• ลองนึกดูว่าเวลาเราพิมพ์คำถามยาว ๆ ใส่ AI อย่าง ChatGPT แล้วระบบต้องใช้พลังงานมหาศาลขนาดไหนเพื่อ “เข้าใจ–แยกประเด็น–ค้นหาคำตอบ” → ล่าสุด UNESCO เผยว่าการถามคำถามให้ “สั้นลง–ชัดขึ้น” และเลือกใช้โมเดลที่ “เล็กลง–เฉพาะทาง” แทนโมเดลใหญ่แบบ general-purpose จะช่วยลดการใช้พลังงานได้ถึง 90%!

    ยกตัวอย่าง ChatGPT — ผู้บริหาร OpenAI เคยเผยว่า ทุกคำถามที่ถามใช้ไฟฟ้าประมาณ 0.34 Wh ซึ่งมากกว่าการค้นหาบน Google ถึง 10–70 เท่า → ถ้านับคำถามเฉลี่ยวันละพันล้านครั้ง เท่ากับใช้ไฟปีละ 310 GWh = เท่ากับคนเอธิโอเปีย 3 ล้านคนใช้ทั้งปี!

    และที่น่าตกใจคือความต้องการพลังงานของ AI กำลัง “เพิ่มเป็นเท่าตัวทุก 100 วัน” เพราะคนใช้มากขึ้น และ AI ถูกฝังเข้าไปในหลายแอปฯ → เทคโนโลยีที่ควรช่วยโลก อาจกำลังเผาโลกช้า ๆ ถ้าเราไม่จัดการพลังงานที่ใช้

    ข่าวดีคือผู้ผลิต AI หลายรายก็เริ่มปล่อย “เวอร์ชันขนาดเล็ก” เช่น → Google Gemma, Microsoft Phi-3, OpenAI GPT-4o mini, และ Mistral AI กับรุ่น Ministral

    UNESCO เผยวิธีลดพลังงาน AI ได้ 90% โดยไม่ลดคุณภาพ:  
    • ลดความยาวคำถามจาก 300 → 150 คำ  
    • เปลี่ยนจากโมเดลขนาดใหญ่ → เป็นโมเดลเฉพาะทางที่เล็กลง

    ChatGPT ใช้พลังงานประมาณ 0.34 Wh ต่อการถาม 1 ครั้ง  
    • มากกว่า Google Search 10–70 เท่า  
    • วันละ 1 พันล้านคำถาม = 310 GWh/ปี

    การใช้โมเดลขนาดใหญ่ = ต้องโหลดข้อมูลมหาศาลทุกครั้งที่ตอบ  
    • หากใช้โมเดลเล็กเฉพาะทาง จะใช้พลังงานน้อยลงมาก

    ปัจจุบัน Tech Giants ออกโมเดลขนาดเล็กเพื่อประหยัดพลังงานและทำงานเฉพาะทางได้ไวขึ้น:

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/09/study-ai-needs-to-be-smaller-reduce-energy-footprint
    ลองนึกดูว่าเวลาเราพิมพ์คำถามยาว ๆ ใส่ AI อย่าง ChatGPT แล้วระบบต้องใช้พลังงานมหาศาลขนาดไหนเพื่อ “เข้าใจ–แยกประเด็น–ค้นหาคำตอบ” → ล่าสุด UNESCO เผยว่าการถามคำถามให้ “สั้นลง–ชัดขึ้น” และเลือกใช้โมเดลที่ “เล็กลง–เฉพาะทาง” แทนโมเดลใหญ่แบบ general-purpose จะช่วยลดการใช้พลังงานได้ถึง 90%! ยกตัวอย่าง ChatGPT — ผู้บริหาร OpenAI เคยเผยว่า ทุกคำถามที่ถามใช้ไฟฟ้าประมาณ 0.34 Wh ซึ่งมากกว่าการค้นหาบน Google ถึง 10–70 เท่า → ถ้านับคำถามเฉลี่ยวันละพันล้านครั้ง เท่ากับใช้ไฟปีละ 310 GWh = เท่ากับคนเอธิโอเปีย 3 ล้านคนใช้ทั้งปี! และที่น่าตกใจคือความต้องการพลังงานของ AI กำลัง “เพิ่มเป็นเท่าตัวทุก 100 วัน” เพราะคนใช้มากขึ้น และ AI ถูกฝังเข้าไปในหลายแอปฯ → เทคโนโลยีที่ควรช่วยโลก อาจกำลังเผาโลกช้า ๆ ถ้าเราไม่จัดการพลังงานที่ใช้ ข่าวดีคือผู้ผลิต AI หลายรายก็เริ่มปล่อย “เวอร์ชันขนาดเล็ก” เช่น → Google Gemma, Microsoft Phi-3, OpenAI GPT-4o mini, และ Mistral AI กับรุ่น Ministral ✅ UNESCO เผยวิธีลดพลังงาน AI ได้ 90% โดยไม่ลดคุณภาพ:   • ลดความยาวคำถามจาก 300 → 150 คำ   • เปลี่ยนจากโมเดลขนาดใหญ่ → เป็นโมเดลเฉพาะทางที่เล็กลง ✅ ChatGPT ใช้พลังงานประมาณ 0.34 Wh ต่อการถาม 1 ครั้ง   • มากกว่า Google Search 10–70 เท่า   • วันละ 1 พันล้านคำถาม = 310 GWh/ปี ✅ การใช้โมเดลขนาดใหญ่ = ต้องโหลดข้อมูลมหาศาลทุกครั้งที่ตอบ   • หากใช้โมเดลเล็กเฉพาะทาง จะใช้พลังงานน้อยลงมาก ✅ ปัจจุบัน Tech Giants ออกโมเดลขนาดเล็กเพื่อประหยัดพลังงานและทำงานเฉพาะทางได้ไวขึ้น: https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/09/study-ai-needs-to-be-smaller-reduce-energy-footprint
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Study: AI needs to be smaller, reduce energy footprint
    The potential of artificial intelligence is immense – but its equally vast energy consumption needs curbing, with asking shorter questions one way to achieve, said a UNESCO study unveiled on July 8.
    0 Comments 0 Shares 103 Views 0 Reviews
  • "ชุดไทยพระราชนิยม" จ่อขึ้นทะเบียน UNESCO กัมพูชา ส่งประเพณีแต่งงานสู้ แต่สอดไส้ใส่ชุดไทย
    https://www.thai-tai.tv/news/20091/
    .
    #ชุดไทยพระราชนิยม #UNESCO #มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม #วัฒนธรรมไทย #ประเพณีแต่งงานกัมพูชา #การขึ้นทะเบียนยูเนสโก #มรดกโลก #IntangibleCulturalHeritage #ASEANมองไทย
    "ชุดไทยพระราชนิยม" จ่อขึ้นทะเบียน UNESCO กัมพูชา ส่งประเพณีแต่งงานสู้ แต่สอดไส้ใส่ชุดไทย https://www.thai-tai.tv/news/20091/ . #ชุดไทยพระราชนิยม #UNESCO #มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม #วัฒนธรรมไทย #ประเพณีแต่งงานกัมพูชา #การขึ้นทะเบียนยูเนสโก #มรดกโลก #IntangibleCulturalHeritage #ASEANมองไทย
    0 Comments 0 Shares 102 Views 0 Reviews
  • TOR 2003 และการประชุม JBC ที่เกี่ยวข้องกับการปักปันเขตแดนไทย–กัมพูชา มีผู้ดำรงตำแหน่งสำคัญที่เกี่ยวข้องดังนี้:


    ---

    ช่วงการลงนาม TOR 2003

    18 มิถุนายน 2546 (พ.ศ. 2003)

    นายกรัฐมนตรี: พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร

    รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ:
    นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย

    ผู้ร่วมลงนามฝ่ายไทย:
    นายธีรชัย ภูวนาถนรานุบาล – เอกอัครราชทูตไทยประจำกัมพูชา (ในขณะนั้น)



    ---

    ช่วง JBC ระยอง (พ.ย. 2551) – รัฐบาล นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์

    นายกรัฐมนตรี: นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์

    รมว.ต่างประเทศ: นายสมพงษ์ สระกวี

    เป็นการประชุมที่ยืนยันดำเนินการตาม TOR 2003



    ---

    JBC ช่วงรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (2552–2554)

    นายกรัฐมนตรี: นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

    รมว.ต่างประเทศ: นายกษิต ภิรมย์

    ประธาน JBC ฝ่ายไทย:
    นายธานี ทองภักดี (ในบางช่วงดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการกองเขตแดน กระทรวงการต่างประเทศ)

    JTSC ครั้งที่ 4 (14 ก.ค. 2567)
    นายกรัฐมนตรี: นายเศษฐา ทวีสิน
    จุดเริ่มต้นการผลักดันและนำ JTSC JWG TOR2003 กลับมาขับเคลื่อนอีกครั้ง

    ---

    JBC ครั้งที่ 6 (14 มิ.ย. 2568) – ล่าสุด
    นายกรัฐมนตรี: น.ส.แพทองธาร ชินวัตร
    รมว.ต่างประเทศ: ยังไม่เปิดเผยชื่ออย่างเป็นทางการ (อาจเปลี่ยนมือระหว่างปี)

    ประธาน JBC ฝ่ายไทย:
    นายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย – ที่ปรึกษาด้านเขตแดน กระทรวงการต่างประเทศ


    สรุป:
    ช่วงรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการ “ฟื้นฟูการดำเนินการ JTSC อย่างเป็นทางการ”
    โดยมีความเคลื่อนไหวสำคัญคือการยอมรับผลการสำรวจ 45 จุด และเปิดทางให้จัดทำ TI
    ซึ่งจะมีผลทางกฎหมายในรัฐบาลถัดมา (แพทองธาร)


    --พฤติกรรมของกัมพูชาในช่วงหลายปีที่ผ่านมาแสดงให้เห็นถึง การดำเนินการเชิงยุทธศาสตร์ที่เป็นระบบ มีเป้าหมายชัดเจน และใช้เครื่องมือทางกฎหมายระหว่างประเทศเพื่อยืนยันสิทธิในดินแดนโดย:


    ---

    วิเคราะห์พฤติกรรมที่ผ่านมา

    1. ใช้ TOR 2003 เป็นฐานเจรจา โดยไม่เปลี่ยนกรอบการตีความ


    2. พยายามบรรจุแนวเขตตามแผนที่ 1:200,000 ลงในกระบวนการทางเทคนิค เช่น TI / Orthophoto


    3. ยืนยันพิกัดรายหลักอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้ไทย “ลงนามรับรองร่วม”


    4. เก็บหลักฐานการยอมรับจากฝ่ายไทย เพื่อนำไปใช้ในเวทีระหว่างประเทศ




    ---

    สิ่งที่ “กัมพูชาอาจทำต่อไป”:

    ลำดับ กลยุทธ์ที่เป็นไปได้ เป้าหมาย

    1 เร่งผลักดันให้ไทยลงนาม TI อย่างเป็นทางการ ล็อกแนวเขตให้สอดคล้องกับแผนที่ 1:200,000
    2 จัดเก็บข้อมูลพิกัดที่ไทยร่วมลงนามไว้เป็นหลักฐาน ใช้ยืนยันต่อ ICJ หรือในเวที UN
    3 ขอให้ไทยร่วมแผนปักเสาเขตร่วมในพื้นที่พิพาท สร้าง “แนวเส้นที่เกิดจากการรับรองร่วม”
    4 ไม่หารือในพื้นที่สำคัญ เช่น ปราสาทตาเมือนฯ ผ่าน JBC เพื่อบังคับไทยเข้าสู่ ICJ ในภายหลัง
    5 ขอความช่วยเหลือจากชาติสมาชิกอาเซียน / UNESCO ใช้ soft power หนุนสถานะทางประวัติศาสตร์และสิทธิในดินแดน



    ---

    ความเสี่ยง:

    หากไทย “ลงนามรับรอง TI / พิกัด” โดยไม่เปิดเผยให้รัฐสภา-ประชาชนตรวจสอบ
    → จะถูกตีความว่า “ยอมรับเขตแดนร่วมแล้ว”

    หากไทยเงียบและไม่แสดงจุดยืน → กัมพูชาจะใช้ “หลักฐานความนิ่งเฉย” โจมตีในเวทีสากล

    เมื่อแนวเขตปรากฏในเอกสารระหว่างประเทศ → ไทยจะฟ้องกลับภายหลัง ยากมาก


    TOR 2003 และการประชุม JBC ที่เกี่ยวข้องกับการปักปันเขตแดนไทย–กัมพูชา มีผู้ดำรงตำแหน่งสำคัญที่เกี่ยวข้องดังนี้: --- 📌 ช่วงการลงนาม TOR 2003 📅 18 มิถุนายน 2546 (พ.ศ. 2003) 🧑‍⚖️ นายกรัฐมนตรี: พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร 🕴️ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ: นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย 📌 ผู้ร่วมลงนามฝ่ายไทย: นายธีรชัย ภูวนาถนรานุบาล – เอกอัครราชทูตไทยประจำกัมพูชา (ในขณะนั้น) --- 📌 ช่วง JBC ระยอง (พ.ย. 2551) – รัฐบาล นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ 🧑‍⚖️ นายกรัฐมนตรี: นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ 🕴️ รมว.ต่างประเทศ: นายสมพงษ์ สระกวี 🧾 เป็นการประชุมที่ยืนยันดำเนินการตาม TOR 2003 --- 📌 JBC ช่วงรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (2552–2554) 🧑‍⚖️ นายกรัฐมนตรี: นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ 🕴️ รมว.ต่างประเทศ: นายกษิต ภิรมย์ 🎙️ ประธาน JBC ฝ่ายไทย: นายธานี ทองภักดี (ในบางช่วงดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการกองเขตแดน กระทรวงการต่างประเทศ) 📌 JTSC ครั้งที่ 4 (14 ก.ค. 2567) 🧑‍⚖️ นายกรัฐมนตรี: นายเศษฐา ทวีสิน จุดเริ่มต้นการผลักดันและนำ JTSC JWG TOR2003 กลับมาขับเคลื่อนอีกครั้ง --- 📌 JBC ครั้งที่ 6 (14 มิ.ย. 2568) – ล่าสุด 🧑‍⚖️ นายกรัฐมนตรี: น.ส.แพทองธาร ชินวัตร 🕴️ รมว.ต่างประเทศ: ยังไม่เปิดเผยชื่ออย่างเป็นทางการ (อาจเปลี่ยนมือระหว่างปี) 🎙️ ประธาน JBC ฝ่ายไทย: นายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย – ที่ปรึกษาด้านเขตแดน กระทรวงการต่างประเทศ 📍 สรุป: ช่วงรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการ “ฟื้นฟูการดำเนินการ JTSC อย่างเป็นทางการ” โดยมีความเคลื่อนไหวสำคัญคือการยอมรับผลการสำรวจ 45 จุด และเปิดทางให้จัดทำ TI ซึ่งจะมีผลทางกฎหมายในรัฐบาลถัดมา (แพทองธาร) --พฤติกรรมของกัมพูชาในช่วงหลายปีที่ผ่านมาแสดงให้เห็นถึง การดำเนินการเชิงยุทธศาสตร์ที่เป็นระบบ มีเป้าหมายชัดเจน และใช้เครื่องมือทางกฎหมายระหว่างประเทศเพื่อยืนยันสิทธิในดินแดนโดย: --- ✅ วิเคราะห์พฤติกรรมที่ผ่านมา 1. ใช้ TOR 2003 เป็นฐานเจรจา โดยไม่เปลี่ยนกรอบการตีความ 2. พยายามบรรจุแนวเขตตามแผนที่ 1:200,000 ลงในกระบวนการทางเทคนิค เช่น TI / Orthophoto 3. ยืนยันพิกัดรายหลักอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้ไทย “ลงนามรับรองร่วม” 4. เก็บหลักฐานการยอมรับจากฝ่ายไทย เพื่อนำไปใช้ในเวทีระหว่างประเทศ --- 📌 สิ่งที่ “กัมพูชาอาจทำต่อไป”: ลำดับ กลยุทธ์ที่เป็นไปได้ เป้าหมาย 1 เร่งผลักดันให้ไทยลงนาม TI อย่างเป็นทางการ ล็อกแนวเขตให้สอดคล้องกับแผนที่ 1:200,000 2 จัดเก็บข้อมูลพิกัดที่ไทยร่วมลงนามไว้เป็นหลักฐาน ใช้ยืนยันต่อ ICJ หรือในเวที UN 3 ขอให้ไทยร่วมแผนปักเสาเขตร่วมในพื้นที่พิพาท สร้าง “แนวเส้นที่เกิดจากการรับรองร่วม” 4 ไม่หารือในพื้นที่สำคัญ เช่น ปราสาทตาเมือนฯ ผ่าน JBC เพื่อบังคับไทยเข้าสู่ ICJ ในภายหลัง 5 ขอความช่วยเหลือจากชาติสมาชิกอาเซียน / UNESCO ใช้ soft power หนุนสถานะทางประวัติศาสตร์และสิทธิในดินแดน --- 🚨 ความเสี่ยง: หากไทย “ลงนามรับรอง TI / พิกัด” โดยไม่เปิดเผยให้รัฐสภา-ประชาชนตรวจสอบ → จะถูกตีความว่า “ยอมรับเขตแดนร่วมแล้ว” หากไทยเงียบและไม่แสดงจุดยืน → กัมพูชาจะใช้ “หลักฐานความนิ่งเฉย” โจมตีในเวทีสากล เมื่อแนวเขตปรากฏในเอกสารระหว่างประเทศ → ไทยจะฟ้องกลับภายหลัง ยากมาก
    0 Comments 0 Shares 219 Views 0 Reviews
  • “ฮุน มาเนต” โพสต์กัมพูชามีมรดกทางวัฒนธรรมเพียบ ยินดีครบรอบ 74 ปี กัมพูชาเป็นสมาชิกยูเนสโก (UNESCO)
    https://www.thai-tai.tv/news/19979/
    “ฮุน มาเนต” โพสต์กัมพูชามีมรดกทางวัฒนธรรมเพียบ ยินดีครบรอบ 74 ปี กัมพูชาเป็นสมาชิกยูเนสโก (UNESCO) https://www.thai-tai.tv/news/19979/
    0 Comments 0 Shares 92 Views 0 Reviews
  • โดย...วิมลพรรณ ปีตธวัชชัย

    สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยือนราชอาณาจักรกัมพูชาหลายครั้ง ทรงพบว่าประชาชนที่อยู่ในท้องถิ่นห่างไกลมีความทุกข์ยากอันเนื่องมาจากขาดโอกาสทางการศึกษาและความยากลำบากในการเข้ารับการศึกษาของเด็กชาวกัมพูชา ซึ่งปัญหาดังกล่าวมีความคล้ายคลึงกับปัญหาในประเทศไทย จึงมีพระราชดำริพระราชทานความช่วยเหลือแก่กัมพูชา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการศึกษาและการสาธารณสุขขั้นพื้นฐาน และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กรมราชองครักษ์ กองบัญชาการทหารสูงสุด กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน และคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมสนองพระราชดำริ ได้โปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งคณะกรรมการโครงการโรงเรียนพระราชทานในราชอาณาจักรกัมพูชา และทรงรับเป็นประธานโครงการ

    รัฐบาลกัมพูชาโดยฮุนเซน นายกรัฐมนตรี ได้แสดงความปลื้มปีติในพระมหากรุณาธิคุณ และยินดีรับสนองพระราชดำริอย่างเต็มที่ และน้อมเกล้าฯ ถวายที่ดินจำนวน 45 ไร่ ตั้งอยู่ที่ตำบลซ็อมโบร์ จังหวัดกำปงธม สำหรับเป็นพื้นที่ก่อสร้างวิทยาลัยกำปงเฌอเตียล

    วันที่ 17 พ.ค. 2544 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เสด็จพระราชดำเนินไปทรงวางศิลาฤกษ์ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเงินค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างอาคารสถานที่ต่างๆ โดยเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่เดือน ก.ย. 2544 ต่อมามีการก่อสร้างอาคารเพิ่มเติมอีกจำนวนมากและขยายพื้นที่ออกไปอีก 72 ไร่ รวมเป็น 117 ไร่ การก่อสร้างทั้งหมดเสร็จสิ้นในเดือน เม.ย. 2548

    วิทยาลัยกำปงเฌอเตียล เป็นโรงเรียนระดับมัธยมศึกษา เปิดสอนทั้งสายสามัญและสายอาชีวศึกษา ปัจจุบันมีนักเรียนรวมประมาณ 1,200 คน โครงการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เด็กและเยาวชนกัมพูชามีโอกาสได้รับการศึกษามากขึ้น ดังพระราชดำรัสในพิธีเปิดวิทยาลัยกำปงเฌอเตียล ณ จังหวัดกำปงธม ประเทศกัมพูชา เมื่อวันที่ 10 พ.ย. 2548 ความตอนหนึ่งว่า

    “... ข้าพเจ้ามาศึกษาศิลปะและวัฒนธรรมในประเทศกัมพูชาหลายครั้งทุกครั้งที่มารัฐบาลแห่งประเทศกัมพูชา อีกทั้งประชาชนชาวกัมพูชาต้อนรับข้าพเจ้าอย่างดียิ่ง สะท้อนให้เห็นความเป็นมิตรที่ดีต่อกันมานาน ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจไมตรีของรัฐบาลและประชาชนกัมพูชา และมีใจปรารถนาที่จะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นการสนองตอบ ข้าพเจ้าไม่เห็นว่าจะมีสิ่งใดดีไปกว่าการส่งเสริมการศึกษา เพื่อให้เยาวชนมีความรู้และมีอนาคต จึงได้คิดโครงการสร้างสถานศึกษาขึ้น ณที่นี้ เมื่อเริ่มต้นโครงการก็ได้รับการสนับสนุนจากหลายๆ ฝ่าย จากทั้งสองประเทศ และผู้มีจิตศรัทธาร่วมช่วยเหลือเป็นจำนวนมาก... วิทยาลัยกำปงเฌอเตียลนี้ จะเป็นเสมือนอนุสรณ์แห่งสายสัมพันธ์อันมั่นคงและยั่งยืนระหว่างเราสองประเทศสืบไปตราบนานเท่านาน ...”

    นอกจากนี้ เพื่อเป็นการสนับสนุนการศึกษาของวิทยาลัย ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานทุนแก่นักเรียนเพื่อให้มาศึกษาต่อในประเทศไทยในหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิตและหลักสูตรอาชีวศึกษาเพื่อนำความรู้กลับไปสอนและพัฒนาการจัดการศึกษาของวิทยาลัย นอกจากนี้ ยังได้พระราชทานเครื่องดนตรีปี่พาทย์ครบชุด และพระราชทานทรัพย์สำหรับจ้างครูท้องถิ่นผู้ชำนาญการสอนนาฏศิลป์และดนตรี

    ต่อมาในปี 2549 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ในพระราชฐานะทูตสันถวไมตรีขององค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ร่วมมือกับราชอาณาจักรกัมพูชา ทำโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กและเยาวชนใน 3 จังหวัด คือโรงเรียนประถมศึกษาดอมเบย (Domber Primary School) ในจังหวัดกำปงจาม (Kampong Cham Province) โรงเรียนประถมศึกษาทมปุง (Tompung Primary School) ในจังหวัดกำปงสะปือ (Kampong Speu Province) และโรงเรียนประถมศึกษาปุนเลย (Ponlei Primary School) ในจังหวัดเปรแวง (Prey Veng Province) ที่มีกิจกรรมการเกษตรแบบผสมผสานขนาดเล็ก พัฒนาแหล่งน้ำประจำโรงเรียน การบริโภคอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ รวมทั้งการพัฒนาอนามัยส่วนบุคคลและสุขาภิบาล การดำเนินงานโครงการครอบคลุมเด็กนักเรียน 2,348 คน ซึ่งจะเป็นต้นแบบให้แก่โรงเรียนและชุมชนอื่นๆ ต่อไป

    โดย...วิมลพรรณ ปีตธวัชชัย สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยือนราชอาณาจักรกัมพูชาหลายครั้ง ทรงพบว่าประชาชนที่อยู่ในท้องถิ่นห่างไกลมีความทุกข์ยากอันเนื่องมาจากขาดโอกาสทางการศึกษาและความยากลำบากในการเข้ารับการศึกษาของเด็กชาวกัมพูชา ซึ่งปัญหาดังกล่าวมีความคล้ายคลึงกับปัญหาในประเทศไทย จึงมีพระราชดำริพระราชทานความช่วยเหลือแก่กัมพูชา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการศึกษาและการสาธารณสุขขั้นพื้นฐาน และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กรมราชองครักษ์ กองบัญชาการทหารสูงสุด กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน และคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมสนองพระราชดำริ ได้โปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งคณะกรรมการโครงการโรงเรียนพระราชทานในราชอาณาจักรกัมพูชา และทรงรับเป็นประธานโครงการ รัฐบาลกัมพูชาโดยฮุนเซน นายกรัฐมนตรี ได้แสดงความปลื้มปีติในพระมหากรุณาธิคุณ และยินดีรับสนองพระราชดำริอย่างเต็มที่ และน้อมเกล้าฯ ถวายที่ดินจำนวน 45 ไร่ ตั้งอยู่ที่ตำบลซ็อมโบร์ จังหวัดกำปงธม สำหรับเป็นพื้นที่ก่อสร้างวิทยาลัยกำปงเฌอเตียล วันที่ 17 พ.ค. 2544 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เสด็จพระราชดำเนินไปทรงวางศิลาฤกษ์ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเงินค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างอาคารสถานที่ต่างๆ โดยเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่เดือน ก.ย. 2544 ต่อมามีการก่อสร้างอาคารเพิ่มเติมอีกจำนวนมากและขยายพื้นที่ออกไปอีก 72 ไร่ รวมเป็น 117 ไร่ การก่อสร้างทั้งหมดเสร็จสิ้นในเดือน เม.ย. 2548 วิทยาลัยกำปงเฌอเตียล เป็นโรงเรียนระดับมัธยมศึกษา เปิดสอนทั้งสายสามัญและสายอาชีวศึกษา ปัจจุบันมีนักเรียนรวมประมาณ 1,200 คน โครงการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เด็กและเยาวชนกัมพูชามีโอกาสได้รับการศึกษามากขึ้น ดังพระราชดำรัสในพิธีเปิดวิทยาลัยกำปงเฌอเตียล ณ จังหวัดกำปงธม ประเทศกัมพูชา เมื่อวันที่ 10 พ.ย. 2548 ความตอนหนึ่งว่า “... ข้าพเจ้ามาศึกษาศิลปะและวัฒนธรรมในประเทศกัมพูชาหลายครั้งทุกครั้งที่มารัฐบาลแห่งประเทศกัมพูชา อีกทั้งประชาชนชาวกัมพูชาต้อนรับข้าพเจ้าอย่างดียิ่ง สะท้อนให้เห็นความเป็นมิตรที่ดีต่อกันมานาน ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจไมตรีของรัฐบาลและประชาชนกัมพูชา และมีใจปรารถนาที่จะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นการสนองตอบ ข้าพเจ้าไม่เห็นว่าจะมีสิ่งใดดีไปกว่าการส่งเสริมการศึกษา เพื่อให้เยาวชนมีความรู้และมีอนาคต จึงได้คิดโครงการสร้างสถานศึกษาขึ้น ณที่นี้ เมื่อเริ่มต้นโครงการก็ได้รับการสนับสนุนจากหลายๆ ฝ่าย จากทั้งสองประเทศ และผู้มีจิตศรัทธาร่วมช่วยเหลือเป็นจำนวนมาก... วิทยาลัยกำปงเฌอเตียลนี้ จะเป็นเสมือนอนุสรณ์แห่งสายสัมพันธ์อันมั่นคงและยั่งยืนระหว่างเราสองประเทศสืบไปตราบนานเท่านาน ...” นอกจากนี้ เพื่อเป็นการสนับสนุนการศึกษาของวิทยาลัย ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานทุนแก่นักเรียนเพื่อให้มาศึกษาต่อในประเทศไทยในหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิตและหลักสูตรอาชีวศึกษาเพื่อนำความรู้กลับไปสอนและพัฒนาการจัดการศึกษาของวิทยาลัย นอกจากนี้ ยังได้พระราชทานเครื่องดนตรีปี่พาทย์ครบชุด และพระราชทานทรัพย์สำหรับจ้างครูท้องถิ่นผู้ชำนาญการสอนนาฏศิลป์และดนตรี ต่อมาในปี 2549 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ในพระราชฐานะทูตสันถวไมตรีขององค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ร่วมมือกับราชอาณาจักรกัมพูชา ทำโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กและเยาวชนใน 3 จังหวัด คือโรงเรียนประถมศึกษาดอมเบย (Domber Primary School) ในจังหวัดกำปงจาม (Kampong Cham Province) โรงเรียนประถมศึกษาทมปุง (Tompung Primary School) ในจังหวัดกำปงสะปือ (Kampong Speu Province) และโรงเรียนประถมศึกษาปุนเลย (Ponlei Primary School) ในจังหวัดเปรแวง (Prey Veng Province) ที่มีกิจกรรมการเกษตรแบบผสมผสานขนาดเล็ก พัฒนาแหล่งน้ำประจำโรงเรียน การบริโภคอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ รวมทั้งการพัฒนาอนามัยส่วนบุคคลและสุขาภิบาล การดำเนินงานโครงการครอบคลุมเด็กนักเรียน 2,348 คน ซึ่งจะเป็นต้นแบบให้แก่โรงเรียนและชุมชนอื่นๆ ต่อไป
    0 Comments 0 Shares 277 Views 0 Reviews
  • ทัวร์บาหลี ภูเขาไฟโบรโม บุโรพุทโธ อีเจี้ยน
    โปรโมชั่นวันแม่ ลด 2,000 บาท เหลือเพียง 45,999.-
    เดินทาง: 12-19 ส.ค. 68

    ทัวร์รอบเดียวครบ! เดินทางไป บาหลี – ภูเขาไฟโบรโม – บุโรพุทโธ – อีเจี้ยน

    โปรแกรมทัวร์:
    * ชม อนุสาวรีย์มหาภารตะ สัญลักษณ์ของเกาะบาหลี
    * วิหารอูลูวาตู บนหน้าผาสูงสุดของมหาสมุทรอินเดีย
    * เดินทางเข้าชม อุทยานอีเจี้ยน
    * ชม พระอาทิตย์ขึ้นที่ภูเขาไฟโบรโม่
    * อนุสาวรีย์เรือดำน้ำสุราบาย่า
    * วัดพรามนันต์ มรดกโลกจาก UNESCO
    * ชม มหาเจดีย์บุโรพุทโธ ศาสนสถานที่ใหญ่ที่สุดในโลก

    ดูรายละเอียดเพิ่มเติม
    https://78s.me/e0d785

    LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307
    Facebook: etravelway 78s.me/8a4061
    Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5
    Tiktok : https://78s.me/543eb9
    : etravelway 78s.me/05e8da
    : 0 2116 6395

    #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #ทัวร์บาหลี #ภูเขาไฟโบรโม #บุโรพุทโธ #อีเจี้ยน #โปรวันแม่ #เที่ยวต่างประเทศ #โปรทัวร์ #ราคาพิเศษ
    🇮🇩 ทัวร์บาหลี ภูเขาไฟโบรโม บุโรพุทโธ อีเจี้ยน 💥 ✨ โปรโมชั่นวันแม่ ลด 2,000 บาท เหลือเพียง 45,999.- 📅 เดินทาง: 12-19 ส.ค. 68 ทัวร์รอบเดียวครบ! เดินทางไป บาหลี – ภูเขาไฟโบรโม – บุโรพุทโธ – อีเจี้ยน 🌋 📍 โปรแกรมทัวร์: * ชม อนุสาวรีย์มหาภารตะ สัญลักษณ์ของเกาะบาหลี * วิหารอูลูวาตู บนหน้าผาสูงสุดของมหาสมุทรอินเดีย * เดินทางเข้าชม อุทยานอีเจี้ยน * ชม พระอาทิตย์ขึ้นที่ภูเขาไฟโบรโม่ 🌅 * อนุสาวรีย์เรือดำน้ำสุราบาย่า * วัดพรามนันต์ มรดกโลกจาก UNESCO 🌍 * ชม มหาเจดีย์บุโรพุทโธ ศาสนสถานที่ใหญ่ที่สุดในโลก 🕌 ดูรายละเอียดเพิ่มเติม https://78s.me/e0d785 LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307 Facebook: etravelway 78s.me/8a4061 Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5 Tiktok : https://78s.me/543eb9 📷: etravelway 78s.me/05e8da ☎️: 0 2116 6395 #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #ทัวร์บาหลี #ภูเขาไฟโบรโม #บุโรพุทโธ #อีเจี้ยน #โปรวันแม่ #เที่ยวต่างประเทศ #โปรทัวร์ #ราคาพิเศษ
    0 Comments 0 Shares 250 Views 0 Reviews
  • ตอนแรกหลายองค์กรคิดว่า “ระบบรักษาความปลอดภัยที่มีอยู่แล้ว” น่าจะพอเอาอยู่กับ AI — เพราะก็มี patch, มี asset inventory, มี firewall อยู่แล้ว แต่วันนี้กลายเป็นว่า... AI คือสัตว์คนละสายพันธุ์เลยครับ

    เพราะ AI ขยายพื้นที่โจมตีออกไปถึง API, third-party, supply chain และยังมีความเสี่ยงใหม่แบบเฉพาะตัว เช่น model poisoning, prompt injection, data inference ซึ่งไม่เคยต้องรับมือในโลก legacy มาก่อน

    และแม้ว่าองค์กรจะลงทุนกับ AI อย่างหนัก แต่เกือบครึ่ง (46%) ของโครงการ AI ถูกหยุดกลางคันหรือไม่เคยได้ไปถึง production ด้วยซ้ำ — ส่วนใหญ่เกิดจากความล้มเหลวในด้าน governance, ความเสี่ยง, ข้อมูลไม่สะอาด และขาดทีมที่เข้าใจ AI จริง ๆ

    ข่าวนี้จึงเสนอบทบาทใหม่ 5 แบบที่ CISO ต้องกลายร่างเป็น: “นักกฎหมาย, นักวิเคราะห์, ครู, นักวิจัย และนักสร้างพันธมิตร”

    5 ขั้นตอนสำคัญที่ CISO ต้องทำเพื่อรักษาความปลอดภัยของ AI:
    1. เริ่มทุกอย่างด้วยโมเดล AI Governance ที่แข็งแรงและครอบคลุม  
    • ต้องมี alignment ระหว่างทีมธุรกิจ–เทคโนโลยีว่า AI จะใช้ทำอะไร และใช้อย่างไร  
    • สร้าง framework ที่รวม ethics, compliance, transparency และ success metrics  
    • ใช้แนวทางจาก NIST AI RMF, ISO/IEC 42001:2023, UNESCO AI Ethics, RISE และ CARE

    2. พัฒนา “มุมมองความเสี่ยงของ AI” ที่ต่อเนื่องและลึกกว่าระบบปกติ  
    • สร้าง AI asset inventory, risk register, และ software bill of materials  
    • ติดตามภัยคุกคามเฉพาะ AI เช่น data leakage, model drift, prompt injection  
    • ใช้ MITRE ATLAS และตรวจสอบ vendor + third-party supply chain อย่างใกล้ชิด

    3. ขยายนิยาม “data integrity” ให้ครอบคลุมถึงโมเดล AI ด้วย  
    • ไม่ใช่แค่ข้อมูลไม่โดนแก้ไข แต่รวมถึง bias, fairness และ veracity  
    • เช่นเคยมีกรณี Amazon และ UK ใช้ AI ที่กลายเป็นอคติทางเพศและสีผิว

    4. ยกระดับ “AI literacy” ให้ทั้งองค์กรเข้าใจและใช้งานอย่างปลอดภัย  
    • เริ่มจากทีม Security → Dev → ฝ่ายธุรกิจ  
    • สอน OWASP Top 10 for LLMs, Google’s SAIF, CSA Secure AI  
    • End user ต้องรู้เรื่อง misuse, data leak และ deepfake ด้วย

    5. มอง AI Security แบบ “ผู้ช่วย” ไม่ใช่ “อัตโนมัติเต็มขั้น”  
    • ใช้ AI ช่วย triage alert, คัด log, วิเคราะห์ risk score แต่ยังต้องมีคนคุม  
    • พิจารณาผู้ให้บริการ AI Security อย่างรอบคอบ เพราะหลายเจ้าแค่ “แปะป้าย AI” แต่ยังไม่ mature

    https://www.csoonline.com/article/4011384/the-cisos-5-step-guide-to-securing-ai-operations.html
    ตอนแรกหลายองค์กรคิดว่า “ระบบรักษาความปลอดภัยที่มีอยู่แล้ว” น่าจะพอเอาอยู่กับ AI — เพราะก็มี patch, มี asset inventory, มี firewall อยู่แล้ว แต่วันนี้กลายเป็นว่า... AI คือสัตว์คนละสายพันธุ์เลยครับ เพราะ AI ขยายพื้นที่โจมตีออกไปถึง API, third-party, supply chain และยังมีความเสี่ยงใหม่แบบเฉพาะตัว เช่น model poisoning, prompt injection, data inference ซึ่งไม่เคยต้องรับมือในโลก legacy มาก่อน และแม้ว่าองค์กรจะลงทุนกับ AI อย่างหนัก แต่เกือบครึ่ง (46%) ของโครงการ AI ถูกหยุดกลางคันหรือไม่เคยได้ไปถึง production ด้วยซ้ำ — ส่วนใหญ่เกิดจากความล้มเหลวในด้าน governance, ความเสี่ยง, ข้อมูลไม่สะอาด และขาดทีมที่เข้าใจ AI จริง ๆ ข่าวนี้จึงเสนอบทบาทใหม่ 5 แบบที่ CISO ต้องกลายร่างเป็น: “นักกฎหมาย, นักวิเคราะห์, ครู, นักวิจัย และนักสร้างพันธมิตร” ✅ 5 ขั้นตอนสำคัญที่ CISO ต้องทำเพื่อรักษาความปลอดภัยของ AI: ✅ 1. เริ่มทุกอย่างด้วยโมเดล AI Governance ที่แข็งแรงและครอบคลุม   • ต้องมี alignment ระหว่างทีมธุรกิจ–เทคโนโลยีว่า AI จะใช้ทำอะไร และใช้อย่างไร   • สร้าง framework ที่รวม ethics, compliance, transparency และ success metrics   • ใช้แนวทางจาก NIST AI RMF, ISO/IEC 42001:2023, UNESCO AI Ethics, RISE และ CARE ✅ 2. พัฒนา “มุมมองความเสี่ยงของ AI” ที่ต่อเนื่องและลึกกว่าระบบปกติ   • สร้าง AI asset inventory, risk register, และ software bill of materials   • ติดตามภัยคุกคามเฉพาะ AI เช่น data leakage, model drift, prompt injection   • ใช้ MITRE ATLAS และตรวจสอบ vendor + third-party supply chain อย่างใกล้ชิด ✅ 3. ขยายนิยาม “data integrity” ให้ครอบคลุมถึงโมเดล AI ด้วย   • ไม่ใช่แค่ข้อมูลไม่โดนแก้ไข แต่รวมถึง bias, fairness และ veracity   • เช่นเคยมีกรณี Amazon และ UK ใช้ AI ที่กลายเป็นอคติทางเพศและสีผิว ✅ 4. ยกระดับ “AI literacy” ให้ทั้งองค์กรเข้าใจและใช้งานอย่างปลอดภัย   • เริ่มจากทีม Security → Dev → ฝ่ายธุรกิจ   • สอน OWASP Top 10 for LLMs, Google’s SAIF, CSA Secure AI   • End user ต้องรู้เรื่อง misuse, data leak และ deepfake ด้วย ✅ 5. มอง AI Security แบบ “ผู้ช่วย” ไม่ใช่ “อัตโนมัติเต็มขั้น”   • ใช้ AI ช่วย triage alert, คัด log, วิเคราะห์ risk score แต่ยังต้องมีคนคุม   • พิจารณาผู้ให้บริการ AI Security อย่างรอบคอบ เพราะหลายเจ้าแค่ “แปะป้าย AI” แต่ยังไม่ mature https://www.csoonline.com/article/4011384/the-cisos-5-step-guide-to-securing-ai-operations.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    The CISO’s 5-step guide to securing AI operations
    Security leaders must become AI cheerleaders, risk experts, data stewards, teachers, and researchers. Here’s how to lead your organization toward more secure and effective AI use.
    0 Comments 0 Shares 231 Views 0 Reviews
  • บทความนี้กล่าวถึงความพยายามในการพัฒนาทักษะ Soft Skills ให้กับคนรุ่น Gen Z ในเมืองแมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ โดยมีเป้าหมายเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดทักษะที่จำเป็นสำหรับการทำงาน เช่น ความเห็นอกเห็นใจ การบริหารเวลา และมารยาทในการใช้โทรศัพท์ ซึ่งเป็นผลมาจากการเติบโตในยุคดิจิทัลที่ทำให้การสื่อสารแบบตัวต่อตัวลดลง

    โครงการนี้มีชื่อว่า Skills 4 Living
    - เปิดตัวโดยองค์กร Higher Health ที่เป็นพันธมิตรกับ Unesco
    - มีเป้าหมายเข้าถึงเยาวชนกว่า 10,000 คนในเมืองแมนเชสเตอร์

    เนื้อหาหลักของโครงการรวมถึงการพัฒนาทักษะ Soft Skills
    - การเรียนรู้ความเห็นอกเห็นใจ การบริหารเวลา และการพูดคุยแบบตัวต่อตัว
    - มีการสัมมนาเกี่ยวกับการตรวจจับข่าวปลอม ความปลอดภัยบนอินเทอร์เน็ต และการหลีกเลี่ยงการหลอกลวง

    การเรียนรู้ผ่านการปฏิสัมพันธ์แบบตัวต่อตัว
    - แม้หลักสูตรจะถูกจัดส่งออนไลน์ แต่ผู้เรียนต้องทำการประเมินผ่านการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น

    โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนจากมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์
    - เป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือกับผู้ให้บริการการศึกษาระดับสูง

    https://www.techspot.com/news/107638-gen-z-digital-natives-taught-empathy-time-management.html
    บทความนี้กล่าวถึงความพยายามในการพัฒนาทักษะ Soft Skills ให้กับคนรุ่น Gen Z ในเมืองแมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ โดยมีเป้าหมายเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดทักษะที่จำเป็นสำหรับการทำงาน เช่น ความเห็นอกเห็นใจ การบริหารเวลา และมารยาทในการใช้โทรศัพท์ ซึ่งเป็นผลมาจากการเติบโตในยุคดิจิทัลที่ทำให้การสื่อสารแบบตัวต่อตัวลดลง ✅ โครงการนี้มีชื่อว่า Skills 4 Living - เปิดตัวโดยองค์กร Higher Health ที่เป็นพันธมิตรกับ Unesco - มีเป้าหมายเข้าถึงเยาวชนกว่า 10,000 คนในเมืองแมนเชสเตอร์ ✅ เนื้อหาหลักของโครงการรวมถึงการพัฒนาทักษะ Soft Skills - การเรียนรู้ความเห็นอกเห็นใจ การบริหารเวลา และการพูดคุยแบบตัวต่อตัว - มีการสัมมนาเกี่ยวกับการตรวจจับข่าวปลอม ความปลอดภัยบนอินเทอร์เน็ต และการหลีกเลี่ยงการหลอกลวง ✅ การเรียนรู้ผ่านการปฏิสัมพันธ์แบบตัวต่อตัว - แม้หลักสูตรจะถูกจัดส่งออนไลน์ แต่ผู้เรียนต้องทำการประเมินผ่านการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ✅ โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนจากมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ - เป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือกับผู้ให้บริการการศึกษาระดับสูง https://www.techspot.com/news/107638-gen-z-digital-natives-taught-empathy-time-management.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Gen Z "digital natives" to be taught empathy, time management, and phone etiquette in soft skills program
    Generation Z, typically defined as those born between 1997 and 2012 (give or take), is typically considered to consist of digital natives. The term is defined as...
    0 Comments 0 Shares 235 Views 0 Reviews
  • มหกรรมจราจรหนาแน่นติดขัด300 กิโลเมตรที่อินเดีย เนื่องจากเทศกาลแสวงบุญ "กุมภเมลา" (Kumbh Mela) ของชาวฮินดู เริ่มต้นขึ้นแล้วอย่างเป็นทางการในปีนี้ ที่อำเภอประยาคราช (Prayagraj) ในเมืองอัลลาฮาบัด (Allahabad) ของรัฐอุตตรประเทศทางตอนเหนือของอินเดีย ซึ่งเทศกาลนี้มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วโลกว่าเป็นงานชุมนุมขนาดใหญ่ที่สุดของมนุษยชาติเทศกาลแสวงบุญซึ่งจะจัดขึ้นเป็นเวลาทั้งหมด 45 วัน เริ่มต้นวันแรกเมื่อวันจันทร์ที่ 13 ม.ค. ที่ผ่านมา โดยเปิดให้ทำพิธีใหญ่เพื่ออาบน้ำชำระล้างบาปในแม่น้ำคงคาได้ ตั้งแต่วันอังคารที่ 14 ม.ค. เป็นต้นไป ซึ่งในพิธีดังกล่าวเหล่า "นาคสาธุ" (Naga Sadhu) นักบวชฮินดูที่เปลือยกายและทาตัวด้วยเถ้าถ่าน ทั้งยังไว้ผมยาวที่พันกันยุ่งเหยิงจนจับตัวเป็นก้อนเหมือนเส้นเชือก จะมาลงอาบน้ำชำระกายซึ่งเป็นภาพที่หาดูได้ยากตลอดระยะเวลา 6 สัปดาห์ของเทศกาลกุมภเมลา ผู้ที่นับถือศรัทธาในศาสนาฮินดูจะพากันมาลงอาบในแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ ตรงบริเวณที่เรียกว่า "สังฆัม" (Sangham) ซึ่งเป็นจุดบรรจบของแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์สามสายหรือจุฬาตรีคูณ ได้แก่แม่น้ำคงคา, แม่น้ำยมุนา, และแม่น้ำสรัสวตี ซึ่งแม่น้ำสายที่สามนี้เป็นสายธารในตำนานปรัมปราที่มนุษย์ไม่อาจมองเห็นได้ชาวฮินดูเชื่อว่าการทำพิธีอาบน้ำศักดิ์สิทธิ์ในเทศกาลนี้ จะช่วยล้างบาปมลทินและชำระจิตวิญญาณให้บริสุทธิ์ ปลดปล่อยพวกเขาให้หลุดพ้นจากวัฏสงสารหรือวงจรการเวียนว่ายตายเกิด อันเป็นการบรรลุเป้าหมายสูงสุดของของศาสนาฮินดูหรือโมกษะวิเวก จตุรเวที เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองบอกกับบีบีซีว่า ก่อนจะถึงวันสุดท้ายของการแสวงบุญในวันที่ 26 ก.พ. คาดว่าจะมีผู้คนมาเข้าร่วมเทศกาลกุมภเมลากันอย่างล้นหลามราว 400 ล้านคน ซึ่งที่ผ่านมาตัวเลขสถิติที่สูงเป็นประวัติการณ์ถึงขนาดนี้ ทำให้เทศกาลดังกล่าวได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ (Intangible Heritage of Humanity) โดยองค์การยูเนสโก (UNESCO) ส่วนกลุ่มก้อนของประชากรมนุษย์จำนวนมหาศาล ก็ยังสามารถสังเกตเห็นได้จากห้วงอวกาศอีกด้วยที่มา https://www.firstpost.com/explainers/maha-kumbh-2025-traffic-jams-prayagraj-uttar-pradesh-13861659.html
    มหกรรมจราจรหนาแน่นติดขัด300 กิโลเมตรที่อินเดีย เนื่องจากเทศกาลแสวงบุญ "กุมภเมลา" (Kumbh Mela) ของชาวฮินดู เริ่มต้นขึ้นแล้วอย่างเป็นทางการในปีนี้ ที่อำเภอประยาคราช (Prayagraj) ในเมืองอัลลาฮาบัด (Allahabad) ของรัฐอุตตรประเทศทางตอนเหนือของอินเดีย ซึ่งเทศกาลนี้มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วโลกว่าเป็นงานชุมนุมขนาดใหญ่ที่สุดของมนุษยชาติเทศกาลแสวงบุญซึ่งจะจัดขึ้นเป็นเวลาทั้งหมด 45 วัน เริ่มต้นวันแรกเมื่อวันจันทร์ที่ 13 ม.ค. ที่ผ่านมา โดยเปิดให้ทำพิธีใหญ่เพื่ออาบน้ำชำระล้างบาปในแม่น้ำคงคาได้ ตั้งแต่วันอังคารที่ 14 ม.ค. เป็นต้นไป ซึ่งในพิธีดังกล่าวเหล่า "นาคสาธุ" (Naga Sadhu) นักบวชฮินดูที่เปลือยกายและทาตัวด้วยเถ้าถ่าน ทั้งยังไว้ผมยาวที่พันกันยุ่งเหยิงจนจับตัวเป็นก้อนเหมือนเส้นเชือก จะมาลงอาบน้ำชำระกายซึ่งเป็นภาพที่หาดูได้ยากตลอดระยะเวลา 6 สัปดาห์ของเทศกาลกุมภเมลา ผู้ที่นับถือศรัทธาในศาสนาฮินดูจะพากันมาลงอาบในแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ ตรงบริเวณที่เรียกว่า "สังฆัม" (Sangham) ซึ่งเป็นจุดบรรจบของแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์สามสายหรือจุฬาตรีคูณ ได้แก่แม่น้ำคงคา, แม่น้ำยมุนา, และแม่น้ำสรัสวตี ซึ่งแม่น้ำสายที่สามนี้เป็นสายธารในตำนานปรัมปราที่มนุษย์ไม่อาจมองเห็นได้ชาวฮินดูเชื่อว่าการทำพิธีอาบน้ำศักดิ์สิทธิ์ในเทศกาลนี้ จะช่วยล้างบาปมลทินและชำระจิตวิญญาณให้บริสุทธิ์ ปลดปล่อยพวกเขาให้หลุดพ้นจากวัฏสงสารหรือวงจรการเวียนว่ายตายเกิด อันเป็นการบรรลุเป้าหมายสูงสุดของของศาสนาฮินดูหรือโมกษะวิเวก จตุรเวที เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองบอกกับบีบีซีว่า ก่อนจะถึงวันสุดท้ายของการแสวงบุญในวันที่ 26 ก.พ. คาดว่าจะมีผู้คนมาเข้าร่วมเทศกาลกุมภเมลากันอย่างล้นหลามราว 400 ล้านคน ซึ่งที่ผ่านมาตัวเลขสถิติที่สูงเป็นประวัติการณ์ถึงขนาดนี้ ทำให้เทศกาลดังกล่าวได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ (Intangible Heritage of Humanity) โดยองค์การยูเนสโก (UNESCO) ส่วนกลุ่มก้อนของประชากรมนุษย์จำนวนมหาศาล ก็ยังสามารถสังเกตเห็นได้จากห้วงอวกาศอีกด้วยที่มา https://www.firstpost.com/explainers/maha-kumbh-2025-traffic-jams-prayagraj-uttar-pradesh-13861659.html
    WWW.FIRSTPOST.COM
    ‘Stuck for 48 hours’: Inside the 300-km traffic jams to Maha Kumbh, the ‘world’s biggest’
    Thousands of devotees planning to visit Maha Kumbh Mela in Uttar Pradesh in cars were stranded for 48 hours in 300-kilometre traffic jams leading up to Prayagraj. Some say it took 10-12 hours to cover just 50 kilometres on Sunday. Overcrowding during the weekends is one of the major reasons behind the snarls
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 509 Views 0 Reviews
  • ทัวร์สเปน เหนือจรดใต้ UNESCO World Heritage Route 10 วัน 7 คืน

    เดินทางโดย : TK-เตอร์กิช แอร์ไลน์

    10 - 19 เม.ย. 68 ท่านละ 129,900

    บินสู่บิลเบา(ค้าง 2 คืน)
    ซานเซบาสเตียน
    ปัมโปลนา
    ซาราโกซา-ซาราโกซา
    เซียนกัวซามาดริด (ค้าง 2 คืน)
    เซโกเวีย
    โทเลโด
    กาเซเรส
    รอนดา

    (ไม่รวมค่าวีซ่าเชงเก้นแต่รวมทิปต่างๆเรียบร้อยแล้ว)

    ⭕️ระดับทัวร์ : มาตรฐาน
    ⭕️รหัสทัวร์ : A11837
    ⭕️ราคาเริ่มต้น : ฿134,900

    โรงแรม : 4 ดาว
    ✔เพิ่มเติม : 78s.me/e5101c

    ดูรายละเอียดเพิ่มเติม
    https://78s.me/e631a2

    ดูทัวร์สเปนทั้งหมดได้ที่
    https://78s.me/c8e796

    ดูทัวร์วันสงกรานต์ทั้งหมดได้ที่
    https://78s.me/e1a231

    LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307
    Facebook: etravelway 78s.me/8a4061
    Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5
    Tiktok : https://78s.me/543eb9
    : etravelway 78s.me/05e8da
    : 0 2116 6395

    #ทัวร์สเปน #ทัวร์วันสงกรานต์ #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway
    🚩ทัวร์สเปน เหนือจรดใต้ UNESCO World Heritage Route 10 วัน 7 คืน ✈️เดินทางโดย : TK-เตอร์กิช แอร์ไลน์ 🅿️ 10 - 19 เม.ย. 68 ท่านละ 129,900 📍 บินสู่บิลเบา(ค้าง 2 คืน) 📍 ซานเซบาสเตียน 📍 ปัมโปลนา 📍 ซาราโกซา-ซาราโกซา 📍 เซียนกัวซามาดริด (ค้าง 2 คืน) 📍 เซโกเวีย 📍 โทเลโด 📍 กาเซเรส 📍 รอนดา 📢 (ไม่รวมค่าวีซ่าเชงเก้นแต่รวมทิปต่างๆเรียบร้อยแล้ว) ⭕️ระดับทัวร์ : มาตรฐาน ⭕️รหัสทัวร์ : A11837 ⭕️ราคาเริ่มต้น : ฿134,900 🏢โรงแรม : 4 ดาว ✔เพิ่มเติม : 78s.me/e5101c ดูรายละเอียดเพิ่มเติม https://78s.me/e631a2 ดูทัวร์สเปนทั้งหมดได้ที่ https://78s.me/c8e796 ดูทัวร์วันสงกรานต์ทั้งหมดได้ที่ https://78s.me/e1a231 LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307 Facebook: etravelway 78s.me/8a4061 Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5 Tiktok : https://78s.me/543eb9 📷: etravelway 78s.me/05e8da ☎️: 0 2116 6395 #ทัวร์สเปน #ทัวร์วันสงกรานต์ #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway
    0 Comments 0 Shares 687 Views 0 Reviews
  • การเปลี่ยนแปลงการบริโภคอาหารของประชากรโลกส่งผลกระทบหลายมิติ ทั้งด้านสุขภาพ สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม ต่อไปนี้เป็นแนวทางการวิเคราะห์ประเด็นนี้อย่างเป็นระบบ:

    ### 1. **ปัจจัยขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง**
    - **ความเป็นเมืองและไลฟ์สไตล์เร่งด่วน**: นำไปสู่การบริโภคอาหารแปรรูปสูง อาหารสำเร็จรูป และบริการเดลิเวอรี่
    - **การเติบโตทางเศรษฐกิจ**: ในประเทศกำลังพัฒนา ความต้องการเนื้อสัตว์และนมเพิ่มขึ้นตามรายได้ (เรียกว่า "การเปลี่ยนผ่านด้านโภชนาการ")
    - **ความตระหนักด้านสุขภาพ**: โรคไม่ติดต่อ (NCDs) เช่น เบาหวาน กระตุ้นให้คนหันมาบริโภคพืชมากขึ้น ลดน้ำตาลและไขมันอิ่มตัว
    - **ความกังวลด้านสิ่งแวดล้อม**: การผลิตเนื้อสัตว์สร้างก๊าซเรือนกระจก 14.5% ของ全球排放 ทำให้ผู้บริโภคบางกลุ่มเลือกโปรตีนทางเลือก (เช่น Plant-based meat, แมลง)
    - **นวัตกรรมเทคโนโลยี**: อาหารแล็บ (Cultured meat), แอปพลิเคชันติดตามโภชนาการส่วนบุคคล (Personalized nutrition)

    ### 2. **แนวโน้มสำคัญ**
    - **Plant-Based Movement**: ยอดขายอาหารจากพืชโตปีละ 15-20% (ข้อมูลจาก Beyond Meat และ Oatly)
    - **Functional Foods**: อาหารเสริมโปรไบโอติกหรือสารต้านอนุมูลอิสระได้รับความนิยม
    - **Local & Seasonal Eating**: เพื่อลด Carbon Footprint เช่น กระแส "Locavore"
    - **การฟื้นฟูอาหารดั้งเดิม**: อย่างอาหารเมดิเตอร์เรเนียนหรือญี่ปุ่นที่ UNESCO ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกวัฒนธรรม

    ### 3. **ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม**
    - **เชิงบวก**: หากลดการบริโภคเนื้อวัว全球ลง 50% อาจลดพื้นที่เกษตรกรรมได้ 1.1 พันล้านเฮกตาร์ (อ้างอิงจาก PNAS)
    - **เชิงลบ**: การผลิตอัลมอนด์สำหรับนมพืชต้องการน้ำมาก ส่งผลกระทบต่อพื้นที่แห้งแล้งเช่นแคลิฟอร์เนีย

    ### 4. **ความท้าทายทางสังคม**
    - **ความเหลื่อมล้ำ**: อาหารสุขภาพมักมีราคาสูง ทำให้เข้าถึงได้เฉพาะกลุ่มรายได้สูง
    - **การสูญเสียวัฒนธรรมอาหารท้องถิ่น**: เยาวชนยุคใหม่หันไปบริโภค Fast Food แทนอาหารดั้งเดิม
    - **Greenwashing**: บริษัทบางแห่งใช้ฉลาก "ออร์แกนิก" หรือ "ยั่งยืน" โดยไม่มีการรับรองที่ชัดเจน

    ### 5. **นโยบายและแนวทางแก้ไข**
    - **ภาษีอาหารไม่สุขภาพ**: เช่น ภาษีน้ำตาลในเม็กซิโกและอังกฤษ
    - **ส่งเสริมเกษตรกรรมยั่งยืน**: ตามแนวทาง FAO's Agroecology
    - **การศึกษาโภชนาการ**: หลักสูตรอาหารสุขภาพในโรงเรียน เช่น ญี่ปุ่นสอน "Shokuiku" (食育)

    ### 6. **อนาคตที่อาจเกิดขึ้น**
    - **อาหารจากเทคโนโลยีชีวภาพ**: เนื้อที่เพาะในแล็บ (Cultured Meat) อาจมีราคาถูกกว่าเนื้อธรรมดาภายในปี 2030
    - **ระบบอาหารอัจฉริยะ**: AI วิเคราะห์ความต้องการสารอาหารส่วนบุคคลผ่านข้อมูลสุขภาพ
    - **กฎหมายอาหารใหม่**: เช่น สหภาพยุโรปอาจกำหนด Carbon Labeling บนบรรจุภัณฑ์

    ### สรุป
    การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นโอกาสในการสร้างระบบอาหารที่ยั่งยืน แต่ต้องจัดการกับความท้าทายอย่างรอบด้าน ทั้งการปรับตัวของผู้ผลิต การสนับสนุนนโยบายสาธารณะ และการสร้างความตระหนักของผู้บริโภคโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
    การเปลี่ยนแปลงการบริโภคอาหารของประชากรโลกส่งผลกระทบหลายมิติ ทั้งด้านสุขภาพ สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม ต่อไปนี้เป็นแนวทางการวิเคราะห์ประเด็นนี้อย่างเป็นระบบ: ### 1. **ปัจจัยขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง** - **ความเป็นเมืองและไลฟ์สไตล์เร่งด่วน**: นำไปสู่การบริโภคอาหารแปรรูปสูง อาหารสำเร็จรูป และบริการเดลิเวอรี่ - **การเติบโตทางเศรษฐกิจ**: ในประเทศกำลังพัฒนา ความต้องการเนื้อสัตว์และนมเพิ่มขึ้นตามรายได้ (เรียกว่า "การเปลี่ยนผ่านด้านโภชนาการ") - **ความตระหนักด้านสุขภาพ**: โรคไม่ติดต่อ (NCDs) เช่น เบาหวาน กระตุ้นให้คนหันมาบริโภคพืชมากขึ้น ลดน้ำตาลและไขมันอิ่มตัว - **ความกังวลด้านสิ่งแวดล้อม**: การผลิตเนื้อสัตว์สร้างก๊าซเรือนกระจก 14.5% ของ全球排放 ทำให้ผู้บริโภคบางกลุ่มเลือกโปรตีนทางเลือก (เช่น Plant-based meat, แมลง) - **นวัตกรรมเทคโนโลยี**: อาหารแล็บ (Cultured meat), แอปพลิเคชันติดตามโภชนาการส่วนบุคคล (Personalized nutrition) ### 2. **แนวโน้มสำคัญ** - **Plant-Based Movement**: ยอดขายอาหารจากพืชโตปีละ 15-20% (ข้อมูลจาก Beyond Meat และ Oatly) - **Functional Foods**: อาหารเสริมโปรไบโอติกหรือสารต้านอนุมูลอิสระได้รับความนิยม - **Local & Seasonal Eating**: เพื่อลด Carbon Footprint เช่น กระแส "Locavore" - **การฟื้นฟูอาหารดั้งเดิม**: อย่างอาหารเมดิเตอร์เรเนียนหรือญี่ปุ่นที่ UNESCO ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกวัฒนธรรม ### 3. **ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม** - **เชิงบวก**: หากลดการบริโภคเนื้อวัว全球ลง 50% อาจลดพื้นที่เกษตรกรรมได้ 1.1 พันล้านเฮกตาร์ (อ้างอิงจาก PNAS) - **เชิงลบ**: การผลิตอัลมอนด์สำหรับนมพืชต้องการน้ำมาก ส่งผลกระทบต่อพื้นที่แห้งแล้งเช่นแคลิฟอร์เนีย ### 4. **ความท้าทายทางสังคม** - **ความเหลื่อมล้ำ**: อาหารสุขภาพมักมีราคาสูง ทำให้เข้าถึงได้เฉพาะกลุ่มรายได้สูง - **การสูญเสียวัฒนธรรมอาหารท้องถิ่น**: เยาวชนยุคใหม่หันไปบริโภค Fast Food แทนอาหารดั้งเดิม - **Greenwashing**: บริษัทบางแห่งใช้ฉลาก "ออร์แกนิก" หรือ "ยั่งยืน" โดยไม่มีการรับรองที่ชัดเจน ### 5. **นโยบายและแนวทางแก้ไข** - **ภาษีอาหารไม่สุขภาพ**: เช่น ภาษีน้ำตาลในเม็กซิโกและอังกฤษ - **ส่งเสริมเกษตรกรรมยั่งยืน**: ตามแนวทาง FAO's Agroecology - **การศึกษาโภชนาการ**: หลักสูตรอาหารสุขภาพในโรงเรียน เช่น ญี่ปุ่นสอน "Shokuiku" (食育) ### 6. **อนาคตที่อาจเกิดขึ้น** - **อาหารจากเทคโนโลยีชีวภาพ**: เนื้อที่เพาะในแล็บ (Cultured Meat) อาจมีราคาถูกกว่าเนื้อธรรมดาภายในปี 2030 - **ระบบอาหารอัจฉริยะ**: AI วิเคราะห์ความต้องการสารอาหารส่วนบุคคลผ่านข้อมูลสุขภาพ - **กฎหมายอาหารใหม่**: เช่น สหภาพยุโรปอาจกำหนด Carbon Labeling บนบรรจุภัณฑ์ ### สรุป การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นโอกาสในการสร้างระบบอาหารที่ยั่งยืน แต่ต้องจัดการกับความท้าทายอย่างรอบด้าน ทั้งการปรับตัวของผู้ผลิต การสนับสนุนนโยบายสาธารณะ และการสร้างความตระหนักของผู้บริโภคโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
    0 Comments 0 Shares 1169 Views 0 Reviews
  • ถนนจูเชวี่ยแห่งนครฉางอัน

    สวัสดีค่ะ วันนี้มาคุยกันเร็วหน่อยก่อนจะแยกย้ายกันไปฉลองปีใหม่ พูดถึงเทศกาลคริสมาสและปีใหม่ ก็หนีไม่พ้นเรื่องของการซื้อของให้ของขวัญ ทำให้ Storyฯ นึกถึงถนนสายหนึ่งที่มักถูกกล่าวถึงในละครเรื่อง <ยอดขุนนางหญิงเจ้าเสน่ห์> เวลาที่นางเอกชวนสาวใช้ไปเดินช้อปปิ้ง

    ถนนสายนี้มีชื่อว่า ถนนจูเชวี่ย (朱雀街 / ถนนวิหคชาด) ซึ่งเป็นชื่อที่ปรากฏบ่อยมากในซีรีส์และนิยายจีน เพราะมันเป็นถนนที่โด่งดังมากแห่งนครฉางอัน และปัจจุบันยังคงมีถนนสายนี้อยู่ที่เมืองซีอัน แต่เรียกจริงๆ ว่าถนนใหญ่จูเชวี่ย (朱雀大街 / Zhuque Avenue)

    ถนนจูเชวี่ยที่เราเห็นในละครหลายเรื่องดูจะเป็นถนนเล็ก สองฟากเรียงรายด้วยแผงขายของ แต่จริงๆ แล้ว ถนนจูเชวี่ยเป็นถนนที่ใหญ่มาก เลยต้องเอารูปประกอบมาเสริมจากละครเรื่อง <ฉางอันสิบสองชั่วยาม> ซึ่งถูกกล่าวขานยกย่องว่ามีการจำลองผังเมืองนครฉางอันมาอย่างดี

    ‘ฉางอัน’ ชื่อนี้แปลว่าสงบสุขยืนยาว และเมืองฉางอันมีอดีตยาวนานสมชื่อ มันเคยเป็นเมืองหลวงเก่าแก่หลายราชวงศ์ แต่ไม่ได้มีอาณาเขตเท่ากันในทุกยุคสมัย ในสมัยราชวงศ์สุยและถังมีการสร้างพระราชวังขึ้นเพิ่มและขยายอาณาเขตออกไป และในสมัยถังจัดได้ว่าเป็นช่วงที่เรืองรองที่สุดของนครฉางอัน ในช่วงที่เฟื่องฟูที่สุดนั้น นครฉางอันมีประชากรถึง 3 ล้านคน เป็นหนึ่งในเมืองที่ใหญ่ที่สุดในโลกในสมัยนั้น ใหญ่กว่ากรุงโรมโบราณถึง 7 เท่า เส้นผ่าศูนย์กลางตะวันออก-ตะวันตกของเมืองยาว 9.7 กิโลเมตร เหนือ-ใต้ยาว 8.7 กิโลเมตร

    ต่อมาในสมัยปลายถังมีการหนีข้าศึกย้ายราชธานีไปยังเมืองลั่วหยาง เมืองฉางอันก็ค่อยๆ เสื่อมโทรมลง ในสมัยหมิงมีการบูรณะฉางอันสร้างขึ้นอีกครั้งเป็นเมืองซีอัน แต่ก็ไม่ได้มีขนาดใหญ่เท่าฉางอันเดิม

    นครฉางอันสมัยถังแบ่งเป็นสองเขตใหญ่ คือฝั่งตะวันออกและตะวันตก มีถนนใหญ่คั่นกลางคือถนนจูเชวี่ย (ดูรูปประกอบ2) พื้นที่ทั้งหมดถูกแบ่งซอยย่อยเป็นเขตเล็กทรงสี่เหลี่ยมเรียกว่า ‘ฟาง’ มีหลายขนาด ยาวประมาณ 500-800 เมตร กว้าง 700-1,000 เมตร แต่ละเขตฟางมีกำแพงและคูระบายน้ำล้อมรอบ และมีประตูเข้าออกของมันเองเพื่อความปลอดภัย โดยประตูจะเปิดในตอนเช้าและปิดในตอนกลางคืน มีทั้งหมดด้วยกัน 108 เขตฟาง (ไม่รวมตลาดอีก 2 ฟาง) จนบางคนเปรียบผังเมืองฉางอันเป็นกระดานหมากล้อม เพื่อนเพจที่ได้ดู <ฉางอันสิบสองชั่วยาม> น่าจะคุ้นเคยกับภาพของเขตฟางเหล่านี้

    นครฉางอันมีประตูเมือง 12 ประตู (Storyฯ เคยคุยถึงประตูเมืองโบราณแล้วใน https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/581451090649854 ) และประตูเมืองที่สำคัญเพราะเป็นประตูหลักในการเข้าออกเมืองนี้ก็คือประตูทิศใต้ที่มีชื่อว่า ประตูหมิงเต๋อ มันเป็นประตูเมืองประตูเดียวที่มีถึงห้าบาน โดยหนึ่งบานนั้นเป็นประตูที่เปิดใช้เฉพาะยามที่ฮ่องเต้เสด็จเข้าออกเมือง

    ถนนจูเชวี่ยนี้ ทิศใต้จรดประตูเมืองหมิงเต๋อที่กล่าวถึงข้างต้น ส่วนทิศเหนือนั้นจรดประตูเขตพระนครชื่อว่าประตูจูเชวี่ย และเลยผ่านเขตพระนครไปจรดประตูพระราชวังเฉิงเทียน อนึ่ง เขตพระนครหรือหวงเฉิง (皇城 / Royal City) นั้นคือส่วนที่เป็นบริเวณสถานที่ราชการต่างๆ ส่วนเขตพระราชวังหรือกงเฉิง (宫城 / Palace City) นั้นคือเขตที่ประทับของฮ่องเต้และเหล่าเชื้อพระวงศ์ ถนนจูเชวี่ยส่วนที่อยู่ในเขตพระนครนั้นเรียกว่า ถนนเฉิงเทียน ตามชื่อประตู และเป็นที่มาว่าถนนจูเชวี่ยถูกเรียกว่าถนน ‘เทียนเจีย’ (ถนนสวรรค์)

    ถนนจูเชวี่ยแห่งนครฉางอันในสมัยถังนั้น จริงแท้หน้าตาเป็นอย่างไรไม่ปรากฏภาพวาดเปรียบเทียบกับถนนอื่นอย่างชัดเจน แต่มีการขุดพบซากถนนเก่าที่ยืนยันขนาดของมันว่ามีความยาว กว่า 5 กม. ถนนหน้ากว้าง 150 เมตร (รวมคูข้างถนน ถ้าไม่รวมคือประมาณ 129-130 เมตร) และทุกระยะทาง 200 เมตรจะมีการขยายถนนออกไปเล็กน้อย คล้ายเป็นไหล่ทาง มีไว้ให้คนยืนหลบเวลาที่ฮ่องเต้เสด็จผ่าน --- ลองนึกเปรียบเทียบดูว่า ถนนบ้านเราปัจจุบันตามกฎหมายกว้าง 3 เมตร ดังนั้นความกว้างของถนนจูเชวี่ยเทียบเท่าถนนห้าสิบเลนปัจจุบันของเราเลยทีเดียว! ทีนี้เพื่อนเพจคงนึกภาพตามได้ไม่ยากแล้วว่า ในละครที่เราเห็นภาพฮ่องเต้ทรงอวยพรให้แม่ทัพและเหล่ากองกำลังทหารก่อนเดินทัพออกจากพระราชวังนั้น เขามีถนนใหญ่อย่างนี้จริง

    มีคนวิเคราะห์ไว้ว่า ขนาดความกว้างของถนนจูเชวี่ยนี้ เป็นเพราะระยะทางการยิงของธนูธรรมดาในสมัยนั้น ยิงได้ไกลประมาณ 60 เมตร ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยของขบวนเสด็จของฮ่องเต้ ถนนจูเชวี่ยจึงต้องมีความกว้างถึง 150 เมตร

    แต่ไม่ใช่ถนนทุกสายที่มีหน้ากว้างขนาดนี้ ถนนสายรองของเมืองมีหน้ากว้างปกติ 40-70 เมตร และถนนเล็กเลียบกำแพงเมืองจะมีหน้ากว้างไม่เกิน 25 เมตร ส่วนถนนระหว่างเขตฟางส่วนใหญ่มีความกว้างเพียงให้รถเกวียนหรือรถม้าสองคันวิ่งสวนกัน

    ถนนจูเชวี่ยใหญ่ขนาดนี้ ใช่ถนนช้อปปิ้งหรือไม่?

    จากบันทึกโบราณ สถานช้อปปิ้งหลักของนครฉางอันคือตลาดตะวันตกและตลาดตะวันออก (ดูรูปผังเมืองที่แปะมา) โดยสินค้าในตลาดตะวันตกส่วนใหญ่เป็นสินค้าพื้นบ้านหรือของนำเข้าจากเมืองอื่นสำหรับชาวบ้านทั่วไป แต่สินค้าในตลาดตะวันออกจากมีราคาสูงขึ้นมาอีก เพราะกลุ่มลูกค้าจะเป็นชนชั้นสูง ส่วนถนนจูเชวี่ยนั้น สองฝั่งฟากส่วนใหญ่เป็นวัดวาอารามและหอชมวิว

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจากในละครและจาก:
    https://www.niusnews.com/=P0123ga33
    https://n.znds.com/article/39071.html
    http://v.xiancity.cn/folder11/folder186/2016-11-25/89648.html
    https://m.planning.org.cn/zx_news/9888.htm
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://m.planning.org.cn/zx_news/9888.htm
    https://en.unesco.org/silkroad/content/did-you-know-cosmopolitan-city-changan-eastern-end-silk-roads
    https://i.ifeng.com/c/8NbyjwjSa8B
    https://kknews.cc/history/6o6lop.html
    https://kknews.cc/news/e8orjvn.html
    https://www.gugong.net/zhongguo/tangchao/29679.html

    #ยอดขุนนางหญิงเจ้าเสน่ห์ #ฉางอันสิบสองชั่วยาม #ฉางอัน #ถนนจูเชวี่ย #ถนนสวรรค์
    ถนนจูเชวี่ยแห่งนครฉางอัน สวัสดีค่ะ วันนี้มาคุยกันเร็วหน่อยก่อนจะแยกย้ายกันไปฉลองปีใหม่ พูดถึงเทศกาลคริสมาสและปีใหม่ ก็หนีไม่พ้นเรื่องของการซื้อของให้ของขวัญ ทำให้ Storyฯ นึกถึงถนนสายหนึ่งที่มักถูกกล่าวถึงในละครเรื่อง <ยอดขุนนางหญิงเจ้าเสน่ห์> เวลาที่นางเอกชวนสาวใช้ไปเดินช้อปปิ้ง ถนนสายนี้มีชื่อว่า ถนนจูเชวี่ย (朱雀街 / ถนนวิหคชาด) ซึ่งเป็นชื่อที่ปรากฏบ่อยมากในซีรีส์และนิยายจีน เพราะมันเป็นถนนที่โด่งดังมากแห่งนครฉางอัน และปัจจุบันยังคงมีถนนสายนี้อยู่ที่เมืองซีอัน แต่เรียกจริงๆ ว่าถนนใหญ่จูเชวี่ย (朱雀大街 / Zhuque Avenue) ถนนจูเชวี่ยที่เราเห็นในละครหลายเรื่องดูจะเป็นถนนเล็ก สองฟากเรียงรายด้วยแผงขายของ แต่จริงๆ แล้ว ถนนจูเชวี่ยเป็นถนนที่ใหญ่มาก เลยต้องเอารูปประกอบมาเสริมจากละครเรื่อง <ฉางอันสิบสองชั่วยาม> ซึ่งถูกกล่าวขานยกย่องว่ามีการจำลองผังเมืองนครฉางอันมาอย่างดี ‘ฉางอัน’ ชื่อนี้แปลว่าสงบสุขยืนยาว และเมืองฉางอันมีอดีตยาวนานสมชื่อ มันเคยเป็นเมืองหลวงเก่าแก่หลายราชวงศ์ แต่ไม่ได้มีอาณาเขตเท่ากันในทุกยุคสมัย ในสมัยราชวงศ์สุยและถังมีการสร้างพระราชวังขึ้นเพิ่มและขยายอาณาเขตออกไป และในสมัยถังจัดได้ว่าเป็นช่วงที่เรืองรองที่สุดของนครฉางอัน ในช่วงที่เฟื่องฟูที่สุดนั้น นครฉางอันมีประชากรถึง 3 ล้านคน เป็นหนึ่งในเมืองที่ใหญ่ที่สุดในโลกในสมัยนั้น ใหญ่กว่ากรุงโรมโบราณถึง 7 เท่า เส้นผ่าศูนย์กลางตะวันออก-ตะวันตกของเมืองยาว 9.7 กิโลเมตร เหนือ-ใต้ยาว 8.7 กิโลเมตร ต่อมาในสมัยปลายถังมีการหนีข้าศึกย้ายราชธานีไปยังเมืองลั่วหยาง เมืองฉางอันก็ค่อยๆ เสื่อมโทรมลง ในสมัยหมิงมีการบูรณะฉางอันสร้างขึ้นอีกครั้งเป็นเมืองซีอัน แต่ก็ไม่ได้มีขนาดใหญ่เท่าฉางอันเดิม นครฉางอันสมัยถังแบ่งเป็นสองเขตใหญ่ คือฝั่งตะวันออกและตะวันตก มีถนนใหญ่คั่นกลางคือถนนจูเชวี่ย (ดูรูปประกอบ2) พื้นที่ทั้งหมดถูกแบ่งซอยย่อยเป็นเขตเล็กทรงสี่เหลี่ยมเรียกว่า ‘ฟาง’ มีหลายขนาด ยาวประมาณ 500-800 เมตร กว้าง 700-1,000 เมตร แต่ละเขตฟางมีกำแพงและคูระบายน้ำล้อมรอบ และมีประตูเข้าออกของมันเองเพื่อความปลอดภัย โดยประตูจะเปิดในตอนเช้าและปิดในตอนกลางคืน มีทั้งหมดด้วยกัน 108 เขตฟาง (ไม่รวมตลาดอีก 2 ฟาง) จนบางคนเปรียบผังเมืองฉางอันเป็นกระดานหมากล้อม เพื่อนเพจที่ได้ดู <ฉางอันสิบสองชั่วยาม> น่าจะคุ้นเคยกับภาพของเขตฟางเหล่านี้ นครฉางอันมีประตูเมือง 12 ประตู (Storyฯ เคยคุยถึงประตูเมืองโบราณแล้วใน https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/581451090649854 ) และประตูเมืองที่สำคัญเพราะเป็นประตูหลักในการเข้าออกเมืองนี้ก็คือประตูทิศใต้ที่มีชื่อว่า ประตูหมิงเต๋อ มันเป็นประตูเมืองประตูเดียวที่มีถึงห้าบาน โดยหนึ่งบานนั้นเป็นประตูที่เปิดใช้เฉพาะยามที่ฮ่องเต้เสด็จเข้าออกเมือง ถนนจูเชวี่ยนี้ ทิศใต้จรดประตูเมืองหมิงเต๋อที่กล่าวถึงข้างต้น ส่วนทิศเหนือนั้นจรดประตูเขตพระนครชื่อว่าประตูจูเชวี่ย และเลยผ่านเขตพระนครไปจรดประตูพระราชวังเฉิงเทียน อนึ่ง เขตพระนครหรือหวงเฉิง (皇城 / Royal City) นั้นคือส่วนที่เป็นบริเวณสถานที่ราชการต่างๆ ส่วนเขตพระราชวังหรือกงเฉิง (宫城 / Palace City) นั้นคือเขตที่ประทับของฮ่องเต้และเหล่าเชื้อพระวงศ์ ถนนจูเชวี่ยส่วนที่อยู่ในเขตพระนครนั้นเรียกว่า ถนนเฉิงเทียน ตามชื่อประตู และเป็นที่มาว่าถนนจูเชวี่ยถูกเรียกว่าถนน ‘เทียนเจีย’ (ถนนสวรรค์) ถนนจูเชวี่ยแห่งนครฉางอันในสมัยถังนั้น จริงแท้หน้าตาเป็นอย่างไรไม่ปรากฏภาพวาดเปรียบเทียบกับถนนอื่นอย่างชัดเจน แต่มีการขุดพบซากถนนเก่าที่ยืนยันขนาดของมันว่ามีความยาว กว่า 5 กม. ถนนหน้ากว้าง 150 เมตร (รวมคูข้างถนน ถ้าไม่รวมคือประมาณ 129-130 เมตร) และทุกระยะทาง 200 เมตรจะมีการขยายถนนออกไปเล็กน้อย คล้ายเป็นไหล่ทาง มีไว้ให้คนยืนหลบเวลาที่ฮ่องเต้เสด็จผ่าน --- ลองนึกเปรียบเทียบดูว่า ถนนบ้านเราปัจจุบันตามกฎหมายกว้าง 3 เมตร ดังนั้นความกว้างของถนนจูเชวี่ยเทียบเท่าถนนห้าสิบเลนปัจจุบันของเราเลยทีเดียว! ทีนี้เพื่อนเพจคงนึกภาพตามได้ไม่ยากแล้วว่า ในละครที่เราเห็นภาพฮ่องเต้ทรงอวยพรให้แม่ทัพและเหล่ากองกำลังทหารก่อนเดินทัพออกจากพระราชวังนั้น เขามีถนนใหญ่อย่างนี้จริง มีคนวิเคราะห์ไว้ว่า ขนาดความกว้างของถนนจูเชวี่ยนี้ เป็นเพราะระยะทางการยิงของธนูธรรมดาในสมัยนั้น ยิงได้ไกลประมาณ 60 เมตร ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยของขบวนเสด็จของฮ่องเต้ ถนนจูเชวี่ยจึงต้องมีความกว้างถึง 150 เมตร แต่ไม่ใช่ถนนทุกสายที่มีหน้ากว้างขนาดนี้ ถนนสายรองของเมืองมีหน้ากว้างปกติ 40-70 เมตร และถนนเล็กเลียบกำแพงเมืองจะมีหน้ากว้างไม่เกิน 25 เมตร ส่วนถนนระหว่างเขตฟางส่วนใหญ่มีความกว้างเพียงให้รถเกวียนหรือรถม้าสองคันวิ่งสวนกัน ถนนจูเชวี่ยใหญ่ขนาดนี้ ใช่ถนนช้อปปิ้งหรือไม่? จากบันทึกโบราณ สถานช้อปปิ้งหลักของนครฉางอันคือตลาดตะวันตกและตลาดตะวันออก (ดูรูปผังเมืองที่แปะมา) โดยสินค้าในตลาดตะวันตกส่วนใหญ่เป็นสินค้าพื้นบ้านหรือของนำเข้าจากเมืองอื่นสำหรับชาวบ้านทั่วไป แต่สินค้าในตลาดตะวันออกจากมีราคาสูงขึ้นมาอีก เพราะกลุ่มลูกค้าจะเป็นชนชั้นสูง ส่วนถนนจูเชวี่ยนั้น สองฝั่งฟากส่วนใหญ่เป็นวัดวาอารามและหอชมวิว (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://www.niusnews.com/=P0123ga33 https://n.znds.com/article/39071.html http://v.xiancity.cn/folder11/folder186/2016-11-25/89648.html https://m.planning.org.cn/zx_news/9888.htm Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://m.planning.org.cn/zx_news/9888.htm https://en.unesco.org/silkroad/content/did-you-know-cosmopolitan-city-changan-eastern-end-silk-roads https://i.ifeng.com/c/8NbyjwjSa8B https://kknews.cc/history/6o6lop.html https://kknews.cc/news/e8orjvn.html https://www.gugong.net/zhongguo/tangchao/29679.html #ยอดขุนนางหญิงเจ้าเสน่ห์ #ฉางอันสิบสองชั่วยาม #ฉางอัน #ถนนจูเชวี่ย #ถนนสวรรค์
    0 Comments 0 Shares 1420 Views 0 Reviews
  • เดินหน้าสถานีอยุธยา รถไฟความเร็วสูง

    โครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง ช่วงกรุงเทพฯ-นครราชสีมา ที่หยุดชะงักในบางช่วง โดยเฉพาะสัญญาที่ 4-5 ช่วงบ้านโพ-พระแก้ว จ.พระนครศรีอยุธยา ระยะทาง 13.30 กิโลเมตร ที่ยังก่อสร้างไม่ได้เพราะติดขัดเรื่องโบราณสถานที่ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ในที่สุดผู้แทนองค์กรที่ปรึกษาของคณะกรรมการมรดกโลก องค์การยูเนสโก (UNESCO) ที่ลงพื้นที่ จ.พระนครศรีอยุธยา เมื่อวันที่ 19-22 ม.ค. มีข้อสรุปให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ปรับลดความสูงของหลังคาสถานีรถไฟความเร็วสูงอยุธยา ไม่ให้โครงสร้างหลังคาซ้อนทับกับสถานีรถไฟอยุธยาเดิม พร้อมทั้งให้อนุรักษ์สถานีรถไฟอยุธยาเดิมไว้

    หลังจากนี้การรถไฟฯ จะรอรายงานจากยูเนสโกภายในเดือน มี.ค. ก่อนนำมาจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบต่อแหล่งมรดกโลก (HIA) แล้วส่งรายงานให้คณะอนุกรรมการมรดกโลกทางวัฒนธรรม และคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลกทราบ เพื่อนำส่งรายงานให้ศูนย์มรดกโลกต่อไป ก่อนที่จะลงนามสัญญาและก่อสร้าง วงเงินลงทุน 10,325.90 ล้านบาท โดยปรับลดความสูงของสถานีจาก 37.45 เมตร เหลือ 35.45 เมตร และความสูงของสันรางจาก 19 เมตร เหลือ 17 เมตร แต่แนวสถานียังก่อสร้างบนเขตทางรถไฟ ห่างจากพื้นที่มรดกโลก 1.5 กิโลเมตร และมีแม่น้ำป่าสักคั่นอยู่เป็น Bubble Zone

    นอกจากช่วงบ้านโพ-พระแก้ว ที่ยังก่อสร้างไม่ได้ในขณะนี้ ยังมีสัญญา 4-1 ช่วงบางซื่อ-ดอนเมือง ระยะทาง 15.21 กิโลเมตร ที่ใช้โครงสร้างร่วมกับรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ปัจจุบันก่อสร้างแล้วเสร็จ 2 สัญญา ได้แก่ สัญญาที่ 1-1 ช่วงกลางดง-ปางอโศก ระยะทาง 3.5 กิโลเมตร และสัญญาที่ 2-1 ช่วงสีคิ้ว-กุดจิก ระยะทาง 11 กิโลเมตร ส่วนอีก 10 สัญญากำลังก่อสร้าง โดยคาดว่าในปี 2568 จะแล้วเสร็จเพิ่มอีก 2 สัญญา ได้แก่ สัญญาที่ 3-2 งานอุโมงค์มวกเหล็กและลำตะคอง ระยะทาง 12.23 กิโลเมตร และสัญญาที่ 3-4 ช่วงลำตะคอง-สีคิ้ว และกุดจิก-โคกกรวด ระยะทาง 37.45 กิโลเมตร

    สำหรับโครงการรถไฟความเร็วสูง ช่วงกรุงเทพฯ-นครราชสีมา ระยะทาง 251 กิโลเมตร เริ่มก่อสร้างเมื่อวันที่ 21 ธ.ค.2560 วงเงินก่อสร้าง 179,412.21 ล้านบาท มีสถานีให้บริการ 6 สถานี ได้แก่ สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ สถานีดอนเมือง สถานีอยุธยา สถานีสระบุรี สถานีปากช่อง และสถานีนครราชสีมา ตามแผนล่าสุดกำหนดเปิดให้บริการในปี 2571 ส่วนโครงการช่วงนครราชสีมา-หนองคาย ระยะทาง 357 กิโลเมตร มีสถานีบัวใหญ่ สถานีบ้านไผ่ สถานีขอนแก่น สถานีอุดรธานี และสถานีหนองคาย พร้อมสะพานข้ามแม่น้ำโขงใหม่ วงเงินลงทุน 3.4 แสนล้านบาท อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.)

    #Newskit
    -----
    ลุ้นรับฟรี บัตร Touch 'n Go มาเลเซีย สำหรับผู้อ่าน Newskit บน Thaitimes ร่วมสนุกได้ถึงวันที่ 31 ม.ค. 2568 คลิก >>> https://forms.gle/sCSp9i1Ub9KDjYZg9
    เดินหน้าสถานีอยุธยา รถไฟความเร็วสูง โครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง ช่วงกรุงเทพฯ-นครราชสีมา ที่หยุดชะงักในบางช่วง โดยเฉพาะสัญญาที่ 4-5 ช่วงบ้านโพ-พระแก้ว จ.พระนครศรีอยุธยา ระยะทาง 13.30 กิโลเมตร ที่ยังก่อสร้างไม่ได้เพราะติดขัดเรื่องโบราณสถานที่ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ในที่สุดผู้แทนองค์กรที่ปรึกษาของคณะกรรมการมรดกโลก องค์การยูเนสโก (UNESCO) ที่ลงพื้นที่ จ.พระนครศรีอยุธยา เมื่อวันที่ 19-22 ม.ค. มีข้อสรุปให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ปรับลดความสูงของหลังคาสถานีรถไฟความเร็วสูงอยุธยา ไม่ให้โครงสร้างหลังคาซ้อนทับกับสถานีรถไฟอยุธยาเดิม พร้อมทั้งให้อนุรักษ์สถานีรถไฟอยุธยาเดิมไว้ หลังจากนี้การรถไฟฯ จะรอรายงานจากยูเนสโกภายในเดือน มี.ค. ก่อนนำมาจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบต่อแหล่งมรดกโลก (HIA) แล้วส่งรายงานให้คณะอนุกรรมการมรดกโลกทางวัฒนธรรม และคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลกทราบ เพื่อนำส่งรายงานให้ศูนย์มรดกโลกต่อไป ก่อนที่จะลงนามสัญญาและก่อสร้าง วงเงินลงทุน 10,325.90 ล้านบาท โดยปรับลดความสูงของสถานีจาก 37.45 เมตร เหลือ 35.45 เมตร และความสูงของสันรางจาก 19 เมตร เหลือ 17 เมตร แต่แนวสถานียังก่อสร้างบนเขตทางรถไฟ ห่างจากพื้นที่มรดกโลก 1.5 กิโลเมตร และมีแม่น้ำป่าสักคั่นอยู่เป็น Bubble Zone นอกจากช่วงบ้านโพ-พระแก้ว ที่ยังก่อสร้างไม่ได้ในขณะนี้ ยังมีสัญญา 4-1 ช่วงบางซื่อ-ดอนเมือง ระยะทาง 15.21 กิโลเมตร ที่ใช้โครงสร้างร่วมกับรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ปัจจุบันก่อสร้างแล้วเสร็จ 2 สัญญา ได้แก่ สัญญาที่ 1-1 ช่วงกลางดง-ปางอโศก ระยะทาง 3.5 กิโลเมตร และสัญญาที่ 2-1 ช่วงสีคิ้ว-กุดจิก ระยะทาง 11 กิโลเมตร ส่วนอีก 10 สัญญากำลังก่อสร้าง โดยคาดว่าในปี 2568 จะแล้วเสร็จเพิ่มอีก 2 สัญญา ได้แก่ สัญญาที่ 3-2 งานอุโมงค์มวกเหล็กและลำตะคอง ระยะทาง 12.23 กิโลเมตร และสัญญาที่ 3-4 ช่วงลำตะคอง-สีคิ้ว และกุดจิก-โคกกรวด ระยะทาง 37.45 กิโลเมตร สำหรับโครงการรถไฟความเร็วสูง ช่วงกรุงเทพฯ-นครราชสีมา ระยะทาง 251 กิโลเมตร เริ่มก่อสร้างเมื่อวันที่ 21 ธ.ค.2560 วงเงินก่อสร้าง 179,412.21 ล้านบาท มีสถานีให้บริการ 6 สถานี ได้แก่ สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ สถานีดอนเมือง สถานีอยุธยา สถานีสระบุรี สถานีปากช่อง และสถานีนครราชสีมา ตามแผนล่าสุดกำหนดเปิดให้บริการในปี 2571 ส่วนโครงการช่วงนครราชสีมา-หนองคาย ระยะทาง 357 กิโลเมตร มีสถานีบัวใหญ่ สถานีบ้านไผ่ สถานีขอนแก่น สถานีอุดรธานี และสถานีหนองคาย พร้อมสะพานข้ามแม่น้ำโขงใหม่ วงเงินลงทุน 3.4 แสนล้านบาท อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) #Newskit ----- ลุ้นรับฟรี บัตร Touch 'n Go มาเลเซีย สำหรับผู้อ่าน Newskit บน Thaitimes ร่วมสนุกได้ถึงวันที่ 31 ม.ค. 2568 คลิก >>> https://forms.gle/sCSp9i1Ub9KDjYZg9
    Like
    4
    0 Comments 0 Shares 1242 Views 0 Reviews
  • ใส่ชุดไทย ไปเที่ยวงานอยุธยากัน.. : [News story]

    อย่าพลาด!! งานยอยศยิ่งฟ้าอยุธยาเมืองมรดกโลก ร่วมเฉลิมฉลองครบรอบ 33 ปีที่ UNESCO ขึ้นทะเบียน อยุธยาเมืองมรดกโลก ในระหว่างวันที่ 13-22 ธันวาคม 2567
    ใส่ชุดไทย ไปเที่ยวงานอยุธยากัน.. : [News story] อย่าพลาด!! งานยอยศยิ่งฟ้าอยุธยาเมืองมรดกโลก ร่วมเฉลิมฉลองครบรอบ 33 ปีที่ UNESCO ขึ้นทะเบียน อยุธยาเมืองมรดกโลก ในระหว่างวันที่ 13-22 ธันวาคม 2567
    Like
    Love
    3
    0 Comments 0 Shares 969 Views 60 0 Reviews
  • เมื่อวันพุธ (4 ธ.ค.) องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติหรือยูเนสโก (UNESCO) ได้ขึ้นทะเบียนเทศกาลฤดูใบไม้ผลิหรือเทศกาลตรุษจีนของประชาชนชาวจีนเข้าสู่รายการตัวแทนมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ.มติข้างต้นมีขึ้นที่การประชุมคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลด้านการคุ้มครองมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ สมัยที่ 19 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 2-7 ธ.ค. ในปารากวัย โดยคณะกรรมการฯ ให้การรับรองเทศกาลตรุษจีน เนื่องด้วยมีพิธีกรรมและองค์ประกอบทางวัฒนธรรมเฉพาะตัวอันเกี่ยวพันกับทั้งสังคมจีน.ยูเนสโกเน้นย้ำว่าเทศกาลตรุษจีนที่เป็นหมุดหมายการเริ่มต้นปีใหม่ตามปฏิทินจันทรคติจีนมีความเกี่ยวข้องกับพิธีปฏิบัติทางสังคมที่หลากหลาย ทั้งการกราบไหว้ขอพรและการกลับมารวมตัวกันของสมาชิกครอบครัว รวมถึงมีกิจกรรมต่างๆ ที่จัดแจงโดยผู้สูงอายุและงานสาธารณะตามเทศกาลที่จัดโดยชุมชน.เอกสารของยูเนสโกระบุว่าองค์ความรู้และขนบธรรมเนียมตามประเพณีดั้งเดิมที่เกี่ยวพันกับเทศกาลตรุษจีนถูกส่งต่อภายในครอบครัวและชุมชนอย่างไม่เป็นทางการ รวมถึงส่งต่ออย่างเป็นทางการผ่านระบบการศึกษา ขณะทักษะงานฝีมือและศิลปะที่เกี่ยวข้องกับเทศกาลนี้ถูกส่งต่อผ่านการฝึกฝน ส่งเสริมคุณค่าของครอบครัว ความสมานฉันท์ในสังคม และสันติภาพ.คณะกรรมการฯ สำทับว่าเทศกาลตรุษจีนที่มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมนั้นประกอบด้วยความกลมกลืนระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ และมีส่วนส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนในด้านต่างๆ เช่น ความมั่นคงทางอาหารและการศึกษา ตลอดจนมีบทบาทหลักในการเพิ่มความตระหนักรู้ด้านสิ่งแวดล้อม.เหราเฉวียน ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวของจีน ซึ่งนำคณะผู้แทนของจีนเข้าร่วมการประชุมของยูเนสโก กล่าวว่าเทศกาลตรุษจีนเป็นวันหยุดตามประเพณีที่สำคัญที่สุดของจีน เป็นสัญลักษณ์แห่งความหวังมีชีวิตที่ดีขึ้นของประชาชนชาวจีน สัมพันธ์กับครอบครัวและประเทศ และคุณค่าของความกลมกลืนระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ.เหราเสริมว่าเทศกาลตรุษจีนถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นและมอบความแข็งแกร่งทางจิตวิญญาณแก่ประชาชนชาวจีนเสมอมา มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมความปรองดองของครอบครัวและสังคม ขับเคลื่อนการพัฒนาทางเศรษฐกิจ ปกป้องสิ่งแวดล้อม และบ่มเพาะการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมทั่วโลก.เหรากล่าวว่าการขึ้นทะเบียนเทศกาลตรุษจีนเข้าสู่รายการตัวแทนมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติจะช่วยส่งเสริมคุณค่าสากลของสันติภาพและความสามัคคีปรองดอง และเน้นย้ำบทบาทสำคัญของมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ในการพัฒนาที่ยั่งยืน.ปัจจุบันจีนมีองค์ประกอบหรือพิธีปฏิบัติทางวัฒนธรรมที่ยูเนสโกให้การรับรองเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ จำนวน 44 รายการแล้ว
    เมื่อวันพุธ (4 ธ.ค.) องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติหรือยูเนสโก (UNESCO) ได้ขึ้นทะเบียนเทศกาลฤดูใบไม้ผลิหรือเทศกาลตรุษจีนของประชาชนชาวจีนเข้าสู่รายการตัวแทนมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ.มติข้างต้นมีขึ้นที่การประชุมคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลด้านการคุ้มครองมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ สมัยที่ 19 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 2-7 ธ.ค. ในปารากวัย โดยคณะกรรมการฯ ให้การรับรองเทศกาลตรุษจีน เนื่องด้วยมีพิธีกรรมและองค์ประกอบทางวัฒนธรรมเฉพาะตัวอันเกี่ยวพันกับทั้งสังคมจีน.ยูเนสโกเน้นย้ำว่าเทศกาลตรุษจีนที่เป็นหมุดหมายการเริ่มต้นปีใหม่ตามปฏิทินจันทรคติจีนมีความเกี่ยวข้องกับพิธีปฏิบัติทางสังคมที่หลากหลาย ทั้งการกราบไหว้ขอพรและการกลับมารวมตัวกันของสมาชิกครอบครัว รวมถึงมีกิจกรรมต่างๆ ที่จัดแจงโดยผู้สูงอายุและงานสาธารณะตามเทศกาลที่จัดโดยชุมชน.เอกสารของยูเนสโกระบุว่าองค์ความรู้และขนบธรรมเนียมตามประเพณีดั้งเดิมที่เกี่ยวพันกับเทศกาลตรุษจีนถูกส่งต่อภายในครอบครัวและชุมชนอย่างไม่เป็นทางการ รวมถึงส่งต่ออย่างเป็นทางการผ่านระบบการศึกษา ขณะทักษะงานฝีมือและศิลปะที่เกี่ยวข้องกับเทศกาลนี้ถูกส่งต่อผ่านการฝึกฝน ส่งเสริมคุณค่าของครอบครัว ความสมานฉันท์ในสังคม และสันติภาพ.คณะกรรมการฯ สำทับว่าเทศกาลตรุษจีนที่มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมนั้นประกอบด้วยความกลมกลืนระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ และมีส่วนส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนในด้านต่างๆ เช่น ความมั่นคงทางอาหารและการศึกษา ตลอดจนมีบทบาทหลักในการเพิ่มความตระหนักรู้ด้านสิ่งแวดล้อม.เหราเฉวียน ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวของจีน ซึ่งนำคณะผู้แทนของจีนเข้าร่วมการประชุมของยูเนสโก กล่าวว่าเทศกาลตรุษจีนเป็นวันหยุดตามประเพณีที่สำคัญที่สุดของจีน เป็นสัญลักษณ์แห่งความหวังมีชีวิตที่ดีขึ้นของประชาชนชาวจีน สัมพันธ์กับครอบครัวและประเทศ และคุณค่าของความกลมกลืนระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ.เหราเสริมว่าเทศกาลตรุษจีนถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นและมอบความแข็งแกร่งทางจิตวิญญาณแก่ประชาชนชาวจีนเสมอมา มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมความปรองดองของครอบครัวและสังคม ขับเคลื่อนการพัฒนาทางเศรษฐกิจ ปกป้องสิ่งแวดล้อม และบ่มเพาะการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมทั่วโลก.เหรากล่าวว่าการขึ้นทะเบียนเทศกาลตรุษจีนเข้าสู่รายการตัวแทนมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติจะช่วยส่งเสริมคุณค่าสากลของสันติภาพและความสามัคคีปรองดอง และเน้นย้ำบทบาทสำคัญของมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ในการพัฒนาที่ยั่งยืน.ปัจจุบันจีนมีองค์ประกอบหรือพิธีปฏิบัติทางวัฒนธรรมที่ยูเนสโกให้การรับรองเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ จำนวน 44 รายการแล้ว
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 979 Views 0 Reviews
  • อีกหนึ่งข่าวดีของคนไทยและอาหารไทย ที่ล่าสุดนี้ ยูเนสโก ประกาศขึ้นทะเบียน “ต้มยำกุ้ง” เป็นมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ ประจำปี 2567 ต่อจากรายการ โขน นวดไทย โนรา และ สงกรานต์ ในปีที่ผ่านมานางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลเพื่อการสงวนรักษามรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ครั้งที่ 19 (The nineteenth session of the Intergovernmental Committee for the Safeguarding of the Intangible Cultural Heritage: IGC-ICH) ขององค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ UNESCO เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2567 เวลา 16.10 น. (เวลาท้องถิ่น) ณ นครอซุนซิออน (Asuncion) สาธารณรัฐปารากวัย หรือตรงกับ วันที่ 4 ธันวาคม 2567 เวลาประมาณ 02.10 น. (ประเทศไทย เร็วกว่า 10 ชั่วโมง) มีมติรับรองให้ “ต้มยำกุ้ง” (Tomyum Kung) ขึ้นทะเบียนเป็นรายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ (Representative List of the Intangible Cultural Heritage of Humanity : RL) ประจำปี 2567 ต่อจากรายการ โขน นวดไทย โนรา และ สงกรานต์ ในปีที่ผ่านมา
    อีกหนึ่งข่าวดีของคนไทยและอาหารไทย ที่ล่าสุดนี้ ยูเนสโก ประกาศขึ้นทะเบียน “ต้มยำกุ้ง” เป็นมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ ประจำปี 2567 ต่อจากรายการ โขน นวดไทย โนรา และ สงกรานต์ ในปีที่ผ่านมานางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลเพื่อการสงวนรักษามรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ครั้งที่ 19 (The nineteenth session of the Intergovernmental Committee for the Safeguarding of the Intangible Cultural Heritage: IGC-ICH) ขององค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ UNESCO เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2567 เวลา 16.10 น. (เวลาท้องถิ่น) ณ นครอซุนซิออน (Asuncion) สาธารณรัฐปารากวัย หรือตรงกับ วันที่ 4 ธันวาคม 2567 เวลาประมาณ 02.10 น. (ประเทศไทย เร็วกว่า 10 ชั่วโมง) มีมติรับรองให้ “ต้มยำกุ้ง” (Tomyum Kung) ขึ้นทะเบียนเป็นรายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ (Representative List of the Intangible Cultural Heritage of Humanity : RL) ประจำปี 2567 ต่อจากรายการ โขน นวดไทย โนรา และ สงกรานต์ ในปีที่ผ่านมา
    0 Comments 0 Shares 668 Views 0 Reviews
  • ๒๑ ตุลาคม ๒๕๖๗ เนื่องในโอกาสครบรอบ ๑๒๔ ปี วันคล้ายวันพระราชสมภพในสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงเป็นพระบรมราชชนนีของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล (รัชกาลที่ ๘) และพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ ๙) และทรงเป็นพระอัยยิกา (ย่า) ของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๑๐)

    ตลอดพระชนม์ชีพของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี พระองค์ทรงงานอย่างต่อเนื่องเพื่อยกระดับความเป็นอยู่ของชุมชนที่ยากไร้และชนกลุ่มน้อยในประเทศไทยให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น จนวาระสุดท้ายของพระชนม์ชีพในปีพ.ศ. ๒๕๓๘ รวมพระชนมายุ ๙๕ พรรษา

    องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก (UNESCO) ได้ยกย่องให้สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีเป็น “บุคคลสำคัญของโลก” ประจำปีพ.ศ.๒๕๔๓ ในฐานะที่ทรงมีผลงานดีเด่นเพื่อส่วนรวมในด้านการศึกษาวิทยาศาสตร์ประยุกต์ การพัฒนามนุษย์ สังคม และสิ่งแวดล้อม"

    “ เกียรติยศไม่ได้มาด้วยชาติกำเนิด แต่เกิดจากการกระทำ.. .”
    ”Not noble by birth, Yet noble by deeds“
    พระราชดำรัสในสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ปรากฏอยู่ในหอแห่งแรงบันดาลใจ ดอยตุง อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย

    ขอบคุณภาพเขียนโดย James Paiboon

    #Thaitimes
    ๒๑ ตุลาคม ๒๕๖๗ เนื่องในโอกาสครบรอบ ๑๒๔ ปี วันคล้ายวันพระราชสมภพในสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงเป็นพระบรมราชชนนีของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล (รัชกาลที่ ๘) และพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ ๙) และทรงเป็นพระอัยยิกา (ย่า) ของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๑๐) ตลอดพระชนม์ชีพของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี พระองค์ทรงงานอย่างต่อเนื่องเพื่อยกระดับความเป็นอยู่ของชุมชนที่ยากไร้และชนกลุ่มน้อยในประเทศไทยให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น จนวาระสุดท้ายของพระชนม์ชีพในปีพ.ศ. ๒๕๓๘ รวมพระชนมายุ ๙๕ พรรษา องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก (UNESCO) ได้ยกย่องให้สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีเป็น “บุคคลสำคัญของโลก” ประจำปีพ.ศ.๒๕๔๓ ในฐานะที่ทรงมีผลงานดีเด่นเพื่อส่วนรวมในด้านการศึกษาวิทยาศาสตร์ประยุกต์ การพัฒนามนุษย์ สังคม และสิ่งแวดล้อม" “ เกียรติยศไม่ได้มาด้วยชาติกำเนิด แต่เกิดจากการกระทำ.. .” ”Not noble by birth, Yet noble by deeds“ พระราชดำรัสในสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ปรากฏอยู่ในหอแห่งแรงบันดาลใจ ดอยตุง อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย ขอบคุณภาพเขียนโดย James Paiboon #Thaitimes
    Love
    Like
    8
    1 Comments 1 Shares 1082 Views 0 Reviews
  • ไม่ต้องฟูมฟายไปนะคะ ติ่งขา………พี่ปูคมทั้งในฝักและนอกฝักเชียว……!!!

    ตอนเจ็ด………ตำแหน่งที่ได้รับ……ไม่ได้มาจากโชคหรือการจับฉลาก……แต่ด้วยความสามารถและความอุตสาหะล้วนๆ

    ที่ปูตินลังเลนั้น……เขาเพียงแต่ห่วงว่าครอบครัวจะปรับชีวิตและความเป็นอยู่ได้มากน้อยแค่ไหน เพราะสังคมที่มอสโคว์กับกรุงเซนต์ต่างกันมากมาย
    แต่เมื่อได้คุยกับลุดมิลา เธอและลูกๆไม่มีปัญหาอะไร ไปไหนก็ได้เพราะอำนาจในการตัดสินก็อยู่ที่ช้างเท้าหน้าคือปูตินอยู่แล้ว และตัวเธอเองก็จะได้มีอิสระกับสายตาของแม่สามีไปเสียบ้าง

    สาเหตุก็เพราะรัฐบาลของเยลซินต้องการ”น้ำใหม่”มาแทนที่น้ำเสียที่รวมกันกันเป็นกระจุกอยู่ในเครมลิน เพราะความผิดพลาดในเรื่องการทำสงครามปราบปรามที่ Chechen ในปี 1994 ที่ทุกคนคิดว่า
    วันสองวันก็คงจบ……แต่ที่ไหนได้ มาลากถ่วงยาวมาจนตอนนี้
    รวมทั้งสุขภาพที่ลดถอยของเยลซินเอง ที่เป็นโรคหัวใจกำเริบในตอนต้นปี 1995 ที่ทำให้เขาไม่ได้ปรากฏตัวออกสู่สายตาของประชาชน

    นี่คือเหตุผลที่ปูตินได้เข้ามาเป็นน้ำใหม่ในมอสโคว์ ในเดือนกันยายน 1996 และได้รับบ้านประจำตำแหน่งที่ค่อนข้างหรูหราอยู่ใกล้ๆกับเครมลิน
    เขาได้นำเพื่อนคู่ใจมาช่วยงานด้วยสองคน จากเซนต์ ปีเตอร์เบอร์ก คือ Sergei Chemezov**และ Igor Sechin***

    เจ้านายของเขา ปาเวล ได้มอบหมายงานให้เป็นฝ่ายดูแลอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมด จะต้องมีการคัดกรอง บริหารที่ดิน ตึกอาคารกันใหม่ เพราะในยุคของโซเวียต ทุกอย่างเป็นของรัฐบาล แต่ตอนนี้ก่อนที่จะมีการจำหน่าย หรือ จัดสรร ออกโฉนดจะต้องทำการประเมิน
    ซึ่งมันหมายถึงงานที่มากมายมหาศาล เพราะพื้นที่ที่จะต้องดูแลทั้งหมด คือ 78 เขตจังหวัด และ ต่างประเทศ(ในความควบคุมของโซเวียต) อื่นๆ เช่น อาคารที่ตั้งสถานทูต โรงเรียน
    รวมทั้งที่ยูเครน

    เรียกได้ว่า งานนี้ ทำให้ปูตินได้รู้หมดถึงทรัพย์สินของรัสเซียว่าอยู่ที่ไหน และ มีค่าเท่าใด
    และยิ่งค้นไป……เขาได้เห็นความไม่ชอบมาพากลหลายๆอย่าง เช่นพื้นที่สำคัญหลายแห่งถูกปล่อยให้เช่า แม้แต่ทรัพย์สินที่มีในสวิสเซอร์แลนด์ก็เช่นกัน ที่ขายไปในราคาที่เหมือนจะให้ฟรี จากชื่อบริษัท หรือ องค์กรประหลาดๆ
    ยิ่งค้นไปก็เจอว่าเป็นการ”ลักไก่” จากในหมู่ข้าราชการด้วยกัน

    เขาได้ทำรายงานให้กับทางต้นสังกัดให้ทราบเป็นเอกสารอย่างครบถ้วน เพื่อที่จะจัดการกันต่อไป เพราะเขาถือว่า
    หน้าที่ของเขา คือ การรวบรวมเอกสารและข้อมูล
    ส่วนการพิจารณาโทษ……เป็นหน้าที่ของหน่วยที่เกี่ยวข้อง

    แต่การดำเนินการล่าช้าจนเกินเหตุเพราะในช่วงนั้น มีสงครามที่เชเชน ที่มีแม่ทัพผู้อำนวยการ คือ นายพล Alexandr Lebed จอมยะโสคนนั้น
    ที่ได้สร้างผลงานให้อับอายไปทั่ว คือ แทนที่จะสยบเชเชน ดินแดนชายแดนขนาดเล็กแค่นั้น แต่ทำไม่สำเร็จ (สิงหาคม 1996)
    แถมจะยอมเจรจาสงบศึกทำสนธิสัญญาที่เสียเปรียบเข้าไปอีก
    งานนี้ทำให้เกิดกระแสที่เสียหายกับรัฐบาลของเยลซิน
    เหล่าคณะมนตรีเริ่มลุกขึ้นมาทะเลาะกันลั่นสภา
    หลายคนเรียก นายพล Alexandr Lebed ว่าเป็น “Little Napoleon” (คือ ปากดี ทีเหลว) หรือ “ไอ้กองทัพไม่มีน้ำยา”
    กระแสโกรธแค้นของประชาชนเริ่มทวีขึ้น
    จนไม่กี่วันต่อมา เยลซินต้องทำการปลดท่านนายพลออกจากตำแหน่ง

    การปรับเปลี่ยนตำแน่งได้เริ่มขึ้นอีกครั้ง ปูตินได้ขึ้นมาเป็นผู้อำนวยการแห่งองค์กรรวม ( Chief of Staff) ที่เทียบเท่ากับ
    อธิบดี ที่ไม่กี่วันต่อมาหลังจากที่ได้รับตำแหน่ง สภาได้ออกกฏหมายใหม่ เพิ่มอำนาจให้กับเขาอีก ในการขยายวงสอบสวนการทุจริต ยักยอก รวมไปถึงการคอร์รัปชั่นที่ทำให้ประเทศสูญเสียรายได้ ไม่ว่าจะเป็น ข้าราชการ, พนักงานลูกจ้าง และการสัมปทานต่างๆ
    งานนี้ ปูตินได้เจอะเจองานช้างเข้าหลายงาน เช่น อดีตนายพล Paval Grachev คนสนิทของเยลซิน ที่ควบคุมกองทัพในคอร์เคซัส ตั้งแต่ปี 1993-1996 ได้นำรถถังและอาวุธต่างๆที่มีมูลค่ากว่า หนึ่งพันล้านดอลล่าร์ ไปให้กับกองทัพของอาร์เมเนี่ยน ในสงครามกับ อาร์เซอร์ไบจาน
    ซึ่งเป็นการกระทำที่ถือว่าขายชาติ เพราะ รัสเซียอยู่ฝ่ายสนับสนุนอาเซอร์ไบจาน

    แต่…ทุกอย่างได้ผ่านไปก่อนที่ปูตินจะก้าวเข้ามา เขาจะไปทำอะไรได้ นอกจากจะต้องเลี้ยงนายพลคนนี้ต่อไป เนื่องจากว่าเป็นนายพลระดับวงในของเยลซที่เปรียบเหมือนตัวอันตราย ถ้าบีบคั้น……
    ก็อาจจะตกไปอยู่ในมือของชาติอื่นที่ต้องการล้วงความลับ
    ดังนั้น จึงต้องใช้วิธีเลี้ยงเอาไว้ แล้วใส่ปลอกคอล่ามโซ่ให้สั้น
    โดยที่เขาใช้วิธีให้สัมภาษณ์กับนักข่าว
    ในเวลาที่ถูกถามถึงเรื่อง
    “นายพล เมอร์ซิเดส” เพราะนายพลคนนี้ชอบใช้รถหรูเกินฐานะ
    ว่า เรื่องการตรวจสอบคอร์รัปชั่นค้าอาวุธกับฝ่ายตรงข้ามนั้นไปถึงไหนแล้ว
    ปูตินตอบเรียบๆว่า “เราได้เอกสารพร้อมทุกอย่างแล้ว ข้อมูลครบ จะส่งขึ้นไปให้ฝ่ายกฎหมายต่อไป”
    นักข่าวถามต่อว่า
    “นายพลเมอร์ซิเดสได้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่..??”
    “ก็ไม่มีนะ ไม่มีชื่อของ Gen. Pavel Grachev มาเกี่ยวข้องด้วย “

    นี่คือการทำงานของปูตินที่ต้องรักษาภาพลักษณ์ให้กับเยลซิน
    แต่มืออีกข้างหนึ่งเขาได้จัดการไปตามกฏหมายเอาผิด ใช้เวลาถึงสิบปี ที่ได้เอานายพลและคณะออกจากตำแหน่งได้สำเร็จ (2007)
    หรืองานคอร์รัปชั่นในหน่วยสร้างทางที่เป็นเงินมหาศาลที่มีข้าราชการเกี่ยวข้องทำผิดถึง 260 คน (ในเมษายน ปี 1997)
    หรือใน Stavropol เชือดไปอีก 450 คน (ในกันยายน 1997)

    เรื่องนายพลที่ต้องล่าช้านานขนาดนั้น เพราะปูตินไม่มีอำนาจในบทลงโทษที่เป็นงานส่วนตุลาการ
    เขาทำได้แค่ชี้มูลความผิดพร้อมหลักฐานที่หนาแน่น

    เพราะการทำงานไล่บี้การยักยอกนั้น ทำให้ปูตินต้องเข้าติดต่อกับงานเดิมอีก คือ KGB ที่ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น FSB (แต่อาคารที่ทำงานยังอยู่ที่เดิม) อยู่บ่อยๆ เท่ากับว่าเขาได้กลับไปเยือนบรรยากาศเก่าๆอีกครั้ง

    และจากงานที่ต้องมาดูพื้นที่และทรัพยากรของชาติ ที่เขาได้ทำงานอย่างไหลลื่นนั้น ก็ไม่ใช่ว่าเขาเหนือมนุษย์……
    หากแต่มันเป็นเรื่องบังเอิญอย่างที่สุด ที่เขาเกิดความสนใจในเรื่องเศรษฐศาสตร์ เพราะจากงานที่ทำอยู่ในสภาเทศบาลที่กรุงเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก ในช่วงที่อนาโตลีได้แพ้เลือกตั้ง
    ปูตินเริ่มมีเวลาว่าง เพราะมีหน้าที่เพียงแต่อำนวยความสะดวกให้กับทีมใหม่
    เขาใช้เวลานั้น ไปลงเรียนวิชาบริหารเหมืองแร่และทรัพยากรน้ำมัน ที่ Georgi Plekhanov Mining Institute
    แทนที่จะไปเรียนต่อทางด้านกฎหมาย
    และไม่ได้ไปเรียนคนเดียว เขาเอาเพื่อนรักทั้งสอง Viktor Zubkov กับ Igor Sechin ไปนั่งเรียนกันด้วย

    ปลายปี 1996 (เข้าเรียนกลางปี 1995) ที่ปูตินสามารถส่งแฟ้ม Thesis ที่หนากว่า 250 หน้า ในเรื่องทรัพยากรแร่ธาตุที่เปรียบเสมือนทองคำของประเทศ
    ได้สำเร็จสวยงาม เพราะเขาได้ติวเตอร์คนสำคัญมาช่วย
    นั่นคือ Vladimir Litvenenko ศาสตราจารย์ผู้เชี่ยวชาญเหมืองแร่ ที่ไปค้นคว้าหาตำราจากยุโรปมาแปลให้เป็นภาษารัสเซีย
    เรื่องนี้ ปูตินและเพื่อนๆที่พากันไปเรียนก็ไม่ได้ไปโอ้อวดที่ไหน ตอนนั้นที่ไปลงเรียน ก็เพราะมีเวลาว่าง
    เขาเพียงแต่คิดว่า……ในสายงานทางกฎหมายของเขาควรจะต้องรู้เรื่องทรัพยาการที่เป็นธุรกิจหลักของประเทศให้ดีขึ้น

    และเขาก็ได้ใช้มันจริงๆที่มอสโคว์ เพราะเขาได้รู้ทันเจ้ากรมพลังงานที่มีการเล่นตลกกับใบสัมปทาน……แต่ก็พูดมากไปไม่ได้ เพราะนั่นคือกลุ่มคนในวงในของเยลซิน

    แต่ทีนี้ความไม่เป็นธรรมได้เกิดขึ้นกับคดีของอนาโตลี เจ้านายเก่า
    เพราะหลังจากที่อะนาโตลี ถูกกลุ่มวงในมอสโคว์”เท”จนไม่ได้รับการสนับสนุนเลือกตั้งนั้น เขาได้” โวย” กับเยลซิน
    ที่ได้รับการตอบสนอง คือ เยลซินเอาพวกนั้นออกไปเป็นแผงก็จริง ………แต่คนกลุ่มนั้นก็ไม่ได้ไปไหน หรือ รับโทษอะไร
    ยังวนเวียนเป็นที่ปรึกษาอยู่รอบตัวเยลซินเหมือนเดิม
    แถมอนาโตลี ได้มีศัตรูเพิ่มอย่างออกหน้าออกตาอีกต่างหาก
    การกลั่นแกล้งจึงได้เกิดขึ้น แบบชนิดให้ได้อาย
    เช่นอนาโตลีมีการประชุมกับคณะมนตรีจาก UNESCO
    จู่ๆก็มีตำรวจบุกไปกลางงาน ขอควบคุมตัวไปสอบสวนในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง เขากลายเป็นผู้ต้องหาที่มีหมายจับ
    จนเขาเครียดถึงกับล้มป่วย เข้าโรงพยาบาล
    ครอบครัวต้องการให้แพทย์จากมอสโคว์มารักษา

    ปูตินบินด่วนไปเยี่ยมทันที และจัดการส่งเขาเข้าโรงพยาบาลทหาร จัดการแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมาพร้อม
    และที่เขาทำมากกว่านั้น มากเกินอำนาจเขาไปอีก คือ จัดเช่าเครื่องบินส่วนตัวจากฟินแลนด์นำตัวเขาออกนอกประเทศไปยังกรุงปารีส
    โดยให้เหล่า KGB นำขบวนรถฉุกเฉินไปยังสนามบิน
    หมายจับอะไรก็ไม่สำคัญทั้งนั้น ทุกอย่างผ่านตลอด พาสปอร์ต
    ประทับตรา ผ่านศุลกากร

    การกล้าทำแบบนี้ ถือว่าเป็นการฉีกกฎหมายทิ้ง และเสี่ยงต่อการเสียอนาคตของปูตินที่กำลังจะไปได้สวย
    แต่……สำหรับอนาโตลีแล้ว ปูตินพร้อมแลกเพื่อที่จะช่วยเหลือตอบแทนผู้ที่เคยมีพระคุณ
    เพราะเขาได้เห็นมาตลอดว่า เรื่องราวนั้นเป็นอย่างไร ในประเทศที่กฎหมายไม่สามารถบังคับใช้อะไรได้ ความผิดของอนาโตลีนั้นเทียบเท่ากับเมล็ดทรายของคนหลายๆคนในเครมลิน

    คนที่ชื่นชมกับความกตัญญูและการกล้าตัดสินใจของปูติน ในครั้งนี้ คือ ท่านประธานธิบดี Boris Yentsin เพราะท่านว่า
    ถ้าเกิดขึ้นกับเรา…จะมีใครที่ไหนที่จะกล้ามาช่วยเราขนาดนี้หรือเปล่ายังไม่รู้เลย……?!!!

    ปูตินเริ่มเป็นที่จับตามองจากคณะท่านผู้นำ ในวันที่ 21 มีนาคม 1998 เยลซินได้เรียกให้นายกรัฐมนตรี Viktor Chernomydrin
    เข้ามาพบที่บ้านพักส่วนตัว เพื่อที่จะบอกว่า วิคเตอร์ทำหน้าที่นี้มานานถึงห้าปีแล้ว แต่ไม่มีอะไรดีขึ้น ทุกอย่างยังกวาดเข้าไปซุกอยู่ใต้พรม……เขาต้องการคนที่จะมา”ยกพรมขึ้น” แล้ว “กวาดขยะออกให้หมด” เพื่อบ้านจะได้น่าอยู่
    ฉะนั้น……ที่ให้มาพบในครั้งนี้ คือการไล่ออก……

    เยลซินได้เสนอชื่อ Sergei Kiriyenko อดีตนายธนาคารที่เป็นนักการเมืองหนุ่มวัย 35 ปี ต่อสภา……สภาไม่ผ่านทั้งสองครั้ง
    แต่ต่อมา……ด้วยแรงผลักดันของเยลซิน……ก็ผ่านฉลุย
    ส่วนอดีตนายกฯที่ถูกไล่ออกไป ก็ฮึ่มๆ ประกาศว่าเขาจะลงเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในสมัยหน้า จะได้รู้หมู่รู้จ่ากันไป.…

    นายทุนกระเป๋าหนัก Boris Berezovsky ที่สนับสนุนเยลซิน
    เพราะมีผลประโยชน์มหาศาลนั้น เริ่มเข้ามามีบทบาทช่วยเลือก
    เพราะกลุ่มคนวงในเก่าๆเท่าที่เห็น ต่างก็จะเข้ามาขวางทางการค้าของเขาทั้งสิ้น เพราะทุกคนต่างมีเส้นสายในกิจการสารพัดอยู่แล้ว

    ไม่ทันที่ใครจะคิดอ่านทำอะไร กระดานหุ้นรัสเซียตกฮวบ
    หุ้นบริษัทพลังงาน Rosneft ที่รัฐบาลถือหุ้นใหญ่ ตกดิ่ง
    บริษัทลงทุนจากต่างชาติได้พากันถอนหุ้น เงินรูเบิ้ลสูญเสียมูลค่าที่รัฐบาลก็เอาไม่อยู่
    การแทรกแซงจากต่างชาติเริ่มเข้ามา ทั้งจากภาคการเมือง
    และเศรษฐกิจ
    เยลซินเริ่มเห็นแล้วว่า สาเหตุที่เกิดเช่นนั้น เพราะฝีมือของกลุ่มพ่อมดทางการเงิน จากคนรอบตัว (Oligarchs) ของเขาเองที่ส่วนใหญ่แล้ว คือยิว ที่มาปั่นกระแสขาขึ้นให้ แล้วก็ถีบหัว ตบคว่ำ……

    เยลซินเริ่มโดดเดี่ยว เขาต้องหาคนที่จะคอยพิทักษ์ปกป้อง และจะเข้ามาช่วยขจัดเหลือบไรพวกนี้ให้ออกไปให้พ้นจากชาติบ้านเมืองได้ ก็มีอยู่องค์กรเดียว คือ FSB (KGB) ที่เขาไม่ได้สนใจ ใส่ใจดูแลมานานแสนนาน
    ซึ่งเข้าทาง Boris Berezovsky (ยิวหนึ่งใน Oligarchs) ได้เสนอชื่อ ปูติน เพราะเขาเล่าว่า ครั้งหนึ่งเขาเคยคิดที่จะเปิดบริษัทขายรถยนตร์ในเลนินกราด ได้ไปติดต่อกับปูตินเพื่อขอใบอนุญาตการค้า และได้ยื่นซองใต้โต๊ะให้
    แต่ถูกปฏิเสธ……ไม่รับ……!!!
    เยลซินเห็นด้วย (จากเรื่องของอนาโตลี) เขาบอกว่า……”ตอนแรกเราเห็นว่าปูตินเขาเป็นคนเฉยๆ เพราะเห็นเขาเงียบๆ ไม่ค่อยพูดอะไร แต่เพิ่งรู้เหมือนกัน ว่า เป็นคนที่คมในฝัก”

    นายกรัฐมนตรีคนใหม่หมาดๆ Sergei Kiriyenko ได้รับคำสั่งให้ที่มอสโคว์ เพื่อแจ้งข่าวกับปูติน
    ปูตินจึงไปรอรับท่านนายกฯ ที่สนามบิน ที่เขาคิดว่า เรื่องด่วนแบบนี้ ไม่น่าที่จะเป็นข่าวมงคล
    ทันทีที่ได้พบหน้ากัน ท่านนายกฯ ได้ปรี่เข้ามาจับมือขอแสดงความยินดี พร้อมกับบอกว่า “ดีใจด้วยนะ”
    “ดีใจอะไรหรือครับ..?”
    “ท่านประธานาธิบดีได้ทำการแต่งตั้งและลงนามให้นายเป็นผู้อำนวยการ FSB (KGB) น่ะซิ”

    ปูตินงงนิดหน่อย แต่เขาพอรู้มาบ้างแล้วว่า จะมีการเปลี่ยนแปลงงานของเขาให้กลับไปอยู่ในสายงานเดิม แต่ไม่คิดว่า จะก้าวขึ้นไปเป็นผู้อำนวยการเลย…
    สิ่งแรกที่เขาทำ นั้นคือ ติดต่อไปยังลุดมิลาที่พาลูกๆไปพักผ่อน
    ที่ชายฝั่งทะเลบอลติด
    ด้วยข้อความที่ส่งแบบสายลับ คือ……
    “ฟังให้ดีนะ……ผมกำลังจะกลับไปในที่ที่ผมจากมา..”
    ลุดมิลาก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ……
    เขาจึงย้ำประโยคเดิมถึงสามครั้ง…ก่อนที่จะวางสายไป

    ลุดมิลาทำท่าเหนื่อยใจ……เธอบอกกับตัวเองว่า
    “ชั้นจะไปรู้เรื่องกับเธอไหม……ก็เปลี่ยนงานมานับสิบครั้งแล้วเนี่ยยย……?!!!

    ~~~ขยายความ

    Sergei Chemezov** เพื่อนรักของปูติน จากสถาบัน KGB
    ต่อมาคือ CEO ของบริษัท Rostec ที่สร้างอาวุธ และยุทโธปกรณ์ให้กับกองทัพของรัสเซีย

    Igor Sechin*** อีกหนึ่งศิษย์ร่วมสถาบัน KGB ปัจจุบัน คือ CEO ของ บริษัทน้ำมันและพลังงาน Rosneft

    ทั้งสองคนได้ถูกทางตะวันตกยึดเรือหรูมูลค่าพันล้านไปในทะเลเมติเตอเรเนียน พร้อมทั้งเป็นบุคคลที่โดนแซงชั่นในธนาคาร
    เมื่อถูกถามถึงความเห็น เขาสองคนหัวเราะ บอกว่า จิ๊บๆ
    แต่รอเขาจะฟ้องกลับเรียกค่าเสียหาย เพราะนั่นคือทรัพย์สินส่วนตัว และไม่ได้ล่วงล้ำในน่านน้ำเพราะมีเอกสารสิทธิ์ และมีการจ่ายค่าการท่าและภาษีอย่างถูกต้อง

    Viktor Zubkov**** เคยเป็นรองนายกรัฐมนตรีเมื่อปูตินเป็นนายกฯ ปัจจุบันนี้เป็นประธานบอร์ดของ บริษัท Gazprom
    คนนี้ก็โดนยึดเรือหรูไป ก็จิ๊บๆอีกเหมือนกัน

    ปูตินมีระบบดูแลคนใกล้ตัวที่ดียิ่ง เขาเลือกคนที่มีความสามารถเข้าไปนั่งในตำแหน่งบริหาร บอกว่า ไม่ต้องคอร์รัปชั่น
    เพราะแค่โบนัสหนึ่งเปอร์เซ็นต์ต่อปี ชาตินี้ก็ใช้ไม่หมด………

    แหม……………ก้อ…แต่ละบริษัทที่เอ่ยมากำไรปีละเป็นแสนล้าน ต่อให้ชาติหน้าชาติโน้นก็ใช้ไม่หมด………!!

    Wiwanda W. Vichit
    ไม่ต้องฟูมฟายไปนะคะ ติ่งขา………พี่ปูคมทั้งในฝักและนอกฝักเชียว……!!! ตอนเจ็ด………ตำแหน่งที่ได้รับ……ไม่ได้มาจากโชคหรือการจับฉลาก……แต่ด้วยความสามารถและความอุตสาหะล้วนๆ ที่ปูตินลังเลนั้น……เขาเพียงแต่ห่วงว่าครอบครัวจะปรับชีวิตและความเป็นอยู่ได้มากน้อยแค่ไหน เพราะสังคมที่มอสโคว์กับกรุงเซนต์ต่างกันมากมาย แต่เมื่อได้คุยกับลุดมิลา เธอและลูกๆไม่มีปัญหาอะไร ไปไหนก็ได้เพราะอำนาจในการตัดสินก็อยู่ที่ช้างเท้าหน้าคือปูตินอยู่แล้ว และตัวเธอเองก็จะได้มีอิสระกับสายตาของแม่สามีไปเสียบ้าง สาเหตุก็เพราะรัฐบาลของเยลซินต้องการ”น้ำใหม่”มาแทนที่น้ำเสียที่รวมกันกันเป็นกระจุกอยู่ในเครมลิน เพราะความผิดพลาดในเรื่องการทำสงครามปราบปรามที่ Chechen ในปี 1994 ที่ทุกคนคิดว่า วันสองวันก็คงจบ……แต่ที่ไหนได้ มาลากถ่วงยาวมาจนตอนนี้ รวมทั้งสุขภาพที่ลดถอยของเยลซินเอง ที่เป็นโรคหัวใจกำเริบในตอนต้นปี 1995 ที่ทำให้เขาไม่ได้ปรากฏตัวออกสู่สายตาของประชาชน นี่คือเหตุผลที่ปูตินได้เข้ามาเป็นน้ำใหม่ในมอสโคว์ ในเดือนกันยายน 1996 และได้รับบ้านประจำตำแหน่งที่ค่อนข้างหรูหราอยู่ใกล้ๆกับเครมลิน เขาได้นำเพื่อนคู่ใจมาช่วยงานด้วยสองคน จากเซนต์ ปีเตอร์เบอร์ก คือ Sergei Chemezov**และ Igor Sechin*** เจ้านายของเขา ปาเวล ได้มอบหมายงานให้เป็นฝ่ายดูแลอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมด จะต้องมีการคัดกรอง บริหารที่ดิน ตึกอาคารกันใหม่ เพราะในยุคของโซเวียต ทุกอย่างเป็นของรัฐบาล แต่ตอนนี้ก่อนที่จะมีการจำหน่าย หรือ จัดสรร ออกโฉนดจะต้องทำการประเมิน ซึ่งมันหมายถึงงานที่มากมายมหาศาล เพราะพื้นที่ที่จะต้องดูแลทั้งหมด คือ 78 เขตจังหวัด และ ต่างประเทศ(ในความควบคุมของโซเวียต) อื่นๆ เช่น อาคารที่ตั้งสถานทูต โรงเรียน รวมทั้งที่ยูเครน เรียกได้ว่า งานนี้ ทำให้ปูตินได้รู้หมดถึงทรัพย์สินของรัสเซียว่าอยู่ที่ไหน และ มีค่าเท่าใด และยิ่งค้นไป……เขาได้เห็นความไม่ชอบมาพากลหลายๆอย่าง เช่นพื้นที่สำคัญหลายแห่งถูกปล่อยให้เช่า แม้แต่ทรัพย์สินที่มีในสวิสเซอร์แลนด์ก็เช่นกัน ที่ขายไปในราคาที่เหมือนจะให้ฟรี จากชื่อบริษัท หรือ องค์กรประหลาดๆ ยิ่งค้นไปก็เจอว่าเป็นการ”ลักไก่” จากในหมู่ข้าราชการด้วยกัน เขาได้ทำรายงานให้กับทางต้นสังกัดให้ทราบเป็นเอกสารอย่างครบถ้วน เพื่อที่จะจัดการกันต่อไป เพราะเขาถือว่า หน้าที่ของเขา คือ การรวบรวมเอกสารและข้อมูล ส่วนการพิจารณาโทษ……เป็นหน้าที่ของหน่วยที่เกี่ยวข้อง แต่การดำเนินการล่าช้าจนเกินเหตุเพราะในช่วงนั้น มีสงครามที่เชเชน ที่มีแม่ทัพผู้อำนวยการ คือ นายพล Alexandr Lebed จอมยะโสคนนั้น ที่ได้สร้างผลงานให้อับอายไปทั่ว คือ แทนที่จะสยบเชเชน ดินแดนชายแดนขนาดเล็กแค่นั้น แต่ทำไม่สำเร็จ (สิงหาคม 1996) แถมจะยอมเจรจาสงบศึกทำสนธิสัญญาที่เสียเปรียบเข้าไปอีก งานนี้ทำให้เกิดกระแสที่เสียหายกับรัฐบาลของเยลซิน เหล่าคณะมนตรีเริ่มลุกขึ้นมาทะเลาะกันลั่นสภา หลายคนเรียก นายพล Alexandr Lebed ว่าเป็น “Little Napoleon” (คือ ปากดี ทีเหลว) หรือ “ไอ้กองทัพไม่มีน้ำยา” กระแสโกรธแค้นของประชาชนเริ่มทวีขึ้น จนไม่กี่วันต่อมา เยลซินต้องทำการปลดท่านนายพลออกจากตำแหน่ง การปรับเปลี่ยนตำแน่งได้เริ่มขึ้นอีกครั้ง ปูตินได้ขึ้นมาเป็นผู้อำนวยการแห่งองค์กรรวม ( Chief of Staff) ที่เทียบเท่ากับ อธิบดี ที่ไม่กี่วันต่อมาหลังจากที่ได้รับตำแหน่ง สภาได้ออกกฏหมายใหม่ เพิ่มอำนาจให้กับเขาอีก ในการขยายวงสอบสวนการทุจริต ยักยอก รวมไปถึงการคอร์รัปชั่นที่ทำให้ประเทศสูญเสียรายได้ ไม่ว่าจะเป็น ข้าราชการ, พนักงานลูกจ้าง และการสัมปทานต่างๆ งานนี้ ปูตินได้เจอะเจองานช้างเข้าหลายงาน เช่น อดีตนายพล Paval Grachev คนสนิทของเยลซิน ที่ควบคุมกองทัพในคอร์เคซัส ตั้งแต่ปี 1993-1996 ได้นำรถถังและอาวุธต่างๆที่มีมูลค่ากว่า หนึ่งพันล้านดอลล่าร์ ไปให้กับกองทัพของอาร์เมเนี่ยน ในสงครามกับ อาร์เซอร์ไบจาน ซึ่งเป็นการกระทำที่ถือว่าขายชาติ เพราะ รัสเซียอยู่ฝ่ายสนับสนุนอาเซอร์ไบจาน แต่…ทุกอย่างได้ผ่านไปก่อนที่ปูตินจะก้าวเข้ามา เขาจะไปทำอะไรได้ นอกจากจะต้องเลี้ยงนายพลคนนี้ต่อไป เนื่องจากว่าเป็นนายพลระดับวงในของเยลซที่เปรียบเหมือนตัวอันตราย ถ้าบีบคั้น…… ก็อาจจะตกไปอยู่ในมือของชาติอื่นที่ต้องการล้วงความลับ ดังนั้น จึงต้องใช้วิธีเลี้ยงเอาไว้ แล้วใส่ปลอกคอล่ามโซ่ให้สั้น โดยที่เขาใช้วิธีให้สัมภาษณ์กับนักข่าว ในเวลาที่ถูกถามถึงเรื่อง “นายพล เมอร์ซิเดส” เพราะนายพลคนนี้ชอบใช้รถหรูเกินฐานะ ว่า เรื่องการตรวจสอบคอร์รัปชั่นค้าอาวุธกับฝ่ายตรงข้ามนั้นไปถึงไหนแล้ว ปูตินตอบเรียบๆว่า “เราได้เอกสารพร้อมทุกอย่างแล้ว ข้อมูลครบ จะส่งขึ้นไปให้ฝ่ายกฎหมายต่อไป” นักข่าวถามต่อว่า “นายพลเมอร์ซิเดสได้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่..??” “ก็ไม่มีนะ ไม่มีชื่อของ Gen. Pavel Grachev มาเกี่ยวข้องด้วย “ นี่คือการทำงานของปูตินที่ต้องรักษาภาพลักษณ์ให้กับเยลซิน แต่มืออีกข้างหนึ่งเขาได้จัดการไปตามกฏหมายเอาผิด ใช้เวลาถึงสิบปี ที่ได้เอานายพลและคณะออกจากตำแหน่งได้สำเร็จ (2007) หรืองานคอร์รัปชั่นในหน่วยสร้างทางที่เป็นเงินมหาศาลที่มีข้าราชการเกี่ยวข้องทำผิดถึง 260 คน (ในเมษายน ปี 1997) หรือใน Stavropol เชือดไปอีก 450 คน (ในกันยายน 1997) เรื่องนายพลที่ต้องล่าช้านานขนาดนั้น เพราะปูตินไม่มีอำนาจในบทลงโทษที่เป็นงานส่วนตุลาการ เขาทำได้แค่ชี้มูลความผิดพร้อมหลักฐานที่หนาแน่น เพราะการทำงานไล่บี้การยักยอกนั้น ทำให้ปูตินต้องเข้าติดต่อกับงานเดิมอีก คือ KGB ที่ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น FSB (แต่อาคารที่ทำงานยังอยู่ที่เดิม) อยู่บ่อยๆ เท่ากับว่าเขาได้กลับไปเยือนบรรยากาศเก่าๆอีกครั้ง และจากงานที่ต้องมาดูพื้นที่และทรัพยากรของชาติ ที่เขาได้ทำงานอย่างไหลลื่นนั้น ก็ไม่ใช่ว่าเขาเหนือมนุษย์…… หากแต่มันเป็นเรื่องบังเอิญอย่างที่สุด ที่เขาเกิดความสนใจในเรื่องเศรษฐศาสตร์ เพราะจากงานที่ทำอยู่ในสภาเทศบาลที่กรุงเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก ในช่วงที่อนาโตลีได้แพ้เลือกตั้ง ปูตินเริ่มมีเวลาว่าง เพราะมีหน้าที่เพียงแต่อำนวยความสะดวกให้กับทีมใหม่ เขาใช้เวลานั้น ไปลงเรียนวิชาบริหารเหมืองแร่และทรัพยากรน้ำมัน ที่ Georgi Plekhanov Mining Institute แทนที่จะไปเรียนต่อทางด้านกฎหมาย และไม่ได้ไปเรียนคนเดียว เขาเอาเพื่อนรักทั้งสอง Viktor Zubkov กับ Igor Sechin ไปนั่งเรียนกันด้วย ปลายปี 1996 (เข้าเรียนกลางปี 1995) ที่ปูตินสามารถส่งแฟ้ม Thesis ที่หนากว่า 250 หน้า ในเรื่องทรัพยากรแร่ธาตุที่เปรียบเสมือนทองคำของประเทศ ได้สำเร็จสวยงาม เพราะเขาได้ติวเตอร์คนสำคัญมาช่วย นั่นคือ Vladimir Litvenenko ศาสตราจารย์ผู้เชี่ยวชาญเหมืองแร่ ที่ไปค้นคว้าหาตำราจากยุโรปมาแปลให้เป็นภาษารัสเซีย เรื่องนี้ ปูตินและเพื่อนๆที่พากันไปเรียนก็ไม่ได้ไปโอ้อวดที่ไหน ตอนนั้นที่ไปลงเรียน ก็เพราะมีเวลาว่าง เขาเพียงแต่คิดว่า……ในสายงานทางกฎหมายของเขาควรจะต้องรู้เรื่องทรัพยาการที่เป็นธุรกิจหลักของประเทศให้ดีขึ้น และเขาก็ได้ใช้มันจริงๆที่มอสโคว์ เพราะเขาได้รู้ทันเจ้ากรมพลังงานที่มีการเล่นตลกกับใบสัมปทาน……แต่ก็พูดมากไปไม่ได้ เพราะนั่นคือกลุ่มคนในวงในของเยลซิน แต่ทีนี้ความไม่เป็นธรรมได้เกิดขึ้นกับคดีของอนาโตลี เจ้านายเก่า เพราะหลังจากที่อะนาโตลี ถูกกลุ่มวงในมอสโคว์”เท”จนไม่ได้รับการสนับสนุนเลือกตั้งนั้น เขาได้” โวย” กับเยลซิน ที่ได้รับการตอบสนอง คือ เยลซินเอาพวกนั้นออกไปเป็นแผงก็จริง ………แต่คนกลุ่มนั้นก็ไม่ได้ไปไหน หรือ รับโทษอะไร ยังวนเวียนเป็นที่ปรึกษาอยู่รอบตัวเยลซินเหมือนเดิม แถมอนาโตลี ได้มีศัตรูเพิ่มอย่างออกหน้าออกตาอีกต่างหาก การกลั่นแกล้งจึงได้เกิดขึ้น แบบชนิดให้ได้อาย เช่นอนาโตลีมีการประชุมกับคณะมนตรีจาก UNESCO จู่ๆก็มีตำรวจบุกไปกลางงาน ขอควบคุมตัวไปสอบสวนในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง เขากลายเป็นผู้ต้องหาที่มีหมายจับ จนเขาเครียดถึงกับล้มป่วย เข้าโรงพยาบาล ครอบครัวต้องการให้แพทย์จากมอสโคว์มารักษา ปูตินบินด่วนไปเยี่ยมทันที และจัดการส่งเขาเข้าโรงพยาบาลทหาร จัดการแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมาพร้อม และที่เขาทำมากกว่านั้น มากเกินอำนาจเขาไปอีก คือ จัดเช่าเครื่องบินส่วนตัวจากฟินแลนด์นำตัวเขาออกนอกประเทศไปยังกรุงปารีส โดยให้เหล่า KGB นำขบวนรถฉุกเฉินไปยังสนามบิน หมายจับอะไรก็ไม่สำคัญทั้งนั้น ทุกอย่างผ่านตลอด พาสปอร์ต ประทับตรา ผ่านศุลกากร การกล้าทำแบบนี้ ถือว่าเป็นการฉีกกฎหมายทิ้ง และเสี่ยงต่อการเสียอนาคตของปูตินที่กำลังจะไปได้สวย แต่……สำหรับอนาโตลีแล้ว ปูตินพร้อมแลกเพื่อที่จะช่วยเหลือตอบแทนผู้ที่เคยมีพระคุณ เพราะเขาได้เห็นมาตลอดว่า เรื่องราวนั้นเป็นอย่างไร ในประเทศที่กฎหมายไม่สามารถบังคับใช้อะไรได้ ความผิดของอนาโตลีนั้นเทียบเท่ากับเมล็ดทรายของคนหลายๆคนในเครมลิน คนที่ชื่นชมกับความกตัญญูและการกล้าตัดสินใจของปูติน ในครั้งนี้ คือ ท่านประธานธิบดี Boris Yentsin เพราะท่านว่า ถ้าเกิดขึ้นกับเรา…จะมีใครที่ไหนที่จะกล้ามาช่วยเราขนาดนี้หรือเปล่ายังไม่รู้เลย……?!!! ปูตินเริ่มเป็นที่จับตามองจากคณะท่านผู้นำ ในวันที่ 21 มีนาคม 1998 เยลซินได้เรียกให้นายกรัฐมนตรี Viktor Chernomydrin เข้ามาพบที่บ้านพักส่วนตัว เพื่อที่จะบอกว่า วิคเตอร์ทำหน้าที่นี้มานานถึงห้าปีแล้ว แต่ไม่มีอะไรดีขึ้น ทุกอย่างยังกวาดเข้าไปซุกอยู่ใต้พรม……เขาต้องการคนที่จะมา”ยกพรมขึ้น” แล้ว “กวาดขยะออกให้หมด” เพื่อบ้านจะได้น่าอยู่ ฉะนั้น……ที่ให้มาพบในครั้งนี้ คือการไล่ออก…… เยลซินได้เสนอชื่อ Sergei Kiriyenko อดีตนายธนาคารที่เป็นนักการเมืองหนุ่มวัย 35 ปี ต่อสภา……สภาไม่ผ่านทั้งสองครั้ง แต่ต่อมา……ด้วยแรงผลักดันของเยลซิน……ก็ผ่านฉลุย ส่วนอดีตนายกฯที่ถูกไล่ออกไป ก็ฮึ่มๆ ประกาศว่าเขาจะลงเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในสมัยหน้า จะได้รู้หมู่รู้จ่ากันไป.… นายทุนกระเป๋าหนัก Boris Berezovsky ที่สนับสนุนเยลซิน เพราะมีผลประโยชน์มหาศาลนั้น เริ่มเข้ามามีบทบาทช่วยเลือก เพราะกลุ่มคนวงในเก่าๆเท่าที่เห็น ต่างก็จะเข้ามาขวางทางการค้าของเขาทั้งสิ้น เพราะทุกคนต่างมีเส้นสายในกิจการสารพัดอยู่แล้ว ไม่ทันที่ใครจะคิดอ่านทำอะไร กระดานหุ้นรัสเซียตกฮวบ หุ้นบริษัทพลังงาน Rosneft ที่รัฐบาลถือหุ้นใหญ่ ตกดิ่ง บริษัทลงทุนจากต่างชาติได้พากันถอนหุ้น เงินรูเบิ้ลสูญเสียมูลค่าที่รัฐบาลก็เอาไม่อยู่ การแทรกแซงจากต่างชาติเริ่มเข้ามา ทั้งจากภาคการเมือง และเศรษฐกิจ เยลซินเริ่มเห็นแล้วว่า สาเหตุที่เกิดเช่นนั้น เพราะฝีมือของกลุ่มพ่อมดทางการเงิน จากคนรอบตัว (Oligarchs) ของเขาเองที่ส่วนใหญ่แล้ว คือยิว ที่มาปั่นกระแสขาขึ้นให้ แล้วก็ถีบหัว ตบคว่ำ…… เยลซินเริ่มโดดเดี่ยว เขาต้องหาคนที่จะคอยพิทักษ์ปกป้อง และจะเข้ามาช่วยขจัดเหลือบไรพวกนี้ให้ออกไปให้พ้นจากชาติบ้านเมืองได้ ก็มีอยู่องค์กรเดียว คือ FSB (KGB) ที่เขาไม่ได้สนใจ ใส่ใจดูแลมานานแสนนาน ซึ่งเข้าทาง Boris Berezovsky (ยิวหนึ่งใน Oligarchs) ได้เสนอชื่อ ปูติน เพราะเขาเล่าว่า ครั้งหนึ่งเขาเคยคิดที่จะเปิดบริษัทขายรถยนตร์ในเลนินกราด ได้ไปติดต่อกับปูตินเพื่อขอใบอนุญาตการค้า และได้ยื่นซองใต้โต๊ะให้ แต่ถูกปฏิเสธ……ไม่รับ……!!! เยลซินเห็นด้วย (จากเรื่องของอนาโตลี) เขาบอกว่า……”ตอนแรกเราเห็นว่าปูตินเขาเป็นคนเฉยๆ เพราะเห็นเขาเงียบๆ ไม่ค่อยพูดอะไร แต่เพิ่งรู้เหมือนกัน ว่า เป็นคนที่คมในฝัก” นายกรัฐมนตรีคนใหม่หมาดๆ Sergei Kiriyenko ได้รับคำสั่งให้ที่มอสโคว์ เพื่อแจ้งข่าวกับปูติน ปูตินจึงไปรอรับท่านนายกฯ ที่สนามบิน ที่เขาคิดว่า เรื่องด่วนแบบนี้ ไม่น่าที่จะเป็นข่าวมงคล ทันทีที่ได้พบหน้ากัน ท่านนายกฯ ได้ปรี่เข้ามาจับมือขอแสดงความยินดี พร้อมกับบอกว่า “ดีใจด้วยนะ” “ดีใจอะไรหรือครับ..?” “ท่านประธานาธิบดีได้ทำการแต่งตั้งและลงนามให้นายเป็นผู้อำนวยการ FSB (KGB) น่ะซิ” ปูตินงงนิดหน่อย แต่เขาพอรู้มาบ้างแล้วว่า จะมีการเปลี่ยนแปลงงานของเขาให้กลับไปอยู่ในสายงานเดิม แต่ไม่คิดว่า จะก้าวขึ้นไปเป็นผู้อำนวยการเลย… สิ่งแรกที่เขาทำ นั้นคือ ติดต่อไปยังลุดมิลาที่พาลูกๆไปพักผ่อน ที่ชายฝั่งทะเลบอลติด ด้วยข้อความที่ส่งแบบสายลับ คือ…… “ฟังให้ดีนะ……ผมกำลังจะกลับไปในที่ที่ผมจากมา..” ลุดมิลาก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ…… เขาจึงย้ำประโยคเดิมถึงสามครั้ง…ก่อนที่จะวางสายไป ลุดมิลาทำท่าเหนื่อยใจ……เธอบอกกับตัวเองว่า “ชั้นจะไปรู้เรื่องกับเธอไหม……ก็เปลี่ยนงานมานับสิบครั้งแล้วเนี่ยยย……?!!! ~~~ขยายความ Sergei Chemezov** เพื่อนรักของปูติน จากสถาบัน KGB ต่อมาคือ CEO ของบริษัท Rostec ที่สร้างอาวุธ และยุทโธปกรณ์ให้กับกองทัพของรัสเซีย Igor Sechin*** อีกหนึ่งศิษย์ร่วมสถาบัน KGB ปัจจุบัน คือ CEO ของ บริษัทน้ำมันและพลังงาน Rosneft ทั้งสองคนได้ถูกทางตะวันตกยึดเรือหรูมูลค่าพันล้านไปในทะเลเมติเตอเรเนียน พร้อมทั้งเป็นบุคคลที่โดนแซงชั่นในธนาคาร เมื่อถูกถามถึงความเห็น เขาสองคนหัวเราะ บอกว่า จิ๊บๆ แต่รอเขาจะฟ้องกลับเรียกค่าเสียหาย เพราะนั่นคือทรัพย์สินส่วนตัว และไม่ได้ล่วงล้ำในน่านน้ำเพราะมีเอกสารสิทธิ์ และมีการจ่ายค่าการท่าและภาษีอย่างถูกต้อง Viktor Zubkov**** เคยเป็นรองนายกรัฐมนตรีเมื่อปูตินเป็นนายกฯ ปัจจุบันนี้เป็นประธานบอร์ดของ บริษัท Gazprom คนนี้ก็โดนยึดเรือหรูไป ก็จิ๊บๆอีกเหมือนกัน ปูตินมีระบบดูแลคนใกล้ตัวที่ดียิ่ง เขาเลือกคนที่มีความสามารถเข้าไปนั่งในตำแหน่งบริหาร บอกว่า ไม่ต้องคอร์รัปชั่น เพราะแค่โบนัสหนึ่งเปอร์เซ็นต์ต่อปี ชาตินี้ก็ใช้ไม่หมด……… แหม……………ก้อ…แต่ละบริษัทที่เอ่ยมากำไรปีละเป็นแสนล้าน ต่อให้ชาติหน้าชาติโน้นก็ใช้ไม่หมด………!! Wiwanda W. Vichit
    0 Comments 0 Shares 3226 Views 0 Reviews