• ...ในครอบครัวหนึ่งๆ...
    สิ่งที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่ความยากจน
    ทว่าคือวิธีพูดที่ทำให้หายใจไม่ออก

    ทั้งที่อยากแสดงความใส่ใจ
    กลับกลายเป็นการต่อว่าตำหนิ

    ทั้งที่อยากแก้ปัญหา
    กลับกลายทำให้ความขัดแย้ง
    ที่ฝุ่นจับมานานปะทุรุนแรงขึ้น

    พูดไม่เป็น ไม่พูดกันดีดี
    ครอบครัวลักษณะนี้แทบหาความสุขไม่ได้

    สื่อสารโดยการตะคอกใส่กัน
    ในถ้อยคำมีเพียงการจับผิดหาความ
    พูดไม่เกินสองคำก็ทะเลาะกัน

    บ้านคือสถานที่พูดเรื่องความรัก
    ไม่ใช่สถานที่ถกเหตุผล

    ต่อให้ความสัมพันธ์ลึกซึ้งเพียงใด
    ก็ไม่อาจทนฟังคำพูดร้ายๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

    ครอบครัวที่เต็มไปด้วยความรุนแรงทางวาจา
    แม้จะร่ำรวยเพียงใดก็ทำให้คนอยากหลบหนี

    บ้านที่มีความสุขความหรรษา
    ต่อให้ซอมซ่อเพียงใดก็ทำให้คนรักอาลัย

    ถ้าเป็นคนที่รักบ้านจริง
    คิดจะบริหารครอบครัวให้ดีแล้ว เริ่มจากวันนี้

    ทำสิ่งที่ถนอมรักใส่ใจ กล่าววาจาที่ให้ใจสบาย
    บ้านสุข ทุกเรื่องราวจะรุ่งเรือง
    ...ในครอบครัวหนึ่งๆ... สิ่งที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่ความยากจน ทว่าคือวิธีพูดที่ทำให้หายใจไม่ออก ทั้งที่อยากแสดงความใส่ใจ กลับกลายเป็นการต่อว่าตำหนิ ทั้งที่อยากแก้ปัญหา กลับกลายทำให้ความขัดแย้ง ที่ฝุ่นจับมานานปะทุรุนแรงขึ้น พูดไม่เป็น ไม่พูดกันดีดี ครอบครัวลักษณะนี้แทบหาความสุขไม่ได้ สื่อสารโดยการตะคอกใส่กัน ในถ้อยคำมีเพียงการจับผิดหาความ พูดไม่เกินสองคำก็ทะเลาะกัน บ้านคือสถานที่พูดเรื่องความรัก ไม่ใช่สถานที่ถกเหตุผล ต่อให้ความสัมพันธ์ลึกซึ้งเพียงใด ก็ไม่อาจทนฟังคำพูดร้ายๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ครอบครัวที่เต็มไปด้วยความรุนแรงทางวาจา แม้จะร่ำรวยเพียงใดก็ทำให้คนอยากหลบหนี บ้านที่มีความสุขความหรรษา ต่อให้ซอมซ่อเพียงใดก็ทำให้คนรักอาลัย ถ้าเป็นคนที่รักบ้านจริง คิดจะบริหารครอบครัวให้ดีแล้ว เริ่มจากวันนี้ ทำสิ่งที่ถนอมรักใส่ใจ กล่าววาจาที่ให้ใจสบาย บ้านสุข ทุกเรื่องราวจะรุ่งเรือง
    0 Comments 0 Shares 32 Views 0 Reviews
  • ☣ถอดรหัสชีวิต คิดผิดนิดเดียวก็หาทางเลี้ยวกลับไม่เจอ

    จำกันได้ไหมกับเหตุการณ์ความรุนแรงอันน่าสะเทือนใจเมื่อหลายปีก่อน กับชายคนหนึ่งถืออาวุธร้ายแรงเดินไล่ยิ่งประชาชนทั่วไปที่พบเจอในห้างใหญ่แห่งหนึ่ง ท่านได้อะไรจากเหตุการณ์ที่โคราช ที่จะมาเป็นข้อสังวรในการดำเนินชีวิตของตนในสังคมบ้าง

    ต่อไปนี้คือสิ่งที่ข้าพเจ้ารู้สึก

    ตั้งแต่แรกที่ได้ยินข่าวเมื่อช่วงเย็นย่ำใกล้ค่ำ สิ่งที่ผุดขึ้นในใจ คือสงสารคนก่อเหตุ จริงๆไม่ดัดจริต และคุณไม่ได้อ่านผิด ข้าพเจ้าก็ไม่ได้พิมพ์ผิด มีสติสัมปชัญญะดี

    หลายคนคงนึกด่า ไม่ก็เกิดคำถามในใจ สำหรับใครที่นึกด่า หรือด่าแล้ว ไม่เป็นไรหรอกครับ ข้าพเจ้าไม่ถือสาเลยและเข้าใจด้วย ส่วนคนที่เกิดคำถามขึ้น

    คงสงสัยว่าทำไมต้องไปสงสารคนอย่างนั้น คือคนที่ฆ่าคนตายมากมาย แล้วยังไม่หยุด ตั้งหน้าตั้งตาไล่ฆ่าคนรายต่อไปเรื่อยๆ แล้วคนที่ถูกยิงโดยไม่เกี่ยวข้องล่ะ ญาติของคนที่โดนยิงล่ะ ไม่สงสารหรือ

    สงสารครับ แต่ระดับความลึกมันต่างกัน

    แน่นอน ประชาชนเหล่านั้น ไม่ควรต้องมาประสบชะตากรรม เขาคือเหยื่อของคนร้าย

    แต่ข้าพเจ้ากลับนึกสงสารเห็นใจในตัวคนร้ายยิ่งกว่า เพราะอะไร?

    นายคนที่ก่อเหตุนั้น เขาเองก็เป็นเหยื่อเช่นกัน และเขาคือตัวแปรสำคัญ เหตุการณ์จะไม่เป็นไปเช่นนี้ ถ้าเขาเองไม่ได้เป็นฝ่ายถูกกระทำ

    ถามว่าถูกกระทำจากใคร ?

    ตอบแบบกำปั้นทุบดินคือ เขาถูกกระทำจากน้ำมือของตัวเอง ไม่มีใครเอาปืนจ่อหัวบังคับให้เขาไปไล่ยิงคน ทุกการ กระทำเขาคิดและตัดสินใจแล้วลงมือเองทั้งหมดคนเดียว

    แต่ ...

    แท้จริงเขาก็เหมือนหุ่นเชิด ที่ไม่เป็นตัวของตัวเอง ถูกอำนาจที่มองไม่เห็นเล่นงาน บงการให้เป็นไปดังที่ปรากฏ อำนาจที่ว่ามาจากไหน ภูติผีปีศาจหรือ ถูกคาถามนต์ดำหรือ ไม่ใช่เลย อำนาจมืดที่มีอิทธิพลต่อจิตใจของเขาคือ โทสะและโมหะ แน่นอนว่าทุกคนล้วนเคยถูกอำนาจนี้เล่นงานมาบ้างไม่มากก็น้อย แต่ที่ยังไม่เป็นอะไร ไม่ถูกบงการให้ทำอะไรร้ายแรงลงไป ก็เพราะยังมีสติเป็นตัวคอยดึงรั้งไว้

    เราจะรู้ได้อย่างไรว่า วันหนึ่ง เราจะกลายเป็นแบบเขา ที่ควบคุมตนเองไม่ได้ แล้วไล่ฆ่าคนด้วยความไม่สนใจอะไรอื่นแล้วในชีวิตนี้หรือไม่

    เพราะสังคมที่เราใช้ชีวิตอยู่ทุกวันนี้ เต็มไปด้วยคนอย่างเราท่านทั้งหลาย ที่เมื่อเกิดเหตุการณ์ร้ายใดๆขึ้นแต่ละหน ก็จะ

    เชียร์ให้ฆ่า เอาให้ตาย อย่าปล่อยมันไว้ ยิงตายง่ายไป ต้องอย่างนั้น ต้องอย่างนี้ น่าจะให้ไปยิงคนนั้นก่อน ไปยิงคนนี้ก่อน ไปจัดการญาติหรือคนในครอบครัวเขา ด่าชนิดที่คิดว่าไม่น่าเป็นคำที่ออกมาจากปากมนุษย์ ทั้งหญิงชายไม่ดีไปกว่ากัน

    กับอีกกลุ่มที่จะสะใจ ยกคนร้ายกลายเป็นผู้กล้า ชื่นชม เชียร์ ให้ไปต่อให้สุดทาง ทำอย่างนั้นสิ ทำอย่างนี้สิ ตั้งตนเองเป็นสาวกแล้วเชิดชูคนทำผิดเป็นปูชนียบุรุษไปซะอย่างนั้น

    ในขณะที่สื่อสารมวลชนก็เมามันกับการปลุกปล้ำ สร้างกระแส ให้ข่าวโหมกระพือไม่มีหยุด ไฟที่กำลังไหม้แทนที่จะช่วยกันดับ กลับไปช่วยพัดโบก ใส่ฟืน เติมออกซิเจน ให้ลุกแรงลุกนาน จนสะเก็ดลูกไฟกระเด็น ปลิวไปตกบริเวณที่ยังไม่ไหม้ แล้วกระจายแผ่วงกว้างออกไปจนเจ้าหน้าที่ดับได้ยาก ใครเข้าใกล้ก็บาดเจ็บถูกลวกเป็นแผลผุพอง เสี่ยงตายมากกว่าเก่า

    เราอยู่กับสังคมที่คนรอบข้าง เพื่อนบ้าน เพื่อนร่วมงาน คนรัก คนในครอบครัว ญาติพี่น้อง ลูกศิษย์ครูอาจารย์ ผู้ใหญ่ที่เคารพ ลูกจ้างนายจ้าง ลูกน้องเจ้านาย ผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชา แม้แต่คนไม่รู้จัก ล้วนบ้าคลั่งอยู่ในกระแสลมพายุที่ถล่มเข้าใส่ไม่หยุดทุกคืนวัน ผ่านโลกเทียมที่ร่วมกันสร้างขึ้น นามว่า สังคมอินเตอร์เน็ต

    เราอยู่ท่ามกลางพายุที่หมุนรุนแรงมาก แต่เราก็ไม่สำนึกตัวมัวแต่ไปก่นด่าโทษว่าอย่างอื่น สิ่งอื่น คนอื่น หาว่าคือต้นเหตุที่ทำให้ชีวิตของตนยุ่งเหยิง แท้จริงไม่ใช่ใครคนใดคนหนึ่งหรือกลุ่มหนึ่งเพียงเท่านั้น แต่เราทุกคนที่อยู่ในสังคมอินเตอร์เน็ต มีส่วนในการสร้างพายุขึ้นมาทั้งสิ้น แล้วเราเองก็ยินดียอมรับที่จะกระโจนเข้ามาในพายุลูกนี้เอง จะมีใครบังคับก็หาไม่

    เราไม่เคยสนใจ ไม่เคยสำรวจตัวเอง ในแต่ละวัน แต่ละชั่วโมงที่ผ่านไป เราเอาแต่สำรวจที่อื่นไปทั่ว เที่ยวถือตะเกียงไปส่องหาว่าที่ไหนบ้างเกิดพายุ แล้วก็เอาตะเกียงในมือตนที่คิดว่าสว่างหนักหนา ไปยื่นส่องหน้าใครต่อใคร ที่ไม่เคยแม้กระทั่งเห็นหน้าพูดจากันสักครั้งเดียว แล้วก็ชี้นิ้วสั่งสอนเขาเหล่านั้นว่าเขาไม่ดี อย่างนั้นอย่างนี้ ทั้งที่ตนเองไม่รู้อะไรเลย

    ยิ่งมีคนที่เดินถือตะเกียงส่องตามหลังมา แล้วชอบอกชอบใจไปกับเราด้วย กลายเป็นทำให้เรายิ่งหลงลำพอง นึกว่าสิ่งที่ตนพูดนั้นถูกต้อง คนจำนวนมากอยู่ข้างเรา ดังนั้นสมควรจะไล่ต้อนหาตัวคนผิดมาลงโทษให้ได้ ให้หายแค้นที่มันบังอาจก่อพายุขึ้นมาทำร้ายคนอื่น

    แล้วก็รวมพลังกัน มือหนึ่งถือตะเกียงแห่งแสงของผู้ปลดปล่อย อีกมือถือศาตราวุธคู่กายของผู้กล้า เพื่อใช้ฟาดฟันทำลายต่อกรมารร้ายทั่วโลก จะสำนึกสักนิดว่าตนเองนั้นใกล้กลายร่างเป็นปีศาจเสียเองอยู่รอมร่อก็หาไม่

    คนประเภทนี้จึงน่าสงสารที่สุด ดังนั้นโปรดระมัดระวังใจของเราให้ดีเถิด ดราม่าครั้งถัดไปไม่ว่าเรื่องอะไร จะเป็นใคร ที่ไหน เมื่อไร อย่างไร ทำไมก็แล้วแต่ ขออย่าได้ตกหลุมพรางของอำนาจความชั่ว จนพาตัวโดดเข้าสู่ใจกลางของวงพายุ ไปเป็นลูกข่างหมุนอยู่มิรู้แล้ว

    อย่าบ้าไปตามคนอื่นที่มันบ้าอยู่ก่อน ใครมันจะบ้าก็ปล่อยให้มันบ้าไป ขอให้เราไม่บ้าไปกับเขาสักคน

    พยายามเข้านะ..

    #ข้อคิด
    #แง่คิด
    #ข่าวดราม่า
    #สื่อเสี้ยม
    #ส่อสันดาน
    #คนไทย
    #สิ่งเสพติด
    #ความรุนแรง
    #บทความ
    #thaitimes
    #โคราช

    ☣ถอดรหัสชีวิต คิดผิดนิดเดียวก็หาทางเลี้ยวกลับไม่เจอ จำกันได้ไหมกับเหตุการณ์ความรุนแรงอันน่าสะเทือนใจเมื่อหลายปีก่อน กับชายคนหนึ่งถืออาวุธร้ายแรงเดินไล่ยิ่งประชาชนทั่วไปที่พบเจอในห้างใหญ่แห่งหนึ่ง ท่านได้อะไรจากเหตุการณ์ที่โคราช ที่จะมาเป็นข้อสังวรในการดำเนินชีวิตของตนในสังคมบ้าง ต่อไปนี้คือสิ่งที่ข้าพเจ้ารู้สึก ตั้งแต่แรกที่ได้ยินข่าวเมื่อช่วงเย็นย่ำใกล้ค่ำ สิ่งที่ผุดขึ้นในใจ คือสงสารคนก่อเหตุ จริงๆไม่ดัดจริต และคุณไม่ได้อ่านผิด ข้าพเจ้าก็ไม่ได้พิมพ์ผิด มีสติสัมปชัญญะดี หลายคนคงนึกด่า ไม่ก็เกิดคำถามในใจ สำหรับใครที่นึกด่า หรือด่าแล้ว ไม่เป็นไรหรอกครับ ข้าพเจ้าไม่ถือสาเลยและเข้าใจด้วย ส่วนคนที่เกิดคำถามขึ้น คงสงสัยว่าทำไมต้องไปสงสารคนอย่างนั้น คือคนที่ฆ่าคนตายมากมาย แล้วยังไม่หยุด ตั้งหน้าตั้งตาไล่ฆ่าคนรายต่อไปเรื่อยๆ แล้วคนที่ถูกยิงโดยไม่เกี่ยวข้องล่ะ ญาติของคนที่โดนยิงล่ะ ไม่สงสารหรือ สงสารครับ แต่ระดับความลึกมันต่างกัน แน่นอน ประชาชนเหล่านั้น ไม่ควรต้องมาประสบชะตากรรม เขาคือเหยื่อของคนร้าย แต่ข้าพเจ้ากลับนึกสงสารเห็นใจในตัวคนร้ายยิ่งกว่า เพราะอะไร? นายคนที่ก่อเหตุนั้น เขาเองก็เป็นเหยื่อเช่นกัน และเขาคือตัวแปรสำคัญ เหตุการณ์จะไม่เป็นไปเช่นนี้ ถ้าเขาเองไม่ได้เป็นฝ่ายถูกกระทำ ถามว่าถูกกระทำจากใคร ? ตอบแบบกำปั้นทุบดินคือ เขาถูกกระทำจากน้ำมือของตัวเอง ไม่มีใครเอาปืนจ่อหัวบังคับให้เขาไปไล่ยิงคน ทุกการ กระทำเขาคิดและตัดสินใจแล้วลงมือเองทั้งหมดคนเดียว แต่ ... แท้จริงเขาก็เหมือนหุ่นเชิด ที่ไม่เป็นตัวของตัวเอง ถูกอำนาจที่มองไม่เห็นเล่นงาน บงการให้เป็นไปดังที่ปรากฏ อำนาจที่ว่ามาจากไหน ภูติผีปีศาจหรือ ถูกคาถามนต์ดำหรือ ไม่ใช่เลย อำนาจมืดที่มีอิทธิพลต่อจิตใจของเขาคือ โทสะและโมหะ แน่นอนว่าทุกคนล้วนเคยถูกอำนาจนี้เล่นงานมาบ้างไม่มากก็น้อย แต่ที่ยังไม่เป็นอะไร ไม่ถูกบงการให้ทำอะไรร้ายแรงลงไป ก็เพราะยังมีสติเป็นตัวคอยดึงรั้งไว้ เราจะรู้ได้อย่างไรว่า วันหนึ่ง เราจะกลายเป็นแบบเขา ที่ควบคุมตนเองไม่ได้ แล้วไล่ฆ่าคนด้วยความไม่สนใจอะไรอื่นแล้วในชีวิตนี้หรือไม่ เพราะสังคมที่เราใช้ชีวิตอยู่ทุกวันนี้ เต็มไปด้วยคนอย่างเราท่านทั้งหลาย ที่เมื่อเกิดเหตุการณ์ร้ายใดๆขึ้นแต่ละหน ก็จะ เชียร์ให้ฆ่า เอาให้ตาย อย่าปล่อยมันไว้ ยิงตายง่ายไป ต้องอย่างนั้น ต้องอย่างนี้ น่าจะให้ไปยิงคนนั้นก่อน ไปยิงคนนี้ก่อน ไปจัดการญาติหรือคนในครอบครัวเขา ด่าชนิดที่คิดว่าไม่น่าเป็นคำที่ออกมาจากปากมนุษย์ ทั้งหญิงชายไม่ดีไปกว่ากัน กับอีกกลุ่มที่จะสะใจ ยกคนร้ายกลายเป็นผู้กล้า ชื่นชม เชียร์ ให้ไปต่อให้สุดทาง ทำอย่างนั้นสิ ทำอย่างนี้สิ ตั้งตนเองเป็นสาวกแล้วเชิดชูคนทำผิดเป็นปูชนียบุรุษไปซะอย่างนั้น ในขณะที่สื่อสารมวลชนก็เมามันกับการปลุกปล้ำ สร้างกระแส ให้ข่าวโหมกระพือไม่มีหยุด ไฟที่กำลังไหม้แทนที่จะช่วยกันดับ กลับไปช่วยพัดโบก ใส่ฟืน เติมออกซิเจน ให้ลุกแรงลุกนาน จนสะเก็ดลูกไฟกระเด็น ปลิวไปตกบริเวณที่ยังไม่ไหม้ แล้วกระจายแผ่วงกว้างออกไปจนเจ้าหน้าที่ดับได้ยาก ใครเข้าใกล้ก็บาดเจ็บถูกลวกเป็นแผลผุพอง เสี่ยงตายมากกว่าเก่า เราอยู่กับสังคมที่คนรอบข้าง เพื่อนบ้าน เพื่อนร่วมงาน คนรัก คนในครอบครัว ญาติพี่น้อง ลูกศิษย์ครูอาจารย์ ผู้ใหญ่ที่เคารพ ลูกจ้างนายจ้าง ลูกน้องเจ้านาย ผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชา แม้แต่คนไม่รู้จัก ล้วนบ้าคลั่งอยู่ในกระแสลมพายุที่ถล่มเข้าใส่ไม่หยุดทุกคืนวัน ผ่านโลกเทียมที่ร่วมกันสร้างขึ้น นามว่า สังคมอินเตอร์เน็ต เราอยู่ท่ามกลางพายุที่หมุนรุนแรงมาก แต่เราก็ไม่สำนึกตัวมัวแต่ไปก่นด่าโทษว่าอย่างอื่น สิ่งอื่น คนอื่น หาว่าคือต้นเหตุที่ทำให้ชีวิตของตนยุ่งเหยิง แท้จริงไม่ใช่ใครคนใดคนหนึ่งหรือกลุ่มหนึ่งเพียงเท่านั้น แต่เราทุกคนที่อยู่ในสังคมอินเตอร์เน็ต มีส่วนในการสร้างพายุขึ้นมาทั้งสิ้น แล้วเราเองก็ยินดียอมรับที่จะกระโจนเข้ามาในพายุลูกนี้เอง จะมีใครบังคับก็หาไม่ เราไม่เคยสนใจ ไม่เคยสำรวจตัวเอง ในแต่ละวัน แต่ละชั่วโมงที่ผ่านไป เราเอาแต่สำรวจที่อื่นไปทั่ว เที่ยวถือตะเกียงไปส่องหาว่าที่ไหนบ้างเกิดพายุ แล้วก็เอาตะเกียงในมือตนที่คิดว่าสว่างหนักหนา ไปยื่นส่องหน้าใครต่อใคร ที่ไม่เคยแม้กระทั่งเห็นหน้าพูดจากันสักครั้งเดียว แล้วก็ชี้นิ้วสั่งสอนเขาเหล่านั้นว่าเขาไม่ดี อย่างนั้นอย่างนี้ ทั้งที่ตนเองไม่รู้อะไรเลย ยิ่งมีคนที่เดินถือตะเกียงส่องตามหลังมา แล้วชอบอกชอบใจไปกับเราด้วย กลายเป็นทำให้เรายิ่งหลงลำพอง นึกว่าสิ่งที่ตนพูดนั้นถูกต้อง คนจำนวนมากอยู่ข้างเรา ดังนั้นสมควรจะไล่ต้อนหาตัวคนผิดมาลงโทษให้ได้ ให้หายแค้นที่มันบังอาจก่อพายุขึ้นมาทำร้ายคนอื่น แล้วก็รวมพลังกัน มือหนึ่งถือตะเกียงแห่งแสงของผู้ปลดปล่อย อีกมือถือศาตราวุธคู่กายของผู้กล้า เพื่อใช้ฟาดฟันทำลายต่อกรมารร้ายทั่วโลก จะสำนึกสักนิดว่าตนเองนั้นใกล้กลายร่างเป็นปีศาจเสียเองอยู่รอมร่อก็หาไม่ คนประเภทนี้จึงน่าสงสารที่สุด ดังนั้นโปรดระมัดระวังใจของเราให้ดีเถิด ดราม่าครั้งถัดไปไม่ว่าเรื่องอะไร จะเป็นใคร ที่ไหน เมื่อไร อย่างไร ทำไมก็แล้วแต่ ขออย่าได้ตกหลุมพรางของอำนาจความชั่ว จนพาตัวโดดเข้าสู่ใจกลางของวงพายุ ไปเป็นลูกข่างหมุนอยู่มิรู้แล้ว อย่าบ้าไปตามคนอื่นที่มันบ้าอยู่ก่อน ใครมันจะบ้าก็ปล่อยให้มันบ้าไป ขอให้เราไม่บ้าไปกับเขาสักคน พยายามเข้านะ.. #ข้อคิด #แง่คิด #ข่าวดราม่า #สื่อเสี้ยม #ส่อสันดาน #คนไทย #สิ่งเสพติด #ความรุนแรง #บทความ #thaitimes #โคราช
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 535 Views 0 Reviews
  • Ray Dalio ผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์ผู้ทรงอิทธิพลของโลก หวั่นเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาเสี่ยงเจอวิกฤตหนัก 5 ประการ ปัญหาหนี้ที่เพิ่มขึ้นรุมเร้าและการเมืองภายในแตกแยก ขณะที่ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐกับจีนทวีความรุนแรงเป็นสงครามการค้าตั้งกำแพงภาษี ท่ามกลางภัยธรรมชาติรุนแรงสร้างความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สินยิ่งกว่าสงคราม

    ในการประชุมสุดยอดเอเชียของ Milken Institute ที่สิงคโปร์ เรย์ ดาลิโอ ผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์ระดับมหาเศรษฐี ได้ระบุถึงแรงขับเคลื่อนสำคัญ 5 ประการที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน โดยระบุถึงลักษณะเป็นวัฏจักรและเชื่อมโยงกัน ตามรายงานของลี อิง ชาน นักข่าว CNBC

    ในการพูดก่อนที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยที่ทุกคนรอคอยมานาน ดาลิโอได้เน้นย้ำถึงความกังวลเกี่ยวกับวิธีการที่สหรัฐฯ จะจัดการหนี้ที่เพิ่มขึ้น โดยที่อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงอยู่ที่ระดับสูงสุดในรอบกว่า 2 ทศวรรษ ปัจจุบันรัฐบาลสหรัฐฯ ใช้จ่ายเงิน 1.049 ล้านล้านดอลลาร์ในการชำระหนี้ ซึ่งเพิ่มขึ้น 30% เมื่อเทียบเป็นรายปี ดาลิโอตั้งคำถามว่าหนี้ที่เพิ่มขึ้นนี้จะส่งผลกระทบต่อมูลค่าทรัพย์สินของสหรัฐฯ และบทบาทของสินทรัพย์ของสหรัฐฯ ในฐานะแหล่งเก็บความมั่งคั่งที่เชื่อถือได้อย่างไร

    ตามรายงานของ CNBC ดาลิโอยังได้ดึงความสนใจไปที่สิ่งที่เขาเรียกว่า "ความไม่สงบภายใน" ในสหรัฐฯ โดยเฉพาะความแตกแยกทางการเมืองที่ขยายตัวก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2024 เขาเตือนว่าความแตกต่างที่ไม่อาจปรองดองได้ระหว่างฝ่ายขวาและฝ่ายซ้ายทางการเมือง ซึ่งทวีความรุนแรงขึ้นจากความไม่เท่าเทียมกันของความมั่งคั่ง อาจขัดขวางการถ่ายโอนอำนาจอย่างสันติ แม้ว่ารองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริสจะถูกมองว่าเป็นผู้นำ แต่ดาลิโอแนะนำว่าความไม่มั่นคงทางการเมืองอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจของประเทศมากกว่านโยบายของผู้สมัครคนใด ๆ

    บนเวทีระหว่างประเทศ ดาลิโออ้างถึงความตึงเครียดที่ทวีความรุนแรงขึ้นระหว่างสหรัฐฯ และจีนว่าเป็นแหล่งความกังวลที่สำคัญ ดาลิโอกล่าวว่าปัญหาเช่นสถานะทางการเมืองของไต้หวันและภาษีศุลกากรทางเศรษฐกิจได้ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างมหาอำนาจทั้งสองตึงเครียด ในขณะที่ดาลิโอตั้งข้อสังเกตว่าความกลัวต่อการทำลายล้างซึ่งกันและกันอาจป้องกันไม่ให้เกิดความขัดแย้งโดยตรง เขากล่าวว่าความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์เหล่านี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดความวุ่นวายทั่วโลก

    ดาลิโอเน้นย้ำถึงผลกระทบที่เพิ่มมากขึ้นของปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยระบุว่า "ภัยธรรมชาติ" เช่น ภัยแล้ง น้ำท่วม และโรคระบาด มักก่อให้เกิดการหยุดชะงักทางสังคมมากกว่าสงคราม CNBC เน้นย้ำถึงคำเตือนของเขาว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอาจสร้างต้นทุนทางเศรษฐกิจที่สูงกว่าในไม่ช้านี้ โดยคาดว่า GDP ทั่วโลกจะหดตัวลง 12% ต่ออุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น 1 องศาเซลเซียส

    สุดท้าย Dalio เน้นย้ำถึงพลังการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี เขาแนะนำว่าผู้ที่สามารถใช้ประโยชน์จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีได้อย่างมีประสิทธิภาพจะได้รับประโยชน์อย่างมาก ในขณะเดียวกันก็เตือนด้วยว่าเทคโนโลยีอาจทำให้ความไม่เท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจรุนแรงขึ้น การประเมินโดยรวมของ Dalio นั้นระมัดระวัง โดยคำพูดสุดท้ายของเขาบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจโลกเผชิญกับความเสี่ยงด้านลบมากกว่าโอกาสด้านบวก

    ที่มา : https://www.cryptoglobe.com/latest/2024/09/billionaire-ray-dalio-warns-of-soaring-u-s-debt-geopolitical-tensions-and-tech-wars-between-nations/

    #Thaitimes
    Ray Dalio ผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์ผู้ทรงอิทธิพลของโลก หวั่นเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาเสี่ยงเจอวิกฤตหนัก 5 ประการ ปัญหาหนี้ที่เพิ่มขึ้นรุมเร้าและการเมืองภายในแตกแยก ขณะที่ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐกับจีนทวีความรุนแรงเป็นสงครามการค้าตั้งกำแพงภาษี ท่ามกลางภัยธรรมชาติรุนแรงสร้างความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สินยิ่งกว่าสงคราม ในการประชุมสุดยอดเอเชียของ Milken Institute ที่สิงคโปร์ เรย์ ดาลิโอ ผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์ระดับมหาเศรษฐี ได้ระบุถึงแรงขับเคลื่อนสำคัญ 5 ประการที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน โดยระบุถึงลักษณะเป็นวัฏจักรและเชื่อมโยงกัน ตามรายงานของลี อิง ชาน นักข่าว CNBC ในการพูดก่อนที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยที่ทุกคนรอคอยมานาน ดาลิโอได้เน้นย้ำถึงความกังวลเกี่ยวกับวิธีการที่สหรัฐฯ จะจัดการหนี้ที่เพิ่มขึ้น โดยที่อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงอยู่ที่ระดับสูงสุดในรอบกว่า 2 ทศวรรษ ปัจจุบันรัฐบาลสหรัฐฯ ใช้จ่ายเงิน 1.049 ล้านล้านดอลลาร์ในการชำระหนี้ ซึ่งเพิ่มขึ้น 30% เมื่อเทียบเป็นรายปี ดาลิโอตั้งคำถามว่าหนี้ที่เพิ่มขึ้นนี้จะส่งผลกระทบต่อมูลค่าทรัพย์สินของสหรัฐฯ และบทบาทของสินทรัพย์ของสหรัฐฯ ในฐานะแหล่งเก็บความมั่งคั่งที่เชื่อถือได้อย่างไร ตามรายงานของ CNBC ดาลิโอยังได้ดึงความสนใจไปที่สิ่งที่เขาเรียกว่า "ความไม่สงบภายใน" ในสหรัฐฯ โดยเฉพาะความแตกแยกทางการเมืองที่ขยายตัวก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2024 เขาเตือนว่าความแตกต่างที่ไม่อาจปรองดองได้ระหว่างฝ่ายขวาและฝ่ายซ้ายทางการเมือง ซึ่งทวีความรุนแรงขึ้นจากความไม่เท่าเทียมกันของความมั่งคั่ง อาจขัดขวางการถ่ายโอนอำนาจอย่างสันติ แม้ว่ารองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริสจะถูกมองว่าเป็นผู้นำ แต่ดาลิโอแนะนำว่าความไม่มั่นคงทางการเมืองอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจของประเทศมากกว่านโยบายของผู้สมัครคนใด ๆ บนเวทีระหว่างประเทศ ดาลิโออ้างถึงความตึงเครียดที่ทวีความรุนแรงขึ้นระหว่างสหรัฐฯ และจีนว่าเป็นแหล่งความกังวลที่สำคัญ ดาลิโอกล่าวว่าปัญหาเช่นสถานะทางการเมืองของไต้หวันและภาษีศุลกากรทางเศรษฐกิจได้ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างมหาอำนาจทั้งสองตึงเครียด ในขณะที่ดาลิโอตั้งข้อสังเกตว่าความกลัวต่อการทำลายล้างซึ่งกันและกันอาจป้องกันไม่ให้เกิดความขัดแย้งโดยตรง เขากล่าวว่าความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์เหล่านี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดความวุ่นวายทั่วโลก ดาลิโอเน้นย้ำถึงผลกระทบที่เพิ่มมากขึ้นของปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยระบุว่า "ภัยธรรมชาติ" เช่น ภัยแล้ง น้ำท่วม และโรคระบาด มักก่อให้เกิดการหยุดชะงักทางสังคมมากกว่าสงคราม CNBC เน้นย้ำถึงคำเตือนของเขาว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอาจสร้างต้นทุนทางเศรษฐกิจที่สูงกว่าในไม่ช้านี้ โดยคาดว่า GDP ทั่วโลกจะหดตัวลง 12% ต่ออุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น 1 องศาเซลเซียส สุดท้าย Dalio เน้นย้ำถึงพลังการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี เขาแนะนำว่าผู้ที่สามารถใช้ประโยชน์จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีได้อย่างมีประสิทธิภาพจะได้รับประโยชน์อย่างมาก ในขณะเดียวกันก็เตือนด้วยว่าเทคโนโลยีอาจทำให้ความไม่เท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจรุนแรงขึ้น การประเมินโดยรวมของ Dalio นั้นระมัดระวัง โดยคำพูดสุดท้ายของเขาบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจโลกเผชิญกับความเสี่ยงด้านลบมากกว่าโอกาสด้านบวก ที่มา : https://www.cryptoglobe.com/latest/2024/09/billionaire-ray-dalio-warns-of-soaring-u-s-debt-geopolitical-tensions-and-tech-wars-between-nations/ #Thaitimes
    WWW.CRYPTOGLOBE.COM
    Ray Dalio Reveals the Top Five Forces Influencing the Global Economy
    Ray Dalio foresees a dangerous convergence of forces that could reshape the global order.
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 585 Views 0 Reviews
  • Tatyana Bakalchuk สตรีที่รวยที่สุดของรัสเซีย กล่าวหาอดีตสามีที่แยกกันอยู่ว่า พยายามใช้กำลังยึดสำนักงานใหญ่ของแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ซึ่งเธอเป็นเจ้าของ

    18 กันยายน 2567-รายงานข่าวบลูมเบิร์กระบุว่า Tatyana Bakalchuk สตรีที่รวยที่สุดของรัสเซีย กล่าวหานาย วลาดิสลาฟ บากัลชุก (Vladislav Bakalchuk )อดีตสามีที่แยกกันอยู่ว่าพยายามยึดสำนักงานใหญ่ในมอสโกของ Wildberries แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่ใหญ่ที่สุดในประเทศรัสเซียซึ่งเธอเป็นเจ้าของ

    รายงานระบุว่าการทะเลาะวิวาทเริ่มขึ้นเมื่อกลุ่มชายกลุ่มหนึ่งซึ่งนำโดยวลาดิสลาฟ บากัลชุก พยายามจะเข้าไปในอาคาร วิดีโอที่เผยแพร่โดยสถานีข่าว Mash ซึ่งเป็นสถานีข่าวเทเลแกรมที่สนับสนุนเครมลิน แสดงให้เห็นการทะเลาะวิวาทนอกสำนักงาน ตามมาด้วยเสียงปืนและเสียงตะโกน

    ปรากฏว่า รปภ.เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเสียชีวิต 1 ราย และเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับบาดเจ็บ 2 นาย และมีผู้ถูกจับกุม 30 ราย

    ความขัดแย้งส่วนตัวระหว่างทาเทียนาและวลาดิสลาฟ บากัลชุกทวีความรุนแรงขึ้นหลังจากการหย่าร้างของพวกเขาในเดือนกรกฎาคม วลาดิสลาฟได้ขอความช่วยเหลือจากรามซาน คาดีรอฟ ผู้นำเชเชนอย่างเปิดเผย โดยอ้างว่าเขากำลังเผชิญกับการเข้าซื้อกิจการบริษัทอย่างไม่เป็นมิตร

    กรณีที่ Wildberriesได้ประกาศควบรวมกิจการกับ Russ Group เมื่อช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา โดยก่อตั้งแพลตฟอร์มซื้อขายดิจิทัลใหม่ที่ชื่อ RWB ภายใต้การควบรวมกิจการนี้ Robert Mirzoyan แห่ง Russ Group จะเข้ามาดำรงตำแหน่งประธานกรรมการผู้จัดการของ RWB โดยมี Tatiana Bakalchuk ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการทั่วไป

    สื่อธุรกิจชี้ข้อตกลงดังกล่าวเป็น "เรื่องแปลกมาก" เนื่องจากเป็นการควบรวมกิจการระหว่างWildberries ที่มีขนาดใหญ่กว่า Russ Group ถึง 20 เท่า โดยมีรายได้ 538,700 ล้านรูเบิล (2,700 ล้านดอลลาร์) เมื่อปีที่แล้ว เมื่อเทียบกับ Russ Group ที่มีรายได้ 27,900 ล้านรูเบิล (300 ล้านดอลลาร์)และ ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน สนับสนุนข้อตกลงควบรวมระหว่าง Russ Group และ Wildberries

    #Thaitimes
    Tatyana Bakalchuk สตรีที่รวยที่สุดของรัสเซีย กล่าวหาอดีตสามีที่แยกกันอยู่ว่า พยายามใช้กำลังยึดสำนักงานใหญ่ของแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ซึ่งเธอเป็นเจ้าของ 18 กันยายน 2567-รายงานข่าวบลูมเบิร์กระบุว่า Tatyana Bakalchuk สตรีที่รวยที่สุดของรัสเซีย กล่าวหานาย วลาดิสลาฟ บากัลชุก (Vladislav Bakalchuk )อดีตสามีที่แยกกันอยู่ว่าพยายามยึดสำนักงานใหญ่ในมอสโกของ Wildberries แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่ใหญ่ที่สุดในประเทศรัสเซียซึ่งเธอเป็นเจ้าของ รายงานระบุว่าการทะเลาะวิวาทเริ่มขึ้นเมื่อกลุ่มชายกลุ่มหนึ่งซึ่งนำโดยวลาดิสลาฟ บากัลชุก พยายามจะเข้าไปในอาคาร วิดีโอที่เผยแพร่โดยสถานีข่าว Mash ซึ่งเป็นสถานีข่าวเทเลแกรมที่สนับสนุนเครมลิน แสดงให้เห็นการทะเลาะวิวาทนอกสำนักงาน ตามมาด้วยเสียงปืนและเสียงตะโกน ปรากฏว่า รปภ.เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเสียชีวิต 1 ราย และเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับบาดเจ็บ 2 นาย และมีผู้ถูกจับกุม 30 ราย ความขัดแย้งส่วนตัวระหว่างทาเทียนาและวลาดิสลาฟ บากัลชุกทวีความรุนแรงขึ้นหลังจากการหย่าร้างของพวกเขาในเดือนกรกฎาคม วลาดิสลาฟได้ขอความช่วยเหลือจากรามซาน คาดีรอฟ ผู้นำเชเชนอย่างเปิดเผย โดยอ้างว่าเขากำลังเผชิญกับการเข้าซื้อกิจการบริษัทอย่างไม่เป็นมิตร กรณีที่ Wildberriesได้ประกาศควบรวมกิจการกับ Russ Group เมื่อช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา โดยก่อตั้งแพลตฟอร์มซื้อขายดิจิทัลใหม่ที่ชื่อ RWB ภายใต้การควบรวมกิจการนี้ Robert Mirzoyan แห่ง Russ Group จะเข้ามาดำรงตำแหน่งประธานกรรมการผู้จัดการของ RWB โดยมี Tatiana Bakalchuk ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการทั่วไป สื่อธุรกิจชี้ข้อตกลงดังกล่าวเป็น "เรื่องแปลกมาก" เนื่องจากเป็นการควบรวมกิจการระหว่างWildberries ที่มีขนาดใหญ่กว่า Russ Group ถึง 20 เท่า โดยมีรายได้ 538,700 ล้านรูเบิล (2,700 ล้านดอลลาร์) เมื่อปีที่แล้ว เมื่อเทียบกับ Russ Group ที่มีรายได้ 27,900 ล้านรูเบิล (300 ล้านดอลลาร์)และ ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน สนับสนุนข้อตกลงควบรวมระหว่าง Russ Group และ Wildberries #Thaitimes
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 643 Views 0 Reviews
  • #เพราะอย่างนี้คุณถึงถูกฆ่า
    เขียนโดย มิซูกิ ฮิโรมิ

    สนพ.ไดฟุกุ มีนาคม พ.ศ.2566 279 หน้า 319 บาท
    แปลโดย บัณฑิต ประดิษฐานุวงศ์
    ภาพประกอบโดย ศศิ

    เห็นในห้องสมุดหลายครั้ง แต่ก็เลือกเล่มอื่นที่อยากอ่านมากกว่า คลาดกันมาหลายเดือน สุดท้ายยืมมาอ่านด้วยเหตุผลคือภาพหน้าปกและใจความไม่กี่ประโยคบนปกหลัง

    หนังสือเล่มนี้ทำให้นึกถึงสมัยเด็กที่ชอบวาดรูปการ์ตูนในหนังสือเรียนต่าง ๆ เมื่อสังเกตเห็นรูปโคมไฟเพดาน และขาตั้งไม้ที่ใช้สำหรับวาดรูป ที่เป็นรูปประกอบเล็ก ๆ อยู่มุมบนของแต่ละหน้านั้น หากพลิกไว ๆ จะเห็นเป็นภาพเคลื่อนไหวที่เกิดจากการวาดแต่ละหน้าให้ต่างกันเล็กน้อย ตอนเด็กตัวเองก็ชอบเขียนแบบนี้เล่นเช่นกัน รู้สึกชอบในความคิดสร้างสรรค์ในจุดนี้ แน่นอนว่าหน้าปกนั้นทำหน้าที่ได้ดี มีเรื่องราวที่เป็นส่วนสำคัญของเนื้อหาทั้งหมดใส่มาในภาพเดียว การใช้พื้นหลังสีขาว ทำให้ลายเส้นและสีสันตรงกลางโดดเด่น ส่วนสีที่เลือกใช้ระหว่างความอบอุ่นแจ่มใส(เหลือง) กับความสงบ เยือกเย็น (น้ำเงิน ฟ้า) ที่ให้ความรู้สึกปลอดภัย น่าไว้วางใจ ไม่รู้ว่าตอนลงสีผู้วาดต้องการสื่ออย่างนั้นหรือไม่ แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาเข้ากับโทนเรื่องและบุคลิกของตัวละคร รวมถึงฉากสำคัญได้ดี

    เล่มนี้เป็นหนึ่งในเล่มที่ส่วนตัวคงอ่านครั้งเดียว ไม่ใช่เพราะไม่ดี แต่เรื่องราวหดหู่เกินไป อ่านแล้วเห็นใจและสงสารในชะตากรรมของตัวละครตัวหนึ่งจนถึงขนาดต้องวางเพื่อพัก คือใจหนึ่งไม่อยากรู้เรื่องราวต่อจากนั้น เพราะเห็นภาพราง ๆ ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป แต่ก็อยากรู้ว่าที่แท้แล้วคนร้ายคือใครกันแน่ จึงต้องยอมหยิบขึ้นมาอ่านต่อ กว่าจะจบก็หยิบวางอยู่หลายหน

    เนื้อหาโดยสังเขป นายตำรวจหนุ่มคนหนึ่งตัดสินใจย้ายออกจากหอพักตำรวจโสด เพื่อมาดูแลน้องสาวอายุ 17 ปีที่จากกันมานานถึงสิบปีและอยู่ตัวคนเดียว เนื่องจากแม่ของทั้งสองเพิ่งจะผูกคอตายไปไม่นาน พ่อกับแม่ของสองคนนี้แยกทางกัน คนพี่เลือกอยู่กับพ่อ แล้วให้น้องอยู่กับแม่ แต่แม่ป่วยต้องใช้เงินรักษาจำนวนมากจึงขัดสน เคยส่งจดหมายขอความช่วยเหลือจากสามีหลายครั้ง แต่เขาไม่สนใจ กลับแต่งงานมีภรรยาใหม่และมีลูก ต่อมาพี่ชายทราบข่าวแม่ จึงเข้ามามีบทบาทต่อเพราะน้องสาวไม่เหลือใคร ในขณะเดียวกันก็เกิดคดีที่มีคนพบศพหญิงวัยรุ่น ซึ่งคาดว่าถูกฆ่าตายทิ้งไว้แถวทางเดินสีเขียวริมแม่น้ำ พี่ชายจึงต้องเข้าร่วมเป็นหนึ่งในทีมสืบสวนหาสาเหตุ โดยมีน้องสาวที่เรียนมัธยมปลาย ซึ่งค่อนข้างเฉลียวฉลาดคอยช่วยหาข้อมูลป้อนให้

    ตัวละครในเรื่องเยอะ โดยเฉพาะตำรวจในทีมสืบสวน ชื่อจำยาก ทำให้เป็นปัญหากับผมอย่างมาก จำได้แค่ชื่อคู่หูของพี่ชาย และเพื่อนร่วมงานที่เป็นเหมือนคู่แข่งได้เท่านั้น ส่วนหนึ่งที่ค่อนข้างแตกต่างและโดดเด่นไปจากแนวสืบสวนเล่มอื่นคือ เล่มนี้เน้นให้เห็นภาพการทำงานของตำรวจญี่ปุ่น เวลาเกิดคดีฆาตกรรมที่มีความสมจริงมาก เพราะบทสนทนาของตำรวจที่ร่วมการสืบสวนนั้น ทำให้คนอ่านเหมือนร่วมรับฟังการประชุมอยู่ในสถานีตำรวจ และขั้นตอนวิธีในการสืบสวนของวงการนี้แบบละเอียด นี่เองที่เป็นส่วนที่ทำให้ช่วงต้นถึงเกือบครึ่งค่อนเล่มนั้น เรื่องดำเนินไปแบบเฉิบ ๆ เนิบ ๆ ออกเนือยจนอาจทำให้บางคนที่ไม่ค่อยอดทนพอ จะยอมแพ้เลิกอ่านไปก่อนได้

    การเล่าเรื่องนั้นใช้วิธี แบ่งเป็นส่วน ๆ โดยการแยกเป็นบทย่อย กล่าวถึงตัวละครหลักตัวใด ก็จะเป็นมุมมองความคิดของตัวละครนั้นต่อคนรอบข้าง ซึ่งหลัก ๆ ก็มีอยู่ 5-6 คน ผู้เขียนมีความฉลาดในการสร้างปมให้กับตัวละครบางตัวที่ทำให้เกิดความน่าสงสัย จนต้องอ่านไปเรื่อย ๆ ด้วยอยากรู้ว่าคนที่น่าสงสัยนี้ จะใช่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมหรือไม่

    แท้จริงเรื่องราวของการไขคดีนั้นเป็นไปอย่างเชื่องช้ายิ่ง เพราะไปเน้นเหตุการณ์แวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ของตัวละครหลักในเรื่อง ซึ่งดูเหมือนไม่น่าจะมีอะไร แต่เรื่องราวเล็ก ๆ น้อย ๆ ทั้งหลายนั้น ล้วนเป็นส่วนสำคัญที่ไม่ใช่เกิดขึ้นจากความบังเอิญ ทว่าอยู่ในแผนการที่ถูกเตรียมจัดวางไว้อย่างดีของคนร้ายตัวจริง

    ที่ต้องบอกแบบนี้เพราะ คนร้ายคนแรกนั้นไม่ได้ร้ายเพราะมีจิตใจอยากทำ ส่วนคนร้ายแฝงซึ่งคือตัวจริงที่ถูกเปิดเผยในตอนท้ายสุดนี้สิ.. ที่น่ากลัว เพราะร้ายด้วยจิตเจตนาอันแน่วแน่ต่อการกระทำอันร้ายกาจของตนโดยไม่ได้รู้สึกผิด

    เรื่องนี้ค่อนข้างมีความรุนแรงอยู่มาก ทั้งในเรื่องทางเพศที่มีความเบี่ยงเบนไปในทางผิด การใช้กำลังทำร้ายในครอบครัว การแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น เพื่อหวังความก้าวหน้าโดยไม่คำนึงถึงความควรไม่ควร ความปลิ้นปล้อน ยอกย้อนของจิตใจคน ที่ซ่อนตัวตนอันร้ายกาจไว้ภายใน

    ตัวละครที่ควรจะเป็นตัวหลักในการไขคดีนั้น ถูกสร้างมาเพื่อหลอกคนอ่านโดยแท้ และใครกันคือคนที่สมควรแล้วกับความตายที่ได้รับ ดังที่ชื่อเรื่องได้เกริ่นนำไว้ สำหรับคนที่ยังไม่ได้อ่านเล่มนี้ ขอให้หยุดได้ตั้งแต่บรรทัดนี้ เพราะย่อหน้าถัดไปคุณยังไม่ควรทราบ เพื่อจะไม่เสียอรรถรสก่อน ส่วนคนที่อ่านจบแล้วสามารถอ่านต่อเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้สึก ความเห็นได้ตามอัธยาศัยครับ

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    นึกสงสัยพฤติกรรมและคำพูดหลายอย่างของน้องสาวตั้งแต่ช่วงต้น ๆ เล่มแล้วเชียว ยังคิดอยู่เลยว่าการผูกคอตายของแม่ จะใช่ความต้องการของเจ้าตัวจริงหรือ อาจถูกลูกสาวฆ่าหรือเปล่า แต่ก็คิดไม่ถึงว่านางจะร้ายลึกขนาดมีส่วนต่อการทำให้เกิดคดีและมีคนเสียชีวิตในภายหลัง ช่างเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นจนน่าขนลุก โดยเฉพาะเมื่อนึกถึงคำเรียกพี่ชายว่า พี่จ๋า..ทั้งที่ห่างเหินไม่ได้เจอกันเลยเป็นสิบปี ดูจะพยายามทำความสนิทสนม และปฏิบัติเอาใจจนเกินไปจากความปกติพอดีของคนทั่วไปที่ควรจะเป็น

    แต่ช่วงต้นก็ถูกผู้เขียนสับขาหลอกให้ไขว้เขวและสงสัยในตัวของหญิงสาวที่อาศัยอยู่กับพ่อและปู่ เพราะการไม่บอกสิ่งที่รู้เกี่ยวกับคดีแรกกับตำรวจ สุดท้ายเธอคือคนที่น่าสงสารที่สุด มีจิตใจอ่อนโยน ใสซื่อ และเป็นผู้ถูกกระทำตั้งแต่ต้นจนจบ ความคิดที่ว่าขอเพียงมีที่ซุกหัวนอน มีอาหารกินอิ่มท้อง มีคนคอยปกป้อง แม้คนนั้นจะทำไม่ดีกับเธอจนถึงขั้นล่วงเกินต่อร่างกายก็ยอม แสดงให้เห็นว่าเป็นคนหัวอ่อน ตกเป็นเหยื่อง่าย ต่างจากน้องสาวนายตำรวจราวขาวกับดำ คนนั้นก็ภายนอกสดใส ยิ้มแย้ม เป็นกันเอง เข้ากับใครง่าย เหมือนจะหวังดีให้ความช่วยเหลือคนอื่นด้วยน้ำใสใจจริง แต่ตัวตนแท้กลับกลอกกลิ้งจนกลมเกลี้ยง ทำร้ายทุกคนได้ไม่ว่าใครแม้แต่คนในครอบครัว เพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ

    อดคิดต่อหลังจบเล่มไม่ได้ ที่ตอนท้ายเนื้อหาระบุว่าพ่อรับเธอไปอยู่ด้วยหลังพี่ชายตาย นางคงจะวางแผนจัดการกับพ่อของตัวเอง และภรรยาของพ่อรวมถึงลูกที่เกิดจากภรรยาใหม่ด้วย เพื่อที่สุดท้ายทุกอย่างของพ่อจะได้ตกเป็นของเธอทั้งหมด

    ต้องเป็นอย่างนั้นแน่นอน ดูจากพฤติกรรมในเรื่องแล้ว แนวโน้มความเป็นไปได้สูงมาก

    สรุปว่าเป็นอีกเล่มที่เขียนได้ดีและน่าสนใจครับ แต่ไม่อาจพูดได้เต็มปากว่าชื่นชอบ ด้วยความแรงของเนื้อหาที่มืดมนนั่นเอง

    #นิยายแปล
    #นิยายญี่ปุ่น
    #สืบสวน
    #ฆาตกรรม
    #สำนักพิมพ์ไดฟุกุ
    #หนังสือแนะนำ
    #18+
    #ความรุนแรง
    #เนื้อหาทางเพศ
    #thaitimes
    #เพราะอย่างนี้คุณถึงถูกฆ่า เขียนโดย มิซูกิ ฮิโรมิ สนพ.ไดฟุกุ มีนาคม พ.ศ.2566 279 หน้า 319 บาท แปลโดย บัณฑิต ประดิษฐานุวงศ์ ภาพประกอบโดย ศศิ เห็นในห้องสมุดหลายครั้ง แต่ก็เลือกเล่มอื่นที่อยากอ่านมากกว่า คลาดกันมาหลายเดือน สุดท้ายยืมมาอ่านด้วยเหตุผลคือภาพหน้าปกและใจความไม่กี่ประโยคบนปกหลัง หนังสือเล่มนี้ทำให้นึกถึงสมัยเด็กที่ชอบวาดรูปการ์ตูนในหนังสือเรียนต่าง ๆ เมื่อสังเกตเห็นรูปโคมไฟเพดาน และขาตั้งไม้ที่ใช้สำหรับวาดรูป ที่เป็นรูปประกอบเล็ก ๆ อยู่มุมบนของแต่ละหน้านั้น หากพลิกไว ๆ จะเห็นเป็นภาพเคลื่อนไหวที่เกิดจากการวาดแต่ละหน้าให้ต่างกันเล็กน้อย ตอนเด็กตัวเองก็ชอบเขียนแบบนี้เล่นเช่นกัน รู้สึกชอบในความคิดสร้างสรรค์ในจุดนี้ แน่นอนว่าหน้าปกนั้นทำหน้าที่ได้ดี มีเรื่องราวที่เป็นส่วนสำคัญของเนื้อหาทั้งหมดใส่มาในภาพเดียว การใช้พื้นหลังสีขาว ทำให้ลายเส้นและสีสันตรงกลางโดดเด่น ส่วนสีที่เลือกใช้ระหว่างความอบอุ่นแจ่มใส(เหลือง) กับความสงบ เยือกเย็น (น้ำเงิน ฟ้า) ที่ให้ความรู้สึกปลอดภัย น่าไว้วางใจ ไม่รู้ว่าตอนลงสีผู้วาดต้องการสื่ออย่างนั้นหรือไม่ แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาเข้ากับโทนเรื่องและบุคลิกของตัวละคร รวมถึงฉากสำคัญได้ดี เล่มนี้เป็นหนึ่งในเล่มที่ส่วนตัวคงอ่านครั้งเดียว ไม่ใช่เพราะไม่ดี แต่เรื่องราวหดหู่เกินไป อ่านแล้วเห็นใจและสงสารในชะตากรรมของตัวละครตัวหนึ่งจนถึงขนาดต้องวางเพื่อพัก คือใจหนึ่งไม่อยากรู้เรื่องราวต่อจากนั้น เพราะเห็นภาพราง ๆ ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป แต่ก็อยากรู้ว่าที่แท้แล้วคนร้ายคือใครกันแน่ จึงต้องยอมหยิบขึ้นมาอ่านต่อ กว่าจะจบก็หยิบวางอยู่หลายหน เนื้อหาโดยสังเขป นายตำรวจหนุ่มคนหนึ่งตัดสินใจย้ายออกจากหอพักตำรวจโสด เพื่อมาดูแลน้องสาวอายุ 17 ปีที่จากกันมานานถึงสิบปีและอยู่ตัวคนเดียว เนื่องจากแม่ของทั้งสองเพิ่งจะผูกคอตายไปไม่นาน พ่อกับแม่ของสองคนนี้แยกทางกัน คนพี่เลือกอยู่กับพ่อ แล้วให้น้องอยู่กับแม่ แต่แม่ป่วยต้องใช้เงินรักษาจำนวนมากจึงขัดสน เคยส่งจดหมายขอความช่วยเหลือจากสามีหลายครั้ง แต่เขาไม่สนใจ กลับแต่งงานมีภรรยาใหม่และมีลูก ต่อมาพี่ชายทราบข่าวแม่ จึงเข้ามามีบทบาทต่อเพราะน้องสาวไม่เหลือใคร ในขณะเดียวกันก็เกิดคดีที่มีคนพบศพหญิงวัยรุ่น ซึ่งคาดว่าถูกฆ่าตายทิ้งไว้แถวทางเดินสีเขียวริมแม่น้ำ พี่ชายจึงต้องเข้าร่วมเป็นหนึ่งในทีมสืบสวนหาสาเหตุ โดยมีน้องสาวที่เรียนมัธยมปลาย ซึ่งค่อนข้างเฉลียวฉลาดคอยช่วยหาข้อมูลป้อนให้ ตัวละครในเรื่องเยอะ โดยเฉพาะตำรวจในทีมสืบสวน ชื่อจำยาก ทำให้เป็นปัญหากับผมอย่างมาก จำได้แค่ชื่อคู่หูของพี่ชาย และเพื่อนร่วมงานที่เป็นเหมือนคู่แข่งได้เท่านั้น ส่วนหนึ่งที่ค่อนข้างแตกต่างและโดดเด่นไปจากแนวสืบสวนเล่มอื่นคือ เล่มนี้เน้นให้เห็นภาพการทำงานของตำรวจญี่ปุ่น เวลาเกิดคดีฆาตกรรมที่มีความสมจริงมาก เพราะบทสนทนาของตำรวจที่ร่วมการสืบสวนนั้น ทำให้คนอ่านเหมือนร่วมรับฟังการประชุมอยู่ในสถานีตำรวจ และขั้นตอนวิธีในการสืบสวนของวงการนี้แบบละเอียด นี่เองที่เป็นส่วนที่ทำให้ช่วงต้นถึงเกือบครึ่งค่อนเล่มนั้น เรื่องดำเนินไปแบบเฉิบ ๆ เนิบ ๆ ออกเนือยจนอาจทำให้บางคนที่ไม่ค่อยอดทนพอ จะยอมแพ้เลิกอ่านไปก่อนได้ การเล่าเรื่องนั้นใช้วิธี แบ่งเป็นส่วน ๆ โดยการแยกเป็นบทย่อย กล่าวถึงตัวละครหลักตัวใด ก็จะเป็นมุมมองความคิดของตัวละครนั้นต่อคนรอบข้าง ซึ่งหลัก ๆ ก็มีอยู่ 5-6 คน ผู้เขียนมีความฉลาดในการสร้างปมให้กับตัวละครบางตัวที่ทำให้เกิดความน่าสงสัย จนต้องอ่านไปเรื่อย ๆ ด้วยอยากรู้ว่าคนที่น่าสงสัยนี้ จะใช่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมหรือไม่ แท้จริงเรื่องราวของการไขคดีนั้นเป็นไปอย่างเชื่องช้ายิ่ง เพราะไปเน้นเหตุการณ์แวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ของตัวละครหลักในเรื่อง ซึ่งดูเหมือนไม่น่าจะมีอะไร แต่เรื่องราวเล็ก ๆ น้อย ๆ ทั้งหลายนั้น ล้วนเป็นส่วนสำคัญที่ไม่ใช่เกิดขึ้นจากความบังเอิญ ทว่าอยู่ในแผนการที่ถูกเตรียมจัดวางไว้อย่างดีของคนร้ายตัวจริง ที่ต้องบอกแบบนี้เพราะ คนร้ายคนแรกนั้นไม่ได้ร้ายเพราะมีจิตใจอยากทำ ส่วนคนร้ายแฝงซึ่งคือตัวจริงที่ถูกเปิดเผยในตอนท้ายสุดนี้สิ.. ที่น่ากลัว เพราะร้ายด้วยจิตเจตนาอันแน่วแน่ต่อการกระทำอันร้ายกาจของตนโดยไม่ได้รู้สึกผิด เรื่องนี้ค่อนข้างมีความรุนแรงอยู่มาก ทั้งในเรื่องทางเพศที่มีความเบี่ยงเบนไปในทางผิด การใช้กำลังทำร้ายในครอบครัว การแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น เพื่อหวังความก้าวหน้าโดยไม่คำนึงถึงความควรไม่ควร ความปลิ้นปล้อน ยอกย้อนของจิตใจคน ที่ซ่อนตัวตนอันร้ายกาจไว้ภายใน ตัวละครที่ควรจะเป็นตัวหลักในการไขคดีนั้น ถูกสร้างมาเพื่อหลอกคนอ่านโดยแท้ และใครกันคือคนที่สมควรแล้วกับความตายที่ได้รับ ดังที่ชื่อเรื่องได้เกริ่นนำไว้ สำหรับคนที่ยังไม่ได้อ่านเล่มนี้ ขอให้หยุดได้ตั้งแต่บรรทัดนี้ เพราะย่อหน้าถัดไปคุณยังไม่ควรทราบ เพื่อจะไม่เสียอรรถรสก่อน ส่วนคนที่อ่านจบแล้วสามารถอ่านต่อเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้สึก ความเห็นได้ตามอัธยาศัยครับ . . . . . . . . . . . . . . นึกสงสัยพฤติกรรมและคำพูดหลายอย่างของน้องสาวตั้งแต่ช่วงต้น ๆ เล่มแล้วเชียว ยังคิดอยู่เลยว่าการผูกคอตายของแม่ จะใช่ความต้องการของเจ้าตัวจริงหรือ อาจถูกลูกสาวฆ่าหรือเปล่า แต่ก็คิดไม่ถึงว่านางจะร้ายลึกขนาดมีส่วนต่อการทำให้เกิดคดีและมีคนเสียชีวิตในภายหลัง ช่างเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นจนน่าขนลุก โดยเฉพาะเมื่อนึกถึงคำเรียกพี่ชายว่า พี่จ๋า..ทั้งที่ห่างเหินไม่ได้เจอกันเลยเป็นสิบปี ดูจะพยายามทำความสนิทสนม และปฏิบัติเอาใจจนเกินไปจากความปกติพอดีของคนทั่วไปที่ควรจะเป็น แต่ช่วงต้นก็ถูกผู้เขียนสับขาหลอกให้ไขว้เขวและสงสัยในตัวของหญิงสาวที่อาศัยอยู่กับพ่อและปู่ เพราะการไม่บอกสิ่งที่รู้เกี่ยวกับคดีแรกกับตำรวจ สุดท้ายเธอคือคนที่น่าสงสารที่สุด มีจิตใจอ่อนโยน ใสซื่อ และเป็นผู้ถูกกระทำตั้งแต่ต้นจนจบ ความคิดที่ว่าขอเพียงมีที่ซุกหัวนอน มีอาหารกินอิ่มท้อง มีคนคอยปกป้อง แม้คนนั้นจะทำไม่ดีกับเธอจนถึงขั้นล่วงเกินต่อร่างกายก็ยอม แสดงให้เห็นว่าเป็นคนหัวอ่อน ตกเป็นเหยื่อง่าย ต่างจากน้องสาวนายตำรวจราวขาวกับดำ คนนั้นก็ภายนอกสดใส ยิ้มแย้ม เป็นกันเอง เข้ากับใครง่าย เหมือนจะหวังดีให้ความช่วยเหลือคนอื่นด้วยน้ำใสใจจริง แต่ตัวตนแท้กลับกลอกกลิ้งจนกลมเกลี้ยง ทำร้ายทุกคนได้ไม่ว่าใครแม้แต่คนในครอบครัว เพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ อดคิดต่อหลังจบเล่มไม่ได้ ที่ตอนท้ายเนื้อหาระบุว่าพ่อรับเธอไปอยู่ด้วยหลังพี่ชายตาย นางคงจะวางแผนจัดการกับพ่อของตัวเอง และภรรยาของพ่อรวมถึงลูกที่เกิดจากภรรยาใหม่ด้วย เพื่อที่สุดท้ายทุกอย่างของพ่อจะได้ตกเป็นของเธอทั้งหมด ต้องเป็นอย่างนั้นแน่นอน ดูจากพฤติกรรมในเรื่องแล้ว แนวโน้มความเป็นไปได้สูงมาก สรุปว่าเป็นอีกเล่มที่เขียนได้ดีและน่าสนใจครับ แต่ไม่อาจพูดได้เต็มปากว่าชื่นชอบ ด้วยความแรงของเนื้อหาที่มืดมนนั่นเอง #นิยายแปล #นิยายญี่ปุ่น #สืบสวน #ฆาตกรรม #สำนักพิมพ์ไดฟุกุ #หนังสือแนะนำ #18+ #ความรุนแรง #เนื้อหาทางเพศ #thaitimes
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 367 Views 0 Reviews
  • #นิยายไทย
    #คู่กรรม2
    #ทมยันตี
    #หนังสือน่าอ่าน
    #thaitimes
    #14ตุลา



    อ่านจบเดือนครึ่งเกือบสองเดือนแล้วสำหรับคู่กรรม2 ของทมยันตี สองเล่ม 702 หน้า สนพ. ณ บ้านวรรณกรรม พิมพ์ที่อ่านนี้เป็นครั้งที่ 9 ปี 2552 (ยืมจากห้องสมุด) ในอดีตเคยอ่านแค่ตอนเดียวสมัยเรื่องนี้พิมพ์ลงในนิตยสาร โลกวลี ช่วงสมัยอยู่มัธยม

    เมื่อดูจากปกในที่ระบุว่ามีการรวมเล่มครั้งแรกปี 2534 เท่ากับว่าเรื่องนี้ปรากฏโฉมสู่สายตานักอ่านมาถึงปัจจุบันรวมเวลา 33 ปีล่วงแล้ว

    เคยชมภาพยนตร์ที่นำแสดงโดย คุณพล ตัณฑเสถียร และคุณศิริลักษณ์ ผ่องโชค เมื่อปี 2539 รู้สึกตอนจบรันทดหดหู่เนื่องจากลูกชายของอังศุมาลินตายเพราะช่วยลูกศิษย์ เลยไม่อยากอ่านหนังสือ แต่เพิ่งจะรู้ข้อมูลเมื่อไม่นานมานี้เองว่าบทสรุปในหนังสือนั้นต่างไปจากที่ถูกสร้างเป็นหนัง ดังนั้นจึงเกิดแรงใจในการหามาอ่านให้จบสมบูรณ์ หลังจากที่เคยอ่านภาคแรกจบตั้งแต่สามสิบกว่าปีก่อน

    พบคำผิดประปรายในการพิมพ์ครั้งที่ 9 บางคำก็ได้ความรู้เพิ่มเติมว่าสามารถเขียนได้สองแบบ เช่นคำว่า กระแหนะกระแหน ซึ่งเขียนว่า กระแนะกระแหน ก็ได้ ที่ผ่านมาตัวเองคุ้นชินกับการเขียนแบบมี ห นำหน้ามาตลอด พอเห็นว่าในหนังสือใช้เป็นแบบไม่มี ห นำ ยังคิดว่าน่าจะพิมพ์ผิด เมื่อลองค้นจึงค่อยทราบว่าไม่ผิด ซึ่งในเล่มช่วงแรก ก็ไม่มี ห แต่พอช่วงหลังมี ห โผล่มาซะงั้น อดคิดไม่ได้ว่าตกลงจะเลือกใช้แบบไหนก็น่าจะเอาสักทาง ให้เหมือนกันตลอดทั้งเรื่อง

    จากนี้ไปจะยาวมากครับ คงมีคนอ่านไม่มาก ถ้าใครอ่านต่อจนจบได้ขอโปรดรับคำขอบคุณมา ณ โอกาสนี้ด้วย

    ในส่วนเนื้อเรื่องของภาคนี้ ดำเนินต่อจากความตายของโกโบริ คืออังศุมาลินท้องแก่และคลอดลูกชาย ให้ชื่อว่ากลินท์ที่หมายถึงพระอาทิตย์ ชื่อญี่ปุ่น โยอิจิ โยหมายถึงดวงอาทิตย์ อิจิคือลูกคนแรก พ่อของอังศุมาลินยังคงห่วงใยคนรักเก่าและลูกสาวที่บ้านสวน จึงมาบอกข่าวว่าอีกไม่นานญี่ปุ่นคงจะแพ้สงคราม ซึ่งจะส่งผลกระทบมาสู่แม่อร อังศุมาลินและลูกโดยตรง จึงอยากจะช่วยเหลือ แต่แม่อรปฏิเสธ ไม่ใช่แค่คนเป็นพ่อที่ห่วงใย แม้ตาผลตาบัวสองคู่หูคู่หอย ก็หมั่นนำข่าวมาบอกว่าอีกไม่นานพลพรรคจะนัดกันลุกฮือต่อสู้ญี่ปุ่น รวมถึงวนัสที่ได้รับอิสระจากความช่วยเหลือของโกโบริก่อนตาย จึงกลับมาหาอังศุมาลินเพื่อบอกข่าวและถามเธอว่าจะยอมแต่งงานกับเขาไหม เพื่อจะได้แก้ไขปัญหาที่กำลังจะเกิด แต่อังศุมาลินปฏิเสธ เธอยินดีที่จะอยู่ดูแลลูกต่อไปในบ้านสวน ไม่ย้ายหนีไปไหนทั้งนั้น แล้วคุณยายแม่ของแม่อร และยายของอังศุมาลิน ก็จากไปเป็นคนแรกของภาคนี้ แต่เป็นการจากอย่างสงบ เตรียมตัวตายอย่างดี ไปถือศีลอยู่วัดไม่ต้องลำบากลูกหลาน

    เวลาผ่านไป ในที่สุดญี่ปุ่นแพ้สงครามพ่อของอังศุมาลินมาบอกทุกคนที่บ้านสวนว่าจะเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ช่วงบั้นปลายชีวิต ทุกคนร่วมอนุโมทนา หลังบวชท่านต่างจากพระอื่นในวัด ไปอยู่กุฏิเล็กโทรมเพียงรูปเดียว ฉันวันละมื้อ และปฏิบัติเคร่งครัดจนชาวบ้านพากันโจษจันไปทั่วคุ้งน้ำ ด้านเด็กชายกลินท์เจริญวัยขึ้น ได้รับความเอาใจใส่จากแม่ และปู่คือตาผลตาบัวที่อุปโลกน์ตนเอง โดยเล่าเรื่องราวต่างๆของแม่และโกโบริให้กับเด็กชายฟัง ก่อนที่ทั้งคู่จะทยอยตายจากไปเช่นกัน จึงเหลือเพียงแม่อร ที่มักไปอยู่วัดบ่อยเหมือนเช่นทวดของกลินท์ นาน ๆ ครั้งกลินท์จึงได้ติดตามยายกับแม่ไปกราบท่าน กาลล่วงเลยจนเด็กชายเติบใหญ่เป็นหนุ่มวัย 27 ปี ดีกรีอาจารย์สอนเศรษฐศาสตร์ที่ ม.ธรรมศาสตร์ เป็นที่ชื่นชอบในบรรดาเหล่าลูกศิษย์โดยเฉพาะนักศึกษาหญิง

    ขณะที่เมืองไทยเข้าสู่ช่วงปีที่ในกรุงเทพกำลังเกิดกระแสตื่นตัวต่อต้านสินค้าและอื่นใดที่มาจากญี่ปุ่น ซึ่งสร้างชาติอย่างรวดเร็วภายหลังแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง โดยเน้นทางด้านเศรษฐกิจ ทำให้โยอิจิที่มีปมเป็นลูกที่มีเลือดญี่ปุ่นครึ่งหนึ่ง นึกรังเกียจไม่พอใจชาติกำเนิดตนเอง ต่อต้านพ่อที่ตายไปแล้ว และไม่เข้าใจแม่ จึงกลายเป็นคนที่ให้คำแนะนำแก่บรรดาศิษย์หัวรุนแรง ก้าวหน้า ฝักใฝ่ปลดแอกประชาชนจากการเป็นทาสทุนนิยมบริโภคและทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับญี่ปุ่น โดยไม่มีใครรู้ความจริงของพ่ออาจารย์

    ทางบ้านสวน แม้โยอิจิจะรักแม่มาก แต่ขณะเดียวกันใจก็ยังไม่ยอมรับพ่อ กลายเป็นเหมือนเด็กน้อยที่เอาแต่ใจ รั้น และดื้อเงียบ แต่เขาเข้ากันได้อย่างดีกับลุงวนัสที่สนิทสนมมาแต่เด็ก เข้าออกบ้านลุงบ่อย ตั้งแต่กำนันพ่อของวนัสยังมีชีวิตอยู่จนตายไปในเวลาต่อมา วนัสทำธุรกิจหลายอย่าง รวมถึงการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงบ้านเรือนไทยของตนให้เป็นที่ทำงานด้วย วนัสไม่ยอมแต่งงานสักทีตั้งแต่อกหักจากอังศุมาลิน แม้โยอิจิจะรู้ว่าวนัสมีการคบหาทำธุรกิจกับพวกคนญี่ปุ่น เขาไม่เห็นด้วยแต่ก็ยังรักชอบในฐานะลุงเช่นเดิม

    ส่วนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ซึ่งเขาเป็นอาจารย์สอนอยู่นั้น เขาคอยเป็นที่ปรึกษาให้กับกลุ่มนิสิตนักศึกษาระดับผู้นำหลายคนที่เรียกร้องรัฐบาลให้บอยคอตคนญี่ปุ่นรวมถึงธุรกิจ สินค้าทุกชนิด โดยที่ไม่มีใครรู้ความจริงว่าเขามีพ่อเป็นใคร ขณะที่มีอาจารย์สาวคนหนึ่งชื่อ ชิตาภา หน้าตาดี ครอบครัวเป็นชาวจีนมีอันจะกินที่มาตั้งรกรากสร้างตัวจนกลายเป็นมีกิจการค้ารุ่งเรือง มักชอบเข้าหามาชวนเขาสนทนาอยู่บ่อยครั้ง ดูเหมือนเธอจะพึงใจในตัวโยอิจิอยู่บ้าง และน่าจะมีอะไรที่มากกว่านั้น แต่เขาไม่สนใจ มักคุยด้วยไม่นาน และสร้างขอบเขตส่วนตัวที่กันคนอื่นออกไปอยู่วงนอกเสมอ ไม่ยอมให้ใครเข้าถึงความในใจตนได้

    แล้ววันหนึ่งนักศึกษาสาวปีสามรัฐศาสตร์นามว่า ศราวณี ผู้เป็นแกนนำหัวรุนแรงที่ต่อต้านคนญี่ปุ่นและสินค้าญี่ปุ่น รวมถึงต่อต้านรัฐบาลทหารในช่วงนั้น ซึ่งรู้ความจริงเรื่องของพ่อโยอิจิ และมีความคับแค้นจากปมในครอบครัวตนซึ่งแม่ตายตั้งแต่เด็ก ถูกเลี้ยงดูมาจากยายและป้าที่เป็นพี่สาวของแม่ และเข้าใจผิดฝังหัวมาตลอดเกี่ยวกับครอบครัวบ้านสวนของอังศุมาลิน ที่มาแย่งชิงความรักไปจากคุณตาของเธอ เพราะทั้งยายและป้ามักเล่าความหลังโดยบิดความจริงแล้วใส่สีตีไข่ บริภาษแม่อรว่าคือผู้เป็นเมียน้อยที่แย่งความรักไป ทำให้ครอบครัวฝั่งยายลำบาก และโดนแย่งสมบัติไปหมด แม่และป้าจึงโตมาอย่างยากแค้นจนแม่ตายไปและป้าต้องรับเลี้ยงศราวณีต่อมาอย่างลุ่ม ๆ ดอน ๆ ทำให้ป้ามักอารมณ์เสียใส่เธอเสมอตั้งแต่เด็กจนโต เพาะเป็นความเกลียดชังต่อครอบครัวฝั่งบ้านสวน ทั้งที่ตัวเองไม่เคยพบหน้าอีกฝ่าย จนเมื่อเข้ามาเป็นนักศึกษาและพบว่าโยอิจิสอนหนังสืออยู่ที่ธรรมศาสตร์ จึงพุ่งความโกรธเกลียดที่ตนเคยได้รับจากป้ามารวมอยู่ที่อาจารย์ทั้งหมด จนกระทั่งบอกความลับเรื่องพ่อของโยอิจิออกไปให้พวกเพื่อนกลุ่มหัวรุนแรงด้วยกันรับรู้

    วันที่พวกเธอและเพื่อนตามตัวให้โยอิจิมาที่ห้องซึ่งเป็นที่รวมพลเพื่อพูดคุยเรื่องจะทำอะไรต่อไป แล้วใครคนหนึ่งได้กล่าวเปิดโปงเรื่องโกโบริ และพูดจาดูถูกเหยียดหยามเชื้อชาติของพ่อ วินาทีนั้นเองโยอิจิกลับเพิ่งเข้าใจหัวใจตนเองเป็นครั้งแรกในชีวิต 27 ปีที่ผ่านมา ว่าแท้จริงเขารักพ่อและเทิดทูนในเกียรติยศของทหารหาญมากแค่ไหน เขายอมรับอย่างตรงไปตรงมาด้วยท่าทีแสดงออกถึงความภูมิใจในสายเลือดแห่งตนด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมพลัง ที่สามารถสยบเสียงโห่ฮาขับไล่ของเหล่านักศึกษาให้สงบลงได้ นั่นคือครั้งแรกเช่นกันที่สร้างความประหลาดใจแกมรู้สึกผิดอยู่เบื้องลึกให้เกิดขึ้นในหัวใจของศราวณี ที่ไม่นึกฝันว่าโยอิจิจะกล้ายอมรับอย่างไม่สะทกสะท้าน

    นับตั้งแต่วันนั้น โยอิจิเหมือนได้รับการปลดล็อกออกจากห้องขังที่ตนเองสร้างขึ้นเพื่อหนีความจริงสุดลึกที่เก็บกดไว้ เขาเข้าใจถึงความรักของแม่อันเป็นที่รักที่มีต่อพ่อชาวญี่ปุ่นอย่างท่วมท้นหัวใจแล้ว พ่อไม่เคยทำสิ่งไม่ดี มีแต่ทำตามหน้าที่ของชายชาติทหารที่ได้รับมอบหมาย ไม่ได้ทำไปด้วยความจงเกลียดจงชัง โยอิจิกลับไปที่บ้านสวนในเย็นวันนั้นอย่างคนที่บาดเจ็บสาหัส ไม่ใช่ทางกาย แต่ได้รับความกระทบกระเทือนทางใจอย่างรุนแรง อังศุมาลินรับรู้ได้ด้วยสายตาและหัวใจของคนเป็นแม่ แม้ไม่รู้ว่าลูกชายพบเจอเรื่องใดมาทำได้แค่ยกสองมือขึ้นโอบกอดถ่ายเทความรักความอบอุ่นที่มีให้กับลูกชายด้วยความเข้าใจอย่างสงบ

    โยอิจิไม่รู้ความจริงว่าศราวณีคือน้องสาวที่เป็นลูกพี่ลูกน้อง เกิดจากน้องสาวต่างมารดาของอังศุมาลิน มีเพียงอาจารย์ชิตาภาที่ทราบ เพราะเธอเป็นญาติที่มีศักดิ์เป็นคุณน้าของศราวณี แต่ยังไม่อาจเล่าให้เขาฟัง โยอิจิยังคงสงสัยและเคลือบแคลงว่าชิตาภาประสงค์สิ่งใดแน่จึงมักหาเหตุมาใกล้ชิดชวนสนทนากับตน

    ด้วยความรู้สึกผิดเกาะกินจากภายใน รวมถึงปัญหาต่าง ๆ รุมเร้า แม้ใจจะต่อต้านพี่ชายอย่างอาจารย์กลินท์ แต่เบื้องลึกเธอกลับมีความรู้สึกที่ดี รักเคารพในชายคนนี้อย่างไม่รู้ตัว วันหนึ่งโยอิจิพบเธอนั่งซึมอยู่ที่ท่าเรือ เหมือนรอคอยจะพบเขาและตามลงเรือมาที่บ้านสวนด้วย ศราวณีจึงได้พบกับสรวงสวรรค์บ้านเรือนไทยหลังเดียวในย่านนั้นที่ยังคงสภาพเหมือนเดิมกับช่วงเกิดสงคราม ในขณะที่บ้านหลังอื่นเปลี่ยนแปลงไปสร้างตามอย่างต่างชาติหมด เธอพบบรรยากาศที่ร่มรื่นชื่นเย็น สงบสุขอย่างไม่เคยได้รับยามเมื่อกลับถึงบ้านที่อยู่กับป้า ยิ่งเมื่อได้พบเจออังศุมาลิน ภาพที่เคยคิดไว้กลับตรงข้ามกับสิ่งที่เห็นและได้ยินทุกอย่างต่างจากที่ยายและป้าได้พูดใส่หูเธอมาตลอด เธอรู้สึกได้รับความสุข สงบ สบายใจและผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยเกิด และเริ่มเปลี่ยนความคิดที่มีต่อครอบครัวของโยอิจิ

    ทางด้านหลวงพ่อ หลังจากบวชเพื่อปฏิบัติอย่างเอาจริงอยู่จนล่วงเข้าสู่ปัจฉิมวัย ที่สุดก็มรณภาพอย่างสงบในท่านั่งสมาธิอยู่ในกุฏิ ทำให้ชาวบ้านโจษจันต่างศรัทธานับถือ จนเจ้าอาวาสและทางกรรมการวัดเห็นเป็นโอกาสในการสร้างเรื่องเรียกคนเข้ามาทำบุญเพิ่ม ด้วยการยกให้หลวงพ่อเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาทันที ทั้งที่ตอนมีชีวิต ไม่ใคร่สนใจ

    ที่บ้านสวนส่วนใหญ่อังศุมาลินอยู่บ้านคนเดียว ทำงานบ้านดูแลอาหารการกินเตรียมไว้ให้ลูกชาย ทว่าเริ่มมีอาการป่วยที่ค่อย ๆ รุนแรงมากขึ้นจนต้องแอบไปที่ศิริราช โดยมีเจ้าโก๊ะเด็กชายตัวน้อย ลูกของคนจรจัดหญิงชายที่มาขออาศัยอยู่ในสวนด้านหลังบ้านตามไปเป็นเพื่อน พ่อแม่ของโก๊ะนั้นเป็นประเภทไม่ชอบทำมาหากิน ขี้เหล้าเมายา เล่นพนันไปตามเรื่อง อังศุมาลินเคยหวังดีเอ่ยปากแนะนำให้ตั้งตัวขยันทำกินหลายครั้ง แต่ทั้งสองไม่สนใจ เอาแต่เก็บผักผลไม้จากในสวนของแม่อรและอังศุมาลิน มากินและขายด้วยถือวิสาสะว่าเหมือนของตน และมักใช้ให้โก๊ะมาขอเงินจากอังศุมาลินบ่อย ๆ

    ส่วนเหตุการณ์ทางด้านการบ้านการเมืองกลับทวีความรุนแรง คุกรุ่นขึ้นเรื่อย ๆ บรรดานักศึกษาต่างรวมตัวกันในสถาบันหลายแห่ง รวมถึงขึ้นเวทีพูดปลุกระดมให้ชาวบ้านฟังและเข้าร่วมสนับสนุนฝ่ายตนมากขึ้น ขณะที่ยื่นคำขาดต่อรัฐบาลให้ปฏิบัติตามข้อเรียกร้องที่ร่างขึ้น เหตุการณ์ช่วงปี พ.ศ. 2516 เริ่มขมวดปมความขัดแย้งระหว่างฝ่ายผู้บริหารกับฝ่ายนักศึกษา ผ่านสายตาของโยอิจิและชิตาภาที่คอยเฝ้ามองอย่างห่าง ๆ ด้วยความเป็นห่วงในตัวศิษย์ แม้เคยกล่าวเตือนในหลายครั้งให้ศราวณีระมัดระวัง อย่าทำอะไรที่ผลีผลาม หุนหันพลันแล่น แต่อย่างไรเด็กก็คือเด็ก เมื่อเขามีความเชื่อฝังหัวไปทางด้านหนึ่ง ก็ขาดความใคร่ครวญพิจารณาอย่างรอบถ้วน และมองไม่เห็นถึงภัยร้ายที่จะบังเกิดขึ้นในเมื่อทุกสิ่งถูกปลุกเร้าเข้าสู่ห้วงวิกฤต

    สุดท้ายถึงวันแตกหักอันเป็นเหตุการณ์วิปโยคของคนไทยทุกคน จะเกิดอะไรขึ้นบ้างกับโยอิจิ ชิตาภา และศราวณี ในขณะที่อังศุมาลินนั้นก็มีอาการเจ็บป่วยที่มักเหนื่อยง่าย หน้าซีดจะเป็นลมบ่อย แต่ปิดไว้ไม่ให้ลูกชายรู้ ดูเหมือนเวลาชีวิตของเธอจะเหลืออีกไม่มากก่อนจะได้ตามไปอยู่กับโกโบริ สรุปสุดท้ายของนิยายจะลงเอยอย่างไรไปอ่านต่อได้ในคู่กรรม 2 ครับ

    🖋วิเคราะห์หลังอ่านจบ

    มีทั้งส่วนที่ชอบและไม่ชอบ ภาคนี้ต่างไปจากภาคแรกอย่างชนิดเหมือนเป็นนิยายคนละเรื่อง คนละแนวทาง คือภาคแรกมีความเป็นนิยายรักระหว่างรบ ที่มีทั้งปมความรัก ความขัดแย้งในตัวตนกับคนที่คิดว่าคือศัตรูเป็นแกนหลัก เน้นไปทางอารมณ์ความรู้สึกของอังศุมาลินและโกโบริ โดยมีเหตุการณ์น้อยใหญ่ที่เข้ามาสร้างให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างกันของทั้งสองเพิ่มขึ้นทีละน้อยจนถึงขั้นรัก แต่ไม่อาจเปิดใจเพราะติดที่กรอบซึ่งถูกสร้างขึ้นจากทั้งอังศุมาลินเอง และสังคมสร้างให้กลายเป็นขื่อคาที่ตรึงรั้งใจไว้ให้มิอาจแสดงออกถึงความรักได้ดังเช่นคู่สามีภรรยาปกติ จนนำไปสู่บทสรุปอันเจ็บปวดและขมขื่นในตอนท้ายเรื่องที่สร้างความจดจำและสะเทือนใจให้กับคนอ่านอย่างยิ่ง กลายเป็นอมตะนิยายรักแห่งโศกนาฏกรรมที่คนไทยรู้จักมากที่สุดเรื่องหนึ่ง

    มาในภาคนี้ เนื้อหาโครงสร้างหลักกลับเน้นไปที่ความมองโลกของคนเป็นแม่อย่างคนที่ผ่านประสบการณ์การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตมาแล้ว และจะเลือกเดินหน้าต่อไปอย่างไรในสถานการณ์ที่คนไทยส่วนใหญ่เกลียดชังญี่ปุ่น ในขณะที่เธอคือภรรยาหม้ายและมีลูกชายสายเลือดที่เกิดจากทหารญี่ปุ่น ตลอดทั้งเล่มนี้ในความรู้สึกส่วนตัว ผมมองว่านี่คือนิยายธรรมะเล่มหนึ่งทีเดียว เพียงแต่ไม่ใช่ธรรมะที่เป็นคำบรรยายเทศน์ของพระผู้เป็นองค์ธรรมกถึก หากแต่เป็นหนังสือธรรมะที่นำพล็อตของนิยายมาสวม จึงพบได้ในหลายย่อหน้า แทบทุกตอนที่ผู้เขียนสอดแทรกแนวคิดหลักธรรมทางพุทธตามแนวที่ท่านเชื่อเป็นทางที่ถูกตรงลอยอบอวลอยู่ในการบรรยาย เหมือนตัวละครและฉากเหล่านั้นคือตัวแทนหรือเครื่องมือที่ต้องการสื่อสอนธรรมะไปสู่ผู้อ่านอยู่ตลอด โดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องราวของความตาย ดังจะเห็นได้จากมีการจากไปของตัวละครเดิมที่มีบทบาทจากภาคแรก คนแล้วคนเล่า เริ่มตั้งแต่คุณยาย ตาผลตาบัว หลวงพ่อ และกำลังใกล้ตายอย่างอังศุมาลิน ทำนองแสดงสัจธรรมชีวิต

    หลายช่วงตอนที่มีการหยิบยกบทกลอนร้อยกรองจากในวรรณคดีไทย หรือที่ผู้เขียนแต่งขึ้น รวมถึงวลี ประโยคภาษาอังกฤษจากบทเพลง บทกวีต่าง ๆ ของทางตะวันตกมาใช้เพื่อสื่อแสดงถึงความรู้สึกของผู้เขียนที่ต้องการสะท้อนผ่านเรื่องราวของเหตุการณ์แวดล้อมรอบตัวโยอิจิ และตัวละครสำคัญ จนบางทีก็ดูมากไป อ่านไปเรื่อย ๆ อดที่จะคิดไม่ได้ว่าเล่มนี้ มีความคล้ายกันกับอีกเล่มของทมยันตีที่มีชื่อว่า จดหมายถึงลูก(ผู้)ชาย ที่เน้นสอนลูกของผู้เขียนเองและคนเป็นลูกชายทุกคน ด้วยการแทรกแนวคิดคำสุภาษิตไว้ในเนื้อหาตลอดเล่ม

    แล้วการเขียนลักษณะนี้ดีหรือไม่อย่างไร?

    คงขึ้นกับความชื่นชอบส่วนบุคคลของผู้อ่านที่มีรสนิยมแตกต่าง ส่วนผมเองนั้นไม่ถึงกับเรียกได้ว่าชอบทว่าก็ไม่ขัดใจมากมาย แต่ยอมรับว่าทมยันตีเป็นหนึ่งในนักเขียนที่มีความไม่ธรรมดาในด้านศึกษาธรรมะในพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้งหาตัวจับยาก แล้วนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการเขียนได้เก่งมากคนหนึ่งในเหล่านักเขียนรุ่นเก่า หากจะติบ้างก็คงเป็นความเข้าใจในทางหลักธรรมที่นำมาสอดแทรกไว้ในคู่กรรม2 นั้น ยังเป็นความเข้าใจที่เหมือนเช่นคนปฏิบัติธรรมทั่วไปในไทยเข้าใจกันว่าถูกต้อง คือเน้นการนั่งสมาธิเดินจงกรมว่าคือวิธีที่จะนำไปสู่การลดละกิเลสจนนำไปสู่ความหลุดพ้นได้ ดังที่ตัวละครหลวงพ่อในเรื่องได้ปฏิบัติและพูดคุยสอนธรรมกับโยอิจิ หรือแม่อร อังศุมาลิน ซึ่งโดยแท้จริงการปฏิบัติควรเน้นไปที่การมีสติอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกที่จะจับอาการกิเลสแล้วกำจัดทิ้ง ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถใด ไม่ว่ายืน เดิน นั่ง นอน หรืออิริยาบถย่อยอื่น ไม่ใช่เพียงแค่ตอนนั่งสมาธิเดินจงกรมเพียงเท่านั้น เพราะในชีวิตจริงมนุษย์ไม่อาจจะบังคับตนให้อยู่เพียงแค่ท่านั่งสมาธิต่อเนื่องยาวนานไปจนชั่วชีวิต

    นอกจากประเด็นที่กล่าวถึงนี้แล้วที่มีความเห็นไม่ตรงกับผู้เขียน ทางด้านอื่นถือว่าผมชอบนิยายเรื่องนี้ไม่น้อยทีเดียว โดยเฉพาะการมองโลกที่มองทะลุถึงความเป็นจริงของสังคมไทย ลักษณะนิสัย ที่เจาะลึกให้เห็นว่าแม้นในอดีตสมัยสงครามคนไทยเป็นอย่างไร ปัจจุบันในยุคนี้ก็ยังคงพบเห็นได้ว่าไม่แตกต่างกันนัก จึงถือว่านิยายเล่มนี้ไม่ล้าสมัย โดยเฉพาะด้านการบ้านการเมืองที่ผู้มีอำนาจในฝ่ายรัฐ มักเลือกใช้วิถีทางแห่งความรุนแรงในการสยบปัญหาอยู่เสมอ โดยมีมือที่สามที่คอยฉวยโอกาสสร้างสถานการณ์ ยั่วยุ ปลุกปั่น และล่อลวงให้คู่กรณีระหว่างรัฐกับนักศึกษาและประชาชนปะทะแตกหัก จนเกิดความสูญเสีย อันมีแต่หายนะต่อประเทศชาติ

    ศราวณี คือตัวแทนที่เปรียบให้เห็นเด่นชัด ไม่ว่ายุคใด เหล่าเด็กหนุ่มสาวอนาคตชาติ มักถูกกระตุ้น ให้ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน และปลุกเร้าจุดไฟติดได้โดยง่าย ด้วยพวกเขามีพลังงานล้นเหลือ เมื่อเลือกเชื่อไปทางใดทางหนึ่งแล้ว บางทีก็พุ่งไปข้างหน้าอย่างสุดกำลังโดยไม่ทันได้ใคร่ครวญ ยั้งคิด หรือพิจารณาทัศนียภาพรอบข้างระหว่างทางที่มุ่งไปให้ถี่ถ้วนรอบคอบ จึงมักตกเป็นฝ่ายที่ถูกหลอกใช้เป็นเครื่องมือให้ไปตายแทนคนบงการแท้จริงเบื้องหลังเสมอ

    และเมื่อเกิดความสูญเสียแล้วก็เป็นเช่นดังอะไหล่เลวที่โดนใช้แล้วทิ้งโดยไร้ความเสียดาย หรือจำเป็นต้องดูแลอย่างใดต่อไป กว่าพวกเขาจะรู้ตัว ความผิดพลาดพลั้งเผลอก็เกิดขึ้นและไปไกลเกินกว่าตนเองจะหยุดยั้ง ควบคุมและแก้ไขสถานการณ์ได้เสียแล้ว ดังจุดจบของตัวละครในเรื่องนี้หลังเหตุการณ์วันที่ 14 ตุลาคม 2516 ความเก่งกล้า ไม่ยอมใคร ไม่ฟังอาจารย์ ความร้อนเร่าเอาแต่ใจ รั้นจะทำในสิ่งที่ตนคิดให้จงได้ ทว่าสุดท้ายกลับกลายพาเพื่อน คนที่ไม่รู้อะไรแต่ก็ตามกันไป ไปพบกับการบาดเจ็บล้มตายต่อหน้าต่อตา ถึงกับกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง หลบหนีตายจ้าละหวั่น กระทบกระเทือนถึงสภาพจิตใจอย่างรุนแรงจนแทบจะกลายเป็นบ้าไป เธอจึงได้รับบาดแผลลึกที่เสียใจก็ไม่ทันแล้ว กับไฟที่ตอนแรกเพียงแค่เหมือนไฟจากปลายก้านไม้ขีดในมือที่ขยับนิดเดียวก็ดับ สุดท้ายมันกลับกลายเป็นไฟกองใหญ่ที่โหมไหม้รวดเร็ว ลามเลียทำลายทุกสิ่งอย่างไม่อาจดับได้ด้วยแค่กำลังตนเอง

    นอกจากนี้ที่ชอบก็มีในส่วนของการใช้ภาพตัวละครในเรื่องอย่างครอบครัวของเจ้าโก๊ะ ที่สะท้อนภาพตัวแทนของชนชั้นล่างได้ชัดเจน ความเหลื่อมล้ำที่เหล่านักศึกษามักนำมาเป็นคำขวัญ ชูประเด็นเพื่อเรียกร้อง และรังเกียจเคียดแค้นเหล่าชนชั้นศักดินา ดังเช่นอาจารย์ชิตาภาที่ครอบครัวเป็นชาวจีนโพ้นทะเลที่มาไทยอย่างเสื่อผืนหมอนใบ แต่ขยันขันแข็งและสร้างตัวจนมีทรัพย์ ร่ำรวยมีอันจะกินและสร้างธุรกิจด้วยการค้าขายขยับขยายฐานะ จนเลื่อนจากชนชั้นแรงงานต่างด้าวมาเป็นพ่อค้าวาณิชย์ที่มีกิจการมากมายและถูกแปะป้ายให้กลายเป็นศักดินาไป จนถูกมองว่าเป็นความผิดความเลวที่เข้ามากอบโกยนั้น หรือแม้แต่วนัสที่เป็นคนไทยแต่มีหัวในทางธุรกิจการค้า จึงติดต่อซื้อขายกับคนต่างชาติอย่างญี่ปุ่นหรือชาวตะวันตกจนมีฐานะเข้าขั้นเศรษฐี ทั้งที่ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นพวกเสรีไทย แต่ในภาคนี้เรียกได้ว่าแปะป้ายศักดินาตามความหมายของเหล่านักศึกษาได้เช่นกัน

    หากมองความจริงในอีกแง่มุม ย่อมเห็นได้ว่าคนไทยเองที่เป็นชนชั้นกรรมาชีพจำนวนมากนั้นมีสันดานเป็นอย่างพ่อและแม่ของเจ้าโก๊ะ ที่เอาแต่ชื่นชอบอยู่อย่างสบายไม่ต้องทำการทำงาน วันทั้งวันเอาแต่เมาหัวราน้ำ แม้นมีคนหยิบยื่นความช่วยเหลือหวังให้สร้างตัวเพื่อตั้งตนได้ แต่ก็ไม่กระตือรือร้นสนใจ หนักไม่เอาเบาไม่สู้ อยากแต่จะขอเขากินไปเรื่อย ๆ อาศัยความเมตตาและมีน้ำใจของครอบครัวแม่อรและอังศุมาลินเป็นเครื่องมือ เพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตอย่างคนขี้เกียจ รักสบายได้ต่อไป มีเงินก็หมดไปกับเหล้ายาและการพนัน เงินหมดก็ใช้ให้โก๊ะไปไถขอเอาใหม่ ด้วยรู้จุดว่าถ้าให้เด็กมาขออย่างไรก็ได้ นี่ไม่อาจยอมรับว่าไม่ว่าจะในนิยายซึ่งอยู่ในยุคหลังสงคราม หรือปัจจุบันที่ล่วงเลยมาอีกหลายสิบปี ก็ยังมีคนไทยที่เป็นเช่นนี้อีกเป็นจำนวนมาก แล้วจะไปโทษว่าแต่ความเหลื่อมล้ำเพราะชนชั้นได้เช่นไร ในเมื่อตนเองยินดีทำตนให้เป็นไปเช่นนั้น

    อังศุมาลินและโยอิชิคือตัวแทนของชนชั้นกลางที่น่าสนใจ ทั้งสองมีความรู้ตามทันยุคสมัยของความเปลี่ยนแปลง แต่ไม่หลงใหลปล่อยให้กระแสเชี่ยวแห่งคลื่นทุนนิยมเข้าครอบงำ ยังคงดำเนินชีวิตทั้งรูปแบบ และวิถีตามอย่างวัฒนธรรมอันดีงามในอดีตที่บรรพบุรุษสร้างไว้ ไม่ว่าจะเรือนพักอาศัยที่ไม่รื้อทิ้งหลังเก่าแล้วสร้างใหม่ และพยายามสงวนที่ดินสวนหลังบ้านไว้ปลูกผักปลูกไม้ผลให้พอเก็บกินไม่เดือดร้อน ในขณะครอบครัวอื่นขายที่ให้นายทุน และสร้างบ้านปูนกันไปเกือบหมด

    ภาพความขัดแย้งที่เห็นได้ชัดเจนนี้เองที่เป็นความงดงาม แม้นลำคลองจะไม่เหมือนเดิม คนไทยทิ้งขยะสิ่งปฏิกูลลงน้ำ ทำลายต้นกำเนิดรากเหง้าสายธารแห่งชีวิตของตนเอง ทำให้ปลา กุ้ง หอย สัตว์น้ำที่เคยมีลดน้อยจนกระทั่งหายไปไม่เหมือนก่อน เมื่อมาถึงยุคสมัยที่เรามีชีวิตอยู่นี้ เราจึงต้องแบกรับผลพวงที่ตามมาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง เราไม่ชอบ เราบ่นหรืออาจถึงขั้นก่นด่าคนรุ่นก่อน แต่เราเองก็ละเลยไม่ได้มองกลับเข้ามาในตน ว่าในแต่ละวันได้ทำอะไรที่เป็นไปในทางที่ทำร้าย ทำลายวิถีไทย สิ่งแวดล้อม สังคม วัฒนธรรมและประเพณีอันดีมากน้อยขนาดไหนอย่างไรบ้าง
    #นิยายไทย #คู่กรรม2 #ทมยันตี #หนังสือน่าอ่าน #thaitimes #14ตุลา อ่านจบเดือนครึ่งเกือบสองเดือนแล้วสำหรับคู่กรรม2 ของทมยันตี สองเล่ม 702 หน้า สนพ. ณ บ้านวรรณกรรม พิมพ์ที่อ่านนี้เป็นครั้งที่ 9 ปี 2552 (ยืมจากห้องสมุด) ในอดีตเคยอ่านแค่ตอนเดียวสมัยเรื่องนี้พิมพ์ลงในนิตยสาร โลกวลี ช่วงสมัยอยู่มัธยม เมื่อดูจากปกในที่ระบุว่ามีการรวมเล่มครั้งแรกปี 2534 เท่ากับว่าเรื่องนี้ปรากฏโฉมสู่สายตานักอ่านมาถึงปัจจุบันรวมเวลา 33 ปีล่วงแล้ว เคยชมภาพยนตร์ที่นำแสดงโดย คุณพล ตัณฑเสถียร และคุณศิริลักษณ์ ผ่องโชค เมื่อปี 2539 รู้สึกตอนจบรันทดหดหู่เนื่องจากลูกชายของอังศุมาลินตายเพราะช่วยลูกศิษย์ เลยไม่อยากอ่านหนังสือ แต่เพิ่งจะรู้ข้อมูลเมื่อไม่นานมานี้เองว่าบทสรุปในหนังสือนั้นต่างไปจากที่ถูกสร้างเป็นหนัง ดังนั้นจึงเกิดแรงใจในการหามาอ่านให้จบสมบูรณ์ หลังจากที่เคยอ่านภาคแรกจบตั้งแต่สามสิบกว่าปีก่อน พบคำผิดประปรายในการพิมพ์ครั้งที่ 9 บางคำก็ได้ความรู้เพิ่มเติมว่าสามารถเขียนได้สองแบบ เช่นคำว่า กระแหนะกระแหน ซึ่งเขียนว่า กระแนะกระแหน ก็ได้ ที่ผ่านมาตัวเองคุ้นชินกับการเขียนแบบมี ห นำหน้ามาตลอด พอเห็นว่าในหนังสือใช้เป็นแบบไม่มี ห นำ ยังคิดว่าน่าจะพิมพ์ผิด เมื่อลองค้นจึงค่อยทราบว่าไม่ผิด ซึ่งในเล่มช่วงแรก ก็ไม่มี ห แต่พอช่วงหลังมี ห โผล่มาซะงั้น อดคิดไม่ได้ว่าตกลงจะเลือกใช้แบบไหนก็น่าจะเอาสักทาง ให้เหมือนกันตลอดทั้งเรื่อง จากนี้ไปจะยาวมากครับ คงมีคนอ่านไม่มาก ถ้าใครอ่านต่อจนจบได้ขอโปรดรับคำขอบคุณมา ณ โอกาสนี้ด้วย ในส่วนเนื้อเรื่องของภาคนี้ ดำเนินต่อจากความตายของโกโบริ คืออังศุมาลินท้องแก่และคลอดลูกชาย ให้ชื่อว่ากลินท์ที่หมายถึงพระอาทิตย์ ชื่อญี่ปุ่น โยอิจิ โยหมายถึงดวงอาทิตย์ อิจิคือลูกคนแรก พ่อของอังศุมาลินยังคงห่วงใยคนรักเก่าและลูกสาวที่บ้านสวน จึงมาบอกข่าวว่าอีกไม่นานญี่ปุ่นคงจะแพ้สงคราม ซึ่งจะส่งผลกระทบมาสู่แม่อร อังศุมาลินและลูกโดยตรง จึงอยากจะช่วยเหลือ แต่แม่อรปฏิเสธ ไม่ใช่แค่คนเป็นพ่อที่ห่วงใย แม้ตาผลตาบัวสองคู่หูคู่หอย ก็หมั่นนำข่าวมาบอกว่าอีกไม่นานพลพรรคจะนัดกันลุกฮือต่อสู้ญี่ปุ่น รวมถึงวนัสที่ได้รับอิสระจากความช่วยเหลือของโกโบริก่อนตาย จึงกลับมาหาอังศุมาลินเพื่อบอกข่าวและถามเธอว่าจะยอมแต่งงานกับเขาไหม เพื่อจะได้แก้ไขปัญหาที่กำลังจะเกิด แต่อังศุมาลินปฏิเสธ เธอยินดีที่จะอยู่ดูแลลูกต่อไปในบ้านสวน ไม่ย้ายหนีไปไหนทั้งนั้น แล้วคุณยายแม่ของแม่อร และยายของอังศุมาลิน ก็จากไปเป็นคนแรกของภาคนี้ แต่เป็นการจากอย่างสงบ เตรียมตัวตายอย่างดี ไปถือศีลอยู่วัดไม่ต้องลำบากลูกหลาน เวลาผ่านไป ในที่สุดญี่ปุ่นแพ้สงครามพ่อของอังศุมาลินมาบอกทุกคนที่บ้านสวนว่าจะเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ช่วงบั้นปลายชีวิต ทุกคนร่วมอนุโมทนา หลังบวชท่านต่างจากพระอื่นในวัด ไปอยู่กุฏิเล็กโทรมเพียงรูปเดียว ฉันวันละมื้อ และปฏิบัติเคร่งครัดจนชาวบ้านพากันโจษจันไปทั่วคุ้งน้ำ ด้านเด็กชายกลินท์เจริญวัยขึ้น ได้รับความเอาใจใส่จากแม่ และปู่คือตาผลตาบัวที่อุปโลกน์ตนเอง โดยเล่าเรื่องราวต่างๆของแม่และโกโบริให้กับเด็กชายฟัง ก่อนที่ทั้งคู่จะทยอยตายจากไปเช่นกัน จึงเหลือเพียงแม่อร ที่มักไปอยู่วัดบ่อยเหมือนเช่นทวดของกลินท์ นาน ๆ ครั้งกลินท์จึงได้ติดตามยายกับแม่ไปกราบท่าน กาลล่วงเลยจนเด็กชายเติบใหญ่เป็นหนุ่มวัย 27 ปี ดีกรีอาจารย์สอนเศรษฐศาสตร์ที่ ม.ธรรมศาสตร์ เป็นที่ชื่นชอบในบรรดาเหล่าลูกศิษย์โดยเฉพาะนักศึกษาหญิง ขณะที่เมืองไทยเข้าสู่ช่วงปีที่ในกรุงเทพกำลังเกิดกระแสตื่นตัวต่อต้านสินค้าและอื่นใดที่มาจากญี่ปุ่น ซึ่งสร้างชาติอย่างรวดเร็วภายหลังแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง โดยเน้นทางด้านเศรษฐกิจ ทำให้โยอิจิที่มีปมเป็นลูกที่มีเลือดญี่ปุ่นครึ่งหนึ่ง นึกรังเกียจไม่พอใจชาติกำเนิดตนเอง ต่อต้านพ่อที่ตายไปแล้ว และไม่เข้าใจแม่ จึงกลายเป็นคนที่ให้คำแนะนำแก่บรรดาศิษย์หัวรุนแรง ก้าวหน้า ฝักใฝ่ปลดแอกประชาชนจากการเป็นทาสทุนนิยมบริโภคและทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับญี่ปุ่น โดยไม่มีใครรู้ความจริงของพ่ออาจารย์ ทางบ้านสวน แม้โยอิจิจะรักแม่มาก แต่ขณะเดียวกันใจก็ยังไม่ยอมรับพ่อ กลายเป็นเหมือนเด็กน้อยที่เอาแต่ใจ รั้น และดื้อเงียบ แต่เขาเข้ากันได้อย่างดีกับลุงวนัสที่สนิทสนมมาแต่เด็ก เข้าออกบ้านลุงบ่อย ตั้งแต่กำนันพ่อของวนัสยังมีชีวิตอยู่จนตายไปในเวลาต่อมา วนัสทำธุรกิจหลายอย่าง รวมถึงการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงบ้านเรือนไทยของตนให้เป็นที่ทำงานด้วย วนัสไม่ยอมแต่งงานสักทีตั้งแต่อกหักจากอังศุมาลิน แม้โยอิจิจะรู้ว่าวนัสมีการคบหาทำธุรกิจกับพวกคนญี่ปุ่น เขาไม่เห็นด้วยแต่ก็ยังรักชอบในฐานะลุงเช่นเดิม ส่วนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ซึ่งเขาเป็นอาจารย์สอนอยู่นั้น เขาคอยเป็นที่ปรึกษาให้กับกลุ่มนิสิตนักศึกษาระดับผู้นำหลายคนที่เรียกร้องรัฐบาลให้บอยคอตคนญี่ปุ่นรวมถึงธุรกิจ สินค้าทุกชนิด โดยที่ไม่มีใครรู้ความจริงว่าเขามีพ่อเป็นใคร ขณะที่มีอาจารย์สาวคนหนึ่งชื่อ ชิตาภา หน้าตาดี ครอบครัวเป็นชาวจีนมีอันจะกินที่มาตั้งรกรากสร้างตัวจนกลายเป็นมีกิจการค้ารุ่งเรือง มักชอบเข้าหามาชวนเขาสนทนาอยู่บ่อยครั้ง ดูเหมือนเธอจะพึงใจในตัวโยอิจิอยู่บ้าง และน่าจะมีอะไรที่มากกว่านั้น แต่เขาไม่สนใจ มักคุยด้วยไม่นาน และสร้างขอบเขตส่วนตัวที่กันคนอื่นออกไปอยู่วงนอกเสมอ ไม่ยอมให้ใครเข้าถึงความในใจตนได้ แล้ววันหนึ่งนักศึกษาสาวปีสามรัฐศาสตร์นามว่า ศราวณี ผู้เป็นแกนนำหัวรุนแรงที่ต่อต้านคนญี่ปุ่นและสินค้าญี่ปุ่น รวมถึงต่อต้านรัฐบาลทหารในช่วงนั้น ซึ่งรู้ความจริงเรื่องของพ่อโยอิจิ และมีความคับแค้นจากปมในครอบครัวตนซึ่งแม่ตายตั้งแต่เด็ก ถูกเลี้ยงดูมาจากยายและป้าที่เป็นพี่สาวของแม่ และเข้าใจผิดฝังหัวมาตลอดเกี่ยวกับครอบครัวบ้านสวนของอังศุมาลิน ที่มาแย่งชิงความรักไปจากคุณตาของเธอ เพราะทั้งยายและป้ามักเล่าความหลังโดยบิดความจริงแล้วใส่สีตีไข่ บริภาษแม่อรว่าคือผู้เป็นเมียน้อยที่แย่งความรักไป ทำให้ครอบครัวฝั่งยายลำบาก และโดนแย่งสมบัติไปหมด แม่และป้าจึงโตมาอย่างยากแค้นจนแม่ตายไปและป้าต้องรับเลี้ยงศราวณีต่อมาอย่างลุ่ม ๆ ดอน ๆ ทำให้ป้ามักอารมณ์เสียใส่เธอเสมอตั้งแต่เด็กจนโต เพาะเป็นความเกลียดชังต่อครอบครัวฝั่งบ้านสวน ทั้งที่ตัวเองไม่เคยพบหน้าอีกฝ่าย จนเมื่อเข้ามาเป็นนักศึกษาและพบว่าโยอิจิสอนหนังสืออยู่ที่ธรรมศาสตร์ จึงพุ่งความโกรธเกลียดที่ตนเคยได้รับจากป้ามารวมอยู่ที่อาจารย์ทั้งหมด จนกระทั่งบอกความลับเรื่องพ่อของโยอิจิออกไปให้พวกเพื่อนกลุ่มหัวรุนแรงด้วยกันรับรู้ วันที่พวกเธอและเพื่อนตามตัวให้โยอิจิมาที่ห้องซึ่งเป็นที่รวมพลเพื่อพูดคุยเรื่องจะทำอะไรต่อไป แล้วใครคนหนึ่งได้กล่าวเปิดโปงเรื่องโกโบริ และพูดจาดูถูกเหยียดหยามเชื้อชาติของพ่อ วินาทีนั้นเองโยอิจิกลับเพิ่งเข้าใจหัวใจตนเองเป็นครั้งแรกในชีวิต 27 ปีที่ผ่านมา ว่าแท้จริงเขารักพ่อและเทิดทูนในเกียรติยศของทหารหาญมากแค่ไหน เขายอมรับอย่างตรงไปตรงมาด้วยท่าทีแสดงออกถึงความภูมิใจในสายเลือดแห่งตนด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมพลัง ที่สามารถสยบเสียงโห่ฮาขับไล่ของเหล่านักศึกษาให้สงบลงได้ นั่นคือครั้งแรกเช่นกันที่สร้างความประหลาดใจแกมรู้สึกผิดอยู่เบื้องลึกให้เกิดขึ้นในหัวใจของศราวณี ที่ไม่นึกฝันว่าโยอิจิจะกล้ายอมรับอย่างไม่สะทกสะท้าน นับตั้งแต่วันนั้น โยอิจิเหมือนได้รับการปลดล็อกออกจากห้องขังที่ตนเองสร้างขึ้นเพื่อหนีความจริงสุดลึกที่เก็บกดไว้ เขาเข้าใจถึงความรักของแม่อันเป็นที่รักที่มีต่อพ่อชาวญี่ปุ่นอย่างท่วมท้นหัวใจแล้ว พ่อไม่เคยทำสิ่งไม่ดี มีแต่ทำตามหน้าที่ของชายชาติทหารที่ได้รับมอบหมาย ไม่ได้ทำไปด้วยความจงเกลียดจงชัง โยอิจิกลับไปที่บ้านสวนในเย็นวันนั้นอย่างคนที่บาดเจ็บสาหัส ไม่ใช่ทางกาย แต่ได้รับความกระทบกระเทือนทางใจอย่างรุนแรง อังศุมาลินรับรู้ได้ด้วยสายตาและหัวใจของคนเป็นแม่ แม้ไม่รู้ว่าลูกชายพบเจอเรื่องใดมาทำได้แค่ยกสองมือขึ้นโอบกอดถ่ายเทความรักความอบอุ่นที่มีให้กับลูกชายด้วยความเข้าใจอย่างสงบ โยอิจิไม่รู้ความจริงว่าศราวณีคือน้องสาวที่เป็นลูกพี่ลูกน้อง เกิดจากน้องสาวต่างมารดาของอังศุมาลิน มีเพียงอาจารย์ชิตาภาที่ทราบ เพราะเธอเป็นญาติที่มีศักดิ์เป็นคุณน้าของศราวณี แต่ยังไม่อาจเล่าให้เขาฟัง โยอิจิยังคงสงสัยและเคลือบแคลงว่าชิตาภาประสงค์สิ่งใดแน่จึงมักหาเหตุมาใกล้ชิดชวนสนทนากับตน ด้วยความรู้สึกผิดเกาะกินจากภายใน รวมถึงปัญหาต่าง ๆ รุมเร้า แม้ใจจะต่อต้านพี่ชายอย่างอาจารย์กลินท์ แต่เบื้องลึกเธอกลับมีความรู้สึกที่ดี รักเคารพในชายคนนี้อย่างไม่รู้ตัว วันหนึ่งโยอิจิพบเธอนั่งซึมอยู่ที่ท่าเรือ เหมือนรอคอยจะพบเขาและตามลงเรือมาที่บ้านสวนด้วย ศราวณีจึงได้พบกับสรวงสวรรค์บ้านเรือนไทยหลังเดียวในย่านนั้นที่ยังคงสภาพเหมือนเดิมกับช่วงเกิดสงคราม ในขณะที่บ้านหลังอื่นเปลี่ยนแปลงไปสร้างตามอย่างต่างชาติหมด เธอพบบรรยากาศที่ร่มรื่นชื่นเย็น สงบสุขอย่างไม่เคยได้รับยามเมื่อกลับถึงบ้านที่อยู่กับป้า ยิ่งเมื่อได้พบเจออังศุมาลิน ภาพที่เคยคิดไว้กลับตรงข้ามกับสิ่งที่เห็นและได้ยินทุกอย่างต่างจากที่ยายและป้าได้พูดใส่หูเธอมาตลอด เธอรู้สึกได้รับความสุข สงบ สบายใจและผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยเกิด และเริ่มเปลี่ยนความคิดที่มีต่อครอบครัวของโยอิจิ ทางด้านหลวงพ่อ หลังจากบวชเพื่อปฏิบัติอย่างเอาจริงอยู่จนล่วงเข้าสู่ปัจฉิมวัย ที่สุดก็มรณภาพอย่างสงบในท่านั่งสมาธิอยู่ในกุฏิ ทำให้ชาวบ้านโจษจันต่างศรัทธานับถือ จนเจ้าอาวาสและทางกรรมการวัดเห็นเป็นโอกาสในการสร้างเรื่องเรียกคนเข้ามาทำบุญเพิ่ม ด้วยการยกให้หลวงพ่อเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาทันที ทั้งที่ตอนมีชีวิต ไม่ใคร่สนใจ ที่บ้านสวนส่วนใหญ่อังศุมาลินอยู่บ้านคนเดียว ทำงานบ้านดูแลอาหารการกินเตรียมไว้ให้ลูกชาย ทว่าเริ่มมีอาการป่วยที่ค่อย ๆ รุนแรงมากขึ้นจนต้องแอบไปที่ศิริราช โดยมีเจ้าโก๊ะเด็กชายตัวน้อย ลูกของคนจรจัดหญิงชายที่มาขออาศัยอยู่ในสวนด้านหลังบ้านตามไปเป็นเพื่อน พ่อแม่ของโก๊ะนั้นเป็นประเภทไม่ชอบทำมาหากิน ขี้เหล้าเมายา เล่นพนันไปตามเรื่อง อังศุมาลินเคยหวังดีเอ่ยปากแนะนำให้ตั้งตัวขยันทำกินหลายครั้ง แต่ทั้งสองไม่สนใจ เอาแต่เก็บผักผลไม้จากในสวนของแม่อรและอังศุมาลิน มากินและขายด้วยถือวิสาสะว่าเหมือนของตน และมักใช้ให้โก๊ะมาขอเงินจากอังศุมาลินบ่อย ๆ ส่วนเหตุการณ์ทางด้านการบ้านการเมืองกลับทวีความรุนแรง คุกรุ่นขึ้นเรื่อย ๆ บรรดานักศึกษาต่างรวมตัวกันในสถาบันหลายแห่ง รวมถึงขึ้นเวทีพูดปลุกระดมให้ชาวบ้านฟังและเข้าร่วมสนับสนุนฝ่ายตนมากขึ้น ขณะที่ยื่นคำขาดต่อรัฐบาลให้ปฏิบัติตามข้อเรียกร้องที่ร่างขึ้น เหตุการณ์ช่วงปี พ.ศ. 2516 เริ่มขมวดปมความขัดแย้งระหว่างฝ่ายผู้บริหารกับฝ่ายนักศึกษา ผ่านสายตาของโยอิจิและชิตาภาที่คอยเฝ้ามองอย่างห่าง ๆ ด้วยความเป็นห่วงในตัวศิษย์ แม้เคยกล่าวเตือนในหลายครั้งให้ศราวณีระมัดระวัง อย่าทำอะไรที่ผลีผลาม หุนหันพลันแล่น แต่อย่างไรเด็กก็คือเด็ก เมื่อเขามีความเชื่อฝังหัวไปทางด้านหนึ่ง ก็ขาดความใคร่ครวญพิจารณาอย่างรอบถ้วน และมองไม่เห็นถึงภัยร้ายที่จะบังเกิดขึ้นในเมื่อทุกสิ่งถูกปลุกเร้าเข้าสู่ห้วงวิกฤต สุดท้ายถึงวันแตกหักอันเป็นเหตุการณ์วิปโยคของคนไทยทุกคน จะเกิดอะไรขึ้นบ้างกับโยอิจิ ชิตาภา และศราวณี ในขณะที่อังศุมาลินนั้นก็มีอาการเจ็บป่วยที่มักเหนื่อยง่าย หน้าซีดจะเป็นลมบ่อย แต่ปิดไว้ไม่ให้ลูกชายรู้ ดูเหมือนเวลาชีวิตของเธอจะเหลืออีกไม่มากก่อนจะได้ตามไปอยู่กับโกโบริ สรุปสุดท้ายของนิยายจะลงเอยอย่างไรไปอ่านต่อได้ในคู่กรรม 2 ครับ 🖋วิเคราะห์หลังอ่านจบ มีทั้งส่วนที่ชอบและไม่ชอบ ภาคนี้ต่างไปจากภาคแรกอย่างชนิดเหมือนเป็นนิยายคนละเรื่อง คนละแนวทาง คือภาคแรกมีความเป็นนิยายรักระหว่างรบ ที่มีทั้งปมความรัก ความขัดแย้งในตัวตนกับคนที่คิดว่าคือศัตรูเป็นแกนหลัก เน้นไปทางอารมณ์ความรู้สึกของอังศุมาลินและโกโบริ โดยมีเหตุการณ์น้อยใหญ่ที่เข้ามาสร้างให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างกันของทั้งสองเพิ่มขึ้นทีละน้อยจนถึงขั้นรัก แต่ไม่อาจเปิดใจเพราะติดที่กรอบซึ่งถูกสร้างขึ้นจากทั้งอังศุมาลินเอง และสังคมสร้างให้กลายเป็นขื่อคาที่ตรึงรั้งใจไว้ให้มิอาจแสดงออกถึงความรักได้ดังเช่นคู่สามีภรรยาปกติ จนนำไปสู่บทสรุปอันเจ็บปวดและขมขื่นในตอนท้ายเรื่องที่สร้างความจดจำและสะเทือนใจให้กับคนอ่านอย่างยิ่ง กลายเป็นอมตะนิยายรักแห่งโศกนาฏกรรมที่คนไทยรู้จักมากที่สุดเรื่องหนึ่ง มาในภาคนี้ เนื้อหาโครงสร้างหลักกลับเน้นไปที่ความมองโลกของคนเป็นแม่อย่างคนที่ผ่านประสบการณ์การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตมาแล้ว และจะเลือกเดินหน้าต่อไปอย่างไรในสถานการณ์ที่คนไทยส่วนใหญ่เกลียดชังญี่ปุ่น ในขณะที่เธอคือภรรยาหม้ายและมีลูกชายสายเลือดที่เกิดจากทหารญี่ปุ่น ตลอดทั้งเล่มนี้ในความรู้สึกส่วนตัว ผมมองว่านี่คือนิยายธรรมะเล่มหนึ่งทีเดียว เพียงแต่ไม่ใช่ธรรมะที่เป็นคำบรรยายเทศน์ของพระผู้เป็นองค์ธรรมกถึก หากแต่เป็นหนังสือธรรมะที่นำพล็อตของนิยายมาสวม จึงพบได้ในหลายย่อหน้า แทบทุกตอนที่ผู้เขียนสอดแทรกแนวคิดหลักธรรมทางพุทธตามแนวที่ท่านเชื่อเป็นทางที่ถูกตรงลอยอบอวลอยู่ในการบรรยาย เหมือนตัวละครและฉากเหล่านั้นคือตัวแทนหรือเครื่องมือที่ต้องการสื่อสอนธรรมะไปสู่ผู้อ่านอยู่ตลอด โดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องราวของความตาย ดังจะเห็นได้จากมีการจากไปของตัวละครเดิมที่มีบทบาทจากภาคแรก คนแล้วคนเล่า เริ่มตั้งแต่คุณยาย ตาผลตาบัว หลวงพ่อ และกำลังใกล้ตายอย่างอังศุมาลิน ทำนองแสดงสัจธรรมชีวิต หลายช่วงตอนที่มีการหยิบยกบทกลอนร้อยกรองจากในวรรณคดีไทย หรือที่ผู้เขียนแต่งขึ้น รวมถึงวลี ประโยคภาษาอังกฤษจากบทเพลง บทกวีต่าง ๆ ของทางตะวันตกมาใช้เพื่อสื่อแสดงถึงความรู้สึกของผู้เขียนที่ต้องการสะท้อนผ่านเรื่องราวของเหตุการณ์แวดล้อมรอบตัวโยอิจิ และตัวละครสำคัญ จนบางทีก็ดูมากไป อ่านไปเรื่อย ๆ อดที่จะคิดไม่ได้ว่าเล่มนี้ มีความคล้ายกันกับอีกเล่มของทมยันตีที่มีชื่อว่า จดหมายถึงลูก(ผู้)ชาย ที่เน้นสอนลูกของผู้เขียนเองและคนเป็นลูกชายทุกคน ด้วยการแทรกแนวคิดคำสุภาษิตไว้ในเนื้อหาตลอดเล่ม แล้วการเขียนลักษณะนี้ดีหรือไม่อย่างไร? คงขึ้นกับความชื่นชอบส่วนบุคคลของผู้อ่านที่มีรสนิยมแตกต่าง ส่วนผมเองนั้นไม่ถึงกับเรียกได้ว่าชอบทว่าก็ไม่ขัดใจมากมาย แต่ยอมรับว่าทมยันตีเป็นหนึ่งในนักเขียนที่มีความไม่ธรรมดาในด้านศึกษาธรรมะในพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้งหาตัวจับยาก แล้วนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการเขียนได้เก่งมากคนหนึ่งในเหล่านักเขียนรุ่นเก่า หากจะติบ้างก็คงเป็นความเข้าใจในทางหลักธรรมที่นำมาสอดแทรกไว้ในคู่กรรม2 นั้น ยังเป็นความเข้าใจที่เหมือนเช่นคนปฏิบัติธรรมทั่วไปในไทยเข้าใจกันว่าถูกต้อง คือเน้นการนั่งสมาธิเดินจงกรมว่าคือวิธีที่จะนำไปสู่การลดละกิเลสจนนำไปสู่ความหลุดพ้นได้ ดังที่ตัวละครหลวงพ่อในเรื่องได้ปฏิบัติและพูดคุยสอนธรรมกับโยอิจิ หรือแม่อร อังศุมาลิน ซึ่งโดยแท้จริงการปฏิบัติควรเน้นไปที่การมีสติอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกที่จะจับอาการกิเลสแล้วกำจัดทิ้ง ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถใด ไม่ว่ายืน เดิน นั่ง นอน หรืออิริยาบถย่อยอื่น ไม่ใช่เพียงแค่ตอนนั่งสมาธิเดินจงกรมเพียงเท่านั้น เพราะในชีวิตจริงมนุษย์ไม่อาจจะบังคับตนให้อยู่เพียงแค่ท่านั่งสมาธิต่อเนื่องยาวนานไปจนชั่วชีวิต นอกจากประเด็นที่กล่าวถึงนี้แล้วที่มีความเห็นไม่ตรงกับผู้เขียน ทางด้านอื่นถือว่าผมชอบนิยายเรื่องนี้ไม่น้อยทีเดียว โดยเฉพาะการมองโลกที่มองทะลุถึงความเป็นจริงของสังคมไทย ลักษณะนิสัย ที่เจาะลึกให้เห็นว่าแม้นในอดีตสมัยสงครามคนไทยเป็นอย่างไร ปัจจุบันในยุคนี้ก็ยังคงพบเห็นได้ว่าไม่แตกต่างกันนัก จึงถือว่านิยายเล่มนี้ไม่ล้าสมัย โดยเฉพาะด้านการบ้านการเมืองที่ผู้มีอำนาจในฝ่ายรัฐ มักเลือกใช้วิถีทางแห่งความรุนแรงในการสยบปัญหาอยู่เสมอ โดยมีมือที่สามที่คอยฉวยโอกาสสร้างสถานการณ์ ยั่วยุ ปลุกปั่น และล่อลวงให้คู่กรณีระหว่างรัฐกับนักศึกษาและประชาชนปะทะแตกหัก จนเกิดความสูญเสีย อันมีแต่หายนะต่อประเทศชาติ ศราวณี คือตัวแทนที่เปรียบให้เห็นเด่นชัด ไม่ว่ายุคใด เหล่าเด็กหนุ่มสาวอนาคตชาติ มักถูกกระตุ้น ให้ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน และปลุกเร้าจุดไฟติดได้โดยง่าย ด้วยพวกเขามีพลังงานล้นเหลือ เมื่อเลือกเชื่อไปทางใดทางหนึ่งแล้ว บางทีก็พุ่งไปข้างหน้าอย่างสุดกำลังโดยไม่ทันได้ใคร่ครวญ ยั้งคิด หรือพิจารณาทัศนียภาพรอบข้างระหว่างทางที่มุ่งไปให้ถี่ถ้วนรอบคอบ จึงมักตกเป็นฝ่ายที่ถูกหลอกใช้เป็นเครื่องมือให้ไปตายแทนคนบงการแท้จริงเบื้องหลังเสมอ และเมื่อเกิดความสูญเสียแล้วก็เป็นเช่นดังอะไหล่เลวที่โดนใช้แล้วทิ้งโดยไร้ความเสียดาย หรือจำเป็นต้องดูแลอย่างใดต่อไป กว่าพวกเขาจะรู้ตัว ความผิดพลาดพลั้งเผลอก็เกิดขึ้นและไปไกลเกินกว่าตนเองจะหยุดยั้ง ควบคุมและแก้ไขสถานการณ์ได้เสียแล้ว ดังจุดจบของตัวละครในเรื่องนี้หลังเหตุการณ์วันที่ 14 ตุลาคม 2516 ความเก่งกล้า ไม่ยอมใคร ไม่ฟังอาจารย์ ความร้อนเร่าเอาแต่ใจ รั้นจะทำในสิ่งที่ตนคิดให้จงได้ ทว่าสุดท้ายกลับกลายพาเพื่อน คนที่ไม่รู้อะไรแต่ก็ตามกันไป ไปพบกับการบาดเจ็บล้มตายต่อหน้าต่อตา ถึงกับกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง หลบหนีตายจ้าละหวั่น กระทบกระเทือนถึงสภาพจิตใจอย่างรุนแรงจนแทบจะกลายเป็นบ้าไป เธอจึงได้รับบาดแผลลึกที่เสียใจก็ไม่ทันแล้ว กับไฟที่ตอนแรกเพียงแค่เหมือนไฟจากปลายก้านไม้ขีดในมือที่ขยับนิดเดียวก็ดับ สุดท้ายมันกลับกลายเป็นไฟกองใหญ่ที่โหมไหม้รวดเร็ว ลามเลียทำลายทุกสิ่งอย่างไม่อาจดับได้ด้วยแค่กำลังตนเอง นอกจากนี้ที่ชอบก็มีในส่วนของการใช้ภาพตัวละครในเรื่องอย่างครอบครัวของเจ้าโก๊ะ ที่สะท้อนภาพตัวแทนของชนชั้นล่างได้ชัดเจน ความเหลื่อมล้ำที่เหล่านักศึกษามักนำมาเป็นคำขวัญ ชูประเด็นเพื่อเรียกร้อง และรังเกียจเคียดแค้นเหล่าชนชั้นศักดินา ดังเช่นอาจารย์ชิตาภาที่ครอบครัวเป็นชาวจีนโพ้นทะเลที่มาไทยอย่างเสื่อผืนหมอนใบ แต่ขยันขันแข็งและสร้างตัวจนมีทรัพย์ ร่ำรวยมีอันจะกินและสร้างธุรกิจด้วยการค้าขายขยับขยายฐานะ จนเลื่อนจากชนชั้นแรงงานต่างด้าวมาเป็นพ่อค้าวาณิชย์ที่มีกิจการมากมายและถูกแปะป้ายให้กลายเป็นศักดินาไป จนถูกมองว่าเป็นความผิดความเลวที่เข้ามากอบโกยนั้น หรือแม้แต่วนัสที่เป็นคนไทยแต่มีหัวในทางธุรกิจการค้า จึงติดต่อซื้อขายกับคนต่างชาติอย่างญี่ปุ่นหรือชาวตะวันตกจนมีฐานะเข้าขั้นเศรษฐี ทั้งที่ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นพวกเสรีไทย แต่ในภาคนี้เรียกได้ว่าแปะป้ายศักดินาตามความหมายของเหล่านักศึกษาได้เช่นกัน หากมองความจริงในอีกแง่มุม ย่อมเห็นได้ว่าคนไทยเองที่เป็นชนชั้นกรรมาชีพจำนวนมากนั้นมีสันดานเป็นอย่างพ่อและแม่ของเจ้าโก๊ะ ที่เอาแต่ชื่นชอบอยู่อย่างสบายไม่ต้องทำการทำงาน วันทั้งวันเอาแต่เมาหัวราน้ำ แม้นมีคนหยิบยื่นความช่วยเหลือหวังให้สร้างตัวเพื่อตั้งตนได้ แต่ก็ไม่กระตือรือร้นสนใจ หนักไม่เอาเบาไม่สู้ อยากแต่จะขอเขากินไปเรื่อย ๆ อาศัยความเมตตาและมีน้ำใจของครอบครัวแม่อรและอังศุมาลินเป็นเครื่องมือ เพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตอย่างคนขี้เกียจ รักสบายได้ต่อไป มีเงินก็หมดไปกับเหล้ายาและการพนัน เงินหมดก็ใช้ให้โก๊ะไปไถขอเอาใหม่ ด้วยรู้จุดว่าถ้าให้เด็กมาขออย่างไรก็ได้ นี่ไม่อาจยอมรับว่าไม่ว่าจะในนิยายซึ่งอยู่ในยุคหลังสงคราม หรือปัจจุบันที่ล่วงเลยมาอีกหลายสิบปี ก็ยังมีคนไทยที่เป็นเช่นนี้อีกเป็นจำนวนมาก แล้วจะไปโทษว่าแต่ความเหลื่อมล้ำเพราะชนชั้นได้เช่นไร ในเมื่อตนเองยินดีทำตนให้เป็นไปเช่นนั้น อังศุมาลินและโยอิชิคือตัวแทนของชนชั้นกลางที่น่าสนใจ ทั้งสองมีความรู้ตามทันยุคสมัยของความเปลี่ยนแปลง แต่ไม่หลงใหลปล่อยให้กระแสเชี่ยวแห่งคลื่นทุนนิยมเข้าครอบงำ ยังคงดำเนินชีวิตทั้งรูปแบบ และวิถีตามอย่างวัฒนธรรมอันดีงามในอดีตที่บรรพบุรุษสร้างไว้ ไม่ว่าจะเรือนพักอาศัยที่ไม่รื้อทิ้งหลังเก่าแล้วสร้างใหม่ และพยายามสงวนที่ดินสวนหลังบ้านไว้ปลูกผักปลูกไม้ผลให้พอเก็บกินไม่เดือดร้อน ในขณะครอบครัวอื่นขายที่ให้นายทุน และสร้างบ้านปูนกันไปเกือบหมด ภาพความขัดแย้งที่เห็นได้ชัดเจนนี้เองที่เป็นความงดงาม แม้นลำคลองจะไม่เหมือนเดิม คนไทยทิ้งขยะสิ่งปฏิกูลลงน้ำ ทำลายต้นกำเนิดรากเหง้าสายธารแห่งชีวิตของตนเอง ทำให้ปลา กุ้ง หอย สัตว์น้ำที่เคยมีลดน้อยจนกระทั่งหายไปไม่เหมือนก่อน เมื่อมาถึงยุคสมัยที่เรามีชีวิตอยู่นี้ เราจึงต้องแบกรับผลพวงที่ตามมาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง เราไม่ชอบ เราบ่นหรืออาจถึงขั้นก่นด่าคนรุ่นก่อน แต่เราเองก็ละเลยไม่ได้มองกลับเข้ามาในตน ว่าในแต่ละวันได้ทำอะไรที่เป็นไปในทางที่ทำร้าย ทำลายวิถีไทย สิ่งแวดล้อม สังคม วัฒนธรรมและประเพณีอันดีมากน้อยขนาดไหนอย่างไรบ้าง
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 386 Views 0 Reviews
  • เครื่องบินทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ Tu-160 Blackjack ของรัสเซีย จำลองการยิงขีปนาวุธนิวเคลียร์โจมตีเป้าหมายสำคัญของสหรัฐฯ

    รัสเซียพร้อมที่จะเพิ่มระดับความรุนแรง
    .
    Russian Tu-160 Blackjack nuclear strategic bombers simulate launching ballistic nuclear missiles at critical targets of the USA.

    Russia is ready to escalate.
    .
    Last edited 9:52 PM · Sep 15, 2024 · 317.5K Views
    https://x.com/aussiecossack/status/1835330911593713984
    🚨✈️☢️ เครื่องบินทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ Tu-160 Blackjack ของรัสเซีย จำลองการยิงขีปนาวุธนิวเคลียร์โจมตีเป้าหมายสำคัญของสหรัฐฯ 🇷🇺🇺🇸 รัสเซียพร้อมที่จะเพิ่มระดับความรุนแรง . 🚨✈️☢️ Russian Tu-160 Blackjack nuclear strategic bombers simulate launching ballistic nuclear missiles at critical targets of the USA. 🇷🇺🇺🇸 Russia is ready to escalate. . Last edited 9:52 PM · Sep 15, 2024 · 317.5K Views https://x.com/aussiecossack/status/1835330911593713984
    Like
    3
    0 Comments 0 Shares 132 Views 24 0 Reviews
  • พากันจูงมือเข้าอ่านริ้วววว………พี่ปูเขากำลังจะรุ่งในสายการเมืองแล้ววว………!!!!

    ตอนห้า…..เมื่อราศีจับ……อะไรๆก็ฉุดไม่อยู่……!!!

    เท่ากับว่า ตอนนี้ปูตินมีสองร่างในบุคคลคนเดียวกัน เขาได้มาเป็นที่ปรึกษาให้กับอนาโตลี แต่ยังคงนั่งทำงานประจำที่มหาวิทยาลัย
    ส่วนที่สำนักงาน KGB. เขาจะแวะเข้าไปเป็นครั้งเป็นคราว
    จนวันหนึ่งในช่วงปลายปี 1990 ที่มีคณาจารย์จาก Saint Petersburg University จาก Florida, USA ได้เข้ามาเยี่ยมเยียนมหาวิทยาลัย
    ในเลนินกราด ในโครงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม และแบบแผนการศึกษา
    ตัวผู้ก่อตั้งซึ่งเป็นอธิการบดี Dr. Carl M. Kuttler jr. ได้เดินทางมาด้วย
    ผู้ที่ทำหน้าที่ต้อนรับ คือ วลาดิเมียร์ ปูติน ที่เป็นผู้ประสานงานทุกอย่าง
    ตั้งแต่ชมมหาวิทยาลัย ไปเที่ยวนอกเมือง ซึ่งตอนนั้นเป็นภาวะที่น้ำมันขาดแคลนในโซเวียต
    รถลีมูซีนของท่านอธิการบดี เกิดน้ำมันหมด……ปูตินสามารถสั่งการให้เจ้าหน้าที่รัฐนำน้ำมันมาเติมให้ถึงที่ได้ด้วย
    คาร์ลจึงแปลกใจมาก……เขาแทบไม่เชื่อว่าคณบดีธรรมดาๆ คนนี้ สามารถตอบคำถามได้หมด ตั้งแต่เรื่องการเมือง เศรษฐกิจ และการต่างประเทศ
    ซ้ำยังเรียกหน่วยงานมาจัดการเรื่องเส้นทางและน้ำมันให้ได้อีก
    ทุกอย่างได้เป็นไปอย่างเรียบร้อย ตลอดทั้งสิบวัน……

    ในคืนเกือบสุดท้ายที่คณะจากอเมริกาจะจากไป มีการจัดเลี้ยงอำลา
    ปูตินจึงนำอนาโตลีไปแนะนำให้รู้จักในฐานะเจ้านาย และ ในฐานะของนายกเทศมนตรีของเมือง
    ระหว่างการสนทนา คาร์ลได้เชื้อเชิญให้อนาโตลีไปเยี่ยมเยียนที่อเมริกาบ้าง
    แต่อนาโตลี คือชาวรัสเชี่ยนแท้ๆ ที่ปากกับใจตรงกัน ได้ตอบกลับไปว่า
    “พวกเราไม่มีทุนรอนขนาดนั้น มันไกลเกินฝัน…”
    คาร์ลก็เป็นอเมริกันสายป๋า……เขาตอบทันทีว่า
    “งั้นผมจะลองไปจัดการหาสปอนเซอร์ให้เอง……โปรดอย่าเป็นกังวล”

    ในที่สุด อนาโตลีและคณะก็ได้ไปเยือนอเมริกาสมใจ ด้วยทุนของ Procter & Gamble และได้เข้าพบกับประธานาธิบดี George H.W. Bush
    เขาได้ดูงานเทศบาลของเมือง Saint Petersburg, Florida **ที่มีนโยบายเข้มโดยไม่มีการอนุญาตให้ตัดต้นไม้ใดๆได้ จนกว่าจะได้รับการอนุมัติจากทางการ
    เมื่ออนาโตลีกลับมาถึงโซเวียต สิ่งแรกที่เขาทำคือ ทำการบรรจุปูตินในทีมงานอย่างเป็นทางการ จากความดีความชอบที่สามารถเชื่อมโยงจนได้ไปอเมริกา
    การทำงานกับอนาโตลี……ปูตินเริ่มมองเห็นอะไรอีกด้านหนึ่งที่เขาไม่ได้มองมาก่อน เช่น เรื่องความเสมอภาค ที่อนาโตลีมักพูดเสมอว่า
    “เราคุ้นเคยกับความรุนแรงมาตั้งแต่เกิด จนเห็นเป็นเรื่องปรกติ เราต้องอยู่อย่างหวาดกลัว ระแวง กับการที่จะมีคนมาคอยจ้องจับ นั่นมันไม่ใช่วิสัยการเป็นอยู่ของมนุษยชน”
    หรือ “ เราไม่จำเป็นต้องไปฆ่าฟันผู้คนกลุ่มหนึ่งให้ตาย
    เพื่อสนองตัญหาของคนอีกกลุ่มหนึ่ง……”

    เขาทั้งสองคนมีความแตกต่างกันอย่างสุดโต่ง อายุต่างกัน (12 ปี)
    นิสัยต่างกัน คนหนึ่งรื่นเริง หัวเราะง่าย อารมณ์ดี
    อีกคนหนึ่ง หน้าเครียด ยิ้มยาก ระวังตัวตลอดเวลา
    แต่อนาโตลี……พยายามผลักดันปูตินให้เข้ามาในวงจรของความคิดใหม่
    ปูตินแยกแยะเรื่องงานได้ดี เขาไม่เคยเออออห่อหมกกับทัศนคติของอนาโตลีที่มีต่อโซเวียต เพราะเขายังเป็น KGB ที่ยังต้องซื่อสัตย์กับงาน
    และเขาได้เห็นว่า งานเทศมนตรีที่อนาโตลีทำอยู่นั้น เป็นการเล่นการเมืองเสียส่วนใหญ่ งานด้านทำนุบำรุงประชาชนในส่วนสาธารณูปโภคมีน้อยมาก……

    ในปีนั้น ปี 1991 เศรษฐกิจของโซเวียตฝืดเคือง ข้าวของทุกอย่างหายไปตลาด ชั้นขายของว่างเปล่า อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน การประท้วงได้เกิดขึ้นตามชายขอบของประเทศ กอร์บาเชฟสั่งให้หน่วยทหารและ KGB เตรียมกำลังให้พร้อม เพื่อที่จะไปปราบม็อบ ผลจากการปะทะ ผู้ต่อต้านเสียชีวิตไป 14 คน
    ลิธัวเนีย…ประกาศท้าทายโซเวียตด้วยการจัดการลงคะแนนเสียงเพื่อขอเป็นอิสระ กอร์บาเชฟไม่ยอมรับมติของการลงคะแนน โดยอ้างว่าผิดกฎหมาย
    แต่กระแสเรียกร้อง เรียกหาความเป็นธรรมเริ่มหนาหูขึ้น

    เดือนเมยายน โซเวียต ได้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภา ที่มีทั้งฝ่ายคอมมิวนิสต์
    และฝ่ายสังคมนิยม ที่จะต้องชิงที่นั่งกัน ผลที่ได้คือ Boris Yelzin ได้ตำแหน่งประธานสภา อันเป็นที่ไม่พอใจกอร์บาเชฟเป็นอย่างยิ่ง
    เพราะคนละวิสัยทัศน์ และ เขาไม่เข้าใจเลยว่า คนที่ดื่มสุราจัด พูดไม่เป็นภาษามนุษย์ จะมาทำงานใหญ่ได้อย่างไร…
    แต่กระแสนิยมในตัวเยลซินกลับเพิ่มขึ้นทุกวัน จนบดบังรัศมี
    ของกอร์บาเชฟจนหมดสิ้น
    คอมมิวนิสต์อยู่ในกระแสขาลง ……ประชาชนฝ่ายใฝ่สังคมนิยมผสมประชาธิปไตยในสายงานของอนาโตลีทำการเรียกร้องให้เปลี่ยนชื่อเมือง
    จากเลนินกราด……ให้กลับไปเป็นเหมือนก่อนเก่า คือ St. Petersburg ซึ่งได้รับเสียงตอบรับในสภาเกินครึ่ง
    ปูติน……วางตัวเงียบสงบ ตั้งแต่เขาได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการในฐานะนักการเมือง เขาได้ลาออกจากการเป็นคณบดีที่มหาวิทยาลัย คอยเฝ้าดูสถานะการณ์ของพรรคการเมืองต่างๆที่ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด เขาเป็นที่ไว้วางใจของอนาโตลี ถึงขนาดที่เซ็นลงในกระดาษเปล่าให้ปูตินเอาไว้เขียนสั่งงานแทน

    วันที่ 17 สิงหาคม 1991 ปูตินได้พาครอบครัวไปเที่ยววันหยุด
    ที่ฝั่งทะเลบอลติค อนาโตลีไปพักผ่อนที่กึ่งประชุมงานที่ลิธัวเนีย
    ไม่มีใครรู้ว่า วันต่อมา คือวันที่ 18 เป็นวันที่ Gorbachev, Yeltzin และผู้นำจาก Kazakhstan มีการประชุมลับกันในการที่จะปรับเปลี่ยนทอนอำนาจในเครมลิน
    แต่ความลับรั่ว……เพราะการประชุมไม่ได้เกิดขึ้น กอร์บาเชฟได้ถูกควบคุมตัวไปขังในบ้านพักตากอากาศของเขาเอง (house arrest) แบบปฏิวัติเงียบจากกลุ่มต่อต้านภายใน หนึ่งในทีมหัวหน้าปฏิบัติการ คือ Vladimir Kryuchkov ผู้อำนวยการใหญ่ KGB
    และจากนั้น……ทั้งประเทศตกอยู่ในการคุมเข้มของกฏอัยการศึก
    ปูตินทราบข่าวจากการประกาศฉุกเฉินทางโทรทัศน์
    อนาโตลี ทราบข่าวจากโทรศัพท์ที่ปลุกกลางดึก ทำให้เขาต้องรีบบินกลับพร้อมกับผู้ติดตามหนึ่งคน ซึ่งทางคณะประกอบการได้ส่งการ์ดพร้อมอาวุธไปเตรียมควบคุมตัวเขาถึงสามคน
    แต่เมื่อถึงสนามบิน การ์ดสามคนนั่น ไม่ได้ทำตามคำสั่ง แถมยังช่วยดูแลความปลอดภัยให้กับอนาโตลีจนบินกลับถึงมอสโคว์ได้อย่างปลอดภัย

    ปูตินรีบกลับมา เพื่ออยู่ในทีมงานของอนาโตลี เพราะเขารู้สึกเอียนกับการยึดอำนาจแบบนี้ เพราะตลอดชีวิตของเขาก็เจอแต่เหตุการณ์แบบนี้ แล้วผลมันเป็นอย่างไรก็เห็นๆกันอยู่ว่าประเทศได้ย่ำเท้าถอยหลัง ทรุดโทรมลงไปทุกวัน
    เขาตัดสินใจเขียนใบลาออกจาก KGB หลังจากที่ 16 ปีที่ใช้ชีวิตในเส้นทางนั้น พอกันที…
    เป็นไปตามคาด……การปฏิวัติโดยฝ่ายทหารและ KGB ในครั้งนี้ ไม่ประสบความสำเร็จตามที่คาด เพราะประชาชนไม่ยอมรับ

    เพียงแค่สองวัน กอร์บาเขฟก็ได้รับอิสรภาพออกมาจากบ้านพัก Boris Yeltzin ได้รับความนิยม
    อนาโตลีก็เช่นกัน เขากลายเป็นตัวแทนของความเป็นประชาธิปไตยในเลนินกราด ปูตินก็ถือเป็นโชคที่เข้าข้าง เพราะเขาตัดสินในเลือกถูกฝั่ง……เพราะถ้าเขายังอยู่ในราชการ แน่นอนว่า……เขาคงจบชีวิตราชการที่ศาลทหารอย่างเดียวกับ Vladimir Kryuchkov

    เขาควรจะดีใจ……แต่ตรงกันข้าม เขากลับรู้สึกเจ็บปวดอย่างที่สุด ที่เห็นองค์กร KGB ที่เหมือนจิตวิญญาณศักดิศรีของลูกผู้ชายนั้นได้ล่มสลายไปต่อหน้าต่อตา……

    ตามคาดคือ Yeltzin ได้ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีของรัสเซีย (ใหม่) เขาได้ทำการยุบกลุ่มพรรคที่นิยมคอมมิวนิสต์
    อนาโตลี ก็ก้าวขึ้นมาเป็นบุคคลสำคัญแห่งเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก และก็ได้ทำการอย่างเดียวกับเยลซิน คือ ไล่บี้กลุ่มคอมมิวนิสต์ เขาได้แต่งตั้งให้ปูตินเป็นผู้อำนวยการฝ่ายเศรษฐกิจและการต่างประเทศ โดยมีที่ทำการใหม่ที่หรูหราสมฐานะ
    ภาพของเลนินได้ถูกปลดออกจากทุกห้อง โดยนำภาพของพระเจ้าปีเตอร์มหาราชขึ้นไปแขวนแทน
    ธงแดงที่มีตราฆ้อนเคียว ถูกปลดลงหมด แต่ยังหาธงอื่นแทนไม่ได้ (ผลิตใหม่ยังไม่ทัน เสร็จพร้อมเมื่อ 1 พฤศจิกายน) ปูตินได้สั่งให้ถอนเสาธงออกไปเลย……

    ตอนนั้นเป็นยุคที่ต้องมีสื่อทีวีเพื่อการโปรประกันดา อนาโตลี
    ให้สัมภาษณ์จนแทบไม่มีเวลาหายใจ เขาจึงมอบหมาย
    ให้ปูตินรับช่วงต่อไปแทน ที่เป็นการสัมภาษณ์แบบสด ไม่มีสคริปต์ ที่เขาทำให้ทุกคนทึ่งในความสามารถ เพราะปูตินสามารถตอบทุกอย่างได้แบบมือโปร ด้วยท่าทางที่มั่นใจ และเต็มไปด้วยพลังของการทำงาน
    แต่ในสุดท้ายของการสัมภาษณ์ สื่อได้ถามวนเวียนถึงเรื่องการเป็นสายลับของเขา……
    ปูตินเริ่มรำคาญ ……”ดูคุณจะหาคำอธิบายให้ได้ใช่ไหม?”
    สื่อ “ ก็แน่ละซิ เพราะการที่ได้พบกับอดีต KGB ที่ไม่ได้ปกปิดตัวตนนั้น มันง่ายซะที่ไหน..”
    ปูติน……”คุณไม่มีทางรู้เลยว่า คุณอาจได้พบพวกเขาบ่อยๆแล้วโดยที่คุณไม่รู้ตัว………แต่เขาจะรู้เสมอว่าคุณเป็นใคร…แล้วคุณลองดูในอเมริกา นายจอร์จ บุช ก็คืออดีตซีไอเอ…แล้วไง?”
    สื่อ……”#%&฿$€€”

    หลังจากหมัดเด็ดในการสัมภาษณ์นั้นได้ออกทีวีไป
    อาคันตุกะคนแรกที่เข้ามาพบกับปูตินถึงที่ทำงาน ใน Smolny Institute
    คือ Igor Sechin ***เป็นเพื่อนรุ่นน้องในมหาวิทยาลัย และเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญในภาษาโปรตุเกส, ฝรั่งเศส และ อังกฤษ เคยเป็นล่ามให้กับกองทัพ
    และ…..เป็นอดีต KGB เช่นกัน……
    แทบไม่ต้องเดา……อิกอร์ได้เข้ามาเป็นหนึ่งในทีมทำงานเป็นหูเป็นตาให้กับปูติน
    จากนั้น……พรรคพวกเดิมๆที่มีความสามารถอย่างอิกอร์ก็ตบเข้าเข้ามาเสริมกำลัง จนในที่สุด ทั้งออฟฟิศของอนาโตลี
    มีแต่เจ้าหน้าที่ที่เป็นอดีต KGB เป็นส่วนใหญ่

    ปูตินพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส โดยใช้ความสามารถที่มีทั้งหมดตั้งแต่เป็นสายลับ นักกฎหมาย ภาษาเยอรมัน การเมืองและเศรษฐศาสตร์ในการทำงาน เขาเชื่อเสมอว่า รัสเซียสามารถเป็นประเทศที่มีหลักการในการปกครองระบบสังคมนิยมผสมประชาธิปไตยได้ หากประชาชนอยู่ดีกินดี
    เพื่อนที่ใกล้ชิด ที่รู้นิสัยกันดี เขาเอามาทำงานด้วยหมด และทุกคนต่างได้รับผลตอบแทนเข้าขั้นอภิมหาเศรษฐีด้วยกันแทบทั้งนั้น
    แต่.……นั่นหมายความว่า รัฐบาลต้องมีหุ้นอยู่ด้วย.……พร้อมเข้าตรวจสอบได้
    การพัฒนาในเรื่องอุตสาหกรรมพลังงานจะต้องมาเป็นอันดับแรกที่ต้องพัฒนาให้ล้ำที่สุด
    ซึ่งเป็นความคิดที่สอดคล้องกับอนาโตลี ที่ตอนนั้นมีบารมีพอๆกันกับเยลซิน……
    ปูตินกลายเป็นกลไกสำคัญของเหล่าอาคันตุกะที่มาเยี่ยมเยือน และสร้างสัมพันธไมตรีต่างประเทศ ตั้งแต่ รมต. ต่างประเทศ สหรัฐอเมริกา James Baker,ไปอังกฤษเพื่อพบปะกับ John Major นายกรัฐมนตรี, ไปเยอรมันเพื่อพบกับนายกรัฐมนตรี Helmut Kohl (และทำหน้าที่เป็นล่ำเป็นสัน)
    หรือเมื่อ Henry Kissinger ได้บินมาที่เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก
    ปูตินไปรับที่สนามบิน และนำไปสู่ที่พัก ในการสนทนากัน
    คิสซิงเจอร์ได้บอกกับปูตินว่า
    “คนที่ทำงานเก่งๆเนี่ย เริ่มต้นมาจากหน่วยราชการลับกันทั้งนั้น”

    ปูตินยิ้มนิดๆ ตอบไปว่า “อย่างผมนี่ไง……..!!”

    **ที่ Florida, USA. มีเมืองที่ชื่อว่า Saint Petersburg เช่นกัน

    ***จำชื่อนี้ไว้นะคะ Igor Sechin เพราะต่อมาเขาคือกลไกสำคัญในการเป็นแขนขาในการทำงาน เคยเป็นรองนายกรัฐมนตรี เมื่อปูตินเป็นนายกฯ
    อิกอร์ดูแลควบคุมการอุตสาหกรรมแร่ รวมไปถึงพลังงานและเป็น CEO บริษัท Rosneft ก๊าสและน้ำมัน ที่ใหญ่อันดับสามของรัสเซีย
    ตัวเขาเองที่เปรียบเสมือนมือขวาของปูตินจนถึงบัดนี้
    และตะวันตก……ได้ให้สถานะเขาว่า เป็นผู้มีอำนาจที่สองรองลงไปจากปูติน

    หรือแม้แต่ Alexey Miller CEO ของ Gazprom บริษัทพลังงานที่ใหญ่ที่สุดในรัสเซียก็เป็นเด็กในคาถาของปูติน
    เพราะปั้นมากับมือตั้งแต่เขาเริ่มเลือกเส้นทางสายการเมือง

    Wiwanda W. Vichit
    พากันจูงมือเข้าอ่านริ้วววว………พี่ปูเขากำลังจะรุ่งในสายการเมืองแล้ววว………!!!! ตอนห้า…..เมื่อราศีจับ……อะไรๆก็ฉุดไม่อยู่……!!! เท่ากับว่า ตอนนี้ปูตินมีสองร่างในบุคคลคนเดียวกัน เขาได้มาเป็นที่ปรึกษาให้กับอนาโตลี แต่ยังคงนั่งทำงานประจำที่มหาวิทยาลัย ส่วนที่สำนักงาน KGB. เขาจะแวะเข้าไปเป็นครั้งเป็นคราว จนวันหนึ่งในช่วงปลายปี 1990 ที่มีคณาจารย์จาก Saint Petersburg University จาก Florida, USA ได้เข้ามาเยี่ยมเยียนมหาวิทยาลัย ในเลนินกราด ในโครงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม และแบบแผนการศึกษา ตัวผู้ก่อตั้งซึ่งเป็นอธิการบดี Dr. Carl M. Kuttler jr. ได้เดินทางมาด้วย ผู้ที่ทำหน้าที่ต้อนรับ คือ วลาดิเมียร์ ปูติน ที่เป็นผู้ประสานงานทุกอย่าง ตั้งแต่ชมมหาวิทยาลัย ไปเที่ยวนอกเมือง ซึ่งตอนนั้นเป็นภาวะที่น้ำมันขาดแคลนในโซเวียต รถลีมูซีนของท่านอธิการบดี เกิดน้ำมันหมด……ปูตินสามารถสั่งการให้เจ้าหน้าที่รัฐนำน้ำมันมาเติมให้ถึงที่ได้ด้วย คาร์ลจึงแปลกใจมาก……เขาแทบไม่เชื่อว่าคณบดีธรรมดาๆ คนนี้ สามารถตอบคำถามได้หมด ตั้งแต่เรื่องการเมือง เศรษฐกิจ และการต่างประเทศ ซ้ำยังเรียกหน่วยงานมาจัดการเรื่องเส้นทางและน้ำมันให้ได้อีก ทุกอย่างได้เป็นไปอย่างเรียบร้อย ตลอดทั้งสิบวัน…… ในคืนเกือบสุดท้ายที่คณะจากอเมริกาจะจากไป มีการจัดเลี้ยงอำลา ปูตินจึงนำอนาโตลีไปแนะนำให้รู้จักในฐานะเจ้านาย และ ในฐานะของนายกเทศมนตรีของเมือง ระหว่างการสนทนา คาร์ลได้เชื้อเชิญให้อนาโตลีไปเยี่ยมเยียนที่อเมริกาบ้าง แต่อนาโตลี คือชาวรัสเชี่ยนแท้ๆ ที่ปากกับใจตรงกัน ได้ตอบกลับไปว่า “พวกเราไม่มีทุนรอนขนาดนั้น มันไกลเกินฝัน…” คาร์ลก็เป็นอเมริกันสายป๋า……เขาตอบทันทีว่า “งั้นผมจะลองไปจัดการหาสปอนเซอร์ให้เอง……โปรดอย่าเป็นกังวล” ในที่สุด อนาโตลีและคณะก็ได้ไปเยือนอเมริกาสมใจ ด้วยทุนของ Procter & Gamble และได้เข้าพบกับประธานาธิบดี George H.W. Bush เขาได้ดูงานเทศบาลของเมือง Saint Petersburg, Florida **ที่มีนโยบายเข้มโดยไม่มีการอนุญาตให้ตัดต้นไม้ใดๆได้ จนกว่าจะได้รับการอนุมัติจากทางการ เมื่ออนาโตลีกลับมาถึงโซเวียต สิ่งแรกที่เขาทำคือ ทำการบรรจุปูตินในทีมงานอย่างเป็นทางการ จากความดีความชอบที่สามารถเชื่อมโยงจนได้ไปอเมริกา การทำงานกับอนาโตลี……ปูตินเริ่มมองเห็นอะไรอีกด้านหนึ่งที่เขาไม่ได้มองมาก่อน เช่น เรื่องความเสมอภาค ที่อนาโตลีมักพูดเสมอว่า “เราคุ้นเคยกับความรุนแรงมาตั้งแต่เกิด จนเห็นเป็นเรื่องปรกติ เราต้องอยู่อย่างหวาดกลัว ระแวง กับการที่จะมีคนมาคอยจ้องจับ นั่นมันไม่ใช่วิสัยการเป็นอยู่ของมนุษยชน” หรือ “ เราไม่จำเป็นต้องไปฆ่าฟันผู้คนกลุ่มหนึ่งให้ตาย เพื่อสนองตัญหาของคนอีกกลุ่มหนึ่ง……” เขาทั้งสองคนมีความแตกต่างกันอย่างสุดโต่ง อายุต่างกัน (12 ปี) นิสัยต่างกัน คนหนึ่งรื่นเริง หัวเราะง่าย อารมณ์ดี อีกคนหนึ่ง หน้าเครียด ยิ้มยาก ระวังตัวตลอดเวลา แต่อนาโตลี……พยายามผลักดันปูตินให้เข้ามาในวงจรของความคิดใหม่ ปูตินแยกแยะเรื่องงานได้ดี เขาไม่เคยเออออห่อหมกกับทัศนคติของอนาโตลีที่มีต่อโซเวียต เพราะเขายังเป็น KGB ที่ยังต้องซื่อสัตย์กับงาน และเขาได้เห็นว่า งานเทศมนตรีที่อนาโตลีทำอยู่นั้น เป็นการเล่นการเมืองเสียส่วนใหญ่ งานด้านทำนุบำรุงประชาชนในส่วนสาธารณูปโภคมีน้อยมาก…… ในปีนั้น ปี 1991 เศรษฐกิจของโซเวียตฝืดเคือง ข้าวของทุกอย่างหายไปตลาด ชั้นขายของว่างเปล่า อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน การประท้วงได้เกิดขึ้นตามชายขอบของประเทศ กอร์บาเชฟสั่งให้หน่วยทหารและ KGB เตรียมกำลังให้พร้อม เพื่อที่จะไปปราบม็อบ ผลจากการปะทะ ผู้ต่อต้านเสียชีวิตไป 14 คน ลิธัวเนีย…ประกาศท้าทายโซเวียตด้วยการจัดการลงคะแนนเสียงเพื่อขอเป็นอิสระ กอร์บาเชฟไม่ยอมรับมติของการลงคะแนน โดยอ้างว่าผิดกฎหมาย แต่กระแสเรียกร้อง เรียกหาความเป็นธรรมเริ่มหนาหูขึ้น เดือนเมยายน โซเวียต ได้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภา ที่มีทั้งฝ่ายคอมมิวนิสต์ และฝ่ายสังคมนิยม ที่จะต้องชิงที่นั่งกัน ผลที่ได้คือ Boris Yelzin ได้ตำแหน่งประธานสภา อันเป็นที่ไม่พอใจกอร์บาเชฟเป็นอย่างยิ่ง เพราะคนละวิสัยทัศน์ และ เขาไม่เข้าใจเลยว่า คนที่ดื่มสุราจัด พูดไม่เป็นภาษามนุษย์ จะมาทำงานใหญ่ได้อย่างไร… แต่กระแสนิยมในตัวเยลซินกลับเพิ่มขึ้นทุกวัน จนบดบังรัศมี ของกอร์บาเชฟจนหมดสิ้น คอมมิวนิสต์อยู่ในกระแสขาลง ……ประชาชนฝ่ายใฝ่สังคมนิยมผสมประชาธิปไตยในสายงานของอนาโตลีทำการเรียกร้องให้เปลี่ยนชื่อเมือง จากเลนินกราด……ให้กลับไปเป็นเหมือนก่อนเก่า คือ St. Petersburg ซึ่งได้รับเสียงตอบรับในสภาเกินครึ่ง ปูติน……วางตัวเงียบสงบ ตั้งแต่เขาได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการในฐานะนักการเมือง เขาได้ลาออกจากการเป็นคณบดีที่มหาวิทยาลัย คอยเฝ้าดูสถานะการณ์ของพรรคการเมืองต่างๆที่ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด เขาเป็นที่ไว้วางใจของอนาโตลี ถึงขนาดที่เซ็นลงในกระดาษเปล่าให้ปูตินเอาไว้เขียนสั่งงานแทน วันที่ 17 สิงหาคม 1991 ปูตินได้พาครอบครัวไปเที่ยววันหยุด ที่ฝั่งทะเลบอลติค อนาโตลีไปพักผ่อนที่กึ่งประชุมงานที่ลิธัวเนีย ไม่มีใครรู้ว่า วันต่อมา คือวันที่ 18 เป็นวันที่ Gorbachev, Yeltzin และผู้นำจาก Kazakhstan มีการประชุมลับกันในการที่จะปรับเปลี่ยนทอนอำนาจในเครมลิน แต่ความลับรั่ว……เพราะการประชุมไม่ได้เกิดขึ้น กอร์บาเชฟได้ถูกควบคุมตัวไปขังในบ้านพักตากอากาศของเขาเอง (house arrest) แบบปฏิวัติเงียบจากกลุ่มต่อต้านภายใน หนึ่งในทีมหัวหน้าปฏิบัติการ คือ Vladimir Kryuchkov ผู้อำนวยการใหญ่ KGB และจากนั้น……ทั้งประเทศตกอยู่ในการคุมเข้มของกฏอัยการศึก ปูตินทราบข่าวจากการประกาศฉุกเฉินทางโทรทัศน์ อนาโตลี ทราบข่าวจากโทรศัพท์ที่ปลุกกลางดึก ทำให้เขาต้องรีบบินกลับพร้อมกับผู้ติดตามหนึ่งคน ซึ่งทางคณะประกอบการได้ส่งการ์ดพร้อมอาวุธไปเตรียมควบคุมตัวเขาถึงสามคน แต่เมื่อถึงสนามบิน การ์ดสามคนนั่น ไม่ได้ทำตามคำสั่ง แถมยังช่วยดูแลความปลอดภัยให้กับอนาโตลีจนบินกลับถึงมอสโคว์ได้อย่างปลอดภัย ปูตินรีบกลับมา เพื่ออยู่ในทีมงานของอนาโตลี เพราะเขารู้สึกเอียนกับการยึดอำนาจแบบนี้ เพราะตลอดชีวิตของเขาก็เจอแต่เหตุการณ์แบบนี้ แล้วผลมันเป็นอย่างไรก็เห็นๆกันอยู่ว่าประเทศได้ย่ำเท้าถอยหลัง ทรุดโทรมลงไปทุกวัน เขาตัดสินใจเขียนใบลาออกจาก KGB หลังจากที่ 16 ปีที่ใช้ชีวิตในเส้นทางนั้น พอกันที… เป็นไปตามคาด……การปฏิวัติโดยฝ่ายทหารและ KGB ในครั้งนี้ ไม่ประสบความสำเร็จตามที่คาด เพราะประชาชนไม่ยอมรับ เพียงแค่สองวัน กอร์บาเขฟก็ได้รับอิสรภาพออกมาจากบ้านพัก Boris Yeltzin ได้รับความนิยม อนาโตลีก็เช่นกัน เขากลายเป็นตัวแทนของความเป็นประชาธิปไตยในเลนินกราด ปูตินก็ถือเป็นโชคที่เข้าข้าง เพราะเขาตัดสินในเลือกถูกฝั่ง……เพราะถ้าเขายังอยู่ในราชการ แน่นอนว่า……เขาคงจบชีวิตราชการที่ศาลทหารอย่างเดียวกับ Vladimir Kryuchkov เขาควรจะดีใจ……แต่ตรงกันข้าม เขากลับรู้สึกเจ็บปวดอย่างที่สุด ที่เห็นองค์กร KGB ที่เหมือนจิตวิญญาณศักดิศรีของลูกผู้ชายนั้นได้ล่มสลายไปต่อหน้าต่อตา…… ตามคาดคือ Yeltzin ได้ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีของรัสเซีย (ใหม่) เขาได้ทำการยุบกลุ่มพรรคที่นิยมคอมมิวนิสต์ อนาโตลี ก็ก้าวขึ้นมาเป็นบุคคลสำคัญแห่งเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก และก็ได้ทำการอย่างเดียวกับเยลซิน คือ ไล่บี้กลุ่มคอมมิวนิสต์ เขาได้แต่งตั้งให้ปูตินเป็นผู้อำนวยการฝ่ายเศรษฐกิจและการต่างประเทศ โดยมีที่ทำการใหม่ที่หรูหราสมฐานะ ภาพของเลนินได้ถูกปลดออกจากทุกห้อง โดยนำภาพของพระเจ้าปีเตอร์มหาราชขึ้นไปแขวนแทน ธงแดงที่มีตราฆ้อนเคียว ถูกปลดลงหมด แต่ยังหาธงอื่นแทนไม่ได้ (ผลิตใหม่ยังไม่ทัน เสร็จพร้อมเมื่อ 1 พฤศจิกายน) ปูตินได้สั่งให้ถอนเสาธงออกไปเลย…… ตอนนั้นเป็นยุคที่ต้องมีสื่อทีวีเพื่อการโปรประกันดา อนาโตลี ให้สัมภาษณ์จนแทบไม่มีเวลาหายใจ เขาจึงมอบหมาย ให้ปูตินรับช่วงต่อไปแทน ที่เป็นการสัมภาษณ์แบบสด ไม่มีสคริปต์ ที่เขาทำให้ทุกคนทึ่งในความสามารถ เพราะปูตินสามารถตอบทุกอย่างได้แบบมือโปร ด้วยท่าทางที่มั่นใจ และเต็มไปด้วยพลังของการทำงาน แต่ในสุดท้ายของการสัมภาษณ์ สื่อได้ถามวนเวียนถึงเรื่องการเป็นสายลับของเขา…… ปูตินเริ่มรำคาญ ……”ดูคุณจะหาคำอธิบายให้ได้ใช่ไหม?” สื่อ “ ก็แน่ละซิ เพราะการที่ได้พบกับอดีต KGB ที่ไม่ได้ปกปิดตัวตนนั้น มันง่ายซะที่ไหน..” ปูติน……”คุณไม่มีทางรู้เลยว่า คุณอาจได้พบพวกเขาบ่อยๆแล้วโดยที่คุณไม่รู้ตัว………แต่เขาจะรู้เสมอว่าคุณเป็นใคร…แล้วคุณลองดูในอเมริกา นายจอร์จ บุช ก็คืออดีตซีไอเอ…แล้วไง?” สื่อ……”#%&฿$€€” หลังจากหมัดเด็ดในการสัมภาษณ์นั้นได้ออกทีวีไป อาคันตุกะคนแรกที่เข้ามาพบกับปูตินถึงที่ทำงาน ใน Smolny Institute คือ Igor Sechin ***เป็นเพื่อนรุ่นน้องในมหาวิทยาลัย และเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญในภาษาโปรตุเกส, ฝรั่งเศส และ อังกฤษ เคยเป็นล่ามให้กับกองทัพ และ…..เป็นอดีต KGB เช่นกัน…… แทบไม่ต้องเดา……อิกอร์ได้เข้ามาเป็นหนึ่งในทีมทำงานเป็นหูเป็นตาให้กับปูติน จากนั้น……พรรคพวกเดิมๆที่มีความสามารถอย่างอิกอร์ก็ตบเข้าเข้ามาเสริมกำลัง จนในที่สุด ทั้งออฟฟิศของอนาโตลี มีแต่เจ้าหน้าที่ที่เป็นอดีต KGB เป็นส่วนใหญ่ ปูตินพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส โดยใช้ความสามารถที่มีทั้งหมดตั้งแต่เป็นสายลับ นักกฎหมาย ภาษาเยอรมัน การเมืองและเศรษฐศาสตร์ในการทำงาน เขาเชื่อเสมอว่า รัสเซียสามารถเป็นประเทศที่มีหลักการในการปกครองระบบสังคมนิยมผสมประชาธิปไตยได้ หากประชาชนอยู่ดีกินดี เพื่อนที่ใกล้ชิด ที่รู้นิสัยกันดี เขาเอามาทำงานด้วยหมด และทุกคนต่างได้รับผลตอบแทนเข้าขั้นอภิมหาเศรษฐีด้วยกันแทบทั้งนั้น แต่.……นั่นหมายความว่า รัฐบาลต้องมีหุ้นอยู่ด้วย.……พร้อมเข้าตรวจสอบได้ การพัฒนาในเรื่องอุตสาหกรรมพลังงานจะต้องมาเป็นอันดับแรกที่ต้องพัฒนาให้ล้ำที่สุด ซึ่งเป็นความคิดที่สอดคล้องกับอนาโตลี ที่ตอนนั้นมีบารมีพอๆกันกับเยลซิน…… ปูตินกลายเป็นกลไกสำคัญของเหล่าอาคันตุกะที่มาเยี่ยมเยือน และสร้างสัมพันธไมตรีต่างประเทศ ตั้งแต่ รมต. ต่างประเทศ สหรัฐอเมริกา James Baker,ไปอังกฤษเพื่อพบปะกับ John Major นายกรัฐมนตรี, ไปเยอรมันเพื่อพบกับนายกรัฐมนตรี Helmut Kohl (และทำหน้าที่เป็นล่ำเป็นสัน) หรือเมื่อ Henry Kissinger ได้บินมาที่เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก ปูตินไปรับที่สนามบิน และนำไปสู่ที่พัก ในการสนทนากัน คิสซิงเจอร์ได้บอกกับปูตินว่า “คนที่ทำงานเก่งๆเนี่ย เริ่มต้นมาจากหน่วยราชการลับกันทั้งนั้น” ปูตินยิ้มนิดๆ ตอบไปว่า “อย่างผมนี่ไง……..!!” **ที่ Florida, USA. มีเมืองที่ชื่อว่า Saint Petersburg เช่นกัน ***จำชื่อนี้ไว้นะคะ Igor Sechin เพราะต่อมาเขาคือกลไกสำคัญในการเป็นแขนขาในการทำงาน เคยเป็นรองนายกรัฐมนตรี เมื่อปูตินเป็นนายกฯ อิกอร์ดูแลควบคุมการอุตสาหกรรมแร่ รวมไปถึงพลังงานและเป็น CEO บริษัท Rosneft ก๊าสและน้ำมัน ที่ใหญ่อันดับสามของรัสเซีย ตัวเขาเองที่เปรียบเสมือนมือขวาของปูตินจนถึงบัดนี้ และตะวันตก……ได้ให้สถานะเขาว่า เป็นผู้มีอำนาจที่สองรองลงไปจากปูติน หรือแม้แต่ Alexey Miller CEO ของ Gazprom บริษัทพลังงานที่ใหญ่ที่สุดในรัสเซียก็เป็นเด็กในคาถาของปูติน เพราะปั้นมากับมือตั้งแต่เขาเริ่มเลือกเส้นทางสายการเมือง Wiwanda W. Vichit
    0 Comments 0 Shares 260 Views 0 Reviews
  • ความรุนแรงจากภัยพิบัติน้ำท่วม #เชียงราย
    ความรุนแรงจากภัยพิบัติน้ำท่วม #เชียงราย
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 54 Views 0 Reviews
  • หากเกิดสงครามนิวเคลียร์ในยุโรป สหรัฐจะโดนด้วย

    อนาโตลี อันโตนอฟ เอกอัครราชทูตรัสเซียประจำสหรัฐฯ กล่าว วอชิงตันจะไม่สามารถซ่อนตัวจากความขัดแย้งทางนิวเคลียร์ได้ หากมันเริ่มต้นที่ยุโรป

    ความกลัวว่าอาจมีการลุกลามระหว่างรัสเซียและ NATO ในเรื่องยูเครนทวีความรุนแรงมากขึ้นในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เนื่องจากมีรายงานว่ามหาอำนาจตะวันตกครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้ที่จะอนุญาตให้เคียฟทำการโจมตีด้วยขีปนาวุธลึกเข้าไปในดินแดนรัสเซีย

    เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา เอกอัครราชทูตอันโตนอฟ ให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ Rossiya 24 ว่า รู้สึกประหลาดใจกับ “ภาพลวงตา” ที่ว่า “หากมีข้อขัดแย้ง มันจะไม่ลุกลามไปยังดินแดนของสหรัฐอเมริกา”

    “ผมพยายามถ่ายทอดประเด็นที่สำคัญให้พวกเขาฟังอยู่ตลอดเวลาว่า ชาวอเมริกันไม่สามารถนั่งอยู่หลังผืนน้ำในมหาสมุทรนี้เฉยๆได้ สงครามครั้งนี้จะส่งผลกระทบต่อทุกคน ดังนั้นเราจึงพูดอยู่เสมอว่า – อย่าเล่นกับคำพูดทางการเมืองนี้” Antonov กล่าว

    นอกจากนี้เขายังกล่าวด้วยว่าในขณะที่ประเทศตะวันตกกล่าวหารัสเซียว่า "ข่มขู่ที่จะใช้กำลังทางทหาร" สหรัฐฯ ต้องการตรวจสอบผลที่ตามมาของการโจมตีด้วยนิวเคลียร์ต่อยุโรปตะวันออก เห็นได้ชัดว่าโทนอฟหมายถึงการศึกษาที่ได้รับคำสั่งจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เพื่อจำลองผลกระทบของความขัดแย้งทางนิวเคลียร์ต่อการเกษตรทั่วโลก ตามประกาศเชิญชวนที่โพสต์บนแพลตฟอร์มการจัดซื้อจัดจ้างของรัฐบาล การศึกษาจะมุ่งเน้นไปที่ภูมิภาค “นอกยุโรปตะวันออกและรัสเซียตะวันตก” ซึ่งในการจำลองเป็นศูนย์กลางของการโจมตีด้วยนิวเคลียร์ในกรณีสมมุติ

    เมื่อวันพฤหัสบดี ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซียเตือนว่าการยกเลิกข้อจำกัดในการใช้อาวุธตะวันตกของยูเครนเพื่อโจมตีรัสเซียจะเกี่ยวข้องโดยตรงกับสหรัฐฯ และพันธมิตรในการขัดแย้งกับรัสเซีย และจะได้พบกับการตอบสนองที่เหมาะสม

    วาสซิลี เนเบนเซีย ทูตรัสเซียประจำสหประชาชาติกล่าวย้ำในภายหลังว่า การอนุญาตให้เคียฟใช้อาวุธพิสัยไกลที่ตะวันตกจัดหาให้ จะถือเป็นการมีส่วนร่วมโดยตรงในความขัดแย้งโดยนาโต้

    ที่มา RT
    หากเกิดสงครามนิวเคลียร์ในยุโรป สหรัฐจะโดนด้วย อนาโตลี อันโตนอฟ เอกอัครราชทูตรัสเซียประจำสหรัฐฯ กล่าว วอชิงตันจะไม่สามารถซ่อนตัวจากความขัดแย้งทางนิวเคลียร์ได้ หากมันเริ่มต้นที่ยุโรป ความกลัวว่าอาจมีการลุกลามระหว่างรัสเซียและ NATO ในเรื่องยูเครนทวีความรุนแรงมากขึ้นในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เนื่องจากมีรายงานว่ามหาอำนาจตะวันตกครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้ที่จะอนุญาตให้เคียฟทำการโจมตีด้วยขีปนาวุธลึกเข้าไปในดินแดนรัสเซีย เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา เอกอัครราชทูตอันโตนอฟ ให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ Rossiya 24 ว่า รู้สึกประหลาดใจกับ “ภาพลวงตา” ที่ว่า “หากมีข้อขัดแย้ง มันจะไม่ลุกลามไปยังดินแดนของสหรัฐอเมริกา” “ผมพยายามถ่ายทอดประเด็นที่สำคัญให้พวกเขาฟังอยู่ตลอดเวลาว่า ชาวอเมริกันไม่สามารถนั่งอยู่หลังผืนน้ำในมหาสมุทรนี้เฉยๆได้ สงครามครั้งนี้จะส่งผลกระทบต่อทุกคน ดังนั้นเราจึงพูดอยู่เสมอว่า – อย่าเล่นกับคำพูดทางการเมืองนี้” Antonov กล่าว นอกจากนี้เขายังกล่าวด้วยว่าในขณะที่ประเทศตะวันตกกล่าวหารัสเซียว่า "ข่มขู่ที่จะใช้กำลังทางทหาร" สหรัฐฯ ต้องการตรวจสอบผลที่ตามมาของการโจมตีด้วยนิวเคลียร์ต่อยุโรปตะวันออก เห็นได้ชัดว่าโทนอฟหมายถึงการศึกษาที่ได้รับคำสั่งจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เพื่อจำลองผลกระทบของความขัดแย้งทางนิวเคลียร์ต่อการเกษตรทั่วโลก ตามประกาศเชิญชวนที่โพสต์บนแพลตฟอร์มการจัดซื้อจัดจ้างของรัฐบาล การศึกษาจะมุ่งเน้นไปที่ภูมิภาค “นอกยุโรปตะวันออกและรัสเซียตะวันตก” ซึ่งในการจำลองเป็นศูนย์กลางของการโจมตีด้วยนิวเคลียร์ในกรณีสมมุติ เมื่อวันพฤหัสบดี ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซียเตือนว่าการยกเลิกข้อจำกัดในการใช้อาวุธตะวันตกของยูเครนเพื่อโจมตีรัสเซียจะเกี่ยวข้องโดยตรงกับสหรัฐฯ และพันธมิตรในการขัดแย้งกับรัสเซีย และจะได้พบกับการตอบสนองที่เหมาะสม วาสซิลี เนเบนเซีย ทูตรัสเซียประจำสหประชาชาติกล่าวย้ำในภายหลังว่า การอนุญาตให้เคียฟใช้อาวุธพิสัยไกลที่ตะวันตกจัดหาให้ จะถือเป็นการมีส่วนร่วมโดยตรงในความขัดแย้งโดยนาโต้ ที่มา RT
    Like
    8
    2 Comments 0 Shares 569 Views 0 Reviews
  • 'ครั้งใหญ่' จรวดของกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ โจมตีฐานทัพสำคัญทางยุทธศาสตร์ของกองทัพอิสราเอล

    การสู้รบข้ามพรมแดนที่ชายแดนทางตอนใต้ของเลบานอนได้ทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่เจ้าหน้าที่ในเทลอาวีฟยืนกรานที่จะกลับมามุ่งเน้นความพยายามในการทำสงครามกับกลุ่มฮิซบอลเลาะห์
    .
    'Massive' Hezbollah rocket volley hits strategic Israeli army base

    Cross-border hostilities at the southern Lebanese border have escalated in recent weeks as officials in Tel Aviv insist on refocusing their war efforts against Hezbollah

    https://thecradle.co/articles-id/26858
    .
    5:31 PM · Sep 14, 2024 · 4,125 Views
    https://x.com/TheCradleMedia/status/1834902884728598638
    'ครั้งใหญ่' จรวดของกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ โจมตีฐานทัพสำคัญทางยุทธศาสตร์ของกองทัพอิสราเอล การสู้รบข้ามพรมแดนที่ชายแดนทางตอนใต้ของเลบานอนได้ทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่เจ้าหน้าที่ในเทลอาวีฟยืนกรานที่จะกลับมามุ่งเน้นความพยายามในการทำสงครามกับกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ . 'Massive' Hezbollah rocket volley hits strategic Israeli army base Cross-border hostilities at the southern Lebanese border have escalated in recent weeks as officials in Tel Aviv insist on refocusing their war efforts against Hezbollah https://thecradle.co/articles-id/26858 . 5:31 PM · Sep 14, 2024 · 4,125 Views https://x.com/TheCradleMedia/status/1834902884728598638
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 146 Views 0 Reviews
  • ฉีดวัคซีนฝีดาษลิงดีหรือไม่ ในยุคไวรัสฝีมือมนุษย์? / ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

    “ไข้ทรพิษ” หรือฝีดาษเป็นโรคติดต่อร้ายแรง มีลักษณะเฉพาะคือมีผื่นขึ้นตามตัว ไข้สูง ปวดศีรษะ ชัก และอาจทำให้เกิดโรคแทรกซ้อน มีอัตราการเสียชีวิต 30% เกิดจากเชื้อไวรัส แบ่งได้เป็น 2 ชนิด คือ

    1.ไข้ทรพิษชนิดร้ายแรง เกิดจากเชื้อ “วาริโอลา เมเจอร์” (Variola major or classical smallpox)

    2.ไข้ทรพิษชนิดอ่อน ซึ่งมีความรุนแรงน้อยกว่าชนิดแรก เกิดจากเชื้อ “วาริโอลา ไมเนอร์”  (Variola minor or alastrim)[1]

    เว็บไซต์กรมควบคุมโรค สหรัฐอเมริกา ได้รายงานหลักฐานแรกสุดของโรคนี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสตศักราชในอียิปต์[2] และเมื่อเวลาผ่านไปก็ทยอยลุกลามไปทั่วโลก

    ทั้งนี้เชื้อไวรัสฝีดาษ (Variolar) นี้สามารถแพร่กระจายไปในอากาศ จากละอองสิ่งคัดหลั่งจากคนที่เป็นโรค เช่น น้ำมูก, น้ำลาย หรือจากการสัมผัสกับผิวหนังที่มีแผลฝีดาษ เชื้อนี้มีความคงทนต่อสภาพอากาศ สามารถแพร่ได้ไม่ว่าจะอากาศร้อนหรือหนาว และสามารถติดต่อจากคนไปสู่คนได้โดยง่าย

    อย่างไรก็ตาม การรณรงค์ฉีดวัคซีนกวาดล้างโรคฝีดาษ ตลอดศตวรรษที่ 19-20 โดยการประสานงานขององค์การอนามัยโลก เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2510-2518 ทำให้ผู้ป่วยฝีดาษทั่วโลกลดลงอย่างมาก ตามรายงานขององค์การอนามัยโลกแจ้งว่ามีผู้ป่วยเป็นโรคฝีดาษรายสุดท้าย เกิดขึ้นที่ ประเทศโซมาเลีย เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ.2520

    ซึ่งองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประกาศว่า ฝีดาษถูกกวาดล้าง (eradicate) หมดไปจากโลกในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2523[2]

    จึงถือว่าเป็นโรคระบาดที่มนุษย์สามารถเอาชนะได้หลังจากใช้เวลานานกว่า 3,000 ปี

    อย่างไรก็ตามแม้ว่าโรคจะถูกกวาดล้างไปแล้ว แต่เชื้อไวรัสฝีดาษยังถูกเก็บไว้ในห้องปฏิบัติการและอยู่ในความดูแลอย่างเข้มงวดที่ศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคแห่งชาติ (CDC) เมืองแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย ประเทศสหรัฐอเมริกาและที่ State Research Centre of Virology and Biotechnology สหพันธ์สาธารณรัฐ รัสเซีย ซึ่งหน่วยงานทั้ง 2 แห่งในประเทศนี้ได้รับอนุญาตจาก WHA ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2542 ให้เป็นที่เก็บไวรัส Variola ที่มีชีวิตเพื่อนำมาใช้ในการศึกษาวิจัยในกรณีที่อาจมีโรคฝีดาษอุบัติใหม่ขึ้นมา[3],[4]

    ซึ่งแปลว่าคนในโลกนี้ควรจะปลอดจากเชื้อฝีดาษไปตลอดกาลแล้ว นับตั้งแต่ปี พ.ศ.​2523 หากไม่มีการรั่วไหล หรือมีวาระซ่อนเร้นในการทำธุรกิจกับชีวิตของมนุษยชาติ จริงหรือไม่?

    อย่างไรก็ตาม ได้มีเหตุการณ์พบขวดทดลองที่มีลักษณะแห้งและแช่แข็งบรรจุเชื้อไข้ทรพิษจำนวน 6 ขวด เก็บอยู่ในกล่องในห้องเก็บของที่มีการควบคุมอุณหภูมิไว้ที่ 5 องศาเซลเซียส ของสถาบันเพื่อสุขภาพแห่งชาติอเมริกา (National Institutes of Health: NIH) ในสังกัดองค์การอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) ในเบเธสดา รัฐแมรีแลนด์ เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 ที่ผ่านมา[3]

    เหตุการณ์ดังกล่าวสร้างความตระหนกแก่ประชาชนที่ทราบข่าว เนื่องจากความกลัวว่าจะมีการนำเชื้อไข้ทรพิษเป็นอาวุธชีวภาพ ทำให้มีการกำหนดมาตรฐานการเก็บรักษาเชื้อไวรัสไข้ทรพิษหรือฝีดาษ ว่าจะต้องถูกเก็บรักษาไว้ใน BSL-4 หรือแล็บความปลอดภัยด้านชีวภาพระดับ 4[3]

    แต่ห้องเก็บของที่พบกล่องบรรจุขวดเชื้อไวรัสฝีดาษไม่เข้ามาตรฐานความปลอดภัยขั้นสูง ทำให้มีการสอบสวนที่มาที่ไปของขวดตัวอย่างที่พบและนำเข้าสู่ระบบการทำลายเชื้อ เพื่อให้เกิดความแน่ใจว่าจะไม่มีการนำไปใช้ในทางที่ผิด อันเนื่องมาจากความรุนแรงของโรคที่เคยปรากฏในอดีตที่ผ่านมา[3]

    คำถามที่ตามมามีอยู่ว่าในเมื่อเชื้อฝีดาษหายไปจากโลกกว่า 40 ปี และเชื้อตัวอย่างยังคงหลงเหลืออยู่เพียงแค่ห้องปฏิบัติการ 2 ประเทศ คือ สหรัฐอเมริกา กับ รัสเซีย หากฝีดาษจะมีการกลับมาระบาดอีกครั้งในโลก ย่อมต้องถูกตั้งข้อสงสัยว่ามาจากสหรัฐอเมริกา หรือ รัสเซียกันแน่

    ปรากฏในรายงานผลการสอบสวนของกรรมาธิการของวุฒิสภาในสหรัฐอเมริกาฉบับเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2567[5] พบว่าฝีดาษลิงที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ อาจเป็นปัญหาที่ไม่ได้เกิดขึ้นตามธรรมชาติ แต่เป็นการประดิษฐ์ขึ้นโดยมนุษย์

    เรื่องดังกล่าวนี้ทำให้ศาสตราจารย์นายแพทย์ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ได้โพสต์เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2567[6] นำรายงานผลการสอบสวนดังกล่าว และโพสต์ข้อความว่า

    “ไวรัสฝีดาษตัวใหม่ที่่ทั่วโลกกำลังตื่นตระหนก จากการประกาศขององค์การอนามัยโลกประสานกับองค์กรของสหรัฐฯ และพยายามจะให้มีการสะสมวัคซีนตลอดจนให้มีการใช้ทั่วโลก เป็นการเกิดขึ้นตามธรรมชาติหรือมีการประดิษฐ์มีการตรวจสอบโดยกรรมาธิการเฉพาะของวุฒิสภาสหรัฐฯ โดยกรรมาธิการดังกล่าวออกรายงาน 73 หน้า ในวันที่ 11 มิถุนายน 2024 เป็นการสอบสวนการทำวิจัยไวรัสฝีดาษลิง ที่มีความเสี่ยงสูงโดยทำให้มีความรุนแรงมากขึ้นและติดต่อได้ง่ายขึ้นระหว่างคนสู่คน

    ขั้นตอนติดต่อส่วนของไวรัสในกลุ่มที่สอง ไปยังกลุ่มที่หนึ่งปรากฏว่าความรุนแรงลดลง

    ดังนั้นเลยมีกระบวนการที่ทำโดยเอาส่วนที่หนึ่งเสียบไปยังกลุ่มที่สองจนได้ผลสำเร็จ มีความรุนแรงมากขึ้นและแพร่ได้เร็ว เกิดการระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    สืบจนพบว่าเป็นการอนุมัติทุนในองค์กร NIH NIAID ของสหรัฐฯ ในปี 2015 และรายงานความสำเร็จในปี 2022 ซึ่งในขณะนั้นเอง ก่อให้เกิดความวิตกกังวลของนักวิทยาศาสตร์ทั่วไปถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้น

    และนำไปสู่การสืบสวนจนกระทั่งถึงผู้อนุมัติสนับสนุนงานสร้างไวรัสใหม่ คือ ดร.เฟาซี (ดร.แอนโทนี เฟาซี ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อระดับแนวหน้าของสหรัฐฯ และหัวหน้าทีมที่ปรึกษาด้านสาธารณสุขของประธานาธิบดี โจ ไบเดน)

    และเหตุการณ์ที่คล้องจอง คือการฝึกซ้อมรับมือผู้ก่อการร้าย โดยสมมุติว่ามีการใช้อาวุธชีวภาพ คือไวรัสฝีดาษลิงที่ตัดต่อพันธุกรรม ชื่อ Akhmeta ทั้งในปี 2021 และในปี 2022 โดยสร้างฉากทัศน์ เริ่มจากการปล่อยไวรัสจนกระทั่งมีการระบาดทั่วโลกและล้มตายไปหลายร้อยล้านคนและในขณะเดียวกันมีการตระเตรียมยาและวัคซีน

    เหตุการณ์ที่เกิดในปัจจุบันที่มีการติดเชื้อฝีดาษลิงในมนุษย์ที่ง่ายขึ้น เริ่มเกิดขึ้นในปี 2021 และ 2022 และทยอยแพร่ไปทั่วโลก

    จนองค์การอนามัยโลกประกาศเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินและผลักดันให้มีการฉีดวัคซีนทั่วโลก[6]

    ส่วนประเทศไทยได้ปรากฏข้อมูลที่รวมรวมโดยเว็บไซต์ Hfocus รายงานว่าการเกิดโรคฝีดาษในไทยพบหลักฐานตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ดังปรากฎในพระราชพงศาวดารสมัยกรุงศรีอยุธยาว่า

    ถึงขนาดว่ามีพระมหากษัตริย์ไทยสวรรคตด้วยฝีดาษ 2 พระองค์  ได้แก่ สมเด็จพระบรมราชาที่ 4 หน่อพุทธางกูร พระมหากษัตริย์ ลำดับที่ 11 ของกรุงศรีอยุธยา ทรงพระประชวรด้วยโรคไข้ทรพิษ และเสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. 2076 หรือประมาณ 491 ปีที่แล้ว

    อีก 72 ปีต่อมา สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ได้ประชวรที่เมืองหาง (เมืองห้างหลวง ในรัฐฉาน) เป็นฝีละลอกขึ้นที่พระพักตร์ กลายเป็นพิษ และสวรรคต เมื่อ 25 เมษายน พ.ศ. 2148 ซึ่งตรงกับช่วงศตวรรษที่ 16 มีการระบาดครั้งใหญ่ทั่วโลก และยังมีการระบาดในพ.ศ. 2292 สมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ที่ทำให้มีคนตายมาก[3]

    โรคฝีดาษ หรือ ไข้ทรพิษ ในอดีตนั้นมีความร้ายแรง เพราะยังถึงขั้นพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาเสด็จสวรรคตถึง 2 พระองค์ได้ จึงมีความแตกต่างจากโรคระบาดชนิดอื่นๆ

    ดังนั้นในเวลาต่อๆมา โรคฝีดาษ หรือ ไข้ทรพิษ จึงเป็นโรคระบาดที่สำคัญที่ต้องมีการพัฒนาอย่างเร่งด่วน ทั้งการป้องกันการเกิดโรคระบาด จนถึงขั้นการรักษาโรค

    ในสมัยรัตนโกสินทร์ มีการระบาดของฝีดาษเช่นกัน จากบันทึกของหมอบรัดเลย์ ที่ระบุว่าในสมัยรัชกาลที่ 3 มีการระบาดของฝีดาษอย่างหนัก ทำให้หมอบรัดเลย์ริเริ่มการปลูกฝีบำบัดโรคฝีดาษเป็นครั้งแรกในไทยในวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2379 โดยใช้เชื้อหนองฝีโคที่นำเข้ามาจากอเมริกา และได้เขียนตำราชื่อ “ตำราปลูกฝีให้กันโรคธระพิศม์ไม่ให้ขึ้นได้” ปรากฏมาจนถึงทุกวันนี้[3]

    ในระยะ พ.ศ. 2460 – 2504 ยังมีการระบาดของฝีดาษเกิดขึ้นทุกปี โดยเฉพาะในปี พ.ศ. 2488 – 2489 ช่วงการเกิดสงครามมีการระบาดของฝีดาษครั้งใหญ่สุดเริ่มต้นจากเชลยพม่าที่ทหารญี่ปุ่นจับมาสร้างทางรถไฟสายมรณะข้ามแม่นํ้าแควป่วยเป็นไข้ทรพิษและแพร่ไปยังกลุ่มกรรมกรไทยจากภาคต่างๆที่มารับจ้างทํางานในแถบนั้น เมื่อแยกย้ายกันกลับบ้าน ได้นําโรคกลับไปแพร่ระบาดใหญ่ทั่วประเทศ มีผู้ป่วยมากถึง 62,837 คน และเสียชีวิต 15,621 คน[3]

    การระบาดเกิดขึ้นอีกครั้งในปี พ.ศ. 2502 ทำให้มีผู้ป่วย 1,548 คน ตาย 272 คน และการระบาดครั้งสุดท้ายมีการบันทึกไว้ว่าเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2504 ที่อําเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย มีผู้ป่วย 34 ราย ตาย 5 ราย โดยรับเชื้อมาจากรัฐเชียงตุงของพม่า ทำให้กระทรวงสาธารณสุขเริ่มโครงการกวาดล้างไข้ทรพิษหรือฝีดาษในประเทศไทย รณรงค์ปลูกฝีป้องกันโรค จนปีพ.ศ. 2523 องค์การอนามัยโลกได้ประกาศว่าฝีดาษได้ถูกกวาดล้างแล้วจึงหยุดการปลูกฝีป้องกันโรค   และนับแต่นั้นมาไม่เคยปรากฏว่ามีฝีดาษเกิดขึ้นในประเทศไทย[3]

    นี่คือเหตุผลว่าประเทศไทยได้ทำการปลูกฝี เพื่อป้องกันโรคฝีดาษ หรือไข้ทรพิษในปี พ.ศ. 2532 เป็นปีสุดท้าย หรือเมื่อประมาณ 44 ปีที่แล้ว ดังนั้นประชาชนไทยที่อายุมากกว่า 44 ปีขึ้นไป ก็น่าจะได้รับการปลูกฝีไปเกือบทั้งหมดแล้ว

    แต่เมื่อฝีดาษลิงกลับมาระบาดอีกครั้ง ก็ทำให้เกิดคำถามว่าประเทศไทยจะรับมืออย่างไร และเราควรจะฉีดวัคซีนหรือไม่? และคนที่มีอายุเกิน 44 ปี (ซึ่งส่วนใหญ่ได้ปลูกฝีไข้ทรพิษมาแล้ว)จะมีคนติดเชื้อโรคฝีดาษลิงหรือไม่

    โดยวันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2567 เว็บไซต์ของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้รายงานสถานการณ์ฝีดาษวานร (ฝีดาษลิง)จนถึงปัจจุบันว่า มีผู้ป่วยฝีดาษลิงในประเทศไทย จำนวน 835 ราย เป็นเพศชายเกือบทั้งหมดมากถึง 814 ราย คิดเป็นร้อยละ 97.49 ในขณะที่เป็นเพศหญิง 21 ราย คิดเป็นร้อยละ 2.51 เท่านั้น[7]

    ซึ่งถือว่าโอกาสติดเชื้อฝีดาษลิงในผู้หญิงน้อยมาก

    แต่ที่น่าสนใจคือ กลุ่มคนวัยหนุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ป่วยเป็นโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง เอชไอวี อย่างไรก็ตามกลุ่มคนที่เคยปลูกฝีไข้ทรพิษแล้วยังสามารถติดเชื้อฝีดาษลิงได้อยู่ดีแต่น้อยกว่าคนที่ไม่ได้ปลูกฝี ดังนี้

    ผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 0-14 ปี ติดเชื้อฝีดาษลิง 2 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 0.36 ของผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงทั้งหมด

    ผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 15-19 ปี ติดเชื้อฝีดาษลิง 3 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 0.24 ของผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงทั้งหมดในประเทศไทย

    ผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 20-24 ปี ติดเชื้อฝีดาษลิง 81 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 9.70 ของผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงทั้งหมดในประเทศไทย

    ผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 25-29 ปี ติดเชื้อฝีดาษลิง 172 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 20.59 ของผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงทั้งหมดในประเทศไทย

    ผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 30-39 ปี ติดเชื้อฝีดาษลิง 347 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 41.56 ของผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงทั้งหมดในประเทศไทย

    ผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 40-49 ปี ติดเชื้อฝีดาษลิง 174 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 20.83 ของผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงทั้งหมดในประเทศไทย ในกลุ่มนี้หากพิจารณาแยกแยะผู้ที่มีอายุ 40-44 ปี ซึ่งไม่เคยได้รับการปลูกฝีมาก่อนมีจำนวน 130 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 15.65 ในขณะที่ผู้ที่มีอายุมากกว่า 45-49 ที่เชื่อว่าน่าจะได้รับการปลูกฝีแล้วติดเชื้อฝีดาษลิงแล้ว 44 ราย คิดเป็นเพียงร้อยละ 5.27 เท่านั้น

    ผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 50-59 ปี ติดเชื้อฝีดาษลิง 29 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 3.47 ของผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงทั้งหมดในประเทศไทย

    ผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ติดเชื้อฝีดาษลิง 8 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 0.95 ของผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงทั้งหมดในประเทศไทย[7]

    จากข้อมูลดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ในประเทศไทยผู้ที่มีอายุมากกว่า 45 ปีขึ้นไปซึ่งน่าจะมีการปลูกฝีไข้ทรพิษไปแล้วก็ยังมีโอกาสติดเชื้อฝีดาษลิงได้ เพียงแต่มีสัดส่วนน้อยกว่าประชากรที่ยังไม่เคยได้รับการปลูกฝี คือ ผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 44 ปีลงมา มีผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงจำนวน 754 รายคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 90.30 ในขณะที่ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 45 ปีขึ้น (ซึ่งส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดได้รับการปลูกฝีไปแล้ว)มีผู้ป่วยติดเชื้อฝีดาษลิงทั้งสิ้น 81 รายคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 9.70 ราย

    อย่างไรก็ตามในภาวะดังกล่าว มีคำแถลงจากนายแพทย์ธงชัย กีรติหัตถยากร อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้ให้ความเห็นเอาไว้เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2567 ความว่า

    “โดยจริงๆ วัคซีนไม่จำเป็นต้องฉีดทุกคน ไม่มีการระบาดทั่วไป เพราะอัตราการระบาดต่ำ แต่จะพบในผู้ป่วยเฉพาะ เช่น ผู้ขายบริการทางเพศ และชายรักชาย อีกทั้ง ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เกิดจากผู้ป่วยเอชไอวี และไม่ทานยาทั้งหมด 13 รายที่ผ่านมา (เชื้อเคลด2)”[8]

    นายแพทย์ธงชัย กีรติหัตถยากร อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ยังได้

    “คณะอนุกรรมการฯ พิจารณาเห็นว่า เพื่อเป็นการควบคุมโรค แต่เนื่องจากวัคซีนป้องกันฝีดาษวานรยังไม่ได้มีการขึ้นทะเบียนในประเทศไทย ทางกรมควบคุมโรคจึงใช้ มาตรา 13(5) เพื่อการควบคุมโรค ตาม พ.ร.บ.ยา พ.ศ.2510  จะมีการใช้งบประมาณ กรมควบคุมโรค วงเงิน 21 ล้านบาท เพื่อการจัดซื้อวัคซีนดังกล่าว รวม 3,000 โดส  เพื่อฉีดให้กับกลุ่มเสี่ยง  3 กลุ่ม ประกอบด้วย  

    1. บุคลากรทางการแพทย์ที่เสี่ยงต่อการติดโรค อาทิ ไปสัมผัสเสี่ยงสูง คือ สัมผัสคนติดเชื้อ

    2. กลุ่มไปสัมผัสโรค เสี่ยงว่าจะติดเชื้อ ก็จะฉีดภายใน 4 วัน

    และ3. มีประวัติสัมผัสใกล้ชิดคนติดเชื้อ เช่น คนในครอบครัวที่ติดเชื้อ ซึ่ง 3 กลุ่มเสี่ยงนี้ กรมควบคุมโรคจะดูแลโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย“[8]

    เรื่องดังกล่าวนี้ทำให้ศาสตราจารย์นายแพทย์ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิตให้ความเห็น เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2567 ในเรื่องความพยายามกระพือข่าวให้กลัวเพื่อให้เกิดการระดมฉีดวัคซีน ความว่า

    “กรมควบคุมโรคประกาศแล้ว ฝีดาษลิงอัตราการระบาดต่ำ ทั้งประเทศมีประมาณ 800 ราย และที่เสียชีวิตนั้น เพราะมีติดเชื้อไวรัสเอดส์ และโรคทางเพศสัมพันธ์อื่น การติดตามของกระทรวงสาธารณสุข พบว่า ผู้ติดเชื้อปลอดภัยดี

    วัคซีนขณะนี้ “ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียน” และกระทรวงสาธารณสุข จะจัดการให้ฉีดฟรีใน “กลุ่มเสี่ยง” เท่านั้น ได้แก่

    1. บุคลากรทางการแพทย์ที่สัมผัสกับผู้ติดเชื้อ
    2. คนที่สัมผัสกับผู้ติดเชื้อโดยต้องฉีดภายใน 4 วัน

    ทั้งสองกลุ่มนี้ฟรี
    ส่วนกลุ่มที่ต้องเดินทางในพื้นที่เสี่ยงนั้น การฉีดนั้นต้องจ่ายเงิน

    “กลุ่มที่กระพือข่าวให้น่ากลัว โดยไม่ยึดความจริง และอาจทำให้นำไปสู่การค้าวัคซีน ควรต้องจับตามองอย่างเข้มข้น””[9]

    อย่างไรก็ตามแม้ว่าฝีดาษลิงจะเป็นเชื้อที่ยังติดได้ยาก ส่วนใหญ่พบในผู้ป่วยเฉพาะคือ ขายบริการทางเพศ และชายรักชาย อีกทั้งผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เกิดจากผู้ป่วยเอชไอวีที่ไม่ทานยาทั้งหมด ส่วนการติดนั้นต้องอาศัยการสัมผัสผิวใกล้ชิด อัตราการเสียชีวิตอยู่ในระดับต่ำ คนส่วนใหญ่จึงยังไม่จำเป็นต้องฉีดวัคซีนแต่ประการใด

    อย่างไรก็ตามเนื่องจากโรคฝีดาษที่กลับมาระบาดอีกครั้งในรอบ 44 ปี ทำให้ความรู้ในการรักษาผู้ป่วยขาดตอนไป คงเหลือแต่การค้นคว้ากรรมวิธีการรักษาในประวัติศาสตร์ของคนไทยว่าใช้วิธีการรักษาอย่างไร

    โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า “โรคฝีดาษ” เป็นโรคที่มีความจำเพาะ ถึงขนาดทำให้พระมหากษัตริย์สมัยอยุธยาเสด็จสวรรคตถึง 2 พระองค์

    จึงปรากฏเรื่องของตำรับยาและสมุนไพรที่เกี่ยวกับการรักษา “โรคฝีดาษ” แยกออกมาต่างหากจากโรคระบาดอื่นๆ บันทึกปรากฏอยู่ในแผ่นศิลาจารึกในสมัยรัชกาลที่ 2 ของจารึกตำรายาวัดราชโอรสารามราชวรวิหาร[10]-[12] และอยู่ในแผ่นศิลาจารึกในสมัยรัชกาลที่ 3 ในแผ่นศิลาจารึกตำรายาวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม[10],[13]-[15]

    นอกจากนั้น โรคฝีดาษไม่ใช่เป็นโรคระบาดอื่นๆที่ใช้ “ยาขาว”ที่ใช้กับโรคระบาดหลายชนิดในตำรับยาเดียว ที่ปรากฏในศิลาจารึกในสมัยรัชกาลที่ 3 ในแผ่นศิลาจารึกตำรายาวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามอีกด้วย[16]

    หลักฐานที่ว่า “โรคฝีดาษ” ไม่ใช่โรคระบาดทั่วไปนั้น จะเห็นได้จากพระคัมภีร์ตักกะศิลาที่บันทึกภูมิปัญญามาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 และบันทึกมาโดยเจ้าพระยาวิชยาธิบดี (กล่อม) เจ้าเมืองจันทบูร ที่ตกทอดมาถึงตำราเวชศาสตร์ฉบับหลวงในสมัยรัชกาลที่ 5 หรือตำราแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ในสมัยรัชกาลที่ 5 ไม่พบการกล่าวถึงคำว่า “ฝีดาษ” แต่ประการใด

    แต่ในที่สุดก็ได้พบตำราเวชศาสตร์ฉบับหลวงในสมัยรัชกาลที่ 5 ที่ระบุคัมภีร์ชื่อ “พระตำหรับแผนฝีดาษ” บันทึกในสมุดไทย มีรายละเอียดจำนวนมากเกี่ยวกับโรคฝีดาษเป็นการเฉพาะ และมีจำนวนมากถึง 3 เล่ม จนไม่สามารถที่จะถ่ายทอดมาให้อ่านในหมดในบทความนี้

    โดย “พระตำหรับแผนฝีดาษ” ในสมัยรัชกาลที่ 5 นั้น มีการกล่าวถึงลักษณะของฝีแต่ละชนิด และจุดที่เกิดฝีว่าบริเวณใดเป็นแล้วไม่เสียชีวิต รวมถึงบริเวณใดจะทำให้เสียชีวิตภายในกี่วัน จึงได้มีการแบ่งแยกวิธีการรักษาอย่างละเอียดยิบ

    อย่างไรก็ตามก็มีวาง “หลักการ“ ถึงวิธีการรักษาโรคฝีดาษปรากฏอยู่ใน ”พระตำหรับแผนฝีดาษ เล่ม 2“ ที่ระบุความตอนหนึ่งว่า

    ”๏ สิทธิการิยะ พระตำราประสะฝีดาษทั้งปวง ถ้าแพทย์ผู้ใดจะรักษาฝีดาษ ถ้าเห็นศีศะรู้ว่าเปนฝีดาษแน่แล้ว ให้กินยาล้อมตับดับพิศม์และให้กินยารุเสีย แลกินยาแปรภายใน พ่นยาแปรภายนอกแลกินยากะทุ้ง…“[17]

    หลังจากนั้นพอวันเวลาเปลี่ยนไปก็มีตำรับยาเฉพาะที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆจนรักษาฝีดาษจนหายในที่สุด

    ซึ่งในโอกาสอันสมควรก็น่าจะมีการรื้อฟื้น ศึกษา พระตำหรับแผนฝีดาษ สมัยรัชกาลที่ 5 แล้วทำการวิจัย พัฒนา เพื่อนำมาประยุกต์ใช้กับโรคฝีดาษในยุคปัจจุบันต่อไป

    ด้วยความปรารถนาดี
    ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
    คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต
    12 กันยายน 2567

    อ้างอิง
    [1] Ryan KJ, Ray CG, บ.ก. (2004). Sherris Medical Microbiology (4th ed.). McGraw Hill. pp. 525–28. ISBN 978-0-8385-8529-0.

    [2] CDC, History of Smallpox, 25 July 2017
    https://www.cdc.gov/smallpox/history/history.html

    [3] Hfocus, โรคระบาดร้ายแรงในอดีต ตอนที่ 3 โรคไข้ทรพิษ (ฝีดาษ), วันที่ 26 สิงหาคม 2558
    https://www.hfocus.org/content/2014/08/7977

    [4] World Health Organization, Small Pox, Media Center
    https://web.archive.org/web/20070921235036/http://www.who.int/mediacentre/factsheets/smallpox/en/

    [5] U.S. House of Representatives, Interim Staff Report on Investigation into Risky MPXV Experiment at the National Institute of Allergy and Infectious Diseases, June 14 2024
    https://d1dth6e84htgma.cloudfront.net/Mpox_Memo_Rpt_correction_18e95e3204.pdf?utm_source=substack&utm_medium=email&fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTAAAR0YlqstCXKzOUttRicgqQ6lG00dtMnZ_9pFf4FqtlBbSAyw5uR-tGR6QIM_aem_ZXPXy1XgTiGCTixSJJ-aFg

    [6] ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา, “หมอธีระวัฒน์” เปิดผลสอบสวน “ฝีดาษลิง” ธรรมชาติสร้างหรือมนุษย์ประดิษฐ์, ผู้จัดการออนไลน์, 6 กันยายน 2567
    https://mgronline.com/qol/detail/9670000082903

    [7] กรมควบคุมโรค, รายงานสถานการณ์โรคติดเชื้อฝีดาษวานร (Mpox), 12 กันยายน 2567
    https://ddc.moph.go.th/monkeypox/dashboard.php

    [8] Hfocus, กรมควบคุมโรค ทุ่มงบ 21 ล้านบาท จัดหา “วัคซีนฝีดาษวานร” 3 พันโดสให้เฉพาะ 3 กลุ่มเสี่ยง, 6 กันยายน 2567
    https://www.hfocus.org/content/2024/09/31577

    [9] ผู้จัดการออนไลน์, “หมอธีระวัฒน์” แนะจับตาพวกกระพือข่าวให้ตื่นกลัวฝีดาษลิง หวังค้าวัคซีน หลังกรมควบคุมโรคยืนยันแล้วอัตราระบาดต่ำ, 7 กันยายน 2567
    https://mgronline.com/qol/detail/9670000083178

    [10] ผู้จัดการออนไลน์, “ปานเทพ” เผยตำรับยาแก้ “ฝีดาษ” ในศิลาจารึก แนะวิจัยสมุนไพรไทยต่อยอดไว้สู้ “ฝีดาษลิง”, เผยแพร่: 5 กันยายน 2567
    https://mgronline.com/qol/detail/9670000082615

    [11] เว็บไซต์ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน,จารึกตำรายาวัดราชโอรสารามราชวรวิหาร แผ่นที่ 18 ด้านที่ 1, จารึกในประเทศไทย, โพสต์เมื่อวันที่ 3 ต.ค. 2557( อัพเดทเมื่อวันที่ 26 เม.ย. 2567)
    https://db.sac.or.th/inscript.../inscribe/image_detail/14798

    [12] เว็บไซต์ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน,จารึกตำรายาวัดราชโอรสารามราชวรวิหาร แผ่นที่ 46 (ยาผายเลือด) ด้านที่ 1, จารึกในประเทศไทย, โพสต์เมื่อ โพสต์เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2558
    https://db.sac.or.th/inscript.../inscribe/image_detail/16335

    [13] เว็บไซต์ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน), จารึกตำรายาวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม(ว่าด้วยตำรายาวิเศษสรรพคุณสำเร็จแก้สรรพโรคทั้งปวง แผ่นที่ 22 ยาแก้จักษุโรคคือต้อ(5), จารึกในประเทศไทย, โพสต์เมื่อวันที่ 20 ม.ค. 2560
    https://db.sac.or.th/.../file/22-chaksurok-to5-tr2.pdf

    [14] เว็บไซต์ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน), จารึกตำรายาวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (ว่าด้วยสรรพคุณยา เครื่องเทศ และสมุนไพร แผ่นที่ 7 ท้าวยายม่อม ข่าใหญ่ ข่าลิง กระทือ ไพล กระชาย หอม และกระเทียม) ด้านที่ 1, จารึกในประเทศไทย, โพสต์เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2564
    https://db.sac.or.th/.../7-thaoyaimom-khayai-khaling-tr1.pdf

    [15] เว็บไซต์ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน), จารึกตำรายาวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม, จารึกตำรายาวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (ว่าด้วยสรรพคุณยา เครื่องเทศ และสมุนไพร แผ่นที่ 14 แตงหนู ชิงชี่ บอระเพ็ด ชิงช้าชาลี บอระเพ็ดพุงช้าง ผักปอดตัวเมีย ผักปอดตัวผู้ และพลูแก), จารึกในประเทศไทย, โพสต์เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2567
    https://db.sac.or.th/inscriptions/inscribe/detail/17723

    [16] โรงเรียนแพทย์แผนโบราณ วัดพระเชตุพนฯ (วัดโพธิ์), ตำรายา ศิลาจารึกในวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) พระนคร พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้จารึกไว้เมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๕ ฉบับสมบูรณ์ ฉบับ พ.ศ.​๒๕๑๖ หน้า ๖๒ - ๖๔

    [17] คณะกรรมการอำนวยการจัดงานเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๕ ธันวาคม ๒๕๔๒, ตำราเวชศาสตร์ฉบับหลวง รัชกาลที่ ๕ เล่ม ๒

    ฉีดวัคซีนฝีดาษลิงดีหรือไม่ ในยุคไวรัสฝีมือมนุษย์? / ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ “ไข้ทรพิษ” หรือฝีดาษเป็นโรคติดต่อร้ายแรง มีลักษณะเฉพาะคือมีผื่นขึ้นตามตัว ไข้สูง ปวดศีรษะ ชัก และอาจทำให้เกิดโรคแทรกซ้อน มีอัตราการเสียชีวิต 30% เกิดจากเชื้อไวรัส แบ่งได้เป็น 2 ชนิด คือ 1.ไข้ทรพิษชนิดร้ายแรง เกิดจากเชื้อ “วาริโอลา เมเจอร์” (Variola major or classical smallpox) 2.ไข้ทรพิษชนิดอ่อน ซึ่งมีความรุนแรงน้อยกว่าชนิดแรก เกิดจากเชื้อ “วาริโอลา ไมเนอร์”  (Variola minor or alastrim)[1] เว็บไซต์กรมควบคุมโรค สหรัฐอเมริกา ได้รายงานหลักฐานแรกสุดของโรคนี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสตศักราชในอียิปต์[2] และเมื่อเวลาผ่านไปก็ทยอยลุกลามไปทั่วโลก ทั้งนี้เชื้อไวรัสฝีดาษ (Variolar) นี้สามารถแพร่กระจายไปในอากาศ จากละอองสิ่งคัดหลั่งจากคนที่เป็นโรค เช่น น้ำมูก, น้ำลาย หรือจากการสัมผัสกับผิวหนังที่มีแผลฝีดาษ เชื้อนี้มีความคงทนต่อสภาพอากาศ สามารถแพร่ได้ไม่ว่าจะอากาศร้อนหรือหนาว และสามารถติดต่อจากคนไปสู่คนได้โดยง่าย อย่างไรก็ตาม การรณรงค์ฉีดวัคซีนกวาดล้างโรคฝีดาษ ตลอดศตวรรษที่ 19-20 โดยการประสานงานขององค์การอนามัยโลก เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2510-2518 ทำให้ผู้ป่วยฝีดาษทั่วโลกลดลงอย่างมาก ตามรายงานขององค์การอนามัยโลกแจ้งว่ามีผู้ป่วยเป็นโรคฝีดาษรายสุดท้าย เกิดขึ้นที่ ประเทศโซมาเลีย เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ.2520 ซึ่งองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประกาศว่า ฝีดาษถูกกวาดล้าง (eradicate) หมดไปจากโลกในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2523[2] จึงถือว่าเป็นโรคระบาดที่มนุษย์สามารถเอาชนะได้หลังจากใช้เวลานานกว่า 3,000 ปี อย่างไรก็ตามแม้ว่าโรคจะถูกกวาดล้างไปแล้ว แต่เชื้อไวรัสฝีดาษยังถูกเก็บไว้ในห้องปฏิบัติการและอยู่ในความดูแลอย่างเข้มงวดที่ศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคแห่งชาติ (CDC) เมืองแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย ประเทศสหรัฐอเมริกาและที่ State Research Centre of Virology and Biotechnology สหพันธ์สาธารณรัฐ รัสเซีย ซึ่งหน่วยงานทั้ง 2 แห่งในประเทศนี้ได้รับอนุญาตจาก WHA ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2542 ให้เป็นที่เก็บไวรัส Variola ที่มีชีวิตเพื่อนำมาใช้ในการศึกษาวิจัยในกรณีที่อาจมีโรคฝีดาษอุบัติใหม่ขึ้นมา[3],[4] ซึ่งแปลว่าคนในโลกนี้ควรจะปลอดจากเชื้อฝีดาษไปตลอดกาลแล้ว นับตั้งแต่ปี พ.ศ.​2523 หากไม่มีการรั่วไหล หรือมีวาระซ่อนเร้นในการทำธุรกิจกับชีวิตของมนุษยชาติ จริงหรือไม่? อย่างไรก็ตาม ได้มีเหตุการณ์พบขวดทดลองที่มีลักษณะแห้งและแช่แข็งบรรจุเชื้อไข้ทรพิษจำนวน 6 ขวด เก็บอยู่ในกล่องในห้องเก็บของที่มีการควบคุมอุณหภูมิไว้ที่ 5 องศาเซลเซียส ของสถาบันเพื่อสุขภาพแห่งชาติอเมริกา (National Institutes of Health: NIH) ในสังกัดองค์การอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) ในเบเธสดา รัฐแมรีแลนด์ เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 ที่ผ่านมา[3] เหตุการณ์ดังกล่าวสร้างความตระหนกแก่ประชาชนที่ทราบข่าว เนื่องจากความกลัวว่าจะมีการนำเชื้อไข้ทรพิษเป็นอาวุธชีวภาพ ทำให้มีการกำหนดมาตรฐานการเก็บรักษาเชื้อไวรัสไข้ทรพิษหรือฝีดาษ ว่าจะต้องถูกเก็บรักษาไว้ใน BSL-4 หรือแล็บความปลอดภัยด้านชีวภาพระดับ 4[3] แต่ห้องเก็บของที่พบกล่องบรรจุขวดเชื้อไวรัสฝีดาษไม่เข้ามาตรฐานความปลอดภัยขั้นสูง ทำให้มีการสอบสวนที่มาที่ไปของขวดตัวอย่างที่พบและนำเข้าสู่ระบบการทำลายเชื้อ เพื่อให้เกิดความแน่ใจว่าจะไม่มีการนำไปใช้ในทางที่ผิด อันเนื่องมาจากความรุนแรงของโรคที่เคยปรากฏในอดีตที่ผ่านมา[3] คำถามที่ตามมามีอยู่ว่าในเมื่อเชื้อฝีดาษหายไปจากโลกกว่า 40 ปี และเชื้อตัวอย่างยังคงหลงเหลืออยู่เพียงแค่ห้องปฏิบัติการ 2 ประเทศ คือ สหรัฐอเมริกา กับ รัสเซีย หากฝีดาษจะมีการกลับมาระบาดอีกครั้งในโลก ย่อมต้องถูกตั้งข้อสงสัยว่ามาจากสหรัฐอเมริกา หรือ รัสเซียกันแน่ ปรากฏในรายงานผลการสอบสวนของกรรมาธิการของวุฒิสภาในสหรัฐอเมริกาฉบับเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2567[5] พบว่าฝีดาษลิงที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ อาจเป็นปัญหาที่ไม่ได้เกิดขึ้นตามธรรมชาติ แต่เป็นการประดิษฐ์ขึ้นโดยมนุษย์ เรื่องดังกล่าวนี้ทำให้ศาสตราจารย์นายแพทย์ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ได้โพสต์เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2567[6] นำรายงานผลการสอบสวนดังกล่าว และโพสต์ข้อความว่า “ไวรัสฝีดาษตัวใหม่ที่่ทั่วโลกกำลังตื่นตระหนก จากการประกาศขององค์การอนามัยโลกประสานกับองค์กรของสหรัฐฯ และพยายามจะให้มีการสะสมวัคซีนตลอดจนให้มีการใช้ทั่วโลก เป็นการเกิดขึ้นตามธรรมชาติหรือมีการประดิษฐ์มีการตรวจสอบโดยกรรมาธิการเฉพาะของวุฒิสภาสหรัฐฯ โดยกรรมาธิการดังกล่าวออกรายงาน 73 หน้า ในวันที่ 11 มิถุนายน 2024 เป็นการสอบสวนการทำวิจัยไวรัสฝีดาษลิง ที่มีความเสี่ยงสูงโดยทำให้มีความรุนแรงมากขึ้นและติดต่อได้ง่ายขึ้นระหว่างคนสู่คน ขั้นตอนติดต่อส่วนของไวรัสในกลุ่มที่สอง ไปยังกลุ่มที่หนึ่งปรากฏว่าความรุนแรงลดลง ดังนั้นเลยมีกระบวนการที่ทำโดยเอาส่วนที่หนึ่งเสียบไปยังกลุ่มที่สองจนได้ผลสำเร็จ มีความรุนแรงมากขึ้นและแพร่ได้เร็ว เกิดการระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น สืบจนพบว่าเป็นการอนุมัติทุนในองค์กร NIH NIAID ของสหรัฐฯ ในปี 2015 และรายงานความสำเร็จในปี 2022 ซึ่งในขณะนั้นเอง ก่อให้เกิดความวิตกกังวลของนักวิทยาศาสตร์ทั่วไปถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้น และนำไปสู่การสืบสวนจนกระทั่งถึงผู้อนุมัติสนับสนุนงานสร้างไวรัสใหม่ คือ ดร.เฟาซี (ดร.แอนโทนี เฟาซี ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อระดับแนวหน้าของสหรัฐฯ และหัวหน้าทีมที่ปรึกษาด้านสาธารณสุขของประธานาธิบดี โจ ไบเดน) และเหตุการณ์ที่คล้องจอง คือการฝึกซ้อมรับมือผู้ก่อการร้าย โดยสมมุติว่ามีการใช้อาวุธชีวภาพ คือไวรัสฝีดาษลิงที่ตัดต่อพันธุกรรม ชื่อ Akhmeta ทั้งในปี 2021 และในปี 2022 โดยสร้างฉากทัศน์ เริ่มจากการปล่อยไวรัสจนกระทั่งมีการระบาดทั่วโลกและล้มตายไปหลายร้อยล้านคนและในขณะเดียวกันมีการตระเตรียมยาและวัคซีน เหตุการณ์ที่เกิดในปัจจุบันที่มีการติดเชื้อฝีดาษลิงในมนุษย์ที่ง่ายขึ้น เริ่มเกิดขึ้นในปี 2021 และ 2022 และทยอยแพร่ไปทั่วโลก จนองค์การอนามัยโลกประกาศเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินและผลักดันให้มีการฉีดวัคซีนทั่วโลก[6] ส่วนประเทศไทยได้ปรากฏข้อมูลที่รวมรวมโดยเว็บไซต์ Hfocus รายงานว่าการเกิดโรคฝีดาษในไทยพบหลักฐานตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ดังปรากฎในพระราชพงศาวดารสมัยกรุงศรีอยุธยาว่า ถึงขนาดว่ามีพระมหากษัตริย์ไทยสวรรคตด้วยฝีดาษ 2 พระองค์  ได้แก่ สมเด็จพระบรมราชาที่ 4 หน่อพุทธางกูร พระมหากษัตริย์ ลำดับที่ 11 ของกรุงศรีอยุธยา ทรงพระประชวรด้วยโรคไข้ทรพิษ และเสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. 2076 หรือประมาณ 491 ปีที่แล้ว อีก 72 ปีต่อมา สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ได้ประชวรที่เมืองหาง (เมืองห้างหลวง ในรัฐฉาน) เป็นฝีละลอกขึ้นที่พระพักตร์ กลายเป็นพิษ และสวรรคต เมื่อ 25 เมษายน พ.ศ. 2148 ซึ่งตรงกับช่วงศตวรรษที่ 16 มีการระบาดครั้งใหญ่ทั่วโลก และยังมีการระบาดในพ.ศ. 2292 สมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ที่ทำให้มีคนตายมาก[3] โรคฝีดาษ หรือ ไข้ทรพิษ ในอดีตนั้นมีความร้ายแรง เพราะยังถึงขั้นพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาเสด็จสวรรคตถึง 2 พระองค์ได้ จึงมีความแตกต่างจากโรคระบาดชนิดอื่นๆ ดังนั้นในเวลาต่อๆมา โรคฝีดาษ หรือ ไข้ทรพิษ จึงเป็นโรคระบาดที่สำคัญที่ต้องมีการพัฒนาอย่างเร่งด่วน ทั้งการป้องกันการเกิดโรคระบาด จนถึงขั้นการรักษาโรค ในสมัยรัตนโกสินทร์ มีการระบาดของฝีดาษเช่นกัน จากบันทึกของหมอบรัดเลย์ ที่ระบุว่าในสมัยรัชกาลที่ 3 มีการระบาดของฝีดาษอย่างหนัก ทำให้หมอบรัดเลย์ริเริ่มการปลูกฝีบำบัดโรคฝีดาษเป็นครั้งแรกในไทยในวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2379 โดยใช้เชื้อหนองฝีโคที่นำเข้ามาจากอเมริกา และได้เขียนตำราชื่อ “ตำราปลูกฝีให้กันโรคธระพิศม์ไม่ให้ขึ้นได้” ปรากฏมาจนถึงทุกวันนี้[3] ในระยะ พ.ศ. 2460 – 2504 ยังมีการระบาดของฝีดาษเกิดขึ้นทุกปี โดยเฉพาะในปี พ.ศ. 2488 – 2489 ช่วงการเกิดสงครามมีการระบาดของฝีดาษครั้งใหญ่สุดเริ่มต้นจากเชลยพม่าที่ทหารญี่ปุ่นจับมาสร้างทางรถไฟสายมรณะข้ามแม่นํ้าแควป่วยเป็นไข้ทรพิษและแพร่ไปยังกลุ่มกรรมกรไทยจากภาคต่างๆที่มารับจ้างทํางานในแถบนั้น เมื่อแยกย้ายกันกลับบ้าน ได้นําโรคกลับไปแพร่ระบาดใหญ่ทั่วประเทศ มีผู้ป่วยมากถึง 62,837 คน และเสียชีวิต 15,621 คน[3] การระบาดเกิดขึ้นอีกครั้งในปี พ.ศ. 2502 ทำให้มีผู้ป่วย 1,548 คน ตาย 272 คน และการระบาดครั้งสุดท้ายมีการบันทึกไว้ว่าเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2504 ที่อําเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย มีผู้ป่วย 34 ราย ตาย 5 ราย โดยรับเชื้อมาจากรัฐเชียงตุงของพม่า ทำให้กระทรวงสาธารณสุขเริ่มโครงการกวาดล้างไข้ทรพิษหรือฝีดาษในประเทศไทย รณรงค์ปลูกฝีป้องกันโรค จนปีพ.ศ. 2523 องค์การอนามัยโลกได้ประกาศว่าฝีดาษได้ถูกกวาดล้างแล้วจึงหยุดการปลูกฝีป้องกันโรค   และนับแต่นั้นมาไม่เคยปรากฏว่ามีฝีดาษเกิดขึ้นในประเทศไทย[3] นี่คือเหตุผลว่าประเทศไทยได้ทำการปลูกฝี เพื่อป้องกันโรคฝีดาษ หรือไข้ทรพิษในปี พ.ศ. 2532 เป็นปีสุดท้าย หรือเมื่อประมาณ 44 ปีที่แล้ว ดังนั้นประชาชนไทยที่อายุมากกว่า 44 ปีขึ้นไป ก็น่าจะได้รับการปลูกฝีไปเกือบทั้งหมดแล้ว แต่เมื่อฝีดาษลิงกลับมาระบาดอีกครั้ง ก็ทำให้เกิดคำถามว่าประเทศไทยจะรับมืออย่างไร และเราควรจะฉีดวัคซีนหรือไม่? และคนที่มีอายุเกิน 44 ปี (ซึ่งส่วนใหญ่ได้ปลูกฝีไข้ทรพิษมาแล้ว)จะมีคนติดเชื้อโรคฝีดาษลิงหรือไม่ โดยวันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2567 เว็บไซต์ของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้รายงานสถานการณ์ฝีดาษวานร (ฝีดาษลิง)จนถึงปัจจุบันว่า มีผู้ป่วยฝีดาษลิงในประเทศไทย จำนวน 835 ราย เป็นเพศชายเกือบทั้งหมดมากถึง 814 ราย คิดเป็นร้อยละ 97.49 ในขณะที่เป็นเพศหญิง 21 ราย คิดเป็นร้อยละ 2.51 เท่านั้น[7] ซึ่งถือว่าโอกาสติดเชื้อฝีดาษลิงในผู้หญิงน้อยมาก แต่ที่น่าสนใจคือ กลุ่มคนวัยหนุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ป่วยเป็นโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง เอชไอวี อย่างไรก็ตามกลุ่มคนที่เคยปลูกฝีไข้ทรพิษแล้วยังสามารถติดเชื้อฝีดาษลิงได้อยู่ดีแต่น้อยกว่าคนที่ไม่ได้ปลูกฝี ดังนี้ ผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 0-14 ปี ติดเชื้อฝีดาษลิง 2 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 0.36 ของผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงทั้งหมด ผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 15-19 ปี ติดเชื้อฝีดาษลิง 3 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 0.24 ของผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงทั้งหมดในประเทศไทย ผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 20-24 ปี ติดเชื้อฝีดาษลิง 81 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 9.70 ของผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงทั้งหมดในประเทศไทย ผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 25-29 ปี ติดเชื้อฝีดาษลิง 172 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 20.59 ของผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงทั้งหมดในประเทศไทย ผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 30-39 ปี ติดเชื้อฝีดาษลิง 347 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 41.56 ของผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงทั้งหมดในประเทศไทย ผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 40-49 ปี ติดเชื้อฝีดาษลิง 174 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 20.83 ของผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงทั้งหมดในประเทศไทย ในกลุ่มนี้หากพิจารณาแยกแยะผู้ที่มีอายุ 40-44 ปี ซึ่งไม่เคยได้รับการปลูกฝีมาก่อนมีจำนวน 130 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 15.65 ในขณะที่ผู้ที่มีอายุมากกว่า 45-49 ที่เชื่อว่าน่าจะได้รับการปลูกฝีแล้วติดเชื้อฝีดาษลิงแล้ว 44 ราย คิดเป็นเพียงร้อยละ 5.27 เท่านั้น ผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 50-59 ปี ติดเชื้อฝีดาษลิง 29 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 3.47 ของผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงทั้งหมดในประเทศไทย ผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ติดเชื้อฝีดาษลิง 8 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 0.95 ของผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงทั้งหมดในประเทศไทย[7] จากข้อมูลดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ในประเทศไทยผู้ที่มีอายุมากกว่า 45 ปีขึ้นไปซึ่งน่าจะมีการปลูกฝีไข้ทรพิษไปแล้วก็ยังมีโอกาสติดเชื้อฝีดาษลิงได้ เพียงแต่มีสัดส่วนน้อยกว่าประชากรที่ยังไม่เคยได้รับการปลูกฝี คือ ผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 44 ปีลงมา มีผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงจำนวน 754 รายคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 90.30 ในขณะที่ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 45 ปีขึ้น (ซึ่งส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดได้รับการปลูกฝีไปแล้ว)มีผู้ป่วยติดเชื้อฝีดาษลิงทั้งสิ้น 81 รายคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 9.70 ราย อย่างไรก็ตามในภาวะดังกล่าว มีคำแถลงจากนายแพทย์ธงชัย กีรติหัตถยากร อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้ให้ความเห็นเอาไว้เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2567 ความว่า “โดยจริงๆ วัคซีนไม่จำเป็นต้องฉีดทุกคน ไม่มีการระบาดทั่วไป เพราะอัตราการระบาดต่ำ แต่จะพบในผู้ป่วยเฉพาะ เช่น ผู้ขายบริการทางเพศ และชายรักชาย อีกทั้ง ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เกิดจากผู้ป่วยเอชไอวี และไม่ทานยาทั้งหมด 13 รายที่ผ่านมา (เชื้อเคลด2)”[8] นายแพทย์ธงชัย กีรติหัตถยากร อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ยังได้ “คณะอนุกรรมการฯ พิจารณาเห็นว่า เพื่อเป็นการควบคุมโรค แต่เนื่องจากวัคซีนป้องกันฝีดาษวานรยังไม่ได้มีการขึ้นทะเบียนในประเทศไทย ทางกรมควบคุมโรคจึงใช้ มาตรา 13(5) เพื่อการควบคุมโรค ตาม พ.ร.บ.ยา พ.ศ.2510  จะมีการใช้งบประมาณ กรมควบคุมโรค วงเงิน 21 ล้านบาท เพื่อการจัดซื้อวัคซีนดังกล่าว รวม 3,000 โดส  เพื่อฉีดให้กับกลุ่มเสี่ยง  3 กลุ่ม ประกอบด้วย   1. บุคลากรทางการแพทย์ที่เสี่ยงต่อการติดโรค อาทิ ไปสัมผัสเสี่ยงสูง คือ สัมผัสคนติดเชื้อ 2. กลุ่มไปสัมผัสโรค เสี่ยงว่าจะติดเชื้อ ก็จะฉีดภายใน 4 วัน และ3. มีประวัติสัมผัสใกล้ชิดคนติดเชื้อ เช่น คนในครอบครัวที่ติดเชื้อ ซึ่ง 3 กลุ่มเสี่ยงนี้ กรมควบคุมโรคจะดูแลโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย“[8] เรื่องดังกล่าวนี้ทำให้ศาสตราจารย์นายแพทย์ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิตให้ความเห็น เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2567 ในเรื่องความพยายามกระพือข่าวให้กลัวเพื่อให้เกิดการระดมฉีดวัคซีน ความว่า “กรมควบคุมโรคประกาศแล้ว ฝีดาษลิงอัตราการระบาดต่ำ ทั้งประเทศมีประมาณ 800 ราย และที่เสียชีวิตนั้น เพราะมีติดเชื้อไวรัสเอดส์ และโรคทางเพศสัมพันธ์อื่น การติดตามของกระทรวงสาธารณสุข พบว่า ผู้ติดเชื้อปลอดภัยดี วัคซีนขณะนี้ “ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียน” และกระทรวงสาธารณสุข จะจัดการให้ฉีดฟรีใน “กลุ่มเสี่ยง” เท่านั้น ได้แก่ 1. บุคลากรทางการแพทย์ที่สัมผัสกับผู้ติดเชื้อ 2. คนที่สัมผัสกับผู้ติดเชื้อโดยต้องฉีดภายใน 4 วัน ทั้งสองกลุ่มนี้ฟรี ส่วนกลุ่มที่ต้องเดินทางในพื้นที่เสี่ยงนั้น การฉีดนั้นต้องจ่ายเงิน “กลุ่มที่กระพือข่าวให้น่ากลัว โดยไม่ยึดความจริง และอาจทำให้นำไปสู่การค้าวัคซีน ควรต้องจับตามองอย่างเข้มข้น””[9] อย่างไรก็ตามแม้ว่าฝีดาษลิงจะเป็นเชื้อที่ยังติดได้ยาก ส่วนใหญ่พบในผู้ป่วยเฉพาะคือ ขายบริการทางเพศ และชายรักชาย อีกทั้งผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เกิดจากผู้ป่วยเอชไอวีที่ไม่ทานยาทั้งหมด ส่วนการติดนั้นต้องอาศัยการสัมผัสผิวใกล้ชิด อัตราการเสียชีวิตอยู่ในระดับต่ำ คนส่วนใหญ่จึงยังไม่จำเป็นต้องฉีดวัคซีนแต่ประการใด อย่างไรก็ตามเนื่องจากโรคฝีดาษที่กลับมาระบาดอีกครั้งในรอบ 44 ปี ทำให้ความรู้ในการรักษาผู้ป่วยขาดตอนไป คงเหลือแต่การค้นคว้ากรรมวิธีการรักษาในประวัติศาสตร์ของคนไทยว่าใช้วิธีการรักษาอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า “โรคฝีดาษ” เป็นโรคที่มีความจำเพาะ ถึงขนาดทำให้พระมหากษัตริย์สมัยอยุธยาเสด็จสวรรคตถึง 2 พระองค์ จึงปรากฏเรื่องของตำรับยาและสมุนไพรที่เกี่ยวกับการรักษา “โรคฝีดาษ” แยกออกมาต่างหากจากโรคระบาดอื่นๆ บันทึกปรากฏอยู่ในแผ่นศิลาจารึกในสมัยรัชกาลที่ 2 ของจารึกตำรายาวัดราชโอรสารามราชวรวิหาร[10]-[12] และอยู่ในแผ่นศิลาจารึกในสมัยรัชกาลที่ 3 ในแผ่นศิลาจารึกตำรายาวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม[10],[13]-[15] นอกจากนั้น โรคฝีดาษไม่ใช่เป็นโรคระบาดอื่นๆที่ใช้ “ยาขาว”ที่ใช้กับโรคระบาดหลายชนิดในตำรับยาเดียว ที่ปรากฏในศิลาจารึกในสมัยรัชกาลที่ 3 ในแผ่นศิลาจารึกตำรายาวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามอีกด้วย[16] หลักฐานที่ว่า “โรคฝีดาษ” ไม่ใช่โรคระบาดทั่วไปนั้น จะเห็นได้จากพระคัมภีร์ตักกะศิลาที่บันทึกภูมิปัญญามาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 และบันทึกมาโดยเจ้าพระยาวิชยาธิบดี (กล่อม) เจ้าเมืองจันทบูร ที่ตกทอดมาถึงตำราเวชศาสตร์ฉบับหลวงในสมัยรัชกาลที่ 5 หรือตำราแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ในสมัยรัชกาลที่ 5 ไม่พบการกล่าวถึงคำว่า “ฝีดาษ” แต่ประการใด แต่ในที่สุดก็ได้พบตำราเวชศาสตร์ฉบับหลวงในสมัยรัชกาลที่ 5 ที่ระบุคัมภีร์ชื่อ “พระตำหรับแผนฝีดาษ” บันทึกในสมุดไทย มีรายละเอียดจำนวนมากเกี่ยวกับโรคฝีดาษเป็นการเฉพาะ และมีจำนวนมากถึง 3 เล่ม จนไม่สามารถที่จะถ่ายทอดมาให้อ่านในหมดในบทความนี้ โดย “พระตำหรับแผนฝีดาษ” ในสมัยรัชกาลที่ 5 นั้น มีการกล่าวถึงลักษณะของฝีแต่ละชนิด และจุดที่เกิดฝีว่าบริเวณใดเป็นแล้วไม่เสียชีวิต รวมถึงบริเวณใดจะทำให้เสียชีวิตภายในกี่วัน จึงได้มีการแบ่งแยกวิธีการรักษาอย่างละเอียดยิบ อย่างไรก็ตามก็มีวาง “หลักการ“ ถึงวิธีการรักษาโรคฝีดาษปรากฏอยู่ใน ”พระตำหรับแผนฝีดาษ เล่ม 2“ ที่ระบุความตอนหนึ่งว่า ”๏ สิทธิการิยะ พระตำราประสะฝีดาษทั้งปวง ถ้าแพทย์ผู้ใดจะรักษาฝีดาษ ถ้าเห็นศีศะรู้ว่าเปนฝีดาษแน่แล้ว ให้กินยาล้อมตับดับพิศม์และให้กินยารุเสีย แลกินยาแปรภายใน พ่นยาแปรภายนอกแลกินยากะทุ้ง…“[17] หลังจากนั้นพอวันเวลาเปลี่ยนไปก็มีตำรับยาเฉพาะที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆจนรักษาฝีดาษจนหายในที่สุด ซึ่งในโอกาสอันสมควรก็น่าจะมีการรื้อฟื้น ศึกษา พระตำหรับแผนฝีดาษ สมัยรัชกาลที่ 5 แล้วทำการวิจัย พัฒนา เพื่อนำมาประยุกต์ใช้กับโรคฝีดาษในยุคปัจจุบันต่อไป ด้วยความปรารถนาดี ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต 12 กันยายน 2567 อ้างอิง [1] Ryan KJ, Ray CG, บ.ก. (2004). Sherris Medical Microbiology (4th ed.). McGraw Hill. pp. 525–28. ISBN 978-0-8385-8529-0. [2] CDC, History of Smallpox, 25 July 2017 https://www.cdc.gov/smallpox/history/history.html [3] Hfocus, โรคระบาดร้ายแรงในอดีต ตอนที่ 3 โรคไข้ทรพิษ (ฝีดาษ), วันที่ 26 สิงหาคม 2558 https://www.hfocus.org/content/2014/08/7977 [4] World Health Organization, Small Pox, Media Center https://web.archive.org/web/20070921235036/http://www.who.int/mediacentre/factsheets/smallpox/en/ [5] U.S. House of Representatives, Interim Staff Report on Investigation into Risky MPXV Experiment at the National Institute of Allergy and Infectious Diseases, June 14 2024 https://d1dth6e84htgma.cloudfront.net/Mpox_Memo_Rpt_correction_18e95e3204.pdf?utm_source=substack&utm_medium=email&fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTAAAR0YlqstCXKzOUttRicgqQ6lG00dtMnZ_9pFf4FqtlBbSAyw5uR-tGR6QIM_aem_ZXPXy1XgTiGCTixSJJ-aFg [6] ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา, “หมอธีระวัฒน์” เปิดผลสอบสวน “ฝีดาษลิง” ธรรมชาติสร้างหรือมนุษย์ประดิษฐ์, ผู้จัดการออนไลน์, 6 กันยายน 2567 https://mgronline.com/qol/detail/9670000082903 [7] กรมควบคุมโรค, รายงานสถานการณ์โรคติดเชื้อฝีดาษวานร (Mpox), 12 กันยายน 2567 https://ddc.moph.go.th/monkeypox/dashboard.php [8] Hfocus, กรมควบคุมโรค ทุ่มงบ 21 ล้านบาท จัดหา “วัคซีนฝีดาษวานร” 3 พันโดสให้เฉพาะ 3 กลุ่มเสี่ยง, 6 กันยายน 2567 https://www.hfocus.org/content/2024/09/31577 [9] ผู้จัดการออนไลน์, “หมอธีระวัฒน์” แนะจับตาพวกกระพือข่าวให้ตื่นกลัวฝีดาษลิง หวังค้าวัคซีน หลังกรมควบคุมโรคยืนยันแล้วอัตราระบาดต่ำ, 7 กันยายน 2567 https://mgronline.com/qol/detail/9670000083178 [10] ผู้จัดการออนไลน์, “ปานเทพ” เผยตำรับยาแก้ “ฝีดาษ” ในศิลาจารึก แนะวิจัยสมุนไพรไทยต่อยอดไว้สู้ “ฝีดาษลิง”, เผยแพร่: 5 กันยายน 2567 https://mgronline.com/qol/detail/9670000082615 [11] เว็บไซต์ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน,จารึกตำรายาวัดราชโอรสารามราชวรวิหาร แผ่นที่ 18 ด้านที่ 1, จารึกในประเทศไทย, โพสต์เมื่อวันที่ 3 ต.ค. 2557( อัพเดทเมื่อวันที่ 26 เม.ย. 2567) https://db.sac.or.th/inscript.../inscribe/image_detail/14798 [12] เว็บไซต์ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน,จารึกตำรายาวัดราชโอรสารามราชวรวิหาร แผ่นที่ 46 (ยาผายเลือด) ด้านที่ 1, จารึกในประเทศไทย, โพสต์เมื่อ โพสต์เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2558 https://db.sac.or.th/inscript.../inscribe/image_detail/16335 [13] เว็บไซต์ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน), จารึกตำรายาวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม(ว่าด้วยตำรายาวิเศษสรรพคุณสำเร็จแก้สรรพโรคทั้งปวง แผ่นที่ 22 ยาแก้จักษุโรคคือต้อ(5), จารึกในประเทศไทย, โพสต์เมื่อวันที่ 20 ม.ค. 2560 https://db.sac.or.th/.../file/22-chaksurok-to5-tr2.pdf [14] เว็บไซต์ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน), จารึกตำรายาวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (ว่าด้วยสรรพคุณยา เครื่องเทศ และสมุนไพร แผ่นที่ 7 ท้าวยายม่อม ข่าใหญ่ ข่าลิง กระทือ ไพล กระชาย หอม และกระเทียม) ด้านที่ 1, จารึกในประเทศไทย, โพสต์เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2564 https://db.sac.or.th/.../7-thaoyaimom-khayai-khaling-tr1.pdf [15] เว็บไซต์ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน), จารึกตำรายาวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม, จารึกตำรายาวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (ว่าด้วยสรรพคุณยา เครื่องเทศ และสมุนไพร แผ่นที่ 14 แตงหนู ชิงชี่ บอระเพ็ด ชิงช้าชาลี บอระเพ็ดพุงช้าง ผักปอดตัวเมีย ผักปอดตัวผู้ และพลูแก), จารึกในประเทศไทย, โพสต์เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2567 https://db.sac.or.th/inscriptions/inscribe/detail/17723 [16] โรงเรียนแพทย์แผนโบราณ วัดพระเชตุพนฯ (วัดโพธิ์), ตำรายา ศิลาจารึกในวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) พระนคร พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้จารึกไว้เมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๕ ฉบับสมบูรณ์ ฉบับ พ.ศ.​๒๕๑๖ หน้า ๖๒ - ๖๔ [17] คณะกรรมการอำนวยการจัดงานเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๕ ธันวาคม ๒๕๔๒, ตำราเวชศาสตร์ฉบับหลวง รัชกาลที่ ๕ เล่ม ๒
    Like
    Love
    46
    3 Comments 2 Shares 1321 Views 0 Reviews
  • ต่อเรื่องพี่ปูอีกนิด…..แค้นนี้………กี่ปีก็ไม่สาย……!!

    อย่าซีเรียสนะคะ มันไม่ได้ร้ายแรงอะไรอย่างที่จั่วหัวไว้หรอก แต่อยากให้อ่านเป็นบทเรียนสำหรับหญิงๆว่า……จะพูดจะจาอะไรต้องระวังให้มากถึงมากที่สุด
    เพราะมันทำให้ใครคนหนึ่งถึงกับตกจากสวรรค์เลยทันที
    ตกเฉยๆก็คงไม่กระไร……แต่นี่เข้าขั้นอับอายและหาทางกลับแทบไม่ได้เลย

    ดิฉันกำลังพูดถึง คู่เชือดคู่เฉือนแห่งปี มาดาม ฮิลลารี คลินตัน อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศแห่งสหรัฐอเมริกาและ วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีแห่งรัสเซีย (พูดถึงอีกแล้ว)
    ที่คนทั้งสองศรศิลป์ไม่กินกันตั้งแต่ยังไม่เจอหน้าด้วยซ้ำ เพราะมาดาม คลินตัน
    เธอช่างกระหายสงครามอย่างออกนอกหน้า ไม่ว่าจะมีการสัมภาษณ์ครั้งใด เธอจะต้องพาดพิงถึงการแทรกแซงของรัสเซีย รวมไปถึวการวิจารณ์ปูตินอย่างเปิดเผย
    เมื่อตอนต้นปี 2016 ที่เธอเป็นตัวแทนของพรรคเดโมแครต เพื่อชิงประธานาธิบดี เธอใช้การหาเสียงด้วยการโจมตีอีกฝ่ายหนึ่งในเรื่องของความโหดร้ายในสงครามซีเรีย
    ว่า
    “ปูตินเป็นคนที่ไม่มีหัวจิตหัวใจ เพราะเขาเคยเป็นเคจีบีมาก่อน”

    ซึ่งข้อความนี้……ปูตินได้ออกอากาศให้สัมภาษณ์โต้กลับไปว่า
    “คนที่เป็นผู้นำ เขาไม่ได้ใช้หัวใจในการบริหารประเทศ เขาใช้สมอง!!”

    สื่อเองก็ช่างกระไร……ชอบนักที่จะคอยถาม คอยจี้ให้แต่ละฝ่ายออกมาแสดงความเห็นต่อกัน ทางฝ่ายชายมักจะนิ่งๆ ตอบสั้นๆ
    แต่ฝ่ายหญิงมักจะสาวยืดเสมอ มีทั้งประชดประชัน และ ดิสเครคิต
    จนปูตินเริ่มจะเชื่อแล้วว่า การเดินขบวนที่เกิดขึ้นบ่อยๆในรัสเซีย น่าจะเกิดจากการแทรกแซงจากภายนอกแน่นอน เพราะตั้งแต่หลายปีที่ผ่านมา รัสเซียมีการเดินขบวนบ่อยมาก และฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามกับรัฐบาล เช่นสื่ออิสระหัวรุนแรง อย่าง Anna Politkovskaya**

    หรือ นักการเมือง Boris Nemtsov***
    ปี 2014 ที่รัสเซียได้ขยายเชื่อมกับ ไครเมียได้สำเร็จ เพราะตลอดเวลา 10ปีที่ผ่านมา รัสเซียพยายามที่จะต่อติดกับทั้งยุโรปและตะวันออกกลาง
    มาดามคลินตันก็โวยวาย กล่าวหาว่า นั่นคือการกระทำของฮิตเล่อร์ชัดๆ
    และเธอได้พยายามล็อบบี้ขัดขวางทุกวิถีทาง

    นับวันยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น เรียกว่าไม่เกรงใจกันแล้ว

    จนเถึงคราวที่มาดามคลินตันลงเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ที่ดูเหมือนว่า
    เส้นทางนี้ไม่มีพลาด ยิ่งมาเจอคู่แข่งขันที่เป็นเจ้าพ่อวงการนางงาม ท่าทางวิปลาส พูดจาไม่มีหูรูด……นาย Donald Trump ที่ไม่เคยมีประสบการณ์การทำงานทางการเมืองมาก่อน
    เธอและครอบครัวมั่นใจเต็มร้อย ว่าประชากรชาวอเมริกันเกือบทั้งประเทศอยู่ฝ่ายเธอ
    ขนาด Chelsea ธิดาสาวคนเดียวของเธอ ยังประกาศเปิดตัวเธอบนเวที พร้อมทั้งต่อด้วยว่า The next President of the United States of America..
    เสียงในโพล……ก็มาแบบนั้นจริงๆ

    แต่ที่เครมลิน……ทุกคนเชียร์ทรัมป์……รวมทั้งมั่นใจกันอย่างเต็มที่ว่า ตำแหน่งประธานาธิบดีจะต้องเป็นนายทรัมป์แน่นอน…

    ไม่กี่อาทิตย์ก่อนที่จะมีการลงคะแนนเสียง……สิ่งประหลาดได้เกิดขึ้นทางสื่อออนไลน์ นั่นคือ Wikileaks ที่ได้มีการเปิดเผยข้อความจากอีเมล์ของ
    มาดามคลินตันที่ติดต่อกับผู้คนต่างๆ กว่าร้อยฉบับ ล้วนแต่เป็นสาระสำคัญยิ่ง
    เช่นการสนับสนุนสงคราม, ด่ายิว, รับสินบน, รับเงินสนับสนุนจากแหล่งที่ไม่สุจริต, รับเงินจากต่างประเทศเพื่อแลกกับผลประโยชน์ (ในสมัยที่นั่งกลาโหม)
    ทั้งหมดนี้...มาจากฝีมือใครก็ไม่รู้……แต่ต้องเป็นมือแฮคระดับเทพเท่านั้นที่จะทำได้

    ผลคือ……คะแนนของมาดามที่ว่านำมาลิ่วๆนั้น ตกฮวบลงอย่างน่าใจหาย
    วินาทีสุดท้ายคะแนนของกลุ่มที่รอการตัดสินใจได้เทไปให้ทางนายทรัมป์จนหมด เขาชนะไปแบบเฉือนกันปลายจมูก……
    อเมริกา ได้นายทรัมป์มาเป็นประธานาธิบดี
    มาดามคลินตัน จุกจนพูดไม่ออก……เพราะมันหมายถึงสิ่งที่ตั้งความหวังมาตลอดชีวิตว่าจะเป็นประธานาธิบดีหญิงคนแรกของประเทศนั้นหายวับไปต่อหน้าต่อตา เพราะอีเมล์จำนวนร้อยฉบับเหล่านั้น มันได้เปิดหน้ากากเธอจนหมดสิ้น……

    วันนั้น……ทางเครมลินได้รอฟังผลการเลือกตั้งเช่นกัน พร้อมเหล้ายาปลาปิ้ง กับแกล้มพร้อม เตรียมฉลองเหมือนจะรู้ว่า รถหมูคว่ำแน่……!!!

    นี่คือการ”เอาคืน” แบบย้อนเกล็ดที่เจ็บแสบที่สุด………ที่ส่วนใหญ่เชื่อว่าเป็นฝีมือของรัสเซีย

    การเอาคืนในระบบปูตินนั้น……มาได้หลายรูปแบบ อย่างที่ยกชื่อมาเป็นตัวอย่างสองคนข้างบน คนแรก

    Anna Politkovskaya อายุ 48 ปีเป็น อเมริกัน-รัสเซีย ทำงานสื่ออิสระในสายของ Human Rights Watch ที่เอาตัวเองเข้าไปคลุกคลีในสนามรบของสงคราม
    Chechen แล้วส่งข่าวรายงานสู่สื่อใหญ่อเมริกา
    เธอได้รับการเตือนแบบเป็นระยะ นับตั้งแต่ถูกวางยาให้ป่วย, คุมขัง แต่ก็ไม่ได้ผล
    ในที่สุด……เธอได้เสียชีวิตจากการถูกลอบสังหารในบริเวณที่พักของเธอเอง
    ในปี 2006
    คาดว่า……ทางรัสเซียคงหมดความอดทนหลังจากที่จับได้ว่า เธอได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับนาย Boris Berezovsky เจ้าพ่อสื่อโทรทัศน์ตัวการสำคัญที่หลบหนีไปอยู่ที่อังกฤษ
    หมายเหตุ เรื่องของนาย Boris นี้ ดิฉันเคยเล่าไปแล้ว...

    คนต่อมาคือนาย Boris Nemtsov ที่เคยเป็นอธิบดี (ในรัฐบาลของ ประธานาธิบดี Yeltzin) ที่ต่อต้านปูตินอย่างเปิดเผย อีกทั้งเขาได้พยายามหาพวกจากฝั่งอเมริกาและอังกฤษเพื่อ ช่วยกระจายข่าวต่อ พร้อมให้สัมภาษณ์ว่า ปูตินคือบุคคลที่รวยที่สุดในโลก มีบ้านราคาพันล้านเหรียญ มีเรือสำราญ และอีกสารพัดที่จะมี
    วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2015 สองวันก่อนที่เขาจะขึ้นเวทีการอภิปรายใหญ่เกี่ยวกับความไม่โปร่งใสของรัฐบาล เวลาเที่ยงคืนเศษ เขากับแฟนสาวเดินข้ามสะพานบริเวณหน้าพระราชวังเครมลิน
    มีรถแล่นผ่านไปอย่างช้าๆ แล้วเขาก็ล้มลงไป……สิ้นใจด้วยกระสุนที่ยิงเข้ากลางหลังสี่นัด
    งานนี้เป็นงานดี ฝีมือเนี๊ยบ……เพราะแฟนสาวที่เดินเคลียคลออยู่ข้างๆนั้น ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาโดนยิง คิดว่าสะดุดอะไรล้มลง...ไม่มียินเสียงอะไรทั้งสิ้น

    ฟังแล้วก็ต้องทำใจนะคะ……นี่คือด้านมืดของมนุษย์ มีพระคุณแล้วก็ต้องมีพระเดช แล้วยังต้องมีการเก็บกวาดสิ่งที่เรียกว่าเสี้ยนหนาม กีดขวางทางเดิน
    ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยกล……ก็ใช้แฮ๊คเคอร์

    แต่พี่รัสเซียนี่ เขาเอามาใช้ทุกอย่าง……ระยะหลังนี่ หนักไปทางยาพิษชนิดที่นักเคมีต้องค้นตำราแก้……

    ขนาดเก่งกล้าสารพัด มาเสียเชิงให้เป็นที่ขบขันได้ จากข่าวเรื่องทองคำแท่ง หนักกว่า 3.4 ตัน ร่วงลงมากจากเครื่องบินขณะที่กำลังวิ่งบนลู่ เพื่อที่จะเหินขึ้นฟ้า เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมานี้
    ชาวบ้านอเมริกันเขาว่า
    “โธ่เอ๊ยย……ขนาดขนทองยังเอาเครื่องบินผุๆมาใช้………ไหนคุยว่าสร้างจรวดไง?”

    Wiwanda W. Vichit
    ต่อเรื่องพี่ปูอีกนิด…..แค้นนี้………กี่ปีก็ไม่สาย……!! อย่าซีเรียสนะคะ มันไม่ได้ร้ายแรงอะไรอย่างที่จั่วหัวไว้หรอก แต่อยากให้อ่านเป็นบทเรียนสำหรับหญิงๆว่า……จะพูดจะจาอะไรต้องระวังให้มากถึงมากที่สุด เพราะมันทำให้ใครคนหนึ่งถึงกับตกจากสวรรค์เลยทันที ตกเฉยๆก็คงไม่กระไร……แต่นี่เข้าขั้นอับอายและหาทางกลับแทบไม่ได้เลย ดิฉันกำลังพูดถึง คู่เชือดคู่เฉือนแห่งปี มาดาม ฮิลลารี คลินตัน อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศแห่งสหรัฐอเมริกาและ วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีแห่งรัสเซีย (พูดถึงอีกแล้ว) ที่คนทั้งสองศรศิลป์ไม่กินกันตั้งแต่ยังไม่เจอหน้าด้วยซ้ำ เพราะมาดาม คลินตัน เธอช่างกระหายสงครามอย่างออกนอกหน้า ไม่ว่าจะมีการสัมภาษณ์ครั้งใด เธอจะต้องพาดพิงถึงการแทรกแซงของรัสเซีย รวมไปถึวการวิจารณ์ปูตินอย่างเปิดเผย เมื่อตอนต้นปี 2016 ที่เธอเป็นตัวแทนของพรรคเดโมแครต เพื่อชิงประธานาธิบดี เธอใช้การหาเสียงด้วยการโจมตีอีกฝ่ายหนึ่งในเรื่องของความโหดร้ายในสงครามซีเรีย ว่า “ปูตินเป็นคนที่ไม่มีหัวจิตหัวใจ เพราะเขาเคยเป็นเคจีบีมาก่อน” ซึ่งข้อความนี้……ปูตินได้ออกอากาศให้สัมภาษณ์โต้กลับไปว่า “คนที่เป็นผู้นำ เขาไม่ได้ใช้หัวใจในการบริหารประเทศ เขาใช้สมอง!!” สื่อเองก็ช่างกระไร……ชอบนักที่จะคอยถาม คอยจี้ให้แต่ละฝ่ายออกมาแสดงความเห็นต่อกัน ทางฝ่ายชายมักจะนิ่งๆ ตอบสั้นๆ แต่ฝ่ายหญิงมักจะสาวยืดเสมอ มีทั้งประชดประชัน และ ดิสเครคิต จนปูตินเริ่มจะเชื่อแล้วว่า การเดินขบวนที่เกิดขึ้นบ่อยๆในรัสเซีย น่าจะเกิดจากการแทรกแซงจากภายนอกแน่นอน เพราะตั้งแต่หลายปีที่ผ่านมา รัสเซียมีการเดินขบวนบ่อยมาก และฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามกับรัฐบาล เช่นสื่ออิสระหัวรุนแรง อย่าง Anna Politkovskaya** หรือ นักการเมือง Boris Nemtsov*** ปี 2014 ที่รัสเซียได้ขยายเชื่อมกับ ไครเมียได้สำเร็จ เพราะตลอดเวลา 10ปีที่ผ่านมา รัสเซียพยายามที่จะต่อติดกับทั้งยุโรปและตะวันออกกลาง มาดามคลินตันก็โวยวาย กล่าวหาว่า นั่นคือการกระทำของฮิตเล่อร์ชัดๆ และเธอได้พยายามล็อบบี้ขัดขวางทุกวิถีทาง นับวันยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น เรียกว่าไม่เกรงใจกันแล้ว จนเถึงคราวที่มาดามคลินตันลงเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ที่ดูเหมือนว่า เส้นทางนี้ไม่มีพลาด ยิ่งมาเจอคู่แข่งขันที่เป็นเจ้าพ่อวงการนางงาม ท่าทางวิปลาส พูดจาไม่มีหูรูด……นาย Donald Trump ที่ไม่เคยมีประสบการณ์การทำงานทางการเมืองมาก่อน เธอและครอบครัวมั่นใจเต็มร้อย ว่าประชากรชาวอเมริกันเกือบทั้งประเทศอยู่ฝ่ายเธอ ขนาด Chelsea ธิดาสาวคนเดียวของเธอ ยังประกาศเปิดตัวเธอบนเวที พร้อมทั้งต่อด้วยว่า The next President of the United States of America.. เสียงในโพล……ก็มาแบบนั้นจริงๆ แต่ที่เครมลิน……ทุกคนเชียร์ทรัมป์……รวมทั้งมั่นใจกันอย่างเต็มที่ว่า ตำแหน่งประธานาธิบดีจะต้องเป็นนายทรัมป์แน่นอน… ไม่กี่อาทิตย์ก่อนที่จะมีการลงคะแนนเสียง……สิ่งประหลาดได้เกิดขึ้นทางสื่อออนไลน์ นั่นคือ Wikileaks ที่ได้มีการเปิดเผยข้อความจากอีเมล์ของ มาดามคลินตันที่ติดต่อกับผู้คนต่างๆ กว่าร้อยฉบับ ล้วนแต่เป็นสาระสำคัญยิ่ง เช่นการสนับสนุนสงคราม, ด่ายิว, รับสินบน, รับเงินสนับสนุนจากแหล่งที่ไม่สุจริต, รับเงินจากต่างประเทศเพื่อแลกกับผลประโยชน์ (ในสมัยที่นั่งกลาโหม) ทั้งหมดนี้...มาจากฝีมือใครก็ไม่รู้……แต่ต้องเป็นมือแฮคระดับเทพเท่านั้นที่จะทำได้ ผลคือ……คะแนนของมาดามที่ว่านำมาลิ่วๆนั้น ตกฮวบลงอย่างน่าใจหาย วินาทีสุดท้ายคะแนนของกลุ่มที่รอการตัดสินใจได้เทไปให้ทางนายทรัมป์จนหมด เขาชนะไปแบบเฉือนกันปลายจมูก…… อเมริกา ได้นายทรัมป์มาเป็นประธานาธิบดี มาดามคลินตัน จุกจนพูดไม่ออก……เพราะมันหมายถึงสิ่งที่ตั้งความหวังมาตลอดชีวิตว่าจะเป็นประธานาธิบดีหญิงคนแรกของประเทศนั้นหายวับไปต่อหน้าต่อตา เพราะอีเมล์จำนวนร้อยฉบับเหล่านั้น มันได้เปิดหน้ากากเธอจนหมดสิ้น…… วันนั้น……ทางเครมลินได้รอฟังผลการเลือกตั้งเช่นกัน พร้อมเหล้ายาปลาปิ้ง กับแกล้มพร้อม เตรียมฉลองเหมือนจะรู้ว่า รถหมูคว่ำแน่……!!! นี่คือการ”เอาคืน” แบบย้อนเกล็ดที่เจ็บแสบที่สุด………ที่ส่วนใหญ่เชื่อว่าเป็นฝีมือของรัสเซีย การเอาคืนในระบบปูตินนั้น……มาได้หลายรูปแบบ อย่างที่ยกชื่อมาเป็นตัวอย่างสองคนข้างบน คนแรก Anna Politkovskaya อายุ 48 ปีเป็น อเมริกัน-รัสเซีย ทำงานสื่ออิสระในสายของ Human Rights Watch ที่เอาตัวเองเข้าไปคลุกคลีในสนามรบของสงคราม Chechen แล้วส่งข่าวรายงานสู่สื่อใหญ่อเมริกา เธอได้รับการเตือนแบบเป็นระยะ นับตั้งแต่ถูกวางยาให้ป่วย, คุมขัง แต่ก็ไม่ได้ผล ในที่สุด……เธอได้เสียชีวิตจากการถูกลอบสังหารในบริเวณที่พักของเธอเอง ในปี 2006 คาดว่า……ทางรัสเซียคงหมดความอดทนหลังจากที่จับได้ว่า เธอได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับนาย Boris Berezovsky เจ้าพ่อสื่อโทรทัศน์ตัวการสำคัญที่หลบหนีไปอยู่ที่อังกฤษ หมายเหตุ เรื่องของนาย Boris นี้ ดิฉันเคยเล่าไปแล้ว... คนต่อมาคือนาย Boris Nemtsov ที่เคยเป็นอธิบดี (ในรัฐบาลของ ประธานาธิบดี Yeltzin) ที่ต่อต้านปูตินอย่างเปิดเผย อีกทั้งเขาได้พยายามหาพวกจากฝั่งอเมริกาและอังกฤษเพื่อ ช่วยกระจายข่าวต่อ พร้อมให้สัมภาษณ์ว่า ปูตินคือบุคคลที่รวยที่สุดในโลก มีบ้านราคาพันล้านเหรียญ มีเรือสำราญ และอีกสารพัดที่จะมี วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2015 สองวันก่อนที่เขาจะขึ้นเวทีการอภิปรายใหญ่เกี่ยวกับความไม่โปร่งใสของรัฐบาล เวลาเที่ยงคืนเศษ เขากับแฟนสาวเดินข้ามสะพานบริเวณหน้าพระราชวังเครมลิน มีรถแล่นผ่านไปอย่างช้าๆ แล้วเขาก็ล้มลงไป……สิ้นใจด้วยกระสุนที่ยิงเข้ากลางหลังสี่นัด งานนี้เป็นงานดี ฝีมือเนี๊ยบ……เพราะแฟนสาวที่เดินเคลียคลออยู่ข้างๆนั้น ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาโดนยิง คิดว่าสะดุดอะไรล้มลง...ไม่มียินเสียงอะไรทั้งสิ้น ฟังแล้วก็ต้องทำใจนะคะ……นี่คือด้านมืดของมนุษย์ มีพระคุณแล้วก็ต้องมีพระเดช แล้วยังต้องมีการเก็บกวาดสิ่งที่เรียกว่าเสี้ยนหนาม กีดขวางทางเดิน ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยกล……ก็ใช้แฮ๊คเคอร์ แต่พี่รัสเซียนี่ เขาเอามาใช้ทุกอย่าง……ระยะหลังนี่ หนักไปทางยาพิษชนิดที่นักเคมีต้องค้นตำราแก้…… ขนาดเก่งกล้าสารพัด มาเสียเชิงให้เป็นที่ขบขันได้ จากข่าวเรื่องทองคำแท่ง หนักกว่า 3.4 ตัน ร่วงลงมากจากเครื่องบินขณะที่กำลังวิ่งบนลู่ เพื่อที่จะเหินขึ้นฟ้า เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมานี้ ชาวบ้านอเมริกันเขาว่า “โธ่เอ๊ยย……ขนาดขนทองยังเอาเครื่องบินผุๆมาใช้………ไหนคุยว่าสร้างจรวดไง?” Wiwanda W. Vichit
    0 Comments 0 Shares 282 Views 0 Reviews
  • ศูนย์วิจัยไทยพาณิชย์ SCBEIC
    เผยแพร่ข้อมูล SME ไทย กำลังเผชิญ
    กับความท้าทาย 4 ด้าน ได้แก่

    1. มุมมองความเชื่อมั่นของธุรกิจ SME
    ของไทยในปัจจุบัน อยู่ในระดับต่ำ
    ความกังวลต่อกำลังซื้อในประเทศที่เปราะบาง
    กอปรกับปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง
    ทำให้ SME ไทย มีมุมมองความเชื่อมั่นของธุรกิจ
    อยู่ในระดับต่ำ

    นอกจากนี้ เรายังเริ่มเห็นสัญญาณความกังวลใจ
    ต่อปัจจัยเชิงโครงสร้าง โดยเฉพาะกลุ่มผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์
    ที่สูญเสียความสามารถทางการแข่งขันให้กับสินค้านำเข้า

    ทั้งนี้การเรียกคืนความเชื่อมั่นให้แก่เหล่าธุรกิจ SME
    ควรเริ่มจากการเพิ่มบทบาทของภาครัฐและภาคการเงิน
    ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งนโยบายส่งเสริมการใช้จ่าย
    และท่องเที่ยว เร่ง/เพิ่มการลงทุนภาครัฐ ลดความเข้มงวด
    การปล่อยสินเชื่อ รวมถึงการดำเนินนโยบายการเงิน
    ที่ผ่อนคลายลง ขณะที่ในระยะยาว ควรมีมาตรการสนับสนุน
    การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในการดำเนินธุรกิจ
    ควบคู่กับการส่งเสริมการส่งออกเพิ่มเติมสำหรับอุตสาหกรรม
    การผลิต เพื่อขยายฐานลูกค้าสู่ตลาดใหม่ ๆ

    2. การดำเนินธุรกิจ SME ไทย กำลังเผชิญ
    กับความท้าทายรอบด้าน
    จากต้นทุนการผลิต/การดำเนินงานสูงและผันผวน
    กอปรกับปัญหากลยุทธ์การตลาดและกระบวนการผลิตล้าสมัย
    ทำให้การดำเนินธุรกิจของ SME ไทย กำลังเผชิญความท้าทาย

    อีกทั้ง ยังขาดความสามารถในการรักษาฐานลูกค้า เพราะเผชิญ
    กับการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรง จากคู่แข่งทั้งในและต่างประเทศ

    อย่างไรก็ดี ผู้ประกอบการในแต่ละขนาดวิสาหกิจมีการรับมือ
    กับความท้าทายต่าง ๆ เหล่านี้ในรูปแบบที่แตกต่างกัน
    โดยธุรกิจขนาดย่อม (Micro) จะเน้นมาตรการลดค่าใช้จ่ายเป็นหลัก
    ขณะที่ธุรกิจขนาดเล็กและกลางส่วนใหญ่จะหันมายกระดับธุรกิจ
    ผ่านการพัฒนาสินค้า กระบวนการผลิต และการตลาดให้ทันสมัยยิ่งขึ้น

    3. SME ไทย เริ่มหันมาให้ความสำคัญ กับการยกระดับ
    ศักยภาพธุรกิจในระยะยาว
    โดย SME ไทย จะเน้นการลงทุนเพื่อพัฒนาฝีมือแรงงาน
    การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) และการพัฒนาสินค้า
    และบริการให้มีคุณภาพสูง ซึ่งแนวโน้มการพัฒนาธุรกิจเหล่านี้
    เกิดขึ้นเพื่อรับมือกับปัญหาด้านต้นทุน ความล้าสมัย
    ของกระบวนการทำงาน และการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงจากรอบด้าน
    ซึ่งพบว่าอุตสาหกรรมที่มีความตื่นตัวมากที่สุด คือ กลุ่มผู้ผลิตอาหาร
    และเครื่องดื่ม รวมถึงธุรกิจค้าส่งและค้าปลีก

    ทั้งนี้แหล่งเงินทุนหลักสำหรับธุรกิจ SME ยังคงพึ่งพาสินเชื่อ
    จากสถาบันการเงินเป็นหลัก จะมีเพียงวิสาหกิจขนาดย่อม (Micro)
    ที่จำเป็นต้องอาศัยแหล่งเงินทุน จากกำไรสะสมของธุรกิจ
    และทรัพย์สินของผู้ประกอบการ เนื่องจากส่วนใหญ่เผชิญปัญหา
    ความสามารถในการเข้าถึงสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์
    เพราะขาดหลักทรัพย์ค้ำประกัน และการจัดทำบัญชียังไม่เป็นระบบ

    4. SME มีมุมมองเชิงบวก และ กำลังเตรียมพร้อมรับมือ
    กับกระแส ESG
    SME ไทยส่วนใหญ่ได้กำหนดแผนการดำเนินงานภายใต้เป้าหมาย
    ความยั่งยืนแล้ว ทั้งนี้กลุ่มตัวอย่างในอุตฯ ปั๊มน้ำมัน จำหน่ายเคมีภัณฑ์
    รับเหมาและขายวัสดุก่อสร้าง นับว่าตื่นตัวกับกระแสดังกล่าวมากที่สุด
    โดยการปรับตัวจะเน้นความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก

    ทั้งนี้การปรับตัวของ SME ให้สอดรับกับกระแส ESG จำเป็นต้องอาศัย
    โครงการจัดอบรมให้ความรู้ และโครงการมีที่ปรึกษาที่กระจายตัว
    อย่างทั่วถึงทุกพื้นที่ เนื่องจากผู้ประกอบการขนาดย่อมและธุรกิจ
    ในจังหวัดเมืองรอง ยังเข้าถึงมาตรการความช่วยเหลือเหล่านี้
    ได้ค่อนข้างจำกัด จนมีส่วนทำให้การปรับตัวทำได้ค่อนข้างยาก
    และมีต้นทุนสูง

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #SME #เอสเอมอี #SCBEIC
    #ศูนย์วิจัยไทยพาณิชย์ #thaitimes
    💥💥ศูนย์วิจัยไทยพาณิชย์ SCBEIC เผยแพร่ข้อมูล SME ไทย กำลังเผชิญ กับความท้าทาย 4 ด้าน ได้แก่ 🚩1. มุมมองความเชื่อมั่นของธุรกิจ SME ของไทยในปัจจุบัน อยู่ในระดับต่ำ ความกังวลต่อกำลังซื้อในประเทศที่เปราะบาง กอปรกับปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ทำให้ SME ไทย มีมุมมองความเชื่อมั่นของธุรกิจ อยู่ในระดับต่ำ นอกจากนี้ เรายังเริ่มเห็นสัญญาณความกังวลใจ ต่อปัจจัยเชิงโครงสร้าง โดยเฉพาะกลุ่มผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์ ที่สูญเสียความสามารถทางการแข่งขันให้กับสินค้านำเข้า ทั้งนี้การเรียกคืนความเชื่อมั่นให้แก่เหล่าธุรกิจ SME ควรเริ่มจากการเพิ่มบทบาทของภาครัฐและภาคการเงิน ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งนโยบายส่งเสริมการใช้จ่าย และท่องเที่ยว เร่ง/เพิ่มการลงทุนภาครัฐ ลดความเข้มงวด การปล่อยสินเชื่อ รวมถึงการดำเนินนโยบายการเงิน ที่ผ่อนคลายลง ขณะที่ในระยะยาว ควรมีมาตรการสนับสนุน การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในการดำเนินธุรกิจ ควบคู่กับการส่งเสริมการส่งออกเพิ่มเติมสำหรับอุตสาหกรรม การผลิต เพื่อขยายฐานลูกค้าสู่ตลาดใหม่ ๆ 🚩2. การดำเนินธุรกิจ SME ไทย กำลังเผชิญ กับความท้าทายรอบด้าน จากต้นทุนการผลิต/การดำเนินงานสูงและผันผวน กอปรกับปัญหากลยุทธ์การตลาดและกระบวนการผลิตล้าสมัย ทำให้การดำเนินธุรกิจของ SME ไทย กำลังเผชิญความท้าทาย อีกทั้ง ยังขาดความสามารถในการรักษาฐานลูกค้า เพราะเผชิญ กับการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรง จากคู่แข่งทั้งในและต่างประเทศ อย่างไรก็ดี ผู้ประกอบการในแต่ละขนาดวิสาหกิจมีการรับมือ กับความท้าทายต่าง ๆ เหล่านี้ในรูปแบบที่แตกต่างกัน โดยธุรกิจขนาดย่อม (Micro) จะเน้นมาตรการลดค่าใช้จ่ายเป็นหลัก ขณะที่ธุรกิจขนาดเล็กและกลางส่วนใหญ่จะหันมายกระดับธุรกิจ ผ่านการพัฒนาสินค้า กระบวนการผลิต และการตลาดให้ทันสมัยยิ่งขึ้น 🚩3. SME ไทย เริ่มหันมาให้ความสำคัญ กับการยกระดับ ศักยภาพธุรกิจในระยะยาว โดย SME ไทย จะเน้นการลงทุนเพื่อพัฒนาฝีมือแรงงาน การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) และการพัฒนาสินค้า และบริการให้มีคุณภาพสูง ซึ่งแนวโน้มการพัฒนาธุรกิจเหล่านี้ เกิดขึ้นเพื่อรับมือกับปัญหาด้านต้นทุน ความล้าสมัย ของกระบวนการทำงาน และการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงจากรอบด้าน ซึ่งพบว่าอุตสาหกรรมที่มีความตื่นตัวมากที่สุด คือ กลุ่มผู้ผลิตอาหาร และเครื่องดื่ม รวมถึงธุรกิจค้าส่งและค้าปลีก ทั้งนี้แหล่งเงินทุนหลักสำหรับธุรกิจ SME ยังคงพึ่งพาสินเชื่อ จากสถาบันการเงินเป็นหลัก จะมีเพียงวิสาหกิจขนาดย่อม (Micro) ที่จำเป็นต้องอาศัยแหล่งเงินทุน จากกำไรสะสมของธุรกิจ และทรัพย์สินของผู้ประกอบการ เนื่องจากส่วนใหญ่เผชิญปัญหา ความสามารถในการเข้าถึงสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์ เพราะขาดหลักทรัพย์ค้ำประกัน และการจัดทำบัญชียังไม่เป็นระบบ 🚩4. SME มีมุมมองเชิงบวก และ กำลังเตรียมพร้อมรับมือ กับกระแส ESG SME ไทยส่วนใหญ่ได้กำหนดแผนการดำเนินงานภายใต้เป้าหมาย ความยั่งยืนแล้ว ทั้งนี้กลุ่มตัวอย่างในอุตฯ ปั๊มน้ำมัน จำหน่ายเคมีภัณฑ์ รับเหมาและขายวัสดุก่อสร้าง นับว่าตื่นตัวกับกระแสดังกล่าวมากที่สุด โดยการปรับตัวจะเน้นความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก ทั้งนี้การปรับตัวของ SME ให้สอดรับกับกระแส ESG จำเป็นต้องอาศัย โครงการจัดอบรมให้ความรู้ และโครงการมีที่ปรึกษาที่กระจายตัว อย่างทั่วถึงทุกพื้นที่ เนื่องจากผู้ประกอบการขนาดย่อมและธุรกิจ ในจังหวัดเมืองรอง ยังเข้าถึงมาตรการความช่วยเหลือเหล่านี้ ได้ค่อนข้างจำกัด จนมีส่วนทำให้การปรับตัวทำได้ค่อนข้างยาก และมีต้นทุนสูง #หุ้นติดดอย #การลงทุน #SME #เอสเอมอี #SCBEIC #ศูนย์วิจัยไทยพาณิชย์ #thaitimes
    0 Comments 0 Shares 680 Views 0 Reviews
  • การสอบสวนฝีดาษลิงธรรมชาติสร้างสรรค์หรือมนุษย์ประดิษฐ์

    6 กันยายน 2024
    ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
    ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก
    มหาวิทยาลัยรังสิต

    ไวรัสฝีดาษตัวใหม่ที่่ทั่วโลก กำลังตื่นตระหนก จากการประกาศขององค์การอนามัยโลกประสานกับองค์กรของสหรัฐ และพยายามจะให้มีการสะสมวัคซีนตลอดจนให้มีการใช้ทั่วโลก
    เป็นการเกิดขึ้นตามธรรมชาติหรือมีการประดิษฐ์
    มีการตรวจสอบโดยกรรมาธิการ เฉพาะของวุฒิสภาสพรัฐโดย
    กรรมาธิการดังกล่าวออกรายงาน 73 หน้า ในวันที่ 11 มิถุนายน 2024 เป็นการสอบสวนการทำวิจัยไวรัสฝีดาษลิง ที่มีความเสี่ยงสูงโดยทำให้มีความรุนแรงมากขึ้นและติดต่อได้ง่ายขึ้นระหว่างคนสู่คน
    ขั้นตอนตัดต่อส่วนของไวรัสในกลุ่มที่สอง ไปยังกลุ่มที่หนึ่งปรากฏว่าความรุนแรงลดลง
    ดังนั้นเลยมีกระบวนการที่ทำโดยเอาส่วนที่หนึ่งเสียบไปยังกลุ่มที่สองจนได้ผลสำเร็จ มีความรุนแรงมากขึ้นและแพร่ได้เร็ว เกิดการระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
    สืบจนพบว่าเป็นการอนุมัติทุนในองค์กร NIH NIAID ของสหรัฐฯในปี 2015 และรายงานความสำเร็จในปี 2022 ซึ่งในขณะนั้นเอง ก่อให้เกิดความวิตกกังวลของนักวิทยาศาสตร์ทั่วไปถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้น
    และนำไปสู่การสืบสวนจนกระทั่งถึงผู้อนุมัติสนับสนุนงานสร้างไวรัสใหม่ คือ ดร เฟาซี

    และเหตุการณ์ที่คล้องจอง คือการฝึกซ้อมรับมือผู้ก่อการร้ายโดย สมมุติว่ามีการ ใช้อาวุธชีวภาพ คือไวรัสฝีดาษลิงที่ตัดต่อพันธุกรรม ชื่อ Akhmeta ทั้งในปี 2021 และในปี 2022 โดยสร้างฉากทัศน์ เริ่มจากการปล่อยไวรัสจนกระทั่งมีการระบาดทั่วโลกและล้มตายไปหลายร้อยล้านคนและในขณะเดียวกันมีการตระเตรียมยาและวัคซีน
    เหตุการณ์ที่เกิดในปัจจุบันที่มีการติดเชื้อฝีดาษลิงในมนุษย์ที่ง่ายขึ้น เริ่มเกิดขึ้นในปี 2021 และ 2022 และทยอยแพร่ไปทั่วโลก
    จนองค์การอนามัยโลกประกาศเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินและผลักดันให้มีการฉีดวัคซีนทั่วโลก

    ข้อมูลฉบับเต็มจากการสอบสวน
    https://d1dth6e84htgma.cloudfront.net/Mpox_Memo_Rpt_correction_18e95e3204.pdf?utm_source=substack&utm_medium=email
    การสอบสวนฝีดาษลิงธรรมชาติสร้างสรรค์หรือมนุษย์ประดิษฐ์ 6 กันยายน 2024 ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ไวรัสฝีดาษตัวใหม่ที่่ทั่วโลก กำลังตื่นตระหนก จากการประกาศขององค์การอนามัยโลกประสานกับองค์กรของสหรัฐ และพยายามจะให้มีการสะสมวัคซีนตลอดจนให้มีการใช้ทั่วโลก เป็นการเกิดขึ้นตามธรรมชาติหรือมีการประดิษฐ์ มีการตรวจสอบโดยกรรมาธิการ เฉพาะของวุฒิสภาสพรัฐโดย กรรมาธิการดังกล่าวออกรายงาน 73 หน้า ในวันที่ 11 มิถุนายน 2024 เป็นการสอบสวนการทำวิจัยไวรัสฝีดาษลิง ที่มีความเสี่ยงสูงโดยทำให้มีความรุนแรงมากขึ้นและติดต่อได้ง่ายขึ้นระหว่างคนสู่คน ขั้นตอนตัดต่อส่วนของไวรัสในกลุ่มที่สอง ไปยังกลุ่มที่หนึ่งปรากฏว่าความรุนแรงลดลง ดังนั้นเลยมีกระบวนการที่ทำโดยเอาส่วนที่หนึ่งเสียบไปยังกลุ่มที่สองจนได้ผลสำเร็จ มีความรุนแรงมากขึ้นและแพร่ได้เร็ว เกิดการระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น สืบจนพบว่าเป็นการอนุมัติทุนในองค์กร NIH NIAID ของสหรัฐฯในปี 2015 และรายงานความสำเร็จในปี 2022 ซึ่งในขณะนั้นเอง ก่อให้เกิดความวิตกกังวลของนักวิทยาศาสตร์ทั่วไปถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้น และนำไปสู่การสืบสวนจนกระทั่งถึงผู้อนุมัติสนับสนุนงานสร้างไวรัสใหม่ คือ ดร เฟาซี และเหตุการณ์ที่คล้องจอง คือการฝึกซ้อมรับมือผู้ก่อการร้ายโดย สมมุติว่ามีการ ใช้อาวุธชีวภาพ คือไวรัสฝีดาษลิงที่ตัดต่อพันธุกรรม ชื่อ Akhmeta ทั้งในปี 2021 และในปี 2022 โดยสร้างฉากทัศน์ เริ่มจากการปล่อยไวรัสจนกระทั่งมีการระบาดทั่วโลกและล้มตายไปหลายร้อยล้านคนและในขณะเดียวกันมีการตระเตรียมยาและวัคซีน เหตุการณ์ที่เกิดในปัจจุบันที่มีการติดเชื้อฝีดาษลิงในมนุษย์ที่ง่ายขึ้น เริ่มเกิดขึ้นในปี 2021 และ 2022 และทยอยแพร่ไปทั่วโลก จนองค์การอนามัยโลกประกาศเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินและผลักดันให้มีการฉีดวัคซีนทั่วโลก ข้อมูลฉบับเต็มจากการสอบสวน https://d1dth6e84htgma.cloudfront.net/Mpox_Memo_Rpt_correction_18e95e3204.pdf?utm_source=substack&utm_medium=email
    Like
    9
    1 Comments 1 Shares 314 Views 0 Reviews
  • รายการ ของสหรัฐ มีมากมายที่เป็นคำถาม ถึงวัคซีนโควิดที่จะออกมาใช้อีก ใน ปี 2024 ถึง 2025 กับ โอไมครอน
    ทั้งๆที่ ความรุนแรงของไวรัสไม่มากเลย และในขณะเดียวกัน วัคซีนรุ่นที่เคยใช้มาตลอด ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าไม่กันติด กันแพร่ และ ประสิทธิภาพคลุมเครือว่ากันอาการหนักได้หรือไม่ ทั้งนี้รวมถึงผลกระทบข้างเคียง ไม่ใช่เกิดจากโปรตีนหนาม ที่วัคซีนบังคับให้สร้างอย่างเดียว แต่ยัง เกี่ยวข้องกับอนุภาคไขมันนาโน และ กลไกการสร้างพันธุกรรมในวัคซีนให้เสถียรขึ้น จนกระทั่งค้างอยู่ในตัวคนได้นานแสนนาน แม้กระทั่งการอ่านพันธุกรรมผิดพลาดจนเกิดการสร้างโปรตีนใหม่

    https://youtu.be/IlJuyhSTSqE?si=1jju5ImFSZ5kfiQU

    รายงานล่าสุดพบว่าผู้ได้รับผลกระทบจากวัคซีน มีการสร้างภูมิคุ้มกันในน้ำเหลืองที่ทำลายระบบประสาทของตัวของตัวเองแล้ว

    https://www.frontiersin.org/journals/immunology/articles/10.3389/fimmu.2024.1404800/full

    วัคซีน “ไม่กันติด ไม่กันแพร่” และการตายสูงขึ้นอย่างผิดปกติ

    เคยคิดกันว่าเราฉีดแล้วเผื่อจะได้ไม่แพร่ไปญาติผู้ใหญ่ในบ้าน
    ร้านต่างๆติดป้ายพนักงานทุกคนฉีดวัคซีน
    สรุปใช้ไม่ได้ผล วิเคราะห์ตั้งแต่ เดลต้า มาจนถึงโอไมครอน
    รายงาน 5 มิถุนายน 2024

    https://bmcmedicine.biomedcentral.com/articles/10.1186/s12916-024-03444-6

    ทั้งๆที่ฉีดวัคซีน ที่ป้องกันการตาย แต่ทำไมยังมีการตายส่วนเกินทั้งในช่วงโควิดรุนแรงและยังสูงอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งโควิดซาลง

    ผลการวิเคราะห์ข้อมูลการเสียชีวิตในประเทศตะวันตก 47 ชาติ นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Vrije ของเนเธอร์แลนด์ พบว่าการตายส่วนเกินยังคงอยู่ในระดับสูงมาตั้งแต่ปี 2020 แม้มีการแจกจ่ายวัคซีนโควิดในวงกว้าง และมีมาตรการควบคุมต่างๆ

    นักวิจัยบอกว่าแนวโน้มดังกล่าว "ก่อความกังวลใหญ่หลวง" และเรียกร้องให้ผู้นำรัฐบาลต่างๆ และสมาชิกรัฐสภาทั้งหลายสืบสวนอย่างละเอียดถึงสาเหตุพื้นฐานของตัวเลขการตายส่วนเกินที่คงอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง อ้างอิงรายงานการศึกษาที่เผยแพร่ในวารสาร BMJ Public Health

    https://bmjpublichealth.bmj.com/content/2/1/e000282
    รายการ ของสหรัฐ มีมากมายที่เป็นคำถาม ถึงวัคซีนโควิดที่จะออกมาใช้อีก ใน ปี 2024 ถึง 2025 กับ โอไมครอน ทั้งๆที่ ความรุนแรงของไวรัสไม่มากเลย และในขณะเดียวกัน วัคซีนรุ่นที่เคยใช้มาตลอด ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าไม่กันติด กันแพร่ และ ประสิทธิภาพคลุมเครือว่ากันอาการหนักได้หรือไม่ ทั้งนี้รวมถึงผลกระทบข้างเคียง ไม่ใช่เกิดจากโปรตีนหนาม ที่วัคซีนบังคับให้สร้างอย่างเดียว แต่ยัง เกี่ยวข้องกับอนุภาคไขมันนาโน และ กลไกการสร้างพันธุกรรมในวัคซีนให้เสถียรขึ้น จนกระทั่งค้างอยู่ในตัวคนได้นานแสนนาน แม้กระทั่งการอ่านพันธุกรรมผิดพลาดจนเกิดการสร้างโปรตีนใหม่ https://youtu.be/IlJuyhSTSqE?si=1jju5ImFSZ5kfiQU รายงานล่าสุดพบว่าผู้ได้รับผลกระทบจากวัคซีน มีการสร้างภูมิคุ้มกันในน้ำเหลืองที่ทำลายระบบประสาทของตัวของตัวเองแล้ว https://www.frontiersin.org/journals/immunology/articles/10.3389/fimmu.2024.1404800/full วัคซีน “ไม่กันติด ไม่กันแพร่” และการตายสูงขึ้นอย่างผิดปกติ เคยคิดกันว่าเราฉีดแล้วเผื่อจะได้ไม่แพร่ไปญาติผู้ใหญ่ในบ้าน ร้านต่างๆติดป้ายพนักงานทุกคนฉีดวัคซีน สรุปใช้ไม่ได้ผล วิเคราะห์ตั้งแต่ เดลต้า มาจนถึงโอไมครอน รายงาน 5 มิถุนายน 2024 https://bmcmedicine.biomedcentral.com/articles/10.1186/s12916-024-03444-6 ทั้งๆที่ฉีดวัคซีน ที่ป้องกันการตาย แต่ทำไมยังมีการตายส่วนเกินทั้งในช่วงโควิดรุนแรงและยังสูงอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งโควิดซาลง ผลการวิเคราะห์ข้อมูลการเสียชีวิตในประเทศตะวันตก 47 ชาติ นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Vrije ของเนเธอร์แลนด์ พบว่าการตายส่วนเกินยังคงอยู่ในระดับสูงมาตั้งแต่ปี 2020 แม้มีการแจกจ่ายวัคซีนโควิดในวงกว้าง และมีมาตรการควบคุมต่างๆ นักวิจัยบอกว่าแนวโน้มดังกล่าว "ก่อความกังวลใหญ่หลวง" และเรียกร้องให้ผู้นำรัฐบาลต่างๆ และสมาชิกรัฐสภาทั้งหลายสืบสวนอย่างละเอียดถึงสาเหตุพื้นฐานของตัวเลขการตายส่วนเกินที่คงอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง อ้างอิงรายงานการศึกษาที่เผยแพร่ในวารสาร BMJ Public Health https://bmjpublichealth.bmj.com/content/2/1/e000282
    Like
    Sad
    2
    0 Comments 1 Shares 388 Views 0 Reviews
  • นิทานเรื่อง “Château Christophe”
    ตอนที่ 1
    เป็นเวลากว่า 6 ชั่วโมงที่สถานกงสุลอเมริกัน ที่เมือง Benghazi ประเทศลิเบีย ถูกโจมตีและถูกยึดได้ในที่สุด ในคืนวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2012 หลังจากการโจมตีและสู้รบสิ้นสุดลง ร่างของฑูตอเมริกัน นาย Christopher J. Stevens ถูกลากออกมาจากซากตึกที่ไหม้และพังทลายอยู่ในบริเวณของสถานกงสุล เขาเป็นฑูตอเมริกันคนแรกที่ถูกสังหารโดยกองทัพต่างชาติในรอบ 30 ปี การตายของเขาถูกนำไปเป็นประเด็นทางการเมือง สาเหตุและการบุกโจมตีสถานกงสุ ลถูกบิดเบือน การตายของฑูต Stevens มีการสอบสวน วิเคราะห์ บอกเล่า เขียนเป็นหนังสือ สาระพัดเรื่อง ความจริงเป็นอย่างไร ยังไม่มีใครปริปากพูดออกมาตรง ๆ มันเป็นเรื่องน่าคิด น่าติดตาม เพราะมันจะเป็นทั้งใบเสร็จและอุทาหรณ์ในหลาย ๆ เรื่องให้แก่เรา
    เช้าวันที่ 11 กันยายน นาย Stevens ฑูตอเมริกันประจำประเทศลิเบีย นั่งทานอาหารเช้ากับชายคนหนึ่ง ชื่อ Habib Budaker ที่สถานกงสุลเมือง Benghazi
    นี่เป็นครั้งแรกที่นาย Stevens กลับมาเมือง Benghazi หลังจากรับตำแหน่งฑูต เมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2011 และใช้เวลาปฎิบัติหน้าที่ “ฑูต” ทำงานอยู่รอบ ๆ ตัวเมืองนอกสถานฑูตที่เมือง Tripoli แต่เมื่อนาย Bubaker ไปรับเขาที่สนามบิน Benghazi เช้าวันที่ 10 นาย Stevens บอกกับ Budaker ว่า “ผมตื่นเต้นที่ได้กลับมา” Budaker รู้จักฑูต Stevens มากว่า 1 ปีแล้ว โดยการแนะนำตัวเองกับนาย Stevens เมื่อเดือนเมษายน 2011 หลังจากการปฎิวัติของชาวลิเบียเริ่มเกิดขึ้นได้สัก 2 เดือน นาย Stevens ก็ถูกส่งให้มาที่ Bengazi ในฐานะตัวแทนของอเมริกาสำหรับรัฐบาลผสมที่เกิดจากการปฏิวัติ อเมริกาได้เลือกข้างเรียบร้อยแล้ว ว่าจะอยู่กับฝ่ายไหนในสงครามที่กำลังดำเนินอยู่ และ Stevens ได้รับการมอบหมายให้มาสร้างสัมพันธ์กับประชาชนที่อเมริกาคาดว่า ในที่สุดจะเป็นฝ่ายปกครองประเทศ
    Bubakar เป็นเจ้าของโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษในเมือง และเสนอตัวเป็นล่ามให้แก่ Stevens นาย Stevens เองพูดภาษาอารบิคได้ แต่เขาอยากใช้สำนวนภาษาการฑูตซึ่งชัดเจนกว่าในการเจรจาที่เป็นทางการ เขาจึงเลือกที่จะพูดภาษาอังกฤษ ขณะเดียวกัน Bubaker เป็นผู้พา Stevens เข้ารู้จักองค์กรภาคธุรกิจและทำหน้าที่เป็นเหมือนมือขวาของ Stevens ตลอดเวลาการสู้รบ ตั้งแต่ช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนของสงคราม เขานับตัวเองว่าเป็นเพื่อนของ Stevens หลาย ๆ คน ก็คิดอย่างนั้น เพราะ Stevens เป็นคนประเภทคบเป็นเพื่อนง่าย
    Stevens ตั้งใจจะอยู่ที่ Benghazi เพียง 5 วัน เขามีประชุมวันจันทร์ที่ในเมือง และจะมีอีกหลายนัดนอกบริเวณกงสุลในวันพุธ ส่วนวันพฤหัส ดูเหมือนจะเป็นวันสำคัญที่สุดของการมา Benghazi เขาตั้งใจจะส่งมอบ “Benghazi Mission” ให้กับชาวลิเบีย และบริเวณกงสุลอเมริกันจะเรียกชื่อใหม่ว่า “An American Space” โดยจะมีการสอนภาษาอังกฤษให้ชาวพื้นเมือง รวมทั้งการเข้าไปใช้อินเตอร์เน็ท การฉายภาพยนต์และมีห้องสมุด โดยฝ่ายอเมริกาจะจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์ หนังสือ และอุปกรณ์จำเป็นต่าง ๆ สนับสนุน และมอบให้เป็นสมบัติของคนพื้นเมือง ให้คนพื้นเมืองดูแลเอง Stevens หวังว่า “An American Spece” นี้ จะเป็นตัวอย่างของการเป็นหุ้นส่วนของ 2 ประเทศ หากได้มีการร่วมมือกัน
    Stevens มีความรู้สึกผูกพันธ์กับ Benghazi เมืองซึ่งชาวเมืองแสดงการต่อต้าน Qaddafi เป็นครั้งแรก เพราะเขาอยู่กับชาวเมืองตลอดเวลาของการต่อต้านนั้น ระหว่างการปฏิวัติ เขาใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ตามถนน พูดคุย คลุกคลี และสำรวจเมือง Benghazi และผู้คน นาย Nathan tek เจ้าหน้าที่สถานฑูต รุ่นหนุ่มที่อยู่กับ Stevens มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2011 บอกว่า Stevens ชอบที่จะสำรวจเมืองอย่าง โดยไม่ต้องมีหน่วยคุ้มกันตัวโตถือปืนเดินตามประกบ เขาบอกว่า การที่เรามีเพื่อนมาก และเขาเห็นเราเป็นแขกของเขานั้นแหละสำคัญที่สุด
    ซึ่งชาว Benghazi โดยทั่วไปก็แสดงความเป็นมิตร แม้ในช่วงเดือนกันยายนนั้นเอง จะมีทหารเดินอยู่เต็มเมือง Stevens ก็เพียงแค่ปรับเปลี่ยนตารางของเขา เขาเอาบอดี้การ์ดมาด้วย 2 คนจาก Tripoli รวมกับอีก 3 คนจากหน่วยความมั่นคงที่ประจำที่ Benghazi อยู่แล้ว เขายกเลิกการวิ่งตอนเช้านอกบริเวณกงสุล และจัดให้การนัดพบทุกรายการอยู่ในบริเวณกงสุล อเมริกาได้ตั้งสถานกงสุลตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2011 หลังจากโรงแรมที่พวกเขาเคยพักถูก ระเบิดถล่ม เขาเช่าวิลล่า 3 หลัง บริเวณติดต่อกัน ทุบกำแพงระหว่างวิลล่าทิ้ง และล้อมบริเวณ 3 วิลล่า เสียใหม่เป็นบริเวณเดียว ทำให้เป็นตึกเตี้ย ๆ 4 หลัง อยู่ท่ามกลางเถาต้นองุ่นและต้นฝรั่ง เพื่อนร่วมงานล้อเลียน Stevens ว่าสถานที่นี้น่าจะเรียกว่า “Château Christophe” แบบโรงผลิตไวน์มีชื่อ
    Château Christophe ถึงแม้จะเป็นเพียงสถานที่ชั่วคราว แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีการป้องกันอย่างเหมาะสม สถานที่กว้าง 300 หลา และลึก 300 หลา ทำให้ตัวตึกอยู่ลึกเข้ามาจากรั้วมากพอที่จะป้องกันการจู่โจมจากด้านนอก รั้วทุกด้านสูง 9 ฟุต และมีลวดหนามไฟฟ้ากั้นสูงไปจากรั้วอีก 3 ฟุต มีแผ่นเหล็กปลดลงมา ไว้ปิดกั้นไม่ให้รถวิ่งเข้ามาได้ และมีแท่งคอนกรีตกั้นทั้งภายในภายนอก สำหรับป้องกันการใช้รถวิ่งชน มีจอและกล้องคอยเฝ้า (monitor) ดูแลความปลอดภัยรอบบริเวณ ส่วนในบริเวณชั้นใน มีแผ่นเหล็กสำหรับปลดมาปิดกั้นและล็อคได้อีกชั้นหนึ่ง เพื่อสามารถเปลี่ยนให้ภายในตึก นี้กลายเป็นห้องนิรภัย และภายในห้องนี้ ยังมีห้องเล็ก หลบซ่อนอยู่อีก ห้องเล็กนี้มีอาหาร น้ำ และเครื่องเวชภัณฑ์ โดยมองจากข้างนอกไม่มีทางเห็น
    Château Christophe ถือว่ามีการดูแลที่ปลอดภัย เพียงพอสำหรับการปฎิบัติงานของคนระดับฑูตอเมริกัน Benghazi ต่างหากที่ยังไม่ปลอดภัย รัฐบาลลิเบียยังต้องจัดให้มีกำลังตำรวจที่เหมาะสม ความรุนแรงในเมืองมีอยู่ตลอดหน้าร้อน รวมทั้งบางส่วนยังมีเป้าหมายต่อต้านชาวตะวันตก จริง ๆ แล้ว Stevens ได้แจ้งไปทางวอชิงตันในเช้าวันที่ 11 นั้น เพื่อเตือนความจำเรื่องการไม่มีกฎหมายใช้บังคับที่ Benghazi ถึงอย่างนั้นตัวเมืองก็ดูสงบพอสมควรเมื่อ Stevens มาถึงและเขาคิดว่ามันคงจะเป็นเช่นนั้นต่อไป
    Bubaker อยู่กับ Stevens ตลอดการประชุมต่าง ๆ ในตอนเช้า บ่าย 3 โมง เขาเช็คตารางของวันพุธ ซึ่งแน่นเต็ม นัดสุดท้ายของ Stevens วันนั้น คือ กาแฟกับนักการฑูตตุรกี ซึ่งเสร็จประมาณ 2 ทุ่มครึ่ง Stevens เดินไปส่งแขกที่ประตูหน้า ซึ่งมีกองกำลังรักษาความปลอดภัย ซึ่งจ้างมาจากกองทหารที่ 17th of February Martyrs Brigade ซึ่งเป็นมิตรกับชาวอเมริกัน
    ประมาณ 700 ไมล์ไปทางตะวันออก ฝูงชนกำลังล้อมสถานฑูตสหรัฐที่กรุงไคโร ด้วยความเคียดแค้นจากวิดีโอ ซึ่งมีเนื้อความละเมิดพระศาสดามูฮะหมัด แต่ทาง Benghazi ยังเงียบสงบ ถนนหน้า Château Christophe ว่างเปล่า
    Stevens เดินกลับมาที่ห้องของเขาที่ตึกกลาง ประมาณ 3 ทุ่ม 40 นาที เขาได้ยินเสียงปืนดัง เสียงปืนดังแบบนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับอาหรับยามค่ำคืน เสียงปืนดัง บางทีก็หมายถึงการฉลอง Stevens เคยบอกกับน้องชาย และเคยพูดตลกกับ Bubaker เวลาเขาได้ยินเสียงปืนว่า สงสัยวันนี้มีงานแต่งงานนะ แต่วันนี้จอควบคุมความปลอดภัยของกงสุล เห็นกลุ่มคนกำลังปีนเข้ามาที่ประตูหน้า
    คนเล่านิทาน
    7 มิย. 57
    นิทานเรื่อง “Château Christophe” ตอนที่ 1 เป็นเวลากว่า 6 ชั่วโมงที่สถานกงสุลอเมริกัน ที่เมือง Benghazi ประเทศลิเบีย ถูกโจมตีและถูกยึดได้ในที่สุด ในคืนวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2012 หลังจากการโจมตีและสู้รบสิ้นสุดลง ร่างของฑูตอเมริกัน นาย Christopher J. Stevens ถูกลากออกมาจากซากตึกที่ไหม้และพังทลายอยู่ในบริเวณของสถานกงสุล เขาเป็นฑูตอเมริกันคนแรกที่ถูกสังหารโดยกองทัพต่างชาติในรอบ 30 ปี การตายของเขาถูกนำไปเป็นประเด็นทางการเมือง สาเหตุและการบุกโจมตีสถานกงสุ ลถูกบิดเบือน การตายของฑูต Stevens มีการสอบสวน วิเคราะห์ บอกเล่า เขียนเป็นหนังสือ สาระพัดเรื่อง ความจริงเป็นอย่างไร ยังไม่มีใครปริปากพูดออกมาตรง ๆ มันเป็นเรื่องน่าคิด น่าติดตาม เพราะมันจะเป็นทั้งใบเสร็จและอุทาหรณ์ในหลาย ๆ เรื่องให้แก่เรา เช้าวันที่ 11 กันยายน นาย Stevens ฑูตอเมริกันประจำประเทศลิเบีย นั่งทานอาหารเช้ากับชายคนหนึ่ง ชื่อ Habib Budaker ที่สถานกงสุลเมือง Benghazi นี่เป็นครั้งแรกที่นาย Stevens กลับมาเมือง Benghazi หลังจากรับตำแหน่งฑูต เมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2011 และใช้เวลาปฎิบัติหน้าที่ “ฑูต” ทำงานอยู่รอบ ๆ ตัวเมืองนอกสถานฑูตที่เมือง Tripoli แต่เมื่อนาย Bubaker ไปรับเขาที่สนามบิน Benghazi เช้าวันที่ 10 นาย Stevens บอกกับ Budaker ว่า “ผมตื่นเต้นที่ได้กลับมา” Budaker รู้จักฑูต Stevens มากว่า 1 ปีแล้ว โดยการแนะนำตัวเองกับนาย Stevens เมื่อเดือนเมษายน 2011 หลังจากการปฎิวัติของชาวลิเบียเริ่มเกิดขึ้นได้สัก 2 เดือน นาย Stevens ก็ถูกส่งให้มาที่ Bengazi ในฐานะตัวแทนของอเมริกาสำหรับรัฐบาลผสมที่เกิดจากการปฏิวัติ อเมริกาได้เลือกข้างเรียบร้อยแล้ว ว่าจะอยู่กับฝ่ายไหนในสงครามที่กำลังดำเนินอยู่ และ Stevens ได้รับการมอบหมายให้มาสร้างสัมพันธ์กับประชาชนที่อเมริกาคาดว่า ในที่สุดจะเป็นฝ่ายปกครองประเทศ Bubakar เป็นเจ้าของโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษในเมือง และเสนอตัวเป็นล่ามให้แก่ Stevens นาย Stevens เองพูดภาษาอารบิคได้ แต่เขาอยากใช้สำนวนภาษาการฑูตซึ่งชัดเจนกว่าในการเจรจาที่เป็นทางการ เขาจึงเลือกที่จะพูดภาษาอังกฤษ ขณะเดียวกัน Bubaker เป็นผู้พา Stevens เข้ารู้จักองค์กรภาคธุรกิจและทำหน้าที่เป็นเหมือนมือขวาของ Stevens ตลอดเวลาการสู้รบ ตั้งแต่ช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนของสงคราม เขานับตัวเองว่าเป็นเพื่อนของ Stevens หลาย ๆ คน ก็คิดอย่างนั้น เพราะ Stevens เป็นคนประเภทคบเป็นเพื่อนง่าย Stevens ตั้งใจจะอยู่ที่ Benghazi เพียง 5 วัน เขามีประชุมวันจันทร์ที่ในเมือง และจะมีอีกหลายนัดนอกบริเวณกงสุลในวันพุธ ส่วนวันพฤหัส ดูเหมือนจะเป็นวันสำคัญที่สุดของการมา Benghazi เขาตั้งใจจะส่งมอบ “Benghazi Mission” ให้กับชาวลิเบีย และบริเวณกงสุลอเมริกันจะเรียกชื่อใหม่ว่า “An American Space” โดยจะมีการสอนภาษาอังกฤษให้ชาวพื้นเมือง รวมทั้งการเข้าไปใช้อินเตอร์เน็ท การฉายภาพยนต์และมีห้องสมุด โดยฝ่ายอเมริกาจะจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์ หนังสือ และอุปกรณ์จำเป็นต่าง ๆ สนับสนุน และมอบให้เป็นสมบัติของคนพื้นเมือง ให้คนพื้นเมืองดูแลเอง Stevens หวังว่า “An American Spece” นี้ จะเป็นตัวอย่างของการเป็นหุ้นส่วนของ 2 ประเทศ หากได้มีการร่วมมือกัน Stevens มีความรู้สึกผูกพันธ์กับ Benghazi เมืองซึ่งชาวเมืองแสดงการต่อต้าน Qaddafi เป็นครั้งแรก เพราะเขาอยู่กับชาวเมืองตลอดเวลาของการต่อต้านนั้น ระหว่างการปฏิวัติ เขาใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ตามถนน พูดคุย คลุกคลี และสำรวจเมือง Benghazi และผู้คน นาย Nathan tek เจ้าหน้าที่สถานฑูต รุ่นหนุ่มที่อยู่กับ Stevens มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2011 บอกว่า Stevens ชอบที่จะสำรวจเมืองอย่าง โดยไม่ต้องมีหน่วยคุ้มกันตัวโตถือปืนเดินตามประกบ เขาบอกว่า การที่เรามีเพื่อนมาก และเขาเห็นเราเป็นแขกของเขานั้นแหละสำคัญที่สุด ซึ่งชาว Benghazi โดยทั่วไปก็แสดงความเป็นมิตร แม้ในช่วงเดือนกันยายนนั้นเอง จะมีทหารเดินอยู่เต็มเมือง Stevens ก็เพียงแค่ปรับเปลี่ยนตารางของเขา เขาเอาบอดี้การ์ดมาด้วย 2 คนจาก Tripoli รวมกับอีก 3 คนจากหน่วยความมั่นคงที่ประจำที่ Benghazi อยู่แล้ว เขายกเลิกการวิ่งตอนเช้านอกบริเวณกงสุล และจัดให้การนัดพบทุกรายการอยู่ในบริเวณกงสุล อเมริกาได้ตั้งสถานกงสุลตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2011 หลังจากโรงแรมที่พวกเขาเคยพักถูก ระเบิดถล่ม เขาเช่าวิลล่า 3 หลัง บริเวณติดต่อกัน ทุบกำแพงระหว่างวิลล่าทิ้ง และล้อมบริเวณ 3 วิลล่า เสียใหม่เป็นบริเวณเดียว ทำให้เป็นตึกเตี้ย ๆ 4 หลัง อยู่ท่ามกลางเถาต้นองุ่นและต้นฝรั่ง เพื่อนร่วมงานล้อเลียน Stevens ว่าสถานที่นี้น่าจะเรียกว่า “Château Christophe” แบบโรงผลิตไวน์มีชื่อ Château Christophe ถึงแม้จะเป็นเพียงสถานที่ชั่วคราว แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีการป้องกันอย่างเหมาะสม สถานที่กว้าง 300 หลา และลึก 300 หลา ทำให้ตัวตึกอยู่ลึกเข้ามาจากรั้วมากพอที่จะป้องกันการจู่โจมจากด้านนอก รั้วทุกด้านสูง 9 ฟุต และมีลวดหนามไฟฟ้ากั้นสูงไปจากรั้วอีก 3 ฟุต มีแผ่นเหล็กปลดลงมา ไว้ปิดกั้นไม่ให้รถวิ่งเข้ามาได้ และมีแท่งคอนกรีตกั้นทั้งภายในภายนอก สำหรับป้องกันการใช้รถวิ่งชน มีจอและกล้องคอยเฝ้า (monitor) ดูแลความปลอดภัยรอบบริเวณ ส่วนในบริเวณชั้นใน มีแผ่นเหล็กสำหรับปลดมาปิดกั้นและล็อคได้อีกชั้นหนึ่ง เพื่อสามารถเปลี่ยนให้ภายในตึก นี้กลายเป็นห้องนิรภัย และภายในห้องนี้ ยังมีห้องเล็ก หลบซ่อนอยู่อีก ห้องเล็กนี้มีอาหาร น้ำ และเครื่องเวชภัณฑ์ โดยมองจากข้างนอกไม่มีทางเห็น Château Christophe ถือว่ามีการดูแลที่ปลอดภัย เพียงพอสำหรับการปฎิบัติงานของคนระดับฑูตอเมริกัน Benghazi ต่างหากที่ยังไม่ปลอดภัย รัฐบาลลิเบียยังต้องจัดให้มีกำลังตำรวจที่เหมาะสม ความรุนแรงในเมืองมีอยู่ตลอดหน้าร้อน รวมทั้งบางส่วนยังมีเป้าหมายต่อต้านชาวตะวันตก จริง ๆ แล้ว Stevens ได้แจ้งไปทางวอชิงตันในเช้าวันที่ 11 นั้น เพื่อเตือนความจำเรื่องการไม่มีกฎหมายใช้บังคับที่ Benghazi ถึงอย่างนั้นตัวเมืองก็ดูสงบพอสมควรเมื่อ Stevens มาถึงและเขาคิดว่ามันคงจะเป็นเช่นนั้นต่อไป Bubaker อยู่กับ Stevens ตลอดการประชุมต่าง ๆ ในตอนเช้า บ่าย 3 โมง เขาเช็คตารางของวันพุธ ซึ่งแน่นเต็ม นัดสุดท้ายของ Stevens วันนั้น คือ กาแฟกับนักการฑูตตุรกี ซึ่งเสร็จประมาณ 2 ทุ่มครึ่ง Stevens เดินไปส่งแขกที่ประตูหน้า ซึ่งมีกองกำลังรักษาความปลอดภัย ซึ่งจ้างมาจากกองทหารที่ 17th of February Martyrs Brigade ซึ่งเป็นมิตรกับชาวอเมริกัน ประมาณ 700 ไมล์ไปทางตะวันออก ฝูงชนกำลังล้อมสถานฑูตสหรัฐที่กรุงไคโร ด้วยความเคียดแค้นจากวิดีโอ ซึ่งมีเนื้อความละเมิดพระศาสดามูฮะหมัด แต่ทาง Benghazi ยังเงียบสงบ ถนนหน้า Château Christophe ว่างเปล่า Stevens เดินกลับมาที่ห้องของเขาที่ตึกกลาง ประมาณ 3 ทุ่ม 40 นาที เขาได้ยินเสียงปืนดัง เสียงปืนดังแบบนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับอาหรับยามค่ำคืน เสียงปืนดัง บางทีก็หมายถึงการฉลอง Stevens เคยบอกกับน้องชาย และเคยพูดตลกกับ Bubaker เวลาเขาได้ยินเสียงปืนว่า สงสัยวันนี้มีงานแต่งงานนะ แต่วันนี้จอควบคุมความปลอดภัยของกงสุล เห็นกลุ่มคนกำลังปีนเข้ามาที่ประตูหน้า คนเล่านิทาน 7 มิย. 57
    0 Comments 0 Shares 337 Views 0 Reviews
  • Pavel Durov ผู้ก่อตั้ง Telegram ถูกตำรวจฝรั่งเศสจับกุมทันที อ้างหมายจับที่ออกโดย OFMIN หน่วยงานต่อต้านความรุนแรงต่อผู้เยาว์ของฝรั่งเศส หลังจาก Pavel Durov เพิ่งเดินทางมาถึงสนามบิน Le Bourget ด้วยเครื่องบินเจ็ตส่วนตัว และขณะนี้ต้องเผชิญโทษจำคุก 20 ปี

    25 สิงหาคม 2567-รายงานข่าวต่างประเทศระบุว่า นาย พาเวล ดูรอฟ Pavel Durov ซีอีโอวัย 39 ปีของ Telegram แอปพลิเคชันส่งข้อความยอดนิยมระดับโลก ถูกตำรวจฝรั่งเศสจับกุมตัวที่สนามบิน Le Bourget ทางตอนเหนือของกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ถูกจับกุมเมื่อเวลาประมาณ 20.00 น. (เวลาท้องถิ่น) หลังเดินทางมาถึงด้วยเครื่องบินส่วนตัว สร้างความตกตะลึงให้กับวงการโซเชียลมีเดียทั่วโลก

    ทางการฝรั่งเศสระบุว่า การจับกุมครั้งนี้เป็นไปตามหมายจับที่ออกโดย OFMIN หน่วยงานต่อต้านความรุนแรงต่อผู้เยาว์ของฝรั่งเศส ซึ่งเป็นผู้ประสานงานในการสอบสวนเบื้องต้นเกี่ยวกับข้อหาร้ายแรงหลายประการ เช่น การฉ้อโกง การค้ายาเสพติด การกลั่นแกล้งทางไซเบอร์ อาชญากรรมองค์กร และการสนับสนุนการก่อการร้าย โดยมีสาเหตุหลักมาจากการที่ Pavel Durov ‘ไม่ดำเนินการใดๆ เพื่อป้องกันการใช้ Telegram ในทางที่ผิดกฎหมายมา

    แต่กระแสข่าวอีกด้านระบุสาเหตุเพราะว่า บรรดาแฮกเกอร์ต่อต้านอิสราเอลที่ขโมยข้อมูลสำคัญของประเทศอิสราเอลจำนวนหลายกิกะไบต์ได้เผยแพร่ข้อมูลลับดังกล่าวบน TELEGRAM และTelegram ปฏิเสธคำขอของอิสราเอลในการเซ็นเซอร์ข้อมูลดังกล่าว

    Telegram เป็นแอปพลิเคชันส่งข้อความที่ได้รับความนิยมอย่างสูงทั่วโลก โดยเฉพาะในรัสเซีย Telegram ที่เข้ารหัสซึ่งมีผู้ใช้เกือบหนึ่งพันล้านคนมีอิทธิพลอย่างมากในรัสเซีย ยูเครน และสาธารณรัฐในอดีตสหภาพโซเวียต โดยจัดอยู่ในอันดับแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียหลักหนึ่งรองจาก Facebook, YouTube, WhatsApp, Instagram, TikTok และ WeChat

    ดูรอฟซึ่งเกิดในรัสเซียก่อตั้ง Telegram ร่วมกับพี่ชายของเขาในปี 2013 เขาออกจากรัสเซียในปี 2014 หลังจากปฏิเสธที่จะปฏิบัติตามข้อเรียกร้องของรัฐบาลในการปิดชุมชนฝ่ายค้านบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย VKontakte ของเขาซึ่งเขาขายไป

    หลังจากที่รัสเซียเปิดฉากการรุกรานยูเครนในปี 2022 Telegram ก็กลายเป็นแหล่งหลักของเนื้อหาที่ไม่ได้ผ่านการกรอง – และบางครั้งมีเนื้อหาที่รุนแรงและทำให้เข้าใจผิด – จากทั้งสองฝ่ายเกี่ยวกับสงครามและการเมืองที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้ง

    รัสเซียเริ่มบล็อก Telegram ในปี 2018 หลังจากที่แอปปฏิเสธที่จะปฏิบัติตามคำสั่งศาลในการให้หน่วยงานความมั่นคงของรัฐเข้าถึงข้อความที่เข้ารหัสของผู้ใช้
    การกระทำดังกล่าวขัดขวางบริการของบุคคลที่สามจำนวนมาก แต่มีผลเพียงเล็กน้อยต่อความพร้อมใช้งานของ Telegram ในประเทศ อย่างไรก็ตาม คำสั่งห้ามดังกล่าวได้จุดชนวนให้เกิดการประท้วงครั้งใหญ่ในมอสโกวและการวิพากษ์วิจารณ์จากองค์กรนอกภาครัฐ

    แพลตฟอร์มนี้ได้กลายเป็นสิ่งที่นักวิเคราะห์บางคนเรียกว่า “สนามรบเสมือนจริง” สำหรับสงคราม ซึ่งใช้โดยประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกีของยูเครนและเจ้าหน้าที่ของเขา รวมถึงรัฐบาลรัสเซียเป็นอย่างมาก Telegram ซึ่งอนุญาตให้ผู้ใช้หลบเลี่ยงการตรวจสอบอย่างเป็นทางการ ได้กลายเป็นสถานที่ไม่กี่แห่งที่ชาวรัสเซียสามารถเข้าถึงข่าวสารอิสระเกี่ยวกับสงครามได้ หลังจากที่เครมลินเพิ่มมาตรการควบคุมสื่ออิสระหลังจากรัสเซียรุกรานยูเครน

    “ผมขอเป็นอิสระดีกว่าต้องรับคำสั่งจากใครก็ตาม” ดูรอฟบอกกับทักเกอร์ คาร์ลสัน นักข่าวชาวอเมริกันในเดือนเมษายนเกี่ยวกับการออกจากรัสเซียของเขาและการค้นหาบ้านให้กับบริษัทของเขา ซึ่งรวมถึงช่วงเวลาในเบอร์ลิน ลอนดอน สิงคโปร์ และซานฟรานซิสโก

    พาเวล ดูรอฟ Pavel Durov ผู้ก่อตั้ง Telegram เมื่อปี 2013 จัดเป็นมหาเศรษฐีที่มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิกว่า 9 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 3 แสนล้านบาท) ปัจจุบันอาศัยอยู่ในดูไบและถือสัญชาติสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และฝรั่งเศส เขาเคยสร้างชื่อเสียงจากการก่อตั้งเครือข่ายสังคมออนไลน์ VKontakte ในรัสเซียเมื่อปี 2006 ก่อนที่จะหนีออกจากประเทศและขายหุ้นทั้งหมด หลังถูกกดดันจากรัฐบาลให้ปิดกั้นกลุ่มต่อต้านรัฐบาลบนแพลตฟอร์ม

    กรณีจับกุมดูรอฟ สถานทูตรัสเซียในฝรั่งเศสได้ดำเนินการ ‘ทันที’ เพื่อขอคำชี้แจงเกี่ยวกับสถานการณ์นี้ แม้ว่าตัวแทนของดูรอฟจะไม่ได้ยื่นคำร้องขอความช่วยเหลือตามรายงานของสำนักข่าว TASS ของรัสเซีย ขณะที่คาดว่าดูรอฟจะถูกนำตัวขึ้นศาลในวันที่25 สิงหาคม

    Telegram ไม่ได้ตอบกลับคำขอแสดงความคิดเห็นของสื่อในทันที ขณะที่กระทรวงมหาดไทยของฝรั่งเศสและตำรวจไม่มีการแถลงและแสดงความคิดเห็นใดๆ

    เหตุการณ์นี้สร้างความตื่นตระหนกให้กับวงการเทคโนโลยีและผู้ใช้งาน Telegram ทั่วโลก โดยหลายฝ่ายจับตามองว่าการจับกุมครั้งนี้จะส่งผลกระทบต่ออนาคตของแอปพลิเคชันยอดนิยมอย่างไร และจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงนโยบายการกำกับดูแลเนื้อหาบนแพลตฟอร์มหรือไม่

    #Thaitimes
    Pavel Durov ผู้ก่อตั้ง Telegram ถูกตำรวจฝรั่งเศสจับกุมทันที อ้างหมายจับที่ออกโดย OFMIN หน่วยงานต่อต้านความรุนแรงต่อผู้เยาว์ของฝรั่งเศส หลังจาก Pavel Durov เพิ่งเดินทางมาถึงสนามบิน Le Bourget ด้วยเครื่องบินเจ็ตส่วนตัว และขณะนี้ต้องเผชิญโทษจำคุก 20 ปี 25 สิงหาคม 2567-รายงานข่าวต่างประเทศระบุว่า นาย พาเวล ดูรอฟ Pavel Durov ซีอีโอวัย 39 ปีของ Telegram แอปพลิเคชันส่งข้อความยอดนิยมระดับโลก ถูกตำรวจฝรั่งเศสจับกุมตัวที่สนามบิน Le Bourget ทางตอนเหนือของกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ถูกจับกุมเมื่อเวลาประมาณ 20.00 น. (เวลาท้องถิ่น) หลังเดินทางมาถึงด้วยเครื่องบินส่วนตัว สร้างความตกตะลึงให้กับวงการโซเชียลมีเดียทั่วโลก ทางการฝรั่งเศสระบุว่า การจับกุมครั้งนี้เป็นไปตามหมายจับที่ออกโดย OFMIN หน่วยงานต่อต้านความรุนแรงต่อผู้เยาว์ของฝรั่งเศส ซึ่งเป็นผู้ประสานงานในการสอบสวนเบื้องต้นเกี่ยวกับข้อหาร้ายแรงหลายประการ เช่น การฉ้อโกง การค้ายาเสพติด การกลั่นแกล้งทางไซเบอร์ อาชญากรรมองค์กร และการสนับสนุนการก่อการร้าย โดยมีสาเหตุหลักมาจากการที่ Pavel Durov ‘ไม่ดำเนินการใดๆ เพื่อป้องกันการใช้ Telegram ในทางที่ผิดกฎหมายมา แต่กระแสข่าวอีกด้านระบุสาเหตุเพราะว่า บรรดาแฮกเกอร์ต่อต้านอิสราเอลที่ขโมยข้อมูลสำคัญของประเทศอิสราเอลจำนวนหลายกิกะไบต์ได้เผยแพร่ข้อมูลลับดังกล่าวบน TELEGRAM และTelegram ปฏิเสธคำขอของอิสราเอลในการเซ็นเซอร์ข้อมูลดังกล่าว Telegram เป็นแอปพลิเคชันส่งข้อความที่ได้รับความนิยมอย่างสูงทั่วโลก โดยเฉพาะในรัสเซีย Telegram ที่เข้ารหัสซึ่งมีผู้ใช้เกือบหนึ่งพันล้านคนมีอิทธิพลอย่างมากในรัสเซีย ยูเครน และสาธารณรัฐในอดีตสหภาพโซเวียต โดยจัดอยู่ในอันดับแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียหลักหนึ่งรองจาก Facebook, YouTube, WhatsApp, Instagram, TikTok และ WeChat ดูรอฟซึ่งเกิดในรัสเซียก่อตั้ง Telegram ร่วมกับพี่ชายของเขาในปี 2013 เขาออกจากรัสเซียในปี 2014 หลังจากปฏิเสธที่จะปฏิบัติตามข้อเรียกร้องของรัฐบาลในการปิดชุมชนฝ่ายค้านบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย VKontakte ของเขาซึ่งเขาขายไป หลังจากที่รัสเซียเปิดฉากการรุกรานยูเครนในปี 2022 Telegram ก็กลายเป็นแหล่งหลักของเนื้อหาที่ไม่ได้ผ่านการกรอง – และบางครั้งมีเนื้อหาที่รุนแรงและทำให้เข้าใจผิด – จากทั้งสองฝ่ายเกี่ยวกับสงครามและการเมืองที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้ง รัสเซียเริ่มบล็อก Telegram ในปี 2018 หลังจากที่แอปปฏิเสธที่จะปฏิบัติตามคำสั่งศาลในการให้หน่วยงานความมั่นคงของรัฐเข้าถึงข้อความที่เข้ารหัสของผู้ใช้ การกระทำดังกล่าวขัดขวางบริการของบุคคลที่สามจำนวนมาก แต่มีผลเพียงเล็กน้อยต่อความพร้อมใช้งานของ Telegram ในประเทศ อย่างไรก็ตาม คำสั่งห้ามดังกล่าวได้จุดชนวนให้เกิดการประท้วงครั้งใหญ่ในมอสโกวและการวิพากษ์วิจารณ์จากองค์กรนอกภาครัฐ แพลตฟอร์มนี้ได้กลายเป็นสิ่งที่นักวิเคราะห์บางคนเรียกว่า “สนามรบเสมือนจริง” สำหรับสงคราม ซึ่งใช้โดยประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกีของยูเครนและเจ้าหน้าที่ของเขา รวมถึงรัฐบาลรัสเซียเป็นอย่างมาก Telegram ซึ่งอนุญาตให้ผู้ใช้หลบเลี่ยงการตรวจสอบอย่างเป็นทางการ ได้กลายเป็นสถานที่ไม่กี่แห่งที่ชาวรัสเซียสามารถเข้าถึงข่าวสารอิสระเกี่ยวกับสงครามได้ หลังจากที่เครมลินเพิ่มมาตรการควบคุมสื่ออิสระหลังจากรัสเซียรุกรานยูเครน “ผมขอเป็นอิสระดีกว่าต้องรับคำสั่งจากใครก็ตาม” ดูรอฟบอกกับทักเกอร์ คาร์ลสัน นักข่าวชาวอเมริกันในเดือนเมษายนเกี่ยวกับการออกจากรัสเซียของเขาและการค้นหาบ้านให้กับบริษัทของเขา ซึ่งรวมถึงช่วงเวลาในเบอร์ลิน ลอนดอน สิงคโปร์ และซานฟรานซิสโก พาเวล ดูรอฟ Pavel Durov ผู้ก่อตั้ง Telegram เมื่อปี 2013 จัดเป็นมหาเศรษฐีที่มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิกว่า 9 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 3 แสนล้านบาท) ปัจจุบันอาศัยอยู่ในดูไบและถือสัญชาติสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และฝรั่งเศส เขาเคยสร้างชื่อเสียงจากการก่อตั้งเครือข่ายสังคมออนไลน์ VKontakte ในรัสเซียเมื่อปี 2006 ก่อนที่จะหนีออกจากประเทศและขายหุ้นทั้งหมด หลังถูกกดดันจากรัฐบาลให้ปิดกั้นกลุ่มต่อต้านรัฐบาลบนแพลตฟอร์ม กรณีจับกุมดูรอฟ สถานทูตรัสเซียในฝรั่งเศสได้ดำเนินการ ‘ทันที’ เพื่อขอคำชี้แจงเกี่ยวกับสถานการณ์นี้ แม้ว่าตัวแทนของดูรอฟจะไม่ได้ยื่นคำร้องขอความช่วยเหลือตามรายงานของสำนักข่าว TASS ของรัสเซีย ขณะที่คาดว่าดูรอฟจะถูกนำตัวขึ้นศาลในวันที่25 สิงหาคม Telegram ไม่ได้ตอบกลับคำขอแสดงความคิดเห็นของสื่อในทันที ขณะที่กระทรวงมหาดไทยของฝรั่งเศสและตำรวจไม่มีการแถลงและแสดงความคิดเห็นใดๆ เหตุการณ์นี้สร้างความตื่นตระหนกให้กับวงการเทคโนโลยีและผู้ใช้งาน Telegram ทั่วโลก โดยหลายฝ่ายจับตามองว่าการจับกุมครั้งนี้จะส่งผลกระทบต่ออนาคตของแอปพลิเคชันยอดนิยมอย่างไร และจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงนโยบายการกำกับดูแลเนื้อหาบนแพลตฟอร์มหรือไม่ #Thaitimes
    0 Comments 0 Shares 488 Views 0 Reviews
  • อิหร่านแย้มอาจโจมตีเอลทางภาคพื้นดิน
    คณะผู้แทนอิหร่านประจำองค์การสหประชาชาติออกแถลงการณ์ย้ำคำมั่นที่จะตอบโต้เอลกรณีการลอบดับชีพ นายอิสมาอิล ฮานีเยห์ ผู้นำการเมืองของกลุ่มผู้ปกป้องดินแดนปาเลสในกรุงเตหะราน
    การตอบสนองของอิหร่านควรมีผลชัดเจน 2 ประการ
    ประการแรก อิหร่านต้องลงโทษผู้รุกรานฐานก่อความรุนแรงและละเมิดอำนาจอธิปไตยของชาติอิหร่าน ประการที่สอง อิหร่านควรเสริมอำนาจยับยั้งของอิหร่านและทำให้เอล รู้สึกสำนึกผิดอย่างยิ่งเพื่อป้องกันการรุกรานในอนาคต นอกจากนี้ อิหร่านควรหลีกเลี่ยงผลกระทบเชิงลบที่อาจเกิดขึ้นจากการหยุดโจมตีกาซา
    แถลงการณ์ดังกล่าวยังระบุอีกว่า อิหร่านจะตอบโต้ในเวลาและลักษณะที่ทำให้
    เอลต้องประหลาดใจ
    “บางทีเมื่อพวกเขามองไปที่ท้องฟ้าและจอเรดาร์ พวกเขาก็อาจรู้สึกประหลาดใจจากพื้นดิน หรือบางทีก็อาจผสมผสานทั้งสองอย่าง” รายงานระบุ
    .
    #WAYTNEWS #WayTNews #waytnews
    #ข่าวสารอัพเดท #ติดตามข่าว #สถานการณ์ปัจจุบัน #ข่าวสารความจริง
    -------------------------------
    สนใจโปรไวต้า คลิก▶ https://www.facebook.com/TPIPolene?locale=t
    อิหร่านแย้มอาจโจมตีเอลทางภาคพื้นดิน คณะผู้แทนอิหร่านประจำองค์การสหประชาชาติออกแถลงการณ์ย้ำคำมั่นที่จะตอบโต้เอลกรณีการลอบดับชีพ นายอิสมาอิล ฮานีเยห์ ผู้นำการเมืองของกลุ่มผู้ปกป้องดินแดนปาเลสในกรุงเตหะราน การตอบสนองของอิหร่านควรมีผลชัดเจน 2 ประการ ประการแรก อิหร่านต้องลงโทษผู้รุกรานฐานก่อความรุนแรงและละเมิดอำนาจอธิปไตยของชาติอิหร่าน ประการที่สอง อิหร่านควรเสริมอำนาจยับยั้งของอิหร่านและทำให้เอล รู้สึกสำนึกผิดอย่างยิ่งเพื่อป้องกันการรุกรานในอนาคต นอกจากนี้ อิหร่านควรหลีกเลี่ยงผลกระทบเชิงลบที่อาจเกิดขึ้นจากการหยุดโจมตีกาซา แถลงการณ์ดังกล่าวยังระบุอีกว่า อิหร่านจะตอบโต้ในเวลาและลักษณะที่ทำให้ เอลต้องประหลาดใจ “บางทีเมื่อพวกเขามองไปที่ท้องฟ้าและจอเรดาร์ พวกเขาก็อาจรู้สึกประหลาดใจจากพื้นดิน หรือบางทีก็อาจผสมผสานทั้งสองอย่าง” รายงานระบุ . #WAYTNEWS #WayTNews #waytnews #ข่าวสารอัพเดท #ติดตามข่าว #สถานการณ์ปัจจุบัน #ข่าวสารความจริง ------------------------------- สนใจโปรไวต้า คลิก▶ https://www.facebook.com/TPIPolene?locale=t
    0 Comments 0 Shares 280 Views 0 Reviews
  • ก่อนอื่น เพจคิงส์โพธิ์แดงต้องขออภัยลุงป้อม
    ที่แอบแซวแรง กรณีหยุมหัวนักข่าว
    ทำไมคิงส์ฯถึงต้องขออภัย อ่านนะ
    คิงส์ไม่ได้หายไปไหน ที่หายไปหลายชม.
    เพื่อไปเช็คข่าว ว่าที่มาที่ไป เป็นแบบไหนอย่างไร
    ถ้าทุกคนพร้อมจะรับรู้ เราไปทำความเข้าใจไปพร้อมกัน
    เรื่องของเรื่อง คา-สิ-โน ตัวต้นเหตุสำคัญ
    ต้องออกตัวก่อนว่า สิ่งที่ลุงป้อมทำ เป็นความรุนแรงเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง
    แต่ก็ต้องไม่ปฏิเสธว่า นักข่าวที่ตั้งคำถาม จงใจยั่วยุ เพราะนักข่าวรู้ดีว่าอะไรเกิดขึ้นก่อนหน้านั้น แต่ประชาชนไม่รู้ แต่แฟนเพจคิงส์โพธิ์แดงจะได้รู้
    ถ้าจำได้ ก่อนหน้าวันที่พรรคร่วมจะยกมือสนับสนุนให้อิ๊งเป็นนายก
    เสี่ยหนู ได้ออกแถลงด่วนว่า ไม่เห็นด้วยกับ คา-สิ-โน เมื่อได้อ่านร่างที่จะยืนมขอมติคณะ ครม.
    ทุกอย่างล้วนมีที่มาที่ไป
    คิงส์ขอซ่อนเนื้อหาสำคัญไว้ในโพสนี้ ที่จะไม่มีใครกล้าเปิดเผยมาก่อน
    ตอนนี้ มีเจ้าของพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง ได้ดิลกับนายทุนจีน และนายทุนต่างประเทศ สำเร็จเรียบร้อย ท่านรู้หรือไม่ ถ้าพรบ คา-สิ-โน นี้ผ่านเมื่อไหร่ ประเทศไทยจะไม่สามารถย้อนกลับมาแก้ไขอะไรได้อีกเลย
    และก่อนหน้าเสี่ยหนูจะออกมาแถลงจุดยืนไม่รับกฎหมายฉบับนี้
    ลุงป้อมคือตัวหลักที่ทุบโต๊ะ ไม่ยอมให้เกิดขึ้น ตอนแรก คิงส์ฯเองก็ไม่อยากจะเชื่อ เพราะด้วยภาพลักษณ์ที่เป็นข่าว ดูแกไม่รู้ประสา โบ๊งเบ๊งไปวันๆ แต่สุดท้าย ในยามน่าสิ่วหน้าขวาน ลุงป้อมกลับไม่ยอมให้พรบนี้ผ่าน
    หัวหน้าพรรคที่ดิลกับต่างประเทศ ข้อมูลที่แน่ชัดคือ
    จะมีการเปิด คา-สิ-โน ทั่วประเทศถึง 8 จุด ที่ปิดดิลไปแล้ว
    จุดละ 1 หมื่นล้านซึ่งไม่ใช่งบลงทุนนะ เป็นค่ากินเปล่าให้ฟรี
    และอย่างน้อยสามราย จ่ายครบจบแล้ว
    การที่มีเจ้าของพรรคการเมือง 1 พรรค ที่มีสาย ป่านหลัก 8 หมื่นล้าน มันคือการสร้างความยั่งยืนให้กับพรรคนั้น ชนิด สถาพร
    แต่ผลกระทบที่จะตามมาคือ ประเทศไทยก็จะเหมือนมาเก๊า เวกัส ซึ่งคิงส์จะลงดีเทลในโพสถัดๆไป แต่ย่อๆคือ ประเทศเราจะเต็มไปด้วย อา-ช-ญ-า-กรรม ต่างชาติจะซ่าในประเทศเรา ในแบบที่ผู้รักษากฏหมายไม่สามารถจัดการอะไรได้อีกเลย เราต้องใช้ชีวิตร่วมกับ ม-า-เ-ฟี-ย จีน และประเทศอื่นๆ
    เหนือ 2 จุด อีสาน 2-3 จุด ใต้ 2 จังหวัด ที่เหลือภาคกลาง
    ขอให้พี่น้องชาวไทย โปรดจับตา อย่าให้พรบนี้ผ่านเด็ดขาด
    ส่วนลุงป้อมคงต้องรอดูว่าพรรคร่วมอื่น สนับสนุนอิ๊งเป็นนายกเพราะความจำเป็น ไม่บางอย่าง แต่หลายอย่าง จะสนับสนุน พรบ คา-สิ-โน นี้ด้วยการให้ผ่านหรือไม่ วัดไปเลยใครของจริงกันแน่
    และนี่คือสาเหตุสำคัญที่ทำใ้หโทนี่ถึงขนาดจะไม่ให้มีพลปชรในพรรคร่วมรัฐบาล หรือจะมีก็แค่แป้ง ธรรมนัส เพราะดันจะไปขัดลาบชิ้นใหญ่ที่สุดในชีวิตของเจ้าของพรรคการเมืองคนนั้น นั่นเอง
    ส่วนสามกีบ พรรคกางเกงในส้ม เรื่องนี้ไม่ติดเลย เพราะเรื่องการสร้างความเสื่อมทางศีลธรรม ถือว่านโยบายนี้ไม่ติด เผลอๆ จะช่วยยกมือสนับสนุนด้วย รอจับตา
    #คิงส์โพธิ์แดง
    ก่อนอื่น เพจคิงส์โพธิ์แดงต้องขออภัยลุงป้อม ที่แอบแซวแรง กรณีหยุมหัวนักข่าว ทำไมคิงส์ฯถึงต้องขออภัย อ่านนะ คิงส์ไม่ได้หายไปไหน ที่หายไปหลายชม. เพื่อไปเช็คข่าว ว่าที่มาที่ไป เป็นแบบไหนอย่างไร ถ้าทุกคนพร้อมจะรับรู้ เราไปทำความเข้าใจไปพร้อมกัน เรื่องของเรื่อง คา-สิ-โน ตัวต้นเหตุสำคัญ ต้องออกตัวก่อนว่า สิ่งที่ลุงป้อมทำ เป็นความรุนแรงเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง แต่ก็ต้องไม่ปฏิเสธว่า นักข่าวที่ตั้งคำถาม จงใจยั่วยุ เพราะนักข่าวรู้ดีว่าอะไรเกิดขึ้นก่อนหน้านั้น แต่ประชาชนไม่รู้ แต่แฟนเพจคิงส์โพธิ์แดงจะได้รู้ ถ้าจำได้ ก่อนหน้าวันที่พรรคร่วมจะยกมือสนับสนุนให้อิ๊งเป็นนายก เสี่ยหนู ได้ออกแถลงด่วนว่า ไม่เห็นด้วยกับ คา-สิ-โน เมื่อได้อ่านร่างที่จะยืนมขอมติคณะ ครม. ทุกอย่างล้วนมีที่มาที่ไป คิงส์ขอซ่อนเนื้อหาสำคัญไว้ในโพสนี้ ที่จะไม่มีใครกล้าเปิดเผยมาก่อน ตอนนี้ มีเจ้าของพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง ได้ดิลกับนายทุนจีน และนายทุนต่างประเทศ สำเร็จเรียบร้อย ท่านรู้หรือไม่ ถ้าพรบ คา-สิ-โน นี้ผ่านเมื่อไหร่ ประเทศไทยจะไม่สามารถย้อนกลับมาแก้ไขอะไรได้อีกเลย และก่อนหน้าเสี่ยหนูจะออกมาแถลงจุดยืนไม่รับกฎหมายฉบับนี้ ลุงป้อมคือตัวหลักที่ทุบโต๊ะ ไม่ยอมให้เกิดขึ้น ตอนแรก คิงส์ฯเองก็ไม่อยากจะเชื่อ เพราะด้วยภาพลักษณ์ที่เป็นข่าว ดูแกไม่รู้ประสา โบ๊งเบ๊งไปวันๆ แต่สุดท้าย ในยามน่าสิ่วหน้าขวาน ลุงป้อมกลับไม่ยอมให้พรบนี้ผ่าน หัวหน้าพรรคที่ดิลกับต่างประเทศ ข้อมูลที่แน่ชัดคือ จะมีการเปิด คา-สิ-โน ทั่วประเทศถึง 8 จุด ที่ปิดดิลไปแล้ว จุดละ 1 หมื่นล้านซึ่งไม่ใช่งบลงทุนนะ เป็นค่ากินเปล่าให้ฟรี และอย่างน้อยสามราย จ่ายครบจบแล้ว การที่มีเจ้าของพรรคการเมือง 1 พรรค ที่มีสาย ป่านหลัก 8 หมื่นล้าน มันคือการสร้างความยั่งยืนให้กับพรรคนั้น ชนิด สถาพร แต่ผลกระทบที่จะตามมาคือ ประเทศไทยก็จะเหมือนมาเก๊า เวกัส ซึ่งคิงส์จะลงดีเทลในโพสถัดๆไป แต่ย่อๆคือ ประเทศเราจะเต็มไปด้วย อา-ช-ญ-า-กรรม ต่างชาติจะซ่าในประเทศเรา ในแบบที่ผู้รักษากฏหมายไม่สามารถจัดการอะไรได้อีกเลย เราต้องใช้ชีวิตร่วมกับ ม-า-เ-ฟี-ย จีน และประเทศอื่นๆ เหนือ 2 จุด อีสาน 2-3 จุด ใต้ 2 จังหวัด ที่เหลือภาคกลาง ขอให้พี่น้องชาวไทย โปรดจับตา อย่าให้พรบนี้ผ่านเด็ดขาด ส่วนลุงป้อมคงต้องรอดูว่าพรรคร่วมอื่น สนับสนุนอิ๊งเป็นนายกเพราะความจำเป็น ไม่บางอย่าง แต่หลายอย่าง จะสนับสนุน พรบ คา-สิ-โน นี้ด้วยการให้ผ่านหรือไม่ วัดไปเลยใครของจริงกันแน่ และนี่คือสาเหตุสำคัญที่ทำใ้หโทนี่ถึงขนาดจะไม่ให้มีพลปชรในพรรคร่วมรัฐบาล หรือจะมีก็แค่แป้ง ธรรมนัส เพราะดันจะไปขัดลาบชิ้นใหญ่ที่สุดในชีวิตของเจ้าของพรรคการเมืองคนนั้น นั่นเอง ส่วนสามกีบ พรรคกางเกงในส้ม เรื่องนี้ไม่ติดเลย เพราะเรื่องการสร้างความเสื่อมทางศีลธรรม ถือว่านโยบายนี้ไม่ติด เผลอๆ จะช่วยยกมือสนับสนุนด้วย รอจับตา #คิงส์โพธิ์แดง
    Love
    1
    0 Comments 0 Shares 331 Views 0 Reviews
  • #การพนันเป็นอบายมุข​ขั้นร้ายกาจ#เอนเตอร์เทน​เม้นท์​คอมเพล็กซ์​นอกการหาเสียง#เช่าที่ดิน​ ​99ปีนอกการหาเสียง#ให้สิทธิ์ซื้อคอนโดฯ​ นอกการหาเสียง

    ในช่วงที่เงินดิจิทัล​ยังเขยิบแบบช้าๆ​ ไม่รู้ถูกขวางสำเร็จ​ไหม​ รัฐบาลก็เดินหน้ากฎหมายเอ็นเทอร์​เทนเม้นท์​คอมเพล็กซ์​ แล้วหากมันประสานเข้ากับเงินดิจิทัล​ “เรือหาย" ๆๆๆๆ​
    พอเป็นหนี้​ ก็ขายที่ดิน​ ทำผิดกฎหมาย​ แต่ผลประโยชน์​คนเริ่มต้นรวย​ เหมือนทำเหล้าขาย​

    ช่วยกันคัดค้านนักการเมืองที่จะสร้างความวิบัติ​ ช่วยกันให้ความรู้คนที่ไม่เข้าใจ​ ช่วยกันรักษาผลประโยชน์​ส่วนรวม​

    เกือบครึ่งโลกกำลังเจอสงคราม​ หวั่นกลัวความรุนแรง​ แต่รัฐบาลไทย จะทำเอนเทอร์เทนเมนท์​ คิดสูบเงินคนอื่น​
    #การพนันเป็นอบายมุข​ขั้นร้ายกาจ#เอนเตอร์เทน​เม้นท์​คอมเพล็กซ์​นอกการหาเสียง#เช่าที่ดิน​ ​99ปีนอกการหาเสียง#ให้สิทธิ์ซื้อคอนโดฯ​ นอกการหาเสียง ในช่วงที่เงินดิจิทัล​ยังเขยิบแบบช้าๆ​ ไม่รู้ถูกขวางสำเร็จ​ไหม​ รัฐบาลก็เดินหน้ากฎหมายเอ็นเทอร์​เทนเม้นท์​คอมเพล็กซ์​ แล้วหากมันประสานเข้ากับเงินดิจิทัล​ “เรือหาย" ๆๆๆๆ​ พอเป็นหนี้​ ก็ขายที่ดิน​ ทำผิดกฎหมาย​ แต่ผลประโยชน์​คนเริ่มต้นรวย​ เหมือนทำเหล้าขาย​ ช่วยกันคัดค้านนักการเมืองที่จะสร้างความวิบัติ​ ช่วยกันให้ความรู้คนที่ไม่เข้าใจ​ ช่วยกันรักษาผลประโยชน์​ส่วนรวม​ เกือบครึ่งโลกกำลังเจอสงคราม​ หวั่นกลัวความรุนแรง​ แต่รัฐบาลไทย จะทำเอนเทอร์เทนเมนท์​ คิดสูบเงินคนอื่น​
    0 Comments 0 Shares 190 Views 0 Reviews
  • สตาร์บัคส์ปลดซีอีโอ นายลักษมัน นาราซิมฮาน (Laxman Narasimhan )ออกจากตำแหน่งมีผลทันที แล้วแต่งตั้งคนใหม่ Brian Niccol ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Chipotle เชนร้านอาหารเม็กซิโกซึ่งจะเข้ารับตำแหน่งผู้นำคนใหม่ของเครือยักษ์ใหญ่ร้านกาแฟแห่งนี้ในวันที่ 9 กันยายน เพราะยอดขายของ Starbucks ตกต่ำสุดในไตรมาสที่ผ่านมา เนื่องมาจากผลงานการตลาดและยอดขายที่หดตัวลงมากในสหรัฐอเมริกาและจีน ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดสองแห่ง

    14 สิงหาคม 2567 -รายงานข่าวcnbc ระบุว่า บริษัทสตาร์บัคส์ ประกาศเมื่อเช้าวันอังคารนี้แถลงการณ์ปลดนายลักษมัน นาราซิมฮาน (Laxman Narasimhan )ออกจากตำแหน่งซีอีโอ โดยมีผลทันที แล้วแต่งตั้งนายไบรอัน นิโคล Brian Niccol ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท Chipotle เชนร้านอาหารเม็กซิโก เข้ารับตำแหน่งซีอีโอสตาร์บัคส์ในวันที่ 9 กันยายนนี้

    นาย ลักษมัน นาราซิมฮาน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของสตาร์บัคส์ ซึ่งเตรียมจะลาออกในสองสัปดาห์ข้างหน้า แต่มาโดนไล่ออกทันที หลังจากบริษัทรายงานผลประกอบการไตรมาสที่น่าผิดหวังส่งผลให้ทั้งกำไรและรายรับพลาดเป้าจากที่นักวิเคราะห์ Wall Street คาดการณ์ไว้ นับตั้งแต่รายงานผลประกอบการออกมา หุ้นของบริษัทได้ร่วงลง 17% ลากมูลค่าตลาดลงมาอยู่ที่ 8.28 หมื่นล้านดอลลาร์ (ประมาณ 2.9 ล้านล้านบาท)

    นักวิเคราะห์ต่างประหลาดใจกับผลงานที่ต่ำกว่าคาดของเชนกาแฟรายนี้ และพยายามหาคำอธิบายว่า ทำไมลูกค้าชาวอเมริกันลดการสั่งซื้อของ Starbucks ถึง 7% ในไตรมาสล่าสุด Sara Senatore นักวิเคราะห์จาก Bank of America Securities ระบุว่า อาจเป็นกระแสตีกลับบนโซเชียลมีเดียเกี่ยวกับจุดยืนของ Starbucks ต่อความขัดแย้งในสงครามฉนวนกาซาตะวันออกกลาง

    หลังจากข่าวปลด ลักษมัน นาราซิมฮาน หุ้นสตาร์บัคส์ราคาพุ่งขึ้น20% แต่ของบริษัท Chipotleตก10% จากการประกาศลาออกของ Brian Niccol

    สำหรับ Laxman Narasimhan เป็นชาวอินเดีย จบการศึกษาวิศวกรรมศาสตร์เครื่องกล และเรียนต่อบริหารธุรกิจที่มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย จนสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทด้านภาษาเยอรมัน และการศึกษาระหว่างประเทศ

    ประวัติทำงานบริหารเคยทำงานที่บริษัทแมคคินซีย์ และเป๊ปซี่โค และเคยดำรงตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงของ Reckitt Benckiser เจ้าของผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด Dettol ก่อนที่จะลาออกในเดือนกันยายน 2022 และเริ่มดำรงตำแหน่ง CEO ของสตาร์บัคส์ในวันที่ 1 เมษายน 2023 เป็นต้นมา ซึ่งได้สร้างความประหลาดใจให้กับนักลงทุนอย่างมาก เพราะ Narasimhan ยังไม่มีประสบการณ์ในธุรกิจร้านกาแฟมาก่อน แต่ถือว่ามีความสามารถพูดได้หลายภาษา ได้แก่ อังกฤษ, เยอรมัน, อินเดีย และสเปน และเขายังได้เข้าไปทำงานร่วมกับพนักงานในสาขากว่า 30 แห่ง เพื่อเรียนรู้ประสบการณ์การเป็นบาริสต้า โดยเมนูที่เขาชอบมากที่สุดคือ Doppio Espresso Macchiato แต่ต่อมา สตาร์บัคส์ได้ฟ้องร้องกล่าวหาว่าสหภาพแรงงานแสดง “การสนับสนุนความรุนแรงที่ก่อขึ้นโดยฮามาส” และอ้างว่าการฟ้องร้องมีความจำเป็นเพื่อปกป้องตนเองจากการใช้ชื่อและโลโก้โดยไม่ได้รับอนุญาต ท่ามกลางข่าวการสนับสนุนทางการเงินทางอ้อมสำหรับอิสราเอล ผู้ถือหุ้นรายใหญ่บางรายของ Starbucks ยังเป็นนักลงทุนรายใหญ่ในบริษัทการทหารที่มีความสัมพันธ์กับอิสราเอลอีกด้วย ทำให้ลูกค้าบางส่วนมีการคว่ำบาตรสตาร์บัคส์

    #Thaitimes
    สตาร์บัคส์ปลดซีอีโอ นายลักษมัน นาราซิมฮาน (Laxman Narasimhan )ออกจากตำแหน่งมีผลทันที แล้วแต่งตั้งคนใหม่ Brian Niccol ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Chipotle เชนร้านอาหารเม็กซิโกซึ่งจะเข้ารับตำแหน่งผู้นำคนใหม่ของเครือยักษ์ใหญ่ร้านกาแฟแห่งนี้ในวันที่ 9 กันยายน เพราะยอดขายของ Starbucks ตกต่ำสุดในไตรมาสที่ผ่านมา เนื่องมาจากผลงานการตลาดและยอดขายที่หดตัวลงมากในสหรัฐอเมริกาและจีน ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดสองแห่ง 14 สิงหาคม 2567 -รายงานข่าวcnbc ระบุว่า บริษัทสตาร์บัคส์ ประกาศเมื่อเช้าวันอังคารนี้แถลงการณ์ปลดนายลักษมัน นาราซิมฮาน (Laxman Narasimhan )ออกจากตำแหน่งซีอีโอ โดยมีผลทันที แล้วแต่งตั้งนายไบรอัน นิโคล Brian Niccol ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท Chipotle เชนร้านอาหารเม็กซิโก เข้ารับตำแหน่งซีอีโอสตาร์บัคส์ในวันที่ 9 กันยายนนี้ นาย ลักษมัน นาราซิมฮาน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของสตาร์บัคส์ ซึ่งเตรียมจะลาออกในสองสัปดาห์ข้างหน้า แต่มาโดนไล่ออกทันที หลังจากบริษัทรายงานผลประกอบการไตรมาสที่น่าผิดหวังส่งผลให้ทั้งกำไรและรายรับพลาดเป้าจากที่นักวิเคราะห์ Wall Street คาดการณ์ไว้ นับตั้งแต่รายงานผลประกอบการออกมา หุ้นของบริษัทได้ร่วงลง 17% ลากมูลค่าตลาดลงมาอยู่ที่ 8.28 หมื่นล้านดอลลาร์ (ประมาณ 2.9 ล้านล้านบาท) นักวิเคราะห์ต่างประหลาดใจกับผลงานที่ต่ำกว่าคาดของเชนกาแฟรายนี้ และพยายามหาคำอธิบายว่า ทำไมลูกค้าชาวอเมริกันลดการสั่งซื้อของ Starbucks ถึง 7% ในไตรมาสล่าสุด Sara Senatore นักวิเคราะห์จาก Bank of America Securities ระบุว่า อาจเป็นกระแสตีกลับบนโซเชียลมีเดียเกี่ยวกับจุดยืนของ Starbucks ต่อความขัดแย้งในสงครามฉนวนกาซาตะวันออกกลาง หลังจากข่าวปลด ลักษมัน นาราซิมฮาน หุ้นสตาร์บัคส์ราคาพุ่งขึ้น20% แต่ของบริษัท Chipotleตก10% จากการประกาศลาออกของ Brian Niccol สำหรับ Laxman Narasimhan เป็นชาวอินเดีย จบการศึกษาวิศวกรรมศาสตร์เครื่องกล และเรียนต่อบริหารธุรกิจที่มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย จนสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทด้านภาษาเยอรมัน และการศึกษาระหว่างประเทศ ประวัติทำงานบริหารเคยทำงานที่บริษัทแมคคินซีย์ และเป๊ปซี่โค และเคยดำรงตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงของ Reckitt Benckiser เจ้าของผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด Dettol ก่อนที่จะลาออกในเดือนกันยายน 2022 และเริ่มดำรงตำแหน่ง CEO ของสตาร์บัคส์ในวันที่ 1 เมษายน 2023 เป็นต้นมา ซึ่งได้สร้างความประหลาดใจให้กับนักลงทุนอย่างมาก เพราะ Narasimhan ยังไม่มีประสบการณ์ในธุรกิจร้านกาแฟมาก่อน แต่ถือว่ามีความสามารถพูดได้หลายภาษา ได้แก่ อังกฤษ, เยอรมัน, อินเดีย และสเปน และเขายังได้เข้าไปทำงานร่วมกับพนักงานในสาขากว่า 30 แห่ง เพื่อเรียนรู้ประสบการณ์การเป็นบาริสต้า โดยเมนูที่เขาชอบมากที่สุดคือ Doppio Espresso Macchiato แต่ต่อมา สตาร์บัคส์ได้ฟ้องร้องกล่าวหาว่าสหภาพแรงงานแสดง “การสนับสนุนความรุนแรงที่ก่อขึ้นโดยฮามาส” และอ้างว่าการฟ้องร้องมีความจำเป็นเพื่อปกป้องตนเองจากการใช้ชื่อและโลโก้โดยไม่ได้รับอนุญาต ท่ามกลางข่าวการสนับสนุนทางการเงินทางอ้อมสำหรับอิสราเอล ผู้ถือหุ้นรายใหญ่บางรายของ Starbucks ยังเป็นนักลงทุนรายใหญ่ในบริษัทการทหารที่มีความสัมพันธ์กับอิสราเอลอีกด้วย ทำให้ลูกค้าบางส่วนมีการคว่ำบาตรสตาร์บัคส์ #Thaitimes
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 458 Views 0 Reviews
  • รีโพสต์จากเพจAround the world 13 ส.ค.2567

    โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครชิงประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากพรรครีพับลิกัน เปิดใจให้สัมภาษณ์สดกับ อีลอน มัสก์ ผ่านทางแพลตฟอร์ม X เป็นเวลา 2 ชั่วโมงเมื่อวานนี้ (12 ส.ค.) ตามเวลาในสหรัฐฯ ขณะที่การตั้งวงคุยระหว่าง 2 มหาเศรษฐีคนดังต้องเผชิญอุปสรรคทางเทคนิคจนทำให้ล่าช้าไปกว่า 40 นาที
    .
    มัสก์ ซึ่งเป็นเจ้าของเทสลา สเปซเอ็กซ์ รวมถึง X ออกมาโทษเหตุขัดข้องว่าเกิดจากปฏิบัติการโจมตีทางไซเบอร์แบบ denial-of-service attack หรือ DoS ซึ่งหมายถึงการระดมส่งคำขอเข้าถึงข้อมูลหรือ traffic จำนวนมหาศาลเพื่อทำให้เซิร์ฟเวอร์ล่มใช้การไม่ได้ ทว่าคำกล่าวอ้างนี้ก็ยังไม่ได้การพิสูจน์ว่าจริงหรือไม่
    .
    ทางด้านของ ทรัมป์ พยายามมองปัญหาในเชิงบวกด้วยการกล่าวแสดงความยินดีกับ มัสก์ ว่ามีแฟนคลับแห่เข้ามาฟังการสัมภาษณ์ครั้งนี้อย่างล้นหลาม โดยในบางช่วงนั้นพบว่ามีผู้เข้าร่วมรับฟังการสนทนามากถึง 1.3 ล้านคน
    .
    ทรัมป์ และ มัสก์ ต่างป้อนคำสรรเสริญเยินยอกันไปมาหลายครั้ง โดยเจ้าของเทสลาได้กล่าวชื่นชมความกล้าหาญของอดีตผู้นำสหรัฐฯ ซึ่งผ่านประสบการณ์ถูกลอบสังหารมาหมาดๆ เมื่อเดือนที่แล้ว ในขณะที่ ทรัมป์ ก็ชม มัสก์ ว่าเป็นนายจ้างใจเด็ดที่กล้าไล่ออกพวกพนักงานซึ่งออกมาเรียกร้องเงื่อนไขการทำงานที่ดีกว่าเดิม
    .
    “คุณเป็นนักตัดที่ยอดเยี่ยมที่สุด (the greatest cutter)” ทรัมป์ กล่าว “ผมหมายความว่า ผมเห็นสิ่งที่คุณทำ คุณเดินเข้าไปแล้วก็บอกว่า อยากลาออกเหรอ? คนพวกนั้นนัดหยุดงานประท้วง ผมไม่ขอพูดนะว่าบริษัทไหน แต่เอาเป็นว่าพวกเขานัดหยุดงาน แล้วคุณก็บอกว่า โอเค พวกคุณออกไปให้หมดเลย”
    .
    มัสก์ ออกมาประกาศสนับสนุน โดนัลด์ ทรัมป์ ในการชิงเก้าอี้ผู้นำสหรัฐฯ คนใหม่ทันที หลังเกิดความพยายามลอบสังหารผู้แทนรีพับลิกันรายนี้ที่เมืองบัตเลอร์ รัฐเพนซิลเวเนีย เมื่อวันที่ 13 ก.ค. แม้ว่า ทรัมป์ จะมีจุดยืนคัดค้านมาตรการอุดหนุนผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าอย่างเทสลาก็ตามที
    .
    มหาเศรษฐีเบอร์หนึ่งของโลกผู้นี้เคยสนับสนุนประธานาธิบดี โจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครตในศึกเลือกตั้งปี 2020 ก่อนจะค่อยๆ โน้มเอียงมาสู่ขั้วการเมืองฝ่ายขวา
    .
    “ผมคิดว่าเรากำลังเดินมาถึงทางแยกแห่งโชคชะตา ทางแยกแห่งอารยธรรม และผมเชื่อว่าเราจำเป็นต้องเลือกเดินในเส้นทางที่ถูกต้อง ซึ่งเส้นทางที่ถูกต้องนั้นก็คือคุณ” มัสก์ กล่าวสรุปในช่วงท้ายของการสัมภาษณ์
    .
    การสนทนากับ มัสก์ ในครั้งนี้เป็นโอกาสให้ ทรัมป์ ได้ระบายความไม่พอใจ การใส่ไคล้โจมตีบุคคล รวมถึงกระพือข้อมูลเท็จต่างๆ ที่เขามักหยิบยกมาอ้างอยู่เป็นประจำ
    .
    มัสก์ เปิดพื้นที่ให้ ทรัมป์ เป็นผู้นำในการพูดคุยโดยไม่โต้แย้งหรือท้าทายคำพูดที่บิดเบือนข้อเท็จจริง ตัวอย่างเช่นเมื่อ ทรัมป์ อ้างว่าประเทศอื่นๆ “ส่งอาชญากร” จากในเรือนจำของพวกเขาเข้ามายังสหรัฐฯ ผ่านพรมแดนทางใต้ รวมถึงเรื่องราคาเบคอนที่แพงขึ้น 4-5 เท่า เป็นต้น
    .
    ผลการศึกษาพบว่า ผู้อพยพส่วนใหญ่ รวมถึงพวกที่หลบหนีเข้าสหรัฐฯ อย่างผิดกฎหมาย ไม่ได้มีสถิติก่ออาชญากรรมสูงกว่าคนอเมริกันโดยกำเนิด
    .
    การให้สัมภาษณ์ครั้งนี้ยังเป็นความพยายามล่าสุดของ ทรัมป์ ที่จะดึงความสนใจมาจากรองประธานาธิบดี กมลา แฮร์ริส ซึ่งสร้างโมเมนตัมให้พรรคเดโมแครตกลับมาทำคะแนนนิยมตีตื้นและระดมเงินบริจาคได้อย่างมหาศาลทันที หลังจากที่ประกาศรับตำแหน่งผู้แทนพรรคต่อจากประธานาธิบดี โจ ไบเดน ซึ่งถอนตัวจากศึกเลือกตั้งเมื่อวันที่ 21 ก.ค.
    .
    ทรัมป์ เอ่ยโจมตี แฮร์ริส อยู่หลายครั้ง โดยเรียกเธอว่าเป็นพวก “ชั้นเลว” (third rate) “ไร้ศักยภาพ” (incompetent) และ “พวกคลั่งฝ่ายซ้ายสุดโต่ง” (radical left lunatic) ก่อนที่จู่ๆ จะหันมาชมรูปร่างหน้าตาของอีกฝ่ายว่าดูสวยคล้ายกับ เมลาเนีย ทรัมป์
    .
    “เธอดูเหมือนนักแสดงที่สวยที่สุด” ทรัมป์ เอ่ยถึงภาพวาด แฮร์ริส ซึ่งถูกนำไปลงปกนิตยสารไทม์ส
    .
    “มันเป็นภาพวาด และเอาจริงๆ นะผมว่าเธอดูคล้ายกับสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งผู้ยิ่งใหญ่... เมลาเนีย”
    .
    ทรัมป์ ยังแสดงความไม่พอใจที่พรรคเดโมแครตตัดสินใจเปลี่ยนเอา แฮร์ริส ขึ้นมาเป็นผู้แทนพรรคแทนที่ ไบเดน
    .
    “เธอไม่เคยให้สัมภาษณ์แม้แต่ครั้งเดียวหลังจากที่แผนต้มตุ๋นนี้เริ่มขึ้น” ทรัมป์ กล่าว พร้อมอ้างว่าการที่ ไบเดน ถอนตัวนั้นแท้ที่จริงเป็นการถูก “รัฐประหาร” (coup) จากคนในพรรคต่างหาก
    .
    ทรัมป์ เคยมีคะแนนนิยมนำ ไบเดน ในรัฐสมรภูมิสำคัญๆ ที่คาดว่าจะเป็นตัวตัดสินผลเลือกตั้งในวันที่ 5 พ.ย. ทว่าเวลานี้กลับถูก แฮร์ริส ทำคะแนนแซงหน้าได้แล้วในบางรัฐ
    .
    อดีตผู้นำสหรัฐฯ ซึ่งเคยแสดงจุดยืนต่อต้านอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้ามาโดยตลอดเริ่มปรับท่าทีใหม่หลังจากที่ได้รับการสนับสนุนจาก มัสก์ โดยเขากล่าวเมื่อวานนี้ (12) ว่า รถอีวีที่ผลิตโดยเทสลานั้น “ยอดเยี่ยมอย่างไม่น่าเชื่อ”
    .
    ทรัมป์ ยังเอ่ยชมประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีน และผู้นำ คิม จองอึน แห่งเกาหลีเหนือ โดยระบุว่าบรรดาผู้นำชาติปรปักษ์ของสหรัฐฯ เหล่านี้ “กำลังทำผลงานได้ดีเยี่ยม” (at the top of their game)
    .
    อีลอน มัสก์ ได้ปลดล็อคบัญชี X หรืออดีตทวิตเตอร์ให้กับ ทรัมป์ เพียง 1 เดือนหลังจากที่เข้าซื้อกิจการทวิตเตอร์เมื่อปี 2022 โดยก่อนหน้านั้นทวิตเตอร์ได้ระงับบัญชีของ ทรัมป์ แบบถาวรตามหลังเหตุจลาจลที่รัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 6 ม.ค. ปี 2021 เนื่องจากเกรงว่าอดีตผู้นำรายนี้จะใช้มันเป็นเครื่องมือปลุกปั่นความรุนแรงอีก
    .
    ที่มา: รอยเตอร์

    https://www.youtube.com/live/RphoakH6Dm0?si=AivfkUG18lfrEvth

    #Thaitimes
    รีโพสต์จากเพจAround the world 13 ส.ค.2567 โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครชิงประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากพรรครีพับลิกัน เปิดใจให้สัมภาษณ์สดกับ อีลอน มัสก์ ผ่านทางแพลตฟอร์ม X เป็นเวลา 2 ชั่วโมงเมื่อวานนี้ (12 ส.ค.) ตามเวลาในสหรัฐฯ ขณะที่การตั้งวงคุยระหว่าง 2 มหาเศรษฐีคนดังต้องเผชิญอุปสรรคทางเทคนิคจนทำให้ล่าช้าไปกว่า 40 นาที . มัสก์ ซึ่งเป็นเจ้าของเทสลา สเปซเอ็กซ์ รวมถึง X ออกมาโทษเหตุขัดข้องว่าเกิดจากปฏิบัติการโจมตีทางไซเบอร์แบบ denial-of-service attack หรือ DoS ซึ่งหมายถึงการระดมส่งคำขอเข้าถึงข้อมูลหรือ traffic จำนวนมหาศาลเพื่อทำให้เซิร์ฟเวอร์ล่มใช้การไม่ได้ ทว่าคำกล่าวอ้างนี้ก็ยังไม่ได้การพิสูจน์ว่าจริงหรือไม่ . ทางด้านของ ทรัมป์ พยายามมองปัญหาในเชิงบวกด้วยการกล่าวแสดงความยินดีกับ มัสก์ ว่ามีแฟนคลับแห่เข้ามาฟังการสัมภาษณ์ครั้งนี้อย่างล้นหลาม โดยในบางช่วงนั้นพบว่ามีผู้เข้าร่วมรับฟังการสนทนามากถึง 1.3 ล้านคน . ทรัมป์ และ มัสก์ ต่างป้อนคำสรรเสริญเยินยอกันไปมาหลายครั้ง โดยเจ้าของเทสลาได้กล่าวชื่นชมความกล้าหาญของอดีตผู้นำสหรัฐฯ ซึ่งผ่านประสบการณ์ถูกลอบสังหารมาหมาดๆ เมื่อเดือนที่แล้ว ในขณะที่ ทรัมป์ ก็ชม มัสก์ ว่าเป็นนายจ้างใจเด็ดที่กล้าไล่ออกพวกพนักงานซึ่งออกมาเรียกร้องเงื่อนไขการทำงานที่ดีกว่าเดิม . “คุณเป็นนักตัดที่ยอดเยี่ยมที่สุด (the greatest cutter)” ทรัมป์ กล่าว “ผมหมายความว่า ผมเห็นสิ่งที่คุณทำ คุณเดินเข้าไปแล้วก็บอกว่า อยากลาออกเหรอ? คนพวกนั้นนัดหยุดงานประท้วง ผมไม่ขอพูดนะว่าบริษัทไหน แต่เอาเป็นว่าพวกเขานัดหยุดงาน แล้วคุณก็บอกว่า โอเค พวกคุณออกไปให้หมดเลย” . มัสก์ ออกมาประกาศสนับสนุน โดนัลด์ ทรัมป์ ในการชิงเก้าอี้ผู้นำสหรัฐฯ คนใหม่ทันที หลังเกิดความพยายามลอบสังหารผู้แทนรีพับลิกันรายนี้ที่เมืองบัตเลอร์ รัฐเพนซิลเวเนีย เมื่อวันที่ 13 ก.ค. แม้ว่า ทรัมป์ จะมีจุดยืนคัดค้านมาตรการอุดหนุนผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าอย่างเทสลาก็ตามที . มหาเศรษฐีเบอร์หนึ่งของโลกผู้นี้เคยสนับสนุนประธานาธิบดี โจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครตในศึกเลือกตั้งปี 2020 ก่อนจะค่อยๆ โน้มเอียงมาสู่ขั้วการเมืองฝ่ายขวา . “ผมคิดว่าเรากำลังเดินมาถึงทางแยกแห่งโชคชะตา ทางแยกแห่งอารยธรรม และผมเชื่อว่าเราจำเป็นต้องเลือกเดินในเส้นทางที่ถูกต้อง ซึ่งเส้นทางที่ถูกต้องนั้นก็คือคุณ” มัสก์ กล่าวสรุปในช่วงท้ายของการสัมภาษณ์ . การสนทนากับ มัสก์ ในครั้งนี้เป็นโอกาสให้ ทรัมป์ ได้ระบายความไม่พอใจ การใส่ไคล้โจมตีบุคคล รวมถึงกระพือข้อมูลเท็จต่างๆ ที่เขามักหยิบยกมาอ้างอยู่เป็นประจำ . มัสก์ เปิดพื้นที่ให้ ทรัมป์ เป็นผู้นำในการพูดคุยโดยไม่โต้แย้งหรือท้าทายคำพูดที่บิดเบือนข้อเท็จจริง ตัวอย่างเช่นเมื่อ ทรัมป์ อ้างว่าประเทศอื่นๆ “ส่งอาชญากร” จากในเรือนจำของพวกเขาเข้ามายังสหรัฐฯ ผ่านพรมแดนทางใต้ รวมถึงเรื่องราคาเบคอนที่แพงขึ้น 4-5 เท่า เป็นต้น . ผลการศึกษาพบว่า ผู้อพยพส่วนใหญ่ รวมถึงพวกที่หลบหนีเข้าสหรัฐฯ อย่างผิดกฎหมาย ไม่ได้มีสถิติก่ออาชญากรรมสูงกว่าคนอเมริกันโดยกำเนิด . การให้สัมภาษณ์ครั้งนี้ยังเป็นความพยายามล่าสุดของ ทรัมป์ ที่จะดึงความสนใจมาจากรองประธานาธิบดี กมลา แฮร์ริส ซึ่งสร้างโมเมนตัมให้พรรคเดโมแครตกลับมาทำคะแนนนิยมตีตื้นและระดมเงินบริจาคได้อย่างมหาศาลทันที หลังจากที่ประกาศรับตำแหน่งผู้แทนพรรคต่อจากประธานาธิบดี โจ ไบเดน ซึ่งถอนตัวจากศึกเลือกตั้งเมื่อวันที่ 21 ก.ค. . ทรัมป์ เอ่ยโจมตี แฮร์ริส อยู่หลายครั้ง โดยเรียกเธอว่าเป็นพวก “ชั้นเลว” (third rate) “ไร้ศักยภาพ” (incompetent) และ “พวกคลั่งฝ่ายซ้ายสุดโต่ง” (radical left lunatic) ก่อนที่จู่ๆ จะหันมาชมรูปร่างหน้าตาของอีกฝ่ายว่าดูสวยคล้ายกับ เมลาเนีย ทรัมป์ . “เธอดูเหมือนนักแสดงที่สวยที่สุด” ทรัมป์ เอ่ยถึงภาพวาด แฮร์ริส ซึ่งถูกนำไปลงปกนิตยสารไทม์ส . “มันเป็นภาพวาด และเอาจริงๆ นะผมว่าเธอดูคล้ายกับสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งผู้ยิ่งใหญ่... เมลาเนีย” . ทรัมป์ ยังแสดงความไม่พอใจที่พรรคเดโมแครตตัดสินใจเปลี่ยนเอา แฮร์ริส ขึ้นมาเป็นผู้แทนพรรคแทนที่ ไบเดน . “เธอไม่เคยให้สัมภาษณ์แม้แต่ครั้งเดียวหลังจากที่แผนต้มตุ๋นนี้เริ่มขึ้น” ทรัมป์ กล่าว พร้อมอ้างว่าการที่ ไบเดน ถอนตัวนั้นแท้ที่จริงเป็นการถูก “รัฐประหาร” (coup) จากคนในพรรคต่างหาก . ทรัมป์ เคยมีคะแนนนิยมนำ ไบเดน ในรัฐสมรภูมิสำคัญๆ ที่คาดว่าจะเป็นตัวตัดสินผลเลือกตั้งในวันที่ 5 พ.ย. ทว่าเวลานี้กลับถูก แฮร์ริส ทำคะแนนแซงหน้าได้แล้วในบางรัฐ . อดีตผู้นำสหรัฐฯ ซึ่งเคยแสดงจุดยืนต่อต้านอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้ามาโดยตลอดเริ่มปรับท่าทีใหม่หลังจากที่ได้รับการสนับสนุนจาก มัสก์ โดยเขากล่าวเมื่อวานนี้ (12) ว่า รถอีวีที่ผลิตโดยเทสลานั้น “ยอดเยี่ยมอย่างไม่น่าเชื่อ” . ทรัมป์ ยังเอ่ยชมประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีน และผู้นำ คิม จองอึน แห่งเกาหลีเหนือ โดยระบุว่าบรรดาผู้นำชาติปรปักษ์ของสหรัฐฯ เหล่านี้ “กำลังทำผลงานได้ดีเยี่ยม” (at the top of their game) . อีลอน มัสก์ ได้ปลดล็อคบัญชี X หรืออดีตทวิตเตอร์ให้กับ ทรัมป์ เพียง 1 เดือนหลังจากที่เข้าซื้อกิจการทวิตเตอร์เมื่อปี 2022 โดยก่อนหน้านั้นทวิตเตอร์ได้ระงับบัญชีของ ทรัมป์ แบบถาวรตามหลังเหตุจลาจลที่รัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 6 ม.ค. ปี 2021 เนื่องจากเกรงว่าอดีตผู้นำรายนี้จะใช้มันเป็นเครื่องมือปลุกปั่นความรุนแรงอีก . ที่มา: รอยเตอร์ https://www.youtube.com/live/RphoakH6Dm0?si=AivfkUG18lfrEvth #Thaitimes
    0 Comments 0 Shares 530 Views 0 Reviews
  • อดีตนายกรัฐมนตรีหญิง ชัยค์ ฮาสินา แห่งบังกลาเทศ ซึ่งถูกบีบให้ลาออกและหลบหนีออกนอกประเทศ ท่ามกลางการประท้วงใหญ่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว กล่าวหาสหรัฐฯ ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการขับไล่เธอพ้นจากอำนาจเพราะไม่ยอมให้อเมริกาตั้งฐานทัพในบังคลาเทศ

    13 สิงหาคม 2567 -เพจเฟซบุ๊ก around the world รายงานข่าวจากอาร์ทีนิวส์ว่า ระหว่างให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์อีโคโนมิกไทม์ส ที่เผยแพร่เมื่อวันอาทิตย์(11ส.ค.) ฮาสินา บ่งชี้ว่าเธออาจยังคงอยู่ในอำนาจต่อไป หากว่าเธอยินยอมอ้าแขนรับให้กองทัพสหรัฐฯเข้ามาตั้งฐานทัพในบังกลาเทศ

    "ฉันลาออกแล้ว เพื่อที่ว่า ฉันจะไม่ได้เห็นขบวนแห่ศพผู้เสียชีวิต พวกเขาต้องการก้าวเข้าสู่อำนาจด้วยศพของพวกนักศึกษา แต่ฉันไม่ยอมให้มันเกิดขึ้น ฉันลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี" ฮาสินากล่าว "ฉันอาจยังคงอยู่ในอำนาจ หากว่าฉันยอมสละอธิปไตยของเกาะเซนต์มาร์ติน และเปิดทางให้อเมริกามีอิทธิพลเหนืออ่าวเบงกอล ฉันขอวิงวอนผู้คนในแผ่นดินของฉัน กรุณาอย่าถูกบิดเบือนด้วยพวกหัวรุนแรง"

    ฮาสินา อ้างถึงเกาะพืดหินปะการังของบังกลาเทศ ในทางตะวันออกเฉียงเหนือของอ่าวเบงกอล ที่กล่าวอ้างว่าวอชิงตันพยายามยึดครองมัน ทั้งนี้เจ้าหน้าที่บังกลาเทศหลายคนกล่าวอ้างในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ว่าอเมริกาขอเช่าเกาะแห่งนี้ในหลายๆโอกาส แต่ถูกปฏิเสธ ขณะที่ ฮาสินา บอกว่า "พวกชายผิวขาว" คำที่เธอใช้เรียกเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ เคยมาขอเข้าพบเธอก่อนศึกเลือกตั้งก่อนหน้านี้ และขอให้เธอสนับสนุนโครงการก่อสร้างฐานทัพอากาศบนเกาะเซนต์มาร์ติน

    นักการเมืองหญิงวัย 76 ปี ซึ่งครองอำนาจมานานกว่า 15 ปี หลบหนีไปยังอินเดีย ประเทศเพื่อนบ้าน หลังลาออกจากตำแหน่งในวันที่ 5 สิงหาคม อย่างไรก็ตามเธอประกาศว่าจะเดินทางกลับกรุงธากาเร็วๆนี้ "ด้วยพระคุณแห่งผู้ทรงฤทธานุภาพ พระอัลเลาะห์"

    การพ้นจากตำแหน่งของฮาสินา มีขึ้นหลังจากเกิดการประท้วงทั่วประเทศที่นำโดยนักศีกษาต่อเนื่องยาวนานหลายสัปดาห์ เกี่ยวกับระบบโควตางานของรัฐบาล ซึ่งถูกวิพาษ์วิจารณ์ว่าเอื้ออำนวยต่อคนที่เกี่ยวข้องกับพรรครัฐบาล การชุมชุมเริ่มต้นอย่างสันติ แต่จากนั้นได้ลุกลามกลายเป็นสถานการณ์ความรุนแรงอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางรายงานว่ามีผู้เสียชีวิตกว่า 400 คน และถูกจัมกุมประมาณ 11,000 คน

    ไม่นานหลังจาก ฮาสินา ลาออก ทางพลเอกวาเกอร์-อุซ-ซามัน ประธานคณะเสนาธิการร่วมของบังกลาเทศ แถลงว่าเขาจะตั้งรัฐบาลรักษาการ โดยที่ มูฮัมหมัด ยูนูส เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ผู้ริเริ่มและพัฒนาแนวคิดการให้กู้เงินแก่คนจนโดยไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ได้สาบานตนเข้ารับตำแหน่งหัวหน้ารัฐบาลรักษาการ เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม
    (ที่มา:อาร์ทีนิวส์)

    ภาพจาก อีโคโนมิกไทม์ส

    #Thaitimes
    อดีตนายกรัฐมนตรีหญิง ชัยค์ ฮาสินา แห่งบังกลาเทศ ซึ่งถูกบีบให้ลาออกและหลบหนีออกนอกประเทศ ท่ามกลางการประท้วงใหญ่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว กล่าวหาสหรัฐฯ ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการขับไล่เธอพ้นจากอำนาจเพราะไม่ยอมให้อเมริกาตั้งฐานทัพในบังคลาเทศ 13 สิงหาคม 2567 -เพจเฟซบุ๊ก around the world รายงานข่าวจากอาร์ทีนิวส์ว่า ระหว่างให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์อีโคโนมิกไทม์ส ที่เผยแพร่เมื่อวันอาทิตย์(11ส.ค.) ฮาสินา บ่งชี้ว่าเธออาจยังคงอยู่ในอำนาจต่อไป หากว่าเธอยินยอมอ้าแขนรับให้กองทัพสหรัฐฯเข้ามาตั้งฐานทัพในบังกลาเทศ "ฉันลาออกแล้ว เพื่อที่ว่า ฉันจะไม่ได้เห็นขบวนแห่ศพผู้เสียชีวิต พวกเขาต้องการก้าวเข้าสู่อำนาจด้วยศพของพวกนักศึกษา แต่ฉันไม่ยอมให้มันเกิดขึ้น ฉันลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี" ฮาสินากล่าว "ฉันอาจยังคงอยู่ในอำนาจ หากว่าฉันยอมสละอธิปไตยของเกาะเซนต์มาร์ติน และเปิดทางให้อเมริกามีอิทธิพลเหนืออ่าวเบงกอล ฉันขอวิงวอนผู้คนในแผ่นดินของฉัน กรุณาอย่าถูกบิดเบือนด้วยพวกหัวรุนแรง" ฮาสินา อ้างถึงเกาะพืดหินปะการังของบังกลาเทศ ในทางตะวันออกเฉียงเหนือของอ่าวเบงกอล ที่กล่าวอ้างว่าวอชิงตันพยายามยึดครองมัน ทั้งนี้เจ้าหน้าที่บังกลาเทศหลายคนกล่าวอ้างในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ว่าอเมริกาขอเช่าเกาะแห่งนี้ในหลายๆโอกาส แต่ถูกปฏิเสธ ขณะที่ ฮาสินา บอกว่า "พวกชายผิวขาว" คำที่เธอใช้เรียกเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ เคยมาขอเข้าพบเธอก่อนศึกเลือกตั้งก่อนหน้านี้ และขอให้เธอสนับสนุนโครงการก่อสร้างฐานทัพอากาศบนเกาะเซนต์มาร์ติน นักการเมืองหญิงวัย 76 ปี ซึ่งครองอำนาจมานานกว่า 15 ปี หลบหนีไปยังอินเดีย ประเทศเพื่อนบ้าน หลังลาออกจากตำแหน่งในวันที่ 5 สิงหาคม อย่างไรก็ตามเธอประกาศว่าจะเดินทางกลับกรุงธากาเร็วๆนี้ "ด้วยพระคุณแห่งผู้ทรงฤทธานุภาพ พระอัลเลาะห์" การพ้นจากตำแหน่งของฮาสินา มีขึ้นหลังจากเกิดการประท้วงทั่วประเทศที่นำโดยนักศีกษาต่อเนื่องยาวนานหลายสัปดาห์ เกี่ยวกับระบบโควตางานของรัฐบาล ซึ่งถูกวิพาษ์วิจารณ์ว่าเอื้ออำนวยต่อคนที่เกี่ยวข้องกับพรรครัฐบาล การชุมชุมเริ่มต้นอย่างสันติ แต่จากนั้นได้ลุกลามกลายเป็นสถานการณ์ความรุนแรงอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางรายงานว่ามีผู้เสียชีวิตกว่า 400 คน และถูกจัมกุมประมาณ 11,000 คน ไม่นานหลังจาก ฮาสินา ลาออก ทางพลเอกวาเกอร์-อุซ-ซามัน ประธานคณะเสนาธิการร่วมของบังกลาเทศ แถลงว่าเขาจะตั้งรัฐบาลรักษาการ โดยที่ มูฮัมหมัด ยูนูส เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ผู้ริเริ่มและพัฒนาแนวคิดการให้กู้เงินแก่คนจนโดยไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ได้สาบานตนเข้ารับตำแหน่งหัวหน้ารัฐบาลรักษาการ เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม (ที่มา:อาร์ทีนิวส์) ภาพจาก อีโคโนมิกไทม์ส #Thaitimes
    0 Comments 0 Shares 416 Views 0 Reviews
  • พรรคเดโมแครตเสนอชื่อ กมลา แฮร์ริสและทิม วอลซ์ ผู้ว่าการรัฐมินนิโซตาอย่างเป็นทางการ วอลซ์มีพื้นฐานประสบการณ์เป็นครู เคยสอนที่จีน ทำให้เขาพูดภาษาจีนกลางได้และ ยังเรียกร้องให้มีเงินทุนเพื่อวิจัยการบำบัดด้วยกัญชาทางการแพทย์สำหรับทหารผ่านศึกที่ต่อสู้กับโรคเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนขวัญและความเจ็บปวดเรื้อรัง

    7 สิงหาคม 2567-ในแถลงการณ์ พรรคเดโมแครตระบุว่าผู้แทนการประชุมใหญ่ 99 เปอร์เซ็นต์สนับสนุนให้แฮร์ริสลงคะแนนเสียงซึ่งสิ้นสุดลงเมื่อวันจันทร์ วอลซ์ "ได้รับการรับรอง" ให้เป็นคู่ตัวแทนในการเลือกตั้งของเธอโดยมินยาน มัวร์ ประธานการประชุมใหญ่

    พรรคยังคงวางแผนที่จะจัด "พิธีการเรียกชื่อ" ในชิคาโกในช่วงปลายเดือนนี้ แม้ว่าจะไม่มีการผูกมัดเหมือนปีที่แล้วก็ตาม

    ขณะทึ่ พรรคเดโมแครตบางคนกลัวว่าการฟ้องร้องอาจทำให้ผู้สมัครของตนต้องออกจากการลงคะแนนเสียง กรณี ความรุนแรงปะทุขึ้นหลังจากที่ตำรวจสังหาร George Floyd ในมินนิอาโปลิสเมื่อเดือนพฤษภาคม 2020 เหตุการณ์ดังกล่าวนำไปสู่การประท้วงต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติและความรุนแรงของตำรวจทั่วประเทศ สมาชิกรัฐสภาพรรครีพับลิกันออกรายงานในช่วงปลายปี โดยวิพากษ์วิจารณ์การบริหารของวอลซ์ที่ไม่เข้าแทรกแซงอย่างรวดเร็วพอที่จะป้องกันการปล้นสะดมและวางเพลิง

    แม้ว่าแฮร์ริสจะไม่คาดว่าจะชนะคะแนนเสียงเลือกตั้ง 17 เสียงของรัฐโอไฮโอ แต่พรรคยังมีการเลือกตั้งอื่นๆ ตามมา พวกเขากลัวว่าความผิดพลาดที่เกิดขึ้นกับผู้สมัครคนสำคัญอาจส่งผลต่อการแข่งขันที่สูสีเพื่อชิงที่นั่งในวุฒิสภา ซึ่งพรรคจะต้องรักษาโอกาสที่แท้จริงในการรักษาการควบคุมสภาแห่งนั้นของรัฐสภาไว้

    รายงานข่าว Politico ระบุว่า 55 สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับ Tim Walz ผู้ได้รับเลือกจาก Kamala Harris ให้ดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดี
    ผู้ว่าการรัฐมินนิโซตาเคยทำงานในกองกำลังป้องกันประเทศและเป็นครูมัธยมศึกษาตอนปลาย ก่อนที่จะเข้าสู่วงการเมืองในช่วงต้นทศวรรษปี 2000

    1.Walz เกิดที่เวสต์พอยต์ เมืองในเนแบรสกาที่มีประชากรเพียง 3,500 คน แต่เขาเติบโตในเมืองที่เล็กกว่าชื่อบิวต์

    2.Walz สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนมัธยมบิวต์ในปี 1982 “ผมมาจากเมืองที่มีประชากร 400 คน มีเด็ก 24 คนในหนึ่งห้อง ลูกพี่ลูกน้อง 12 คน ทำฟาร์ม มีเรื่องแบบนี้ด้วย”

    3.Walz ยกย่องการเติบโตในชนบทของเขาว่าเป็นจุดเริ่มต้นของค่านิยมของเขา: “เมืองเล็กๆ แห่งนี้มีบริการแบบนั้นและมีโรงเรียนรัฐบาลที่มีครูของรัฐ ซึ่งสร้างแรงบันดาลใจให้ผมมานั่งอยู่ที่นี่จนถึงทุกวันนี้ เรื่องราวเหล่านี้เกิดขึ้นจริงในเมืองเล็กๆ”

    4.Walz เข้าร่วมกองกำลังป้องกันประเทศเมื่ออายุได้ 17 ปี

    5.ในสำนักงานรัฐสภาของเขา Walz ได้จัดแสดงเหรียญ "ท้าทาย" หลายร้อยเหรียญที่เขาสะสมและแลกเปลี่ยนมาหลายปีทั่วโลก

    6.พ่อของ Walz ซึ่งเป็นผู้บริหารโรงเรียน เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปอดเมื่อ Walz อายุได้ 19 ปี Walz กล่าวว่าช่วงเวลานี้จุดประกายความคิดของเขาเกี่ยวกับการเข้าถึงบริการดูแลสุขภาพ: “สัปดาห์สุดท้ายของชีวิตพ่อทำให้แม่ของผมต้องกลับไปทำงานเป็นเวลาสิบปีเพื่อชำระหนี้โรงพยาบาล”

    7.Walz สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาสังคมศาสตร์จาก Chadron State College ในปี 1989 เขาได้รับปริญญาโทสาขาความเป็นผู้นำทางการศึกษาจาก Minnesota State University, Mankato ในปี 2001

    8.หลังจากเรียนจบวิทยาลัย เขาใช้เวลาหนึ่งปีในการสอนที่ประเทศจีน ก่อนจะกลับมาทำงานเต็มเวลาในกองทัพ เขาเดินทางไปประเทศจีนกับกลุ่มครูชาวอเมริกันกลุ่มแรกที่ได้รับการอนุมัติจากรัฐบาล เพื่อสอนในโรงเรียนมัธยมของจีน

    9.เขายังคงพูดภาษาจีนกลางได้

    10.เขาสอนหนังสือในเขตสงวน Pine Ridge ในเซาท์ดาโคตา “ผมบอกกับผู้คนว่าการจัดการโรงอาหารของโรงเรียนมัธยมมาหลายปีช่วยฝึกให้ผมรับมือกับความวุ่นวายที่อาจเกิดขึ้นในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.”

    11.เขาเลื่อนยศเป็นจ่าสิบเอก ก่อนจะเกษียณจากกองพันปืนใหญ่ภาคสนามที่ 1-125 ในปี 2005 เขาทำหน้าที่ทั้งหมด 24 ปี

    12.Walz ได้พบกับ Gwen Whipple ซึ่งเป็นภรรยาในอนาคตของเขา ซึ่งเป็นชาวมินนิโซตาโดยกำเนิด เนื่องจากทั้งคู่เป็นครูโรงเรียนมัธยมในห้องเรียนชั่วคราว สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งกล่าวว่าเธอรู้สึกไม่พอใจที่เขาส่งเสียงดังรบกวนห้องเรียนของเธอ

    13.ในที่สุดทั้งสองก็ย้ายไปที่เมือง Mankato รัฐมินนิโซตา ซึ่งทั้งคู่ทำงานที่โรงเรียนมัธยม Mankato West “Gwen ชอบใช้ชีวิตในมินนิโซตาตอนใต้มาก เราคว้าโอกาสที่จะย้ายไปที่เมือง Mankato และเริ่มต้นชีวิตคู่ด้วยกัน”

    14.Walz สอนภูมิศาสตร์และเป็นโค้ชฟุตบอลในโรงเรียนมัธยม “ฉันไม่รู้ว่าครูภูมิศาสตร์ในโรงเรียนมัธยมทุกคนคาดหวังว่าจะได้อยู่ในตำแหน่งนี้ในสักวันหนึ่งหรือไม่”

    15.เขาเป็นที่ปรึกษาคณะสำหรับกลุ่มพันธมิตรเกย์-กลุ่มแรกของโรงเรียนในปี 1999

    16.Walz วัย 60 ปี ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าดูแก่กว่าวัย Walz ตอบโต้เรื่องนี้ในรายการ X โดยกล่าวว่าเป็นเพราะเขา "ดูแลโรงอาหารมา 20 ปี คุณไม่สามารถออกจากงานนั้นโดยมีผมเต็มหัว เชื่อฉันเถอะ"

    17.เขามีลูกสองคนคือ Hope และ Gus Hope เพิ่งจบการศึกษาจากวิทยาลัยในมอนทานา และ Gus กำลังเรียนอยู่ในโรงเรียนมัธยมของรัฐในเซนต์พอล

    18.ลูกทั้งสองคนเกิดจากกระบวนการ IVF และการรักษาภาวะมีบุตรยาก: "มีเหตุผลที่เราตั้งชื่อ [ลูกสาวของเรา] ว่า Hope"

    19.งานแรกของ Walz ในแวดวงการเมืองคือเป็นสมาชิกแคมเปญหาเสียงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของอดีตวุฒิสมาชิกรัฐแมสซาชูเซตส์ John Kerry ในปี 2004 แคมเปญดังกล่าวจ้างเขาให้เป็นผู้ประสานงานแคมเปญระดับมณฑลและผู้ประสานงานระดับมณฑลของทหารผ่านศึกสำหรับเคอร์รี

    20.เขาบอกว่าเขาได้รับแรงบันดาลใจให้เข้าร่วมแคมเปญของเคอร์รีหลังจากที่เขาพาเด็กนักเรียนมัธยมปลายกลุ่มหนึ่งไปร่วมชุมนุมหาเสียงของจอร์จ ดับเบิลยู บุช และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยได้ซักถามนักเรียนคนหนึ่งของเขาเนื่องจากเขามีสติกเกอร์ของเคอร์รีติดอยู่บนกระเป๋าสตางค์

    21.วอลซ์ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาคองเกรสครั้งแรกในปี 2549 ซึ่งถือเป็นการพลิกกลับสถานการณ์ครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎรในปีนั้น เขตเลือกตั้งซึ่งเป็นที่ตั้งของทั้งคลินิกเมโยและบริษัทแปรรูปเนื้อฮอร์เมล เคยลงคะแนนเสียงให้กับจอร์จ ดับเบิลยู บุชมาแล้วถึงสองครั้ง

    22.เขาเป็นทหารเกณฑ์ที่มียศสูงสุดที่เคยรับใช้ในสภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐฯ และเป็นสมาชิกพรรคเดโมแครต-เกษตรกร-แรงงานของรัฐมินนิโซตาคนที่สี่ที่เป็นตัวแทนของเขตเลือกตั้งของเขา 23.
    Walz เอาชนะ Gil Gutknecht สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรครีพับลิกันคนปัจจุบันได้สำเร็จ แม้ว่าเขาจะใช้เงินน้อยกว่าเกือบครึ่งล้านดอลลาร์ก็ตาม

    24.Walz ชนะการเลือกตั้งซ้ำอีก 5 ครั้งในเขตที่ 1 ของมินนิโซตา ซึ่งเป็นเขตชนบทส่วนใหญ่และอนุรักษ์นิยม โดยดำรงตำแหน่งในสภาผู้แทนราษฎรเป็นเวลา 12 ปี

    25.เมื่อ Walz เข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร Walz ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานร่วมกับ Paul Hodes สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากรัฐนิวแฮมป์เชียร์

    26.เขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกอาวุโสของคณะกรรมการกิจการทหารผ่านศึกของสภาผู้แทนราษฎรในปี 2017 โดยเขาเน้นที่ประเด็นต่างๆ เช่น สุขภาพจิตของทหารผ่านศึก การฆ่าตัวตาย และการจัดการความเจ็บปวด นอกจากนี้ เขายังเรียกร้องให้มีเงินทุนเพื่อวิจัยการบำบัดด้วยกัญชาทางการแพทย์สำหรับทหารผ่านศึกที่ต่อสู้กับโรคเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนขวัญและความเจ็บปวดเรื้อรัง

    27.ร่างกฎหมายมากกว่าครึ่งหนึ่งที่ Walz ร่วมสนับสนุนระหว่างปี 2015-2017 ได้รับการเสนอโดยผู้ที่ไม่ใช่พรรคเดโมแครต

    28.ครั้งหนึ่ง Walz เคยได้รับคะแนน "A" จาก National Rifle Association และการรับรองของกลุ่ม ในปี 2016 นิตยสาร Guns & Ammo ได้รวมเขาไว้ในรายชื่อนักการเมือง 20 อันดับแรกสำหรับผู้เป็นเจ้าของปืน

    29.ต่อมา เขาประณาม NRA และสนับสนุนมาตรการควบคุมปืน เช่น การห้ามใช้อาวุธจู่โจม ในช่วงหาเสียงครั้งแรกเพื่อชิงตำแหน่งผู้ว่าการรัฐในปี 2018 NRA ได้ลดระดับคะแนนของเขาลงอย่างสิ้นเชิง "ผมได้รับคะแนน A จาก NRA ตอนนี้ผมได้ F ตลอดเลย และผมก็หลับสบาย"

    30.ไม่นานหลังจากเหตุการณ์ยิงกันที่ลาสเวกัสในปี 2017 ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต 59 ราย เขาบริจาคเงินบริจาคหาเสียงจาก NRA ให้กับองค์กรไม่แสวงหากำไรที่ช่วยเหลือครอบครัวของทหารที่เสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บสาหัสขณะปฏิบัติหน้าที่

    31.Walz เป็นนักล่าตัวยงและเยาะเย้ย JD Vance ที่พูดถึงปืนในขณะที่ "ฉันรับรองได้ว่าเขายิงไก่ฟ้าไม่ได้เหมือนฉัน"

    32.ในปี 2019 Walz ออกจากสภาเพื่อลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าการรัฐมินนิโซตา เขาเอาชนะ Jeff Johnson จากพรรครีพับลิกันไปมากกว่า 11 คะแนน

    33.Walz มักจะปกป้องนโยบายของเขา เช่น ร่างกฎหมายอาหารกลางวันในโรงเรียนทั่วไปที่ลงนามในกฎหมายของรัฐมินนิโซตาเมื่อต้นปีนี้ โดยอ้างว่าเป็นสามัญสำนึก "ช่างเป็นสัตว์ประหลาด! เด็กๆ กินอิ่มและอิ่มท้องเพื่อที่พวกเขาจะได้ไปเรียนรู้ และผู้หญิงก็ตัดสินใจเรื่องการดูแลสุขภาพของตัวเอง" Walz พูดติดตลก

    34.ความรุนแรงปะทุขึ้นหลังจากที่ตำรวจสังหาร George Floyd ในมินนิอาโปลิสเมื่อเดือนพฤษภาคม 2020 เหตุการณ์ดังกล่าวนำไปสู่การประท้วงต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติและความรุนแรงของตำรวจทั่วประเทศ สมาชิกรัฐสภาพรรครีพับลิกันออกรายงานในช่วงปลายปี โดยวิพากษ์วิจารณ์การบริหารของวอลซ์ที่ไม่เข้าแทรกแซงอย่างรวดเร็วพอที่จะป้องกันการปล้นสะดมและวางเพลิง “ฉันเชื่ออย่างแน่นอนว่าการบริหารของเรา ไม่ว่าจะเป็นกองกำลังป้องกันประเทศ ตำรวจทางหลวง หรือกรมทรัพยากรธรรมชาติ บุคลากรแนวหน้าของเราตอบสนองอย่างมีเกียรติและกล้าหาญ พวกเขาช่วยชีวิตคนไว้ได้” วอลซ์กล่าว “รายงานด้านเดียวที่ออกมาก่อนการเลือกตั้งไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก แต่ถ้ามีคำแนะนำที่เป็นประโยชน์ ฉันก็จะใช้แน่นอน”

    35.ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา วอลซ์ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้เผยแพร่แนวทางการโจมตีล่าสุดของพรรคเดโมแครตต่อบัตรลงคะแนนของพรรครีพับลิกัน เมื่อเขาเรียกทรัมป์และแวนซ์ว่า “คนพวกนี้ประหลาดจริงๆ”

    36.เขาให้สัมภาษณ์กับ POLITICO ในปี 2023 ว่า “เมื่อเราลงแข่งกับพรรครีพับลิกันทั่วไป การแข่งขันของเรามักจะสูสีกันมาก แต่ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า [พรรครีพับลิกันทั่วไป] พวกนี้ประหลาด เมื่อพวกเขาเริ่มลงสมัคร ความแปลกประหลาดของพวกเขาก็ปรากฏขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ได้รับการเสนอชื่อในฝั่งตรงข้าม ฉันไม่คิดว่ามันจะน่าแปลกใจขนาดนั้น”

    37.Walz บอกกับ The New York Times ว่าความคิดเห็นของเขาเกี่ยวกับความแปลกประหลาดนั้นเกี่ยวกับ Trump และ Vance ไม่ใช่พรรครีพับลิกันโดยทั่วไป “และคำว่า ‘แปลกประหลาด’ นั้นเฉพาะตัวเขาเท่านั้น ฉันไม่ได้พูดถึงพรรครีพับลิกันอย่างแน่นอน ฉันไม่ได้พูดถึงคนที่อยู่ในการชุมนุมเหล่านั้น ฉันได้ยินเรื่องนี้มาจากเพื่อนพรรครีพับลิกันของฉัน เพราะว่าคนที่อยู่ในการชุมนุมเหล่านั้นคือคนที่ได้รับประโยชน์มากที่สุดจากข้อความที่เรากำลังส่งถึง”

    38.เมื่อปีที่แล้ว บารัค โอบามายกย่อง Walz เมื่อพรรคเดโมแครต-เกษตรกร-แรงงานของมินนิโซตาได้ควบคุมคฤหาสน์ของผู้ว่าการ รัฐสภา และวุฒิสภาของรัฐ

    39.Walz พบกับรองผู้ว่าการรัฐ Peggy Flanagan เป็นครั้งแรกเมื่อเขาเข้าร่วม Wellstone Action ซึ่งก่อตั้งขึ้นหลังจากการเสียชีวิตของวุฒิสมาชิก Paul Wellstone ในปี 2002 เพื่อฝึกอบรมผู้จัดงาน นักเคลื่อนไหว และผู้สมัครรับเลือกตั้งที่มีแนวคิดก้าวหน้า “ฉันไปที่นั่นและได้พบกับผู้ฝึกสอนสาวที่ยอดเยี่ยมซึ่งกลายเป็น Peggy Flanagan นั่นคือจุดเริ่มต้นมิตรภาพของเรา”

    40.หลังจากที่รัฐมินนิโซตาประกาศให้กัญชาเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจถูกกฎหมายเมื่อปีที่แล้ว Walz ได้แต่งตั้งเจ้าของร้านขายกัญชาให้เป็นผู้กำกับดูแลกัญชาชั้นนำของรัฐ วันรุ่งขึ้น Erin DuPree ผู้ประกอบการด้านกัญชาได้ลาออกจากตำแหน่งหลังจากที่ Star Tribune รายงานว่าเธอขายผลิตภัณฑ์ที่ผิดกฎหมายในร้านกัญชาของเธอและถูกยึดภาษีของรัฐบาลกลางและถูกตัดสินจำคุก ต่อมาสำนักงานผู้ตรวจสอบนิติบัญญัติ ซึ่งเป็นหน่วยงานตรวจสอบของรัฐบาลมินนิโซตาที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดได้พบว่าสำนักงานของผู้ว่าการรัฐได้ละเลยขั้นตอนการตรวจสอบประวัติพื้นฐานบางขั้นตอนก่อนที่จะแต่งตั้ง DuPree

    41.ในเดือนธันวาคม 2023 วอลซ์ได้รับเลือกให้เป็นประธานสมาคมผู้ว่าการรัฐของพรรคเดโมแครต ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบในการปกป้องและเพิ่มส่วนแบ่งของผู้บริหารสูงสุดของพรรคในแต่ละรัฐ “ตอนนี้ฉันเชื่อมั่นอย่างยิ่งแล้วว่าผู้ว่าการรัฐสามารถสร้างความแตกต่างได้ เราเห็นสิ่งนี้ในมินนิโซตา เราเห็นสิ่งนี้ในมิชิแกน เราเห็นสิ่งนี้ในโคโลราโด เราเห็นว่ารัฐทั้งสามแห่งนี้ทำให้ชีวิตของผู้คนดีขึ้น”

    42.เครื่องดื่มที่เขาเลือกคือ Diet Mountain Dew เขาถูกจับข้อหาเมาแล้วขับในเนแบรสกาในปี 1995 ก่อนที่จะเลิกดื่ม

    43.วอลซ์เป็นนักวิ่งที่เข้าร่วมการแข่งขันหลายรายการในเมืองแฝดของมินนิโซตา: “ฉันพบว่าแม้กระทั่งก่อนเกิดเหตุการณ์ที่กดดันที่สุด หากฉันออกไปวิ่ง ฉันจะสงบและมีสติมากขึ้น”

    44.เขาชอบซ่อมแซม International Scout สีน้ำเงินแบบวินเทจของเขา ซึ่งเป็นรถขับเคลื่อนสี่ล้อที่บริษัท International Harvester หยุดผลิตในปี 1980

    45.เขามีป้ายทะเบียนพิเศษที่เขียนว่า “ONE MN” ซึ่งเป็นสโลแกนหาเสียงของเขาในการลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าการรัฐ

    46.Walz สัญญากับ Gus ลูกชายของเขาว่าจะเลี้ยงสุนัขหากเขาชนะการเลือกตั้งในปี 2019 เมื่อมีการประกาศผลการเลือกตั้ง Gus ก็อุทานออกมาว่า “ฉันจะเลี้ยงสุนัข!” Walz ทำตามสัญญาโดยรับ Scout ซึ่งเป็นสุนัขพันธุ์ลาบราดอร์ผสมสีดำมาเลี้ยงในช่วงปลายปี

    47.Walz และ Scout มักจะไปเยี่ยมสวนสาธารณะสำหรับสุนัขใน Twin Cities โดยไม่ต้องจูงสายจูงในตอนเช้าทุกวัน

    48.Walz ลงนามในร่างกฎหมายเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เพื่อขยายสิทธิในการลงคะแนนเสียงให้กับผู้ที่เคยต้องโทษจำคุกประมาณ 55,000 คน

    49.Walz ได้พบกับเอกอัครราชทูตยูเครนประจำสหรัฐอเมริกาเพื่อลงนามในจดหมายแสดงความเข้าใจซึ่งสร้างความร่วมมือทางการเกษตรระหว่างมินนิโซตาและภูมิภาคทางตอนเหนือของยูเครนที่เรียกว่าเชอร์นิฮิฟ “เมื่อเราขับไล่พวกรัสเซียออกไปแล้ว เราก็จะมีความร่วมมือกัน” Walz กล่าว “มันเป็นการแสดงมิตรภาพที่สำคัญจริงๆ และเป็นการแสดงความสัมพันธ์ที่สำคัญจริงๆ”

    50.ในปี 2023 Walz ได้ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อปกป้องการเข้าถึงการดูแลที่ยืนยันเพศ “ในขณะที่รัฐต่างๆ ทั่วประเทศเคลื่อนไหวเพื่อห้ามการเข้าถึงการดูแลที่ยืนยันเพศ เราต้องการให้ชาวมินนิโซตาที่เป็น LGBTQ รู้ว่าพวกเขาจะยังคงปลอดภัย ได้รับการคุ้มครอง และได้รับการต้อนรับในมินนิโซตาต่อไป” Walz กล่าว

    51.อาหารจานร้อนมันฝรั่งทอดของเขา ซึ่งเป็นอาหารไม่เป็นทางการของมินนิโซตา เป็นแชมป์รายการอาหารจานร้อนของคณะผู้แทนรัฐสภามินนิโซตาถึงสามสมัย เขาชนะในปี 2013, 2014 และ 2016

    52.เขาประกาศตัวเองว่าเป็นนักอ่านนิยายวิทยาศาสตร์แฟนตาซีเมื่อพูดถึงหนังสือ “ผมเพิ่งอ่านซีรีส์ Mortal Engines จบไป ผมอ่านนิยายสำหรับวัยรุ่นหลายเล่มเพราะผมอ่านกับลูกๆ ผมอ่านเล่มนั้นกับ Gus” เขากล่าวในปี 2019 “และผมเพิ่งอ่านเล่มหนึ่งจบซึ่งผมไม่แนะนำให้อ่านเพราะมันน่ากลัวมาก: Command and Control หนังสือเล่มนี้บอกเล่าประวัติศาสตร์คลังอาวุธนิวเคลียร์ของอเมริกา”

    53.เพลงโปรดของเขาโดย Bob Dylan หนึ่งในคนดังที่โด่งดังที่สุดของรัฐมินนิโซตาคือเพลง “Forever Young” ซึ่งมี “ข้อความอมตะจากพ่อถึงลูกชาย” ตามที่ Walz กล่าว

    54.เขามีความสุขกับการได้ดื่มนมไม่อั้นที่งาน Minnesota State Fair มากจนถึงขนาดที่เขาอาสาทำงานที่บูธในปี 2022

    55.Walz เป็นคนมองโลกในแง่ดี แต่เมื่อพูดถึงรัฐบาล เขาพยายามวางแผนรับมือสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด “ผมคิดว่าผู้คนควรคาดหวังให้รัฐบาลมีแนวคิดก้าวหน้าและคาดการณ์ล่วงหน้า” เขากล่าวขณะเข้ารับตำแหน่งในปี 2019 “หลายๆ สิ่งที่ผู้คนมองว่าเป็นอุบัติเหตุหรือโอกาส แท้จริงแล้วเป็นเพียงการวางแผนและคาดการณ์ล่วงหน้าที่ไม่ดี”

    ที่มา : Politico.com

    #Thaitimes
    พรรคเดโมแครตเสนอชื่อ กมลา แฮร์ริสและทิม วอลซ์ ผู้ว่าการรัฐมินนิโซตาอย่างเป็นทางการ วอลซ์มีพื้นฐานประสบการณ์เป็นครู เคยสอนที่จีน ทำให้เขาพูดภาษาจีนกลางได้และ ยังเรียกร้องให้มีเงินทุนเพื่อวิจัยการบำบัดด้วยกัญชาทางการแพทย์สำหรับทหารผ่านศึกที่ต่อสู้กับโรคเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนขวัญและความเจ็บปวดเรื้อรัง 7 สิงหาคม 2567-ในแถลงการณ์ พรรคเดโมแครตระบุว่าผู้แทนการประชุมใหญ่ 99 เปอร์เซ็นต์สนับสนุนให้แฮร์ริสลงคะแนนเสียงซึ่งสิ้นสุดลงเมื่อวันจันทร์ วอลซ์ "ได้รับการรับรอง" ให้เป็นคู่ตัวแทนในการเลือกตั้งของเธอโดยมินยาน มัวร์ ประธานการประชุมใหญ่ พรรคยังคงวางแผนที่จะจัด "พิธีการเรียกชื่อ" ในชิคาโกในช่วงปลายเดือนนี้ แม้ว่าจะไม่มีการผูกมัดเหมือนปีที่แล้วก็ตาม ขณะทึ่ พรรคเดโมแครตบางคนกลัวว่าการฟ้องร้องอาจทำให้ผู้สมัครของตนต้องออกจากการลงคะแนนเสียง กรณี ความรุนแรงปะทุขึ้นหลังจากที่ตำรวจสังหาร George Floyd ในมินนิอาโปลิสเมื่อเดือนพฤษภาคม 2020 เหตุการณ์ดังกล่าวนำไปสู่การประท้วงต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติและความรุนแรงของตำรวจทั่วประเทศ สมาชิกรัฐสภาพรรครีพับลิกันออกรายงานในช่วงปลายปี โดยวิพากษ์วิจารณ์การบริหารของวอลซ์ที่ไม่เข้าแทรกแซงอย่างรวดเร็วพอที่จะป้องกันการปล้นสะดมและวางเพลิง แม้ว่าแฮร์ริสจะไม่คาดว่าจะชนะคะแนนเสียงเลือกตั้ง 17 เสียงของรัฐโอไฮโอ แต่พรรคยังมีการเลือกตั้งอื่นๆ ตามมา พวกเขากลัวว่าความผิดพลาดที่เกิดขึ้นกับผู้สมัครคนสำคัญอาจส่งผลต่อการแข่งขันที่สูสีเพื่อชิงที่นั่งในวุฒิสภา ซึ่งพรรคจะต้องรักษาโอกาสที่แท้จริงในการรักษาการควบคุมสภาแห่งนั้นของรัฐสภาไว้ รายงานข่าว Politico ระบุว่า 55 สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับ Tim Walz ผู้ได้รับเลือกจาก Kamala Harris ให้ดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดี ผู้ว่าการรัฐมินนิโซตาเคยทำงานในกองกำลังป้องกันประเทศและเป็นครูมัธยมศึกษาตอนปลาย ก่อนที่จะเข้าสู่วงการเมืองในช่วงต้นทศวรรษปี 2000 1.Walz เกิดที่เวสต์พอยต์ เมืองในเนแบรสกาที่มีประชากรเพียง 3,500 คน แต่เขาเติบโตในเมืองที่เล็กกว่าชื่อบิวต์ 2.Walz สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนมัธยมบิวต์ในปี 1982 “ผมมาจากเมืองที่มีประชากร 400 คน มีเด็ก 24 คนในหนึ่งห้อง ลูกพี่ลูกน้อง 12 คน ทำฟาร์ม มีเรื่องแบบนี้ด้วย” 3.Walz ยกย่องการเติบโตในชนบทของเขาว่าเป็นจุดเริ่มต้นของค่านิยมของเขา: “เมืองเล็กๆ แห่งนี้มีบริการแบบนั้นและมีโรงเรียนรัฐบาลที่มีครูของรัฐ ซึ่งสร้างแรงบันดาลใจให้ผมมานั่งอยู่ที่นี่จนถึงทุกวันนี้ เรื่องราวเหล่านี้เกิดขึ้นจริงในเมืองเล็กๆ” 4.Walz เข้าร่วมกองกำลังป้องกันประเทศเมื่ออายุได้ 17 ปี 5.ในสำนักงานรัฐสภาของเขา Walz ได้จัดแสดงเหรียญ "ท้าทาย" หลายร้อยเหรียญที่เขาสะสมและแลกเปลี่ยนมาหลายปีทั่วโลก 6.พ่อของ Walz ซึ่งเป็นผู้บริหารโรงเรียน เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปอดเมื่อ Walz อายุได้ 19 ปี Walz กล่าวว่าช่วงเวลานี้จุดประกายความคิดของเขาเกี่ยวกับการเข้าถึงบริการดูแลสุขภาพ: “สัปดาห์สุดท้ายของชีวิตพ่อทำให้แม่ของผมต้องกลับไปทำงานเป็นเวลาสิบปีเพื่อชำระหนี้โรงพยาบาล” 7.Walz สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาสังคมศาสตร์จาก Chadron State College ในปี 1989 เขาได้รับปริญญาโทสาขาความเป็นผู้นำทางการศึกษาจาก Minnesota State University, Mankato ในปี 2001 8.หลังจากเรียนจบวิทยาลัย เขาใช้เวลาหนึ่งปีในการสอนที่ประเทศจีน ก่อนจะกลับมาทำงานเต็มเวลาในกองทัพ เขาเดินทางไปประเทศจีนกับกลุ่มครูชาวอเมริกันกลุ่มแรกที่ได้รับการอนุมัติจากรัฐบาล เพื่อสอนในโรงเรียนมัธยมของจีน 9.เขายังคงพูดภาษาจีนกลางได้ 10.เขาสอนหนังสือในเขตสงวน Pine Ridge ในเซาท์ดาโคตา “ผมบอกกับผู้คนว่าการจัดการโรงอาหารของโรงเรียนมัธยมมาหลายปีช่วยฝึกให้ผมรับมือกับความวุ่นวายที่อาจเกิดขึ้นในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.” 11.เขาเลื่อนยศเป็นจ่าสิบเอก ก่อนจะเกษียณจากกองพันปืนใหญ่ภาคสนามที่ 1-125 ในปี 2005 เขาทำหน้าที่ทั้งหมด 24 ปี 12.Walz ได้พบกับ Gwen Whipple ซึ่งเป็นภรรยาในอนาคตของเขา ซึ่งเป็นชาวมินนิโซตาโดยกำเนิด เนื่องจากทั้งคู่เป็นครูโรงเรียนมัธยมในห้องเรียนชั่วคราว สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งกล่าวว่าเธอรู้สึกไม่พอใจที่เขาส่งเสียงดังรบกวนห้องเรียนของเธอ 13.ในที่สุดทั้งสองก็ย้ายไปที่เมือง Mankato รัฐมินนิโซตา ซึ่งทั้งคู่ทำงานที่โรงเรียนมัธยม Mankato West “Gwen ชอบใช้ชีวิตในมินนิโซตาตอนใต้มาก เราคว้าโอกาสที่จะย้ายไปที่เมือง Mankato และเริ่มต้นชีวิตคู่ด้วยกัน” 14.Walz สอนภูมิศาสตร์และเป็นโค้ชฟุตบอลในโรงเรียนมัธยม “ฉันไม่รู้ว่าครูภูมิศาสตร์ในโรงเรียนมัธยมทุกคนคาดหวังว่าจะได้อยู่ในตำแหน่งนี้ในสักวันหนึ่งหรือไม่” 15.เขาเป็นที่ปรึกษาคณะสำหรับกลุ่มพันธมิตรเกย์-กลุ่มแรกของโรงเรียนในปี 1999 16.Walz วัย 60 ปี ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าดูแก่กว่าวัย Walz ตอบโต้เรื่องนี้ในรายการ X โดยกล่าวว่าเป็นเพราะเขา "ดูแลโรงอาหารมา 20 ปี คุณไม่สามารถออกจากงานนั้นโดยมีผมเต็มหัว เชื่อฉันเถอะ" 17.เขามีลูกสองคนคือ Hope และ Gus Hope เพิ่งจบการศึกษาจากวิทยาลัยในมอนทานา และ Gus กำลังเรียนอยู่ในโรงเรียนมัธยมของรัฐในเซนต์พอล 18.ลูกทั้งสองคนเกิดจากกระบวนการ IVF และการรักษาภาวะมีบุตรยาก: "มีเหตุผลที่เราตั้งชื่อ [ลูกสาวของเรา] ว่า Hope" 19.งานแรกของ Walz ในแวดวงการเมืองคือเป็นสมาชิกแคมเปญหาเสียงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของอดีตวุฒิสมาชิกรัฐแมสซาชูเซตส์ John Kerry ในปี 2004 แคมเปญดังกล่าวจ้างเขาให้เป็นผู้ประสานงานแคมเปญระดับมณฑลและผู้ประสานงานระดับมณฑลของทหารผ่านศึกสำหรับเคอร์รี 20.เขาบอกว่าเขาได้รับแรงบันดาลใจให้เข้าร่วมแคมเปญของเคอร์รีหลังจากที่เขาพาเด็กนักเรียนมัธยมปลายกลุ่มหนึ่งไปร่วมชุมนุมหาเสียงของจอร์จ ดับเบิลยู บุช และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยได้ซักถามนักเรียนคนหนึ่งของเขาเนื่องจากเขามีสติกเกอร์ของเคอร์รีติดอยู่บนกระเป๋าสตางค์ 21.วอลซ์ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาคองเกรสครั้งแรกในปี 2549 ซึ่งถือเป็นการพลิกกลับสถานการณ์ครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎรในปีนั้น เขตเลือกตั้งซึ่งเป็นที่ตั้งของทั้งคลินิกเมโยและบริษัทแปรรูปเนื้อฮอร์เมล เคยลงคะแนนเสียงให้กับจอร์จ ดับเบิลยู บุชมาแล้วถึงสองครั้ง 22.เขาเป็นทหารเกณฑ์ที่มียศสูงสุดที่เคยรับใช้ในสภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐฯ และเป็นสมาชิกพรรคเดโมแครต-เกษตรกร-แรงงานของรัฐมินนิโซตาคนที่สี่ที่เป็นตัวแทนของเขตเลือกตั้งของเขา 23. Walz เอาชนะ Gil Gutknecht สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรครีพับลิกันคนปัจจุบันได้สำเร็จ แม้ว่าเขาจะใช้เงินน้อยกว่าเกือบครึ่งล้านดอลลาร์ก็ตาม 24.Walz ชนะการเลือกตั้งซ้ำอีก 5 ครั้งในเขตที่ 1 ของมินนิโซตา ซึ่งเป็นเขตชนบทส่วนใหญ่และอนุรักษ์นิยม โดยดำรงตำแหน่งในสภาผู้แทนราษฎรเป็นเวลา 12 ปี 25.เมื่อ Walz เข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร Walz ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานร่วมกับ Paul Hodes สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากรัฐนิวแฮมป์เชียร์ 26.เขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกอาวุโสของคณะกรรมการกิจการทหารผ่านศึกของสภาผู้แทนราษฎรในปี 2017 โดยเขาเน้นที่ประเด็นต่างๆ เช่น สุขภาพจิตของทหารผ่านศึก การฆ่าตัวตาย และการจัดการความเจ็บปวด นอกจากนี้ เขายังเรียกร้องให้มีเงินทุนเพื่อวิจัยการบำบัดด้วยกัญชาทางการแพทย์สำหรับทหารผ่านศึกที่ต่อสู้กับโรคเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนขวัญและความเจ็บปวดเรื้อรัง 27.ร่างกฎหมายมากกว่าครึ่งหนึ่งที่ Walz ร่วมสนับสนุนระหว่างปี 2015-2017 ได้รับการเสนอโดยผู้ที่ไม่ใช่พรรคเดโมแครต 28.ครั้งหนึ่ง Walz เคยได้รับคะแนน "A" จาก National Rifle Association และการรับรองของกลุ่ม ในปี 2016 นิตยสาร Guns & Ammo ได้รวมเขาไว้ในรายชื่อนักการเมือง 20 อันดับแรกสำหรับผู้เป็นเจ้าของปืน 29.ต่อมา เขาประณาม NRA และสนับสนุนมาตรการควบคุมปืน เช่น การห้ามใช้อาวุธจู่โจม ในช่วงหาเสียงครั้งแรกเพื่อชิงตำแหน่งผู้ว่าการรัฐในปี 2018 NRA ได้ลดระดับคะแนนของเขาลงอย่างสิ้นเชิง "ผมได้รับคะแนน A จาก NRA ตอนนี้ผมได้ F ตลอดเลย และผมก็หลับสบาย" 30.ไม่นานหลังจากเหตุการณ์ยิงกันที่ลาสเวกัสในปี 2017 ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต 59 ราย เขาบริจาคเงินบริจาคหาเสียงจาก NRA ให้กับองค์กรไม่แสวงหากำไรที่ช่วยเหลือครอบครัวของทหารที่เสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บสาหัสขณะปฏิบัติหน้าที่ 31.Walz เป็นนักล่าตัวยงและเยาะเย้ย JD Vance ที่พูดถึงปืนในขณะที่ "ฉันรับรองได้ว่าเขายิงไก่ฟ้าไม่ได้เหมือนฉัน" 32.ในปี 2019 Walz ออกจากสภาเพื่อลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าการรัฐมินนิโซตา เขาเอาชนะ Jeff Johnson จากพรรครีพับลิกันไปมากกว่า 11 คะแนน 33.Walz มักจะปกป้องนโยบายของเขา เช่น ร่างกฎหมายอาหารกลางวันในโรงเรียนทั่วไปที่ลงนามในกฎหมายของรัฐมินนิโซตาเมื่อต้นปีนี้ โดยอ้างว่าเป็นสามัญสำนึก "ช่างเป็นสัตว์ประหลาด! เด็กๆ กินอิ่มและอิ่มท้องเพื่อที่พวกเขาจะได้ไปเรียนรู้ และผู้หญิงก็ตัดสินใจเรื่องการดูแลสุขภาพของตัวเอง" Walz พูดติดตลก 34.ความรุนแรงปะทุขึ้นหลังจากที่ตำรวจสังหาร George Floyd ในมินนิอาโปลิสเมื่อเดือนพฤษภาคม 2020 เหตุการณ์ดังกล่าวนำไปสู่การประท้วงต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติและความรุนแรงของตำรวจทั่วประเทศ สมาชิกรัฐสภาพรรครีพับลิกันออกรายงานในช่วงปลายปี โดยวิพากษ์วิจารณ์การบริหารของวอลซ์ที่ไม่เข้าแทรกแซงอย่างรวดเร็วพอที่จะป้องกันการปล้นสะดมและวางเพลิง “ฉันเชื่ออย่างแน่นอนว่าการบริหารของเรา ไม่ว่าจะเป็นกองกำลังป้องกันประเทศ ตำรวจทางหลวง หรือกรมทรัพยากรธรรมชาติ บุคลากรแนวหน้าของเราตอบสนองอย่างมีเกียรติและกล้าหาญ พวกเขาช่วยชีวิตคนไว้ได้” วอลซ์กล่าว “รายงานด้านเดียวที่ออกมาก่อนการเลือกตั้งไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก แต่ถ้ามีคำแนะนำที่เป็นประโยชน์ ฉันก็จะใช้แน่นอน” 35.ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา วอลซ์ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้เผยแพร่แนวทางการโจมตีล่าสุดของพรรคเดโมแครตต่อบัตรลงคะแนนของพรรครีพับลิกัน เมื่อเขาเรียกทรัมป์และแวนซ์ว่า “คนพวกนี้ประหลาดจริงๆ” 36.เขาให้สัมภาษณ์กับ POLITICO ในปี 2023 ว่า “เมื่อเราลงแข่งกับพรรครีพับลิกันทั่วไป การแข่งขันของเรามักจะสูสีกันมาก แต่ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า [พรรครีพับลิกันทั่วไป] พวกนี้ประหลาด เมื่อพวกเขาเริ่มลงสมัคร ความแปลกประหลาดของพวกเขาก็ปรากฏขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ได้รับการเสนอชื่อในฝั่งตรงข้าม ฉันไม่คิดว่ามันจะน่าแปลกใจขนาดนั้น” 37.Walz บอกกับ The New York Times ว่าความคิดเห็นของเขาเกี่ยวกับความแปลกประหลาดนั้นเกี่ยวกับ Trump และ Vance ไม่ใช่พรรครีพับลิกันโดยทั่วไป “และคำว่า ‘แปลกประหลาด’ นั้นเฉพาะตัวเขาเท่านั้น ฉันไม่ได้พูดถึงพรรครีพับลิกันอย่างแน่นอน ฉันไม่ได้พูดถึงคนที่อยู่ในการชุมนุมเหล่านั้น ฉันได้ยินเรื่องนี้มาจากเพื่อนพรรครีพับลิกันของฉัน เพราะว่าคนที่อยู่ในการชุมนุมเหล่านั้นคือคนที่ได้รับประโยชน์มากที่สุดจากข้อความที่เรากำลังส่งถึง” 38.เมื่อปีที่แล้ว บารัค โอบามายกย่อง Walz เมื่อพรรคเดโมแครต-เกษตรกร-แรงงานของมินนิโซตาได้ควบคุมคฤหาสน์ของผู้ว่าการ รัฐสภา และวุฒิสภาของรัฐ 39.Walz พบกับรองผู้ว่าการรัฐ Peggy Flanagan เป็นครั้งแรกเมื่อเขาเข้าร่วม Wellstone Action ซึ่งก่อตั้งขึ้นหลังจากการเสียชีวิตของวุฒิสมาชิก Paul Wellstone ในปี 2002 เพื่อฝึกอบรมผู้จัดงาน นักเคลื่อนไหว และผู้สมัครรับเลือกตั้งที่มีแนวคิดก้าวหน้า “ฉันไปที่นั่นและได้พบกับผู้ฝึกสอนสาวที่ยอดเยี่ยมซึ่งกลายเป็น Peggy Flanagan นั่นคือจุดเริ่มต้นมิตรภาพของเรา” 40.หลังจากที่รัฐมินนิโซตาประกาศให้กัญชาเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจถูกกฎหมายเมื่อปีที่แล้ว Walz ได้แต่งตั้งเจ้าของร้านขายกัญชาให้เป็นผู้กำกับดูแลกัญชาชั้นนำของรัฐ วันรุ่งขึ้น Erin DuPree ผู้ประกอบการด้านกัญชาได้ลาออกจากตำแหน่งหลังจากที่ Star Tribune รายงานว่าเธอขายผลิตภัณฑ์ที่ผิดกฎหมายในร้านกัญชาของเธอและถูกยึดภาษีของรัฐบาลกลางและถูกตัดสินจำคุก ต่อมาสำนักงานผู้ตรวจสอบนิติบัญญัติ ซึ่งเป็นหน่วยงานตรวจสอบของรัฐบาลมินนิโซตาที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดได้พบว่าสำนักงานของผู้ว่าการรัฐได้ละเลยขั้นตอนการตรวจสอบประวัติพื้นฐานบางขั้นตอนก่อนที่จะแต่งตั้ง DuPree 41.ในเดือนธันวาคม 2023 วอลซ์ได้รับเลือกให้เป็นประธานสมาคมผู้ว่าการรัฐของพรรคเดโมแครต ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบในการปกป้องและเพิ่มส่วนแบ่งของผู้บริหารสูงสุดของพรรคในแต่ละรัฐ “ตอนนี้ฉันเชื่อมั่นอย่างยิ่งแล้วว่าผู้ว่าการรัฐสามารถสร้างความแตกต่างได้ เราเห็นสิ่งนี้ในมินนิโซตา เราเห็นสิ่งนี้ในมิชิแกน เราเห็นสิ่งนี้ในโคโลราโด เราเห็นว่ารัฐทั้งสามแห่งนี้ทำให้ชีวิตของผู้คนดีขึ้น” 42.เครื่องดื่มที่เขาเลือกคือ Diet Mountain Dew เขาถูกจับข้อหาเมาแล้วขับในเนแบรสกาในปี 1995 ก่อนที่จะเลิกดื่ม 43.วอลซ์เป็นนักวิ่งที่เข้าร่วมการแข่งขันหลายรายการในเมืองแฝดของมินนิโซตา: “ฉันพบว่าแม้กระทั่งก่อนเกิดเหตุการณ์ที่กดดันที่สุด หากฉันออกไปวิ่ง ฉันจะสงบและมีสติมากขึ้น” 44.เขาชอบซ่อมแซม International Scout สีน้ำเงินแบบวินเทจของเขา ซึ่งเป็นรถขับเคลื่อนสี่ล้อที่บริษัท International Harvester หยุดผลิตในปี 1980 45.เขามีป้ายทะเบียนพิเศษที่เขียนว่า “ONE MN” ซึ่งเป็นสโลแกนหาเสียงของเขาในการลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าการรัฐ 46.Walz สัญญากับ Gus ลูกชายของเขาว่าจะเลี้ยงสุนัขหากเขาชนะการเลือกตั้งในปี 2019 เมื่อมีการประกาศผลการเลือกตั้ง Gus ก็อุทานออกมาว่า “ฉันจะเลี้ยงสุนัข!” Walz ทำตามสัญญาโดยรับ Scout ซึ่งเป็นสุนัขพันธุ์ลาบราดอร์ผสมสีดำมาเลี้ยงในช่วงปลายปี 47.Walz และ Scout มักจะไปเยี่ยมสวนสาธารณะสำหรับสุนัขใน Twin Cities โดยไม่ต้องจูงสายจูงในตอนเช้าทุกวัน 48.Walz ลงนามในร่างกฎหมายเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เพื่อขยายสิทธิในการลงคะแนนเสียงให้กับผู้ที่เคยต้องโทษจำคุกประมาณ 55,000 คน 49.Walz ได้พบกับเอกอัครราชทูตยูเครนประจำสหรัฐอเมริกาเพื่อลงนามในจดหมายแสดงความเข้าใจซึ่งสร้างความร่วมมือทางการเกษตรระหว่างมินนิโซตาและภูมิภาคทางตอนเหนือของยูเครนที่เรียกว่าเชอร์นิฮิฟ “เมื่อเราขับไล่พวกรัสเซียออกไปแล้ว เราก็จะมีความร่วมมือกัน” Walz กล่าว “มันเป็นการแสดงมิตรภาพที่สำคัญจริงๆ และเป็นการแสดงความสัมพันธ์ที่สำคัญจริงๆ” 50.ในปี 2023 Walz ได้ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อปกป้องการเข้าถึงการดูแลที่ยืนยันเพศ “ในขณะที่รัฐต่างๆ ทั่วประเทศเคลื่อนไหวเพื่อห้ามการเข้าถึงการดูแลที่ยืนยันเพศ เราต้องการให้ชาวมินนิโซตาที่เป็น LGBTQ รู้ว่าพวกเขาจะยังคงปลอดภัย ได้รับการคุ้มครอง และได้รับการต้อนรับในมินนิโซตาต่อไป” Walz กล่าว 51.อาหารจานร้อนมันฝรั่งทอดของเขา ซึ่งเป็นอาหารไม่เป็นทางการของมินนิโซตา เป็นแชมป์รายการอาหารจานร้อนของคณะผู้แทนรัฐสภามินนิโซตาถึงสามสมัย เขาชนะในปี 2013, 2014 และ 2016 52.เขาประกาศตัวเองว่าเป็นนักอ่านนิยายวิทยาศาสตร์แฟนตาซีเมื่อพูดถึงหนังสือ “ผมเพิ่งอ่านซีรีส์ Mortal Engines จบไป ผมอ่านนิยายสำหรับวัยรุ่นหลายเล่มเพราะผมอ่านกับลูกๆ ผมอ่านเล่มนั้นกับ Gus” เขากล่าวในปี 2019 “และผมเพิ่งอ่านเล่มหนึ่งจบซึ่งผมไม่แนะนำให้อ่านเพราะมันน่ากลัวมาก: Command and Control หนังสือเล่มนี้บอกเล่าประวัติศาสตร์คลังอาวุธนิวเคลียร์ของอเมริกา” 53.เพลงโปรดของเขาโดย Bob Dylan หนึ่งในคนดังที่โด่งดังที่สุดของรัฐมินนิโซตาคือเพลง “Forever Young” ซึ่งมี “ข้อความอมตะจากพ่อถึงลูกชาย” ตามที่ Walz กล่าว 54.เขามีความสุขกับการได้ดื่มนมไม่อั้นที่งาน Minnesota State Fair มากจนถึงขนาดที่เขาอาสาทำงานที่บูธในปี 2022 55.Walz เป็นคนมองโลกในแง่ดี แต่เมื่อพูดถึงรัฐบาล เขาพยายามวางแผนรับมือสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด “ผมคิดว่าผู้คนควรคาดหวังให้รัฐบาลมีแนวคิดก้าวหน้าและคาดการณ์ล่วงหน้า” เขากล่าวขณะเข้ารับตำแหน่งในปี 2019 “หลายๆ สิ่งที่ผู้คนมองว่าเป็นอุบัติเหตุหรือโอกาส แท้จริงแล้วเป็นเพียงการวางแผนและคาดการณ์ล่วงหน้าที่ไม่ดี” ที่มา : Politico.com #Thaitimes
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 785 Views 0 Reviews
  • หนังสือ ซ่อมแซมใจแล้วไปต่อ ..

    แนวทางการเยียวยาจิตใจตัวเองที่มาจาก 2 สาเหตุคือ จากการสูญเสียคนรัก และการสูญเสียสัตว์เลี้ยง เพราะทั้ง 2 สิ่งนี้มักถูกมองว่า ไม่ใช่เรื่องถึงขั้นคอขาดบาดตาย จึงได้รับการประเมินความรุนแรงในระดับต่ำ ทั้งที่จริงแล้ว ....เป็นปัจจัยซึ่งก่อให้เกิดความรู้สึกโศกเศร้าแสนสาหัสและกินเวลายาวนาน

    Dr. กาย วินช์ นักจิตวิทยา จะเผยให้คุณเข้าใจกลไกของความคิดและจิตใจ ยามที่คุณต้องเผชิญการสูญเสียสิ่งที่รักไป และมอบแนวทางให้คุณเยียวยาตัวเองได้ทีละขั้นจนกระทั่งรู้สึกเบาใจและไปต่อได้

    https://s.shopee.co.th/3q31bWnaGN
    หนังสือ ซ่อมแซมใจแล้วไปต่อ .. แนวทางการเยียวยาจิตใจตัวเองที่มาจาก 2 สาเหตุคือ จากการสูญเสียคนรัก และการสูญเสียสัตว์เลี้ยง เพราะทั้ง 2 สิ่งนี้มักถูกมองว่า ไม่ใช่เรื่องถึงขั้นคอขาดบาดตาย จึงได้รับการประเมินความรุนแรงในระดับต่ำ ทั้งที่จริงแล้ว ....เป็นปัจจัยซึ่งก่อให้เกิดความรู้สึกโศกเศร้าแสนสาหัสและกินเวลายาวนาน Dr. กาย วินช์ นักจิตวิทยา จะเผยให้คุณเข้าใจกลไกของความคิดและจิตใจ ยามที่คุณต้องเผชิญการสูญเสียสิ่งที่รักไป และมอบแนวทางให้คุณเยียวยาตัวเองได้ทีละขั้นจนกระทั่งรู้สึกเบาใจและไปต่อได้ https://s.shopee.co.th/3q31bWnaGN
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 227 Views 0 Reviews
  • ไบเดนให้คำมั่นจะสนับสนุนเอลต่อไป
    ในการสนทนาทางโทรศัพท์กับเนทันยาฮู ไบเดนให้คำมั่นว่าสหรัฐฯ จะยังคงสนับสนุนเอลต่อไป ขณะที่ความกังวลเกี่ยวกับความขัดแย้งที่ทวีความรุนแรงขึ้นกับกลุ่มฮิซบอลเลาะห์และกลุ่มอื่นๆ ในภูมิภาคเพิ่มมากขึ้น แม้ผู้วิจารณ์จะกล่าวว่าสหรัฐฯ ควรใช้ประโยชน์จากอิทธิพลที่มีเพื่อยุติการรุกรานในกาซาก็ตาม
    รายงานที่เผยแพร่โดยทำเนียบขาวระบุว่ากมลา แฮร์ริสก็เข้าร่วมการโทรครั้งนี้ด้วย ชาวโลกก็ได้แค่สงสัยต่อไปกับการปากว่าตาขยิบเช่นนี้ของชาวแก่คนนี้
    .
    #WAYTNEWS #WayTNews #waytnews
    #ข่าวสารอัพเดท #ติดตามข่าว #สถานการณ์ปัจจุบัน #ข่าวสารความจริง
    -------------------------------
    สนใจโปรไวต้า คลิก▶ https://www.facebook.com/TPIPolene?locale=t
    ไบเดนให้คำมั่นจะสนับสนุนเอลต่อไป ในการสนทนาทางโทรศัพท์กับเนทันยาฮู ไบเดนให้คำมั่นว่าสหรัฐฯ จะยังคงสนับสนุนเอลต่อไป ขณะที่ความกังวลเกี่ยวกับความขัดแย้งที่ทวีความรุนแรงขึ้นกับกลุ่มฮิซบอลเลาะห์และกลุ่มอื่นๆ ในภูมิภาคเพิ่มมากขึ้น แม้ผู้วิจารณ์จะกล่าวว่าสหรัฐฯ ควรใช้ประโยชน์จากอิทธิพลที่มีเพื่อยุติการรุกรานในกาซาก็ตาม รายงานที่เผยแพร่โดยทำเนียบขาวระบุว่ากมลา แฮร์ริสก็เข้าร่วมการโทรครั้งนี้ด้วย ชาวโลกก็ได้แค่สงสัยต่อไปกับการปากว่าตาขยิบเช่นนี้ของชาวแก่คนนี้ . #WAYTNEWS #WayTNews #waytnews #ข่าวสารอัพเดท #ติดตามข่าว #สถานการณ์ปัจจุบัน #ข่าวสารความจริง ------------------------------- สนใจโปรไวต้า คลิก▶ https://www.facebook.com/TPIPolene?locale=t
    Sad
    1
    0 Comments 0 Shares 423 Views 0 Reviews
  • ไต้หวันสั่งปิดตลาดหลักทรัพย์ ยกเลิกเที่ยวบิน และให้สถานศึกษาทั่วประเทศปิดการเรียนการสอนในวันนี้ (24 ก.ค.) เพื่อเตรียมรับมือกับอิทธิพลของไต้ฝุ่นแคมี (Gaemi) ซึ่งคาดว่าจะเป็นพายุที่มีความรุนแรงที่สุดที่ซัดถล่มไต้หวันในรอบ 8 ปี
    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000062672

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    ไต้หวันสั่งปิดตลาดหลักทรัพย์ ยกเลิกเที่ยวบิน และให้สถานศึกษาทั่วประเทศปิดการเรียนการสอนในวันนี้ (24 ก.ค.) เพื่อเตรียมรับมือกับอิทธิพลของไต้ฝุ่นแคมี (Gaemi) ซึ่งคาดว่าจะเป็นพายุที่มีความรุนแรงที่สุดที่ซัดถล่มไต้หวันในรอบ 8 ปี อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000062672 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Sad
    Yay
    16
    1 Comments 0 Shares 900 Views 0 Reviews
  • NHK เผยญี่ปุ่นเตรียมคว่ำบาตรผู้ตั้งถิ่นฐานชาวเอล
    รัฐบาลญี่ปุ่นกำลังเตรียมใช้มาตรการคว่ำบาตรการอายัดทรัพย์สินต่อผู้ตั้งถิ่นฐานชาวเอลในเขตเวสต์แบงก์ที่ถูกยึดครอง ตามรายงานของสถานีวิทยุกระจายเสียงสาธารณะ NHK ของประเทศ
    รายงานไม่ได้ระบุว่าจะมีการคว่ำบาตรผู้ตั้งถิ่นฐานกี่คน แต่สื่อเอลอย่าง Ynet ได้ระบุชื่อบุคคล 4 คนที่คาดว่าจะตกเป็นเป้าหมาย ได้แก่ Yinon Levi, Zvi Bar Yoseph, Moshe Sharvit และ Neria ben Pazi
    ญี่ปุ่นเข้าร่วมกับสหราชอาณาจักร สหรัฐฯ สหภาพยุโรป นิวซีแลนด์ และแคนาดาในการคว่ำบาตรผู้ตั้งถิ่นฐานชาวเอลรายบุคคลเพื่อตอบโต้ต่อความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นต่อชาวปาเลสในเขตเวสต์แบงก์ที่ถูกยึดครอง
    ญี่ปุ่นยังคงรักษาความสัมพันธ์อันดีกับเอลและยังไม่ยอมรับรัฐปาเลส
    .
    #WAYTNEWS #WayTNews #waytnews
    #ข่าวสารอัพเดท #ติดตามข่าว #สถานการณ์ปัจจุบัน #ข่าวสารความจริง
    -------------------------------
    สนใจโปรไวต้า คลิก▶ https://www.facebook.com/TPIPolene?locale=t
    NHK เผยญี่ปุ่นเตรียมคว่ำบาตรผู้ตั้งถิ่นฐานชาวเอล รัฐบาลญี่ปุ่นกำลังเตรียมใช้มาตรการคว่ำบาตรการอายัดทรัพย์สินต่อผู้ตั้งถิ่นฐานชาวเอลในเขตเวสต์แบงก์ที่ถูกยึดครอง ตามรายงานของสถานีวิทยุกระจายเสียงสาธารณะ NHK ของประเทศ รายงานไม่ได้ระบุว่าจะมีการคว่ำบาตรผู้ตั้งถิ่นฐานกี่คน แต่สื่อเอลอย่าง Ynet ได้ระบุชื่อบุคคล 4 คนที่คาดว่าจะตกเป็นเป้าหมาย ได้แก่ Yinon Levi, Zvi Bar Yoseph, Moshe Sharvit และ Neria ben Pazi ญี่ปุ่นเข้าร่วมกับสหราชอาณาจักร สหรัฐฯ สหภาพยุโรป นิวซีแลนด์ และแคนาดาในการคว่ำบาตรผู้ตั้งถิ่นฐานชาวเอลรายบุคคลเพื่อตอบโต้ต่อความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นต่อชาวปาเลสในเขตเวสต์แบงก์ที่ถูกยึดครอง ญี่ปุ่นยังคงรักษาความสัมพันธ์อันดีกับเอลและยังไม่ยอมรับรัฐปาเลส . #WAYTNEWS #WayTNews #waytnews #ข่าวสารอัพเดท #ติดตามข่าว #สถานการณ์ปัจจุบัน #ข่าวสารความจริง ------------------------------- สนใจโปรไวต้า คลิก▶ https://www.facebook.com/TPIPolene?locale=t
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 311 Views 0 Reviews
  • ผู้เชี่ยวชาญ UN ชี้เอลดำเนินการ บังคับอดอาหารแบบมีเป้าหมาย ในกาซา
    ผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติกล่าวหาเอลว่าได้ดำเนินการ "บังคับอดอาหารแบบมีเป้าหมาย" ซึ่งส่งผลให้เบาวชนในกาซาเสียชีวิต
    ผู้เชี่ยวชาญอิสระของสหประชาชาติ 10 คนกล่าวในแถลงการณ์เมื่อวันอังคารว่า การกระทำของเอลต่อชาวปาเลสถือเป็นรูปแบบหนึ่งของความรุนแรงที่นำไปสู่การดับชีพหมู่ และส่งผลให้เกิดความอดอยากทั่วทั้งกาซา”
    การถูกดับชีพของเยาวชนตัวน้อยอายุ “ไม่ถึง 6 เดือน”เยาวชนวัย 9 ขวบ และยาวชนวัย 13 ขวบ ตั้งแต่วันที่ 30 พฤษภาคม แสดงให้เห็นว่า “ไม่ต้องสงสัยเลยว่าความอดอยากได้แพร่กระจายจากทางตอนเหนือของกาซาไปยังตอนกลางและตอนใต้ของกาซา” ผู้เชี่ยวชาญกล่าว
    .
    #WAYTNEWS #WayTNews #waytnews
    #ข่าวสารอัพเดท #ติดตามข่าว #สถานการณ์ปัจจุบัน #ข่าวสารความจริง
    -------------------------------
    สนใจโปรไวต้า คลิก▶ https://www.facebook.com/TPIPolene?locale=t

    ผู้เชี่ยวชาญ UN ชี้เอลดำเนินการ บังคับอดอาหารแบบมีเป้าหมาย ในกาซา ผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติกล่าวหาเอลว่าได้ดำเนินการ "บังคับอดอาหารแบบมีเป้าหมาย" ซึ่งส่งผลให้เบาวชนในกาซาเสียชีวิต ผู้เชี่ยวชาญอิสระของสหประชาชาติ 10 คนกล่าวในแถลงการณ์เมื่อวันอังคารว่า การกระทำของเอลต่อชาวปาเลสถือเป็นรูปแบบหนึ่งของความรุนแรงที่นำไปสู่การดับชีพหมู่ และส่งผลให้เกิดความอดอยากทั่วทั้งกาซา” การถูกดับชีพของเยาวชนตัวน้อยอายุ “ไม่ถึง 6 เดือน”เยาวชนวัย 9 ขวบ และยาวชนวัย 13 ขวบ ตั้งแต่วันที่ 30 พฤษภาคม แสดงให้เห็นว่า “ไม่ต้องสงสัยเลยว่าความอดอยากได้แพร่กระจายจากทางตอนเหนือของกาซาไปยังตอนกลางและตอนใต้ของกาซา” ผู้เชี่ยวชาญกล่าว . #WAYTNEWS #WayTNews #waytnews #ข่าวสารอัพเดท #ติดตามข่าว #สถานการณ์ปัจจุบัน #ข่าวสารความจริง ------------------------------- สนใจโปรไวต้า คลิก▶ https://www.facebook.com/TPIPolene?locale=t
    Sad
    1
    0 Comments 0 Shares 246 Views 0 Reviews