• อินเดียประกาศมาตรการตอบโต้ต่อปากีสถานหลังเกิดเหตุการณ์ก่อการร้ายต่อนักท่องเที่ยวชาวฮินดู จนมีผู้เสียชีวิต 26 ราย บาดเจ็บ 17 ราย โดยผู้ก่อการร้ายเชื่อมโยงกับปากีสถาน:

    1. ยกเลิกวีซ่าสำหรับชาวปากีสถานทุกคน
    2. ระงับสนธิสัญญาอินดัสวอเทอร์ ( Indus Waters Treaty 1960)
    3. ปิดจุดผ่านแดนวากาห์ (Wagah border)

    เมื่อวันอังคารที่ 22 เม.ย. เกิดเหตุกราดยิงนักท่องเที่ยวเสียชีวิต 26 ราย บาดเจ็บอีก 17 ราย ในแคว้นแคชเมียร์ ซึ่งถือเป็นเหตุโจมตีครั้งเลวร้ายที่สุดที่เกิดขึ้นกับอินเดียในรอบเกือบ 20 ปี โดยผู้เสียชีวิตเป็นชาวอินเดีย 25 คน และชาวเนปาลอีก 1 คน

    กลุ่มต่อต้านแห่งแคชเมียร์ (Kashmir Resistance) ได้ออกมาอ้างความรับผิดชอบต่อเหตุโจมตีครั้งนี้ผ่านทางโซเชียลมีเดีย โดยมีสาเหตุการโจมตีมาจากความไม่พอใจที่มีผู้คนต่างเชื้อชาติกว่า 85,000 คน อพยพเข้าไปตั้งถิ่นฐานในจัมมูและแคชเมียร์ จนทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางค่านิยมเดิยของท้องถิ่น

    หน่วยงานความมั่นคงอินเดียระบุว่ากลุ่มก่อการร้าย Kashmir Resistance เป็นกองกำลังในสังกัดขององค์กรติดอาวุธในปากีสถานอย่าง Lashkar-e-Taiba และ Hizbul Mujahideen

    ทางด้านรัฐบาลปากีสถานไม่ได้ออกมาปฏิเสธอย่างเต็มตัว โดยพวกเขาอ้างว่าถึงความสัมพันธ์กับกลุ่มก่อการร้าย มีเพียงทางกาทูตเท่านั้น ไม่ได้มีการสนับสนุนด้านอาวุธแต่อย่างใด

    สำหรับสนธิสัญญาอินดัสวอเทอร์ ปากีสถานเคยประกาศไว้ก่อนหน้านี้ว่า การยุติสนธิสัญญาอินดัสวอเทอร์ (IWT) อาจเท่ากับการประกาศสงคราม

    สนธิสัญญาฉบับนี้ มีธนาคารโลกเป็นตัวกลางในการจัดสรรน้ำจากแม่น้ำ 6 สายหลักในลุ่มแม่น้ำสินธุ

    อินเดียควบคุมแม่น้ำสายตะวันออก (Sutlej, Beas, Ravi) โดยไม่มีข้อจำกัด ในขณะที่ปากีสถานมีสิทธิ์หลักเหนือแม่น้ำสายตะวันตก (Indus, Jhelum, Chenab) แม้ว่าอินเดียจะใช้แม่น้ำเหล่านี้เพื่อวัตถุประสงค์อื่นที่ไม่ใช่การบริโภค เช่น พลังงานน้ำก็ตาม

    หากอินเดียเริ่มปิดกั้นการเข้าถึงน้ำจากแม่น้ำทั้ง 6 สาย ปากีสถานจะประสบกับวิกฤตขาดแคลนน้ำและเศรษฐกิจจะประสบปัญหาใหญ่เนื่องจากความต้องการน้ำของปากีสถาน 70% มาจากแม่น้ำเหล่านี้
    อินเดียประกาศมาตรการตอบโต้ต่อปากีสถานหลังเกิดเหตุการณ์ก่อการร้ายต่อนักท่องเที่ยวชาวฮินดู จนมีผู้เสียชีวิต 26 ราย บาดเจ็บ 17 ราย โดยผู้ก่อการร้ายเชื่อมโยงกับปากีสถาน: 1. ยกเลิกวีซ่าสำหรับชาวปากีสถานทุกคน 2. ระงับสนธิสัญญาอินดัสวอเทอร์ ( Indus Waters Treaty 1960) 3. ปิดจุดผ่านแดนวากาห์ (Wagah border) เมื่อวันอังคารที่ 22 เม.ย. เกิดเหตุกราดยิงนักท่องเที่ยวเสียชีวิต 26 ราย บาดเจ็บอีก 17 ราย ในแคว้นแคชเมียร์ ซึ่งถือเป็นเหตุโจมตีครั้งเลวร้ายที่สุดที่เกิดขึ้นกับอินเดียในรอบเกือบ 20 ปี โดยผู้เสียชีวิตเป็นชาวอินเดีย 25 คน และชาวเนปาลอีก 1 คน กลุ่มต่อต้านแห่งแคชเมียร์ (Kashmir Resistance) ได้ออกมาอ้างความรับผิดชอบต่อเหตุโจมตีครั้งนี้ผ่านทางโซเชียลมีเดีย โดยมีสาเหตุการโจมตีมาจากความไม่พอใจที่มีผู้คนต่างเชื้อชาติกว่า 85,000 คน อพยพเข้าไปตั้งถิ่นฐานในจัมมูและแคชเมียร์ จนทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางค่านิยมเดิยของท้องถิ่น หน่วยงานความมั่นคงอินเดียระบุว่ากลุ่มก่อการร้าย Kashmir Resistance เป็นกองกำลังในสังกัดขององค์กรติดอาวุธในปากีสถานอย่าง Lashkar-e-Taiba และ Hizbul Mujahideen ทางด้านรัฐบาลปากีสถานไม่ได้ออกมาปฏิเสธอย่างเต็มตัว โดยพวกเขาอ้างว่าถึงความสัมพันธ์กับกลุ่มก่อการร้าย มีเพียงทางกาทูตเท่านั้น ไม่ได้มีการสนับสนุนด้านอาวุธแต่อย่างใด สำหรับสนธิสัญญาอินดัสวอเทอร์ ปากีสถานเคยประกาศไว้ก่อนหน้านี้ว่า การยุติสนธิสัญญาอินดัสวอเทอร์ (IWT) อาจเท่ากับการประกาศสงคราม สนธิสัญญาฉบับนี้ มีธนาคารโลกเป็นตัวกลางในการจัดสรรน้ำจากแม่น้ำ 6 สายหลักในลุ่มแม่น้ำสินธุ อินเดียควบคุมแม่น้ำสายตะวันออก (Sutlej, Beas, Ravi) โดยไม่มีข้อจำกัด ในขณะที่ปากีสถานมีสิทธิ์หลักเหนือแม่น้ำสายตะวันตก (Indus, Jhelum, Chenab) แม้ว่าอินเดียจะใช้แม่น้ำเหล่านี้เพื่อวัตถุประสงค์อื่นที่ไม่ใช่การบริโภค เช่น พลังงานน้ำก็ตาม หากอินเดียเริ่มปิดกั้นการเข้าถึงน้ำจากแม่น้ำทั้ง 6 สาย ปากีสถานจะประสบกับวิกฤตขาดแคลนน้ำและเศรษฐกิจจะประสบปัญหาใหญ่เนื่องจากความต้องการน้ำของปากีสถาน 70% มาจากแม่น้ำเหล่านี้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 55 มุมมอง 0 รีวิว
  • 'แพทองธาร' หารือ 'ฮุน เซน' ร่วมมือกระชับความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา
    https://www.thai-tai.tv/news/18311/
    'แพทองธาร' หารือ 'ฮุน เซน' ร่วมมือกระชับความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา https://www.thai-tai.tv/news/18311/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 25 มุมมอง 0 รีวิว
  • มาเลย์ถกไทย ทำรถไฟแพนเอเชีย

    หลังจากการมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เพื่อการเจรจาทำงาน (Working Visit) และหารือติดตามความคืบหน้าเกี่ยวกับความร่วมมือไทย-มาเลเซีย ระหว่างวันที่ 17-18 เม.ย. ล่าสุด นายแอนโทนี่ โลค รมว.คมนาคมมาเลเซีย มีกำหนดพบกับนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คมนาคม ในวันที่ 2 พ.ค. เพื่อหารือเกี่ยวกับการสร้างโครงข่ายรถไฟสายแพนเอเชีย (PARN) และเสริมสร้างความสัมพันธ์ทวิภาคีในภาคการขนส่ง

    โดยโครงการที่กำลังอยู่ในระหว่างการหารือ ได้แก่ การก่อสร้างสะพานสุไหงโก-ลกแห่งที่ 2 ระหว่างด่าน ICQS รันเตาปันยัง รัฐกลันตัน กับด่านพรมแดนสุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส การก่อสร้างถนนเชื่อมต่อระหว่างด่าน ICQS บูกิตกายูฮีตัม รัฐเคดะห์ กับด่านพรมแดนสะเดาแห่งใหม่ จ.สงขลา ถนนเชื่อมต่อระหว่างด่านปะลิสกับจังหวัดสตูล ซึ่งรัฐบาลมุ่งมั่นในการพัฒนาทางรถไฟทั่วโลก โดยตระหนักถึงโอกาสสำคัญของทางรถไฟในแต่ละประเทศ และบทบาทในการเสริมสร้างความร่วมมือในระดับภูมิภาค

    การประชุมครั้งถัดไปจะมุ่งเน้นไปที่การเสริมสร้างความร่วมมือในภาคส่วนรถไฟระหว่างสองประเทศ ซึ่งขณะนี้จำกัดอยู่เพียงการใช้งานภายในประเทศเท่านั้น แม้จะมีความร่วมมือระหว่างการรถไฟมาลายา (KTM Berhad) กับการรถไฟแห่งประเทศไทยอยู่แล้ว แต่การยกระดับความร่วมมือนี้จะนำไปสู่ระดับรัฐบาลต่อรัฐบาล เพื่อให้การพัฒนาระบบรถไฟเชิงยุทธศาสตร์เกิดขึ้นได้ การเชื่อมโยงเครือข่ายรถไฟระหว่างมาเลเซียและไทย จะสามารถเปิดเส้นทางข้ามอาเซียนและจีนได้ นำมาซึ่งประโยชน์มหาศาลให้กับภูมิภาคอาเซียน

    มีรายงานว่า มาเลเซียกำลังเตรียมความพร้อมสำหรับโครงข่ายรถไฟสายแพนเอเชีย เพื่อกระตุ้นอุตสาหกรรมการค้าฮาลาลระหว่างมาเลเซียและจีน ระหว่างประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของจีน เยือนมาเลเซียอย่างเป็นทางการเมื่อไม่นานนี้ ยังสนับสนุนโครงข่ายรถไฟสายแพนเอเชีย โดยเน้นย้ำถึงศักยภาพในการเปิดตลาดในจีนตะวันตก โดยเฉพาะในภูมิภาคมองโกเลียใน ก่อนหน้านี้เมื่อปีที่แล้ว มาเลเซียร่วมกับไทยและพันธมิตรจากจีน เปิดตัวโครงการ Asean Express นำร่องขนส่งสินค้าทางรถไฟไปยังเมืองฉงชิ่ง มณฑลเสฉวน ประเทศจีน ผ่านประเทศไทยและลาว โดยใช้เวลาเพียง 9 วัน

    สำหรับโครงข่ายรถไฟสายแพนเอเชีย มีจุดเริ่มต้นจากนครคุนหมิง มณฑลยูนนาน ประเทศจีน แบ่งเป็น 3 สาย ได้แก่ 1. คุนหมิง–ต้าหลี่-รุ่ยลี่-ย่างกุ้ง-กรุงเทพฯ 2. คุนหมิง–ยวี่ซี-โม่หาน-เวียงจันทน์–กรุงเทพฯ 3. คุนหมิง–ยวี่ซี–เหอโขว่-ฮานอย-โฮจิมินห์-พนมเปญ-กรุงเทพฯ จากนั้นลงสู่ทางใต้ ผ่านประเทศมาเลเซีย ปลายทางประเทศสิงคโปร์

    #Newskit
    มาเลย์ถกไทย ทำรถไฟแพนเอเชีย หลังจากการมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เพื่อการเจรจาทำงาน (Working Visit) และหารือติดตามความคืบหน้าเกี่ยวกับความร่วมมือไทย-มาเลเซีย ระหว่างวันที่ 17-18 เม.ย. ล่าสุด นายแอนโทนี่ โลค รมว.คมนาคมมาเลเซีย มีกำหนดพบกับนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คมนาคม ในวันที่ 2 พ.ค. เพื่อหารือเกี่ยวกับการสร้างโครงข่ายรถไฟสายแพนเอเชีย (PARN) และเสริมสร้างความสัมพันธ์ทวิภาคีในภาคการขนส่ง โดยโครงการที่กำลังอยู่ในระหว่างการหารือ ได้แก่ การก่อสร้างสะพานสุไหงโก-ลกแห่งที่ 2 ระหว่างด่าน ICQS รันเตาปันยัง รัฐกลันตัน กับด่านพรมแดนสุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส การก่อสร้างถนนเชื่อมต่อระหว่างด่าน ICQS บูกิตกายูฮีตัม รัฐเคดะห์ กับด่านพรมแดนสะเดาแห่งใหม่ จ.สงขลา ถนนเชื่อมต่อระหว่างด่านปะลิสกับจังหวัดสตูล ซึ่งรัฐบาลมุ่งมั่นในการพัฒนาทางรถไฟทั่วโลก โดยตระหนักถึงโอกาสสำคัญของทางรถไฟในแต่ละประเทศ และบทบาทในการเสริมสร้างความร่วมมือในระดับภูมิภาค การประชุมครั้งถัดไปจะมุ่งเน้นไปที่การเสริมสร้างความร่วมมือในภาคส่วนรถไฟระหว่างสองประเทศ ซึ่งขณะนี้จำกัดอยู่เพียงการใช้งานภายในประเทศเท่านั้น แม้จะมีความร่วมมือระหว่างการรถไฟมาลายา (KTM Berhad) กับการรถไฟแห่งประเทศไทยอยู่แล้ว แต่การยกระดับความร่วมมือนี้จะนำไปสู่ระดับรัฐบาลต่อรัฐบาล เพื่อให้การพัฒนาระบบรถไฟเชิงยุทธศาสตร์เกิดขึ้นได้ การเชื่อมโยงเครือข่ายรถไฟระหว่างมาเลเซียและไทย จะสามารถเปิดเส้นทางข้ามอาเซียนและจีนได้ นำมาซึ่งประโยชน์มหาศาลให้กับภูมิภาคอาเซียน มีรายงานว่า มาเลเซียกำลังเตรียมความพร้อมสำหรับโครงข่ายรถไฟสายแพนเอเชีย เพื่อกระตุ้นอุตสาหกรรมการค้าฮาลาลระหว่างมาเลเซียและจีน ระหว่างประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของจีน เยือนมาเลเซียอย่างเป็นทางการเมื่อไม่นานนี้ ยังสนับสนุนโครงข่ายรถไฟสายแพนเอเชีย โดยเน้นย้ำถึงศักยภาพในการเปิดตลาดในจีนตะวันตก โดยเฉพาะในภูมิภาคมองโกเลียใน ก่อนหน้านี้เมื่อปีที่แล้ว มาเลเซียร่วมกับไทยและพันธมิตรจากจีน เปิดตัวโครงการ Asean Express นำร่องขนส่งสินค้าทางรถไฟไปยังเมืองฉงชิ่ง มณฑลเสฉวน ประเทศจีน ผ่านประเทศไทยและลาว โดยใช้เวลาเพียง 9 วัน สำหรับโครงข่ายรถไฟสายแพนเอเชีย มีจุดเริ่มต้นจากนครคุนหมิง มณฑลยูนนาน ประเทศจีน แบ่งเป็น 3 สาย ได้แก่ 1. คุนหมิง–ต้าหลี่-รุ่ยลี่-ย่างกุ้ง-กรุงเทพฯ 2. คุนหมิง–ยวี่ซี-โม่หาน-เวียงจันทน์–กรุงเทพฯ 3. คุนหมิง–ยวี่ซี–เหอโขว่-ฮานอย-โฮจิมินห์-พนมเปญ-กรุงเทพฯ จากนั้นลงสู่ทางใต้ ผ่านประเทศมาเลเซีย ปลายทางประเทศสิงคโปร์ #Newskit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 117 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทุกการพบคือ... การเตรียมจากลา ใช้ช่วงเวลานี้ ให้ดีที่สุด! คุ้มค่าจริงหรือ? ที่จะเก็บความโกรธไว้ จนไม่ได้เจอกันอีกเลย

    เมื่อวันพรุ่งนี้อาจไม่มีอีกแล้ว... รักให้มากที่สุด ก่อนที่จะสายเกินไป อย่าปล่อยให้ความโกรธพรากคนที่คุณรัก ใช้เวลานี้ให้ดีที่สุด เพราะทุกการพบคือการเตรียมจากลา

    จะพาทบทวนความสัมพันธ์ ความเปราะบางของชีวิต และเหตุผลที่เราควรใช้ช่วงเวลาทุกวินาทีให้คุ้มค่า เพราะเราไม่มีวันรู้เลยว่า วันพรุ่งนี้จะมีให้กับทุกคนอีกหรือไม่

    🌿 ชีวิตคือ “ของขวัญชั่วคราว” ที่ไม่มีใครบอกได้ว่า วันหมดอายุคือเมื่อไหร่ เคยไหม... อยู่กับใครสักคนทุกวัน จนหลงลืมว่า เขาอาจไม่อยู่กับเราตลอดไป?

    เราอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วย “ความไม่แน่นอน” และ “การสูญเสีย” แม้จะรู้ดีว่าความตาย เป็นปลายทางของทุกชีวิต แต่หลายคนก็ยังใช้ชีวิตราวกับว่า มีเวลามากมายไม่รู้จบ ทั้งที่จริง... เราไม่มีใครรู้เลยว่า “วันนี้” อาจเป็น “วันสุดท้าย” ที่เราจะได้เห็นรอยยิ้มของใครบางคน

    การเข้าใจความไม่แน่นอนของชีวิต ไม่ได้ทำให้เราต้องใช้ชีวิตอย่างเศร้าสร้อย แต่กลับเป็นแรงผลักดันให้เรา “เห็นคุณค่า” ของแต่ละวินาทีที่ยังมีอยู่ ใช้โอกาสนี้ให้ดีที่สุดก่อนที่จะ “สายเกินไป”

    ความหมายของคำว่า “ทุกการพบคือการเตรียมจากลา” คำพูดที่ดูเรียบง่ายนี้ กลับเต็มไปด้วยความจริงที่ลึกซึ้ง

    เราเกิดมาเพื่อ “พบเจอ” และ “จากลา” เป็นวัฏจักรของชีวิต ที่ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้ แม้เราจะหลีกเลี่ยงการพูดถึงมัน แต่ความตายก็ยังอยู่ตรงนั้น รอวันเวลาที่มาถึง

    📌 “เราต่างพบกันชั่วคราว เพื่อจากกันตลอดกาลเท่านั้นเอง”

    ประโยคนี้อาจทำให้ใครหลายคนรู้สึกใจหาย แต่มันคือ “ความจริง” ที่ควรเตือนใจเราทุกวัน ว่า... อย่าประมาทกับเวลา อย่าผัดวันประกันพรุ่งในการรัก การให้อภัย หรือการดูแลกัน และอย่าปล่อยให้ความโกรธ กลายเป็นสิ่งสุดท้ายที่เราทิ้งไว้ให้กัน

    เพราะ “ความตาย” ไม่รอใคร... 🖤 บางคนเพิ่งกอดกันเมื่อวาน วันนี้อาจเหลือแค่ความว่างเปล่า...

    มนุษย์เรามีแนวโน้ม จะมองข้ามความเปราะบางของชีวิต เราใช้ชีวิตเหมือนมีพรุ่งนี้เสมอ ทั้งที่พรุ่งนี้อาจไม่มีจริง สำหรับบางคน

    ลองคิดดูสิ... ถ้าคืนนี้เป็นคืนสุดท้าย คุณจะยังโกรธใครอยู่ไหม? ถ้าคนที่คุณรักกำลังจะจากไป คุณจะยังเลือกความเงียบมากกว่าการสื่อสารไหม? ถ้าพรุ่งนี้เขาไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว คุณจะเสียใจแค่ไหน ที่ไม่ได้บอกรักเขาอีกสักครั้ง?

    💡 “การตาย” อาจเกิดขึ้นทันที โดยไม่ให้เวลาเตรียมใจแม้แต่นาทีเดียว

    คุ้มค่าจริงหรือ? ที่จะเก็บความโกรธไว้... จนไม่ได้เจอกันอีกเลย โกรธ... คืออารมณ์ที่มนุษย์ทุกคนมี แต่การเก็บความโกรธไว้นาน ๆ โดยไม่หาทางปลดปล่อยมัน อาจกลายเป็นบาดแผลในความสัมพันธ์ ที่ไม่มีวันรักษาได้

    🔥 คนเราทะเลาะกันได้ ผิดใจกันได้ แต่ควรรีบเคลียร์ เพราะเราไม่มีทางรู้เลยว่า “โอกาสหน้า” จะยังมีอยู่หรือเปล่า

    “ความโกรธไม่ใช่ปัญหา... แต่การไม่จัดการความโกรธต่างหาก ที่เป็นปัญหา” ทุกความโกรธ ทุกความเข้าใจผิด ควรถูกแก้ไขในวันที่ยังมีโอกาส ไม่ใช่ในวันงานศพ ที่ไม่สามารถพูดอะไรได้อีกแล้ว

    ใช้เวลานี้ให้ดีที่สุด รักให้มากที่สุด เท่าที่เวลาจะมีให้ ⏳ เวลาคือทรัพยากรที่ใช้แล้ว ไม่สามารถเรียกคืนได้ แทนที่จะมัวเสียเวลาไปกับความคาดหวัง การเปรียบเทียบ หรือความขุ่นเคืองใจ ลองหันกลับมาใช้ “เวลาที่เหลืออยู่” เพื่อทำสิ่งเหล่านี้...

    บอกรักให้บ่อยขึ้น กอดกันให้แน่นขึ้น ให้อภัยเร็วขึ้น ฟังกันมากขึ้น ใส่ใจกันมากกว่าก่อน เพราะสุดท้ายแล้ว... ไม่มีใครเสียใจที่รักมากเกินไป แต่ทุกคนเสียใจที่ “ไม่ได้รักให้มากพอ”

    เมื่อวันพรุ่งนี้ไม่มีอีกแล้ว... 🎗️ โลกนี้ไม่เคยเตรียมเราให้พร้อมกับการจากลา ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ คนรัก เพื่อนสนิท หรือแม้กระทั่งสัตว์เลี้ยง ทุกคนล้วนมีวันจากไป บางคนอาจจากกันด้วยเหตุผล บางคนจากกันด้วยความตาย และบางคนจากไป... โดยไม่มีแม้แต่คำลา

    และเมื่อวันนั้นมาถึง... ไม่มีเวลาแก้ตัว ไม่มีเวลาอธิบาย ไม่มีเวลาขอโทษ ไม่มีเวลาเริ่มต้นใหม่ จะดีกว่าไหม ถ้าทำทุกวันให้ดีที่สุด... เหมือนมันคือวันสุดท้าย

    อย่าทำร้ายกันด้วยความเงียบ 💬 การไม่พูด การไม่อธิบาย การไม่บอกความรู้สึก คือสิ่งที่ทำร้ายจิตใจ ได้มากกว่าคำพูดรุนแรงเสียอีก

    ในช่วงเวลาที่มีจำกัด คำพูดง่าย ๆ อย่าง “ขอโทษ” “คิดถึง” หรือ “รักนะ” อาจเป็นสิ่งที่เปลี่ยนใจใครบางคนได้ และอาจเป็นคำสุดท้ายที่เขาได้ยินจากเรา

    ถ้าเป็นวันนี้... คุณยังอยากโกรธอยู่ไหม? ลองถามตัวเอง... ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของเรา... เรายังอยากถือโทษใครอยู่ไหม? ถ้าคำตอบคือ “ไม่” แปลว่า... ความโกรธนั้น ไม่สำคัญพอจะเก็บมันไว้ตั้งแต่แรก

    ชีวิตสั้นเกินกว่าจะเก็บความรู้สึกดี ๆ ไว้ 🌼 ทุกการพบคือการเตรียมจากลา ใช้ช่วงเวลาที่มีให้คุ้มค่า ใช้ใจในการรัก ใช้เวลาในการฟัง ใช้โอกาสในการให้อภัย ใช้คำพูดในการสร้างความเข้าใจ

    โลกใบนี้ไม่แน่นอน แต่การกระทำของเราวันนี้สามารถ “เปลี่ยนแปลงความทรงจำของใครสักคนตลอดไป”

    ทุกลมหายใจ คือของขวัญ 🕊️ อย่ารอให้สายเกินไป ก่อนจะพูดว่า... "ฉันรักเธอ"

    เราควรให้อภัยคนที่ทำร้ายเรา? เพราะการให้อภัย คือการปลดปล่อยตัวเอง ไม่ใช่เพื่อตัวเขา แต่เพื่อตัวเรา ที่จะได้ก้าวต่อไปอย่างสงบ

    หากคุณยังรู้สึกผิด หรือยังคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้น แปลว่า... ยังไม่สายเกินไปที่จะพูดคำขอโท

    คำว่า “ชั่วคราว” มีพลังมาก เพราะมันเตือนให้เรารู้ว่า ไม่มีสิ่งใดยั่งยืน ทุกอย่างเกิดขึ้นแล้วก็ผ่านไป

    เราจะหยุดโกรธคนที่เรารัก หากนึกถึงช่วงเวลาที่ดี นึกถึงวันหนึ่งที่เขาอาจไม่อยู่ แล้วคุณจะรู้ว่าความโกรธไม่คุ้มค่า

    ความรักจะช่วยเยียวยาความเสียใจได้ เพราะความรักคือการเข้าใจ ให้อภัย และเป็นพลังงานที่อยู่เหนือความเศร้า

    เริ่มใช้ชีวิตให้คุ้มค่าจากวันนี้ ลองโทรหาคนที่คุณคิดถึง พูดในสิ่งที่อยากพูด ทำในสิ่งที่อยากทำ ก่อนจะไม่มีโอกาสอีก

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 222155 เม.ย. 2568

    #ใช้เวลานี้ให้ดีที่สุด #อย่าปล่อยให้สายเกินไป #รักให้เต็มที่ #คำขอโทษสุดท้าย #ความตายคือปลายทาง #ความรักและการให้อภัย #ความทรงจำดีๆ #ชีวิตสั้นนัก #พบเพื่อจาก #เราต่างพบกันชั่วคราว
    ทุกการพบคือ... การเตรียมจากลา ใช้ช่วงเวลานี้ ให้ดีที่สุด! คุ้มค่าจริงหรือ? ที่จะเก็บความโกรธไว้ จนไม่ได้เจอกันอีกเลย เมื่อวันพรุ่งนี้อาจไม่มีอีกแล้ว... รักให้มากที่สุด ก่อนที่จะสายเกินไป อย่าปล่อยให้ความโกรธพรากคนที่คุณรัก ใช้เวลานี้ให้ดีที่สุด เพราะทุกการพบคือการเตรียมจากลา จะพาทบทวนความสัมพันธ์ ความเปราะบางของชีวิต และเหตุผลที่เราควรใช้ช่วงเวลาทุกวินาทีให้คุ้มค่า เพราะเราไม่มีวันรู้เลยว่า วันพรุ่งนี้จะมีให้กับทุกคนอีกหรือไม่ 🌿 ชีวิตคือ “ของขวัญชั่วคราว” ที่ไม่มีใครบอกได้ว่า วันหมดอายุคือเมื่อไหร่ เคยไหม... อยู่กับใครสักคนทุกวัน จนหลงลืมว่า เขาอาจไม่อยู่กับเราตลอดไป? เราอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วย “ความไม่แน่นอน” และ “การสูญเสีย” แม้จะรู้ดีว่าความตาย เป็นปลายทางของทุกชีวิต แต่หลายคนก็ยังใช้ชีวิตราวกับว่า มีเวลามากมายไม่รู้จบ ทั้งที่จริง... เราไม่มีใครรู้เลยว่า “วันนี้” อาจเป็น “วันสุดท้าย” ที่เราจะได้เห็นรอยยิ้มของใครบางคน การเข้าใจความไม่แน่นอนของชีวิต ไม่ได้ทำให้เราต้องใช้ชีวิตอย่างเศร้าสร้อย แต่กลับเป็นแรงผลักดันให้เรา “เห็นคุณค่า” ของแต่ละวินาทีที่ยังมีอยู่ ใช้โอกาสนี้ให้ดีที่สุดก่อนที่จะ “สายเกินไป” ความหมายของคำว่า “ทุกการพบคือการเตรียมจากลา” คำพูดที่ดูเรียบง่ายนี้ กลับเต็มไปด้วยความจริงที่ลึกซึ้ง เราเกิดมาเพื่อ “พบเจอ” และ “จากลา” เป็นวัฏจักรของชีวิต ที่ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้ แม้เราจะหลีกเลี่ยงการพูดถึงมัน แต่ความตายก็ยังอยู่ตรงนั้น รอวันเวลาที่มาถึง 📌 “เราต่างพบกันชั่วคราว เพื่อจากกันตลอดกาลเท่านั้นเอง” ประโยคนี้อาจทำให้ใครหลายคนรู้สึกใจหาย แต่มันคือ “ความจริง” ที่ควรเตือนใจเราทุกวัน ว่า... อย่าประมาทกับเวลา อย่าผัดวันประกันพรุ่งในการรัก การให้อภัย หรือการดูแลกัน และอย่าปล่อยให้ความโกรธ กลายเป็นสิ่งสุดท้ายที่เราทิ้งไว้ให้กัน เพราะ “ความตาย” ไม่รอใคร... 🖤 บางคนเพิ่งกอดกันเมื่อวาน วันนี้อาจเหลือแค่ความว่างเปล่า... มนุษย์เรามีแนวโน้ม จะมองข้ามความเปราะบางของชีวิต เราใช้ชีวิตเหมือนมีพรุ่งนี้เสมอ ทั้งที่พรุ่งนี้อาจไม่มีจริง สำหรับบางคน ลองคิดดูสิ... ถ้าคืนนี้เป็นคืนสุดท้าย คุณจะยังโกรธใครอยู่ไหม? ถ้าคนที่คุณรักกำลังจะจากไป คุณจะยังเลือกความเงียบมากกว่าการสื่อสารไหม? ถ้าพรุ่งนี้เขาไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว คุณจะเสียใจแค่ไหน ที่ไม่ได้บอกรักเขาอีกสักครั้ง? 💡 “การตาย” อาจเกิดขึ้นทันที โดยไม่ให้เวลาเตรียมใจแม้แต่นาทีเดียว คุ้มค่าจริงหรือ? ที่จะเก็บความโกรธไว้... จนไม่ได้เจอกันอีกเลย โกรธ... คืออารมณ์ที่มนุษย์ทุกคนมี แต่การเก็บความโกรธไว้นาน ๆ โดยไม่หาทางปลดปล่อยมัน อาจกลายเป็นบาดแผลในความสัมพันธ์ ที่ไม่มีวันรักษาได้ 🔥 คนเราทะเลาะกันได้ ผิดใจกันได้ แต่ควรรีบเคลียร์ เพราะเราไม่มีทางรู้เลยว่า “โอกาสหน้า” จะยังมีอยู่หรือเปล่า “ความโกรธไม่ใช่ปัญหา... แต่การไม่จัดการความโกรธต่างหาก ที่เป็นปัญหา” ทุกความโกรธ ทุกความเข้าใจผิด ควรถูกแก้ไขในวันที่ยังมีโอกาส ไม่ใช่ในวันงานศพ ที่ไม่สามารถพูดอะไรได้อีกแล้ว ใช้เวลานี้ให้ดีที่สุด รักให้มากที่สุด เท่าที่เวลาจะมีให้ ⏳ เวลาคือทรัพยากรที่ใช้แล้ว ไม่สามารถเรียกคืนได้ แทนที่จะมัวเสียเวลาไปกับความคาดหวัง การเปรียบเทียบ หรือความขุ่นเคืองใจ ลองหันกลับมาใช้ “เวลาที่เหลืออยู่” เพื่อทำสิ่งเหล่านี้... บอกรักให้บ่อยขึ้น กอดกันให้แน่นขึ้น ให้อภัยเร็วขึ้น ฟังกันมากขึ้น ใส่ใจกันมากกว่าก่อน เพราะสุดท้ายแล้ว... ไม่มีใครเสียใจที่รักมากเกินไป แต่ทุกคนเสียใจที่ “ไม่ได้รักให้มากพอ” เมื่อวันพรุ่งนี้ไม่มีอีกแล้ว... 🎗️ โลกนี้ไม่เคยเตรียมเราให้พร้อมกับการจากลา ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ คนรัก เพื่อนสนิท หรือแม้กระทั่งสัตว์เลี้ยง ทุกคนล้วนมีวันจากไป บางคนอาจจากกันด้วยเหตุผล บางคนจากกันด้วยความตาย และบางคนจากไป... โดยไม่มีแม้แต่คำลา และเมื่อวันนั้นมาถึง... ไม่มีเวลาแก้ตัว ไม่มีเวลาอธิบาย ไม่มีเวลาขอโทษ ไม่มีเวลาเริ่มต้นใหม่ จะดีกว่าไหม ถ้าทำทุกวันให้ดีที่สุด... เหมือนมันคือวันสุดท้าย อย่าทำร้ายกันด้วยความเงียบ 💬 การไม่พูด การไม่อธิบาย การไม่บอกความรู้สึก คือสิ่งที่ทำร้ายจิตใจ ได้มากกว่าคำพูดรุนแรงเสียอีก ในช่วงเวลาที่มีจำกัด คำพูดง่าย ๆ อย่าง “ขอโทษ” “คิดถึง” หรือ “รักนะ” อาจเป็นสิ่งที่เปลี่ยนใจใครบางคนได้ และอาจเป็นคำสุดท้ายที่เขาได้ยินจากเรา ถ้าเป็นวันนี้... คุณยังอยากโกรธอยู่ไหม? ลองถามตัวเอง... ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของเรา... เรายังอยากถือโทษใครอยู่ไหม? ถ้าคำตอบคือ “ไม่” แปลว่า... ความโกรธนั้น ไม่สำคัญพอจะเก็บมันไว้ตั้งแต่แรก ชีวิตสั้นเกินกว่าจะเก็บความรู้สึกดี ๆ ไว้ 🌼 ทุกการพบคือการเตรียมจากลา ใช้ช่วงเวลาที่มีให้คุ้มค่า ใช้ใจในการรัก ใช้เวลาในการฟัง ใช้โอกาสในการให้อภัย ใช้คำพูดในการสร้างความเข้าใจ โลกใบนี้ไม่แน่นอน แต่การกระทำของเราวันนี้สามารถ “เปลี่ยนแปลงความทรงจำของใครสักคนตลอดไป” ทุกลมหายใจ คือของขวัญ 🕊️ อย่ารอให้สายเกินไป ก่อนจะพูดว่า... "ฉันรักเธอ" เราควรให้อภัยคนที่ทำร้ายเรา? เพราะการให้อภัย คือการปลดปล่อยตัวเอง ไม่ใช่เพื่อตัวเขา แต่เพื่อตัวเรา ที่จะได้ก้าวต่อไปอย่างสงบ หากคุณยังรู้สึกผิด หรือยังคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้น แปลว่า... ยังไม่สายเกินไปที่จะพูดคำขอโท คำว่า “ชั่วคราว” มีพลังมาก เพราะมันเตือนให้เรารู้ว่า ไม่มีสิ่งใดยั่งยืน ทุกอย่างเกิดขึ้นแล้วก็ผ่านไป เราจะหยุดโกรธคนที่เรารัก หากนึกถึงช่วงเวลาที่ดี นึกถึงวันหนึ่งที่เขาอาจไม่อยู่ แล้วคุณจะรู้ว่าความโกรธไม่คุ้มค่า ความรักจะช่วยเยียวยาความเสียใจได้ เพราะความรักคือการเข้าใจ ให้อภัย และเป็นพลังงานที่อยู่เหนือความเศร้า เริ่มใช้ชีวิตให้คุ้มค่าจากวันนี้ ลองโทรหาคนที่คุณคิดถึง พูดในสิ่งที่อยากพูด ทำในสิ่งที่อยากทำ ก่อนจะไม่มีโอกาสอีก ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 222155 เม.ย. 2568 #ใช้เวลานี้ให้ดีที่สุด #อย่าปล่อยให้สายเกินไป #รักให้เต็มที่ #คำขอโทษสุดท้าย #ความตายคือปลายทาง #ความรักและการให้อภัย #ความทรงจำดีๆ #ชีวิตสั้นนัก #พบเพื่อจาก #เราต่างพบกันชั่วคราว
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 119 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..อเมริกาว่ามหาอำนาจโลก ยังควบคุมได้กว่า40ปี ต่อจากปอนด์อังกฤษ พะสาประเทศไทย ทำไมจะควบคุมไม่ได้ ยึดครองแหลกเช่นบ่อน้ำมัน บ่อทองคำไทยเราก็ว่า,
    ..คนไทยต้องตื่นรับรู้และตั้งรับเชิงรุกร่วมกันสามัคคีกันในแนวนี้ทั่วไทยอย่างรวดเร็วจริงๆในปัจจุบันยิ่งชัดเจนมาก มันแทรกแซงหนักมาก ทั้งมาในร่างประชาธิปไตยบังหน้าหรือเผด็จการคอมมิวนิสต์ซึ่งสุดท้ายอีลิทแรปทีเลียนนี้ออกแบบหมากปกครองเองทั้งหมดในการสร้างความต่างให้แตกแยก&โกลาหลในสิ่งที่ไม่เหมือนกันหรือจะเหมือนกันก็ง่าย เพราะมันควบคุมมันเล่นทั้งสองฝ่าย.

    ..😔 สัมภาษณ์ครั้งสุดท้าย ของอดีตสมาชิกสภา แลรี่ แมคโดนัลด์ (Larry McDonald) ซึ่งแฉ New World Order ก่อนเสียชีวิตจากเครื่องบินตก ☠😱 (โดนยิง) โดยบอกว่ามีกลุ่มชนชั้นสูงสุดในอเมริกาที่ให้เงินสนับสนุนระบบคอมมิวนิสต์แบบลับๆ เพราะพวกเขาต้องการทำลายอำนาจอธิปไตยอย่างช้าๆ เพื่อต้องการจัดตั้งรัฐบาลโลก รัฐบาลเดียวคุมทั้งโลก 🌎😈 หรือที่รู้จักกันในชื่อ New World Order (การจัดระเบียบโลกใหม่) กลุ่มพวกนี้คือ Council of Foreign Relations (CFR) หรือสภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ, กลุ่มรอคเคเฟลเลอร์

    โดยมีผู้ขับเคลื่อนหลักๆ เช่น ผู้อำนวยการของซีไอเอ (CIA) รมต.กระทรวงการต่างประเทศอเมริกา อีกทั้งหน่วยงานไอเอ็มเอฟ (ซึ่งเคยปล่อยกู้ให้ประเทศไทย) ก็ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อการทำลายอธิปไตย และเพื่อการโยกย้ายถ่ายเททรัพย์สิน/ความร่ำรวย (เช่น ทำให้เศรษฐกิจประเทศไทยล่มสลาย แล้วมาปล่อยกู้ หรือเข้ามาฮุบทรัพย์สินต่างๆ เมื่อธุรกิจในประเทศเจ๊ง)
    ..อเมริกาว่ามหาอำนาจโลก ยังควบคุมได้กว่า40ปี ต่อจากปอนด์อังกฤษ พะสาประเทศไทย ทำไมจะควบคุมไม่ได้ ยึดครองแหลกเช่นบ่อน้ำมัน บ่อทองคำไทยเราก็ว่า, ..คนไทยต้องตื่นรับรู้และตั้งรับเชิงรุกร่วมกันสามัคคีกันในแนวนี้ทั่วไทยอย่างรวดเร็วจริงๆในปัจจุบันยิ่งชัดเจนมาก มันแทรกแซงหนักมาก ทั้งมาในร่างประชาธิปไตยบังหน้าหรือเผด็จการคอมมิวนิสต์ซึ่งสุดท้ายอีลิทแรปทีเลียนนี้ออกแบบหมากปกครองเองทั้งหมดในการสร้างความต่างให้แตกแยก&โกลาหลในสิ่งที่ไม่เหมือนกันหรือจะเหมือนกันก็ง่าย เพราะมันควบคุมมันเล่นทั้งสองฝ่าย. ..😔 สัมภาษณ์ครั้งสุดท้าย ของอดีตสมาชิกสภา แลรี่ แมคโดนัลด์ (Larry McDonald) ซึ่งแฉ New World Order ก่อนเสียชีวิตจากเครื่องบินตก ☠😱 (โดนยิง) โดยบอกว่ามีกลุ่มชนชั้นสูงสุดในอเมริกาที่ให้เงินสนับสนุนระบบคอมมิวนิสต์แบบลับๆ เพราะพวกเขาต้องการทำลายอำนาจอธิปไตยอย่างช้าๆ เพื่อต้องการจัดตั้งรัฐบาลโลก รัฐบาลเดียวคุมทั้งโลก 🌎😈 หรือที่รู้จักกันในชื่อ New World Order (การจัดระเบียบโลกใหม่) กลุ่มพวกนี้คือ Council of Foreign Relations (CFR) หรือสภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ, กลุ่มรอคเคเฟลเลอร์ โดยมีผู้ขับเคลื่อนหลักๆ เช่น ผู้อำนวยการของซีไอเอ (CIA) รมต.กระทรวงการต่างประเทศอเมริกา อีกทั้งหน่วยงานไอเอ็มเอฟ (ซึ่งเคยปล่อยกู้ให้ประเทศไทย) ก็ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อการทำลายอธิปไตย และเพื่อการโยกย้ายถ่ายเททรัพย์สิน/ความร่ำรวย (เช่น ทำให้เศรษฐกิจประเทศไทยล่มสลาย แล้วมาปล่อยกู้ หรือเข้ามาฮุบทรัพย์สินต่างๆ เมื่อธุรกิจในประเทศเจ๊ง)
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 150 มุมมอง 1 0 รีวิว
  • "สำคัญยังงั้นเลย!?!"

    คิต แชมเบอร์ส คอมลัมนิสต์รับเชิญ พี่ชายดร.พอล เผยแพร่บทความลงใน เว็บไซต์ oklahoman ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์รายวันที่ใหญ่ที่สุดในโอคลาโฮมาของสหรัฐ และเป็นรายใหญ่อันดับที่ 59 ของประเทศ ระบุว่า จากกรณีรัฐบาลสหรัฐ มีแผนหารือเรื่องภาษีนำเข้ากับทีมเจรจาประเทศไทย เมื่อวันที่ 21 เมษายนที่ผ่านมา มีประเด็นหนึ่งที่สำคัญไม่ควรมองข้าม ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับภาษีนำเข้า แต่คือความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐ

    พอล แชมเบอร์ส น้องชายของฉัน ถูกคุมขังในประเทศไทยอย่างไม่ชอบธรรม ในฐานะพลเมืองอเมริกัน และชาวโอคลาโฮมา (Oklahoma) หากพูดถึงเรื่องภาษี เราจะไม่สามารถเริ่มพูดคุยได้เลย จนกว่าปัญหาที่เกิดขึ้นยังไม่ได้รับการแก้ไข และเป็นเรื่องที่พูดคุยได้อย่างง่าย คือการให้น้องชายของฉัน พอล แชมเบอร์ กลับบ้านที่โอคลาโฮมา หรือจะดั้นด้นเผชิญหน้ากับภาษีนำเข้าที่สูงลิ่ว

    https://www.facebook.com/share/p/1AF8jH51Y7/
    "สำคัญยังงั้นเลย!?!" คิต แชมเบอร์ส คอมลัมนิสต์รับเชิญ พี่ชายดร.พอล เผยแพร่บทความลงใน เว็บไซต์ oklahoman ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์รายวันที่ใหญ่ที่สุดในโอคลาโฮมาของสหรัฐ และเป็นรายใหญ่อันดับที่ 59 ของประเทศ ระบุว่า จากกรณีรัฐบาลสหรัฐ มีแผนหารือเรื่องภาษีนำเข้ากับทีมเจรจาประเทศไทย เมื่อวันที่ 21 เมษายนที่ผ่านมา มีประเด็นหนึ่งที่สำคัญไม่ควรมองข้าม ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับภาษีนำเข้า แต่คือความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐ พอล แชมเบอร์ส น้องชายของฉัน ถูกคุมขังในประเทศไทยอย่างไม่ชอบธรรม ในฐานะพลเมืองอเมริกัน และชาวโอคลาโฮมา (Oklahoma) หากพูดถึงเรื่องภาษี เราจะไม่สามารถเริ่มพูดคุยได้เลย จนกว่าปัญหาที่เกิดขึ้นยังไม่ได้รับการแก้ไข และเป็นเรื่องที่พูดคุยได้อย่างง่าย คือการให้น้องชายของฉัน พอล แชมเบอร์ กลับบ้านที่โอคลาโฮมา หรือจะดั้นด้นเผชิญหน้ากับภาษีนำเข้าที่สูงลิ่ว https://www.facebook.com/share/p/1AF8jH51Y7/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 144 มุมมอง 0 รีวิว
  • สลามเมืองไทย EP16 | วันอีฎิลฟิตริ สิ้นสุดการถือศีลอดเดือนรอมฎอน

    "อีฎิลฟิตริ วันแห่งความสุข ความสามัคคี และการขอบคุณพระเจ้า"

    วันอีฎิลฟิตริ (Eid al-Fitr) เป็นวันสำคัญทางศาสนาอิสลามที่เกิดขึ้นทันทีหลังจากสิ้นสุดเดือนรอมฎอน เป็นวันเฉลิมฉลองหลังจากการถือศีลอดตลอดทั้งเดือน มุสลิมทั่วโลกจะร่วมละหมาดอีฎิ รับประทานอาหารร่วมกัน และแบ่งปันความสุขกับครอบครัว ชุมชน รวมถึงผู้ยากไร้

    "จากการอดทนสู่การเฉลิมฉลอง"
    วันอีฎิลฟิตริไม่ได้เป็นเพียงวันหยุด แต่เป็น การเฉลิมฉลองจิตใจที่บริสุทธิ์ และความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับพระเจ้าและผู้อื่น พร้อมการให้อภัย แสดงความรัก และการคืนดีกันในสังคม

    EP นี้ พาไปรู้จักกับบรรยากาศของวันอีฎิในชุมชนมุสลิมไทย พร้อมเรื่องราวของการเตรียมตัว ตักบาตรซะกาต ฟังคุตบะฮ์ และการรวมพลังแห่งความศรัทธาในวันสุดพิเศษนี้

    #สลามเมืองไทย #EP16 #วันอีฎิลฟิตริ #EidAlFitr #สิ้นสุดรอมฎอน #MuslimCelebration #IslamicFaith #ละหมาดอีฎิ #ศรัทธาและสามัคคี #ThaiMuslim #ThaiTimes
    สลามเมืองไทย EP16 | วันอีฎิลฟิตริ สิ้นสุดการถือศีลอดเดือนรอมฎอน "อีฎิลฟิตริ วันแห่งความสุข ความสามัคคี และการขอบคุณพระเจ้า" วันอีฎิลฟิตริ (Eid al-Fitr) เป็นวันสำคัญทางศาสนาอิสลามที่เกิดขึ้นทันทีหลังจากสิ้นสุดเดือนรอมฎอน เป็นวันเฉลิมฉลองหลังจากการถือศีลอดตลอดทั้งเดือน มุสลิมทั่วโลกจะร่วมละหมาดอีฎิ รับประทานอาหารร่วมกัน และแบ่งปันความสุขกับครอบครัว ชุมชน รวมถึงผู้ยากไร้ "จากการอดทนสู่การเฉลิมฉลอง" วันอีฎิลฟิตริไม่ได้เป็นเพียงวันหยุด แต่เป็น การเฉลิมฉลองจิตใจที่บริสุทธิ์ และความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับพระเจ้าและผู้อื่น พร้อมการให้อภัย แสดงความรัก และการคืนดีกันในสังคม EP นี้ พาไปรู้จักกับบรรยากาศของวันอีฎิในชุมชนมุสลิมไทย พร้อมเรื่องราวของการเตรียมตัว ตักบาตรซะกาต ฟังคุตบะฮ์ และการรวมพลังแห่งความศรัทธาในวันสุดพิเศษนี้ #สลามเมืองไทย #EP16 #วันอีฎิลฟิตริ #EidAlFitr #สิ้นสุดรอมฎอน #MuslimCelebration #IslamicFaith #ละหมาดอีฎิ #ศรัทธาและสามัคคี #ThaiMuslim #ThaiTimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 177 มุมมอง 2 0 รีวิว
  • ก็ปกตินะ...
    .
    คิดว่า ทรัมป์ จะไม่ขอเหรอ...???
    ....
    ....
    - ขอให้ ลดภาษี สินค้าอเมริกา
    - ขอให้ ซื้อของ อเมริกา จน อเมริกา ไม่ขาดดุล
    - ขอให้ เอกชนที่มีศักยภาพ เอาเงินมาลงทุนที่ อเมริกา
    - ขอที่ตั้ง ขอความสะดวก ขอแทรกแซงบางประการ ทางยุทธศาสตร์ ที่เกี่ยวกับ ภูมิรัฐศาสตร์
    - ขอให้ลดการค้าขายกับ จีน
    - ขอให้ลดความสัมพันธ์บางประการกับ จีน
    ....
    ....
    ทรัมป์ เขามีแค่มี คาแรกเตอร์ เป็น "ทรัมป์บ้า"
    .
    แต่เขาไม่ได้โง่หรอกครับ เขาต้องขออยู่แล้ว...
    .
    ที่นี้ จีน เอง ก็ต้องปกป้องตัวเอง ถ้าประเทศไหนรับใช้ อเมริกา มาทำร้ายเขา...
    .
    จีน เขาก็ต้องฟาดคืน ทีนี้ ไทยเราจะทำยังไง...???
    .
    เทพเซียนตีกัน คนธรรมดาก็พลอยโดนลูกหลงไปด้วย...
    .
    มี 2 วิธีให้เลือกครับ
    .
    1.ไม่ต้องไปเจรจากับทรัมป์ เพราะเรารับปากเขาไม่ได้ทุกเรื่องอยู่แล้ว ไม่ขอทำร้ายใคร พยายามเป็นกลางต่อไป สินไหนอเมริกากดเรา ก็ไปเจรจากับ จีน...
    .
    2.เลือกข้างไปเลย ถ้าไม่เลือกข้าง ฝั่งอรุณเบิกฟ้า ก็เลือกฝั่ง ตะวันตกดิน แค่นั้นแหล่ะครับ...
    ก็ปกตินะ... . คิดว่า ทรัมป์ จะไม่ขอเหรอ...??? .... .... - ขอให้ ลดภาษี สินค้าอเมริกา - ขอให้ ซื้อของ อเมริกา จน อเมริกา ไม่ขาดดุล - ขอให้ เอกชนที่มีศักยภาพ เอาเงินมาลงทุนที่ อเมริกา - ขอที่ตั้ง ขอความสะดวก ขอแทรกแซงบางประการ ทางยุทธศาสตร์ ที่เกี่ยวกับ ภูมิรัฐศาสตร์ - ขอให้ลดการค้าขายกับ จีน - ขอให้ลดความสัมพันธ์บางประการกับ จีน .... .... ทรัมป์ เขามีแค่มี คาแรกเตอร์ เป็น "ทรัมป์บ้า" . แต่เขาไม่ได้โง่หรอกครับ เขาต้องขออยู่แล้ว... . ที่นี้ จีน เอง ก็ต้องปกป้องตัวเอง ถ้าประเทศไหนรับใช้ อเมริกา มาทำร้ายเขา... . จีน เขาก็ต้องฟาดคืน ทีนี้ ไทยเราจะทำยังไง...??? . เทพเซียนตีกัน คนธรรมดาก็พลอยโดนลูกหลงไปด้วย... . มี 2 วิธีให้เลือกครับ . 1.ไม่ต้องไปเจรจากับทรัมป์ เพราะเรารับปากเขาไม่ได้ทุกเรื่องอยู่แล้ว ไม่ขอทำร้ายใคร พยายามเป็นกลางต่อไป สินไหนอเมริกากดเรา ก็ไปเจรจากับ จีน... . 2.เลือกข้างไปเลย ถ้าไม่เลือกข้าง ฝั่งอรุณเบิกฟ้า ก็เลือกฝั่ง ตะวันตกดิน แค่นั้นแหล่ะครับ...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 94 มุมมอง 0 รีวิว
  • "อมพระมาพูด" ดรามาอันวาร์ อิบราฮิม

    การมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เพื่อการเจรจาทำงาน (Working Visit) และหารือติดตามความคืบหน้าเกี่ยวกับความร่วมมือไทย-มาเลเซีย ระหว่างวันที่ 17-18 เม.ย. ที่ผ่านมา กลายเป็นดรามาสนั่นโซเชียลฯ เมื่อกองสื่อสารมวลชนและกลยุทธ์ สำนักนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ได้เผยแพร่วีดีโอคลิป "LAWATAN KERJA KE THAILAND" (เยี่ยมชมและทำงานที่ประเทศไทย) เผยแพร่ภารกิจของนายอันวาร์และคณะในไทย แล้วปรากฎว่ามีการใช้เพลง "อมพระมาพูด" ของเบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์ และ เสกสรรค์ สุขพิมาย หรือ เสก โลโซ ซึ่งเป็นเพลงฮิตเมื่อปี 2547

    ด้วยเนื้อหาเพลงที่ออกแนวตอบโต้คนรักที่ไม่เชื่อใจกัน โดยเฉพาะท่อนฮุคที่ร้องว่า "อมพระมาพูดก็ไม่เชื่อ หน้าเนื้อใจเสืออย่างเธอ ใครเตือนไม่ฟังว่าอย่าเผลอ มีใจให้ อมพระมาพูดก็ไม่เชื่อ หน้าใสใจเสือเชื่อไม่ได้ ประวัติโชกโชนเชือดใจ มากี่คน เคยนับบ้างไหม" กลายเป็นที่วิจารณ์แก่ชาวเน็ตไทยว่าสื่อถึงอะไร มีนัยยะทางการเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศใดๆ หรือไม่ โดยเฉพาะกับ นายทักษิณ ชินวัตร ที่ปรึกษาประธานอาเซียน และ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ลูกสาวนายทักษิณ ภายหลังจึงได้ลบคลิปแล้วเปลี่ยนเพลงใหม่ไปใช้เพลงพระราชนิพนธ์ "ยามเย็น" ของในหลวงรัชกาลที่ ๙ แทน

    ที่ผ่านมามักจะพบเห็นเพลงไทยนำมาใช้กับสื่อประชาสัมพันธ์ของมาเลเซียนานๆ ครั้ง เช่น การรถไฟมาลายา (KTM Berhad) นำเพลง "ผมรักเมืองไทย" ของ Mocca Garden มาโปรโมตขบวนรถไฟ My Sawasdee บัตเตอร์เวิร์ธ-หาดใหญ่ เมื่อวันที่ 1 ม.ค. หรือย้อนกลับไปเมื่อเดือน ต.ค. 2565 เผยแพร่วิดีโอคลิป VLOG ที่ชื่อว่า "Syoknya Naik Keretapi ke Hatyai, Thailand" แนะนำการขึ้นรถไฟท่องเที่ยวที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ในช่วงเทศกาลวันมาเลเซีย ก็ใช้เพลง "ชอบเธออะ" ของ แมน ภัทรพล ซึ่งเป็นเพลงฮิตในติ๊กต็อก ส่วนผู้ใช้ทั่วไปพบว่าบัญชี @khairulnikahthailand ที่รับจ้างชาวมุสลิมมาเลเซียมาแต่งงานที่สงขลา ประเทศไทย ก็เคยใช้เพลง "คุณไสย" (อะนันตะปัตชะเย) ซึ่งมีเนื้อหาโจ๊ะๆ สนุกสนาน

    แม้ Newskit จะสอบถามแหล่งข่าวจากสื่อมวลชนชาวมาเลเซีย ที่ทำงานในประเทศไทย แต่ไม่ได้รับคำตอบใดๆ กลับมาก็ตาม ก็เป็นที่เข้าใจได้ว่า อาจเป็นความผิดพลาดของทางการมาเลเซียเลือกเพลงตามทำนอง (Melody) โดยมองข้ามเนื้อร้อง หรือเนื้อหาเพลง ที่คนท้องถิ่นซึ่งก็คือคนไทยอาจเข้าใจไปอีกทาง มองโลกในแง่ดีอาจเป็นเพียงแค่เรื่องตลกขบขัน ไม่ถึงขั้นกลายเป็นการเล่นการเมืองแบบสองหน้า จากปัญหาความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งไม่มีทีท่าว่าสงบลง

    #Newskit
    "อมพระมาพูด" ดรามาอันวาร์ อิบราฮิม การมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เพื่อการเจรจาทำงาน (Working Visit) และหารือติดตามความคืบหน้าเกี่ยวกับความร่วมมือไทย-มาเลเซีย ระหว่างวันที่ 17-18 เม.ย. ที่ผ่านมา กลายเป็นดรามาสนั่นโซเชียลฯ เมื่อกองสื่อสารมวลชนและกลยุทธ์ สำนักนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ได้เผยแพร่วีดีโอคลิป "LAWATAN KERJA KE THAILAND" (เยี่ยมชมและทำงานที่ประเทศไทย) เผยแพร่ภารกิจของนายอันวาร์และคณะในไทย แล้วปรากฎว่ามีการใช้เพลง "อมพระมาพูด" ของเบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์ และ เสกสรรค์ สุขพิมาย หรือ เสก โลโซ ซึ่งเป็นเพลงฮิตเมื่อปี 2547 ด้วยเนื้อหาเพลงที่ออกแนวตอบโต้คนรักที่ไม่เชื่อใจกัน โดยเฉพาะท่อนฮุคที่ร้องว่า "อมพระมาพูดก็ไม่เชื่อ หน้าเนื้อใจเสืออย่างเธอ ใครเตือนไม่ฟังว่าอย่าเผลอ มีใจให้ อมพระมาพูดก็ไม่เชื่อ หน้าใสใจเสือเชื่อไม่ได้ ประวัติโชกโชนเชือดใจ มากี่คน เคยนับบ้างไหม" กลายเป็นที่วิจารณ์แก่ชาวเน็ตไทยว่าสื่อถึงอะไร มีนัยยะทางการเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศใดๆ หรือไม่ โดยเฉพาะกับ นายทักษิณ ชินวัตร ที่ปรึกษาประธานอาเซียน และ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ลูกสาวนายทักษิณ ภายหลังจึงได้ลบคลิปแล้วเปลี่ยนเพลงใหม่ไปใช้เพลงพระราชนิพนธ์ "ยามเย็น" ของในหลวงรัชกาลที่ ๙ แทน ที่ผ่านมามักจะพบเห็นเพลงไทยนำมาใช้กับสื่อประชาสัมพันธ์ของมาเลเซียนานๆ ครั้ง เช่น การรถไฟมาลายา (KTM Berhad) นำเพลง "ผมรักเมืองไทย" ของ Mocca Garden มาโปรโมตขบวนรถไฟ My Sawasdee บัตเตอร์เวิร์ธ-หาดใหญ่ เมื่อวันที่ 1 ม.ค. หรือย้อนกลับไปเมื่อเดือน ต.ค. 2565 เผยแพร่วิดีโอคลิป VLOG ที่ชื่อว่า "Syoknya Naik Keretapi ke Hatyai, Thailand" แนะนำการขึ้นรถไฟท่องเที่ยวที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ในช่วงเทศกาลวันมาเลเซีย ก็ใช้เพลง "ชอบเธออะ" ของ แมน ภัทรพล ซึ่งเป็นเพลงฮิตในติ๊กต็อก ส่วนผู้ใช้ทั่วไปพบว่าบัญชี @khairulnikahthailand ที่รับจ้างชาวมุสลิมมาเลเซียมาแต่งงานที่สงขลา ประเทศไทย ก็เคยใช้เพลง "คุณไสย" (อะนันตะปัตชะเย) ซึ่งมีเนื้อหาโจ๊ะๆ สนุกสนาน แม้ Newskit จะสอบถามแหล่งข่าวจากสื่อมวลชนชาวมาเลเซีย ที่ทำงานในประเทศไทย แต่ไม่ได้รับคำตอบใดๆ กลับมาก็ตาม ก็เป็นที่เข้าใจได้ว่า อาจเป็นความผิดพลาดของทางการมาเลเซียเลือกเพลงตามทำนอง (Melody) โดยมองข้ามเนื้อร้อง หรือเนื้อหาเพลง ที่คนท้องถิ่นซึ่งก็คือคนไทยอาจเข้าใจไปอีกทาง มองโลกในแง่ดีอาจเป็นเพียงแค่เรื่องตลกขบขัน ไม่ถึงขั้นกลายเป็นการเล่นการเมืองแบบสองหน้า จากปัญหาความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งไม่มีทีท่าว่าสงบลง #Newskit
    Like
    1
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 231 มุมมอง 0 รีวิว
  • นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงคณะเจรจาเกี่ยวกับนโยบายด้านเศรษฐกิจและการปรับขึ้นภาษีกับทางรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งเตรียมเจรจาในวันที่ 23 เม.ย. นี้ โดยเตรียมหารือกับนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง หลังจากเดินทางกลับมาก่อน ซึ่งกระทรวงกลาโหมไทยและกองทัพสหรัฐไม่มีปัญหาอะไร และยังดำรงความสัมพันธ์ในการเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดที่สนับสนุนและดูแลกันอย่างดีมาตลอด

    ส่วนข่าวลือที่รัฐบาลอาจสั่งให้ กองทัพอากาศจัดหาเครื่องบินเอฟ 16 ของสหรัฐแทนเครื่องบินกริฟเพ้นท์ ของสวีเดนที่กองทัพอากาศได้คัดเลือกแบบไว้แล้วนั้น ได้เรียนไปแล้วว่าเงื่อนไขนี้ไม่สามารถทำได้

    "เคยได้พูดคุยกับทางสหรัฐฯ ซึ่งได้มาเสนอโครงการเอฟ 16 ให้ไทยแต่เงื่อนไขสำคัญที่เสนอมาคือการให้เรากู้เงินจากธนาคารของสหรัฐเพื่อนำมาซื้อเอฟ 16 ซึ่งเราไม่เคยทำแบบนั้นในการใช้เงินกู้มาซื้อขณะที่บ้านเรายังมีปัญหาเรื่องอื่นๆอยู่" นายภูมิธรรม กล่าว

    ทั้งนี้ในภาพรวมกองทัพอากาศมีเอฟ 16 ประจำการ2 ฝูงบิน กริฟเพ้นท์ 1 ฝูงบิน ส่วนกริฟเพ้นท์อีก 1 ฝูง เรายังไม่ได้ตัดสินใจและยังไม่ได้มีการเสนออะไรทั้งสิ้นเข้า ครม. เป็นเพียงความต้องการของกองทัพอากาศ ซึ่งเราก็รับฟัง

    ส่วนแนวคิดการจัดหาเครื่องบินลำเลียง C-130 เพื่อทดแทนของเก่าที่จะประจำการอยู่นั้น นายภูมิธรรม กล่าวว่า คงจะไปคิดล่วงหน้าไม่ได้ รอให้มีความชัดเจนในเรื่องข้อต่อรอง และจำเป็นต้องทำอะไร รวมทั้งสิ่งใดที่เราทำแล้วได้ประโยชน์กับประเทศ ไม่กระทบกระเทือนกับแผนปฏิรูปแห่งชาติของกระทรวงกลาโหม

    https://web.facebook.com/share/p/167ogoUnjM/
    นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงคณะเจรจาเกี่ยวกับนโยบายด้านเศรษฐกิจและการปรับขึ้นภาษีกับทางรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งเตรียมเจรจาในวันที่ 23 เม.ย. นี้ โดยเตรียมหารือกับนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง หลังจากเดินทางกลับมาก่อน ซึ่งกระทรวงกลาโหมไทยและกองทัพสหรัฐไม่มีปัญหาอะไร และยังดำรงความสัมพันธ์ในการเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดที่สนับสนุนและดูแลกันอย่างดีมาตลอด ส่วนข่าวลือที่รัฐบาลอาจสั่งให้ กองทัพอากาศจัดหาเครื่องบินเอฟ 16 ของสหรัฐแทนเครื่องบินกริฟเพ้นท์ ของสวีเดนที่กองทัพอากาศได้คัดเลือกแบบไว้แล้วนั้น ได้เรียนไปแล้วว่าเงื่อนไขนี้ไม่สามารถทำได้ "เคยได้พูดคุยกับทางสหรัฐฯ ซึ่งได้มาเสนอโครงการเอฟ 16 ให้ไทยแต่เงื่อนไขสำคัญที่เสนอมาคือการให้เรากู้เงินจากธนาคารของสหรัฐเพื่อนำมาซื้อเอฟ 16 ซึ่งเราไม่เคยทำแบบนั้นในการใช้เงินกู้มาซื้อขณะที่บ้านเรายังมีปัญหาเรื่องอื่นๆอยู่" นายภูมิธรรม กล่าว ทั้งนี้ในภาพรวมกองทัพอากาศมีเอฟ 16 ประจำการ2 ฝูงบิน กริฟเพ้นท์ 1 ฝูงบิน ส่วนกริฟเพ้นท์อีก 1 ฝูง เรายังไม่ได้ตัดสินใจและยังไม่ได้มีการเสนออะไรทั้งสิ้นเข้า ครม. เป็นเพียงความต้องการของกองทัพอากาศ ซึ่งเราก็รับฟัง ส่วนแนวคิดการจัดหาเครื่องบินลำเลียง C-130 เพื่อทดแทนของเก่าที่จะประจำการอยู่นั้น นายภูมิธรรม กล่าวว่า คงจะไปคิดล่วงหน้าไม่ได้ รอให้มีความชัดเจนในเรื่องข้อต่อรอง และจำเป็นต้องทำอะไร รวมทั้งสิ่งใดที่เราทำแล้วได้ประโยชน์กับประเทศ ไม่กระทบกระเทือนกับแผนปฏิรูปแห่งชาติของกระทรวงกลาโหม https://web.facebook.com/share/p/167ogoUnjM/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 237 มุมมอง 0 รีวิว
  • Elon Musk ได้ประกาศว่าเขามีแผนที่จะเดินทางไปเยือนอินเดียในปลายปีนี้ หลังจากที่ได้พูดคุยกับนายกรัฐมนตรี Narendra Modi เกี่ยวกับความร่วมมือด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม การประกาศนี้เกิดขึ้นผ่านโพสต์บนแพลตฟอร์ม X ของ Musk ซึ่งแสดงถึงความสนใจในการสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับอินเดียในด้านเทคโนโลยี

    ✅ Elon Musk มีแผนที่จะเยือนอินเดียในปลายปีนี้
    - Musk ประกาศผ่านโพสต์บนแพลตฟอร์ม X ว่าเขารอคอยที่จะเดินทางไปอินเดีย
    - การเยือนนี้เกิดขึ้นหลังจากการพูดคุยกับนายกรัฐมนตรี Modi

    ✅ การพูดคุยเกี่ยวกับความร่วมมือด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม
    - Modi กล่าวถึงการพูดคุยเกี่ยวกับความร่วมมือในด้านเทคโนโลยี แต่ไม่ได้ระบุรายละเอียดเพิ่มเติม

    ✅ การเยือนอินเดียของ Musk อาจช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ในด้านเทคโนโลยี
    - การเยือนนี้อาจเป็นโอกาสในการสร้างความร่วมมือในด้าน AI, พลังงานสะอาด และการพัฒนาเทคโนโลยี

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/19/musk-says-he-will-visit-india-after-talk-with-modi
    Elon Musk ได้ประกาศว่าเขามีแผนที่จะเดินทางไปเยือนอินเดียในปลายปีนี้ หลังจากที่ได้พูดคุยกับนายกรัฐมนตรี Narendra Modi เกี่ยวกับความร่วมมือด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม การประกาศนี้เกิดขึ้นผ่านโพสต์บนแพลตฟอร์ม X ของ Musk ซึ่งแสดงถึงความสนใจในการสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับอินเดียในด้านเทคโนโลยี ✅ Elon Musk มีแผนที่จะเยือนอินเดียในปลายปีนี้ - Musk ประกาศผ่านโพสต์บนแพลตฟอร์ม X ว่าเขารอคอยที่จะเดินทางไปอินเดีย - การเยือนนี้เกิดขึ้นหลังจากการพูดคุยกับนายกรัฐมนตรี Modi ✅ การพูดคุยเกี่ยวกับความร่วมมือด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม - Modi กล่าวถึงการพูดคุยเกี่ยวกับความร่วมมือในด้านเทคโนโลยี แต่ไม่ได้ระบุรายละเอียดเพิ่มเติม ✅ การเยือนอินเดียของ Musk อาจช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ในด้านเทคโนโลยี - การเยือนนี้อาจเป็นโอกาสในการสร้างความร่วมมือในด้าน AI, พลังงานสะอาด และการพัฒนาเทคโนโลยี https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/19/musk-says-he-will-visit-india-after-talk-with-modi
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Musk says he will visit India after talk with Modi
    (Reuters) -Elon Musk said on Saturday he was planning to visit India later in the year, a day after Indian Prime Minister Narendra Modi said he had discussed technology with the billionaire entrepreneur.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 127 มุมมอง 0 รีวิว
  • จาก “ทุกวัน” กลายเป็นแค่คนเคยรู้จัก: ความสัมพันธ์ที่จบลงโดยไม่มีคำลา 💔 แม้ไม่มีใครพูดลา…แต่ใจเรารู้ดีว่า มันไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว

    เมื่อความสัมพันธ์ค่อย ๆ เลือนหายไป โดยไม่มีคำลา บางครั้งเราไม่ได้หายไป... แค่เปลี่ยนไปตามธรรมชาติของชีวิต

    บางคนเคยอยู่ในทุกวันของเรา แต่ตอนนี้กลายเป็นเพียงความทรงจำเงียบ ๆ ในใจ สำรวจความสัมพันธ์ที่จบลง โดยไม่มีคำลา... และทำไมมันถึงเจ็บกว่าที่คิด

    ความเงียบที่ดังที่สุด คือการหายไปของใครบางคน... ในทุกปี... เราอาจได้เจอใครบางคน ที่กลายมาเป็น "คนสำคัญ" ในชีวิต แต่ในขณะเดียวกัน... เราก็อาจเสียใครบางคนไป ไม่ใช่ด้วยการทะเลาะ ไม่ใช่ด้วยความผิดพลาด แต่เป็นการ “ค่อย ๆ หายไป” แบบไม่มีแม้แต่คำลา 🕊️

    เรื่องนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของความรัก แต่คือทุกความสัมพันธ์ในชีวิต เพื่อนสนิท ครอบครัว คนเคยใกล้ชิด หรือแม้แต่คนที่เคยอยู่ในทุกช่วงเวลาสำคัญ...

    วันนี้ เราจะมาคุยกันถึง "การจากลาในความเงียบ" ทำไมมันถึงเกิดขึ้น และเราจะเข้าใจมันได้อย่างไร?

    🌒 ความเงียบไม่ใช่จุดจบ แต่คือสัญญาณของความเปลี่ยนแปลง ในหลายความสัมพันธ์ จุดจบไม่ได้มาพร้อมคำพูด
    ไม่มีคำบอกลาชัดเจน ไม่มีน้ำตา ไม่มีการโต้แย้ง แต่กลับเป็นเพียง “การเงียบ” ที่ค่อย ๆ สร้างระยะห่าง

    📱 ข้อความที่ค่อย ๆ หายไป บทสนทนาที่สั้นลง และหัวใจที่ไม่เต้นพร้อมกันอีกต่อไป

    บางครั้ง... เราเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า มันเริ่มห่างกันตั้งแต่เมื่อไร แต่รู้ตัวอีกที เขาหรือเธอก็กลายเป็น “คนเคยรู้จัก” ไปแล้ว...

    ทำไมเราถึงหายไปจากกัน…แม้ไม่ได้ตั้งใจ?

    เราทุกคนมีชีวิตที่ยุ่งขึ้นทุกวัน ชีวิตผู้ใหญ่เต็มไปด้วยความรับผิดชอบ งาน การเงิน สุขภาพ ครอบครัว ความฝัน ทั้งหมดนี้ดึงพลังใจของเรา ไปจากความสัมพันธ์เดิม ๆ จนบางครั้ง... เรา “ลืม” ว่าเคยมีใครอีกคนรอคุยกับเราอยู่

    🌀 มันไม่ได้เกิดจากการเบื่อกัน แต่เกิดจาก “ชีวิตที่พาให้เราหายไป”

    ความเหนื่อยล้าในใจที่บอกไม่ออก บางคนไม่ได้อยากหายไป แต่แค่ "เหนื่อยเกินไป" ที่จะเป็นคนเดิม เหนื่อยที่จะยิ้ม เหนื่อยที่จะคุย เหนื่อยที่จะพยายามรักษาความสัมพันธ์นั้นไว้

    และเมื่อเราปล่อยให้ความเงียบเกิดขึ้น... มันก็กลายเป็น “กำแพง” ที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ 🧱

    เราเติบโตในเส้นทางที่ต่างกัน การเติบโตทำให้มุมมองเปลี่ยน ความฝันเปลี่ยน สิ่งที่เคยชอบเหมือนกัน กลับไม่ตรงกันอีกต่อไป แม้จะไม่มีใครผิด… แต่เมื่อเราเดินไปคนละเส้นทาง "ระยะห่าง" ก็เกิดขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ 🚶‍♂️🚶‍♀️

    ความสัมพันธ์ที่จางหายไป… ไม่ได้หมายความว่าไร้ค่า ถึงแม้เราจะไม่ได้อยู่ในชีวิตกันแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า “วันเวลาที่เคยมีร่วมกัน” ไร้ความหมาย

    ❤️ ความทรงจำดี ๆ ยังคงอยู่ในใจ

    🌿 ความห่วงใยยังแทรกอยู่ในความเงียบ

    💬 บางบทสนทนายังคงอยู่ในความคิดเสมอ

    และบางครั้ง... เพียงแค่ได้คิดถึงใครคนนั้น ในความทรงจำ ก็เพียงพอแล้ว... ที่จะทำให้ใจอบอุ่นขึ้นในวันเหงา ๆ

    บางคนเคยเป็น "ทุกวัน" ของเรา… แต่กลายเป็นเพียงคนในความทรงจำ ลองย้อนกลับไปนึกถึงใครบางคนที่...

    📌 เคยโทรหากันทุกคืน
    📌 เคยเล่าเรื่องให้ฟังทุกเช้า
    📌 เคยไปทุกที่ด้วยกัน
    📌 เคยรู้ใจโดยไม่ต้องพูดอะไร

    แล้ววันนี้... เราอาจจะไม่ได้คุยกันเลย ไม่ได้พบกันอีกเลย แต่สิ่งหนึ่งที่ยังอยู่คือ... ความทรงจำ

    “ไม่มีใครผิดที่เปลี่ยนไป” ประโยคที่เข้าใจได้ เมื่อเรารักตัวเองมากพอ การเติบโตคือการเปลี่ยนแปลง และการเปลี่ยนแปลง คือสิ่งที่ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้

    👤 คนบางคนสอนให้เรารู้จักรัก
    👤 บางคนสอนให้เรารู้จักเจ็บ
    👤 และบางคน… สอนให้เรารู้จักปล่อยวาง

    ถึงสุดท้ายเราจะไม่ได้อยู่ในชีวิตกันอีก แต่เรายังอยู่ใน "บทเรียนชีวิต" ของกันและกันเสมอ

    แล้วเราจะเยียวยาหัวใจ หลังความสัมพันธ์ที่จบลงในความเงียบ ได้อย่างไร?

    ยอมรับว่าความเปลี่ยนแปลง คือเรื่องธรรมดา การหายไปไม่ได้แปลว่าใครไม่รัก แต่เป็นเพราะเส้นทางของเรา มาถึงจุดที่ต้องแยกกันเดิน

    ให้อภัยตัวเอง และให้อภัยอีกฝ่าย แม้จะไม่มีคำขอโทษ หรือคำอธิบาย แต่เราสามารถเลือก “ให้อภัยในใจ” เพื่อปลดปล่อยตัวเองจากความเจ็บ

    เก็บความทรงจำดี ๆ ไว้… แต่ไม่ต้องยึดติด ความทรงจำดี ๆ ไม่ต้องลบทิ้ง แต่เราไม่จำเป็นต้องใช้มัน มาฉุดรั้งเราไว้จากการเติบโต

    แม้จะจางหายไป…แต่ยังคงมีอยู่ในใจเสมอ 🕊️

    เราไม่สามารถห้ามใครหายไปจากชีวิตเราได้ และเราเองก็ไม่สามารถอยู่ในชีวิตทุกคน ได้ตลอดไป

    แต่สิ่งที่เราทำได้ คือการ...

    🫶 รักษาความทรงจำดี ๆ
    📌 เรียนรู้จากความสัมพันธ์ที่ผ่านมา
    🌱 และใช้มันเป็นพลังในการเติบโตต่อไป

    เพราะสุดท้าย... สิ่งสำคัญ ไม่ใช่การอยู่กับใครไปตลอดชีวิต แต่คือ ในวันที่ยังอยู่ด้วยกัน เราได้สร้างความทรงจำ ที่งดงามพอหรือยัง? 💫

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 192315 เม.ย. 2568

    📱 #ความสัมพันธ์ #คนเคยรู้จัก #จากลาที่ไม่มีคำลา #คิดถึงเสมอ #คนในความทรงจำ
    #เติบโตด้วยกัน #บทเรียนชีวิต #ความเงียบที่เจ็บปวด #ความเปลี่ยนแปลง #รักในความทรงจำ
    จาก “ทุกวัน” กลายเป็นแค่คนเคยรู้จัก: ความสัมพันธ์ที่จบลงโดยไม่มีคำลา 💔 แม้ไม่มีใครพูดลา…แต่ใจเรารู้ดีว่า มันไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว เมื่อความสัมพันธ์ค่อย ๆ เลือนหายไป โดยไม่มีคำลา บางครั้งเราไม่ได้หายไป... แค่เปลี่ยนไปตามธรรมชาติของชีวิต บางคนเคยอยู่ในทุกวันของเรา แต่ตอนนี้กลายเป็นเพียงความทรงจำเงียบ ๆ ในใจ สำรวจความสัมพันธ์ที่จบลง โดยไม่มีคำลา... และทำไมมันถึงเจ็บกว่าที่คิด ความเงียบที่ดังที่สุด คือการหายไปของใครบางคน... ในทุกปี... เราอาจได้เจอใครบางคน ที่กลายมาเป็น "คนสำคัญ" ในชีวิต แต่ในขณะเดียวกัน... เราก็อาจเสียใครบางคนไป ไม่ใช่ด้วยการทะเลาะ ไม่ใช่ด้วยความผิดพลาด แต่เป็นการ “ค่อย ๆ หายไป” แบบไม่มีแม้แต่คำลา 🕊️ เรื่องนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของความรัก แต่คือทุกความสัมพันธ์ในชีวิต เพื่อนสนิท ครอบครัว คนเคยใกล้ชิด หรือแม้แต่คนที่เคยอยู่ในทุกช่วงเวลาสำคัญ... วันนี้ เราจะมาคุยกันถึง "การจากลาในความเงียบ" ทำไมมันถึงเกิดขึ้น และเราจะเข้าใจมันได้อย่างไร? 🌒 ความเงียบไม่ใช่จุดจบ แต่คือสัญญาณของความเปลี่ยนแปลง ในหลายความสัมพันธ์ จุดจบไม่ได้มาพร้อมคำพูด ไม่มีคำบอกลาชัดเจน ไม่มีน้ำตา ไม่มีการโต้แย้ง แต่กลับเป็นเพียง “การเงียบ” ที่ค่อย ๆ สร้างระยะห่าง 📱 ข้อความที่ค่อย ๆ หายไป บทสนทนาที่สั้นลง และหัวใจที่ไม่เต้นพร้อมกันอีกต่อไป บางครั้ง... เราเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า มันเริ่มห่างกันตั้งแต่เมื่อไร แต่รู้ตัวอีกที เขาหรือเธอก็กลายเป็น “คนเคยรู้จัก” ไปแล้ว... ทำไมเราถึงหายไปจากกัน…แม้ไม่ได้ตั้งใจ? เราทุกคนมีชีวิตที่ยุ่งขึ้นทุกวัน ชีวิตผู้ใหญ่เต็มไปด้วยความรับผิดชอบ งาน การเงิน สุขภาพ ครอบครัว ความฝัน ทั้งหมดนี้ดึงพลังใจของเรา ไปจากความสัมพันธ์เดิม ๆ จนบางครั้ง... เรา “ลืม” ว่าเคยมีใครอีกคนรอคุยกับเราอยู่ 🌀 มันไม่ได้เกิดจากการเบื่อกัน แต่เกิดจาก “ชีวิตที่พาให้เราหายไป” ความเหนื่อยล้าในใจที่บอกไม่ออก บางคนไม่ได้อยากหายไป แต่แค่ "เหนื่อยเกินไป" ที่จะเป็นคนเดิม เหนื่อยที่จะยิ้ม เหนื่อยที่จะคุย เหนื่อยที่จะพยายามรักษาความสัมพันธ์นั้นไว้ และเมื่อเราปล่อยให้ความเงียบเกิดขึ้น... มันก็กลายเป็น “กำแพง” ที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ 🧱 เราเติบโตในเส้นทางที่ต่างกัน การเติบโตทำให้มุมมองเปลี่ยน ความฝันเปลี่ยน สิ่งที่เคยชอบเหมือนกัน กลับไม่ตรงกันอีกต่อไป แม้จะไม่มีใครผิด… แต่เมื่อเราเดินไปคนละเส้นทาง "ระยะห่าง" ก็เกิดขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ 🚶‍♂️🚶‍♀️ ความสัมพันธ์ที่จางหายไป… ไม่ได้หมายความว่าไร้ค่า ถึงแม้เราจะไม่ได้อยู่ในชีวิตกันแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า “วันเวลาที่เคยมีร่วมกัน” ไร้ความหมาย ❤️ ความทรงจำดี ๆ ยังคงอยู่ในใจ 🌿 ความห่วงใยยังแทรกอยู่ในความเงียบ 💬 บางบทสนทนายังคงอยู่ในความคิดเสมอ และบางครั้ง... เพียงแค่ได้คิดถึงใครคนนั้น ในความทรงจำ ก็เพียงพอแล้ว... ที่จะทำให้ใจอบอุ่นขึ้นในวันเหงา ๆ บางคนเคยเป็น "ทุกวัน" ของเรา… แต่กลายเป็นเพียงคนในความทรงจำ ลองย้อนกลับไปนึกถึงใครบางคนที่... 📌 เคยโทรหากันทุกคืน 📌 เคยเล่าเรื่องให้ฟังทุกเช้า 📌 เคยไปทุกที่ด้วยกัน 📌 เคยรู้ใจโดยไม่ต้องพูดอะไร แล้ววันนี้... เราอาจจะไม่ได้คุยกันเลย ไม่ได้พบกันอีกเลย แต่สิ่งหนึ่งที่ยังอยู่คือ... ความทรงจำ “ไม่มีใครผิดที่เปลี่ยนไป” ประโยคที่เข้าใจได้ เมื่อเรารักตัวเองมากพอ การเติบโตคือการเปลี่ยนแปลง และการเปลี่ยนแปลง คือสิ่งที่ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้ 👤 คนบางคนสอนให้เรารู้จักรัก 👤 บางคนสอนให้เรารู้จักเจ็บ 👤 และบางคน… สอนให้เรารู้จักปล่อยวาง ถึงสุดท้ายเราจะไม่ได้อยู่ในชีวิตกันอีก แต่เรายังอยู่ใน "บทเรียนชีวิต" ของกันและกันเสมอ แล้วเราจะเยียวยาหัวใจ หลังความสัมพันธ์ที่จบลงในความเงียบ ได้อย่างไร? ยอมรับว่าความเปลี่ยนแปลง คือเรื่องธรรมดา การหายไปไม่ได้แปลว่าใครไม่รัก แต่เป็นเพราะเส้นทางของเรา มาถึงจุดที่ต้องแยกกันเดิน ให้อภัยตัวเอง และให้อภัยอีกฝ่าย แม้จะไม่มีคำขอโทษ หรือคำอธิบาย แต่เราสามารถเลือก “ให้อภัยในใจ” เพื่อปลดปล่อยตัวเองจากความเจ็บ เก็บความทรงจำดี ๆ ไว้… แต่ไม่ต้องยึดติด ความทรงจำดี ๆ ไม่ต้องลบทิ้ง แต่เราไม่จำเป็นต้องใช้มัน มาฉุดรั้งเราไว้จากการเติบโต แม้จะจางหายไป…แต่ยังคงมีอยู่ในใจเสมอ 🕊️ เราไม่สามารถห้ามใครหายไปจากชีวิตเราได้ และเราเองก็ไม่สามารถอยู่ในชีวิตทุกคน ได้ตลอดไป แต่สิ่งที่เราทำได้ คือการ... 🫶 รักษาความทรงจำดี ๆ 📌 เรียนรู้จากความสัมพันธ์ที่ผ่านมา 🌱 และใช้มันเป็นพลังในการเติบโตต่อไป เพราะสุดท้าย... สิ่งสำคัญ ไม่ใช่การอยู่กับใครไปตลอดชีวิต แต่คือ ในวันที่ยังอยู่ด้วยกัน เราได้สร้างความทรงจำ ที่งดงามพอหรือยัง? 💫 ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 192315 เม.ย. 2568 📱 #ความสัมพันธ์ #คนเคยรู้จัก #จากลาที่ไม่มีคำลา #คิดถึงเสมอ #คนในความทรงจำ #เติบโตด้วยกัน #บทเรียนชีวิต #ความเงียบที่เจ็บปวด #ความเปลี่ยนแปลง #รักในความทรงจำ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 265 มุมมอง 0 รีวิว
  • IBM ได้ประกาศนโยบาย Return-to-Office (RTO) ใหม่สำหรับพนักงานในสหรัฐฯ โดยกำหนดให้พนักงานฝ่ายขายต้องทำงานในสำนักงานหรือศูนย์ขายอย่างน้อย สามวันต่อสัปดาห์ นโยบายนี้มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มความใกล้ชิดกับลูกค้าและเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางธุรกิจ นอกจากนี้ IBM ยังวางแผนที่จะย้ายพนักงานฝ่ายขายในดัลลัสไปยังสำนักงานใหม่ในออสตินในปี 2026

    ✅ พนักงานฝ่ายขายต้องทำงานในสำนักงานอย่างน้อยสามวันต่อสัปดาห์
    - พนักงานสามารถเลือกทำงานที่ สำนักงานหลัก, ศูนย์ขาย หรือสถานที่ของลูกค้า
    - นโยบายนี้เป็นส่วนหนึ่งของ Return-to-Client Initiative เพื่อเพิ่มความใกล้ชิดกับลูกค้า

    ✅ พนักงานในดัลลัสจะถูกย้ายไปยังสำนักงานใหม่ในออสตินในปี 2026
    - การย้ายนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนการปรับปรุงโครงสร้างองค์กร

    ✅ IBM มีสำนักงานหลัก 5 แห่งและศูนย์ขาย 8 แห่งในสหรัฐฯ
    - สำนักงานหลักตั้งอยู่ในนิวยอร์ก, ราลี, วอชิงตัน ดี.ซี., ซานฟรานซิสโก และออสติน
    - ศูนย์ขายตั้งอยู่ในแอตแลนตา, บอสตัน, ชาร์ลอตต์, ชิคาโก, โคลัมบัส, ดัลลัส, ลอสแอนเจลิส และซีแอตเทิล

    ✅ นโยบาย RTO ของ IBM มีความยืดหยุ่นมากกว่าบริษัทเทคโนโลยีอื่นๆ
    - IBM กำหนดให้พนักงานทำงานในสำนักงานสามวันต่อสัปดาห์ ในขณะที่บริษัทอื่น เช่น Amazon กำหนดให้ทำงานเต็มเวลาในสำนักงาน

    https://www.techradar.com/pro/ibm-orders-workers-back-to-the-office-or-face-the-consequences
    IBM ได้ประกาศนโยบาย Return-to-Office (RTO) ใหม่สำหรับพนักงานในสหรัฐฯ โดยกำหนดให้พนักงานฝ่ายขายต้องทำงานในสำนักงานหรือศูนย์ขายอย่างน้อย สามวันต่อสัปดาห์ นโยบายนี้มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มความใกล้ชิดกับลูกค้าและเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางธุรกิจ นอกจากนี้ IBM ยังวางแผนที่จะย้ายพนักงานฝ่ายขายในดัลลัสไปยังสำนักงานใหม่ในออสตินในปี 2026 ✅ พนักงานฝ่ายขายต้องทำงานในสำนักงานอย่างน้อยสามวันต่อสัปดาห์ - พนักงานสามารถเลือกทำงานที่ สำนักงานหลัก, ศูนย์ขาย หรือสถานที่ของลูกค้า - นโยบายนี้เป็นส่วนหนึ่งของ Return-to-Client Initiative เพื่อเพิ่มความใกล้ชิดกับลูกค้า ✅ พนักงานในดัลลัสจะถูกย้ายไปยังสำนักงานใหม่ในออสตินในปี 2026 - การย้ายนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนการปรับปรุงโครงสร้างองค์กร ✅ IBM มีสำนักงานหลัก 5 แห่งและศูนย์ขาย 8 แห่งในสหรัฐฯ - สำนักงานหลักตั้งอยู่ในนิวยอร์ก, ราลี, วอชิงตัน ดี.ซี., ซานฟรานซิสโก และออสติน - ศูนย์ขายตั้งอยู่ในแอตแลนตา, บอสตัน, ชาร์ลอตต์, ชิคาโก, โคลัมบัส, ดัลลัส, ลอสแอนเจลิส และซีแอตเทิล ✅ นโยบาย RTO ของ IBM มีความยืดหยุ่นมากกว่าบริษัทเทคโนโลยีอื่นๆ - IBM กำหนดให้พนักงานทำงานในสำนักงานสามวันต่อสัปดาห์ ในขณะที่บริษัทอื่น เช่น Amazon กำหนดให้ทำงานเต็มเวลาในสำนักงาน https://www.techradar.com/pro/ibm-orders-workers-back-to-the-office-or-face-the-consequences
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 186 มุมมอง 0 รีวิว
  • Intel ได้ประกาศการปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ โดยแต่งตั้ง Sachin Katti เป็น CTO และหัวหน้าด้าน AI เพื่อเสริมสร้างกลยุทธ์ด้านเทคโนโลยีและ AI ของบริษัท การเปลี่ยนแปลงนี้มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการตัดสินใจและสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับชุมชนผู้พัฒนาและสตาร์ทอัพ

    ✅ Sachin Katti ได้รับการแต่งตั้งเป็น CTO และหัวหน้าด้าน AI
    - เขาจะดูแลกลยุทธ์ด้าน AI และแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์ AI ของ Intel
    - รับผิดชอบการวิจัยพื้นฐานและประยุกต์ใน Intel Labs รวมถึงการพัฒนากระบวนการผลิตชิป

    ✅ การปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการตัดสินใจ
    - ผู้นำด้านเทคนิคจากกลุ่มสำคัญจะมีสายตรงถึง CEO เพื่อเพิ่มความรวดเร็วในการตัดสินใจ
    - ตัวอย่างเช่น Rob Bruckner ดูแลสถาปัตยกรรมแพลตฟอร์มลูกค้า และ Lisa Pearce ดูแล GPU และ NPU

    ✅ Intel มุ่งเน้นการพัฒนากลยุทธ์ด้าน AI
    - การแต่งตั้งหัวหน้าด้าน AI เป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ เนื่องจาก AI เคยเป็นส่วนหนึ่งของหน่วยข้อมูลศูนย์กลาง
    - การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยให้ AI ได้รับทรัพยากรและความสนใจมากขึ้น

    ✅ CEO Lip-Bu Tan มีบทบาทสำคัญในการปรับโครงสร้างองค์กร
    - เขาเน้นการมีส่วนร่วมโดยตรงกับทีมวิศวกรรมและผลิตภัณฑ์
    - มีการเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานร่วมกับหัวหน้าฝ่ายกิจการรัฐบาลเพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ด้านกฎระเบียบ

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/ceo-reorganizes-intel-with-new-cto-and-ai-lead
    Intel ได้ประกาศการปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ โดยแต่งตั้ง Sachin Katti เป็น CTO และหัวหน้าด้าน AI เพื่อเสริมสร้างกลยุทธ์ด้านเทคโนโลยีและ AI ของบริษัท การเปลี่ยนแปลงนี้มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการตัดสินใจและสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับชุมชนผู้พัฒนาและสตาร์ทอัพ ✅ Sachin Katti ได้รับการแต่งตั้งเป็น CTO และหัวหน้าด้าน AI - เขาจะดูแลกลยุทธ์ด้าน AI และแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์ AI ของ Intel - รับผิดชอบการวิจัยพื้นฐานและประยุกต์ใน Intel Labs รวมถึงการพัฒนากระบวนการผลิตชิป ✅ การปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการตัดสินใจ - ผู้นำด้านเทคนิคจากกลุ่มสำคัญจะมีสายตรงถึง CEO เพื่อเพิ่มความรวดเร็วในการตัดสินใจ - ตัวอย่างเช่น Rob Bruckner ดูแลสถาปัตยกรรมแพลตฟอร์มลูกค้า และ Lisa Pearce ดูแล GPU และ NPU ✅ Intel มุ่งเน้นการพัฒนากลยุทธ์ด้าน AI - การแต่งตั้งหัวหน้าด้าน AI เป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ เนื่องจาก AI เคยเป็นส่วนหนึ่งของหน่วยข้อมูลศูนย์กลาง - การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยให้ AI ได้รับทรัพยากรและความสนใจมากขึ้น ✅ CEO Lip-Bu Tan มีบทบาทสำคัญในการปรับโครงสร้างองค์กร - เขาเน้นการมีส่วนร่วมโดยตรงกับทีมวิศวกรรมและผลิตภัณฑ์ - มีการเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานร่วมกับหัวหน้าฝ่ายกิจการรัฐบาลเพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ด้านกฎระเบียบ https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/ceo-reorganizes-intel-with-new-cto-and-ai-lead
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    CEO reorganizes Intel with new CTO and AI lead
    Tan gains tighter control over strategic developments.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 208 มุมมอง 0 รีวิว
  • **เจาะลึกจิตวิญญาณและอารมณ์ของตัวละครหลัก**
    (ในนิยาย *The Seven Heirs: Bonds of the Compass*)

    ---

    ### **1. หลง เจี้ยน (จีน - ทิศเหนือ)**
    **จิตวิญญาณ :** *ผู้แบกรักเก่าในร่างนักรบ*
    - **ความเจ็บปวดซ่อนเร้น :** แผลเป็นรูปเกล็ดงูบนแก้มไม่ใช่แค่ร่องรอยคำสาป แต่เป็นสัญลักษณ์แห่ง "ความอัปยศ" ที่ปล่อยให้หยวนเยี่ยนต้องเป็นอมตะเพียงลำพัง
    - **การแสดงออก :** สื่อสารผ่านการกระทำมากกว่าคำพูด เวลาโกรธจะจัดระเบียบเข็มปักจักรวาลให้เรียงตัวเป็นรูปวงแหวน
    - **ความปรารถนาลึกๆ :** อยากใช้ชีวิตธรรมดาเป็นช่างซ่อมนาฬิกาในตรอกเล็กๆ ของปักกิ่ง โดยไม่ต้องสวมมงกุฎแห่งความรับผิดชอบ
    - **จุดแตกหักทางอารมณ์ :** การพบว่าหยวนเยี่ยนเลือกถูกสาปเพื่อให้เขาได้มีชีวิตต่อ...แทนที่จะปล่อยให้เขาตายตาม

    ---

    ### **2. ทาเคดะ ซากุระ (ญี่ปุ่น - ทิศตะวันออก)**
    **จิตวิญญาณ :** *ศิลปินผู้วาดภาพด้วยวิญญาณตนเอง*
    - **ความเปราะบาง :** รู้สึกเหมือนเป็น "ภาพวาดที่ยังไม่เสร็จ" เปรียบเทียบตัวเองกับพี่ชายที่สมบูรณ์แบบเสมอ
    - **พิธีกรรมส่วนตัว :** แอบเก็บเส้นผมของทุกคนที่วาดภาพไว้ในสมุดสีน้ำ เพื่อรู้สึกว่ายังควบคุมบางสิ่งได้
    - **ความฝันลับ :** อยากวาดภาพที่ไม่มีคำสาปซ่อนอยู่ แค่ภาพทุ่งซากุระกับพี่ชายที่ยิ้มได้อย่างอิสระ
    - **การเผชิญความจริง :** วันที่ต้องใช้พู่กันจุ่มเลือดตัวเองเพื่อวาดทางรอดให้ทุกคน

    ---

    ### **3. วีร ราชปุต (อินเดีย - ทิศตะวันตก)**
    **จิตวิญญาณ :** *มหาเศรษฐีผู้ห่อหุ้มหัวใจด้วยเงินตรา*
    - **ความกลัวที่ซ่อนอยู่ :** กลัวความเงียบ จึงใช้เสียงเพลง/การเจรจาเติมเต็มชีวิตตลอดเวลา
    - **พฤติกรรมย้ำคิด :** นับเม็ดพลอยในสร้อย 108 เม็ดทุกเช้า เพื่อยืนยันว่ายัง "เป็นปกติ"
    - **ความขัดแย้ง :** เกลียดความอ่อนแอ แต่แอบเก็บยาพิษที่อานยาทำไว้...ในกรณีที่ต้องฆ่าตัวตาย
    - **จุดเปลี่ยน :** การพบว่าแม่แท้ๆ ยังมีชีวิตอยู่ในร่างของศัตรู

    ---

    ### **4. คิม จีอู (เกาหลีใต้ - ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ)**
    **จิตวิญญาณ :** *นกในกรงทองแห่งเสียงเพลง*
    - **ความทุกข์ระทม :** ได้ยินเสียงกระซิบจากไมโครโฟนเก่าๆ ที่พี่ชายให้มา เสียงนั้นบอกให้เธอ "ร้องให้ดังกว่านี้...แม้ต้องแลกด้วยชีวิต"
    - **การต่อรองกับชะตา :** ใช้ลิปสติกสีเลือดเขียนคำสาปบนกระจกห้องน้ำทุกครั้งก่อนขึ้นเวที
    - **ความฝันที่ถูกกดทับ :** อยากร้องเพลงกล่อมเด็กในหมู่บ้านเล็กๆ โดยไม่ต้องมีเอฟเฟกต์พิเศษ
    - **ความสัมพันธ์กับแทฮยอน :** รู้สึกเหมือนเป็น "นกขมิ้นในกรงทอง" ที่พี่ชายสวยงาม แต่กรงนั้นทำจากความผิดพลาดในอดีตของเขา

    ---

    ### **5. ณัฐ ศรีสุวรรณ (ไทย - ทิศใต้)**
    **จิตวิญญาณ :** *นักรบผู้สวมหน้ากากแห่งรอยยิ้ม*
    - **ความเจ็บปวดที่ซ่อนใต้รอยสัก :** สักคำว่า "อิสระ" ซ่อนไว้ใต้ลายนาคราช แต่รู้ตัวว่าตนเองถูกพันธนาการโดยความรักที่มีต่อน้องสาว
    - **พิธีกรรม :** ทุบกระจกในห้องฝึกมวยทุกครั้งที่รู้สึกอ่อนแอ
    - **ความฝันลึกๆ :** อยากพาพิมพ์ลดาไปเที่ยวทะเล โดยไม่ต้องคิดเรื่องคำสาปหรือพิธีกรรม
    - **จุดพลิกผัน :** วันที่พิมพ์ลดาเลือกเต้นระบำหน้ากากครั้งสุดท้าย...โดยไม่บอกเขา

    ---

    ### **6. เดีย วิชายา (อินโดนีเซีย - ทิศตะวันออกเฉียงใต้)**
    **จิตวิญญาณ :** *ราชินีเครื่องเทศผู้หลงกลิ่นอดีต*
    - **ความขัดแย้ง :** เกลียดเครื่องเทศเพราะถูกพ่อฝึกจนจมูกเสื่อม แต่กลับใช้มันเป็นอาวุธ
    - **ความทรงจำสุขสุด :** กลิ่นดินหลังฝนตกในวันที่พี่ชายพาไปตั้งแคมป์โดยไม่บอกแม่
    - **ความกลัว :** กลัวการถูกทิ้ง จึงแสร้งทำตัวแข็งกร้าวตลอดเวลา
    - **สัญลักษณ์ :** แก้วกาแฟร้าวที่พี่ชายให้...เก็บไว้เป็นเครื่องเตือนใจว่า "ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ"

    ---

    ### **7. เหงียน ลาน (เวียดนาม - ทิศตะวันตกเฉียงใต้)**
    **จิตวิญญาณ :** *เชฟผู้ปรุงรสชาติแห่งความทรงจำ*
    - **ความสามารถพิเศษ :** รู้รสชาติอารมณ์คนผ่านอาหาร แต่ไม่สามารถลิ้มรสอาหารที่ตัวเองปรุงได้
    - **พิธีกรรม :** แอบชิมน้ำตาตัวเองเวลาปรุงอาหารให้คนสำคัญ
    - **ความฝันที่ถูกเก็บไว้ :** อยากเปิดร้านอาหารเล็กๆ ที่เสิร์ฟแต่เมนูแห่งความสุข โดยไม่มีสูตรลับของตระกูล
    - **ความสัมพันธ์กับล็อง :** มองว่าพี่ชายคือ "สมุดบันทึกที่มีชีวิต" ที่เธอไม่อยากให้เขียนจบ
    **เจาะลึกจิตวิญญาณและอารมณ์ของตัวละครหลัก** (ในนิยาย *The Seven Heirs: Bonds of the Compass*) --- ### **1. หลง เจี้ยน (จีน - ทิศเหนือ)** **จิตวิญญาณ :** *ผู้แบกรักเก่าในร่างนักรบ* - **ความเจ็บปวดซ่อนเร้น :** แผลเป็นรูปเกล็ดงูบนแก้มไม่ใช่แค่ร่องรอยคำสาป แต่เป็นสัญลักษณ์แห่ง "ความอัปยศ" ที่ปล่อยให้หยวนเยี่ยนต้องเป็นอมตะเพียงลำพัง - **การแสดงออก :** สื่อสารผ่านการกระทำมากกว่าคำพูด เวลาโกรธจะจัดระเบียบเข็มปักจักรวาลให้เรียงตัวเป็นรูปวงแหวน - **ความปรารถนาลึกๆ :** อยากใช้ชีวิตธรรมดาเป็นช่างซ่อมนาฬิกาในตรอกเล็กๆ ของปักกิ่ง โดยไม่ต้องสวมมงกุฎแห่งความรับผิดชอบ - **จุดแตกหักทางอารมณ์ :** การพบว่าหยวนเยี่ยนเลือกถูกสาปเพื่อให้เขาได้มีชีวิตต่อ...แทนที่จะปล่อยให้เขาตายตาม --- ### **2. ทาเคดะ ซากุระ (ญี่ปุ่น - ทิศตะวันออก)** **จิตวิญญาณ :** *ศิลปินผู้วาดภาพด้วยวิญญาณตนเอง* - **ความเปราะบาง :** รู้สึกเหมือนเป็น "ภาพวาดที่ยังไม่เสร็จ" เปรียบเทียบตัวเองกับพี่ชายที่สมบูรณ์แบบเสมอ - **พิธีกรรมส่วนตัว :** แอบเก็บเส้นผมของทุกคนที่วาดภาพไว้ในสมุดสีน้ำ เพื่อรู้สึกว่ายังควบคุมบางสิ่งได้ - **ความฝันลับ :** อยากวาดภาพที่ไม่มีคำสาปซ่อนอยู่ แค่ภาพทุ่งซากุระกับพี่ชายที่ยิ้มได้อย่างอิสระ - **การเผชิญความจริง :** วันที่ต้องใช้พู่กันจุ่มเลือดตัวเองเพื่อวาดทางรอดให้ทุกคน --- ### **3. วีร ราชปุต (อินเดีย - ทิศตะวันตก)** **จิตวิญญาณ :** *มหาเศรษฐีผู้ห่อหุ้มหัวใจด้วยเงินตรา* - **ความกลัวที่ซ่อนอยู่ :** กลัวความเงียบ จึงใช้เสียงเพลง/การเจรจาเติมเต็มชีวิตตลอดเวลา - **พฤติกรรมย้ำคิด :** นับเม็ดพลอยในสร้อย 108 เม็ดทุกเช้า เพื่อยืนยันว่ายัง "เป็นปกติ" - **ความขัดแย้ง :** เกลียดความอ่อนแอ แต่แอบเก็บยาพิษที่อานยาทำไว้...ในกรณีที่ต้องฆ่าตัวตาย - **จุดเปลี่ยน :** การพบว่าแม่แท้ๆ ยังมีชีวิตอยู่ในร่างของศัตรู --- ### **4. คิม จีอู (เกาหลีใต้ - ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ)** **จิตวิญญาณ :** *นกในกรงทองแห่งเสียงเพลง* - **ความทุกข์ระทม :** ได้ยินเสียงกระซิบจากไมโครโฟนเก่าๆ ที่พี่ชายให้มา เสียงนั้นบอกให้เธอ "ร้องให้ดังกว่านี้...แม้ต้องแลกด้วยชีวิต" - **การต่อรองกับชะตา :** ใช้ลิปสติกสีเลือดเขียนคำสาปบนกระจกห้องน้ำทุกครั้งก่อนขึ้นเวที - **ความฝันที่ถูกกดทับ :** อยากร้องเพลงกล่อมเด็กในหมู่บ้านเล็กๆ โดยไม่ต้องมีเอฟเฟกต์พิเศษ - **ความสัมพันธ์กับแทฮยอน :** รู้สึกเหมือนเป็น "นกขมิ้นในกรงทอง" ที่พี่ชายสวยงาม แต่กรงนั้นทำจากความผิดพลาดในอดีตของเขา --- ### **5. ณัฐ ศรีสุวรรณ (ไทย - ทิศใต้)** **จิตวิญญาณ :** *นักรบผู้สวมหน้ากากแห่งรอยยิ้ม* - **ความเจ็บปวดที่ซ่อนใต้รอยสัก :** สักคำว่า "อิสระ" ซ่อนไว้ใต้ลายนาคราช แต่รู้ตัวว่าตนเองถูกพันธนาการโดยความรักที่มีต่อน้องสาว - **พิธีกรรม :** ทุบกระจกในห้องฝึกมวยทุกครั้งที่รู้สึกอ่อนแอ - **ความฝันลึกๆ :** อยากพาพิมพ์ลดาไปเที่ยวทะเล โดยไม่ต้องคิดเรื่องคำสาปหรือพิธีกรรม - **จุดพลิกผัน :** วันที่พิมพ์ลดาเลือกเต้นระบำหน้ากากครั้งสุดท้าย...โดยไม่บอกเขา --- ### **6. เดีย วิชายา (อินโดนีเซีย - ทิศตะวันออกเฉียงใต้)** **จิตวิญญาณ :** *ราชินีเครื่องเทศผู้หลงกลิ่นอดีต* - **ความขัดแย้ง :** เกลียดเครื่องเทศเพราะถูกพ่อฝึกจนจมูกเสื่อม แต่กลับใช้มันเป็นอาวุธ - **ความทรงจำสุขสุด :** กลิ่นดินหลังฝนตกในวันที่พี่ชายพาไปตั้งแคมป์โดยไม่บอกแม่ - **ความกลัว :** กลัวการถูกทิ้ง จึงแสร้งทำตัวแข็งกร้าวตลอดเวลา - **สัญลักษณ์ :** แก้วกาแฟร้าวที่พี่ชายให้...เก็บไว้เป็นเครื่องเตือนใจว่า "ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ" --- ### **7. เหงียน ลาน (เวียดนาม - ทิศตะวันตกเฉียงใต้)** **จิตวิญญาณ :** *เชฟผู้ปรุงรสชาติแห่งความทรงจำ* - **ความสามารถพิเศษ :** รู้รสชาติอารมณ์คนผ่านอาหาร แต่ไม่สามารถลิ้มรสอาหารที่ตัวเองปรุงได้ - **พิธีกรรม :** แอบชิมน้ำตาตัวเองเวลาปรุงอาหารให้คนสำคัญ - **ความฝันที่ถูกเก็บไว้ :** อยากเปิดร้านอาหารเล็กๆ ที่เสิร์ฟแต่เมนูแห่งความสุข โดยไม่มีสูตรลับของตระกูล - **ความสัมพันธ์กับล็อง :** มองว่าพี่ชายคือ "สมุดบันทึกที่มีชีวิต" ที่เธอไม่อยากให้เขียนจบ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 362 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ภูมิธรรม” แจง "ทักษิณ-นายกฯ อิ๊งค์" ร่วมงานบวช “พีช“ ลูกชาย นายกเบี้ยว ตามที่ถูกเชิญปกติ อย่าจับแพะชนแกะ-มองเป็นความสัมพันธ์พิเศษ ยันไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวเรื่องคดี เจ้าหน้าที่ไม่ต้องเกรงใจ มีปัญหาต่อหน้าธารกำนัลแบบนี้ ไปบิดไปเบี้ยวไม่ได้

    เมื่อเวลา 08.40 น. วันที่ 18 เม.ย.ที่ทำเนียบรัฐบาล นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์กรณีโฆษกพรรคพลังประชารัฐแสดงความกังวลกรณีคดีนายสมิทธิพัฒน์ หลีนวรัตน์ หรือพีช ลูกชายนายกฤษฎา หลีนวรัตน์ หรือนายกเบี้ยว เนื่องจากปรากฏภาพมีความสนิทสนมกับนายกรัฐมนตรี ว่า เรื่องนี้ต้องแยกออกจากกัน ความสัมพันธ์ส่วนบุคคลก็เรื่องหนึ่ง แต่เรื่องกฎหมายก็ต้องว่าไปตามกฎหมาย ในกรณีที่กฎหมายมีอยู่และภาพลักษณ์ที่เกิดขึ้น วีดีโอ และข้อมูลที่เกิดขึ้นก็คงต้องให้เจ้าหน้าที่ว่าไปตามกฎหมาย และไม่ต้องกังวล เรื่องนี้เราไม่เข้าไปเกี่ยวข้องอยู่แล้ว

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/politics/detail/9680000036443

    #MGROnline #ภูมิธรรม #ทักษิณ #งานบวช #พีช #ลูกชายนายกเบี้ยว
    “ภูมิธรรม” แจง "ทักษิณ-นายกฯ อิ๊งค์" ร่วมงานบวช “พีช“ ลูกชาย นายกเบี้ยว ตามที่ถูกเชิญปกติ อย่าจับแพะชนแกะ-มองเป็นความสัมพันธ์พิเศษ ยันไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวเรื่องคดี เจ้าหน้าที่ไม่ต้องเกรงใจ มีปัญหาต่อหน้าธารกำนัลแบบนี้ ไปบิดไปเบี้ยวไม่ได้ • เมื่อเวลา 08.40 น. วันที่ 18 เม.ย.ที่ทำเนียบรัฐบาล นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์กรณีโฆษกพรรคพลังประชารัฐแสดงความกังวลกรณีคดีนายสมิทธิพัฒน์ หลีนวรัตน์ หรือพีช ลูกชายนายกฤษฎา หลีนวรัตน์ หรือนายกเบี้ยว เนื่องจากปรากฏภาพมีความสนิทสนมกับนายกรัฐมนตรี ว่า เรื่องนี้ต้องแยกออกจากกัน ความสัมพันธ์ส่วนบุคคลก็เรื่องหนึ่ง แต่เรื่องกฎหมายก็ต้องว่าไปตามกฎหมาย ในกรณีที่กฎหมายมีอยู่และภาพลักษณ์ที่เกิดขึ้น วีดีโอ และข้อมูลที่เกิดขึ้นก็คงต้องให้เจ้าหน้าที่ว่าไปตามกฎหมาย และไม่ต้องกังวล เรื่องนี้เราไม่เข้าไปเกี่ยวข้องอยู่แล้ว • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/politics/detail/9680000036443 • #MGROnline #ภูมิธรรม #ทักษิณ #งานบวช #พีช #ลูกชายนายกเบี้ยว
    Angry
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 316 มุมมอง 0 รีวิว
  • Intel กำลังปรับโครงสร้างองค์กรภายใต้การนำของ Lip-Bu Tan CEO คนใหม่ โดยมีการลดชั้นการบริหารและแต่งตั้ง Sachin Katti เป็นหัวหน้าเทคโนโลยีและ AI เพื่อเร่งพัฒนาแนวทางแข่งขันกับ Nvidia

    ✅ Intel ลดชั้นการบริหารเพื่อให้การตัดสินใจรวดเร็วขึ้น
    - กลุ่มชิป Data Center & AI และ Personal Computer จะรายงานตรงต่อ CEO
    - ก่อนหน้านี้กลุ่มเหล่านี้อยู่ภายใต้การดูแลของ Michelle Johnston Holthaus ซึ่งยังคงดำรงตำแหน่ง CEO ของ Intel Products

    ✅ Sachin Katti ได้รับแต่งตั้งเป็นหัวหน้าเทคโนโลยีและ AI
    - Katti จะเป็นผู้นำ กลยุทธ์ AI และแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์ AI
    - เขาจะดูแล Intel Labs และความสัมพันธ์กับสตาร์ทอัพและนักพัฒนา

    ✅ Intel มุ่งเน้นการเป็นบริษัทที่ขับเคลื่อนด้วยวิศวกรรม
    - Tan ระบุว่า โครงสร้างองค์กรที่ซับซ้อนและระบบราชการกำลังขัดขวางนวัตกรรม
    - การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยให้ ผู้บริหารทำงานใกล้ชิดกับทีมวิศวกรรมมากขึ้น

    ✅ Intel ต้องแข่งขันกับ Nvidia ในตลาด AI
    - Nvidia ครองตลาดชิป AI และ Intel ต้องเร่งพัฒนา กลยุทธ์ใหม่เพื่อแข่งขัน
    - Intel เคยพยายามพัฒนา Falcon Shores แต่โครงการถูกยกเลิกในเดือนมกราคม

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/18/exclusive-intel-ceo-lip-bu-tan-streamlines-leadership-team-names-new-technology-chief-memo-says
    Intel กำลังปรับโครงสร้างองค์กรภายใต้การนำของ Lip-Bu Tan CEO คนใหม่ โดยมีการลดชั้นการบริหารและแต่งตั้ง Sachin Katti เป็นหัวหน้าเทคโนโลยีและ AI เพื่อเร่งพัฒนาแนวทางแข่งขันกับ Nvidia ✅ Intel ลดชั้นการบริหารเพื่อให้การตัดสินใจรวดเร็วขึ้น - กลุ่มชิป Data Center & AI และ Personal Computer จะรายงานตรงต่อ CEO - ก่อนหน้านี้กลุ่มเหล่านี้อยู่ภายใต้การดูแลของ Michelle Johnston Holthaus ซึ่งยังคงดำรงตำแหน่ง CEO ของ Intel Products ✅ Sachin Katti ได้รับแต่งตั้งเป็นหัวหน้าเทคโนโลยีและ AI - Katti จะเป็นผู้นำ กลยุทธ์ AI และแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์ AI - เขาจะดูแล Intel Labs และความสัมพันธ์กับสตาร์ทอัพและนักพัฒนา ✅ Intel มุ่งเน้นการเป็นบริษัทที่ขับเคลื่อนด้วยวิศวกรรม - Tan ระบุว่า โครงสร้างองค์กรที่ซับซ้อนและระบบราชการกำลังขัดขวางนวัตกรรม - การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยให้ ผู้บริหารทำงานใกล้ชิดกับทีมวิศวกรรมมากขึ้น ✅ Intel ต้องแข่งขันกับ Nvidia ในตลาด AI - Nvidia ครองตลาดชิป AI และ Intel ต้องเร่งพัฒนา กลยุทธ์ใหม่เพื่อแข่งขัน - Intel เคยพยายามพัฒนา Falcon Shores แต่โครงการถูกยกเลิกในเดือนมกราคม https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/18/exclusive-intel-ceo-lip-bu-tan-streamlines-leadership-team-names-new-technology-chief-memo-says
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Intel CEO Lip-Bu Tan flattens leadership structure, names new AI chief, memo says
    SAN FRANCISCO (Reuters) - Intel's new CEO, Lip-Bu Tan, is flattening the semiconductor giant's leadership team, with important chip groups reporting directly to him, according to a memo from Tan seen by Reuters.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 199 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน เดินทางถึงกัมพูชาแล้ว ถือเป็นประเทศที่สาม และประเทศสุดท้ายในภารกิจเยือนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างเป็นทางการ พร้อมได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากพระบาทสมเด็จพระบรมนาถนโรดม สีหมุนี ณ ท่าอากาศยานกรุงพนมเปญ นับเป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาสำคัญในความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสองประเทศ
    ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน เดินทางถึงกัมพูชาแล้ว ถือเป็นประเทศที่สาม และประเทศสุดท้ายในภารกิจเยือนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างเป็นทางการ พร้อมได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากพระบาทสมเด็จพระบรมนาถนโรดม สีหมุนี ณ ท่าอากาศยานกรุงพนมเปญ นับเป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาสำคัญในความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสองประเทศ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 259 มุมมอง 17 0 รีวิว
  • “ยุโรปยังคงดำเนินแนวทางสันติภาพ เราไม่มีพวกพ้องหรือกลุ่มผู้มีอำนาจมากำหนดกฎเกณฑ์ เราไม่เคยรุกรานเพื่อนบ้าน และเราไม่เคยลงโทษพวกเขา”

    นางเออร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ Zeit ท่ามกลางความสัมพันธ์ที่เสื่อมถอยอย่างรวดเร็ว และการประกาศขึ้นภาษีศุลกากรครั้งใหญ่ของทรัมป์
    “ยุโรปยังคงดำเนินแนวทางสันติภาพ เราไม่มีพวกพ้องหรือกลุ่มผู้มีอำนาจมากำหนดกฎเกณฑ์ เราไม่เคยรุกรานเพื่อนบ้าน และเราไม่เคยลงโทษพวกเขา” นางเออร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ Zeit ท่ามกลางความสัมพันธ์ที่เสื่อมถอยอย่างรวดเร็ว และการประกาศขึ้นภาษีศุลกากรครั้งใหญ่ของทรัมป์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 146 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปูตินตอกย้ำความสัมพันธ์กับจีน โดยระบุกำลังมีแผนการใหญ่กับสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งเป็นความร่วมมือที่ไม่มีวันหยุดลงได้

    นอกจากนี้ ยังจะร่วมมือกับจีนและกลุ่มประเทศ BRICS เพื่อเดินหน้าโครงการความร่วมมือครั้งใหญ่ พร้อมขยายบทบาทต่อไปอย่างเต็มที่
    ปูตินตอกย้ำความสัมพันธ์กับจีน โดยระบุกำลังมีแผนการใหญ่กับสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งเป็นความร่วมมือที่ไม่มีวันหยุดลงได้ นอกจากนี้ ยังจะร่วมมือกับจีนและกลุ่มประเทศ BRICS เพื่อเดินหน้าโครงการความร่วมมือครั้งใหญ่ พร้อมขยายบทบาทต่อไปอย่างเต็มที่
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 197 มุมมอง 10 0 รีวิว
  • สหภาพยุโรป (EU) ได้เริ่มใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยใหม่ โดยให้เจ้าหน้าที่ที่เดินทางไปสหรัฐฯ ใช้ โทรศัพท์แบบใช้แล้วทิ้ง (burner phones) และแล็ปท็อปพื้นฐาน เพื่อป้องกันการสอดแนมทางอิเล็กทรอนิกส์

    ✅ EU ให้เจ้าหน้าที่ใช้โทรศัพท์แบบใช้แล้วทิ้งและแล็ปท็อปพื้นฐานเมื่อเดินทางไปสหรัฐฯ
    - มาตรการนี้เคยใช้กับ การเดินทางไปยังรัสเซียและจีน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการสอดแนม
    - เจ้าหน้าที่ได้รับคำแนะนำให้ ปิดโทรศัพท์ที่ชายแดนและเก็บไว้ในปลอกป้องกันการสอดแนม

    ✅ มาตรการนี้มีผลกับเจ้าหน้าที่ที่เข้าร่วมประชุม IMF และ World Bank Group
    - เจ้าหน้าที่ EU ที่เดินทางไปวอชิงตัน ดี.ซี. ในสัปดาห์หน้า จะเป็นกลุ่มแรกที่ใช้มาตรการใหม่นี้
    - คำแนะนำด้านความปลอดภัยของ EU ได้รับการอัปเดต แต่ไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดทั้งหมด

    ✅ ความสัมพันธ์ระหว่าง EU และสหรัฐฯ ตึงเครียดมากขึ้น
    - Luuk van Middelaar จาก Brussels Institute for Geopolitics ระบุว่า "วอชิงตันไม่ใช่ปักกิ่งหรือมอสโก แต่ก็เป็นคู่แข่งที่ใช้วิธีการนอกกฎหมายเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง"
    - มีรายงานว่า สหรัฐฯ เคยสอดแนมโทรศัพท์ของนายกรัฐมนตรีเยอรมนี Angela Merkel ในปี 2013

    ✅ สิทธิ์ของเจ้าหน้าที่ชายแดนสหรัฐฯ ในการตรวจสอบอุปกรณ์ของผู้เดินทาง
    - ตามรายงานของ India Today เจ้าหน้าที่ชายแดนสหรัฐฯ มีสิทธิ์ตรวจสอบและยึดอุปกรณ์มือถือของผู้เดินทาง
    - มีกรณีที่ผู้เดินทางถูกปฏิเสธการเข้าประเทศหลังจากเจ้าหน้าที่พบโพสต์วิจารณ์รัฐบาลทรัมป์บนโซเชียลมีเดีย

    https://www.techspot.com/news/107576-eu-provides-burner-phones-us-bound-staff-amid.html
    สหภาพยุโรป (EU) ได้เริ่มใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยใหม่ โดยให้เจ้าหน้าที่ที่เดินทางไปสหรัฐฯ ใช้ โทรศัพท์แบบใช้แล้วทิ้ง (burner phones) และแล็ปท็อปพื้นฐาน เพื่อป้องกันการสอดแนมทางอิเล็กทรอนิกส์ ✅ EU ให้เจ้าหน้าที่ใช้โทรศัพท์แบบใช้แล้วทิ้งและแล็ปท็อปพื้นฐานเมื่อเดินทางไปสหรัฐฯ - มาตรการนี้เคยใช้กับ การเดินทางไปยังรัสเซียและจีน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการสอดแนม - เจ้าหน้าที่ได้รับคำแนะนำให้ ปิดโทรศัพท์ที่ชายแดนและเก็บไว้ในปลอกป้องกันการสอดแนม ✅ มาตรการนี้มีผลกับเจ้าหน้าที่ที่เข้าร่วมประชุม IMF และ World Bank Group - เจ้าหน้าที่ EU ที่เดินทางไปวอชิงตัน ดี.ซี. ในสัปดาห์หน้า จะเป็นกลุ่มแรกที่ใช้มาตรการใหม่นี้ - คำแนะนำด้านความปลอดภัยของ EU ได้รับการอัปเดต แต่ไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดทั้งหมด ✅ ความสัมพันธ์ระหว่าง EU และสหรัฐฯ ตึงเครียดมากขึ้น - Luuk van Middelaar จาก Brussels Institute for Geopolitics ระบุว่า "วอชิงตันไม่ใช่ปักกิ่งหรือมอสโก แต่ก็เป็นคู่แข่งที่ใช้วิธีการนอกกฎหมายเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง" - มีรายงานว่า สหรัฐฯ เคยสอดแนมโทรศัพท์ของนายกรัฐมนตรีเยอรมนี Angela Merkel ในปี 2013 ✅ สิทธิ์ของเจ้าหน้าที่ชายแดนสหรัฐฯ ในการตรวจสอบอุปกรณ์ของผู้เดินทาง - ตามรายงานของ India Today เจ้าหน้าที่ชายแดนสหรัฐฯ มีสิทธิ์ตรวจสอบและยึดอุปกรณ์มือถือของผู้เดินทาง - มีกรณีที่ผู้เดินทางถูกปฏิเสธการเข้าประเทศหลังจากเจ้าหน้าที่พบโพสต์วิจารณ์รัฐบาลทรัมป์บนโซเชียลมีเดีย https://www.techspot.com/news/107576-eu-provides-burner-phones-us-bound-staff-amid.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    EU provides burner phones to officials traveling to US amid espionage concerns
    An EU official told the Financial Times, The transatlantic alliance is over.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 219 มุมมอง 0 รีวิว
  • สหรัฐวางแผนใช้การเจรจาภาษีศุลกากรโดยจะเสนออัตราภาษีที่ต่ำกว่าให้กับ 70 กว่าประเทศ เพื่อแลกกับการตัดความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับจีน

    ภายใต้ข้อเสนอของรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐ ผู้รับหน้าที่เป็นแกนนำในการเจรจาทางการค้ากับประเทศเหล่านั้น โดยสหรัฐจะขอให้:

    — ห้ามไม่ให้สินค้าจีนผ่านพรมแดนของตน
    — ห้ามบริษัทจีนตั้งโรงงาน
    — หลีกเลี่ยงการนำเข้าผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมราคาถูกของจีน
    สหรัฐวางแผนใช้การเจรจาภาษีศุลกากรโดยจะเสนออัตราภาษีที่ต่ำกว่าให้กับ 70 กว่าประเทศ เพื่อแลกกับการตัดความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับจีน ภายใต้ข้อเสนอของรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐ ผู้รับหน้าที่เป็นแกนนำในการเจรจาทางการค้ากับประเทศเหล่านั้น โดยสหรัฐจะขอให้: — ห้ามไม่ให้สินค้าจีนผ่านพรมแดนของตน — ห้ามบริษัทจีนตั้งโรงงาน — หลีกเลี่ยงการนำเข้าผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมราคาถูกของจีน
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 231 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไนเจอร์ (Niger) ประเทศในทวีปแอฟริกามีคำสั่งขับผู้บริหารจีนของบริษัทน้ำมันจีนสามแห่งในไนเจอร์ออกจากประเทศ สาเหตุเพราะละเมิดกฎระเบียบภายในของไนเจอร์

    ผู้บริหารบริษัทน้ำมันของจีน 3 แห่ง ที่ถูกให้ออกจากประเทศ ได้แก่บริษัท SORAZ (Société de Raffinage de Zinder), CNPC (China National Petroleum Corporation) และ WAPCO

    รัฐบาลไนเจอร์ต้องการให้บริษัทที่เข้ามาทำกิจการในประเทศ รวมทั้งบริษัทน้ำมันจากจีนทั้งสามแห่งนี้ ต้องกระจายรายได้อย่างเป็นธรรม โดยจ่ายค่าแรงคนงานจีนและไนเจอร์อย่างเท่าเทียม ปฎิบัติตามกฎหมายแรงงานของไนเจอร์ และต้องการเข้าถึงบัญชีของบริษัทเพื่อให้แน่ใจว่าได้ชำระภาษีอย่างโปร่งใส

    รัฐบาลไนเจอร์กำหนดเงื่อนไขเหล่านี้กับบริษัทต่างชาติทั้งหมด หากจีนต้องการให้บริษัทน้ำมันของพวกเขาดำเนินการต่อในประเทศ จะต้องปฏิบัติตามกฎและพันธกรณีของประเทศ

    ทางด้านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงปิโตรเลียมของไนเจอร์ ดร. ซาฮาบี โอมารู ยืนยันว่า ความสัมพันธ์ระหว่างไนเจอร์และจีน - ไม่มีการแตกหัก แต่เป็นการปรับเปลี่ยนที่จำเป็น "นี่ไม่ใช่การแตกหักด้านความร่วมมือทางเทคนิคระหว่างรัฐบาลไนเจอร์และรัฐบาลจีน หรือเป็นการประณามสัญญาที่ทำกับบริษัทของจีน" แต่เป็นความพยายามแก้ไขความไม่สมดุลที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในการกระจายความมั่งคั่งอย่างทั่วถึงทั้งประชาชนไนเจอร์และบริษัทรับเหมาขุดเจาะน้ำมัน ของจีน
    "ความแข็งแกร่งของความร่วมมืออยู่ที่การเคารพกฎหมายและคำมั่นสัญญาของทั้งสองฝ่ายเป็นอันดับแรก อย่างไรก็ตาม เราเพียงแค่ต้องการกระจายความมั่งคั่งของบริษัทจีนทั้งสาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาจากเงินเดือนของชาวไนเจอร์เมื่อเทียบกับพนักงานของจีน ตำแหน่งสำคัญบางอย่างควรเป็นชาวไนเจอร์ การถ่ายทอดเทคโนโลยี และส่วนแบ่งการตลาดที่จัดสรรให้กับประชาชนในพื้นที่"

    ที่ผ่านมารัฐบาลจีนให้ความสำคัญประเทศในแอฟริกามาตลอดหลายสิบปี มีการลงทุนสร้างโครงสร้างพื้นฐานแบบให้เปล่าหลายแห่งในประเทศแอฟริกา รวมทั้งการให้ความช่วยเหลือด้านเงินทุน มีการปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ บางกรณีก็ไม่มีดอกเบี้ย บางครั้งยกหนี้ให้ประเทศเหล่านั้น


    ผลจากการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนในช่วงหลังหลายปี บ่งบอกได้ชัดเจนว่าคนรุ่นใหม่ทวีปแอฟริกามีความคิดแง่บวกกับจีนมากกว่าสหรัฐ


    รัฐบาลจีนอาจต้องเร่งมือกับรัฐบาลในแต่ละประเทศ เพื่อร่วมมือปราบปรามผู้บริหาร เจ้าของวิสาหกิจ บริษัทห้างร้านเอกชนที่เอาเปรียบและมุ่งหาผลประโยชน์ ก่อนที่ภาพลักษณ์ของรัฐบาลจีนจะตกต่ำลงไป ซึ่งจะทำให้สิ่งที่จีนลงทุนไว้สูญเปล่า
    ไนเจอร์ (Niger) ประเทศในทวีปแอฟริกามีคำสั่งขับผู้บริหารจีนของบริษัทน้ำมันจีนสามแห่งในไนเจอร์ออกจากประเทศ สาเหตุเพราะละเมิดกฎระเบียบภายในของไนเจอร์ ผู้บริหารบริษัทน้ำมันของจีน 3 แห่ง ที่ถูกให้ออกจากประเทศ ได้แก่บริษัท SORAZ (Société de Raffinage de Zinder), CNPC (China National Petroleum Corporation) และ WAPCO รัฐบาลไนเจอร์ต้องการให้บริษัทที่เข้ามาทำกิจการในประเทศ รวมทั้งบริษัทน้ำมันจากจีนทั้งสามแห่งนี้ ต้องกระจายรายได้อย่างเป็นธรรม โดยจ่ายค่าแรงคนงานจีนและไนเจอร์อย่างเท่าเทียม ปฎิบัติตามกฎหมายแรงงานของไนเจอร์ และต้องการเข้าถึงบัญชีของบริษัทเพื่อให้แน่ใจว่าได้ชำระภาษีอย่างโปร่งใส รัฐบาลไนเจอร์กำหนดเงื่อนไขเหล่านี้กับบริษัทต่างชาติทั้งหมด หากจีนต้องการให้บริษัทน้ำมันของพวกเขาดำเนินการต่อในประเทศ จะต้องปฏิบัติตามกฎและพันธกรณีของประเทศ ทางด้านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงปิโตรเลียมของไนเจอร์ ดร. ซาฮาบี โอมารู ยืนยันว่า ความสัมพันธ์ระหว่างไนเจอร์และจีน - ไม่มีการแตกหัก แต่เป็นการปรับเปลี่ยนที่จำเป็น "นี่ไม่ใช่การแตกหักด้านความร่วมมือทางเทคนิคระหว่างรัฐบาลไนเจอร์และรัฐบาลจีน หรือเป็นการประณามสัญญาที่ทำกับบริษัทของจีน" แต่เป็นความพยายามแก้ไขความไม่สมดุลที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในการกระจายความมั่งคั่งอย่างทั่วถึงทั้งประชาชนไนเจอร์และบริษัทรับเหมาขุดเจาะน้ำมัน ของจีน "ความแข็งแกร่งของความร่วมมืออยู่ที่การเคารพกฎหมายและคำมั่นสัญญาของทั้งสองฝ่ายเป็นอันดับแรก อย่างไรก็ตาม เราเพียงแค่ต้องการกระจายความมั่งคั่งของบริษัทจีนทั้งสาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาจากเงินเดือนของชาวไนเจอร์เมื่อเทียบกับพนักงานของจีน ตำแหน่งสำคัญบางอย่างควรเป็นชาวไนเจอร์ การถ่ายทอดเทคโนโลยี และส่วนแบ่งการตลาดที่จัดสรรให้กับประชาชนในพื้นที่" ที่ผ่านมารัฐบาลจีนให้ความสำคัญประเทศในแอฟริกามาตลอดหลายสิบปี มีการลงทุนสร้างโครงสร้างพื้นฐานแบบให้เปล่าหลายแห่งในประเทศแอฟริกา รวมทั้งการให้ความช่วยเหลือด้านเงินทุน มีการปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ บางกรณีก็ไม่มีดอกเบี้ย บางครั้งยกหนี้ให้ประเทศเหล่านั้น ผลจากการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนในช่วงหลังหลายปี บ่งบอกได้ชัดเจนว่าคนรุ่นใหม่ทวีปแอฟริกามีความคิดแง่บวกกับจีนมากกว่าสหรัฐ รัฐบาลจีนอาจต้องเร่งมือกับรัฐบาลในแต่ละประเทศ เพื่อร่วมมือปราบปรามผู้บริหาร เจ้าของวิสาหกิจ บริษัทห้างร้านเอกชนที่เอาเปรียบและมุ่งหาผลประโยชน์ ก่อนที่ภาพลักษณ์ของรัฐบาลจีนจะตกต่ำลงไป ซึ่งจะทำให้สิ่งที่จีนลงทุนไว้สูญเปล่า
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 396 มุมมอง 0 รีวิว
  • OpenAI กำลังพัฒนา แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของตัวเอง ซึ่งอาจเป็นคู่แข่งของ X (เดิมคือ Twitter) โดยแพลตฟอร์มนี้จะเน้นการใช้ ChatGPT ในการสร้างภาพและเนื้อหา และอาจรวมเข้ากับ ChatGPT หรือเปิดตัวเป็นแอปใหม่

    ✅ OpenAI กำลังพัฒนาแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย
    - แพลตฟอร์มนี้อยู่ในช่วงต้นของการพัฒนา และยังไม่แน่ชัดว่าจะเป็นแอปใหม่หรือรวมเข้ากับ ChatGPT
    - มีการใช้ ChatGPT ในการสร้างภาพและเนื้อหา พร้อมฟีดแบบโซเชียล

    ✅ ความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดระหว่าง Sam Altman และ Elon Musk
    - Musk เคยเสนอซื้อ OpenAI ในราคา 97.4 พันล้านดอลลาร์ แต่ถูก Altman ปฏิเสธ
    - OpenAI และ Musk ต่างก็มีคดีความต่อกันเกี่ยวกับการควบคุมเทคโนโลยี AI

    ✅ เป้าหมายของ OpenAI ในการสร้างแพลตฟอร์มนี้
    - OpenAI ต้องการ ข้อมูลแบบเรียลไทม์ เพื่อฝึก AI แทนการพึ่งพาข้อมูลจากแพลตฟอร์มอื่น
    - แพลตฟอร์มนี้อาจช่วยให้ OpenAI มี แหล่งข้อมูลของตัวเอง เหมือนกับที่ Musk ใช้ X ในการฝึก Grok

    ✅ แนวโน้มของตลาดโซเชียลมีเดียที่ใช้ AI
    - Meta กำลังใช้ Llama models ในการฝึก AI ด้วยข้อมูลจาก Facebook และ Instagram
    - OpenAI อาจต้องแข่งขันกับแพลตฟอร์มที่มีฐานผู้ใช้ขนาดใหญ่

    ℹ️ ความท้าทายในการเปิดตัวแพลตฟอร์มใหม่
    - OpenAI กำลังเผชิญกับหลายประเด็น เช่น การพัฒนาโมเดลใหม่, คดีความ และการขยายธุรกิจ
    - ต้องติดตามว่าแพลตฟอร์มนี้จะสามารถดึงดูดผู้ใช้ได้หรือไม่

    ℹ️ ผลกระทบต่อการแข่งขันในตลาด AI
    - หาก OpenAI มีแพลตฟอร์มของตัวเอง อาจส่งผลต่อ การเข้าถึงข้อมูลของ AI คู่แข่ง
    - อาจมีการเปลี่ยนแปลงในแนวทางการพัฒนา AI ของบริษัทอื่น

    ℹ️ แนวโน้มของการใช้ AI ในโซเชียลมีเดีย
    - AI อาจมีบทบาทมากขึ้นในการสร้างเนื้อหาและวิเคราะห์พฤติกรรมผู้ใช้
    - อาจมีการพัฒนา AI ที่สามารถโต้ตอบกับผู้ใช้ในรูปแบบที่ซับซ้อนขึ้น

    https://www.neowin.net/news/openai-is-reportedly-working-on-its-own-social-media-platform-to-rival-the-likes-of-x/
    OpenAI กำลังพัฒนา แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของตัวเอง ซึ่งอาจเป็นคู่แข่งของ X (เดิมคือ Twitter) โดยแพลตฟอร์มนี้จะเน้นการใช้ ChatGPT ในการสร้างภาพและเนื้อหา และอาจรวมเข้ากับ ChatGPT หรือเปิดตัวเป็นแอปใหม่ ✅ OpenAI กำลังพัฒนาแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย - แพลตฟอร์มนี้อยู่ในช่วงต้นของการพัฒนา และยังไม่แน่ชัดว่าจะเป็นแอปใหม่หรือรวมเข้ากับ ChatGPT - มีการใช้ ChatGPT ในการสร้างภาพและเนื้อหา พร้อมฟีดแบบโซเชียล ✅ ความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดระหว่าง Sam Altman และ Elon Musk - Musk เคยเสนอซื้อ OpenAI ในราคา 97.4 พันล้านดอลลาร์ แต่ถูก Altman ปฏิเสธ - OpenAI และ Musk ต่างก็มีคดีความต่อกันเกี่ยวกับการควบคุมเทคโนโลยี AI ✅ เป้าหมายของ OpenAI ในการสร้างแพลตฟอร์มนี้ - OpenAI ต้องการ ข้อมูลแบบเรียลไทม์ เพื่อฝึก AI แทนการพึ่งพาข้อมูลจากแพลตฟอร์มอื่น - แพลตฟอร์มนี้อาจช่วยให้ OpenAI มี แหล่งข้อมูลของตัวเอง เหมือนกับที่ Musk ใช้ X ในการฝึก Grok ✅ แนวโน้มของตลาดโซเชียลมีเดียที่ใช้ AI - Meta กำลังใช้ Llama models ในการฝึก AI ด้วยข้อมูลจาก Facebook และ Instagram - OpenAI อาจต้องแข่งขันกับแพลตฟอร์มที่มีฐานผู้ใช้ขนาดใหญ่ ℹ️ ความท้าทายในการเปิดตัวแพลตฟอร์มใหม่ - OpenAI กำลังเผชิญกับหลายประเด็น เช่น การพัฒนาโมเดลใหม่, คดีความ และการขยายธุรกิจ - ต้องติดตามว่าแพลตฟอร์มนี้จะสามารถดึงดูดผู้ใช้ได้หรือไม่ ℹ️ ผลกระทบต่อการแข่งขันในตลาด AI - หาก OpenAI มีแพลตฟอร์มของตัวเอง อาจส่งผลต่อ การเข้าถึงข้อมูลของ AI คู่แข่ง - อาจมีการเปลี่ยนแปลงในแนวทางการพัฒนา AI ของบริษัทอื่น ℹ️ แนวโน้มของการใช้ AI ในโซเชียลมีเดีย - AI อาจมีบทบาทมากขึ้นในการสร้างเนื้อหาและวิเคราะห์พฤติกรรมผู้ใช้ - อาจมีการพัฒนา AI ที่สามารถโต้ตอบกับผู้ใช้ในรูปแบบที่ซับซ้อนขึ้น https://www.neowin.net/news/openai-is-reportedly-working-on-its-own-social-media-platform-to-rival-the-likes-of-x/
    WWW.NEOWIN.NET
    OpenAI is reportedly working on its own social media platform to rival the likes of X
    OpenAI doesn't seem to be catching a break. A new report claims the company is quietly building a social media platform that could go head-to-head with X.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 199 มุมมอง 0 รีวิว
  • รู้จักใช้ เข้าใจเงิน ตอนที่ 7 การสร้างความมั่นคงด้านการเงินแก่ครอบครัว
    .
    ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างพ่อแม่และการเป็นครอบครัวที่อบอุ่นโยงใยกับการจัดการเรื่องการเงินอย่างไม่อ่จหลีกเลี่ยงได้ การที่คนสองคนมาร่วมชีวิตกันและมีลูก คือทางเลือกของชีวิตที่ทั้งสองได้ตัดสินใจแล้ว ดังนั้นจึงต้องร่วมกันรับผิดชอบให้ครอบครัวมีความสุข มีความเป็นปึกแผ่นด้านการเงิน ซึ่งจะนำไปสู่ความมั่นคงของทุกๆคนในครอบครัว
    .
    ในเบื้องแรก สามีภรรยาต้องพูดจาตกลงกันให้ชัดเจนเกี่ยวกับการจัดการเงินทองของครอบครัว เช่น จะรวมกระเป๋าและแยกกระเป๋ากันอย่างไร ค่าใช้จ่ายของครอบครัวจะรับผิดชอบกันอย่างไร ข้อพิจารณาในเรื่องนี้มีดังนี้
    .
    การตัดสินใจทางการเงินของพ่อแม่จะต้องเป็นหน่วยเดียวกัน การซื้อสิ่งของที่มีราคาสูงและผูกมัดทางการเงินของครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นการซื้อรถยนต์ ซื้อบ้าน ซื้อที่ดิน ลงทุนธุรกิจ ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ จะต้องมีการปรึกษาหารือ และตัดสินใจร่วมกันเพื่อให้ทั้งสองฝ่ายทราบถึงภาระผูกพันที่จะเกิดขึ้น
    .
    การใช้จ่ายที่ต่างคนต่างทำ เช่น การใช้บัตรเครดิต การเล่นหุ้น เล่นแชร์ การร่วมลงทุนกับผู้อื่น ควรให้แต่ละฝ่ายได้รับรู้ เพราะเป็นบุคคลเดียวกันตามกฏหมาย (ในกรณีจดทะเบียนสมรส) ทั้งพ่อและแม่ต้องรับรู้ข้อมูลและรับผิดชอบสถานะการเงินของครอบครัวร่วมกัน ถ้าฝ่ายหนึ่งใช้เงินอย่างเดียวโดยไม่ยอมรับรู้เรื่องรายได้ ไม่ยอมหรือไม่ร่วมปรึกษาหารือในการวางแผนการเงินของครอบครัว ความมั่นคงทางการเงินของครอบครัวก็เกิดขึ้นไม่ได้
    .
    การวางแผนการเงินของครอบครัวเป็นเรื่องสำคัญที่พ่อแม่จะต้องจัดไว้ในลำดับสำคัญสูงสุด การจดบันทึกข้อมูลการใช้จ่ายในแต่ละเดือนจะทำให้เห็นภาพรวมของการใช้จ่าย ซึ่งจะเป็นปัจจัยนำไปสู่ความสามารถในการออมของครอบครัว ในการสร้างความมั้นคงด้านการเงินให้แก่ครอบครัว ประเด็นที่พึงพิจารณามีดังต่อไปนี้
    .
    1.ความมั่งคั่งและการมีรายได้ต่อช่วงเวลานั้นแตกต่างกัน ถ้าเปรียบเงินเหมือนน้ำที่อยู่ในถัง รายได้เสมือนน้ำที่ไหลออกจากก้นถังในช่วงเวลาหนึ่ง ถ้าน้ำไหลเข้าถังมากกว่าน้ำที่ไหลออก ปริมาณน้ำในถังที่ได้สะสมมาก่อนหน้า ก็จะมากขึ้น แต่ถ้าน้ำไหลออกจากถังในช่วงเวลาหนึ่งมากกว่าน้ำไหลเข้า ดังนั้น ปริมาณน้ำในถังที่สะสมมาก่อนหน้าก็จะลดลง ความมั่งคั่งก็คือปริมาณน้ำที่อยู่ในถัง ส่วนรายได้ก็คือปริมาณน้ำที่ไหลเข้าถึงในช่วงเวลานั้น
    .
    ความมั่งคั่งวัด ณ จุดหนึ่งของเวลา ส่วนการมีรายได้เป็นการวัดต่อช่วงเวลา เช่น บ้านมีมูลค่า 3 ล้านบาท ณ วันที่ 31 ธันวามคม 2568 เป็นความมั่งคั่ง ส่วนรายได้ 5 หมื่นบาทต่อเดือนเป็นการมีรายได้
    .
    สองสิ่งนี้แตกต่างกัน ความมั่งคั่งมีนัยผูกพันกับอนาคตที่จะมีรายได้ให้ใช้ ส่วนการมีรายได้นั้นมีนัยผูกพันกับช่วงเวลาสั้นๆ บางครอบครัวอาจมีรายได้ต่อเดือนมาก แต่อาจไม่มีความมั่งคั่งก็เป็นได้ กล่าวคือ ถึงมีรายได้มากก็ใช้ไปจนหมด ไม่เหลือไว้สร้างความมั่งคั่งซึ่งจะทำให้มีรายได้เพิ่มเติมอีกเลยในอนาคต
    .
    การสร้างความมั่งคั่งของครอบครัวต้องเน้นไปที่การสะสมความมั่งคั่งในระยะยาว ในแต่ละเดือนจะต้องมีรายได้มากกว่าการใช้จ่าย ซึงหมายถึงมีเงินออมนั่นเอง จึงจะทำให้ความมั่งคั่งเพิ่มพูนขึ้นได้ และความมั่งคั่งนี้จะเป็นฐานของการหารายได้เพิ่มเติมอีกทางหนึ่งสำหรับครอบครัวนอกเหนือจากการออกแรงทำงาน
    .
    2.การใช้จ่ายเงินอย่างชาญฉลาด สอดคล้องกับเงินในกระเป๋าเป็นเรื่องสำคัญ สุภาษิต “การหาเงินเป็นเรื่องสำคัญ แต่การรู้จักใช้เงินนั้นสำคัญกว่า” เป็นจริงทุกยุคสมัย..... พ่อแม่จำนวนมากทำงานหนักหาเงินเพื่อสร้างความมั่นคงให้แก่ครอบครัวโดยมีต้นทุนที่ต้องจ่าย นั่นคือมีเวลาให้ลูกน้อยลง ทำให้ความเอาใจใส่และผูกพันกับลูกลดลงน้อยลงไปด้วย
    .
    พ่อแม่เหล่านี้ มักเน้นการหารายได้แต่เพียงอย่างเดียวจนละเลยความสำคัญของการใช้จ่าย รายได้ส่วนหนึ่งมักถูกนำไปใช้จ่ายเพื่อชดเชยที่ใกล้ชิดลูกน้อยลง จนอาจทำให้เงินออมขนาดใหญ่ในแต่ละเดือนเกิดขึ้นไม่ได้ ดังนั้น การทุ่มเทหาเงินทองในกรณีนี้จึงไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ครอบครัวมากดังที่เข้าใจ หรือคาดหวัง บางครอบครัวกว่าจะรู้ตัวว่าไม่คุ้มก็ต่อเมื่อได้สูญเสียความใกล้ชิดผูกพันในครอบครัวหรือสูญเสียลูกไปแล้ว
    .
    การทำงานหนักเพื่อหาเงินและใช้จ่ายเงินเพื่อดำรงชีพและหาความสุขไม่ใช่เรื่องเสียหาย เช่นเดียวกับการมีบัตรเครดิตและการกู้ยืม ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นบริการด้านการเงินที่มีประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตและช่วยให้บรรลุความต้องการในชีวิต ประเด็นสำคัญอยู่ที่ความเหมาะสมระหว่างสถานะทางการเงินของครอบครัวกับหนี้ที่ก่อขึ้น
    .
    3.จะไม่กู้เงินเพื่อสิ่งอื่นใด นอกจากที่อยู่อาศัย การศึกษา หรือเหตุฉุกเฉินด้านปัญหาสุขภาพ นี่คือความเชื่ออย่างนึงของคนในโลกตะวันตก ที่เข้าใจเรื่องการใช้เงินมายาวนานกว่าคนเอเชีย
    .
    การมีที่อยู่อาศัยของตนเอง เป็นพื้นฐานของความมั่งคงในชีวิต นักจิตวิทยาบอกว่า ลึกเข้าไปในใจของมนุษย์ทุกคน บ้านคือตัวแทนของแม่ เพราะบ้านป้องกัน แสงแดด ลมฝน และความหนาวเย็น ก่อให้เกิดความสุขสบายปลอดภัย เฉกเช่นเดียวกับครรภ์มารดา
    .
    การที่ครอบครัวจะมีบ้านเป็นของตนเองนั้นควรเป็นเป้าหมายแรกของพ่อแม่ เพราะทำให้ไม่ต้องจ่ายค่าเช่าบ้าน ซึ่งค่าเช่านี้อาจแปรเปลี่ยนเป็นเงินผ่อนซื้อบ้านในแต่ละเดือนได้ หากมีการกู้ยืมเพื่อผ่อนซื้อบ้านหลังเดียวกันนี้ ผู้จ่ายค่าเช่าทุกเดือนไม่มีความหวังว่าจะได้เป็นเจ้าของบ้านในวันข้างหน้า ซึ่งต่างจากผู้ซื้อบ้านที่มีโอกาสในวันข้างหน้าที่จะไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการอยู่อาศัยอีก เนื่องจากเป็นเจ้าของบ้านเอง นอกจากนี้ภายใต้กฏหมายไทย ไม่อาจใช้ค่าเช่าบ้านเป็นค่าลดหย่อนสำหรับการเสียถาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี แต่ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อผ่อนซื้อบ้านสามารถหักเป็นค่าลดหย่อนได้ไม่เกิน 50,000 บาท
    .
    อย่างไรก็ดี การผ่อนซื้อบ้านเป็นภาระการเงินที่หนักหน่วง เพราะไม่เพียงแต่ต้องจ่ายเงินผ่อนชำระทุกเดือนเท่านั้น ยังมีระยะเวลาผูกพันอันยาวนานเกี่ยวข้องอีกด้วย การผ่อนบ้านจึงเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญของครอบครัว ซึ่งต้องคำนึงถึงราคาบ้าน ความสามารถในการผ่อนชำระแต่ละเดือน อัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันและอนาคต ความแน่นอนของรายได้ ระยะเวลาแห่งการผูกมัด ศักยภาพการเพิ่มขึ้นของมูลค่าบ้าน ตลอดจน “ความแพง” ของบ้านในภาพรวม
    .
    ยกตัวอย่าง “ความแพง” ของบ้านเพื่อประกอบการพิจารณา : ถ้ากู้เงินซื้อบ้านราคา 100,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 10 ผ่อนชำระ 10 ปี ต้องชำระเดือนละ 1,322 บาท ดังนั้นต้องจ่ายเงินรวมทั้งสิ้น 158,640 บาท สำหรับบ้านราคา 100,000 บาท (ถ้าผ่อนส่ง 20 ปี ต้องจ่ายรวมทั้งสิ้น 316,080 บาท สำหรับบ้านราคา 100,000 บาท)
    .
    ถ้ากู้เงินซื้อบ้านราคา 5 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 10 ผ่อนส่ง 10 ปี ต้องชำระเดือนละ 66,100 บาท ดังนั้นต้องจ่ายรวมทั้งสิ้น 7.93 ล้านบาท และถ้าผ่อนส่ง 15 ปี ต้องชำระเดือนละ 53,750 บาท ดังนั้นต้องจ่ายรวมทั้งสิ้นประมาณ 9.68 ล้านบาท หรืออีกเกือบหนึ่งเท่าของราคาบ้าน
    .
    ถึงแม้การกู้ยืมจะทำให้บ้าน “แพง” ขึ้นมาก แต่ก็ทำให้สามารถมีบ้านอยู่อาศัยที่เป็นของตนเองในอนาคต และมูลค่าบ้านก็อาจเพิ่มขึ้นอีกด้วย ดังนั้นจึงควรใคร่ครวญทั้งในด้าน “ความแพง” อันเกิดจากดอกเบี้ย ความมีคุณค่าของบ้านในปัจจุบันและมูลค่าบ้านในอนาคตประกอบกัน
    รู้จักใช้ เข้าใจเงิน ตอนที่ 7 การสร้างความมั่นคงด้านการเงินแก่ครอบครัว . ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างพ่อแม่และการเป็นครอบครัวที่อบอุ่นโยงใยกับการจัดการเรื่องการเงินอย่างไม่อ่จหลีกเลี่ยงได้ การที่คนสองคนมาร่วมชีวิตกันและมีลูก คือทางเลือกของชีวิตที่ทั้งสองได้ตัดสินใจแล้ว ดังนั้นจึงต้องร่วมกันรับผิดชอบให้ครอบครัวมีความสุข มีความเป็นปึกแผ่นด้านการเงิน ซึ่งจะนำไปสู่ความมั่นคงของทุกๆคนในครอบครัว . ในเบื้องแรก สามีภรรยาต้องพูดจาตกลงกันให้ชัดเจนเกี่ยวกับการจัดการเงินทองของครอบครัว เช่น จะรวมกระเป๋าและแยกกระเป๋ากันอย่างไร ค่าใช้จ่ายของครอบครัวจะรับผิดชอบกันอย่างไร ข้อพิจารณาในเรื่องนี้มีดังนี้ . การตัดสินใจทางการเงินของพ่อแม่จะต้องเป็นหน่วยเดียวกัน การซื้อสิ่งของที่มีราคาสูงและผูกมัดทางการเงินของครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นการซื้อรถยนต์ ซื้อบ้าน ซื้อที่ดิน ลงทุนธุรกิจ ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ จะต้องมีการปรึกษาหารือ และตัดสินใจร่วมกันเพื่อให้ทั้งสองฝ่ายทราบถึงภาระผูกพันที่จะเกิดขึ้น . การใช้จ่ายที่ต่างคนต่างทำ เช่น การใช้บัตรเครดิต การเล่นหุ้น เล่นแชร์ การร่วมลงทุนกับผู้อื่น ควรให้แต่ละฝ่ายได้รับรู้ เพราะเป็นบุคคลเดียวกันตามกฏหมาย (ในกรณีจดทะเบียนสมรส) ทั้งพ่อและแม่ต้องรับรู้ข้อมูลและรับผิดชอบสถานะการเงินของครอบครัวร่วมกัน ถ้าฝ่ายหนึ่งใช้เงินอย่างเดียวโดยไม่ยอมรับรู้เรื่องรายได้ ไม่ยอมหรือไม่ร่วมปรึกษาหารือในการวางแผนการเงินของครอบครัว ความมั่นคงทางการเงินของครอบครัวก็เกิดขึ้นไม่ได้ . การวางแผนการเงินของครอบครัวเป็นเรื่องสำคัญที่พ่อแม่จะต้องจัดไว้ในลำดับสำคัญสูงสุด การจดบันทึกข้อมูลการใช้จ่ายในแต่ละเดือนจะทำให้เห็นภาพรวมของการใช้จ่าย ซึ่งจะเป็นปัจจัยนำไปสู่ความสามารถในการออมของครอบครัว ในการสร้างความมั้นคงด้านการเงินให้แก่ครอบครัว ประเด็นที่พึงพิจารณามีดังต่อไปนี้ . 1.ความมั่งคั่งและการมีรายได้ต่อช่วงเวลานั้นแตกต่างกัน ถ้าเปรียบเงินเหมือนน้ำที่อยู่ในถัง รายได้เสมือนน้ำที่ไหลออกจากก้นถังในช่วงเวลาหนึ่ง ถ้าน้ำไหลเข้าถังมากกว่าน้ำที่ไหลออก ปริมาณน้ำในถังที่ได้สะสมมาก่อนหน้า ก็จะมากขึ้น แต่ถ้าน้ำไหลออกจากถังในช่วงเวลาหนึ่งมากกว่าน้ำไหลเข้า ดังนั้น ปริมาณน้ำในถังที่สะสมมาก่อนหน้าก็จะลดลง ความมั่งคั่งก็คือปริมาณน้ำที่อยู่ในถัง ส่วนรายได้ก็คือปริมาณน้ำที่ไหลเข้าถึงในช่วงเวลานั้น . ความมั่งคั่งวัด ณ จุดหนึ่งของเวลา ส่วนการมีรายได้เป็นการวัดต่อช่วงเวลา เช่น บ้านมีมูลค่า 3 ล้านบาท ณ วันที่ 31 ธันวามคม 2568 เป็นความมั่งคั่ง ส่วนรายได้ 5 หมื่นบาทต่อเดือนเป็นการมีรายได้ . สองสิ่งนี้แตกต่างกัน ความมั่งคั่งมีนัยผูกพันกับอนาคตที่จะมีรายได้ให้ใช้ ส่วนการมีรายได้นั้นมีนัยผูกพันกับช่วงเวลาสั้นๆ บางครอบครัวอาจมีรายได้ต่อเดือนมาก แต่อาจไม่มีความมั่งคั่งก็เป็นได้ กล่าวคือ ถึงมีรายได้มากก็ใช้ไปจนหมด ไม่เหลือไว้สร้างความมั่งคั่งซึ่งจะทำให้มีรายได้เพิ่มเติมอีกเลยในอนาคต . การสร้างความมั่งคั่งของครอบครัวต้องเน้นไปที่การสะสมความมั่งคั่งในระยะยาว ในแต่ละเดือนจะต้องมีรายได้มากกว่าการใช้จ่าย ซึงหมายถึงมีเงินออมนั่นเอง จึงจะทำให้ความมั่งคั่งเพิ่มพูนขึ้นได้ และความมั่งคั่งนี้จะเป็นฐานของการหารายได้เพิ่มเติมอีกทางหนึ่งสำหรับครอบครัวนอกเหนือจากการออกแรงทำงาน . 2.การใช้จ่ายเงินอย่างชาญฉลาด สอดคล้องกับเงินในกระเป๋าเป็นเรื่องสำคัญ สุภาษิต “การหาเงินเป็นเรื่องสำคัญ แต่การรู้จักใช้เงินนั้นสำคัญกว่า” เป็นจริงทุกยุคสมัย..... พ่อแม่จำนวนมากทำงานหนักหาเงินเพื่อสร้างความมั่นคงให้แก่ครอบครัวโดยมีต้นทุนที่ต้องจ่าย นั่นคือมีเวลาให้ลูกน้อยลง ทำให้ความเอาใจใส่และผูกพันกับลูกลดลงน้อยลงไปด้วย . พ่อแม่เหล่านี้ มักเน้นการหารายได้แต่เพียงอย่างเดียวจนละเลยความสำคัญของการใช้จ่าย รายได้ส่วนหนึ่งมักถูกนำไปใช้จ่ายเพื่อชดเชยที่ใกล้ชิดลูกน้อยลง จนอาจทำให้เงินออมขนาดใหญ่ในแต่ละเดือนเกิดขึ้นไม่ได้ ดังนั้น การทุ่มเทหาเงินทองในกรณีนี้จึงไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ครอบครัวมากดังที่เข้าใจ หรือคาดหวัง บางครอบครัวกว่าจะรู้ตัวว่าไม่คุ้มก็ต่อเมื่อได้สูญเสียความใกล้ชิดผูกพันในครอบครัวหรือสูญเสียลูกไปแล้ว . การทำงานหนักเพื่อหาเงินและใช้จ่ายเงินเพื่อดำรงชีพและหาความสุขไม่ใช่เรื่องเสียหาย เช่นเดียวกับการมีบัตรเครดิตและการกู้ยืม ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นบริการด้านการเงินที่มีประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตและช่วยให้บรรลุความต้องการในชีวิต ประเด็นสำคัญอยู่ที่ความเหมาะสมระหว่างสถานะทางการเงินของครอบครัวกับหนี้ที่ก่อขึ้น . 3.จะไม่กู้เงินเพื่อสิ่งอื่นใด นอกจากที่อยู่อาศัย การศึกษา หรือเหตุฉุกเฉินด้านปัญหาสุขภาพ นี่คือความเชื่ออย่างนึงของคนในโลกตะวันตก ที่เข้าใจเรื่องการใช้เงินมายาวนานกว่าคนเอเชีย . การมีที่อยู่อาศัยของตนเอง เป็นพื้นฐานของความมั่งคงในชีวิต นักจิตวิทยาบอกว่า ลึกเข้าไปในใจของมนุษย์ทุกคน บ้านคือตัวแทนของแม่ เพราะบ้านป้องกัน แสงแดด ลมฝน และความหนาวเย็น ก่อให้เกิดความสุขสบายปลอดภัย เฉกเช่นเดียวกับครรภ์มารดา . การที่ครอบครัวจะมีบ้านเป็นของตนเองนั้นควรเป็นเป้าหมายแรกของพ่อแม่ เพราะทำให้ไม่ต้องจ่ายค่าเช่าบ้าน ซึ่งค่าเช่านี้อาจแปรเปลี่ยนเป็นเงินผ่อนซื้อบ้านในแต่ละเดือนได้ หากมีการกู้ยืมเพื่อผ่อนซื้อบ้านหลังเดียวกันนี้ ผู้จ่ายค่าเช่าทุกเดือนไม่มีความหวังว่าจะได้เป็นเจ้าของบ้านในวันข้างหน้า ซึ่งต่างจากผู้ซื้อบ้านที่มีโอกาสในวันข้างหน้าที่จะไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการอยู่อาศัยอีก เนื่องจากเป็นเจ้าของบ้านเอง นอกจากนี้ภายใต้กฏหมายไทย ไม่อาจใช้ค่าเช่าบ้านเป็นค่าลดหย่อนสำหรับการเสียถาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี แต่ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อผ่อนซื้อบ้านสามารถหักเป็นค่าลดหย่อนได้ไม่เกิน 50,000 บาท . อย่างไรก็ดี การผ่อนซื้อบ้านเป็นภาระการเงินที่หนักหน่วง เพราะไม่เพียงแต่ต้องจ่ายเงินผ่อนชำระทุกเดือนเท่านั้น ยังมีระยะเวลาผูกพันอันยาวนานเกี่ยวข้องอีกด้วย การผ่อนบ้านจึงเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญของครอบครัว ซึ่งต้องคำนึงถึงราคาบ้าน ความสามารถในการผ่อนชำระแต่ละเดือน อัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันและอนาคต ความแน่นอนของรายได้ ระยะเวลาแห่งการผูกมัด ศักยภาพการเพิ่มขึ้นของมูลค่าบ้าน ตลอดจน “ความแพง” ของบ้านในภาพรวม . ยกตัวอย่าง “ความแพง” ของบ้านเพื่อประกอบการพิจารณา : ถ้ากู้เงินซื้อบ้านราคา 100,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 10 ผ่อนชำระ 10 ปี ต้องชำระเดือนละ 1,322 บาท ดังนั้นต้องจ่ายเงินรวมทั้งสิ้น 158,640 บาท สำหรับบ้านราคา 100,000 บาท (ถ้าผ่อนส่ง 20 ปี ต้องจ่ายรวมทั้งสิ้น 316,080 บาท สำหรับบ้านราคา 100,000 บาท) . ถ้ากู้เงินซื้อบ้านราคา 5 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 10 ผ่อนส่ง 10 ปี ต้องชำระเดือนละ 66,100 บาท ดังนั้นต้องจ่ายรวมทั้งสิ้น 7.93 ล้านบาท และถ้าผ่อนส่ง 15 ปี ต้องชำระเดือนละ 53,750 บาท ดังนั้นต้องจ่ายรวมทั้งสิ้นประมาณ 9.68 ล้านบาท หรืออีกเกือบหนึ่งเท่าของราคาบ้าน . ถึงแม้การกู้ยืมจะทำให้บ้าน “แพง” ขึ้นมาก แต่ก็ทำให้สามารถมีบ้านอยู่อาศัยที่เป็นของตนเองในอนาคต และมูลค่าบ้านก็อาจเพิ่มขึ้นอีกด้วย ดังนั้นจึงควรใคร่ครวญทั้งในด้าน “ความแพง” อันเกิดจากดอกเบี้ย ความมีคุณค่าของบ้านในปัจจุบันและมูลค่าบ้านในอนาคตประกอบกัน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 401 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts