• บทความกฎหมาย EP.46

    การเจรจาซึ่งถูกนิยามว่าเป็นกระบวนการหารือเพื่อแก้ไขข้อขัดแย้งหรือเพื่อจัดทำข้อตกลงนั้น มิได้เป็นเพียงทักษะทางสังคมหรือการบริหารจัดการเท่านั้น แต่ยังเป็นหัวใจสำคัญในทางนิติศาสตร์และระบบกฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมายภายในประเทศ การเจรจาในบริบททางกฎหมายนั้นมีความซับซ้อนและมีหลักการที่ต้องยึดถืออย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างรัฐอธิปไตย หรือการทำสัญญาที่มีผลผูกพันทางกฎหมาย การเจรจาในระดับรัฐต่อรัฐ (State-to-State Negotiation) ตามภาพที่นำเสนอ ซึ่งมีบริบททางทหารเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยนั้น เป็นการสะท้อนถึงเดิมพันที่สูงยิ่งและความจำเป็นในการใช้ความรอบคอบทางกฎหมายอย่างสูงสุด หลักการพื้นฐานของการเจรจาระหว่างประเทศ เช่น หลักความสุจริต (Pacta Sunt Servanda) ที่หมายถึงการที่คู่เจรจาทุกฝ่ายต้องดำเนินการเจรจาด้วยเจตนาอันบริสุทธิ์และมุ่งมั่นที่จะบรรลุข้อตกลงที่เป็นธรรมและปฏิบัติได้จริงตามกฎหมายสนธิสัญญา นอกจากนี้ ยังต้องคำนึงถึงหลักความเสมอภาคแห่งรัฐอธิปไตย (Sovereign Equality) ซึ่งเป็นรากฐานของการยอมรับในศักดิ์ศรีและความเป็นอิสระของแต่ละฝ่าย ทำให้ไม่มีรัฐใดมีอำนาจเหนือกว่าอีกรัฐหนึ่งในทางกฎหมาย การเจรจาจึงต้องเป็นไปบนพื้นฐานของการแลกเปลี่ยนและการประนีประนอมอย่างเท่าเทียมกัน ในกรณีที่มีกองทหารเข้ามาเกี่ยวข้อง อาจหมายถึงการเจรจาเพื่อแก้ไขความขัดแย้งทางอาณาเขต ข้อพิพาทเรื่องทรัพยากร หรือการยุติสถานการณ์ความขัดแย้งด้วยอาวุธ ซึ่งจำเป็นต้องอ้างอิงและปฏิบัติตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง เช่น กฎบัตรสหประชาชาติ กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ (International Humanitarian Law) และข้อตกลงว่าด้วยการควบคุมอาวุธ การมีอยู่ของทหารมิได้เป็นอุปสรรคต่อการเจรจา แต่เป็นการเน้นย้ำถึงความตึงเครียดและระดับความจริงจังของประเด็นที่อยู่ระหว่างการพิจารณา ซึ่งทำให้ทุกถ้อยคำและเงื่อนไขที่ถูกหยิบยกขึ้นมาหารือต้องได้รับการพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนภายใต้กรอบของพันธกรณีทางกฎหมายที่มีอยู่เดิม การเจรจาในระดับนี้ไม่ใช่เพียงแค่การพูดคุย แต่เป็นการสร้างหรือเปลี่ยนแปลงบรรทัดฐานทางกฎหมายระหว่างประเทศ การร่างสนธิสัญญา (Treaty Drafting) ถือเป็นกระบวนการที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยทุกฝ่ายต้องมั่นใจว่าภาษาที่ใช้ในข้อตกลงนั้นมีความชัดเจน ไม่กำกวม และสะท้อนเจตนาที่แท้จริงของรัฐบาลอย่างถูกต้องตามหลักการตีความสนธิสัญญาที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล

    เนื้อหาของการเจรจาในบริบททางกฎหมาย มิได้จำกัดอยู่เพียงแค่การยุติข้อพิพาทเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการสร้างความสัมพันธ์ทางกฎหมายใหม่ การจัดทำเขตแดน การกำหนดสิทธิและหน้าที่ทางการค้า การลงทุน หรือแม้กระทั่งการกำหนดมาตรฐานสิ่งแวดล้อมร่วมกัน ความสำเร็จของการเจรจาจึงวัดได้จากความสามารถในการแปลงความต้องการทางการเมืองให้เป็นถ้อยคำทางกฎหมายที่มีผลบังคับใช้ได้จริงและมีเสถียรภาพ ในทางปฏิบัติ การเจรจายังต้องคำนึงถึงอำนาจในการให้สัตยาบัน (Ratification) ซึ่งเป็นขั้นตอนที่สำคัญตามหลักกฎหมายรัฐธรรมนูญของแต่ละประเทศ หลังจากที่ผู้แทนลงนามในข้อตกลงแล้ว ข้อตกลงนั้นยังไม่ถือว่ามีผลสมบูรณ์จนกว่าจะผ่านกระบวนการอนุมัติภายในประเทศ เช่น การให้ความเห็นชอบของรัฐสภา ซึ่งเป็นการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจเพื่อให้แน่ใจว่าข้อตกลงระหว่างประเทศนั้นสอดคล้องกับกฎหมายและผลประโยชน์สูงสุดของชาติ การเจรจาจึงเป็นกระบวนการที่เชื่อมโยงระหว่างมิติทางการทูต มิติทางกฎหมายระหว่างประเทศ และมิติทางกฎหมายรัฐธรรมนูญภายในประเทศเข้าด้วยกันอย่างแยกไม่ออก ในกรณีที่การเจรจาไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ หรือเกิดการละเมิดข้อตกลงภายหลังการลงนาม กลไกทางกฎหมายก็ยังมีบทบาทสำคัญในการแก้ไขความขัดแย้ง เช่น การใช้กระบวนการระงับข้อพิพาทโดยสันติวิธีตามกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งรวมถึงการไกล่เกลี่ย การประนอมข้อพิพาท หรือการนำข้อพิพาทเข้าสู่การพิจารณาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice) หรือศาลอนุญาโตตุลาการ (Arbitration Tribunal) ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่าแม้ในสถานการณ์ที่ตึงเครียดที่สุด กฎหมายก็ยังคงเป็นเครื่องมือหลักในการจัดการความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ การเจรจาที่มีประสิทธิภาพจึงต้องอาศัยผู้เจรจาที่มีความรู้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในหลักการและข้อกำหนดทางกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของรัฐตนเองในขณะเดียวกันก็เคารพในกฎเกณฑ์และพันธกรณีระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นพื้นฐานของการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขและมีเสถียรภาพในประชาคมโลก

    ดังนั้น การเจรจาจึงเป็นมากกว่าการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น แต่เป็นกลไกทางกฎหมายที่มีความละเอียดอ่อนและทรงพลังที่สุดในการบริหารจัดการความขัดแย้งและสร้างพันธกรณีระหว่างประเทศ การบรรลุข้อตกลงที่ยั่งยืนและเป็นธรรมต้องอาศัยความมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติตามหลักความสุจริต หลักความเสมอภาค และการเคารพต่อระบบกฎหมายระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด แม้ในสถานการณ์ที่มีความเปราะบางและมีแรงกดดันทางการทหารเข้ามาเกี่ยวข้อง การเจรจาจึงเป็นเครื่องมือที่สะท้อนถึงอารยธรรมและความมุ่งมั่นของมนุษย์ที่จะใช้เหตุผลและกฎหมายเป็นบรรทัดฐานในการอยู่ร่วมกัน มากกว่าการใช้กำลังหรือการเผชิญหน้า โดยมีเป้าหมายสุดท้ายคือการเปลี่ยนความขัดแย้งที่ยุ่งเหยิงให้กลายเป็นข้อตกลงที่ชัดเจนและมีผลผูกพันทางกฎหมาย เพื่อสร้างเสถียรภาพและความสงบสุขในระยะยาว การเจรจาที่ประสบความสำเร็จในท้ายที่สุดคือการก่อรูปของกฎหมายที่ยอมรับร่วมกัน
    บทความกฎหมาย EP.46 การเจรจาซึ่งถูกนิยามว่าเป็นกระบวนการหารือเพื่อแก้ไขข้อขัดแย้งหรือเพื่อจัดทำข้อตกลงนั้น มิได้เป็นเพียงทักษะทางสังคมหรือการบริหารจัดการเท่านั้น แต่ยังเป็นหัวใจสำคัญในทางนิติศาสตร์และระบบกฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมายภายในประเทศ การเจรจาในบริบททางกฎหมายนั้นมีความซับซ้อนและมีหลักการที่ต้องยึดถืออย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างรัฐอธิปไตย หรือการทำสัญญาที่มีผลผูกพันทางกฎหมาย การเจรจาในระดับรัฐต่อรัฐ (State-to-State Negotiation) ตามภาพที่นำเสนอ ซึ่งมีบริบททางทหารเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยนั้น เป็นการสะท้อนถึงเดิมพันที่สูงยิ่งและความจำเป็นในการใช้ความรอบคอบทางกฎหมายอย่างสูงสุด หลักการพื้นฐานของการเจรจาระหว่างประเทศ เช่น หลักความสุจริต (Pacta Sunt Servanda) ที่หมายถึงการที่คู่เจรจาทุกฝ่ายต้องดำเนินการเจรจาด้วยเจตนาอันบริสุทธิ์และมุ่งมั่นที่จะบรรลุข้อตกลงที่เป็นธรรมและปฏิบัติได้จริงตามกฎหมายสนธิสัญญา นอกจากนี้ ยังต้องคำนึงถึงหลักความเสมอภาคแห่งรัฐอธิปไตย (Sovereign Equality) ซึ่งเป็นรากฐานของการยอมรับในศักดิ์ศรีและความเป็นอิสระของแต่ละฝ่าย ทำให้ไม่มีรัฐใดมีอำนาจเหนือกว่าอีกรัฐหนึ่งในทางกฎหมาย การเจรจาจึงต้องเป็นไปบนพื้นฐานของการแลกเปลี่ยนและการประนีประนอมอย่างเท่าเทียมกัน ในกรณีที่มีกองทหารเข้ามาเกี่ยวข้อง อาจหมายถึงการเจรจาเพื่อแก้ไขความขัดแย้งทางอาณาเขต ข้อพิพาทเรื่องทรัพยากร หรือการยุติสถานการณ์ความขัดแย้งด้วยอาวุธ ซึ่งจำเป็นต้องอ้างอิงและปฏิบัติตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง เช่น กฎบัตรสหประชาชาติ กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ (International Humanitarian Law) และข้อตกลงว่าด้วยการควบคุมอาวุธ การมีอยู่ของทหารมิได้เป็นอุปสรรคต่อการเจรจา แต่เป็นการเน้นย้ำถึงความตึงเครียดและระดับความจริงจังของประเด็นที่อยู่ระหว่างการพิจารณา ซึ่งทำให้ทุกถ้อยคำและเงื่อนไขที่ถูกหยิบยกขึ้นมาหารือต้องได้รับการพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนภายใต้กรอบของพันธกรณีทางกฎหมายที่มีอยู่เดิม การเจรจาในระดับนี้ไม่ใช่เพียงแค่การพูดคุย แต่เป็นการสร้างหรือเปลี่ยนแปลงบรรทัดฐานทางกฎหมายระหว่างประเทศ การร่างสนธิสัญญา (Treaty Drafting) ถือเป็นกระบวนการที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยทุกฝ่ายต้องมั่นใจว่าภาษาที่ใช้ในข้อตกลงนั้นมีความชัดเจน ไม่กำกวม และสะท้อนเจตนาที่แท้จริงของรัฐบาลอย่างถูกต้องตามหลักการตีความสนธิสัญญาที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล เนื้อหาของการเจรจาในบริบททางกฎหมาย มิได้จำกัดอยู่เพียงแค่การยุติข้อพิพาทเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการสร้างความสัมพันธ์ทางกฎหมายใหม่ การจัดทำเขตแดน การกำหนดสิทธิและหน้าที่ทางการค้า การลงทุน หรือแม้กระทั่งการกำหนดมาตรฐานสิ่งแวดล้อมร่วมกัน ความสำเร็จของการเจรจาจึงวัดได้จากความสามารถในการแปลงความต้องการทางการเมืองให้เป็นถ้อยคำทางกฎหมายที่มีผลบังคับใช้ได้จริงและมีเสถียรภาพ ในทางปฏิบัติ การเจรจายังต้องคำนึงถึงอำนาจในการให้สัตยาบัน (Ratification) ซึ่งเป็นขั้นตอนที่สำคัญตามหลักกฎหมายรัฐธรรมนูญของแต่ละประเทศ หลังจากที่ผู้แทนลงนามในข้อตกลงแล้ว ข้อตกลงนั้นยังไม่ถือว่ามีผลสมบูรณ์จนกว่าจะผ่านกระบวนการอนุมัติภายในประเทศ เช่น การให้ความเห็นชอบของรัฐสภา ซึ่งเป็นการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจเพื่อให้แน่ใจว่าข้อตกลงระหว่างประเทศนั้นสอดคล้องกับกฎหมายและผลประโยชน์สูงสุดของชาติ การเจรจาจึงเป็นกระบวนการที่เชื่อมโยงระหว่างมิติทางการทูต มิติทางกฎหมายระหว่างประเทศ และมิติทางกฎหมายรัฐธรรมนูญภายในประเทศเข้าด้วยกันอย่างแยกไม่ออก ในกรณีที่การเจรจาไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ หรือเกิดการละเมิดข้อตกลงภายหลังการลงนาม กลไกทางกฎหมายก็ยังมีบทบาทสำคัญในการแก้ไขความขัดแย้ง เช่น การใช้กระบวนการระงับข้อพิพาทโดยสันติวิธีตามกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งรวมถึงการไกล่เกลี่ย การประนอมข้อพิพาท หรือการนำข้อพิพาทเข้าสู่การพิจารณาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice) หรือศาลอนุญาโตตุลาการ (Arbitration Tribunal) ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่าแม้ในสถานการณ์ที่ตึงเครียดที่สุด กฎหมายก็ยังคงเป็นเครื่องมือหลักในการจัดการความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ การเจรจาที่มีประสิทธิภาพจึงต้องอาศัยผู้เจรจาที่มีความรู้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในหลักการและข้อกำหนดทางกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของรัฐตนเองในขณะเดียวกันก็เคารพในกฎเกณฑ์และพันธกรณีระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นพื้นฐานของการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขและมีเสถียรภาพในประชาคมโลก ดังนั้น การเจรจาจึงเป็นมากกว่าการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น แต่เป็นกลไกทางกฎหมายที่มีความละเอียดอ่อนและทรงพลังที่สุดในการบริหารจัดการความขัดแย้งและสร้างพันธกรณีระหว่างประเทศ การบรรลุข้อตกลงที่ยั่งยืนและเป็นธรรมต้องอาศัยความมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติตามหลักความสุจริต หลักความเสมอภาค และการเคารพต่อระบบกฎหมายระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด แม้ในสถานการณ์ที่มีความเปราะบางและมีแรงกดดันทางการทหารเข้ามาเกี่ยวข้อง การเจรจาจึงเป็นเครื่องมือที่สะท้อนถึงอารยธรรมและความมุ่งมั่นของมนุษย์ที่จะใช้เหตุผลและกฎหมายเป็นบรรทัดฐานในการอยู่ร่วมกัน มากกว่าการใช้กำลังหรือการเผชิญหน้า โดยมีเป้าหมายสุดท้ายคือการเปลี่ยนความขัดแย้งที่ยุ่งเหยิงให้กลายเป็นข้อตกลงที่ชัดเจนและมีผลผูกพันทางกฎหมาย เพื่อสร้างเสถียรภาพและความสงบสุขในระยะยาว การเจรจาที่ประสบความสำเร็จในท้ายที่สุดคือการก่อรูปของกฎหมายที่ยอมรับร่วมกัน
    0 Comments 0 Shares 87 Views 0 Reviews
  • ยังปากกล้า! รมต.เขมรออกมาดูแคลนกองทัพไทย อ้างหากไม่มีเครื่องบินรบ กองทัพไทยไม่ใช่คู่ต่อกรของทหารกัมพูชา
    .
    เขียว รามี รัฐมนตรีอาวุโสและประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนกัมพูชา โพสต์เฟซบุ๊กโจมตีการปฏิบัติการของไทย พร้อมยกย่องความกล้าหาญของทหารกัมพูชา และอ้างว่ากองทัพไทยจะยอมจำนน หากไม่ได้ใช้เครื่องบินขับไล่สนับสนุน
    .
    รมต.เขมรยังกล่าวหาว่า ไทยขาดประสบการณ์การทำสงคราม และจะเกิดความแตกแยกภายใน พร้อมปลุกระดมให้ทหารกัมพูชาเดินหน้าสู้ต่อไป ท่ามกลางสถานการณ์สู้รบตามแนวชายแดนที่ยังตึงเครียด
    .
    ขณะเดียวกัน สื่อกัมพูชาบางสำนักยังเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือน กล่าวหาไทยใช้อาวุธหนักโจมตีพลเรือนและโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งฝ่ายไทยยืนยันว่าไม่เป็นความจริง และยึดหลักกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด
    .
    อ่านต่อ >> https://news1live.com/detail/9680000120788
    .
    #News1live #News1 #ชายแดนไทยกัมพูชา #กองทัพไทย #ข่าวต่างประเทศ #สงครามข้อมูลข่าวสาร
    ยังปากกล้า! รมต.เขมรออกมาดูแคลนกองทัพไทย อ้างหากไม่มีเครื่องบินรบ กองทัพไทยไม่ใช่คู่ต่อกรของทหารกัมพูชา . เขียว รามี รัฐมนตรีอาวุโสและประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนกัมพูชา โพสต์เฟซบุ๊กโจมตีการปฏิบัติการของไทย พร้อมยกย่องความกล้าหาญของทหารกัมพูชา และอ้างว่ากองทัพไทยจะยอมจำนน หากไม่ได้ใช้เครื่องบินขับไล่สนับสนุน . รมต.เขมรยังกล่าวหาว่า ไทยขาดประสบการณ์การทำสงคราม และจะเกิดความแตกแยกภายใน พร้อมปลุกระดมให้ทหารกัมพูชาเดินหน้าสู้ต่อไป ท่ามกลางสถานการณ์สู้รบตามแนวชายแดนที่ยังตึงเครียด . ขณะเดียวกัน สื่อกัมพูชาบางสำนักยังเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือน กล่าวหาไทยใช้อาวุธหนักโจมตีพลเรือนและโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งฝ่ายไทยยืนยันว่าไม่เป็นความจริง และยึดหลักกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด . อ่านต่อ >> https://news1live.com/detail/9680000120788 . #News1live #News1 #ชายแดนไทยกัมพูชา #กองทัพไทย #ข่าวต่างประเทศ #สงครามข้อมูลข่าวสาร
    0 Comments 0 Shares 126 Views 0 Reviews
  • ฮุน เซน ปฏิเสธข้อกล่าวหาจับคนไทยเป็นตัวประกัน ชี้เป็นการสั่งระงับการเดินทางข้ามแดนทางบกเท่านั้น อ้างเหตุผลด้านความปลอดภัยจากสถานการณ์สู้รบ พร้อมย้ำการเดินทางทางอากาศยังทำได้ตามปกติ แนะคนไทยออกจากกัมพูชาผ่านสนามบินพนมเปญหรือเสียมราฐ ขณะที่ฝ่ายไทยย้ำการจำกัดเสรีภาพการเดินทางของพลเรือนเข้าข่ายละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ
    .
    อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000120288
    .
    #News1live #News1 #ฮุนเซน #ด่านปอยเปต #ชายแดนไทยกัมพูชา #สิทธิมนุษยชน #อนุสัญญาเจนีวา
    ฮุน เซน ปฏิเสธข้อกล่าวหาจับคนไทยเป็นตัวประกัน ชี้เป็นการสั่งระงับการเดินทางข้ามแดนทางบกเท่านั้น อ้างเหตุผลด้านความปลอดภัยจากสถานการณ์สู้รบ พร้อมย้ำการเดินทางทางอากาศยังทำได้ตามปกติ แนะคนไทยออกจากกัมพูชาผ่านสนามบินพนมเปญหรือเสียมราฐ ขณะที่ฝ่ายไทยย้ำการจำกัดเสรีภาพการเดินทางของพลเรือนเข้าข่ายละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ . อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000120288 . #News1live #News1 #ฮุนเซน #ด่านปอยเปต #ชายแดนไทยกัมพูชา #สิทธิมนุษยชน #อนุสัญญาเจนีวา
    Like
    Angry
    3
    0 Comments 0 Shares 229 Views 0 Reviews
  • กองทัพบกชี้พฤติการณ์ฝ่ายกัมพูชากักกันคนไทยหลายพันคนที่ด่านปอยเปต อาจเข้าข่ายควบคุมตัวพลเรือนโดยมิชอบ และมีลักษณะใกล้เคียงการจับเป็นตัวประกัน เข้าข่ายละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน และอาจผิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ตามอนุสัญญาเจนีวา ซึ่งกัมพูชาเป็นภาคี พร้อมเรียกร้องให้อำนวยความสะดวกให้ประชาชนไทยเดินทางกลับประเทศโดยเร็ว
    .
    อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000120270
    .
    #News1live #News1 #กองทัพบก #ด่านปอยเปต #สิทธิมนุษยชน #อาชญากรรมสงคราม #ชายแดนไทยกัมพูชา
    กองทัพบกชี้พฤติการณ์ฝ่ายกัมพูชากักกันคนไทยหลายพันคนที่ด่านปอยเปต อาจเข้าข่ายควบคุมตัวพลเรือนโดยมิชอบ และมีลักษณะใกล้เคียงการจับเป็นตัวประกัน เข้าข่ายละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน และอาจผิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ตามอนุสัญญาเจนีวา ซึ่งกัมพูชาเป็นภาคี พร้อมเรียกร้องให้อำนวยความสะดวกให้ประชาชนไทยเดินทางกลับประเทศโดยเร็ว . อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000120270 . #News1live #News1 #กองทัพบก #ด่านปอยเปต #สิทธิมนุษยชน #อาชญากรรมสงคราม #ชายแดนไทยกัมพูชา
    Like
    4
    0 Comments 0 Shares 204 Views 0 Reviews
  • บทความกฎหมาย EP.42

    กฎการปะทะ หรือ Rules of Engagement (ROE) ในปฏิบัติการทางทหารคือหัวใจสำคัญของการพิจารณาการใช้กำลังทางทหาร โดยเป็นชุดคำสั่งหรือแนวทางที่กำหนดเงื่อนไข ขอบเขต สถานที่ และวิธีการที่ทหารจะสามารถใช้กำลังหรืออาวุธได้ กฎเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ระเบียบปฏิบัติภายในหน่วยงาน แต่เป็นกลไกทางกฎหมายที่ผูกโยงการปฏิบัติการทางทหารเข้ากับหลักการของกฎหมายระหว่างประเทศ กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ (International Humanitarian Law – IHL) หรือที่รู้จักกันในชื่อกฎหมายว่าด้วยการขัดกันด้วยอาวุธ (Law of Armed Conflict – LOAC) รวมถึงกฎหมายภายในของรัฐนั้นๆ ด้วย ROE ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างความจำเป็นทางทหาร (Military Necessity) กับหลักการด้านมนุษยธรรมและสัดส่วน (Proportionality) ในการทำสงคราม การกำหนด ROE จะต้องพิจารณาอย่างรอบด้านถึงสถานการณ์ความขัดแย้ง รูปแบบของภัยคุกคาม และเป้าหมายทางยุทธศาสตร์และนโยบายของรัฐ ซึ่งในทางกฎหมายแล้ว ROE มักแบ่งออกได้เป็นสองประเภทหลักคือ กฎทั่วไป (General ROE) ที่ใช้ในสถานการณ์ปกติหรือการฝึก และกฎเฉพาะกิจ (Specific ROE) ที่ถูกปรับให้เข้ากับภารกิจ สถานที่ หรือระดับความรุนแรงของภัยคุกคามที่เฉพาะเจาะจง ตัวอย่างเช่น ภารกิจรักษาสันติภาพภายใต้องค์การสหประชาชาติจะมี ROE ที่เข้มงวดกว่าภารกิจในการทำสงครามเต็มรูปแบบ ซึ่งเน้นการจำกัดการใช้กำลังเพื่อการป้องกันตนเองและคุ้มครองพลเรือนเป็นหลัก และในบริบททางกฎหมาย กฎการปะทะยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการธำรงไว้ซึ่งความรับผิดชอบทางอาญาของบุคคล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการสั่งการและการปฏิบัติตามคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทหารแต่ละนายมีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องพิจารณาว่าการกระทำของตนสอดคล้องกับ ROE และ IHL หรือไม่ การละเมิด ROE อาจนำไปสู่การถูกสอบสวนและดำเนินคดีทางวินัยหรือทางอาญาได้ ทั้งในระดับศาลทหารและศาลอาญาระหว่างประเทศหากการละเมิดนั้นเข้าข่ายอาชญากรรมสงคราม ข้อความที่ว่า ROE อาจแตกต่างกันระหว่างวัฒนธรรมที่ต่างกันในประวัติศาสตร์นั้นสะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายในการตีความและการประยุกต์ใช้ IHL ซึ่งแม้จะมีหลักการที่เป็นสากล เช่น หลักการแบ่งแยกพลรบและพลเรือน หรือหลักการจำกัดความทุกข์ทรมานที่ไม่จำเป็น แต่การนำหลักการเหล่านี้ไปใช้จริงในทางปฏิบัติย่อมขึ้นอยู่กับบริบททางสังคมการเมือง ประเพณีทางการทหาร และมุมมองทางกฎหมายของแต่ละชาติ ซึ่งนำไปสู่การถกเถียงอย่างต่อเนื่องในเวทีระหว่างประเทศเกี่ยวกับการตีความขอบเขตอำนาจในการป้องกันตนเอง (Self-Defence) และความหมายของคำว่า การโจมตีที่ชอบด้วยกฎหมาย (Lawful Target) โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมที่มีความซับซ้อน เช่น การรบในเขตเมืองที่มีพลเรือนปะปน หรือการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ในการทำสงคราม

    กล่าวโดยสรุป กฎการปะทะคือหลักประกันเชิงกฎหมายที่ควบคุมการตัดสินใจอันเป็นความตายและความอยู่รอดในสมรภูมิ กฎเหล่านี้คือการรวมกันของหลักกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ กฎหมายภายใน และความจำเป็นทางยุทธวิธี โดยมีเป้าหมายเพื่อทำให้การใช้กำลังเป็นไปอย่างมีขอบเขต มีความรับผิดชอบ และมีสัดส่วนที่เหมาะสมตามหลักนิติธรรม กฎการปะทะไม่ใช่เพียงแค่คู่มือปฏิบัติ แต่เป็นเอกสารทางกฎหมายที่กำหนดภาระหน้าที่และขีดจำกัดของกองทัพในการดำเนินงานของพวกเขา ซึ่งต้องมีการตีความและปรับใช้ให้สอดคล้องกับวิวัฒนาการของความขัดแย้งและหลักการทางกฎหมายที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อให้มั่นใจว่าการปฏิบัติการทางทหารจะไม่เป็นการละเมิดหลักการพื้นฐานของความเป็นมนุษย์และหลักนิติธรรมในทุกสถานการณ์.

    ดังนั้น ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในมิติทางกฎหมายของกฎการปะทะจึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับผู้กำหนดนโยบาย ผู้นำทางทหาร และบุคลากรทุกคนที่ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ที่มีความขัดแย้ง เพราะ ROE เป็นตัวกำหนดขีดเส้นแบ่งระหว่างการปฏิบัติการที่ชอบด้วยกฎหมายกับการกระทำที่เป็นอาชญากรรมสงคราม การเคารพและการปฏิบัติตามกฎนี้อย่างเคร่งครัดจึงไม่เพียงแต่เป็นเรื่องของวินัยเท่านั้น แต่ยังเป็นข้อบังคับทางกฎหมายระหว่างประเทศที่สำคัญที่สุดในการปกป้องศักดิ์ศรีของมนุษย์และลดผลกระทบต่อพลเรือนในยามศึกสงครามอีกด้วย การตีความที่ยืดหยุ่นภายใต้กรอบของกฎหมายที่เข้มแข็งจะนำไปสู่การตัดสินใจที่ถูกต้องและเป็นธรรมในสถานการณ์ที่ยากลำบากที่สุด.
    บทความกฎหมาย EP.42 กฎการปะทะ หรือ Rules of Engagement (ROE) ในปฏิบัติการทางทหารคือหัวใจสำคัญของการพิจารณาการใช้กำลังทางทหาร โดยเป็นชุดคำสั่งหรือแนวทางที่กำหนดเงื่อนไข ขอบเขต สถานที่ และวิธีการที่ทหารจะสามารถใช้กำลังหรืออาวุธได้ กฎเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ระเบียบปฏิบัติภายในหน่วยงาน แต่เป็นกลไกทางกฎหมายที่ผูกโยงการปฏิบัติการทางทหารเข้ากับหลักการของกฎหมายระหว่างประเทศ กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ (International Humanitarian Law – IHL) หรือที่รู้จักกันในชื่อกฎหมายว่าด้วยการขัดกันด้วยอาวุธ (Law of Armed Conflict – LOAC) รวมถึงกฎหมายภายในของรัฐนั้นๆ ด้วย ROE ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างความจำเป็นทางทหาร (Military Necessity) กับหลักการด้านมนุษยธรรมและสัดส่วน (Proportionality) ในการทำสงคราม การกำหนด ROE จะต้องพิจารณาอย่างรอบด้านถึงสถานการณ์ความขัดแย้ง รูปแบบของภัยคุกคาม และเป้าหมายทางยุทธศาสตร์และนโยบายของรัฐ ซึ่งในทางกฎหมายแล้ว ROE มักแบ่งออกได้เป็นสองประเภทหลักคือ กฎทั่วไป (General ROE) ที่ใช้ในสถานการณ์ปกติหรือการฝึก และกฎเฉพาะกิจ (Specific ROE) ที่ถูกปรับให้เข้ากับภารกิจ สถานที่ หรือระดับความรุนแรงของภัยคุกคามที่เฉพาะเจาะจง ตัวอย่างเช่น ภารกิจรักษาสันติภาพภายใต้องค์การสหประชาชาติจะมี ROE ที่เข้มงวดกว่าภารกิจในการทำสงครามเต็มรูปแบบ ซึ่งเน้นการจำกัดการใช้กำลังเพื่อการป้องกันตนเองและคุ้มครองพลเรือนเป็นหลัก และในบริบททางกฎหมาย กฎการปะทะยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการธำรงไว้ซึ่งความรับผิดชอบทางอาญาของบุคคล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการสั่งการและการปฏิบัติตามคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทหารแต่ละนายมีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องพิจารณาว่าการกระทำของตนสอดคล้องกับ ROE และ IHL หรือไม่ การละเมิด ROE อาจนำไปสู่การถูกสอบสวนและดำเนินคดีทางวินัยหรือทางอาญาได้ ทั้งในระดับศาลทหารและศาลอาญาระหว่างประเทศหากการละเมิดนั้นเข้าข่ายอาชญากรรมสงคราม ข้อความที่ว่า ROE อาจแตกต่างกันระหว่างวัฒนธรรมที่ต่างกันในประวัติศาสตร์นั้นสะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายในการตีความและการประยุกต์ใช้ IHL ซึ่งแม้จะมีหลักการที่เป็นสากล เช่น หลักการแบ่งแยกพลรบและพลเรือน หรือหลักการจำกัดความทุกข์ทรมานที่ไม่จำเป็น แต่การนำหลักการเหล่านี้ไปใช้จริงในทางปฏิบัติย่อมขึ้นอยู่กับบริบททางสังคมการเมือง ประเพณีทางการทหาร และมุมมองทางกฎหมายของแต่ละชาติ ซึ่งนำไปสู่การถกเถียงอย่างต่อเนื่องในเวทีระหว่างประเทศเกี่ยวกับการตีความขอบเขตอำนาจในการป้องกันตนเอง (Self-Defence) และความหมายของคำว่า การโจมตีที่ชอบด้วยกฎหมาย (Lawful Target) โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมที่มีความซับซ้อน เช่น การรบในเขตเมืองที่มีพลเรือนปะปน หรือการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ในการทำสงคราม กล่าวโดยสรุป กฎการปะทะคือหลักประกันเชิงกฎหมายที่ควบคุมการตัดสินใจอันเป็นความตายและความอยู่รอดในสมรภูมิ กฎเหล่านี้คือการรวมกันของหลักกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ กฎหมายภายใน และความจำเป็นทางยุทธวิธี โดยมีเป้าหมายเพื่อทำให้การใช้กำลังเป็นไปอย่างมีขอบเขต มีความรับผิดชอบ และมีสัดส่วนที่เหมาะสมตามหลักนิติธรรม กฎการปะทะไม่ใช่เพียงแค่คู่มือปฏิบัติ แต่เป็นเอกสารทางกฎหมายที่กำหนดภาระหน้าที่และขีดจำกัดของกองทัพในการดำเนินงานของพวกเขา ซึ่งต้องมีการตีความและปรับใช้ให้สอดคล้องกับวิวัฒนาการของความขัดแย้งและหลักการทางกฎหมายที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อให้มั่นใจว่าการปฏิบัติการทางทหารจะไม่เป็นการละเมิดหลักการพื้นฐานของความเป็นมนุษย์และหลักนิติธรรมในทุกสถานการณ์. ดังนั้น ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในมิติทางกฎหมายของกฎการปะทะจึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับผู้กำหนดนโยบาย ผู้นำทางทหาร และบุคลากรทุกคนที่ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ที่มีความขัดแย้ง เพราะ ROE เป็นตัวกำหนดขีดเส้นแบ่งระหว่างการปฏิบัติการที่ชอบด้วยกฎหมายกับการกระทำที่เป็นอาชญากรรมสงคราม การเคารพและการปฏิบัติตามกฎนี้อย่างเคร่งครัดจึงไม่เพียงแต่เป็นเรื่องของวินัยเท่านั้น แต่ยังเป็นข้อบังคับทางกฎหมายระหว่างประเทศที่สำคัญที่สุดในการปกป้องศักดิ์ศรีของมนุษย์และลดผลกระทบต่อพลเรือนในยามศึกสงครามอีกด้วย การตีความที่ยืดหยุ่นภายใต้กรอบของกฎหมายที่เข้มแข็งจะนำไปสู่การตัดสินใจที่ถูกต้องและเป็นธรรมในสถานการณ์ที่ยากลำบากที่สุด.
    0 Comments 0 Shares 259 Views 0 Reviews
  • “วิกฤตความอดอยากในกาซา: เมื่อความหิวกลายเป็นอาวุธ และมนุษยธรรมถูกบดขยี้ด้วยระบบ”

    กว่า 700 วันของสงครามระหว่างอิสราเอลและกาซา ได้ผลักประชาชนในพื้นที่เข้าสู่ภาวะอดอยากอย่างรุนแรง รายงานจากคณะผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงทางอาหารของสหประชาชาติ (IPC) ระบุว่า ภาวะอดอยากในกาซาเป็น “ภัยพิบัติที่มนุษย์สร้างขึ้น” โดยมีประชาชนกว่า 500,000 คนในเขตกาซาเพียงแห่งเดียวที่ต้องเผชิญกับความหิวโหย ความยากไร้ และความตาย

    IPC คาดการณ์ว่าภายในเดือนกันยายน 2025 ประชากรเกือบหนึ่งในสามของกาซาจะเข้าสู่ภาวะอดอยาก โดยเฉพาะในพื้นที่ Deir Al-Balah และ Khan Younis ที่มีแนวโน้มจะได้รับผลกระทบเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีมากกว่า 132,000 คนถูกคาดว่าจะมีภาวะทุพโภชนาการเฉียบพลัน และกว่า 41,000 คนอยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการเสียชีวิต

    แม้อิสราเอลจะปฏิเสธรายงานของ IPC โดยกล่าวว่าเป็นข้อมูลที่ “ลำเอียงและไม่ครบถ้วน” แต่หน่วยงานด้านมนุษยธรรมกลับชี้ว่าอิสราเอลได้ใช้ระบบราชการที่ซับซ้อน การตรวจสอบชายแดนที่เข้มงวด และการปฏิเสธสิ่งของโดยพลการ เพื่อจำกัดการเข้าถึงอาหารและความช่วยเหลือ ทำให้ประชาชนในกาซาได้รับพลังงานเพียง 1,400 แคลอรีต่อวัน ซึ่งต่ำกว่าความต้องการขั้นต่ำของร่างกายที่ 2,300 แคลอรี

    นอกจากนี้ การทำลายโครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณสุข การห้ามการประมง และการทำลายพื้นที่เกษตรกรรม ทำให้แหล่งอาหารในท้องถิ่นแทบไม่เหลืออยู่เลย ขณะที่การแจกจ่ายอาหารผ่านองค์กรเอกชนที่ได้รับการสนับสนุนจากอิสราเอล เช่น GHF ก็ถูกวิจารณ์ว่า “ไร้มนุษยธรรม” และ “อันตราย” โดยมีผู้เสียชีวิตกว่า 1,000 คนจากการพยายามเข้าถึงจุดแจกจ่ายอาหาร

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    IPC ประกาศภาวะอดอยากในกาซา โดยเฉพาะในเขตกาซา, Deir Al-Balah และ Khan Younis
    เด็กกว่า 132,000 คนมีภาวะทุพโภชนาการเฉียบพลัน และ 41,000 คนเสี่ยงเสียชีวิต
    อิสราเอลควบคุมการเข้าถึงอาหาร “ถึงระดับแคลอรี” ต่อคนต่อวัน
    ประชาชนในกาซาได้รับพลังงานเพียง 1,400 แคลอรีต่อวัน จากที่ควรได้รับ 2,300 แคลอรี
    โครงสร้างพื้นฐานด้านสุขภาพและเกษตรกรรมถูกทำลายอย่างหนัก
    จุดแจกจ่ายอาหารของ GHF มีผู้เสียชีวิตกว่า 1,000 คนจากการเข้าถึง
    UN และ WHO เรียกร้องให้มีการหยุดยิงและเปิดทางให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มรูปแบบ
    IPC ใช้เกณฑ์ MUAC ในการประเมินภาวะทุพโภชนาการ ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ใช้ในหลายประเทศ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    IPC Phase 5 คือระดับ “Catastrophe” ซึ่งหมายถึงภาวะอดอยากขั้นรุนแรง
    MUAC (Mid-Upper Arm Circumference) เป็นตัวชี้วัดที่สัมพันธ์กับอัตราการเสียชีวิต
    การใช้ความหิวเป็นอาวุธถือเป็นการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ
    การปิดกั้นความช่วยเหลือในพื้นที่สงครามอาจเข้าข่าย “การลงโทษแบบรวมหมู่”
    การฟื้นฟูระบบอาหารต้องอาศัยการหยุดยิง, การเข้าถึงแบบไม่ถูกขัดขวาง และการฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐาน

    https://edition.cnn.com/2025/10/02/middleeast/gaza-famine-causes-vis-intl
    🕊️ “วิกฤตความอดอยากในกาซา: เมื่อความหิวกลายเป็นอาวุธ และมนุษยธรรมถูกบดขยี้ด้วยระบบ” กว่า 700 วันของสงครามระหว่างอิสราเอลและกาซา ได้ผลักประชาชนในพื้นที่เข้าสู่ภาวะอดอยากอย่างรุนแรง รายงานจากคณะผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงทางอาหารของสหประชาชาติ (IPC) ระบุว่า ภาวะอดอยากในกาซาเป็น “ภัยพิบัติที่มนุษย์สร้างขึ้น” โดยมีประชาชนกว่า 500,000 คนในเขตกาซาเพียงแห่งเดียวที่ต้องเผชิญกับความหิวโหย ความยากไร้ และความตาย IPC คาดการณ์ว่าภายในเดือนกันยายน 2025 ประชากรเกือบหนึ่งในสามของกาซาจะเข้าสู่ภาวะอดอยาก โดยเฉพาะในพื้นที่ Deir Al-Balah และ Khan Younis ที่มีแนวโน้มจะได้รับผลกระทบเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีมากกว่า 132,000 คนถูกคาดว่าจะมีภาวะทุพโภชนาการเฉียบพลัน และกว่า 41,000 คนอยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการเสียชีวิต แม้อิสราเอลจะปฏิเสธรายงานของ IPC โดยกล่าวว่าเป็นข้อมูลที่ “ลำเอียงและไม่ครบถ้วน” แต่หน่วยงานด้านมนุษยธรรมกลับชี้ว่าอิสราเอลได้ใช้ระบบราชการที่ซับซ้อน การตรวจสอบชายแดนที่เข้มงวด และการปฏิเสธสิ่งของโดยพลการ เพื่อจำกัดการเข้าถึงอาหารและความช่วยเหลือ ทำให้ประชาชนในกาซาได้รับพลังงานเพียง 1,400 แคลอรีต่อวัน ซึ่งต่ำกว่าความต้องการขั้นต่ำของร่างกายที่ 2,300 แคลอรี นอกจากนี้ การทำลายโครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณสุข การห้ามการประมง และการทำลายพื้นที่เกษตรกรรม ทำให้แหล่งอาหารในท้องถิ่นแทบไม่เหลืออยู่เลย ขณะที่การแจกจ่ายอาหารผ่านองค์กรเอกชนที่ได้รับการสนับสนุนจากอิสราเอล เช่น GHF ก็ถูกวิจารณ์ว่า “ไร้มนุษยธรรม” และ “อันตราย” โดยมีผู้เสียชีวิตกว่า 1,000 คนจากการพยายามเข้าถึงจุดแจกจ่ายอาหาร ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ IPC ประกาศภาวะอดอยากในกาซา โดยเฉพาะในเขตกาซา, Deir Al-Balah และ Khan Younis ➡️ เด็กกว่า 132,000 คนมีภาวะทุพโภชนาการเฉียบพลัน และ 41,000 คนเสี่ยงเสียชีวิต ➡️ อิสราเอลควบคุมการเข้าถึงอาหาร “ถึงระดับแคลอรี” ต่อคนต่อวัน ➡️ ประชาชนในกาซาได้รับพลังงานเพียง 1,400 แคลอรีต่อวัน จากที่ควรได้รับ 2,300 แคลอรี ➡️ โครงสร้างพื้นฐานด้านสุขภาพและเกษตรกรรมถูกทำลายอย่างหนัก ➡️ จุดแจกจ่ายอาหารของ GHF มีผู้เสียชีวิตกว่า 1,000 คนจากการเข้าถึง ➡️ UN และ WHO เรียกร้องให้มีการหยุดยิงและเปิดทางให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มรูปแบบ ➡️ IPC ใช้เกณฑ์ MUAC ในการประเมินภาวะทุพโภชนาการ ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ใช้ในหลายประเทศ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ IPC Phase 5 คือระดับ “Catastrophe” ซึ่งหมายถึงภาวะอดอยากขั้นรุนแรง ➡️ MUAC (Mid-Upper Arm Circumference) เป็นตัวชี้วัดที่สัมพันธ์กับอัตราการเสียชีวิต ➡️ การใช้ความหิวเป็นอาวุธถือเป็นการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ➡️ การปิดกั้นความช่วยเหลือในพื้นที่สงครามอาจเข้าข่าย “การลงโทษแบบรวมหมู่” ➡️ การฟื้นฟูระบบอาหารต้องอาศัยการหยุดยิง, การเข้าถึงแบบไม่ถูกขัดขวาง และการฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐาน https://edition.cnn.com/2025/10/02/middleeast/gaza-famine-causes-vis-intl
    EDITION.CNN.COM
    How Israeli actions caused famine in Gaza, visualized | CNN
    Israel’s war in Gaza led to more than half a million Palestinians being stuck in a cycle of ‘starvation, destitution and death,’ a UN-backed initiative said. Five charts explain how.
    0 Comments 0 Shares 573 Views 0 Reviews
  • พบอีกปม เขมรวางหลุมขวากบนภูมะเขือ ดักทำร้ายทหารไทย ละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ผิดอนุสัญญาเจนีวา และอนุสัญญา CCW

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000079381

    #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    พบอีกปม เขมรวางหลุมขวากบนภูมะเขือ ดักทำร้ายทหารไทย ละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ผิดอนุสัญญาเจนีวา และอนุสัญญา CCW อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000079381 #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    Sad
    3
    0 Comments 0 Shares 710 Views 0 Reviews
  • ทูตไทยลั่น UNSC! ประณามกัมพูชา "รุกรานไร้การยั่วยุ" โจมตีพลเรือน ฝังกับระเบิด ไร้มนุษยธรรม บิดเบือนปมปราสาทพระวิหาร
    https://www.thai-tai.tv/news/20558/
    .
    #ทูตไทยUN #เชิดชายใช้ไววิทย์ #UNSC #ชายแดนไทยกัมพูชา #รุกรานไร้การยั่วยุ #อาชญากรรมสงคราม #ละเมิดกฎหมายมนุษยธรรม #อนุสัญญาออตตาวา #อนุสัญญาเจนีวา #ปราสาทพระวิหาร #ข่าวปลอม #การป้องกันตนเอง #ไทยไท
    ทูตไทยลั่น UNSC! ประณามกัมพูชา "รุกรานไร้การยั่วยุ" โจมตีพลเรือน ฝังกับระเบิด ไร้มนุษยธรรม บิดเบือนปมปราสาทพระวิหาร https://www.thai-tai.tv/news/20558/ . #ทูตไทยUN #เชิดชายใช้ไววิทย์ #UNSC #ชายแดนไทยกัมพูชา #รุกรานไร้การยั่วยุ #อาชญากรรมสงคราม #ละเมิดกฎหมายมนุษยธรรม #อนุสัญญาออตตาวา #อนุสัญญาเจนีวา #ปราสาทพระวิหาร #ข่าวปลอม #การป้องกันตนเอง #ไทยไท
    0 Comments 0 Shares 826 Views 0 Reviews
  • กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ แถลงการณ์ประณามการโจมตีพลเรือนตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศร้ายแรง ส่งผลกระทบกลุ่มเปราะบาง-สวัสดิภาพทางสังคม-ความมั่นคงของมนุษย์

    MSDHS issued an official statement, Condemning the Attacks on Civilians along the Thai-Cambodian Border: Serious Violations of International Humanitarian Law with Adverse Impacts on Vulnerable People, Social Welfare, and Human Security.
    #cambodiaopenedFlre
    กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ แถลงการณ์ประณามการโจมตีพลเรือนตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศร้ายแรง ส่งผลกระทบกลุ่มเปราะบาง-สวัสดิภาพทางสังคม-ความมั่นคงของมนุษย์ MSDHS issued an official statement, Condemning the Attacks on Civilians along the Thai-Cambodian Border: Serious Violations of International Humanitarian Law with Adverse Impacts on Vulnerable People, Social Welfare, and Human Security. #cambodiaopenedFlre
    0 Comments 0 Shares 496 Views 0 0 Reviews
  • "วราวุธ" แถลงการณ์เดือด! ชี้กัมพูชาโจมตีพลเรือน-ทุ่นระเบิดทำทหารพิการ "ไม่ใช่แค่ละเมิดพรมแดน แต่คือละเมิดความเป็นมนุษย์"
    https://www.thai-tai.tv/news/20549/
    .
    #พม #วราวุธศิลปอาชา #ประณามกัมพูชา #อาชญากรรมสงคราม #ชายแดนไทยกัมพูชา #ละเมิดกฎหมายมนุษยธรรม #พลเรือนเสียชีวิต #ทุ่นระเบิด #สิทธิเด็ก #ความมั่นคงของมนุษย์
    "วราวุธ" แถลงการณ์เดือด! ชี้กัมพูชาโจมตีพลเรือน-ทุ่นระเบิดทำทหารพิการ "ไม่ใช่แค่ละเมิดพรมแดน แต่คือละเมิดความเป็นมนุษย์" https://www.thai-tai.tv/news/20549/ . #พม #วราวุธศิลปอาชา #ประณามกัมพูชา #อาชญากรรมสงคราม #ชายแดนไทยกัมพูชา #ละเมิดกฎหมายมนุษยธรรม #พลเรือนเสียชีวิต #ทุ่นระเบิด #สิทธิเด็ก #ความมั่นคงของมนุษย์
    0 Comments 0 Shares 591 Views 0 Reviews
  • "พิธา" ซัดกัมพูชา! "เลือดเด็กผู้บริสุทธิ์อยู่ในมือคุณ" จี้ UN-UNICEF ลงพื้นที่ตรวจสอบด่วน
    https://www.thai-tai.tv/news/20547/
    .
    #พิธาลิ้มเจริญรัตน์ #ชายแดนไทยกัมพูชา #อาชญากรรมสงคราม #UN #UNICEF #กฎหมายมนุษยธรรม #เด็กผู้บริสุทธิ์ #ก้าวไกล #สถานการณ์ชายแดน
    "พิธา" ซัดกัมพูชา! "เลือดเด็กผู้บริสุทธิ์อยู่ในมือคุณ" จี้ UN-UNICEF ลงพื้นที่ตรวจสอบด่วน https://www.thai-tai.tv/news/20547/ . #พิธาลิ้มเจริญรัตน์ #ชายแดนไทยกัมพูชา #อาชญากรรมสงคราม #UN #UNICEF #กฎหมายมนุษยธรรม #เด็กผู้บริสุทธิ์ #ก้าวไกล #สถานการณ์ชายแดน
    0 Comments 0 Shares 398 Views 0 Reviews
  • ข่าวปลอม! ทบ.โต้กัมพูชาบิดเบือนข้อเท็จจริง ยันไม่ได้ยิงใส่ "ปราสาทพระวิหาร"
    https://www.thai-tai.tv/news/20533/
    .
    #กองทัพบก #ปราสาทพระวิหาร #ข่าวปลอม #กัมพูชาบิดเบือน #UNESCO #วินธัยสุวารี #ชายแดนไทยกัมพูชา #กฎหมายมนุษยธรรม #ปกป้องอธิปไตย
    ข่าวปลอม! ทบ.โต้กัมพูชาบิดเบือนข้อเท็จจริง ยันไม่ได้ยิงใส่ "ปราสาทพระวิหาร" https://www.thai-tai.tv/news/20533/ . #กองทัพบก #ปราสาทพระวิหาร #ข่าวปลอม #กัมพูชาบิดเบือน #UNESCO #วินธัยสุวารี #ชายแดนไทยกัมพูชา #กฎหมายมนุษยธรรม #ปกป้องอธิปไตย
    0 Comments 0 Shares 387 Views 0 Reviews
  • หลักฐานชัด! ทหารเขมรนำ BM-21/RM-70 ซ่อนในหมู่บ้าน หวังใช้พลเรือนเป็นเกราะกำบังการรบ
    https://www.thai-tai.tv/news/20532/
    .
    #กัมพูชา #โล่มนุษย์ #อาชญากรรมสงคราม #BM21 #RM70 #พลเรือน #อุดรมีชัย #พระวิหาร #กฎหมายมนุษยธรรม #ชายแดนไทยกัมพูชา
    หลักฐานชัด! ทหารเขมรนำ BM-21/RM-70 ซ่อนในหมู่บ้าน หวังใช้พลเรือนเป็นเกราะกำบังการรบ https://www.thai-tai.tv/news/20532/ . #กัมพูชา #โล่มนุษย์ #อาชญากรรมสงคราม #BM21 #RM70 #พลเรือน #อุดรมีชัย #พระวิหาร #กฎหมายมนุษยธรรม #ชายแดนไทยกัมพูชา
    0 Comments 0 Shares 361 Views 0 Reviews
  • กองทัพไทยประณามกัมพูชา! ชี้ "ฮุนเซน" อยู่เบื้องหลังโจมตีพลเรือน ถือเป็น "อาชญากรรมสงคราม"
    https://www.thai-tai.tv/news/20530/
    .
    #กองทัพไทย #ประณามกัมพูชา #ฮุนเซน #อาชญากรรมสงคราม #โจมตีพลเรือน #กฎหมายมนุษยธรรม #ชายแดนไทยกัมพูชา #UN #สอบสวน #ความยุติธรรม
    กองทัพไทยประณามกัมพูชา! ชี้ "ฮุนเซน" อยู่เบื้องหลังโจมตีพลเรือน ถือเป็น "อาชญากรรมสงคราม" https://www.thai-tai.tv/news/20530/ . #กองทัพไทย #ประณามกัมพูชา #ฮุนเซน #อาชญากรรมสงคราม #โจมตีพลเรือน #กฎหมายมนุษยธรรม #ชายแดนไทยกัมพูชา #UN #สอบสวน #ความยุติธรรม
    0 Comments 0 Shares 328 Views 0 Reviews
  • สรุปเหตุการณ์วันนี้ พฤหัสบดี 24 กรกฎาคม 2568
    ตามรายงานจากกระทรวงสาธารณสุข:
    พลเรือน
    เสียชีวิต: 13 ราย
    บาดเจ็บสาหัส: 7 ราย
    บาดเจ็บปานกลาง: 13 ราย
    บาดเจ็บเล็กน้อย: 12 ราย
    รวมทั้งสิ้น: 45 ราย

    ทหาร
    เสียชีวิต: 1 นาย
    บาดเจ็บสาหัส: 6 นาย
    บาดเจ็บปานกลาง: 5 นาย
    บาดเจ็บเล็กน้อย: 3 นาย
    รวมทั้งสิ้น: 15 นาย

    โดยมีลำดับเหตุการณ์ที่สำคัญ ดังนี้:
    เวลา 07.45 น. กองกำลังสุรนารีตรวจพบอากาศยานไร้คนขับ (UAV) ของฝ่ายกัมพูชาบินล้ำเข้ามาสำรวจในเขตพื้นที่หน้าปราสาทตาเมือนธม จากนั้นพบกำลังพลกัมพูชาจำนวน 6 นาย พร้อมอาวุธครบมือเข้าประชิดแนวลวดหนาม ฝ่ายไทยพยายามใช้การเจรจาเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะ

    เวลา 08.20 น. ฝ่ายกัมพูชาเปิดฉากยิงด้วยอาวุธประจำหน่วยเข้าใส่ฐานปฏิบัติการของไทย ใกล้บริเวณปราสาทตาเมือน ส่งผลให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บ 2 นาย

    เวลา 09.30 น. ฝ่ายกัมพูชายิงจรวด BM-21 จากพื้นที่เขาแหลม เข้าตกในพื้นที่บ้านขึ้นเหล็ก อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ ทำให้พลเรือนบาดเจ็บ 1 ราย และตรวจพบหัวจรวดตกบนบ้านเรือนในพื้นที่อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ เป็นเหตุให้พลเรือนเสียชีวิต 1 ราย

    เวลา 09.45 น. มีการยิงจรวด BM-21 เพิ่มเติมเข้าใส่ศูนย์พัฒนาพื้นที่ชายแดน บริเวณอำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์

    ช่วงเวลา 10.00–10.22 น. ตรวจพบจรวด BM-21 ตกในพื้นที่ฐานหมูป่า ฐานพดุง และเนิน 500 ในจังหวัดอุบลราชธานี
    พร้อมกระสุนปืนใหญ่ตกใส่พื้นที่ผามออีแดง จุกตา จ.ศรีสะเกษ และบริเวณฐานทัพ ทำให้ทหารไทยบาดเจ็บจำนวน 7 นาย

    ช่วงเวลา 10.28–10.40 น. มีรายงานการโจมตีอย่างต่อเนื่องจากฝั่งกัมพูชา ด้วยจรวดหลายลำกล้อง BM-21 พุ่งเป้าไปยังพื้นที่ฐานมาเรีย และบ้านโพนทอง ตำบลโดมประดิษฐ์ อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี ทำให้บ้านเรือนประชาชนเสียหาย 1 หลัง

    ช่วงเวลา 10.48–11.00 น. จรวด BM-21 จำนวน 3 ลูก ตกในพื้นที่ฐานหมูป่า และในบริเวณสถานีบริการน้ำมัน ปตท. บ้านผือ อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ส่งผลให้ร้านค้าเอกชนได้รับความเสียหาย มีพลเรือนเสียชีวิต 9 ราย และได้รับบาดเจ็บ 14 ราย

    ช่วงเวลา 11.02–12.21 น. ยังคงมีการปะทะและยิงถล่มด้วยอาวุธหนักอย่างต่อเนื่องในพื้นที่ชายแดนของจังหวัดบุรีรัมย์ สุรินทร์ และอุบลราชธานี โดยกระสุนบางส่วนตกในเขตชุมชนและบ้านเรือนของประชาชน

    จากการกระทำของฝ่ายกัมพูชาในการใช้อาวุธโจมตีพื้นที่พลเรือน ถือเป็นการละเมิดหลักการของกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ซึ่งกำหนดให้การโจมตีทางทหารกระทำได้เฉพาะต่อ เป้าหมายทางทหาร (Military Objectives) เท่านั้น
    สรุปเหตุการณ์วันนี้ พฤหัสบดี 24 กรกฎาคม 2568 ตามรายงานจากกระทรวงสาธารณสุข: 👉พลเรือน เสียชีวิต: 13 ราย บาดเจ็บสาหัส: 7 ราย บาดเจ็บปานกลาง: 13 ราย บาดเจ็บเล็กน้อย: 12 ราย รวมทั้งสิ้น: 45 ราย 👉ทหาร เสียชีวิต: 1 นาย บาดเจ็บสาหัส: 6 นาย บาดเจ็บปานกลาง: 5 นาย บาดเจ็บเล็กน้อย: 3 นาย รวมทั้งสิ้น: 15 นาย โดยมีลำดับเหตุการณ์ที่สำคัญ ดังนี้: 👉เวลา 07.45 น. กองกำลังสุรนารีตรวจพบอากาศยานไร้คนขับ (UAV) ของฝ่ายกัมพูชาบินล้ำเข้ามาสำรวจในเขตพื้นที่หน้าปราสาทตาเมือนธม จากนั้นพบกำลังพลกัมพูชาจำนวน 6 นาย พร้อมอาวุธครบมือเข้าประชิดแนวลวดหนาม ฝ่ายไทยพยายามใช้การเจรจาเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะ 👉เวลา 08.20 น. ฝ่ายกัมพูชาเปิดฉากยิงด้วยอาวุธประจำหน่วยเข้าใส่ฐานปฏิบัติการของไทย ใกล้บริเวณปราสาทตาเมือน ส่งผลให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บ 2 นาย 👉เวลา 09.30 น. ฝ่ายกัมพูชายิงจรวด BM-21 จากพื้นที่เขาแหลม เข้าตกในพื้นที่บ้านขึ้นเหล็ก อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ ทำให้พลเรือนบาดเจ็บ 1 ราย และตรวจพบหัวจรวดตกบนบ้านเรือนในพื้นที่อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ เป็นเหตุให้พลเรือนเสียชีวิต 1 ราย 👉เวลา 09.45 น. มีการยิงจรวด BM-21 เพิ่มเติมเข้าใส่ศูนย์พัฒนาพื้นที่ชายแดน บริเวณอำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ 👉ช่วงเวลา 10.00–10.22 น. ตรวจพบจรวด BM-21 ตกในพื้นที่ฐานหมูป่า ฐานพดุง และเนิน 500 ในจังหวัดอุบลราชธานี พร้อมกระสุนปืนใหญ่ตกใส่พื้นที่ผามออีแดง จุกตา จ.ศรีสะเกษ และบริเวณฐานทัพ ทำให้ทหารไทยบาดเจ็บจำนวน 7 นาย 👉ช่วงเวลา 10.28–10.40 น. มีรายงานการโจมตีอย่างต่อเนื่องจากฝั่งกัมพูชา ด้วยจรวดหลายลำกล้อง BM-21 พุ่งเป้าไปยังพื้นที่ฐานมาเรีย และบ้านโพนทอง ตำบลโดมประดิษฐ์ อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี ทำให้บ้านเรือนประชาชนเสียหาย 1 หลัง 👉ช่วงเวลา 10.48–11.00 น. จรวด BM-21 จำนวน 3 ลูก ตกในพื้นที่ฐานหมูป่า และในบริเวณสถานีบริการน้ำมัน ปตท. บ้านผือ อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ส่งผลให้ร้านค้าเอกชนได้รับความเสียหาย มีพลเรือนเสียชีวิต 9 ราย และได้รับบาดเจ็บ 14 ราย 👉ช่วงเวลา 11.02–12.21 น. ยังคงมีการปะทะและยิงถล่มด้วยอาวุธหนักอย่างต่อเนื่องในพื้นที่ชายแดนของจังหวัดบุรีรัมย์ สุรินทร์ และอุบลราชธานี โดยกระสุนบางส่วนตกในเขตชุมชนและบ้านเรือนของประชาชน 👉จากการกระทำของฝ่ายกัมพูชาในการใช้อาวุธโจมตีพื้นที่พลเรือน ถือเป็นการละเมิดหลักการของกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ซึ่งกำหนดให้การโจมตีทางทหารกระทำได้เฉพาะต่อ เป้าหมายทางทหาร (Military Objectives) เท่านั้น
    0 Comments 0 Shares 1039 Views 0 Reviews
  • ทภ.2 สรุปปะทะเดือดชายแดน! กัมพูชาเปิดฉากยิงถล่ม 11 พื้นที่พลเรือน ดับ 12 คน รถถังเขมรถูกทำลาย 2 คัน
    https://www.thai-tai.tv/news/20516/
    .
    #ชายแดนไทยกัมพูชา #กองทัพภาคที่2 #ปะทะชายแดน #ผู้เสียชีวิต #พลเรือนบาดเจ็บ #กัมพูชายิงก่อน #BM21 #ปราสาทตาเมือนธม #เขาพระวิหาร #กฎหมายมนุษยธรรม #อพยพประชาชน #รถถังกัมพูชา #สุรินทร์ #ศรีสะเกษ #อุบลราชธานี #บุรีรัมย์
    ทภ.2 สรุปปะทะเดือดชายแดน! กัมพูชาเปิดฉากยิงถล่ม 11 พื้นที่พลเรือน ดับ 12 คน รถถังเขมรถูกทำลาย 2 คัน https://www.thai-tai.tv/news/20516/ . #ชายแดนไทยกัมพูชา #กองทัพภาคที่2 #ปะทะชายแดน #ผู้เสียชีวิต #พลเรือนบาดเจ็บ #กัมพูชายิงก่อน #BM21 #ปราสาทตาเมือนธม #เขาพระวิหาร #กฎหมายมนุษยธรรม #อพยพประชาชน #รถถังกัมพูชา #สุรินทร์ #ศรีสะเกษ #อุบลราชธานี #บุรีรัมย์
    0 Comments 0 Shares 517 Views 0 Reviews
  • "ป่าเถื่อน!" กัมพูชายิงถล่มโรงพยาบาลพนมดงรัก อาคารพังยับ-กระจกแตก ละเมิดอนุสัญญาเจนีวา-อาชญากรรมสงคราม
    https://www.thai-tai.tv/news/20512/
    .
    #ประณามกัมพูชา #โรงพยาบาลพนมดงรัก #สุรินทร์ #ชายแดนไทยกัมพูชา #อนุสัญญาเจนีวา #อาชญากรรมสงคราม #โจมตีโรงพยาบาล #กฎหมายมนุษยธรรม #ความรุนแรง #พนมดงรัก
    "ป่าเถื่อน!" กัมพูชายิงถล่มโรงพยาบาลพนมดงรัก อาคารพังยับ-กระจกแตก ละเมิดอนุสัญญาเจนีวา-อาชญากรรมสงคราม https://www.thai-tai.tv/news/20512/ . #ประณามกัมพูชา #โรงพยาบาลพนมดงรัก #สุรินทร์ #ชายแดนไทยกัมพูชา #อนุสัญญาเจนีวา #อาชญากรรมสงคราม #โจมตีโรงพยาบาล #กฎหมายมนุษยธรรม #ความรุนแรง #พนมดงรัก
    0 Comments 0 Shares 527 Views 0 Reviews
  • สหภาพยุโรปประณามอย่างรุนแรงต่อเหตุการณ์ในซีเรีย โดยกล่าวหาว่ากลุ่มที่สนับสนุนอดีตประธานาธิบดีอัสซาด เป็นฝ่ายกระทำการรุนแรงต่อพลเมืองชีเรีย

    "สหภาพยุโรปประณามการโจมตีล่าสุดที่รายงานว่าเป็นฝีมือของกลุ่มที่สนับสนุนอัสซาดต่อกองกำลังรักษาการของรัฐบาลในพื้นที่ชายฝั่งของซีเรียและความรุนแรงทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับพลเรือน

    พลเรือนต้องได้รับการปกป้องในทุกสถานการณ์โดยเคารพกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างเต็มที่

    สหภาพยุโรปยังเรียกร้องให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องภายนอกทั้งหมดเคารพอำนาจอธิปไตย ความสามัคคี และบูรณภาพแห่งดินแดนของซีเรียอย่างเต็มที่ สหภาพยุโรปประณามความพยายามใดๆ ที่จะบ่อนทำลายเสถียรภาพและโอกาสในการเปลี่ยนผ่านอย่างสันติที่ยั่งยืน ซึ่งรวมและเคารพความหลากหลายของชาวซีเรียทุกคน"
    สหภาพยุโรปประณามอย่างรุนแรงต่อเหตุการณ์ในซีเรีย โดยกล่าวหาว่ากลุ่มที่สนับสนุนอดีตประธานาธิบดีอัสซาด เป็นฝ่ายกระทำการรุนแรงต่อพลเมืองชีเรีย "สหภาพยุโรปประณามการโจมตีล่าสุดที่รายงานว่าเป็นฝีมือของกลุ่มที่สนับสนุนอัสซาดต่อกองกำลังรักษาการของรัฐบาลในพื้นที่ชายฝั่งของซีเรียและความรุนแรงทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับพลเรือน พลเรือนต้องได้รับการปกป้องในทุกสถานการณ์โดยเคารพกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างเต็มที่ สหภาพยุโรปยังเรียกร้องให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องภายนอกทั้งหมดเคารพอำนาจอธิปไตย ความสามัคคี และบูรณภาพแห่งดินแดนของซีเรียอย่างเต็มที่ สหภาพยุโรปประณามความพยายามใดๆ ที่จะบ่อนทำลายเสถียรภาพและโอกาสในการเปลี่ยนผ่านอย่างสันติที่ยั่งยืน ซึ่งรวมและเคารพความหลากหลายของชาวซีเรียทุกคน"
    Sad
    1
    0 Comments 0 Shares 568 Views 0 Reviews
  • "ไบเดนย่องเงียบ" อนุมัติแผนการขายอาวุธ 8,000 ล้านเหรียญให้อิสราเอล

    กระทรวงการต่างประเทศได้แจ้งต่อรัฐสภา "อย่างไม่เป็นทางการ" ถึงข้อเสนอข้อตกลงด้านอาวุธมูลค่า 8,000 ล้านดอลลาร์กับอิสราเอล ซึ่งจะรวมถึงอาวุธสำหรับเครื่องบินขับไล่และเฮลิคอปเตอร์โจมตี รวมถึงกระสุนปืนใหญ่

    แหล่งข่าวยังกล่าวอีกว่า กระทรวงการต่างประเทศแจ้งต่อรัฐสภาว่า ข้อตกลงดังกล่าวมีจุดมุ่งหมายเพื่อ "สนับสนุนความมั่นคงในระยะยาวของอิสราเอลโดยการจัดหาอาวุธสำคัญและความสามารถในการป้องกันภัยทางอากาศเพิ่มเติม"

    "ประธานาธิบดีได้ชี้แจงอย่างชัดเจนว่าอิสราเอลมีสิทธิที่จะปกป้องพลเมืองของตน สอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ และในการยับยั้งการรุกรานจากอิหร่านและองค์กรตัวแทนของอิหร่าน" เจ้าหน้าที่สหรัฐกล่าว

    การขายอาวุธครั้งนี้รวมถึงขีปนาวุธอากาศสู่อากาศ AIM-120C-8 AMRAAM สำหรับเครื่องบินขับไล่เพื่อป้องกันภัยคุกคามทางอากาศ รวมถึงโดรน

    ยังรวมถึงกระสุนปืนใหญ่ขนาด 155 มม. และขีปนาวุธ Hellfire AGM-114 สำหรับเฮลิคอปเตอร์โจมตีด้วย

    ข้อตกลงที่เสนอนี้ยังรวมถึงระเบิดขนาดเล็ก ระเบิดดัดแปลง JDAM ที่มีหัวรบขนาด 500 ปอนด์

    ในขณะที่:
    - แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล: รายงานว่าอิสราเอลก่ออาชญากรรมฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
    - ฮิวแมนไรท์วอทช์: รายงานว่าอิสราเอลก่ออาชญากรรมฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
    - รายงานของสหประชาชาติ: รายงานว่าอิสราเอลก่ออาชญากรรมฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
    - นักวิชาการด้านการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์: รายงานว่าอิสราเอลก่ออาชญากรรมฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
    - ศาลอาญาระหว่างประเทศ หรือ International Criminal Court (ICC): กำลังดำเนินคดีกับเนทันยาฮูในข้อหาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
    - แต่ไบเดนยังคงเดินหน้าขายอาวุธอีก 8,000 ล้านเหรียญให้อิสราเอล
    "ไบเดนย่องเงียบ" อนุมัติแผนการขายอาวุธ 8,000 ล้านเหรียญให้อิสราเอล กระทรวงการต่างประเทศได้แจ้งต่อรัฐสภา "อย่างไม่เป็นทางการ" ถึงข้อเสนอข้อตกลงด้านอาวุธมูลค่า 8,000 ล้านดอลลาร์กับอิสราเอล ซึ่งจะรวมถึงอาวุธสำหรับเครื่องบินขับไล่และเฮลิคอปเตอร์โจมตี รวมถึงกระสุนปืนใหญ่ แหล่งข่าวยังกล่าวอีกว่า กระทรวงการต่างประเทศแจ้งต่อรัฐสภาว่า ข้อตกลงดังกล่าวมีจุดมุ่งหมายเพื่อ "สนับสนุนความมั่นคงในระยะยาวของอิสราเอลโดยการจัดหาอาวุธสำคัญและความสามารถในการป้องกันภัยทางอากาศเพิ่มเติม" "ประธานาธิบดีได้ชี้แจงอย่างชัดเจนว่าอิสราเอลมีสิทธิที่จะปกป้องพลเมืองของตน สอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ และในการยับยั้งการรุกรานจากอิหร่านและองค์กรตัวแทนของอิหร่าน" เจ้าหน้าที่สหรัฐกล่าว การขายอาวุธครั้งนี้รวมถึงขีปนาวุธอากาศสู่อากาศ AIM-120C-8 AMRAAM สำหรับเครื่องบินขับไล่เพื่อป้องกันภัยคุกคามทางอากาศ รวมถึงโดรน ยังรวมถึงกระสุนปืนใหญ่ขนาด 155 มม. และขีปนาวุธ Hellfire AGM-114 สำหรับเฮลิคอปเตอร์โจมตีด้วย ข้อตกลงที่เสนอนี้ยังรวมถึงระเบิดขนาดเล็ก ระเบิดดัดแปลง JDAM ที่มีหัวรบขนาด 500 ปอนด์ ในขณะที่: - แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล: รายงานว่าอิสราเอลก่ออาชญากรรมฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ - ฮิวแมนไรท์วอทช์: รายงานว่าอิสราเอลก่ออาชญากรรมฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ - รายงานของสหประชาชาติ: รายงานว่าอิสราเอลก่ออาชญากรรมฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ - นักวิชาการด้านการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์: รายงานว่าอิสราเอลก่ออาชญากรรมฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ - ศาลอาญาระหว่างประเทศ หรือ International Criminal Court (ICC): กำลังดำเนินคดีกับเนทันยาฮูในข้อหาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ - แต่ไบเดนยังคงเดินหน้าขายอาวุธอีก 8,000 ล้านเหรียญให้อิสราเอล
    Sad
    Like
    3
    0 Comments 0 Shares 970 Views 0 Reviews
  • ## รัฐเถื่อน อิสราเอล โจมตีกองกำลังรักษาสันติภาพของ UN ใน เลบานอน ##
    ..
    ..
    ข่าวเมื่อวันที่ 11/10/2567
    .
    กองทัพอิสราเอลยิงถล่มกองกำลังรักษาสันติภาพของสหประชาชาติในเลบานอน 2 ครั้งในเวลาไม่ถึง 48 ชั่วโมง ตามที่ UN ระบุ
    .
    เมื่อวันพฤหัสบดี กองกำลังอิสราเอลได้ยิงปืนใส่หอคอยรักษาความปลอดภัยที่สำนักงานใหญ่กองกำลังชั่วคราวแห่งสหประชาชาติในเลบานอน (UNIFIL) ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
    .
    ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บ 2 นาย
    .
    และเมื่อวันศุกร์ ก็ได้ยิงปืนใส่หอคอยเฝ้าระวัง อีกครั้ง ส่งผลให้เจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพอีก 2 นายได้รับบาดเจ็บเช่นกัน
    .
    ประเทศสมาชิก UN เล็งเป้าและโจมตีไปที่กองกำลังรักษาสันติภาพของ UN ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
    .
    เมื่อเช้าวันพฤหัสบดี กองกำลังอิสราเอลได้ใช้รถถัง Merkava ยิงใส่หอสังเกตการณ์ที่เป็นของ UNIFIL ในเมืองนาคูรา ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆ บริเวณชายแดนทางตอนใต้ของเลบานอน ซึ่งเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของ UNIFIL ตั้งแต่ปี 1978
    .
    เจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพชาวอินโดนีเซีย 2 นายถูกยิงโดยตรงจนตกลงมา
    .
    “โชคดีที่คราวนี้อาการบาดเจ็บไม่ร้ายแรง แต่ยังคงต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล” แถลงการณ์ของ UN ที่ออกเมื่อวันพฤหัสบดีระบุ
    .
    แถลงการณ์ดังกล่าวยังระบุเพิ่มเติมอีกว่า เมื่อวันพุธ ทหารอิสราเอลได้ “ยิงใส่และปิดใช้งานกล้องวงจรปิดที่สำนักงานใหญ่ของ UNIFIL โดยเจตนา”
    .
    เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา UNIFIL ได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่สอง โดยระบุว่าเจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพอีก 2 นายได้รับบาดเจ็บจากเหตุระเบิด 2 ครั้งที่เกิดขึ้นใกล้กับหอสังเกตการณ์
    .
    โดยนายหนึ่งถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลในเมืองไทร์ของเลบานอน ขณะที่อีกนายกำลังเข้ารับการรักษาในเมืองนาคูรา
    .
    การโจมตีของอิสราเอลได้รับการประณามจากสมาชิกในชุมชนระหว่างประเทศ รวมถึงอินโดนีเซีย อิตาลี ฝรั่งเศส สเปน ไอร์แลนด์ ตุรกี สหภาพยุโรป และแคนาดา
    .
    UNIFIL เป็นกองกำลังรักษาสันติภาพในเลบานอน จัดตั้งขึ้นโดยคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ หรือ UN ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2521 หลังจากที่อิสราเอลรุกรานเลบานอนเป็นครั้งแรก ในสิ่งที่ต่อมาเรียกว่าความขัดแย้งในเลบานอนใต้
    .
    ในปีพ.ศ. 2521 อิสราเอลได้ส่งกองกำลังไปตามแนวชายแดนที่ติดกับเลบานอน หลังจากสมาชิกองค์กรปลดปล่อยปาเลสไตน์เข้าสู่อิสราเอลจากเลบานอนทางทะเล
    .
    UNIFIL ก่อตั้งขึ้นเพื่อดูแลการถอนทหารของอิสราเอลออกจากเลบานอนและฟื้นฟูสันติภาพและความมั่นคงในพื้นที่
    .
    ภายหลังสงคราม 34 วันในเลบานอนระหว่างกลุ่มฮิซบัลเลาะห์กับอิสราเอลในปี 2549 ซึ่งมีชาวเลบานอนเสียชีวิต 1,100 ราย อำนาจหน้าที่ของ UNIFIL จึงขยายออกไปเพื่อติดตามการยุติการสู้รบและสนับสนุนกองกำลังติดอาวุธของเลบานอนที่ส่งกำลังไปประจำการทั่วเลบานอนตอนใต้
    .
    ณ วันที่ 2 กันยายน มีทหาร UNIFIL จำนวน 10,058 นายที่ประจำการอยู่ในเลบานอน โดยมาจาก 50 ประเทศ
    .
    กองกำลังรักษาสันติภาพของ UNIFIL มีจำนวนมากที่สุด คือ 1,231 นาย มาจากอินโดนีเซีย อิตาลี อินเดีย เนปาล และจีน ต่างก็ส่งทหารจำนวนมากเข้าร่วมกองกำลังรักษาสันติภาพเช่นกัน
    .
    สถานะทางกฎหมายในการกำหนดเป้าหมายกองกำลังรักษาสันติภาพของสหประชาชาติเป็นอย่างไร?
    .
    การจงใจกำหนดเป้าหมายภารกิจของ UN ถือเป็นอาชญากรรมสงคราม ผู้สังเกตการณ์กล่าว...
    .
    รายงานจากฮิวแมนไรท์วอทช์ (HRW) อธิบายว่า “ตามกฎหมายสงคราม เจ้าหน้าที่ของสหประชาชาติที่เกี่ยวข้องกับปฏิบัติการรักษาสันติภาพ รวมถึงสมาชิกติดอาวุธ ถือเป็นพลเรือน และการโจมตีโดยเจตนาต่อพวกเขาและสถานที่รักษาสันติภาพถือเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายและถือเป็นอาชญากรรมสงคราม”
    .
    ฮิวแมนไรท์วอทช์อ้างมาตรา 8(2)(b)(iii)ของธรรมนูญกรุงโรม ซึ่งจัดตั้งศาลอาญาระหว่างประเทศในกรุงเฮก โดยระบุว่าการกำหนดเป้าหมายโดยเจตนาต่อภารกิจด้านมนุษยธรรมและการรักษาสันติภาพเป็นอาชญากรรมสงคราม
    .
    แถลงการณ์ของสหประชาชาติที่รายงานเหตุการณ์โจมตีเมื่อวันพฤหัสบดีระบุว่าไม่เพียงแต่การโจมตีโดยเจตนาเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศเท่านั้น แต่ยังเป็นการละเมิดมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติที่ 1701 อีกด้วย
    .
    หลังจากที่อิสราเอลโจมตีสำนักงานใหญ่ของ UNIFIL เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา สหประชาชาติกล่าวว่า “นี่เป็นพัฒนาการที่สำคัญ และ UNIFIL ขอย้ำว่าต้องรับประกันความปลอดภัยของบุคลากรและทรัพย์สินของสหประชาชาติ และต้องเคารพต่อหลักปฏิบัติของสหประชาชาติอย่างไม่ละเมิดในทุกกรณี”
    .
    “การโจมตีกองกำลังรักษาสันติภาพโดยเจตนาถือเป็นการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศและข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติที่ 1701 (2006) อย่างร้ายแรง”
    .
    อิสราเอลเคยโจมตีกองกำลังรักษาสันติภาพของ UN มาก่อนหรือไม่?
    .
    เอไลจาห์ แม็กเนียร์ นักวิเคราะห์ทางการทหาร กล่าวกับอัลจาซีราว่าเหตุการณ์เมื่อเร็วๆ นี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ UNIFIL ตกอยู่ภายใต้การโจมตีจากอิสราเอล
    .
    ในปีพ.ศ. 2530 หมู่รถถังของอิสราเอลเปิดฉากยิงในหมู่บ้านซึ่งเป็นที่ตั้งของฐานบัญชาการของ UNIFIL ส่งผลให้เจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพชาวไอริชเสียชีวิต
    .
    ในปี 1996 อิสราเอลได้โจมตีกองพันฟิจิของ UNIFIL ในเมืองคานา ทางตอนใต้ของเลบานอน ทำให้พลเรือนเลบานอนเสียชีวิตมากกว่า 120 ราย และบาดเจ็บอีกประมาณ 500 ราย นอกจากนี้ ยังมีทหารของ UN อีก 4 นายที่ได้รับบาดเจ็บ
    .
    ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2566 กองกำลังอิสราเอลได้ยิงถล่มหน่วยลาดตระเวนของ UNIFIL ใกล้กับเมือง Aitaroun ทางตอนใต้ของเลบานอน แต่ไม่มีเจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพได้รับบาดเจ็บ
    .
    แมกเนียร์กล่าวว่าการโจมตีครั้งล่าสุดเกิดขึ้น "เพราะอิสราเอลจำเป็นต้องผ่านตำแหน่งของ UNIFIL ในนาคูราและเริ่มการรุกรานเลบานอน แกนนี้มีความสำคัญต่อกองทัพอิสราเอล" และเสริมว่าทหารอิสราเอลจำนวนมากพร้อมที่จะบุกเลบานอน
    .
    สามารถระบุกำลังทหาร UNIFIL ได้ชัดเจน เนื่องจากพวกเขาสวมหมวกกันน็อกสีน้ำเงิน และตำแหน่งของพวกเขาเป็นที่ทราบกันดีในกองทัพอิสราเอล
    .
    อ่านข่าวเต็มๆได้ที่ ลิงค์
    .
    https://www.aljazeera.com/news/2024/10/11/israel-attacks-un-peacekeepers-in-lebanon-why-its-such-a-big-deal
    .
    ***
    โพสข่าวแบบนี้บ่อยๆ เฟซบุ๊ค มันถึงได้ "ปิดบัญชี" เอาซะหล่ะมั้ง...
    ## รัฐเถื่อน อิสราเอล โจมตีกองกำลังรักษาสันติภาพของ UN ใน เลบานอน ## .. .. ข่าวเมื่อวันที่ 11/10/2567 . กองทัพอิสราเอลยิงถล่มกองกำลังรักษาสันติภาพของสหประชาชาติในเลบานอน 2 ครั้งในเวลาไม่ถึง 48 ชั่วโมง ตามที่ UN ระบุ . เมื่อวันพฤหัสบดี กองกำลังอิสราเอลได้ยิงปืนใส่หอคอยรักษาความปลอดภัยที่สำนักงานใหญ่กองกำลังชั่วคราวแห่งสหประชาชาติในเลบานอน (UNIFIL) ซ้ำแล้วซ้ำเล่า . ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บ 2 นาย . และเมื่อวันศุกร์ ก็ได้ยิงปืนใส่หอคอยเฝ้าระวัง อีกครั้ง ส่งผลให้เจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพอีก 2 นายได้รับบาดเจ็บเช่นกัน . ประเทศสมาชิก UN เล็งเป้าและโจมตีไปที่กองกำลังรักษาสันติภาพของ UN ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน . เมื่อเช้าวันพฤหัสบดี กองกำลังอิสราเอลได้ใช้รถถัง Merkava ยิงใส่หอสังเกตการณ์ที่เป็นของ UNIFIL ในเมืองนาคูรา ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆ บริเวณชายแดนทางตอนใต้ของเลบานอน ซึ่งเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของ UNIFIL ตั้งแต่ปี 1978 . เจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพชาวอินโดนีเซีย 2 นายถูกยิงโดยตรงจนตกลงมา . “โชคดีที่คราวนี้อาการบาดเจ็บไม่ร้ายแรง แต่ยังคงต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล” แถลงการณ์ของ UN ที่ออกเมื่อวันพฤหัสบดีระบุ . แถลงการณ์ดังกล่าวยังระบุเพิ่มเติมอีกว่า เมื่อวันพุธ ทหารอิสราเอลได้ “ยิงใส่และปิดใช้งานกล้องวงจรปิดที่สำนักงานใหญ่ของ UNIFIL โดยเจตนา” . เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา UNIFIL ได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่สอง โดยระบุว่าเจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพอีก 2 นายได้รับบาดเจ็บจากเหตุระเบิด 2 ครั้งที่เกิดขึ้นใกล้กับหอสังเกตการณ์ . โดยนายหนึ่งถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลในเมืองไทร์ของเลบานอน ขณะที่อีกนายกำลังเข้ารับการรักษาในเมืองนาคูรา . การโจมตีของอิสราเอลได้รับการประณามจากสมาชิกในชุมชนระหว่างประเทศ รวมถึงอินโดนีเซีย อิตาลี ฝรั่งเศส สเปน ไอร์แลนด์ ตุรกี สหภาพยุโรป และแคนาดา . UNIFIL เป็นกองกำลังรักษาสันติภาพในเลบานอน จัดตั้งขึ้นโดยคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ หรือ UN ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2521 หลังจากที่อิสราเอลรุกรานเลบานอนเป็นครั้งแรก ในสิ่งที่ต่อมาเรียกว่าความขัดแย้งในเลบานอนใต้ . ในปีพ.ศ. 2521 อิสราเอลได้ส่งกองกำลังไปตามแนวชายแดนที่ติดกับเลบานอน หลังจากสมาชิกองค์กรปลดปล่อยปาเลสไตน์เข้าสู่อิสราเอลจากเลบานอนทางทะเล . UNIFIL ก่อตั้งขึ้นเพื่อดูแลการถอนทหารของอิสราเอลออกจากเลบานอนและฟื้นฟูสันติภาพและความมั่นคงในพื้นที่ . ภายหลังสงคราม 34 วันในเลบานอนระหว่างกลุ่มฮิซบัลเลาะห์กับอิสราเอลในปี 2549 ซึ่งมีชาวเลบานอนเสียชีวิต 1,100 ราย อำนาจหน้าที่ของ UNIFIL จึงขยายออกไปเพื่อติดตามการยุติการสู้รบและสนับสนุนกองกำลังติดอาวุธของเลบานอนที่ส่งกำลังไปประจำการทั่วเลบานอนตอนใต้ . ณ วันที่ 2 กันยายน มีทหาร UNIFIL จำนวน 10,058 นายที่ประจำการอยู่ในเลบานอน โดยมาจาก 50 ประเทศ . กองกำลังรักษาสันติภาพของ UNIFIL มีจำนวนมากที่สุด คือ 1,231 นาย มาจากอินโดนีเซีย อิตาลี อินเดีย เนปาล และจีน ต่างก็ส่งทหารจำนวนมากเข้าร่วมกองกำลังรักษาสันติภาพเช่นกัน . สถานะทางกฎหมายในการกำหนดเป้าหมายกองกำลังรักษาสันติภาพของสหประชาชาติเป็นอย่างไร? . การจงใจกำหนดเป้าหมายภารกิจของ UN ถือเป็นอาชญากรรมสงคราม ผู้สังเกตการณ์กล่าว... . รายงานจากฮิวแมนไรท์วอทช์ (HRW) อธิบายว่า “ตามกฎหมายสงคราม เจ้าหน้าที่ของสหประชาชาติที่เกี่ยวข้องกับปฏิบัติการรักษาสันติภาพ รวมถึงสมาชิกติดอาวุธ ถือเป็นพลเรือน และการโจมตีโดยเจตนาต่อพวกเขาและสถานที่รักษาสันติภาพถือเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายและถือเป็นอาชญากรรมสงคราม” . ฮิวแมนไรท์วอทช์อ้างมาตรา 8(2)(b)(iii)ของธรรมนูญกรุงโรม ซึ่งจัดตั้งศาลอาญาระหว่างประเทศในกรุงเฮก โดยระบุว่าการกำหนดเป้าหมายโดยเจตนาต่อภารกิจด้านมนุษยธรรมและการรักษาสันติภาพเป็นอาชญากรรมสงคราม . แถลงการณ์ของสหประชาชาติที่รายงานเหตุการณ์โจมตีเมื่อวันพฤหัสบดีระบุว่าไม่เพียงแต่การโจมตีโดยเจตนาเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศเท่านั้น แต่ยังเป็นการละเมิดมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติที่ 1701 อีกด้วย . หลังจากที่อิสราเอลโจมตีสำนักงานใหญ่ของ UNIFIL เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา สหประชาชาติกล่าวว่า “นี่เป็นพัฒนาการที่สำคัญ และ UNIFIL ขอย้ำว่าต้องรับประกันความปลอดภัยของบุคลากรและทรัพย์สินของสหประชาชาติ และต้องเคารพต่อหลักปฏิบัติของสหประชาชาติอย่างไม่ละเมิดในทุกกรณี” . “การโจมตีกองกำลังรักษาสันติภาพโดยเจตนาถือเป็นการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศและข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติที่ 1701 (2006) อย่างร้ายแรง” . อิสราเอลเคยโจมตีกองกำลังรักษาสันติภาพของ UN มาก่อนหรือไม่? . เอไลจาห์ แม็กเนียร์ นักวิเคราะห์ทางการทหาร กล่าวกับอัลจาซีราว่าเหตุการณ์เมื่อเร็วๆ นี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ UNIFIL ตกอยู่ภายใต้การโจมตีจากอิสราเอล . ในปีพ.ศ. 2530 หมู่รถถังของอิสราเอลเปิดฉากยิงในหมู่บ้านซึ่งเป็นที่ตั้งของฐานบัญชาการของ UNIFIL ส่งผลให้เจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพชาวไอริชเสียชีวิต . ในปี 1996 อิสราเอลได้โจมตีกองพันฟิจิของ UNIFIL ในเมืองคานา ทางตอนใต้ของเลบานอน ทำให้พลเรือนเลบานอนเสียชีวิตมากกว่า 120 ราย และบาดเจ็บอีกประมาณ 500 ราย นอกจากนี้ ยังมีทหารของ UN อีก 4 นายที่ได้รับบาดเจ็บ . ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2566 กองกำลังอิสราเอลได้ยิงถล่มหน่วยลาดตระเวนของ UNIFIL ใกล้กับเมือง Aitaroun ทางตอนใต้ของเลบานอน แต่ไม่มีเจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพได้รับบาดเจ็บ . แมกเนียร์กล่าวว่าการโจมตีครั้งล่าสุดเกิดขึ้น "เพราะอิสราเอลจำเป็นต้องผ่านตำแหน่งของ UNIFIL ในนาคูราและเริ่มการรุกรานเลบานอน แกนนี้มีความสำคัญต่อกองทัพอิสราเอล" และเสริมว่าทหารอิสราเอลจำนวนมากพร้อมที่จะบุกเลบานอน . สามารถระบุกำลังทหาร UNIFIL ได้ชัดเจน เนื่องจากพวกเขาสวมหมวกกันน็อกสีน้ำเงิน และตำแหน่งของพวกเขาเป็นที่ทราบกันดีในกองทัพอิสราเอล . อ่านข่าวเต็มๆได้ที่ ลิงค์ . https://www.aljazeera.com/news/2024/10/11/israel-attacks-un-peacekeepers-in-lebanon-why-its-such-a-big-deal . *** โพสข่าวแบบนี้บ่อยๆ เฟซบุ๊ค มันถึงได้ "ปิดบัญชี" เอาซะหล่ะมั้ง...🤣🤣🤣🤣🤣🤣
    WWW.ALJAZEERA.COM
    Israel attacks UN peacekeepers in Lebanon: Why it’s such a big deal
    The international community considers Israel’s attack on UNIFIL’s headquarters a violation of international law.
    Like
    Angry
    2
    0 Comments 0 Shares 626 Views 0 Reviews
  • สหรัฐฯเตือนอิสราเอล อย่าโจมตีสนามบินในกรุงเบรุตหรือท้องถนนที่มุ่งหน้าสู่ท่าอากาศยานแห่งนี้ ในขณะที่กองทัพอิสราเอลปฏิบัติการโจมตีอย่างเข้มข้นเล่นงานแถบชานเมืองทางใต้ของเมืองหลวงเลบานอน
    .
    "เราคิดว่าเป็นสิ่งสำคัญมากที่ไม่ใช่แค่สนามบินต้องเปิดบริการต่อไป แต่ยังรวมถึงท้องถนนสายต่างๆที่มุ่งหน้าสู่สนามบินต้องสามารถใช้งานได้ด้วย เพื่อที่พลเมืองอเมริกาที่ต้องการเดินทางกลับประเทศจะสามารถออกมาได้ และยังรวมถึงพลเมืองของประเทศอื่นๆเช่นกัน" แมตธิว มิลเลอร์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯบอกกับผู้สื่อข่าว
    .
    เสียงเรียกร้องนี้มีขึ้นหลังจากแหล่งข่าวด้านความมั่นคงรายหนึ่งเปิดเผยกับเอเอฟพีว่า กองทัพอากาศอิสราเอลได้ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศในวันจันทร์(7ต.ค.) ในแถบชานเมืองทางใต้ของกรุงเบรุต ใกล้กับสนามบินนานาชาติ
    .
    ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา สหรัฐฯส่งเครื่องบินเช่าเหมาลำหลายลำเข้าไปรับพลเมืองและครอบครัวออกจากเลบานอน ท่ามกลางความขัดแย้งที่ลุกลามขึ้นเรื่อยๆระหว่างอิสราเอลกับพวกฮิซบอลเลาะห์ ที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่าน
    .
    มิลเลอร์เผยว่าจนถึงตอนนี้มีพลเมืองเพียงแค่ราวๆ 900 คนที่ขึ้นเที่ยวบินต่างๆกลับประเทศ และในบรรดาเครื่องบินเช่าเหมาลำเหล่านั้น ไม่มีเที่ยวไหนเลยที่มีการจองตั๋วเต็มลำ อย่างไรก็ตามสหรัฐฯยังสำรองที่นั่งในเที่ยวบินพาณิชย์ ที่ยังคงบินให้บริการ ไว้เผื่อพลเมืองที่ประสงค์หลบหนีออกมา
    .
    โฆษกรายนี้กล่าวต่อว่ามีพลเมืองอเมริการาวๆ 8,500 คน ที่ติดต่อมายังกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อสอบถามเงื่อนไขของการเดินทางออกนอกเลบานอน แต่มันไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะต้องการเดินทางออกมา
    .
    ขณะเดียวกัน มิลเลอร์ ปฏิเสธแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับปฏิบัติการโจมตีเลบานอนของอิสราเอล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรุงเบรุต และไม่ขอออกความเห็นว่าปฏิบัติการดังกล่าวนั้นเคารพกฎหมายระหว่างประเทศหรือไม่
    .
    "ผมไม่ขอให้คำจำกัดความปฏิบัติการโจมตีเหล่านั้น ไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง แต่แน่นอน เราคาดหมายว่าพวกเขาจะเล็งเป้าเล่นงานฮิซบอลเลาะห์ในแนวทางหนึ่งๆ ที่ปฏิบัติตามกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ และก่อความสูญเสียแก่พลเมืองให้น้อยที่สุด"
    .
    หลายต่อหลายครั้งที่สหรัฐฯวิพากษ์วิจารณ์ต่อกรณีมีผู้เสียชีวิตจำนวนมากในปฏิบัติการถล่มฉนวนกาซาของอิสราเอล มากกว่า 41,000 คนตลอดขวบปีที่ผ่านมา และประธานาธิบดีโจ ไบเดน เรียกการกระทำบางอย่างของอิสราเอล ว่าเลยเถิดเกินไป
    .
    อย่างไรก็ตามจนถึงตอนนี้ วอชิงตัน ไม่ได้ปรับเปลี่ยนนโยบายสนับสนุนอิสราเอล ในขณะที่รัฐยิวเดินหน้าขยายปฏิบัติการทางทหาร
    .
    อิสราเอล เปิดปฏิบัติการทางทหารในฉนวนกาซา แก้แค้นนักรบฮามาส หลังถูกพวกนักรบปาเลสไตน์กลุ่มนี้บุกจู่โจมนองเลือด เล่นงานอย่างไม่คาดคิดเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2023
    .
    ช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา อิสราเอลได้ขยายสงครามจากฉนวนกาซา ซึ่งเป็นฐานที่มั่นของฮามาส มายังพวกฮิซบอลเลาะห์ ในเลบานอน พันธมิตรของฮามาส ที่ยิงปะทะกับอิสราเอลตามแนวชายแดน คู่ขนานกับสงครามในกาซา เพื่อแสดงความเป็นหนึ่งเดียวกันกับฮามาส
    .
    มิลเลอร์ กล่าวว่าสหรัฐฯสนับสนุนปฏิบัติการรุกรานของอิสราเอลเล่นงานฮิซบอลเลาะห์ แต่ "เราตระหนักว่าหลายต่อหลายครั้งในอดีตที่ผ่าน อิสราเอลเดินหน้าในสิ่งที่ดูเหมือนเป็นปฏิบัติการอย่างจำกัด แต่ติดหล่มเป็นเวลานานหลายเดือนหรือหลายปี และท้ายที่สุดแล้ว มันไม่ใช่ผลลัพธ์ในแบบที่เราต้องการเห็น"
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000095611
    ..............
    Sondhi X
    สหรัฐฯเตือนอิสราเอล อย่าโจมตีสนามบินในกรุงเบรุตหรือท้องถนนที่มุ่งหน้าสู่ท่าอากาศยานแห่งนี้ ในขณะที่กองทัพอิสราเอลปฏิบัติการโจมตีอย่างเข้มข้นเล่นงานแถบชานเมืองทางใต้ของเมืองหลวงเลบานอน . "เราคิดว่าเป็นสิ่งสำคัญมากที่ไม่ใช่แค่สนามบินต้องเปิดบริการต่อไป แต่ยังรวมถึงท้องถนนสายต่างๆที่มุ่งหน้าสู่สนามบินต้องสามารถใช้งานได้ด้วย เพื่อที่พลเมืองอเมริกาที่ต้องการเดินทางกลับประเทศจะสามารถออกมาได้ และยังรวมถึงพลเมืองของประเทศอื่นๆเช่นกัน" แมตธิว มิลเลอร์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯบอกกับผู้สื่อข่าว . เสียงเรียกร้องนี้มีขึ้นหลังจากแหล่งข่าวด้านความมั่นคงรายหนึ่งเปิดเผยกับเอเอฟพีว่า กองทัพอากาศอิสราเอลได้ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศในวันจันทร์(7ต.ค.) ในแถบชานเมืองทางใต้ของกรุงเบรุต ใกล้กับสนามบินนานาชาติ . ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา สหรัฐฯส่งเครื่องบินเช่าเหมาลำหลายลำเข้าไปรับพลเมืองและครอบครัวออกจากเลบานอน ท่ามกลางความขัดแย้งที่ลุกลามขึ้นเรื่อยๆระหว่างอิสราเอลกับพวกฮิซบอลเลาะห์ ที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่าน . มิลเลอร์เผยว่าจนถึงตอนนี้มีพลเมืองเพียงแค่ราวๆ 900 คนที่ขึ้นเที่ยวบินต่างๆกลับประเทศ และในบรรดาเครื่องบินเช่าเหมาลำเหล่านั้น ไม่มีเที่ยวไหนเลยที่มีการจองตั๋วเต็มลำ อย่างไรก็ตามสหรัฐฯยังสำรองที่นั่งในเที่ยวบินพาณิชย์ ที่ยังคงบินให้บริการ ไว้เผื่อพลเมืองที่ประสงค์หลบหนีออกมา . โฆษกรายนี้กล่าวต่อว่ามีพลเมืองอเมริการาวๆ 8,500 คน ที่ติดต่อมายังกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อสอบถามเงื่อนไขของการเดินทางออกนอกเลบานอน แต่มันไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะต้องการเดินทางออกมา . ขณะเดียวกัน มิลเลอร์ ปฏิเสธแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับปฏิบัติการโจมตีเลบานอนของอิสราเอล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรุงเบรุต และไม่ขอออกความเห็นว่าปฏิบัติการดังกล่าวนั้นเคารพกฎหมายระหว่างประเทศหรือไม่ . "ผมไม่ขอให้คำจำกัดความปฏิบัติการโจมตีเหล่านั้น ไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง แต่แน่นอน เราคาดหมายว่าพวกเขาจะเล็งเป้าเล่นงานฮิซบอลเลาะห์ในแนวทางหนึ่งๆ ที่ปฏิบัติตามกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ และก่อความสูญเสียแก่พลเมืองให้น้อยที่สุด" . หลายต่อหลายครั้งที่สหรัฐฯวิพากษ์วิจารณ์ต่อกรณีมีผู้เสียชีวิตจำนวนมากในปฏิบัติการถล่มฉนวนกาซาของอิสราเอล มากกว่า 41,000 คนตลอดขวบปีที่ผ่านมา และประธานาธิบดีโจ ไบเดน เรียกการกระทำบางอย่างของอิสราเอล ว่าเลยเถิดเกินไป . อย่างไรก็ตามจนถึงตอนนี้ วอชิงตัน ไม่ได้ปรับเปลี่ยนนโยบายสนับสนุนอิสราเอล ในขณะที่รัฐยิวเดินหน้าขยายปฏิบัติการทางทหาร . อิสราเอล เปิดปฏิบัติการทางทหารในฉนวนกาซา แก้แค้นนักรบฮามาส หลังถูกพวกนักรบปาเลสไตน์กลุ่มนี้บุกจู่โจมนองเลือด เล่นงานอย่างไม่คาดคิดเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2023 . ช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา อิสราเอลได้ขยายสงครามจากฉนวนกาซา ซึ่งเป็นฐานที่มั่นของฮามาส มายังพวกฮิซบอลเลาะห์ ในเลบานอน พันธมิตรของฮามาส ที่ยิงปะทะกับอิสราเอลตามแนวชายแดน คู่ขนานกับสงครามในกาซา เพื่อแสดงความเป็นหนึ่งเดียวกันกับฮามาส . มิลเลอร์ กล่าวว่าสหรัฐฯสนับสนุนปฏิบัติการรุกรานของอิสราเอลเล่นงานฮิซบอลเลาะห์ แต่ "เราตระหนักว่าหลายต่อหลายครั้งในอดีตที่ผ่าน อิสราเอลเดินหน้าในสิ่งที่ดูเหมือนเป็นปฏิบัติการอย่างจำกัด แต่ติดหล่มเป็นเวลานานหลายเดือนหรือหลายปี และท้ายที่สุดแล้ว มันไม่ใช่ผลลัพธ์ในแบบที่เราต้องการเห็น" . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000095611 .............. Sondhi X
    Like
    Sad
    Angry
    8
    0 Comments 0 Shares 1379 Views 0 Reviews
  • เดวิด แลมมี รัฐมนตรีต่างประเทศสหราชอาณาจักรในวันเสาร์ (5 ต.ค.) ระบุรายงานข่าวที่ว่า อิสราเอลโจมตีที่ตั้งทางการแพทย์และบุคลากรสนับสนุนในเลบานอน เป็นสิ่งที่น่ากระวนกระวายใจอย่างยิ่ง พร้อมเรียกร้องให้เคารพกฎหมายมนุษยธรรมสากล
    .
    "ทุกฝ่ายต้องปฏิบัติตามกฎหมายมุษยธรรมระหว่างประเทศ" แลมมีกล่าว พร้อมระบุในถ้อยแถลงที่โพสต์บนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ หลังมีโรงพยาบาลอย่างน้อย 4 แห่งในเลบานอนที่แถลงระงับปฏิบัติการ และทางข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ เตือนเกี่ยวกับกรณีการโจมตีโดนสถานพยาบาลต่างๆ แม้ทางอิสราเอลอ้างว่าพวกเขาเล็งเป้าโจมตีเป้าหมายต่างๆ ของพวกฮิซบอลเลาะห์
    .
    แลมมี กล่าวด้วยว่าไม่มีใครอยากหวนกลับสู่อดีต ครั้งที่อิสราเอลสู้รบในทางใต้ของเลบานอนเป็นเวลานาน และสิ่งที่ต้องชดใช้ในสงครามระดับภูมิภาคในตะวันออกกลางนั้น จะมีราคาแพงมาก "ในบรรดาพวกเรา ไม่มีใครต้องการกลับสู่หลายขวบปีที่อิสราเอลพบว่าตนเองจมอยู่ในหล่มทางใต้ของเลบานอน"
    .
    "ไม่มีใครต้องการเห็นสงครามระดับภูมิภาค ตะวันออกกลางจะต้องชดใช้ราคาแพงอย่างมหาศาล และมันจะก่อผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจโลก" เขากล่าว
    .
    รายงานข่าวเกี่ยวกับเหตุโจมตีโรงพยาบาลในเลบานอน มีขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกับที่แหล่งข่าวระดับสูงของฮิซบอลเลาะห์ เปิดเผยในวันเสาร์ (5 ต.ค.) ว่าได้ขาดการติดต่อกับ ฮาเชม ซาเฟดดิน ผู้ซึ่งถูกมองออย่างกว้างขวางว่าจะก้าวมาเป็นผู้นำคนใหม่ของกลุ่ม ตามหลังปฏิบัติการโจมตีของอิสราเอลในสัปดาห์นี้
    .
    ในถ้อยแถลงที่เผยแพร่ตอบโต้รายงานข่าวของเอเอฟพี ทางกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ระบุว่า "ไม่มีแหล่งข่าวฮิซบอลเลาะห์รายใด และมุมมองของเราจะมีการเผยแพร่อยู่ในถ้อยแถลงอย่างเป็นทางการเท่านั้น" อย่างไรก็ตามถ้อยแถลงของฮิซบอลเลาะห์ไม่ยืนยันหรือปฏิเสธเกี่ยวกับข่าวการขาดการติดต่อกับซาเฟดดิน
    .
    "การติดต่อกับฮาเซม ซาเฟดดิน ขาดหายไปตั้งแต่ปฏิบัติการโจมตีรุนแรงถล่มชายเมืองทางใต้ของกรุงเบรุตในตอนเช้าวันศุกร์ (4 ต.ค.) เจ้าหน้าที่บอกกับเอเอฟพี "เราไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่สถานที่ที่เป็นเป้าหมายหรือไม่ หรือมีใครบ้างที่อยู่กับเขา"
    .
    เอเอฟพีรายงานว่าแหล่งข่าวใกล้ชิดกับฮิซบอลเลาะห์อีกคน ยืนยันเช่นกันว่าขาดการติดต่อกับ ซาเฟดดิน และไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน "ฮิซบอลเลาะห์กำลังพยายามเข้าถึงกองบัญชาการใต้ดินที่ตกเป็นเป้าหมาย แต่ทุกๆ ครั้งที่อิสราเอลเริ่มโจมตีรอบใหม่ มันเป็นอุปสรรคต่อความพยายามกู้ภัย"
    .
    "ซาเฟดดิน อยู่กับหัวหน้าข่าวกรองของฮิซบอลเลาะห์ ที่มีชื่อวา อัจจ์ มูร์ตาดา ตอนที่เหตุโจมตีเกิดขึ้น" แหล่งข่าวระบุ
    .
    ในตอนเช้าวันศุกร์ (4 ต.ค.) แหล่งข่าวใกล้ชิดกับฮิซบอลเลาะห์ ระบุว่าอิสราเอลปฏิบัติการโจมตีทางอากาศ 11 เที่ยวซ้อน ถล่มป้อมปราการของพวกฮิซบอลเลาะห์ในทางใต้ของเบรุต ถือเป็นหนึ่งในปฏิบัติการจู่โจมครั้งหนักหน่วงที่สุด นับตั้งแต่อิสราเอลยกระดับยุทธการทิ้งบอมบ์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
    .
    กองทัพอิราเอลเผยว่าเป้าหมายต่างๆ ที่พวกเขาโจมตีนั้น เป็นของกองบัญชาการข่าวกรองของฮิซบอลเลาะห์ในเบรุต
    .
    ปฏิบัติการโจมตีเป็นชุดๆ มีขึ้นราว 1 สัปดาห์ หลังจากกองทัพอิสราเอลเผยว่าสามารถปลิดชีพ นัสซัน ฮัสรัลเลาะห์ ผู้นำฮิซบอลเลาะห์ ในปฏิบัติการโจมตีทางอากาศเล่นงานกองบัญชาการทางกลุ่มทางใต้ของกรุงเบรุต
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000094759
    ..............
    Sondhi X
    เดวิด แลมมี รัฐมนตรีต่างประเทศสหราชอาณาจักรในวันเสาร์ (5 ต.ค.) ระบุรายงานข่าวที่ว่า อิสราเอลโจมตีที่ตั้งทางการแพทย์และบุคลากรสนับสนุนในเลบานอน เป็นสิ่งที่น่ากระวนกระวายใจอย่างยิ่ง พร้อมเรียกร้องให้เคารพกฎหมายมนุษยธรรมสากล . "ทุกฝ่ายต้องปฏิบัติตามกฎหมายมุษยธรรมระหว่างประเทศ" แลมมีกล่าว พร้อมระบุในถ้อยแถลงที่โพสต์บนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ หลังมีโรงพยาบาลอย่างน้อย 4 แห่งในเลบานอนที่แถลงระงับปฏิบัติการ และทางข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ เตือนเกี่ยวกับกรณีการโจมตีโดนสถานพยาบาลต่างๆ แม้ทางอิสราเอลอ้างว่าพวกเขาเล็งเป้าโจมตีเป้าหมายต่างๆ ของพวกฮิซบอลเลาะห์ . แลมมี กล่าวด้วยว่าไม่มีใครอยากหวนกลับสู่อดีต ครั้งที่อิสราเอลสู้รบในทางใต้ของเลบานอนเป็นเวลานาน และสิ่งที่ต้องชดใช้ในสงครามระดับภูมิภาคในตะวันออกกลางนั้น จะมีราคาแพงมาก "ในบรรดาพวกเรา ไม่มีใครต้องการกลับสู่หลายขวบปีที่อิสราเอลพบว่าตนเองจมอยู่ในหล่มทางใต้ของเลบานอน" . "ไม่มีใครต้องการเห็นสงครามระดับภูมิภาค ตะวันออกกลางจะต้องชดใช้ราคาแพงอย่างมหาศาล และมันจะก่อผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจโลก" เขากล่าว . รายงานข่าวเกี่ยวกับเหตุโจมตีโรงพยาบาลในเลบานอน มีขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกับที่แหล่งข่าวระดับสูงของฮิซบอลเลาะห์ เปิดเผยในวันเสาร์ (5 ต.ค.) ว่าได้ขาดการติดต่อกับ ฮาเชม ซาเฟดดิน ผู้ซึ่งถูกมองออย่างกว้างขวางว่าจะก้าวมาเป็นผู้นำคนใหม่ของกลุ่ม ตามหลังปฏิบัติการโจมตีของอิสราเอลในสัปดาห์นี้ . ในถ้อยแถลงที่เผยแพร่ตอบโต้รายงานข่าวของเอเอฟพี ทางกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ระบุว่า "ไม่มีแหล่งข่าวฮิซบอลเลาะห์รายใด และมุมมองของเราจะมีการเผยแพร่อยู่ในถ้อยแถลงอย่างเป็นทางการเท่านั้น" อย่างไรก็ตามถ้อยแถลงของฮิซบอลเลาะห์ไม่ยืนยันหรือปฏิเสธเกี่ยวกับข่าวการขาดการติดต่อกับซาเฟดดิน . "การติดต่อกับฮาเซม ซาเฟดดิน ขาดหายไปตั้งแต่ปฏิบัติการโจมตีรุนแรงถล่มชายเมืองทางใต้ของกรุงเบรุตในตอนเช้าวันศุกร์ (4 ต.ค.) เจ้าหน้าที่บอกกับเอเอฟพี "เราไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่สถานที่ที่เป็นเป้าหมายหรือไม่ หรือมีใครบ้างที่อยู่กับเขา" . เอเอฟพีรายงานว่าแหล่งข่าวใกล้ชิดกับฮิซบอลเลาะห์อีกคน ยืนยันเช่นกันว่าขาดการติดต่อกับ ซาเฟดดิน และไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน "ฮิซบอลเลาะห์กำลังพยายามเข้าถึงกองบัญชาการใต้ดินที่ตกเป็นเป้าหมาย แต่ทุกๆ ครั้งที่อิสราเอลเริ่มโจมตีรอบใหม่ มันเป็นอุปสรรคต่อความพยายามกู้ภัย" . "ซาเฟดดิน อยู่กับหัวหน้าข่าวกรองของฮิซบอลเลาะห์ ที่มีชื่อวา อัจจ์ มูร์ตาดา ตอนที่เหตุโจมตีเกิดขึ้น" แหล่งข่าวระบุ . ในตอนเช้าวันศุกร์ (4 ต.ค.) แหล่งข่าวใกล้ชิดกับฮิซบอลเลาะห์ ระบุว่าอิสราเอลปฏิบัติการโจมตีทางอากาศ 11 เที่ยวซ้อน ถล่มป้อมปราการของพวกฮิซบอลเลาะห์ในทางใต้ของเบรุต ถือเป็นหนึ่งในปฏิบัติการจู่โจมครั้งหนักหน่วงที่สุด นับตั้งแต่อิสราเอลยกระดับยุทธการทิ้งบอมบ์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว . กองทัพอิราเอลเผยว่าเป้าหมายต่างๆ ที่พวกเขาโจมตีนั้น เป็นของกองบัญชาการข่าวกรองของฮิซบอลเลาะห์ในเบรุต . ปฏิบัติการโจมตีเป็นชุดๆ มีขึ้นราว 1 สัปดาห์ หลังจากกองทัพอิสราเอลเผยว่าสามารถปลิดชีพ นัสซัน ฮัสรัลเลาะห์ ผู้นำฮิซบอลเลาะห์ ในปฏิบัติการโจมตีทางอากาศเล่นงานกองบัญชาการทางกลุ่มทางใต้ของกรุงเบรุต . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000094759 .............. Sondhi X
    Like
    Sad
    Angry
    Love
    15
    0 Comments 0 Shares 1917 Views 0 Reviews
  • ตุรกีประณามการโจมตีของเอลต่อโรงพยาบาลรักษามะเร็งในกาซา
    กระทรวงต่างประเทศของตุรกีระบุในแถลงการณ์สั้นๆ ว่า การที่ทหารเอลโพสต์ท่าถ่ายรูปหน้าโรงพยาบาลมิตรภาพตุรกี-ปาเลสที่ถูกทำลายในกาซา “เป็นหลักฐานเพิ่มเติมว่าเอลละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ”
    “โรงพยาบาลมิตรภาพตุรกี-ปาเลสเป็นศูนย์แห่งเดียวสำหรับผู้ป่วยมะเร็งในกาซา ความเสียหายที่เกิดกับโรงพยาบาลจากกองกำลังเอลและการที่โรงพยาบาลแห่งนี้ถูกใช้เป็นฐานทัพทหาร เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายระบบของอิสราเอลที่มุ่งทำลายล้างชาวปาเลส” รายงานระบุ
    “เราจะทำงานต่อไปเพื่อให้แน่ใจว่าผู้ที่รับผิดชอบต่อการโจมตีเหล่านี้จะได้รับการนำตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมในศาลระหว่างประเทศ”
    .
    #WAYTNEWS #WayTNews #waytnews
    #ข่าวสารอัพเดท #ติดตามข่าว #สถานการณ์ปัจจุบัน #ข่าวสารความจริง
    -------------------------------
    สนใจโปรไวต้า คลิก▶ https://www.facebook.com/TPIPolene?locale=t
    ตุรกีประณามการโจมตีของเอลต่อโรงพยาบาลรักษามะเร็งในกาซา กระทรวงต่างประเทศของตุรกีระบุในแถลงการณ์สั้นๆ ว่า การที่ทหารเอลโพสต์ท่าถ่ายรูปหน้าโรงพยาบาลมิตรภาพตุรกี-ปาเลสที่ถูกทำลายในกาซา “เป็นหลักฐานเพิ่มเติมว่าเอลละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ” “โรงพยาบาลมิตรภาพตุรกี-ปาเลสเป็นศูนย์แห่งเดียวสำหรับผู้ป่วยมะเร็งในกาซา ความเสียหายที่เกิดกับโรงพยาบาลจากกองกำลังเอลและการที่โรงพยาบาลแห่งนี้ถูกใช้เป็นฐานทัพทหาร เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายระบบของอิสราเอลที่มุ่งทำลายล้างชาวปาเลส” รายงานระบุ “เราจะทำงานต่อไปเพื่อให้แน่ใจว่าผู้ที่รับผิดชอบต่อการโจมตีเหล่านี้จะได้รับการนำตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมในศาลระหว่างประเทศ” . #WAYTNEWS #WayTNews #waytnews #ข่าวสารอัพเดท #ติดตามข่าว #สถานการณ์ปัจจุบัน #ข่าวสารความจริง ------------------------------- สนใจโปรไวต้า คลิก▶ https://www.facebook.com/TPIPolene?locale=t
    Angry
    1
    0 Comments 0 Shares 556 Views 0 Reviews