• Clearwater Forest — ซีพียูที่ Intel หวังใช้พลิกเกมในยุคเซิร์ฟเวอร์หลายร้อยคอร์

    ในงาน Hot Chips 2025 Intel ได้เปิดตัว “Clearwater Forest” ซึ่งเป็นซีพียู Xeon รุ่นใหม่ที่ใช้เฉพาะ E-core (Efficiency Core) จำนวนสูงสุดถึง 288 คอร์ต่อซ็อกเก็ต โดยใช้สถาปัตยกรรมใหม่ชื่อ “Darkmont” ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับงานที่ต้องการการประมวลผลแบบขนานจำนวนมาก เช่น cloud-native, edge computing และ AI inference

    Clearwater Forest ถูกสร้างขึ้นด้วยเทคโนโลยีการผลิตระดับ 18A ซึ่งเป็นกระบวนการที่ใช้ backside power delivery และ gate-all-around transistor เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดการใช้พลังงาน โดยมีการจัดวางแบบ 3D chiplet ด้วยเทคโนโลยี Foveros Direct และ EMIB ที่ช่วยให้สามารถเชื่อมต่อชิ้นส่วนต่างๆ ได้อย่างแน่นหนาและมีประสิทธิภาพ

    ในแพ็กเกจขนาดใหญ่ของซีพียูนี้ ประกอบด้วย 12 compute chiplets บน Intel 18A, 3 base tiles บน Intel 3 และ 2 I/O tiles บน Intel 7 โดยแต่ละกลุ่มคอร์ 4 คอร์จะใช้ L2 cache ขนาด 4MB และเชื่อมต่อกันด้วย fabric ความเร็วสูง ส่วน last-level cache รวมกันมากกว่า 1,152MB

    Intel ยืนยันว่า Clearwater Forest จะสามารถใช้งานร่วมกับแพลตฟอร์ม Xeon 69xxE/P เดิมได้ โดยรองรับ DDR5-8000, PCIe และ CXL พร้อมช่องหน่วยความจำ 12 ช่องต่อซ็อกเก็ต และสามารถใช้งานแบบสองซ็อกเก็ตรวมกันได้ถึง 576 คอร์

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Clearwater Forest เป็นซีพียู Xeon รุ่นใหม่ที่ใช้เฉพาะ E-core สูงสุด 288 คอร์ต่อซ็อกเก็ต
    ใช้สถาปัตยกรรม “Darkmont” ที่มี front-end กว้างขึ้นและ out-of-order engine ที่ลึกขึ้น
    ใช้เทคโนโลยีการผลิต Intel 18A พร้อม backside power และ gate-all-around
    จัดวางแบบ 3D chiplet ด้วย Foveros Direct และ EMIB
    ประกอบด้วย 12 compute chiplets (18A), 3 base tiles (Intel 3), และ 2 I/O tiles (Intel 7)
    มี L2 cache ขนาด 4MB ต่อกลุ่ม 4 คอร์ และ last-level cache รวมกว่า 1,152MB
    รองรับ DDR5-8000, PCIe และ CXL พร้อมช่องหน่วยความจำ 12 ช่อง
    ใช้งานร่วมกับแพลตฟอร์ม Xeon 69xxE/P เดิมได้
    รองรับการใช้งานแบบสองซ็อกเก็ต รวมได้ถึง 576 คอร์
    เหมาะสำหรับงาน cloud-native, edge computing และ AI inference

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Darkmont เป็นรุ่นต่อยอดจาก Crestmont และ Sierra Glen โดยเพิ่ม execution port และ bandwidth
    Intel 18A เป็นกระบวนการที่เน้นประสิทธิภาพพลังงานและความหนาแน่นของทรานซิสเตอร์
    Foveros Direct ช่วยให้การเชื่อมต่อระหว่าง chiplet มี latency ต่ำและประหยัดพลังงาน
    EMIB เป็นเทคโนโลยี interconnect ที่ใช้เชื่อม die ต่างชนิดกันในแพ็กเกจเดียว
    การใช้ E-core ล้วนช่วยลดการใช้พลังงานและเพิ่มจำนวนคอร์ในพื้นที่จำกัด
    Clearwater Forest เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ Xeon 6 ที่แบ่งเป็น P-core (Diamond Rapids) และ E-core (Clearwater Forest)

    https://www.techpowerup.com/340299/intel-details-clearwater-forest-xeon-with-288-e-cores-on-18a-process
    🎙️ Clearwater Forest — ซีพียูที่ Intel หวังใช้พลิกเกมในยุคเซิร์ฟเวอร์หลายร้อยคอร์ ในงาน Hot Chips 2025 Intel ได้เปิดตัว “Clearwater Forest” ซึ่งเป็นซีพียู Xeon รุ่นใหม่ที่ใช้เฉพาะ E-core (Efficiency Core) จำนวนสูงสุดถึง 288 คอร์ต่อซ็อกเก็ต โดยใช้สถาปัตยกรรมใหม่ชื่อ “Darkmont” ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับงานที่ต้องการการประมวลผลแบบขนานจำนวนมาก เช่น cloud-native, edge computing และ AI inference Clearwater Forest ถูกสร้างขึ้นด้วยเทคโนโลยีการผลิตระดับ 18A ซึ่งเป็นกระบวนการที่ใช้ backside power delivery และ gate-all-around transistor เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดการใช้พลังงาน โดยมีการจัดวางแบบ 3D chiplet ด้วยเทคโนโลยี Foveros Direct และ EMIB ที่ช่วยให้สามารถเชื่อมต่อชิ้นส่วนต่างๆ ได้อย่างแน่นหนาและมีประสิทธิภาพ ในแพ็กเกจขนาดใหญ่ของซีพียูนี้ ประกอบด้วย 12 compute chiplets บน Intel 18A, 3 base tiles บน Intel 3 และ 2 I/O tiles บน Intel 7 โดยแต่ละกลุ่มคอร์ 4 คอร์จะใช้ L2 cache ขนาด 4MB และเชื่อมต่อกันด้วย fabric ความเร็วสูง ส่วน last-level cache รวมกันมากกว่า 1,152MB Intel ยืนยันว่า Clearwater Forest จะสามารถใช้งานร่วมกับแพลตฟอร์ม Xeon 69xxE/P เดิมได้ โดยรองรับ DDR5-8000, PCIe และ CXL พร้อมช่องหน่วยความจำ 12 ช่องต่อซ็อกเก็ต และสามารถใช้งานแบบสองซ็อกเก็ตรวมกันได้ถึง 576 คอร์ 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Clearwater Forest เป็นซีพียู Xeon รุ่นใหม่ที่ใช้เฉพาะ E-core สูงสุด 288 คอร์ต่อซ็อกเก็ต ➡️ ใช้สถาปัตยกรรม “Darkmont” ที่มี front-end กว้างขึ้นและ out-of-order engine ที่ลึกขึ้น ➡️ ใช้เทคโนโลยีการผลิต Intel 18A พร้อม backside power และ gate-all-around ➡️ จัดวางแบบ 3D chiplet ด้วย Foveros Direct และ EMIB ➡️ ประกอบด้วย 12 compute chiplets (18A), 3 base tiles (Intel 3), และ 2 I/O tiles (Intel 7) ➡️ มี L2 cache ขนาด 4MB ต่อกลุ่ม 4 คอร์ และ last-level cache รวมกว่า 1,152MB ➡️ รองรับ DDR5-8000, PCIe และ CXL พร้อมช่องหน่วยความจำ 12 ช่อง ➡️ ใช้งานร่วมกับแพลตฟอร์ม Xeon 69xxE/P เดิมได้ ➡️ รองรับการใช้งานแบบสองซ็อกเก็ต รวมได้ถึง 576 คอร์ ➡️ เหมาะสำหรับงาน cloud-native, edge computing และ AI inference ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Darkmont เป็นรุ่นต่อยอดจาก Crestmont และ Sierra Glen โดยเพิ่ม execution port และ bandwidth ➡️ Intel 18A เป็นกระบวนการที่เน้นประสิทธิภาพพลังงานและความหนาแน่นของทรานซิสเตอร์ ➡️ Foveros Direct ช่วยให้การเชื่อมต่อระหว่าง chiplet มี latency ต่ำและประหยัดพลังงาน ➡️ EMIB เป็นเทคโนโลยี interconnect ที่ใช้เชื่อม die ต่างชนิดกันในแพ็กเกจเดียว ➡️ การใช้ E-core ล้วนช่วยลดการใช้พลังงานและเพิ่มจำนวนคอร์ในพื้นที่จำกัด ➡️ Clearwater Forest เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ Xeon 6 ที่แบ่งเป็น P-core (Diamond Rapids) และ E-core (Clearwater Forest) https://www.techpowerup.com/340299/intel-details-clearwater-forest-xeon-with-288-e-cores-on-18a-process
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Intel Details "Clearwater Forest" Xeon with 288 E-Cores on 18A Process
    Intel used Hot Chips to pull back the curtain on "Clearwater Forest", its next-generation E-core Xeon. The company has paired major architectural upgrades with its newest 18A process and advanced 3D Foveros packaging paired with EMIB. The chip replaces "Sierra Forest" and is built around the new "Da...
    0 Comments 0 Shares 12 Views 0 Reviews
  • Humain กับภารกิจเปลี่ยนซาอุฯ ให้เป็นมหาอำนาจ AI ด้วยชิปจากสหรัฐฯ

    กลางปี 2025 ซาอุดีอาระเบียเปิดตัวบริษัทใหม่ชื่อว่า “Humain” ภายใต้การสนับสนุนจากกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ (Public Investment Fund) โดยมีเป้าหมายชัดเจน: เปลี่ยนประเทศให้กลายเป็นศูนย์กลางด้านปัญญาประดิษฐ์ของภูมิภาค

    Humain เริ่มต้นด้วยการสร้างศูนย์ข้อมูล (data centers) ขนาดใหญ่ในสองเมืองหลักคือ ริยาดและดัมมาม โดยแต่ละแห่งจะมีความสามารถในการใช้พลังงานสูงถึง 100 เมกะวัตต์ และมีกำหนดเปิดใช้งานในช่วงไตรมาสที่สองของปี 2026

    สิ่งที่น่าสนใจคือ Humain เลือกใช้ชิป AI จากบริษัทสหรัฐฯ เช่น NVIDIA และ AMD โดยได้รับอนุมัติให้นำเข้า “Blackwell” chips รุ่นล่าสุดจำนวน 18,000 ชิ้น ซึ่งถือเป็นการลงทุนเชิงกลยุทธ์ที่สะท้อนถึงความร่วมมือระหว่างซาอุฯ กับสหรัฐฯ ที่ลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ

    นอกจากนี้ Humain ยังมีแผนขยายศูนย์ข้อมูลให้มีขนาดรวมถึง 1.9 กิกะวัตต์ภายในปี 2030 และร่วมมือกับบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกอย่าง Qualcomm, Cisco และแม้แต่ xAI ของ Elon Musk เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ที่ครอบคลุมทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์

    เบื้องหลังทั้งหมดนี้คือวิสัยทัศน์ของมกุฎราชกุมาร Mohammed bin Salman ที่ต้องการผลักดันประเทศให้พ้นจากการพึ่งพาน้ำมัน และเข้าสู่เศรษฐกิจแห่งอนาคตผ่าน “Vision 2030”

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Humain เป็นบริษัท AI ใหม่ของซาอุดีอาระเบีย เปิดตัวในเดือนพฤษภาคม 2025
    เริ่มสร้างศูนย์ข้อมูลในริยาดและดัมมาม กำหนดเปิดใช้งานต้นปี 2026
    แต่ละแห่งมีความสามารถเริ่มต้นที่ 100 เมกะวัตต์
    ใช้ชิป AI จากสหรัฐฯ เช่น NVIDIA และ AMD
    ได้รับอนุมัติให้นำเข้า Blackwell chips จำนวน 18,000 ชิ้น
    มีแผนขยายศูนย์ข้อมูลรวมถึง 1.9 กิกะวัตต์ภายในปี 2030
    ร่วมมือกับบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก เช่น Qualcomm, Cisco และ xAI
    Humain อยู่ภายใต้การดูแลของกองทุน PIF และมกุฎราชกุมาร Mohammed bin Salman
    เป้าหมายคือสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI และโมเดลขั้นสูงในภูมิภาค
    การเปิดตัว Humain เกิดขึ้นพร้อมกับการเยือนของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งมีการตกลงมูลค่า 600 พันล้านดอลลาร์กับบริษัทสหรัฐฯ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Blackwell chips ของ NVIDIA เป็นชิป AI รุ่นใหม่ที่ออกแบบมาเพื่องานประมวลผลขนาดใหญ่ เช่น LLM และการฝึกโมเดล deep learning
    การใช้ชิปจากสหรัฐฯ สะท้อนถึงการพึ่งพาเทคโนโลยีตะวันตกในช่วงเปลี่ยนผ่านของซาอุฯ
    Vision 2030 เป็นแผนยุทธศาสตร์ของซาอุฯ ที่มุ่งเน้นการลดการพึ่งพาน้ำมันและส่งเสริมเทคโนโลยี
    การลงทุนใน AI ยังรวมถึงการฝึกอบรมบุคลากร 20,000 คนภายในปี 2030
    การสร้างศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ช่วยให้ซาอุฯ มีอำนาจในการประมวลผลข้อมูลในระดับภูมิภาค

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/26/saudi039s-humain-to-launch-data-centers-with-us-chips-in-early-2026-bloomberg-news-reports
    🎙️ Humain กับภารกิจเปลี่ยนซาอุฯ ให้เป็นมหาอำนาจ AI ด้วยชิปจากสหรัฐฯ กลางปี 2025 ซาอุดีอาระเบียเปิดตัวบริษัทใหม่ชื่อว่า “Humain” ภายใต้การสนับสนุนจากกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ (Public Investment Fund) โดยมีเป้าหมายชัดเจน: เปลี่ยนประเทศให้กลายเป็นศูนย์กลางด้านปัญญาประดิษฐ์ของภูมิภาค Humain เริ่มต้นด้วยการสร้างศูนย์ข้อมูล (data centers) ขนาดใหญ่ในสองเมืองหลักคือ ริยาดและดัมมาม โดยแต่ละแห่งจะมีความสามารถในการใช้พลังงานสูงถึง 100 เมกะวัตต์ และมีกำหนดเปิดใช้งานในช่วงไตรมาสที่สองของปี 2026 สิ่งที่น่าสนใจคือ Humain เลือกใช้ชิป AI จากบริษัทสหรัฐฯ เช่น NVIDIA และ AMD โดยได้รับอนุมัติให้นำเข้า “Blackwell” chips รุ่นล่าสุดจำนวน 18,000 ชิ้น ซึ่งถือเป็นการลงทุนเชิงกลยุทธ์ที่สะท้อนถึงความร่วมมือระหว่างซาอุฯ กับสหรัฐฯ ที่ลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้ Humain ยังมีแผนขยายศูนย์ข้อมูลให้มีขนาดรวมถึง 1.9 กิกะวัตต์ภายในปี 2030 และร่วมมือกับบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกอย่าง Qualcomm, Cisco และแม้แต่ xAI ของ Elon Musk เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ที่ครอบคลุมทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ เบื้องหลังทั้งหมดนี้คือวิสัยทัศน์ของมกุฎราชกุมาร Mohammed bin Salman ที่ต้องการผลักดันประเทศให้พ้นจากการพึ่งพาน้ำมัน และเข้าสู่เศรษฐกิจแห่งอนาคตผ่าน “Vision 2030” 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Humain เป็นบริษัท AI ใหม่ของซาอุดีอาระเบีย เปิดตัวในเดือนพฤษภาคม 2025 ➡️ เริ่มสร้างศูนย์ข้อมูลในริยาดและดัมมาม กำหนดเปิดใช้งานต้นปี 2026 ➡️ แต่ละแห่งมีความสามารถเริ่มต้นที่ 100 เมกะวัตต์ ➡️ ใช้ชิป AI จากสหรัฐฯ เช่น NVIDIA และ AMD ➡️ ได้รับอนุมัติให้นำเข้า Blackwell chips จำนวน 18,000 ชิ้น ➡️ มีแผนขยายศูนย์ข้อมูลรวมถึง 1.9 กิกะวัตต์ภายในปี 2030 ➡️ ร่วมมือกับบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก เช่น Qualcomm, Cisco และ xAI ➡️ Humain อยู่ภายใต้การดูแลของกองทุน PIF และมกุฎราชกุมาร Mohammed bin Salman ➡️ เป้าหมายคือสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI และโมเดลขั้นสูงในภูมิภาค ➡️ การเปิดตัว Humain เกิดขึ้นพร้อมกับการเยือนของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งมีการตกลงมูลค่า 600 พันล้านดอลลาร์กับบริษัทสหรัฐฯ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Blackwell chips ของ NVIDIA เป็นชิป AI รุ่นใหม่ที่ออกแบบมาเพื่องานประมวลผลขนาดใหญ่ เช่น LLM และการฝึกโมเดล deep learning ➡️ การใช้ชิปจากสหรัฐฯ สะท้อนถึงการพึ่งพาเทคโนโลยีตะวันตกในช่วงเปลี่ยนผ่านของซาอุฯ ➡️ Vision 2030 เป็นแผนยุทธศาสตร์ของซาอุฯ ที่มุ่งเน้นการลดการพึ่งพาน้ำมันและส่งเสริมเทคโนโลยี ➡️ การลงทุนใน AI ยังรวมถึงการฝึกอบรมบุคลากร 20,000 คนภายในปี 2030 ➡️ การสร้างศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ช่วยให้ซาอุฯ มีอำนาจในการประมวลผลข้อมูลในระดับภูมิภาค https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/26/saudi039s-humain-to-launch-data-centers-with-us-chips-in-early-2026-bloomberg-news-reports
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Saudi's Humain to launch data centers with US chips in early 2026, Bloomberg News reports
    (Reuters) -Humain, Saudi Arabia's new artificial intelligence company, has begun construction of its first data centers in the kingdom, and plans to bring them online in early 2026 using semiconductors imported from the U.S., Bloomberg News reported on Monday.
    0 Comments 0 Shares 19 Views 0 Reviews
  • OKLCH — สีที่เข้าใจสายตาคนมากกว่าที่เคย

    ลองนึกภาพว่าคุณกำลังออกแบบปุ่มบนเว็บไซต์ และอยากให้แต่ละปุ่มมีสีต่างกัน แต่ยังคง “ความรู้สึก” ที่เหมือนกัน — ไม่ใช่บางปุ่มดูสว่างเกินไป บางปุ่มดูหม่น หรือบางปุ่มดูโดดเด่นเกินหน้าเพื่อน

    นั่นคือปัญหาที่ OKLCH เข้ามาแก้ได้อย่างเฉียบขาด

    OKLCH เป็นระบบสีใหม่ใน CSS ที่ออกแบบมาให้ “perceptually uniform” หรือก็คือ สีที่เปลี่ยนไปอย่างสม่ำเสมอตามการรับรู้ของสายตามนุษย์ ไม่ใช่แค่ตัวเลขในระบบ RGB หรือ HSL ที่บางครั้งเปลี่ยนแค่ 5 หน่วย แต่กลับทำให้สีดูเปลี่ยนไปมากเกินคาด

    OKLCH ประกอบด้วย 3 ค่า:
    - Lightness (L): ความสว่าง
    - Chroma (C): ความเข้มของสี
    - Hue (H): เฉดสี

    เมื่อคุณเปลี่ยนเฉพาะ Hue โดยคงค่า L และ C ไว้ สีที่ได้จะมีความสว่างและความเข้มเท่ากัน ต่างกันแค่เฉด — ทำให้สร้างชุดสีที่ “รู้สึกเท่ากัน” ได้ง่ายมาก

    นอกจากนี้ OKLCH ยังช่วยให้การสร้าง gradients ดูนุ่มนวลและเป็นธรรมชาติกว่า RGB เพราะมันคำนวณจากความสว่าง ความเข้ม และเฉด ไม่ใช่แค่ค่าของแดง เขียว น้ำเงิน

    และที่สำคัญ OKLCH รองรับสีใน Display-P3 ซึ่งเป็นขอบเขตสีที่กว้างกว่าสำหรับหน้าจอสมัยใหม่ เช่น MacBook หรือ iPhone รุ่นใหม่ ทำให้สีดูสดและแม่นยำยิ่งขึ้น

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    OKLCH เป็นระบบสีใหม่ใน CSS ที่ออกแบบมาให้ perceptually uniform
    ประกอบด้วย 3 ค่า: Lightness, Chroma และ Hue
    การเปลี่ยนเฉพาะ Hue โดยคงค่า L และ C จะได้ชุดสีที่มีความรู้สึกเท่ากัน
    OKLCH ช่วยให้ gradients ดูนุ่มนวลและไม่เกิดสีแปลกกลางทาง
    รองรับสีใน Display-P3 ซึ่งมีขอบเขตกว้างกว่าสี sRGB
    OKLCH ถูกนำมาใช้ใน CSS Color Module Level 4 และรองรับในเบราว์เซอร์สมัยใหม่
    สามารถใช้ @supports ใน CSS เพื่อ fallback ไปยัง sRGB หากเบราว์เซอร์ไม่รองรับ
    มีเครื่องมือช่วยสร้างพาเลตสี OKLCH เช่น oklch.fyi
    OKLCH ใช้พื้นฐานจาก OKLab ซึ่งเป็นโมเดลสีที่แม่นยำต่อการรับรู้ของมนุษย์

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    OKLCH ถูกเสนอโดย Björn Ottosson ในปี 2020 เพื่อแก้ปัญหาความไม่สม่ำเสมอของสีในระบบเดิม
    Display-P3 มีขอบเขตสีมากกว่า sRGB ถึง 50% โดยเฉพาะในเฉดแดงและเขียว
    OKLCH สามารถกำหนดค่าที่อยู่นอกขอบเขตของหน้าจอจริงได้ แต่จะถูก “clip” ให้ใกล้เคียงที่สุด
    การใช้ OKLCH ช่วยให้การออกแบบเว็บเข้าถึงผู้ใช้ที่มีความบกพร่องทางการมองเห็นได้ดีขึ้น

    https://jakub.kr/components/oklch-colors
    🎙️ OKLCH — สีที่เข้าใจสายตาคนมากกว่าที่เคย ลองนึกภาพว่าคุณกำลังออกแบบปุ่มบนเว็บไซต์ และอยากให้แต่ละปุ่มมีสีต่างกัน แต่ยังคง “ความรู้สึก” ที่เหมือนกัน — ไม่ใช่บางปุ่มดูสว่างเกินไป บางปุ่มดูหม่น หรือบางปุ่มดูโดดเด่นเกินหน้าเพื่อน นั่นคือปัญหาที่ OKLCH เข้ามาแก้ได้อย่างเฉียบขาด OKLCH เป็นระบบสีใหม่ใน CSS ที่ออกแบบมาให้ “perceptually uniform” หรือก็คือ สีที่เปลี่ยนไปอย่างสม่ำเสมอตามการรับรู้ของสายตามนุษย์ ไม่ใช่แค่ตัวเลขในระบบ RGB หรือ HSL ที่บางครั้งเปลี่ยนแค่ 5 หน่วย แต่กลับทำให้สีดูเปลี่ยนไปมากเกินคาด OKLCH ประกอบด้วย 3 ค่า: - Lightness (L): ความสว่าง - Chroma (C): ความเข้มของสี - Hue (H): เฉดสี เมื่อคุณเปลี่ยนเฉพาะ Hue โดยคงค่า L และ C ไว้ สีที่ได้จะมีความสว่างและความเข้มเท่ากัน ต่างกันแค่เฉด — ทำให้สร้างชุดสีที่ “รู้สึกเท่ากัน” ได้ง่ายมาก นอกจากนี้ OKLCH ยังช่วยให้การสร้าง gradients ดูนุ่มนวลและเป็นธรรมชาติกว่า RGB เพราะมันคำนวณจากความสว่าง ความเข้ม และเฉด ไม่ใช่แค่ค่าของแดง เขียว น้ำเงิน และที่สำคัญ OKLCH รองรับสีใน Display-P3 ซึ่งเป็นขอบเขตสีที่กว้างกว่าสำหรับหน้าจอสมัยใหม่ เช่น MacBook หรือ iPhone รุ่นใหม่ ทำให้สีดูสดและแม่นยำยิ่งขึ้น 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ OKLCH เป็นระบบสีใหม่ใน CSS ที่ออกแบบมาให้ perceptually uniform ➡️ ประกอบด้วย 3 ค่า: Lightness, Chroma และ Hue ➡️ การเปลี่ยนเฉพาะ Hue โดยคงค่า L และ C จะได้ชุดสีที่มีความรู้สึกเท่ากัน ➡️ OKLCH ช่วยให้ gradients ดูนุ่มนวลและไม่เกิดสีแปลกกลางทาง ➡️ รองรับสีใน Display-P3 ซึ่งมีขอบเขตกว้างกว่าสี sRGB ➡️ OKLCH ถูกนำมาใช้ใน CSS Color Module Level 4 และรองรับในเบราว์เซอร์สมัยใหม่ ➡️ สามารถใช้ @supports ใน CSS เพื่อ fallback ไปยัง sRGB หากเบราว์เซอร์ไม่รองรับ ➡️ มีเครื่องมือช่วยสร้างพาเลตสี OKLCH เช่น oklch.fyi ➡️ OKLCH ใช้พื้นฐานจาก OKLab ซึ่งเป็นโมเดลสีที่แม่นยำต่อการรับรู้ของมนุษย์ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ OKLCH ถูกเสนอโดย Björn Ottosson ในปี 2020 เพื่อแก้ปัญหาความไม่สม่ำเสมอของสีในระบบเดิม ➡️ Display-P3 มีขอบเขตสีมากกว่า sRGB ถึง 50% โดยเฉพาะในเฉดแดงและเขียว ➡️ OKLCH สามารถกำหนดค่าที่อยู่นอกขอบเขตของหน้าจอจริงได้ แต่จะถูก “clip” ให้ใกล้เคียงที่สุด ➡️ การใช้ OKLCH ช่วยให้การออกแบบเว็บเข้าถึงผู้ใช้ที่มีความบกพร่องทางการมองเห็นได้ดีขึ้น https://jakub.kr/components/oklch-colors
    JAKUB.KR
    What are OKLCH colors?
    Article about the OKLCH color model.
    0 Comments 0 Shares 18 Views 0 Reviews
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ”
    ภาคสอง ตอน เสกกระดาษเป็นน้ำมัน
    ตอนที่ 16 : คนรวยอีกโคตร
    อเมริกามีตระกูล Rockefeller ที่โคตรรวย อังกฤษก็มีเหมือนกัน ใครรวยกว่าใคร เป็นมิตรหรือเป็นศัตรูกัน ดูกันไป ตระกูล Rothchilds เริ่มต้นหากินอยู่ ทั้งในอังกฤษและฝรั่งเศส แต่ที่ทำให้เขารวยแบบส้มหล่น คือจากการใช้ข่าววงในเล่นหุ้นในตลาดหุ้นอังกฤษ (สงสัยเป็น insider trading เจ้าแรกของโลก)
    ประมาณปี ค.ศ. 1815 อังกฤษและพวก ยกทัพไปขยี้จักรพรรดิ์ Napoleon ที่ Waterloo ซึ่งปัจจุบันเรียกว่า Belgium ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของประเทศ Netherlands ตระกูล Rothchilds ซึ่งมีเชื้อสายของตระกูล แผ่ไปทั่วยุโรป กำลังครอบครองอาณาจักรการเงิน ผ่านเครือข่ายธนาคารของพวกเขา ตั้งแต่ London, Paris, Frankfurt, Vienna และ Naples หัวหน้าตระกูลสายอังกฤษ คือ นาย Nathan Rothchilds เป็นนักเล่นหุ้นตัวยง เมื่อเครือข่ายของเขาส่งข่าวมาว่า กองทัพอังกฤษขยี้ Napoleon ได้ เขารู้ก่อนใคร ๆ ประมาณ 24 ชั่วโมง แม้กระทั่งรัฐบาลอังกฤษเอง ก็ยังไม่รู้ข่าวนี้ (ถ้ามันจะมีนกพิราบพันธ์พิเศษส่งข่าว !) เขาเดินเข้าไปตลาดหุ้น London ตีหน้าขรึมและสั่งเทขายหุ้นทุก
    ตัวที่เขามีอยู่ในพอร์ต แน่นอน เมื่อท่านเศรษฐีขายหุ้นทิ้งทุกตัว แมงเม่าก็ย่อมขายตาม ความอลหม่านก็เกิดขึ้นในตลาดหุ้น London แล้วหุ้นทุกตัวก็พุ่งหลาวลงไปติดพื้น สิ่งที่แมงเม่ามองไม่เห็นคือ หลังจากหุ้นทุกตัวลงมากองอยู่กับพื้น นาย Nathan แอบกลับไปซื้อหุ้นเกือบทุกตัว ในตลาดกลับในราคาหุ้นละตังค์เดียว (penny to a dollar) หลังจากนาย Nathan ซื้อกลับไม่ถึงชั่วอึดใจ ม้าเร็วก็วิ่งมาถึง London พร้อมประกาศว่า เราชนะ เราชนะ แล้วหุ้นที่นาย Nathan ซื้อ ก็พุ่งกลับขึ้นไปชนเพดาน เศรษฐีก็รวยบนซากของแมงเม่ารุ่นประวัติศาสตร์ พวกเศรษฐีเขาเล่นหุ้นกับแบบนี้ แมงเม่าจำไว้ด้วย
    ช่วงปี ค.ศ. 1800 – 1900 เศรษฐกิจของอเมริกาเหมือนเสาปักอยู่บนเลน แล้วปี ค.ศ. 1873 ก็เกิดสภาพเศรษฐกิจถดถอย (The Great Depression) บริษัทใหญ่ ตระกูลใหญ่ ตระกูลน้อย วายวอด แต่ตระกูล Rockefeller และ J P Morgan ก็รอดมาได้
    J P Morgan ยึดหัวหาดในการสร้างทางรถไฟ และธนาคาร ขณะที่ Rockefeller ตอนแรกเล่นแต่น้ำมัน ต่อมากลิ่นเงินมันหอม เลยเริ่มมาลงทุนทำธนาคารด้วย ช่วงนั้น House of Morgan เป็นผู้นำในการทำธุรกิจธนาคาร ตั้ง First National Bank of New York และ National City Bank of New York แต่คนบริหารธนาคารนี้ ก็เป็นเด็กในคาถาของ Rockefeller อีกต่อหนึ่ง ในปี ค.ศ. 1912 ประมาณว่าทรัพย์สินของ 2 เศรษฐีรวมกัน น่าจะมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 2 หมื่น ล้านล้าน (นับตัวเลขถูกหรือเปล่าหว่า ? !)
    ปลายค.ศ. 1870 อาณาจักรน้ำมัน Standard Oil ของตระกูลโคตรรวย Rockefeller ครองตลาดน้ำมันทั่วอเมริกาและได้ก้าวไปยังต่างประเทศด้วย ค.ศ. 1890 กษัตริย์แห่งฮอลแลนด์ (Dutch) ตั้งบริษัทค้าน้ำมันชื่อ Royal Dutch Oil Company ขายน้ำมันที่มาจากแหล่งในอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นอาณานิคมของฮอลแลนด์ Dutch มีน้ำมันแต่ไม่มีเรือขน อังกฤษบอกพี่ทำให้เองน้อง แล้วอังกฤษก็ตั้งบริษัทขนส่งน้ำมัน ชื่อ Shell Transport and Trading Company ขนส่งน้ำมัน Dutch จากสุมาตรา ไปทุกแห่งที่อังกฤษต้องการ ท้ายที่สุดก็เปิดตัว คู่รักควบรวมเป็นบริษัท Royal Dutch Shell


    คนเล่านิทาน
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ” ภาคสอง ตอน เสกกระดาษเป็นน้ำมัน ตอนที่ 16 : คนรวยอีกโคตร อเมริกามีตระกูล Rockefeller ที่โคตรรวย อังกฤษก็มีเหมือนกัน ใครรวยกว่าใคร เป็นมิตรหรือเป็นศัตรูกัน ดูกันไป ตระกูล Rothchilds เริ่มต้นหากินอยู่ ทั้งในอังกฤษและฝรั่งเศส แต่ที่ทำให้เขารวยแบบส้มหล่น คือจากการใช้ข่าววงในเล่นหุ้นในตลาดหุ้นอังกฤษ (สงสัยเป็น insider trading เจ้าแรกของโลก) ประมาณปี ค.ศ. 1815 อังกฤษและพวก ยกทัพไปขยี้จักรพรรดิ์ Napoleon ที่ Waterloo ซึ่งปัจจุบันเรียกว่า Belgium ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของประเทศ Netherlands ตระกูล Rothchilds ซึ่งมีเชื้อสายของตระกูล แผ่ไปทั่วยุโรป กำลังครอบครองอาณาจักรการเงิน ผ่านเครือข่ายธนาคารของพวกเขา ตั้งแต่ London, Paris, Frankfurt, Vienna และ Naples หัวหน้าตระกูลสายอังกฤษ คือ นาย Nathan Rothchilds เป็นนักเล่นหุ้นตัวยง เมื่อเครือข่ายของเขาส่งข่าวมาว่า กองทัพอังกฤษขยี้ Napoleon ได้ เขารู้ก่อนใคร ๆ ประมาณ 24 ชั่วโมง แม้กระทั่งรัฐบาลอังกฤษเอง ก็ยังไม่รู้ข่าวนี้ (ถ้ามันจะมีนกพิราบพันธ์พิเศษส่งข่าว !) เขาเดินเข้าไปตลาดหุ้น London ตีหน้าขรึมและสั่งเทขายหุ้นทุก ตัวที่เขามีอยู่ในพอร์ต แน่นอน เมื่อท่านเศรษฐีขายหุ้นทิ้งทุกตัว แมงเม่าก็ย่อมขายตาม ความอลหม่านก็เกิดขึ้นในตลาดหุ้น London แล้วหุ้นทุกตัวก็พุ่งหลาวลงไปติดพื้น สิ่งที่แมงเม่ามองไม่เห็นคือ หลังจากหุ้นทุกตัวลงมากองอยู่กับพื้น นาย Nathan แอบกลับไปซื้อหุ้นเกือบทุกตัว ในตลาดกลับในราคาหุ้นละตังค์เดียว (penny to a dollar) หลังจากนาย Nathan ซื้อกลับไม่ถึงชั่วอึดใจ ม้าเร็วก็วิ่งมาถึง London พร้อมประกาศว่า เราชนะ เราชนะ แล้วหุ้นที่นาย Nathan ซื้อ ก็พุ่งกลับขึ้นไปชนเพดาน เศรษฐีก็รวยบนซากของแมงเม่ารุ่นประวัติศาสตร์ พวกเศรษฐีเขาเล่นหุ้นกับแบบนี้ แมงเม่าจำไว้ด้วย ช่วงปี ค.ศ. 1800 – 1900 เศรษฐกิจของอเมริกาเหมือนเสาปักอยู่บนเลน แล้วปี ค.ศ. 1873 ก็เกิดสภาพเศรษฐกิจถดถอย (The Great Depression) บริษัทใหญ่ ตระกูลใหญ่ ตระกูลน้อย วายวอด แต่ตระกูล Rockefeller และ J P Morgan ก็รอดมาได้ J P Morgan ยึดหัวหาดในการสร้างทางรถไฟ และธนาคาร ขณะที่ Rockefeller ตอนแรกเล่นแต่น้ำมัน ต่อมากลิ่นเงินมันหอม เลยเริ่มมาลงทุนทำธนาคารด้วย ช่วงนั้น House of Morgan เป็นผู้นำในการทำธุรกิจธนาคาร ตั้ง First National Bank of New York และ National City Bank of New York แต่คนบริหารธนาคารนี้ ก็เป็นเด็กในคาถาของ Rockefeller อีกต่อหนึ่ง ในปี ค.ศ. 1912 ประมาณว่าทรัพย์สินของ 2 เศรษฐีรวมกัน น่าจะมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 2 หมื่น ล้านล้าน (นับตัวเลขถูกหรือเปล่าหว่า ? !) ปลายค.ศ. 1870 อาณาจักรน้ำมัน Standard Oil ของตระกูลโคตรรวย Rockefeller ครองตลาดน้ำมันทั่วอเมริกาและได้ก้าวไปยังต่างประเทศด้วย ค.ศ. 1890 กษัตริย์แห่งฮอลแลนด์ (Dutch) ตั้งบริษัทค้าน้ำมันชื่อ Royal Dutch Oil Company ขายน้ำมันที่มาจากแหล่งในอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นอาณานิคมของฮอลแลนด์ Dutch มีน้ำมันแต่ไม่มีเรือขน อังกฤษบอกพี่ทำให้เองน้อง แล้วอังกฤษก็ตั้งบริษัทขนส่งน้ำมัน ชื่อ Shell Transport and Trading Company ขนส่งน้ำมัน Dutch จากสุมาตรา ไปทุกแห่งที่อังกฤษต้องการ ท้ายที่สุดก็เปิดตัว คู่รักควบรวมเป็นบริษัท Royal Dutch Shell คนเล่านิทาน
    0 Comments 0 Shares 111 Views 0 Reviews
  • Lisuan G100 – การ์ดจอเกมจากจีนที่กลายเป็นเครื่องมือ AI อย่างไม่คาดคิด

    ในอดีต GPU จากจีนมักถูกมองว่าเป็นของเล่นที่ยังไม่พร้อมแข่งกับแบรนด์ระดับโลกอย่าง NVIDIA หรือ AMD แต่วันนี้ Lisuan G100 ได้เปลี่ยนภาพนั้นไปอย่างสิ้นเชิง

    Lisuan G100 เป็น GPU ขนาด 6nm ที่พัฒนาโดยบริษัทจีน Lisuan Technology โดยใช้สถาปัตยกรรมที่เรียกว่า “TrueGPU Tiantu” ซึ่งเป็นการออกแบบภายในทั้งหมด ไม่พึ่งพา IP จากต่างประเทศ และมีซอฟต์แวร์ของตัวเองที่รองรับ DirectX 12, Vulkan 1.3 และ OpenCL 3.0

    ในด้านเกม G100 ทำคะแนน Geekbench OpenCL ได้ถึง 111,290 คะแนน ซึ่งใกล้เคียงกับ RTX 4060 และเหนือกว่า RX 9060 XT และ Intel Arc A770 โดยมี 48 Compute Units, VRAM 12GB และความเร็วสัญญาณนาฬิกา 2000 MHz

    แต่สิ่งที่ทำให้ G100 น่าสนใจยิ่งกว่าคือการรองรับ INT8 operations ซึ่งเป็นฟีเจอร์สำคัญสำหรับงาน AI โดยเฉพาะการ inferencing และ edge computing ทำให้ G100 ไม่ใช่แค่การ์ดจอเกม แต่เป็นเครื่องมือสำหรับงาน AI ระดับผู้ใช้ทั่วไป

    Lisuan ยังมีแผนพัฒนาอัลกอริธึม upscaling ของตัวเองชื่อ NRSS เพื่อแข่งกับ DLSS และ FSR ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในตลาดเกมยุคใหม่ และมีแนวโน้มจะเข้าสู่ตลาด accelerator สำหรับงาน AI หากการเปิดตัว G100 ประสบความสำเร็จ

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Lisuan G100 เป็น GPU ขนาด 6nm ที่พัฒนาโดยบริษัทจีน Lisuan Technology
    ใช้สถาปัตยกรรม TrueGPU Tiantu และซอฟต์แวร์ของตัวเอง
    รองรับ DirectX 12, Vulkan 1.3, OpenGL 4.6 และ OpenCL 3.0
    ทำคะแนน Geekbench OpenCL ได้ 111,290 ใกล้เคียง RTX 4060
    มี 48 Compute Units, VRAM 12GB และความเร็ว 2000 MHz
    รองรับ INT8 operations สำหรับงาน AI inferencing และ edge computing
    เป็น GPU จีนรุ่นแรกที่รองรับ INT8 อย่างเป็นทางการ
    มีแผนพัฒนาอัลกอริธึม upscaling ชื่อ NRSS เพื่อแข่งกับ DLSS และ FSR
    อาจเข้าสู่ตลาด accelerator หาก G100 เปิดตัวได้สำเร็จ
    การผลิตจำนวนมากเริ่มแล้ว และคาดว่าจะวางขายปลายปี 2025

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    INT8 เป็นรูปแบบการคำนวณที่ใช้ในงาน AI inferencing เพื่อประหยัดพลังงานและเพิ่มความเร็ว
    GPU ที่รองรับ INT8 มักใช้ใน edge devices เช่นกล้องอัจฉริยะหรือหุ่นยนต์
    การพัฒนา GPU ภายในประเทศช่วยลดการพึ่งพาเทคโนโลยีต่างชาติ
    สถาปัตยกรรม TrueGPU อาจเป็นก้าวแรกของจีนในการสร้าง GPU แบบ fully independent
    การรองรับ OpenCL 3.0 ช่วยให้สามารถใช้งานกับซอฟต์แวร์ AI ได้หลากหลาย
    การแข่งขันกับ RTX 4060 แสดงถึงความก้าวหน้าของอุตสาหกรรม GPU ในจีน

    https://wccftech.com/chinas-most-capable-gaming-gpu-the-lisuan-g100-becomes-the-first-domestic-offering-to-support-fp8-operations/
    🎙️ Lisuan G100 – การ์ดจอเกมจากจีนที่กลายเป็นเครื่องมือ AI อย่างไม่คาดคิด ในอดีต GPU จากจีนมักถูกมองว่าเป็นของเล่นที่ยังไม่พร้อมแข่งกับแบรนด์ระดับโลกอย่าง NVIDIA หรือ AMD แต่วันนี้ Lisuan G100 ได้เปลี่ยนภาพนั้นไปอย่างสิ้นเชิง Lisuan G100 เป็น GPU ขนาด 6nm ที่พัฒนาโดยบริษัทจีน Lisuan Technology โดยใช้สถาปัตยกรรมที่เรียกว่า “TrueGPU Tiantu” ซึ่งเป็นการออกแบบภายในทั้งหมด ไม่พึ่งพา IP จากต่างประเทศ และมีซอฟต์แวร์ของตัวเองที่รองรับ DirectX 12, Vulkan 1.3 และ OpenCL 3.0 ในด้านเกม G100 ทำคะแนน Geekbench OpenCL ได้ถึง 111,290 คะแนน ซึ่งใกล้เคียงกับ RTX 4060 และเหนือกว่า RX 9060 XT และ Intel Arc A770 โดยมี 48 Compute Units, VRAM 12GB และความเร็วสัญญาณนาฬิกา 2000 MHz แต่สิ่งที่ทำให้ G100 น่าสนใจยิ่งกว่าคือการรองรับ INT8 operations ซึ่งเป็นฟีเจอร์สำคัญสำหรับงาน AI โดยเฉพาะการ inferencing และ edge computing ทำให้ G100 ไม่ใช่แค่การ์ดจอเกม แต่เป็นเครื่องมือสำหรับงาน AI ระดับผู้ใช้ทั่วไป Lisuan ยังมีแผนพัฒนาอัลกอริธึม upscaling ของตัวเองชื่อ NRSS เพื่อแข่งกับ DLSS และ FSR ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในตลาดเกมยุคใหม่ และมีแนวโน้มจะเข้าสู่ตลาด accelerator สำหรับงาน AI หากการเปิดตัว G100 ประสบความสำเร็จ 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Lisuan G100 เป็น GPU ขนาด 6nm ที่พัฒนาโดยบริษัทจีน Lisuan Technology ➡️ ใช้สถาปัตยกรรม TrueGPU Tiantu และซอฟต์แวร์ของตัวเอง ➡️ รองรับ DirectX 12, Vulkan 1.3, OpenGL 4.6 และ OpenCL 3.0 ➡️ ทำคะแนน Geekbench OpenCL ได้ 111,290 ใกล้เคียง RTX 4060 ➡️ มี 48 Compute Units, VRAM 12GB และความเร็ว 2000 MHz ➡️ รองรับ INT8 operations สำหรับงาน AI inferencing และ edge computing ➡️ เป็น GPU จีนรุ่นแรกที่รองรับ INT8 อย่างเป็นทางการ ➡️ มีแผนพัฒนาอัลกอริธึม upscaling ชื่อ NRSS เพื่อแข่งกับ DLSS และ FSR ➡️ อาจเข้าสู่ตลาด accelerator หาก G100 เปิดตัวได้สำเร็จ ➡️ การผลิตจำนวนมากเริ่มแล้ว และคาดว่าจะวางขายปลายปี 2025 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ INT8 เป็นรูปแบบการคำนวณที่ใช้ในงาน AI inferencing เพื่อประหยัดพลังงานและเพิ่มความเร็ว ➡️ GPU ที่รองรับ INT8 มักใช้ใน edge devices เช่นกล้องอัจฉริยะหรือหุ่นยนต์ ➡️ การพัฒนา GPU ภายในประเทศช่วยลดการพึ่งพาเทคโนโลยีต่างชาติ ➡️ สถาปัตยกรรม TrueGPU อาจเป็นก้าวแรกของจีนในการสร้าง GPU แบบ fully independent ➡️ การรองรับ OpenCL 3.0 ช่วยให้สามารถใช้งานกับซอฟต์แวร์ AI ได้หลากหลาย ➡️ การแข่งขันกับ RTX 4060 แสดงถึงความก้าวหน้าของอุตสาหกรรม GPU ในจีน https://wccftech.com/chinas-most-capable-gaming-gpu-the-lisuan-g100-becomes-the-first-domestic-offering-to-support-fp8-operations/
    WCCFTECH.COM
    China's Most Capable Gaming GPU, the Lisuan G100, Now Also Supports INT8 Operations, Becoming Ideal For AI Workloads
    The Chinese GPU Lisuan G100, which recently made headlines for its competitive performance, is now claimed to support INT8 operations.
    0 Comments 0 Shares 66 Views 0 Reviews
  • Jetson AGX Thor – mini PC ที่แรงเกินตัวสำหรับยุค AI

    ถ้าคุณเห็นเจ้าเครื่องเล็ก ๆ นี้วางอยู่บนโต๊ะ คุณอาจคิดว่ามันคือการ์ดจอ RTX รุ่นใหม่ แต่จริง ๆ แล้วมันคือ Jetson AGX Thor — mini PC ที่ Nvidia ออกแบบมาเพื่อรองรับงาน AI ระดับสูงในรูปแบบ edge computing โดยเฉพาะ

    หัวใจของมันคือ Jetson T5000 system-on-module ที่ใช้ GPU สถาปัตยกรรม Blackwell พร้อม 2560 คอร์ และ Tensor Core รุ่นที่ 5 จำนวน 96 ตัว ให้พลังประมวลผลสูงถึง 2070 TFLOPS (FP4, Sparse) ซึ่งเทียบเท่ากับระบบ data center ขนาดใหญ่

    นอกจาก GPU ยังมี CPU แบบ 14-core Arm Neoverse-V3AE และแรม LPDDR5X ขนาด 128GB พร้อมระบบเชื่อมต่อระดับสูง เช่น 4 ช่อง 25GbE, WiFi 6E, NVMe SSD 1TB และพอร์ต HDMI/DisplayPort สำหรับงานวิดีโอ 4K และ 8K แบบหลายสตรีม

    แม้จะมีขนาดเพียง 24 x 11 x 5.6 ซม. แต่ Jetson AGX Thor ถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานในหุ่นยนต์, ระบบ AI ด้านภาพ, และการประมวลผลเซนเซอร์จำนวนมาก โดยรองรับซอฟต์แวร์จากแพลตฟอร์ม Isaac, Metropolis และ Holoscan ของ Nvidia

    สำหรับผู้ที่ต้องการรุ่นเล็กลง ยังมี Jetson T4000 ที่อยู่ระหว่างการพัฒนา ซึ่งให้พลัง 1200 TFLOPS และใช้ GPU 1536 คอร์ พร้อมแรม 64GB — เหมาะสำหรับงานที่ต้องการประสิทธิภาพแต่มีข้อจำกัดด้านพลังงาน

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Nvidia เปิดตัว Jetson AGX Thor Developer Kit พร้อมโมดูล Jetson T5000
    ใช้ GPU Blackwell 2560 คอร์ และ Tensor Core รุ่นที่ 5 จำนวน 96 ตัว
    ให้พลังประมวลผลสูงสุด 2070 TFLOPS (FP4, Sparse)
    มี CPU Arm Neoverse-V3AE 14 คอร์ และแรม LPDDR5X ขนาด 128GB
    รองรับการเชื่อมต่อ 4 ช่อง 25GbE, WiFi 6E, NVMe SSD 1TB
    รองรับวิดีโอ 4K และ 8K แบบหลายสตรีมพร้อมพอร์ต HDMI 2.0b และ DisplayPort 1.4a
    ขนาดเครื่อง 243.19 x 112.4 x 56.88 มม. ใหญ่กว่าพีซีธุรกิจทั่วไปแต่ยังถือว่าเล็ก
    รองรับซอฟต์แวร์ Isaac, Metropolis และ Holoscan สำหรับงาน AI
    มีรุ่นเล็ก Jetson T4000 อยู่ระหว่างพัฒนา ให้พลัง 1200 TFLOPS และแรม 64GB
    เปิดให้พรีออเดอร์แล้วในราคา $3,499 โดยจะเริ่มส่งมอบวันที่ 20 พฤศจิกายน 2025

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    สถาปัตยกรรม Blackwell ถูกออกแบบมาเพื่องาน AI และ HPC โดยเฉพาะ
    Jetson AGX Thor ใช้เทคโนโลยี Multi-Instance GPU เพื่อแบ่งงานได้หลายส่วนพร้อมกัน
    Cadence ใช้ระบบจำลอง Palladium Z3 และ Protium X3 เพื่อช่วยออกแบบชิประดับนี้
    การใช้ LPDDR5X ช่วยลด latency และเพิ่ม bandwidth สำหรับงาน AI
    Jetson AGX Thor เหมาะกับงาน edge robotics, autonomous systems และการประมวลผลภาพทางการแพทย์
    Nvidia วางตำแหน่ง Thor ไว้คู่กับ DGX Spark สำหรับงาน AI แบบ desktop และ edge

    https://www.techradar.com/pro/nvidia-quietly-unveiled-its-fastest-mini-pc-ever-capable-of-topping-2070-tflops-and-if-you-squint-enough-you-might-even-think-it-looks-like-an-rtx-5090
    🎙️ Jetson AGX Thor – mini PC ที่แรงเกินตัวสำหรับยุค AI ถ้าคุณเห็นเจ้าเครื่องเล็ก ๆ นี้วางอยู่บนโต๊ะ คุณอาจคิดว่ามันคือการ์ดจอ RTX รุ่นใหม่ แต่จริง ๆ แล้วมันคือ Jetson AGX Thor — mini PC ที่ Nvidia ออกแบบมาเพื่อรองรับงาน AI ระดับสูงในรูปแบบ edge computing โดยเฉพาะ หัวใจของมันคือ Jetson T5000 system-on-module ที่ใช้ GPU สถาปัตยกรรม Blackwell พร้อม 2560 คอร์ และ Tensor Core รุ่นที่ 5 จำนวน 96 ตัว ให้พลังประมวลผลสูงถึง 2070 TFLOPS (FP4, Sparse) ซึ่งเทียบเท่ากับระบบ data center ขนาดใหญ่ นอกจาก GPU ยังมี CPU แบบ 14-core Arm Neoverse-V3AE และแรม LPDDR5X ขนาด 128GB พร้อมระบบเชื่อมต่อระดับสูง เช่น 4 ช่อง 25GbE, WiFi 6E, NVMe SSD 1TB และพอร์ต HDMI/DisplayPort สำหรับงานวิดีโอ 4K และ 8K แบบหลายสตรีม แม้จะมีขนาดเพียง 24 x 11 x 5.6 ซม. แต่ Jetson AGX Thor ถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานในหุ่นยนต์, ระบบ AI ด้านภาพ, และการประมวลผลเซนเซอร์จำนวนมาก โดยรองรับซอฟต์แวร์จากแพลตฟอร์ม Isaac, Metropolis และ Holoscan ของ Nvidia สำหรับผู้ที่ต้องการรุ่นเล็กลง ยังมี Jetson T4000 ที่อยู่ระหว่างการพัฒนา ซึ่งให้พลัง 1200 TFLOPS และใช้ GPU 1536 คอร์ พร้อมแรม 64GB — เหมาะสำหรับงานที่ต้องการประสิทธิภาพแต่มีข้อจำกัดด้านพลังงาน 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Nvidia เปิดตัว Jetson AGX Thor Developer Kit พร้อมโมดูล Jetson T5000 ➡️ ใช้ GPU Blackwell 2560 คอร์ และ Tensor Core รุ่นที่ 5 จำนวน 96 ตัว ➡️ ให้พลังประมวลผลสูงสุด 2070 TFLOPS (FP4, Sparse) ➡️ มี CPU Arm Neoverse-V3AE 14 คอร์ และแรม LPDDR5X ขนาด 128GB ➡️ รองรับการเชื่อมต่อ 4 ช่อง 25GbE, WiFi 6E, NVMe SSD 1TB ➡️ รองรับวิดีโอ 4K และ 8K แบบหลายสตรีมพร้อมพอร์ต HDMI 2.0b และ DisplayPort 1.4a ➡️ ขนาดเครื่อง 243.19 x 112.4 x 56.88 มม. ใหญ่กว่าพีซีธุรกิจทั่วไปแต่ยังถือว่าเล็ก ➡️ รองรับซอฟต์แวร์ Isaac, Metropolis และ Holoscan สำหรับงาน AI ➡️ มีรุ่นเล็ก Jetson T4000 อยู่ระหว่างพัฒนา ให้พลัง 1200 TFLOPS และแรม 64GB ➡️ เปิดให้พรีออเดอร์แล้วในราคา $3,499 โดยจะเริ่มส่งมอบวันที่ 20 พฤศจิกายน 2025 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ สถาปัตยกรรม Blackwell ถูกออกแบบมาเพื่องาน AI และ HPC โดยเฉพาะ ➡️ Jetson AGX Thor ใช้เทคโนโลยี Multi-Instance GPU เพื่อแบ่งงานได้หลายส่วนพร้อมกัน ➡️ Cadence ใช้ระบบจำลอง Palladium Z3 และ Protium X3 เพื่อช่วยออกแบบชิประดับนี้ ➡️ การใช้ LPDDR5X ช่วยลด latency และเพิ่ม bandwidth สำหรับงาน AI ➡️ Jetson AGX Thor เหมาะกับงาน edge robotics, autonomous systems และการประมวลผลภาพทางการแพทย์ ➡️ Nvidia วางตำแหน่ง Thor ไว้คู่กับ DGX Spark สำหรับงาน AI แบบ desktop และ edge https://www.techradar.com/pro/nvidia-quietly-unveiled-its-fastest-mini-pc-ever-capable-of-topping-2070-tflops-and-if-you-squint-enough-you-might-even-think-it-looks-like-an-rtx-5090
    0 Comments 0 Shares 73 Views 0 Reviews
  • มายากลยุทธ ภาค 1 ตอน นักมายากลชั้นเซียน (1)
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ ”
    ตอนที่ 12 : นักมายากลชั้นเซียน (1)
    นักมายากลชั้นเซียน พวก Rockefeller ไม่ได้เข้าไปในลาตินอเมริกา เพื่อไปขายเมล็ดพันธ์พืช GMO กับแจกถุงยางเท่านั้น แต่พวกเขาเข้าไป “ซื้อ” ด้วย
    เขาหอบกระเป๋าเงิน ที่ได้กำไรจากการขายเมล็ดพันธ์พืช เอาไปเลี้ยงนักการเมือง และทหารของหลายประเทศในแถบนั้น สร้างเด็กในคาถาอยู่หลายปี ด้วยการร่วมมืออย่างดีของหน่วยงานความมั่นคงของอเมริกา ปฏิบัติการลับเกิดขึ้นหลายครั้งในประเทศต่าง ๆ ในแถบนั้น แล้วในที่สุด เด็กสร้างของเขา ก็ได้ขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศ ของหลายประเทศในกลุ่มลาตินอเมริกัน
    มันเป็นการค้า ที่ทำกำไรเกินตำราบอก เอาเงินของคนในประเทศ
ซื้อประเทศนั้นเอง !
    สมันน้อยอ่านตรงนี้กันหลาย ๆ หนหน่อยนะ !
    เขารอเวลา “อันเหมาะสม” แล้วก็ ตั้งสมาคม Trilateral Commission ขึ้นมา สมาชิกสมาคมเป็นผู้ที่เขาคัดเลือกไว้ล่วงหน้าแล้วว่า จะผลักดันให้เข้าไปทำหน้าที่ในรัฐบาล ในตำแหน่งสำคัญ ๆ ตามที่เขากำกับ
    และด้วยอำนาจ อิทธิพล และเงิน เมื่อถึงเวลา เขาก็ส่งคนของเขา เข้าไปอยู่ในแวดวงการเมือง เป็นตั้งแต่ประธานาธิบดี รัฐมนตรี นักวิชาการ และสื่อ (ขี้ข้า) และกำหนดนโยบายให้ขี้ข้าเหล่านั้น ปฎิบัติตามกลยุทธที่เขาวางไว้ทั้งหมด พร้อม ๆ กัน แต่แยกกันเล่น เหมือนคนเล่นกล หลอกให้เราดูมือซ้ายที มือขวาที โดยเราไม่รู้ตัวว่ากลนั้นสร้าง
ขึ้นมาได้อย่างไร
    เวลา “อันเหมาะสม” สำหรับ การก่อตั้ง Trilateral Commission นั้น น่าสนใจมาก ในปี ค.ศ.1973 นาย David Rockefeller ซึ่งเป็นเจ้าของความคิดการตั้งสมาคมนี้ ขณะนั้นดำรงตำแหน่งประธานของ The Council on Foreign Reations (CFR) ซึ่งถือว่าเป็นหน่วยงานมันสมอง (Think Tank) ให้กับรัฐบาลอเมริกัน มาตั้งแต่ประมาณปี คศ 1939
    แต่ช่วงปี ค.ศ. 1971 ขณะที่โลกกำลังบูมด้วยการอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในประเทศผู้ผลิต เช่น อเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่น ประเทศในอีกซีกโลกอีกหนึ่ง คือ กลุ่มประเทศที่ส่งออกน้ำมัน หรือที่เรียกว่า Organization of Petroleum Exporting Countries (OPEC) ก็เกิดอาการชักกระดุก ควบคุมกันเองไม่อยู่ พากันขึ้นราคาล่วงหน้าของน้ำมันอย่างบ้าเลือด ทำให้กลุ่มผู้ประกอบอุตสาหกรรม ที่ต้องพึ่งพาน้ำมันอย่าง กลุ่ม Rockefeller และพรรคพวกในยุโรป และญี่ปุ่น ย่อมกระอักเป็นธรรมดา
    ประธานาธิบดี Nixon แก้ปัญหาด้วยการ ควบคุมราคาน้ำมันและก๊าซ ที่ผลิตและขายในประเทศ เพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อ แต่ผลออกมาคนละเรื่อง บรรดาพวกคุณอาค้าน้ำมัน กลับทุ่มน้ำมันเข้ามาในตลาดอเมริกา ขายในราคาแพง ในขณะที่น้ำมันที่ผลิตและขายในอเมริกา ต้องขายในราคาถูกควบคุม
    เศรษฐีเจ้าของ Standard Oil ฉุนขาด เพราะโดน OPEC ตีตลาด แต่ที่จริงแล้ว เศรษฐีก็แอบยิ้มมุมปาก เพราะคุณอาพวกราชวงศ์ซาอุกับคูเวต และพวกบริษัทน้ำมันที่เป็นของรัฐ แถวอิหร่าน อิรัค และอัลจีเรีย ไม่รู้จะทำอะไรกับดอลล่าร์ ที่ได้รับจากการขายน้ำมัน นอกจากฝากกับธนาคาร ใหญ่ ๆ ในอเมริกาและยุโรป แน่นอน Chase Manhatlon ของตระกูล Rockefeller ก็ต้องได้ส้มหล่น ใส่ด้วย
    แต่นั่นแหละนะ ของทุกอย่างมีได้ก็มีเสีย ดูด้านเดียวมันก็บื้อไปหน่อย การประกอบธุรกิจธนาคาร ได้เงินฝากมาจะให้มันนอนเฉยอยู่ในลิ้นชักได้ยังไง ธนาคารพวกนี้ก็เอาไปปล่อยต่อให้กับประเทศเล็ก ๆ ที่ไม่มีน้ำมันของตัวเอง หรือมีแหล่ง แต่ยังไม่ได้ขุดขึ้นมา เพราะไม่รู้ว่าตัวว่ามี หรือ ถูกหลอกว่าบ้านยูไม่มี ไม่มี ประเทศพวกนี้ คนอ่านนิทานน่าจะเดาออกว่าคงอยู่ แถบเอเซียกับลาตินอเมริกานั้นแหละ
    แล้วทำไงล่ะ ประเทศพวกนี้ก็ไปกู้เงินจากธนาคาร ที่รับเงินค้าขายน้ำมันจากคุณอานั่นไง ทีนี้พอ OPEC ดันขึ้นราคาน้ำมันอย่างบ้าเลือด เงินเข้ามามหึมาก็จริง แต่ไอ้ที่ให้เขายืมไป มันก็ตัวแดงแก่มหึมาเหมือนกัน จริง ๆ ก็ไม่ใช่ปัญหาโดยตรงของรัฐบาลอเมริกา และไม่น่าจะใช่ความผิดของคุณ Nixon แก ซึ่งตอนนั้นก็หน้ามืดอยู่หลายเรื่องแล้ว แต่ก็ทำให้เศรษฐีเกิดความคิด ตามประสาคนที่โลภอยากจะเอาแต่ได้ แต่ไม่ยอมเสีย
    มันเรื่องอะไร จะทำแต่การวิจัยแนะนำรัฐบาล แล้วรัฐบาลก็ไม่ได้ทำตามที่เขาต้องการทุกเรื่อง แบบนี้มันต้อง คุมรัฐบาลให้อยู่ในกำมือไม่ดีกว่าหรือ แล้วความคิดที่จะตั้งหน่วยงานพิเศษ หรือ Trillateral จึงเกิดขึ้น และได้รวมพรรคพวกที่ทำธุรกิจน้ำมันอุตสาหกรรม และธนาคาร เข้ามาอยู่ในกระบุงเดียวกัน
    ( จริง ๆ นะ เขียนมาถึงตรงนี้ เชื่อเกือบเต็มร้อย ว่าไอ้โจรนั่น มันต้องเรียนวิธีขี้โกงระดับนโยบาย มาจากผู้มีบารมีเหนือประชาธิปไตยจริง ๆ)
    คิดดูง่าย ๆ จากเรื่องที่กำลังเกิดขึ้น แทนที่พวกเศรษฐีจะให้ธนาคารตัวเอง ให้เงินกู้กับประเทศที่กำลังพัฒนาต่อไปตามเดิม เขากลับใช้เหตุการณ์วิกฤติน้ำมันครั้งนี้ สร้างโอกาสให้พวกเขาอีกต่อ มันงกจริงๆนะ พวกเศรษฐีกลับคิดว่า ถ้าเรายกเครื่อง IMF World Bank เสียหน่อย แล้วให้องค์กรเหล่านี้เป็นเครื่องมือ รับความเสี่ยงให้กับเรา
แบบนี้เราก็มีแต่ win win solution พูดเหมือนใครหนอ !
    เขาจึงเริ่มแผนคุมสหประชาชาติ โดยการ “ซื้อเสียง”

    คนเล่านิทาน
    มายากลยุทธ ภาค 1 ตอน นักมายากลชั้นเซียน (1) นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ ” ตอนที่ 12 : นักมายากลชั้นเซียน (1) นักมายากลชั้นเซียน พวก Rockefeller ไม่ได้เข้าไปในลาตินอเมริกา เพื่อไปขายเมล็ดพันธ์พืช GMO กับแจกถุงยางเท่านั้น แต่พวกเขาเข้าไป “ซื้อ” ด้วย เขาหอบกระเป๋าเงิน ที่ได้กำไรจากการขายเมล็ดพันธ์พืช เอาไปเลี้ยงนักการเมือง และทหารของหลายประเทศในแถบนั้น สร้างเด็กในคาถาอยู่หลายปี ด้วยการร่วมมืออย่างดีของหน่วยงานความมั่นคงของอเมริกา ปฏิบัติการลับเกิดขึ้นหลายครั้งในประเทศต่าง ๆ ในแถบนั้น แล้วในที่สุด เด็กสร้างของเขา ก็ได้ขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศ ของหลายประเทศในกลุ่มลาตินอเมริกัน มันเป็นการค้า ที่ทำกำไรเกินตำราบอก เอาเงินของคนในประเทศ
ซื้อประเทศนั้นเอง ! สมันน้อยอ่านตรงนี้กันหลาย ๆ หนหน่อยนะ ! เขารอเวลา “อันเหมาะสม” แล้วก็ ตั้งสมาคม Trilateral Commission ขึ้นมา สมาชิกสมาคมเป็นผู้ที่เขาคัดเลือกไว้ล่วงหน้าแล้วว่า จะผลักดันให้เข้าไปทำหน้าที่ในรัฐบาล ในตำแหน่งสำคัญ ๆ ตามที่เขากำกับ และด้วยอำนาจ อิทธิพล และเงิน เมื่อถึงเวลา เขาก็ส่งคนของเขา เข้าไปอยู่ในแวดวงการเมือง เป็นตั้งแต่ประธานาธิบดี รัฐมนตรี นักวิชาการ และสื่อ (ขี้ข้า) และกำหนดนโยบายให้ขี้ข้าเหล่านั้น ปฎิบัติตามกลยุทธที่เขาวางไว้ทั้งหมด พร้อม ๆ กัน แต่แยกกันเล่น เหมือนคนเล่นกล หลอกให้เราดูมือซ้ายที มือขวาที โดยเราไม่รู้ตัวว่ากลนั้นสร้าง
ขึ้นมาได้อย่างไร เวลา “อันเหมาะสม” สำหรับ การก่อตั้ง Trilateral Commission นั้น น่าสนใจมาก ในปี ค.ศ.1973 นาย David Rockefeller ซึ่งเป็นเจ้าของความคิดการตั้งสมาคมนี้ ขณะนั้นดำรงตำแหน่งประธานของ The Council on Foreign Reations (CFR) ซึ่งถือว่าเป็นหน่วยงานมันสมอง (Think Tank) ให้กับรัฐบาลอเมริกัน มาตั้งแต่ประมาณปี คศ 1939 แต่ช่วงปี ค.ศ. 1971 ขณะที่โลกกำลังบูมด้วยการอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในประเทศผู้ผลิต เช่น อเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่น ประเทศในอีกซีกโลกอีกหนึ่ง คือ กลุ่มประเทศที่ส่งออกน้ำมัน หรือที่เรียกว่า Organization of Petroleum Exporting Countries (OPEC) ก็เกิดอาการชักกระดุก ควบคุมกันเองไม่อยู่ พากันขึ้นราคาล่วงหน้าของน้ำมันอย่างบ้าเลือด ทำให้กลุ่มผู้ประกอบอุตสาหกรรม ที่ต้องพึ่งพาน้ำมันอย่าง กลุ่ม Rockefeller และพรรคพวกในยุโรป และญี่ปุ่น ย่อมกระอักเป็นธรรมดา ประธานาธิบดี Nixon แก้ปัญหาด้วยการ ควบคุมราคาน้ำมันและก๊าซ ที่ผลิตและขายในประเทศ เพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อ แต่ผลออกมาคนละเรื่อง บรรดาพวกคุณอาค้าน้ำมัน กลับทุ่มน้ำมันเข้ามาในตลาดอเมริกา ขายในราคาแพง ในขณะที่น้ำมันที่ผลิตและขายในอเมริกา ต้องขายในราคาถูกควบคุม เศรษฐีเจ้าของ Standard Oil ฉุนขาด เพราะโดน OPEC ตีตลาด แต่ที่จริงแล้ว เศรษฐีก็แอบยิ้มมุมปาก เพราะคุณอาพวกราชวงศ์ซาอุกับคูเวต และพวกบริษัทน้ำมันที่เป็นของรัฐ แถวอิหร่าน อิรัค และอัลจีเรีย ไม่รู้จะทำอะไรกับดอลล่าร์ ที่ได้รับจากการขายน้ำมัน นอกจากฝากกับธนาคาร ใหญ่ ๆ ในอเมริกาและยุโรป แน่นอน Chase Manhatlon ของตระกูล Rockefeller ก็ต้องได้ส้มหล่น ใส่ด้วย แต่นั่นแหละนะ ของทุกอย่างมีได้ก็มีเสีย ดูด้านเดียวมันก็บื้อไปหน่อย การประกอบธุรกิจธนาคาร ได้เงินฝากมาจะให้มันนอนเฉยอยู่ในลิ้นชักได้ยังไง ธนาคารพวกนี้ก็เอาไปปล่อยต่อให้กับประเทศเล็ก ๆ ที่ไม่มีน้ำมันของตัวเอง หรือมีแหล่ง แต่ยังไม่ได้ขุดขึ้นมา เพราะไม่รู้ว่าตัวว่ามี หรือ ถูกหลอกว่าบ้านยูไม่มี ไม่มี ประเทศพวกนี้ คนอ่านนิทานน่าจะเดาออกว่าคงอยู่ แถบเอเซียกับลาตินอเมริกานั้นแหละ แล้วทำไงล่ะ ประเทศพวกนี้ก็ไปกู้เงินจากธนาคาร ที่รับเงินค้าขายน้ำมันจากคุณอานั่นไง ทีนี้พอ OPEC ดันขึ้นราคาน้ำมันอย่างบ้าเลือด เงินเข้ามามหึมาก็จริง แต่ไอ้ที่ให้เขายืมไป มันก็ตัวแดงแก่มหึมาเหมือนกัน จริง ๆ ก็ไม่ใช่ปัญหาโดยตรงของรัฐบาลอเมริกา และไม่น่าจะใช่ความผิดของคุณ Nixon แก ซึ่งตอนนั้นก็หน้ามืดอยู่หลายเรื่องแล้ว แต่ก็ทำให้เศรษฐีเกิดความคิด ตามประสาคนที่โลภอยากจะเอาแต่ได้ แต่ไม่ยอมเสีย มันเรื่องอะไร จะทำแต่การวิจัยแนะนำรัฐบาล แล้วรัฐบาลก็ไม่ได้ทำตามที่เขาต้องการทุกเรื่อง แบบนี้มันต้อง คุมรัฐบาลให้อยู่ในกำมือไม่ดีกว่าหรือ แล้วความคิดที่จะตั้งหน่วยงานพิเศษ หรือ Trillateral จึงเกิดขึ้น และได้รวมพรรคพวกที่ทำธุรกิจน้ำมันอุตสาหกรรม และธนาคาร เข้ามาอยู่ในกระบุงเดียวกัน ( จริง ๆ นะ เขียนมาถึงตรงนี้ เชื่อเกือบเต็มร้อย ว่าไอ้โจรนั่น มันต้องเรียนวิธีขี้โกงระดับนโยบาย มาจากผู้มีบารมีเหนือประชาธิปไตยจริง ๆ) คิดดูง่าย ๆ จากเรื่องที่กำลังเกิดขึ้น แทนที่พวกเศรษฐีจะให้ธนาคารตัวเอง ให้เงินกู้กับประเทศที่กำลังพัฒนาต่อไปตามเดิม เขากลับใช้เหตุการณ์วิกฤติน้ำมันครั้งนี้ สร้างโอกาสให้พวกเขาอีกต่อ มันงกจริงๆนะ พวกเศรษฐีกลับคิดว่า ถ้าเรายกเครื่อง IMF World Bank เสียหน่อย แล้วให้องค์กรเหล่านี้เป็นเครื่องมือ รับความเสี่ยงให้กับเรา
แบบนี้เราก็มีแต่ win win solution พูดเหมือนใครหนอ ! เขาจึงเริ่มแผนคุมสหประชาชาติ โดยการ “ซื้อเสียง” คนเล่านิทาน
    0 Comments 0 Shares 166 Views 0 Reviews
  • Siri จะฉลาดขึ้นด้วย Gemini จาก Google?

    Apple กำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของยุค AI หลังจากที่ Siri ซึ่งเคยเป็นผู้บุกเบิกด้านผู้ช่วยเสียง กลับกลายเป็นผู้ตามในยุคที่ Google Assistant และ Alexa พัฒนาไปไกลกว่าเดิมมาก

    ล่าสุดมีรายงานว่า Apple กำลังเจรจากับ Google เพื่อใช้ Gemini ซึ่งเป็นโมเดล AI แบบมัลติโหมดที่ล้ำสมัยที่สุดของ Google มาเป็น “สมองใหม่” ให้กับ Siri โดยอาจเปิดตัวในปี 2026 พร้อมกับ iOS 26

    เดิมที Apple ตั้งใจจะใช้โมเดลของตัวเองภายใต้ชื่อ Apple Intelligence แต่หลังจากพบข้อจำกัดด้านคุณภาพและความล่าช้าในการพัฒนา จึงเริ่มเปิดรับแนวคิดจากภายนอก โดยก่อนหน้านี้ก็เคยเจรจากับ OpenAI และ Anthropic แต่ไม่สามารถตกลงเรื่องค่าใช้จ่ายได้

    หาก Apple ตัดสินใจใช้ Gemini จริง จะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในยุทธศาสตร์ AI ของบริษัท และอาจเป็นครั้งแรกที่ Siri ได้รับการยกระดับให้เข้าใจภาษาธรรมชาติได้ลึกซึ้งขึ้น ตอบคำถามซับซ้อนได้ดีขึ้น และรองรับการใช้งานแบบมัลติโหมด เช่น ข้อความ รูปภาพ เสียง และวิดีโอ

    แม้จะยังไม่มีการตัดสินใจอย่างเป็นทางการ แต่การที่ Apple เปิดใจรับเทคโนโลยีจากคู่แข่งอย่าง Google ก็สะท้อนถึงความจริงที่ว่า “การตามให้ทัน” ในยุค AI ต้องอาศัยความร่วมมือมากกว่าการแข่งขันเพียงอย่างเดียว

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Apple กำลังเจรจากับ Google เพื่อใช้ Gemini AI ในการยกระดับ Siri
    การเจรจาอยู่ในขั้นต้น และยังไม่มีการตัดสินใจอย่างเป็นทางการ
    เดิม Apple ตั้งใจใช้โมเดลของตัวเองใน Apple Intelligence แต่พบข้อจำกัดด้านคุณภาพ
    เคยเจรจากับ Anthropic และ OpenAI แต่ไม่สามารถตกลงเรื่องค่าใช้จ่ายได้
    หากใช้ Gemini จริง จะเป็นการเปลี่ยนแปลงยุทธศาสตร์ AI ของ Apple
    Siri รุ่นใหม่อาจเปิดตัวในฤดูใบไม้ผลิปี 2026 พร้อม iOS 26
    Gemini เป็นโมเดลมัลติโหมดที่รองรับข้อความ รูปภาพ เสียง และวิดีโอ
    Apple จะใช้ Gemini บนเซิร์ฟเวอร์ของตัวเองเพื่อรักษาความเป็นส่วนตัว
    หุ้นของ Alphabet และ Apple เพิ่มขึ้นหลังมีข่าวการเจรจา

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Gemini เป็นโมเดลที่ใช้ใน Android และ Samsung แล้วในหลายฟีเจอร์
    Apple กำลังทดสอบโมเดลภายในที่มีพารามิเตอร์ระดับ “ล้านล้าน” เพื่อแข่งกับคู่แข่ง
    Siri รุ่นใหม่จะมีสองเวอร์ชัน: แบบใช้โมเดลของ Apple และแบบใช้โมเดลภายนอก
    Apple มีประวัติความร่วมมือกับ Google เช่น การใช้ Google เป็น search engine ใน Safari
    หากใช้ Gemini จริง Siri อาจเข้าใจบริบทซับซ้อนและตอบโต้ได้ใกล้เคียงมนุษย์มากขึ้น

    https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/report-apple-considers-squeezing-gemini-into-the-siri-brain
    🎙️ Siri จะฉลาดขึ้นด้วย Gemini จาก Google? Apple กำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของยุค AI หลังจากที่ Siri ซึ่งเคยเป็นผู้บุกเบิกด้านผู้ช่วยเสียง กลับกลายเป็นผู้ตามในยุคที่ Google Assistant และ Alexa พัฒนาไปไกลกว่าเดิมมาก ล่าสุดมีรายงานว่า Apple กำลังเจรจากับ Google เพื่อใช้ Gemini ซึ่งเป็นโมเดล AI แบบมัลติโหมดที่ล้ำสมัยที่สุดของ Google มาเป็น “สมองใหม่” ให้กับ Siri โดยอาจเปิดตัวในปี 2026 พร้อมกับ iOS 26 เดิมที Apple ตั้งใจจะใช้โมเดลของตัวเองภายใต้ชื่อ Apple Intelligence แต่หลังจากพบข้อจำกัดด้านคุณภาพและความล่าช้าในการพัฒนา จึงเริ่มเปิดรับแนวคิดจากภายนอก โดยก่อนหน้านี้ก็เคยเจรจากับ OpenAI และ Anthropic แต่ไม่สามารถตกลงเรื่องค่าใช้จ่ายได้ หาก Apple ตัดสินใจใช้ Gemini จริง จะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในยุทธศาสตร์ AI ของบริษัท และอาจเป็นครั้งแรกที่ Siri ได้รับการยกระดับให้เข้าใจภาษาธรรมชาติได้ลึกซึ้งขึ้น ตอบคำถามซับซ้อนได้ดีขึ้น และรองรับการใช้งานแบบมัลติโหมด เช่น ข้อความ รูปภาพ เสียง และวิดีโอ แม้จะยังไม่มีการตัดสินใจอย่างเป็นทางการ แต่การที่ Apple เปิดใจรับเทคโนโลยีจากคู่แข่งอย่าง Google ก็สะท้อนถึงความจริงที่ว่า “การตามให้ทัน” ในยุค AI ต้องอาศัยความร่วมมือมากกว่าการแข่งขันเพียงอย่างเดียว 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Apple กำลังเจรจากับ Google เพื่อใช้ Gemini AI ในการยกระดับ Siri ➡️ การเจรจาอยู่ในขั้นต้น และยังไม่มีการตัดสินใจอย่างเป็นทางการ ➡️ เดิม Apple ตั้งใจใช้โมเดลของตัวเองใน Apple Intelligence แต่พบข้อจำกัดด้านคุณภาพ ➡️ เคยเจรจากับ Anthropic และ OpenAI แต่ไม่สามารถตกลงเรื่องค่าใช้จ่ายได้ ➡️ หากใช้ Gemini จริง จะเป็นการเปลี่ยนแปลงยุทธศาสตร์ AI ของ Apple ➡️ Siri รุ่นใหม่อาจเปิดตัวในฤดูใบไม้ผลิปี 2026 พร้อม iOS 26 ➡️ Gemini เป็นโมเดลมัลติโหมดที่รองรับข้อความ รูปภาพ เสียง และวิดีโอ ➡️ Apple จะใช้ Gemini บนเซิร์ฟเวอร์ของตัวเองเพื่อรักษาความเป็นส่วนตัว ➡️ หุ้นของ Alphabet และ Apple เพิ่มขึ้นหลังมีข่าวการเจรจา ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Gemini เป็นโมเดลที่ใช้ใน Android และ Samsung แล้วในหลายฟีเจอร์ ➡️ Apple กำลังทดสอบโมเดลภายในที่มีพารามิเตอร์ระดับ “ล้านล้าน” เพื่อแข่งกับคู่แข่ง ➡️ Siri รุ่นใหม่จะมีสองเวอร์ชัน: แบบใช้โมเดลของ Apple และแบบใช้โมเดลภายนอก ➡️ Apple มีประวัติความร่วมมือกับ Google เช่น การใช้ Google เป็น search engine ใน Safari ➡️ หากใช้ Gemini จริง Siri อาจเข้าใจบริบทซับซ้อนและตอบโต้ได้ใกล้เคียงมนุษย์มากขึ้น https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/report-apple-considers-squeezing-gemini-into-the-siri-brain
    0 Comments 0 Shares 148 Views 0 Reviews
  • Raspberry Pi กับหน้าจอสัมผัส 5 นิ้ว – เล็กลง แต่ยังไม่ใช่คำตอบทั้งหมด

    ในปี 2025 Raspberry Pi ได้เปิดตัวหน้าจอสัมผัสรุ่นใหม่ขนาด 5 นิ้ว ซึ่งเป็นรุ่นย่อส่วนจาก Touch Display 2 ขนาด 7 นิ้วที่เปิดตัวเมื่อปีก่อน โดยมีเป้าหมายเพื่อรองรับโปรเจกต์ขนาดเล็ก เช่น สมาร์ทโฮม คีออสพกพา หรือแดชบอร์ดฝังตัว

    แม้จะมีขนาดเล็กลงและราคาถูกลง (MSRP อยู่ที่ $40) แต่หน้าจอใหม่นี้ยังคงใช้ความละเอียด 720x1280 พิกเซลเหมือนเดิม และไม่ได้เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ใด ๆ ทั้งสิ้น ตัวหน้าจอใช้ระบบสัมผัสแบบ capacitive รองรับการสัมผัสหลายจุด (multi-touch) และเชื่อมต่อผ่านพอร์ต DSI โดยไม่ต้องใช้สาย HDMI หรือแหล่งจ่ายไฟแยก

    ข้อดีคือการติดตั้งง่ายมาก – ไม่ต้องปรับแต่งไดรเวอร์หรือแก้ device tree ให้ยุ่งยาก และสามารถใช้งานได้ทันทีบน Raspberry Pi OS หรือแม้แต่ Ubuntu ก็รองรับเช่นกัน

    Raspberry Pi ยังโชว์การใช้ AI ในการช่วยพัฒนาแอปสไลด์โชว์เพื่อสาธิตการทำงานของหน้าจอ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการใช้ AI ในการเขียนโค้ดสามารถช่วยลดเวลาและเพิ่มความแม่นยำได้

    อย่างไรก็ตาม หลายคนตั้งคำถามว่า “การลดขนาดหน้าจอ” เป็นการแก้ปัญหาที่แท้จริงหรือไม่ เพราะความละเอียดยังคงเท่าเดิม และประสบการณ์การสัมผัสยังขึ้นอยู่กับซอฟต์แวร์ที่อาจมีข้อจำกัด

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Raspberry Pi เปิดตัวหน้าจอสัมผัสขนาด 5 นิ้วรุ่นใหม่ในปี 2025
    ใช้ความละเอียด 720x1280 พิกเซล เหมือนรุ่น 7 นิ้ว
    รองรับ multi-touch และเชื่อมต่อผ่าน DSI port โดยไม่ต้องใช้ HDMI
    ติดตั้งง่าย ใช้งานได้ทันทีบน Raspberry Pi OS โดยไม่ต้องปรับแต่งไดรเวอร์
    ใช้พลังงานจาก GPIO 5V ของบอร์ด Raspberry Pi โดยตรง
    เหมาะสำหรับโปรเจกต์ขนาดเล็ก เช่น สมาร์ทโฮม คีออส หรือแดชบอร์ดฝังตัว
    Raspberry Pi ใช้ AI ในการช่วยพัฒนาแอปสาธิตการใช้งานหน้าจอ
    ราคาขายปลีกอยู่ที่ประมาณ $40–$50 แล้วแต่ผู้จัดจำหน่าย
    รองรับการใช้งานบน Ubuntu และ Linux distros อื่น ๆ ด้วย

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    หน้าจอใช้ LCD TFT แบบ 24-bit RGB ให้สีสันระดับ “ล้านสี”
    รองรับการสัมผัสพร้อมกัน 5 จุด (five-finger gestures)
    Raspberry Pi ประกาศว่าจะผลิตหน้าจอนี้ต่อเนื่องถึงปี 2030
    SunFounder 10.1 นิ้ว เป็นอีกทางเลือกที่มีความละเอียดสูงกว่า (1280x800) และรองรับ 10-point touch
    หน้าจอ 5 นิ้วเหมาะกับการใช้งานแบบฝังตัวมากกว่าการใช้งานทั่วไป เช่น เขียนบล็อกหรือทำงานเอกสาร

    https://www.techradar.com/pro/time-for-your-next-smart-home-project-raspberry-pi-adds-an-improved-touchscreen-so-its-time-to-get-building
    🎙️ Raspberry Pi กับหน้าจอสัมผัส 5 นิ้ว – เล็กลง แต่ยังไม่ใช่คำตอบทั้งหมด ในปี 2025 Raspberry Pi ได้เปิดตัวหน้าจอสัมผัสรุ่นใหม่ขนาด 5 นิ้ว ซึ่งเป็นรุ่นย่อส่วนจาก Touch Display 2 ขนาด 7 นิ้วที่เปิดตัวเมื่อปีก่อน โดยมีเป้าหมายเพื่อรองรับโปรเจกต์ขนาดเล็ก เช่น สมาร์ทโฮม คีออสพกพา หรือแดชบอร์ดฝังตัว แม้จะมีขนาดเล็กลงและราคาถูกลง (MSRP อยู่ที่ $40) แต่หน้าจอใหม่นี้ยังคงใช้ความละเอียด 720x1280 พิกเซลเหมือนเดิม และไม่ได้เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ใด ๆ ทั้งสิ้น ตัวหน้าจอใช้ระบบสัมผัสแบบ capacitive รองรับการสัมผัสหลายจุด (multi-touch) และเชื่อมต่อผ่านพอร์ต DSI โดยไม่ต้องใช้สาย HDMI หรือแหล่งจ่ายไฟแยก ข้อดีคือการติดตั้งง่ายมาก – ไม่ต้องปรับแต่งไดรเวอร์หรือแก้ device tree ให้ยุ่งยาก และสามารถใช้งานได้ทันทีบน Raspberry Pi OS หรือแม้แต่ Ubuntu ก็รองรับเช่นกัน Raspberry Pi ยังโชว์การใช้ AI ในการช่วยพัฒนาแอปสไลด์โชว์เพื่อสาธิตการทำงานของหน้าจอ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการใช้ AI ในการเขียนโค้ดสามารถช่วยลดเวลาและเพิ่มความแม่นยำได้ อย่างไรก็ตาม หลายคนตั้งคำถามว่า “การลดขนาดหน้าจอ” เป็นการแก้ปัญหาที่แท้จริงหรือไม่ เพราะความละเอียดยังคงเท่าเดิม และประสบการณ์การสัมผัสยังขึ้นอยู่กับซอฟต์แวร์ที่อาจมีข้อจำกัด 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Raspberry Pi เปิดตัวหน้าจอสัมผัสขนาด 5 นิ้วรุ่นใหม่ในปี 2025 ➡️ ใช้ความละเอียด 720x1280 พิกเซล เหมือนรุ่น 7 นิ้ว ➡️ รองรับ multi-touch และเชื่อมต่อผ่าน DSI port โดยไม่ต้องใช้ HDMI ➡️ ติดตั้งง่าย ใช้งานได้ทันทีบน Raspberry Pi OS โดยไม่ต้องปรับแต่งไดรเวอร์ ➡️ ใช้พลังงานจาก GPIO 5V ของบอร์ด Raspberry Pi โดยตรง ➡️ เหมาะสำหรับโปรเจกต์ขนาดเล็ก เช่น สมาร์ทโฮม คีออส หรือแดชบอร์ดฝังตัว ➡️ Raspberry Pi ใช้ AI ในการช่วยพัฒนาแอปสาธิตการใช้งานหน้าจอ ➡️ ราคาขายปลีกอยู่ที่ประมาณ $40–$50 แล้วแต่ผู้จัดจำหน่าย ➡️ รองรับการใช้งานบน Ubuntu และ Linux distros อื่น ๆ ด้วย ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ หน้าจอใช้ LCD TFT แบบ 24-bit RGB ให้สีสันระดับ “ล้านสี” ➡️ รองรับการสัมผัสพร้อมกัน 5 จุด (five-finger gestures) ➡️ Raspberry Pi ประกาศว่าจะผลิตหน้าจอนี้ต่อเนื่องถึงปี 2030 ➡️ SunFounder 10.1 นิ้ว เป็นอีกทางเลือกที่มีความละเอียดสูงกว่า (1280x800) และรองรับ 10-point touch ➡️ หน้าจอ 5 นิ้วเหมาะกับการใช้งานแบบฝังตัวมากกว่าการใช้งานทั่วไป เช่น เขียนบล็อกหรือทำงานเอกสาร https://www.techradar.com/pro/time-for-your-next-smart-home-project-raspberry-pi-adds-an-improved-touchscreen-so-its-time-to-get-building
    0 Comments 0 Shares 121 Views 0 Reviews
  • Mythic Words From Mythologies Around The World

    It’s in human nature to tell stories and in many ways, our stories—our mythologies—work their way into every aspect of our daily lives, from meme culture to the language we speak. You may be familiar with some of the words derived from the names of Greek and Roman gods and characters (herculean, echo, narcissist, to name a few). But some of the words with similar origins are more obscure and may surprise you, and still others are drawn from completely different cultural lineages! Many of our modern words are inspired not only by Greco-Roman mythos but also by West African, Indigenous, Far East Asian, and Nordic folktales, gods, heroes, and legends.

    Here’s a closer look at some of our everyday words and the many diverse mythologies that have contributed to their use and interpretation today.

    California

    While many of us might view the Golden State as the land of sunshine, mild winters, and plenty, this idyllic image of California is first glimpsed in Garci Rodríguez de Montalvo’s novel Las Sergas de Esplandián (“The Adventures of Esplandián”) from the 1500s. At a time when Spanish invasion and exploration of the Americas was at its peak, Las Sergas de Esplandián describes a fictional island ruled by Queen Calafia of the Indies, hence the name “California.” It’s possible Rodríguez de Montalvo derived California from the Arabic khalif or khalifa (a spiritual leader of Islam), or the term Califerne from the 11th-century epic French poem The Song of Roland. When the Spanish first encountered the Baja California peninsula, it was initially believed to be an island and so was dubbed for the fictional island in Rodríguez de Montalvo’s novel. Eventually, this name would apply to the region that we now know as California in the US and Baja California in Mexico today.

    chimeric

    Chimeric is an adjective used to describe something “imaginary, fanciful” or in the context of biology, chimeric describes an organism “having parts of different origins.” The word chimeric is derived from the name of an ancient Greek monster, the chimera. Typically depicted as a having both a goat and lion head sprouting from its back and a serpent as a tail, the chimera was a terrifying and formidable opponent.

    hell

    While this word may call to mind Christianity and the realm of demons and condemned souls, hell is also associated with another concept of the underworld. According to Norse mythology, the prominent god Odin appointed the goddess and daughter of Loki, Hel, to preside over the realm of the dead. Hel’s name subsequently became associated as the word for the underworld itself. The word hell entered Old English sometime before the year 900 CE.

    hurricane

    When a windstorm whips up torrential rains, it can definitely seem like a god’s fury has been called down. This might explain why hurricane is derived from a Taíno storm god, Hurakán. The Taíno were an Indigenous tribe of the Caribbean, so it certainly makes sense that their deities would hold the name now associated with major tropical storms. Working its way from Spanish into English, hurricane was likely first recorded in English around the mid-1500s.

    Nike

    Typically depicted with wings, Nike was the Greek goddess of victory. Her influence was not limited to athletics, and she could oversee any field from art to music to war. Nike is said to have earned this title as one of the first deities to offer her allegiance to Zeus during the Titanomachy, the great battle between the Titans and gods for Mount Olympus. Of course, with a winning streak like that, it’s no wonder a popular sports apparel company would name itself after her.

    plutocracy

    Plutocracy means “the rule or power of wealth” or “of the wealthy, particularly a government or state in which the wealthy class rules.” The pluto in plutocracy comes from the Roman god of wealth, Pluto. Often known best by his Greek name, Hades, Pluto also presided over the underworld. Where does the wealth factor in? Precious metals and gems are typically found underground. The word plutocracy was recorded in the English language around 1645–1655.

    protean

    The adjective protean [ proh-tee-uhn ] describes how something readily assumes different forms, shapes, or characteristics. Something that is protean is “extremely variable.” This word originates from the name of Proteus, a minor Greek sea god who served under Poseidon. Proteus was prophetic and said to be able to gaze into the past, present, and future. However, he was pretty stingy with his knowledge, so most challengers would have to surprise him and wrestle him—while Proteus continually transformed into different (usually dangerous) shapes, such as a lion or a snake! If the challenger held on throughout the transformations, Proteus would answer their question truthfully before jumping back into the sea.

    quetzalcoatlus

    Quetzalcoatlus is a genus of pterosaur from the Late Cretaceous period. Its remains were discovered in 1971 in Texas. As a flying dinosaur from the Americas, its name derives from the god Quetzalcóatl, or “the feathered serpent,” in Nahuatl. Often depicted as exactly that (in addition to having incarnations that ranged from axolotls to dogs to corn), Quetzalcóatl was a prominent god of creation and order in the pantheon of the Mexica people. His domain included powerful and sustaining forces such as the sun, the wind, agriculture, wisdom, and writing.

    ragnarok

    Popping up everywhere from video games to blockbuster movies, the word ragnarok [ rahg-nuh-rok ] just sounds cool. It’s typically used as a synonym for the end of the world—and that’s what it originally referred to. In Norse mythology, this apocalyptic moment will occur when three roosters crow and the monster hound, Garmr, breaks free of his cave. A frightening battle among gods ensues along with natural disasters. The Old Norse word Ragnarǫk that it derives from is a compound of “gods” (ragna) and “fate” (rok).

    Subaru

    Known in most of the English-speaking world as a popular car manufacturer, Subaru is a Japanese word for the Seven Sisters, or Pleiades, constellation. The Subaru logo even features the six stars visible to the naked eye in the constellation. In 2021, astronomers Ray and Barnaby Norris proposed that the constellation referred to as “Seven Sisters” by various ancient peoples (which today looks like six visible stars) once had a seventh visible star whose light has been swallowed up by the light of another.

    Tuesday/Wednesday/Thursday/Friday/Saturday

    If we want an example of mythology rooted in our day-to-day, we needn’t look any further than the days of the week. Initially, Romans named their days of the week after the planets, which included the sun and the moon (Sunday and Monday). As the Roman Empire expanded to include Germanic-speaking peoples, the names of the weekdays were adapted to reflect the names of gods familiar to the local populations.

    Today, five out of seven days of the week are linked to the names of mythological gods, four of which are Old Germanic/Norse in origin. Tuesday is rooted in the name of the Norse god of war and justice, Tyr. Wednesday descends from Woden (alternatively, Odin), a widely revered Germanic-Norse god who presided over healing, wisdom, death, war, poetry, and sorcery. Thursday is derived from the thunder god Thor. Finally, Friday owes its name to Frigg, the goddess of marriage, prophecy, clairvoyance, and motherhood. The outlier of the weekday group is Saturday, which traces its name back to Saturn, the Roman god of time, wealth, and renewal.

    While scholars are uncertain as to when the Germanic-Norse adaptations of the days of the week were introduced, it is estimated to have occurred between 200-500 CE to predate the spread of Christianity and the final collapse of the Roman Empire.

    weird

    While weird today generally means “bizarre” or “unusual,” its older use has been to refer to something that is “uncanny” or relating to the supernatural. This links into the original definition of weird, or then wyrd, as being able to control fate or destiny. The Old English derivation of the Germanic word was first recorded before 900 CE as wyrd; then in Middle English as the phrase werde sisters, which referred to the Fates. According to Greek mythology, the three goddesses known as the Fates control the destinies of the lives of man. In the early 1600s, Shakespeare’s Macbeth, used werde sisters to refer to these witches in the play.

    © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    Mythic Words From Mythologies Around The World It’s in human nature to tell stories and in many ways, our stories—our mythologies—work their way into every aspect of our daily lives, from meme culture to the language we speak. You may be familiar with some of the words derived from the names of Greek and Roman gods and characters (herculean, echo, narcissist, to name a few). But some of the words with similar origins are more obscure and may surprise you, and still others are drawn from completely different cultural lineages! Many of our modern words are inspired not only by Greco-Roman mythos but also by West African, Indigenous, Far East Asian, and Nordic folktales, gods, heroes, and legends. Here’s a closer look at some of our everyday words and the many diverse mythologies that have contributed to their use and interpretation today. California While many of us might view the Golden State as the land of sunshine, mild winters, and plenty, this idyllic image of California is first glimpsed in Garci Rodríguez de Montalvo’s novel Las Sergas de Esplandián (“The Adventures of Esplandián”) from the 1500s. At a time when Spanish invasion and exploration of the Americas was at its peak, Las Sergas de Esplandián describes a fictional island ruled by Queen Calafia of the Indies, hence the name “California.” It’s possible Rodríguez de Montalvo derived California from the Arabic khalif or khalifa (a spiritual leader of Islam), or the term Califerne from the 11th-century epic French poem The Song of Roland. When the Spanish first encountered the Baja California peninsula, it was initially believed to be an island and so was dubbed for the fictional island in Rodríguez de Montalvo’s novel. Eventually, this name would apply to the region that we now know as California in the US and Baja California in Mexico today. chimeric Chimeric is an adjective used to describe something “imaginary, fanciful” or in the context of biology, chimeric describes an organism “having parts of different origins.” The word chimeric is derived from the name of an ancient Greek monster, the chimera. Typically depicted as a having both a goat and lion head sprouting from its back and a serpent as a tail, the chimera was a terrifying and formidable opponent. hell While this word may call to mind Christianity and the realm of demons and condemned souls, hell is also associated with another concept of the underworld. According to Norse mythology, the prominent god Odin appointed the goddess and daughter of Loki, Hel, to preside over the realm of the dead. Hel’s name subsequently became associated as the word for the underworld itself. The word hell entered Old English sometime before the year 900 CE. hurricane When a windstorm whips up torrential rains, it can definitely seem like a god’s fury has been called down. This might explain why hurricane is derived from a Taíno storm god, Hurakán. The Taíno were an Indigenous tribe of the Caribbean, so it certainly makes sense that their deities would hold the name now associated with major tropical storms. Working its way from Spanish into English, hurricane was likely first recorded in English around the mid-1500s. Nike Typically depicted with wings, Nike was the Greek goddess of victory. Her influence was not limited to athletics, and she could oversee any field from art to music to war. Nike is said to have earned this title as one of the first deities to offer her allegiance to Zeus during the Titanomachy, the great battle between the Titans and gods for Mount Olympus. Of course, with a winning streak like that, it’s no wonder a popular sports apparel company would name itself after her. plutocracy Plutocracy means “the rule or power of wealth” or “of the wealthy, particularly a government or state in which the wealthy class rules.” The pluto in plutocracy comes from the Roman god of wealth, Pluto. Often known best by his Greek name, Hades, Pluto also presided over the underworld. Where does the wealth factor in? Precious metals and gems are typically found underground. The word plutocracy was recorded in the English language around 1645–1655. protean The adjective protean [ proh-tee-uhn ] describes how something readily assumes different forms, shapes, or characteristics. Something that is protean is “extremely variable.” This word originates from the name of Proteus, a minor Greek sea god who served under Poseidon. Proteus was prophetic and said to be able to gaze into the past, present, and future. However, he was pretty stingy with his knowledge, so most challengers would have to surprise him and wrestle him—while Proteus continually transformed into different (usually dangerous) shapes, such as a lion or a snake! If the challenger held on throughout the transformations, Proteus would answer their question truthfully before jumping back into the sea. quetzalcoatlus Quetzalcoatlus is a genus of pterosaur from the Late Cretaceous period. Its remains were discovered in 1971 in Texas. As a flying dinosaur from the Americas, its name derives from the god Quetzalcóatl, or “the feathered serpent,” in Nahuatl. Often depicted as exactly that (in addition to having incarnations that ranged from axolotls to dogs to corn), Quetzalcóatl was a prominent god of creation and order in the pantheon of the Mexica people. His domain included powerful and sustaining forces such as the sun, the wind, agriculture, wisdom, and writing. ragnarok Popping up everywhere from video games to blockbuster movies, the word ragnarok [ rahg-nuh-rok ] just sounds cool. It’s typically used as a synonym for the end of the world—and that’s what it originally referred to. In Norse mythology, this apocalyptic moment will occur when three roosters crow and the monster hound, Garmr, breaks free of his cave. A frightening battle among gods ensues along with natural disasters. The Old Norse word Ragnarǫk that it derives from is a compound of “gods” (ragna) and “fate” (rok). Subaru Known in most of the English-speaking world as a popular car manufacturer, Subaru is a Japanese word for the Seven Sisters, or Pleiades, constellation. The Subaru logo even features the six stars visible to the naked eye in the constellation. In 2021, astronomers Ray and Barnaby Norris proposed that the constellation referred to as “Seven Sisters” by various ancient peoples (which today looks like six visible stars) once had a seventh visible star whose light has been swallowed up by the light of another. Tuesday/Wednesday/Thursday/Friday/Saturday If we want an example of mythology rooted in our day-to-day, we needn’t look any further than the days of the week. Initially, Romans named their days of the week after the planets, which included the sun and the moon (Sunday and Monday). As the Roman Empire expanded to include Germanic-speaking peoples, the names of the weekdays were adapted to reflect the names of gods familiar to the local populations. Today, five out of seven days of the week are linked to the names of mythological gods, four of which are Old Germanic/Norse in origin. Tuesday is rooted in the name of the Norse god of war and justice, Tyr. Wednesday descends from Woden (alternatively, Odin), a widely revered Germanic-Norse god who presided over healing, wisdom, death, war, poetry, and sorcery. Thursday is derived from the thunder god Thor. Finally, Friday owes its name to Frigg, the goddess of marriage, prophecy, clairvoyance, and motherhood. The outlier of the weekday group is Saturday, which traces its name back to Saturn, the Roman god of time, wealth, and renewal. While scholars are uncertain as to when the Germanic-Norse adaptations of the days of the week were introduced, it is estimated to have occurred between 200-500 CE to predate the spread of Christianity and the final collapse of the Roman Empire. weird While weird today generally means “bizarre” or “unusual,” its older use has been to refer to something that is “uncanny” or relating to the supernatural. This links into the original definition of weird, or then wyrd, as being able to control fate or destiny. The Old English derivation of the Germanic word was first recorded before 900 CE as wyrd; then in Middle English as the phrase werde sisters, which referred to the Fates. According to Greek mythology, the three goddesses known as the Fates control the destinies of the lives of man. In the early 1600s, Shakespeare’s Macbeth, used werde sisters to refer to these witches in the play. © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    0 Comments 0 Shares 177 Views 0 Reviews
  • NVIDIA กับเกมการเมืองระหว่างประเทศ – เมื่อชิป H20 กลายเป็นตัวประกันทางเทคโนโลยี

    ในปี 2025 NVIDIA ต้องเผชิญกับแรงกดดันมหาศาลจากทั้งสหรัฐฯ และจีนเกี่ยวกับชิป H20 ซึ่งถูกออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับตลาดจีน หลังจากที่รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีทรัมป์อนุญาตให้ NVIDIA กลับมาขายชิป H20 ได้อีกครั้ง โดยมีเงื่อนไขว่าต้องแบ่งรายได้ 15% จากยอดขายในจีนให้รัฐบาลสหรัฐฯ

    แต่ความหวังของ NVIDIA กลับถูกดับลงอย่างรวดเร็ว เมื่อรัฐบาลจีนเริ่มแสดงความไม่พอใจต่อชิป H20 โดยกล่าวหาว่าชิปอาจมี “backdoor” หรือช่องโหว่ที่สามารถใช้สอดแนมข้อมูลได้ และอาจมี “kill switch” ที่สามารถปิดการทำงานจากระยะไกลได้

    หน่วยงานจีน เช่น Cyberspace Administration of China (CAC) และกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ออกคำแนะนำให้บริษัทเทคโนโลยีใหญ่ ๆ อย่าง ByteDance, Alibaba และ Tencent หยุดสั่งซื้อชิป H20 ทันที โดยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคงของชาติ

    NVIDIA จึงต้องสั่งหยุดการผลิตชิป H20 กับซัพพลายเออร์หลัก เช่น Samsung, Amkor และ Foxconn พร้อมเร่งพัฒนาชิปรุ่นใหม่ชื่อ B30A ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า H20 แต่ยังอยู่ภายใต้ข้อจำกัดด้านการส่งออกของสหรัฐฯ

    สถานการณ์นี้สะท้อนถึงความเปราะบางของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ที่แม้จะมีมูลค่าทางเศรษฐกิจมหาศาล แต่ก็ถูกควบคุมด้วยเกมการเมืองระหว่างประเทศอย่างเข้มข้น

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    NVIDIA หยุดการผลิตชิป H20 หลังจีนแสดงความไม่พอใจ
    รัฐบาลจีนกังวลเรื่อง backdoor และ spyware ในชิป H20
    บริษัทจีนใหญ่ ๆ ถูกสั่งให้หยุดสั่งซื้อชิป H20
    รัฐบาลสหรัฐฯ อนุญาตให้ขาย H20 ได้อีกครั้ง โดยต้องแบ่งรายได้ 15%
    NVIDIA สั่งหยุดการผลิตกับซัพพลายเออร์ เช่น Samsung, Amkor และ Foxconn
    NVIDIA กำลังพัฒนาชิปใหม่ชื่อ B30A สำหรับตลาดจีน
    B30A มีประสิทธิภาพสูงกว่า H20 แต่ต่ำกว่า B300 ซึ่งถูกห้ามส่งออก
    NVIDIA ยืนยันว่า H20 ไม่มี backdoor และไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ทางทหาร
    ความขัดแย้งนี้เกิดขึ้นหลังคำพูดของรัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ ที่ดูถูกจีน
    จีนพยายามลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากสหรัฐฯ ตามนโยบาย Made in China 2025

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Cyberspace Administration of China เคยเรียก NVIDIA มาสอบถามรายละเอียดทางเทคนิคของ H20
    NVIDIA สูญเสียรายได้กว่า $5.5 พันล้านจากการแบนในไตรมาสก่อน
    จีนบริโภคเซมิคอนดักเตอร์ 60% ของโลก แต่ผลิตได้เพียง 13%
    การแบ่งรายได้ 15% เป็นโมเดลใหม่ในการจัดการความขัดแย้งด้านเทคโนโลยี
    ความไม่แน่นอนทางการเมืองทำให้โมเดลนี้ล้มเหลวในเวลาไม่กี่สัปดาห์

    https://wccftech.com/nvidia-reportedly-halts-h20-gpu-production-after-the-chinese-politburo-becomes-hostile-to-the-chip/
    🎙️ NVIDIA กับเกมการเมืองระหว่างประเทศ – เมื่อชิป H20 กลายเป็นตัวประกันทางเทคโนโลยี ในปี 2025 NVIDIA ต้องเผชิญกับแรงกดดันมหาศาลจากทั้งสหรัฐฯ และจีนเกี่ยวกับชิป H20 ซึ่งถูกออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับตลาดจีน หลังจากที่รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีทรัมป์อนุญาตให้ NVIDIA กลับมาขายชิป H20 ได้อีกครั้ง โดยมีเงื่อนไขว่าต้องแบ่งรายได้ 15% จากยอดขายในจีนให้รัฐบาลสหรัฐฯ แต่ความหวังของ NVIDIA กลับถูกดับลงอย่างรวดเร็ว เมื่อรัฐบาลจีนเริ่มแสดงความไม่พอใจต่อชิป H20 โดยกล่าวหาว่าชิปอาจมี “backdoor” หรือช่องโหว่ที่สามารถใช้สอดแนมข้อมูลได้ และอาจมี “kill switch” ที่สามารถปิดการทำงานจากระยะไกลได้ หน่วยงานจีน เช่น Cyberspace Administration of China (CAC) และกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ออกคำแนะนำให้บริษัทเทคโนโลยีใหญ่ ๆ อย่าง ByteDance, Alibaba และ Tencent หยุดสั่งซื้อชิป H20 ทันที โดยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคงของชาติ NVIDIA จึงต้องสั่งหยุดการผลิตชิป H20 กับซัพพลายเออร์หลัก เช่น Samsung, Amkor และ Foxconn พร้อมเร่งพัฒนาชิปรุ่นใหม่ชื่อ B30A ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า H20 แต่ยังอยู่ภายใต้ข้อจำกัดด้านการส่งออกของสหรัฐฯ สถานการณ์นี้สะท้อนถึงความเปราะบางของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ที่แม้จะมีมูลค่าทางเศรษฐกิจมหาศาล แต่ก็ถูกควบคุมด้วยเกมการเมืองระหว่างประเทศอย่างเข้มข้น 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ NVIDIA หยุดการผลิตชิป H20 หลังจีนแสดงความไม่พอใจ ➡️ รัฐบาลจีนกังวลเรื่อง backdoor และ spyware ในชิป H20 ➡️ บริษัทจีนใหญ่ ๆ ถูกสั่งให้หยุดสั่งซื้อชิป H20 ➡️ รัฐบาลสหรัฐฯ อนุญาตให้ขาย H20 ได้อีกครั้ง โดยต้องแบ่งรายได้ 15% ➡️ NVIDIA สั่งหยุดการผลิตกับซัพพลายเออร์ เช่น Samsung, Amkor และ Foxconn ➡️ NVIDIA กำลังพัฒนาชิปใหม่ชื่อ B30A สำหรับตลาดจีน ➡️ B30A มีประสิทธิภาพสูงกว่า H20 แต่ต่ำกว่า B300 ซึ่งถูกห้ามส่งออก ➡️ NVIDIA ยืนยันว่า H20 ไม่มี backdoor และไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ทางทหาร ➡️ ความขัดแย้งนี้เกิดขึ้นหลังคำพูดของรัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ ที่ดูถูกจีน ➡️ จีนพยายามลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากสหรัฐฯ ตามนโยบาย Made in China 2025 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Cyberspace Administration of China เคยเรียก NVIDIA มาสอบถามรายละเอียดทางเทคนิคของ H20 ➡️ NVIDIA สูญเสียรายได้กว่า $5.5 พันล้านจากการแบนในไตรมาสก่อน ➡️ จีนบริโภคเซมิคอนดักเตอร์ 60% ของโลก แต่ผลิตได้เพียง 13% ➡️ การแบ่งรายได้ 15% เป็นโมเดลใหม่ในการจัดการความขัดแย้งด้านเทคโนโลยี ➡️ ความไม่แน่นอนทางการเมืองทำให้โมเดลนี้ล้มเหลวในเวลาไม่กี่สัปดาห์ https://wccftech.com/nvidia-reportedly-halts-h20-gpu-production-after-the-chinese-politburo-becomes-hostile-to-the-chip/
    WCCFTECH.COM
    NVIDIA Reportedly Halts H20 GPU Production After The Chinese Politburo Becomes Hostile To The Chip
    NVIDIA is reportedly throwing in the proverbial towel on its China-specific H20 GPU as a number of potent headwinds coalesce.
    0 Comments 0 Shares 161 Views 0 Reviews
  • เมื่อฮาร์ดดิสก์ปลอมทะลักตลาดโลก – และมาเลเซียกลายเป็นจุดศูนย์กลางของการหลอกลวง

    กลางเดือนสิงหาคม 2025 หน่วยงานในมาเลเซียร่วมกับทีมความปลอดภัยของ Seagate ได้บุกจับโกดังใกล้กรุงกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางการปลอมแปลงฮาร์ดดิสก์ขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาค โดยพบฮาร์ดดิสก์ปลอมเกือบ 700 ลูกจาก Seagate, Western Digital และ Toshiba

    กลุ่มผู้ปลอมแปลงนำฮาร์ดดิสก์เก่าจากตลาดมือสอง—บางลูกมีอายุเกิน 10 ปี—มาล้างข้อมูล SMART (Self-Monitoring, Analysis, and Reporting Technology) เพื่อซ่อนอายุและการใช้งาน จากนั้นติดฉลากใหม่และขายผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซอย่าง Shopee และ Lazada โดยอ้างว่าเป็นฮาร์ดดิสก์ใหม่สำหรับระบบ surveillance หรือ NAS

    ที่น่าตกใจคือฮาร์ดดิสก์จำนวนมากมาจากจีน ซึ่งเคยใช้ในการขุดเหรียญ Chia ที่อาศัยการเขียนข้อมูลลงดิสก์อย่างหนัก เมื่อการขุดไม่คุ้มค่าอีกต่อไป ฮาร์ดแวร์เหล่านี้จึงถูกขายต่อและกลายเป็นวัตถุดิบของการปลอมแปลง

    แม้ Seagate จะเริ่มเข้มงวดกับโปรแกรมคู่ค้า และใช้ระบบ Global Trade Screening เพื่อป้องกันการซื้อจากบริษัทที่อยู่ในบัญชีเฝ้าระวัง แต่การกระจายสินค้าปลอมยังคงเกิดขึ้นใน Amazon และแพลตฟอร์มอื่น ๆ โดยไม่มีการควบคุมที่มีประสิทธิภาพ

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    มาเลเซียบุกจับโกดังปลอมฮาร์ดดิสก์ใกล้กรุงกัวลาลัมเปอร์
    พบฮาร์ดดิสก์ปลอมเกือบ 700 ลูกจาก Seagate, WD และ Toshiba
    ฮาร์ดดิสก์ถูกล้างข้อมูล SMART และติดฉลากใหม่เพื่อขายเป็นของใหม่
    ขายผ่าน Shopee และ Lazada โดยอ้างว่าเป็นฮาร์ดดิสก์ surveillance หรือ NAS
    ฮาร์ดดิสก์จำนวนมากมาจากจีน ซึ่งเคยใช้ขุดเหรียญ Chia
    การขุด Chia ทำให้ฮาร์ดดิสก์เสื่อมเร็ว แต่ยังถูกนำกลับมาขาย
    Seagate เริ่มใช้ระบบ Global Trade Screening เพื่อคัดกรองคู่ค้า
    มีการปลอมฮาร์ดดิสก์ UnionSine ขายบน Amazon โดยไม่มีการควบคุม
    ผู้ปลอมแปลงสามารถสร้างรายได้หลายพันดอลลาร์ต่อเดือนจากการขายเหล่านี้
    การปลอมแปลงรวมถึงการอัปเกรดฮาร์ดดิสก์เก่าให้ดูเหมือนรุ่นใหม่ความจุสูง

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ฮาร์ดดิสก์ปลอมบางลูกมีอายุการใช้งานเกิน 10 ปี แต่ถูกขายเป็นของใหม่
    การล้าง SMART ทำให้ผู้ใช้ไม่สามารถตรวจสอบอายุหรือการใช้งานจริงได้
    Amazon และแพลตฟอร์มใหญ่ยังไม่มีระบบตรวจสอบสินค้าปลอมที่มีประสิทธิภาพ
    การปลอมแปลงฮาร์ดดิสก์ surveillance มีความเสี่ยงสูงต่อข้อมูลที่ต้องการความเสถียร
    Heise.de ประเมินว่ามีฮาร์ดดิสก์กว่า 1 ล้านลูกถูกปลดจากเครือข่าย Chia และเข้าสู่ตลาดมือสอง

    https://www.techradar.com/pro/major-raid-targets-counterfeit-fake-hdds-from-seagate-wd-and-toshiba-in-malaysia-but-is-it-too-little-too-late
    🎙️ เมื่อฮาร์ดดิสก์ปลอมทะลักตลาดโลก – และมาเลเซียกลายเป็นจุดศูนย์กลางของการหลอกลวง กลางเดือนสิงหาคม 2025 หน่วยงานในมาเลเซียร่วมกับทีมความปลอดภัยของ Seagate ได้บุกจับโกดังใกล้กรุงกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางการปลอมแปลงฮาร์ดดิสก์ขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาค โดยพบฮาร์ดดิสก์ปลอมเกือบ 700 ลูกจาก Seagate, Western Digital และ Toshiba กลุ่มผู้ปลอมแปลงนำฮาร์ดดิสก์เก่าจากตลาดมือสอง—บางลูกมีอายุเกิน 10 ปี—มาล้างข้อมูล SMART (Self-Monitoring, Analysis, and Reporting Technology) เพื่อซ่อนอายุและการใช้งาน จากนั้นติดฉลากใหม่และขายผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซอย่าง Shopee และ Lazada โดยอ้างว่าเป็นฮาร์ดดิสก์ใหม่สำหรับระบบ surveillance หรือ NAS ที่น่าตกใจคือฮาร์ดดิสก์จำนวนมากมาจากจีน ซึ่งเคยใช้ในการขุดเหรียญ Chia ที่อาศัยการเขียนข้อมูลลงดิสก์อย่างหนัก เมื่อการขุดไม่คุ้มค่าอีกต่อไป ฮาร์ดแวร์เหล่านี้จึงถูกขายต่อและกลายเป็นวัตถุดิบของการปลอมแปลง แม้ Seagate จะเริ่มเข้มงวดกับโปรแกรมคู่ค้า และใช้ระบบ Global Trade Screening เพื่อป้องกันการซื้อจากบริษัทที่อยู่ในบัญชีเฝ้าระวัง แต่การกระจายสินค้าปลอมยังคงเกิดขึ้นใน Amazon และแพลตฟอร์มอื่น ๆ โดยไม่มีการควบคุมที่มีประสิทธิภาพ 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ มาเลเซียบุกจับโกดังปลอมฮาร์ดดิสก์ใกล้กรุงกัวลาลัมเปอร์ ➡️ พบฮาร์ดดิสก์ปลอมเกือบ 700 ลูกจาก Seagate, WD และ Toshiba ➡️ ฮาร์ดดิสก์ถูกล้างข้อมูล SMART และติดฉลากใหม่เพื่อขายเป็นของใหม่ ➡️ ขายผ่าน Shopee และ Lazada โดยอ้างว่าเป็นฮาร์ดดิสก์ surveillance หรือ NAS ➡️ ฮาร์ดดิสก์จำนวนมากมาจากจีน ซึ่งเคยใช้ขุดเหรียญ Chia ➡️ การขุด Chia ทำให้ฮาร์ดดิสก์เสื่อมเร็ว แต่ยังถูกนำกลับมาขาย ➡️ Seagate เริ่มใช้ระบบ Global Trade Screening เพื่อคัดกรองคู่ค้า ➡️ มีการปลอมฮาร์ดดิสก์ UnionSine ขายบน Amazon โดยไม่มีการควบคุม ➡️ ผู้ปลอมแปลงสามารถสร้างรายได้หลายพันดอลลาร์ต่อเดือนจากการขายเหล่านี้ ➡️ การปลอมแปลงรวมถึงการอัปเกรดฮาร์ดดิสก์เก่าให้ดูเหมือนรุ่นใหม่ความจุสูง ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ฮาร์ดดิสก์ปลอมบางลูกมีอายุการใช้งานเกิน 10 ปี แต่ถูกขายเป็นของใหม่ ➡️ การล้าง SMART ทำให้ผู้ใช้ไม่สามารถตรวจสอบอายุหรือการใช้งานจริงได้ ➡️ Amazon และแพลตฟอร์มใหญ่ยังไม่มีระบบตรวจสอบสินค้าปลอมที่มีประสิทธิภาพ ➡️ การปลอมแปลงฮาร์ดดิสก์ surveillance มีความเสี่ยงสูงต่อข้อมูลที่ต้องการความเสถียร ➡️ Heise.de ประเมินว่ามีฮาร์ดดิสก์กว่า 1 ล้านลูกถูกปลดจากเครือข่าย Chia และเข้าสู่ตลาดมือสอง https://www.techradar.com/pro/major-raid-targets-counterfeit-fake-hdds-from-seagate-wd-and-toshiba-in-malaysia-but-is-it-too-little-too-late
    0 Comments 0 Shares 129 Views 0 Reviews
  • เมื่อ AMD เผลอเปิดประตู – FSR 4 อาจรองรับการ์ดรุ่นเก่ามากกว่าที่คิด

    ในวันที่ 20 สิงหาคม 2025 AMD เผลอปล่อยซอร์สโค้ดของ FSR 4 (FidelityFX Super Resolution 4) บน GitHub ผ่านโปรเจกต์ GPUOpen โดยไม่ตั้งใจ ก่อนจะรีบลบออกภายในไม่กี่ชั่วโมง แต่ไม่ทันสายตานักพัฒนาและนักข่าวที่จับภาพหน้าจอไว้ทัน

    สิ่งที่น่าสนใจคือในโค้ดนั้นมีไฟล์ที่ใช้รูปแบบตัวเลข INT8 (8-bit integer) ซึ่งต่างจาก FP8 (floating point 8-bit) ที่ใช้ใน GPU รุ่นใหม่อย่าง Radeon RX 9000 ที่มี AI accelerator รองรับ FP8 โดยตรง การมีเวอร์ชัน INT8 บ่งชี้ว่า AMD อาจกำลังพัฒนา FSR 4 ให้รองรับ GPU รุ่นเก่าอย่าง RDNA 3 ที่ไม่มี FP8 accelerator

    แม้ AMD จะยังไม่ประกาศอย่างเป็นทางการ แต่การมีไฟล์ INT8 ใน SDK ทำให้เกิดความหวังว่า FSR 4 อาจใช้งานได้บน Radeon RX 7000 หรือแม้แต่ GPU รุ่นก่อนหน้า ซึ่งจะเป็นข่าวดีสำหรับผู้ใช้ที่ยังไม่อัปเกรดฮาร์ดแวร์

    อย่างไรก็ตาม AMD ได้เปลี่ยนรูปแบบการแจกจ่าย SDK ใหม่ โดยล็อกฟีเจอร์ไว้ใน DLL ที่เซ็นชื่อแล้ว ทำให้นักพัฒนาไม่สามารถแก้ไขหรือโมดิฟายโค้ดได้เหมือนใน FSR 3 ซึ่งเคยเปิดซอร์สเต็มรูปแบบ

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    AMD เผลอปล่อยซอร์สโค้ดของ FSR 4 บน GitHub ก่อนลบออกอย่างรวดเร็ว
    โค้ดเผยให้เห็นไฟล์ที่ใช้รูปแบบ INT8 ซึ่งอาจรองรับ GPU รุ่นเก่า
    FSR 4 เดิมถูกออกแบบให้ใช้กับ Radeon RX 9000 ที่มี FP8 AI accelerator
    การมีเวอร์ชัน INT8 บ่งชี้ว่า AMD อาจพัฒนาให้รองรับ RDNA 3 หรือ RX 7000
    SDK ใหม่มาพร้อม FSR 4 และ FSR 3.1.5 สำหรับการสร้างเฟรม
    AMD เปลี่ยนรูปแบบการแจก SDK โดยใช้ DLL ที่เซ็นชื่อแล้วแทนการเปิดซอร์ส
    การเปลี่ยนแปลงนี้คล้ายกับแนวทางของ Nvidia DLSS ที่ใช้การอัปเดตผ่านไดรเวอร์
    มีการพัฒนา plugin สำหรับ Unreal Engine 5.1–5.6 เพื่อรองรับ FSR 4
    AMD เตรียมเปิดตัว FSR Redstone ซึ่งเป็นชุดเทคโนโลยี AI rendering ใหม่ใน SDK
    นักพัฒนาบางคนสามารถ hack FSR 4 ให้ทำงานบน RX 7000 ได้ แม้ไม่มีการรองรับอย่างเป็นทางการ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    INT8 ใช้ทรัพยากรน้อยกว่า FP8 แต่มีความแม่นยำต่ำกว่า
    Intel XeSS ก็มีเวอร์ชัน DP4a ที่ใช้กับ GPU ทั่วไป แต่คุณภาพต่ำกว่าเวอร์ชัน XMX
    มีการคาดการณ์ว่า INT8 อาจถูกใช้ใน PlayStation 5 Pro แต่ไฟล์ที่หลุดเป็น .HLSL ซึ่งใช้ใน PC
    การเปลี่ยนไปใช้ DLL ทำให้การอัปเดตง่ายขึ้น แต่ลดความยืดหยุ่นของนักพัฒนา
    การเปิดซอร์สโดยไม่ตั้งใจอาจเปิดช่องให้คู่แข่งเห็นโครงสร้างภายในของเทคโนโลยี

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/amd-accidentally-marks-fsr-4-open-source-source-code-reveals-potential-support-for-older-radeon-gpus
    🎙️ เมื่อ AMD เผลอเปิดประตู – FSR 4 อาจรองรับการ์ดรุ่นเก่ามากกว่าที่คิด ในวันที่ 20 สิงหาคม 2025 AMD เผลอปล่อยซอร์สโค้ดของ FSR 4 (FidelityFX Super Resolution 4) บน GitHub ผ่านโปรเจกต์ GPUOpen โดยไม่ตั้งใจ ก่อนจะรีบลบออกภายในไม่กี่ชั่วโมง แต่ไม่ทันสายตานักพัฒนาและนักข่าวที่จับภาพหน้าจอไว้ทัน สิ่งที่น่าสนใจคือในโค้ดนั้นมีไฟล์ที่ใช้รูปแบบตัวเลข INT8 (8-bit integer) ซึ่งต่างจาก FP8 (floating point 8-bit) ที่ใช้ใน GPU รุ่นใหม่อย่าง Radeon RX 9000 ที่มี AI accelerator รองรับ FP8 โดยตรง การมีเวอร์ชัน INT8 บ่งชี้ว่า AMD อาจกำลังพัฒนา FSR 4 ให้รองรับ GPU รุ่นเก่าอย่าง RDNA 3 ที่ไม่มี FP8 accelerator แม้ AMD จะยังไม่ประกาศอย่างเป็นทางการ แต่การมีไฟล์ INT8 ใน SDK ทำให้เกิดความหวังว่า FSR 4 อาจใช้งานได้บน Radeon RX 7000 หรือแม้แต่ GPU รุ่นก่อนหน้า ซึ่งจะเป็นข่าวดีสำหรับผู้ใช้ที่ยังไม่อัปเกรดฮาร์ดแวร์ อย่างไรก็ตาม AMD ได้เปลี่ยนรูปแบบการแจกจ่าย SDK ใหม่ โดยล็อกฟีเจอร์ไว้ใน DLL ที่เซ็นชื่อแล้ว ทำให้นักพัฒนาไม่สามารถแก้ไขหรือโมดิฟายโค้ดได้เหมือนใน FSR 3 ซึ่งเคยเปิดซอร์สเต็มรูปแบบ 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ AMD เผลอปล่อยซอร์สโค้ดของ FSR 4 บน GitHub ก่อนลบออกอย่างรวดเร็ว ➡️ โค้ดเผยให้เห็นไฟล์ที่ใช้รูปแบบ INT8 ซึ่งอาจรองรับ GPU รุ่นเก่า ➡️ FSR 4 เดิมถูกออกแบบให้ใช้กับ Radeon RX 9000 ที่มี FP8 AI accelerator ➡️ การมีเวอร์ชัน INT8 บ่งชี้ว่า AMD อาจพัฒนาให้รองรับ RDNA 3 หรือ RX 7000 ➡️ SDK ใหม่มาพร้อม FSR 4 และ FSR 3.1.5 สำหรับการสร้างเฟรม ➡️ AMD เปลี่ยนรูปแบบการแจก SDK โดยใช้ DLL ที่เซ็นชื่อแล้วแทนการเปิดซอร์ส ➡️ การเปลี่ยนแปลงนี้คล้ายกับแนวทางของ Nvidia DLSS ที่ใช้การอัปเดตผ่านไดรเวอร์ ➡️ มีการพัฒนา plugin สำหรับ Unreal Engine 5.1–5.6 เพื่อรองรับ FSR 4 ➡️ AMD เตรียมเปิดตัว FSR Redstone ซึ่งเป็นชุดเทคโนโลยี AI rendering ใหม่ใน SDK ➡️ นักพัฒนาบางคนสามารถ hack FSR 4 ให้ทำงานบน RX 7000 ได้ แม้ไม่มีการรองรับอย่างเป็นทางการ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ INT8 ใช้ทรัพยากรน้อยกว่า FP8 แต่มีความแม่นยำต่ำกว่า ➡️ Intel XeSS ก็มีเวอร์ชัน DP4a ที่ใช้กับ GPU ทั่วไป แต่คุณภาพต่ำกว่าเวอร์ชัน XMX ➡️ มีการคาดการณ์ว่า INT8 อาจถูกใช้ใน PlayStation 5 Pro แต่ไฟล์ที่หลุดเป็น .HLSL ซึ่งใช้ใน PC ➡️ การเปลี่ยนไปใช้ DLL ทำให้การอัปเดตง่ายขึ้น แต่ลดความยืดหยุ่นของนักพัฒนา ➡️ การเปิดซอร์สโดยไม่ตั้งใจอาจเปิดช่องให้คู่แข่งเห็นโครงสร้างภายในของเทคโนโลยี https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/amd-accidentally-marks-fsr-4-open-source-source-code-reveals-potential-support-for-older-radeon-gpus
    0 Comments 0 Shares 139 Views 0 Reviews
  • เมื่อจีน “ปิดประตู” สู่โลกภายนอก – และ HTTPS ก็ถูกตัดขาดโดยไม่มีคำอธิบาย

    ในช่วงเวลา 00:34 ถึง 01:48 ตามเวลาปักกิ่งของวันที่ 20 สิงหาคม 2025 จีนได้ตัดการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตกับโลกภายนอกอย่างเงียบ ๆ โดยบล็อกการใช้งาน TCP port 443 ซึ่งเป็นพอร์ตมาตรฐานสำหรับ HTTPS ทำให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในจีนไม่สามารถเข้าถึงเว็บไซต์และบริการต่างประเทศได้ รวมถึงบริการสำคัญอย่าง Apple และ Tesla ที่ใช้พอร์ตนี้ในการเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ภายนอก

    กลุ่มนักวิจัยจาก Great Firewall Report ตรวจพบว่าอุปกรณ์ในระบบ Great Firewall ได้ “ฉีดแพ็กเก็ตปลอม” (forged TCP RST+ACK) เพื่อขัดขวางการเชื่อมต่อทุกกรณีที่ใช้ port 443 โดยไม่แตะต้องพอร์ตอื่น เช่น 22, 80 หรือ 8443 ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่แตกต่างจากการบล็อกแบบกว้างในปี 2020 ที่เคยบล็อก HTTPS ทุกพอร์ต

    สิ่งที่น่าสนใจคือ อุปกรณ์ที่ใช้ในการบล็อกครั้งนี้ไม่ตรงกับลายนิ้วมือของอุปกรณ์ที่เคยใช้ในระบบ Great Firewall มาก่อน ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าเป็นอุปกรณ์ใหม่ หรืออุปกรณ์เดิมที่ถูกตั้งค่าผิด หรืออาจเป็นการทดสอบระบบใหม่โดยรัฐบาลจีน

    แม้จะเป็นเหตุการณ์สั้น ๆ แต่ผลกระทบกลับกว้างขวาง เพราะ port 443 เป็นหัวใจของการเชื่อมต่อแบบปลอดภัยทั่วโลก และการบล็อกเพียงพอร์ตเดียวก็สามารถทำให้จีน “ตัดขาด” จากโลกภายนอกได้ทันที

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    จีนบล็อก TCP port 443 เป็นเวลา 74 นาทีในวันที่ 20 สิงหาคม 2025
    การบล็อกทำให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในจีนไม่สามารถเข้าถึงเว็บไซต์ต่างประเทศได้
    บริการสำคัญอย่าง Apple และ Tesla ที่ใช้ port 443 ก็ได้รับผลกระทบ
    ระบบ Great Firewall ฉีดแพ็กเก็ตปลอม (RST+ACK) เพื่อขัดขวางการเชื่อมต่อ
    การบล็อกจำกัดเฉพาะ port 443 ไม่แตะต้องพอร์ตอื่น เช่น 22, 80, 8443
    อุปกรณ์ที่ใช้ในการบล็อกไม่ตรงกับลายนิ้วมือของอุปกรณ์เดิมในระบบ GFW
    นักวิจัยตั้งข้อสงสัยว่าเป็นอุปกรณ์ใหม่ หรือการตั้งค่าที่ผิดพลาด
    ไม่มีเหตุการณ์ทางการเมืองหรือวิกฤตที่ชัดเจนในช่วงเวลานั้น
    เหตุการณ์นี้ถูกตรวจพบโดยนักวิจัยจากหลายประเทศและองค์กรอิสระ
    การบล็อกครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความสามารถของจีนในการควบคุมการเชื่อมต่อระดับโลก

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    เหตุการณ์คล้ายกันเคยเกิดในปี 2020 เมื่อจีนบล็อก HTTPS ทุกพอร์ตพร้อมกัน
    NetBlocks รายงานว่าปากีสถานมีการลดลงของทราฟฟิกอินเทอร์เน็ตก่อนเหตุการณ์ในจีน
    จีนเคยแบ่งปันเทคโนโลยี Great Firewall กับประเทศอื่น เช่น ปากีสถานและอิหร่าน
    การฉีดแพ็กเก็ตปลอมเป็นเทคนิคที่ใช้ในการบล็อกแบบลึก (deep packet interference)
    นักวิชาการเปรียบเทียบระบบ Great Firewall ว่าเป็น “การประนีประนอมระหว่างการเปิดและปิดอินเทอร์เน็ต”

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/chinas-great-firewall-blocked-all-traffic-to-a-common-https-port-for-over-an-hour-with-no-hint-as-to-its-intention
    🎙️ เมื่อจีน “ปิดประตู” สู่โลกภายนอก – และ HTTPS ก็ถูกตัดขาดโดยไม่มีคำอธิบาย ในช่วงเวลา 00:34 ถึง 01:48 ตามเวลาปักกิ่งของวันที่ 20 สิงหาคม 2025 จีนได้ตัดการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตกับโลกภายนอกอย่างเงียบ ๆ โดยบล็อกการใช้งาน TCP port 443 ซึ่งเป็นพอร์ตมาตรฐานสำหรับ HTTPS ทำให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในจีนไม่สามารถเข้าถึงเว็บไซต์และบริการต่างประเทศได้ รวมถึงบริการสำคัญอย่าง Apple และ Tesla ที่ใช้พอร์ตนี้ในการเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ภายนอก กลุ่มนักวิจัยจาก Great Firewall Report ตรวจพบว่าอุปกรณ์ในระบบ Great Firewall ได้ “ฉีดแพ็กเก็ตปลอม” (forged TCP RST+ACK) เพื่อขัดขวางการเชื่อมต่อทุกกรณีที่ใช้ port 443 โดยไม่แตะต้องพอร์ตอื่น เช่น 22, 80 หรือ 8443 ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่แตกต่างจากการบล็อกแบบกว้างในปี 2020 ที่เคยบล็อก HTTPS ทุกพอร์ต สิ่งที่น่าสนใจคือ อุปกรณ์ที่ใช้ในการบล็อกครั้งนี้ไม่ตรงกับลายนิ้วมือของอุปกรณ์ที่เคยใช้ในระบบ Great Firewall มาก่อน ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าเป็นอุปกรณ์ใหม่ หรืออุปกรณ์เดิมที่ถูกตั้งค่าผิด หรืออาจเป็นการทดสอบระบบใหม่โดยรัฐบาลจีน แม้จะเป็นเหตุการณ์สั้น ๆ แต่ผลกระทบกลับกว้างขวาง เพราะ port 443 เป็นหัวใจของการเชื่อมต่อแบบปลอดภัยทั่วโลก และการบล็อกเพียงพอร์ตเดียวก็สามารถทำให้จีน “ตัดขาด” จากโลกภายนอกได้ทันที 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ จีนบล็อก TCP port 443 เป็นเวลา 74 นาทีในวันที่ 20 สิงหาคม 2025 ➡️ การบล็อกทำให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในจีนไม่สามารถเข้าถึงเว็บไซต์ต่างประเทศได้ ➡️ บริการสำคัญอย่าง Apple และ Tesla ที่ใช้ port 443 ก็ได้รับผลกระทบ ➡️ ระบบ Great Firewall ฉีดแพ็กเก็ตปลอม (RST+ACK) เพื่อขัดขวางการเชื่อมต่อ ➡️ การบล็อกจำกัดเฉพาะ port 443 ไม่แตะต้องพอร์ตอื่น เช่น 22, 80, 8443 ➡️ อุปกรณ์ที่ใช้ในการบล็อกไม่ตรงกับลายนิ้วมือของอุปกรณ์เดิมในระบบ GFW ➡️ นักวิจัยตั้งข้อสงสัยว่าเป็นอุปกรณ์ใหม่ หรือการตั้งค่าที่ผิดพลาด ➡️ ไม่มีเหตุการณ์ทางการเมืองหรือวิกฤตที่ชัดเจนในช่วงเวลานั้น ➡️ เหตุการณ์นี้ถูกตรวจพบโดยนักวิจัยจากหลายประเทศและองค์กรอิสระ ➡️ การบล็อกครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความสามารถของจีนในการควบคุมการเชื่อมต่อระดับโลก ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ เหตุการณ์คล้ายกันเคยเกิดในปี 2020 เมื่อจีนบล็อก HTTPS ทุกพอร์ตพร้อมกัน ➡️ NetBlocks รายงานว่าปากีสถานมีการลดลงของทราฟฟิกอินเทอร์เน็ตก่อนเหตุการณ์ในจีน ➡️ จีนเคยแบ่งปันเทคโนโลยี Great Firewall กับประเทศอื่น เช่น ปากีสถานและอิหร่าน ➡️ การฉีดแพ็กเก็ตปลอมเป็นเทคนิคที่ใช้ในการบล็อกแบบลึก (deep packet interference) ➡️ นักวิชาการเปรียบเทียบระบบ Great Firewall ว่าเป็น “การประนีประนอมระหว่างการเปิดและปิดอินเทอร์เน็ต” https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/chinas-great-firewall-blocked-all-traffic-to-a-common-https-port-for-over-an-hour-with-no-hint-as-to-its-intention
    0 Comments 0 Shares 134 Views 0 Reviews
  • เมื่อไนจีเรียลุกขึ้นสู้กับอาชญากรรมไซเบอร์ – และ 50 ชาวจีนต้องกลับบ้าน

    กลางเดือนสิงหาคม 2025 รัฐบาลไนจีเรียเปิดปฏิบัติการครั้งใหญ่เพื่อปราบปรามเครือข่ายอาชญากรรมไซเบอร์ที่มีชาวต่างชาติเป็นแกนนำ โดยหน่วยงาน Economic and Financial Crimes Commission (EFCC) ร่วมมือกับสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง จับกุมผู้ต้องสงสัยกว่า 192 คนในเมืองลากอส ซึ่งเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของประเทศ

    ผลจากการสอบสวนและดำเนินคดีนำไปสู่การเนรเทศชาวจีน 50 คน และชาวตูนิเซียอีก 1 คน หลังถูกตัดสินว่ามีความผิดฐาน “cyber-terrorism” และ “internet fraud” โดยศาลมีคำสั่งให้ส่งตัวกลับประเทศหลังจากรับโทษจำคุก

    EFCC ระบุว่า การกระทำของกลุ่มนี้มีเป้าหมายเพื่อบ่อนทำลายความมั่นคงทางการเงินของไนจีเรีย และสร้างความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจผ่านการหลอกลวงออนไลน์ เช่น romance scam และการลงทุนในคริปโตปลอม

    การเนรเทศครั้งนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ระยะยาวในการปกป้องพลเมืองและระบบการเงินของประเทศ โดย EFCC ยืนยันว่าจะมีการเนรเทศเพิ่มเติมในอีกไม่กี่วันข้างหน้า

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    ไนจีเรียเนรเทศชาวจีน 50 คน และชาวตูนิเซีย 1 คน ฐาน cyber-terrorism และ internet fraud
    ปฏิบัติการเริ่มเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2025 โดย EFCC ร่วมกับสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง
    มีผู้ต้องสงสัยถูกจับกุมรวม 192 คนในเมืองลากอส
    การดำเนินคดีนำไปสู่คำสั่งศาลให้เนรเทศหลังรับโทษจำคุก
    EFCC ระบุว่ากลุ่มนี้เป็นหนึ่งในเครือข่ายอาชญากรรมไซเบอร์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ
    การโจมตีรวมถึง romance scam และการหลอกลงทุนในคริปโตปลอม
    มีการเนรเทศรวมแล้ว 102 คนตั้งแต่เริ่มปฏิบัติการ
    EFCC ยืนยันว่าจะมีการเนรเทศเพิ่มเติมในเร็ว ๆ นี้
    EFCC ประกาศว่านี่คือ “หมุดหมายสำคัญ” ในการต่อสู้กับอาชญากรรมไซเบอร์
    การเนรเทศมีเป้าหมายเพื่อปกป้องความมั่นคงและความน่าเชื่อถือของระบบการเงินไนจีเรีย

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ในปี 2024 EFCC เคยจับกุมผู้ต้องสงสัยกว่า 800 คนในอาคารเดียวที่ใช้เป็นศูนย์กลางหลอกลวง
    Romance scam เป็นหนึ่งในรูปแบบที่สร้างความเสียหายสูงสุดในไนจีเรีย
    การหลอกลงทุนในคริปโตปลอมมีเป้าหมายทั้งในประเทศและต่างประเทศ
    EFCC ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานระหว่างประเทศในการติดตามธุรกรรมข้ามพรมแดน
    การเน้นปราบปรามชาวต่างชาติสะท้อนถึงความพยายามควบคุมอิทธิพลภายนอกในอาชญากรรมไซเบอร์

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/21/nigeria-deports-50-chinese-nationals-in-cybercrime-crackdown
    🎙️ เมื่อไนจีเรียลุกขึ้นสู้กับอาชญากรรมไซเบอร์ – และ 50 ชาวจีนต้องกลับบ้าน กลางเดือนสิงหาคม 2025 รัฐบาลไนจีเรียเปิดปฏิบัติการครั้งใหญ่เพื่อปราบปรามเครือข่ายอาชญากรรมไซเบอร์ที่มีชาวต่างชาติเป็นแกนนำ โดยหน่วยงาน Economic and Financial Crimes Commission (EFCC) ร่วมมือกับสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง จับกุมผู้ต้องสงสัยกว่า 192 คนในเมืองลากอส ซึ่งเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของประเทศ ผลจากการสอบสวนและดำเนินคดีนำไปสู่การเนรเทศชาวจีน 50 คน และชาวตูนิเซียอีก 1 คน หลังถูกตัดสินว่ามีความผิดฐาน “cyber-terrorism” และ “internet fraud” โดยศาลมีคำสั่งให้ส่งตัวกลับประเทศหลังจากรับโทษจำคุก EFCC ระบุว่า การกระทำของกลุ่มนี้มีเป้าหมายเพื่อบ่อนทำลายความมั่นคงทางการเงินของไนจีเรีย และสร้างความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจผ่านการหลอกลวงออนไลน์ เช่น romance scam และการลงทุนในคริปโตปลอม การเนรเทศครั้งนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ระยะยาวในการปกป้องพลเมืองและระบบการเงินของประเทศ โดย EFCC ยืนยันว่าจะมีการเนรเทศเพิ่มเติมในอีกไม่กี่วันข้างหน้า 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ ไนจีเรียเนรเทศชาวจีน 50 คน และชาวตูนิเซีย 1 คน ฐาน cyber-terrorism และ internet fraud ➡️ ปฏิบัติการเริ่มเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2025 โดย EFCC ร่วมกับสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ➡️ มีผู้ต้องสงสัยถูกจับกุมรวม 192 คนในเมืองลากอส ➡️ การดำเนินคดีนำไปสู่คำสั่งศาลให้เนรเทศหลังรับโทษจำคุก ➡️ EFCC ระบุว่ากลุ่มนี้เป็นหนึ่งในเครือข่ายอาชญากรรมไซเบอร์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ➡️ การโจมตีรวมถึง romance scam และการหลอกลงทุนในคริปโตปลอม ➡️ มีการเนรเทศรวมแล้ว 102 คนตั้งแต่เริ่มปฏิบัติการ ➡️ EFCC ยืนยันว่าจะมีการเนรเทศเพิ่มเติมในเร็ว ๆ นี้ ➡️ EFCC ประกาศว่านี่คือ “หมุดหมายสำคัญ” ในการต่อสู้กับอาชญากรรมไซเบอร์ ➡️ การเนรเทศมีเป้าหมายเพื่อปกป้องความมั่นคงและความน่าเชื่อถือของระบบการเงินไนจีเรีย ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ในปี 2024 EFCC เคยจับกุมผู้ต้องสงสัยกว่า 800 คนในอาคารเดียวที่ใช้เป็นศูนย์กลางหลอกลวง ➡️ Romance scam เป็นหนึ่งในรูปแบบที่สร้างความเสียหายสูงสุดในไนจีเรีย ➡️ การหลอกลงทุนในคริปโตปลอมมีเป้าหมายทั้งในประเทศและต่างประเทศ ➡️ EFCC ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานระหว่างประเทศในการติดตามธุรกรรมข้ามพรมแดน ➡️ การเน้นปราบปรามชาวต่างชาติสะท้อนถึงความพยายามควบคุมอิทธิพลภายนอกในอาชญากรรมไซเบอร์ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/21/nigeria-deports-50-chinese-nationals-in-cybercrime-crackdown
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Nigeria deports 50 Chinese nationals in cybercrime crackdown
    ABUJA (Reuters) -Nigeria has deported 50 Chinese nationals and one Tunisian convicted of cyber-terrorism and internet fraud as part of a crackdown on foreign-led cybercrime networks, the country's anti-graft agency said on Thursday.
    0 Comments 0 Shares 128 Views 0 Reviews
  • เมื่อรหัสผ่านองค์กรกลายเป็นจุดอ่อน – และแฮกเกอร์ไม่ต้องพยายามมากอีกต่อไป

    ในปี 2025 รายงาน Blue Report ของ Picus Security เผยข้อมูลที่น่าตกใจว่า ใน 46% ขององค์กรที่ทำการทดสอบ มีรหัสผ่านอย่างน้อยหนึ่งชุดถูกเจาะสำเร็จ เพิ่มขึ้นจาก 25% ในปี 2024 ซึ่งสะท้อนถึงปัญหาที่เรื้อรังมานาน: การใช้รหัสผ่านที่อ่อนแอและนโยบายที่ล้าสมัย

    แม้จะมีการรณรงค์เรื่องความปลอดภัยมาหลายปี แต่หลายองค์กรยังคงใช้รหัสผ่านที่เดาง่าย ซ้ำซาก หรือไม่บังคับให้เปลี่ยนรหัสอย่างสม่ำเสมอ บางแห่งยังใช้วิธีเก็บ hash แบบ MD5 หรือ SHA-1 ซึ่งถูกแฮกได้ง่ายด้วยเทคนิค brute-force หรือ rainbow table

    ที่น่ากังวลกว่านั้นคือ การโจมตีด้วยรหัสผ่านที่ถูกขโมย (เช่นจาก phishing หรือ malware) มีอัตราความสำเร็จสูงถึง 98% และการป้องกันการขโมยข้อมูล (data exfiltration) สำเร็จเพียง 3% เท่านั้น ซึ่งลดลงจาก 9% ในปีที่แล้ว

    ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าองค์กรต้องเปลี่ยนจากแนวคิด “ตั้งค่าแล้วปล่อยไว้” ไปสู่การตรวจสอบระบบอย่างต่อเนื่อง และใช้มาตรการเชิงรุก เช่น MFA, การวิเคราะห์พฤติกรรมผู้ใช้, และการจัดการสิทธิ์แบบละเอียด

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    46% ขององค์กรที่ทดสอบมีรหัสผ่านถูกเจาะสำเร็จอย่างน้อยหนึ่งชุด
    เพิ่มขึ้นจาก 25% ในปี 2024 สะท้อนถึงการใช้รหัสผ่านที่อ่อนแอและนโยบายล้าสมัย
    การโจมตีด้วยรหัสผ่านที่ถูกขโมยมีอัตราความสำเร็จสูงถึง 98%
    การป้องกันการขโมยข้อมูลสำเร็จเพียง 3% ลดลงจาก 9% ในปีที่แล้ว
    แฮกเกอร์ใช้เทคนิค brute-force, rainbow table, password spraying และ infostealer malware
    การเก็บ hash แบบ MD5 หรือ SHA-1 ไม่ปลอดภัยอีกต่อไป
    ควรใช้ bcrypt, Argon2 หรือ scrypt ร่วมกับ salt และ pepper เพื่อเพิ่มความปลอดภัย
    ช่องโหว่เกิดจากการตั้งค่าระบบที่ไม่ต่อเนื่อง เช่น logging gaps และ detection rule ที่ไม่แม่นยำ
    การตรวจจับพฤติกรรมผิดปกติ เช่น การเคลื่อนไหวภายในระบบ (lateral movement) ยังมีประสิทธิภาพต่ำ
    การใช้ MFA และการจัดการสิทธิ์แบบละเอียดเป็นมาตรการพื้นฐานที่ควรมี

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Infostealer malware เพิ่มขึ้น 3 เท่าในปี 2025 และเป็นภัยหลักในการขโมย credentials
    การโจมตีแบบ Valid Accounts (MITRE ATT&CK T1078) เป็นวิธีที่แฮกเกอร์นิยมใช้
    Ransomware เช่น BlackByte, BabLock และ Maori ยังเป็นภัยที่ป้องกันได้ยาก
    การตรวจจับการค้นหาข้อมูลระบบ (System Discovery) มีประสิทธิภาพต่ำกว่า 12%
    การเปลี่ยนแนวคิดเป็น “assume breach” ช่วยให้ตอบสนองต่อภัยคุกคามได้เร็วขึ้น

    https://www.csoonline.com/article/4042464/enterprise-passwords-becoming-even-easier-to-steal-and-abuse.html
    🎙️ เมื่อรหัสผ่านองค์กรกลายเป็นจุดอ่อน – และแฮกเกอร์ไม่ต้องพยายามมากอีกต่อไป ในปี 2025 รายงาน Blue Report ของ Picus Security เผยข้อมูลที่น่าตกใจว่า ใน 46% ขององค์กรที่ทำการทดสอบ มีรหัสผ่านอย่างน้อยหนึ่งชุดถูกเจาะสำเร็จ เพิ่มขึ้นจาก 25% ในปี 2024 ซึ่งสะท้อนถึงปัญหาที่เรื้อรังมานาน: การใช้รหัสผ่านที่อ่อนแอและนโยบายที่ล้าสมัย แม้จะมีการรณรงค์เรื่องความปลอดภัยมาหลายปี แต่หลายองค์กรยังคงใช้รหัสผ่านที่เดาง่าย ซ้ำซาก หรือไม่บังคับให้เปลี่ยนรหัสอย่างสม่ำเสมอ บางแห่งยังใช้วิธีเก็บ hash แบบ MD5 หรือ SHA-1 ซึ่งถูกแฮกได้ง่ายด้วยเทคนิค brute-force หรือ rainbow table ที่น่ากังวลกว่านั้นคือ การโจมตีด้วยรหัสผ่านที่ถูกขโมย (เช่นจาก phishing หรือ malware) มีอัตราความสำเร็จสูงถึง 98% และการป้องกันการขโมยข้อมูล (data exfiltration) สำเร็จเพียง 3% เท่านั้น ซึ่งลดลงจาก 9% ในปีที่แล้ว ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าองค์กรต้องเปลี่ยนจากแนวคิด “ตั้งค่าแล้วปล่อยไว้” ไปสู่การตรวจสอบระบบอย่างต่อเนื่อง และใช้มาตรการเชิงรุก เช่น MFA, การวิเคราะห์พฤติกรรมผู้ใช้, และการจัดการสิทธิ์แบบละเอียด 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ 46% ขององค์กรที่ทดสอบมีรหัสผ่านถูกเจาะสำเร็จอย่างน้อยหนึ่งชุด ➡️ เพิ่มขึ้นจาก 25% ในปี 2024 สะท้อนถึงการใช้รหัสผ่านที่อ่อนแอและนโยบายล้าสมัย ➡️ การโจมตีด้วยรหัสผ่านที่ถูกขโมยมีอัตราความสำเร็จสูงถึง 98% ➡️ การป้องกันการขโมยข้อมูลสำเร็จเพียง 3% ลดลงจาก 9% ในปีที่แล้ว ➡️ แฮกเกอร์ใช้เทคนิค brute-force, rainbow table, password spraying และ infostealer malware ➡️ การเก็บ hash แบบ MD5 หรือ SHA-1 ไม่ปลอดภัยอีกต่อไป ➡️ ควรใช้ bcrypt, Argon2 หรือ scrypt ร่วมกับ salt และ pepper เพื่อเพิ่มความปลอดภัย ➡️ ช่องโหว่เกิดจากการตั้งค่าระบบที่ไม่ต่อเนื่อง เช่น logging gaps และ detection rule ที่ไม่แม่นยำ ➡️ การตรวจจับพฤติกรรมผิดปกติ เช่น การเคลื่อนไหวภายในระบบ (lateral movement) ยังมีประสิทธิภาพต่ำ ➡️ การใช้ MFA และการจัดการสิทธิ์แบบละเอียดเป็นมาตรการพื้นฐานที่ควรมี ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Infostealer malware เพิ่มขึ้น 3 เท่าในปี 2025 และเป็นภัยหลักในการขโมย credentials ➡️ การโจมตีแบบ Valid Accounts (MITRE ATT&CK T1078) เป็นวิธีที่แฮกเกอร์นิยมใช้ ➡️ Ransomware เช่น BlackByte, BabLock และ Maori ยังเป็นภัยที่ป้องกันได้ยาก ➡️ การตรวจจับการค้นหาข้อมูลระบบ (System Discovery) มีประสิทธิภาพต่ำกว่า 12% ➡️ การเปลี่ยนแนวคิดเป็น “assume breach” ช่วยให้ตอบสนองต่อภัยคุกคามได้เร็วขึ้น https://www.csoonline.com/article/4042464/enterprise-passwords-becoming-even-easier-to-steal-and-abuse.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Enterprise passwords becoming even easier to steal and abuse
    More effective cracking, continued reliance on weak or outdated policies, and security controls against credential leaks being increasingly undermined.
    0 Comments 0 Shares 135 Views 0 Reviews
  • เมื่อ AI ไม่ได้คืนทุน – 95% ขององค์กรลงทุนไปเปล่า ๆ กับ Generative AI

    ในช่วงสามปีที่ผ่านมา องค์กรทั่วโลกลงทุนไปกว่า $30–40 พันล้านดอลลาร์ในโครงการ Generative AI โดยหวังว่าจะเปลี่ยนแปลงธุรกิจให้ทันสมัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่รายงานล่าสุดจาก MIT กลับพบว่า 95% ของโครงการเหล่านี้ “ไม่มีผลตอบแทนที่วัดได้” เลย

    แม้จะมีการนำเครื่องมืออย่าง ChatGPT, Copilot และโมเดลภาษาอื่น ๆ มาใช้ในองค์กรกว่า 80% และมีถึง 40% ที่นำไปใช้งานจริง แต่ส่วนใหญ่กลับใช้แค่ในระดับ “เพิ่มประสิทธิภาพรายบุคคล” เช่น เขียนอีเมลหรือช่วยตอบแชต ไม่ได้ส่งผลต่อรายได้หรือกำไรของบริษัท

    สาเหตุหลักคือ AI เหล่านี้ไม่สามารถปรับตัวเข้ากับกระบวนการทำงานจริงขององค์กรได้ เช่น ไม่สามารถเรียนรู้จากบริบท, ไม่เก็บ feedback, และไม่พัฒนาเหตุผลข้ามงานได้เหมือนมนุษย์ ทำให้การใช้งานระยะยาวมีต้นทุนสูงแต่ไม่คุ้มค่า

    ในทางกลับกัน โครงการที่ประสบความสำเร็จ (เพียง 5%) มักจะเลือกปัญหาเฉพาะจุด เช่น การจัดการเอกสารหรือการลดค่าใช้จ่ายภายนอก แล้วใช้ AI แบบเฉพาะทางร่วมกับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญ

    MIT ยังพบว่า AI มีประโยชน์สูงสุดในงานหลังบ้าน เช่น การลดการจ้างงานภายนอกหรือการจัดการข้อมูลซ้ำ ๆ แต่กว่า 50% ของงบประมาณกลับถูกใช้ในงานขายและการตลาด ซึ่งยังต้องพึ่งพามนุษย์เป็นหลัก

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    MIT พบว่า 95% ของโครงการ Generative AI ไม่มีผลตอบแทนที่วัดได้
    องค์กรลงทุนรวมกว่า $30–40 พันล้านในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา
    80% ขององค์กรทดลองใช้ AI และ 40% นำไปใช้งานจริง
    ส่วนใหญ่ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพรายบุคคล ไม่ใช่ระดับองค์กร
    AI ไม่สามารถปรับตัวกับ workflow จริงขององค์กรได้
    โครงการที่ประสบความสำเร็จมักเลือกปัญหาเฉพาะและใช้เครื่องมือเฉพาะทาง
    AI มีประโยชน์สูงสุดในงานหลังบ้าน เช่น ลดการจ้างงานภายนอก
    กว่า 50% ของงบประมาณ AI ถูกใช้ในงานขายและการตลาด
    2 ใน 3 ของโครงการที่ใช้ผู้ให้บริการ AI เฉพาะทางประสบความสำเร็จ
    องค์กรในอุตสาหกรรมที่มีการกำกับดูแลสูงมักพัฒนา AI เองเพื่อลดความเสี่ยง

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ NANDA ของ MIT ชื่อว่า “The GenAI Divide”
    Startups ที่เลือกปัญหาเฉพาะ เช่น การจัดการเอกสาร สามารถสร้างรายได้ $20M ภายในปีเดียว
    AI ยังไม่สามารถแทนที่มนุษย์ในด้านการตัดสินใจหรือการเรียนรู้ข้ามบริบท
    การใช้ AI ในงานขายอาจไม่เหมาะ เพราะผู้ซื้อยังต้องการปฏิสัมพันธ์แบบมนุษย์
    ผลกระทบต่อแรงงานคือการไม่แทนที่ตำแหน่งว่าง มากกว่าการปลดพนักงาน

    https://thedailyadda.com/95-of-companies-see-zero-return-on-30-billion-generative-ai-spend-mit-report-finds/
    🎙️ เมื่อ AI ไม่ได้คืนทุน – 95% ขององค์กรลงทุนไปเปล่า ๆ กับ Generative AI ในช่วงสามปีที่ผ่านมา องค์กรทั่วโลกลงทุนไปกว่า $30–40 พันล้านดอลลาร์ในโครงการ Generative AI โดยหวังว่าจะเปลี่ยนแปลงธุรกิจให้ทันสมัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่รายงานล่าสุดจาก MIT กลับพบว่า 95% ของโครงการเหล่านี้ “ไม่มีผลตอบแทนที่วัดได้” เลย แม้จะมีการนำเครื่องมืออย่าง ChatGPT, Copilot และโมเดลภาษาอื่น ๆ มาใช้ในองค์กรกว่า 80% และมีถึง 40% ที่นำไปใช้งานจริง แต่ส่วนใหญ่กลับใช้แค่ในระดับ “เพิ่มประสิทธิภาพรายบุคคล” เช่น เขียนอีเมลหรือช่วยตอบแชต ไม่ได้ส่งผลต่อรายได้หรือกำไรของบริษัท สาเหตุหลักคือ AI เหล่านี้ไม่สามารถปรับตัวเข้ากับกระบวนการทำงานจริงขององค์กรได้ เช่น ไม่สามารถเรียนรู้จากบริบท, ไม่เก็บ feedback, และไม่พัฒนาเหตุผลข้ามงานได้เหมือนมนุษย์ ทำให้การใช้งานระยะยาวมีต้นทุนสูงแต่ไม่คุ้มค่า ในทางกลับกัน โครงการที่ประสบความสำเร็จ (เพียง 5%) มักจะเลือกปัญหาเฉพาะจุด เช่น การจัดการเอกสารหรือการลดค่าใช้จ่ายภายนอก แล้วใช้ AI แบบเฉพาะทางร่วมกับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญ MIT ยังพบว่า AI มีประโยชน์สูงสุดในงานหลังบ้าน เช่น การลดการจ้างงานภายนอกหรือการจัดการข้อมูลซ้ำ ๆ แต่กว่า 50% ของงบประมาณกลับถูกใช้ในงานขายและการตลาด ซึ่งยังต้องพึ่งพามนุษย์เป็นหลัก 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ MIT พบว่า 95% ของโครงการ Generative AI ไม่มีผลตอบแทนที่วัดได้ ➡️ องค์กรลงทุนรวมกว่า $30–40 พันล้านในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ➡️ 80% ขององค์กรทดลองใช้ AI และ 40% นำไปใช้งานจริง ➡️ ส่วนใหญ่ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพรายบุคคล ไม่ใช่ระดับองค์กร ➡️ AI ไม่สามารถปรับตัวกับ workflow จริงขององค์กรได้ ➡️ โครงการที่ประสบความสำเร็จมักเลือกปัญหาเฉพาะและใช้เครื่องมือเฉพาะทาง ➡️ AI มีประโยชน์สูงสุดในงานหลังบ้าน เช่น ลดการจ้างงานภายนอก ➡️ กว่า 50% ของงบประมาณ AI ถูกใช้ในงานขายและการตลาด ➡️ 2 ใน 3 ของโครงการที่ใช้ผู้ให้บริการ AI เฉพาะทางประสบความสำเร็จ ➡️ องค์กรในอุตสาหกรรมที่มีการกำกับดูแลสูงมักพัฒนา AI เองเพื่อลดความเสี่ยง ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ NANDA ของ MIT ชื่อว่า “The GenAI Divide” ➡️ Startups ที่เลือกปัญหาเฉพาะ เช่น การจัดการเอกสาร สามารถสร้างรายได้ $20M ภายในปีเดียว ➡️ AI ยังไม่สามารถแทนที่มนุษย์ในด้านการตัดสินใจหรือการเรียนรู้ข้ามบริบท ➡️ การใช้ AI ในงานขายอาจไม่เหมาะ เพราะผู้ซื้อยังต้องการปฏิสัมพันธ์แบบมนุษย์ ➡️ ผลกระทบต่อแรงงานคือการไม่แทนที่ตำแหน่งว่าง มากกว่าการปลดพนักงาน https://thedailyadda.com/95-of-companies-see-zero-return-on-30-billion-generative-ai-spend-mit-report-finds/
    THEDAILYADDA.COM
    95% of Companies See ‘Zero Return’ on $30 Billion Generative AI Spend, MIT Report Finds
    Over the last three years, companies worldwide have invested between 30 and 40 billion dollars into generative artificial intelligence projects. Yet most of these efforts have brought no real business…
    0 Comments 0 Shares 101 Views 0 Reviews
  • Scan to support Newskit

    เพจ Newskit ในคอนเซปต์ "ข่าวออนไลน์ อารมณ์หนังสือพิมพ์" ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 1 ก.ค.2567 นำเสนอเรื่องราวแตกต่างจากสื่อกระแสหลักและเพจข่าวทั่วไป ทั้งเศรษฐกิจ สังคม การเมืองในประเทศไทย เรื่องราวแปลกใหม่และใกล้ตัวในภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิดกับประเทศไทย เผยแพร่ทุกเช้าวันจันทร์-พฤหัสบดี ผ่าน 3 แพลตฟอร์ม ได้แก่ Thaitimes, Facebook และ Instagram ในรูปแบบที่สั้น กระชับ สรุปความในโพสต์เดียว ไม่เกิน 2,200 ตัวอักษร

    ที่ผ่านมามีคนสงสัยว่า เพจ Newskit ทำคนเดียวหรือไม่ เป็นเพจส่วนตัว หรือทำในนามองค์กร ขอใช้พื้นที่ตรงนี้สื่อสารกับคุณผู้อ่านว่า เป็นเพจส่วนตัวที่ทำคนเดียว หลังเว้นวรรคจากงานคอลัมนิสต์ออนไลน์ ที่หยุดเขียนไปเมื่อเดือน เม.ย.2567 และได้รับความกรุณาจากทีมงาน Thaitimes โซเชียลมีเดียของคนไทย ให้ทดสอบระบบและนำเสนอเนื้อหาถึงปัจจุบัน โดยยึดหลักการ One Man Journalism แม้จะมีงานประจำและกิจการของครอบครัว แต่พื้นที่ตรงนี้มีไว้ "ปล่อยของ" ในสิ่งที่งานประจำทำไม่ได้

    การเดินทางของเพจ Newskit ทำเป็นงานอดิเรกด้วยใจล้วนๆ เนื้อหาของเราไม่ได้ทำตามกระแส คนที่เข้ามาอ่านจะต้องรู้จักงานเขียนหรือตัวตนของเราจริงๆ แม้อัลกอริทึมจะปิดกั้นก็ตาม อีกทั้งการแสวงหาข้อมูลเพื่อนำมาเขียน โดยเฉพาะการลงพื้นที่ย่อมมีค่าใช้จ่าย ซึ่งที่ผ่านมาใช้รายได้จากงานประจำเป็นหลัก เราใช้ความคิดและหัวใจ ทำหน้าที่ถ่ายทอดเรื่องราวที่พบเจอและน่าสนใจ จากคำสอนของผู้ใหญ่ ที่ให้เริ่มจากสิ่งที่อยากทำมากกว่ารายได้ แล้วจะมีความสุขในการทำงาน

    ถึงกระนั้น เราเชื่อว่าทั้งในวันนี้และอนาคต อาจมีคนที่อยากสนับสนุนผลงาน อีกทั้งเริ่มเห็นสื่อเอกชน และสื่อมวลชนอิสระหลายราย เริ่มประกาศขอรับการสนับสนุนหลายรูปแบบ เพราะฉะนั้นตั้งแต่วันจันทร์ที่ 25 ส.ค.2568 เป็นต้นไป ทุกโพสต์ของ Newskit จะติด QR Code ของแอปพลิเคชัน K SHOP สำหรับผู้อ่านที่ต้องการสนับสนุนโดยตรง แม้เราจะไม่คาดหวังรายได้จากตรงนี้มากนักก็ตาม โปรดสังเกตชื่อบัญชีปลายทางเป็น "นายกิตตินันท์ นาคทอง" เท่านั้น ระวังมิจฉาชีพแอบอ้าง

    เหตุผลที่ไม่แจ้งบัญชีธนาคารโดยตรง เพื่อป้องกันข้อมูลส่วนบุคคล และป้องกันมิจฉาชีพ อีกทั้งด้วยฟังก์ชันของ K SHOP ยังอำนวยความสะดวกให้ผู้ถือบัตรเครดิตกสิกรไทย สามารถเลือกชำระด้วยคะแนนสะสม K Point ได้ในอัตรา 10 คะแนนเท่ากับ 1 บาท และผู้ใช้แอปพลิเคชัน MaxMe Wallet สามารถเลือกชำระด้วยแต้มในบัตรแมกซ์การ์ด ของปั๊มน้ำมันพีทีได้ในอัตรา 10 คะแนนเท่ากับ 1 บาทเช่นกัน

    ขอขอบคุณทุกการสแกนเพื่อสนับสนุนเรามา ณ โอกาสนี้

    #Newskit
    Scan to support Newskit เพจ Newskit ในคอนเซปต์ "ข่าวออนไลน์ อารมณ์หนังสือพิมพ์" ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 1 ก.ค.2567 นำเสนอเรื่องราวแตกต่างจากสื่อกระแสหลักและเพจข่าวทั่วไป ทั้งเศรษฐกิจ สังคม การเมืองในประเทศไทย เรื่องราวแปลกใหม่และใกล้ตัวในภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิดกับประเทศไทย เผยแพร่ทุกเช้าวันจันทร์-พฤหัสบดี ผ่าน 3 แพลตฟอร์ม ได้แก่ Thaitimes, Facebook และ Instagram ในรูปแบบที่สั้น กระชับ สรุปความในโพสต์เดียว ไม่เกิน 2,200 ตัวอักษร ที่ผ่านมามีคนสงสัยว่า เพจ Newskit ทำคนเดียวหรือไม่ เป็นเพจส่วนตัว หรือทำในนามองค์กร ขอใช้พื้นที่ตรงนี้สื่อสารกับคุณผู้อ่านว่า เป็นเพจส่วนตัวที่ทำคนเดียว หลังเว้นวรรคจากงานคอลัมนิสต์ออนไลน์ ที่หยุดเขียนไปเมื่อเดือน เม.ย.2567 และได้รับความกรุณาจากทีมงาน Thaitimes โซเชียลมีเดียของคนไทย ให้ทดสอบระบบและนำเสนอเนื้อหาถึงปัจจุบัน โดยยึดหลักการ One Man Journalism แม้จะมีงานประจำและกิจการของครอบครัว แต่พื้นที่ตรงนี้มีไว้ "ปล่อยของ" ในสิ่งที่งานประจำทำไม่ได้ การเดินทางของเพจ Newskit ทำเป็นงานอดิเรกด้วยใจล้วนๆ เนื้อหาของเราไม่ได้ทำตามกระแส คนที่เข้ามาอ่านจะต้องรู้จักงานเขียนหรือตัวตนของเราจริงๆ แม้อัลกอริทึมจะปิดกั้นก็ตาม อีกทั้งการแสวงหาข้อมูลเพื่อนำมาเขียน โดยเฉพาะการลงพื้นที่ย่อมมีค่าใช้จ่าย ซึ่งที่ผ่านมาใช้รายได้จากงานประจำเป็นหลัก เราใช้ความคิดและหัวใจ ทำหน้าที่ถ่ายทอดเรื่องราวที่พบเจอและน่าสนใจ จากคำสอนของผู้ใหญ่ ที่ให้เริ่มจากสิ่งที่อยากทำมากกว่ารายได้ แล้วจะมีความสุขในการทำงาน ถึงกระนั้น เราเชื่อว่าทั้งในวันนี้และอนาคต อาจมีคนที่อยากสนับสนุนผลงาน อีกทั้งเริ่มเห็นสื่อเอกชน และสื่อมวลชนอิสระหลายราย เริ่มประกาศขอรับการสนับสนุนหลายรูปแบบ เพราะฉะนั้นตั้งแต่วันจันทร์ที่ 25 ส.ค.2568 เป็นต้นไป ทุกโพสต์ของ Newskit จะติด QR Code ของแอปพลิเคชัน K SHOP สำหรับผู้อ่านที่ต้องการสนับสนุนโดยตรง แม้เราจะไม่คาดหวังรายได้จากตรงนี้มากนักก็ตาม โปรดสังเกตชื่อบัญชีปลายทางเป็น "นายกิตตินันท์ นาคทอง" เท่านั้น ระวังมิจฉาชีพแอบอ้าง เหตุผลที่ไม่แจ้งบัญชีธนาคารโดยตรง เพื่อป้องกันข้อมูลส่วนบุคคล และป้องกันมิจฉาชีพ อีกทั้งด้วยฟังก์ชันของ K SHOP ยังอำนวยความสะดวกให้ผู้ถือบัตรเครดิตกสิกรไทย สามารถเลือกชำระด้วยคะแนนสะสม K Point ได้ในอัตรา 10 คะแนนเท่ากับ 1 บาท และผู้ใช้แอปพลิเคชัน MaxMe Wallet สามารถเลือกชำระด้วยแต้มในบัตรแมกซ์การ์ด ของปั๊มน้ำมันพีทีได้ในอัตรา 10 คะแนนเท่ากับ 1 บาทเช่นกัน ขอขอบคุณทุกการสแกนเพื่อสนับสนุนเรามา ณ โอกาสนี้ #Newskit
    Like
    1
    1 Comments 0 Shares 174 Views 0 Reviews
  • Samsung จับมือ Intel – เกมการเมืองระดับโลกในสนามเซมิคอนดักเตอร์

    ในช่วงที่อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์กำลังกลายเป็นสมรภูมิทางเศรษฐกิจและความมั่นคงระดับชาติ Samsung กำลังพิจารณาลงทุนใน Intel เพื่อสร้างความสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์กับรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดี Trump

    หลังจาก SoftBank ประกาศลงทุน $2 พันล้านใน Intel เพื่อสนับสนุนการผลิตชิปในสหรัฐฯ Samsung ก็ถูกเปิดเผยว่ากำลังพิจารณาทำแบบเดียวกัน โดยหวังว่าจะได้รับความสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ ในโครงการโรงงานและการผลิตชิปในประเทศ

    Intel กลายเป็นศูนย์กลางของนโยบาย CHIPS Act ที่รัฐบาล Trump กำลังปรับเปลี่ยนจาก “เงินสนับสนุน” เป็น “การถือหุ้น” โดยมีแผนจะเปลี่ยนเงินช่วยเหลือมูลค่ากว่า $10.9 พันล้านให้กลายเป็นหุ้น 10% ใน Intel ซึ่งจะทำให้รัฐบาลกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุด

    Samsung ซึ่งได้รับเงินสนับสนุน $4.75 พันล้านจาก CHIPS Act ก็อาจถูกเสนอให้แลกเงินนั้นกับการถือหุ้นเช่นกัน ซึ่งอาจกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลเกาหลีใต้กับสหรัฐฯ และยุทธศาสตร์การผลิตของ Samsung ในระดับโลก

    นอกจากนี้ Samsung ยังพิจารณาร่วมมือกับบริษัท Amkor ในด้านการแพ็กเกจชิป ซึ่งเป็นจุดอ่อนของ Samsung เมื่อเทียบกับ TSMC ที่มีโรงงานแพ็กเกจในสหรัฐฯ แล้ว

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Samsung กำลังพิจารณาลงทุนใน Intel เพื่อสร้างความสัมพันธ์กับรัฐบาล Trump
    Intel ได้รับเงินสนับสนุน $10.9 พันล้านจาก CHIPS Act และอาจถูกเปลี่ยนเป็นหุ้น 10%
    SoftBank ลงทุน $2 พันล้านใน Intel เพื่อสนับสนุนการผลิตชิปในสหรัฐฯ
    Samsung ได้รับเงินสนับสนุน $4.75 พันล้านจาก CHIPS Act
    รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังเปลี่ยนแนวทางจาก “เงินช่วยเหลือ” เป็น “การถือหุ้น”
    Samsung พิจารณาร่วมมือกับ Amkor เพื่อเสริมความสามารถด้านการแพ็กเกจชิป
    Samsung มีข้อตกลงผลิตชิป AI ให้ Tesla มูลค่า $16.5 พันล้านในรัฐเท็กซัส
    TSMC ประกาศลงทุนเพิ่ม $100 พันล้านในสหรัฐฯ ผ่านการสนับสนุนจากทำเนียบขาว
    การลงทุนใน Intel ถูกมองว่าเป็นการแสดงความจงรักภักดีต่อนโยบายของรัฐบาล Trump
    Samsung หวังใช้การลงทุนนี้เพื่อเสริมบทบาทในตลาดสหรัฐฯ และลดผลกระทบจากภาษี

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังพิจารณาถือหุ้นใน TSMC, Micron และ Samsung เช่นเดียวกับ Intel
    การถือหุ้นโดยรัฐเป็นแนวทางที่ใช้ในจีน, เกาหลีใต้ และไต้หวัน เพื่อเสริมความมั่นคงด้านเทคโนโลยี Samsung ลงทุน $37 พันล้านในโรงงานและศูนย์วิจัยในสหรัฐฯ ภายในปี 2030
    SK hynix ก็ได้รับเงินสนับสนุนจาก CHIPS Act และอาจถูกเสนอให้แลกเป็นหุ้นเช่นกัน
    การถือหุ้นของรัฐบาลอาจไม่ให้สิทธิ์บริหาร แต่มีผลต่อยุทธศาสตร์และความมั่นคง

    https://wccftech.com/samsung-seeking-to-woo-trump-administration-by-investing-in-intel-after-softbank-says-report/
    🎙️ Samsung จับมือ Intel – เกมการเมืองระดับโลกในสนามเซมิคอนดักเตอร์ ในช่วงที่อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์กำลังกลายเป็นสมรภูมิทางเศรษฐกิจและความมั่นคงระดับชาติ Samsung กำลังพิจารณาลงทุนใน Intel เพื่อสร้างความสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์กับรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดี Trump หลังจาก SoftBank ประกาศลงทุน $2 พันล้านใน Intel เพื่อสนับสนุนการผลิตชิปในสหรัฐฯ Samsung ก็ถูกเปิดเผยว่ากำลังพิจารณาทำแบบเดียวกัน โดยหวังว่าจะได้รับความสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ ในโครงการโรงงานและการผลิตชิปในประเทศ Intel กลายเป็นศูนย์กลางของนโยบาย CHIPS Act ที่รัฐบาล Trump กำลังปรับเปลี่ยนจาก “เงินสนับสนุน” เป็น “การถือหุ้น” โดยมีแผนจะเปลี่ยนเงินช่วยเหลือมูลค่ากว่า $10.9 พันล้านให้กลายเป็นหุ้น 10% ใน Intel ซึ่งจะทำให้รัฐบาลกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุด Samsung ซึ่งได้รับเงินสนับสนุน $4.75 พันล้านจาก CHIPS Act ก็อาจถูกเสนอให้แลกเงินนั้นกับการถือหุ้นเช่นกัน ซึ่งอาจกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลเกาหลีใต้กับสหรัฐฯ และยุทธศาสตร์การผลิตของ Samsung ในระดับโลก นอกจากนี้ Samsung ยังพิจารณาร่วมมือกับบริษัท Amkor ในด้านการแพ็กเกจชิป ซึ่งเป็นจุดอ่อนของ Samsung เมื่อเทียบกับ TSMC ที่มีโรงงานแพ็กเกจในสหรัฐฯ แล้ว 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Samsung กำลังพิจารณาลงทุนใน Intel เพื่อสร้างความสัมพันธ์กับรัฐบาล Trump ➡️ Intel ได้รับเงินสนับสนุน $10.9 พันล้านจาก CHIPS Act และอาจถูกเปลี่ยนเป็นหุ้น 10% ➡️ SoftBank ลงทุน $2 พันล้านใน Intel เพื่อสนับสนุนการผลิตชิปในสหรัฐฯ ➡️ Samsung ได้รับเงินสนับสนุน $4.75 พันล้านจาก CHIPS Act ➡️ รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังเปลี่ยนแนวทางจาก “เงินช่วยเหลือ” เป็น “การถือหุ้น” ➡️ Samsung พิจารณาร่วมมือกับ Amkor เพื่อเสริมความสามารถด้านการแพ็กเกจชิป ➡️ Samsung มีข้อตกลงผลิตชิป AI ให้ Tesla มูลค่า $16.5 พันล้านในรัฐเท็กซัส ➡️ TSMC ประกาศลงทุนเพิ่ม $100 พันล้านในสหรัฐฯ ผ่านการสนับสนุนจากทำเนียบขาว ➡️ การลงทุนใน Intel ถูกมองว่าเป็นการแสดงความจงรักภักดีต่อนโยบายของรัฐบาล Trump ➡️ Samsung หวังใช้การลงทุนนี้เพื่อเสริมบทบาทในตลาดสหรัฐฯ และลดผลกระทบจากภาษี ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังพิจารณาถือหุ้นใน TSMC, Micron และ Samsung เช่นเดียวกับ Intel ➡️ การถือหุ้นโดยรัฐเป็นแนวทางที่ใช้ในจีน, เกาหลีใต้ และไต้หวัน เพื่อเสริมความมั่นคงด้านเทคโนโลยี ➡️ Samsung ลงทุน $37 พันล้านในโรงงานและศูนย์วิจัยในสหรัฐฯ ภายในปี 2030 ➡️ SK hynix ก็ได้รับเงินสนับสนุนจาก CHIPS Act และอาจถูกเสนอให้แลกเป็นหุ้นเช่นกัน ➡️ การถือหุ้นของรัฐบาลอาจไม่ให้สิทธิ์บริหาร แต่มีผลต่อยุทธศาสตร์และความมั่นคง https://wccftech.com/samsung-seeking-to-woo-trump-administration-by-investing-in-intel-after-softbank-says-report/
    WCCFTECH.COM
    Samsung Seeking To Woo Trump Administration By Investing In Intel After Softbank, Says Report
    Samsung is considering investing in Intel to support U.S. chip production after Softbank's $2 billion investment.
    0 Comments 0 Shares 109 Views 0 Reviews
  • เมื่อ Phison ต้องออกโรงสู้ข่าวปลอม – SSD บน Windows 11 กับความเข้าใจผิดที่อาจสร้างความเสียหาย

    เรื่องเริ่มต้นจากการที่มีรายงานว่าอัปเดตความปลอดภัยของ Windows 11 เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2025 (KB5063878 และ KB5062660) ส่งผลให้ SSD หลายรุ่นเกิดปัญหา โดยเฉพาะเมื่อมีการถ่ายโอนไฟล์ขนาดใหญ่ ซึ่งสร้างความกังวลให้กับผู้ใช้งานจำนวนมาก

    ในช่วงแรก มีการกล่าวอ้างว่า SSD ที่ใช้คอนโทรลเลอร์ของ Phison เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบหลัก แต่ Phison ได้ออกมายืนยันว่าไม่ใช่แค่ผลิตภัณฑ์ของตนเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ อุปกรณ์จากผู้ผลิตรายอื่นก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน

    สิ่งที่ทำให้สถานการณ์ร้อนแรงขึ้น คือมีเอกสารปลอมที่ถูกเผยแพร่ในหมู่ลูกค้า โดยอ้างว่าเป็นการสื่อสารจาก Phison ซึ่งระบุรุ่นคอนโทรลเลอร์ที่ได้รับผลกระทบอย่างชัดเจน Phison จึงต้องออกแถลงการณ์ปฏิเสธเอกสารดังกล่าวอย่างหนักแน่น พร้อมดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ที่อยู่เบื้องหลัง

    Phison ยังยืนยันว่ากำลังร่วมมือกับ Microsoft เพื่อสืบสวนและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น พร้อมให้คำมั่นว่าจะสนับสนุนลูกค้าและพันธมิตรอย่างเต็มที่

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    มีรายงานว่าอัปเดต Windows 11 KB5063878 และ KB5062660 ส่งผลให้ SSD หลายรุ่นเกิดปัญหา
    ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อมีการถ่ายโอนไฟล์ขนาดใหญ่ ทำให้ SSD บางรุ่นล้มเหลว
    มีการกล่าวอ้างว่า SSD ที่ใช้คอนโทรลเลอร์ของ Phison ได้รับผลกระทบหลัก
    Phison ยืนยันว่าอุปกรณ์จากผู้ผลิตรายอื่นก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน
    มีเอกสารปลอมที่อ้างว่าเป็นการสื่อสารจาก Phison ถูกเผยแพร่ในหมู่ลูกค้า
    เอกสารปลอมระบุรุ่นคอนโทรลเลอร์ที่ได้รับผลกระทบอย่างชัดเจน
    Phison ปฏิเสธเอกสารดังกล่าวอย่างหนักแน่น และดำเนินการทางกฎหมาย
    Phison กำลังร่วมมือกับ Microsoft เพื่อสืบสวนและแก้ไขปัญหา
    แถลงการณ์อย่างเป็นทางการของ Phison ออกเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2025
    Phison ให้คำมั่นว่าจะสนับสนุนลูกค้าและพันธมิตรอย่างเต็มที่

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ปัญหานี้ไม่จำกัดเฉพาะ SSD แต่ยังส่งผลต่อ HDD บางรุ่นด้วย
    การอัปเดต Windows ที่มีปัญหาอาจส่งผลต่อระบบกู้คืนข้อมูลของผู้ใช้
    ผู้ผลิต SSD รายอื่น เช่น Western Digital ก็พบปัญหาคล้ายกัน
    การเผยแพร่เอกสารปลอมในวงการเทคโนโลยีอาจสร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงและความเชื่อมั่น
    การสื่อสารอย่างโปร่งใสจากผู้ผลิตเป็นสิ่งสำคัญในการจัดการวิกฤต

    https://www.tomshardware.com/pc-components/ssds/phison-takes-legal-action-over-falsified-leaked-document-on-windows-ssd-issues-says-it-continues-to-investigate-reports-of-problems
    🎙️ เมื่อ Phison ต้องออกโรงสู้ข่าวปลอม – SSD บน Windows 11 กับความเข้าใจผิดที่อาจสร้างความเสียหาย เรื่องเริ่มต้นจากการที่มีรายงานว่าอัปเดตความปลอดภัยของ Windows 11 เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2025 (KB5063878 และ KB5062660) ส่งผลให้ SSD หลายรุ่นเกิดปัญหา โดยเฉพาะเมื่อมีการถ่ายโอนไฟล์ขนาดใหญ่ ซึ่งสร้างความกังวลให้กับผู้ใช้งานจำนวนมาก ในช่วงแรก มีการกล่าวอ้างว่า SSD ที่ใช้คอนโทรลเลอร์ของ Phison เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบหลัก แต่ Phison ได้ออกมายืนยันว่าไม่ใช่แค่ผลิตภัณฑ์ของตนเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ อุปกรณ์จากผู้ผลิตรายอื่นก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน สิ่งที่ทำให้สถานการณ์ร้อนแรงขึ้น คือมีเอกสารปลอมที่ถูกเผยแพร่ในหมู่ลูกค้า โดยอ้างว่าเป็นการสื่อสารจาก Phison ซึ่งระบุรุ่นคอนโทรลเลอร์ที่ได้รับผลกระทบอย่างชัดเจน Phison จึงต้องออกแถลงการณ์ปฏิเสธเอกสารดังกล่าวอย่างหนักแน่น พร้อมดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ที่อยู่เบื้องหลัง Phison ยังยืนยันว่ากำลังร่วมมือกับ Microsoft เพื่อสืบสวนและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น พร้อมให้คำมั่นว่าจะสนับสนุนลูกค้าและพันธมิตรอย่างเต็มที่ 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ มีรายงานว่าอัปเดต Windows 11 KB5063878 และ KB5062660 ส่งผลให้ SSD หลายรุ่นเกิดปัญหา ➡️ ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อมีการถ่ายโอนไฟล์ขนาดใหญ่ ทำให้ SSD บางรุ่นล้มเหลว ➡️ มีการกล่าวอ้างว่า SSD ที่ใช้คอนโทรลเลอร์ของ Phison ได้รับผลกระทบหลัก ➡️ Phison ยืนยันว่าอุปกรณ์จากผู้ผลิตรายอื่นก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน ➡️ มีเอกสารปลอมที่อ้างว่าเป็นการสื่อสารจาก Phison ถูกเผยแพร่ในหมู่ลูกค้า ➡️ เอกสารปลอมระบุรุ่นคอนโทรลเลอร์ที่ได้รับผลกระทบอย่างชัดเจน ➡️ Phison ปฏิเสธเอกสารดังกล่าวอย่างหนักแน่น และดำเนินการทางกฎหมาย ➡️ Phison กำลังร่วมมือกับ Microsoft เพื่อสืบสวนและแก้ไขปัญหา ➡️ แถลงการณ์อย่างเป็นทางการของ Phison ออกเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2025 ➡️ Phison ให้คำมั่นว่าจะสนับสนุนลูกค้าและพันธมิตรอย่างเต็มที่ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ปัญหานี้ไม่จำกัดเฉพาะ SSD แต่ยังส่งผลต่อ HDD บางรุ่นด้วย ➡️ การอัปเดต Windows ที่มีปัญหาอาจส่งผลต่อระบบกู้คืนข้อมูลของผู้ใช้ ➡️ ผู้ผลิต SSD รายอื่น เช่น Western Digital ก็พบปัญหาคล้ายกัน ➡️ การเผยแพร่เอกสารปลอมในวงการเทคโนโลยีอาจสร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงและความเชื่อมั่น ➡️ การสื่อสารอย่างโปร่งใสจากผู้ผลิตเป็นสิ่งสำคัญในการจัดการวิกฤต https://www.tomshardware.com/pc-components/ssds/phison-takes-legal-action-over-falsified-leaked-document-on-windows-ssd-issues-says-it-continues-to-investigate-reports-of-problems
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Phison takes legal action over falsified 'leaked' document on Windows SSD issues — says it continues to investigate reports of problems
    "We wish to state unequivocally that the document in question—reproduced below—is neither an official nor unofficial communication from Phison."
    0 Comments 0 Shares 108 Views 0 Reviews
  • Intel กำลังหายใจ – เมื่อยักษ์ใหญ่ต้องลดราคาหุ้นเพื่อความอยู่รอด

    ในเดือนสิงหาคม 2025 Intel กำลังเจรจากับนักลงทุนรายใหญ่เพื่อขอเงินทุนเพิ่มผ่านการขายหุ้นในราคาส่วนลด หลังจากเพิ่งได้รับเงินลงทุน 2 พันล้านดอลลาร์จาก SoftBank ที่ซื้อหุ้นในราคา $23 ต่อหุ้น ซึ่งต่ำกว่าราคาปิดเล็กน้อย

    การระดมทุนนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความพยายามของ Intel ที่จะฟื้นฟูธุรกิจผลิตชิปในสหรัฐฯ โดยเฉพาะในตลาด AI ที่ถูกครอบครองโดย Nvidia และ TSMC มานานหลายปี เนื่องจากความผิดพลาดในการบริหารและการพัฒนาเทคโนโลยีที่ล่าช้า

    รัฐบาลสหรัฐฯ โดยรัฐมนตรีพาณิชย์ Howard Lutnick เสนอให้เปลี่ยนเงินสนับสนุนจาก CHIPS Act เป็นหุ้นของ Intel ซึ่งอาจทำให้รัฐบาลถือหุ้นถึง 10% และกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุด

    Intel ต้องการเงินทุนมหาศาลถึง $40 พันล้านเพื่อแข่งขันในตลาดชิประดับสูง โดยเฉพาะโครงการโรงงานผลิตชิปในรัฐโอไฮโอที่ล่าช้ามาหลายปี และการยกเลิกโครงการในเยอรมนีและโปแลนด์

    แม้ SoftBank จะไม่ขอที่นั่งในบอร์ด แต่การลงทุนครั้งนี้ถือเป็น “เดิมพัน” ว่า Intel จะสามารถพลิกสถานการณ์ได้ และกลับมาเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมชิปอีกครั้ง

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Intel กำลังเจรจากับนักลงทุนรายใหญ่เพื่อระดมทุนผ่านการขายหุ้นราคาส่วนลด
    SoftBank ลงทุน $2 พันล้าน ซื้อหุ้นที่ $23 ต่อหุ้น คิดเป็นสัดส่วนไม่ถึง 2%
    หุ้น Intel ร่วง 7% หลังข่าวการระดมทุนเพิ่มเติม
    รัฐบาลสหรัฐฯ เสนอเปลี่ยนเงินสนับสนุน CHIPS Act เป็นหุ้นของ Intel
    หากเปลี่ยนทั้งหมด รัฐบาลจะถือหุ้นถึง 10%
    Intel ต้องการเงินทุนรวมประมาณ $40 พันล้านเพื่อแข่งขันในตลาดชิป
    โครงการโรงงานในโอไฮโอล่าช้า และโครงการในเยอรมนี-โปแลนด์ถูกยกเลิก
    SoftBank ไม่ขอที่นั่งในบอร์ด และไม่มีข้อผูกพันในการซื้อชิปจาก Intel
    CEO คนใหม่ Lip-Bu Tan เข้ามาแทน Pat Gelsinger ตั้งแต่มีนาคม 2025
    Intel เคยขาดทุน $18.8 พันล้านในปี 2024 ซึ่งเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 1986

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    SoftBank มีแผนลงทุน $30 พันล้านใน OpenAI และโครงการ Stargate ร่วมกับ Oracle
    Foxconn จะผลิตอุปกรณ์ดาต้าเซ็นเตอร์ในโรงงานเดิมที่โอไฮโอให้ SoftBank
    BlackRock และ Vanguard เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ Intel อยู่แล้ว
    การถือหุ้นโดยรัฐบาลสหรัฐฯ อาจเปลี่ยนโครงสร้างการบริหารของ Intel
    ตลาดชิป AI มีมูลค่ามากกว่า $500 พันล้าน และเติบโตอย่างรวดเร็ว
    Intel ยังไม่มีลูกค้าหลักในธุรกิจผลิตชิปตามสั่ง (foundry)

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/20/intel-in-talks-with-large-investors-for-equity-boost-at-discount-cnbc-reports
    💬 Intel กำลังหายใจ – เมื่อยักษ์ใหญ่ต้องลดราคาหุ้นเพื่อความอยู่รอด ในเดือนสิงหาคม 2025 Intel กำลังเจรจากับนักลงทุนรายใหญ่เพื่อขอเงินทุนเพิ่มผ่านการขายหุ้นในราคาส่วนลด หลังจากเพิ่งได้รับเงินลงทุน 2 พันล้านดอลลาร์จาก SoftBank ที่ซื้อหุ้นในราคา $23 ต่อหุ้น ซึ่งต่ำกว่าราคาปิดเล็กน้อย การระดมทุนนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความพยายามของ Intel ที่จะฟื้นฟูธุรกิจผลิตชิปในสหรัฐฯ โดยเฉพาะในตลาด AI ที่ถูกครอบครองโดย Nvidia และ TSMC มานานหลายปี เนื่องจากความผิดพลาดในการบริหารและการพัฒนาเทคโนโลยีที่ล่าช้า รัฐบาลสหรัฐฯ โดยรัฐมนตรีพาณิชย์ Howard Lutnick เสนอให้เปลี่ยนเงินสนับสนุนจาก CHIPS Act เป็นหุ้นของ Intel ซึ่งอาจทำให้รัฐบาลถือหุ้นถึง 10% และกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุด Intel ต้องการเงินทุนมหาศาลถึง $40 พันล้านเพื่อแข่งขันในตลาดชิประดับสูง โดยเฉพาะโครงการโรงงานผลิตชิปในรัฐโอไฮโอที่ล่าช้ามาหลายปี และการยกเลิกโครงการในเยอรมนีและโปแลนด์ แม้ SoftBank จะไม่ขอที่นั่งในบอร์ด แต่การลงทุนครั้งนี้ถือเป็น “เดิมพัน” ว่า Intel จะสามารถพลิกสถานการณ์ได้ และกลับมาเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมชิปอีกครั้ง 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Intel กำลังเจรจากับนักลงทุนรายใหญ่เพื่อระดมทุนผ่านการขายหุ้นราคาส่วนลด ➡️ SoftBank ลงทุน $2 พันล้าน ซื้อหุ้นที่ $23 ต่อหุ้น คิดเป็นสัดส่วนไม่ถึง 2% ➡️ หุ้น Intel ร่วง 7% หลังข่าวการระดมทุนเพิ่มเติม ➡️ รัฐบาลสหรัฐฯ เสนอเปลี่ยนเงินสนับสนุน CHIPS Act เป็นหุ้นของ Intel ➡️ หากเปลี่ยนทั้งหมด รัฐบาลจะถือหุ้นถึง 10% ➡️ Intel ต้องการเงินทุนรวมประมาณ $40 พันล้านเพื่อแข่งขันในตลาดชิป ➡️ โครงการโรงงานในโอไฮโอล่าช้า และโครงการในเยอรมนี-โปแลนด์ถูกยกเลิก ➡️ SoftBank ไม่ขอที่นั่งในบอร์ด และไม่มีข้อผูกพันในการซื้อชิปจาก Intel ➡️ CEO คนใหม่ Lip-Bu Tan เข้ามาแทน Pat Gelsinger ตั้งแต่มีนาคม 2025 ➡️ Intel เคยขาดทุน $18.8 พันล้านในปี 2024 ซึ่งเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 1986 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ SoftBank มีแผนลงทุน $30 พันล้านใน OpenAI และโครงการ Stargate ร่วมกับ Oracle ➡️ Foxconn จะผลิตอุปกรณ์ดาต้าเซ็นเตอร์ในโรงงานเดิมที่โอไฮโอให้ SoftBank ➡️ BlackRock และ Vanguard เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ Intel อยู่แล้ว ➡️ การถือหุ้นโดยรัฐบาลสหรัฐฯ อาจเปลี่ยนโครงสร้างการบริหารของ Intel ➡️ ตลาดชิป AI มีมูลค่ามากกว่า $500 พันล้าน และเติบโตอย่างรวดเร็ว ➡️ Intel ยังไม่มีลูกค้าหลักในธุรกิจผลิตชิปตามสั่ง (foundry) https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/20/intel-in-talks-with-large-investors-for-equity-boost-at-discount-cnbc-reports
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Intel in talks with large investors for equity boost at discount, CNBC reports
    (Reuters) -Intel is in talks with other large investors to receive an equity infusion at a discounted price, CNBC reported on Wednesday, just days after the chipmaker got a $2 billion capital injection from SoftBank Group.
    0 Comments 0 Shares 116 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าใหม่: GPU ไม่ใช่แค่การ์ดจอ – แต่คือเครื่องจักรแห่งการเรียนรู้ของ AI

    ในยุคที่ AI ใหญ่ขึ้นทุกวัน การเข้าใจว่า GPU ทำงานอย่างไรจึงสำคัญมาก โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับ TPU ที่ Google ใช้กันอย่างแพร่หลาย

    GPU สมัยใหม่ เช่น NVIDIA H100, B200 และ GB200 NVL72 ไม่ได้เป็นแค่การ์ดจอสำหรับเล่นเกมอีกต่อไป แต่กลายเป็นเครื่องมือหลักในการฝึกและรันโมเดลขนาดใหญ่ (LLMs) ด้วยพลังการคำนวณมหาศาลจาก Tensor Core ที่ออกแบบมาเพื่อการคูณเมทริกซ์โดยเฉพาะ

    แต่ละ GPU ประกอบด้วยหลาย SM (Streaming Multiprocessor) ซึ่งใน H100 มีถึง 132 SM และใน B200 มี 148 SM โดยแต่ละ SM มี Tensor Core, Warp Scheduler และ CUDA Cores ที่ทำงานแบบ SIMD/SIMT เพื่อประมวลผลแบบขนาน

    GPU ยังมีระบบหน่วยความจำหลายระดับ ตั้งแต่ Register, SMEM (L1 cache), L2 cache ไปจนถึง HBM (High Bandwidth Memory) ซึ่งใน B200 มีถึง 192GB และแบนด์วิดท์สูงถึง 9TB/s

    นอกจากนี้ยังมีระบบเครือข่ายภายในและระหว่าง GPU ที่ซับซ้อน เช่น NVLink, NVSwitch และ InfiniBand ที่ช่วยให้ GPU หลายตัวทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในระบบ DGX SuperPod ที่สามารถเชื่อมต่อ GPU ได้ถึง 1024 ตัว

    GPU ยังรองรับการทำงานแบบ parallelism หลายรูปแบบ เช่น data parallelism, tensor parallelism, expert parallelism และ pipeline parallelism ซึ่งแต่ละแบบมีข้อดีข้อเสียต่างกัน และต้องเลือกใช้ให้เหมาะกับขนาดและโครงสร้างของโมเดล

    ข้อมูลในข่าว
    GPU สมัยใหม่เช่น H100 และ B200 มี Tensor Core สำหรับคูณเมทริกซ์โดยเฉพาะ
    H100 มี 132 SM ส่วน B200 มี 148 SM แต่ละ SM มี Tensor Core, Warp Scheduler และ CUDA Cores
    หน่วยความจำของ GPU มีหลายระดับ: Register, SMEM, L2 cache และ HBM
    B200 มี HBM ขนาด 192GB และแบนด์วิดท์ 9TB/s
    ระบบเครือข่ายภายในใช้ NVLink และ NVSwitch เชื่อม GPU ภายใน node
    ระบบเครือข่ายระหว่าง node ใช้ InfiniBand แบบ fat tree topology
    DGX SuperPod สามารถเชื่อม GPU ได้ถึง 1024 ตัว
    GPU รองรับ parallelism หลายแบบ: data, tensor, expert และ pipeline
    NVIDIA SHARP ช่วยให้การทำ AllReduce มีประสิทธิภาพมากขึ้น
    GB200 NVL72 มี node ขนาดใหญ่ขึ้น (72 GPU) และแบนด์วิดท์สูงถึง 3.6TB/s

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    RTX PRO 4000 Blackwell SFF เปิดตัวเมื่อ 11 ส.ค. 2025 มี Tensor Core รุ่นที่ 5
    ใช้สถาปัตยกรรม Blackwell 2.0 บนกระบวนการผลิต 5nm โดย TSMC
    มี 8960 CUDA cores และ 280 Tensor cores พร้อม GDDR7 ขนาด 24GB
    ประสิทธิภาพ AI สูงขึ้น 2.5 เท่าเมื่อเทียบกับรุ่นก่อน
    ใช้พลังงานเพียง 70W เหมาะกับเวิร์กสเตชันขนาดเล็ก
    รองรับ PCIe 5.0 x8 และ DisplayPort 2.1b

    https://jax-ml.github.io/scaling-book/gpus/
    🧠 เรื่องเล่าใหม่: GPU ไม่ใช่แค่การ์ดจอ – แต่คือเครื่องจักรแห่งการเรียนรู้ของ AI ในยุคที่ AI ใหญ่ขึ้นทุกวัน การเข้าใจว่า GPU ทำงานอย่างไรจึงสำคัญมาก โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับ TPU ที่ Google ใช้กันอย่างแพร่หลาย GPU สมัยใหม่ เช่น NVIDIA H100, B200 และ GB200 NVL72 ไม่ได้เป็นแค่การ์ดจอสำหรับเล่นเกมอีกต่อไป แต่กลายเป็นเครื่องมือหลักในการฝึกและรันโมเดลขนาดใหญ่ (LLMs) ด้วยพลังการคำนวณมหาศาลจาก Tensor Core ที่ออกแบบมาเพื่อการคูณเมทริกซ์โดยเฉพาะ แต่ละ GPU ประกอบด้วยหลาย SM (Streaming Multiprocessor) ซึ่งใน H100 มีถึง 132 SM และใน B200 มี 148 SM โดยแต่ละ SM มี Tensor Core, Warp Scheduler และ CUDA Cores ที่ทำงานแบบ SIMD/SIMT เพื่อประมวลผลแบบขนาน GPU ยังมีระบบหน่วยความจำหลายระดับ ตั้งแต่ Register, SMEM (L1 cache), L2 cache ไปจนถึง HBM (High Bandwidth Memory) ซึ่งใน B200 มีถึง 192GB และแบนด์วิดท์สูงถึง 9TB/s นอกจากนี้ยังมีระบบเครือข่ายภายในและระหว่าง GPU ที่ซับซ้อน เช่น NVLink, NVSwitch และ InfiniBand ที่ช่วยให้ GPU หลายตัวทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในระบบ DGX SuperPod ที่สามารถเชื่อมต่อ GPU ได้ถึง 1024 ตัว GPU ยังรองรับการทำงานแบบ parallelism หลายรูปแบบ เช่น data parallelism, tensor parallelism, expert parallelism และ pipeline parallelism ซึ่งแต่ละแบบมีข้อดีข้อเสียต่างกัน และต้องเลือกใช้ให้เหมาะกับขนาดและโครงสร้างของโมเดล ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ GPU สมัยใหม่เช่น H100 และ B200 มี Tensor Core สำหรับคูณเมทริกซ์โดยเฉพาะ ➡️ H100 มี 132 SM ส่วน B200 มี 148 SM แต่ละ SM มี Tensor Core, Warp Scheduler และ CUDA Cores ➡️ หน่วยความจำของ GPU มีหลายระดับ: Register, SMEM, L2 cache และ HBM ➡️ B200 มี HBM ขนาด 192GB และแบนด์วิดท์ 9TB/s ➡️ ระบบเครือข่ายภายในใช้ NVLink และ NVSwitch เชื่อม GPU ภายใน node ➡️ ระบบเครือข่ายระหว่าง node ใช้ InfiniBand แบบ fat tree topology ➡️ DGX SuperPod สามารถเชื่อม GPU ได้ถึง 1024 ตัว ➡️ GPU รองรับ parallelism หลายแบบ: data, tensor, expert และ pipeline ➡️ NVIDIA SHARP ช่วยให้การทำ AllReduce มีประสิทธิภาพมากขึ้น ➡️ GB200 NVL72 มี node ขนาดใหญ่ขึ้น (72 GPU) และแบนด์วิดท์สูงถึง 3.6TB/s ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ RTX PRO 4000 Blackwell SFF เปิดตัวเมื่อ 11 ส.ค. 2025 มี Tensor Core รุ่นที่ 5 ➡️ ใช้สถาปัตยกรรม Blackwell 2.0 บนกระบวนการผลิต 5nm โดย TSMC ➡️ มี 8960 CUDA cores และ 280 Tensor cores พร้อม GDDR7 ขนาด 24GB ➡️ ประสิทธิภาพ AI สูงขึ้น 2.5 เท่าเมื่อเทียบกับรุ่นก่อน ➡️ ใช้พลังงานเพียง 70W เหมาะกับเวิร์กสเตชันขนาดเล็ก ➡️ รองรับ PCIe 5.0 x8 และ DisplayPort 2.1b https://jax-ml.github.io/scaling-book/gpus/
    0 Comments 0 Shares 114 Views 0 Reviews
  • ช่องโหว่เงียบใน Copilot – เมื่อ AI ละเลยความปลอดภัยโดยไม่มีใครรู้

    ในวันที่ 4 กรกฎาคม 2025 Zack Korman นักวิจัยด้านความปลอดภัยจากบริษัท Pistachio พบช่องโหว่ใน Microsoft 365 Copilot ที่น่าตกใจ: เขาสามารถขอให้ Copilot สรุปเนื้อหาไฟล์โดยไม่ให้ลิงก์กลับไปยังไฟล์นั้น และผลคือ...ไม่มีการบันทึกใน audit log เลย

    นั่นหมายความว่าใครก็ตามที่ใช้ Copilot เพื่อเข้าถึงไฟล์ สามารถทำได้โดยไม่ทิ้งร่องรอยไว้ในระบบตรวจสอบขององค์กร ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่สำหรับการรักษาความปลอดภัยและการปฏิบัติตามกฎหมาย เช่น HIPAA หรือ GDPR

    แม้ว่า Microsoft จะได้รับรายงานและแก้ไขช่องโหว่นี้ในวันที่ 17 สิงหาคม 2025 แต่พวกเขากลับไม่แจ้งลูกค้า ไม่ออก CVE และไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ โดยอ้างว่าเป็นช่องโหว่ระดับ “สำคัญ” ไม่ใช่ “วิกฤต” และการแก้ไขถูกส่งอัตโนมัติ จึงไม่จำเป็นต้องแจ้ง

    สิ่งที่น่ากังวลคือ ช่องโหว่นี้สามารถเกิดขึ้นได้โดยไม่ตั้งใจ และอาจมีองค์กรจำนวนมากที่มี audit log ไม่สมบูรณ์ โดยไม่รู้ตัวเลย

    ข้อมูลในข่าว
    พบช่องโหว่ใน M365 Copilot ที่ทำให้เข้าถึงไฟล์โดยไม่บันทึกใน audit log
    ช่องโหว่เกิดจากการสั่งให้ Copilot สรุปไฟล์โดยไม่ให้ลิงก์กลับ
    ช่องโหว่นี้สามารถเกิดขึ้นได้โดยไม่ตั้งใจจากผู้ใช้ทั่วไป
    Zack Korman รายงานช่องโหว่ผ่าน MSRC ของ Microsoft
    Microsoft แก้ไขช่องโหว่ในวันที่ 17 สิงหาคม 2025
    ช่องโหว่ถูกจัดระดับ “Important” ไม่ใช่ “Critical”
    Microsoft ไม่ออก CVE และไม่แจ้งลูกค้า
    ช่องโหว่นี้กระทบต่อองค์กรที่ต้องใช้ audit log เพื่อความปลอดภัยและการปฏิบัติตามกฎหมาย

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ช่องโหว่นี้เคยถูกพบโดย Michael Bargury จาก Zenity ตั้งแต่ปี 2024
    ช่องโหว่ถูกนำเสนอในงาน Black Hat โดยใช้เทคนิค jailbreak ด้วย caret (^)
    Microsoft มีนโยบายใหม่ที่ไม่ออก CVE หากไม่ต้องอัปเดตด้วยตนเอง
    นักวิจัยด้านความปลอดภัยเรียกร้องให้รัฐบาลกดดันให้ cloud providers เปิดเผยช่องโหว่ทั้งหมด
    ช่องโหว่นี้อาจถูกใช้ในการฟ้องร้องหรือสอบสวนทางกฎหมาย หาก audit log ไม่สมบูรณ์

    https://pistachioapp.com/blog/copilot-broke-your-audit-log
    📖 ช่องโหว่เงียบใน Copilot – เมื่อ AI ละเลยความปลอดภัยโดยไม่มีใครรู้ ในวันที่ 4 กรกฎาคม 2025 Zack Korman นักวิจัยด้านความปลอดภัยจากบริษัท Pistachio พบช่องโหว่ใน Microsoft 365 Copilot ที่น่าตกใจ: เขาสามารถขอให้ Copilot สรุปเนื้อหาไฟล์โดยไม่ให้ลิงก์กลับไปยังไฟล์นั้น และผลคือ...ไม่มีการบันทึกใน audit log เลย นั่นหมายความว่าใครก็ตามที่ใช้ Copilot เพื่อเข้าถึงไฟล์ สามารถทำได้โดยไม่ทิ้งร่องรอยไว้ในระบบตรวจสอบขององค์กร ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่สำหรับการรักษาความปลอดภัยและการปฏิบัติตามกฎหมาย เช่น HIPAA หรือ GDPR แม้ว่า Microsoft จะได้รับรายงานและแก้ไขช่องโหว่นี้ในวันที่ 17 สิงหาคม 2025 แต่พวกเขากลับไม่แจ้งลูกค้า ไม่ออก CVE และไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ โดยอ้างว่าเป็นช่องโหว่ระดับ “สำคัญ” ไม่ใช่ “วิกฤต” และการแก้ไขถูกส่งอัตโนมัติ จึงไม่จำเป็นต้องแจ้ง สิ่งที่น่ากังวลคือ ช่องโหว่นี้สามารถเกิดขึ้นได้โดยไม่ตั้งใจ และอาจมีองค์กรจำนวนมากที่มี audit log ไม่สมบูรณ์ โดยไม่รู้ตัวเลย ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ พบช่องโหว่ใน M365 Copilot ที่ทำให้เข้าถึงไฟล์โดยไม่บันทึกใน audit log ➡️ ช่องโหว่เกิดจากการสั่งให้ Copilot สรุปไฟล์โดยไม่ให้ลิงก์กลับ ➡️ ช่องโหว่นี้สามารถเกิดขึ้นได้โดยไม่ตั้งใจจากผู้ใช้ทั่วไป ➡️ Zack Korman รายงานช่องโหว่ผ่าน MSRC ของ Microsoft ➡️ Microsoft แก้ไขช่องโหว่ในวันที่ 17 สิงหาคม 2025 ➡️ ช่องโหว่ถูกจัดระดับ “Important” ไม่ใช่ “Critical” ➡️ Microsoft ไม่ออก CVE และไม่แจ้งลูกค้า ➡️ ช่องโหว่นี้กระทบต่อองค์กรที่ต้องใช้ audit log เพื่อความปลอดภัยและการปฏิบัติตามกฎหมาย ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ช่องโหว่นี้เคยถูกพบโดย Michael Bargury จาก Zenity ตั้งแต่ปี 2024 ➡️ ช่องโหว่ถูกนำเสนอในงาน Black Hat โดยใช้เทคนิค jailbreak ด้วย caret (^) ➡️ Microsoft มีนโยบายใหม่ที่ไม่ออก CVE หากไม่ต้องอัปเดตด้วยตนเอง ➡️ นักวิจัยด้านความปลอดภัยเรียกร้องให้รัฐบาลกดดันให้ cloud providers เปิดเผยช่องโหว่ทั้งหมด ➡️ ช่องโหว่นี้อาจถูกใช้ในการฟ้องร้องหรือสอบสวนทางกฎหมาย หาก audit log ไม่สมบูรณ์ https://pistachioapp.com/blog/copilot-broke-your-audit-log
    PISTACHIOAPP.COM
    Copilot Broke Your Audit Log, but Microsoft Won’t Tell You
    Copilot Broke Your Audit Log, but Microsoft Won’t Tell You
    0 Comments 0 Shares 99 Views 0 Reviews
  • 🛳 จุดแวะล่องเรือที่ครบทั้งวิว ตำนาน และวัฒนธรรม … San Francisco Cruise Port จุดเริ่มต้นของการเดินทางสู่แลนด์มาร์กระดับโลกที่เต็มไปด้วยเรื่องเล่าและประวัติศาสตร์

    Golden Gate Bridge ⭐️ สะพานโกลเดนเกต
    หนึ่งในสะพานแขวนที่โด่งดังที่สุดในโลก เปิดใช้งานเมื่อปี 1937 ใช้เวลาก่อสร้าง 4 ปี เชื่อมระหว่างเมืองซานฟรานซิสโกกับ Marin County มีความยาว 2.7 กิโลเมตร สีแดงส้มอันเป็นเอกลักษณ์

    Alcatraz Island ⭐️ เกาะอัลคาทราซ
    เคยเป็นเรือนจำที่มีชื่อเสียงที่สุดในอเมริกา ระหว่างปี 1934-1963 คุมขังอาชญากรชื่อดัง เป็นเรือนจำที่ไม่มีใครสามารถหลบหนีได้ เพราะมีน้ำเย็นจัดและกระแสน้ำแรงล้อมรอบ แต่ในปี 1962 นักโทษ Frank Morris และพี่น้อง Anglin ได้พยายามหนีออกไปอย่างลึกลับ

    Lombard Street ⭐️ ถนนลอมบาร์ด
    ถนนลอมบาร์ดเป็น ถนนที่คดเคี้ยวที่สุดในโลก มี 8 โค้งหักศอกในระยะทางเพียง 180 เมตร ถูกสร้างขึ้นในปี 1922 เพื่อช่วยลดความลาดชันของถนนที่สูงชันกว่า 27 องศา ปัจจุบันเป็นหนึ่งในจุดท่องเที่ยวสำคัญของซานฟรานซิสโก

    Chinatown San Francisco ⭐️ ไชน่าทาวน์ซานฟรานซิสโก
    ไชน่าทาวน์ที่เก่าแก่ที่สุดในอเมริกา ก่อตั้งในปี 1848 โดยผู้อพยพชาวจีนในช่วงยุค California Gold Rush ที่นี่เป็นศูนย์กลางวัฒนธรรมจีนในอเมริกา มีร้านอาหารจีนแบบดั้งเดิม

    สอบถามเพิ่มเติมหรือจองแพ็คเกจได้ทันที!
    https://cruisedomain.com/
    LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029
    Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121
    Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620
    : 0 2116 9696

    #SanFranciscoCruisePort #USA #GoldenGateBridge #AlcatrazIsland #LombardStreet #ChinatownSanFrancisco #AggsteinCastleRuins #port #cruisedomain #thaitimes #News1 #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    🛳 จุดแวะล่องเรือที่ครบทั้งวิว ตำนาน และวัฒนธรรม … San Francisco Cruise Port จุดเริ่มต้นของการเดินทางสู่แลนด์มาร์กระดับโลกที่เต็มไปด้วยเรื่องเล่าและประวัติศาสตร์ ✨🏰 ✅ Golden Gate Bridge ⭐️ สะพานโกลเดนเกต หนึ่งในสะพานแขวนที่โด่งดังที่สุดในโลก เปิดใช้งานเมื่อปี 1937 ใช้เวลาก่อสร้าง 4 ปี เชื่อมระหว่างเมืองซานฟรานซิสโกกับ Marin County มีความยาว 2.7 กิโลเมตร สีแดงส้มอันเป็นเอกลักษณ์ ✅ Alcatraz Island ⭐️ เกาะอัลคาทราซ เคยเป็นเรือนจำที่มีชื่อเสียงที่สุดในอเมริกา ระหว่างปี 1934-1963 คุมขังอาชญากรชื่อดัง เป็นเรือนจำที่ไม่มีใครสามารถหลบหนีได้ เพราะมีน้ำเย็นจัดและกระแสน้ำแรงล้อมรอบ แต่ในปี 1962 นักโทษ Frank Morris และพี่น้อง Anglin ได้พยายามหนีออกไปอย่างลึกลับ ✅ Lombard Street ⭐️ ถนนลอมบาร์ด ถนนลอมบาร์ดเป็น ถนนที่คดเคี้ยวที่สุดในโลก มี 8 โค้งหักศอกในระยะทางเพียง 180 เมตร ถูกสร้างขึ้นในปี 1922 เพื่อช่วยลดความลาดชันของถนนที่สูงชันกว่า 27 องศา ปัจจุบันเป็นหนึ่งในจุดท่องเที่ยวสำคัญของซานฟรานซิสโก ✅ Chinatown San Francisco ⭐️ ไชน่าทาวน์ซานฟรานซิสโก ไชน่าทาวน์ที่เก่าแก่ที่สุดในอเมริกา ก่อตั้งในปี 1848 โดยผู้อพยพชาวจีนในช่วงยุค California Gold Rush ที่นี่เป็นศูนย์กลางวัฒนธรรมจีนในอเมริกา มีร้านอาหารจีนแบบดั้งเดิม 📩 สอบถามเพิ่มเติมหรือจองแพ็คเกจได้ทันที! https://cruisedomain.com/ LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029 Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121 Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620 ☎️: 0 2116 9696 #SanFranciscoCruisePort #USA #GoldenGateBridge #AlcatrazIsland #LombardStreet #ChinatownSanFrancisco #AggsteinCastleRuins #port #cruisedomain #thaitimes #News1 #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    0 Comments 0 Shares 162 Views 0 Reviews
  • Nvidia B30A – ชิป AI สำหรับจีนที่แรงกว่าเดิม แต่ยังอยู่ในกรอบควบคุมของสหรัฐฯ

    ในโลกที่เทคโนโลยี AI กลายเป็นสนามแข่งขันระดับโลก Nvidia กำลังเดินเกมใหม่เพื่อรักษาตลาดจีน ซึ่งคิดเป็น 13% ของรายได้บริษัท ด้วยการพัฒนาชิป AI รุ่นใหม่ชื่อว่า “B30A” ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับตลาดจีน โดยยังคงอยู่ภายใต้ข้อจำกัดการส่งออกของรัฐบาลสหรัฐฯ

    B30A ใช้สถาปัตยกรรม Blackwell รุ่นล่าสุด และเป็นชิปแบบ “single-die” ซึ่งมีประสิทธิภาพประมาณครึ่งหนึ่งของรุ่นเรือธง B300 ที่ใช้แบบ “dual-die” แต่ยังแรงกว่า H20 ซึ่งเป็นรุ่นที่ Nvidia ได้รับอนุญาตให้ขายในจีนก่อนหน้านี้

    ชิป B30A มาพร้อมหน่วยความจำ HBM3E ขนาด 144GB และแบนด์วิดท์สูงถึง 4TB/s พร้อมเทคโนโลยี NVLink สำหรับเชื่อมต่อระหว่างโปรเซสเซอร์ ซึ่งช่วยให้สามารถสร้างระบบ AI ขนาดใหญ่ได้ แม้จะมีข้อจำกัดบางอย่างในจำนวน NVLink ที่อนุญาต

    นอกจากนี้ Nvidia ยังเตรียมเปิดตัว RTX 6000D สำหรับงาน inference ซึ่งเป็นรุ่นลดสเปกจาก RTX 6000 เพื่อให้ผ่านเกณฑ์ควบคุมการส่งออก โดยทั้งสองรุ่นคาดว่าจะเริ่มส่งมอบตัวอย่างให้ลูกค้าในจีนได้ภายในเดือนกันยายน 2025 หากได้รับอนุมัติจากรัฐบาลสหรัฐฯ

    แนวทางนี้เกิดขึ้นหลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เสนอให้ Nvidia และ AMD จ่าย 15% ของรายได้จากการขายชิปในจีนให้รัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อแลกกับการอนุญาตให้ขายชิปรุ่นใหม่ที่ “ลดประสิทธิภาพลง” ประมาณ 30–50%

    ข้อมูลในข่าว
    Nvidia พัฒนา B30A ชิป AI สำหรับตลาดจีน โดยใช้สถาปัตยกรรม Blackwell
    B30A เป็นชิปแบบ single-die ที่มีประสิทธิภาพประมาณครึ่งหนึ่งของ B300
    ประสิทธิภาพของ B30A สูงกว่า H20 และใกล้เคียงกับ H100
    มาพร้อมหน่วยความจำ HBM3E ขนาด 144GB และแบนด์วิดท์ 4TB/s
    ใช้เทคโนโลยี NVLink สำหรับการเชื่อมต่อระหว่างโปรเซสเซอร์
    ออกแบบให้ผ่านข้อจำกัดการส่งออกของสหรัฐฯ
    Nvidia เตรียมส่งมอบตัวอย่าง B30A และ RTX 6000D ให้ลูกค้าในจีนภายในกันยายน 2025
    RTX 6000D เป็นรุ่นลดสเปกสำหรับ inference และกราฟิกระดับมืออาชีพ
    รัฐบาลสหรัฐฯ อาจอนุญาตให้ขายชิปรุ่นใหม่ในจีน หากมีการแบ่งรายได้ 15%

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    H20 ถูกพัฒนาเพื่อให้ผ่านข้อจำกัดการส่งออกในปี 2023 แต่ถูกระงับการขายในเมษายน 2025
    B30A ใช้เทคโนโลยี CoWoS-S ซึ่งถูกกว่ารุ่น CoWoS-L ที่ใช้ใน B300
    การออกแบบ single-die ช่วยลดกำลังไฟและเหมาะกับอุปกรณ์ PCIe
    Nvidia ต้องรักษาฐานลูกค้าในจีนเพื่อคง ecosystem ของ CUDA
    Huawei กำลังพัฒนา GPU แข่งกับ Nvidia แม้ยังด้อยในด้านซอฟต์แวร์และแบนด์วิดท์
    การออกแบบชิปเฉพาะตลาดเป็นกลยุทธ์ที่ใช้ในหลายประเทศ เช่น อินเดียและรัสเซีย

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidia-could-be-readying-b30a-accelerator-for-chinese-market-new-blackwell-chip-reportedly-beats-h20-and-even-h100-while-complying-with-u-s-export-controls
    🧠 Nvidia B30A – ชิป AI สำหรับจีนที่แรงกว่าเดิม แต่ยังอยู่ในกรอบควบคุมของสหรัฐฯ ในโลกที่เทคโนโลยี AI กลายเป็นสนามแข่งขันระดับโลก Nvidia กำลังเดินเกมใหม่เพื่อรักษาตลาดจีน ซึ่งคิดเป็น 13% ของรายได้บริษัท ด้วยการพัฒนาชิป AI รุ่นใหม่ชื่อว่า “B30A” ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับตลาดจีน โดยยังคงอยู่ภายใต้ข้อจำกัดการส่งออกของรัฐบาลสหรัฐฯ B30A ใช้สถาปัตยกรรม Blackwell รุ่นล่าสุด และเป็นชิปแบบ “single-die” ซึ่งมีประสิทธิภาพประมาณครึ่งหนึ่งของรุ่นเรือธง B300 ที่ใช้แบบ “dual-die” แต่ยังแรงกว่า H20 ซึ่งเป็นรุ่นที่ Nvidia ได้รับอนุญาตให้ขายในจีนก่อนหน้านี้ ชิป B30A มาพร้อมหน่วยความจำ HBM3E ขนาด 144GB และแบนด์วิดท์สูงถึง 4TB/s พร้อมเทคโนโลยี NVLink สำหรับเชื่อมต่อระหว่างโปรเซสเซอร์ ซึ่งช่วยให้สามารถสร้างระบบ AI ขนาดใหญ่ได้ แม้จะมีข้อจำกัดบางอย่างในจำนวน NVLink ที่อนุญาต นอกจากนี้ Nvidia ยังเตรียมเปิดตัว RTX 6000D สำหรับงาน inference ซึ่งเป็นรุ่นลดสเปกจาก RTX 6000 เพื่อให้ผ่านเกณฑ์ควบคุมการส่งออก โดยทั้งสองรุ่นคาดว่าจะเริ่มส่งมอบตัวอย่างให้ลูกค้าในจีนได้ภายในเดือนกันยายน 2025 หากได้รับอนุมัติจากรัฐบาลสหรัฐฯ แนวทางนี้เกิดขึ้นหลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เสนอให้ Nvidia และ AMD จ่าย 15% ของรายได้จากการขายชิปในจีนให้รัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อแลกกับการอนุญาตให้ขายชิปรุ่นใหม่ที่ “ลดประสิทธิภาพลง” ประมาณ 30–50% ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ Nvidia พัฒนา B30A ชิป AI สำหรับตลาดจีน โดยใช้สถาปัตยกรรม Blackwell ➡️ B30A เป็นชิปแบบ single-die ที่มีประสิทธิภาพประมาณครึ่งหนึ่งของ B300 ➡️ ประสิทธิภาพของ B30A สูงกว่า H20 และใกล้เคียงกับ H100 ➡️ มาพร้อมหน่วยความจำ HBM3E ขนาด 144GB และแบนด์วิดท์ 4TB/s ➡️ ใช้เทคโนโลยี NVLink สำหรับการเชื่อมต่อระหว่างโปรเซสเซอร์ ➡️ ออกแบบให้ผ่านข้อจำกัดการส่งออกของสหรัฐฯ ➡️ Nvidia เตรียมส่งมอบตัวอย่าง B30A และ RTX 6000D ให้ลูกค้าในจีนภายในกันยายน 2025 ➡️ RTX 6000D เป็นรุ่นลดสเปกสำหรับ inference และกราฟิกระดับมืออาชีพ ➡️ รัฐบาลสหรัฐฯ อาจอนุญาตให้ขายชิปรุ่นใหม่ในจีน หากมีการแบ่งรายได้ 15% ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ H20 ถูกพัฒนาเพื่อให้ผ่านข้อจำกัดการส่งออกในปี 2023 แต่ถูกระงับการขายในเมษายน 2025 ➡️ B30A ใช้เทคโนโลยี CoWoS-S ซึ่งถูกกว่ารุ่น CoWoS-L ที่ใช้ใน B300 ➡️ การออกแบบ single-die ช่วยลดกำลังไฟและเหมาะกับอุปกรณ์ PCIe ➡️ Nvidia ต้องรักษาฐานลูกค้าในจีนเพื่อคง ecosystem ของ CUDA ➡️ Huawei กำลังพัฒนา GPU แข่งกับ Nvidia แม้ยังด้อยในด้านซอฟต์แวร์และแบนด์วิดท์ ➡️ การออกแบบชิปเฉพาะตลาดเป็นกลยุทธ์ที่ใช้ในหลายประเทศ เช่น อินเดียและรัสเซีย https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidia-could-be-readying-b30a-accelerator-for-chinese-market-new-blackwell-chip-reportedly-beats-h20-and-even-h100-while-complying-with-u-s-export-controls
    0 Comments 0 Shares 136 Views 0 Reviews
More Results