• MOTO GP ไปต่อหรือพอแค่นี้?

    การออกมาเปิดเผยของนายเนวิน ชิดชอบ ครูใหญ่พรรคภูมิใจไทย ในฐานะประธานสนามช้างอินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ว่ารัฐบาลจะลงทุนจัดการแข่งขันรถจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมป์โลก หรือ โมโตจีพี ปี 2026 เป็นปีสุดท้าย หลังจัดการแข่งขันมา 7 ปีติดต่อกัยในนามรัฐบาล และจะไม่ต่อสัญญาอีก ก่อให้เกิดปฎิริยาต่อรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร จากพรรคเพื่อไทย ซึ่งในวันต่อมานายกรัฐมนตรีกล่าวว่า จะให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬานำเสนอตัวเลข เพื่อพิจารณาว่าจะต่อสัญญาหรือไม่ ยืนยันว่าหากเป็นประโยชน์กับประเทศและประชาชนหมู่มากก็คงต้องทำต่อ

    ด้านนายก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) เปิดเผยว่า เรื่องไม่ต่อสัญญาไม่เป็นความจริง ตอนนี้อยู่ในระหว่างการพูดคุย ซึ่งทางดอร์น่า สปอร์ต เจ้าของลิขสิทธิ์ก็ชื่นชมประเทศไทย ส่วนรัฐบาลก็อยากให้มีการแข่งขันรายการใหญ่ ที่ส่งเสริมด้านการท่องเที่ยว กกท. จะนำสถิติตัวเลขต่างๆ ที่เกิดขึ้นในปีนี้นำเสนอกับทางรัฐบาล และยังกล่าวอีกว่า หลายประเทศก็จ่อคิวรออยู่ ถ้าไทยไม่ตัดสินใจ ก็มีหลายประเทศรออยู่ ซึ่งทุกอย่างต้องชัดเจนก่อน 1 ปี เพราะดอร์น่าจะต้องจัดการเรื่องสนามให้ลงตัว ถ้าไทยไม่เป็นเจ้าภาพต่อ ดอร์น่าก็จะต้องไปคุยกับประเทศอื่นๆ แทน

    ทั้งนี้ การแข่งขันโมโตจีพีในปีนี้ทุบสถิติมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงกว่า 5,000 ล้าน จำนวนผู้ชมสูงขึ้นเกือบ 7% การสร้างงานสูงขึ้น 12% และการใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติกว่า 52,000 คน สูงขึ้นประมาณ 38% ถือว่าสูงที่สุดตั้งแต่เริ่มจัดงานมา

    สำหรับการแข่งขันโมโตจีพีที่จังหวัดบุรีรัมย์ จัดขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2561 หลังจากรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อนุมัติงบประมาณจัดการแข่งขัน เมื่อปี 2560 ตามที่นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รมว.ท่องเที่ยวและกีฬาในขณะนั้น เป็นผู้เสนอ ตามนโยบายการท่องเที่ยวเชิงกีฬา (Sports Tourism) และต้องการผลักดันนโยบายนี้ให้มากขึ้น โดยรัฐบาลจ่ายค่าลิขสิทธิ์ในการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันปีละ 100 ล้านบาท เป็นเวลา 3 ปี รวมทั้งสิ้น 300 ล้านบาท ระหว่างปี 2561-2563 และมีภาคเอกชนระดมทุนในการดำเนินการทั้งหมด โดยนายเนวินในฐานะประธานสนาม สนับสนุนให้ใช้สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต เป็นสนามแข่งขันโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

    ต่อมาในปี 2563 ครม. มีมติเห็นชอบต่อสัญญาการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันโมโตจีพีออกไปอีก 5 ปี ระหว่างปี 2564-2569 โดยรัฐบาลสนับสนุนงบประมาณค่าลิขสิทธิ์ 50% ส่วนที่เหลือ บริษัท บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จำกัด ในฐานะผู้บริหารสิทธิ์ จะหาผู้สนับสนุนในประเทศไทย

    #Newskit
    MOTO GP ไปต่อหรือพอแค่นี้? การออกมาเปิดเผยของนายเนวิน ชิดชอบ ครูใหญ่พรรคภูมิใจไทย ในฐานะประธานสนามช้างอินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ว่ารัฐบาลจะลงทุนจัดการแข่งขันรถจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมป์โลก หรือ โมโตจีพี ปี 2026 เป็นปีสุดท้าย หลังจัดการแข่งขันมา 7 ปีติดต่อกัยในนามรัฐบาล และจะไม่ต่อสัญญาอีก ก่อให้เกิดปฎิริยาต่อรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร จากพรรคเพื่อไทย ซึ่งในวันต่อมานายกรัฐมนตรีกล่าวว่า จะให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬานำเสนอตัวเลข เพื่อพิจารณาว่าจะต่อสัญญาหรือไม่ ยืนยันว่าหากเป็นประโยชน์กับประเทศและประชาชนหมู่มากก็คงต้องทำต่อ ด้านนายก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) เปิดเผยว่า เรื่องไม่ต่อสัญญาไม่เป็นความจริง ตอนนี้อยู่ในระหว่างการพูดคุย ซึ่งทางดอร์น่า สปอร์ต เจ้าของลิขสิทธิ์ก็ชื่นชมประเทศไทย ส่วนรัฐบาลก็อยากให้มีการแข่งขันรายการใหญ่ ที่ส่งเสริมด้านการท่องเที่ยว กกท. จะนำสถิติตัวเลขต่างๆ ที่เกิดขึ้นในปีนี้นำเสนอกับทางรัฐบาล และยังกล่าวอีกว่า หลายประเทศก็จ่อคิวรออยู่ ถ้าไทยไม่ตัดสินใจ ก็มีหลายประเทศรออยู่ ซึ่งทุกอย่างต้องชัดเจนก่อน 1 ปี เพราะดอร์น่าจะต้องจัดการเรื่องสนามให้ลงตัว ถ้าไทยไม่เป็นเจ้าภาพต่อ ดอร์น่าก็จะต้องไปคุยกับประเทศอื่นๆ แทน ทั้งนี้ การแข่งขันโมโตจีพีในปีนี้ทุบสถิติมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงกว่า 5,000 ล้าน จำนวนผู้ชมสูงขึ้นเกือบ 7% การสร้างงานสูงขึ้น 12% และการใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติกว่า 52,000 คน สูงขึ้นประมาณ 38% ถือว่าสูงที่สุดตั้งแต่เริ่มจัดงานมา สำหรับการแข่งขันโมโตจีพีที่จังหวัดบุรีรัมย์ จัดขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2561 หลังจากรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อนุมัติงบประมาณจัดการแข่งขัน เมื่อปี 2560 ตามที่นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รมว.ท่องเที่ยวและกีฬาในขณะนั้น เป็นผู้เสนอ ตามนโยบายการท่องเที่ยวเชิงกีฬา (Sports Tourism) และต้องการผลักดันนโยบายนี้ให้มากขึ้น โดยรัฐบาลจ่ายค่าลิขสิทธิ์ในการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันปีละ 100 ล้านบาท เป็นเวลา 3 ปี รวมทั้งสิ้น 300 ล้านบาท ระหว่างปี 2561-2563 และมีภาคเอกชนระดมทุนในการดำเนินการทั้งหมด โดยนายเนวินในฐานะประธานสนาม สนับสนุนให้ใช้สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต เป็นสนามแข่งขันโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ต่อมาในปี 2563 ครม. มีมติเห็นชอบต่อสัญญาการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันโมโตจีพีออกไปอีก 5 ปี ระหว่างปี 2564-2569 โดยรัฐบาลสนับสนุนงบประมาณค่าลิขสิทธิ์ 50% ส่วนที่เหลือ บริษัท บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จำกัด ในฐานะผู้บริหารสิทธิ์ จะหาผู้สนับสนุนในประเทศไทย #Newskit
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 38 มุมมอง 0 รีวิว
  • Nvidia และ Broadcom ยังคงทดลองใช้ชิปที่ผลิตโดยใช้กระบวนการ 18A ของ Intel การทดสอบนี้เริ่มต้นจากช่วงต้นปี 2024 โดยรายงานจาก Reuters ระบุว่าทั้งสองบริษัทกำลังทำความเข้าใจกับประสิทธิภาพและพฤติกรรมของกระบวนการ 18A ของ Intel

    กระบวนการผลิต 18A ของ Intel เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ใช้ทรานซิสเตอร์ RibbonFET และการจ่ายพลังงานผ่านด้านหลังชิปที่เรียกว่า PowerVia ซึ่งมีการเปรียบเทียบกับกระบวนการผลิต N2 ของ TSMC โดยกระบวนการ 18A ของ Intel จะมีความเร็วที่สูงกว่า ในขณะที่ N2 ของ TSMC จะมีความหนาแน่นมากกว่า

    แม้ว่าจะมีการทดลองใช้ชิปจากกระบวนการ 18A อย่างต่อเนื่อง แต่ยังมีปัญหาที่พบกับการสนับสนุนจากบริษัท IP บุคคลที่สามบางราย ซึ่งอาจทำให้การส่งมอบชิปสำหรับลูกค้าที่ใช้บริการการผลิตชิปของ Intel ล่าช้าออกไปจนถึงกลางปี 2026

    Intel ได้เปิดเว็บไซต์ใหม่เพื่อแสดงกระบวนการ 18A และกำลังเตรียมเปิดตัวโปรเซสเซอร์ Panther Lake สำหรับผู้บริโภคในช่วงกลางปี 2025

    สิ่งที่น่าสนใจคือการที่ Broadcom และ Nvidia ยังคงให้ความสนใจและทดลองใช้กระบวนการผลิตนี้ โดยทั้งสองบริษัทกำลังพยายามเข้าใจและประเมินความสามารถของกระบวนการ 18A ในการผลิตชิปที่มีประสิทธิภาพสูง

    นอกจากนี้ Intel ยังต้องการล็อกลูกค้ารายใหญ่สำหรับกระบวนการผลิตใหม่ของพวกเขาเพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดได้ และพวกเขาคาดว่าจะต้องใช้เวลาในการสร้างกำ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/nvidia-and-broadcom-continue-trialing-intel-18a-test-chips-report
    Nvidia และ Broadcom ยังคงทดลองใช้ชิปที่ผลิตโดยใช้กระบวนการ 18A ของ Intel การทดสอบนี้เริ่มต้นจากช่วงต้นปี 2024 โดยรายงานจาก Reuters ระบุว่าทั้งสองบริษัทกำลังทำความเข้าใจกับประสิทธิภาพและพฤติกรรมของกระบวนการ 18A ของ Intel กระบวนการผลิต 18A ของ Intel เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ใช้ทรานซิสเตอร์ RibbonFET และการจ่ายพลังงานผ่านด้านหลังชิปที่เรียกว่า PowerVia ซึ่งมีการเปรียบเทียบกับกระบวนการผลิต N2 ของ TSMC โดยกระบวนการ 18A ของ Intel จะมีความเร็วที่สูงกว่า ในขณะที่ N2 ของ TSMC จะมีความหนาแน่นมากกว่า แม้ว่าจะมีการทดลองใช้ชิปจากกระบวนการ 18A อย่างต่อเนื่อง แต่ยังมีปัญหาที่พบกับการสนับสนุนจากบริษัท IP บุคคลที่สามบางราย ซึ่งอาจทำให้การส่งมอบชิปสำหรับลูกค้าที่ใช้บริการการผลิตชิปของ Intel ล่าช้าออกไปจนถึงกลางปี 2026 Intel ได้เปิดเว็บไซต์ใหม่เพื่อแสดงกระบวนการ 18A และกำลังเตรียมเปิดตัวโปรเซสเซอร์ Panther Lake สำหรับผู้บริโภคในช่วงกลางปี 2025 สิ่งที่น่าสนใจคือการที่ Broadcom และ Nvidia ยังคงให้ความสนใจและทดลองใช้กระบวนการผลิตนี้ โดยทั้งสองบริษัทกำลังพยายามเข้าใจและประเมินความสามารถของกระบวนการ 18A ในการผลิตชิปที่มีประสิทธิภาพสูง นอกจากนี้ Intel ยังต้องการล็อกลูกค้ารายใหญ่สำหรับกระบวนการผลิตใหม่ของพวกเขาเพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดได้ และพวกเขาคาดว่าจะต้องใช้เวลาในการสร้างกำ https://www.tomshardware.com/tech-industry/nvidia-and-broadcom-continue-trialing-intel-18a-test-chips-report
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 55 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีปัญหาการทดสอบประสิทธิภาพการประมวลผลของการ์ดจอ Nvidia RTX 50 ที่เกิดจากการขาดการสนับสนุน OpenCL 32 บิต โดย PassMark ได้ออกมาอธิบายว่าผลการทดสอบที่ไม่น่าพอใจของการ์ดจอ RTX 50 ใน Direct Compute benchmark นั้นเกิดจากการที่โค้ดบางส่วนยังใช้ไลบรารีหรือโมดูล 32 บิตที่ถูกเขียนขึ้นสำหรับระบบ 32 บิต

    หลังจากที่ Nvidia ได้หยุดสนับสนุน CUDA 32 บิตตั้งแต่ CUDA 12.0 เป็นต้นมา เทคโนโลยีที่ถูกสร้างขึ้นบนแพลตฟอร์มนี้ เช่น PhysX ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน โดยโปรแกรมที่เขียนด้วย CUDA 32 บิตยังคงสามารถทำงานได้บนการ์ดจอ RTX 40 หรือต่ำกว่า แต่เมื่อมาทำงานบนการ์ดจอ RTX 50 โค้ดเก่าจะต้องถอยกลับมาทำงานบน CPU แทน ซึ่งจะทำให้การประมวลผลช้าลงมาก

    สิ่งที่น่าสนใจคือ ทีมงาน PassMark พบว่าการขาดการสนับสนุน OpenCL 32 บิตนั้นมีผลกระทบต่อประสิทธิภาพการประมวลผลของการ์ดจอ Nvidia Blackwell และรุ่นถัดไปอย่างชัดเจน โดย Nvidia ได้ยืนยันว่าโค้ดที่เขียนสำหรับสภาพแวดล้อม 32 บิตจะไม่สามารถทำงานบนการ์ดจอ RTX 50 ได้อีกต่อไป หากไม่ทำการเปลี่ยนแปลงโค้ดให้รองรับ 64 บิต

    อย่างไรก็ตาม PassMark ได้อัปเดตการทดสอบ PerformanceTest รุ่นล่าสุดให้สามารถรองรับการทำงานในโหมด 64 บิตได้ทั้งหมด ซึ่งทำให้ปัญหานี้ถูกแก้ไขได้ภายในเวลาประมาณหนึ่งสัปดาห์


    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidias-poor-rtx-50-compute-test-results-due-to-missing-32-bit-opencl-support-says-passmark
    มีปัญหาการทดสอบประสิทธิภาพการประมวลผลของการ์ดจอ Nvidia RTX 50 ที่เกิดจากการขาดการสนับสนุน OpenCL 32 บิต โดย PassMark ได้ออกมาอธิบายว่าผลการทดสอบที่ไม่น่าพอใจของการ์ดจอ RTX 50 ใน Direct Compute benchmark นั้นเกิดจากการที่โค้ดบางส่วนยังใช้ไลบรารีหรือโมดูล 32 บิตที่ถูกเขียนขึ้นสำหรับระบบ 32 บิต หลังจากที่ Nvidia ได้หยุดสนับสนุน CUDA 32 บิตตั้งแต่ CUDA 12.0 เป็นต้นมา เทคโนโลยีที่ถูกสร้างขึ้นบนแพลตฟอร์มนี้ เช่น PhysX ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน โดยโปรแกรมที่เขียนด้วย CUDA 32 บิตยังคงสามารถทำงานได้บนการ์ดจอ RTX 40 หรือต่ำกว่า แต่เมื่อมาทำงานบนการ์ดจอ RTX 50 โค้ดเก่าจะต้องถอยกลับมาทำงานบน CPU แทน ซึ่งจะทำให้การประมวลผลช้าลงมาก สิ่งที่น่าสนใจคือ ทีมงาน PassMark พบว่าการขาดการสนับสนุน OpenCL 32 บิตนั้นมีผลกระทบต่อประสิทธิภาพการประมวลผลของการ์ดจอ Nvidia Blackwell และรุ่นถัดไปอย่างชัดเจน โดย Nvidia ได้ยืนยันว่าโค้ดที่เขียนสำหรับสภาพแวดล้อม 32 บิตจะไม่สามารถทำงานบนการ์ดจอ RTX 50 ได้อีกต่อไป หากไม่ทำการเปลี่ยนแปลงโค้ดให้รองรับ 64 บิต อย่างไรก็ตาม PassMark ได้อัปเดตการทดสอบ PerformanceTest รุ่นล่าสุดให้สามารถรองรับการทำงานในโหมด 64 บิตได้ทั้งหมด ซึ่งทำให้ปัญหานี้ถูกแก้ไขได้ภายในเวลาประมาณหนึ่งสัปดาห์ https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidias-poor-rtx-50-compute-test-results-due-to-missing-32-bit-opencl-support-says-passmark
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 50 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีข่าวใหม่จาก Tom's Hardware เกี่ยวกับโปรเซสเซอร์รุ่นต่อไปของ Qualcomm, Snapdragon X2 ที่จะมาพร้อมกับคอร์ที่เพิ่มขึ้นจาก 12 เป็น 18 คอร์ ข้อมูลนี้เผยแพร่โดยเว็บไซต์ WinFuture ของเยอรมัน ซึ่งยังระบุว่าโปรเซสเซอร์ SC8480XP รุ่นใหม่นี้ จะมีการผสานรวม RAM ขนาด 48GB ของ SK hynix และ SSD ขนาด 1TB บนระบบในแพ็คเกจ (SiP) รวมถึงการทดสอบระบบระบายความร้อนที่มีขนาด 120 มิลลิเมตร

    โปรเซสเซอร์ Snapdragon X2 นี้ยังได้รับการออกแบบมาเพื่อนำเสนอประสิทธิภาพที่สูงขึ้นสำหรับแล็ปท็อประดับไฮเอนด์และเดสก์ท็อป ด้วยคอร์ที่เพิ่มขึ้น 50% จากรุ่นก่อน ซึ่งสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในการประมวลผลหลายงานได้มากขึ้น

    นอกจากนี้ Qualcomm ยังมีแผนที่จะเปิดตัวโปรเซสเซอร์นี้ในแบรนด์ใหม่ "Snapdragon X2 Ultra Premium" ซึ่งคาดว่าจะมีการนำเสนอในงาน Mobile World Congress (MWC) ที่บาร์เซโลนา

    การเพิ่มจำนวนคอร์ในโปรเซสเซอร์ Snapdragon X2 นี้ จะช่วยเพิ่มความสามารถในการทำงานในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเล่นเกมที่ต้องการกราฟิกที่สูง การทำงานที่ต้องการการประมวลผลหลายงาน หรือการใช้โปรแกรมที่ต้องการทรัพยากรสูง

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/next-gen-snapdragon-x2-chips-for-pcs-to-boost-core-count-from-12-to-18-says-report
    มีข่าวใหม่จาก Tom's Hardware เกี่ยวกับโปรเซสเซอร์รุ่นต่อไปของ Qualcomm, Snapdragon X2 ที่จะมาพร้อมกับคอร์ที่เพิ่มขึ้นจาก 12 เป็น 18 คอร์ ข้อมูลนี้เผยแพร่โดยเว็บไซต์ WinFuture ของเยอรมัน ซึ่งยังระบุว่าโปรเซสเซอร์ SC8480XP รุ่นใหม่นี้ จะมีการผสานรวม RAM ขนาด 48GB ของ SK hynix และ SSD ขนาด 1TB บนระบบในแพ็คเกจ (SiP) รวมถึงการทดสอบระบบระบายความร้อนที่มีขนาด 120 มิลลิเมตร โปรเซสเซอร์ Snapdragon X2 นี้ยังได้รับการออกแบบมาเพื่อนำเสนอประสิทธิภาพที่สูงขึ้นสำหรับแล็ปท็อประดับไฮเอนด์และเดสก์ท็อป ด้วยคอร์ที่เพิ่มขึ้น 50% จากรุ่นก่อน ซึ่งสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในการประมวลผลหลายงานได้มากขึ้น นอกจากนี้ Qualcomm ยังมีแผนที่จะเปิดตัวโปรเซสเซอร์นี้ในแบรนด์ใหม่ "Snapdragon X2 Ultra Premium" ซึ่งคาดว่าจะมีการนำเสนอในงาน Mobile World Congress (MWC) ที่บาร์เซโลนา การเพิ่มจำนวนคอร์ในโปรเซสเซอร์ Snapdragon X2 นี้ จะช่วยเพิ่มความสามารถในการทำงานในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเล่นเกมที่ต้องการกราฟิกที่สูง การทำงานที่ต้องการการประมวลผลหลายงาน หรือการใช้โปรแกรมที่ต้องการทรัพยากรสูง https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/next-gen-snapdragon-x2-chips-for-pcs-to-boost-core-count-from-12-to-18-says-report
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Next-gen Snapdragon X2 chips for PCs to boost core count from 12 to 18, says report
    And the first 'Oryon v3' chip may be the previously flagged SC8480XP.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 60 มุมมอง 0 รีวิว
  • Nvidia ได้ปล่อย Hotfix Driver รุ่น 572.65 เพื่อแก้ปัญหาหน้าจอดำหลังจากการอัปเดตไดรเวอร์รุ่น 572.60 ที่ปล่อยออกมาเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ไดรเวอร์นี้มีความสำคัญเนื่องจากผู้ใช้หลายรายยังคงประสบปัญหาหน้าจอดำเมื่อใช้การเชื่อมต่อผ่าน DisplayPort กับมอนิเตอร์บางรุ่น

    Nvidia ได้ระบุว่าไดรเวอร์ GeForce นั้นเป็นซอฟต์แวร์ที่ซับซ้อนมาก โดยมีทีมงานวิศวกรซอฟต์แวร์ขนาดใหญ่ที่ทำงานเพิ่มฟีเจอร์และแก้ไขข้อบกพร่องอย่างต่อเนื่อง การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบคุณภาพขนาดใหญ่ก่อนที่จะปล่อยให้ผู้ใช้ทั่วไป

    แม้ว่าไดรเวอร์รุ่น 572.60 จะมีการแก้ปัญหาหลายอย่างเกี่ยวกับหน้าจอดำสำหรับการ์ดจอ RTX 50 Series แต่การแก้ไขนี้ไม่ครอบคลุมถึงการ์ดจอรุ่นอื่น ๆ ทำให้มีผู้ใช้หลายรายที่ยังคงประสบปัญหาอยู่ ซึ่ง Hotfix Driver รุ่น 572.65 นี้ได้ขยายการแก้ไขปัญหาให้ครอบคลุมการ์ดจอรุ่นอื่น ๆ ด้วย เช่น RTX 3060, RTX 4090, และ RTX 5070 Ti

    สิ่งที่น่าสนใจคือ Nvidia ยังคงสามารถปล่อย Hotfix ได้อย่างรวดเร็วเพื่อแก้ปัญหาที่ผู้ใช้ประสบอยู่ และในขณะเดียวกันยังคงเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ ๆ อย่างเช่น DLSS 4 และ Multi Frame Generation (MFG) ในเกม Naraka: Bladepoint รวมถึงการรองรับมอนิเตอร์ G-Sync Compatible เพิ่มอีก 29 รุ่น

    การเปิดตัว Hotfix Driver รุ่น 572.65 นี้จึงเป็นการตอบสนองที่ดีของ Nvidia ในการแก้ไขปัญหาหน้าจอดำที่ยังคงมีอยู่ และเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพของการ์ดจอให้ดียิ่งขึ้น

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpu-drivers/nvidia-hotfix-arrives-to-address-black-screen-issues-remaining-after-thursdays-driver-release
    Nvidia ได้ปล่อย Hotfix Driver รุ่น 572.65 เพื่อแก้ปัญหาหน้าจอดำหลังจากการอัปเดตไดรเวอร์รุ่น 572.60 ที่ปล่อยออกมาเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ไดรเวอร์นี้มีความสำคัญเนื่องจากผู้ใช้หลายรายยังคงประสบปัญหาหน้าจอดำเมื่อใช้การเชื่อมต่อผ่าน DisplayPort กับมอนิเตอร์บางรุ่น Nvidia ได้ระบุว่าไดรเวอร์ GeForce นั้นเป็นซอฟต์แวร์ที่ซับซ้อนมาก โดยมีทีมงานวิศวกรซอฟต์แวร์ขนาดใหญ่ที่ทำงานเพิ่มฟีเจอร์และแก้ไขข้อบกพร่องอย่างต่อเนื่อง การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบคุณภาพขนาดใหญ่ก่อนที่จะปล่อยให้ผู้ใช้ทั่วไป แม้ว่าไดรเวอร์รุ่น 572.60 จะมีการแก้ปัญหาหลายอย่างเกี่ยวกับหน้าจอดำสำหรับการ์ดจอ RTX 50 Series แต่การแก้ไขนี้ไม่ครอบคลุมถึงการ์ดจอรุ่นอื่น ๆ ทำให้มีผู้ใช้หลายรายที่ยังคงประสบปัญหาอยู่ ซึ่ง Hotfix Driver รุ่น 572.65 นี้ได้ขยายการแก้ไขปัญหาให้ครอบคลุมการ์ดจอรุ่นอื่น ๆ ด้วย เช่น RTX 3060, RTX 4090, และ RTX 5070 Ti สิ่งที่น่าสนใจคือ Nvidia ยังคงสามารถปล่อย Hotfix ได้อย่างรวดเร็วเพื่อแก้ปัญหาที่ผู้ใช้ประสบอยู่ และในขณะเดียวกันยังคงเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ ๆ อย่างเช่น DLSS 4 และ Multi Frame Generation (MFG) ในเกม Naraka: Bladepoint รวมถึงการรองรับมอนิเตอร์ G-Sync Compatible เพิ่มอีก 29 รุ่น การเปิดตัว Hotfix Driver รุ่น 572.65 นี้จึงเป็นการตอบสนองที่ดีของ Nvidia ในการแก้ไขปัญหาหน้าจอดำที่ยังคงมีอยู่ และเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพของการ์ดจอให้ดียิ่งขึ้น https://www.tomshardware.com/pc-components/gpu-drivers/nvidia-hotfix-arrives-to-address-black-screen-issues-remaining-after-thursdays-driver-release
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Nvidia Hotfix arrives to address black screen issues remaining after Thursday's driver release
    "A GeForce driver is an incredibly complex piece of software," bleats the green team.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 88 มุมมอง 0 รีวิว
  • AMD จะไม่รองรับ ROCm สำหรับการ์ดกราฟิก RDNA 4 ที่จะเปิดตัวใหม่ในช่วงแรกของการเปิดตัว RDNA 4 ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมกราฟิกใหม่ล่าสุดของ AMD มีกำหนดเปิดตัวในเดือนมีนาคมนี้ การขาดการสนับสนุน ROCm อาจใช้เวลาหลายวัน สัปดาห์ หรือแม้กระทั่งเดือนกว่าที่จะได้รับการรองรับอย่างเป็นทางการ

    ROCm หรือ Radeon Open Compute Ecosystem เป็นซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สของ AMD ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อรองรับการทำงานแบบ HPC และ AI สำหรับผลิตภัณฑ์ระดับผู้บริโภค ROCm ได้รับการเปิดตัวครั้งแรกในภาคธุรกิจมืออาชีพ แต่ยังคงล้าหลังเมื่อเทียบกับ CUDA ของ Nvidia ซึ่งมีการรองรับสำหรับผลิตภัณฑ์ผู้บริโภคตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรก

    การ์ดกราฟิก RX 9070 XT และ RX 9070 อาจไม่ได้รับการรองรับ ROCm อย่างเป็นทางการในช่วงเปิดตัว แต่ไม่ได้หมายความว่าการใช้งานซอฟต์แวร์นี้จะไม่ทำงานได้เลย

    สิ่งที่น่าสนใจคือแม้ว่า ROCm จะไม่ได้รับการรองรับทันทีในช่วงเปิดตัว แต่การพัฒนาของ RDNA 4 ยังคงมีความสำคัญและนำเสนอคุณสมบัติที่น่าตื่นเต้นมากมาย AMD กำลังมุ่งมั่นในการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ และขยายการสนับสนุนซอฟต์แวร์เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นของผู้ใช้งาน

    เป็นเรื่องที่น่าติดตามว่า AMD จะจัดการกับการรองรับ ROCm สำหรับการ์ดกราฟิก RDNA 4 อย่างไร และการพัฒนานี้จะมีผลกระทบต่อวงการการ์ดกราฟิกและเทคโนโลยีอย่างไรบ้าง

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/amds-software-stack-remains-a-weak-spot-rocm-wont-support-rdna-4-at-launch
    AMD จะไม่รองรับ ROCm สำหรับการ์ดกราฟิก RDNA 4 ที่จะเปิดตัวใหม่ในช่วงแรกของการเปิดตัว RDNA 4 ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมกราฟิกใหม่ล่าสุดของ AMD มีกำหนดเปิดตัวในเดือนมีนาคมนี้ การขาดการสนับสนุน ROCm อาจใช้เวลาหลายวัน สัปดาห์ หรือแม้กระทั่งเดือนกว่าที่จะได้รับการรองรับอย่างเป็นทางการ ROCm หรือ Radeon Open Compute Ecosystem เป็นซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สของ AMD ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อรองรับการทำงานแบบ HPC และ AI สำหรับผลิตภัณฑ์ระดับผู้บริโภค ROCm ได้รับการเปิดตัวครั้งแรกในภาคธุรกิจมืออาชีพ แต่ยังคงล้าหลังเมื่อเทียบกับ CUDA ของ Nvidia ซึ่งมีการรองรับสำหรับผลิตภัณฑ์ผู้บริโภคตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรก การ์ดกราฟิก RX 9070 XT และ RX 9070 อาจไม่ได้รับการรองรับ ROCm อย่างเป็นทางการในช่วงเปิดตัว แต่ไม่ได้หมายความว่าการใช้งานซอฟต์แวร์นี้จะไม่ทำงานได้เลย สิ่งที่น่าสนใจคือแม้ว่า ROCm จะไม่ได้รับการรองรับทันทีในช่วงเปิดตัว แต่การพัฒนาของ RDNA 4 ยังคงมีความสำคัญและนำเสนอคุณสมบัติที่น่าตื่นเต้นมากมาย AMD กำลังมุ่งมั่นในการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ และขยายการสนับสนุนซอฟต์แวร์เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นของผู้ใช้งาน เป็นเรื่องที่น่าติดตามว่า AMD จะจัดการกับการรองรับ ROCm สำหรับการ์ดกราฟิก RDNA 4 อย่างไร และการพัฒนานี้จะมีผลกระทบต่อวงการการ์ดกราฟิกและเทคโนโลยีอย่างไรบ้าง https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/amds-software-stack-remains-a-weak-spot-rocm-wont-support-rdna-4-at-launch
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 75 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีข่าวเกี่ยวกับความก้าวหน้าของ Samsung ในการผลิตชิป 2 นาโนเมตร (2 nm) โดยบริษัทนี้กำลังเตรียมที่จะเริ่มการผลิตในระดับอุตสาหกรรมในช่วงปลายปี 2025

    ในช่วงหกเดือนที่ผ่านมา โรงงานของ Samsung ประสบปัญหามากมายในการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตชิปแบบ Gate-All-Around (GAA) ขนาด 3 นาโนเมตร ทำให้บริษัทต้องเลิกพัฒนาชิป 3 นาโนเมตรและหันไปพัฒนาชิป 2 นาโนเมตรแทน ซึ่งขณะนี้ทีมงาน Samsung กำลังอยู่ในกระบวนการปรับปรุงสายการผลิตที่โรงงานใน Hwaseong และคาดว่าจะเริ่มการผลิตในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้

    ที่น่าสนใจคือ ทาง TSMC ซึ่งเป็นคู่แข่งหลักของ Samsung ก็กำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนาชิป 2 นาโนเมตรเช่นกัน และคาดว่าจะเริ่มการผลิตในช่วงเวลาเดียวกัน แม้ว่าขณะนี้ TSMC จะมีผลสำเร็จในการพัฒนาชิปนี้มากกว่า แต่ก็ยังไม่มีอะไรแน่นอนจนกว่าจะถึงช่วงเวลาการผลิตจริง

    นอกจากนั้น การที่ Samsung ได้ยกระดับการผลิตชิป 4 นาโนเมตร ซึ่งมีอัตราสำเร็จสูงถึง 80% ถือเป็นสัญญาณที่ดีว่าการพัฒนาชิป 2 นาโนเมตรอาจเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น

    https://www.techpowerup.com/333329/samsung-reportedly-progressing-well-with-2-nm-gaa-yields-late-2025-mass-production-phase-looms
    มีข่าวเกี่ยวกับความก้าวหน้าของ Samsung ในการผลิตชิป 2 นาโนเมตร (2 nm) โดยบริษัทนี้กำลังเตรียมที่จะเริ่มการผลิตในระดับอุตสาหกรรมในช่วงปลายปี 2025 ในช่วงหกเดือนที่ผ่านมา โรงงานของ Samsung ประสบปัญหามากมายในการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตชิปแบบ Gate-All-Around (GAA) ขนาด 3 นาโนเมตร ทำให้บริษัทต้องเลิกพัฒนาชิป 3 นาโนเมตรและหันไปพัฒนาชิป 2 นาโนเมตรแทน ซึ่งขณะนี้ทีมงาน Samsung กำลังอยู่ในกระบวนการปรับปรุงสายการผลิตที่โรงงานใน Hwaseong และคาดว่าจะเริ่มการผลิตในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ที่น่าสนใจคือ ทาง TSMC ซึ่งเป็นคู่แข่งหลักของ Samsung ก็กำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนาชิป 2 นาโนเมตรเช่นกัน และคาดว่าจะเริ่มการผลิตในช่วงเวลาเดียวกัน แม้ว่าขณะนี้ TSMC จะมีผลสำเร็จในการพัฒนาชิปนี้มากกว่า แต่ก็ยังไม่มีอะไรแน่นอนจนกว่าจะถึงช่วงเวลาการผลิตจริง นอกจากนั้น การที่ Samsung ได้ยกระดับการผลิตชิป 4 นาโนเมตร ซึ่งมีอัตราสำเร็จสูงถึง 80% ถือเป็นสัญญาณที่ดีว่าการพัฒนาชิป 2 นาโนเมตรอาจเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น https://www.techpowerup.com/333329/samsung-reportedly-progressing-well-with-2-nm-gaa-yields-late-2025-mass-production-phase-looms
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Samsung Reportedly Progressing Well with 2 nm GAA Yields, Late 2025 Mass Production Phase Looms
    Samsung's foundry operation has experienced many setbacks over the past six months, according to a steady feed of insider reports. Last November, industry moles leaked details of an apparent abandonment of the company's 3 nm Gate-All-Around (GAA) process. Significant yield problems prompted an alleg...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 65 มุมมอง 0 รีวิว
  • Explore The Wide Expanse Of Synonyms For “Multiverse”

    All of space as we know it makes up the universe. The universe is gargantuan and is home to an untold number of galaxies, stars, and planets. But what if there were two universes? Or five? Or five hundred? We aren’t just talking about the universe anymore. We are talking about the multiverse, the theoretical collection of our universe plus all those other universes out there (including the one that has an evil version of you, but with a goatee—or is clean-shaven if you already have a goatee). Multiverse is a term used both in science and science fiction to refer to the idea of other existing universes. It’s not the only such term, though. We’ve scoured the lexicological multiverse to find a collection of ways that we refer to the possible worlds beyond.

    parallel universes

    The term parallel universe is used in science to refer to other hypothetical universes that exist alongside ours. We can’t see or interact with these universes in any way; they don’t exist in our universe, but they may exist … somewhere. Scientists have many theories about parallel universes. One of the more popular theories is that every possibility that could have happened has—in another parallel universe somewhere.

    megaverse

    The term megaverse is used, particularly in science fiction, to refer to a humongous universe that contains many multiverses within it. This grandiose-sounding word is often used to refer collectively to all of the parallel universes and multiverses that exist within a given fictional reality or possibly even within our own.

    omniverse

    A megaverse isn’t big enough for you? Then, you need an omniverse. The word omniverse is often used in science fiction to refer to all of reality and includes all of the universes, multiverses, pocket dimensions, celestial realms, and anything else that makes up existence. In comic books, Marvel and Marvel fans collectively refer to all universes that have existed and will ever exist (including our reality and other fictional multiverses) as the omniverse. So while Spider-Man (a Marvel character) and Batman (DC) may not exist in the same universe, multiverse, or megaverse, they (and every other fictional character) are part of the omniverse.

    other dimensions

    In science and mathematics, the term dimension is used to describe space and time. For example, our everyday lives involve three spatial dimensions (height, width, and depth) and time exists as the fourth dimension.

    In science fiction, technology often allows people to discover other dimensions and use them to explore places that we can’t while limited to only the four dimensions we know about. The places that this technology allows them to travel to are often referred to as “other dimensions” or a fifth dimension. Because these travelers are already breaking the laws of physics, these other dimensions can often get pretty weird and abstract.

    alternate realities

    The abstract word reality is used to collectively describe everything that exists or isn’t fictional. An alternate reality is a reality that exists beyond the one we experience right now. In popular culture, this term is often used interchangeably with similar words, like parallel universe. Because alternate realities are not the same reality we know, they don’t follow the laws of physics and can be pretty magical. For example, the Harry Potter series takes place in an alternate reality of our world in which witches, wizards, and magical creatures are real.

    parallel timelines

    The word timeline is used to describe a chronological series of events. For example, the Egyptian empire existed thousands of years ago in our timeline. A major theme in popular culture is the possibility of parallel or alternate timelines. The most common and basic version of this concept describes time as a tree with major events causing time to split into multiple branches, each branch containing the timelines that include the different possible outcomes of that event.

    The concept of parallel and alternate timelines can often get very confusing, particularly in fiction featuring time travel that explores changes in history due to these alternate timelines. Less seriously, the idea of parallel timelines is often jokingly used to explain the Mandela Effect (when a large number of people share a false memory) and the Berenstein (not Berenstain) Bears books we all remember reading in what was clearly an alternate timeline.

    alternate planes of existence

    The word plane is generally used in mathematics to refer to a flat two-dimensional surface. Outside of math, the word plane is sometimes used to describe alternate realities or “planes of existence” as if they were planes of glass placed alongside each other. For example, Buddhist teachings include the idea of 31 “planes” or “lands” that a person travels through in the cycle of life and death: our mortal plane and 30 others that belong to spiritual beings.

    In popular culture, the word plane is often used to refer to alternate words that are home to strange creatures or different rules of reality. For example, Dungeons and Dragons has a strange Plane of Mirrors that is home to dangerous monsters and allows travel through mirrors.

    other realms

    The word realm refers to a region where something happens. In our real world, the word realm is sometimes used in the phrase quantum realm to refer to the subatomic part of reality that is home to very small and very confusing things. In brief, the quantum realm seems to be a place where normally impossible things may be possible, such as particles existing in multiple places at once.

    Outside of science, the word realm is often used in popular culture, theology, spiritual, and paranormal science to refer to places beyond our reality. For example, the idea of a spirit realm that is home to ghosts and souls of the dead is common in religion and spirituality. Other stories and belief systems tell of realms beyond our world, such as the realm of fairies, the realm of elves, or the realms of gods such as Olympus or Asgard.

    isekai

    Isekai, which translates to “different word” or “another world,” is a popular Japanese fiction genre that features characters who are transported from our world to another one. Isekai stories are similar to classic stories, like Alice in Wonderland or The Wizard of Oz, in which a character winds up in a strange new world.

    In isekai fiction, sometimes characters travel back in time or travel to those alternate timelines we mentioned before. Some other possible destinations in isekai stories include the demon realm, a classical medieval fantasy world with dragons and magic, or even the world of a video game.

    Based on how often it comes up in popular culture, the possibility that other universes besides our own exist somewhere has mesmerized us for quite a long time. This idea is also still a frequent topic of discussion among scientists, too, which has led to theories like the many-worlds interpretation that try to explain how a multiverse might work if it is actually real. If you are curious as to what science has to say about all this multiverse madness, check out our discussion of the language about the multiverse.

    Copyright 2025, AAKKHRA, All Rights Reserved.
    Explore The Wide Expanse Of Synonyms For “Multiverse” All of space as we know it makes up the universe. The universe is gargantuan and is home to an untold number of galaxies, stars, and planets. But what if there were two universes? Or five? Or five hundred? We aren’t just talking about the universe anymore. We are talking about the multiverse, the theoretical collection of our universe plus all those other universes out there (including the one that has an evil version of you, but with a goatee—or is clean-shaven if you already have a goatee). Multiverse is a term used both in science and science fiction to refer to the idea of other existing universes. It’s not the only such term, though. We’ve scoured the lexicological multiverse to find a collection of ways that we refer to the possible worlds beyond. parallel universes The term parallel universe is used in science to refer to other hypothetical universes that exist alongside ours. We can’t see or interact with these universes in any way; they don’t exist in our universe, but they may exist … somewhere. Scientists have many theories about parallel universes. One of the more popular theories is that every possibility that could have happened has—in another parallel universe somewhere. megaverse The term megaverse is used, particularly in science fiction, to refer to a humongous universe that contains many multiverses within it. This grandiose-sounding word is often used to refer collectively to all of the parallel universes and multiverses that exist within a given fictional reality or possibly even within our own. omniverse A megaverse isn’t big enough for you? Then, you need an omniverse. The word omniverse is often used in science fiction to refer to all of reality and includes all of the universes, multiverses, pocket dimensions, celestial realms, and anything else that makes up existence. In comic books, Marvel and Marvel fans collectively refer to all universes that have existed and will ever exist (including our reality and other fictional multiverses) as the omniverse. So while Spider-Man (a Marvel character) and Batman (DC) may not exist in the same universe, multiverse, or megaverse, they (and every other fictional character) are part of the omniverse. other dimensions In science and mathematics, the term dimension is used to describe space and time. For example, our everyday lives involve three spatial dimensions (height, width, and depth) and time exists as the fourth dimension. In science fiction, technology often allows people to discover other dimensions and use them to explore places that we can’t while limited to only the four dimensions we know about. The places that this technology allows them to travel to are often referred to as “other dimensions” or a fifth dimension. Because these travelers are already breaking the laws of physics, these other dimensions can often get pretty weird and abstract. alternate realities The abstract word reality is used to collectively describe everything that exists or isn’t fictional. An alternate reality is a reality that exists beyond the one we experience right now. In popular culture, this term is often used interchangeably with similar words, like parallel universe. Because alternate realities are not the same reality we know, they don’t follow the laws of physics and can be pretty magical. For example, the Harry Potter series takes place in an alternate reality of our world in which witches, wizards, and magical creatures are real. parallel timelines The word timeline is used to describe a chronological series of events. For example, the Egyptian empire existed thousands of years ago in our timeline. A major theme in popular culture is the possibility of parallel or alternate timelines. The most common and basic version of this concept describes time as a tree with major events causing time to split into multiple branches, each branch containing the timelines that include the different possible outcomes of that event. The concept of parallel and alternate timelines can often get very confusing, particularly in fiction featuring time travel that explores changes in history due to these alternate timelines. Less seriously, the idea of parallel timelines is often jokingly used to explain the Mandela Effect (when a large number of people share a false memory) and the Berenstein (not Berenstain) Bears books we all remember reading in what was clearly an alternate timeline. alternate planes of existence The word plane is generally used in mathematics to refer to a flat two-dimensional surface. Outside of math, the word plane is sometimes used to describe alternate realities or “planes of existence” as if they were planes of glass placed alongside each other. For example, Buddhist teachings include the idea of 31 “planes” or “lands” that a person travels through in the cycle of life and death: our mortal plane and 30 others that belong to spiritual beings. In popular culture, the word plane is often used to refer to alternate words that are home to strange creatures or different rules of reality. For example, Dungeons and Dragons has a strange Plane of Mirrors that is home to dangerous monsters and allows travel through mirrors. other realms The word realm refers to a region where something happens. In our real world, the word realm is sometimes used in the phrase quantum realm to refer to the subatomic part of reality that is home to very small and very confusing things. In brief, the quantum realm seems to be a place where normally impossible things may be possible, such as particles existing in multiple places at once. Outside of science, the word realm is often used in popular culture, theology, spiritual, and paranormal science to refer to places beyond our reality. For example, the idea of a spirit realm that is home to ghosts and souls of the dead is common in religion and spirituality. Other stories and belief systems tell of realms beyond our world, such as the realm of fairies, the realm of elves, or the realms of gods such as Olympus or Asgard. isekai Isekai, which translates to “different word” or “another world,” is a popular Japanese fiction genre that features characters who are transported from our world to another one. Isekai stories are similar to classic stories, like Alice in Wonderland or The Wizard of Oz, in which a character winds up in a strange new world. In isekai fiction, sometimes characters travel back in time or travel to those alternate timelines we mentioned before. Some other possible destinations in isekai stories include the demon realm, a classical medieval fantasy world with dragons and magic, or even the world of a video game. Based on how often it comes up in popular culture, the possibility that other universes besides our own exist somewhere has mesmerized us for quite a long time. This idea is also still a frequent topic of discussion among scientists, too, which has led to theories like the many-worlds interpretation that try to explain how a multiverse might work if it is actually real. If you are curious as to what science has to say about all this multiverse madness, check out our discussion of the language about the multiverse. Copyright 2025, AAKKHRA, All Rights Reserved.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 240 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตอนที่.1 #USAID สัตว์ร้ายที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้หน้ากากของ ‘มนุษยธรรม’
    Written by Drago Bosnic

    ยุทธศาสตร์ครอบงำโลกของสหรัฐอเมริกาเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ที่ซับซ้อนที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ เมื่อพยายามนึกภาพอำนาจของสหรัฐอเมริกาเรามักจะนึกถึงเรือบรรทุกเครื่องบิน เครื่องบินขับไล่ รถถัง นาวิกโยธิน ฯลฯ

    ในความเป็นจริงระบบราชการขนาดใหญ่ของอเมริกาแทบจะทำลายล้างประเทศเป้าหมายเสมอก่อนที่จะมีการตัดสินใจอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการดำเนินการทางทหารโดยตรง
    เพื่อจุดประสงค์สิ่งนั้นหน่วยข่าวกรองจำนวนมากของไอ้กุ้ยโลกจึงมีความจำเป็น
    https://t.me/rtnews/81104

    อย่างไรก็ตามเพื่อรักษาการปฏิเสธที่สมเหตุสมผล หน่วยงานข่าวกรองเหล่านี้มักจะใช้ตัวแทนต่างๆ โดยเฉพาะองค์กรพัฒนาเอกชน หรือแม้แต่สถาบันของกระทรวงการต่างประเทศเมื่อมีความจำเป็นเกิดขึ้น หนึ่งในนั้นก็คือหน่วยงานเพื่อการพัฒนาการระหว่างประเทศของสหรัฐฯ หรือเรียกสั้นๆ ว่า USAID ที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่

    งบประมาณของหน่วยงานที่น่าอับอายนี้อยู่ที่ประมาณ 5 หมื่นล้านดอลลาร์อย่างเป็นทางการ แม้ว่าตัวเลขจริงอาจสูงกว่านี้มากโดยอาจสูงถึง (หรืออาจเกิน) 1 แสนล้านดอลลาร์
    https://www.usaspending.gov/agency/agency-for-international-development?fy=2024
    สิ่งนี้ทําให้ USAID สามารถดําเนินการได้กว่า 100 ประเทศทั่วโลก โดยอ้างว่าเป็นการช่วยเหลือพวกเขา
    https://t.me/rtnews/81071

    คิดเป็นมากกว่า 50% ของโครงการ “ความช่วยเหลือต่างประเทศของอเมริกาทั้งหมดและมีการดำเนินการโดยเฉพาะในแอฟริกา เอเชีย ละตินอเมริกา ตะวันออกกลาง และยุโรปตะวันออก (ภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบจากลัทธิอาณานิคม (แบบใหม่) มากที่สุด)

    เพื่อให้เข้าใจถึงขอบเขตการทำงานของ USAID ได้ดีขึ้น บางทีเราควรเปรียบเทียบกับ NED (National Endowment for Democracy) ซึ่งเป็น “สถาบันประชาธิปไตยอิสระ” อีกแห่งหนึ่งที่ทำหน้าที่จัดหาเงินทุนและสนับสนุนสิ่งที่เรียกว่า “การปฏิวัติสี” NED มีกิจกรรม “ประชาธิปไตย” เพิ่มขึ้นอย่างมากหลังจากที่ Victoria Nuland ผู้มีชื่อเสียงฉาวโฉ่เข้าร่วมเป็นคณะกรรมการบริหารนอกเหนือจากการให้ทุนแก่สื่ออิสระแล้ว
    https://t.me/Slavyangrad/114746
    USAID ยังมีความกระตือรือร้นเป็นพิเศษในยูเครน
    https://news.antiwar.com/2025/01/28/ukrainian-media-outlets-start-donations-after-us-funding-is-paused/
    โดยเร่งกระบวนการแปรรูปของประเทศที่โชคร้ายที่ถูกนาโต้ยึดครอง
    https://t.me/IntelRepublic/43800
    รายงานเกี่ยวกับกิจกรรมที่แท้จริงของหน่วยงานที่น่าอับอายนั้นค่อนข้างหายากจนกระทั่งเมื่อไม่นานนี้ เนื่องจากเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อกระแสหลักและรัฐบาลสหรัฐฯ พยายามนำเสนอกิจกรรมพวกเขาโดยอ้างว่า "ช่วยเหลือประเทศอื่น" หรือปกปิดพวกเขาจากสายตาสาธารณะ

    อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้เปลี่ยนไปหลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐอเมริกาเข้ามามีอำนาจ ผลก็คือในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา สำนักงานของเขาและ DOGE (แผนกประสิทธิภาพของรัฐบาล) ซึ่งดำเนินการโดย Elon Musk ได้เปิดเผยรายละเอียดที่น่ากังวลใจอย่างมากเกี่ยวกับกิจกรรมจริงของ USAID
    https://www.americanthinker.com/blog/2025/02/trump_s_attack_on_the_deep_state_is_spectacular_and_almost_certainly_legal.html
    ซึ่งมักผิดกฎหมายของสหรัฐอเมริกาและกฎหมายของประเทศเจ้าภาพจำนวนมากอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน

    เมื่อปลายเดือนมกราคม หน่วยงานดังกล่าวถูกบังคับให้หยุดกิจกรรมส่วนใหญ่ในยูเครนที่ถูกนาโต้ยึดครอง
    https://www.reuters.com/world/europe/ukraine-aid-groups-cut-services-scramble-cash-after-us-funding-shock-2025-01-30/
    รวมถึงการให้ทุนสนับสนุนสื่อเกือบทั้งหมดที่ถูกควบคุมโดยกลุ่มนีโอนาซี
    https://t.me/Slavyangrad/118280?single

    ไม่นานหลังจากนั้น สื่ออื่นๆ ทั่วทั้งยุโรปตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้ก็เข้ามามีบทบาทในการส่งเสริมสิ่งที่เรียกว่า "ค่านิยมแบบตะวันตก" (ซึ่งเป็นการผสมผสานทางอุดมการณ์ระหว่างลัทธิเสรีนิยมสุดโต่งและความเสื่อมทรามทางศีลธรรม) ซึ่งคนส่วนใหญ่บนโลกพบว่าน่ารังเกียจอย่างยิ่ง)

    เว็บไซต์ USAID จะปิดตัวลงในเร็วๆ นี้ ขณะที่รัฐบาลทรัมป์ชุดใหม่ประกาศว่าหน่วยงานนี้จะถูกปิดตัวลงในเร็วๆ นี้
    https://www.zerohedge.com/political/usaid-website-goes-dark-trump-reportedly-plans-shift-agency-under-state-department
    ณ เวลาที่เขียนนี้ เว็บไซต์ไม่สามารถใช้งานได้จริง และแสดงข้อความเพียงว่าบุคลากรของเว็บไซต์จะถูกพักงานทั่วโลกในวันที่ 7 กุมภาพันธ์
    https://www.usaid.gov/
    แม้ว่า "พนักงานที่สำคัญ" จะได้รับแจ้งถึงชะตากรรมของตนในวันก่อนหน้านั้น คือวันที่ 6 กุมภาพันธ์ก็ตาม

    อ่านต่อตอนที่.2
    https://www.facebook.com/share/p/1DN6TtSX6u/
    ตอนที่.1 #USAID สัตว์ร้ายที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้หน้ากากของ ‘มนุษยธรรม’ Written by Drago Bosnic ยุทธศาสตร์ครอบงำโลกของสหรัฐอเมริกาเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ที่ซับซ้อนที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ เมื่อพยายามนึกภาพอำนาจของสหรัฐอเมริกาเรามักจะนึกถึงเรือบรรทุกเครื่องบิน เครื่องบินขับไล่ รถถัง นาวิกโยธิน ฯลฯ ในความเป็นจริงระบบราชการขนาดใหญ่ของอเมริกาแทบจะทำลายล้างประเทศเป้าหมายเสมอก่อนที่จะมีการตัดสินใจอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการดำเนินการทางทหารโดยตรง เพื่อจุดประสงค์สิ่งนั้นหน่วยข่าวกรองจำนวนมากของไอ้กุ้ยโลกจึงมีความจำเป็น https://t.me/rtnews/81104 อย่างไรก็ตามเพื่อรักษาการปฏิเสธที่สมเหตุสมผล หน่วยงานข่าวกรองเหล่านี้มักจะใช้ตัวแทนต่างๆ โดยเฉพาะองค์กรพัฒนาเอกชน หรือแม้แต่สถาบันของกระทรวงการต่างประเทศเมื่อมีความจำเป็นเกิดขึ้น หนึ่งในนั้นก็คือหน่วยงานเพื่อการพัฒนาการระหว่างประเทศของสหรัฐฯ หรือเรียกสั้นๆ ว่า USAID ที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ งบประมาณของหน่วยงานที่น่าอับอายนี้อยู่ที่ประมาณ 5 หมื่นล้านดอลลาร์อย่างเป็นทางการ แม้ว่าตัวเลขจริงอาจสูงกว่านี้มากโดยอาจสูงถึง (หรืออาจเกิน) 1 แสนล้านดอลลาร์ https://www.usaspending.gov/agency/agency-for-international-development?fy=2024 สิ่งนี้ทําให้ USAID สามารถดําเนินการได้กว่า 100 ประเทศทั่วโลก โดยอ้างว่าเป็นการช่วยเหลือพวกเขา https://t.me/rtnews/81071 คิดเป็นมากกว่า 50% ของโครงการ “ความช่วยเหลือต่างประเทศของอเมริกาทั้งหมดและมีการดำเนินการโดยเฉพาะในแอฟริกา เอเชีย ละตินอเมริกา ตะวันออกกลาง และยุโรปตะวันออก (ภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบจากลัทธิอาณานิคม (แบบใหม่) มากที่สุด) เพื่อให้เข้าใจถึงขอบเขตการทำงานของ USAID ได้ดีขึ้น บางทีเราควรเปรียบเทียบกับ NED (National Endowment for Democracy) ซึ่งเป็น “สถาบันประชาธิปไตยอิสระ” อีกแห่งหนึ่งที่ทำหน้าที่จัดหาเงินทุนและสนับสนุนสิ่งที่เรียกว่า “การปฏิวัติสี” NED มีกิจกรรม “ประชาธิปไตย” เพิ่มขึ้นอย่างมากหลังจากที่ Victoria Nuland ผู้มีชื่อเสียงฉาวโฉ่เข้าร่วมเป็นคณะกรรมการบริหารนอกเหนือจากการให้ทุนแก่สื่ออิสระแล้ว https://t.me/Slavyangrad/114746 USAID ยังมีความกระตือรือร้นเป็นพิเศษในยูเครน https://news.antiwar.com/2025/01/28/ukrainian-media-outlets-start-donations-after-us-funding-is-paused/ โดยเร่งกระบวนการแปรรูปของประเทศที่โชคร้ายที่ถูกนาโต้ยึดครอง https://t.me/IntelRepublic/43800 รายงานเกี่ยวกับกิจกรรมที่แท้จริงของหน่วยงานที่น่าอับอายนั้นค่อนข้างหายากจนกระทั่งเมื่อไม่นานนี้ เนื่องจากเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อกระแสหลักและรัฐบาลสหรัฐฯ พยายามนำเสนอกิจกรรมพวกเขาโดยอ้างว่า "ช่วยเหลือประเทศอื่น" หรือปกปิดพวกเขาจากสายตาสาธารณะ อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้เปลี่ยนไปหลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐอเมริกาเข้ามามีอำนาจ ผลก็คือในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา สำนักงานของเขาและ DOGE (แผนกประสิทธิภาพของรัฐบาล) ซึ่งดำเนินการโดย Elon Musk ได้เปิดเผยรายละเอียดที่น่ากังวลใจอย่างมากเกี่ยวกับกิจกรรมจริงของ USAID https://www.americanthinker.com/blog/2025/02/trump_s_attack_on_the_deep_state_is_spectacular_and_almost_certainly_legal.html ซึ่งมักผิดกฎหมายของสหรัฐอเมริกาและกฎหมายของประเทศเจ้าภาพจำนวนมากอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน เมื่อปลายเดือนมกราคม หน่วยงานดังกล่าวถูกบังคับให้หยุดกิจกรรมส่วนใหญ่ในยูเครนที่ถูกนาโต้ยึดครอง https://www.reuters.com/world/europe/ukraine-aid-groups-cut-services-scramble-cash-after-us-funding-shock-2025-01-30/ รวมถึงการให้ทุนสนับสนุนสื่อเกือบทั้งหมดที่ถูกควบคุมโดยกลุ่มนีโอนาซี https://t.me/Slavyangrad/118280?single ไม่นานหลังจากนั้น สื่ออื่นๆ ทั่วทั้งยุโรปตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้ก็เข้ามามีบทบาทในการส่งเสริมสิ่งที่เรียกว่า "ค่านิยมแบบตะวันตก" (ซึ่งเป็นการผสมผสานทางอุดมการณ์ระหว่างลัทธิเสรีนิยมสุดโต่งและความเสื่อมทรามทางศีลธรรม) ซึ่งคนส่วนใหญ่บนโลกพบว่าน่ารังเกียจอย่างยิ่ง) เว็บไซต์ USAID จะปิดตัวลงในเร็วๆ นี้ ขณะที่รัฐบาลทรัมป์ชุดใหม่ประกาศว่าหน่วยงานนี้จะถูกปิดตัวลงในเร็วๆ นี้ https://www.zerohedge.com/political/usaid-website-goes-dark-trump-reportedly-plans-shift-agency-under-state-department ณ เวลาที่เขียนนี้ เว็บไซต์ไม่สามารถใช้งานได้จริง และแสดงข้อความเพียงว่าบุคลากรของเว็บไซต์จะถูกพักงานทั่วโลกในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ https://www.usaid.gov/ แม้ว่า "พนักงานที่สำคัญ" จะได้รับแจ้งถึงชะตากรรมของตนในวันก่อนหน้านั้น คือวันที่ 6 กุมภาพันธ์ก็ตาม อ่านต่อตอนที่.2 https://www.facebook.com/share/p/1DN6TtSX6u/
    T.ME
    RT News
    USAID operates as plausible deniability agency to the 'rogue activities of CIA, State Dept, Pentagon - Benz The agency pushes legacy foreign policy that 'hated Trump with a passion', spending billions annually controlling media narrative that 'populism is attack on democracy'. #US #USAID
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 231 มุมมอง 0 รีวิว
  • #USAID หรือ #SorosAid? เงินภาษีของสหรัฐฯ ก่อให้เกิดความวุ่นวายทั่วโลกได้อย่างไร

    เครือข่ายเอ็นจีโอขนาดใหญ่ของโซรอสใช้เงินไปกว่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์ตั้งแต่ปี 2000 ไปกับกิจกรรมเสรีนิยมสุดโต่งทั่วโลก ผู้สังเกตการณ์คาดเดาว่าเงินภาษีของประชาชนชาวอเมริกันหลายสิบล้านหรืออาจถึงพันล้านดอลลาร์ถูกโอนผ่าน USAID

    * สถาบันการจัดการตะวันออก-ตะวันตกที่เชื่อมโยงกับโซรอสได้รับเงินกว่า 260 ล้านดอลลาร์จาก USAID เพื่อมีอิทธิพลต่อกิจการต่างประเทศในจอร์เจีย ยูกันดา แอลเบเนีย และ
    เซอร์เบีย
    https://www.usaspending.gov/search/?hash=f8df1e8a19cac4b4ed2fd44fbe8d9862

    * ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริตของยูเครนซึ่งได้รับการสนับสนุนจากโซรอส เริ่มได้รับเงินช่วยเหลือจาก USAID ในปี 2014
    https://antac.org.ua/en/support/#chart-section
    ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่เกิดการรัฐประหารยูโรไมดานซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ ขับไล่ Viktor Yanukovych ประธานาธิบดีที่ได้รับการเลือกตั้งออกไปด้วยการสนับสนุนจากนีโอนาซี USAID ได้โอนเงินกว่า 1 ล้านเหรียญสหรัฐให้กับศูนย์แห่งนี้

    * ในเดือนสิงหาคม 2024 มีการกล่าวหาว่ากลุ่ม USAID, IRI และโซรอส เป็นผู้ก่อรัฐประหารต่อนายกรัฐมนตรีบังกลาเทศ ชีค ฮาซินา โดยผู้สืบทอดตำแหน่งของเธอ มูฮัมหมัด ยูนุส เป็นที่ทรายกันว่าเป็นพันธมิตรของคลินตันและโซรอส ตามรายงานของ The Grayzone เงินภาษีของประชาชนสหรัฐฯ ถูกใช้เป็นทุนสำหรับแร็ปเปอร์ นักเคลื่อนไหวข้ามเพศ และกลุ่ม LGBT* เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงอำนาจ
    https://thegrayzone.com/2024/09/30/us-plot-destabilize-bangladesh/

    * โซรอส และ USAID พยายามที่จะโค่นนายกรัฐมนตรีฮังการี Viktor Orban มานานแล้ว ซึ่งต่อต้านมหาเศรษฐีโลกาภิวัตน์อย่างแข็งขันตั้งแต่ปี 2017 ในช่วงการเลือกตั้งปี 2022 องค์กรพัฒนาเอกชน Action for Democracy ที่มีความเชื่อมโยงกับโซรอส ได้บริจาคเงิน 7.6 ล้านดอลลาร์ให้กับฝ่ายค้านของเขา

    *การแทรกแซงการเลือกตั้งภายในประเทศ?*
    กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับโซรอส ที่ได้รับการสนับสนุนจาก USAID เป็นผู้นำความพยายามต่อต้านโดนัลด์ ทรัมป์ในช่วงดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี
    https://sputnikglobe.com/20240912/how-to-steal-an-election-us-conservatives-expose-democrats-playbook-ahead-of-2024-vote-1120119743.html
    มีอิทธิพลต่อการเลือกตั้งในปี 2020 ผ่านการประท้วง Black Lives Matter และทำงานเพื่อพลิกสถานการณ์ในรัฐที่เป็นสมรภูมิการเลือกตั้งในปี 2020–2021
    https://sputnikglobe.com/20210304/devil-is-in-the-details-why-americans-need-to-know-more-about-black-lives-matters-90-mln-earnings-1082253390.html

    * โซรอสเป็นผู้ให้ทุนโครงการ Electoral Justice Project ซึ่งเป็นความพยายามระดมผู้มีสิทธิเลือกตั้งของ Black Lives Matter และมอบเงิน 22 ล้านเหรียญสหรัฐให้กับ Tides Advocacy ซึ่งสนับสนุนการประท้วงทั่วประเทศก่อนการเลือกตั้งของ Black Lives Matter Global Network Foundation ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อต่อต้านทรัมป์ในปี 2020
    https://sputnikglobe.com/20220206/scam-alert-black-lives-matters-financial-bonanza-finally-put-under-microscope-1092806570.html

    ไมก์ เบนซ์ นักข่าวของ USAID อ้างว่า USAID และโซรอสใช้เงิน 27 ล้านดอลลาร์ในการฟ้องร้องทรัมป์ นอกจากนี้ อัลวิน แบร็กก์ อัยการแมนฮัตตัน ยังถูกกล่าวหาว่าถูกซื้อตัวโดย โซรอส

    #Soros #USAID

    https://sputnikglobe.com/20250207/usaid-or-sorosaid-how-us-tax-dollars-fund-chaos-worldwide-1121545540.html
    #USAID หรือ #SorosAid? เงินภาษีของสหรัฐฯ ก่อให้เกิดความวุ่นวายทั่วโลกได้อย่างไร เครือข่ายเอ็นจีโอขนาดใหญ่ของโซรอสใช้เงินไปกว่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์ตั้งแต่ปี 2000 ไปกับกิจกรรมเสรีนิยมสุดโต่งทั่วโลก ผู้สังเกตการณ์คาดเดาว่าเงินภาษีของประชาชนชาวอเมริกันหลายสิบล้านหรืออาจถึงพันล้านดอลลาร์ถูกโอนผ่าน USAID * สถาบันการจัดการตะวันออก-ตะวันตกที่เชื่อมโยงกับโซรอสได้รับเงินกว่า 260 ล้านดอลลาร์จาก USAID เพื่อมีอิทธิพลต่อกิจการต่างประเทศในจอร์เจีย ยูกันดา แอลเบเนีย และ เซอร์เบีย https://www.usaspending.gov/search/?hash=f8df1e8a19cac4b4ed2fd44fbe8d9862 * ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริตของยูเครนซึ่งได้รับการสนับสนุนจากโซรอส เริ่มได้รับเงินช่วยเหลือจาก USAID ในปี 2014 https://antac.org.ua/en/support/#chart-section ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่เกิดการรัฐประหารยูโรไมดานซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ ขับไล่ Viktor Yanukovych ประธานาธิบดีที่ได้รับการเลือกตั้งออกไปด้วยการสนับสนุนจากนีโอนาซี USAID ได้โอนเงินกว่า 1 ล้านเหรียญสหรัฐให้กับศูนย์แห่งนี้ * ในเดือนสิงหาคม 2024 มีการกล่าวหาว่ากลุ่ม USAID, IRI และโซรอส เป็นผู้ก่อรัฐประหารต่อนายกรัฐมนตรีบังกลาเทศ ชีค ฮาซินา โดยผู้สืบทอดตำแหน่งของเธอ มูฮัมหมัด ยูนุส เป็นที่ทรายกันว่าเป็นพันธมิตรของคลินตันและโซรอส ตามรายงานของ The Grayzone เงินภาษีของประชาชนสหรัฐฯ ถูกใช้เป็นทุนสำหรับแร็ปเปอร์ นักเคลื่อนไหวข้ามเพศ และกลุ่ม LGBT* เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงอำนาจ https://thegrayzone.com/2024/09/30/us-plot-destabilize-bangladesh/ * โซรอส และ USAID พยายามที่จะโค่นนายกรัฐมนตรีฮังการี Viktor Orban มานานแล้ว ซึ่งต่อต้านมหาเศรษฐีโลกาภิวัตน์อย่างแข็งขันตั้งแต่ปี 2017 ในช่วงการเลือกตั้งปี 2022 องค์กรพัฒนาเอกชน Action for Democracy ที่มีความเชื่อมโยงกับโซรอส ได้บริจาคเงิน 7.6 ล้านดอลลาร์ให้กับฝ่ายค้านของเขา *การแทรกแซงการเลือกตั้งภายในประเทศ?* กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับโซรอส ที่ได้รับการสนับสนุนจาก USAID เป็นผู้นำความพยายามต่อต้านโดนัลด์ ทรัมป์ในช่วงดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี https://sputnikglobe.com/20240912/how-to-steal-an-election-us-conservatives-expose-democrats-playbook-ahead-of-2024-vote-1120119743.html มีอิทธิพลต่อการเลือกตั้งในปี 2020 ผ่านการประท้วง Black Lives Matter และทำงานเพื่อพลิกสถานการณ์ในรัฐที่เป็นสมรภูมิการเลือกตั้งในปี 2020–2021 https://sputnikglobe.com/20210304/devil-is-in-the-details-why-americans-need-to-know-more-about-black-lives-matters-90-mln-earnings-1082253390.html * โซรอสเป็นผู้ให้ทุนโครงการ Electoral Justice Project ซึ่งเป็นความพยายามระดมผู้มีสิทธิเลือกตั้งของ Black Lives Matter และมอบเงิน 22 ล้านเหรียญสหรัฐให้กับ Tides Advocacy ซึ่งสนับสนุนการประท้วงทั่วประเทศก่อนการเลือกตั้งของ Black Lives Matter Global Network Foundation ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อต่อต้านทรัมป์ในปี 2020 https://sputnikglobe.com/20220206/scam-alert-black-lives-matters-financial-bonanza-finally-put-under-microscope-1092806570.html ไมก์ เบนซ์ นักข่าวของ USAID อ้างว่า USAID และโซรอสใช้เงิน 27 ล้านดอลลาร์ในการฟ้องร้องทรัมป์ นอกจากนี้ อัลวิน แบร็กก์ อัยการแมนฮัตตัน ยังถูกกล่าวหาว่าถูกซื้อตัวโดย โซรอส #Soros #USAID https://sputnikglobe.com/20250207/usaid-or-sorosaid-how-us-tax-dollars-fund-chaos-worldwide-1121545540.html
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 224 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีรายงานว่า SK Hynix กำลังพัฒนาเทคโนโลยีหน่วยความจำใหม่ชื่อ "LPDDR5M" ที่มีประสิทธิภาพการใช้พลังงานดีกว่ามาตรฐาน LPDDR5X ในปัจจุบัน

    รายละเอียดเกี่ยวกับ LPDDR5M ตามรายงานของ Money Today จากเกาหลีใต้, LPDDR5M เป็นหน่วยความจำที่มีความสามารถในการทำงานที่แรงดันไฟฟ้าต่ำกว่า (ประมาณ 0.98V) เมื่อเทียบกับ LPDDR5X (1.05V) ซึ่งหมายความว่ามันมีประสิทธิภาพการใช้พลังงานสูงกว่า ประมาณ 8% ที่ความเร็วสูงสุด

    เทคโนโลยีนี้เหมาะสำหรับการใช้งานในอุปกรณ์มือถือ เนื่องจากมีการออกแบบเพื่อประหยัดพลังงาน ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับอุปกรณ์ที่ต้องใช้งานแบตเตอรี่

    การพัฒนาของ SK Hynix SK Hynix ได้เปิดเผยการออกแบบ LPDDR5 Turbo (T) ตั้งแต่ปลายปี 2023 โดยเทคโนโลยีนี้ถูกโฆษณาว่าเป็นหน่วยความจำที่เร็วที่สุดในโลกสำหรับอุปกรณ์มือถือ ตอนนี้พวกเขากำลังพัฒนา LPDDR5M เพื่อเสริมสร้างและขยายกลยุทธ์ในด้านหน่วยความจำ โดย LPDDR5M ถูกคาดหวังว่าจะเป็นส่วนหนึ่งของอุปกรณ์สมาร์ทโฟนในอนาคตที่มีความสามารถ AI ในตัว

    แนวโน้มในอุตสาหกรรมหน่วยความจำ ตามรายงานของผู้เฝ้าดูอุตสาหกรรมหน่วยความจำ LPDDR5M จะเป็นการเสริมสร้างกลยุทธ์ของ SK Hynix ที่รวมถึง LPDDR5X และ LPDDR5T ที่มีอยู่ โดยหน่วยความจำ LPDDR5 รุ่นใหม่ถูกมองว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูง

    https://www.techpowerup.com/333261/sk-hynix-reportedly-developing-lpddr5m-memory-more-power-efficient-than-lpddr5x-standard
    มีรายงานว่า SK Hynix กำลังพัฒนาเทคโนโลยีหน่วยความจำใหม่ชื่อ "LPDDR5M" ที่มีประสิทธิภาพการใช้พลังงานดีกว่ามาตรฐาน LPDDR5X ในปัจจุบัน รายละเอียดเกี่ยวกับ LPDDR5M ตามรายงานของ Money Today จากเกาหลีใต้, LPDDR5M เป็นหน่วยความจำที่มีความสามารถในการทำงานที่แรงดันไฟฟ้าต่ำกว่า (ประมาณ 0.98V) เมื่อเทียบกับ LPDDR5X (1.05V) ซึ่งหมายความว่ามันมีประสิทธิภาพการใช้พลังงานสูงกว่า ประมาณ 8% ที่ความเร็วสูงสุด เทคโนโลยีนี้เหมาะสำหรับการใช้งานในอุปกรณ์มือถือ เนื่องจากมีการออกแบบเพื่อประหยัดพลังงาน ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับอุปกรณ์ที่ต้องใช้งานแบตเตอรี่ การพัฒนาของ SK Hynix SK Hynix ได้เปิดเผยการออกแบบ LPDDR5 Turbo (T) ตั้งแต่ปลายปี 2023 โดยเทคโนโลยีนี้ถูกโฆษณาว่าเป็นหน่วยความจำที่เร็วที่สุดในโลกสำหรับอุปกรณ์มือถือ ตอนนี้พวกเขากำลังพัฒนา LPDDR5M เพื่อเสริมสร้างและขยายกลยุทธ์ในด้านหน่วยความจำ โดย LPDDR5M ถูกคาดหวังว่าจะเป็นส่วนหนึ่งของอุปกรณ์สมาร์ทโฟนในอนาคตที่มีความสามารถ AI ในตัว แนวโน้มในอุตสาหกรรมหน่วยความจำ ตามรายงานของผู้เฝ้าดูอุตสาหกรรมหน่วยความจำ LPDDR5M จะเป็นการเสริมสร้างกลยุทธ์ของ SK Hynix ที่รวมถึง LPDDR5X และ LPDDR5T ที่มีอยู่ โดยหน่วยความจำ LPDDR5 รุ่นใหม่ถูกมองว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูง https://www.techpowerup.com/333261/sk-hynix-reportedly-developing-lpddr5m-memory-more-power-efficient-than-lpddr5x-standard
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    SK hynix Reportedly Developing "LPDDR5M" Memory, More Power Efficient than LPDDR5X Standard
    According to South Korea's Money Today, SK hynix is currently engaged in the development of yet another variation of LPDDR5. The mega supplier of DRAM and flash memory chips has publicly disclosed its LPDDR5 Turbo (T) design—going back to late 2023; this iteration was advertised as the "world's fast...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 98 มุมมอง 0 รีวิว
  • The Gold At Fort Knox Was Stolen From Americans
    by Tyler Durden
    Friday, Feb 28, 2025
    Authored by Ryan McMaken via The Mises Institute,

    In recent days, President Donald Trump, Elon Musk, Senator Rand Paul, and some others have pressed for an audit of the US gold reserves, with a special focus on the gold at Fort Knox. This is perfectly reasonable given that the US gold reserves - which are the property of the US Treasury and not the Federal Reserve - have not undergone even a partial audit in at least forty years.



    Part of the reason for the audit is to discover if any of the gold has been stolen. The US Mint, the government agency that acts as custodian of the gold, has reported for many years that the official size of the gold reserve is 8,133.46 metric tons of gold. Since there has been no audit in so many decades, though, the Mint’s position is essentially “trust us, bro.” Trusting federal bureaucrats has never been a particularly wise policy, and this is why there are ongoing demands for some sort of transparent audit.

    If the total size of the US’s gold holdings is revealed to be a number below the official number, then it will just be the latest reminder that there a great many thieves and incompetents among the people running the US federal government. After all, if there is less gold than reported in the US gold reserves, it was presumably stolen at some point.

    This would be a fitting destiny for the US government’s gold since much of that was stolen to begin with. When I say “stolen,” I don’t even mean in the sense that “taxation is theft” and that the US bought the gold using tax dollars. In truth, the way the US Treasury acquired much of its gold hoard is even more underhanded than ordinary taxation.

    Rather, it is likely that most of the gold at Fort Knox, as with the US regime’s gold in general, is gold stolen from ordinary Americans as a part of Franklin Roosevelt’s efforts to end the gold standard and confiscate private gold holdings in the United States. That is, the US gold reserves are a legacy of the way the US government reneged on its promises to redeem US dollars in gold. Rather than pay out the gold that was owed to holders of US dollars, the US government hoarded it instead. That stolen gold is what the auditors will be counting if the US government ever allows an honest accounting of the Treasury’s gold reserves.

    Where Did the Gold at Fort Knox Come From?
    In his 1994 article for The Journal of Economic Education, economist William C. Wood writes that “the Fort Knox depository is now an artifact of gold standard days.“ He then adds, “The gold currently in Fort Knox came from the melting of Depression-era gold coins, from lend-lease arrangements in War II, and from government operations under the gold standard.”

    That reference to “Depression-era gold coins” is telling. Most of those gold coins were likely the coins confiscated from private owners by the US government following Roosevelt’s Executive Order 6102 which outlawed the private ownership of gold. Few Americans owned gold bars, of course, and the gold that was in non-institutional private hands was mostly gold coin. Roosevelt’s edict required that private citizens hand this gold over to the US government in exchange for what was effectively below-market prices. And what if you would rather not give up your property to the US government? Too bad.

    Moreover, private banks and the central bank held gold in the form of coins for dollar holders who, prior to confiscation, would occasionally present US dollars for redemption in gold. This is, in part, the gold in Fort Knox that that Wood classifies as gold held for “government operations under the gold standard.” After 1933, however, banks did not need to hold onto any gold coins for this purpose since Roosevelt’s effort to end the gold standard included a prohibition on banks paying out gold.

    So, these coins ceased to have an immediate market value among banks. Where did all these gold coins end up? Most ended up with the US Treasury after the Treasury seized the Federal Reserve’s gold in 1934.

    Evidence of this can be found in the nature of the gold that is now held at Fort Knox. Wood further explains that the gold there is not the type of gold usually found in gold bars used for international transactions: “The gold resulting from melting of coinage has considerably lower quality than the ‘fine’ or ‘good delivery’ gold commonly used in international trade. The majority of the gold in Fort Knox is the lower-quality coin gold.”

    The legacy of the US regime’s gold theft is not limited to the coins that happened to be in private hands in 1933, however. Much of the gold that is in the US gold reserves today is gold that would have been paid out to the private sector had the US government not reneged in its promises to pay war bonds in gold.

    The 1934 Default on Gold-Based Liberty Bonds
    Every time there is a debate over the so-called “debt ceiling,” various servants of the US regime like Jerome Powell or Janet Yellen claim that “the United States has never defaulted.” This is a lie.

    Arguably, it was a default, in the broad sense, when Roosevelt’s regime refused to make good on its obligations to dollar holders under the gold standard. The US also defaulted in a formal and legal sense when it refused to pay its World War I Liberty Bonds in gold as promised. Specifically, in 1934, the United States defaulted on the fourth Liberty Bond. The contracts between debtor and creditor on these bonds was clear. The bonds were to be payable in gold. This presented a big problem for the US, which was facing big debts into the 1930s after the First World War. As described by John Chamberlain:

    By the time Franklin Roosevelt entered office in 1933, the interest payments alone were draining the treasury of gold; and because the treasury had only $4.2 billion in gold it was obvious there would be no way to pay the principal when it became due in 1938, not to mention meet expenses and other debt obligations. These other debt obligations were substantial. Ever since the 1890s the Treasury had been gold short and had financed this deficit by making new bond issues to attract gold for paying the interest of previous issues. The result was that by 1933 the total debt was $22 billion and the amount of gold needed to pay even the interest on it was soon going to be insufficient.

    So how did the US government deal with this? Chamberlain notes “Roosevelt decided to default on the whole of the domestically-held debt by refusing to redeem in gold to Americans.”

    In other words, thanks to its profligate deficit spending, the US government was running out of gold by the early 1930s. So, the regime defaulted on the gold bonds. The gold that would have passed into private hands was hoarded by the federal government and declared off limits to the public. Much of that gold remains in the US gold reserves today.

    Defaulting on International Gold Obligations
    Not all of the US Treasury’s gold is stolen from ordinary Americans. Some is stolen from foreign governments. Another illustration of the dishonesty of the “we never defaulted” narrative is the fact that the US government defaulted in 1971 on its obligations to foreign government under the Bretton Woods system. That is, rather than pay what was owed to foreign governments, the US government once again decided to steal this gold and simply said “tough luck” to everyone with a legal claim to the gold. Or, as Treasury Secretary John Connally said at the time, the dollar “is our currency, but it’s your problem.”

    US Gold Reserves: A Legacy of Theft and Lies
    The gold reserve was never supposed to be a static, untouchable hoard of the US federal government, as it is now. It was supposed to be there for Americans and other users of dollars who traded in their dollars for gold. Gold was supposed to flow in and out. Then, the US government slammed the doors of the federal gold vaults shut and declared “the gold is all ours forever.”

    Like most everything else the US government “owns,” the gold in the US gold reserves is there due to many years of lies, gaslighting, and deception. The gold is there because the US regime defaulted on its debts and reneged on its promises to back dollars in gold.

    If a true auditing team is ever allowed to actually examine the US regime’s gold, it will be examining the evidence of crimes from long ago. The auditors will be counting the gold stolen from our ancestors to enrich the state and its friends.

    https://www.zerohedge.com/precious-metals/gold-fort-knox-was-stolen-americans
    The Gold At Fort Knox Was Stolen From Americans by Tyler Durden Friday, Feb 28, 2025 Authored by Ryan McMaken via The Mises Institute, In recent days, President Donald Trump, Elon Musk, Senator Rand Paul, and some others have pressed for an audit of the US gold reserves, with a special focus on the gold at Fort Knox. This is perfectly reasonable given that the US gold reserves - which are the property of the US Treasury and not the Federal Reserve - have not undergone even a partial audit in at least forty years. Part of the reason for the audit is to discover if any of the gold has been stolen. The US Mint, the government agency that acts as custodian of the gold, has reported for many years that the official size of the gold reserve is 8,133.46 metric tons of gold. Since there has been no audit in so many decades, though, the Mint’s position is essentially “trust us, bro.” Trusting federal bureaucrats has never been a particularly wise policy, and this is why there are ongoing demands for some sort of transparent audit. If the total size of the US’s gold holdings is revealed to be a number below the official number, then it will just be the latest reminder that there a great many thieves and incompetents among the people running the US federal government. After all, if there is less gold than reported in the US gold reserves, it was presumably stolen at some point. This would be a fitting destiny for the US government’s gold since much of that was stolen to begin with. When I say “stolen,” I don’t even mean in the sense that “taxation is theft” and that the US bought the gold using tax dollars. In truth, the way the US Treasury acquired much of its gold hoard is even more underhanded than ordinary taxation. Rather, it is likely that most of the gold at Fort Knox, as with the US regime’s gold in general, is gold stolen from ordinary Americans as a part of Franklin Roosevelt’s efforts to end the gold standard and confiscate private gold holdings in the United States. That is, the US gold reserves are a legacy of the way the US government reneged on its promises to redeem US dollars in gold. Rather than pay out the gold that was owed to holders of US dollars, the US government hoarded it instead. That stolen gold is what the auditors will be counting if the US government ever allows an honest accounting of the Treasury’s gold reserves. Where Did the Gold at Fort Knox Come From? In his 1994 article for The Journal of Economic Education, economist William C. Wood writes that “the Fort Knox depository is now an artifact of gold standard days.“ He then adds, “The gold currently in Fort Knox came from the melting of Depression-era gold coins, from lend-lease arrangements in War II, and from government operations under the gold standard.” That reference to “Depression-era gold coins” is telling. Most of those gold coins were likely the coins confiscated from private owners by the US government following Roosevelt’s Executive Order 6102 which outlawed the private ownership of gold. Few Americans owned gold bars, of course, and the gold that was in non-institutional private hands was mostly gold coin. Roosevelt’s edict required that private citizens hand this gold over to the US government in exchange for what was effectively below-market prices. And what if you would rather not give up your property to the US government? Too bad. Moreover, private banks and the central bank held gold in the form of coins for dollar holders who, prior to confiscation, would occasionally present US dollars for redemption in gold. This is, in part, the gold in Fort Knox that that Wood classifies as gold held for “government operations under the gold standard.” After 1933, however, banks did not need to hold onto any gold coins for this purpose since Roosevelt’s effort to end the gold standard included a prohibition on banks paying out gold. So, these coins ceased to have an immediate market value among banks. Where did all these gold coins end up? Most ended up with the US Treasury after the Treasury seized the Federal Reserve’s gold in 1934. Evidence of this can be found in the nature of the gold that is now held at Fort Knox. Wood further explains that the gold there is not the type of gold usually found in gold bars used for international transactions: “The gold resulting from melting of coinage has considerably lower quality than the ‘fine’ or ‘good delivery’ gold commonly used in international trade. The majority of the gold in Fort Knox is the lower-quality coin gold.” The legacy of the US regime’s gold theft is not limited to the coins that happened to be in private hands in 1933, however. Much of the gold that is in the US gold reserves today is gold that would have been paid out to the private sector had the US government not reneged in its promises to pay war bonds in gold. The 1934 Default on Gold-Based Liberty Bonds Every time there is a debate over the so-called “debt ceiling,” various servants of the US regime like Jerome Powell or Janet Yellen claim that “the United States has never defaulted.” This is a lie. Arguably, it was a default, in the broad sense, when Roosevelt’s regime refused to make good on its obligations to dollar holders under the gold standard. The US also defaulted in a formal and legal sense when it refused to pay its World War I Liberty Bonds in gold as promised. Specifically, in 1934, the United States defaulted on the fourth Liberty Bond. The contracts between debtor and creditor on these bonds was clear. The bonds were to be payable in gold. This presented a big problem for the US, which was facing big debts into the 1930s after the First World War. As described by John Chamberlain: By the time Franklin Roosevelt entered office in 1933, the interest payments alone were draining the treasury of gold; and because the treasury had only $4.2 billion in gold it was obvious there would be no way to pay the principal when it became due in 1938, not to mention meet expenses and other debt obligations. These other debt obligations were substantial. Ever since the 1890s the Treasury had been gold short and had financed this deficit by making new bond issues to attract gold for paying the interest of previous issues. The result was that by 1933 the total debt was $22 billion and the amount of gold needed to pay even the interest on it was soon going to be insufficient. So how did the US government deal with this? Chamberlain notes “Roosevelt decided to default on the whole of the domestically-held debt by refusing to redeem in gold to Americans.” In other words, thanks to its profligate deficit spending, the US government was running out of gold by the early 1930s. So, the regime defaulted on the gold bonds. The gold that would have passed into private hands was hoarded by the federal government and declared off limits to the public. Much of that gold remains in the US gold reserves today. Defaulting on International Gold Obligations Not all of the US Treasury’s gold is stolen from ordinary Americans. Some is stolen from foreign governments. Another illustration of the dishonesty of the “we never defaulted” narrative is the fact that the US government defaulted in 1971 on its obligations to foreign government under the Bretton Woods system. That is, rather than pay what was owed to foreign governments, the US government once again decided to steal this gold and simply said “tough luck” to everyone with a legal claim to the gold. Or, as Treasury Secretary John Connally said at the time, the dollar “is our currency, but it’s your problem.” US Gold Reserves: A Legacy of Theft and Lies The gold reserve was never supposed to be a static, untouchable hoard of the US federal government, as it is now. It was supposed to be there for Americans and other users of dollars who traded in their dollars for gold. Gold was supposed to flow in and out. Then, the US government slammed the doors of the federal gold vaults shut and declared “the gold is all ours forever.” Like most everything else the US government “owns,” the gold in the US gold reserves is there due to many years of lies, gaslighting, and deception. The gold is there because the US regime defaulted on its debts and reneged on its promises to back dollars in gold. If a true auditing team is ever allowed to actually examine the US regime’s gold, it will be examining the evidence of crimes from long ago. The auditors will be counting the gold stolen from our ancestors to enrich the state and its friends. https://www.zerohedge.com/precious-metals/gold-fort-knox-was-stolen-americans
    WWW.ZEROHEDGE.COM
    The Gold At Fort Knox Was Stolen From Americans
    ...the legacy of the US regime’s gold theft is not limited to the coins that happened to be in private hands in 1933...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 165 มุมมอง 0 รีวิว
  • AMD ได้เปิดตัวเทคโนโลยี FSR 4 สำหรับการเพิ่มคุณภาพภาพเกม ซึ่งจะสามารถรองรับเกมมากกว่า 30 เกมเมื่อเปิดตัว และมีแผนที่จะรองรับถึง 75 เกมภายในสิ้นปีนี้

    FSR 4 (FidelityFX Super Resolution 4) เป็นเทคโนโลยีการเพิ่มความละเอียดของภาพที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อสร้างภาพที่คมชัดและมีรายละเอียดสูงขึ้นจากภาพต้นฉบับที่มีความละเอียดต่ำกว่า โดยเทคโนโลยีนี้จะถูกใช้ร่วมกับกราฟิกการ์ด Radeon RX 9070 รุ่นใหม่ที่ AMD จะเปิดตัวในเร็วๆ นี้

    มีการรายงานว่าเกมที่คาดว่าจะรองรับ FSR 4 ตั้งแต่เปิดตัว ได้แก่:
    - Call of Duty: Black Ops 6
    - Marvel Rivals
    - Civilization 7
    - Horizon Zero Dawn Remastered
    - และอีกหลายเกม

    นอกจากนี้, FSR 4 ยังมีการปรับปรุงคุณภาพภาพอย่างมีนัยสำคัญจาก FSR 3.1 เช่นในเกม Ratchet & Clank: Rift Apart ที่ถูกนำมาแสดงในงาน CES ล่าสุด ความสามารถในการเพิ่มความละเอียดของ FSR 4 ทำให้ภาพเกมมีคุณภาพใกล้เคียงกับ Nvidia DLSS ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่คล้ายกันของคู่แข่ง

    การที่ AMD ใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการสร้างภาพใหม่จากข้อมูลเดิมช่วยให้เกมมีประสิทธิภาพและความสวยงามที่ดีขึ้น โดยไม่ต้องใช้พลังงานมากเกินไป ทำให้การเล่นเกมบนกราฟิกการ์ดของ AMD มีประสิทธิภาพสูงขึ้น

    นอกจากเกมที่รองรับอย่างเป็นทางการแล้ว ผู้ใช้ยังสามารถปรับใช้ FSR 4 ในเกมที่รองรับ FSR 3.1 โดยการเปิดใช้งานผ่านตัวเลือกในเกม ทำให้มีเกมหลายร้อยเกมที่อาจรองรับ FSR 4 ในอนาคต

    https://www.techspot.com/news/106956-amd-fsr4-support-over-30-games-launch-75.html
    AMD ได้เปิดตัวเทคโนโลยี FSR 4 สำหรับการเพิ่มคุณภาพภาพเกม ซึ่งจะสามารถรองรับเกมมากกว่า 30 เกมเมื่อเปิดตัว และมีแผนที่จะรองรับถึง 75 เกมภายในสิ้นปีนี้ FSR 4 (FidelityFX Super Resolution 4) เป็นเทคโนโลยีการเพิ่มความละเอียดของภาพที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อสร้างภาพที่คมชัดและมีรายละเอียดสูงขึ้นจากภาพต้นฉบับที่มีความละเอียดต่ำกว่า โดยเทคโนโลยีนี้จะถูกใช้ร่วมกับกราฟิกการ์ด Radeon RX 9070 รุ่นใหม่ที่ AMD จะเปิดตัวในเร็วๆ นี้ มีการรายงานว่าเกมที่คาดว่าจะรองรับ FSR 4 ตั้งแต่เปิดตัว ได้แก่: - Call of Duty: Black Ops 6 - Marvel Rivals - Civilization 7 - Horizon Zero Dawn Remastered - และอีกหลายเกม นอกจากนี้, FSR 4 ยังมีการปรับปรุงคุณภาพภาพอย่างมีนัยสำคัญจาก FSR 3.1 เช่นในเกม Ratchet & Clank: Rift Apart ที่ถูกนำมาแสดงในงาน CES ล่าสุด ความสามารถในการเพิ่มความละเอียดของ FSR 4 ทำให้ภาพเกมมีคุณภาพใกล้เคียงกับ Nvidia DLSS ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่คล้ายกันของคู่แข่ง การที่ AMD ใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการสร้างภาพใหม่จากข้อมูลเดิมช่วยให้เกมมีประสิทธิภาพและความสวยงามที่ดีขึ้น โดยไม่ต้องใช้พลังงานมากเกินไป ทำให้การเล่นเกมบนกราฟิกการ์ดของ AMD มีประสิทธิภาพสูงขึ้น นอกจากเกมที่รองรับอย่างเป็นทางการแล้ว ผู้ใช้ยังสามารถปรับใช้ FSR 4 ในเกมที่รองรับ FSR 3.1 โดยการเปิดใช้งานผ่านตัวเลือกในเกม ทำให้มีเกมหลายร้อยเกมที่อาจรองรับ FSR 4 ในอนาคต https://www.techspot.com/news/106956-amd-fsr4-support-over-30-games-launch-75.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    AMD FSR 4 to support over 30 games at launch, 75 by the end of the year
    VideoCardz has leaked more information regarding AMD's upcoming Radeon RX 9070 graphics cards. The outlet recently published an allegedly official list of around 35 games supporting the...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 92 มุมมอง 0 รีวิว
  • ในข่าวจาก TechPowerUp, Huawei ได้แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าในการผลิตชิปเร่งความเร็วสำหรับงาน AI โดยมีรายงานว่าอัตราผลผลิตของชิป Ascend AI เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวในช่วงต้นปี 2025 จาก 20% เป็น 40% ทำให้เกิดความสำเร็จที่น่าประทับใจสำหรับ Huawei และพันธมิตรผู้ผลิตของพวกเขา SMIC

    ชิปเร่งความเร็วรุ่นใหม่ Ascend 910C ของ Huawei ถูกคาดการณ์ว่าจะสามารถแข่งขันได้กับ NVIDIA H100 AI GPU ซึ่งถือเป็นการก้าวเข้าสู่การแข่งขันในตลาด AI ระดับสูง นอกจากนี้ มีแผนการผลิตชิป Ascend 910C ประมาณ 100,000 หน่วย และชิป Ascend 910B รุ่นปัจจุบันถึง 300,000 หน่วยในปี 2025

    แผนการที่สำคัญของ Huawei และ SMIC คือการเพิ่มอัตราผลผลิตให้ถึง 60% ในอนาคตอันใกล้นี้ โดยการใช้กระบวนการผลิตที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

    https://www.techpowerup.com/333186/huawei-ascend-ai-accelerator-production-yields-reportedly-doubled-in-early-2025
    ในข่าวจาก TechPowerUp, Huawei ได้แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าในการผลิตชิปเร่งความเร็วสำหรับงาน AI โดยมีรายงานว่าอัตราผลผลิตของชิป Ascend AI เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวในช่วงต้นปี 2025 จาก 20% เป็น 40% ทำให้เกิดความสำเร็จที่น่าประทับใจสำหรับ Huawei และพันธมิตรผู้ผลิตของพวกเขา SMIC ชิปเร่งความเร็วรุ่นใหม่ Ascend 910C ของ Huawei ถูกคาดการณ์ว่าจะสามารถแข่งขันได้กับ NVIDIA H100 AI GPU ซึ่งถือเป็นการก้าวเข้าสู่การแข่งขันในตลาด AI ระดับสูง นอกจากนี้ มีแผนการผลิตชิป Ascend 910C ประมาณ 100,000 หน่วย และชิป Ascend 910B รุ่นปัจจุบันถึง 300,000 หน่วยในปี 2025 แผนการที่สำคัญของ Huawei และ SMIC คือการเพิ่มอัตราผลผลิตให้ถึง 60% ในอนาคตอันใกล้นี้ โดยการใช้กระบวนการผลิตที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น https://www.techpowerup.com/333186/huawei-ascend-ai-accelerator-production-yields-reportedly-doubled-in-early-2025
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Huawei Ascend AI Accelerator Production Yields Reportedly "Doubled" in Early 2025
    Huawei is likely celebrating milestones on multiple fronts—as reported earlier this month, the Chinese technology manufacture has pulled in record revenues and experienced consistent growth. Additionally, industry insiders believe that things are going well within the company's production pipeline. ...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 66 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีการรายงานเกี่ยวกับโปรเจคที่น่าสนใจ ซึ่ง Dmitri Mitropoulos, วิศวกรซอฟต์แวร์และผู้ก่อตั้ง Michigan Typescript, ได้ทำการพอร์ตเกม Doom ให้สามารถรันได้ภายในระบบ Typescript's Types ซึ่งเป็นงานที่ใช้เวลาถึงหนึ่งปีเต็ม

    Doom เป็นเกมที่มักจะถูกพอร์ตไปยังแพลตฟอร์มต่าง ๆ แต่ครั้งนี้มีความพิเศษตรงที่มันถูกรันภายในระบบ Typescript's Types ซึ่งปกติจะใช้ในการตรวจสอบการพิมพ์คำสั่งต่าง ๆ ของภาษาจาวาสคริปต์

    การพอร์ตนี้ใช้โค้ดกว่า 3.5 ล้านล้านบรรทัด และใช้หน่วยความจำถึง 177TB ซึ่งใช้เวลาถึง 12 วันในการคอมไพล์เฟรมแรกของเกม (0.0000009645 fps) โดยใช้ระบบตัวติดตาม Type ของ Typescript ที่ต้องมีการสร้าง 20 ล้าน type instantiations ในทุก ๆ วินาทีเพื่อให้ได้ผลลัพธ์นี้

    Mitropoulos ได้เรียนรู้ภาษาต่าง ๆ เช่น C, C++, และ WebAssembly เพื่อพัฒนาเครื่องมือในการสร้างโปรเจคนี้ขึ้นมาเอง รวมถึงการเขียนการทดสอบด้วยมือถึง 12,364 การทดสอบ

    ความน่าสนใจของโปรเจคนี้คือมันเป็นการแสดงให้เห็นถึงความท้าทายและความเป็นไปได้ในการนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้ในการสร้างสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน แม้ว่า AI ไม่สามารถช่วยในการทำงานนี้ได้เนื่องจากต้องใช้ความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับการพัฒนาซอฟต์แวร์

    https://www.tomshardware.com/video-games/porting-doom-to-typescript-types-took-3-5-trillion-lines-90gb-of-ram-and-a-full-year-of-work
    มีการรายงานเกี่ยวกับโปรเจคที่น่าสนใจ ซึ่ง Dmitri Mitropoulos, วิศวกรซอฟต์แวร์และผู้ก่อตั้ง Michigan Typescript, ได้ทำการพอร์ตเกม Doom ให้สามารถรันได้ภายในระบบ Typescript's Types ซึ่งเป็นงานที่ใช้เวลาถึงหนึ่งปีเต็ม Doom เป็นเกมที่มักจะถูกพอร์ตไปยังแพลตฟอร์มต่าง ๆ แต่ครั้งนี้มีความพิเศษตรงที่มันถูกรันภายในระบบ Typescript's Types ซึ่งปกติจะใช้ในการตรวจสอบการพิมพ์คำสั่งต่าง ๆ ของภาษาจาวาสคริปต์ การพอร์ตนี้ใช้โค้ดกว่า 3.5 ล้านล้านบรรทัด และใช้หน่วยความจำถึง 177TB ซึ่งใช้เวลาถึง 12 วันในการคอมไพล์เฟรมแรกของเกม (0.0000009645 fps) โดยใช้ระบบตัวติดตาม Type ของ Typescript ที่ต้องมีการสร้าง 20 ล้าน type instantiations ในทุก ๆ วินาทีเพื่อให้ได้ผลลัพธ์นี้ Mitropoulos ได้เรียนรู้ภาษาต่าง ๆ เช่น C, C++, และ WebAssembly เพื่อพัฒนาเครื่องมือในการสร้างโปรเจคนี้ขึ้นมาเอง รวมถึงการเขียนการทดสอบด้วยมือถึง 12,364 การทดสอบ ความน่าสนใจของโปรเจคนี้คือมันเป็นการแสดงให้เห็นถึงความท้าทายและความเป็นไปได้ในการนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้ในการสร้างสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน แม้ว่า AI ไม่สามารถช่วยในการทำงานนี้ได้เนื่องจากต้องใช้ความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับการพัฒนาซอฟต์แวร์ https://www.tomshardware.com/video-games/porting-doom-to-typescript-types-took-3-5-trillion-lines-90gb-of-ram-and-a-full-year-of-work
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 70 มุมมอง 0 รีวิว
  • Idemitsu Kosan บริษัทน้ำมันอันดับสองของญี่ปุ่น วางแผนจะสร้างโรงงานผลิตลิเทียมซัลไฟด์ (Lithium Sulphide) ขนาดใหญ่ที่โรงกลั่นน้ำมันในจังหวัดชิบะ ใกล้กรุงโตเกียว โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการพัฒนาแบตเตอรี่ Solid-State สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าของ Toyota

    โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือระหว่าง Idemitsu และ Toyota เพื่อการค้าแบตเตอรี่รุ่นถัดไปและสนับสนุนเป้าหมายของ Toyota ในการเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้แบตเตอรี่สถานะของแข็งภายในปี 2027-2028 โดยแบตเตอรี่ Solid-State นี้ถูกกล่าวถึงว่าเป็นแบตเตอรี่ที่มีความปลอดภัยมากขึ้น มีระยะเวลาใช้งานยาวนานขึ้น และมีการชาร์จไฟที่เร็วกว่าแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนแบบเดิม

    Idemitsu วางแผนจะสร้างโรงงานใหม่ภายในเดือนมิถุนายน 2027 ด้วยงบประมาณประมาณ 21.3 พันล้านเยน (ประมาณ 143 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งโรงงานนี้จะมีความสามารถในการผลิตลิเทียมซัลไฟด์จำนวน 1,000 เมตริกตันต่อปี เพียงพอสำหรับแบตเตอรี่สถานะของแข็งของรถยนต์ไฟฟ้า 50,000-60,000 คัน

    Tetsuji Mishina เจ้าหน้าที่บริหารของ Idemitsu กล่าวว่าบริษัทกำลังพิจารณาการลงทุนในโรงงานนำร่องขนาดใหญ่สำหรับอิเล็กโทรไลต์แข็ง ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของแบตเตอรี่ Solid-State และคาดว่าจะตัดสินใจในปีงบประมาณ 2025

    นอกจากนี้ Idemitsu ยังมองหาการจัดหาลิเทียมที่มั่นคงจากแหล่งในออสเตรเลียและแหล่งอื่น ๆ ทั่วโลก Mishina ยังกล่าวว่า "ความท้าทายสำคัญในการยอมรับแบตเตอรี่ Solid-State ทั่วโลกคือการลดต้นทุนของอิเล็กโทรไลต์แข็ง"

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/02/27/japan039s-idemitsu-to-build-lithium-sulphide-plant-to-help-support-toyota039s-ev-plans
    Idemitsu Kosan บริษัทน้ำมันอันดับสองของญี่ปุ่น วางแผนจะสร้างโรงงานผลิตลิเทียมซัลไฟด์ (Lithium Sulphide) ขนาดใหญ่ที่โรงกลั่นน้ำมันในจังหวัดชิบะ ใกล้กรุงโตเกียว โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการพัฒนาแบตเตอรี่ Solid-State สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าของ Toyota โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือระหว่าง Idemitsu และ Toyota เพื่อการค้าแบตเตอรี่รุ่นถัดไปและสนับสนุนเป้าหมายของ Toyota ในการเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้แบตเตอรี่สถานะของแข็งภายในปี 2027-2028 โดยแบตเตอรี่ Solid-State นี้ถูกกล่าวถึงว่าเป็นแบตเตอรี่ที่มีความปลอดภัยมากขึ้น มีระยะเวลาใช้งานยาวนานขึ้น และมีการชาร์จไฟที่เร็วกว่าแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนแบบเดิม Idemitsu วางแผนจะสร้างโรงงานใหม่ภายในเดือนมิถุนายน 2027 ด้วยงบประมาณประมาณ 21.3 พันล้านเยน (ประมาณ 143 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งโรงงานนี้จะมีความสามารถในการผลิตลิเทียมซัลไฟด์จำนวน 1,000 เมตริกตันต่อปี เพียงพอสำหรับแบตเตอรี่สถานะของแข็งของรถยนต์ไฟฟ้า 50,000-60,000 คัน Tetsuji Mishina เจ้าหน้าที่บริหารของ Idemitsu กล่าวว่าบริษัทกำลังพิจารณาการลงทุนในโรงงานนำร่องขนาดใหญ่สำหรับอิเล็กโทรไลต์แข็ง ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของแบตเตอรี่ Solid-State และคาดว่าจะตัดสินใจในปีงบประมาณ 2025 นอกจากนี้ Idemitsu ยังมองหาการจัดหาลิเทียมที่มั่นคงจากแหล่งในออสเตรเลียและแหล่งอื่น ๆ ทั่วโลก Mishina ยังกล่าวว่า "ความท้าทายสำคัญในการยอมรับแบตเตอรี่ Solid-State ทั่วโลกคือการลดต้นทุนของอิเล็กโทรไลต์แข็ง" https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/02/27/japan039s-idemitsu-to-build-lithium-sulphide-plant-to-help-support-toyota039s-ev-plans
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Japan's Idemitsu to build lithium sulphide plant to help support Toyota's EV plans
    ANEGASAKI, Japan (Reuters) - Japan's No.2 oil refiner, Idemitsu Kosan plans to build a large-scale plant for lithium sulphide, a key material for all-solid-state batteries, at its Chiba refinery, near Tokyo, the company said on Thursday.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 73 มุมมอง 0 รีวิว
  • ‘จีน แฮกแมน’ นักแสดงฮอลลีวูดรุ่นใหญ่ เสียชีวิตในวัย 95 พร้อมภรรยา

    จีน แฮกแมน (Gene Hackman) นักแสดงรุ่นใหญ่ชาวสหรัฐแห่งวงการฮอลลีวูดวัย 95 ปี ถูกพบเป็นศพเสียชีวิตพร้อมกับนางเบตซี อาราคาวา (Betsy Arakawa) ภรรยาของเขาวัย 63 ปี และสุนัขของทั้งคู่ ที่บ้านพักในเมืองซานตาเฟ รัฐนิวเม็กซิโก สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ตามเวลาในสหรัฐ


    อดัน เมนโดซา นายอำเภอซานตาเฟ เคาวน์ตี ยืนยันกับสื่อท้องถิ่นเมื่อช่วงกลางดึกของวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ว่าทั้งคู่ถูกพบเป็นศพเสียชีวิตพร้อมกับสุนัขที่บ้าน การตรวจสอบเบื้องต้นของเจ้าหน้าที่ไม่พบร่องรอยของความผิดปกติ และไม่ได้ระบุสาเหตุการเสียชีวิตรวมถึงไม่ทราบแน่ชัดว่าแฮกแมนและอาราคาวาเสียชีวิตเมื่อใด โดยบอกว่าตำรวจกำลังอยู่ระหว่างสอบสวนการเสียชีวิตเบื้องต้น

    จีน แฮกแมนโลดแล่นอยู่ในวงการฮอลลีวูดมานานกว่า 60 ปี เคยคว้ารางวัลออสการ์ในสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์เรื่อง The French Connection ในปี 1971 และคว้ารางวัลออสการ์อีกสมัยในสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์เรื่อง Unforgiven ปี 1992 ที่เล่นร่วมกับคลินต์ อีสต์วูด นักแสดงรุ่นใหญ่อีกคนแห่งวงการฮอลลีวูด


    จีน แฮกแมน ปรากฎตัวในภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายคือ Welcome to Mooseport ปี 2004 ก่อนที่จะอำลาการแสดงไปในเวลาต่อมา
    ‘จีน แฮกแมน’ นักแสดงฮอลลีวูดรุ่นใหญ่ เสียชีวิตในวัย 95 พร้อมภรรยา จีน แฮกแมน (Gene Hackman) นักแสดงรุ่นใหญ่ชาวสหรัฐแห่งวงการฮอลลีวูดวัย 95 ปี ถูกพบเป็นศพเสียชีวิตพร้อมกับนางเบตซี อาราคาวา (Betsy Arakawa) ภรรยาของเขาวัย 63 ปี และสุนัขของทั้งคู่ ที่บ้านพักในเมืองซานตาเฟ รัฐนิวเม็กซิโก สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ตามเวลาในสหรัฐ อดัน เมนโดซา นายอำเภอซานตาเฟ เคาวน์ตี ยืนยันกับสื่อท้องถิ่นเมื่อช่วงกลางดึกของวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ว่าทั้งคู่ถูกพบเป็นศพเสียชีวิตพร้อมกับสุนัขที่บ้าน การตรวจสอบเบื้องต้นของเจ้าหน้าที่ไม่พบร่องรอยของความผิดปกติ และไม่ได้ระบุสาเหตุการเสียชีวิตรวมถึงไม่ทราบแน่ชัดว่าแฮกแมนและอาราคาวาเสียชีวิตเมื่อใด โดยบอกว่าตำรวจกำลังอยู่ระหว่างสอบสวนการเสียชีวิตเบื้องต้น จีน แฮกแมนโลดแล่นอยู่ในวงการฮอลลีวูดมานานกว่า 60 ปี เคยคว้ารางวัลออสการ์ในสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์เรื่อง The French Connection ในปี 1971 และคว้ารางวัลออสการ์อีกสมัยในสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์เรื่อง Unforgiven ปี 1992 ที่เล่นร่วมกับคลินต์ อีสต์วูด นักแสดงรุ่นใหญ่อีกคนแห่งวงการฮอลลีวูด จีน แฮกแมน ปรากฎตัวในภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายคือ Welcome to Mooseport ปี 2004 ก่อนที่จะอำลาการแสดงไปในเวลาต่อมา
    Sad
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 221 มุมมอง 0 รีวิว
  • บริษัท SK hynix กำลังจะเสร็จสิ้นการเข้าซื้อกิจการหน่วยความจำแฟลช NAND และธุรกิจจัดเก็บข้อมูลของ Intel ซึ่งกระบวนการนี้เริ่มต้นมาตั้งแต่ห้าปีก่อน ด้วยมูลค่าข้อตกลง 9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

    การซื้อกิจการครั้งนี้ได้ดำเนินการเป็นระยะ ๆ โดยเฟสแรกเสร็จสิ้นในปลายปี 2021 โดยได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลในเอเชีย การดำเนินการในครั้งนี้ทำให้ SK hynix ได้รับการออกแบบ SSD NAND ของ Intel และพนักงานในด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) โดยจัดตั้งเป็นหน่วยงานใหม่ชื่อว่า Solidigm

    รายงานจาก BusinessKorea ระบุว่า SK hynix กำลังจะชำระเงินงวดสุดท้ายเป็นจำนวนเงิน 2.235 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยการซื้อกิจการนี้คาดว่าจะเสร็จสิ้นในเดือนมีนาคมที่จะถึงนี้ การสำเร็จการซื้อกิจการครั้งนี้จะทำให้ SK hynix เป็นคู่แข่งโดยตรงกับ Samsung ในตลาด NAND flash

    การขยายกิจการของ SK hynix นี้ยังมีการเน้นไปที่การตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นของผลิตภัณฑ์ SSD สำหรับองค์กร เช่น Google และ Meta ที่กำลังดำเนินการอัพเกรดศูนย์ข้อมูลทั่วโลก BusinessKorea เชื่อว่าการขยายกิจการนี้จะช่วยให้ SK hynix มีความได้เปรียบในการแข่งขัน โดยใช้ AI เป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนนวัตกรรมและการเติบโต

    https://www.techpowerup.com/333108/reports-suggest-sk-hynix-finalizing-acquisition-of-intel-nand-business
    บริษัท SK hynix กำลังจะเสร็จสิ้นการเข้าซื้อกิจการหน่วยความจำแฟลช NAND และธุรกิจจัดเก็บข้อมูลของ Intel ซึ่งกระบวนการนี้เริ่มต้นมาตั้งแต่ห้าปีก่อน ด้วยมูลค่าข้อตกลง 9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ การซื้อกิจการครั้งนี้ได้ดำเนินการเป็นระยะ ๆ โดยเฟสแรกเสร็จสิ้นในปลายปี 2021 โดยได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลในเอเชีย การดำเนินการในครั้งนี้ทำให้ SK hynix ได้รับการออกแบบ SSD NAND ของ Intel และพนักงานในด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) โดยจัดตั้งเป็นหน่วยงานใหม่ชื่อว่า Solidigm รายงานจาก BusinessKorea ระบุว่า SK hynix กำลังจะชำระเงินงวดสุดท้ายเป็นจำนวนเงิน 2.235 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยการซื้อกิจการนี้คาดว่าจะเสร็จสิ้นในเดือนมีนาคมที่จะถึงนี้ การสำเร็จการซื้อกิจการครั้งนี้จะทำให้ SK hynix เป็นคู่แข่งโดยตรงกับ Samsung ในตลาด NAND flash การขยายกิจการของ SK hynix นี้ยังมีการเน้นไปที่การตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นของผลิตภัณฑ์ SSD สำหรับองค์กร เช่น Google และ Meta ที่กำลังดำเนินการอัพเกรดศูนย์ข้อมูลทั่วโลก BusinessKorea เชื่อว่าการขยายกิจการนี้จะช่วยให้ SK hynix มีความได้เปรียบในการแข่งขัน โดยใช้ AI เป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนนวัตกรรมและการเติบโต https://www.techpowerup.com/333108/reports-suggest-sk-hynix-finalizing-acquisition-of-intel-nand-business
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Reports Suggest SK hynix Finalizing Acquisition of Intel NAND Business
    Almost five years ago, SK hynix announced a planned $9 billion acquisition of Intel's NAND flash memory and storage business. The semiconductor giant's takeover process has been a gradual affair; the first phase was complete by the end of 2021, with Asian governing bodies—just before Christmas—givin...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 95 มุมมอง 0 รีวิว
  • Zhaoxin ผู้ผลิตซีพียูจากจีน ได้เพิ่มการรองรับโมเดลปัญญาประดิษฐ์ (AI) DeepSeek-R1 ลงในผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของบริษัท ซึ่งเป็นการก้าวหน้าที่น่าสนใจในตลาดเทคโนโลยีของจีน

    Zhaoxin ได้ประกาศว่าผลิตภัณฑ์ซีพียูของพวกเขา รวมถึงโปรเซสเซอร์สำหรับผู้บริโภค KaiXian KX-7000/8 และโปรเซสเซอร์สำหรับเซิร์ฟเวอร์ Kaisheng KH-40000/32 สามารถรันโมเดล AI ของ DeepSeek-R1 ได้อย่างเต็มรูปแบบ โดยโปรเซสเซอร์ KX-7000/8 มี 8 คอร์ ทำงานที่ความเร็ว 3.7GHz และมี L3 cache ขนาด 32MB ในขณะที่โปรเซสเซอร์ KH-40000/32 มี 32 คอร์ ออกแบบมาใช้กับเซิร์ฟเวอร์แบบสองซีพียู

    สิ่งที่น่าสนใจคือ โปรเซสเซอร์ KH-40000/32 สามารถรันโมเดล DeepSeek-R1-70B และ DeepSeek-R1-671B ได้โดยไม่ต้องใช้ GPU ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสามารถสูงของซีพียูรุ่นนี้

    ความสำเร็จของ Zhaoxin ในการรวม DeepSeek-R1 ในผลิตภัณฑ์ของตนแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าของเทคโนโลยี AI ในประเทศจีน และการแข่งขันกับบริษัทเทคโนโลยีในระดับโลก ซึ่งทำให้เราเห็นว่าตลาดเทคโนโลยีกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/chinese-cpu-maker-zhaoxin-rolls-out-deepseek-support-to-all-processors-entire-product-lineup-now-runs-deepseek-llms-natively
    Zhaoxin ผู้ผลิตซีพียูจากจีน ได้เพิ่มการรองรับโมเดลปัญญาประดิษฐ์ (AI) DeepSeek-R1 ลงในผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของบริษัท ซึ่งเป็นการก้าวหน้าที่น่าสนใจในตลาดเทคโนโลยีของจีน Zhaoxin ได้ประกาศว่าผลิตภัณฑ์ซีพียูของพวกเขา รวมถึงโปรเซสเซอร์สำหรับผู้บริโภค KaiXian KX-7000/8 และโปรเซสเซอร์สำหรับเซิร์ฟเวอร์ Kaisheng KH-40000/32 สามารถรันโมเดล AI ของ DeepSeek-R1 ได้อย่างเต็มรูปแบบ โดยโปรเซสเซอร์ KX-7000/8 มี 8 คอร์ ทำงานที่ความเร็ว 3.7GHz และมี L3 cache ขนาด 32MB ในขณะที่โปรเซสเซอร์ KH-40000/32 มี 32 คอร์ ออกแบบมาใช้กับเซิร์ฟเวอร์แบบสองซีพียู สิ่งที่น่าสนใจคือ โปรเซสเซอร์ KH-40000/32 สามารถรันโมเดล DeepSeek-R1-70B และ DeepSeek-R1-671B ได้โดยไม่ต้องใช้ GPU ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสามารถสูงของซีพียูรุ่นนี้ ความสำเร็จของ Zhaoxin ในการรวม DeepSeek-R1 ในผลิตภัณฑ์ของตนแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าของเทคโนโลยี AI ในประเทศจีน และการแข่งขันกับบริษัทเทคโนโลยีในระดับโลก ซึ่งทำให้เราเห็นว่าตลาดเทคโนโลยีกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/chinese-cpu-maker-zhaoxin-rolls-out-deepseek-support-to-all-processors-entire-product-lineup-now-runs-deepseek-llms-natively
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 92 มุมมอง 0 รีวิว
  • Mozilla ได้ตอกย้ำคำมั่นว่าจะสนับสนุนส่วนขยายที่ใช้ Manifest V2 ควบคู่ไปกับ Manifest V3 ซึ่งเป็นข้อกำหนดที่ Google พัฒนาขึ้นมาเพื่อความปลอดภัยของส่วนขยายในเว็บเบราว์เซอร์ โดยจำกัดการร้องขอเครือข่ายและการโหลดเนื้อหาจากแหล่งภายนอก

    Manifest V3 ถูกสร้างขึ้นเพื่อลดความเสี่ยงจากการใช้ส่วนขยายที่อนุญาตเกินไป แต่กลับจำกัดการทำงานของส่วนขยายบางประเภท เช่น โปรแกรมบล็อกโฆษณา ทำให้ความสามารถในการตรวจจับและบล็อกเนื้อหาโฆษณาลดลง ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ uBlock Origin ซึ่งมีผู้ดาวน์โหลดมากกว่า 38 ล้านครั้งบน Chrome Web Store ได้ถูกปิดใช้งานในขณะที่ Manifest V3 กำลังถูกบังคับใช้

    แม้ว่าเบราว์เซอร์อื่นๆ เช่น Microsoft Edge, Mozilla Firefox, และ Apple Safari ต่างยอมรับ Manifest V3 แต่พวกเขาก็ทำการปรับเปลี่ยนการใช้งานของตนเอง เพื่อให้ผู้ใช้ยังคงมีอิสระในการใช้ส่วนขยาย แต่การสนับสนุน Manifest V2 ยังคงเป็นวิธีเดียวสำหรับส่วนขยายรุ่นเก่า

    Mozilla ประกาศว่าจะยังคงสนับสนุนทั้ง API ของ blockingWebRequest และ declarativeNetRequest ที่สอดคล้องกับ Manifest V2 และ V3 ตามลำดับ โดยสาเหตุหลักคือการยึดมั่นต่อหลักการที่ 5 ของ Mozilla Manifesto ที่กล่าวว่า "บุคคลต้องมีความสามารถในการกำหนดอินเทอร์เน็ตและประสบการณ์ของตนเอง"

    แม้ว่า Mozilla จะประเมินการเลิกสนับสนุน Manifest V2 ในปลายปี 2023 แต่ด้วยความซับซ้อนทั้งด้านเทคนิคและปฏิบัติ ทำให้ Mozilla ยืนยันในเดือนมีนาคม 2024 ว่าจะไม่เลิกสนับสนุน Manifest V2 ในอนาคตอันใกล้ การประกาศล่าสุดนี้ย้ำให้เห็นว่า Firefox ยังคงเป็นหนึ่งในเบราว์เซอร์ไม่กี่ตัวที่ให้ผู้ใช้มีอิสระในการใช้ส่วนขยาย Manifest V2 ต่อไป

    ข่าวนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการมีอิสระในการเลือกใช้ส่วนขยายที่ช่วยเสริมความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของผู้ใช้ และการสนับสนุนจาก Mozilla ทำให้ผู้ใช้สามารถมีประสบการณ์การใช้งานเว็บที่ดียิ่งขึ้น

    https://www.bleepingcomputer.com/news/security/firefox-continues-manifest-v2-support-as-chrome-disables-mv2-ad-blockers/
    Mozilla ได้ตอกย้ำคำมั่นว่าจะสนับสนุนส่วนขยายที่ใช้ Manifest V2 ควบคู่ไปกับ Manifest V3 ซึ่งเป็นข้อกำหนดที่ Google พัฒนาขึ้นมาเพื่อความปลอดภัยของส่วนขยายในเว็บเบราว์เซอร์ โดยจำกัดการร้องขอเครือข่ายและการโหลดเนื้อหาจากแหล่งภายนอก Manifest V3 ถูกสร้างขึ้นเพื่อลดความเสี่ยงจากการใช้ส่วนขยายที่อนุญาตเกินไป แต่กลับจำกัดการทำงานของส่วนขยายบางประเภท เช่น โปรแกรมบล็อกโฆษณา ทำให้ความสามารถในการตรวจจับและบล็อกเนื้อหาโฆษณาลดลง ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ uBlock Origin ซึ่งมีผู้ดาวน์โหลดมากกว่า 38 ล้านครั้งบน Chrome Web Store ได้ถูกปิดใช้งานในขณะที่ Manifest V3 กำลังถูกบังคับใช้ แม้ว่าเบราว์เซอร์อื่นๆ เช่น Microsoft Edge, Mozilla Firefox, และ Apple Safari ต่างยอมรับ Manifest V3 แต่พวกเขาก็ทำการปรับเปลี่ยนการใช้งานของตนเอง เพื่อให้ผู้ใช้ยังคงมีอิสระในการใช้ส่วนขยาย แต่การสนับสนุน Manifest V2 ยังคงเป็นวิธีเดียวสำหรับส่วนขยายรุ่นเก่า Mozilla ประกาศว่าจะยังคงสนับสนุนทั้ง API ของ blockingWebRequest และ declarativeNetRequest ที่สอดคล้องกับ Manifest V2 และ V3 ตามลำดับ โดยสาเหตุหลักคือการยึดมั่นต่อหลักการที่ 5 ของ Mozilla Manifesto ที่กล่าวว่า "บุคคลต้องมีความสามารถในการกำหนดอินเทอร์เน็ตและประสบการณ์ของตนเอง" แม้ว่า Mozilla จะประเมินการเลิกสนับสนุน Manifest V2 ในปลายปี 2023 แต่ด้วยความซับซ้อนทั้งด้านเทคนิคและปฏิบัติ ทำให้ Mozilla ยืนยันในเดือนมีนาคม 2024 ว่าจะไม่เลิกสนับสนุน Manifest V2 ในอนาคตอันใกล้ การประกาศล่าสุดนี้ย้ำให้เห็นว่า Firefox ยังคงเป็นหนึ่งในเบราว์เซอร์ไม่กี่ตัวที่ให้ผู้ใช้มีอิสระในการใช้ส่วนขยาย Manifest V2 ต่อไป ข่าวนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการมีอิสระในการเลือกใช้ส่วนขยายที่ช่วยเสริมความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของผู้ใช้ และการสนับสนุนจาก Mozilla ทำให้ผู้ใช้สามารถมีประสบการณ์การใช้งานเว็บที่ดียิ่งขึ้น https://www.bleepingcomputer.com/news/security/firefox-continues-manifest-v2-support-as-chrome-disables-mv2-ad-blockers/
    WWW.BLEEPINGCOMPUTER.COM
    Firefox continues Manifest V2 support as Chrome disables MV2 ad-blockers
    Mozilla has renewed its promise to continue supporting Manifest V2 extensions alongside Manifest V3, giving users the freedom to use the extensions they want in their browser.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 100 มุมมอง 0 รีวิว
  • Microsoft เพิ่งเปิดตัวแอป Office เวอร์ชันฟรีที่รองรับโฆษณา สำหรับผู้ใช้ Windows 11 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ Microsoft นำเสนอบริการนี้ฟรี นอกจากการใช้งานผ่านเว็บ ซึ่งมีให้ใช้ฟรีมาระยะหนึ่งแล้ว ผู้ใช้สามารถใช้งาน Word, Excel, และ PowerPoint ได้ฟรี แต่จะมีโฆษณาแบบแบนเนอร์และวิดีโอ 15 วินาทีเล่นเป็นระยะ

    อย่างไรก็ตาม มีข้อจำกัดหลายประการในการใช้แอปฟรีนี้ เช่น ผู้ใช้ไม่สามารถบันทึกไฟล์ลงในเครื่องคอมพิวเตอร์ได้ แต่ต้องบันทึกใน OneDrive แทน และยังมีการตัดฟีเจอร์การจัดรูปแบบและตกแต่งเอกสารออกไปมากกว่า 30 ฟีเจอร์ เช่น การจัดช่องว่างระหว่างบรรทัด การห่อข้อความ หัวกระดาษและท้ายกระดาษ การบุ๊คมาร์ค และฟิลด์วันที่และเวลา เป็นต้น

    แม้แอปนี้จะมีฟีเจอร์พื้นฐานที่เพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไป แต่การขาดฟีเจอร์สำคัญหลายอย่างทำให้ผู้ใช้รู้สึกไม่สะดวก โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการใช้งานแอป Office เพื่อความเข้ากันได้กับงานที่ต้องการความเรียบร้อยในรูปแบบเดิม หากต้องการฟีเจอร์ที่ครบครัน ผู้ใช้ยังคงต้องหันไปใช้แอป Office แบบเสียเงิน หรือเลือกใช้แอปฟรีอื่นๆ อย่าง LibreOffice หรือ Google Docs

    การเปิดตัวแอป Office ฟรีที่รองรับโฆษณานี้แสดงให้เห็นถึงความพยายามของ Microsoft ในการทำให้บริการของตนเข้าถึงผู้ใช้มากขึ้น แต่ก็ต้องพิจารณาถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากข้อจำกัดหลายประการที่มาพร้อมกับแอปเวอร์ชันนี้

    https://www.tomshardware.com/software/microsoft-office/microsofts-ad-supported-version-of-office-only-saves-to-onedrive
    Microsoft เพิ่งเปิดตัวแอป Office เวอร์ชันฟรีที่รองรับโฆษณา สำหรับผู้ใช้ Windows 11 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ Microsoft นำเสนอบริการนี้ฟรี นอกจากการใช้งานผ่านเว็บ ซึ่งมีให้ใช้ฟรีมาระยะหนึ่งแล้ว ผู้ใช้สามารถใช้งาน Word, Excel, และ PowerPoint ได้ฟรี แต่จะมีโฆษณาแบบแบนเนอร์และวิดีโอ 15 วินาทีเล่นเป็นระยะ อย่างไรก็ตาม มีข้อจำกัดหลายประการในการใช้แอปฟรีนี้ เช่น ผู้ใช้ไม่สามารถบันทึกไฟล์ลงในเครื่องคอมพิวเตอร์ได้ แต่ต้องบันทึกใน OneDrive แทน และยังมีการตัดฟีเจอร์การจัดรูปแบบและตกแต่งเอกสารออกไปมากกว่า 30 ฟีเจอร์ เช่น การจัดช่องว่างระหว่างบรรทัด การห่อข้อความ หัวกระดาษและท้ายกระดาษ การบุ๊คมาร์ค และฟิลด์วันที่และเวลา เป็นต้น แม้แอปนี้จะมีฟีเจอร์พื้นฐานที่เพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไป แต่การขาดฟีเจอร์สำคัญหลายอย่างทำให้ผู้ใช้รู้สึกไม่สะดวก โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการใช้งานแอป Office เพื่อความเข้ากันได้กับงานที่ต้องการความเรียบร้อยในรูปแบบเดิม หากต้องการฟีเจอร์ที่ครบครัน ผู้ใช้ยังคงต้องหันไปใช้แอป Office แบบเสียเงิน หรือเลือกใช้แอปฟรีอื่นๆ อย่าง LibreOffice หรือ Google Docs การเปิดตัวแอป Office ฟรีที่รองรับโฆษณานี้แสดงให้เห็นถึงความพยายามของ Microsoft ในการทำให้บริการของตนเข้าถึงผู้ใช้มากขึ้น แต่ก็ต้องพิจารณาถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากข้อจำกัดหลายประการที่มาพร้อมกับแอปเวอร์ชันนี้ https://www.tomshardware.com/software/microsoft-office/microsofts-ad-supported-version-of-office-only-saves-to-onedrive
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 141 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีรายงานถึงการแข่งขันที่เข้มข้นในด้านการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตจากดาวเทียม ซึ่ง SpaceX ของ Elon Musk ด้วยโครงการ Starlink กำลังเผชิญหน้ากับคู่แข่งจากจีนอย่าง SpaceSail รวมถึง Project Kuiper ของ Amazon

    ปัจจุบัน SpaceX ให้บริการอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมในกว่า 100 ประเทศทั่วโลก รวมถึงสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และหลายประเทศในยุโรป อเมริกาใต้ และเอเชีย โดยมีฐานลูกค้าที่ยังไม่ได้รับการให้บริการอินเทอร์เน็ตที่มีความเร็วสูง นอกจากนี้ Amazon ยังมีแผนจะเริ่มให้บริการบรอดแบนด์ผ่านดาวเทียมเร็วๆ นี้ โดยมีการลงทุนสูงถึง 16 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

    ที่น่าสนใจคือ SpaceSail ซึ่งเป็นบริษัทดาวเทียมอินเทอร์เน็ตที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐของจีน กำลังเร่งขยายตลาดต่างประเทศโดยมีเป้าหมายจะติดตั้งดาวเทียมวงโคจรต่ำ (LEO) จำนวน 648 ดวงภายในปีนี้ และเพิ่มเป็น 15,000 ดวงภายในปี 2030 มีแผนที่จะให้บริการในประเทศบราซิลและคาซัคสถาน รวมถึงกำลังเจรจากับกว่า 30 ประเทศอื่นๆ

    การขยายตัวอย่างรวดเร็วของ SpaceSail ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของข้อมูลและการเซ็นเซอร์ โดยเฉพาะในช่วงที่รัฐบาลตะวันตกเคยมีความกังวลต่อ Huawei ในเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลและการแบ่งปันข้อมูลกับรัฐบาลจีน TikTok ก็เคยเผชิญกับการตรวจสอบเนื่องจากข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการแบ่งปันข้อมูลกับรัฐบาลจีนเช่นกัน

    การแข่งขันในด้านการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมนี้ไม่เพียงแต่มุ่งเน้นที่ความเร็วและความสะดวกสบายในการเชื่อมต่อ แต่ยังต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของข้อมูลและความเสี่ยงทางภูมิศาสตร์การเมืองด้วย การขยายบริการของดาวเทียมอินเทอร์เน็ตจากจีนอาจทำให้เกิดการตรวจสอบเพิ่มเติมจากรัฐบาลตะวันตก

    https://www.tomshardware.com/service-providers/network-providers/chinas-rival-to-elon-musks-starlink-has-the-potential-to-challenge-its-reach-by-2030-says-report
    มีรายงานถึงการแข่งขันที่เข้มข้นในด้านการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตจากดาวเทียม ซึ่ง SpaceX ของ Elon Musk ด้วยโครงการ Starlink กำลังเผชิญหน้ากับคู่แข่งจากจีนอย่าง SpaceSail รวมถึง Project Kuiper ของ Amazon ปัจจุบัน SpaceX ให้บริการอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมในกว่า 100 ประเทศทั่วโลก รวมถึงสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และหลายประเทศในยุโรป อเมริกาใต้ และเอเชีย โดยมีฐานลูกค้าที่ยังไม่ได้รับการให้บริการอินเทอร์เน็ตที่มีความเร็วสูง นอกจากนี้ Amazon ยังมีแผนจะเริ่มให้บริการบรอดแบนด์ผ่านดาวเทียมเร็วๆ นี้ โดยมีการลงทุนสูงถึง 16 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ที่น่าสนใจคือ SpaceSail ซึ่งเป็นบริษัทดาวเทียมอินเทอร์เน็ตที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐของจีน กำลังเร่งขยายตลาดต่างประเทศโดยมีเป้าหมายจะติดตั้งดาวเทียมวงโคจรต่ำ (LEO) จำนวน 648 ดวงภายในปีนี้ และเพิ่มเป็น 15,000 ดวงภายในปี 2030 มีแผนที่จะให้บริการในประเทศบราซิลและคาซัคสถาน รวมถึงกำลังเจรจากับกว่า 30 ประเทศอื่นๆ การขยายตัวอย่างรวดเร็วของ SpaceSail ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของข้อมูลและการเซ็นเซอร์ โดยเฉพาะในช่วงที่รัฐบาลตะวันตกเคยมีความกังวลต่อ Huawei ในเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลและการแบ่งปันข้อมูลกับรัฐบาลจีน TikTok ก็เคยเผชิญกับการตรวจสอบเนื่องจากข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการแบ่งปันข้อมูลกับรัฐบาลจีนเช่นกัน การแข่งขันในด้านการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมนี้ไม่เพียงแต่มุ่งเน้นที่ความเร็วและความสะดวกสบายในการเชื่อมต่อ แต่ยังต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของข้อมูลและความเสี่ยงทางภูมิศาสตร์การเมืองด้วย การขยายบริการของดาวเทียมอินเทอร์เน็ตจากจีนอาจทำให้เกิดการตรวจสอบเพิ่มเติมจากรัฐบาลตะวันตก https://www.tomshardware.com/service-providers/network-providers/chinas-rival-to-elon-musks-starlink-has-the-potential-to-challenge-its-reach-by-2030-says-report
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    China's rival to Elon Musk’s Starlink has the potential to challenge its reach by 2030, says report
    Deployment of the Chinese SpaceSail network will raise internet security and censorship concerns around the world.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 189 มุมมอง 0 รีวิว
  • สื่อกัมพูชารายงานว่าการก่อสร้างสนามบินนานาชาติเตโชคืบหน้าไปแล้วกว่า 94% และเตรียมเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในเดือนก.ค. นี้ โดยพิธีเปิดจะมีขึ้นภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต

    ออกญา ชาร์ลส์ วัน จากบริษัท Cambodia Airport Investment Co. Ltd. ได้ให้ข้อมูลความคืบหน้านี้ระหว่างการเยี่ยมชมสนามบินของคณะผู้แทนระดับสูงจากสถานทูตออสเตรเลียและฟิลิปปินส์ นำโดยเอกอัครราชทูตของสองประเทศ เมื่อวันที่ 21 ก.พ. และเขาระบุว่าทีมงานก่อสร้างกำลังทำงานอย่างขยันขันแข็งเพื่อเก็บงานส่วนที่เหลือให้เสร็จสิ้น และให้มั่นใจว่าสนามบินพร้อมเปิดให้บริการตามกำหนดในเดือนก.ค.นี้

    นอกจากนี้ ออกญา ชาร์ลส์ วัน เปิดเผยว่า สถานทูตฟิลิปปินส์ระบุว่าสายการบินฟิลิปปินส์แอร์ไลน์สมีแผนที่จะร่วมมือกับกัมพูชาจัดตั้งโรงเรียนฝึกอบรมการซ่อมเครื่องบินที่มหาวิทยาลัย CamTech

    สนามบินนานาชาติเตโชครอบคลุมพื้นที่กว่า 2,600 เฮกตาร์ ของชุมชนเปรกสเลง ในจ.กันดาล รวมถึงบางส่วนของเมืองตาเขมา และอ.บาตี จ.ตาแก้ว โดยสนามบินได้รับการออกแบบให้รองรับเครื่องบินขนาดใหญ่ เช่น แอร์บัส A380 และโบอิ้ง 747 ซึ่งเบื้องต้นมีขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสาร 13 ล้านคนต่อปี

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/indochina/detail/9680000017879

    #MGROnline #สนามบินนานาชาติเตโช
    สื่อกัมพูชารายงานว่าการก่อสร้างสนามบินนานาชาติเตโชคืบหน้าไปแล้วกว่า 94% และเตรียมเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในเดือนก.ค. นี้ โดยพิธีเปิดจะมีขึ้นภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต • ออกญา ชาร์ลส์ วัน จากบริษัท Cambodia Airport Investment Co. Ltd. ได้ให้ข้อมูลความคืบหน้านี้ระหว่างการเยี่ยมชมสนามบินของคณะผู้แทนระดับสูงจากสถานทูตออสเตรเลียและฟิลิปปินส์ นำโดยเอกอัครราชทูตของสองประเทศ เมื่อวันที่ 21 ก.พ. และเขาระบุว่าทีมงานก่อสร้างกำลังทำงานอย่างขยันขันแข็งเพื่อเก็บงานส่วนที่เหลือให้เสร็จสิ้น และให้มั่นใจว่าสนามบินพร้อมเปิดให้บริการตามกำหนดในเดือนก.ค.นี้ นอกจากนี้ ออกญา ชาร์ลส์ วัน เปิดเผยว่า สถานทูตฟิลิปปินส์ระบุว่าสายการบินฟิลิปปินส์แอร์ไลน์สมีแผนที่จะร่วมมือกับกัมพูชาจัดตั้งโรงเรียนฝึกอบรมการซ่อมเครื่องบินที่มหาวิทยาลัย CamTech • สนามบินนานาชาติเตโชครอบคลุมพื้นที่กว่า 2,600 เฮกตาร์ ของชุมชนเปรกสเลง ในจ.กันดาล รวมถึงบางส่วนของเมืองตาเขมา และอ.บาตี จ.ตาแก้ว โดยสนามบินได้รับการออกแบบให้รองรับเครื่องบินขนาดใหญ่ เช่น แอร์บัส A380 และโบอิ้ง 747 ซึ่งเบื้องต้นมีขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสาร 13 ล้านคนต่อปี • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/indochina/detail/9680000017879 • #MGROnline #สนามบินนานาชาติเตโช
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 180 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผู้ก่อตั้งสถาบันทิศทางไทย ถามตำรวจไซเบอร์ โดยเฉพาะ "ไตรรงค์ ผิวพรรณ" รับใช้ "ทักษิณ ชินวัตร" หรือไม่? หลังเอาตำรวจนับสิบนาย บุกบ้านผู้ประกาศข่าวผู้หญิง ชี้ไม่ใช่ลูกผู้ชาย ความผิดส่วนบุคคล แต่กลับเอามาเล่นงาน ขนาดคดี 112 ยังแค่ออกหมายเรียก ลั่นเจอกันที่ศาล

    วันนี้ (21 ก.พ.) จากกรณีที่ตำรวจกองบัญชาการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) หรือตำรวจไซเบอร์ นำโดย พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ นำกำลังตำรวจนับสิบนายตรวจค้นบ้าน น.ส.ไญยิกา อธิคุปต์ธนวัฒ ผู้ประกาศข่าวสำนักข่าวเดอะครีติก (The Critics) ก่อนควบคุมตัวไปพบพนักงานสอบสวนเพื่อให้การในฐานะพยาน พร้อมตรวจยึดโทรศัพท์มือถือ เหตุเกิดเมื่อเวลา 06.30 น. วันที่ 20 ก.พ. ที่ผ่านมา หลังนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มอบหมายให้นายวิญญัติ ชาติมนตรี แจ้งความในข้อหาหมิ่นประมาทและ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ กรณีวีดีโอคลิป "ทักษิณผู้นำเลวสุดในโลก มอนเตฯ ริบสัญชาติเพราะโกง" ทำให้นายทักษิณได้รับความเสียหาย และกรณีที่ น.ส.ฐปณีย์ เอียดศรีไชย ผู้ก่อตั้งสำนักข่าวเดอะรีพอตเตอร์ (The Reporter) ถูกกล่าวหาด้วยข้อความบิดเบือน ต่อว่า ให้ร้าย แต่ตนเองยังอยู่ที่ อ.แม่สอด จ.ตาก จะเดินทางเข้าแจ้งความ

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000017860

    #MGROnline #ทักษิณชินวัตร #ผู้ก่อตั้งสถาบันทิศทางไทย #ตำรวจไซเบอร์
    ผู้ก่อตั้งสถาบันทิศทางไทย ถามตำรวจไซเบอร์ โดยเฉพาะ "ไตรรงค์ ผิวพรรณ" รับใช้ "ทักษิณ ชินวัตร" หรือไม่? หลังเอาตำรวจนับสิบนาย บุกบ้านผู้ประกาศข่าวผู้หญิง ชี้ไม่ใช่ลูกผู้ชาย ความผิดส่วนบุคคล แต่กลับเอามาเล่นงาน ขนาดคดี 112 ยังแค่ออกหมายเรียก ลั่นเจอกันที่ศาล • วันนี้ (21 ก.พ.) จากกรณีที่ตำรวจกองบัญชาการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) หรือตำรวจไซเบอร์ นำโดย พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ นำกำลังตำรวจนับสิบนายตรวจค้นบ้าน น.ส.ไญยิกา อธิคุปต์ธนวัฒ ผู้ประกาศข่าวสำนักข่าวเดอะครีติก (The Critics) ก่อนควบคุมตัวไปพบพนักงานสอบสวนเพื่อให้การในฐานะพยาน พร้อมตรวจยึดโทรศัพท์มือถือ เหตุเกิดเมื่อเวลา 06.30 น. วันที่ 20 ก.พ. ที่ผ่านมา หลังนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มอบหมายให้นายวิญญัติ ชาติมนตรี แจ้งความในข้อหาหมิ่นประมาทและ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ กรณีวีดีโอคลิป "ทักษิณผู้นำเลวสุดในโลก มอนเตฯ ริบสัญชาติเพราะโกง" ทำให้นายทักษิณได้รับความเสียหาย และกรณีที่ น.ส.ฐปณีย์ เอียดศรีไชย ผู้ก่อตั้งสำนักข่าวเดอะรีพอตเตอร์ (The Reporter) ถูกกล่าวหาด้วยข้อความบิดเบือน ต่อว่า ให้ร้าย แต่ตนเองยังอยู่ที่ อ.แม่สอด จ.ตาก จะเดินทางเข้าแจ้งความ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000017860 • #MGROnline #ทักษิณชินวัตร #ผู้ก่อตั้งสถาบันทิศทางไทย #ตำรวจไซเบอร์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 178 มุมมอง 0 รีวิว
  • Samsung ได้เริ่มการผลิตชิป Exynos 2500 ซึ่งเป็น SoC (System on Chip) รุ่นใหม่ของบริษัทที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตแบบ 3nm GAA อย่างไรก็ตาม เนื่องจากผลผลิตที่ต่ำกว่าคาดการณ์ ทำให้ปริมาณการผลิตรายเดือนมีเพียง 5,000 หน่วยเท่านั้น ซึ่งน้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับความต้องการในตลาด

    ชิป Exynos 2500 นี้มีกำหนดจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงครึ่งหลังของปี 2025 โดยก่อนหน้านี้มีรายงานว่า Samsung วางแผนที่จะใช้ชิปนี้ในรุ่น Galaxy S25 แต่เนื่องจากปัญหาด้านการผลิต จึงต้องเลื่อนการใช้ชิปนี้ไปใช้ในรุ่นอื่นแทน เช่น Galaxy Z Flip 7 ที่จะเปิดตัวในอนาคต

    สำหรับข้อมูลเฉพาะทางของชิป Exynos 2500 นั้น จะแบ่งเป็นการใช้กลุ่ม CPU 10-core แบบเดียวกับรุ่นก่อนหน้า คือ Exynos 2400 และจะมี GPU รุ่นใหม่ Xclipse 950 ซึ่งพัฒนาร่วมกับ AMD โดยใช้สถาปัตยกรรม RDNA 3.5

    แม้ว่าบนกระดาษจะดูน่าประทับใจ แต่จากการทดสอบใน Geekbench 6 พบว่า Exynos 2500 ยังมีคะแนนน้อยกว่า Snapdragon 8 Elite ทั้งในด้านการทำงานแบบ single-core และ multi-core ทำให้ Samsung ตัดสินใจไม่ใช้ชิปนี้ในรุ่นแฟลกชิปของตนเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาด้านประสิทธิภาพ

    Samsung หวังว่าชิป Exynos 2500 จะสามารถแสดงประสิทธิภาพที่ดีขึ้นเมื่อเปิดตัวอย่างเป็นทางการ และยังมีแผนที่จะพัฒนาให้พร้อมใช้งานในอุปกรณ์ใหม่ๆ ในอนาคต

    การตัดสินใจของ Samsung ที่จะไม่รวม Exynos 2500 ในรุ่นแฟลกชิป เช่น Galaxy S25 นั้นอาจเป็นทางเลือกที่ดี เพื่อรักษามาตรฐานของผลิตภัณฑ์และเพิ่มโอกาสในการพัฒนาประสิทธิภาพของชิปในอนาคต

    https://wccftech.com/samsung-reportedly-kicks-off-exynos-2500-mass-production-but-in-low-volume/
    Samsung ได้เริ่มการผลิตชิป Exynos 2500 ซึ่งเป็น SoC (System on Chip) รุ่นใหม่ของบริษัทที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตแบบ 3nm GAA อย่างไรก็ตาม เนื่องจากผลผลิตที่ต่ำกว่าคาดการณ์ ทำให้ปริมาณการผลิตรายเดือนมีเพียง 5,000 หน่วยเท่านั้น ซึ่งน้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับความต้องการในตลาด ชิป Exynos 2500 นี้มีกำหนดจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงครึ่งหลังของปี 2025 โดยก่อนหน้านี้มีรายงานว่า Samsung วางแผนที่จะใช้ชิปนี้ในรุ่น Galaxy S25 แต่เนื่องจากปัญหาด้านการผลิต จึงต้องเลื่อนการใช้ชิปนี้ไปใช้ในรุ่นอื่นแทน เช่น Galaxy Z Flip 7 ที่จะเปิดตัวในอนาคต สำหรับข้อมูลเฉพาะทางของชิป Exynos 2500 นั้น จะแบ่งเป็นการใช้กลุ่ม CPU 10-core แบบเดียวกับรุ่นก่อนหน้า คือ Exynos 2400 และจะมี GPU รุ่นใหม่ Xclipse 950 ซึ่งพัฒนาร่วมกับ AMD โดยใช้สถาปัตยกรรม RDNA 3.5 แม้ว่าบนกระดาษจะดูน่าประทับใจ แต่จากการทดสอบใน Geekbench 6 พบว่า Exynos 2500 ยังมีคะแนนน้อยกว่า Snapdragon 8 Elite ทั้งในด้านการทำงานแบบ single-core และ multi-core ทำให้ Samsung ตัดสินใจไม่ใช้ชิปนี้ในรุ่นแฟลกชิปของตนเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาด้านประสิทธิภาพ Samsung หวังว่าชิป Exynos 2500 จะสามารถแสดงประสิทธิภาพที่ดีขึ้นเมื่อเปิดตัวอย่างเป็นทางการ และยังมีแผนที่จะพัฒนาให้พร้อมใช้งานในอุปกรณ์ใหม่ๆ ในอนาคต การตัดสินใจของ Samsung ที่จะไม่รวม Exynos 2500 ในรุ่นแฟลกชิป เช่น Galaxy S25 นั้นอาจเป็นทางเลือกที่ดี เพื่อรักษามาตรฐานของผลิตภัณฑ์และเพิ่มโอกาสในการพัฒนาประสิทธิภาพของชิปในอนาคต https://wccftech.com/samsung-reportedly-kicks-off-exynos-2500-mass-production-but-in-low-volume/
    WCCFTECH.COM
    Samsung Has Reportedly Kicked Off Mass Production Of The Exynos 2500, But Its Flagship SoC’s Expected Monthly Volume To Be Exceptionally Low Due To Poor Yields
    The Exynos 2500 might be delayed, but its launch could be around the corner as Samsung has reportedly commenced mass production of its SoC
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 142 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts