    เป็นชิ้นกระดูก มีสีขาวดังสีสังข์ บ้าง
    เป็นชิ้นกระดูก กองเรี่ยรายอยู่นานเกินกว่าปีหนึ่งไปแล้ว บ้าง
    เป็นกระดูก เปื่อยผงละเอียดไปแล้ว บ้าง
    +--ภิกษุ ท. ! พวกเธอจะเข้าใจความข้อนี้ว่าอย่างไร
    : สีสรรวรรณะอันงดงามที่มีแต่เดิม อันตรธานไปแล้ว, โทษปรากฏชัดแล้ว มิใช่หรือ ?
    “อย่างนั้น พระเจ้าข้า !”
    +--ภิกษุ ท. ! แม้นั่น ก็คือ #อาทีนวะของรูป.

    --ภิกษุ ท. ! อะไร เป็นนิสสรณะ (อุบายเครื่องออก) จากรูป ?
    +--ภิกษุ ท. ! การนำออกเสียได้ซึ่งฉันทราคะ การละเสียได้ซึ่งฉันทราคะในรูปอันใด,
    อันนั้น เป็น #นิสสรณะของรูป.
    http://etipitaka.com/read/pali/12/175/?keywords=ฉนฺทราคปฺปหานํ
    --ภิกษุ ท. ! สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด ไม่รู้ชัดตามเป็นจริง
    ซึ่ง อัสสาทะแห่งรูปโดยความเป็นอัสสาทะด้วย
    ซึ่ง อาทีนวะโดยความเป็นอาทีนวะด้วย
    ซึ่ง นิสสรณะโดยความเป็นนิสสรณะด้วย โดยอาการอย่างนี้ อยู่;
    สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้นน่ะหรือ จักรอบรู้ซึ่งรูปด้วยตนเอง
    หรือว่าจักชวนผู้อื่นให้รอบรู้ซึ่งรูปเหมือนผู้ที่เคยปฏิบัติแล้ว
    ดังนี้นั้น : นั่นไม่เป็นฐานะที่มีได้.
    --ภิกษุ ท. ! ส่วนสมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด รู้ชัดตามความเป็นจริง
    ซึ่ง อัสสาทะแห่งรูปโดยความเป็นอัสสาทะด้วย
    ซึ่ง อาทีนวะโดยความเป็นอาทีนวะด้วย
    ซึ่ง นิสสรณะโดยความเป็นนิสสรณะด้วย โดยอาการอย่างนี้ อยู่
    สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น จักรอบรู้ซึ่งรูปด้วยตนเอง
    หรือว่าจักชวนผู้อื่นให้รอบรู้ซึ่งรูปเหมือนผู้ที่เคยปฏิบัติแล้ว
    ดังนี้นั้น : นั่นเป็นฐานะที่มีได้.-

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์

    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - มู. ม. 12/118-121/201-204.
    http://etipitaka.com/read/thai/12/118/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%90%E0%B9%91
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - มู. ม. ๑๒/๑๗๓-๑๗๕/๒๐๑-๒๐๔.
    http://etipitaka.com/read/pali/12/173/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%90%E0%B9%91
    ศึกษาเพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=737
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=55&id=737
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=55
    ลำดับสาธยายธรรม : 55 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_55.mp3
    อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​อัสสาทะ-อาทีนวะ-นิสสรณะของรูปกาย สัทธรรมลำดับที่ : 737 ชื่อบทธรรม :- อัสสาทะ-อาทีนวะ-นิสสรณะของรูปกาย(ธรรมลักษณะ ๓ ประการของรูป : วัตถุแห่งสัมมาทิฏฐิ) https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=737 เนื้อความทั้งหมด :- --อัสสาทะ-อาทีนวะ-นิสสรณะของรูปกาย (ธรรมลักษณะ ๓ ประการของรูป : วัตถุแห่งสัมมาทิฏฐิ) --ภิกษุ ท. ! อะไร เป็นอัสสาทะ (รสอร่อย) ของรูป ? +--ภิกษุ ท. ! เหมือนอย่างว่านางสาวน้อยแห่งกษัตริย์ก็ดี นางสาวน้อยแห่งพราหมณ์ก็ดี หรือนางสาวน้อยแห่งคหบดีก็ดี ที่แสดงลักษณะว่ามีอายุสิบห้าปีก็ดี หรือสิบหกปีก็ดี ซึ่งมีทรวดทรงไม่สูงนัก ไม่ต่ำนัก ไม่ผอมนัก ไม่อ้วนนัก ไม่ดำนัก ไม่ขาวนัก +--ภิกษุ ท. ! ในสมัยนั้น สีสรรวรรณะแห่งหญิงนั้น ย่อมงดงามอย่างยิ่ง มิใช่หรือ? “อย่างนั้น พระเจ้าข้า !” +-ภิกษุ ท. ! สุขโสมนัสที่อาศัยสีสรรวรรณะอัน งดงามแล้วบังเกิดขึ้น อันใด, อันนั้น #เป็นอัสสาทะของรูป. http://etipitaka.com/read/pali/12/173/?keywords=อสฺสาโท --ภิกษุ ท. ! อะไร เป็น อาทีนวะ (โทษอันต่ำทราม) ของรูป ? (ก) ภิกษุ ท. ! ในกรณีนี้ บุคคคล จะได้เห็นน้องสาว (ของตนเอง) นั่นแหละ โดยกาลต่อมา มีอายุได้ ๘๐ ปีบ้าง ๙๐ ปีบ้าง ๑๐๐ ปีบ้าง ชราทรุดโทรมแล้ว มีหลังงอเหมือน โคปานสิแห่งหลังคา*--๑ มีกายคดไปคดมา มีไม้เท้ายันไปในเบื้องหน้า เดินตัวสั่นเทิ้ม กระสับกระส่าย ผ่านวัยอันแข็งแกร่งไปแล้ว มีฟันหักแล้ว มีผมหงอกแล้ว มีผมตัดสั้นอย่างลวกๆ มีผิวหนังหย่อนยานและมีตัวเต็มไปด้วยจุด. +--ภิกษุ ท. ! พวกเธอเข้าใจความข้อนี้ว่าอย่างไร : สีสรรวรรณะอันงดงามที่มีมาแต่เดิม อันตรธานไปแล้ว, โทษปรากฏชัดแล้วมิใช่หรือ ? “อย่างนั้นพระเจ้าข้า !” +--ภิกษุ ท. ! นั่นคือ #อาทีนวะของรูป. ------ *--๑. คำนี้เคยแปลกันว่า กลอนหรือจันทัน แต่ไม่สมเหตุสมผลคือไม่ได้โค้ง. รูปเรือนโบราณที่ปรากฏอยู่ในสิลาสลักของโบราณ เห็นโค้งอยู่แต่ส่วนที่เรียกว่าปั้นลม โค้งงอเป็นรูปดอกบัว พอที่จะเปรียบกับหลังโกงได้. หรือมิฉะนั้น ก็ต้องเป็นเรือนที่มีหลังคาเป็นรูปประทุนเรือจันทันหรือกลอนจึงจะโค้งงอได้, ทำให้ไม่แน่ใจว่าแปลคำนี้ว่าอะไรดี จึงไม่แปลและคงไว้ตามเดิมว่า โคปานสิ. (ข) ภิกษุ ท. ! โทษอย่างอื่นยังมีอีก : บุคคล จะได้เห็นน้องสาว (ของตนเอง) นั่นแหละ อาพาธลง ได้รับทุกข์ทรมาณ เป็นไข้หนัก นอนกลิ้งเกลือกอยู่ในมูตรและคูถของตนเอง อันบุคคลต้องช่วยพยุงให้ลุกและนอน. +--ภิกษุ ท. ! พวกเธอเข้าใจข้อความนี้ว่าอย่างไร : สีสรรวรรณะอันงดงามที่มีแต่เดิม อันตรธานไปแล้ว, โทษปรากฏชัดแล้ว มิใช่หรือ ? “อย่างนั้น พระเจ้าข้า !” +--ภิกษุ ท. ! แม้นั่น ก็คือ #อาทีนวะของรูป. (ค) ภิกษุ ท. ! โทษอย่างอื่นยังมีอีก : บุคคล จะได้เห็นน้องสาว (ของตนเอง) นั่นแหละ บัดนี้เป็นสรีระร่างอันเขาทิ้งแล้ว ในป่าช้าเป็นที่ทิ้งศพ ตายแล้ววันหนึ่ง บ้าง ตายแล้วสองวัน บ้าง ตายแล้วสามวัน บ้าง กำลังขึ้นพอง บ้าง มีสีเขียว บ้าง มีหนองไหล บ้าง. +--ภิกษุ ท. ! พวกเธอจะข้าใจความหมายนี้อย่างไร : สีสันวรรณะอันงดงามที่มีแต่เดิม อันตรธานไปแล้ว, โทษปรากฏชัดแล้ว มิใช่หรือ ? “อย่างนั้น พระเจ้าข้า !” +--ภิกษุ ท. ! แม้นั่น ก็คือ #อาทีนวะของรูป. (ง) ภิกษุ ท. ! โทษอย่างอื่นยังมีอีก : บุคคล จะได้เห็นน้องสาว (ของตนเอง) นั่นแหละ บัดนี้เป็นสรีระร่างอันเขาทิ้งแล้ว ในป่าช้าเป็นที่ทิ้งศพอัน ฝูงกาจิกกินอยู่ บ้าง อัน ฝูงแร้งจิกกินอยู่ บ้าง อัน ฝูงตะกรุมจิกกินอยู่ บ้าง อัน ฝูงสุนัขกัดกินอยู่ บ้าง อัน ฝูงสุนัขจิ้งจอกกัดกินอยู่ บ้าง และอัน หมู่หนอนต่างชนิดบ่อนกินอยู่ บ้าง. +--ภิกษุ ท. ! พวกเธอจะเข้าใจความข้อนี้ว่าอย่างไร : สีสรรวรรณะอันงดงามที่มีแต่เดิม อันตรธานไปแล้ว, โทษปรากฏชัดแล้ว มิใช่หรือ ? “อย่างนั้น พระเจ้าข้า !” +--ภิกษุ ท. ! แม้นั่น ก็คือ #อาทีนวะของรูป. (จ) ภิกษุ ท. ! โทษอย่างอื่นยังมีอีก : บุคคล จะได้เห็นน้องสาว (ของตนเอง) นั่นแหละ บัดนี้เป็นสรีระร่างอันเขาทิ้งแล้ว ในป่าช้าเป็นที่ทิ้งศพ เป็นร่างกระดูก ยังมีเนื้อและเลือด และยังมีเอ็นเป็นเครื่องรึงรัดอยู่ บ้าง เป็นร่างกระดูกที่ ปราศจากเนื้อ แต่ยังมีเลือดเปื้อนอยู่ และยังมีเอ็นเป็นเครื่องรึงรัดไว้ บ้าง เป็นร่างกระดูกที่ ปราศจากเนื้อและเลือด แต่ยังมีอ็นเป็นเครื่องรึงรัดไว้ บ้าง เป็นท่อนกระดูกที่ ปราศจากเอ็นเป็นเครื่องรึงรัด กระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง คือกระดูกมือไปทางหนึ่ง กระดูกเท้าไปทางหนึ่ง กระดูกแข้งไปทางหนึ่ง กระดูกขาไปทางหนึ่ง กระดูกสะเอวไปทางหนึ่ง กระดูกข้อสันหลังไปทางหนึ่ง กระดูกสีข้างไปทางหนึ่ง กระดูกหน้าอกไปทางหนึ่ง กระดูกแขนไปทางหนึ่ง กระดูกไหล่ไปทางหนึ่ง กระดูกคอไปทางหนึ่ง กระดูกคางไปทางหนึ่ง ฟันไปทางหนึ่ง กระโหลกศีรษะไปทางหนึ่ง บ้าง. +--ภิกษุ ท. ! พวกเธอจะเข้าใจความข้อนี้ว่าอย่างไร : สีสรรวรรณะอันงดงามที่มีแต่เดิม อันตรธานไปแล้ว, โทษปรากฏชัดแล้ว มิใช่หรือ ? “อย่างนั้น พระเจ้าข้า !” +--ภิกษุ ท. ! แม้นั่น ก็คือ #อาทีนวะของรูป. (ฉ) ภิกษุ ท. ! โทษอย่างอื่นยังมีอีก : บุคคล จะได้เห็นน้องสาว (ของตนเอง) นั่นแหละ บัดนี้เป็นสรีระร่างอันเขาทิ้งแล้ว ในป่าช้าเป็นที่ทิ้งศพ เป็นชิ้นกระดูก มีสีขาวดังสีสังข์ บ้าง เป็นชิ้นกระดูก กองเรี่ยรายอยู่นานเกินกว่าปีหนึ่งไปแล้ว บ้าง เป็นกระดูก เปื่อยผงละเอียดไปแล้ว บ้าง +--ภิกษุ ท. ! พวกเธอจะเข้าใจความข้อนี้ว่าอย่างไร : สีสรรวรรณะอันงดงามที่มีแต่เดิม อันตรธานไปแล้ว, โทษปรากฏชัดแล้ว มิใช่หรือ ? “อย่างนั้น พระเจ้าข้า !” +--ภิกษุ ท. ! แม้นั่น ก็คือ #อาทีนวะของรูป. --ภิกษุ ท. ! อะไร เป็นนิสสรณะ (อุบายเครื่องออก) จากรูป ? +--ภิกษุ ท. ! การนำออกเสียได้ซึ่งฉันทราคะ การละเสียได้ซึ่งฉันทราคะในรูปอันใด, อันนั้น เป็น #นิสสรณะของรูป. http://etipitaka.com/read/pali/12/175/?keywords=ฉนฺทราคปฺปหานํ --ภิกษุ ท. ! สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด ไม่รู้ชัดตามเป็นจริง ซึ่ง อัสสาทะแห่งรูปโดยความเป็นอัสสาทะด้วย ซึ่ง อาทีนวะโดยความเป็นอาทีนวะด้วย ซึ่ง นิสสรณะโดยความเป็นนิสสรณะด้วย โดยอาการอย่างนี้ อยู่; สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้นน่ะหรือ จักรอบรู้ซึ่งรูปด้วยตนเอง หรือว่าจักชวนผู้อื่นให้รอบรู้ซึ่งรูปเหมือนผู้ที่เคยปฏิบัติแล้ว ดังนี้นั้น : นั่นไม่เป็นฐานะที่มีได้. --ภิกษุ ท. ! ส่วนสมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด รู้ชัดตามความเป็นจริง ซึ่ง อัสสาทะแห่งรูปโดยความเป็นอัสสาทะด้วย ซึ่ง อาทีนวะโดยความเป็นอาทีนวะด้วย ซึ่ง นิสสรณะโดยความเป็นนิสสรณะด้วย โดยอาการอย่างนี้ อยู่ สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น จักรอบรู้ซึ่งรูปด้วยตนเอง หรือว่าจักชวนผู้อื่นให้รอบรู้ซึ่งรูปเหมือนผู้ที่เคยปฏิบัติแล้ว ดังนี้นั้น : นั่นเป็นฐานะที่มีได้.- #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - มู. ม. 12/118-121/201-204. http://etipitaka.com/read/thai/12/118/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%90%E0%B9%91 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - มู. ม. ๑๒/๑๗๓-๑๗๕/๒๐๑-๒๐๔. http://etipitaka.com/read/pali/12/173/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%90%E0%B9%91 ศึกษาเพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=737 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=55&id=737 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=55 ลำดับสาธยายธรรม : 55 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_55.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - อัสสาทะ-อาทีนวะ-นิสสรณะของรูปกาย--(ธรรมลักษณะ ๓ ประการของรูป : วัตถุแห่งสัมมาทิฏฐิ)
    -(ความรู้ดังกล่าวนี้สงเคราะห์ลงในสัมมาทิฏฐิ ดังนั้นจึงนำมารวมไว้ในที่นี้). อัสสาทะ-อาทีนวะ-นิสสรณะของรูปกาย (ธรรมลักษณะ ๓ ประการของรูป : วัตถุแห่งสัมมาทิฏฐิ) ภิกษุ ท. ! อะไร เป็นอัสสาทะ (รสอร่อย) ของรูป ? ภิกษุ ท. ! เหมือนอย่างว่านางสาวน้อยแห่งกษัตริย์ก็ดี นางสาวน้อยแห่งพราหมณ์ก็ดี หรือนางสาวน้อยแห่งคหบดีก็ดี ที่แสดงลักษณะว่ามีอายุสิบห้าปีก็ดี หรือสิบหกปีก็ดี ซึ่งมีทรวดทรงไม่สูงนัก ไม่ต่ำนัก ไม่ผอมนัก ไม่อ้วนนัก ไม่ดำนัก ไม่ขาวนัก ภิกษุ ท. ! ในสมัยนั้น สีสรรวรรณะแห่งหญิงนั้น ย่อมงดงามอย่างยิ่ง มิใช่หรือ? “อย่างนั้น พระเจ้าข้า !” ภิกษุ ท. ! สุขโสมนัสที่อาศัยสีสรรวรรณะอัน งดงามแล้วบังเกิดขึ้น อันใด, อันนั้น เป็นอัสสาทะของรูป. ภิกษุ ท. ! อะไร เป็น อาทีนวะ (โทษอันต่ำทราม) ของรูป ? (ก) ภิกษุ ท. ! ในกรณีนี้ บุคคคล จะได้เห็นน้องสาว (ของตนเอง) นั่นแหละ โดยกาลต่อมา มีอายุได้ ๘๐ ปีบ้าง ๙๐ ปีบ้าง ๑๐๐ ปีบ้าง ชราทรุดโทรมแล้ว มีหลังงอเหมือนโคปานสิแห่งหลังคา๑ มีกายคดไปคดมา มีไม้เท้ายันไป ๑. คำนี้เคยแปลกันว่า กลอนหรือจันทัน แต่ไม่สมเหตุสมผลคือไม่ได้โค้ง. รูปเรือนโบราณที่ปรากฏอยู่ในสิลาสลักของโบราณ เห็นโค้งอยู่แต่ส่วนที่เรียกว่าปั้นลม โค้งงอเป็นรูปดอกบัว พอที่จะเปรียบกับหลังโกงได้. หรือมิฉะนั้น ก็ต้องเป็นเรือนที่มีหลังคาเป็นรูปประทุนเรือจันทันหรือกลอนจึงจะโค้งงอได้, ทำให้ไม่แน่ใจว่าแปลคำนี้ว่าอะไรดี จึงไม่แปลและคงไว้ตามเดิมว่า โคปานสิ. ในเบื้องหน้า เดินตัวสั่นเทิ้ม กระสับกระส่าย ผ่านวัยอันแข็งแกร่งไปแล้ว มีฟันหักแล้ว มีผมหงอกแล้ว มีผมตัดสั้นอย่างลวกๆ มีผิวหนังหย่อนยานและมีตัวเต็มไปด้วยจุด. ภิกษุ ท. ! พวกเธอเข้าใจความข้อนี้ว่าอย่างไร : สีสรรวรรณะอันงดงามที่มีมาแต่เดิม อันตรธานไปแล้ว, โทษปรากฏชัดแล้วมิใช่หรือ ? “อย่างนั้นพระเจ้าข้า !” ภิกษุ ท. ! นั่นคือ อาทีนวะของรูป. (ข) ภิกษุ ท. ! โทษอย่างอื่นยังมีอีก : บุคคล จะได้เห็นน้องสาว (ของตนเอง) นั่นแหละ อาพาธลง ได้รับทุกข์ทรมาณ เป็นไข้หนัก นอนกลิ้งเกลือกอยู่ในมูตรและคูถของตนเอง อันบุคคลต้องช่วยพยุงให้ลุกและนอน. ภิกษุ ท. ! พวกเธอเข้าใจข้อความนี้ว่าอย่างไร : สีสรรวรรณะอันงดงามที่มีแต่เดิม อันตรธานไปแล้ว, โทษปรากฏชัดแล้ว มิใช่หรือ ? “อย่างนั้น พระเจ้าข้า !” ภิกษุ ท. ! แม้นั่น ก็คืออาทีนวะของรูป. (ค) ภิกษุ ท. ! โทษอย่างอื่นยังมีอีก : บุคคล จะได้เห็นน้องสาว (ของตนเอง) นั่นแหละ บัดนี้เป็นสรีระร่างอันเขาทิ้งแล้ว ในป่าช้าเป็นที่ทิ้งศพ ตายแล้ววันหนึ่ง บ้าง ตายแล้วสองวัน บ้าง ตายแล้วสามวัน บ้าง กำลังขึ้นพอง บ้าง มีสีเขียว บ้าง มีหนองไหล บ้าง. ภิกษุ ท. ! พวกเธอจะข้าใจความหมายนี้อย่างไร : สีสันวรรณะอันงดงามที่มีแต่เดิม อันตรธานไปแล้ว, โทษปรากฏชัดแล้ว มิใช่หรือ ? “อย่างนั้น พระเจ้าข้า !” ภิกษุ ท. ! แม้นั่น ก็คืออาทีนวะ ของรูป. (ง) ภิกษุ ท. ! โทษอย่างอื่นยังมีอีก : บุคคล จะได้เห็นน้องสาว (ของตนเอง) นั่นแหละ บัดนี้เป็นสรีระร่างอันเขาทิ้งแล้ว ในป่าช้าเป็นที่ทิ้งศพ อัน ฝูงกาจิกกินอยู่ บ้าง อัน ฝูงแร้งจิกกินอยู่ บ้าง อัน ฝูงตะกรุมจิกกินอยู่ บ้าง อัน ฝูงสุนัขกัดกินอยู่ บ้าง อัน ฝูงสุนัขจิ้งจอกกัดกินอยู่ บ้าง และอัน หมู่หนอนต่างชนิดบ่อนกินอยู่ บ้าง. ภิกษุ ท. ! พวกเธอจะเข้าใจความข้อนี้ว่าอย่างไร : สีสรรวรรณะอันงดงามที่มีแต่เดิม อันตรธานไปแล้ว, โทษปรากฏชัดแล้ว มิใช่หรือ ? “อย่างนั้น พระเจ้าข้า !” ภิกษุ ท. ! แม้นั่น ก็คืออาทีนวะของรูป. (จ) ภิกษุ ท. ! โทษอย่างอื่นยังมีอีก : บุคคล จะได้เห็นน้องสาว (ของตนเอง) นั่นแหละ บัดนี้เป็นสรีระร่างอันเขาทิ้งแล้ว ในป่าช้าเป็นที่ทิ้งศพ เป็นร่างกระดูก ยังมีเนื้อและเลือด และยังมีเอ็นเป็นเครื่องรึงรัดอยู่ บ้าง เป็นร่างกระดูกที่ ปราศจากเนื้อ แต่ยังมีเลือดเปื้อนอยู่ และยังมีเอ็นเป็นเครื่องรึงรัดไว้บ้าง เป็นร่างกระดูกที่ปราศจากเนื้อและเลือด แต่ยังมีอ็นเป็นเครื่องรึงรัดไว้บ้าง เป็นท่อนกระดูกที่ปราศจากเอ็นเป็นเครื่องรึงรัด กระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง คือกระดูกมือไปทางหนึ่ง กระดูกเท้าไปทางหนึ่ง กระดูกแข้งไปทางหนึ่ง กระดูกขาไปทางหนึ่ง กระดูกสะเอวไปทางหนึ่ง กระดูกข้อสันหลังไปทางหนึ่ง กระดูกสีข้างไปทางหนึ่ง กระดูกหน้าอกไปทางหนึ่ง กระดูกแขนไปทางหนึ่ง กระดูกไหล่ไปทางหนึ่ง กระดูกคอไปทางหนึ่ง กระดูกคางไปทางหนึ่ง ฟันไปทางหนึ่ง กระโหลกศีรษะไปทางหนึ่งบ้าง. ภิกษุ ท. ! พวกเธอจะเข้าใจความข้อนี้ว่าอย่างไร : สีสรรวรรณะอันงดงามที่มีแต่เดิม อันตรธานไปแล้ว, โทษปรากฏชัดแล้ว มิใช่หรือ ? “อย่างนั้น พระเจ้าข้า !” ภิกษุ ท. ! แม้นั่น ก็คืออาทีนวะของรูป. (ฉ) ภิกษุ ท. ! โทษอย่างอื่นยังมีอีก : บุคคล จะได้เห็นน้องสาว (ของตนเอง) นั่นแหละ บัดนี้เป็นสรีระร่างอันเขาทิ้งแล้ว ในป่าช้าเป็นที่ทิ้งศพ เป็นชิ้นกระดูก มีสีขาวดังสีสังข์ บ้าง เป็นชิ้นกระดูก กองเรี่ยรายอยู่นานเกินกว่าปีหนึ่งไปแล้ว บ้าง เป็นกระดูก เปื่อยผงละเอียดไปแล้ว บ้าง ภิกษุ ท. ! พวกเธอจะเข้าใจความข้อนี้ว่าอย่างไร : สีสรรวรรณะอันงดงามที่มีแต่เดิม อันตรธานไปแล้ว, โทษปรากฏชัดแล้ว มิใช่หรือ ? “อย่างนั้น พระเจ้าข้า !” ภิกษุ ท. ! แม้นั่น ก็คืออาทีนวะของรูป. ภิกษุ ท. ! อะไร เป็นนิสสรณะ (อุบายเครื่องออก) จากรูป ? ภิกษุ ท. ! การนำออกเสียได้ซึ่งฉันทราคะ การละเสียได้ซึ่งฉันทราคะในรูปอันใด, อันนั้น เป็นนิสสรณะของรูป. ภิกษุ ท. ! สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด ไม่รู้ชัดตามเป็นจริง ซึ่ง อัสสาทะแห่งรูปโดยความเป็นอัสสาทะด้วย ซึ่งอาทีนวะโดยความเป็นอาทีนวะด้วย ซึ่งนิสสรณะโดยความเป็นนิสสรณะด้วย โดยอาการอย่างนี้ อยู่; สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้นน่ะหรือ จักรอบรู้ซึ่งรูปด้วยตนเอง หรือว่าจักชวนผู้อื่นให้รอบรู้ซึ่งรูปเหมือนผู้ที่เคยปฏิบัติแล้ว ดังนี้นั้น : นั่นไม่เป็นฐานะที่มีได้. ภิกษุ ท. ! ส่วนสมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด รู้ชัดตามความเป็น จริง ซึ่งอัสสาทะแห่งรูปโดยความเป็นอัสสาทะด้วย ซึ่งอาทีนวะโดยความเป็นอาทีนวะด้วย ซึ่งนิสสรณะโดยความเป็นนิสสรณะด้วย โดยอาการอย่างนี้ อยู่ สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น จักรอบรู้ซึ่งรูปด้วยตนเอง หรือว่าจักชวนผู้อื่นให้รอบรู้ซึ่งรูปเหมือนผู้ที่เคยปฏิบัติแล้ว ดังนี้นั้น : นั่นเป็นฐานะที่มีได้.
    0 Comments 0 Shares 313 Views 0 Reviews
  • อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​อัสสาทะ-อาทีนวะ-นิสสรณะของกาม
    สัทธรรมลำดับที่ : 736
    ชื่อบทธรรม :- อัสสาทะ-อาทีนวะ-นิสสรณะของกาม
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=736
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --อัสสาทะ-อาทีนวะ-นิสสรณะของกาม
    (ธรรมลักษณะ ๓ ประการของกาม : วัตถุแห่งสัมมาทิฏฐิ)

    --ภิกษุ ท. ! #อะไรเป็นอัสสาทะ (รสอร่อย) ของกามทั้งหลาย ?
    +--ภิกษุ ท. ! กามคุณ ๕ อย่างเหล่านี้ มีอยู่. ห้าอย่าง อย่างไรเล่า?
    ห้าอย่าง​ คือ
    ๑.รูป อันจะพึงรู้แจ้งด้วยตา
    ๒.เสียงอันจะพึงรู้แจ้งด้วยหู
    ๓.กลิ่นอันจะพึงรู้แจ้งด้วยจมูก
    ๔.รสอันจะพึงรู้แจ้งด้วยลิ้น
    ๕.โผฏฐัพพะอันจะพึงรู้แจ้งด้วยผิวกาย (แต่ละอย่าง ๆ)
    อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ มีลักษณะน่ารัก
    เป็นที่เข้าไปอาศัยอยู่แห่งความใคร่ เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด มีอยู่
    +--ภิกษุ ท. ! เหล่านี้แลชื่อว่า กามคุณ (คุณค่าสำหรับกาม) ห้าอย่าง.
    +--ภิกษุ ท. ! สุขโสมนัสใด อาศัยกามคุณห้าเหล่านี้แล้วเกิดขึ้น ,
    นี้เป็น อัสสาทะของกาม ทั้งหลาย.

    --ภิกษุ ท. ! #อะไรเป็นอาทีนวะ (โทษอันต่ำทราม) ของกามทั้งหลาย ?
    (ก) ภิกษุ ท. !
    กุลบุตรในโลกนี้ สำเร็จการเป็นอยู่ด้วยความพากเพียรในศิลปะ คือ
    ด้วยศิลปะแห่งการใช้สัญญาด้วยมือ ศิลปแห่งการคำนวณ ศิลปะแห่งการนับ
    ด้วยกสิกรรม ด้วยวาณิชกรรม ด้วยโครักขกรรม ด้วยศิลปะแห่งการใช้ศาตรา
    ด้วยการเป็นราชบุรุษ หรือด้วยศิลปะอย่างใดอย่างหนึ่ง,
    +‐-ต้องเผชิญกับความหนาว เผชิญกับความร้อน ต้องลำบากอยู่
    ด้วยสัมผัสอันเกิดจากเหลือบยุงลมแดดและสัตว์เลื้อยคลานทั้งหลาย อ่อนแรงอยู่
    ด้วยความหิว กระหายเพราะการไม่ได้บริโภคตามเวลา.
    +--ภิกษุ ท. ! ข้อนี้เป็นโทษแห่งกาม เป็นกองแห่งทุกข์ อันบุคคลเห็นได้เอง ว่า
    มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า มีกามเป็นเครื่องบังคับให้กระทำ
    +‐-มีเหตุมาแต่กามนั่นเทียว.

    (ข) ภิกษุ ท. !
    แม้เมื่อกุลบุตรนั้นพากเพียรอยู่อย่างนั้น สืบต่อ พยายามอยู่อย่างนั้น
    โภคะก็ยังไม่สำเร็จแก่เขา ;
    +--เขาย่อมเศร้าโศก ย่อมลำบากใจ ร่ำไรรำพัน ตีอกร่ำไห้ ถึงความคลั่งเพ้อว่า
    “ความพากเพียรของเราเป็นโมฆะเสียแล้วหนอ ความพยายามของเราไม่มีผลหนอ”
    ดังนี้ เป็นต้น.
    +--ภิกษุ ท. ! แม้ข้อนี้ ก็เป็นโทษของกาม เป็นกองแห่งทุกข์ อันบุคคลเห็นได้เอง ว่า
    มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า มีกามเป็นเครื่องบังคับให้กระทำ
    +--มีเหตุมาแต่กามนั่นเทียว.

    (ค) ภิกษุ ท. !
    ถึงแม้ว่าเมื่อกุลบุตรนั้น พากเพียรอยู่อย่างนั้นสืบ ต่อพยายามอยู่อย่างนั้น
    โภคะเกิดสำเร็จผลแก่เขาขึ้นมา.
    +--เขาก็ยังเสวยทุกขโทมนัสเพราะการอารักขาโภคะเหล่านั้น โดยวิตกอยู่ว่า
    “ทำอย่างไรพระราชาจึงจะไม่ริบทรัพย์ของเราไป
    โจรจะไม่ปล้นทรัพย์ของเราไป
    ไฟจะไม่ไหม้ น้ำจะไม่พัดพาเอาไป
    ทายาทอันไม่เป็นที่รักจะไม่เยื้อแย่งเอาไป” ดังนี้ เป็นต้น.
    +‐-เมื่อเขาอารักขาคุ้มครองอยู่อย่างนี้
    พระราชาริบทรัพย์ของเขาไปบ้าง
    โจรปล้นเอาไปบ้าง ไฟไหม้เสียบ้าง
    น้ำพัดพาไปเสียบ้าง ทายาทไม่เป็นที่รักเยื้อแย่งไปเสียบ้าง,
    +--เขาย่อมเศร้าโศก ย่อมลำบากใจ ร่ำไรรำพัน ตีอกร่ำไห้ ถึงความคลั่งเพ้อว่า
    “สิ่งที่เคยมีแก่เรา ฉิบหายไปหมดแล้วหนอ” ดังนี้ เป็นต้น.
    +--ภิกษุ ท. ! แม้ข้อนี้ ก็เป็นโทษแห่งกาม เป็นกองแห่งทุกข์ อันบุคคลเห็นได้เอง ว่า
    มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า มีกามเป็นเครื่องบังคับให้กระทำ
    +‐-มีเหตุมาแต่กามนั่นเทียว.

    (ง) ภิกษุ ท. ! โทษอื่นยังมีอีก ที่มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า
    มีกามเป็นเครื่องบังคับให้กระทำ มีเหตุมาแต่กามนั่นเอง; คือ
    ข้อที่ราชาวิวาทกับราชาบ้าง กษัตริย์วิวาทกับกษัตริย์บ้าง
    พราหมณ์วิวาทกับพราหมณ์บ้าง คหบดีวิวาทกับคหบดีบ้าง
    มารดาวิวาทแม้กับบุตร บุตรวิวาทแม้กับมารดา
    บิดาวิวาทแม้กับบุตร บุตรวิวาทแม้กับบิดา
    พี่น้องชายกับพี่น้องชาย พี่น้องหญิงกับพี่น้องหญิง
    แม้สหายกับสหายก็ยังวิวาทกัน,
    +‐-เขาเหล่านั้น ถึงการทะเลาะแก่งแย่งวิวาทกัน ในที่นั้นๆ,
    ทำร้ายกันและกันด้วยฝ่ามือบ้าง ด้วยก้อนดินบ้าง ด้วยท่อนไม้บ้าง ด้วยศาตราบ้าง
    ถึงความตายบ้าง ได้รับทุกข์เจียนตายบ้างในที่นั้น ๆ
    +--ภิกษุ ท. ! แม้ข้อนี้ ก็เป็นโทษของกาม เป็นกองแห่งทุกข์ อันบุคคลเห็นได้เอง ว่า
    มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า มีกามเป็นเครื่องบังคับให้กระทำ
    +--มีเหตุมาแต่กามนั่นเทียว.

    (จ) ภิกษุ ท. !
    โทษอื่นยังมีอีก ที่มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า
    +‐-มีกามเป็นเครื่องบังคับให้กระทำ มีเหตุมาแต่กามนั่นเอง ; คือ
    ข้อคนที่คนทั้งหลายถือดาบและโล่หนัง ผูกสอดธนูและแล่งศร
    แล่นเข้าไปสู่สงครามอันตั้งขึ้นเป็นกองทัพสองฝ่าย
    ยิงศรอยู่บ้าง ซัดหอกอยู่บ้าง กวัดแกว่งดาบอยู่บ้าง,
    คนเหล่านั้น ถูกศรแทงบ้าง ถูกหอกแทงบ้าง ถูกดาบตัดศีรษะบ้าง
    ถึงความตายบ้าง ได้รับทุกข์เจียนตายบ้าง อยู่ในที่นั้นๆ.
    +--ภิกษุ ท. ! แม้ข้อนี้ ก็เป็นโทษของกาม เป็นกองแห่งทุกข์
    อันบุคคลเห็นได้เอง ว่า
    มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า มีกามเป็นเครื่องบังคับให้กระทำ
    +--มีเหตุมาแต่กามนั่นเทียว.

    (ฉ) ภิกษุ ท. !
    โทษอื่นยังมีอีก ที่มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า
    มีกามเป็นเครื่องบังคับให้กระทำ มีเหตุมาแต่กามนั่นเอง ; คือ
    ข้อที่คนทั้งหลายถือดาบและโล่หนัง ผูกสอดธนูและแล่งศร
    แล่นเข้าประชิดเชิงเทินอันกระทำขึ้นด้วยวิธีที่เรียกว่า อัฏฏาวเลปนา*--๑
    เมื่อมีการยิงลูกศรอยู่บ้าง ซัดหอกอยู่บ้าง กวัดแกว่งดาบอยู่บ้าง
    คนเหล่านั้นก็ถูกลูกศรแทงบ้าง ถูกหอกแทงบ้าง
    ถูกรดอยู่ด้วยเถ้าถ่านโคมัยอันร้อนบ้าง
    ปล่อยของหนักให้ตกลงทับทีเดียวตายทั้งหมู่บ้าง
    ถูกตัดศีรษะด้วยดาบบ้าง ถึงความตายบ้าง ได้รับทุกข์เจียนตายบ้าง อยู่ในที่นั้นๆ.
    +--ภิกษุ ท. ! แม้ข้อนี้ ก็เป็นโทษของกาม เป็นกองแห่งทุกข์
    อันบุคคลเห็นได้เอง ว่า
    มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า มีกามเป็นเครื่องบังคับให้กระทำ
    +--มีเหตุมาแต่กามนั่นเทียว.
    -----
    *--๑. ตีนกำแพงที่ทำให้ขรุขระไว้ด้วยของมีคม ยากแก่การที่ข้าศึกจะเข้าไป
    หรือปีนกำแพงได้.

    (ช) ภิกษุ ท. !
    โทษอื่นยังมีอีก ที่มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า
    มีกามเป็นเครื่องบังคับให้กระทำ มีเหตุมาแต่กามนั่นเอง; คือ
    ข้อที่คนบางพวก ย่อมตัดช่อง ย่องเบา ปล้นสะดมในเรือนหลังเดียว
    คอยดักทำร้ายในที่เปลี่ยว และล่วงภรรยาผู้อื่น.
    พระราชาจับคนเหล่านั้นมาแล้ว ให้กระทำกรรมกรณ์วิธีการลงโทษหลายวิธีด้วยกัน เช่น
    เฆี่ยนด้วยหวายบ้าง หวดด้วยเชือกหนังบ้าง ทุบด้วยท่อนไม้บ้าง
    ตัดมือเสียบ้าง ตัดเท้าเสียบ้าง ตัดเสียทั้งมือและเท้าบ้าง
    ตัดหูบ้าง ตัดจมูกบ้าง ตัดเสียทั้งหูและจมูกบ้าง
    ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “หม้อเคี่ยวน้ำส้ม”*--๑ บ้าง
    ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “ขอดสังข์”*--๒ บ้าง
    ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “ปากราหู”*--๓ บ้าง
    ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “มาลัยไฟ”*--๔ บ้าง
    ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “มือคบเพลิงบ้าง”*--๕ บ้าง
    ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “ริ้วส่าย”*--๖ บ้าง
    ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “นุ่งเปลือกไม้”*--๗ บ้าง
    ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “ยืนกวาง”*--๘ บ้าง
    ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “เกี่ยวเหยื่อเบ็ด”*--๙ บ้าง
    ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “เหรียญกษาปณ์”*--๑๐ บ้าง
    ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “ทาเกลือ” บ้าง
    ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “แปรงแสบ”*--๑๑ บ้าง
    ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “เวียนหลัก”*--๑๒ บ้าง
    ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “ตั่งฟาง”*--๑๓ บ้าง
    ย่อมราดด้วยน้ำมันร้อน ๆ บ้าง
    ย่อมปล่อยให้ “สุนัขทึ้ง”*--๑๔ บ้าง
    ย่อมให้นอนหงายบนหลาวทั้งเป็น ๆ บ้าง
    ย่อมตัดศีรษะด้วยดาบบ้าง ;
    เขาเหล่านั้น ย่อมถึงซึ่งความตายบ้าง ได้รับทุกข์เจียนตายบ้าง อยู่ในที่นั้น ๆ.
    +--ภิกษุ ท. ! แม้ข้อนี้ ก็เป็นโทษของกาม เป็นกองแห่งทุกข์
    อันบุคคลเห็นได้เอง ว่า
    มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า มีกามเป็นเครื่องบังคับให้กระทำ
    +--มีเหตุมาแต่กามนั่นเทียว.
    -----
    *--๑. “หม้อเคี่ยวน้ำส้ม” คือต่อยหัวขมองแยกออก แล้วใช้คีมคีบก้อนเหล็กที่ลุกแดงใส่ลงไป ให้มันสมองเดือดพลุ่งขึ้นเหมือนน้ำส้มเดือดล้นหม้อ.
    *--๒. “ขอดสังข์” คือตัดหนังควั่นไปให้รอบจอนหูทั้งสองข้าง และหลุมคอ แล้วรวบผมทั้งหมดขมวดไว้ ใช้ไม้สอดหมุนยกขึ้น ให้หนังหลุดติดขึ้นมาพร้อมกับผมแล้วใช้ทรายหยาบขัดกะโหลกศีรษะล้างให้ขาว ดั่งสังข์.
    *--๓. “ปากราหู” คือใช้ขอเหล็กง้างปากให้อ้าแล้วจุดไฟในปาก. อีกอย่างหนึ่ง ใช้สิ่วตอกเจาะตั้งแต่จอนหูเข้าไปจนถึงปาก ให้โลหิตไหลออกมาเต็มปาก ดูปากอ้า ดั่งปากราหู.
    *--๔. “มาลัยไฟ” คือใช้ผาชุบน้ำมันพันจนทั่วตัวแล้วจุดไฟ.
    *--๕. “มือคบเพลิง” คือใช้ผ้าชุบน้ำมันพันมือทั้งสองข้างจนทั่ว แล้วจุดไฟ.
    *--๖. “ริ้วส่าย” คือเชือดหนังลอกออกเป็นริ้วๆ ตั้งแต่ใต้คอไปจนถึงข้อเท้า แล้วเอาเชือกผูกฉุดคร่าไป นักโทษเดินเหยียบหนังคัวล้มลุกคลุกคลานไปจนกว่าจะตาย.
    *--๗. “นุ่งเปลือกไม้” คือเชือดหนังเป็นริ้วๆอย่างบทก่อน แต่ทำเป็นสองตอน ตั้งแต่ใต้คอจนถึงเอวตอนหนึ่ง ตั้งแต่เอวจนถึงข้อเท้าตอนหนึ่ง ริ้วหนังตอนบนห้อยคลุมลงมาปิดกายตอนล่าง ดูดั่งนุ่งเปลือกไม้.
    *--๘. “ยืนกวาง” คือใช้ห่วงเหล็กรัดข้อศอกทั้งสอง และเข่าทั้งสอง ตรึงติดไว้กับหลักเหล็กสี่หลักบนพื้นดิน ดูดั่ง กวางถูกตรึง แล้วก่อไฟล้อมลนจนกว่าจะตาย.
    *--๙. “เกี่ยวเหยื่อเบ็ด” คือใช้เบ็ดมีเงี่ยงสองข้าง เกี่ยวตัวดึงเอาหนังเนื้อและเอ็นออกมาให้หมด.
    *--๑๐. “เหรียญกษาปณ์” คือใช้มีดคมเชือดหนังออกเป็นแว่นๆ ขนาดเท่าเงินเหรียญจนกว่าจะตาย.
    *--๑๑. “แปรงแสบ” คือฟันสับเสียให้ยับทั่วกาย แล้วใช้แปรงชุบน้ำแสบ (มีน้ำเกลือเป็นต้น) ถูครูดสีไปมาให้เนื้อเอ็นขาดหลุดออกมา เหลือแต่กระดูก.
    *--๑๒. “เวียนหลัก” คือให้นอนตะแคง แล้วใช้หลาวเหล็กตอกเข้าช่องหูให้ทะลุ ลงไปตรึงแน่นอยู่กับดิน แล้วจับเท้าทั้งสองเดินเวียน.
    *--๑๓. “ตั่งฟาง” คือใช้ลูกหินบดทับตัว บดให้กระดูกแตกละเอียด แต่ไม่ให้หนังขาด แล้วจับผมรวบขึ้นเขย่าๆ ให้เนื้อรวมเข้าเป็นกอง แล้วใช้ผมนั่นแหละพันตะล่อมวางไว้ เหมือนตั่งที่ทำด้วยฟางสำหรับเช็ดเท้า.
    *--๑๔. “ให้สุนัขทึ้ง” คือขังฝูงสุนัขให้อดหิวโซหลายวัน แล้วปล่อยให้ออกมารุมทึ้ง พักเดียวเหลือแต่กระดูก.
    --*-- นัยแห่งอรรถกถาและพระไตรปิฎกแปลของ ม . อำไพจริต.--*--

    (ญ) ภิกษุ ท. !
    โทษอื่นยังมีอีก ที่มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า
    มีกามเป็นเครื่องบังคับให้กระทำ มีเหตุมาแต่กามนั่นเอง ;
    คือข้อที่คนทั้งหลายประพฤติทุจริตด้วยกาย ด้วยวาจา และด้วยใจ,
    ครั้นประพฤติทุจริตด้วยกาย ด้วยวาจา และด้วยใจแล้ว,
    เขาเหล่านั้น ย่อม เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เบื้องหน้าแต่การตาย
    เพราะการแตกสลายแห่งกาย.
    +--ภิกษุ ท. ! แม้ข้อนี้ ก็เป็นโทษของกาม เป็นกองแห่งทุกข์
    อันบุคคลเห็นได้เอง ว่า
    มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า มีกามเป็นเครื่องบังคับให้กระทำ
    +--มีเหตุมาแต่กามนั่นเทียว.

    --ภิกษุ ท. ! #อะไรเป็นนิสสรณะ (อุบายเป็นเครื่องออก) จากกามทั้งหลาย ?
    +--ภิกษุ ท. !
    การนำออกเสียได้ซึ่งฉันทราคะ #การละเสียได้ซึ่งฉันทราคะ ในกามทั้งหลาย อันใด,
    อันนั้น เป็นนิสสรณะจากกามทั้งหลาย.
    http://etipitaka.com/read/pali/12/168/?keywords=ฉนฺทราคปฺปหานํ
    +--ภิกษุ ท. ! สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด #ไม่รู้ชัดตามเป็นจริง
    ซึ่ง อัสสาทะแห่งกามทั้งหลาย โดยความเป็นอัสสาทะด้วย
    ซึ่ง อาทีนวะ โดยความเป็นอาทีนวะด้วย
    ซึ่ง นิสสรณะ โดยความเป็นนิสสรณะด้วย โดยอาการเหล่านี้ อยู่;
    สมณะพราหมณ์เหล่านั้นน่ะหรือ จักรู้รอบซึ่งกามทั้งหลายด้วยตนเอง
    หรือว่าจักชักชวนผู้อื่นให้รอบรู้ซึ่งกามเหมือนผู้ที่เคยปฏิบัติแล้ว
    ดังนี้นั้น : นั่นไม่เป็นฐานะที่มีได้.
    +--ภิกษุ ท. ! ส่วน สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด #รู้ชัดตามเป็นจริง
    ซึ่ง อัสสาทะแห่งกามทั้งหลาย โดยความเป็นอัสสาทะด้วย
    ซึ่ง อาทีนวะ โดยความเป็นอาทีนวะด้วย
    ซึ่ง นิสสรณะ โดยความเป็นนิสสรณะด้วย โดยอาการอย่างนี้อยู่ ;
    สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้นนั่นแหละ จักรอบรู้ซึ่งกามทั้งหลายด้วยตนเอง
    หรือว่าจักชักชวนผู้อื่นให้รอบรู้ซึ่งกามเหมือนผู้ที่เคยปฏิบัติแล้ว
    ดังนี้นั้น : นั่นเป็นฐานะที่มีได้.-

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - มู.ม. 12/115-120/197-200.
    http://etipitaka.com/read/thai/12/115/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%99%E0%B9%97
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - มู.ม. ๑๒/๑๖๘-๑๗๓/๑๙๗-๒๐๐.
    http://etipitaka.com/read/pali/12/168/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%99%E0%B9%97
    ศึกษา​เพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=55&id=736
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=55
    ลำดับสาธยายธรรม : 55 ฟังเสียงอ่าน..
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_55.mp3
    อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​อัสสาทะ-อาทีนวะ-นิสสรณะของกาม สัทธรรมลำดับที่ : 736 ชื่อบทธรรม :- อัสสาทะ-อาทีนวะ-นิสสรณะของกาม https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=736 เนื้อความทั้งหมด :- --อัสสาทะ-อาทีนวะ-นิสสรณะของกาม (ธรรมลักษณะ ๓ ประการของกาม : วัตถุแห่งสัมมาทิฏฐิ) --ภิกษุ ท. ! #อะไรเป็นอัสสาทะ (รสอร่อย) ของกามทั้งหลาย ? +--ภิกษุ ท. ! กามคุณ ๕ อย่างเหล่านี้ มีอยู่. ห้าอย่าง อย่างไรเล่า? ห้าอย่าง​ คือ ๑.รูป อันจะพึงรู้แจ้งด้วยตา ๒.เสียงอันจะพึงรู้แจ้งด้วยหู ๓.กลิ่นอันจะพึงรู้แจ้งด้วยจมูก ๔.รสอันจะพึงรู้แจ้งด้วยลิ้น ๕.โผฏฐัพพะอันจะพึงรู้แจ้งด้วยผิวกาย (แต่ละอย่าง ๆ) อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ มีลักษณะน่ารัก เป็นที่เข้าไปอาศัยอยู่แห่งความใคร่ เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด มีอยู่ +--ภิกษุ ท. ! เหล่านี้แลชื่อว่า กามคุณ (คุณค่าสำหรับกาม) ห้าอย่าง. +--ภิกษุ ท. ! สุขโสมนัสใด อาศัยกามคุณห้าเหล่านี้แล้วเกิดขึ้น , นี้เป็น อัสสาทะของกาม ทั้งหลาย. --ภิกษุ ท. ! #อะไรเป็นอาทีนวะ (โทษอันต่ำทราม) ของกามทั้งหลาย ? (ก) ภิกษุ ท. ! กุลบุตรในโลกนี้ สำเร็จการเป็นอยู่ด้วยความพากเพียรในศิลปะ คือ ด้วยศิลปะแห่งการใช้สัญญาด้วยมือ ศิลปแห่งการคำนวณ ศิลปะแห่งการนับ ด้วยกสิกรรม ด้วยวาณิชกรรม ด้วยโครักขกรรม ด้วยศิลปะแห่งการใช้ศาตรา ด้วยการเป็นราชบุรุษ หรือด้วยศิลปะอย่างใดอย่างหนึ่ง, +‐-ต้องเผชิญกับความหนาว เผชิญกับความร้อน ต้องลำบากอยู่ ด้วยสัมผัสอันเกิดจากเหลือบยุงลมแดดและสัตว์เลื้อยคลานทั้งหลาย อ่อนแรงอยู่ ด้วยความหิว กระหายเพราะการไม่ได้บริโภคตามเวลา. +--ภิกษุ ท. ! ข้อนี้เป็นโทษแห่งกาม เป็นกองแห่งทุกข์ อันบุคคลเห็นได้เอง ว่า มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า มีกามเป็นเครื่องบังคับให้กระทำ +‐-มีเหตุมาแต่กามนั่นเทียว. (ข) ภิกษุ ท. ! แม้เมื่อกุลบุตรนั้นพากเพียรอยู่อย่างนั้น สืบต่อ พยายามอยู่อย่างนั้น โภคะก็ยังไม่สำเร็จแก่เขา ; +--เขาย่อมเศร้าโศก ย่อมลำบากใจ ร่ำไรรำพัน ตีอกร่ำไห้ ถึงความคลั่งเพ้อว่า “ความพากเพียรของเราเป็นโมฆะเสียแล้วหนอ ความพยายามของเราไม่มีผลหนอ” ดังนี้ เป็นต้น. +--ภิกษุ ท. ! แม้ข้อนี้ ก็เป็นโทษของกาม เป็นกองแห่งทุกข์ อันบุคคลเห็นได้เอง ว่า มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า มีกามเป็นเครื่องบังคับให้กระทำ +--มีเหตุมาแต่กามนั่นเทียว. (ค) ภิกษุ ท. ! ถึงแม้ว่าเมื่อกุลบุตรนั้น พากเพียรอยู่อย่างนั้นสืบ ต่อพยายามอยู่อย่างนั้น โภคะเกิดสำเร็จผลแก่เขาขึ้นมา. +--เขาก็ยังเสวยทุกขโทมนัสเพราะการอารักขาโภคะเหล่านั้น โดยวิตกอยู่ว่า “ทำอย่างไรพระราชาจึงจะไม่ริบทรัพย์ของเราไป โจรจะไม่ปล้นทรัพย์ของเราไป ไฟจะไม่ไหม้ น้ำจะไม่พัดพาเอาไป ทายาทอันไม่เป็นที่รักจะไม่เยื้อแย่งเอาไป” ดังนี้ เป็นต้น. +‐-เมื่อเขาอารักขาคุ้มครองอยู่อย่างนี้ พระราชาริบทรัพย์ของเขาไปบ้าง โจรปล้นเอาไปบ้าง ไฟไหม้เสียบ้าง น้ำพัดพาไปเสียบ้าง ทายาทไม่เป็นที่รักเยื้อแย่งไปเสียบ้าง, +--เขาย่อมเศร้าโศก ย่อมลำบากใจ ร่ำไรรำพัน ตีอกร่ำไห้ ถึงความคลั่งเพ้อว่า “สิ่งที่เคยมีแก่เรา ฉิบหายไปหมดแล้วหนอ” ดังนี้ เป็นต้น. +--ภิกษุ ท. ! แม้ข้อนี้ ก็เป็นโทษแห่งกาม เป็นกองแห่งทุกข์ อันบุคคลเห็นได้เอง ว่า มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า มีกามเป็นเครื่องบังคับให้กระทำ +‐-มีเหตุมาแต่กามนั่นเทียว. (ง) ภิกษุ ท. ! โทษอื่นยังมีอีก ที่มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า มีกามเป็นเครื่องบังคับให้กระทำ มีเหตุมาแต่กามนั่นเอง; คือ ข้อที่ราชาวิวาทกับราชาบ้าง กษัตริย์วิวาทกับกษัตริย์บ้าง พราหมณ์วิวาทกับพราหมณ์บ้าง คหบดีวิวาทกับคหบดีบ้าง มารดาวิวาทแม้กับบุตร บุตรวิวาทแม้กับมารดา บิดาวิวาทแม้กับบุตร บุตรวิวาทแม้กับบิดา พี่น้องชายกับพี่น้องชาย พี่น้องหญิงกับพี่น้องหญิง แม้สหายกับสหายก็ยังวิวาทกัน, +‐-เขาเหล่านั้น ถึงการทะเลาะแก่งแย่งวิวาทกัน ในที่นั้นๆ, ทำร้ายกันและกันด้วยฝ่ามือบ้าง ด้วยก้อนดินบ้าง ด้วยท่อนไม้บ้าง ด้วยศาตราบ้าง ถึงความตายบ้าง ได้รับทุกข์เจียนตายบ้างในที่นั้น ๆ +--ภิกษุ ท. ! แม้ข้อนี้ ก็เป็นโทษของกาม เป็นกองแห่งทุกข์ อันบุคคลเห็นได้เอง ว่า มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า มีกามเป็นเครื่องบังคับให้กระทำ +--มีเหตุมาแต่กามนั่นเทียว. (จ) ภิกษุ ท. ! โทษอื่นยังมีอีก ที่มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า +‐-มีกามเป็นเครื่องบังคับให้กระทำ มีเหตุมาแต่กามนั่นเอง ; คือ ข้อคนที่คนทั้งหลายถือดาบและโล่หนัง ผูกสอดธนูและแล่งศร แล่นเข้าไปสู่สงครามอันตั้งขึ้นเป็นกองทัพสองฝ่าย ยิงศรอยู่บ้าง ซัดหอกอยู่บ้าง กวัดแกว่งดาบอยู่บ้าง, คนเหล่านั้น ถูกศรแทงบ้าง ถูกหอกแทงบ้าง ถูกดาบตัดศีรษะบ้าง ถึงความตายบ้าง ได้รับทุกข์เจียนตายบ้าง อยู่ในที่นั้นๆ. +--ภิกษุ ท. ! แม้ข้อนี้ ก็เป็นโทษของกาม เป็นกองแห่งทุกข์ อันบุคคลเห็นได้เอง ว่า มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า มีกามเป็นเครื่องบังคับให้กระทำ +--มีเหตุมาแต่กามนั่นเทียว. (ฉ) ภิกษุ ท. ! โทษอื่นยังมีอีก ที่มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า มีกามเป็นเครื่องบังคับให้กระทำ มีเหตุมาแต่กามนั่นเอง ; คือ ข้อที่คนทั้งหลายถือดาบและโล่หนัง ผูกสอดธนูและแล่งศร แล่นเข้าประชิดเชิงเทินอันกระทำขึ้นด้วยวิธีที่เรียกว่า อัฏฏาวเลปนา*--๑ เมื่อมีการยิงลูกศรอยู่บ้าง ซัดหอกอยู่บ้าง กวัดแกว่งดาบอยู่บ้าง คนเหล่านั้นก็ถูกลูกศรแทงบ้าง ถูกหอกแทงบ้าง ถูกรดอยู่ด้วยเถ้าถ่านโคมัยอันร้อนบ้าง ปล่อยของหนักให้ตกลงทับทีเดียวตายทั้งหมู่บ้าง ถูกตัดศีรษะด้วยดาบบ้าง ถึงความตายบ้าง ได้รับทุกข์เจียนตายบ้าง อยู่ในที่นั้นๆ. +--ภิกษุ ท. ! แม้ข้อนี้ ก็เป็นโทษของกาม เป็นกองแห่งทุกข์ อันบุคคลเห็นได้เอง ว่า มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า มีกามเป็นเครื่องบังคับให้กระทำ +--มีเหตุมาแต่กามนั่นเทียว. ----- *--๑. ตีนกำแพงที่ทำให้ขรุขระไว้ด้วยของมีคม ยากแก่การที่ข้าศึกจะเข้าไป หรือปีนกำแพงได้. (ช) ภิกษุ ท. ! โทษอื่นยังมีอีก ที่มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า มีกามเป็นเครื่องบังคับให้กระทำ มีเหตุมาแต่กามนั่นเอง; คือ ข้อที่คนบางพวก ย่อมตัดช่อง ย่องเบา ปล้นสะดมในเรือนหลังเดียว คอยดักทำร้ายในที่เปลี่ยว และล่วงภรรยาผู้อื่น. พระราชาจับคนเหล่านั้นมาแล้ว ให้กระทำกรรมกรณ์วิธีการลงโทษหลายวิธีด้วยกัน เช่น เฆี่ยนด้วยหวายบ้าง หวดด้วยเชือกหนังบ้าง ทุบด้วยท่อนไม้บ้าง ตัดมือเสียบ้าง ตัดเท้าเสียบ้าง ตัดเสียทั้งมือและเท้าบ้าง ตัดหูบ้าง ตัดจมูกบ้าง ตัดเสียทั้งหูและจมูกบ้าง ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “หม้อเคี่ยวน้ำส้ม”*--๑ บ้าง ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “ขอดสังข์”*--๒ บ้าง ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “ปากราหู”*--๓ บ้าง ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “มาลัยไฟ”*--๔ บ้าง ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “มือคบเพลิงบ้าง”*--๕ บ้าง ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “ริ้วส่าย”*--๖ บ้าง ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “นุ่งเปลือกไม้”*--๗ บ้าง ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “ยืนกวาง”*--๘ บ้าง ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “เกี่ยวเหยื่อเบ็ด”*--๙ บ้าง ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “เหรียญกษาปณ์”*--๑๐ บ้าง ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “ทาเกลือ” บ้าง ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “แปรงแสบ”*--๑๑ บ้าง ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “เวียนหลัก”*--๑๒ บ้าง ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “ตั่งฟาง”*--๑๓ บ้าง ย่อมราดด้วยน้ำมันร้อน ๆ บ้าง ย่อมปล่อยให้ “สุนัขทึ้ง”*--๑๔ บ้าง ย่อมให้นอนหงายบนหลาวทั้งเป็น ๆ บ้าง ย่อมตัดศีรษะด้วยดาบบ้าง ; เขาเหล่านั้น ย่อมถึงซึ่งความตายบ้าง ได้รับทุกข์เจียนตายบ้าง อยู่ในที่นั้น ๆ. +--ภิกษุ ท. ! แม้ข้อนี้ ก็เป็นโทษของกาม เป็นกองแห่งทุกข์ อันบุคคลเห็นได้เอง ว่า มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า มีกามเป็นเครื่องบังคับให้กระทำ +--มีเหตุมาแต่กามนั่นเทียว. ----- *--๑. “หม้อเคี่ยวน้ำส้ม” คือต่อยหัวขมองแยกออก แล้วใช้คีมคีบก้อนเหล็กที่ลุกแดงใส่ลงไป ให้มันสมองเดือดพลุ่งขึ้นเหมือนน้ำส้มเดือดล้นหม้อ. *--๒. “ขอดสังข์” คือตัดหนังควั่นไปให้รอบจอนหูทั้งสองข้าง และหลุมคอ แล้วรวบผมทั้งหมดขมวดไว้ ใช้ไม้สอดหมุนยกขึ้น ให้หนังหลุดติดขึ้นมาพร้อมกับผมแล้วใช้ทรายหยาบขัดกะโหลกศีรษะล้างให้ขาว ดั่งสังข์. *--๓. “ปากราหู” คือใช้ขอเหล็กง้างปากให้อ้าแล้วจุดไฟในปาก. อีกอย่างหนึ่ง ใช้สิ่วตอกเจาะตั้งแต่จอนหูเข้าไปจนถึงปาก ให้โลหิตไหลออกมาเต็มปาก ดูปากอ้า ดั่งปากราหู. *--๔. “มาลัยไฟ” คือใช้ผาชุบน้ำมันพันจนทั่วตัวแล้วจุดไฟ. *--๕. “มือคบเพลิง” คือใช้ผ้าชุบน้ำมันพันมือทั้งสองข้างจนทั่ว แล้วจุดไฟ. *--๖. “ริ้วส่าย” คือเชือดหนังลอกออกเป็นริ้วๆ ตั้งแต่ใต้คอไปจนถึงข้อเท้า แล้วเอาเชือกผูกฉุดคร่าไป นักโทษเดินเหยียบหนังคัวล้มลุกคลุกคลานไปจนกว่าจะตาย. *--๗. “นุ่งเปลือกไม้” คือเชือดหนังเป็นริ้วๆอย่างบทก่อน แต่ทำเป็นสองตอน ตั้งแต่ใต้คอจนถึงเอวตอนหนึ่ง ตั้งแต่เอวจนถึงข้อเท้าตอนหนึ่ง ริ้วหนังตอนบนห้อยคลุมลงมาปิดกายตอนล่าง ดูดั่งนุ่งเปลือกไม้. *--๘. “ยืนกวาง” คือใช้ห่วงเหล็กรัดข้อศอกทั้งสอง และเข่าทั้งสอง ตรึงติดไว้กับหลักเหล็กสี่หลักบนพื้นดิน ดูดั่ง กวางถูกตรึง แล้วก่อไฟล้อมลนจนกว่าจะตาย. *--๙. “เกี่ยวเหยื่อเบ็ด” คือใช้เบ็ดมีเงี่ยงสองข้าง เกี่ยวตัวดึงเอาหนังเนื้อและเอ็นออกมาให้หมด. *--๑๐. “เหรียญกษาปณ์” คือใช้มีดคมเชือดหนังออกเป็นแว่นๆ ขนาดเท่าเงินเหรียญจนกว่าจะตาย. *--๑๑. “แปรงแสบ” คือฟันสับเสียให้ยับทั่วกาย แล้วใช้แปรงชุบน้ำแสบ (มีน้ำเกลือเป็นต้น) ถูครูดสีไปมาให้เนื้อเอ็นขาดหลุดออกมา เหลือแต่กระดูก. *--๑๒. “เวียนหลัก” คือให้นอนตะแคง แล้วใช้หลาวเหล็กตอกเข้าช่องหูให้ทะลุ ลงไปตรึงแน่นอยู่กับดิน แล้วจับเท้าทั้งสองเดินเวียน. *--๑๓. “ตั่งฟาง” คือใช้ลูกหินบดทับตัว บดให้กระดูกแตกละเอียด แต่ไม่ให้หนังขาด แล้วจับผมรวบขึ้นเขย่าๆ ให้เนื้อรวมเข้าเป็นกอง แล้วใช้ผมนั่นแหละพันตะล่อมวางไว้ เหมือนตั่งที่ทำด้วยฟางสำหรับเช็ดเท้า. *--๑๔. “ให้สุนัขทึ้ง” คือขังฝูงสุนัขให้อดหิวโซหลายวัน แล้วปล่อยให้ออกมารุมทึ้ง พักเดียวเหลือแต่กระดูก. --*-- นัยแห่งอรรถกถาและพระไตรปิฎกแปลของ ม . อำไพจริต.--*-- (ญ) ภิกษุ ท. ! โทษอื่นยังมีอีก ที่มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า มีกามเป็นเครื่องบังคับให้กระทำ มีเหตุมาแต่กามนั่นเอง ; คือข้อที่คนทั้งหลายประพฤติทุจริตด้วยกาย ด้วยวาจา และด้วยใจ, ครั้นประพฤติทุจริตด้วยกาย ด้วยวาจา และด้วยใจแล้ว, เขาเหล่านั้น ย่อม เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เบื้องหน้าแต่การตาย เพราะการแตกสลายแห่งกาย. +--ภิกษุ ท. ! แม้ข้อนี้ ก็เป็นโทษของกาม เป็นกองแห่งทุกข์ อันบุคคลเห็นได้เอง ว่า มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า มีกามเป็นเครื่องบังคับให้กระทำ +--มีเหตุมาแต่กามนั่นเทียว. --ภิกษุ ท. ! #อะไรเป็นนิสสรณะ (อุบายเป็นเครื่องออก) จากกามทั้งหลาย ? +--ภิกษุ ท. ! การนำออกเสียได้ซึ่งฉันทราคะ #การละเสียได้ซึ่งฉันทราคะ ในกามทั้งหลาย อันใด, อันนั้น เป็นนิสสรณะจากกามทั้งหลาย. http://etipitaka.com/read/pali/12/168/?keywords=ฉนฺทราคปฺปหานํ +--ภิกษุ ท. ! สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด #ไม่รู้ชัดตามเป็นจริง ซึ่ง อัสสาทะแห่งกามทั้งหลาย โดยความเป็นอัสสาทะด้วย ซึ่ง อาทีนวะ โดยความเป็นอาทีนวะด้วย ซึ่ง นิสสรณะ โดยความเป็นนิสสรณะด้วย โดยอาการเหล่านี้ อยู่; สมณะพราหมณ์เหล่านั้นน่ะหรือ จักรู้รอบซึ่งกามทั้งหลายด้วยตนเอง หรือว่าจักชักชวนผู้อื่นให้รอบรู้ซึ่งกามเหมือนผู้ที่เคยปฏิบัติแล้ว ดังนี้นั้น : นั่นไม่เป็นฐานะที่มีได้. +--ภิกษุ ท. ! ส่วน สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด #รู้ชัดตามเป็นจริง ซึ่ง อัสสาทะแห่งกามทั้งหลาย โดยความเป็นอัสสาทะด้วย ซึ่ง อาทีนวะ โดยความเป็นอาทีนวะด้วย ซึ่ง นิสสรณะ โดยความเป็นนิสสรณะด้วย โดยอาการอย่างนี้อยู่ ; สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้นนั่นแหละ จักรอบรู้ซึ่งกามทั้งหลายด้วยตนเอง หรือว่าจักชักชวนผู้อื่นให้รอบรู้ซึ่งกามเหมือนผู้ที่เคยปฏิบัติแล้ว ดังนี้นั้น : นั่นเป็นฐานะที่มีได้.- #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - มู.ม. 12/115-120/197-200. http://etipitaka.com/read/thai/12/115/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%99%E0%B9%97 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - มู.ม. ๑๒/๑๖๘-๑๗๓/๑๙๗-๒๐๐. http://etipitaka.com/read/pali/12/168/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%99%E0%B9%97 ศึกษา​เพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=55&id=736 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=55 ลำดับสาธยายธรรม : 55 ฟังเสียงอ่าน.. http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_55.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - อัสสาทะ-อาทีนวะ-นิสสรณะของกาม
    -อัสสาทะ-อาทีนวะ-นิสสรณะของกาม (ธรรมลักษณะ ๓ ประการของกาม : วัตถุแห่งสัมมาทิฏฐิ) ภิกษุ ท. ! อะไร เป็นอัสสาทะ (รสอร่อย) ของกามทั้งหลาย ? ภิกษุ ท. ! กามคุณ ๕ อย่างเหล่านี้ มีอยู่. ห้าอย่าง อย่างไรเล่า? ห้าอย่าง คือ รูป อันจะพึงรู้แจ้งด้วยตา เสียงอันจะพึงรู้แจ้งด้วยหู กลิ่นอันจะพึงรู้แจ้งด้วยจมูก รสอันจะพึงรู้แจ้งด้วยลิ้น โผฏฐัพพะอันจะพึงรู้แจ้งด้วยผิวกาย (แต่ละอย่าง ๆ) อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ มีลักษณะน่ารัก เป็นที่เข้าไปอาศัยอยู่แห่งความใคร่ เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด มีอยู่ ภิกษุ ท. ! เหล่านี้แลชื่อว่า กามคุณ (คุณค่าสำหรับกาม) ห้าอย่าง. ภิกษุ ท. ! สุขโสมนัสใด อาศัยกามคุณห้าเหล่านี้แล้วเกิดขึ้น , นี้เป็นอัสสาทะของกามทั้งหลาย. ภิกษุ ท. ! อะไร เป็นอาทีนวะ (โทษอันต่ำทราม) ของกามทั้งหลาย ? (ก) ภิกษุ ท. ! กุลบุตรในโลกนี้ สำเร็จการเป็นอยู่ด้วยความพากเพียรในศิลปะ คือ ด้วยศิลปะแห่งการใช้สัญญาด้วยมือ ศิลปแห่งการคำนวณ ศิลปะแห่งการนับ ด้วยกสิกรรม ด้วยวาณิชกรรม ด้วยโครักขกรรม ด้วยศิลปะแห่งการใช้ศาตรา ด้วยการเป็นราชบุรุษ หรือด้วยศิลปะอย่างใดอย่างหนึ่ง, ต้องเผชิญกับความหนาว เผชิญกับความร้อน ต้องลำบากอยู่ ด้วยสัมผัสอันเกิดจากเหลือบยุงลมแดดและสัตว์เลื้อยคลานทั้งหลาย อ่อนแรงอยู่ ด้วยความหิว กระหายเพราะการไม่ได้บริโภคตามเวลา. ภิกษุ ท. ! ข้อนี้เป็นโทษแห่งกาม เป็นกองแห่งทุกข์ อันบุคคลเห็นได้เอง ว่ามีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า มีกามเป็นเครื่องบังคับ ให้กระทำ มีเหตุมาแต่กามนั่นเทียว. (ข) ภิกษุ ท. ! แม้เมื่อกุลบุตรนั้นพากเพียรอยู่อย่างนั้น สืบต่อ พยายามอยู่อย่างนั้น โภคะก็ยังไม่สำเร็จแก่เขา ; เขาย่อมเศร้าโศก ย่อมลำบากใจ ร่ำไรรำพัน ตีอกร่ำไห้ ถึงความคลั่งเพ้อว่า “ความพากเพียรของเราเป็นโมฆะเสียแล้วหนอ ความพยายามของเราไม่มีผลหนอ” ดังนี้เป็นต้น. ภิกษุ ท. ! แม้ข้อนี้ ก็เป็นโทษของกาม เป็นกองแห่งทุกข์ อันบุคคลเห็นได้เอง ว่ามีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า มีกามเป็นเครื่องบังคับให้กระทำ มีเหตุมาแต่กามนั่นเทียว. (ค) ภิกษุ ท. ! ถึงแม้ว่าเมื่อกุลบุตรนั้น พากเพียรอยู่อย่างนั้นสืบ ต่อพยายามอยู่อย่างนั้น โภคะเกิดสำเร็จผลแก่เขาขึ้นมา. เขาก็ยังเสวยทุกขโทมนัสเพราะการอารักขาโภคะเหล่านั้น โดยวิตกอยู่ว่า “ทำอย่างไรพระราชาจึงจะไม่ริบทรัพย์ของเราไป โจรจะไม่ปล้นทรัพย์ของเราไป ไฟจะไม่ไหม้ น้ำจะไม่พัดพาเอาไป ทายาทอันไม่เป็นที่รักจะไม่เยื้อแย่งเอาไป” ดังนี้เป็นต้น. เมื่อเขาอารักขาคุ้มครองอยู่อย่างนี้ พระราชาริบทรัพย์ของเขาไปบ้าง โจรปล้นเอาไปบ้าง ไฟไหม้เสียบ้าง น้ำพัดพาไปเสียบ้าง ทายาทไม่เป็นที่รักเยื้อแย่งไปเสียบ้าง, เขาย่อมเศร้าโศก ย่อมลำบากใจ ร่ำไรรำพัน ตีอกร่ำไห้ ถึงความคลั่งเพ้อว่า “สิ่งที่เคยมีแก่เรา ฉิบหายไปหมดแล้วหนอ” ดังนี้เป็นต้น. ภิกษุ ท. ! แม้ข้อนี้ ก็เป็นโทษแห่งกาม เป็นกองแห่งทุกข์ อันบุคคลเห็นได้เอง ว่ามีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า มีกามเป็นเครื่องบังคับให้กระทำ มีเหตุมาแต่กามนั่นเทียว. (ง) ภิกษุ ท. ! โทษอื่นยังมีอีก ที่มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า มีกามเป็นเครื่องบังคับให้กระทำ มีเหตุมาแต่กามนั่นเอง; คือ ข้อที่ราชาวิวาทกับราชาบ้าง กษัตริย์วิวาทกับกษัตริย์บ้าง พราหมณ์วิวาทกับพราหมณ์บ้าง คหบดีวิวาทกับคหบดีบ้าง มารดาวิวาทแม้กับบุตร บุตรวิวาทแม้กับมารดา บิดาวิวาทแม้กับบุตร บุตรวิวาทแม้กับบิดา พี่น้องชายกับพี่น้องชาย พี่น้องหญิงกับพี่น้องหญิง แม้สหายกับสหายก็ยังวิวาทกัน, เขาเหล่านั้น ถึงการทะเลาะแก่งแย่งวิวาทกัน ในที่นั้นๆ, ทำร้ายกันและกันด้วยฝ่ามือบ้าง ด้วยก้อนดินบ้าง ด้วยท่อนไม้บ้าง ด้วยศาตราบ้าง ถึงความตายบ้าง ได้รับทุกข์เจียนตายบ้าง ในที่นั้น ๆ ภิกษุ ท. ! แม้ข้อนี้ ก็เป็นโทษของกาม เป็นกองแห่งทุกข์ อันบุคคลเห็นได้เอง ว่ามีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า มีกามเป็นเครื่องบังคับให้กระทำ มีเหตุมาแต่กามนั่นเทียว. (จ) ภิกษุ ท. ! โทษอื่นยังมีอีก ที่มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า มีกามเป็นเครื่องบังคับให้กระทำ มีเหตุมาแต่กามนั่นเอง ; คือ ข้อคนที่คนทั้งหลายถือดาบและโล่หนัง ผูกสอดธนูและแล่งศร แล่นเข้าไปสู่สงครามอันตั้งขึ้นเป็นกองทัพสองฝ่าย ยิงศรอยู่บ้าง ซัดหอกอยู่บ้าง กวัดแกว่งดาบอยู่บ้าง, คนเหล่านั้น ถูกศรแทงบ้าง ถูกหอกแทงบ้าง ถูกดาบตัดศีรษะบ้าง ถึงความตายบ้าง ได้รับทุกข์เจียนตายบ้าง อยู่ในที่นั้นๆ. ภิกษุ ท. ! แม้ข้อนี้ ก็เป็นโทษของกาม เป็นกองแห่งทุกข์ อันบุคคลเห็นได้เอง ว่ามีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า มีกามเป็นเครื่องบังคับให้กระทำ มีเหตุมาแต่กามนั่นเทียว. (ฉ) ภิกษุ ท. ! โทษอื่นยังมีอีก ที่มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า มีกามเป็นเครื่องบังคับให้กระทำ มีเหตุมาแต่กามนั่นเอง ; คือ ข้อที่คนทั้งหลายถือดาบและโล่หนัง ผูกสอดธนูและแล่งศร แล่นเข้าประชิดเชิงเทินอันกระทำขึ้นด้วยวิธีที่เรียกว่าอัฏฏาวเลปนา๑ เมื่อมีการยิงลูกศรอยู่บ้าง ซัดหอกอยู่บ้าง กวัดแกว่งดาบอยู่บ้าง คนเหล่านั้นก็ถูกลูกศรแทงบ้าง ถูกหอกแทงบ้าง ถูกรดอยู่ด้วยเถ้าถ่านโคมัยอันร้อนบ้าง ปล่อยของหนักให้ตกลงทับทีเดียวตายทั้งหมู่บ้าง ถูกตัดศีรษะด้วยดาบบ้าง ถึงความตายบ้าง ได้รับทุกข์เจียนตายบ้าง อยู่ในที่นั้นๆ. ภิกษุ ท. ! แม้ข้อนี้ ก็เป็นโทษของกาม เป็นกองแห่งทุกข์อันบุคคลเห็นได้เอง ว่ามีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า มีกามเป็นเครื่องบังคับให้กระทำ มีเหตุมาแต่กามนั่นเทียว. ๑. ตีนกำแพงที่ทำให้ขรุขระไว้ด้วยของมีคม ยากแก่การที่ข้าศึกจะเข้าไป หรือปีนกำแพงได้. (ช) ภิกษุ ท. ! โทษอื่นยังมีอีก ที่มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า มีกามเป็นเครื่องบังคับให้กระทำ มีเหตุมาแต่กามนั่นเอง; คือ ข้อที่คนบางพวก ย่อมตัดช่อง ย่องเบา ปล้นสะดมในเรือนหลังเดียว คอยดักทำร้ายในที่เปลี่ยว และล่วงภรรยาผู้อื่น. พระราชาจับคนเหล่านั้นมาแล้ว ให้กระทำกรรมกรณ์วิธีการลงโทษหลายวิธีด้วยกัน เช่น เฆี่ยนด้วยหวายบ้าง หวดด้วยเชือกหนังบ้าง ทุบด้วยท่อนไม้บ้าง ตัดมือเสียบ้าง ตัดเท้าเสียบ้าง ตัดเสียทั้งมือและเท้าบ้าง ตัดหูบ้าง ตัดจมูกบ้าง ตัดเสียทั้งหูและจมูกบ้าง ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “หม้อเคี่ยวน้ำส้ม”๑ บ้าง ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “ขอดสังข์”๒ บ้าง ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “ปากราหู”๓ บ้าง ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “มาลัยไฟ”๔ บ้าง ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “มือคบเพลิงบ้าง”๕ บ้าง ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “ริ้วส่าย”๖ บ้าง ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “นุ่งเปลือกไม้”๗ บ้าง ย่อมกระทำ ๑. “หม้อเคี่ยวน้ำส้ม” คือต่อยหัวขมองแยกออก แล้วใช้คีมคีบก้อนเหล็กที่ลุกแดงใส่ลงไป ให้มันสมองเดือดพลุ่งขึ้นเหมือนน้ำส้มเดือดล้นหม้อ. ๒. “ขอดสังข์” คือตัดหนังควั่นไปให้รอบจอนหูทั้งสองข้าง และหลุมคอ แล้วรวบผมทั้งหมดขมวดไว้ ใช้ไม้สอดหมุนยกขึ้น ให้หนังหลุดติดขึ้นมาพร้อมกับผมแล้วใช้ทรายหยาบขัดกะโหลกศีรษะล้างให้ขาว ดั่งสังข์. ๓. “ปากราหู” คือใช้ขอเหล็กง้างปากให้อ้าแล้วจุดไฟในปาก. อีกอย่างหนึ่ง ใช้สิ่วตอกเจาะตั้งแต่จอนหูเข้าไปจนถึงปาก ให้โลหิตไหลออกมาเต็มปาก ดูปากอ้า ดั่งปากราหู. ๔. “มาลัยไฟ” คือใช้ผาชุบน้ำมันพันจนทั่วตัวแล้วจุดไฟ. ๕. “มือคบเพลิง” คือใช้ผ้าชุบน้ำมันพันมือทั้งสองข้างจนทั่ว แล้วจุดไฟ. ๖. “ริ้วส่าย” คือเชือดหนังลอกออกเป็นริ้วๆ ตั้งแต่ใต้คอไปจนถึงข้อเท้า แล้วเอาเชือกผูกฉุดคร่าไป นักโทษเดินเหยียบหนังคัวล้มลุกคลุกคลานไปจนกว่าจะตาย. ๗. “นุ่งเปลือกไม้” คือเชือดหนังเป็นริ้วๆอย่างบทก่อน แต่ทำเป็นสองตอน ตั้งแต่ใต้คอจนถึงเอวตอนหนึ่ง ตั้งแต่เอวจนถึงข้อเท้าตอนหนึ่ง ริ้วหนังตอนบนห้อยคลุมลงมาปิดกายตอนล่าง ดูดั่งนุ่งเปลือกไม้. กรรมกรณ์ชื่อ “ยืนกวาง”๘ บ้าง ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “เกี่ยวเหยื่อเบ็ด”๙ บ้าง ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “เหรียญกษาปณ์”๑๐ บ้าง ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “ทาเกลือ” บ้าง ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “แปรงแสบ”๑๑ บ้าง ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “เวียนหลัก”๑๒ บ้าง ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “ตั่งฟาง”๑๓ บ้าง ย่อมราดด้วยน้ำมันร้อน ๆ บ้าง ย่อมปล่อยให้ “สุนัขทึ้ง”๑๔ บ้าง ย่อมให้นอนหงายบนหลาวทั้งเป็น ๆ บ้าง ย่อมตัดศีรษะด้วยดาบบ้าง ; เขาเหล่านั้น ย่อมถึงซึ่งความตายบ้าง ได้รับทุกข์เจียนตายบ้าง อยู่ในที่นั้น ๆ. ภิกษุ ท. ! แม้ข้อนี้ ก็เป็นโทษของกาม เป็นกองแห่งทุกข์ อันบุคคลเห็นได้เอง ว่ามีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า มีกามเป็นเครื่องบังคับให้กระทำ มีเหตุมาแต่กามนั่นเทียว. ๘. “ยืนกวาง” คือใช้ห่วงเหล็กรัดข้อศอกทั้งสอง และเข่าทั้งสอง ตรึงติดไว้กับหลักเหล็กสี่หลักบนพื้นดิน ดูดั่ง กวางถูกตรึง แล้วก่อไฟล้อมลนจนกว่าจะตาย. ๙. “เกี่ยวเหยื่อเบ็ด” คือใช้เบ็ดมีเงี่ยงสองข้าง เกี่ยวตัวดึงเอาหนังเนื้อและเอ็นออกมาให้หมด. ๑๐. “เหรียญกษาปณ์” คือใช้มีดคมเชือดหนังออกเป็นแว่นๆ ขนาดเท่าเงินเหรียญจนกว่าจะตาย. ๑๑. “แปรงแสบ” คือฟันสับเสียให้ยับทั่วกาย แล้วใช้แปรงชุบน้ำแสบ (มีน้ำเกลือเป็นต้น) ถูครูดสีไปมาให้เนื้อเอ็นขาดหลุดออกมา เหลือแต่กระดูก. ๑๒. “เวียนหลัก” คือให้นอนตะแคง แล้วใช้หลาวเหล็กตอกเข้าช่องหูให้ทะลุ ลงไปตรึงแน่นอยู่กับดิน แล้วจับเท้าทั้งสองเดินเวียน. ๑๓. “ตั่งฟาง” คือใช้ลูกหินบดทับตัว บดให้กระดูกแตกละเอียด แต่ไม่ให้หนังขาด แล้วจับผมรวบขึ้นเขย่าๆ ให้เนื้อรวมเข้าเป็นกอง แล้วใช้ผมนั่นแหละพันตะล่อมวางไว้ เหมือนตั่งที่ทำด้วยฟางสำหรับเช็ดเท้า. ๑๔. “ให้สุนัขทึ้ง” คือขังฝูงสุนัขให้อดหิวโซหลายวัน แล้วปล่อยให้ออกมารุมทึ้ง พักเดียวเหลือแต่กระดูก. - นัยแห่งอรรถกถาแลพระไตรปิฎกแปลของ ม . อำไพจริต. (ญ) ภิกษุ ท. ! โทษอื่นยังมีอีก ที่มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า มีกามเป็นเครื่องบังคับให้กระทำ มีเหตุมาแต่กามนั่นเอง ; คือข้อที่คนทั้งหลายประพฤติทุจริตด้วยกาย ด้วยวาจา และด้วยใจ, ครั้นประพฤติทุจริตด้วยกาย ด้วยวาจา และด้วยใจแล้ว, เขาเหล่านั้น ย่อม เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เบื้องหน้าแต่การตาย เพราะการแตกสลายแห่งกาย. ภิกษุ ท. ! แม้ข้อนี้ ก็เป็นโทษของกาม เป็นกองแห่งทุกข์ อันบุคคลเห็นได้เอง ว่ามีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า มีกามเป็นเครื่องบังคับให้กระทำ มีเหตุมาแต่กามนั่นเทียว. ภิกษุ ท. ! อะไร เป็นนิสสรณะ (อุบายเป็นเครื่องออก) จากกามทั้งหลาย ? ภิกษุ ท. ! การนำออกเสียได้ซึ่งฉันทราคะ การละเสียได้ซึ่งฉันทราคะ ในกามทั้งหลาย อันใด, อันนั้น เป็นนิสสรณะจากกามทั้งหลาย. ภิกษุ ท. ! สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด ไม่รู้ชัดตามเป็นจริง ซึ่ง อัสสาทะแห่งกามทั้งหลายโดยความเป็นอัสสาทะด้วย ซึ่งอาทีนวะโดยความเป็นอาทีนวะด้วย ซึ่งนิสสรณะโดยความเป็นนิสสรณะด้วย โดยอาการเหล่านี้ อยู่; สมณะพราหมณ์เหล่านั้นน่ะหรือ จักรู้รอบซึ่งกามทั้งหลายด้วยตนเอง หรือว่าจักชักชวนผู้อื่นให้รอบรู้ซึ่งกามเหมือนผู้ที่เคยปฏิบัติแล้ว ดังนี้นั้น : นั่นไม่เป็นฐานะที่มีได้. ภิกษุ ท. ! ส่วน สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด รู้ชัดตามเป็นจริง ซึ่ง อัสสาทะแห่งกามทั้งหลายโดยความเป็นอัสสาทะด้วย ซึ่งอาทีนวะโดยความเป็นอาทีนวะด้วย ซึ่งนิสสรณะโดยความเป็นนิสสรณะด้วย โดยอาการอย่างนี้อยู่ ; สมณะหรือ พราหมณ์เหล่านั้นนั่นแหละ จักรอบรู้ซึ่งกามทั้งหลายด้วยตนเอง หรือว่าจักชักชวนผู้อื่นให้รอบรู้ซึ่งกามเหมือนผู้ที่เคยปฏิบัติแล้ว ดังนี้นั้น : นั่นเป็นฐานะที่มีได้.
    0 Comments 0 Shares 413 Views 0 Reviews
  • อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​เวทนาเพื่อดับเสียได้ ดีกว่ารู้เพื่อเป็นปัจจัยแก่ตัณหา
    สัทธรรมลำดับที่ : 735
    ชื่อบทธรรม :- เวทนาเพื่อดับเสียได้ ดีกว่ารู้เพื่อเป็นปัจจัยแก่ตัณหา
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=735
    เนื้อความทั้งหมด :-
    หมวด ง. ว่าด้วย หลักการปฏิบัติของสัมมาทิฏฐิ
    --รู้เวทนาเพื่อดับเสียได้ ดีกว่ารู้เพื่อเป็นปัจจัยแก่ตัณหา
    --ภิกษุ ท. ! สมณพรหมณ์เหล่าใด
    เป็นปุพพันตกัปปิกวาท (บัญญัติทิฏฐิปรารภขันธ์ที่มีแล้วในกาลก่อน) ก็ดี
    เป็นอปรันตกัปปิกวาท (บัญญัติทิฏฐิปรารภขันธ์ที่มีในกาลเบื้องหน้า) ก็ดี
    เป็นปุพพันตาปรันตกัปปิกวาท (บัญญัติทิฏฐิปรารภขันธ์ที่เป็นปุพพันตะอปรันตะ) ก็ดี ล้วนแต่
    เป็นผู้มีปุพพันตาปรันตานุทิฏฐิ (มีทิฏฐิไปตามขันธ์ที่มีในกาลก่อนและในกาลเบื้องหน้า)
    --เขาปรารภขันธ์ที่เป็นปุพพันตะและอปรันตะแล้ว กล่าวอธิมุตติบท
    http://etipitaka.com/read/pali/9/57/?keywords=อธิมุตฺติ
    (ทางแห่งความน้อมใจเชื่อของสัตว์)
    มีอย่างต่างๆกัน เป็นอเนก ด้วยวัตถุ (ที่ตั้งแห่งทิฏฐิ) ๖๒ ประการ;
    สมณพราหมณ์เหล่านั้นทั้งหมด รู้สึกเสวยเวทนาตามทิฏฐิเฉพาะอย่าง ๆ ของตน ๆ
    ตามที่ถูกต้องแล้ว ๆ (ซึ่งอารมณ์) ด้วยผัสสายตนะ หกประการ.
    http://etipitaka.com/read/pali/9/57/?keywords=ผสฺสายต
    เพราะเวทนา (อันเกิดจากสัมผัสนั้น) ของสมณพราหมณ์ทั้งหลายเหล่านั้น
    เป็น ปัจจัย จึงมีตัณหา ;
    เพราะมีตัณหาเป็น ปัจจัย จึงมีอุปทาน;
    เพราะมีอุปาทานเป็น ปัจจัย จึงมีภพ;
    เพราะมีภพเป็น ปัจจัย จึงมีชาติ;
    เพราะมีชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย
    (แก่สมณพราหมณ์ทั้งหลายเหล่านั้น).
    --ภิกษุ ท. ! ในกาลใดแล
    +--ภิกษุย่อม รู้ชัดตามที่เป็นจริง
    ซึ่งความ เกิดขึ้น (สมุทัย)
    ซึ่งความตั้งอยู่ไม่ได้ (อัตถังคมะ)
    ซึ่งรสอร่อย (อัสสาทะ)
    ซึ่งโทษอันต่ำทราม (อาทีนวะ)
    ซึ่งอุบายเป็นเครื่องออกไปให้พ้น (นิสสรณะ)
    แห่งผัสสายตนะ ๖ ประการ ;
    +--ภิกษุนี้ ชื่อว่าย่อม รู้ชัด (#ซึ่งเรื่องอันเกี่ยวกับผัสสายตนะ หกประการนั้น)
    ยิ่งกว่าสมณพราหมณ์ทั้งหลายเหล่านั้นทั้งหมดนั่นเทียว.-

    #สัมมาทิฏฐิ
    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์

    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - สี.ที. 9/43/90.
    http://etipitaka.com/read/thai/9/43/?keywords=%E0%B9%99%E0%B9%90
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - สี.ที. ๙/๕๗/๙๐.
    http://etipitaka.com/read/pali/9/57/?keywords=%E0%B9%99%E0%B9%90
    ศึกษาเพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=735
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=54&id=735
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=54
    ลำดับสาธยายธรรม : 54 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_54.mp3
    อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​เวทนาเพื่อดับเสียได้ ดีกว่ารู้เพื่อเป็นปัจจัยแก่ตัณหา สัทธรรมลำดับที่ : 735 ชื่อบทธรรม :- เวทนาเพื่อดับเสียได้ ดีกว่ารู้เพื่อเป็นปัจจัยแก่ตัณหา https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=735 เนื้อความทั้งหมด :- หมวด ง. ว่าด้วย หลักการปฏิบัติของสัมมาทิฏฐิ --รู้เวทนาเพื่อดับเสียได้ ดีกว่ารู้เพื่อเป็นปัจจัยแก่ตัณหา --ภิกษุ ท. ! สมณพรหมณ์เหล่าใด เป็นปุพพันตกัปปิกวาท (บัญญัติทิฏฐิปรารภขันธ์ที่มีแล้วในกาลก่อน) ก็ดี เป็นอปรันตกัปปิกวาท (บัญญัติทิฏฐิปรารภขันธ์ที่มีในกาลเบื้องหน้า) ก็ดี เป็นปุพพันตาปรันตกัปปิกวาท (บัญญัติทิฏฐิปรารภขันธ์ที่เป็นปุพพันตะอปรันตะ) ก็ดี ล้วนแต่ เป็นผู้มีปุพพันตาปรันตานุทิฏฐิ (มีทิฏฐิไปตามขันธ์ที่มีในกาลก่อนและในกาลเบื้องหน้า) --เขาปรารภขันธ์ที่เป็นปุพพันตะและอปรันตะแล้ว กล่าวอธิมุตติบท http://etipitaka.com/read/pali/9/57/?keywords=อธิมุตฺติ (ทางแห่งความน้อมใจเชื่อของสัตว์) มีอย่างต่างๆกัน เป็นอเนก ด้วยวัตถุ (ที่ตั้งแห่งทิฏฐิ) ๖๒ ประการ; สมณพราหมณ์เหล่านั้นทั้งหมด รู้สึกเสวยเวทนาตามทิฏฐิเฉพาะอย่าง ๆ ของตน ๆ ตามที่ถูกต้องแล้ว ๆ (ซึ่งอารมณ์) ด้วยผัสสายตนะ หกประการ. http://etipitaka.com/read/pali/9/57/?keywords=ผสฺสายต เพราะเวทนา (อันเกิดจากสัมผัสนั้น) ของสมณพราหมณ์ทั้งหลายเหล่านั้น เป็น ปัจจัย จึงมีตัณหา ; เพราะมีตัณหาเป็น ปัจจัย จึงมีอุปทาน; เพราะมีอุปาทานเป็น ปัจจัย จึงมีภพ; เพราะมีภพเป็น ปัจจัย จึงมีชาติ; เพราะมีชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย (แก่สมณพราหมณ์ทั้งหลายเหล่านั้น). --ภิกษุ ท. ! ในกาลใดแล +--ภิกษุย่อม รู้ชัดตามที่เป็นจริง ซึ่งความ เกิดขึ้น (สมุทัย) ซึ่งความตั้งอยู่ไม่ได้ (อัตถังคมะ) ซึ่งรสอร่อย (อัสสาทะ) ซึ่งโทษอันต่ำทราม (อาทีนวะ) ซึ่งอุบายเป็นเครื่องออกไปให้พ้น (นิสสรณะ) แห่งผัสสายตนะ ๖ ประการ ; +--ภิกษุนี้ ชื่อว่าย่อม รู้ชัด (#ซึ่งเรื่องอันเกี่ยวกับผัสสายตนะ หกประการนั้น) ยิ่งกว่าสมณพราหมณ์ทั้งหลายเหล่านั้นทั้งหมดนั่นเทียว.- #สัมมาทิฏฐิ #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - สี.ที. 9/43/90. http://etipitaka.com/read/thai/9/43/?keywords=%E0%B9%99%E0%B9%90 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - สี.ที. ๙/๕๗/๙๐. http://etipitaka.com/read/pali/9/57/?keywords=%E0%B9%99%E0%B9%90 ศึกษาเพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=735 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=54&id=735 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=54 ลำดับสาธยายธรรม : 54 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_54.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - หมวด ง. ว่าด้วย หลักการปฏิบัติ ของสัมมาทิฏฐิ
    -หมวด ง. ว่าด้วย หลักการปฏิบัติ ของสัมมาทิฏฐิ รู้เวทนาเพื่อดับเสียได้ ดีกว่ารู้เพื่อเป็นปัจจัยแก่ตัณหา ภิกษุ ท. ! .... สมณพรหมณ์เหล่าใด เป็นปุพพันตกัปปิกวาท๑ (บัญญัติทิฏฐิปรารภขันธ์ที่มีแล้วในกาลก่อน) ก็ดี เป็นอปรันตกัปปิกวาท (บัญญัติทิฏฐิ ๑. สมณพรหมณ์พวกปุพพันตกัปปิวาทเป็นต้น ดูรายละอียดได้จากหนังสือ ปฏิจจ.โอ. ตอนว่าด้วยเรื่องทิฏฐิ ๖๒ ในหมวด ๑๑. ปรารภขันธ์ที่มีในกาลเบื้องหน้า) ก็ดี เป็นปุพพันตาปรันตกัปปิกวาท (บัญญัติทิฏฐิปรารภขันธ์ที่เป็นปุพพันตะอปรันตะ) ก็ดี ล้วนแต่เป็นผู้มีปุพพันตาปรันตานุทิฏฐิ (มีทิฏฐิไปตามขันธ์ที่มีในกาลก่อนและในกาลเบื้องหน้า) เขาปรารภขันธ์ที่เป็นปุพพันตะและอปรันตะแล้ว กล่าวอธิมุตติบท (ทางแห่งความน้อมใจเชื่อของสัตว์) มีอย่างต่างๆกัน เป็นอเนก ด้วยวัตถุ (ที่ตั้งแห่งทิฏฐิ) ๖๒ ประการ; สมณพราหมณ์เหล่านั้นทั้งหมด รู้สึกเสวยเวทนาตามทิฏฐิเฉพาะอย่าง ๆ ของตน ๆ ตามที่ถูกต้องแล้ว ๆ (ซึ่งอารมณ์) ด้วยผัสสายตนะหกประการ. เพราะเวทนา (อันเกิดจากสัมผัสนั้น) ของสมณพราหมณ์ทั้งหลายเหล่านั้นเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา ; เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปทาน; เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ; เพราะมีภพเป็นปัจจัยจึงมีชาติ; เพราะมีชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย (แก่สมณพราหมณ์ทั้งหลายเหล่านั้น). ภิกษุ ท. ! ในกาลใดแล ภิกษุย่อม รู้ชัดตามที่เป็นจริง ซึ่งความ เกิดขึ้น (สมุทัย) ซึ่งความตั้งอยู่ไม่ได้ (อัตถังคมะ) ซึ่งรสอร่อย (อัสสาทะ) ซึ่งโทษอันต่ำทราม (อาทีนวะ) ซึ่งอุบายเป็นเครื่องออกไปให้พ้น (นิสสรณะ) แห่งผัสสายตนะ ๖ ประการ ; ภิกษุนี้ ชื่อว่าย่อม รู้ชัด (ซึ่งเรื่องอันเกี่ยวกับผัสสายตนะหกประการนั้น) ยิ่งกว่าสมณพราหมณ์ทั้งหลายเหล่านั้นทั้งหมดนั่นเทียว.
    0 Comments 0 Shares 165 Views 0 Reviews
  • อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​ต้นเหตุแห่งมิจฉาทิฏฐิ - สัมมาทิฏฐิ
    สัทธรรมลำดับที่ : 734
    ชื่อบทธรรม : -ต้นเหตุแห่งมิจฉาทิฏฐิ - สัมมาทิฏฐิ
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=734
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --ต้นเหตุแห่งมิจฉาทิฏฐิ - สัมมาทิฏฐิ
    --ก. แห่งมิจฉาทิฏฐิ
    --ภิกษุ ท. ! ปัจจัย ๒ อย่างเหล่านี้
    เพื่อความเกิดขึ้นแห่งมิจฉาทิฏฐิ สองอย่างเหล่าไหนเล่า ?
    สองอย่าง คือ :-
    ๑--การโฆษณาของคนเหล่าอื่น (ปรโต โฆโส).
    ๒--การกระทำในใจโดยไม่แยบคาย (อโยนิโส มนสิกาโร).
    --ภิกษุ ท. ! ปัจจัยสองอย่างเหล่านี้แล #เพื่อความเกิดขึ้นแห่งมิจฉาทิฏฐิ.

    --ข. แห่งสัมมาทิฏฐิ
    --ภิกษุ ท. ! ปัจจัย ๒ อย่างเหล่านี้
    เพื่อความเกิดขึ้นแห่งสัมมาทิฏฐิ สองอย่างเหล่าไหนเล่า ?
    สองอย่าง คือ :-
    ๑--การโฆษณาของคนเหล่าอื่น (ปรโต โฆโส).
    ๒--การกระทำในใจโดยแยบคาย (โยนิโส มนสิกาโร).
    http://etipitaka.com/read/pali/20/110/?keywords=มนสิกาโร
    --ภิกษุ ท. ! ปัจจัยสองอย่างเหล่านี้แล #เพื่อความเกิดขึ้นแห่งสัมมาทิฏฐิ.-

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #ไทยสุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์

    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ทุก.อํ. 20/81-82/370-371.
    http://etipitaka.com/read/thai/20/81/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%97%E0%B9%90
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ทุก.อํ. ๒๐/๑๐๙-๑๑๐/๓๗๐-๓๗๑.
    http://etipitaka.com/read/pali/20/109/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%97%E0%B9%90
    ศึกษาเพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=734
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=54&id=734
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=54
    ลำดับสาธยายธรรม : 54​ ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_54.mp3
    อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​ต้นเหตุแห่งมิจฉาทิฏฐิ - สัมมาทิฏฐิ สัทธรรมลำดับที่ : 734 ชื่อบทธรรม : -ต้นเหตุแห่งมิจฉาทิฏฐิ - สัมมาทิฏฐิ https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=734 เนื้อความทั้งหมด :- --ต้นเหตุแห่งมิจฉาทิฏฐิ - สัมมาทิฏฐิ --ก. แห่งมิจฉาทิฏฐิ --ภิกษุ ท. ! ปัจจัย ๒ อย่างเหล่านี้ เพื่อความเกิดขึ้นแห่งมิจฉาทิฏฐิ สองอย่างเหล่าไหนเล่า ? สองอย่าง คือ :- ๑--การโฆษณาของคนเหล่าอื่น (ปรโต โฆโส). ๒--การกระทำในใจโดยไม่แยบคาย (อโยนิโส มนสิกาโร). --ภิกษุ ท. ! ปัจจัยสองอย่างเหล่านี้แล #เพื่อความเกิดขึ้นแห่งมิจฉาทิฏฐิ. --ข. แห่งสัมมาทิฏฐิ --ภิกษุ ท. ! ปัจจัย ๒ อย่างเหล่านี้ เพื่อความเกิดขึ้นแห่งสัมมาทิฏฐิ สองอย่างเหล่าไหนเล่า ? สองอย่าง คือ :- ๑--การโฆษณาของคนเหล่าอื่น (ปรโต โฆโส). ๒--การกระทำในใจโดยแยบคาย (โยนิโส มนสิกาโร). http://etipitaka.com/read/pali/20/110/?keywords=มนสิกาโร --ภิกษุ ท. ! ปัจจัยสองอย่างเหล่านี้แล #เพื่อความเกิดขึ้นแห่งสัมมาทิฏฐิ.- #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #ไทยสุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ทุก.อํ. 20/81-82/370-371. http://etipitaka.com/read/thai/20/81/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%97%E0%B9%90 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ทุก.อํ. ๒๐/๑๐๙-๑๑๐/๓๗๐-๓๗๑. http://etipitaka.com/read/pali/20/109/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%97%E0%B9%90 ศึกษาเพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=734 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=54&id=734 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=54 ลำดับสาธยายธรรม : 54​ ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_54.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - [ในสูตรถัดไป ทรงแสดงสิ่งทั้งปวงด้วยวิญญาตัทพธรรมทางจักษุ โสตะ ฆานะ ชิวหา กายะ และมนะ (๑๘/๒๒-๒๓/๒๙-๓๐).
    -[ในสูตรถัดไป ทรงแสดงสิ่งทั้งปวงด้วยวิญญาตัทพธรรมทางจักษุ โสตะ ฆานะ ชิวหา กายะ และมนะ (๑๘/๒๒-๒๓/๒๙-๓๐). อีกสูตรหนึ่ง ทรงแสดงสิ่งทั้งปวงด้วยขันธ์ห้า (๑๗/๓๓/๕๖-๕๗)]. ต้นเหตุแห่งมิจฉาทิฏฐิ - สัมมาทิฏฐิ ก. แห่งมิจฉาทิฏฐิ ภิกษุ ท. ! ปัจจัย ๒ อย่างเหล่านี้ เพื่อความเกิดขึ้นแห่งมิจฉาทิฏฐิ สองอย่างเหล่าไหนเล่า ? สองอย่าง คือ : การโฆษณาของคนเหล่าอื่น (ปรโต โฆโส). การกระทำในใจโดยไม่แยบคาย (อโยนิโส มนสิกาโร). ภิกษุ ท. ! ปัจจัยสองอย่างเหล่านี้แล เพื่อความเกิดขึ้นแห่งมิจฉาทิฏฐิ. ข. แห่งสัมมาทิฏฐิ ภิกษุ ท. ! ปัจจัย ๒ อย่างเหล่านี้ เพื่อความเกิดขึ้นแห่งสัมมาทิฏฐิ สองอย่างเหล่าไหนเล่า ? สองอย่าง คือ : การโฆษณาของคนเหล่าอื่น (ปรโต โฆโส). การกระทำในใจโดยแยบคาย (โยนิโส มนสิกาโร). ภิกษุ ท. ! ปัจจัยสองอย่างเหล่านี้แล เพื่อความเกิดขึ้นแห่งสัมมาทิฏฐิ.
    0 Comments 0 Shares 210 Views 0 Reviews
  • อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​สิ่งทั้งปวงที่ต้องรู้จัก เพื่อความสิ้นทุกข์
    สัทธรรมลำดับที่ : 733
    ชื่อบทธรรม :- สิ่งทั้งปวงที่ต้องรู้จัก เพื่อความสิ้นทุกข์
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=733
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --สิ่งทั้งปวงที่ต้องรู้จัก เพื่อความสิ้นทุกข์
    --ภิกษุ ท. ! เมื่อไม่รู้ยิ่ง ไม่รอบรู้ ไม่คลายกำหนัด ไม่ละขาด
    ซึ่งสิ่งทั้งปวง ก็เป็นผู้ ไม่ควรแก่ความสิ้นไปแห่งทุกข์.
    ภิกษุ ท. ! สิ่งทั้งปวงนั้นคืออะไรเล่า ?
    ภิกษุ ท. ! สิ่งทั้งปวงคือ :- (
    ๑.อายตนะภายใน ๖
    ๒.อายตนะภายนอก ๖
    ๓.วิญญาณ ๖
    ๔.สัมผัส ๖
    ๕.เวทนา ๖
    : ทรงจำแนกทีละหมวด และแยกอย่างในหมวดนั้น ๆ
    ในที่นี้ยกมากล่าวคราวเดียวกัน เพราะเห็นว่าเป็นที่รู้จักกันดีแล้ว
    )
    (ต่อจากนี้
    ได้ตรัสข้อความป็นปฏิปักขนัย (ตรงกันข้าม)​ คือ
    เมื่อรู้สิ่งทั้งปวงก็ควรแก่ความสิ้นไปแห่งทุกข์
    อันผู้ศึกษาพึงเทียบเคียงได้ด้วยตนเอง
    ).-

    [ในสูตรถัดไป
    ทรงแสดงสิ่งทั้งปวงด้วย
    วิญญาตัทพธรรมทางจักษุ โสตะ ฆานะ ชิวหา กายะ และมนะ (๑๘/๒๒-๒๓/๒๙-๓๐).
    http://etipitaka.com/read/pali/18/22/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%99
    --อีกสูตรหนึ่ง
    ทรงแสดงสิ่งทั้งปวงด้วย ขันธ์ห้า
    (๑๗/๓๓/๕๖-๕๗)
    http://etipitaka.com/read/pali/17/33/?keywords=%E0%B9%95%E0%B9%96
    ].
    -----
    #สัมมาทิฏฐิ
    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์

    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - สฬา. สํ. 18/15/27-28.
    http://etipitaka.com/read/thai/18/15/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%97
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - สฬา. สํ. ๑๘/๒๑/๒๗-๒๘.
    http://etipitaka.com/read/pali/18/21/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%97
    ศึกษาเพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=733
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=54&id=733
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=54
    ลำดับสาธยายธรรม : 54 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_54.mp3
    อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​สิ่งทั้งปวงที่ต้องรู้จัก เพื่อความสิ้นทุกข์ สัทธรรมลำดับที่ : 733 ชื่อบทธรรม :- สิ่งทั้งปวงที่ต้องรู้จัก เพื่อความสิ้นทุกข์ https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=733 เนื้อความทั้งหมด :- --สิ่งทั้งปวงที่ต้องรู้จัก เพื่อความสิ้นทุกข์ --ภิกษุ ท. ! เมื่อไม่รู้ยิ่ง ไม่รอบรู้ ไม่คลายกำหนัด ไม่ละขาด ซึ่งสิ่งทั้งปวง ก็เป็นผู้ ไม่ควรแก่ความสิ้นไปแห่งทุกข์. ภิกษุ ท. ! สิ่งทั้งปวงนั้นคืออะไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! สิ่งทั้งปวงคือ :- ( ๑.อายตนะภายใน ๖ ๒.อายตนะภายนอก ๖ ๓.วิญญาณ ๖ ๔.สัมผัส ๖ ๕.เวทนา ๖ : ทรงจำแนกทีละหมวด และแยกอย่างในหมวดนั้น ๆ ในที่นี้ยกมากล่าวคราวเดียวกัน เพราะเห็นว่าเป็นที่รู้จักกันดีแล้ว ) (ต่อจากนี้ ได้ตรัสข้อความป็นปฏิปักขนัย (ตรงกันข้าม)​ คือ เมื่อรู้สิ่งทั้งปวงก็ควรแก่ความสิ้นไปแห่งทุกข์ อันผู้ศึกษาพึงเทียบเคียงได้ด้วยตนเอง ).- [ในสูตรถัดไป ทรงแสดงสิ่งทั้งปวงด้วย วิญญาตัทพธรรมทางจักษุ โสตะ ฆานะ ชิวหา กายะ และมนะ (๑๘/๒๒-๒๓/๒๙-๓๐). http://etipitaka.com/read/pali/18/22/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%99 --อีกสูตรหนึ่ง ทรงแสดงสิ่งทั้งปวงด้วย ขันธ์ห้า (๑๗/๓๓/๕๖-๕๗) http://etipitaka.com/read/pali/17/33/?keywords=%E0%B9%95%E0%B9%96 ]. ----- #สัมมาทิฏฐิ #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - สฬา. สํ. 18/15/27-28. http://etipitaka.com/read/thai/18/15/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%97 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - สฬา. สํ. ๑๘/๒๑/๒๗-๒๘. http://etipitaka.com/read/pali/18/21/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%97 ศึกษาเพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=733 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=54&id=733 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=54 ลำดับสาธยายธรรม : 54 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_54.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - สิ่งทั้งปวงที่ต้องรู้จัก เพื่อความสิ้นทุกข์
    -สิ่งทั้งปวงที่ต้องรู้จัก เพื่อความสิ้นทุกข์ ภิกษุ ท. ! เมื่อไม่รู้ยิ่ง ไม่รอบรู้ ไม่คลายกำหนัด ไม่ละขาด ซึ่งสิ่งทั้งปวง ก็เป็นผู้ ไม่ควรแก่ความสิ้นไปแห่งทุกข์. ภิกษุ ท. ! สิ่งทั้งปวงนั้นคืออะไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! สิ่งทั้งปวงคือ : (อายตนะภายใน ๖ อายตนะภายนอก ๖ วิญญาณ ๖ สัมผัส ๖ เวทนา ๖ : ทรงจำแนกทีละหมวด และแยกอย่างในหมวดนั้น ๆ ในที่นี้ยกมากล่าวคราวเดียวกัน เพราะเห็นว่าเป็นที่รู้จักกันดีแล้ว). (ต่อจากนี้ ได้ตรัสข้อความป็นปฏิปักขนัย คือเมื่อรู้สิ่งทั้งปวงก็ควรแก่ความสิ้นไปแห่งทุกข์ อันผู้ศึกษาพึงเทียบเคียงได้ด้วยตนเอง).
    0 Comments 0 Shares 183 Views 0 Reviews
  • อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​สิ่งสงเคราะห์สัมมาทิฏฐิให้ออกผล
    สัทธรรมลำดับที่ : 726
    ชื่อบทธรรม :- สิ่งสงเคราะห์สัมมาทิฏฐิให้ออกผล
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=726
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --สิ่งสงเคราะห์สัมมาทิฏฐิให้ออกผล
    --ภิกษุ ท. ! สัมมาทิฏฐิ อันองค์ธรรม ๕ ประการอนุเคราะห์แล้ว
    ย่อมมีเจโตวิมุตติเป็นผล เป็นอานิสงส์ และมีปัญญาวิมุตติเป็นผล เป็นอานิสงส์.
    ห้าประการเหล่าไหนเล่า ?
    ห้าประการ คือ ภิกษุ ท. ! ในกรณีนี้ :
    --๑. สัมมาทิฏฐิ เป็นธรรมอัน ศีล อนุเคราะห์แล้ว;
    --๒. สัมมาทิฏฐิ เป็นธรรมอัน สูตร*-๑ อนุเคราะห์แล้ว;
    --๓. สัมมาทิฏฐิ เป็นธรรมอัน สากัจฉา*-๒ อนุเคราะห์แล้ว;
    --๔. สัมมาทิฏฐิ เป็นธรรมอัน สมถะ อนุเคราะห์แล้ว;
    --๕. สัมมาทิฏฐิ เป็นธรรมอัน วิปัสสนา อนุเคราะห์แล้ว .
    --ภิกษุ ท. ! สัมมาทิฏฐิ อันองค์ธรรม ๕ ประการเหล่านี้แล อนุเคราะห์แล้ว ย่อม
    #มีเจโตวิมุตติเป็นผล เป็นอานิสงส์ และ #มีปัญญาวิมุตติเป็นผล เป็นอานิสงส์.-
    http://etipitaka.com/read/pali/22/22/?keywords=เจโตวิมุตฺติ+ปญฺญาวิมุตฺติ

    *-๑. สูตร มาจากบาลีว่า สุตฺต หมายถึง แนวธรรมหรือหลักธรรมที่จัดเป็นระบบหนึ่ง ๆ.
    http://etipitaka.com/read/pali/22/22/?keywords=สุตฺต
    *-๒. สากัจฉา คือ การสนทนาธรรมเพื่อตีความหมายแห่งธรรมให้ชัดเจนแจ่มแจ้ง.

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์

    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ปญฺจก. อํ. 22/20/25.
    http://etipitaka.com/read/thai/22/20/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%95
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ปญฺจก. อํ. ๒๒/๒๒/๒๕.
    http://etipitaka.com/read/pali/22/22/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%95
    ศึกษา​เพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=54&id=726
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=54
    ลำดับสาธยายธรรม : 54 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_54.mp3
    อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​สิ่งสงเคราะห์สัมมาทิฏฐิให้ออกผล สัทธรรมลำดับที่ : 726 ชื่อบทธรรม :- สิ่งสงเคราะห์สัมมาทิฏฐิให้ออกผล https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=726 เนื้อความทั้งหมด :- --สิ่งสงเคราะห์สัมมาทิฏฐิให้ออกผล --ภิกษุ ท. ! สัมมาทิฏฐิ อันองค์ธรรม ๕ ประการอนุเคราะห์แล้ว ย่อมมีเจโตวิมุตติเป็นผล เป็นอานิสงส์ และมีปัญญาวิมุตติเป็นผล เป็นอานิสงส์. ห้าประการเหล่าไหนเล่า ? ห้าประการ คือ ภิกษุ ท. ! ในกรณีนี้ : --๑. สัมมาทิฏฐิ เป็นธรรมอัน ศีล อนุเคราะห์แล้ว; --๒. สัมมาทิฏฐิ เป็นธรรมอัน สูตร*-๑ อนุเคราะห์แล้ว; --๓. สัมมาทิฏฐิ เป็นธรรมอัน สากัจฉา*-๒ อนุเคราะห์แล้ว; --๔. สัมมาทิฏฐิ เป็นธรรมอัน สมถะ อนุเคราะห์แล้ว; --๕. สัมมาทิฏฐิ เป็นธรรมอัน วิปัสสนา อนุเคราะห์แล้ว . --ภิกษุ ท. ! สัมมาทิฏฐิ อันองค์ธรรม ๕ ประการเหล่านี้แล อนุเคราะห์แล้ว ย่อม #มีเจโตวิมุตติเป็นผล เป็นอานิสงส์ และ #มีปัญญาวิมุตติเป็นผล เป็นอานิสงส์.- http://etipitaka.com/read/pali/22/22/?keywords=เจโตวิมุตฺติ+ปญฺญาวิมุตฺติ *-๑. สูตร มาจากบาลีว่า สุตฺต หมายถึง แนวธรรมหรือหลักธรรมที่จัดเป็นระบบหนึ่ง ๆ. http://etipitaka.com/read/pali/22/22/?keywords=สุตฺต *-๒. สากัจฉา คือ การสนทนาธรรมเพื่อตีความหมายแห่งธรรมให้ชัดเจนแจ่มแจ้ง. #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์​ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ปญฺจก. อํ. 22/20/25. http://etipitaka.com/read/thai/22/20/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%95 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ปญฺจก. อํ. ๒๒/๒๒/๒๕. http://etipitaka.com/read/pali/22/22/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%95 ศึกษา​เพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=54&id=726 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=54 ลำดับสาธยายธรรม : 54 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_54.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - สิ่งสงเคราะห์สัมมาทิฏฐิให้ออกผล
    -สิ่งสงเคราะห์สัมมาทิฏฐิให้ออกผล ภิกษุ ท. ! สัมมาทิฏฐิ อันองค์ธรรม ๕ ประการอนุเคราะห์แล้ว ย่อมมีเจโตวิมุตติเป็นผล เป็นอานิสงส์ และมีปัญญาวิมุตติเป็นผล เป็นอานิสงส์. ห้าประการเหล่าไหนเล่า ? ห้าประการ คือ ภิกษุ ท. ! ในกรณีนี้ : ๑. สัมมาทิฏฐิ เป็นธรรมอัน ศีล อนุเคราะห์แล้ว; ๒. สัมมาทิฏฐิ เป็นธรรมอัน สูตร ๑ อนุเคราะห์แล้ว; ๓. สัมมาทิฏฐิ เป็นธรรมอัน สากัจฉา ๒ อนุเคราะห์แล้ว; ๔. สัมมาทิฏฐิ เป็นธรรมอัน สมถะ อนุเคราะห์แล้ว; ๕. สัมมาทิฏฐิ เป็นธรรมอัน วิปัสสนา อนุเคราะห์แล้ว . ภิกษุ ท. ! สัมมาทิฏฐิ อันองค์ธรรม ๕ ประการเหล่านี้แล อนุเคราะห์แล้ว ย่อมมีเจโตวิมุตติเป็นผล เป็นอานิสงส์ และมีปัญญาวิมุตติ เป็นผล เป็นอานิสงส์.
    0 Comments 0 Shares 233 Views 0 Reviews
  • อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​ความกลัวเป็นเหตุแห่งสัมมาทิฏฐิ (ชนิดโลกิยะ)
    สัทธรรมลำดับที่ : 719
    ชื่อบทธรรม :- ความกลัวเป็นเหตุแห่งสัมมาทิฏฐิ (ชนิดโลกิยะ)
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=719
    เนื้อความทั้งหมด :-
    หมวด ค. ว่าด้วย อุปกรณ์-เหตุปัจจัย ของสัมมาทิฏฐิ
    --ความกลัวเป็นเหตุแห่งสัมมาทิฏฐิ (ชนิดโลกิยะ)
    --ภิกษุ ท. ! ความกลัว ๔ อย่าง เหล่านี้ มีอยู่. สี่อย่าง อย่างไรเล่า ? สี่อย่างคือ
    ๑.ความกลัวต่อการติเตียน ตนด้วยตน
    ๒.ความกลัวต่อการการติเตียน จากผู้อื่น
    ๓.ความกลัวต่ออาชญา
    ๔.ความกลัวต่อทุคติ.

    --ภิกษุ ท. ! ความกลัวต่อการติเตียนตนด้วยตน เป็นอย่างไรเล่า ?
    +--ภิกษุ ท. ! ในกรณีนี้ บุคคลบางคน ย่อมใคร่ครวญเห็นอย่างนี้ว่า
    “ถ้าเราประพฤติกายทุจริต วจีทุจริต, มโนทุจริต,
    เราจะไม่พึงติเตียนเราโดยศีลได้อย่างไรกันเล่า?”
    ดังนี้.
    เขากลัวต่อภัยจากการติเตียนตนด้วยตนแล้วจึง
    ละกายทุจริต เจริญกายสุจริต,
    ละวจีทุจริต เจริญวจีสุจริต,
    ละมโนทุจริต เจริญมโนสุจริต,
    บริหารตนให้บริสุทธิ์อยู่.
    ๑--ภิกษุ ท. ! นี้เรากล่าวว่า #ความกลัวต่อการติเตียนตนด้วยตน.

    --ภิกษุ ท. ! ความกลัวต่อการติเตียนจากผู้อื่น เป็นอย่างไรเล่า ?
    +--ภิกษุ ท. ! ในกรณีนี้ บุคคลบางคน ย่อมใคร่ครวญเห็นอย่างนี้ว่า
    “ถ้าเราประพฤติกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต,
    ชนเหล่าอื่นจะไม่พึงติเตียนเรา โดยศีลได้อย่างไรกันเล่า.”
    ดังนี้
    เขากลัวต่อภัยจากการติเตียนจากผู้อื่นแล้วจึง
    ละกายทุจริต เจริญกายสุจริต,
    ละวจีทุจริต เจริญวจีสุจริต,
    ละมโนทุจริต เจริญมโนสุจริต,
    บริหารตนให้บริสุทธิ์อยู่,
    ๒--ภิกษุ ท. ! นี้เรากล่าวว่า #ความกลัวต่อการติเตียนจากผู้อื่น.

    --ภิกษุ ท. ! ความกลัวต่ออาชญา เป็นอย่างไรเล่า?
    +--ภิกษุ ท. ! ในกรณีนี้ บุคคลบางคน
    เห็นพระราชาจับโจรผู้ประพฤติชั่วร้ายมากระทำการลงโทษโดยวิธีต่างๆ คือ
    โบยด้วยแส้บ้าง เฆี่ยนด้วยหวายบ้าง หวดด้วยเชือกหนังบ้าง ทุบด้วยท่อนไม้บ้าง
    ตัดมือเสียบ้าง ตัดเท้าเสียบ้าง ตัดเสียทั้งมือและเท้าบ้าง
    ตัดหูบ้าง ตัดจมูกบ้าง ตัดเสียทั้งหูและจมูกบ้าง
    ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “หม้อเคี่ยวน้ำส้ม” บ้าง
    ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “ขอดสังข์” บ้าง
    ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “ปากราหู” บ้าง
    ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “มาลัยไฟ” บ้าง
    ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “มือคบเพลิง” บ้าง
    ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “ริ้วส่าย” บ้าง
    ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “นุ่งเปลือกไม้” บ้าง
    ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “ยืนกวาง” บ้าง
    ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “เกี่ยวเหยื่อเบ็ดบ้าง” บ้าง
    ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “เหรียญกษาปณ์” บ้าง
    ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “ทาเกลือ” บ้าง
    ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “แปรงแสบ” บ้าง
    ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “เวียนหลัก” บ้าง
    ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “ตั่งฟาง” บ้าง
    ย่อมราดด้วยน้ำมันร้อนๆ บ้าง
    ย่อมปล่อยให้สุนัขทึ้ง บ้าง
    ย่อมให้นอนหงายบนหลาวทั้งเป็นๆ บ้าง
    ย่อมตัดศีรษะด้วยดาบบ้าง*--๑
    เขามานึกขึ้นได้ว่า
    “เพราะเหตุแห่งการทำกรรมอันลามกเช่นนี้
    พระราชาจึงจับโจรอันชั่วร้ายมากระทำการลงโทษโดยวิธีต่างๆ
    เช่น โบยด้วยแส้บ้าง ....ฯลฯ.... ตัดศีรษะด้วยดาบบ้าง.
    ถ้าเราจะพึงกระทำกรรมอันลามกเช่นนั้น
    พระราชาก็จะจับแม้เราไปกระทำการลงโทษโดยวิธีต่างๆ เช่นนั้นเหมือนกัน
    คือ โบยด้วยแส้บ้าง ....ฯลฯ....ตัดศีรษะด้วยดาบบ้าง”
    ดังนี้
    เขากลัวต่อภัยจากอาชญาแล้ว จึงไม่ประพฤติการฉกชิงทรัพย์ของผู้อื่นอยู่.
    ๓--ภิกษุ ท. ! นี้เรากล่าวว่า #ความกลัวต่ออาชญา.

    --ภิกษุ ท. ! ความกลัวต่อทุคติ เป็นอย่างไรเล่า ?
    +--ภิกษุ ท. ! ในกรณีนี้ บุคคลบางคน ย่อมใคร่ครวญเห็นอย่างนี้ว่า
    “วิบากของ กายทุจริตอันชั่วร้าย จักมีข้างหน้า,
    วิบากของ วจีทุจริตอันชั่วร้าย จักมีข้างหน้า
    วิบากของ มโนทุจริตอันชั่วร้าย จักมีข้างหน้า.
    ถ้าเราประพฤติทุจริตด้วยกาย ประพฤติทุจริตด้วยวาจา ประพฤติทุจริตด้วยใจ
    แล้วจะต้องสงสัยอะไรกันอีกเล่าในข้อที่เราจะพึงเข้าถึง อบาย ทุคติ วินิบาต นรก
    ภายหลังแต่การตายเพราะการทำลายแห่งกาย”
    เขากลัวต่อภัยแห่งทุคติดังนี้แล้ว จึง
    ละกายทุจริต เจริญกายสุจริต,
    ละวจีทุจริต เจริญวจีสุจริต,
    ละมโนทุจริต เจริญมโนสุจริต,
    บริหารตนให้บริสุทธิ์อยู่.
    ๔--ภิกษุ ท. ! นี้เรากล่าวว่า #ความกลัวต่อทุคติ.

    --ภิกษุท. ! เหล่านี้แลคือความกลัว ๔ อย่าง.-
    (ความรู้ที่ทำให้รู้จักกลัวต่อสิ่งที่ควรกลัว
    จัดเป็น สัมมาทิฏฐิในชั้นต้นๆ ได้
    จึงนำมาใส่ไว้ในที่นี้).

    *--๑ .ดูรายละเอียดของ การกระทำกรรมกรณ์ เหล่านี้
    ที่หัวข้อว่า “อัสสาทะ-อาทีนวะ-นิสสรณะ ของกาม.”

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์

    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - จตุกฺก. อํ. 21/122-124/121.
    http://etipitaka.com/read/thai/21/122/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%92%E0%B9%91
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - จตุกฺก. อํ. ๒๑/๑๖๒-๑๖๔/๑๒๑.
    http://etipitaka.com/read/pali/21/162/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%92%E0%B9%91
    ศึกษา​เพิ่มเติม....
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=719
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=53&id=719
    หรือ
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=53
    ลำดับสาธยายธรรม : 53 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_53.mp3
    อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​ความกลัวเป็นเหตุแห่งสัมมาทิฏฐิ (ชนิดโลกิยะ) สัทธรรมลำดับที่ : 719 ชื่อบทธรรม :- ความกลัวเป็นเหตุแห่งสัมมาทิฏฐิ (ชนิดโลกิยะ) https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=719 เนื้อความทั้งหมด :- หมวด ค. ว่าด้วย อุปกรณ์-เหตุปัจจัย ของสัมมาทิฏฐิ --ความกลัวเป็นเหตุแห่งสัมมาทิฏฐิ (ชนิดโลกิยะ) --ภิกษุ ท. ! ความกลัว ๔ อย่าง เหล่านี้ มีอยู่. สี่อย่าง อย่างไรเล่า ? สี่อย่างคือ ๑.ความกลัวต่อการติเตียน ตนด้วยตน ๒.ความกลัวต่อการการติเตียน จากผู้อื่น ๓.ความกลัวต่ออาชญา ๔.ความกลัวต่อทุคติ. --ภิกษุ ท. ! ความกลัวต่อการติเตียนตนด้วยตน เป็นอย่างไรเล่า ? +--ภิกษุ ท. ! ในกรณีนี้ บุคคลบางคน ย่อมใคร่ครวญเห็นอย่างนี้ว่า “ถ้าเราประพฤติกายทุจริต วจีทุจริต, มโนทุจริต, เราจะไม่พึงติเตียนเราโดยศีลได้อย่างไรกันเล่า?” ดังนี้. เขากลัวต่อภัยจากการติเตียนตนด้วยตนแล้วจึง ละกายทุจริต เจริญกายสุจริต, ละวจีทุจริต เจริญวจีสุจริต, ละมโนทุจริต เจริญมโนสุจริต, บริหารตนให้บริสุทธิ์อยู่. ๑--ภิกษุ ท. ! นี้เรากล่าวว่า #ความกลัวต่อการติเตียนตนด้วยตน. --ภิกษุ ท. ! ความกลัวต่อการติเตียนจากผู้อื่น เป็นอย่างไรเล่า ? +--ภิกษุ ท. ! ในกรณีนี้ บุคคลบางคน ย่อมใคร่ครวญเห็นอย่างนี้ว่า “ถ้าเราประพฤติกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต, ชนเหล่าอื่นจะไม่พึงติเตียนเรา โดยศีลได้อย่างไรกันเล่า.” ดังนี้ เขากลัวต่อภัยจากการติเตียนจากผู้อื่นแล้วจึง ละกายทุจริต เจริญกายสุจริต, ละวจีทุจริต เจริญวจีสุจริต, ละมโนทุจริต เจริญมโนสุจริต, บริหารตนให้บริสุทธิ์อยู่, ๒--ภิกษุ ท. ! นี้เรากล่าวว่า #ความกลัวต่อการติเตียนจากผู้อื่น. --ภิกษุ ท. ! ความกลัวต่ออาชญา เป็นอย่างไรเล่า? +--ภิกษุ ท. ! ในกรณีนี้ บุคคลบางคน เห็นพระราชาจับโจรผู้ประพฤติชั่วร้ายมากระทำการลงโทษโดยวิธีต่างๆ คือ โบยด้วยแส้บ้าง เฆี่ยนด้วยหวายบ้าง หวดด้วยเชือกหนังบ้าง ทุบด้วยท่อนไม้บ้าง ตัดมือเสียบ้าง ตัดเท้าเสียบ้าง ตัดเสียทั้งมือและเท้าบ้าง ตัดหูบ้าง ตัดจมูกบ้าง ตัดเสียทั้งหูและจมูกบ้าง ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “หม้อเคี่ยวน้ำส้ม” บ้าง ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “ขอดสังข์” บ้าง ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “ปากราหู” บ้าง ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “มาลัยไฟ” บ้าง ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “มือคบเพลิง” บ้าง ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “ริ้วส่าย” บ้าง ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “นุ่งเปลือกไม้” บ้าง ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “ยืนกวาง” บ้าง ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “เกี่ยวเหยื่อเบ็ดบ้าง” บ้าง ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “เหรียญกษาปณ์” บ้าง ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “ทาเกลือ” บ้าง ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “แปรงแสบ” บ้าง ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “เวียนหลัก” บ้าง ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “ตั่งฟาง” บ้าง ย่อมราดด้วยน้ำมันร้อนๆ บ้าง ย่อมปล่อยให้สุนัขทึ้ง บ้าง ย่อมให้นอนหงายบนหลาวทั้งเป็นๆ บ้าง ย่อมตัดศีรษะด้วยดาบบ้าง*--๑ เขามานึกขึ้นได้ว่า “เพราะเหตุแห่งการทำกรรมอันลามกเช่นนี้ พระราชาจึงจับโจรอันชั่วร้ายมากระทำการลงโทษโดยวิธีต่างๆ เช่น โบยด้วยแส้บ้าง ....ฯลฯ.... ตัดศีรษะด้วยดาบบ้าง. ถ้าเราจะพึงกระทำกรรมอันลามกเช่นนั้น พระราชาก็จะจับแม้เราไปกระทำการลงโทษโดยวิธีต่างๆ เช่นนั้นเหมือนกัน คือ โบยด้วยแส้บ้าง ....ฯลฯ....ตัดศีรษะด้วยดาบบ้าง” ดังนี้ เขากลัวต่อภัยจากอาชญาแล้ว จึงไม่ประพฤติการฉกชิงทรัพย์ของผู้อื่นอยู่. ๓--ภิกษุ ท. ! นี้เรากล่าวว่า #ความกลัวต่ออาชญา. --ภิกษุ ท. ! ความกลัวต่อทุคติ เป็นอย่างไรเล่า ? +--ภิกษุ ท. ! ในกรณีนี้ บุคคลบางคน ย่อมใคร่ครวญเห็นอย่างนี้ว่า “วิบากของ กายทุจริตอันชั่วร้าย จักมีข้างหน้า, วิบากของ วจีทุจริตอันชั่วร้าย จักมีข้างหน้า วิบากของ มโนทุจริตอันชั่วร้าย จักมีข้างหน้า. ถ้าเราประพฤติทุจริตด้วยกาย ประพฤติทุจริตด้วยวาจา ประพฤติทุจริตด้วยใจ แล้วจะต้องสงสัยอะไรกันอีกเล่าในข้อที่เราจะพึงเข้าถึง อบาย ทุคติ วินิบาต นรก ภายหลังแต่การตายเพราะการทำลายแห่งกาย” เขากลัวต่อภัยแห่งทุคติดังนี้แล้ว จึง ละกายทุจริต เจริญกายสุจริต, ละวจีทุจริต เจริญวจีสุจริต, ละมโนทุจริต เจริญมโนสุจริต, บริหารตนให้บริสุทธิ์อยู่. ๔--ภิกษุ ท. ! นี้เรากล่าวว่า #ความกลัวต่อทุคติ. --ภิกษุท. ! เหล่านี้แลคือความกลัว ๔ อย่าง.- (ความรู้ที่ทำให้รู้จักกลัวต่อสิ่งที่ควรกลัว จัดเป็น สัมมาทิฏฐิในชั้นต้นๆ ได้ จึงนำมาใส่ไว้ในที่นี้). *--๑ .ดูรายละเอียดของ การกระทำกรรมกรณ์ เหล่านี้ ที่หัวข้อว่า “อัสสาทะ-อาทีนวะ-นิสสรณะ ของกาม.” #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์​ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - จตุกฺก. อํ. 21/122-124/121. http://etipitaka.com/read/thai/21/122/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%92%E0%B9%91 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - จตุกฺก. อํ. ๒๑/๑๖๒-๑๖๔/๑๒๑. http://etipitaka.com/read/pali/21/162/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%92%E0%B9%91 ศึกษา​เพิ่มเติม.... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=719 http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=53&id=719 หรือ http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=53 ลำดับสาธยายธรรม : 53 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_53.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - หมวด ค. ว่าด้วย อุปกรณ์-เหตุปัจจัย ของสัมมาทิฏฐิ
    -หมวด ค. ว่าด้วย อุปกรณ์-เหตุปัจจัย ของสัมมาทิฏฐิ ความกลัวเป็นเหตุแห่งสัมมาทิฏฐิ (ชนิดโลกิยะ) ภิกษุ ท. ! ความกลัว ๔ อย่าง เหล่านี้ มีอยู่. สี่อย่าง อย่างไรเล่า ? สี่อย่างคือ ความกลัวต่อการติเตียนตนด้วยตน ความกลัวต่อการการติเตียนจาก ผู้อื่น ความกลัวต่ออาชญา ความกลัวต่อทุคติ. ภิกษุ ท. ! ความกลัวต่อการติเตียนตนด้วยตน เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! ในกรณีนี้ บุคคลบางคน ย่อมใคร่ครวญเห็นอย่างนี้ว่า “ถ้าเราประพฤติกายทุจริต วจีทุจริต, มโนทุจริต, เราจะไม่พึงติเตียนเราโดยศีลได้อย่างไรกันเล่า?” ดังนี้. เขากลัวต่อภัยจากการติเตียนตนด้วยตนแล้วจึงละกายทุจริต เจริญกายสุจริต, ละวจีทุจริต เจริญวจีสุจริต, ละมโนทุจริต เจริญมโนสุจริต, บริหารตนให้บริสุทธิ์อยู่. ภิกษุ ท. ! นี้เรากล่าวว่า ความกลัวต่อการติเตียนตนด้วยตน. ภิกษุ ท. ! ความกลัวต่อการติเตียนจากผู้อื่น เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! ในกรณีนี้ บุคคลบางคน ย่อมใคร่ครวญเห็นอย่างนี้ว่า “ถ้าเราประพฤติกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต, ชนเหล่าอื่นจะไม่พึงติเตียนเรา โดยศีลได้อย่างไรกันเล่า.” ดังนี้ เขากลัวต่อภัยจากการติเตียนจากผู้อื่นแล้วจึงละกายทุจริต เจริญกายสุจริต, ละวจีทุจริต เจริญวจีสุจริต, ละมโนทุจริต เจริญมโนสุจริต บริหารตนให้บริสุทธิ์อยู่, ภิกษุ ท. ! นี้เรากล่าวว่า ความกลัวต่อการติเตียนจากผู้อื่น. ภิกษุ ท. ! ความกลัวต่ออาชญา เป็นอย่างไรเล่า? ภิกษุ ท. ! ในกรณีนี้ บุคคลบางคน เห็นพระราชาจับโจรผู้ประพฤติชั่วร้ายมากระทำการลงโทษโดยวิธีต่างๆ คือ โบยด้วยแส้บ้าง เฆี่ยนด้วยหวายบ้าง หวดด้วยเชือกหนังบ้าง ทุบด้วยท่อนไม้บ้าง ตัดมือเสียบ้าง ตัดเท้าเสียบ้าง ตัดเสียทั้งมือและเท้าบ้าง ตัดหูบ้าง ตัดจมูกบ้าง ตัดเสียทั้งหูและจมูกบ้าง ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “หม้อเคี่ยวน้ำส้ม” บ้าง ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “ขอดสังข์” บ้าง ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “ปากราหู” บ้าง ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “มาลัยไฟ” บ้าง ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “มือคบเพลิง” บ้าง ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “ริ้วส่าย” บ้าง ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “นุ่งเปลือกไม้” บ้าง ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “ยืนกวาง” บ้าง ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “เกี่ยวเหยื่อเบ็ดบ้าง” บ้าง ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “เหรียญกษาปณ์” บ้าง ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “ทาเกลือ” บ้าง ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “แปรงแสบ” บ้าง ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “เวียนหลัก” บ้าง ย่อมกระทำกรรมกรณ์ชื่อ “ตั่งฟาง” บ้าง ย่อมราดด้วยน้ำมันร้อนๆ บ้าง ย่อมปล่อยให้สุนัขทึ้งบ้าง ย่อมให้นอนหงายบนหลาวทั้งเป็นๆ บ้าง ย่อมตัดศีรษะด้วยดาบบ้าง๑ เขามานึกขึ้นได้ว่า “เพราะเหตุแห่งการทำกรรมอันลามกเช่นนี้ พระราชาจึงจับโจรอันชั่วร้ายมากระทำการลงโทษโดยวิธีต่างๆ เช่น โบยด้วยแส้บ้าง ....ฯลฯ.... ตัดศีรษะด้วยดาบบ้าง. ถ้าเราจะพึงกระทำกรรมอันลามกเช่นนั้น พระราชาก็จะจับแม้เราไปกระทำการลงโทษโดยวิธีต่างๆ เช่นนั้นเหมือนกัน คือ โบยด้วยแส้บ้าง ....ฯลฯ....ตัดศีรษะด้วยดาบบ้าง” ดังนี้ เขากลัวต่อภัยจากอาชญาแล้ว จึงไม่ประพฤติการฉกชิงทรัพย์ของผู้อื่นอยู่. ภิกษุ ท. ! นี้เรากล่าวว่า ความกลัวต่ออาชญา. ภิกษุ ท. ! ความกลัวต่อทุคติ เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! ในกรณีนี้ บุคคลบางคน ย่อมใคร่ครวญเห็นอย่างนี้ว่า “วิบากของกายทุจริตอันชั่วร้าย จักมีข้างหน้า, วิบากของวจีทุจริตอันชั่วร้าย จักมีข้างหน้า วิบากของมโนทุจริตอันชั่วร้าย จักมีข้างหน้า. ถ้าเราประพฤติทุจริตด้วยกาย ประพฤติทุจริตด้วยวาจา ประพฤติทุจริตด้วยใจ แล้วจะต้องสงสัยอะไรกันอีกเล่าในข้อที่เราจะพึงเข้าถึง อบาย ทุคติ วินิบาต นรก ภายหลังแต่การตายเพราะการทำลายแห่งกาย” เขากลัวต่อภัยแห่งทุคติดังนี้แล้ว จึงละกายทุจริต เจริญกายสุจริต, ละวจีทุจริต เจริญวจีสุจริต, ละมโนทุจริต เจริญมโนสุจริต, บริหารตนให้บริสุทธิ์อยู่. ภิกษุ ท. ! นี้เรากล่าวว่า ความกลัวต่อทุคติ. ภิกษุท. ! เหล่านี้แลคือความกลัว ๔ อย่าง.
    0 Comments 0 Shares 284 Views 0 Reviews
  • อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​วิชชาเป็นตัวชักนำมาซึ่งองค์แปดแห่งสัมมามรรค
    สัทธรรมลำดับที่ : 717
    ชื่อบทธรรม :- วิชชาเป็นตัวชักนำมาซึ่งองค์แปดแห่งสัมมามรรค
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=717
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --วิชชาเป็นตัวชักนำมาซึ่งองค์แปดแห่งสัมมามรรค
    --ภิกษุ ท. ! #วิชชาเป็นสิ่งที่มาล่วงหน้า
    เพื่อความถึงพร้อมแห่งกุศลธรรมทั้งหลาย
    อันติดตามมาด้วย หิริโอตตัปปะ
    http://etipitaka.com/read/pali/19/1/?keywords=วิชฺชา+หิโรตฺตปฺปํ
    --ภิกษุ ท. !
    ๑--สัมมาทิฏฐิ ย่อมมีอย่างเต็มที่ แก่ผู้ถึงซึ่งวิชชา มีความเห็นแจ้ง;
    ๒--สัมมาสังกัปปะ ย่อมมีอย่างเต็มที่ แก่ผู้มีสัมมาทิฏฐิ;
    ๓--สัมมาวาจา ย่อมมีอย่างเต็มที่ แก่ผู้มีสัมมาสังกัปปะ;
    ๔--สัมมากัมมันตะ ย่อมมีอย่างเต็มที่ แก่ผู้มีสัมมาวาจา;
    ๕--สัมมาอาชีวะ ย่อมมีอย่างเต็มที่ แก่ผู้มีสัมมากัมมันตะ;
    ๖--สัมมาวายามะ ย่อมมีอย่างเต็มที่ แก่ผู้มีสัมมาอาชีวะ;
    ๗--สัมมาสติ ย่อมมีอย่างเต็มที่ แก่ผู้สัมมาวายามะ;
    ๘--สัมมาสมาธิ ย่อมมีอย่างเต็มที่ แก่ผู้มีสัมมาสติ.
    http://etipitaka.com/read/pali/19/2/?keywords=สมฺมาสมาธิ
    (เป็นอันว่า องค์แปดแห่งสัมมามรรคหรือสัมมัตตะ ย่อมมีครบบริบูรณ์.
    ในสูตรอื่น (๒๔/๒๒๙/๑๐๕)
    http://etipitaka.com/read/pali/24/229/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%90%E0%B9%95
    ได้ตรัสขยายออกไปอีก ๒ ข้อคือ :- )​
    http://etipitaka.com/read/pali/24/229/?keywords=สมฺมาญาณํ
    ๙--สัมมาญาณะ ย่อมมีอย่างเต็มที่ แก่ผู้มีสัมมาสมาธิ;
    ๑๐--สัมมาวิมุตติ ย่อมมีอย่างเต็มที่ แก่ผู้มีสัมมาญาณะ.-

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์

    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - มหาวาร. สํ. 19/1/3.
    http://etipitaka.com/read/thai/19/1/?keywords=%E0%B9%93
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - มหาวาร. สํ. ๑๙/๑/๓.
    http://etipitaka.com/read/pali/19/1/?keywords=%E0%B9%93
    ศึกษา​เพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=717
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=53&id=717
    หรือ
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=53
    ลำดับสาธยายธรรม : 53 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_53.mp3
    อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​วิชชาเป็นตัวชักนำมาซึ่งองค์แปดแห่งสัมมามรรค สัทธรรมลำดับที่ : 717 ชื่อบทธรรม :- วิชชาเป็นตัวชักนำมาซึ่งองค์แปดแห่งสัมมามรรค https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=717 เนื้อความทั้งหมด :- --วิชชาเป็นตัวชักนำมาซึ่งองค์แปดแห่งสัมมามรรค --ภิกษุ ท. ! #วิชชาเป็นสิ่งที่มาล่วงหน้า เพื่อความถึงพร้อมแห่งกุศลธรรมทั้งหลาย อันติดตามมาด้วย หิริโอตตัปปะ http://etipitaka.com/read/pali/19/1/?keywords=วิชฺชา+หิโรตฺตปฺปํ --ภิกษุ ท. ! ๑--สัมมาทิฏฐิ ย่อมมีอย่างเต็มที่ แก่ผู้ถึงซึ่งวิชชา มีความเห็นแจ้ง; ๒--สัมมาสังกัปปะ ย่อมมีอย่างเต็มที่ แก่ผู้มีสัมมาทิฏฐิ; ๓--สัมมาวาจา ย่อมมีอย่างเต็มที่ แก่ผู้มีสัมมาสังกัปปะ; ๔--สัมมากัมมันตะ ย่อมมีอย่างเต็มที่ แก่ผู้มีสัมมาวาจา; ๕--สัมมาอาชีวะ ย่อมมีอย่างเต็มที่ แก่ผู้มีสัมมากัมมันตะ; ๖--สัมมาวายามะ ย่อมมีอย่างเต็มที่ แก่ผู้มีสัมมาอาชีวะ; ๗--สัมมาสติ ย่อมมีอย่างเต็มที่ แก่ผู้สัมมาวายามะ; ๘--สัมมาสมาธิ ย่อมมีอย่างเต็มที่ แก่ผู้มีสัมมาสติ. http://etipitaka.com/read/pali/19/2/?keywords=สมฺมาสมาธิ (เป็นอันว่า องค์แปดแห่งสัมมามรรคหรือสัมมัตตะ ย่อมมีครบบริบูรณ์. ในสูตรอื่น (๒๔/๒๒๙/๑๐๕) http://etipitaka.com/read/pali/24/229/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%90%E0%B9%95 ได้ตรัสขยายออกไปอีก ๒ ข้อคือ :- )​ http://etipitaka.com/read/pali/24/229/?keywords=สมฺมาญาณํ ๙--สัมมาญาณะ ย่อมมีอย่างเต็มที่ แก่ผู้มีสัมมาสมาธิ; ๑๐--สัมมาวิมุตติ ย่อมมีอย่างเต็มที่ แก่ผู้มีสัมมาญาณะ.- #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - มหาวาร. สํ. 19/1/3. http://etipitaka.com/read/thai/19/1/?keywords=%E0%B9%93 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - มหาวาร. สํ. ๑๙/๑/๓. http://etipitaka.com/read/pali/19/1/?keywords=%E0%B9%93 ศึกษา​เพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=717 http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=53&id=717 หรือ http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=53 ลำดับสาธยายธรรม : 53 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_53.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - วิชชาเป็นตัวชักนำมาซึ่งองค์แปดแห่งสัมมามรรค
    -วิชชาเป็นตัวชักนำมาซึ่งองค์แปดแห่งสัมมามรรค ภิกษุ ท. ! วิชชา เป็นสิ่งที่มาล่วงหน้า เพื่อความถึงพร้อมแห่งกุศลธรรมทั้งหลาย อันติดตามมาด้วยหิริโอตตัปปะ ภิกษุ ท. ! สัมมาทิฏฐิ ย่อมมีอย่างเต็มที่ แก่ผู้ถึงซึ่งวิชชา มีความเห็นแจ้ง; สัมมาสังกัปปะ ย่อมมีอย่างเต็มที่ แก่ผู้มีสัมมาทิฏฐิ; สัมมาวาจา ย่อมมีอย่างเต็มที่ แก่ผู้มีสัมมาสังกัปปะ; สัมมากัมมันตะ ย่อมมีอย่างเต็มที่ แก่ผู้มีสัมมาวาจา; สัมมาอาชีวะ ย่อมมีอย่างเต็มที่ แก่ผู้มีสัมมากัมมันตะ; สัมมาวายามะ ย่อมมีอย่างเต็มที่ แก่ผู้มีสัมมาอาชีวะ; สัมมาสติ ย่อมมีอย่างเต็มที่ แก่ผู้สัมมาวายามะ; สัมมาสมาธิ ย่อมมีอย่างเต็มที่ แก่ผู้มีสัมมาสติ. (เป็นอันว่า องค์แปดแห่งสัมมามรรคหรือสัมมัตตะ ย่อมมีครบบริบูรณ์. ในสูตรอื่น (๒๔/๒๒๘/๑๐๕) ได้ตรัสขยายออกไปอีก ๒ ข้อคือ :-) สัมมาญาณะ ย่อมมีอย่างเต็มที่ แก่ผู้มีสัมมาสมาธิ; สัมมาวิมุตติ ย่อมมีอย่างเต็มที่ แก่ผู้มีสัมมาญาณะ.
    0 Comments 0 Shares 257 Views 0 Reviews
  • อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​อริยสัจจญาณ เป็นญาณประเภทยิงเร็ว
    สัทธรรมลำดับที่ : 714
    ชื่อบทธรรม :- อริยสัจจญาณ เป็นญาณประเภทยิงเร็ว
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=714
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --อริยสัจจญาณ เป็นญาณประเภทยิงเร็ว
    --ภิกษุ ท. ! นักรบอาชีพที่ประกอบด้วยองค์ ๔ ประการ
    ย่อมเป็นผู้ ควรแก่พระราชา เป็นผู้ที่พระราชาควรใช้สอย
    ถึงการนับว่าเป็นองค์อวัยวะของพระราชา.
    องค์สี่ประการ อย่างไรเล่า ? สี่ประการคือ นักรบอาชีพในกรณีนี้
    ๑.เป็นผู้ฉลาดในฐานที่ตั้ง (ศีล-ปาติโมกขสังวร)
    ๒.เป็นผู้ยิงได้ไกล (ปัญญา-ญาณ)
    ๓.เป็นผู้ยิงได้เร็ว (อริยสัจจ)และ
    ๔.เป็นผู้ทำลายกองทัพใหญ่ๆ(อวิชชา)ได้.
    --ภิกษุ ท. ! ภิกษุที่ประกอบด้วยธรรมสี่ประการ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน คือ
    เป็นอาหุเนยยบุคคล ปาหุเนยยบุคคล ทักขิเณยยบุคคล อัญชลิกรณียบุคคล
    เป็นนาบุญของโลกไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า.
    ธรรมสี่ประการ อย่างไรเล่า? สี่ประการคือ ภิกษุในกรณีนี้
    เป็นผู้ฉลาดในฐานที่ตั้ง เป็นผู้ยิงได้ไกล เป็นผู้ยิงได้เร็ว และเป็นผู้ทำลายกองทัพใหญ่ได้.
    --ภิกษุ ท. ! ภิกษุที่เป็นผู้ฉลาดในฐานที่ตั้ง เป็นอย่างไรเล่า ?
    คือภิกษุในกรณีนี้ เป็นผู้มีศีล สำรวมด้วยปาติโมกขสังวร
    http://etipitaka.com/read/pali/21/231/?keywords=สีลวา+โหติ
    ถึงพร้อมด้วยมรรยาทและโคจร
    มีปกติเห็นเป็นภัยในโทษทั้งหลายแม้ว่าเป็นโทษเล็กน้อย
    สมาทานศึกษา อยู่ในสิกขาบททั้งหลาย.
    นี้แล #ภิกษุผู้ฉลาดในฐานที่ตั้ง.
    --ภิกษุ ท. ! ภิกษุที่เป็นผู้ยิงได้ไกล เป็นอย่างไรเล่า ?
    คือภิกษุในกรณีนี้
    ย่อมเห็นตามที่เป็นจริงด้วยปัญญาอันชอบ
    ซึ่งรูปใดๆอันเป็นอดีตอนาคตและปัจจุบัน
    ที่เป็นภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด
    เลวหรือประณีตมีในที่ใกล้หรือในที่ไกล อย่างนี้ว่า
    “รูปทั้งปวงนั้นไม่ใช่ของเรา ไม่เป็นเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา”
    ดังนี้.

    (ในกรณีแห่งเวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ก็มีข้อความที่ตรัสไว้อย่างเดียวกัน).

    นี้แล #ภิกษุผู้ยิงได้ไกล.
    --ภิกษุ ท. ! ภิกษุที่เป็นผู้ยิงได้เร็ว เป็นอย่างไรเล่า ?
    คือ ภิกษุในกรณีนี้ ย่อมรู้ชัดตามเป็นจริงว่า
    “นี้ทุกข์
    นี้เหตุให้เกิดขึ้นแห่งทุกข์
    นี้ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์
    นี้ทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์”
    ดังนี้.
    นี้แล #ภิกษุผู้ยิงได้เร็ว.
    --ภิกษุ ท. ! ภิกษุที่เป็นผู้ทำลายกองทัพใหญ่ได้ เป็นอย่างไรเล่า ?
    คือ ภิกษุในกรณีนี้
    ย่อมทำลายกองอวิชชาใหญ่ได้.
    นี้แล #ภิกษุผู้ทำลายกองทัพใหญ่ได้.
    --ภิกษุ ท. ! ภิกษุประกอบด้วยธรรมสี่ประการเหล่านี้แล
    ย่อมเป็นอาหุเนยยบุคคล
    ปาหุเนยยบุคคล
    ทักขิเณยยบุคคล
    อัญชลิกรณียบุคคล
    เป็นนาบุญของโลกไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า.-
    (การรู้อริยสัจทั้งสี่ ท่านจัดเป็นสัมมาทิฏฐิ
    แต่เป็นสัมมาทิฏฐิที่รวดเร็วกว่าสัมมาทิฏฐิอื่นๆ
    ในการทำลายกิเลส บรรลุนิพพาน
    ดังนั้นจึงเรียกในที่นี้ว่า #ญาณประเภทยิงเร็ว
    ).

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์

    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - จตุกฺก. อํ. 21/165/181.
    http://etipitaka.com/read/thai/21/165/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%98%E0%B9%91
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - จตุกฺก. อํ. ๒๑/๒๓๑/๑๘๑.
    http://etipitaka.com/read/pali/21/231/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%98%E0%B9%91
    ศึกษาเพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=714
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=52&id=714
    หรือ
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=52
    ลำดับสาธยายธรรม : 52 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_52.mp3
    อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​อริยสัจจญาณ เป็นญาณประเภทยิงเร็ว สัทธรรมลำดับที่ : 714 ชื่อบทธรรม :- อริยสัจจญาณ เป็นญาณประเภทยิงเร็ว https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=714 เนื้อความทั้งหมด :- --อริยสัจจญาณ เป็นญาณประเภทยิงเร็ว --ภิกษุ ท. ! นักรบอาชีพที่ประกอบด้วยองค์ ๔ ประการ ย่อมเป็นผู้ ควรแก่พระราชา เป็นผู้ที่พระราชาควรใช้สอย ถึงการนับว่าเป็นองค์อวัยวะของพระราชา. องค์สี่ประการ อย่างไรเล่า ? สี่ประการคือ นักรบอาชีพในกรณีนี้ ๑.เป็นผู้ฉลาดในฐานที่ตั้ง (ศีล-ปาติโมกขสังวร) ๒.เป็นผู้ยิงได้ไกล (ปัญญา-ญาณ) ๓.เป็นผู้ยิงได้เร็ว (อริยสัจจ)และ ๔.เป็นผู้ทำลายกองทัพใหญ่ๆ(อวิชชา)ได้. --ภิกษุ ท. ! ภิกษุที่ประกอบด้วยธรรมสี่ประการ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน คือ เป็นอาหุเนยยบุคคล ปาหุเนยยบุคคล ทักขิเณยยบุคคล อัญชลิกรณียบุคคล เป็นนาบุญของโลกไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า. ธรรมสี่ประการ อย่างไรเล่า? สี่ประการคือ ภิกษุในกรณีนี้ เป็นผู้ฉลาดในฐานที่ตั้ง เป็นผู้ยิงได้ไกล เป็นผู้ยิงได้เร็ว และเป็นผู้ทำลายกองทัพใหญ่ได้. --ภิกษุ ท. ! ภิกษุที่เป็นผู้ฉลาดในฐานที่ตั้ง เป็นอย่างไรเล่า ? คือภิกษุในกรณีนี้ เป็นผู้มีศีล สำรวมด้วยปาติโมกขสังวร http://etipitaka.com/read/pali/21/231/?keywords=สีลวา+โหติ ถึงพร้อมด้วยมรรยาทและโคจร มีปกติเห็นเป็นภัยในโทษทั้งหลายแม้ว่าเป็นโทษเล็กน้อย สมาทานศึกษา อยู่ในสิกขาบททั้งหลาย. นี้แล #ภิกษุผู้ฉลาดในฐานที่ตั้ง. --ภิกษุ ท. ! ภิกษุที่เป็นผู้ยิงได้ไกล เป็นอย่างไรเล่า ? คือภิกษุในกรณีนี้ ย่อมเห็นตามที่เป็นจริงด้วยปัญญาอันชอบ ซึ่งรูปใดๆอันเป็นอดีตอนาคตและปัจจุบัน ที่เป็นภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีตมีในที่ใกล้หรือในที่ไกล อย่างนี้ว่า “รูปทั้งปวงนั้นไม่ใช่ของเรา ไม่เป็นเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา” ดังนี้. (ในกรณีแห่งเวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ก็มีข้อความที่ตรัสไว้อย่างเดียวกัน). นี้แล #ภิกษุผู้ยิงได้ไกล. --ภิกษุ ท. ! ภิกษุที่เป็นผู้ยิงได้เร็ว เป็นอย่างไรเล่า ? คือ ภิกษุในกรณีนี้ ย่อมรู้ชัดตามเป็นจริงว่า “นี้ทุกข์ นี้เหตุให้เกิดขึ้นแห่งทุกข์ นี้ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ นี้ทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์” ดังนี้. นี้แล #ภิกษุผู้ยิงได้เร็ว. --ภิกษุ ท. ! ภิกษุที่เป็นผู้ทำลายกองทัพใหญ่ได้ เป็นอย่างไรเล่า ? คือ ภิกษุในกรณีนี้ ย่อมทำลายกองอวิชชาใหญ่ได้. นี้แล #ภิกษุผู้ทำลายกองทัพใหญ่ได้. --ภิกษุ ท. ! ภิกษุประกอบด้วยธรรมสี่ประการเหล่านี้แล ย่อมเป็นอาหุเนยยบุคคล ปาหุเนยยบุคคล ทักขิเณยยบุคคล อัญชลิกรณียบุคคล เป็นนาบุญของโลกไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า.- (การรู้อริยสัจทั้งสี่ ท่านจัดเป็นสัมมาทิฏฐิ แต่เป็นสัมมาทิฏฐิที่รวดเร็วกว่าสัมมาทิฏฐิอื่นๆ ในการทำลายกิเลส บรรลุนิพพาน ดังนั้นจึงเรียกในที่นี้ว่า #ญาณประเภทยิงเร็ว ). #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์​ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - จตุกฺก. อํ. 21/165/181. http://etipitaka.com/read/thai/21/165/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%98%E0%B9%91 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - จตุกฺก. อํ. ๒๑/๒๓๑/๑๘๑. http://etipitaka.com/read/pali/21/231/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%98%E0%B9%91 ศึกษาเพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=714 http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=52&id=714 หรือ http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=52 ลำดับสาธยายธรรม : 52 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_52.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - อริยสัจจญาณ เป็นญาณประเภทยิงเร็ว
    -อริยสัจจญาณ เป็นญาณประเภทยิงเร็ว ภิกษุ ท. ! นักรบอาชีพที่ประกอบด้วยองค์ ๔ ประการ ย่อมเป็นผู้ ควรแก่พระราชา เป็นผู้ที่พระราชาควรใช้สอย ถึงการนับว่าเป็นองค์อวัยวะของพระราชา. องค์สี่ประการ อย่างไรเล่า ? สี่ประการคือ นักรบอาชีพในกรณีนี้เป็นผู้ฉลาดในฐานที่ตั้ง เป็นผู้ยิงได้ไกล เป็นผู้ยิงได้เร็ว และเป็นผู้ทำลายกองทัพใหญ่ๆได้. ภิกษุ ท. ! ภิกษุที่ประกอบด้วยธรรมสี่ประการ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน คือ เป็นอาหุเนยยบุคคล ปาหุเนยยบุคคล ทักขิเณยยบุคคล อัญชลิกรณียบุคคล เป็นนาบุญของโลกไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า. ธรรมสี่ประการ อย่างไรเล่า? สี่ประการคือ ภิกษุในกรณีนี้ เป็นผู้ฉลาดในฐานที่ตั้ง เป็นผู้ยิงได้ไกล เป็นผู้ยิงได้เร็ว และเป็นผู้ทำลายกองทัพใหญ่ได้. ภิกษุ ท. ! ภิกษุที่เป็นผู้ฉลาดในฐานที่ตั้ง เป็นอย่างไรเล่า ? คือภิกษุในกรณีนี้ เป็นผู้มีศีล สำรวมด้วยปาติโมกขสังวร ถึงพร้อมด้วยมรรยาทและโคจร มีปกติเห็นเป็นภัยในโทษทั้งหลายแม้ว่าเป็นโทษเล็กน้อย สมาทานศึกษา อยู่ในสิกขาบททั้งหลาย. นี้แล ภิกษุผู้ฉลาดในฐานที่ตั้ง. ภิกษุ ท. ! ภิกษุที่เป็นผู้ยิงได้ไกล เป็นอย่างไรเล่า ? คือภิกษุในกรณีนี้ ย่อมเห็นตามที่เป็นจริงด้วยปัญญาอันชอบ ซึ่งรูปใดๆอันเป็นอดีตอนาคตและปัจจุบัน ที่เป็นภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีตมีในที่ใกล้หรือในที่ไกล อย่างนี้ว่า “รูปทั้งปวงนั้นไม่ใช่ของเรา ไม่เป็นเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา” ดังนี้. (ในกรณีแห่งเวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ก็มีข้อความที่ตรัสไว้อย่างเดียวกัน). นี้แล ภิกษุผู้ยิงได้ไกล. ภิกษุ ท. ! ภิกษุที่เป็นผู้ยิงได้เร็ว เป็นอย่างไรเล่า ? คือ ภิกษุในกรณีนี้ ย่อมรู้ชัดตามเป็นจริงว่า “นี้ทุกข์ นี้เหตุให้เกิดขึ้นแห่งทุกข์ นี้ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ นี้ทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์”ดังนี้. นี้แล ภิกษุผู้ยิงได้เร็ว. ภิกษุ ท. ! ภิกษุที่เป็นผู้ทำลายกองทัพใหญ่ได้ เป็นอย่างไรเล่า ? คือ ภิกษุในกรณีนี้ ย่อมทำลายกองอวิชชาใหญ่ได้. นี้แล ภิกษุผู้ทำลายกองทัพใหญ่ได้. ภิกษุ ท. ! ภิกษุประกอบด้วยธรรมสี่ประการเหล่านี้แล ย่อมเป็นอาหุเนยยบุคคล ปาหุเนยยบุคคล ทักขิเณยยบุคคล อัญชลิกรณียบุคคล เป็นนาบุญของโลกไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า.
    0 Comments 0 Shares 310 Views 0 Reviews
More Results